พื้นที่แบ่งปันความรู้ สู่ระบบสุขภาพที่เป็นธรรมและยั่งยืน
ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 เดือนกันยายน พ.ศ. 2556
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
www.hsri.or.th
บ ท บ ร ร ณ า ธิ ก า ร
ส
วัสดีครับ เพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นาน
นะครับ ส�ำหรับการปฏิรปู กระทรวง สาธารณสุข ที่ได้เริ่มดีเดย์อย่าง เป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา ในช่วง นี้กระทรวงสาธารณสุขก็ก�ำลังมีการปรับเปลี่ยน แนวคิดและวิธีการท�ำงานใหม่ ให้สอดคล้องกับ แนวคิดการบริหารจัดการในรูปแบบเขตสุขภาพ ที่ทาง สวรส. ได้ท�ำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เอาไว้เป็นฐานความรู้มาตั้งแต่อดีต เรื่อยมาจนถึง ปัจจุบัน HSRI Forum ในรายงานพิเศษฉบับนี้ ติดตาม การปรับเปลี่ยนบทบาทตามนโยบายการปฏิรูป ระบบสุขภาพในยุคของ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อแก้ไข ปัญหาต่างๆ ให้เท่าทันต่อสถานการณ์ในสังคม ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ของคนไทย รวมถึงบทบาทหน้าที่ ในการสร้าง องค์ความรู้เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบ ต่างๆ ของ สวรส. เพื่อให้มีความพร้อมต่อการ ปรับตัว และมีความยืดหยุ่นต่อการรองรับความ เปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ใหม่ๆ ในอนาคต
จากนั้นจึงจะมีการเล่าถึงประวัติศาสตร์การ ท�ำงานวิจยั เกีย่ วกับแนวคิดเขตสุขภาพ เพือ่ รองรับ การปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุขของ สวรส.ใน คอลั ม น์ เ ส้ น ทางสุ ข ภาพสู ่ ความเป็ น ธรรมและ ยั่งยืน และน�ำเสนอรูปธรรม การจัดเขตบริการ สุขภาพของส�ำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในพืน้ ที่ สปสช. เขต9 หรือ “เขตสุขภาพ นครชัยบุรินทร์” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการด�ำเนินการ ใกล้เคียงกับแนวคิดเขตสุขภาพมากที่สุด รวมทั้ง น�ำเสนอผลลัพธ์ที่ได้จาก “การวิจยั และพัฒนาการ บริ ห ารจั ด การระบบสาธารณสุ ข ในระดั บ พื้ น ที่ ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ซึ่งถือเป็น ฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ส�ำคัญในการพัฒนาตาม แนวคิ ด เขตสุ ข ภาพของยุ ค นี้ ซึ่ ง ท่ า นสามารถ ติดตามอ่านเนื้อหาเหล่านี้ ได้ในคอลัมน์ต้นกล้า ความรู้สู่ต้นแบบสุขภาพ ส่วนคอลัมน์แกะกล่องงานวิจัย จะเป็นการ น�ำเสนอแนวคิด กระบวนการ และผลงานวิจัยใน “โครงการการจัดท�ำข้อเสนอและสนับสนุนการ บริหารการเปลี่ยนแปลงกระทรวงสาธารณสุข : ระยะที่ 1 เขตสุขภาพ” ซึ่งถือเป็น Blue Print for
Change ในการปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุขใน พ.ศ.นี้ ก่อนที่จะมาท�ำความรู้จักกับ ดร.รพีสุภา หวังเจริญรุ่ง นักวิจัยผู้พัฒนา Blue Print for Change ในคอลัมน์เปิดห้องรับแขก และคอลั ม น์ ไ ฮไลท์ ร ะบบสุ ข ภาพ ผมได้ น�ำเสนอบทบาทของ สวรส. ในการสนับสนุนองค์ ความรู้เพื่อการปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุขเอาไว้ ซึ่ ง ผมก็ ยั ง คงมี ค วามเชื่ อ มั่ น ว่ า “องค์ ค วามรู ้ ” คือกลไกการขับเคลื่อนส�ำคัญในการปฏิรูปครั้งนี้ ที่จะท�ำให้ระบบสุขภาพของประเทศ เกิดความ สมดุลและยัง่ ยืนโดยประชาชนคือผูไ้ ด้รบั ประโยชน์ สูงสุด และที่ผมต้องย�้ำก็คอื การปฏิรปู เขตสุขภาพ ของกระทรวงสาธารณสุขในครั้งนี้ นับว่าเป็นการ เปลี่ยนแปลงครั้งส�ำคัญ ที่เรียกว่าเป็น “Second Version” ของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ของประเทศไทย ขอให้ทกุ ท่านติดตามอ่านสาระทีเ่ ราได้คดั สรร และรวบรวมเอาไว้ใน HSRI Forum ในฉบับนี้ กันเลยนะครับ
ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ผู้อ�ำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
ส า ร บั ญ
CONTENT 03 ปฏิรูปเขตสุขภาพ สู่ “Second Version” เปลี่ยนระบบหลักประกันสุขภาพ 04 ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุ ข ภาพ” 08 ก่ อ นมี BLUEPRINT FOR CHANGE 10 ข้ อ เสนอปรั บ บทบาท “กระทรวงหมอ” สู ่ ยุ ค ปฏิ รู ป !! 12 นครชัยบุรินทร์ เดินหน้าเขตสุขภาพระดับพื้นที่ 14 ดร.รพีสุภา หวังเจริญรุ่ง “งานวิจัยต้องท้าทาย” 15 เกาะกระแส สวรส.
03
04
08
10
12
จุลสาร HSRI FORUM จัดทำ�โดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข น้อมรับคำ�ติชม พร้อมเปิดกว้างรับทุกความคิดเห็น ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับระบบวิจัยสุขภาพ ที่ hsri@hsri.or.th
ติดตามข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจได้ที่ http://www.hsri.or.th และ http://www.facebook.com/hsrithailand
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
14
ไ ฮ ไ ล ท์ ร ะ บ บ สุ ข ภ า พ
ปฏิรูปเขตสุขภาพ สู่ “Second Version” เปลี่ยนระบบหลักประกันสุขภาพ
ก
ารปฏิรูปเขตสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ในครั้งนี้ นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งส�ำคัญ ที่เรียกว่าเป็น “Second Version” ของระบบหลัก ประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยก็ว่าได้ นั บ ตั้ ง แต่ ป ี 2545 ที่ ป ระเทศไทยได้ ถื อ ก� ำ เนิ ด ระบบ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าขึ้นมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชน คนไทยสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้เกือบ 98 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สะท้อนความส�ำเร็จสูงมาก อย่างไรก็ตาม จ�ำนวนผู้ป่วยยังไม่ได้ลดลงอย่างที่คาดการณ์ไว้ และที่น่าตกใจ ก็คือ ตัวเลขค่าใช้จ่ายในระบบสุขภาพไทยก็พุ่งสูงตามไปด้วย ช่ ว ง 10 ปี ที่ ผ ่ า นมา ค่ าใช้ จ ่ า ยด้ า นสุ ข ภาพในระบบ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สูงขึ้นจาก 6 หมื่นล้านบาท เป็น กว่า 1.4 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากระบบเดิม มีการตัดจ่ายเงินงบประมาณตามจ�ำนวนของผู้ป่วย (งบรายหัว) ท�ำให้ค่าใช้จ่ายในระบบบริการสุขภาพที่ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 4-5% สูงขึน้ แบบผิดสัดส่วนเมือ่ เทียบกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์ มวลรวมของประเทศ (GDP) โดยค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพ ของประเทศจะอยู่ที่ 4.5 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP และหากรวม ค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยจ่ายเองกับการรับบริการในสถานพยาบาล ภาคเอกชนเข้าไปด้วยแล้ว คาดว่าค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพของ ประเทศไทยอาจสูงถึง 6 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ดั ง นั้ น “การปฏิ รู ป เขตบริ การสุ ข ภาพ” ของกระทรวง สาธารณสุขครั้งนี้ มีเป้าหมายส�ำคัญ เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ของระบบบริ ก ารให้ เ กิ ด ความคุ ้ ม ค่ า สู ง สุ ด บริ ห ารคนให้ มี ประสิทธิภาพเพื่อพัฒนางานบริการไปสู่ประชาชนให้ได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถเข้าถึงบริการที่มีคุณ ภาพ ซึ่งจะเป็นการช่วยลด ความเลื่อมล�้ำในระหว่างกองทุนต่างๆได้ อันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่คิด ว่าจะเป็นประโยชน์มากทีเดียวส�ำหรับประชาชนชาวไทยทุกคน อย่ า งไรก็ ต าม บริ ก ารด้ า นสุ ข ภาพที่ มี อ ยู ่ ใ นปั จ จุ บั น ก็ ดี ในระดั บ หนึ่ ง แล้ ว แต่ ด ้ ว ยทรั พ ยากรที่ จ� ำ กั ด ถ้ า มี ก ลไกที่ มี ประสิทธิภาพมาช่วยจัดบริการจะท�ำให้สามารถให้บริการภายใต้ ข้อจ�ำกัดได้ดีขึ้นและยังเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือ กับปัญหาระบบสาธารณสุขในอนาคตได้อีกด้วย แนวคิด “เขตบริการสุขภาพ” ก็คือ “การกระจายอ�ำนาจ (decentralize)” ออกไปที่ยังพื้นที่ แบ่งเป็น 12 เขตเครือข่าย บริการ (ยกเว้นกรุงเทพฯ เป็นเขตที่ 13) โดยประเทศเราจะมี 12 เขตนี้ เป็นกลไกส�ำคัญของกระทรวงสาธารณสุขในระดับ กลุ่มจังหวัด ในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ ระบบสร้าง เสริมสุขภาพและควบคุมป้องกันโรค โดยวิธีการคือ จัดบริการ “ร่ ว ม” ซึ่ ง มี เ ครื่ อ งมื อ หลั ก คื อ ผั ง บริ ก าร (service plan)
โดย ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล
ผู้อ�ำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนในแต่ละเขตพื้น ที่ที่มีประชากรอยู่ประมาณสัก 4-5 ล้านคน ได้รับบริการอย่างมีคุณภาพในพื้นที่ ซึ่งกลุ่มเขตบริการนี้ถือว่าเป็น Economic Scale ที่สามารถ บริหารจัดการการให้บริการ สามารถส่งต่อกันในพืน้ ที่ โดยมีการผนึกหน่วยบริการสุขภาพทัง้ ภาครัฐ ภาคเอกชนมารวมกัน ซึ่งจะท�ำให้ระบบบริการมีคุณภาพ มาตรฐาน และรวดเร็ว เป็นการเพิ่ม ศักยภาพการบริการให้กับประชาชนในพื้นที่ ได้อย่างดีที่สุด รวมทั้งมีการจัดสรรงบประมาณกัน อยู่ในพื้นที่โดยการดึงเงินมาไว้ตรงกลาง เพื่อให้เกิดกระบวนการตัดจ่ายอย่างเป็นธรรมและสมดุล เป้าหมาย “การปฏิรูป” ครั้งนี้ ไม่เพียงจะปรากฏเพียงตัวชี้วัดทางด้านการบริการสุขภาพ คุณภาพการรักษาดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ยังมีตัวชี้วัดที่ครอบคลุมงานทาง “ด้านการสร้าง เสริมสุขภาพ” ด้วย ตรงนี้เองผมจึงย�้ำว่าเป็น Second Version ที่จะมีการปฏิรูปหลักประกัน สุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชนชาวไทย ด้วยแนวคิด “การลดจ�ำนวนผู้ป่วย ด้วยการสร้าง เสริมสุขภาพเชิงรุก” ที่จะป้องกันไม่ ให้ป่วย เป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย ลดจ�ำนวนผู้ป่วยที่จะ เข้าสู่ระบบบริการหรือลดความแออัดในโรงพยาบาลให้มากที่สุด รวมทั้งเพิ่มคุณภาพการบริการ ด้านสุขภาพให้กับประชาชน อันนี้คือประเด็นส�ำคัญที่ผมคิดว่าคือ หัวใจในการปฏิรูปครั้งใหญ่นี้ และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ระบบใน “การเสริมสร้างสุขภาพ” นี้ จึงถือว่าเป็น Package หนึ่งในการปฏิรูปเขตบริการ สุขภาพ มุ่งหมายที่จะลดคนป่วยที่เข้าสู่ “ระบบบริการ” ไปด้วย ทั้งนี้หากหน่วยบริการต่างๆ คิดที่จะหาคนไข้เพิ่ม เพื่อจะไปเอาเงินกองกลางออกมา อันนี้ ผมคิดว่าไม่ถูกต้อง ดังนั้นจะต้องมีการคิดใหม่ โดยทุกหน่วยบริการจะต้องท�ำให้การบริการมี คุณภาพ ในขณะเดียวกันก็ท�ำเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพคู่ขนานไปด้วย เพื่อให้คนป่วยลดลง หาก พื้นที่ ใดที่คนป่วยน้อยลงก็จะมีค่าตอบแทนสูงขึ้นเนื่องจากมีเงินเหลือ อันนี้คือแนวคิดที่อยากจะ ให้เกิด ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วต้องใช้ให้หมด หรือต้องมีคนป่วยมากขึ้นเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น ประเด็นที่ผมกล่าวอาจจะพูดแบบสุดโต่งเกินไป เนื่องจากในอดีตเราไปเน้นการเพิ่มความ ต้องการการรักษาและเข้าสู่บริการจนท�ำให้มีค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลสูงขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าถ้าเป็นอยู่อย่างนี้ระบบกองทุนในการรักษาพยาบาลต่างๆ ก็อาจจะล้มละลายได้เหมือนกัน เชื่อว่าทุกฝ่ายที่ท�ำงานในแวดวงสาธารณสุข มุ่งหวังอยากจะท�ำให้ระบบนี้เกิดความยั่งยืน ซึ่งคิดว่าด้วยระบบใหม่นี้จะช่วยแก้ไขปัญหาที่เคยมีมาในอดีตและปิดช่องว่างต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับประชาชนชาวไทย ในอนาคตหวังว่าลูกหลานของเราก็คงมีระบบ สุขภาพที่เข้มแข็งและยั่งยืนจากการปฏิรูประบบสุขภาพครั้งใหม่นี้ ส�ำหรับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ในฐานะองค์กรที่มีบทบาทในการขับเคลื่อน องค์ความรู้เพื่อสร้างระบบสุขภาพที่สมดุลและยั่งยืน เล็งเห็นว่า “องค์ความรู้” คือปัจจัยส�ำคัญ ของการปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุขในครั้งนี้ โดย สวรส. ได้รับมอบหมายให้เป็นแกนกลางในการ สร้างและจัดการองค์ความรู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้ทางด้านการเงินการคลัง ด้านก�ำลังคน ในระบบสุขภาพ ด้านความรู้ทางการแพทย์ ด้านการพัฒนาระบบต่างๆ ด้านความร่วมมือของ ภาคีเครือข่าย ภายใต้บริบทต่างๆ ของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงได้มีข้อมูล ส�ำหรับน�ำไปประกอบการตัดสินใจ ในการสร้างนโยบายสาธารณะที่ตอบสนองกับความเป็นจริง ในพื้นที่ เพื่อท�ำให้ทุกการตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงในพื้นที่ได้มากที่สุด โดยการศึกษา วิจัยต่างๆนี้ จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างของปัญหาและความต้องการการพัฒนา รวมทั้งเป็นตัว ขับเคลื่อนให้ระบบสาธารณสุข ด�ำเนินไปอย่างมีทิศทาง เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพดี มีชีวิตที่ยืนยาว และให้ระบบสุขภาพของไทยมีความสมดุลและ ยั่งยืนตลอดไป
03
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
ร า ย ง า น พิ เ ศ ษ
ปรับเคลืโฉมสาธารณสุ ข ่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ” ย้ อ นกลั บ ไปในปี 2485 มี ก ารประกาศใช้
พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับ ที่ 3) ซึง่ นับเป็นจุดเริม่ ต้นก�ำเนิดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปัจจุบันมีอายุได้ 72 ปี ห้วงเวลาที่ผ่านมา สธ. มีการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าเป็นการปฏิรูปอีกหลาย ครั้ง เช่น ปี 2517 มีการแยกบทบาทกรมวิชาการ กับหน่วยปฏิบัติการ คือ ส�ำนักงานปลัดกระทรวงฯ ปี 2535 ก�ำเนิดสถาบันวิจยั ระบบสาธารณสุข (สวรส.) ปี 2545 มี ห น่ ว ยงานเที ย บเท่ า กรมอยู ่ ใ นสั ง กั ด 9 กรมและหน่วยงานในก�ำกับอีกจ�ำนวนหนึ่ง รวมทั้ง มีการปฏิรปู ระบบงบประมาณ ซึง่ เป็นการเปลีย่ นแปลง ระบบการเงินการคลัง ก�ำเนิดส�ำนักงานหลักประกัน สุ ข ภาพแห่ ง ชาติ (สปสช.) ท� ำ ให้ เ กิ ด การแยกผู ้ ซื้ อ บริการและผู้ให้บริการออกจากกัน ปัจจุบันจะเป็นก้าวส�ำคัญอีกครั้ง ของการปฏิรูป กระทรวงสาธารณสุขซึ่งการปฏิรูปครั้งนี้จะเป็นการ ปฏิรูประบบการจัดการ ซึ่งต้องค�ำนึงถึงปัจจัย จังหวะ ความพร้ อ ม และความสอดคล้ อ งกั บ สถานการณ์ ปั จ จุ บั น อั น สื บ เนื่ อ งมาจากนโยบายของรั ฐ บาล ที่ ต ้ อ งการให้ ทุ ก กระทรวงมี ก ารปฏิ รู ป เพื่ อ ให้ ใ ช้ ทรัพยากรในระบบร่วมกันอย่างคุ้มค่าและลดค่าใช้ จ่ายของประเทศ...
นั
บตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เป็นต้นมา กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้มีการปรับเปลี่ยนบทบาทตามนโยบายการปฏิรูประบบ สุขภาพของ นพ.ประดิษ ฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุ ข เพื่ อ แก้ ไ ขปั ญ หาต่ า งๆ ให้ เ ท่ า ทั น ต่ อ สถานการณ์ ใ นสั ง คมที่ เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นการ เปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเพิ่มขึ้นของจ�ำนวนประชากร การอพยพ แรงงานจากชนบทสู่เมือง การเผชิญกับวิกฤติภาวะโลกร้อนและภัยพิบัติต่างๆ การก้าว เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเกิดภัยคุกคามจากโรคไม่ติดต่อ การกระจายอ�ำนาจและบทบาท ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การเปลี่ยนแปลงระบบการเงินการคลังอันเนื่องมาจาก ระบบหลักประกันสุขภาพ และการขาดแคลนก�ำลังคนด้านสุขภาพ เป็นต้น
04
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
หนึ่ ง ในการปฏิ รู ป ระบบการจั ด การก็ คื อ การจัดท�ำแผนการปฏิรูประบบบริการสุขภาพ (service plan) ในครั้ ง นี้ จะอยู ่ ร ะหว่ า งปี 2556-2560 โดยเน้นเรื่องการรักษาพยาบาล การบริการสุขภาพที่ทั่วถึงและครอบคลุม เพื่อ ไม่ให้ประชาชนต้องไปกระจุกตัวรอรับบริการใน โรงพยาบาลใหญ่ รวมทั้งเน้นเรื่องการบริหารจัดการคน เงิน ของ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด และการควบคุมระบบ บริการให้มีคุณภาพมาตรฐาน รวมไปถึงการส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรค...
มีอะไรใหม่...ในการปรับโฉม สธ. ? หากมองโครงสร้างของกระทรวงสาธารณสุขจะพบว่า มีความซับซ้อนในโครงสร้างการบริหารและมีหน่วยบริการ ในสังกัดจ�ำนวนมาก เพื่อให้บริการสุขภาพแก่ประชาชน รวมทั้ ง มี บุ ค ลากรกว่ า สามแสนคนในส่ ว นกลางและส่ ว น ภูมิภาค ฉะนั้นในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จึงเป็นงานใหญ่ ของ “กระทรวงสาธารณสุข” ที่ต้องบริหารจัดการให้เกิด ประสิทธิภาพและเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของระบบสุขภาพ ส�ำหรับแนวคิดในการด�ำเนินนโยบายปฏิรูปกระทรวง สาธารณสุขเพือ่ คุณภาพชีวติ ประชาชนไทยของ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ นั้น มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ประกอบด้วย • ก�ำหนดบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจนทุกระดับ ตั้งแต่ ระดับประเทศ และระดับเขต แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มผู้ซื้อบริการ (Purchaser) ซึ่งประกอบด้วย ส�ำนักงาน หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กรมบัญชีกลาง และ ส�ำนักงานประกันสังคม และกองทุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 2.กลุ่ม ผู้ให้บริการ (Provider) รายใหญ่ คือ สถานพยาบาลสังกัด กระทรวงสาธารณสุข ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ ให้สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด และลดการ ลงทุนซ�้ำซ้อน กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มก�ำหนดนโยบายสาธารณสุข ระดับชาติ มีแนวคิดจัดตั้งเป็นคณะกรรมการก�ำหนดและ ก�ำกับนโยบายระบบสุขภาพแห่งชาติ (National Health Authority) อยู่ภายใต้การก�ำกับของส�ำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงสาธารณสุ ข เปรี ย บเสมื อ นเป็ น คณะรั ฐ มนตรี สุ ข ภาพย่ อ ย ท� ำ หน้ า ที่ เ ป็ น องค์ ก รสู ง สุ ดในด้ า นบริ ห าร ก�ำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์สุขภาพระดับชาติ ให้ค�ำแนะน�ำ ด้านนโยบายแก่รัฐบาล • ปรับบทบาท สธ. เป็น 11 บทบาท ดังนี้ 1.ก�ำหนด นโยบายยุ ท ธศาสตร์ บ นฐานความรู ้ 2.สร้ า งและจั ด การ ความรู ้ สุ ข ภาพ 3.ประเมิ น เทคโนโลยี สุ ข ภาพ 4.รั บ รอง มาตรฐานบริการต่างๆ 5.พัฒนาระบบกลไกการเฝ้าระวังโรค และภัยสุขภาพ 6.พัฒนากลไกด้านกฎหมายเป็นเครื่องมือ ดูแลสุขภาพประชาชน 7.พัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ 8.ก�ำกับดูแลติดตามประเมินผลของภาครัฐ ท้องถิ่น และ เอกชน 9.การเงินการคลังด้านสุขภาพของประเทศ 10.พัฒนา ข้อมูลข่าวสารให้เป็นระบบเดียว และ 11.ก�ำหนดนโยบาย ก�ำลังคนด้านสุขภาพ • เน้นความส�ำคัญของระบบสุขภาพ 4 ระบบย่อย ที่ สั ม พั น ธ์ กั บ ส่ ว นราชการ คื อ 1.ระบบบริ ก าร ได้ แ ก่ ส�ำนักงานปลัดกระทรวง กรมการแพทย์ กรมพัฒนาการ แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมสุขภาพจิต
และกรมควบคุมโรค 2.ระบบสร้างเสริมสุขภาพ ได้แก่ กรมอนามัย กรมพัฒนาการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 3.ระบบควบคุมและ ป้องกันโรค ได้แก่ กรมควบคุมโรค 4.ระบบยาและการคุ้มครองผู้บริโภค ได้แก่ ส�ำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ • วางแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบบริการสุขภาพ 5 ประเด็นหลัก คือ 1.บริหาร จัดการ 12 เขตบริการสุขภาพ โดยใช้ทรัพยากรตามความเหมาะสมในการจัดบริการ ประชาชนในเขตบริการสุขภาพ 2.ระบบบริการทั้ง 10 สาขา จะดูตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ (Primary Care) คือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบล (รพ.สต) ขึ้นไปจนถึงศูนย์ความ เป็นเลิศทางการแพทย์ (Excellent Center) โดยสามารถดูแลครอบคลุมประชาชนทุก กลุ่มอายุ 3.การแบ่งปันทรัพยากรร่วมกันในแต่ละเครือข่าย ทั้งเตียง เครื่องมือบุคลากร ยาฯลฯ โดยจะประสานเชื่อมโยงข้อมูลและใช้งบประมาณร่วมกันภายในเขตบริการสุขภาพ 4. การวางแผนเรื่องก�ำลังคน หากยังขาดความพร้อมจะมีการพัฒนาบุคลากรโดยการส่งไป เรียนต่อในสาขาที่ขาดแคลน 5.อาคารสถานที่ สิ่งอ�ำนวยความสะดวก • การขับเคลื่อนเรื่องเขตสุขภาพ โดยแต่ละเขตจะมีผู้ที่ ได้รับมอบหมายจากปลัด กระทรวงท�ำหน้าที่เป็นซีอีโอ (CEO) เขตสุขภาพ ซึ่งจะมีอ�ำนาจในบริหารร่วมกับสปสช.ใน การกระจายงบประมาณลงไปยังสถานบริการ การจัดซื้อ การจัดจ้าง และการจ้างบุคลากร รวมถึงการจัดบริการร่วมของแต่ละโรงพยาบาลในเขตสุขภาพ • รวมไปถึงจัดตั้งคณะกรรมการ 3 คณะใหญ่ ได้แก่ คณะกรรมการนโยบาย สุขภาพแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายบริการสุขภาพ และคณะกรรมการเขตสุขภาพ เครือข่ายบริการที่ 1-12 และเขต กทม.
05
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
“วิจัย” ฐานคิด “เขตสุขภาพ – ปรับบทบาท สธ.” การ “เปลี่ยนแปลง” ครั้งใหญ่นี้ นับเป็นความท้าทายผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข เป็นอย่างมาก ดังนั้นผู้น�ำจะต้องมีความกล้าคิดและตัดสินใจ และโน้มน้าวให้บุคลากร ทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติการ โดยมีเป้าหมายคือ “สุขภาพที่ดีของประชาชน” ตอบสนองความต้องการของสังคมที่เปลี่ยนไปได้ และสิ่งส�ำคัญเช่นกันก็คือ งานวิจัย ซึ่งจะ เป็นข้อมูลหรือหลักฐานเชิงประจักษ์บนฐานของความรู้อย่างรอบด้าน ส�ำหรับน�ำมาก�ำหนด เป็นแนวทางการจัดท�ำแผนการปฏิบัติให้มีทิศทาง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การปฏิ รู ป กระทรวงสาธารณสุ ข ครั้ ง นี้ มี แ นวคิ ด มาจากผลการ ประชุ ม เชิ ง ปฏิ บั ติ ก าร “สั ง เคราะห์ ข ้ อ เสนอบทบาทกระทรวง สาธารณสุขในศตวรรษที่ 21” ที่จัดขึ้นเมื่อปี 2554 โดยสถาบันวิจัย ระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งใช้ กระบวนการพัฒนาแบบ inside-out และ outside-in approach ที่ทุกภาคส่วนได้พิจารณาข้อเสนอการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ ระบบสร้างเสริมสุขภาพ ระบบควบคุมป้องกันโรค และระบบการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ที่ท�ำในรูปแบบคณะ ท�ำงานทั้งในมุมมองกระทรวงสาธารณสุขและภาคีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งข้อมูลในบทสังเคราะห์ฯ นี้ ได้ถูกน�ำไปต่อยอดในการสนับสนุนการปฏิรูป สธ. มากมาย จึงเป็นที่มาของ “บทบาท National Health Authority (NHA) ของกระทรวงสาธารณสุข” (สามารถดาวน์โหลด : บทสังเคราะห์ข้อเสนอบทบาทกระทรวงสาธารณสุขในศตวรรษที่ 21 ฉบับเต็มได้ทาง http://www.hsri.or.th/media/823) “ส่วนข้อเสนอเรื่องเขตสุขภาพนั้น เนื่องจาก สธ. ถูกมองว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน หากยังมีหน้าที่เป็นทั้งผู้ให้บริการ และเป็นผู้ควบคุมหรือตั้งกฎ ดังนั้นจึงมีข้อเสนอเรื่องเขต สุขภาพเพื่อแยกบทบาทโดยให้เขตสุขภาพทั้ง 12 เขตท�ำหน้าที่ ให้บริการ และส่วนกลาง ท�ำหน้าที่ควบคุมดูแล การมองไปข้างหน้าจึงเน้นการท�ำงานและลงทุนทรัพยากรร่วมกัน โดยให้ความส�ำคัญกับเรื่องเขตบริการสุขภาพ และการปรับบทบาทกระทรวงฯ 11 เรื่อง” ทั้งหมดนี้จะต้องท�ำแผนปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Action Plan for Change) และหากมีการด�ำเนินการตามแผนนี้แล้ว จะท�ำการมอบให้ สวรส. เป็นผู้ด�ำเนินการติดตาม ประเมินผลที่เกิดขึ้นต่อไป
06
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
ขยับแนวคิดเขตสุขภาพ เพื่ออะไร... “เขตสุขภาพ” เป็นประเด็นหนึ่งที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น เพื่ อ เพิ่ ม ประสิ ท ธิ ภ าพในการบริ ก ารด้ า น สาธารณสุข ซึ่งในปัจจุบัน บริการด้านสาธารณสุขที่มีอยู่ นั่นนับว่าอยู่ ในเกณฑ์ที่ดี ในระดับหนึ่ง แต่ยังด�ำเนินงานอยู่ ภายใต้ทรัพยากรที่จ�ำกัด ฉะนั้นถ้ามีกลไกที่มีประสิทธิภาพ มาจัดบริการเพื่อประชาชน บริการก็น่าจะดีขึ้น ระบบบริการ จะสามารถรับมือกับปัญหาในอนาคตได้ด้วย เช่น จากบริบทการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากคนไทย มีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 65.86 ปี ในปี 2545 เป็น 73.83 ปี ในปี 2555 จากปัญหาภัยคุกคามสุขภาพ ได้แก่ โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง การบาดเจ็บ โรคเอดส์ รวมทั้งโรคไม่ติด ต่ออื่นๆ เป็นผลมาจากพฤติกรรมการบริโภค สภาพสังคม สิ่งแวดล้อม คลุมถึงทุกปัจจัยแวดล้อมฯ ปัญหาความยั่งยืน ด้านการเงินเพื่อจัดบริการสาธารณสุข หากงบประมาณ จากกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สวัสดิการรักษา พยาบาลข้าราชการ และประกันสังคม ที่ค่อยๆ สูงขึ้นจน เป็นภาระของรัฐหรือความกังวลว่ารายจ่ายรัฐสูงกว่ารายรับ ปัญหาการเงินการคลัง และการกระจายตัวของทรัพยากร ที่ ไ ม่ เ หมาะสม ซึ่ ง เหล่ า นี้ จ ะส่ ง ผลต่ อ ประสิ ท ธิ ภ าพการ บริการสาธารณสุข รวมถึงปัญหาจากบทบาทของกระทรวง สาธารณสุขทีย่ งั มีชอ่ งว่างในการพัฒนาประสิทธิภาพเกีย่ วกับ การก�ำหนดกฎ บังคับเกณฑ์ รวมถึงเคร่งครัดกฎหมาย ดังนัน้ “เขตสุขภาพ” จะเป็นกลไกทีส่ ำ� คัญของกระทรวง สาธารณสุขในระดับกลุ่มจังหวัดโดยหนึ่งเขตจะมีประชากร ประมาณ 4-5 ล้านคน จัดบริการในรูปแบบเขตสุขภาพ 12 เขตสุขภาพ ไม่รวม กทม. โดยแต่ละเขตจะมีผู้ตรวจ ราชการ สธ. เป็นผู้ดูแล มีอ�ำนาจในการกระจายงบประมาณ ลงไปยังสถานบริการ การจัดซื้อ การจัดจ้าง และการจ้าง บุคลากร รวมถึงการจัดบริการร่วมของแต่ละโรงพยาบาล ในเขตสุขภาพ กลไกนี้จะเป็นกลไกหลักในการพัฒนาระบบ บริการสุขภาพ ระบบสร้างเสริมสุขภาพและควบคุมป้องกัน โรค โดยวิธีหลักคือการจัดบริการ “ร่วม” ตามผังบริการ (service plan) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนมาใช้บริการ ได้ง่ายขึ้น มีคุณภาพมากขึ้น บริการดีขึ้น ความจ�ำเป็น ที่ต้องมี “เขตสุขภาพ” นั้น นพ.ณรงค์ ยกตั ว อย่ า งว่ า เมื่ อ รวมตั ว กั น เป็ น เขตสุ ข ภาพแล้ วโรง พยาบาลขนาดเล็กและขนาดใหญ่จะช่วยเหลือกันได้ เช่น หากโรงพยาบาลขนาดเล็กรักษาคนไข้ไม่ไหวก็จะส่งต่อให้ โรงพยาบาลขนาดใหญ่ และเมื่อรวมกลุ่มกันมากๆ แล้วจัด
ซื้อยารวมกัน แน่นอนว่าจะได้ราคาที่ถูกลง เมื่อแต่ละเขต สุขภาพวางยุทธศาสตร์ร่วมกันได้ โรงพยาบาลแต่ละแห่งก็ จะผลักดันความเป็นเลิศที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้ผู้ป่วย มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญครบทุกสาขาในพื้นที่ ใกล้เคียงกัน จากนี้ จึงไม่จ�ำเป็นต้องเดินทางเข้ามารักษาตัวในกรุงเทพ ดังนั้น หากมองในภาพรวมแล้ว การปฏิรูป สธ. ครั้งนี้ ประชาชนจะได้รับประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับ บริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานที่สูงขึ้น การเข้าถึงบริการ ที่ทั่วถึงเป็นธรรมมากขึ้น การได้รับบริการที่ใกล้บ้านมากขึ้น และการได้รับบริการจากระบบส่งต่อที่ไร้รอยต่อ ซึ่งจะท�ำให้ ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยได้ตั้งเป้าเพื่อให้คนไทย สุขภาพดีภายใน 10 ปี ให้อายุคาดเฉลี่ยของคนไทยในการ มีสุขภาพดี ไม่น้อยกว่า 72 ปี รวมทั้งตั้งเป้าผลักดันให้เกิด ต�ำบลสุขภาพดี ทุกจังหวัด อย่างน้อยอ�ำเภอละ 2 ต�ำบล โดย ใช้ฐานของชุมชนหมู่บ้านเป็นแหล่งปรับเปลี่ยนสร้างสุขภาพ โดยมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบล และ อสม.ให้การ สนับสนุนชุมชน
เคลื่อนงานวิจัยเสริมความรู้ ปฏิรูประบบสุขภาพ หัวใจส�ำคัญของการปฏิรูปบทบาทกระทรวงสาธารณสุข ครั้งนี้ ภายใต้แนวคิดเรื่องเขตสุขภาพ คือ การเปลี่ยนแปลง บนฐานความรู้มีส่วนส�ำคัญ ที่จะเป็นเครื่องมือในการการันตี เพื่อสนับสนุนและจัดการความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกน�ำ ไปใช้ประโยชน์เพื่อการชี้น�ำที่ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างมี ทิศทาง และส่งผลให้เกิดการปฏิรูประบบสุขภาพ ที่ผ่านมา สวรส. ก็ ได้ท�ำหน้าที่สร้างองค์ความรู้เพื่อ สนับสนุนการปฏิรูป สธ. เรื่อยมาไม่ว่าจะเป็นการได้มาซึ่ง บทสังเคราะห์ข้อเสนอ “บทบาทกระทรวงสาธารณสุขใน ศตวรรษที่ 21” ที่ ได้จากการรวบรวมข้อมูลเอกสารการ ประชุมและความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติ การ เมื่อปี 2554 โดยข้อมูลในบทสังเคราะห์ฯ นี้ ได้พัฒนา มาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางส�ำหรับผู้ก�ำหนด นโยบายได้ใช้เป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจว่าภารกิจ ใดที่กระทรวงสาธารณสุขควรท�ำ และภารกิจใดที่กระทรวง สาธารณสุขไม่ควรท�ำ หรือภารกิจใดที่จ�ำเป็นต้องท�ำแต่ ยังไม่ได้ท�ำ ได้ถูกน�ำไปต่อยอดในการสนับสนุนการปฏิรูป สธ. มากมาย
นอกจากนี้ แนวคิดเรื่องเขตสุขภาพ สวรส. ได้มีการท�ำงานในเชิงวิชาการมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากข้อมูลงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นฐานคิดให้เกิดการปฏิรูประบบ สาธารณสุข เช่น บทบาทที่เหมาะสมของกระทรวงสาธารณสุขภายใต้การกระจายอ�ำนาจ ด้านสาธารณสุข การพัฒนาข้อเสนอรูปแบบและโครงสร้างการบริหารเขตสุขภาพ การวิจัย และพัฒนาการบริหารจัดการระบบสาธารณสุขในระดับพื้นที่ ในระบบหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้า การศึกษารูปแบบ แนวทาง ระบบบริหารจัดการเขตสุขภาพในระบบหลักประกัน สุขภาพถ้วนหน้า เป็นต้น (สามารถเข้ามาค้นหางานวิจยั ข้างต้นได้ทาง : http://kb.hsri.or.th) และยังมีข้อเสนอที่ ได้จากโครงการศึกษาวิจัยอีกหลายชิ้น ที่อยู่ระหว่างการน�ำเสนอผล การศึกษา เช่น โครงการการจัดท�ำข้อเสนอและสนับสนุนการบริหารการเปลี่ยนแปลง กระทรวงสาธารณสุข: ระยะที่ 1 เขตสุขภาพ ทางด้าน นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องเขตสุขภาพจ�ำเป็นต้องอาศัยงานวิชาการเป็น ตัวน�ำเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงหรือการเดินไปข้างหน้าอย่างมีทิศทาง ซึ่งผลการศึกษาวิจัยนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ทั้งนี้เพื่อให้การเคลื่อน เรื่องนี้มีความสอดคล้องกับบริบทต่างๆมากขึ้น ภายใต้หลักและ กระบวนการสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา คือ การน�ำความรู้ที่ได้จากงานวิจัยไปผ่านกระบวนการ การมีส่วนร่วมที่กว้างขวางขึ้น ทั้งจากภาคประชาชนผู้รับบริการ จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ กว้างขวางขึ้น ตลอดจนการตัดสินหรือให้ความคิดเห็นของฝ่ายนโยบาย ซึ่งจะท�ำให้แนวทาง การพัฒนาเขตสุขภาพมีความสมบูรณ์ขึ้น ภายใต้สถานการณ์ส�ำคัญของการเปลี่ยนผ่าน อีกครั้งหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุข ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ผู้อ�ำนวยการสถาบันวิจัย ระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า สวรส. มีบทบาทหน้าที่ ใน การสร้างองค์ความรู้เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบต่างๆ เพื่อ ให้มีความพร้อมต่อการปรับตัว และมีความยืดหยุ่นต่อการรองรับ ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ใหม่ๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคลังทางด้านสุขภาพ เรื่องก�ำลังคน เรื่ององค์ความรู้ทางการแพทย์ เรื่องกฎหมายที่ต้องปรับตัว รวมไปถึงเรื่องบทบาทและความร่วมมือของภาคีทุกองค์กรที่ เกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพทั้งหมด เพื่อเสริมสร้างระบบสุขภาพทั้ง 3 ระบบ คือ ระบบบริการ ระบบหลักประกันสุขภาพ และระบบอภิบาลให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน “เพราะการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งจะต้องอาศัยองค์ความรู้เป็นแนวทางส�ำคัญในการ พัฒนา ซึ่ง สวรส. จะท�ำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดการสร้างองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อน�ำ ไปเสนอแก่ผู้บริหารระดับสูงในการตัดสินใจเดินหน้าพัฒนาระบบสุขภาพให้เกิดความเข้ม แข็งอย่างยั่งยืน โดย สวรส. และฝ่ายบริหารจะร่วมเดินไปด้วยกันเพื่อถมช่องว่างต่างๆ ใน ระบบสุขภาพด้วยงานวิจัย” สวรส. มุ่งหวังให้การตัดสินใจทุกการตัดสินใจของผู้บริหารหรือผู้ก�ำหนดนโยบายอยู่บนพื้น ฐานของความเป็นจริง ดังนั้น ข้อเท็จจริงจากพื้นที่ต้องอาศัยนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญลงไปเก็บ ข้อมูลจากพื้นที่จริง เพื่อรวบรวมวิเคราะห์องค์ความรู้ต่างๆ เอามาน�ำเสนอในเชิงนโยบาย... แม้ว่า วันนี้การปฏิรูปเขตบริการสุขภาพได้เริ่มด�ำเนินการไปแล้ว เราก็ไม่หยุดยั้ง เพื่อที่จะท�ำงานติดตาม ผลการด�ำเนินงานอย่างต่อเนื่องแล้วก็เก็บข้อมูลที่เป็นจริงและทันการณ์ มาปรับกลยุทธ์ต่างๆ หรือ กลวิธีในการที่จะท�ำให้ในแต่ละพื้นที่เขตบริการสุขภาพ บรรลุเป้าหมายตัวชี้วัดทางด้านสุขภาพให้กับ ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างจริงๆ ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล
07
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
เ ส้ น ท า ง สู่ สุ ข ภ า พ ที่ เ ป็ น ธ ร ร ม แ ล ะ ยั่ ง ยื น
ก่อนมี BLUEPRINT FOR CHANGE
จุดมุ่งหมายหลักของการปฏิรูประบบสาธารณสุข ด้วยแนวคิดเรือ่ ง “เขตสุขภาพ” คือ การปรับบทบาทหน้าที่และกลไกทุกส่วนให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ สูงสุดและคุ้มค่า ซึ่งเรื่องนี้ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เอง ได้มีการท�ำงานในเชิงวิชาการมาโดยตลอด HSRI FORUM ฉบับนี้ จึงได้ประมวลข้อมูล งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเขตสุขภาพที่เกี่ยวข้องและเป็นฐานคิดจนเกิดการปฏิรูประบบสาธารณสุขที่ก�ำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
ห
ลังจากที่ ได้มีการศึกษาหาแนวคิดการกระจายอ�ำนาจด้าน สุขภาพมาหลากหลายรูปแบบ ในที่สุด แนวคิด “เขตสุขภาพ” ก็ ได้กลายเป็นทิศทางใหม่ ในการกระจายอ�ำนาจด้านสุขภาพ ที่ ได้ถูกน�ำมาใช้ในยุคปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุขของไทย ในปี 2556 โดยในช่วงที่ผ่านมา สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้เริ่ม ต้นศึกษาวิจัยแนวคิด “เขตสุขภาพ” อย่างในปี 2553 เริ่มศึกษาวิจัยใน หัวข้อ “บทบาทที่เหมาะสมของกระทรวงสาธารณสุขภายใต้การกระจาย อ� ำ นาจด้ า นสาธารณสุ ข ” โดย วิ นั ย ลี ส มิ ท ธิ์ และสมศั ก ดิ์ ชุ ณ หรั ศ มิ์ จนกระทั่ง ได้ข้อสรุป ในเบื้องต้นว่า เขตสุขภาพภายใต้คณะกรรมการ (บอร์ด)อิสระ และดูแลสนับสนุนโดยกระทรวงสาธารณสุข น่าจะเป็น ทางเลื อ กที่ เ หมาะสมในการบริ หารจั ด การหน่ ว ยบริ การของกระทรวง สาธารณสุขไทย เพราะแนวคิดเขตสุขภาพจะสามารถเชื่อมโยงระบบส่งต่อ ผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมให้กับ ทุกภาคส่วนได้ รวมทั้งยังสามารถพัฒนาระบบธรรมาภิบาลได้เป็นอย่างดี
08
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
ท�ำให้ไม่มีปัญหาการขัดแย้งเชิงความคิดทางด้านนโยบายและการด�ำเนิน งาน แต่ยังขาดกฎหมายและระเบียบรองรับ อีกทั้งยังต้องการบุคลากรที่มี ความรู้และความเชี่ยวชาญสูงในการเข้ามาเป็นกรรมการ (บอร์ด) ในพื้นที่ นอกจากนั้นได้มีการศึกษาวิจัยในประเด็นเขตสุขภาพเพิ่มเติม ในหัวข้อ “การศึกษารูปแบบ แนวทาง ระบบบริหารจัดการเขตสุขภาพในระบบหลัก ประกันสุขภาพถ้วนหน้า” โดย วินัย ลีสมิทธิ์ โดยได้ศึกษาประสบการณ์การ บริหารจัดการระบบเขตสุขภาพพื้นที่ ภายใต้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ในประเทศต่างๆ 8 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา อังกฤษ นอร์เวย์ สวีเดน เกาหลี ไต้หวัน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมทั้งทบทวนประสบการณ์การซื้อ บริการสุขภาพในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ได้มี การน�ำเสนอ “โจทย์ค�ำถาม” ซึ่งเป็นแนวทางในการวางแผนเขตสุขภาพ 5 ได้แก่ 1.) พื้นที่เขตสุขภาพของประเทศไทยควรมีขนาดประชากรที่เหมาะ สมเท่าไร จึงจะสามารถบริหารจัดการได้อย่างสอดคล้องกับระบบบริการ ที่มีอยู่ และสามารถเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่ ได้
2.) กรรมการบอร์ดที่จัดตั้งควรประกอบด้วยคณะกรรมการจ�ำนวนเท่าไหร่ และควรมีบทบาทอย่างไร 3.) เครือข่ายบริการที่จะผสมผสานให้เกิดบริการ สุขภาพ บริการสังคม และการสาธารณสุขนัน้ ควรเป็นบทบาทของหน่วยงาน ไหน เพื่อให้เกิดการด�ำเนินงานและการประสานงานที่มีประสิทธิภาพโดย เฉพาะภาคเอกชน 4.) การควบคุมค่าบริการ ควรใช้กลไกทั้งด้านผู้จัดบริการ และด้านผู้ให้บริการแบบไหน จึงจะเกิดความสมดุลและไม่มีปัญหาต่อการ เข้าถึงบริการและคุณภาพบริการ 5.) ควรน�ำกลไกอะไรมาใช้ให้สอดคล้อง กับวัฒนธรรมและการยอมรับของประเทศไทย แทนการน�ำกลไกทางการ ฟ้องร้องและการแข่งขันทางการตลาด การศึกษาในหัวข้อนี้เป็นเพียงการศึกษาข้อมูลในเบื้องต้น ที่ยังขาด ข้อมูลในบริบทของประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีการด�ำเนิน งานระบบสุขภาพในรูปแบบเขตสุขภาพมาก่อน และประสบการณ์การซื้อ บริการสุขภาพก็ยังไม่มากพอ จึงท�ำให้ผลการศึกษาในครั้งนี้มีจุดอ่อนที่ ควรระมัดระวังในการน�ำไปใช้ นอกจากนี้งานวิจัยยังได้มีการเสนอให้มีการ ศึกษาเพิ่มเติมในประเด็น การอภิบาลระบบ การจัดตั้งคณะกรรมการเขต พื้นที่ และการศึกษาทบทวนประสบการณ์การจัดตั้งคณะกรรมการเขตพื้นที่ สุขภาพในช่วงที่มีการกระจายอ�ำนาจ อีกด้วย ในปี2554 สวรส. ก็ได้มีผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเขตสุขภาพออกมาอีก 1 ชิ้น คือ “การวิจัยและพัฒนาการบริหารจัดการระบบสาธารณสุขในระดับ พืน้ ทีใ่ นระบบหลักประกันสุขภาพ” โดย วินยั ลีสมิทธิ์ ผลการวิจยั ได้ระบุวา่ การ พัฒนาเขตสุขภาพจะมีกลุ่มตัวแปรเชิงกระบวนการที่ต้องติดตามประเมินผล 6 กลุ่ม ได้แก่ การแปลงนโยบาย การอภิบาลระบบ การจัดการภาครัฐ แนวใหม่ ระบบบริการ ภาวะผู้น�ำการเมืองท้องถิ่น การคลังสุขภาพ และ การติดตามประเมินผล นอกจากนี้งานวิจัยยังได้ให้ข้อเสนอแนะการพัฒนาเขตสุขภาพในภาพ รวมว่า ยุทธศาสตร์ทเี่ หมาะสมต่อการพัฒนาเขตสุขภาพ คือ 1.) การมีสว่ นร่วม ขององค์กรการเมืองระดับชาติ-ท้องถิ่น 2.)การกระจายอ�ำนาจให้เกิดการ ตัดสินใจในพื้นที่มากขึ้น ส่วนการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความพร้อมต่อการพัฒนาเขตสุขภาพ ควรมีการเปลีย่ นแปลง 4 ข้อ ดังต่อไปนี้ 1.) สร้างความเข้าใจเรือ่ งความหมาย ของเขตสุขภาพ 2.) พัฒนาเขตสุขภาพในระยะเวลาที่เหมาะสม 3.) เตรียม ความพร้อมขององค์กร บุคลากร และระเบียบปฏิบัติต่างๆ 4.) ปรับระบบ ข้อมูลสารสนเทศให้มีความพร้อมส�ำหรับน�ำมาใช้ประโยชน์ในระดับพื้นที่ ต่อมาในปี 2556 สวรส.ได้น�ำเสนอผลงานวิจัยเพิ่มอีก 1 ชิ้น คือ “การพัฒนาข้อเสนอรูปแบบและโครงสร้างการบริหารเขตสุขภาพ” โดย วินัย ลีสมิทธิ์ มีข้อเสนอแนะที่ส�ำคัญ 7 ข้อ คือ 1) เป้าหมายของการปฏิรูปการจัดการเขตสุขภาพ คือ ประชาชนได้ รับบริการที่ดีขึ้นโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ ให้เกิดประสิทธิภาพ และ ค�ำนึงถึงความเสมอภาคของการใช้ทรัพยากรระหว่างเขตพื้นที่และ กองทุน มีช่องทางการมีส่วนร่วมตั้งแต่ระดับประเทศ เขต ท้องถิ่น และประชาชน
2) การด� ำ เนิ น การปฏิ รู ป ระบบสุ ข ภาพในรู ป แบบเขตสุ ข ภาพควร ด� ำ เนิ น การโดยเร็ ว และเป็ น ขั้ น ตอนอย่ า งเป็ น รู ป ธรรม โดยมี ทิศทาง 3 ประการ คือ หนึ่ง เริ่มต้นจัดโครงสร้างเขตสุขภาพ ให้ เ ป็ นไปตามบทบาทหน้ า ที่ ส� ำ คั ญ ก่ อ น จนกระทั่ ง เกิ ด ความ ชัดเจนและมีความนิ่งเพียงพอแล้ว จึงค่อยปรับเปลี่ยนและพัฒนา โครงสร้างทางกฎหมายที่ยั่งยืน สอง บทบาทบริการให้เริ่มต้นจาก ส่วนบริการสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขเสียก่อน จากนั้นจึง ค่อยๆ ขยายไปสู่การบริการที่เกี่ยวข้องกับตัวก�ำหนดทางสังคม ด้านสุขภาพและปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพอื่นๆ สาม การบริการ สุขภาพเริ่มต้นจากการด�ำเนินงานในขอบเขตความรับผิดชอบของ กระทรวงสาธารณสุขและขยายออกไปสู่การมีส่วนร่วมของภาค ส่วนนอกกระทรวงสาธารณสุขและเอกชน 3) การบริหารจัดการเขตสุขภาพ ต้องมีอ�ำนาจครอบคลุม 3 มิติ คือ อ�ำนาจรัฐ อ�ำนาจทางสังคม และอ�ำนาจทางปัญญาเพียงพอที่จะ บูรณาการการท�ำงานในเขตพื้นที่ โดยมีกฎหมายและแนวทางการ ปฏิบัติที่ชัดเจนรองรับอย่างเป็นรูปธรรม 4) ด�ำเนินการจัดตั้งเขตสุขภาพให้สอดคล้องกับการถ่ายโอนภารกิจ ภายใต้ พรบ.แผนและขั้ นตอนการกระจายอ� ำ นาจ โดยมี ก าร ก�ำหนดบทบาทที่ชัดเจนให้กับเขตสุขภาพและองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น 5) การจัดตั้งและด�ำเนินงานเขตสุขภาพต้องมีความยืดหยุ่น โดยอาศัย การพิจารณาตามความเหมาะสมของบริบทในแต่ละพื้น ที่ และ คณะกรรมการเขตสุขภาพจะเป็นผู้ที่มีบทบาทในการสร้างทาง เลือกฉากทัศน์ (scenarios) ที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่นั้นๆ 6) ต้องมีการก�ำหนดโครงสร้างที่ชัดเจนให้กับคณะกรรมการเขต สุ ข ภาพและส� ำ นั ก งานเลขานุ ก ารเขตสุ ข ภาพ แต่ ต ้ อ งมี ค วาม ยืดหยุ่นพอส�ำหรับการปรับเปลี่ยนในอนาคต โดยใช้ทุนทางสังคม และทุนทางปัญญา เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา และเน้นเรื่องการ มีส่วนร่วมของประชาชน 7) ควรมีการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการด�ำเนินงานของผู้ปฏิบัติ งานเขตสุขภาพ โดยองค์กรหรือหน่วยงานอิสระนอกกระทรวง สาธารณสุข และ สปสช. เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและการ ด�ำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สอดคล้องในทิศทาง ที่ต้องการ ข้อมูลงานวิจัยของ สวรส. ดังที่น�ำเสนอ คือ เส้นทางการศึกษาวิจัยใน ประเด็นที่เกี่ยวกับ “การบริหารจัดการระบบสาธารณสุขในระดับพื้นที่หรือ เขตสุขภาพ” ซึ่งในเวลาต่อมางานวิจัยเหล่านี้ก็ ได้กลายเป็นข้อมูลส�ำคัญ ในการต่อยอดพัฒนาไปสู่การสร้าง Blueprint for Change ในงานวิจัย “โครงการการจัดท�ำข้อเสนอและสนับสนุนการบริหารการเปลี่ยนแปลง กระทรวงสาธารณสุข : ระยะที่ 1 เขตสุขภาพ” (อ่านเพิ่มเติมคอลัมน์ แกะกล่องงานวิจยั หน้า 11-12) ทีม่ สี ว่ นส�ำคัญในการร่วมสร้างการเปลีย่ นแปลง ระบบสุขภาพในยุคของการปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุข
09
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
แ ก ะ ก ล่ อ ง ง า น วิ จั ย
ข้อเสนอปรับบทบาท “กระทรวงหมอ”
วั
สู่ยุคปฏิรูป !!
นที่ 1 ตุลาคม 2556 นับว่าเป็นวันแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งส�ำคัญของระบบ สาธารณสุขในประเทศไทย เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้มีการปรับเปลี่ยน แนวคิดและกระบวนการท�ำงานของตนเองใหม่ โดยได้ก�ำหนดให้มีการกระจาย อ�ำนาจด้านสาธารณสุขในรูปแบบ “เขตสุขภาพ” ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบที่จะช่วยสร้างสมดุล ในการบริหารจัดการคน เงิน ของทางด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุดต่อของประชาชนที่อยู่ในความดูแลของเขตสุขภาพทั้ง 12 เขต เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้อยู่บนฐานความรู้ทางวิชาการ สถาบันวิจัยระบบ สาธารณสุข (สวรส.) ซึ่งได้ “สร้างและจัดการองค์ความรู้” พัฒนางานวิจัยในประเด็น “เขตสุขภาพ” รวมถึงการ “ปรับบทบาทกระทรวงสาธารณสุข” มาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง ปัจจุบัน สวรส. ก็ได้มีการพัฒนางานวิจัย “โครงการการจัดท�ำข้อเสนอและสนับสนุนการ บริหารการเปลี่ยนแปลงกระทรวงสาธารณสุข : ระยะที่ 1 เขตสุขภาพ” ที่เป็นการศึกษา ในช่วงแรกของการด�ำเนินการพัฒนาแนวคิดเขตสุขภาพ ระหว่าง เดือนมีนาคม-กันยายน 2556 โดยมี ดร.รพีสุภา หวังเจริญรุ่ง ผู้ช่วยผู้อ�ำนวยการมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง เป็นผู้ศึกษาวิจัยเพื่อจัดท�ำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลง (Blue Print for Change) การบริ หารจั ด การเขตสุ ข ภาพให้ กั บ กระทรวง สาธารณสุข
10
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
“ที่มาของโครงการนี้เกิดขึ้นจากแนวคิดของผู้บริหาร กระทรวงสาธารณสุข ที่มองว่าการท�ำงานในรูปแบบการ กระจายอ�ำนาจน่าจะเป็นรูปแบบที่ท�ำให้เกิดกระบวนการ ท�ำงานที่มีประสิทธิภาพ คุณ ภาพ และเป็นไปตามความ ต้องการของคนในพื้น ที่มากกว่าการท�ำงานแบบรวมศูนย์ ในรูปแบบเดิม อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ การท�ำให้เกิดการแยก บทบาทที่ชัดเจนระหว่างการเป็นผู้ก�ำหนดนโยบายและการ เป็นผู้ให้บริการ กระทรวงสาธารณสุขมีปัญหาเรื่องบทบาท ของการเป็นผูก้ ำ� หนดนโยบายทีล่ ดน้อยลง ทัง้ ๆ ทีก่ ระทรวงฯ ควรจะเป็นผู้น�ำในเรื่องนี้ ทางผู้บริหารจึงอยากให้มีการปรับ บทบาทของกระทรวงฯ ให้กลายเป็นผูน้ ำ� ในการก�ำหนดนโยบาย และในขณะเดียวกันก็สามารถดูแลผู้จัดบริการ (provider) ในระบบสุ ข ภาพได้ อ ย่ า งมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพมากยิ่ ง ขึ้ น ด้ ว ย” ดร.รพีสุภา กล่าวถึงที่มาแนวคิดของงานวิจัย งานวิ จั ย ชิ้ น นี้ มี ขั้ น ตอนในการศึ ก ษาที่ ต ้ อ งผ่ า น กระบวนการมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมรายงาน กฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ โครงสร้างการบริหารจัดการองค์กร และการปฏิบัติงาน ในช่วงที่ผ่านมาของเขตสุขภาพและหน่วยงานที่มีลักษณะ การด�ำเนินงานที่ ใกล้เคียงกับเขตสุขภาพในต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการอ้างอิงและก�ำหนดทิศทาง การวิเคราะห์
อีกทั้งยังมีการสัมภาษณ์ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และการท� ำ ความเข้ า ใจเกี่ ย วกั บ ขอบเขตบทบาทหน้ า ที่ ความสัมพันธ์ รวมไปถึงการเชื่อมโยงการปฏิบัติงานของ หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเขตสุขภาพทั้งที่เป็นหน่วย งานในสั ง กั ด และหน่ ว ยงานที่ ใ ห้ ก ารสนั บ สนุ น กระทรวง สาธารณสุ ข ก่ อ นที่ จ ะไปศึ ก ษาดู ง านในเขตสุ ข ภาพเพื่ อ รวบรวมข้อมูลต่างๆ และจัดประชุมสัมมนาเพื่อระดมความ คิดเห็นจากผูบ้ ริหารระดับสูง ผูท้ รงคุณวุฒิ คณะท�ำงาน หน่วย งานและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ เขตสุขภาพ จากนัน้ จึงน�ำข้อมูลทัง้ หมดมาวิเคราะห์หาภาพรวม ปัญหา ข้อจ�ำกัด ต�ำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ และทิศทางของ ระบบสาธารณสุขของประเทศไทย เพื่อก�ำหนดแนวทางใน การจัดท�ำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงของการบริหารจัดการ ในเขตสุขภาพ และวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของการบริหาร จัดการในเขตสุขภาพของประเทศในรูปแบบต่างๆ รวมทั้ง น�ำไปเปรียบเทียบกับองค์กรในต่างประเทศที่มีหน้าที่และ ภารภิจที่คล้ายคลึงกับเขตสุขภาพ ก่อนที่จะมีการประมวล ผลและสังเคราะห์ขอ้ มูลออกมาเพือ่ จัดท�ำข้อเสนอส�ำหรับการ เปลีย่ นแปลงการบริหารจัดการในเขตสุขภาพ โดย ดร.รพีสภุ า ได้กล่าวถึงความส�ำคัญของขั้นตอนการวิจัยว่า “เวลาที่เราจะท�ำเรื่องการเปลี่ยนแปลง โดยหลักการ คือ เราจะต้องสะท้อนความจ�ำเป็นหรือความต้องการ ทั้ง ในองค์กรและผู้ที่เกี่ยวข้องว่าเขาอยากเห็นอะไร หรืออยาก เป็นอย่างไร ประกอบกับว่าเวลาที่เราจะสะท้อนภาพที่เกิด ขึ้นอยู่ ในปัจจุบัน เราจะต้องดูก่อนว่าภาพที่อยากจะให้เป็น นั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร เราจึงต้องมีการรวบรวม ข้อมูลที่เยอะพอสมควร ก่อนที่จะวิเคราะห์และสรุปผลออก มาเป็นข้อเสนอแนะ ซึ่งเราเชื่อว่าการท�ำแบบนี้จะท�ำให้การ เปลี่ยนแปลงที่เราเสนอออกไปนั้น กลายเป็นที่ยอมรับและ สามารถสื่อสารกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด” ในส่วนของข้อเสนอการพัฒนาเขตสุขภาพ ดร.รพีสุภา ได้เล่าว่า แม้ว่างานวิจัยที่ท�ำจะเป็นการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ ข้อเสนอเกี่ยวกับการบริหารจัดการเขตสุขภาพ แต่ว่างาน วิจัยก็ต้องมีการศึกษาและจัดท�ำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลง ของส่ ว นกลางเอาไว้ ด ้ ว ย เพื่ อ เชื่ อ มโยงกั บ ส่ ว นภู มิ ภ าค โดยข้อเสนอของส่วนกลางได้มีการเสนอให้จัดตั้งหน่วยงาน ที่ท�ำหน้าที่ก�ำหนดนโยบายอย่างมีส่วนร่วม ซึ่งจะท�ำหน้าที่ เป็นผู้เชื่อมประสานทุกหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการก�ำหนด นโยบายที่มีความเสถียรและมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจาก นี้ยังมีการเสนอให้มีการเชื่อมโยงไปยังส่วนภูมิภาคโดยการ จัดตั้งหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องสถานพยาบาลทั้งหมด ในเขตสุขภาพหรือที่เรียกว่าส�ำนักงานเขตสุขภาพ ซึ่งใน
ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้มีการด�ำเนินงานตามข้อเสนอไปแล้วในเบื้องต้น ส่วนข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการในรูปแบบเขตสุขภาพ จะมี 2 ระยะ คือระยะยาว และระยะสั้นหรือระยะเปลี่ยนผ่าน โดยในระยะยาวนั้นได้มีข้อเสนอว่า ควรมี การแบ่งองค์ประกอบการบริหารจัดการเขตสุขภาพออกเป็น 3 กลไก คือ กลไกการบริหาร เขตสุขภาพ กลไกการจัดบริการ และกลไกการซื้อบริการ ในส่วนของกลไกการบริหารเขตสุขภาพนั้น เสนอว่าควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการเขต สุขภาพที่ประกอบด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องในเขตสุขภาพทุกภาคส่วน ทั้งกลุ่มผู้ให้บริการ กลุ่มผู้ซื้อ บริการ และอื่นๆ ส่วนกลไกการจัดบริการ เสนอว่าควรมีการเชื่อมโยงผู้ให้บริการทั้งหมด ในเขตสุขภาพ ทั้งที่เป็นหน่วยงานในสังกัดและนอกสังกัดของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ส�ำหรับข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงบทบาทของกระทรวงสาธารณสุขในส่วนภูมิภาค (เขตสุขภาพ) ในระยะสั้นหรือระยะเปลี่ยนผ่านนั้น ดร.รพีสุภา ได้กล่าวว่า กระทรวง สาธารณสุขจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบทบาทการท�ำงาน ในเรื่องของการพัฒนากลไกการ บริการเขตสุขภาพให้มีความชัดเจน ทั้งในด้านการเป็นผู้ก�ำหนดนโยบาย และการดูแลเขต สุขภาพ และควรมีการปรับบทบาท “คณะกรรมการประสานการพัฒนางานสาธารณสุข ระดับเขต” (คปสข.) ให้สามารถท�ำงานได้ครอบคลุมในประเด็นส�ำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะ เป็นการก�ำหนดแผนการด�ำเนินงานด้านสาธารณสุขของเขตสุขภาพ การก�ำหนดแผนการ จัดสรรทรัพยากรทางด้านสุขภาพ การด�ำเนินการไขปัญหาการเงินการคลังภายในเขต สุขภาพ และการก�ำกับดูแลและประเมินผล นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้มีการเริ่มต้นปรับบทบาทการท�ำงานในส่วนของผู้ให้ บริการ เพื่อรองรับการขยายเครือข่ายการให้บริการในระยะยาว โดยการบูรณาการการ ท�ำงานของหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ ในเขตสุขภาพให้มีความเชื่อมโยงกัน ทั้งหมดนี้ คือข้อเสนอที่ได้จากงานวิจัยในระยะที่ 1 ซึ่งในระยะถัดไปนั้น ดร.รพีสุภา จะมีการท�ำงานวิจัยในประเด็นบทบาทการท�ำงานในส่วนกลางของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งการประเมินผลการท�ำงานของเขตสุขภาพ เพื่อน�ำผลลัพธ์ที่ได้ใช้ในการท�ำข้อเสนอ ในการปรับโครงสร้างของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเป็นทางการในล�ำดับต่อไป
11
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
ต้ น ก ล้ า ค ว า ม รู้ สู่ ต้ น แ บ บ สุ ข ภ า พ
นครชัยบุรินทร์
เดินหน้าเขตสุขภาพระดับพื้นที่ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพ
ช่
นอกจากนี้การก�ำหนดเขตสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ยังมีความ วงที่ผ่านมานี้กระทรวงสาธารณสุขได้มีการก�ำหนดกรอบการ พัฒนาระบบบริการสุขภาพขึน้ มาใหม่ โดยได้กำ� หนดเขตสุขภาพ สอดคล้องกับการจัดเขตบริการสุขภาพของส�ำนักงานหลักประกันสุขภาพ ในรูปแบบของ “เครือข่ายบริการ” จ�ำนวนทัง้ สิน้ 12 เขต (ไม่รวม แห่งชาติ (สปสช.) ซึง่ ได้มกี ารด�ำเนินการไปแล้ว โดยมีพนื้ ที่ สปสช.เขต 9 หรือ กรุงเทพมหานคร) แทนที่จะใช้วิธีการขยายโรงพยาบาลเป็นรายแห่ง ซึ่งเขต “เขตสุขภาพนครชัยบุรินทร์” เป็นพื้นที่ที่มีการด�ำเนินการอย่างเต็มรูปแบบ สุขภาพแต่ละเขตนั้น จะมีขนาดพื้นที่ที่ต้องรับผิดชอบครอบคลุมประมาณ 4-8 จังหวัด มีจ�ำนวนประชากรเฉลี่ยในความดูแลประมาณ 5 ล้านคน และมีการก�ำหนดเขตพื้นที่ตรวจราชการใหม่ ซึ่งการก�ำหนดตามกรอบดัง กล่าวนี้ จะท�ำให้เขตสุขภาพในแต่ละพื้นที่สามารถเฉลี่ยจ�ำนวนประชากร ที่ต้องดูแล และกระจายทรัพยากรเพื่อการบริหารงานด้านสาธารณสุขใน ปริมาณที่ ใกล้เคียงกันได้ ซึ่งจะท�ำให้การจัดสรรทรัพยากรและการบริหาร การเงินการคลังด้านสาธารณสุขของประเทศไทยสามารถด�ำเนินการได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
12
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
• นครชัยบุรินทร์ : น�ำร่องเขตสุขภาพเต็มรูปแบบ เขตสุ ข ภาพนครชั ย บุ ริ น ทร์ เป็ น เครื อ ข่ า ยบริ ก ารสาธารณสุ ข ที่ ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัดได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ซึ่งได้มีการน�ำร่องขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์เขตสุขภาพเครือข่ายบริการ สุ ข ภาพ ที่ 9 นครชัยบุริน ทร์ โดยใช้ง บประมาณจาก สปสช. เขต 9 นครราชสีมา มาตั้งแต่ ปี 2553 ในการบริหารจัดการกองทุนแบบเหมาจ่าย รายหัว เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การ ป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสุขภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการที่ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ และในวันที่ 13 กันยายน 2556 ที่ผ่านมานี้ เขตสุขภาพนครชัยบุรินทร์ ก็ ได้มีการจัดการประชุมขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์เขตสุขภาพเครือข่าย บริการสุขภาพ ที่9 นครชัยบุรินทร์ ปี 2557-2560 ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยภาคีเครือข่ายบริการทุกจังหวัดภายในเขตก็ ได้มาร่วมงานกันอย่าง พร้ อ มเพรี ย ง อี ก ทั้ ง ยั ง มี ก ารลงนามข้ อ ตกลง (MOU) การขั บ เคลื่ อ น แผนยุทธศาสตร์เขตสุขภาพเครือข่ายบริการที่ 9 ระหว่าง ส�ำนักตรวจ ราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตพื้นที่เครือข่ายบริการที่ 9 ส�ำนักงานหลัก ประกันสุขภาพแห่งชาติเขต 9 นครราชสีมา ส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัด นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โรงพยาบาลชัยภูมิ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ โรงพยาบาลสุรินทร์ ศูนย์อนามัยที่ 5 ส�ำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 ศูนย์วิทยาศาสตร์ การแพทย์ที่ 9 ศูนย์ สุขภาพจิตที่ 5 วิทยาลัยพยาบาลราชชนนี นครราชสีมา วิทยาลัยพยาบาล บรมราชชนนีสุรินทร์ และโรงพยาบาล จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ เพื่อขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์เขตสุขภาพให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และ สอดรับกับความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ ของประเทศ ภายใต้ปรัชญา “บริหารจัดการดี ภาคีมีส่วนร่วม” ส�ำหรับการขับเคลือ่ นในช่วงทีผ่ า่ นมานัน้ เขตสุขภาพนครชัยบุรนิ ทร์ได้มี การด�ำเนินงานโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการที่น่าสนใจไม่ว่า จะเป็นโครงการต�ำบลสุขภาพดี โครงการสร้างศูนย์เรียนรู้ผู้สูงอายุ และ โครงการปิงปองจราจรชีวิต 7 สี ซึ่งเป็นโครงการป้องกันและควบคุมโรคไม่ ติดต่อโดยใช้ปิงปองจราจรชีวิต 7 สี ในการช่วยคัดกรองและจัดระดับความ รุนแรงของโรคในผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ เพื่อลดความแออัดของผู้ป่วยที่เข้ามา รับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยเครือข่ายบริการทั้ง 4 จังหวัดในเขตสุขภาพ นครชัยบุริน ทร์ได้น�ำโครงการนี้ ไปใช้ในการคัดกรองผู้ป่วยและต่อยอด สู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จนกระทั่งสามารถลดความรุนแรงของโรคใน ผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ด้วยเครือข่ายบริการที่ 9 มีโรงพยาบาลที่เป็นศูนย์การ แพทย์เฉพาะทาง (Excellent center) คือโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มีแพทย์เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ ส่วนโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ มีแพทย์ เชี่ยวชาญด้านระบบสมอง ดังนั้น “นครชัยบุรินทร์” จะมีศักยภาพและความ พร้อมทั้งการท�ำงานเชิงรุกในระดับปฐมภูมิ ที่เน้นเรื่องการสร้างสุขภาพ และความพร้อมของระบบบริการ ตติยภูมิ ที่เป็น (Excellent center) สร้าง ความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเขตบริการได้เป็นอย่างดี
งานวิจัยชี้ เขตสุขภาพ... ทิศทางใหม่ระบบสาธารณสุขไทย จากการศึกษาวิจัยในหัวข้อ การวิจัยและพัฒนาการบริหารจัดการระบบ สาธารณสุขในระดับพื้นที่ ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ของวินัย ลี สมิทธิ์ และคณะ โดยการสนับสนุนจากส�ำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกัน สุขภาพไทย เครือ สวรส. เมื่อปี 2554 เพื่อติดตามประเมินความก้าวหน้าและ ปัญหาอุปสรรคในการด�ำเนินงานรูปแบบเขตสุขภาพของ ส�ำนักงานหลักประกัน สุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทั้งในส่วนกลางและเขตพื้นที่ ซึ่งประกอบไปด้วยพื้นที่ หลักคือ เขตสุขภาพนครชัยบุรินทร์ และ กทม. ส่วนเขตพื้นที่เสริมคือ สปสช.เขต อุดรธานี สงขลา และพิษณุโลก พบว่า แนวคิดการบริหารจัดการระบบสาธารณสุข ในระดับพื้นที่ หรือแนวคิด “เขตสุขภาพ” เป็นแนวคิดที่ถือเป็นทางออกที่ส�ำคัญ ต่อการปฏิรูประบบสาธารณสุขไทยในระยะถัดไป เนื่องจากเป็นการรองรับบริบท การกระจายอ�ำนาจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา พรบ.หลักประกัน สุขภาพถ้วนหน้า ก็ได้มีการสนับสนุนการกระจายอ�ำนาจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว รวม ทั้งโครงสร้างของ สปสช.เองก็ได้มีการด�ำเนินงานแบบกระจายอ�ำนาจตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นการกระจายอ�ำนาจของกระทรวงสาธารณสุขไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น หรือการพัฒนาเขตสุขภาพในรูปแบบเครือข่ายบริการ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อ การด�ำเนินงานของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า งานวิจัยชิ้นนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะแก่การพัฒนา “เขตสุขภาพ” ในภาพรวม ว่า.... 1. ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาเขตสุขภาพ คือยุทธศาสตร์การมี ส่วนร่วมขององค์กรและการเมืองระดับชาติ-ท้องถิ่น และยุทธศาสตร์การกระจาย อ�ำนาจให้เกิดการตัดสินใจในพื้นที่มากขึ้น 2. ควรมีการปรับเปลี่ยน 4 ประการเพื่อให้เกิดความพร้อมต่อการพัฒนา เขตสุขภาพ คือ 1) สร้างความเข้าใจเรื่องความหมายของเขตสุขภาพ 2) พัฒนา เขตสุขภาพในระยะเวลาที่เหมาะสม 3) เตรียมความพร้อมขององค์กร บุคลากร และระเบียบปฏิบัติต่างๆ และ 4) ปรับระบบข้อมูลสารสนเทศให้มีความพร้อม ส�ำหรับน�ำมาใช้ประโยชน์ในระดับพื้นที่ • ถึงแม้ว่า “เขตสุขภาพ” จะเป็นทิศทางใหม่ในการบริหารจัดการ
ระบบสาธารณสุ ข ระดั บ พื้ น ที่ แต่ ท ว่ า การบริ ห ารจั ด การระบบ สาธารณสุขในรูปแบบนี้ ยังคงมีความจ�ำเป็นที่จะต้องได้รับการศึกษา เพือ่ พัฒนาต่อไป เพือ่ ให้ได้รปู แบบเขตสุขภาพที่เหมาะสมกับบริบทของ ประเทศไทยมากที่สุด
13
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
เ ปิ ด ห้ อ ง รั บ แ ข ก
ดร.รพีสุภา หวังเจริญรุ่ง
“งานวิจัยต้องท้าทาย”
ด
ร.รพีสภุ า หวังเจริญรุง่ ผูช้ ว่ ยผูอ้ ำ� นวยการมูลนิธสิ ถาบันวิจยั นโยบายเศรษฐกิจการคลัง (มูลนิธิ สวค.) คือหนึง่ ในกองทัพ นักวิจัยของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ที่ ได้มี โอกาสเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาข้อเสนอเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Blue Print for Change) ให้กับกระทรวงสาธารณสุข ผ่านงานวิจัย “โครงการการจัดท�ำข้อเสนอและสนับสนุนการบริหารการเปลี่ยนแปลง กระทรวงสาธารณสุข : ระยะที่ 1 เขตสุขภาพ” ที่เป็นการศึกษาในช่วงแรก ของการด�ำเนินการพัฒนาแนวคิดเขตสุขภาพ (ระหว่างมีนาคม-กันยายน 2556) ดร.รพีสุภา จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลญี่ปุ่นไป เรียนต่อในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก สาขาเศรษฐศาสตร์การเงิน ระหว่างประเทศ ที่ประเทศญี่ปุ่นจนกระทั่งรับดีกรี “ด๊อกเตอร์” จากนั้นจึง ตัดสินใจกลับเมืองไทย เนื่องจากต้องการกลับมาอยู่กับครอบครัว ถึงแม้ว่า จะได้รับการทาบทามให้เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่น “พอกลับมาถึงเมืองไทย ก็คิดว่าจะไปเป็นอาจารย์เพราะเป็นอาชีพที่ ใฝ่ฝัน แต่บังเอิญว่าอาจารย์ที่คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ ท่านรู้จักกับทาง กระทรวงการคลัง ท่านก็แนะน�ำให้มาท�ำงานที่ มูลนิธิ สวค.” พร้อมทั้งให้ เหตุผลว่าการท�ำงานเป็นนักวิจัยก็ ไม่ได้แตกต่างจากการเป็นอาจารย์มาก นัก จึงได้ตัดสินใจมาสมัครงานที่นี่ ในช่วงแรกของการท�ำงานที่ มูลนิธิ สวค. ดร.รพีสุภา ได้ท�ำงานวิจัย เกีย่ วกับการเงินการคลังเป็นหลัก โดยงานวิจยั ชิน้ แรกคือ “การวิจยั เรือ่ งการ วิเคราะห์ผลกระทบของระบบการประกันสังคมที่มีต่อภาระทางการคลัง” จากนั้นจึงได้ท�ำงานวิจัยเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบทางด้านการคลัง ที่มาจากสวัสดิการสังคม ในช่วงนั้นถือว่าเป็น นักวิจัยรายแรกๆ ที่ ได้มี การท�ำแบบจ�ำลองประกันสังคมของกระทรวงการคลัง อีกทั้งยังเป็นทีม สนับสนุนให้มีการจัดท�ำกองทุนการออมแห่งชาติอีกด้วย หลังจากนั้น ดร.รพีสุภา ก็ได้ท�ำงานวิจัยที่ท้าทายอีกหลายชิ้น โดยส่วน ใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองทางสังคม ทั้งเรื่องหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้า เรื่องระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เรื่องกองทุนเงิน ให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นต้น จนกระทั่งได้รับการเชิญชวนให้มาท�ำงาน วิจัยเรื่องแนวโน้มการบริหารกองทุนประกันสุขภาพของประเทศไทย จนถึง งานวิจัย Blue Print for Change โดยการสนับสนุนของสถาบันวิจัยระบบ สาธารณสุข และกระทรวงสาธารณสุขชิ้นส�ำคัญที่จะมีส่วนส�ำคัญในการ ช่วยชี้ทิศทางของระบบสุขภาพในอนาคต
14
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
เวลาท�ำอะไรต้องท�ำให้เต็มที่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับมาเสียใจภายหลัง...
“ปกติจะไม่ค่อยชอบท�ำอะไรซ�้ำๆ ดังนั้นการท�ำงานวิจัย จึงต้องหาอะไร ที่ท้าทายตนเองอยู่เรื่อยๆ” ดร.รพีสุภา ยังได้กล่าวอีกว่า ในบรรดางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการ คุ้มครองทางสังคมนั้น ตนมีความสนใจงานวิจัยในประเด็นสาธารณสุขมาก ที่สุด เพราะว่ามีความท้าทาย อีกทั้งตนก็มีข้อมูลสะสมเอาไว้เป็นจ�ำนวน มาก จึงคิดว่าน่าจะสามารถวิเคราะห์ข้อเสนอแนะที่มีประโยชน์ต่อสังคม ไทยได้มาก ในด้านหลักคิดการท�ำงาน ดร.รพีสุภา จะมีหลักคิดว่า เวลาท�ำอะไร ต้องท�ำให้เต็มที่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับมาเสียใจภายหลัง ส่วนงานอดิเรก ที่สนใจเป็นพิเศษ คือ การสะสมแสตมป์ และการอ่านนิยายประเภทสืบสวน สอบสวน คลายปมปริศนาการฆาตกรรม เนื่องจากนิยายประเภทนี้จะไม่ สามารถคาดเดาตอนจบได้ จึงท�ำให้รู้สึกสนุกกับการติดตามเนื้อหา และถึงแม้วา่ วันนี้ ดร.รพีสภุ า จะไม่ได้ประกอบอาชีพอาจารย์ดงั ที่ใฝ่ฝนั แต่ทว่าการที่ ได้ก้าวเดินมาสู่เส้นทางการเป็นนักวิจัย ก็ท�ำให้ ค้นพบกับ เส้นทางใหม่ของชีวิตที่มีแต่ความท้าทาย และสามารถสร้างประโยชน์ให้ กับสังคมได้ไม่แพ้การเป็นอาจารย์ “ที่ผ่านมาได้รับการเชิญชวนให้ไปเป็นอาจารย์ ในมหาวิทยาลัยอยู่ หลายแห่งเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้ยังรู้สึกชื่นชอบการใช้ชีวิตที่ท้าทายจาก การเป็นนักวิจัยอยู่ หากจะไปเป็นอาจารย์คงต้องรอให้อายุมากกว่านี้อีก หน่อย” ดร.รพีสุภา กล่าวทิ้งท้าย
เกาะกระแส สวรส.
กิจกรรมและความเคลื่อนไหว สวรส.เปิดอบรมหาตัวจริง !! นักวิจัยเขตสุขภาพ รุ่น 1
ดูงานศูนย์วิจัยและพัฒนาฯ ประเทศเกาหลีใต้
ศ.นพ.สมเกี ย รติ วั ฒ นศิ ริ ชั ย กุ ล ผู ้ อ� ำ นวยการ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และ ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รอง ผอ.ฝ่ายบริหาร สวรส. ได้เดินทาง ร่วมกับคณะศึกษาดูงานของ ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัย กุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศ และทีมผู้บริหารจากสถาบันวิจัยของ ประเทศไทย ประกอบด้วย ส�ำนักงานคณะกรรมการ วิ จั ย แห่ ง ชาติ (วช.) ส� ำ นั ก งานกองทุ น สนั บ สนุ น การ วิ จั ย (สกว.) ส� ำ นั ก งานพั ฒ นาการวิ จั ย การเกษตร (สวก.) ส�ำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) และ สวรส. เพื่อเยี่ยมชมและศึกษาดูงานที่ศูนย์วิจัยและการพัฒนา “Daedeok Innopolis” ณ นครแดจอน สาธารณรัฐ เกาหลี ตลอดจนกระชับความร่วมมือด้านการวิจัยและ พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างประเทศ และ ศึกษาแนวทางในการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาดังกล่าว การศึกษาดูงานครั้งนี้ ท�ำให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการ พัฒนาประเทศที่ ให้ความส�ำคัญกับการวิจัยและพัฒนา ซึ่ ง ในมุ ม ของ สวรส. สามารถน� ำ มาประยุ ก ต์ ใ ช้ กั บ การด� ำ เนิ น งานวิ จั ย ประเด็ น ต่ า งๆ โดยเพิ่ ม เติ ม การ มองคุณค่าของงานวิจัยเชิงพาณิชย์ให้มากขึ้น รวมถึง การปรับแนวคิดและเชื่อมโยงความร่วมมือกับสถาบัน การศึกษา และหน่วยงานวิจัยของภาคเอกชน เพื่อให้เกิด การถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ๆ และการน�ำผลงานวิจัยไป ใช้ประโยชน์ให้เกิดกับประเทศมากที่สุด
สวรส. ผลักดันข้อเสนอจาก งานวิจัยสู่นโยบายปรับบทบาท สธ.
ส�ำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ (สนย.) กระทรวง สาธารณสุ ข จั ด ประชุ ม วิ เ คราะห์ แ ละสรุ ป ข้ อ เสนอ การปรั บ บทบาทภารกิ จ ของกรมวิ ช าการ โดยมี ศ.นพ.สมเกี ย รติ วั ฒ นศิ ริ ชั ย กุ ล ผู ้ อ� ำ นวยการ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ผศ.ดร.จรวยพร ศรี ศ ศลั ก ษณ์ รองผู ้ อ� ำ นวยการฝ่ า ยบริ ห าร สวรส. ดร.รพีสุภา หวังเจริญรุ่ง นักวิจัยจากมูลนิธิสถาบันวิจัย นโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) ร่วมให้ข้อคิดเห็น โดย ดร.นพ.พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้อ�ำนวยการ สนย. ได้ รั บ มอบหมายจาก นพ.อ� ำ นวย กาจี น ะ รองปลั ด กระทรวงสาธารณสุ ข จั ด ประชุ ม เพื่ อ หารื อ ข้ อ สรุ ป ข้ อ เสนอการปรั บ บทบาทของกรมวิ ช าการใน สังกัด สธ. เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับบทบาทของ กระทรวงสาธารณสุขทั้ง 11 บทบาท โดยเชิญ สวรส. ในฐานะองค์กรวิชาการและมีส่วนส�ำคัญในการพัฒนา ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงบนฐานความรู้ (Blueprint for Change) จากงานวิจัยสังเคราะห์บทบาทกระทรวง สาธารณสุขในศตวรรษที่ 21 และงานวิจัยข้อเสนอการ เปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการในเขตสุขภาพ มาร่วม สรุปข้อเสนอเพื่อให้มีความชัดเจนในการเตรียมเสนอ ให้กับผู้บริหารกระทรวงและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก่อน จัดท�ำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงกระทรวง สธ. ให้แล้ว เสร็จภายในเดือนธันวาคม 2556 เพื่อเสนอส�ำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ต่อไป
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับภาค วิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดอบรมหลักสูตร “พัฒนา นั กวิ จั ย ด้ า นนโยบายในเขตสุ ข ภาพ รุ ่ น ที่ 1” เพื่ อ พัฒนาศักยภาพให้กับบุคลากรทางด้านการแพทย์และ สาธารณสุขทุกสาขาวิชาชีพ ที่ปฏิบัติงานที่ส�ำนักงาน เขตสุขภาพ ส�ำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ส�ำนักงาน สาธารณสุ ข อ� ำ เภอ ส� ำ นั ก งานหลั ก ประกั น สุ ข ภาพ แห่ ง ชาติ ทุ ก เขต รพ.ศู น ย์ รพ.ทั่ ว ไป รพ.ชุ ม ชน ใน 12 เขตสุขภาพ ได้มีความรู้ด้านการวิจัยนโยบายและ พัฒนาระบบสุขภาพที่ตอบสนองต่อปัญหาสาธารณสุข ในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายที่ส�ำคัญคือ การสร้างนักวิจัย หน้าใหม่ ให้เกิดขึ้นในพื้น ที่ 12 เขตสุขภาพที่สามารถ ท�ำงานวิจัยโดยใช้ข้อมูลปัญหาในพื้นที่เครือข่ายบริการ สุขภาพของตนเอง และพัฒนาการด�ำเนินงานให้บรรลุ ผลตามตัวชี้วัดของกระทรวงสาธารณสุข โดยแบ่งเป็น 2 ระยะของการอบรมคือ ระยะที่ 1 : การอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการพัฒนาและการวิจัยใน เขตสุขภาพ 23-27 ธันวาคม 2556 ระยะที่ 2 : การอบรม เชิงปฏิบตั กิ าร เพือ่ พัฒนาโครงร่างงานวิจยั 20-24 มกราคม 2557 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมโทร 0 2832 9219 หรือ E-mail : chattip@hsri.or.th
เ ปิ ด ชั้ น ห นั ง สื อ / ง า น วิ จั ย
ประเมินและทบทวนแนวคิดธรรมนูญสุขภาพ ฉายภาพกว้างให้เห็นถึงปฐมบทของการถือก�ำเนิด จุดเปลี่ยนต่างๆ ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของการ “ประเมิน และทบทวนแนวคิดธรรมนูญสุขภาพ” เพื่อทบทวนประสบการณ์การนาธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ไปใช้ในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพและสังคม รวมถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนดังกล่าว ทั้งทางบวก และทางลบ อันจะน�ำไปสู่การปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาและการใช้ธรรมนูญสุขภาพฯ ในการขับเคลื่อนระบบ สุขภาพต่อไป | ดาวน์โหลดได้ทาง http://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/3890
การวิเคราะห์และจัดท�ำภาพอนาคตของระบบสุขภาพ คาดการณ์อนาคต ของระบบสุขภาพเป็นส่วนหนึง่ ของการเตรียมการเพือ่ ทบทวนธรรมนูญสุขภาพ ฉบับ พ.ศ.2552 ด้ ว ยการศึ ก ษาแนวโน้ ม ของปั จ จั ย ต่ า งๆ ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ ระบบสุ ข ภาพ โอกาสและภั ย คุ ก คาม แล้ ว จั ด ท� ำ ภาพ อนาคต (Scenario building) ของระบบสุขภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการก�ำหนดทิศทางและบทบาทของภาคี ที่เกี่ยวข้องส�ำคัญในอนาคต เช่น ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม นักวิชาการ/วิชาชีพ ในอีก 10-20 ปี ข้างหน้า สู่การวางแผนเตรียมการในเชิงระบบเพื่อรองรับภาพอนาคตที่ ได้สร้างไว้ต่อไป | ดาวน์โหลดได้ทาง http://www.hsri.or.th/media/1225
15
ปรับโฉมสาธารณสุข เคลื่อนแนวคิด “เขตสุขภาพ”
SINGLE WINDOW “หน้าต่าง” สู่ “แหล่งรวม” ทุนวิจัยมุ่งเป้าของประเทศ
พบกับ
One Stop Service : 1 คลิก ได้ครบ กับ “SINGLE
“ระบบยื่นขอทุนวิจัยจุดเดียวแบบเบ็ดเสร็จ”
WINDOW”
ระบบรวมการยื่นขอทุนวิจัย จากแหล่งวิจัยส�ำคัญของประเทศ ได้แก่ สวรส. วช. สวทช. สกว. สกอ. สวทน. สวก.
ร่วมเข้าใช้เพื่อทดสอบระบบ ตั้งแต่วันนี้... เพื่อพัฒนาระบบสู่การใช้งานในเดือนมกราคม 2557 ส�ำหรับการยื่นขอทุนวิจัยมุ่งเป้า ปี 2557 (รอบที่ 2) และรอพบกับระบบ Single Window เต็มรูปแบบ ในเดือนสิงหาคม 2557 ส�ำหรับการยื่นขอทุนวิจัยมุ่งเป้า ปี 2558 นี้ แน่นอน...
คลิกเดียว-ครั้งเดียว-เข้าถึง ทุกแหล่งทุนวิจัยส�ำคัญของประเทศ
คลิก!! http://www.tnrr.in.th/project สามารถดาวโหลด “คู่มือการยื่นขอทุนวิจัยแบบที่เดียว : Single Window for Research Proposal Submission System” ได้ทาง http://www.hsri.or.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ศูนย์สารสนเทศการวิจัย ส�ำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ โทร. 02 561 2445 ต่อ 521
เครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ
แบ่งปันความรู้โดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สามารถดาวน์โหลดจุลสาร HSRI Forum ได้ที่ www.hsri.or.th สอบถามเพิ่มเติม หน่วยสื่อสารความรู้และขับเคลื่อนสังคม โทร 0-2832-9245-6 สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ชั้น 4 อาคารสุขภาพแห่งชาติ ซ.สาธารณสุข 6 ถ.ติวานนท์ 14 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 โทรศัพท์ 0-2832-9200 โทรสาร 0-2832-9201 www.hsri.or.th