พื้นที่แบ่งป˜นความรู้ สู่ระบบสุขภาพที่เปšนธรรมและยั่งยืน
ปที่ 2 ฉบับที่ 4 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556
า น ฒ ั R พ 2 - R
น ั ด ร ก ั ว ศ ล ท ผ สู ่ 1
ัย จ ิ ว รÉ
ก้าว
www.hsri.or.th
hsri-july3.indd 1
10/3/56 BE 3:10 PM
บ ท บ ร ร ณ า ธิ ก า ร
ส
วัสดีครับผู้อ่าน ฉบับนี้เราขอพาท่าน ย้ อ นไปสู ่ บ รรยากาศ การประชุ ม แลกเปลี่ ย นเรี ย นรู ้ จากงานประจ� า สู่งานวิจัย (R2R) ครั้งที่ 6 “ร่วมสร้างวัฒนธรรม R2R สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ที่จัดขึ้นเมื่อราวต้นเดือน สิงหาคมที่ผ่านมา ณ อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยสถาบั น วิ จั ย ระบบสาธารณสุ ข ร่ ว มกั บ คณะ แพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และเหล่าเครือข่าย องค์กรภาคี ความน่าสนใจของเวที R2R ในปีนี้ แตกต่างไป จากปีก่อนๆ ค่อนข้างมาก โดยเราจะได้เห็นความ พยายามในการส่งเสริมให้เกิดวิถีท�างานวิจัยจากงาน ประจ�า (Routine to Research: R2R) เพื่อเป็นเครื่อง มือการพัฒนาในระดับองค์กรมากขึ้น เราจะเห็น R2R เข้าไปมีบทบาทส�าคัญภายในกระทรวงสาธารณสุข หรื อ แม้ แ ต่ ใ นมิติของการสร้างเสริมสุขภาพ R2R ก็ได้เข้าไปมีบทบาทอย่างมาก โดยส�านักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เข้ามา ร่ ว มสนั บ สนุ น การพั ฒ นา R2R ในระดั บ ประเทศ พร้อมร่วมก�าหนดทิศทางการขับเคลื่อน R2R ไปใน อนาคต ในฉบับได้น�าเสนอประเด็น R2R “ในยุคปฏิรูป กระทรวงฯ” ว่าจะเป็นเครื่องมือของการเสริมสร้าง
สมรรถนะบุคลากร สธ.ได้อย่างไร ไว้ในคอลัมน์ เส้นทางสุขภาพที่เป็นธรรมและยั่งยืน โดยผู้บริหาร ของกระทรวงฯ ที่ รั บ ผิ ด ชอบงานด้ า นการจั ด การ ความรู้โดยตรงจะได้มาฉายมุมมองทัศนะในเรื่องนี้ โดยสะท้อนให้เห็นว่าหลังการเปลี่ยนแปลงบทบาท กระทรวงฯ R2R จะถู ก น� าไปใช้ ใ นการพั ฒ นาคน งาน หรือระบบสุขภาพได้อย่างไร ซึ่งต้องติดตาม ในฉบับ นอกจากนั้ น ในคอลั ม น์ แ กะกล่ อ งงานวิ จั ย ยังเข้มข้นไปด้วยข้อมูลที่เจาะลึกถึงการท�างานวิจัย R2R ในหัวข้อต่างๆ เช่น “R2R กับการลดอัตราการ ขาดยาผู้ป่วยจิตเวชด้วยรูปแบบการดูแลแบบเครือ ข่าย พื้นที่ศูนย์สุขภาพชุมชนต�าบลบ้านมาง อ�าเภอ เชียงม่วน จังหวัดพะเยา” ของคุณพงศ์ศิลป วิลาชัย พยาบาลวิชาชีพ ศูนย์สุขภาพชุมชนต�าบลบ้านมาง และคณะ เจ้าของงานวิจัย ซึ่งได้รับรางวัลผลงาน R2R ดีเด่น กลุ่มงานบริการระดับปฐมภูมิ ในปีนี้ คอลัมน์ต้นกล้าความรู้ สู่ต้นแบบสุขภาพ ที่ชวน ไปท�าความรู้จักกับโครงการ ASU ที่ ได้มีการน�าไปใช้ กับโรงเรียนแพทย์เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ภาย ใต้งานวิจัย R2R “Antibiotics Smart Use (ASU) ที่ โรงพยาบาลศิริราช” อีกหนึ่งผลงานที่น่าสนใจของ นพ.อธิรัฐ บุญญาศิริ จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราช
พยาบาล และคณะ ซึ่งได้รับรางวัลผลงาน R2R ดีเด่น กลุ่มงานบริการระดับตติยภูมิ เช่นกัน จากนั้ น พบกั บ “มุ ม มองการพั ฒ นาระบบ สาธารณสุ ข ไทย” ในทั ศ นะของ รศ.นพ.เชิ ด ชั ย นพมณี จ� า รั ส เลิ ศ รองผู ้ อ� า นวยการโรงพยาบาล ศิริราช ด้านบริการผู้ป่วยนอกและพัฒนาคุณ ภาพ และหัวหน้าทีมทีป่ รึกษาโครงการสนับสนุนการพัฒนา งานประจ�าสู่งานวิจัยระดับประเทศ และตบท้ายกับไฮไลท์ระบบสุขภาพฉบับนี้ ให้ ทุ ก ท่ า นได้ เ ห็ น ทั ศ นะของ ศ.นพ.วิ จ ารณ์ พานิ ช ที่ ป รึ ก ษาคณะกรรมการการด� า เนิ น งานแผนงาน โครงการ R2R ในประเด็น “คุณค่าและความหมาย ของ R2R” ซึ่ ง ท่ า นได้ แ สดงทั ศ นะเอาไว้ อ ย่ า งน่ า สนใจ โดยเนื้อหาทั้งหมดใน HSRI Forum ฉบับนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าน ที่ปฏิบัติงานในแวดวงสาธารณสุขทุกระดับจะได้รับ สาระและแรงบันดาลใจในการท�างานวิจัย R2R เพื่อ พัฒนางานประจ�า ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง ระบบสุขภาพให้เกิดความสมดุลเละยั่งยืน ซึ่งท้าย ที่สุดของเปาหมายนี้ คือ สุขภาพที่ดีและชีวิตที่ยืนยาว ของประชาชนนั่นเองครับ
ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ¼ÙŒÍíҹǡÒÃʶҺѹÇÔ¨ÑÂÃкºÊÒ¸ÒóÊØ¢
ส า ร บั ญ
CONTENT
03 คุณคาของ R2R คือ “การพัฒนางาน” 04 ผลักดัน - พัฒนา : กาวสู 1 ทศวรรษ วิจัย R2R 08 R2R “ยุคปฏิรูป กระทรวงฯ” เครื่องมือเสริมสมรรถนะบุคลากร สธ. 10 ลดอัตราการขาดยา แกปญหาผูปวยจิตเวชในชุมชน 12 ตนแบบ Antibiotics Smart Use ในโรงเรียนแพทย 14 รศ.นพ.เชิดชัย นพมณีจํารัสเลิศ ในมุมมอง การพัฒนาระบบสาธารณสุขไทย 15 เกาะกระแส สวรส.
03
04
08
10
12
14
จัดทÓโดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข บรรณาธิการ ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ¡Í§ºÃóҸԡÒà หนวยสื่อสารความรูและขับเคลื่อนสังคม น้อมรับคÓติชม พรอมเปดกวางรับทุกความคิดเห็น ขอมูลขาวสารที่เกี่ยวของกับระบบวิจัยสุขภาพ ที่ hsri@hsri.or.th
ติดตามขาวสารและกิจกรรมที่นาสนใจไดที่ http://www.facebook.com/hsrithailand
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรÉ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 2
10/3/56 BE 3:10 PM
ไ Î ไ ล ท์ ร ะ บ บ สุ ข ภ า พ
คุคือ ณ ค่ า ของ R2R “การพัฒนางาน”
ผ
มจะพยายามย�า้ อยูเ่ สมอว่า เป้าหมายทีแ่ ท้จริง ของ Routine to Research (R2R) หรือ “การพัฒนางานประจ�าสู่งานวิจัย” อยู่ที่การ “การพัฒนางาน” ไม่ใช่ “ผลงานวิจัย” นี่คือความเชื่อของ ผม ผมคิดว่าคุณค่าของ R2R คือการที่ ได้พัฒนางานประจ�า ให้ดีขึ้น ดังนั้นพระเอกของ R2R จึงเป็น “คนท�างานประจ�า” หรือ “ตัวงานประจ�า” ไม่ใช่ “ผลงานวิจัย” แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เราไปให้ความส�าคัญกับงานวิจัย มากกว่างานประจ�า เมื่อนั้นผมคิดว่าเราน่าจะเริ่ม “หลงทาง” เพราะว่าเปาหมายจริงๆ ของ R2R คือการเปลี่ยนวิธีคิด เปลีย่ นวิธกี ารท�างานของคนท�างานประจ�าให้ดขี นึ้ เพราะงาน ประจ�าคือทรัพย์สมบัติที่มีคุณค่า ดังนั้นถ้าหากเราสามารถ เพิม่ คุณค่าให้กบั งานประจ�าได้ เราก็จะมีความสุขและมีความ ภาคภูมิใจเพิ่มมากขึ้น
ที่ผ่านมามีคนน�า R2R ไปใช้ด้วยความเลื่อมใสศรั ทธา เป็นจ�านวนมาก แต่ ในขณะเดียวกันก็มีคนจ�านวนหนึ่งที่มี ความเชื่อว่าการท�า R2R คือการสร้างผลงานเพื่อน�าไปสู่การ เลือ่ นละดับต�าแหน่งหน้าทีก่ ารงาน ผมคิดว่ามันเป็นความเชือ่ ที่เบี่ยงเบนไปจากวัตถุประสงค์จริงๆ ของ R2R เพราะ R2R ต้องการให้เราเกิดความพยายามในการพัฒนางานประจ�า โดยใช้กระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ การเก็บข้อมูลอย่าง เป็นระบบ ท�าให้ขอ้ มูลมีความน่าเชือ่ ถือ ซึง่ เป็นกระบวนการ ของการท�างานวิจัย นี่คือหลักคิดของ R2R
hsri-july3.indd 3
ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช
ที่ปรึกษาคณะกรรมการการด�าเนินงานแผนงานโครงการ R2R
ในอดีตคนท�างานประจ�าหรือคนที่อยู่ ในระดับปฏิบัติงานมักจะรอแต่หมายสั่ง ไม่ค่อย ได้ใช้ความคิดของตัวเองในการท�างาน เนื่องจากกลัวว่าถ้าหากคิดไม่ตรงกับหัวหน้าแล้ว จะมีความผิด จึงท�าให้ไม่กล้าคิด ไม่กล้าท�า แต่ในปัจจุบันเรามีการน�าแนวคิด R2R มาใช้ เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้คนท�างานประจ�า “เปลี่ยนวิธีคิด” และ “เปลี่ยนวัฒนธรรมการ ท�างาน” เพราะเมื่อท�า R2R ไปซักพัก คนท�างานจะเริ่ม “กล้าคิด” “กล้าตั้งค�าถามให้กับตัว เอง” และ “กล้าท�า” อะไรใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งในขณะที่ทดลองท�า หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นบทเรียนส�าคัญที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ แต่หากมีผลดี เราก็จะน�าผลดีที่ ได้นั้นไป พัฒนาให้มันดียิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนที่จะมีการต่อยอดออกไปเรื่อยๆ โดยการท�าเป็นทีม ท�าเป็น กลุ่ม และท�าเป็นเครือข่าย จนเกิดเป็นเครือข่ายสังคมแห่งการเรียนรู้ในที่สุด ที่ผ่านมาคนทั่วไปมักจะคิดว่า การฝกอบรม (Training) เป็นการท�าให้คนท�างานประจ�า เกิดการเรียนรู้ จึงท�าให้เกิดวัฒนธรรมการฝกอบรม (Training Culture) ในประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่บางครั้งหัวข้อการฝกอบรมก็ไม่ตรงกับความต้องการของผู้เรียน และ ไม่เชื่อมโยงกับงาน ไม่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีที่คนท�างานต้องใช้ แต่ส�าหรับ R2R แล้ว R2R คือเครื่องมือที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ตรงกับความต้องการ และเชื่อมโยงกับการท�างาน ประจ�ามากที่สุด ดังนั้น R2R จึงเป็นเครื่องมือส�าคัญที่จะช่วยให้คนยุคนี้เกิดการปฏิวัติการ เรียนรู้ของตนเองโดยการท�างานวิจัยในงานประจ�า การท�างานวิจยั R2R มีบคุ คลส�าคัญอยู่ 3 กลุม่ คือ 1.กลุม่ คุณกิจ หรือผูว้ จิ ยั หรือผูป้ ฏิบตั ทิ ี่ ต้องการพัฒนางานประจ�าของตัวเองให้ดขี นึ้ 2.กลุม่ คุณอ�านวย หรือ Facilitator ผูท้ จี่ ะท�าหน้าที่ เป็นโค้ชทีจ่ ะคอยอ�านวยความสะดวกให้กบั ผูว้ จิ ยั เรือ่ งเทคนิคการท�าวิจยั ต่างๆ 3.กลุม่ ผูบ้ ริหาร หรือ กลุ่มคุณเอื้อ กลุ่มนี้จะคอยให้การสนับสนุน ให้ทรัพยากร และให้รางวัลกับผู้วิจัย ถึงแม้ว่าจะมีบุคคลส�าคัญ 3 กลุ่ม แต่ก็ต้องขอเน้นย�้าอีกทีว่าคนที่เป็นพระเอกจริงๆ ก็คือ “คนท�างานประจ�า” หรือนักวิจัยนั่นเองครับ สรุปก็คือ R2R เป็นการพัฒนาวัฒนธรรมการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ที่พัฒนาจากฐานล่าง ศ.นพ.ประเวศ วะสี บอกว่าเป็นการพัฒนาจากฐานพระเจดีย์ ไม่ ใช่พัฒนาจากยอด แต่ก็ ไม่ได้แปลว่ายอด ซึง่ ก็คอื ผูบ้ ริหารไม่มคี วามส�าคัญ เพราะผูบ้ ริหารคือผูท้ คี่ อยให้การสนับสนุน และคอยเอื้ออ�านาจ (Empower) แต่คนที่ส�าคัญที่สุดก็คือคนที่อยู่ฐานล่างก็คือผู้ปฏิบัติ ที่จะ เป็นผู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ จนเกิดเป็นเครือข่ายการเรียนรู้ที่กระจายออกไปทั่วประเทศ โชคดีที่ประเทศไทยมีการด�าเนินงานอย่างเป็นระบบ มีสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) คอยให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และมีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล คอย ช่วยเหลือเรื่องจัดการ จนท�าให้เกิดเครือข่าย R2R ทั่วประเทศ และท�าให้เกิดผลงาน R2R ที่ทรงคุณค่ามหาศาล ที่ส�าคัญที่สุดก็คือ R2R ท�าให้คนท�างานเกิดการตั้งค�าถามต่องานประจ�าของตนเอง จนน�าไปสู่การหาค�าตอบเพื่อพัฒนางาน โดยมีหลายๆ ฝายคอยให้การสนับสนุน ผมว่านี่คือ พลังวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่กระบวนการ R2R ได้สร้างให้สังคมไทย
03
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรÉ วิจัย R2R
10/3/56 BE 3:10 PM
ร า ย ง า น พิ เ ศ É
R
ผลัก้กาวสูดั่ 1 นทศวรรÉ- วิพัจัย R2R ฒนา
outine to Research หรือ R2R กลายเป็น สู่การเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพในทางที่ดีขึ้น จึงได้เชิญชวนให้ รพ.ศิริราช ขยายแนวคิด ค� า ที่ ค นในแวดวงสาธารณสุ ข ไทยรู ้ จั ก และ นี้ออกไปในระดับประเทศ จนกระทั่งเกิดเป็นการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากงานประจ�า คุ้นเคยเป็นอย่างดี หลังจากที่มีการเผยแพร่ สู่งานวิจัย (R2R) ครั้งที่ 1 ในปี 2551 แนวคิดนี้ต่อยอดออกไปสู่ระดับประเทศ ในช่วง 6 ปีที่ผ่าน มานี้ ผ่านการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากงานประจ�าสู่งาน วิวัฒนาการของ R2R วิจัย (R2R) • ปี 2547 - คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จัดตั้งและด�าเนินโครงการพัฒนางานประจ�าสู่ แต่ถ้าหากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น R2R ได้ถือก�าเนิด งานวิจัย [Routine to Research (R2R) Project] ในเดือนมิถุนายน 2547 มาเป็นเวลา 9 ปี แล้ว โดยแนวคิดนี้ ได้เริ่มต้นจากการ • ปี 2551 - สถาบันวิจยั ระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้เข้ามาสนับสนุนโครงการพัฒนางานประจ�าสู่ ที่ ศ.คลิ นิ ก นพ.ป ย ะสกล สกลสั ต ยาทร อดี ต คณบดี งานวิจัย ร่วมกับภาคีเครือข่าย และได้จัดตั้งแผนงานพัฒนาเครือข่ายวิจัยในรูปแบบงานวิจัยจากงาน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ต้องการให้บุคลากรใน ประจ�าขÖน้ เพือ่ ร่วมกันขยายแนวคิด R2R ของคณะแพทยศาสตร์ศริ ริ าชพยาบาล ไปสูบ่ คุ ลากรในแวดวง ขทั่วประเทศ ด้วยการจัดการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากงานประจ�าสู่งานวิจัย (R2R) : รพ.ศิริราช รู้จักคิดและแก้ไขปัญหางานประจ�าของตัวเอง สาธารณสุ เสริมพลัง สร้างสรรค์ และพัฒนา (ครั้งที่1) นอกจากนี้ยังมีการจัดท�าเอกสารให้ความรู้ ประสานงาน ด้วยการท�างานวิจยั จึงได้จดั ตัง้ คณะกรรมการและหน่วยงาน นักวิชาการ จัดการประกวดรางวัล R2R ดีเด่น สนับสนุนให้บคุ ลากรสาธารณสุขได้มโี อกาสท�างานวิจยั พัฒนางานประจ�าสู่งานวิจัยขึ้น เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรใน R2R และสร้างเครือข่าย R2R โดย สวรส. จะท�าหน้าทีเ่ ชือ่ มโยงการขับเคลือ่ นเครือข่ายให้เกิดการแลก รพ.ศิริราช หันมาท�า R2R กันถ้วนหน้า ซึ่งในเวลาต่อมา เปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างโครงการ R2R ในหน่วยงานสนับสนุนการวิจัย มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาล สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หรือ สวรส. ก็ ได้เล็งเห็น ทั่วประเทศ • ปี 2552 - การประชุม R2R ครั้งที่ 2 : เสริมพลัง สร้างสรรค์ และพัฒนา ถึงประโยชน์ของ R2R ในการบริหารจัดการความรู้เพื่อ • ปี 2553 - การประชุม R2R ครั้งที่ 3 “เครือข่าย R2R ก้าวไกล สาธารณสุขไทย ก้าวหน้า น� าไปสู ่ ก ารพั ฒ นาระบบสุ ข ภาพให้ เ ข้ ม แข็ ง โดยเฉพาะ • ปี 2554 - การประชุม R2R ครั้งที่ 4 “เชื่อมพลังเครือข่าย ขยายคุณค่างานประจ�า” ในเรื่ อ งการสร้ า งก� า ลั ง คน ที่ จ ะต้ อ งทั น กั บ ยุ ค ที่ ค วามรู ้ • ปี 2555 - การประชุม R2R ครั้งที่ 5 “วิถี R2R: เรียบง่าย คุณภาพ ครบวงจร” • ปี 2556 - การประชุม R2R ครั้งที่ 6 “ร่วมสร้างวัฒนธรรม R2R สู่การพัฒนาที่ย่ังยืน” มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในการพัฒนาองค์ความรู้ไป
04
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรÉ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 4
10/3/56 BE 3:10 PM
ปัจจุบัน R2R ได้มีการขยายเครือข่ายออกไปถึง 9 เครือ ข่าย ครอบคลุม 61 จังหวัดทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีการจัด ท�าโครงการวิจัย R2R มากถึง 300 กว่าโครงการ เสร็จสิ้น ไปแล้วกว่า 100 ผลงาน และได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ ใน วารสารระดับนานาชาติไปแล้วกว่า 60 ผลงาน “ตลอดระยะ 5 ป ที่ผ่านมา สวรส. และภาคีเครือข่าย R2R ได้ขยายแนวคิด กระตุ้น และเชื่อมโยงเครือข่ายต่างๆ ให้เกิดการสร้างสรรค์และพัฒนางานประจ�าจากการท�างาน วิจัย จนเกิดเป็นกลุ่มเครือข่าย R2R ที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุก ภูมิภาค โดยมีหัวใจส�าคัญอยู่ที่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การให้ ก�าลังใจซึง่ กันและกัน และการส่งเสริมงานวิจยั R2R ให้กลาย เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ทั้งนี้เพื่อให้เครือข่าย R2R เกิดการ พัฒนาที่ยั่งยืน” นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข อดีต ผอ.สวรส. กล่าวถึงหัวใจส�าคัญในการสร้างและพัฒนาเครือข่าย R2R
ส�าหรับในปี 2556 นีก้ อ็ กี เช่นเคยกับการจัดประชุมแลกเปลีย่ นเรียนรูจ้ ากงานประจ�าสูง่ าน วิจยั (R2R) ทีย่ า่ งก้าวมาถึงปีที่ 6 จัดโดยสถาบันวิจยั ระบบสาธารณสุข (สวรส.) คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และภาคีเครือข่าย ใช้หัวข้อว่า “ร่วมสร้างวัฒนธรรม R2R สู่การพัฒนา ที่ยั่งยืน” โดยเหตุผลที่มาเน้นในเรื่องของการสร้างวัฒนธรรม R2R นั้น รศ.นพ.เชิดชัย นพมณีจ�ารัสเลิศ รองผู้อ�านวยการโรงพยาบาลศิริราช ด้านบริการผู้ป่วยนอกและพัฒนา คุณภาพ และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาโครงการสนับสนุนการพัฒนางานประจ�าสู่งานวิจัยระดับ ประเทศ บอกว่า “ถ้าเราสามารถสร้างวัฒนธรรม R2R ให้เกิดขึ้นในองค์กรได้ จะท�าให้คนใน องค์กรเกิดการเรียนรู้และเกิดการผลิตผลงานวิจัยดีๆ เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหางานประจ�าได้” ความน่าสนใจของงานประชุมวิชาการ R2R ในปีนี้ จะมีความแตกต่างไปจากปีก่อนๆ คือ การเน้นส่งเสริมสร้างวัฒนธรรม R2R ให้เกิดขึ้นในระดับองค์กร โดยเฉพาะการได้เห็น กลไกก�าหนดนโยบายในภาพรวมอย่างกระทรวงสาธารณสุขกับการปรับบทบาทในเรื่องการ จัดการความรู้ ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับงาน R2R อย่างแยกออกจากกันไม่ได้ รวมไปถึงการเห็น มิติของงาน R2R กับการสร้างเสริมสุขภาพ ที่ส�านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุข ภาพ (สสส.) จะเข้ามาสนับสนุนการขับเคลื่อน R2R ระดับประเทศ
นิยามความหมายของ R2R ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ที่ปรÖกÉาคณะกรรมการด�าเนินงานแผนงานโครงการ R2R ได้อธิบายนิยามของ R2R ว่าคือ การสร้างความรู้จากงานประจ�า โดยการใช้งานวิจัย เปšนเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ แต่เป‡าหมายที่ส�าคัญของ R2R จะไม่ได้อยู่ที่ผลของการวิจัย หากแต่อยู่ที่การพัฒนางานประจ�าให้ดีขÖ้นกว่าเดิมมากกว่า นพ.ประสิทธิì วัฒนาภา รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้กล่าวถÖงแนวคิด R2R ว่า R2R มีรากฐานแนวคิดมาจากการให้ โดยผู้ให้บริการมีความต้องการ ที่จะให้ผู้ป†วยได้รับการบริการที่มีคุณภาพ ด้วยความเคารพ รัก และให้เกียรติ จากนั้นจÖงได้มีกระบวนการร่วมคิด ร่วมคุย ร่วมท�า ก่อนที่จะเริ่มต้นหาองค์ความรู้ และน�าไปสู่ การป¯ิบัติ การทบทวนประสบการณ์ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนมุมมองแนวคิดกับผู้อื่น จนน�าไปสู่การต่อยอดและขยายผลในวงกว้าง “R2R คือ เครื่องมือส�าคัญที่ใช้ในการหาค�าตอบให้กับป˜ญหาในงานประจ�า «Ö่ง R2R จะไม่ใช่งานวิจัยที่«ับ«้อน และไม่ได้ต้องการเงินจ�านวนมากในการท�าวิจัย แต่ว่าการ ท�างานวิจัย R2R จะต้องการเวลาในการขบคิดและทบทวนป˜ญหา เพื่อหาทางแก้ไขและพัฒนางานประจ�าให้ดีขÖ้น”
05
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรÉ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 5
10/3/56 BE 3:10 PM
ทิศทางการจัดการความรู้ - R2R ของ กสธ. จากเวที “ทิศทาง R2R ต่อระบบสาธารณสุขไทย” กระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงออกมา บทบาทออกมาให้เห็นว่าในการปฏิรูปบทบาทกระทรวงในครั้งนี้ จะมีการแสดงบทบาทใหม่ ในประเด็นการสร้างและการจัดการความรู้ ที่ย�้ำว่าจะเป็นหัวใจส�ำคัญของการพัฒนาองค์กร พร้อมได้จัดกลไกมารองรับไว้ด้วยเช่นกัน ผศ.(พิเศษ) ดร.นพ.ธวัชชัย กมลธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เครือข่าย บริการสุขภาพที่ 6 และประธานคณะท�ำงานประเด็นการสร้างและการจัดการความรู้ด้าน สุขภาพ กล่าวว่า ส่วนขาดของการสร้างและการจัดการความรูข้ องกระทรวงฯ ทีผ่ า่ นมาพบว่า การด�ำเนินการบริหารจัดการในแต่ละกรมค่อนข้างเป็นเอกเทศ ขาดความเชื่อมโยงระหว่าง เครือข่ายไปในทิศทางเดียวกัน ขณะที่การด�ำเนินงานเป็นแบบตั้งรับมากกว่าการแก้ปัญหา เชิ ง ระบบทั้ ง ในระยะกลางและระยะยาว ไม่ ไ ด้ เ ป็ น ผู ้ ก�ำ หนดหลั ก การในการวางแผน ยุทธศาสตร์สุขภาพของประเทศอย่างแท้จริง รวมถึงมีข้อจ�ำกัดในการถ่ายทอดให้บุคลากร ทั่วทั้งองค์กรให้มีความเข้าใจ และให้ความส�ำคัญในการจัดการความรู้ เป็นต้น “การปรับบทบาทของกระทรวงฯ จ�ำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างของส�ำนักวิชาการ เพราะวันนีบ้ ทบาทของนักวิชาการทีม่ อี ยูไ่ ม่ได้ทำ� หน้าทีข่ องการจัดการความรูไ้ ด้เต็มทีม่ ากนัก มองว่าส�ำนักวิชาการ ในแต่ละเขตแต่ละภูมิภาคน่าจะเป็น Research Center ในการรวบรวม องค์ความรู้ด้านสาธารณสุข เพราะแต่ละพื้นที่มีองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไป บางแห่งเก่งด้านอนามัยแม่และเด็ก บางแห่งเก่งเรื่องการสกัดสมุนไพร ฯลฯ องค์ความรู้ เหล่านี้ก�ำลังอยู่อย่างกระจัดกระจายตามพื้นที่” เพื่อการปรับบทบาท และโครงสร้างด้านการสร้างและการจัดการความรู้ นพ.ธวัชชัย เสนอว่า ควรจะต้องมีการปรับรูปแบบการท�ำงานในระดับมหภาพ (Functional Change) เพื่อจัดให้มีโครงสร้างสนับสนุนการสร้างและการจัดการความรู้ด้านสุขภาพและงานวิจัย ของกระทรวงสาธารณสุขหน่วยงานกลาง พร้อมกับการผลักดันให้มีการพัฒนาศักยภาพ เป็น Research Center ในภูมิภาค และการส่งเสริมให้ R2R ให้เป็นวัฒนธรรมขององค์กร ในเรื่องของการใช้องค์ความรู้ร่วมกัน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้บุคลากรมีแนวความคิด และทักษะในการวิจัย การเผยแพร่องค์ความรู้ในบุคลกรทุกระดับ เหล่านี้จะเกิดขึ้นหลังจากการปรับบทบาทให้ชัดเจนในอนาคตของกระทรวงในฐานะที่ เป็น national health authority (อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์เส้นทางสู่สุขภาพที่เป็นธรรมและยั่งยืน R2R “ยุคปฏิรูปกระทรวงฯ” เครื่องมือเสริมสมรรถนะบุคลากร สธ. หน้า 08)
ดัน R2R พัฒนางานสร้างเสริมสุขภาพ ในช่วงที่ผ่านมาการวิจัย R2R จะมีผลงานที่เป็นประเด็นการรักษาในสถานพยาบาล เป็นส่วนมาก ดังนั้นในประเด็นการสร้างเสริมสุขภาพที่เป็นผลงานวิจัย R2R จึงถือว่ามีอยู่ ในระดับที่น้อย จึงจ�ำเป็นต้องมีการกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดความรู้ที่เป็น Best Practice มากขึ้น นับเป็นช่วงจังหวะอันดี ที่ ในปีนี้ ทาง สสส. ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุน การขับเคลื่อนงาน R2R อีกเรี่ยวแรงหนึ่ง นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ ผู้อ�ำนวยการ ส�ำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ สสส. กล่าวว่า จริงๆ งาน R2R ถือเป็นเรื่องใหม่
ส�ำหรับ สสส. แต่ทาง สสส. ก็เองเคยด�ำเนินงานในลักษณะ ของการสนั บ สนุ น เรื่ อ งการจั ด การความรู ้ ในระดั บ ชุ ม ชน มาแล้ว จนบางแห่งกลายเป็นองค์กรหรือส�ำนักงานจัดการ ความรู้ เราสนใจ R2R หรือ Routine to Research เพราะเรา มีงานหนึ่งที่เป็นยุทธศาสตร์ คือ การพัฒนาคน โดยเฉพาะ คนที่อยู่ ในรากหญ้า จึงมองว่าคนที่ท�ำงานระดับนี้เล่าเรื่อง เก่งท�ำเรื่องดีๆ เยอะแต่ยังไม่ได้อธิบายให้เป็นวิทยาศาสตร์ ผู ้ ที่ จ ะท� ำ หรื อ น� ำ เอา R2R ไปใช้ ไ ม่ จ� ำ เป็ น ต้ อ งเป็ น เจ้าหน้าที่สาธารณสุข แต่สามารถท�ำได้ในทุกสายวิชาชีพ ปัจจุบัน สสส. มีทีมเครือข่ายพยาบาลชุมชน ที่พยายาม จะแปลง KM ให้กลายเป็น R2R และอยากจะขยายวงการ ท�ำงานให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าบุคลากรทางการแพทย์หรือ นักพัฒนาสังคมทุกคน ควรที่จะมีเครื่องมือเหล่านี้ ไว้ใช้ใน การพัฒนางาน สสส. จึงได้มาส่งเสริม R2R ในเรื่องการ สร้างเสริมสุขภาพเพราะตั้งใจจะน�ำมาเป็นเครื่องมือของนัก สร้างเสริมสุขภาพที่อยู่ ในพื้นที่ปฐมภูมิ เช่น ท�ำกับอ�ำเภอ สุขภาวะต้นแบบ เป็นต้น จึงมองว่า R2R จะช่วยต่อยอด งานตรงนี้ ได้
06
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรษ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 6
10/3/56 BE 3:10 PM
ทิศทางการพัฒนา R2R ในอนาคต
“ยกตัวอย่าง พยาบาล ท�ำงานมา 10 กว่าปี ในห้องคลอด รู้แต่เรื่องการคลอด แต่ไม่เคยสนใจเลยว่าอายุคนคลอดอายุ เท่าไหร่ แต่วันหนึ่งได้มาท�ำงานชุมชน เพื่อมาท�ำเรื่องรับ ฝากครรภ์ จึงได้เห็นเด็กอายุน้อยๆ 18 - 19 มาฝากครรภ์ มากขึ้น จึงศึกษาข้อมูลย้อนไป 5 ปี พบหญิงที่มาท�ำคลอด 800 คน มีอายุต�่ำกว่า 20 ปี จึงสุ่มหาค�ำถามจากหญิงกลุ่ม ดังกล่าว พบว่า กว่าครึ่งเป็นเด็กชาวเขาที่วัฒนธรรมพื้น บ้านจะต้องมีลูกเยอะๆ เพื่อเป็นแรงงานและอีกกว่าครึ่งเป็น เด็กที่ ไม่ตั้งใจคลอด ไม่ตั้งใจมีลูก ขาดความรู้ความเข้าใจ จึงเกิดงานสร้างเสริมสุขภาพ รณรงค์ในการให้ข้อมูลความ รู้ที่ถูกต้องในระดับโรงเรียนขึ้น” ดังนั้น ถ้าเราจะเอาความรู้ R2R จากประสบการณ์ ไปถ่ายทอดให้คนอื่นฟัง รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจะ เกิดได้ง่ายขึ้น อัน นี้เป็นแนวคิดที่ สสส. อยากให้เกิดขึ้น แล้ ว ต้ อ งการให้ น� ำ R2R ไปใช้ กั บ บริ บ ทเพื่ อ การพั ฒ นา โดยเฉพาะคนที่เป็นนักพัฒนาอยู่แล้วสามารถเอาเครื่องมือ ตัวนี้ ไปพัฒนาต่อยอดท�ำให้คนอื่นเข้าใจว่าตัวเองท�ำอะไรอยู่
รศ.นพ.เชิดชัย นพมณีจ�ำรัสเลิศ หัวหน้าทีมที่ปรึกษาโครงการสนับสนุนการพัฒนางาน ประจ�ำสู่งานวิจัยระดับประเทศ ได้กล่าวว่า ภารกิจของเราชัดเจนที่จะสนับสนุนให้เกิดน�ำ แนวคิดของ R2R ไปใช้ในการพัฒนาคน พัฒนางาน และพัฒนาองค์กร สู่การเป็นองค์กร เรียนรู้เพื่อให้เกิดสังคมไทยที่มีสุขภาวะยั่งยืน ฉะนั้น กลยุทธ์ในการขับเคลื่อน R2R มีเนื้อหา สรุปดังต่อไปนี้ 1. ต้องดึงผู้ที่มีความรู้เรื่องการสร้างเสริมสุขภาพและการพัฒนาคุณภาพให้เข้ามามี ส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงาน R2R ซึ่งปัจจุบันมีหลายองค์กรที่ท�ำงานสร้างเสริมสุข ภาพในสถานพยาบาลและระดับพื้นที่ เช่น กระทรวงสาธารณสุข สสส. รวมไปถึง สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) (สรพ.) ที่จะมาช่วยในการ พัฒนาบริการและการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง (CQI) เพื่อบูรณาการแนวคิด R2R ให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบสุขภาพ 2. พัฒนาเครือข่าย R2R ที่มีอยู่ 9 เครือข่ายในตอนนี้ ให้กลายเป็น R2R Learning Center เพื่อให้บุคลากรสาธารณสุขได้เข้ามาเรียนรู้งาน R2R ก่อนที่จะเชื่อมโยง เครือข่ายไปสู่ระดับปฐมภูมิ และอ�ำนวยให้บุคลากรในระดับปฐมภูมิสามารถสร้าง องค์ความรู้เพื่อพัฒนาและต่อยอดงาน KM ให้กลายเป็น R2R ได้ 3. ปรับปรุงเว็บไซต์ R2R ให้กลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ 4. จัดท�ำข้อมูล Best Practice R2R ทัง้ ระบบงานบริการ และงานสร้าง เสริมสุขภาพในแต่ละพื้นที่ 5. เชื่ อ มโยง R2R สู ่ ภ าคี เ ครื อ ข่ าย ด้านสุขภาพต่างๆ เช่น กระทรวง สาธารณสุข สปสช. สสส. สรพ. โรงเรียนแพทย์ เป็นต้น 6. เข้าไปมีส่วนร่วมกับกลุ่มคนพัฒนา คุณภาพสถานพยาบาล (HA) ใน การจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อท�ำให้ผู้ปฏิบัติภายใน สถานพยาบาลทุกระดับ สามารถบูรณาการงาน HA ร่วมกับการท�ำ R2R ได้ 7. ผลิต R2R Journal 8. จัดประกวด Best Practice R2R ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ “ผมอยากเห็นคนไทยมีสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืนจากแนวคิดการสร้างน�ำซ่อมและการ ให้บริการที่มีคุณภาพ และอยากเห็นบุคลากรสาธารณสุขทุกระดับมีมุมมองด้านการสร้าง เสริมสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรในโรงเรียนแพทย์ รวมทั้งอยากเห็นการ ต่อยอดพัฒนางาน R2R ในองค์กรต่างๆ จนกระทั่งองค์กรได้รับการรับรองคุณภาพ สิ่งต่างๆ เหล่านีค้ งจะเกิดขึน้ ไม่ได้ถา้ หากขาดความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย การวางกลยุทธ์ทดี่ ี การให้ input การ Training และการจัดงาน R2R อย่างต่อเนื่อง” รศ.นพ.เชิดชัย กล่าวทิ้งท้าย ในอนาคตข้างหน้า การขับเคลือ่ น R2R จะเป็นไปตามเป้าหมายทีว่ างไว้หรือไม่ ? คงเป็น ค�ำถามที่บุคลากรสาธารณสุขทุกระดับและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทุกองค์กรจะต้องร่วม มือหาค�ำตอบต่อไป เพื่อก้าวสู่ 1 ทศวรรษอย่างมั่นคงและยั่งยืน
07
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรษ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 7
10/3/56 BE 3:10 PM
เ ส้ น ท า ง สู่ สุ ข ภ า พ ที่ เ ปš น ธ ร ร ม แ ล ะ ยั่ ง ยื น
R2R ยุคป¯ิรูปกระทรวงÏ
นั
เครื่องมือเสริมสมรรถนะบุคลากร สธ.
บตั้งแต่มีการจัดการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากงานประจ�า สู่งานวิจัย (R2R) ครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ.2551 เป็นต้นมา แนวคิด R2R ก็ได้ถูกเผยแพร่ออกไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ จน ก่อเกิดผลลัพธ์ที่ดีทั้งในด้านการพัฒนาคนและพัฒนางานด้านสุขภาพให้แก่ ประชาชนมาโดยตลอด “6 ปที่ผ่านมาตั้งแต่ป 2551 สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้จัดเวที R2R เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ของนักวิจัยที่สร้างความรู้จาก งานประจ�า นอกจากนั้นยังได้ขับเคลื่อนสร้างกระแส R2R ให้เป็นที่รู้จัก และยอมรับ มีการประกวดงานวิจัยดีเด่นประเภทต่างๆ มีการจัดท�าเอกสาร เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ R2R เป็นผลให้บุคลากรในระบบสุขภาพมีความรู้
ความเข้าใจ R2R เพิ่มขึ้น ความสับสนลดลง หน่วยบริการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค สนับสนุนบุคลากรให้ท�า R2R เพิ่มขึ้น จนอาจ กล่าวได้ว่า R2R ระบาดไปทั่วประเทศ อย่างไร ก็ตาม สิ่งที่ทาง สวรส. อยากให้เกิดขึ้นคือ วั ฒ นธรรมการใช้ ค วามรู ้ เ พื่ อ การตั ด สิ น ใจ ที่ผ่านมาพบว่า หน่วยบริการสุขภาพหลายๆ แห่ ง น� า ผลวิ จั ย กลั บ ไปพั ฒ นางานประจ� า จนเกิ ด การบริ ก ารที่ ดี ขึ้ น เห็ น ผลลัพธ์ชัดเจน แต่ว่าในหน่วยบริหารอาจจะยังไม่เห็นภาพชัดเจนมากนัก” ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ ผู้จัดการงานวิจัย สวรส. กล่าวเปิดประเด็น
08
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรÉ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 8
10/3/56 BE 3:10 PM
มาในปนี้เป็นปแห่งการ “ปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุข” งานวิจัย R2R ก็ได้ถูกชูให้เข้ามามีบทบาทส�าคัญในการพัฒนาแวดวงสาธารณสุขไทย ผศ.ดร.จรวยพร มองว่า บุคลากรในส�านักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สาธารณสุขอ�าเภอ (สสอ.) โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ./รพท.) โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�าบล (รพ.สต.) ฯลฯ สามารถที่จะท�างานวิจัย R2R ได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะใน ยุคที่กระทรวงสาธารณสุข จะมีการปรับบทบาทสู่การเป็นองค์กรประสาน และบูรณาการให้เกิดเอกภาพทางนโยบายสุขภาพระดับชาติ (National Health Authority) ที่จะสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาสมรรถนะด้านองค์ความ รู้ วิชาการ และการวิจัยจากงานประจ�าของบุคลากรสาธารณสุข ทั้งในส่วน กลางและส่วนภูมิภาค เชื่อว่าเมื่อปฏิรูปกระทรวงแล้ว เขตสุขภาพทั้ง 12 เขต จะมีความเข้มแข็งในการบริหารจัดการความรู้ และสามารถตัดสินใจบน พืน้ ฐานข้อมูล ข้อเท็จจริง และความรูไ้ ด้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจน ส่งเสริมให้เกิดงานวิจัย R2R ได้มากขึ้น โดยทาง ผศ.(พิ เ ศษ) ดร.นพ.ธวั ช ชั ย กมลธรรม ผูต้ รวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายบริการสุขภาพที่ 6 และประธานคณะ ท�างานประเด็นการสร้างและการจัดการความ รู้ด้านสุขภาพ ได้สะท้อนถึงปัญหาที่ผ่านมา ว่า “การจัดการความรู้ของกระทรวงในช่วง ที่ ผ ่ า นมานั้ น ค่ อ นข้ า งจะกระจั ด กระจาย เนื่องจากการด�าเนินการจัดการความรู้ในแต่ละกรมค่อนข้างเป็นเอกเทศ ขาดความเชื่อมโยง รวมไปถึงการติดตามและประเมินผลให้ไปในทิศทาง เดียวกัน” ในการปฏิรูปบทบาทของกระทรวงฯ 12 ด้าน ประเด็นการสร้างและ จัดการความรู้ด้านสุขภาพ จึงเป็นหนึ่งในบทบาทที่กระทรวงให้ความส�าคัญ และถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มต้นเพื่อให้สอดรับกับการเป็น National Health Authority ที่จะสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาสมรรถนะ บุคลากรโดยใช้เครื่องมือ R2R มาเสริม โดยกระทรวงจะมีการปรับบทบาท และโครงสร้างของส�านักวิชาการให้รองรับการสนับสนุนการจัดการความรู้ และส่งเสริมให้บุคลากรมีแนวคิดและทักษะในการวิจัยจากงานประจ�าและ น�าความรู้ที่ได้กลับไปพัฒนางาน/นโยบาย (Research to Practice/Policy) นอกจากนั้นยังเสนอให้ใช้ตัวชี้วัดการจัดการความรู้/R2R ในการพิจารณา ความก้าวหน้าของบุคลากรด้วย ส่วนทางด้าน นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ผูต้ รวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เครือข่าย บริการสุขภาพที่ 8 กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีการ เปลี่ยนแปลงระยะแรกจะเจ็บปวด แต่ระยะ กลางและระยะยาวจะเสมือนดอกไม้แรกแย้ม โดยเฉพาะบุ ค ลากรในระบบราชการที่ อ าจ ไม่เคยชินต่อการเปลี่ยนแปลง ก็จะพบกับการ ปรับตัวช้า การที่กระทรวงจะปฏิรูปจะท�าให้
องค์กรมีบทบาทใหม่ ดังนั้นจึงต้องคิดใหม่เพื่อให้ผลลัพธ์ที่สามารถตอบ สนองความต้องการของสังคมที่เปลี่ยนไป ส�าหรับในมุมของงานวิจัย R2R นพ.สุรเชษฐ์ มองว่านี่คือ ความรู้ที่ ได้ มาจากการสร้างแรงบันดาลใจสารพัดอย่าง และคนหน้างานสามารถท�าได้ ตั้งแต่ระดับล่างขึ้นมา “ความส�าคัญของ R2R คือเครื่องมือที่จะช่วยสร้างเสริมองค์ความรู้ให้ กับบุคลากรสาธารณสุขในทุกๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติทางสังคม พฤติกรรม ศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ศาสนา และปรัชญาชีวิต ซึ่งการศึกษาองค์ความ รู้เหล่านี้ ล้วนมีส่วนช่วยให้บุคลากรสาธารณสุขไทย เข้าใจและใกล้ชิด ประชาชนมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการท�างานที่มีประสิทธิภาพในอนาคต” พญ.ประนอม ค�าเที่ยง สาธารณสุขนิเทศ เครือข่ายบริการสุขภาพที่ 5 กล่าวว่าการน�า R2R ซึ่งเป็น Mini Research มาใช้เป็นกลไกส�าคัญในการ พัฒนาและปรับปรุงงานประจ�านั้น นอกจากจะ ท�าให้เกิดการพัฒนางานแล้ว ยังท�าให้เกิดการ พัฒนาบุคลากรให้มีวิธีคิดที่เป็นระบบมากยิ่ง ขึ้นด้วย และเมื่อมีคนท�า R2R มากขึ้น ระบบ สาธารณสุขไทยก็จะได้รับการพัฒนามากขึ้น ตามล�าดับ เพราะการท�า R2R ไม่ได้เป็นการ สร้ า งองค์ ค วามรู ้ เ รื่ อ งการรั ก ษาพยาบาล สุขภาพของประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่ยัง เป็นการสร้างองค์ความรู้ด้านการพัฒนางานบริหารในระบบสาธารณสุข ด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานบริการ เช่น บุคลากร ใน รพ.สต. หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานบริหาร ใน สสจ. หรือ สสอ. ก็สามารถน�า R2R มาใช้ในการเสริมสร้างสมรรถนะ และพัฒนางานประจ�า ของตนเองให้มีประสิทธิภาพได้ทั้งสิ้น “ที่ส�าคัญ R2R จะช่วยแก้ไขปัญหาที่ซ�้าซากน่าเบื่อในงานประจ�าได้” ในช่วงท้าย พญ.ประนอม ได้ให้ข้อสรุปที่น่าสนใจว่า “แม้ว่าจะมีการ เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากการปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุข แต่ถ้าหากเรามี วัฒนธรรมการท�า R2R เราก็ ไม่จ�าเป็นที่จะต้องกลัวการปฏิรูปกระทรวงฯ อีกต่อไป เพราะการท�า R2R จะช่วยให้เรามีความพร้อมต่อการปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อรับมือกับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ” เมื่อบุคลากรมีความพร้อมต่อการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงตนเองอยู่ เสมอ การท�างานประจ�าที่เคยติดขัดก็จะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นตามไป ด้วย ในวันนี้ R2R จึงมีคุณค่าทั้งต่อบุคลากรที่อยู่หน้างาน และประชาชน ผู้รับบริการทั่วประเทศ เพราะ R2R ได้ช่วยสร้างฐานความรู้ที่น�าไปสู่การ พัฒนางาน ในขณะที่ผู้รับบริการเองก็จะได้รับความสุขจากการบริการที่มี ประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้ คือการน�า R2R มาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน พัฒนา งาน เพื่อสร้างความเป็นธรรมด้านสุขภาพให้กับประชาชน ในยุคแห่งการ ปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งแม้ว่าหนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคและ ความท้าทายรออยู่ แต่เชื่อแน่ว่า R2R จะช่วยให้บุคลากรสาธารณสุขไทย สามารถฟันฝาอุปสรรคและความท้าทายเหล่านั้นไปได้ อย่างแน่นอน
09
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรÉ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 9
10/3/56 BE 3:10 PM
แ ก ะ ก ล่ อ ง ง า น วิ จั ย
ลดอั ต ราการขาดยา แก้ป˜ญหาผู้ป†วยจิตเวชในชุมชน
“
ผมเคยเห็นผู้ป่วยจิตเวชในพื้นที่อื่นเดินไปเดินมาเรื่อยเปอย บางคนก็ ไปเสียชีวิตใน ป่า บางคนก็จมน�้าตาย ส่วนบางรายก็ถูกผูกติดอยู่กับโซ่ตรวน ไม่สามารถออกมาใช้ชีวิต ตามปกติได้ และนั่นท�าให้ผมคิดว่า ท�าอย่างไรเราจึงจะสามารถท�าให้ผู้ป่วยเหล่านี้กลับมา ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป ที่สามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างมีความสุขเหมือนเดิมได้” นี่คือแรงบันดาลใจเริ่มต้นในการท�างานแก้ไขปัญหาผู้ป่วยจิตเวชในชุมชนของ คุณพงศ์ศิลป วิลาชัย พยาบาลวิชาชีพ ศูนย์สุขภาพชุมชนต�าบลบ้านมาง อ�าเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ที่ ได้ท�างานวิจัย R2R ในหัวข้อ “การลดอัตราการขาดยาผู้ปวยจิตเวชด้วย รูปแบบการดูแลแบบเครือข่าย พื้นที่ศูนย์สุขภาพชุมชนต�าบลบ้านมาง อ�าเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา” หลังจากได้รับค�าแนะน�าจาก นพ.อัครินทร์ นิมมานนิตย์ ประธานคณะกรรมการด�าเนินการหน่วยพัฒนา งานประจ�าสู่งานวิจัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล “ก่อนหน้านี้ผมท�างานวิจัยเรื่องการดูแลผู้ป่วยจิตเวชแบบ Chronic care model ส่งประกวดของกระทรวงสาธารณสุข แล้วผมก็ ได้น�าประเด็นงานวิจัยชิ้นนี้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนใน เวที ก ารอบรมคุ ณ อ� า นวยขั้ น เทพ เมื่ อ ช่ ว งเดื อ นเมษายนที่
10
ผ่านมา ซึ่งอาจารย์อัครินทร์ท่านก็ ได้แนะน�าว่า หากจะน�า ประเด็นการดูแลผู้ป่วยจิตเวชนี้มาท�างานวิจัย R2R ก็ควรที่ จะท�าประเด็นให้คมชัดกว่านี้ ผมจึงได้ตัดสินใจท�าประเด็น การลดอัตราการขาดยาในผู้ป่วยจิตเวช เนื่องจากยาเป็น สิ่งที่ส�าคัญที่สุดที่จะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยจิตเวชหายจาก อาการทางจิตได้ หากกินยาตามที่หมอสั่งอย่างถูกต้องและ ครบถ้วน” ย้อนกลับไปในป พ.ศ.2554 ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการท�า กิจกรรมก่อนจะน�าไปสู่การท�างานวิจัย พบว่าช่วงนั้นต�าบล บ้านมาง มีผู้ป่วยจิตเวชทั้งสิ้น 40 กว่าราย และมีผู้ป่วยที่ต้อง ใช้ยาในการรักษาทั้งสิ้น 36 ราย ใน 36 รายนี้มีผู้ป่วยบาง ส่วนที่มีปัญหาการขาดยา เนื่องจากสาเหตุหลัก 4 ประการ คือ 1.กินยาไม่ถูกต้อง 2.ขาดคนดูแลท�าให้ไม่มีคนไปรับยาให้ 3.ผู้ป่วยไม่รอรับยาหลังจากพบแพทย์ และ 4.ผู้ดูแลมีความ เบื่อหน่ายจึงไม่จัดยาให้ผู้ป่วย และด้วยเหตุผลเหล่านี้เองที่ ท�าให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการเยียวยาอาการทางจิตอย่างต่อเนื่อง
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรÉ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 10
10/3/56 BE 3:10 PM
เพื่อแก้ไขปัญหา คุณพงศ์ศิลปจึงได้น�าข้อมูลเหล่านี้ ไป พูดคุยกับหัวหน้าศูนย์สุขภาพชุมชนต�าบลบ้านมาง เพื่อหา ทางออกร่วมกัน จนกระทัง่ ได้แนวคิดทีจ่ ะท�า “คลินกิ ก�าลังใจ” เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเวชในพื้นที่ จากนั้นจึงได้น�าแนวคิด นี้ ไปเสนอต่อผู้อ�านวยการโรงพยาบาล ทีมเภสัชกร และ ทีมจิตเวชของโรงพยาบาลเชียงม่วน เพื่อขอรับยาผู้ป่วย จิตเวชมาจ่ายให้กับผู้ป่วยในชุมชน เนื่องจากเดิมทียาเหล่านี้ จะเป็นยาที่ต้องได้รับการควบคุมเป็นพิเศษ ทาง รพ.สต. หรือศูนย์สุขภาพชุมชนเอง จะไม่สามารถจ่ายยานี้ ได้ แต่ หลังจากที่ ได้ฟังแนวคิดคลินิกก�าลังใจจากคุณพงศ์ศิลปแล้ว โรงพยาบาลเชียงม่วนก็ ได้ให้การสนับสนุนเรื่องการจ่ายยา พร้ อ มทั้ ง สนั บ สนุ น บุ ค ลากร โดยการส่ ง แพทย์ ม าตรวจ ประเมินสุขภาพให้กับผู้ป่วยจิตเวชในระยะเริ่มต้น พร้อมทั้ง ส่งทีมเภสัชกรมาช่วยงานในบางครั้ง “คลินิกก�าลังใจ” ได้เปิดให้บริการที่ศูนย์สุขภาพชุมชน ต�าบลบ้านมาง ทุกวันพฤหัสบดี ที่ 2 หรือ 3 ของทุกเดือน (ในระยะหลั งได้ มี ก ารปรั บ เป็ น ให้ บ ริ ก ารทุ ก ๆ 2 เดื อ น เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้น มาก) โดยในวัน ที่มีคลินิก ก� า ลั ง ใจ ที ม เจ้ า หน้ า ที่ จ ะมี ก ารจั ด กิ จ กรรมสั น ทนาการ กิ จ กรรมตรวจสุ ข ภาพ ชั่ ง น�้ า หนั ก วั ด ความดั น ตรวจ สัญญาณชีพ ซักประวัติ ตรวจเช็คการกินยา จ่ายยา และ ฉีดยาให้กับผู้ป่วย ส่วนในช่วงบ่ายทีมเจ้าหน้าที่จะเข้าไป เยี่ยมบ้านเพื่อฉีดยาให้กับผู้ป่วยจิตเวชที่ ไม่สามารถเดินทาง มาคลินกิ ได้ เนือ่ งจากความพิการ ซึง่ ถ้าหากไม่สามารถเยีย่ ม บ้านผู้ป่วยเหล่านี้ ได้ครบในวันพฤหัสบดี ทีมเจ้าหน้าที่ก็จะ ออกให้บริการเยี่ยมบ้านเพิ่มเติมในวันศุกร์ ส่วนกรณีทผี่ ปู้ ว่ ยกินยาไม่ถกู ต้องตามทีห่ มอสัง่ เจ้าหน้าที่ คลินกิ ก�าลังใจจะแก้ไขปัญหานีโ้ ดยการใช้นวัตกรรม “แผงยา” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มีการจัดยาใส่ถุงพร้อมเขียนวันที่บนถุง ก่อนที่จะเย็บถุงติดกับกระดาษแข็งเรียงกันเป็นแผงเหมือน แผงถั่วที่ขายตามร้านขายของช�า ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงใน การกินยาผิดในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีญาติดูแลเรื่องยา ส่วนผู้ป่วยที่มีญาติดูแล คลินิกก�าลังใจจะให้การอบรม เรื่องผลของการใช้ยา เพื่อให้ญาติผู้ป่วยเกิดความเข้าใจและ สามารถให้ยากับผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามที่ แพทย์สั่ง และในขณะเดียวกันก็จะมีการอบรมให้ความรู้แก่ อสม.สาขาสุขภาพจิต เพื่อช่วยลดภาระงานให้กับเจ้าหน้าที่ และญาติของผู้ป่วยในชุมชน การดูแลผู้ป่วยจิตเวชในชุมชน นอกจากจะมีการดูแล ด้ ว ยคลิ นิ ก ก� า ลั ง ใจ เป็ น การให้ บ ริ ก ารแบบ One stop service แล้ว ยังมีการท�างานวิจัยเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ ข้อมูลการขาดยาในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาจ�านวน 18 ราย ผ่ า นการเยี่ ย มบ้ า น รวมทั้ ง มี ก ารให้ บ ริ ก ารตามแนวคิ ด
Chronic Care Model การจัดท�าคู่มือ สมุดประจ�าตัว ทะเบียนผู้ป่วย การเตรียมความ พร้อมบุคลากรเครือข่าย การขอรับงบประมาณสนับสนุนจากทางท้องถิ่น การบันทึกข้อมูล และการประเมินผลการด�าเนินงานตามหลักการท�างานวิจัย จนกระทั่งได้ผลงานวิจัยออกมา อย่างเป็นรูปธรรม คือ สามารถลดอัตราการขาดยาในผู้ปวยกลุ่มตัวอย่างได้จากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 2.7 ลดอัตราการกลับมารักษาซ�้าด้วยอาการทางจิตก�าเริบจากร้อยละ 19.4 เป็นร้อยละ 2.7 ลดอัตราการนอนรักษาด้วยอาการทางจิตจากร้อยละ 5.6 เป็นร้อยละ 0 นอกจากนี้ยังสามารถท�าให้ผู้ปวยจิตเวชมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากร้อยละ 22.2 เป็น ร้อยละ 55.5 “การท�างานเพื่อให้เกิดความส�าเร็จ เช่นการฉีดยาให้กับผู้ป่วยนั้น เราจะต้องใช้เทคนิค พิเศษในการท�าให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ และเต็มใจยอมฉีดยา อย่างเช่นกรณีของนายเอ (นามสมมุติ) ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตร่วมด้วย ตอนแรกเราจะบอกเขาว่ายาที่จะฉีดนั้น เป็นยาลดความดัน เขาจึงยอมฉีด แต่ในระยะหลังๆ เขาจะเข้ามาหาเราเพื่อให้ฉีดยา โดยที่ เราไม่ต้องใช้เทคนิคใดๆ เลย เพราะเขารู้แล้วว่าการฉีดยาจะท�าให้เขามีอาการทางจิตดีขึ้น ส่วนปัจจัยความส�าเร็จอื่นๆ ก็คือ ความตั้งใจของตัวเราเองและทีมงาน รวมทั้งการสนับสนุน ของผู้บริหารที่เห็นความส�าคัญในการแก้ไขปัญหานี้” นี่ผลส�าเร็จที่เกิดขึ้นจากการพัฒนางานที่คุณพงศ์ศิลป ได้ท�ามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งน�าไปสู่การท�างานวิจัย R2R เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่ท�ามานั้น สามารถลดอัตราการขาดยา และช่วยให้อาการทางจิตและคุณภาพชีวิตของ ผู้ป่วยจิตเวชในชุมชนดีขึ้นได้อย่างแท้จริง และนี่คือสิ่งที่ที่คุณพงศ์ศิลปภาคภูมิใจที่สุด “ภูมิใจกับสิ่งที่เราท�านะ การที่ ได้เห็นผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น เห็นญาติของผู้ป่วยมีความสุข และเห็นภาระงานที่ลดลง มันเป็นเสมือนรางวัลทางใจของเรา มันเป็นสิ่งที่สูงสุดแล้วส�าหรับ คนท�างาน” คุณพงศ์ศิลป กล่าวทิ้งท้าย งานวิจัย R2R หัวข้อ “การลดอัตราการขาดยาผู้ป†วยจิตเวชด้วยรูปแบบการดูแลแบบเครือข่าย พืน้ ทีศ่ นู ย์สขุ ภาพชุมชนต�าบลบ้านมาง อ�าเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา” โดยคุณพงศ์ศลิ ปŠ วิลาชัย และ คณะ ได้รับรางวัลผลงาน R2R ดีเด่น กลุ่มงานบริการระดับปฐมภูมิ ประจ�าปี 2556 จากงานการ ประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากงานประจ�าสู่งานวิจัย (R2R) ครั้งที่ 6 “ร่วมสร้างวัฒนธรรม R2R สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” จัดโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราช พยาบาล และภาคีเครือข่าย R2R
11
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรÉ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 11
10/3/56 BE 3:10 PM
ต้ น ก ล้ า ค ว า ม รู้ สู่ ต้ น แ บ บ สุ ข ภ า พ
»˜
ต้ น แบบ Antibiotics Smart Use ในโรงเรียนแพทย์
ญหาเรื่องเชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะ อันเกิดจากการใช้ยา ปฏิชีวนะพร�่าเพรื่อเกินความจ�าเป็น ถือเป็นปัญหาระดับโลกที่ องค์การอนามัยโลกให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ส่วนในประเทศไทย ผลการวิจัยล่าสุดระบุว่า ในแต่ละปคนไทยติดเชื้อ ดื้อยามากกว่า 100,000 คน และเสียชีวิตเนื่องด้วยสาเหตุแห่งการดื้อยา มากกว่า 30,000 คน เฉลี่ย 100 คนต่อวัน นี่คือวิกฤตทางสุขภาพที่หลาย คนอาจไม่เคยรู้… และข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ โรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์มีการใช้ยา ปฏิชีวนะอย่างไม่สมเหตุผลสูงถึงร้อยละ 30-90 ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการจัดท�าโครงการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสม เหตุผล Antibiotics Smart Use Program (ASU) โดยได้รับการสนับสนุน จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ส�านักงานพัฒนานโยบายสุขภาพ ระหว่างประเทศ ส�านักงานคณะกรรมการอาหารและยา องค์การอนามัย โลก และส�านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสั่งจ่ายยา ปฏิชีวนะของบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งสร้างความเข้าใจเรื่องการใช้ ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลให้กับประชาชน โดยเน้นเรื่องการให้ความรู้ 3 โรครักษาได้ ไม่ตอ้ งใช้ยาปฏิชวี นะ ซึง่ ได้แก่ 1. โรคหวัดเจ็บคอจากเชือ้ ไวรัส ซึ่งมีอาการ น�้ามูกไหล ไอ จาม เจ็บคอ เสียงแหบ และต่อมทอนซิลไม่เป็น ตุ่มหนอง 2. โรคอุจจาระร่วง หรือท้องเสียทั่วไป ที่ไม่ถ่ายเป็นมูกเลือด และ ไม่มี ไข้ 3. แผลสดเลือดออก แผลสะอาด ไม่มีหนอง โดยที่ผ่านมาโครงการ ASU ได้มีการด�าเนินงานร่วมกับโรงพยาบาล ชุมชน รพ.สต. และร้ายขายยาในเครือข่ายมาโดยตลอด แต่ว่ายังไม่มี โรงเรี ย นแพทย์ เ ข้ า มาร่ ว มรณรงค์ ใ นโครงการนี้ จนกระทั่ ง ในเวลาต่ อ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้น�าแนวคิดการท�าโครงการ ASU มา
ใช้ในโรงเรียนแพทย์เป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการใช้ยา ปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในโรงเรียนแพทย์ โดย นพ.อธิรัฐ บุญญาศิริ จาก คณะแพทยศาสตร์ศริ ริ าชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะ ได้ทา� การวิจยั R2R เรือ่ ง “Antibiotics Smart Use (ASU) ทีโ่ รงพยาบาลศิรริ าช” โดยการศึกษา ในระยะเริ่มต้น ได้มีการสืบค้นข้อมูลการใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านจุลชีพ ใน 3 โรคเปาหมาย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - ตุลาคม พ.ศ.2554 พบว่าโรง พยาบาลศิรริ าชมีการใช้ยาปฏิชวี นะในการรักษา โรคหวัดสูงถึงร้อยละ 69-74, อุจาระร่วงร้อยละ 51-85 และแผลสดร้อยละ 87 ตามล�าดับ ถือเป็นสัดส่วน ที่สูงมาก คณะวิจัยจึงได้น�าข้อมูลเหล่านี้ไปเสนอแก่ผู้บริหารจนกระทั่งได้รับ การอนุมัติให้จัดท�าโครงการ ASU ในเวลาต่อมา จากนั้นคณะวิจัยก็ได้จัดการ ประชุมร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแผนการด�าเนินงานและพิจารณาสื่อที่จะ ใช้ในการด�าเนินงานในโรคหวัดและอุจจาระร่วง ส่วนเรื่องแผลสด ที่ประชุม ได้มีข้อสรุป ให้จัดท�างานวิจัยเรื่องนี้เสียก่อน
12
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรÉ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 12
10/3/56 BE 3:10 PM
“ส�ำหรับประเด็นแผลสดจะมีอุปสรรคตรง ที่หน่วยตรวจศัลยศาสตร์อุบัติเหตุบอกว่าไม่ เห็นด้วยกับแนวทางของโครงการ ASU เพราะ เขารู้สึกว่าผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่จ�ำเป็นต้องได้รับ ยาปฏิชีวนะเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ดังนั้นเราจึงต้องมีการท�ำงานวิจัยออกมาเพื่อ ศึกษาว่าแผลของผู้บาดเจ็บที่มารักษาภายใน 6 ชั่วโมงนั้น มีการติดเชื้อมากน้อยแค่ไหน” นพ.อธิรัฐ กล่าว เมื่อได้ข้อสรุปเรื่องการด�ำเนินงานแล้ว คณะวิจัยก็ได้จัดการอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน พ.ศ.2555 เพือ่ ให้ข้อมูลเรื่องโรคหวัดและอุจจาระร่วง จากนั้น จึงได้ตดิ ตามผลการรักษาผูป้ ว่ ยทุกราย หลังจาก เข้ารับการรักษา 3 วัน เพื่อเก็บข้อมูลผลการ รักษา ก่อนที่จะแจ้งผลแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกๆ 1 เดือน ส่วนการวิจัยผู้บาดเจ็บที่มีแผลสดจะ มีการการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียจากแผลผู้บาด เจ็บทุกราย และจะมีการติดตามผลการรักษา ในวันที่ 3 และ 7 หลังการรักษา “ผลจากการศึกษาวิจัย เราพบเชื้อ Group A streptococci ในผู้ป่วยโรคหวัดร้อยละ 3.8 และเชื้อ non-typhoidal Salmonella sp. ใน ผู้ป่วยอุจาระร่วงร้อยละ 14.7 ซึ่งเชื้อเหล่านี้ ผูป้ ว่ ยปกติทวั่ ไปสามารถหายจากอาการได้โดย ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ และผลการรักษาทั้งใน กลุ่มที่ ได้รับยาฆ่าเชื้อและกลุ่มที่ ไม่ได้รับยาฆ่าเชื้อใน 2 โรคนี้ พบว่าอัตรา การหาย ดีขึ้นหรือแย่ลงไม่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่านโยบายของโครงการ ASU ใช้ได้ผลจริง และอัตราการใช้ยาAntibiotics ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยลดลงจาก 70% เหลือน้อยกว่า 20% ส่วนผลการวิจัยเรื่องแผลสดเราพบว่ามีการใช้ยา Antibiotics มากถึง 90% แต่พบว่ามีผู้บาดเจ็บที่ติดเชื้อที่อาจก่อโรคเพียง 7% รวมทั้งพบผู้บาด เจ็บที่ติดเชื้อจากแผลเพียง 4 ราย จาก 330 ราย ดังนั้นการให้ยาฆ่าเชื้อจึง ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ท�ำให้แผลไม่ติดเชื้อ เพราะการดูแลท�ำความสะอาด แผลอย่างดี อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้ผู้บาดเจ็บไม่ติดเชื้อได้เช่นกัน” หลังจากที่ ได้ผลการศึกษาเรื่องการติดเชื้อในแผลสดแล้ว นพ.อธิรัฐ ก็ ได้น�ำผลการศึกษานี้ ไปพูดคุยกับหน่วยตรวจศัลยศาสตร์อุบัติเหตุอีกครั้ง ในครั้งนี้หัวหน้าหน่วยก็ ได้ให้การยอมรับผลการศึกษาและน�ำแนวคิด ASU มาใช้ในที่สุด ส่วนการขยายผลการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในโรคหวัดและ อุจาระร่วงนั้น โรงพยาบาลศิริราชได้น�ำแนวทางนี้ ไปใช้ในทุกๆ OPD และ ได้มีการตรวจสอบข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หลังจากที่ ให้ความรู้แก่แพทย์
ไปแล้ว เพื่อตรวจสอบว่าแพทย์ได้สั่งจ่ายยา ปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลขึ้นหรือไม่ นอกจาก นี้ยังมีการขยายผลไปสู่ผู้ป่วยในโรงพยาบาล โดยได้ มี ก ารให้ ค วามรู ้ แ ก่ ผู ้ ป ่ ว ยในรู ป แบบ ต่างๆ เช่นการพูดคุย และการใช้สื่อแผ่นพับ และโปสเตอร์ เป็นต้น ส่วนการขยายผลในระดับนโยบาย คณะ วิจัยได้น�ำผลงานวิจัยไปเสนอในระดับนโยบาย จนกระทั่งเกิดการก�ำหนดกฎเกณฑ์การจัดสรร เงิน P4P แก่สถานพยาบาล ตัง้ แต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2555 เป็นต้นมา โดยสถานพยาบาลที่มี อัตราการใช้ยาน้อยกว่าร้อยละ 20 จะได้รบั เงิน เต็มจ�ำนวน สถานพยาบาลที่มีอัตราการใช้ยา ร้อยละ 21-40 จะได้รับเงินบางส่วน และสถาน พยาบาลที่มีอัตราการใช้ยามากกว่าร้อยละ 40 จะไม่ได้รับเงินเลย ส�ำหรับปัจจัยความส�ำเร็จในการขับเคลื่อน โครงการนี้ นพ.อธิรฐั ได้เปิดเผยว่า “อันดับแรก ผูบ้ ริหารต้องเห็นด้วยและให้การสนับสนุน อันดับ 2 เราต้องให้ผู้ที่มีอิทธิพล ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ในโรงพยาบาล เป็ น ผู ้ ขั บ เคลื่ อ นโครงการ ซึง่ ทาง รพ.ศิรริ าช จะให้อาจารย์วษิ ณุ ธรรมลิขติ กุล หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ เป็นผู้ขับเคลื่อนหลักในเรื่องนี้ เพราะทุกคนจะ ไม่กังขาในองค์ความรู้ของอาจารย์ และถ้าหาก โรงพยาบาลอื่นจะน�ำแนวคิดนี้ ไปใช้ก็สามารถ ให้หมอที่โรงพยาบาล หรือใครก็ได้ที่ทุกคนให้การยอมรับและเชื่อถือในองค์ ความรู้ ท�ำหน้าที่เป็นผู้ขับเคลื่อน ส่วนเรื่องข้อมูลที่จะใช้ในการอ้างอิงนั้น สามารถน�ำข้อมูลของ รพ.ศิริราชไปใช้ได้เลย” นพ.อธิรัฐ กล่าว ส�ำหรับในวันนี้ งานวิจยั “Antibiotics Smart Use (ASU) ทีโ่ รงพยาบาล ศิริราช” ก็ได้กลายเป็น “ต้นแบบ” ที่ส�ำคัญในการปลูกฝังแนวคิดการใช้ยา ปฏิชวี นะอย่างสมเหตุผลในโรงเรียนแพทย์ ซึง่ ในอนาคตอาจจะมีการต่อยอด และขยายผลออกไปเรื่อยๆ เพื่อขยายเครือข่ายผู้ร่วมต้านวิกฤติเชื้อดื้อยา ที่เป็นภัยเงียบในประเทศไทย ให้ค่อยๆจางหายไปในที่สุด งานวิจัย R2R หัวข้อ “Antibiotics Smart Use (ASU) ที่โรงพยาบาล ศิ ริ ร าช” โดยนพ.อธิ รั ฐ บุ ญ ญาศิ ริ คณะแพทยศาสตร์ ศิ ริ ร าชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะ ได้รับรางวัลผลงาน R2R ดีเด่น กลุ่มงานบริการ ระดับตติยภูมิ ประจ�ำปี 2556 จากงานการประชุมแลกเปลีย่ นเรียนรูจ้ ากงานประจ�ำ สู่งานวิจัย (R2R) ครั้งที่ 6 “ร่วมสร้างวัฒนธรรม R2R สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” จัดโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล และภาคีเครือข่าย R2R
13
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรษ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 13
10/3/56 BE 3:10 PM
เ ป ด ห้ อ ง รั บ แ ข ก
รศ.นพ.เชิดชัย นพมณีจ�ารัสเลิศ
ในมุมมอง การพัฒนา ระบบสาธารณสุขไทย
H
SRI FORUM ฉบั บ นี้ ไ ด้ มี โ อกาสพู ด คุ ย กั บ บุคคลส�าคัญของวงการ R2R ระดับประเทศ “รศ.นพ.เชิ ด ชั ย นพมณี จ� า รั ส เลิ ศ ” รอง ผู้อ�านวยการโรงพยาบาลศิริราช ด้านบริการผู้ป่วยนอกและ พัฒนาคุณภาพ และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาโครงการสนับสนุนการ พัฒนางานประจ�าสู่งานวิจัยระดับประเทศ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับ แนวคิดการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทย ผ่านมุมมองผูเ้ ชีย่ วชาญ ด้านการพัฒนางานประจ�าสู่งานวิจัย (R2R) ระดับประเทศ “สถานการณ์ ข องระบบสาธารณสุ ข ไทยในปั จ จุ บั น มี ทั้ ง ประเด็นทีเ่ ราท�าได้ดแี ล้ว และประเด็นทีเ่ ราต้องร่วมกันปรับปรุง” รศ.นพ.เชิดชัย เปิดประเด็น เรื่องที่เราท�าได้ดีแล้วก็คือ การกระจายสถานบริการทั่ว ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ Primary care จะพบว่า สามารถกระจายได้อย่างครอบคลุมท�าให้ประชาชนสามารถ เข้าถึงได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เรายังมีหลักประกันสุขภาพที่ ครอบคลุมประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเด็น ที่ ได้รับการชื่นชมจากนานาชาติเป็นอย่างมาก ส่วนเรื่องที่ต้องปรับปรุงหรือสิ่งที่เป็นช่องว่างของระบบ สาธารณสุขไทยในตอนนี้ก็คือ ความแตกต่างของสถานพยาบาล และการให้บริการระหว่างชุมชนเมืองกับชุมชนชนบท ซึ่งปัญหา นี้ไม่ได้มีแต่ในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้น ทั่วโลก “สิง่ ควรท�าอย่างเร่งด่วนก็คอื การผลิตบุคลากรทางการแพทย์ ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และเกิดการกระจาย ที่เหมาะสมทุกช่องทาง เพราะว่า ณ ขณะนี้ ประชาชนมีความ ต้องการทางบุคลากรโดยเฉพาะแพทย์และพยาบาลค่อนข้างสูง ทัง้ ในพืน้ ทีเ่ มืองและชนบท ประกอบกับประเทศไทยมีการส่งเสริม เรื่อง Medical tourism และมีการเปด AEC จึงท�าให้เกิดการ เคลื่อนย้ายบุคลากรทางสาธารณสุขไปที่ภาคเอกชนค่อนข้าง มาก ท�าให้บุคลากรทางภาครัฐเกิดความขาดแคลน ไม่เพียงพอ ต่อการให้บริการประชาชน ที่ส�าคัญคืออีก 15 ปข้างหน้า สังคม ไทยจะมีกลุ่มผู้สูงอายุที่มาเข้ารับบริการทางด้านสาธารณสุขเพิ่ม มากขึ้น ดังนั้นการผลิตบุคลากรทางการแพทย์จึงเป็นประเด็น เร่งด่วนที่จ�าเป็นจะต้องวางแผนร่วมกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้ทันต่อ ความต้องการในอนาคต”
14
ภาพจาก : สวสส.
ส่วนการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยให้เข้มแข็ง ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่าง รวดเร็วนัน่ รศ.นพ.เชิดชัย บอกว่า ประเด็นแรก เราต้องพัฒนาบุคลากรก่อน เพราะว่าถ้าหากบุคลากร มีความรู้ความสามารถ และมีศักยภาพ ก็จะสามารถพัฒนางานต่างๆ รวมทั้งสามารถใช้เทคโนโลยี ในการออกแบบกระบวนการ หรือนวัตกรรมการให้บริการต่างๆ ได้ และถ้าเราสามารถน�าหลัก คิดการพัฒนางานประจ�าสู่งานวิจัยกระจายออกไปทั่วระบบสาธารณสุขไทย และท�าให้บุคลากร สาธารณสุขทุกระดับสามารถท�างานวิจัยในงานประจ�าได้ ก็จะท�าให้ระบบสาธารณสุขไทยมี ความเข้มแข็ง เพราะบุคลากรในระบบสาธารณสุขจะเกิดการเรียนรู้ที่จะพัฒนาองค์ความรู้จากงาน ประจ�าของตนเองเพือ่ ต่อยอดการท�างาน แต่ทงั้ นีเ้ ราก็ตอ้ งสร้างระบบสนับสนุน และต้องจัดตัง้ คณะ กรรมการจริยธรรมในมนุษย์ให้ทั่วถึง เพื่อให้บุคลากรสาธารณสุขสามารถที่จะท�างานวิจัยตรงนี้ได้
ประเด็นที่ 2 คือ ต้องพัฒนาระบบเชือ่ มต่อการให้บริการให้ตอ่ เนือ่ งทุกระดับแบบไร้รอยตะเข็บ ตัง้ แต่ระดับปฐมภูมิ ทุตยิ ภูมิ และ ตติยภูมิ โดยเฉพาะเรือ่ งการส่งต่อผูป้ ว่ ยอย่างเหมาะสมและทันท่วงที ในภาวะฉุกเฉิน เราต้องคิดว่าท�าอย่างไรจึงจะสามารถส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องและครบ ถ้วน เพราะการส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนจะท�าให้การบริการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประเด็นที่ 3 คือ ต้องพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์ด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ทั้งนี้ เพื่อให้คนไข้ที่ ไม่สามารถเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญได้ สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญผ่านทางเทคโนโลยี การสื่อสารทางไกลได้ ไม่ว่าจะเป็น Teleconference หรืออะไรต่างๆ ผมคิดว่าถ้าเราสามารถ พัฒนาพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์ด้านเทคโนโลยีการสื่อสารได้อย่างเหมาะสม การบริการ สาธารณสุขของประเทศไทยก็จะสามารถพัฒนาก้าวหน้าได้พอสมควรครับ แม้ว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยจะได้รับค�าชมจากนานาชาติเรื่องการสร้างหลักประกันสุขภาพ ถ้วนหน้า จนได้รับการยกย่องให้เป็นกรณีศึกษาในกลุ่มประเทศก�าลังพัฒนา แต่ทว่าประเทศไทย ก็คงจะต้องเดินหน้าพัฒนาระบบสาธารณสุขต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเสริมเพิ่มใน ส่วนที่ขาดและการต่อยอดในส่วนที่ดี ทั้งหมดนี้ก็คือมุมมองของ รศ.นพ.เชิดชัย นพมณีจ�ารัสเลิศ ในการสะท้อนภาพให้ระบบ สาธารณสุขของไทยเติบโตก้าวไกล และพร้อมน�าพาสุขภาวะที่ดีมาสู่ประชาชนได้มากยิ่งขึ้น
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรÉ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 14
10/3/56 BE 3:10 PM
เกาะกระแส สวรส.
กิจกรรมและความเคลื่อนไหว
สถาบั นวิ จั ย ระบบสาธารณสุ ข (สวรส.) ส�านักงานคณะกรรมการ สุขภาพแห่งชาติ (สช.) และส�านักงาน คณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี แ ละนวั ต กรรมแห่ ง ชาติ (สวทน.) จั ด เวที ป ระชุ ม เชิ ง ปฏิ บั ติ การจัดท�าภาพอนาคตระบบสุขภาพ ไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า เพื่อวาง กรอบและยุ ท ธศาสตร์ ด ้ า นสุ ข ภาพ ของประเทศในทุ ก มิ ติ ท่ี เ ท่ า ทั น ต่ อ สถานการณ์ โดยระดมความคิดเห็น ของผู ้ เ ชี่ ย วชาญสาขาต่ า งๆ ศึ ก ษา แนวโน้ ม และปั จ จั ย ที่ ส ่ ง ผลกระทบ ต่ อ ระบบสุ ข ภาพไทย สกั ด ปั จ จั ย ที่ ส่งผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบต่อ ระบบสุขภาพ โดยเฉพาะปัจจัยที่ ไม่
แน่นอน เช่น การปฏิรูปครั้งใหญ่ของ โครงสร้างทางการเมืองและกฎหมาย ความมั่นคงและความปลอดภัยของ อาหาร การเจรจาการค้าเสรีระหว่าง ประเทศ การรั ก ษาผู ้ ป ่ ว ยที่ พึ่ ง พา เทคโนโลยี ชี ว ภาพทางการแพทย์ เป็นต้น จากนั้นจะมีการก�าหนดเป็น ชื่อภาพอนาคตและจัดท�ารายละเอียด เพื่อให้ผู้ก�าหนดนโยบายทุกภาคส่วน ได้ใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนและ ออกแบบการด�าเนินงาน โดยเฉพาะ คณะกรรมการทบทวนธรรมนู ญ ว่ า ด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ที่จะมีหน้า ที่ปรับปรุงเนื้อหาในธรรมนูญฯ ให้ สอดคล้องกับบริบทของระบบสุขภาพ ต่อไป
ส า ร พั น ช ว น คิ ด ข้อมูล 10 “ไม่” R2R เพื่อให้คน หน้างานเข้าใจ R2R อย่างถ่องแท้ ไม่ 㪋ÃÐàºÕºÇÔ¸ÕÇÔ¨ÑÂãËÁ‹ ไม่ 㪋§Ò¹ÇԨѢÖé¹ËÔé§ à¾ÃÒÐÁÒ¨Ò¡¡Òû¯ÔºÑµÔ·Ø¡Çѹ ไม่ ¨íҡѴ੾Òл˜ÞËÒ·Ò§¤ÅÔ¹Ô¡ ½†ÒÂʹѺʹع¡ç·íÒä´Œ ไม่ ¤ÇÃÁÒà´ÕèÂÇ áµ‹¤ÇÃÁÒ໚¹·ÕÁ ไม่ à¤ÂÁÕ¤ÇÒÁÃÙŒàÃ×èͧÇÔ¨ÑÂÁÒ¡‹Í¹ ¡çàÃÔèÁ·íÒ R2R ä´Œ ไม่ ä´ŒàÃÔèÁ¨Ò¡¤ÇÒÁÍÂÒ¡·íÒÇԨѠᵋàÃÔèÁ¨Ò¡ã¨ ไม่ µŒÍ§àÃÔèÁ´ŒÇ¡ÒÃͺÃÁ ᵋ¤ÇÃàÃÔèÁ¨Ò¡¤íÒ¶ÒÁ㹧ҹ ไม่ µŒÍ§ãªŒ·Ø¹ÇԨѨíҹǹÁÒ¡ ไม่ ä´ŒÇÑ´¨Ò¡¨íҹǹ¼Å§Ò¹ÇԨѠªÕéÇÑ´¤ÇÒÁ¡ŒÒÇ˹ŒÒ ไม่ 㪋§Ò¹ÇԨѪÑé¹Êͧ
สวรส. จัดกิจกรรมอบรมการขับ เคลือ่ นงานวิจยั สูน่ โยบายรุน่ ที่ 2 เพือ่ เพิม่ ศักยภาพแก่นักวิจัยในการขับเคลื่อน งานวิจยั สูน่ โยบาย ซึง่ จะเป็นประโยชน์ ต่อบุคลากรทีเ่ กีย่ วข้องในการน�าความรู้ ไปใช้ ในหัวข้อ “Writing An Effective Policy Brief” มีผู้เข้าร่วมโครงการ จ�านวน 12 ท่าน ที่ รร.สวนสามพราน นครปฐม โดย นพ.พงษ์พสิ ทุ ธิ์ จงอุดมสุข อดีต ผอ.สวรส. เป็น ประธานเปิ ด ในงานมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญประกอบ ด้วย ดร.อรุณรัตน์ ตั้งมั่นคงวรกูล ดร.ชะเอม พัชนี อ.บังอร ฤทธิภกั ดี มา ร่วมบรรยาย ร่วมถึงยังมี นพ. สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ มาแนะน�าความรู้ แนวทางในการขับเคลื่อนนโยบายใน
หัวข้อ “Policy Advocacy” พร้อมรับ ฟังประสบการณ์ตรงจาก ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เรือ่ ง “Effective policy brief: a panel discussion” ที่มา ถ่ายทอดประสบการณ์ในการขับเคลือ่ น การรณรงค์สู่นโยบายเพื่อการไม่สูบ บุหรี่ โครงการนี้ยังได้ให้ผู้เข้าร่วม กิ จ กรรมได้ น� า เสนอผลงานโดยมี Commentator นพ.พงษ์ พิ สุ ท ธิ์ จงอุดมสุข นพ.ภูษิต ประคองสาย พญ.เพชรศรี ศิ ริ นิ รั น ดร์ มาให้ ข้อเสนอแนะ
เ ป ด ชั้ น ห นั ง สื อ / ง า น วิ จั ย บทคัดย่อผลงาน R2R ปี 2556
แนะน�าบทคัดย่อผลงาน R2R ปี 2556 ที่น�าเสนอและได้รับรางวัลจาก เวทีประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากงานประจ�าสู่งานวิจัย ครั้งที่ 6 ร่วมสร้าง วัฒนธรรม R2R สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ผ่านการคัดสรรจากคณะกรรมการ ผูท้ รงคุณวุฒิ ซึง่ จะเป็นแนวคิดทีจ่ ะพัฒนาคุณภาพงานภายใต้ความรับผิดชอบ ของตนเองให้ดีขึ้น | ดาวนโหลดไดทาง http://kb.hsri.or.th/dspace/ handle/11228/3884 การปรับสภาพบ้านเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขÖ้นของคนพิการ
เรี ย บเรี ย งเนื้ อ หาจากงานวิ จั ย “โครงการสนั บ สนุ น การ ออกแบบที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่เอื้อกับคนพิการและผู้สูง อายุ” ที่ลงพื้นที่ท�าการออกแบบปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เอื้อต่อการ ใช้ชีวิตของคนพิการและคนดูแล แนวทางการน�าเสนอสามารถน�า ไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงสภาพบ้านได้จริงพิการ | ดาวนโหลด ไดทาง http://www.sem100library.in.th
15
ผลักดัน - พัฒนา : ก้าวสู่ 1 ทศวรรÉ วิจัย R2R
hsri-july3.indd 15
10/3/56 BE 3:11 PM
ẋ§»˜¹¤ÇÒÁÃÙŒâ´Â ʶҺѹÇÔ¨ÑÂÃкºÊÒ¸ÒóÊØ¢ (ÊÇÃÊ.) ÊÒÁÒö´Òǹ âËÅ´¨ØÅÊÒà HSRI Forum ä´Œ·Õè www.hsri.or.th Êͺ¶ÒÁà¾ÔèÁàµÔÁ ˹‹ÇÂÊ×èÍÊÒäÇÒÁÃÙŒáÅТѺà¤Å×è͹Êѧ¤Á â·Ã 0-2832-9245-6 ʶҺѹÇÔ¨ÑÂÃкºÊÒ¸ÒóÊØ¢ ªÑé¹ 4 ÍÒ¤ÒÃÊØ¢ÀÒ¾áË‹§ªÒµÔ «.ÊÒ¸ÒóÊØ¢ 6 ¶.µÔÇÒ¹¹· 14 µ.µÅÒ´¢ÇÑÞ Í.àÁ×ͧ ¨.¹¹·ºØÃÕ 11000 â·ÃÈѾ· 0-2832-9200 â·ÃÊÒà 0-2832-9201 www.hsri.or.th
hsri-july3.indd 16
10/3/56 BE 3:11 PM