การร้องเพลง (Singing)
การร้องเพลง (Singing) วิศรุต จินดารัตน์ การร้องเพลงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชีวิตของคนมาตั้งแต่โบราณ คนที่ร้องเพลงได้คือคนที่มีความปีติยินดี มีความรื่นเริงเบิกบาน ความคิ ดและการกระทาของเขาเป็นสิ่งดี น่านับถือ พระธรรมสุภาษิต 29:6 “คนชั่วติดกับอยู่ในความทรยศของตน แต่คนชอบธรรมร้องเพลงและเปรมปรีดิ์” การร้องเพลงยังเป็นการผ่อนคลายความเครียดจากภาระปัญหาต่างๆ และเป็นการสร้างความเพลิดเพลินได้อย่างดีด้วย พระธรรม 2 ซามูเอล 19:35 “วันนี้ข้าพระบาทมีอายุแปดสิบปีแล้ว ข้าพระบาทจะสังเกตว่าอะไรเป็นที่พอใจและไม่พอใจได้หรือ ข้าพระบาทจะลิ้มรสอร่อยของสิ่ง ที่กินและดื่มได้หรือ ข้าพระบาทจะฟังเสียงชายหญิงร้องเพลงได้หรือ ทาไมจะให้ข้าพระบาทเป็นภาระเพิ่มแก่พระราชาเจ้านายข้าพระบาทอีกเล่า” มนุษย์รู้จักใช้ดนตรีเพื่อสร้างบรรยากาศของการพักผ่อน สร้างความสนุกสนานรื่นเริง การได้ร้องเพลง การได้ยิ นได้ฟังผู้อื่นขับร้องหรือบรรเลงดนตรีนามาซึ่ง ความสุขและการปล่อยวางจากภารกิจประจาที่ได้ตรากตรามา งานเลี้ยงรื่นเริงสังสรรค์จึงไม่อาจขาดเสียงร้องเพลงและเล่นดนตรีได้ พระธรรมอิสยาห์ 5:12 “เขานาพิณเขาคู่และพิณใหญ่ ขลุ่ยและรามะนา พร้อมกับเหล้าองุ่นมาในงานเลี้ยงของเขา...” การร้องเพลงเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะที่ได้รับเป็นการแสดงออกซึ่งความยินดีและถวายสาธุการแด่พระเป็นเจ้าผู้ทรงกระทาให้ศัตรูหมอบราบและนอบน้อมต่อคน อิสราเอล พระธรรมผู้วินิจฉัย 5:1-3 “แล้วนางเดโบราห์กับบาราดบุตรอาบีโนอัมจึงร้องเพลงในวันนั้นว่า จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า ด้วยว่าบรรดาประมุขได้นาคนอิสราเอล และประชาชนก็สมัครใจช่วย ข้าแต่บรรดากษัตริย์ขอทรงสดับ เจ้านายทั้งหลายขอจงเงี่ยหูฟัง ข้าพเจ้านี่แหละจะร้องเพลงถวายพระเจ้า ข้าพเจ้าจะร้องส่งถวายพระเยโฮ วาห์ พระเจ้าของอิสราเอล” นอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองแล้ว การร้องเพลงยังเป็นวิธีการที่มนุษย์แสดงออกซึ่งการยกย่องสรรเสริญโมทนาขอบพระคุณพระเป็นเจ้าที่ทรงพระกรุณาต่อเขา ดังตัวอย่างจากการที่พระเจ้าทรงช่วยคนอิสราเอลให้ข้ามทะเลแดงอย่างปลอดภัย
พระธรรมอพยพ 15:1-2 “ขณะนั้นโมเสสกับชนชาติอิสราเอลร้องเพลงบทนี้ถวายพระเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะ อย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าลงในทะเล พระเจ้าทรงเป็นผู้พิทักษ์ผู้ออกรบแทนข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้ข้าพเจ้ารอด พระองค์นี่แ หละเป็นพระ เจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกย่องสรรเสริญพระองค์” เมื่อพูดถึงการร้องเพลงสิ่งที่เรามักจะเห็นควบคู่กันไปก็คือการเล่นดนตรีซึ่งเป็นของคู่กันเสมอ ในบางครั้งอาจรวมเอาการเคลื่อนไหวร่ างกายเข้าไปด้วยจึงมีทั้งการ ร้องเพลง การเล่นดนตรี และการเต้นรา พระธรรมอพยพ 15:20-21 “ฝ่ายมิเรียมหญิงผู้เผยพระวจนะพี่สาวของอาโรนก็ถือรามะนา และหญิงทั้งปวงก็ถือรามะนาเดินตาม พร้อมกับเต้นราไปด้วย มิเรียม จึงร้องนาว่าจงร้องเพลงถวายพระเจ้าเถิด เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวดม้าและพลม้าให้ตกลงไปในทะเล” (รามะนา = เครื่องเคาะจังหวะ ชนิดหนึ่งคล้าย tambourine) กษัตริย์ดาวิดทรงโปรดให้มีคณะนักร้องและนักดนตรีเพื่อถวายสรรเสริญพระเป็นเจ้าในพระวิหาร และรับสั่งให้มีผู้ควบคุมวง (conductor) หรือวาทยกรเป็นผู้อา นายการเพลง พระธรรม 1 พงศาวดาร 15:16,22 “ดาวิดได้ทรงบัญชาแก่บรรดาหัวหน้าของคนเลวีให้แต่งตั้งพี่น้องของเขาให้เป็นนักร้องเล่นเครื่องดนตรี มีพิณใหม่ พิณเขาคู่ และฉาบเพื่อทาเสียงดังด้วยความชื่นบาน เคนานิยาห์หัวหน้าของคนเลวีในเรื่องเพลงเป็นผู้อานายการเพลง เพราะเขาเข้าใจดี” ภายใต้การควบคุมวงของผู้อานายการเพลงที่มีความรู้ความเข้าใจในบทเพลงและดนตรี จึงทาให้การนมัสการเป็นที่ถวายพระเกียรติยศแด่พระเจ้าอย่างสมควรยิ่ง การร้องเพลงและการเล่นดนตรีนับเป็นส่วนสาคัญยิ่งในชีวิตคริสตชนเป็นสิ่งที่เราทุกคนจะได้แสดงออกซึ่งความชื่นชมยินดี ความกตัญญูที่มี ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ ทรงพระกรุณาคุณแก่เรา ดังนั้นเสียงร้องเพลงและเสียงดนตรีจึงเป็นเสียงแห่งการสรรเสริญและขอบพระคุณถวายแด่พระองค์ด้วยจิตใจที่สานึกในพระคุณ แ ละเพื่อให้ จาเริญขึ้นในพระคุณความรักของพระเจ้า พระธรรม 1 โครินธ์ 14:26 “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เมื่อท่านมาประชุมกัน บางคนก็มีเพลงสดุดี บางคนมีคาสอน บางคนมีคาวิวรณ์ บางคนพูดภาษาแปลกๆ บาง คนแปลข้อความ ท่านจงกระทาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เขาจาเริญขึ้น” บทเพลงที่ร้องถวายสรรเสริญแด่พระเป็นเจ้านั้นจาเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีเนื้อหาที่มาจากพระวจนะของพระเป็นเจ้า เป็นเนื้อร้องที่ไม่บิดเบือนสัจธรรมของพระองค์แต่ สัตย์ซื่อต่อพระคาของพระเจ้า ผู้ร้องควรร้องด้วยความเข้าใจในความหมายของบทเพลงนั้นไม่ใช่ร้องเพื่อความสนุกสนาน ด้วยการกระทาเช่นนี้ พระเป็นเจ้าจะทรงได้รับพระ เกียรติ และบรรดาผู้ที่ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์จะได้รับการเสริมสร้างในด้านความเชื่อเป็นชีวิตคริสเตียนที่จาเริญขึ้น
พระธรรม 1 โครินธ์ 14:15 “ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าควรจะทาประการใด ข้าพเจ้าจะอธิษฐานด้วยใจและด้วยความคิด และจะร้องเพลงด้วยใจและด้วยความคิด” ดังนั้นการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจึงต้องกระทาด้วยความจริงใจ เป็นเสียงร้องที่มาจากความเข้าใจในเนื้อร้องและทานองของบทเพลง บทเพลงนมัสการพระเจ้าประพันธ์ขึ้นโดยมีพระวจนะเป็นพื้นฐาน (scripture based) ผู้ประพันธ์อาจนาพระคัมภีร์ข้อหนึ่งข้อใดมาแล้วใช้ความสามารถในการเรียง ร้อยถ้อยคาประพันธ์เนื้อเพลงและใส่ทานองที่สอดคล้องกับบทเพลงนั้นๆ ด้วยวิธีเช่นนี้ทาให้บรรดาสมาชิ กคริสตจักรที่ร้องเพลงสามารถจดจาพระวจนะของพระเจ้าที่อยู่ใน บทเพลงนั้นได้ อีกทั้งบทเพลงนมัสการยังได้สรุปสิ่งที่เราเชื่อไว้ในบทเพลงที่ง่ายต่อการทบทวน ดังนั้นเมื่อร้องเพลงนมัสการสรรเสริญพ ระเจ้าจึงทาให้เราได้เรียนรู้ ท่องจา และทบทวนสัจธรรมขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปด้วย ซึ่งบรรดาคริสตจักรในยุคเริ่มแรกก็ได้นาแนวคิดนี้ไปใช้ เราพบความจริงเหล่านี้จากพระวจนะของพระเจ้าที่มีผู้นาไป ประพันธ์เพลงนมัสการมาแล้ว พระธรรมวิวรณ์ 4:11 “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคาสรรเสริญพระเกียรติและฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ก็ได้ทรง สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้วและดารงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์” แม้เราไม่สามารถท่องจาข้อพระคัมภีร์ได้มากนัก แต่การที่เราร้องเพลงนมัสการได้จะทาให้เราสามารถจดจาพระวจนะของพระเจ้าที่อยู่ในบทเพล งที่มีการนามา ประพันธ์โดยมีสัมผัสเสียงและทานองดนตรีทสี่ อดคล้องกันอย่างลงตัวง่ายต่อการจา การร้องเพลงนมัสการจึงทาให้เราได้รับ “พระวจนะที่พกพาติดตัว” (portable scriptures) เรา ไปในทุกที่ทุกเวลา ขอให้ชีวิตของเราเต็มไปด้วยเสียงร้องเพลง สรรเสริญพระเจ้าตลอดไป