แบกกางเขนของตนแล้วตามพระองค์ไป (Take up your cross and follow Jesus)
แบกกางเขนของตนแล้วตามพระองค์ไป (Take up your cross and follow Jesus) วิศรุต จินดารัตน์ พระธรรมมัทธิว 16:24 “พระเยซูจึงตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบก และตามเรามา” พระดารัสขององค์พระเยซูคริสต์ที่ตรัสว่า “รับกางเขนของตนแบกแล้วตามเรามา” เป็นภาษาภาพพจน์ที่บรรดาเหล่าสาวกของพระองค์ฟังแล้วจะเห็นภาพที่พวกโรมันบังคับให้ นักโทษซึ่งเป็นฆาตกรหรือต้องคาพิพากษาให้แบกกางเขนของตนเดินไปตามหนทางที่มุ่งสู่หลักประหาร เป็นหนทางสู่ความทุกข์ทรมานและความตาย หากใครต้องการจะติดตาม พระองค์ไปบนวิถีแห่งกางเขนนี้ผู้นั้นจะต้องทุ่มเท เสียสละอย่างจริงจัง และพร้อมเผชิญกับความทุกข์ยากลาบากโดยไม่หันหลังกลับเพราะเขามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจเลือกด้วย ความแน่วแน่ พระธรรมมัทธิว 10:36 “ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอด จะกลับเสียชีวิต แต่ผู้ที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราก็จะได้ชีวิตรอด” พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ให้สัจธรรมแก่ชีวิตทั้งด้านบวกและด้านลบ เมื่อลุ่มหลงกับอานาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทองในโลกนี้ มากเท่าใดก็จะพบว่าในบั้นปลาย ของชีวิตนั้นก็จะพบแต่ความว่างเปล่าหาแก่นสารสาระไม่ได้มากเท่านั้น แต่เมื่อทิ้งความโลภตะกละตะกลามฝ่ายโลกก็จะทาให้ชีวิตของตนได้ใกล้ชิดติดตามองค์พระเยซูคริสต์มากขึ้น บรรดาผู้ที่แบกกางเขนของตนเองจะต้องมีจิตใจแน่วแน่มั่นคง มีความทุ่มเทเสียสละอย่างที่สุด (total commitment) ทาอย่างจริงจัง ยอมแม้ต้องเผชิญกับความทุ กข์ยากหรือ แม้แต่ชีวิตของตนจึงจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกผู้ติดตามพระองค์ทั้งในด้านการรับมอบฉันทะภาระ (duty) และการได้รับซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรี (glory) ร่วมกับพระองค์ และเป็นผู้นั้นที่ดาเนิน ชีวิตโดยการทรงนาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ “ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา” คนเป็นจานวนมากแสวงหา “การยกโทษ ได้รับการอภัย” ทั้งนี้เขาเชื่อว่าจะทาให้ได้รับความรอด แต่ไม่ปรารถนา “การแบกกางเขน และทนทุกข์ไปกับองค์พระเยซูคริสต์” เขาจึง ได้ชื่อว่าเป็นศาสนิกชนที่นับถือศาสนาคริสต์เท่านั้น ทุกวันอาทิตย์จะมาโบสถ์เพราะรู้สึกอบอุ่นมีคนมากมาย รู้จักทักทายกัน มีความมั่นใจว่าตนเองเป็นคนดีมีคุณธรรม มีศาสนา เหมือนคนอื่นๆ แต่ในการดาเนินชีวิตตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์นั้นหาได้มีอะไรแตกต่างจากชาวโลกไม่ คนประเภทนี้ต้องการเพียงมงกุฎหรื อเกียรติยศ ทรัพย์สมบัติ (crown) แต่ไม่ ต้องการแบกกางเขนแห่งการทนทุกข์ร่วมไปกับพระองค์ (cross) การติดตามองค์พระเยซูคริสต์นั้นพระองค์คือผู้กาหนดเงื่อนไขว่าจะต้องทาเช่นไร ไม่ใช่มนุษย์เป็นผู้กาหนด เราต้องทาตามเงื่อนไข กล่าว คือ “แบกกางเขนของตนและตาม พระองค์ไป” เมื่อพระองค์ยังทรงสภาพมนุษย์ทางานร่วมกับสาวกทรงสอนกล่าวย้าอยู่เสมอถึงการที่ศิษย์ของพระองค์จะต้องรับเอากางเขน (cross) ของตนแบกเสียก่อนพวกเขาจึงจะ ได้รับมงกุฎ (crown) ให้รับเอาการทนทุกข์ก่อน (suffering) จึงจะได้รับเกียรติยศ (glory) นี่คือหลักการสาคัญเป็นหัวใจของความเป็นสาวกที่จะต้องมีการให้ก่อน (giving) จึงจะได้รับ (gaining) ต้องสยบยอมต่อพระเจ้าก่อน (losing) คือยอมเสียสละก่อนจึงจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะ (winning)
คุณลักษณะของความเป็นสาวกแท้ (Characteristics of the true disciple) สาวก (disciple) คือผู้ที่เรียนรู้คาสอนจากองค์พระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่เชื่อฟังและนาคาสอนของพระองค์สู่การปฏิบัติ เหมือนนักเรียนที่เรียนจากครู รับเอาแบบอย่างจากครู ยินยอมทาตามที่ครูพร่าสอน กล่อมเกลา อบรม และมีวินัยตามคาสอน คุณสมบัติของผู้ที่มีความเป็นสาวกแท้นั้น อาจจาแนกได้เป็นสามประการ ดังนี้ ประการแรก : ผู้นั้นต้องวางสิ่งที่ตนเองแบกไว้ลง ต้องปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ตาแหน่งการงาน (to lay something down) องค์พระเยซูทรงตรัสว่า “ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง” (let him deny himself) สิ่งที่เคยยึดถือ พยายามฟาดฟันให้ได้มาเป็นของตนไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความเก่งกล้าสามารถ อานาจยศศักดิ์ ที่เคยแบกไว้ ถือไว้ ต้องวาง ต้องปล่อยมันลงจากบ่าของตน ต้องละ ต้องเลิก และตายจากมันไป ดังจดหมายของท่านอัครทูตเปาโลที่มีไปถึงคริสตจักรในแคว้นกาลาเทีย พระธรรมกาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดาเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดาเนินอยู่ โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” ตัวตนที่เดิมที่เคยแบกความบาปผิดไว้ต้องปล่อยมันลง ให้ตายต่ อบาป คนเดิมที่เป็นคนผิดคนบาปที่เคยมีวิธีคิด วิธีปฏิบัติ ยึดถือลุ่มหลงอยู่ในสิ่งล่อลวงฝ่ายเนื้อหนังต้องวาง ภาระนี้ลง ตายจากคนเดิมที่เดินในทางแห่งความชั่ว พระธรรมโรม 6:11 “ในทานองเดียวกัน พวกท่านจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตติดสนิทกับพระเจ้าโดยพระเยซูคริสต์” การวางหรือปล่อยวางสิ่งที่เคยยึดถือซึ่งเป็นการสะสมไว้สาหรับกายฝ่ายเนื้อหนังนั้น เป็นการปฏิเสธความละโมบ ความอยาก กิเลส ตัณหา อั นเป็นคุณสมบัติที่จาเป็นอย่างยิ่ง ต่อความเป็นสาวกผู้ติดตามพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง ผู้นั้นจึงต้องสละสิ่งที่เคยให้คุณค่าอย่างผิดๆมาแล้ว วางมันลง พระธรรมโรม 13:14 “แต่ท่านทั้งหลายจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้เพื่อสนองตัณหาของเนื้อหนัง” ความเป็นสาวกแท้ผู้เดินในวิถีแห่งกางเขนจึงไม่เป็นผู้ที่มุ่งสะสม กอบโกยเพื่อประดับกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้ นดี แต่เขาคือผู้นั้นที่ปลดปล่อยสิ่งล่อลวงเหล่านี้ลงจากบ่าแห่ง กิเลสของตน ประการที่สอง : ผู้นั้นต้องรับกางเขนแบกบนบ่าของตน (to pick something up) ความเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์นอกจากผู้นั้นจะต้องปลดปล่อยความต้องการในสิ่งจอมปลอมฝ่ายเนื้อหนังลงแล้ว เขาผู้ นั้นยังต้องก้มลงหยิบหรือจับและรับเอากางเขน ขึ้นแบกไว้บนบ่าของตน เป็นพันธะที่ทรงมอบหมายให้กระทา รับเอาน้าใจแห่งการรับใช้ การปรนนิบัติผู้อื่นจากองค์พระเยซูคริสต์ผู้ได้วางแบบอย่างไว้แล้ว พระธรรมมัทธิว 11:29 “จงเอาแอกของเราแบกไว้แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก”
การเรียนรู้อย่างเดียวไม่เพียงพอต่อความเป็นสาวกจะต้องมีการปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย มีการกระทาเกิดขึ้น ต้องสยบยอมทาตามน้าพระทัยพระเจ้า เช่นเดียวกับองค์พระเยซู คริสต์ที่ทรงอธิษฐานในสวนเกทเสมนี พระธรรมลูกา 22:42 “ข้าแต่พระบิดา ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตาม พระทัยของพระองค์” องค์พระเยซูคริสต์ทรงรับกางเขนของพระองค์ไว้แล้วแบกสู่หลักประหาร นี่คือวิถีแห่งกางเขนซึ่งคนในสมัยนั้นเคยเห็น พวกโรมันใช้กับนักโทษประหาร หากพวกเขาปรารถนาใน ความเป็นสาวกแท้ ผู้นั้นต้องแบกกางเขนของเขาไว้บนบ่า พร้อมเสมอสาหรับความทุกข์ยากใดๆที่จะมาถึง ประการสุดท้าย : ผู้นั้นต้องติดตามพระองค์ไป (to live something out) บรรดาผู้ที่เป็นสาวกแท้จะต้องดาเนินชีวิตติดตามรอยพระบาทพระองค์ไปตลอดวันคืนแห่งชีวิตของเขา ไม่หันเหไปจากทางของพระองค์ เมื่อปล่อยวางความต้องการฝ่ายเนื้อ หนังและรับเอากางเขนแบกไว้ เขาผู้นั้น จะต้องติดตาม (follow) พระองค์ไป ไม่ว่าทางนั้นจะนาสู่สวนเกทเสมนีหรือโกลโกธาก็ตาม การดาเนินชีวิตของเขาจะต้องสอดคล้องกั บ แบบอย่างที่พระองค์ได้ทรงวางไว้ ยอมรับเอาพระองค์เป็นต้นแบบ และติดตามไปในทุกย่างก้าวของชีวิต พระธรรมฟีลิปปี 2:5-8 “ท่านจงมีน้าใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกาเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่ง ความมรณาที่กางเขน” นี่คือความเป็นสาวกแท้ที่ปฏิเสธตนเองและรับเอาแบบอย่างของพระองค์มาทาตาม คื อปล่อยหรือปลดปล่อยภาระนั้นลง หยิบหรือแบกกางเขนไว้บนบ่า แล้วติดตามพระองค์ ไปจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิตบนวิถีแห่งกางเขน พระธรรมยอห์น 12:25-26 “ผู้ใดที่รักชีวิตของตนก็ต้องเสียชีวิต และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ก็จะธารงชีวิตนั้นไว้นิรันดร์ ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา ผู้นั้นก็ ต้องตามเรามา และเรา อยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น”