อย่าแขวนพิณเลย by (Misty Chorus Faith Mission)

Page 1

อย่าแขวนพิณเลย (Don’t hang up your harp)


อย่าแขวนพิณเลย (Don’t hang up your harp) วิศรุต จินดารัตน์ “ณ ริมฝั่งน้​้าบาบิโลน เรานั่งลง เมื่อได้ระลึกถึงศิโยนเราก็ร่้าไห้ เราแขวนพิณเขาคู่ของเราไว้ที่ต้นไค้ เพราะที่นั่นผู้ที่น้าไปเป็นเชลยต้องการให้เราร้องเพลง และผู้ที่มัดพาเราต้องการให้สนุกสนาน เขาว่า จงร้อง เพลงศิโยนสักบทหนึ่งให้เราฟัง เราจะร้องเพลงของพระเจ้าได้อย่างไรในแผ่นดินต่างด้าว เยรูซาเล็มเอ๋ย ถ้า ข้าพเจ้าลืมเธอ ก็ขอให้มือขวาของข้าพเจ้าลืมฝีมือการเล่นพิณเสีย ขอให้ลิ้นของข้าพเจ้าเกาะติดเพดานปาก ของข้าพเจ้าถ้าหากว่าข้าพเจ้าไม่ระลึกถึงเธอ ถ้าว่าข้าพเจ้ าไม่ได้ตั้งเยรูซาเล็มไว้เหนือความชื่นบานอันสูง ที่สุดของข้าพเจ้า” พระธรรมสดุดี 137:1-6 ไม่ปรากฏชื่อผู้เขียน แม้เป็นบุคคลนิรนามแต่ก็พอสันนิษฐานได้ว่าเขาอาจ เคยเป็นนักดนตรีหรือนักร้องในพระวิหารแห่งกรุงเยรูซาเล็มมาก่อน เมื่อถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยยังกรุงบา บิโลนจึงได้น้าพิณเขาคู่ติดตัวไปด้วย ผู้เขียนพระธรรมสดุดีบทนี้ได้สะท้อนความรู้สึกเจ็บปวด ขมขื่น จาก ส่วนลึกของจิตใจของชนชาติที่เคยเป็นเอกราช เคยภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของตน เคยยิ่งใหญ่เกรียง ไกรเป็นศูนย์รวมความเจริญทั้งด้านวัตถุและด้านจิตใจ เวลานี้ประเทศชาติ ที่เคยเป็นไทนั้นถูกศัตรูรุกราน ถูกท้าลาย พินาศย่อยยับ บ้านเรือนถูกปล้นสะดม พระวิหารของพระเจ้าซึ่งสร้างขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ เป็น สง่าราศีในสมัยกษัตริย์ซาโลมอนถูกเผาท้าลายด้วยน้​้ามือของอาณาจักรบาบิโลน ผู้คนถูกล่ามโซ่กวาดต้อน ไปเป็นเชลยยังเมืองของผู้รุกราน ศัตรูได้ข่มเหงบีบบังคับให้พวกเขาร้องเพลงโดยเจาะจงให้ร้องเพลงที่เคยร้องสรรเสริญพระเจ้าใน วิหารแห่งกรุงเยรูซาเล็มให้บรรดาผู้ที่ข่มเหงฟังเพื่อความบันเทิง ค้าถามที่พวกอิสราเอลต้องถามตนเองใน เวลานี้ก็คือ “เราจะร้องเพลงของพระเจ้าได้อย่างไรในสภาพการเช่นนี้ ” ค้าตอบก็คือ “ไม่มีอารมณ์ ไม่รู้สึก ไม่มีจิตใจที่จะร้อง” ยิ่งขณะนี้ก้าลังตกอยู่ในฐานะเชลย ถูกจ้าจอง ถูกเยาะเย้ยถากถางจากค้าขอของศัตรู ที่ว่า “ร้องเพลงพระเจ้าของท่านให้เราฟังเพื่อความสนุกสนานสักบทสิ ” อารมณ์ความรู้สึกขมขื่นเจ็บปวดที่ ได้รับจากค้าพูดเย้ยหยันล้อเลียนครั้งนี้น่าจะฉีก ท้าลายชีวิตเขาได้ ดังนั้นแทนการตอบสนองต่อค้าพูดของ ศัตรู ผู้เขียนพระธรรมสดุดีบทนี้เลือกที่จะเงียบซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้ ท่ามกลางศัตรูผู้ไม่เชื่อใน พระเจ้า และตกอยู่ในสภาพเชลยสงครามในแผ่นดินของคนต่างด้าว สิ้นหวังหมดหนทาง การแขวนพิณเขา คู่ที่เคยเป็นเครื่องดนตรีคู่ชีพไว้ที่ต้นไค้จึงเป็นการตัดสินใจที่คิดว่าน่าจะถูกต้องแล้ว เพราะในฐานะเชลย เครื่องดนตรีชนิดใดก็ไม่มีความจ้าเป็นที่จะต้องน้ามาร้องบรรเลง พระธรรมอิสยาห์ 24:8-10 “เสียงสนุกสนานของร้ามะนาก็เงียบ เสียงของผู้เบิกบานก็เงียบ เขา ไม่ดื่มเหล้าองุ่นพร้อมกับร้องเพลงอีก เมรัยเป็นของขมแก่ผู้ที่ดื่ม เมืองที่จลาจลแตกหักเสียแล้ว บ้านทุกหลัง ก็ปิดหมดไม่ให้ใครเข้าไป”


พวกบาบิโลนได้กวาดต้อนชนชาติอิสราเอลไปเป็นเชลยยังเมืองของเขา ศัตรูพยายามยั่วยุ เยาะเย้ย อย่างตลกขบขัน โดยขอให้ร้องเพลงแห่งศิโยนสักบทหนึ่งให้ฟังเพื่อความเพลิดเพลินแก่ศัตรู ถือเป็นค้าพูดที่ ป่าเถื่อน หยาบช้ามาก เพราะบทเพลงแห่งศิโยนเป็นเพลงส้าหรับร้องถวายแด่พระเป็นเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด ถือเป็นบทเพลงศักดิ์สิทธิ์หาใช่เพลงเพื่อสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินแก่บรรดาคนชาติที่บูชารูปเคารพ ไม่ นี่คือค้าล้อเลียนเย้ยหยันของศัตรู นับเป็นจุดตกต่้าที่สุดในชีวิตของชนชาติที่เคยเป็นอิสระ เป็นความอัปยศอดสู ปากของชนชาติที่ เคยร้องเพลงนมัสการเพื่อสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างไพเราะเพราะพริ้งแต่ต้องนิ่งเงียบเพื่อฟังค้าถากถางจาก ศัตรู ความรู้สึ ก ปวดร้ าวจะมี ม ากสั ก เพียงใด.. แต่ เราขอบพระคุณ พระเป็นเจ้ า เมื่ ออ่า นพระวจนะของ พระองค์ตอนนี้ท้าให้เ ราได้พบความจริง ว่า ผู้เขียนพระธรรมสดุดี 137:1-6 ไม่ไ ด้พูดว่าที่ร้องเพลงไม่ไ ด้ เพราะมีอารมณ์เศร้าหมองหรือลมบ่จอย แต่ที่ท้าไม่ได้อย่างเด็ดขาดก็เพราะเป็น บทเพลงของพระเจ้า (the Lord’s song) ที่มีไว้สาหรับพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ดังนั้น การแขวนพิณไว้จึงเป็นอารยะขัด ขืนของนักดนตรีผู้นี้ที่มีต่อศัตรูผู้หยาบช้า “เราจะร้องเพลงของพระเจ้าได้อย่างไรในแผ่นดินต่างด้าว” พระธรรมสดุดี 137:4 ที่ฟังดูเหมือนเป็น ค้าถามที่ผู้เขียนถามตนเอง เป็นค้าถามที่มาจากความรู้สึกปวดร้าว เศร้าหมองในฐานะเชลยศึก เป็นค้าถาม ที่ถูกกดดัน มาจากอารมณ์ขันล้อเลียนถากถางของศัตรูผู้บีบบังคับ แต่เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบก็อาจ ถอดบทเรียนและบทสรุปเป็นค้าร้องขอต่อราทุกคนทุกคนว่า “อย่าแขวนพิณเลยนะ ขอร้อง” ซึ่งในค้าขอร้อง นั้นมีค้าว่า “อย่า” อยู่สามประการดังนี้ ประการแรก : อย่าเลิกเล่นดนตรี (Don’t stop playing music) พระธรรมสดุดี 137:2 “เราแขวนพิณเขาคู่ของเราไว้ที่ต้นไค้” (We hung up our harps) ผู้เขียนพระธรรมสดุดีบทนี้ให้เราเห็นภาพของนักดนตรีคนนั้นที่นั่งอยู่ริมฝั่งแม่น้าแห่งบาบิโลน คือ แม่น้าไทกรีสและยูเฟรติส (The Tigris and Euphrates Rivers) ใต้ร่มต้นไค้ แววตาหมดหวังทั้งอับอาย พ่ายแพ้ คอตก ความหดหู่ ซึมเศร้าครอบคลุมจิตใจ ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม เขาตัดสินใจแขวนพิณเขาคู่ ที่เคยเป็นเครื่องดนตรีส้าหรับการนมัสการพระเจ้าไว้กับกิ่งไม้ นี่คือชีวิตของนักดนตรีที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาท ส้าคัญยิ่งในการบรรเลงบทเพลงเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าสูงสุด เวลานี้ต้องมานั่งร้องไห้เมื่อคิดถึงพระ วิหารที่เคยโดดเด่นเป็นสง่า แต่ถูกท้าลายย่อยยับไป ความเจ็บปวดรวดร้าวจากความสูญเสียในครั้งนั้นยัง กัดกินใจคนแม้วันเวลาผ่านไปจนถึงการเริ่มสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ในครั้งที่สอง พระธรรมเอสรา 3:12 “...แต่ปุโรหิตและคนเลวีและหัวหน้าตระกูลเป็นอันมาก คือคนแก่ผู้ได้เห็น พระวิหารหลังก่อน เมื่อเขาเห็นรากฐานของพระวิหารหลังนี้ได้วางแล้วได้ร้องไห้ด้วยเสียงดัง...” แม้ความเจ็บปวดรวดร้าวในเวลานี้จะมีมากสักเพียงใด แต่บทเรียนจากพระวจนะของพระเป็ นเจ้า นั้นเตือนเราทุกคนว่า “อย่าเลิกเล่น หรืออย่าหยุดเล่นดนตรีเลย” เพราะว่าสักวันหนึ่งเราจะมีโอกาสกลับมา เล่นและบรรเลงดนตรีอีก แม้ว่าขณะนี้ถูกกวาดต้อนเป็นเชลย ถูกคุมขัง ถูกโซ่ตรวน แต่บรรดาคนอิสราเอล


เหล่านั้นได้แบกพิณเขาคู่ของเขาติดตัวไปด้วย แม้บ้านเรือนถูกปล้น ถูกท้าลาย ถูกกวาดต้อนไปยังแผ่นดิน ของศัตรู เขายังมีความหวังว่าจะมีโอกาสได้กลับมาเล่นดนตรียังแผ่นดินเกิดอีกครั้ง จะได้เล่นบทเพลงแห่งศิ โยนเพื่อถวายสาธุการแด่พระเจ้าอีกในวันหนึ่งข้างหน้า ตลอดการเดินทางที่แสนระทมทุกข์ ถูกล้อเลียนด้วยค้าพูดถากถางถึงพระนามของพระเป็นเจ้าจาก ศัตรูผู้รุกรานจนเขาต้องแขวนเครื่องดนตรีไว้กับต้นไค้ แต่พี่น้องที่รัก สิ่งที่เราเห็นก็คือ ชนชาติอิสราเอล ไม่ ไ ด้ ทุบ ทาลายเครื่ องดนตรีข องเขาเหมื อ นนั กดนตรี บ้าๆบอๆที่ทุ บท้า ลายกีต าร์ใ นงานคอนเสิร์ ต เพียงแต่แขวนมันไว้ ยังไม่เลิกเล่น เวลานี้ยัง “บ่ม่วนใจ๋” “ลมบ่จอย” สักวันหนึ่งจะกลับมาเล่นดนตรีอีก แน่นอน เสียงดนตรีแห่งการสรรเสริญจะต้องไม่ขาดหายไปจากชีวิตของคริสเตียนผู้มีความเชื่อและไว้วางใจ ในพระเจ้า ความทุกข์ยากล้าบากอาจเข้ามาทดสอบความเข้มแข็งอดทนของเรา เราอาจท้อใจได้ อาจจะ แขวนเครื่องดนตรีไว้ชั่วคราว แต่เราจะไม่เลิกเล่นมันแน่นอน เสียงดนตรีอาจเงียบหายไปสักระยะ หนึ่ง ชนชาติอิสราเอลไม่ปิดประตูตายแต่รอคอยวาระที่จะได้กลับมาเล่นดนตรีอีก พระเป็นเจ้าทรงเปิด ประตูพระวิหารเพื่อให้เราได้กลับไปเล่นดนตรีแห่งชีวิตถวายสาธุการแด่พระองค์อี กครั้ง เหมือนดังที่กษัตริย์ ซาโลมอนได้เขียนถ้อยค้าแห่งปัญญาไว้แล้วซึ่งปรากฏใน พระธรรมปัญญาจารย์ 3:1,4 “มีฤดูกาล้าหรับทุกสิ่ง และมีวาระส้าหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ ฟ้าสวรรค์ มีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นร้า” พี่น้องที่รักในพระคริสต์ เวลานี้อาจเป็นวาระร้องไห้ หมดก้าลังใจ ท้อแท้ ถดถอย ผิดหวัง แต่พระ วจนะของพระเจ้าหนุนใจท่านว่า จะมีวาระที่ท่านได้หัวเราะได้กลับมาเต้นร้า และได้กลับมาเล่นดนตรีอีก ดังนั้น “อย่าเลิกเล่นดนตรี อย่าแขวนเครื่องดนตรีไว้ชั่วนิรันดร” หรือทุบท้าลายมัน แม้บางครั้งขณะที่ น้​้าตาตกในมีความทุกข์ใจ มีความเจ็บป่วยรุมเร้า เราก็ยังต้องท้าหน้าที่เล่นดนตรีต่อไป อย่าเลิกเล่นดนตรี เลยเพราะในวาระของพระเจ้านั้น พระองค์จะทรงกระท้าให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน... (พระธรรม ปัญญาจารย์ 3:11) ประการที่สอง : “อย่าเลิกร้องเพลง” (Don’t stop singing) พระธรรมสดุดี 137:4 “เราจะร้องเพลงของพระเจ้าได้อย่างไรที่ในแผ่นดินต่างด้าว” (How shall we sing the Lord’s song in a strange land?) นี่คือค้าถามที่ชนชาติอิสราเอลพูดกับตัวเขาเองต่อค้าร้องขอแถมเย้ยหยันจากศัตรูที่ล้อเลียนอย่าง ขบขันว่า “ร้องเพลงศิโยนสักบทหนึ่งให้เราฟังสิ” เป็นค้าขอที่หยาบคายยิ่ง เราจะร้องเพลงของพระเจ้าได้ หรือขณะที่ถูกพันธนาการ ถูกกวาดต้อนจากบ้านเกิดเมืองนอน แล้วยังถูกล้อเลียนโดยการให้ร้องเพลงที่ ไม่ใช่บทเพลงของชาวยิว แต่เป็นบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องร้องถวายพระองค์เท่านั้น (the Lord’s song) แล้ว


ยังจะให้ร้องในแผ่นดินของศัตรูเพื่อความตลกขบขัน เรียกเสียงหัวเราะแก่พวกที่เป็นศัตรูกับพระเจ้าอย่าง นัน้ หรือ ชนชาติอสิ ราเอลตอบสนองต่อค้าถากถางด้วยการนิง่ เงียบ ไม่ตอบโต้ แต่ไม่รอ้ ง การปฏิเสธไม่ร้องบทเพลงของพระเจ้าในแผ่นดินต่างด้าว เพื่อความบันเทิงเริงรมย์ของคนที่ป่า เถื่อนเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่า เขาปฏิเสธที่จะไม่ร้องหรือเลิกร้องเพลงนั้นอีกชั่วชีวิต เป็นเพียง การปฏิเสธที่จะไม่ร้องในสถานที่ซึ่งไม่สมควร หรือเพื่อความบันเทิงของศัตรูผู้เยาะเย้ยต่างหาก ชีวิตคริส เตียนจะขาดเสียงเพลงแห่งการสรรเสริญที่เปล่งออกมาจากจิตใจของบรรดาผู้เชื่อหาได้ไม่ การร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าแสดงถึงการมีชีวิตอยู่ของคนหรือคริสตจักรนั้น และคริสตจักรที่มี ชีวิตอยู่ย่อมสามารถท้าพันธกิจที่ได้รับมอบหมายส้าเร็จ ผู้ที่ร้องเพลงได้ย่อมแสดงถึงความปีติยินดีและ สัมพันธภาพที่เขามีกับองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเราร้ องเพลงสรรเสริญพระองค์คนทั้งหลายก็จะเห็นความ ยิ่งใหญ่ของพระองค์ เมื่อศัตรูเยาะเย้ยถากถางชนชาติอิสราเอลให้ร้องเพลง เขายิ่งเงียบ แต่ไม่ได้บอกว่า จะเลิกร้อง การนิ่งเฉยถือเป็นการขัดขืนและต่อต้านผู้ที่ออกค้าสั่งนั้น และการนิ่งเฉยของเขาจึงเป็นชัย ชนะที่ศัตรูไม่อาจทาลายได้ การที่เขาไม่สามารถร้องเพลงได้ก็เพราะความปีติยินดีของเขาถูกท้าลาย ถูก พันธนาการเยี่ยงทาส การเป็นทาสท้าให้มือและปากของเขาเป็นอัมพาตชั่วคราว ในท่ามกลางความหดหู่สิ้นหวัง พระวจนะของพระเป็นเจ้าได้หนุนใจเราให้มีความหวัง ก้าลังใจ ไม่ เลิกการร้องเพลง พระธรรมเนหมีย์ 8:10 “...อย่าโศกเศร้าเลย เพราะความชื่นบานของตนในพระเจ้าเป็นก้าลังของ ท่าน...” การร้องเพลงช่วยเสริมสร้างให้เกิดความชื่นชมยินดีในพระเจ้า “อย่าเลิกร้องเพลงเลย” ประการสุดท้าย : “อย่าลืมพระเป็นเจ้า” (Don’t forget your God) “อย่าลืม” เป็นค้าเตือนที่ต้องจ้าใส่ใจ ต้องระลึก ต้องคิดถึงอยู่เสมอ เมื่อไม่จ้าก็จะลืม และผลของ การลืมนั้นน้ามาซึ่งการทรยศ พระธรรมสดุดี 106:7 “บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย เมื่อท่านอยู่ในอียิปต์ท่านมิได้สนใจใน การอัศจรรย์ของพระองค์ ท่านมิได้ระลึกถึงความมั่นคงอันอุดมของพระองค์ แต่ได้กบฏที่ทะเล ที่ ทะเลแดง” กษัตริย์ดาวิดจึงเตือนประชากรของพระองค์ไม่ให้ลืมพระราชกิจอันมีพระคุณของพระเป็นเจ้า พระธรรมสดุดี 103:2 “จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และอย่าลืมพระราชกิจอันมี พระคุณทั้งสิ้นของพระองค์” ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด สุขหรือทุกข์ “อย่าเลิกเล่นดนตรี” และ “อย่าเลิกร้องเพลง” พระธรรมสดุดี 137:5-6 “เยรูซาเล็มเอ๋ย ถ้าข้าพเจ้าลืมเธอ ก็ขอให้มือขวาของข้าพเจ้าลืมฝีมือ เสีย ขอให้ลิ้นของข้าพเจ้าเกาะติดเพดานปากข้าพเจ้า ถ้าว่าข้าพเจ้าไม่ระลึกถึงเธอ”


ผู้เขียนพระธรรมสดุดีบทนี้ถึงกับสาบานว่าเขาจะจดจ้าและหวงแหนเยรูซาเล็มตลอดไป หากวันใด เขาลืม ก็ขอให้มือของเขา ไม่สามารถดีดพิณเขาคู่นั้นได้อีก (ส้าหรับนักดนตรีแล้วการที่นิ้วกระด้างไม่อาจ เคลื่อนไหวหรือเล่นดนตรีได้อีกนั้น แทบตายทั้งเป็น) หรือหากวันใดเขาลืม ก็ขอให้ลิ้นของเขากระด้างติด เพดานปาก ไม่สามารถร้องเพลงได้ ดังนั้นเขาจะไม่มีวันลืมเยรูซาเล็มสถานที่เขาเชื่อว่าพระเป็นเจ้าทรงสถิต อยู่ที่นั่นได้ แม้เวลานี้เขาจะแขวนพิณเขาคู่ของเขาไว้ที่ต้นไค้ ไม่ได้ดีดนิ้วเล่นบนสายพิณ แต่เขาก็ยังไม่ลืมวิธี เล่นเครื่องดนตรีชิ้นนี้ แม้กรุงเยรูซาเล็มจะถูกท้าลายย่อยยับไปแต่เขาก็จะไม่ลืมความสุข ความชื่นชม ยินดีที่เคยได้รับ นี่คือค้าสัญญาของผู้เขียนพระธรรมสดุดีบทนี้ที่จะจดจ้ากรุงเยรูซาเล็มตลอดไป น่าเสียดาย เป็นอย่างยิ่งที่เขาจดจาในสิ่งที่ผิด เขาเลือกระลึกถึงกรุงเยรูซาเล็มแต่ ลืมที่จะจดจาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ ทรงกระท้าพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นแก่ชีวิตของเขาจนน้ามาซึ่งการเป็นกบฏต่อพระองค์ การที่เขาต้อง เป็นเชลยก็เพราะเขาปฏิเสธที่จะจดจ้าและระลึกถึงพระคุณของพระเจ้า เขาจึงลืมพระองค์ในที่สุด บางช่วงเวลาในชีวิตที่เราอาจแขวนพิณไว้ เพราะหมดก้าลังใจ หมดเรี่ยวแรง ท้อถอย ไม่อยากเล่น ดนตรี ไม่อยากร้องเพลง แต่ให้ระลึกเสมอว่าหากเราไม่ลืมพระคุณของพระเจ้าเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายผ่าน ไป พระองค์จะเสริมเรี่ยวแรงให้เราใหม่ ชนชาติอิสราเอลสามารถกลับมาเล่นดนตรีและร้องเพลงสรรเสริญ พระเจ้าได้อีกครั้งหนึ่ง ประสบการณ์ของการตกไปเป็นเมืองขึ้นที่บาบิโลนในครั้งนั้นไม่ได้ท้าให้เขาเลิกเล่น ดนตรีหรือเลิกร้องเพลงของพระเจ้าไปตลอดชีวิต สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามวาระของมัน มีวาระเกิด และวาระตาย มีวาระปลูก และวาระรื้อถอนสิ่งที่ปลูก มีวาระฆ่า และวาระรักษาให้หาย มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้น มีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นร้า มีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด มีวาระแสวงหา และวาระท้าหาย มีวาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไป มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ มีวาระนิ่งเงียบ และวาระพูด มีวาระรัก และวาระเกลียด มีวาระสงคราม และวาระสันติ


ทุกอย่างเป็นไปตามฤดูกาลที่ก้าหนดไว้ คริสตชนผู้รักในเสียงเพลง “อย่าเลิกเล่นดนตรี” “อย่าเลิก ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า” “อย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์ ” ถ้าท่านสัญญาในสามข้อ ดังกล่าวแล้วก็เท่ากับว่าเราทุกคนได้ตอบสนองต่อพระวจนะของพระเป็นเจ้าที่ วิงวอนเราว่า “อย่าแขวนพิณ เลย” อาเมน


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.