ปุจฉา - วิสัชนา ตุลาคม 2561
แค่รู้ แค่เห็น ไม่ติด ไม่ยึดสิ่งใดเลย ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาที่เคารพ ผมคือผู้ ถามคนแรกเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 29/9/61 เรื่องพบผู้รู้ แล้วจะปล่อยวางผู้รู้ได้อย่างไร ผมกลับมา พิจารณาด้วยตนเองอยู่ 2 วันแล้ว ได้คิดว่า ให้ทำ ตามที่หลวงตาแนะนำคือ เลิกสนใจที่จะปล่อยวาง ผมผิดพลาดตรงที่พยายามจะค้นหาผู้รู้ และหา หนทางปล่อยวางผู้รู้ เพราะนั่นเท่ากับเกิดความ อยากที่จะทำดังว่า ดังนั้น จิตจึงไม่ว่างและมีการ ติดยึดเสียแล้ว จะพบผู้รู้อย่างไรได้ และทำให้จิต ว้าวุ่นและเครียด วันนี้ ได้ฟังคลิปที่กัลยาณมิตร กรุณาส่งมาให้ เรื่องแนวทางปฏิบัติในการดูจิต ของหลวงปู่ดูลย์ ผมฟังแล้วได้แต่ร้องไห้แทบจะ ตลอดเวลา เพราะเกิดความรู้สึกว่า ที่ผมเคยทำมา โดยตลอดด้วยตนเองนั้น ถูกต้องแล้ว เพิ่งมาผิด พลาดตรงที่เกิดความคิดจะปล่อยวางให้ได้ แท้จริงต้องไม่แม้แต่จะคิดที่จะปล่อยวาง (เช่นที่ ผมเคยปฏิบัติอยู่เดิม)
แล้วจิตก็จะวางลงเอง เกิดความสงบและเป็นกลาง รับรู้ ทุกอย่างเช่นที่มันเป็นอยู่ ณ ขณะปัจจุบันขณะนั้นเอง เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผมรู้สึกว่าจิตใจสงบลงอย่างมาก และ เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติทางจิตของตนเองมากขึ้น เท่าที่เล่ามานี้ ผิดถูกเช่นไร ขอหลวงตาโปรดชี้แนะด้วย ครับ ผมได้รู้จักหลวงตาจากคลิปเรื่องปฏิจจสมุปบาท ผมดูไปก็ร้องไห้ไปอย่างรุนแรง และช่วยให้ผมกระจ่าง ขึ้นมากในเรื่องการเกิดของเรื่องต่าง ๆ ขอกราบเรียน ถามหลวงตาว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมที่ร้องไห้อย่างรุนแรง ในสองคลิปดังกล่าวนี้ ผมเป็นอะไรไปหรือเปล่า ทุกวัน ผมตื่นราวตีสามหรือตีสี่ เดินจงกรมราว 40-60 นาที แล้วนั่งภาวนาต่ออีกราว 30 นาที ทำเช่นนี้ มาได้ราวห้าเดือน แต่ผมปฏิบัติกรรมฐานมานาน 38 ปี แล้วครับ หลวงตา
: สาธุ ปล่อยวาง ปล่อยวาง ปล่อยวาง ได้แต่แค่รู้ แค่เห็น ไม่ติด ไม่ยึดสิ่งใดเลย พ้นทุกข์
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2561
ข้ามผู้รู้ ผู้ถาม : ข้ามผู้รู้ตัวจริงทำอย่างไรครับ หลวงตา : ด้วยการไม่ยึดถือ และ ไม่พยายามข้าม ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2561
มีตัวตน ตัวเราที่ไหนจะข้ามสังขาร ผู้ถาม : การไม่ใช้สติปัญญาอะไรเช่นนั้น เป็นการ ปฏิบัติตามทางนี้อยู่แล้ว ทำไมจะต้องพูดถึงการบรรลุ หรือการไม่บรรลุเช่นนี้อีกเล่า โดยการคิดถึงอะไรบาง อย่าง เธอย่อมสร้างความมีอยู่ของตัวตนอย่างใดอย่าง หนึ่งขึ้นมา และโดยการคิดถึงความไม่มีอะไร เธอย่อม สร้างความมีอยู่ของความไม่มีอะไรขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ขอให้การคิดในทำนองที่ผิด ๆ เช่นนี้จงสูญสิ้นไปโดย เด็ดขาดเทอญ และจะไม่มีอะไรเหลืออยู่ให้เธอเที่ยว แสวงหาอีกต่อไป - ฮวงโป ค่ะ หนูชอบมาก ๆ เลยค่ะ หลวงตา กราบสาธุค่ะ เหมือนการข้ามสังขารทั้งหมดและไม่ยึดวิสังขาร ไม่เหลืออะไรให้ข้าม ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกค่ะ หลวงตา : มีตัวตน ตัวเราที่ไหนจะข้ามสังขาร และ ไม่ยึดวิสังขาร เลิกคิดจะข้าม เลิกคิดจะวาง เลิกคิด เรื่องยึดติดและหลุดพ้น มันทำให้หลงมีตัวตนของเธอ ขึ้นมา
ผู้ถาม : ค่ะ หลวงตา ไม่มีใครข้าม ไม่มีใครต้องวาง มี แต่ธรรมชาติเกิดดับ เกิดมาทางไหนก็ดับไปทางนั้น ไม่ ต้องทำอะไรค่ะ หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2561
พิจารณาเพื่อให้สิ้นหลง ผู้ถาม :
กราบหลวงตาเจ้าค่ะ การพิจารณากฎ
ไตรลักษณ์ มันเป็นปัญญาพิจารณาเพื่อละ แต่มันไม่ใช่ ปัญญาสูงสุดใช่ไหมคะ เพราะปัญญาสูงสุดคือ เราไม่มี เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติไปแล้ว หากยังพิจารณากฎ ไตรลักษณ์มันก็ยังมีตัวตนอยู่ ธรรมชาติมันนึกตรึกตรอง ไม่ได้แต่มันก็อยู่ใต้กฎของไตรลักษณ์ สมาธิ ปัญญา คือปรมาณูทุกข์ เพราะเมื่อถึงฝั่ง ก็ ต้องทิ้งมัน กราบแทบเท้าหลวงตาเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ สาธุ การพิจารณาก็เพื่อให้สิ้นหลงว่า ธรรมชาติของ ความเป็นสังขาร และ วิสังขาร มีเราเป็นตัวตน หรือมีตัว ตนของเรา
เมื่อสิ้นหลงว่าเราเป็นตัวเป็นตนหรือมีตัวตนของ เราแล้ว ก็มีแต่ความรู้แท้ ๆ ของธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีความคิดหรือความรู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา หรือ ของเรา อยู่ในความรู้ทุกปัจจุบันขณะ เป็นความรู้ของธาตุรู้ตามธรรมชาติ ไม่มีใคร เป็นเจ้าของ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2561
รู้ซื่อ ๆ คือทางเดินแห่งมรรค ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ รู้ซื่อ ๆ คือทางเดินแห่ง มรรค และปัญญาใดจึงจะทิ้งมรรคนี้ได้ค่ะ หรือ รู้ซื่อ ๆ ที่สุดแห่งมรรค คือรู้ว่าไม่มี หลวงตา : ถามเอง และ ตอบเองแล้ว ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561
พิจารณาให้เห็นไตรลักษณ์ ของกายและจิต ผู้ถาม : กราบมนัสการหลวงตาที่เคารพอย่างสูงค่ะ โยม ได้ฟังธรรมะหลวงตามาประมาณ 1-2 เดือนค่ะ มีความ เข้าใจสิ่งที่หลวงตาสอน แต่โยมมีข้อสงสัยในการ ปฏิบัติในชีวิตประจำวันว่าควรปฏิบัติแบบ (1) รู้สักแต่ว่ารู้ หรือ (2) พิจารณาความตายอยู่ภายใน (แอบ พิจารณาควบคู่กับการใช้ชีวิตประจำวันค่ะ) หรือ (3) สามารถปฏิบัติทั้งสองอย่างควบคู่กัน แล้ว แต่โอกาส เนื่องจากโยมยังละกายไม่ได้ค่ะ จึงไม่ แน่ใจว่าควรพิจารณาความตายเพื่อให้ละกายให้ได้ ก่อนหรือไม่คะ แล้วจึงละจิต (ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามข้อ 1 ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือไม่ค่ะ) การปฏิบัติในรูปแบบในช่วงหลายเดือน หลัง ๆ โยมพิจารณาธาตุ 4 ค่ะ โยมถนัดวิธีสักแต่ว่า รู้มากกว่าค่ะหลวงตา รู้สึกว่าไม่ต้องใช้ความพยายาม แต่พิจารณาธาตุ 4 หรือพิจารณาความตายก็พอทำได้ ค่ะ คิดว่าหากฝึกไปเรื่อย ๆ น่าจะคล่องแคล่วขึ้น
โยมกราบขอความเมตตาจากหลวงตาช่วย ชี้แนะด้วยค่ะ หลวงตา : ปล่อยวางร่างกายสังขาร ที่จะแก่ เจ็บ ตาย เน่าเปื่อยผุพัง ก็จะเห็นจิตเกิดดับละเอียดจนถึงที่สุด ปล่อยวางจิตตสังขาร เข้าถึงใจที่ไม่สังขารไม่สามารถ ยึดติด ยึดถือ ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาค่ะ แสดงว่าโยมควร พิจารณาความตาย หรือธาตุ 4 ให้ปล่อยวางร่างกายให้ ได้ก่อน แล้วจึงพิจารณา “สักแต่ว่ารู้” เพื่อปล่อยวางจิต ใช่ไหมคะหลวงตา วิธี “สักแต่ว่ารู้” ไม่ใช่วิธีเพื่อปล่อยวางกายใช่ ไหมคะ ขอกราบขอหลวงตาแนะนำเพิ่มเติมหน่อยค่ะ หลวงตา : ต้องพิจารณาให้เห็นกายและจิตเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่สักแต่ว่ารู้ คำว่า “สักแต่ว่ารู้” นั้น หมายถึง รู้แจ้งจากใจว่า สังขาร คือร่างกายจิตใจ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ้น ความหลงยึดมั่นถือมั่น จึงแค่สักแต่ว่ารู้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561
ฆราวาสกับการบรรลุนิพพาน ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ กระผมขอโอกาส เรียนถามข้อธรรมกับหลวงตาดังนี้ว่า 1. ฆราวาส สามารถปฏิบัติให้เข้าสู่กระแส แห่งความหลุดพ้น ได้หรือไม่โดยไม่ต้องบวช ? 2. หากฆราวาส เข้าสู่นิพพาน แล้วจะสามารถ ใช้ชีวิตอยู่อย่างฆราวาสได้หรือไม่ครับผม ? หลวงตา : ฆราวาส ถือศีลห้าบริสุทธ์ ข้อสามถือ พรหมจรรย์ ก็บรรลุนิพพานได้ ส่วนคำถามข้อ 2 ไม่ต้องกังวลไปหรอก ให้ นิพพานเสียก่อน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561
ไม่ต้องทิ้งความรู้ความเข้าใจ แต่ไม่มีผู้หลงไปยึด ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ วันนี้มีความเข้าใจว่า ปัญญาสูงสุดคือเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ โดย เข้าใจการละสมมติ เราติดอยู่ในรูป ต้องเข้าใจใน ระดับรูป จึงไม่ลงแก่ใจ เพราะทุกครั้งที่เข้าใจใน ระดับรูป มันจะมีตัวตนเสมอ เพราะที่เราเข้าใจว่าทุก อย่างเป็นรูปร่าง คิดในหัวเป็นซีรีส์จึงมีนางเอกเข้าไป เข้าใจเรื่องราว มีความว่างเป็นที่หมาย ซึ่งก็มองความ ว่างเป็นสิ่งจับต้องได้ เป็นรูปร่างอีก เพราะเรายังยึด ติดในสังขารความมีตัวตน จึงมองทุกอย่างแม้ความ ว่าง หรือการบรรลุธรรมคือรูปร่างของความเงียบ พอ เข้าใจอย่างนี้แล้วมันก็วางรูปทุกอย่าง เข้าสู่ความ ไม่มีอย่างแท้จริง ขณะที่เขียนหาหลวงตามันยังมีรูป เป็นซีรีส์ขึ้นมาเลยค่ะ ยังไม่ลงแก่ใจ แต่ก็ปล่อยให้ Feel The Flow ไป รูปก็หาย และค้นพบว่ามันไม่มี ความเข้าใจยังต้องทิ้งเพราะรูปมันเปลี่ยนแปลงได้ เสมอ มันไม่มีอยู่จริงเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ ความรู้ ความเข้าใจถึงใจ มันเป็น ธรรมชาติ เป็นธรรม เป็นธรรมธาตุ ไม่ต้องทิ้ง แต่ไม่มีผู้ โง่ไปหลงขี้ตู่ยึดถือธรรมชาติมาเป็นของเรา เป็นเรา หรือ เป็นตัวเรา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2561
สิ่งใดเคลื่อนไหวได้เป็น “จิตตสังขาร” ไม่ใช่วิสังขาร ผู้ถาม : เมื่อเราทำจิต (หรือธาตุรู้หรือผู้รู้)ให้นิ่งแนบอยู่ กับสติแล้ว (อาการของจิต เช่น ปรุงแต่ง, ธรรมารมณ์) ก็ไม่มี เมื่อจิต (ผู้รู้) สติ (ผู้ระลึกได้) เข้ามาทำงานรวม อยู่ ณ ที่แห่งเดียวกันแล้ว การไปการมา การหลงแส่ ส่ายแสวงหาก็จะหมดสิ้นไป จะพบของจริงทึ่จิตสงบ นิ่ง อยู่ ณ ที่แห่งเดียว ข้อความข้างบนนี้ตัดตอนจากที่หลวงตาส่งมา เป็นของหลวงปู่เทสก์ เจ้าค่ะ ข้อความนี้เป็นความเข้าใจของแม่ชีเจ้าค่ะ และ จิตที่สงบ นิ่งอยู่ ณ ที่แห่งเดียวนั้นคือ ใจ (ธาตุรู้)ใช่ ไหมเจ้าคะ
หลวงตา : ใจ เป็นวิสังขาร คือ เป็นธรรมชาติที่ไม่ อาจคิด ปรุงแต่ง กระเพื่อม หรือเคลื่อนไหวอย่างใด ๆ แม้น้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง สิ่งใดเคลื่อนไหวได้ แล้วสงบนิ่งได้ สงบนิ่งได้ แล้วเคลื่อนไหวได้ เป็น “จิตตสังขาร” ไม่ใช่ธรรมชาติของวิ สังขาร ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2561
ได้แต่รู้ ผู้ถาม : นมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ขอเรียนถามว่าจะมีวิธี ใดที่จะทำให้จิตนิ่งได้ โดยไม่คิดอะไร เพราะช่วงนี้ ข้าพเจ้ามีความคิดวนเวียนในหัวตลอดเวลาเลยเจ้าค่ะ ขอบพระคุณค่ะ หลวงตา : ทำให้นิ่งไม่ได้ ได้แต่รู้ ผู้ถาม : ถ้าได้แต่รู้ จะเกิดความรู้สึกตัว และตามกฎ ไตรลักษณ์ จะหยุดคิดเองใช่ไหมเจ้าคะ หลวงตา : ได้แต่รู้ ไม่มีใครหยุดคิดได้ตลอดไป ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2561
รู้เห็น แต่ไม่ติดไป ผู้ถาม : หลวงตา จิตผมก็แบบเดียวกัน ใคร่ขอ ความเมตตาท่าน หลวงตาช่วยอธิบายต่อด้วยว่า หลัง "ได้แต่รู้" แล้วผมต้องปฏิบัติอย่างไรต่อ หลวงตา : จิตจะคิดปรุงแต่งอย่างไร ปล่อยเขาให้ คิด ปรุงแต่งอย่างอิสระ อย่าไปพยายามกด ข่ม บังคับเขา เพียงแต่แค่รู้เห็นเขา แต่ไม่อินหรือติดไป กับเขาเท่านั้น แต่ให้มีสติ สัมปชัญญะอยู่กับเครื่อง ล่อไว้ เช่น นึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ที่ใจ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2561
ไม่หลงไปกับความคิดปรุงแต่ง ไม่พยายามยึดถือความเงียบ ผู้ถาม : นมัสการหลวงตาค่ะ โยมขอแนวทางปฏิบัติ ค่ะ โยมขออนุญาตเล่าคร่าว ๆ นิดหนึ่งค่ะ โยมฟัง คลิปทาง Youtube ตั้งแต่มกราคม และส่งการบ้าน ครั้งแรกที่อุบลราชธานี หลวงตาบอกว่าโยมยังหมาย ๆ ตั้งผู้รู้ ติดดี รู้ซื่อ ๆ ยังไม่เป็น โยมกลับมา พิจารณา มีโอกาสส่งการบ้านอีกครั้งที่โรจนธรรม ปลายเดือนที่แล้ว แต่โยมยังแก้การบ้านที่หลวงตา ให้ที่โรจนธรรมไม่ได้ โยมยังติดสภาวะที่ไม่ได้ถาม หลวงตา เพราะเคยฟังหลวงตาบอกว่าที่ผ่านมาคือ ธรรมเมา ต้องรู้ที่ปัจจุบัน แต่โยมเห็นมันอีก ต้องการ คำชี้แนะเจ้าค่ะ คือโยมตื่นกลางดึกแล้วเห็นเหมือน กระแสเหมือนคลื่น เกิดดับชั่วขณะจิต แล้วโยมก็กลับ มาถามตัวเองว่าใครรู้ ก็ดูไปซักพักมันก็ดับ แล้วเกิด เป็นความคิดเรื่องหนึ่งเกิดดับแล้วเกิดเรื่องใหม่ ติดต่อกัน
โยมดูแต่ตอนนั้น เห็นคิดที่บอกว่าดูไม่ทัน แต่มันทำ อะไรไม่ได้ ซักพักความคิดเกิดดับช้าลง ซักพักต่อมา โยมรู้ถึงความเงียบที่โยมไม่เคยเห็น ความคิดหายหมด แล้วตกใจว่าทำไมเงียบขนาดนี้ ความคิดหายไปไหน เป็นชั่วขณะจิต โยมต้องปฏิบัติอย่างไรต่อคะ หลวงตา : สังเกตให้เห็นว่าในความเงียบนั้น มีความคิด ปรุงแต่ง แล้วให้สักแต่ว่ารู้อย่างนั้นเรื่อย ๆ โดยไม่หลง ไปกับความคิดปรุงแต่ง และไม่พยายามยึดถือความ เงียบ เพียงแค่สังเกตเห็นว่า ในความเงียบ มีความคิด ปรุงแต่ง หรือ ในความคิดปรุงแต่ง มีความสงบ เงียบ ไม่ ติดไม่ยึดอะไร ได้แต่สังเกตเห็นความจริงอยู่อย่างนั้น ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2561
อย่าประมาทกับกิเลส ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะหลวงตา หนูกลับมาเห็นแล้ว ค่ะว่าความยึดครอบครัวในใจมันเหนียวมาก หนูได้ พิจารณาตามที่หลวงตาเมตตาบอกว่าจริง ๆ แล้วเรานี่ แหละที่ยึดเขา เเต่ไม่มีใครเขายึดเรา แล้วก็พบว่าเป็น จริงตามที่หลวงตาบอกเลยเจ้าค่ะ เมื่อใดที่มันยึด มัน กลายเป็นสังขารทันที แล้วมันก็ทุกข์ทันทีเหมือนกันเจ้าค่ะ แล้วหนูก็พบอีกว่า พอรู้ว่ามันกลายเป็นสังขาร ก็เกิดตัว ใหม่ขึ้นมาอีกทันที คือตัวดิ้นรนอยากออกจากสังขาร เพราะอยากพ้นทุกข์ คราวนี้เลยยิ่งทุกข์หนักกว่าเดิมอีกค่ะ สุดท้ายพอมันทุกข์จนถึงที่สุดแล้ว จิตมันก็ยอมวาง ยอม ปล่อยความยึดที่มีมายาวนานของมันเอง เมื่อมันปล่อย มันก็หายทุกข์ทันตาเห็น มันโล่งเลยค่ะ รอบนี้หนูรู้ว่าจิต มันยอมปล่อย เพราะมันไม่มีทางจะไปได้อีกแล้ว มัน พยายามยื้อจนถึงที่สุดแล้ว มันจบแล้วเจ้าค่ะ จบที่ใจที่มัน ยอมปล่อยวางด้วยตัวมันเอง กราบขอบพระคุณในความ เมตตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของหลวงตาเจ้าค่ะ หลวงตา : อย่าประมาทกับกิเลส หรือ ความหลงยึดถือ นะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2561
ติดตามเป็นแฟนพันธุ์แท้ ผู้ถาม : นมัสการค่ะหลวงตา หนูปฏิบัติตามที่หลวงตาบ อกว่าให้พบสังขาร ปล่อยวางสังขาร เข้าใจตามความ เป็นจริงว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความคิดที่เกิด ขึ้น มันเกิดขึ้น อยู่ซักพักแล้วมันก็หายไป เห็นการปรุง แต่งแล้วก็ลงใจไปทีละนิด ๆ ค่ะ หนูไม่รู้ว่า หากว่าเห็น สังขารแล้ว จะปล่อยได้ทุกอย่างเลยหรือไม่ แต่สำหรับ หนู หนูมีความรู้สึกว่ามันต้องเพียรรู้ไปอย่างนั้นแล้ว ปล่อย ๆ ไปอย่างนั้นเรื่อย ๆ แล้วมันจะลงใจมากขึ้น ๆ ไปเอง เดิมทีหนูไม่มีเป้าหมายที่จะบรรลุนิพพานหรือ อะไรทั้งนั้น ทั้งตัวหนูเองก็ไม่ได้อยากมีอยากได้อย่าง ใครเขา เพียงแต่มาพบมาเจอการปฏิบัตินี้ด้วยความ บังเอิญ แล้วพอลองทำดู ชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ชีวิตหนูตอน นี้มีสติกับสิ่งที่ทำมากขึ้น ทำกิจไหนจบก็จบไป จากแต่ ก่อนที่เอามาคิดว่า เอ เราทำดีแล้วไหมนะ ตอนนี้ก็มีมา คิดเรื่องปฏิบัติว่า เอ เราจะโมเมเข้าข้างตัวเองไหมนะ ถูกไหมนะ เห็นคำถามแล้วก็วาง แต่อย่างไรเสียสิ่งที่ ต้องวางนี้หากเอามาถามอาจจะเป็นประโยช์นมากกว่า โทษ ก็มาถามหลวงตาค่ะ
ตอนนี้หนูแทบจะไม่คิดเรื่องไร้สาระเลย เพราะไม่เห็น ประโยชน์ในการคิด ก็อยู่และรู้อยู่กับปัจุบัน มันหลงไป คิดอดีตก็เห็นมันไปคิดอดีต มันคิดอนาคตก็เห็นมันคิด อนาคต ไม่อินกับมัน หรือถ้ามันอินก็เห็นอินกับมัน สภาวะใหม่ก็ผุดขึ้นมา เช้าจนค่ำ ค่ำจนเช้าในทุกวัน โดยมีคำสอนของหลวงตาว่าให้รู้ซื่อ ๆ คอยกำกับอยู่ เบา ๆ ความรู้สึกของหนูจากที่ไม่อยากได้อยากมี ก็ ละเอียดเข้ามาอีก การพิจารณาสิ่งใดก็ละเมียดละไมขึ้น มาอีก เช่น มีผู้ไป 1. นึกคิด 2. เห็นผู้นึกคิด 3. ปล่อยไป เอง (บางทีก็ช้าบางทีก็เร็ว บางทีก็แค่แวบ ๆ แล้วก็ไป) และเริ่ม 1.ใหม่อีกรอบ หมุนวนไปเรื่อย ๆ เปลี่ยนแปลง ไปตามสภาวะนั้น ๆ แปลกที่ สติสมาธิก็มา แต่ก็ไม่ไป ยึดสติ(เดิมทีหนูเป็นคนสมาธิสั้นค่ะ รู้ได้เพราะเป็นคนที่ ทำอะไรได้ไม่นาน ไม่มีความอดทนทำอะไรได้นาน ๆ และอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เสมอ)
ตอนนี้มันเป็นความรู้สึกที่พอดีและลงตัว แต่ก็แทบจะไม่ ไปยึดตัวนี้ด้วย งานการก็คล่องเเคล่ว ละเอียดเรียบร้อย กว่าเดิมเพราะมีสติกับการทำ ทำเสร็จแล้วก็ไปต่องาน ใหม่โดยไม่ร่ำไรกับงานเก่าที่ทำไป หนูเอามาพิจารณาดู แล้ว สติตัวนี้ตัวเดียวหากรู้แล้ว ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่พลาด ไปได้เลย กราบถามหลวงตาว่าหากหนูไม่ได้เห็นนิมิต เหมือนใครเขา หรือไม่ได้รวมสติจนมีปีติยินดีอย่างเขาว่า หนูยังทำถูกไหมคะ หนูไม่ได้อยากเห็นอะไร ไม่ได้อยาก มีอะไรพิเศษ ๆ แบบนั้น หนูแค่อยากเข้าใจแก่นของ ธรรมชาติชีวิตเท่านั้น กราบขอบคุณหลวงตามาก ๆ นะคะ บุญของหนูหรืออะไรไม่ทราบที่ทำให้ได้มาพบความจริง ในข้อนี้ อยากจะขอบคุณมาก ๆ เลยคะ หลวงตา : สาธุ ดีแล้ว ให้เป็นแฟนพันธุ์แท้นะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2561
สังขาร - วิสังขาร หลวงตา : สังขารทั้งหมดทุกปัจจุบันขณะ มันเป็น ลิง เหมือนอย่างที่หลวงพ่อชา สุภัทโท พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ เคารพนับถือสอน ปล่อยให้ลิงมันคงเป็นธรรมชาติของ ลิง ไม่มีมีผู้ใดไปอะไร ๆ กับมัน ลิงมันทุกข์ เพราะมัน เป็นสังขาร พ้นสภาพจากลิงเป็นวิสังขาร เป็นสุญญตา ไม่มีอะไรเลย ผู้ถาม : จริง ๆ ลูกรู้สึกเหมือนมันแค่พลิกฝ่ามือ มันบัง อยู่นิดเดียว แต่ก็ยัง … จะหาคำตอบมันก็เป็นสังขาร ไปอีกเจ้าค่ะ หลวงตา : เสี้ยววินาทีเดียวที่ดิ้นรนค้นหาทางพ้นทุกข์ (นิพพาน) มันเป็น “ตัณหา” และมันเป็น “อวิชชา” คือ มันหลงสังขาร หลงเอาสังขารมาคิดปรุงแต่งเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเราขึ้นมา แล้วหลงเอาตัว เราไปหาทางพ้นทุกข์หรือพระนิพพานมาให้ตัวเรา
ผู้ถาม : มันต้องหยุดสนิทจริง ๆ เจ้าค่ะหลวงตา รู้ว่าตอนนี้ ใจหยุดแล้ว แต่สังขารก็ยังดำเนินไป “ใจ” ไม่ต้องการ อะไร ที่ต้องการอะไร ไม่ใช่ “ใจ” หลวงตา : “สังขาร” ก็คงปล่อยให้เป็นธรรมชาติปรุงแต่ง ของเขาไปอย่างเก้อ ๆ ซะ ส่วน ใจ หรือ วิญญาณธาตุ หรือ ธาตุ ที่เป็น วิสังขาร หรือ อสังขตธาตุ หรือ สุญญตา หรือ เป็นความว่าง ที่ไม่มีตัวตน ไม่ปรุงแต่ง ไม่ปรากฏ อะไร ก็ปล่อยให้เขาเป็นความว่างกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว กับธรรมชาติไปซะ ทั้งสังขาร และ วิสังขาร เป็น “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ตัวเรา หรือ ของเรา อย่าหลงยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตนของเราอยู่ใน ธรรมชาติทั้งสังขารและวิสังขาร ดังนี้ ; ใจ ก็เป็นความว่าง เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เหมือนดังท้องฟ้า หรือ อวกาศ ตลอดกาล ส่วน ขันธ์ห้า ซึ่งเป็นชีวิต ที่ยังต้องปรุงแต่งดำเนิน ไปตามปกติ คงขาดแต่สิ้นอวิชชา คือ หายโง่ สิ้นหลง ยึดถือว่ามีเรา ตัวเรา หรือ ตัวตนของเราอยู่ในธรรมชาติ เท่านั้น
ผู้ถาม : ตอนนี้ลูกรู้แต่ว่า ใจย่อมรู้ใจ เจ้าค่ะ หลวงตา เจ้าคะ เมื่อใจคืออวิชชา ถ้าไม่พยายามแยกอวิชชา ออกจากใจ และไม่พยายามแยกใจออกจากอวิชชา แล้วอวิชชาสิ้นไปได้อย่างไรเจ้าคะ หรือคือไม่เหลือแม้ ความรู้สึกที่เป็นตัวจิตตัวใจหรือเจ้าคะ หลวงตา : ตรงที่สิ้นสงสัย สิ้นสมมติ ไม่มีความปรุงแต่ง ไม่มีคำพูด ไม่ให้ความหมาย เป็นปัจจัตตัง รู้ได้ เฉพาะตนเท่านั้น ผู้ถาม : กราบสาธุเจ้าค่ะ แจ่มแจ้งเจ้าค่ะ น้อมกราบรับ มหาเมตตาจากองค์หลวงตาเจ้าค่ะ อ่านไปแล้วรู้สึก อยากร้องไห้ ภายในไม่ได้เข้าใจ และไม่ได้ไม่เข้าใจ เจ้าค่ะ รู้แต่มันไหลเข้าไปข้างในใจ ไม่มีการประมวลความเหมือนทุกที อ่านแล้ว หายไป หายไป หายไป ไปไหนไม่รู้เจ้าค่ะ เหมือนจะ ร้องไห้ มันไม่ต้องการความเข้าใจอะไรอีก มันไม่ใช่ ไม่เข้าใจ น้อมกราบในมหาเมตตาอันประมาณมิได้ เจ้าค่ะ
น้อม กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ มันไม่ใช่ทุกข์ มัน ไม่ใช่สุข แต่ข้างในมันร้องไห้เจ้าค่ะ อวิชชาไม่ใช่สิ่งที่ ไม่ดี ไม่จำเป็นต้องแยกอะไรออกจากอะไร มันก็เป็นของ มันเช่นนั้นเองเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561
ไปให้สุด ขุดให้ถึง ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตาที่เคารพอย่างสูง กลางดึกราวตี หนึ่ง ขณะผมนั่งภาวนาราว 90 นาที รำลึกได้ถึงความเกิด ขึ้นและดับไปของความคิดต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในจิตตลอด เวลา พร้อมกับเสียงหลวงตาที่ว่า "เกิดเองดับเอง" เกือบ ตลอดเวลา 90 นาทีเช่นกัน มีเสียงเพลงสลับบ้างบางช่วง เล็กน้อย พร้อมกันนั้น มีเสียง "วิ้ง ๆ" แหลมสูงดังมากในหัว ในจิตสงบ เงียบ วังเวง และมีแต่ความมืด ได้ยินแต่เสียงฝน ที่ตกอยู่ภายนอก ผมสัมผัสได้ในใจถึงความสงบ ภาวะเช่น นี้เกิดบ่อยมากในระยะหลังๆ นี้ แม้ขณะที่พิมพ์อยู่ ก็มีเสียง วิ้งๆ ดังมากในหัว พร้อมกับความรู้สึกสงบ สงัด คล้ายอยู่ กลางสวนป่า ขอคำชี้แนะจากหลวงตาครับ หลวงตา : ให้สังเกตดี ๆ จะเห็นว่าในความสงบเงีบบนั้น มี ตัวเราคิดตรึกตรองอยู่ตลอดเวลา ให้สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ไม่หลงเป็นผู้คิดตรึกตรองนั้น คือ ไม่หลง ยึดถือว่าผู้คิดตรึกตรองเป็นเรา ตัวเรา หรือ ตัวตนของเรา
ไม่ติด ไม่ยึด ไม่แวะ ไม่พัก ไม่ติดกับอะไรเลย ผ่านตลอด ผ่านตลอด ไปให้สุด ขุดให้ถึง จนถึงความไม่เกิด ไม่ดับ หรือ ที่ไม่เกิด ไม่ดับ แม้พบแล้ว ก็ไม่ติด ไม่ยึดอีก ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2561
อยากพ้นทุกข์ ผู้ถาม : กราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ ลูกเข้าใจว่าที่ลูก ไม่สามารถตัดใจถอนอธิษฐานได้เด็ดขาด เป็น เพราะขาดความเด็ดเดี่ยวในการฝึกทรมานตัว เจ้าของ จึงเป็นอุปนิสัยให้อ่อนแอ หากไม่ปรารถนา มาเกิดอีก ต้องฝึกกำลังแห่งใจให้เข้มแข็งกว่านี้ อีก ทั้งลูกยังเห็นว่านอนหลับฝันก็ยังฝันไปในเรื่องโลก เมื่อมันมีอุปนิสัยเช่นนี้ ลูกจึงตั้งใจดัดสันดาน ทรมานเจ้าของ ไม่ต้องให้มันนอน ลูกจึงอธิษฐานจะ ไม่ให้นอนหลังติดพื้นเป็นอันขาด ตามสมควรแก่ เหตุปัจจัยเพื่อฝึกฝนเจ้าค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะน้อมนำ คำสั่งสอนที่องค์หลวงตาสอนสั่งไว้พิจารณาด้วย เจ้าค่ะ กราบองค์หลวงตา พ่อแม่ครูอาจารย์เจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ หลวงตา : สาธุ ต้องทดลองปฏิบัติดู แต่อย่าให้ หักโหมจนเกินไปจนกลายเป็นกิเลส เพราะอยาก พ้นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2561
ความคิด และ อารมณ์ เป็นสังขาร ผู้ถาม : หลวงตาเจ้าคะ ช่วงนี้โยมเจริญสติระหว่างวันได้ ต่อเนื่องขึ้น เริ่มรู้สึกถึงกายทั่วทั้งตัว จับอารมณ์ ความ คิดได้เร็ว เห็นความคิดแล้วทำให้เกิดอารมณ์ บางทีจับ อารมณ์ได้ก่อน จึงรู้ว่าตัวคิดอะไร แต่ความรู้สึกมันแรง ขึ้นมากนะคะ บางเรื่องรู้สึกอยากตะโกนออกมาจากลิ้นปี่ เลย ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่เกิดก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันเลยทำให้ ขยาดที่จะจับอารมณ์ค่ะ กลัวอารมณ์ที่จับได้เจ้าค่ะ มัน แรง และจับได้อีกว่าไม่อยากให้อารมณ์นั้นเกิด เมื่อมัน เกิดก็หงุดหงิดซ้อนเข้าไปอีกเจ้าค่ะ หลวงตา : ความคิด หรือ อารมณ์ทุกชนิด ไม่ว่าจะดี เพราะถูกใจ ไม่ว่าจะชั่ว เพราะไม่ถูกใจ ล้วนเป็นสังขารปรุงแต่ง ปล่อยวาง ปล่อยวาง ปล่อยวาง ...... ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2561
สิ้นยึดมั่น ก็ไม่มีตัวตน ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ะหลวงตา โยมได้ฟังคลิป หลวงตาในยูทูปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่เพื่อนส่งมาให้ ฟังค่ะ ในใจบอกเลยว่านี่หละคือสิ่งที่รอมานาน พอ ฟังหลวงตาพูดคำว่า อวิชชาคือการมีตัวตน แล้วหลวง ตาก็อธิบายเรื่องไข่จากแม่สเปริ์มจากพ่อ … โยมก็ฟัง ตามเข้าใจตามที่หลวงตาอธิบาย ตัวตนหายไปเลยค่ะ ทำไมไม่มีใจ มันไม่มีอะไรค่ะ โยมขอโอกาสหลวงตา ชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ หลวงตา : สิ้นยึดมั่น ก็ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวจิต ตัวใจ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2561
สักแต่ว่ารู้ตัวเราที่คิด ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ จิตวิ่งไปโน่นมานี่ ตลอดเวลา เมื่อรู้ว่าจิตวิ่งก็รู้ทันว่าวิ่ง ไม่ควบคุมปล่อยไป วิ่งไปไหนก็ปล่อยไป เมื่อวิ่งแล้วไม่ถูกสนใจก็จะวิ่งน้อย ลง น้อยลงเรื่อย ๆ จิตจะนิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนนิ่งในที่สุด จึง เป็นการนิ่งที่ไม่ต้องพยายามจะให้นิ่ง เป็นอย่างนี้โยมก้าวมาถูกทางหรือไม่เจ้าคะ กราบขอโอกาสหลวงตาให้ความเมตตาชี้แนะโยมด้วย เจ้าค่ะ หลวงตา : เมื่อจิตสงบแล้ว ให้สังเกตเห็นว่าในความ สงบ มีตัวเรา (ตัวสมมติ) คิดนึกตรึกตรองปรุงแต่งตลอด เวลา ให้สักแต่ว่ารู้ตัวเราที่คิด ไม่ยึดถือว่าจิตที่คิดนึก ตรึกตรองปรุงแต่งตลอดเวลานั้น เป็นตัวตนของเรา เขา เป็นสมมติ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และไม่มีตัวเราไป ยึดถือความนิ่ง ความสงบ ความว่าง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2561
ในธรรมชาติที่แท้จริง “ไม่เคยมีเรา” ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ เดินความเพียร ต่อเนื่อง สติกล้าขึ้น แม้หลับ มันก็เหมือนตื่นเป็นช่วง ๆ แต่ การรู้สภาวธรรมในตอนหลับ มันไม่ได้ตั้งมั่นมาก รู้แต่ไหล เมื่อตื่นมาจึงรู้สึกตัว สภาวธรรมที่เกิดขึ้นเป็น 3 แบบ คือ 1. มีสติ รู้กายเคลื่อนไหว เหมือนไม่หลง แต่จริง ๆ สังเกตดูดี ๆ มันมีความสว่าง และมีความคิดพูดอยู่ จึง อ้อ มันมีตัวเราไปเคลือบความมีสติไว้ เมื่อเห็นตัวเรานี้ การ "รู้ชัด" มันเคลื่อนออกมา "ความรู้สึกที่กาย" มันเบาบาง เหมือนไม่มี แต่ก็ยังรู้สึกอยู่ แต่มันไม่เคลือบแล้ว 2. เด้งเข้าใน คือมารู้สภาวธรรมในจิต แต่มันรู้ แบบมีตัวเราเคลือบเช่นกัน จึงรู้จิตชัด เมื่อมีสติว่า ผู้รู้ไปดู จิตอยู่ สภาวะนั้นจึงหายไป 3. สภาวะสงบเงียบ มันสงบเหมือนไม่มีอะไร เคลื่อนไหว ทุกสิ่งมืดลง แต่สังเกต ก็ยังมีตัวเรารู้ความสงบ อยู่ เมื่อมีสติ ตัวเราเคลื่อนออกจากความสงบ และความ สงบนั้นดับ เปลี่ยนเข้าสู่สภาวะอื่นอีก
ณ ขณะที่เดินความเพียร มีสติอยู่ มันปรากฏวน ไปอยู่ใน 3 สภาวะนั้น ยิ่งต่อเนื่องมันจะยิ่งละเอียด ๆ เข้าไป แต่มันก็ยังวนอยู่ดี แต่ตอนที่หลุดจริง ๆ คือตอนที่ไม่ได้ตั้งใจ ตอนที่ เผลอ ลืมเดินความเพียร ตอนนั้นมันจะเป็นสังขารเกิด ดับในวิสังขารเป็นเหวลึกไม่มีก้นจริง ๆ แต่มันทำเอาไม่ ได้ เดินความเพียรใด ๆ ไม่อาจเข้าถึงสภาวะนี้ได้เลย แต่ถ้ามันเป็นมันจะเป็นของมันเองเจ้าค่ะ ที่หลวงตาส่งมาของหลวงพ่อชา ทำให้ความรู้ ความเข้าใจชัดเจนขึ้นเจ้าค่ะ ตัวเคลื่อนเข้าเคลื่อนออก ได้ มันคือ ผู้รู้ที่เป็นวิญญาณขันธ์ ที่ละเอียดนั่นเอง ขับรถไป เห็นล็อกเกตที่แขวนหน้ารถแกว่งไปมา พร้อมกับเห็นจิตมันแกว่งไปพร้อมกัน ณ ขณะนั้น มันเห็น ว่า ทั้งล็อกเกตและจิต แกว่งไกวอยู่ในความว่าง มัน น้ำตาไหล หลังจากนั้นมันเห็นทุกสิ่งเคลื่อนไหวในความ ว่างทั้งหมด มันสงบลึกซึ้งจริง ๆ เจ้าค่ะ แต่ทันทีที่มีคน เข้าไปอะไร ๆ มันเข้าไปเกาะความคิด ความสงบมันก็ หายไปทันทีเจ้าค่ะ
หลวงตา : สังเกตให้ดี ๆ ... มันแอบมีกิเลส ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือ มีตัวเราอยากได้ อยากรู้ อยากพ้นทุกข์ อยากบรรลุธรรม อยากนิพพาน และไม่ อยากให้มีกิเลส ไม่อยากทุกข์ ไม่อยากเกิดอีก รู้เท่าทันเสีย ความไม่รู้เท่าทัน มันเป็น “อวิชชา” ตัณหา อุปาทาน ดังนี้; มันมีคนอยากให้เห็นทุกสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ใน ความว่างตลอดไป ไม่อยากให้มีคนเข้าไปอะไรกับอะไร อยากให้มีความสงบอย่างนั้นตลอดไป หรือ ไม่อยากให้ความสงบอย่างที่เป็นนั้นหายไป ที่ถูกต้องตามธรรมชาติ ; มันจะเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะ ใน ธรรมชาติ ไม่มีตัวตนของเราที่จะไปอะไรกับอะไร ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561
เพียรจนกว่าใจจะฝืนสัจธรรม ความจริงไม่ไหว ผู้ถาม : โยมเห็นในความเมตตาที่หลวงตามีให้โยมที่ ปัญจคีรีและตลอดมา กลับมาเชียงใหม่จนถึงวันนี้ โยมเพียรเดินมากขึ้น เป็นวันละประมาณ 4-6 ชั่วโมง ทำให้เห็นการเกิดดับ เกิดดับ ชัดขึ้น บ่อยขึ้น เห็นจากจิตจากใจว่าในกายนี้ไม่มีส่วนไหนเลยที่จะ บังคับบัญชาได้ ไม่มีเลยจริง ๆ บางครั้งเดิน ๆ อยู่น้ำมูกไหลเป็นสายน้ำออกมา น้ำตาก็ไหลบ้าง บางครั้งเห็นส่วนต่าง ๆ ของกายเสื่อม สลาย จนกลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ขอคำแนะนำจากหลวงตาด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ เพียรเห็นความจริงอย่างนั้นนั่น แหละ เพียรเห็นความจริงให้มากอย่างต่อเนื่อง อย่า ประมาท เห็นความไม่เที่ยงของสังขารร่างกายและ จิตใจ เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จนกว่าใจจะฝืนสัจธรรม ความจริงนั้นไม่ไหว โลกธาตุภายในและภายนอกก็ แตกระเบิดออกเอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561