ปุจฉา - วิสัชนา พฤษภาคม 2560
ละปล่อยวางทุกขณะจิตปัจจุบัน จึงจะเป็นธรรมะ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ผมหมอวัชระ พงษ์ครับ พอดีมีปัญหาเรื่องการปฏิบัติธรรมปรึกษา หลวงตาครับ คือช่วงสองวันก่อนเวลานั่งวิปัสสนา กรรมฐานจะมีกล้ามเนื้อขากระตุกเป็นระยะโดยไม่ ทราบสาเหตุซึ่งรบกวนการทำวิปัสสนากรรมฐาน มาก ศิษย์เลยใช้วิธีเร่งฌานสุขให้มากขึ้นจนถึง จุดสูงสุดแล้วปรากฏว่าอาการกระตุกขารบกวน จิตใจน้อยลง แล้วก็ทำวิปัสสนาต่อเพราะระดับของ ฌานลดลงอาการกระตุกของกล้ามเนื้อขาก็เป็นอีก ก็เลยทำวนแบบนี้ซ้ำ ๆ มันจะเป็นการติดฌานไหม ครับ แล้วศิษย์ก็ใช้ฌานสุขเป็นตัวมอนิเตอร์ว่า สมาธิดีอยู่หรือเปล่า อย่างนี้ทำได้ไหมครับ
ในส่วนของวิปัสสนาศิษย์รับรู้ถึงจิตที่ เคลื่อนไหวในใจที่ว่างเปล่า แต่ยังไม่เข้าใจคำว่ารู้ ทุกคิดความคิดมันผุดขึ้นในใจที่ว่างเปล่าเหมือน น้ำพุ ซึ่งยังไม่เห็นภาพตรงนี้เลยครับ
หลวงตา : น่าจะเกิดจากอาการเกร็งของร่างกาย และกล้ามเนื้อไม่ผ่อนคลาย อาการใดหรือสภาวะใด รู้แล้วเห็นแล้วเป็นแล้ว ก็ปล่อยวางไปอย่าย้อนเอา มาสนใจให้ค่าให้ความสำคัญอีก เพราะหลงอดีตเป็นธรรมเมา กังวลกับ อนาคตเป็นธรรมเมา รู้ขณะจิตปัจจุบันตามความเป็นจริงอย่างตรง ไปตรงมา ไม่เข้าไปเสวยยึดถือแทรกแซง เรียกว่าละ ปล่อยวางทุกขณะจิตปัจจุบันจึงจะเป็นธรรมะธรรมโม
ผู้ถาม : อีกคำถามหนึ่งนะครับหลวงตาปกติเวลานั่ง สมาธิแล้วสติสมาธิตั้งมั่น ก็จะสัมผัสได้ถึงฌานสุข ก่อนนั่งสมาธิจนสมาธิสติตั้งมั่นแล้วปรากฏว่าเกิด อาการร่างกายเหมือนจะเปลี่ยนสภาพ เหมือนจะจาง หายแล้วก็เหมือนถูกบีบ ทุกบิดให้ผิดรูป รู้สึกแน่น อึดอัด ปั่นป่วน บางครั้งก็รู้สึกเหมือนหูอื้อเหมือนอยู่ ใต้น้ำลึกลึก มันเป็นอาการของอะไรครับ
หลวงตา : มันเป็นอาการผิดปกติทางร่างกายจิตใจ ที่เกิดมาจากสาเหตุที่เอาตัวเราซึ่งเป็นขันธ์ห้าไปเพ่ง กดหนักแน่น สิ่งที่ถูกรู้มากเกินไป ไม่แค่รับรู้ด้วย ความปล่อยวาง ถ้าเอาตัวเราซึ่งเป็นขันธ์ห้าไปแค่รับรู้อาการ ของเวทนาเหล่านั้น ด้วยความปล่อยวางก็จะไม่เกิด อาการผิดปกติดังกล่าวและจะเป็นสมถะกรรมฐาน
แต่ถ้าไม่สนใจยึดถือให้ค่าให้ความสำคัญ ต่ออารมณ์หรืออาการของเวทนาเหล่านั้น แต่มา สังเกตเห็นตัวเราหรือจิตหรือวิญญาณผู้รู้เวทนา นั้นทุกขณะจิตปัจจุบันด้วยความปล่อยวาง ก็จะ เท่ากับปล่อยวางทั้งเวทนา และปล่อยวางจิตที่คิด ปรุงแต่ง ซึ่งรวมเรียกว่าธรรมารมณ์และปล่อยวาง ผู้รู้ด้วย จึงเป็นวิปัสสนากรรมฐาน
ผู้ถาม : อ๋ออีกเรื่องหนึ่งครับช่วงนี้นอนทำวิปัสสนา กรรมฐานตอนกลางคืนบางครั้งก็เห็นภาพต่าง ๆ นานาก็เลยอยากถามหลวงตาว่าฝันกับนิมิตต่าง กันยังไงครับ
หลวงตา : ความฝันจะเกิดขึ้นในขณะที่หลับไปโดย ไม่มีความรู้สึกตัวอาจจะเกิดขึ้นในขณะนั่งสมาธิแล้ว มีอาการเคลิ้ม ๆ กึ่งหลับกึ่งตื่นก็ได้บางท่านจะเรียก ในลักษณะหลังนี้ว่านิมิต แต่หลวงตาว่าเป็นความฝันและถ้าหลงเป็น จริงเป็นจัง ก็ทำให้เป็นบ้ามาหลายท่านแล้ว ส่วนนิมิตจริงมักจะเกิดขึ้นในขณะที่มี สติสัมปชัญญะ คือนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมด้วย ความรู้สึกตัวอยู่ เช่นเห็นตนเองนอนตายแล้วเน่า เปื่อยขยายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นซากศพแห้งแล้วผุ พังสลาย เป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ความว่างเปล่าจาก ตัวตนเป็นต้น อย่างนี้เอามาใช้ประโยชน์ได้นำมาน้อม พิจารณาให้ซึ้งถึงใจอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายไม่ นานก็บรรลุธรรมได้
ข้อควรระวัง : นิมิตหรือความฝันใดถ้าไม่ทำให้พ้นทุกข์ให้ ปล่อยวางไปเสีย อย่าไปหลงอาจจะทำให้เป็นบ้าได้ เคยรู้ เห็นผู้ปฏิบัติธรรมที่เป็นบ้าจากการหลงนิมิตใน สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ มาบอกว่าบรรลุธรรมแล้ว ให้ลุกเดินตามไปจน สุดท้ายกลายเป็นวิ่งตามแล้วเป็นบ้าไป
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่1 พฤษภาคม 2560
ทุกสรรพสิ่งล้วนเคลื่อนไหว แต่ใจหรือจิตเดิมแท้ไม่เคลื่อนไหว ผู้ถาม : "อวิชชา" ได้แก่ ไม่รู้ต้นคือ ไม่รู้ต้นจิตหรือจิตเดิมแท้ หรือใจ ไม่รู้กลางคือไม่รู้ขณะจิตหลงคิดปรุงแต่ง ส่งจิตออก นอกไปหาอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ในปัจจุบัน ไม่รู้ปลายคือไม่รู้ว่าจิตเข้าไปคลุกเคล้า คลอเคลีย ร่วมกับอารมณ์ที่ถูกรู้ในขณะปัจจุบัน แล้วเราจะแยกต้นกลางปลายได้อย่างไรล่ะคะหลวง ตา คนที่ไม่เคยรู้ต้นจิตจะทำอย่างไรอันกลางกับอัน ปลายก็ยังมั่ว ๆ กันแยกไม่ออก หลวงตา : ปล่อยให้ธรรมชาติของจิตฝ่ายปรุงแต่ง ซึ่งเป็นขันธ์ห้าเขาปรุงแต่งอย่างเป็นอิสระ โดยไม่มี ตัวตนของผู้ตามผู้เสวยผู้แทรกแซงก็จะพบจิตเดิม แท้หรือใจ
หรือปล่อยให้ขันธ์ห้าหรือจิตปรุงแต่งเขาปรุง แต่งอย่างเสรี แต่ธรรมชาติฝ่ายไม่ปรุงแต่งไม่อาจมี ความคิดหรือกริยาอาการใดที่กระเพื่อมหรือไหวตัวขึ้น มาได้ หรือ ในความกระเพื่อมไหวตัวมีความไม่ กระเพื่อมไม่ไหวตัว หรือ ในความวุ่นวายมีความสงบ หรือทุกสรรพสิ่งล้วนเคลื่อนไหว แต่ใจหรือจิต เดิมแท้ไม่เคลื่อนไหว หรือ ความมีย่อมเกิดดับในความไม่มีอะไรเกิด ดับ หรือ ความวุ่นอยู่ในความว่าง หรือ ในท่ามกลางความมีหรือท่ามกลางความ เคลื่อนไหว หรือ ท่ามกลางความวุ่น มีความว่าง
พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกก็มีสังขาร เหมือนปุถุชน แต่สิ้นไป หมดไป หรือดับสนิทไม่เหลือ เพียงอย่างเดียว คือดับสนิทผู้อยากหรือผู้ปรารถนา หรือผู้จะเอาหรือผู้เสวยหรือผู้ยึดมั่นถือมั่นหรือผู้หลง ปรุงแต่ง
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2560
พิจารณาด้วยความรู้สึกตัว ไม่หลงอารมณ์ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาคะลูกฟังหลวงตาสอน อสุภะ เมื่อคืนฟัง ๆ น้ำตาก็เอ่อ วันนี้ในรถฟังไฟล์ เดิมคะขณะฟังลูกมโนไปเห็นหน้าตัวเองเน่าตาหลุด ผมหลุด อยู่ ๆ ก็ไปรู้สึกชัดที่เท้าเหลือแต่ กระดูก กำลังถีบคันเร่งแล้วลูกมโนต่อว่า กระดูก สลายแล้วพอเท้าหายน้ำตาลูกออกมาเอ่อ ๆ คะแบบ นี้คือเผลอไปมั้ยคะหลวงตา น้ำตาเลยเอ่อ ลูกฟังหลวงตาไปเรื่อย ๆ และน้อมไปต่อไป แบบนี้มั้ยคะ กราบนมัสการคะหลวงตา หลวงตา : น้ำตาไหลออกมามันหลงอารมณ์ให้ พิจารณาด้วยความรู้สึกตัวเอาแต่สัจธรรมความจริง เท่านั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560
ปล่อยวางทั้งสิ่งที่ถูกรู้ และผู้รู้ตลอดเวลา ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตาคะ ก่อนหน้านี้ลูกขับ รถลูกรู้สึกตัวมีสติตลอดคิดอะไรก็เห็นบ้าง ไม่เห็น บ้าง เห็นข้างทางว่ามีชัดเจน แต่ครั้งล่าสุดนี้ลูกขับ จากตรังไปนราธิวาสเหมือนขับรถไปแล้วมาดูตัว เองรู้สึกเหมือนสมองมันโล่ง ๆ โว่ง ๆ โปร่ง ๆ ภาพข้างทางที่ขับผ่านมาไม่ชัดเจนเหมือนขาด ๆ หาย ๆ ตลอดแต่พอกลับมารู้สึกตัวอาการแบบนี้ก็ ยังเป็นอยู่คะ (ลูกอธิบายไม่ได้เหมือนที่ลูกรู้สึก จริงๆคะ) ลูกขอคำแนะนำจากหลวงตาด้วยคะขอ น้อมกราบนมัสการหลวงตาคะ (ระหว่างทางขับรถ ลูกก็ฟังธรรมะหลวงตาไปด้วยคะความรู้สึกที่ตาม มา ลูกรู้สึกกลัวกับสิ่งที่เห็นค่ะหลวงตา)
หลวงตา : จิตมันหลงเข้าไปอยู่ข้างในเพราะขาด สติสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัวทั่วพร้อมว่ากำลังขับรถยนต์อยู่ อันตรายมาก ๆ นะต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ชัดทั้งข้างนอก และข้างในคือจิตที่คิดปรุงแต่งแต่ไม่มีอาการของผู้รู้มีแต่ สิ่งที่ถูกรู้ตลอดเวลา หรือปล่อยวางทั้งสิ่งที่ถูกรู้และผู้รู้ ตลอดเวลา ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560
จิตที่คิดเป็นธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง ใจไม่คิดไม่ปรุงแต่ง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าคะ เป็นผู้ปฎิบัติเริ่ม ๆ ฝึกและเรียนรู้เจ้าคะ ขอถามและอยากทราบว่ากาย กับใจแยกกันแล้ว คิดเกิดขึ้นได้อย่างไรหรือเจ้าคะ หลวงตา : คิดกับใจมันอยู่ด้วยกัน บางคนนอนหลับ หรือนั่งสมาธิแล้วเห็นจิตออกจากร่างมาดูร่างกายของ ตัวเองจิตที่ออกจากร่างมานั้นคิดได้ ส่วนร่างกายไม่ได้ คิด ส่วน "ใจ" เป็นผู้รู้เห็นจิตที่ออกมาจากร่างเป็นผู้ คิด แต่ใจเป็นธาตุที่ไม่คิดไม่ปรุงแต่งเป็นความสงบ ว่าง เหมือนกับเป็นความว่างของจักรวาล "ใจ" ไม่คิดไม่ปรุงแต่งเพราะเป็นธรรมชาติที่ไม่ ปรุงแต่ง ส่วนจิตที่คิดหรือปรุงแต่งเพราะเป็นธรรมชาติ ที่ปรุงแต่ง เขาไม่เกี่ยวข้องกันเลยเป็นอิสระแก่กัน จิตเขาก็ทำหน้าที่คิดปรุง ปรุงคิดของเขาไปตาม ธรรมชาติ
ส่วน "ใจ" มีแต่ความสงบว่างเหมือนกับความ ว่างของธรรมชาติหรือจักรวาลหลายคนหลงเอากาย และจิตที่เป็นธรรมชาติปรุงแต่งไปหานิพพาน หรือจะ ไปให้ถึงนิพพานและหลายคนเข้าใจผิดเป็นมิจฉา ทิฏฐิว่า "ใจ" ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ว่างจากความปรุง แต่งเป็นนิพพาน และหลายคนเข้าใจผิดเป็นมิจฉา ทิฏฐิว่าร่างกายและจิตปรุงแต่งเป็นเราเป็นตัวเราหรือ เป็นตัวตนของเรา ไม่เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยงเป็นเพียง เราชั่วคราวแล้วก็ต้องตายดับไปจึงเป็นเราเพียง สมมติ ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560
น้อมนำธรรมให้ถึงใจ ให้ใจเป็นธรรมในปัจจุบัน ผู้ถาม : หลวงตาสอนให้รู้โดยไม่ให้ค่าแต่ต้องมีสติ ปัญญาคอยสอนใจให้เป็นกุศลตลอดเวลาใช่ไหมคะ รู้ เท่าทันรู้แล้วละ อยู่กับปัจจุบันธรรมตลอดโดยไม่ บังคับรู้เบา ๆ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมตตาชี้แนะว่าต้องแก้ไขรายละเอียดและเพิ่ม เติมอะไรไหมเจ้าค่ะ กราบเท้าหลวงตาด้วยความรู้สึก ขอบพระคุณอย่างสูงเจ้าค่ะ
หลวงตา : ลองฟังสามไฟล์ (170505-1 โยนิโส มนสิการกับการมีกัลยาณมิตร 170505-2 วิธีแก้จิต แช่ 170505-3 หมั่นสอนจิตให้หายโง่) ที่ส่งมาเมื่อกี้นี้ ว่าได้รับคำตอบชัดเจนหรือไม่
ทุกครั้งก่อนอ่านหรือฟังให้อธิษฐานล้างความ เห็นผิดที่ปิดธรรมแล้วน้อมเอาธรรมของพระพุทธเจ้า ที่หลวงตานำมาแสดงออกจากใจให้ถึงใจให้ใจเป็น ธรรมในปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ : ผู้ถาม : เจ้าค่ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2560
รู้ซื่อ ๆ ด้วยใจทุกขณะปัจจุบัน ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะโยมอยู่แม่สอด เจ้าค่ะ คือโยมมีข้อสงสัยการปฏิบัติจะขอกราบเรียน ถามเจ้าค่ะคือเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วโยมจะง่วงมากขณะ เดินจงกรม จนเซแล้วก็ไปนั่งภาวนาต่อ ก็ง่วงจนเหมือน หลับไปจนหัวจะโขกพื้นก็ตกใจ และแวบนั้นก็เหมือนผู้รู้มันแยกต่างหาก และไป เห็นร่างกายมันพูดบ่นแบบบังคับไม่ได้โยมก็ตกใจ แต่ สภาวะนี้ไวมาก และอีกประมาณ 5 วันก็เกิดอีกแต่ไว มากจนแทบสังเกตไม่ทัน โยมไม่แน่ใจว่าเป็นหลงหรือ ไม่ และอีกอย่างคืนหนึ่งเห็นร่างกายนอนอยู่แล้วฝัน โดยตัวผู้รู้นั้นไปเห็นเจ้าค่ะ หลวงตา : อะไรที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้ว รู้แล้ว เห็น แล้ว ก็ปล่อยวางไป อดีตเป็นธรรมเมาอนาคตเป็น ธรรมเมา ให้มีสติเฝ้าสังเกตจิตอยู่เงียบ ๆ ทุกขณะจิต ปัจจุบัน ไม่ถูกดูดเข้าไปไม่ผลักไส ไม่แทรกแซงรู้ซื่อ ๆ จะค่อย ๆ เห็นและเข้าใจชัดเจนด้วยใจมากยิ่งขึ้นไป เรื่อย ๆ
ถ้าเกิดความสงสัยสภาวะที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ต้องถามใจผู้รู้ในขณะนั้นว่าเป็นอะไรหรือคืออะไรถาม ซ้ำ ๆ อาจเปลี่ยนแง่มุมในการถามใหม่ ถ้าไม่ได้รับคำ ตอบ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2560
หลวงตา ... ตอบโยมที่ใส่บาตร ผู้ถาม : นมัสการพระอาจารย์โยมขอความเมตตา อนุญาตช่วยขยายธรรมการปฏิบัติค่ะ ปุจฉาข้อที่หนึ่ง วิธีเจริญวิปัสสนาดูจิตเราควร จะรู้สภาวธรรมหรือจะรู้อะไรถึงจะถูกคะ หลวงตา : วิสัชนา รู้ใจตนเองและปล่อยวางทั้งหมด ทุกขณะปัจจุบัน ผู้ถาม : ปุจฉาข้อที่สอง พิจารณากายเวทนาจิตธรรม พิจารณาอย่างไรถึงจะควบคุมจิตได้คะ หลวงตา : วิสัชนา รู้กายเวทนาจิตธรรมก็เอาเข้ามา ปรุงแต่งในใจทั้งหมดนั่นแหละ ถ้าสติตั้งที่ใจ ดูที่ใจ รู้ที่ใจ สังเกตที่ใจ ละที่ใจ ปล่อยวางที่ใจ อยู่ตลอด เวลาทุกขณะจิตปัจจุบัน นั่นแหละคือการปล่อยวาง กาย เวทนา จิตธรรมทั้งหมด
กาย เวทนา จิตธรรมก็คือร่างกาย จิตใจ หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณซึ่งเรียกว่า "ขันธ์ ห้า" รู้เพื่อให้ปล่อยวางหรือละอุปาทานขันธ์ห้า ผู้ถาม : ปุจฉาข้อที่สาม รู้ลมหายใจเข้าออกแต่จิต ไม่มีกำลัง เราจะทำจิตอย่างไรจิตถึงจะมีกำลัง ...จบ ที่ใจแต่ไม่จบซะที หลวงตา : วิสัชนา ให้มีสติรู้ลมหายใจเข้าออกอย่าง ต่อเนื่อง อย่าให้สติขาด จิตก็จะเกิดกำลังของสมาธิ เอง เมื่อจิตเกิดสมาธิแล้วให้มีปัญญา เห็นว่าร่างกาย จิตใจเป็นของไม่เที่ยง เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่ อาจยึดมันถือมั่นได้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัว ตนของเรา
ผู้ถาม : ปุจฉาข้อที่สี่ อารมณ์ถูกรู้ให้ตั้งสติที่ใจ อยู่ที่ ใจ รู้ที่ใจ สังเกตที่ใจ ละที่ใจ ปล่อยวางที่ใจ เรารู้แล้ว ต้องละ จะละได้อย่างไร เวลาพบพระมาบิณฑบาตพอได้นิมนต์และได้ใส่ บาตรก็เกิดปีติ อันนี้เรียกว่ารู้ด้วยจิตหรือรู้ด้วยใจคะ แล้วรู้แล้วต้องละไหมคะ โยมขอความเมตตาพระ อาจารย์ให้โยมได้รู้ได้เกิดปัญญาด้วยเจ้าค่ะ หลวงตา : วิสัชนา จิตเค้าอิ่มในบุญที่ได้ใส่บาตรจึงเกิด อารมณ์ปีติ ซึ่งเป็นสุขเวทนาใจเป็นของปรุงแต่งไม่ได้ ได้แต่รู้ซื่อซื่อ อย่างตรงไปตรงมาทุกอาการปัจจุบัน รู้ ซื่อซื่อนั่นแหละคือมีสติปัญญา
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2560
ฝึกให้มีสติรู้สึกตัวตลอดเวลา ... จนเป็นปกตินิสัย ผู้ถาม : ขอเรียนถามค่ะทำอย่างไรให้สติมีกำลังคะ หลวงตา : สติจะมีกำลังได้จะต้องฝึกอย่างหนัก เหมือน กับนักกีฬาจะชิงแชมป์โลกโดยฝึกให้มี "สติ" คือความ รู้สึกตัวตลอดเวลา ถ้าขาดสติหลงเหม่อเผลอเพลินติด ไปกับอะไร หรือหลงหมกมุ่นครุ่นคิดหลง พยายามทำ อะไรให้เป็นอะไร หลงไปสะกดจิตให้นิ่งเฉยก็ต้องมี "สติ" รู้สึกตัวขึ้นมาทุกครั้ง รู้สึกตัวได้แป๊บเดียวจะหลงใหม่อีก ก็มีสติรู้สึก ตัวขึ้นมาอีก จนสามารถจดจำหน้าตาลักษณะอาการ หลงได้ และจำหน้าตาลักษณะอาการรู้สึกตัวได้ ฝึก อย่างหนักอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ก็จะขาดสติหลง เหม่อเผลอเพลินหลงหมกมุ่นครุ่นคิด หลงพยายามทำ อะไรให้เป็นอะไรหรือหลงสะกดจิตให้นิ่งเฉยน้อยลงไป เรื่อย ๆ
ในทางกลับกันก็จะมีสติรู้สึกตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะสิ้นหลง มีแต่สติรู้สึกตัวหรือรู้ตัวตลอดเวลา จนเป็นปกตินิสัยแล้ว ความรู้สึกตัวที่ต้องเพียรระวัง รักษาไว้ก็จะหายไปเหลือแต่ "รู้" ที่รู้ว่าสิ้นหลงแล้ว เป็นผู้รู้ (รู้ว่าสิ้นหลงแล้ว) เป็นผู้ตื่น (ตื่นจากความหลงคืออวิชชา) เป็นผู้เบิกบาน (ไม่หลงติดไปกับอะไรให้เป็น กิเลสเครื่องเศร้าหมองอีกต่อไป ) เรียกว่าเป็น "พุทโธ" หรือ "พุทธะ"
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2560
รู้ซื่อ ๆ ... คือสติปัญญา ผู้ถาม : หลวงตาคะ ดิฉันพยายามทำจิตและความคิด การยอมรับสิ่งที่จะเกิดให้สงบ แต่พอจะทำให้สงบและนิ่ งมันต้องมีเรื่องรบกวนจิตใจเข้ามาอยู่เนือง ๆ ดิฉันก็ พยายามทำเหมือนคนตาบอดหูดับทุกครั้ง มันเหมือนมี มารมาผจญตลอดเลย เพื่อไม่ให้ดิฉันรอดปลอดภัย หรือ ทำไม่ให้ฉันหายป่วยดิฉันควรทำอย่างไรมันมาร บกวนอยู่เรื่อย ๆ หลวงตา : ไม่ใช่ไปทำให้สงบโดยการปรุงแต่งให้สงบ เหมือนคนตาบอดหูดับอย่างนั้น อย่างนั้นมันสะกดจิตตัวเอง ให้ดับความรับรู้ตามปกติ ธรรมชาติ ให้รู้ซื่อ ๆ ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2560
ปล่อยวางทั้งอารมณ์และผู้รู้ (รู้ซื่อ ๆ) ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะขออนุญาตแทนตัว เองว่าลูกนะเจ้าคะ ... จากที่ลูกได้รับความเมตตาจาก หลวงตาให้แนวทางปฏิบัติในการควบคุมจิต โดย การบริกรรมพุทโธแล้วลูกรู้สึกจุกที่หน้าอกขึ้นมาถึงลำ คอทั้งวัน ต่อมาหลวงตาแนะนำให้บริกรรมพุทโธอย่าง ต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนอาการจุกหน้าอกของลูกหาย ไป หลังจากลูกกลับมาที่บ้านลูกจับความรู้สึกได้ว่า ทุกครั้งที่ลูกต้องการฟังธรรมหรือบริกรรมพุทโธพร้อม ทำกิจกรรมเป็นปกติ ลูกก็จะมีอาการจุกหน้าอกขึ้นมา ทุกครั้ง ลูกก็ตามดูไปมันก็มีอาการของมันไปอย่างนั้น แผ่วบ้างหนักบ้างแต่เวลาที่ลูกเผลอคิดเรื่อยเปื่อยจะ ไม่มีอาการจุก แต่กลับรู้สึกโล่งสบายดีในขณะที่เรา หลงส่งจิตออกนอกเจ้าค่ะ ...
ลูกควรจะทำอย่างไรดีคะตอนนี้ลูกก็จะฟังธรรม หลวงตาเป็นระยะไปมันจะจุกก็ปล่อยมัน (นึกถึง คำหลวงตาค่ะไม่มีใครตายเพราะปฏิบัติธรรม) หลวงตา : อย่าปล่อยให้สติขาดหลงคิดเรื่อยเปื่อย ให้มีสติรู้สึกตัวไว้กับคำบริกรรมพุทโธมันจะมีอาการ แน่นจุกบ้างซึ่งเป็นอารมณ์หรืออาการทุกขเวทนามี อาการเบาสบายบ้างซึ่งเป็นอารมณ์หรืออาการสุข เวทนา มีอาการไม่ถึงกับจุกแน่นบ้างไม่ถึงกับเบา สบายบ้าง ซึ่งเป็นอทุกขมสุขเวทนาหรืออุเบกขา เวทนา ก็ไม่ให้สนใจให้ค่าให้ความสำคัญยึดถือ เวทนาเหล่านั้น วิธีที่จะไม่เข้าไปยึดถือเวทนาจะต้องรู้ที่จิตหรือ วิญญาณขันธ์ซึ่งเป็น "ผู้รู้" เวทนาจะทั้งรู้ทั้งคิดตรึก ตรองวิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัย เหมือนพากษ์หรือพูดอยู่ คนเดียวตลอดเวลา จะดับเขาก็ไม่ได้เพราะเป็นกระ บวนการทำงานของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นชีวิตคือจิตหรือ วิญญาณขันธ์จะทำหน้าที่รู้รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ (สัมผัส) และธรรมารมณ์ (เวทนาสัญญาสังขาร)
เมื่อจิตหรือวิญญาณเกิดมารู้แล้วจะดับไปเร็ว มาก เกิดเวทนาแล้วเกิดจิตหรือวิญญาณตัวใหม่ มารู้เวทนาแล้ว ดับไปเร็วมาก เกิดสัญญา (ความจำได้หมายรู้) แล้วเกิดจิต หรือวิญญาณมารู้สัญญาแล้ว ดับไปเร็วมาก เกิดสังขาร (คิดปรุงหรือปรุงคิด) แล้วเกิดจิต หรือวิญญาณมารู้สังขารแล้ว ดับไปเร็วมาก แล้วเกิดจิตหรือวิญญาณตัวใหม่มารู้รูปเสียง กลิ่นรสสัมผัสหรือธรรมารมณ์อันใหม่แล้ว ดับไปเร็ว มาก แล้วเกิดเวทนาสัญญาสังขารตัวใหม่และเกิด จิตหรือวิญญาณขันธ์ตัวใหม่มารู้เวทนาสัญญา สังขารแล้ว ดับไปเร็วมาก แล้วเกิดกระบวนทำงานของขันธ์ทั้งห้าอย่าง เดิมนั้น หมุนวนไปตลอดเวลาไม่มีเวลาหยุดพัก จนกว่าจะตาย กระบวนการทำงานของขันธ์ห้าจึงดับ สนิท
แต่เพราะยึดถือเอาขันธ์ห้าเป็นเราตัวเราตัวตน ของเรา หรือมีตัวเราอยู่ในขันธ์ห้า จึงสร้างตัวตนของ เราซ้อนอยู่ในขันธ์ห้า ดังนั้นเมื่อขันธ์ห้าดับแต่การปรุง แต่งยึดถือขันธ์ห้าไม่ดับ ความรู้สึกหลงว่ามีตัวเราเป็น ตัวเป็นตนจึงไม่ดับไปจากใจ จึงมีตัวตนและความทุกข์ สุขเหลืออยู่ ซึ่งคนอื่นจะมองไม่เห็นตัวเราแต่พวกมาเอา วิญญาณไปจะมองเห็น และมาพาไปพิพากษาลงโทษ ตามกรรมได้ ดังนั้นขันธ์ห้าตายแตกดับแล้วแต่ตัวตนและ ความทุกข์สุขยังไม่จบสิ้น
ถ้าปล่อยวางความหลงยึดถือขันธ์หรือ
กระบวนการทำงานของขันธ์ห้าว่าเป็นเราเป็นตัวเรา หรือเป็นตัวตนของเราหรือมีตัวเราอยู่ในขันธ์ห้า ใจก็จะ ว่างเปล่าจากความรู้สึกว่าเรามีตัวตนหรือมีตัวตนของ เรา และจะไม่มีตัวตนของเราไปยึดถือสิ่งใดให้เป็น กิเลสและความทุกข์ ครั้นเมื่อขันธ์ห้าตายแตกดับ ใจก็เป็นเพียง ความว่างเปล่า ไม่หลงเหลือตัวเราให้ไปเวียนว่ายตาย เกิดและรับกรรมอีกต่อไป
ดังนั้นทุกขณะที่รับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ให้ปล่อยวางทั้งอารมณ์หรือสิ่งที่ถูกรู้ และให้ปล่อยวาง ทั้งจิตหรือวิญญาณขันธ์ซึ่งเป็นผู้รู้ ไม่หลงว่ามีตัวเรา เป็นผู้รู้ และไม่หลงยึดถือเอามาเป็นของเรา เมื่อเกิดความถูกใจหรือไม่หลงยึดถือดิ้นรน ผลักไส เมื่อเกิดความไม่ถูกใจเพียงแค่สักแต่ว่ารู้หรือรู้ ซื่อ ๆ ก็จะสิ้นกิเลสและความทุกข์ ทั้งปัจจุบันจะไม่มีตัว เราซ้อนอยู่ในขันธ์ห้าและเมื่อขันธ์ห้าตายแตกดับแล้วก็ จะไม่มีตัวเราเหลืออยู่ให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดและ ต้องรับกรรมอีกต่อไป ถ้าเราอยู่กับสักแต่ว่ารู้หรือรู้ซื่อ ๆ ไม่เป็นก็ให้มี ความรู้สึกตัวอยู่กับคำบริกรรมพุทโธแล้วสักแต่ว่ารู้ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจตลอดเวลาจ นกว่าจะสักแต่ว่ารู้ หรือรู้ซื่อ ๆ คือปล่อยวางทั้งอารมณ์หรือสิ่งที่ถูกรู้และ ปล่อยวางทั้งผู้รู้ตลอดเวลา ก็ไม่ต้องพึ่งคำบริกรรมพุ ทโธอีกต่อไป ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2560
ปล่อยวางทั้งอารมณ์ที่ถูกรู้ และปล่อยวางตัวเราผู้รู้อารมณ์ ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะหลวงตาเจ้าค่ะ ปุจฉา ข้อที่หนึ่งเจ้าค่ะ หลังจากที่หนูได้มากราบ นมัสการหลวงตาแล้วเกิดปีติขึ้นน้ำตาไหล แล้วหลวง ตาบอกให้หนูระลึกถึงความปีติที่ทรงไว้ความเย็นฉ่ำ ของน้ำตาไหลลงสู่ใจแล้วจะค่อย ๆ หายไปแล้วกลาย เป็นอุเบกขาไปในที่สุด แต่ความปีติยังคงมีอยู่เมื่อขณะ เดินทางกลับบ้านฝนตกก็ระลึกถึงความปีตินั้นแล้ว ขนลุกตามแขนทั้งสองข้างแล้วก็ค่อย ๆหายไปเจ้าค่ะ อาการเช่นนี้จะนำมาพิจารณาจะเป็นเช่นไรเจ้าคะหลวง ตา หลวงตา : อารมณ์ปีติสุขอุเบกขาเวทนาเขาหายไป แล้ว ก็ให้อยู่กับรู้สักแต่ว่ารู้ทุกขณะปัจจุบัน ถ้าอยู่กับรู้ สักแต่ว่ารู้ไม่ยึดถือทั้งอารมณ์หรือสิ่งที่ถูกรู้ และไม่ ยึดถือว่าตัวเราเป็นผู้รู้ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
เพราะธรรมารมณ์คือเวทนา สัญญา สังขารและ จิตหรือวิญญาณ ซึ่งเป็นผู้รู้ล้วนแต่เป็นขันธ์ห้าเป็น อนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวเราหรือไม่ใช่ ตัวตนของเราให้ปล่อยวางความหลงยึดถือเสียเรียกว่า “วิปัสสนา" แต่ถ้าเอาตัวเราไปรู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเพียง อารมณ์เดียวเช่นคำบริกรรม "พุทโธ" เมื่อสติหรือผู้รู้ต่อ เนื่องไม่ขาดสาย โดยไม่หลงขาดสติไปคิดฟุ้งซ่านหรือ ไปรู้อารมณ์อย่างอื่น ก็จะเกิดอารมณ์ปีติสุขอุเบกขา เรียกว่า “สมถะ" สมถะกับวิปัสสนาต่างกันตรงที่ "สมถะ "จะเอาตัวเราไปรู้อารมณ์หรือเครื่องล่อ จิตแต่ "วิปัสสนา" จะปล่อยวางทั้งอารมณ์ที่ถูกรู้และ ปล่อยวางตัวเราผู้รู้อารมณ์ คือไม่หลงยึดถืออารมณ์ หรือสิ่งที่ถูกรู้และไม่ยึดถือผู้รู้ว่าตัวเราเป็นผู้รู้ หรือผู้รู้ เป็นตัวเราได้แต่สักแต่ว่ารู้ซื่อ ๆ ทุกขณะจิตปัจจุบัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่16พฤษภาคม 2560
รู้ซื่อ ๆ ทางประตูใจทุกขณะจิตปัจจุบัน ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะหากเรารู้ว่าการ บริกรรมพุทโธหาย ขาดความต่อเนื่องขณะที่ลูกนั่งดูทีวี ลูกควรเลิกดูทีวีหรือนั่งดูต่อพร้อมทั้งการการบริกรรม ให้ต่อเนื่องค่ะ หลวงตา : ใช้การรู้สึกตัวกับการดูทีวีหรือการทำการ งานเป็นเครื่องรู้ ไม่ต้องบริกรรมพุทโธซ้อนขึ้นมาอีก แล้วสักแต่ว่ารู้ซื่อ ๆ ทางประตูใจทุกขณะจิตปัจจุบัน แต่ การดูทีวีถ้าดูหนังดูละครจะหลงเพลินส่งจิตออกนอก มากกว่าการรู้สึกตัว
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2560
สิ้นหลงยึดถือว่าเป็นเราเป็นตัวเรา เป็นของเราหรือมีตัวเรา อยู่ในขันธ์ห้า ... ก็พ้นทุกข์ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับช่วงนี้ผมขับรถ ทางไกลบ่อย เวลาขับรถจะเปิดซีดีจบซะทีฟังช่วงที่ฟัง ไฟล์ที่ 1 ถึงไฟล์ที่ 4 จิตจะตื่นทุกครั้ง ตามดูตัวพากษ์ ได้เกือบตลอดเลยฟังวนอยู่ 4ไฟล์นี้ครับ ขอโอกาสถาม 2 ข้อครับ 1. ขณะเห็นตัวพากษ์บางครั้งจิตที่รู้จะมีการกด ทำให้แน่น แล้วจะมีจิตก็พากษ์ว่ากดหรือบางครั้งก็ พากษ์ว่าแน่น แล้วก็รู้ตัวพากษ์ต่อไปเรื่อย ๆ แม้จะมี อาการกดสลับไปมาโดยไม่มีเราได้ไปยึดถือดูตัวพาก ษ์ที่ซ้อนอยู่เรื่อยไปใช่ไหมครับ
2. เมื่อดูตัวพากษ์ที่ซ้อนกันเรื่อยไปจิตจะไม่มี อารมณ์ (แบบโลก ๆ) ใช่ไหมครับ แต่ถ้าเห็นไม่ทัน หรือไม่ต่อเนื่องก็จะเริ่มมีอารมณ์ (แบบโลก ๆ) ไม่ว่า จะเป็นการอึดอัดโกรธ หงุดหงิด รำคาญ สบายใจ ทุกข์ใจ เศร้า ฯลฯกราบขอบพระคุณหลวงตาอย่างสูง ครับ ตัวอย่างเช่นกำลังจะแซงรถข้างหน้ามองกระจก ข้าง เห็นรถทางขวากำลังแล่นมามีเสียงพากษ์ว่า "เร็ว ๆ" จะไม่มีความอึดอัดแล้วก็รู้ตัวพากษ์อื่นต่อ แต่ถ้า เห็นไม่ทันจะรู้สึกอึดอัด มารู้ตอนพากษ์อีกครั้งว่า "อึดอัด “แล้วรู้ตัวพากษ์อื่นต่อใช่ไหมครับและกรณีหลัง ถือว่าเป็นการจับปล่อยจับปล่อยอย่างที่หลวงตาเทศน์ สอนแล้วใช่ไหมครับ หลวงตา : อาการอึดอัดหรืออารมณ์อึดอัดเป็น ทุกขเวทนา เกิดจากหลงยึดถือขันธ์ห้าเป็นตัวเรา แล้ว เอาตัวเรานั้นไปหลงปรุงแต่งเพ่งหรือสะกดจิต ให้นิ่งไว้
เมื่อมีสติมารู้เท่าทันตัวเราซึ่งเป็นตัวสมมติ คือหลงเอาจิตหรือวิญญาณขันธ์หรือผู้รู้เป็นตัวเราซึ่ง เมื่อจิตหรือวิญญาณขันธ์รู้ตามทวารแล้วก็จะส่งต่อ เวทนา จิตหรือวิญญาณเก่าดับไปเกิดจิตหรือ วิญญาณใหม่มารับรู้เวทนาเวทนา และจิตหรือวิญญาณเก่าดับไปส่งต่อสัญญา เกิดจิตหรือวิญญาณใหม่มารู้สัญญา แล้วสัญญาและจิตหรือวิญญาณนั้นดับไปส่ง ต่อสังขาร คือคิดปรุงหรือปรุงคิดแล้วจิตหรือ วิญญาณเก่าพร้อมสัญญาดับไปเกิดจิตหรือวิญญาณ ใหม่มารู้ความคิดปรุงหรือปรุงคิด แล้วจิตหรือวิญญาณนั้นดับไปเกิดจิตหรือ วิญญาณใหม่มารู้รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสหรือ ธรรมารมณ์แล้วส่งต่อเวทนาสัญญาสังขารต่อเนื่อง กันไปอย่างนี้ตลอดเวลา
ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานของขันธ์ห้าหรือ ชีวิต ดังนั้นมีแต่ขันธ์ห้าหรือสังขารเกิดดับตลอด เวลา ส่วนร่างกายก็มีกระบวนการทำงานของเซลล์ หรือโมเลกุลทำงานส่งต่อเนื่องกันตลอดเวลา ทำให้ เกิดการไหลเวียนของสารอาหารแร่ธาตุและเลือด ลมดังนั้นร่างกายและจิตหรือวิญญาณจึงเป็นของไม่ เที่ยง เกิด ดับ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีส่วนใด ที่คงที่เป็นสาระแก่นสารอยู่เลยสักปรมาณูเดียว จึง ไม่มีตัวเราที่เป็นแก่นหรือก้อนที่เที่ยงอยู่จริง ๆ เลย แต่ก็ยังหลงยึดถือเอาขันธ์ห้าเป็นเราเป็นตัว เรา เป็นตัวตนของเราหรือมีตัวตนของเราอยู่ใน ขันธ์ห้า ดังนั้นเวลาจิตหรือวิญญาณขันธ์ทำหน้าที่รู้ แล้วส่งต่อเวทนาสัญญาสังขารอีกสามขันธ์ จึงมี ความรู้สึกหลงไปว่าเราเป็นคนรู้ เราสุข เราทุกข์ เรา เป็นกลาง ๆ เราจำได้หมายรู้ เราคิด
ครั้นเมื่อฝึกปล่อยวางทั้งสิ่งที่ถูกรู้และปล่อยวาง จิตหรือวิญญาณขันธ์ซึ่งเป็นผู้รู้ตลอดเวลา จึงเท่ากับ ปล่อยวางขันธ์ห้าจนถึงจิตหรือวิญญาณขันธ์หรือสิ้น อุปาทานขันธ์ห้า ก็จะไม่หลงรู้สึกว่าเราหรือตัวเราเป็นผู้ รู้ เราหรือตัวเราเป็นผู้โปร่ง เบาสบายว่าง เราหรือตัว เราจำได้หมายรู้เราหรือตัวเราคิด คงมีแต่อารมณ์หรือ อาการที่ถูกรู้และการรับรู้ตามทวารทั้งหกตามปกติ ธรรมชาติ โดยไม่หลงว่ามีตัวเราในขันธ์ห้า หรือไม่ หลงยึดถือเอาขันธ์เป็นตัวเราและจะไม่หลงเอาขันธ์ไป ยึดถือรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส ไม่หลงยึดถือว่าเราหรือ ตัวเราเป็นผู้มีอาการหรือมีอารมณ์คือเป็นผู้สุขทุกข์ เป็นกลาง ๆ ผู้จำได้หมายรู้ผู้คิดผู้รู้ผู้ว่าง เมื่อสิ้นหลง ยึดถือว่าเป็นเราเป็นตัวเราเป็นของเราหรือมีตัวเราอยู่ ในขันธ์ห้า ก็ไม่มีตัวเราผู้ทุกข์หรือเรียกว่าพ้นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2560
ปล่อยวางความหลงยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา หรือมีตัว เราเป็นตัวเป็นตนอยู่ในขันธ์ห้า ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะหนูกราบแทบ เท้าหลวงตาเจ้าค่ะ ที่หลวงตาโปรดเมตตาสั่งสอนให้ หนูได้เข้าใจการปล่อยวางยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ ที่หนูได้ฟัง ธรรมจากหลวงตาครั้งนี้หนูได้นำมาจดไว้พอได้ดังนี้ เจ้าค่ะหลวงตา ธรรมที่ได้ฟังหลวงตามา - ปล่อยวางการปรุงแต่งไม่ใช่ปรุงแต่งการ ปล่อยวาง ... *เรื่องนี้สำคัญมาก - ปล่อยวางคือไม่ไปยึดไม่ไปติด ทุกอย่าง (รอบตัว) มันเป็นปกติอยู่แล้ว มีได้ แต่ไม่เข้าไปยึด ไม่ เข้าไปติดเหมือนกับที่เรารู้ว่าธรรมชาติ ล้วนเกิดขึ้น แล้วดับไป เราก็แค่รู้ไม่ได้ไปให้ค่า ไม่ได้ยึดเราก็เลย ไม่ไปทุกข์กับมัน เช่นเสียงนกร้องสภาพอากาศ เป็นต้น
- อย่าให้กิเลสลากไปต้องมีสติยับยั้งชั่งใจ พิจารณา - ไม่มีเราเลยมีแต่สังขารเท่านั้น มันเกิดดับอยู่ ที่ใจเราทุกขณะจิต อย่าเข้าไปร่วมไปยึดไปปรุงว่าเป็น เรามันเกิดแล้วก็ดับไปเอง หากมีข้อที่ยังเข้าใจผิดหรือไม่ถูกต้องขอหลวง ตาโปรดเมตตาด้วยนะเจ้าคะ กราบเท้าหลวงตาด้วยความเคารพอย่างสูงสุดเจ้าค่ะ หลวงตา : ถูกแล้วเหลือแต่ปล่อยวางความหลงยึดถือ ว่าเป็นเราเป็นตัวเราเป็นตัวตนของเรา หรือมีตัวเรา เป็นตัวเป็นตนอยู่ในขันธ์ห้า
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2560
ใจสงบไม่เกิดดับแต่ทุกสรรพสิ่งล้วน เคลื่อนไหวเกิดดับ ผู้ถาม : กราบนมัสการครับเมื่อวานฟังธรรมหลวงตา แบบธรรมดาปกติ ไม่มีความปรารถนาอะไรจากการฟัง นั้นไม่มีการภาวนา ไม่มีการเจตนาตั้งรู้ไว้ที่ใจ เลยไม่ สนใจระวังว่าจะหลงสังขารหรือไม่สังขาร ... ผลของเมื่อ คืนคือสงบ ... เพราะหยุดทำอะไรทั้งนั้นใช่ไหมครับ หลวงตา บางช่วงจังหวะที่กำลังฟังหลวงตาอยู่ความ คิดถึงคนในครอบครัวผุดมา ... มันก็แค่รู้เองได้ แล้ว เห็นถึงเยื่อใยที่ยังค้างคาแต่พอผมไม่ได้ยึดถืออะไรใน ความคิดความรู้สึกนั้นมันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อใจ รวม ไปถึงความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอกุศลที่ผุดมาเองมันก็หาย ไปเองสงบสุข กราบครับหลวงตา
หลวงตา : ใจสงบไม่เกิดดับแต่ทุกสรรพสิ่งล้วน เคลื่อนไหวเกิดดับก็แค่รับรู้อย่างนั้นเอง ไม่มีตัวเรา ไม่มีการยึดถือ ไม่มีการปล่อยวาง
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2560
ให้น้อมพิจารณาเห็นตัวเอง ... อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ... โยมปฏิบัติ มาหลายปีแล้วเพิ่งมาได้ฟัง CD ของหลวงตาไม่กี่เดือน มานี้ ขอเล่าสภาวะนะคะ (อาจเรียบเรียงไม่สละสลวย ขออภัยค่ะ) โยมนั่งสมาธิโดยใช้บริกรรมพุทโธ ... เมื่อ พุทโธหายจิตนิ่งมากค่อย ๆ ดิ่งลงลึก ... สักพักรู้สึกตัว ค่อย ๆ ถอยออกมาที่สมาธิตื้น ๆ แล้วมีอาการเบาโล่ง เย็น ๆ ... และมีอะไร ๆ ผุดขึ้นในใจ ... ก็รู้สีกแผ่วเบา แล้วก็ปล่อยไป ๆๆ ... จนจิตนิ่ง ... นิ่ง แล้วมีความคิดเกิดขี้นในใจ (หรือเห็น) ว่า แขน ขา หลุดออกมากองตรงหน้าทีละชิ้น ๆ แล้วโยมก็ นั่งมองดู ๆ แล้วแขนขานั้นมันย่อยสลายไปกับสายลม บางส่วนละลายไปกับน้ำเหลืองกระดูกกองกับดิน ....จิต คิดขี้นมาทันทีว่าอ๋อ ... อย่างนี้นี่เองที่ว่าร่างกายเราเกิด มาจากการรวมตัวของธาตุ 4 คือดินน้ำลมไฟ .. .เมื่อ ร่างกายแตกสลายลงก็กลับคืนสู่ธรรมชาติไม่มี ตัวเราที่เป็นของเราเลย ...
หลังจากโยมเห็นแบบนี้แล้ว ในชีวิตประจำวัน เหมือนเราเป็นหนี่งเดียวกับธรรมชาติไม่มีตัวตน .. .เบา สบายไม่รู้สึกอะไรกับอะไร ... แต่ไม่เผลอเหม่อเลยนะคะ ... ยังมีสติตลอดเวลา ... ขอถามหลวงตาว่า 1. การที่เห็นแขนขาแยกออกมาแล้วสลายกลาย เป็นธาตุนั้นเห็นตามความเป็นจริงที่้เกิดจากปัญญา ... หรือเป็นอย่างอื่นคะ 2. และโยมต้องปฏิบัติแบบไหนต่อไป กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ หลวงตา : ให้น้อมพิจารณาเห็นตัวเองแก่เจ็บตายเน่า เปื่อยผุพังสลายเป็นธาตุดินธาตุน้ำลมไฟและความว่าง ซ้ำ ๆๆๆๆ ... อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย อย่าไปสนใจ ยึดถือความรู้สึกว่างเบาสบายโดยเด็ดขาดมันจะหลง
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2560
ฝึกให้มีความรู้สึกตัว (สติ) อย่างต่อ เนื่อง ... จิตคิดก็รู้แต่ไม่หลงติดไป ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะถึงเวลาที่ลูกขึ้นชกจริง ๆ ลูกสับสนงงงวยไปหมด มารู้ตัวว่าเป็นคนที่ช่างคิด คิด ไม่หยุด พยายามบริกรรมพุทโธ (ยังต้องอาศัย พยายามอยู่) แต่ก็ให้รู้ว่าจะไม่เอาอะไร แค่รู้เป็นพอ แต่ลูกรู้ไม่ทันความคิดตัวเองว่ากำลังสร้างสัญญาหรือ เปล่าเลยต้องย้อนกลับไปคิด ทำให้ลูกไม่อยู่กับ ปัจจุบัน อย่างเช่นเมื่อวานลูกไปหาซื้อกับข้าวสำหรับ สมาชิกในครอบครัว ลูกพยายามสรรหาร้านที่คิดว่า ทำอร่อยถูกใจคนในครอบครัว ถ้าทุกคนชอบจะกลับ มาซื้ออีกลูกยังติดย้อนกลับไปพิจารณาความคิดที่เป็น อดีตอยู่เจ้าค่ะ ... สิ่งที่ลูกปฏิบัติตอนนี้ ทันทีที่ลูกเผลอ คิดในเรื่องที่ไม่ใช่ปัจจุบัน ลูกจะบริกรรมพุทโธค่ะ อย่างนี้ถูกไหมคะหลวงตา
หลวงตา : ให้บริกรรมพุทโธด้วยความรู้สึกตัวไว้ อดีต เป็นธรรมเมา อนาคตเป็นเป็นธรรมเมา อย่าหลงติดไป ปัจจุบันให้อยู่กับความความรู้สึกตัวไว้ จิตเขาจะคิด เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา เราก็มีหน้าที่รู้สึก ตัวอย่างเดียว ไม่ใช่ไปไล่ดับความคิด จิตเขาคิดก็รู้อยู่ แต่ไม่หลงติดไป ฝึกข้ามคืนเพื่อฝึกให้มีความรู้สึกตัว (สติ) อย่าง ต่อเนื่อง บางท่านอยู่ในขั้นพิจารณากายและจิตว่าไม่ เที่ยงเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2560
ให้โยนิโสมนสิการ ... บอกสอนใจ ตนเองทุกขณะจิตปัจจุบัน ให้ปล่อยวาง สังขารสิ่งปรุงแต่งทั้งหมด ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ โยมติดตามฟัง หลวงตาจากยูทูปและทางไลน์เป็นประจำ อยากจะ ขอให้หลวงตาเมตาอธิบายคำว่าโยนิโสมนสิการให้ หน่อยค่ะ คือได้ยินอยู่บ่อย ๆ ว่าให้โยนิโสมนสิการ อยู่ในใจ แต่โยมยังเข้าใจไม่กระจ่างค่ะ ตอนนี้ฝึกมี สติรู้เท่าทันสังขารไปรู้เห็นอะไรก็จะมาพูดอยู่ในใจ ที่เข้าใจคำว่าโยนิโสมนสิการคือการที่เรามา ถามต่อว่า แล้วใครมารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือว่าให้ บอกกับตัวเองไปว่านี่มันหลงคิดนิ นี่มันหลงปรุงนะ หรือว่าเมื่อมีความน้อยใจเกิดก็ให้รู้ แล้วให้รู้ต่อว่า มันเกิดเพราะยังไปยึดไปเอาอดีตมาคิดปรุง อย่างนี้ โยมเข้าใจถูกหรือไม่อย่างไรคะ ขอความเมตตาจาก หลวงตาอธิบายให้กระจ่างด้วยค่ะ
หลวงตา : ถูกต้องแล้วโยนิโสมนสิการคือ บอก สอนใจตนเองทุกขณะจิตปัจจุบัน ให้ปล่อยวาง สังขารคือสิ่งปรุงแต่งทุกอย่างทั้งภายนอกร่างกาย และภายในร่างกายและในจิตใจ ให้มีปัญญาเห็น ว่าเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ทนอยู่สภาพเดิมไม่ ได้ ไม่ใช่เราตัวเราหรือตัวตนของเรา อย่าเข้าไป หลงยึดมั่นให้เป็นกิเลสและความทุกข์ แล้วปล่อย วางเสียได้จนถึงที่สุดบอกสอนใจของตนเองว่า เราเป็นใจหรือเจิตเดิมแท้หรือวิญญาณแท้ ๆ ที่มา เกิด ส่วนร่างกายจิตใจที่มีความรู้สึกคิดนึกตรึก ตรองปรุงแต่ง จำได้หมายรู้ และสามารถรับรู้ทาง อายตนะตา หู จมูก ลิ้น กายและใจนั้น เป็นสังขาร ที่ผสมปรุงแต่ง เริ่มมาจากธาตุดินคือสเปิร์มของ พ่อและไข่ของแม่คือธาตุน้ำ แล้วกินซากพืชซาก สัตว์กินน้ำลมไฟเติมไว้ตลอดเวลา จึงมีชีวิตที่ สามารถคิดพูดกระทำอะไรต่าง ๆ ได้แล้วก็ตาย แตกดับไปไม่อาจคิดพูดทำอะไรได้อีก
ดังนั้นทุกขณะปัจจุบันต้องไม่หลงยึดถือเอา สังขาร ที่คิดพูดทำอะไรได้มาเป็นเราเป็นตัวเราเป็นตัว ตนของเรา เพราะเราเป็นวิญญาณหรือใจหรือจิตเดิม แท้ ๆ ที่ไม่อาจคิดพูดทำอะไรได้ ได้แต่รู้ขันธ์ห้าคือ ร่างกายที่แอบคิดพูดกระทำในที่ลับและที่แจ้งตลอด เวลา
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2560
รู้ซื่อ ๆ (รู้ด้วยความปล่อยวาง) ทุกขณะปัจจุบัน ผู้ถาม : เดิมผมปฏิบัติรู้ที่ใจละที่ใจปล่อยวางที่ใจ โดยมีความรู้สึกว่ามันกลวงว่างบริเวณตรงหัวใจ แล้วปล่อยวางตลอดเวลา ต่อมาเริ่มรู้สึกว่าลม หายใจแผ่วเบาลง ตัวเบาสบาย ผิวกายซ่าซ่า เหมือนหายใจได้ ต่อมาก็ค่อยค่อยปล่อยความว่าง ที่อยู่บนตรงหน้าอกข้างซ้ายตำแหน่งหัวใจให้ค่อย ค่อยกลืนไปกับความว่างที่อยู่รอบตัวเพราะรู้สึกว่า มันเป็นการยึด ความว่างกลวงตรงหัวใจก็หายไป ตัวก็ยังเบาเย็นสบายอยู่ผิวก็ซ่าซ่าเล็กน้อยเหมือน หายใจได้ โดยเฉพาะตอนหายใจออก อากาศมัน ไม่ได้ออกแค่ทางจมูกแต่ออกไปทั่วร่างกาย
การรับรู้ถึงวิญญาณขันธ์ก็ยังมีอยู่สติสัมปชัญญะ อยู่ตัวทั่วพร้อม แต่การหายใจรู้สึกเหมือนมันเหมือน หายใจไม่เต็มอิ่มทั้งที่ลองหายใจเข้าออกเต็มที่แล้ว หรืออีกนัยหนึ่งคือเหมือนอากาศที่หายใจเข้าไปมัน ไม่ใช่ปอดของตัวเอง อาการเหมือนหายใจไม่เต็มอิ่ม อันนี้เป็นอาการผิดปกติอะไรไหมครับ หลวงตา : ถ้าจิตสงบละเอียดในสมถะจริง ๆ โดยไม่ได้ เกิดจากกิเลสที่ปรุงแต่งบีบบังคับอยากให้เป็นอย่างไร ตามใจอยากแล้ว บางครั้งลมหายใจอาจจะไม่ปรากฏ เลยก็ได้ แม้พยายามจะหายใจแรง ๆ ก็ไม่ปรากฏลม หายใจ ก็ให้แค่รู้หรือสักแต่ว่ารู้หรือว่ารู้ซื่อ ๆ (รู้ด้วย ความปล่อยวาง) ทุกขณะปัจจุบัน อย่าทิ้งรู้แล้วหลงไป คิดคือคิดนึกตรึกตรองปรุงแต่งทุกขณะจิตปัจจุบัน ก็แค่ รู้ พูดก็รู้ทำอะไรก็รู้ตลอดเวลา อยู่กับรู้อย่าไปอยู่กับ อารมณ์หรือสิ่งที่ถูกรู้
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2560
ขณะจิตที่ปล่อยวางจึงรู้ได้ที่ใจ ว่าว่างเปล่า ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะหลวงตา … (ชื่อ) .. .เจ้าค่ะการที่เกิดผัสสะอย่างต่อเนื่องมากบ้าง น้อยบ้าง ในช่วงเวลาดำเนินชีวิตแต่วันละบ้างครั้งก็มี เผลอ บางครั้งก็เพ่ง บางครั้งก็ขึ้นขบวนรถไฟไปด้วย เลย รู้สึกตัวได้ก็โดดลง ค่อยดูและให้รู้สึกตัวให้มีสติ ทีนี้เวลาเกิดผัสสะถี่ ๆ ในกิจกรรมที่ทำเกิดความทุกข์รู้ ไม่ทันทำให้ขาดสติมีการพร่ำบ่นอยู่ภายในเกิดอะไร ขึ้นมึนงงอึดอัด อีกส่วนหนึ่งระลึกถึงคำสอนของหลวงตาจิต เหมือนมดลูกสิ่งที่เกิดเหมือนเด็กในครรภ์ เกิดแล้ว คลอดออกไป เมื่อเด็กคลอดออกไปแล้วมดลูกก็ว่าง เปล่า เมื่อนึกถึงตรงนี้ร่างกายค่อย ๆ คลี่คลายบาง ช่วงมีอาการเย็นซ่านไปทั่วตัวแล้วก็จางหายไป การพิจารณาเช่นนี้เป็นอย่าไรบ้างเจ้าคะ กลัวหลงทางเจ้าค่ะ กราบสาธุในความ เมตตาของหลวงตาเจ้าค่ะ
หลวงตา : ถูกต้องแล้วขณะจิตปัจจุบันที่ปล่อยวางสิ่งที่ รู้ที่เห็นที่สัมผัสได้ไปเสีย ใจก็เป็นธรรมชาติที่ว่างเปล่า ไม่มีอาการเกิดดับ สิ่งที่ดับไปมีแต่สังขารและการหลง ยึดถือ ขณะจิตที่ปล่อยวางจึงรู้ได้ที่ใจว่าว่างเปล่าเบา สบาย ต่อไปก็ให้จิตได้จดจำเรียนรู้อย่างนี้ไว้ตลอด เวลา ว่าถ้าหลงยึดถือก็ทุกข์หนักแน่นทึบ ถ้าปล่อย วาง ใจก็ว่างเปล่า สิ่งที่เกิดดับมีแต่สังขารและความ หลงยึดถือเท่านั้น เหมือนเด็กในครรภ์ที่เกิดแล้วคลอด ออกไปแต่ใจคงว่างเปล่าตามธรรมชาติปกติของเขา อย่างนั้น
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2560
ให้น้อมต่อเนื่องไม่ขาดสาย ใจก็จะ ปล่อยวางความหลงยึดถือตัวเราและ คนอื่น ๆ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ตอนเช้าวันหนึ่ง ผมสวดมนต์เสร็จก่อนไปทำงานผมประนมมือกล่าว บอกพระพุทธองค์ว่า ขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยชี้แนะ ให้ลูกได้อยู่กับภรรยาคนที่เรารัก ให้ได้อยู่แบบเป็น เพื่อนกัน เกื้อกูลกัน ซึ่งทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าผมยึดเขา มาก วางยากครับ ตอนเย็นวันหนึ่งขณะผมนั่งสวดมนต์กับแฟนอยู่ ครับ สวดไปเกือบจบแล้วสวดผิดไปคำนึงแฟนหันมา มองหน้าผม เขาส่งสายตามาบอกว่าสวดผิด ผมก็สวด ใหม่แล้วก็หลับตาลงเพื่อปิดประตูตา จะได้มีสติใน การสวดมนต์
พอหลับตาลงเท่านั้นแหละครับ เห็นเป็นภาพด้าน หลังของแฟนเป็นแผลแดงแล้วเปื่อยเหมือนหนังม้วน ฟิล์มขาด หนังเปื่อยเห็นกะโหลกแล้วกะโหลกก็ค่อย ๆ ละเอียดเป็นทรายร่วงโผล่ะลงมา ผมตกใจก็เลยลืมตา ขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็ดีใจว่าเกิดขึ้นได้ยังไง ขนาด ตั้งใจน้อมยังน้อมไม่ลงเลย แต่มันเกิดขึ้นเร็วมากนะ ครับหลวงตา อย่างนี้ผมควรเอามโนนึกใบหน้าคนที่ เรายึดเขา มาปลงว่าเป็นของเน่าไม่น่ายึดได้ไหมครับ แต่ลองตั้งใจลองทำกลับน้อมไม่ลงครับ ตอนนี้ ผมปฏิบัติดูกายดูจิตอยู่ครับ ปกติผมไม่กล้าที่จะส่ง การบ้านหลวงตาครับ ไม่ค่อยกล้าถาม แต่พอไปกราบ หลวงตาหรือฟังไฟล์ที่หลวงตาส่งมาทางไลน์ก็ได้ การบ้านที่ตรงกับผมตรงที่สงสัยครับ
และขอกราบเเทบเท้าหลวงตาด้วยครับที่อบรม สั่งสอนชี้แนะและเมตตาต่อกระผม จากที่ไม่เคยรู้เรื่อง เลยแต่ตอนนี้ผมเข้าใจมากขึ้นครับ และขอกราบขอ ขมาหลวงตาที่ได้ล่วงเกินด้วยกายวาจาใจทั้งที่ตั้งใจก็ ดีไม่ตั้งใจก็ดี ทั้งที่รู้ตัวก็ดี ไม่รู้ตัวก็ดี หลวงตาได้โปรด อโหสิกรรมให้ลูกด้วย อย่าได้เป็นโทษบาปเวรกรรมแก่ ลูกเลยครับหลวงตา หลวงตา : สาธุ ฆราวาสมีคู่อยู่ด้วยเป็นกัลยาณมิตรกัน เพื่อความผาสุขพ้นทุกข์ในปัจจุบัน ต้องถือศีลห้า บริสุทธิ์ข้อสามถือพรหมจรรย์ แล้วน้อมให้เห็นทั้ง ภรรยาและตัวเราก็ต้องแก่เจ็บตาย เน่าเปื่อยผุพังไป เป็นธาตุดินน้ำลมไฟและความว่างเปล่าจากตัวตน อย่างที่เห็นนิมิตนั้นนั่นแหละ
ให้น้อมต่อเนื่องไม่ขาดสายใจ ก็จะปล่อยวาง
ความหลงยึดถือตัวเราและภรรยาและคนอื่น ๆ เอง
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2560
ให้ตั้งใจฟังไฟล์เสียงต่อเนื่อง ... จะเข้าใจได้ถึงใจจริง ๆ ผู้ถาม : นมัสการค่ะหลวงตา ปัจจุบันหลานพอที่จะรู้ที่ ใจได้พอถูกบ้างไหมคะ ขณะที่ขอเมตตาถามหลวงตาก็ เกิดความกลัวกับเกรงใจมาก แต่ก็เห็นว่าความกลัว เกี่ยวอะไรกับใจขอความเมตตา หลวงตาช่วยอบรมสั่ง สอนในสิ่งที่หลานติดขัดในการภาวนาด้วยค่ะ หลวงตา : ให้ตั้งใจติดตามฟังทำความเข้าใจอย่าง จดจ่อต่อเนื่องในไฟล์เสียงที่ส่งขึ้น line เกือบทุกวัน แล้วปฏิบัติตามนั้นอย่างต่อเนื่องถ้าเป็นแฟนพันธ์ แท้จริง ๆ แล้วจะเข้าใจได้ถึงใจจริง ๆ ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2560
ให้ตั้งใจฟังไฟล์เสียงต่อเนื่อง ... จะเข้าใจได้ถึงใจจริง ๆ ผู้ถาม : กราบนมัสเจ้าค่ะหลวงตา ปุจฉา ... เพียรฟังเพียรปฏิบัติช่วงสองวันนี้หลง น้อยลง พิจารณาได้ละเอียดขึ้น บางครั้งคิดหรือมี โทสะพิจารณาไม่ทันเกิดการห้ามตัวเองเสียก่อน และ ด้วยความรวดเร็วพิจารณาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสังขาร ทั้งหมด เกิดความโป่งโล่งเบาแล้วหายไป ต่อมาขณะยืนรอรถพิจารณาเห็นความคิดที่ปรุง แต่ง แล้ววางมีอีกความหนึ่งผุดขึ้นมาบอกว่าจิตทำไร ไม่ได้เลยเพียงแต่รู้ทุกสิ่งอย่าง อย่าไปพึ่งสมองเลย เขาเป็นสังขารเกิดดับตลอดเวลาเจ้าค่ะ เมื่อพิจารณา แล้วเป็นความคิดปรุงแต่งจึงวาง การพิจารณาธรรม ของลูกเป็นอย่างไรค่ะหลวงตา หลวงตา : ให้ตั้งใจติดตามฟังทำความเข้าใจอย่าง จดจ่อต่อเนื่องในไฟล์เสียงที่ส่งขึ้น line เกือบทุกวัน แล้วปฏิบัติตามนั้นอย่างต่อเนื่องถ้าเป็นแฟนพันธุ์ แท้จริง ๆแล้วจะเข้าใจได้ถึงใจจริง ๆ ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2560
สิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่เรา ... ไม่มีเรา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ กลับจากคอร์ส หลวงตาถึงบ้านแล้วเมื่อสักครู่ลูกทำงานบ้าน รู้สึกขึ้น มาในใจว่าสิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่เรา งั้นไม่มีเรา พร้อมน้ำตา ก็ไหลแล้วลูกรู้สึกว่าช่วงนี้ให้อยู่เงียบ ๆ กับตัวเองมาก ๆ ทำงานบ้านดูแลพ่อแม่ไป ถ้าไม่จำเป็นอย่าเพิ่งไป พบปะพูดคุยฟุ้งมากข้างนอกเจ้าคะเหมือนข้างใน ทบทวน ๆ แต่สิ่งที่หลวงตาสอนเจ้าค่ะ ขอความเมตตา หลวงตาเจ้าค่ะว่าควรปฏิบัติเช่นนี้หรือไม่เจ้าคะ หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2560
ไม่หลงสังขารไม่หลงเอาตัวเรา ไปเป็นสังขารจะเป็นธรรมที่มั่นคง ผู้ถาม : ผมรบกวนถามหลวงตาครับสังโยชน์ข้อ 8 มานะ ควรปฏิบัติอย่างไรถึงคลายมานะที่มีได้ครับ ขอบคุณครับ หลวงตา : มานะทิฏฐิ คือการยึดถือความเห็นของตน เป็นใหญ่ ตามที่อ่านมาหรือฟังมามาก แล้วเอามาคิดปรุง แต่งขวางธรรมที่ไม่ปรุงแต่งไม่เกิดไม่ดับ ไว้ถ้าพ้นจากคิด หรือพ้นจากสังขารไม่หลงสังขารหรือไม่หลงเอาตัวเราไป เป็นสังขารก็จะเป็นธรรมที่มั่นคง ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่26พฤษภาคม 2560
สักแต่ว่าเห็นสักแต่ว่าได้ยินสักแต่ว่ารู้ ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะหลวงตาอาการตอนนี้มันมี เสียงพูด ๆ ๆ ๆ พากษ์ ๆ สิ่งที่จะทำ สิ่งที่เห็น มองป้าย มองอะไรข้างนอก กลับได้ยินเสียงพูดข้างใน ตามอง ข้างนอกแต่เห็นทั้งข้างนอกข้างในเจ้าคะ ขอความ เมตตาจากหลวงตาเจ้าค่ะ หลวงตา : สักแต่ว่าเห็นสักแต่ว่าได้ยินสักแต่ว่ารู้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่27 พฤษภาคม 2560
สอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจิตจะสิ้นหลงหรือสิ้นอวิชชา ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะจากที่ได้อ่านข้อความนี้ ... (หลวงตา : มานะทิฏฐิ คือการยึดถือความเห็นของตน เป็นใหญ่ตามที่อ่านมาหรือฟังมามาก แล้วเอามาคิดปรุง แต่งขวางธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิด ไม่ดับไว้ ถ้าพ้นจาก คิดหรือพ้นจากสังขา รไม่หลงสังขาร หรือไม่หลงเอาตัว เราไปเป็นสังขาร ก็จะเป็นธรรมที่มั่นคง) ... ลูกได้ยินแต่คนอื่นมาบอกว่าลูกเป็นคนติดคำ สรรเสริญเยินยอ ... ติดดี ... แต่ไม่เห็นว่าตัวเองเป็นแบบ นั้น มาชัดแก่ใจตอนเข้าคอร์สหลวงตาเจ้าค่ะ แต่พอมา เข้าคอร์สหลวงตากลับเห็นมันขึ้นมาเยอะมาก ๆ ที่โผล่ มาว่าฉันเก่ง ฉันทำได้ เธอไม่เก่ง ฉันรู้แล้วต่าง ๆ นานา ที่โผล่มาโจ้ง ๆ โผล่มาแอบ ๆ
แต่ช่วงที่โผล่ขึ้นมาครั้งแรกที่ชัดในคอร์ส หลัง จากที่หลวงตาเมตตาจ้ำจี้จ้ำไชสอนให้ทุกคนเข้าใจ ถึงใจก่อนจบคอร์สเจ้าค่ะ ขณะคุยกับพี่ในคอร์สเห็น ตัวดีใจที่คนชื่นชมมันโผล่ขึ้นมากลางพื้นที่ว่าง ๆ และ โผล่มาตัวฉันเก่ง (สังขาร) ฉันทำได้ แต่รู้สึกมีผลมันไป ยึด ลูกเลยใช้วิธีที่หลวงตาเมตตาสอนว่า ... ต้องสอน จิตเหมือนสอนลูกหมาลูกแมวบางครั้งก็ต้องแรง ๆ ลูก เลยใช้คำว่าถ้ายึด ... มึงทำกูฉิบหายวายวอดมาหลาย ชาติหลายกัปแล้วนะ เพราะไปยึดมึงนะ! ... ตอนเห็น ... ฉันเก่ง ... ฉันรู้ ... ลองคำอื่นแล้ว มันเบาไปเจ้าค่ะ ลูกเพิ่งเคยรู้ว่าต้องใช้คำสอนแรง ๆ กับจิตที่มันยึดแรง ๆ เป็นครั้งแรก เข้าใจตลอดว่าแค่ รู้คิดก็ได้แล้วเจ้าค่ะ คำสอนแรง ๆ นี้คือขันธ์ห้า (สติ ) ที่ใช้ควบคุมรึ เปล่าเจ้าคะ ต้องใช้คำสอนแรง ๆ แบบนี้ไปเรื่อย ๆ จน ความยึดมั่นตัวนี้จะเบาบางลง ไม่มีผลกับใจเมื่อ กระทบใช่หรือไม่เจ้าคะ ขอความเมตตาหลวงตาชี้แนะ ด้วยเจ้าค่ะ .... ขอนอบน้อมกราบหลวงตาเจ้าค่ะ
หลวงตา : ต้องสอนตนเองไปจนกระทั่งปล่อยวางสังขาร ที่ละเอียดสูงสุดได้ คือความคิดปรุงแต่งอยู่ภายใน จน ไม่หลงเอาความคิดความปรุงแต่งมาเป็นเราเป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา และไม่หลงยึดถือผิด ๆ ว่ามีตัวตน ของเรา แล้วเอาตัวเราไปคิดไปปรุงแต่ง ซึ่งความจะหลง ยึดถือว่ามีเรา มีตัวเราหรือมีตัวตนของเรา ก็เพราะหลง ไปเป็นสังขารปรุงแต่ง จึงสามารถปรุงแต่งยึดถือสิ่งใด ได้ ต้องมีสติปัญญากัดติดจดจ่อให้เห็นความหลงไป เป็นสังขาร คือหลงคิดหลงปรุงแต่งทั้งภายนอกและ ภายใน หรือหลงคิดหลงปรุงแต่งว่าเราอย่างนั้นเรา อย่างนี้ เราอยากให้เป็นอย่างนั้น เราอยากให้เป็นอย่าง นี้ เราไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เราไม่อยากให้เป็นอย่าง นี้
เรา ... ความคิดความปรุงแต่งว่าเป็นเราหรือ เป็นตัวเราหรือเป็นของเราทุกขณะจิตปัจจุบันอย่างนี้ เป็นความหลงคิดหลงปรุงแต่งเรียกว่าหลงสังขาร
จึงต้องมีสติปัญญารู้เท่าทันทุกขณะจิตที่หลง
สังขารในปัจจุบัน แล้วเพียรดุด่าว่าสอนตัวเองอยู่ ตลอดเวลา จนกว่าจิตจะสิ้นหลงหรือสิ้นอวิชชา เมื่อจิตเขาเป็นวิชชาเสียแล้วก็จะเลิกบอกสอน เอง เหมือนสอนหมาแมวเมื่อมันฉลาดทำได้อย่างที่ สอนแล้ว เจ้าของก็จะรู้เองแล้วเลิกดุด่าเขาอีกต่อไป ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2560
ทุกขณะปัจจุบันฝึกสติให้มีกำลัง รู้ทันจิตบ่อย ๆ ผู้ถาม : วันนี้ได้ฟังเรื่องจิตเหมือนลิงป่าอีกและฟังซ้ำ หลายครั้ง จิตน้อมในธรรมที่หลวงตาเมตตาสอนสั่งจะ ระมัดระวังรักษาใจตนเองจากกิเลสต่าง ๆ ด้วยธรรม 3 ข้อที่หลวงตาให้แนวทางการปฏิบัติ การคิดพูดทำไม่ให้จิตต้องเสียหายทุกขณะ ปัจจุบัน ฝึกสติให้มีกำลังรู้ทันจิตบ่อย ๆ จะได้ไม่เผลอ เหม่อลอยสบาย ๆ อีก และกราบขออนุญาตหลวงตา ไปปฏิบัติที่แดรี่ฮัทในช่วงที่หลวงตาอยู่ โดยขอพักค้าง สัก 5 วันได้มั้ยคะ หากมีสิ่งใดผิดพลาดต่อหลวงตาก ราบขอขมาขออโหสิกรรมด้วยคะ หลวงตา : อนุโมทนาสาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2560
ขอขมาจากใจจริง ๆ จนจิตไม่ติดค้าง จึงจะสิ้นภพชาติจากสิ่งนั้น ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ ... เมื่อปฏิบัติธรรมแล้ว มันมีสัญญา คือความจำเก่า ๆ ที่ลืม ๆ ไปแล้ว ผุดขึ้น มาวันละเรื่องสองเรื่อง เช่นคนที่เราเคยคิดว่าเขาตั้งตน เป็นศัตรูกับเรา ความจำเก่ามันมาให้เห็นว่าเราเคยพูด อะไรที่ไม่ดีกับเขาไว้ ทำให้รู้ว่าอ๋อ เขาเกลียดเราเพราะ ปากเราเอง ก็ตั้งจิตขออโหสิกรรมและแผ่เมตตาพร้อม ขอถอนคำแบบที่หลวงตาสอน หมดเรื่องนี้อีกวันก็มีอีกเรื่อง และอีกเรื่อง อีก เรื่องผ่านเข้ามา บางเรื่องผ่านมาแล้วสามสี่สิบปี ขอก ราบเรียนถามว่า แค่ตั้งจิตขออโหสิกรรมพอหรือไม่คะ หรือว่าต้องทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ
หลวงตา : ถ้าตัวเขายังมีชีวิตอยู่และสามารถไปขอ อโหสิกรรมต่อหน้าเขาได้ก็ควรที่จะทำ ถ้าเขาตายแล้ว หรือไม่อาจขออโหสิกรรมต่อหน้าได้ ก็ให้สำนึกผิดขอ ขมาเขาจากใจจริง ๆ บ่อย ๆ จนกว่าจะไม่มีสิ่งใดหรือ คนใดหรือเรื่องใดติดค้างอยู่ในจิตใ ห้ต้องคิดถึงหรือ ฝันถึงอีกเลย นั่นแหละจึงจะเรียกว่าสิ้นภพชาติจากสิ่ง นั้นแล้ว
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่29 พฤษภาคม 2560
พิจารณาซ้ำ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ... อย่างต่อ เนื่องจนลงแก่ใจว่าไม่มีตัวตนของเรา อยู่จริง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ โยมภาวนาโดยการ รู้อยู่ที่ใจ ปล่อยวางอารมณ์ที่ถูกรู้และผู้รู้ไปเรื่อย ๆบางที ก็มีตัวเกินเข้าไปดู แต่เช้านี้หลังจากเดินจงกรมไป 1 ชั่วโมง ฟังธรรมไปด้วยมีประโยคหนึ่งว่า ร่างกายไม่ใช่ เรามีแต่ซากพืช ซากสัตว์ ทันใดนั้นก็เห็นร่างกายมีเนื้อ สัตว์โผล่ขึ้นตามร่างกาย ทั่วตัวมีหนอนตัวใหญ่มากโผล่ ที่ไหล่แล้ววิ่งชอนไชไปทั่วตัว โยมไม่เคยพิจารณาอสุภะยกเว้นฟุ้งมาก จะเพ่ง ไปที่น่องเห็นเนื้อฉีกออก เวลาเดินเนื้อแกว่งไปมาครู่ เดียวใจจะสงบก็เลิก โยมเห็นหนอนไชตลอดเวลา จน ขณะนี้ออกจากทางจงกรมเข้าครัวก็ยังเห็นโดยพิจารณา ว่า ร่างกายไม่ใช่เรา แต่เหมือนใจไม่ลง
โยมควรดูอย่างไร กัดติดจดจ่อตรงนี้ได้ หรือไม่ กราบขอบพระคุณค่ะ โยมขยะแขยง ร่างกายมาก แต่ไม่เห็นเน่าเปื่อยผุพัง เห็นแต่ว่า ร่างกายมันตาย กำลังจะเน่าเท่านั้นค่ะ หลวงตา : เห็นอย่างที่เห็นนั่นแหละพิจารณาซ้ำ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ... อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เอาแต่ความจริง ไม่ ให้หลงอารมณ์ จนลงแก่ใจว่าสิ่งที่เที่ยงหรือสิ่งคงที่ ที่จะเหลือเป็นตัวตนของเราไม่มีอยู่จริง มีแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ต้องแก่เจ็บตาย ไม่มี ตัวตนของเราอยู่จริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัว ตนของเรา ไม่มีตัวตนของเราอยู่ในตัวเรา
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560
เข้าหาผู้รู้แล้วปล่อยวางผู้รู้ ผู้ถาม : เมื่อกี้ขณะฟังบทธรรมะเรื่องหยุดที่ใจจบที่ ใจ ซึ่งสภาวะอยู่ในอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน และปฏิบัติตามที่หลวงตาสอน แล้วก็ปรากฏว่าตรง หน้าอกเกิดความร้อนอุ่นอุ่นขึ้น เป็นความรู้สึกที่ ชัดเจนมากไม่ทราบว่ามีความหมายอะไรหรือเปล่า ครับ และขณะปัจจุบันนี้ก็ยังมีอาการอยู่ครับ ศิษย์ก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ของวิปัสสนา กรรมฐานอยู่ แล้วก็สักแต่ว่ารู้ ขณะมีความรู้สึก เปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งเคยรู้สึกว่า เวลาลมหายใจ เข้าออกผ่านไปถึงส่วนใดของร่างกายจะรู้สึกเย็น สบาย แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นรู้สึกว่าเวลาลมหายใจ เข้าออกผ่านไปถึงร่างกายส่วนไหน แล้วกลายเป็น รู้สึกอุ่นสบาย
หลวงตา : สภาวะร้อนเย็นนั้น เกิดจากหลงยึดเอาขันธ์ ห้าเป็นตัวเรา แล้วเอาตัวเราเพ่งเข้าไปพิจารณาในตัว เรา จึงเกิดเป็นพลังร้อน พลังเย็น หรือมีสภาวะต่าง ๆ เกิดมาให้รับรู้แตกต่างกันไป อย่าเข้าไปสนใจยึดถือ ให้ค่าให้ความสำคัญ ให้แค่สักแต่ว่ารู้ (รู้แล้วปล่อย ผ่านไป) ให้เข้าหาผู้ที่รู้สภาวะหรืออารมณ์เหล่านั้น แล้ว ปล่อยวางผู้รู้จึงจะพ้นทุกข์
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560
ให้ปล่อยวาง ... ผู้รู้ที่ปรุงแต่ง หรือเอาขันธ์ห้ามาปรุงแต่งเป็นผู้รู้ ผู้ถาม : ถ้าบอกว่าอย่าเอาตัวเราเข้าไปเป็นขันธ์ห้า ถ้า เราระลึกรู้บางส่วนเช่นกำลังยกแขน รู้ ก้าวขาซ้ายขวา รู้ ซ้ายรู้ขวา อาการทางกายที่ขยับแต่ละส่วนเราตามรู้ ตา กะพริบ กลืนน้ำลายรู้หายใจเข้ารู้ออกรู้ การรู้แบบนี้ ถือว่าเอาตัวเราไปเป็นขันธ์ห้าไหมคะ หรือต้องแยก ประสาทสัมผัสออกจากขันธ์ 5 คือแยกออกไปเป็นผู้ดูที่ดู ในภาพรวม โดยไม่เฉพาะเจาะจงอาการใด ๆ บางส่วน แค่ดูว่าภาพรวมคนคนนี้กำลังทำอะไรคะ หลวงตา : ให้สังเกตผู้รู้ให้ดี ๆ ถ้าผู้รู้สามารถคิดตรึก ตรองแสดงกริยาอาการต่าง ๆ เช่นแทรกแซงหรือเลือก อย่างนั้นอย่างนี้ได้ โดยไม่ได้รู้แบบกระจกเงา แสดงว่า เป็นผู้รู้ที่ปรุงแต่งหรือเอาขันธ์ห้ามาปรุงแต่งเป็นผู้รู้ ให้ ปล่อยวางไปเสีย ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่31 พฤษภาคม 2560
รู้ทำหน้าที่คล้ายกระจกเงา ไม่มีตัวรู้มีแต่รู้เท่านั้น ผู้ถาม : รบกวนถามสักข้อค่ะหลวงตา ว่าเวลาเรา ตามรู้กายขณะเคลื่อนไหวบางส่วน เช่นเท้าที่ก้าว เดินระลึกรู้ ระลึกรู้ ตัวรู้ที่เป็นธาตุรู้ที่ว่างเปล่า จะ รู้เฉพาะส่วนที่เคลื่อนไหว หรือ รู้จากภาพรวมทั้ง ตัวเห็นเป็นเราในภาพรวม ตั้งแต่หน้าตารูปร่างว่า กำลังทำอะไร หรือระลึกรู้เฉพาะส่วนเช่นมือที่ ขยับ ขาที่ก้าว เพราะติดสงสัยอยู่แค่ตรงนี้ค่ะ เวลารู้จึงสลับรู้ทั้งอาการทางกายที่ เคลื่อนไหวบางส่วน เหมือนถ่ายภาพตนเองซูม ระยะใกล้ที่ขยับเป็นรู้บางส่วนเห็นบางส่วนที่ขยับ บางทีก็เป็นภาพระยะไกล รู้โดยรวมทั้งตัวเหมือน เป็นอีกคนมองในภาพรวม ที่ติดขัดก็ตรงนี้ค่ะพระ อาจารย์ ขอบพระคุณค่ะ
หลวงตา : ร่างกายจิตใจซึ่งเป็นขันธ์ห้าเป็นตัวตนโดย สมมติ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ไม่ว่าจะแอบคิด แอบพูดแอบกระทำ ในที่ลับ หรือที่แจ้ง ไม่อาจรอดพ้นจากรู้ได้ รู้ทำหน้าที่ คล้ายกระจกเงา ที่รู้เห็นร่างกายจิตใจที่เป็นขันธ์ห้าตลอด เวลา แต่ไม่มีตัวกระจกหรือไม่มีตัวรู้มีแต่รู้เท่านั้น ให้เป็น "รู้" อย่าไปหลงยึดถือขันธ์ห้าที่ถูกรู้ ว่าเป็นเราเป็นตัวเรา หรือเป็นตัวตนของเรา หรืออย่าหลงเอาตัวเราไปเป็นขันธ์ ห้า คือหลงไปเป็นผู้คิดผู้เล่นผู้แสดง ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่31 พฤษภาคม 2560
ปล่อยวางกายก่อนแล้วปล่อยวางจิต หรือปล่อยวางจิตเข้าถึงใจที่ไม่ปรุงแต่ง ก็พ้นจากทุกข์ได้เหมือนกัน ผู้ถาม : กราบขอโอกาสรบกวนถามอีกประโยคค่ะ คือตลอดเช้านี้ได้ดูร่างกายค่อย ๆ เน่ามีหนอนมาก ขึ้นเกิดคำถามว่า อ้าวแล้วจิตเจตสิกล่ะจะทำ อย่างไร ห่วงมันก็เลยตั้งใจคิดนำให้หนอนชอนไช อายตนะทั้งหมดหู ตา จมูก ลิ้น ร่างกายเจ็บมาก เห็นก้อนเนื้อเน่ากองรวมกัน เหลือโครงกระดูกเอา ใส่เตาเผา สุดท้ายยังมีผู้รู้อยู่ถูกต้องหรือไม่คะ ถ้า วางผู้รู้จะเหลือใจที่เห็นเฉย ๆ ใช่หรือไม่คะแล้วโยม ต้องไปดูสังขารปรุงแต่งอีกหรือไม่หรือพิจารณา อสุภะไปเรื่อย ๆ คะกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
หลวงตา : ให้ดูอสุภกรรมฐานหรือมรณานุสติให้ต่อ เนื่องไม่ขาดสาย จนกระทั่งใจปล่อยวางความหลงยึด มั่นถือมั่น จนรู้ได้ด้วยตนเอง แล้วจึงจะเห็นจิตเกิดดับ ในความว่างเปล่า ก็จะสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นจิตว่าจิต เป็นเราเป็นตัวเราหรือเป็นตัวตนของเรา ก็จะไม่หลง ยึดถือผิด ๆ ไว้ในใจอีก ว่าในร่างกายของเรามีจิตที่ เป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นตัวตนของเรา หรือสิ้น ความหลงว่าในร่างกายนี้ มีตัวเราหนือตัวตนของเรา ถ้าพิจารณาร่างกายเห็นความสกปรกหรือความ ไม่เที่ยง ชัดเจนในความรู้สึก อย่าเว้นวรรคไปดูจิตหรือ ปล่อยวางผู้รู้ เพราะมันปฎิบัติคนและอย่างกัน ถ้าทำ ทั้งสองอย่างกลับไปกลับมามันจะเสื่อม มันจะไม่ สามารถปล่อยวางความหลงยึดมั่นถือมั่นในกายหรือ ในจิตได้
แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าจะปล่อยวางกายก่อนแล้วปล่อยวาง จิต หรือปล่อยวางจิตเข้าถึงใจที่ไม่ปรุงแต่ง ก็สิ้นกิเลสพ้น จากทุกข์ได้เหมือนกัน คือสิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่นว่า ร่างกายและจิตใจเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นตัวตนของ เรา ก็จะไม่หลงว่ามีตัวเราหรือเอาตัวเราไปยึดถือสิ่งใดให้ เป็นกิเลสและความทุกข์
ผู้ถาม : เข้าใจแล้วค่ะแปลกใจมากค่ะว่าดูจิตมาตลอด ทำไมพลิกมาดูอสุภะได้โดยไม่ตั้งใจ และดูได้แบบสบาย ๆ ด้วยค่ะ รบกวนธาตุขันธ์ของหลวงตามากแล้ว กราบขอ ขมาด้วยค่ะและขอตั้งสัจจาธิษฐานว่าจะพากเพียรจนสิ้น กิเลสในปัจจุบันนี้ เดี๋ยวนี้ จะไม่ยอมให้พ่อแม่ครูอาจารย์ ต้องเหนื่อยเปล่าอย่างแน่นอน
หลวงตา : สาธุ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมธรรมเมื่อวันที่31 พฤษภาคม 2560