พื้นที่ : อนันตกาล
พื้นที่ : อนันตกาล
เธอเคยฝันถึงดินแดนอนันตกาลไหม...
เธอเคยอ่อนล้าไหมที่รัก
นานมาแล้วที่รักที่ฉันฝันถึงสิ่งนั้น ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ใด ที่ๆราวกับว่ากาลเวลา
เคยเคยทานข้าวในร้านหรูแล้วไม่รู้รสแห่งสัมผัสของมันบ้างไหม หรือฉันคิดไปเอง
หยุดหมุน เป็นเหมือนที่ที่ฉันปลดเปลื้องพันธนาการที่ผูกรัดฉันไว้ ฉันคงเป็นคนที่ฝัน
เราทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตห่างบ้านมานานเหลือเกิด นานเท่าไรแล้วที่เราไม่เคยได้ยินเสียงนก
เพื่องสินะ
ร้อง อากาศยามเช้าเป็นเช่นไร ฉันหมายถึงอากาศที่มาจากต้นไม้ตามกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ที่เราเคยเรียนมาด้วยกัน อากาศที่ไม่มีควันพิษ ฉันป่วยเป็นโรคทาง
มันคงไม่มีที่ใดไหนในโลกหรอกที่กาลเวลาไม่ทำงาน ฉันเองก็ก็ยังตื่นเช้ามาฉีกยิ้มให้
เดินหายใจมานานเหลือเกินแล้ว แต่ฉันไม่อาจหลีกหนีวิถีแห่งเมือง ฉันจากบ้านมาเพื่อ
กระจกบานเก่า ฝ่าผู้คนมากมายที่เดินบนห้วงเวลาแห่งความรีบเร่ง เพื่อเป็นฟัน
จะมีชีวิตที่ดีขึ้น และฉันรับรู้ถึงโรคร้ายภายในร่างกายที่มันคอยกัดกินฉัน การจากลา
เฟืองแห่งอุตสาหกรรม เพื่อให้ฉันยังคงอยู่ มีตัวตนอยู่ในสังคมตามวิถีแห่งทุนนิยม
อาจเป็นวันหนึ่งที่กำลังจะมาถึง ฉันคิดถึงบ้านเหลือเกิน ฉันคิดถึงแดดยามเช้าที่ กระท่อมของพ่อเหลือเกิน พ่อจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
พื้นที่ : อนันตกาล
ภาพที่พ่อสอนให้ฉันปลูกผักฉันยังจำได้ดี ตอนนั้นฉันยังเล็ก ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม
แม่โทรมาหาฉัน “ใกล้หน้าหนาวแล้วลูกกลับบ้านไหม ปลายปีนี้มีงานกฐินที่บ้านเรา”
พ่อถึงสอนฉันเรื่องเหล่านี้ ฉันหันหลังให้พ่อมานานศึกษาต่อ เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีตาม
ฉันบอกแม่ไปว่า “ขอลาเจ้านายก่อน” ฉันได้ยินเสียงพ่อไอมาจากไกลๆ ฉันรู้สึกว่าน้ำ
ที่คนทั่วไปเขามีกัน นานแสนนานเหลือเกินที่ฉันละเลยสิ่งที่พ่อสอน ตอนนี้ฉันทำงาน
เสียงของแม่สั่นเครือไม่เหมือนทุกครั้ง ฉันเริ่มใจคอไม่ดี ก่อนที่แม่จะวางวายแม่พูด
ในเมืองใหญ่ สวมใส่เสื้อผ้าทันสมัย ทานอาหารอย่างที่ฉันอยากทาน ฉันเหมือนจะมี
กับฉันสั้นๆว่า “คิดถึงตอนแกยังเด็กนะ วิ่งตามแม่เข้าสวนเพื่อจะไปปลูกผัก ไม่ให้ไปก็
ทุกอย่างแล้ว ฉันว่าฉันมาไกลกว่าพ่อแม่มากแล้ว ท่านน่าจะภูมิใจในตัวฉันบ้าง
งอแงร้องไห้ แต่ตอนนี้แกทำงานในเมืองใหญ่ห้องแอร์ แกคงอยากไปปลูกผักแล้ว”
นานครั้งที่ฉันจะโทรกลับไปที่บ้าน พ่อยังถามฉันด้วยประโยคซ้ำๆ “อยู่ที่นั่นทานอะไร
หลังวางสายความเงียบเกาะกุมจิตใจฉันนานเหลือเกินที่รัก ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
กินอยู่ยังไง ที่นั่นมีต้นไม้หรือเปล่า มีน้ำใช้ไหม ลำบากไหม” ฉันอธิบายไปพ่อก็ไม่
ทำไมแม่ถึงพูดแบบนั้น พ่อพูดกับฉันน้อยลง ฉันไม่ค่อยได้รับสายเพราะฉันต้อง
เข้าใจ จนบางครั้งฉันเองก็รู้สึกเบื่อที่ต้องตอบคำถามซ้ำๆ
ทำงาน ประชุม ฝ่ารถติด กว่าจะกลับถึงห้องก็ปาเข้าไปสี่ห้าทุ่ม พ่อแม่ก็นอนไปแล้ว ชีวิตของท่านทำเกษตรตกรรม เวลาของท่านคือตะวันลับท้องทุ่งทานข้าวคุยกัน แล้วพักผ่อนเพื่อรอแสงวันใหม่เท่านั้นเอง
พื้นที่ : อนันตกาล
แสงแดดพาดผ่านบ้านเก่าเริ่มผุพังตามกาลเวลา นานแล้วที่ฉันจากบ้านมา ชีวิตฉันดีขึ้นแต่ที่บ้านแทบไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ในตอนสายหลังกินข่าวเสร็จก่อน ไปเก็บเมล็ดกาแฟกับตัดขนแกะเพื่อทำผ้าทอ แม่เล่าให้ฉันฟังว่า “นานมาแล้วที่มีชายหญิงคู่หนึ่งมาที่นี่ ทุกคู่พักลงที่บ้านหลังนี้ หลังจากที่เดินขึ้นภูเขาเพื่อ มาในหมู่บ้าน ทั้งคู่เดินเท้านานกว่าหนึ่งวัน ความเหนื่อยล้าทำให้ทั้งคู่ต้องหยุดพักและแวะทานข้าวที่บ้านหลังนี้คุณตาเป็นคนเอากับข้าวมาให้ ปี 2514 คู่รักจากเมืองหลวง เดินทางมาไกลหลายพันกิโลไม่ใช่สภาวะแห่งการหลบหนี มิใช่การแสวงหาแบบหนุ่มสาว แต่เป็นการเดินทางเพื่อปลดเปลื้องสภาวะ ของความยากไร้ หลายวันที่ทั้งคู่เดินทางอยู่ในป่ามีคนรายล้อมทั้งคู่เขามากมาย แต่ทั้งคู่เลือกที่จะลำบากเพื่อให้คนอีกจำนวนไม่น้อยในหมู่บ้านเรามีกินมี ใช้ เพื่อให้ที่อยู่ในดงดอยได้มีชีวิตที่ดีขึ้น นี่คือเรื่องราวของคู่รักที่คนไทยเรียกว่าพระเจ้าแผ่นดิน”
พื้นที่ : อนันตกาล ฉันแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยที่รัก ว่าพระเจ้าแผ่นดินเคยมาพักที่บ้านของฉัน ตอนนี้ คุณปู่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว แต่ปู่ก็เล่าเรื่องให้พ่อของฉันฟัง พ่อบอกว่าพ่อมีเรื่อง มากมายที่อยากเล่าให้ฉันฟัง แต่ฉันเองก็ไม่เคยได้อยู่กับท่านเลยตั้งแต่ฉันไปเรียน ต่างอำเภออยู่กับญาติ จนเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้พูดกับท่านเหมือนเมื่อก่อน ฉัน แอบรู้สึกละอายใจที่ฉันแทบไม่รู้เรื่องของพ่อเลย จะมีบ้างก็ถามไถ่จากแม่เวลาที่แม่ มาเยี่ยมฉัน พ่ อ เล่ า ว่ า ตอนพ่ อ เป็ น ผู้ใ หญ่ บ้ า นมี ค นมาที่ห มู่บ้ า นเราบอกว่ า ในหลวงจะมา “มี หม่ อ มหลวงมาช่ ว ยชาวบ้ า นอยู่กั บ ชาวบ้ า น ช่ ว ยทำความสะอาดแถวนี้ ตอน ในหลวงมาไม่มีใครกล้าพูดกับท่านพ่อเองก็ไม่กล้า ท่านพูดกับพ่อว่า ไม่ต้องกลัวนะ เรียกเราว่าพ่อหลวงก็แล้วกัน ท่านลูบหัวพ่อสามทีแล้วประคองแขนขึ้นเพื่อให้พ่อยืน "ไม่ต้องนั่งๆ ลุกขึ้น ไม่ต้องกลัวนะ” ฉันเองเริ่มสงสัยว่าคนที่พ่อเคยกราปในรูป ตอนเด้กนั้นเป็นในหลวงหรือรูปบรรพบุรุษเรากันแน่ ฉันถามต่อว่าพ่อพูดอะไรกับ ท่าน ทั้งๆที่พ่อก็ไม่ได้เรียนหนังสือพ่อเล่าต่อไปว่า “ท่านถามพ่อว่าหน้าแล้งกินอะไร ไปถ่ายที่ไหน ให้เราช่วยอะไรไหม อยากได้อะไรก็บอก ” ฉันรู้แล้วว่าทำไมที่พ่อถึงถาม ฉันเสมอมาว่า “อยู่ที่นั่นทานอะไร กินอยู่ยังไง ที่นั่นมีต้นไม้หรือเปล่ามีน้ำใช้ไหม ลำบากไหม” เพราะพ่อถามฉันเหมือนที่ในหลวงถามพ่อด้วยความรักนั่งเอง ฉัน กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ฉันแทบไม่รู้อะไรเลย พ่อคิดว่านั่นคือคำที่คนเมืองถามกัน แต่ฉัน รู้แล้วว่าสาเหตุที่พ่อถามฉันแบบนั้น เพราะทุกครั้งที่พ่อเจอในหลวงท่านจะถามถึง สิ่งเหล่านี้เสมอ ท่านไม่เคยละทิ้งประชนจริงๆ ฉันละอายเหลือเกินที่รัก ฉันละอายต่อพ่อฉันหันหลังให้ท่านไปสู่โลกภาพนอก ฉัน รู้สึกเหนื่อยล้ากับงานมากเหลือเกิน ฉันดูใบหน้าที่ยับย่นของพ่อ พ่อน้ำตาไหลใต้ แสงไฟสลัวพ่อพูดสั้นๆว่า “คิดถึงแกนะ” ในหลวงสิ้นบุญแล้วพ่อคงอยากให้ท่านมา ดูอีกครั้งว่าพ่อทำตามท่านบอกได้แล้ว “เรามีกินมีใช้เหลือก็ขาย ภูเขาที่โล่งตอนนี้ เป็นป่าแล้ว ท่านน่าจะดีใจ” พ่อพูดทั้งน้ำตา
พื้นที่ : อนันตกาล
อาการป่วยของพ่อค่อยๆดีขึ้นแล้วที่รัก ขอบคุณที่ถามไถ่ถึงท่าน ผมเอง ก็หายใจคล่องขึ้นมาก ผมได้สัมผัสแดดยามเช้าที่ทุ่งนาของพ่อ ที่นี่ อากาศดีมากเลยคุณ ถ้าคุณได้มาด้วยก็คงดี ผมรู้แล้วหละที่รักว่าที่ใดที่ กาลเวลาหยุ ด เดิ น ผมเริ่ม ช่ ว ยพ่ อ ปลู ก ผั ก อี ก ครั้ง ผมไปนั่ง เล่ น ที่ กระท่อมในตอนเช้า ผมสวมใส่ชุดเก่าๆของพ่อ ผมไม่ได้ทานอาหารหรูๆ เลยที่รัก ผมไม่ได้ทานกาแฟร้านโปรดของเราเลย เสื้อผ้าคนเมืองดูจะไม่ เหมาะกับที่นี่ แต่ผมรู้สึกมีความสุขจังเลยที่รัก ผมได้อยู่กับครอบครัว เราได้ใช้เวลา ด้วยกันมากขึ้นตั้งแต่ตื่นเช้าไปทุ่งนา เข้าแปลงผัก ผมได้ช่วยพ่อกับแม่ ดู ท่านมีความสุขเหลือเกิน เสียงหัวเราะของแม่แว่วมาเป็นระลอก ผมไม่เคย รู้สึกอิ่มเองขนาดนี้มาก่อนเลย ทั้งกายและใจของผมค่อยๆ ดีขึ้นตาม ลำดับ ผมเก็บผักจากสวนมากิน เก็บเมล็ดกาแฟมาคั่วเอง ทำกาแฟเอง มันดีมากเลยหละที่รัก ที่ๆกาลเวลาหยุดหมุนมันไม่มีจริงอย่างที่คุณว่าหละที่รัก แต่ผมรู้แล้วว่า กาลเวลาอันเป็นนิรันดร์คือ ความรักนั่นเอง ทั้งความรักที่ในหลวงท่าน ให้กับชาวเขาแบบผมและชาวเขาเผ่าอื่นๆ ชีวิตของคนที่นี่เปลี่ยนไปต้งแต่ มีท่าน มันเหมือนเป็นพื้นที่ที่กว้างใหญ่ ท่านอยู่ในความทรงจำของพวก เรา รุ่นสู่รุ่นที่ฟังเรื่องเล่าของท่าน ถึงแม้ท่านไม่อยู่แล้ว แต่ผมรู้สึกว่าเรา อยู่กับท่านทุกลมหายใจ ท่านเป็นอนันตกาลของพวกเรา
พื้นที่ : อนันตกาล
“เราเป็นผู้นำหมู่บ้านแล้วต้องเข้มแข็งนะ แต่ถ้ามันเสีย นี่ไม่ได้เสียบ้านเดียว มันเสียทั้งแม่สะเรียง” พระราช ดำรั ส ที่พ ระองค์ ท่ า นทรงตรั ส กั บ พ่ อ หลวงบุ ญ โสม ในครั้ง ที่ยั ง เป็ น ผู้น ำหมู่บ้ า นครั้ง ท่ า นเสด็ จ ประพาส บ้านแม่ลาน้อย อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปี 2522 โดยที่ท่านทรงตรั สถึงความสำคัญของผืน ป่าและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากไม่มีป่า
“เดี๊ยวนี้ทำนาง่ายขึ้นครับ เรามีกินมีใช้ น้ำก็มี”บท สนทนา ริมทุ่งนาก่อนพลบค่ำ “น้ำก็มี” คำนี้ทำให้ผม คิ ด ถึ ง ที่ห่ อ หลวงบุ ญ โสมเล่ า ให้ ฟั ง ว่ า ในหลวงทรง รับสั่งว่า “มีคนต้องปีป่า มีป่าต้องมีน้ำ” การกักเก็บ น้ำตามพระราชดำริ ทำให้ชาวบ้านที่นี่มีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ ต้องทำไร่เลื่อนลอย ป่าไม้ไม่เสียหาย ถ้าพระองค์ท่าน ได้มาทอดพระเนตคงดีใจที่ชาวบ้านอยู่ได้ด้วยตัวเอง แล้ว และป่าไม่ที่เคยถูกทำลายตอนนี้ฟื้นตัวแล้ว
ภาพภูเขาด้านหลังเป็นป่าที่เคยเสื่อมโทรมเพราะการ ทำไรเลื่อนลอยมาก่อน วันนี้เป็นภูเขาที่เขียวขจีอีก ครั ้ ง จากการจั ด การเรื ่ อ งคนกั บ ป่ า ตามแนวพระ ราชดำริ
Location : โครงการหลวงแม่ลาน้อย ต.ห้วยฮ่อม จ.แม่ฮ่องสอน Photographer / Writer : Tanawut Ritchuay
Camera : Sony A7 Mark 2 + lens Nikor F1.4 35mm
“ตานี่ชอบร้องเพลงนะที่นี่เราเรียบๆ ง่ายๆ ไม่ต้อง กลัวตานะ หนุ่มมาจากกรุงเทพเหรอ” บทเรื่มต้นของ การสนทนากับชายสูงวัยที่ริมถนน อำเภอแม่ลาน้อย ก่ อ นที่ผ มและชายสู ง วั ย ผู้นี้จ ะร้ อ งเพลงชมทุ่ง ด้ ว ย กัน ความสุขช่างเรียบง่ายเหลือเกิน ผมสัมผัสได้ถึง สิ่งนั้น