ความเหลื่อมล้าที่จับต้องได้ ดร. วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ความเหลื่อมล้้าได้ถูกหยิบยกขึ้นเป็นประเด็นที่น้าไปสู่ ข้อเรียกร้อง ทางการเมือง แม้หลายฝ่ายจะยังมีความเห็น ต่างกันว่าความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันนั้นมีเหตุผลมาจากความไม่ลง ตัวทางการเมือง หรือเหตุอื่นกันแน่ แต่เรา ต้องยอมรับว่าความเหลื่อมล้้านั้นมีจริงในสังคมไทย และมีมานานแล้ว ช่องว่างระหว่างรายได้ของคนรวยกับคนจนเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้้าในสังคม การ ส้ารวจโดยหน่วยงานของรัฐในปี 2552 พบว่า ร้อยละ 40 ของคนกรุง เทพและร้อยละ 36 ของคนอีสาน มีความเห็นว่า ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนนั้นสูงมากถึงขั้นยอมรับไม่ได้ ในภาพรวม ร้อยละ 32 ของคนทั้งประเทศ เห็นว่าช่องว่าง ระหว่างคนรวยและคนจนนั้นสูงมากถึงขั้นยอมรับไม่ได้ และร้อยละ 47 ของคนทั้งประเทศ เห็นว่าช่องว่างสูงมากแต่ยังพอ รับได้ เรียกได้ว่า เกือบร้อยละ 80 ของคนไทยยอมรับว่ามีความเหลื่อมล้้าของรายได้ ความเหลื่อมล้้าอาจเกิดจากการขาดโอกาส ขาดสิทธิ ขาดทรัพยากร หรือธรรมชาติไม่เข้าข้าง โดยคนไทยร้อยละ 42 บอกว่า คนจนนั้นจนเพราะเกิดมาจน ร้อยละ 57 บอกว่าคนรวยนั้นรวยเพราะเกิดมารวย นั่นคือ เห็ นว่าความเหลื่อมล้้า เป็นเรื่องของธรรมชาติไม่เข้าข้าง หรืออาจจะเลยเถิดไปถึงเรื่องบุญกรรมแต่ชาติปางก่อน ถ้าคนไทยเชื่อว่าความเหลื่อมล้้าเกิดเพราะเหตุธรรมชาติไม่เข้าข้างหรือกรรมเก่า ถ้าเช่นนั้นจะมาใช้ความเหลื่อม ล้้าเป็นข้ออ้างในการเรียกร้องความเป็นธรรมจากรัฐไปใย เล่า ต้องตอบว่า เพราะมันเป็น หน้าที่ ของรัฐที่จะต้องลดความ เหลื่อมล้้า สร้างความเป็นธรรมในสังคมนั่นเอง เราลองมาดูตัวอย่างของกลุ่มคนที่เล็กที่สุดในสังคมซึ่งคือ ครอบครัว ถ้าพ่อแม่ครอบครัวหนึ่งมีลูก 10 คน สมมติว่า ด้วยเหตุทางธรรมชาติท้าให้ลูก 5 คนแรกที่เป็นหญิงมีคว ามเก่งกาจน้อยกว่าลูก 5 คนหลังที่เป็นชายหมด ที่แย่กว่านั้นคือ ลูกคนแรกก็พิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ถ้าพ่อแม่ไม่มีความเป็นธรรม รักลูกที่เป็นชายและเก่งกว่าเพราะว่าช่วยเชิดชู หน้าตาให้แก่ตน ความสุขสงบ ความกลมเกลียวในครอบครัวก็จะไม่เกิดขึ้น พ่อแม่สามารถสร้างความเ ป็นธรรมให้แก่คนใน ครอบครัวเพื่อลบล้างผลของธรรมชาติได้ด้วยการให้โอกาสทางการศึกษาและดูแลลูกอย่างเท่าเทียมกัน โดยให้ความใส่ใจ กับลูกที่พิการมากกว่าคนอื่นๆ เป็นต้น ที่ส้าคัญพ่อแม่ต้องไม่ท้าในสิ่งที่ไปเพิ่มความเหลื่อมล้้าให้มากขึ้น รัฐก็เหมือนกับพ่อแม่ที่ดูแลครอบครั วขนาดยักษ์ใหญ่ สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้้า เพื่อป้องกันปัญหา สังคม การสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้้าท้าได้ด้วยการเก็บภาษีจากคนที่ “มี” คนมีมากก็ควรเสียภาษีมาก คนมี น้อยก็ควรเสียภาษีน้อย และรัฐควรจัดสวัสดิการสังคมเพื่อให้คนทุกคนไม่ว่าจะ “มี” หรือ “ไม่มี” ได้รับความมั่นใจในการอยู่ ในสังคมโดยปราศจากความกลัวว่าจะอดตาย จะไม่ได้เรียนหนังสือ จะตกงาน จะเจ็บตายโดยไม่มีโอกาส รับการ รักษาพยาบาล จะแก่อย่างอดๆ อยากๆ จะตายอย่างโดดเดี่ยว หรือจะถูกคนดูถูกรังเกียจเหยียดหยาม รัฐไทยไม่ว่าจะยุคไหนได้ท้าหน้าที่ในการเก็บภาษี อย่างเป็นธรรมหรือจัดสวัสดิการสังคมให้คนไทยอย่างเป็นธรรม แล้วหรือยัง ลองดูที่การจัดเก็บภาษี ทุกวันนี้คนไทยทุกคนที่ใช้จ่ายเงินซื้อสินค้า 100 บาท เงินจ้านวน 22 บาทนั้นเข้ากระเป๋า รัฐเป็นภาษีทางอ้อม เราอาจจะคิดว่าภาษีมูลค่าเพิ่มแค่ 7 บาทเท่านั้นส่วนที่เกินมาเป็นอ ะไร เรามีภาษีทางอ้อมหลาย ทีมสื่อสารสาธารณะ-ทีดีอาร์ไอ โทร.0-2270-1350 ต่อ 113
หน้า 1
ประเภทรวมๆ กันในราคาสินค้าซึ่งมันสูงกว่าภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยซ้้า ภาษีทางอ้อมนี้คนรวยหรือคนจนต้องจ่ายเหมือนๆ กัน ซื้อมากจ่ายมาก ซื้อน้อยจ่ายน้อย การจ่ายภาษีไม่ได้ขึ้นกับว่ามีมากจ่ายมาก หรือมีน้อยจ่ายน้อย มาดูที่ภาษีทางตรง ซึ่งก็คือภาษี รายได้ที่เก็บจากประชาชนและจากผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ ข้อมูล ภาษี รายได้จาก การจัดเก็บภาษีบุคคลธรรมดาของกรมสรรพากรในปี 2551 พบว่า จากคนไทยที่มีงานท้าทั้งหมด 37 ล้านคน มีเพียง 9 ล้านคนที่ ยื่นแบบเสียภาษีรายได้ โดยที่ 1.9 ล้านคนเป็นแบบ ภ .ง.ด. 90 (คนที่มีรายได้หลายแหล่ ง) และ 7.1 ล้านคนเป็น แบบ ภ.ง.ด. 91 (คนที่มีรายได้จากเงินเดือน ค่าจ้าง หรือบ้านาญเท่านั้น ) คนที่หายไป 28 ล้านคน มีจ้านวนหนึ่งที่เข้าข่าย ร่้ารวยแต่รัฐไม่มีความสามารถไม่พยายามเอื้อมมือไปเก็บภาษีได้ ความเป็นธรรมของภาษีรายได้มีหรือไม่ ถ้าภาษีเป็นธรรมแล้ว ต้าแหน่งของคนมีรายได้น้อยที่ยืนอยู่ในสังคมไม่ควร แย่ลงไปกว่าเดิมหลังจากถูกหักภาษี เช่น ถ้าคนจนที่สุดครึ่งหนึ่งของประเทศมีส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด ของประเทศ หลังจากหักภาษีทั้งคนรวยคนจนเสร็จแล้วส่วนแบ่งรายได้ของคน เหล่านั้น ต้องไม่แย่ไปกว่าเดิมคือ ต้องมีส่วน แบ่งที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด ในปี 2551 ครึ่งหนึ่งของผู้ที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 มีส่วนแบ่งรายได้ รวมกัน เพียงร้อยละ 11 (ดูรูปประกอบ) เปรียบได้ กับลูกที่จนที่สุด 5 คนแรกมีส่วนแบ่งรายได้ รวมกัน เพียงร้อยละ 11 ลูกคนที่รวยที่สุด (หรือคนรวยที่ สุดร้อยละ 10) มีส่วน แบ่งรายได้ถึงร้อยละ 51 และหลังจากรัฐได้หักภาษีเรียบร้อยแล้วกลั บท้าให้ส่วนแบ่งรายได้ของลูก คนที่จนที่สุด 5 คนแรก ลดลงเหลือร้อยละ 6 แต่ส่วนแบ่งของลูกคนที่ 6-9 กลับเพิ่มขึ้น ภาษีท้าให้ความเหลื่อมล้้าเพิ่มขึ้นทั้ง กรณี ภ.ง.ด. 90 และ 91 โดยเฉพาะกรณี ภ.ง.ด. 91 กลุ่มคนที่รวยที่สุดกลับได้รับประโยชน์มากที่สุดจากโครงสร้างภาษีแบบบิดเบือน ท้าไม่ถึง เป็นเช่นนั้น ทั้งๆ ที่อัตราภาษีของไทยเป็นแบบก้าวหน้าคือยิ่งรายได้สูงก็เสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น ทั้งนี้เพราะรัฐอัดนโยบาย อื่นๆ มากเกินไปใส่ลงไปในโครงสร้างภาษีราย ได้ จนมันหมดความสามารถในการสร้างความเป็นธรรมให้แก่สังคม ดัง ตัวอย่างเหล่านี้ 0.60
0.60
0.50
0.50
0.40
0.40
0.30
0.30
0.20
0.20
0.10
0.10
-
-
ตัวอย่างที่หนึ่ง รัฐต้องการกระตุ้นตลาดทุน โดยให้คนที่มีรายได้สูงสามารถหักค่าลดหย่อนภาษี จากการลงทุนใน กองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF ได้มากถึง 700,000 บาท ในปี 2551 มีรายได้ที่ได้รับก ารลดหย่อน ทั้งหมดถึง 16,000 ล้านบาท คนที่มีรายได้สูงมักจะลงทุนใน LTF ประมาณ 12,000 ล้านบาทเป็นยอดรายได้ที่ได้รับการลดหย่อนของกลุ่มคน รวยที่สุด (10% รวยสุด) ที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 และ 91 ตัวอย่างที่สอง รัฐต้องการให้คนบริจาคเงินเพื่อการกุศล ถ้าบริจาคเงินก็สามารถน้าหลักฐานมาขอลดหย่อนภาษีได้ ในปี 2551 มีการขอลดหย่อนภาษีจากการบริจาคทั้งหมด 6,000 ล้านบาท รัฐอาจจะไม่รู้เลยว่าหลักฐานการบริจาคเพื่อ ทีมสื่อสารสาธารณะ-ทีดีอาร์ไอ โทร.0-2270-1350 ต่อ 113
หน้า 2
การลดหย่อนภาษีนั้นหาซื้อกันได้ในที่ต่างๆ มีวัดแห่งหนึ่งขายใบอนุโมทนาบัตรราคา 5,000 บาท อยากให้เขียนว่าบริจาค เงินเท่าไรก็บอก ไป เช่นถ้าเขียนว่าบริจาคเงิน 100,000 บาท ผู้ที่มีรายได้สูงที่เสียภาษีในอัตราร้อยละ 30 ก็จะสามารถ ประหยัดเงินภาษีไปได้ 25,000 บาท เงินเข้ากระเป๋าวัดและคนรวยแทนที่จะเป็นรัฐ ตัวอย่างที่สาม รัฐยกเว้นภาษีส้าหรับเงินได้พึงประเมินที่ต่้ากว่า 150,000 บาท การยกเว้นอย่า งถ้วนหน้าแทนที่จะ เป็นเฉพาะผู้มีรายได้ต่้า ท้าให้รัฐสูญเสียรายได้ทั้งหมด 70,000 ล้านบาทในปี 2551 นอกจากนี้ คนรวยจ้านวนมากมีรายได้หลั จากดอกเบี้ยและเงินปันผลซึ่ง ส่วนใหญ่ก็ เสียภาษีในอัตราเดียวร้อยละ 15 และยังมีการลดหย่อนอีกหลายประเภทที่มีผลให้ภาษีรายได้ของไทยไม่เป็นธรรม รัฐให้ความเป็นธรรมในการให้สวัสดิการสังคมหรือไม่ ดูตัวอย่างสวัสดิการรักษาพยาบาล ข้อมูลการส้ารวจของส้านักงานสถิติแห่งชาติในปี 2549 แสดงให้เห็นว่า คนมี รายได้น้อยที่สุดร้อยละ 20 ของประเทศต้องใช้สิทธิจากสวัสดิการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คนรายได้สูงที่สุดข อง ประเทศมีครึ่งหนึ่งที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเป็นสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคม คงไม่ ต้องบอกว่าคนไทยอยากได้สวัสดิการรักษาพยาบาลแบบไหนมากกว่ากัน กลุ่มคนรายได้สูงที่มีสิทธิในสวัสดิการ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าส่วนใหญ่ไม่ใช้สวัส ดิการที่ตนมีแต่กลับยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินเองหรือไม่ก็ให้บริษัทประกัน เอกชนจ่าย (โดยตนจะต้องควักกระเป๋าจ่ายเบี้ยประกันก่อน ) มีเพียงร้อยละ 40 ของผู้ป่วยกลุ่มรวยที่สุดที่ใช้บริการ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าทั้งกรณีผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน พฤติกรรมการใช้สวัสดิการของ รัฐแบบนี้น่าจะบ่งชี้ได้ว่า สวัสดิการที่รัฐให้แก่ผู้มีรายได้น้อยเป็นธรรมหรือไม่ ถ้าป่วยด้วยโรคเดียวกันแต่ข้าราชการได้รับการรักษาแบบหนึ่ง คน รายได้น้อยได้รับการรักษาอีกแบบหนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าความเหลื่อมล้้าหรือไม่ เรามักจะได้ยินข้ออ้างว่าข้าราชการรับเงินเดือ นน้อยควรได้รับสวัสดิการอย่างดี เป็นการทดแทน แต่ข้ออ้างที่มี เหตุผลมากกว่าน่าจะเป็นว่าเกิดเป็นคนไทยเหมือนๆ กัน ป่วยด้วยโรคเดียวกัน ควรได้รับการดูแลจากรัฐ ด้วยมาตรฐาน เดียวกัน เหตุผลของความเป็นคนอย่างเท่าเทียมกันน่าจะเหมาะกว่าเรื่องเงินเดือน 100% 90% 80% 70% 60%
100% 90% 80% 70% 60%
50%
50%
40%
40%
30%
30%
20%
20%
10%
10%
0%
0%
ความเหลื่อมล้้าทีจ่ ับต้องได้เหล่านี้ท้าให้เห็นว่า ข้ออ้างเพื่อการเรียกร้องทางการเมืองเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผล ไม่ ว่าการเรียกร้องจะมีอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังหรือไม่ แต่ความเหลื่อมล้้าที่จับต้องได้เหล่านี้ควรที่จะได้รับการเยียวยาอย่าง ถูกต้องต่อไป.
ทีมสื่อสารสาธารณะ-ทีดีอาร์ไอ โทร.0-2270-1350 ต่อ 113
หน้า 3