Srrunrc2018 oral p.1-409

Page 1

การประชุมวิชาการ

ครั้งที่

เสนอผลงานวิจัยระดับชาติ 13

ภาคบรรยาย

ธรรมาภิบาลกับการศึกษาไทยในยุค Thailand 4.0 โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

โครงการบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 21-22 เมษายน 2561 ณ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์


การประชุมวิชาการ

โครงการบัณฑิตศึกษา มหาวิจ ทยาลั ยราชภัฏบ สุรชาติ ินทร์ เสนอผลงานวิ ัยระดั

ครั้งที่ 13 ภาคบรรยาย

ธรรมาภิบาลกับการศึกษาไทย ในยุค Thailand 4.0

โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

โครงการบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 21-22 เมษายน 2561 ณ ตึก 41 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

คณะกรรมการอานวยการ 1. อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2. รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ 3. ประธานสาขาวิชาระดับบัณฑิตศึกษาทุกสาขา 4. คณบดี ทุกคณะ 5. เลขานุการโครงการบัณฑิตศึกษา 6. อาจารย์ ดร.ตรีคม พรมมาบุญ

ประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

กองบรรณาธิการ 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประชิต อินทะกนก 2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สาคร พัวพันธ์ 3. อาจารย์ ดร.ตรีคม พรมมาบุญ 4. อาจารย์ ดร.ศุภธนกฤษ ยอดสละ 5. นายชัยยศ อุไรล้า 6. นางธนินท์ธร ทองแม้น 7. นายชุติพร ไวรวัจนกุล 8. นายทองนพคุณ อินธิเดช 9. นางณัฏฐ์นัน ทุนดี 10. นางสาวสมพร ไชยรัมย์

ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการ

กองจัดการและพิสจู น์อกั ษร 1. อาจารย์ ดร.ตรีคม พรมมาบุญ 2. อาจารย์ ดร.ศุภธนกฤษ ยอดสละ 3. นางณัฏฐ์นัน ทุนดี 4. นายชุติพร ไวรวัจนกุล 5. นางธนินท์ธร ทองแม้น 6. นายทองนพคุณ อินธิเดช 7. นางสาวสมพร ไชยรัมย์ 8. นางสาวโสภา วงศ์ภักดี 9. นายคงคม สืบสิทธิ์ 10. นายธนาพล แจ้งสว่างศรี 11. นางภัทรารัตน์ ชิดชอบ 12. นางสาวจันทร์ทิพย์ ถนัดเพิ่ม 13. นายชัยยศ อุไรล้า

ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการ


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ผู้ประเมินอิสระ บุคคลภายนอก 1. ศาสตราจารย์ ดร.อลงกลด แทนออมทอง 2. ศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ ธีรศาศวัต 3. รองศาสตราจารย์ ดร.รสรินทร์ พิมลบรรยงค์ 4. รองศาสตราจารย์ ดร.ธนิดา ผาติเสนะ 5. รองศาสตราจารย์ ดร.นิราศ จันทรจิตร 6. รองศาสตราจารย์ ดร.ประสาท เนืองเฉลิม 7. รองศาสตราจารย์ ดร.ด้ารงฤทธิ์ วิบูลกิจธนากร 8. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน 9. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤตฏ์ ชมภูวิเศษ 10. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุนันท์ สีพาย 11. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิรันดร คงฤทธิ์ 12. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หฤษฏ์สลักณ์ วิรยิ ะ 13. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วาสนา ภานุรักษ์ 14. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.สุทธิศกั ดิ์ แก้วแกมจันทร์

SRRU NCR2018

20. ดร.ภูวดล พลศรีประดิษฐ์ 21. ดร.ธรณิศ สายวัฒน์ 22. ดร.ประทีป กาลเขว้า 23. ดร.สุทิน ชนะบุญ 24. ดร.บุญทนากร บุญภักดี 25. ดร.จตุพร ผลเกิด 26. ดร.เกศรา แสนศิริทวีกลุ

มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยวงษ์เชาวลิตกุล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ศูนย์สุพรรณบุรี ส้านักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ขอนแก่น วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร ขอนแก่น วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร ขอนแก่น ส้านักงานควบคุมโรคที่ ๖ จังหวัดขอนแก่น ส้านักงานควบคุมโรคที่ ๑๐ จังหวัดอุบลราชธานี ส้านักงานควบคุมโรคที่ ๑๐ จังหวัดอุบลราชธานี

บุคคลภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประชิต อินทะกนก 2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สาคร พัวพันธ์ 3. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิคม ลนขุนทด 4. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อ้านวย วัฒนกรสิริ

คณะครุศาสตร์ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

15. อาจารย์ ดร.ทัศน์ศริ ินทร์ สว่างบุญ 16. อาจารย์ ดร.เพียงแข ภูผายาง 17. อาจารย์ ดร.ธัญญาลักษณ์ ชิดไธสง 18. อาจารย์ ดร.มะลิ โพธิพิมพ์ 19. ดร.เฉลียว เกตุแก้ว


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

5. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤษณ์ ปิ่นทอง 6. อาจารย์ ดร.ตรีคม พรมมาบุญ 7. อาจารย์ ดร.ศุภธนกฤษ ยอดสละ 8. อาจารย์ ดร.สุรเชษฐ์ วงศ์ชัยประทุม 9. อาจารย์ ดร.สุรสิงห์ อารยางกูร 10. อาจารย์ ดร.กนกกานต์ ลายสนธิ์ 11. อาจารย์ ดร.ภาณุเมศวร์ สุขศรีศิริวัชร

SRRU NCR2018

คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะครุศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ปาฐกถาพิเศษ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา คุณวุฒิ - ปริญญาตรีเกียรตินิยมและปริญญาโท สาขาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ - ปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมศาสตร์ จาก Imperial College of Science and Technology London University - ครุศาสตร์ดุษฎีบณ ั ฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย - ศึกษาศาสตร์ดุษฏีบณ ั ฑิตกิตติมศักดิ์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ตาแหน่งปัจจุบัน ผู้บริหารสูงสุดโรงเรียนสัตยาไส ประวัตกิ ารทางาน - อาจารย์ประจ้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - กรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี - ผู้เชี่ยวชาญโครงการจรวดเพื่อใช้ในกิจการฝนเทียม สภาวิจยั แห่งชาติ - ปัจจุบันด้ารงต้าแหน่งผูบ้ ริหารสูงสุดโรงเรียนสัตยาไส จ.ลพบุรี งานด้านการเมือง - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร 3 สมัย - เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ - รองประธานกรรมาธิการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร - สมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร ผลงาน - ได้รับรางวัลทางวิทยาศาสตร์และศาสนาจากนายกรัฐมนตรีประเทศอังกฤษ - ร่วมโครงการอวกาศไวกิงขององค์การนาซ่า ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยออกแบบและสร้างอุปกรณ์ ควบคุมการร่อนลงของยานอวกาศไวกิง 2 ล้า สู่พืนดาวอังคาร - นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น สาขาสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ปี พ.ศ.2527 - รับพระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์ชันประถมาภรณ์ช้างเผือกและประถมาภรณ์มงกุฎไทย - ครูผู้สอนพระพุทธศาสนาดีเด่น จากส้านักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2547 - นักปราชญ์ภูมิปัญญาไทย จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ปี พ.ศ.2548 - รางวัลคุรุสดุดี วันครูโลก จากครุสภา กระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ. 2548 - รางวัลผู้อุทิศตนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ปี พ.ศ.2549 - รางวัลหนังสือวรรณกรรมเยาวชนดีเด่น อายุ 12-18 ปี จากหนังสือแนวทางแห่งความสุขปี พ.ศ.2550


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

- รางวัลรองศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย บุคคลท้าดีเพื่อสังคม ด้านพัฒนาการศึกษา ปี พ.ศ.2552 - รางวัลเพชรสยาม มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ปี พ.ศ. 2552 - รางวัล GUSI PEACE PRIZE สาขาสันติภาพ จากประเทศฟิลิปปินส์ ปี พ.ศ. 2554 - ผู้บ้าเพ็ญประโยชน์ในการพัฒนาจิต มอบโดยสภาชาวพุทธ ปี พ.ศ. 2554 - ผู้มีพุทธคุณุปการต่อพระพุทธศาสนา ระดับกาญจนาเกียรติคณ ุ คณะกรรมการศาสนา สภา ผู้แทนราษฎร - ท้าเนียบคนไทยที่มีความคิดสร้างสรรค์ด้านวิทยาศาสตร์และด้านการบริหาร จากส้านักพัฒนา สุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข - รางวัล เชิดชูเกียรติ บุคคลผู้ปลุกหัวใจสังคมด้วยหัวใจโพธิสัตว์ โดยสเถียรธรรมสถาน ปี พ.ศ. 2557 - โล่เกียรติคุณ เด็กและเยาวชนดีเด่นแห่งชาติและผู้ท้าคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน มอบโดยหม่อม ศรีรัศมิ์ ปี พ.ศ. 2558 - รับรางวัลครูขวัญศิษย์ ในงานพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครังที่ 1 ปี พ.ศ. 2558 - รางวัลบุคคลคุณภาพแห่งปี 2015 โดยมูลนิธสิ ภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2558 - รางวัลครูเกียรติคณ ุ โดยสมาคมครุศาสตร์สัมพันธ์และคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์ร่วมกับสถานีโทรทัศน์ ไทยทีวีสีช่อง 3 ปี พ.ศ. 2558 - รางวัลผู้ท้าคุณประโยชน์ให้แก่สา้ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขันพืนฐาน โดยส้านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขันพืนฐาน ปี พ.ศ. 2558 - รางวัล คนดีของสังคม โดยมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ ปี พ.ศ. 2558 - ได้รับคัดเลือกเป็นครูแสนดี มีความตังใจปฏิบัติงาน และเป็นแบบอย่างที่ดี เนื่องในวันครูแห่งชาติ ประจ้าปี 2559 มอบโดย มูลนิธิ ดร.สุข พุคยาภรณ์ วันที่ 10 มกราคม 2559 - รางวัลผู้มีคณูปการต่อการศึกษาชาติ มอบโดยกระทรวงศึกษาธิการ วันที่ 16 มกราคม 2559 งานด้านการศึกษา - ผู้คิดค้นรูปแบบการเรียนการสอนแบบบูรณาการคุณค่าความเป็นมนุษย์ - คณะกรรมการเสริมสร้างคุณธรรมในระบบการศึกษาไทย ปี พ.ศ. 2549 - คณะอนุกรรมการบริหารโครงการคุณธรรมน้าความรู้ กระทรวงศึกษาธิการ - คณะกรรมการบริหารเครือข่ายการวิจัยทางการศึกษา : กรุงเทพมหานครและภาคกลาง ตอนล่าง - วิทยากร โครงการคุณธรรมน้าความรู้ : แนวทางเสริมสร้างคุณธรรมในระบบการศึกษา โดยอบรมครู ทั่วประเทศกว่า 26,000 คน จัดโดยส้านักเลขาธิการ สภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตังแต่เดือนมีนาคมกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2550 - ที่ปรึกษากิตติมาศักดิ์ประจ้าคณะกรรมาธิการ ปี พ.ศ. 2551 - ผู้แต่งหนังสือคุณธรรมน้าความรู้ รูปแบบการเรียนการสอนแบบบูรณาการคุณค่าความเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นคู่มือประกอบการอบรม โครงการคุณธรรมน้าความรู้ : แนวทางเสริมสร้าง คุณธรรมในระบบการศึกษา - วิทยากรบรรยายเกี่ยวกับเรื่องคุณธรรมน้าความรู้ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ - วิทยากรในงานมหกรรมการจัดความรู้แห่งชาติ ครังที่ 3


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

- อาจารย์พิเศษ ประจ้าคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - กรรมการสภาวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี - กรรมการสอบเค้าโครงวิทยานิพนธ์ให้กับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ - ตัวแทน UN-HABITAT ประชุมกับรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในประเทศกลุ่มอาเซียน - ผู้อ้านวยการโรงเรียนการศึกษาสัตยาไส ประเทศไทย โดยเป็นวิทยากรอบรมครูทั่วโลกตามรูปแบบการ เรียนการสอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ - ผู้อ้านวยการสถาบันวารินทร์ศึกษา โดยได้รับความร่วมมือจากองค์การสหประชาชาติ เพื่ออบรมครูจาก ทั่วโลกเกี่ยวกับคุณธรรมกับน้า เนือ่ งจากวิกฤติเรื่องน้าในโลกทางออก ในการแก้ปัญหานันทุกคนจ้าเป็นที่จะต้องมี คุณธรรม โดยมี SEAMEO ให้การสนับสนุน ซึ่งปัจจุบันเริ่มจัดอบรมครูแล้วจากประเทศดังต่อไปนี จีน, ฟิลิปปินส์, ปีนงั , อินโดนีเซีย, อินเดีย และจะขยายต่อไปอีกในอนาคต - กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการศึกษาขันพืนฐาน จัดแต่งตังโดยกระทรวงศึกษาธิการตาม ประกาศส้านักนายกรัฐมนตรี ปี พ.ศ.2556 - ประธานกรรมการ โครงการตามรอยเกียรติยศครูผู้มีอุดมการณ์และจิตวิญญาณครู ปี พ.ศ.2557 และ ปี พ.ศ.2558 - อนุกรรมการ การส่งเสริมการศึกษาเอกชน ฝ่ายวิชาการ โรงเรียนประเภทสามัญศึกษา ค้าสั่งแต่งตัง คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ปี พ.ศ. 2558 - กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชนและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการการ ส่งเสริม สนับสนุน และประสานงานความร่วมมือการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ปี พ.ศ. 2558 งานด้านอื่น ๆ - วิทยากรบรรยายให้กับองค์กรต่าง ๆ ทั่วประเทศและทั่วโลก - ผู้ทรงคุณวุฒิในการก้าหนดแผนยุทธศาสตร์สังคมแห่งชาติ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ - คณะกรรมการจัดท้าแผนยุทธศาสตร์การพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์วิทยาศาสตร์ เพื่อการศึกษา - ศิษย์เก่าเกียรติยศ จุลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะครุศาสตร์จุฬา ปี พ.ศ. 2553 - ศิษย์เก่าดีเด่นปี 2555 : VINCENT MARY AWARD โดย สมาคมศิษย์เก่าเซนต์คาเบรียล ปี พ.ศ.2555 - ศิษย์เก่าดีเด่น เซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ปี พ.ศ. 2557


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

~๑~

คำสั่งมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ ที่ ๐๒๘๓ / ๒๕๖๑ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการดาเนินงานโครงการประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ ครั้งที่ ๑๓ --------------------------------------ด้วยโครงการบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ได้จัดโครงการประชุมวิชาการ เสนอผลงานวิจัยระดับชาติ ครั้งที่ ๑๓ ประจาปีการศึกษา ๒๕๖๐ ในวัน ๒๑-๒๒ เมษายน ๒๕๖๑ ณ อาคาร ๔๑ ชั้น ๓ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เพื่อให้การดาเนินโครงการดังกล่าว เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพและบรรลุตามวัตถุประสงค์ อ้างถึงคาสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๙/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙ และคาสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สกอ.๑๐๔๓/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ อาศัย อานาจตามความในมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงแต่งตั้ง บุคคลต่อไปนี้เป็นคณะกรรมการดาเนินงานโครงการประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ ครั้งที่ ๑๓ ดังนี้ ๑. คณะกรรมกำรอำนวยกำร ๑.๑ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ประธานกรรมการ ๑.๒ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ กรรมการ ๑.๓ ประธานสาขาวิชาระดับบัณฑิตศึกษาทุกสาขา กรรมการ ๑.๔ คณบดี ทุกคณะ กรรมการ ๑.๕ เลขานุการโครงการบัณฑิตศึกษา กรรมการและเลขานุการ ๑.๖ อาจารย์ ดร.ตรีคม พรมมาบุญ กรรมการและ ผู้ช่วยเลขานุการ หน้ำที่ (๑) อานวยการและสนับสนุนการดาเนินงานให้เกิดความเรียบร้อย (๒) วินิจฉัย และตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ๒. คณะกรรมกำรดำเนินงำน ๒.๑ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ประชิต อินทะกนก ๒.๒ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.สาคร พัวพันธ์

ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

~๒~ ๒.๓ อาจารย์ ดร.ตรีคม พรมมาบุญ กรรมการ ๒.๔ อาจารย์ ดร.ศุภธนกฤษ ยอดสละ กรรมการ ๒.๕ นายชัยยศ อุไรล้า กรรมการ ๒.๖ นางธนินท์ธร ทองแม้น กรรมการ ๒.๗ นายชุติพร ไวรวัจนกุล กรรมการ ๒.๘ นายทองนพคุณ อินธิเดช กรรมการ ๒.๙ นางณัฏฐ์นัน ทุนดี กรรมการ ๒.๑๐ นางสาวสมพร ไชยรัมย์ กรรมการและเลขานุการ หน้ำที่ (๑) เตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการดาเนินงาน (๒) จัดทาระบบลงทะเบียนออนไลน์รับลงทะเบียนผู้เข้าร่วมประชุม ประสานงาน ระหว่างการประชุมในโครงการฯ (๓) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการอานวยการ ๓. คณะกรรมกำรฝ่ำยวิชำกำร ๓.๑ ศาสตราจารย์ ดร.อลงกลด แทนออมทอง ๓.๒ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อานวย วัฒนกรสิริ ๓.๓ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤษณ์ ปิ่นทอง ๓.๔ ดร.ธรณิศ สายวัฒน์ ๓.๕ ศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ ธีรศาศวัต ๓.๖ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.จิรายุ ทรัพย์สิน ๓.๗ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ธีรวัตร์ ภูระธีรานรัชต์ ๓.๘ รองศาสตราจารย์ ดร.ประกอบ คุปรัตน์ ๓.๙ อาจารย์ ดร.ศุภธนกฤษ ยอดสละ ๓.๑๐ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ประชิต อินทะกนก ๓.๑๑ อาจารย์ ดร.ตรีคม พรมมาบุญ ๓.๑๒ อาจารย์ ดร.โกศล สอดส่อง ๓.๑๓ อาจารย์ ดร.ณัฐสุรางค์ ปุคละนันทน์ ๓.๑๔ อาจารย์ ดร.อุบลวรรณ สุวรรณภูสิทธิ์ ๓.๑๕ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศร เนาวนนท์ ๓.๑๖ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนม์ณัฐชา กังวานศุภพันธ์ ๓.๑๗ นางณัฏฐ์นัน ทุนดี หน้ำที่ (๑) ให้ข้อเสนอแนะกรรมการวิจัยประจาห้อง

ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

~๓~ (๒) ประสานงานจัดวิทยากรที่จะวิพากษ์เสนอแนะงานวิจัยที่นาเสนอ (๓) เป็นวิทยากรบรรยาย อภิปราย ให้ความรู้และให้คาปรึกษาแนะนาตามที่ กาหนด (๔) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการอานวยการ ๔. คณะกรรมกำรคัดกรองงำนวิจัย ๔.๑ ศาสตราจารย์ ดร.อลงกลด แทนออมทอง ๔.๒ ศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ ธีรศาศวัต ๔.๓ รองศาสตราจารย์ ดร.รสรินทร์ พิมลบรรยงค์ ๔.๓ รองศาสตราจารย์ ดร.ธนิดา ผาติเสนะ ๔.๔ รองศาสตราจารย์ ดร.นิราศ จันทรจิตร ๔.๖ รองศาสตราจารย์ ดร.ประสาท เนืองเฉลิม ๔.๗ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน ๔.๘ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.อานวย วัฒนกรสิริ ๔.๙ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤตฏ์ ชมภูวิเศษ ๔.๑๐ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุนันท์ สีพาย ๔.๑๑ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.นิรันดร คงฤทธิ์ ๔.๑๒ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หฤษฏ์สลักณ์ วิริยะ ๔.๑๓ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วาสนา ภานุรักษ์ ๔.๑๔ อาจารย์ ดร.ทัศน์ศิรินทร์ สว่างบุญ ๔.๑๕ อาจารย์ ดร.เพียงแข ภูผายาง ๔.๑๖ อาจารย์ ดร.ธัญญาลักษณ์ ชิดไธสง ๔.๑๗ อาจารย์ ดร.มะลิ โพธิพิมพ์ ๔.๑๘ อาจารย์ ดร.สุรเชษฐ์ วงศ์ชัยประทุม ๔.๑๙ อาจารย์ ดร.กนกกานต์ ลายสนธิ์ ๔.๒๐ อาจารย์ ดร.สุรสิงห์ อารยางกูร ๔.๒๑ อาจารย์ ดร.ภาณุเมศวร์ สุขศรีศิริวัชร ๔.๒๒ ดร.ภูวดล พลศรีประดิษฐ์ ๔.๒๓ ดร.ธรณิศ สายวัฒน์ ๔.๒๔ ดร.ประทีป กาลเขว้า ๔.๒๕ ดร.สุทิน ชนะบุญ ๔.๒๖ ดร.บุญทนากร บุญภักดี

ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

~๔~ ๔.๒๗ ดร.จตุพร ผลเกิด ๔.๒๘ ดร.เกศรา แสนศิริทวีกุล ๔.๒๙ ดร.ดารงฤทธิ์ วิบูลกิจธนากร ๔.๓๐ ดร.เฉลียว เกตุแก้ว ๔.๓๑ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ประชิต อินทะกนก ๔.๓๒ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.สาคร พัวพันธ์ ๔.๓๓ อาจารย์ ดร.ตรีคม พรมมาบุญ ๔.๓๔ อาจารย์ ดร.ศุภธนกฤษ ยอดสละ หน้ำที่ กลั่นกรองบทความทางวิชาการ และให้ข้อเสนอแนะ

กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการและเลขานุการ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

๕. คณะกรรมกำรฝ่ำยจัดทำเอกสำรประกอบกำรประชุมพิจำรณำเสนอผลงำนวิจัย ๕.๑ อาจารย์ ดร.ตรีคม พรมมาบุญ ประธานกรรมการ ๕.๒ นางณัฏฐ์นัน ทุนดี กรรมการ ๕.๓ นายชุติพร ไวรวัจนกุล กรรมการ ๕.๔ นางธนินท์ธร ทองแม้น กรรมการ ๕.๕ นายทองนพคุณ อินธิเดช กรรมการ ๕.๖ นางสาวสมพร ไชยรัมย์ กรรมการ ๕.๗ นางสาวโสภา วงศ์ภักดี กรรมการ ๕.๘ นายคงคม สืบสิทธิ์ กรรมการ ๕.๙ นายธนาพล แจ้งสว่างศรี กรรมการ ๕.๑๐ นางภัทรารัตน์ ชิดชอบ กรรมการ ๕.๑๑ นางสาวจันทร์ทิพย์ ถนัดเพิ่ม กรรมการ ๕.๑๒ นายชัยยศ อุไรล้า กรรมการและเลขานุการ หน้ำที่ (๑) พิมพ์และเรียบเรียงเอกสาร Proceeding ให้ผู้เข้าร่วมประชุมในโครงการฯ (๒) รับรายงานตัวและแจกเอกสารการประชุม (๓) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่ได้รับจากประธานกรรมการอานวยการ ๖. คณะกรรมกำรฝ่ำยประสำนงำนและสวัสดิกำร ๖.๑ นางธนินท์ธร ทองแม้น ประธานกรรมการ ๖.๒ นางณัฐฏ์นัน ทุนดี รองประธานกรรมการ ๖.๓ นายทองนพคุณ อินธิเดช กรรมการ ๖.๗ นางสาวสมพร ไชยรัมย์ กรรมการและเลขานุการ หน้ำที่ (๑) จัดอาหารว่างและเครื่องดื่มสาหรับวิทยากรและผู้เข้าร่วมประชุมในโครงการฯ


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

~๕~ (๒) จัดอาหารกลางวันสาหรับวิทยากรและ ผู้เข้าร่วมประชุมในโครงการฯ (๓) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการอานวยการ ๗. คณะกรรมกำรฝ่ำยโสตทัศนูปกรณ์และอำคำรสถำนที่ ๗.๑ อาจารย์ ดร.นุชจรี บุญเกต ประธานกรรมการ ๗.๒ อาจารย์ ดร.ตรีคม พรมมาบุญ รองประธานกรรมการ ๗.๓ อาจารย์ ดร.สมเกียรติ เพ็ชรมาก กรรมการ ๗.๔ นางเพ็ญศรี นวนิล กรรมการ ๗.๕ นางสุจิตร เนียมแก้ว กรรมการ ๗.๖ นายลาดวน อินทร์งาม กรรมการ ๗.๗ นางจีรนันท์ ยิ่งมี กรรมการ ๗.๘ นางลัดดา สุดกล้า กรรมการ ๗.๙ นางพิไลภรณ์ พันธ์วัน กรรมการ ๗.๑๐ นายณัฐพงศ์ อุตส่าห์ดี กรรมการ ๗.๑๑ นายพา จอกทอง กรรมการ ๗.๑๒ นางสุนันทา บุญเหมาะ กรรมการ ๗.๑๓ นายชุติพร ไวรวัจนกุล กรรมการและเลขานุการ ๗.๑๔ นายทองนพคุณ อินธิเดช กรรมการและ ผู้ช่วยเลขานุการ หน้ำที่ (๑) ประสานกับสถานที่จัดงานอบรมและเตรียมสถานที่ในโครงการฯ (๒) จัดเตรียมอุปกรณ์ ถ่ายภาพ และบันทึกวีดีทัศน์ (๓) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการอานวยการ ๘. คณะกรรมกำรฝ่ำยประชำสัมพันธ์และพิธีกำร ๘.๑ อาจารย์ณภัทชา ปานเจริญ ประธานกรรมการ ๘.๒ อาจารย์ศิริพร เกตุสระน้อย กรรมการ ๘.๓ อาจารย์สิริลักษณ์ วนพร กรรมการและเลขานุการ หน้ำที่ (๑) เตรียมการจัดประชาสัมพันธ์การดาเนินงาน โครงการประชุมวิชาการ (๒) จัดทาป้ายประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ (๓) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการอานวยการ ๙. คณะกรรมกำรฝ่ำยกำรเงิน ๙.๑ นางณัฏฐ์นัน ทุนดี

ประธานกรรมการ


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

~๖~ ๙.๒ นายชัยยศ อุไรล้า กรรมการ ๙.๓ นางธนินท์ธร ทองแม้น กรรมการและเลขานุการ หน้ำที่ (๑) ประสานกับคณะกรรมการฝ่ายดาเนินการและฝ่ายต่าง ๆ เพื่อเบิกจ่าย ค่าตอบแทนให้กับอาจารย์และบุคลากรทุกฝ่าย (๒) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการอานวยการ ๑๐. คณะกรรมกำรฝ่ำยประเมินผล ๑๐.๑ อาจารย์ ดร.ตรีคม พรมมาบุญ ประธานกรรมการ ๑๐.๒ นางณัฏฐ์นัน ทุนดี รองประธานกรรมการ ๑๐.๓ นางธนินท์ธร ทองแม้น กรรมการ ๑๐.๔ นางสาวสมพร ไชยรัมย์ กรรมการและเลขานุการ หน้ำที่ (๑) จัดทาแบบประเมินผล และสรุปผลการประเมินผลการจัดโครงการ (๒) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการอานวยการ ให้คณะกรรมการทุกฝ่าย ที่ได้รับแต่งตั้งปฏิบัติงาน ให้มีคุณค่ า มีประสิทธิภาพและ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการ โดยเคร่งครัด ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความเสียสละ ซื่อสัตย์สุจริต และเบิกค่าตอบแทนจากงบประมาณโครงการบัณฑิตศึกษา สั่ง ณ วันที่

เมษายน พ.ศ.๒๕61

(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์กนก โตสุรัตน์) ปฏิบัติหน้าที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำหนดกำร โครงกำรประชุมวิชำกำรเสนอผลงำนวิจัยระดับชำติ ครั้งที่ 13 วันที่ 21-22 เมษำยน 2561 ณ อำคำร 41 (คณะครุศำสตร์) ชั้น 3 มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000 โทร/โทรสำร 0-4404-1597 วันที่ 21 เมษำยน 2561 เวลำ รำยกำร 08.00-08.30 น. ลงทะเบียนรับเอกสาร หน้าห้อง ณ อาคาร 41 (อาคารคณะครุศาสตร์) ชั้น 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 08.30-09.00 น. เลขานุการโครงการบัณฑิตศึกษา กล่าวต้อนรับและรายงานความ เป็นมาของโครงการ/ พิธีเปิด ประธานกล่าวเปิดงาน โดย ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์กนก โตสุรัตน์ ปฏิบัติหน้าที่อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 09.00-10.00 น วิทยากรบรรยายพิเศษ โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา 10.00-10.20 น. พักรับประทานอาหารว่าง ณ อาคาร 41 (อาคารคณะครุศาสตร์) ชั้น 3 10.20-12.00 น. นาเสนอผลงานวิจัยแยกตามสาขา กลุ่มศึกษาศาสตร์และครุศาสตร์ ห้องช้างเผือก กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และบริหารธุรกิจ ห้องช้างแดง กลุ่มวิทยาศาสตร์ เกษตร สิ่งแวดล้อม สาธารณสุขและเทคโนโลยี ห้องช้างกระ นาเสนอโปสเตอร์ ลานชั้น 1 อาคาร 41 12.00-13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน 13.00-14.30 น. นาเสนอผลงานวิจัยแยกตามสาขา (ต่อ) กลุ่มศึกษาศาสตร์และครุศาสตร์ ห้องช้างเผือก กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และบริหารธุรกิจ ห้องช้างแดง กลุ่มวิทยาศาสตร์ เกษตร สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ห้องช้างกระ นาเสนอโปสเตอร์ ลานชั้น 1 อาคาร 41 14.30-14.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง ณ อาคาร 41 (อาคารคณะครุศาสตร์) 14.45-17.00 น. นาเสนอผลงานวิจัยแยกตามสาขา (ต่อ) นาเสนอโปสเตอร์ อาคาร 41 ชั้น 1


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วันที่ 21 เมษำยน 2561 (ต่อ) เวลำ รำยกำร 17.30-21.00 น. เลี้ยงอาหารเย็น และพิธีมอบโล่รางวัลผู้นาเสนอผลงานดีเด่น ห้อง ช้างเผือก ชั้น 3 อาคาร 41 วันที่ 22 เมษำยน 2561 เวลำ รำยกำร 08.00-08.30 น. ขึ้นรถ ณ บริเวณอาคารครุศาสตร์ 08.30-12.00 น. เข้าศึกษาดูงาน เยี่ยมชมโครงการในพระราชดาริ ซแรย์อาทิตยา อ.เมือง 12.00-13.00 น. จ.สุรินทร์ 13.00-16.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน เดินทางไปจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อทัศนศึกษาเยี่ยมชม I-Mobile และ สนามแข่งรถ Chang International Circuit อ.เมือง จ.บุรีรัมย์


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กลุ่มวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ภำคบรรยำย กลุ่มวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี (1) ห้องนำเสนอ ห้องช้ำงเผือก ชั้น 3 อำคำร 41 ลาดับ SCIEPO-01

SCIEPO-02

ชื่อ-สกุล ทานอง ชิดชอบ, ประทีป ดวงแว่ว, พรรณราย เพราะคา, ดลยกรณ์ โพธิวัฒน์, ภัทรารัตน์ ชิดชอบ อัษฎา วรรณกายนต์ วลัยภรณ์ อารีรักษ์

SCIEPO-03

นฤมล วันน้อย

SCIEPO-04

ลลนา สุขพิศาล, ทานอง ชิดชอบ และ นัฐิพงษ์ จัดจ้าง

SCIEPO-05

ทรงยศ หวังชอบ

SCIEPO-06

สุวิมล เทียกทุม และ นฤมล วันน้อย

SCIEPO-07

เสริมศักดิ์ ทิพย์วงศ์ และ นฤมล วันน้อย

เรื่อง เวลา การศึกษาต้นทุนตามกิจกรรม 12.50-13.05 น. ผลิตภัณฑ์ยางของห่วงโซ่การผลิต ยางพาราในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

หน้า 7

ผลของโปรแกรมการสร้างเสริมการ รับรู้ความสามารถตนเองต่อพฤติกรรม การควบคุมน้าหนักดัชนีมวลกาย และ เส้นรอบเอวของหญิงที่มีน้าหนักเกิน การศึกษามาตรฐานและการออกแบบ ระบบไฟฟ้าของครัวเรือนเพื่อสร้าง ความปลอดภัยด้านไฟฟ้าสู่ชุมชน การจัดการโลจิสติกส์สาหรับ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาท่องเที่ยว หมู่บ้านช้าง อาเภอท่าตูม จังหวัด สุรินทร์ การศึกษาทฤษฎีและเทคนิคการเพิ่ม ความถี่เอาท์พุทโมดูลอินเวอร์เตอร์ อนุกรมเรโซแนนท์ 1 เฟสเพื่อนาไป ประยุกต์ใช้ในงานให้ความร้อนแบบ เหนี่ยว การศึกษาวิธีประเมินต้นทุนของระบบ ป้องกันไฟฟ้าแรงดันต่าเพื่อสร้าง ฐานข้อมูลสาหรับการเรียนรู้และ ออกแบบการติดตั้ง การศึกษาวิธีการประเมินความ ปลอดภัยทางไฟฟ้าของระบบไฟฟ้า แรงดันต่าเพื่อสารวจและสร้างความ ปลอดภัยสู่ชุมชน

13.05-13.20 น.

18

13.20-13.35 น.

28

13.35-13.50 น.

40

13.50-14.05 น.

49

14.05-14.20 น.

68

14.20-14.35 น.

78


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ลาดับ SCIEPO-09

SCIEPO-10

SCIEPO-11

SCIEPO-12

SCIEPO-13

SCIEPO-14

SCIEPO-15

ชื่อ-สกุล สราวุธ ชัยวิชิต, วิมลมาลย์ สมคะเน, วณัฐพงศ์ เบญจพงศ์, จีรนันท์ เจริญชัยภินันท์ และอนงค์ หาญสกุล แก่นเกื้อ นาวาบุญนิยม, สุธีรา อินทเจริญศานต์ และอรรณพ นับถือตรง

SRRU NCR2018

เรื่อง เวลา รูปแบบการใช้เวลาว่างของผู้สูงอายุใน 14.50-15.05 น. ชุมชนต้นแบบจังหวัดนครนายก

ผลการพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็นต่ออาการ ปวดเข่าของกลุ่มผู้สูงอายุในเขต เทศบาลตาบลดอนตาล อาเภอ ดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร แพรลายไม้ กล้าจน, ผลของโปรแกรมการออกกาลังกาย อรรณพ นับถือตรง ตามหลักการแพทย์วิถีธรรมต่อความ และภัทรพล ทองนา อ่อนตัวของประชาชนวัยทางาน ชินณพงษ์ กิจพูนเจริญ, ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมต่อ สุธีรา อินทเจริญศานต์ กลอนลาผญากับภาวะสุขภาพด้าน และธงชัย วงศ์เสนา จิตใจของผู้สูงอายุในวิทยาลัย ฒ ผู้เฒ่า ไทกะเลิง อาเภอดอนตาล จังหวัด มุกดาหาร ทาริกาณ์ แขมโคกกรวด, การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์ โดย google form มาใช้ในงานด้าน และสุธรี า อินทเจริญศานต์ โภชนาการกรณีศึกษา อาหารยอดนิยม ที่พุทธศาสนิกชนนามาถวายพระสงฆ์ ธนิดา อิงนิวัฒน์, ผลของการปรับสมดุลร่างกายแบบมณี ภัทรพล ทองนา และ เวชต่อความอ่อนตัวเพื่อการป้องกัน อรรณพ นับถือตรง การหกล้มของผู้สูงอายุ ปริศนา อิรนพไพบูลย์, ความสัมพันธ์ระหว่างการดูแลสุขภาพ ธงชัย วงศ์เสนา และ กับภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุในจังหวัด อติพร ทองหล่อ มุกดาหาร

หน้า 87

15.05-15.20 น.

97

15.20-15.35 น.

107

15.35-15.50 น.

119

15.50-16.05 น.

128

16.05-16.20 น.

140

16.20-16.35 น.

152


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภำคบรรยำย กลุ่มวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี (2) ห้องนำเสนอ ห้องไอยเรศ ชั้น 3 อำคำร 41 ลำดับ

ชื่อ-สกุล

SCIEPO-16

มงคลวัฒน์ รัตนชล, ภัทรพล ทองนา และ อรรณพ นับถือตรง

SCIEPO-17

SCIEPO-18

SCIEPO-19

SCIEPO-20

SCIEPO-21

เรื่อง

เวลำ

ผลการประยุกต์ใช้เทคนิคการกดจุดเส้น 12.50-13.05 น. ลมปราณที่แขนต่ออาการปวดคอ บ่า ไหล่ของผูเ้ ข้าค่ายแพทย์วิถีธรรมสวนป่า นาบุญ 2 อาเภอชะอวด จังหวัด นครศรีธรรมราช ศิริพร จิระสถาวร, รูปแบบและผลของการสวนล้างลาไส้ 13.05-13.20 น. สุธีรา อินทเจริญศานต์ ใหญ่ต่อสุขภาพของผู้เข้าค่ายสุขภาพ และ อติพร ทองหล่อ ตามหลักการแพทย์วิถีธรรม อัษฎา วรรณกายนต์, การพัฒนาเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ย 13.20-13.35 น. นิคม ลนขุนทด, ชีวภาพ เที่ยงธรรม สิทธิจันทเสน, สุรเชษฐ์ วงศ์ชัยประทุม, สุชาติ ดุมนิล, ภัทรารัตน์ ชิดชอบ, ณัฐธิณี วรรณกายนต์ และอนุสรณ์ ครุฑขุนทด อรุณรัตน์ ไกรลาศศิร,ิ ผลของการรับประทานอาหารปรับ 13.35-13.50 น. สุธีรา อินทเจริญศานต์ สมดุลตามหลักการแพทย์วิถีธรรมต่อ และ การเปลีย่ นแปลงระดับน้าตาลในเลือด รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์ ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เอม จันทร์แสน, การประยุกต์ใช้หลักการแพทย์วิถีธรรม 13.50-14.05 น. สุธีรา อินทเจริญศานต์ ร่วมกับหลักการแพทย์แผนปัจจุบนั และ สาหรับการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ สุชาทิพย์ โคตท่าค้อ, ผลของโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพด้วย 14.05-14.20 น. รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์ การดื่มน้าสมุนไพรปรับสมดุลตาม และ หลักการแพทย์วิถีธรรมต่อพฤติกรรม สุธีรา อินทเจริญศานต์ สุขภาพและสุขภาวะของผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 2 ตาบลค้อเหนือ อาเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร

หน้ำ 166

179

190

199

210

220


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ลำดับ

ชื่อ-สกุล

เรื่อง

เวลำ

หน้ำ

SCIEPO-22

สาวิตรี ผิวนวล, ประดับ เรียนประยูร และ สุธีรา อินทเจริญศานต์ ดินแสงธรรม กล้าจน, ภัทรพล ทองนา และ อรรณพ นับถือตรง

ภาวะสุขภาพของเกษตรกรทานาแบบ เกษตรกรรมแผนทางเลือกและ เกษตรกรรมแผนใหม่ในจังหวัดยโสธร

14.20-14.35 น.

231

14.35-14.50 น.

243

14.50-15.05 น.

255

15.05-15.20 น.

267

15.20-15.35 น.

277

15.35-15.50 น.

285

15.50-16.05 น.

295

16.05-16.20 น.

307

16.20-16.35 น.

317

SCIEPO-23

SCIEPO-24

SCIEPO-25

SCIEPO-26

SCIEPO-27

SCIEPO-28

SCIEPO-29 SCIEPO-30

ผลของโปรแกรมสุขภาพตามหลักการ แพทย์วิถีธรรมที่มีต่อระดับดัชนีมวล กายของผูท้ ี่มีภาวะน้าหนักเกินและโรค อ้วน ในค่ายสุขภาพสวนป่านาบุญ อาเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร พวงบุปผา หนูรัก, คุณภาพอากาศภายในอาคารกับการ ประดับ เรียนประยูร ป่วยเหตุจากอาคารของเจ้าหน้าที่ และ ผู้ปฏิบัติงานในอาคารสานักงาน วรรธนะชัย ปฐมสิริวงศ์ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 18 ลักขณา วรพงศ์พัฒน์, ผลของโปรแกรมสวดมนต์และทบทวน อรรณพ นับถือตรง ธรรมตามหลักการแพทย์วิถีธรรมต่อ และ อติพร ทองหล่อ ระดับความเครียดของผูต้ ้องขังหญิง วิชัย จตุภัทร์, ผลของการบาบัดด้วยวิธีกัวซาที่มตี ่อ อรรณพ นับถือตรง อาการปวดคอของผู้เข้าค่ายแพทย์วิถี และ ธรรม สวนป่านาบุญ 2 อาเภอชะอวด ภัทรพล ทองนา จังหวัดนครศรีธรรมราช ทัศบูรณ์ พรหมรักษา รูปแบบการอบรมแพทย์วิถีธรรมใน ธงชัย วงศ์เสนา, และ สานักวิปัสสนาเกษตรใหม่ อาเภอสัน รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์ ทราย จังหวัดเชียงใหม่ กิ่งดอกดิน กล้าจน, พฤติกรรมการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืช ประดับ เรียนประยูร ของเกษตรกรทานาในจังหวัดมุกดาหาร และ สุธีรา อินทเจริญศานต์ จาเนียร พัฒนจักร นวัตกรรมในการให้ข้อมูลเตรียมความ และวาสนา รวยสูงเนิน พร้อมก่อนตรวจสวนหัวใจ ทัศนีย์ วีระเสถียร ความคาดหวัง ความต้องการของ พยาบาลและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ การปรับปรุงกระบวนการทางานตาม มาตรฐานโรงพยาบาล ( Hospital Accreditation)


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ลำดับ

ชื่อ-สกุล

SCIEPO-31

ชลิยา วามะลุน, จิรังกูร ณัฐรังสี, เยาวลักษณ์ โพธิดารา เพชรไทย นิรมานสกุล พงษ์ และ เพชรฉวี บุญฉวี

เรื่อง

SRRU NCR2018 เวลำ

การเสริมสร้างทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง 16.35-16.50 น. แบบประคับประคอง

หน้ำ 328


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กลุ่มมนุษยศำสตร์และสังคมศำสตร์ ภำคบรรยำย กลุ่มมนุษยศำสตร์และสังคมศำสตร์ บริหำรธุรกิจ (1) ห้อง : ณ ห้องช้ำงแดง ชั้น 3 อำคำร 41 ลำดับ HSBO-01

ชื่อ-สกุล ธมนวรรณ ป้อมสนาม

HSBO-02

มธุรส ทองอินทราช ณักษ์ กุลิสร์

HSBO-03

รุ่งรัตน์ หัตถกรรม

HSBO-04

ขวัญชนก สุขสมคุณ

HSBO-05

กัลธิมา โพธิจินดา

HSBO-06

ศิรินทิพย์ ไตรเกษม และ พัชราภรณ์ เกลียวแก้ว

HSBO-07

พระครูเกษมอาจารสุนทร (ศุภกิตต์ ชนุชรัมย์)

เรื่อง บัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจ พอเพียง กรณีศึกษา : หมู่บ้านหนอง ตะไก้ ตาบลบัวใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการ ส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหา แบบแพร่กระจายของผู้บริโภคยุค ดิจิตอล ธุรกิจที่พักแรมกับความรับผิดชอบ ต่อสิ่งแวดล้อมของสังคมกรณีศึกษา ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ความสัมพันธ์ของโครงสร้างของผูถ้ ือ หุ้น ระดับการกากับดูแลกิจการทีด่ ีที่ มีต่อผลการดาเนินงานของบริษัทที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย(SET 100) ความสัมพันธ์ของการกากับดูแล กิจการที่มีต่อผลการดาเนินงานของ บริษัทจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรณีศึกษา กลุม่ SET100 การจัดการความรู้ทางการตลาดของ วิสาหกิจชุมชน: กรณีศึกษากลุม่ สตรี ทอผ้าไหมบ้านประดู่ทอง หมู่ 5 ตาบลลาดวน อาเภอลาดวน จังหวัด สุรินทร์

เวลำ 12.50-13.05 น.

หน้ำ 342

13.05-13.20 น.

351

13.20-13.35 น.

361

13.35-13.50 น.

374

13.50-14.05 น.

382

14.05-14.20 น.

392

แนวทางการส่งเสริมการพัฒนา 14.20-14.35 น. บทบาทพระสงฆ์กับการพัฒนาสังคม : กรณีศึกษา พระครูวิมลอิสสฺ รธรรม (เม้า อิสฺสโร)

400


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ลำดับ HSBO-08

ชื่อ-สกุล บุรารัตน์ บุญทรัพย์

HSBO-09

สถาพร ศรีเพียวไทย, จิรายุ ทรัพย์สิน และ นพฤทธิ์ จิตสายธาร พระครูสถิตวีรานุวัตร (บุรินทร์ จรุงรัตนมณี)

HSBO-10

HSBO-11

ชุลีพร เจริญท้าว, อภิชาต แสงอัมพร และ จิรายุ ทรัพย์สิน

HSBO-12

วันเพ็ญ เนียมแสง

เรื่อง องค์กรแห่งการเรียนรู้กับความ ผูกพันต่อองค์กรที่ส่งผลต่อ ประสิทธิผลการปฏิบตั ิงานของ พนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตรในเขตภูมภิ าค ตะวันตก แนวทางการพัฒนาคุณลักษณะของ สมาชิกสภาเทศบาลเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว การบูรณาการหลักพุทธธรรมสาหรับ การบริหารการพัฒนาชุมชนของ ผู้นาชุมชนในอาเภอปะคา จังหวัด บุรีรัมย์ ยุทธศาสตร์การบูรณาการทุนทาง สังคมและการบริหารกิจการ บ้านเมืองที่ดีขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาอย่าง ยั่งยืน ในอาเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ การรับรูภ้ าวะผู้นาการเปลีย่ นแปลง ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการ ปฏิบัติงานของพนักงานธนาคารเพื่อ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในสังกัดฝ่ายกิจการสาขาภาค ตะวันตก

SRRU NCR2018

เวลำ 14.35-14.50 น.

หน้ำ 410

14.50-15.05 น.

421

15.05-15.20 น.

431

15.20-15.35 น.

446

15.35-15.50 น.

460


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภำคบรรยำย กลุ่มมนุษยศำสตร์และสังคมศำสตร์ บริหำรธุรกิจ (2) ห้อง : ณ ห้องช้ำงกระ ชั้น 3 อำคำร 41 ลำดับ ชื่อ-สกุล HSBO-13 รัฐธรรมนูญ รุ่งเรือง ศศิธร ศูนย์กลาง และ จิรายุ ทรัพย์สิน HSBO-14 ศิริพร สมานจิตร์, อภิชาต แสงอัมพร และ วันชัย สุขตาม HSBO-15 ภานุสิทธิ์ ประทุมทอง, นพฤทธิ์ จิตรสายธาร และ จิรายุ ทรัพย์สิน HSBO-16 กุสุมาวดี คงฤทธิ์ และ สุภาวดี ขุนทองจันทร์

HSBO-17 ธารา เจริญรัตน์ และ ประกอบ คงยะมาศ HSBO-18 ธารา เจริญรัต และ โกศล สอดส่อง

HSBO-19 ธารา เจริญรัตน์ และ ประกอบ คงยะมาศ HSBO-20 พิทยา ผ่อนกลาง และ บัลลังก์ จงวัฒนานุกูล HSBO-21 วราพร โภชน์เกาะ และ ปภารัตน์ โคตรชุม

เรื่อง เวลำ บทบาทที่เหมาะสมของกานันและ 12.50-13.05 น. ผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริม ประชาธิปไตยในชุมชน เขตอาเภอ เมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ บทบาทขององค์กรปกครองส่วน 13.05-13.20 น. ท้องถิ่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคน พิการในเขตพื้นที่ อาเภอ เขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ 13.20-13.35 น. เหมาะสมของผูส้ ูงอายุในเขตอาเภอ พิบูลมังสาหารจังหวัดอุบลราชธานี วัฒนธรรมองค์การทีส่ ่งผลต่อความพึง 13.35-13.50 น. พอใจในงานของบุคลากรสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล อีสาน การบริหารแบบมีส่วนร่วมทีส่ ่งผลต่อ 13.50-14.05 น. ประสิทธิผลการดาเนินงานของ เทศบาลตาบลในจังหวัดเพชรบูรณ์ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการ 14.05-14.20 น. พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ของ องค์การบริหารส่วนตาบลวัดตูม ตาบล วัดตูม อาเภอพระนคร ศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ส่งผลต่อ 14.20-14.35 น. การพัฒนาประชาธิปไตยในเขตจังหวัด นครราชสีมา ความสามารถในการบูรณาการความรู้ 14.35-14.50 น. และความสาเร็จขององค์กร : สานักงานบัญชีในประเทศไทย พฤติกรรมการออกกาลังกายของ 14.50-15.05 น. ผู้สูงอายุในเขตเทศบาลนคร นครราชสีมา

หน้ำ 469

481

498

508

520

529

539

547

554


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ลำดับ ชื่อ-สกุล HSBO-22 บุญเหลือ บุบผามาลา และ ประกอบ คงยะมาศ

SRRU NCR2018

เรื่อง เวลำ การมีส่วนร่วมของประชาชนและแนว 15.05-15.20 น. ทางการสร้างหมู่บ้านชุมชนมั่นคง ปลอดภัยจากยาเสพติดอย่างยั่งยืนใน เขตจังหวัดหนองบัวลาภู การพึ่งพาตนเองของเกษตรกรผู้เลีย้ ง 15.20-15.35 น. ปลากะพงขาวในจังหวัด สุราษฎร์ธานี

หน้ำ 561

บทบาทขององค์กรปกครองส่วน 15.35-15.50 น. ท้องถิ่นในการอนุรักษ์ประเพณีบญ ุ บั้ง ไฟ ในพื้นที่ อาเภอหนองกี่ จังหวัด บุรีรัมย์ HSBO-25 KHIN MENGLORM, THE GUIDELINE OF CULTURAL 15.50-16.05 น. DR. SUREESHINE BANANA VALUE-ADDED IN TA SUKANTARAT AND ONG COMMUNE, CHAMKAR LEU DR. SUPIMPHA DISTRICT, KAMPONG CHAM WATTASANGKHASOPHON PROVINCE, CAMBODIA

578

HSBO-23 เตชธรรม สังข์คร, ดาริน รุ่งกลิ่น, สุกานดา เทพสุวรรณชนะ และนลวัชร์ ขุนลา HSBO-24 สันต์ ประจิตร, จิรายุ ทรัพย์สิน, และ อภิชาติ แสงอาพร

569

589


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กลุม่ ครุศำสตร์และศึกษำศำสตร์ ภำคบรรยำย กลุ่มครุศำสตร์และศึกษำศำสตร์ ห้อง : ณ ห้องนำเสนอ 41405 ชั้น 4 อำคำร 41 ลาดับ ชื่อ-สกุล EDUO-01 ดนุพล สืบสาราญ, สุภัทร สายรัตนอินทร์, สุวิมล นาเพีย, พยุงศักดิ์ คงศิลา, มัสติกา พิมพ์สุตะ EDUO-02 อ่อนศรีสุดา เครือเนียม พานชัย เกษฎา พนา จินดาศรี

เรื่อง เวลา หน้า การเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 12.50-13.05 น. 610 21 ของนักศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ เพือ่ พัฒนาสู่ ครูมืออาชีพ

ผลการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พิธีกรรมการ บายศรีสู่ขวัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีสอนแบบ แบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์(STAD) ร่วมกับหนังสือ อ่านเพิ่มเติม EDUO-03 ฐิติวรากานต์ เกียรติเลิศเดชา การศึกษาปัจจัยทีส่ ่งผลต่อการตัดสินใจ และ ศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ระบบทวิภาคีของ สิทธิชัย แก้วเกื้อกูล สถาบันการอาชีวศึกษา ภาคกลาง 2 EDUO-04 ธราทร มหานาม การศึกษาสภาพการใช้คลาวด์คอมพิวติ้งเพื่อ นุชจรี บุญเกต สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ประชิต อินทะกนก ของบุคลากรโรงพยาบาลชุมชน ในเขตพื้นที่ จังหวัดสุรินทร์ EDUO-05 นุชจรีย์ คาโมรี การพัฒนาทักษะการใช้แป้นพิมพ์ภาษาไทย ศิรภัสสร์ อินทรพาณิชย์ ด้วยโปรแกรมสาเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย เรื่องคาพื้นฐาน สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 EDUO-06 เพ็ญพักตร แกล้วทนงค์ สภาพความเป็นจริง และความคาดหวังต่อ วัลลยา ธรรมอภิบาล อินทนิน คุณลักษณะภาวะผู้นาในศตวรรษที่ 21 ของ อมลวรรณ วีระธรรมโม ผู้นานักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลศรีวิชัย EDUO-07 เกื้อ กระแสโสม การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างค่าประจา พิศิษฐ ตัณฑวณิช ข้อสอบในแบบสอบปลายภาครายวิชาการ พนา จินดาศรี วิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้” เมื่อวิเคราะห์ ตรีคม พรมมาบุญ โดยวิธีการต่างกัน 3 วิธี บุญทวี อิ่มบุญตา

13.05-13.20 น. 619

13.20-13.35 น. 635

13.35-13.50 น. 643

13.50-14.05 น. 656

14.05-14.20 น. 667

14.20-14.35 น. 677


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ลาดับ ชื่อ-สกุล EDUO-08 พวงเพชร นาเมืองรักษ์ หนูกร ปฐมพรรษ พัดตาวัน นาใจแก้ว EDUO-09 สมาน ประวันโต

EDUO-10 เครือวัลย์ ทิพวัต พนายุทธ เชยบาล พิมพ์พร จารุจิตร์ EDUO-11 แสงระวี ลิตรักษ์ พนายุทธ เชยบาล พิมพ์พร จารุจิตร์ EDUO-12 สุพล ราศี สมคิด สร้อยน้า นวัตกร หอมสิน EDUO-13 สราวุธ ชัยวิชิต และคณะ EDUO-14 ตรีคม พรมมาบุญ เกื้อ กระแสโสม

EDUO-15 ศิริพร ดวงศรี วันทนา อมตาริยกุล พงษ์นิมิตร พงษ์ภิญโญ EDUO-16 พูลสวัสดิ์ แสงรุ่ง สุมาลี ศรีพุทธรินทร์

SRRU NCR2018

เรื่อง เวลา ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ 14.35-14.50 น. อุปนัยร่วมกับเทคนิค KWL Plus ต่อมโนมติ เรื่องสมดุลเคมี และความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 วัฒนธรรมองค์การกับประสิทธิภาพการ 14.50-15.05 น. บริหารโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 ปัจจัยการบริหารทีส่ ่งผลต่อการจัดการเรียน 15.05-15.20 น. การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญของครูใน โรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษา มัธยมศึกษาเขต 20 ภาวะผู้นาเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหาร 15.20-15.35 น. สถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของ โรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษา มัธยมศึกษา เขต 21 แนวทางในการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 15.35-15.50 น. 21 ของผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดเทศบาล จังหวัดอุดรธานี รูปแบบการใช้เวลาว่างของผู้สูงอายุในชุมชน 15.50-16.05 น. ต้นแบบจังหวัดนครนายก การประเมินผลโครงการการเรียนรู้ 16.05-16.20 น. ภาษาอังกฤษพื้นฐานของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ : การประเมิน บทเรียนออนไลน์ราย วิชา GE302 ภาวะผู้นาแบบประชาธิปไตยของโรงเรียน 16.20-16.35 น. ประถมศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 การมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหาร 16.35-16.50 น. การศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนก สามัญศึกษาจังหวัดสกลนคร

หน้า 685

694

703

713

724

730 740

755

761


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ภาคบรรยาย กลุ่ม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

1

SRRU NCR2018


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคบรรยาย กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (1) ห้องนาเสนอ ห้องช้างเผือก ชั้น 3 อาคาร 41 ลำดับ SCIEPO-01

SCIEPO-02

ชื่อ-สกุล ทำนอง ชิดชอบ, ประทีป ดวงแว่ว, พรรณรำย เพรำะคำ, ดลยกรณ์ โพธิวัฒน์, ภัทรำรัตน์ ชิดชอบ อัษฎำ วรรณกำยนต์ วลัยภรณ์ อำรีรักษ์

SCIEPO-03

นฤมล วันน้อย

SCIEPO-04

ลลนำ สุขพิศำล, ทำนอง ชิดชอบ และ นัฐิพงษ์ จัดจ้ำง ทรงยศ หวังชอบ

SCIEPO-05

SCIEPO-06

สุวิมล เทียกทุม และ นฤมล วันน้อย

SCIEPO-07

เสริมศักดิ์ ทิพย์วงศ์ และ นฤมล วันน้อย

SCIEPO-09

สรำวุธ ชัยวิชิต, วิมลมำลย์ สมคะเน, วณัฐพงศ์ เบญจพงศ์, จีรนันท์ เจริญชัยภินันท์ และอนงค์ หำญสกุล

เรื่อง เวลำ หน้ำ กำรศึกษำต้นทุนตำมกิจกรรมผลิตภัณฑ์ยำง 12.50-13.05 น. 7 ของห่วงโซ่กำรผลิตยำงพำรำในภำค ตะวันออกเฉียงเหนือ

ผลของโปรแกรมกำรสร้ำงเสริมกำรรับรู้ 13.05-13.20 น. ควำมสำมำรถตนเองต่อพฤติกรรมกำร ควบคุมนำหนักดัชนีมวลกำย และเส้นรอบ เอวของหญิงที่มีนำหนักเกิน กำรศึกษำมำตรฐำนและกำรออกแบบระบบ 13.20-13.35 น. ไฟฟ้ำของครัวเรือนเพื่อสร้ำงควำมปลอดภัย ด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชน กำรจัดกำรโลจิสติกส์สำหรับนักท่องเที่ยว 13.35-13.50 น. ชำวไทยที่มำท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำง อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์ กำรศึกษำทฤษฎีและเทคนิคกำรเพิ่มควำมถี่ 13.50-14.05 น. เอำท์พุทโมดูลอินเวอร์เตอร์อนุกรมเร โซแนนท์ 1 เฟสเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในงำน ให้ควำมร้อนแบบเหนีย่ ว กำรศึกษำวิธีประเมินต้นทุนของระบบ 14.05-14.20 น. ป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำเพื่อสร้ำงฐำนข้อมูล สำหรับกำรเรียนรู้และออกแบบกำรติดตัง กำรศึกษำวิธีกำรประเมินควำมปลอดภัยทำง 14.20-14.35 น. ไฟฟ้ำของระบบไฟฟ้ำแรงดันต่ำเพือ่ สำรวจ และสร้ำงควำมปลอดภัยสู่ชุมชน รูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุในชุมชน 14.50-15.05 น. ต้นแบบจังหวัดนครนำยก

2

18

28

40

49

68

78

87


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ลำดับ SCIEPO-10

SCIEPO-11

SCIEPO-12

SCIEPO-13

SCIEPO-14

SCIEPO-15

ชื่อ-สกุล แก่นเกือ นำวำบุญนิยม, สุธีรำ อินทเจริญศำนต์ และอรรณพ นับถือตรง แพรลำยไม้ กล้ำจน, อรรณพ นับถือตรง และภัทรพล ทองนำ ชินณพงษ์ กิจพูนเจริญ, สุธีรำ อินทเจริญศำนต์ และธงชัย วงศ์เสนำ

SRRU NCR2018

เรื่อง เวลำ หน้ำ ผลกำรพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็นต่ออำกำรปวด 15.05-15.20 น. 97 เข่ำของกลุ่มผูส้ ูงอำยุในเขตเทศบำลตำบล ดอนตำล อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร ผลของโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำม 15.20-15.35 น. 107 หลักกำรแพทย์วิถีธรรมต่อควำมอ่อนตัวของ ประชำชนวัยทำงำน ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกิจกรรมต่อกลอน 15.35-15.50 น. 119 ลำผญำกับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจของ ผู้สูงอำยุในวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร ทำริกำณ์ แขมโคกกรวด, กำรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศโดย 15.50-16.05 น. 128 รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์ google form มำใช้ในงำนด้ำนโภชนำกำร และสุธรี ำ อินทเจริญศำนต์ กรณีศึกษำ อำหำรยอดนิยมที่ พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์ ธนิดำ อิงนิวัฒน์, ผลของกำรปรับสมดุลร่ำงกำยแบบมณีเวช 16.05-16.20 น. 140 ภัทรพล ทองนำ และ ต่อควำมอ่อนตัวเพื่อกำรป้องกันกำรหกล้ม อรรณพ นับถือตรง ของผู้สูงอำยุ ปริศนำ อิรนพไพบูลย์, ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรดูแลสุขภำพกับ 16.20-16.35 น. 152 ธงชัย วงศ์เสนำ และ ภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัด อติพร ทองหล่อ มุกดำหำร

3


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภาคบรรยาย กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2) ห้องนาเสนอ ห้องไอยเรศ ชั้น 3 อาคาร 41 ลำดับ ชื่อ-สกุล SCIEPO-16 มงคลวัฒน์ รัตนชล, ภัทรพล ทองนำ และ อรรณพ นับถือตรง

SCIEPO-17 ศิริพร จิระสถำวร, สุธีรำ อินทเจริญศำนต์ และ อติพร ทองหล่อ SCIEPO-18 อัษฎำ วรรณกำยนต์, นิคม ลนขุนทด, เที่ยงธรรม สิทธิจันทเสน, สุรเชษฐ์ วงศ์ชัยประทุม, สุชำติ ดุมนิล, และ ภัทรำรัตน์ ชิดชอบ SCIEPO-19 อรุณรัตน์ ไกรลำศศิร,ิ สุธีรำ อินทเจริญศำนต์ และ รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์ SCIEPO-20 เอม จันทร์แสน, สุธีรำ อินทเจริญศำนต์ และ รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์ SCIEPO-21 สุชำทิพย์ โคตท่ำค้อ, รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์ และ สุธีรำ อินทเจริญศำนต์

เรื่อง เวลำ ผลกำรประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกดจุด 12.50-13.05 น. เส้นลมปรำณที่แขนต่ออำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ของผูเ้ ข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรม สวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช รูปแบบและผลของกำรสวนล้ำงลำไส้ 13.05-13.20 น. ใหญ่ต่อสุขภำพของผู้เข้ำค่ำยสุขภำพ ตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม กำรพัฒนำเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ย 13.20-13.35 น. ชีวภำพ

หน้ำ 166

ผลของกำรรับประทำนอำหำรปรับ 13.35-13.50 น. สมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมต่อ กำรเปลีย่ นแปลงระดับนำตำลใน เลือดของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 กำรประยุกต์ใช้หลักกำรแพทย์วิถี 13.50-14.05 น. ธรรมร่วมกับหลักกำรแพทย์แผน ปัจจุบันสำหรับกำรดูแลรักษำผู้ป่วย โรคไตเรือรัง จังหวัดกำฬสินธุ์ ผลของโปรแกรมสร้ำงเสริมสุขภำพ 14.05-14.20 น. ด้วยกำรดืม่ นำสมุนไพรปรับสมดุล ตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมต่อ พฤติกรรมสุขภำพและสุขภำวะของ ผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ตำบลค้อ เหนือ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัด ยโสธร

199

4

179

190

210

220


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ลำดับ ชื่อ-สกุล SCIEPO-22 สำวิตรี ผิวนวล, ประดับ เรียนประยูร และ สุธีรำ อินทเจริญศำนต์ SCIEPO-23 ดินแสงธรรม กล้ำจน, ภัทรพล ทองนำ และ อรรณพ นับถือตรง

เรื่อง เวลำ ภำวะสุขภำพของเกษตรกรทำนำแบบ 14.20-14.35 น. เกษตรกรรมแผนทำงเลือกและ เกษตรกรรมแผนใหม่ในจังหวัดยโสธร

หน้ำ 231

14.35-14.50 น.

243

SCIEPO-24 พวงบุปผำ หนูรัก, ประดับ เรียนประยูร และ วรรธนะชัย ปฐมสิริวงศ์ SCIEPO-25 ลักขณำ วรพงศ์พัฒน์, อรรณพ นับถือตรง และ อติพร ทองหล่อ

ผลของโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำร แพทย์วิถีธรรมที่มีต่อระดับดัชนีมวล กำยของผู้ที่มีภำวะนำหนักเกินและ โรคอ้วน ในค่ำยสุขภำพสวนป่ำนำบุญ อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร คุณภำพอำกำศภำยในอำคำรกับกำร ป่วยเหตุจำกอำคำรของเจ้ำหน้ำที่ ผู้ปฏิบัติงำนในอำคำรสำนักงำน สรรพำกรพืนที่กรุงเทพมหำนคร 18 ผลของโปรแกรมสวดมนต์และ ทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วถิ ี ธรรมต่อระดับควำมเครียดของ ผู้ต้องขังหญิง ผลของกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำที่มตี ่อ อำกำรปวดคอของผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถี ธรรม สวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช รูปแบบกำรอบรมแพทย์วิถีธรรมใน สำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสัน ทรำย จังหวัดเชียงใหม่

14.50-15.05 น.

255

15.05-15.20 น.

267

15.20-15.35 น.

277

15.35-15.50 น.

285

พฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีกำจัด 15.50-16.05 น. ศัตรูพืชของเกษตรกรทำนำในจังหวัด มุกดำหำร

295

นวัตกรรมในกำรให้ข้อมูลเตรียมควำม 16.05-16.20 น. พร้อมก่อนตรวจสวนหัวใจ

307

SCIEPO-26 วิชัย จตุภัทร์, อรรณพ นับถือตรง และ ภัทรพล ทองนำ SCIEPO-27 ทัศบูรณ์ พรหมรักษำ ธงชัย วงศ์เสนำ, และ รัสรินทร์ ฉัตรทอง พิศุทธิ์ SCIEPO-28 กิ่งดอกดิน กล้ำจน, ประดับ เรียนประยูร และ สุธีรำ อินทเจริญศำนต์ SCIEPO-29 จำเนียร พัฒนจักร และวำสนำ รวยสูงเนิน

5


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ลำดับ ชื่อ-สกุล SCIEPO-30 ทัศนีย์ วีระเสถียร

SCIEPO-31 ชลิยำ วำมะลุน, จิรังกูร ณัฐรังสี, เยำวลักษณ์ โพธิดำรำ เพชรไทย นิรมำนสกุลพงษ์ และ เพชรฉวี บุญฉวี

SRRU NCR2018

เรื่อง เวลำ ควำมคำดหวัง ควำมต้องกำรของ 16.20-16.35 น. พยำบำลและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ กำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำม มำตรฐำนโรงพยำบำล ( Hospital Accreditation) กำรเสริมสร้ำงทักษะผู้ดูแลผู้ป่วย 16.35-16.50 น. มะเร็งแบบประคับประคอง

6

หน้ำ 317

328


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-01 กำรศึกษำต้นทุนตำมกิจกรรมผลิตภัณฑ์ยำงของห่วงโซ่กำรผลิตยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ A STUDY OF ACTIVITY-BASED COSTING OF RUBBER PRODUCTS BASING THE RUBBER PRODUCTION CHAIN IN THE NORTH-EASTERN REGION ทำนอง ชิดชอบ 1, ประทีป ดวงแว่ว 2 ,พรรณรำย เพรำะคำ 3, ดลยกรณ์ โพธิวัฒน์ 4, ภัทรำรัตน์ ชิดชอบ 5, และ อัษฎำ วรรณกำยนต์ 6 1

Thumnong Chidchob สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ Thumnong6@gmail.com 2 Prathip Duangwaeo สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ Prathip Duangwaeo 3 Pannarai Procome สาขาวิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ Nuning.lovely@yahoo.co.th 4 Donyakorn Pothivat สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ filefon@yahoo.com 5 Patrarat Chidchob สาขาวิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ jockchid@gmail.com 6 Asada wannakayont สาขาวิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ asada2518@hotmail.com

บทคัดย่อ กำรศึกษำครังนีมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษำโซ่อุปทำนและวิถีกำรตลำด กำรซือและกำรขำย กำรแปรรูป และกำรขนส่งยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) ศึกษำสัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ในแต่ละระดับของห่วงโซ่กำร ผลิตยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ 3) วิเครำะห์ประสิทธิภำพกำรตลำด ส่วนเหลื่อมกำรตลำด และควำม เชื่อมโยงในแต่ละระดับของห่วงโซ่กำรผลิตยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ ผลกำรศึกษำพบว่ำโซ่อุปทำนและ วิถีกำรตลำดยำงพำรำมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องดังนี 1) เกษตรกรชำวสวนยำง 2) พ่อค้ำคนกลำง/ผู้รวบรวมท้องถิ่น 3) สหกรณ์กองทุนสวนยำง/กลุ่มเกษตรกร 4) โรงงำนแปรรูป และ 5) ตลำดกลำงยำงพำรำมีกำรซือขำยยำงพำรำส่วน ใหญ่ในรูปแบบยำงก้อนถ้วยจะซือขำยโดยวิธีประมูลผ่ำนจุดรวบรวมในท้องถิ่น ลำนประมูลเอกชน และสหกรณ์/กลุ่ม เกษตรกร มี 3 ชนิดหลัก คือ ยำงก้อนถ้วย ยำงแผ่นดิบ และนำยำงสด ในสัดส่วนร้อยละ 70.34, 27.65 และ 2.01 ตำมลำดับ มีต้นทุนโลจิสติกส์ในแต่ละกิจกรรมดังนี ต้นทุนโลจิสติกส์ของเกษตรกรมีต้นทุนโลจิสติกส์รวมที่ 3.204 บำท/กิโลกรัม ซึ่งประกอบด้วยต้นทุนกำรเลื่อนย้ำยวัสดุ 1.716 บำท/กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 53.56 ซึ่งเป็นต้นทุนที่ มำกที่สุด ต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้รวบรวมยำงพำรำ โดยมีค่ำใช้จ่ำยกิจกรรมด้ำนกำรขนส่งอยู่ที่ร้อยละ 55.93 มี ต้นทุนค่ำนำมันสำหรับกำรขนส่งมำกที่สุดที่ 2.11 บำท/กิโลกรัม ส่วนต้นทุนทำงกำรตลำดที่จ่ำยออกไปของเกษตรกร นันพบว่ำต้นทุนกำรตลำดโดยรวมอยู่ที่ 0.71 บำท/ไร่ โดยมีส่วนเหลื่อมกำรตลำดของยำงแผ่นดิบระหว่ำงรำคำขำย ปลีกจำกโรงงำนและรำคำที่เกษตรกรได้รับจริงที่ 1.63 บำท/กิโลกรัม และส่วนเหลื่อมกำรตลำดของยำงก้อนถ้วย จำกโรงงำนและรำคำที่เกษตรกรได้รับจริงที่ 1.88 บำท/กิโลกรัม คำสำคัญ: ต้นทุนฐานกิจกรรม; ยางพารา

7


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Abstract The objectives of this research were: 1) to study supply chain and marketing channel, rubber trading activities, and rubber processing and transportation in the north-eastern region; 2) to study the proportion of logistic costs at each level according to the rubber production chain; and 3) to analyze marketing efficiency, marketing margin, and the linkage of rubber production chains at each level. The study found that supply chain and the rubber marketing channel comprise of concerning parities as followings: 1) rubber planters; 2) middlemen/local rubber collectors; 3) rubber fund cooperatives/ groups of rubber planters; 4) processing factories; and 5) the rubber central market. Normally, the cup lump is usually traded and the trading is to be auctioned through local rubber collecting points, private auction yards, and cooperatives / groups of rubber planters. In general, there are 3 types of rubber products traded in the market including the cup lump (70.34%), the rubber sheet (27.65%) and the natural field latex (2.01%), respectively. According to the study about logistic activity-based costing, the study found that the overall logistic cost is equal to 3.204 baht/kg. including the material handling cost about 1.716 baht/kg. or 53.56% which is the highest cost. Basing on the logistic cost of the rubber collectors, the study showed that the transportation cost is equal to 55.93% where the cost of fuel for transportation is equal to 2.11 baht/kg. which is the highest cost for transportation. On the other hand, the overall marketing cost spent by the rubber planters is equal to 0.71 baht/rai. The marketing margin of raw rubber sheet between the plant’s retail price and the rubber planter’s received price is at 1.63 baht/kg. Finally, the marketing margin of cup lump between the plant’s retail price and the rubber planter’s received price is at 1.88 baht/kg. Keywords: Activity-Based Costing; Rubber บทนำ ยำงพำรำถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งในอดีตที่ผ่ำนมำ กำรทำสวนยำงพำรำถือเป็น อำชีพหลักของเกษตรกรในภำคใต้ แต่ปัจจุบันยำงพำรำสำมำรถปลูกได้หลำยพืนที่ของประเทศไทย เช่น ภำค ตะวันออกเฉียงเหนือ มีกำรปลูกกันหลำยจังหวัด ซึ่งสำมำรถเพิ่มรำยได้ให้แก่เกษตรกรได้เป็นอย่ำงดี และยำงพำรำก็ มีมูลค่ำกำรส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึนอย่ำงต่อเนื่อง ถึง 440,628.25 ล้ำนบำท ในปี พ.ศ.2554 [2] มำจำกปัจจัยของ กำรขยำยตัวของอุตสำหกรรมยำงรถยนต์ รวมทังรำคำนำมันที่อยู่ในเกณฑ์สูง ทำให้รำคำยำงสังเครำะห์สูงขึนตำมไป ด้วย จึงเป็นปัจจัยทำให้รำคำยำงธรรมชำติในประเทศสูงขึนไปด้วยรัฐบำลมีนโยบำยส่งเสริมให้เกษตรกรในภำค ตะวันออกเฉียงเหนือปลูกยำงพำรำมำกขึนเพื่อยกระดับรำยได้และควำมมั่นคงให้แก่เกษตรกร ซึ่งในอนำคตพืนที่ ปลูกใหม่ของเขตภำคตะวันออกเฉียงเหนือที่กำลังเริ่มกรีดยำงมีผลผลิตจำนวนมำก ตำมนโนบำยของรัฐบำล คิดเป็น สัดส่วนประมำณ 18% ของพืนที่ปลูกทังหมด [5] โดยมีพืนที่ครอบคลุม เขตตะวันออกเฉียงเหนือมีดังนี จังหวัด อุดรธำนี จังหวัดหนองคำย จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดเลย จังหวัดมุกดำหำร จังหวัดนครพนม จังหวัดสกลนคร จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดกำฬสินธุ์ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร จังหวัดอำนำจเจริญ

8


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

จังหวัดอุบลรำชธำนี จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดสุรินทร์ กำรซือขำยยำงพำรำในประเทศส่วนใหญ่อยู่ในรูป วัตถุดิบ เช่น นำยำงสด ยำงแผ่น ยำงแท่ง ยำงก้อน และเศษยำง และผลิตภัณฑ์ชินกลำงที่ผ่ำนกำรแปรรูปเบืองต้น ได้แก่ ยำงแผ่นรมควัน ยำงแท่ง นำยำงข้น ยำงแผ่นผึ่งแห้ง ยำงเครป กำรซือขำยยำงพำรำในประเทศเริ่มต้นจำก ผู้ผลิตคือเกษตรกรจำหน่ำยผลผลิตให้กับผู้รวบรวม เช่น พ่อค้ำคนกลำง/พ่อค้ำรวบรวมท้องถิ่น/ระบบสหกรณ์ หรือ อำจจะซือขำยโดยตรงโดยไม่ต้องผ่ำนผู้รวบรวม ผู้รวบรวมก็ส่งจำหน่ำยผลผลิตให้แก่โรงงำนแปรรูปยำงธรรมชำติใน ประเทศ และก็ขำยผลผลิตยำงพำรำแปรรูปเบืองต้นให้แก่โรงงำนผลิตภัณฑ์ยำงพำรำในประเทศ เช่น โรงงำนยำง รถยนต์ ถุงมือ และยำงรัดของ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันภำคตะวันออกเฉียงเหนือมีพืนที่ปลูกยำงพำรำ เพิ่มขึนอย่ำง รวดเร็ว ในขณะเดียวกันเกษตรกรในพืนที่ปลูกยำงพำรำใหม่ ยังขำดควำมรู้ ขำดประสบกำรณ์ และควำมชำนำญใน ด้ำนกำรผลิต กำรตลำด กำรบริหำรจัดกำรห่วงโซ่อุปทำน ซึ่งนับตังแต่เกิดภำวะปัญหำด้ำนกำรเงินของประเทศ สหรัฐอเมริกำปี 2551 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้รำคำยำงพำรำลดลง ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร รวมถึงตลำดกลำงนำและปลำยนำ ทำให้เกษตรกรมีรำยได้ที่ไม่แน่นอนและไม่ยั่งยืน ไม่มีเสถียรภำพ และอำจเกิด กำรขำดทุนถ้ำหำกเกษตรกรไม่มีกำรวำงแผนบริหำรจัดกำรรับสถำนกำรณ์กำรผันผวนของรำคำที่ดีพอ เกษตรกร สวนยำงพำรำส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรำยเล็กและเป็นสมำชิกสหกรณ์ ควำมเสี่ยงด้ำนคุณภำพระหว่ำงขันตอนกำร แปรรูป ขันตอนกำรผลิตในห่วงโซ่กำรผลิต กำรพิจำรณำห่วงโซ่กำรผลิตในจุดต่ำงๆ จะมีผลต่อขันตอนอื่นๆ ด้วย เช่น กำรเลือกกรรมวิธีกำรแปรรูปจะสัมพันธ์กับปัจจัยต่ำงๆ เช่น ควำมต้องกำรของตลำด ควำมยั่งยืนของวัตถุดิบ ต้นทุนคุณภำพ ต้นทุนโลจิสติกส์ กำรควบคุมต้นทุนควำมเสี่ยง ทังด้ำนคุณภำพและกำยภำพในระบบโซ่อุปทำน ยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียงเหนือมีแนวโน้มที่เพิ่มขึน 230,504 ตัน ในปี 2553 เป็น 353,923 ตัน ใน ปี2554 [3] แต่ยังมีปัญหำและข้อจำกัดอยู่มำก โดยเฉพำะปัญหำด้ำนกำรตลำดที่พบว่ำ พ่อค้ำคนกลำงเอำเปรียบในเรื่องของ รำคำรับซือผลผลิต เนื่องจำกผลผลิตยังไม่ได้มำตรฐำนเพียงพอ ประกอบกับพ่อค้ำคนกลำงมีหลำยระดับ ซึ่งแต่ละ ระดับจะมีต้นทุนกำรทำธุรกิจที่แตกต่ำงกัน (ค่ำใช้จ่ำยในกำรดำเนินงำนค่ำขนส่ง ค่ำจัดเก็บ และดอกเบีย) ส่งผลให้ รำคำยำงที่เกษตรกรได้รับต่ำกว่ำรำคำยำงที่เป็นจริง และเกษตรกรส่วนใหญ่ได้แก้ปัญหำโดยกำรรวมตัวเป็นกลุ่ม เกษตรกรหรือสหกรณ์ผู้ผลิตยำงพำรำ เพื่อแก้ไขปัญหำกำรถูกกดรำคำจำกพ่อค้ำคนกลำง [1] ดังนันกำรเพิ่ม ผลตอบแทนให้กั บ ผู้ ที่เ กี่ย วข้อ งโดยเฉพำะเกษตรกรจะต้ องทำควำมเข้ำ ใจกั บโซ่ อุป ทำนของกำรผลิ ต ยำง วิ ถี กำรตลำดของยำง รวมถึงบทบำทหน้ำที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องและควำมเชื่อมโยงกำรกระจำยข้อมูลข่ำวสำรผลิตภัณฑ์ยำง กำรบริก ำร และกำรเงิ น ดังนั นจำกข้อ มูลข้ำงต้นทำให้ผู้วิจัยสนใจศึก ษำต้นทุน ตำมกิจ กรรมในห่วงโซ่ กำรผลิ ต ยำงพำรำและวิถีกำรตลำดยำงพำรำ ข้อมูลกำรผลิตยำงพำรำ รวมถึงแหล่งผลิตที่สำคัญของยำงพำรำในพืนที่ภำค ตะวันออกเฉียงเหนือ ช่องทำงกำรกระจำยผลผลิต และกำรพัฒนำตลำดยำงพำรำ เพื่อทรำบถึงสัดส่วนต้นทุนกำร ผลิตสัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ที่แท้จริงของแต่ละระดับ จำกต้นนำถึงปลำยนำ ทรำบถึงหน้ำที่ทำงกำรตลำดว่ำมี อะไรบ้ำง หน้ำที่แต่ละหน้ำที่ทำอย่ำงไร และที่ทำอยู่ตลำดทำได้ดีเพียงใด ในแต่ละหน้ำที่มีต้นทุนกำรผลิต ต้นทุน กำรตลำด และส่วนเหลื่อมกำรตลำดเท่ำไหร่ มีปัญหำหรืออุปสรรคในกำรดำเนินกำรอย่ำงไร เพื่อที่จะได้หำแนว ทำงแก้ไขปัญหำที่เกิดขึนได้อย่ำงถูกต้องเชิงนโยบำยให้กับหน่วยงำนที่เกี่ยวข้อง และเพื่อเป็นข้อมูลพืนฐำนและแนว ทำงกำรเพิ่มผลตอบแทนให้กับทุกระดับในห่วงโซ่กำรผลิตยำงพำรำต่อไป วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่อศึกษำโซ่อุปทำนและวิถีกำรตลำด กำรซือและกำรขำย กำรแปรรูปและกำรขนส่งยำงพำรำใน ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ

9


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2. เพื่อศึกษำสัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ในแต่ละระดับของห่วงโซ่กำรผลิตยำงพำรำในภำคตะวันออก เฉียงเหนือ 3. เพื่อวิเครำะห์ประสิทธิภำพกำรตลำด ส่วนเหลื่อมกำรตลำด และควำมเชื่อมโยงในแต่ละระดับของ ห่วงโซ่กำรผลิตยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ วิธีดำเนินกำรวิจัย ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำงเป็นเกษตรกรผู้ปลูกยำงพำรำ ผู้รวบรวมท้องถิ่น /พ่อค้ำคนกลำง สถำบัน เกษตร/สหกรณ์ ตลำดกลำงยำงพำรำ โรงงำนแปรรูป ในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยกำรเลือกตัวอย่ำงแบบ เจำะจง ซึ่งจะเลือกจังหวัดที่มีพืนที่ปลูกยำงพำรำ พืนที่มีโรงงำนแปรรูปยำงธรรมชำติ และมีตลำดประมูลยำงท้องถิ่น ในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทังสิน 308 ตัวอย่ำง วิธีกำรศึกษำครังนีเริ่มต้นจำกกำรศึกษำข้อมูลทำงสถิติจำกแหล่งข้อมูลต่ำงๆ เช่น สำนักงำนเศรษฐกิจ กำรเกษตร กรมวิชำกำรเกษตร กรมส่งเสริมกำรเกษตร และงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับกำรสืบค้นข้อมูลทำงเว็บไซด์ โดยใช้แนวคิดกำรบูรณำกำรเรื่องโลจิสติกส์กับกำรตลำด เพื่อนำไปกำหนดประเด็นกำรวิเครำะห์และกำรสัมภำษณ์ บุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป หลังจำกนันสร้ำงเครื่องมือเพื่อทำกำรสัมภำษณ์และสอบถำมบุคคลที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่กำร ผลิตยำงพำรำ ประกอบด้วย กลุ่มเกษตรกร ผู้รวบรวมท้องถิ่น /พ่อค้ำคนกลำง กลุ่มสหกรณ์ โรงงำนอุตสำหกรรม แปรรูปยำงธรรมชำติ โดยเริ่มศึกษำข้อมูลคือ 1. กำรศึกษำข้อมูลทั่วไปของเกษตรกรปลูกยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้วิจัยทำกำรศึกษำ ทังในเรื่องของสถำนภำพทั่วไป เพศ อำยุ กำรศึกษำ รำยได้ ตลอดจนข้อมูลในกำรปลูกยำงพำรำ 2. วิเครำะห์ควำมเชื่อมโยงในแต่ละระดับเพื่อนำข้อมูลมำวิเครำะห์ระบบโลจิสติกส์และโซ่อุปทำน ว่ำมี กำรสร้ำงควำมร่วมมือกันในห่วงโซ่กำรผลิตหรือไม่และในแต่ละระดับมีกำรเชื่อมโยง ข้อมูล กำรเงิน และผลิตภัณฑ์ มำกน้อยเพียงใดภำยใต้กำรบริหำรห่วงโซ่อุปทำน 3. ศึกษำและวิเครำะห์ระบบกำรตลำด กลไกกำรตลำดและวิถีกำรตลำดของยำงพำรำ ผ่ำนพ่อค้ำคน กลำง และวิถีกำรตลำดผ่ำนระบบสหกรณ์ กิจกรรมที่เกิดขึนในแต่ละระดับ บทบำทของผู้ที่เกี่ยวข้องในแต่ละระดับ กำรซือ-ขำย กำรกระจำยและกำรขนส่งสินค้ำ วิเครำะห์ควำมเชื่อมโยงในแต่ละระดับเพื่อนำข้อมูลมำวิเครำะห์ ระบบโลจิสติกส์และโซ่อุปทำน ว่ำมีกำรสร้ำงควำมร่วมมือกันในห่วงโซ่ก ำรผลิตหรือไม่ และในแต่ละระดับมีกำร เชื่อมโยง ข้อมูล กำรเงิน และผลิตภัณฑ์มำกน้อยเพียงใดภำยใต้กำรบริหำรห่วงโซ่อุปทำน 4. ศึกษำต้นทุนโลจิสติกส์ในระดับต่ำงๆ โดยกำรใช้แบบจำลองในกำรวัดประสิทธิภำพของระบบโลจิสติกส์ และโซ่อุปทำน คือแบบจำลอง SCOR Model ดังภำพที่ 1 และกำรวิเครำะห์ต้นทุนโลจิสติกส์ โดยใช้วิธีต้นทุนฐำน กิจกรรม (Activity Based Costing (ABC)) มำพัฒนำตัวแบบใช้วัดประสิทธิภำพในแต่ละระดับของโซ่อุปทำนโดย เริ่มต้นจำกกลุ่มเกษตรกร กลุ่มสหกรณ์ และโรงงำนแปรรูปยำงในแต่ละระดับมีต้นทุนโลจิสติกส์ในสัดส่วนเท่ำ ไหร่ และคำนวณต้นทุนโลจิสติกส์ในแต่ละระดับของห่วงโซ่อุปทำนตำมรำยละเอียดของกิจกรรม

10


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภำพที่ 1 ตัวแบบอ้ำงอิงกำรดำเนินงำนโซ่อุปทำน ที่มำ (Supply Chain Council. 2010) 5. วิเครำะห์ประสิทธิภำพตลำดแต่ละวิถีกำรตลำดของแหล่งผลิต หน้ำที่ตลำด ต้นทุนตลำด และวัด ส่วนเหลื่อมกำรตลำด รวมถึงปัญหำและอุปสรรคของตลำด สรุปผลกำรวิจัย เกษตรกรเป็นเพศชำย 63.70 เปอร์เซ็นต์ เพศหญิง 36.30 เปอร์เซ็นต์ อำยุส่วนใหญ่อยู่ระหว่ำงช่วง 5160 ปี ส่วนใหญ่ระหว่ำง 15,001-20,000 บำท จำนวนเงินลงทุนครังแรกอยู่ระหว่ำง 20,001-30,000 มีประสบกำรณ์ ในกำรปลูกยำงพำรำมำกกว่ำ 10 ปี ระบบกำรกรีดยำงพำรำในฤดูฝนจะใช้ระบบกำรกรีด 2 วัน เว้น 1 วัน ระยะกำร กรีดเฉลี่ยอยู่ที่ 7-8 เดือน เกษตรกรจะทำกำรแปรรูปยำงออกมำในรูปของยำงก้อนถ้วย รองลงมำคือ ยำงแผ่นดิบ นำ ยำงสด ตำมลำดับ ผลผลิตของยำงแผ่นดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 17.25 กิโลกรัมต่อไร่ต่อเดือน หรือประมำณ 215 กิโลกรัมต่อ ไร่ต่อปี ปริมำณยำงก้อนถ้วยผลผลิตเฉลี่ยแล้วอยู่ใน 350 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี กำรจ้ำงรำยวันค่ำแรงงำนส่วนใหญ่จะ มำกกว่ำวันละ 300 บำท กำรสำรวจควำมพึงพอใจในมิติต่ำงๆ ควำมพึงพอใจของผู้ให้ข้อมูลเกษตรกรต่อกำรให้ ควำมสำคัญในกำรปลูกยำงพำรำ และข้อคิดเห็นของเกษตรกรชำวสวนยำงพำรำในกำรประเมินปัญหำ เพื่อประเมิน ประสิทธิภำพของตลำด พบว่ำควำมพึงพอใจของผู้ให้ข้อมูลต่อกำรปลูกยำงพำรำ มีระดับควำมพึงพอใจรวมอยู่ที่ ระดับดี มีค่ำเฉลี่ย อยู่ที่ 4.11 พึงพอใจมำกที่สุดในเรื่องของกำรเติบโตของยำงพำรำ รองลงมำ คือควำมพอใจเรื่อง ของกล้ำยำงพำรำที่นำมำปลูกที่สำมำรถส่งผลต่อกำรเติบโต กำรให้ผลผลิตที่สม่ำเสมอ ทนต่ออำกำศ ควำมแห้งแล้ง และทนต่อโรค พันธุ์ที่เกษตรปลูกส่ วนใหญ่เป็นพันธุ์ RRIM 600 ควำมพึงพอใจน้อยที่สุดคือควำมพึงพอใจต่อรำคำ ตลำดที่จำหน่ำยในท้องตลำด และจำกกำรวิเครำะห์ควำมพึงพอใจของเกษตรกรต่อกำรรับซือยำงพำรำ พบว่ำ มี ระดับควำมพึงพอใจรวมอยู่ที่ระดับดี มีค่ำเฉลี่ยอยู่ที่ 3.92 ควำมพึงพอใจส่วนใหญ่มีควำมพึงพอใจของกำรให้บริกำร ของเจ้ำหน้ำที่ส่งมอบสินค้ำ มีค่ำเฉลี่ยอยู่ที่ 4.23 ควำมพึงพอใจรองลงมำคือ ควำมพึงพอใจใจของภำพรวมกำร ให้บริกำรของหน่วยงำนภำครัฐ และควำมพึงพอใจน้อยสุด คือ ควำมพึงพอใจในเรื่องรำคำ มีค่ำควำมพึงพอใจอยู่ใน ระดับปำนกลำง แต่ถือว่ำเกษตรกรยอมรับในจุดนันได้ 4.1 โครงสร้ำงกำรผลิตและกำรตลำดยำงพำรำของเกษตรกรในเขตพืนที่ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ สำมำรถแบ่งได้ 3 ชนิด ได้แก่ ยำงแผ่นดิบ ยำงก้อนถ้วย และนำยำงสด กำรผลิตยำงทัง 3 ชนิดในสัดส่วนปริมำณที่ แตกต่ำงกันดังภำพที่ 2

11


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

0.38 % พ่อค้าคนกลาง 4.38 %

น้ ายางสด (2.01%) 12.74 %

สหกรณ์ 1.47 %

เกษตรกร

ยางแผ่นดิบ (27.65%)

0.98 %

โรงงานแปรรูป 0.16 % ตลาดกลางของรัฐ 8.78 %

ยางก้อนถ้วย (70.34%) 35.67 % %%

0.77 % ลานประมูลและตลาดเอกชน

ภำพที่ 2 โครงสร้ำงกำรผลิตและกำรตลำดยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มำ (จำกกำรสำรวจ) จำกภำพที่ 2 ปริมำณผลผลิตส่วนใหญ่อยู่ในรูปยำงก้อนถ้วย อยู่ที่ร้อยละ 70.34 รองลงมำเป็นยำงแผ่น ดิบที่ร้อยละ 27.65 และนำยำงสดที่ร้อยละ 2.01 ช่องทำงกำรขำยยำงส่วนใหญ่จะขำยผ่ำนตลำดลำนประมูลและ ตลำดเอกชนที่ร้อยละ 35.67 รองลงมำคือ สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ร้อยละ 25.38 ตำมลำดับ 4.2 สัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ของเกษตรกรในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ กำรกำรวิเครำะห์ต้นทุน โลจิสติกส์ของกลุ่มเกษตรกรชำวสวนยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้หลักกำรของต้นทุนฐำนกิจกรรมตำม กิจกรรมโลจิสติกส์ของกลุ่มเกษตรกรซึ่งจำกกำรสัมภำษณ์กลุ่มตัวอย่ำงและคำนวณต้นทุนโลจิสติกส์ ดังตำรำงที่ 1 ตำรำงที่ 1 ต้นทุนโลจิสติกส์และกิจกรรมโลจิสติกส์ของเกษตรกรชำวสวนยำงพำรำ (หน่วย: บำท/กก.) ต้นทุนโลจิสติกส์ กิจกรรมโลจิสติกส์ ต้นทุนจัดซือ-จัดหำ (Procurement กิจกรรมกำรจัดซือ-จัดหำ Cost) ค่ำนำมันสำหรับจัดหำปัจจัยกำรผลิต ค่ำแรงงำนสำหรับหำปัจจัยกำรผลิต ต้นทุนในกำรเคลื่อนย้ำยวัสดุ กิจกรรมกำรเคลื่อนย้ำยวัสดุ (Material Handling Costs) ค่ำจ้ำงแรงงำนสำหรับเก็บเกีย่ วผลผลิต ค่ำจ้ำงแรงงำนในกำรเคลื่อนย้ำยปัจจัยกำรผลิต ต้นทุนกำรขนส่ง (Transportation กิจกรรมกำรขนส่ง Costs) ค่ำนำมันในกำรขนส่ง ค่ำเสื่อมรำคำรถใช้ในกำรขนส่ง

12

Mean 0.166 0.097 0.069 1.716 1.572 0.144 1.047 0.259 0.554

S.D. 0.13 0.11 0.08 1.23 1.02 0.98 0.87 0.32 0.48

ร้อยละ 5.18 3.03 2.15 53.56 49.06 4.49 32.68 8.08 17.29


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ต้นทุนโลจิสติกส์

ต้นทุนดูแลสินค้ำคงคลัง (Inventory Carrying Costs) ต้นทุนกำรติดต่อสื่อสำร (Communication Cost) รวม

กิจกรรมโลจิสติกส์ ค่ำบำรุงรักษำรถในกำรขนส่ง ค่ำจ้ำงคนขับรถในกำรขนส่ง กิจกรรมกำรจัดกำรสินค้ำคงคลัง ค่ำเสียโอกำสจำกกำรจัดเก็บปัจจัยกำรผลิต กิจกรรมกำรติดต่อสื่อสำรด้ำนโลจิสติกส์ ค่ำอินเตอร์เน็ต ค่ำโทรศัพท์ 3.204

Mean 0.211 0.023 0.117 0.117 0.158 0.077 0.081

SRRU NCR2018 S.D. 0.39 0.04 0.22 0.22 0.27 0.10 0.14

ร้อยละ 6.59 0.72 3.65 3.65 4.93 2.40 2.53

จำกตำรำงที่ 1 ต้นทุนโลจิสติกส์ของเกษตรกรชำวสวนยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียงเหนือโดยรวมที่ 3.204 บำท/กิโลกรัม ซึ่งประกอบด้วยต้นทุนกำรเลื่อนย้ำยวัสดุ 1.716 บำท/กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 53.56 รองลงมำคือต้นทุนกำรขนส่งที่ 1.047 บำท/กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 32.68 ต้นทุนกำรจัดซือ-จัดหำที่ 0.166 บำท/ กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 5.18 ต้นทุนกำรติดต่อสื่อสำรด้ำนโลจิสติกส์ที่ 0.158 บำท/กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 4.93 และต้นทุนกำรดูแลสินค้ำคงคลังที่ 0.117 บำท/กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 3.65 ตำมลำดับ 4.3 สัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้รวบรวมยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ จำกกำรศึกษำ ต้นทุนโลจิสติกส์ของกลุ่มผู้รวบรวมยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียงเหนือนัน สำมำรถวิเครำะห์ได้ดังตำรำงที่ 2 ตำรำงที่ 2 ผลกำรคำนวณต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้รวบรวมในแต่ละกิจกรรม รำยกำรค่ำใช้จำ่ ยในกิจกรรม ต้นทุน ร้อยละต่อต้นทุน โลจิสติกส์ (บำท/กก.) โลจิสติกส์ทังหมด ค่ำใช้จ่ำยในกิจกรรมกำรจัดหำ (Procurement Costs) ค่ำนำมันเชือเพลิงในกำรจัดหำ 1.14 18.54 ค่ำจ้ำงคนขับเพื่อรวบรวม 0.23 7.37 ค่ำเสื่อมรำคำ 0.05 0.81 ค่ำซ่อมบำรุง 0.09 1.46 รวม 1.51 24.45 ค่ำใช้จ่ำยในกิจกรรมกำรเคลื่อนย้ำยวัสดุ (Material Handling Costs) ค่ำแรงในกำรเคลื่อนย้ำยยำงพำรำ 1.02 16.59 ค่ำเสื่อมอุปกรณ์ที่ใช้ในกำรเคลื่อนย้ำย 0.06 0.98 รวม 1.08 11.56 ค่ำใช้จ่ำยในกิจกรรมกำรขนส่ง (Transportation Costs) ค่ำนำมันสำหรับกำรขนส่ง 2.11 34.31 ค่ำสูญเสียจำกกำรขนส่ง 1.01 16.42 ค่ำเสื่อมรำคำ 0.05 0.81 ค่ำซ่อมบำรุง 0.04 0.65 ค่ำจ้ำงคนขับเพื่อกำรขนส่ง 0.23 3.74 รวม 3.44 55.93

13

ร้อยละต่อต้นทุน แต่ละกิจกรรม 75.50 15.23 3.31 5.95 100.00 94.44 5.56 100.00 61.31 29.36 1.45 1.16 6.69 100.00


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

รำยกำรค่ำใช้จำ่ ยในกิจกรรม ต้นทุน โลจิสติกส์ (บำท/กก.) ค่ำใช้จ่ำยในกิจกรรมกำรบริหำร (Administration Costs) ค่ำโทรศัพท์ 0.05 ค่ำใช้อินเตอร์เน็ต 0.04 ค่ำเช่ำพืนที่ 0.03 รวม 0.12 ต้นทุนโลจิสติกส์รวม (บำท/กิโลกรัม.) 6.15

SRRU NCR2018

ร้อยละต่อต้นทุน โลจิสติกส์ทังหมด

ร้อยละต่อต้นทุน แต่ละกิจกรรม

0.81 0.65 0.49 1.95

41.67 33.33 25.07 100.00

จำกตำรำงที่ 2 ต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้รวบรวมยำงพำรำในแต่ละกิจกรรมมีต้นทุนที่แตกต่ำงกัน โดย มีค่ำใช้จ่ำยกิจกรรมด้ำนกำรขนส่งอยู่ที่ร้อยละ 55.93 ต้นทุนค่ำนำมันสำหรับกำรขนส่งมำกที่สุดที่ 2.11 บำท/ กิโลกรัม รองลงมำคือกิจกรรมกำรจัดหำที่ร้อยละ 24.55 มีต้นทุนค่ำนำมันเชือเพลิงในกำรจัดหำมำกที่สุดที่ 1.14 บำท/กิโลกรัม และค่ำใช้จ่ำยในกิจกรรมกำรเคลื่อนย้ำยวัสดุร้อยละ 11.56 และกิจกรรมกำรบริหำรที่ร้อยละ 1.95 ตำมลำดับ 4.4 ต้นทุนทำงกำรตลำดของยำงพำรำ ส่วนของต้นทุนทำงกำรตลำด เป็นต้นทุนทำงกำรตลำดของ ค่ำใช้จ่ำยที่จ่ำยออกไปเพื่อดำเนินกำรทำงกำรตลำด เพื่อให้ได้มำซึ่งวัตถุดิบมำครอบครองโดยยอมเสียเงินทุนไป เป็น ต้นทุนที่เกิดขึนหลังจำกที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวผลิตภัณฑ์แล้วพร้อมที่จะขำยให้กับพ่อค้ำหรือโรงงำนแปรรูปดังตำรำงที่ 3 ตำรำงที่ 3 ต้นทุนทำงกำรตลำดของเกษตรกร หน่วย : บำทต่อไร่ ต้นทุนทำงกำรตลำด ค่ำหีบห่อบรรจุ (กระสอบ,ถุงปุ๋ย) ค่ำนำมันเชือเพลิง ค่ำแรงงำนขนส่ง ค่ำธรรมเนียมสถำนที่จำหน่ำย ค่ำขนส่ง ค่ำติดต่อสื่อสำร รวม

เฉลีย่ 0.02 0.32 0.23 0.05 0.07 0.02 0.71

จำกตำรำงที่ 3 ต้นทุนกำรตลำดยำงพำรำโดยรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 0.71 บำทต่อไร่ โดยมีต้นทุนต่ำงๆ ดังนี ต้นทุนกำรตลำดที่มำกที่สุดคือ ต้นทุนค่ำนำมันเชือเพลิง เฉลี่ยอยู่ที่ 0.32 บำทต่อไร่ รองลงมำคือ ต้นทุนค่ำแรงงำน ขนส่ง เฉลี่ยอยู่ที่ 0.23 บำทต่อไร่ตำมลำดับ 4.5 ส่วนเหลื่อมกำรตลำดยำงพำรำโดยทำกำรศึกษำส่วนเหลื่อมผลิตภัณฑ์ยำงในส่วนของยำงแผ่น ดิบและยำงก้อนถ้วย ดังตำรำงที่ 4 และตำรำงที่ 5

14


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 4 ส่วนเหลื่อมกำรตลำดยำงแผ่นดิบในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ รำยกำร

บำท/กก. 71.21 0.08 0.05 0.17 0.41 69.58 0.02 0.32 0.23 0.09 0.04 0.22

รำคำปลีกโรงงำน ค่ำขึนยำง ค่ำขนส่งจำกจุดประมูลไปยังโรงงำน ค่ำจ้ำงแรงงำน ค่ำดอกเบียทุนหมุนเวียน รำคำที่เกษตรกรได้รับจริง ค่ำบรรจุหีบห่อ ค่ำนำมันเชือเพลิง ค่ำแรงงำนขนส่ง ค่ำธรรมเนียมสถำนที่จำหน่ำย ค่ำโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต ค่ำขนส่งจำกฟำร์มไปยังจุดรับซือ

จำกตำรำงที่ 4 รำคำปลีกยำงแผ่นดิบของโรงงำนที่ 71.21 บำท/กิโลกรัม มีส่วนเหลื่อมกำรตลำดของ ยำงแผ่นดิบในภำคตะวันออกเฉียงเหนือพบว่ำมีส่วนเหลื่อมระหว่ำงรำคำขำยปลีกจำกโรงงำนและรำคำที่เกษตรกรได้รับ จริงที่ 1.63 บำท/กิโลกรัม ตำรำงที่ 5 ส่วนเหลื่อมกำรตลำดยำงก้อนถ้วยในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ รำยกำร

บำท/กก. 39.56 0.08 0.05 0.17 0.41 37.68 0.08 0.41 0.30 0.09 0.05 0.24

รำคำปลีกโรงงำน ค่ำขึนยำง ค่ำขนส่งจำกจุดประมูลไปยังโรงงำน ค่ำจ้ำงแรงงำน ค่ำดอกเบียทุนหมุนเวียน รำคำที่เกษตรกรได้รับจริง ค่ำบรรจุหีบห่อ ค่ำนำมันเชือเพลิง ค่ำแรงงำนขนส่ง ค่ำธรรมเนียมสถำนที่จำหน่ำย ค่ำโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต ค่ำขนส่งจำกฟำร์มไปยังจุดรับซือ

จำกตำรำงที่ 5 รำคำปลีกยำงก้อนถ้วยของโรงงำนที่ 39.56 บำท/กิโลกรัม มีส่วนเหลื่อมกำรตลำดของยำง ก้อนถ้วยในภำคตะวันออกเฉียงเหนือพบว่ำมีส่วนเหลื่อมระหว่ำงรำคำขำยปลีกจำกโรงงำนและรำคำที่เกษตรกรได้รับ จริงที่ 1.88 บำท/กิโลกรัม

15


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สรุปผลกำรวิจัย โซ่อุป ทำนและวิถีก ำรตลำดยำงพำรำในภำคตะวั นออกเฉี ยงเหนือ ผู้ที่ มีส่ว นเกี่ ยวข้ องต่ ำงๆ ดังนี 1) เกษตรกรชำวสวนยำงพำรำเกษตรกรชำวสวนยำง 2) พ่อค้ำคนกลำงหรือผู้รวบรวมท้องถิ่น 3) สหกรณ์กองทุนสวน ยำง 4) โรงงำนแปรรูป 5) ตลำดกลำงยำงพำรำของรัฐ 6) ลำนประมูลและตลำดเอกชน ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องทังหมดจะมี หน้ำที่ในกำรบริหำรจัดกำรยำงพำรำที่เชื่อมโยงกันจำกต้นนำไปสู่ลำยนำ ต้นทุนกำรตลำดที่เกิดขึน คือ ค่ำใช้จ่ำยที่จ่ำยออกไปเพื่อดำเนินกิจกรรมทำงกำรตลำด เพื่อให้ได้มำซึ่ง วัตถุดิบในครอบครองโดยยอมเสียเงินทุนไป ที่เรียกกันว่ำค่ำใช้ จ่ำยทำงกำรตลำด ที่ถูกแยกออกมำจำกต้นทุนกำร ผลิต เนื่องจำกเป็นต้นทุนที่เกิดขึนหลังจำกที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วพร้อมที่จะขำยให้กับพ่อค้ำคนกลำง ผู้ รวบรวมหรือลำนประมูล /โรงงำนแปรรูป จึงมีต้นทุนที่เกิดขึนทังที่เกิดขึนกับตัวเกษตรกร พ่อค้ำคนกลำง หรือผู้ รวบรวมรับซือพ่อค้ำประมูล และโรงงำนแปรรูป ต้นทุนทำงกำรตลำดที่จ่ำยออกไปของเกษตรกรโดยรวมอยู่ที่ 0.71 บำท/ไร่ ส่วนเหลื่อมกำรตลำดระหว่ำงโรงงำนกับเกษตรกรมีดังนี คือ รำคำปลีกยำงแผ่นดิบของโรงงำนที่ 71.21 บำท/กิโลกรัม มีส่วนเหลื่อมกำรตลำดของยำงแผ่นดิบระหว่ำงรำคำขำยปลีกจำกโรงงำนและรำคำที่เกษตรกรได้รับ จริงที่ 1.63 บำท/กิโลกรัม ส่วนรำคำปลีกยำงก้อนถ้วยของโรงงำนที่ 39.56 บำท/กิโลกรัม มีส่วนเหลื่อมกำรตลำด ของยำงก้อนถ้วยจำกโรงงำนและรำคำที่เกษตรกรได้รับจริงที่ 1.88 บำท/กิโลกรัม ทังนีจะเห็นได้ว่ำรำคำที่โรงงำน นันมีส่วนแบ่งทำงกำรตลำดเช่น ค่ำขึนยำง ค่ำขนส่งจำกจุดประมูลยำงไปยังโรงงำน ค่ำจ้ำงแรงงำน และค่ำดอกเบีย ทุนหมุนเวียน ส่วนรำคำเกษตรกรก็มีส่วนแบ่งกำรตลำดเช่นเดี่ยวกัน ได้แก่ ค่ำบรรจุหีบห่อ ค่ำนำมันเชือเพลิง ค่ำแรงงำนขนส่ง ค่ำธรรมเนียมสถำนที่จำหน่ำย ค่ำโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต และค่ำขนส่งจำกฟำร์มไปยังจุดรับซือ ต้นทุนโลจิสติกส์ของเกษตรกรและผู้รวบรวม เกษตรกรมีต้นทุนโลจิสติกส์รวมที่ 3.204 บำท/ กิโลกรัม ประกอบด้วย ต้นทุนกำรเลื่อนย้ำยวัสดุ 1.716 บำท/กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 53.56 เป็นต้นทุนที่มำกที่สุด ที่สำคัญ เป็นค่ำใช้จ่ำยที่เกี่ยวกับกำรจ้ำงแรงงำนในกำรเก็บเกี่ยวผลผลิตเป็นส่วนใหญ่ รองลงมำคือ ต้นทุนกำรขนส่งที่ 1.047 บำท/กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 32.68 ซึ่งเป็นกิจกรรมสูงสุดเป็นลำดับที่ 2 โดยมีขันตอนกำรขนส่งจำกไร่เพื่อไป จำหน่ำยให้แก่ ผู้รวบรวม ต้นทุนในส่วนนีจะเป็นค่ำเสื่อ มรำคำของรถที่ใช้ในกำร ต้นทุนกำรจัดซือ-จัดหำที่ 0.166 บำท/ กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 5.18 ส่วนใหญ่จะเป็นค่ำใช้จ่ำยนำมันในกำรดำเนินหำปัจจัยกำรผลิตซึ่งแนวทำงกำร ลดต้นทุน โลจิสติกส์ต้นทุนกำรติดต่อสื่อสำรด้ำนโลจิสติกส์ที่ 0.158 บำท/กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 4.93 ส่วนใหญ่ จะเป็นค่ำใช้โทรศัพท์ในกำรติดต่อสื่อสำร และต้นทุนกำรดูแลสินค้ำคงคลังที่ 0.117 บำท/ กิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 3.65 จะเป็นค่ำเสียโอกำสจำกกำรจัดเก็บปัจจัยกำรผลิต เพรำะในกำรจัดเก็บปัจจัยกำรผลิตไว้นำนและปริมำณที่มำก จะทำให้เกษตรกรเสียค่ำใช้จ่ำยในกำรดูแลรักษำปัจจัยกำรผลิต ส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้รวบรวมยำงพำรำ โดยต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้รวบรวมยำงพำรำในแต่ละกิจกรรม มีต้นทุนที่แตกต่ำงกัน โดยมีค่ำใช้จ่ำยกิจกรรมด้ำนกำรขนส่งอยู่ที่ร้อยละ 55.93 ต้นทุนค่ำนำมันสำหรับกำรขนส่ง มำกที่สุดที่ 2.11 บำท/กิโลกรัม รองลงมำคือกิจกรรมกำรจัดหำที่ร้อยละ 24.55 มีต้นทุนค่ำนำมันเชือเพลิงในกำร จัดหำมำกที่สุดที่ 1.14 บำท/กิโลกรัม และค่ำใช้จ่ำยในกิจกรรมกำรเคลื่อนย้ำยวัสดุร้อยละ 11.56 และกิจกรรมกำร บริหำรที่ร้อยละ 1.95 ประสิทธิภำพกำรตลำดและควำมเชื่อมโยงของแต่ละระดับ ปัจจุบันตลำดยำงพำรำในภำคตะวันออกเฉียง เหนือส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของสหกรณ์ 5 รูปแบบ ได้แก่ 1) ซือผลิตภัณฑ์ยำงพำรำสดจำกเกษตรกรมำแล้วขำยต่อ 2) ซือยำงพำรำดิบจำกสมำชิกแล้วแปรรูป เบืองต้นแล้วขำยให้พ่อค้ำในท้องถิ่นหรือในจังหวัด 3) ซือยำงพำรำจำก

16


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สมำชิกแล้วแปรรูปขำยต่ำงประเทศและในประเทศ 4) ซือยำงพำรำจำกสมำชิกแล้วแปรรูปเป็นสินค้ำชัน 2 ส่งขำย ภำยในประเทศและต่ำงประเทศ และ 5) ซือยำงพำรำจำกสมำชิกแล้ว แปรรูปเป็นสินค้ำชัน 1 แล้วส่งขำย ภำยในประเทศและต่ำงประเทศ โดยมีส่วนเหลื่อมกำรตลำดของยำงแผ่นดิบระหว่ำงรำคำขำยปลีกจำกโรงงำนและ รำคำที่เกษตรกรได้รับจริงที่ 1.63 บำท/กิโลกรัม และส่วนเหลื่อมกำรตลำดของยำงก้อนถ้วยระหว่ำงรำคำขำยปลีก จำกโรงงำนและรำคำที่เกษตรกรได้รับจริงที่ 1.88 บำท/กิโลกรัม ควำมเชื่อมโยงในแต่ละระดับห่วงโซ่กำรผลิตยำงพำรำคือ ควำมเชื่อมโยงของแต่ละบทบำทของแต่ละ กลุ่มในห่วงโซ่กำรผลิตยำงพำรำ โดยเริ่มตังแต่ กลุ่มเกษตรกรชำวสวนยำงพำรำ พ่อค้ำคนกลำงหรือผู้รวบรวมท้องถิ่น สหกรณ์ โรงงำน ตลำดกลำงของรัฐ ลำนประมูลและตลำดเอกชน มีกำรเชื่อมโยงกันอย่ำงขยำยผลทำงกำรตลำด ส่งผลต่อกำรประกอบกำรและควำมสมบูรณ์ของธุรกิจตำมมำอย่ำงเห็นได้ชัดดังแต่ต้นนำ กลำงนำ สู่ปลำยนำ กำร ผลิตในส่วนของเกษตรกรโดยเริ่มตังแต่กำรผลิตนำยำง ยำงก้อนถ้วย ยำงแผ่นดิบ ยำงแผ่นรมควัน ยำงแท่ง ยำงเครป กระบวนกำรทังหมดโดยผู้ผลิตและกลุ่มตลำดต่ำงก็มีเป้ำหมำยต่อเนื่องในกิจกรรมร่วมกันเพื่ อกำไรและควำมสำเร็จ สูงสุดของแต่ละระดับของห่วงโซ่กำรผลิต ควำมเชื่อมโยงแต่ละระดับมำจำกควำมไว้วำงใจ ควำมเชื่อใจ และควำม ร่วมมือร่วมกันของหลำยฝ่ำย ตังแต่ผู้ผลิต พ่อค้ำคนกลำง ผู้จัดหำวัตถุดิบ ตลำดรับซือ และรวมถึงควำมรับผิดชอบ และกำรส่งเสริมของหน่วยงำนรัฐบำล สหกรณ์ รวมถึงโรงงำนแปรูปที่มีเป้ำหมำย กำรกำหนดกลยุทธ์เพื่อธุรกิจ ร่วมกัน แต่ละกลุ่มมีควำมเชื่อมสัมพันธ์หลำยระดับ ในส่วนของผู้ผลิต หรือผู้ขำย และผู้ซือ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงนีก็ จะเป็นตัวกำหนดกำรดำเนินกำรของกิจกรรมของโซ่อุปทำนหลำยของแต่ละระดับ เอกสำรอ้ำงอิง กฤษณี พิสิฐศภุกล. (2559). สำนักงำสถำนกำรณ์ยำงพำรำปี 2558 และแนวโน้มรำคำปี 2559. ธนำคำรแห่ง ประเทศไทย สำนักงำนภำคใต้. พิเชษฐ์ ชัยเจริญ. (2557). กำรศึกษำกำรจัดตั้งตลำดกลำงยำงพำรำในจังหวัดเชียงรำย. สำนักวิชำกำรจัดกำร มหำวิทยำลัยแม่ฟ้ำหลวง. วิไลวัลย์ แก้วตำทิพย์. (2557). ปัญหำของเกษตรกรชำวสวนยำงพำรำในพื้นที่สำมจังหวัด ชำยแดนใต้. มหำวิทยำลัยรำชภัฏยะลำ. สถำบันวิจัยยำง กรมวิชำกำรเกษตร กระทรวงกำรเกษตรและสหกรณ์. ยำงพำรำ. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มำ : http://www.reothai.co.th/Para1 สืบค้นวันที่ 18 เมษำยน 2558. สำนักพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมภำคตะวันออกเฉียงเหนือ. (2558). สถำนกำรณ์ยำงพำรำและกำรปรับตัวของ เกษตรกรในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ . สำนักพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมภำคตะวันออกเฉียงเหนือ สำนักงำน คณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ (สศช.) สุรพงษ์ เจียรสกุล. (2558). สถิติกำรเกษตรของประเทศไทย 2558. สำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตร. กรุงเทพฯ. Supply Chain Council. (2010). Supply Chain Operations Reference Model : Overview of SCOR Version 10.0. Pittsburgh. PA: Supply Chain Council, lnc.

17


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-02 ผลของโปรแกรมกำรสร้ำงเสริมกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองต่อพฤติกรรมกำรควบคุมน้ำหนัก ดัชนีมวลกำย และเส้นรอบเอวของหญิงที่มีน้ำหนักเกิน EFFECTS OF SELF-EFFICACY PROMOTION PROGRAM ON WEIGHT CONTROL BEHAVIORS, BODY MASS INDEX AND WAIST CIRCUMFERENCE AMONG OVERWEIGHT WOMEN วลัยภรณ์ อำรีรักษ์1 1

Walaiporn Areerak ภาควิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชธานี tay_aree@hotmail.com1

บทคัดย่อ กำรวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดซำ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำผลของโปรแกรมกำรสร้ำงเสริมกำรรับรู้ ควำมสำมำรถตนเองต่อพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก ดัชนีมวลกำยและเส้นรอบเอวของหญิงที่มีนำหนักเกิน กลุ่ม ตัวอย่ำงเป็นเพศหญิง อำยุ 30-59 ปี ที่มีนำหนักเกิน (ดัชนีมวลกำยมำกกว่ำ 22.9 กก./ตำรำงเมตร)อำศัยอยู่ในตำบล วัดสุวรรณ อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี ที่มีคุณสมบัติตำมเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 30 คน ได้รับโปรแกรมกำรสร้ำง เสริมกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองเป็นเวลำ 12 สัปดำห์ รวบรวมข้อมูลโดยใช้กำรชั่งนำหนัก วัดส่วนสูง วัดเส้นรอบ เอว แบบสอบถำมข้อมูลส่วนบุคคล และพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก สถิติที่ใช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูลคือ กำรแจก แจงควำมถี่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน และวิเครำะห์ควำมแปรปรวนแบบวัดซำ ผลกำรวิจัยพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงมีค่ำเฉลี่ยพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักระยะหลังกำรทดลองเสร็จสิ น ทันทีและระยะติดตำมผลสูงกว่ำก่อนกำรทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 (F1.10, 31.91=19.42, p < .01) ค่ำเฉลี่ยดัชนีมวลกำย และเส้นรอบเอวในระยะหลังกำรทดลองเสร็จสินทันทีและระยะติดตำมผลต่ำกว่ำก่อนกำร ทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 (F1.39, 40.39 = 13.21, p< .01 และ F1.18, 34.23 = 41.13, p< .01 ตำมลำดับ) และเมื่อเปรียบเทียบแต่ละคู่ของระยะเวลำกำรทดลองพบว่ำ ค่ำเฉลี่ยพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักทุกคู่ สูงขึนอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ค่ำเฉลี่ยดัชนีมวลกำยและเส้นรอบเอวทุกคู่ลดลงอย่ำงมีนัยสำคัญทำง สถิติที่ระดับ .05 กำรศึกษำนีแสดงให้เห็นว่ำ โปรแกรมกำรสร้ำงเสริมกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองทำให้หญิงที่มีนำหนัก เกินมีพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักสูงขึน ส่งผลให้ดัชนีมวลกำยและเส้นรอบเอวลดลง สำมำรถนำโปรแกรมนีไปใช้ อย่ำงต่อเนื่องต่อไป คำสำคัญ : การรับรู้ความสามารถตนเอง; พฤติกรรมการควบคุมน้าหนัก; ดัชนีมวลกาย; เส้นรอบเอว; หญิงที่มี น้าหนักเกิน

18


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Abstract The purpose of this Quasi-experimental research was to study effects of self-efficacy promotion program on weight control behavior, body mass index and waist circumference among overweight women. Samples consisted of 30 overweight women and age 30-59 years old who had the body mass index over 22.9 kg/m2 and lived in Watsuwan subdistrict, Botong district,Chon Buri province.Those were received the self-efficacy promotion program for 12 weeks. The instruments for data collection were questionnaires to capture data related to demographic data, weight control behavior, body weight, height and waist circumference measurement records.The data were analyzed by using percentage, means, standard deviation and repeated measure analysis of variance and Bonferroni’ s test. The research results showed that after intervention and follow up period, the samples had significantly higher mean scores of weight control behavior than pre intervention, decreased significantly their body mass index and waist circumference at a level .05 It was found that every pair had improve mean score of weight control behavior and decreased their body mass index and waist circumference significantly at a level .05 The finding indicated that self-efficacy promotion program can improve weight control behavior, decreased their body mass index and waistcircumference. Implementing of self-efficacy promotion program is highly recommended. Keywords: self-efficacy; weigh control behavior; body mass index; waist circumference; overweight women บทนำ ภำวะนำหนักเกินเป็นปัญหำสำธำรณสุขที่สำคัญในหลำยประเทศทั่วโลกและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึนอย่ำง ต่อเนื่อง จำกกำรสำรวจประชำกรโลกในปี พ.ศ. 2557 พบว่ำ ประชำกรโลกวัยผู้ใหญ่ประมำณ 1,900 ล้ำนคน มี ภำวะนำหนักเกินมำตรฐำน หรือคิดเป็นร้อยละ 39 และในจำนวนนีพบว่ำมีผู้เป็นโรคอ้วนมำกถึง 600 ล้ำนคน หรือ คิดเป็นร้อยละ 13 และพบแนวโน้มกำรเป็นโรคอ้วนในเด็กอำยุต่ำกว่ำ 5 ปี มำกถึง 41 ล้ำนคน [1] ในประเทศไทย พบว่ำภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วนมีแนวโน้มเพิ่มขึนอย่ำงรวดเร็ว จำกกำรสำรวจภำวะสุขภำพของประชำกรไทย ที่ มีอำยุ 15 ปีขึนไป ครังที่ 4 ในปี พ.ศ. 2551-2552 พบควำมชุกของโรคอ้วนในเพศชำยและหญิงคิดเป็นร้อยละ 28.3 และ40.7 ตำมลำดับ คำดว่ำในปี พ.ศ. 2558 จะมีคนไทยเป็นโรคอ้วนร้อยละ 46 หรือกว่ำ 21 ล้ำนคน [2] กระทรวง สำธำรณสุ ข ได้ กำหนดเป้ำหมำยไว้ว่ำ ประชำกรไทยอำยุ 15 ปีขึนไป ทังเพศชำยที่มีเ ส้นรอบเอวมำกกว่ ำ 90 เซนติเมตร และเพศหญิงมำกกว่ำ 80 เซนติเมตร ต้องมีจำนวนไม่เกินร้อยละ 15 และไม่เกินร้อยละ 40 ของ ประชำกรทังหมด ตำมลำดับ [3] ภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วน หมำยถึงภำวะที่ร่ำงกำยมีกำรสะสมไขมันในส่วนต่ำง ๆ ของร่ำงกำยมำก เกินปกติ องค์กำรอนำมัยโลกได้กำหนดเกณฑ์ค่ำระดับดัชนีมวลกำย (Body Mass Index;: BMI) เพื่อใช้เป็นแบบคัด กรองภำวะน ำหนัก เกิ น โดยคำนวณจำกน ำหนั กตั ว (กิ โ ลกรัม ) หำรด้ว ยควำมสูง (เม ตรยกก ำลั งสอง) ส ำหรั บ

19


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ประชำกรในเอเชีย ได้กำหนดจุดตัดในกำรแบ่งกลุ่ม โดยที่ค่ำดัชนีมวลกำยที่ 23 กิโลกรัมต่อตำรำงเมตร หมำยถึง ภำวะนำหนักเกิน และค่ำดัชนีมวลกำยที่ 25 กิโลกรัมต่อตำรำงเมตร แสดงว่ำอ้วน ภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วนเป็น สำเหตุที่สำคัญ ที่ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรือรัง และเสียชีวิต ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพำต ควำมดัน โลหิตสูง เบำหวำน ไขมันในเลือดสูง ข้อเข่ำเสื่อม ซึมเศร้ำ มะเร็งลำไส้ ปัญหำสุขภำพเหล่ำนีส่งผลให้เกิดกำรสูญเสีย ค่ำใช้จ่ำยในกำรรักษำพยำบำลเพิ่มขึน [4] ซึ่งกำรแก้ปัญหำคือ กำรลดนำหนั ก โดยกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกำร ควบคุมนำหนัก ในด้ำนกำรรับประทำนอำหำร และด้ำนกำรออกกำลังกำย กำรลดนำหนักลงร้อยละ 5-10 จะช่วยลด อัตรำกำรเกิดโรคต่ำง ๆ ลงได้ [5] กำรออกกำลังกำยที่ช่วยทำให้ลดนำหนักได้มีหลำยวิธี เช่น กำรเดินเร็ว ขี่จักรยำน ว่ำยนำ เป็นต้น กำร เดินเร็วเป็นกำรออกกำลังกำยแบบแอโรบิก ทำให้ร่ำงกำยมีกำรเผำผลำญพลังงำนเพิ่มขึน ช่วยลดนำหนักได้ [6] และ ยังสำมำรถปฏิบัติได้ทุกที่ ทุกเวลำเสียค่ำใช้จ่ำยน้อย ถ้ำทำร่วมกับกำรควบคุมพฤติกรรมกำรควบคุมกำรรับประทำน อำหำร โดยกำรรับประทำนให้ครบ 5 หมู่ และควรแบ่งอำหำรครังละน้อย ๆ แต่บ่อยขึน เพื่อเพิ่มอัตรำกำรเผำผลำญ ในขณะพักซึ่งจะช่วยให้มีกำรเผำผลำญในร่ำงกำยดีขึน ช่วยเพิ่มกำรเผำผลำญไขมันในร่ำงกำย [4] จำกข้อมูลกำรคัดกรองสุขภำพประชำชนอำยุ 30-59 ปี ในช่วงเดือนสิงหำคมถึงเดือนกันยำยน .2560 ของโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลบ้ำนคลองโอ่ง ตำบลวัดสุวรรณ อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี พบว่ำมีหญิงที่มี ค่ำดัชนีมวลกำยมำกกว่ำ 22.9 กิโลกรัมต่อตำรำงเมตร จำนวน 40 คน จำกจำนวนหญิงอำยุ 30-59 ปีทังหมด184 คน คิดเป็นร้อยละ 21.73[7] ถึงแม้ว่ำจะมีกิจกรรมให้ควำมรู้ ให้สุขศึกษำรำยบุคคล แต่ภำวะนำหนักเกิ นในหญิงวัย ทำงำนนียังคงอยู่และมีแนวโน้มสูงขึน ดังนันจึงควรมีกำรควบคุมและลดภำวะนำหนักเกินในหญิงเหล่ำนี เพื่อป้องกัน โรคเรือรังและกำรเจ็บป่วยที่อำจเกิดขึนในอนำคต อย่ำงไรก็ตำมกำรที่จะให้ผู้ที่มีนำหนักเกินมีพฤติกรรมกำรควบคุม นำหนักที่เหมำะสมด้ำนกำรรับประทำนอำหำรและออกกำลังกำยอย่ำงถูกต้องและต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ทำได้ยำก จำก กำรทบทวนวรรณกรรมพบว่ำแนวคิดทฤษฎีควำมสำมำรถตนเอง (Self-efficacy) ของแบนดูร่ำ[8] เป็นวิธีกำรหนึ่งที่ ช่วยในกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์ มีกำรนำทฤษฎีกำรรับรู้ควำมสำมำรมำรถตนเองประยุกต์ใช้ในกำรศึกษำ [9], [10] ดังนันผู้วิจัยจึงนำแนวคิดทฤษฎีดังกล่ำวมำประยุกต์ใช้ในกำรวิจัยนี โดยกำรออกแบบกิจกรรมเพื่อเพิ่มกำร รับรู้ควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักทังด้ำนกำรรับประทำนอำหำรและด้ำนกำรออกกำลัง กำยด้วยกำรเดินเร็ว อันจะเป็นกำรลดปัจจัยเสี่ยงและป้องกันภำวะแทรกซ้อนและอันตรำยจำกนำหนักเกินและโรค อ้วนของหญิงที่มีนำหนักเกินในชุมชนบ้ำนคลองโอ่ง ตำบลวัดสุวรรณอำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี จะทำให้ลดโอกำส เจ็บป่วย และลดภำระค่ำใช้จ่ำยของผู้ป่วยและรัฐต่อไป วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบค่ำเฉลี่ยพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก ในระยะก่อนกำรทดลอง หลังกำรทดลอง เสร็จสินทันที และระยะติดตำมผล 2. เพื่อเปรียบเทียบค่ำเฉลี่ยดัชนีมวลกำย และเส้นรอบเอว ในระยะก่อนกำรทดลอง หลังกำรทดลอง เสร็จสินทันที และระยะติดตำมผล สมมติฐำนกำรวิจัย 1. หญิงทีมีนำหนักเกินมีค่ำเฉลี่ยพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักในระยะหลังกำรทดลองเสร็จสินทันที และระยะติดตำมผลสูงกว่ำก่อนกำรทดลอง

20


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2. หญิงที่มีนำหนักเกินมีค่ำเฉลี่ยดัชนีมวลกำยและเส้นรอบเอวในระยะหลังกำรทดลองเสร็จสินทันที และระยะติดตำมผลต่ำกว่ำก่อนกำรทดลอง ขอบเขตกำรวิจัย กำรวิจัยครังนี่เป็นกำรศึกษำผลของโปรแกรมกำรสร้ำงเสริมกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองต่อพฤติกรรม กำรควบคุมนำหนัก ดัชนีมวลกำย ละเส้นรอบเอวของหญิงที่มีนำหนักเกิน ตัวแปรที่ศึกษำ ประกอบด้วยตัวแปรต้น ได้แก่ โปรแกรมกำรสร้ำงเสริมกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเอง ตัวแปรตำม ได้แก่ พฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก ดัชนี มวลกำย และเส้นรอบเอว ระยะเวลำในกำรดำเนินกำรวิจัยตังแต่เดือนกันยำยน 2560 ถึงเดือนมกรำคม 2561 วิธีดำเนินกำรวิจัย กำรวิจัยครังนีเป็นวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research design) แบบกลุ่มเดียววัดซำ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะก่อนกำรทดลอง ระยะหลังกำรทดลองเสร็จสินทันที และระยะติดตำมผล4 สัปดำห์ ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกรคือหญิงอำยุ 30-59 ปีที่มีนำหนักเกิน (BMI มำกกว่ำ 22.9 กิโลกรัมต่อตำรำงเมตร) เป็นผล จำกกำรคัดกรองสุขภำพโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลบ้ำนคลองโอ่ง ตำบลวัดสุวรรณ อำเภอบ่อทอง จังหวัด ชลบุรี ระหว่ำงเดือนสิงหำคมถึงกันยำยน 2560 จำนวน 40 คน กลุ่มตัวอย่ำงคือ หญิงที่มีนำหนักเกิน อำยุ 30-59 ปี (BMI มำกกว่ำ 22.9 กิโลกรัมต่อตำรำงเมตร) อำศัยอยู่ในชุมชนบ้ำนคลองโอ่ง ตำบลวัดสุวรรณ อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี จำนวน 30 คน คัดเลือกตำมเกณฑ์ที่กำหนด คือ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีควำมสำมำรถในกำรรับรู้ และสื่อสำรได้ ไม่มีโรคประจำตัวร้ำยแรงหรือมีภำวะแทรกซ้อนที่เป็นอุปสรรคต่อกำรเข้ำร่วมโปรแกรม มีควำมสมัคร ใจและยินดีให้ควำมร่วมมือในกำรวิจัย และไม่ได้เข้ำร่วมในโปรแกรมลดนำหนักในโครงกำรอื่นใด เครื่องมือวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในกำรทดลองได้แก่ โปรแกรมกำรสร้ำงเสริมกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองซึ่งผู้วิจัยพัฒนำ ขึนโดยประยุกต์ทฤษฎีกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองของแบนดูร่ำ ประกอบด้วยแผนกำรจัดกิจกรรม และแผนกำร สอนประกอบด้วยควำมหมำยภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วน อันตรำยจำกโรคอ้วน คู่มือกำรเลือกอำหำรตำมธง โภชนำกำร แบบบั น ทึก กำรรับ ประทำนอำหำร แบบบั น ทึ กกำรออกก ำลั งกำย ผ่ำ นควำมตรงตำมเนื อหำจำก ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่ำน ปรับปรุงแก้ไขตำมคำแนะนำ ก่อนนำไปใช้ปฏิบัติจริง เครื่องมือที่ใช้ในกำรรวบรวมข้อมูลเป็น แบบสอบถำมที่ผู้วิจัยสร้ำงขึน ประกอบด้วย แบบสอบถำมข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ อำยุ สถำนภำพสมรส กำรศึกษำ อำชีพ และรำยได้ แบบสอบถำมพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก ซึ่งผู้วิจัยสร้ำงขึนจำกศึกษำเอกสำรและตำรำกรอบ แนวคิดทฤษฎีควำมสำมำรถตนเองของแบนดูร่ำ [8] ลักษณะเป็นคำถำมแบบมำตรำส่วนประมำณค่ ำ 4 ระดับ จำนวน 24 ข้อ ประกอบด้วยคำถำมทำงบวก และคำถำมทำงลบดังนี ปฏิบัติเป็นประจำ (4) หมำยถึงทำกิจกรรมนัน สม่ำเสมอ 5-7 วันต่อสัปดำห์ บ่อยครัง (3) หมำยถึงทำกิจกรรมนัน 3-4 วันต่อสัปดำห์ บำงครัง (2) หมำยถึงทำ กิจกรรมนัน 1-2 วันต่อสัปดำห์ ไม่เคยปฏิบัติ (1) หมำยถึงไม่เคยทำกิจกรรมนันเลย กำรแปลผลคะแนนโดยผลรวม ของคะแนนทุกข้อ อยู่ในช่วง 24-96 คะแนน ผู้วิจัยแบ่งช่วงคะแนนเป็น 3 ระดับโดยใช้หลักกำรทำงสถิติคือ พิสัย โดยกำรเอำค่ำสูงสุดลบด้วยค่ำต่ำสุด แล้วหำรด้วยจำนวนช่วงหรือระดับที่ต้องกำรวัดผล [11] ดังนันจึงได้ช่วงคะแนน ดังนี 24-47 คะแนนหมำยถึงพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักของหญิงที่มีนำหนักเกินอยู่ในระดับเหมำะสมน้อย 4871 คะแนนหมำยถึงพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักของหญิงที่มีนำหนักเกินอยู่ในระดับเหมำะสมปำนกลำง 72-96

21


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

คะแนนหมำยถึงพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักของหญิงที่มีนำหนักเกินอยู่ในระดับเหมำะสมมำกกำรตรวจสอบ คุณภำพเครื่องมือวิจัย โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่ำน แบบสอบถำมพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักนำมำหำค่ำดัชนีควำม ตรงตำมเนือหำ (Content validity index: CVI) เท่ำกับ .89 และหำค่ำควำมเชื่อมั่น (Reliability) โดยใช้ สัมประสิทธิ์แอลฟำของคอนบำค (Cronbach’ s alpha coefficient) ได้เท่ำกับ .85 เครื่องมือวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในกำรทดลอง ได้แก่ 1. โปรแกรมกำรสร้ำงเสริมกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองซึ่งผู้วิจัยพัฒนำขึนโดยประยุกต์ทฤษฎีกำรรับรู้ ควำมสำมำรถตนเองของ แบนดูร่ำ ประกอบด้วยแผนกำรจัดกิจกรรม และแผนกำรสอนประกอบด้วยควำมหมำย ภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วน อันตรำยจำกโรคอ้วน คู่มือกำรเลือกอำหำรตำมธงโภชนำกำร แบบบันทึกกำรรับประทำน อำหำร แบบบันทึกกำรออกกำลังกำย ผ่ำนควำมตรงตำมเนือหำจำกผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่ำน ปรับปรุงแก้ไขตำมคำแนะนำ ก่อ นน ำไปใช้ ป ฏิ บั ติ จ ริ ง เครื่ อ งมื อ ที่ ใ ช้ ใ นกำรรวบรวมข้ อ มู ล เป็ น แบบสอบถำมที่ ผู้วิ จั ย สร้ ำ งขึ น ประกอบด้ ว ย แบบสอบถำมข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ อำยุ สถำนภำพสมรส กำรศึกษำ อำชีพ และรำยได้ 2. แบบสอบถำมพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก ซึ่งผู้วิจัยสร้ำงขึนจำกศึกษำเอกสำรและตำรำกรอบ แนวคิดทฤษฎีกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองของแบนดูร่ำ [8] ลักษณะเป็นคำถำมแบบมำตรำส่วนประมำณค่ำ 4 ระดับ จำนวน 24 ข้อ ประกอบด้วยคำถำมทำงบวก และคำถำมทำงลบดังนี ปฏิบัติเป็นประจำ (4) หมำยถึงทำ กิจกรรมนันสม่ำเสมอ 5-7 วันต่ อสัปดำห์ บ่อยครัง (3) หมำยถึงทำกิจกรรมนัน 3-4 วันต่อสัปดำห์ บำงครัง (2) หมำยถึงทำกิจกรรมนัน 1-2 วันต่อสัปดำห์ ไม่เคยปฏิบัติ (1) หมำยถึงไม่เคยทำกิจกรรมนันเลย กำรแปลผลคะแนน โดยผลรวมของคะแนนทุกข้อ อยู่ในช่วง 24-96 คะแนน ผู้วิจัยแบ่งช่วงคะแนนเป็น 3 ระดับโดยใช้หลักกำรทำงสถิติ คือ พิสัย โดยกำรเอำค่ำสูงสุดลบด้วยค่ำต่ำสุด แล้วหำรด้วยจำนวนช่วงหรือระดับที่ต้องกำรวัดผล [11] ดังนันจึงได้ ช่วงคะแนนดังนี 24-47 คะแนนหมำยถึงพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักของหญิงที่มีนำหนักเกินอยู่ในระดับเหมำะสม น้อย 48-71 คะแนนหมำยถึงพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักของหญิงที่มีนำหนักเกินอยู่ในระดับเหมำะสมปำนกลำง 72-96 คะแนนหมำยถึ ง พฤติ ก รรมกำรควบคุ ม น ำหนั ก ของหญิ ง ที่ มี น ำหนั ก เกิ น อยู่ ใ นระดั บ เหมำะสมมำก กำรตรวจสอบคุณภำพเครื่องมือวิจัย โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่ำน แบบสอบถำมพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักนำมำหำ ค่ำดัชนีควำมตรงตำมเนือหำ (Content validity index: CVI) เท่ำกับ .89 และหำค่ำควำมเชื่อมั่น (Reliability) โดย ใช้สัมประสิทธิ์แอลฟำของคอนบำค (Cronbach’ s alpha coefficient) ได้เท่ำกับ .85 3. เครื่องชั่งนำหนัก เครื่องวัดส่วนสูง และสำยวัดรอบเอว กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยประสำนงำนกับผู้อำนวยกำรโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลบ้ำนคลอง โอ่งชีแจงวัตถุประสงค์ของกำรวิจัย กำรพิทักษ์สิทธิของกลุ่มตัวอย่ำง กำรถอนตัวออกจำกกำรเข้ำร่วมวิจัย กำรดำเนิน กำรทดลองใช้เวลำทังหมด 12 สัปดำห์มีกิจกรรมกลุ่ม 4 ครัง ในสัปดำห์ที่ 1,4,10 และ 12 และให้กำรสร้ำงเสริมกำร รับรู้ควำมสำมำรถตนเองทำงโทรศัพท์ 3 ครัง ๆ ละ 10-15 นำที ในสัปดำห์ที่ 2,6 และ8 ดังรำยละเอียดต่อไปนี ครังที่ 1 (สัปดำห์ที่ 1) เพื่อสร้ำงสัมพันธภำพและสร้ำงเสริมให้เกิดกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเอง โดยจัด กิจกรรมกลุ่มอภิปรำย แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องควำมหมำยของภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วน อันตรำยจำกโรคอ้วน กำรเลือกรับประทำนอำหำรตำมธงโภชนำกำร กำรคำนวณพลังงำนและสำรอำหำร และชนิดของกำรออกกำลังกำยที่ ช่วยเผำผลำญไขมัน ให้เห็นตัวแบบ คือหญิงที่สำมำรถควบคุมนำหนักได้ดี และร่วมกันออกกำลังกำยด้วยกำรเดินเร็ว 30 นำที ครังที่ 2 (สัปดำห์ที่ 2) ผู้วิจัยโทรศัพท์หำกลุ่มตัวอย่ำงคนละ 1 ครัง ๆ ละ 10-15 นำที เพื่อสร้ำงเสริม กำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเอง ชีแนะ โน้มน้ำว ให้กำลังใจ เปิดโอกำสให้ระบำยควำมรู้สึก และรับฟังปัญหำ

22


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ครังที่ 3 (สัปดำห์ที่ 4) กิจกรรมกลุ่ม “ลดพุง ลดโรค” โดยกำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อภิปรำย เรื่อง อันตรำยจำกไขมันในช่องท้อง เห็นแบบจำลองอำหำรสำธิต และทบทวนควำมรู้และกำรปฏิบัติพฤติกรรมด้ำนกำร รับประทำนอำหำรที่เหมำะสม พูดชักจูงให้กำลังใจ และชีแนะให้เห็นผลดีของกำรปฏิบัติพฤติกรรมกำรควบคุม นำหนักอย่ำงเหมำะสม และร่วมกันออกกำลังกำยด้วยกำรเดินเร็ว 30 นำที ครังที่ 4 และ 5 (สัปดำห์ที่ 6 และ 8) ผู้วิจัยโทรศัพท์หำกลุ่มตัวอย่ำงคนละ 1 ครัง ๆ ละ 10-15 นำที เพื่อให้กำลังใจ โน้มน้ำวให้ปฏิบัติพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักอย่ำงเหมำะสมและต่อเนื่อง เปิดโอกำสให้ระบำย ควำมรู้สึกและรับฟังปัญหำ แนะนำให้กลุ่มตัวอย่ำงปฏิบัติพฤติกรรมอย่ำงสม่ำเสมอและต่อเนื่อง รวมทังสำมำรถ โทรศัพท์สอบถำมผู้วิจัยได้กรณีมีข้อสงสัย ครังที่ 6 และ 7 (สัปดำห์ที่ 10 และ 12) กิจกรรม “หุ่นฟิต ชีวิตเปลี่ยน” ผู้วิจัยทบทวนควำมรู้เกี่ยวกับ กำรเลือกรับประทำนอำหำรตำมธงโภชนำกำร กำรคำนวณพลังงำนและสำรอำหำร กำรเห็นตัวแบบที่ลดนำหนักได้ สำเร็จ กำรชื่นชมบุคคลที่ปฏิบัติพฤติกรรมได้เหมำะสม และให้กำลังใจบุคคลที่ยังปฏิบัติพฤติกรรมได้น้อย และ กระตุ้นให้เกิดกำรคำดหวังผลดีจำกกำรปฏิบัติพฤติกรรมดังกล่ำว และร่วมกันออกกำลังกำยด้วยกำรเดินเร็ว 30 นำที รวมทังแนะนำกลุ่มตัวอย่ำงให้ปฏิบัติพฤติกรรมอย่ำงสม่ำเสมอและต่อเนื่อง หลังกำรทดลองเสร็จสินทันที (สัปดำห์ที่ 12) ผู้วิจัยขอควำมร่วมมือกลุ่มตัวอย่ำงตอบแบบสอบถำมชุด เดิม และให้ผู้ช่วยวิจัย ชั่งนำหนัก วัดส่วนสูง และวัดเส้นรอบเอวของกลุ่มตัวอย่ำง และนัดหมำยครังต่อไปเพื่อติดตำม ผลอีกครังในสัปดำห์ที่ 16 โดยประเมินผลเช่นเดียวกับหลังกำรทดลอง กำรวิเครำะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ วิเครำะห์ข้อมูลส่วนบุคคลโดยใช้กำรแจกแจงควำมถี่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน เปรียบเทียบค่ำเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก ดัชนีมวลกำย และเส้นรอบเอว ในระยะก่อนกำรทดลอง หลังกำรทดลองเสร็จสินทั นที และระยะติดตำมผล 4 สัปดำห์ โดยใช้สถิ ติวิเครำะห์ควำมแปรปรวนแบบวัดซ ำ (Repeated Measure Analysis of Variance)และหำกพบว่ำค่ำเฉลี่ยแตกต่ำงกันในแต่ระยะ ทำกำรทดสอบเป็น รำยคู่ด้วยวิธีกำรเปรียบเทียบเชิงพหุคูณแบบรำยคู่ด้วยวิธี Bonferroni’ s test ผลกำรวิจัย 1. ข้อมูลส่วนบุคคล พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงมีอำยุเฉลี่ย 50.13 ปี (S.D.= 8.28) ส่วนใหญ่สถำนภำพสมรส คู่ (ร้อยละ 80) มีกำรศึกษำระดับประถมศึกษำ (ร้อยละ 50) ประกอบอำชีพเกษตรกรรม (ร้อยละ 40) มีรำยได้เดือน ละ 5,000-10,000 บำท (ร้อยละ 36.7) 2. พฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงมีคะแนนพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักในระยะ หลังกำรทดลองเสร็จสินทันที และระยะติดตำมผล สูงกว่ำก่อนกำรทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 (F1.10, 31.91 = 19.42, p< .01) 3. ดัชนีมวลกำย พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงมีค่ำดัชนีมวลกำยในระยะหลังกำรทดลองเสร็จสินทันที และระยะ ติดตำมผลต่ำกว่ำก่อนกำรทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 (F1.39, 40.39 = 13.21, p< .01) 4. เส้นรอบเอว พบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงมีเส้นรอบเอวในระยะหลังกำรทดลองเสร็จสินทันที และระยะ ติดตำมผลต่ำกว่ำก่อนกำรทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 (F1.18,34.23 = 41.13, p< .01) ดังแสดงใน ตำรำงที่1และ 2

23


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 1 ผลกำรวิเครำะห์ควำมแปรปรวนของค่ำเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก ดัชนีมวลกำย และ เส้นรอบเอวกับระยะเวลำกำรทดลอง ด้วยกำรวิเครำะห์ควำมแปรปรวนแบวัดซำ แหล่งควำมแปรปรวน พฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก ระหว่ำงกลุ่ม ภำยในกลุ่ม รวม ดัชนีมวลกำย (กก./ตำรำงเมตร) ระหว่ำงกลุ่ม ภำยในกลุ่ม รวม เส้นรอบเอว (เซนติเมตร) ระหว่ำงกลุ่ม ภำยในกลุ่ม รวม

SS

df

MS

F

p-value

283.48 423.17 706.65

1.10 31.19 33.01

257.58

19.42 13.259

<.001

6.58 14.43 21.01

1.39 40.39 41.78

4.72

13.21 .35

<.001

275.26 194.06 469.32

1.18 34.23 35.14

233.7

41.13 5.56

<.001

ผลกำรเปรียบเทียบค่ำเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก ดัชนีมวลกำย และเส้นรอบเอว ในแต่ ละคู่ของระยะเวลำกำรทดลอง พบว่ำ ทุกคู่แตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ดังแสดงในตำรำงที่ 2 ตำรำงที่ 2 ผลกำรเปรียบเทียบผลต่ำงค่ำเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก ดัชนีมวลกำย และเส้นรอบเอว ในแต่ละระยะกำรทดลองเป็นรำยคู่ ด้วยวิธีกำรทดสอบแบบ Bonferroni (N=30) ก่อนกำรทดลอง พฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก ก่อนกำรทดลอง หลังกำรทดลอง ติดตำมผล ดัชนีมวลกำย (กก./ตร.เมตร) ก่อนกำรทดลอง หลังกำรทดลอง ติดตำมผล เส้นรอบเอว (ซม.) ก่อนกำรทดลอง หลังกำรทดลอง ติดตำมผล

หลังกำรทดลอง

ติดตำมผล

M= 74.03, SD= 9.16 M= 77.26, SD= 8.68 M= 78.16, SD= 8.50

3.23*

4.13* .90*

M= 28.05, SD=4.28 M= 27.65, SD= 4.19 M= 27.40, SD= 4.26

.40*

.65* .25*

M= 90.96, SD=9.52 M=87.70, SD= 9.32 M= 86.93, SD=8.96

3.26*

4.03* .77*

*p< .01 อภิปรำยผลและวิจำรณ์ผลกำรวิจัย พฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักของกลุ่มตัวอย่ำงพบว่ำ ในระยะหลังกำรทดลองเสร็จสินทันทีและระยะ ระยะติดตำมผลมีค่ำเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักสูงกว่ำก่อนกำรทดลอง รวมทังในระยะติดตำมผลมี

24


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ค่ำเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมสูงกว่ำระยะหลังกำรทดลองเสร็จสินทันทีอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตำม สมติฐำน อธิบำยได้ว่ำ กำรประยุกต์แนวคิดทฤษฎีกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองของแบนดูร่ำ ด้วยกำรจัดกิจกรรมให้ กลุ่มตัวอย่ำงได้พัฒนำกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองทัง 4 แหล่ง ได้แก่กำรตรวจวัดสัญญำณชีพก่อนดำเนินกิจกรรม ทุกครัง เพื่อเตรียมสภำวะด้ำนร่ำงกำย กำรใช้คำพูดชีแนะ โน้มน้ำว ให้กำลังใจ กำรอภิปรำย แลกเปลี่ยน เรียนรู้ เกี่ยวกับ ภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วน ควำมรู้ด้ำนโภชนำกำร ได้แก่ธงโภชนำกำร กำรอ่ำนฉลำกโภชนำกำร กำร คำนวณพลังงำนอำหำรรวมทังอำหำรทดแทนที่ให้พลังงำนต่ำ และให้ควำมรู้ด้ำนกำรออกกำลังกำยที่ช่วยเผำผลำญ ไขมันในร่ำงกำย ชนิดของกำรออกกำลังกำย และหลักกำรออกกำลังกำยที่ถูกต้อง และร่วมกันออกกำลังกำยด้วยกำร เดินเร็ว ครังละ 30 นำที รวมทังส่งเสริมอำรมณ์ทำงบวก เปิดโอกำสให้ซักถำม แสดงควำมคิดเห็นทังในกิจกรรมกลุ่ม และทำงโทรศัพท์เพื่อลดควำมวิตกกังวล และรับฟังปัญหำ นอกจำกนีให้กลุ่มตัวอย่ำงได้เห็นตัวแบบที่ดีมีกำรปฏิบัติ พฤติกรรมควบคุมนำหนักได้เหมำะสมและนำหนักตัวลดลงได้สำเร็จ กำรใช้คำพูดชักจูง โน้มน้ำวให้กลุ่มตัวอย่ำงเห็น ประโยชน์และคำดหวังผลดีจำกกำรปฏิบัติพฤติกรรมดังกล่ำว ทำให้กลุ่มตัวอย่ำงเกิดกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองว่ำ สำมำรถปฏิบัติพฤติกรรมควบคุมนำหนั กได้ และเมื่อเกิดควำมคำดหวังผลดีจำกกำรปฏิบัติดังกล่ำว ส่งผลให้กลุ่ม ตัวอย่ำงเกิดกำรปฏิบัติพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักอย่ำงสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ยั่งยืนสอดคล้องกับกำรศึกษำของ รุสนี วำอำยีตำ ที่พบว่ำภำยหลังกำรเข้ำร่วมโปรแกรมกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภำพ บุคลำกรโรงพยำบำลรำมันที่ มีภำวะนำหนักเกิน มีพฤติกรรมกำรดูแลตนเองสูงกว่ำก่อนเข้ำร่วมโปรแกรม และสอดคล้องกับกำรศึกษำของญำตำ แก่นเผือก, สุวรรณำ จันทร์ประเสริฐ และวรรณภำ อัศวชัยสุวิกรม ที่พบว่ำหญิงที่นำหนักกินในตำบลบ่อวิน อำเภอ ศรีรำชำ จังหวัดชลบุรีกลุ่มทดลองมีพฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำรและกำรออกกำลังกำยด้วยกำรเดินเร็วสูงกว่ำ กลุ่มควบคุม และสอดคล้องกับกำรศึกษำของอัญชนำสุขอนนท์, สมสมัย รัตนกรีฑำกุล และนิสำกร กรุงไกรเพชร ที่ พบว่ำนักเรียนที่มีภำวะโภชนำกำรเกินในเขตเทศบำลเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรีกลุ่มทดลองมีพฤติกรรมกำรบริโภค อำหำรและพฤติกรรมกำรเคลื่อนไหวร่ำงกำยสูงกว่ำกลุ่มเปรียบเทียบ ดัชนีมวลกำยและเส้นรอบเอว ในระยะหลังกำรทดลองเสร็จสินทันทีและระยะติดตำมผลกลุ่มตัวอย่ำงมี ค่ำดัชนีมวลกำยและเส้นรอบเอวต่ำกว่ำก่อนกำรทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตำมสมมติฐำน อธิบำยได้ว่ำ กำรจัดกิจกรรมต่ำง ๆ ที่สร้ำงเสริมให้กลุ่มตัวอย่ำงมีกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองว่ำ สำมำรถปฏิบัติ พฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักได้ และเกิดกำรคำดหวังผลดีจำกกำรปฏิบัติ ส่งผลให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและปฏิบัติ พฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักอย่ำงสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยเฉพำะกำรกระตุ้นให้กลุ่มตัวอย่ำงฝึกจัดเมนูสุขภำพ ฝึกกำรออกกำลังกำยด้วยกำรเดินเร็วครังละ 30 นำที ซึ่งเป็นกำรออกกำลังกำยที่ง่ำย สะดวก ไม่สินเปลืองค่ำใช้จ่ำย ส่งผลให้กลุ่มตัวอย่ำงออกกำลังกำยด้วยกำรเดินเร็วที่บ้ำนอย่ำงสม่ำเสมออย่ำงน้อยสัปดำห์ละ 5 วัน โดยที่กำรเดิน เร็วช่วยให้มีกำรเผำผลำญพลังงำนในร่ำงกำยเพิ่มขึน โดยร่ำงกำยจะสลำยไขมันออกมำใช้เป็นพลังงำน โดยเฉพำะ ไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้อง (Viseral fat) จะถูกสลำยมำใช้ก่อนกำรสลำยของไขมันที่สะสมใต้ผิวหนัง (Subcutaneous fat) เมื่อไขมันในช่องท้องลดลงจึงพบว่ำรอบเอวลดลง และนำหนั กลดลงทำให้ดัชนีมวลกำยลดลง นอกกจำกนีใน ระยะติดตำมผลพบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงมีค่ำดัชนีมวลกำยและเส้นรอบเอวน้อยกว่ำหลังกำรทดลองเสร็จสินทันที แสดงให้ เห็นว่ำกลุ่มตัวอย่ำงเกิดควำมคำดหวังผลดีของพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักและออกกำลังกำยด้วยกำรเดินเร็วอย่ำง สม่ำเสมอและต่อเนื่อง สอดคล้องกับกำรศึกษำของ ญำตำ แก่นเผือกและคณะ[12] ที่พบว่ำหญิงที่มีนำหนักเกินใน ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีรำชำ จังหวัดชลบุรีกลุ่มทดลองมีค่ำดัชนีมวลกำยและเส้นรอบเอวน้อยกว่ำกลุ่มควบคุม สอดคล้องกับนุชนำรถ นำจันทร์ ที่พบว่ำหญิงที่มีนำหนักเกินในกลุ่มทดลอง ภำยหลัง สินสุดกำรทดลองสัปดำห์ที่4

25


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

และสัปดำห์ที่ 8มีค่ำดัชนีมวลกำยแตกต่ำงจำกกลุ่มควบคุม รวมทังสอดคล้องกับกำรศึกษำของอุไรพรณ์ ทิดจันทึก สมำน พูลทวี เกศินี แซ่เล้ำ และวิชิต คะนึงสุขเกษม สรุปได้ว่ำ ผลของโปรแกรมกำรสร้ำงเสริมกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองตำมแนวคิดของแบนดูร่ำ โดย วิธีกำรให้หญิงที่มีนำหนักเกินได้พัฒนำกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเอง จำกแหล่งกำรรับรู้ควำมสำมำรถทัง 4 แหล่ง ได้แก่ กำรตรวจวัดสัญญำณชีพก่อนดำเนินกิจกรรมทุกครัง เพื่อเตรียมสภำวะด้ำนร่ำงกำย กำรใช้คำพูดชีแนะ โน้ม น้ำว ให้กำลังใจ กำรอภิปรำยแลกเปลี่ยน เรียนรู้ เกี่ยวกับภำวะนำหนักเกิน และกำรออกกำลังกำยที่ช่วยเผำผลำญ ไขมันในร่ำงกำย รวมทังให้หญิงที่มีนำหนักเกินได้ฝึกปฏิบัติกำรเดินเร็วร่วมกันครังละ 30 นำที รวมทังส่งเสริม อำรมณ์ทำงบวก เปิดโอกำสให้ซักถำม และแสดงควำมคิดเห็นทังในกิจกรรมกลุ่ม และทำงโทรศัพท์ รวมทั งรับฟัง ปัญหำ นอกจำกนีให้กลุ่มตัวอย่ำงได้เห็นตัวแบบบุคคลจริงที่ประสบผลสำเร็จในกำรควบคุมนำหนัก ทำให้หญิงที่มี นำหนักเกินเห็นประโยชน์และเกิดควำมคำดหวังผลดีจำกกำรปฏิบัติพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก จึงมีพฤติกรรม กำรควบคุมนำหนักเหมำะสมสูงขึนอย่ำงต่อเนื่อง ส่งผลให้นำหนักตัวลดลง ดัชนีมวลกำยลดลง และเส้นรอบเอว ลดลงได้ ข้อเสนอแนะ 1. หน่วยบริกำรสำธำรณสุข สำมำรถประยุกต์โปรแกรมนีไปใช้เป็นแนวทำงในกำรพัฒนำรูปแบบกำร ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักในกลุ่มหญิงอำยุ 30-59 ปีที่มีนำหนักเกินในชุมชน เพื่อเป็นกำรป้องกันและ ลดปัจจัยเสี่ยงงจำกกำรเจ็บป่วย อันจะเป็นกำรเพิ่มประสิทธิภำพของระบบบริกำรสุขภำพต่อไป 2. กำรจัดโปรแกรมกำรสร้ำงเสริมพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนัก ควรจัดให้มีกิจกรรมอย่ำงสม่ำเสมอ ทังด้ำนควำมรู้ และด้ำนกำรออกกำลังกำยที่เหมำะสม และต่อเนื่องในระยะเวลำ 6 เดือนหรือ 1 ปี 3. ในกำรทำวิจัยครังต่อไป ควรมีกำรวิจัยเพื่อติดตำมผลของโปรแกรมในระยะยำวกว่ำนี หรือติดตำม ผลเป็นช่วงเวลำในระยะ 6 เดือน และ 1 ปี เพื่อติดตำมควำมคงทนของพฤติกรรม กิตติกรรมประกำศ ผู้วิจัยขอขอบคุณนำงประกัญจิตร แย้มบู่ ผู้อำนวยกำรโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลบ้ำนคลองโอ่ง รวมทังเจ้ำหน้ำที่ทุกท่ำนที่ได้ให้ควำมเอือเฟื้อและอำนวยควำมสะดวกในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล และขอขอบคุณ ผู้เข้ำร่วมกำรวิจัยทุกท่ำน เอกสำรอ้ำงอิง เกศินี แซ่เลำ และวิชิต คะนึงสุขเกษม. (2555). ผลของกำรออกกำลังกำยด้วยกำรแกว่งแขน กำรเดิน และกำรเดิน ตำมด้วยกำรแกว่งแขนที่มีต่อสุขสมรรถนะของผูส้ ูงอำยุหญิง. วำรสำรวิทยำศำสตร์กำรกีฬำและ สุขภำพ. 13(1). 92-103. โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลบ้ำนคลองโอ่ง. (2560). รำยงำนผลงำนประจำเดือน. ชลบุรี กรมอนำมัย กระทรวงสำธำรณสุข. (2551). พิชิตอ้วน พิชิตพุง คนไทยไร้พุง.กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์กำรสงเครำะห์ ทหำรผ่ำนศึก. กำนดำ พูลลำภทวี. (2530). สถิติเพื่อกำรวิจัย. กรุงเทพฯ; ฟิสิกเซ็นเตอร์กำรพิมพ์. จุฬำภรณ์ รุ่งพิสุทธิพงษ์. (2548). กำรรักษำโรคอ้วนสำหรับแพทย์เวชปฏิบัต.ิ กรุงเทพ: หมอชำวบ้ำน.

26


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ญำตำ แก่นเผือก, สุวรรณำ จันทร์ประเสริฐ และวรรณิภำ อัศวชัยสุวกิ รม. (2557). ผลลัพธ์ของกำรกำกับตนเองใน กำรรับประทำนอำหำรและกำรเดินเร็วเพื่อควบคุมนำหนักของหญิงที่มีนำหนักเกิน. วำรสำร สำธำรณสุขมหำวิทยำลัยบูรพำ. 9(1). 104-116. นุชนำถ นำจันทร์. (2555). ผลของโปรแกรมกำรสร้ำงเสริมควำมสำมำรถแห่งตนต่อพฤติกรรมกำรควบคุม น้ำหนัก และค่ำดัชนีมวลกำยของหญิงที่มีน้ำหนักเกิน. (วิทยำนิพนธ์พยำบำลศำสตรมหำบัณฑิต). มหำวิทยำลัยนเรศวร. รุสนี วำอำยีตำ. (2556). ประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อกำรรับรู้ควำมสำมำรถของตนเอง กำรกำกับตนเอง พฤติกรรมกำรดูแลตนเองและกำรลดน้ำหนักของบุคลำกรที่มีภำวะน้ำหนักเกิน โรงพยำบำลรำมัน จังหวัดยะลำ. (วิทยำนิพนธ์วิทยำศำสตรมหำบัณฑิต). มหำวิทยำลัยมหำสำรคำม. สมำน พูลทวี. (2559). ผลของกำรเดิน 30 นำที ที่มีต่อควำมอดทนของระบบไหลเวียนเลือดและระบบหำยใจ และดัชนีมวลกำยของผู้หญิงที่มภี ำวะน้ำหนักเกิน. (วิทยำนิพนธ์ศกึ ษำศำสตรมหำบัณฑิต). มหำวิทยำลัยรำมคำแหง. สำนักสำรวจสุขภำพประชำชนไทย สถำบันวิจัยระบบสำธำรณสุข. (2553) รำยงำนกำรสำรวจสุขภำพประชำกร ไทย โดยกำรตรวจร่ำงกำยครั้งที่ 4 พ.ศ.2551-2552. (2553). นนทบุรี: บรัทเดอะกรำฟิโกซิสเต็มส์ จำกัด. สุพิณญำ คงเจริญ. (2560). โรคอ้วน:ภัยเงียบในยุคดิจิทัล. วำรสำรวิชำกำรมหำวิทยำลัยอีสเทิร์นเอเซีย ฉบับ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี.11(3). 22-29. อัญชนำ สุขอนนท์, สมสมัย รัตนกรีฑำกุล และนิสำกร กรุงไกรเพชร. (2559). ผลของโปรแกรมส่งเสริมกำรรับรู้ ควำมสำมำรถของตนต่อพฤติกรรมควบคุมนำหนักของนักเรียนที่มีภำวะโภชนำกำรเกินในเขตเทศบำล เมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี. วำรสำรพยำบำลสำธำรณสุข. 30(3). 26-35. อุไรพรณ์ ทิดจันทึก. (2554). ผลของโปรแกรมส่งเสริมกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยกำรควบคุมตนเองต่อ พฤติกรรมกำรบริโภคอำหำรและกำรเคลื่อนไหวออกแรงในผู้ที่มีภำวะน้ำหนักเกินในเขตเทศบำล เมืองร้อยเอ็ด อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด. (วิทยำนิพนธ์สำธำรณสุขศำสตรมหำบัณฑิต). มหำวิทยำลัย มหำสำรคำม. Bandura, A. (1997). Self-efficacy: The exercise of control. Newyork: W.H.Freeman and Company. Jinajin, S. and Kritpet, T. (2008).Effect of walking on health-related physical fitness in overweight working group. Journal of sports science and health.9(2). 46-62. WHO. Facts about Overweight and Obesity. สืบค้นเมื่อ 15กุมภำพันธ์ 2561. จำก http://www.who.int/publications/obesity

27


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-03 กำรศึกษำมำตรฐำนและกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำของครัวเรือนเพื่อสร้ำงควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชน A STANDARD STUDY AND DESIGN OF HOUSE’S ELECTRICAL PROTECTION SYSTEM FOR PROVIDE THE ELECTRICAL SAFETY TO COMMUNITY นฤมล วันน้อย1 1

Narumon Wannoi สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้าอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย ราชภัฏเพชรบูรณ์n_pue23@hotmail.com

บทคัดย่อ ในกำรศึกษำวิจัยนีได้ทำกำรศึกษำมำตรฐำนและหลักกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำพืนฐำนสำหรับครัวเรือน เพื่อสร้ำงควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชน โดยในกำรศึกษำนีได้มุ่งเน้นในกำรศึกษำกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำขนำด 1 เฟส ไฟฟ้ำกระแสสลับแรงดันต่ำ (220VAC) ซึ่งเป็นระบบไฟฟ้ำที่ใช้ในครัวเรือนและในชุมชน กำรออกแบบระบบ ไฟฟ้ำในกำรศึกษำนันจะแบ่งขันตอนในกำรศึกษำออกเป็นสองส่วนด้วยกันคือในส่วนแรกจะทำกำรศึกษำเพื่อหำ ขนำดสำยไฟฟ้ ำ ขนำดท่ อ ร้ อ ยสำย และอุ ป กรณ์ ตั ด ตอนที่ เ หมำะสมส ำหรั บ โหลดแสงสว่ ำ ง ในส่ ว นที่ ส องจะ ทำกำรศึกษำเพื่อหำขนำดสำยไฟฟ้ำขนำดท่อร้อยสำย และอุป กรณ์ตัดตอนที่เหมำะสม สำหรับโหลดกำลังเช่น เครื่องปรับอำกำศ โทรทัศน์ ตู้เย็น โดยอ้ำงอิงโหลดที่จำเป็นและมีใช้พืนฐำนในครัวเรือนซึ่งรวมในส่วน กำรหำขนำด ระบบกรำวด์ โดยในกำรศึกษำได้นำเสนอตัวอย่ำงกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำภำยในเพื่อใช้เป็นแนวทำงในกำรคำนวณ และออกแบบ ซึ่งผลในกำรศึกษำทังสองส่วนนีนันสำมำรถใช้เป็นเครื่องมือในกำรศึกษำและออกแบบระบบไฟฟ้ำใน ครัวเรือนเพื่อสร้ำงควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำสำหรับชุมชนได้ คำสำคัญ : มาตรฐานการออกแบบระบบไฟฟ้า; ระบบไฟฟ้าครัวเรือน; ความปลอดภัยด้านไฟฟ้า Abstract This research presents a standard study and design of house’s electrical systems for provides electrical safety to the community. In a study focuses on the design of electrical systems for single phase, low voltage (220VAC) which this electrical system used in households and communities. The design of the electrical system in a study is divided into two parts. The first part is to study the appropriate size of the electrical cable, conduit and circuit breaker for lighting loads. The first part is to study the appropriate size of the electrical cable, conduit and circuit breaker for power loads as Air conditioners, TVs, refrigerators with reference to the necessary loads and basic household appliances included to study the appropriate cable size of the electrical ground system. In this study results presented examples of internal electrical system design as a guideline for calculation and design. The results of these two studies can be used as a tool to study and design house’s electrical systems to provide electricity safety for the

28


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

community. Keywords: Electrical System Design Standard; House Electric System; Electrical Safe บทนำ ปัจจุบันในแต่ละครัวเรือนนันมีปริมำณกำรใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ำต่ำงๆ มำกมำยและมีแนวโน้มเพิ่มขึนเรื่อยๆ โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้คำนึงถึงระบบไฟฟ้ำของครัวเรือนว่ำมีขีดควำมสำมำรถในกำรรองรับอุปกรณ์ไฟฟ้ำที่จะเพิ่ม ขึนมำนันเหลืออยู่ประมำณเท่ำไร และต้องเพิ่มระบบไฟฟ้ำหรือไม่ ซึ่งปัญหำดังกล่ำวนันจะทำให้เกิดปัญหำกำรใช้ ไฟฟ้ำเกินพิกัดของอุปกรณ์หรือระบบไฟฟ้ำซึ่งอำจทำให้เกิดกำรลัดวงจร และเกิดเหตุเพลิงไหม้ได้และหำกระบบ ไฟฟ้ำที่ใช้ในครัวเรือนเป็นระบบไฟฟ้ำที่ไม่มีระบบกรำวด์หรือสำยดินนันยิ่งเพิ่มโอกำสกำรถูกไฟฟ้ำดูด จำกกำรรั่ว ของกระแสไฟฟ้ำจำกอุปกรณ์ซึ่งอำจทำให้เกิดอันตรำยถึงชีวิตได้ จำกอันตรำยดังกล่ำวนัน จำเป็นอย่ำงยิ่งที่ต้องมี กำรศึกษำมำตรฐำนกำรออกแบบและติดตังระบบป้องกันไฟฟ้ำเพื่อสร้ำงควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชน โดยใน งำนวิจัยนีมุ่งเน้นในกำรกำรศึกษำมำตรฐำนกำรออกแบบและติดตังระบบป้องกันไฟฟ้ำสู่ชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีควำม ปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำ ตระหนักถึงขีดจำกัดของอุปกรณ์ไฟฟ้ำและให้สำมำรถเข้ำใจหลักกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำตำม หลักมำตรฐำนกำรออกแบบเบืองต้นได้ ซึ่งเป้ำหมำยกำรถ่ำยทอดองค์ควำมรู้นันคือชุมชนบ้ำนติว ต.บ้ำนติว อ.หล่ม สัก เพชรบูรณ์ เพื่อใช้เป็นชุมชนต้นแบบในกำรศึกษำและพัฒนำระบบไฟฟ้ำสู่องค์กรปกครองท้อ งถิ่นและชุมชน ตำบลบ้ำนติว วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่อศึกษำมำตรฐำนกำรออกแบบและติดตังระบบป้องกันไฟฟ้ำตำมหลักวิศวกรรมไฟฟ้ำสำหรับ ครัวเรือน 2. เพื่อสร้ำงควำมปลอดภัยและลดควำมเสี่ยงจำกอันตรำยด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชน 3. เพื่อจัดกำรองค์ควำมรู้ด้ำนวิศวกรรมและควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ำสู่ชมชนบ้ำนติวเพื่อเป็นชุมชน ต้นแบบในกำรพัฒนำและยกระดับควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำ ขอบเขตกำรวิจัย ในกำรศึกษำวิจัยกำรศึกษำมำตรฐำนและกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำครัวเรือนเพื่อสร้ำงควำมปลอดภัยด้ำน ไฟฟ้ำสู่ชุมชนจะมุ่งเน้นกำรศึกษำมำตรฐำนกำรออกแบบและติดตังระบบป้อ งกันไฟฟ้ำกระแสสลับ ขนำด 1 เฟส แรงดัน (220VAC) ตำมหลักวิศวกรรมไฟฟ้ำโดยนำเสนอหลักกำรกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำให้เหมำะสมกับโหลดทำง ไฟฟ้ำในครัวเรือนพืนฐำน เพื่อเป็นแนวทำงในกำรศึกษำ ออกแบบและประเมินควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำ และใช้เป็น องค์ควำมรู้ด้ำนวิศวกรรมควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ำสู่ชุมชน วิธีดำเนินกำรวิจัย กำรศึกษำวิจัยกำรศึกษำมำตรฐำนและกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำครัวเรือนเพื่อสร้ำงควำมปลอดภัยด้ำน ไฟฟ้ำสู่ชุม ชนนันได้เ ริ่มจำกทำกำรศึกษำระบบไฟฟ้ำกระแสสลับแรงดั นต่ำและข้อมูลโหลดพืนฐำนที่ จำเป็นใน ครัวเรือนและศึกษำมำตรฐำน ในกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำระบบป้องกันและอุปกรณ์ตัดตอนกระแสไฟฟ้ำเพื่ออออก

29


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

แบบและติดตังระบบป้องกันไฟฟ้ำตำมหลักวิศวกรรมไฟฟ้ำ โดยแบ่งเป็น กำรประมำณโหลด หรือกำรคำนวณขนำด ของโหลด กำรหำขนำดสำยไฟฟ้ำ สำยกรำวด์ และขนำดอุปกรณ์ตัดตอน พร้อมกันนี จัดทำข้อเสนอแนะ ในกำร ออกแบบและติดตังระบบป้องกันไฟฟ้ำและรวบรวมผลกำรศึกษำวิจัยเพื่อจัดกำรองค์ควำมรู้ด้ำนวิศวกรรมและควำม ปลอดภัยทำงไฟฟ้ำสู่ชุมชน โดยสำมำรถแยกแยะได้ดังนี ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ชุมชน บ้ำนติว ต.บ้ำนติว อ.หล่มสัก เพชรบูรณ์ เครื่องมือวิจัย ข้อกำหนดมำตรฐำนกำรออกแบบระบบป้องกันไฟฟ้ำตำมหลักวิศวกรรมไฟฟ้ำ กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ได้จะทำกำรศึกษำและสำรวจข้อมูล ชนิดโหลดทำงไฟฟ้ำ รูปแบบและลักษณะกำรเดินสำยไฟ และระบบ อุปกรณ์ป้องกันทำงไฟฟ้ำในพืนที่เป้ำหมำย กำรวิเครำะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ข้อมูลชนิด โหลดทำงไฟฟ้ำ รูปแบบและลักษณะกำรเดินสำยไฟ และระบบอุปกรณ์ป้องกันทำงไฟฟ้ำ ผลกำรวิจัย กำรศึก ษำออกแบบและติ ด ตั งระบบป้ อ งกั น ไฟฟ้ ำ เพื่อ สร้ ำงควำมปลอดภั ยด้ ำ นไฟฟ้ ำ นันจะอ้ำ งอิ ง หลักกำรออกแบบตำมหลักหรือมำตรฐำนกำรติดตังทำงไฟฟ้ำของวิศวกรรมสถำนแห่งประเทศไทย (มำตรฐำน ว.ส.ท.) วิศวกรรมสถำนแห่งประเทศไทย ในพระบรมรำชูปถัมภ์ ซึ่งในกำรศึกษำนีได้มุ่งเน้นในกำรศึกษำออกแบบ ระบบป้องกันสำหรับ ระบบไฟฟ้ำ 1 เฟส ไฟฟ้ำกระแสสลับแรงดันต่ำ (220Vac) ซึ่งกำรคำนวณขนำดของโหลดนัน นิยมคำนวณในหน่วย VA (โวลท์-แอมป์) ซึ่งเป็นค่ำกำลังไฟฟ้ำปรำกฏ หรือเป็นค่ำที่เครื่องวัดทำงไฟฟ้ำสำมำรถวัดได้ จริง และเมื่อรวมค่ำทังหมดของโหลดแล้วสำมำรถที่จะคำนวณหำขนำดของหม้อแปลงและกำรกำหนดอุปกรณ์ ป้องกันได้ โดยค่ำกำลังไฟฟ้ำขนำด 1 เฟส ที่ระดับแรงดันไฟฟ้ำกระแสสลับ 220 VAC นันสำมำรถหำได้จำกสมกำร ที่ 1 (1) โดยปรกติปริมำณโหลดไฟฟ้ำบำงครังอำจไม่ได้บอกค่ำ VA (โวลท์-แอมป์) แต่อำจบอกค่ำในหน่วยวัตต์ (W) และหำกทรำบค่ำของอุปกรณ์ไฟฟ้ำในหน่วยวัตต์ (W) และทรำบค่ำเพำเวอร์แฟคเตอร์ของระบบก็สำมำรถหำค่ำ กำลังไฟฟ้ำปรำกฏได้จำกสมกำรที่ 2 ซึ่งค่ำในกำรคำนวณค่ำกำลังไฟฟ้ำปรำกฏจะถูกนำไปหำค่ำกระแสพิกัดในกำร หำขนำดของสำยไฟฟ้ำซึ่งจะได้อธิบำยในหัวข้อต่อไป (2) เมื่อ P คือ กำลังไฟฟ้ำ, V คือ แรงดันไฟฟ้ำ, I คือ ค่ำกระแสไฟฟ้ำ, S คือ ค่ำกำลังไฟฟ้ำปรำกฏ

30

คือค่ำเพำเวอร์แฟคเตอร์,


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ข้อกำหนดและมำตรฐำนกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำ กำรคำนวณหำค่ำขนำดสำยไฟฟ้ำ ขนำดอุปกรณ์ตัดตอน ตำมรูปแบบสำยไฟฟ้ำและลักษณะกำรเดิน สำยไฟฟ้ำดังแสดงในภำพที่ 1-4

ภำพที่ 1 รูปแบบและลักษณะกำรเดินสำยไฟฟ้ำแบบ 1-8 แบบ 1-8 เป็นตัวนำสำยไฟฟ้ำทองแดงหุ้มฉนวนพีวีซี มี/ไม่มีเปลือกนอก สำหรับขนำดแรงดันไม่เกิน 0.6/1 กิโลโวลต์ อุณหภูมิตัวนำ 70 ºC อุณหภูมิโดยรอบ 40 ºC เดินในช่องเดินสำยในอำกำศทังแบบแกนเดียวและ หลำยแกน

ภำพที่ 2 รูปแบบและลักษณะกำรเดินสำยไฟฟ้ำแบบ 9-10 แบบ 9-10 เป็นตัวนำทองแดง หุ้มฉนวน มีเปลือกนอก สำหรับขนำดแรงดันไม่เกิน 0.6/1 กิโลโวลต์ อุณหภูมิตัวนำ 70 หรือ 90 ºC อุณหภูมิโดยรอบ 40 ºC เดินเกำะผนังในอำกำศแบบแกนเดียวและหลำยแกนทัง แบบสำยแบนและกลม

ภำพที่ 3 กลุ่มรูปแบบและลักษณะกำรเดินสำยไฟฟ้ำแบบ 12-13 แบบ 12-13 เป็นตัวนำทองแดงแกนเดียวหุ้มฉนวนพีวีซี มอก.11-2553 สำหรับขนำดแรงดันไม่เกิน 450/750 โวลต์อุณหภูมิตัวนำ 70 ºC อุณหภูมิโดยรอบ 40 ºC เดินบนฉนวนลูกถ้วยในอำกำศทังแบบแกนเดียวและ หลำยแกน และ D คือเส้นผ่ำนศูนย์กลำงของสำยไฟ

31


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภำพที่ 4 รูปแบบและลักษณะกำรเดินสำยไฟฟ้ำแบบ 14-16 แบบ 14-16 เป็นสำยไฟฟ้ำตัวนำทองแดงหุ้มฉนวนพีวีซี มีเปลือกนอก สำหรับขนำดแรงดันไม่เกิน 0.6/1 กิโลโวลต์ อุณหภูมิตัวนำ 70 ºC อุณหภูมิโดยรอบ 30 ºC ร้อยท่อฝังดินหรือฝังดินโดยตรงทังแบบแกนเดียวและ หลำยแกน และพิกัดกระแสของสำยไฟของสำยไฟตำมลักษณะกำรเดินสำยไฟแบบต่ำงๆ ดังแสดงในตำรำงที่ 1 และ 2 ตำรำงที่ 1 ขนำดสำยไฟและกระแสตำมแต่ลักษณะกำรเดินสำยแบบ 1-9

ขนำด สำย

1 1.5 2.5 4 6 10 16 25 35 50 70 95 120 150 185 240 300 400 500

แบบ 1

แบบ 2

2

2

ขนำดกระแสตำมแต่ลักษณะกำรเดินสำย แบบ 3 แบบ 4 แบบ 5 แบบ 6 ขนำดตัวนำกระแส 3 3 2 2

แบบ 7

แบบ 8

3

3

60227 IEC 01, 60227 IEC 02, 60227 IEC 05, 60227 IEC 06, 60227 IEC 10, NYY, NYYG, VCT, VCT-G, IEC 60502-1 และสำยที่มีคุณสมบิตพิเศษต่ำงๆ เน สำยทนไฟ, สำยไรฮำโลเจน, สำยควันน้อย 10 10 9 9 12 11 10 10 13 12 12 11 15 14 13 13 17 16 16 15 21 20 18 17 23 22 21 20 28 26 24 23 30 28 27 25 36 33 31 30 40 37 37 34 50 45 44 40 53 50 49 45 66 60 59 54 70 65 64 59 88 78 77 70 86 80 77 72 109 97 96 86 104 96 94 86 131 116 117 103 131 121 118 109 167 146 149 130 158 145 143 131 202 175 180 156 183 167 164 150 234 202 208 179 209 191 188 171 261 224 228 196 238 216 213 194 297 256 258 222 279 253 249 227 348 299 301 258 319 291 285 259 398 343 343 295 475 406 545 464 -

32


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 2 ขนำดสำยไฟและกระแสตำมแต่ลักษณะกำรเดินสำยแบบ 10-16 แบบ 9 ขนำด สำย

1 1.5 2.5 4 6 10 16 25 35 50 70 95 120 150 185 240 300 400 500

2 VAF, VAF-G 14 17 23 32 41 56 74 -

ขนำดกระแสตำมแต่ลักษณะกำรเดินสำย แบบ 10 แบบ 11 แบบ 12 แบบ 13 แบบ 14 แบบ 15 แบบ 16 ขนำดตัวนำกระแส ไม่เกิน 3 2 3 ไม่เกิน 3 NYY,NYY-G, NYY, 60227 IEC01, IEC 10, 60227 IEC NYY, NYY-G, IEC 60502-1 IEC60502-1 NYY IEC60502-1 12, 16 12, 15 17 15 21 16, 21 15, 20 21 19 26 22, 28 21, 27 28 25 35 29, 37 28, 36 30 37 36 33 45 37, 49 36, 47 39 48 46 41 57 51, 67 50, 65 56 67 62 55 76 69, 90 66, 87 78 92 81 72 99 90, 118 84, 108 113 127 106 94 128 112, 147 104, 134 141 157 129 114 154 145, 190 125, 163 171 191 153 136 181 186, 244 160, 208 221 244 190 168 223 227, 297 194, 253 271 297 232 204 267 264, 345 225, 293 315 345 265 234 304 304, 397 260, 338 365 397 303 266 342 348, 455 297, 380 418 453 344 303 386 411, 537 351, 455 495 535 404 361 448 474, 620 404, 524 573 617 462 404 507 552, 722 692 741 529 462 577 629, 823 605 527 654

ชนิดของโหลดนันจะอ้ำงอิงค่ำแฟคเตอร์ตัวคูณพิกัดกระแสโดยอ้ำงอิงอุณหภูมิโดยรอบในหน่วยองศำ เซลเซียสดังแสดงในตำรำงที่ 3 และสำหรับในกำรคำนวณหำขนำดมำตรฐำนอุปกรณ์ตัดตอน (Circuit Breaker) และกำรคำนวณหำขนำดจำนวนสำยไฟในท่อร้อยสำยตำมมำตรฐำนดังแสดงในตำรำงที่ 4 และ 5 ซึ่งมำตรฐำนกำร ติดตังทำงไฟฟ้ำของวิศวกรรมสถำนแห่งประเทศไทย

33


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 3 ค่ำแฟคเตอร์ตัวคูณพิกัดกระแสของสำยไฟ อุณหภูมิ โดยรอบ องศำ เซลเซียส 16-20 21-25 26-30 31,-35 36,-40 41,-45 46,-50 51,-55 56-60 61-65 66-70

เดินในอำกำศ

เดินใต้ดิน

PVC

XLPEหรือEPR

เอ็มไอ 70c

เอ็มไอ 150c

PVC

XLPEหรือEPR

1.29 1.22 1.15 1.08 1 0.91 0.82 0.7 0.57 -

1.19 1.14 1.1 1.05 1 0.96 0.9 0.84 0.78 0.71 0.64

1.34 1.26 1.18 1.09 1 0.91 0.79 0.67 0.53 -

1.16 1.13 1.09 1.04 1 0.96 0.91 0.87 0.82 0.76 0.7

1.12 1.07 1 0.94 0.87 0.8 0.71 0.62 0.51 -

1.08 1.03 1 0.96 0.91 0.86 0.82 0.76 0.7 0.65 0.57

ตำรำงที่ 4 ขนำดมำตรฐำนอุปกรณ์ตดั ตอน (CB: Circuit Breaker) พิกัดกระแสโครง 50 100 225 400 600 800 1000 1200 1600 2000

พิกัดกระแสตัด 5, 6, 10, 15, 20, 25, 30, 35, 40, 50 15 20 25 30 35 40 50 60 70 80 90 100 125 150 175 200 225 125 150 175 200 225 250 300 350 400 450 500 600 600 700 800 800 900 1000 800 1000 1200 1000 1200 1600 1200 1600 2000

34

อัตรำพิกัดกระแสตัดลัดวงจร ที่แรงดันพิกัด 220Vac 2.5-10 (85) 7.5-35 (85) 15-42 (85) 30-50 (85) 30-50 (85) 50-85 (130) 60-85 (130) 70-85 (130) 70-130 70-130


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 5 จำนวนสำยไฟสูงสุดในท่อร้อยสำยตำมขนำดสำยไฟ ขนำดสำยไฟ (mm2) 1 1.5 2.5 4 6 10 16 25 เส้นผ่ำนศูนย์กลำง ท่อร้อยสำย (mm)

จำนวนสำยไฟสูงสุดในท่อร้อยสำย 7 6 4 3 2 1 1 1

13 11 8 5 4 3 1 1

20 17 13 9 7 4 3 1

33 28 22 15 12 7 5 3

44 34 23 19 12 9 5

36 29 19 14 9

32 23 15

36 23

29

15

20

25

32

40

50

65

80

90

กำรคำนวณหำขนำดสำยไฟตำมลักษณะกำรเดินสำย ขนำดอุปกรณ์ตัดตอน สำหรับโหลดแสงสว่ำง ในกำรคำนวณหำขนำดสำยไฟฟ้ำสำหรับหลอดไส้และหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ หลอดไส้นันค่ำเพำเวอร์ แฟคเตอร์นันจะมีค่ำเป็นหนึ่งแต่สำหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์นันจะต้องคำนึงถึงค่ำเพำเวอร์แฟคเตอร์ด้วย ซึ่งตำม มำตรฐำนกำรติดตังทำงไฟฟ้ำ สำหรับประเทศไทย อนุญำตให้ใช้สำยขนำดเล็กสุด ของวงจรแสงสว่ำงคือสำยขนำด 2.5 ตำรำงมิลลิเมตร (sq. mm.) ขนำดของสำย ทนกระแสไดมำกกว่ำ 125% ของพิกัดกระแสทังหมดของวงจรย่อย และเลือกสำยไฟฟ้ำตำมชนิดและลักษณะกำรติดตังของสำยไฟฟ้ำ ส่วนขนำดอุปกรณ์ตัดตอน (CB) ป้องกันที่ 80% ของขนำดพิกัดสูงสุดของพิกัดกระแสของ สำยไฟฟ้ำตำมชนิดและลักษณะกำรติดตังของสำยชนิดนันๆ กำรคำนวณหำขนำดสำยไฟตำมลักษณะกำรเดินสำย ขนำดอุปกรณ์ตัดตอน สำหรับโหลดไฟฟ้ำกำลัง ขนำดสำย กรำวด์และมิเตอร์ โหลดไฟฟ้ำกำลังสำมำรถแบ่งกำรคำนวณตำมชนิดของโหลดได้ดังนี 1. โหลดจุดต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ำ จะคำนวณตำมกระแสใช้งำนจริงจำกป้ำยพิกัดของเครื่องใช้ไฟฟ้ำ 2. โหลดจุดต่อเต้ำรับไฟฟ้ำแบบใช้งำนหนัก ให้คิดจุดละ 3 A 3. โหลดจุดต่อเต้ำรับไฟฟ้ำแบบทั่วไป กำรคิดโหลดของเต้ำรับให้คิดจุดละ 180VA / เต้ำรับ 4. โหลดเครื่องปรับอำกำศ ขนำดสำยตัวนำ คอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอำกำศชนิดหนึ่งอำจจะจัด ให้อยู่ในกลุ่มของ มอเตอร์ที่ใช้งำนไม่ต่อเนื่อง ใช้ค่ำของมอเตอร์ใช้งำนต่อเนื่อง (125%) ได้ 5. ขนำดสำยตำมมำตรฐำนของกำรไฟฟ้ำฯ สำหรับโหลดไฟฟ้ำกำลังอนุญำตให้ใช้สำยขนำดเล็กที่สุด คือสำยขนำด 2.5 ตร.มม. สำหรับสำยดิน ส่วนสำยดินของบริภัณฑ์หำกคิดตำมพิกัดหรือขนำดปรับตังของเครื่อง ป้องกันกระแสนันนันสำมำรถแสดงในตำรำงที่ 6 6. ตัวนำประธำนสำยอำนำศสำหรับระบบแรงต่ำ ต้องเป็นสำยทองแดงหุ้มฉนวนที่ เหมำะสมและต้อง มีขนำดไม่เล็กกว่ำ 4 ตร.มม. กำรไฟฟ้ำส่วนภูมิภำคยอมให้ใช้สำยอะลูมิเนียม หุ้มฉนวนที่เหมำะสมเป็นตัวนำประธำน ได้เฉพำะกำรเดินสำยลอยในอำกำศบนวัสดุภำยนอก อำคำร แต่ทังนีขนำดต้องไม่เล็กกว่ำ 10 ตร.มม. ส่วนตัวนำ

35


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ประธำนใต้ดินสำหรับระบบแรงต่ำ ต้องเป็นสำยทองแดงหุ้มฉนวนชนิดที่ เหมำะสมกับลักษณะกำรติดตัง และต้องมี ขนำดไม่เล็กกว่ำ 10 ตร.มม. ตำรำงที่ 6 ขนำดสำยดินของบริภัณฑ์ พิกัดหรือขนำดปรับตังของเครื่องป้องกันกระแส 20 40 70 100 200 400

ขนำดของสำยดิน 2.5 ตร.มม. 4 ตร.มม. 6 ตร.มม. 10 ตร.มม. 16 ตร.มม. 25 ตร.มม.

ตำรำงที่ 7 ขนำดมิเตอร์และสำยประธำน ขนำดมิเตอร์ 1P,2W,220Vac 5(15) 15(45) 30(100)

ขนำดโหลดสูงสุด (A) 12 36 80

ขนำดสำยตัวนำประธำน อลูมิเนียม ทองแดง 16 6 25 10 50 50

บริภัณฑ์ประธำน คัทเอำต์/ฟิวส์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ (A) 20/16 15-16 25 40-50 50 100

กำรหำขนำดสำยป้อน ขนำดอุปกรณ์ตัดตอน (Circuit Breaker) และมิเตอร์ซึ่งขันตอนในกำรคำนวณ หำขนำดสำยป้อนทำได้ดังนี รวมโหลดในทุกวงจรย่อย จะได้โหลดทังหมดของแผงควบคุมไฟฟ้ำย่อย ซึ่งจะนำมำ คำนวณหำขนำดสำยป้อน ใช้ค่ำโหลดมำคำนวณหำขนำดสำยป้อนและขนำดอุปกรณ์ตัดตอนดังสมกำรที่ 3 และใน ส่วนของขนำดของมิเตอร์และสำยประธำนสำมำรถแสดงดังตำรำงที่ 7 ขนำดสำยป้อน = 125% x พิกัดกระแส - ขนำด CB = 80% x พิกัดกระแสสูงสุดของสำย (3) กำรสร้ำงควำมปลอดภัยและลดควำมเสี่ยงจำกอันตรำยด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชน กำรสร้ำงควำมปลอดภัยและลดควำมเสี่ยงจำกอันตรำยด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชนได้ทำกำรจัดกำรองค์ควำมรู้ ด้ำนวิศวกรรมและควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ำสู่ชุ มชน โดยให้ควำมรู้ด้ำนกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำตำมมำตรฐำนกำร ติดตังทำงไฟฟ้ำของวิศวกรรมสถำนแห่งประเทศไทยแก่ชุมชนโดยได้อธิบำยหลักในกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำเบืองต้น ซึ่งได้ยกตัวอย่ำงกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำภำยในบ้ำน ตำมที่ได้สำรวจชนิดของโหลดที่มีใช้อยู่ในแต่ละครัวเรือนเพื่อ เป็นแนวทำงในกำรออกแบบและประเมินควำมปลอดภัยรวมถึงกำรสร้ำงควำมตระหนักกำรใช้ปริมำณไฟฟ้ำและขีด ควำมสำมำรถของอุปกรณ์ที่มีอยู่ ซึ่งผลกำรศึกษำระบบไฟฟ้ำบ้ำนเรือนในชุมชนตัวอย่ำงนันพบว่ำบ้ำนเรือนส่วนใหญ่ นันใช้สำยไฟฟ้ำแบบ สำยไฟฟ้ำ VAF (VAF Cable Wire) สำยไฟฟ้ำที่หุ้มด้วยฉนวนและหุ้มทับด้วยเปลือก ชนิดสำย แบนเป็นสำย และสำยชนิด ทีเอ็นวำยวำย (NYY) เป็นสำยเดี่ยว และลักษณะกำรเดินสำยไฟฟ้ำนันมีทัง สำยแกน เดียวหุ้มฉนวนเดินในอำกำศ, สำยแบนหุ้มฉนวนมีเปลือกเดินเกำะผนัง, สำยแกนเดียวหุ้มฉนวนไม่เกิน 3 เส้น เดินใน

36


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

อำกำศในท่อฝังในผนังปูนฉำบ หรือในท่อในฝ้ำเพดำน โดยใช้ท่อพีวีซี และท่อเหล็ก ดังนันในกำรศึกษำจึงได้ได้ นำเสนอกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำครัวเรือนเพื่อให้ครอบคลุมผลกำรสำรวจเพื่อใช้เป็นตัวอย่ำงในกำรศึกษำโดย กำหนดให้ระบบไฟฟ้ำมีวงจรย่อยดังนี 1. ระบบแสงสว่ำงโดยใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ ขนำด 36 W (Low P.F.) จำนวน 12 หลอด และ กำหนดให้เดินสำยชนิด NYY ในท่อร้อยสำยแบบ 5 2. เครื่องปรับอำกำศ 1200BTU 2 เครื่อง เดินสำยแบบสำยแบนหุ้มฉนวนมีเปลือกเดินเกำะผนังโดย แบ่งเป็นสองวงจร แบบ 9 3. มีโหลดจุดต่อเต้ำรับไฟฟ้ำแบบใช้งำนทั่วไป 15 จุด เดินสำยแบบสำยแบนหุ้มฉนวนมีเปลือกเดิน เกำะผนัง แบบ 9 4. มีโหลดจุดต่อหรือจุดต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ำอีก 3 จุดได้แก่ ตู้เย็น 2000VA เครื่องซักผ้ำ 2000 VA ทีวี 1000VA ซึ่งทังหมดเดินสำยแบบสำยแบนหุ้มฉนวนมีเปลือกเดินเกำะผนัง แบบ 9 5. สำยประธำนเชื่อมต่อเข้ำบ้ำนเป็นแบบสำยแกนเดียวหุ้มฉนวนเดินในอำกำศ แบบ 12 ดังนันสำมำรถหำขนำดสำย ขนำดอุปกรณ์ตัดตอนแต่ละวงจรย่อย และขนำดสำยประธำนและขนำด อุปกรณ์ตัดตอนหลักได้ดังนี วงจรย่อยระบบแสงสว่ำงโดยใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดฟลูออเรสเซนต์ ขนำด 36 W (Low P.F.) 1 หลอด พิกัดโหลด จำกตำรำงพิกัดโหลดไฟฟ้ำ ตำม มำตรฐำนกำรติดตังทำงไฟฟ้ำจะได้ 100VA ดังนัน หลอดฟลูออเรสเซนต์ ขนำด 36 W (Low P.F.) 12 หลอด พิกัดโหลด 12x100= 1200 VA ดังนันพิกัดกระแส จะได้ 1200/220 = 5.454 A ดังนัน ขนำดของสำยไฟ จะได้ 5.454x1.25 = 6.18 A เลือกใช้สำยชนิด NYY เดินในท่อร้อยสำย แบบ 5 ได้ขนำด 2.5 ตร.มม. (21A) ขนำดของท่อร้อยสำย สำยไฟฟ้ำจำนวน 2 เส้นเลือกใช้ท่อขนำดขนำด 15 มม. ส่วน ขนำดอุปกรณ์ป้องกัน (ให้ใช้กระสูงสุดของขนำดสำย) จะได้ 21x0.8 = 16.8 A เลือกใช้อุปกรณ์ตัดตอนขนำด 15AT/50AF สูงกว่ำขนำดโหลดและต่ำกว่ำพิกัดอุปกรณ์ป้องกัน วงจรย่อย เครื่องปรับอำกำศ 1200BTU มีขนำด 1500VA มีขนำดกระแสพิกัดขนำด 1500/220 = 6.81 A ขนำดของสำยไฟฟ้ำ 125% ของพิกัดกระแสของ เครื่องปรับอำกำศ = 6.81x1.25 = 8.51 A เลือกขนำดของสำยไฟ 2.5 ตร.มม. ที่ 23 A ดังนันขนำดอุปกรณ์ป้องกัน 80% ของพิกัดกระแสสูงสุดของสำย = 23x0.8 = 18.4A เลือกใช้อุปกรณ์ตัดตอนขนำด 15AT/50AF สูงกว่ำขนำด โหลดและต่ำกว่ำพิกัดอุปกรณ์ป้องกันซึ่งออกแบบให้เป็นสองชุดวงจร วงจรย่อย จุดต่อเต้ำรับไฟฟ้ำแบบทั่วไป 15 จุด แบบเต้ำคู่ ในกำรคำนวณและออกแบบขนำดสำยไฟและขนำดอุปกรณ์ป้องกัน โหลดจุดต่อเต้ำรับไฟฟ้ำแบบทั่วไป ให้คิดจุดละ 180VA ดังนันจะได้โหลดรวมวงจรย่อย = 180VAx15 = 2700 VA ขนำดกระแส = 2700/220 Vac = 12.27 A ขนำดของสำยไฟฟ้ำ 125% ของพิกัดกระแสของกระแส โหลดจะได้ 8.18x1.25 = 15.34 A เลือกขนำดของสำยไฟ 2.5 ตร.มม. ที่ 23 A เนื่องจำกขนำดสำย ตำมมำตรฐำน ของกำรไฟฟ้ำฯ อนุญำตให้ใช้สำยขนำดเล็กทีส่ ุดคือสำยขนำด 2.5 ตร.มม. สำหรับโหลดไฟฟ้ำกำลัง ขนำดอุปกรณ์ป้องกัน 80%ของพิกัดกระแสสูงสุดของสำย = 23x0.8 = 18.4A เลือกใช้อุปกรณ์ตดั ตอน ขนำด 15AT/50AF สูงกว่ำขนำดโหลดและต่ำกว่ำพิกัดอุปกรณ์ป้องกัน

37


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วงจรย่อย จุดต่อสำหรับ ตู้เย็น ขนำด 2000VA จำนวน 1 เครื่อง ขนำดกระแสพิกัด 2000/220 Vac = 9.09 A ขนำดของสำยไฟฟ้ำ 125% ของพิกัดกระแสของเครื่องปรับอำกำศ = 9.09x1.25 = 11.36 A เลือก ขนำดของสำยไฟ 2.5 ตร.มม. ที่ 23 A เนื่องจำกขนำดสำย ตำมมำตรฐำนของกำรไฟฟ้ำฯ อนุญำตให้ใช้สำยขนำด เล็กที่สุด คือสำยขนำด 2.5 ตร.มม. สำหรับโหลดไฟฟ้ำกำลัง ขนำดอุปกรณ์ป้องกัน 80%ของพิกัดกระแสสูงสุดของสำย = 23x0.8 = 18.4A เลือกใช้อุปกรณ์ตัดตอน ขนำด 15AT/50AF สูงกว่ำขนำดโหลดและต่ำกว่ำพิกัดอุปกรณ์ป้องกัน วงจรย่อย จุดต่อสำหรับ เครื่องซักผ้ำ ขนำด 2000 VA จำนวน 1 เครื่อง ขนำดกระแสพิกัด 2000/220 Vac = 9.09 A ขนำดของสำยไฟฟ้ำ 125% ของพิกัดกระแสของเครื่องปรับอำกำศ = 9.09x1.25 = 11.36 ดังนันเลือก ขนำดของสำยไฟ 2.5 ตร.มม. ที่ 20 A เนื่องจำกขนำดสำย ตำมมำตรฐำนของกำรไฟฟ้ำฯ อนุญำตให้ใช้สำยขนำด เล็กที่สุดคือสำยขนำด 2.5 ตร.มม.. สำหรับโหลดไฟฟ้ำกำลัง ขนำดอุปกรณ์ป้องกัน 80%ของพิกัดกระแสสูงสุดของสำย = 23x0.8 = 18.4A เลือกใช้อุปกรณ์ตัดตอนขนำด 15AT/50AF สูงกว่ำขนำดโหลดและต่ำกว่ำพิกัดอุปกรณ์ป้องกัน วงจรย่อย จุดต่อสำหรับ ทีวี ขนำด 1000VA จำนวน 1 เครื่อง ขนำดกระแสพิกัด 1000/220 Vac = 4.54 A ขนำดของสำยไฟฟ้ำ 125% ของพิกัดกระแสของ ทีวี = 4.54x1.25 = 5.67 A เลือกขนำดของสำยไฟ 2.5 ตร.มม. ที่ 23 A เนื่องจำกขนำดสำย ตำมมำตรฐำนของกำรไฟฟ้ำฯ อนุญำตให้ใช้สำยขนำดเล็กที่สุดคือสำย ขนำด 2.5 ตร.มม. สำหรับโหลดไฟฟ้ำกำลัง ขนำดอุปกรณ์ป้องกัน 80%ของพิกัดกระแสสูงสุดของสำย = 23x0.8 = 18.4A เลือกใช้อุปกรณ์ตัดตอน ขนำด 15AT/50AF สูงกว่ำขนำดโหลดและต่ำกว่ำพิกัดอุปกรณ์ป้องกัน ขนำดสำยประธำนและขนำดอุปกรณ์ตัดตอนหลัก แบบสำยแกนเดียวหุ้มฉนวนเดินในอำกำศ จำกกำรคำนวณโหลดวงจรย่อยต่ำงๆสำมำรถสรุปได้ดังนี 1. พิกัดกระแสโหลด หลอดฟลูออเรสเซนต์ คือ 5.45 A 2. พิกัดกระแสโหลด เครื่องปรับอำกำศ 1200BTU เครื่องที่ 1 คือ 6.81 A 3. พิกัดกระแสโหลด เครื่องปรับอำกำศ 1200BTU เครื่องที่ 2 คือ 6.81 A 4. พิกัดกระแสโหลด จุดต่อเต้ำรับไฟฟ้ำแบบทั่วไป 15 จุด คือ 12.27 A 5. พิกัดกระแสโหลด จุดต่อสำหรับ ตูเ้ ย็น ขนำด 2000VA จำนวน 1 เครื่อง คือ 9.09 A 6. พิกัดกระแสโหลด จุดต่อสำหรับ เครื่องซักผ้ำ ขนำด 2000VA จำนวน 1 เครื่อง คือ 9.09 A 7. พิกัดกระแสโหลด จุดต่อสำหรับ ทีวี ขนำด 1000VA จำนวน 1 เครื่อง คือ 4.54 A ดังนัน พิกัดกระแสโดยรวม = 5.45+6.81+6.81+12.27+9.09+9.09+4.54= 54.06A ที่แรงดัน 220Vac ขนำดของสำยไฟฟ้ำ 125% ของพิกัดกระแสของ ทีวี = 54.06x1.25 = 67.57 A เลือกขนำดของสำยไฟ 16 ตร.มม. ที่ 78 A, ขนำดอุปกรณ์ป้องกัน 80%ของพิกัดกระแสสูงสุดของสำย = 78x0.8 = 62.4 A เลือกใช้อุปกรณ์ตัดตอนขนำด 60AT/100AF สูงกว่ำขนำดโหลดและต่ำกว่ำพิกดั อุปกรณ์ป้องกัน

38


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สรุปผลและวิจำรณ์ผลกำรวิจัย กำรศึกษำมำตรฐำนในกำรออกแบบติดตังระบบไฟฟ้ำสำหรับครัวเรือนนันได้มุ่งเน้นเพื่อสร้ำงควำม ปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชน โดยได้ศึกษำมำตรฐำนกำรออกแบบเบืองต้นในกำรศึกษำและคำนวณหำขนำดของสำย ขนำดของอุปกรณ์ตัดตอน (Circuit breaker) ทังระบบวงจรย่อยและระบบหลัก คือขนำดของสำยประธำน ขนำด ของอุปกรณ์ตัดตอนหลัก โดยมุ่งเน้นในกำรศึกษำออกแบบระบบไฟฟ้ำขนำด 1 เฟส ไฟฟ้ำกระแสสลับแรงดันต่ำ (220VAC) ซึ่งเป็นระบบไฟฟ้ำที่ใช้ในครัวเรือนและในชุมชน ในส่วนกำรสร้ำงควำมปลอดภัยและลดควำมเสี่ยงจำก อันตรำยด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชนได้ทำกำรจัดกำรองค์ควำมรู้ด้ำนวิศวกรรมและควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ำสู่ชุ มชน โดยให้ ควำมรู้ด้ำนกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำตำมมำตรฐำนกำรติดตังทำงไฟฟ้ำของวิศวกรรมสถำนแห่งประเทศไทยแก่ชุมชน โดยได้อธิบำยหลักในกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำเบืองต้น ซึ่งได้ยกตัวอย่ำงในกำรศึกษำวิจัยนีเป็นเพียงตัวอย่ำงในกำร คำนวณซึ่งแต่ละครั วเรือนปริมำณกำรใช้โหลดไฟฟ้ำและลักษณะกำรเดิน ของสำยไฟก็จะเดินไม่เหมือนกัน แต่ หลักกำรออกแบบพืนฐำนนีสำมำรถนำไปใช้ในกำรพิจำรณำกำรออกแบบเบืองต้นได้หรือแม้ในกำรออกแบบเพื่อต่อ เติมหรือกำรประเมินระบบไฟฟ้ำเพื่อที่จะเพิ่มโหลดในบ้ำนว่ำขนำดสำย และขนำดอุปกรณ์ที่มีอยู่ สำมำรถรองรับ ประมำณโหลดที่จะเพิ่มขึนมำได้หรือไม่ หรือต้องพิจำรณำแยกวงจรย่อย ซึ่งหลักกำรออกแบบนีจะสำมำรถสร้ำง ควำมตระหนักในกำรใช้พลังงำนไฟฟ้ำซึ่งเป็นกำรสร้ำงควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำต่อครัวเรือนและชุมชนเพิ่มขึน ข้อเสนอแนะ จำกผลกำรศึกษำเป็นเพียงยกตัวอย่ำงโหลดที่จำเป็นในครัวเรือนและลักษณะเดินสำยไฟฟ้ำตำมที่ได้ สำรวจเจอซึ่งหำกมีกำรเดินสำยไฟฟ้ำในรูปแบบอื่นๆ หรือมีกำรเดินในที่อุณหภูมิที่สูงซึ่งแฟคเตอร์เหล่ำนีผลต่อกำร ออกแบบซึ่งต้องนำมำพิจำรณำร่วมด้วย โดยในกำรออกแบบพืนฐำนเป็นเพียงกำรออกแบบพืนฐำนสำหรับแรงดัน ไฟฟ้ำกระแสสลับ 220VAC 1 เฟส เท่ำนันหำกเป็นระบบ 3 เฟสจำเป็นต้องศึกษำกำรคำนวณกำลังไฟฟ้ำและ มำตรฐำนกำรติดตังเพิ่มเติม กิตติกรรมประกำศ ขอขอบคุณมหำวิทยำลัยรำชภัฏเพชรบูรณ์ ที่ให้กำรสนับสนุนทุนในกำรทำวิจัย และคณำจำรย์สำขำวิชำ เทคโนโลยีไฟฟ้ำอุตสำหกรรมที่ให้คำแนะนำแก่ข้ำพเจ้ำเป็นอย่ำงดีและขอขอบพระคุณ สถำบันวิจยั และพัฒนำ มหำวิทยำลัยรำชภัฏเพชรบูรณ์ที่ได้ให้ทุนอุดหนุนกำรวิจัยครังนีมำ ณ ที่นี เอกสำรอ้ำงอิง ประสิทธิ์ พิทยพัฒน์. (2548). กำรออกแบบระบบไฟฟ้ำ. พิมพ์ครังที่ 1. สมำคมช่ำงเหมำไฟฟ้ำและเครื่องกลไทย. (2014). คู่มือแนวทำงกำรตรวจสอบงำนติดตั้งระบบไฟฟ้ำ. วิวัฒน์ กุลวงศ์วิทย์. (2547). กำรต่อลงดินระบบไฟฟ้ำ เล่มที่ 3. พิมพ์ครังที่ 1. สมำคมที่ปรึกษำเครื่องกลและ ไฟฟ้ำไทย. วิวัฒน์ กุลวงศ์วิทย์. (2548). กำรต่อลงดินระบบไฟฟ้ำ เล่มที่ 4. พิมพ์ครังที่ 1. สมำคมที่ปรึกษำเครื่องกลและ ไฟฟ้ำไทย.

39


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-04

กำรจัดกำรโลจิสติกส์สำหรับนักท่องเที่ยวชำวไทยที่มำท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำง อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์ LOGISTICS MANAGEMENT FOR THAI TOURISTS VISITING THE ELEPHANT VILLAGE IN THA TOOM DISTRICT, SURIN PROVINCE ลลนำ สุขพิศำล1, ทำนอง ชิดชอบ2 และ นัฐิพงษ์ จัดจ้ำง3 1

Lalana Sookpisan สำขำวิชำกำรจัดกำรโลจิสติกส์ คณะวิทยำกำรจัดกำร มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ Sookpisan2533@gmail.com 2 Thumnong Chidchob สำขำวิชำกำรจัดกำรโลจิสติกส์ คณะวิทยำกำรจัดกำร มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ thamnong6@gmail.com 3 Nattipong Jadjang สำขำวิชำกำรจัดกำรโลจิสติกส์ คณะวิทยำกำรจัดกำร มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ Nattipong12@hotmail.com

บทคัดย่อ กำรศึกษำครังนีมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษำระบบกำรจัดกำรโลจิสติกส์ด้ำนกำรท่องเที่ยวของหมู่บ้ำน ช้ำง 2) สำรวจควำมพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อกำรท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำง 3) สรุปเป็นแนวทำงในกำรพัฒนำ องค์ประกอบและกำรจัดกำรโลจิสติกส์สำหรับกำรท่องเที่ยวในหมู่บ้ำ นช้ำง ผลกำรศึกษำพบว่ำ นักท่องเที่ยวมีควำม พึงพอใจในระดับปำนกลำงต่อองค์ประกอบของโลจิสติกส์กำรท่องเที่ยวในปัจจุบัน ด้ำนกำรไหลทำงกำยภำพได้รับ ควำมพึ งพอใจในระดับ มำก ได้ แก่ กำรเข้ำ ถึงแหล่ งอำหำรและเครื่อ งดื่ มได้ง่ำย ควำมปลอดภัยในที่ พัก ควำม ปลอดภั ย ณ สถำนที่ ท่อ งเที่ ยว ควำมปลอดภัย ณ สถำนี /สนำมบิน มีค่ ำเฉลี่ย สูงสุด คือ 4.20 เมื่อ วิเ ครำะห์ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงองค์ประกอบโลจิสติกส์กำรท่องเที่ยวกับควำมพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่กลับมำเที่ยวซำและ แบ่งปันประสบกำรณ์มีค่ำเฉลี่ยคือ 4.20 ควำมพึงพอใจต่อข้อมูล ณ สถำนที่ท่องเที่ยวและข้ อมูลกำรเดินทำงมี ค่ำเฉลี่ยคือ 4.50 ควำมพึงพอใจต่อสถำนที่พักมีค่ำเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ 3.90 กำรเดินทำงมีควำมสะดวกและป้ำย สัญลักษณ์บอกทำงชัดเจนมีค่ำเฉลี่ยคือ 4.30 ด้ำนกำรส่งเสริมทำงกำรตลำดพบว่ำมีกิจกรรมอื่นๆที่น่ำสนใจในจุดที่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีค่ำเฉลี่ยคือ 4.20 ด้ำนกำรบริกำรส่วนบุคคลพบว่ำคนในพืนที่มีควำมกระตือรือร้นและเต็มใจ ให้บริกำร มีค่ำเฉลี่ยคือ 4.30 รองลงมำคือคนในพืนที่ให้บริกำรที่เป็นมิตรมีค่ำเฉลี่ยคือ 4.20 ควำมพึงพอใจต่อกำร จัดกำรโลจิสติกส์กำรท่องเที่ยวในระดับผู้ประกอบกำรและกลุ่มผู้นำชุมชนเห็นว่ำมีควำมพร้ อมอยู่ในระดับมำก ซึ่ง สำมำรถสรุปเป็นแนวในกำรพัฒนำองค์ประกอบและกำรจัดกำรโลจิสติกส์สำหรับกำรท่องเที่ยวในหมู่บ้ำนช้ำง โดย กลุ่มต่ำงๆให้ข้อเสนอแนะไปในทิศทำงเดียวกันได้แก่ 1) กำรพัฒนำเส้นทำงกำรท่องเที่ยวต้องทำแผนที่และป้ำยบอก ทำงเพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทำงได้ง่ำย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย 2) กำรจัดตังศูนย์ข้อมูลกำรท่องเที่ยวสำหรับ แจ้งข่ำวสำรต่ำงๆ 3) กำรจัดระบบกำรขนส่งมวลชนที่สำมำรถรองรับกำรท่องเที่ยวได้อย่ำงมีประสิทธิภำพและ เกิดผลในทำงปฏิบัติอย่ำงจริงจัง คำสำคัญ : การจัดการโลจิสติกส์; การท่องเที่ยว; ช้าง

40


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Abstract The objectives of this research were: 1) study the logistics management system of the elephant village; 2) Survey of tourist satisfaction on elephant village tourism; 3) Summary is a guideline for the development of logistics components and management for elephant village tourism. The results showed that tourists are moderately satisfied with the elements of current tourism logistics. The flow of physical satisfaction was high such as Access to food and drink is easy. Safety on hotel, Safety in tourist attractions, safety at the station / airport was highest at 4.20, When analyzing the relationship between the logistics of traveling to the satisfaction of the tourists who come back repeatedly and the average experience is 4.20. Satisfaction with tourist information and travel information was 4.50. The lowest mean score was 3.90. Traveling was convenient and the sign was clear. The average was 4.30. In marketing promotion, there were other interesting activities in the tourist spots. 4.20 In personal service, people in the area are eager and willing to serve. The average was 4.30, followed by people in the friendly service area with an average of 4.20. Satisfaction with logistics management at the entrepreneurial level and community leaders was at the ready. On a very high level This can be summarized into the development of elements and logistics management for tourism in the elephant village. 1) The development of tourist routes must provide maps and signposts for tourists to travel easily, quickly and safely. 2) Establishment of tourist information centers for information. 3) The mass transit system can efficiently and effectively promote tourism. Keywords : Logistics Management; Tourism; Elephant บทนำ อุตสำหกรรมกำรท่องเที่ยวถือเป็นอุตสำหกรรมหลักที่มีควำมสำคัญซึ่งสำมำรถทำรำยได้ให้กับประเทศ ไทยมำกเป็นอันดับหนึ่งจึงอำจกล่ำวได้ว่ำกำรท่องเที่ยวมีควำมสำคัญโดยตรงต่อกำรพัฒนำ เศรษฐกิจของประเทศอัน จะส่งผลให้ควำมเป็นอยู่ของประชำชนในประเทศดีขึนด้วยดังนันรัฐบำลได้มี กำรพัฒนำองค์ประกอบหลำยอย่ำง ทำงกำรท่องเที่ยวทังภำครัฐและภำคเอกชนควบคู่กันอีกทังกำรท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็มีส่วนสำคัญในกำร ประชำสัมพันธ์สถำนที่ท่องเที่ยวให้เป็นที่รู้จักทังในประเทศและในระดับนำนำชำติ ระบบโลจิสติกส์สำหรับกำร ท่องเที่ยวจะช่วยให้เกิดควำมสำมำรถในกำรรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวและจะเพิ่มขึนอย่ำงมำกได้อีกด้วย [5] โลจิสติกส์กับกำรท่องเที่ยวของไทยเป็นวำระแห่งชำติของรัฐบำล ด้วยควำมสำคัญของอุตสำหกรรม ท่องเที่ยวที่ใหญ่และเติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยในช่วงเวลำกว่ำ 5 ทศวรรษที่ผ่ำนมำมีอัตรำกำรเติบโตเฉลี่ยถึงร้อยละ 6.9 ต่อปี ทังยังเป็นธุรกิจที่สร้ำงรำยได้ และเงินตรำต่ำงประเทศได้มำกโดยปี 2549 ทั่วโลกมีนักท่องเที่ยวถึง 842 ล้ำนคน เพรำะฉะนั นในปัจจุบั นนีกำรท่อ งเที่ยวจึงไม่ได้จำกั ดอยู่เพียงเฉพำะกำรพักผ่อนหย่อนใจและเดินทำง ท่องเที่ยวไปในสถำนที่ต่ำงๆเท่ำนัน แต่ยั งรวมถึงกำรท่องเที่ยวเชิงสุขภำพ และวัฒนธรรมอีกด้วย รัฐบำลเข้ำมำ บริหำรประเทศ กำรผลักดันควำมสำคัญของโลจิสติกส์กับกำรท่องเที่ยวจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนอีกหนึ่งเรื่อง เนื่องจำก กำรจัดกำรขันตอนต่ำงๆในซัพพลำยเชนกำรท่องเที่ยว (Tourism Supply Chain) ด้วยกำรประยุกต์ใช้ศำสตร์ของโล

41


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

จิสติกส์มำบริหำรจัดกำรเคลื่อนย้ำยไหลเวียนเชื่อมโยงสินค้ำ และบริกำรต่ำงๆทังในด้ำนเวลำ ต้นทุน และระยะทำง เพื่ อ ให้ เ กิ ดควำมพึ งพอในสูงสุ ด ต่อ ผู้ บริ โ ภค ซึ่ งจะเป็ นส่ ว นเพิ่ ม และสนับ สนุน ศั ก ยภำพในกำรแข่ งขั น ด้ ำนกำร ท่องเที่ย ว ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงกั บควำมเจริญเติ บโตของอุตสำหกรรมกำรท่องเที่ยวของไทย ซึ่ งในรอบ ทศวรรษที่ผ่ำนมำ รำยได้จำกอุตสำหกรรมท่องเที่ยวอยู่ในระดับ 1 และระดับ 2 มำโดยตลอด เมื่อเปรียบเทียบกับ รำยได้จำกกำรส่งสินค้ำออกอื่นๆ ดังนันควำมสำเร็จที่จะนำอุตสำหกรรมกำรท่องเที่ยวของประเทศไทยไปสู่ควำมมี คุณภำพและควำมเป็นเลิศได้ ย่อมขึนอยู่กับพลังขับเคลื่อนที่เข้มแข็ง มีโครงข่ำยและระบบงำนที่ดีและมีคุณภำพ จึง สำมำรถสร้ำงผลประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชำติและประชำชนได้ จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งในภำคอีสำนตอนล่ำง จัดว่ำเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จำนวนมำกจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย มีชื่อเสียงระดับโลก ด้ำนกำรเลียงช้ำง กำรทอผ้ำไหม ข้ำวหอมมะลิ โดยแต่ ละปีจะมีนักท่องเที่ยวนินมเดินทำงไปท่องเที่ยวในจังหวัดสุรินทร์เป็นจำนวนมำก ซึ่งแต่ละวันจะพบว่ำมีนักท่องเที่ยว เข้ำมำเที่ยวเฉลี่ยประมำณวันละ1,500 – 1,800 คนต่อวัน (สำนักงำนสถิติจังหวัดสุรินทร์, 2555) ในจังหวัดสุรินทร์มี ผู้คนหลำยชนเผ่ำและหลำยภำษำ เช่น ไทย อีสำน หรือ ลำว เขมร ส่วย หรือ กูย เนื่องจำกประชำชนมีภำษำพูดที่ แตกต่ำงกันจึงทำให้แต่ละกลุ่มมีขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมที่แตกต่ำงกันบ้ำง แต่อย่ำงไรก็ตำม ประชำกร ทัง 4 กลุ่ม มีควำมเป็นมำที่กลมกลืนกัน มีควำมเป็นอยู่ที่เรียบง่ำย มีควำมสำมัคคีต่อกันเป็นอย่ำงดี ไม่ปรำกฏกำร เกิดปัญหำระหว่ำงกลุ่มชนแต่อย่ำงใด [2] แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดนี จะอยู่ตำมพืนที่ต่ำงๆซึ่งเป็นที่ นิยมและรู้จังของนักท่องเที่ยวทังชำวไทยและชำวต่ำงชำติ แหล่งท่องเที่ยวแหล่งหนึ่งที่น่ำนใจของจังหวัดสุรินทร์คือ หมู่บ้ำนช้ำง ตังอยู่บ้ำนตำกลำง ตำบลกระโพ อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์ อยู่ห่ำงจำกจังหวัดสุรินทร์ไปทำงเหนือ ตำมทำงหลวงหมำยเลข 214 (สุรินทร์-ร้อยเอ็ด) ก่อนถึงอำเภอท่ำตูม มีทำงแยกซ้ ำยบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 36 ไป ตำมทำงลำดยำงอีกประมำณ 22 กิโลเมตร พืนที่หมู่บ้ำนเป็นที่นำและป่ำละเมำะสลับกับป่ำโปร่งเหมำะกับกำรเลียง ช้ำง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่ำสนใจ ทำให้ประชำชนต้องเข้ำมำมีส่วนร่วมในกำรพัฒนำและกำรจัดกำรท่องเที่ยวด้วย ตนเอง [3] แต่ขำดกำรวำงแผนพัฒนำแหล่งท่องเที่ยวในรูปแบบกำรจัดกำรโลจิสติกส์ ดังนันจำกข้อมูลขันต้นทำให้ ผู้วิจัยสนใจศึกษำกำรจัดกำรโลจิสติกส์สำหรับกำรท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำง อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์ ข้อมูลพืนฐำน ของแหล่งท่องเที่ยว กลุ่มนักท่องเที่ยวชำวไทย โดยแบ่งกำรศึกษำออกเป็น 3 ด้ำน คือ ด้ำนกำยภำพ ด้ำนกำรเงิน และด้ำนสำรสนเทศ รวมถึงรูปแบบห่วงโซ่อุปทำนของกำรท่องเที่ยว ควำมพึงพอใจเพื่อสร้ำงระบบมำตอบสนอง ควำมต้องกำรของกลุ่มนักท่องเที่ยวได้ตรงเป้ำหมำยอย่ำงมีประสิทธิภำพ วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่อศึกษำระบบกำรจัดกำรโลจิสติกส์ด้ำนกำรท่องเที่ยวของหมู่บ้ำนช้ำง 2. เพื่อสำรวจควำมพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อกำรท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำง 3. เพื่อสรุปเป็นแนวทำงในกำรพัฒนำองค์ประกอบและกำรจัดกำรโลจิสติกส์สำหรับกำรท่องเที่ยวใน หมู่บ้ำนช้ำง ขอบเขตกำรวิจัย กำรศึกษำวิจัยในครังนีได้กำหนดขอบเขตในพืนที่ทำกำรศึกษำแหล่งท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำง บ้ำนตำกลำง ตำบลกระโพ อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์

42


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วิธีดำเนินกำรวิจัย กำรวิจัยครังนีเป็นกำรวิจัยเชิงสำรวจ (Survey research) และกำรเก็บรวบรวมข้อมูลโดยกำรใช้ แบบสอบถำม (Questionnaire) จำกกลุ่มนักท่องเที่ยว กลุ่มชุมชม กลุ่มผู้ประกอบกำร และผู้นำชมชนในหมู่บ้ำน ช้ำง อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์ ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ในกำรทำกำรศึกษำครังนีได้กำหนดประชำกรเป้ำหมำยกลุ่มตัวอย่ำงอย่ำง เหมำะสมและเที่ยงตรง เพื่อให้ได้ข้อมูลต่ำงๆที่ครอบคลุมทุกมิติและทุกกลุ่มเป้ำหมำยที่เกี่ยวข้อง นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบกำร ธุรกิจที่เกี่ยวข้องและเกี่ยวเนื่องกับกำรท่องเที่ยว เช่น หน่วยงำนภำครัฐ เอกชน องค์กำรบริหำรส่วน จังหวัด องค์กำรบริหำรส่วนตำบล กำรท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สถิติจังหวัด เป็นต้น ดังนันเพื่อให้ได้ข้อมูลต่ำงๆจึง ต้องศึกษำ จำนวนนักท่องเที่ยวชำวไทยที่มำเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำง อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ใน กำรศึกษำครังนี กำหนดจำนวนตัวอย่ำงโดยใช้สูตรกำรคำนวณของ Taro Yamane ณ ระดับควำมเชื่อมั่นที่ 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งยอมให้เกิดควำมคลำดเคลื่อนในกำรประเมินค่ำสัดส่วน เกิดขึนในระดับ ร้อยละ10 โดยมีวิธีกำร คำนวณสูตรดังนี n

1

e

โดยที่

e= ควำมคลำดเคลื่อนของกลุ่มตัวอย่ำงในที่นีกำหนดให้เท่ำกับ 0.1 N = ขนำดของนักท่องเที่ยวที่มำท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำง n = ขนำดของกลุ่มตัวอย่ำง จำกกำรคำนวณ พบว่ำ จำนวนกลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรเก็บแบบสอบถำมประมำณ 130 คนโดยจะทำ กำรสุ่มจำกนักท่องเที่ยวชำวไทยที่เดินทำงมำท่องเที่ยวในหมู่บ้ำนช้ำง อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์ ตำรำงที่ 1 ตำรำงแสดงกลุม่ ตัวอย่ำงกำรศึกษำ ลำดับ 1 2 3

กลุ่มผู้ให้บริกำร นักท่องเที่ยวที่มำท่องเที่ยวหมู่บำ้ นช้ำง ผู้ประกอบกำร ร้ำนค้ำ อำหำร ทีพ่ ัก เป็นต้น หน่วยงำนรำชกำรที่เกีย่ วข้อง รวม

แบบสอบถำม 115 10 5 130

เครื่องมือวิจัย ใช้แบบสอบถำมข้อมูลทั่วไปของนักท่องเที่ยวที่เข้ำมำเที่ยวในหมู่บ้ำนช้ำงและข้อมูลของ คนในชุมชนที่อำศัยอยู่ในหมู่บ้ำนช้ำง และใช้แบบสอบถำมโดยทำกำรสัมภำษณ์เชิงลึก ข้อมูลผู้ประกอบกำร ผู้นำ ชุมชน และเจ้ำหน้ำที่ของรัฐที่อำศัยอยู่ในหมู่บ้ำนช้ำง กำรเก็บรวบรวมข้อมูล วิธีกำรศึกษำครังนีเริ่มต้นจำกกำรศึกษำข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) ซึ่งได้ จำกกำรออกสำรวจ แบบสอบถำม กำรสัมภำษณ์เชิงลึกจำกนักท่องเที่ยว คนในชุมชน ผู้ประกอบกำร และผู้นำชุมชน หลังจำกนันทำกำรศึกษำข้อมูลทุติยภูมิ เป็นกำรศึกษำและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอุตสำหกรรมกำรท่องเที่ยวและ ข้อมูลพืนฐำนของหมู่บ้ำนช้ำงเพื่อนำมำเป็นข้อมูลเบืองต้นและแนวคิดพืนฐำนในกำรวิจัย โดยมีแหล่งที่มำของข้อมูล

43


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

คือ กำรท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักวิทยบริกำรและเทคโนโลยีสำรสนเทศ เอกสำรทำงวิชำกำรและงำนวิจัยที่ เกี่ย วข้อ ง ร่ วมกับกำรสื บค้ นข้อ มูลทำงเว็บ ไซต์ โดยใช้แนวคิด กำรบูร ณำกำรด้ ำนกำรจัดกำรโลจิ สติก ส์กับ กำร ท่องเที่ยว เพื่อนำไปกำหนดประเด็นในกำรวิเครำะห์กำรวิจัยต่อไป กำรวิเครำะห์ข้อมูล ทำกำรวิเครำะห์ข้อมูลจำกแบบสอบถำมโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำ กำรวิเครำะห์ข้อมูลตำมลำดับได้แก่ กำรวิเครำะห์ข้อมูลเชิงพรรณนำ (Descriptive Method) เป็นกำรเก็บรวบรวม ข้อมูลและข้อมูลเท็จจริงมำวิเครำะห์ด้ำนข้อมูลทั่วไปและพฤติกรรมนักท่องเที่ยว พร้อมทังปัญหำอุปสรรคและ ข้อเสนอแนะ วิเครำะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยำย (Descriptive Analysis) เช่นควำมถี่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมำตรฐำน (S.D.) เป็นกำรวิเครำะห์ค่ำแบบ ลิเคทสเกล (Likert Scale) กำรนำองค์ประกอบของโลจิสติกส์ กำรท่องเที่ยวมำวิเครำะห์ ได้แก่ คุณค่ำที่ได้รับจำกกำรจัดกำรโลจิสติกส์ด้ำนกำยภำพ สำรสนเทศ กำรให้บริกำร สถำนที่ กำรส่งเสริมกำรตลำด บุคลำกร กระบวนกำรให้บริ กำร กำรกลับมำเที่ยวซำ/แบ่งปันประสบกำรณ์ และ ค่ำใช้จ่ำยในแหล่งท่องเที่ยวในหมู่บ้ำนช้ำง อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์ ผลกำรวิจัย นักท่องเที่ยวที่มำท่องเที่ยวในหมู่บ้ำนช้ำงเป็นเพศชำย 35.56 เปอร์เซ็นต์ เพศหญิง 64.44 เปอร์เซ็นต์ อำยุส่วนใหญ่อยู่ระหว่ำงช่วง 21-25 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นนักเรียน/นักศึกษำ 37.77 เปอร์เซ็นต์ และมีรำยได้เฉลี่ยต่อ เดือนต่ำกว่ำ 5,000 บำท ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นนักศึกษำระดับปริญญำตรี 40 เปอร์เซ็นต์และระดับมัธยม ปลำย 33.33 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มำเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำงครังแรกอยู่ระหว่ำง 33.33 เปอร์เซ็นต์ ใช้เวลำ ในกำรท่องเที่ยวอยู่ในหมู่บ้ำนช้ำงน้อยกว่ำ 6 ชั่วโมงร้อยละ 75.55 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีกำรพักค้ำงคืน ในกำรมำ ท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำงนัก ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ได้รับข่ำวสำรจำกเพื่อน/ญำติ 51.11 เปอร์เซ็นต์ รองลงมำคือ หนังสือ/ นิตยสำรคู่มือท่องเที่ยว 17.77 เปอร์เซ็นต์ตำมลำดับ พำหนะที่นักท่องเที่ยวใช้ในกำรเดินทำงคือ รถยนต์ส่วนตัว 80 เปอร์เซ็นต์ รถบัส 11.11 เปอร์เซ็นต์ ส่วนมำนักท่องเที่ยวเดินทำงมำกับเพื่อนๆ เพื่อมำพักผ่อนหย่อนใจ 68.88 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนของควำมพึงพอใจองค์ประกอบของโลจิสติกส์กำรท่องเที่ยวในภำพรวมนันอยู่ในระดับ ”มำก” เมื่อพิจำรณำค่ำเฉลี่ยเรียงลำดับจำกมำกไปหำน้อยได้ดังนี คุณค่ำที่ได้รับจำกกำรจัดกำรโลจิสติกส์ด้ำนกำรไหลของ สำรสนเทศมีค่ำเฉลี่ยสูงสุดเท่ำกับ 4.17 ในขณะที่ควำมปลอดภัยในสถำนที่พักแรมมีค่ำเฉลี่ยต่ำสุด และเมื่อพิจำรณำ รำยกำรย่อยของแต่ละด้ำนขององค์ประกอบได้ได้ผลควำมพึงพอใจในระดับต่ำงๆดังนี กำรจัดกำรโลจิสติกส์ด้ำนกำร ไหลทำงกำยภำพในภำพรวมอยู่ในระดับน้อย รำยกำรย่อย 5 รำยกำรอยู่ในระดับมำก 5 รำยกำร คือ กำรเข้ำถึง แหล่งอำหำรและเครื่องดื่มได้ง่ำย ควำมปลอดภัยในที่พักแรม ควำมปลอดภัย ณ สถำนที่ท่องเที่ยวควำมปลอดภัย ณ สถำนี/สนำมบินควำมปลอดภัยในชุมชน กำรจัดกำรด้ำนกำรไหลของสำรสนเทศ ในภำพรวม อยู่ในระดับ “มำก” เมื่อพิจำรณำค่ำเฉลี่ย สำมำรถเรียงลำดับจำกมำกไปน้อยได้ดังนี ข้อมูลด้ำนสถำนที่ท่องเที่ยวในภำพรวมอยู่ในระดับ “มำก” ข้อมูลด้ำนกำรท่องเที่ยว ได้แก่ ข้อมูลด้ำนอำหำรและเครื่องดื่ม ข้อมูลจำกเว็บไซต์ ข้อมูลกำรเดินทำง กำร ให้บริกำรในภำพรวม สถำนที่ต้องท่องเที่ยวมีควำมสะอำด สะดวก สบำย มีสถำนที่จอดรถเพียงพอ ในด้ำนกำร เดินทำง มีป้ำยบอกทำงและสถำนที่ท่องเที่ยวอยู่ ใกล้แหล่งชุมชน คนในพืนที่บริกำรดี ดูแลเอำใจใส่ กระบวนกำร ให้ บริ ก ำรในภำพรวมมีค่ ำเฉลี่ย อยู่ ใ นระดั บ “มำก” ในส่ วนของควำมคิ ดเห็น เพื่อ กำรพัฒ นำหรือ ปรั บ ปรุ งกำร จัดกำรโลจิสติกส์กำรท่องเที่ยวให้ดีขึนคือ กำรปรับปรุงเส้นทำงกำรเดินทำงและจัดระบบกำรขนส่งให้สะดวกขึน ได้แก่ กำรปรับสภำพถนนที่มีอยู่ให้ดีขึน เพิ่มเส้นทำงเข้ำแหล่งท่องเที่ยงให้หลำกหลำย เช่น มีรถสำธำรณะเพิ่มมำก ขึน เป็นต้น

44


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

1. ข้อมูลแสดงระดับควำมพึงพอใจรวมเพื่อเป็นแนวทำงกำรพัฒนำรูปแบบกำรท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำง ตำรำงที่ 2 ระดับควำมสำคัญและควำมพึงพอใจเกี่ยวกับกำรเดินทำงและระบบกำรขนส่งจำกสุรินทร์ไปยังหมู่บ้ำน ช้ำง ประเด็น 1. ควำมสะดวกสบำยของรถประจำทำงจำกตัวเมืองสุริทร์ไป-กลับหมู่บำ้ นช้ำง 2. ค่ำบริกำรรถประจำทำงจำกตัวเมืองสุรินทร์ไป-กลับยังหมู่บ้ำนช้ำง 3. ควำมปลอดภัยของรถประจำทำงไป-กลับหมู่บำ้ นช้ำง 4. กิริยำมำรยำทกำรให้บริกำรของรถประจำทำงไป-กลับยังหมู่บ้ำนช้ำง 5. ควำมสะดวกสบำยของเส้นทำงกำรคมนำคมขนส่งจำกตัวเมืองสุรินทร์ไป-กลับ ยังหมู่บ้ำนช้ำง 6. ปัจจัยข้อ 1-5 มีควำมสำคัญต่อกำรเดินทำงมำเที่ยวหมู่บำ้ นช้ำง

ควำมสำคัญ 3.13 3.03 3.46 3.03

ควำมพึงพอใจ 2.67 2.96 3.40 2.98

GAP 0.46 0.07 0.06 0.05

3.20 3.40

2.99 2.80

0.21 0.60

จำกตำรำงที่ 2 แสดงระดับควำมสำคัญและควำมพึงพอใจเกี่ยวกับกำรเดินทำงและระบบกำรขนส่งจำก ตัวเมืองสุรินทร์ไป-กลับหมู่บ้ำนช้ำง เมื่อพิจำรณำควำมสำคัญพบว่ำ โดยส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่ำงให้ควำมสำคัญมำก ที่สุดเรื่อง ควำมปลอดภัยของรถประจำทำงไป-กลับยังหมู่บ้ำนช้ำง ค่ำเฉลี่ยอยู่ที่ 3.46 รองลงมำคือควำมสะดวกสบำย ของเส้นทำงกำรคมนำคมขนส่งจำกตัวเมืองสุรินทร์ไป-หลับหมู่บ้ำนช้ำงค่ำเฉลี่ยอยู่ที่ 3.40 ตำมลำดับ ในส่วน พิจำรณำค่ำควำมแตกต่ำงที่มีค่ำมำกที่สุดคือเรื่องของควำมปลอดภัยของรุประจำทำงจำกตัวเมืองสุรินทร์ไป-กลับ หมู่บ้ำนช้ำง อยู่ที่ 0.45 รองลงมำคือเรื่อง ค่ำบริกำรรถประจำทำงจำกตัวเมืองสุรินทร์ไป-กลับหมู่บ้ำนช้ำงอยู่ที่ 0.36 ตำมลำดับ ตำรำงที่ 3 แสดงควำมสำคัญและควำมพึงพอใจเกี่ยวกับสถำนที่พกั ที่มำท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำง ประเด็น 1. ควำมสะดวกสบำยด้ำนที่พกั ในหมู่บ้ำนช้ำง 2. ควำมปลอดภัยในกำรพักอำศัย 3. ค่ำใช้จ่ำยและค่ำเช่ำ 4. กิริยำมำรยำทกำรให้บริกำร 5. ควำมสะดวกจำกระยะทำงกำรขนส่งมำยังที่พัก 6. ควำมสะดวกจำกระยะทำงกำรขนส่งมำยังที่พัก 7. ระยะเวลำในกำรพักในสถำนที่พัก 8. ควำมเป็นธรรมชำติและวิถีชวี ิตของชำวบ้ำน 9. ควำมรู้สึกคำดหวังหรือควำมพึงพอใจสถำนที่พักในหมู่บำ้ นช้ำงโดยรวม

ควำมสำคัญ 3.26 3.42 3.20 3.20 3.20 2.93 3,40 3.26 3.13

ควำมพึงพอใจ 2.80 2.53 2.93 3.12 3.06 2.60 3.00 3.06 2.86

GPA 0.46 0.89 0.27 0.08 0.14 0.33 0.40 0.20 0.27

จำกตำรำงที่ 3 แสดงระดับค่ำเฉลี่ยควำมสำคัญและควำมพึงพอใจเกี่ยวกับที่พัก พบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงที่มำ ท่องเที่ยวให้ควำมสำคัญเกี่ยวกับควำมปลอดภัยในสถำนที่พัก ค่ำเฉลี่ยอยู่ที่ 3.42 รองลงมำคือ เรื่องระยะเวลำในกำร พักในสถำนที่พัก ค่ำเฉลี่ยอยู่ที่ 3.40 ตำมลำดับ เมื่อพิจำรณำค่ำควำมแตกต่ำงของระดับควำมสำคัญหรือค่ำคำดหวัง และควำมพึงพอใจมำกที่สุด คือ ควำมปลอดภัยในกำรพักอำศัยอยู่ที่ 0.89 รองลงมำคือ ควำมสะดวกสบำยด้ำนที่พัก ในหมู่บ้ำนช้ำง อยู่ที่ 0.46 ตำมลำดับ

45


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 4 ระดับควำมสำคัญและควำมพึงพอใจเกี่ยวกับระบบขนส่งและโลจิสติกส์กำรท่องเที่ยวหมูบ่ ้ำนช้ำง ประเด็น 1. ควำมสะดวกและรวดเร็วของกำรเดินทำงจำกตัวเมืองสุรินทร์ไปยัง หมู่บ้ำนช้ำง 2. ควำมปลอดภัยในกำรเดินทำงไปยังหมู่บ้ำนช้ำง 3. ค่ำใช้จ่ำยในกำรเดินทำงไปยังหมู่บ้ำนช้ำง 4. ควำมถี่ของยำนพำหนะไปยังหมู่บ้ำนช้ำง 5. ค่ำใช้จ่ำยในแหล่งท่องเที่ยวหมู่บำ้ นช้ำง 6. ท่ำนรู้สึกพึงพอใจระบบขนส่งโดยรวม

ควำมสำคัญ

ควำมพึงพอใจ

GAP

3.53 3.33 3.07 3.06 3.20 3.20

3.13 3.27 2.93 3.40 3.13 2.73

0.40 0.06 0.14 0.34 0.07 0.47

จำกตำรำงที่ 4 แสดงระดับค่ำเฉลีย่ ควำมสำคัญและควำมพึงพอใจเกีย่ วกับระบบขนส่งและโลจิสติกส์กำร ท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำงพบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงที่มำท่องเที่ยวให้ควำมสำคัญเกี่ยวกับควำมสะดวกและรวกเร็วของกำร เดินทำงจำกตัวเมืองสุรินทร์ไปยังหมู่บ้ำนช้ำงอยู่ที่ 3.53 ควำมปลอดภัยในกำรเดินทำงไปยังหมู่บ้ำนช้ำงอยู่ที่ 3.33 ตำมลำดับ 2. ควำมคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธศำสตร์ในกำรพัฒนำกำรจัดกำรโลจิสติกส์กำรท่องเที่ยวในหมู่บ้ำนช้ำง อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์ สำมำรถแสดงได้ดังตำรำงที่ 5 ตำรำงที่ 5 ยุทธศำสตร์ในกำรพัฒนำกำรจัดกำรโลจิสติกส์กำรท่องเที่ยวในหมู่บ้ำนช้ำง อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์ หัวข้อ 1. กำรเดินทำงเข้ำมำในแหล่งท่องเที่ยว

รำยละเอียด - เดินทำงมำง่ำย สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย - มีแผนที่และรำยละเอียดในแผนที่อ่ำนเข้ำใจง่ำย - มีป้ำยบอกแหล่งท่องเที่ยวชัดเจน - มีศูนย์ข้อมูลกำรท่องเที่ยวบนเว็บไซต์

2. กำรรวมกลุ่มกับบุคคลหรือหน่วยงำนเพื่อพัฒนำด้ำนโลจิ สติกส์

- กำรรวมกลุ่มเพื่อเป็นศูนย์ข้อมูลกำรท่องเที่ยวและให้ควำม ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว - มีกำรรวมมือกับคณะผู้บริหำรท้องถิ่น เช่น อนำมัย โรงพยำบำล ตำรวจ ในเรื่องควำมปลอดภัย - กำรแสดงควำมสำมำรถของช้ำงในศูนย์คชสำรทุกวัน - งำนจดทะเบียนสมรสบนหลังช้ำงในวันที่ 14 กุมภำพันธ์ ของ ทุกปี - งำนประเพณีบวชนำคช้ำงในช่วงเดือนพฤษภำคมของทุกปี - ตักบำตรบนหลังช้ำงในช่วงเดือนกรกฎำคมของทุกปี - มหัศจรรย์งำนช้ำงสุรินทร์ในช่วงเดือนพฤศจิกำยนของทุกปี

3. กำรจัดกิจกรรมกำรท่องเที่ยว

จำกตำรำงที่ 5 หำกสำมำรถดำเนินงำนตำมควำมคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธศำสตร์ในกำรพัฒนำกำรจัดกำรโล จิสติกส์กำรท่องเที่ยวในหมู่บ้ำนช้ำงได้นัน จะช่วยให้นักท่องเที่ยวเดินทำงมำเที่ยวตลอดทังปี

46


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สรุปผลกำรวิจัย 1. ผลกำรศึกษำระบบกำรจัดกำรโลจิสติกส์โดยกำรนำหลักกำรโลจิสติกส์มำประยุกต์ในกำรศึกษำ เส้นทำงจำกแหล่งท่องเที่ยวไป-กลับเมืองสุริทร์ พบว่ำลักษณะกำรมำเที่ยวส่วนใหญ่จะมำเที่ยวกับครอบครัวและ เดินทำงด้วยรถยนต์ส่วนตัว และนิยมเที่ยวช่วงเทศกำล วันหยุดทำกำรและวันสำคัญต่ำงๆ มำเที่ยวแบบไปเช้ำเย็น กลับ และเห็นว่ำควำมพร้อมของโลจิสติกส์ของกำรท่องเที่ยวในปัจจุบันมีค่ำเฉลี่ยอยู่ในระดับ “มำก” 2. ผลกำรศึกษำควำมพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อกำรท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำงพบว่ำระดับควำมพึงพอใจ ของกลุ่มนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับกำรเดินทำงและกำรขนส่ งจำกตัวเมืองสุรินทร์-ไปกลับหมู่บ้ำนช้ำง ให้ควำมสำคัญใน เรื่องควำมปลอดภัยและเมื่อได้ใช้บริกำรแล้ว พึงพอใจมำกที่สุดเรื่องของกิริยำมำรยำท ระดับควำมพึงพอใจกับ เกี่ยวกับระบบสำธำรณูปโภคในแหล่งท่องเที่ยวได้ใช้บริกำรแล้วมีควำมพึงพอใจมำกคือบริเวณที่จอดรถและพึงพอใจ น้อยที่สุดคือเรื่องห้องนำ ระดับควำมสำคัญและควำมพึงพอใจของกลุ่มนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับระบบโลจิสติกส์คือพึง พอใจมำกที่สุดในเรื่องของควำมถี่ของยำนพหำนะไปยังหมู่บ้ำนช้ำง และพึงพอใจน้อยที่สุดคือควำมรวดเร็วในกำร เดินทำงจำกตัวเมืองสุรินทร์ไปยังหมู่บ้ำนช้ำง 3. ผลกำรศึกษำพบว่ำแนวทำงในกำรพัฒนำองค์ประกอบและกำรจัดกำรโลจิสติกส์สำหรับกำรท่องเที่ยว ในหมู่บ้ำนช้ำงกำรจัดกำรโลจิสติกส์กำรท่องเที่ยวในหมู่บ้ำนช้ำง ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่ำงๆมีดังนี 1) กลุ่มนักท่องเที่ยว 2) กลุ่มคนในชุมชนที่อำศัยอยู่บริเวณหมู่บ้ำนช้ำง 3) กลุ่มผู้ประกอบกำรที่ดำเนินธุรกิจบริเวณหมู่บ้ำนช้ำง 4) กลุ่ม ผู้นำชุมชนในแหล่งท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำง ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องทังหมดมำวิเครำะห์เชิงพรรณนำ (Descriptive analysis method)โดยสำมำรถให้บริกำรนักท่องเที่ยวได้ค่อนข้ำงมำก ดังนี 3.1 กลุ่มนักท่องเที่ยว เป็นกลุ่มที่ผู้วิจัยให้ควำมสนใจมำกที่สุด เนื่องจำกเป็นผู้รับบริกำร สำมำรถ กระตุ้นกำรตัดสินใจในกำรมำท่องเที่ยวในหมู่บ้ำนช้ำง เมื่อมำเที่ยวแล้วเกิดควำมประทับใจ พึงพอใจ จนทำให้เกิด กำรกลับมำเที่ยวซำๆอีกหลำยครัง กำรทำให้นักท่องเที่ยวสำมำรถเข้ำมำในแหล่งท่องเที่ ยวได้ง่ำย สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย สภำพถนนดี มีป้ำยบอกทำง สถำนที่พักแรม และอื่นๆเพื่ออำนวยควำมสะดวกในแก่นัดท่องเที่ยว 3.2 กลุ่มคนในชุมชน มีควำมเห็นว่ำกำรมีแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนส่งผลให้เกิดกำรพัฒนำชุมชน หลำยด้ำน รวมทังในด้ำนองค์ประกอบของโลจิสติกส์กำรท่องเที่ ยว และเห็นว่ำควำมพร้อมของโลจิสติกส์ของกำร ท่องเที่ยวในปัจจุบันมีค่ำเฉลี่ยอยู่ในระดับ “มำก” ทำงชุมชนมีควำมต้องกำรให้หน่วยงำนของภำครัฐเข้ำมำมีส่วนใน กำรสนับสนุนสำธำรณูปโภคและพัฒนำด้ำนควำมรู้พืนฐำน 3. กลุ่มผู้ประกอบกำร ในปัจจุบันมีควำมพร้อมค่อนข้ำงมำกเกือบทุ กด้ำน แต่นักท่องเที่ยวน้อย เพื่อ เพิ่มปริมำณนักท่องเที่ยวให้เข้ำมำต้องมีกำรจัดทำแพ็คเก็จท่องเที่ยว และทำกำรประชำสัมพันธ์อย่ำงจริงจัง 4. กลุ่มผู้นำชุมชน สำมำรถรองรับนักท่องเที่ยวได้ดีในระดับหนึ่ง มีกำรเตรียมควำมพร้อมด้ำนโลจิสติกส์ กำรท่องเที่ยวและมีกำรเตรีย มควำมพร้อมในกรณีฉุกเฉินเพื่อรองรับสถำนกำรณ์ต่ำงๆที่กำรเกิดขึนในระหว่ำงกำร ท่องเที่ยว ข้อเสนอแนะ 1. เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ำมำในแหล่งท่องเที่ยวได้ง่ำยควรมีกำรจัดทำแผนที่ ป้ำยบอกทำงให้ชัดเจน ดูง่ำย ปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนที่มีมำตรฐำนในกำรรองรับนักท่องเที่ยวให้เกิดควำมสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย

47


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2. ควรมีกำรรวมกลุ่มของบุคคลหรือหน่วยงำนเพื่อทำหน้ำที่และบทบำทต่ำงๆกันในกำรพัฒนำโลจิ สติกส์กำรท่องเที่ยว เช่น รวมกลุ่มเป็นศูนย์ข้อมูลกำรท่องเที่ยวเพื่อให้ข้อมูลด้ำนกำรท่องเที่ยว มีกลุ่มไกด์เยำวชนใน พืนที่ กลุ่มดูแลเส้นทำงกำรท่องเที่ยว และกลุ่มกำรดำเนินงำนทั่วไป 3. กำรจัดกิจกรรมกำรท่องเที่ยวตลอดเวลำ ทังในและนอกเทศกำลท่องเที่ยว โดยจัดกิจกรรมต่ำงๆ ที่ น่ำสนใจพร้อมโปรโมชั่นพิเศษเพื่อเป็นกำรเชิญชวนนักท่องเที่ยวและกระจำยภำวะนักท่องเที่ยวแออัดในช่วงเทศกำล จนเกิดกำรขัดข้องของกำรจัดกำรโลจิสติกส์กำรท่องเที่ยว โดยเฉพำะกำรไหลทำงกำยภำพของแหล่งท่องเที่ยวใน ช่วงเวลำนัน 4. หน่วยงำนที่เกี่ยวข้องควรมีกำรประชำสัมพัน ธ์แหล่งท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นกำรท่องเที่ยวให้มีตลอด ทังปี เช่น กำรโฆษณำผ่ำนสื่อออนไลน์ต่ำงๆ ประกำศตำมหน่วยงำนและองค์กร เป็นต้น เอกสำรอ้ำงอิง สุถ.ี (2557). แนวทำงกำรจัดกำรท่องเที่ยวอย่ำงยั่งยืนในชุมชนคลองโคน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงครำม. (ศิลปศำตรมหำบัณฑิต).มหำวิทยำลัยกรุงเทพ. มัลลิกำ. (2553). กำรมีส่วนร่วมของชุมชนในกำรพัฒนำกำรท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำงสุรินทร์ ตำบลตำกลำง อำเภอ กระโพ อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์. (บริหำรธุรกิจหำบัณฑิต).มหำวิทยำลัยขอนแก่น. ศูนย์คชศึกษำบ้ำนตำกลำง. (2558).[ระบบออนไลน์].สืบค้นเมื่อวันที่ 9 มิถุนำยน 2559, แหล่งที่มำ :http://donmueangairportthai.com/th กัลยำ วำนิชย์บัญชำ. 2542.กำรวิเครำะห์สถิติ : สถิติเพื่อกำรตัดสินใจ. พิมพ์ครังที่ 4. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์แห่ง จุฬำลงกรณ์วิทยำลัย. มิ่งสรรพ์ ขำวสะอำด และคณะ. (2549). กำรพัฒนำแหล่งท่องเที่ยวเชิงบูรณำกำรที่ยั่งยืนในลุ่มมำน้ำโขง 2. เชียงใหม่ : สถำบันวิจัยสังคม .มหำวิทยำลัยเชียงใหม่. ทวีศักดิ์ เทพพิทักษ์. (2551). บทบำทของโลจิสติกส์และกำรพัฒนำแหล่งท่องเที่ยวหมู่เกำะล้ำนอย่ำงยั่งยืน. เอกสำรอ้ำงอิง กัลยำ วำนิชย์บัญชำ. (2542). กำรวิเครำะห์สถิติ : สถิติเพื่อกำรตัดสินใจ. พิมพ์ครังที่ 4. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์แห่ง จุฬำลงกรณ์วิทยำลัย. มัลลิกำ. (2553). กำรมีส่วนร่วมของชุมชนในกำรพัฒนำกำรท่องเที่ยวหมู่บ้ำนช้ำงสุรินทร์ ตำบลตำกลำง อำเภอ กระโพ อำเภอท่ำตูม จังหวัดสุรินทร์. (บริหำรธุรกิจหำบัณฑิต).มหำวิทยำลัยขอนแก่น. ศูนย์คชศึกษำบ้ำนตำกลำง. (2558). [ระบบออนไลน์].สืบค้นเมื่อวันที่ 9 มิถุนำยน 2559, แหล่งที่มำ : http://donmueangairportthai.com/th สุถ.ี (2557). แนวทำงกำรจัดกำรท่องเที่ยวอย่ำงยั่งยืนในชุมชนคลองโคน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงครำม. (ศิลปศำตรมหำบัณฑิต).มหำวิทยำลัยกรุงเทพ.

48


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-05

กำรศึกษำทฤษฎีและเทคนิคกำรเพิ่มควำมถี่เอำท์พุทโมดูลอินเวอร์เตอร์อนุกรม เรโซแนนท์ 1 เฟสเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในงำนให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำ STUDY OF THEORY AND TECHNIQUES FOR INCREASE FREQUENCY TO THE INVERTER MODULES FOR INDUCTION HEATING APPLICATIONS ทรงยศ หวังชอบ1 1

สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้า คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ s.wungchop@gmail.com

บทคัดย่อ บทควำมนี น ำเสนอกำรศึก ษำทฤษฎี และเทคนิ ค กำรเพิ่ มควำมถี่ เ อำท์ พุ ท ให้ กั บ โมดู ล อิน เวอร์ เ ตอร์ อนุกรมเรโซแนนท์ 1 เฟส ร่วมกับทฤษฎีวงจรเรโซแนนท์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในงำนให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำ โดย จำลองกำรทำงำนโมดูลอินเวอร์เตอร์อนุกรมเรโซแนนท์ 1 เฟสด้วยโปรแกรม PSpice ในกำรจำลองได้นำโมดูล อินเวอร์เตอร์อนุกรมเรโซแนนท์ 1 เฟส 2 ชุดมำต่อกันโดยกำรขนำนทังด้ำนอินพุทและเอำท์พุท เพิ่มควำมถี่เอำท์พุท ในงำนให้ควำมร้อนเหนี่ยวนำ เทคนิคนีใช้เพื่อเป็นหลักกำรในกำรแก้ปัญหำขีดจำกัดของอุปกรณ์สวิตซ์ที่ต้องใช้ ควำมถี่สูง จำกกำรจำลองด้วยโปรแกรม PSpice กำรนำโมดูลอินเวอร์อนุกรมเรโซแนนท์ 1 เฟสทัง 2 ชุดมำต่อกัน โดยกำรขนำนทังด้ำนอินพุทและเอำท์พุท ผลจำกกำรจำลองสำมำรถเพิ่มควำมถี่เอำท์พุทได้เป็น 2 เท่ำโดยที่ กำลังไฟฟ้ำเอำท์พุทมีค่ำเท่ำเดิม คำสำคัญ : เรโซแนนท์; โมดูลอินเวอร์เตอร์; ความร้อนเหนีย่ วน้า Abstract This paper presents Theory and Techniques for Increase Frequency of an inverter system for induction heating applications by using two single-phase series-resonant inverter modules. Each module uses IGBTs as switching devices by simulating the PSpice program. Its benefits are due to a modular form of connections that can be expanded to accommodate for different load requirement. The output frequency can also be increased for the applications that require high-frequency operation. This work is an attempt to solve limitation of the power switches in high frequency application that may be difficult to achieve through single switching module. In this work, two sets of identical 1kW inverter module are connected in parallel on both the input and output sides. The simulation results show the output frequency has been doubled to meet the specific frequency requirement at the load. Keywords: inverter; induction heating; resonance

49


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

บทนำ หลักกำรให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำถูกค้นพบโดย Michael Faraday [1] ในปี ค.ศ. 1831 ซึ่งพบว่ำเมื่อ มีกำรเปลี่ยนแปลงกระแสในขดลวดด้ำนปฐมภูมิจะทำให้เกิดกำรเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไหลในวงจรด้ำนขดลวดทุติย ภูมิ ในเกือบร้อยปีที่ผ่ำนมำหลักกำรดังกล่ำวได้ถูกนำมำใช้ในมอเตอร์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้ำ และหม้อแปลง โดย สำมำรถเห็นได้ชัดในกรณีของกระแสไหลวน (eddy current) ที่แกนเหล็กของหม้อแปลงทำให้เกิดกำรสูญเสียในรูป ควำมร้อน จำกหลักกำรดังกล่ำวสำมำรถนำมำประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ในกำรให้ควำมร้อนแก่ชินงำน โดยหำกทำ กำรป้อนไฟฟ้ำกระแสสลับเข้ำไปที่ขดลวดเหนี่ยวนำก็จะเกิด ฟลักซ์แม่เหล็กคล้องผ่ำนชินงำนมีผลทำให้เกิดกำร เหนี่ยวนำกระแสไหลวนที่ชินงำนเกิดเป็นควำมร้อนซึ่งมีค่ำเป็น I2R โดยกระแสไหลวนมีค่ำเป็น I และชินงำนมี ควำมต้ำนทำนเป็น R ในปัจจุบันหลักกำรให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำที่อำศัยหลักกำรกำรทำงำนของอินเวอร์เตอร์ควำมถี่สูงได้ ถูกนำมำใช้อย่ำงแพร่หลำยเช่น งำนหลอมโลหะ งำนเชื่อมประสำน งำนชุบแข็ง งำนทุบขึนรูปโลหะ งำนหม้อหุงต้ม โดยควำมถี่ที่ใช้สำมำรถปรับให้เหมำะสมกับชนิดของงำน ขนำดของชินงำน โดยในรำยวิชำวงจรไฟฟ้ำจะมีเรื่อง ทฤษฎีวงจรเรโซแนนท์ซึ่งถูกนำมำประยุกต์ใช้ร่วมกับหลักกำรให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำ หลักกำรควำมร้อนแบบ เหนี่ยวนำเป็นวิธีที่อำศัยหลักกำรทำงแม่เหล็กไฟฟ้ำคือเมือ่ ป้อนกระแสไฟฟ้ำสลับให้กับขดลวดเหนี่ยวนำจะเกิดฟลักซ์ แม่เหล็กคล้องผ่ำนชินงำนทำให้เกิดกระแสไหลวนขึนที่ชินงำนทำให้ชินงำนเกิดควำมร้อน[1] สำหรับงำนเชื่อม ประสำน งำนชุ บแข็ง จะต้อ งให้ ควำมร้อ นที่ ค่ ำควำมลึ ก ของพื นผิ ว ต่ำดังนันต้อ งใช้ ควำมถี่ สูง ซึ่ งจ ำเป็ นต้ องใช้ อินเวอร์เตอร์ที่มีควำมถี่สูงขึนตำมไปด้วย เมื่อกำรใช้งำนมีกำรเปลี่ยนแปลงโหลดหรือประเภทของงำน ที่จะต้องใช้ ควำมถี่สูงขึน ทำให้ต้องออกแบบชุดอินเวอร์เตอร์ใหม่เนื่องจำกขีดจำกัดของอุปกรณ์สวิตซ์ (IGBT, MOSFET, SCR, Transistor) และเมื่อควำมถี่ที่ต้องกำรสูงกว่ำพิกัดของอุปกรณ์สวิตซ์ที่จัดหำได้ จำเป็นต้องนำอุปกรณ์สวิตซ์หรือ โมดูลอินเวอร์เตอร์มำต่อกันเพื่อเพิ่มควำมถี่ บทควำมนีนำเสนอกำรศึกษำทฤษฎีและเทคนิคกำรเพิ่มควำมถี่ให้กับโมดูลอินเวอร์เตอร์ 1 เฟส ร่วมกับ ทฤษฎีวงจรเรโซแนนท์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในงำนให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำโดยจำลองกำรทำงำนด้วยโปรแกรม PSpice ในกำรจำลองได้นำโมดูลอินเวอร์เตอร์ 1 เฟส 2 ชุดที่เหมือนกันมำต่อกันโดยทำกำรขนำนด้ำนอินพุทและ ด้ำนเอำท์พุท เพื่อเพิ่มควำมถี่ด้ำนเอำท์พุทสำหรับใช้ในงำนให้ควำมร้อนเหนี่ยวนำที่ต้องกำรค่ำควำมลึกของพืนผิวต่ำ ควำมถี่สูง ทฤษฎีและเทคนิคนีใช้เพื่อเป็นหลักกำรในกำรแก้ปัญหำขีดจำกัดของอุปกรณ์สวิตซ์ที่ควำมถี่สูง และในกำร ป้องกันกระแสเกินสำมำรถทำได้ดีกว่ำกำรขนำนอุปกรณ์สวิตซ์โดยตรง อีกทังยังช่วยลดกำรออกแบบสำมำรถนำไปใช้ งำนร่วมกับโหลดและแหล่งจ่ำยได้หลำยรูปแบบ ทำให้มีประโยชน์ในทำงวิศวกรรมและธุรกรรมในด้ำนกำรออกแบบ กำรนำไปใช้งำน ยังช่วยลดเวลำและค่ำใช้จ่ำยในกำรซืออุปกรณ์ วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่อศึกษำทฤษฎีและเทคนิคกำรเพิ่มควำมถี่ให้กับโมดูลอินเวอร์เตอร์ 1 เฟส ร่วมกับทฤษฎีวงจร เรโซแนนท์ 2. เพื่อนำทฤษฎีและเทคนิคกำรเพิ่มควำมถี่ให้กับโมดูลอินเวอร์เตอร์ 1 เฟสและนำไปประยุกต์ใช้ใน งำนให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำ

50


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วิธีดำเนินกำรวิจัย ในกำรศึกษำทฤษฎีและเทคนิคกำรเพิ่มควำมถี่เอำท์พุทโมดูลอินเวอร์เตอร์อนุกรมเรโซแนนท์ 1 เฟสเพื่อ นำไปประยุกต์ใช้ในงำนให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำนันได้ศึกษำทฤษฎีที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมำใช้ในกำรออกแบบโมดูล อินเวอร์เตอร์อนุกรมเรโซแนนท์ 1 เฟสโดยมีขันตอนดังนี หลักกำรและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ออกแบบโมดูลอินเวอร์เตอร์อนุกรมเรโซแนนท์ 1 เฟส 1. หลักกำรและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 1.1 หลักกำรให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำเบื้องต้น

(ก) (ข) ภำพที่ 1 (ก) วงจรสมมูลอย่ำงง่ำยของหม้อแปลง (ข) วงจรสมมูลของขดเหนี่ยวนำกับชินงำน หลักกำรพืนฐำนของกำรให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำสำมำรถอธิบำยให้เห็นได้ชัดเจนโดยเปรียบเทียบกับ หลักกำรของหม้อแปลงไฟฟ้ำ ดัง ภาพ: 1.(ก) ซึ่งประกอบไปด้วยขดลวดปฐมภูมิและทุติยภูมิ (Primary and Secondary Winding) โดยขดเหนี่ยวนำเปรียบเสมือนขดลวดปฐมภูมิของหม้อแปลงและชินงำนก็เปรียบเสมือน ขดลวดทุติยภูมิจำนวน 1 รอบที่ลัดวงจรไว้ โดย เป็นกระแสที่จ่ำยให้กับ ขดเหนี่ยวนำ และ เป็นกระแสที่ไหลใน ชินงำน ดังวงจรสมมูลในภาพ: 1.(ข) ดังนันกำลังที่ชินงำน (1) 2 2 แทนค่ำ Is = IpNp จะได้ Pw = Is Np Rw โดย Pw คือ กำลังที่ชินงำน (W) Rw คือ ควำมต้ำนทำนสมมูลของชินงำน ( ) ลักษณะโครงสร้ำงอย่ำงง่ำยของระบบกำรให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำได้แสดงไว้ดัง ภาพ: 2. เมื่อขด เหนี่ยวนำได้รับกระแสไฟสลับจะทำให้เกิดฟลักซ์แม่เหล็กสลับคล้องผ่ำนชินงำนทำให้เกิด แรงเคลื่อนไฟฟ้ำเหนี่ยวนำ เกิดกระแสไหลวนในชินงำนทำให้เกิดควำมร้อนขึนที่ชินงำนได้ และเนื่องจำกกระแสที่ป้อนให้กับขดเหนี่ยวนำมักจะมี ปริมำณที่สูงมำก จึงต้องมีระบบระบำยควำมร้อนด้วยนำภำยในขดเหนี่ยวนำเพื่อลดกำลังสูญเสียที่ขดเหนี่ยวนำ

51


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภำพที่ 2 โครงสร้ำงอย่ำงง่ำยของกำรให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำ[1] ในหลักกำรดังกล่ำวกระแสไหลวนจะมีควำมหนำแน่นมำกที่สุดที่บริเวณผิวของชินงำนเนื่องจำกผลของ ปรำกฏกำรณ์พืนผิว (Skin Effect) และควำมหนำแน่นของกระแสลดลงมำเป็นประมำณ 0.368 เท่ำของค่ำควำม หนำแน่นกระแสที่ผิวของชินงำนที่ค่ำควำมลึกผิว (Skin Depth) ซึ่งสำมำรถคำนวณได้จำกสมกำรที่ 2

Skin depth,

(2)

โดย คือ ควำมลึกผิว (m) คือ ควำมต้ำนทำนจำเพำะของชินงำน ( m) คือ ควำมซึมซำบแม่เหล็กของชินงำน (H/m) f คือ ควำมถี่ของแหล่งจ่ำยไฟสลับ (Hz) จำกสมกำรที่ 2 แสดงให้เห็นว่ำค่ำควำมลึกผิวขึนอยู่กับค่ำควำมถี่ของกระแสไฟสลับที่จ่ำยให้ ขด เหนี่ยวนำ, ค่ำควำมซึมซำบแม่เหล็ก (Permeability), ควำมต้ำนทำนจำเพำะ (Resistivity) ของชินงำน 1.2 แหล่งจ่ำยกำลังไฟฟ้ำของขดเหนีย่ วนำ

ภำพที่ 3 กรำฟแสดงถึงช่วงควำมถี่และกำลังของกำรใช้งำนเครื่องให้ควำมร้อนแบบเหนีย่ วนำ [1]

52


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ในทำงปฏิบัติลักษณะงำนที่แตกต่ำงกันก็มีควำมต้องกำรค่ำควำมลึกผิวและกำลังไฟฟ้ำที่แตกต่ำงกัน เช่น กำรชุบแข็งที่ผิวชินงำนจะต้องกำรค่ำควำมลึกผิวที่ต่ำจึงต้องใช้ควำมถี่ที่สูงทำให้มีค่ำควำมหนำแน่นของกำลังไฟฟ้ำที่ สูง ส่วนในงำนประเภทกำรให้ควำมร้อนสำหรับกำรหลอมโลหะ จะต้องกำรค่ำควำมลึกผิวที่ค่อนข้ำงสูง ควำมถี่กำร ทำงำนจึงต่ำกว่ำ เป็นต้น จำกภำพ[ที่]: 3 [1] แสดงช่วงควำมถี่กำรทำงำน และระดับกำลัง ออกของเครื่องให้ควำมร้อนแบบ เหนี่ยวนำแต่ละแบบ โดยขึนกับแหล่งกำเนิดไฟสลับที่จ่ำยให้กับเครื่อง และยังขึนกับอุปกรณ์ที่ใช้ในวงจร รวมทัง แสดงควำมถี่กับกำรประยุกต์ใช้งำนในแต่ละช่วงด้วย ระบบกำรให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำที่ใช้ในปัจจุบันจำแนกได้ ดังนี 1. แหล่งจ่ำยกำลังไฟฟ้ำโดยตรง เป็นระบบที่ใช้ควำมถี่จำกสำยส่งโดยตรง (50 to 60 Hz) แรงดัน ไฟฟ้ำมีควำมถี่ค่อนข้ำงต่ำ จึงทำให้ค่ำควำมลึกผิวในกำรให้ควำมร้อนมีค่ำมำกโดยค่ำควำมลึกผิวจะมีค่ำสูงตังแต่ 10 ถึง 100 มิลลิเมตร เครื่องให้ควำมร้อนแบบนีนิยมใช้ในงำนหลอมโลหะ มีระดับกำลังที่สูงเป็นหลำยเมกกะวัตต์ 2. แหล่งจ่ำยกำลังจำกชุดมอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้ำ เป็นระบบที่มีกำรผลิตควำมถี่จำกระบบ ไฟฟ้ำโดยใช้มอเตอร์แบบเหนี่ยวนำไปขับเคลื่อนเครื่องกำเนิดไฟฟ้ำ ซึ่งสร้ำงแรงดันไฟฟ้ำที่มีควำมถี่สูงขึน โดย สำมำรถทำควำมถี่ได้ในช่วง 500 Hz ถึง 10 kHz ทำให้ได้ควำมลึกผิวตังแต่ 1 ถึง 10 มิลลิเมตร เครื่องให้ควำมร้อน ชนิดนีสำมำรถให้กำลังได้หลำยร้อยกิโลวัตต์ ใช้ในงำนหลอมโลหะมีระดับกำลังประมำณ 500 กิโลวัตต์ต่อเครื่อง 3. แหล่ ง จ่ ำ ยก ำลั งจำกระบบวงจรแปลงผั น ที่ ใ ช้ สิ่ งประดิ ษ ฐ์ ส ำรกึ่ งตั ว น ำ โดยมี ก ำรจั ด วงจรได้ หลำกหลำยลักษณะ ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้เอสซีอำร์ , ทรำนซิสเตอร์กำลัง, มอสเฟทกำลังและไอจีบีที เป็นอุปกรณ์ สวิตซ์ โดยมีย่ำนควำมถี่ตังแต่ 500 Hz ถึง 50 kHz กำรใช้งำนมีหลำยลักษณะ เช่นที่ควำมถี่ต่ำมักจะเป็นงำนหลอม โลหะ, ควำมถี่ปำนกลำงสำหรับงำนทุบขึนรูปโลหะ, ควำมถี่สูงสำหรับงำนชุบแข็งผิว เป็นต้น 4. แหล่งจ่ำยกำลังย่ำนควำมถี่วิทยุ (50 kHz ถึง 10 MHz) สำหรับควำมถี่ไม่เกิน 100 kHz ยังสำมำรถ ใช้พวกมอสเฟทกำลังได้ แต่ที่ควำมถี่สูงมำกๆ นิยมใช้หลอดสุญญำกำศเพรำะสิ่งประดิษฐ์สำรกึ่งตัวนำ ยังมีสมรรถนะใน กำรใช้งำนที่ควำมถี่สูงไม่ดีพอ โดยค่ำควำมลึกผิวมีค่ำ 0.1- 2 มิลลิเมตร เครื่องให้ควำมร้อนแบบเหนี่ยวนำนี จะให้ กำลังค่อนข้ำงต่ำเนื่องจำกทำงำนในย่ำนควำมถี่สูง นิยมใช้ในงำนเชื่อมประสำนและกำรชุบผิวแข็ง 1.3 วงจรเรโซแนนท์แบบอนุกรม ในวงจรไฟฟ้ำกระแสสลับที่ประกอบด้วยตัวต้ำนทำน ตัวเหนี่ยวนำ(Inductor) และตัวเก็บประจุ (Capacitor)ที่ต่ออนุกรมกัน เมื่อทำกำรจ่ำยแรงดันไฟฟ้ำและปรับควำมถี่ของแหล่งจ่ำยให้กับวงจร เมื่อควำมถี่ของ แหล่งจ่ำยมีค่ำเท่ำกับควำมถี่ธรรมชำติของวงจรก็จะทำให้เกิดสภำวะเรโซแนนท์ (กำรทำให้ควำมถี่ของแหล่งจ่ำยมี ค่ำเท่ำกับควำมถี่ธรรมชำติของวงจรทำได้โดยกำรปรับค่ำ L หรือกำรปรับค่ำ C หรือกำรปรับค่ำควำมถี่ของแหล่งจ่ำย) เป็นผลให้ ค่ำอินดักทีฟรีแอกแตนซ์ (XL:Inductive reactance) เท่ำกับค่ำคำปำซิทีฟ รีแอกแตนซ์ (XC: Capacitive Reactance) XL=XC จะทำให้เกิดสภำวะเรโซแนนท์ ขณะที่เกิด เรโซแนนท์ค่ำอิมพีแดนซ์ของวงจรจะน้อยที่สุด เหลือเท่ำกับ R เพียงอย่ำงเดียว ค่ำแรงดันตกคร่อมตัวเหนี่ยวนำ VL และค่ำแรงดันตกคร่อมตัวเก็บประจุ VC จะมีทิศทำงตรงกันข้ำมกันและหักล้ำงกันหมด เหลือเฉพำะแรงดันตกคร่อมตัวต้ำนทำน แรงดันไฟฟ้ำที่ตกคร่อมตัว ต้ำนทำนจะเท่ำกับแรงดันไฟฟ้ำที่แหล่งจ่ำย ดังนันค่ำกระแสไฟฟ้ำขณะเกิดสภำวะเรโซแนนท์จึงมีค่ำสูงสุด

53


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภำพที่ 4 แสดงวงจรเรโซแนนซ์แบบอนุกรม ตำรำงที่ 1 คุณสมบัติของวงจรอนุกรมเรโซแนนท์ คุณสมบัติ

วงจรอนุกรม RLC

ควำมถี่เรโซแนนท์ แรงดันตกคร่อม R

สูงสุดที่

กระแสที่ไหลผ่ำน R สูงสุดที่ ค่ำ Q (Quality Factor) ค่ำแบนด์วิดช์ (BW) Capacitive

ค่ำ Impedance ที่จุดต่ำกว่ำ

Inductive

ค่ำ Impedance ที่จุดสูงกว่ำ

1.4 อินเวอร์เตอร์เรโซแนนท์แบบแหล่งจ่ำยแรงดันเต็มบริดจ์ อินเวอร์เตอร์เรโซแนนท์แบบอนุกรมก็คือคอนเวอร์เตอร์ที่แปลงกำลังจำกไฟฟ้ำกระแสตรงเป็น กระแสสลับดังภำพที่ 5 ซึ่งจะเรียกว่ำเป็นวงจรเรโซแนนท์แบบอนุกรมเพรำะมีตัวเหนี่ยวนำและตัวเก็บประจุวำง อนุกรมกันกับโหลดควำมต้ำนทำน กำรสวิตซ์จะทำให้เกิดแรงดันรูปคลื่นสี่เหลี่ยมโดยที่ ตัวเหนี่ยวนำ(L)และตัวเก็บ ประจุ (C) จะทำให้เกิดควำมถี่เรโซแนนท์ซึ่งจะมีค่ำเท่ำกับควำมถี่สวิตซ์ชิ่งที่ควำมถี่เรโซแนนท์ ค่ำอิมพีแดนซ์ของตัว เหนี่ยวนำและตัวเก็บประจุจะหักล้ำงกันจึงมองเห็นเป็นโหลดมีค่ำเฉพำะควำมต้ำนทำนเท่ำนัน และเพื่อให้เกิดแรงดัน พัลส์สลับที่โหลดกำรทำงำนของสวิตซ์จะต้องทำงำนในลักษณะคู่ประกอบดังนี

ภำพที่ 5 วงจรอินเวอร์เตอร์เรโซแนนท์แบบแหล่งจ่ำยกระแสเต็มบริดจ์

54


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำรวิเครำะห์ผลตอบสนองของโหลดอนุกรมเรโซแนนท์ที่มีต่อแรงดันพัลส์สี่เหลี่ยมใช้กฎแรงดันของ เคอร์ชอพจะได้ (3) จำกควำมสัมพันธ์กระแสกับแรงดันจะได้ (4) จัดรูป Integrodifferential equation (5) จัดรูป (6) จำกสมกำรที่ 6 จะได้ค่ำ natural angular frequency และ damping coefficient

กำรวิเครำะห์หำกำลังไฟฟ้ำที่โหลดเรโซแนนท์

ภำพที่ 6 รูปคลื่นสัญญำณกระแสและแรงดันที่โหลด จำกภำพที่ 5 รูปคลื่นของแรงดันมีลักษณะเป็นฟังก์ชั่นคี่องค์ประกอบฮำร์มอนิกส์ต่ำงๆ ของแรงดันพัลส์ สี่เหลี่ยมเป็นดังนี (7) โดยที่ และ

เลขจำนวนเต็มคี่

ดังนัน (9)

55

(8)


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ส่วนกระแสที่โหลดมีลักษณะเป็นซำยน์ดังนันจึงสำมำรถหำกำลังไฟฟ้ำได้จำก (10) เมื่อแทนค่ำ

และ

จะได้ (11)

2. กำรออกแบบโมดูลอินเวอร์เตอร์อนุกรมเรโซแนนท์ 1 เฟส 2.1 กำรต่อโมดูลอินเวอร์เตอร์

ภำพี่ 7 ส่วนประกอบเครื่องให้ควำมร้อนแบบเหนีย่ วนำ จำกภำพที่ 6

แสดงวงจร อินเวอร์เตอร์ 1โมดูลประกอบด้วย ฟูลบริดจ์เร็กติไฟเออร์ บัสฟิลเตอร์

ฟูลบริดจ์อินเวอร์เตอร์ และหม้อแปลงแมตชิ่งเมื่อ

คือ แรงดันอินพุทไฟฟ้ำกระแสสลับ

คือค่ำ

พิกัดกระแสสูงสุดที่โมดูลทนได้และ คือค่ำอิมพีแดนซ์ของโหลดอนุกรมเรโซแนนท์ โดยที่หม้อแปลงแมตชิ่งทำ หน้ำที่ปรับอิมพีแดนซ์ของโหลดให้เหมำะสมกับอินเวอร์เตอร์ และยังช่วยแยกระหว่ำงโหลดกับวงจรกำลังทำให้เกิด ควำมปลอดภัย 2.2 ขนำนอินพุทโมดูลอินเวอร์เตอร์

ภำพที่ 7 กำรต่ออินพุทโมดูลแบบขนำน

56


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

จำกภำพ:7 แสดงรูปวงจร 2 โมดูลอินเวอร์เตอร์ต่อแบบขนำนอินพุท โดยกำรนำชุดเร็กติไฟเออร์ทังสอง ชุดมำต่อขนำนกัน ซึ่งสำมำรถพิจำรณำได้เหมือนกับกำรเอำด้ำนปฐมภูมิของหม้อแปลงของโมดูลอินเวอร์เตอร์ต่อ ขนำนกันดังภำพ:11 โดยเมื่อจ่ำยแรงดันอินพุทเท่ำกับ VS ก็จะสำมำรถเพิ่มพิกัดกระแส IS ได้เท่ำกับจำนวนโมดูล อินเวอร์เตอร์ที่มำต่อขนำน

ภำพที่ 8 วงจรสมมูลโมดูลแบบขนำน 2.3 ขนำนเอำท์พุทโมดูลอินเวอร์เตอร์

ภำพที่ 9 กำรต่อเอำท์พุทโมดูลแบบขนำน จำกภำพที่ 9 แสดงกำรต่อขนำนเอำท์พุท โดยกำรต่อด้ำน ทุติยภูมิของหม้อแปลงขนำนเข้ำด้วยกัน ซึ่ง ค่ำของ

จะมีค่ำเท่ำกับ

และจะทำให้กระแส ค่ำอิมพีแดนซ์

ทำให้กระแสและกำลังไฟฟ้ำที่โหลดคงที่เมื่อค่ำอิมพีแดนซ์

เท่ำกับ

ลดลงตำมจำนวนของโมดูลดังสมกำรที่ 12 กำรเพิ่มกำลังไฟฟ้ำทำได้โดยเปลี่ยนโหลดให้มี ลดลงดังสมกำรที่ 13 และ 14 ในสภำวะเรโซแนนท์ =

(12)

=

=

=

=

(13) =

57

(14)


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

เมื่อ

SRRU NCR2018

n คือ จำนวนโมดูลที่ต่อขนำน คือ ค่ำยอดคลื่นของกระแส คือ ค่ำยอดคลื่นของแรงดัน 2.4 กำรขนำนหม้อแปลง 2.4.1 เนื่องจำกกำรขนำนโมดูลอินเวอร์เตอร์ เมื่อพิจำรณำเหมือนกับกำรขนำนหม้อแปลง ซึ่งหลักเกณฑ์กำรต่อขนำนหม้อแปลงควรพิจำรณำดังนี 1. อัตรำส่วนแรงดันของหม้อแปลงต้องเท่ำกัน (match voltage ratio) ถ้ำหม้อแปลงมีอัตรำส่วนแรงดันไม่เท่ำกันก็จะส่งผลให้เกิดกระแสหมุนวน(circulating current) ในขณะที่ทำกำรต่อขนำนในขณะที่ยังไม่ได้ต่อโหลด ซึ่ง circulating current เป็นสำเหตุที่ทำให้เกิดกำรสูญเสียใน รูปแบบควำมร้อนในขดลวดของหม้อแปลง(Copper loss) 2.4.2 ขั วของหม้ อ แปลงที่ ต่ อ ขนำนต้ อ งเหมื อ นกั น (polarity) จึ งจะได้ ทิ ศ ทำงของ แรงดันไฟฟ้ำเหนี่ยวนำในขดลวดปฐมภูมิและทุติยภูมิในทิศทำงเดียวกัน 2.4.3 ค่ำเปอร์เซ็นต์อิมพีแดนซ์ของหม้อแปลงต้องเท่ำกัน จึงจะทำให้หม้อแปลงที่ต่อขนำน จ่ำยแรงดันให้แก่โหลดเท่ำกัน ถ้ำค่ำเปอร์เซ็นต์อิมพีแดนซ์ไม่เท่ำกันจะทำให้หม้อแปลงที่มีเปอร์เซ็นต์อิมพีแดนซ์ที่ต่ำ กว่ำจ่ำยแรงดันมำกกว่ำ ส่วนหม้อแปลงอีกตัวที่มีเปอร์ เซ็นต์อิมพีแดนซ์สูงกว่ำจะจ่ำยแรงดันให้กับโหลดเพียงส่วน หนึ่ง ดังนันผลรวมของกำลังที่จ่ำยให้โหลดจึงน้อยกว่ำพิกัดกำลังของหม้อแปลงที่ต่อขนำนกัน 2.4.4 มุมเฟสของอิมพีแดนซ์ (X/R) ของหม้อแปลงต้องเท่ำกันจึงจะทำให้แรงดันไฟฟ้ำที่ ขดลวดปฐมภูมิที่จ่ำยไปยังโหลดมีเฟสตรงกัน แต่ถ้ำมุมเฟสของอิมพีแดนซ์ไม่เท่ำกัน จะทำให้แรงดันไฟฟ้ำที่โหลดมี เฟสไม่ตรงกัน จึงทำให้ผลรวมกำลังที่โหลดที่เกิดจำกผลรวมของกำรขนำนหม้อแปลงลดลงจำกพิกัดเดิม สัญญำณขับนำและกำรทำงำนของไอจีบีที กำรทำงำนของไอจีบีทีและสัญญำณขับนำไอจีบีทีที่ถูกกำหนดให้มีเวลำห่ ำงกันอยู่ประมำณ เพื่อ ป้องกันกระแสที่ผ่ำนสวิตซ์สูงเกินเนื่องจำกกำรลัดวงจรของอินเวอร์เตอร์ สัญญำณ ขับนำจะมีแรงดันช่วงลบ (-5V) เพื่อช่วยให้ไอจีบีทีหยุดทำงำนเร็วขึนและป้องกันกำรนำกระแสได้เองของไอจีบีทีเนื่องจำกสัญญำณรบกวนดังแสดงใน ภำพ:10

ภำพที่ 10 กำรกำหนดสัญญำณขับนำและกำรทำงำนของไอจีบีที

58


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

รูปแบบกำรต่อโมดูลอินเวอร์เตอร์ ในกำรเพิ่มควำมถี่ กำรต่อโมดูลอินเวอร์เตอร์เพื่อเพิ่มควำมถี่โดยกำรนำโมดูลที่เหมือนกันมำต่อเข้ำด้วยกันโดยให้กำร ทำงำนของสวิตซ์ในแต่ละโมดูลทำงำนสลับกัน 1 รูปคลื่น ดังแสดงในภำพ[ที่]:11 โดยมีหม้อแปลงแมตชิ่งทำหน้ำที่ ปรับอิมพีแดนซ์ของโหลดให้เหมำะสมกับอินเวอร์เตอร์ และยังช่วยแยกระหว่ำงโหลดกับวงจรกำลังทำให้เกิดควำม ปลอดภัย ในกำรต่อโมดูลอินเวอร์เตอร์ทัง 2 ชุดที่เหมือนกันให้ทำงำนสลับกัน สำมำรถต่อด้ำนอินพุทของโมดูลโดย กำรต่อ เร็กติไฟเออร์ในรูปแบบขนำนสำมำรถมองได้เหมือนกับเอำด้ำนปฐมภูมิของหม้อแปลงมำต่อแบบขนำน ส่วน ด้ำนเอำท์พุทของโมดูลสำมำรถต่อโดยกำรนำด้ำนทุติยภูมิของหม้อแปลงต่อขนำนกันดังแสดงในภำพ[ที]่ :12

ภำพที่ 11 รูปคลื่นกำรทำงำนของอินเวอร์เตอร์ทัง 2 โมดูล

ภำพที่ 12 รูปแบบกำรต่อโมดูลโดยกำรขนำนอินพุทและเอำท์พุท กำรทำงำนของระบบกำลังประกอบด้วย วงจรเรียงกระแส 1 เฟส แรงดันไฟตรงที่ได้เมื่อนำมำต่อกับตัว เหนี่ยวนำกับตัวเก็บประจุขนำดใหญ่พอที่สำมำรถรักษำแรงดันให้เรียบได้ และนำแรงดันไฟฟ้ำกระแสตรงที่ได้ ป้อนเข้ำสู่วงจรอินเวอร์เตอร์แบบแหล่งจ่ำยแรงดันเต็มบริดจ์ที่ใช้ไอจีบีทีขนำนกับไดโอดเป็นอุปกรณ์สวิตซ์ในกำร เปลี่ยนแรงดันไฟตรงดังกล่ำวให้เป็นพัลส์แรงดันไฟสลับรูปสี่เหลี่ยมที่มีควำมถี่สูง โหลดต่อในลักษณะวงจรเรโซแน นท์อนุกรมซึ่งประกอบไปด้วย ขดเหนี่ยวนำและตัวเก็บประจุต่ออนุกรมเพื่อแก้ตัวประกอบกำลังของขดเหนี่ยวนำที่มี ค่ำต่ำ และมีหม้อแปลงควำมถี่สูงต่ออยู่ระหว่ำงฟลูบริดจ์อินเวอร์เตอร์กับโหลดอนุกรมเรโซแนนท์เพื่อปรับอิมพีแดนซ์

59


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ของโหลดให้เ หมำะสมกับก ำลั งของอินเวอร์เ ตอร์ และยังช่วยแยกระหว่ำงโหลดกับ วงจรก ำลั งท ำให้ เกิ ดควำม ปลอดภัย ผลกำรวิจัย ในกำรจำลองกำรต่อโมดูลอินเวอร์เตอร์เพื่อเพิ่มควำมถี่โดยกำรนำโมดูลที่เหมือนกันมำต่อเข้ำด้วยกันโดย ให้กำรทำงำนของสวิตซ์ในแต่ละโมดูลทำงำนสลับกัน 1 รูปคลื่น โดยมีหม้อแปลงแมตชิ่งทำหน้ำที่ปรับอิมพีแดนซ์ของ โหลดให้เหมำะสมกับอินเวอร์เตอร์ และยังช่วยแยกระหว่ำงโหลดกับวงจรกำลังทำให้เกิดควำมปลอดภัย ในกำรต่อ โมดูลอินเวอร์เตอร์ทัง 2 ชุดที่เหมือนกันให้ทำงำนสลับกัน สำมำรถต่อด้ำนอินพุทของโมดูลโดยกำรต่อ เร็กติไฟเออร์ ในรูปแบบขนำนสำมำรถมองได้เหมือนกับเอำด้ำนปฐมภูมิของหม้อแปลงมำต่อแบบขนำน ส่วนด้ำนเอำท์พุทของ โมดูลสำมำรถต่อโดยกำรนำด้ำนทุติยภูมิของหม้อแปลงต่อขนำนกัน กำรจำลองเปรียบเทียบกำรทำงำนของอินเวอร์เตอร์ในกรณีควำมถี่ต่ำกว่ำและสูงกว่ำควำมถี่ เรโซแนนท์ กำรจำลองประกอบด้วยแหล่งจ่ำยแรงดั นกระแสตรง วงจรฟลูบริจด์ อินเวอร์เ ตอร์ หม้อ แปลงปรั บ อิม พี แ ดนซ์ แ ละต่ อ กับ โหลดอนุ กรม เรโซแนนท์ วงจรที่ ใ ช้ จำลองกำรท ำงำนดังภำพที่ 14 กำรท ำงำนของ อินเวอร์เตอร์ที่ควำมถี่ต่ำกว่ำเรโซแนนท์ และภำพ:15 กำรทำงำนของอินเวอร์เตอร์ที่ควำมถี่สูงกว่ำเรโซแนนท์ 16 เพื่อให้ทรำบถึงพฤติกรรมของกระแสและแรงดันที่อุปกรณ์สวิตซ์ในช่วงกำรทำงำนที่ควำมถี่ต่ำและสูงกว่ำควำมถี่เร โซแนนท์

ภำพที่ 13 กำรจำลองกำรทำงำนของอินเวอร์เตอร์ที่ต่ำกว่ำควำมถี่เรโซแนนท์ (fs =12kHz)

60


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภำพที่ 14 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันของอุปกรณ์สวิตซ์ที่ควำมถี่ต่ำกว่ำควำมถีเ่ รโซแนนท์

ภำพที่ 15 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันของอุปกรณ์สวิตซ์ที่ควำมถี่สูงกว่ำควำมถี่เรโซแนนท์ (fs =16kHz) วิเครำะห์ผลกำรจำลองกำรทำงำนจำกภำพ:14 แสดงรูปคลื่นกระแสและแรงดันของอุปกรณ์สวิตซ์ทำงำน ที่ควำมถี่ต่ำกว่ำควำมถี่เรโซแนนท์ โดยขณะที่สวิตซ์เปิดวงจรแรงดันที่ตกคร่อมจะมีค่ำเท่ำกับแหล่งจ่ำยแรงดันไฟตรง และกระแสที่ไหลผ่ำนเป็นศูนย์และขณะที่สวิตซ์ต่อวงจรแรงดันที่ตกคร่อมสวิตซ์จะมีค่ำเท่ำกับศูนย์และกระแสที่ไหล ผ่ำนจะเริ่มในขณะที่มีกระแสเริ่มต้นเนื่องจำกวงจรอยู่ในสภำวะกระแสนำหน้ำแรงดันทำให้เกิดกระแสยอดสูง (spike current) ซึ่งเกิดจำกกำรเปลี่ยนแปลงของแรงดันในขณะที่มีกระแสเริ่มต้นจำกภำพ:15 แสดงรูปคลื่นกระแสและ แรงดันของอุปกรณ์สวิตซ์ทำงำนที่ควำมถี่สูงกว่ำควำมถี่ เรโซแนนท์ โดยขณะที่สวิตซ์เปิดวงจรแรงดันที่ตกคร่อมจะมี ค่ำเท่ำกับแหล่งจ่ำยแรงดันไฟตรงและกระแสที่ไหลผ่ำนเป็นศูนย์และขณะที่สวิตซ์ต่อวงจรแรงดันที่ตกคร่อมสวิตซ์จะ มีค่ำเท่ำกับศูนย์และกระแสที่ไหลผ่ำนจะเริ่มขณะที่มีค่ำเป็นศูนย์เนื่องจำกวงจรอยู่ในสภำวะกระแสล้ำหลังแรงดันจึง ไม่ทำให้เกิดกระแสยอดสูง (spike current) ที่อุปกรณ์สวิตซ์ กำรจำลองกำรทำงำนของโมดูลอินเวอร์เตอร์ขนำด 1 ชุดขนำด 1 kW กำรทำงำนของอินเวอร์เตอร์ประกอบด้วยแหล่งจ่ำยแรงดันกระแสตรง, วงจรฟลูบริจด์อินเวอร์เตอร์ , หม้อแปลงควำมถี่สูงและต่อกับโหลดอนุกรมเรโซแนนท์ดังแสดงภำพที่ 16

61


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภำพที่ 16 กำรจำลองกำรทำงำนของโมดูลอินเวอร์เตอร์ 1 ชุด 1 kW ต่อกับโหลดอนุกรมเรโซแนนท์ จำกวงจรในภำพที่ 16 ได้ผลกำรจำลองกระแสด้ำนปฐมภูมิของโมดูลอินเวอร์เตอร์ดังภำพที่17 ผลกำร จำลองกระแสและแรงดันที่อุปกรณ์สวิตซ์ดังภำพที่ 18 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันที่โหลดเรโซแนนท์ที่กำลัง เอำท์พุท 1kW ดังภำพที่ 19 ผลกำรจำลองกำลังเฉลี่ยที่เอำท์พุท ดังภำพที่ 20

ภำพที่ 17 ผลกำรจำลองกระแสด้ำนปฐมภูมิของโมดูลอินเวอร์เตอร์

ภำพที่ 18 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันที่อุปกรณ์สวิตซ์

ภำพที่ 19 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันทีโ่ หลดเรโซแนนท์ที่กำลังเอำท์พุท 1kW

62


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภำพที่ 20 ผลกำรจำลองกำลังเฉลี่ยที่เอำท์พุท กำรจำลองกำรต่อโมดูลอินเวอร์เตอร์ 2 ชุดเพื่อเพิ่มควำมถี่ ที่กำลังเอำท์พุท 1 kW กำรต่ออินเวอร์เตอร์ 2 โมดูลเพื่อเพิ่มควำมถี่โดยมี ลักษณะกำรต่อแบบขนำนด้ำนอินพุทและเอำท์พุทใน กำรนำโมดูลที่เหมือนกันมำต่อเข้ำด้วยกันโดยกำหนดให้กำรทำงำนของสวิตซ์ในแต่ละโมดูลทำงำนสลับกัน 1 รูปคลื่น ที่ ดังแสดงในภำพที่ 21

ภำพที่ 21 กำรจำลองกำรทำงำนของโมดูลอินเวอร์เตอร์ 2 ชุด ที่กำลังเอำท์พุท 1kW จำกวงจรในภำพที่ 21 ได้ผลกำจำลองรูปคลื่นกระแสที่ด้ำนปฐมภูมิของอินเวอร์เตอร์แต่ละโมดูลดัง ภำพ:22 ผลกำรจำลองกำรทำงำนสัญญำณขับนำสวิตซ์ดังภำพที่ 23 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันที่อุปกรณ์สวิตซ์ S1, S4ดังภำพที่ 24 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันที่อุปกรณ์สวิตซ์ S2, S3 ดังภำพที่ 25 ผลกำรจำลองกระแส และแรงดันที่อุปกรณ์สวิตซ์ S5, S8 ดังภำพที่ 26 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันที่อุปกรณ์สวิตซ์ S6, S7 ดังภำพ ที่ 27 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันที่โหลดเรโซแนนท์ดังภำพที่ 28 และผลกำรจำลองกำลังเฉลี่ยที่เอำท์พุทดัง ภำพที่ 29

63


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ภำพที่ 22 รูปคลื่นกระแสทีด่ ้ำนปฐมภูมิของอินเวอร์เตอร์แต่ละโมดูล

ภำพที่ 23 ผลกำรจำลองกำรทำงำนสัญญำณขับนำสวิตซ์

ภำพที่ 24 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันที่อุปกรณ์สวิตซ์ S1, S4

ภำพที่ 25 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันที่อุปกรณ์สวิตซ์ S2, S3

64

SRRU NCR2018


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ภำพที่ 26 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันที่อุปกรณ์สวิตซ์ S5, S8

ภำพที่ 27 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันที่อุปกรณ์สวิตซ์ S6, S7

ภำพที่ 28 ผลกำรจำลองกระแสและแรงดันทีโ่ หลดเรโซแนนท์

ภำพที่ 29 ผลกำรจำลองกำลังเฉลี่ยที่เอำท์พุท

65

SRRU NCR2018


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำรจำลองกำรทำงำนของโมดูลอินเวอร์เตอร์ ขนำด 1 kWโดยนำโมดูลที่เหมือนกันมำต่อเข้ำด้วยกัน และกำหนดให้กำรทำงำนของสวิตซ์ในแต่ละโมดูลทำงำนสลับกัน 1 รูปคลื่น มีลักษณะกำรต่อแบบขนำนด้ำนอินพุท และเอำท์พุท และใช้โหลดพำรำมิเตอร์จำกกำรคำนวณ ผลที่ได้จำกกำรจลองกำลังเฉลี่ยเอำท์พุทที่โหลดอนุกรม เรโซแนนท์มีกำรจ่ำยกำลังไฟฟ้ำเท่ำเดิมและมีควำมถี่ที่โหลดเพิ่มขึนเป็น 2 เท่ำดังแสดงในภำพ:29 สรุปได้ว่ำ กำร เพิ่มควำมถี่ได้นำโมดู ลอินเวอร์เตอร์ 1kW 2 ชุดที่เหมือนกันมำต่อกันเพื่อเพิ่มควำมถี่โดยกำรขนำนอินพุทและ เอำท์พุท สำมำรถเพิ่มควำมถี่เอำท์พุทได้เป็น 2 เท่ำและกำลังไฟฟ้ำเอำท์พุทเท่ำเดิม สรุปผลและวิจำรณ์ผลกำรวิจัย บทควำมนีนำเสนอกำรศึกษำทฤษฎีและเทคนิคในกำรพัฒนำอินเวอร์เตอร์ในงำนให้ควำมร้อนเหนี่ยวนำ โดยกำรนำโมดูลอินเวอร์เตอร์อนุกรมเรโซแนนท์ 1 เฟสใช้ไอจีบีทีเป็นอุปกรณ์สวิตซ์ มำต่อเพื่อเพิ่มควำมถี่เอำท์พุทใน ให้งำนควำมร้อนเหนี่ยวนำที่ต้องใช้ควำมถี่สูง เทคนิคนีช่วยแก้ปัญหำขีดจำกัดของอุปกรณ์สวิตซ์ที่ต้องใช้ควำมถี่สูง โดยกำรนำโมดูลอินเวอร์เตอร์ที่เหมือนกันมำต่อขนำนอินพุทและเอำท์พุท และควบคุมกำรทำงำนของอินเวอร์เตอร์ โดยควบคุมให้กำรทำงำนของสวิตซ์ในแต่ละโมดูลทำงำนสลับกันชุดละ1 รูปคลื่น ซึ่งโมดูลอินเวอร์เตอร์ประกอบด้วย แหล่งจ่ำยแรงดันไฟตรง อินเวอร์เตอร์แบบเต็มบริดจ์ และหม้อแปลงปรับอิมพีแดนซ์ ผลกำรจำลองด้วยโปรแกรม PSpic ในกำรเพิ่มควำมถี่ได้นำโมดูลอินเวอร์เตอร์ 1kW 2 ชุดที่เหมือนกันมำต่อกันโดยกำร ขนำนอินพุทและ เอำท์พุท สำมำรถเพิ่มควำมถี่เอำท์พุทได้เป็น 2 เท่ำโดยที่กระแสไฟฟ้ำในแต่ละโมดูลมีค่ำเท่ำกันและกำลังไฟฟ้ำ เอำท์พุทเท่ำเดิม ซึ่งทฤษฎี และเทคนิคนีสำมำรถนำมำประยุกต์ในกำรพัฒนำอินเวอร์เตอร์ในงำนให้ควำมร้อ น เหนี่ยวนำสำมำรถนำไปใช้งำนเพื่อเพิ่มควำมถี่กับโหลดได้หลำกหลำยรูปแบบขึน และทำให้มีประโยชน์ในทำง วิศวกรรมและธุรกรรมในด้ำนกำรออกแบบ กำรนำไปใช้งำน ยังช่วยลดเวลำและค่ำใช้จ่ำยในกำรซืออุปกรณ์ ข้อเสนอแนะ ในกำรจำลองด้วยโปรแกรม PSpice เมื่อนำโมดูลอินเวอร์เตอร์มำต่อจำนวนมำกขึนก็จะเกิดปัญหำในกำรสร้ำง สัญญำณขับสวิตช์ให้กับไอจีบีทีและกำรจัดวำงอุปกรณ์ จึงทำให้ในกำรจำลองทำได้เพีย งครังละ 2 ชุดมำต่อกัน และ กำรกำหนดค่ำพำรำมิเตอร์ของหม้อแปลงให้แต่ละชุด เอกสำรอ้ำงอิง จีระศักดิ์ วงศำ, จิรศักดิ์ ส่งบญุแก้ว, เอกรัตน์ นภกำนต์, บัญชำ ศรีวโิ รจน์ , ยืน ปำระเคน. (2555).กำรประยุกต์ใช้ หลักกำรเหนี่ยวนำควำมร้อนสำหรับเครื่องหลอมพลำสติก.กำรประชุมวิชำกำรข่ำยงำนวิศวกรรมอุต สำหกำร, 1637-1642. มงคล ทองสงครำม. (พิมพ์ครังที่ 2).หม้อแปลงไฟฟ้ำ,74-75. I. Khan, J. Tapson and I. De Vries, F.N. (1998). An Induction Furnace Employing A 100 kHz Mosfet Full - Bridge Current - Source Load - resonant Inverter. Proceedings of IEEE Conference,530-534. J. Davies and P.Simpson.( 1979). Induction Heating Handbook. UK:Mcgraw – Hill Book.

66


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Makky, A.-R.A.M. , Abo-Zied, H. ,and Abdelbar, F.N. (2008). Parallel operation of IGBTs modular converter system for high power high frequency induction heating applications. Power System Conference, 2008. MEPCON 2008. 12th International Middle-East , 577-582.

67


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-06 กำรศึกษำวิธีประเมินต้นทุนของระบบป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำเพื่อสร้ำงฐำนข้อมูลสำหรับกำรเรียนรู้ และออกแบบกำรติดตั้ง A COST ESTIMATE METHOD STUDY OF LOW VOLTAGE PROTECTION SYSTEM TO IMPLEMENT DATA BASE FOR LEARNING AND INSTALLATION DESIGN สุวิมล เทียกทุม1 และ นฤมล วันน้อย2 1

Suwimon Theakthum สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้าอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ mapheangvan@gmail.com 2 Narumon Wannoi สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้าอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย ราชภัฏเพชรบูรณ์ n_pue23@hotmail.com

บทคัดย่อ ในกำรศึกษำวิจัยนีได้ทำกำรศึกษำวิธีประเมินต้นทุนของระบบป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำเพื่อสร้ำงฐำนข้อมูล สำหรับกำรเรียนรู้และออกแบบกำรติดตังระบบป้องกันทำงไฟฟ้ำ ซึ่งข้อมูลกำรประเมินรำคำเหล่ำนีมีส่วนสำคัญเป็น อย่ำงยิ่งในกำรเลือกใช้อุปกรณ์รองจำกคุณสมบัติกำรทำงำนและคุณ ภำพของอุปกรณ์เหล่ำนัน ดังนันในกำรศึกษำ และออกแบบระบบไฟฟ้ำต้องทำกำรศึกษำสำรวจและประเมินต้นทุนของวัสดุอุปกรณ์ระบบป้องกันไฟฟ้ำรวมถึง รำคำในกำรติดตังควบคู่ไปด้วย ในกำรศึกษำและสำรวจต้นทุนในงำนวิจัยนีได้มุ่งเน้นในกำรศึกษำระบบไฟฟ้ำและ ระบบป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำ (220Vac) สำหรับบ้ำนเรือน พบว่ำรำคำสินค้ำนันจะมีควำมแตกต่ำงกันทังด้ำนรำคำ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำ และลักษณะรูปแบบสินค้ำตำมบริษัทผู้ผลิต ในส่วนของกำรศึกษำวิจัยนันได้เน้นกำรประเมิน รำคำในกำรติดตังวัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้ำจะอ้ำงอิงรำคำติดตังมำตรฐำน ซึ่งข้อมูลในกำรศึก ษำและประเมินต้นทุนของ ระบบป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำนีสำมำรถใช้เป็นฐำนข้อมูลสำหรับกำรเรียนรู้และออกแบบระบบป้องกันทำงไฟฟ้ำ คำสำคัญ: ต้นทุน ; ระบบไฟฟ้า ; ไฟฟ้าแรงดันต่้า Abstract This research presents a cost estimate method study of low voltage protection systems to create a database for learning and electrical protection systems designing. This estimate price information is very important in choosing the right equipment from the features and quality of those devices. Therefore, in a study and design of the electrical system, it is necessary to survey and evaluate the cost of electrical protection equipment and installation. In this study were focused on the low voltage protection (220Vac) system. That found the price will be different in terms of the product material and design of each the manufacturer. A study focus on cost assessment of the electrical equipment installation is based on standard installation prices. This

68


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

study and evaluation data of low voltage protection system can be used as a database for learning and electrical protection systems designing. Keywords: Cost; Electrical System; Low voltage บทนำ ปัจจุบันอุปกรณ์ไฟฟ้ำนันมีอยู่อย่ำงมำกมำยและมีอยู่หลำยรูปแบบ และหลำยบริษัทผู้ผลิตซึ่งทำให้มี รำคำแตกต่ำงกันไป ซึ่งข้อมูลรำคำเหล่ำนีมีส่วนสำคัญเป็นอย่ำงยิ่งในกำรเลือกใช้อุปกรณ์รองจำกคุณสมบัติกำรทำงำน และคุณภำพของอุปกรณ์เหล่ำนัน ดังนันในกำรศึกษำและออกแบบระบบไฟฟ้ำนันมีควำมจำเป็นอย่ำงยิ่งและจำเป็น ที่ต้องทำกำรศึกษำสำรวจและประเมินต้นทุนของระบบป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำ (220Vac) จำกควำมแตกต่ำงด้ำน รำคำเพื่อใช้เป็นฐำนข้อมูลต้นแบบสำหรับกำรเรียนรู้และออกแบบระบบป้องกันทำงไฟฟ้ำ วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่อศึกษำระบบอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำและแบบแปลนเพื่อสร้ำงฐำนข้อมูลสำหรับกำร ประเมินระบบป้องกันทำงไฟฟ้ำ 2. เพื่อศึกษำวิธีกำรและมำตรฐำนรำคำกำรประเมินต้นทุนของระบบและอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้ำ แรงดัน ต่ำ 3. เพื่อ จัดกำรองค์ ควำมรู้ ด้ำนวิศ วกรรมและผลกำรประเมิน ต้น ทุนระบบป้อ งกัน ไฟฟ้ ำแรงดั นต่ ำ สู่ชุมชน ขอบเขตกำรวิจัย ในกำรศึกษำวิจัยกำรศึกษำและประเมินต้นทุนของระบบป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำเพื่อสร้ำงฐำนข้อมูล สำหรับกำรเรียนรู้และออกแบบกำรติดตังระบบป้องกันทำงไฟฟ้ำนั นสำมำรถกำหนดขอบเขตกำรศึกษำไว้เป็นดังนี สำรวจและประเมินต้นทุนของระบบไฟฟ้ำและระบบป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำ (220VAC) เพื่อสร้ำงฐำนข้อมูลสำหรับ กำรออกแบบและกำรติดตังระบบป้องกันทำงไฟฟ้ำพร้อมจัดทำชุดเอกสำรกำรสำรวจและประเมินต้นทุนของระบบ ไฟฟ้ำและระบบป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำ (220VAC) เพื่อจัดกำรองค์ควำมรู้ด้ำนวิศวกรรมและควำมปลอดภัยทำง ไฟฟ้ำสู่ชุมชน วิธีดำเนินกำรวิจัย ทำกำรศึกษำและประเมินต้นทุนของระบบป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำเพื่อสร้ำงฐำนข้อมูลสำหรับกำรเรียนรู้ และออกแบบกำรติดตังระบบป้องกันทำงไฟฟ้ำ โดยจะทำกำรศึกษำมำตรฐำนกำรออกแบบทำงไฟฟ้ำและกำร ประเมินรำคำระบบไฟฟ้ำโดยขันตอนในกำรดำเนินสำมำรถอธิบำยได้ดังนี ศึกษำกำรออกแบบระบบและอุปกรณ์ ป้องกันไฟฟ้ำตำมหลักวิศวกรรมไฟฟ้ำพร้อมศึกษำหลักกำรและมำตรฐำนกำรประเมินต้นทุนในออกแบบและติดตัง ระบบป้องกันไฟฟ้ำ 220VAC และรวบรวมผลกำรศึกษำวิจัยเพื่อจัดกำรองค์ควำมรู้สู่ชุมชน ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ชุมชนบ้ำนติว อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เครื่องมือวิจัย มำตรฐำนกำรออกแบบและประเมินรำคำระบบไฟฟ้ำ

69


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อมูลโหลดทำงไฟฟ้ำพืนที่เป้ำหมำย กำรวิเครำะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ค่ำมำตรฐำนกำรออกแบบกำรประเมินรำคำ กำรประมำณรำคำระบบไฟฟ้ำ กำรประมำณรำคำระบบไฟฟ้ำ คือ กำรคำนวณค่ำใช้จ่ำยในกำรติดตังระบบไฟฟ้ำให้สมบูรณ์และใช้งำน ได้ตำมแบบที่ ออกแบบไว้ กำรประมำณรำคำที่ดีจะต้องให้ตัวเลขค่ำใช้จ่ำยใกล้เคียงกับค่ำใช้จ่ำยที่ใช้จ่ำยจริง แต่ ทังนี และทังนีควำมแม่นยำในกำรประเมินรำคำจะสูงหรือต่ำ ขึนอยู่กับองค์ประกอบดังต่อไปนีคือ ควำมละเอียด ของแบบแปลนระบบไฟฟ้ำ ระยะเวลำในกำรประมำณรำคำ และควำมรู้ ควำมชำนำญ และประสบกำรณ์เกี่ยวกับ อุปกรณ์ เครื่องมือต่ำงๆ ของผู้ประมำณรำคำ และข้อมูล ของรำคำอุปกรณ์ และเครื่องมือต่ำงๆ ขั้นตอนกำรประมำณรำคำ ขันตอนของกำรประมำณรำคำ หลังจำกที่ได้ผู้ประมำณรำคำได้รับแบบและข้อกำหนดของงำนติดตัง แล้วมี ขันตอนของกำรทำกำรประมำณรำคำ ดังนี - กำรศึกษำและวิเครำะห์แบบรวมทังข้อกำหนดของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในกำรติดตัง - กำรถอดแบบหรือกำรถอดปริมำณของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ - กำรเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จำกกำรถอดแบบ - กำรสืบรำคำของวัสดุอุปกรณ์และจัดทำรำคำ กำรสืบรำคำของวัสดุอุปกรณ์และจัดทำรำคำ ในกำรสืบค้นรำคำอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ำนันขึนอยู่กับควำมพึงพอใจของเจ้ำของซึ่งมีหลำยยี่ ห้อและ หลำยรูปแบบ ในส่วนค่ำแรงโดยอ้ำงอิงจำกหนังสือ กำรประมำณรำคำระบบไฟฟ้ำ -สื่อสำรสำหรับอำคำร สำมำรถ แสดงได้ดังตำรำงที่ 2 ตำรำงที่ 1 ค่ำแรงในกำรติดตังอุปกรณ์ไฟฟ้ำของระบบไฟฟ้ำ รำยกำร Single Switch and Reception Single switch 1 gang Single switch 2 gang Two way switch 1 gang Two way switch 2 gang Dimmer 300W Single reception Single reception 2P+G Duplex reception 2P+G TV outlet Telephone outlet CB 2 pole (10, 15, 20, 30, 40 AT) โคมไฟฟ้ำ Down light โคม Down light 4-6 นิว

หน่วย

ค่ำแรง

หมำยเหตุ

ชุด ชุด ชุด ชุด ชุด ชุด ชุด ชุด ชุด ชุด

80 90 85 90 90 90 90 90 90 90

-

ชุด

110

-

ชุด

115

-

70


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

รำยกำร โคม Down light 8 นิว โคมกล่องเหล็กเปลือย ขนำด 1x18 ขนำด 1x36 ขนำด 2x18 ขนำด 2x36 โคมตะแกรงกรองแสงและสะท้อนแสงอลูมิเนียม ขนำด 1x18 ขนำด 1x36 ขนำด 2x18 ขนำด 2x36 Electrical Metal Tube (EMT) EMT 15cm EMT 20cm EMT 25cm EMT 32cm EMT 40cm PVC conduit (Yellow) PVC Yellow 15cm PVC Yellow 20cm PVC Yellow 25cm PVC Yellow 32cm PVC Yellow 40cm THW Cable THW 1.5 sq.mm THW 2.5 sq.mm THW 4 sq.mm THW 6 sq.mm THW 10 sq.mm THW 16 sq.mm THW 25 sq.mm THW 35 sq.mm THW 50 sq.mm VAF cable (300V) VAF 1.5 sq.mm VAF 2.5 sq.mm VAF 4 sq.mm VAF 6 sq.mm VAF 10 sq.mm VAF 16 sq.mm

SRRU NCR2018

หน่วย ชุด

ค่ำแรง 115

หมำยเหตุ -

ชุด ชุด ชุด ชุด

115 115 135 135

-

ชุด ชุด ชุด ชุด

135 135 135 135

-

เมตร เมตร เมตร เมตร เมตร

21 23 26 30 35

-

เมตร เมตร เมตร เมตร เมตร

18 22 24 26 29

-

เมตร เมตร เมตร เมตร เมตร เมตร เมตร เมตร เมตร

5 7 10 12 16 19 23 28 38

-

เมตร เมตร เมตร เมตร เมตร เมตร

11 12 13 17 20 25

-

71


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ผลกำรวิจัย ผลกำรศึกษำระบบไฟฟ้ำแรงดันต่ำบ้ำนเรือนในชุมชน ผลกำรศึกษำระบบไฟฟ้ำบ้ำนเรือนในชุมชนนันเพื่อสร้ำงฐำนข้อมูลสำหรับกำรประเมินต้นทุนระบบไฟฟ้ำ ซึ่ ง พบว่ ำ บ้ ำ นเรื อ นส่ ว นใหญ่ นั นใช้ ส ำยไฟฟ้ ำ อยู่ ส องชนิ ด ด้ ว ยกั น คื อ สำยชนิ ด สำยไฟฟ้ ำ VAF (VAF Cable Wire) สำยไฟฟ้ำที่หุ้มด้วยฉนวนและหุ้มทับด้วยเปลือก อุณหภูมิของตัวนำ 70 C ชนิดสำยแบนเป็นสำย ไฟฟ้ำชนิด ทนแรงดัน 300 V และสำยชนิด เอ็นวำยวำย (NYY) เป็นสำย ไฟฟ้ำชนิดทนแรงดั น 750 V เป็นสำยเดี่ยว และ ลักษณะกำรเดินสำยไฟฟ้ำนันมีทัง สำยแกนเดียวหุ้มฉนวนเดินในอำกำศ, สำยแบนหุ้มฉนวนมีเปลือกเดินเกำะผนัง, สำยแกนเดียวหุ้มฉนวนไม่เกิน 3 เส้นหรือสำยหุ้มฉนวนมีเปลือกไม่เกิน 3 แกน เดินในอำกำศในท่อฝังในผนังปูนฉำบ หรือในท่อในฝ้ำเพดำน โดยใช้ท่อพีวีซี และท่อเหล็ก รูปแบบหรือระบบไฟฟ้ำในกำรประเมินเบืองต้นดังแสดงไว้ใน ภำพที่ 1

ภำพที่ 1 ระบบไฟฟ้ำสำหรับครัวเรือนเบืองต้น จำกภำพที่ 1 แสดงระบบไฟฟ้ำสำหรับครัวเรือนเบืองต้นได้เป็นอย่ำงดี ซึ่งจำกภำพพบว่ำมีกำรรับไฟฟ้ำ จำกระบบกำรไฟฟ้ำเข้ำมำในครัวเรือนโดยผ่ำนมิเตอร์วัดกำลังไฟฟ้ำจำกนันผ่ำนชุดเบรคเกอร์หลักของสำยประธำน ที่จุดแผงเมนสวิตซ์ ซึ่งในแผงเมนสวิตย์ก็จะประกอบไปด้วยเครื่องป้องกันกระแสเกินของวงจรย่อยเพื่อจ่ำยไฟฟ้ำไป ยังโหลดในครัวเรือนชนิดต่ำง กำรถอดแบบหรือกำรถอดปริมำณของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ กำรถอดแบบเพื่อแยกและนับจำนวนอุปกรณ์และอุปกรณ์ช่วยต่ำงๆ ที่ต้องใช้ เพื่อให้ติดตังได้สมบูรณ์ กำรถอดแบบนีเป็นขันตอนที่สำคัญ และกินเวลำมำกที่สุดในกำรประเมิน รำคำ กำรถอดแบบนีจำเป็นต้องอำศัย เทคนิค และควำมรู้อย่ำงดีเกี่ยวกับกำรติดตังอุปกรณ์ตำ่ งๆ วิธีกำรเดินท่อและสำยที่ถูกต้อง และประหยัดที่สุด จำกภำพที่ 1 ใช้เป็นวงจรไฟฟ้ำอ้ำงอิงโดยระบบมีขนำดสำยและอุปกรณ์ต่ำงๆ ซึ่ง ในกำรศึกษำจึงได้ได้ นำเสนอกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำครัวเรือนเพื่อให้ครอบคลุมผลกำรสำรวจเพื่อใช้เป็นตัวอย่ำงในกำรศึกษำโดย กำหนดให้ระบบไฟฟ้ำมีวงจรย่อยดังนี 1. ระบบแสงสว่ำงโดยใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ ขนำด 36 W (Low P.F.) จำนวน 12 หลอด และ กำหนดให้เดินสำยชนิด 1C-NYY ในท่อร้อยสำยแบบ 5 ชนิด PVC Yellow 15cm

72


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2. เครื่องปรับอำกำศ 1200BTU 2 เครื่อง เดินสำยแบบสำยแบนหุ้มฉนวนมีเปลือกเดินเกำะผนังโดย แบ่งเป็นสองวงจร แบบ 9 3. มีโหลดจุดต่อเต้ำรับไฟฟ้ำแบบใช้งำนทั่วไป 15 จุด เดินสำยแบบสำยแบนหุ้มฉนวนมีเปลือกเดิน เกำะผนัง แบบ 9 4. มีโหลดจุดต่อหรือจุดต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ำอีก 3 จุดได้แก่ ตู้เย็น 2000VA เครื่องซักผ้ำ 2000 VA ทีวี 1000VA ซึ่งทังหมดเดินสำยแบบสำยแบนหุ้มฉนวนมีเปลือกเดินเกำะผนัง แบบ 9 5. สำยประธำนเชื่อมต่อเข้ำบ้ำนเป็นแบบสำยแกนเดียวหุ้มฉนวนเดินในอำกำศ แบบ 12 ซึ่งสำมำรถ กำหนดได้ดังตำรำงที่ 2 ตำรำงที่ 2 รำยละเอียดอุปกรณ์ไฟฟ้ำของระบบไฟฟ้ำตัวอย่ำง ชื่ออุปกรณ์ หลอดฟลูออเรสเซนต์ 36W 12 หลอด สำยชนิด 1C-NYY Circuit Breaker Air conditioner 1200BTU 2 เครื่อง สำยชนิด VAF Circuit Breaker เต้ำรับ 180VA 15 จุด Circuit Breaker สำยชนิด VAF เต้ำรับ 1000VA จุด Circuit Breaker สำยชนิด VAF เต้ำรับ 2000VA 2 จุด Circuit Breaker สำยชนิด VAF สำยประธำน สำยชนิด NYY Circuit Breaker กล่องควบคุมและอุปกรณ์อื่นๆ MDB ท่อโลหะร้อยสำย PVC Yellow 15cm เข็มขัดรัดสำย

ขนำด

จำนวน

ควำมยำว

2.5 ตร.มม. 15AT/50AF

1x12 1

60 ม. -

2.5 ตร.มม. 15AT/50AF

1x2 1x2

10 ม. -

15AT/50AF 2.5 ตร.มม.

1 1x15

80 ม.

15AT/50AF 2.5 ตร.มม.

1 1

5 ม.

15AT/50AF 2.5 ตร.มม.

2 2

5 ม.

16 ตร.มม. 60AT/100AF

2 (L+N) 1

20 ม. -

30cm x 35cm 15cm

1 12

-

สำย2.5 ตร.มม.

-

-

รูปแบบและลักษณะกำรเดินสำยไฟฟ้ำตำมข้อกำหนดและมำตรฐำนกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำ รูปแบบสำยไฟฟ้ำและลักษณะกำรเดินสำยไฟฟ้ำตำมข้อกำหนดและมำตรฐำนกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำ ดังแสดงในภำพที่ 2

73


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภำพที่ 2 รูปแบบและลักษณะกำรเดินสำยไฟฟ้ำแบบ 1-16 แบบ 1-8 เป็นตัวนำสำยไฟฟ้ำทองแดงหุ้มฉนวนพีวีซี มี/ไม่มีเปลือกนอก สำหรับขนำดแรงดันไม่เกิน 0.6/1 กิโลโวลต์ อุณหภูมิตัวนำ 70 ºC อุณหภูมิโดยรอบ 40 ºC เดินในช่องเดินสำยในอำกำศทังแบบแกนเดียวและ หลำยแกน แบบ 9-10 เป็นตัวนำทองแดง หุ้มฉนวน มีเปลือกนอก สำหรับขนำดแรงดันไม่เกิน 0.6/1 กิโลโวลต์ อุณหภูมิตัวนำ 70 หรือ 90 ºC อุณหภูมิโดยรอบ 40 ºC เดินเกำะผนังในอำกำศแบบแกนเดียวและหลำยแกนทัง แบบสำยแบนและกลม แบบ 12-13 เป็นตัวนำทองแดงแกนเดียวหุ้มฉนวนพีวีซี มอก.11-2553 สำหรับขนำดแรงดันไม่เกิน 450/750 โวลต์อุณหภูมิตัวนำ 70 ºC อุณหภูมิโดยรอบ 40 ºC เดินบนฉนวนลูกถ้วยในอำกำศทังแบบแกนเดียวและ หลำยแกน และ D คือเส้นผ่ำนศูนย์กลำงของสำยไฟ แบบ 14-16 เป็นสำยไฟฟ้ำตัวนำทองแดงหุ้มฉนวนพีวีซี มีเปลือกนอก สำหรับขนำดแรงดันไม่เกิน 0.6/1 กิโลโวลต์ อุณหภูมิตัวนำ 70 ºC อุณหภูมิโดยรอบ 30 ºC ร้อยท่อฝังดินหรือฝังดินโดยตรงทังแบบแกนเดียวและ หลำยแกน กำรเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จำกกำรถอดแบบ จัดเก็บข้อมูลต่ำงๆที่ได้ศึกษำจำกกำรถอดแบบเพื่อใช้เป็นฐำนข้อมูลในกำรสืบค้นรำคำอุปกรณ์ และใช้ใน กำรติดต่อสอบถำมค่ำใช้จ่ำยต่ำงเช่นค่ำแรงในกำรติดตัง กำรสืบรำคำของวัสดุอุปกรณ์และจัดทำรำคำ ในกำรสืบค้นรำคำอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ำนันขึนอยู่กับควำมพึงพอใจของเจ้ำของซึ่งมีหลำยยี่ห้อและ หลำยรูปแบบ ในส่วนค่ำแรงโดยอ้ำงอิงจำกหนังสือ กำรประมำณรำคำระบบไฟฟ้ำ -สื่อสำรสำหรับอำคำร สำมำรถ แสดงได้ดังตำรำงที่ 1

74


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ซึ่งสำมำรถคำนวณและแสดงรำยละเอียดได้ดังตำรำงที่ 3 โดยกำรประมำณรำคำค่ำแรงอย่ำงละเอียด ของตัวอย่ำงที่ได้ทำกำรศึกษำโดยรำคำประเมินโดยรวมอยู่ที่ 5,722 บำท ตำรำงที่ 3 กำรประมำณรำคำอย่ำงละเอียดรำยละเอียดอุปกรณ์ไฟฟ้ำของระบบไฟฟ้ำตัวอย่ำง ชื่ออุปกรณ์ ขนำด หลอดฟลูออเรสเซนต์ 36W 12 หลอด สำยชนิด NYY 2.5 ตร.มม. Circuit Breaker 15AT/50AF หลอดฟลูออเรสเซนต์ 36W ท่อ PVC 15mm Air conditioner 1200BTU 2 เครื่อง สำยชนิด VAF 2.5 ตร.มม. Circuit Breaker 15AT/50AF เต้ำรับ 180VA 15 จุด Circuit Breaker 15AT/50AF สำยชนิด VAF 2.5 ตร.มม. เต้ำรับ 180VA เต้ำรับ 1000VA จุด Circuit Breaker 15AT/50AF สำยชนิด VAF 2.5 ตร.มม. เต้ำรับ 1000VA เต้ำรับ 2000VA 2 จุด Circuit Breaker 15AT/50AF สำยชนิด VAF 2.5 ตร.มม. เต้ำรับ 2000VA สำยประธำน สำยชนิด NYY 16 ตร.มม. Circuit Breaker 60AT/100AF

จำนวน

ควำมยำว

รำคำติดตั้ง (บำท)

1x12 1 12 12

48 ม. -

11x48 110x1 115x12 18x12

1x2 1x2

8 ม. -

12x8 110x2

1 1x15 15

45 ม. -

110x1 12x45 90x15

1 1 1

3 ม. -

110x1 12x3 90x1

2 2 2

3 ม. -

110x1 12x3 90x2

2 (L+N) 1

20 ม. -

25x20 110x1

สรุปและวิจำรณ์ผลกำรวิจัย ในกำรศึกษำวิจัยนีมุ่งเน้นในกำรศึกษำและประเมินต้นทุนของระบบป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำเพื่อสร้ำง ฐำนข้อมูลสำหรับกำรเรียนรู้และออกแบบกำรติดตังระบบป้องกันทำงไฟฟ้ำ โดยมุ่งเน้นในกำรศึกษำขันตอนในกำร ประเมินผลซึ่งประกอบไปด้วยกำรศึกษำและวิเครำะห์แบบรวมทังข้อกำหนดของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในกำรติดตัง กำร ถอดแบบหรือกำรถอดปริมำณของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ กำรเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จำกกำรถอดแบบ กำรสืบรำคำของ วัสดุอุปกรณ์และกำรทำรำคำ โดยรำคำนันอ้ำงอิงรำคำมำตรฐำน เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักของกำรวิจัย ดังนันสำมำรถอธิบำยได้ดังนี 1. กำรศึกษำระบบและอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำเพื่อสร้ำงฐำนข้อมูลสำหรับกำรเรียนรู้และ ออกแบบระบบป้องกันทำงไฟฟ้ำโดยผลกำรศึกษำวิจัยนันได้แสดงผลกำรศึกษำในกำรประเมินระบบไฟฟ้ำที่ใช้ใน ครัวเรือนเป็นหลักเพื่อให้สำมำรถเรียนรู้และเป็นแนวทำงในกำรประเมินต้นทุนของระบบป้องกันไฟฟ้ำเบืองต้นได้ ซึ่ง

75


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ในกำรศึกษำได้นำเสนอแนวหลักกำรรำยละเอียดที่ใช้ในกำรประเมินสำหรับระบบไฟฟ้ำครัวเรือนซึ่งมีกำรออกแบบ วงจรย่อยต่ำงๆดังนี - ระบบแสงสว่ำงโดยใช้หลอด ฟลูออเรสเซนต์ ขนำด 36 W (Low P.F.) จำนวน 12 หลอด และ กำหนดให้เดินสำยชนิด NYY ในท่อพีวีซี - เครื่องปรับอำกำศ 1200BTU 2 เครื่อง เดินสำยแบบสำยแบนหุ้มฉนวนมีเปลือกเดินเกำะผนัง โดย แบ่งเป็นสองวงจร - มีโหลดจุดต่อเต้ำรับไฟฟ้ำแบบใช้งำนทั่วไป 15 จุด เดินสำยแบบสำยแบนหุ้มฉนวนมีเปลือกเดิน เกำะผนัง - มีโหลดจุดต่อหรือจุดต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ำ อีก 3 จุดได้แก่ ตู้เย็น 2000VA เครื่องซักผ้ำ 2000 VA ทีวี 1000VA ซึ่งทังหมดเดินสำยแบบสำยแบนหุ้มฉนวนมีเปลือกเดินเกำะผนัง - สำยประธำนเชื่อมต่อเข้ำบ้ำนเป็นแบบสำยแกนเดียวหุ้มฉนวนเดินในอำกำศ 2. กำรศึกษำกำรประเมินต้นทุนของระบบและอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำซึ่งได้แสดงกำรประเมิน รำคำจำกกำรถอดแบบระบบไฟฟ้ำจำกตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรออกแบบโดยโหลดที่ใช้ในกำรออกแบบนันเป็นโหลด พืนฐำนที่มีใช้อยู่ในครัวเรือนโดยกำรประมำณรำคำค่ำแรงอย่ำงละเอียดรำคำประเมินโดยรวมอยู่ที่ 5,722 บำท 3. กำรจัดกำรองค์ควำมรู้ได้รวบรวมควำมรู้ ด้ำนด้ำนวิ ศวกรรมกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำและกำร ประเมินต้นทุนระบบป้องกันไฟฟ้ำแรงดันต่ำเพื่อถ่ำยทอดองค์ควำมรู้สู่ชุมชนเพื่อให้สำมำรถเรียนรู้และเป็นแนวทำง ในกำรประเมินต้นทุนรำคำในกำรติดตังของระบบป้องกันไฟฟ้ำเบืองต้นได้ซึ่งเป็นรำคำใครฐำนแต่ในส่วนรำคำ อุปกรณ์นันขึนอยู่กับควำมต้องกำรของผู้ใช้งำนเนื่องจำกปัจจุบันอุปกรณ์ไฟฟ้ำต่ำงๆ มีกำรผลิตออกมำเป็นจำนวน มำก หลำยรูปแบบ และต่ำงวัสดุที่ใช้ทำซึ่งทำให้รำคำนันต่ำงกันค่อนข้ำงมำก ข้อเสนอแนะ 1. ในกำรประเมินระบบไฟฟ้ำที่ใช้ในครัวเรือนจำเป็นต้องศึกษำกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำและต้อง จัดทำแบบแปลนวงจรไฟฟ้ำซึ่งจะทำให้เกิดควำมถูกต้องและง่ำยต่อกำรประเมินซึ่งกำรประเมิน 2. ในงำนวิจัยนีเป็นเพียงหลักกำรคร่ำวๆเพื่อใช้เป็นแนวทำงในกำรจัดทำกำรประเมินดังนันหำกเป็น ระบบที่ใหญ่กว่ำต้องศึกษำหำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้กำรประเมินรำคำนันแม่นยำมำกขึน กิตติกรรมประกำศ ขอขอบคุณมหำวิทยำลัยรำชภัฏเพชรบูรณ์ ที่ให้กำรสนับสนุนทุนในกำรทำวิจัย และคณำจำรย์สำขำวิชำ เทคโนโลยีไฟฟ้ำอุตสำหกรรมที่ให้คำแนะนำแก่ข้ำพเจ้ำเป็นอย่ำงดีและขอขอบพระคุณ สถำบันวิจัยและพัฒนำ มหำวิทยำลัยรำชภัฏเพชรบูรณ์ที่ได้ให้ทุนอุดหนุนกำรวิจัยครังนีมำ ณ ที่นี เอกสำรอ้ำงอิง ประสิทธิ์ พิทยพัฒน์. (2548). กำรออกแบบระบบไฟฟ้ำ. พิมพ์ครังที่ 1. ชำยชำญ โพธิสำร. (2556). กำรประมำณรำคำ ระบบไฟฟ้ำ-สื่อสำรสำหรับอำคำร. พิมพ์ครังที่ 3. วิวัฒน์ กุลวงศ์วิทย์. (2547). กำรต่อลงดินระบบไฟฟ้ำ เล่มที่ 3. พิมพ์ครังที่ 1. สมำคมที่ปรึกษำเครื่องกลและ ไฟฟ้ำไทย.

76


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สมำคมช่ำงเหมำไฟฟ้ำและเครื่องกลไทย. (2014). คู่มือแนวทำงกำรตรวจสอบงำนติดตั้งระบบไฟฟ้ำ.

77


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-07

กำรศึกษำวิธีกำรประเมินควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ำของระบบไฟฟ้ำแรงดันต่ำ เพื่อสำรวจและสร้ำงควำมปลอดภัยสู่ชมุ ชน AN ELECTRICAL SAFETY ASSESSMENT STUDY OF LOW VOLTAGE ELECTRICAL SYSTEM TO SAFETY SURE WAY AND ENHANCEMENT TO COMMUNITY เสริมศักดิ์ ทิพย์วงศ์1 และ นฤมล วันน้อย2 1

Sermsak Thipwong สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้าอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย ราชภัฏเพชรบูรณ์ ssrjr22@hotmail.com 2 Narumon Wannoi สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้าอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราช ภัฏเพชรบูรณ์ n_pue23@hotmail.com

บทคัดย่อ งำนวิจัยนีได้ทำกำรศึกษำวิธีกำรประเมินควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ำของระบบไฟฟ้ำแรงดันต่ำเพื่อทำกำร สำรวจและสร้ำงควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชน โดยในงำนวิจัยนีได้มุ่งเน้น ทำกำรศึกษำสำหรับระบบไฟฟ้ำ กระแสสลับแรงดันต่ำ 220VAC ซึ่งเป็นแรงดันไฟฟ้ำที่ใช้ในครัวเรือน กำรออกแบบวิ ธีกำรประเมินควำมปลอดภัย จำกระบบไฟฟ้ำนันจะใช้หลักกำรพิจำรณำตำมหลักกำรออกแบบและข้อกำหนดทำงวิศวกรรมในกำรประเมินซึ่งจะ ประกอบไปด้วย ขนำดตัวตัดตอนไฟฟ้ำ (Circuit Breaker) ขนำดสำยไฟที่ใช้ ขนำดท่อที่ใช้ และข้อกฎเกณฑ์ในกำร ติดตัง ซึ่งหลักกำรประเมินแต่ละจุดนันจะขึ นอยู่กับชนิดของโหลดทำงไฟฟ้ำ โดยเทียบกับกำรคำนวณทำงไฟฟ้ำ เพื่อให้เข้ำใจได้ง่ำยในกำรทำประเมิน ซึ่งผลกำรศึกษำพบว่ำแบบในกำรประเมินสำมำรถวิเครำะห์ควำมปลอดภัย ทำงด้ำนไฟฟ้ำได้สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้ำและระบบไฟฟ้ำ ซึ่งสำมำรถทำให้เข้ำใจได้ถึงขีดควำมสำมำรถของระบบไฟฟ้ำ ที่มีอยู่ โดยทำให้ผู้ใช้ตระหนักถึงกำรใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ำหรือกำรเพิ่มโหลดทำงไฟฟ้ำในครัวเรือนซึ่งทำให้เกิดควำม ปลอดภัยทำงไฟฟ้ำเพิ่มขึน คำสำคัญ : ประเมิน ความปลอดภัยทางไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าแรงดันต่้า Abstract This research presents an electrical safety assessment study to method designed of low voltage electrical system to survey and provides electrical safety to the community. In this research has focused on a study for low voltage 220VAC, which is the household voltage. The design of the electrical safety method is based on principles of design and engineering standard. The assessment has consisted of the Circuit Breaker Sizing, conduit sizing and the installation rules. The Assessment of each point depends on the type of electrical load by compared with the electrical calculations for easy to understand of the evaluation. The results show that the evaluation model can analyze electrical safety for electrical equipment and electrical system.

78


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

This can make it to understand the electrical systems by making the user aware of the use of electrical equipment or the electrical load increasing in the household, which results in increased electrical safety. Keywords : Assessment; Electrical Safety; Low voltage electrical system บทนำ อันตรำยจำกกำรใช้งำนด้ำนไฟฟ้ำส่วนใหญ่เกิดจำกควำมรู้เท่ำไม่ถึงกำรณ์ของผู้ใช้งำน และเกิดจำก ปั ญ หำของตั ว อุ ป กรณ์ เ องเช่ น ชุ ด ตั ด แยกอุ ป กรณ์ ไ ฟฟ้ ำ สำยไฟฟ้ ำ สวิ ท ซ์ หลอดไฟ ฯลฯ รวมถึ ง กำรรั่ ว ของ กระแสไฟฟ้ำ โดยเฉพำะตำมบ้ำนเรือนตำมชนบท ซึ่งระบบไฟฟ้ำที่ใช้ส่วนมำกจะไม่มีระบบกรำวด์หรือสำยดินซึ่งยิ่ง ทำให้เกิดโอกำสได้รับอันตรำยจำกกำรใช้งำนจำกระบบไฟฟ้ำดังนันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่ำงยิ่งที่ต้องมีกำรสำรวจ รวบรวมข้อมูล เพื่อประเมินควำมเสี่ยงทำงด้ำนควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ำ โดยในงำนวิจัยนีได้ทำกำรวิจัยและออกแบบ วิธีกำรประเมินควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ ำของระบบไฟฟ้ำแรงดันต่ำโดยอ้ำงอิงหลักกำรออกแบบและข้อกำหนดทำง วิศวกรรมเพื่อทำกำรสำรวจและสร้ำงควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชน โดยผลในกำรวิจัยนันจะทำกำรวิเครำะห์ขีด ควำมสำมำรถของระบบไฟฟ้ำที่มีอยู่เพื่อเสนอแนะแนวทำงป้องกันอุบัติภัยจำกไฟฟ้ำและใช้เป็นข้อมูลพืนฐำนใน กำรศึกษำและพัฒนำระบบไฟฟ้ำให้มีควำมปลอดภัยยิ่งขึนสู่ชุมชน วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่อศึกษำและออกแบบวิธีกำรประเมินควำมปลอดภัยระบบไฟฟ้ำตำมหลักวิศวกรรมไฟฟ้ำ 2. เพื่อสำรวจและประเมินควำมปลอดภัยระบบไฟฟ้ำเพื่อเสนอแนะแนวทำงป้องกันสู่ชุมชน 3. เพื่อจัดกำรองค์ควำมรู้ด้ำนวิศวกรรมและควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ำสู่ชมชน ขอบเขตกำรวิจัย ในทำกำรศึกษำและออกแบบวิธีกำรประเมินควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ำของระบบไฟฟ้ำแรงดันต่ำเพื่อทำ กำรสำรวจและสร้ำงควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชนนันสำมำรถกำหนดขอบเขตกำรศึกษำโดยศึกษำและออกแบบ วิธกี ำรประเมินควำมปลอดภัยระบบไฟฟ้ำตำมหลักวิศวกรรมไฟฟ้ำกระแสไฟฟ้ำกระแสสลับที่ระดับแรงดัน 220VAC สำหรับครัวเรือนเพื่อสำรวจและประเมินควำมปลอดภัยระบบไฟฟ้ำเพื่อเสนอแนะแนวทำงป้องกันสู่ชุมชนและ รวบรวมองค์ควำมรู้ด้ำนวิศวกรรมพร้อมเสนอแนะวิธีกำรเพื่อสร้ำงควำมปลอดภัยของแต่ละครัวเรือนสู่ชุมชนในกำร พัฒนำและยกระดับควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำ วิธีดำเนินกำรวิจัย กำรศึ กษำและออกแบบวิ ธีก ำรประเมิ นควำมปลอดภัย ทำงไฟฟ้ ำ ของระบบไฟฟ้ ำ แรงดั นต่ ำโดยจะ ทำกำรศึกษำมำตรฐำนกำรออกแบบทำงไฟฟ้ำและข้อมูลโหลดทำงไฟฟ้ำพืนที่เป้ำหมำยเพื่อ กำรสำรวจระบบป้องกัน และตรวจวัดกำรรั่วของกระแสไฟฟ้ำในแต่ละครัวเรือนของชุมชน พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อสร้ำงควำมปลอดภัย ด้ำนไฟฟ้ำ ถ่ำยทอดองค์ควำมรู้และสร้ำงควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำสู่ชุมชน

79


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ชุมชนบ้ำนติว อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เครื่องมือวิจัย มำตรฐำนกำรออกและระบบไฟฟ้ำ กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อมูลโหลดทำงไฟฟ้ำพืนที่เป้ำหมำย กำรวิเครำะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ระบบไฟฟ้ำครัวเรือนโดยเทียบกับค่ำมำตรฐำนกำรออกแบบ ผลกำรวิจัย ค่ำมำตรฐำนกำรออกแบบระบบไฟฟ้ำที่ใช้ในกำรประเมิน กำรคำนวณหำค่ำขนำดสำยไฟฟ้ำ ขนำดอุปกรณ์ตัดตอน ตำมรูปแบบสำยไฟฟ้ำและลักษณะกำรเดิน สำยไฟฟ้ำ และชนิดของโหลดนันจะอ้ำงอิงค่ำแฟคเตอร์ตัวคูณพิกัดกระแสโดยอ้ำงอิงอุณหภูมิโดยรอบในหน่วยองศำ เซลเซียสและพิกัดกระแสของสำยไฟของสำยไฟตำมลักษณะกำรเดินสำยไฟแบบต่ำงๆดังแสดงในตำรำงที่ 1 และ 2 , สำหรับในกำรคำนวณหำในกำรคำนวณหำขนำดจำนวนสำยไฟในท่อร้อยสำยตำมมำตรฐำนและขนำดมำตรฐำน อุปกรณ์ตัดตอน (Circuit Breaker) ดังแสดงในตำรำงที่ 3 และ 4 ตำรำงที่ 1 ค่ำแฟคเตอร์ตัวคูณพิกัดกระแสของสำยไฟ อุณหภูมิโดยรอบ องศำเซลเซียส 21,-25 26,-30 31,-35 36,-40 41,-45 46,-50 51,-55 56,-60

ตัวคูณของแต่ละวิธเี ดินสำย ก,ข,ค 1.08 1 0.91 0.82 0.71 0.58

ง และ-จ 1.06 1 0.94 0.87 0.79 0.71 -

ตำรำงที่ 2 ขนำดสำยไฟตำมแต่ลักษณะกำรเดินสำย ขนำด สำย ตร.มม. 0.5 1 1.5 2.5 4 6 10 16

แบบ ก

แบบ ข

9 14 17 23 31 42 60 81

8 11 15 20 27 35 50 66

ขนำดกระแสตำมแต่ลักษณะกำรเดินสำย แบบ ค แบบ ค แบบ ง โลหะ อโลหะ โลหะ 8 7 10 11 10 15 14 13 18 18 17 24 24 23 32 31 30 42 43 42 56 56 54 77

80

แบบ ง อโลหะ 9 13 16 21 28 36 50 65

แบบ จ 21 26 34 45 56 75 97


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

25

111

89

77

74

103

SRRU NCR2018

87

125

ตำรำงที่ 3 จำนวนสำยไฟสูงสุดในท่อร้อยสำยตำมขนำดสำยไฟ ขนำดสำยไฟ (mm2) 1 1.5 2.5 4 6 10 16 25 35 เส้นผ่ำนศูนย์กลำงท่อร้อยสำย (mm)

7 6 4 3 2 1 1 1 15

13 11 8 5 4 3 1 1 1 20

20 17 13 9 7 4 3 1 1 25

33 28 22 15 12 7 5 3 3 32

44 34 23 19 12 9 5 4 40

36 29 19 14 9 7 50

32 23 15 12 65

36 23 19 80

29 24 90

30 100

ตำรำงที่ 4 ขนำดมำตรฐำนอุปกรณ์ตดั ตอน (Circuit Breaker) พิกัดกระแส โครง 50 100

พิกัดกระแสตัด 5, 6, 10, 15, 20, 25, 30, 35, 40, 50 15, 20, 25, 30, 35, 40, 50, 60, 70, 80, 90, 100

อัตราพิกัดกระแสตัดลัดวงจรที่แรงดันพิกัด 220V 2.5-10 (85) 7.5-35 (85)

ตำรำงที่ 5 พิกัดกระแสของหลอดไส้ ชนิดของหลอด 40W 60W 75W

กระแส (A) 0.182 0.273 0.341

กำลัง (VA) 40 60 75

ตำรำงที่ 6 พิกัดกระแสของหลอดดิสชาร์จ กำลังวัตต์ ชนิดหลอด ฟลูออเรสเซนต์ คอมแพคฟลูออเรสเซนต์ SL

20(18) 40(36) 9 13

Power consumption Low power factor High power factor กระแส (A) กำลัง (VA) กระแส (A) กำลัง (VA) 0.370 81.40(100) 0.160 35.20(50) 0.430 94.60(100) 0.270 59.40(60) 0.190 41.80(50) 0.100 22.00(30) 0.175 38.50(50) 0.100 22.00(30)

81


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

กำลังวัตต์

Power consumption Low power factor High power factor กระแส (A) กำลัง (VA) กระแส (A) กำลัง (VA) 0.220 48.40(50) 0.140 30.80(40) 0.315 69.30(50) 0.180 39.60(50) 0.180 39.50(50) 0.070 15.40(20) 0.175 38.50(50) 0.070 15.40(20) 0.170 37.40(50) 0.070 15.40(20) 0.155 34.10(50) 0.080 17.60(20) 0.190 41.80(50) 0.100 22.00(30) 0.175 38.50(50) 0.100 22.00(30) 0.220 48.40(50) 0.140 30.80(40) 0.315 69.30(70) 0.180 39.60(50)

ชนิดหลอด 18 25 5 7 9 11 10 13 18 25

คอมแพคฟลูออเรสเซนต์ PL (TC-S)

TC-D

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 7 ส่วนพิกัดกระแสของเครื่องปรับอำกำศ ควำมจุ (capacity) ตันควำมเย็น (TR) 1 1.5 2

โหลด (KVA)

BTUH 12000 18000 24000

1.5 1.7 2.6

ตำรำงที่ 8 ขนำดมิเตอร์และสายประธาน ขนาดมิเตอร์ 1P, 2W, 220Vac 3(9) 5(15) 10(30), 15(45) 15(45), 20(40) 30(60), 30(100) 30(100), 50(100)

ขนาดโหลด (A)

ขนาดสายที่ต่อเข้ามิเตอร์

ขนาดสายที่ต่อออกมิเตอร์

อลูมิเนียม

ทองแดง

อลูมิเนียม

ทองแดง

5 5-10 10-20

16 16 16

6 6 10

10 10 16

4 4 10

20-30

25

10

25

10

30-50

35

35

35

35

50-100

50

50

50

35

จำกตำรำงที่ 1 แสดงรูปแบบและลักษณะกำรเดินสำยไฟฟ้ำโดยสำมำรถสรุปได้ดังนี ก คือ สำยแกนเดียวหุ้มฉนวนเดินในอำกำศ, ข คือ สำยแบนหุ้มฉนวนมีเปลือกเดินเกำะผนัง,

82


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ค คือ สำยแกนเดียวหุ้มฉนวนไม่เกิน 3 เส้นหรือสำยหุ้มฉนวนมีเปลือกไม่เกิน 3 แกน เดินในอำกำศใน ท่อฝังในผนังปูนฉำบ หรือในท่อในฝ้ำเพดำน, ง คือ สำยแกนเดียวหุ้มฉนวนไม่เกิน 3 เส้น หรือสำยหุ้มฉนวนมีเปลือกไม่เกิน 3 แกนเดินในท่อฝังดิน, จ คือ สำยแกนเดียวหุ้มฉนวนมีเปลือกไม่เกิน 3 เส้นหรือสำยหุ้มฉนวนมีเปลือกไม่เกิน 3 แกนฝังดิน โดยตรง D คือ เส้นผ่ำนศูนย์กลำงของสำยไฟซึ่งกำรคำนวณนันสำมำรถแยกออกได้เป็น กำรคำนวณหำขนำดสำยไฟที่ใช้ในกำรประเมิน สำหรับโหลดแสงสว่ำง ข้อกำหนดในกำรคำนวณหำขนำดสำยไฟฟ้ำสำหรับหลอดแสงสว่ำงตำมมำตรฐำนกำรติดตังทำงไฟฟ้ำดัง แสดงในตำรำงที่ 5 และ 6 สำหรับประเทศไทย 2545 อนุญำตให้ใช้สำยขนำดเล็กสุด ของวงจรแสงสว่ำง คือ สำย ขนำด 2.5 ตำรำงมิลลิเมตร (sq.mm.) ขนำดของสำยต้องทนกระแสไดมำกกว่ำ 125% ของพิกัดกระแสทังหมดของ วงจรย่อย และเลือกสำยไฟฟ้ำตำมชนิดและลักษณะกำรติดตังของสำยไฟฟ้ำ ส่วนขนำดอุปกรณ์ป้องกัน (CB) ป้องกัน ที่ 80% ของขนำดพิกัดสูงสุดของพิกัดกระแสของสำยไฟฟ้ำ กำรคำนวณหำขนำดสำยไฟที่ใช้ในกำรประเมิน สำหรับโหลดไฟฟ้ำกำลัง โหลดไฟฟ้ำกำลังสำมำรถแบ่งกำรคำนวณตำมชนิดของโหลดได้ดังนี 1. โหลดจุ ด ต่ อ หรื อ จุ ด ต่ อ อุ ป กรณ์ ไ ฟฟ้ ำ จะค ำนวณตำมกระแสใช้ ง ำนจริ ง จำกป้ ำ ยพิ กั ด ของ เครื่องใช้ไฟฟ้ำ 2. โหลดจุดต่อเต้ำรับไฟฟ้ำแบบใช้งำนหนัก ให้คิดจุดละ 3A 3. โหลดจุดต่อเต้ำรับไฟฟ้ำแบบทั่วไปกำรคิดโหลดของเต้ำรับไฟฟ้ำทั่วไป ให้คิดจุดละ 180VA / เต้ำรับ โดยสำยต้องไม่เล็กกว่ำ 1.5 ตร.มม. 4. โหลดเครื่องปรับอำกำศ ขนำดสำยตัวนำ คอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอำกำศชนิดหนึ่ งอำจจะจัด ให้อยู่ในกลุ่มของ มอเตอร์ที่ใช้งำนไม่ต่อเนื่อง ใช้ค่ำของมอเตอร์ใช้งำนต่อเนื่อง (125%) ได้ ส่วนพิกัดกระแสของ เครื่องปรับอำกำศแต่ละขนำดสำมำรถหำได้จำกตำรำงที่ 7 5. ขนำดสำย ตำมมำตรฐำนของกำรไฟฟ้ำฯ อนุญำตให้ใช้สำยขนำดเล็กที่สุด คือสำยขนำด 2.5 ตร.มม. สำหรับโหลดไฟฟ้ำกำลัง และ ขนำด 1.5 ตร.มม. สำหรับสำยดิน (Ground) 6. กำรคำนวณหำขนำดสำยป้อนทำได้ดังนี รวมโหลดในทุกวงจรย่อย จะได้โหลดทังหมดของแผง ควบคุมไฟฟ้ำย่อย ซึ่งจะนำมำ คำนวณหำขนำดสำยป้อนในส่วนของขนำดของมิเตอร์และสำยประธำนสำมำรถแสดง ดังตำรำงที่ 8 ขนำดสำยป้อน = 125% x พิกัดกระแส - ขนำด CB = 80% x พิกัดกระแสสูงสุดของสำย กำรตรวจสอบระบบไฟฟ้ำที่ใช้ในกำรประเมิน ในกำรตรวจสอบหรือประเมินระบบไฟฟ้ำแรงดันต่ำสำหรับครัวเรือนโดยในกำรศึกษำวิจัยนันได้รวบรวม เทคนิคในกำรวิเครำะห์และตรวจสอบเบืองต้นดังแสดงในตำรำงที่ 9

83


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ชนิด แผงย่อย, แผงสวิทซ์

สำยไฟ

ช่องเดินสำย รำง สำยไฟ

เต้ำรับ และสวิตซ์

โคมไฟฟ้ำ

สำยดิน

มำตรฐำนกำรติดตั้งของ วสท. -ชุดประกอบสำเร็จควบคุมไฟฟ้ำแรงดันต่ำ ตู้ ไฟฟ้ำนอกอำคำรที่ไม่มีสิ่งป้องกันเพิ่มเติม ต้องมีระดับกำรป้องกันของเหลวไม่ต่ำกว่ำ 3 ตัวเลขตัวที่ 2 ของIPมอก.1436-2540 -ค่ำควำมสว่ำงบริเวณแผงย่อย แผงสวิตซ์ ต้องมีค่ำควำมสว่ำงไม่น้อยกว่ำ 200 ลักซ์ -สีของสำยไฟเป็นไปตำม มอก.11-2531, มอก.11-2553 -จำนวนสำยในท่อต้องไม่เกินมำตรฐำน -สำยต้องมีชนิดสำย พิกัดแรงดัน-กระแส ระบุมำตรฐำนเช่น มอก.11-2531, มอก.112553, IEC 60502 ไม่อนุญำตให้ใช้ท่อโลหะขนำดเล็กกว่ำ 15 มม. ท่ออโลหะขนำดใหญ่กว่ำ 26 มม.ท่อ อโลหะอ่อนกันของเหลวขนำดใหญ่กว่ำ 100 มม. -ห้ำมใช้ท่อโลหะ ท่อโลหะอ่อนและรำงเดิน สำยไฟเป็นตัวนำสำหรับต่อลงดิน -สวิตซ์และเต้ำรับพิกัดแรงดัน-กระแส และ หำกใช้งำนกลำงแจ้งหรือสถำนที่เปียกชืน ต้องเป็นชนิด IP, กรณีป้องกันนำสำด IPX4, กรณีป้องกันนำฉีดต้องเป็น IPX5 -หำกใช้งำนกลำงแจ้งหรือสถำนที่เปียกชืน ต้องเป็นชนิด IP, กรณีป้องกันนำสำด IPX4, กรณีป้องกันนำฉีดต้องเป็น IPX5 -โคมไฟฟ้ำที่มีนำหนักเกิน 2.5กิโลกรัมหรือมี ขนำดใหญ่กว่ำ 400 มม.ห้ำมใช้ขัวหลอดเป็น ตัวรับนำหนัก -ไม่อนุญำตใช้อลูมิเนียม หรือโลหะผสม อลูมิเนียมเป็นหลักดิน -สำยต่อหลักดินต้องเป็นเส้นเดียวไม่มีกำรตัด ต่อ

SRRU NCR2018

หมำยเหตุ

มอก.11-2531 เฟส A ดำ เฟส B แดง เฟส C นำเงิน นิวตรอล ขำว สำยดิน เขียว

มอก.11-2553 นำตำล ดำ เทำ ฟ้ำ เขียว

ผลกำรวิจัย ในกำรสำรวจและประเมินควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ำของแต่ละครัวเรือนในชุมชน ต.บ้ำนติว อ.หล่มสัก เพชรบูรณ์เพื่อเสนอแนะแนวทำงป้องกันอุบัติภัยจำกไฟฟ้ำได้ทำกำรซุ่มตรวจวัดในชุมชนเป้ำหมำยทังหมด 102 หลังคำเรือนใน ชุมชนตำบลบ้ำนติว ซึ่งผลกำรสำรวจและประเมินสำมำรถสรุปได้ได้ดังนี ผลกำรสำรวจปริมำณกำรตรวจเช็คไฟฟ้ำรั่วไหลภำยในบ้ำน เมื่อคิดเป็นสัดส่วนจะได้ เคย 35.30% ไม่เคย 64.70%

84


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ผลกำรสำรวจปริมำณกำรซ่อมบำรุงสำยไฟฟ้ำภำยในบ้ำนเรือน เมื่อคิดเป็นสัดส่วนจะได้ เคย 61.78% ไม่เคย 39.22% ผลกำรสำรวจปริมำณบ้ำนของท่ำนที่ได้ทำกำรต่อสำยดิน เมื่อคิดเป็นสัดส่วนจะได้ ต่อสำยดิน 38.23% ไม่ได้ต่อสำยดิน 61.77% ผลกำรประเมินควำมเข้ำใจในเรื่องควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำและระบบป้องกัน เมื่อ คิดเป็นร้ อยละพบว่ำ มีค วำมเข้ำ ในและตระหนั กในเรื่อ งควำมปลอดภั ยและควำมรู เรื่ องระบบสำยดิน อยู่ ที่ 75.33% เมื่อทำกำรตรวจวัดกำรรั่วไหลกระแสไฟฟ้ำ จะพบว่ำส่วนใหญ่จะพบที่โหลดที่มีโครงเป็นโลหะเช่น ตู้เย็น, เครื่องปรับอำกำศ แต่ยังอยู่ในปริมำณที่น้อย เมื่อทำกำรศึกษำในส่วนของระบบป้องกันไฟฟ้ำโดยเฉพำะอุปกรณ์ตัดตอน (Circuit breaker) ของ สำยประธำน พบว่ำมีใช้อยู่ทังสองรูปแบบ คือ เป็นแบบสะพำนไฟ (Cut Out) ขนำด 60A ซึ่งรองรับกำรใช้ปริมำณ โหลดได้ 13 KW และใช้เป็นแบบ อุปกรณ์เซอร์กิตเบรกเกอร์ ขนำด 30 A ซึ่งรองรับกำรใช้ปริมำณโหลดได้ 6.6 KW ซึ่งสำยไฟประธำนส่วนใหญ่จะเดินลอยเข้ำบ้ำนซึ่งขนำดจะมีอยู่ 10 ตร.มม. และ16 ตร.มม. ซึ่งสำมำรถรับกระแส โหลดได้ที่ 60A และ 81A ซึ่งอยู่ในเกณฑ์มำตรฐำนกำรออกแบบทังคู่ตำมลำดับ เมื่อทำกำรศึกษำในส่วนของระบบป้องกันไฟฟ้ำโดยเฉพำะอุปกรณ์ตัดตอน (Circuit breaker) ของ วงจรย่อย พบว่ำส่วนใหญ่มีใช้เป็นแบบ อุปกรณ์เซอร์กิตเบรกเกอร์ ขนำด 10 A และเดินทังแบบลอยและฝังในปูน โดยใช้สำย 1.5 ตร.มม. และสำยขนำด 2.5 ตร.มม. โดยสำยสำย 1.5 ตร.มม. ทนกระแสได้ที่ 17A ถ้ำเดินลอยและ 13A ถ้ำเดินฝังปูนในท่ออโลหะ ส่วนสำยขนำด 2.5 ตร.มม.ทนกระแสได้ที่ 23A ถ้ำเดินลอยและ17A ถ้ำเดินฝังปูนใน ท่ออโลหะ ดังนันเมื่อเทียบกับขนำดของเบรคเกอร์ที่ใช้พบว่ำเบรคเกอร์นันสำมำรถทำงำนได้หำกว่ำสำยรับโหลดเกิน พิกัดสำยคือที่ 10A ซึ่งแสดงให้เห็นว่ำระบบไฟฟ้ำมีควำมปลอดภัย วิจำรณ์ผลกำรวิจัย ในกำรศึกษำวิจัยนีมุ่งเน้นในกำรกำรศึ กษำมำตรฐำนกำรออกแบบและติดตังระบบป้องกันไฟฟ้ำและทำ กำรสำรวจและประเมินควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ำในโดยมีทังหมด 102 หลังคำเรือนใน ชุมชนตำบลบ้ำนติว ซึ่งผลกำร สำรวจและประเมินพบว่ำครัวเรือนส่วนใหญ่ไม่เคยตรวจเช็คไฟฟ้ำรั่วไหลภำยในครัวเรือนคิดเป็น 64.70% และไม่ได้ ทำกำรต่อสำยดินคิดเป็น 61.77% แต่ยังได้มีกำรบำรุงสำยไฟฟ้ำภำยในบ้ำนเรือนคิดเป็น 61.78% และเมื่อทำกำร บรรยำยและอธิบำยเรื่องควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำพบว่ำ ผลกำรประเมินควำมเข้ำใจในเรื่องควำมปลอดภัยด้ำนไฟฟ้ำ และระบบป้องกันพบว่ำมีควำมเข้ำในและตระหนักในเรื่องควำมปลอดภัยและควำมรู้เรื่องระบบสำยดินเมื่อคิดเป็น ร้อยละอยู่ที่ 75.33%เมื่อทำกำรตรวจวัดกำรรั่วไหลกระแสไฟฟ้ำจะพบว่ำส่วนใหญ่จะพบที่โหลดที่มีโครงเป็นโลหะ เช่น ตู้เย็น, เครื่องปรับอำกำศ แต่ยังยังในปริมำณที่น้อย และเมื่อทำกำรวิเครำะห์จำกผลสำรวจในส่วนของระบบ ป้องกันไฟฟ้ำโดยเฉพำะอุปกรณ์ตัดตอน (Circuit breaker) ของสำยประธำน พบว่ำมีใช้อยู่ทังสองรูปแบบ คือ เป็น แบบสะพำนไฟ (Cut Out) และใช้เป็นแบบ อุปกรณ์เซอร์กิจเบรกเกอร์ ซึ่งสำมำรถรับกระแสโหลดได้อยู่ในเกณฑ์ มำตรฐำนกำรออกแบบทังคู่และเมื่อทำกำรศึกษำในส่วนของระบบป้องกันไฟฟ้ำโดยเฉพำะอุปกรณ์ตั ดตอน (Circuit breaker) ของวงจรย่อย พบว่ำส่วนใหญ่มีใช้เป็นแบบ อุปกรณ์เซอร์กิตเบรกเกอร์ ดังนันเมื่อเทียบกับขนำดของเบรค

85


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เกอร์ที่ใช้และขนำดสำยพบว่ำเมื่อสำยได้รับโหลดเกิน อุปกรณ์เซอร์กิตเบรกเกอร์ นันสำมำรถทำงำนเพื่อป้องสำย ร้อนหรือลัดวงจรได้ ดังนันจะเห็นว่ำระบบไฟฟ้ำนันมีควำมปลอดภัย ข้อเสนอแนะ จำกผลกำรศึกษำเป็นเพียงสำรวจกำรตรวจสอบและประเมินในครัวเรือนตำมหลักกำรกำรออกแบบ พืนฐำนสำหรับแรงดันไฟฟ้ำกระแสสลับ 220VAC 1 เฟส เท่ำนันหำกเป็นระบบ 3 เฟสจำเป็นต้องศึกษำกำรคำนวณ กำลังไฟฟ้ำและมำตรฐำนกำรติดตังเพิ่มเติม รวมถึง กำรจัดทำในเรื่องแบบไฟฟ้ำซึ่งหำกมีกำรติดตังระบบไฟฟ้ำควร แจ้งผู้รับเหมำในกำรติดตังให้เขียนแบบของระบบไฟฟ้ำเพื่อง่ำยต่อกำรศึกษำและควรออกแบบให้มีระบบกรำวด์ใน แบบไฟฟ้ำควำมปลอดภัยทำงไฟฟ้ำ กิตติกรรมประกำศ ขอขอบคุณมหำวิทยำลัยรำชภัฏเพชรบูรณ์ ที่ให้กำรสนับสนุนทุนในกำรทำวิจัย และคณำจำรย์สำขำวิชำ เทคโนโลยีไฟฟ้ำอุตสำหกรรมที่ให้คำแนะนำแก่ข้ำพเจ้ำเป็นอย่ำงดีและขอขอบพระคุณ สถำบันวิจัยและพัฒนำ มหำวิทยำลัยรำชภัฏเพชรบูรณ์ที่ได้ให้ทุนอุดหนุนกำรวิจัยครังนีมำ ณ ที่นี เอกสำรอ้ำงอิง ประสิทธิ์ พิทยพัฒน์. (2548). กำรออกแบบระบบไฟฟ้ำ. พิมพ์ครังที่ 1. วิวัฒน์ กุลวงศ์วิทย์. (2547). กำรต่อลงดินระบบไฟฟ้ำ เล่มที่ 3. พิมพ์ครังที่ 1. สมำคมที่ปรึกษำเครื่องกลและ ไฟฟ้ำไทย. วิวัฒน์ กุลวงศ์วิทย์. (2548). กำรต่อลงดินระบบไฟฟ้ำ เล่มที่ 4. พิมพ์ครังที่ 1. สมำคมที่ปรึกษำเครื่องกลและ ไฟฟ้ำไทย. สมำคมช่ำงเหมำไฟฟ้ำและเครื่องกลไทย. (2014). คู่มือแนวทำงกำรตรวจสอบงำนติดตั้งระบบไฟฟ้ำ.

86


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-09

รูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุในชุมชนต้นแบบจังหวัดนครนำยก LEISURE PATTERN OF THE ELDERLY IN PROTOTYPE COMMUNITY AT NAKHONNAYOK PROVINCE สรำวุธ ชัยวิชิต1, วิมลมำลย์ สมคะเน2, วณัฐพงศ์ เบญจพงศ์3, จีรนันท์ เจริญชัยภินันท์4 และอนงค์ หำญสกุล5 1

Saravudh Chaivichit อาจารย์ประจ้าหลักสูตรการจัดการกีฬาและนันทนาการ (ปร.ด.) คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 2 Wimonmarn Somkana อาจารย์ประจ้าหลักสูตรวิทยาศาสตร์การกีฬา (ปร.ด.) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค้าแหง 3 Wanatphong Benjaphong อาจารย์ประจ้าหลักสูตรวิทยาศาสตร์การกีฬา (ปร.ด.) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค้าแหง 4 Jeeranun Chharoenchaipinan อาจารย์ประจ้าหลักสูตรสุขศึกษาและพลศึกษา (กศ.ด.) คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 5 Anong Hansakul อาจารย์ประจ้าหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์ (ปร.ด) คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

บทคัดย่อ วัตถุประสงค์กำรวิจัย เพื่อศึกษำรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุในชุมชนต้นแบบจังหวัดนครนำยก และศึกษำปัจจัยที่มีผลต่อกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำง ตลอดจนศึกษำเปรียบเทียบควำมคิดเห็นของผู้สูงอำยุกับปัจจัย ที่มีผลต่อกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำงในจังหวัดนครนำยก กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี คือ ประชำชนในพืนที่ จังหวัดนครนำยกในองค์กำรบริหำรส่วนตำบล 2 แห่ง ประกอบด้วย ผู้สูงอำยุในโรงเรียนผู้สูงอำยุองค์กำรบริหำรส่วน ตำบล บ้ำนนำ จำนวน 55 คน และ ผู้สูงอำยุในโรงเรียนผู้สูงอำยุองค์กำรบริหำรส่วนตำบล ชุมพล จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยคือ แบบสอบถำมรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุในชุมชนต้นแบบจังหวัดนครนำยก ค่ำ ดัชนีของควำมสอดคล้อง อยู่ในช่วง 0.6-1 มีค่ำควำมเชื่อมั่น โดยวิธีวัดค่ำสัมประสิทธิ์แอลฟำที่ 0.89 วิเครำะห์ข้อมูล โดยใช้ ควำมถี่ ค่ำร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน และ ค่ำสถิ ติไคสแควร์ พบว่ำ จำนวนและร้อยละของ กลุ่มตัวอย่ำงจำแนกตำมรูปแบบกิจกรรมภำยในบ้ำนในภำพรวมรูปแบบกิจกรรมภำยในบ้ำนที่กลุ่มตัวอย่ำงทำเป็น จำนวนมำกที่สุด คือ ดูโทรทัศน์ รูปแบบกิจกรรมสร้ำงสรรค์ที่กลุ่มตัวอย่ำงทำเป็นจำนวนมำกที่สุดคือ ร้องเพลง/ เล่น ดนตรี รูปแบบกิจกรรมนอกสถำนที่ที่กลุ่มตัวอย่ำงทำเป็นจำนวนมำกที่สุดคือ พบปะสังสรรค์ รูปแบบกิจกรรมกีฬำ และสุขภำพที่กลุ่มตัวอย่ำงทำเป็นจำนวนมำกที่สุดคือ นวดแผนโบรำณ ส่วนในภำพรวมกลุ่มตัวอย่ำงมีควำมคิดเห็น ว่ำทุกปัจจัยมีผลต่อกำรตัดสินใจในเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำงในจังหวัดนครนำยกทุกรูปแบบกำรอยู่ในระดับมำก ผลกำร วิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงปัจจัยส่วนบุคคลกับรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของกลุ่มตัวอย่ำงพบว่ำปัจจัยส่วนบุคคลกับ รูปแบบกิจกรรมกำรใช้เวลำว่ำงทุกรูปแบบมีควำมสัมพันธ์กันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ : รูปแบบการใช้เวลาว่าง, ผู้สูงอายุ, ชุมชน Abstract Purpose: To study leisure pattern of the elderly in prototype community and to study factors affecting leisure participation including the comparison study of the elderly’s opinion with factors affecting leisure participation in Nakhonnayok Province

87


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Methodology: The samples of this study is residence in Nakhonnayok in two subdistrict administration organizations which are 55 of the elderly in Banna subdistrict administration organization and 38 of the elderly in Chumpon subdistrict administration organization. The research instrument is the questionnaire used to investigate the leisure pattern of the elderly in the prototype community in Nakonnayok. The index of validity is between 0.6-1. The reliability index measured by Alpha coefficient is 0.89. The data analyzed by means, percentage, standard deviation, and chi-square. Findings: It is found that the frequency and percentage of sample classified based on in-house activity is overall done by the samples with the greatest frequency which is watching television. The pattern of creative activity which is done by the samples with the highest frequency is singing/playing music. The pattern of outdoor activity which is done by the samples with the greatest frequency is meeting and greeting. The pattern of sports and health activity which is done by the samples with the highest frequency is Thai traditional massage. Overall, the samples think that all factors affecting the decision on participating in leisure in Nakhonnayok Province are high. The result of the analysis of the relations between personal factor and leisure pattern of the samples is found that they are statistical correlation significance at 0.5. Keyword : Leisure pattern, elderly, Community บทนำ มนุษย์มีกำรพัฒนำตนเองเพื่อแสวงหำคุณภำพชีวิตที่ดี และควำมพึงพอใจในรูปแบบกำรใช้ชีวิตของ ตนเองอยู่ตลอดเวลำ โดยเริ่มจำกกำรดำเนินชีวิตเพื่อควำมอยู่รอดขันพืนฐำน ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของทุกคน อัน ได้แก่ กำรนอนหลับพักผ่อน กำรรับประทำนอำหำร กำรใช้เครื่องนุ่งห่ม และกำรใช้ยำรักษำโรค ปัจจัยพืนฐำน เหล่ำนีเป็นส่วนสนับสนุนให้มนุษย์แสวงหำคุณภำพชีวิตและควำมพึงพอใจในระดับที่ดีขึนไป ภำยใต้บริบทกำรอำศัย รวมกับบุคคลอื่นๆในสังคมที่มีกำรพึ่งพำอำศัยซึ่งกันและกัน ด้วยกำรปฏิบัติตำมบทบำทหน้ำที่ และควำมรับผิดชอบ ที่สังคมกำหนดไว้ เช่ น กำรทำงำนเพื่อหำรำยได้ กำรปฏิบัติตำมบทบำทในฐำนะสมำชิกของสถำบันครอบครัว ตลอดจนกำรประพฤติตนเป็นพลเมืองที่ดี เพื่อทำให้ได้รับกำรตอบสนองควำมต้องกำรขันพืนฐำนและเกิดกำรอยู่ ร่วมกันในสังคมอย่ำงสงบสุข อย่ำงไรก็ตำมกำรทำงำนและปฏิบัติตำมบทบำทหน้ำที่ที่สังคมกำหนดนั น อำจไม่ สำมำรถพัฒนำบุคคลไปสู่คุณภำพชีวิตที่พึงปรำรถนำสูงสุดในชีวิตได้ เนื่องจำกกำรปฏิบัติตำมหน้ำที่และควำม รับผิดชอบเหล่ำนันอำจเกิดขึนด้วยควำมไม่สมัครใจ หรือควำมจำเป็นบำงประกำรในชีวิต ดังนันเวลำว่ำงที่เหลือจำก กำรกำรทำกิจวัตรประจำวัน และกำรทำงำนปฏิบัตตำมหน้ำที่ หรือเรียกว่ำ “เวลำว่ำง (Free Time)” จึงเป็น ส่วนประกอบที่สำคัญในชีวิตของทุกคนที่นำไปสู่กำรมีคุณภำพชีวิตที่ปรำรถนำสูงสุด ด้วยกำรเรียนรู้และเพิ่มพูน ประสบกำรณ์จำกกำรใช้เวลำว่ำงของตนเอง ด้วยกำรเข้ำร่วมกิจกรรมที่ตนเองสนใจภำยใต้เวลำว่ำงที่มีอยู่ หรือเรียก กิจกรรมที่เกิดขึนในเวลำว่ำงนันว่ำ “กิจกรรมนันทนำกำร” กล่ำวคือ เป็นกิจกรรมที่กระทำอย่ำงอิสระในเวลำว่ำง เข้ำร่วมด้วยควำมสมัครใจและช่วนฟื้นฟูควำมเครียดในกำรทำงำน และสร้ำงประสบกำรณ์กำรรับรู้ถึงควำมสำเร็จ กำรค้นพบตนเอง และกำรเจริญเติบโตอย่ำงสร้ำงสรรค์ (สุวิมล ตังสัจจพจน์. 2553) กำรพัฒนำที่เกิดจำกกำรเข้ำ

88


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ร่วมกิจกรรมนันทนำกำรและกำรใช้เวลำว่ำงเหล่ำนี ถือได้ว่ำเป็นกระบวนกำรกำรเรียนรู้และเพิ่มพูนประสบกำรณ์ ให้แก่บุคคล เพื่อค้นหำแนวทำงสู่กำรพัฒนำคุณภำพชีวิตที่เหมำะสมกับตนเองในอนำคตได้ ผู้สูงอำยุเป็นกลุ่มประชำกรช่ว งวัยหนึ่งที่มีหน้ำที่ควำมรับผิดชอบที่ลดลงจำกวัยผู้ใหญ่ เนื่องจำกกำร เกษียรกำรทำงำน เพรำะควำมเสื่อมที่เกิดขึนตำมช่วงวัย เช่น ร่ำงกำยเปลี่ยนแปลงไป สำยตำยำวขึน ผมหงอก ขีลืม เหนื่อยง่ำย หำกเจ็บป่วยจะใช้เวลำในกำรรักษำนำนกว่ำเดิม มีกำรทำงำนเชื่องช้ำลง และมีกำรปฏิสัมพันธืกับผู้อื่น ลดลงไปด้วย (กุลยำ ตันติพลำชีวะ, 2551) แม้ว่ำควำมเสื่อมจะเพิ่มขึนแต่ในขณะเดียวกันควำมอิสระในกำรใช้ชีวิต เพื่อแสวหำคุณภำพชีวิตที่ดี หรือกำรแสวงหำควำมสุขในบันปลำยชีวิตจะเพิ่มมำกขึน เนื่องจำกเวลำว่ำงที่มีมำกขึน กว่ำตอนช่วงวัยผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนีกำรใช้เวลำว่ำงจึงเข้ำมำมีบทบำทในกำรพัฒนำคุณภำพชีวิต ผ่ำนกำรเข้ำร่วม กิจกรรมนันทนำกำรสำหรับผู้สูงอำยุ เพื่อป้องกันควำมเสื่อมที่จะเกิดขึน หรือ คงสภำพให้ปัญหำสุขภำพไม่รุนแรงไป กว่ำเดิม อันเป็นส่วนสำคัญที่ส่งเสริมให้ผู้สูงอำยุมีคุณภำพชีวิตที่ดีขึน นอกจำกนี และยังเป็นกำรลดค่ำใช้จ่ำยในกำร บริกำรรักษำพยำบำลผู้ป่วยได้อีกทำงหนึ่ง เพรำะในแต่ละปีรัฐบำลต้องสินเปลืองค่ำใช้จ่ำยสูงถึงปะละเกือบ300,000 ล้ำนบำท โดยบริกำรต่ำงๆมุ่งแก้ปัญหำ และสนองควำมต้องกำรของผู้สูงอำยุทุกภำวะสุขภำพ (บุญศรี นุเกตุ และ คณะ 2550) ด้วยเหตุนีคณะวิจัยได้มุ่งเน้นที่จะศึกษำรูปแบบกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุ อันเป็นข้อมูล สำคัญในกำรสร้ำงบริกำรนันทนำกำรและกำรใช้เวลำว่ำงในชุมชนผู้สูงอำยุต้นแบบที่สำมำรถตอบสนองควำมต้องกำร ของผู้สูงอำยุและเกิดกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตของผู้สูงอำยุได้พร้อมๆกัน และนำไปสู่กำรสร้ำงควำมร่วมมือระหว่ำง หน่วยงำนที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอำยุทังภำครัฐและเอกชนในกำรจัดสร้ำงรูปแบบกำรให้บริกำรทำงนันทนำกำรและกำร ใช้เวลำว่ำงเพื่อพัฒนำควำมสุขและคุณภำพชีวิตสำหรับผู้สูงอำยุในชุมชนต่อไปในอนำคตได้ วัตถุประสงค์กำรวิจัย เพื่อศึกษำรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุในชุมชนต้นแบบจังหวัดนครนำยก และศึกษำปัจจัยที่มีผล ต่อกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำง ตลอดจนศึกษำเปรียบเทียบควำมคิดเห็นกับปัจจัยที่มีผลต่อกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำง ในจังหวัดนครนำยก คำถำมของกำรวิจัย รูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุในชุมชนต้นแบบจังหวัดนครนำยกเป็นอย่ำงไร นิยำมศัพท์เฉพำะ รูปแบบกำรใช้เวลำว่ำง หมำยถึง กำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุในชุมชนต้นแบบจังหวัดนครนำยก รูปแบบกิจกรรมภำยในบ้ำน หมำยถึง กิ จกรรมที่มีบ้ำนเป็น สถำนที่ในกำรทำกิจ กรรมต่ำงๆ เช่น ดู โทรทัศน์ ดูวีดีโอ / วีซีดี ฟังวิทยุ / เทป / ซีดี เล่นเกมคอมพิวเตอร์ / อินเทอร์เน็ตทำงำนอดิเรก อ่ำนหนังสือ ทำอำหำร ทำสวน และอื่นๆ รูปแบบกิจกรรมสร้ำงสรรค์ หมำยถึง กิจกรรมที่แสดงให้เห็นถึงควำมคิดริเริ่ม และสำมำรถนำไปใช้ ประโยชน์ได้ เช่น ร้องเพลง /เล่นดนตรี วำดรูป แกะสลัก ถ่ำยภำพ เย็บปักเต้นรำ และอื่นๆ

89


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

รูปแบบกิ จกรรมนอกสถำนที่ หมำยถึง กิ จกรรมที่ปฏิ บัติต ำมสถำนที่ ต่ำงๆ เช่น พบปะสั งสรรค์ ชม ภำพยนตร์ เดินเที่ยวศูนย์กำรค้ำ ทำนอำหำรนอกบ้ำน ชมคอนเสิร์ต เยี่ยมญำติ เพื่อน พักผ่อนนอกสถำนที่ ชมกำร แข่งขันกีฬำ เล่นกีฬำ เรียนกิจกรรมพิเศษ ไปห้องสมุด ไปเที่ยวต่ำงจังหวัด นั่งสมำธิ ทำบุญ และอื่น รูปแบบกิจกรรมกีฬำและสุขภำพ หมำยถึง กิจกรรมที่แสดงออกทำงร่ำงกำย เสริมสร้ำงควำมแข็งแรง และสุขภำพ เช่นฟุตบอล แบดมินตัน บำสเกตบอล ว่ำยนำ โบว์ลิ่ง เทนนิส เทเบิลเทนนิส วอลเล่ย์บอล กอล์ฟ วิ่ง (Jogging) แอโรบิก (Aerobic) นวดแผนโบรำณ ออกกำลังกำย โยคะ (Yoga) อบไอนำ (Sauna) นวดนำมัน (Spa) และอื่นๆ ผู้สูงอำยุ หมำยถึง บุคคลที่มีอำยุ 60 ปีขึนไป และเป็นนักเรียนของโรงเรียนผู้สูงอำยุตำบล บ้ำนนำ และ ตำบลชุมพล จังหวัดนครนำยก ชุมชนต้นแบบ หมำยถึง ชุมชนที่สมำชิกในชุมชนรวมตัวกันเข้ำร่วมกิจกรรมนันทนำกำรและกำรใช้เวลำ ว่ำงอย่ำงสม่ำเสมอ ภำยใต้กำรจัดกำรเรียนรู้ของโรงเรียนผู้สูงอำยุองค์กำรบริหำรส่วนตำบล บ้ำนนำ และ องค์กำร บริหำรส่วนตำบลชุมพล จังหวัดนครนำยก วิธีดำเนินกำรวิจัย 1. ศึกษำทบทวนข้อมูลจำก เอกสำร ตำรำ และงำนวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกำรศึกษำรูปแบบกำรใช้เวลำ ว่ำงของผู้สูงอำยุและนำข้อมูลที่ได้มำพัฒนำเป็นแบบแบบสอบถำมรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุ 2. จำกนันทำกำรสร้ำงเครื่องมือวิจัย และหำคุณภำพของหำคุณภำพของเครื่องมือโดยให้ผู้เชี่ยวชำญ 5 ท่ำน ตรวจพิจำรณำหำคุณภำพ เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยคือ แบบสอบถำมรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุใน ชุมชนต้นแบบจังหวัดนครนำยก ค่ำดัชนีของควำมสอดคล้อง อยู่ในช่วง 0.6-1 จำกนัน นำมำหำค่ำควำมเชื่อมั่น โดย วิธีวัดค่ำสัมประสิทธิ์แอลฟำ ของ Cronbarch ซึ่งได้ค่ำควำมเชื่อมั่นที่ 0.89 3. กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี คือ กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี คือ ประชำชนในพืนที่ จังหวัดนครนำยกในองค์กำรบริหำรส่วนตำบล 2 แห่ง ประกอบด้วย ผู้สูงอำยุในองค์กำรบริหำรส่วนตำบล บ้ำนนำ จำนวน 55 คน และ ผู้สูงอำยุในองค์กำรบริหำรส่วนตำบล ชุมพล จำนวน 38 คน รวมทังสิน 93 คน กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้เดินทำงไปเก็บข้อมูลไปในตำบลต่ำงๆด้วยตนเอง และนำแบบสอบถำมแจกให้กลุ่มตัวอย่ำงตอบ แบบสอบถำม ซึ่งผู้วิจัยจะใช้แบบสอบถำมรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุในชุมนต้นแบบจังหวัดนครนำยก กำรวิเครำะห์ข้อมูล วิเครำะห์ข้อมูลโดยใช้ ควำมถี่ ค่ำร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ค่ำสถิติไคสแควร์ ผลกำรวิจัย 1. จำนวนและร้อยละข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำงโดยใช้แบบสอบถำมที่ผู้วิจัยสร้ำงขึน โดยมี จำนวน ผู้ตอบแบบสอบถำมทังหมด 93 คน ข้อมูลคุณลักษณะส่วนบุคคล พบว่ำ เป็ นเพศชำยจำนวน 18 คน และหญิง จำนวน 75 คน มีอำยุระหว่ำง 60 ถึง 90 ปี ระดับกำรศึกษำส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำกว่ำมัธยมศึกษำ ส่วนใหญ่มี รำยได้ต่อเดือนอยู่ในระดับน้อยกว่ำ 5,000 บำท พำหนะที่ใช้ส่วนใหญ่เป็น รถส่วนตัว และรถมอเตอร์ไซด์นับถือ ศำสนำพุทธจำนวน 55 คน และศำสนำอิสลำมจำนวน 38 คน โดยส่วนใหญ่พักอำศัยอยู่กับครอบครัว และมีโรค ประจำตัวคือ ควำมดันสูง ไขมัน และเบำหวำนเป็นส่วนใหญ่

90


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2. จำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่ำงจำแนกตำมรูปแบบกิจกรรมภำยในบ้ำนในภำพรวมรูปแบบ กิจกรรมภำยในบ้ำนที่กลุ่มตัวอย่ำงทำเป็นจำนวนมำกที่สุด คือ ดูโทรทัศน์ รูปแบบกิจกรรมสร้ำงสรรค์ที่กลุ่มตัวอย่ำง ทำเป็นจำนวนมำกที่สุดคือ ร้องเพลง/ เล่นดนตรี รูปแบบกิจกรรมนอกสถำนที่ที่กลุ่มตัวอย่ำงทำเป็นจำนวนมำกที่สุด คือ พบปะสังสรรค์ รูปแบบกิจกรรมกีฬำและสุขภำพที่กลุ่มตัวอย่ำงทำเป็นจำนวนมำกที่สุดคือ นวดแผนโบรำณ 3. ภำพรวมกลุ่มตัวอย่ำงมีควำมคิดเห็นว่ำปัจจัยที่มีผลต่อกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำงในชุมนต้นแบบ จังหวัดนครนำยก ทุกรูปแบบกำรอยู่ในระดับมำก โดยปัจจัยเรื่องควำมสะดวกในกำรเดินทำงมีผลต่อรูปแบบกำรใช้ เวลำว่ำงในระดับมำกเป็นอันดับแรก รองลงมำคือปัจจัยเรื่องควำมชอบ ปัจจัยเรื่องควำมปลอดภัย ปัจจัยเรื่องควำม พร้อมทำงร่ำงกำย และปัจจัยเรื่องควำมพร้อมทำงจิตใจ 4. ผลกำรวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ร ะหว่ำงปัจจัยส่วนบุคคลกับทุกรู ปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของกลุ่ ม ผู้สูงอำยุในชุมนต้นแบบ จังหวัดนครนำยก มีควำมสัมพันธ์กันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 5. เมื่อวิเครำะห์ควำมแปรปรวนทำงเดียวเพื่อเปรียบเทียบค่ำเฉลี่ยคะแนนควำมคิดเห็นต่อปัจจัยที่มีผล ต่อรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของกลุ่มตัวอย่ำง พบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงที่อยู่ในกลุ่มชุมชนต่ำงกัน มีควำมคิดเห็นต่อปัจจัยที่มี ผลต่อรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงโดยรวมแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 สรุปและวิจำรณ์ผลกำรวิจัย จำกคำถำมกำรวิจัยข้อที่ 1 กล่ำวว่ำรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุในชุมนต้นแบบจังหวัดนครนำยก เป็นอย่ำงไร จำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่ำงจำแนกตำมรูปแบบกิจกรรมภำยในบ้ำน ในภำพรวมรูปแบบกิจกรรม ภำยในบ้ำนที่กลุ่มตัวอย่ำงทำเป็นจำนวนมำกที่สุดคือ ดูโทรทัศน์ เมื่อพิจำรณำเป็นเจเนอเรชั่นต่ำง ๆ พบว่ำ จำก ผลกำรวิจัยจะเห็นได้ว่ำภำพรวมรูปแบบกิจกรรมภำยในบ้ำนที่กลุ่มตัวอย่ำงทำเป็นจำนวนมำกที่สุดคือ ดูโทรทัศน์ ซึ่ง สอดคล้องกับผลกำรวิจัยของ แดซี่และวีล (Darcy and Veal. 1996 : 17-24) นำเสนองำนวิจัยกำรใช้เวลำว่ำงใน ออสเตรเลีย โดยทำกำรศึกษำพฤติกรรมกำรใช้เวลำว่ำงของผู้ชำยและผู้หญิงเน้นกำรดูโทรทัศน์หรือวีซีดีมำกที่สุด โดยให้เหตุผลว่ำออสเตรเลียเป็นประเทศที่ชอบพักผ่อนอยู่กับบ้ำนและให้เวลำกับครอบครัว ไม่ค่อยเดินทำงรวมทัง สอดคล้องกับผลกำรวิจัยของ ฮำรำดำ (Harada. 1996 : 153) ได้ศึกษำกำรมีส่วนร่วมในกิจกรรมกำรใช้เวลำว่ำง ของประชำชนในประเทศญี่ปุ่น ปี 1992 ประเภทงำนอดิเรกที่ประชำชนในประเทศญี่ปุ่นนิยมใช้ คือดูโทรทัศน์มำก ที่สุด ต่ อ มำผลกำรวิ จั ย แสดงให้ เ ห็ น ว่ ำ จ ำนวนและร้ อ ยละของกลุ่ ม ตั ว อย่ ำ งจ ำแนกตำมรู ป แบบกิ จ กรรม สร้ำงสรรค์ และเจเนอเรชั่นในภำพรวมรูปแบบกิจกรรมสร้ำงสรรค์ที่กลุ่มตัวอย่ำงทำเป็นจำนวนมำกที่สุด คือ ร้องเพลง/เล่นดนตรี, รองลงมำ คือ เย็บปัก, ถ่ำยภำพ, เต้นรำ วำดภำพ, และแกะสลัก, ตำมลำดับ และผลกำรวิจัยของจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่ำงจำแนกตำมรูปแบบกิจกรรมนอกสถำนที่ และเจ เนอเรชั่นในภำพรวมรูปแบบกิจกรรมนอกสถำนที่ที่กลุ่มตัวอย่ำงทำเป็นจำนวนมำกที่สุดคือ พบปะสังสรรค์ , ทำบุญ, เดินเที่ยวตำมศูนย์กำรค้ำ ตำมลำดับพบว่ำสอดคล้องกับผลกำรวิจัยของซูซำนเนค (Zuzanek. 1996 : 35 -75) นำเสนองำนวิจัยกำรใช้เวลำว่ำงในแคนำดำ (สำรวจโดย Canadian Arts Consumer Profile Surveys) ในปี 1990-1991 ภำพรวมในกำรทำกิจกรรมคือ กำรไปพบปะสังสรรค์ ไปเยี่ยมญำติ / เพื่อนมำกที่สุด ถือเป็นกำรได้มี กำรปฎิสัมพันธ์และเป็นกิจกรรมทำงสังคม สอดคล้องกับแนวคิดของโรเบิร์ต (Robert. 1978 : 3) แบ่งรูปแบบกำร ใช้เวลำว่ำงไว้อย่ำงหลำกหลำยและได้กล่ำวถึง กำรใช้เวลำว่ำงทำงสังคม (Leisure & Socialising) นันสำมำรถแบ่ง

91


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ออกได้หลำยรูปแบบ เช่น เล่นพนัน ทำนอำหำร ช็อปปิ้ง เต้นรำ สิ่งบันเทิงภำยในบ้ำน สุขภำพและควำมงำม อี กทัง ยังสอดคล้องกับแนวคิดของเคลลี่ (Kelly. 1996 : 133) ศึกษำรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงใน 3 ชุมชนของประเทศ สหรัฐอเมริกำ ได้กล่ำวว่ำรูปแบบกิจกรรมนอกสถำนที่ เป็นส่วนหนึ่งในกำรมีปฏิสัมพันธ์ระหว่ำงครอบครัวและ เพื่อนๆ มีรูปแบบดังนี คือสร้ำงควำมสนิทสนม สนทนำกัน กิจกรรมที่ทำเป็นคู่ ออกนอกสถำนที่ เยี่ยมญำติและเพื่อน เล่นกับเด็กๆทำให้เกิดสัมพันธภำพที่ดีในสังคม สุดท้ำยผลกำรวิจั ยของจ ำนวนและร้อยละของกลุ่ มตัวอย่ำ งจำแนกรูปแบบกิจกรรมกีฬำและสุขภำพ ภำพรวมรูปแบบกิจกรรมกีฬำและสุขภำพที่กลุ่มตัวอย่ำงทำเป็นจำนวนมำกที่สุดคือ นวดแผนโบรำณ, เข้ำศูนย์ออก กำลังกำย(Fitness Center) รองลงมำคือแอโรบิก (Aerobic), ตำมลำดับ สอดคล้องกับแนวคิดของสมิต (Smith. 1991) วิจัยโปรแกรมกำรใช้เวลำว่ำงในประเทศสหรัฐอเมริกำ เป็น สิ่งที่ได้รับควำมสนใจ ควำมท้ำทำย ที่จะช่วยให้กำรดำรงชีวิตและสุขภำพดีขึน เพิ่มพลังให้ กับชีวิต ควำมสำเร็จใน โปรแกรมนีอยู่ภำยใต้หลักปรัชญำของวัยรุ่นที่เป็นแหล่งทรัพยำกรที่กำลังจะถูกพัฒนำ มำกกว่ำกำรจัดกำรกับปัญหำ ของวัยรุ่น และผู้วิจัยยังมีควำมเห็นว่ำไม่ใช่แค่วัยรุ่นเท่ำนันแม้แต่เจเนอเรชั่นต่ำง ๆ ในสังคมไทยก็ควรได้รับกำร ส่งเสริมกำรใช้เวลำวำงอย่ำงเหมำะสมเช่นกัน ดังนันผลกำรวิจัยเรื่องรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุในชุมน ต้นแบบจังหวัดนครนำยกจะเป็นตัวแปรที่สำคัญในกำรกำหนดหลักสูตรวิชำกำรเรียนกำรสอนกำรใช้เวลำว่ำงเกี่ยวกับ ผู้สูงอำยุ และเข้ำใจถึงกำรเปลี่ยนแปลงและควำมต้องกำรกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุในชุมชน นำไปสู่กำรวำงกล ยุทธ์ในกำรให้บริกำรกำรใช้เวลำว่ำง ต่อไปในอนำคต จำกคำถำมกำรวิจัยข้อที่ 2 ที่กล่ำวว่ำปัจจัยที่มีผลต่อกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุในชุมชน ต้นแบบจังหวัดนครนำยก เป็นอย่ำงไร พบว่ำ ปัจจัยที่มีผลต่อรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงประกอบด้วย 15 ปัจจัย ผลกำร วิเครำะห์ข้อมูลแสดงในภำพรวมกลุ่มตัวอย่ำงมีควำมคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยโดยรวมว่ำมีผลต่อรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำง ในระดับมำก โดยปัจจัยเรื่องควำมสะดวกในกำรเดินทำงมีผลต่อรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงในระดับมำกเป็นอันดับแรก รองลงมำคือปัจจัยเรื่องควำมชอบ ปัจจัยเรื่องควำมปลอดภัยและควำมพร้อมทำงจิตใจ ปัจจัยเรื่องควำมพร้อมทำง ร่ำงกำยและปัจจัยเรื่องสถำนที่ประกอบกิจกรรม ตำมลำดับซึ่งสอดคล้องกับผลกำรวิจัยของกลุ่มตัวอย่ำงเบบีบูมเมอร์ สมีควำมคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยโดยรวมว่ำมีผลต่อรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงในระดับมำก โดยปัจจัยเรื่องควำมสะดวกใน กำรเดินทำงมีผลต่อรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงในระดับมำกเป็นอันดับแรก รองลงมำคือปัจจัยเรื่องควำมชอบ ปัจจัยเรื่อง ควำมปลอดภัย ปัจจัยเรื่องควำมพร้อมทำงร่ำงกำย และปัจจัยเรื่องควำมพร้อมทำงจิตใจ (ทองใบ สุดชำรี. 2544) โดยคำนึงถึงเรื่องควำมสะดวกในกำรเดินทำง และควำมชอบในกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำง และกลุ่มตัวอย่ำงนีนีถือว่ำ เป็นกลุ่มคนที่มีอำวุโส แต่เนื่องจำกบุคคลกลุ่มนีมีอำยุค่อนข้ำงมำกอยู่ในวัยเกษียณ พวกเขำจึงเริ่มที่จะวำงแผนชีวิต ในกำรปลดเกษียณหรือออกจำกงำนเพื่อมำดูแลสุขภำพและอนำมัย (ทองใบ สุดชำรี. 2544) ดังนันในกำรประกอบ กิจกรรมกำรใช้เวลำว่ำงจะต้องเป็นกิจกรรมที่มีควำมปลอดภัยอย่ำงมำก และยังสอดคล้องกับผลกำรวิ จัยมีควำม คิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยโดยรวมว่ำมีผลต่อรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงในระดับมำก โดยปัจจัยเรื่องควำมสะดวกในกำร เดินทำงมีผลต่อรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงในระดับมำกเป็นอันดับแรก รองลงมำคือปัจจัยเรื่องควำมพร้อมทำงจิตใจ ปัจจัยเรื่องควำมปลอดภัย ปัจจัยเรื่องควำมพร้อมทำงร่ำงกำย และปัจจัยเรื่องควำมชอบ ตำมลำดับ ดังนันในกำรจัดโปรแกรมกำรให้บริกำรกำรใช้เวลำว่ำงต้องคำนึงถึงเจเนอเรชั่นจะมีคุณลักษณะที่แตกต่ำง กันเพรำะในกำรจัดโปรแกรมกำรให้บริกำรให้กับบุคคลที่มีควำมต้องกำรที่แตกต่ำงกันมำกๆ ต้องใช้แนวคิดและ หลักกำรที่จะสำมำรถตอบสนองควำมต้องกำรทำงกำรใช้เวลำว่ำงได้อย่ำงเหมำะสม ฉะนันผู้วิจัยจึงเล็งเห็นแนวคิด หลักกำรในกำรจัดโปรแกรมกำรให้บริกำรของหน่วยงำนบริกำรกำรใช้เวลำว่ำงที่ต้องเป็นสิ่งที่สำมำรถมอบสิ่งที่มี

92


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

คุณค่ำ คุณประโยชน์หรือสิ่งผู้ใช้บริกำรคำดหวัง Edginton and Rossman (1988 อ้ำงถึงใน Edginton et al, 1995 : 308) กล่ำวว่ำ ผู้จัดบริกำรกำหนด ส่งเสริม และให้บริกำร เพื่อให้ลูกค้ำได้รับประสบกำรณ์ในกำรพักผ่อน หย่อนใจ” นั่นคือจัดสิ่งแวดล้อมทำงธรรมชำติ กำยภำพ และสังคมที่เอือต่อกำรพักผ่อนหย่อนใจเช่น กำรปฏิสัมพันธ์ ให้เข้ำถึงธรรมชำติ ได้รัประสบกำรณ์ที่ดีกล่ำวว่ำผู้วำงแผน มีหน้ำที่ วำงแผน จัดกำร จัดวัสดุอุปกรณ์ เป็นผู้นำ และ ดำเนินกำรอื่นๆ เพื่อสร้ำงโอกำสที่เหมำะแก่กำรพักผ่อนหย่อนใจ” ผู้จัดอำจควบคุมในทุกขันตอนของกิจกรรมเอง เกือบทังหมด ไปจนถึงสอนหรือกระตุ้นให้ผู้รับบริกำรควบคุมด้วยตนเอง ในประกำรแรก กิจกรรมที่หน่วยงำน วำงแผนจะเอือต่อกำรควบคุมของหน่วยงำน ส่วนประกำรหลังต้องควบคุมและรับผิดชอบต่อผู้รับบริกำรอย่ำงมำก อีกทังยังสอดคล้องกันแนวคิดของ Edginton et al (1995 : 311-313) กล่ำวว่ำ นักวำงแผนหรือผู้นำนันทนำกำร และผู้เชี่ยวชำญด้ำนนันทนำกำรต้องตระหนักและเข้ำใจในผลกระทบของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกำรวำงแผนโครงกำร นันทนำกำรเหล่ำนี คือ วัยของผู้รับบริกำร (generation) สิ่งแวดล้อมและมุมมอง ที่จะเป็นกำรสร้ำงทังโอกำสใหม่ๆ และปัญหำที่ต้องจัดกำร ดังนันผู้ที่มีหน้ำที่ วำงแผน จัดกำรโปรแกรมจำเป็นต้องทรำบควำมต้ องกำรและต้องทรำบว่ำมีปัจจัยที่มี ผลต่อกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำงใดบ้ำงที่แตกต่ำงกันเพื่อที่จะสำมำรถจัดรูปแบบกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำงได้อย่ำงมี ประสิทธิภำพ และตรงตำมวัตถุประสงค์ในกำรเข้ำร่วมที่มีควำมต้องกำรมำกที่สุด จำกคำถำมกำรวิจัยข้อที่ 3 ที่กล่ำวว่ำ กลุ่มตัวอย่ำง มีควำมคิดเห็นต่อรูปแบบกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำง แตกต่ำงกันหรือไม่ 1. ผลกำรวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงปัจจัยส่วนบุคคลกับรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของกลุ่มตัวอย่ำง พบว่ำ ปัจจัยส่วนบุคคลกับรูปแบบกิจกรรมภำยในบ้ำนทุกรูปแบบมีควำมสัมพันธ์กันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับผลกำรวิจัยของแดซี่และวีล (Darcy and Veal. 1996 : 17-24 ) นำเสนองำนวิจัยกำรใช้เวลำว่ำง ในออสเตรเลีย พบว่ำผู้ชำยเน้นกำรดูโทรทัศน์หรือวีซีดีมำกที่สุด รองลงมำคือฟังวิทยุและอ่ำนหนังสือ ส่วนผู้หญิงจะ กำรดูโทรทัศน์หรือวีซีดีมำกที่สุดเช่นเดียวกัน รองลงมำคืออ่ำนหนังสือ ฟังวิทยุ และคุยโทรศัพท์ และยังสอดคล้องกับ ผลกำรวิจัยของ คัสแมนและไลเดอร์ (Cushman and Laidler. 1996 : 165) นำเสนองำนวิจัยในนิวซีแลนด์ปี 1990 เรื่องกำรใช้เวลำว่ำงของประชำชนทั่วไป ซึ่งแบ่งเป็นผู้หญิงและผู้ชำยที่อำยุมำกกว่ำ 65 ปี นิยมกำรอ่ำน หนังสือ ส่วนประชำชนทั่วๆไปนิยมกำรอ่ำนหนังสือ 2. ผลกำรวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงปัจจัยส่วนบุคคลกับรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของกลุ่มตัวอย่ำง แสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเจเนอเรชั่นกับรูปแบบกิจกรรมสร้ำงสรรค์ พบว่ำ ทุกรูปแบบมีควำมสัมพันธ์กันอย่ำงมี นัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับแนวคิดของ แบมเมล และ แบมเมล (Bammel and Bammel. 1996: 201 - 211) ได้รวบรวมและสรุปทฤษฎีกำรใช้เวลำว่ำงที่กล่ำวถึง ทฤษฎีกำรใช้เวลำว่ำงเป็นกำรพักผ่อน กำรบันเทิง และเป็นกำรพัฒนำตนเอง (Leisure as Relaxation , Entertainment and Self – Development) ของ Joffre Dumazedier ซึ่งกล่ำวว่ำ กำรที่เจเนอเรชั่นต่ำงๆให้ควำมสำคัญกับรูปแบบกิจกรรมสร้ำงสรรค์นันถือว่ำเป็นกำรสร้ำง ควำมสุนทรีย์ให้กับชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ เคลลี (Kelly. 1982: 415 - 432) ได้เสนอถึงทฤษฎีกำรใช้เวลำ ว่ำงเรียกว่ำ A Spiral of Leisure Theory มีลักษณะเชิงควำมเป็นเหตุเป็นผลที่กล่ำวถึงทฤษฎีควำมเป็นมนุษย์ ที่ สมบูรณ์ (Humanist) คือกำรใช้เวลำว่ำงเป็นส่วนหนึ่งของควำมเป็นมนุษย์โดยมี 2 ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คือ ควำมคิด สร้ำงสรรค์ กับกำรมีจิตสำนึกที่ผิด โดยกำรใช้เวลำว่ำงนันเป็นส่วนหนึ่งของควำมคิดสร้ำงสรรค์ที่เกิดจำกภำยในของ บุคคล

93


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

3. ผลกำรวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงปัจจัยส่วนบุคคลกับรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของกลุ่มตัวอย่ำง แสดงควำมสัมพันธ์รูปแบบกิจกรรมนอกสถำนที่ พบว่ำ ทุกรูปแบบมีควำมสัมพันธ์กันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ ระดับ .05 รูปแบบกิจกรรมนอกสถำนที่ด้ำนกำรพบปะสังสรรค์ กำรเดินเที่ยวตำมศูนย์กำรค้ำ กำรชมคอนเสิร์ต กำร รับประทำนอำหำรนอกบ้ำน กำรไปเที่ยวต่ำงจังหวัด กำรพักผ่อนนอกสถำนที่ (Picnic) กำรเล่นกีฬำ กำรเรียน กิจกรรมพิเศษ กำรไปห้องสมุด กำรนั่งสมำธิและกำรทำบุญ และรูปแบบกิจกรรมนอกสถำนที่กำรเยี่ยมญำติ / เพื่อน และกำรชมกำรแข่งขันกีฬำ มีควำมสัมพันธ์กัน สอดคล้องกับแนวคิดของเคลลี่ (Kelly. 1982 : 8) ได้กล่ำวว่ำ เวลำ ว่ำง คือกิจกรรมที่เลือกอย่ำงอิสระ และจำนำมำซึ่งควำมพึงพอใจ ซึ่ง Kelly ได้มีกำรจำแนกกำรใช้เวลำว่ำงคือ กำร ใช้เวลำว่ำงแบบสัมพันธ์ (Relation Leisure) คือ กำรทำกิจกรรมที่จะสร้ำงควำมสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัว กับคนอื่นๆ เช่น กำรไปเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ ไปเที่ยวชมสถำนที่ต่ำงๆกับครอบครัว จำกลกำรวิจัยจะเห็นได้ว่ำกิจกรรมที่พบ เป็นควำมต้องกำรที่ต้องใช้ทักษะทำงด้ำนควำมสัมพันธ์เป็นตัวกำหนด อีกทังยังสอดคล้องกับแนวคิดของนูลินเกอร์ (Neulinger. 1981: 89) นักจิตวิทยำชำวอเมริกำ ได้พัฒนำ กระบวนทัศน์ (Paradign) เพื่ออธิบำยถึงคำว่ำเวลำว่ำง โดยให้ควำมสำคัญถึงปัจจัยที่จะทำให้เป็น เวลำว่ำง และไม่เป็นเวลำว่ำง ทฤษฎีมีชื่อว่ำ eulinger’s Theory ซึ่ง กล่ำวถึง กำรใช้เวลำว่ำงอย่ำงแท้จริง (Pure Leisure) คือ กิจกรรมที่เลือกกระทำเพื่อตัวเอง มีอิสระจำกกำรบังคับ ภำยนอกและนำมำสู่กำรตอบแทนที่มีคุณค่ำ ดังนันกลุ่มตัวอย่ำงจึงให้ควำมสำคัญกับรูปแบบกิจกรรมนอกสถำนที่นัน ถือว่ำเป็นควำมต้องกำรกับกำรใช้เวลำว่ำงอย่ำงแท้จริง 4. ผลกำรวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงปัจจัยส่วนบุคคลกับรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของกลุ่มตัวอย่ำง กับรูปแบบกิจกรรมกีฬำและสุขภำพ พบว่ำ ทุกรูปแบบมีควำมสัมพันธ์กันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นกำรเล่นโบว์ลิ่ง เทเบิลเทนนิส และกอล์ฟ ที่ไม่มีควำมสัมพันธ์กันเมื่อพิจำรณำเป็นรำยกิจกรรม พบว่ำเจเนอ เรชั่นกับรูปแบบกิจกรรมกีฬำและสุขภำพ นวดแผนโบรำณ แอโรบิก (Aerobic) กำรออกกำลังกำย(Fitness Center) มีควำมสัมพันธ์ ตำมลำดับ ตำมลำดับสอดคล้องกับผลกำรวิจัยของคอร์ด และ ไอบรำฮิม (Cordes and Ibrahim. 1996 : 87) นำเสนออันดับกิจกรรมที่เป็นที่นิยมและกิจกรรมที่อยำกลองในประเทศอเมริกำ ซึ่งกิจกรรมที่นิยมคือ บำสเกตบอล ว่ำยนำ กำรสังสรรค์ อัตรำกำรเข้ำร่วมคือกำรสังสรรค์มำเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งกิจกรรมที่นิยมคือรองลงมำ คือกำรเข้ำชมกีฬำ และบำสเกตบอล ส่วนกิจกรรมที่วัยรุ่นอยำกลองคือกำรขี่ม้ำ กำรเล่นเจ็ตสกี และกีฬำทำงอำกำศ จำกคำถำมกำรวิจัยข้อที่ 4 ที่กล่ำวว่ำ กลุ่มตัวอย่ำง มีควำมคิดเห็นต่อปัจจัยที่มีผลต่อกำรเข้ำร่วมกำรใช้ เวลำว่ำงในจังหวัดนครนำยก แตกต่ำงกันหรือไม่ ผลกำรเปรียบเทียบควำมคิดเห็นของกลุ่มที่มีต่อปัจจัยที่มีผลต่อรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงผลกำรวิเครำะห์ ควำมแปรปรวนทำงเดียวของค่ำเฉลี่ยคะแนนควำมคิดเห็นที่มีต่อปัจจัยที่มีผลต่อรูปแบบกำรเข้ำร่วมกำรใช้เ วลำว่ำง พบว่ำ เมื่อวิเครำะห์ควำมแปรปรวนทำงเดียวเพื่อเปรียบเทียบค่ำเฉลี่ยคะแนนควำมคิดเห็นต่อปัจจัยที่มีผลต่อ รูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของกลุ่มตัวอย่ำง มีควำมคิดเห็นต่อปัจจัยที่มีผลต่อรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงโดยรวมแตกต่ำงกัน อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจำรณำรำยปัจจัย พบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงปัจัยส่วนบุคคลต่ำงกัน มีควำมคิดเห็นต่อทุกปัจจัยที่มีผลต่อ รูปแบบกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำงแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Edginton et al (1995:311-313) กล่ำวว่ำ วัยของผู้รับบริกำร (generation) คนต่ำงวัยมีสิ่งแวดล้อมและมุมมอง ต่ำงกัน เช่นวัยรุ่นปัจจุบันอยู่ในโลกของเทคโนโลยี ควำมก้ำวหน้ำด้ำนคอมพิวเตอร์ กำรสื่อสำร กำรเดินทำง ที่สร้ำง ทังโอกำสใหม่ๆและปัญหำที่ต้องจัดกำร คนที่เกิดต่ำงยุคกันมองโลกต่ำงกัน ซึ่งบำงครังทำให้เกิดช่องว่ำงระหว่ ำงวัย ของผู้สูงอำยุกับคนหนุ่มสำว ซึ่งในกำรวิจัยในครังนียังได้ทำกำรเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่ำงที่มีกำรศึกษำที่แตกต่ำงกัน

94


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

อำจเป็นไปได้ว่ำระดับกำรศึกษำ (Level of education) คนมีกำรศึกษำสูงมักมีรำยได้มำกกว่ำจึงสำมำรถเข้ำร่วม กิจกรรมนันทนำกำรที่ต้องกำรได้ เข้ำ รวมในกิจกรรมนอกสถำนที่ กีฬำ วัฒนธรรม และท่องเที่ยวมำกกว่ำ คนมี กำรศึกษำน้อยกว่ำมักเข้ำร่วมกิจกรรมกีฬำประเภทล่ำสัตว์ ตกปลำ ส่วนคนมีกำรศึกษำสูงกว่ำเข้ำร่วมกิจกรรมศึกษำ ธรรมชำติ พำยเรือแคนู ผจญภัยจึงทำให้ผลกำรวิจัยมีข้อค้นพบที่แตกต่ำงกันมีควำมคิดเห็นต่อปัจจัยเรื่องควำมชอบ เรื่องญำติ พี่น้อง และเพื่อน เรื่องค่ำใช้จ่ำย เรื่องวันปกติ เรื่องสถำนที่ประกอบกิจกรรม เรื่องควำมปลอดภัย เรื่อง ควำมพร้อมทำงจิตใจ และเรื่องควำมพร้อมทำงร่ำงกำยที่ต่ำงกันออกไป ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในกำรนำผลวิจัยไปใช้ ผลจำกกำรวิจัยในครังนีมีลั กษณะเป็นข้อมูลพืนฐำน (Data Base) เกี่ยวกับรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของ ผู้สูงอำยุในชุมชนต้นแบบจังหวัดนครนำยก สำมำรถนำข้อมูลและผลงำนวิจัยที่ได้ไปเป็นแนวทำงในกำรจัดและ ส่งเสริมกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำงเพื่อให้สอดคล้องกับควำมต้องกำรของผู้เข้ำร่วมที่มีควำมต้องกำรที่แตกต่ำงกัน อีก ทังยังได้ทรำบแนวคิดและทรำบถึงปัจจัยหลำกหลำยควำมต้องกำรได้รับกำรบริกำร ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่ำงมำกกับ หน่วยงำนภำครัฐ (Government Agencies) ที่จะสำมำรถจัดรูปแบบกำรใช้เวลำว่ำงของประชำชนที่อยู่ในจังหวัด นครนำยก ให้เหมำะสมกับควำมต้องกำร และยังรวมถึงหน่วยงำนที่มีกำรให้บริกำรกำรใช้เวลำว่ำงที่เป็นของเอกชน หรือหน่วยงำนที่แสวงหำผลกำไร (Profit Agencies) ก็สำมำรถนำข้อมูลและผลงำนวิจัยที่ได้นำไปจัดกำรให้บริกำรให้ เกิดควำมแตกต่ำง เพื่อที่จะสนองต่อควำมต้องกำรและผลกำไรที่มีต่อหน่วยงำนของตนได้ หรือแม้กระทังบุคลำกร ทำงนันทนำกำร เช่น ครู และอำจำรย์ที่สอนในศำสตร์ทำงนันทนำกำรละกำรใช้เวลำว่ำง สำมำรถนำข้อมูลและ ผลงำนวิจัยที่ได้ไปเป็นแนวทำงในสอนและจัดประสบกำรณ์ที่สอดคล้องกับควำมต้องกำรของผู้เข้ำร่วม เพื่อที่จะได้ ผลิตนักนันทนำกำรที่มีควำมรู้และควำมสำมำรถรับใช้สังคมได้อย่ำงมีประสิทธิภำพต่อไป ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรจะมีกำรศึกษำปัจจัยเสี่ยงที่มีต่อกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำงของผู้สูงอำยุ เพื่อให้เข้ำใจ และ ทรำบถึงปัญหำของผู้เข้ำร่วม และปัญหำต่ำงๆอย่ำงรอบด้ำนเพื่อนำมำเป็นแนวทำงในกำรจัดกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำ ว่ำงให้เหมำะสมกับควำมต้องกำรต่อไป 2. ควรมีกำรศึกษำเกี่ยวกับรูปแบบกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำงของประชำกรกลุ่มอื่นๆ เช่น เด็กใน ชุมชนแออัด, แฟลต และในชนบท เพื่อนำมำเปรียบเทียบกับผลกำรวิจัยนี 3. ควรมีกำรศึกษำเกี่ยวกับรูปแบบกำรเข้ำร่วมกำรใช้เวลำว่ำงที่มีรูปแบบควำมหลำกหลำย และเพิ่ม จำนวนของเจเนอเรชั่นต่ำงๆ ให้มำกขึนเพื่อจะได้ข้อมูลที่มีควำมละเอียดนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อกำรวำงแผนและ เป็นแนวทำงในกำรป้องกันปัญหำสังคม

95


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เอกสำรอ้ำงอิง กุลยำ ตันติพลำชีวะ. (2551). สุขภำพกับวัยผู้สูงอำยุ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เรืองปัญญำ. ทองใบ สุดชำรี. (2544). ภำวะผู้นำและแรงจูงใจ. อุบลรำชธำนี : สถำบันรำชภัฎอุบลรำชธำนี. บรมรำชชนก บุญศรี นุเกตุ และ ปำลีรตั น์ พงทวีกัณหำ. (2550). กำรพยำบำลผู้สูงอำยุ. นนทบุรี : โครงกำรสวัสดิกำรวิชำกำร สถำบัน สุวิมล ตังสัจพจน์. (2553). นันทนำกำรและกำรใช้เวลำว่ำง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เอดิสันเพรสโพรดักส์. Bammel, G. and L.L. Burrus- Bammel. (1996). Other Factors that Affect Leisure Behavior: Christen. (1991). Overview of Youth Recreation Programs in The United States. Eric Database.Accession no.ED360268. Cordes, Kathleen A. & Ibrahim Hilmi M. (1996). Applications in Recreation & Leisure for Today and the Future. Mosby-Year Book Inc, St.Louis. Cushman G. and Laidler A. (1996). New Zealand. World Leisure Participation : Free Time in the Global Village. Cambridge : CAB International. Darcy S. & Veal A.J. (1996). Australia. World Leisure Participation : Free Time in theGlobal Village. Cambridge : CAB International. Edginton, C. R., D. J. Jordan, D. G. Degraaf and S. R. Edginton. (1995). Leisure and Life Satisfaction. Iowa : Brown and Benchmark Publishing. Harada, Munehiko. (1996). Japa n. World Leisure Participation : Free Time in the Global Village. Cambridge : CAB International. Kelly, J.R. (1982). Leisure. New Jersey : Prentice- Hall. Leisure and Human Behavior. Iowa : Brown and Benchmark Publishers. Neulinger, J. (1981). To Leisure: An Introduction. Boston : Ally and Bacon Inc. Smith, Zuzanek, Jiri. (1996). Canada. World Leisure Participation : Free time in the Global Village, Cambridge : CAB International.

96


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-10

ผลกำรพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็นต่ออำกำรปวดเข่ำของกลุ่มผู้สูงอำยุในเขตเทศบำล ตำบลดอนตำล อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร EFFECT OF COLD HERBAL POULTICING ON KNEE PAIN AMONG ELDERLY PERSON AT DONTAN DISTRICT, MUKDAHAN PROVINCE แก่นเกือ นำวำบุญนิยม1, สุธรี ำ อินทเจริญศำนต์2 และ อรรณพ นับถือตรง3 1 2 3

นักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

บทคัดย่อ ประเทศไทยได้เข้ำสู่สังคมผู้สูงอำยุแล้วตังแต่ปี 2550 ปัญหำสุขภำพที่มักพบในผู้สูงอำยุคือ ปัญหำกระดูก และข้อ โดยเฉพำะโรคข้อเสื่อม พบได้มำกถึงร้อยละ 40 ในจำนวนโรคข้อทังหมดจำกประชำกรไทย 65 ล้ำนคน และ ร้อยละ 50 ของจำนวนผู้ที่ไปพบแพทย์ด้วยอำกำรปวดข้อจะพบว่ำเป็นโรคข้อเข่ำเสื่อมมำกที่สุด กำรศึกษำครังนีเป็น กำรวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำผลของกำรพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็นต่อ อำกำรปวดเข่ำของกลุ่มผู้สูงอำยุในเขตเทศบำลตำบลดอนตำล อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร กลุ่มตัวอย่ำง จำนวน 30 คน อำยุตังแต่ 60 – 85 ปี เลือกแบบเจำะจงตำมเกณฑ์ที่กำหนด โดยทำกำรพอกเข่ำด้วยสมุนไพรฤทธิ์ เย็น 6 ชนิด ต่อเนื่อง 4 สัปดำห์ สัปดำห์ละ 3 ครัง เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย ได้แก่ แบบสอบถำมข้อมูลส่วนบุคคล , แบบประเมินระดับควำมรุนแรงของอำกำรปวดเข่ำ Oxford Knee Score, และแบบสอบถำม Modifide WOMAC แสดงถึงกำรรับรู้ของอำกำรปวด วิเครำะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนำและสถิติ Paired sample t-test ผลกำรวิจัย พบว่ำ หลังกำรพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็นเป็นเวลำ 4 สัปดำห์ ระดับอำกำรเจ็บปวดข้อเข่ำ อำกำรข้อเข่ำติดแข็ง และควำมสำมำรถในกำรทำหน้ำที่และกำรเคลื่อนไหวข้อเข่ำ มีควำมแตกต่ำงจำกก่อนกำรพอกเข่ำ อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 (p<0.001) กำรพอกเข่ำด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็นสำมำรถเป็นอีกทำงเลือกหนึ่ง ในกำรบำบัดและบรรเทำอำกำรปวดเข่ำในผู้สูงอำยุได้ คำสำคัญ : สมุนไพรฤทธิ์เย็น, อาการปวดเข่า, ผู้สูงอายุ Abstract Thailand has entered the elderly society since 2007. Bone problems, especially osteoarthritis are common in the elderly. 40% of osteoarthritis were found among 65 million Thai population. 50% of those went to see the physician with the symptoms of osteoarthritis. This study was a quasi-experimental research. The purpose of this study was to investigate the effect of cold herbal poulticing on knee pain symptoms among elderly in Don Tan Subdistrict, Don Tan District, Mukdahan Province. Purposive sampling for 30 samples with age 60 - 85 years according

97


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

to inclusion criteria. The operating of cold herbal (made from 6 types of herbs) poulticing on knee took for 4 weeks (3 times a week). The instruments in this research were questionnaires, personal information, Oxford Knee Score questionnaires for classify the levels of pain, Modifide WOMAC questionnaires for measurement the levels of pain perception. Data were analyzed by using descriptive statistics and paired sample t-test. The results found that after the operating of cold herbal poulticing on knee for 4 weeks, the levels of pain, knee arthritis, and the ability of movements were significant differences when compare with the beginning at the 0.05 level of significance (p<0.001). Thus, the cold herbal poulticing could be another alternative choice to relieve knee pain symptoms among elderly. Keywords : Herbal Cold, Knee Pain, Elderly บทนำ ประเทศไทยได้เข้ำสู่สังคมผู้สูงอำยุแล้วตังแต่ปี 2550 คือ มีประชำกรสูงอำยุมำกกว่ำร้อยละ 10 โดยใช้ อำยุตำมปีปฏิทินที่ 60 ปีบริบูรณ์ขึนไปเป็นนิยำมที่เป็นทำงกำรของ “ผู้สูงอำยุ” ตำมพระรำชบัญญัติผู้สูงอำยุฉบับ ปัจจุบัน พ.ศ. 2546 ในปี พ.ศ. 2550 ประเทศไทย มีประชำกรสูงอำยุ 60 ปีขึนไป คิดเป็นร้อยละ 10.7 และจำกกำร มองภำพประชำกรพบว่ำ สัดส่วนของประชำกรสูงอำยุจะเพิ่มขึนอย่ำงต่อเนื่อง เป็นร้อยละ 13.2 ในปี 2553 เพิ่มเป็น ร้อยละ 20.5 ในปี 2565 และ ร้อยละ 32.1 ในปี 2583 (นงพิมล นิมิตอำนันท์, 2557) กำรรักษำผู้ป่วยโรคข้อเข่ำ เสื่อมอักเสบประกอบด้วยกำรรักษำทำงยำ กำรรักษำทำงเวชศำสตร์ฟื้นฟูและกำรผ่ำตัด กำรักษำผู้ป่วยโรคข้อเข่ำ อักเสบยังเป็นกำรรักษำตำมอำกำรเพื่อบรรเทำอำกำรปวด กำรคงไว้ซึ่งกำรเคลื่อนไหวของข้อเข่ำเพื่อป้องกันกำร ทำลำยกระดูกข้อเพิ่มมำกขึนและกำรคงไว้ซึ่งคุณภำพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย ในปัจจุบันจึงมีควำมพยำยำมที่จะแสวงหำ และพัฒนำระบบกำรบริกำรเพื่อตอบสนองต่อเป้ำหมำยดังกล่ำว ได้แก่กำรรักษำโดยใช้ย ำแผนปัจจุบันเพื่อควบคุม อำกำรปวดที่เกิดขึน และในกำรรักษำหลำกหลำยวิธีนัน วิธีที่นิยมใช้กันมำกที่สุดคือ กำรใช้ยำแผนปัจจุบันและวิธี กำยภำพบำบัด แต่ก็พบว่ำกำรใช้ยำแผนปัจจุบันนันแม้จะได้ผลดี แต่มักมีอำกำรข้ำงเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ได้แก่ กำร ติดยำแก้ปวด มีฤทธิ์ร ะคำยเคืองกระเพำะ และอำกำรข้ำงเคียงจำกกำรกินยำต้ำนกำรอักเสบ ทังนี กำรแพทย์ ทำงเลือกด้วยภูมิปัญญำท้องถิ่น อำทิ กำรพอกด้วยสมุนไพร อำจเป็นอีกทำงเลือกหนึ่งที่ช่วยบรรเทำอำกำรปวดเข่ำ และหลีกเลี่ยงผลข้ำงเคียงจำกกำรกินยำแผนปัจจุบันได้ (ทัศนีย์ สุลำนำจ, 2559) ผู้วิจั ย ได้มีโ อกำสศึก ษำกำรพอก สมุนไพรในงำนวิจัยเรื่อง“ควำมเจ็บป่วยกับกำรดูแลสุขภำพแนวเศรษฐกิจพอเพียงฯ” ของ ดร.ใจเพชร กล้ำจน ได้ กล่ำวถึง กำรพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็น เป็นยำเม็ดที่ 5 ซึ่งเป็น 1 ใน ยำ 9 เม็ดของแพทย์วิถีธรรมที่มีประสิทธิภำพสูง มำกในกำรใช้พืชมุนไพรฤทธิ์เย็นมำแก้ปัญหำสุขภำพ (ใจเพชร กล้ำจน, 2553) ด้วยเหตุนี ผู้วิจัยจึงมีควำมสนใจใน วิธีกำรและผลของกำรใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นพอกเข่ำว่ำสำมำรถลดหรือบรรเทำอำกำรปวดเข่ำในผู้สูงอำยุได้มำกน้อย เพียงใด ประกอบกับข้อมูลเบืองต้นของโรงพยำบำลอำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร พบว่ำ ประชำกรผู้สูงอำยุใน ตำบลดอนตำล จำนวน 353 คน โดยผ่ำนกำรคัดกรองจำกทำงโรงพยำบำลดอนตำลจำนวน 255 คน มีควำมปกติ ของข้อเข่ำ 188 คน และมีควำมผิดปกติของข้อเข่ำ 71 คนคิดเป็นร้อยละ 27.41 ซึ่งเป็นค่ำตัวเลขที่สอดคล้องกับ

98


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตัวเลขสถิติที่อ้ำงถึงโรคข้อเข่ำเสื่อมในผู้สูงอำยุในประเทศไทย ที่พบว่ำมีสถิติสูงถึงร้อยละ 23.67 (วิโรจน์ กวินวงศ์ โกวิท และคณะ, 2559). ด้วยเหตุนี ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษำผลของกำรพอกสมุนไพรต่ออำกำรปวดเข่ำของผู้สูงอำยุในเขตเทศบำล ตำบลดอนตำล อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร เพื่อเป็นแนวทำงประกอบกำรตัดสินใจในกำรเลือกวิธีรักษำหรือ บรรเทำอำกำรปวดเข่ำของผู้สูงอำยุต่อไป วัตถุประสงค์ของกำรวิจยั เพื่อศึกษำผลของกำรพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็นต่ออำกำรปวดเข่ำของผูส้ ูงอำยุในเขตเทศบำลตำบลดอนตำล อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร นิยำมศัพท์เฉพำะ ผู้สูงอำยุ หมำยถึง ผู้ที่มีอำยุตังแต่ 60-85 ปี ที่ได้รับกำรวินิจฉัยจำกแพทย์ว่ำมีอำกำรปวดเข่ำจำกข้อเข่ำเสื่อม รวมทังผู้ที่มีอำกำรปวดเข่ำธรรมดำทั่วไป อำกำรปวดเข่ำ หมำยถึง ควำมรูส้ ึกไม่สบำยบริเวณเข่ำข้ำงใดข้ำงหนึ่งหรือบริเวณเข่ำทังสองข้ำงของผู้สูงอำยุ ที่ไม่ใช่อำกำรรุนแรง สมุนไพรฤทธิ์เย็น หมำยถึง ผลผลิตที่ได้จำกธรรมชำติ ทังจำกพืช สัตว์ และ แร่ธำตุ ที่มีฤทธิ์เย็นสำมำรถ นำมำใช้เป็นยำรักษำโรคหรือบำรุงร่ำงกำย ซึ่งยังไม่ได้ผสม ปรุง หรือเปลี่ยนสภำพ สมุนไพรฤทธิ์เย็นทีน่ ำมำใช้ใน กำรศึกษำครังนีมี 6 ชนิด ได้แก่ 1) ย่ำนำง 2) เบญจรงค์ 3) ว่ำนกำบหอย 4) ต้นกล้วย 5) ผงถ่ำน 6) ดินสอพอง กำรพอกสมุนไพร หมำยถึง กำรนำสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นหรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดปวด มำตำรวมกันให้ ละเอียดแล้วนำมำพอกตำมข้อต่อหรือหัวเข่ำ ประมำณ 30-60 นำที วิธีดำเนินกำรวิจัย รูปแบบกำรวิจัย กำรศึกษำครังนี เป็นกำรวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Research) แบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนและหลัง (Pre test – Post test) เก็บข้อมูล สัปดำห์ละ 3 ครังเป็นเวลำ4 สัปดำห์รวมเป็นกำรทดลอง 12 ครัง 1) กลุ่มตัวอย่ำง O1 X O2 โดยกำหนดให้ O1 หมำยถึง กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ก่อนกำรทดลอง O2 หมำยถึง กำรเก็บรวบรวมข้อมูล หลังกำรทดลอง X หมำยถึง กำรพอกด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น (ครังที่ 1-12 แทนด้วย X1 - X12)

99


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2) แผนกำรทดลอง X1

X 2 X3

X4

X5 X6

X7

X8 X9 X10

X11 X12

กลุ่มตัวอย่ำง O1 O2 สัปดำห์ที่ 1 2 3 4 ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกร คือ กลุ่ม ผู้สูงอำยุในเขตเทศบำลตำบลดอนตำล อำเภอดอนตำล จังหวัดมุก ดำหำร จำนวน 120 คน กลุ่มตัวอย่ำง คือ กลุ่มผู้สูงอำยุ ที่มีอำกำรปวดเข่ำ อำยุตังแต่ 60-79 ปี ไม่จำกัดเพศ มีอำกำรปวด เข่ำและข้อฝืดขัดเรือรังระยะเวลำตังแต่ 3 เดือนขึนไป ไม่มีโรคประจำตัวรุนแรง และไม่ได้รับกำรรักษำด้วยวิธีอื่นมำ ก่อนเป็นระยะเวลำ 7 วัน เป็นผู้ที่ได้รับกำรประเมินระดับควำมรุนแรงของอำกำรปวดเข่ำก่อนกำรเข้ำร่วมงำนวิจัย และยินยอมเข้ำร่วมงำนวิจัย จำนวน 30 คน โดยกำรเลือกแบบเจำะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย ได้แก่ แบบสอบถำมข้อมูลส่วนบุคคล , แบบประเมินระดับควำมรุนแรง ของอำกำรปวดเข่ำ Oxford Knee Score, และแบบสอบถำม Modified WOMAC (ผัสชำ สมผุด, 2557) แสดงถึง กำรรับรู้ของอำกำรปวด และส่งให้คณะกรรมกำรพิจำรณำจริยธรรมเพื่อตรวจสอบและได้ผ่ำนกำรรับรองจำก คณะกรรมกำรจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์ของมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ เลขที่ HE-SRRU 2-0012 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยประชุมเตรียมควำมพร้อมและนัดหมำยเพื่อทำควำมเข้ำใจรำยละเอียดและแผนงำน ตลอดจน วิธีกำรปฏิบัติและกำรบันทึกผลกำรวิจัยให้เข้ำใจถูกต้องตรงกันกับเจ้ำหน้ำที่ผู้มสี ่วนเกี่ยวข้องกำรปฏิบตั ิกิจกรรมของ วิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง 1. จัดเตรียมเครื่องมือวัสดุอุปกรณ์ และสถำนที่ในกำรใช้ทำกิจกรรมเก็บข้อมูลกำรวิจยั 1.1. ผู้วิจัยเตรียมวัสดุอุปกรณ์ และจัดหำสมุนไพร 1.1.1 วำงแผนกำรดำเนินงำนให้เป็นไปได้ตำมแผนที่วำงไว้และหำแนวทำงแก้ไข 1.1.2 สรุปผลกำรปฏิบตั ิงำนทุกๆครัง 2. ผู้วิจัยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่ำง และนัดหมำยเพื่อชีแจงวัตถุประสงค์ขันตอนกำดำเนินงำน 3. เก็บข้อมูลก่อนกำรทดลอง (Pre-test) 1 ครัง โดยใช้แบบสอบถำมข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมิน ข้อมูล และกำรพิทักษ์สิทธิ์อำสำสมัครในโครงกำรวิจัยอำกำรของโรคข้อเข่ำเสื่อม และแบบวัดระดับอำกำรปวดเข่ำ 4. ดำเนินกำรทดลองโดยผู้วจิ ัยจัดกิจกรรมกำรพอกสมุนไพรให้กับกลุ่มตัวอย่ำง 3 ครังต่อสัปดำห์ รวม เวลำทังหมด 4 สัปดำห์ ซึ่งใช้อำคำรของวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำไทกะเลิง อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำรเป็นสถำนที่จดั กิจกรรม 5. เก็บรวบรวมข้อมูลหลังกำรทดลอง (Post-test) แต่ละสัปดำห์ สัปดำห์ละ 1 ครัง รวมเวลำทังสิน 4 ครัง (4 สัปดำห์)

100


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำรวิเครำะห์ข้อมูล สถิติเชิงพรรณนำ (Descriptive Statistics) ในกำรอธิบำยลักษณะส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่ำง ได้แก่ ร้อยละ (Percentage) ค่ำเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (Standard Deviation) ค่ำต่ำสุด (Minimum) และค่ำสูงสุด (Maximum) สถิติเชิงอนุมำน (Inferential Statistics) เพื่อทดสอบสมมติฐำนของงำนวิจัยคือ เปรียบเทียบควำม แตกต่ำงคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังกำรทดลองด้วยสถิติ Paired Sample t-test ผลกำรวิจัย ตำรำงที่ 1 แสดงจำนวน ร้อยละ ของข้อมูลส่วนบุคคลผูส้ ูงอำยุที่มีอำกำรปวดเข่ำในเขตเทศบำลตำบลดอนตำล อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร (n = 30) ข้อมูลส่วนบุคคล

จำนวน(คน)

ร้อยละ

2 28

6.67 93.33

20 10

66.67 33.34

40-50 กิโลกรัม

6

20

51-60 กิโลกรัม

9

30

61-70 กิโลกรัม

10

33.3

71-80 กิโลกรัม

4

13.3

81-90 กิโลกรัม

1

33

ประถมศึกษำ

24

80

มัธยมศึกษำ

1

3.33

อนุปริญญำ/ปวส.

1

3.33

ปริญญำตรี

2

6.67

สูงกว่ำปริญญำตรี

2

6.67

เพศ ชำย หญิง อำยุ (ปี) 60-69 ปี 70-79 ปี น้ำหนัก (กิโลกรัม)

ระดับกำรศึกษำ

101


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 1 (ต่อ) ข้อมูลส่วนบุคคล

จำนวน(คน)

ร้อยละ

รับรำชกำร

2

6.67

กสิกรรม

20

66.67

ค้ำขำย

1

3.33

เอกชน

1

3.33

0.2 - 0.6 ปี

5

16.67

1-5 ปี

13

43.33

6-9 ปี

1

3.33

10 ปี

6

20

20 ปี

1

3.33

30 ปี

1

3.33

อำชีพ

ระยะเวลำทีม่ ีอำกำรปวดเข่ำ

จำกตำรำงที่ 1 พบว่ำ ผู้สูงอำยุส่วนใหญ่เพศหญิงจำนวน 28 คน คิดเป็นจำนวนร้อยละ 93.33 และเพศ ชำยจำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 6.67 อำยุส่วนใหญ่อยู่ในวัยผู้สูงอำยุตอนต้น (60-69 ปี) จำนวน20 คน คิดเป็นร้อย ละ 66.67 คิดเป็นร้อยละ 33.34 ส่วนใหญ่มีนำหนักอยู่ในช่วง 61-70 กิโลกรัม จำนวน 10คน คิดเป็นร้อยละ 33.3 ส่วนใหญ่สำเร็จกำรศึกษำระดับประถมศึกษำ จำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 80 ส่วนใหญ่ประกอบอำชีพกสิกรรม จำนวน 20 คนคิดเป็นร้อยละ 66.67 ระยะเวลำที่มีอำกำรปวดเข่ำส่วนใหญ่มีอำกำรปวดเข่ำมำเป็นเวลำ 1-5 ปี จำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 43.33 ตำรำงที่ 2 แสดงจำนวน ร้อยละ ของระดับควำมรุนแรงของโรคข้อเข่ำเสื่อม (n = 30) คะแนน กลุ่ม 1(0-19) กลุ่ม 2(20-29) กลุ่ม 3(30-39) กลุ่ม 4(40-48)

ระดับควำมรุนแรงของอำกำรปวดเข่ำ (Oxford Knee Score) กำรแปลผล จำนวนคน มีอำกำรปวดเข่ำระดับรุนแรง 5 มีอำกำรโรคข้อเข่ำเสื่อมระดับปำนกลำง 10 เริ่มมีอำกำรข้อเข่ำเสื่อม ควรได้รับคำแนะนำจำกศัลยแพทย์กระดูก 8 และข้อเรื่องกำรออกกำลังกำยอย่ำงเหมำะสม ยังไม่พบอำกำรผิดปกติ ควรตรวจร่ำงกำยเป็นประจำทุกปี 7

ร้อยละ 14.46 34.43 27.80 23.41

จำกตำรำงที่ 2 จำแนกระดับควำมรุนแรงของอำกำรปวดเข่ำโดยกำรใช้แบบสอบถำมกำรวัดระดับควำม รุนแรงของอำกำรปวดเข่ำ (Oxford Knee Score) พบว่ำ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับคะแนน 20-29 คะแนน มีระดับ อำกำรปวดเข่ำระดับปำนกลำงจำนวน 10 คนคิดเป็นร้อยละ 34.43 รองลงมำอยู่ในระดับคะแนน 30-39 คะแนน เริ่มมีอำกำรปวดเข่ำควรได้รับคำแนะนำจำกศัลยแพทย์กระดูกและข้อเรื่องกำรออกกำลังกำยอย่ำงเหมำะสมจำนวน 8 คนคิดเป็นร้อยละ 27.80

102


SRRU NCR2018

การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ตำรำงที่ 3 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของอำกำรปวดเข่ำ ก่อนและหลังพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็น (n = 30) คะแนนเฉลี่ยของอำกำรปวดเข่ำ อำกำรปวด ข้อเข่ำ ขณะเดินบนพืนรำบ ขณะเดินขึนบันได ขณะเดินลงบันได ขณะนอนบนเตียง ตอนกลำงคืน ขณะลุกนั่ง ขณะยืนลงนำหนัก ค่ำเฉลี่ยโดยรวม

ก่อนกำรทดลอง

หลังกำรทดลอง

Mean difference

ค่ำเฉลี่ย( X )

S.D.

ค่ำเฉลี่ย ( X )

S.D.

4.43 5.53 5.00

1.85 1.83 1.78

1.86 2.70 2.60

0.77 1.14 1.19

(d ) 2.57 2.83 1.70

3.33 5.33 4.50 4.69

2.02 1.66 1.97 0.79

1.63 2.83 1.96 2.27

0.66 1.14 0.85 0.50

2.40 2.50 2.54 4.09

t

p-value

7.110 8.435 7.107

<0.001 <0.001 <0.001

4.359 6.480 6.780 15.524

<0.001 <0.001 <0.001 <0.001

จำกตำรำงที่ 3 พบว่ำ ผลกำรเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของอำกำรปวดเข่ำขณะเดินบนพืนรำบ ขณะเดิน ขึนบันได, ขณะเดินลงบันได, ขณะนอนบนเตียงตอนกลำงคืน, ขณะลุกนั่ง, ขณะยืนลงนำหนัก ก่อนและหลังกำรพอก สมุนไพรฤทธิ์เย็น มีควำมแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value < 0.001) ตำรำงที่ 4 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของอำกำรข้อเข่ำฝืด ก่อนและหลังพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็น (n = 30) คะแนนเฉลี่ยของอำกำรข้อเข่ำฝืด อำกำรข้อเข่ำฝืด

1. ขณะตื่นนอน ตอนเช้ำ 2. ขณะเปลี่ยนอิริยำบถ หลังจำกอยู่ ในอิริยำบถเดิมนำนๆ ค่ำเฉลี่ยโดยรวม

ก่อนกำรทดลอง ค่ำเฉลี่ย

หลังกำรทดลอง

Mean difference

t

p-value

S.D.

ค่ำเฉลี่ย

S.D.

(X ) 4.23

1.71

(X ) 2.53

1.10

1.70

-2.660

0.013

5.33

1.93

3.16

1.17

2.17

4.289

<0.001

4.78

1.82

2.85

1.14

1.94

4.509

<0.001

(d )

จำกตำรำงที่ 4 พบว่ำ คะแนนเฉลี่ยของอำกำรข้อเข่ำฝืด ขณะตื่นนอนตอนเช้ำ และขณะเปลี่ยนอิริยำบถ หลังจำกอยู่ในอิริยำบถเดิมนำนๆ ก่อนและหลังกำรพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็น มีควำมแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำง สถิติที่ระดับ 0.05 (p-value < 0.001)

103


SRRU NCR2018

การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ตำรำงที่ 5 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของกำรเคลื่อนไหวข้อเข่ำ ก่อนและหลังกำรพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็น (n=30)

กำรเคลื่อนไหวข้อเข่ำ ขณะเดินลงบันได ขณะเดินขึนบันได ขณะเดินลงบันได ขณะลุกยืนจำกท่ำนั่ง ขณะยืน ขณะก้มตัว ขณะเดินบนพืนรำบ ขณะเดินขึน-ลงรถ ขณะใส่รองเท้ำหรือถุงเท้ำ ขณะถอดรองเท้ำหรือถุงเท้ำ ขณะนอนบนเตียง ขณะลุกจำกเตียง ขณะนั่ง ขณะลุกเข้ำ-ออกจำกห้อง ส้วม ทำงำนบ้ำนเบำๆเช่น กวำด บ้ำนเช็ดถูทำควำมสะอำด ทำงำนบ้ำนหนัก ๆ เช่น กำร ตัดหญ้ำ หรือเคลื่อนย้ำย สิ่งของหนักในบ้ำน ค่ำเฉลี่ยโดยรวม

คะแนนเฉลี่ยของกำรเคลื่อนไหวข้อเข่ำ ก่อนกำรทดลอง หลังกำรทดลอง ค่ำเฉลี่ย( S.D. ค่ำเฉลี่ย( S.D. X) 4.76 5.50 4.76 5.53 4.46 3.86 3.80 5.46 3.60 3.40 3.10 4.10 4.13 4.80

Mean difference

t

p-value

0.94 0.94 0.94 1.19 1.15 0.47 0.63 1.45 1.00 1.00 0.91 1.27 1.18 1.04

(d ) 2.03 2.67 2.03 2.40 1.80 2.20 1.87 2.33 1.17 0,97 0.94 1.60 2.10 2.34

5.323 8.548 5.323 6.180 4.791 6.056 6.027 6.602 2.808 2.436 2.603 3.764 4.797 5.803

<0.001 <0.001 <0.001 <0.001 <0.001 <0.001 <0.001 <0.001 0.009 0.021 0.014 <0.001 <0.001 <0.001

3.00

1.25

1.30

3.755

<0.001

1.35

4.86

1.10

1.27

4.289

<0.001

0.89

2.67

0.75

1.80

12.406

0.004

1.92 1.61 1.92 1.67 1.54 1.88 1.68 1.45 2.07 1.97 1.86 1.80 1.90 1.97

X) 2.73 2.83 2.73 3.13 2. 66 1.66 1.93 3.13 2.43 2.43 2.16 2.50 2.03 2.46

4.30

1.18

6.13

4.46

จำกตำรำงที่ 5 พบว่ำ คะแนนเฉลี่ยของกำรเคลื่อนไหวข้อเข่ำขณะเดินลงได ขณะเดินขึนบันได ขณะลุก ยืนจำกท่ำนั่ง ขณะยืน ขณะก้มตัว ขณะเดินบนพืนรำบขณะเดินขึน-ลงรถ ขณะใส่รองเท้ำหรือถุงเท้ำ ขณะถอด รองเท้ำหรือถุงเท้ำ ขณะนอนบนเตียง ขณะลุกจำกเตียงขณะนั่ง ขณะลุกเข้ำ-ออกจำกห้องส้วมทำงำนบ้ำนเบำ ๆ เช่น กวำดบ้ำน เช็ดถูทำควำมสะอำด และทำงำนบ้ำนหนัก ๆ เช่น กำรตัดหญ้ำหรือเคลื่อนย้ำยสิ่งของหนักในบ้ำน ก่อนและหลังกำรพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็น มีควำมแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 (p<0.001) สรุปผลกำรวิจัย กำรพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็น สำมำรถบรรเทำระดับอำกำรเจ็บปวดข้อเข่ำ ระดับอำกำรติดแข็งหรือข้อเข่ำ ฝืด และเพิ่มระดับควำมสำมำรถในกำรทำหน้ำที่กำรเคลื่อนไหวข้อเข่ำของกลุ่มตัวอย่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ ระดับ 0.05 (p<0.001)

104


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วิจำรณ์ผลกำรวิจัย ผลกำรศึ กษำครังนี พบว่ ำ กำรพอกสมุน ไพรฤทธิ์ เ ย็น ทำให้ สำมำรถลดอำกำรเจ็ บ ปวดข้ อเข่ำ ได้ ใ น อิริยำบทต่ำง ๆ ตำมที่ได้กล่ำวข้ำงต้น แสดงให้เห็นว่ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นเมื่อนำมำพอกข้อเข่ำสำมำรถลดอำกำร เจ็บปวดข้อเข่ำได้ สอดคล้องกับงำนวิจัยของ วนิดำ สระแก้ว, สุภำภรณ์ กุมรัมย์และอำรีรัตน์ ใจซื่อ .(2560) ศึกษำ เปรียบเทียบกำรพอกด้วยตำรับยำพอกเข่ำติดต่อกันทุกวัน 3 ครัง กับกำรพอกวันเว้นวันครบ 3 ครัง โดยกำรเก็บ รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถำม Oxford knee score แบบประเมิน Modified WOMAC และเครื่องมือวัดมุม มี สมุนไพรในตำรับมีดังนี ตำลึง พริกไทยดำ ไพล รำงจืด โหระพำ และหญ้ำแพรก ทังหมดนำมำตำกแห้ง อบและบด เป็นผงและแช่ในแอลกอฮอร์ 70 %เป็นวลำ24 ชั่วโมง จึงนำมำพอกที่เข่ำ พบว่ำอำกำรปวดเข่ำของกลุ่มกำรทดลอง ทัง 2 กลุ่มๆละ 10 คนก่อนและหลังกำรทดลองมีควำมแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจำกนี ยัง สอดคล้องกับ ทวีศักดิ์ มำกละมำย และสุวภัทร บุญเรือน. 2559) ศึกษำกำรเปรียบเทียบ 2 กลุ่ม ๆ ละ30 คน คัดเลือกแบบเจำะจงโดยกลุ่มทดลองนำข้ำวสำรที่แช่นำผักเสียนผีและไพลมำปั่นหรือตำให้ละเอียดนำมำผสมกับปูน แดงและนำซำวข้ำวเล็กน้อยนำมำพอกไว้บริเวณข้อเข่ำของกลุ่มตัวอย่ำง พอกไว้เป็นเวลำครังละ 30 นำทีและทำกำร นวดรักษำแบบรำชสำนักร่วมกับพอก 3 ครังต่อ 1 สัปดำห์รวม 2 สัปดำห์วันเว้นวัน 6 ครังพบว่ำผลของกำรนวด รักษำแบบรำชสำนั กร่วมกับกำรพอกเข่ำในผู้ป่วยโรคจับ โปงนำเข่ำมีค่ำเฉลี่ยของอำกำรปวดเข่ำและองศำกำร เคลื่อนไหวของข้อเข่ำในผู้ป่วยก่อนกำรทดลองครังที่ 1 กับหลังกำรทดลองครังที่ 6 ของทังกลุ่มควบคุมและกลุ่ม ทดลองแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 และค่ำเฉลี่ยของอำกำรปวดเข่ำและองศำกำรเคลื่อนไหว ของข้อเข่ำของผู้ป่วยหลังกำรทดลองครังที่ 6 ระหว่ำงกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลองแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำง สถิติที่ระดับ 0.05 โดยผู้ป่วยมีอำกำรปวดเข่ำลดลงและองศำกำรเคลื่อนไหวของข้อเข่ำเพิ่มขึน กำรบรรเทำลงของอำกำรปวดเข่ำโดยกำรพอกด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น อภิปรำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม โดยอ้ำงทฤษฎีกำรเคลื่อนเข้ำหำกันของพลังงำนร้อนและเย็นเพื่อปรับสมดุล คือ ควำมเป็นกลำง เมื่อนำสมุนไพรฤทธิ์ เย็นที่ผสมแล้วมำวำงแนบสัมผัสกับผิวหนังบริเวณที่กำลังปวดบวมอักเสบอยู่ซึ่งพืนที่ส่วนนันจะมีควำมร้อนรุมอยู่ จึง เกิดกำรเคลื่อนของพลังงำนควำมร้อนและควำมเย็นเคลื่อนเข้ำหำกัน ควำมร้อนในร่ำงกำยเคลื่อนออกมำสู่ควำมเย็น จำกสมุนไพรที่รองรับอยู่ ฤทธิ์เย็นที่มีฤทธิ์มำกจำกสมุนไพรสำมำรถเคลื่อนเข้ำไปแทนที่ควำมร้อนที่ในหัวเข่ำได้ จึงทำ ให้อำกำรปวดบวมแดงร้อนในส่วนนันลดลงได้ในทันที นี่คือกำรซับพิษออกจำกร่ำงกำยที่ได้ผลดีมีประสิทธิภำพสูงอีก ประกำรหนึ่ง (ใจเพชร กล้ำจน, ออนไลน์) โดยสรุป กำรพอกเข่ำด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็นสำมำรถเป็นอีกทำงเลือกหนึ่ง ในกำรบำบัดและบรรเทำอำกำรปวดเข่ำในผู้สูงอำยุได้ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในกำรนำวิจัยไปใช้ 1. ควรมีกลุม่ เปรียบเทียบควบคู่กับกลุ่มทดลอง เพื่อแสดงผลกำรศึกษำที่ชัดเจนมำกขึน 2. ขยำยช่วงอำยุของกลุ่มตัวอย่ำงให้กว้ำงขึนตำมลักษณะของกำรเริ่มจะมีอำกำรปวดเข่ำตังแต่เกณฑ์ อำยุ 40 ปีขึนไป เพื่อศึกษำผลของกำรบำบัดได้ยำกง่ำยเมือ่ เริ่มรักษำอำกำรตังแต่เริม่ ปวดไปจนถึงอำกำรปวดเข่ำเป็น เวลำนำนเรือรัง ว่ำจะใช้เวลำแตกต่ำงมำกน้อยเพียงใด ข้อเสนอแนะในกำรทำวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรศึกษำถึงสรรพคุณของสมุนไพรฤทธิ์เย็นชนิดอื่นๆ ร่วมด้วย รวมไปถึงกำรปรับปรุงสู ตรในกำร ผสม เพื่อนำไปสู่กำรพัฒนำตำรับยำสมุนไพรพอกเข่ำที่มีประสิทธิภำพดี

105


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2. ควรเพิ่มระยะเวลำในกำรทดลองให้นำนขึนและมีกำรติดตำมผลหลังสินสุดกำรทดลอง กิตติกรรมประกำศ กรำบขอบพระคุ ณ อ.ดร.สุธี ร ำ อิ น ทเจริ ญ ศำนต์ ประธำนกรรมกำรที่ ป รึ ก ษำวิ ท ยำนิ พ นธ์ และ อ.ดร.อรรณพ นับถือตรง กรรมกำรที่ปรึกษำวิทยำนิพนธ์ร่วม ที่ให้คำแนะนำเพื่อให้บทควำมวิจัยครังนีสำเร็จลุล่วง และมีควำมสมบูรณ์มำกขึน เอกสำรอ้ำงอิง ใจเพชร กล้ำจน. (2553). ควำมเจ็บป่วยกับกำรดูแลสุขภำพแนวเศรษฐกิจพอเพียงตำมหลักแพทย์ทำงเลือกวิถี พุทธของศูนย์เรียนรู้สุขภำพพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียงสวนป่ำนำบุญ อำเภอดอนตำล จังหวัด มุกดำหำร. ปริญญำศิลปศำสตร์มหำบัณฑิต สำขำวิชำพัฒนบูรณำกำรศำสตร์ คณะบริหำรศำสตร์ มหำวิทยำลัยอุบลรำชธำนี ใจเพชร กล้ำจน. (2558). “ย่ำนำง สมุนไพรมหัศจรรย์” [ออนไลน์] http://www.rspg.or.th/plants_ data/herbs/herbs _09_13.htm สืบค้น 28 กรกฎำคม 2560. ทัศนีย์ สุลำนำจ. (2559). “ลดอำกำรปวดเข่ำด้วยสมุนไพรพอกเข่ำ.” รำยงำนกำรวิจัย สืบค้น 19 มกรำคม 2561 ทวีศักดิ์ มำกละมำย และ สุวภัทร บุญเรือน. (2559). ผลของกำรนวดรักษำแบบรำชสำนักร่วมกับกำรพอกเข่ำใน ผู้ป่วยโรคจับโปงน้ำเข่ำโรงพยำบำลสมเด็จพระยุพรำชสำยบุรี อำเภอสำยบุรี จังหวัดปัตตำนี กำร ประชุมวิชำกำรระดับชำติ “แพทยแแผนไทยภูมิปัญญำของแผ่นดิน” 29-30 สิงหำคม นงพิมล นิมิตอำนันท์. (2557). “สถำนกำรณ์ทำงระบำดวิทยำและกำรประเมินควำมเสีย่ งโรคข้อเข่ำเสือ่ มในคน ไทย.” วำรสำรพยำบำลทหำรบก. 15(3) Volume No.3 (15) : 185-194 ผัสชำ สมผุด และคณะ. (2557). “ผลของกำรพอกเข่ำด้วยตำรับยำพอกต่ออำกำรปวดเข่ำในผู้ป่วยโรคจับโปงนำ เข่ำ โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลบ้ำนหนองหลุมพอ อำเภออ่ำวลึก จังหวัดกระบี่.” เอกสำรสืบ เนื่องจำกกำรประชุมวิชำกำรและนำเสนอผลงำนวิจัยระดับชำติ 2558 “กำรวิจัยรับใช้ชุมชนสร้ำงสังคม ฐำนควำมรู้” : 889 – 898 พระรำชบัญญัติ ผู้สูงอำยุ พ.ศ. 2546. [ออนไลน์] เข้ำถึงข้อมูลได้จำก http://www.dla.go.th/upload/ regulation/type1/2554/2/488_1.pdf สืบค้น 9 กรกฎำคม 2560. วนิดำ สระแก้ว,สุภำภรณ์ กุมรัมย์และอำรีรัตน์ ใจซื่อ. (2560). ผลของตำรับยำพอกเข่ำต่อในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม. วิทยำนิพนธ์กำรแพทย์แผนไทยบัณฑิต สำขำวิชำกำรแพทย์แผนไทย ภำควิชำวิทยำศำสตร์พืนฐำน คณะวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์. วิโรจน์ กวินวงศ์โกวิท และคณะ. “ โรคข้อเข่ำเสื่อมเป็นปัญหำสำธำรณสุขที่สำคัญ.” หนังสือคู่มือโรคข้อเข่ำเสื่อม เป็นปัญหำสำธำรณสุขที่สำคัญ. 1-28)

106


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-11 ผลของโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมต่อควำมอ่อนตัวของประชำชนวัยทำงำน

EFFECTS OF EXERCISE PROGRAM WITH BUDDHIST MEDICINE ON FLEXIBILITY OF WORKING AGE PEOPLE แพรลำยไม้ กล้ำจน1, อรรณพ นับถือตรง2 และ ภัทรพล ทองนำ 3 1

นักศึกษาหลักสูตรวิทยาศษสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์ ภาควิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 3 อาจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2

บทคัดย่อ กำรวิจัยครังนี มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมที่ มีผลต่อควำมอ่อนตัวของประชำชนวัยทำงำน กำรวิจัยครังนี เป็นกำรวิจัยเชิงทดลองเบืองต้น (Pre-experimental research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อน-หลังกำรทดลอง (One-group pretest-posttest design) กลุ่มตัวอย่ำง เป็น ประชำชนวัยทำงำนที่ผ่ำนค่ำยศูนย์เรียนรู้สุขภำพพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่ำนำบุญ 1 อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร มีอำยุระหว่ำง 20-59 ปี จำนวน 30 คน ซึ่งได้มำจำกเกณฑ์คัดเข้ำและเกณฑ์คัดออกที่ผู้วิจัย กำหนดขึน กลุ่มตัวอย่ำงทำกำรทดสอบควำมอ่อนตัว ก่อนและหลังเข้ำร่วมโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำร แพทย์วิถีธรรม เป็นเวลำ 8 สัปดำห์ ๆ วันละ 3 วัน ๆ ละ 90 นำที สถิติที่ใช้ในกำรวิจัย ได้แก่ ค่ำเฉลี่ย และส่วน เบี่ยงเบนมำตรฐำน ทำกำรวิเครำะห์ ควำมแปรปรวนแบบวัดซำชนิดมิติเดียว (One way ANOVA with repeated measure) และทดสอบควำมแตกต่ำงรำยคู่โดยวิธีของบอนเฟอโรนี (Bonferroni) กำหนดควำมมีนัยสำคัญทำงสถิติ ที่ระดับ .05 ผลกำรวิจัย พบว่ ำ ก่ อนและหลั งกำรทดลอง ประชำชนวัย ทำงำนมีค ะแนนเฉลี่ย ของควำมอ่อ นตั ว แตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 สรุปผลกำรวิจัยได้ว่ำ โปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์ วิถีธรรมสำมำรถส่งผลให้ควำมอ่อนตัวของประชำชนวัยทำงำนดีขึน ซึ่งเหมำะสมกับกำรนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้กำรเคลื่อนไหวของร่ำงกำยในกำรประกอบกิจกรรมต่ำง ๆ ดีขึน และสำมำรถช่วยป้องกันกำรบำดเจ็บที่ อำจจะเกิดขึนได้อีกด้วย คำสำคัญ : ออกก้าลังกาย, ความอ่อนตัว, แพทย์วิถีธรรม, วัยท้างาน Abstract The purpose of this study was to examine effects of Buddhist medicine exercise program on flexibility of working aged people. This study employed pre-experimental research and a one-group pretest-posttest design. Thirty working aged people who had previously participated in a health camp at the Center for Healing according to the principles of sufficient economy in Suanpanaboon 1, Dontan district, Mukdahan province and were ages between 20-59

107


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

years old selected based on the inclusion and exclusion criteria specified by the researchers were included in the study. The were given flexibility test at pretest and posttest. The participants participated in a 90-minute Buddhist medicine exercise program, three days a week for eight weeks. The data were analyzed for mean, and standard deviation. A one-way ANOVA with repeated measures was used to determine the main effect with a priori alpha of .05, and Bonferoni adjustment was used to determine significant differences in pairwise comparisons. The results of study revealed that the pretest and posttest mean scores of flexibility were significant difference, p < .05. The conclusion was reached that Buddhist medicine exercise program has positive effects on flexibility of working aged people. It can be used in everyday life for improving body movements in activities and can help prevent injuries. Keywords : Exercise, Flexibility, Buddhist Medicine, Working Age บทนำ กรมสนับสนุนบริกำรสุขภำพ (สบส.) กระทรวงสำธำรณสุข เผยว่ำกลุ่มวัยทำงำนอำยุ 15-59 ปี ทั่วประเทศ ยังมีควำมเสี่ยงป่วยเป็นโรคเรือรัง เช่น เบำหวำน ควำมดันโลหิตสูง หัวใจ มะเร็ง (สำนักงำนกองทุนสนับสนุนกำร สร้ำงเสริมสุขภำพ. 2560) และจำกกำรสำรวจภำวะสุขภำพแรงงำนไทย ปี 2552 พบว่ำ กว่ำ 1 ใน 10 ของวัยแรงงำน ในระบบ เป็นโรคไม่ติดต่อเรือรัง และ 3 ลำดับที่พบสูงสุดคือ โรคหัวใจและหลอดเลือด ร้อยละ 32.4 รองลงมำคือ โรคเบำหวำน/ควำมผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ร้อยละ 21.1 และโรคระบบทำงเดินหำยใจเรือรังร้อยละ 18.7 (สำนักงำน สถิติแห่งชำติ. 2553 1 : 10) ปัญหำสุขภำพวัยทำงำนส่วนใหญ่เกิดจำกกำรทำงำนหนัก วิถีชีวิตเร่งรีบ ทำให้มี พฤติกรรมสุขภำพที่ไม่เหมำะสม ได้แก่ กำรรับประทำนอำหำร กำรเคลื่อนไหวร่ำงกำย (สำนักโรคไม่ติดต่อ กรม ควบคุมโรค กระทรวงสำธำรณสุข. 2558 : 1-5) สำนักงำนสถิติแห่งชำติได้สำรวจกำรออกกำลังกำยของประชำกรปี 2554 พบว่ำวัยทำงำน อำยุ 15-59 ปี มีกำรออกกำลังกำยเพียงร้อยละ 23.7 ซึ่งลดลงจำกปี 2550 ที่มีสถิติกำรออก กำลังกำยร้อยละ 25.9 ซึ่งถือว่ำน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอำยุอื่น ๆ (สำนักงำนสถิติแห่งชำติ. 2560) โดยกรมอนำมัย (2555 : 1) ได้กล่ำวว่ำ กำรออกกำลังกำยเป็นกำรเคลื่อนไหวร่ำงกำยเพื่อส่งเสริม สุขภำพให้แข็งแรง กำรออกกำลังกำยเป็นประจำจะทำให้กล้ำมเนือ กระดูก และข้อต่อต่ำง ๆ มีควำมแข็งแรง ยืดหยุ่น ทังยังช่วยป้องกันกำรเกิดโรคเรือรังต่ำง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบำหวำน โรคควำมดันโลหิตสูง โรคอ้วนและไขมันในเลือดสูง เป็นต้น ซึ่งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสุขภำพ เช่น World Health organization (WHO), Institute of Medicine (IOM), American College of Sports Medicine (ACSM), American Heart Association (AHA), American Diabetes Association (ADA) แนะนำให้ทุกคนควรออกกำลังกำยในระดับปำนกลำงอย่ำงน้อย 3-5 วันต่อ สัปดำห์เป็นเวลำ 30-60 นำทีต่อครัง เพื่อจะได้มีสุขภำพที่แข็งแรง ซึ่งตรงกับ ควำมตอนหนึ่ง ในพระรำชดำรัสของ รัชกำลที่ 9 ในพิธีเปิดกำรประชุมใหญ่สัมมนำเรื่องกำรออกกำลังกำยเพื่อสุขภำพ วันที่ 17 ธันวำคม 2523 “ร่ำงกำย ของเรำนัน ธรรมชำติสร้ำงมำสำหรับให้ ออกแรงใช้งำน มิใช่ให้อยู่เฉย ๆ ถ้ำใช้แรง ให้พอเหมำะ พอดีโดยสม่ำเสมอ ร่ำ งกำยก็ เ จริ ญ แข็ งแรง คล่ อ งแคล่ ว ดั งนั น ผู้ ที่ ป รกติ ท ำกำรงำนโดย ไม่ ได้ ใ ช้ ก ำลั ง หรื อ ใช้ก ำลั ง แต่ น้ อ ย จึ ง จำเป็นต้องหำเวลำออกกำลังกำย ให้พอเพียงกับควำมต้องกำรตำมธรรมชำติเสมอ ทุกวัน ” (พระบรมรำโชวำท พระ รำชดำรัส เกี่ยวกับกำรกีฬำ. 2560)

108


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กรมพลศึกษำ (2556 : 4-5) ได้กล่ำวว่ำ สุขสมรรถนะ หรือ สมรรถภำพทำงกำยที่สัมพันธ์กับสุขภำพ มี 5 ด้ำน คือ สัดส่วนของร่ำงกำย ควำมแข็งแรงของกล้ำมเนือ ควำมอดทนของกล้ำมเนือ ควำมอ่อนตัว ควำมอดทนของ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งควำมอ่อนตัวที่เป็นหนึ่งด้ำนของสุขสมรรถนะ ที่ถือได้ว่ำเป็นองค์ประกอบพืนฐำนที่สำคัญ ของบุคลทั่วไป ที่มีควำมสำมำรถของข้อต่อต่ำง ๆ ของร่ำงกำยที่สำมำรถเคลื่อนไหวได้โดยมีพิสัยกำรเคลื่อนไหวมำก ที่สุด โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรำยกับข้อต่อนัน ช่วยให้กำรเคลื่อนไหวร่ำงกำยในกำรประกอบภำรกิจหน้ำที่และกิจกรรม ต่ำง ๆ เช่น กำรก้มตัว ลุกขึน นั่งลง เดิน วิ่ง ฯลฯ เป็นไปได้ดีไม่ติดขัด ช่วยให้กำรเคลื่อนไหวสะดวก บุคคลใดก็ตำม ที่มีควำมยืดหยุ่นของข้อต่อหรือมีควำมอ่อนตัวน้อย จะทำให้กำรเคลื่อนไหวของร่ำงกำยขำดประสิทธิภำพ (กำรกีฬำ แห่งประเทศไทย. 2544 : 45) ในกลุ่มวัยทำงำนจะมุ่งเน้นกำรเสริมสร้ำงสมรรถภำพทำงกำย อำทิเช่น กำรออกกำลัง กำยในห้องฟิตเนส โยคะ เต้นแอโรบิค (อัจฉรำ ปุรำคม และคณะ. 2556 อ้ำงถึงใน วีระวัฒน์ แซ่จิว. 2559 : 32) โดยทำงสำนักกิจกำรในพระดำริพระเจ้ำหลำนเธอ พระองค์เจ้ำพัชรกิติยำภำ (2558 : 14 - 15) ได้กล่ำวถึง กำรแพทย์วิถีธรรม นำโดย ดร.ใจเพชร กล้ำจน หรือที่ชำวบ้ำนเรียกขำนว่ำ หมอเขียว และทีมจิตอำสำ ได้ดำเนิน กิจกรรมสร้ำงเสริมสุขภำพประชำชน โดยน้อมนำปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงบูรณำกำรกับพุทธธรรม และจุดดีของ กำรแพทย์ทุกแผน คือ กำรแพทย์แผนปัจจุบัน กำรแพทย์แผนไทย กำรแพทย์พืนบ้ำนและกำรแพทย์ทำงเลือก บูรณำ กำรเป็น “กำรแพทย์ทำงเลือกวิถีธรรม” และสำนักกำรแพทย์ทำงเลือก กรมพัฒนำแพทย์แผนไทย และกำรแพทย์ ทำงเลือก กระทรวงสำธำรณสุขได้อนุมัติหลักสูตร “กำรแพทย์ทำงเลือกวิถีธรรม เพื่อกำรพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจ พอเพียง” โดยแต่งตัง ดร.ใจเพชร กล้ำจน เป็นผู้เชี่ยวชำญด้ำนกำรแพทย์ทำงเลือกวิถี ธรรม ฯ ปัจจุบันดำเนิน กิจกรรมอบรมเผยแพร่ควำมรู้และทักษะปฏิบัติสร้ำงเสริมสุขภำพด้วยหลักกำรแพทย์ทำงเลือกวิถีธรรม ฯ โดยไม่คิด ค่ำใช้จ่ำยจำกผู้เข้ำอบรม ด้วยเทคนิค 9 ข้อ หรือยำ 9 เม็ด ทุกเดือน ซึ่งในปีท่องเที่ยววิถีไทย 2558 ทำงอำเภอดอน ตำล จังหวัดมุกดำหำร ได้แนะนำศูนย์เรียนรู้สุขภำพพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่ำนำบุญ ว่ำเป็นศูนย์ เรียนรู้ที่ถ่ำยทอดควำมรู้เรื่องกำรรักษำโรค โดยใช้พืชสมุนไพร เปิดให้ผู้สนใจเข้ำร่วมอบรมค่ำยแพทย์วิถีธรรม ซึ่งมี กำรสำธิตและฝึกปฏิบัติ อำทิ กำรทำนำสมุนไพร กำรกำยบริหำร โยคะ กดจุดลมปรำณ เพื่อให้สำมำรถดูแลและ บำบัดสุขภำพตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งยำหรือลดกำรใช้ยำบรรเทำอำกำรของโรคและให้หำยได้ด้วยกำรปรับสมดุลของ ร่ำงกำยและจิตใจ (กำรท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงำนนครพนม. 2558) กำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม เป็นหนึ่งในเทคนิค 9 ข้อ ซึ่ง ดร.ใจเพชร กล้ำจน ได้บูรณำกำร จำกกำรเดินเร็วในพระไตรปิฎกและแรงบันดำลใจจำกพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ผู้นำทำงจิตวิญญำณของชำวบุญนิยม ที่ ใช้กำรเดินเร็วในกำรดูแลสุขภำพ กำรกดจุดลมปรำณของแพทย์แผนจีน รวมกับ กำรนวดเส้นประธำน 10 ของแพทย์ แผนไทย โยคะ จำกสถำนบันโยคะวิชำกำร สถำบันพลังจิตพลำนุภำพ กำรจัดกระดูกของหมอพืนบ้ำน อำจำรย์ลี่และ อำจำรย์ถนอม จำกจีนไต้หวัน และกำรกำยบริหำรของกรมพลศึกษำ โดยทำงผู้วิจัยได้สร้ำงโปรแกรมกำรออกกำลัง กำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมที่ประยุกต์ เอำกำรอบอุ่นร่ำงกำย ด้วยกำรยืดกล้ำมเนือแบบเคลื่อนไหว ได้แก่ เดิน เร็ว เดินแกว่งแขน แกว่งขำ หมุนหัวไหล่ และกำรคลำยอุ่นร่ำงกำยด้วยกำรยืดกล้ำมเนือแบบอยู่กับที่ ได้แก่ ยืด กล้ำมเนือแขน หัวไหล่ สะโพก น่อง และขำ ประกอบไว้ในโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม มำทำกำรทดสอบกับ ประชำชนวัยทำงำนที่ มำร่วมอบรมค่ำยแพทย์วิ ถีธรรม ณ ศูนย์เรียนรู้สุ ขภำพพึ่งตนตำมแนว เศรษฐกิจพอเพียง สวนป่ำนำบุญ 1 โดยส่วนใหญ่ผู้ที่มำเข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมจะเป็นวัยทำงำน จำกหลำกหลำยอำชีพ ที่มีปัญหำด้ำนสุขภำพเกี่ยวกับโรคทำงด้ำนพฤติกรรม เช่น ไม่ค่อยออกกำลังกำย โรคอ้วน เบำหวำน ควำมดันโลหิต สูง ไขมันในเลือด ปวดเมื่อยในส่วนต่ำง ๆ ของร่ำงกำย และเมื่อผ่ำนค่ำยแพทย์วิถีธรรมไปแล้ว ก็มักจะไม่ได้ปฏิบัติตัว

109


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ต่อเนื่อง และกลับมำเข้ำค่ำยอีกครังเพื่อทบทวนองค์ควำมรู้และร่วมปฏิบัติกิจกรรมกับหมู่มิตรดีสหำยดี เพื่อจะได้มี กำลังใจในกำรกลับไปปฏิบัติตัวต่อไป (ใจเพชร กล้ำจน. 2560, พฤษภำคม 10) จำกเหตุผลดังกล่ำว ผู้วิจัยจึงมีควำมสนใจนำโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมมำ ศึกษำกับประชำชนวัยทำงำนที่มำร่วมอบรมค่ำยแพทย์วิถีธรรม ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภำพพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจ พอเพียง สวนป่ำนำบุญ 1 เพื่อทำให้ผู้เข้ำร่วมฝึกมีกำรพัฒนำด้ำนควำมอ่อนตัว ซึ่งหำกมีควำมอ่อนตัวเพิ่มมำกขึน จะ ทำให้ร่ำงกำยมีกำรเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว ข้อต่อต่ำง ๆ ไม่ยึด ติด ลดปัญหำกำรปวดเมื่อย ช่วยชะลอกำรเสื่อมของ ร่ำงกำย เพื่อให้มีสุขภำพดี สำมำรถทำกิจกรรมต่ำง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ มีประสิทธิภำพดียิ่งขึน ทังนีเนื่องจำก งำนวิจัยที่ศึกษำเกี่ยวกับ โปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมในประเทศไทยมีจำนวนน้อย ซึ่ง ผลกำรวิ จัยครังนีอำจจะเป็ นประโยชน์ต่ อผู้ เข้ำ ค่ำยแพทย์วิ ถีธรรม ผู้ที่ สนใจ และถือเป็นกำรเผยแพร่ ให้เ ป็น ที่ แพร่หลำยต่อไป วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย เพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมที่มีผลต่อควำมอ่อนตัวของ ประชำชนวัยทำงำนที่ผ่ำนค่ำยศูนย์เรียนรู้สุขภำพพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่ำนำบุญ 1 อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร สมมติฐำนกำรวิจัย ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ประชำชนวัยทำงำนมีควำม อ่อนตัวแตกต่ำงกัน นิยำมศัพท์ 1. โปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม หมำยถึง กำรกำยบริหำรร่ำงกำย กำรเดิน เร็ว กำรกดจุดลมปรำณ และโยคะ บูรณำกำรโดยใจเพชร กล้ำจน โดยใช้ ตำรำงฝึกโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำม หลักกำรแพทย์วิถีธรรมที่ผู้วิจัยสร้ำงขึน เป็นเวลำ 8 สัปดำห์ 2. ควำมอ่อนตัว (Flexibility) หมำยถึง ควำมสำมำรถของข้อต่อต่ำง ๆ ของร่ำงกำยที่เคลื่อนไหวได้ เต็มช่วงของกำรเคลื่อนไหว โดยยืดเหยียดอวัยวะส่วนแขนและขำหรือลำตัวซึ่งต้องเหยียดขำตรงไปข้ำงหน้ำจนกว่ำ กล้ำมเนือจะรู้สึกตึงและจะต้องอยู่ในท่ำเหยียดกล้ำมเนือในลักษณะนีประมำณ 3 วินำที โดยใช้กำรทดสอบ นั่งงอตัว ไปข้ำงหน้ำ (Sit and Reach) หน่วยเป็นเซนติเมตร 3. ประชำชนวัยทำงำน หมำยถึง บุคคลที่มีอำยุระหว่ำง 20-59 ปีทังชำยและหญิง ซึ่งกำลังประกอบ อำชีพอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง ตำมควำมรู้ และทักษะเฉพำะของตน โดยมีสุขภำพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็น อุปสรรคต่อกำรออกกำลังกำย ที่ผ่ำนค่ำยแพทย์วิถีธรรม 4. ค่ำยแพทย์วิถีธรรม หมำยถึง ค่ำยที่จัดกำรอบรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมที่ได้รับกำรอนุมัติ หลักสูตรโดย สำนักกำรแพทย์ทำงเลือก กรมพัฒนำกำรแพทย์แผนไทยและกำรแพทย์ทำงเลือก ที่จัดขึน ในศูนย์ เรียนรู้สุขภำพพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่ำนำบุญ 1 อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร ระหว่ำงเดือน กรกฎำคม 2560 – กุมภำพันธ์ 2561

110


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วิธีดำเนินกำรวิจัย แบบแผนกำรวิจัยครังนี เป็นกำรวิจัยเชิงทดลองเบืองต้น (Pre-experimental research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อนหลังกำรทดลอง (One-group pretest-posttest design) ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกรที่ใช้ในกำรวิจัยนี เป็น ประชำชนที่มำเข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรม ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภำพพึ่งตนตำมแนว เศรษฐกิจพอเพียง สวนป่ำนำบุญ 1 อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร จำนวน 330 คน กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี เป็น ประชำชนวัยทำงำน ที่ผ่ำนค่ำยแพทย์วิถีธรรม ณ ศูนย์เรียนรู้ สุขภำพพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่ำนำบุญ 1 อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร จำนวน 30 คน ซึ่ง ได้มำจำกเกณฑ์คัดเข้ำและเกณฑ์คัดออกที่ผู้วิจัยกำหนดขึน ดังนี เกณฑ์คัดเข้ำ (Inclusion Criteria) 1. กลุ่มตัวอย่ำงมีอำยุระหว่ำง 20-59 ปี ณ วันที่สมัครเข้ำร่วมกำรวิจัย 2. กลุ่มตัวอย่ำงมีสุขภำพร่ำงกำยสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เป็นโรคที่เป็นอันตรำยต่อกำรออกกำลังกำย สำมำรถดำเนินชีวิตประจำได้ตำมปกติ และต้องผ่ำนเกณฑ์แบบประเมินควำมพร้อมก่อนกำรออกกำลังกำยและ แบบสอบถำมประวัติสุขภำพทั่วไป 3. กลุ่มตัวอย่ำงมีสติสัมปชัญญะปกติ สำมำรถสื่อสำร และเข้ำใจภำษำไทยได้ดี เกณฑ์คัดออก (Exclusion Criteria) 1. กลุ่มตัวอย่ำงมีอำยุต่ำกว่ำ 20 ปี และมำกกว่ำ 59 ปี ณ วันที่สมัครเข้ำร่วมกำรวิจัย 2. กลุ่มตัวอย่ำงเป็นโรคประจำตัว เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือโรคหัวใจ โรคข้อเข่ำเสื่อม ข้อสะโพก เสื่อม หรือมีโรคหรือมีอำกำร ที่เกี่ยวกับกระดูกและข้อต่อ 3. กลุ่มตัวอย่ำงมีภำวะควำมดันโลหิตสูง หรือ มีภำวะควำมดันโลหิตสูงและได้รับประทำนยำควบคุม ควำมดันโลหิต ข้อตกลงเบื้องต้น ผู้เข้ำร่วมกำรทดสอบต้องผ่ำนเงื่อนไขดังต่อไปนี 1. กำรวิจัยนีผู้วิจัยไม่สำมำรถควบคุมกลุ่มตัวอย่ำงในเรื่องกำรรับประทำนอำหำร กำรพักผ่อน กิจกรรม ทำงกำย ตลอดจนกำรเข้ำร่วมกิจกรรมกำรออกกำลังกำยอื่น ๆ ที่เคยทำอยู่เป็นประจำในช่วงที่มีกำรเก็บข้อมูล 2. กำรเก็บข้อมูลในครังนี ผู้วิจัยทำกำรเก็บข้อมูลด้วยตนเองโดยมีผู้ช่วยวิจัยช่วยเก็บข้อมูลซึ่งเป็นชุด เดิมโดยตลอดทุกครัง 3. เป็นผู้ที่ลงนำมในเอกสำรแสดงควำมยินยอมเข้ำร่วมกำรวิจัย คณะกรรมกำรจริยธรรม กำรวิจัยครังนีได้ผ่ำนกำรรับรองจำกคณะกรรมกำรจริยธรรมกำรวิจั ยในมนุษย์มหำวิทยำลัยรำชภัฎ สุรินทร์ เลขที่ HE-SRRU2-0018 เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย 1. โปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมที่ผู้วิจัยสร้ำงขึน 2. แบบทดสอบควำมอ่อนตัว มีค่ำควำมเชื่อถือได้เท่ำกับ 0.96 (กรมพลศึกษำ, 2556)

111


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

อุปกรณ์ที่ใช้ในกำรวิจัย 1. กล่องเครื่องมือวัดควำมอ่อนตัว ขนำดสูง 30 เซนติเมตร มีสเกลของระยะทำงตังแต่ค่ำลบถึงค่ำบวก เป็นเซนติเมตร 2. เครื่องชั่งนำหนักและวัดส่วนสูง 3. เครื่องวัดควำมดันโลหิต 4. เครื่องเสียง ไมโครโฟน โปรเจคเตอร์ และ จอโปรเจคเตอร์ กำรตรวจสอบคุณภำพเครื่องมือ ตรวจสอบควำมเที่ยงตรงเชิงเนือหำ (Content Validity) โดยผู้เชี่ยวชำญ 5 ท่ำนพิจำรณำควำม สอดคล้องของแบบฝึกในแต่ละข้อและให้คะแนน โดยทำกำรตรวจหำดัชนีควำมสอดคล้อง(Index of Item Objective Congruence : IOC) หำกพบว่ำมีค่ำสูงกว่ำ 0.5 จึงจะถือว่ำมีควำมสอดคล้อง ซึ่งกำรตรวจสอบครังนี พบว่ำมีค่ำดัชนีควำมสอดคล้อง เท่ำกับ 0.97 สำมำรถนำโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักแพทย์วิถีธรรมมำใช้ใน กำรวิจัยครังนีได้ กำรเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ศึกษำรำยละเอียดเอกสำรที่เกี่ยวกับวิธีกำรอุปกรณ์และสถำนที่ที่ใช้ในกำรทดสอบ 2. ติดต่อผู้ช่วยในกำรทดสอบจำนวน 5 คน พร้อมอธิบำยซักซ้อมเพื่อควำมเข้ำใจถึงรำยละเอียดต่ำง ๆ ของกำรทดสอบเก็บข้อมูลและวิธีกำรปฏิบัติให้ถูกต้องตรงกัน 3. ประสำนงำนเพื่อขอหนังสือจำกบัณฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์เพื่อติดต่อขออนุญำต ถึง ประธำนมูลนิธิแพทย์วิถีธรรม แห่งประเทศไทย เพื่อขอควำมอนุเครำะห์ใช้กลุ่มตัวอย่ำง สถำนที่ อุปกรณ์และสิ่ง อำนวยควำมสะดวกต่ำง ๆ ที่ใช้ในกำรวิจัยพร้อมทังนัดหมำยผู้เกี่ยวข้องถึงวันและเวลำในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล 4. ก่อนทำกำรทดสอบผู้วิจัยและผู้ช่วยชีแจงกลุ่มตัวอย่ำง ถึงจุดประสงค์ของกำรวิจัยระเบียบปฏิบัติใน ระหว่ำงเวลำกำรฝึก กำรเก็บรวบรวมข้อมูล รำยละเอียดขันตอนกำรวัดควำมอ่อนตัวโดยสำธิตวิธีทำกำรทดสอบให้ กลุ่มตัวอย่ำงเข้ำใจ แล้วหลังจำกนันให้กลุ่มตัวอย่ำงลงนำมในหนังสือแสดงควำมยินยอมเข้ำร่วมกำรวิจัย 5. ทำกำรทดสอบควำมอ่อนตัว (Flexibility) ก่อนกำรฝึก (Pretest) 6. ดำเนิ น กำรเก็ บรวบรวมข้ อมู ล ตำมวัน เวลำที่ ก ำหนดในกำรฝึ ก ของกลุ่ มตั ว อย่ ำ ง โดยใช้ ต ำรำง โปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม เป็นเวลำ 8 สัปดำห์ ๆ 3 วัน ในวันจันทร์ วันพุธ และวัน ศุกร์ วันละ 90 นำที (1.30 ชั่วโมง) ตังแต่เวลำ 16.30-18.00 น. ช่วงเวลำ 16.30-18.00

กิจกรรม 1. อบอุ่ น ร่ ำ งกำยด้ ว ยกำรยื ด กล้ ำ มเนื อแบบเคลื่ อ นไหว ( Dynamic Stretching) ได้แก่ เดินเร็ว เดินแกว่งแขน แกว่งขำ หมุนหัวไหล่ เป็นต้น 2. ออกกำลังกำย 2.1 ฝึกปฏิบัติกำยบริหำรท่ำยืน (ท่ำที่ 1-9) 2.2 ฝึกปฏิบัติเดินเร็ว 2.3 ฝึกปฏิบัติกดจุดลมปรำณ (ท่ำที่ 10-17) 2.4 ฝึกปฏิบัติโยคะ (ท่ำที่ 18-32) 3. คลำยอุ่นร่ำงกำยด้วยกำรยืดกล้ำมเนือแบบอยู่กับที่ (Static Stretching) ได้แก่ ยืดกล้ำมเนือแขน หัวไหล่ สะโพก น่อง และขำ เป็นต้น

เวลำ/นำที 10 นำที

5 นำที 15 นำที 30 นำที 25 นำที 5 นำที (รวมทังหมด 90 นำที)

112


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

7. ทดสอบควำมอ่อนตัว (Flexibility) หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 4 และ สัปดำห์ที่ 8 8. นำข้อมูลที่ได้มำวิเครำะห์ กำรจัดทำกับข้อมูลและวิเครำะห์ข้อมูล 1. หำค่ำเฉลี่ย ( X ) และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (Standard Deviation) ของอำยุ นำหนัก ส่วนสูง ดัชนีมวลกำยของกลุ่มตัวอย่ำง 2. เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยด้ำนควำมอ่อนตัว (Flexibility) ระหว่ำงก่อนกำรฝึก หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 4 และสัปดำห์ที่ 8 โดยใช้กำรวิเครำะห์ควำมแปรปรวนแบบวัดซำชนิดมิติเดี ยว (One way ANOVA with repeated measure) หำกพบควำมแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ จะทำกำรทดสอบควำมแตกต่ำงรำยคู่ โดยใช้ วิธีของบอนเฟอโรนี (Bonferroni) กำหนดควำมมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ผลกำรวิจัย ตำรำงที่ 1 ค่ำเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนของอำยุ นำหนัก ส่วนสูง ดัชนีมวลกำยของประชำชนวัยทำงำน (n = 30) กลุ่มตัวอย่ำง

S.D.

X

อำยุ (ปี) นำหนัก (กก.) ส่วนสูง (ซม.) ดัชนีมวลกำย (กก./ม²)

45.33 56.81 159.90 22.18

8.60 14.36 0.08 5.30

จำกตำรำงที่ 1 แสดงให้เห็นว่ำ ประชำชนวัยทำงำนมีอำยุ 45.33 ปี นำหนัก 56.81 กิโลกรัม ส่วนสูง 159.90 เซนติเมตร และดัชนีมวลกำย 22.18 (กก./ม²) ตำรำงที่ 2 ค่ำเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนของควำมอ่อนตัวของประชำชนวัยทำงำน (n = 30) สุขสมรรถนะ ควำมอ่อนตัว (ซม.)

X

ก่อนกำรฝึก S.D.

11.58

8.89

หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 4 S.D.

X

15.42

7.60

หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 8 S.D.

X

18.13

6.94

จำกตำรำงที่ 2 แสดงให้เห็นว่ำ ประชำชนวัยทำงำนมีค่ำเฉลี่ยควำมอ่อนตัวก่อนกำรฝึก เท่ำกับ 11.58 หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 4 เท่ำกับ 15.42 และหลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 8 เท่ำกับ 18.13ตำมลำดับ ตำรำงที่ 3 เปรียบเทียบควำมอ่อนตัวก่อนกำรฝึก หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 4 และสัปดำห์ที่ 8 ของประชำชนวัยทำงำน (n = 30) สุขสมรรถนะ ควำมอ่อนตัว

แหล่งควำมแปรปรวน ภำยในกลุ่ม ระหว่ำงกำรฝึก ปฏิสัมพันธ์ภำยในกลุ่ม

SS 5063.575 651.504 300.858

*แตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05

113

Df 29 2 58

MS 174.606 325.752 5.187

F 62.799

Sig. .001*


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

จำกตำรำงที่ 3 แสดงให้เห็นว่ำ ประชำชนวัยทำงำน มีควำมอ่อนตัวแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ ระดับ .05 ระหว่ำงก่อนกำรฝึก หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 4 และสัปดำห์ที่ 8 จึงเปรียบเทียบควำมแตกต่ำงรำยคู่ โดยใช้ วิธีของบอนเฟอโรนี (Bonferroni) ดังตำรำงที่ 4 ตำรำงที่ 4 ผลกำรเปรียบเทียบควำมแตกต่ำงรำยคู่ค่ำเฉลี่ยของควำมอ่อนตัว ก่อนกำรฝึก หลังกำรฝึก สัปดำห์ที่ 4 และสัปดำห์ที่ 8 โดยใช้วิธีของบอนเฟอโรนี (Bonferroni) (n = 30) ช่วงกำรฝึก ควำมอ่อนตัว (ซม.) ก่อนกำรฝึก หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 4 หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 8

X

11.58 15.42 18.13

ก่อนกำรฝึก 11.58 -

หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 4 15.42 -3.842* -

หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 8 18.13 -6.558* -2.717* -

*แตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 จำกตำรำงที่ 4 แสดงให้เห็นว่ำ ประชำชนวันทำงำน มีคะแนนเฉลี่ยของควำมอ่อนตัวระหว่ำงก่อนกำรฝึก หลังกำรฝึกกำรสัปดำห์ที่ 4 และสัปดำห์ที่ 8 แตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งมีแนวโน้มว่ำ หลังกำร ฝึกสัปดำห์ที่ 8 มีคะแนนเฉลี่ยของควำมอ่อนตัวมำกที่สุด รองลงมำ ได้แก่ หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 4 และก่อนกำรฝึก ตำมลำดับ วิจำรณ์ผลกำรวิจัย กำรวิจัยครังนีมีสมมุติฐำนกำรวิจัย คือ ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำร แพทย์วิถีธรรม ประชำชนวัยทำงำนมีควำมอ่อนตัวแตกต่ำงกัน ผู้วิจัยขอวิจำรณ์ผลกำรวิจัย ดังนี ผลกำรวิจัยครังนี พบว่ำ ในระหว่ำงก่อนกำรฝึก หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 4 และหลังกำรสัปดำห์ที่ 8 ประชำชนวัยทำงำนมีควำมอ่อนตัวแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตำมสมมุติฐำนกำรวิจัย ที่ตังไว้ สอดคล้องกับ จันทร์ดำ บุญประเสริฐ (2557 : 71-73) ได้ศึกษำผลของกำรออกกำลังกำยแบบหะฐะโยคะต่อ สมรรถภำพทำงกำยในผู้สูงอำยุ พบว่ำ สมรรถภำพทำงกำยทำงด้ำนควำมอ่อนตัวของกล้ำมเนือและข้อต่อของกลุ่ม ทดลองภำยหลังกำรออกกำลังกำยแบบหะฐะโยคะมำกกว่ำก่อนกำรออกกำลังกำยอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ 0.01 ซึ่ง แสดงให้เห็นว่ำ กำรออกก ำลังกำยแบบหะฐะโยคะสำมำรถเพิ่มสมรรถภำพทำงกำยทำงด้ำนควำมอ่อนตัวของ กล้ำมเนือและข้อต่อในผู้สูงอำยุได้ สอดคล้องกับ รุจิเรข หนูรอด (2556 : 86-90) ได้ศึกษำผลของโปรแกรมฝึกออก กำลังกำยท่ำฤำษีดัดตนเพื่อเสริมสร้ำงสมรรถภำพทำงกำยด้ำนควำมอ่อนตัวสำหรับนักเรียนชันมัธยมศึกษำปีที่ 1 พบว่ำ หลังเข้ำร่วมโปรแกรมกำรฝึก นักเรียนชันมัธยมศึกษำปีที่ 1 มีควำมอ่อนตัวสูงกว่ำก่อนใช้โปรแกรมฝึกอย่ำงมี นัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่ำ โปรแกรมฝึกออกกำลังกำยท่ำฤำษีดัด ตนสำมำรถเพิ่มควำมอ่อนตัวให้กับ นักเรียนชันมัธยมศึกษำปีที่ 1 ได้ดีขึน นอกจำกนี สอดคล้องกับ อัมรินทร์ พ่วงแพ (2553 : 85-94) ได้ศึกษำผลของ กำรฝึกบริหำรร่ำงกำยด้วยฤำษีดัดตนที่มีต่อสมรรถภำพทำงกำยที่สัมพันธ์กับสุขภำพในนักศึกษำหญิงโรงเรียน พำณิชยกำรสุโขทัย พบว่ำ หลังจำกกำรฝึกสัปดำห์ที่ 4 และสัปดำห์ที่ 8 กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีค่ำเฉลี่ยควำม อ่อนตัวแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ร ะดับ .05 สรุปได้ว่ำ กำรบริหำรร่ำงกำยด้วยกำรฝึกฤำษีดัดตนส่งผล

114


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สมรรถภำพทำงกำยที่สัมพันธ์กับสุขภำพ และสำมำรถเป็นทำงเลือกหนึ่งในกำรนำไปใช้ออกกำลังกำยเพื่อให้มี สุขภำพที่ดีขึน และสำมำรถเสริมสร้ำงสมรรถภำพทำงกำยด้ำนควำมยืดหยุ่นของกล้ำมเนือและข้อต่อได้ สอดคล้อง กับงำนวิจัยในผู้สูงอำยุที่ผ่ำนมำของ รัชนู รัตนภำค (2553 : 92-96) ได้ศึกษำผลของกำรประยุกต์กำรฝึกหะฐะโยคะ ร่วมกับทฤษฎีควำมสำมำรถตนเองต่อสมรรถภำพทำงกำยและภำวะสุขภำพทำงกำยของผู้สูงอำยุ พบว่ำ ภำยหลัง กำรทดลอง กลุ่มทดลองมีค่ำเฉลี่ยสมรรถภำพทำงกำยทำงด้ำนควำมอ่อนตัวของกล้ำมเนือและข้อต่อ ดีกว่ำก่อนกำร ทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ .05 และดีกว่ำกลุ่มควบคุมอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ .01 ผลกำรวิจัยครังนี มีแนวโน้มว่ำ หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 8 มีคะแนนเฉลี่ยของควำมอ่อนตัวมำกที่สุด รองลงมำ ได้แก่ หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 4 และก่อนกำรฝึก ตำมลำดับ อำจเป็นเพรำะว่ำ โปรแกรมกำรออกกำลังกำย ตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ที่บูรณำกำรโดย ใจเพชร กล้ำจน (2559 : 104-160) ประกอบด้วย ขันตอนของอบอุ่น ร่ำงกำย เป็นกำรอบอุ่นร่ำงกำยด้วยกำรยืดกล้ำมเนือแบบเคลื่อนไหว ได้แก่ เดินเร็ว เดินแกว่งแขน แกว่งขำ หมุน หัวไหล่ เป็นต้น ขันตอนของกำรออกกำลังกำย เป็นกำรฝึกปฏิบัติโยคะ (ท่ำที่ 18-32) 25 นำที และขันของกำรคลำย อุ่นร่ำงกำย เป็นกำรยืดกล้ำมเนือแบบอยู่กับที่ ได้แก่ ยืดกล้ำมเนือแขน หัวไหล่ สะโพก น่อง และขำ เป็นต้น ซึ่ง โปรแกรมกำรออกกำลังกำยด้วยกำรปฏิบัติโยคะ 25 นำที ส่งผลให้กำรทำงำนของกล้ำมเนือและเอ็นรอบข้อต่อ สำมำรถยืดยำวออกได้มำกกว่ำในขณะพักและคงท่ำนันไว้เป็นระยะเวลำหนึ่ง โดยกำรฝึกโยคะถือเป็นกำรฝึกควำม อ่อนตัวอีกรูปแบบหนึ่งที่คล้ำยกับกำรยืดกล้ำมเนือแบบอยู่กับที่ (Static Stretching) ฝึกร่วมกับกำรฝึกบริหำรลม หำยใจด้วยกำรหำยใจเข้ำลึกและหำยใจออกยำวอย่ำงช้ำ ๆ ไปพร้อม ๆ กัน ดังนัน โปรแกรมกำรออกกำลังกำยนีมี ผลทำให้กล้ำมเนือของประชำชนวันทำงำนมีควำมอ่อนตัวมำกขึน กล้ำมเนือและข้อต่อสำมำรถยืดหยุ่นได้มำกขึน และสำมำรถป้องกันกำรบำดเจ็บที่อำจจะเกิดขึนได้อีกด้วย สอดคล้องกับ สำลี่ สุภำภรณ์ (2554 : 59) กล่ำวว่ำ โยคะ ทุกชนิดฝึกแล้วทำให้ควำมยืดหยุ่นของร่ำงกำยดีขึน สรุปผลกำรวิจัย กำรวิจัยนีสรุปผลกำรวิจัยได้ว่ำ โปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมสำมำรถส่งผลให้ ควำมอ่อนตัวของประชำชนวัยทำงำนดีขึน ซึ่งสำมำรถนำไปกำรใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้กำรเคลื่อนไหวของ ร่ำงกำยในกำรประกอบภำรกิจหน้ำที่และกิจกรรมต่ำง ๆ ดีขึน เช่น ก้มตัว ลุกขึน นั่งลง เดิน วิ่ง กระโดด เป็นต้น และยังสำมำรถช่วยป้องกันกำรบำดเจ็บที่อำจจะเกิดขึนได้อีกด้วย ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในกำรนำกำรวิจัยไปใช้ โปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมสำมำรถนำไปใช้เป็นแนวทำงในกำรออกกำลัง กำยสำหรับประชำชนวัยทำงำนได้ อย่ำงไรก็ตำม กำรวิจัยครังนีมีข้อจำกัด คือกลุ่มตัวอย่ำงมีทังเพศหญิงและชำย ซึ่ง อำจจะส่งผลข้ำงเคียงในกำรคำนวณควำมอ่อนตัวได้ และกำรวิจัยครังนีได้ทำกำรฝึกในช่วงฤดูหนำวซึ่งอำจจะมีผลต่อ กล้ำมเนือของกลุ่มตัวอย่ำงได้ ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรทำกำรศึกษำโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมในกลุ่มอำยุอื่น เช่น ใน กลุ่มวัยเด็ก วัยผู้สูงอำยุ หรือ วัยรุ่น หรือ วัยผู้ใหญ่ตอนต้น เป็นต้น 2. ควรทำกำรศึกษำในกลุ่มตัวอย่ำงที่มีสองกลุ่มทดลอง คือ กลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลอง

115


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

3. ควรทำกำรศึกษำโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมกับวัยทำงำนที่มีปัญหำ ด้ำนสุขภำพต่ำง ๆ เช่น ออฟฟิศซินโดรม อำกำรปวดเมื่อยต่ำง ๆ 4. ศึกษำในเชิงคุณภำพเพิ่มเติมเพื่อวัดคุ ณภำพชีวิตของผู้เข้ ำรับโปรแกรมกำรออกกำลังกำยตำม หลักกำรแพทย์วิถีธรรม กิตติกรรมประกำศ ผู้วิจัยขอกรำบขอบพระคุณสมณะโพธิรักษ์ ที่ได้ให้สัมมำทิฐิในกำรทำงำนวิจัย และขอขอบพระคุณ คณำจำรย์มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ทุกท่ำนที่มีส่วนร่วมให้คำแนะนำ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่ง ดร.อรรณพ นับถือตรง และ ดร.ภัทรพล ทองนำ มูลนิธิแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย นำโดย ดร.ใจเพชร กล้ำจน (อำจำรย์ หมอเขียว) จิต อำสำแพทย์วิถีธรรม กลุ่มตัวอย่ำง และท่ำนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในกำรวิจัยครังนีทังทำงตรงและทำงอ้อม ที่เมตตำ อนุเครำะห์ควำมช่วยเหลือด้ำนต่ำง ๆ ต่อกำรวิจัยครังนี เอกสำรอ้ำงอิง กรมอนำมัย. (2555). คู่มือเจ้ำหน้ำที่สำธำรณสุข กำรป้องกันและบำบัดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ด้วยกำรออกกำลัง กำย โรคเบำหวำน โรคควำมดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Exercise Prescription for Diabetes, Hypertension, Obesity and Coronary Artery Disease). กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์องค์กำรสงเครำะห์ทหำรผ่ำนศึก กำรกีฬำแห่งประเทศไทย. (2544). นิยำมคำศัพท์กีฬำ. กรุงเทพ ฯ : นิวไทยมิตรกำรพิมพ์. กำรท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงำนนครพนม. (2558). ปีท่องเที่ยววิถีไทย 2558 จังหวัดมุกดำหำร. นครพนม. (แผ่นพับ) จันทร์ดำ บุญประเสริฐ. (2557). ผลของกำรออกกำลังกำยแบบหะฐะโยคะต่อสมรรถภำพทำงกำยในผู้สูงอำยุ. วิทยำนิพนธ์พยำบำลศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำกำรพยำบำลผู้สูงอำยุ มหำวิทยำลัยเชียงใหม่. ใจเพชร กล้ำจน. (2560, พฤษภำคม 10). ประธำนมูลนิธิแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย. สัมภำษณ์. _____________. (2559). มำเป็นหมอดูแลตัวเองกันเถอะ. พิมพ์ครังที่ 22. กรุงเทพฯ : อุษำกำรพิมพ์. รัชนู รัตนภำค. (2553). ผลของกำรประยุกต์กำรฝึกหะฐะโยคะร่วมกับทฤษฏีควำมสำมำรถตนเองต่อ สมรรถภำพทำงกำยและภำวะสุขภำพทำงกำยของผู้สูงอำยุ. วิทยำนิพนธ์ปริญญำวิทยำศำสตร มหำบัณฑิต (สำธำรณสุขศำสตร์) สำขำวิชำเอกกำรพยำบำลสำธำรณสุข มหำวิทยำลัยมหิดล. รุจิเรข หนูรอด. (2556). กำรพัฒนำโปรแกรมฝึกออกกำลังกำยท่ำฤๅษีดัดตนเพื่อเสริมสร้ำงสมรรถภำพทำงกำย ด้ำนควำมอ่อนตัวสำหรับนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษำปีที่ 1. วิทยำนิพนธ์ครุศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำ หลักสูตรและกำรสอน มหำวิทยำลัยรำชภัฏเทพสตรี. วีระวัฒน์ แซ่จิว. (2559). กิจกรรมทำงกำยและสมรรถภำพทำงกำยของผู้สูงอำยุที่ออกกำลังกำยในจังหวัด ชลบุรี. วิทยำนิพนธ์วิทยำศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำวิทยำศำสตร์กำรออกกำลังกำยและกำรกีฬำ คณะวิทยำศำสตร์กำรกีฬำ มหำวิทยำลัยบูรพำ. สำลี่ สุภำภรณ์. (2554). ตันเถียน - สำลี่โยคะ. กรุงเทพ ฯ : สำมลดำ. สำนักงำนกองทุนสนับสนุนกำรสร้ำงเสริมสุขภำพ. (2560). “พระบรมรำโชวำท พระรำชดำรัส เกี่ยวกับกำร กีฬำ.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.thaihealth.or.th/Content/21636-พระบรม

116


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

รำโชวำท%20พระรำช ดำรัส%20เกี่ยวกับกำรกีฬำ.html สืบค้น 22 มิถุนำยน 2560. _________. (2560). “วัยทำงำน เสี่ยงโรคเรือรังคุกคำม.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.thaihealth.or.th/Content/35323-วัย ทำงำน%20เสี่ยงโรคเรื้อรังคุกคำม.html สืบค้น 1 กรกฎำคม 2560. สำนักกิจกำรในพระดำริพระเจ้ำหลำนเธอ พระองค์เจ้ำพัชรกิติยำภำ. (2558). ดูแลสุขภำพผู้ต้องขังหญิงด้วยแพทย์ วิถีธรรมเพื่อกำรพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง. กรุงเทพ ฯ : สำนักงำนพระพุทธศำสนำแห่งชำติ. สำนักงำนสถิติแห่งชำติ กระทรวงเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำร. (2553). ภำวะสุขภำพของแรงงำนไทย : สุขภำพแรงงำนไทย. กรุงเทพ ฯ : สำนักงำนสถิติแห่งชำติ. สำนักงำนสถิติแห่งชำติ. (2560). “วัยทำงำนกับกำรดูแลสุขภำพ...” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/citizen/news/news_work.jsp สืบค้น 2 กรกฎำคม 2560. สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสำธำรณสุข. (2558). คู่มือกำรจัดบริกำรสุขภำพ “กลุ่มวัยทำงำน” แบบบูรณำกำร 2558. กรุงเทพ ฯ : องค์กำรสงเครำะห์ทหำรผ่ำนศึก. อัมรินทร์ พ่วงแพ. (2553). ผลของกำรฝึกบริหำรร่ำงกำยด้วยฤำษีดัดตนที่มีต่อสมรรถภำพทำงกำยที่สัมพันธ์กับ สุขภำพในนักศึกษำหญิงโรงเรียนพณิชยกำรสุโขทัย. วิทยำนิพนธ์วิทยำศำสตรมหำบัณฑิต สำขำ วิทยำศำสตร์กำรกีฬำ มหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร์. กรมอนำมัย. (2555). คู่มือเจ้ำหน้ำที่สำธำรณสุข กำรป้องกันและบำบัดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ด้วยกำรออกกำลัง กำย โรคเบำหวำน โรคควำมดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Exercise Prescription for Diabetes, Hypertension, Obesity and Coronary ArteryDisease). กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์องค์กำรสงเครำะห์ทหำรผ่ำนศึก กำรท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงำนนครพนม. (2558). ปีท่องเที่ยววิถีไทย 2558 จังหวัดมุกดำหำร. นครพนม. (แผ่นพับ) จันทร์ดำ บุญประเสริฐ. (2557). ผลของกำรออกกำลังกำยแบบหะฐะโยคะต่อสมรรถภำพทำงกำยใน ผู้สูงอำยุ. วิทยำนิพนธ์พยำบำลศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำกำรพยำบำลผู้สูงอำยุ มหำวิทยำลัยเชียงใหม่. สำนักกิจกำรในพระดำริพระเจ้ำหลำนเธอ พระองค์เจ้ำพัชรกิติยำภำ. (2558). ดูแลสุขภำพผู้ต้องขังหญิงด้วย แพทย์วิถีธรรมเพื่อกำรพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง. กรุงเทพ ฯ : สำนักงำนพระพุทธศำสนำ แห่งชำติ. สำนักงำนกองทุนสนับสนุนกำรสร้ำงเสริมสุขภำพ. (2560). “พระบรมรำโชวำท พระรำชดำรัส เกี่ยวกับกำร กีฬำ.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.thaihealth.or.th/Content/21636-พระบรม รำโชวำท%20พระรำชดำรัส%20เกี่ยวกับกำรกีฬำ.html สืบค้น 22 มิถุนำยน 2560. สำนักงำนกองทุนสนับสนุนกำรสร้ำงเสริมสุขภำพ. (2560). “วัยทำงำน เสี่ยงโรคเรือรังคุกคำม.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.thaihealth.or.th/Content/35323-วัยทำงำน%20เสี่ยงโรค เรื้อรังคุกคำม.html สืบค้น 1 กรกฎำคม 2560. สำนักงำนจังหวัดมุกดำหำร. (2560). “มุกดำหำร แผนพัฒนำจังหวัด 4 ปี พ.ศ.2561-2564.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.mukdahan.go.th/pdf/plane2561_2564.pdf สืบค้น 6 มิถุนำยน

117


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2560 สำนักงำนสถิติแห่งชำติ. (2560). “วัยทำงำนกับกำรดูแลสุขภำพ...” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/citizen/news/news_work.jsp สืบค้น 2 กรกฎำคม 2560. สำนักวิทยำศำสตร์กำรกีฬำ. (2561). “กำรพัฒนำสมรรถภำพทำงกำยที่เกี่ยวข้องกับสุขภำพ”. [ออนไลน์]. เข้ำถึง ได้จำก : http://www.osrd.go.th สืบค้น 15 มีนำคม 2561. Chen, K. M., Fan, et al. (2010). Silver yoga exercises improved physical fitness of transitional frail elders. Journal of Nursing Research, 59(5) : 364-370.

118


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-12

ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกิจกรรมต่อกลอนลำผญำกับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจของผู้สูงอำยุ ในวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร ASSOCIATION BETWEEN TAU-KLON-LAM-PHAYA ACTIVITIES AND MENTAL HEALTH STATUS AMONG EDERLY AT THO-PHU-TOW-THI-KA-LEUNG COLLEGE, DONTAN DISTRICT, MUKDAHAN PROVINCE ชินณพงษ์ กิจพูนเจริญ1, สุธีรำ อินทเจริญศำนต์2 และ ธงชัย วงศ์เสนำ3 1 2 3

นักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ รองศาสตราจารย์ สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

บทคัดย่อ กำรศึกษำครังนีเป็นกำรวิจัยเชิงพรรณนำ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกิจกรรมต่อ กลอนลำผญำกับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจของผู้สูงอำยุวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ อำเภอดอนตำล จังหวัด มุกดำหำร กลุ่ม ตัวอย่ำงเป็นผู้สูงอำยุที่มีอำยุตังแต่ 60 ปีขึนไปที่เข้ำร่วมวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง จำนวน 80 คน ด้วยกำรสุ่ม ตัวอย่ำงอย่ำงง่ำย เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย ได้แก่ แบบสัมภำษณ์ลักษณะกำรเข้ำร่วมกิจกรรมต่อกลอนลำผญำและ ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจของผู้สูงอำยุ ตรวจสอบควำมตรงเชิงเนือหำและควำมเชื่อถือได้ของแบบสัมภำษณ์แบบ Cronbach’s Alpha ได้ค่ำควำมเชื่อถือได้ของแบบสอบถำม 0.74 วิเครำะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนำและสถิติ Chi-square ผลกำรศึกษำ พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 91.3 มีอำยุระหว่ำง 70-79 ปี ร้อยละ 49 ส่วนใหญ่มีสถำนภำพสมรส ร้อยละ 46 สำเร็จกำรศึกษำระดับประถมศึกษำ ร้อยละ 87.5 ส่วนใหญ่ประกอบ อำชีพกสิกรรม ร้อยละ 78 กลุ่มตัวอย่ำงเข้ำร่วมกิจกรรมต่อกลอนลำผญำมำกกว่ำ 12 ครัง ร้อยละ 47.5 ใช้เวลำที่ เข้ำร่วมกิจกรรมต่อครังมำกกว่ำ 60 นำที ร้อยละ 55 โดยส่วนใหญ่คิดบทกลอนลำได้ทุกครังโดยไม่ต้องท่องจำ ร้อย ละ 22.5 และได้นำบทกลอนลำผญำมำประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 1-3 ครังต่อวัน ร้อยละ 30 เมื่อวิเครำะห์ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกิจกรรมต่อกลอนลำผญำกับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ พบว่ำ จำนวนครังที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อ กลอนลำผญำมีควำมสัมพันธ์กับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ อย่ำงมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 (X2= 9.05, p-value = 0.011) คำสำคัญ : กิจกรรมต่อกลอนล้าผญา, ภาวะสุขภาพด้านจิตใจ, ผู้สูงอายุ Abstract This study was descriptive research which aimed to study the association between TauKlon-Lam-Phaya activities and mental health status among ederly at Tho-Phu-Tow-Thi-Ka-Leung College, Dontan District, Mukdahan Province. 80 elderly people, who were more than or equal to

119


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

60 years of age, were selected by simple random sampling method. The research instruments consisted of the interview forms regarding patterns of attending to Tau-Klon-Lam-Phaya activities and mental health status of elderly. These instruments were approved the content validity and reliability which the Cronbach's alpha reliability was 0.74. Data were analyzed by using descriptive statistics and chi-square. The results found that most of samples were females accounting for 91.3% aged between 70 - 79 years accounting for 49 %. Most of them were married accounting for 46%, graduated at primary school accounting for 87.5% and earn a living based on agriculture accounting for 78%. Samples participated with Tau-Klon-Lam-Phaya activities more than 12 weeks accounting for 47.5. Duration for participation took more than 60 minutes accounting for 55%. Most of them could think about the contents of Tau-Klon-Lam-Phaya poem immediately accounting for 22.5% and apply for using in daily life approximately 1-3 times a day accounting for 30%. When considered about the association between Tau-Klon-Lam-Phaya activities and mental health status, this study found that participating times in Tau-Klon-Lam-Phaya activities associated with mental health status with statistically significant at the 0.05 level (X2 = 9.05, pvalue = 0.011). Keywords : Tau-Klon-Lam-Phaya Activities, Mental Health Status, Ederly บทนำ จำกนโยบำยของนำยกรัฐมนตรีสภำนิติบัญญัตแิ ห่งชำติได้ให้ควำมสำคัญเตรียมควำมพร้อมที่จะรับมือกับ ปัญหำเข้ำสู่สังคมผู้สูงอำยุ โดยมี 5 ยุทธศำสตร์สำหรับพัฒนำและส่งเสริมภำวะสุขภำพของชีวิตแก่ผู้สูงอำยุ ได้แก่ ด้ำนกำรเตรียมควำมพร้อม ด้ำนกำรส่งเสริมผู้สูงอำยุด้ำนระบบคุ้ มครองทำงสังคมสำหรับผู้สูงอำยุด้ำนกำรบริหำร จัดกำรผู้สูงอำยุระดับชำติและยุทธศำสตร์ด้ำนกำรประมวลและพัฒนำองค์ควำมรู้ตำมแผนผู้สูงอำยุแห่งชำติฉบับที่ 2 (พ.ศ.2545 - 2564) (กระทรวงพัฒนำสังคมและควำมมั่นคงของมนุษย์ . 2545) เนื่องจำกประชำกรไทยมีจำนวน 65.1 ล้ำนคน เป็นประชำกรสูงอำยุ 60 ปีขึนไป 11 ล้ำนคนหรือคิดเป็นร้อยละ 16 ของประชำกรทังหมด ประเทศ ไทยมีจำนวนผู้สูงอำยุเพิ่มมำกขึน สำนักงำนสถิติแห่งชำติ . 2557 มีจำนวนผู้สูงอำยุร้อยละ 14.9 ของประชำกร ทังหมดแบ่งเป็นชำยร้อยละ 13.2 และหญิงร้อยละ 16.1 ประเทศไทยจะกลำยเป็นสังคมสูงวัยอย่ำงสมบูรณ์คือ มี สัดส่วนประชำกรอำยุ 60 ปีขึนไปสูงถึงร้อยละ 20 ในปี 2564 ตำมกำรคำดประมำณของสำนักงำนคณะกรรมกำร พัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ (มูลนิธิสถำบันวิจัยและพัฒนำผู้สูงอำยุไทย, 2559)กำรส่งเสริมให้ผู้สูงอำยุมี ภำวะสุขภำพที่ดีทังด้ำนร่ำงกำย จิตใจ และสังคม ไม่เป็นภำระต่อสังคมในอนำคต จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรได้รับควำม ร่วมมือจำกภำครัฐภำคเอกชน ชุมชน และครอบครัว (สำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี . 2557) โดยมำตรำ 11 ของ พระรำชบัญญัติฉบับนีได้กำหนดให้ผู้สูงอำยุมีสิทธิได้รับกำรคุ้มครองกำรดำรงชีวิตกำรประกอบอำชีพที่เหมำะสมกำร พัฒนำตนเองและกำรมีส่วนร่วมในกิจกรรมสังคมและกำรรวมกลุ่มเป็นต้นเพื่อให้ผู้สูงอำยุสำมำรถวำงแผนชีวิต เหมำะสมกับตนเอง (กระทรวงพัฒนำสังคมและควำมมั่นคงของมนุษย์. 2545) เพื่อลดปัญหำของผู้สูงอำยุ ทังปัญหำ สุ ข ภำพกำย ที่ ส่ ว นใหญ่ มั ก ป่ ว ยเป็ น โรคเรื อรั ง ได้ แ ก่ โรคข้ อ อั ก เสบ โรคข้ อ เข่ ำ เสื่ อ มโรคควำมดั น โลหิ ต สู ง

120


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

โรคเบำหวำน เป็นต้น ทังนี ในอำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร ได้มีกำรจัดตังโครงกำร กำรจัดกำรดูแลผู้สูงอำยุใน รูปแบบของ “วิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง ” ของวิทยำลัยชุมชนมุกดำหำร ภำยใต้โครงกำรจัดกำรควำมรู้เพื่อ เสริมสร้ำงควำมเข้มแข็งของชุมชน เทศบำลตำบลดอนตำล อ.ดอนตำล จ.มุกดำหำรให้ มีกิจกรรมกำรเรียนที่จะ เสริมสร้ำงภำวะสุขภำพ (มูลนิธิสถำบันวิจัยและพัฒนำผู้สูงอำยุไทย. 2553) ด้วยเหตุดังกล่ำว ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษำ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกิจกรรมต่อกลอนลำผญำกับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจของผู้สูงอำยุในวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง อำเภอ ดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร ผลกำรวิจัยที่ได้จะเป็นข้อมูลสนับสนุนแนวทำงกำรจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริม สุขภำพของผู้สูงอำยุในชุมชนอื่นต่อไป วัตถุประสงค์ของกำรวิจยั เพื่อศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกิจกรรมต่อกลอนลำผญำกับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจของผู้สูงอำยุใน วิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร วิธีดำเนินกำรวิจัย รูปแบบกำรวิจัย กำรศึกษำครั้งนี้ เป็นงำนวิจัยเชิงพรรณนำ ดำเนินกำรศึกษำในกลุ่มผู้สูงอำยุของวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไท กะเลิงอำเภอ ดอนตำล จังหวัดมุกดำหำรผู้สูงอำยุที่มีอำยุ 60 ปี ขึนไป ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกร คือ ผู้สูงอำยุที่มีอำยุตังแต่ 60 ปีขึนไป ทังเพศชำยและเพศหญิงเข้ำร่วมวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง อำเภอ ดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร จำนวน 100 คน กลุ่มตัวอย่ำง คือ ผู้สูงอำยุที่มีอำยุตังแต่ 60 ปีขึนไป ทังเพศชำยและเพศหญิงเข้ำร่วมวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง จำนวน 80 คน จำกตำรำงกำหนดขนำดกลุ่มตัวอย่ำงของเครจซีและมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970 : 608-610) เกณฑ์กำรคัดเข้ำของกลุ่มตัวอย่ำง ประกอบด้วย 1) เป็นผู้ที่มีอำยุตังแต่ 60 ปีขึนไป ทังชำยและ หญิง 2) สำมำรถสื่อสำรรับรู้ ฟังเข้ำใจ 3) ไม่มีโรคประจำตัวร้ำยแรง สุ่มตัวอย่ำงอย่ำงง่ำย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย ประกอบด้วย แบบสัมภำษณ์เกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของผู้สูงอำยุ แบบสัมภำษณ์ เกี่ยวกับกิจกรรมต่อกลอนลำผญำ และแบบสัมภำษณ์ระดับภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง อำเภอ ดอนตำล จังหวัด มุกดำหำร เป็นแบบมำตรำส่วนประมำณค่ำ (Rating scale) ตรวจสอบควำมตรงเชิงเนือหำ โดยผู้เชี่ยวชำญและควำมเชื่อถือได้ของแบบสัมภำษณ์แบบ Cronbach’s Alpha ได้ค่ำควำมเชื่อถือได้ของ แบบสอบถำม 0.74 นำส่งคณะกรรมกำรพิจำรณำจริยธรรมเพื่อตรวจสอบและได้ผ่ำนกำรรับรองจำกคณะกรรมกำร จริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์ของมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ เลขที่ HE-SRUU 2-0006 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยนำแบบสัมภำษณ์ที่สมบูรณ์ ลงพืนที่ไปสัมภำษณ์ผู้สูงอำยุ 60 ปีขึนไป ในวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง อำเภอ ดอนตำล จังหวัด มุกดำหำร โดยมีผู้ช่วยวิจัยร่วมในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลด้วย ทังนีก่อนลงพืนที่ เก็บข้อมูล ผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัยได้มีกำรประชุมเพื่อทำควำมเข้ำใจเกี่ยวกับวิธีกำรสัมภำษณ์และกำรบันทึกข้อมูลให้ เป็นแนวทำงเดียวกัน

121


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำรวิเครำะห์ข้อมูล วิเครำะห์ข้อมูลโดยกำรแจกแจงควำมถี่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน และใช้สถิติไคสแควร์ (Chi-square) วิเครำะห์ควำมสัมพันธ์กิจกรรมต่อกลอนลำผญำกับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำเร็จรูป ผลกำรวิจัย ตำรำงที่ 1 แสดงลักษณะข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่ำง (n=80) ข้อมูลส่วนบุคคล 1. เพศ ชำย หญิง 2. อำยุ 60 - 69 ปี 70 – 79 ปี 80 ปีขึนไป 3. สถำนภำพสมรส โสด สมรส หม้ำย 4. ระดับกำรศึกษำ ไม่ได้เรียน ประถมศึกษำ มัธยมศึกษำตอนต้น มัธยมศึกษำตอนปลำย ปริญญำตรี อื่น ๆ 5. อำชีพ กสิกรรม ค้ำขำย ข้ำรำชกำรบำนำญ อื่น ๆ 6. โรคประจำตัว มี ไม่มี

จำนวน (คน)

ร้อยละ

7 73

8.90 91.30

32 39 9

40.30 49.00 11.30

11 37 32

13.80 46.30 40.00

1 70 2 3 3 1

1.30 87.50 2.50 3.80 3.80 1.30

63 6 2 9

78.80 7.50 2.50 11.30

61 19

76.30 23.80

จำกตำรำงที่ 1 พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 73 คน คิดเป็นร้อยละ 91.30 มีอำยุระหว่ำง 70-79 ปีขึนไป จำนวน 39 คน คิดเป็นร้อยละ 49.00 รองลงมำอยู่ในช่วงอำยุ 60-69 ปี จำนวน 32 คน คิดเป็น ร้อยละ 40.30 ส่วนใหญ่มีสถำนภำพสมรส จำนวน 37 คน คิดเป็นร้อยละ 46.00 มีกำรศึกษำระดับประถมศึกษำ

122


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

จำนวน 70 คน คิดเป็นร้อยละ 87.50 ส่วนใหญ่ประกอบอำชีพกสิกรรมจำนวน 63 คน คิดเป็นร้อยละ 78.00 กลุ่ม ตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว 61 คน คิดเป็นร้อยละ 76.30 ตำรำงที่ 2 แสดงจำนวน ร้อยละ ของลักษณะกำรเข้ำร่วมกิจกรรมต่อกลอนลำผญำ (n=80) กิจกรรมต่อกลอนลำผญำ จำนวนครังที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อกลอนลำผญำ 12 ครังขึนไป 8-11 ครัง 5-7 ครัง 2-4 ครัง 1 ครัง ระยะเวลำที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อครัง มำกกว่ำ 60 นำที 46-60 นำที 31-45 นำที 16-30 นำที 1-15 นำที จำนวนครังที่คิดบทต่อกลอนลำได้โดยไม่ต้องท่องจำ ทุกครัง 6-10 ครัง 2-5 ครัง 1 ครัง ไม่เคย จำนวนบุคคลที่ชวนเข้ำร่วมกิจกรรมด้วย 7 คนขึนไป 5-6คน 3-4 คน 1-2 คน ไม่มี กำรนำบทกลอนลำผญำมำใช้ในชีวิตประจำวัน ทังวัน 7-10 ครัง ต่อ วัน 4-6 ครัง ต่อ วัน 1-3 ครัง ต่อ วัน ไม่เคย

จำนวน (คน)

ร้อยละ

38 3 10 13 16

47.50 3.80 12.50 16.30 20.00

44 4 5 16 11

55.00 5.00 6.30 20.00 13.80

18 6 9 11 36

22.50 7.50 11.30 13.80 45.00

41 8 11 5 15

51.30 10.00 13.80 6.30 18.80

14 6 11 24 25

17.50 7.50 13.80 30.00 31.30

จำกตำรำงที่ 2 พบว่ำ ส่วนใหญ่ผู้สูงอำยุได้เข้ำร่วมกิจกรรมต่อกลอนลำผญำ 12 ครังขึนไป จำนวน 38 คน คิดเป็นร้อยละ 47.50 ใช้ระยะเวลำที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อครังมำกกว่ำ 60 นำที จำนวน 44 คน คิดเป็นร้อยละ 55.00 จำนวนครังที่คิดบทต่อกลอนลำได้โดยไม่ต้องท่องจำ ส่วนใหญ่ทำได้ทุกครั ง จำนวน18 คน คิดเป็นร้อยละ

123


SRRU NCR2018

การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

22.50 กำรนำบทกลอนลำผญำมำใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่ได้นำบทผญำมำประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน1-3 ครัง ต่อวัน จำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 30.00 ตำรำงที่ 3 แสดงจำนวน ร้อยละ ของภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ (n =80) ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ 1. ท่ำนเกิดอำรมณ์ไม่พอใจ ต่อสภำพร่ำงกำยตนเองที่มี กำรเปลี่ยนแปลง 2. ท่ำนรู้สึกกังวลใจ เมื่อท่ำนอยู่โดดเดี่ยว 3. ท่ำนไม่พอใจมีควำมขุ่นเคือง จนไม่สำมำรถปรึกษำใคร ได้เลย 4. ท่ำนเบื่อหน่ำยท้อแท้กับปัญหำที่ท่ำนเผชิญอยู่คนเดียว 5. เมื่อมีควำมเครียดท่ำนมักดื่มสุรำหรือสูบบุหรี่ 6. ท่ำนพอใจต่อสภำพร่ำงกำยตนเอง 7. ท่ำนไม่กังวล ไม่กลัว เมื่ออยู่คนเดียว 8. ท่ำนเปิดใจกับสิ่งรอบข้ำง ขณะที่ท่ำนทุกข์ใจ 9. ท่ำนมีเพื่อน ครอบครัว และญำติ ร่วมแก้ไขปัญหำของ ท่ำน หรือท่ำนเผชิญได้ด้วยตนเอง 10.ท่ำ นสำมำรถพัฒนำตนเอง ด้ว ยกำรร่ว มกิจ กรรมกับ ผู้อื่น เช่น (ถือศีล ออกกำลังกำย ทำนอำหำรที่พอดี)

ไม่เลย

1-3 ครัง ต่อสัปดำห์

4-6 ครัง ต่อสัปดำห์

ทุกวัน

37 (46.3) 45 (56.3)

18 (22.5) 15 (18.8)

17 (21.3) 13 (16.3)

8 (10.0) 7 (8.8)

58 (72.5) 50 (62.5) 34 (42.5) 7 (8.8) 5 (6.3) 6 (7.5)

5 (6.3) 19 (23.8) 10 (12.5) 12 (15.0) 10 (12.5) 15 (18.8)

5 (6.3) 3 (3.8) 15 (18.8) 22 (27.5) 21 (26.3) 23 (28.8)

12 (15.0) 8 (10.0) 21 (26.3) 39 (48.8) 44 (55.0) 36 (45.0)

3 (3.8)

7 (8.8)

18 (22.5)

52 (65.0)

1 (1.3)

5 (6.3)

7 (8.8)

67 (83.8)

จำกตำรำงที่ 3 พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงของผู้สูงอำยุส่วนใหญ่ ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจค่อนข้ำงดี โดยสำมำรถ พัฒนำตนเอง ด้วยกำรร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น เช่น (ถือศีล ออกกำลังกำย ทำนอำหำรที่พอดี ) เป็นทุกวัน ร้อยละ 83.8 รองลงมำ มีเพื่อน ครอบครัว และญำติ ร่วมแก้ไขปัญหำของท่ำน หรือท่ำนเผชิญได้ด้วยตนเอง ร้อยละ 65.0 เมื่อถำม เกี่ยวกับควำมรู้สึกกังวลใจเมื่ออยู่โดดเดี่ยว ร้อยละ 56.3 ระบุว่ำ ไม่มีเลย ตำรำงที่ 4 แสดงจำนวน ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ของคะแนนประเมินภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ (n = 80) ระดับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ ระดับต้องปรับปรุง (0-17 คะแนน) ระดับพอใช้ (18 - 23 คะแนน) ระดับดี (24 - 30 คะแนน)

จำนวน 12 28 40

ร้อยละ 15.0 35.0 50.0

( X = 22.55 S.D. = 4.89 Max. = 30 Min. = 7)

จำกตำรำงที่ 4 พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำง ส่วนใหญ่มีระดับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจอยู่ในระดับดี ร้อยละ 50.0 รองลงมำคือ ระดับดี ร้อยละ 35.00 และระดับต้องปรับปรุง ร้อยละ 15

124


SRRU NCR2018

การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ตำรำงที่ 5 แสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกิจกรรมต่อกลอนลำผญำกับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจของกลุ่มตัวอย่ำง กิจกรรมต่อกลอนลำผญำ

ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำยจิตใจ ต้อง พอใช้ ดี ปรับปรุง

1. จำนวนครังที่เข้ำร่วมกิจกรรม 12 ครังขึนไป น้อยกว่ำ 12 ครัง 2. ระยะเวลำที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อครัง 31- 60 นำที 1-30 นำที 3. จำนวนครังที่คิดบทต่อกลอนลำได้โดยไม่ต้องท่องจำ มำกกว่ำ 5 ครัง 1-5 ครัง 4. จำนวนบุคคลที่ชวนเข้ำร่วมกิจกรรมด้วย 7 คนขึนไป 1-6คน ไม่มี 5. กำรนำบทกลอนลำผญำมำใช้ในชีวิตประจำวัน มำกกว่ำ 3 ครังต่อวัน 1-3 ครังต่อวัน ไม่มี

p-value 2

X

1 11

14 14

23 17

9.05

0.011*

6 6

19 9

28 12

1.70

0.427

3 9

7 21

14 26

0.95

0.621

3 4 5

13 10 5

25 10 5

7.62

0.107

3 3 6

16 5 7

12 16 12

8.35

0.080

*นัยสำคัญที่ระดับ 0.05 จำกตำรำงที่ 5 จำกกำรวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกิจกรรมต่อกลอนลำผญำกับภำวะสุขภำพด้ำน จิตใจของกลุ่มตัวอย่ำงพบว่ำ จำนวนครังที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อกลอนลำผญำมีควำมสัมพันธ์กับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ อย่ำงมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 (X2 X2 = 9.05, p-value = 0.011) สำหรับด้ำนระยะเวลำที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อครัง จำนวนครังที่คิดบทต่อกลอนลำได้โดยไม่ต้องท่องจำ จำนวนบุคคลที่ชวนเข้ำร่วมกิจกรรมด้วย และกำรนำบทกลอน ลำผญำมำใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่มีควำมสัมพันธ์กับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ อย่ำงมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 สรุปผลกำรวิจัย กิจกรรมต่อกลอนลำผญำ นั บว่ำเป็นภูมิปัญญำท้องถิ่นที่มีมำตังแต่อดีต จำกกำรสำรวจกลุ่มผู้สูงอำยุ วิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง จำนวน 80 คน พบว่ำ ส่วนใหญ่ผู้สูงอำยุได้เข้ำร่วมกิจกรรมต่อกลอนลำผญำมำกกว่ำ 12 ครัง จำนวน 38 คน คิดเป็นร้อยละ 47.50 ใช้ระยะเวลำที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อครังมำกกว่ ำ 60 นำที จำนวน 44 คน คิดเป็นร้อยละ 55.00 จำนวนครังที่คิดบทต่อกลอนลำได้โดยไม่ต้องท่องจำ ส่วนใหญ่ทำได้ทุกครัง จำนวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 22.50 กำรนำบทกลอนลำผญำมำใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่ได้นำบทผญำมำประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน1-3 ครังต่อวัน จำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 30.00 เมื่อวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกิจกรรมต่อ กลอนลำผญำกับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจพบว่ำ จำนวนครังที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อกลอนลำผญำมีควำมสัมพันธ์กับ ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ อย่ำงมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 (X2= 9.05, p-value = 0.011)

125


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วิจำรณ์ผลกำรวิจัย จำกวัตถุประสงค์ของกำรวิจัยที่ต้องกำรศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกิจกรรมต่อกลอนลำผญำกับภำวะ สุขภำพด้ำนจิตใจ ของผู้สูงอำยุในวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำ ไทกะเลิง อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร ผลกำรศึกษำครังนี พบว่ำ จำนวนครังที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อกลอนลำผญำมีควำมสัมพันธ์กับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ อย่ำงมีนัยสำคัญที่ ระดับ 0.05 (X2 = 9.05, p-value = 0.011) โดยผู้สูงอำยุที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อกลอนลำผญำมำกกว่ำ 12 ครัง จะมี ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจอยู่ในระดับดี สำหรับด้ำนระยะเวลำที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อครัง จำนวนครังที่คิดบทต่อกลอนลำ ได้โดยไม่ต้องท่องจำ จำนวนบุคคลที่ชวนเข้ำร่วมกิจกรรมด้วย และกำรนำบทกลอนลำผญำมำใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ มีควำมสัมพันธ์กับภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ อย่ำงมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 อธิบำยได้ว่ำ ผู้สูงอำยุที่เข้ำร่วมกิจกรรมต่อ กลอนลำผญำบ่อยครัง จะมีโอกำสในกำรร้อง กำรต่อกลอน กำรร่ำยรำ มำกกว่ำผู้สูงอำยุทั่วไป ซึ่งกิจกรรมเหล่ำนี ช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอำยุมีสุขภำพจิตดี ผ่อนคลำยจำกควำมเครียดควำมซึมเศร้ำ ผลกำรประเมินภำวะสุขภำพด้ำน จิตใจโดยรวมจึงอยู่ในระดับดี ซึ่งสอดคล้องกับงำนวิจัยของสุภำวดี ไชยเดชำธร ทัศนีย์ ทิพย์สูงเนิน และ กชกร แก้ว พรหม. (2558) ได้ศึกษำเรื่อง “สุขภำพจิตของผู้สูงอำยุที่เข้ำร่วมกิจกรรมเสริมสร้ำงแกนนำชมรมผู้สูงอำยุ จังหวัด นครรำชสีมำ” พบว่ำ กลุ่มผู้สูงอำยุที่เข้ำร่วมกิจกรรมทำงสังคมที่พอเหมำะนัน ช่วยให้ผู้สูงอำยุมีสัมพันธภำพจิตที่ดี ทำให้มีกำรส่งเสริมกิจกรรมให้กับผู้สูงอำยุ เพื่อแก้ไขปัญหำของผู้สูงอำยุ ต่อกำรปรับตัวให้เข้ำกับกำรเปลี่ยนแปลง ของร่ำงกำยไปสู่จิตใจที่ดี โดยเฉพำะกิจกรรมที่ส่งเสริมจิตใจควำมดีงำม ของประเพณีขนบธรรมเนียม ควำมเชื่อ ควำมศรัทธำต่อศำสนำสอดคล้องกับงำนวิจัยของวำรุณี สิงหสุรศักดิ์ (2551) ได้ศึกษำเรื่อง“กำรศึกษำแนวทำงกำร ประยุกต์ใช้ท่ำรำไทยมำตรฐำนเพื่อกำรส่งเสริมสุขภำพผู้สูงอำยุ จังหวัดนครรำชสีมำ” พบว่ำ กำรออกำลังกำยที่มี แพลงและดนตรีประกอบ สร้ำงจังหวะที่ใกล้เคียงกับกำรเต้นของหัวใจไม่เร็วจนเกินไป จะทำให้ผู้สูงอำยุผ่อนคลำย มี ควำมสุข จิตใจเบิกบำนแจ่มใส เป็นกำรได้ฝึกสมองด้วยกำรจำบทเพลง ในขณะที่รำ ทำให้ใจเย็น ได้ยิม หัวเรำะ จิตใจอ่อนโยน ทำให้เกิดสมำธิ ลดควำมเครียดและยังสร้ำงภูมิต้ำนทำนโรคอีกด้วย ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในกำรทำกำรวิจัยครั้งต่อไป จำกกำรศึกษำกิจกรรมท่องจำบทผญำ ช่วยให้ผู้สูงอำยุได้มีกำรขยับตัวเคลื่อนไหวร่ำงกำยแม้จะไม่หนัก เท่ำกำรออกกำลังกำยที่เป็นกิจจะลักษณะ แต่ถือเป็นกำรส่งเสริมให้ผู้สูงอำยุมีกิจกรรมทำงกำยในชีวิตประจำวัน พร้อมทังสร้ำงควำมสำมัคคี โดยในเนือหำของบทผญำ ที่มีควำมหลำกหลำยรูปแบบ โดยเฉพำะกำรเน้นให้สร้ำงควำม สำมัคคี ทำให้เกิดกำรพึ่งพำอำศัยกัน และมีคุณค่ำต่อกำรส่งเสริมให้ผู้สูงอำยุมีสุขภำพจิตที่ดี ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษำวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต และควำมเชื่อควำมศรัทธำต่อกำรปฏิบัติตนที่มีผล ต่อภำวะสุขภำพ ในอำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร โดยเฉพำะผลที่มีต่อสุขภำพจิตเพื่อสนับสนุนผลกำรศึกษำใน ครังนีและเป็นแนวทำงในกำรพัฒนำภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุต่อไป กิตติกรรมประกำศ กำรวิจัยครังนีสำเร็จลุล่วงด้วยดีขอขอบพระคุณประธำนชมรมผู้สูงอำยุและผู้สูงอำยุวิทยำลัย ฒ ผู้เฒ่ำไท กะเลิง ที่ยินดีให้ข้อมูล และกัลยำณมิตรจิตอำสำแพทย์วิถีธรรมที่ให้ควำมช่วยเหลือในระหว่ำงกำรศึกษำ ขอขอบคุณ

126


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

อำจำรย์ที่ปรึกษำผู้แก้ไขข้อบกพร่องและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ จนงำนวิจัยนีสำเร็จลุล่วงตำมวัตถุประสงค์ได้ ขอขอบพระคุณคณำจำรย์สำขำสำธำรณสุขศำสตร์และคณะวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ เอกสำรอ้ำงอิง กระทรวงพัฒนำสังคมและควำมมัน่ คงของ มนุษย์. (2545). แผนผู้สูงอำยุแห่งชำติฉบับที่ 2 พ.ศ.2545-2564. กรุงเทพมหำนคร เจ เอส กำรพิมพ์. (2546) พระรำชบัญญัตผิ ู้สูงอำยุ พ.ศ.2546 กรุงเทพมหำนครโรง พิมพ์เทพเพ็ญวำนิสย์. กฤตยำ แสวงเจริญ และคนอื่น ๆ. (2537). แนวทำงกำรให้ควำมรู้ทำงด้ำนสุขภำพอนำมัยแก่หมอลำผีฟ้ำ. คณะ พยำบำลศำสตร์ มหำวิทยำลัยขอนแก่น. ถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์ และ พิรุณ อนวัชศิริวงศ์. (2555). อ่ำนสร้ำงสุข 10 บทกวีพลังรักษ์สุขภำวะกำยใจและจิต วิญญำณ. พิมพ์ครังที่ 1. กรุงเทพมหำนคร : แปลนพรินติง จำกัด. ทรรศณีย์ โกศัยทิพย์.(2553). ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงพฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพในผู้สูงอำยุ. ปริญญำ สำธำรณสุขศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำสำธำรณสุขศำสตร์ มหำวิทยำลัยนเรศวร. ประคอง กรรณสูตร. (2542). สถิติเพื่อกำรวิจัยทำงพฤติกรรมศำสตร์. กรุงเทพมหำนคร : สำนักพิมพ์แห่ง จุฬำลงกรณ์มำวิทยำลัย. พรรษชล แข็งขัน และคนอื่น ๆ. (2555). โครงกำรส่งเสริมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญำท้องถิ่นอีสำน. พระสุขี ชำครธมฺโม. (2553). ศึกษำวิเครำะห์ กำรเปลี่ยนแปลงของประเพณีฮีตสิบสอง : ศึกษำกรณี ตำบลเมือง เก่ำ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น. วิทยำนิพนธ์ปรัชญำมหำบัณฑิต สำขำวิชำพระพุทธศำสนำ มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย. มูลนิธิสถำบันวิจัยและพัฒนำผูส้ ูงอำยุไทย. (2553). สถำนกำรณ์ผู้สูงอำยุไทย พ.ศ.2552. กรุงเทพมหำนคร ที คิว พี. มูลนิธิสถำบันวิจัยและพัฒนำผูส้ ูงอำยุไทย. (2559). สถำนกำรณ์ผู้สูงอำยุไทย พ.ศ.2558. บริษัท อมรินทร์พรินติง แอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหำชน) 65/101-103 ถนนชัยพฤกษ์ เขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหำนคร. ลีณวัฒน์ คุณเวียน, บัววรุณ ศรีชัยกุล และธีรยุทธ อุดมพร. ( 555). “กำรพัฒนำกำรดำเนินงำนตำมมำตรฐำนกำร ดำเนินงำนป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภำพขององค์กำรบริหำรส่วนตำบล อำเภอแกดำ จังหวัด มหำสำรคำม.” วำรสำรมนุษยศำสตร์และสังคมศำสตร์. 6(2) : 187-196. ศรีปริยตั ยำภิวัฒน์. (2555). ศึกษำพุทธจริยธรรมที่ปรำกฏในวรรณกรรมอีสำนเรื่องธรรมสร้อยสำยคำ. มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย ศูนย์เรียนรู้สุขภำวะ. (2559). ท้องถิ่นร่วมใจดูแลผู้สูงวัยในชุมชน. สำนักงำนส่งเสริมสุขภำพกรมอนำมัย. ( 559). “กำรเยี่ยมเสริมพลังภำยใต้โครงกำร 100 ตำบลส่งเสริมสุขภำพ และอนำมัยสิ่งแวดล้อม.”[ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก http://anamai.moph.go.th/ewt_dl_link.php?nid=640 สืบค้น 2 กรกฎำคม 2560. สำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี. (2557). คำแถลงนโยบำยของคณะรัฐมนตรี. สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและรำช กิจจำนุเบกษำ อดิศร เพียงเกษ. (2544). หลักธรรมทำงพระพุทธศำสนำเรื่องบุญ-บำปทีป่ รำกฏในผญำอีสำน. วิทยำนิพนธ์ ปรัชญำมหำบัณฑิต สำขำพระพุทธศำสนำ มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย

127


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-13

กำรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศโดย Google Form มำใช้ในงำนด้ำนโภชนำกำร กรณีศึกษำ อำหำรยอดนิยมที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์ THE APPLICATION OF INFORMATION TECHNOLOGY BY GOOGLE FORM USED IN NUTRITION. A CASE STUDY OF POPULAR FOODS PRESENTED TO BUDDHIST MONKS ทำริกำณ์ แขมโคกกรวด1, รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์2, และ สุธีรำ อินทเจริญศำนต์3 1

สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ jumrassarin@gmail.com 3 สาขาวิชาโภชนศาสตร์และการก้าหนดอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ 2

บทคัดย่อ กำรศึกษำครังนีมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจรำยกำรอำหำรยอดนิยมที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์ โดยใช้แบบสำรวจออนไลน์ ในกำรสำรวจกำรบริโภคอำหำรโดยใช้ Google Form ซึ่งกำรวิจัยนีเป็นกำรวิจัยเชิง สำรวจแบบภำคตัดขวำง โดยสร้ำงเครื่องมือแบบสำรวจออนไลน์บนระบบอินเตอร์เน็ตผ่ำนมือถือ และทดสอบ ประสิทธิภำพโดยผู้เชี่ยวชำญ และนำไปสำรวจกลุ่มตัวอย่ำงจำนวน 320 คน ผลกำรวิจัยพบว่ำแบบสำรวจออนไลน์ สำมำรถนำมำประยุกต์ใช้ในกำรวิจัยได้ สะดวก รวดเร็ว และประหยัดงบประมำณในกำรเก็บข้อมูล ผลกำรสำรวจ อำหำรยอดนิยมที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์พบว่ำ มีกำรถวำยอำหำรประเภทกับข้ำวจำนวน 459 รำยกำร เมื่อนำมำวิเครำะห์ผล พบว่ำ ประเภทอำหำรที่นิยมถวำยพระสงฆ์จำแนกตำมวิธีกำรประกอบอำหำร 5 ลำดับแรก ได้แก่ อำหำรประเภทต้ม (15.69%) ทอด (13.51%) ผัด (12.85%) แกงกะทิ (9.37%) และอำหำรที่มีรสชำติจัดคือ ยำหรือลำบ (8.71%) ตำมลำดับ ชนิดอำหำรที่นิยมนำมำถวำยพระสงฆ์มำกที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ ไข่พะโล้ (7.19%) ลำบหมู (6.32%) แกงส้มผักรวม (5.88%) ไข่เจียว (5.23%) และแกงกะทิหน่อไม้ดอง (3.49%) ตำมลำดับ คำสำคัญ : เทคโนโลยีสารสนเทศ, โภชนาการ, พระสงฆ์ Abstract The objective of this study was to explore the popular dietary items that Buddhists bring to the monks by using online surveys, applying information technology in the nutrition field. This study was cross-sectional survey research by creating an online survey tool on mobile internet which the information in the online survey form was tested by the experts. The result found that online surveys can be applied to research quickly, conveniently and cost-effectively. The most popular food survey that Buddhist monks brought to the monks found. There were 459 dishes presented. When analyzed, it was found that 5 types of food were boiled (15.69%), fried (13.51%), stir fried (12.85%) curry in coconut milk (9.37%).The five most popular food offered to

128


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

the monks were boiled egg cooked in Chinese flavor style soup (7.19%), the spicy Thai style pork salad (6.32%), the mixed vegetable in medium spicy soup (5.88%) omelet (5.23%) and curry with pickle bamboo shoot cooked in coconut milk (3.49%), respectively. Keywords: Information Technology, Nutrition, Monks บทนำ ปัจจุบันปัญหำด้ำนโภชนำกำรที่สำคัญในประเทศไทย ได้แก่ ภำวะโรคอ้วน และกำรเกิดโรคไม่ติดต่อ เรื อรั ง ซึ่ งเมื่ อ พิจ ำรณำดูส ำเหตุ ที่ส ำคัญ ของกำรเสี ย ชีวิ ต ของคนไทย พบว่ ำเกิด จำกโรคมะเร็ ง โรคหั วใจ และ โรคเบำหวำน ซึ่งโรคเหล่ำนีเป็นโรคที่เกิดจำกพฤติกรรมกำรบริโภคและพฤติกรรมกำรดูแลสุขภำพ และกลุ่มบุคคล หนึ่งที่น่ำเป็นห่วงจำกโรคเหล่ำนีคือ พระสงฆ์ (ลลิลทิพย์ ธนสมบัตินันท์. 2556 : 1) จำกสถิติข้อมูลพระสงฆ์ที่เข้ำ รับกำรรักษำในโรงพยำบำลสงฆ์ ในปีงบประมำณ 2558 พบ 5 อำกำรป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ (1) โรคไขมันใน เลือดสูง (2) โรคควำมดันโลหิตสูง 3) โรคเบำหวำน 4) โรคไตวำย และ 5) โรคข้อเข่ำเสื่อม โดยสำเหตุเกิดจำกอำหำร เป็นหลัก (นฤมล สวรรค์ปัญญำเลิศ. 2559) ซึ่งจำกปัญหำและอุปสรรคของระบบสำรสนเทศที่เกี่ยวข้องกับอำหำร และโภชนำกำรจำกรำยงำนสถำนกำรณ์อำหำรและโภชนำกำรในประเทศไทยพบว่ำ มีควำมซำซ้อนของกำรทำงำน ไม่สำมำรถนำข้อมูลจำกแต่ละกำรสำรวจมำใช้จัดทำเป็นแนวโน้มสถำนกำรณ์ร่วมกันได้ ซึ่งทำให้ข้อมูลที่ได้ไม่ทันต่อ เหตุกำรณ์เพรำะใช้วิธีกำรวัดแตกต่ำงกัน ข้อมูลที่ได้จำกวิธี Self - Report มีข้อจำกัดด้ำนคุณภำพและควำม ครบถ้วนสมบูรณ์ และมีข้อจำกัดด้ำนควำมยั่งยืนของงบประมำณที่ใช้จัดทำ (สุลัดดำ พงษ์อุทธำ และคณะ. 2557 : 164 - 173) อย่ำงไรก็ตำมในปัจจุบันระบบเทคโนโลยีสำรสนเทศมีวิวัฒนำกำรก้ำวหน้ำอย่ำงมำก มีเทคโนโลยีที่ พัฒนำและประยุกต์ใช้งำนบนมือถือได้แก่ Cloud Computing คือบริกำรที่ครอบคลุมถึงกำรให้ใช้กำลังประมวลผล หน่วยจัดเก็บข้อมูล และระบบออนไลน์ต่ำงๆ จำกผู้ให้บริกำร เพื่อลดควำมยุ่งยำกในกำรติดตัง ดูแลระบบ ช่วย ประหยัดเวลำ และลดต้นทุนในกำรสร้ำงระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ำยเอง (งำนระบบคอมพิวเตอร์และบริกำร ศูนย์เทคโนโลยีสำรสนเทศ มหำวิทยำลัยแม่โจ้. 2561 : 1 - 4) กำรสร้ำงแบบสอบถำมหรือแบบบันทึกข้อมูล ออนไลน์ โดยใช้ Google Form ซึ่งเป็นหนึ่งใน Google Application ในกลุ่ม Google Document เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่ช่วยให้กำรเก็บข้อมูลเป็นไปอย่ำงมีประสิทธิภำพ สะดวก รวดเร็ว และประหยัด มีขันตอนกำรทำที่ง่ำย ไม่ซับซ้อน และ Google Documents ยังมีตัวช่วยในกำรประมวลผลข้อมูลเบืองต้น สำมำรถเก็บผลกำรประเมินทังหมดนำไป ประมวลผลในทันที โดยที่ไม่ต้องมำบันทึกข้ อมูลให้เสียเวลำ และไม่เสี่ยงต่อกำรบันทึกข้อมูลผิดพลำดอีกด้วย (งำม เนตร ประดิษฐยูร. 2561) จำกข้อมูลทังหมดข้ำงต้นทำให้ผู้วิจัยสนใจศึกษำกำรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศโดย Google Form มำใช้ในงำนด้ำนโภชนำกำร กรณีศึกษำ อำหำรยอดนิยมที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์ ซึ่งผู้วิจัยสนใจ ศึกษำในพืนที่จังหวัดนครรำชสีมำ เป็นจังหวัดที่กำลังพัฒนำขยำยเมืองในทุกด้ำน ควำมเจริญต่ำงๆ ที่เพิ่มขึน จำนวน ประชำกรที่หลั่งไหลเข้ำมำ รวมถึงในด้ำนพุทธศำสนำที่มีควำมชุกของพุทธศำสนสถำนและพุทธศำสนิกชน โดยผู้ที่ เกี่ยวข้องและสนใจสำมำรถนำไปเป็น แนวทำงกำรพัฒนำเครื่องมือในกำรบันทึกตำมหลักโภชนศำสตร์ได้อย่ำงง่ำย และสะดวกกำรในกำรเก็บข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภำพในงำนด้ำนโภชนำกำร อำทิเช่น กำรสำรวจปริมำณ และ ควำมถี่ในกำรบริโภค พฤติ กรรมกำรบริโ ภค กำรจัด กลุ่ม ประเภท เป็นต้ น จึงเป็น แนวทำงในกำรพัฒนำระบบ

129


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สำรสนเทศด้ำนอำหำรและโภชนำกำรของพระสงฆ์ และประชำชน และยังสำมำรถนำไปประยุกต์ใช้กับกับกำรสำรวจ ข้อมูลด้ำนอื่นๆ ต่อไป วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย เพื่อสำรวจรำยกำรอำหำรยอดนิยมที่พุทธศสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์โดยใช้แบบสำรวจออนไลน์ ใน กำรสำรวจกำรบริโภคอำหำรโดยใช้ Google Form วิธีดำเนินกำรวิจัย วิธีวิจัย กำรศึกษำวิจัยนีเป็นกำรวิจัยเชิงสำรวจแบบภำคตัดขวำง ที่ผ่ำนกำรรับรองจำกคณะกรรมกำรจริยธรรม ในกำรวิจัยในมนุษย์ มหำวิทยำลั ยรำชภัฏสุรินทร์เลขที่ HE-SRRU3-0002 โดยมีขันตอนดังแผนภำพที่ 1 และมี รำยละเอียดดังนี กำรศึกษำค้นคว้ำ เอกสำรและเก็บ ข้อมูลเชิงคุณภำพ

วิเครำะห์และ ออกแบบวิธีวิจัย และเครื่องมือ ออนไลน์

แผนภำพที่ 1 ขันตอนกำรดำเนินกำรวิจัย

สร้ำงแบบบันทึกออนไลน์ด้วย google form และตรวจสอบ คุณภำพ

สำรวจอำหำรที่ พุทธศำสนิกชนนิยม นำมำถวำยพระสงฆ์

วิเครำะห์ข้อมูล และแปลผล

Cloud computing System

กลุ่มตัวอย่ำง 1. กลุ่มตัวอย่ำงสำหรับกำรเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภำพ ได้แก่ ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 25 รำย ดังนี (1) พุทธศำสนิกชนที่ใส่บำตรเป็นประจำทังที่ปรุงอำหำรเอง จำนวน 3 รำย และซือจำกร้ำนค้ำจำนวน 3 รำย (2) ร้ำนค้ำที่จำหน่ำยอำหำรตำมเส้นทำงบิณฑบำตและตลำด จำนวน 4 รำย (3) ผู้จัดเตรียมอำหำรถวำยพระสงฆ์เป็น ประจำ จำนวน 2 รำย (4) เจ้ำอำวำสวัดที่อยู่ในเขตเทศบำลเมือง จำนวน 2 รูป (5) ผู้มีหน้ำที่ปรุงอำหำรถวำย พระสงฆ์ที่วัด จำนวน 3 (6) ผู้ดูแลสถำนที่ในกำรปรุงอำหำรที่โรงเจ 1 รำย (7) ผู้เชี่ยวชำญด้ำนโภชนำกำร จำนวน 4 รำย (8) ผู้เชี่ยวชำญด้ำนเทคโนโลยีสำรสนเทศ จำนวน 3 รำย 2. กลุ่มตัวอย่ำงสำหรับกำรเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมำณ ใช้สูตรกำรคำนวณของคอแครน (W.G. Cochran (1977)) โดยกำหนดระดับค่ำควำมเชื่อมันร้อยละ 95 และระดับค่ำควำมคลำดเคลื่อนร้อยละ 5 (กัลยำ วำ นิชย์บัญชำ. 2554 : 13 - 14) คำนวณได้ขนำดตัวอย่ำงจำนวน 320 คน ซึ่งเป็นพุทธศำสนิกชนที่ถวำยอำหำรแด่ พระสงฆ์ กำรสร้ำงเครื่องมือวิจัย 1. ศึกษำค้นคว้ำเอกสำรและข้อมูลทำงสถิติที่เกี่ยวข้องต่ำงๆ (Document Method) กำรทบทวน วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Literature Review) กำรลงเก็บข้อมูลภำคสนำม (Field Research) กำรสังเกต กำร

130


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สัมภำษณ์ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ ศึกษำกำรใช้งำนและสร้ำงแบบบันทึกด้วย Google Form รวมถึงกำรเรียนรู้ ฝึกทักษะที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลต่ำงๆ ที่ได้มำนันเพื่อนำไปออกแบบวิธีวิจัย และสร้ำงเครื่องมือกำรสร้ำงแบบบันทึก ออนไลน์ด้วย Google Form 2. สร้ำงแบบบันทึกออนไลน์ด้วย Google Form สำหรับกำรวิจัยครังนี ผู้วิจัยได้เทคนิคกำรวิเครำะห์หลักกำรต่ำงๆ ข้ำงต้น ผสมผสำนกับเทคนิคกำร ออกแบบข้อมูลในเชิงเทคโนโลยีสำรสนเทศ โดยสรุปสิ่งที่ได้มำใส่ตำรำง หรือสร้ำงแผนผังควำมคิด (Mind Mapping) จนนำไปสู่แผนผังของข้อมูล (Flowchart) เพื่อให้เข้ำใจง่ำยขึนทังใช้จริงในกำรลงภำคสนำม และหลังจำกเก็บข้อมูล สร้ำงเครื่องมือแบบบันทึกออนไลน์ด้วย Google Form และตรวจสอบคุณภำพและทดลองใช้งำนเครื่องมือโดยกำร ออกแบบร่ำงบันทึกรำยกำรอำหำรที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์ ใช้แบบสังเกตแบบมีโครงสร้ำง เป็นแบบ รำยกำรตรวจสอบ (Check List) ไว้ เพื่อรวบรวมข้อมูลรำยกำรอำหำรต่ำงๆ ที่พุทธศำสนิกชนที่นำถวำย เพื่อเก็บ ข้อมูลอำหำรยอดนิยมที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์ รำยละเอียดดังแผนภำพที่ 2

แบบ บันทึก

ข้อมูลสำรวจ รำยกำรอำหำร ถวำยพระสงฆ์

แผนภำพที่ 2 กำรใช้งำน Google Form 3. กำรตรวจสอบคุณภำพและทดสอบเครื่องมือ 3.1 กำรตรวจสอบคุณภำพเครื่องมือ จำกผู้เชี่ยวชำญด้ำนโภชนำกำร ด้ำนระเบียบวิธีวิจัยและ ภำษำ ด้ำนระบบเทคโนโลยีสำรสนเทศ (Information Technology : IT) รวม 4 ท่ำน โดยใช้ดัชนีควำมตรงตำม เนือหำทังฉบับ (Content Validity For Scale : S-CVI) ผลกำรประเมินได้ค่ำคะแนน 1.00 (S-CVI ควรมีค่ำตังแต่ 0.8 ขึนไป) 3.2 กำรสร้ำงแบบบันทึก รำยกำรอำหำรที่พุ ทธศำสนิก ชนน ำมำถวำยพระสงฆ์ เพื่อ เก็บ ข้อมู ล อำหำรยอดนิยมที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์ออนไลน์ด้วย Google Form 3.3 กำรตรวจแบบบันทึกรำยกำรอำหำรที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์ออนไลน์ (Web Form) ซึ่งผู้วิจัยทำกำรทดสอบกำรใช้งำนเบืองต้นก่อนส่งให้ผู้เชี่ยวชำญด้ำน IT 3 ท่ำน โดยกำรตรวจสอบเชิง ประจักษ์ตำมกระบวนกำรตรวจสอบของกำรพัฒนำ IT (Web Application) ซึ่งผลประเมินผ่ำนจำกผู้เชี่ยวชำญทัง 3 ท่ำน 3.4 กำรวัดประสิทธิภำพแบบบันทึกรำยกำรอำหำรที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์ออนไลน์ โดย กำรทดสอบประสิทธิภำพของโปรแกรมที่พัฒนำขึนจะพิจำรณำประสิทธิภำพของโปรแกรมใน 2 ด้ำนได้แก่ ประสิทธิภำพด้ำนกำรลดเวลำในกำรประมวลผลข้อ มูลจำกแบบเก็บข้อมูล และด้ำนควำมถูกต้องของข้อมูลที่ถูก วิเครำะห์ด้วยสถิติเบืองต้น (ศิริพร ตังวิบูลย์พำณิชย์. 2557 : 63) สำหรับกำรทดสอบด้ำนกำรลดเวลำ จะเปรียบเทียบเวลำ ที่ ใช้ในกำรบันทึกระหว่ำงวิธีกำรแบบเดิมกับแบบบันทึกออนไลน์ที่พัฒนำขึน โดยใช้ผู้ทดสอบคนเดีย วกันเริ่มต้นจับ

131


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เวลำตังแต่ตอนป้อนข้อมูลกำรลงบันทึกแบบบันทึกที่เป็นกระดำษ แล้วนำไปคำนวณหำค่ำควำมถี่และค่ำเฉลี่ยใน ตำรำงจนได้ค่ำออกมำ และทดสอบโปรแกรมที่พัฒนำขึนจะเริ่มต้นจับเวลำตังแต่ผู้ใช้เริ่มกำรป้อนข้อมูลจำกแบบ บันทึกออนไลน์ ป้อนข้อมูลผ่ำนแบบบันทึกที่ผู้วิ จัยสร้ำงขึน จนกระทั่งสินสุดกำรประมวล โดยให้ผู้ทดสอบทำกำร บันทึกในภำคสนำมจำนวน 3 รำยกำร (ภณิชญำ ชมสุวรรณ. 2561 : 1130) พบว่ำกำรบันทึกด้วยกระดำษใช้เวลำ เฉลี่ย 4.30 นำที บันทึกผ่ำนระบบออนไลน์ใช้เวลำเฉลี่ย 1 นำที และทังกำรกำรบันทึกด้วยกระดำษและออนไลน์มี ควำมถูกต้อง 3.5 กำรหำควำมเที่ยงของแบบสังเกต (Interrater Reliability) นอกจำกจะตรวจสอบควำมตรง ของเนือหำแล้ว ผู้วิจัยใช้กำรตรวจสอบควำมเชื่อมั่นระหว่ำงผู้สังเกตอีกด้วย ซึ่งก็คือควำมสอดคล้องระหว่ำงผลกำร สังเกตของผู้สังเกตตังแต่ 2 คนขึนไป ผลกำรสังเกตที่สอดคล้องกั น ย่อมแสดงถึงควำมชัดเจน และควำมเป็นปรนัย ของข้อควำมในแบบบันทึกแบบสังเกต (บุญเรือง ศรีหิรัญ. 2559 : 112) โดยใช้สูตรในกำรคำนวณของ Burns & Grove (2005) ซึ่งค่ำควำมเที่ยงที่ต่ำกว่ำ 0.8 มีผลไม่ดีต่อข้อมูลที่ได้ ค่ำที่ดีควรมำกกว่ำ 0.9 (Burns & Grove. 2005. อ้ำงถึงใน อภิญญำ วงศ์พิริยโยธำ. 2559 : 9) ดังนี ควำมเที่ยงจำกกำรสังเกต = จำนวนข้อที่สังเกตเห็นเหมือนกัน / จำนวนข้อที่สังเกตทังหมด ซึ่งในกำรวิจัยขันตอนนี ผู้วิจัยจะทำกำรหำควำมเที่ยงโดยวิธีวัดซำ และกำรตรวจสอบควำมเชื่อมั่น ระหว่ำงผู้สังเกต โดยให้ผู้เก็บข้อมูล 2 คน มำสังเกตเหตุกำรณ์เดียวกัน คือกำรพุทธศำสนิกชนใส่บำตรพระสงฆ์ แล้ว บันทึกค่ำคะแนนหรือสิ่งที่สังเกตได้พร้อมกัน ผลค่ำควำมเที่ยงหรือค่ำสอดคล้องระหว่ำงผู้เก็บข้อมูลจำก 3 เหตุกำรณ์ ได้เท่ำกับ 1.00 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล 1. กำรเก็บข้อมูลเชิงคุณภำพ ดำเนินกำรเก็บข้อมูลจำกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลโดยใช้เทคนิค Snow Ball ที่ได้ จำกคำแนะนำบอกต่อๆ กันเริ่มต้นจำกพุทธศำสนิกชนที่ใส่บำตรประจำ ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้เชี่ยวชำญด้ำนต่ำงๆ หรือ จำกเอกสำรที่เกี่ยวกับงำนวิจัย หรือที่เรียกว่ำ กำรสุ่มเชิงทฤษฎี (Theoretical Sampling) โดยขนำดของกลุ่มผู้ให้ ข้อมูล จะเป็นไปตำมกระบวนกำรกลุ่มเป้ำหมำยที่จะเผยขึนเรื่อยๆ พร้อมกับกำรวิเครำะห์ข้อมูลที่ได้จำกกลุ่มผู้ให้ ข้อมูล จนไม่มีข้อมูลใหม่ๆ เข้ำมำอีก เป็นกำรแสดงถึงควำมอิ่มตัวของข้อมูล (วรรณดี สุทธินรำกร. 2556 : 57 - 60) ซึ่งผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลกับผู้ให้ข้อมูลเริ่มต้นจำกผู้ที่ใส่บำตรเป็นประจำ จนนำไปสู่กำรค้นคว้ำทฤษฎีที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึน และผู้ให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องในส่วนต่ำงๆ จนได้ข้อมูลเริ่มอิ่มตัว ได้ขนำดผู้ให้ข้อมูล 25 รำย สอดคล้องกับประสบกำรณ์ ของ Douglas (1985) ประมำณกำรกำรสัมภำษณ์เชิงลึกไว้ที่ 25 คน (Douglas. 1985 อ้ำงถึงใน วรรณดี สุทธินรำกร. 2556 : 60) 2. กำรเก็บข้อมูลเชิงปริมำณ ดำเนินกำรเก็บรวบรวมข้อมูลจำกพุทธศำสนิกชน จำนวน 320 คน ที่เป็น ผู้ใส่บำตร ผู้จัดเตรียมถวำยอำหำร และแม่ครัวประจำวัด โดยกำรสุ่มแบบหลำยขันตอนดังนี (1) แบ่งตำมพืนที่ในเขต เทศบำลนคร และเทศบำลเมืองในจังหวัดนครรำชสีมำ ได้แก่เทศบำลนครนครรำชสีมำ เทศบำลเมืองปำกช่อง เทศบำลเมืองปักธงชัย และเทศบำลเมืองสีคิ ว โดยคำนวณสัดส่วนประชำกรตำมพืนที่ (2) แบ่งสัดส่วนกลุ่มตัวอย่ำง ตำมพืนที่ที่มีควำมหนำแน่นในกำรถวำยอำหำร ได้แก่ ตำมเส้นทำงบิณฑบำต และวัด สุ่มตัวอย่ำงแบบสะดวก (Convenience Sampling) พืนที่ตำมเส้นทำงบิณฑบำต

132


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำรวิเครำะห์ข้อมูล 1. กำรวิ เครำะห์ข้ อ มูล เชิ งคุ ณ ภำพ ผู้ วิจั ยได้ใ ช้ กำรวิ เ ครำะห์ข้ อ มูล ตลอดเวลำ ทุ กขั นตอน โดยมี ผู้เชี่ยวชำญให้คำปรึกษำซึ่งเป็นกำรตรวจสอบข้อมูลไปตัว รวมถึงตรวจสอบข้อมูลจำกแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง โดย กำรจัดระเบียบ จัดหมวดหมู่ และเชื่อมโยงควำมสัมพันธ์ ทำให้มีข้อมูลที่มีควำมแกร่งของข้อมูลมำกพอ เมื่อถึงจุด อิ่มตัวของข้อมูล ก็สำมำรถนำมำวิเครำะห์หรือตีควำมได้ทันที โดยผู้วิจัยใช้เทคนิคกำรวิเครำะห์ข้อมูลแบบผสมผสำน ตำมสถำนกำรณ์ โดยให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกำรศึกษำวิจัย ได้แก่ (1) กำรวิเครำะห์ข้อมูลเชิงปรำกฏกำรณ์ วิทยำ จะใช้วิธีกำรวิเครำะห์เนือหำ (Content Analysis) (2) กำรวิเครำะห์ข้อมูลเชิงทฤษฎีพืนฐำน มีกำรเชื่อมโยง ข้อมูลทังให้เป็นเรื่องรำวเดียวกัน และจัดลำดับเหตุกำรณ์ของข้อมูลที่มีกำรแยกแยะข้อมูล และจัดหมวดหมู่ และ 3) กำรวิเครำะห์ข้อมูลเชิงชำติพันธุ์วรรณำ โดยกำรนำบริบทของสนำมวิจัยเข้ำมีส่วนเกี่ ยวข้องด้วย เนื่องจำกสนำมวิจัย เป็นต้นตอของวัฒนธรรม ควำมรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรม (อำรีย์วรรณ อ่วมตำนี. 2559 : 78 - 87) ซึ่งผู้วิจัยได้นำมำ 3 วิธีกำรดังนี (1) กำรเปรียบเทียบข้อมูลที่เกิดขึนตลอดเวลำ (Constant Comparative) คือกำรเปรียบเทียบใน ระหว่ำงจัดหมวด ทำให้ผู้วิจัยได้หัวเรื่องและแนวคิดใหม่ เช่นกำรสัมภำษณ์ผู้เชี่ยวชำญงำนโภชนศำสตร์ชุมชน 2 ท่ำน พร้อมกัน ผู้วิจัยได้จดประเด็นที่ทัง 2 ท่ำนกล่ำวไว้ในเรื่องเดียวและเปรียบเทียบ จนนำไปสู่กำรซักถำมในประเด็นที่ เกี่ยวข้อง และได้มุมมองใหม่ๆ ในหลำยมิติ โดยกำรเก็บข้อมูลอย่ำงต่อเนื่อง เปรียบเทียบ ขัดเกลำ และเรียงร้อย ควำมสัมพันธ์ (2) กำรวิเครำะห์ข้อมูลที่ได้จำกกำรวิเครำะห์ข้อมูลจำกภำคสนำม (Analytic Inductive Analysis) มี ควำมเกี่ยวข้องกับกำรพัฒนำสมมติฐำนหรือทฤษฎี โดยผู้วิจัยมีปัญหำที่จำเพำะเจำะจงหรือประเด็นคำถำมที่อยู่ในใจ ทำได้โดยใช้พืนฐำนของกำรสังเกต และทำต่อเนื่อง 3) กำรยืนยันผล (Corroboration) โดยใช้วิธีกำรตรวจสอบแบบ สำมเส้ำ (วรรณดี สุทธินรำกร.2556 : 156 - 157) 2. กำรวิเครำะห์ข้อมูลเชิงปริมำณ วิเครำะห์ประเภทและชนิดอำหำร โดยสถิติที่ใช้ในกำรวิจัยคือ สถิติ เชิงพรรณนำ (Descriptive Statistics), ควำมถี่ (Frequency), ค่ำร้อยละ (Percent) และค่ำเฉลี่ย (Mean) (ประภำ พรรณ กันธรักษำ. 2547 : 26 - 27) ผลกำรวิจัย ผลกำรสำรวจข้อมูลจำกกำรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศโดย Google Form มำใช้ในงำนด้ำน โภชนำกำรด้วยแบบบันทึกออนไลน์ ได้ผลดังนี 1. แบบบันทึกออนไลน์ Google Form พบข้อจำกัดในกำรสร้ำงเครื่องมือที่ Google Form ในกำร สร้ำงชุดข้อมูลย่อยให้สำมำรถเลือกชนิดอำหำรให้ได้หลำยชนิดในหนึ่งรำยกำรบันทึก เพื่อจะได้ทรำบผลได้ทันที ผู้วิจัยจึงได้ใช้เทคนิคกำรออกแบบข้อมูลมำช่วย และผู้เชี่ยวชำญได้แนะนำ 1.1 กำรบันทึกข้อมูลแยกส่วนกำรบันทึกประเภทและชนิดอำหำร แล้วนำข้อมูลมำวิเครำะห์ต่อไป มี ลั ก ษณะตั ว อย่ ำ งบำงส่ ว นจำกกำรใช้ ง ำนจริ ง ผ่ ำ นโทรศั พ ท์ มื อ ซึ่ งสำมำรถตรวจสอบกำรใช้ ง ำนผ่ ำ นเครื่ อ ง คอมพิวเตอร์ได้เช่นเดียวกันดังแผนภำพที่ 3

133


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

แผนภำพที่ 3 ตัวอย่ำงแบบบันทึกออนไลน์โดย Google Form 1.2 กำรรำยงำนผลในรูปแบบตำรำงโดย Google Document ที่เรียกว่ำ Google Spreadsheet ซึ่งสำมำรถนำมำคำนวณวิเครำะห์ทำงสถิติ หรือแสดงผลในรูปแบบของแผนภูมิได้ หรือจะส่งต่อข้อมูลไปยังโปรแกรม สถิติก็สำมำรถทำได้ ดังตัวอย่ำงบำงส่วนตำมแผนภำพที่ 4

134


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

แผนภำพที่ 4 ตัวอย่ำงผลกำรบันทึกในรูปแบบตำรำงโดย Google Spreadsheet 1.3 กำรรำยงำนผลในรูป แบบแผนภู มิ อ อนไลน์ เป็น กำรสรุ ปข้ อ มูล ที่ ไ ด้จ ำกกำรบัน ทึ กข้ อ มู ล ออนไลน์ โดย Google Form สำมำรถรำยงำนสรุปสถิติเบือง คือ จำนวนรำยกำรที่ บันทึก ค่ำควำมถี่ ร้อยละะของ แต่ละข้อมูลที่บันทึก ทำให้ผู้ใช้ทรำบข้อมูลกำรเก็บข้อมูลได้ทันที เป็นปัจจุบัน มีลักษณะตัวอย่ำงบำงส่วนดังแผนภำพ ที่ 5

แผนภำพที่ 5 ตัวอย่ำงกำรรำยงำนผลข้อมูลทั่วไปในรูปแบบแผนภูมิออนไลน์ 2. ข้อมูลทั่วไปของพุทธศำสนิกชนที่ถวำยอำหำรแด่พระสงฆ์ จังหวัดนครรำชสีมำ ข้อมูลในส่วนนีสำมำรถทรำบผลจำกรำยงำนของ Google Form ได้ทันทีที่บันทึกข้อมูล จำกกำร เก็บข้อมูลในพืนที่วัด 20 แห่ง และเส้นทำงบิณฑบำต 19 เส้นทำง พบว่ำ จำนวนพุทธศำสนิกชนในเทศบำลนคร นครรำชสีมำมีจำนวน 190 คน คิดเป็นร้อยละ 59.38 ซึ่งกำรเก็บข้อมูลในพืนที่วัดในเทศบำลเมืองปำกช่องมีข้อจำกัด และมีอุปสรรคเรื่องที่ตังของวัดซึ่งอยู่บนเขำตำมลักษณะภูมิประเทศทำให้เก็บข้อมูลไม่เป็นไปตำมสัดส่วนที่กำหนด แต่สำมำรถเก็บข้อมูลได้ครบ 320 คน ซึ่งพบว่ำส่วนมำกพุทธศำสนิกชนที่นำอำหำรมำถวำยที่พระสงฆ์เป็นเพศหญิง จำนวน 222 คน คิดเป็นร้อยละ 69.38 เป็นกลุ่มใส่บำตร จำนวน 271 คน คิดเป็นร้อยละ 84.69 โดยถวำยในวัน เสำร์อำทิตย์ จำนวน 99 คน คิดเป็นร้อยละ 30.94 ซึ่งเป็นวันธรรมดำทั่วไปที่ไม่ใช่วันพระและวันหยุด จำนวน 122 วัน คิดเป็นร้อยละ 38.12 และถวำยมือเช้ำหรือจังหัน 190 คน คิดเป็นร้อยละ 59.38

135


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

3. ข้อมูลอำหำรยอดนิยมที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์จำกพุทธศำสนิกชนจำนวน 320 คน พบว่ำมีกำรถวำยอำหำรประเภทกับข้ำวจำนวน 459 รำยกำร เมื่อนำมำวิเครำะห์ได้ผลดังนี 3.1 ประเภทอำหำรที่นำมำถวำยพระสงฆ์จำนวนทังหมด 14 ประเภท ประเภทอำหำรที่นิยมถวำย พระสงฆ์ 5 ลำดับแรก ได้แก่ อำหำรประเภทต้ม (15.69%) ทอด (13.51%) ผัด (12.85%) แกงกะทิ (9.37%) และ อำหำรที่มีรสชำติจัดคือ ยำหรือลำบ (8.71%) ตำมลำดับ ดังตำรำงที่ 1 ตำรำงที่ 1 ประเภทอำหำรที่นิยมถวำยพระสงฆ์ในจังหวัดนครรำชสีมำ (N = 459) ลำดับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14

รำยกำรอำหำร

จำนวน 72 62 59 43 40 31 30 27 27 25 22 9 8 4 459

ต้ม ทอด ผัด แกงกะทิ ยำ-ลำบ ลวกนึ่ง นำพริก แกงส้ม อำหำรจำนเดียว ผัดพริกแกง ต้มยำ ปิ้ง ย่ำง แกงเผ็ด แกงพืนเมืองท้องถิ่น รวม

ร้อยละ 15.69 13.51 12.85 9.37 8.71 6.75 6.54 5.88 5.88 5.45 4.79 1.96 1.74 0.87 100.00

3.2 ชนิดของอำหำรที่พุทธศำสนิกชนนิยมนำมำถวำยพระสงฆ์ทังหมด 127 ชนิด อำหำรที่นิยม ถวำยพระสงฆ์ 5 ลำดับแรก ได้แก่ ไข่พะโล้ (7.19%) ลำบหมู (6.32%) แกงส้มผักรวม (5.88%) ไข่เจียว (5.23%) และแกงกะทิหน่อไม้ดอง (3.49%) ตำมลำดับ ส่วนอำหำรลำดับที่ 6-127 มีคะแนนควำมนิยมไม่เกินร้อยละ 3 อำทิ เช่น ไข่ต้ม ยำหมูยอ เป็นต้น สรุปผลกำรวิจัย ผลกำรสำรวจข้อมูลจำกกำรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศโดย Google Form มำใช้ในงำนด้ำน โภชนำกำรด้วยแบบบันทึกออนไลน์ กรณีศึกษำ อำหำรยอดนิยมที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์ สำมำรถทรำบ ผลข้อมูลทั่วไปได้ทันที และพบข้อจำกัดในกำรเก็บข้อมูลย่อยหลำยรำยกำรในหนึ่งรำยกำรบันทึกซึ่งต้องนำมำข้อมูล มำวิเครำะห์ต่อ ซึ่งได้ผลดังนี 1. ผลกำรประยุก ต์ใช้เทคโนโลยีส ำรสนเทศโดย Google Form มำใช้ใ นงำนด้ำนโภชนำกำร กรณีศึกษำ อำหำรยอดนิยมที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์ สำมำรถนำมำคำนวณวิเครำะห์ทำงสถิติ รำยงำน สรุปสถิติเบือง คือ จำนวนรำยกำรที่บันทึก ค่ำควำมถี่ ร้อยละของแต่ละข้อมูลที่บันทึก หรือแสดงผลในรูปแบบของ แผนภูมิ หรือจะส่งต่อข้อมูลไปยังโปรแกรมสถิติ ที่สำคัญคือทำให้ผู้วิจัย หรือผู้ใช้งำนทรำบข้อมูลกำรเก็บข้อมูลได้

136


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ทันที เป็นปัจจุบัน ใช้งำนง่ำย สะดวก ลดเวลำกำรเก็บข้อมูล และงบประมำณในกำรวิจัย รวมกำรวำงแผนในกำรเก็บ ข้อมูลได้ จนนำไปสู่กำรวิเครำะห์ผลข้อมูลอำหำรยอดนิ ยมที่พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์สำมำรถนำมำ ประยุกต์ใช้ในกำรวิจัยได้ 2. ผลกำรบันทึกข้อมูลสำรวจที่ได้เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ที่สำคัญที่เกิดขึนจริงของอำหำรที่นำมำถวำย พระสงฆ์ ไม่ว่ำจะเป็นกำรใส่บำตร กำรจัดถวำยภัตตำหำร และกำรปรุงอำหำรถวำย พบว่ำพุทธศำสนิกชนนิยมถวำย อำหำรประเภทต้ม ทอด ผัด แกงกะทิ และอำหำรที่มีรสชำติจัดคือ ยำหรือลำบ ตำมลำดับ โดยมีกำรปรุงที่ใช้นำมัน และมีไขมัน คือกำรทอด ผัด และกำรใช้กะทิ ตำมลำดับ และพบว่ำชนิดของอำหำรที่นิยมนำมำถวำยพระสงฆ์ได้แก่ ไข่พะโล้ ลำบหมู แกงส้มผักรวม ไข่เจียว และแกงกะทิหน่อไม้ดอง ตำมลำดับ วิจำรณ์ผลกำรวิจัย 1. ผลกำรใช้งำนกำรสำรวจชนิดของอำหำรที่พุทธศำสนิกชนนิยมนำมำถวำยพระสงฆ์ด้วยแบบบันทึก ออนไลน์ผ่ำนระบบอินเตอร์เน็ตบนมือถือ สำมำรถใช้งำนได้จนนำไปสู่กำรวิเครำะห์ผลข้อมูลอำหำรยอดนิยมที่ พุทธศำสนิกชนนำมำถวำยพระสงฆ์ ใช้งำนง่ำย สะดวก ลดเวลำกำรเก็บข้อมูล และงบประมำณในกำรวิจัย สำมำรถ นำมำประยุกต์ใช้ในกำรวิจัยได้ สอดคล้องกับธัลย์พิฌชำ ขำชุ่ม และจิรพันธุ์ ศรีสมพันธุ์ . (2560 : 390 - 396) ที่ ศึกษำกำรพัฒนำบทเรียนออนไลน์เรื่อง กำรสร้ำงบทเรียนคอมพิวเตอร์ด้วย Google Application พบว่ำบทเรียน คอมพิวเตอร์ด้วย Google Application สำมำรถนำไปใช้ในกำรเรียนกำรสอนได้ และภณิชญำ ชมสุวรรณ (2553 : 1128 - 1134) กำรใช้ Google Docs ในกำรทำงำนออนไลน์แบบร่วมกันของนักศึกษำกรณีศึกษำวิทยำลัย อำชีวศึกษำเลย พบว่ำกูเกิลเอกสำร (Google Docs) ที่นักศึกษำระดับประกำศนียบัตรวิชำชีพชันสูงใช้ในกำรทำงำน ออนไลน์ร่วมกันได้เป็นอย่ำงดีเช่นเดียวกับในมหำวิทยำลัยต่ำงประเทศรวมทังในประเทศไทย ที่ใช้กูเกิลเอกสำรและส เปรดชีต (Google Docs & Spreadsheets) เป็นช่องทำงในกำรติดต่อสื่อสำรกันของนักศึกษำในกำรทำรำยงำนกลุ่ม และกำรแสดงควำมคิดเห็นร่วมกัน 2. ผลจำกกำรสำรวจชนิด ของอำหำรที่พุ ทธศำสนิ กชนนิ ยมนำมำถวำยพระสงฆ์ ด้ว ยแบบบัน ทึ ก ออนไลน์ พบว่ำประเภทอำหำรที่นิยมปรุงมำถวำยพระสงฆ์ 5 ลำดับแรกได้แก่ ต้ม ทอด ผัด แกงกะทิ และอำหำรที่ มีรสชำติจัดคือ ยำหรือลำบ ตำมลำดับ เมื่อพิจำรณำชนิดของอำหำรที่นิยมถวำยพระสงฆ์ พบชนิด ของอำหำร 5 ลำดับแรก ได้แก่ ไข่พะโล้ ลำบหมู แกงส้มผักรวม ไข่เจียว และแกงกะทิหน่อไม้ดอง ตำมลำดับ ซึ่งผลกำรวิจัย สอดคล้องกับกำรศึกษำของของกฤษณำ เอี่ยมเปลี่ยน และคณะ (2560 : 64 - 74) ที่ศึกษำปัจจัยที่มีผลต่อภำวะอ้วน ของสำมเณรวัดท่ำหลวง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตรพบว่ำ กำรฉันอำหำรจะต้องฉันอำหำรตำมที่ญำติโยมใส่บำตรมำ ให้ และส่วนใหญ่อำหำรที่ได้มำจะเป็นพวกแกงใส่กะทิ ซึ่งจำกผลกำรวิจัยที่ได้พบว่ำร้อยละ 64.0 รับประทำนอำหำร ประเภทแกงกะทิ ต้ ม ใส่ ก ะทิ บ่ อ ยมำกเกื อ บทุ ก วั น ซึ่ งอำหำรที่ ป รุ งด้ ว ยกะทิ จ ะให้ พ ลั ง งำนที่ สู ง หำกมี ก ำร รับประทำนบ่อยๆ จะทำให้มีกำรสะสมและเกิดภำวะอ้วนได้ ซึ่งจำกกำรสัมภำษณ์พระสงฆ์ที่จำวัดในเขตจังหวัด นครรำชสีมำ พระสงฆ์ให้ข้อมูลว่ำ อำหำรที่ได้รับกำรบิณฑบำต ส่วนใหญ่เป็นอำหำรปรุงสำเร็จ เช่น แกงถุง ไก่ทอด หมูทอด อีกทังอำหำรส่วนใหญ่เป็นอำหำรคำวประเภทที่ใส่กะทิ มีรสหวำน และอำหำรส่วนใหญ่ปรุงโดยกำรทอด สอดคล้องกับ Kuramasuwan, B. (2011 : 48) ที่ศึกษำควำมชุกและปัจจัยเสี่ยงโรคเบำหวำน และ ภำวะที่มีควำม ผิดปกติของระดับนำตำลในเลือดที่เสี่ยงต่อกำรเกิดโรคเบำหวำน ในพระภิกษุสงฆ์จังหวัดจันทบุรี พบว่ำ พระสงฆ์ใน จังหวัดจันทบุรีบริโภคอำหำรทอด ร้อยละ 53.3 อำหำรประเภทแกงกะทิ ร้อยละ 60.7 ผัด ร้อยละ 51.3 ใน 4-7 วัน

137


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ต่อสัปดำห์ จำกชนิดและประเภทของอำหำรดังกล่ำวส่งผลต่อพฤติกรรมกำรบริโภคอำหำรและกำรดูแลสุขภำพ ตนเองของพระภิกษุสงฆ์ ข้อเสนอแนะ จำกกำรพัฒนำเครื่องมือแบบบันทึกออนไลน์ตำมหลักโภชนศำสตร์ สำมำรถเป็นแนวทำงในกำรพัฒนำ ระบบสำรสนเทศด้ ำ นอำหำรและโภชนำกำรของพระสงฆ์ และประชำชน เพื่ อ เพิ่ ม ประสิ ท ธิ ภ ำพในงำนด้ ำ น โภชนำกำร อำทิกำรสำรวจปริมำณ และควำมถี่ในกำรบริโภค พฤติกรรมกำรบริโภค กำรจัดกลุ่มประเภท เป็นต้น และยังสำมำรถนำไปประยุกต์ใช้กับกับกำรสำรวจข้อมูลด้ำนอื่นๆ ต่อไปไป กิตติกรรมประกำศ กำรวิจัยครังนีสำเร็จลุล่วงด้วยดีโดยได้รับกำรสนับสนุนจำกมูลนิธิแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย และดร. ใจเพชร กล้ำจนขอขอบพระคุณอย่ำงสูงมำ ณ โอกำสนี เอกสำรอ้ำงอิง กฤษณำ เอี่ยมเปลี่ยน และคณะ. (2560, เมษำยน). “ปัจจัยที่มผี ลต่อภำวะอ้วนของสำมเณรวัดท่ำหลวง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร.” วำรสำรโรงพยำบำลพิจิตร. 32(2) : 64-74. กัลยำ วำนิชย์บัญชำ. (2554). กำรใช้SPSS for Windows ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล. พิมพ์ครังที่ กุมภำพันธ์ 2561. งำนระบบคอมพิวเตอร์และบริกำร ศูนย์เทคโนโลยีสำรสนเทศ มหำวิทยำลัยแม่โจ้. ( 561). “คู่มือกำรใช้งำน Google Apps for Education เบืองต้น.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.surin3.go.th/data/data_101101.pdf สืบค้น 25 กุมภำพันธ์ 2561. งำมเนตร ประดิษฐยูร. ( 561). “กำรสร้ำงแบบสอบถำมหรือแบบบันทึกข้อมูลออนไลน์ โดยใช้ google form.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : https://www.slideshare.net/Thansrikiat/ที่ 1. กรุงเทพมหำนคร : สยำมปริทัศน์. ธัลย์พิฌชำ ขำชุ่ม และจิรพันธุ์ ศรีสมพันธุ.์ ( 560). “กำรพัฒนำบทเรียนออนไลน์เรื่อง กำรสร้ำงบทเรียน คอมพิวเตอร์ด้วย Google Application.” กำรประชุมวิชำกำรระดับชำติรำชภัฏเพชรบุรีวิจัยเพื่อ แผ่นดินไทยที่ยั่งยืน ครั้งที่ 7.[ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://ced.kmutnb.ac.th นฤมล สวรรค์ปญ ั ญำเลิศ. ( 559). “ใส่บำตรต้องนึกถึง ‘สุขภำพพระ’.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.thaihealth.or.th/Content/32008-ใส่บำตรต้องนึกถึง%20‘สุขภำพพระ’ สืบค้น 16 กันยำยน 2559. บุญเรือง ศรีหริ ัญ ( 559). “กำรสร้ำงและกำรพัฒนำเครื่องมือวิจัย.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://rlc.nrct.go.th/ewt_dl.php?nid=1124 สืบค้น 20 พฤศจิกำยน 2559. ภณิชญำ ชมสุวรรณ. ( 561). “กำรใช Google Docs ในกำรทำงำนออนไลนแบบรวมกันของนักศึกษำกรณีศึกษำ วิทยำลัยอำชีวศึกษำเลย.” กำรประชุมวิชำกำรมหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร วิทยำเขตกำแพงแสน ครั้งที่ 7.[ออนไลน์].จำก : http://researchconference.kps.ku.ac.th/article_7/pdf/o_edu13.pdf สืบค้น 25

138


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ลลิลทิพย์ ธนสมบัตินันท์. (2556). พฤติกรรมกำรตักบำตรและถวำยภัตตำหำร เพื่อสุขภำพที่ดีของพระสงฆ์. ศิลปศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำพัฒนำมนุษย์และสังคม (สหสำขำวิชำ) จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย. วรรณดี สุทธินรำกร (2556). กำรวิจัยเชิงคุณภำพ : กำรวิจัยในกระบวนทัศน์ทำงเลือก. ศิริพร ตังวิบูลย์พำณิชย์. ( 557). “กำรพัฒนำโปรแกรมเพื่อประมวลผลแบบสอบถำม โดยใช้ภำษำ VBAใน โปรแกรมสำเร็จรูปไมโครซอฟต์เอ็กเซล.” วำรสำรมหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร/6(12). [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : https://www.tci-thaijo.org/index.php/snru_ สำนักงำนสถิติแห่งชำติ. (2560). สรุปผลที่สำคัญกำรสำรวจอนำมัยสวัสดิกำรและพฤติกรรมกำรบริโภคอำหำร ของประชำกร พ.ศ. 2560. พิมพ์ครังที่ 1. นครปฐม : บริษัทเท็กซ์ แอนด์ เจอร์นัล แอนด์เจอร์นลั พับลิเคชั่นจำกัด. สุลัดดำ พงษ์อุทธำ และคณะ. ( 558). “ระบบข้อมูลข่ำวสำรทีเ่ กี่ยวข้องกับอำหำรและโภชนำกำร.” ใน อำหำรและ โภชนำกำรในประเทศไทย-เรำอยู่ตรงจุดใดในปัจจุบนั . พิมพ์ครังที่ 1. นนทบุรี : แผนงำนวิจัยนโยบำย อำหำรและโภชนำกำรเพื่อกำรสร้ำงเสริมสุขภำพ. สุวทิ ย์ วิบุลผลประเสริฐ. ( 561). “พัฒนำระบบสำรสนเทศอำหำร - โภชนำกำร กำหนดนโยบำย.” ประชุมวิชำกำร ประจำปี ครังที่ 3 เรื่อง “ระบบสำรสนเทศเพื่อนโยบำยอำหำรและโภชนำกำร”วันที่ 10 ส.ค. 58.”[ ออนไลน์].เข้ำถึงได้จำก : http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx? NewsID=9580000090334 สืบค้น 25 กุมภำพันธ์ 2561. อภิญญำ วงศ์พิริยโยธำ. ( 559). “คุณภำพของเครื่องมือวิจัยเชิงปริมำณ.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก: http://www.nu.msu.ac.th/2010/krongkan/5apinya_w.pdf สืบค้น 20 พฤศจิกำยน 2559. อำรีย์วรรณ อ่วมตำนี. (2559). กำรวิจัยเชิงคุณภำพทำงกำรพยำบำล. พิมพ์ครังที่ 3 กรุงเทพมหำนคร : โรง พิมพ์แห่งจุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย. Burns, N. & Grove, S.K. (2005). The practice of nursing : Conduct, critique, and utilization. St. Loius : ELSEIVER Saunders. Douglas, J. D. (1985). Creative Interviewing. Beverly Hills, CA : SAGE Publications. journal/article/view/26418/22428 สืบค้น 31 ตุลำคม 2559. Kuramasuwan, B. (2011). Diabetes and impaired fasting glucose among Buddhist monks in Chanthaburi province : prevalence and associated risk factors. Thesis submitted in partial fulfillment of the requirements for the degree of master of science (public health) major in infectious diseases and epidemiology faculty of graduate studies Mahidol University.

139


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-14

ผลของกำรปรับสมดุลร่ำงกำยแบบมณีเวชต่อควำมอ่อนตัว เพื่อกำรป้องกันกำรหกล้มของผู้สงู อำยุ THE EFFECTS OF MANEEVEJ EXERCISE TECHNIQUE ON FLEXIBILITY OF FALL PREVENTION IN ELDERLY ธนิดำ อิงนิวัฒน์1 , ภัทรพล ทองนำ2 และ อรรณพ นับถือตรง3 1 2 3

นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

บทคัดย่อ กำรวิจัยกึ่งทดลองครังนี มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของควำมอ่อนตัวของกล้ำมเนือขำด้ำนหลัง เพื่อกำรป้องกันกำรหกล้มของผู้สูงอำยุระหว่ำงกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เป็นกำรวัดก่อนกำรทดลองและหลัง สัปดำห์ที่ 8 กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัย ได้แก่ ผู้สูงอำยุที่ มีอำยุ 60 ปีขึนไป ที่อยู่ในเทศบำลตำบลตลำด อำเภอ เมือง จังหวัดนครรำชสีมำ โดยกำรเลือกแบบเจำะจงแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน กลุ่มควบคุม 30 คน คัดเลือกด้วย ควำมสมัครใจเข้ำรับกำรฝึกตลอดระยะเวลำทดลองและสำมำรถพึ่งตนเอง เคลื่อนไหวออกกำลังกำยแบบโยคะได้ กลุ่มทดลองได้รับกำรปรับสมดุลร่ำงกำยแบบมณีเวช เป็นเวลำ 8 สัปดำห์ ประกอบด้วยท่ำบริหำรกำยที่เป็นท่ำ มำตรฐำน 5 ท่ำ ได้แก่ ท่ำไหว้สวัสดี ท่ำโม่แป้ง ท่ำถอดเสือ ท่ำกรรเชียง ท่ำปล่อยพลัง และท่ำปรับสมดุลช่วงล่ำง 3 ท่ำ ได้แก่ ท่ำงู ท่ำแมว และท่ำเต่ำ ซึ่งเป็นท่ำบริหำรกำยที่บุคคลทั่วไปสำมำรถฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง มีกำรฝึกอย่ำง สม่ำเสมออย่ำงน้อยสัปดำห์ละ 3 ครัง วันละ 1 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกผลกำร ทดสอบซึ่งประยุกต์จำกแบบทดสอบและเกณฑ์มำตรฐำนสมรรถภำพทำงกำยสำหรับผู้สูงอำยุ 60-89 ปี ของสำนัก วิทยำศำสตร์กำรกีฬำ กรมพลศึกษำ กำรตรวจสอบคุณภำพของเครื่องมือในด้ำนควำมตรงตำมเนือหำตรวจสอบโดย ผู้เชี่ยวชำญได้ค่ำดัขนีควำมตรงตำมเนือหำ (Content Validity Index [CVI]) 1.00 กำรวิเครำะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่ ำ เฉลี่ ย ส่ ว นเบี่ ย งเบนมำตรฐำน และทดสอบเปรี ย บเที ย บระหว่ ำ งกลุ่ ม ทดลองและกลุ่ ม ควบคุ มด้ ว ยสถิ ติ Independent T-test ผลกำรวิจัยพบว่ำ ภำยหลังกำรทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยค่ำควำมอ่อนตัวของกล้ำมเนือขำ ด้ำนหลังเพื่อกำรป้องกันกำรหกล้มมำกกว่ำก่อนกำรทดลอง อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 กำรปรับสมดุล ร่ำงกำยแบบมณีเวช ช่วยทำให้เกิดควำมอ่อนตัวในข้อต่อต่ำงๆ ได้ โดยเฉพำะควำมอ่อนตัวของกล้ำมเนือขำด้ำนหลัง ทำให้ช่วยกำรจัดสมดุลโครงสร้ำงร่ำงกำยเพื่อช่วยป้องกันกำรหกล้มของผู้สูงอำยุได้ จึงเป็นแนวทำงให้หน่วยงำนหรือ เจ้ ำ หน้ ำ ที่ สุ ข ภำพของโรงพยำบำลส่ ง เสริ ม สุ ข ภำพต ำบล น ำไปประยุ ก ต์ ใ ช้ ใ นกำรจั ด กิ จ กรรมเพื่ อ ส่ ง เส ริ ม ควำมสำมำรถของผู้สูงอำยุในกำรป้องกันกำรหกล้มที่บ้ำนและในชุมชนต่อไป คำสำคัญ : การปรับสมดุลร่างกายแบบมณีเวช ความอ่อนตัว การป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ

140


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Abstract The Quasi-experimental research for the purpose of comparison, the flexibility of the back leg muscles for fall prevention in elderly. This research was pretest - postest design, testing before week 1 and after week 8. The representative sample consisted 60 Elderly who have aged 60 years old and over in Tambon Talad Amphoe Mueang, Nakhon Ratchasima province. By Purposive sampling. The representative sample were eually deivided into an experimental group (n=30) and a control group (n=30). The voluntary selective training throughout the trial period and can be self-reliant, Moving Yoga Exercise The experimental group was tread by treated used maneevej exercise technique for 8 weeks. There were five standard postures, such as Tha Sawasdee,Tha Mopaeng, Tha Thodsua, Tha Kanchiang, Tha Ploipalang. And 3 balance bottom posture such as Tha Ngu, Tha Miaw and Tha Tao. There are physical exercise that people can practice with themselves. Assigned to perform self exercise at least 3 times per week, 1 hour per day. The instrument used to collect the data was a test record form, which was applied from the test and the physical fitness benchmark for the elderly 60-89 years of the office. Department of Physical Education, Department of Physical Education. Reliability (CVI = 1.00) of instrument was checked by experts.Data analysis was performed using average, standard deviation and comparative test between the group using Independent T-test. This results revealed that the mean score of flexibility of the back leg muscles for fall prevention of the experimental group was higher than before experiment with significant at 0.05. Maneevej exercise technique can improve joints flexibility, especially improve body balancing at the back leg muscles for fall prevention in elderly. Then can be guideline for health department or health officer of district health promoting hospital. Applying for fall prevention competency promotion activity of elderly at home and community. Keyword : Maneevej exercise technique; Flexibility, Fall prevention in elderly บทนำ ควำมอ่อนตัวหรือควำมยืดหยุ่นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อกำรเคลื่อนไหวร่ำงกำยที่มีต่อกล้ำมเนือและ ข้อต่อ ควำมอ่อนตัวของกล้ำมเนือเส้นเอ็นและข้อต่อลดลง ส่งผลทำให้เกิดกำรติดขัดไม่สำมำรถเคลื่อนไหวร่ำงกำยได้ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งในผู้สูงอำยุที่ขำดกำรออกกำลังกำย ปัจจุบันกำรพัฒนำควำมอ่อนตัวด้วยกำรยืดเหยียดกล้ำมเนือ จัดเป็นวิธีกำรที่มีประสิทธิภำพมำกที่สดุ ในกำรที่จะเพิ่มควำมสำมำรถในกำรทำงำนของกล้ำมเนือและข้อต่อได้เต็มมุม กำรเคลื่อนไหว ควำมอ่อนตัวที่เพียงพอจะช่วยยืดข้อต่อต่ำงๆ ทังหมดของร่ำงกำยได้ (นิวัฒน์ บุญสม. 2560 : 2) ด้ำนสมดุลกำรทรงตัวพบว่ำเมื่ออำยุมำกขึน ปัจจัยด้ำนควำมแข็งแรงของกล้ำมเนือ ควำมยืดหยุ่นของร่ำงกำยที่ลดลง มีควำมสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอำยุเสียสมดุลกำรทรงตัว นอกจำกนีกำรหกล้มในผู้สูงอำยุเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่กำร บำดเจ็บและเสียชีวิตของผู้สูงอำยุ (วีระยุทธ แก้วโมกข์. 2560 : 33) กำรออกกำลังกำยเพื่อเพิ่มควำมแข็งแรง และ ควำมยืดหยุ่นของกล้ำมเนือขำและข้อเท้ำ ช่วยพัฒนำกำรทรงตัวและลดกำรหกล้มของผู้สงู อำยุได้ (พรศิริ พฤกษะศรี,

141


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วิภำวี คงอินทร์ และปิยะนุช จิตตนูนท์. 2551 : 325) ผลกระทบที่เกิดจำกกำรหกล้ม เป็นสำเหตุสำคัญของกำรเข้ำ รับกำรรักษำในสถำนพยำบำล นอกจำกผลกระทบทำงด้ำนร่ำงกำยแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อจิตใจด้วย พบว่ำผู้ที่เคย หกล้มมักจะมีควำมรู้สึกกลัวกำรหกล้ม สูญเสียควำมมั่นใจ และอำจมีภำวะซึมเศร้ำ ทำให้ผู้สูงอำยุมีกิจกรรมทำงกำย ลดลง ส่งผลให้มีกำรดำรงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่ งจะทำให้มีควำมเสี่ยงต่อกำรหกล้มมำกยิ่งขึน (อธิพงศ์ พิมพ์ดี. 2553 : 2) กำรป้องกันกำรหกล้มในผู้สูงอำยุ ถือว่ำมีควำมสำคัญมำกเนื่องจำกเป็นวิธีที่จะช่วยให้ผู้สูงอำยุมีสุขภำพ ร่ำงกำยที่ดี สำเหตุที่สำคัญในกำรป้องกันกำรหกล้มของผู้สูงอำยุคือ ควรมีกิจกรรมกำรออกกำลั งกำยเพื่อเสริมสร้ำง ควำมอ่อนตัวของข้อต่อต่ำงๆ และควำมอ่อนตัวของกล้ำมเนือขำด้ำนหลัง ดังนันผู้ที่มีอำยุ 60 ปีขึนไปควรได้รับกำร ประเมินควำมเสี่ยงต่อกำรพลัดตกหกล้ม รู้สถำนะควำมเสี่ยงของตนเอง และขอรับคำแนะนำในกำรปรับเปลี่ยน พฤติกรรมโดยกำรออกกำลังกำยและฝึกควำมอ่อนตัวเพื่อยืดข้อต่อต่ำงๆ ได้กำรศึกษำแนวทำงกำรป้องกันกำรหกล้ม ในผู้สูงอำยุชุมชนมิตรภำพพัฒนำ พบว่ำแนวทำงกำรป้องกันกำรหกล้มที่สำคัญมี 3 ประกำร คือ กำรปรับปรุง สิ่งแวดล้อมภำยในและรอบบ้ำน กำรส่งเสริมกำรออกกำลังกำยให้ผสู้ งู อำยุ และกำรให้ควำมรู้เกี่ยวกับกำรป้องกันกำร หกล้มในชุมชน (ละออม สร้อยแสง, จริยำวัตร คมพยัคฆ์ และกนกพร นทีธนสมบัติ. 2557 : 122-129) ผลกำรศึกษำกำรทำกำยบริหำรแบบมณีเวชต่อกำรทรงตัว ควำมยืดหยุ่น และควำมแข็งแรงของผู้สูงอำยุ พบว่ำ มณีเวชเป็นกำรทำกำยบริหำรเน้นเรื่องควำมสมดุลของโครงสร้ำงร่ำงกำยทังระบบ เน้นกำรเคลื่อนไหวทุกส่วน ให้เกิดควำมสมดุล ทังซ้ำยและขวำ เมื่อโครงสร้ำงของร่ำงกำยอยู่ในลักษณะสมดุลจะทำให้กำรไหลเวียนของเลือด ลม นำเหลือง และระบบประสำท เป็นไปอย่ำงสะดวก มีกำรศึกษำกลุ่มพนักงำนออฟฟิศ ที่มีอำกำรปวดเมื่อยจำก กำรทำงำนซึ่งสำมำรถพิสูจน์ได้ด้วยกำรจัดร่ำงกำยให้สมดุลแล้วอำกำรเจ็บปวดลดลง นอกจำกนียังช่วยเพิ่มควำม ยืดหยุ่นให้กล้ำมเนือ ฝึกกำรประสำนงำนของกล้ำมเนือและควำมสมดุลกำรทรงตัว ซึ่งสำคัญต่อกำรเดิน ป้องกันกำร หกล้มและกำรทำกิจวัตรประจำวันต่ำงๆ จึงเหมำะสมสำหรับผู้สูงอำยุ (วีระยุทธ แก้วโมกข์. 2560 : 33) มณีเวช เป็นศำสตร์ที่ค้นพบโดย อำจำรย์ประสิทธิ์ มณีจิระปรำกำร โดยนำเอำศำสตร์ของไทย จีน อินเดีย มำบูรณำกำรเข้ำกับหลักกำยวิภำคศำสตร์และสรีระวิทยำ (Anatomy and Physiology) มำใช้ใน ชีวิตประจำวัน แนะนำกำรใช้ชีวิตให้มีอิริยำบถที่ถูกต้องเพื่อให้ร่ำงกำยอยู่ในสมดุล เป็นกำรป้องกันกำรเกิดโรคต่ำงๆ กำรดูแลตนเองในชีวิตประจำวันให้อยู่ในสมดุล ทังท่ำนั่ง นอน ยืน เดิน ด้วยกำรจัดมณีเวชให้ตนเองในทุกส่วนของ ร่ำงกำย รวมทังท่ำกำรจัดสมดุลโครงสร้ำงร่ำงกำยมำตรฐำนในท่ำยืน 5 ท่ำ ได้แก่ ท่ำสวัสดี หรือท่ำรำละคร ท่ำโม่ แป้ง ท่ำถอดเสือ ท่ำกรรเชียง ท่ำปล่อยพลัง และท่ำกำรปรับสมดุลช่วงล่ำง 3 ท่ำ ได้แก่ ท่ำนอน งู แมว เต่ำ มณีเวช เป็นศำสตร์ที่ใช้ทุนน้อย ไม่พึ่งยำ หรืออุปกรณ์ใดๆ ใช้หลักของธรรมชำติในกำรบำบัดรักษำแนะนำกำรใช้ชีวิต มีสติใน อิริยำบถต่ำงๆ ให้โครงสร้ำงร่ำงกำยอยู่ในสมดุล ทุนในกำรใช้วิชำมณีเวช ใช้เพียง หนึ่งสมอง สองมือ และใจที่เมตตำ เป็นกำรรักษำที่ใช้ทุนน้อยที่สุด เหมำะสำหรับประเทศที่กำลังประสบปัญหำเรื่องงบประมำณสำธำรณสุขเป็นอย่ำงยิ่ง และในผู้สูงอำยุ มณีเวชช่วยดูแลรักษำเรื่องนอนไม่หลับ ท้องผูก ปวดกระดูก ปวดข้อ และโรคต่ำงๆ อีกมำกมำย (นภดล นิงสำนนท์ และอรวรรณ จิรชำญชัย. 2560 : 3) จังหวัดนครรำชสีมำ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีประชำกรผู้สูงอำยุมำกที่สุด (ไม่รวมกรุงเทพมหำนคร) ถึง 423,934 คน (สำนักงำนสถิติแห่งชำติ. 2557 : 8) จำกกำรศึกษำภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในเขตอำเภอเมือง นครรำชสีมำของณัฐฐิตำ เพชรประไพ (2558 : 22) พบสุขภำพได้แก่ ด้ำนกำรมองเห็น ร้อยละ 29 กำรกลันปัสสำวะ ร้อยละ 12.3 และกำรหกล้ม ร้อยละ 11.9 ซึ่งทุกหน่วยงำนที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินกำรส่งเสริมสุขภำพให้แก่ผู้สูงอำยุ โดยเมื่อปี พ.ศ. 2558 นอกจำกนียังมีกลุ่มเสี่ยงโรคต่ำงๆ ได้แก่ โรคควำมดัน เบำหวำน อำจมีควำมเสี่ยงสูงที่จะเกิด

142


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

อุบัติเหตุจำกกำรหกล้มได้ง่ำย เช่น เสี่ยงวูบ และหกล้มในห้องนำ เป็นต้น (วรรณวิมล รัตนวิศิษฏ์กุล . 2560, กรกฎำคม 3) และปัญหำผู้สูงอำยุที่อยู่คนเดียว หรือไม่มีคนดูแลเมื่อเจ็บป่วย (ณัฐฐิตำ เพชรประไพ. 2558 : 2129) และพบว่ำผู้สูงอำยุที่อำศัยอยู่ในชุมชนจำนวนมำกกว่ำกึ่งหนึ่งกลัวกำรหกล้ม สอดคล้องกับงำนวิจัย ทิวำพร ทวีวรรณกิจ และคณะ (2553 : 271) จำกข้อมูลดังกล่ำวข้ำงต้น จะเห็นได้ว่ำกำรหกล้มในผู้สูงอำยุเป็นปัญหำทำงสุขภำพที่มีควำมสำคัญ ซึ่งมี องค์ประกอบสมรรถภำพทำงกำยที่สำคัญ และสัมพันธ์กับกำรหกล้ม ได้แก่ ควำมอ่อน ผู้วิจัยจึงมีควำมสนใจที่จะ ศึกษำผลของกำรปรับสมดุลร่ำงกำยแบบมณีเวชต่อควำมอ่อนตัวเพื่อกำรป้องกันกำรหกล้มของผู้สูงอำยุในเทศบำล ตำบลตลำด อำเภอเมือง จังหวัดนครรำชสีมำ ซึ่งประหยัดค่ำใช้จ่ำย เรียบง่ำย และเพื่อเป็นแนวทำงกำรป้องกันกำร หกล้มและส่งเสริมพฤติกรรมกำรออกกำลังกำยให้เหมำะสมแก่ผู้สูงอำยุ เพื่อให้ผู้สูงอำยุมีสุขภำพกำยและใจที่ดี มี ชีวิตยืนยำวสำมำรถดำรงชีวิตได้อย่ำงมีควำมสุข และขยำยผลไปสู่หน่วยงำนต่ำงๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อไปปรับกับผู้สูงอำยุ ในชุมชนต่ำงๆ ต่อไป วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย เพื่อเปรียบเทียบผลของควำมอ่อนตัวที่มีต่อกำรป้องกันกำรหกล้มของกลุ่มผู้สูงอำยุระหว่ำงกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม ก่อนและหลังสัปดำห์ที่ 6 และ 8 สมมติฐำนกำรวิจัย หลังกำรทดลองผู้สูงอำยุที่มีกำรปรับสมดุลโครงสร้ำงแบบมณีเวชเพื่อกำรป้องกันกำรหกล้มมีควำมอ่อน ตัวของกล้ำมเนือขำด้ำนหลังมำกกว่ำกลุ่มควบคุม วิธีดำเนินกำรวิจัย รูปแบบกำรวิจัย กำรวิจัยครังนีเป็นวิจัยกึ่งทดลอง(Quasi-Experimental Research) แบบ 2 กลุ่มวัดก่อน-หลังกำร ทดลอง ( Pre-test Post-test Design) เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัย กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี เป็นผู้สูงอำยุในเทศบำลตำบลตลำด อำเภอเมือง จังหวัดนครรำชสีมำ จำนวน 30 คน ซึ่งเป็นไปตำมเกณฑ์คัดเข้ำ(Inclusion Criteria) ที่ผู้วิจัยกำหนดขึน ดังนี 1. ผู้สูงอำยุที่มีอำยุ 60 ปีขึนไป 2. มีควำมสมัครใจเข้ำรับกำรฝึกตลอดระยะเวลำทดลองและสำมำรถพึ่งตนเอง เคลื่อนไหวออกกำลัง กำยแบบโยคะได้ 3. ผู้สูงอำยุที่ผ่ำนเกณฑ์กำรประเมินควำมสำมำรถปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน(ADL) 4. ไม่เป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่อกำรฝึกในระยะเวลำ 8 สัปดำห์ เกณฑ์คัดออก (Exclusion Criteria) 1. กลุ่มตัวอย่ำงเป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่อกำรออกกำลังกำย เช่น โรคควำมดันโลหิตโรคหลอดเลือด หัวใจ หรือโรคหัวใจ โรคข้อเข่ำเสื่อม ข้อสะโพกเสื่อม 2. ไม่สมัครใจเข้ำร่วมโครงกำรต่อ

143


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

คณะกรรมกำรจริยธรรม กำรวิจัยครังนีได้ผ่ำนกำรรับรองจำกคณะกรรมกำรจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์ มหำวิทยำลัยรำชภัฎ สุรินทร์ เลขที่ HE-SRUU2-0005 เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย 1. แบบประเมินสุขภำพผู้สูงอำยุ ในกำรคัดกรองเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี ส่วนที่ 1 กำรประเมินควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน (ADL: Activity Daily Loss) เป็น แบบประเมินควำมสำมำรถในกิจวัตรขันพืนฐำนของผู้สูงอำยุซึ่งแปลเป็นภำษำไทยและปรับปรุงโดยสุทธิชัย จิตะพันธ์ กุลและคณะ จำก Barthel ADL Index ของ Mahoney และ Barhtel เป็นกำรประเมินควำมสำมำรถในกำรดูแล ตนเอง ประกอบด้วยกำรประเมินกิจวัตรประจำวัน 10 กิจกรรม ได้แก่ กำรรับประทำนอำหำร กำรแต่งตัว กำร เคลื่อนย้ำย กำรใช้ห้องสุขำ กำรเคลื่อนไหว กำรสวมใส่เสือผ้ำ กำรขึน-ลงบันได กำรอำบนำ กำรควบคุมกำรถ่ำย ปัสสำวะและอุจจำระ โดยต้องผ่ำนเกณฑ์ 12 คะแนนขึนไปหมำยถึง ไม่มีภำวะพึ่งพำ (กลุ่มติดสังคม) 0-4 คะแนน หมำยถึง มีภำวะพึ่งพำโดยสมบูรณ์ กลุ่ม 3 (ติดเตียง) 5-8 คะแนน หมำยถึง มีภำวะพึ่งพำรุนแรง กลุ่ม 2 (ติดบ้ำน) 9-11 คะแนน หมำยถึง มีภำวะพึ่งพำปำนกลำง กลุ่ม 2 (ติดบ้ำน) 12+ คะแนน หมำยถึง ไม่มีภำวะพึ่งพำ กลุ่ม 1 (ติดสังคม) ส่วนที่ 2 แบบประเมินสุขภำพผู้สูงอำยุ 60 ปีขึนไป ประยุกต์มำจำกแบบประเมินสุขภำพผู้สูงอำยุ 60 ปี ขึนไป (กองกำรพยำบำลสำธำรณสุข สำนักอนำมัย กรุงเทพมหำนคร ครังที่ 2 มกรำคม 2553) 2. แบบบันทึกผลกำรทดสอบวัดควำมอ่อนตัวของผู้สูงอำยุ ประยุกต์มำจำกแบบทดสอบและเกณฑ์ มำตรฐำนสมรรถภำพทำงกำยสำหรับผู้สูงอำยุ อำยุ 60-89 ปี (สุพิตร สมำหิโต. 2556 : 2-30) เพื่อประเมิน ควำมสำมำรถในกำรป้องกันกำรหกล้ม โดยบันทึกก่อนและหลังกำรทดลองในกำรวัดควำมอ่อนตัว จะวัดระยะทำงที่ นั่งงอตัวไปข้ำงหน้ำ ทำกำรทดสอบ 2 ครัง บันทึกผลเป็นเซนติเมตร เอำครังที่ทำได้ดีที่สุด ทังนีแบบทดสอบวัดควำม อ่อนตัวได้ผ่ำนกำรพิจำรณำจำกท่ำนผู้เชี่ยวชำญแล้วสำมำรถนำไปทดสอบได้ 3. โปรแกรมกำรออกกำลังกำยแบบมณีเวชต่อกำรป้องกันกำรหกล้มของผู้สูงอำยุ คิดค้ นโดยอำจำรย์ ประสิทธิ์ มณีจิระประกำร มีท่ำบริหำรปรับสมดุลโครงสร้ำงที่บุคคลทั่วไปสำมำรถฝึกปฏิบัติด้วยตนเองด้วยท่ำที่เป็น มำตรฐำน 5 ท่ำ (ท่ำไหว้สวัสดิ์ ท่ำโม่แป้ง ท่ำถอดเสือ ท่ำกรรเชียง ท่ำปล่อยพลัง) และท่ำปรับสมดุลช่วงล่ำง 3 ท่ำ (ท่ำงู ท่ำแมว ท่ำเต่ำ) และและท่ำอบอุ่นร่ำงกำย(Warm up) และท่ำผ่อนคลำยร่ำงกำย (Cool down) ด้วยกำรจัด มณีเวชดัดยืดข้อต่อ 5 ท่ำ (ท่ำจัดข้อมือ ท่ำจัดข้อศอก ท่ำจัดข้อเข่ำ ท่ำนั่งย่อเข่ำและขำ ท่ำยืดเอ็นหลังเท้ำและน่อง และกำรเขย่งเท้ำ) เป็นเวลำ 8 สัปดำห์ อย่ำงน้อยสัปดำห์ละ 3 ครัง ๆ ละ 1 ชั่วโมง เนื่องจำกกำรออกกำลังกำยเป็น แบบมณีเวชไม่ต้องใช้แรงกระแทกเหมำะสำหรับผู้สูงอำยุ 4. คู่มือกำรปรับสมดุลโครงสร้ำงแบบมณีเวชเพื่อกำรป้องกันกำรหกล้มของผู้สูงอำยุ ภำยใน 8 สัปดำห์ โดยมีแบบประเมินสุขภำพก่อนกำรฝึก กำรให้ควำมรู้เกี่ยวกับเรื่องกำรหกล้มและแนวทำงในกำรป้องกันกำรหกล้ม กำรฝึกออกกำลังกำย ประกอบด้วย ท่ำกำยบริหำรแบบมณีเวช ท่ำกำรดัดยืดข้อต่อ และมีกำรจดบันทึกกิจกรรม ประจำวันในระยะเวลำกำรฝึก 8 สัปดำห์ และมีแบบกำรวัดควำมอ่อนตัวของกล้ำมเนือขำด้ำนหลัง อุปกรณ์ที่ใช้ในงำนวิจัย 1. เครื่องชั่งนำหนัก 2. เครื่องวัดส่วนสูง

144


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

3. เครื่องวัดควำมดันโลหิต 4. กล่องเครื่องมือวัดควำมอ่อนตัว ขนำดสูง 30 เซนติเมตร มีสเกลของระยะทำงตังแต่ค่ำลบถึงค่ำบวก เป็นเซนติเมตร (วัดควำมอ่อนตัว 5. พืนปูรองที่ใช้ในกำรฝึกกำรออกกำลังกำย กำรตรวจสอบคุณภำพของเครื่องมือ เครื่องมือวิจัยที่ใช้มีกำรตรวจคุณภำพของเครื่องมือดังนี 1. ตรวจสอบควำมตรงตำมเนือหำ (Content Validity) โดยผู้วิจัยนำโปรแกรมกำรออกกำลังกำยแบบ มณีเวชต่อกำรป้องกันกำรหกล้มของผู้สูงอำยุที่สร้ำงเสร็จแล้ว เสนอต่ออำจำรย์ที่ปรึกษำเพื่อตรวจสอบแก้ไขเนือหำ และภำษำที่ ใ ช้ เพื่ อ พิ จ ำรณำตรวจสอบควำมถู ก ต้ อ งเหมำะสมของรู ป แบบกิ จ กรรม เนื อหำ ภำษำที่ ใ ช้ และ ภำพประกอบ และเสนอต่อผู้เชี่ยวชำญผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่ำน (รำยชื่อดังภำคผนวก) หลังจำกนันนำแบบ สัมภำษณ์มำปรับปรุงแก้ไขตำมควำมเห็นของผู้เชี่ยวชำญแล้วนำไปให้อำจำรย์ที่ปรึกษำตรวจสอบอีกครังก่อนนำไปใช้ กำรตรวจสอบค่ำควำมตรงตำมเนือหำ (Content Validity Index [CVI]) ในงำนวิจัยนี ผู้วิจัยเลือกใช้ดัชนีควำมตรง ตำมเนือหำทังฉบับ (Content Validity For Scale : S-CVI) มีขันตอนดังนี 1) ผู้เชี่ยวชำญจะพิจำรณำมำตรประเมิน ควำมสอดคล้องจะมี 4 ระดับ คือ 1 = ไม่สอดคล้อง, 2 = สอดคล้องบำงส่วน, 3 = ค่อนข้ำงสอดคล้อง, 4 = มีควำม สอดคล้องมำก โดยกำรหำค่ำดัชนีควำมตรงเชิงเนือหำ ให้นำเฉพำะข้อที่ได้รับกำรประเมิน 3 หรือ 4 เท่ำนัน (ถือว่ำมี ควำมสอดคล้อง) มำคำนวณผู้เชี่ยวชำญอย่ำงน้อย 3 คน ไม่เกิน 10 คน (Lynn, M. R. 1986 : 382-385 อ้ำงถึงใน ประจักษ์ ปฏิทัศน์. 2559 : 19) 2) คำนวณหำค่ำ S-CVI ทังนีผู้วิจัยได้ออกแบบตำรำงไว้ (รำยละเอียดดังภำคผนวก) สำหรับตรวจสอบเครื่องมือของผู้เชี่ยวชำญได้ ดังนี กำรหำค่ำดัชนีควำมตรงเชิงเนือหำรำยข้อ (item content validity index , I-CVI) จำกสูตร I-CVI = Nc/N เมื่อ Nc หมำยถึง จำนวนผู้เชี่ยวชำญที่ประเมินควำมสอดคล้องในระดับ 3 และ 4 N หมำยถึง จำนวนผู้เชี่ยวชำญทังหมด จำกนันจึงนำข้อมูลสัดส่วนควำมสอดคล้องของ Item ของผู้เชี่ยวชำญมำคำนวณหำควำมตรงตำมเนือหำ ทังฉบับ S-CVI /Ave เป็นกำรหำค่ำเฉลี่ยดัชนีวัดควำมสอดคล้องของเครื่องมือวัดโดยค่ำที่นำมำคำนวณได้มำจำกค่ำ I-CVI แต่ละข้อ โดยคิดจำกผลรวมของค่ำ I-CVI หำรด้วยจำนวนข้อคำถำมโดย Waltz, C., Strickland, O., & Lanz, E. (2005 : 155 อ้ำงถึงใน ประจักษ์ ปฏิทัศน์. 2559 : 22 ) เขียนเป็นสมกำรได้ว่ำ

S-CVI /Ave =

(S-CVI)/P

เมื่อ P แทน จำนวนข้อคำถำม จำกกำรตรวจสอบของผู้เชี่ยวชำญจำนวน 3 ท่ำน ได้ค่ำดัชนีควำมตรงตำมเนือหำเท่ำกับ 1.00 2. ผู้วิจัยนำเครื่องมือมำปรับปรุงแก้ไขแล้วผลิตขึนเป็นต้นแบบ (Prototype) แล้วนำไปทดสอบ ประสิทธิภำพตำมขันตอนที่กำหนดไว้ 3. ขันทดลองใช้ นำท่ำกำยบริหำรกำรปรับสมดุลโครงสร้ำงแบบมณีเวชต่อกำรป้องกันกำรหกล้มของ ผู้ สู งอำยุ ที่ ผ ลิ ต ขึ นเป็ น ต้ น แบบ (Prototype) ไปทดลองใช้ กั บ กลุ่ ม ที่ มี ลั ก ษณะคล้ ำ ยคลึ งกั บ กลุ่ ม ตั ว อย่ ำ งที่ ทำกำรศึกษำ (Try Out) คือ ผู้สูงอำยุหญิงและชำยที่มีอำยุ 60 ปีขึนไป ดูควำมชัดเจนของภำษำและควำมเข้ำใจของ กลุ่มตัวอย่ำง จำกนันนำโปรแกรมมำปรับปรุงแก้ไข แล้วนำไปใช้จริง

145


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำรเก็บรวบรวมข้อมูล กำรวิจัยนีผู้วิจัยแบ่งออกเป็น 3 ขันตอน ได้แก่ กำรเก็บรวบรวมข้อมูลสุขภำพผู้สูงอำยุ ข้อมูลกำรปฏิบัติ กิจวัตรประจำวัน ข้อมูลกำรทดสอบควำมอ่อนตัวของกลุ่มตัวอย่ำง คะแนนกำรทดสอบด้ำนควำมอ่อนของกล้ำมเนือ ขำด้ำนหลังของผู้สูงอำยุ ก่อนกำรทดลอง และหลังสัปดำห์ที่ 8 โดยนำผลข้อมูลที่เก็บรวบรวมมำวิเครำะห์ทำงสถิติ เพื่อสรุปผลกำรวิจัย ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินกำรเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีตำมลำดับขันตอนดังต่อไปนี 1. ระยะเตรียมกำร 1.1 ผู้วิจัยเสนอเค้ำโครงวิทยำนิพนธ์และเครื่องมือกำรวิจัยต่อคณะกรรมกำรพิจำรณำจริยธรรม 1.2 นำจดหมำยกำรผ่ำนกำรพิจำรณำจริยธรรม เสนอต่อโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลกระ ฉอดและเทศบำลตำบำลตลำดเพื่อขออนุญำตเข้ำดำเนินกำรวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูล 1.3 ผู้วิจัยประชุมเตรียมควำมพร้อมของผู้ช่วยผู้วิจัย นัดหมำยเพื่อทำควำมเข้ำใจรำยละเอียดและ แผนงำน ตลอดจนวิธีกำรปฏิบัติและกำรบันทึกผลกำรวิจัยให้เข้ำใจและถูกต้องตรงกัน และมอบหมำยให้ผู้ช่วยผู้วิจัย รับผิดชอบเป็นผู้ให้ควำมรู้ในฐำนกำรเรียนรู้และกำรปฏิบัติกิจกรรม 1.4 จัดเตรียมเครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย สื่อกำรสอน วัสดุอุปกรณ์ และสถำนที่ในกำรใช้ทำกิจกรรม 1.5 ทำกำรทดลองเครื่องมือก่อนกำรทดลอง (Try Out) โดยได้นำไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่ำงที่ไม่ใช่ กลุ่มทดลองที่มีลักษณะใกล้เคียงกันเป็นเวลำ 1 สัปดำห์ จำนวน 15 คน 2. ระยะกำรดำเนินกำรทดลอง 2.1 ผู้ วิ จั ย ผู้ ช่ว ยวิ จั ย และกลุ่ ม ทดลอง เข้ ำ พื นที่ ใ นเทศบำลต ำบลตลำด อ ำเภอเมื อ ง จั งหวั ด นครรำชสีมำ วันละ 1 ชั่วโมง โดยกำรทำ 3 วัน/สัปดำห์ เป็นระยะเวลำ 8 สัปดำห์ 2.2 ผู้วิจัยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่ำงตำมคุณสมบัติที่กำหนด และนัดหมำยเพื่อชีแจงวัตถุประสงค์ของ กำรวิจัย ขันตอนกำรดำเนินกำรวิจัย ระยะเวลำในกำรทำวิจัย และกำรพิทักษ์สิทธิ์ 2.3 เก็บข้อมูลก่อนกำรทดลองในสัปดำห์ที่ 1 (Pretest) โดยใช้แบบประเมินควำมสำมำรถใน กิจวัตรขันพืนฐำนของผู้สูงอำยุ แบบประเมินสุขภำพผู้สูงอำยุ และแบบทดสอบควำมอ่อนตัว 2.4 ดำเนินกำรทดลองโดยผู้วิจัยจัดท่ำกำยบริหำรปรับสมดุลโครงสร้ำงแบบมณีเวชให้แก่กลุ่ม ตัวอย่ำง ทำกำรทดลอง 3 วัน/สัปดำห์ วันละ 1 ชั่วโมง ทำกำรทดลองทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เวลำ 10.00 - 11.00 น. ในเทศบำลตำบลตลำด อำเภอเมือง จังหวัดนครรำชสีมำ วัน ขันตอน รูปแบบกำรฝึก เวลำ/นำที 10.00- 1. อบอุ่นร่ำงกำย อบอุ่นร่ำงกำยด้วยกำรดัดยืดข้อต่อต่ำงๆ ขยับข้อให้มีกำร 10 นำที 11.00 มี 5 ท่ำ เคลื่อนไหว ส่วนไหนที่บดิ เบียวไม่สมดุลจัดให้เข้ำที่ท่ำที่ทำได้ จัด (Warm Up) ตังแต่ศีรษะจรดปลำยเท้ำ 1. ท่ำจัดข้อมือ 2. ท่ำจัดข้อศอก 3. ท่ำจัดข้อเข่ำ 4. ท่ำนั่งย่อเข่ำและขำ 5. ท่ำยืดเอ็นหลังเท้ำและน่อง และยืนเขย่งเท้ำ

146


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

2. ท่ำกำยบริหำร ปรับสมดุล โครงสร้ำงร่ำงกำย แบบมณีเวช มี 8 ท่ำ

3. ผ่อนคลำย ร่ำงกำย มี 5 ท่ำ (Cool Down)

SRRU NCR2018

กำยบริหำรปรับสมดุลโครงสร้ำงแบบมณีเวชมี 8 ท่ำ (แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ท่ำตำชั่งบน และท่ำตำชั่งล่ำง) 1. ท่ำไหว้สวัสดี 2. ท่ำโม่แป้ง 3. ท่ำถอดเสือ ท่ำตำชั่งบน (ท่ำที่ 1-5) 4 .ท่ำกรรเชียง 5. ท่ำปล่อยพลัง 6. ท่ำคลำนกับท่ำงู 7. ท่ำแมว ท่ำตำชั่งล่ำง (ท่ำที่ 6-8) 8. ท่ำเต่ำ ผ่อนคลำยกล้ำมเนือโดยใช้กำรเคลือ่ นไหวที่มีแรงกระแทกต่ำ ใช้ ท่ำปฏิบัติเช่นเดียวกันกับอบอุ่นร่ำงกำย

20 นำที (ทุกท่ำทำซำ 3 รอบ ยกเว้นท่ำ ถอดเสือและ ท่ำกรรเชียง ทำข้ำงละ 3 รอบ) 10 นำที

2.6 ทดสอบควำมอ่อนตัวของกล้ำมเนือขำด้ำนหลัง หลังกำรฝึกสัปดำห์ที่ 8 และเก็บรวบรวมข้อมูลหลัง กำรทดลอง (Posttest) ไปวิเครำะห์ผลทำงสถิติ เพื่อทดสอบสมมติฐำนของงำนวิจัยต่อไป สถิติที่ใช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล วิเครำะห์ข้อมูลของคุณลักษณะทั่วไปของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยค่ำเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน มำตรฐำน (Mean ± SD) ก่อนกำรทดลอง ได้แก่ อำยุ นำหนัก ส่วนสูง อัตรำชีพจร ควำมดันโลหิต และวิเครำะห์ เปรียบเทียบควำมแตกต่ำงของค่ำเฉลี่ยกำรนั่งงอตัวไปข้ำงหน้ำ(ซม.) ระหว่ำงกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ก่อนกำร ทดลอง และหลังสัปดำห์ที่ 8 โดยใช้สถิติ Independent T-test กำหนดระดับนัยสำคัญทำงสถิติที่ 0.05

147


SRRU NCR2018

การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ผลกำรวิจัย ตำรำงที่ 1 คุณลักษณะทั่วไปของกลุ่มทดลองก่อนกำรทดลอง (Mean ± SD) ได้แก่ อำยุ นำหนัก ส่วนสูง อัตรำชีพ จรควำมดันโลหิต

68±5.65 60.74±11.98 156.37±7.12 76.03±12.46

กลุ่มควบคุม (n=30 คน) ̅±SD. 68±20 58.51±8.11 152.17±5.88 75.77±7.39

129.20±14.70 71.20±13.12

126.27±10.22 72.13±6.29

กลุ่มทดลอง (n=30 คน)

คุณลักษณะทั่วไป

̅±SD.

อำยุ(ปี) นำหนัก (กก.) ส่วนสูง (ซม.) อัตรำชีพจร(ครัง/นำที) ควำมดันโลหิต(มม.ปรอท) -Systolic -Diastolic

จำกตำรำงที่ 1 แสดงคุณลักษณะทั่วไปของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่ำก่อนกำรทดลองค่ำเฉลี่ย อำยุ 68±5.65 ปี และ 68±20 ปี นำหนัก 60.74±11.98 กก. และ 58.51±8.11 กก. ส่วนสูง 156.37±7.12 ซม. และ 152.17±5.88 ซม. อัตรำชีพจร 76.03±12.46 ครัง/นำที และ 75.77±7.39 ครัง/นำที ควำมดันโลหิตบน (Systolic) 129.20±14.70 มม.ปรอท และ 126.27±10.22 มม.ปรอท ควำมดันโลหิตล่ำง(Diastolic) 71.20±13.12 มม.ปรอท และ 72.13±6.29 มม.ปรอท ตำมลำดับ ตำรำงที่ 2 เปรียบเทียบควำมแตกต่ำงของค่ำเฉลี่ยกำรนั่งงอตัวไปข้ำงหน้ำ (ซม.) ระหว่ำงกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุม ก่อนกำรทดลอง และหลังสัปดำห์ที่ 8 ควำมอ่อนตัวของกล้ำมเนือ ขำด้ำนหลัง

กลุ่มทดลอง (n=30 คน) ̅±SD.

กลุ่มควบคุม (n=30 คน) ̅±SD.

ก่อนทดลอง

7.76±5.30

6.33±4.41

หลังสัปดำห์ที่ 8

13.03±5.46

8.85±3.78

Mean Difference (95%CI) 1.43 (-1.093.95) 4.18 (1.75-6.62)

t

Sig

1.14

0.26

3.45*

0.00

* มีควำมแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ p < .05 สรุปผลและวิจำรณ์ผลกำรวิจัย จำกกำรวิจัยครังนี สรุปได้ว่ำ ภำยหลังกำรทดลองสัปดำห์ที่ 8 กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยค่ำควำมอ่อนตัว ของกล้ำมเนือขำด้ำนหลังเพื่อกำรป้องกันกำรหกล้มมำกกว่ำก่อนกำรทดลองและกลุ่มควบคุม อย่ำงมีนัยสำคัญทำง

148


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สถิติที่ระดับ .05 หลังกำรทดลองกลุ่มทดลองได้ค่ำเฉลี่ย 13.03±5.46 กลุ่มควบคุม ได้ค่ำเฉลี่ย 7.76±5.30 โดยได้ ควำมอ่อนตัวเพิ่มขึน 4.18 หน่วย(95% CI 1.75 to 6.62) กำรปรับสมดุลโครงสร้ำงร่ำงกำยแบบมณีเวชส่งผลให้ ผู้สูงอำยุมีควำมอ่อนตัวในกล้ำมเนือและข้อต่อต่ำงๆ โดยเฉพำะควำมอ่อนตัวของกล้ำมเนือขำด้ำนหลังและช่วยทำให้ มีกำรจัดสมดุลโครงสร้ำงร่ำงกำยเพื่อช่วยป้องกันกำรหกล้มของผู้สูงอำยุได้ กำรวิจัยครังนีมีสมมติฐำนกำรวิจัย คือ หลังกำรทดลองผู้สูงอำยุที่มีกำรปรับสมดุลโครงสร้ำงแบบมณีเวช เพื่อกำรป้องกันกำรหกล้มมีควำมอ่อนตัวของกล้ำมเนือขำด้ำนหลังมำกกว่ำกลุ่มควบคุม ซึ่งผู้วิจัยขออภิปรำยผลดังนี ผลกำรวิจัยครังนี พบว่ำ ก่อนกำรทดลองและหลังสัปดำห์ที่ 8 ผู้สูงอำยุมีควำมอ่อนตัวแตกต่ำงอย่ำงมี นัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตำมสมมติฐำนกำรวิจัยที่ตังไว้ สอดคล้องกับวีระยุทธ แก้วโมกข์ (2560 : 31.) ได้ทำกำรศึกษำผลกำรทำกำรบริหำรแบบมณีเวชต่อกำรทรงตัว ควำมยืดหยุ่น และควำมแข็งแรงของผู้สูงอำยุ พบว่ำ กำรทำกำยบริหำรแบบมณีเวช มำกกว่ำเท่ำกับ 4 ครัง/สัปดำห์เป็นระยะเวลำ 6 สัปดำห์ สำมำรถเพิ่มสมดุล กำรทรงตัว ควำมยืดหยุ่น และควำมแข็งแรงของกล้ำมเนือกำมือ ซึ่งมีควำมสำคัญต่อกำรทำกิจวัตรประจำวันต่ำงๆ กำรเดินและป้องกันกำรล้ม กำรทำกำยบริหำรแบบมณีเวชไม่มีผลต่อควำมแข็งแรงกล้ำมเนือเหยียดเข่ำในผู้สูงอำยุ และสอดคล้องกับของสโรชำ สุทธิจิต. (2551 : 20-26) ควำมสำมำรถในกำรอ่อนตัว จะเป็นส่วนสำคัญต่อกำรรักษำ ท่ำทำงที่ดีและช่วยทำให้มีกำรเคลื่อนไหวของข้อต่อได้อย่ำงเต็มที่ ควำมอ่อนตัวสำมำรถที่จะป้องกันกำรปวดหลัง ส่วนล่ำง ควำมอ่อนตัวจะช่วยลดปัญหำกำรทรงตัวและปัญหำเกี่ยวกับข้อต่อต่ำงๆ ส่งผลให้สุขภำพทังทำงร่ำงกำย และจิตใจดีขึน และกำรบริหำรกำยด้วยกำรยืดกล้ำมเนือและเอ็นทุกครังจะช่วยให้เกิดควำมอ่อนตัวของข้อต่อได้เป็น อย่ำงมำก และกำรเพิ่มควำมอ่อนตัวด้วยกำรค่อยๆ เคลื่อนไหวช้ำๆ จนกล้ำมเนือและเนือเยื่อต่ำงๆ ถูกยืดจนมี ควำมรู้สึกเจ็บจำกกำรยืดและให้คงท่ำยืดนีไว้ประมำณ 8-10 วินำที ให้ทำซำกัน 5-6 ครัง ข้อสำคัญก็คือ ต้องทำทุก วันเพรำะควำมอ่อนตัวจะคงอยู่ได้นำนประมำณ 8-10 สัปดำห์ และกำรศึกษำของเพชรธยำ แป้นวงษำ (2559 : ก) ได้ทำกำรศึกษำผลของกำรปรับสมดุลร่ำงกำยด้วยมณีเวชต่ออำกำรปวดเมื่อยกล้ำมเนือในผู้สูงอำยุ พบว่ำ หลังกำร ปรับสมดุลร่ำงกำยด้วยท่ำมณีเวชมีระดับกำรเจ็บปวดกล้ำมเนือลดลง สรุปผลกำรวิจัย กำรปรั บสมดุลร่ำงกำยและ กำรบริห ำรร่ ำงกำยด้ วยท่ ำมณี เวชที่ป ฏิบัติ เป็น ประจำ และต่อเนื่องช่วยลดกำรปวดเมื่อ ยกล้ ำมเนือจำกระบบ กล้ำมเนือและกระดูกในผู้สูงอำยุส่งผลให้ผู้สูงอำยุมีคุณภำพชีวิตที่ดีขึน ผลกำรวิจัยครังนี มีแนวโน้มว่ำ หลังสัปดำห์ที่ 8 มีค่ำเฉลี่ยของควำมอ่อนตัวมำกขึน อำจเป็นเพรำะว่ำ กำรปรับสมดุลโครงสร้ำงร่ำงกำยแบบมณีเวช ประกอบด้วย ขันตอนของอบอุ่นร่ำงกำย เป็นกำรอบอุ่นร่ำงกำยด้วย กำรยืดกล้ำมเนือและยืดข้อต่อต่ำงๆ มี 5 ท่ำ ได้แก่ ท่ำจัดข้อมือ ท่ำจัดข้อศอก ท่ำจัดข้อเข่ำ ท่ำนั่งย่อเข่ำและขำ ท่ำ ยืดเอ็นหลังเท้ำและน่องและยืนเขย่งเท้ำ ใช้เวลำ 10 นำที ขันตอนของกำรออกกำลังกำย เป็นกำรฝึกท่ำกำยบริหำร ปรับสมดุลโครงสร้ำงร่ำงกำยแบบมณีเวช โดยแบ่งเป็นกำรปรับสมดุลโครงสร้ำงช่วงบน (ท่ำที่ 1-5) และกำรปรับ สมดุลโครงสร้ำงช่วงล่ำง (ท่ำที่ 6-8) 20 นำที และขันของกำรคลำยอุ่นร่ำงกำย(ท่ำเดียวกับท่ำอบอุ่นร่ำงกำย) 10 นำที ส่งผลให้กำรทำงำนของกล้ำมเนือและเอ็นรอบข้อต่อต่ำง ๆ สำมำรถยืดยำวออกได้มำกกว่ำในขณะพักและคงท่ำ นันไว้เป็นระยะเวลำหนึ่ง โดยกำรฝึกมณีเวชถือเป็นกำรฝึกควำมอ่อนตัวอีกรูปแบบหนึ่งที่คล้ำยกับกำรยืดกล้ำมเนือ แบบอยู่กับที่ (Static Stretching) ฝึกร่วมกับกำรฝึกบริหำรลมหำยใจด้วยกำรหำยใจเข้ำลึกและหำยใจออกยำวอย่ำง ช้ำ ๆ ไปพร้อม ๆ กัน ดังนันกำรปรับสมดุลร่ำงกำยแบบมณีเวชนีช่วยทำให้มีกำรยืดกล้ำมเนือและยืดข้อต่อของ ผู้สูงอำยุ ได้มี ผลท ำให้เกิ ดควำมอ่ อนตัวมำกขึ น และสำมำรถป้องกันกำรหกล้ มที่อ ำจจะเกิ ดขึ นได้ อีกด้ วย และ สอดคล้องกับเวสและบุชเชอร์ (Wuest and Bucher, 1991 อ้ำงในสโรชำ สุทธิจิต 2551 : 20-26) ผู้ที่มีควำมอ่อน ตัว ดี คื อ ผู้ที่ ท ำกิ จ กรรมกำรออกก ำลังกำยที่ มี กำรยื ดเหยีย ด (Stretching) อย่ ำ งสม่ ำเสมอ ควำมอ่ อนตั ว มี

149


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ควำมสำคัญต่อ ร่ำงกำยหลำยประกำร ได้ แก่ ควำมอ่อ นตัวต่อสุขภำพ เพรำะบุคคลที่มีควำมอ่อ นตัวจะทำให้ มี บุคลิกภำพดีช่วยลดและแก้ไขปัญหำต่ำงๆ ที่เกิดขึนกับร่ำงกำย เช่น ปัญหำกำรปวดหลัง ปัญหำกำรทรงตัวและ ปัญหำเกี่ยวกับข้อต่อต่ำงๆ ส่งผลให้สุขภำพทังทำงร่ำงกำยจิตใจดีขึน สรุปผลกำรวิจัยได้ว่ำ กำรปรับสมดุลร่ำงกำยแบบมณีเวชส่งผลให้ควำมอ่อนตัวเพื่อกำรป้องกันกำรหกล้ม ของผู้สูงอำยุมำกขึน มณีเวชไม่เพียงแต่ทำให้สภำพร่ำงกำยอยู่ในสมดุลได้เท่ำนัน แต่ยังทำให้จิตใจอยู่ในสมดุลได้ด้วย นั่นคือ มณีเวชช่วยในกำรเจริญสติ ซึ่งมีคำกล่ำวว่ำ สติเป็นควำมสมดุลทำงจิตอย่ำ งหนึ่งให้เรำรู้จักใช้ สติ สมำธิ ให้ รับรู้อิริยำบถของตนเอง ไม่ว่ำจะเป็นกำรยืนเดิน นั่งนอนต่ำง ๆ ก็เป็นกำรฝึกสติด้วยกันทังสิน เมื่อฝึกรู้อิริยำบถให้ มำกเรำจะได้ฐำนของกำรมีสติอย่ำงถูกต้อง เพรำะกำรรู้อิริยำบถคือ กำรรับรู้ของจริงในปัจจุบัน ให้จิตอยู่กับปัจจุบั น ไม่ส่งออกไปถึงอดีตที่ผ่ำนมำแล้วหรืออนำคตที่ยังมำไม่ถึง ทำให้ควำมทุกข์ควำมเจ็บปวด ควำมไม่สบำยกำยของเรำ ลดลง เรำเอำจิตของเรำไปจดจ่ออยู่กับอิริยำบถแทนที่จะมำนึกถึงควำมเจ็บปวด หรือควำมไม่สบำยกำยไม่สบำยใจ เมื่อฝึกเจริญสติแบบนีไปนำน ๆ ร่ำงกำยก็จะมีควำมสมดุลช่ว ยหลีกเลี่ยงและแก้ไขท่ำต่ำง ๆ ที่ผิดปกติและเป็น อันตรำยต่อร่ำงกำย ป้องกันมิให้มีควำมบกพร่องพิกำรในท่ำต่ำง ๆ ในขณะเดียวกัน จิตใจที่ได้รับกำรเจริญสติอย่ำง ต่อเนื่องจะมีควำมเฉียบคม ก่อให้เกิดประโยชน์มำกมำย ทังในด้ำนหน้ำที่กำรงำนก็ได้ผลดี จะตัดสินใจทำอะไรก็ไม่ ค่อยผิดพลำดช่วยไม่ให้เรำหลงไปกับอำรมณ์และควำมคิด รู้จักตัวเอง รู้จักผู้อื่นและแก้ไขชีวิตได้ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในกำรนำผลกำรวิจัยไปใช้ กำรปรับสมดุลร่ำงกำยแบบมณีเวชต่อควำมอ่อนตัวเพื่อกำรป้องกันกำรหกล้มของผู้สูงอำยุ เป็นแนวทำง เลือกหนึ่งที่ให้หน่วยงำนหรือเจ้ำหน้ำที่สุขภำพของโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบล นำไปประยุกต์ใช้ในกำรจัด กิจกรรมเพื่อส่งเสริมควำมสำมำรถของผู้สูงอำยุในกำรป้องกันกำรหกล้มที่บ้ำนและในชุมชนได้ อย่ำงไรก็ตำม กำร วิจัยครังนีมีข้อจำกัดคือ กลุ่มตัวอย่ำงมีจำนวนเพศหญิงมำกกว่ำเพศชำย และกลุ่มตัวอย่ำงทังสองกลุ่มมีเพศชำยและ เพศหญิงไม่เท่ำกัน ซึ่งอำจจะมีผลข้ำงเคียงในกำรคำนวณควำมอ่อนตัวได้ ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรทำกำรศึกษำกำรปรับสมดุลร่ำงกำยแบบมณีเวชต่อควำมอ่อนตัวเพื่อกำรป้องกันกำรหกล้มใน กลุ่มอำยุอื่น เช่น ในกลุ่มวัยเด็ก วัยรุ่น หรือวัยทำงำน เป็นต้น 2. ควรทำกำรศึกษำปรับสมดุลร่ำงกำยแบบมณีเวชกับวัยผู้สงู อำยุ หรือวัยทำงำนที่มีปัญหำด้ำนสุขภำพ ต่ำง ๆ เช่น ออฟฟิศซินโดรม กล้ำมเนือแขนขำอ่อนแรง เป็นต้น กิตติกรรมประกำศ ผู้วิจัยขอกรำบขอบพระคุณท่ำนอำจำรย์ประสิทธิ์ มณีจิระปรำกำร ผู้ที่คิดค้นมณีเวช ศำสตร์แห่งควำม สมดุล และกรำบขอบพระคุณอำจำรย์หมอเขียว ใจเพชร กล้ำจน ผู้กำเนิดกำรแพทย์วิถีธรรมและเป็นผู้สอนให้ผู้วิจัย ได้รู้ว่ำหมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวเรำเอง และขอขอบพระคุณคณำจำรย์มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ ที่เมตตำชีแนะ แนวทำงกำรวิจัย และขอบพระคุณเทศบำลตำบลตลำด อำเภอเมือง จังหวัดนครรำชสีมำ และกลุ่มตัวอย่ำงและท่ำน อื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในกำรวิจัยครังนี

150


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เอกสำรอ้ำงอิง กลุ่มพัฒนำสมรรถภำพทำงกำย. ( 559). “รำยงำนผลกำรทดสอบสมรรถภำพทำงกำยนักกีฬำผู้สูงอำยุที่เข้ำร่วม กำรแข่งขันกีฬำผู้สูงอำยุแห่งประเทศไทย ครังที่ 10 ประจำปี 559” สำนักวิทยำศำสตร์กำรกีฬำ กรม พลศึกษำ กระทรวงกำรท่องเที่ยวและกีฬำ. ณัฐฐิตำ เพชรประไพ. (2558, มกรำคม). “ภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในเขตเมือง นครรำชสีมำ.” สงขลำนครินทร์ เวชสำร. ปีที่ 33 (ฉบับที่ 1) มกรำคม-กุมภำพันธ์ : 21-29. ทิวำพร ทวีวรรณกิจ และคณะ. ( 553). “กำรทรงตัว กำรล้มและคุณภำพชีวิตในผูส้ ูงอำยุ ที่เคลื่อนไหวและไม่ เคลื่อนไหวร่ำงกำยเป็นประจำ.” วำรสำรเทคนิคกำรแพทย์และกำยภำพบำบัด. ปีที่ 22 (ฉบับที่ 3) กันยำยน-ธันวำคม : 271. นภดล นิงสำนนท์ และเกณิกำ หังสพฤกษ์. (2560). ตำรำมณีเวช เปลี่ยนกระบวนทัศน์ ปรับ กระบวนคิด สร้ำงสมดุลชีวิต. พิมพ์ครังที่ 1. โรงพยำบำลหำดใหญ่. สงขลำ : บริษัทนีโอ พ้อย์ (1995) จำกัด. นภดล นิงสำนนท์ และอรวรรณ จิรชำญชัย. (2560). พลิกตำรำวิชำแพทย์ด้วยมณีเวช ศำสตร์แห่งควำมท้ำทำย. พิมพ์ครังที่ 1. โรงพยำบำลเพชรบูรณ์. เพชรบูรณ์ : ดีดีกำรพิมพ์. นภดล นิงสำนนท์. ( 554). “มณีเวชเพื่อชีวิตง่ำยๆ สบำยๆ.” วำรสำรมหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิ โรฒ. (สำขำ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี) ปีที่ 3 (ฉบับที่ 5) มกรำคม-มิถุนำยน 2554 : 1-13. นิวัฒน์ บุญสม. ( 560). “กำรพัฒนำควำมอ่อนตัวด้วยกำรยืดเหยียดกล้ำมเนือ” Veridian E-Journal, Silpakorn University. (สำขำมนุษย์ศำสตร์ สังคมศำสตร์ และศิลปะ) ปีที่ 10 (ฉบับที่ 10) พฤษภำคม-สิงหำคม 2560 : 2. พรศิริ และคณะ. ( 551). “ผลของโปรแกรมกำรออกกำลังกำยด้วยลีลำศต่อกำรทรงตัวของผูส้ ูงอำยุทมี่ ีควำมเสี่ยงต่อ กำรหกล้ม” มหำวิทยำลัยสงขลำนครินทร์. ปีที่ 26 (ฉบับที่ 4) วันที่ 4 กรกฎำคม - สิงหำคม. 2551. เพชรธยำ แป้นวงษำ. (2560, มีนำคม). “ผลของกำรปรับสมดุลร่ำงกำยด้วยมณีเวชต่อกำรปวดเมื่อยกล้ำมเนือใน ผู้สูงอำยุ” มหำวิทยำลัยรำชภัฎเพชรบูรณ์. ครังที่ 4 วันที่ 10 มีนำคม 2560. ละออม สร้อยแสง, จริยำวัตร คมพยัคฆ์ และกนกพร นทีธนสมบัต.ิ ( 557). “แนวทำงกำรป้องกันกำรหกล้มใน ผู้สูงอำยุชุมชนมิตรภำพพัฒนำ.” วำรสำรพยำบำลทหำรบก. ปีที่ 15 (ฉบับที่ 1) : 122-129. วีระยุทธ แก้วโมกข์. ( 560). “ผลกำรทำกำยบริหำรแบบมณีเวชต่อกำรทรงตัว ควำมยืดหยุ่น และควำมแข็งแรง ของผู้สูงอำยุ” บูรพำเวชสำร. ปีที่ 4 (ฉบับที่ 1) มกรำคม-มิถุนำยน 2560 : 31 อธิพงศ์ พิมพ์ดี. (2553). ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษำโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแบบแผนควำมเชื่อด้ำนสุขภำพ และกำรสนับสนุนทำงสังคม ร่วมกับกำรออกกำลังกำยโดยกำรเต้นรำจังหวะ Paslop เพื่อป้องกันกำรหก ล้มในหญิงไทยก่อนวัยสูงอำยุ จังหวัดร้อยเอ็ด. ปริญญำธำรณสุขศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำสุขศึกษำ และกำรส่งเสริมสุขภำพ บัณฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลัยขอนแก่น.

151


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-15

ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรดูแลสุขภำพกับภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร RELATING BETWEEN SELF-HEALTH CARE BEHAVIORS AND HEALTH STATUS OF THE ELDERLY IN MUKDAHAN PROVINCE. ปริศนำ อิรนพไพบูลย์1 ธงชัย วงศ์เสนำ2 และอติพร ทองหล่อ3 1.

Prissana Iranoppaiboon นักศึกษาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร2 2. Thongchai Wongsena รองศาสตราจารย์คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 3. Atiporn Thonglaw อาจารย์วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์

บทคัดย่อ กำรวิจัยครังนีเป็นกำรวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำ (1) กำรดูแลสุขภำพ ของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร (2) ภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร (3) ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำร ดูแลสุขภำพกับภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร กลุ่มตัวอย่ำง คือ ผู้สูงอำยุกลุ่มติดสังคม จำนวน 400 คน ในจังหวัดมุกดำหำร โดยสุ่มตัวอย่ำงแบบหลำยขันตอน (Multi-Stage Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย ประกอบด้วย เครื่องชั่งนำหนัก เครื่องมือวัดส่วนสูง เพื่อประเมินดัชนีมวลกำย และแบบสอบถำมผ่ำนกำรตรวจสอบ ควำมตรงตำมเนือหำ IOC มีค่ำ = 1.0 ควำมเที่ยงของเครื่องมือวิจัย (Reliability) คำนวณโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์ แอลฟำของครอนบำค (Cronbach’s alpha coefficient) แบบสอบถำมกำรดูแลสุขภำพทำงกำยและทำงใจ ได้ค่ำ ควำมเที่ยง 0.70 และแบบสอบถำมภำวะสุขภำพทำงกำยและทำงใจ ได้ค่ำควำมเที่ยง 0.82 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ควำมถี่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ทดสอบสมมติฐำนด้วย สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson Correlation Coefficient) ผลกำรวิจัยสรุปได้ว่ำ (1) กำรดูแลสุขภำพทำงกำยในภำพรวมมีกำรปฏิบัติระดับดีมำก ( X = 4.27, S.D. = 0.58) กำรดูแลสุขภำพทำงใจโดยภำพรวมมีกำรปฏิบัติอยู่ในระดับดี ( X = 3.71, S.D. = 0.68) (2) ร้อยละ 61.80 ของผู้สูงอำยุ ส่วนใหญ่มีภำวะสุขภำพทำงกำยดีมำก และร้อยละ 54.40 มีภำวะสุขภำพทำงใจในระดับสุขภำพจิต ดีกว่ำคนทั่วไป (3) ด้ำนกำรดูแลสุขภำพทำงกำยกับภำวะสุขภำพทำงกำยมีควำมสัมพันธ์ทำงบวกในระดับน้อย (r = .300, p value <.001) กำรดูแลสุขภำพทำงใจกับภำวะสุขภำพทำงกำยมีควำมสัมพันธ์ทำงบวกในระดับน้อย (r = .300, p value <.001) เช่นกัน ส่วนกำรดูแลสุขภำพทำงกำยกับภำวะสุขภำพทำงใจมีควำมสัมพันธ์ทำงบวก ใน ระดับน้อย (r = .293, p value <.001) และกำรดูแลสุขภำพทำงใจกับภำวะสุขภำพทำงใจมีควำมสัมพันธ์ทำงบวก ในระดับปำนกลำง (r = .406, p value <.001) ดังนัน หน่วยงำนที่เกี่ยวข้องจึงควรส่งเสริมกำรดูแลสุขภำพด้ำนอำหำร กำรออกกำลังกำยและอำรมณ์ ให้แก่ผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำรต่อไป คำสำคัญ : การดูแลสุขภาพ, ภาวะสุขภาพ, ผู้สูงอายุ

152


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Abstract This research was a survey research. The objective research were to study (1) Selfhealth care behaviors of the Elderly in Mukdahan province (2) Health status of the elderly in Mukdahan province. (3) Relating between Self-health care behaviors and health status of the elderly in Mukdahan province. The sample consisted of elderly dependents 400 persons in Mukdahan province. Data were collected using Multi-Stage sampling. Weighting and High measurement were used in BMI and questionnaire form was passed content validity index = 1.0 for data collection also used questionnaire was passed reliability by used Cronbach’s alpha coefficient. Questionnaire with reliability valued at 0.70 for Physiological and mental self health care and 0.82 for physiological and mental health status. Data analysis was performed using frequency, percentage, average, standard deviation. Inferential statistics were used in Pearson Correlation Coefficient This results revealed that (1) Overall self health care behaviors in Physiological was at highest level ( X = 4.27, S.D. = 0.58) than overall self health care behaviors in mental health was at high ( X = 3.71, S.D. = 0.68) (2) Health status in Physiological was very good (61.80 %) and health status in Mental of Elderly better than people (54.40 %) (3) Self health care behaviors in Physiological correlated to Health status in Physiological at low level (r = .300, p value <.001) in positive direction. Self health care in mental correlated to Health status in Physiological at low level (r = .300, p value <.001) in positive direction also.Self health care in physiological correlated to health status in mental at low level (r = .293, p value <.001) in positive direction. Self health care in mental correlated to health status in mental at middle level (r = .406, value <.001) in positive direction. So that the relevant agencies should promote healthy food, exercise and emotion for the elderly in Mukdahan province next. Keywords : Self-health care behaviors, Health status, Elderly บทนำ สถำนกำรณ์ทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับกำรรับมือกับ“โครงสร้ำงของประชำกรสูงอำยุ” ที่เพิ่มจำนวนขึนอย่ำง รวดเร็ว จำกเมื่อประมำณ 20 ปีก่อนมีจำนวนประชำกรสูงอำยุคิดเป็นร้อยละ 9.00 ของประชำกรโลก ในปี 2015 มี จำนวนเพิ่มเป็นร้อยละ 12.00 ของประชำกรโลก สืบเนื่องจำกควำมก้ำวหน้ำทำงกำรแพทย์และกำรสำธำรณสุข (United Nations Population Funds. 2012 : 3-4) ส่งผลให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงโครงสร้ำงประชำกรจำกกำรลดลงของอัตรำ กำรเกิดและกำรตำย ซึ่งถือว่ำประชำกรโลกได้เข้ำสู่เกณฑ์ “สังคมสูงวัย” (Aging Society) แล้ว(มูลนิธิสถำบันวิจัยและ พัฒนำผู้สูงอำยุไทย. 2560 : 18) ส่วนในประเทศไทยเข้ำสู่เกณฑ์ “สังคมสูงวัย” ตังแต่ปี 2548 คือ มีสัดส่วนผู้สูง อำยุสูงถึงร้อยละ 10.00 ของประชำกรไทยทังประเทศ และจำกกำรสำรวจ พบว่ำ ผู้สูงอำยุมีแนวโน้มเพิ่มขึนจำก

153


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ร้อยละ 6.80 เป็นร้อยละ 14.90 และเป็นร้อยละ 16.00 ตังแต่ปี 2537 ปี2557 และปี 2558 ตำมลำดับจะเห็นได้ว่ำ เป็นอัตรำกำรเพิ่มขึนที่เร็วมำกจึงทำให้หน่วยงำนต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ต้องเตรียมกำรด้ำนกำรส่งเสริมและกำรดูแล สุขภำพแก่ผู้สูงอำยุให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อลดปัญหำและภำระด้ำนสุขภำพ เศรษฐกิจ และสังคม ทังในระดับบุคคล ครอบครัว สังคมและประเทศชำติ (กรมอนำมัย กระทรวงสำธำรณสุข. 2555 : 3) กำรเปลี่ยนแปลงในวัยสูงอำยุ ร่ำงกำยก็จะมีภำวะเสื่อมถอยและอ่อนแอลง จิตใจมีควำมแปรปรวนที่มำกขึน และเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคได้ง่ำย (ประนอม โอทกำนนท์. 2554 : 11-24) โรคที่มักพบในผู้สูงอำยุ ได้แก่ ข้ออักเสบ โรคควำมดันโลหิตสูง เบำหวำน โรคอ้วน โรคถุงลมโป่งพอง/หลอดลมปอดอุ ดกันเรือรัง หลอดเลื อดหัวใจตีบ /กล้ ำมเนือหัวใจตำยและอัม พำต (สำนักงำนสถิติแห่งชำติ. 2557 : 8,36) โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งโรคเรือรังที่มีควำมสัมพันธ์และมีสำเหตุมำจำกพฤติกรรมที่ ไม่เหมำะสมเป็นเหตุให้เกิดภำวะทุพพลภำพและพิกำรในระยะยำว และยังพบว่ำร้อยละ40 มีโรคเรือรังตังแต่ 2 โรค และทุก 1 ใน 4 คนมีภำวะทุพพลภำพระยะยำว (สุทธิชัย จิตะพันธ์กุล . 2542) รวมทังกำรสูญเสียสถำนภำพและ บทบำททำงสัง คม ย่ อมส่งผลโดยตรงต่อ สภำพจิ ตใจและระดั บควำมสุข และพบว่ ำผู้สูงอำยุตอนต้นจะมีระดั บ ควำมสุขมำกกว่ำตอนกลำงและตอนปลำย ในทำงกลับกันผู้สูงอำยุตอนปลำยจะมีควำมสุขน้อยกว่ำทุกวัย (สำนักงำน สถิติแห่งชำติ. 2557 : 19) ในกลุ่มผู้สูงอำยุนิยมแบ่งตำมช่วงวัยได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ ตอนต้น(อำยุ 60-69 ปี) ตอนกลำง (อำยุ 70-79 ปี) และตอนปลำย (อำยุ 80 ปีขึนไป) และถ้ำแบ่งตำมลักษณะสุขภำพและสังคมของ ผู้สูงอำยุจะได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มติดสังคม กลุ่มติดบ้ำน และกลุ่มติดเตียง ซึ่งกลุ่มติดสังคมเป็นกลุ่มที่สำมำรถ ช่วยเหลือตนเองได้ดี ทำกิจวัตรประจำวันของตนเองได้ ทังยังช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมได้ด้วย โดยทั่วไปมีสุขภำพดี ไม่มีโรคเรือรัง และถึงแม้เป็นโรคเรืองรัง 1-2 โรค ก็ยังสำมำรถควบคุมได้ดี (ลัดดำ ดำริกำร. 2556). ในปี พ.ศ. 2558 พบว่ำ ร้อยละ 79 เป็นกลุ่มติดสังคม ส่วนอีกร้อยละ 21 เป็นกลุ่มพึ่งพิง คือกลุ่มติดบ้ำน และกลุ่มติดเตียง รวมกัน (สำนักงำนหลักประกันสุขภำพแห่งชำติ . 2559) กำรที่บุคคลหรือผู้สูงอำยุมีสุขภำพที่ดี ทังร่ำงกำย จิตใจ รวมทังสังคมได้นันเกิดจำกกำรทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์และสนใจในกำรดูแลสุขภำพของตนเอง แต่ในทำงกลับกัน กำรที่ผู้สูงอำยุไม่สนใจดูแลสุขภำพตนเอง ย่อมทำให้มีสุขภำพไม่ดี จึงไม่สำมำรถช่วยเหลือ ตัวเองผู้อื่นและสังคมได้ (Pender. 1996 : 98) นอกจำกนันกำรได้รับกำรสนับสนุนทำงสังคมของผู้สูงอำยุก็เป็นกำรกระทำที่ส่งผลดีต่อ สุขภำพและควำมเป็นอยู่ของผู้สูงอำยุให้ ดีขึนทังกำยและใจ (Cohen and Syme. 1985 : 3-4) ในเรื่องของ “พฤติกรรมสุขภำพ” (Health behavior)นัน วัชพลประสิทธิ์ ก้อนแก้ว. (2557 : 26) หมำยถึง กำรกระทำ กำร ปฏิบัติ กำรแสดงออก และท่ำทีที่จะกระทำ ซึ่งก่อให้เกิดผลดีหรือผลเสียต่อสุขภำพของตนเอง โดยจำแนกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ กำรกระทำหรือกำรปฏิบัติของบุคคลที่มีผลดีหรือผลเสียต่อสุขภำพและกำรงดเว้นไม่กระทำหรือกำรไม่ ปฏิบัติของบุคคลที่มีผลดีหรือผลเสียต่อสุขภำพ และโสภิดำ แก้วนำหลวง. (2558: 12) ก็ได้ให้ควำมหมำยของ “ภำวะสุขภำพ” ไว้ว่ำสุขภำวะหรือสภำพร่ำงกำยที่มีควำมสมบูรณ์ทังทำงด้ำนร่ำงกำย จิตใจ สัง คม และจิตวิญญำณ โดยมีสภำพร่ำงกำยที่แข็งแรง ปรำศจำกโรคภัยไข้เจ็บ สำมำรถช่วยเหลือตนเองได้ และมีสภำพจิตใจที่แจ่มใส มี ควำมสุข อำศัยอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น ช่วยเหลือเกือกูลกันและมีสติปัญญำ ตระหนักถึงควำมผิดชอบชั่วดี มีสติใน กำรแก้ไขปัญหำ เสียสละและมีเมตตำต่อบุคคลรอบข้ำง ผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำรก็เช่นกันคือมีแนวโน้มที่เพิ่มขึนทุกปี ดังข้อมจำกปี 2557- 2560 มีจำนวน ร้อยละ 12.89, 13.04, 13.93 และ 14.56 ของประชำกรทังหมด 349,474 คน (ศูนย์ข้อมูลสุขภำพสำนักงำน สำธำรณสุขจังหวัดมุกดำหำร. 2560) ซึ่งผู้สูงอำยุในตอนต้น ตอนกลำง และตอนปลำยมีจำนวนร้อยละ 57.97 28.63 และ 13.40 แต่อีกนัยหนึ่งของกำรแบ่งกลุ่มพบว่ำฉพำะกลุ่มติดสังคม มีจำนวนมำกถึงร้อยละ 96.03 ส่วนกลุ่ม ติดบ้ำน และกลุ่มติดเตียงมีจำนวนร้อยละ 3.26 และ 0.71 ตำมลำดับ ซึ่งในปี 2559 พบว่ำ ร้อยละ 28.22 ป่วยเป็น

154


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

โรคควำมดันโลหิตสูงซึ่งมำกที่สุด รองลงมำ คือ โรคเบำหวำนร้อยละ 15.14 โดยทังสองเป็นโรคที่ทำให้เกิดโรคแทรก ซ้อนอื่น ๆ ตำมมำ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต ต้อกระจกเป็นต้น และอำจทำให้เกิดควำมพิกำรตำมมำได้ นอกจำกนียังพบว่ำมีภำวะข้อเข่ำเสื่อมร้อยละ 11.75 ส่วนทำงด้ำนจิตใจพบว่ำ มีภำวะซึมเศร้ำที่เสี่ยงต่อกำรฆ่ำตัว ตำยมำกถึง 44 รำย คิดเป็นร้อยละ 0.14 และยังพบว่ำมีภำวะนำหนักเกิน เป็นโรคอ้วน และอ้วนรุนแรง ร้อยละ 18.10 16.76 และ 3.62 อีกด้วย (ระบบคลังข้อมูลโรคไม่ติดต่อเรือรังจังหวัดมุกดำหำร. 2559, พฤษภำคม) ดังนันจำกปัญหำและควำมสำคัญของผู้สูงอำยุต่ำง ๆ ข้ำงต้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษำกำรดูสุขภำพกำย สุขภำพใจ และภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งกลุ่มติดสังคมในจังหวัดมุกดำหำร เพื่อให้ผู้สูงอำยุกลุ่มนี ซึ่งมีจำนวนมำกกว่ำร้อยละ 90.00 จะได้ตระหนักในกำรให้ควำมสำคัญที่จะดูแลสุขภำพของตัวเอง รวมทังบุคคลภำยใน ครอบครัว หน่วยงำนต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้องในกำรบริหำรจัดกำรให้ควำมช่วยเหลือเพื่อให้ผู้สูงอำยุกลุ่มนีมีสุขภำพที่ดี คงควำม เป็นกลุ่มติดสังคมให้ได้ยำวนำนที่สุดโดยเปลี่ยนไปเป็นกลุ่มพึ่งพิงและทุพพลภำพน้อยที่สุด วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย 1. เพื่อศึกษำกำรดูแลสุขภำพของผู้สงู อำยุในจังหวัดมุกดำหำร 2. เพื่อศึกษำภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร 3. เพื่อศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรดูแลสุขภำพกับภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร สมมติฐำนของกำรวิจัย กำรดูแลสุขภำพมีควำมสัมพันธ์กับภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร นิยำมศัพท์เฉพำะ กำรดูแลสุขภำพ หมำยถึง กำรปฏิบัติกิจกรรมของผู้สูงอำยุด้วยตนเองจนเป็นนิสัยในวิถีชีวิตประจำวัน โดยมีเป้ำหมำย ขันตอน และกำรปฏิบัติอย่ำงต่อเนื่อง ซึ่งอำจเกิดจำกแรงจูงใจ หรื อกำรรับรู้ประโยชน์ของผู้สูงอำยุ เองหรือจำกกำรรับรู้จำกบุคคลภำยนอก เพื่อสุขภำพที่แข็งแรงทังกำยและใจ ประกอบด้วยกำรดูแลสุขภำพทำงกำย และกำรดูแลสุขภำพทำงใจ ภำวะสุขภำพ หมำยถึง สภำพควำมสมบูรณ์ของผู้สงู อำยุทังด้ำนร่ำงกำย จิตใจ สังคมและจิตวิญญำณโดย มีสภำพร่ำงกำยที่ แข็งแรง มีจิตใจ อำรมณ์ควำมรู้สึกที่แจ่มใส โดยนำมำตรฐำนภำวะสุขภำพทำงกำยและภำวะ สุขภำพทำงใจของผู้สูงอำยุมำประเมิน ผู้สูงอำยุ หมำยถึง ผู้ที่มีอำยุ 60 ปีขึนไปทังชำยและหญิงอำศัยอยู่ในจังหวัดมุกดำหำรที่พึ่งตนเองได้และ ช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมได้ โดยผ่ำนกำรประเมิ นกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอำยุโดยใช้ Barthel’s Index: ADL) ได้ ผลรวมคะแนน ADL ตังแต่ 12 คะแนนขึนไปเรียกว่ำ กลุ่มติดสังคม วิธดี ำเนินกำรวิจัย กำรวิจัยครังนีใช้รูปแบบกำรวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) ประชำกรที่ใช้ในกำรศึกษำ คือ ผู้สูงอำยุกลุ่มติดสังคมในจังหวัดมุกดำหำร จำนวน 37,974 คน กลุ่มตัวอย่ำง คือ ผู้สูงอำยุกลุ่มติดสังคม จำนวน 400 คน ในจังหวัดมุกดำหำร คัดเลือกกลุ่มตัวอย่ำงโดยกำรสุ่มตัวอย่ำงแบบหลำยขันตอน (Multi-Stage Sampling) กำหนดเกณฑ์คัดเลือกกลุ่มตัวอย่ำงคือ (1) ประชำกรผู้สูงอำยุกลุ่มติดสังคมทังชำยและหญิงในจังหวัดมุกดำหำร ที่

155


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ยินดี เต็มใจให้ข้อมูลและสำมำรถตอบแบบสอบถำมได้ครบทังหมด (2) ประชำกรผู้สูงอำยุที่สำมำรถพึ่งตนเอง ช่วยเหลือผู้อื่น และสังคมได้ ซึ่งผ่ำนกำรประเมินกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอำยุโ ดยใช้ Barthel’s Index : ADL ได้ ผลรวมคะแนน ADL ตังแต่ 12 คะแนนขึนไปเรียกว่ำกลุ่มติดสังคม คำนวณขนำดตัวอย่ำงจำกกำรประมำณค่ำเฉลี่ย ของประชำกร กรณีทรำบประชำกรที่แน่นอน (บุญธรรม กิจปรีดำบริสุทธิ์. 2551 : 117) ได้จำนวน 380 คน ผู้วิจัย ปรับเพิ่มเป็น 400 คนเพื่อเผื่อข้อมูลสูญหำยที่ 5.00 % (Chaimongkol. 2005) เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยและคุณภำพเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย เครื่องชั่งนำหนัก เครื่องมือวัดส่วนสูง เพื่อ ประเมินดัชนีมวลกำย และแบบแบบสอบถำม ซึ่งผ่ำนกำรตรวจสอบควำมตรงเชิงเนือหำ (Content Validity)จำก ผู้เชี่ยวชำญ 5 ท่ำน ได้ค่ำควำมสอดคล้องของข้อคำถำมกับวัตถุประสงค์ (Index of items objective congruence ; IOC) 1.0 ทุกข้อ ผ่ำนกำรตรวจสอบควำมเที่ยงของเครื่องมือวิจัย (Reliability) คำนวณโดยใช้สูตรสัมประสิทธ์ แอลฟำของครอนบำค (Cronbach’s alpha coefficient) แบบสอบถำมกำรดูแลสุขภำพทำงกำยและทำงใจ ได้ค่ำ ควำมเที่ยง 0.70 และแบบสอบถำมภำวะสุขภำพทำงกำยและทำงใจ ได้ค่ำควำมเที่ยง 0.82 ประกอบด้วยข้อคำถำม ดังนี ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับ เพศ อำยุ รำยได้ ระดับกำรศึกษำ จำนวน สมำชิกที่อยู่ด้วยกันในครอบครัว ตอนที่ 2 แบบสอบถำมกำรดูแลสุขภำพทำงกำยและทำงใจ ประกอบด้วยกำรดูแลสุขภำพทำงกำย 6 ข้อ และกำรดูแลสุขภำพทำงใจ 6 ข้อ ข้อคำถำมเป็นแบบมำตรำส่วนประมำณค่ำ (Rating scale) ที่ผู้วิจัยสร้ำงขึน โดย ประยุกต์จำกวิธีกำรสร้ำงของ Likert (Likert Scale) 5 ระดับ (ธีรวุฒิ เอกะกุล. 2555 : 128) มีเกณฑ์กำรให้คะแนน กำรปฏิบัติ คือ น้อยที่สุด 1 คะแนน น้อย 2 คะแนน ปำนกลำง 3 คะแนน มำก 4 คะแนน มำกที่สุด 5 คะแนน กำรแปลผลระดับกำรดูแลสุขภำพทำงกำยและทำงใจของผู้สูงอำยุ ค่ำคะแนนเฉลี่ยระดับควรปรับปรุงเท่ำกับ 1.00 – 1.80 ระดับไม่ดีเท่ำกับ 1.81 – 2.60 ระดับปำนกลำงเท่ำกับ 2.61 – 3.40 ระดับดีเท่ำกับ 3.41 – 4.20 ระดับดี มำกเท่ำกับ 4.21 – 5.00 ตอนที่ 3 แบบสอบถำมภำวะสุขภำพ ได้นำมำตรฐำนผู้สูงอำยุมีสุขภำพอนำมัยที่พึงประสงค์ของกรม อนำมัยมำประยุกต์ใช้เป็นเกณฑ์ประเมินภำวะสุขภำพในงำนวิจัยนี (กรมอนำมัย กระทรวงสำธำรณสุข . 2555 : 711) ได้แก่ 1. ภำวะสุขภำพทำงกำย แบ่งเกณฑ์กำรประเมินเป็น 5 ด้ำน ให้คะแนนด้ำนละ 20 คะแนน รวม เป็น 100 คะแนน โดยกำหนดเกณฑ์กำรให้คะแนนในแต่ละด้ำน ประกอบด้วย(1) ด้ำนกำรมีโรคประจำตัวและกำร ควบคุมโรค (สุขภำพกำย) (2) ด้ำนกำรมีฟันถำวรใช้งำนได้อย่ำงน้อย 20 ซี่ (3) ด้ำนดัชนีมวลกำย (4) ด้ำน ควำมสำมำรถในกำรช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ตำมอัตภำพ (5) ด้ำนกำรออกกำลังกำย ประเมินโดยกำรสอบถำม ผู้สูงอำยุ 2. ภำวะสุ ข ภำพทำงใจ ผู้ วิ จั ย ได้ น ำแบบสอบถำมดั ชนี ชีวั ด สุ ข ภำพจิ ต คนไทยฉบั บ สั น Thai Mental Health Indicator-15 (TMHI-15) (กรมสุขภำพจิต กระทรวงสำธำรณสุข . 2552 : 234) เป็นแบบ ประเมินสุขภำพจิตของบุคคล ประกอบด้วยข้อคำถำม 15 ข้อ (เป็นข้อควำมทำงบวก 12 ข้อ และข้อควำมทำงลบ 3 ข้อ) ถำมเกี่ยวกับควำมรู้สึกต่อเหตุกำรณ์ หรือประสบกำรณ์ต่ำงๆในช่วง 1 เดือนที่ผ่ำนมำจนถึงปัจจุบัน ลักษณะ คำตอบเป็นแบบมำตรำส่วนประมำณค่ำ 4 ระดับ คือ ไม่เลย เล็กน้อย มำก มำกที่สุด โดยมีค่ำคะแนนตังแต่ 1-4

156


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

คะแนน แปลผลค่ำคะแนน โดยกำรนำค่ำคะแนนรวมมำเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด ดังนี 1) 0-43 คะแนน หมำยถึง สุขภำพจิตต่ำกว่ำคนทั่วไป 2) 44-50 คะแนน หมำยถึง สุขภำพจิตเท่ำกับคนทั่วไป 3) 51-60 คะแนน หมำยถึง สุขภำพจิตดีกว่ำคนทั่วไป กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ขันตอนในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล มีดังนี 1. ผู้วิจัยนำหนังสือจำกคณะวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ ถึงนำยแพทย์ สำธำรณสุขจังหวัดมุกดำหำรเพื่อชีแจงวัตถุประสงค์ของกำรวิจัยและขออนุญำตเก็บรวบรวมข้อมูลผู้สูงอำยุทัง 7 อำเภอของจังหวัดมุกดำหำร ผู้วิจัยเก็บข้อมูล โดยกำรใช้แบบสอบถำมผู้สูงอำยุ โดยทำกำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำงจำก ทะเบียนสำรวจผู้สูงอำยุที่สำธำรณสุขได้ทำไว้คำนวณผู้สูงอำยุกลุ่มติดสังคมจำนวนขนำดของกลุ่มตัวอย่ำงของแต่ละ อำเภอ 2. ผู้รับผิดชอบงำนผู้สูงอำยุของสำนักงำนสำธำรณสุขจังหวัดมุกดำหำรได้ประสำนงำนไปยังผู้รับผิดชอบ งำนผู้สูงอำยุระดับอำเภอ (สสอ.) แจ้งวัตถุประสงค์ของกำรวิจัยให้รับทรำบ 3. ผู้วิจัยนัดหมำยวันเวลำในกำร ชั่งนำหนัก วัดส่วนสูง และตอบแบบสอบถำมของกลุ่มตัวอย่ำงของแต่ ละอำเภอ 4. ผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัยดำเนินกำร ชั่งนำหนัก วัดส่วนสูง ของกลุ่มตัวอย่ำง ตำมวั นเวลำที่นัดหมำย และบันทึกผลลงในแบบบันทึก 5. ตรวจสอบควำมถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลและนำไปวิเครำะห์ทำงสถิติ กำรวิเครำะห์ข้อมูล กำรวิจัยครังนีโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในกำรวิเครำะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ ได้แก่ ควำมถี่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ทดสอบสมมติฐำนด้วย สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson Correlation Coefficient) กำรพิทักษ์สิทธิ์ของกลุ่มตัวอย่ำง ผู้วิจัยยื่นแบบเสนอขอหนังสือกำรรับรองจำกคณะกรรมกำรพิจำรณำจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์คณะ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ และได้รับเลขที่รับรองโครงกำรจริยธรรม HE-SRRU2-0019 ในวันที่ 16 ตุลำคม 2560 สรุปผลและวิจำรณ์ผลกำรวิจัย ลักษณะส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่ำง กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 75.20 อำยุ 60-69 ปี ร้อยละ 50.00 อำยุเฉลี่ย 70.38 ปี (S.D. = 7.19) อำยุน้อยที่สุด 60 ปี อำยุมำที่สุด 101 ปี ระดับกำรศึกษำประถมศึกษำร้อยละ 86.30 รำยได้ ต่ำกว่ำ10,000 บำทต่อปี ร้อยละ 63.20 ค่ำเฉลี่ย 9,236.50 บำท (S.D. = 2,002.89) รำยได้ต่ำสุด 7,200 บำท สูงสุด 13,000 บำท และจำนวนสมำชิกในครอบครัวที่อยู่ด้วยกัน 3-5 คน ร้อยละ 53.50 ค่ำเฉลี่ย 3.55 (S.D. = 1.78) อยู่คนเดียว ร้อยละ 11.50 กำรดูแลสุขภำพ 1. กำรดูแลสุขภำพทำงกำย

157


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ผลกำรศึกษำพบว่ำ กำรดูแลสุขภำพทำงกำยในภำพรวมมีกำรปฏิบัติระดับดีมำก ( X = 4.27, S.D .= 0.58) เมื่อพิจำรณำแยกเป็นรำยข้อพบว่ำ ข้อที่มีค่ำเฉลี่ยกำรปฏิบัติดีมำกคือไม่ดื่มสุรำ และไม่สูบบุหรี่ ( X = 4.83, S.D. = 0.58) และ ( X = 4.80, S.D. = 0.77) ตำมลำดับ ส่วนกำรปฏิบัติระดับดี คือ กำรรับประทำนผักและผลไม้ ( X = 4.12, S.D. = 1.09) กำรเข้ำรับกำรตรวจสุขภำพประจำปี ปีละ 1 ครัง ( X = 4.09, S.D. = 1.43) ดื่มนำสะอำดอย่ำง น้อยวันละ 8 แก้วหรือมำกกว่ำ( X = 4.07, S.D. = 1.16) และกำรออกกำลังกำย ( X = 3.71, S.D. = 1.43) 2. กำรดูแลสุขภำพทำงใจ ผลกำรศึกษำพบว่ำ กำรดูแลสุขภำพทำงใจโดยภำพรวมมีกำรปฏิบัติอยู่ในระดับดี ( X = 3.71, S.D. = 0.68) เมื่อพิจำรณำกำรดูแลสุขภำพทำงใจ รำยข้อ พบว่ำ ข้อที่มีค่ำคะแนนเฉลี่ยกำรปฏิบัติสูงที่สุดคือ กำรช่วย กิจกรรมในครอบครัว เช่น ช่วยทำควำมสะอำดบ้ำน ช่วยทำอำหำร ( X = 4.24, S.D. = 1.20) มีกำรปฏิบัติอยู่ใน ระดับดีมำก รองลงมำคือกำรไปพบปะกับเพื่อนบ้ำนเพื่อคลำยเหงำ หรือหำเพื่อนคุย ( X = 4.14, S.D. = 1.10) มี กำรปฏิบัติอยู่ในระดับดี ส่วนค่ำคะแนนเฉลี่ยกำรปฏิบัตติ ่ำที่สดุ คือ กำรไปท่องเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวเมื่อมีโอกำส มีกำรปฏิบัติอยู่ในระดับปำนกลำง ( X = 2.48, S.D. = 1.38) ภำวะสุขภำพ 1. ภำวะสุขภำพทำงกำย ผลกำรศึกษำพบว่ำ ภำวะสุขภำพทำงกำยโดยรวม จำแนกตำมระดับภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุพบว่ำส่วน ใหญ่มีภำวะสุขภำพดีมำก ร้อยละ 61.80 รองลงมำคือภำวะสุขภำพดี ร้อยละ 32.80 ผลกำรประเมินภำวะสุขภำพ ของผู้สูงอำยุ พบว่ำ ส่วนใหญ่มโี รคประจำตัวและสำมำรถควบคุมได้ คิดเป็นร้อยละ 51.30 มีฟันใช้งำนได้ มำกกว่ำ 20 ซี่ คิดเป็นร้อยละ 51.50 ดัชนีมวลกำยปกติคิดเป็น ร้อยละ 41.30 ปฏิบัติภำรกิจประจำวันได้และช่วยเหลือผู้อื่น ได้ด้วยตนเอง คิดเป็นร้อยละ 97.20 และสำมำรถปฏิบตั ิกำรออกกำลังกำยได้ถูกต้องในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 72.30 2. ภำวะสุขภำพทำงใจ ผลกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงมีสุขภำพจิตดีกว่ำคนทั่วไป ร้อยละ 54.40 รองลงมำมีสุขภำพจิตเท่ำกับคน ทั่วไป ร้อยละ 36.80 และสุขภำพจิตต่ำกว่ำคนทั่วไป ร้อยละ 9.30 ตำรำงที่ 1 ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรดูแลสุขภำพกับภำวะสุขภำพทำงกำยของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร (n=400) ภำวะสุขภำพทำงกำย

ตัวแปร กำรดูแลสุขภำพ พฤติกรรมกำรดูแลสุขภำพทำงกำย พฤติกรรมกำรดูแลสุขภำพทำงใจ

R

p-value

.300 * .300 *

<.001 <.001

* มีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 จำกตำรำงที่ 1 ผลกำรวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรดูแลสุขภำพกับภำวะสุขภำพทำงกำยของ ผู้สูงอำยุโดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson Correlation Coefficient) พบว่ำ กำรดูแล สุขภำพทำงกำยและกำรดูแลสุขภำพทำงใจมีควำมสัมพันธ์ทำงบวกในระดับน้อยกับภำวะสุขภำพทำงกำยของ ผู้สูงอำยุอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ p-value<.05

158


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 2 ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรดูแลสุขภำพกับภำวะสุขภำพทำงใจของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร (n=400) ภำวะสุขภำพทำงใจ

ตัวแปร กำรดูแลสุขภำพ พฤติกรรมกำรดูแลสุขภำพทำงกำย พฤติกรรมกำรดูแลสุขภำพทำงใจ * มีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05

R

p-value

.293* .406*

<.001 <.001

จำกตำรำงที่ 2 ผลกำรวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรดูแลสุขภำพ กับภำวะสุขภำพทำงใจของ ผู้สูงอำยุ โดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson Correlation Coefficient) พบว่ำ กำรดูแล สุขภำพทำงกำยมี ควำมสั มพั นธ์ท ำงบวกในระดับ น้อยกับ ภำวะสุ ขภำพทำงใจ ส่ วนกำรดูแ ลสุ ขภำพทำงใจมี ควำมสัมพันธ์ทำงบวกในระดับปำนกลำงกับภำวะสุขภำพทำงใจของผู้สูงอำยุอย่ำงมีนัยสำคั ญทำงสถิติที่ระดั บ p-value <.05 ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรดูแลสุขภำพกับภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุ ผลกำรศึกษำพบว่ำ กำรดูแลสุขภำพมีควำมสัมพันธ์กับภำวะสุขภำพเป็นไปตำมสมมติฐำนที่ตังไว้ ดังนี กำรดูแลสุขภำพทำงกำยมีควำมสัมพันธ์ทำงบวก ในระดับน้อยกับภำวะสุขภำพ ทำงกำยของผู้สูงอำยุ อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 (r = .300, p-value <.001) กำรดูแลสุขภำพทำงใจมีควำมสัมพันธ์ทำงบวก ในระดับน้อยกับภำวะสุขภำพทำงกำยของผู้สูงอำยุอย่ำง มีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 (r = .300, p-value <.001) กำรดูแลสุขภำพทำงกำยมีควำมสัมพันธ์ทำงบวก ในระดับน้อยกับภำวะสุขภำพทำงใจของผู้สูงอำยุอย่ำง มีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 (r = .293, p-value<.001) กำรดูแลสุขภำพทำงใจมีควำมสัมพันธ์ทำงบวก ในระดับปำนกลำงกับภำวะสุขภำพทำงใจของผู้สูงอำยุ อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 (r = .406, p-value<.001) วิจำรณ์ผลกำรวิจัย 1. กำรดูแลสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร 1.1 กำรดูแลสุขภำพทำงกำย ผลกำรศึกษำพบว่ำ กำรดูแลสุขภำพทำงกำยของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร โดยภำพรวมอยู่ใน ระดับดีมำก ได้แก่ ไม่ดื่มสุรำ ไม่สูบบุหรี่ กำรรับประทำนผักและผลไม้ ดื่มนำสะอำดอย่ำงน้อยวันละ 8 แก้วหรือ มำกกว่ำ และกำรออกกำลังกำย รวมทังได้รับกำรตรวจสุขภำพประจำปี อภิปรำยได้ว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงเป็นผู้สูงอำยุ กลุ่มติดสังคม ซึ่งเป็นผู้สูงอำยุที่สำมำรถช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือสังคม และช่วยเหลือชุมชนได้ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอำยุตอนต้น ร้อยละ 50.00 (อำยุ60-69 ปี) ยังมีควำมเสื่อมไม่มำกและมีควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติ ภำรกิจประจำวันได้และช่วยเหลือผู้อื่นได้สูงถึงร้อยละ 97.2 ประกอบกับกลุ่มตัวอย่ำงอำศัยร่วมกับสมำชิกครอบครัว ตังแต่ 3 คนขึนไปถึงร้อยละ 67.60 จึงทำให้ได้รับกำรส่งเสริมสนับสนุนจำกบุคคลในครอบครัวให้สำมำรถปฏิบัติดูแล สุขภำพได้ถูกต้องเหมำะสม นอกจำกนี ยังได้รับกำรศึกษำถึงร้อยละ 94.70 จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผู้สูงอำยุมี

159


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ทักษะในกำรแสวงหำควำมรู้ในกำรดูแลสุขภำพตนเอง สอดคล้องกับกำรศึกษำของพันธกำนต์ วิชำชำติ . (2558 : 138-139) ศึกษำเรื่องพฤติกรรมกำรดูแลตนเองด้ำนจิตใจ และกำรป้องกันโรคของผู้สูงอำยุในจังหวัดอำนำจเจริญ จำนวนกลุ่มตัวอย่ำง 300 คน พบว่ำ พฤติกรรมกำรป้องกันโรคของผู้สูงอำยุในจังหวัดอำนำจเจริญ ด้ำนกำร รับประทำนอำหำรอยู่ในระดับดีมำก และด้ำนกำรออกกำลังกำยอยู่ในระดับดีมำกเช่นกัน สอดคล้องกับกำรศึกษำ ของ วิไลวรรณ คมขำ, กฤษณะ หงส์ทอง และคมสัน แก้วระยะ. (2556 : 9) ศึกษำเรื่องภำวะสุขภำพและพฤติกรรม ส่งเสริมสุขภำพของผู้สูงอำยุ ตำบลธงชัย อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี จำนวนกลุ่มตัวอย่ำง 300 คน พบว่ำ ผู้สูงอำยุ มีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภำพโดยรวมอยู่ในระดับดีมำกที่สุด และมีภำวะสุขภำพดีมำกที่สุดเช่นกัน สอดคล้องกับ กำรศึกษำของ อุไรรัชต์ บุญแท้. (2557 : 42) ศึกษำพฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัด เพชรบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำพฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่ำง คือ ผู้สูงอำยุในเขตพืนที่จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 400 คน พบว่ำ พฤติกรรมสุขภำพโดยรวมของกลุ่มตัวอย่ำงอยู่ในระดับดี ( X = 3.51, S.D. = 0.62) 1.2 กำรดูแลสุขภำพทำงใจ ผลกำรศึกษำพบว่ำ กำรดูแลสุขภำพทำงใจของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร โดยภำพรวมอยู่ใน ระดับดี อภิปรำยได้ว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงเป็นผู้สูงอำยุกลุ่มติดสังคม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 75.20 และ มี ควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติภำรกิจประจำวันได้และช่วยเหลือผู้อื่นได้สูงถึงร้อยละ 97.20 จึงทำกิจกรรมที่สร้ำงคุณค่ำ แก่ตนเองในกำรช่วยเหลือครอบครัวได้ เช่น กำรช่วยทำอำหำรและทำงำนบ้ำน ประกอบกับกลุ่มตัวอย่ำงเป็ น ผู้สูงอำยุตอนต้นและตอนกลำง วัย 60-79 ปี ถึงร้อยละ 87.80 รวมทังไม่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 41.30 และมีโรค ประจำตัวและสำมำรถควบคุมได้ร้อยละ 51.30 จึงมีควำมสำมำรถเข้ำร่วมกิจกรรมทำงสังคมได้ และส่วนใหญ่อำศัย ร่วมกับสมำชิกครอบครัว ตังแต่ 3 คนขึนไป ถึงร้อยละ 67.60 จึงทำให้กลุ่มตัวอย่ำงได้รับควำมรักและควำมเอำใจใส่ จำกบุคคลในครอบครัว ส่งเสริมให้ดูแลสุขภำพได้ถูกต้องเหมำะสม สอดคล้องกับกำรศึกษำของนวลจั นทร์ เครือ วำณิชกิจและคนอื่น ๆ . (2555 : 74) เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อภำวะสุขภำพผู้สูงอำยุ ในตำบลโคกโคเฒ่ำ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี พบว่ำ พฤติกรรมกำรดูแลสุขภำพตนเองด้ำนอำรมณ์ของผู้สูงอำยุอยู่ในระดับดี สอดคล้องกับกำรศึกษำ ของพันธกำนต์ วิชำชำติ. (2558 : 138-139) ศึกษำเรื่องพฤติกรรมกำรดูแลตนเองด้ำนจิตใจและกำรป้องกันโรคของ ผู้สูงอำยุในจังหวัดอำนำจเจริญ จำนวนกลุ่มตัวอย่ำง 300 คน พบว่ำ พฤติกรรมกำรดูแลตนเองด้ำนจิตใจของผู้สูงอำยุ ในจังหวัดอำนำจเจริญ อยู่ในระดับดี 2. ภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร 2.1 ภำวะสุขภำพทำงกำย ผลกำรศึกษำพบว่ำ ภำวะสุขภำพทำงกำยโดยรวม จำแนกตำมระดับ ภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุ พบว่ำ ส่วนใหญ่มีภำวะสุขภำพดีมำก ร้อยละ 61.80 รองลงมำคือภำวะสุขภำพดี ร้อยละ 32.80 อำจสืบเนื่องจำกเป็นกำรศึกษำในผู้สูงอำยุกลุ่มติดสังคม ที่สำมำรถพึ่งตนเอง ช่วยเหลือผู้อื่น และสังคมได้ ซึ่ง ผ่ำนกำรประเมินกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอำยุโดยใช้ Barthel’s Index : ADL ได้ผลรวมคะแนน ADL ตังแต่ 12 คะแนนขึนไป ประกอบกับผู้สูงอำยุส่วนใหญ่อำศัยในครอบครัวที่มีสมำชิกในครอบครัวหลำยคน จึงมีสำมี ภรรยำ หรือบุตรหลำนเอำใจใส่ ได้รับแรงสนับสนุนจำกบุคคลในครอบครัวเป็นอย่ำงดี รวมทังหน่วยบริกำรด้ำนสุขภำพและ พัฒนำคุณภำพชีวิตของภำครัฐ เช่น โรงพยำบำล เทศบำล อบต. ได้จัดโครงกำรให้ผู้สูงอำยุกลุ่มติดสังคมได้มีโอกำส มำทำกิจกรรมร่วมกัน ทำให้มีโอกำสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กำรดูแลสุขภำพมำกขึน สอดคล้องกับกำรศึกษำของอุไรรัชต์ บุญแท้. (2557 : 42) ศึกษำพฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดเพชรบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษำพฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่ำงคือ ผู้สูงอำยุในเขตพืนที่

160


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 400 คน พบว่ำ ภำวะสุขภำพโดยรวมของกลุ่มตัวอย่ำงอยู่ในระดับดี ( X = 3.87, S.D. = 0.40) มีค่ำเฉลี่ยสูงสุดในมิติสุขภำพกำย สอดคล้องกับกำรศึกษำของ เนตรดำว ตันตรำนนท์. (2558 : 42) ได้ศึกษำ ภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุ พบว่ำภำวะสุขภำพของกลุ่มตัวอย่ำงโดยรวมอยู่ในระดับดี เฉลี่ย 2.24 โดยมีภำวะสุขภำพ รำยด้ำน คือ ด้ำนร่ำงกำย ด้ำนจิตใจ ด้ำนสังคม และ ด้ำนจิตวิญญำณ เฉลี่ย 1.65, 2.23, 2.34 และ 2.73 ตำมลำดับ 2.2 ภำวะสุขภำพทำงใจ ผลกำรศึกษำพบว่ำ ส่วนใหญ่มีภำวะสุขภำพทำงใจมีสุขภำพจิตดีกว่ำคน ทั่วไป ร้อยละ 54.40 รองลงมำมีสุขภำพจิตเท่ำกับคนทั่วไปร้อยละ 36.8 และสุขภำพจิตต่ำกว่ำคนทั่วไป ร้อยละ 9.30 อภิปรำยได้ว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงเป็นผู้สูงอำยุกลุ่มติดสังคม เป็นผู้สูงอำยุตอนต้นและตอนกลำง วัย 60-79 ปี ถึงร้อย ละ 87.80 รวมทังไม่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 41.30 และมีโรคประจำตัวและสำมำรถควบคุมได้ร้อยละ 51.30 จึงมี ควำมสำมำรถเข้ำร่วมกิจกรรมทำงสังคมได้ ภำพที่เด่นชัดของจังหวัดมุกดำหำร คือมีชนพืนเมือง 8 ชนเผ่ำ มีกำร รวมกลุ่มของแต่ละชนเผ่ำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอำยุ กำรมำรวมกลุ่มกันสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชนเผ่ำตนเอง เป็นโอกำสได้จรรโลงใจ ส่งเสริมสุขภำพทำงใจให้เข้มแข็งขึน รวมทังผู้สูงอำยุส่วนใหญ่อำศัยร่วมกับสมำชิกครอบครัว ตังแต่ 3 คนขึนไป ถึงร้อยละ 67.60 จึงทำให้ผู้สูงอำยุได้รับกำรสนับสนุน ช่วยเหลือ ดูแล รักใคร่เอำใจใส่ จำกบุ คคล ในครอบครัว รวมทังสนับสนุนด้ำนค่ำรักษำพยำบำล สิ่งของเครื่องอำนวยควำมสะดวก ส่งเสริมให้มีสุขภำพจิตอยู่ใน เกณฑ์ดีกว่ำคนทั่วไปเกินครึ่งของกลุ่มตัวอย่ำง (ร้อยละ 54.40) สอดคล้องกับกำรศึกษำของนวลจันทร์ เครือวำณิชกิจ และคนอื่น ๆ. (2555 : 74) เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อภำวะสุขภำพผู้สูงอำยุ ในตำบลโคกโคเฒ่ำ อำเภอเมือง จังหวัด สุพรรณบุรี พบว่ำ พฤติกรรมกำรดูแลสุขภำพตนเองด้ำนอำรมณ์ของผู้สูงอำยุอยู่ในระดับดี สอดคล้องกับกำรศึกษำ ของพันธกำนต์ วิชำชำติ. (2558 : 138-139) ศึกษำเรื่องพฤติกรรมกำรดูแลตนเองด้ำนจิตใจและกำรป้องกันโรคของ ผู้สูงอำยุในจังหวัดอำนำจเจริญ จำนวนกลุ่มตัวอย่ำง 300 คน พบว่ำ พฤติกรรมกำรดูแลตนเองด้ำนจิตใจของผู้สูงอำยุ ในจังหวัดอำนำจเจริญ ได้แก่ กำรพัฒนำกำรรู้จักตนเอง กำรสื่อสำรอย่ำงมีประสิทธิภำพ กำรใช้เวลำอย่ำงมีประสิทธิภำพ กำรเผชิญปัญหำกำรสนับสนุนทำงสังคมของผู้สูงอำยุและกำรปฏิบัติกิจกรรมทำงศำสนำมีควำมสัมพันธ์เชิงบวกกับ พฤติกรรมกำรป้องกันโรคของผู้สูงอำยุในจังหวัดอำนำจเจริญอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับ กำรศึกษำของ เนตรดำว ตันตรำนนท์. (2558 : 42) ได้ศึกษำภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุ พบว่ำภำวะสุขภำพของกลุ่ม ตัวอย่ำงโดยรวมอยู่ในระดับดี เฉลี่ย 2.24 โดยมีภำวะสุขภำพรำยด้ำน คือ ด้ำนร่ำงกำย ด้ำนจิตใจ ด้ำนสังคม และ ด้ำนจิตวิญญำณ เฉลี่ย 1.65, 2.23, 2.34 และ 2.73 ตำมลำดับ 3. ศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรดูแลสุขภำพกับภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร 3.1 กำรดูแลสุขภำพทำงกำยมีควำมสัมพันธ์ทำงบวกในระดับน้อยกับภำวะสุขภำพทำงกำยและ กำรดูแลสุขภำพทำงกำยมีควำมสัมพันธ์ทำงบวกในระดับน้อยกับภำวะสุขภำพทำงใจของผู้สูงอำยุ เป็นไปตำม สมมติฐำนกำรวิจัย อภิปรำยได้ว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงเป็นผู้สูงอำยุกลุ่มติดสังคม ซึ่งเป็นผู้สูงอำยุที่สำมำรถช่ วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่น สังคม และชุมชนได้ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติภำรกิจประจำวันได้และ ช่วยเหลือผู้อื่นได้สูงถึงร้อยละ 97.20 และเป็นผู้สูงอำยุตอนต้น ร้อยละ 50.00 (อำยุ 60-69 ปี) ดังนัน ภำวะสุขภำพ ทำงกำยยังมีควำมเสื่อมไม่มำก ประกอบกับกลุ่มตัวอย่ำงอำศัยร่วมกับสมำชิกครอบครัว ตังแต่ 3 คนขึนไปถึงร้อยละ 67.60 จึงทำให้ได้รับกำรส่งเสริมสนับสนุนจำกบุคคลในครอบครัวให้สำมำรถปฏิบัติดูแลสุขภำพได้ถูกต้องเหมำะสม นอกจำกนี ยังได้รับกำรศึกษำถึงร้อยละ 94.70 จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผู้สูงอำยุมีทักษะในกำรแสวงหำควำมรู้ใน กำรดูแลสุขภำพตนเอง ผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำรจึงมีกำรดูแลสุขภำพทำงกำยในระดับดีมำก พฤติกรรมกำรดูแล สุขภำพที่ถูกต้อง จะสำมำรถชะลอควำมเสื่อมของอวัยวะของร่ำงกำยระบบต่ำง ๆ และทำให้อวัยวะของร่ำงกำยใน ระบบต่ ำ ง ๆ ท ำหน้ ำ ที่ ไ ด้ อ ย่ ำ งมี ป ระสิ ท ธิ ภ ำพ ส่ งผลให้ ผู้ สู งอำยุ มี ภ ำวะสุ ข ภำพทำงกำยและสุ ข ภำพทำงใจดี

161


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สอดคล้องกับกำรศึกษำของทรรศณีย์ โกศัยทิพย์. (2552 : 59) ที่ศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงพฤติกรรมสุขภำพและ ภำวะสุขภำพในผู้สูงอำยุเขตอำเภอบ้ำนด่ำนลำนหอย จังหวัดสุโขทัย พบว่ำ พฤติกรรมสุขภำพที่ถูกต้องมีควำม สัมพันธ์ทำงบวกกับภำวะสุขภำพในระดับน้อย (r=.386) อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ 0.05 สอดคล้องกับกำรศึกษำ ของอลิสำ จิตต์วิบูลย์. (2547 : 147) ศึกษำภำวะสุขภำพและพฤติกรรมส่งเสริมสุขภำพของผู้สูงอำยุ บ้ำนท่ำนำง หอม อำเภอหำดใหญ่ จัง หวัดสงขลำ พบว่ำภำวะสุขภำพมีควำมสัมพันธ์กับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภำพอย่ำงมี นัยสำคัญทำงสถิติที่ 0.01 (r = 0.645) สอดคล้องกับกำรศึกษำของสุดำรัตน์ จำดจีน (2555 : 90) ศึกษำพฤติกรรม สุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในชุมชนบ้ำนอุมลอง อำเภอเถิน จังหวัดลำปำง พบว่ำพฤติกรรมสุขภำพมี ควำมสัมพันธ์ในระดับน้อยกับภำวะสุขภำพอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (r = .34, p<.01) 3.2 กำรดูแลสุขภำพทำงใจมีควำมสัมพันธ์ใทำงบวกในระดับน้อยกับภำวะสุขภำพทำงกำย และมี ควำมสัมพันธ์ทำงบวกในระดับปำนกลำงกับภำวะสุขภำพทำงใจของผู้สูงอำยุ เป็นไปตำมสมมติฐำนกำรวิจัย อภิปรำย ได้ว่ำ ด้ำนกำรดูแลสุขภำพทำงใจของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำร ในภำพรวมมีกำรปฏิบัติที่ระดับดี กำรปฏิบัติที่ดี มำกคือกำรช่วยกิจกรรมในครอบครัว เช่น ช่วยทำควำมสะอำดบ้ำน ช่วยทำอำหำร และกำรไปพบปะกับเพื่อนบ้ำน เพื่อคลำยเหงำหรือหำเพื่อนคุย สอดคล้องกับกรมสนับสนุนบริกำรสุขภำพ. (2554 : 32-36) กล่ำวว่ำกำรดูแล สุขภำพจิตของผู้สูงอำยุ เช่น กำรให้ผู้สูงอำยุเข้ำมำมีส่วนร่วมในกิจกรรมในครอบครัวเพื่อป้องกันควำมรู้สึกในกำรถูก ทอดทิง และกำรออกไปพบปะและสร้ำงสัมพันธ์อันดีกับคนในวัยเดียวกันจะช่วยให้จิตใจของผู้สูงอำยุเบิกบำนและ สร้ำงกำลังใจในกำรดำรงชีวิต กำรดูแ ลสุขภำพทำงใจของผู้สูงอำยุในจังหวัดมุกดำหำรในระดับดี ส่งผลให้ผู้สูงอำยุ ส่วนใหญ่มีสุขภำพจิตดีกว่ำคนทั่วไป ร้อยละ 54.40 มีสุขภำพจิตเท่ำกับคนทั่วไปร้อยละ 36.80 มีเพียงร้อยละ 9.30 ที่มีสุขภำพจิตต่ำกว่ำคนทั่วไป ประกอบกับกลุ่มตัวอย่ำงเป็นผู้สูงอำยุกลุ่มติดสังคม ส่ วนใหญ่มีควำมสำมำรถในกำร ปฏิบัติภำรกิจประจำวันได้และช่วยเหลือผู้อื่นได้สูงถึงร้อยละ 97.20 และสำมำรถดูแลสุขภำพทำงกำยได้ในระดับดี มำก ซึ่งกำรดูแลสุขภำพทำงกำยได้ดีย่อมทำให้ภำวะสุขภำพดีและดีขึนกว่ำเดิมอีกด้วย เมื่อสุขภำพกำยพร้อม จิตใจก็ ย่อมเป็นสุขยิ่งมีควำมสุขกั บกำรดูแลตัวเองแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีเท่ำไร ก็จะยิ่งมีแรงบันดำลใจให้ทำต่อไปอีกเรื่อย ๆ รวมทังมีสมำชิกในครอบครัวบุตรหลำนและคู่ชีวิตร่วมดูแลสุขภำพทำงใจ ยิ่งสนับสนุนให้มีภำวะสุขภำพใจดียิ่งขึน สอดคล้องกับกำรศึกษำของสุดำรัตน์ จำดจีน . (2555 : 90) ศึกษำพฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุ ในชุมชนบ้ำนอุมลอง อำเภอเถิน จังหวัดลำปำง พบว่ำพฤติกรรมสุขภำพมีควำมสัมพันธ์ในระดับน้อยกับภำวะสุขภำพ อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (r = .34, p<.01) สอดคล้องกับกำรศึกษำของ อุไรรัชต์ บุญแท้ . (2557 : 42) ศึกษำ พฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดเพชรบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำพฤติกรรมสุขภำพและ ภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่ำงคือ ผู้สูงอำยุในเขตพืนที่จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 400 คน พบว่ำ พฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดเพชรบุรีมีควำมสัมพั นธ์กันอย่ำงมีนัยสำคัญทำง สถิติที่ระดับ .001 (r = .681) สรุปผลกำรวิจัย ผลกำรศึกษำครังนีพบว่ำ 1) กลุ่มตัวอย่ำงผูส้ ูงอำยุกลุม่ ติดสังคมในจังหวัดมุกดำหำร กำรดูแลสุขภำพทำงกำยใน ภำพรวมมีกำรปฏิบัติระดับดีมำก ( X = 4.27, S.D. = 0.58) กำรดูแลสุขภำพทำงใจโดยภำพรวมมีกำรปฏิบัติอยูใ่ นระดับดี( X = 3.71, S.D. = 0.68) 2) พบว่ำ ร้อยละ 61.80 ของผู้สูงอำยุส่วนใหญ่มีภำวะสุขภำพทำงกำยดีมำกและร้อยละ 54.40 มี ภำวะสุขภำพทำงใจระดับสุขภำพจิตดีกว่ำคนทั่วไป กำรดูแลสุขภำพทำงกำยกับภำวะสุขภำพทำงกำยมีควำมสัมพันธ์ใน ทำงบวกในระดับน้อย (r = .300)และกำรดูแลสุขภำพทำงใจกับภำวะสุขภำพทำงกำยมีควำมสัมพันธ์ในทำงบวกในระดับน้อย

162


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

(r = .300)เช่นกัน กำรดูแลสุขภำพทำงกำยกับภำวะสุขภำพทำงใจมีควำมสัมพันธ์ในทำงบวกในระดับน้อย(r = .293) และกำร ดูแลสุขภำพทำงใจกับภำวะสุขภำพทำงใจมีควำมสัมพันธ์ในทำงบวกในระดับปำนกลำง (r = .406) ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะเพื่อนำผลกำรวิจัยไปใช้ 1. จำกผลกำรวิจัยพบว่ำ กำรดูแลสุขภำพทำงกำยของผู้สูงอำยุ ค่ำคะแนนเฉลี่ยต่ำสุดคือกำรออกกำลัง กำย ดังนัน หน่วยงำนที่เกี่ยวข้องควรจัดทำโครงกำรสนับสนุนให้ผู้สูงอำยุได้มีกำรออกกำลังกำยมำกยิ่งขึน 2. กำรดูแลสุขภำพทำงใจของผู้สูงอำยุ ส่วนใหญ่เป็นกำรช่วยกิจกรรมในครอบครัว เช่น ช่วยทำควำม สะอำดบ้ำน ช่วยทำอำหำร และกำรไปพบปะกับเพื่อนบ้ำนเพื่อคลำยเหงำ หรือหำเพื่อนคุย ดัง นัน หน่วยงำนที่ เกี่ยวข้องควรจัดทำโครงกำรสนับสนุนให้ผู้สูงอำยุพร้อมสมำชิกในครอบครัวได้รวมกลุ่มเรียนรู้กำรทำอำหำรหรือ เครื่องดื่มสุขภำพ เพื่อนำควำมรู้และทักษะไปใช้ในครอบครัว สร้ำงควำมภูมิใจ ควำมมีคุณค่ำในตัวเอง และสุขภำพที่ ดีกันทั่วหน้ำ 3. ภำวะสุขภำพทำงใจของผู้สูงอำยุมีสุขภำพจิตต่ำกว่ำคนทั่วไปร้อยละ 9.30 หน่วยงำนที่เกี่ยวข้อง ควร จัดทำโครงกำรส่งเสริมสุขภำพจิตสำหรับผู้สูงอำยุกลุ่มนี ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีกำรศึกษำปัจจัยที่มีควำมสัมพันธ์กับภำวะสุขภำพทำงกำยและทำงใจของผู้ป่วยเฉพำะโรค เช่น ผู้สูงอำยุที่ป่วยด้วยโรคเรือรัง 2. ควรมีกำรศึกษำกำรดูแลสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุเปรียบเทียบระหว่ำงผู้สูงอำยุที่อยู่ใน เขตเมืองกับที่อยู่ในเขตชนบท 3. ควรมี ก ำรศึ ก ษำตั ว แปรอื่ น ๆ ที่ ค ำดว่ ำ จะมี ค วำมสั ม พั น ธ์ กั บ ภำวะสุ ข ภำพของผู้ สู งอำยุ เช่ น ภำวกำรณ์เจ็บป่วย แรงจูงใจภำยใน เป็นต้น กิตติกรรมประกำศ ขอกรำบขอบพระคุณ รองศำสตรำจำรย์ธงชัย วงศ์เสนำ ประธำนกรรมกำรที่ปรึกษำวิทยำนิพนธ์ ดร.อติพร ทองหล่อ กรรมกำรที่ปรึกษำวิทยำนิพนธ์ ดร.ตรีคม พรมมำบุญ รวมถึงคณำจำรย์ทุกท่ำนที่เมตตำให้กำลังใจ แนะนำ ตรวจสอบ แก้ไขข้อบกพร่องต่ำง ๆ ขอขอบพระคุณ ดร.สม นำสอ้ำน ดร.ดวงกมล ภูนวล ดร.นิภำพร ลครวงศ์ นำง ศศิธรณ์ นนทะโมลี และนำงศิริพร เหลืองอุดม ที่กรุณำเป็นผู้เชี่ยวชำญช่วยตรวจสอบคุณภำพเครื่องมือ ขอขอบพระคุณ บุคลำกรสำธำรณสุขอำเภอและจังหวัดมุกดำหำร ที่ให้ควำมอนุเครำะห์ข้อมูลที่มีคุณค่ำประโยชน์ต่องำนวิจัยในครังนี เอกสำรอ้ำงอิง กรมสุขภำพจิต. (2552). รำยงำนวิจัยเรื่องกำรพัฒนำและทดสอบดัชนีชี้วัดสุขภำพจิตคนไทย เวอร์ชั่น 2007. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์กำรเกษตรแห่งประเทศไทยจำกัด. กรมอนำมัย กระทรวงสำธำรณสุข. (2555). คู่มือกำรส่งเสริมสุขภำพผู้สูงอำยุสำหรับบุคลำกรสำธำรณสุข. นนทบุรี : ศูนย์สื่อสิ่งพิมพ์แก้วเจ้ำจอมมหำวิทยำลัยรำชภัฏสวนสุนันทำ. ทรรศณีย์ โกศัยทิพย์. (2552). ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงพฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพในผู้สูงอำยุเขตอำเภอ บ้ำนด่ำนลำนหอย จังหวัดสุโขทัย. กำรค้นคว้ำอิสระสำธำรณสุขศำสตร์มหำบัณฑิต มหำวิทยำลัย

163


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

นเรศวร นวลจันทร์ เครือวำณิชกิจ และคนอื่น ๆ. (2555). ปัจจัยทีม่ ีผลต่อภำวะสุขภำพผู้สูงอำยุในตำบลโคกโคเฒ่ำ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี. มหำวิทยำลัยรำชภัฏสวนดุสิต. เนตรดำว ตันตรำนนท์. (2558). ควำมรู้ทำงโภชนำกำร ภำวะโภชนำกำรและภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุ ใน ชุมชนบ้ำนต้นผึ้ง ตำบลสันทรำย อำเภอสำรภี จังหวัดเชียงใหม่. วิทยำศำสตร มหำบัณฑิต สำขำวิชำโภชนศำสตร์ศึกษำ บัณฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลัยเชียงใหม่. ประนอม โอทกำนนท์. (2554). ชีวิตที่สุขสมบูรณ์ของผู้สูงอำยุไทย หลักกำรงำนวิจัยและบทเรียนจำกประสบ กำรณ์. พิมพครังที่ 2. กรุงเทพมหำนคร: สำนักพิมพ์แห่งจุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย. พันธกำนต์ วิชำชำติ. (2558). พฤติกรรมกำรดูแลตนเองด้ำนจิตใจและกำรป้องกันโรคของผู้สูงอำยุในจังหวัด อำนำจเจริญ. วิทยำนิพนธ์ สำธำรณสุขศำสตรมหำบัณฑิต มหำวิทยำลัยรำชภัฏอุบลรำชธำนี. ระบบคลังข้อมูลโรคไม่ติดต่อเรือรังจังหวัดมุกดำหำร. (2559). สำนักงำนสำธำรณสุขจังหวัดมุกดำหำร. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.mdo.moph.go.th/chronicmuk/ สืบค้น 1 มกรำคม 2560. ลัดดำ ดำริกำร. (2556). แนวปฏิบัติในกำรบริกำรผู้สูงอำยุ. สถำบันวิจัยระบบสำธำรณสุข (สวรส.) ศูนย์ ศตวรรษิกชน. วิไลวรรณ คมขำ, กฤษณะ หงส์ทอง และคมสัน แก้วระยะ. (2556). ภำวะสุขภำพและพฤติกรรมส่งเสริม สุขภำพของผู้สูงอำยุ ตำบลธงชัย อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี. วิทยำลัยพยำบำลพระจอมเกล้ำ จังหวัดเพชรบุร.ี ศูนย์ข้อมูลสุขภำพสำนักงำนสำธำรณสุขจังหวัดมุกดำหำร. (2560). สำนักงำนสถิติแห่งชำติ. (2557). รำยงำนกำรสำรวจประชำกรสูงอำยุในประเทศไทย พ.ศ 2557. บริษัท เท็กซ์ แอนด์ เจอร์นัล พับลิเคชั่น สำนักงำนสถิติแห่งชำติ. ( 560). “แผนพัฒนำสถิตริ ะดับพืนที่ จังหวัดมุกดำหำร ในปี พ.ศ. 557” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://osthailand.nic.go.th/masterplan_area/ userfiles/fileDownload/Plan Development Statistical Province/แผนพัฒนำสถิติ จังหวัดมุกดำหำร.pdf สืบค้น 13 กรกฎำคม 2560. สุดำรัตน์ จำดจีน. (2555). พฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในชุมชนบ้ำนอุมลอง อำเภอเถิน จังหวัดลำปำง. กำรค้นคว้ำอิสระ วิทยำศำสตรมหำบัณฑิต (โภชนศำสตร์ศึกษำ) มหำวิทยำลัยเชียงใหม่ สุพัตรำ ศรีวณิชชำกร และคณะ (2556). รำยงำนกำรวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงกำรวิจัยบูรณำกำรเพื่อพัฒนำ รูปแบบกำรดูแลผู้สูงอำยุแบบองค์รวม. มหำวิทยำลัยมหิดล นครปฐม : สถำบันพัฒนำสุขภำพ อำเซียน มหำวิทยำลัยมหิดล. อลิสำ จิตต์วิบูลย์ (2547 : 147) ภำวะสุขภำพและพฤติกรรมส่งเสริมสุขภำพของผู้สูงอำยุ บ้ำนท่ำนำงหอม อำเภอหำดใหญ่ จังหวัดสงขลำ. วิทยำลัยบรมรำชชนนี สงขลำ สำนักงำนปลัดกระทรวง กระทรวง สำธำรณสุข อุไรรัชต์ บุญแท้. (2557 : 42). พฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้สูงอำยุในจังหวัดเพชรบุรี. วิทยำลัย พยำบำลพระจอมเกล้ำ จังหวัดเพชรบุร.ี

164


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Cohen, S., & Syme, S.L, (1985). Issues in the study and apprication of social support. In S. Cohen S., & Syme (Eds), Social support and health. San Francisco: Academic Press. Pender, N.J. (1996). Health Promotion in Nursing practice. 3rded. Connecticut:Appleton&Lange.

165


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-16

ผลกำรประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนต่ออำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ของผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช EFFECTS OF THE APPLICATION OF PRESS THE MERIDIAN TO REDUCE NECK AND SHOULDER PAIN PRACTICIAN IN DHAMMA MEDICINE AT SUANPANABOON 2, CHA-UAT DISTRICT, NAKON SITHAMMARAT PROVINCE. มงคลวัฒน์ รัตนชล1, ภัทรพล ทองนำ2 และ อรรณพ นับถือตรง3 1

นักศึกษาปริญญาโท สาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 3 อาจารย์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2

บทคัดย่อ กำรวิจัยครังนีมีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษำและเปรียบเทียบระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่ ก่อนและหลังกำร ทดลอง กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัยได้จำกกำรเลือกแบบเจำะจงจำกผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรม สวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช ที่มีอำกำรปวดบริเวณคอ บ่ำไหล่ จำนวน 45 คน ซึ่งกำรวิจัยในครังนีเป็นกำร วิจัยเชิงทดลองเบืองต้น แบบกลุ่มเดียววัดก่อน-หลังกำรทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในกำรทดลอง ได้แก่ โปรแกรมกำร ประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนต่ออำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ และเครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวม ข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินควำมปวดด้วยตนเอง มำตรวัดควำมปวดแบบตัวเลข สถิติที่ใช้ในกำรวิจัย ได้แก่ ค่ำควำมถี่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน และกำรทดสอบ Paired-Samples t-test ผลกำรวิจัยพบว่ำ ก่อนได้รับกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน กลุ่มตัวอย่ำงมีระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่ เฉลี่ยอยู่ในระดับปำนกลำง ( X = 5.31, S.D. = 1.84) และหลังได้รับกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน พบว่ำ ระดับ ควำมปวดคอ บ่ำไหล่เฉลี่ยลดลงอยู่ในระดับน้อย ( X = 1.73, S.D. = 1.16) ระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่ของกลุ่ม ตัวอย่ำง หลังกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนน้อยกว่ำก่อนกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนอย่ำงมีนัยสำคัญที่สถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ: เทคนิคการกดจุดลมปราณที่แขน, อาการปวดคอ บ่าไหล่ Abstract This research aimed to study and were to compare pre and post experiment level of pain in the neck and shoulder. The study sample were select by purposive sampling, included 45 participants that pain in neck and shoulder from the Buddhist medicine camp at Suanpanaboon 2 Cha-uat district, Nakorn sithammarat province. This research was designed as pre-experimental research, one group pretest and posttest study experiment. The study instruments was the applied acupressure meridian channels points technique on the arms of pain in neck and shoulder program.

166


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

And the data were collected by subjective pain assessment form using numerical rating scale. Data analysis were frequency, percentage, mean, standard deviation and paired-samples t-test. The results revealed that: The pain score in neck and shoulder of participants was low level ( X = 1.73, SD = 1.16) after acupressure meridian channels points on the arms compared with those before the experiment was middle level ( X = 5.31, SD = 1.84). The level score of pain in the neck and shoulder of the participants after acupressure meridian channels points on the arms have decreased statistically at level .05. Keywords : Acupressure meridian channels points, Neck and shoulder pain, Buddhist Medicine บทนำ อำกำรปวดกล้ำมเนือเป็นปัญหำสุขภำพที่พบมำกขึนและพบกับทุกเพศ ทุกวัย ทุกอำชีพ โดยเฉพำะใน บุคคลวัยทำงำน (สุพรรณี อำนวยพรสถิตย์. 2553 : 2) อำกำรปวดกล้ำมเนือไม่ใช่โรคร้ำยแรง แต่ทำให้ผู้ป่วย หงุดหงิดและรบกวนกำรดำรงชีวิตประจำวัน กลุ่มอำกำรปวดกล้ำมเนือและพังผืด (Myofascial pain syndrome) หมำยถึง กลุ่มอำกำรปวดเนื่องมำจำกจุดกดเจ็บบนกล้ำมเนือหรือพังผืด (Trigger point) ส่วนใหญ่มักเกิดที่กล้ำมเนือ ส่วนบนตังแต่คอ บ่ำ ไหล่ สะบัก หลัง มีอำกำรปวดร้ำวเฉพำะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่ำงกำย มักปวดเป็นบริเวณกว้ำง โดยที่ผู้ป่วยไม่สำมำรถระบุตำแหน่งที่ปวดได้ชัดเจน บำงรำยมีอำกำรชำมือ หรือมีอำกำรปวดศีรษะเรือรัง และนอน ไม่หลับร่วมด้วย อำจปวดตลอดเวลำหรือปวดเฉพำะเวลำทำงำน (ลิขิต รักษ์พลเมือง. 2554 : 278) ควำมรุนแรงของ กำรปวดมีได้ตังแต่ปวดเล็กน้อยเพียงรำคำญจนถึ งปวดรุนแรงทรมำน ไม่สำมำรถขยับกล้ำมเนือบริเวณที่ปวดได้ สำเหตุของอำกำรปวดมำจำกหลำยปัจจัย เช่น กำรทำงำนในท่ำทำงที่ไม่ถูกต้อง กำรทำงำนที่ต้องออกแรงมำกเกิน กำลัง และกำรออกกำลังกำยอย่ำงหักโหม เป็นต้น กำรรักษำจะมุ่งเน้นไปที่กำรลบล้ำงจุดกดเจ็บ ซึ่งสำมำรถรักษำได้ ทังแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์ทำงเลือก และแพทย์แผนไทย กำรรักษำของแพทย์แผนปัจจุบัน รักษำโดยกำรให้ยำแก้ ปวดและยำต้ำนกำรอักเสบ ซึ่งสำมำรถระงับอำกำรปวดได้เพียงชั่วครำว และทำให้เกิดผลข้ำงเคียง เช่น ระคำยเคือง กระเพำะอำหำร เป็นต้น กำรรักษำของแพทย์ทำงเลือกอื่นๆ เช่น กำรทำกำยภำพบำบัด กำรประคบเย็นหรือประคบ ร้อน โยคะ ยืดกล้ำมเนือ กำรฝังเข็ม กำรนวด กำรกัวซำ กำรให้ยำสมุนไพร (สมำคมกำรศึกษำเรื่องควำมปวดแห่ง ประเทศไทย. 2552) ซึ่งวิธีกำรบำบัดรักษำบำงวิธีดังกล่ำว มีข้อจำกัดเรื่องจำเป็นจะต้องอำศัยผู้เชี่ยวชำญเฉพำะด้ำน เสียค่ำใช้จ่ำยค่อนข้ำงสูง ต้องใช้อุปกรณ์ หรือใช้เวลำ สถำนที่ที่เหมำะสม เป็นต้น อย่ำงไรก็ตำมมีกำรแพทย์ทำงเลือก อีกแนวทำงหนึ่งที่เน้นให้ผู้ที่มีอำกำรปวดกล้ำมเนือ โดยเฉพำะบริเวณคอ บ่ำไหล่ สำมำรถทำได้ด้วยตนเอง สำมำรถ ทำได้ทุกที่ ทุกเวลำ คือ กำรบำบัดอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ด้วยกำรกดจุดเส้นลมปรำณ กำรกดจุดเป็นทังศำสตร์และศิลป์ในกำรดูแลรักษำตัวเองตำมวิธีธรรมชำติบำบัดเพียงใช้ปลำยนิวและกด อย่ำงถูกต้องตำมจุดต่ำงๆ สำมำรถรักษำเยียวยำอำกำรเจ็บป่วยไม่สบำย และโรคต่ำงๆ ได้ กำรกดจุดเป็นศำสตร์ที่ กำรแพทย์แผนโบรำณของจีนได้คิดค้นขึน (Tsay. 2004) สำมำรถทำได้เองหรือให้คนในบ้ำนทำให้ โดยต้องศึกษำ วิธีกำรใช้นิวมือและจุดตำแหน่งที่ถูกต้อง สรรพคุณของกำรกดจุดสำมำรถระงับโรคและอำกำรปวดเรือรังต่ำงๆ ได้ดี กำรกดและกระตุ้นอย่ำงถูกต้องสำมำรถเพิ่มประสิทธิภำพของระบบต่ำงๆ ภำยในร่ำงกำยให้อวัยวะทุกส่วนทำงำนได้ อย่ำงสมบูรณ์ไม่ติดขัดหรือเสื่อมสภำพไป (หมิงคุณ ตันศุภวัฒน์. 2549 : 128) ปัจจุบันทั่วโลกต่ำงก็ยอมรับศำสตร์

167


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำรกดจุดบำบัด เนื่องจำกกำรกดจุดเป็นกำรป้องกันและกำรรักษำที่ไม่ต้องฉีดยำ หรือฉีดสำรต่ำงๆ เข้ำไปในร่ำงกำย ซึ่งทังหมดเป็นกำรรักษำที่ไม่มีผลข้ำงเคียงและเป็นกำรสนับสนุนให้เกิดเป็นประโยชน์สูงสุดตำมองค์ประกอบกำร บำบัด ซึ่งองค์กำรอนำมัยโลกลงนำมรับรอง (สมเกียรติ ศรไพศำล. 2552 : 11) จำกหลักกำรดูแลสุขภำพแนวเศรษฐกิจพอเพียงตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ซึ่งเป็นศำสตร์ที่บูรณำกำร แนวคิดพุทธธรรมะ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง แนวคิดสุขภำวะ แนวคิดกำรแพทย์ทำงเลือก แนวคิดกำรแพทย์แผน ไทยและแผนพืนบ้ำน แนวคิดวิทยำศำสตร์สุขภำพแผนปัจจุบัน แนวคิดทฤษฎีกำยวิภำคศำสตร์และสรีรวิทยำ และ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับสสำรกับพลังงำน วิเครำะห์ สังเครำะห์ร่วมกับประสบกำรณ์ในกำรดูแลแก้ไขปัญหำสุขภำพ โดยมีหลักคิด คือ กำรประหยัด เรียบง่ำย แก้ปัญหำที่ต้นเหตุ และแต่ละบุคคลสำมำรถทำได้ด้วยตนเอง สำมำรถ แก้ไขหรือลดปัญหำสุขภำพที่ต้นเหตุ ใจเพชร กล้ำจน (2553 : 5) กล่ำวว่ำ เมื่อมีพิษหรืออันตรำยมำสัมผัสกับเนือเยื่อ ของร่ำงกำย จะทำให้เกิดกำรเกร็ง แข็งค้ำงของกล้ำมเนืออย่ำงอัตโนมัติเพื่อขับพิษ หรืออันตรำยนันออก จึงทำให้เกิด อำกำรตึงแข็งเจ็บปวดมึนชำตำมส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย อันเกิดจำกเลือดลมไหลเวียนไม่ดี ถ้ำเป็นพิษร้อนเกินก็จะ เกิดอำกำรแห้งเกรียมไหม้ ร่ำงกำยจะส่งเลือด ส่งนำเหลืองไปกำจัดพิษบริเวณนัน ทำให้เกิดอำกำรบวมแดง ถ้ำ ร่ำงกำยผลิตพลังงำนเพื่อต่อสู้พิษหรือขับพิษก็เกิดอำกำรร้อนหรือเป็นไข้ ถ้ำเป็นพิษเย็นเกิน ก็จะเกิดกำรเย็นชำซีด เหี่ยว เพรำะร่ำงกำยจะเคลื่อนนำออกจำกบริเวณนัน เพื่อลดควำมเย็น ดังนันถ้ำเรำมีวิธีกำรระบำยสิ่งที่พิษร้อนหรือ เย็นเกินนันออก พร้อมกับกำรไม่เพิ่มพิษร้อนหรือเย็นเกินนันเข้ำไป เซลล์ก็จะมีสมรรถภำพในกำรสลำยพิษ และเซลล์ ก็จะมีกำลังมำกขึนในกำรเกร็งตัวขับพิษดังกล่ำวออกไปจำกร่ำงกำย เมื่อพิษถูกกำจัดออกจำกร่ำงกำยจนทุเลำเบำ บำงลงหรือหมดไป กล้ำมเนือก็จะคลำยตัว เลือดลมก็จะไหลเวียนสะดวก และไม่มีพิษร้อนหรือเย็นเกินทำลำย ร่ำงกำย จะทำให้อำกำรปวด ตึง แข็ง มึน ชำ หน้ำมืด วิงเวียน ผื่นคัน เปื่อยพุพอง บวมแดงร้อนหรือไข้ หรืออำกำร เหี่ยวซีดเย็นชำ ทุเลำหรือหำยไป กำรบำบัดรักษำอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ด้วยกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน ตำมหลักแพทย์วิถีธรรมนันมี ควำมแตกต่ำงจำกกำรกดจุดทั่วไปเล็กน้อย คือ กำรกดจุดทั่วไปมักกดจุดตำมจุดฝังเข็ม ส่วนกำรกดจุดเส้นลมปรำณ เป็นกำรรักษำโดยกำรใช้นิวมือกดตำมแนวเส้นลมปรำณที่แขน เส้นละ 2 นำที ข้ำงละ 6 เส้น โดยเริ่มจำกแขน ด้ำนซ้ำยก่อน เน้นนำหนักที่พอเหมำะ 3 วินำทีต่อจุด ต่อเนื่องกันตลอดตำมแนวเส้นลมปรำณ เพื่อกระตุ้นระบบเม ตำบอลิซึมของร่ำงกำย ช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดดีขึน กระตุ้นเซลล์โดยกำรเพิ่มออกซิเจนและระบำยของเสียใน เซลล์ เพิ่มประสิทธิภำพของระบบภูมิคุ้มกันในร่ำงกำย กำรกดจุดเส้นลมปรำณเป็นศำสตร์ที่ทุกคนสำมำรถเรียนและ ฝึกทำให้ตนเองและทำให้ผู้อื่นได้โดยไม่มีผลเสีย ถ้ำทำถูกวิธีจะเห็นผลทันที แต่ถ้ำผิดวิธีก็ไม่มีผลเสียหรือผลข้ำงเคียง ใด เพียงแต่ไม่หำยจำกอำกำรปวดนัน (ใจเพชร กล้ำจน. 2553 : 36) ในกำรวิจัยครังนีได้ทำกำรศึกษำกับกลุ่มตัวอย่ำงซึ่งเป็นผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรม สวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอ ชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช ที่มีอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ที่มีอำยุระหว่ำง 20-65 ปี ซึ่งมีควำมหลำกหลำยทำง อำชีพ ระดับกำรศึกษำ รำยได้ มีนำหนักและส่วนสูง ซึ่งสำมำรถใช้เป็นตัวแทนของประชำกรที่มีลักษณะอำกำรปวด คอ บ่ำไหล่ทั่วไปได้ ประโยชน์ที่ได้จำกกำรวิจัยครังนีจะใช้เป็นแนวทำงให้ผู้ที่สนใจนำวิธีกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่ แขนเพื่อลดปัญหำอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ซึ่งสำมำรถศึกษำ ฝึกฝน เรียนรู้เพิ่มเติมให้ชำนำญ จนสำมำรถพึ่งตนเอง และช่วยเหลือผู้อื่น โดยยึดหลักประหยัด เรียบง่ำย ปลอดภัย ได้ผล พึ่งตนเองได้

168


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่อศึกษำอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ของผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัด นครศรีธรรมรำช 2. เพื่อเปรียบเทียบระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่ ก่อนและหลังกำรประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกดจุดเส้น ลมปรำณที่แขนของผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช สมมติฐำนของกำรวิจัย ระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่ของกลุ่มตัวอย่ำง หลังกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนน้อยกว่ำก่อนกำรกดจุด เส้นลมปรำณที่แขน ขอบเขตในกำรวิจัย 1. ขอบเขตด้ำนเนื้อหำ เนือหำที่ใช้ศึกษำวิจัยในครังนี คือ โปรแกรมกำรประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน เพื่อลด อำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ของผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช จำนวน 6 เส้น ได้แก่ เส้นลมปรำณเยื่อหุ้มหัวใจ เส้นลมปรำณหัวใจ เส้นลมปรำณปอด เส้นลมปรำณลำไส้ใหญ่ เส้นลมปรำณ ลำไส้เล็ก และเส้นลมปรำณพิเศษซำนเจียว 2. ขอบเขตด้ำนประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกรที่ ใ ช้ ใ นกำรวิ จั ย ได้ แ ก่ ผู้ เ ข้ ำ ค่ ำ ยแพทย์ วิ ถี ธ รรมสวนป่ ำ นำบุ ญ 2 อ ำเภอชะอวด จั งหวั ด นครศรีธรรมรำช ในช่วงระหว่ำงวันที่ 27 มกรำคม-4 กุมภำพันธ์ 2561 จำนวน 265 คน กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัยได้จำกกำรเลือกแบบเจำะจง (Purposive Sampling) จำกประชำกร จำนวน 45 คน และเป็นผู้สมัครใจเข้ำร่วมกำรบำบัดโดยวิธีกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนเพื่อลดอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ซึ่งต้องผ่ำน เกณฑ์กำรคัดเข้ำ ดังนี เกณฑ์คัดเข้ำ 1. เป็นผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช และอยู่ร่วม กิจกรรมตลอดระยะเวลำจัดค่ำย 2. เป็นผู้ที่มีอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ในระดับ 2 ขึนไป และมีอำยุระหว่ำง 20-65 ปี 3. เป็นผู้ที่ไม่ได้รับกำรรักษำอำกำรปวดคอด้วยวิธีกำรอื่นๆ นอกเหนือจำกโปรแกรมที่กำหนดในระหว่ำง กำรทดลอง 4. เป็นผู้ที่ไม่มีควำมผิดปกติของกระดูกต้นคอ 5. เป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณกระดูกต้นคอ 6. อ่ำน เขียนภำษำไทยได้ 7. สมัครใจเข้ำร่วมกำรบำบัดโดยวิธีกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน เพื่อลดอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่

169


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

นิยำมศัพท์เฉพำะ 1. โปรแกรมกำรประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน หมำยถึง โปรแกรมในกำรจัดกำร เรียนรู้เทคนิคกำรจุดลมปรำณที่แขน เพื่อแก้ไขอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ โดยมีเนือหำเป็นรูปภำพประกอบ และคำอธิบำย เกี่ยวกับโครงสร้ำงร่ำงกำย กำยวิภำคคอ บ่ำไหล่ จุดลมปรำณและวิธีกำรกดจุดด้วยตนเองที่ถูกต้อง 2. เส้นลมปรำณ หมำยถึง เส้นทำงหรือแนวลำเลียงพลังลมปรำณ เลือด ของเหลวไปสู่ส่วนต่ำงๆ ของ ร่ำงกำย ทำให้กำรทำงำนของอวัยวะทุกส่วนอยู่ในภำวะสมดุล เส้นลมปรำณมักแตกกิ่งก้ำนสำขำออกไปเชื่อมอวัยวะ ภำยใน ภำยนอก ประสำทสัมผัส และควำมรู้สึกเข้ำด้วยกัน โยงใยอยู่ทั่วร่ำงกำย เพื่อควบคุมกำรทำงำนของ 3. กำรกดจุดเส้นลมปรำณ หมำยถึง กำรใช้นิวมือกดบริเวณจุดที่เป็นร่องกล้ำมเนือขอบเส้นเอ็น ขอบ กระดูก ตำมแนวของเส้นลมปรำณต่อเนื่องพืนที่ต่อพืนที่ ด้วยนำหนักที่พอเหมำะจนรู้สึกตึงเท่ำที่ผู้ถูกกดทนได้ 4. อำกำรปวด หมำยถึง อำกำรไม่สุขสบำยบริเวณต้นคอ ร่องกระดูกโค้งคอ จนถึงฐำนกะโหลกศีรษะ เช่น อำกำรปวดเมื่อยล้ำ หันคอไม่ได้หรือหมุนได้น้อย ก้ม เงยไม่สะดวก รู้สึกตึง เจ็บปวดคอตลอดเวลำ ถ้ำเป็นหนัก มำกทำให้ไม่สำมำรถขยับคอได้ เป็นต้น 5. อำกำรปวดบ่ำไหล่ หมำยถึง อำกำรไม่สุขสบำยบริเวณบ่ำจนถึงหัวไหล่ เช่น อำกำรปวดเมื่อยล้ำ ยก แขนได้ไม่สุด หมุนแขนไม่ได้ ไหล่ติด ไขว้แขนไปข้ำงหลังไม่ได้ รู้สึกตึง เจ็บปวดบ่ำไหล่ตลอดเวลำ เป็นต้น 6. ค่ำยแพทย์วิถีธรรม หมำยถึง กำรจัดอบรมกำรดูแลสุขภำพพึ่งตน โดยใช้หลักกำรของแพทย์วิถีธรรม ซึ่งเน้นกำรประหยัด เรียบง่ำย ปลอดภัย ได้ผล พึ่งตนเองได้ ใช้ทรัพยำกรท้องถิ่นเป็นหลัก ในกำรวิจัยครังนีได้เก็บ ข้อมูลจำกค่ำยแพทย์วิถีธรรม ที่สวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช 7. ผู้เข้ำค่ำย หมำยถึง ประชำชนทั่วไปที่ลงทะเบียนเข้ำร่วมกำรอบรมค่ำยแพทย์วิถีธรรม และสำมำรถ ร่วมกิจกรรมต่ำงๆ ตลอดระยะเวลำที่ดำเนินกำรจัดค่ำย ในช่วงระหว่ำงวันที่ 27 มกรำคม-4 กุมภำพันธ์ 2561 กรอบแนวคิดในกำรวิจัย ตัวแปรต้น

ตัวแปรตำม

โปรแกรมกำรประยุกต์ใช้ เทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน

อำกำรปวดคอ บ่ำไหล่

รูปแบบกำรวิจัย กำรวิจัยในครังนีเป็นกำรวิจัย กำรวิจัยเชิงทดลองเบืองต้น (Pre-experimental Research) แบบกลุ่ม เดียววัดก่อน-หลังกำรทดลอง (One group pretest posttest design) กลุ่มทดลอง

O1

X

O2

โดยกำหนดให้ O1 หมำยถึง วัดระดับอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ก่อนกำรใช้เทคนิคกำรกดจุดลมปรำณที่แขน O2 หมำยถึง วัดระดับอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่หลังกำรใช้เทคนิคกำรกดจุดลมปรำณที่แขน

170


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

X

SRRU NCR2018

หมำยถึง โปรแกรมกำรประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนต่ออำกำรปวดคอ บ่ำ

ไหล่ ขั้นตอนกำรวิจัยและกำรควบคุมควำมคลำดเคลื่อน (Error) และอคติ (Bias) ในกำรวิจัย 1. คัดเลือกผู้ช่วยวิจัยในกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน จำนวน 5 คน โดยมีคุณสมบัติดังนี 1.1 เป็นสมำชิกจิตอำสำแพทย์วิถีธรรม ตังแต่ 2 ปี ขึนไป 1.2 มีควำมเชี่ยวชำญในหลักกำรและวิธีกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนเพื่อลดอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ 1.3 ผ่ำนกำรทดสอบกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนจำกสมำชิกจิตอำสำแพทย์วิถีธรรมจำนวน 5 คน เพื่อยืนยันว่ำผู้ช่วยวิจัยทัง 5 คน มีทักษะและควำมเชี่ยวชำญในกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนในระดับเดียวกัน เพื่อ เป็นกำรควบคุมอคติ (Bias) ในกำรทดลอง 2. ชีแจงกระบวนกำรและวัตถุประสงค์ของกำรวิจัยกับผู้ช่วยวิจัยได้รับทรำบ 3. ประชำสัมพันธ์โครงกำรวิจัย กับผู้เข้ำค่ำ ยสุขภำพแพทย์วิถีธรรมและให้ส มัครเข้ำร่ว ม โครงกำร ประสำนควำมพร้อมและนัดหมำยกลุ่มทดลองเข้ำรับโปรแกรม 4. ผู้วิจัยสร้ำงสัมพันธภำพโดยแนะนำตนเอง กล่ำวทักทำยกับกลุ่มทดลอง พูดคุย ซักถำมทั่วๆ ไป และ ให้ผู้เข้ำร่วมวิจัยแนะนำตัวเอง จำกนันชีแจงวัตถุประสงค์ วิธีดำเนินกำรวิจัย และขอควำมร่วมมือกลุ่มทดลองในกำร ตอบแบบสอบถำม 5. ตอบแบบประเมินระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่ก่อนกำรทดลอง 6. ผู้วิจัยบรรยำยและให้ควำมรู้ทั่วไปเกี่ยวกับอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ สำเหตุของอำกำรปวดคอบ่ำไหล่ ปัจจัยที่มีผลและส่งเสริมให้เกิดอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่กำรปฏิบัติตนเมื่อมีอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ควำมรู้เกี่ยวกับ ลมปรำณและประโยชน์ของกำรกดจุดเส้นลมปรำณพร้อมภำพประกอบเกี่ยวกับเส้น ลมปรำณ โดยแจกคู่มือเทคนิค กำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน ให้กับกลุ่มตัวอย่ำงคนละ 1 เล่ม สำธิตกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนทัง 6 เส้น รวม เวลำในกำรบรรยำยและสำธิต 1 ชั่วโมง 7. ผู้ช่วยผู้วิจัยดำเนินกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน โดยใช้ผู้ช่วยวิจัย 1 คน ต่อกลุ่มตัวอย่ำง 9 คน โดยผู้วิจัยเป็นผู้สังเกตและควบคุมกำรทดลองอย่ำงใกล้ชิด สังเกตผลที่เกิดกับอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ โดยทำกำร ทดลองครังละ 1 คน รวมเวลำทังสิน 24 นำทีต่อกลุ่มตัวอย่ำง 1 คน โดยกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน ข้ำงละ 6 เส้น เส้นละ 2 นำที โดยเริ่มจำกแขนด้ำนซ้ำยก่อน โดยมีรำยละเอียดดังนี 7.1 เส้นลมปรำณเยื่อหุ้มหัวใจ เริ่มกดจำก จุดเน่ยก วำน วัดห่ำงจำกข้อมือ โดยใช้สองนิวมือวำงเรียงชิดกันกลำงข้อมือด้ำน ใน ตรงร่องที่ชิดกับเส้นเอ็นกลำงแขนด้ำนในมำทำงนิวก้อย กดพืนที่ต่อ พืนที่มำเรื่อยๆ ตำมจุดที่เป็นร่องกล้ำมเนือจนถึงแขนพับ จำกนันกด เข้ำร่องกล้ำมเนือมัดหน้ำด้ำนในจนถึงรักแร้แล้วอำสำสมัครยกแขนขึน แขนตรง แขนชิดหูมำกที่สุดเท่ำที่ทำได้ดัดมือพับไปด้ำนหลังพร้อมกับ หำยใจเข้ำทำงจมูกให้เต็มปอดแล้วนิ่งไว้ 3-5 วินำทีเท่ำที่ทำได้แล้ว หำยใจออกทำงปำกยำวจนหมดพร้อมกับคลำยมือที่ดัดไปหลัง ทำซำ 3 จุดเน่ยกวำน รอบ

171


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

7.2 เส้นลมปรำณหัวใจ เริ่มกดจำก จุดหลิงต้ำว วัด ห่ำงจำกข้อมือโดยใช้นิวสองนิววำงเรียงชิดกันตรงข้อมือด้ำนในบริเวณ ร่องที่ตรงกับด้ำนหน้ำของนิวก้อย กดพืนที่ต่อพืนที่ (ระยะห่ำงระหว่ำง จุดที่กดกับจุดถัดไปประมำณ 1-1.5มม.) กดมำเรื่อยๆ ตำมจุดที่รู้สึกว่ำ เป็นร่องกล้ำมเนือ พอถึงข้อพับกดร่องกล้ำมเนือมัดล่ำงด้ำนในจนถึง รักแร้ จำกนันอำสำสมัครยกแขนขึน หำยใจเข้ำจมูกผ่อนออกปำก 3 ครัง

SRRU NCR2018

จุดกลำงรักแร้

จุดหลิงต้ำว

จุดจงฝู่

จุดฉื่อเจ๋อ

จุดเส้นลมปรำณปอด

7.3 เส้นลมปรำณปอด เริ่มกดจำกข้อมือด้ำนใน บริเวณกึ่งกลำงระหว่ำงนิวโป้งกับนิวชี ตรงร่องที่ชิดกับเส้นเอ็น กลำงแขนด้ำนในมำทำงนิวโป้ง กดมำเรื่อยๆตำมจุดที่รู้สึกว่ำเป็น ร่ อ งกล้ ำ มเนื อจนถึ ง จุ ด ข้ อ พั บ บริ เ วณศอกเรี ย กว่ ำ จุ ด ฉื่ อ เจ๋ อ จำกนันกดเข้ำร่องกล้ำมเนือมัดนอกจนสุดกระดูกหัวไหล่ แล้วกด เลำะอ้อมข้ำงกระดูกหัวไหล่ลงมำกดเขี่ยตรงจุดรอยต่อระหว่ำง กระดูกไหปลำร้ำกับรักแร้ เรียกว่ำ จุดจงฝู่ จำกนันอำสำสมัครยก แขนขึน แล้วหำยใจเข้ำจมูก ผ่อนออกปำก 3 ครัง

7.4 เส้นลมปรำณลำไส้ใหญ่ เริ่มกดจำก จุดเจียนอวี่ บริเวณร่องบุ๋มใต้กระดูกหัวไหล่ตรงกลำงแขนด้ำนนอก กดตรงลงมำ เรื่อยๆ พอถึงข้อศอก สำมำรถงอแขนเพื่อให้กดได้ง่ำย แล้วใช้นิวโป้ง กดกลำงแขนด้ำนนอกออกมำเรื่อยๆ จนถึงข้อมือ กดเขี่ยระบำยพิษที่ ข้อมือสักพัก แล้วเลื่อนมำกดที่จุด เหอกู่ ซึ่งอยู่ระหว่ำงนิวโป้งกับนิวชี วัดเข้ำมำด้ำนหลังมือ 1 ข้อนิวโป้งชิดกับกระดูกนิวชี จำกนันรีดออกไป ทำงนิวชี นิวโป้ง นิวกลำง จำกนันอำสำสมัครยกแขนแนบหู แล้ว หำยใจเข้ำจมูก ผ่อนออก 3 ครัง

จุดเจียนอวี่

จุดเหอกู่

172


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

จุดซำนเจียว ซำนเจียว

จุดว่ำยกวำน

SRRU NCR2018

8.5 เส้นลมปรำณซำนเจียว เริ่มกดจำกชำยผมที่ ห่ำงจำกหู ไปทำงด้ำนหลังประมำณหนึ่งข้อนิวมือ กดลงมำข้ำงคอ กดร่องกลำงบ่ำ กดตรงมำเรื่อยๆ ที่หัวไหล่และแขนตรงจุดที่รู้สึก ว่ำเป็นร่องกล้ำมเนือ จนถึงเฉียดด้ำนในของปุ่มกระดูกแขนด้ำน นอก จำกนันก็จะถึงข้อมือ กดเขี่ยระบำยพิษที่ข้อมือ แล้วกดรีด ออกนิวนำง จำกนันอำสำสมัครยกแขนแนบหูแล้วหำยใจเข้ำจมูก ผ่อนออกทำงปำก 3 ครัง

จุดเส้นลมปรำณ 8.6 เส้นลมปรำณลำไส้เล็ก ยื่นแขนซ้ำย ลำไส้เล็ก ออกไปด้ำ นหน้ำ ใช้ นิวมือ ขวำอ้อ มไปกดจำกปลำยสะบั ก ด้ำนหลัง กดพืนที่ต่อพืนที่ เลื่อนเข้ำมำหำกลำงสะบัก แล้ว กดต่อเนื่องออกมำที่แขน กดตรงไปเรื่อยๆ ตำมจุดที่รู้สึกว่ำ เป็ น ร่ อ งกล้ ำ มเนื อจนถึ งข้ อ ศอก กดต่ อ ไปเรื่ อ ยๆตรงข้ ำ ง กระดูกส่วนที่เป็นร่องกล้ำมเนือระหว่ำงรอยต่อของหน้ำแขน กับหลังแขนด้ำนนิวก้อยจนถึงโคนนิวก้อย กดรีดออกไปจน สุดนิวก้อย จำกนันยกแขนขึน แล้วใช้นิวทัง 5 ของมือขวำ ก ำนิ วมื อ ที ล ะนิ วของมื อ ซ้ ำ ย ดึ ง ให้ เ ข้ ำ ที่ จ นครบทุ ก นิ ว จุดโฮ่วซี จำกนันใช้มือขวำดัดมือซ้ำยไปทำงด้ำนหลังแรงเท่ำที่รู้สึก สบำย ประมำณ 3 ครัง แล้วหำยใจเข้ำจมูกผ่อนออกปำก 3 จุดเฉียนกู่ ครัง 9. ประเมินระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่ภำยหลังกำรทดลอง ตำมแบบของวิธีประเมินควำมปวดด้วย ตนเอง (Subjective Assessment) โดยผู้ช่วยวิจัยที่ทำกำรกดจุดเส้นลมปรำณ และผู้วิจัยไม่เห็นกำรประเมินตนเอง ของกลุ่มตัวอย่ำง เพื่อป้องกันอคติ (Bias) จำกกำรประเมิน เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยและพัฒนำเครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย 1. เครื่องมือที่ใช้ในกำรทดลอง คือ โปรแกรมกำรประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนต่อ อำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ เป็นโปรแกรมที่ผู้วิจัยพัฒนำขึนโดยอ้ำงอิงจำกวิธีกำรของ ใจเพชร กล้ำจน (2553) โดยเป็น คู่มือกำรปฏิบัติเทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน ซึ่งทำกำรตรวจสอบหำค่ำควำมสอดคล้องของกำรประเมินของ ผู้เชี่ยวชำญ จำนวน 5 ท่ำน (IOC) เพื่อหำควำมตรงของเนือหำ (Content validity) พบว่ำมีค่ำระหว่ำง 0.80-1.00 2. เครื่องมือที่ใช้ในกำรวัดตัวแปร ได้แก่ แบบประเมินควำมปวดคอ บ่ำไหล่ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถำม และส่วนที่ 2 แบบประเมินควำมปวด ตำมแบบของวิธีประเมินควำม ปวดด้วยตนเอง (Subjective Assessment) (Melzack & Katz, 1999) ซึ่งเป็นเครื่องมือมำตรฐำนมีกำรพัฒนำและ ผ่ำนกำรตรวจสภำพแล้ว ลักษณะเป็นมำตรวัดควำมปวดแบบตัวเลข (Numerical Rating Scale : NRS) คือ กำรใช้ ตัวเลขมำช่วยบอกระดับควำมรุนแรงของอำกำรปวด ใช้ตัวเลขตังแต่ 0 1 … 10 อธิบำยให้กลุ่มตัวอย่ำงเข้ำใจก่อน

173


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ว่ำ 0 หมำยถึง ไม่มีอำกำรปวด และ 10 คือ ปวดมำกที่สุด ให้กลุ่มตัวอย่ำงบอกถึงตัวเลขที่แสดงถึงควำมปวดที่กลุ่ม ตัวอย่ำงมีขณะนันๆ โดยกำรแปลควำมหมำยกำรให้คะแนนดังนี ไม่ปวด

ปวดปำนกลำง

ปวดมำก

กำรวิเครำะห์ข้อมูล 1. วิเครำะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำง โดยใช้สถิติเชิงพรรณนำ (Descriptive Statistic) ได้แก่ ค่ำควำมถี่ (Frequency) และค่ำร้อยละ (Percentage) ค่ำเฉลี่ย ( และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (SD) 2. วิเครำะห์ระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่ ก่อนและหลังได้รับกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน โดยนำเสนอ ค่ำเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (Standard Deviation) โดยกำหนดช่วงคะแนนดังนี โดยกำหนดช่วง คะแนนดังนี คะแนนเฉลี่ย 0.00-3.33 หมำยถึง มีควำมปวดอยู่ในระดับน้อย คะแนนเฉลี่ย 3.34-6.66 หมำยถึง มีควำมปวดอยู่ในระดับปำนกลำง คะแนนเฉลี่ย 6.67-10.00 หมำยถึง มีควำมปวดอยู่ในระดับมำก 3. เปรียบเทียบระดับอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ก่อนและหลังกำรทดลอง ก่อนและหลังกำรทดลอง โดยใช้ สถิติ Paired-Samples t-test และกำหนดระดับนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 สรุปผลกำรวิจัย ตอนที่ 1 วิเครำะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำง ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถำม เพศ ชำย หญิง ระดับกำรศึกษำ ไม่เกินมัธยมศึกษำ ปริญญำตรี สูงกว่ำปริญญำตรี อำชีพ ข้ำรำชกำร เกษตรกร รับจ้ำง ธุรกิจส่วนตัว อื่นๆ ระยะเวลำที่เริ่มปวดคอ น้อยกว่ำ 4 สัปดำห์ บ่ำ ไหล่ 4-12 สัปดำห์

จำนวน 6 39 9 29 7 12 5 10 13 5 15 13

174

ร้อยละ 13.33 86.67 20.00 64.44 15.56 26.67 11.11 22.22 28.89 11.11 33.33 28.89


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถำม มำกกว่ำ 12 สัปดำห์ กำรเคยรักษำอำกำรปวด เคย คอ บ่ำไหล่ ไม่เคย วิธีรักษำอำกำรปวดคอ รับประทำนยำ/ ฉีดยำ บ่ำไหล่ กำยภำพบำบัด กำรนวด อำกำรหลังจำกรักษำ ไม่เคยรักษำ ไม่ดีขึน ดีขึนแต่ไม่หำย ข้อมูลเบื้องต้นอืน่ ๆ อำยุ นำหนัก ส่วนสูง

จำนวน 17 33 12 8 4 21 12 5 28

SRRU NCR2018 ร้อยละ 37.78 73.33 26.67 17.78 8.89 46.67 26.67 11.11 62.22

S.D. 5.88 10.06 6.12

52.50 ปี 50.60 ก.ก. 158.42 ซ.ม.

กลุ่มตัวอย่ำงที่เข้ำรับกำรบำบัดอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ด้วยกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน ส่วนใหญ่เป็นเพศ หญิง ร้อยละ 86.67 เพศชำย ร้อยละ 13.33 อำยุเฉลี่ย 52.50 ปี นำหนักเฉลี่ย 50.60 ก.ก. ส่วนสูงเฉลี่ย 158.42 ซ. ม. มีระดับกำรศึกษำปริญญำตรี ร้อยละ 64.44 มัธยมศึกษำ ร้อยละ 20.00 และสูงกว่ำปริญญำตรี ร้อยละ 15.56 อำชีพธุรกิจส่วนตัว มำกที่สุด ร้อยละ 28.89 ข้ำรำชกำร ร้อยละ 26.67 รับจ้ำง ร้อยละ 22.22 เกษตรกรและอำชีพ อื่นๆ ร้อยละ 11.11 ตำมลำดับ ส่วนใหญ่เริ่มปวดคอ บ่ำไหล่มำกกว่ำ 12 สัปดำห์ และเคยรักษำอำกำรปวดคอ บ่ำ ไหล่ ซึ่งส่วนใหญ่เคยรักษำด้วยกำรนวด หลังกำรรักษำมีอำกำรดีขึนแต่ไม่หำย ตอนที่ 2 เปรียบเทียบค่ำเฉลี่ยระดับอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ก่อนและหลังกำรทดลอง ใช้สถิติ PairedSamples t-test โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่

SD

ระดับ

t

p

14.13

P < 0.001

ก่อนกำรทดลอง

5.31

1.84

ปำนกลำง

หลังกำรทดลอง

1.73

1.16

น้อย

ผลกำรประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนต่ออำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ พบว่ำ ก่อนได้รับกำร กดจุดเส้นลมปรำณที่แขน กลุ่มตัวอย่ำงมีระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่เฉลี่ยอยู่ในระดับปำนกลำง ( X = 5.31, S.D. = 1.84) และหลังได้รับกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน พบว่ำ ระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่เฉลี่ยอยู่ในระดับน้อย ( X = 1.73, S.D. = 1.16) และระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่ของกลุ่มตัวอย่ำง หลังกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนน้อยกว่ำ ก่อนกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน อย่ำงมีนัยสำคัญที่สถิติที่ระดับ .05

175


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วิจำรณ์ผลกำรวิจัย จำกผลกำรวิจัย พบว่ำ ระดับควำมปวดคอ บ่ำไหล่ของกลุ่มตัวอย่ำง หลังกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน น้อยกว่ำก่อนกำรทดลอง นั่นคือ ประสิทธิผลของโปรแกรมกำรประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขน มี ประสิทธิภำพทำให้อำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ลดลง ผู้ป่วยสำมำรถทำเองได้โดยไม่ต้องใช้ ยำแก้ปวด ประหยัด ทำได้ สะดวก ทุกที่ ทุกเวลำ ไม่มีผลข้ำงเคียง และหำกทำได้ถูกต้องจะสำมำรถลดอำกำรปวดได้ทันที ทังนีเนื่องจำกเส้น ลมปรำณที่ทอดยำวไปตำมส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย เป็นเส้นทำงลำเลียงพลังลมปรำณ เลือด ของเหลวไปสู่ส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย ทำให้กำรทำงำนของอวัยวะทุกส่วนอยู่ในภำวะสมดุล เส้นลมปรำณที่ผ่ำนบริเวณแขนไปยังบ่ำไหล่และ คอ เมื่ อ ใดก็ ต ำมที่ เ กิ ด กำรติ ด ขั ด ในต ำแหน่ งใดต ำแหน่ งหนึ่ งท ำให้ พ ลั งลมปรำณ เลื อ ด ของเหลวต้ อ งคั่ งค้ ำ ง หยุดชะงัก ก็จะทำให้เกิดอำกำรเจ็บหรือปวดบริเวณคอ บ่ำไหล่ได้ (ภำสกิจ วัณนำวิบูล. 2551) ดังนันกำรกดจุดเส้น ลมปรำณบริเวณแขนทัง 6 เส้น ได้แก่ เส้นลมปรำณเยื่อหุ้มหัวใจ เส้นลมปรำณหัวใจ เส้นลมปรำณลำไส้เล็ก เส้น ลมปรำณปอด เส้นลมปรำณลำไส้ใหญ่ และเส้นลมปรำณซำนเจียว เพื่อเปิดทำงเดินของเส้นลมปรำณ ให้สำมำรถ ทำงำนได้เป็ นปกติ ไม่ติด ขัดหรื อเกิด ควำมสมดุล อวัยวะที่เส้ นลมปรำณวิ่ งผ่ำนได้รับพลังลมปรำณ สำรอำหำร สำมำรถขับของเสียได้ดี จึงทำให้อำกำรปวดบริเวณ คอ บ่ำไหล่ หำย หรือทุเลำลงได้รวดเร็ว กำรกดจุดเส้นลมปรำณ เป็นกำรกระตุ้นหรือฟื้นฟูสมรรถภำพของร่ำงกำยด้วยวิธีทำงอย่ำงธรรมชำติ และสรรพคุณของกำรกดจุดสำมำรถ ระงับโรคต่ำงๆ ได้ดี จนร่ำงกำยแข็งแรงและสุขภำพทำงจิตใจก็แจ่มใสขึนไปด้วย กำรกดและกระตุ้นอย่ำงถูกต้องยัง สำมำรถเพิ่มประสิทธิภำพของระบบต่ำงๆ ภำยในร่ำงกำยให้บรรดำเหล่ำอวัยวะทุกส่วนทำงำนกันได้อย่ำงสมบูรณ์ ไม่ สะดุดติดขัดหรือเสื่อมสภำพไป ช่วยเสริมควำมต้ำนทำนโรคและสร้ำงควำมสมบูรณ์แข็งแรงให้แก่เซลล์ต่ำงๆ ใน ร่ำงกำย ดังเช่น ใจเพชร กล้ำจน. (2553: 291-386) ที่กล่ำวถึงวิธีกำรระบำยสิ่งที่พิษร้อนหรือเย็นเกินนันออก เมื่อมี สิ่งที่เป็นพิษหรืออันตรำยมำสัมผัสกับเนือเยื่อของร่ำงกำย จะทำให้เกิดกำรเกร็งแข็งค้ำงของกล้ำมเนืออย่ำงอัตโนมัติ เพื่อหนีหรือขับพิษหรืออันตรำยนันออก จึงทำให้เกิดอำกำรตึง แข็ง เจ็บ ปวด มึน ชำตำมส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย อัน เกิดจำกเลือดลมไหลเวียนไม่ดี เทคนิคข้อที่ 6 คือ กำรออกกำลังกำย กดจุดลมปรำณ โยคะ กำยบริหำร เป็นอีกหนึ่ง วิธีกำรที่ช่วยลดอำกำรตึง แข็ง เจ็บ ปวด มึน ชำ เกร็งแข็งค้ำงตำมส่วนต่ำงๆ ของกล้ำมเนือได้ และเมื่อผู้ได้รับกำรกด จุดเส้นลมปรำณเพื่อลดอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่มีอำกำรปวดลดลงอย่ำงรวดเร็วภำยในระยะเวลำสัน สอดคล้องกับ สมเกียรติ ศรไพศำล (2552 : 11-13) ได้ศึกษำประสิทธิผลกำรกดจุด โดยศึกษำเบืองต้นถึงประสิทธิผลกำรใช้กำรกด จุดบำบัดในกำรรักษำผู้ป่วยกลุ่มอำกำรต่ำงๆ 7 กลุ่มอำกำร พบว่ำ กลุ่มอำกำรที่มีประสิทธิผลค่อนข้ำงสูง คือ ดีขึน ร้อยละ 96.92 ได้แก่ กลุ่มอำกำรปวดศีรษะ ไมเกรน และกลุ่มอำกำรปวดคอ บ่ำ ดีขึนร้อยละ 92.52 สอดคล้องกับ Hsieh et al. (2010) ได้ศึกษำผลกำรบำบัดด้วยวิธีกดจุดเพื่อลดอำกำรปวดศีรษะ ผลกำรวิจัยพบว่ำ กำรบำบัดด้วย วิธีกดจุดช่วยลดอำกำรปวดศีรษะได้ และ Flor and Turk (1984 : 105) ได้ศึกษำพบว่ำอำกำรปวดหลัง คอ บ่ำไหล่ ทำให้จำกัดกำรเคลื่อนไหวของร่ำงกำยและก่อให้เกิดควำมอ่อนแอของกล้ำมเนือตำมมำ กำรกดจุดและนวดทำให้ลด อำกำรปวดได้ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะกำรนำผลกำรวิจัยไปใช้ 1. ควรนำผลกำรศึกษำของกำรประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนในกำรดูแลตนเองเพื่อ ลดอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ไปใช้และเผยแพร่ในพืนที่อื่นๆ และบุคคลที่มีควำมหลำกหลำยมำกขึน เพื่อให้มีควำมรู้ พืนฐำนในกำรดูแลตนเองทำงเลือกและนำไปประยุกต์ต่อได้

176


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2. ควรมีกำรจัดอบรม ให้ควำมรู้ ควำมเข้ำใจ และนำข่ำวสำรใหม่ๆ เกี่ยวกับอำกำรปวดคอและปวด ศีรษะ มำเผยแพร่แก่บุคคลทั่วไปที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วย เพื่อเป็นกำรกระตุ้นให้เกิดกำรปฏิบัติในกำรดูแลตนเอง อย่ำงต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและลดภำวะกลับเป็นซำของอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ 3. ค ว ร มี กำ ร ท ำ ห นั ง สื อ ห รื อ บทควำมหรือโปสเตอร์ที่สำมำรถทำควำมเข้ำใจง่ำย เพื่อให้ผู้ที่สนใจสำมำรถนำควำมรู้ไปศึกษำและลองปฏิบัติตำม เองได้ที่บ้ำนและควรมีกำรทำสื่อลงอินเทอร์เน็ต เพื่อกำรเข้ำถึงข้อมูลที่ง่ำยขึน ข้อเสนอแนะกำรทำวิจัยครั้งต่อไป 1. งำนวิจัยครังนี ศึกษำเพียงกำรลดอำกำรปวดเฉพำะบริ เวณคอ บ่ำไหล่เท่ำนัน ดั งนันควรศึกษำ เทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณอื่นๆ เพื่อลดอำกำรปวด หรือบำดเจ็บบริเวณอวัยวะอื่นๆ ต่อไป 2. งำนวิจัยครังนีศึกษำผลกำรกดจุดเส้นลมปรำณเพียงครังเดียว ดังนันในกำรศึกษำครังต่อไปจึ งควร ศึกษำควำมคงทนของอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ที่ลดลง เปรียบเทียบกับวิธีกำรบำบัดรักษำอื่นๆ เช่น กำรนวด กำรกัวซำ กำรฝังเข็ม เป็นต้น 3. ในกำรวิจัยครังต่อไปควรศึกษำกับกลุ่มตัวอย่ำงอื่นๆ เช่น กลุ่มผู้ใช้แรงงงำน พนักงำนในสำนักงำน นักกีฬำ ผู้สูงอำยุ เป็นต้น เพื่อนำโปรแกรมไปประยุกต์ใช้ในกำรแก้ปัญหำสุขภำพเฉพำะกลุ่มอำชีพต่อไป 4. ในกำรวิจัยครังต่อไปควรนำโปรแกรมประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกดจุดเส้นลมปรำณที่แขนในกำรดูแล ตนเองเพื่อลดอำกำรปวดคอ บ่ำไหล่ ใช้กับผู้ป่วยกลุ่มอำกำรปวดกล้ำมเนือเรือรังในส่วนอื่น เช่น ผู้ป่วยปวดหลัง ส่วนล่ำง โรคข้อเข่ำเสื่อม ผู้ป่วยไหล่ติดเรือรัง เป็นต้น เอกสำรอ้ำงอิง ใจเพชร กล้ำจน. (2553). ควำมเจ็บป่วยกับกำรดูแลสุขภำพแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตำมหลักแพทย์ทำงเลือกวิถี พุทธ ของศูนย์เรียนรู้สุขภำพพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียงสวนป่ำนำบุญ อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร. วิทยำนิพนธ์ศิลปศำสตรมหำบัณฑิตมหำวิทยำลัยอุบลรำชธำนี. ภำสกิจ วัณนำวิบูล. (2551). ตำรำกำรแพทย์แผนจีน: กำรตรวจวินิจฉัย. กรุงเทพมหำนคร : หมอชำวบ้ำน. ลิขิต รักษ์พลเมือง. (2554). โรคปวดกล้ำมเนื้อเรื้อรังจำกกำรทำงำน. กรุงเทพมหำนคร: คณะแพทยศำสตร์ศิรริ ำช พยำบำล มหำวิทยำลัยมหิดล. สมเกียรติ ศรไพศำล. (2552, กันยำยน – ธันวำคม 55 ). “ประสิทธิผลกำรกดจุด”. วำรสำรสำนักกำรแพทย์ ทำงเลือก. 2(3) : 11 – 13. สมำคมกำรศึกษำเรื่องควำมปวดแห่งประเทศไทย. (2552). แนวทำงเวชปฏิบัติ กลุ่มอำกำรปวดเรื้อรังระบบกระดูก และกล้ำมเนื้อ. กรุงเทพมหำนคร : อมรินทร์พรินติง แอนด์ พับลิชชิง่ . สุพรรณี อำนวยพรสถิตย์. (2553). โรคปวดกล้ำมเนื้อกับกำรฝังเข็ม. ชลบุรี: โรงพยำบำลสมิติเวชศรีรำชำ. หมิงคุณ ตันศุภวัฒน์. (2549). กำรกดจุดรักษำโรค สุขภำพดีได้ เพียงปลำยนิ้ว. กรุงเทพมหำนคร :สีนำเงิน Flor, H., & Turk, D. C. (1984). “Etiological Theories and Treatments for Chronic Back Pain. Pain. 19 : 105 – 117. Hsieh, L. L.; Liou, H. H.; Lee, L. H.; Chen, T. H., & Yen, A. M. ( 010). “Effect of acupressure and trigger points in treating headache: a randomized controlled trial.” Am J Chin. 38(1) :1 – 14.

177


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Krejcie, R. B., & Morgan, D. W. (1970). “Determining sample size for research activity.” Journal of Education and Psychological Measurement. 30(3) : 607–610. Melzack, R., & Katz, J. (1999). “Measurement of pain.” Surgical Clinics of North America. 79(2) : 231 – 252. Tsay, S. ( 004). “Acupressure and fatigue in patients with end-stage renal disease-A randomized controlled trial.” Inter J Nurs Stud 2004. 41(1) : 99-106.

178


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-17 รูปแบบและผลของกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ต่อสุขภำพของผู้เข้ำค่ำยสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม PATTERNS AND EFFECTS OF COLON DETOXIFICATION ON HEALTH AMONG HEALTH CAMP PARTICIPANTS ACCORDING TO BUDDHIST MEDICINE ศิริพร จิระสถำวร1, สุธีรำ อินทเจริญศำนต์2 และ อติพร ทองหล่อ3 1

นักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 3 พยาบาลวิชาชีพช้านาญการพิเศษ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ 2

บทคัดย่อ กำรวิจัยครังนีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำรูปแบบและผลของกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ตำมหลัก กำรแพทย์วิถี ธรรมที่มีต่อสุขภำพ เป็นงำนวิจัยเชิงคุณภำพ โดยเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบเจำะจงจำนวน 23 คน ดำเนินกำรสัมภำษณ์ เชิงลึก เพื่อนำมำวิเครำะห์เชิงเนือหำ สำหรับข้อมูลส่วนบุคคลวิเครำะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนำ ผลกำรศึกษำ พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 86.96 อำยุเฉลี่ย 51.35 ปี (ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน 9.95) จบ ปริญญำตรีหรือ สูงกว่ำ ร้อยละ 69.57 อำชีพรับรำชกำรร้อยละ 34.78 รำยได้เฉลี่ย 21,347.83 (ส่วนเบี่ยงเบน มำตรฐำน 14,546.50) ภูมิลำเนำอยู่ในภำคอีสำนร้อยละ 30.44 ประสบกำรณ์กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ด้วยตนเองอย่ำง ต่อเนื่องตังแต่ 2 สัปดำห์ ถึง 12 ปี รูปแบบกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ ส่วนใหญ่มีกำรประเมินภำวะร้อนเย็นก่อนทำ ทำวัน ละ 1 ครังในตอนเช้ำ ผู้ป่วยด้วยโรคร้ำยแรงจะทำวันละ 2 ครัง (เช้ำ-เย็น) ส่วนใหญ่ใช้นำปัสสำวะ รองลงมำใช้นำ สมุนไพร มักสวนล้ำงด้วยท่ำนอน ยกขวดสูง 2 ศอก ใช้นำ 1,500 มิลลิลิตร ต่อกำรทำ 1 ครังและสำมำรถใส่นำต่อครังกำร ถ่ำย 1,000-1,500 มิลลิลิตร กลันได้ 3-5 นำที ใส่สำยลึกประมำณ 6 นิวฟุต ผลต่อสุขภำพ ส่วนใหญ่มีสุขภำพดีขึน กล่ำวคือ ช่วยให้อำกำรไม่สุขสบำยหำยร้อยละ 73.91 และทุเลำลงร้อยละ 26.09 พบผลข้ำงเคียงที่เคยเกิดขึนร้อยละ 43.48 ซึ่งเป็นอำกำรที่สำมำรถแก้ไขได้ด้วยตนเอง อย่ำงไรก็ตำม ผลต่อสุขภำพที่เกิดขึนอำจไม่ได้เป็นผลจำกกำรสวนล้ำง ลำไส้ใหญ่เพียงอย่ำงเดียว ยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย แต่ถือว่ำกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมเป็นอีก ทำงเลือกหนึ่งในกำรดูแลสุขภำพให้ดีขึน คำสำคัญ : การสวนล้างล้าไส้ใหญ่, หลักการแพทย์วิถีธรรม Abstract The research aimed to 1) study the patterns of colon detoxification according to Buddhist Medicine and 2) study the effects of colon detoxification on health. The study design was qualitative research. Sample selection by purposive sampling for 23 cases. These were conducted by using in-depth interview. Data were analyzed by using content analysis and descriptive statistics. The results found that most of the samples were female accounting for 86.96%. The average of age was 51.35 years old. The Bachelor's degree or higher accounting for

179


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

69.57% and the civil servant accounting for 34.78%. The average of incomes were 21,347.83 baht. 30.44% of them lived in Northeastern of Thailand. The colon detoxification was continuously operated since 2 weeks to 12 years. For the pattern of practices. Samples were evaluated for hot and cold conditions before colon detoxification and done for 1 time in the morning. In severe disease patients done for 2 times in the morning and evening. They used some urine water and herb water for detoxification by lie down posture and raised up bottle 80 to 100 centimeter used some water 1,500 milliliters per once times and it could be put in water at once taking 1,000 to 1,500 milliliters in 3 to 5 minutes finally put in the cord about 6 inches. Most of health problems disappeared accounting for 73.91% or relieved accounting for 26.09%. Some cases had used to side effects about 43.48% which can be solve by themselves. However, colon detoxification according to Buddhist Medicine could be the alternative choice in order to relieve and support for the better health. Keywords : Colon Detoxification, Buddhist Medicine บทนำ ปัจจุบันวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ขำดกำรใส่ใจในเรื่องกำรขับถ่ำยของเสียออกจำกร่ำงกำย ทำให้พิษหรือสำรพิษที่ ร่ำงกำยส่งมำกำจัดที่ลำไส้ใหญ่ถูกสะสมไม่ได้ขับออก จนก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่ำง ๆ ซึ่งทวีควำมรุนแรงมำกขึน กำรแพทย์ทำงเลือกจึงเป็นอีกช่องทำงหนึ่งในกำรดูแลสุขภำพของประชำชน กำรดูแลขันพืนฐำนควรเน้นให้ประชำชน สำมำรถดูแลตนเองได้ (ขวัญจิต ศศิวงศำโรจน์. 2553 : 4) จำกสถิติกำรเจ็บป่วยที่มีมำกขึน โดยเฉพำะในกลุ่มโรค เรือรัง ได้แก่ เบำหวำน ควำมดัน มะเร็ง เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจำกกำรบริโภคอำหำรที่มีสำรพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง แฝงตัวอยู่ในอำหำรนับร้อยชนิดที่คนไทยบริโภคอยู่ทุกวัน (ใจเพชร กล้ำจน. 2553 : 34) กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่เป็นวิธีกำรหนึ่งในกระบวนกำรล้ำงพิษของกำรแพทย์ทำงเลือก ซึ่งได้ถูกนำมำใช้ ตังแต่สมัยอียิปต์โบรำณ (ขวัญจิต ศศิวงศำโรจน์. 2553 : 4) แม้ในคัมภีร์ไบเบิลก็ระบุถึงกำรสวนล้ำ งลำไส้ใหญ่ ฮิปโปเครติสถือเอำกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ เป็นกำรรักษำโรควิธีหนึ่ง ในยุโรปและอเมริกำถือเป็นแขนงหนึ่งของวิชำ วำรีบำบัด (Hydrotherapy) ซึ่งมีแพทย์ที่ใช้กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ในกำรรักษำโรคต่ำง ๆ โดยเฉพำะกับโรคมะเร็ง เช่น นำยแพทย์แม็กซ์ เกอร์สัน (Gerson Therapy) ทันตแพทย์วิลเลียม เคลลี ดร.เบอรนำร์ด เจนเซน ดร.นอร์แมน วอร์กเกอร์ เป็นต้น (เทวัญ ธำนีรัตน์ และธีรพงศ์ ชัยภัค. 2552 : 1) ซึ่งในปัจจุบันได้มีกำรแพทย์ทำงเลือกที่แนะนำ ให้ประชำชนสำมำรถทำกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ได้ด้วยตนเอง ตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ที่มีกำรให้ควำมรู้แก่ประชำชนด้วย กำรจัดอบรมในค่ำยสุขภำพ ถึงแม้จะมีพัฒนำกำรเกี่ยวกับกระบวนกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่โดยทั่วไปที่กำหนดให้ใช้วิธีกำร ทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่แล้ว พบว่ำ ยังไม่สำมำรถสรุปผลด้ำนสุขภำพที่แท้จริงได้ ทังนี ยังพบว่ำกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ ตำมหลักกำรแพทย์วิถธี รรม หำกทำร่วมกับกำรดูแลรักษำด้วยวิธีอื่น ๆ ของแพทย์วิถีธรรมแล้วจะทำให้อำกำรของโรคดี ขึน ได้แก่ 1) กำรรับประทำนสมุนไพรฤทธิ์ร้อนเย็นปรับสมดุล 2) กำรกัวซำ ด้วยสมุนไพรฤทธิ์ร้อนเย็น 3) กำรแช่มือ แช่เท้ำในนำสมุนไพรฤทธิ์ร้อนเย็น 4) กำรพอก ทำ หยอด ประคบ อบ อำบ เช็ด ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน 5) กำรออกกำลัง กำย กดจุดลมปรำณ โยคะ กำยบริหำร ที่ถูกต้อง 6) กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุล 7) กำรใช้ธรรมะละบำป บำเพ็ญ กุศล ทำจิตใจให้ผ่องใส คบมิตรดีสหำยดี สร้ำงสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี และ 8) รู้เพียร รู้พักให้พอดี ซึ่งใช้หลักสมดุลร้อน

180


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เย็นในกำรวิเครำะห์สภำวะของร่ำงกำยและนำสิ่งที่หำได้ง่ำยใกล้ตัวมำปรับใช้ให้เหมำะสมกับสภำพร่ำงกำย ณ เวลำนัน เพื่อให้ร่ำงกำยสมดุลร้อนเย็น สำมำรถรักษำโรค ฟื้นฟูสภำพ ป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภำพได้ (ใจเพชร กล้ำจน. 2558 : 180-181). ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษำเชิงลึกรำยกรณี เกี่ยวกับรูปแบบและผลของกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ต่อสุขภำพในกลุ่ม ผู้ที่เข้ำค่ำยสุขภำพแพทย์วิถีธรรม วัตถุประสงค์กำรวิจัย เพื่อศึกษำรูปแบบและผลของกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ต่อสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม วิธีดำเนินกำรวิจัย รูปแบบกำรวิจัย กำรศึกษำครังนี เป็นงำนวิจัยเชิงคุณภำพ โดยเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบเฉพำะเจำะจงและผ่ำนกำรคัดเลือก ตำมเกณฑ์ที่กำหนด กล่ำวคือ มีอำยุตังแต่ 20 ปีขึนไป และใช้กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่เพื่อดูแลสุขภำพของตนเองเป็น หลักอย่ำงต่อเนื่อง สื่อสำรและเข้ำใจกันด้วยภำษำไทย สมัครใจเข้ำร่วมโครงกำร โดยไม่มีกำรบังคับ และสำมำรถ ออกจำกกำรวิจัยได้ตลอดเวลำ ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกรเป้ำหมำย คือ ผู้ที่มำเข้ำค่ำยสุขภำพแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำนำบุญ 1 เดือนพฤศจิกำยน พ.ศ. 2560 จำนวน 181 คน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ที่มำเข้ำค่ำยสุขภำพแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำนำบุญ 1 ที่สมัครใจเข้ำร่วมโครงกำรและผ่ำน กำรคัดเลือกตำมเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย ใช้แบบสัมภำษณ์เชิงลึกเพื่อศึกษำรำยกรณีในผู้ที่ปฏิบัติกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ด้วยตนเองตำมหลักกำร แพทย์วิถีธรรม ในพืนที่กำรจัดค่ำยสุขภำพแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำนำบุญ 1 ตรวจสอบควำมตรงตำมเนือหำ (Content Validity Index) โดยนำเสนอต่อผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่ำน ได้ค่ำ CVI = 0.82 และส่งให้คณะกรรมกำรพิจำรณำ จริยธรรมเพื่อตรวจสอบและได้ผ่ำนกำรรับรองจำกคณะกรรมกำรจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์ของมหำวิทยำลัยรำช ภัฏสุรินทร์ เลขที่ HE-SRRU2-0013 นำข้อมูลที่ได้แต่ละวันมำตรวจสอบควำมครบถ้วนของข้อมูล แยกแยะข้อมูล ออกเป็นหมวดหมู่ตำมประเด็น กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ดำเนินกำรสัมภำษณ์เชิงลึกกับกลุ่มตัวอย่ำง จำนวน 23 คน โดยใช้แบบสัมภำษณ์เชิงลึก อัดเทป ถอดเนือหำ และสรุปประเด็น ขั้นตอนกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมมีขันตอนกำรปฏิบัติ (ใจเพชร กล้ำจน. 2560 : 332) ดังนี 1. เลือกสมุนไพรทีเ่ หมำะสมตำมภำวะร้อนเย็นของร่ำงกำย คือ เมื่อใช้ทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่แล้ว รู้สึกสดชื่น โปร่งโล่ง เบำสบำย

181


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2. นำสมุนไพรต้มในนำเปล่ำ เดือดประมำณ 5-10 นำที แล้วผสมนำธรรมดำให้อุ่น หรือใช้ใบสมุนไพร สด ขยีกับนำเปล่ำ กรองผ่ำนกระชอน นำนำที่ได้ใส่ขวดหรือถุงที่เป็นชุดสวนล้ำงลำไส้ โดยทั่วไปใช้นำสมุนไพร 5001,500 มิลลิลิตร 3. เปิดนำให้ไหลตำมสำยเพื่อไล่อำกำศออกจำกสำย แล้วล็อคสำยให้แน่น 4. นำเจลหรือวำสลีนหรือนำมันพืชหรือว่ำนหำงจระเข้ทำที่ปลำยสำยสวน ประมำณ 1 เซนติเมตร เพื่อ หล่อลื่น หรืออำจใช้ปลำยสำยสวนจุ่มในนำที่ใช้ทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ 5. ค่อย ๆ สอดปลำยสำยสวนเข้ำไปที่รูทวำรหนัก ลึกประมำณเท่ำนิวมือเรำ (ประมำณ 3-5 นิวฟุต) ยกหรือแขวนขวดนำสมุนไพรสูงจำกทวำรหนักประมำณ 2 ศอก หรือประมำณ 80-100 ซม. 6. ค่อย ๆ ปล่อยนำสมุนไพรให้ไหลเข้ำไปในลำไส้ใหญ่ ใส่ปริมำณนำเท่ำที่ร่ำงกำยเรำรู้สึกทนได้โดยไม่ ยำกไม่ลำบำกเกินไป 7. ใช้มือนวดคลึงที่ท้อง กลันไว้ประมำณ 10-20 นำที หรืออำจไม่ถึงก็ได้ คือเมื่อทนได้ยำก ลำบำกก็ไป ถ่ำยออก 8. สำหรับผู้ป่วยที่อำกำรหนัก อำจทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่วันละ 1-2 ครัง อำจมำกหรือน้อยกว่ำ ตำม สภำพของร่ำงกำย คือ ทำเท่ำที่รู้สึกสุขสบำย ส่วนคนทั่วไปทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่เฉลี่ย สัปดำห์ละ 1-3 ครัง หรือตำม สภำพร่ำงกำย คือ ทำเท่ำที่รู้สึกสุขสบำย แบบวัดระดับควำมปวด ในกำรวิจัยนีสำมำรถใช้ scale ที่ออกแบบไว้ 10 ระดับ (Numerical rating scale) ได้แก่ ระดับ 0-10 ในกำรประเมินระดับควำมปวดหรือระดับอำกำรไม่สุขสบำยก่อนและหลังกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ (สหัทยำ ไพบูลย์ วรชำติ. 2560 : 4-5) โดยให้ควำมหมำยของระดับไว้ ดังนี 0 คือ ไม่ปวด (No pain) 1-3 คือ ปวดเล็กน้อย (Mild pain) 4-6 คือ ปวดปำนกลำง (Moderate pain) 7-10 คือ ปวดรุนแรง (Severe pain) เกณฑ์กำรประเมินผลกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ หลังทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่แล้ว สำมำรถประเมินผลที่มีต่อสุขภำพ ดังนี 1. รู้สึกสบำย เบำกำย และมีกำลัง หรือ ยังไม่รู้สึกสุขสบำย แต่ว่ำรู้สึก เบำกำย มีกำลัง 2. ระดับควำมไม่สุขสบำยหรือควำมเจ็บปวดลดลง 3. เมื่อทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ร่วมกับเทคนิคอื่นของแพทย์วิถีธรรม โรคหรืออำกำรไม่สุขสบำยต่ำง ๆ หำยหรือทุเลำลงได้ 4. ไม่เกิดภำวะแทรกซ้อนหรืออำกำรไม่สุขสบำยที่เป็นอันตรำยร้ำยแรงหลังทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ตำม หลักกำรแพทย์วิถีธรรม กำรวิเครำะห์ข้อมูล วิเครำะห์ ข้อมูลเชิงคุณภำพ โดยนำข้อมู ลจำกกำรวิเครำะห์ สังเครำะห์ จัดหมวดหมู่เรีย บร้อยแล้ ว คัดเลือกคำพูดจริงจำกกำรถอดเทปที่สอดคล้องกับข้อสรุปร่วมกับกำรศึกษำงำนทฤษฎี และงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง และ สรุปภำวะสุขภำพที่เป็นอำกำรที่บ่งบอกอย่ำงชัดเจนว่ำ มีอำกำรอะไรบ้ำงที่ผู้ให้ข้อมูลทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่แล้วมี

182


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

อำกำรดีขึน ทุเลำ หรือแย่ลง เพื่อนำเสนอในรูปแบบของตำรำงที่สำมำรถเห็นได้อย่ำงชัดเจน วิเครำะห์ข้อมูลส่วน บุคคลของกลุ่มตัวอย่ำงโดยใช้สถิติเชิงพรรณนำ ได้แก่ ควำมถี่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ผลกำรวิจัย จำกกำรเก็บรวบรวมข้อมูลจำกกลุ่มตัวอย่ำงทังหมด โดยกำรสัมภำษณ์เชิงลึกและนำมำวิเครำะห์ข้อมูล ผลของกำรดูแลสุขภำพตนเองด้วยวิธีกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ของผู้เข้ำค่ำยสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม กลุ่ม ตัวอย่ำงส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 86.96 อำยุเฉลี่ย 51.35 ปี (ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน 9.95) สำเร็จกำรศึกษำ ระดับปริญญำตรีหรือสูงกว่ำ ร้อยละ 69.57 อำชีพรับรำชกำรร้อยละ 34.78 รำยได้เฉลี่ย 21,347.83 บำทต่อเดือน (ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน 14,546.50) ภูมิลำเนำอยู่ในภำคอีสำนร้อยละ 30.44 มีประสบกำรณ์กำรทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ อย่ำงต่อเนื่องตังแต่ 2 สัปดำห์ถึง 12 ปี รูปแบบกำรสวนล้ำงลำไส้ส่วนใหญ่ มีกำรประเมินภำวะร้อนเย็นก่อนทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ ทำวันละ 1 ครังใน ตอนเช้ำ ผู้ป่วยด้วยโรคร้ำยแรงจะทำวันละ 2 ครัง (เช้ำ-เย็น) ส่วนใหญ่ใช้นำปัสสำวะรองลงมำใช้นำสมุนไพร มักสวนล้ำง ด้วยท่ำนอน ยกขวดสูง 2 ศอก ใช้นำ 1,500 ซีซีต่อกำรทำ 1 ครังและสำมำรถใส่นำต่อครังกำรถ่ำย 1,000-1,500 ซีซี กลัน ได้ 3-5 นำที ใส่สำยลึกประมำณ 6 นิวฟุต ตำรำงที่ 1 อำกำรไม่สุขสบำยและระดับอำกำรไม่สุขสบำยก่อน-หลังกำรทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่เพียงอย่ำงเดียว จำก กลุ่มตัวอย่ำง 23 คน จำแนกตำมประเภทอำกำรไม่สุขสบำย อำกำรไม่สุขสบำย 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15.

ปวดศีรษะ ไข้ ท้องผูก มึนเวียนศีรษะ ท้องเสีย ปวดท้องจำกท้องเสีย แน่นอึดอัดท้อง นอนไม่หลับ อ่อนเพลียจำกคีโม เครียด ปวดประจำเดือน ปวดกล้ำมเนือ ปวดเมื่อยจำกกำรทำงำน ปวดหลัง ปวดฟัน

จำนวน* 5 รำย 4 รำย 3 รำย 2 รำย 2 รำย 2 รำย 2 รำย 2 รำย 2 รำย 2 รำย 1 รำย 1 รำย 1 รำย 1 รำย 1 รำย

ระดับคะแนนควำมเจ็บปวด/ควำมไม่สุขสบำยที่มี หลัง ก่อน หำย ทุเลำ 5-7 คะแนน 0 คะแนน ไข้ปำนกลำง หำยไข้ ไม่ถ่ำย 1-7 วัน ถ่ำยสะดวก 5 คะแนน 0 คะแนน ถ่ำยเป็นนำ 3-4 ครัง หยุดถ่ำย 4-5 คะแนน 0 คะแนน 6 คะแนน 0 คะแนน หลับได้ยำก หลับสบำย 7-8 คะแนน 0 คะแนน 6 คะแนน 0 คะแนน 4-5 คะแนน 0 คะแนน 4 คะแนน 0 คะแนน 6 คะแนน 0 คะแนน 4 คะแนน 0 คะแนน 6 คะแนน 0 คะแนน -

183


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ระดับคะแนนควำมเจ็บปวด/ควำมไม่สุขสบำยที่มี อำกำรไม่สุขสบำย จำนวน* หลัง ก่อน หำย ทุเลำ 16. แผลร้อนในในปำก 1 รำย มีแผลในปำก 0 คะแนน 17. ขำบวมใหญ่ 1 รำย รู้สึกขำบวมตึง 0 คะแนน 18. ผื่นคัน 1 รำย ขึนทั่วตัว ผื่นยุบหมด 19. ปวดท้องหำสำเหตุไม่ได้ 2 รำย 8-10 คะแนน 4 คะแนน 20. ปวดริดสีดวงทวำร 2 รำย 6 คะแนน 1-2คะแนน 21. ปวดประจำเดือน 2 รำย 4-5 คะแนน 2-2.5คะแนน 22. ควำมดันโลหิตสูง 2 รำย รำยที่ 1 รำยที่ 1 200/140 150/90 รำยที่ 2 รำยที่ 2 140/100 130/80 23. ปวดเส้นเอ็น 1 รำย 10 คะแนน 1 คะแนน 24. ปวดกระเพำะ 1 รำย 8 คะแนน 4 คะแนน 25. ไอมำก 1 รำย 8 คะแนน 4 คะแนน 26. ปวดกระดูก 1 รำย 6 คะแนน 2 คะแนน *แต่ละประเภทอำกำรไม่สุขสบำย มีโอกำสพบได้มำกกว่ำ 1 รำย จำกตำรำงที่ 1 พบว่ำ กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่สำมำรถช่วยให้ปัญหำสุขภำพเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือ อำกำรไม่ สุขสบำยต่ำง ๆ โดยส่วนใหญ่ ได้ผลเป็นที่น่ำพอใจ อำกำรไม่สุขสบำยที่มีอยู่ หำยได้ในทันทีโดยไม่ต้องใช้ยำแผน ปัจจุ บัน บำงส่ว นทุ เลำจำกกำรไม่สุ ขสบำย +อำกำรไม่สุ ขสบำยดั งกล่ำ ว เช่น ปวดศีร ษะ เป็น ไข้ และท้อ งผู ก รองลงมำคือ มึนเวียนศีรษะ ท้องเสีย ปวดท้องจำกท้องเสีย แน่นอึดอัดท้อง/ท้องอืด นอนไม่หลับ อ่อนเพลียจำกกำร ให้เคมีบำบัด เป็นต้น กลุ่มตัวอย่ำงรำยที่ 11 กล่ำวว่ำ “ปวดหัว สำเหตุจำกอำกำศร้อน ไม่ได้ทำนกำแฟ นั่งรถอ่ำนหนังสือ เมำรถ เรำจะใช้วิธีดีท็อกซ์ หลังทำ เสร็จก็จะหำยปวดเลย จำกระดับควำมปวด 6 คะแนน เป็น 0 คะแนน หำยปวดเลย” และที่สำมำรถช่วยบรรเทำอำกำรไม่สุขสบำยให้ทุเลำลงได้หลังทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่มีจำนวน 10 รำย คิดเป็นร้อยละ 23.81 ได้แก่ ปวดท้องแพทย์หำสำเหตุไม่ได้ ปวดเส้นเอ็น ปวดท้องโรคกระเพำะ ไอมำก ปวดกระดูก ปวดประจำเดือน ปวดริดสีดวงทวำร ควำมดันโลหิตสูง ช่วยให้ชีวติ มีควำมสุขขึน กลุ่มตัวอย่ำงรำยที่ 19 กล่ำวว่ำ “ปอดติดเชือ เสมหะเยอะมำก ไอเยอะมำก ไอจนฉี่รำด หลังทำดีท็อกซ์มีอำกำรสดชื่นขึน ไอห่ำงขึน เสมหะลด ทำอยู่ประมำณ 2 อำทิตย์ก็ไม่ไอแล้ว ก็ลุกมำจะกินข้ำว เข่ำทรุดเลย ไม่มีแรง แต่มีแรงทำดีท็อกซ์ เพรำะมี แรงฮึดจำกที่ทำแล้วมันดีขึน สดชื่นขึน ห้องนำอยู่ใกล้ เลยไม่ค่อยมีปัญหำอะไร”

184


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 2 อำกำรไม่พึงประสงค์ที่เกิดจำกกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ อำกำรไม่พึงประสงค์ 1. รู้สึกแสบลำไส้ บริเวณ ทวำรหนัก 2. เสียดท้อง 3. เพลีย รูส้ ึกตัว เบำเกินไป

จำนวน สำเหตุ 4 รำย ใช้นำปัสสำวะที่เก็บไว้หลำยวัน และใช้เข้มข้นเกินไป

4.

ปวดศีรษะ

1 รำย

5.

ท้องอืด

1 รำย

6.

หน่วงท้อง

1 รำย

2 รำย 2 รำย

ใส่นำต่อครังมำกเกินไป ทำหลำยขวดต่อกำรทำ 1 ครัง และใช้สมุนไพรเข้มข้นมำก เกินไป ใส่นำเข้ำไปน้อยแล้วไม่ถ่ำย

กำรแก้ไข หลังถ่ำยออกแล้วอำกำรแสบหำยไป ครังต่อไปใช้เจือจำงมำกขึนหรือ เปลี่ยนไปใช้นำปัสสำวะใหม่ ถ่ำยออก/ทำนำมันเขียวที่ท้อง ดื่มนำอุ่น ใช้สมุนไพรเจือจำงลงในกำร ทำครังต่อไป ใส่นำเพิ่มเพื่อให้ปวดถ่ำย และ ใช้ผ้ำชุบ นำโพกศีรษะ ผสมนำอุ่น อำกำรท้องอืดหำย

ไม่ได้ผสมนำอุ่นในนำที่ใช้สวน ล้ำงลำไส้ใหญ่ ใส่นำมำกและอันไว้นำน ทำให้ ประคบอุ่น กัวซำท้อง บำงครังทำนำมัน ไม่ปวดถ่ำย จะมีอำกำรหลังทำน เขียว อำหำรใหม่ ๆ แล้วทำสวนล้ำง ลำไส้ใหญ่

จำกตำรำงที่ 2 พบว่ำ ผู้ทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่เคยเกิดอำกำรไม่พึงประสงค์ขึน ร้อยละ 43.48 ได้แก่ รู้สึก แสบลำไส้บริเวณทวำรหนัก เนื่องจำกใช้นำปัสสำวะที่เก็บไว้หลำยวันและใช้เข้มข้นเกินไป เสียดท้องเนื่องจำกใส่นำ มำกเกินไป ปวดศีรษะเนื่องจำกใส่นำน้อยเกินไปแล้วไม่ถ่ำย เพลีย รู้สึกตัวเบำเกินไปเนื่องจำกทำหลำยขวดต่อกำรทำ 1 ครัง และใช้สมุนไพรเข้มข้นเกินไป ท้องอืด เนื่องจำกไม่ได้ผสมนำอุ่นในนำที่ใช้ทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ และหน่วงท้อง เนื่องจำกใส่นำมำกและอันไว้นำน ทำให้ไม่ปวดถ่ำย จะมีอำกำรหลังทำนอำหำรใหม่ ๆ แล้วทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ แต่ สำมำรถแก้ไขอำกำรเบืองต้นได้ด้วยตนเอง กลุ่มตัวอย่ำงรำยที่ 9 กล่ำวว่ำ “ไม่มีอำกำรผิดปกติอะไร มีก็แต่เวลำที่ใช้นำปัสสำวะหมัก จะรู้สึกแสบก้น และกลันไม่ค่อยได้นำน” กลุ่มตัวอย่ำงรำยที่ 2 กล่ำวว่ำ “ขณะทำถ้ำใส่ทีเดียว 4 ขวด จะมีอำกำรเสียดท้อง ทีหลังก็ใส่น้อยลง” กลุ่มตัวอย่ำงรำยที่ 6 กล่ำวว่ำ “มีครังนึงที่ทำ 4 ขวด มันรู้สึกตัวเบำ ๆ แล้วก็รสู้ ึกไม่ค่อยมีแรง ครังต่อไปก็ทำไม่เกิน 3 ขวด” กลุ่มตัวอย่ำงรำยที่ 5 กล่ำวว่ำ “บำงครังนำออกไม่หมดจะปวดหัวบ้ำง ก็ทำซำ และใช้ผ้ำชุบนำธรรมดำโพกหัวระหว่ำงที่ทำดีท็อกซ์”

185


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สรุปผลกำรวิจัย ผลกำรวิจัย พบว่ำ รูปแบบกำรสวนล้ำงลำไส้ส่วนใหญ่มีกำรประเมินภำวะร้อนเย็นก่อนทำสวนล้ำงลำไส้ ใหญ่ ทำวันละ 1 ครังในตอนเช้ำ ผู้ป่วยด้วยโรคร้ำยแรงจะทำวันละ 2 ครัง (เช้ำ-เย็น) ส่วนใหญ่ใช้นำปัสสำวะ รองลงมำใช้นำสมุนไพร มักสวนล้ำงด้วยท่ำนอน ยกขวดสูง 2 ศอก ใช้นำ1,500 มิลลิลิตรต่อกำรทำ 1 ครัง และ สำมำรถใส่นำต่อครังกำรถ่ำย 1,000-1,500 มิลลิลิตร กลันได้ 3-5 นำที ใส่สำยลึกประมำณ 6 นิวฟุต สำหรับผลของ กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ด้วยตนเองตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมต่อสุขภำพ ถือเป็นกำรดูแลสุขภำพตนเองด้วยกำรระบำย พิษจำกทุกส่วนของร่ำงกำยออกทำงลำไส้ใหญ่ โดยมีกำรปรับสมดุลด้วยกำรใช้นำที่มีฤทธิ์ร้อนเย็นที่เหมำะสมกับ สภำพร้อนเย็นของร่ำงกำย ณ ขณะนัน ทำให้กล้ำมเนื อส่วนต่ำง ๆ ที่เกร็งตัวเพื่อบีบเอำพิษออกได้คลำยตัว เลือดลม ไหลเวียนสะดวกขึน ส่งผลให้ควำมไม่สุขสบำยต่ำง ๆ หำยหรือทุเลำลงได้ กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ ส่วนใหญ่นิยมทำในท่ำนอน แต่อำจจะนั่ง หรือยืนทำก็ได้ ตำมควำมเหมำะสมของ สภำพร่ำงกำยและสถำนที่ ในกรณีที่นอนทำ ขณะที่ปล่อยนำเข้ำจะนอนท่ำไหนก็ได้ที่รู้สึกสะดวก หลังจำกที่ปล่อยนำ เข้ำไปแล้ว ถ้ำสำมำรถนอนตะแคงขวำได้บ้ำงในบำงช่วงก็จะดีนำจะเข้ำไปชำระล้ำงในส่วนที่สะสมหมักหมมพิษ บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ไม่ต้องกลัวว่ำนำจะเข้ำไปถึงลำไส้เล็กและกระเพำะอำหำร เพรำะร่ำงกำยจะมีกล้ำมเนือที่ คล้ำยวำล์วเปิดออกทำงเดียวจำกลำไส้เล็กสู่ลำไส้ใหญ่ป้องกันกำรไหลย้อนกลับของอุจจำระไว้ นำจะเข้ำไปได้ลึกที่สุด แค่ลำไส้ใหญ่ส่วนต้นที่ต่อกับลำไส้เล็ก ซึ่งเป็นจุดที่อำหำรเริ่มกลำยเป็นอุจจำระ ในกรณีทสี่ ำมำรถกลันได้เก่ง เมื่อรู้สึกปวดถ่ำยครังแรกให้กลันไว้ก่อน เพื่อให้ลำไส้บีบตัว สิ่งสกปรกที่ติด บริเวณผนังลำไส้ใหญ่ จะหลุดออกมำที่นำสมุนไพรที่ใช้สวนล้ำงลำไส้ ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่เกินครึ่งนำที ก็จะหำยปวด เมื่อปวดอีกครังจึงไปถ่ำยออก กำรบีบครังที่สอง มักจะมีกำลังขับมำกกว่ำครังแรก จะทำให้พิษถูกระบำยออกได้ดี ส่วนผู้ที่ไม่มีกำลังกลัน เมื่อปวดครังแรกก็ให้ไปถ่ำยระบำยออกเลย ให้ดูที่กำรทนได้โดยไม่ยำกไม่ลำบำกเป็นหลัก ระยะเวลำที่เหมำะสมในกำรกลัน เฉลี่ยไม่ควรเกิน 20 นำที เนื่องจำกหำกนำนเกินกว่ำนี Defecation Reflex ที่ทำ หน้ำที่กระตุ้นให้เกิดอำกำรปวดถ่ำยจะหำยไป วิจำรณ์ผลกำรวิจัย ผลกำรศึกษำครังนี พบว่ำ รูปแบบที่กลุ่มตัวอย่ำงนำมำใช้ ส่วนใหญ่มีกำรประเมินภำวะร้อนเย็นก่อนทำ เนื่องจำกสมดุลร้อนเย็นตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม คือกำรปรับหรือใส่สมุนไพรหรือสิ่งที่มีฤทธิ์ร้อนหรือฤทธิ์เย็นให้ เหมำะสมกับร่ำงกำย ณ เวลำนัน ๆ โดยหำกมีภำวะร้อนเกิน ควรใช้นำสมุนไพรหรือสิ่งที่มีฤทธิ์เย็นเข้ำไปปรับ จะทำให้ บุคคลนันรู้สึกสุขสบำย เบำกำย มีกำลัง (ใจเพชร กล้ำจน, 2560 : 1) ทำวันละ 1 ครัง ในตอนเช้ำ เพื่อป้องกันอำกำร เจ็บป่วยที่จะเกิดขึนจำกกำรรับพิษในแต่ละวัน เนื่องจำกลำไส้ใหญ่เป็นอวัยวะที่สำมำรถขับพิษออกจำกร่ำงกำยได้ มำกที่สุด ทังพิษในอุจจำระ นำที่เป็นพิษ ที่เกิดจำกร่ำงกำยส่งพิษมำกำจัดที่ตับ ตับส่งมำที่ลำไส้ และพิษของพลังงำน ควำมร้อนทีเ่ ป็นของเสียจำกทุกส่วนของร่ำงกำยถูกส่งมำขับออกที่ลำไส้ใหญ่ (ใจเพชร กล้ำจน, 2553 : 47) ใช้นำต่อ ครังกำรทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ 1,500 มิลลิลิตร สำมำรถใส่นำต่อครังกำรถ่ำย 1,000-1,500 มิลลิลิตร เนื่องจำกลำไส้ ใหญ่มีควำมยำวถึง 1.5 เมตร มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำง 3-5 ซม.สำมำรถจุนำได้ถึง 3,000 มิลลิลิตร และยังสำมำรถยืด ขยำยได้อีก (Radiology masterclass. 2018) กิจกรรมขณะทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ ส่วนใหญ่นวดคลึงท้อง ซึ่งกำร สวนล้ำงลำไส้ใหญ่และกำรนวดคลึงท้องเป็นกำรกระตุ้นให้กล้ำมเนือลำไส้ได้ทำงำน ส่งผลให้ระบบขับถ่ำยทำงำนได้ เป็นปกติสำมำรถขับถ่ำยได้เอง สอดคล้องกับงำนวิจัยของ วำสนำ บุตรปัญญำและคณะ. (2555 : 237-248). ที่ ศึกษำผลของโปรแกรมป้องกันอำกำรท้องผูกสำหรับผูป้ ่วยระบบประสำท โดยให้ข้อมูลกำรส่งเสริมกำรขับถ่ำย ส่งเสริมกำร

186


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เคลื่อนไหวของร่ำงกำยและกำรนวดหน้ำท้อง พบว่ำ กลุ่มทดลองมีอัตรำกำรเกิดและควำมรุนแรงของท้องผูกน้อยกว่ำ กลุ่มควบคุมอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ จำกกำรทบทวนวรรณกรรม ที่กล่ำวถึงกำรผลกระทบของกำรสวนล้ำงลำไส้ที่มีต่อสุขภำพในทำงลบ เช่น คลื่นไส้ อำเจียน เวียนศีรษะ ลำไส้อักเสบ และจนถึงลำไส้ทะลุ (Ernst E. 1997 : 196-198) (Douglas G. Richard, Ph.D and et.al. 2006 : 389-393) แต่จำกกำรศึกษำในครังนี นอกจำกจะไม่เป็นไปตำมข้อกล่ำวอ้ำง แล้ว ยังทำให้อำกำรเหล่ำนันหำยหรือ ทุเลำลงได้ หำกปฏิบัติได้ถูกต้องและอยู่ในควำมพอดี และหำกปฏิบัติร่วมกับ เทคนิคอื่น ๆ ตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมแล้วยัง สำมำรถช่วยให้อำกำรไม่สุขสบำยของโรคร้ำยแรงที่เป็นอยู่ เช่น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นต้น ทุเลำเบำบำงลงได้ สอดคล้องกับงำนวิจัยของ นวลพรรณ โพธิสำรสกุล และคณะ. (2550 : 2310-2315). ที่ศึกษำวิทยำกำรระบำดของกำรสวนล้ำงพิษทำงลำไส้ใหญ่ในผู้ป่วยศัลยกรรม เพื่อหำข้อมู ล ระบำดวิทยำ และผลของกำรปฏิบัติ พบว่ำ ร้อยละ 78 ของผู้ป่วยรู้สึกดีขึนหลังทำกำรสวนล้ำงพิษทำงลำไส้ใหญ่ สอดคล้องกับ ศักดิ์ชำย เรืองสินและวรพงศ์ เชำวน์ชุเวชช. (2550 : 2296-2300). ที่ศึกษำเรื่อง กำรศึกษำแบบสุ่มโดย วิธีปิดเปรียบเทียบผลของสำรสวน 2 ชนิด สำหรับเตรียมผู้ป่วยก่อนรับกำรตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่ส่วนปลำย กลุ่ม ตัวอย่ำงจำนวน 300 รำย ผลกำรศึกษำ ไม่พบภำวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรำยเกิดขึน กับผู้ป่วย คุณภำพของกำรเตรียมลำไส้ อยู่ในเกณฑ์ดี และดีมำก สอดคล้องกับ กำนต์พิชชำ พตั่งฮวดพำเจริญ. (2558 : 1) ศึกษำผลกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ด้วยกำแฟ ที่ปลอดภัยต่อกำรเปลี่ยนแปลงระดับโซเดียมและโพแทสเซียมในเลือด ในโรงพยำบำลนครธน เพื่อเปรียบเทียบก่อนและ หลังทำกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ในอำสำสมัครจำนวน 20 รำย พบว่ำ ระดับของโซเดียม และโพแทสเซียมอยู่ในเกณฑ์ปกติ และสอดคล้องกับ Fork FT. และคณะ (1982). ได้ศึกษำผลข้ำงเคียงของยำถ่ำยร่วมกับกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ด้วย นำเกลือและนำประปำ พบว่ำ สำมำรถนำเศษอุจจำระและทำควำมสะอำดลำไส้ใหญ่ได้มำกถึง 2 เท่ำ ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยรู้สึกชื่นชอบเป็นที่นิยมอย่ำงมำกต่อผลของกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ อย่ำงไรก็ตำมอำกำรไม่สุขสบำยหรือภำวะแทรกซ้อนจำกกำรทำสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ก็อำจเกิดขึนได้ เนื่องจำกปฏิบัติเกินควำมพอดี เช่น อำกำรแสบลำไส้หรือก้นเมื่อใช้นำปัสสำวะที่เก็บไว้หลำยวัน อำกำรเสียดท้องเมื่อ ใส่นำต่อครังกำรถ่ำยมำกจนเกินไป เป็นต้น แต่อำกำรเหล่ำนันไม่เป็นอันตรำยร้ำยแรงแต่อย่ำงใด ทุกอำกำรสำมำรถ แก้ไขเบืองต้นได้ด้วยตนเอง ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะสำหรับงำนวิจัยครั้งนี้ กำรศึกษำรูปแบบกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ที่มีควำมปลอดภัย และโอกำสเกิดผลข้ำงเคียงต่ำ จะทำให้ได้ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับกำรจัดทำคู่มือแนวปฏิบัติในกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมที่เป็น มำตรฐำนและได้รับกำรยอมรับมำกขึน ข้อเสนอแนะสำหรับงำนวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรศึกษำเชิงปริมำณ โดยออกแบบกำรศึกษำเป็นแบบกึ่งทดลอง และติดตำมผลไปข้ำงหน้ำ เพื่อให้ ได้ข้อมูลทำงสถิติมำประกอบกำรอธิบำยร่วมกับข้อมูลเชิงคุณภำพ 2. ควรศึกษำในกลุ่มผู้ทเี่ คยผ่ำนกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่แต่หยุดทำ เพื่อค้นหำสำเหตุหรือปัจจัยที่มีผลต่อ กำรไม่ทำกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่อย่ำงต่อเนื่องหรือหยุดทำ มำประกอบเป็นแนวทำงเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีกำรสวนล้ำง ลำไส้ที่ถูกวิธี และลดโอกำสเกิดผลข้ำงเคียงต่อไป

187


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กิตติกรรมประกำศ ขอขอบพระคุณคณำจำรย์มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ที่เมตตำให้กำลังใจ ให้คำปรึกษำ แนะนำ ตรวจสอบ แก้ไขข้อบกพร่องต่ำง ๆ ขอขอบพระคุณ ดร.ใจเพชร กล้ำจน ประธำนมูลนิธิแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย จิต อำสำแพทย์วิถีธรรม และกลุ่มตัวอย่ำงทุกท่ำน ที่ให้ควำมร่วมมือในกำรดำเนินกำรวิจัยเป็นอย่ำงดียิ่ง เอกสำรอ้ำงอิง กำนต์พิชชำ พตั่งฮวดพำเจริญ และสุรพงษ์ ลูกหนุมำรเจ้ำ. (2558). “กำรศึกษำผลกำรสวนล้ำง ลำไส้ใหญ่ด้วย กำแฟที่ปลอดภัยต่อกำรเปลี่ยนแปลงระดับ โซเดียมและโพแทสเซียมในเลือดในโรงพยำบำลนครธน”. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.mfu.ac.th/school/anti-aging/File_ PDF/research56/ Proceeding56_36.pdf สืบค้น 30 เมษำยน 2560. ขวัญจิต ศศิวงศำโรจน์. (2553, พฤษภำคม-สิงหำคม). กำรบำบัดโดยกำรสวนล้ำงลำไส้. วำรสำรสำนักกำรแพทย์ ทำงเลือก. 3(2), หน้ำ 4 - 14. ใจเพชร กล้ำจน. (2553ก). ควำมเจ็บป่วยกับกำรดูแลสุขภำพแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตำมหลักแพทย์ทำงเลือก วิถีพุทธ. มหำบัณฑิต, สำขำวิชำพัฒนบูรณำกำรศำสตร์ ศิลปศำสตรมหำบัณฑิต มหำวิทยำลัย อุบลรำชธำนี. _______. (2558). จิตอำสำแพทย์วิถีพุทธเพื่อมวลมนุษยชำติเล่มที่2/1. วิทยำนิพนธ์ปรัชญำดุษฎีบัณฑิต สำขำวิชำยุทธศำสตร์กำรพัฒนำภูมิภำค(สำธำรณสุขชุมชน)คณะมนุษย์ศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏ สุรินทร์. _______. (2560). แบบประเมินภำวะร้อนเย็น 9 ภำวะตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม. มุกดำหำร : ศูนย์เรียนรู้ สุขภำพพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง. (อัดสำเนำ) เทวัญ ธำนีรัตน์ และธีรพงศ์ ชัยภัค. (2552, มกรำคม-เมษำยน). “กำรสวนล้ำงลำไส้ (Cleansing Enema).” วำรสำรสำนักกำรแพทย์ทำงเลือก. 2(ฉ.1) : 1-5. นวลพรรณ โพธิสำรสกุลและคณะ. (2550). “Colonic Detoxification among Patients Attending General Surgical Clinics : An Epidemiological Study. J Med Assc Thai. 90(11) : 2310-2315. ศักดิ์ชำย เรืองสินและวรพงศ์ เชำวน์ชุเวชช. (2550). A Randomized Double-Blind Controlled Trial Comparing Two Form of Enema for Flexible Sigmoidoscopy. J Med AsscThai. 90(11) : 2296-2300. สหัทยำ ไพบูลย์วรชำติ. (2554). “Pain Assessment and Measurement” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.med.cmu.ac.th/dept/anes/2012/images/Lecture 2015/ Pain_Assessment.pdf สืบค้น 5 พฤษภำคม 2560. วำสนำ บุตรปัญญำและคณะ. (2555, พฤษภำคม-สิงหำคม). “ผลของโปรแกรมป้องกันอำกำรท้องผูก สำหรับผู้ป่วยระบบประสำท” Rama Nurs J. 18(2) : 234-246. DOUGLAS G. RICHARDS, Ph.D., et al. (2006). “Colonic Irrigations : A Review of the Historical Controversy and the Potential for Adverse Effects.” THE JOURNAL OF ALTERNATIVE AND COMPLEMENTARY MEDICINE. 12(4) : 389-393.

188


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Ernst E. (1997). “Colon irrigation and the theory of autointoxication : a triumph of ignorance over science.” J Clin Gastroenterol. 24(4) : 196-198.Fork, F.T. and et al. (1982). “Colon cleansing regimens.A clinic study in 1200 patients.” US National Library of Medicine National Institutes of Health. 7(4).:383389.[Online].Available: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/6754521. Retrieved June 28, 2017.

189


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-18

กำรพัฒนำเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ THE DEVELOPMENT OF GRANULE BIOFERTILIZER COMPRESSOR AND MIXTURE MACHINE อัษฎำ วรรณกำยนต์1 นิคม ลนขุนทด2 เที่ยงธรรม สิทธิจันทเสน3 สุรเชษฐ์ วงศ์ชัยประทุม4 สุชำติ ดุมนิล5 ภัทรำรัตน์ ชิดชอบ6 1

Asada Wannakayontคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรนิ ทร์ asada2518@hotmail.com Asst. Prof. Nikom Lonkuntosh คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ komsurin1@hotmail.com 3 Teangtum Sittichantasen คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ teangtums@gmail.com 4 Surachet Vongchaipratoom คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ srcsr_1@hotmail.com 5 Suchat Dumnil คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ linesky007@gmail.com 6 Pattrarut Chidchob คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรนิ ทร์ jookchid@gmail.com6 2

บทคัดย่อ กำรวิจัยครังนีมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนำ หำประสิทธิภำพและหำคุณภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ย ชีวภำพ เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย ประกอบด้วย เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ ตำรำงทดสอบประสิทธิภำพและ แบบประเมินคุณภำพ ในกำรดำเนินกำรพัฒนำหำประสิทธิภำพ และหำคุณภำพ คณะผู้วิจัยได้ทำกำรประชุม วำงแผน ศึกษำข้อมูลเอกสำรและงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยดำเนินกำรตำมขันตอนอย่ำงเป็นระบบ อีกทังยังผ่ำนกำร ตรวจสอบและได้รับคำแนะนำในกำรปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่ำงๆ จำกที่ปรึกษำงำนวิจัย รวมทังยังผ่ำนกำร ทดลองเพื่อหำประสิทธิภำพและกำรประเมินคุณภำพจำกผู้เชี่ยวชำญที่มีควำมรู้และประสบกำรณ์ ผลกำรวิจัยพบว่ำ เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ จำกกำรทดลองหำประสิทธิภำพเครื่องสำมำรถ อัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพที่มีขนำดเต็มเม็ดได้เท่ำกับร้อยละ 87.73 กิโลกรัม/ชั่วโมง และที่ไม่สำมำรถอัดเป็นเม็ดเท่ำกับร้อยละ 12.72 กิโลกรัม/ชั่วโมง และจำกกำรประเมินคุณภำพจำกผู้เชี่ยวชำญ ในภำพรวมอยู่ในระดับที่ดี มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 4.10 และ ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 0.65 และซึ่งเป็นไปตำมสมมติฐำนของกำรวิจัย สรุปได้ว่ำ เครื่ อ งผสมและอั ด เม็ ด ปุ๋ ย ชี ว ภำพที่ ส ร้ ำ งขึ น สำมำรถน ำมำใช้ ใ นกำรผสมและอั ด เมล็ ด ปุ๋ ย ชี ว ภำพได้ อ ย่ ำ งมี ประสิทธิภำพ คำสำคัญ: ปุ๋ยชีวภาพ; เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภาพ Abstract The objectives of this research were to develop and find out the efficiency and quality of granule biofertilizer compressor and mixture machine. The research tools consisted of a biofertilizer compressor and mixture machine, a performance checklist table, and a quality evaluation form. According to the study, the researcher systematically conducted a study plan and a review of related research and literature. In addition, the machine was designed and

190


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

developed under supervision of experts. Further, the machine was tried-out to test for its efficiency and to evaluate its quality by experts. According to the 3 experiments to find out the efficiency of granule biofertilizer compressor and mixture machine, the study found that the machine could produce a full-size of pelletized biofertilizer about 87.73 kg / h and could not be pelletized about 12.72 kg / h. Basing on the machine’s quality evaluation made by experts, the study showed that the overall quality of the machine rated by experts was at a good level ( Χ = 4.10 และ S.D. = 0.65) which is in accord with the stated-hypothesis. In sum, it might be concluded that the granule biofertilizer pressor and mixture machine developed and designed by the researcher could work efficiently and effectively. Keywords: biofertilizer; granule biofertilizer compressor and mixture machine บทนำ สภำพภูมิ อำกำศของประเทศไทยมี ควำมเหมำะสมกับ กำรทำกำรเกษตร ท ำให้เกษตรกรสำมำรถ เพำะปลูกเพื่อผลิตพืชได้หลำกหลำย และสำมำรถส่งผลผลิตออกไปจำหน่ำยยังต่ำงประเทศ จนประเทศไทยได้ กลำยเป็นแหล่งอำหำรหรืออำจจะเรียกได้ว่ำครัวของโลกอีกประเทศหนึ่ง แต่กำรปลูกพืชในอดีตเกษตรกรมักจะปลูก พืช โดยกำรใช้ปุ๋ยเคมีและสำรเคมีเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีปริมำณมำก โดยมิได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับผู้บริโภค ปุ๋ยเคมี สำรเคมี ซึ่งล้วนแต่มีผลเสียกับร่ำงกำยทังสิน ถ้ำมีสำรพิษปนเปื้อนอยู่ในปริมำณที่มำกก็สำมำรถทำอันตรำย ได้ในทันทีที่รับประทำน และในขณะเดียวกันถ้ำปนเปื้อนอยู่ในปริมำณน้อยก็จะสะสมอยู่ในร่ำงกำย ซึ่งอำจส่งผลใน อนำคตอันใกล้ ดังนัน ในกำรเพำะปลูกพืช ปุ๋ยจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อกำรเพิ่มผลผลิตทำงกำรเกษตร แต่เนื่องจำก ปัจจุบันปุ๋ยเคมีมีรำคำแพงมำก และเมื่อนำมำใส่ในดินมีโอกำสสูญเสียได้หลำยทำง เช่น กำรสูญเสียที่เกิดจำกกำรชะ ล้ำงหรือเปลี่ยนรูปไปเป็นอย่ำงอื่นที่พืชใช้ประโยชน์ไม่ได้ หรือถูกยึดไว้ในดินโดยทำปฏิกิริยำกับอนุภำคดิน โดยเฉลี่ย แล้วพืชใช้ปุ๋ยไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมในรูปของปุ๋ยเคมีได้ประมำณ 50-60%, 5-25% และ 40-70 % ตำมลำดับ ด้วยเหตุผลที่ปุ๋ยเคมีมีรำคำแพง และปัญหำกำรที่พืชไม่สำมำรถใช้ปุ๋ยเคมีได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ ดังกล่ำว เกษตรกรจึงเริ่มหันมำใช้ปุ๋ยจำกธรรมชำติ เพรำะมีรำคำถูก และสำมำรถผลิตเองได้จำกวัสดุเหลือใช้จำกไร่ นำ ฟำร์มเลียงสัตว์ ในปั จ จุ บั น เกษตรกรเริ่ ม หั น มำท ำกำรปลูก พื ชผั ก ปลอดสำรพิ ษ ซึ่ งจะช่ ว ยลดกำรใช้ ส ำรเคมี ท ำง กำรเกษตรและลดสำรปนเปื้อนจำกกำรตกค้ำงของสำรเคมีในผลผลิต และลดปัญหำหนีสินเกษตรกรที่ขำดทุนจำก กำรผลิตที่ต้องกู้หนียืมสินมำซือปัจจัยกำรผลิต ด้วยวิธีกำรปลูกและดูแลรักษำที่ง่ำย ใช้ปุ๋ยชีวภำพ นำหมักชีวภำพ และสำรไล่แมลง สำมำรถผลิตเองได้ และวัสดุที่หำได้ภำยในท้องถิ่น รำคำไม่แพงปุ๋ยชีวภำพเป็นทำงเลือกหนึ่งใน กำรใช้รักษำสภำพดิน เนื่องจำกปุ๋ยชีวภำพสำมำรถให้ธำตุอำหำรแก่พืช ช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้มีสภำพดี เหมำะแก กำรเจริญเติบโตของพืช ซึ่งสำมำรถผลิตได้ง่ำยโดยใช้วัสดุในท้องถิ่น ทังนีพืชผักปลอดสำรพิษจะมีส่วนช่วยในกำร เพิ่มรำยได้ของผลผลิต มีส่วนช่วยให้ผู้บริโภคมีโอกำสเลือกซือพืชผักที่ปลอดภัยต่อกำรบริโภคส่งผลให้ร่ำงกำยดี รวมทังสุขภำพจิตดีตำมไปด้วย

191


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

คณะผู้วิจัยได้เล็งเห็นถึงควำมสำคัญในกำรเพำะปลูกพืชซึ่งเป็นแหล่ งอำหำรในกำรหล่อเลียงชีวิต ซึ่งใน กำรเพำะปลูกมีควำมจำเป็นในกำรใช้ปุ๋ยในกำรปรับปรุงบำรุงดิน เพิ่มแร่ธำตุอำหำรในดิน ช่วยทำให้พืชเจริญเติบโต ได้ดี สมบูรณ์แข็งแรง กำรใช้ปุ๋ยที่ผลิตมำจำกวัสดุธรรมชำติ เช่น ปุ๋ยชีวภำพ ทำให้เกษตรกรมีควำมปลอดภัย ลด ต้นทุนกำรผลิต ลดรำยจ่ำยและลดปริมำณกำรใช้ปุ๋ยเคมี ดังนัน คณะผู้วิจัยจึงทำกำรศึกษำกระบวนกำรผลิตปุ๋ย ชีวภำพแบบอัดเม็ด เพรำะสำมำรถเก็บรักษำได้นำนขึน อยู่ในดินได้นำนและค่อยๆ ปลดปล่อยสำรอำหำรออกมำให้ พืชได้ใช้เรื่อยๆ สะดวกในกำรเก็บและใช้งำน เป็นต้น โดยกำรทำปุ๋ยหมักชีวภำพแบบอัดเม็ดนันต้องมีอุปกรณ์และ เครื่องจักร และมีกระบวนกำรหลำยขันตอน ดังนันคณะผู้วิจัยจึงได้พัฒนำเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ ให้ สำมำรถใช้ในกำรผลิตปุ๋ยอัดเม็ดชีวภำพ แบบอัดเม็ด โดยทำกำรออกแบบกำรทำงำนของเครื่องให้สำมำรถทำงำนได้ อย่ำงต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ลดขันตอนในกำรผลิต ลดต้นทุนในกำรจ้ำงแรงงำน โดยสำมำรถนำเครื่องผสมและอัดเม็ด ปุ๋ยชีวภำพที่พัฒนำขึนไปใช้ในกำรผลิตปุ๋ยอัดเม็ดชีวภำพ เพื่อนำผลผลิตที่ได้ไปใช้ในกำรปรับสภำพดินให้มีควำม อุดมสมบูรณ์ เหมำะสำหรับกำรเพำะปลูก ลดต้นทุนกำรสั่งซือและกำรใช้ปุ๋ยเคมี ทีมีควำมอั นตรำยในกำรดำเนิน ชีวิต วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่อพัฒนำและหำประสิทธิภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ 2. เพื่อหำคุณภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ สมมติฐำนกำรวิจัย 1. เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพที่พัฒนำขึน จำกกำรทดลองสำมำรถนำไปใช้ผสมและอัดเม็ดปุ๋ย ชีวภำพที่มีขนำดเต็มเม็ด ไม่ต่ำกว่ำร้อยละ 80 2. เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพที่พัฒนำขึน จำกกำรประเมินคุณภำพของผู้เชี่ยวชำญ อยู่ใน เกณฑ์ที่ดี ขอบเขตกำรวิจัย ในกำรวิจัยครังนี คณะผู้วิจยั ได้กำหนดขอบเขตของกำรวิจัย ดังต่อไปนี 1. เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ ประกอบด้วย 1.1 ขนำดของเครื่องผสม ควำมสูง 137 ซ.ม. กว้ำง 70 ซ.ม. ยำว 146 ซ.ม. 1.2 ขนำดของเครื่องอัดเม็ด ควำมสูง 159 ซ.ม. กว้ำง 60 ซ.ม. ยำว 140 ซ.ม. 1.4 มีตู้ควบคุมระบบไฟฟ้ำในกำรควบคุมกำรทำงำนของเครื่องผสมและอัดเม็ดปุย๋ ชีวภำพ 1.5 สำมำรถอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ มีขนำดของเม็ดปุ๋ยชีวภำพประมำณ 5 มิลลิเมตร 1.6 สำมำรถผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพครังละ 50 กิโลกรัม 2. ตัวแปรที่ใช้ในกำรวิจัย 2.1 ตัวแปรต้น หมำยถึง กำรสร้ำงเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ 2.2 ตัวแปรตำม หมำยถึง ประสิทธิภำพและคุณภำพของเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ

192


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วิธีดำเนินกำรวิจัย ในกำรวิจัยครังนีเป็นกำรวิจัย เพื่อพัฒนำ หำประสิทธิภำพและหำคุณภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ย ชีวภำพ คณะผู้วิจยั ได้ดำเนินกำรตำมขันตอนดังต่อไปนี เครื่องมือวิจัย 1. เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ 2. ตำรำงทดสอบประสิทธิภำพ 3. แบบประเมินคุณภำพ กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ในกำรดำเนินงำนวิจัย คณะผู้วิจัยได้ดำเนินกำรหำประสิทธิภำพ และหำคุณภำพของเครื่องผสมและ อัดเม็ดปุย๋ ชีวภำพ ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ดำเนินกำรเก็บรวบรวมข้อมูลในกำรวิจัย ดังต่อไปนี 1. นำเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ มำทำกำรทดลองหำประสิทธิภำพ โดยทำกำรทดลองจำนวน 3 ครัง ปุ๋ยชีวภำพที่ใช้ในกำรทดลองมีปริมำณครังละ 50 กิโลกรัม โดยนำส่วนผสมทังหมดใส่ลงในเครื่องผสมปุ๋ย อัดเม็ดชีวภำพ ทำกำรจับเวลำ และเดินเครื่องจนกว่ำส่วนผสมจะเข้ำกัน เมื่อส่วนผสมเข้ำกันจึงทำกำรกำรเปิดท่อ ส่งเพื่อลำเลียงส่วนผสมต่ำง ๆ เข้ำสู่เครื่องอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพจำกนันทำกำรเปิดเครื่องอัดอัดเม็ดชีวภำพ นำถุงมำ รองรับเม็ดปุ๋ย จำกนันทำกำรบันทึกผลกำรทดลอง โดยทำกำรบันทึกผลเวลำที่ใช้ในกำรผสมและเวลำที่ใช้ในกำร อัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ ปริมำณปุ๋ยอัดเม็ดชีวภำพที่อัดเป็นเม็ด และปริมำณปุ๋ยอัดเม็ดชีวภำพที่ไม่อัดเป็นเม็ด ลงใน ตำรำงทดสอบประสิทธิภำพที่คณะผู้วิจัยได้สร้ำงขึน ผลกำรทดลองหำประสิทธิภำพดังแสดงในตำรำงที่ 1 2. ประสำนงำนผู้เชี่ยวชำญ เพื่อดำเนินกำรในกำรประเมินคุณภำพ เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ นัดวัน เวลำ และสถำนที่ในกำรประเมินคุณภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ 3. ผู้เชี่ยวชำญทำกำรประเมินคุณภำพ เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ โดยคณะผู้วิจัยได้ทำกำร แนะนำและอธิบำยกำรข้อมูลกำรออกแบบและกำรสร้ำงเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ พร้อมทังข้อมูลในกำรติดตัง วิธี กำรใช้งำน งบประมำณและคุ ณภำพของกำรใช้เ ครื่ องผสมและอั ดเม็ด ปุ๋ย ชีว ภำพ ตำมที่ ผู้เชี่ยวชำญได้ซั กถำมกั บ คณะผู้วิจัย จำกนันจึงทำกำรประเมิน คุณภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ ตำมระดับนำหนักคะแนนควำม คิดเห็น 4. นำผลที่ได้จำกกำรประเมินคุณภำพจำกผู้เชี่ยวชำญและกำรทดลองหำประสิทธิภำพมำทำกำรวิเครำะห์ ข้อมูลทำงสถิติ กำรวิเครำะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ 1. กำรวิเครำะห์ค่ำร้อยละ (Percentage) [4] สูตร

P =

เมื่อ

F  100 N

P แทน ค่ำร้อยละ F แทน ควำมถี่ที่ต้องกำรเลี่ยนแปลงร้อยละ N แทน จำนวนควำมถี่ทังหมด 2. กำรวิเครำะห์หำค่ำเฉลี่ย (Arithmetic Mean) [5]

X =

สูตร

193

X N


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เมื่อ X = ค่ำเฉลี่ยของคะแนน  X = ผลรวมของคะแนน N = จำนวนผู้เชี่ยวชำญ 3. กำรวิเครำะห์หำค่ำส่วนเบีย่ งเบนมำตรฐำน (Standard Deviation) [5] สูตร

2  X  X   N  1

S.D. =

เมื่อ S.D. = ค่ำเบี่ยงเบนมำตรฐำน N = จำนวนครังของกำรประเมิน X = ค่ำคะแนนของกำรประเมินในแต่ละครัง = ค่ำเฉลี่ยของกำรประเมินทังหมด X ผลกำรวิจัย กำรทดลองหำประสิทธิภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ กำรพัฒนำเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ คณะผู้วิจัยได้นำเครื่องมำทำกำรทดลองหำประสิทธิภำพ จำกนันทำกำรบันทึกผลกำรทดลอง ลงในตำรำงบันทึกผลกำรทดลอง โดยมีผลของกำรทดลองหำประสิทธิภำพ ดังต่อไปนี ตำรำง 1 กำรทดลองหำประสิทธิภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ ครั้งที่ 1 2 3

ปริมำณปุย๋ (กิโลกรัม)

เวลำผสมและ อัดเม็ด(นำที)

50 50 50

23.17 23.10 24.45 23.57

ค่ำเฉลี่ย ( X )

ปริมำณปุย๋ (กิโลกรัม) เม็ดเต็ม 43.50 44.00 44.10 43.87

อัดไม่เป็นเม็ด 6.50 6.00 5.59 6.03

เปอร์เซ็นต์ (%) เม็ดเต็ม 87.00 88.00 88.20 87.73

หมำยเหตุ

อัดไม่เป็น เม็ด 13.00 12.00 11.80 12.27

จำกตำรำงที่ 1 กำรทดลองหำประสิทธิภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ จำนวน 3 ครัง ปริมำณปุ๋ย ที่ใช้ในกำรทดลองในแต่ละครัง มีจำนวน 50 กิโลกรัม พบว่ำ เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ ในภำพรวม เวลำ ที่ใช้ในกำรผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 23.57 นำที ปริมำณปุ๋ยอัดเม็ดชีวภำพเต็มเม็ด มีค่ำเฉลี่ย เท่ำกับ 43.87 กิโลกรัม ปริมำณปุ๋ยชีวภำพอัดเม็ดที่ไม่อัดเป็นเม็ดมีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 6.03 กิโลกรัม แสดงว่ำเครื่อง ผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ สำมำรถผลิตปุ๋ยอัดเม็ดชีวภำพเต็มเม็ด คิดเป็นร้อยละ 87.73 อัดไม่เป็นเม็ดร้อยละ 12.27

194


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำรประเมินคุณภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ ตำรำง 2 กำรประเมินคุณภำพเครือ่ งผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพจำกผู้เชี่ยวชำญ รำยกำรประเมิน 1. กำรออกแบบโครงสร้ำงมีควำมเหมำะสม 2. โครงสร้ำงมีควำมคงทนและแข็งแรง 3. กำรเลือกใช้อุปกรณ์ต่ำง ๆ มีเหมำะสม กับกำรใช้งำน 4. กำรจัดวำงอุปกรณ์ได้อย่ำงเหมำะสม กับกำรใช้งำน 5. ระยะเวลำที่ใช้ในกำรผสมปุย๋ มีควำมเหมำะสม 6. ระยะเวลำที่ใช้ในกำรอัดปุ๋ยมีควำมเหมำะสม 7. คุณภำพของเม็ดปุ๋ยที่ได้ 8. มีวิธกี ำรใช้งำนไม่ยุ่งยำกซับซ่อน 9. มีควำมสะดวกในกำรเคลื่อนย้ำย 10. มีควำมสะดวกต่อกำรบำรุงรักษำ และกำรซ่อมบำรุง 11. มีควำมปลอดภัยในกำรใช้งำน 12. มีกำรลงทุนคุ้มค่ำกับประโยชน์ที่ได้รับ เฉลี่ย

ผู้เชี่ยวชำญ (คนที่)

รวม

X

S.D.

21 23

4.20 4.60

0.84 0.55

20

4.00

0.00

3

19

3.80

0.84

3 4 4 5 4

4 3 3 3 4

20 20 18 22 19

4.00 4.00 3.60 4.40 3.80

0.71 0.71 0.55 0.89 0.84

4

5

22

4.40

0.55

3.60 4.80 4.10

0.89 0.45 0.65

1 5 5

2 5 5

3 3 5

4 4 4

5 4 4

4

4

4

4

4

4

4

3

5

5 5 3 5 3

4 4 4 4 5

4 4 4 5 3

4

5

4

3 5 3 3 4 18 5 5 4 5 5 24 4.25 4.50 3.83 4.08 3.83 20.50

จำกตำรำงที่ 2 พบว่ำ ผลกำรประเมินคุณภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ ในภำพรวมอยู่ในระดับดี มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 4.10 และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 0.65 เมื่อพิจำรณำเป็นรำยข้อ พบว่ำ จัดอยู่ใน ระดับดีมำก 2 ข้อ ซึ่งจัดเรียงลำดับจำกมำก ไปหำน้อย ได้ดังนี มีกำรลงทุนคุ้มค่ำกับประโยชน์ที่ได้รับ มีค่ำเฉลี่ย เท่ำกับ 4.80 และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน มีค่ำเท่ำกับ 0.45 และโครงสร้ำงมีควำมคงทนและแข็งแรง มีค่ำเฉลี่ย เท่ำกับ 4.60 และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนเท่ำกับ 0.55 ตำมลำดับ และจัดอยู่ในระดับดี 10 ข้อ ซึ่งจัดเรียงลำดับจำก มำก ไปหำน้อย ได้ดังนี มีวิธีกำรใช้งำนไม่ยุ่งยำกซับซ่อน มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 4.40 และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน เท่ำกับ 0.89 มีควำมสะดวกต่อกำรบำรุงรักษำและกำรซ่อมบำรุง มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 4.40 และส่วนเบี่ยงเบน มำตรฐำนเท่ำกับ 0.55 กำรออกแบบโครงสร้ำงมีควำมเหมำะสม มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 4.20 และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน เท่ำกับ 0.84 กำรเลือกใช้อุปกรณ์ต่ำง ๆ มีเหมำะสมกับกำรใช้งำน มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 4.00 และส่วนเบี่ยงเบน มำตรฐำนเท่ำกับ 0.00 ระยะเวลำที่ใช้ในกำรผสมปุ๋ยมีควำมเหมำะสม มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 4.00 และส่วนเบี่ยงเบน มำตรฐำนเท่ำกับ 0.71 ระยะเวลำที่ใช้ในกำรอัดปุ๋ยมีควำมเหมำะสมมีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 4.00 และส่วนเบี่ยงเบน มำตรฐำนเท่ำกับ 0.71 กำรจัดวำงอุปกรณ์ได้อย่ำงเหมำะสมกับกำรใช้งำนมีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 3.80 และส่วนเบี่ยงเบน มำตรฐำนเท่ำกับ 0.84 มีควำมสะดวก ในกำรเคลื่อนย้ำย มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 3.80 และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน เท่ำกับ 0.84 คุณภำพของเม็ดปุ๋ยที่ได้ มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 3.60 และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนเท่ำกับ 0.55 และมี

195


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ควำมปลอดภัยในกำรใช้งำน มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 3.60 และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนเท่ำกับ 0.89 ตำมลำดับ แสดงว่ำ คุณภำพของเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ อยู่ในระดับดี วิจำรณ์ผลกำรวิจัย ในกำรพัฒนำเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ คณะผู้วิจัยทำกำรศึกษำข้อมูลของกำรสร้ำงเครื่องผสม และอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ แล้วนำข้อมูลจำกกำรค้นคว้ำข้อมูลข้ำงต้นมำดำเนินกำรออกแบบและสร้ำงเครื่องผสมและ อัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ เพื่อนำมำใช้ในกำรผลิตปุ๋ยอัดเม็ดชีวภำพ คณะผู้วิจัยได้ดำเนินกำรออกแบบทังด้ำนโครงสร้ำง และกำรเลือกใช้อุปกรณ์ให้มีควำมเหมำะสมกับกำร นำไปใช้ในกำรผลิตปุ๋ยอัดเม็ดชีวภำพ และนำข้อมูลเสนอที่ปรึกษำงำนวิจัย ซึ่งที่ปรึกษำงำนวิจัยได้ให้ข้อคิดและ ข้อเสนอแนะในออกแบบและพัฒนำ ซึ่งปัญหำในกำรพัฒนำเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ ได้แก่ กำรติดตังเฟือง ไม่ได้องศำในกำรอัดเม็ดปุ๋ยทำให้กำรอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพไม่เป็นเม็ดหรืออัดมำแล้วไม่เต็มเม็ด คณะผู้วิจัยจึงได้แก้ไข โดยกำรวัดระยะห่ำงของกระบอกอัดและปรับองศำเฟืองใหม่ และปัญหำที่อีกอย่ำงได้แก่ ในกำรลำเลียงปุ๋ยมำใส่ กระบอกอัดมีปริมำณปุ๋ยมำกเกินไปทำให้กำรอัดเม็ดปุ๋ยทำได้ไม่ทัน มีปริมำณปุ๋ยอัดไม่เต็มเม็ดมำกขึน คณะผู้วิจัยจึง ได้แ ก้ไ ขโดยกำรตั ดใบลำเลี ยงออกให้มีจ ำนวนใบลำเลี ยงน้ อยลง เพื่ อให้กำรล ำเลีย งปุ๋ ยเพื่อไปอั ดเม็ด มีค วำม เหมำะสม คณะผู้วิจัยได้ดำเนินกำรปรับปรุงตำมคำแนะนำของที่ปรึกษำงำนวิจัยจนเสร็จสินกระบวนกำร อีกทังยัง ผ่ำนกำรทดลองหำประสิทธิภำพ ซึ่งได้ทำกำรทดลองเพื่อหำประสิทธิภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ จำนวน 3 ครัง ปริมำณปุ๋ยที่ใช้ในกำรทดลองในแต่ละครัง มีจำนวน 50 กิโลกรัม พบว่ำ เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ ในภำพรวม เวลำที่ใช้ในกำรผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 23.57 นำที ปริมำณปุ๋ยอัดเม็ดชีวภำพ เต็มเม็ด มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 43.87 กิโลกรัม ปริมำณปุย๋ ชีวภำพอัดเม็ดที่ไม่อัดเป็นเม็ด มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 6.03 กิโลกรัม แสดงว่ำเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ สำมำรถผลิตปุ๋ยอัดเม็ดชีวภำพเต็มเม็ด คิดเป็น 87.73 เปอร์เซ็นต์ แสดง ว่ำเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ สำมำรถนำไปใช้ในกำรผลิตปุ๋ยอัดเม็ดชีวภำพได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ นอกจำกนี คณะผู้วิจัยได้ทำกำรเสนอให้ผู้เชี่ยวชำญที่มีควำมรู้และประสบกำรณ์ ประเมินคุณภำพ เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ โดยผลกำรประเมินคุณภำพกำรสร้ำงเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ ใน ภำพรวมอยู่ในระดับดี มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 4.10 และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนมีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 0.65 แสดงว่ำเครื่อง ผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ สำมำรถนำไปใช้ในกำรผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพได้อย่ำงมีประสิทธิภำพและมีคุณภำพ เป็นไปตำมสมมติฐำนของกำรวิจัย ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะสำหรับกำรวิจัย 1. ในกำรพัฒนำเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ จะต้องคำนึงถึงรูปแบบและโครงสร้ำงพร้อมทังกำร จัดวำงอุปกรณ์ให้เหมำะสมกับกำรใช้งำน 2. วัสดุอุปกรณ์ในกำรสร้ำงเครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ จะต้องใช้วัสดุที่มีควำมแข็งแรง ทนทำน มีควำมปลอดภัยในกำรใช้งำนทุกขันตอน รวมทังจะต้องใช้งำนได้ตำมเป้ำหมำย 3. ควรตรวจสอบสภำพของกำรใช้เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ เพื่อให้มีควำมพร้อมและควำม ปลอดภัยในกำรทำงำน

196


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ข้อเสนอแนะสำหรับกำรวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรออกแบบโครงสร้ำงของตัวเครือ่ งผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพให้มขี นำดเล็กลงสำมำรถกรอกและ บรรจุปุ๋ยได้ในตัว 2. ควรออกแบบตัวเครื่องผสมและตัวเครื่องอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพให้อยู่ในเครื่องเดียวกัน และออกแบบให้ ใช้มอเตอร์ร่วมกันเพียงตัวเดียวในกำรใช้งำนร่วมกันเพื่อลดต้นทุนและลดกำรใช้พลังงำน เอกสำรอ้ำงอิง กองบริหำรพำณิชย์ภูมิภำค. ( 557). “เกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย”. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก http://www.organic.moc.go.th/sites/default/files/publication_productivity/ekstrinth riiy1.doc. สืบค้น 24 เมษำยน 2557. รีลักษณ์ ชูวรเวช. (ม.ป.ป.). เอกสำรวิชำกำร เรื่องควรรู้เกี่ยวกับปุ๋ยอินทรีย.์ สำนักวิจัยพัฒนำปัจจัยกำรผลิตทำง กำรเกษตร กรมวิชำกำรเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.

สำนักงำนปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (2557). กำรเพำะปลูกและขยำยพันธ์พืช. [ออนไลน์] เข้ำถึงได้จำก http://www2.opsmoac.go.th/ewt_dl_link.php?nid=796. สืบค้น เมื่อ 21 กุมภำพันธ์ 2557. ธำนินทร์ ศิลป์จำรุ. (2549). กำรวิจัยและวิเครำะห์ทำงสถิตดิ ้วย SPSS. พิมพ์ครังที่ 5. กรุงเทพมหำนคร : วี.อินเตอร์ พรินท์. บุญชม ศรีสะอำด. (2545). กำรวิจัยเบืองต้น. พิมพ์ครังที่ 6. กรุงเทพมหำนคร : สุวีริยำสำส์น.

(ก) ภำพที่ 1: (ก)เครื่องผสมปุ๋ยชีวภำพ (ข) เครื่องอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ

197

(ข)


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ภำพที่ 2 : เครื่องผสมและอัดเม็ดปุ๋ยชีวภำพ

ภำพที่ 3 กำรทดลองหำประสิทธิภำพเครื่องผสมและอัดเม็ดปุย๋ ชีวภำพ

198

SRRU NCR2018


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-19 ผลของกำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมต่อกำรเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตำลในเลือด ของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 EFFECTS OF BALANCED DIET ACCORDING TO BUDDHIST MEDICINE ON THE CHANGES OF BLOOD SUGAR LEVELS AMONG TYPE 2 DIABETIC PATIENTS อรุณรัตน์ ไกรลำศศิริ1, สุธรี ำ อินทเจริญศำนต์2 และ รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์ 3 1

นักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 3 อาจารย์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2

บทคัดย่อ กำรศึกษำครังนีเป็นกำรวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับ นำตำลในเลื อดและศึก ษำพฤติ กรรมกำรรั บประทำนอำหำรปรั บสมดุล ตำมหลั กกำรแพทย์วิ ถี ธรรมของผู้ป่ ว ย เบำหวำนชนิดที่ 2 หลังผ่ำนกำรเข้ำอบรมในค่ำยแพทย์วิถีธรรมตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียงในเดือนตุลำคม 2560 จำนวน 35 คน โดยกำรสุ่มแบบเจำะจงตำมเกณฑ์คัดเข้ำและดำเนินกำรติดตำมเป็นระยะเวลำ 12 สัปดำห์ เครื่องมือ ที่ใช้ในกำรวิจัย ได้แก่ คู่มือบันทึกอำหำรบริโภค 3-day food record แบบบันทึกระดับนำตำลในเลือดขณะอด อำหำร (FBS) และระดับนำตำลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) วิเครำะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนำและสถิติ Paired sample t-test ผลกำรศึกษำ พบว่ำ ผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 มีค่ำระดับนำตำลในเลือดขณะอดอำหำร (FBS) และระดับ นำตำลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) ลดลงจำกก่อนเข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 (p-value = 0.001) พฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมนัน ผู้ป่วยเบำหวำนมีกำร ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรับประทำนอำหำรตำมลำดับกำรย่อย ร้อยละ 88.6 ลดกำรปรุงแต่งรสชำติของอำหำรลง ร้อย ละ 62.9 และเคียวอำหำรละเอียดขึน ร้อยละ 60 ผลกำรศึกษำครังนี สะท้อนให้เห็นว่ ำกำรรับประทำนอำหำรปรับ สมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมสำมำรถช่วยควบคุมระดับนำตำลในเลือดของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ได้ และ สำมำรถใช้เป็นแนวทำงในกำรศึกษำกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรือรังอื่นๆ ที่สืบเนื่องจำกพฤติกรรมบริโภคอำหำร เช่น โรค ควำมดันโลหิตสูง และโรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น เพื่อประโยชน์ด้ำนกำรส่งเสริมสุขภำพในอนำคต คำสำคัญ : อาหารปรับสมดุลตามหลักการแพทย์วิถีธรรม, ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2, ระดับน้าตาลในเลือด Abstract This study was Survey Research design which aimed to compare blood sugar levels among Type 2 diabetic (DM) patients between before and after participating at Buddhist holistic medicine camp and to study their balanced diet consumption behaviors according to Buddhist medicine after attending to the camp for 12 weeks. Samples were 35 Type 2 DM patients who

199


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

attending to the camp in October 2017 based on purposive sampling along with inclusion criteria. The research instruments consisted of a 3-day food record, weekly FBS together with HbA1c before and after 12 weeks. Data were analyzed by using descriptive statistics and paired t-test. The findings revealed that FBS and HbA1c of the participants decreased significantly with p-value = 0.01. Because of the balanced diet 88.6% of patients have changed their sequential eating while 62.9% decreased using food additives and 60% increased their food mastication. These results indicated that the balanced diet according to Buddhist medicine can control blood sugar levels. These finding could be apply to other non communicable chronic diseases such as hypertension and hyperlipidemia in order to provide the benefits of health promotion in the future. Keywords : Balanced diet according to Buddhist medicine, Type 2 diabetic patients, Blood sugar levels บทนำ เบำหวำนเป็นโรคเรือรังที่เป็นปัญหำสำคัญทำงด้ำนสำธำรณสุขของไทย สำนักนโยบำยและยุทธศำสตร์ สำนักงำนปลัดกระทรวงสำธำรณสุข พบว่ำอัตรำกำรตำยด้วยโรคเบำหวำน ต่อประชำกรแสนคน ในปี 2556 – 2557 เท่ำกับ 14.93, 17.53 และเพิ่มสูงขึนเป็น 17.83 ในปี 2558 (สำนักนโยบำยและยุทธศำสตร์ กระทรวงสำธำรณสุข. 2558: 81) โรคเบำหวำนที่พบส่วนมำกในประเทศไทยประมำณ 90-95 เปอร์เซ็นต์เกิดจำกโรคเบำหวำนชนิดที่ 2กำร วินิจฉัยภำวะโรคเบำหวำนโดยตรวจระดับนำตำลในเลือด (ตำมAmerican Diabetes Association : ADA, 2010) คือ ระดับนำตำลในเลือดขณะงดอำหำรและเครื่ องดื่ม6-8 ชั่วโมง หรือเรียกว่ำ Fasting blood sugar (FBS) มำกกว่ำหรือเท่ำกับ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรหรือกำรมีระดับนำตำลเฉลี่ยสะสมหรือเรียกว่ำ Hemoglobin A1c (HbA1c) มำกกว่ำหรือเท่ำกับร้อยละ 6.5 ขึนไป (กรมกำรแพทย์. 2553 : 19)ภำวะนำตำลในเลือดสูงของผู้ป่ว ย เบำหวำน ก่อให้เกิดภำวะแทรกซ้อนทำงหลอดเลือดทังขนำดเล็กและขนำดใหญ่ กำรศึกษำของ The diabetes Control and Complication Trail (DCCT) Research Group และUK Prospective Diabetes Study (UKPDS) พบว่ำ ผู้ป่วยเบำหวำนที่ควบคุมระดับนำตำลในเลือดได้ไม่ดีและมีระดับ HbA1c สูงมีโอกำสเสี่ยงในกำร เกิด จอประสำทตำเสื่อม(retinopathy), หน่วยไตเสื่อม (nephropathy) อันเป็นผลมำจำกกำรเกิดหน่วยไตเสื่อม และมีอัตรำควำมเสี่ยงต่อกำรเสียชีวิตจำกโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่ำคนปรกติ 2-4 เท่ำ (Tandl E. 1991 อ้ำง ถึงใน สมลักษณ์ จึงสมำน. 2558 : 106) แม้ว่ำกำรรักษำโรคเบำหวำนปัจจุบันจะมีควำมทันสมัยและมียำเบำหวำนประสิทธิภำพสูง หำกเบำหวำน เป็น โรคที่ต้อ งรั กษำต่อเนื่อ งยำวนำนและไม่หำยขำดจึ งเป็ นภำระทั งของผู้ ป่วยและรัฐ บำลในกำรจัดเตรีย มค่ ำ รั ก ษำพยำบำล จำกกำรทบทวนวรรณกรรมพบว่ ำ พฤติ ก รรมกำรรั บ ประทำนอำหำรถื อ เป็ น หั ว ใจหลั ก ที่ มี ควำมสัมพันธ์โดยตรงกับกำรควบคุมระดับนำตำลในเลือด ผลกำรศึกษำของวัลย์ลดำ เลำหกุล (2554 : 87) เกี่ยวกับ ผลลัพธ์ของโปรแกรมกำรควบคุมเบำหวำนที่ผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 มีส่วนร่วมแบบสมัครใจพบว่ำผู้ป่วยเบำหวำน กลุ่มทดลองที่เข้ำร่วมโปรแกรมกำรควบคุมอำหำรมีค่ำระดับนำตำลในเลือดหลังอดอำหำร (FBS) และค่ำนำตำลเฉลี่ย สะสม (HbA1c) ลดลงจำกก่อนเข้ำร่วมโปรแกรมอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (p-value<0.05) ในขณะที่กลุ่มควบคุมมี

200


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ค่ำระดับนำตำลในเลือดหลังอดอำหำร (FBS) และค่ำนำตำลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) เพิ่มขึน กำรศึกษำของอุษำ พุทธ รักษ์ และเสำวนันท์ บำเรอรำช (2558 : 19) พบว่ำแม้กำรควบคุมอำหำรเป็นปัจจัยที่มีควำมสัมพันธ์กับกำรควบคุม ระดับนำตำลในเลือดของกลุ่มตัวอย่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (p-Value < 0.01) แต่ร้อยละ 99 ของกลุ่มทดลอง ที่เคยได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับกำรรับประทำนอำหำรที่มีผลทำให้ระดับนำตำลในเลือดเพิ่มสูงขึน และคำแนะนำกำร ปฏิบัติตัวจำกเจ้ำหน้ำที่ยังคงมีกำรควบคุมระดับนำตำลในเลือดได้น้อย ซึ่งอำจเป็นผลมำจำกกำรที่กลุ่มทดลองยังจำ ชนิดของอำหำรที่มีค่ำดัชนีนำตำลสูง (High glycemic index) ไม่ได้ ไม่รู้ปริมำณอำหำรที่เหมำะสมในกำร รับประทำนต่อมือไม่เข้ำใจกำรคำนวณแคลอรี่ต่อวันและไม่เข้ำใจเรื่องของอำหำรแลกเปลี่ยนจำกประสบกำรณ์กำร เป็นวิทยำกรเรื่องอำหำรปรับสมดุลในกำรอบรมค่ำยสุขภำพแพทย์วิถีธรรม พบว่ำมีผู้ป่วยเบำหวำนจำนวนหนึ่งที่ สำมำรถควบคุมระดับนำตำลในเลือดได้และมีคุณภำพชีวิตที่ดีขึน ผู้วิ จัยจึงสนใจศึกษำกำรปฏิบัติตัวในรูปแบบกำร รับประทำนอำหำรปรับสมดุ ลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมต่อกำรเปลี่ ยนแปลงระดั บนำตำลในเลือดของผู้ป่ว ย เบำหวำนชนิดที่ 2 หำกแต่หลักโภชนำบำบัดตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมมีควำมแตกต่ำงจำกที่แนะนำโดยทั่วไปใน โรงพยำบำลกล่ำวคือเป็นรูปแบบกำรรับประทำนอำหำรที่เน้นสร้ำงสมดุลให้ร่ำงกำย ไม่เย็นเกินไม่ร้อนเกินมีลักษณะ อำหำรปรับสมดุลคือไร้สำรพิษ ไม่มีเนือสัตว์ ปรุงรสเล็กน้อยเท่ำที่พลังชีวิตเต็ม จัดสัดส่วนของอำหำรกลุ่มเย็นและ ร้อนให้สมดุลเคียวให้ละเอียดและรับประทำนอำหำรตำมลำดับของกำรย่อยง่ำย (ใจเพชร กล้ำจน. 2555: 162)เพื่อ นำผลที่ได้เป็นข้อมูลสำหรับเป็นทำงเลือกในกำรควบคุมระดับนำตำลในเลือดของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 อันจะเป็น ประโยชน์ทังต่อตัวผู้ป่วยและเจ้ำหน้ำที่สำธำรณสุขต่อไป วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบระดับนำตำลในเลือดของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ที่รับประทำนอำหำรปรับสมดุล ตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมก่อนและติดตำมผลหลังกำรอบรม 12 สัปดำห์ 2. เพื่อ ศึก ษำพฤติ กรรมกำรรับ ประทำนอำหำรปรับ สมดุล ตำมหลั กกำรแพทย์วิ ถีธ รรมของผู้ ป่ว ย เบำหวำนชนิดที่ 2 ในระยะเวลำ 12 สัปดำห์หลังกำรอบรม วิธีดำเนินกำรวิจัย รูปแบบกำรวิจัย กำรศึกษำครั้งนี้ เป็นงำนวิจัยเชิงสำรวจ โดยกำรสุ่มตัวอย่ำงผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ที่สมัครใจเข้ำค่ำย แพทย์วิถีธรรม ณ.สวนป่ำนำบุญ 1 อ.ดอนตำล จ.มุกดำหำร และสวนป่ำนำบุญ 3 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธำนี ในเดือน ตุลำคม 2560 ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกร คือ ผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ทังหมดที่เข้ำอบรมในค่ำยแพทย์วิถีธรรม ณ.สวนป่ำนำบุญ 1 อ.ดอนตำล จ.มุกดำหำร และสวนป่ำนำบุญ 3 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธำนี จำนวน 140 คน กลุ่มตัวอย่ำง คือ ผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่2 ที่สมัครเข้ำอบรมในค่ำยสุขภำพแพทย์วิถีธรรม ณ.สวนป่ำนำ บุญ 1 อ.ดอนตำล จ.มุกดำหำร และสวนป่ำนำบุญ3 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธำนี ในเดือนตุลำคม 2560 ใช้เกณฑ์ กำหนดตัวอย่ำงที่ 25% (บุญชม ศรีสะอำด. 2535 : 38) ได้กลุ่มตัวอย่ำงที่ 35 คน ใช้วิธีกำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบ เจำะจง (Purposive sampling) ตำมคุณสมบัติเกณฑ์คัดเข้ำ (Inclusion criteria) ได้แก่ 1) ได้รับวินิจฉัยจำกแพทย์ ว่ำเป็นเบำหวำนชนิดที่ 2และไม่มีภำวะแทรกซ้อนของโรคร้ำยแรงอื่น 2) อำยุตังแต่ 40 ปีขึนไป 3) สำมำรถตรวจหำ

201


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ค่ำระดับนำตำลในเลือด (FBS) ทุกสัปดำห์ ระยะเวลำ 12 สั ปดำห์ 4) ไม่อยู่ในระหว่ำงตังครรภ์ 5) สำมำรถใช้ แอพพลิเคชั่น Line ในสมำร์ทโฟนได้ 6) สำมำรถรับประทำนอำหำรปรับสมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมได้ 7) เป็นผู้ที่สมัครใจให้ควำมร่วมมือ เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย เครื่องมือสำหรับกลุ่มตัวอย่ำงผู้ป่วยเบำหวำนใช้ในกำรบันทึก ประกอบด้วย1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) สมุด คู่มือบันทึกอำหำรบริโภค3-day food record ระยะเวลำ 12 สัปดำห์ 3) แบบบันทึกระดับนำตำลในเลือด ประกอบด้วยกำรบันทึกค่ำ HbA1c โดยบันทึกก่อนและหลังเข้ำร่วมกำรวิจัย และ FBS โดยบันทึกสัปดำห์ละ 1 ครัง ในวันเดียวกัน จำนวน 12 สัปดำห์ เครื่องมือสำหรับจิตอำสำผู้ช่วยวิจัยใช้ในกำรบันทึก ประกอบด้วย 1) คู่มือบันทึกข้อมูลกำรรับประทำน อำหำรปรับสมดุลฯของกลุ่มตัวอย่ำงในและสัปดำห์ มีเนือหำเกี่ยวกับ ชนิดของอำหำรฤทธิ์เย็นฤทธิ์ร้อน ปริมำณและ ควำมถี่ 2) คู่มือประเมินพฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลฯที่กลุ่มตัวอย่ำงปฏิบัติในแต่ละสัปดำห์ แบ่งเป็น 6 ข้อย่อยคือ ปลอดสำรพิษ ไม่มีเนือสัตว์ ปรุงรสเล็กน้อย (30%) คำนึงถึงอำหำรกลุ่มเย็นและร้อน เคียวให้ละเอียด รับประทำนอำหำรตำมลำดับของกำรย่อยง่ำยและส่งให้คณะกรรมกำรพิจำรณำจริยธรรมเพื่อตรวจสอบและได้ผ่ำน กำรรับรองจำกคณะกรรมกำรจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์ของมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ เลขที่ HE-SRUU1-0014 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ขันตอนที่ 1 เป็นกำรแสวงหำข้อมูลเชิงประจักษ์จำกกลุ่มตัวอย่ำงผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่2 ในระหว่ำงที่ เข้ำรับกำรอบรมในค่ำยแพทย์วิถีธรรมเป็นเวลำ 9 วัน โดยจัดให้มีกิจกรรมกำรสนทนำกลุ่มครังละ 2 ชั่วโมงทำทังสิน 3 ครัง ประเด็นของเนือหำให้ควำมรู้สำเหตุของเบำหวำน เน้นควำมเข้ำใจเรื่องกำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุล ตั ว ชี วั ด ภำวะสุ ข ภำพตำมหลั ก กำรแพทย์ วิ ถี ธ รรมคื อ ควำมรู้ สึ ก ที่ ส บำย เบำกำย มี พ ลั ง สร้ ำ งทั ศ นคติ ใ นกำร รับประทำนอำหำรที่คำนึงถึงคุณประโยชน์มำกกว่ำควำมอร่อย สร้ำงกลุ่มไลน์เบำหวำนเพื่อกำรติดต่อสื่อสำรและเป็น กำลังใจซึ่งกันและกัน ขันตอนที่ 2 ติดตำมพฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำรและบันทึกค่ำระดับนำตำลในเลือด (FBS) และ HbA1c ตังแต่ก่อนเข้ำอบรมและหลังสินสุดกำรติดตำมกลุ่มตัวอย่ำงเป็นระยะเวลำ 12 สัปดำห์หลังออกจำกค่ำย แพทย์วิถีธรรม กำรวิเครำะห์ข้อมูล ข้อมูลส่วนบุคคลและแบบบันทึกอำหำรบริโภค 3-day food record ที่ได้วิเครำะห์โดยกำรแจกแจง ควำมถี่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย สำหรับแบบบันทึกระดับนำในเลือด (FBS) และ (HbA1c) วิเครำะห์ข้อมูลโดยกรำฟเส้น เปรียบเทียบระดับนำตำลในเลือด (FBS) และ (HbA1c) รำยบุคคลก่อนและติดตำมผลหลังกำรอบรม 12 สัปดำห์ ใช้ สถิติ Paired sample t- test แสดงระดับนำตำลในเลือดขณะอดอำหำร(FBS) เฉลี่ย และระดับนำตำลในเลือดเฉลี่ย สะสม (HbA1c)ก่อนและหลังกำรอบรม 12 สัปดำห์ แบบประเมินพฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลฯของ กลุ่มตัวอย่ำงในแต่ละสัปดำห์ วิเครำะห์โดยใช้เกณฑ์กำรแปลควำมหมำยค่ำคะแนน กำหนดระดับกำรวัดเป็น 3 ระดับ ตำมแนวคิดกำรแบ่งช่วงคะแนนเฉลี่ยของ Bloom (Bloom, 1971: 129 อ้ำงถึงในลีณวัฒน์ คุณเวียน, บัว วรุณ ศรีชัยกุล และธีรยุทธ อุดมพร. 2555 : 187-196)

202


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ผลกำรวิจัย ตำรำงที่ 1 แสดงลักษณะข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่ำงผู้ป่วยเบำหวำน (n=35) ข้อมูลส่วนบุคคล

จำนวน (คน)

ร้อยละ

8 27

22.9 77.1

4 14 17

11.4 40 48.6

2 27 6

5.7 77.1 17.1

12 4 2 17

34.3 11.4 5.7 48.6

6 3 3 8 15

17 8.6 8.6 22.9 42.9

13 15 6 1

37.1 42.9 17.1 2.9

19 12 4

54.3 34.3 11.4

16 19

45.7 54.3

เพศ ชำย หญิง อำยุ น้อยกว่ำ 50 ปี 50-59 ปี มำกกว่ำ 60 ปี Mean=57.25 S.D.= 6.40 สถำนภำพ โสด สมรส หม้ำย หย่ำ แยกกันอยู่ กำรศึกษำ ประถม มัธยม อำชีวศึกษำ ปริญญำตรี อำชีพ เกษตรกรรม พนักงำนบริษัท รับรำชกำร ค้ำขำย ไม่ได้ประกอบอำชีพ (เกษียณอำยุ) ดัชนีมวลกำย สมส่วน (BMI 18.5-22.9) ท้วม (BMI 23.0-24.9) อ้วน ระดับ 1 (BMI 25.0-29.9) อ้วน ระดับ 2 (BMI > 30.0) ระยะเวลำเจ็บป่วย ระยะเวลำ < 5 ปี ระยะเวลำ 5 - 10 ปี มำกกว่ำ 10 ปี Mean =5.31 S.D.= 4.04 รูปแบบกำรรักษำเบำหวำน กินยำลดนำตำล ไม่กินยำและไม่ฉีดอินซูลิน

203


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ข้อมูลส่วนบุคคล จำนวนครั้งที่เข้ำอบรม เข้ำอบรมเป็นครังแรก เข้ำอบรมมำแล้ว 2-3 ครัง เข้ำอบรมมำแล้วมำกกว่ำ 3 ครัง

SRRU NCR2018

จำนวน (คน)

ร้อยละ

19 13 3

54.3 37.1 8.6

จำกตำรำงที่ 1 พบว่ำ กลุม่ ตัวอย่ำงส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 77.1 ส่วน ใหญ่มีอำยุมำกกว่ำ 60 ปี จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 48.6 (อำยุเฉลี่ยที่ 57 ± 6.4 ปี) ส่วนใหญ่มีสถำนภำพสมรส จำนวน 27 คน ร้อยละ 77.1 สำเร็จกำรศึกษำระดับปริญญำตรี จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 48.6 ส่วนใหญ่ไม่ได้ ประกอบอำชีพเนื่องจำกอยู่ในวัยเกษียณอำยุ จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 42.9 ดัชนีมวลกำยอยู่ในเกณฑ์ท้วม (BMI 23.0-24.9) จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 42.9 ส่วนใหญ่ป่วยเป็นโรคเบำหวำนมำเป็นเวลำเฉลี่ย 5 ± 4.04 ปี โดยผู้ป่วยที่ไม่กินยำลดระดับนำตำลในเลือดและไม่ฉดี อินซูลิน มีจำนวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 54.3 กลุ่มตัวอย่ำง ส่วนใหญ่เข้ำอบรมในค่ำยแพทยฺวถิ ีธรรมเป็นครังแรก จำนวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 54.3

ภำพที่ 1 กรำฟเส้นเปรียบเทียบระดับนำตำลในเลือดขณะอดอำหำรFasting blood sugar (FBS) รำยบุคคล ก่อน และติดตำมผลหลังกำรอบรม 12 สัปดำห์ (n=35) จำกภำพที่ 1 ระดับนำตำล FBS ของกลุ่มตัวอย่ำงโดยรวม ส่วนใหญ่มีค่ำลดลง จำนวน 30คน คิดเป็น ร้ อ ยละ 85.71และมี ส่ ว นน้ อ ยที่ ร ะดั บ FBSเพิ่ ม ขึ น จ ำนวน 5 คน คิ ด เป็ น ร้ อ ยละ 14.29 (กลุ่ ม ตั ว อย่ ำ งล ำดั บ ที่ 7,20,23,32,34) ตำรำงที่ 2 แสดงระดับนำตำลในเลือดขณะอดอำหำร(FBS) เฉลี่ย ก่อนและติดตำมผลหลังกำรอบรม 12 สัปดำห์ (n=35) FBS(mg/dl)ก่อนเริ่มวิจัย 173.57± 30.63 *นัยสำคัญทีร่ ะดับ 0.05

FBS(mg/dl)หลังวิจัย 142.34± 19.11

204

t 6.485

p- value <0.001*


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

จำกตำรำงที่ 2 โดยภำพรวม ระดับ FBS เฉลี่ย ของกลุ่มตัวอย่ำงหลังติดตำมผล 12 สัปดำห์ (142.34 ± 3.23 mg/dl) ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับระดับ FBS ก่อนอบรม (173.58 ± 5.17 mg/dl) อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ ระดับ 0.05 (t = 6.485, p-value <0.001)

ภำพที่ 2 กรำฟเส้นเปรียบเทียบระดับนำตำลเฉลีย่ สะสม (HbA1c) รำยบุคคลก่อนและหลังกำรอบรม 12 สัปดำห์ (n=35) จำกภำพที่ 2 ระดับนำตำล HbA1c ของกลุ่มตัวอย่ำงโดยรวม ส่วนใหญ่มีค่ำลดลงจำนวน 31 คน คิดเป็น ร้อยละ 88.57 และมีส่วนน้อยที่ระดับHbA1cเพิ่มขึน จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ11.43 (กลุ่มตัวอย่ำงลำดับที่ 16,17,30,31) ตำรำงที่ 3 แสดงระดับนำตำลในเลือดเฉลี่ยสะสม (HbA1c)ก่อนและหลังกำรอบรม 12 สัปดำห์ (n=35) HbA1c (%) ก่อนวิจัย 8.2 ± 1.7 *นัยสำคัญทีร่ ะดับ 0.05

HbA1c(%) หลังวิจัย 7.3 ± 1.5

t 5.870

p- value < 0.001*

จำกตำรำงที่ 3 พบว่ำโดยภำพรวม ระดับHbA1c ของกลุ่มตัวอย่ำงหลังติดตำมผล 12 สัปดำห์ (7.3 ± 1.5 %) ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับระดับ HbA1cก่อนอบรม (8.2± 1.7 %) อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติทรี่ ะดับ 0.05 (t = 5.870,p-value <0.001)

205


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 4 แสดงพฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม (n=35) รูปแบบอำหำร ปรับสมดุล 1.ปลอดสำรพิษ

รูปแบบกำรปฏิบัต*ิ ปฏิบัติประจำ ปฏิบัติบำงครัง n(%) n(%) 19 (54.2) 15 (42.9)

ระดับกำรปฏิบัติ ̅ แปลผล

ไม่ปฏิบตั ิ n(%) 1 (2.9)

1.51±0.562

2. ไม่มีเนือสัตว์

15 (42.9)

17 (48.5)

3 (8.6)

1.34±0.639

3. ปรุงรสเล็กน้อย(30%)

22 (62.9)

12 (34.2)

1 (2.9)

1.57±0.608

10 (28.6)

24 (68.5)

1 (2.9)

1.40±0.553

12 (34.3)

2 (5.7)

1.54±0.610

4 (11.4)

0

1.85±0.429

4. คำนึงถึงกลุ่มเย็น และร้อน 5. เคียวให้ละเอียด 6. รับประทำนอำหำร

21 (60) 31 (88.6)

ปำน กลำง ปำน กลำง ปำน กลำง ปำน กลำง ปำน กลำง ดี

จำกตำรำงที่ 4 สรุปข้อมูลจำกสมุดคู่มือบันทึกอำหำรบริโภค 3 day-food record โดยบันทึกรำยกำร อำหำรและปริมำณอำหำรที่รับประทำนแต่ละมือ บันทึกสัปดำห์ละ 3 วันพบว่ำพฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำร ปรับสมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ในระยะเวลำ 12 สัปดำห์หลังกำรอบรมกลุ่ม ตัวอย่ำงส่วนใหญ่สำมำรถปฏิบัติรูปแบบกำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลฯ เรียงตำมลำดับดังนี ลำดับที่ 1 กำรกิน อำหำรตำมลำดับของกำรย่อยง่ำยสำมำรถปฏิบัติได้ในระดับดีเป็นจำนวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 88.6 ลำดับที่ 2 พฤติกรรมกำรปรุงรสเล็กน้อย (30%)เท่ำที่พลังชีวิตเต็ม สำมำรถปฏิบัติได้ในระดับปำนกลำงจำนวน 22 คน คิดเป็น ร้อยละ 62.9 ลำดับที่ 3 เคียวให้ละเอียดสำมำรถปฏิบัติได้ในระดับปำนกลำงจำนวน 21 คนคิดเป็นร้อยละ 60 ลำดับ ที่ 4ปลอดสำรพิษ สำมำรถปฏิบัติได้ในระดับปำนกลำงจำนวน 19 คนคิดเป็นร้อยละ 54.3 ลำดับที่ 5 ไม่มีเนือสัตว์ สำมำรถปฏิบัติได้ในระดับปำนกลำงจำนวน 15 คนคิ ดเป็นร้อยละ 42.9 และ ลำดับสุดท้ำยคือ คำนึงถึงอำหำรกลุ่ม เย็นและร้อน สำมำรถปฏิบัติได้ในระดับปำนกลำงจำนวน 10 คนคิดเป็นร้อยละ 28.6 สรุปผลกำรวิจัย จำกผลกำรศึกษำกำรเปลี่ยนแปลงระดับนำตำลในเลือดของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ที่รับประทำนอำหำร ปรับสมดุลฯ ผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 มีระดับ FBS เฉลี่ย หลังติดตำมผล 12 สัปดำห์ (142.34 ± 3.23 mg/dl) ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับระดับ FBS ก่อนอบรม (173.58 ± 5.17 mg/dl) อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 (t = 6.485, p-value <0.001) ระดับHbA1c หลังติดตำมผล 12 สัปดำห์ (7.3 ± 1.5 %) ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับ ระดับ HbA1c ก่อนอบรม (8.2± 1.7 %) อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 (t = 5.870,p-value <0.001) และพบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่สำมำรถเปลี่ยนพฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำรที่เคยชินในอดีตมำเป็นรูปแบบ อำหำรปรับสมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมได้ในระดับดีและปำนกลำง

206


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วิจำรณ์ผลกำรวิจัย ผลกำรศึกษำครังนี พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงมีค่ำเฉลี่ยของระดับนำตำลในเลือดหลังอดอำหำร (FBS) และ ระดับนำตำลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเริ่มกำรวิจัยอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 สอดคล้องกับ กำรศึ กษำของ ชดช้อย วัฒนะและคณะ (2550) พบว่ำ กลุ่มผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ที่ไม่สำมำรถ ควบคุมระดับนำตำลในเลือด ที่มำรับบริกำรคลินิกเบำหวำนโรงพยำบำลคลองหลวงหลังเข้ำร่วมโปรแกรมกำร ส่งเสริมสมรรถนะในกำรจัดกำรตนเองประกอบด้วยกำรให้ควำมรู้เกี่ยวกับโรคเป็นรำยกลุ่มและส่งเสริมกำรรับรู้ สมรรถนะแห่งตนในกำรจัดกำรตนเอง เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมซึ่งได้รับกำรพยำบำลตำมปกติ พบว่ำกลุ่มทดลอง หลังเข้ำร่วมโปรแกรม 6 เดือนสำมำรถลดค่ำดัชนีมวลกำยและค่ำฮีโมโกลบินเอวันซี ลดลงมำกกว่ำกลุ่มควบคุม (p < .001 และ p < .001 ตำมลำดับ) และงำนวิจัยของบัญ ญัติ อรรคศรีวร และคณะ (2558) พบว่ำค่ำระดับนำตำลใน เลื อ ดของผู้ ป่ ว ยกลุ่ ม เสี่ ย งโรคเบำหวำน ก่ อ นและหลั งเข้ ำ ร่ ว มโปรแกรมสร้ ำ งควำมตระหนั ก ในกำรป้ อ งกั น โรคเบำหวำน ระยะเวลำ 12 สัปดำห์ มีควำมแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ ที่ระดับ 0.05 คือ ค่ำเฉลี่ยระดับ นำตำลในเลือด (FBS) ก่อนทดลอง ( 107.27 ± 5.70 mg/dl ) และหลังทดลอง (95.04 ± 5.46 mg/dl) รูปแบบพฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำรของกลุ่มตัวอย่ำง ผลกำรศึกษำครังนี พบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงร้อยละ 88.6 สำมำรถเปลี่ยนรูปแบบกำรรับประทำนอำหำรโดยกินอำหำรตำมลำดับของกำรย่อยง่ำยมำเป็นอันดับ 1 กำรศึก ษำข้ำ งต้นสำมำรถอภิปรำยเหตุผลที่ เกี่ยวข้ องกับ กำรสร้ำงพลั งงำนจำกสำรอำหำรในสิ่งมีชีวิต เรียกว่ ำ กระบวนกำรเมตำบอลิซึม (metabolism) ซึ่งเป็นปฏิกิริยำเคมีในสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนสำรที่ร่ำงกำยได้รับจำกอำหำร โดยย่อยสำรอำหำรโมเลกุลใหญ่ให้เล็กลง ดูดซึมและเปลี่ยนเป็นพลังงำนไปยังเซลล์ที่ต้องกำร เพื่อกำรดำรงชีวิต ปฏิกิริยำเคมีนีจะต้องมีเอนไซน์ (enzyme) เป็นตัวเร่ง และมีควำมจำเพำะต่อแต่ละปฏิกิริยำ โดยเอ็นไซม์จะทำงำน ร่วมกับวิตำมินและธำตุพบน้อยที่จำเป็นต่อร่ำงกำย ที่เรียกว่ำ โคเอ็นไซม์ (coenzyme) นอกจำกนีเอ็นไซม์ยังทำ หน้ำที่ในกำรซ่อมแซม ควบคุม และกระตุ้นกำรทำงำนของระบบต่ำงๆของร่ำงกำยด้วย กล่ำวได้ว่ำทุกกลไกใน สิ่งมีชีวิต (คน สัตว์และพืช) ล้วนต้องอำศัยกำรทำงำนของเอนไซม์ทังสิน ในผัก ผลไม้สดจะมีเอ็นไซม์ ที่ย่อยตัวเอง และยังคงจะได้สำรอำหำรที่มีประโยชน์ได้อีกระยะหนึ่ง (ช้ำ หรือเร็ว ขึนกับชนิดของผัก ผลไม้นัน) ซึ่งจะเห็นได้จำก กำรที่ผัก ผลไม้ ไม่เน่ำเสียทันที่ที่หลุดจำกต้น โดยผลไม้จะแก่/สุกขึน บำงชนิดหวำนขึน เพรำะมีกำรย่อยสลำยแป้ง เป็นนำตำล และจะเน่ำ/เสียช้ำกว่ำเนือสัตว์ เอ็นไซม์จำกผัก ผลไม้สดจึงมีประโยชน์กว่ำในเนือสัตว์ และจะช่วยกำร ย่อยอำหำรในทำงเดินอำหำรของคนได้ นี่คงเป็นสำเหตุที่ทำให้กำรกินอำหำรเนือสัตว์มำกๆ จะอืดและแน่นท้อง มำกกว่ำกำรกินอำหำรผัก ผลไม้สด จึงควรกินผักและผลไม้สดเป็นประจำ หรือให้ได้อย่ำงน้อยวันละ 1 มือ กำรกินผัก ผลไม้สดจะได้รับเส้นใย (Fiber) ซึ่งจะเป็นกำกอำหำรที่ช่วยเรื่องกำรขับถ่ำย ทำให้มีสุขภำวะที่ดีและลดควำมเสี่ยงต่อ กำรสัมผัสกับสำรก่อมะเร็งถ้ำมีในอำหำรตกค้ำงในทำงเดินอำหำรเป็นเวลำนำนๆ (พิสมัย กุลกำญจนำธร, ออนไลน์) ในหนังสือเรื่องกินอยู่อย่ำงฉลำดปรำศจำกโรคสไตล์หมอชินยะ (2556 : 81 ) กล่ำวว่ำผลไม้เป็นอำหำรย่อยง่ำยโดย อำหำรทั่วไปจะใช้เวลำ 2 ถึง 4 ชั่วโมงในกำรเคลื่อนที่จำกกระเพำะไปถึงลำไส้ แต่ผลไม้ใช้เวลำเพียง 30 นำที สำเหตุ เพรำะในผลไม้มีเอนไซม์ช่วยย่อยอยู่มำก หำกกินผลไม้เป็นของหวำนหลังอำหำร ผลไม้จะค้ำงอยู่ในกระเพำะนำนเกิน ควรเพรำะอำหำรที่กินเข้ำไปก่อนจะใช้เวลำย่อยค่อนข้ำงนำนจึงติดค้ำงอยู่ในระบบทำงเดินอำหำร ร่ำงกำยก็ไม่ สำมำรถดูดซึมเอนไซม์ในผลไม้ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ นอกจำกนีหำกอำหำรอื่นที่อยู่ในกระเพำะทำปฏิกิริยำมำก เกินไปปริมำณแก๊สในลำไส้จะเพิ่มมำกขึน จนเป็นเหตุให้เกิดอำกำรท้องอืดท้องเฟ้อ ดังนัน จึงควรกินผลไม้ ก่อน อำหำรหรื อ กิ น ขณะท้ อ งว่ ำ งและสอดคล้ อ งกั บ กำรทดลองของ ดร.บำส เรื่ อ งทฤษฎี ก ำรกิ น อำหำรตำมล ำดั บ

207


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

(Sequential eating) ที่มีหลักของกำรกินอำหำรโดยเริ่มจำกอำหำรที่มีส่วนประกอบของนำมำกที่สุดก่อน (Watery food) คือ ผลไม้และผักสดก่อน (สแตนเลย์ บำส, 2546: ออนไลน์) พฤติกรรมรองลงมำคือปรุงแต่งรสชำติอำหำรเล็กน้อยเท่ำที่พลังชีวิตเต็ม (ปรุงเพียง30%) ร้อยละ 62.9 สอดคล้องกับองค์กำรอนำมัยโลกที่ระบุว่ำกำรป้องกัน และแก้ปัญหำโรคไม่ติดต่อเรือรังมีมำตรกำรที่สำคัญอยู่ 2 ด้ำน คือ ด้ำนอำหำรและโภชนำกำร และด้ำนกำรออกกำลังกำย มำตรกำรด้ำนอำหำรและโภชนำกำร คือกำรลดกำร บริโภคอำหำรที่มีพลังงำนสูงได้แก่อำหำรประเภทไขมันและนำตำล ควรทำควบคู่ไปกับกำรเพิ่มกำรบริโภคผักและ ผลไม้ (จันทนำ อึงชูศักดิ์. 2555 : 97) สอดคล้องกับงำนวิจัย ของ ดร.ใจเพชรกล้ำจน (ใจเพชร กล้ำจน. 2553 : 111-114) เรื่อง ควำมเจ็บป่วยกับกำรดูแลสุขภำพตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียงศึกษำจำกประชำกร ที่เคยผ่ำนกำร อบรมค่ำยสุขภำพแพทย์วิถีธรรม ระหว่ำงวันที่ 1 มกรำคมถึง 30 มิถุนำยน 2553 จำกกลุ่มตัวอย่ำงจำนวน 1897 คน สุ่มตัวอย่ำงแบบง่ำยจำนวน 499 คน พบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงมีกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเรื่องรสชำติของอำหำรไปใน ทำงบวก มีกำรลดกำรรับประทำนอำหำรรสจัด เช่นเผ็ดเค็มหวำนมันฯลฯ โดยสำมำรถปฏิบัติได้คิดเป็นจำนวน 400 คนหรือร้อยละ 80.16 มีเพียง 72 คน หรือร้อยละ 14.43 ที่ไม่สำมำรถปฏิบัติได้ ผลของกำรวิจัยแสดงให้เห็นว่ำกลุ่มตัวอย่ำงสำมำรถนำองค์ควำมรู้ที่ได้รับเรื่องอำหำรปรับสมดุลฯจำก กำรเข้ำอบรมไปใช้ระหว่ำงที่ต้องกำกับตนเองได้จริง และสำมำรถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกำรรับประทำนอำหำร โดย กำรจดบันทึกอำหำรที่รับประทำนในคู่มือ 3- day food recordและกำรตรวจวัดระดับนำตำลหลังอดอำหำร (FBS) ในแต่ละสัปดำห์ ประกอบกับมีกำรติดตำม ให้คำปรึกษำ และรำยงำนผลกำรรับประทำนอำหำรผ่ำนทำงโทรศัพท์ หรือแอปพลิเคชั่นไลน์ร่วมด้วย เป็นผลให้กลุ่มตัวอย่ำงโดยภำพรวมสำมำรถควบคุมค่ำระดับนำตำลในเลือด (FBS) และค่ำระดับนำตำลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) ให้ลดลงจำกก่อนเข้ำร่วมกำรวิจัยอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในกำรนำผลกำรวิจัยไปใช้ สำมำรถน ำรู ป แบบของกำรก ำกั บ ติ ด ตำมพฤติ ก รรมกำรรั บ ประทำนอำหำรปรั บ สมดุ ล ตำมหลั ก กำรแพทย์วิถีธรรมไปประยุกต์ใช้กับกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรือรังอื่นๆ เช่น โรคควำมดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง เป็น ต้น เพื่อประโยชน์ ด้ำนกำรส่งเสริม สุขภำพของผู้ป่วยและลดงบประมำณค่ำใช้จ่ำยด้ำนกำรรักษำพยำบำลของ หน่วยงำนสำธำรณสุข ข้อเสนอแนะในกำรทำวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษำเปรียบเทียบผลของกำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมระหว่ำงกลุ่ม ผู้ ป่ วยโรคเบำหวำนที่ รั บประทำนยำเพี ยงอย่ ำงเดี ยว และกลุ่ มผู้ ป่ วยโรคเบำหวำนที่ รั บประทำนยำร่ วมกั บ กำร รับประทำนอำหำรปรับสมดุล และกลุ่มผู้ป่วยโรคเบำหวำนที่รับประทำนรับประทำนอำหำรปรับสมดุลเพียงอย่ำง เดียว กิตติกรรมประกำศ กำรวิจัยครังนีสำเร็จลุล่วงด้วยดีขอขอบคุณอำสำสมัครผู้ป่วยเบำหวำนทุกท่ำน และกัลยำณมิตรจิตอำสำ แพทย์วิถีธรรม ที่ให้ควำมช่วยเหลือในระหว่ำงกำรศึกษำ ขอขอบคุณอำจำรย์ที่ปรึกษำผู้แก้ไขข้อบกพร่องและให้คำแนะนำที่ เป็นประโยชน์ จนงำนวิจัยนีสำเร็จลุล่วงตำมวัตถุประสงค์ได้ ขอขอบพระคุณคณำจำรย์คณะวิทยำศำสตร์และ เทคโนโลยี มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์

208


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เอกสำรอ้ำงอิง กรมกำรแพทย์. (2553). กำรให้ควำมรู้เพื่อจัดกำรโรคเบำหวำนด้วยตนเอง. พิมพ์ครังที่ 1.กรุงเทพฯ : ชุมชน สหกรณ์กำรเกษตรแห่งประเทศไทยจำกัด. จันทนำ อึงชูศักดิ์. (2555). "กำรรณรงค์และมำตรกำรทำงกฎหมำยเพื่อปรับพฤติกรรมบริโภค." ใน น้ำตำล สุขภำพ และกำรจัดกำรด้ำนกำรบริโภคที่เหมำะสม. หน้ำ 97. กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพ์องค์กำร สงเครำะห์ทหำรผ่ำนศึกในพระบรมรำชูปถัมภ์. ใจเพชร กล้ำจน. (2555). มำเป็นหมอดูแลตัวเองกันเถอะ. พิมพ์ครังที่ 15.กรุงเทพฯ : อุษำกำรพิมพ์ _____.กำรกินอำหำรตำมลำดับ [ออนไลน์].เข้ำถึงได้จำกwww.http://drbass.com/sequential.html สืบค้น 18 พฤศจิกำยน 2559. ชดช้อย วัฒนะ และคณะ. (2555). ผลของโปรแกรมกำรส่งเสริมสมรรถนะในกำรจัดกำรตนเองเกี่ยวกับ โรคเบำหวำนต่อควำมรู้ กำรรับรู้สมรรถนะในกำรจัดกำรตนเอง กำรควบคุมระดับน้ำตำลในเลือด ค่ำ ดัชนีมวลกำยและคุณภำพชีวิตของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2. มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์.-IRDC1 พิสมัย กุลกำญจนำธร. (2559). “บทควำมเผยแพร่ควำมรู้สู่ประชำชนเอ็นไซม์ กับผักผลไม้สด” [ออนไลน์]. เข้ำถึง ได้จำก http://www.pharmacy.mahidol.ac.th, 15 เมษำยน 2561. วัลย์ลดำ เลำหกุล. (2554). ผลลัพธ์ของโปรแกรมกำรควบคุมเบำหวำนที่ผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 มีส่วนร่วม แบบสมัครใจ. พยำบำลศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำกำรพยำบำลผู้ใหญ่ขันสูง บัณฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลัยคริสเตียน. อุสำ พุทธรักษ์และเสำวนันท์บำเรอรำช.“ปัจจัยที่มีควำมสัมพันธ์กับกำรควบคุมระดับนำตำลในเลือดของผู้ป่วย เบำหวำนชนิดที่2 ที่เข้ำรับกำรรักษำที่โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลก้ำงปลำ จังหวัดเลย”.The National Graduate Research Conference. 34 อุษำ ทัศนวิน. (2550). ผลของกำรเข้ำค่ำยเบำหวำนกลำงวันต่อกำรรับรู้สมรรถนะแห่งตนพฤติกรรมกำรดูแล ตนเองและระดับน้ำตำลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบำหวำนชนิดที่ 2.วิทยำนิพนธ์หลักสูตรพยำบำลศำสต รมหำบัณฑิตคณะพยำบำลศำสตร์ มหำวิทยำลัย- ธรรมศำสตร์. เอกรำช บำรุงพืชน์. (2558). แนวทำงกำรดูแลและรักษำผู้ป่วยโรคเบำหวำนชนิดที่2 ด้วยโภชนบำบัด. พิมพ์ครังที่2. กรุงเทพฯ. : กำรพิมพ์ดอทคอม. Bass Stanley. (2546). Sequential eating and food combing. (Online). http://www.drbass.com/sequential.html, 10 มีนำคม 2561

209


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-20 กำรประยุกต์ใช้หลักกำรแพทย์วิถีธรรมร่วมกับหลักกำรแพทย์แผนปัจจุบันสำหรับกำรดูแลรักษำผู้ป่วยโรคไต เรื้อรัง จังหวัดกำฬสินธุ์ THE APPLICATION OF BUDDHIST MEDICINE WITH CONVENTIONAL MEDICINE FOR CHRONIC KIDNEY DISEASE TREATMEN, KALASIN PROVINCE เอม จันทร์แสน1, สุธีรำ อินทเจริญศำนต์2, และ รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์3 1 2 3

นักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรนิ ทร์

บทคัดย่อ กำรศึกษำครังนีเป็นกำรวิจัยเชิงวิเครำะห์แบบภำคตัดขวำง (Cross-sectional analytic research) มี วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเอง และค่ำอัตรำกำรกรองของไต (eGFR) ก่อนและหลัง ทำกำรศึกษำในผู้ป่วยโรคไตเรือรัง ระหว่ำงกลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบันและกลุ่มที่รักษำโดยใช้แพทย์แผน ปัจจุบันร่วมกับแพทย์วิถีธรรม ที่มำรับบริกำรโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบล (รพ.สต.) ในจังหวัดกำฬสินธุ์ ช่วง เดือนมกรำคม 2560 ถึง เดือนพฤศจิกำยน 2560 จำนวน 4 รพ.สต. จำนวน 76 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่ำงเข้ำศึกษำ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม 1) กลุ่มที่ใช้แนวทำงร่วมคัดเลือกแบบเจำะจงตำมคุณสมบัติที่กำหนด จำนวน 38 คน แล้วเลือก กลุ่มที่ใช้แนวทำงเดียวกันด้วยกำรจับคู่ (match pair) อีก 38 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถำมข้อมูลทั่วไป แบบสอบถำมพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเอง วิเครำะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนำ และเปรียบเทียบระหว่ำงกลุ่มด้วย สถิติ Independent sample t – test ผลกำรศึกษำ พบว่ำ ค่ำเฉลี่ยพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองของกลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับ แพทย์วิถีธรรมสูงกว่ำกลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบัน อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.01 และค่ำ eGFR ก่อน ทำกำรศึกษำทังสองกลุ่มมีค่ำไม่แตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 หลังทำกำรศึกษำกลุ่มที่รักษำโดย แพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับแพทย์วิถีธรรมมีค่ำ eGFR สูงกว่ำกลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบัน อย่ำงมีนัยสำคัญทำง สถิติที่ระดับ 0.01 โดยสรุปกลุ่มผู้ป่วยโรคไตเรือรังที่ใช้หลักกำรแพทย์วิถีธรรมร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันในกำรรักษำ มีค่ำเฉลี่ยของพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองและค่ำ eGFR สูงกว่ำกลุ่มผู้ป่วยโรคไตเรือรังที่ใช้แพทย์แผนปัจจุบันเพียง อย่ำงเดียวในกำรรักษำอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ ดังนัน ควรนำแนวทำงกำรดูแลสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ไปประยุกต์ใช้ร่วมกับแนวทำงของแพทย์แผนปัจจุบันในกำรส่งเสริมสุขภำพและดูแลผู้ป่วยโรคไตเรือรังในระยะยำว ต่อไป คำสำคัญ : พฤติกรรมการจัดการตนเอง, ผู้ป่วยโรคไตเรือรัง, การแพทย์วิถีธรรม

210


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Abstract This study was the cross-sectional analytic research which aimed to compare selfmanagement behaviors and estimated glomerular filtration rate (eGFR), between patients with chronic kidney disease (CKD) who received conventional medicine group and conventional medicine cooperated with Buddhist medicine group. This study conducted in 4 Health Promoting Hospital, Kalasin Province since January 2017 to November 2017. The samples consisted of 76 patients by purposive sampling according to inclusion criteria. They were assigned into an experimental group and compared group by using match pair, 38 patients per each group. The research instruments were rating-scale questionnaires. Descriptive statistics and independent sample t – test were used to analyze the data. The results of the study found that the mean score of self-management behavior of the Buddhist medicine cooperated with conventional medicine group had higher than the conventional medicine group (p<0.001). The eGFR levels of both groups before implementation were not significant differences at 0.05. However, after implementation there were significant differences at 0.01. In conclusion, the self-management by Buddhist Medicine with Conventional Medicine in chronic kidney disease could increase the average scores of self-management behaviors and eGFR levels. Thus, the principles of health care according to Buddhist Medicine should be applied to health care promotion and prolonged care for CKD patients. Keywords : Self-management behaviors, Chronic kidney disease, Buddhist medicine บทนำ โรคไตเรือรัง (Chronic kidney disease, CKD) เป็นปัญหำสำธำรณสุขระดับโลกรวมทังในประเทศไทย เนื่องจำกเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของกำรเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และมีกำร ดำเนินของโรคไปสู่โรคไตวำยเรือรังระยะสุดท้ำย (end-stage renal disease, ESRD) ที่ต้องได้รับกำรรักษำด้วยกำร บำบัดทดแทนไตและกำรปลูกถ่ำยไต (renal replacement therapy) โดยในปี 2560 คนไทยป่วยเป็นโรคไตเรือรัง ร้อยละ 17.6 ของประชำกร หรือประมำณ 8 ล้ำนคน มีผู้ป่วยรำยใหม่เพิ่มขึนปีละประมำณ 10,000 คน คำดว่ำ อำจจะต้ องใช้งบประมำณในกำรดู แลผู้ ป่ว ยโรคไตเรื อรังกว่ ำ 17,000 ล้ำ นบำท ซึ่ งสู งที่สุ ดในบรรดำโรคเรื อรั ง (สำนักงำนหลักประกันสุขภำพ. 2559 : ออนไลท์) กำรดูแลรักษำที่เหมำะสมในผู้ป่วยกลุม่ นีคือกำรชะลอกำรเสือ่ มของไต ไม่ให้โรคดำเนินเข้ำสู่ระยะสุดท้ำย ช่วยลดควำมรุนแรงของโรค และภำวะแทรกซ้อน โดยส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีกำรปรับแบบแผนกำรดำเนินชี วิต ควบคุม อำหำร ควบคุมควำมดันโลหิต และควบคุมกำรรับประทำนยำตำมแบบแผนกำรักษำของแพทย์ ซึ่งแนวทำงปฏิบัติ เหล่ำนีผู้ป่วยโรคไตเรือรังจำเป็นต้องรับผิดชอบในกำรจัดกำรตนเองที่เหมำะสม (สุนิสำ สีผม. 2556 : 12) แพทย์วิถี ธรรมถือเป็นแพทย์ทำงเลือกที่มุ่งเน้นไปที่กำรสนับ สนุนกำรจัดกำรตนเองด้วยกำรดูแลสุขภำพแบบองค์รวม ผล กำรศึกษำในกำรประยุกต์ใช้ พบว่ำ เฉลี่ยร้อยละ 80 ของผู้เจ็บป่วยไม่ว่ำจะเป็นโรคติดเชือหรือไม่ติดเชือที่ใช้วิธีกำร ดังกล่ำว อำกำรเจ็บป่วย และผลกำรตรวจทำงห้องปฏิบัติกำรที่ผิดปกติที่สำคัญ เช่น นำตำลในเลือด ไขมันในเลือด

211


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ควำมดันโลหิต สำรเคมีในเลือด กำรทำงำนของตับ นำหนัก เป็นต้น จะมีทิศทำงเปลี่ยนแปลงเข้ำหำปกติ ภำยใน 5-7 วัน (ใจเพชร กล้ำจน. 2553 : 130) แนวทำงของแพทย์วิถีธรรมจึงเป็นอีกหนึ่งแนวทำงที่เหมำะต่อกำรประยุกต์ใช้ เป็นรูปแบบกำรดูแลผู้ป่วยโรคไตเรือรัง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลดค่ำใช้จ่ำยในกำรดูแลรักษำผู้ป่วย สำนักงำนสำธำรณสุขจังหวัดกำฬสินธุ์ ได้ให้ควำมสำคัญในประเด็นปัญหำผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรือรัง ด้วยกำรนำองค์ควำมรู้แพทย์วิถีธรรมมำใช้ในกำรดูแลสุขภำพร่วมกับแนวทำงแพทย์แผนปัจจุบัน ได้ดำเนินกำร โครงกำรคลินิกฟื้นฟูไตด้วยหลักกำรแพทย์วิถีธรรม โดยดำเนินกำรร่วมกับ รพ.สต.ต่ำงๆใน จ.กำฬสินธุ์ ซึ่งเป็นหน่วย ให้บริกำรจัดกิจกรรมกำรส่งเสริมกำรดูแลสุขภำพและสนับสนุนกำรจัดกำรตนเองด้วยกำรดูแลสุขภำพแบบองค์รวม ตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมให้กับผู้ป่วยโรคไตเรือรังที่มีควำมสนใจ ซึ่งได้ดำเนินโครงกำรมำตังแต่ต้นปี 2560 แต่ เนื่องด้วยกำรจัดกำรตนเองต่อปัญหำอำกำรของผู้ป่วยโรคไตเรือรังเป็นกำรดูแลสุขภำพแบบคู่ขนำนไปพร้อมกับ แนวทำงแผนปัจจุบัน ประกอบกับทังสองแนวทำงมีแนวคิดทฤษฏีบำงอย่ำงแตกต่ำงกัน ทำให้ไม่สำมำรถสรุปได้ ชัดเจนว่ำประสิทธิผลของกำรรักษำเกิดจำกแผนใด ด้วยเหตุนี ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษำผลกำรประยุกต์ใช้แพทย์วิถีธรรมร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบั นในกำร รักษำผู้ป่วยโรคไตเรือรัง ของจังหวัดกำฬสินธุ์ ด้วยกำรศึกษำด้ำนพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองของกลุ่มที่ใช้กำรรักษำ โดยแพทย์แผนปัจจุบันเพียงอย่ำงเดียวและกลุ่มที่ประยุกต์ใช้หลักกำรแพทย์วิถีธรรมร่วมกับกำรรักษำโดยแพทย์แผน ปัจจุบันของโครงกำรคลินิกฟื้นฟูไตด้วยหลักกำรแพทย์วิถีธรรม จังหวัดกำฬสินธุ์ เพื่อเป็นแนวทำงในกำรพัฒนำ รูปแบบกำรดูแลปัญหำสุขภำพผู้ป่วยไตเรือรังให้มีคุณภำพชีวิตที่ดี วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรือรัง กลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผน ปัจจุบันและกลุ่มที่รักษำโดยใช้แพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับแพทย์วิถีธรรม 2. เพื่อเปรียบเทียบค่ำอัตรำกำรกรองของไต (eGFR) ก่อนและหลังทำกำรศึกษำของผู้ป่วยโรคไตเรือรัง ระหว่ำงกลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบันและกลุ่มที่รักษำโดยใช้แพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับแพทย์วิถีธรรม นิยำมศัพท์ ผู้ป่วยโรคไตเรือรัง หมำยถึง ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่อำยุ 35 ปีขึนไป ที่ได้รับกำรวินิจฉัยจำกแพทย์ว่ำเป็นโรคไต เรือรัง (ระยะก่อนบำบัดทดแทนไต หรือในระยะที่ 2-4) โดยมีอัตรำกรองของไต (eGFR) <60 มล./นำที/1.73 ตำรำง เมตร ติดต่อกันเกิน 3 เดือน ที่เข้ำรับกำรรักษำในคลินิกโรคไตโรงพยำบำลกำฬสินธุ์ และโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพ ตำบลภำยในจังหวัดกำฬสินธุ์ กำรรักษำแพทย์แผนปัจจุบัน หมำยถึง กำรให้กำรรักษำพยำบำลแนะนำให้คำปรึกษำ สนับสนุนกำร จัดกำรตนเอง ตำมแนวทำงแพทย์แผนปัจจุบันแก่ผู้ป่วยโรคไตเรือรังที่เข้ำรับกำรรักษำจำกคลินิกโรคไตโรงพยำบำล กำฬสินธุ์ และโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลภำยในจังหวัดกำฬสินธุ์ กำรรักษำแพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับแพทย์วิถีธรรม หมำยถึง กำรบูรณำกำรองค์ควำมรู้หลักกำรแพทย์วถิ ี ธรรม เพื่อกำรรักษำพยำบำลแนะนำให้คำปรึกษำ สนับสนุนกำรจัดกำรตนเองให้กับผู้ป่วยโรคไตเรือรัง โดยเจ้ำหน้ำที่ โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลภำยในจังหวัดกำฬสินธุ์ eGFR (estimated Glomerular Filtration Rate : eGFR) คือ ค่ำวัดกำรทำงำนของไต หรืออัตรำกรอง ของเลือดที่ผ่ำนไตออกมำเป็นปัสสำวะ เป็ นตัวบ่งบอกกำรทำงำนของไต ประมำณจำกกำรคำนวณตัวแปรต่ำงๆ

212


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ได้แก่ ระดับค่ำครีเอตินีนในเลือด เพศ และอำยุของผู้ป่วยโรคไตเรือรัง โดยใช้สูตร CKD-EPI (Chronic Kidney Disease Epidemiology Collaboration equation) โดยค่ำปกติอยู่ที่ประมำณ 100 มล./นำที วิธีดำเนินกำรวิจัย รูปแบบกำรวิจัย กำรศึกษำครังนี เป็นงำนวิจัย กำรวิจัยเชิงวิเครำะห์แบบภำคตัดขวำง ศึกษำเปรียบเทียบผลของกำร ประยุกต์ใช้หลักกำรแพทย์วิถีธรรมร่วมกับกำรแพทย์แผนปัจจุบันในกำรรักษำผู้ป่วยโรคไตเรือรัง ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกร คือ ผู้ป่วยโรคไตเรือรัง อำยุตังแต่ 35 ปีขึนไป ที่มำรับบริกำรโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพ ตำบล (รพ.สต.) ในจังหวัดกำฬสินธุ์ ในช่วงเดือนมกรำคม พ.ศ. 2560 ถึง พฤศจิกำยน พ.ศ. 2560จำนวน 664 คน กลุ่มตัวอย่ำง ประกอบด้วย กลุ่มที่ได้รับกำรสนับสนุนกำรจัดกำรตนเองด้วยหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน คัดเลือกโดยใช้เกณฑ์คัดเข้ำ คือ 1) มีอัตรำกรองของไตอยู่ระหว่ำง 15 – 89 มล./นำที/ 1.73 m2 อย่ำงน้อย 3 เดือน 2) ได้ผ่ำนกำรเข้ำค่ำยฝึกอบรมสนับสนุนกำรจัดกำรตนเองด้วยหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ร่วมกับกำรแพทย์แผนปัจจุบัน ในช่วงเดือนมกรำคม พ.ศ. 2560 ถึง พฤศจิกำยน พ.ศ. 2560 โดยคัดเลือกแบบ เจำะจงเฉพำะ รพ.สต. ที่ให้กำรฝึกอบรบผู้ป่วยโรคไตและมีกำรติดตำมผู้ป่วยอย่ำงต่อเนื่องมีจำนวน 4 รพ.สต. ได้แก่ (1) รพ.สต. ท่ำไคร้ อ.เมือง (2) รพ.สต. โพนทอง อ.เมือง (3) รพ.สต. ฝำยแตก อ.เมือง และ (4) รพ.สต. นำคู อ.นำคู 3) มีพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองอย่ำงสม่ำเสมอตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม 5 ข้อ จำกทังหมด 9 ข้อ ที่มีแนวทำง สอดคล้องกับแนวคิดทฤษฏีกำรจัดกำรตนเองในผู้ป่วยโรคไตที่ผู้ศึกษำได้ทบทวนวรรณกรรมร่วมกับแพทย์แผน ปัจจุบัน ประกอบด้วย ได้แก่ (1) กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุ ล (2) กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลร่ำงกำย (3) กำรออกกำลังกำย กดจุดลมปรำณ โยคะ กำยบริหำรที่ถูกต้อง (4) ใช้พุทธะ ละบำป บำเพ็ญบุญ เพิ่มพูนใจไร้ กังวล (5) รู้พักรู้เพียรให้พอดี กำรเพียรพอดีพักพอดี โดยกลุ่มตัวอย่ำงมีควำมยินดีที่จะเข้ำร่วมกำรศึกษำวิจัย และไม่ มีควำมผิดปกติด้ำนกำรรับรู้ ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่ำงที่เข้ำเงื่อนไขทังหมด 38 คน ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบที่รักษำด้วย แพทย์แผนปัจจุบัน คัดเลือกโดยวิธีเปรียบเทียบปัจจัยต่ำงๆ เป็นรำยคู่ (Matched Pair) กับกลุ่มที่ใช้ร่วมกันสอง แนวทำง ได้แก่ 1) ระยะกำรเป็นโรคไต 2) เพศ และ 3) ช่วงอำยุ จำนวน 38 คน รวมกลุ่มตัวอย่ำงที่ศึกษำทังสอง กลุ่มเป็นจำนวน 76 คน ด้ำนเกณฑ์คัดออก ประกอบด้วย 1) ผู้ป่วยที่มีภำวะไตวำยแบบเฉียบพลัน และผู้ป่วย CKD เข้ำสู่ระยะที่ 5 ในช่วงทำกำร ศึกษำ 2) ผู้ป่วยที่ไม่สำมำรถติดตำมได้ในช่วงทำกำรศึกษำและข้อมูลเวชระเบียนไม่ สมบูรณ์ 3) ผู้ป่วยขอถอนตัวระหว่ำงกำรศึกษำหรือมีอำกำรรุนแรงไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูลได้อย่ำงสมบูรณ์ เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย 1. แบบสอบถำมข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยและผลตรวจทำงห้องปฏิบัติกำร (ค่ำ eGFR) 2. แบบสอบพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเอง ประกอบด้วย กำรรับประทำนยำ กำรควบคุมอำหำร กำรออก กำลังกำย และกำรควบคุมกำรดื่มนำ โดยแบบสอบถำมผ่ำนกำรทดสอบควำมตรงด้ำนเนือหำจำกผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่ำน และทดสอบคำนวณค่ำ ดัชนีควำมตรงเชิงเนือหำ (Index of Item Objective Conclusion : IOC) โดยมีค่ำอยู่ระหว่ำง 0.70 ถึง 1.00 และ หำค่ำควำมเที่ยงในกำรใช้เครื่องมือโดยวิธี Cronbanch Alpha’s coefficient ของแบบสอบถำม แบบสอบถำม พฤติกรรมกำรจัดกำรตนเอง มีค่ำควำมเชื่อมั่นเท่ำกับ 0.89 และส่งให้คณะกรรมกำรพิจำรณำจริ ยธรรมเพื่อ

213


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตรวจสอบและได้ผ่ำนกำรรับรองจำกคณะกรรมกำรจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์ของมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ เลขที่ HE-SRRU2-0004 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล 1. เสนอโครงร่ำงวิจัยเพื่อขออนุมัติดำเนินโครงกำรวิจัยต่อคณะกรรมกำรพิจำรณำจริยธรรมกำรวิจัยใน คนของมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ ภำยหลังได้รับกำรรับรองจำกคณะกรรมกำรพิจำรณำจริยธรรมกำรวิจัย 2. หลังได้รับอนุญำตให้ดำเนินกำรวิจัย ประสำนขอหนังสือขอนุญำต และอนุเครำะห์จำกบัณฑิต วิทยำลัยมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ เพื่อส่งหนังสือถึงนำยแพทย์สำธำรณสุขจังหวัดกำฬสินธุ์ ซึ่งมีข้อควำมชีแจ ง กระบวนกำรศึกษำวิจัย ขอควำมอนุเครำะห์ข้อมูล และควำมร่วมมือจำกเจ้ำหน้ำที่ทีมสุขภำพที่เกี่ยวข้องกับงำนกำร ดูแลรักษำผู้ป่วย CKD โดยมีกำรได้รับอนุมัติเป็นลำยลักษณ์อักษร 3. หลังจำกได้รับหนังสืออนุญำตจำกนำยแพทย์สำธำรณสุขจังหวัดกำฬสินธุ์ ผู้วิจัยพบหัวหน้ำงำนที่ เกี่ยวข้องกับงำนกำรดูแลรักษำผู้ป่วย CKD ตำม รพ.สต.ต่ำงๆ ในจังหวัดกำฬสินธุ์ที่มีกำรนำแนวทำงแพทย์วิถีธรรม ไปด ำเนิน กำรใช้ร่ ว มกั บ แผนปั จ จุ บัน อย่ ำ งต่อ เนื่ อ ง แนะน ำตั ว ผู้ ท ำวิจั ย ชี แจงวั ต ถุ ป ระสงค์ รำยละเอีย ด เพื่ อ ประสำนงำนในกำรดำเนินกำรขอข้อมูล และขอสัมภำษณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกำรศึกษำครังนี 4. เลือกตัวอย่ำงตำมคุณสมบัติที่กำหนด โดยคัดกรองข้อมูลเวชระเบียนและพฤติกรรมกำรจัดกำร ตนเองเบืองต้นของผู้ป่วยที่ใช้แนวทำงแพทย์แผนปัจจุบันกั บแพทย์วิถีธรรม ที่มำรับกำรรักษำที่ รพ.สต. ต่ำงๆ จำก กำรประเมินโดยเจ้ำหน้ำที่สำธำรณสุขเป็นรำยบุคคล ส่วนกำรเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินกำรในช่วงที่มีกำรนัดพบ ผู้ป่วยประจำเดือนในแต่ละพืนที่ ก่อนสัมภำษณ์ ดำเนินกำรชีแจงวัตถุประสงค์ ข้อตกลง เงื่อนไขต่ำงๆ เช่น กำร พิทักษ์สิทธิ และประโยชน์ให้ผู้ป่วยรับทรำบ แล้วขออนุญำตสัมภำษณ์ผู้ป่วยที่ยินดีเข้ำร่วมกำรศึกษำวิจัยครังนี นอกจำกนันมีกำรนัดสัมภำษณ์ผู้ป่วยโดยนัดรวมตัวกันที่วัด หรือศำลำประชุมประจำหมู่บ้ำน รวมทังขอนัดสัมภำษณ์ ที่บ้ำนผู้ป่วยโดยตรงในกรณีไม่สะดวกต่อกำรเข้ำร่วมในช่วงนัดพบประชุม 5. ประสำนงำนกับเจ้ำหน้ำที่ใน รพ.สต. ต่ำงๆ และชีแจงรำยละเอียดกำรปฏิบัติตำมหลักจริยธรรมกำร วิจัยในคนเพื่อขอเก็บข้อมูลผลตรวจทำงห้องปฏิบัติกำรของกลุ่มตัวอย่ำงทุกคน ในช่วงระยะเวลำ 1 ปี คือ (1) ผล ตรวจช่วงปลำยปี 2559 และ (2) ผลตรวจปลำยปี 2560 เพื่ อใช้เปรียบเทียบภำวะสุขภำพทำงร่ำงกำยก่อน และ หลังจำกใช้กำรแพทย์วิถีธรรมร่วมกับแนวทำงแพทย์แผนปัจจุบัน กำรวิเครำะห์ข้อมูล วิเครำะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนำ ได้แก่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ค่ำต่ำสุดและ ค่ำสูงสุด วิเครำะห์กำรเปรียบเทียบด้วยสถิติ Independent sample t – test

214


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ผลกำรวิจัย ตำรำงที่ 1 กำรวิเครำะห์พฤติกรรมกำรจัดกำรตนเอง ตัวแปร พฤติกรรมสุขภำพ กำรควบคุมอำหำร กำรทำนยำ กำรควบคุมกำรดื่มนำ กำรออกกำลังกำย

̅ 109.71 40.92 29.89 13.37 25.53

กลุ่มที่รักษำโดย แพทย์แผนปัจจุบัน S.D. 11.22 4.33 0.39 2.68 6.04

ระดับ ปำนกลำง ปำนกลำง สูง ปำนกลำง ปำนกลำง

กลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับ แพทย์วิถีธรรม S.D. ระดับ ̅ 144.08 8.15 สูง 61.45 4.01 สูง 24.74 2.52 สูง 22.00 3.37 สูง 35.8 4.10 สูง

จำกตำรำงที่ 1 พบว่ำ พฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองโดยรวมกลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบัน อยู่ใน ระดั บ ปำนกลำง (109.71±11.22) เมื่ อ วิ เ ครำะห์ ร ำยด้ ำ น พบว่ ำ กำรควบคุ ม อำหำรอยู่ ใ นระดั บ ปำนกลำง (40.92±4.33) กำรทำนยำอยู่ในระดับสูง (29..89±0.39) กำรควบคุมกำรดื่มนำในระดับปำนกลำง (13.37±2.68) และกำรออกกำลังกำยอยู่ในระดับปำนกลำง (25.53±6.04) กลุ่มที่รักษำโดยใช้แพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับแพทย์วิถี ธรรมมีพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองโดยรวมอยู่ในระดับสูง (144.08±8.15) เมื่อวิเครำะห์รำยด้ำน พบว่ำ กำรควบคุม อำหำรอยู่ในระดับสูง (61.45±4.01) กำรทำนยำอยู่ในระดับสูง (24.74±2.52) กำรควบคุมกำรดื่มนำอยู่ในระดับสูง (22.00±3.37) และกำรออกกำลังกำยอยู่ในระดับสูง (35.89±4.10) ตำรำงที่ 2 ผลกำรเปรียบเทียบพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรือรัง กลุ่ม กลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบัน กลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับแพทย์ วิถีธรรม

n 38 38

̅ 109.71 144.08

S.D. 11.22 8.15

ระดับ ปำนกลำง สูง

t 15.276

p <0.001

จำกตำรำงที่ 2 พบว่ำ ค่ำเฉลี่ยพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองของกลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบัน ร่วมกับแพทย์วิถีธรรมสูงกว่ำกลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบัน อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.01 ตำรำงที่ 3 ผลกำรเปรียบเทียบค่ำอัตรำกำรกรองของไต (eGFR) ก่อนกำรศึกษำ กลุ่ม กลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบัน กลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับแพทย์วิถธี รรม

n 38 38

̅ 59.80 61.53

S.D. 18.45 18.56

t -0.408

p 0.685

จำกตำรำงที่ 3 พบว่ำ ค่ำกำรทำงำนของไต (eGFR) ก่อนทำกำรศึกษำทังสองกลุ่มมีค่ำไม่แตกต่ำงกัน อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05

215


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 4 ผลกำรเปรียบเทียบค่ำอัตรำกำรกรองของไต (eGFR) หลังกำรศึกษำ กลุ่ม กลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบัน กลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับแพทย์วิถธี รรม

n 38 38

̅ 53.71 75.19

S.D. 17.62 28.07

t 3.996

p <0.001

จำกตำรำงที่ 4 พบว่ำ หลังทำกำรศึกษำกลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับแพทย์วิถีธรรมมีค่ำ eGFR สูงกว่ำกลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบัน อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.01

ภำพที่ 1 ค่ำอัตรำกรองของไต (eGFR) ก่อนและหลัง หมำยเหตุ : ค่ำ eGFR ก่อน หมำยถึง ผลตรวจทำงห้องปฏิบัติกำรช่วงเดือนพฤศจิกำยน – ธันวำคม 2559 ค่ำ eGFR หลัง หมำยถึง ผลตรวจทำงห้องปฏิบัติกำรช่วงเดือนพฤศจิกำยน – ธันวำคม 2560 สรุปผลกำรวิจัย กลุ่มผู้ป่วยโรคไตเรือรังที่ใช้หลักกำรแพทย์วิถีธรรมร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันในกำรรักษำ มีคำ่ เฉลีย่ ของ พฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองและค่ำ eGFR สูงกว่ำกลุ่มผู้ป่วยโรคไตเรือรังที่ใช้แพทย์แผนปัจจุบันเพียงอย่ำงเดียวใน กำรรักษำอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ วิจำรณ์ผลกำรวิจัย ผลกำรศึกษำครังนี พบว่ำ พฤติกรรมกำรจัดกำรตนเอง ภำวะสุขภำพและอัตรำกำรกรองของไต (eGFR) หลังของผู้ป่วยโรคไตเรือรังของกลุ่มที่รักษำโดยใช้แพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับแพทย์วิถีธรรมสูงกว่ำกลุ่มที่รักษำโดยใช้ แพทย์แผนปัจจุบัน อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.01 สอดคล้องกับกำรศึกษำของ ใจเพชร กล้ำจน (2558 : 362) ได้รวบรวมข้อมูลสุขภำวะของผู้ใช้กำรแพทย์วิถีธรรม ในผู้ป่วยกลุ่มโรคไตทังภำวะไตอักเสบเรือรัง และภำวะไต

216


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วำยเฉียบพลันทังผู้ที่ได้รับกำรฟอกไตไม่ได้ฟอกไต จำนวนทังหมด 49 คน สอดคล้องกับงำนวิจัยของ สุรดำ โพธิ์ทอง (2554 : 74) เรื่องผลของโปรแกรมกำรจัดกำรตนเองต่อพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองและตัวชีวัดทำงคลินิกของผู้ป่วย โรคไตเรือรังจำกเบำหวำน มีพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเอง ได้แก่ พฤติกรรมกำรควบคุมอำหำร พฤติกรรมกำรออก กำลังกำย พฤติกรรมกำรใช้ยำ และภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำยโดยใช้ตัวชีวัดทำงคลินิกของกลุ่มทดลอง ภำยหลังได้รับ โปรแกรมกำรจัดกำรตนเองดีกว่ำก่อนได้รับโปรแกรม อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 สอดคล้องกับกำรศึกษำ ของ แสงระวี มณีศรี. (2553 : 77) เรื่องปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรือรัง พบว่ำ กำรดูแลรักษำที่เหมำะสมในผู้ป่วยกลุ่มนีคือกำรชะลอกำรเสื่อมของไต ไม่ให้ดำเนินกำรสู่ระยะสุดท้ำยอย่ำง รวดเร็ว ช่วยลดควำมรุนแรงของโรค และภำวะแทรกซ้อนที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตโดยเฉพำะโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งขึนอยู่กับพฤติกรรมสุขภำพของผู้ป่วยเองทังสิน ดังนันกลยุทธ์ที่เหมำะสมจะนำมำใช้ในกำรดูแลผู้ป่วยโรคไตเรือรัง คือ กำรจัดกำรตนเอง (self-management) ด้วยกำรพัฒนำกิจกรรมหรือโปรแกรมที่เหมำะสม โดยปัจจัยกำรรับรู้ ควำมสำมำรถในกำรควบคุมหรือกำรรักษำควำมเจ็บป่วย มีควำมสัมพันธ์สูงสุด (r = 0.558, p < .001) ส่วนด้ำนกำร ออกกำลังกำยสอดคล้องกับกำรศึกษำของ Joao L. et al. (2014 : 2126) ได้ศึกษำผลของกำรออกกำลังกำยต่อกำร ป้องกันกำรอักเสบในผู้ป่วย CKD ด้วยกำรวิจัยเชิงทดลองเปรียบเทียบสองกลุ่ม แล้วติดตำมผลเลือด ในช่วง 6 เดือน พบว่ำ กลุ่มที่มีกำรออกกำลังกำยค่ำผลเลือดของเม็ดเลือดขำวประเภทต่ำงๆ มีค่ำสูงขึนและดีกว่ำกลุ่มเปรียบเทียบที่ ไม่ได้ออกกำลังกำย ดังนันกำรออกกำลังกำยจึงมีส่วนลดกำรอักเสบของไตในผู้ป่วย CKD ได้นอกจำกนันยังลดภำวะ เสี่ยงกำรเป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจได้เช่นกัน ส่วนกลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผนปัจจุบันถึงมีพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองโดยรวมอยู่ในระดับปำนกลำง โดยเฉพำะด้ำนกำรรับประทำนยำแม้จะมีกำรปฏิบัติเป็นประจำซึ่งมีค่ำคะแนนสูงกว่ำกลุ่มที่รักษำโดยแพทย์แผน ปัจจุบันร่วมกับแพทย์วิถีธรรม แต่มีพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองในกำรควบคุมอำหำรและกำรออกกำลังกำย และกำร ควบคุมกำรดื่มนำ อยู่ในระดับปำนกลำง โดยเฉพำะพฤติกรรมในกำรควบคุมอำหำรมีควำมสำคัญมำกในผู้ป่วยโรคไต รวมทังค่ำ eGFR ลดลงด้วย ดังค่ำคะแนนเกี่ยวกับกำรบริโภคเนือสัตว์ของกลุ่มนีในคำถำมข้อที่ 13 คือ ส่วนใหญ่ (อย่ำงน้อย 60%) รับประทำนเนือสัตว์ เช่น ปลำ ไข่ ไก่ หมู เป็นต้น ส่วนใหญ่ปฏิบัติในระดับประจำ (4.53±0.65) ข้อที่ 14 คือ รับประทำนโปรตีนที่มีคุณภำพต่ำในปริมำณน้อย เช่น ถั่ว ธัญพืช เต้ำหู้ ต้น ส่วนใหญ่ปฏิบัติในระดับ บ่อยครัง (4.26±0.83) และ ข้อ 15 คือ พยำยำมควบคุมกำรรับประทำนเนือสัตว์ให้อยู่ตำมเกณฑ์ที่เหมำะสมกับ ระดับโรคไต ส่วนใหญ่ปฏิบัติในระดับนำนๆ ครัง (1.74±0.83) สอดคล้องกับกำรศึกษำของ ไนท์ และคนอื่นๆ (Knight et al. 2003 : 46) พบว่ำ กำรบริโภคเนือสัตว์เพิ่มขึนจะมีควำมสัมพันธ์กับกำรลดลงของค่ำ eGFR หรือกำร เปลี่ยนจำกกำรบริโภคอำหำรเนือสัตว์ที่มีพืชผักรวมอยู่ด้วย (1.0 ถึง 1.3 กรัม/กก./วัน) ไปเป็นกลุ่ม Vegan (ไม่ บริโภคผลิตภัณฑ์จำกสัตว์ทุกชนิด) (0.7 กรัม/กก./วัน) มีผลให้ค่ำ eGFR ลดลงได้เช่นกัน (Lohsiriwat. 2013 : 97) รวมทังยังไม่ส่งผลต่อระดับปริมำณโปรตีนรวม และ albumin ในผู้ป่วยโรคไตที่มีเบำหวำนร่วมด้วย กำรศึกษำของ แจ็ค และคนอื่นๆ (Jacek et al. 2017 : 495) พบว่ำ มีผลงำนวิจัยหลำยฉบับได้สรุปว่ำธำตุอำหำรที่เหมำะสมต่อ ผู้ป่วยโรคไตเรือรังในทุกระดับ คือ อำหำรที่อุดมด้วยผักผลไม้ ธัญพืช ไฟเบอร์ ปลำ ไขมันเชิงซ้อนไม่อิ่มตัว และไขมัน อิ่มตัวในปริมำณต่ำ รวมทังควรเสริมด้วยกรดอะมิโน และกรดคีโตน (s-VLPD) โดยเฉพำะในผู้ป่วยในระยะที่ 4 และ 5 ซึ่งจะส่งผลดีต่อค่ำโปรตีน ระดับควำมดันโลหิต และค่ำฮีโมโกลบิน ในคำถำมข้อที่ 12 คือ ลดหรืองดเว้นอำหำรที่มี ฟอสฟอรัสมำก เช่น ผลิตภัณฑ์จำกนมทุกรูปแบบ ไข่แดง เป็นต้น ส่วนใหญ่ปฏิบัติประจำ (4.50±0.688) และ สอดคล้องกับกำรศึกษำของ บำมินิ และคนอื่นๆ (Bamini et al. 2016 : ออนไลท์) เรื่อง ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำร บริโภคผลิตภัณฑ์จำกนมกับโรคไตเรืองรังในวัยผู้ใหญ่ พบว่ำ วัยผู้ใหญ่ที่บริโภคผลิตภัณฑ์จำกนมมีโอกำสเพิ่มกำร

217


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เสี่ยงเป็นผู้ป่วยไตเรือรังกว่ำกลุ่มเปรียบเทียบที่มีกำรบริโภคผลิตภัณฑ์จำกนมในปริมำณต่ำที่ p-value = 0.02, OR, 0.64 (95% Cl, 0.43-0.96) ข้อเสนอแนะ ควรมี ก ำรศึ ก ษำในกลุ่ ม ตั ว อย่ ำ งที่ เ ป็ น โรคเรื อรั ง อื่ น ๆ เพิ่ ม เติ ม เช่ น โรคเบำหวำน หรื อ ผู้ ป่ ว ย โรคเบำหวำนที่มีภำวะไตวำยแทรกซ้อน ตลอดจนควรมีกำรติดตำมพฤติกรรมและค่ำ ผลตรวจทำงห้องปฏิบัติกำร อย่ำงต่อเนื่องในระยะยำว ข้อเสนอแนะในกำรทำวิจัยครังต่อไป ควรศึกษำเปรียบเทียบต้นทุนค่ำใช้จ่ำยในกำรรักษำพยำบำลและ ดูแลผู้ป่วย ระหว่ำงกำรรักษำโดยใช้ หลักกำรแพทย์วิถีธรรมร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันและกำรรักษำโดยใช้แพทย์ แผนปัจจุบันเพียงอย่ำงเดียว เพื่อเป็นแนวทำงในกำรลดค่ำใช้จ่ำยด้ำนสุขภำพในครัวเรือนและภำครัฐต่อไป กิตติกรรมประกำศ ผู้วิจัยขอกรำบขอบพระคุณครูบำอำจำรย์ ที่ได้ชีนำเป้ำหมำยของกำรศึกษำวิจัย คือ กำรศึกษำเพื่อไปรับ ใช้มวลมนุษยชำติ และขอขอบพระคุณคณำจำรย์มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ทุกท่ำนที่มีส่วนร่วมในกำรให้คำปรึกษำ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่ง ดร. สุธีรำ อินทเจริญศำนต์ รวมทังประธำนมูลนิธิแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย ดร. ใจเพชร กล้ำจน จิตอำสำแพทย์วิถีธรรม และกลุ่มตัวอย่ำงทุกท่ำน ที่มีส่วนร่วมในกำรวิจัยครังนี เอกสำรอ้ำงอิง กรมสุขภำพจิต. (2558). แนวทำงกำรใช้เครื่องมือด้ำนสุขภำพจิตสำหรับบุคลำกรสำธำรณสุขในโรงพยำบำลชุน ชน (คลินกิ โรคเรื้อรัง) ฉบับปรับปรุง. พิมพ์ครังที่ 2. นนทบุรี : โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์กำรเกษตรแห่ง ประเทศไทย. ใจเพชร กล้ำจน. ( 555). “กำรวิเครำะห์โรคไต.” [ออนไลท์]. เข้ำถึงได้จำก : https://www.facebook.com/morkeawfansclub/posts/24041947275102322. สืบค้นข้อมูล 4 กรกฎำคม 2560. ใจเพชร กล้ำจน. (2558). จิตอำสำแพทย์วิถีพุทธเพื่อมวลมนุษยชำติเล่ม 1. วิทยำนิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต, สำขำวิชำ ยุทธศำสตร์กำรพัฒนำภูมิภำค (สำธำรณสุขชุมชน) มหำวิทยำลัย รำชภัฏสุริทร์. สำนักงำนหลักประกันสุขภำพ. (มปป). “สปสช. เผย 6 ปี ช่วยผู้ป่วยโรคไตเรือรังเข้ำถึงกำรรักษำ ปัจจุบันดูแลกว่ำ 2.7 หมื่นรำย.” [ออนไลท์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.nhso.go.th/ frontend/News Information Detail.aspx?newsid=OTU4. สืบค้นข้อมูล 8 กรกฎำคม 2560. สุรดำ โพธิต์ ำทอง. (2554). ผลของโปรแกรมกำรจัดกำรตนเองต่อพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองและตัวชี้วัดทำง คลินิกของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังจำกเบำหวำน. วิทยำนิพนธ์ปริญญำพยำบำลศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำกำรพยำบำลผู้ใหญ่ บัณฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลัยขอนแก่น. แสงระวี มณีศรี. (2553). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมกำรจัดกำรตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง. ปริญญำ พยำบำลศำสตรมหำบัณฑิต (กำรพยำบำลผู้ใหญ่) บัณฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลัยมหิดล.

218


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Bamini G., et al. (2016). Associations between dairy food consumption and chronic kidney disease in older adults. Sci. Rep.6 : 39532. Doi : 10.1038/srep39532. Jacek Rysz, et al. (2017). The Effect of Diet on the Survival of Patients with Chronic Kidney Disease. Nutrients. : 495-512. Joao L. et al. (2014). Evidence for Anti-Inflammatory Effects of Exercise in CKD. J Am Soc Nephrol. 25 : 2121–2130. Knight, E.I., et al. (2003). The impact of protein intake on renal function decline in women with normal renal function or mild renal insufficiency. Ann. Intern. Med. 138 : 460-467. Lohsiriwat S. (2013). Protein Diet and Estimated Glomerular Filtration Rate. Open J. Nephrol. 3 : 97-100.

219


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-21 ผลของโปรแกรมสร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรดื่มน้ำสมุนไพรปรับสมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมต่อพฤติกรรม สุขภำพและสุขภำวะของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ตำบลค้อเหนือ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร THE EFFECT OF A HEALTH PROMOTION PROGRAM WITH BALANCED HERBAL DRINK CONSUMPTION OF BUDDHIST MEDICINE ON HEALTH BEHAVIOR AND WELL-BEING OF TYPE 2 DIABETES MELLITUS PATIENTS IN KHO NUEA SUB-DISTRICT, MUEANG DISTRICT, YASOTHON PROVINCE สุชำทิพย์ โคตท่ำค้อ1 รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์2 และ สุธรี ำ อินทเจริญศำนต์3 1

สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ 3 สาขาวิชาโภชนศาสตร์และการก้าหนดอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ 2

บทคัดย่อ กำรวิจัยในครังนีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำผลของโปรแกรมสร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรดื่มนำสมุนไพรปรับ สมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมต่อพฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 เป็นกำรวิจัย แบบกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่ำงคือผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ที่รักษำในโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลดอนกลอย ตำบลค้อเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร จำนวน 80 คน เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 40 คน กลุ่ม ทดลองได้รับโปรแกรมสร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ส่วนกลุ่ม ควบคุมไม่ได้รับโปรแกรมดังกล่ ำว เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถำม วิเครำะห์ข้อมูลด้วยกำรสถิติแจกแจง ควำมถี่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ทดสอบสมมติฐำนด้วยค่ำ Paired t –test ผลกำรวิจัย พบว่ำ 1) หลังกำรทดลอง กลุ่มทดลองมีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภำพมำกกว่ำก่อนกำรทดลองและมำกกว่ำกลุ่มควบคุมอย่ำงมี นัยสำคัญทำงสถิติ 2) กลุ่มทดลองมีภำวะสุขภำพดีขึน ดังนีกลุ่มที่มีระดับนำตำลในเลือดน้อยกว่ำ 125 mg/dL เพิ่มขึน จำกร้อยละ 17.50 เป็นร้อยละ 37.50 กลุ่มที่มีระดับควำมดันโลหิตน้อยกว่ำ 139/89 mmHg เพิ่มขึน จำก ร้อยละ 52.50 เป็นร้อยละ 72.50 กลุ่มที่มีระดับ HbA1c <7 เพิ่มขึนจำกร้อยละ 17.50 เป็นร้อยละ 47.50 และ 3) กำรเปรียบเทียบภำวะสุขภำพระหว่ำงกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง พบว่ำ หลังกำรทดลอง ที่ระดับนำตำลในเลือด น้อยกว่ำ 125 mg/dL กลุ่มทดลองพบร้อยละ 42.50 ส่วนกลุ่มควบคุมพบร้อยละ 17.50 ที่ระดับควำมดันโลหิต < 139/89 mmHg กลุ่มทดลองพบร้อยละ 75 ส่วนกลุ่มควบคุมพบร้อยละ 52.50 และกำรเปรียบเทียบระดับนำตำล สะสมในเลือด (HbA1c) พบว่ำ กลุ่มทดลองมีระดับ HbA1c <7 ร้อยละ 47.5 ส่วนกลุ่มควบคุมพบร้อยละ 20 คำสำคัญ : โปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพ, น้าสมุนไพรปรับสมดุล, เบาหวานชนิดที่ 2 Abstract The purpose of this research was to investigate the effect of health promotion programs on the health status with balanced herbal drink intake of patients with type 2 diabetes

220


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

mellitus patients. The study was the quasi experimental research. Eighty patients with type 2 diabetes mellitus in the Don Koi Sub-district Health Promotion Hospital, Tambon Kho Nuea, Mueang District, Yasothon Province were divided into two groups, experimental group and control group. The experimental group received a program of health promotion by drinking balanced herbal drink, whereas control group did not receive a program. Data were collected by using questionnaire and analyzed by frequency distribution, percentage and standard deviation. The hypothesis was tested with Paired t-test. The results showed that 1) after the experiment, there was a significantly higher level of health promoting behaviors when compared with before the experiment. 2) Health status of patients was better than before weaving by groups with less than 125 mg/dL of blood glucose levels increased from 17.50% to 37.50%. Those with blood pressure less than 139/89 mmHg increased from 52.50% to 72.50%. HbA1c <7 increased from 17.50 percent to 47.50 percent. 3) Comparison of health status between experimental group and control group, blood glucose level less than 125 mg/dL after the experiment in the experimental group was 42.50%, and the control group found 17.50%. At the blood pressure <139/89 mmHg, 75.0% of the subjects were in the control group and 52.50% in the control group. Comparison of blood sugar levels (HbA1c), 47.5% in the experimental group had HbA1c <7 and 20% in the control group. Keywords: health promotion programs, balanced herbal drink, type 2 diabetes mellitus บทนำ สถำนกำรณ์โรคเบำหวำนประเทศไทยพบอัตรำตำยด้วยเบำหวำนต่อประชำกรแสนคน ในปี 2556-2558 เท่ำกับ 14.93, 17.53 และ17.83 ตำมลำดับ ซึ่งเพิ่มขึนทุกปี และจำกกำรสำรวจภำวะสุขภำพประชำชนไทยอำยุ 15 ปีขึนไป ในปี 2547, 2552 และ 2557 พบว่ำ ควำมชุกของโรคเบำหวำนเพิ่มขึนเช่นกัน และในปี 2556 พบว่ำ โรคเบำหวำนเป็นสำเหตุกำรตำยของประชำชนไทยในเพศชำยเป็นอันดับที่ 8 เพศหญิงอันดับที่ 3 และยังมีควำม สูญเสียด้ำนค่ำใช้จ่ำยในกำรรักษำพยำบำลเพิ่มขึนอีกด้วย (กรมควบคุมโรค. 2559) ในจังหวัดยโสธร พบอัตรำป่วย ด้วยโรคเบำหวำน ปี 2550 ถึง 2555 เท่ำกับ 426.65, 1154.22,1277.42, 1326.42,1421.75และ 1500.85 ตำมลำดับ และพบอัตรำป่วยรำยใหม่ด้วยโรคเบำหวำน พ.ศ. 2556 ถึง 2559 เป็น 404.20 ,378.84,397.90 และ 391.06 ตำมดับ ซึ่งไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง ส่วนอัตรำป่วยรำยใหม่ด้วยโรคเบำหวำนในตำบลค้อเหนือ อำเภอเมือง ยโสธร จังหวัดยโสธร พ.ศ. 2556 ถึง 2559 เป็น 619.35, 40.32, 516.13 และ 503.23 ตำมลำดับ (โรงพยำบำล ส่งเสริมสุขภำพตำบลดอนกลอย. 2559) จึงเห็นได้ว่ำปัญหำสุขภำพที่เกิดจำกโรคเบำหวำนส่งผลต่อภำวะสุขภำพทัง กำยและจิตใจ สังคมและเป็นปัจจัยให้เกิดควำมสูญเสียทำงเศรษฐกิจอย่ำงมำก หำกไม่ ควบคุมป้องกันและแก้ไข ปัญหำจะทำให้เกิดภำวะแทรกซ้อนส่งผลให้เกิดควำมพิกำร และเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทำให้สูญเสียค่ำใช้จ่ำย ทำงด้ำนสุขภำพและกำรสูญเสียทำงเศรษฐกิจตำมมำอย่ำงมหำศำล เนื่องจำกโรคเบำหวำนเป็นโรคเรือรังที่กำรแพทย์แผนปัจจุบันไม่สำมำรถรักษำให้หำยขำด ผู้ป่วยเบำหวำน จึงต้องรักษำต่อเนื่องด้วยกำรรับประทำนยำหรือฉีดอินซูลิน ร่วมกับกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภำพที่เหมำะสมไปตลอด

221


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ชีวิต มีกำรศึกษำผู้ป่วยเบำหวำนมีกำรแสวงหำทำงเลือกอื่นๆ มำบำบัดตนเองเสริมกับกำรรักษำของแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเฉพำะกำรใช้สมุนไพรที่มีสรรพคุ ณลดนำตำลในเลือด รำยงำนพบว่ำผู้ป่วยเบำหวำนร้อยละ 42.0 มีพฤติกรรม กำรรับประทำนสมุนไพรร่วมกับยำแผนปัจจุบัน สมุนไพรที่นิยมใช้คือ ปอปิด ยำลูกกลอน นำหมักผลไม้/เอ็นไซม์ (ฤทธิชัย พิมปำ และคณะ. 2557 : 25) นอกจำกนียังพบว่ำ ใบขีเหล็ก ใบชะพลู สำมำรถลดกำรย่อยและลดกำรดูด ซึมของไขมัน และคำร์โบไฮเดรตจึงเป็นประโยชน์ในกำรป้องกันรักษำโรคอ้วนและโรคเบำหวำนได้ (รุ่งฤดี ศรีสวัสดิ์. 2555 : 29) และจำกผลกำรศึกษำสุขภำวะของผู้ใช้กำรแพทย์วิถีธรรมตำมปัญหำควำมเจ็บป่วยด้ำนร่ำงกำย พบว่ำมี ผู้ป่วยเบำหวำนที่เข้ำค่ำยมีอำกำรดีขึนร้อยละ 55.68 (ใจเพชร กล้ำจน. 2559 : 149) ดังนันแพทย์วิถีธรรมจึงเป็นอีก ทำงเลือกหนึ่งที่ได้รับควำมสนใจจำกผู้ป่วยเบำหวำน บุคลำกรสำธำรณสุข สมุนไพรปรับสมดุลหรือนำสมุนไพรคลอโรฟิลล์สดจำกธรรมชำติเป็นยำเม็ดที่ 1 ของแพทย์ทำงเลือกวิถี ธรรม ประกอบด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น เช่น ใบย่ำนำงเขียว ใบเตย ใบบัวบก หญ้ำปักกิ่ง ใบอ่อมแซบ(เบญจรงค์) ผักบุ้ง ใบเสลดพังพอน ว่ำนกำบหอย วอเตอร์เครส เป็นต้น จะใช้อย่ำงใดอย่ำงหนึ่งหรือหลำยอย่ำงรวมกันก็ได้ ซึ่งมีควำม หลำกหลำยและเป็นพืชผักสมุนไพรที่หำได้ง่ำยในท้องถิ่น สำมำรถทำเองได้ โดยคันสดกับนำสะอำดแล้ วกรองเอำนำ สมุนไพรผสมกับนำเปล่ำดื่มก่อนอำหำร ปริมำณตำมสภำวะร้อนเย็นของร่ำงกำย นำสมุนไพรฤทธิ์เย็นจะช่วยปรับ สมดุลร่ำงกำยในผู้ป่วยเบำหวำนจำกภำวะร้อนเกิน (ใจเพชร กล้ำจน. 2554 : 317) ซึ่งองค์ควำมรู้นีแพร่หลำยในสื่อ ออนไลน์ แผ่นพับ ค่ำยอบรม ตลอดจนหน่วยงำนสำธำรณสุขหลำยแห่งได้นำองค์ควำมรู้นีไปจัดอบรมแนะนำผู้ป่วย เบำหวำน พบว่ำ นำสมุนไพรปรับสมดุลสำมำรถลดระดับนำตำลในเลือด ควำมดันโลหิต นำหนัก ไขมัน ลดลง และ กำรทำงำนของตับ และไต ดีขึน ซึ่งผลกำรใช้ยังไม่มีกำรศึกษำวิจัย ซึ่งหำกไม่มีกำรแก้ไขปัญหำดังกล่ำว ควำมสูญเสียก็จะเกิดขึนกับตัวผู้ป่วยเองรวมถึงครอบครัว และภำวะ ค่ำใช้จ่ำยของประเทศตำมมำ ผู้วิจัยซึ่งมีบทบำทหน้ำที่ส่งเสริมสุขภำพให้กับประชำชนในพืนที่ จึงสนใจในประเด็น ปัญหำ ดังนันผู้วิจัยจึงสนใจศึกษำผลของโปรแกรมสร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุลตำมหลัก แพทย์วิถีธรรมต่อพฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้ป่วยโรคเบำหวำนชนิดที่ 2 ตำบลค้อเหนือ อำเภอเมือง ยโสธร จังหวัดยโสธร โดยนำหลักกำรกำรดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุลตำมหลักแพทย์ วิถีธรรมมำประยุกต์ใช้ในกำร ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง ในกำรรักษำเบำหวำนชนิดที่ 2 เพื่อลดภำวะควำมรุนแรงของโรค รวมทังป้องกัน ภำวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึนและให้ผู้ป่วยมีคุณภำพชีวิตที่ดีสำมำรถดำรงชีวิตอยู่กับโรคเบำหวำนได้อย่ำงมีควำมสุข กับครอบครัว ชุมชน และสังคมต่อไป วัตถุประสงค์กำรวิจัย เพื่อศึกษำผลของโปรแกรมสร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุลตำมหลักกำรแพทย์วิถี ธรรมต่อพฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 วิธีดำเนินกำรวิจัย รูปแบบกำรวิจัยกำรวิจัยครังนีเป็น กำรวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Research) แบบ 2 กลุ่มทดสอบก่อนและหลังกำรทดลอง (Two Group Pre-Test Post-Test Designกลุ่มทดลอง คือกลุ่มที่เข้ำร่วม โปรแกรมสร้ำงเสริม สุขภำพด้วยกำรดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุล . กลุ่มควบคุม รับบริกำรตำมปกติเบำหวำนใน โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพดอนกลอย ตำบลค้อเหนือ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ประชำกรกลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ ในกำรศึกษำครังนี คุณสมบัติที่เลือกคือ ผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ที่รักษำในโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลดอน

222


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กลอย ตำบลค้อเหนือ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร จำนวนประชำกรทังหมด 262 คน ใช้เกณฑ์กำรประมำณ จำกจำนวนประชำกรในกำรกำหนดขนำดของกลุ่มตัวอย่ำง (บุญชม ศรีสะอำด 2535 : 38) ได้ขนำดกลุ่มตัวอย่ำง กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 40 คน รวมเป็น 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในกำรทดลองคือโปรแกรมสร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุล โดยกำร อบรมเชิงปฏิบัติกำรในกำรให้ควำมรู้ในกำรทำนำสมุนไพรปรับสมดุล และเครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้ แบบสอบถำม (Questionnaire) เกี่ยวกับคุณลักษณะประชำกร แบบสอบถำประเมินพฤติกรรมสุขภำพ ประเมิน ภำวะสุขภำพ และแบบบันทึกกำรดื่มนำสมุนไพรในกลุ่มทดลอง ผ่ำนกำรตรวจสอบคุณภำพเครื่องมือจำกผู้เชี่ยวชำญ ทัง 5 คำนวณหำสัมประสิทธิ์ควำมสอดคล้องด้วยสูตร IOC เท่ำกับ 0.60 นำไปทดสอบและหำค่ำสัมประสิทธิ์แอลฟำ ของครอนบำซ หำควำมเที่ยงของเครื่องมือ = 0.80 ดังนี สูตรนำสมุนไพรปรับสมดุล ส่วนประกอบและวิธีทำ มีดังนี คือ ผักบุ้ง 100 กรัม ใบย่ำนำง 50 กรัม อ่อมแซบ(เบญจรงค์) 100 กรัม ใบเตย 100 กรัม วอเตอร์เครส 100 กรัม ใบบัวบก 100.กรัม หญ้ำม้ำ (หรือต้นข้ำวอ่อน 100 กรัม ใบ เสลดพังพอน 100 กรัม ดังนัน ผักที่ใช้ทังหมดรวมกัน 750 กรัม ล้ำงให้สะอำด นำมำปั่นด้วยเครื่องปั่น หรือโขลก หรือขยี ผสมนำเปล่ำ 3 แก้ว (750 มิลลิลิตร) กรองผ่ำนกระช้อนหรือผ้ำขำวบำง ใส่ขวดแก้วนำไปดื่ม ปริมำณควำม เข้มข้นของสมุนไพรที่ได้ เท่ำกับ 1 กรัมต่อมิลลิลิตร ดื่มครังละประมำณ ½-1 แก้ว (150-250 มิลลิลิตร) วันละ 1-3 ครัง ก่อนอำหำร หรือตอนท้องว่ำง หรือดื่มแทนนำตอนที่รู้สึกกระหำยนำ ปริมำณกำรดื่ม และควำมเข้มข้นของ สมุนไพรอำจมำกหรือน้อยกว่ำนีก็ได้ ตำมควำมรู้สึกสุขสบำยเบำกำยมีกำลัง เก็บในตู้เย็นควรดื่มภำยใน 3 วัน ข้อควร ระวัง ผู้ป่วยที่ดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุลต้องห้ำมงดกำรรักษำด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้ วิ จั ย ได้ ท ำกำรเก็ บ รวบรวมข้ อ มู ล โดยได้ รั บ กำรอนุ ญ ำตด้ ำ นจริ ย ธรรมในกำรวิ จั ย ในมนุ ษ ย์ จำก มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ อำเภอเมืองสุรินทร์ พร้อมกำรประสำนงำนผู้อำนวยกำรโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพ ตำบลดอนกลอย อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร เพื่อขอควำมร่วมมือเป็นพืนที่ทำกำรวิจัย จำกนันประสำนงำนกับ กลุ่มเป้ำหมำยเพื่อชีแจงวัตถุประสงค์กำรวิจัยและกำรดำเนินกำรวิจัยในทุกขันตอน กำรวิเครำะห์ข้อมูล กำรวิจัยครังนีวิเครำะห์ข้อมูลโดยโปรมแกรมสำเร็จรูป โดยข้อมูลทำงสถิติเชิงพรรณนำได้แก่ กำรแจก แจงควำมถี่ ร้อยละ (Percentage) ค่ำเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (Standard Deviation) และทดสอบ สมมติฐำนด้วยสถิติ Dependent Sample t-test และ Independent Sample t-test ผลกำรวิจัย ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำง ในกลุ่มทดลอง พบว่ำ ส่วนใหญ่ มีอำยุระหว่ำง 61-70 ปี (ร้อยละ 32.50) สถำนภำพสมรสคู่ (ร้อยละ 70.00) จบกำรศึกษำระดับประถมศึกษำ (ร้อยละ 95.00) อำชีพเกษตรกรรม (ร้อยละ 35.00) มีรำยได้ต่อเดือนน้อยกว่ำ 5,000 บำท (ร้อยละ 87.50) มีประวัติกำรเจ็บป่วยของบุคคลในครอบครัวเป็น โรคเบำหวำน (ร้อยละ 55.00) ระยะเวลำกำรเจ็บป่วยด้วยโรคเบำหวำน อยู่ระหว่ำง 5 ถึง 10 ปี (ร้อยละ 70.00) ไม่มีโรคร่วมกับกำรเจ็บป่วย (ร้อยละ 65.00) ไม่มีภำวะแทรกซ้อน (ร้อยละ 100) และมีภำระในกำรเลียงบุตร (ร้อย ละ 62.50) ส่วนในกลุ่มควบคุมส่วนใหญ่มีอำยุระหว่ำง 61-70 ปี (ร้อยละ 35.00) สถำนภำพสมรสคู่ (ร้อยละ 75.00)

223


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สำเร็จกำรศึกษำระดับประถมศึกษำ (ร้อยละ 100.0) อำชีพเกษตรกรรม (ร้อยละ 62.50) มีรำยได้ต่อเดือนน้อยกว่ำ 5,000 บำท (ร้อยละ 90.00) ไม่มีประวัติกำรเจ็บป่วยของบุคคลในครอบครัวด้วยโรคเบำหวำน (ร้อยละ 42.50) ระยะเวลำกำรเจ็บป่วยด้วยโรคเบำหวำน 5 -10 ปี (ร้อยละ 67.50) ไม่มีโรคร่วมกับกำรเจ็บป่วย (ร้อยละ 67.50) ไม่มีภำวะแทรกซ้อน (ร้อยละ 100) และมีภำระในกำรเลียงบุตร (ร้อยละ 60.00) ผลกำรวิจัยพบว่ำ ภำยหลังกำรเข้ำร่วมโปรแกรมฯ กลุ่มทดลองมีพฤติกรรมดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุล ซึ่ง มีควำมเข้มข้นเท่ำกับ 1 กรัมต่อมิลลิลิตร ปริมำณครังละ ½ - 1 แก้ว (125-250 มิลลิลิตร) ดื่มวันละ 3 ครัง (ร้อยละ 37.00) รองลงมำคือ ดื่มวันละ 2 ครัง (ร้อยละ 31.00) ดื่มวันละครัง (ร้อยละ 27.00) และดื่มน้อยกว่ำวันละครัง ละครัง (ร้อยละ 5.00) ตำมลำดับ ผลกำรเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภำพใน กลุ่มทดลอง ก่อนและหลัง กำรทดลอง หลังกำรทดลอง พบว่ำ หลังกำรทดลองมีคะแนนเฉลี่ยมำกกว่ำก่อนกำรทดลอง อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ ที่ระดับ 0.05 (p –value =0.00) ทัง 4 ด้ำน ดังตำรำงที่ 1 ตำรำงที่ 1 กำรเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภำพของกลุ่มทดลองก่อนและหลังกำรทดลอง พฤติกรรมสร้ำงเสริมสุขภำพ ด้ำนกำรรับประทำนอำหำร หลังกำรทดลอง ก่อนกำรทดลอง ด้ำนกำรออกกำลังกำย หลังกำรทดลอง ก่อนกำรทดลอง ด้ำนอำรมณ์ หลังกำรทดลอง ก่อนกำรทดลอง ด้ำนกำรใช้ยำ หลังกำรทดลอง ก่อนกำรทดลอง

N

x

S.D.

t

df

p -value

40 40

3.72 0.22 3.54

0.14

10.12

39.00

0.00*

40 40

3.88 3.42

0.16 0.27

13.86

39.00

0.00*

40 40

3.42 2.88

0.10 0.26

15.65

39.0

0.00*

40 40

3.89 3.57

0.12 0.23

6.09

39.00

0.00*

ผลกำรเปรียบเทียบคะแนนเฉลีย่ พฤติกรรมสุขภำพในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม หลังกำรทดลองพบว่ำ กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยมำกกว่ำกลุ่มควบคุม อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 (p –value =0.00) ทัง 4 ด้ำน ดังตำรำงที่ 2 ตำรำงที่ 2 กำรเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภำพของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม หลังกำรทดลอง พฤติกรรมสร้ำงเสริมสุขภำพ ด้ำนกำรออกกำลังกำย กลุ่มทดลอง กลุ่มควบคุม ด้ำนกำรรับประทำนอำหำร กลุ่มทดลอง

N

x

S.D.

t

df

p -value

40 40

3.88 3.01

0.16 0.42

16.50

39.00

0.00*

40

3.72

0.14

5.21

39.00

0.00*

224


SRRU NCR2018

การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

พฤติกรรมสร้ำงเสริมสุขภำพ กลุ่มควบคุม ด้ำนกำรใช้ยำ กลุ่มทดลอง กลุ่มควบคุม ด้ำนอำรมณ์ กลุ่มทดลอง กลุ่มควบคุม

N

S.D.

x

t

df

p -value

40

3.42

0.37

40 40

3.89 3.50

0.12 0.32

4.65

39.00

0.01*

40 40

3.42 2.88

0.10 0.21

14.09

39.00

0.00*

ผลกำรศึกษำประเมินภำวะสุขภำพของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 หลังทดลอง เปรียบเทียบระดับควำม รุนแรงของโรคภำยในกลุ่มทดลอง พบว่ำ กลุ่มผู้ป่วยที่มีระดับนำตำลในเลือด 155-182 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ลดลง จำกร้อยละ 20.00 เป็นร้อยละ 12.50 เปรียบเทียบระดับควำมดันโลหิต พบว่ำ กลุ่มที่มีระดับควำมดันโลหิตน้อยกว่ำ 139/89 มิลลิเมตรปรอทเพิ่มขึนจำกร้อยละ 52.50 เป็นร้อยละ 72.50 กลุ่มที่มีระดับควำมดันโลหิต 140-159/9099 มิลลิเมตรปรอท ลดลงจำกร้อยละ 35.00 เป็นร้อยละ 27.50 กลุ่มที่มีระดับควำมดันโลหิต 160-179/100-109 มิลลิเมตรปรอท ลดลงจำกร้อยละ 12.50 เป็น ร้อยละ 0.00 และกำรเปรียบเทียบระดับนำตำลสะสม (HbA1c) พบว่ำ กลุ่มที่มีระดับ HbA1c 7 -7.9 ลดลงจำกร้อยละ 32.50 เป็นร้อยละ 25.0 และกลุ่มที่มีระดับ HbA1c >8 ลงลงจำกร้อยละ 50.0 เป็นร้อยละ 27.50 ดังตำรำงตำรำงที่ 3 ตำรำงที่ 3 ร้อยละของระดับนำตำลในเลือด ระดับควำมดันโลหิต และระดับนำตำลสะสม ของกลุ่มควบคุมและ กลุ่มทดลอง ตำมช่วงระดับควำมเจ็บป่วย เปรียบเทียบก่อนและหลังกำรทดลอง ภำวะสุขภำพ

กลุ่มป่วยระดับ 0 FBS<125(มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) BP<139/89(มิลลิเมตรปรอท) กลุ่มป่วยระดับ 1 (เล็กน้อย) FBS 125-154(มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) BP 140-159/90-99 (มิลลิเมตรปรอท) HbA1c <7 กลุ่มป่วยระดับ 2 (ปำนกลำง) FBS 155-182(มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) BP 160-179/100-109(มิลลิเมตรปรอท) HbA1c 7-7.9 กลุ่มป่วยระดับ 3 (รุนแรง) FBS ≥183มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) BP ≥180/110(มิลลิเมตรปรอท) HbA1c >8

กลุ่มทดลอง

กลุ่มควบคุม

ก่อน กำรทดลอง

หลัง กำรทดลอง

ก่อน กำรทดลอง

หลัง กำรทดลอง

42.50 52.50

37.50 72.50

42.50 75.00

35.00 35.00

20.00 35.00 17.50

30.00 27.50 47.50

32.50 22.50 20.00

20.00 52.50 20.00

20.00 12.50 32.50

12.50 0.00 25.00

10.00 0.00 27.50

25.00 10.00 17.50

17.50 0.00 50.00

20.00 0.00 27.50

15.00 2.50 52.50

20.00 2.50 62.50

225


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ผลกำรศึกษำประเมินภำวะสุขภำพของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 เปรียบเทียบระดับควำมรุนแรงของโรค ระหว่ำงกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังกำรทดลอง พบว่ำ ระดับนำตำลในเลือดน้อยกว่ำ 125 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ กลุ่มทดลองพบร้อยละ 37.50 กลุ่มควบคุมพบร้อยละ 35.00 ระดับนำตำลในเลือด 155-182 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ กลุ่มทดลองพบร้อยละ 12.50 กลุ่มควบคุมพบร้อยละร้อยละ 25.00 ระดับนำตำลในเลือด ≥183 มิลลิกรัม เปอร์เซ็นต์ กลุ่มทดลองพบร้อยละ 20.00 กลุ่มควบคุมพบร้อยละ 20.00 ตำมลำดับ กำรเปรียบเทียบระดับควำมดัน โลหิต พบว่ำ กลุ่มทดลองมีระดับควำมดันโลหิต <139/89 มิลลิเมตรปรอท ร้อยละ 75.00 กลุ่มควบคุมพบร้อยละ 52.50 ระดับควำมดันโลหิต140-159/90-99 มิลลิเมตรปรอท กลุ่มทดลองพบร้อยละ 22.50 กลุ่มควบคุมพบร้อยละ 35.00 ระดับควำมดันโลหิต 160-179/100-109 มิลลิเมตรปรอท กลุ่มทดลองพบร้อยละ 0.00 กลุ่มควบคุมพบร้อย ละ 12.50 ระดับควำมดันโลหิต ≥180/110 มิลลิเมตรปรอท กลุ่มทดลองพบร้อยละ 0.00 กลุ่มควบคุมพบร้อยละ 2.50 ตำมลำดับ และกำรเปรียบเทียบระดับนำตำลสะสมในเลือด (HbA1c) พบว่ำ กลุ่มทดลองมีระดับควำมรุนแรง ของโรคเล็กน้อย HbA1c <7 ร้อยละ 47.50 กลุ่มควบคุมพบร้อยละ 20.00 กลุ่มป่วยระดับปำนกลำง HbA1c 7 7.9 กลุ่มทดลองพบร้อยละ 25.00 กลุ่มควบคุมพบร้อยละ 17.50 กลุ่มป่วยระดับรุนแรง HbA1c >8 กลุ่มทดลองพบ ร้อยละ 27.50 กลุ่มควบคุมพบร้อยละ 62.50 สรุปผลกำรวิจัย 1. กลุ่มทดลองภำยหลังกำรเข้ำร่วมโปรแกรมสร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุลมี พฤติกรรมสุขภำพ ดีขึนกว่ำก่อนกำรทดลองและดีขึนกว่ำกลุ่มควบคุมอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 (p –value =0.00) 2. กลุ่มทดลองภำยหลังกำรเข้ำร่วมโปรแกรมสร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุล ประเมินภำวะสุขภำพขึนกว่ำก่อนกำรทดลองและดีขึนกว่ำกลุ่มควบคุม วิจำรณ์ผลกำรวิจัย อภิปรำยผลกำรวิจัยได้ว่ำ ในกำรศึกษำวิจัยผลของโปรแกรมสร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรดื่มนำสมุนไพร ปรับสมดุลต่อพฤติกรรมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ตำบลค้อเหนือ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ในครังนี ซึ่งพบว่ำ สำมำรถสร้ำงกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยได้คือ กำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อกำรส่งเสริมสุขภำพทังด้ำนกำรออกกำลังกำย กำรเลือกบริโภคอำหำรที่เหมำะสมกับสภำพกำรเจ็บป่วยของ ตนเอง ประกอบกับกำรปฏิบัติตั วด้ำนกำรกินยำอย่ำงถูกต้อง สม่ำเสมอ รวมถึงกำรดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุล ซึ่ง กิจกรรมส่งเสริมสุขภำพดังที่กล่ำวมำ เกิดจำกกำรได้รับควำมรู้แนวทำงกำรปฏิบัติและยอมรับที่จะนำไปปฏิบัติเพื่อ สร้ำงกำรเปลี่ยนแปลงให้เกิดควำมผำสุก (well being) กับตัวเอง จำกผลกำรวิจัยหลังกำรทดลองผู้ป่วยมีพฤติกรรม สุขภำพดีกว่ำก่อนกำรทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติและดีกว่ำและกลุ่มควบคุมด้วยเช่นกัน สอดคล้องกับแนวคิด ของกำรส่งเสริมสุขภำพของ สำนักงำนคณะกรรมกำรสุขภำพแห่งชำติ (2555 : 5) ที่กล่ำวว่ำ กำรส่งเสริมสุขภำพ เป็นกำรกระทำที่มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคคลมีสุขภำวะทำงกำย จิต ปัญญำและสังคม สอดคล้องกับหลักกำร ส่งเสริมสุขภำพตำมแนวทำงกำรแพทย์วิถีธรรม ที่ ใจเพชร กล้ำจน (2554 : 9) ที่กล่ำวว่ำเป็นกำรแพทย์ที่ใช้วิธีกำร ดูแลสุขภำพโดยยึดเอำหลักธรรมะจำกพระไตรปิฎก โดยนำมำบูรณำกำรควำมรู้เข้ำกับข้อดีของกำรแพทย์ แผน ทำงเลือก กำรแพทย์แผนไทยกำรแพทย์พืนบ้ำน กำรแพทย์แผนปัจจุบันและปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อใช้เป็น หลักในกำรดูแลสุขภำพแบบพึ่งตนเองในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นกำรสนับสนุนกำรส่งเสริมสุขภำพดี (Healthy) ด้วย

226


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เช่นกัน สอดคล้องกับผลกำรศึกษำของ (ฤทธิชัย พิมปำ และคณะ. (2557 : 25) ได้ทำกำรศึกษำพฤติกรรมกำร รับประทำนสมุนไพรร่วมกับยำแผนปัจจุบัน ของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 จึงพบว่ำมีกำรแสวงหำทำงเลือกอื่นๆ มำ บำบัดตนเองเสริมกับกำรรักษำของแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเฉพำะกำรใช้สมุนไพรที่มีสรรพคุณลดนำตำลในเลือดได้ เช่น มะรุม นำใบหญ้ำนำง ขมินชัน ใบมะยม ดอกคำฝอย ฟ้ำทะลำยโจร ใบเตย บอระเพ็ด รำงจืด เห็ดหลินจือ รำกเตย ใบเตย ต้นบอระเพ็ด ว่ำนชักมดลูก หัวสำมสิบ ตะไคร้ แปะตำปึง ซึ่งบำงคนใช้สมุนไพรมำกกว่ำ 1 ชนิด จำกรำยงำน พบว่ำผู้ป่วยเบำหวำนร้อยละ 42.0 มีพฤติกรรมกำรรับประทำนสมุนไพรร่วมกับยำแผนปัจจุบัน สมุนไพรที่นิยมใช้คือ ปอปิด ยำลูกกลอน และนำหมักผลไม้/เอนไซม์ นอกจำกนียังพบว่ำ ใบขีเหล็ก ใบชะพลู สำมำรถลดกำรย่อยและลด กำรดูดซึมของไขมัน และคำร์โบไฮเดรตจึงเป็นประโยชน์ในกำรป้องกันรักษำโรคอ้วนและโรคเบำหวำนได้ (รุ่งฤดี ศรี สวัสดิ์. 2555 : 29) ในกำรวิจัยในครังนี เป็นกำรทดลองให้ผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 ที่ดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุลตำม หลักแพทย์วิถีธรรมควบคู่ไปกับกำรส่งเสริมสุขภำพด้ำนอื่นๆ ทังกำรออกกำลังกำย กำรเลือกรับประทำนอำหำร และ กำรปฏิบัติตัวด้ำนอำรมณ์และควำมเครียด และสินสุดกำรทดลองพบว่ำระดับควำมรุนแรงของโรคลดลงอย่ำงชัดเจน คือระดับควำมดันโลหิตที่มีค่ำน้อยกว่ำ 139/89 มิลลิเมตรปรอท จำกเดิมมีเพียงร้อยละ 35.00 เพิ่มขึนเป็นร้อยละ 72.50 ด้ำนนำตำลในเลือดที่มีค่ำน้อยกว่ำ 125 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึนจำกร้อยละ 35.00 เป็นร้อยละ 37.50 ส่วนระดับนำตำลสะสม HbA1c ที่มีค่ำน้อยกว่ำ 7 เพิ่มขึนจำกจำกร้อยละ 20.00 เป็นร้อยละ 47.50 ทังนีอธิบำยได้ ว่ำ เป็นผลจำกกำรจัดโปรมแกรมส่งเสริมสุขภำพ ซึ่งประกอบด้วย ด้วยสมุนไพรปรับสมดุล คือกำรเลือกสมุนไพรเป็น ฤทธิ์เย็นทังหมดที่เหมำะสมกับภำวะร้อนเย็นของร่ำงกำย โดยดื่มเป็นประจำ ซึ่งกลไกขอองสมุนไพรฤทธิ์เย็น จะปรับ พิษร้อนในร่ำงกำย และควำมเย็นของสมุนไพรก็จะแผ่ไปที่เซลล์เนือเยื่อของร่ำงกำย ทำให้เส้นประสำทและเซลล์ เนือเยื่อของร่ำงกำยที่ถูกเผำจนปวด แสบ ร้อน ตึงแข็ง รวมถึงกำรป่วยด้วยโรคเบำหวำนที่เป็นภำวะร้อยภำยใน ร่ำงกำย ตับอ่อนก็จะทำงำนผิดรูปไปจำกปกติ ไม่สำมำรถทำหน้ำที่ตำมปกติได้ จึงเกิดโรคเบำหวำนได้ และเมื่อ ร่ำงกำยเย็นลง ไม่มีควำมร้อนที่มำกเกินเผำทำลำย เปรียบเสมือนลดควำมรุนแรงของโรคเบำหวำน นั่นเอง เป็นกำร แก้ไขปัญหำด้วยกำรปรับสมดุลถอนพิษที่ต้นเหตุ และหำกได้ดื่มนำสมุนไพรฤทธิ์เย็นร่วมกับ กิจกรรมส่งเสริมสุขภำพ อื่นๆ ตำมหลัก 3 อ. คือออกกำลังกำย อำหำรที่เหมำะสม และอำรมณ์ดีไม่เครียด ยิ่งจะทำให้สำมำรถลดระควำม รุนแรงของโรคเบำหวำนได้มำกขึน สอดคล้องกับผลกำรศึกษำของ เชำยัน และคณะ (Hsiao Yun,Wallis and Tiralongo. 2007 ) ที่ได้ศึกษำกำรใช้แพทย์ทำงเลือกแบบเสริมในผู้ป่วยเบำหวำน เพื่อค้นหำควำมชุกของกำรใช้ แพทย์ทำงเลือกแบบเสริมในผู้ป่วยเบำหวำนตำมแบบแผนกำรพยำบำล สำรวจ 18 งำนวิจัยจำก 9 ประเทศพบว่ำ มี กำรใช้แพทย์ทำงเลือกแบบเสริมในผู้ป่วยเบำหวำน 17-72.8% ส่วนใหญ่ใช้เสริมโภชนำกำร สมุนไพร ใช้เป็น คำแนะนำทำงโภชนำกำร บำบัดทำงจิตและกำรผ่อนคลำย ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกำรใช้แพทย์ทำงเลือกคืออำยุ ระยะเวลำกำรป่วย ระดับภำวะแทรกซ้อนและระดับนำตำลในเลือด สอดคล้องกับกำรศึกษำของ ใจเพชร กล้ำจน ที่ ได้ศึกษำกำรดูแลสุขภำพแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตำมหลักแพทย์ทำงเลือกวิถีพุทธ ของศูนย์เรียนรู้สุ ขภำพพึ่งตนตำม แนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่ำนำบุญ อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร ด้วยกำรวิจัยสำมำรถสังเครำะห์องค์ควำมรู้ ด้ำนสุขภำพ 4 เรื่องหลักได้แก่ 1) สำเหตุของควำมเจ็บป่วยตำมหลักแพทย์ทำงเลือกวิถีพุทธ 4 สำเหตุหลัก 9 สำเหตุ ย่อย 2) กลไกกำรเกิดและกำรหำยของโรค/อำกำรเจ็บป่วย ตำมหลักแพทย์ทำงเลือกวิถีพุทธ 3) กลุ่มอำกำรเจ็บป่วย ตำมหลักแพทย์ทำงเลือกวิถีพุทธ 5 กลุ่มอำกำร 4) กำรปรับสมดุลเพื่อแก้ไขปัญหำสุขภำพ ตำมหลักแพทย์ทำงเลือก วิถีพุทธในแนวทำง “3 สูตรปรับสมดุล 4 กลวิธีหลัก 9 เทคนิค” กำรวิเครำะห์ทำงสถิติจำกข้อมูล พบว่ำ ผู้ป่วยมี อำกำรของควำมเจ็บป่วยลดน้อยลง และพบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงที่มีนำตำลในเลือด ไขมันคอเลสเตอรอล และไขมัน ไตร กลีเซอไรด์สูงลดลง และปัญหำควำมเจ็บป่วยด้ำนจิตใจ เศรษฐกิจและสังคมลดน้อยลง และจำกกำรสัมภำษณ์ เชิง

227


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ลึก พบว่ำ ผู้ป่วยด้วยโรคที่แพทย์แผนปัจจุบันพยำกรณ์โรคว่ำไม่หำยหรืออำกำรเจ็บป่วยธรรมดำที่ ไม่ร้ำยแรง ก็ สำมำรถหำยหรือทุเลำได้ด้วยกำรใช้วิธีกำรตำมหลักแพทย์ทำงเลือกวิถีพุทธ สอดคล้องกับกำรสรุปบทเรียนของของ ใจเพชร กล้ำจน (2558 : 537) จำกกำรวิจัยจิตอำสำแพทย์วิถีพุทธเพื่อมวลมนุษยชำติ พบว่ำจิตอำสำแพทย์วิถีพุทธ ให้ควำมสำคัญของเทคนิคกำรปรับสมดุลร้อนเย็น หรือเทคนิคกำรดูแลสุขภำพ เทคนิคข้อที่ 1 กำรดื่มนำสมุนไพร ปรับสมดุล เป็นอันดับที่สอง รองจำกเทคนิคข้อ 8 ใช้ธรรมะ ละบำป บำเพ็ญบุญกุศล ทำจิตใจให้ผ่องใส คบมิตรดี สร้ำงสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ตัวอย่ำงข้อมูลที่น่ำสนใจจำกจิตอำสำแต่ละคน ฝึกใช้สมุนไพรที่หำได้ง่ำยตำมท้องถิ่น ในกำรรักษำโรคและอำกำรเจ็บป่วย เรียนรู้ว่ำสิ่งที่ทำให้เรำดีขึน ทำให้พึ่งตนเองได้ เรียนรู้กำรใช้สมุนไพรปรับสมดุล ใช้ทังครอบครัว ผลทำให้ทังครอบครัวมีสุขภำพดีขึน พบว่ำ ระดับนำตำลในเลือดลดลง พบผู้ป่วยมะเร็งที่ดื่ มนำ สมุนไพรฤทธิ์เย็นสด และนำปัสสำวะต่อเนื่อง 3 เดือน ไปพบแพทย์ ผลตรวจเลือดปรำกฏว่ำ ค่ำมะเร็งปกติ จำกกำรที่กลุ่มทดลองได้ดื่มนำสมุนไพรใบย่ำนำงในอัตรำส่วนควำมเข้มข้นตำมโปรแกรมที่กำหนด คือ จำนวน ½ -1 แก้วในระยะเวลำ 3 ครังต่อวัน เป็นระยะเวลำ 12 สัปดำห์ ผลปรำกฏว่ำผู้ป่วยมีภำวะสุขภำพดีขึน ทัง ระดับนำตำลและระดับควำมดันโลหิต และยังพบว่ำ ไม่มีผลข้ำงเคียงต่อร่ำงกำยแต่อย่ำงใด แสดงถึงไม่มีควำมเป็น พิษต่อร่ำงกำยมนุษย์ นับเป็น Dose สูงสุดที่คนจะได้รับจำกกำรทดลอง ซึ่งในกำรวิจัยครังต่อไป อำจมีกำรออกแบบ กำรทดลองที่มุ่งดูผลข้ำงเคียงต่อของผู้ป่วย โดยกำรออกแบบให้ดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุล โดยควบคุมสูตรหรือ ปริมำณนำสมุนไพรปรับสมดุล โดยกำรปรุงเอง ให้กลุ่มทดลองดื่มในอัตรำที่เท่ำกัน เวลำเดียวกัน โดยในระยะเวลำ ต่ำ งกั น และมี ก ำรประเมิน ผล หรือ ศึ กษำถึงน ำสมุ นไพรปรั บสมดุล ที่ ควำมเข้ มข้ น ระดั บต่ ำ งๆ มีค วำมเป็น พิ ษ (Cytotoxicity activity) ของเซลล์มนุษย์อย่ำงไร เพื่อประเมินว่ำควำมเข้มข้นที่เหมำะสมต่อร่ำงกำยมนุษย์และไม่มี ควำมเป็นพิษต่อร่ำงกำย กิตติกรรมประกำศ ขอขอบคุณผู้อำนวยกำรโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลดอนกลอย และศูนย์สุขภำพชุมชนตำบลเดิด ค่ำยบดิทรเดชำ ที่อนุเครำะห์ให้ใช้สถำนที่ในกำรเก็บข้อมูล ขอขอบคุณทีมงำนอำสำสมัครสำธำรณสุขประจำหมู่บ้ำน โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลดอนกลอย ที่ให้ควำมร่วมมือในกำรดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วยเบำหวำนในกลุ่ม ทดลอง ขอขอบคุณทีมผู้ป่วยเบำหวำนโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลดอนกลอย ที่ให้ควำมร่วมมือในกำรเข้ำกลุ่ม ศึกษำ ขอขอบพระคุณอำจำรย์ ดร.ใจเพชร กล้ำจน (หมอเขียว) ประธำนมูลนิธิแพทย์วิถี และขอขอบคุณคุณวิทยำ เพชรรัตน์ สำธำรณสุขอำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ข้อเสนอแนะ ในกำรศึกษำวิจัย ครังนี ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี 1. ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยในครังนี ในกำรดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุล ทุกคนสำมำรถนำไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวันของตนเองได้เท่ำที่มีโอกำส เพื่อป้องกันภำวกำรณ์เจ็บป่วยที่อำจจะเกิดขึนส่วนผู้ป่วยเบำหวำน หรือ ผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคอื่นๆ ที่เกิดจำกพฤติกรรมของคนสำมำรถนำไปปรับใช้ควบคู่กับกำรรักษำแพทย์แผนปัจจุบันได้ เพื่อให้ระยะควำมรุนแรงของโรคลดลง หรือหำยเป็นปกติ 2. ควรทำกำรศึกษำเรื่องกำรดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุลให้กว้ำงขึน โดยศึกษำผลของกำรดื่มนำสมุนไพร ต่อผู้ป่วยโรคอื่นๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในงำนสำธำรณสุขและลดค่ำใช้จ่ำยในกำรรักษำ

228


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

3. ควรทำกำรศึกษำเรื่องระยะเวลำในกำรดื่มนำสมุนไพรปรับสมดุลให้นำนขึนกว่ำงำนวิจัยฉบับนี และ ศึกษำถึงผลข้ำงเคียงจำกกำรใช้สมุนไพร เอกสำรอ้ำงอิง ใจเพชร กล้ำจน. (2558). จิตอำสำแพทย์วิถีพุทธเพื่อมวลมนุษยชำติ. ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญำดุษฎี บัณฑิตมหำวิทยำลัย รำชภัฏสุรินทร์.. . (2555). คู่มือค่ำยสุขภำพแพทย์วิถีธรรมสุขภำพพึ่งตนแนวเศรษฐกิจพอเพียง. มุกดำหำร : ศูนย์ สุขภำพสวนป่ำนำบุญ. ใจเพชร กล้ำจน และจิรำวัฒน์ เวชแพทย์. (2553). ควำมเจ็บป่วยกับกำรดูแลสุขภำพแนวเศรษฐกิจพอเพียงตำม หลักแพทย์ทำงเลือกวิถีพุทธของศูนย์เรียนรู้สุขภำพพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่ำนำบุญ อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร. วิทยำนิพนธ์ศิลปศำสตรมหำบัณฑิต มหำวิทยำลัยอุบลรำชธำนี. ธีรพร กทิศำสตร์ และสุรพงศ์ รัตนะ. “ผลกำรลดระดับนำตำลและไขมันในเลือด ของสำรสกัดจำกใบเบญจรงค์.” วำรสำรวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีมหำวิทยำลัยมหำสำรคำม. กำรประชุมวิชำกำรมหำวิทยำลัย มหำสำรคำมวิจัย ครังที่ 9/2558. เพ็ญศรี พงษ์ประภำพันธ์, สุวิมล แสนเวียงจันทร์ และประทีป ปัญญำ. (2553). กำรพัฒนำรูปแบบกำรส่งเสริม สุขภำพแบบองค์รวม ของผู้ป่วยเบำหวำนในชุมชนวัดปุรณำวำส. วิทยำนิพนธ์พยำบำลศำสตรมหำ บัณฑิต มหำวิทยำลัยกรุงเทพธนบุรี. วำรสำรโรคและภัยสุขภำพ สคร. 8. 2, 3 (มิถุนำยน-กันยำยน 2551). รัตนำ วิริยะกุล. (2553). กำรประยุกต์ทฤษฎีควำมสำมำรถตนเองร่วมกับแรงสนับสนุนทำงสังคมในกำรส่งเสริม สุขภำพนักงำนห้ำงสรรพสินค้ำคลังพลำซ่ำที่มีภำวะอ้วนลงพุง จังหวัดนครรำชสีมำ. วิทยำนิพนธ์ สำธำรณสุขศำสตรมหำบัณฑิต มหำวิทยำลัยรำชภัฏนครรำชสีมำ. รุ่งฤดี ศรีสวัสดิ์. ( 2555). รำยงำนผลของสำรสกัดจำกพืชสมุนไพรบำงชนิดในเขตพื้นที่มหำวิทยำลัยเทคโนโลยี สุรนำรีที่มีผลต่อเอนไซด์ไลเปส เอนไซด์อะไมเลส และเอนไซด์กลูโคสิเดรส. มหำวิทยำลัยเทคโนโลยี สุรนำรี อัจฉรำภรณ์ ดวงใจ นันทีทิพย์ ลิมเพียรชอบ ขนิษฐพร ไตรศรัทธ์ .คุณสมบัติลดโคเลสเตอรอลของสำรสกัดใบย่ำ นำงในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่เลี้ยงต่อเนื่อง Caco-2.วำรสำรนเรศวรพะเยำ. 8.2 (พ.ค.-ส.ค.2558). ฤทธิชัย พิมปำ และคณะ. (2557). พฤติกรรมกำรใช้ยำสมุนไพรของผู้ป่วยโรคเบำหวำน จังหวัดกำญจนบุรี. วำรสำรวิทยำลัยพยำบำลบรมรำชชนนีกรุงเทพ. 30(3) : 14-25. สุพิมพ์ อุ่นพรม, นุงนุช โอบะ และนุศรำ วิเศษแก้ว.(2550,มกรำคม-มิถุนำยน). “ผลของโปรแกรมกำรให้ควำมรู้ด้ำน สุขภำพต่อพฤติกรรมสร้ำงเสริมสุขภำพของประชำชนกลุ่มเสี่ยงโรคเบำหวำนวัยผู้ใหญ่.” วำรสำร พยำบำลศำสตร์ มหำวิทยำลัยนเรศวร : 100-111. วิมลรัตน์ จงเจริญและคณะ. (2551,มกรำคม-กุมภำพันธ์). “รูปแบบกำรส่งเสริมกำรดูแลตนเองเพื่อควบคุมระดับ นำตำลในเลือดของผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ .” สงขลำนครินทร์เวชสำร. 26, 1 : 73. จันทรหอม บญุญเมธำนันท และศิรชำดำ นำวชิต. (2551, มิถุนำยน-กันยำยน) “ผลของกำรให้ขอมูลด้ำนสุขภำพต่อ พฤติกรรมสรำงเสริมสุขภำพของผูป้ วยเบำหวำนในคลินิกเบำหวำน.” วำรสำรโรคและภัยสุขภำพ สคร. 8. 2, 3

229


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กนกวรรณ พรมชำติและคณะ. (2555, พฤษภำคม-สิงหำคม). “ประสิทธิผลของโปรแกรมกำรสร้ำงเสริมสุขภำพต่อ พฤติกรรมสุขภำพของนักเรียนชำวเขำเผ่ำม้ง.” วำรสำรพยำบำลและสุขภำพ. 48 ปรียำภรณ์ สวัสดิ์ศรี. (กันยำยน 2558). พฤติกรรมกำรใช้สมุนไพรและผักพืนบ้ำนในกำรลดนำตำลในเลือดของ ผู้ป่วยเบำหวำนชนิดที่ 2 โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบลเครือข่ำยโรงพยำบำลองค์รักษ์ จังหวัด นครนำยก.วำรสำรวิทยลัยพยำบำลพระปกเกล้ำ จันทบุรี. 26.1

230


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-22 ภำวะสุขภำพของเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกและเกษตรกรรมแผนใหม่ในจังหวัดยโสธร THE HEALTH STATUS OF FARMERS BETWEEN ALTERNATIVE AND CONVENTIONAL AGRICULTURE, YASOTHON PROVINCE สำวิตรี ผิวนวล1, ประดับ เรียนประยูร2, และ สุธีรำ อินทเจริญศำนต์3 1

นักศึกษาปริญญาโท สาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์ทปี่ รึกษาวิทยานิพนธ์หลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรนิ ทร์ 3 อาจารย์ทปี่ รึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม อาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2

บทคัดย่อ กำรวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) ครังนี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำภำวะสุขภำพของเกษตรกรทำ นำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกและเกษตรกรรมแผนใหม่ในจังหวัดยโสธร กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรศึกษำ ได้แก่ เกษตรกรในจังหวัดยโสธร จำนวน 734 คน ประกอบอำชีพทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือก จำนวน 334 คน และประกอบอำชีพทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ จำนวน 400 คน สุ่มตัวอย่ำงแบบหลำยขันตอน (Multi-Stage Sampling) เลือกแบบเจำะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภำษณ์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่ำควำมถี่ (Frequency) ค่ำร้อยละ (Percentage) ค่ำเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (Standard deviation) ผลกำรวิจัย กลุ่มตัวอย่ำงเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือก และแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ ส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง สถำนภำพคู่สมรส มีระดับกำรศึกษำในระดับประถมศึกษำ รำยได้ครัวเรือนน้อยกว่ำ 10,000 บำทต่อปี เกษตรกรท ำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลื อ ก ส่ ว นใหญ่ มี อำยุ 41-50 ปี มี ร ำยได้ พ อใช้ แ ต่ ไ ม่ เ หลื อ เก็ บ เกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ ส่วนใหญ่ อำยุ 51-60 ปี มีรำยได้ไม่พอใช้ และเป็นหนีสิน ภำวะสุขภำพของเกษตรกรทำนำ ทังแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกและแบบเกษตรกรรมแผนใหม่อยู่ใน ระดับดีมำกและดี โดยเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกมีภำวะสุขภำพสูงกว่ำ ( X = 4.44, S.D. = 0.67) เกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ ( X = 3.46, S.D. = 0.51) เกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผน ทำงเลือกมีภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ ภำวะสุขภำพด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม ภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณสูงกว่ำ เกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ที่ระดับค่ำคะแนนเฉลี่ย ( X = 4.33, S.D. = 0.81, X = 3.06, S.D. = 0.71, X = 4.32, S.D. = 0.87, X = 3.19, S.D. = 0.76 และ X = 4.71, S.D. = 0.63, X = 3.57, S.D. = 0.75) ตำมลำดับ ส่วนเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่มีภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำยสูงกว่ำเกษตรกรทำนำ แบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกที่ระดับคะแนนเฉลี่ย ( X = 4.02, S.D. = 0.39, X = 4.14, S.D. = 0.76) คำสำคัญ : ภาวะสุขภาพ; เกษตรกรรมทางเลือก; เกษตรกรรมแผนใหม่

231


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Abstract This survey research conducted among farmers in Yasothon province. The purpose of this research was to investigate the health status of farmers between alternative agriculture and conventional agriculture. The samples consisted of 334 farmers from alternative agriculture and 400 farmers from conventional agriculture by Multi-stage sampling process. interview form was also used for data collection. The results revealed that The majority of alternative agriculture farmers and conventional agriculture farmer were female, marital status was married, the level of education was mostly elementary school, yearly income was approximately under 10,000 Baht Most farmers of alternative agriculture practices were 41-50 years old, with enough income, but no savings. There are too much weight and risk of hypertension disease. Pesticide contamination The conventional agricultural farming was 51-60 years old and was not enough to have income and liability. The health status of farmers in Yasothon was high level. The results also indicated that the health status of alternative agriculture farmers was higher level ( X = 4.44 S.D.=0.67) than of farmers in conventional agriculture ( X = 3.46, S.D. = 0.51) The average score of health status in Mental, social and environmental and spirituality of Alternative agriculture farmers ( X = 4.33, S.D. = 0.81, X = 3.06, S.D. = 0.71, X = 4.32, S.D. = 0.87, X = 3.19, S.D. = 0.76 และ X = 4.71, S.D. = 0.63, X = 3.57, S.D. = 0.75) were higher than conventional agriculture practices The average score of health status in Psychological of conventional agriculture farmers was higher ( X = 4.14, S.D.=0.76) than Alternative agriculture farmers ( X = 4.02, S.D. = 0.39). Keywords: Health status; Alternative Agriculture; Conventional Agriculture บทนำ ปัจจุบันประเทศไทยมีประชำกรทังสิน 65.40 ล้ำนคน (สำนักงำนสถิติแห่งชำติ. 2560) ทำงำนในภำค กำรเกษตรมำกที่สุด จำนวน 14.10 ล้ำนคน คิดเป็นร้อยละ 38.90 มีผู้ถือครองทำกำรเกษตรทังสิน 5.90 ล้ ำนรำย คิดเป็นร้อยละ 25.90 ของครัวเรือนทังประเทศ มีเนือที่ถือครองทำกำรเกษตรทังสิน 114.60 ล้ำนไร่ (สำมะโน กำรเกษตร. 2560) เนือที่ประมำณครึ่งหนึ่ง ร้อยละ 51.30 เป็นที่ปลูกข้ำว อำชีพชำวนำจึงถือว่ำเป็นอำชีพหลักของ ประชำชนชำวไทยตังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ประเทศได้ดำเนินกำรพัฒนำประเทศตำมแผนพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ ซึ่งในฉบับที่ 10 เริ่มใช้มำตังแต่ ปี พ.ศ. 2549 จนถึงปี พ.ศ. 2554 ทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงโครงสร้ำงของประเทศ จำกระบบ เศรษฐกิจแบบพึ่งพำทำงกำรเกษตร เป็นสังคม ทำให้ควำมสำคัญของสำขำเกษตรกรรมลดลงไป (กำญจนำ สงวนวงษ์วำน. 2551 : 163-167)

232


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

จำกกำรสำรวจของกรมวิชำกำรเกษตร สำรวจปริมำณและมูลค่ำกำรนำเข้ำวัตถุอันตรำยทำงกำรเกษตรปี 2559 พบว่ำ มีกำรนำเข้ำสำรกำจัดวัชพืช (Herbicide) 125,596 ตัน มูลค่ำ 9,688 ล้ำนบำท สำรกำจัดแมลง (Insecticide) 16,056 ตัน มูลค่ำ 3,899 ล้ำนบำท สำรป้องกันและกำจัดโรคพืช (Fungicide) 12,915 ตัน มูลค่ำ 4,50 3 และสำรอื่นๆ 6,120 ตันมูลค่ำ 2,487 ล้ำนบำท (สำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตร. 2560) และจำกกำรสำรวจ โรคที่เกิดจำกกำรประกอบอำชีพและสิ่งแวดล้อมในระบบ Health Data Center (HDC) ของสำนักโรคจำกกำร ประกอบอำชีพและสิ่งแวดล้อม เมื่อจำแนกตำมรหัสอำชีพ 4 หลักของสำนักนโยบำยและยุทธศำสตร์ สำนัก ปลัดกระทรวงสำธำรณสุข พบว่ำ ประชำกรป่วยเป็นโรคพิษสำรกำจัดศัตรูพืช ป่วยมำกเป็นอันดับ 1 ใน 9 กลุ่มโรค และยังพบว่ำผู้ประกอบอำชีพปลูกพืชไร่และพืชผัก,ทำไร่และชำวนำปลูกข้ำว มี ผู้ป่วยมำกเป็นอันดับ 1 มีจำนวน 2,481 คน จำกจำนวนผู้ประกอบอำชีพ 11,940 คน (สำนักโรคจำกกำรประกอบอำชีพและสิ่งแวดล้อม. 2559 : 9) ผลจำกกำรศึกษำกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรผู้ปลูกข้ำวต่อสุขภำพและสิ่งแวดล้อมในจังหวัดกำฬสินธุ์ ศึกษำกับกลุ่มตัวอย่ำง 50 คน พบว่ำมีกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชมำกกว่ำ 2 ชนิดขึนไป จำนวน 31 คน คิดเป็นร้อย ละ 62 ควำมถี่ ในกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช เดือนละ 1 ครังขึน ไป จำนวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ 68 มี อำกำรแพ้พิษ สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชระหว่ำงใช้ จำนวน 9 คน คิดเป็น ร้อยละ 18.18 (นัฐวุฒิ ไผ่ผำด,สมจิตต์ สุพรรณ ทัสน์ และธีรพัฒน์ สุทธิประภำ. 2557 : 301) สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชนอกจำกส่งผลกระทบต่อภำวะสุขภำพทำงด้ำน ร่ำงกำยของเกษตรกรแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจของเกษตรกรอีกด้วย จำกำรศึกษำของอนนท์ วิสุทธิ์ธนำนนท์พบว่ำ เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืช มีควำมกังวลต่อสุขภำพตนเอง กังวลต่อต้นทุน กำรผลิตที่เพิ่มขึนและกังวลต่อคุณภำพของผลผลิตของตน ทำให้ไม่สบำยใจและกลำยเป็นทุกข์ ภำวะสุขภำพด้ำน สังคมและสิ่งแวดล้อม พบว่ำ เกษตรกรส่วนใหญ่พบว่ำกำรใช้สำรเคมีอยู่เสมอทำให้มีสำรเคมีปนเปื้อนในผลผลิตทำง กำรเกษตร ไม่ปลอกภัยต่อตัวเกษตรกรเองและผู้บริโภค แมลงศัตรูพืชดือยำต้องเพิ่มกำรใช้สำรเคมีมำกขึน เกิดกำร ชะล้ำงพังทลำยของหน้ำดิน แหล่งนำมีคุณภำพลดลง ส่วนภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณพบว่ำ เมื่อเกษตรกรนำ สำรเคมีเข้ำไปช่วยในกำรเพิ่มผลผลิตทำงกำรเกษตร ทำให้เกิดควำมเปลี่ยนแปลงทำงด้ำนควำมคิด ควำมเชื่อ นำไปสู่ กำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีกำรผลิตของเกษตรกร ได้แก่ กำรช่วยเหลือเกือกูลและกำรพึ่งพำอำศัยกันน้อยลง เกษตรกรมีควำมเห็นแก่ตัวมำกขึน ทุกคนต่ำงมุ่งผลผลิตทำให้ไม่คำนึงอันตรำยจำกสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชจะเป็น อันตรำยต่อผู้บริโภคหรือไม่ (อนนท์ วิสุทธิ์ธนำนนท์และคณะ. 2551 : 111-116) จำกข้อมูลที่กล่ำวมำข้ำงต้นผู้วิจัยจึงมีควำมสนใจที่จะลงไปศึกษำภำวะสุขภำพของเกษตรทำนำในจังหวัด ยโสธร ศึกษำเพื่อเป็นข้อมูลพืนฐำนในกำรส่งเสริมกำรทำเกษตรของเกษตรกร เป็นข้อมูลพืนฐำนในกำรส่งเสริมภำวะ สุขภำพของเกษตรกร เป็นแนวทำงในกำรปฏิบัติเกี่ยวกับกำรทำเกษตรของเกษตรกร และเป็นแนวทำงในกำรดูแล สุขภำพตนเองของเกษตรกร ให้มีควำมมั่นคงและมีควำมปลอดภัย วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย เพื่อศึกษำภำวะสุขภำพของเกษตรกรทำนำ แบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกและเกษตรกรรมแผนใหม่ใน จังหวัดยโสธร

233


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ขอบเขตของกำรวิจัย 1. ขอบเขตด้ำนเนื้อหำ ในกำรวิจัยครังนีผู้วิจัยมุ่งศึกษำ ภำวะสุขภำพของเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกและ เกษตรกรรมแผ่นใหม่ในจังหวัดยโสธร 2. ขอบเขตด้ำนพื้นที่ศึกษำ ในกำรวิจัยนีมุ่งเน้นศึกษำประชำกรในพืนที่จังหวัดยโสธร ครอบคลุมทัง 9 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอทรำยมูล อำเภอกุดชุม อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอป่ำติว อำเภอมหำชนะชัย อำเภอค้อวัง อำเภอเลิงนกทำ และอำเภอไทยเจริญ 3. ขอบเขตด้ำนประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง 3.1 ประชำกร คือ ประชำกรที่อำศัยและประกอบอำชีพทำนำอยู่ในพืนที่จังหวัดยโสธร ทังที่ทำนำ แบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกและทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ และขึนทะเบียนเกษตรกรกับสำนักงำนเกษตร จังหวัดยโสธร 3.2 กลุ่มตัวอย่ำง คือ เกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกในจังหวัดยโสธร จำนวน 334 คน กับเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ในจังหวัดยโสธร จำนวน 400 คน ซึ่งอำศัยและประกอบอำชีพ ทำนำอยู่ในเขตพืนที่จังหวัดยโสธร และขึนทะเบียนเกษตรกรกับสำนักงำนเกษตรจังหวัดยโสธร 4. ตัวแปรที่ศึกษำครั้งนี้ 4.1 ตัวแปรต้น (Independent Variables) ประกอบด้วย ได้แก่ 4.1.1 พฤติกรรมสุขภำพทั่วไป ประกอบด้วย พฤติกรรมกำรบริโภคอำหำร พฤติกรรมกำร ออกกำลังกำย พฤติกรรมกำรไม่ใช้สำรเสพย์ติด 4.1.2 พฤติกรรมปกป้องสุขภำพจำกกำรทำงำน ประกอบด้วย กำรใช้อุปกรณ์ป้องกัน อันตรำยส่วนบุคคล กำรใช้อุปกรณ์และเครื่องจักรทำงกำรเกษตรอย่ำงปลอดภัย กำรใช้สำรเคมี/ชีวภัณฑ์กำจัด ศัตรูพืชอย่ำงปลอดภัย 4.1.3 ปัจจัยคุกคำมสุขภำพจำกกำรทำงำน ประกอบด้วยปัจจัยด้ำนกำยภำพ ปัจจัยด้ำน เคมี ปัจจัยด้ำนชีวภำพ ปัจจัยด้ำนกำรยศำสตร์ ปัจจัยด้ำนจิตสังคม 4.1.4 ปัจจัยด้ำนควำมรู้กำรทำนำ 4.1.5 ปัจจัยด้ำนทัศนคติในกำรทำงำน 4.1.6 ปัจจัยด้ำนกำรรับรู้ข้อมูลข่ำวสำร 4.2 ตัวแปรตำม (Dependent Variables) ได้แก่ ภำวะสุขภำพ 4 ด้ำน ประกอบด้วย 4.2.1 ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำย 4.2.2 ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ 4.2.3 ภำวะสุขภำพด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม 4.2.4 ภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณ

234


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วิธดี ำเนินกำรวิจัย ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกรที่ใช้ในกำรศึกษำครังนีคือ เกษตรกรผู้ประกอบอำชีพทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกที่ อำศัยและประกอบอำชีพทำนำอยู่ในเขตพืนที่จังหวัดยโสธร ขึนทะเบียนกับสำนักงำนเกษตรกรจังหวัดยโสธร จำนวน 1,836 คน และกลุ่มเกษตรกรผู้ประกอบอำชีพทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ที่อำศัยและประกอบอำชีพอยู่ในเขต พืนที่จังหวัดยโสธร ขึนทะเบียนกับสำนักงำนเกษตรกรจังหวัดยโสธร จำนวน 66,536 คน โดยทำกำรคัดเลือก ตัวอย่ำงเพื่อเป็นตัวแทน ด้วยวิธีกำรกำหนดขนำดตัวอย่ำงจำกกำรประมำณค่ำเฉลี่ยของประชำกร กรณีทรำบ จำนวนประชำกรที่แน่นอน (บุญธรรม กิจปรีดำบริสุ ทธิ์. 2551 : 117) ใช้วิธีกำรสุ่มตัวอย่ำงแบบหลำยขันตอน (Multi-Stage Sampling) เพื่อหำขนำดกลุ่มตัวอย่ำงแบบแบ่งชันภูมิ (Stratified Sampling) มีสองขันตอนคือ ขั้นที่ 1 ใช้กำรสุ่มแบบสัดส่วน (Proportional to Size) ขนำดตัวอย่ำงของชันภูมิเป็นสัดส่วนกันกับ จำนวนหน่วยทังหมดในชันภูมินันๆ (กัลยำ วำนิชย์บัญชำ. 2558 : 19) ขั้นที่ 2 แบ่งขนำดตัวอย่ำงตำมระดับชันภูมิอย่ำงเป็นสัดส่วน (Stratified Sampling) แบ่งเป็นรำย อำเภอ เพื่อหำขนำดกลุ่มตัวอย่ำงของแต่ละอำเภอตำมสัดส่วนประชำกร ส่วนกำรได้มำของกลุ่มตัวอย่ำงเป็นกำร เลือกแบบเจำะจง (Purposive Sampling) ให้ตรงตำมเกณฑ์ที่คัดเข้ำ คือประกอบอำชีพทำนำในพืนที่จังหวัดยโสธร เป็นแรงงำนหลักในกำรทำนำของครอบครัว ยินดีและเต็มใจเข้ำร่วมโครงกำร ได้กลุ่มตัวอย่ำงเกษตรกรทำนำแบบ เกษตรกรรมแผนทำงเลือกจำนวน 334 คน ได้กลุ่มตัวอย่ำงเกษตรกรทำนำแบเกษตรกรรมแผนใหม่ จำนวน 400 คน รวม 734 คน เครื่องมือที่ใช้ในกำรรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี คือ 1. แบบสัมภำษณ์คุณลักษณะส่วนบุคคล แบบสัมภำษณ์พฤติกรรมสุขภำพทั่วไป แบบสัมภำษณ์ พฤติกรรมปกป้องสุขภำพจำกกำรทำงำน แบบสัมภำษณ์ปัจจัยคุกคำมสุขภำพจำกกำรทำงำน แบบสัมภำษณ์ปัจจัย ด้ำนทัศนคติในกำรทำงำน แบบสัมภำษณ์ปัจจัยด้ำนกำรรับรู้ข้อมูลข่ำวสำร และแบบสัมภำษณ์ภำวะสุขภำพทัง 4 ด้ำน ประกอบด้วย แบบสัมภำษณ์ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำย ซึ่งผู้วิจัยได้สร้ำงขึนเองจำกกำรทบทวนเอกสำรและจำกกำร ทบทวนวรรณกรรม ข้อคำถำมเป็นมำตรำส่วนประมำณค่ำ (Rating scale) 5 ระดับ มีข้อคำถำมทังหมด 4 ข้อ ข้อ13 เป็นข้อคำถำมเชิงบวก (Positive Statement) ข้อ 4 เป็นข้อคำถำมเชิงลบ (Negative Statement) แบบสัมภำษณ์ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ มีข้อคำถำมทังหมด 5 ข้อ ข้อ 2,4,5 เป็นข้อคำถำมเชิงบวก (Positive Statement) ข้อ 1,3 เป็นข้อคำถำมเชิงลบ (Negative Statement) แบบสัมภำษณ์ภำวะสุขภำพด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม มีข้อคำถำมทังหมด 5 ข้อ ข้อ 1-2 เป็นข้อ คำถำมเชิงบวก (Positive Statement) ข้อ 3-5 เป็นข้อคำถำมเชิงลบ (Negative Statement) แบบสัมภำษณ์ภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณ มีข้อคำถำมทังหมด 4 ข้อ ข้อ1,3 เป็นข้อคำถำมเชิงบวก (Positive Statement) ข้อ 2,4 เป็นข้อคำถำมเชิงลบ (Negative Statement) มีเกณฑ์กำรให้คะแนน ดังนี ข้อคำถำมเชิงบวก ข้อคำถำมเชิงลบ ทำได้มำกที่สุด 5 คะแนน ทำได้มำกที่สุด 1 คะแนน ทำได้มำก 4 คะแนน ทำได้มำก 2 คะแนน ทำได้ปำนกลำง 3 คะแนน ทำได้ปำนกลำง 3 คะแนน

235


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ทำได้น้อย 2 คะแนน ทำได้น้อย 4 คะแนน ทำได้น้อยที่สุด 1 คะแนน ทำได้น้อยที่สุด 5 คะแนน กำรแปลผลรำยข้อ รำยด้ำน พิจำรณำโดยใช้ค่ำคะแนนเฉลี่ย (บุญธรรม กิจปรีดำบริสุทธิ์. 2553 : 206) ดังนี อันตรภำคชัน

=

คะแนนสูงสุด คะแนนต่ำสุด จำนวนกลุ่มหรือระดับที่ต้องกำรวัด

= = 0.80 กำรแปลผลคะแนนภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำย ใช้ค่ำเฉลี่ยและกำหนดเกณฑ์ของพฤติกรรมทังรำยด้ำน และผลเฉลี่ยรวม เป็นระดับภำวะสุขภำพ 5 ระดับ คือ ดีมำก ดี ปำนกลำง ไม่ดี และไม่ดีอย่ำงยิ่ง โดยแบ่งคะแนน เป็น 5 อันตรภำคชัน ชันละเท่ำกัน คำนวณได้ดังนี คะแนนเฉลี่ย 4.21 – 5.00 หมำยถึง ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำย ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ ภำวะสุขภำพ ด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม ภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณอยู่ในระดับดีมำก คะแนนเฉลี่ย 3.41 – 4.20 หมำยถึง ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำย ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ ภำวะสุขภำพ ด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม ภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณอยู่ในระดับดี คะแนนเฉลี่ย 2.61 – 3.40 หมำยถึง ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำย ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ ภำวะสุขภำพ ด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม ภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณอยู่ระดับปำนกลำง คะแนนเฉลี่ย 1.81 – 2.60 หมำยถึง ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำย ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ ภำวะสุขภำพ ด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม ภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณอยู่ในระดับไม่ดี คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.80 หมำยถึง ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำย ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ ภำวะสุขภำพ ด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม ภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณอยู่ในระดับไม่ดีอย่ำงยิ่ง ทำกำรตรวจสอบคุณภำพของเครื่องมือด้วยกำรตรวจสอบควำมตรง (Validity) ตำมเนือหำ (Content Validity Index [CVI]) ได้ค่ำดัชนีควำมตรงตำมเนือหำเท่ำกับ 0.91 และทำกำรตรวจสอบควำมเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสัมภำษณ์ บันทึกข้อมูลใส่โปรแกรมสำเร็จรูป และสั่งเครื่องประมวลผลคัดเลือกข้อคำถำมที่มี อำนำจจำแนก (Corrected Item-Total Correlation) ตังแต่ 0.2 ขึนไป ซึ่งเป็นข้อที่มีอำนำจจำแนกใช้ได้ นำไปหำ ควำมเที่ยงแบบคงที่ภำยใน (Internal Consistency) วิเครำะห์ค่ำควำมสอดคล้องภำยในโดยใช้วิธีหำค่ำสัมประสิทธิ์ แอลฟำ (α Coefficient) ของครอนบำช (Cronbach) เกณฑ์ที่ใช้หำควำมเที่ยงของเครื่องมือ = 0.80 ขึนไป (ธีรวุฒิ เอกะกุล 2555 : 156-157) :ซึ่งได้ค่ำควำมเชื่อมั่นแบบสัมภำษณ์ภำวะสุขภำพ 4 ด้ำน ได้แก่ ด้ำนร่ำงกำย ด้ำนจิตใจ ด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อมและด้ำนจิตวิญญำณ ได้ผลค่ำควำมเชื่อมั่นของแบบสัมภำษณ์ทังฉบับ เท่ำกับ 0.81 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ขันตอนในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลมีดังนี 1. ขันเตรียมกำร 1.1 ผู้วิจัยขอหนังสือกำรรับรองจำกคณะกรรมกำรพิจำรณำจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์ คณะ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์

236


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

1.2 เมื่อผ่ำนกำรรับรองจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์แล้ว ผู้วิจัยทำหนังสือ จำกบัณฑิตวิทยำลัย ถึง สำนักงำนเกษตรอำเภอในเขตจังหวัดยโสธร ประธำนกลุ่มเกษตรกรที่ทำเกษตรกรรมแผนทำงเลือก เพื่อชีแจง วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย ขออนุญำตและขอควำมร่วมมือในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล 1.3 เมื่อได้รับอนุญำตแล้ว ผู้วิจัยดำเนินกำรรวบรวมข้อมูล โดยกำรสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่ำงแบบ เจำะจง สอบถำมตำมคุณสมบัติที่กำหนดไว้ พร้อมทังแนะนำตนเอง และชีแจงวัตถุประสงค์ ของกำรวิจัย พร้อมทัง สอบถำมควำมสมัครใจในกำรเข้ำร่วมกำรวิจัย 2. ขันดำเนินกำรเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินกำรตำมขันตอนดังนี 2.1 กำรเตรียมผู้ช่วยวิจัย ในกำรวิจัยครังนี มีผู้ช่วยวิจัยเพื่อช่วยในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวน 2 ท่ำน ซึ่งเป็นผู้ที่มีควำมสนใจในกำรเข้ำร่วมกำรวิจัย สำเร็จกำรศึกษำหลักสูตรพยำบำลศำสตรบัณฑิต และมี ประสบกำรณ์ด้ำนกำรประเมินภำวะสุขภำพทำงกำยเบืองต้น ผู้วิจัยมีกำรเตรียมผู้ช่วยวิจัยโดยอธิบำยรำยละเอียด กำรวิจัย และวิธีกำรเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อให้ผู้ช่วยวิจัยมีควำมเข้ำใจและสำมำรถใช้เครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวม ข้อมูลทังหมดได้อย่ำงถูกต้อง จำกนันผู้วิจัยนำเครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลทังหมดไปทดลองสัมภำษณ์ เกษตรกรทำนำที่มีลักษณะคล้ำยกับกลุ่มตัวอย่ำง เพื่อสำธิตให้ผู้ช่วยวิจัยศึกษำเป็นตัวอย่ำงจำนวน 2 ครัง แล้วให้ ผู้ช่วยวิจัยสำธิตย้อนกลับให้ผู้วิจัยดู 2.2 ผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัยเข้ำพบกลุ่มตัวอย่ำงทำกำรสัมภำษณ์กลุ่มตัวอย่ำง ตำมแบบสัมภำษณ์ ด้วยกำรอ่ำนข้อควำมตำมแบบสัมภำษณ์แต่ละข้อให้กลุ่มตัวอย่ำงเลื อกตอบโดยผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัยไม่ชีนำคำตอบ แล้วจึงให้กลุ่มตัวอย่ำงตอบคำถำมนัน ใช้เวลำในกำรสัมภำษณ์ประมำณ 20-30 นำที หลังจำกนันผู้วิจัยตรวจสอบ ควำมถูกต้องและครบถ้วนของข้อมูล 3. ชีแจงกลุ่มตัวอย่ำงถึงกำรพิทักษ์กลุ่มตัวอย่ำง ดังนี 3.1 กลุ่มตัวอย่ำงได้รับกำรอธิบำยและตอบข้อสงสัยจำกผู้วิจัยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์กำรวิจัยวิธีกำร วิจัย ควำมปลอดภัย อำกำรหรืออันตรำยที่อำจจะเกิดขึน รวมทังประโยชน์ที่จะได้รับจำกกำรวิจัยโดยละเอียด ตำม เอกสำรชีแจงผู้เข้ำร่วมกำรวิจัยแนบท้ำย 3.2 กลุ่มตัวอย่ำงได้รับกำรรับรองจำกผู้วิจัยว่ำ จะเก็บข้อมูลส่วนตัวเป็นควำมลับ จะเปิดเผยได้ เฉพำะในรูปแบบของกำรสรุปผลกำรวิจัยเท่ำนัน 3.3 หำกเกิดอันตรำยใด ๆ จำกกำรวิจัย ผู้วิจัยจะรับผิดชอบค่ำรักษำพยำบำลที่เป็นผลจำกกำรวิจัย นี 3.4 กลุ่มตัวอย่ำงสำมำรถถอนตัวออกจำกกำรวิจัยครังนีเมื่อใดก็ได้ โดยไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อกำร รักษำพยำบำลตำมสิทธิ์ที่ควรได้รับ กำรวิเครำะห์ข้อมูล ในกำรวิจัยครังนี ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจำกแบบสัมภำษณ์ ตรวจควำมสมบูรณ์ ควำมเรียบร้อยของ แบบสั มภำษณ์แ ต่ล ะฉบับ จำกกลุ่ม ตัว อย่ำ ง คัด เลื อกเฉพำะฉบับ ที่ส มบู รณ์ ทำกำรลงรหัส ข้อ มูล แล้ว จึงนำมำ ประมวลผลและวิเครำะห์ข้อมูลตำมวิธีกำรทำงสถิติ โดยใช้สถิตพิ รรณนำ (Descriptive Statistic) ใช้ในกำรพรรณนำ ข้อมูลคุณลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อำยุ สถำนภำพสมรส ระดับกำรศึกษำ รำยได้ของครัวเรือน รำยได้รวม ทังหมดของครอบครัว ภำวะสุขภำพ 4 ด้ำน ได้แก่ ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำย ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ ภำวะสุขภำพ ด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม และภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณ โดยใช้สถิติแจกแจงควำมถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่ำเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (Standard Deviation)

237


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ผลกำรวิจัย 1. ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำง ผลกำรศึกษำพบว่ำ เกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมทำงเลือกส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 71.56 ส่วน ใหญ่มีอำยุตังแต่ 41-50 ปี ส่วนใหญ่แต่งงำนแล้ว และมีกำรศึกษำอยู่ในระดับประถมศึกษำ มีรำยได้น้อยกว่ำ 10,000 บำท มีรำยได้พอใช้แต่ไม่เหลือเก็บ ส่วนเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ ผลกำรศึกษำพบว่ำส่วนใหญ่เป็น เพศหญิงร้อยละ 71.50 ส่วนใหญ่มีอำยุ 51-60 ปี ส่วนใหญ่แต่งงำนแล้ว และมีกำรศึกษำอยู่ในระดับประถมศึกษำ มี รำยได้น้อยกว่ำ 10,000 บำท มีรำยได้ไม่พอใช้ เป็นหนีสิน 2. ภำวะสุขภำพทั้ง 4 ด้ำน ได้แก่ ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำย ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ ภำวะสุขภำพ ด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม ภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณ 1. ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำย กำรศึกษำภำวะสุขภำพทำงด้ำนร่ำงกำยของเกษตรกร ผลกำรศึกษำพบว่ำ เกษตรกรทำนำแบบ เกษตรกรรมแผนทำงเลือกมีภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำยดี ( X = 4.02, S.D. = 0.39) ส่วนเกษตรกรทำนำแบบ เกษตรกรรมแผนใหม่ จำกกำรศึ ก ษำพบว่ ำ กลุ่ ม ตั ว อย่ ำ งส่ ว นใหญ่ มี ภ ำวะสุ ข ภำพด้ ำ นร่ ำ งกำยอยู่ ใ นระดั บ ดี เช่นเดียวกัน( X = 4.14, S.D. = 0.76) 2. ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ กำรศึ ก ษำภำวะสุ ข ภำพด้ ำ นจิ ต ใจของเกษตรกร ผลกำรศึ ก ษำพบว่ ำ เกษตรกรท ำนำแบบ เกษตรกรรมแผนทำงเลือกมีภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจดีมำก ( X = 4.33, S.D. = 0.81) สวนเกษตรกรทำนำแบบ เกษตรกรรมแผนใหม่ จำกกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจอยู่ในระดับปำนกลำง ( X = 3.06, S.D. = 0.71) 3. ภำวะสุขภำพด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม กำรศึกษำภำวะสุขภำพด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อมของเกษตรกร ผลกำรศึกษำพบว่ำ เกษตรกรทำ นำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกมีภำวะสุขภำพด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อมดีมำก ( X = 4.32, S.D. = 0.87) ส่วน เกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ จำกกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีภำวะสุขภำพด้ำนสังคมและ สิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับปำนกลำง ( X = 3.19, S.D. = 0.76) 4. ภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณ กำรศึกษำภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณของเกษตรกร ผลกำรศึกษำพบว่ำ เกษตรกรทำนำแบบ เกษตรกรรมแผนทำงเลือกมีภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณดีมำก ( X = 4.71, S.D. = 0.63) ส่วนเกษตรกรทำนำ แบบเกษตรกรรมแผนใหม่ จำกกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณอยูใ่ นระดับดี ( X = 3.57, S.D. = 0.75) รำยละเอียดดังแสดงในตำรำงที่ 1 ตำรำงที่ 1 แสดงค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนของคะแนนภำวะสุขภำพของเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรม แผนทำงเลือกและแผนใหม่ในจังหวัดยโสธร ภำวะสุขภำพ

เกษตรกรทำนำแผนทำงเลือก (n=334) S.D. ระดับ X

238

X

เกษตรกรทำนำแผนใหม่ (n=400) S.D. ระดับ


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ด้ำนร่ำงกำย ด้ำนจิตใจ ด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้ำนจิตวิญญำณ ภำพรวม

4.02 4.33 4.32 4.71 4.44

0.39 0.81 0.87 0.63 0.67

ดี ดีมำก ดีมำก ดีมำก ดีมำก

4.14 3.06 3.19 3.57 3.46

SRRU NCR2018

0.76 0.71 0.76 0.75 0.51

ดี ปำนกลำง ปำนกลำง ดีมำก ดี

สรุปผลและวิจำรณ์ผลกำรวิจัย ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำยของเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกและเกษตรกรรมแผนใหม่ ผลกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีภำวะสุขภำพโดยภำพรวมอยู่ในระดับดี อำจเนื่องมำจำกกลุ่มตัวอย่ำง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 71.56 และร้อยละ 71.50 ตำมลำดับ สอดคล้องกับกำรศึกษำของรุ้งทิพย์ พันธุเมธำ กุลที่ทำกำรศึกษำควำมชุกของภำวะควำมผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ำมเนือในชำวนำ ซึ่งผลกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (รุ้งทิพย์ พันธุเมธำกุลและคณะ. 2554 : 300) โดยเพศหญิงจะให้ควำมสำคัญ ในกำรดูแลสุขภำพของตนเองมำกกว่ำเพศชำย และยังสอดคล้องกับกำรศึกษำของ สุภำ แก้วบริสุทธิ์ (2547 : บทคัดย่อ) ที่พบว่ำเพศนันมีอิทธิพลต่อคุณภำพชีวิตเกษตรกรชำวสวนยำงพำรำจังหวัดสงขลำ และจำกกำรศึกษำ เรื่องคุณภำพชีวิตของสมำชิกสหกรณ์กำรเกษตรพบว่ำเพศของสมำชิกเกษตรกรต่ำงกัน มีคุณภำพชีวิตแตกต่ำงกัน อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 เช่นเดียวกัน ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจของเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือก ผลกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่ม ตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจอยู่ในระดับดีมำก อำจเนื่องมำจำกเกษตรทำนำแผนทำงเลือกมีควำมรู้สึก พึงพอใจภำคภูมิใจในอำชีพทำนำมำกที่สุด ทำนำด้วยระบบธรรมชำติที่ไม่ต้องใช้สำรเคมี ที่เป็นภัยต่อตัวเอง ผู้บริโภค และระบบนิเวศ ซึ่ง สอดคล้องกับกำรศึก ษำกำรเปลี่ยนแปลงรูปแบบกำรทำเกษตรเคมีเป็ นเกษตรอิ นทรี ย์ของ ครอบครัวนำงพวงทอง จินำจันทร์ พบว่ำ ทำเกษตรอินทรีย์แล้วมีควำมสุข ได้แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับคนรอบตัว เพรำะ กำรนำผัก ผลไม้ไปจำหน่ำยให้แก่ผู้บริโภคไม่เป็นบำปต่อตัวเอง กำรที่ไม่ใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืช ทำให้ไม่ต้องฆ่ำ สิ่งมีชีวิต เลียงปลำเพื่อให้นำมีควำมสมบูรณ์ เลียงไก่กินแต่ฟองที่ไม่สำมำรถฟักตัวได้ เหตุที่ปฏิบัติเช่นนีเพรำะเชื่อว่ำ ภำยในสวนตัวเองมีอำหำรเพียงพอต่อกำรบริโภค จึงไม่จำเป็นต้องไปเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่น (แสงวรรณ์ ปำลี. 2553 : 81) ส่วนเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ ผลกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีภำวะสุขภำพด้ำน จิตใจโดยภำพรวมอยู่ในระดับปำนกลำง อำจเนื่องมำจำกรำคำผลผลิตขึนลงผันผวนตำมรำคำท้อ งตลำด ตำมภำวะ เศรษฐกิ จทั งภำยในประเทศและระดับ โลก ท ำให้ กังวลว่ ำ จะขำยผลผลิ ต ไม่ ไ ด้ ท ำให้ จิต ใจเกิ ด ควำมเครีย ดได้ สอดคล้องกับกำรศึกษำของวัลภำ ศึกษำคุณภำพชีวิตเกษตรกรสวนยำงพำรำแถบลุ่มนำโขงจังหวัดบึงกำฬ ที่พบว่ำ ชำวสวนยำงพำรำมีควำมเครียดจำกควำมผันผวนของรำคำยำงพำรำที่ขึนๆลงๆ (วัลลภำ ช่ำงเจรจำและสมจิต แดนสีแก้ว. 2555 : 171) กำรศึกษำของเกสร พบว่ำผู้สูงอำยุมีรำยได้และฐำนะทำงเศรษฐกิจสูงมีสุขภำพจิตดีกว่ำผู้สูงอำยุที่ไม่มี รำยได้และมีฐำนะทำงเศรษฐกิจต่ำ (เกสร มุ้ยจีน. 2558 : 316) ภำวะสุขภำพด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อมของเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือก ผลกำรศึกษำ พบว่ ำ กลุ่ ม ตั ว อย่ ำ งส่ ว นใหญ่ มี ภ ำวะสุ ข ภำพด้ ำ นสั งคมและสิ่ ง แวดล้ อ มโดยภำพรวมอยู่ ใ นระดั บ ดี ม ำก อำจ เนื่องมำจำกเกษตรกรพึงพอใจกับภำวะเศรษฐกิจวิถีชีวิตควำมเป็นอยู่ของตนเองและครอบครัว คนในครอบครัวมีงำน ทำ ซึ่งสอดคล้องกับงำนวิจัยของ ชญำดำ บุญถึง (2556 : ง-จ) ที่พบว่ำ กำรทำเกษตรแบบอินทรีย์ถือเอำงำนในไร่ นำเป็นหลัก วำงแผนกำรใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผลจำกกำรวำงแผนประโยชน์จำกกำรใช้ที่ดิน ทำให้เกษตรกร

239


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ลดภำระค่ำใช้จ่ำยในเรื่องต้นทุนกำรผลิต มีกำรจัดกำรอย่ำงมีวิสัยทัศน์คือมีกำรวำงแผนอย่ำงนักเศรษฐศำสตร์ ใช้ พืนที่ทำกินอย่ำงคุ้มค่ำ มีกำรหมุนเวียนทำเกษตรหลำยรอบ คือ ทำนำปกติและพืชหลังนำ ผลผลิตที่ได้เกิดจำกกำร ทุ่มเทกำรเอำใจใส่ คำนึงถึงควำมสุขของตนเองและไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ก่อให้เกิดเกษตรสร้ำงสุขคือเกษตรที่สร้ำง ควำมสุขให้แก่ผู้ผลิตและผู้บริโภค ส่วนเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ ผลกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำง ส่วนใหญ่มีภำวะสุขภำพด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับปำนกลำง ซึ่งต่ำกว่ำเกษตรกรรมแผนทำงเลือกอย่ำง เด่นชัด ทังนีอำจเนื่องมำจำกกำรทำนำด้วยระบบเกษตรแผนใหม่ เป็นกำรทำนำเชิงเกษตรพำณิ ชย์มุ่งเน้นกำรขำย ผลผลิตเป็นหลัก ไม่ได้ให้ควำมสำคัญกับระบบนิเวศวิทยำเท่ำที่ควร อนุสรณ์ อุณโน (2546 : 10) ให้ควำมหมำยของ กำรทำเกษตรแผนใหม่ไว้ว่ำ กำรเกษตรแผนใหม่เป็นระบบกำรเกษตรที่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภำพทำงกำร ผลิตให้ได้ผลผลิตที่มำกที่สุด เพื่อผลตอบแทนทำงกำรตลำดที่ดี เน้นกำรปลูกพืชเชิงเดี่ยว วำงแผนกำรผลิตโดยมี เป้ำหมำยเพื่อผลตอบแทนทำงเศรษฐกิจเป็นหลัก และสอดคล้องกับงำนวิจัยของอนนท์ วิสุทธิ์ธนำนนท์ (2551 : 115-116) ที่พบว่ำ เกษตรกรที่ใช้สำรเคมีมีภำวะสุขภำพอยู่ในระดับปำนกลำง และส่วนใหญ่รับรู้ว่ำกำรใช้สำรเคมี ก่อให้เกิดสำรเคมีปนเปื้อนอยู่ในผลผลิตทำงกำรเกษตร ทำให้เกษตรกรและผู้บริโภคไม่ปลอดภัย สำรเคมีปนเปื้อนใน สิ่งแวดล้อม ในแหล่งนำทังผิวดินและใต้ดิน แหล่งนำอุปโภคบริโภคมีคุณภำพลดลง เกิดกำรชะล้ำงพังทลำยของหน้ำ ดิน ห่วงโซ่อำหำรมีกำรปนเปื้อนสำรเคมี กำรศึกษำของอภิชำตและกวิสรำ พบว่ำกำรมีพืนที่สีเขียวในปริมำณมำก และสภำพแวดล้อมที่ดีในเขตกรุงเทพมหำนคร เป็นปัจจัยทำงบวกที่สำมำรถทำให้ผู้สูงอำยุมีควำมรู้สึกสบำยใจมำก ขึน อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับน้อยกว่ำ .05 (อภิชำต จำรัสฤทธิรงค์และกวิสรำ พชรเบญจกุล. 2554 : 231) ภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณของเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือก ผลกำรศึกษำพบว่ำ มี ภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณอยู่ในระดับดีมำก อำจเนื่องมำจำกกำรทำเกษตรกรรมแผนทำงเลือกใช้ชีวิตแบบเคำรพ เกื อกู ล เชื่ อมโยงกั บ วิ ถี ของธรรมชำติ ใช้ ห ลั ก ธรรมเป็ น เครื่อ งยึ ด เหนี่ ย วจิ ต ใจ เห็ นอกเห็ น ใจช่ วยเหลื อ คนอื่ น สอดคล้องไปกับปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเศรษฐกิจพอเพียงตังอยู่บนพืนฐำนของทำง สำยกลำง ที่คำนึงถึง ควำมพอประมำณ ควำมมีเหตุผล และกำรมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีโดยอำศัยควำมรู้คู่คุณธรรม (ปรำโมทย์ มลคลำ. 2551 : 40) และจำกกำรศึกษำสำเหตุและผลลัพธ์จำกกำรปรับเปลี่ยนระบบกำรผลิตข้ำวเคมีไป เป็นข้ำวอินทรีย์ของ เกษตรกรตำบลวัดพริก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ที่พบว่ำกำรหันกลับมำทำงำนในระบบเกษตรอินทรีย์ ทำให้ เกษตรกรในชุมชนเห็นคุณค่ำของกำรอยู่ร่วมกัน มีกิจกรรมต่ำงๆทำร่วมกัน มีกำรให้ควำมเคำรพผู้อำวุ โส มีควำม ศรัทธำในธรรมชำติ ประเพณีเก่ำๆกลับคืนมำเช่น ประเพณีกำรทำขวัญข้ำวในช่วงข้ำวตังท้อง ซึ่งจะทำกำรในช่วงกำร ออกพรรษำของทุกปีเป็นประเพณีที่บูชำพระแม่โพสพขอให้ข้ำวได้ผลผลิตที่ดี เป็นกำรสร้ำงขวัญกำลังใจให้แก่ เกษตรกรกำรที่ประเพณีเก่ำๆฟื้นกลับมำทำให้ชุมชนท่ำ โพธิ์วัดพริกกลับมำมีควำมสุขทังทำงด้ำนร่ำงกำยและจิตใจ (อรวรรณ ชมชัยยำและคณะ. 2555 : 75) และกำรทำเกษตรแผนทำงเลือกทำให้มีรำยได้เพิ่มขึน เกษตรกรไม่ต้อง กังวลในด้ำนรำยได้ทำให้มีเวลำร่วมกิจกรรมชุมชนมำกขึน สอดคล้องกับกำรศึกษำของวรรณวิมล ที่พบว่ำรำยได้ของ บุคลำกร ในมหำวิทยำลัยรำชภัฏสวนสุนันทำมีควำมสัมพันธ์กับพฤติกรรมด้ำนกำรได้ร่วมทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ต่อบุคคลอื่น สถำบันหรือสังคม (วรรณวิมล เมฆวิมล. 2554 : 150) ส่วนเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนใหม่ ผลกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณอยู่ในระดับดีอำจเป็นเพรำะเกษตรกรทำนำ แผนใหม่ใช้หลักคุณธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เมื่อเกิดปัญหำสมำชิกในครอบครัวให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สิ่ง เหล่ำนีจึงเป็นดัชนีชีวัดทำให้เกษตรกรทำนำแผนใหม่มีภำวะสุขภำพด้ำนจิตวิญญำณอยู่ในระดับดี

240


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ผลกำรวิจัย กำรศึกษำภำวะสุขภำพของเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกและเกษตรกรรมแผนใหม่ ทำ ให้ทรำบว่ำเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกและเกษตรกรรมแผนใหม่มีภำวะสุขภำพแตกต่ำงกันอย่ำง มีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในกำรนำผลกำรวิจัยไปใช้ 1. เจ้ำหน้ำที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำงด้ำนกำรสำธำรณสุข ควรเข้ำไปมีบทบำทในกำรให้ควำมรู้ในด้ำนกำร ใช้สำรเคมีทำงกำรเกษตรแก่เกษตรกร 2. เจ้ำหน้ำที่ด้ำนส่งเสริมกำรเกษตร ควรส่งเสริมให้เกษตรกรงดหรือลดกำรใช้สำรเคมีหรือใช้สำร ทดแทนสำรเคมี 3. เจ้ำหน้ำที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ควรแนะนำให้เกษตรกรน้อมนำปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงมำใช้ในกำร ดำเนินชีวิต ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยครั้งต่อไป ควรมีกำรศึกษำภำวะสุขภำพของเกษตรกรทำนำแบบเกษตรกรรมแผนทำงเลือกและเกษตรกรรมแผน ใหม่ในพืนที่อื่นๆ และทำกำรศึกษำในเชิงคุณภำพแบบเจำะลึก กิตติกรรมประกำศ วิทยำนิพนธ์ ฉบับนี สำเร็จลุล่วงด้วยดีได้ด้วยควำมกรุณำของ ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ดร.ประดับ เรียน ประยูร ที่กรุณำ รับเป็นอำจำรย์ที่ปรึกษำวิทยำนิพนธ์ ซึ่งท่ำนได้กรุณำสละเวลำให้คำปรึกษำ คำแนะนำ ข้อคิดต่ำงๆ ที่เป็นประโยชน์ในกำรทำวิทยำนิพนธ์ มำโดยตลอด จนกระทั่งวิทยำนิพนธ์ฉบับนีมีควำมสมบูรณ์ด้วยดี ผู้วิจัยจึงขอก รำบขอบพระคุณเป็นอย่ำงสูงมำ ณ โอกำสนี ขอกรำบขอบพระคุ ณ รองศำสตรำจำรย์ ดร.สยำม อรุ ณ ศรี ม รกตที่ ก รุ ณ ำรั บ เป็ น ประธำนสอบ วิทยำนิพนธ์ ขอกรำบขอบพระคุณ ดร.สุธีรำ อินทเจริญศำนต์และดร.วรรธนะชัย ปฐมสิริวงศ์ที่ท่ำนให้ควำมกรุณำ เป็นกรรมกำรสอบวิทยำนิพนธ์ ซึ่งท่ำนได้แนะนำให้คำปรึกษำเพื่อควำมสมบูรณ์ถูกต้องของเนือหำของวิทยำนิพนธ์นี รวมถึงกรำบขอบพระคุณผู้เชี่ยวชำญทุกท่ำนที่ให้คำชีแนะตลอดมำ คุณควำมดีและกุศล ที่พึงบังเกิดมีจำกวิทยำนิพนธ์ฉบับนี ซึ่งสำมำรถก่อให้เกิดควำมรู้และข้อคิดที่เป็ น ประโยชน์อันควรแก่กำรศึกษำหรือกำรนำไปปฏิบัติ ผู้วิจัยขอมอบคุณควำมดีครังนี ด้วยควำมระลึกถึงพระคุณครูบำ อำจำรย์ ผู้มีพระคุณของผู้วิจัย ตลอดจนผู้แต่งหนังสือตำรำทุกท่ำนและทุกเล่ม ที่ผู้วิจัยใช้อ้ำงอิง ในงำนวิทยำนิพนธ์ ฉบับนี หำกเกิดมีข้อผิดพลำดหรือเกิดข้อบกพร่องใดๆในวิทยำนิพนธ์ฉบับนี ผู้วิจัยขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว เอกสำรอ้ำงอิง กัลยำ วำนิชย์บัญชำ. (2554). กำรใช้SPSS for Windows ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล. พิมพ์ครังที่ 19. กรุงเทพมหำนคร : ธรรมสำร. กำญจนำ สงวนวงษ์วำน. (2551,มกรำคม-มีนำคม,7). “เศรษฐกิจไทยตำมเส้นทำงของแผนพัฒนำเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชำติ.” วำรสำรรำมคำแหง. 25(1) : 163-167.

241


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เกสร มุย้ จีน. (2558,เมษำยน-มิถุนำยน). “ปัจจัยที่มีผลต่อระดับสุขภำพจิตของผู้สูงอำยุ.” วำรสำร วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี. 25(2) : 316. สำนักงำนสถิติแห่งชำติ. (2560). “ประชำกรศำสตร์/ประชำกร.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก http://www.nso.go.th/sites/2014. สืบค้นเมื่อ 3 มิถุนำยน 2560. . . (2560). “สำมะโนกำรเกษตร.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก http://www.nso.go.th/ sites/2014. สืบค้นเมื่อ 3 มิถุนำยน 2560. ธีรวุฒิ เอกะกุล. ระเบียบวิธีวิจัยทำงพฤติกรรมศำสตร์และสังคมศำสตร์. อุบลรำชธำนี : วิทยำกำรพิมพ์. 2548. นัฐวุฒิ ไผ่ผำด, สมจิตต์ สุพรรณทัสน์ และ ธีรพัฒน์ สุทธิประภำ. (2557 : 301). “ผลจำกกำรใช้สำรเคมีกำจัด ศัตรูพืชของเกษตรกรผู้ปลูกข้ำวต่อสุขภำพและสิ่งแวดล้อม อำเภอร่องคำ จังหวัดกำฬสินธุ์.” แก่น เกษตร. 42(3) : 301. บุญธรรม กิจปรีดำบริสุทธิ์. (2551). ระเบียบวิธีกำรวิจัยทำงสังคมศำสตร์. กรุงเทพ : จำมจุรีโปรดักส์. วรรณวิมล เมฆวิมล. (2554). ภำวะสุขภำพและพฤติกรรมกำรสร้ำงเสริมสุขภำพของบุคลำกร ใน มหำวิทยำลัยรำชภัฏสวนสุนนั ทำ. คณะวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี. มหำวิทยำลัยรำชภัฏ สวนสุนันทำ. อนนท์ วิสุทธิ์ธนำนนท์และคณะ. (2551). กำรศึกษำเปรียบเทียบภำวะสุขภำพของเกษตรกรที่ใช้สำรเคมีทำง กำรเกษตรกับเกษตรที่ใช้เกษตรอินทรีย์ อำเภอสันป่ำตองจังหวัดเชียงใหม่. คณะพยำบำลศำสตร์ มหำวิทยำลัยเชียงใหม่. อภิชำต จำรัสฤทธิรงค์และกวิสรำ พชรเบญจกุล. ( 2554). “สิ่งแวดล้อมเมืองกับสุขภำพจิต : กำรวิเครำะห์ตัว แปรหลำยระดับในเขตกำรปกครองของกรุงเทพมหำนคร.” ประชำกรและสังคม. : 231

242


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-23 ผลของโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมที่มีต่อระดับดัชนีมวลกำยของผู้ที่มีภำวะน้ำหนักเกินและ โรคอ้วน ในค่ำยสุขภำพสวนป่ำนำบุญ อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร RESULTS OF THE DHARMA-BASED MEDICINE HEALTH PROGRAM ON THE BODY MASS INDEX OF OVERWEIGHT AND OBESITY PARTICIPANTS AT SUAN PA NA BOON, DONTAN DISTRICT, MUKDAHAN PROVINCE ดินแสงธรรม กล้ำจน1 , ภัทรพล ทองนำ2 และ อรรณพ นับถือตรง3 1

นักศึกษาปริญญาโท สาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หลัก อาจารย์ ดร. คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 3 อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม อาจารย์ ดร. คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2

บทคัดย่อ กำรวิจัยครังนีเป็นกำรวิจัยกึ่งทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับดัชนีมวลกำยก่อนและ หลังกำรทดลองของผู้ที่มีภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วน ในค่ำยสุขภำพสวนป่ำนำบุญ อ.ดอนตำล จ.มุกดำหำร กลุ่ม ตัวอย่ำงจำนวน 117 คน สุ่มตัวอย่ำงแบบเป็นระบบ ( Systematic sampling) กลุ่มตัวอย่ำงทุกคนผ่ำนกำรคัดกรอง ตำมเกณฑ์ที่กำหนด และได้รับโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม 9 วัน เก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลัง ทดลองโดยใช้แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล เครื่องชั่งนำหนักและวัดส่วนสูง นำข้อมูลที่ได้มำวิเครำะห์หำค่ำต่ำสุด ค่ำสูงสุด ร้อยละ ค่ ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน และทดสอบสมมติฐำนด้วยสถิติ Paired Samples t-test ผลกำรวิจัยพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่เป็นหญิงร้อยละ 76.10 ชำยร้อยละ 23.90 มีอำยุเฉลี่ย 51.91±5.97 ปี ส่วนสูงเฉลี่ย 157.75±7.86 เซนติเมตร หลังได้รับโปรแกรมฯ ผู้ที่มีภำวะนำหนักเกิน และโรคอ้วนมีระดับดัชนีมวล กำยลดลงกว่ำก่อนทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 ผลกำรศึกษำมีข้อเสนอแนะว่ำ แม้โปรแกรมฯ จะช่วยให้กลุ่มตัวอย่ำงมีกำรเปลี่ยนแปลงระดับดัชนีมวล กำยได้ภำยใน 9 วัน แต่จะต้องใช้เวลำในกำรฝึกปฏิบัติจนกลำยเป็นวิถีชีวิตประจำวัน จะมีส่ วนช่วยให้กำรลดระดับ ดัชนีมวลกำยได้อย่ำงยั่งยืน คำสำคัญ : โปรแกรมสุขภาพตามหลักการแพทย์วิถีธรรม , ระดับดัชนีมวลกาย , ภาวะน้าหนักเกินและโรคอ้วน Abstract The objective of this quasi-experimental research is to compare the body mass index of the participants before and after completing the Dharma-based medicine health program at Suanpanaboon in the Dontan district of Mukdahan province. A total of 117 participants were selected using systematic sampling. All of the selected participants passed the pre-determined criteria and received training in the 9-day Dharma-based medicine course. Individual forms were used to collect data. Height and weight measurements were taken before and after the course.

243


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

The data was analyzed to determine the minimum value, the maximum value, percentage, average, and standard deviation of each measurement. Hypothesis were tested using paired samples t-test. Of the selected participants 76.10% were female were 23.90% are male. The average age of the sampled participants was 51.91±5.97 years. The average height was 157.75±7.86 cm. After completing the course, the participants who were overweight had lower body mass index with a statistical significance of 0.05. We recommend that even though participation in the program resulted in a reduction of body mass index in 9 days, continued practice in daily life is required in order to permanently maintain lowered body mass index. Keywords: Health improvement program according to Dharma-based medicine, Body mass index, Obesity, Overweight บทนำ ภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วน มีสำเหตุมำจำกพลังงำนที่ร่ำงกำยได้รับจำกอำหำรกับพลังงำนที่ใช้ทำ กิจกรรมทำงกำยไม่สมดุล โดยเฉพำะกำรบริโภคแป้ง นำตำล และไขมันมำกเกินกว่ำที่ร่ำงกำยจะเผำผลำญได้ทัน ทัง กินผักผลไม้น้อย ไม่ได้ทำงำนที่ต้องใช้แรงและไม่ได้ออกกำลังกำย ส่งผลให้ประชำกรมีนำหนักตัวเพิ่มสูงขึน มำตรฐำน สำกลที่ใช้จำแนกนำหนักของร่ำงกำยว่ำปกติ น้อย มำกเกิน หรือเป็นโรคอ้วน คือระดับดัชนีมวลกำย (BMI = Body Mass Index) คำนวณโดยนำนำหนักตัว (เป็นกิโลกรัม) เป็นตัวตัง หำรด้วยส่วนสูง (เป็นเมตร) ยกกำลังสอง ค่ำ มำตรฐำนที่ใช้กันมำนำนทั่วโลกคือ BMI 18.5-25 ถือว่ำปกติ 25-30 นำหนักเกินและ 30 ขึนไปถือว่ำอ้วน แต่ ปัจจุบันมีค่ำมำตรฐำนสำหรับชำวเอเชียด้วยคือ BMI 18.5-22.99 ถือว่ำปกติ 23-24.99 ถือว่ำนำหนักเกิน และ 25 ขึนไปถือว่ำอ้วน (วิชัย เอกพลำกร. 2552 : 105) ขณะนีทั่วโลกกำลังประสบปัญหำภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วนอย่ำงรุนแรง กำรศึกษำพบว่ำมีผู้ใหญ่ นำหนักตัวเกินเกณฑ์มำตรฐำนสูงถึงประมำณ 2,300 ล้ำนคน และเป็นโรคอ้วนประมำณ 700 ล้ำนคน (คณะอำนวย กำรยุทธศำสตร์สุขภำพดีวิถีไทย. 2553: 12) สำหรับประเทศไทย ควำมชุกของภำวะอ้วนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึนอย่ำง ชัดเจนเช่นเดียวกัน โดยพบร้อยละ 40.7 ในผู้หญิง และร้อยละ 32.9 ในผู้ชำย (วิชัย เอกพลำกร. 2557: 5) ดังนัน กำรแก้ไขภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วนจึงจำเป็นและเร่งด่วนที่สุด เนื่องจำกเป็นต้นตอของโรคเรือรังต่ำง ๆ เช่น โรค ควำมดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบำหวำน และโรคของหลอดเลือด ซึ่งเป็นสำเหตุกำรตำยก่อนวัยอันควรของประชำกร โลกในขณะนี (วีระชัย สิทธิปิยะสกุล และคณะ. 2553: 2) แนวทำงสำคัญในกำรแก้ไขปัญหำคือ ลดกำรบริโภค อำหำรที่ให้พลังงำนสูงและกำรเพิ่มกำรออกกำลังกำย โดยลดพลังงำนจำกอำหำรที่ควรได้รับประมำณ 500–1000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน เพิ่มกำรออกกำลังกำยอย่ำงสม่ำเสมอ และแสวงหำวิธีในกำรจัดกำรควำมเครียด (นวลรัดดำ ประเปรียว. 2555 : 9) หลำยหน่วยงำนได้ให้ควำมสำคัญกับเรื่องนี เนื่องจำกแผนกำรพัฒนำศักยภำพคนไทยมีเป้ำหมำยลด ภำวะนำหนักเกินในคนไทยอำยุ 15-79 ปี ซึ่งกำรสร้ำงเสริมสุขภำพให้ดีนันจะต้องเน้นที่กำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สุขภำพ โดยเน้นกำรพัฒนำองค์ควำมรู้และรูปแบบกำรออกกำลังกำยและโภชนำกำรที่เหมำะสมกับผู้ที่มีภำวะ นำหนักเกินและโรคอ้วน (สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ. 2559 :66) ซึ่งตรงกับ

244


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำรดำเนินงำนของมูลนิธิแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย ที่ได้จัดค่ำยสุขภำพพึ่งตนเองตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง โดยไม่คิดค่ำใช้จ่ำยแก่ประชำชนที่สนใจ นำหลักธรรมะและปรัชญำเศรษฐกิจพอเพี ยงมำบูรณำกำรเป็นองค์ควำมรู้ และเทคนิคกำรฝึกปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหำสุขภำพตนเองด้วยวิธีที่ประหยัด เรียบง่ำย ได้ผลรวดเร็ว สำมำรถพึ่งพำ ตนเองได้ ใช้ทรัพยำกรในท้องถิ่นเป็นหลัก นำไปประยุกต์ให้เข้ำกับวิถีชีวิตได้ และมีควำมยั่งยืน (สำนักกำรแพทย์ ทำงเลือก. 2555: 1) ซึ่งกำรลดภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วนสำมำรถทำได้ โดยกำรปรับสมดุลร่ำงกำยด้วยกำร ปฏิบัติตำมเทคนิค 9 ข้อ (ยำ 9 เม็ด) ดังที่นิตยำภรณ์ สุระสำย (2558 : 140) ทำกำรศึกษำเรื่องผลของโปรแกรม สร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรแพทย์ทำงเลือกวิถีธรรมต่อกำรสร้ำงเสริมสุขภำพและสุขภำวะของผู้ ต้องขังหญิงเรือนจำ กลำงนครพนม จังหวัดนครพนม ใช้ระยะเวลำในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล 28 สัปดำห์ พบว่ำหลังทดลองผู้ต้องขังหญิง มีระดับดัชนีมวลกำยลดลงกว่ำก่อนทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ.05 ดังนันผู้วิจัยจึงนำองค์ควำมรู้เทคนิคกำรปฏิบัติ 9 ข้อมำสร้ำงเป็นโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถี ธรรม โดยเลือกเฉพำะเทคนิคที่มีผลต่อกำรลดนำหนักโดยเฉพำะกำรดื่มนำสมุนไพรและกำรรับประทำนอำหำรปรับ สมดุล กำรเดินเร็ว กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ด้วยตนเอง กำรใช้ธรรมะเพื่อผ่อนคลำยอำรมณ์ ควบคุมสิ่งเร้ำ และลดละ เลิกกำรบริโภคสิ่งที่เป็นโทษต่อสุขภำพขณะลดนำหนัก และกำรรู้เพียรรู้พักให้พอดี ซึ่งเป็นโปรแกรมฯ ที่ใช้เวลำน้อย แต่มีประสิทธิภำพมำก เพื่อให้ผู้ที่มีนำหนักเกินและอ้วนสำมำรถเรียนรู้ เห็นคุณค่ำประโยชน์ และตังใจฝึกปฏิบัติด้วย ตนเอง ซึ่งสำมำรถพิสูจน์ผลได้ภำยใน 9 วัน รวมถึงสำมำรถนำโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมไปปรับ ใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นทำงเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ต้องกำรลดนำหนักที่ยั่งยืนต่อไป วัตถุประสงค์กำรวิจัย เพื่อเปรียบเทียบระดับดัชนีมวลกำยของผู้ที่มีภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วนก่อนและหลังได้รับโปรแกรม สุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม สมมติฐำนกำรวิจัย ระดับดัชนีมวลกำยของผู้ที่มีภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วนก่อนและหลังได้รับโปรแกรมสุขภำพตำม หลักกำรแพทย์วิถีธรรมแตกต่ำงกัน วิธดี ำเนินกำรวิจัย ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำงที่ศึกษำ คือ ผู้ที่มำเข้ำค่ำยสุขภำพแพทย์วิถีธรรม สวนป่ำนำบุญ อำเภอดอน ตำล จังหวัดมุกดำหำร ในเดือนธันวำคม 2560 ที่สมัครใจเข้ำร่วมโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม มี อำยุระหว่ำง 40-59 ปี ดัชนีมวลกำยเกิน 23 และเป็นผู้ที่ไม่อยู่ในระหว่ำงลดนำหนักด้วยกำรใช้ยำหรือสำรเคมีใด ๆ สุ่มกลุ่มตัวอย่ำงอย่ำงเป็นระบบ (Systematic Random Sampling) จำกประชำกร 234 คน ได้กลุ่มตัวอย่ำงจำนวน 117 คน เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในกำรทดลองคือ โปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ตรวจสอบควำมเที่ยงตรง ของเนือหำ ตรวจสอบกระบวนกำรดำเนินกำร ควำมเหมำะสมของกิจกรรมที่ใช้ในโปรแกรมโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่ำน และเครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล เครื่องชั่งนำหนัก (CAMRY รุ่น EB9314)

245


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ไม้วัดส่วนสูง (SPORT LAND) ทำกำรตรวจหำควำมตรงของเครื่องมือโดยตรวจสอบสภำพของเครื่องมืออย่ำง สม่ำเสมอ กำรเก็บรวบรวมข้อมูล กำรศึ ก ษำวิ จั ย ครั งนี ได้ รั บ กำรรั บ รองจำกคณะกรรมกำรพิ จ ำรณำจริ ย ธรรมกำรวิ จั ย ในมนุ ษ ย์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์เลขที่ HE-SRUU2-0010 โดยมีกำรดำเนินกำรวิจัย ดังนี 1) กลุ่มตัวอย่ำงที่ผ่ำนเกณฑ์คัดเข้ำ ลงนำมยินยอมในแบบฟอร์มกำรเข้ำร่วมโครงกำรวิจัย ผู้วิจัยชีแจง วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย และเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนกำรทดลอง (pre-test) โดยใช้แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล นำหนัก ส่วนสูง และคำนวณระดับดัชนีมวลกำย 2) จัดกิจกิจกรรมตำมโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมให้แก่กลุ่มตัวอย่ำง ดังนี วันที่ 1 บรรยำยและสำธิตเทคนิคกำรปฏิบัติตำมโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม โดยดร. ใจเพชร กล้ำจน และจิตอำสำแพทย์วิถีธรรม 6 ด้ำนได้แก่ 1) กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุล 2) กำรรับประทำน อำหำรปรับสมดุล 3) กำรเดินเร็วและกำรใช้แรงด้วยกำรบำเพ็ญฐำนงำนต่ำง ๆ 4) กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ด้วยตนเอง 5) กำรใช้ธรรมะ ละบำป บำเพ็ญบุญกุศล ทำจิตใจให้ผ่องใส คบมิตรดีสร้ำงสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อผ่อนคลำย อำรมณ์ ควบคุมสิ่งเร้ำ และลดละเลิกกำรบริโภคสิ่งที่เป็นโทษต่อสุขภำพขณะลดนำหนัก ด้วยกำรสวดมนต์ ทบทวน ธรรม ฟังธรรม และสนทนำธรรม ซึ่งเป็นแนวทำงสำคัญที่จะควบคุมสิ่งเร้ำหรือสิ่งกระตุ้นทังจำกภำยในใจและ ภำยนอก รวมถึงกำรพำกเพียรตัดวงจรหรือลดละเลิกพฤติกรรมที่ทำให้เกิดควำมรู้สึกหิว เบื่อหน่ำย หรือท้อแท้ และ 6) กำรรู้เพียรรู้พักให้พอดีระหว่ำงกำรพักผ่อนและกำรพำกเพียรในกำรปฏิบัติตำมกิจกรรมของโปรแกรมฯ วันที่ 2 – 9 กลุ่มตัวอย่ำงเรียนรู้และฝึกปฏิบัติคือ 1) สวดมนต์และทบทวนธรรม 2) กำรออกกำลังกำย ด้วยกำรเดินเร็ววันละ 30 - 50 นำที 3) กิจกรรมฐำนงำนที่มีกำรใช้แรงและมีกำรเคลื่อนไหวร่ำงกำย ได้แก่ ฐำนกสิ กรรมไร้สำรพิษ ฐำนทำควำมสะอำดศำลำอบรมและห้องนำ ฐำนแยกขยะ และฐำนครัววันละ 1 – 2 ชั่วโมง 4) เรียนรู้หลักปฏิบัติในกำรทำนำสมุนไพรปรับสมดุล กำรรับประทำนอำหำรและกำรปรุงอำหำรปรับสมดุลสูตร 2 น้อง พุทธ (ปรุงด้วยเกลือเล็กน้อย) ประกอบด้วย นำสมุนไพร ผลไม้ ผัก ธัญพืชฤทธิ์ร้อน-ฤทธิ์เย็นวันละ 3 มือ 5) ฝึกเอำ พิษออกจำกร่ำงกำยด้วยกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ด้วยตนเองวันละ 1 ชั่วโมง 6) ฟังธรรมะที่ผ่อนคลำยได้ประโยชน์เพื่อ ใช้ในกำรลดละเลิกกิเลส และกำรสนทนำธรรมวันละ 3-5 ชั่วโมง วันที่ 9 เก็บรวบรวมข้อมูลหลังกำรทดลอง (post-test) โดยใช้แบบบันทึกส่วนบุคล นำหนัก ส่วนสูง และ คำนวณระดับดัชนีมวลกำย รำยละเอียดโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม 9 วัน ดังตำรำงที่ 1

246


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 1 โปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม รำยกำร 1. กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุล 2. กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุล 2.1 กำรรับประทำนอำหำร 2.1.1 มือเช้ำ รับประทำนข้ำวต้มผักทรงเครื่อง 2.1.2 มือกลำงวัน รับประทำนอำหำรตำมลำดับ และฝึกเคียวอำหำรแบบย่ำยีมำร (เคียวจนละเอียดเป็นนำ ก่อนกลืน หรืออำจจะเคียวอย่ำงน้อยกว่ำ 30 ครังต่อ 1 คำ) 2.1.3 มือเย็น รับประทำนข้ำวต้มกุ๊ย+ผัดผักรวม (ที่หลำกหลำย) 2.2 ฝึกปรุงอำหำรปรับสมดุล 2.3 วิเครำะห์ค่ำพลังงำนและสำรอำหำร โดยใช้ โปรแกรมสำเร็จรูป INMUCAL-NVersion 3 3. กำรออกกำลังกำย 3.1 กำรเดินเร็ว

ระยะเวลำปฏิบัติ ดื่มก่อนรับประทำนอำหำร 5-15 นำที และตอนท้องว่ำง 9 วัน ๆ ละ 30 นำที 9 วัน ๆ ละ 3 ชัว่ โมง

9 วัน ๆ ละ 30 นำที 5 วัน ๆ ละ 2 ชัว่ โมง 3 วัน ๆ ละ 3 มือ

8 วัน ๆ ละ 30-50 นำที (รวมวอร์มอัพหรืออบอุ่นร่ำงกำย 5-10 นำที และ คลูดำวน์หรือกำรคลำยอุ่นร่ำงกำย 5-10 นำที) 8 วัน ๆ ละ 1-2 ชั่วโมง

3.2 กิจกรรมทำงกำยตำมฐำนงำนต่ำง ๆ คือ ฐำนกสิ กรรมไร้สำรพิษ ฐำนทำควำมสะอำดศำลำอบรม ฐำนทำ ควำมสะอำดห้องนำ ฐำนแยกขยะ ฐำนครัว (ทำอำหำร และ ทำควำมสะอำดในครัว) 4. กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ด้วยตนเอง 8 วัน ๆ ละ 1 ครัง ๆ ละ 1 ชัว่ โมง 5. กำรใช้ธรรมะ ละบำป บำเพ็ญบุญกุศล ทำจิตใจให้ผ่องใส 9 วัน ๆ ละ 3 ชัว่ โมง คบมิตรดีสร้ำงสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อผ่อนคลำย อำรมณ์ ควบคุมสิ่งเร้ำ และลดละเลิกกำรบริโภคสิ่งที่เป็นโทษ ต่อสุขภำพขณะลดนำหนัก ด้วยกำรสวดมนต์ ทบทวนธรรม ฟังธรรม สนทนำธรรม และกำรบันทึกสภำวะกำยและใจ ซึ่ง เป็นแนวทำงสำคัญที่จะควบคุมเร้ำหรือสิ่งกระตุ้นทังจำกภำย ใจและภำยนอก รวมถึงกำรพำกเพียรตัดวงจรหรือลดละเลิก พฤติกรรมที่ทำให้เกิดควำมรู้สกึ หิว เบื่อหน่ำย หรือท้อแท้ 6. กำรรู้เพียรรู้พักให้พอดี ตื่น 04:30 น.เข้ำนอนไม่เกิน 21:00 น. ระหว่ำงวันร่วมกิจกรรม เต็มที่ตำมกำลังที่มีของแต่ละคน

กำรวิเครำะห์ข้อมูล วิเครำะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทำงสถิติเพื่อคำนวณหำค่ำสถิติต่ำง ๆ ดังนี 1) สถิติเชิงพรรณนำ ได้แก่ ค่ำต่ำสุด ค่ำสูงสุด ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ในกำร อธิบำยลักษณะส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่ำง 2) สถิติเชิงอนุมำน เปรียบเทียบผลก่อนและหลังกำรทดลอง ด้วยสถิติ Paired Sample t-test กำหนดระดับนัยสำคัญที่ .05

247


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ผลกำรวิจัย 1. ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำง กลุ่มตัวอย่ำงจำนวน 117 คน พบว่ำเพศหญิงร้อยละ 76.10 เพศชำยร้อยละ 23.90 มีอำยุระหว่ำง 5559 ปีร้อยละ 42.73 รองลงมำมีอำยุระหว่ำง 50-54 ปีร้อยละ 24.79 อำยุต่ำสุด 40 ปีอำยุสูงสุด 59 ปี (อำยุเฉลี่ย 51.91±5.97 ปี) ดังตำรำงที่ 2 ตำรำงที่ 2 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่ำง (n=117) ข้อมูลทั่วไป เพศ หญิง ชำย รวม อำยุ 40-44 ปี 45-49 ปี 50-54 ปี 55-59 ปี รวม อำยุต่ำสุด 40 ปี อำยุสูงสุด 59 ปี อำยุเฉลี่ย 51.91±5.97 ปี

จำนวน (คน)

ร้อยละ

89 28 117

76.10 23.90 100.00

19 19 29 50 117

16.24 16.24 24.79 42.73 100.00

2. แสดงจำนวนและร้อยละของระดับดัชนีมวลกำยของกลุ่มตัวอย่ำง (n=117) ก่อนกำรทดลองไม่มีกลุ่มตัวอย่ำงที่มีดัชนีมวลกำยระดับปกติ มีเกินเกณฑ์มำตรฐำน 36 คน คิดเป็นร้อย ละ 30.77 อ้วน 81 คน คิดเป็นร้อยละ 69.23 หลังกำรทดลอง พบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงมีดัชนีมวลกำยปกติ 7 คน คิด เป็นร้อยละ 5.98 เกินเกณฑ์มำตรฐำน 36 คน คิดเป็นร้อยละ 30.77 และอ้วน 74 คนคิดเป็นร้อยละ 63.25 ดัง ตำรำงที่ 3 ตำรำงที่ 3 แสดงจำนวนและร้อยละของระดับดัชนีมวลกำยของกลุ่มตัวอย่ำง (n=117) ดัชนีมวลกำย (km./m2) ปกติ (18.50-22.99) นำหนักเกิน (23.00-24.99) อ้วน (25.00 ขึนไป) รวม

ก่อน จำนวน 0 36 81 117

หลัง ร้อยละ 0 30.77 69.23 100.00

จำนวน 7 36 74 117

ร้อยละ 5.98 30.77 63.25 100.00

3. ผลกำรเปรียบเทียบระดับดัชนีมวลกำยก่อนและหลังได้รับโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์ วิถีธรรม

248


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กลุ่มตัวอย่ำงจำนวน 117 คน มีค่ำเฉลี่ยส่วนสูงก่อนและหลังกำรทดลองเท่ำกับ (157.75±7.86) ก่อน ได้รับโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมมีนำหนักตัว (68.50±11.70) มำกกว่ำหลังได้รับโปรแกรมฯ (66.76±11.25) แตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 และก่อนกำรทดลองมีค่ำเฉลี่ยดัชนีมวลกำย (27.46±6.70) มำกกว่ำหลังกำรทดลอง (26.71±3.34 ) แตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ดังตำรำง ที่ 4 ตำรำงที่ 4 กำรเปรียบเทียบควำมแตกต่ำงของระดับดัชนีมวล กำย (BMI) ของกลุ่มตัวอย่ำงระหว่ำงก่อนและหลัง กำรได้รับโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม (n=117) ส่วนสูง (เซนติเมตร) ก่อน หลัง นำหนัก (กิโลกรัม) ก่อน หลัง ดัชนีมวลกำย (กิโลกรัม/ตำรำงเมตร) ก่อน หลัง *

ค่ำเฉลี่ย

S.D.

t

P-value

157.75 157.75

7.86 7.86

68.50 66.76

11.70 11.25

14.71

.000*

27.46 26.71

3.70 3.34

9.08

.000*

มีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ.05

วิจำรณ์ผลกำรวิจัย ผลกำรศึกษำแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภำพของโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมที่มีต่อกำร เปลี่ยนแปลงระดับดัชนีมวลกำย ของผู้ที่มีภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วนได้อย่ำงชัดเจน เนื่องจำกกำรเลือกเทคนิค 9 ข้อ (ยำ 9 เม็ด) ตำมแนวคิดของใจเพชร กล้ำจน (2558) มำสร้ำงเป็นโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม เพื่อใช้กับกลุ่มตัวอย่ำงเป็นระยะเวลำ 9 วัน ส่งผลให้ผู้ที่มีภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วนได้เรียนรู้และลงมือฝึกปฏิบัติ จนเห็นผลจริง ผู้วิจัยจึงขออภิปรำยผลดังนี ด้ำนนำหนักตัว พบว่ำหลังกำรทดลองกลุ่มตัวอย่ำงมีค่ำเฉลี่ยนำหนักตัวลดลงกว่ำก่อนกำรทดลองอย่ำงมี นัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ.05 สอดคล้องกับนันทิชำ แปะกระโทก (2554 : 15) พบว่ำกำรศึกษำเชิงปฏิบัติกำรที่ใช้ เวลำ 2 เดือน ผู้ที่มีภำวะอ้วนสำมำรถป้องกำรมิให้นำหนักตัวเพิ่มขึนและสำมำรถลดนำหนักได้ด้วยกำรเพิ่มกำร เคลื่อนไหวออกแรงหรือออกกำลังกำยร่วมกับกำรลดกำรบริโภคอำหำร รู้จักเลือกรับประทำนอำหำรอย่ำงฉลำด เพื่อ ลดพลังงำนทำให้นำหนักตัวลดลงอย่ำงต่อเนื่อง โดยผู้รับบริกำรมีค่ำเฉลี่ยนำหนักตัวก่อนเข้ำโปรแกรมเท่ำกับ 77.47 กิโลกรัมและหลังเข้ำโปรแกรมเท่ำกับ 75.46 กิโลกรัม เช่นเดียวกับกำรศึกษำของสุมำลี เกียรติชนก (2558 : 112) ที่ พบว่ำ กำรพัฒนำสูตรอำหำรลดพลังงำนแคลอรี่ต่ำ 1,200 กิโลแคลอรี่ต่อวันเป็นเวลำ 4 สัปดำห์ และกำรนำคู่มือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกำรกินอำหำรลดพลังงำนทำให้นำหนักตัวลดลง โดยก่อนทดลองมีนำหนักเฉลี่ย 89.94±21.73 กิโลกรัม หลังทดลอง 88.80±21.76 กิโลกรัม นอกจำกนันยังมีกำรศึกษำเรื่องควำมสัมพันธ์ระหว่ำงรูปแบบกำร รับประทำนอำหำรมังสวิรัติและค่ำดัชนีมวลกำย ของ PK, N., Katherine, L.T., & Alicja, W. (2005 : 1267-1274)

249


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

พบว่ำอำหำรที่อุดมด้วยเส้นใยอำหำรจำกพืช เช่น ผักผลไม้ธัญพืชธัญพืชและพื ชตระกูลถั่วมีควำมเกี่ยวข้องกับดัชนี มวลกำย (BMI) โดยสตรีชำวสวีเดนอำยุระหว่ำง 57-91 ปีที่ทำนอำหำรมังสวิรัติเป็นประจำมีควำมเสี่ยงต่อกำรมี นำหนักเกินและโรคอ้วนต่ำกว่ำผู้หญิงที่กินเจ และมีคำแนะนำในกำรบริโภคอำหำรจำกพืชและผลิตภัณฑ์จำกสัตว์ น้อยอำจช่วยให้ควบคุมนำหนักได้ ยังสอดคล้องกับ Menza, M., Vreeland, B., Minsky, S., Gara, M., Radler, D. R., & Sakowitz, M. (2004) ที่ได้กล่ำวไว้ว่ำหลังได้รับโปรแกรมควบคุมที่เน้นกำรปรับเปลี่ยนโภชนำกำรและกำร ออกกำลังกำยเป็นเวลำ 52 สัปดำห์ เปรียบเทียบระหว่ำงกลุ่มทดลองที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีนำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนที่มี นำหนักตัวเพิ่มขึน ในขณะที่ใช้ยำลดควำมอ้วน กลุ่มผู้ป่วยโรค schizoaffective ที่ได้รับกำรรักษำด้วยยำรักษำโรค จิตแบบผิดปกติ จำนวน 36 คนและกลุ่มเปรียบเทียบที่เป็นผู้ป่วยในคลินิกเดียวกัน (กลุ่ม "กำรดูแลตำมปกติ") ผลลัพธ์หลักคือกลุ่ มทดลองมีนำหนักตัวลดลงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (p = .01) ในขณะที่กลุ่มเปรียบเทียบมี นำหนักเพิ่มขึน กำรศึกษำของ Delia E.S., Christine M.H., Polly P.K., & Dehryl M. (1997) ก็ได้ทดลองกับกลุ่ม ตัวอย่ำง 2 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 ได้รับโปรแกรมควบคุมนำหนักตำมพฤติ กรรมกลุ่มอำยุ 16 สัปดำห์ ที่ให้คำแนะนำใน กำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรับประทำนอำหำร กำรออกกำลังกำย และกลุ่มที่ 2 ได้รับโปรแกรมกำรสัมภำษณ์เพื่อ สร้ำงแรงบันดำลใจเป็นรำยบุคคล 3 ช่วงเวลำ ผลปรำกฏว่ำ ทังสองกลุ่มมีนำหนักตัวลดลงอย่ำงมีนัยสำคัญ แต่ไม่พบ ควำมแตกต่ำงระหว่ำงกลุ่ม นอกจำกนันกำรศึกษำของ Baker, H.E., Milner, N.A., Campbell, D.A. (2015 : 822–824) ที่ศึกษำกำรใช้โปรแกรมส่งเสริมกำรเดินให้เป็นรูปแบบของกำรขนส่งแทนกำรใช้ยำนพำหนะ เป็นกำร ผสมผสำนกำรเดินเข้ำสู่วิถีชีวิตของแต่ละบุคคล พบว่ำสำมำรถกระตุ้นให้เกิดกำรออกกำลังกำยและเพิ่มกำรสูญเสีย นำหนักของผู้ที่มีอำยุระหว่ำง 23-63 ปี (มี BMI เกิน 25 ขึนไป) ในรัฐแอละแบมำ โดยในช่วงเวลำที่ศึกษำผู้เข้ำร่วม มำกกว่ำครึ่ง (54.5%) มีนำหนักลดลง ส่วนระดับดัชนีมวลกำย กำรศึกษำนีพบว่ำ หลังกำรทดลองกลุ่มตัวอย่ำงมีค่ำเฉลี่ยดัชนีมวลกำยลดลงกว่ำ ก่อนกำรทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ.05 เนื่องจำกกำรฝึกกำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลสูต 2 น้อง พุทธ กำรใช้พลังงำนที่เหมำะสม และกำรเอำพิษออกจำกร่ำงกำยด้วยกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่และกำรศึกษำธรรมะ เพื่อลดละเลิกสิ่งที่เป็นโทษภัยต่อชีวิต ตรงกับกำรศึกษำของนิตยำภรณ์ สุระสำย (2558 : 113) ได้ศึกษำผลกำรใช้ โปรแกรมสร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรแพทย์ทำงเลือกวิถีธรรมต่อสุขภำวะของผู้ต้องขังหญิง โดยให้ผู้ต้องขังหญิงฝึก ปฏิบัติตำมหลักเทคนิค 9 ข้อหรือยำ 9 เม็ดของกำรแพทย์วิถีธรรม 28 สัปดำห์ พบว่ำระดับดัชนีมวลกำยของ ผู้ต้องขังหญิงก่อนและหลังกำรทดลองลดลงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ.01 สอดคล้องกับกำรศึกษำที่เน้นกำร เปลี่ยนแปลงในด้ำนโภชนำกำรและกิจกรรมที่เพียงพอ จะช่วยระงับกำรเพิ่มขึนของค่ำเฉลี่ย BMI ได้ของคณะ NCDRisC (2016) เรื่องแนวโน้มของค่ำ BMI ทั่วโลกเพิ่มขึนใน 4 ทศวรรษที่ผ่ำนมำ โดยค่ำเฉลี่ย BMI และควำมอ้วนใน เด็กและวัยรุ่นอำยุ 5-19 ปี เพิ่มขึนในทุกภูมิภำคและประเทศ ส่งผลกระทบด้ำนสุขภำพที่ไม่พึงประสงค์ไปตลอดชีวิต กำรศึกษำนีคำดว่ำปี พ.ศ. 2565 โรคอ้วนในเด็กและวัยรุ่นจะสูงเกินระดับควำมหนักปำนกลำงและรุนแรง สอดคล้องกับกำญจนำ ศักดิ์ชลำธร (2558 : 90) ได้ทำกำรศึกษำผลของโปรแกรมสุขศึกษำต่อค่ำดัชนี มวลกำยของ อสม. 26 คน มีกำรบรรยำยให้ควำมรู้ประกอบสไลด์เรื่องพฤติกรรมกำรควบคุมนำหนักด้วยหลัก 3 อ เรื่องภำวกำรณ์เจ็บป่วยที่เกิดจำกโรคอ้วน ทำให้ตระหนักถึงโรคร้ำยแรงที่จะตำมมำ เช่น เบำหวำน ควำมดันโลหิต รวมทังกำรให้ควำมรู้เรื่องพลังงำนแคลอรี่ของอำหำร แต่ละประเภทและวิธีคำนวณแคลอรี่ และควำมรู้ในกำรออก กำลังกำยอย่ำงง่ำย ๆ ให้อสม.นำไปปฏิบัติ 4 สัปดำห์ พบว่ำก่อนกำรทดลองมีดัชนีมวลกำย 27.31 หลังกำรทดลอง 26.94 เมื่อเปรียบเทียบทำงสถิติพบว่ำมีควำมแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (p=0.000)

250


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สอดคล้องกับกำรศึกษำของสุดำรัตน์ วำเรศ (2556 : 38) ทำกำรศึกษำผลกำรออกกำลังกำยด้วยเดินต่อ ดัชนีมวลกำยของนักเรียนมัธยมศึกษำที่มีนำหนักเกินเกณฑ์ พบว่ำดัชนีมวลกำยก่อนกำรฝึกกับหลังกำรฝึกมีควำม แตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ.05 เนื่องจำกกลุ่มทดลองออกกำลังกำยด้วยกำรเดินตำมโปรแกรม 8 สัปดำห์ ๆ ละ 3 วัน ซึ่งเป็นไปตำมหลักกำรออกกำลังกำยแบบแอโรบิค ที่ชนิด ควำมถี่ ควำมนำน และควำมหนัก ถูกต้องและเหมำะสม สำมำรถทำให้ดัชนีมวลกำยของนักเรียนลดลงได้จริง ควำมรุนแรงของปัญหำนำหนักเกินและโรคอ้วน มีกำรศึกษำที่ชัดเจนของ Banwell, C., Lim, L. (2009, January) เรื่อง Body mass index and health-related behaviors in a national cohort of 87,134 Thai open university students พบว่ำนักศึกษำในมหำวิทยำลัยของประเทศไทย 16% เป็นโรคอ้วน (ดัชนีมวล กำย>หรือ= 25) และ 15% มีนำหนักเกิน (BMI> หรือ = 23-24.9) ผู้ชำยมีนำหนักเกินและอ้วนกว่ำผู้หญิงเป็นสอง เท่ำ เป็นผู้ที่พักอำศัยอยู่ในเมือง ใช้พลังงำนในกำรงำนบ้ำนหรือทำสวนเล็กน้อย และใช้เวลำมำกกว่ำ 4 ชั่วโมงต่อวัน ในกำรดูโทรทัศน์หรือใช้คอมพิวเตอร์ และพบว่ำนักศึกษำบริโภคอำหำรทอดเป็นประจำทุกวัน เป็นสำเหตุทำให้เกิด ภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วน กำรลดปริมำณพลังงำนและสำรอำหำรในผู้ที่มีภำวะนำหนักเกินและโรคอ้วน มีผลต่อ กำรลดนำหนักโดยตรง จะเห็นว่ำกำรศึกษำครังนีใช้อำหำรปรับสมดุลสูตร 2 น้องพุทธให้กลุ่มตัวอย่ำงรับประทำน 9 วัน พบว่ำมี พลังงำนเฉลี่ย 1010.88 กิโลแคลอรี่ต่อวัน แต่ทำให้กลุ่มตัวอย่ำงมีควำมรู้สึกสบำยเบำกำยและมีกำลังมำกกว่ำเดิม เนื่องจำกเป็นอำหำรที่ใช้ผักผลไม้สมุนไพรและธัญพืชเท่ำนัน ซึ่งตรงกับกำรศึกษำของ Le,L.T. & Sabaté, J. (2014 : 2131-2147) ที่ศึกษำเรื่องกำรบริโภคอำหำรมังสวิรัติและมังสวิรัติแบบเคร่งต่อสุขภำพและควำมเป็นโรค ในประเทศ สหรัฐอเมริกำ พบว่ำ อำหำรมังสวิรัติแบบเคร่งที่ละเว้นกำรบริโภคเนือสัตว์ ไข่ นมและเนย สำมำรถช่วยป้องกัน โรค ควำมอ้วน โรคควำมดันโลหิตสูง โรคเบำหวำนประเภทสอง และลดอัตรำกำรเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด และยังสอดคล้องกับกำรศึกษำของนวลรัดดำ ประเปรียว (2555 : 110) เกี่ยวกับผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยน พฤติกรรมกำรบริโภคอำหำร กำรเคลื่อนไหวออกกำลังกำยในผู้รับบริกำรภำวะอ้วนลงพุง ที่โรงพยำบำลอำนำจเจริญ วำงแผนให้โภชนบำบัดแก่ผู้ที่มีภำวะอ้วนลงพุง อำยุระหว่ำง 18–59 ปี คือ ลดพลังงำนในอำหำรลง 500-1000 กิโล แคลอรี่/วัน และเพิ่มกำรออกกำลังกำย พบว่ำหลังทดลองกลุ่มทดลองได้รับพลังงำนและสำรอำหำรลดลงเฉลี่ย 1255.62 กิโลแคลอรี่ต่อวัน มีค่ำเฉลี่ยดัชนีมวลกำย 29.6 และหลังทดลอง 27.18 สรุปผลกำรวิจัย กำรศึกษำประสิทธิผลของโปรแกรมสุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ทำให้ทรำบว่ำ โปรแกรมฯ สำมำรถช่วยให้กลุ่มตัวอย่ำงมีกำรเปลี่ยนแปลงระดับดัชนีมวลกำยได้จริงภำยใน 9 วัน เนื่องจำกผู้วิจัยได้เลือกเทคนิค เฉพำะที่มีผลต่อกำรลดนำหนัก และเป็นโปรแกรมฯ ที่ใช้เวลำน้อยแต่มีประสิ ทธิภำพมำก เพื่อให้ผู้ที่มีนำหนักเกิน และโรคอ้วนสำมำรถเรียนรู้ เห็นคุณค่ำประโยชน์ และตังใจฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง รวมทังสำมำรถนำโปรแกรมสุขภำพ ตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นทำงเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ ต้องกำรลดนำหนักที่ยั่งยืน ต่อไป

251


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะกำรนำผลกำรวิจัยไปใช้ กำรเข้ำร่วมโปรแกรมสุขภำพแพทย์วิถีธรรมเพียง 9 วัน ณ สวนป่ำนำบุญ อ.ดอนตำล จ.มุกดำหำร ส่งผล ต่อกำรเปลี่ยนแปลงภำวะสุขภำพและพฤติกรรมกำรปฏิบัติตนด้ำนกำรรับประทำนอำหำร กำรออกกำลังกำย และ กำรลดละเลิกสิ่งที่เป็นโทษต่อสุขภำพกำยและใจของบุคคลได้ด้วยวิธีกำรที่ประหยัด เรียบง่ำย ค่ำใช้จ่ำยน้อย ฝึกให้ บุคคลมั่นใจในกำรพึ่งตนเอง ควรได้รับกำรเผยแพร่ไปสู่หน่วยงำนสำธำรณสุขที่เกี่ยวข้อง เพื่อประยุกต์ใช้ในกำร ส่งเสริมสุขภำพประชำชนกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มโรคควำมดันโลหิตสูง โรคเบำหวำน โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรศึกษำประสิทธิผลของโปรแกรมสุขภำพแพทย์วิถีธรรม โดยมีกำรเปรียบเทียบ 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม ควบคุมและกลุ่มทดลอง 2. ควรมีกำรประเมินผลติดตำมต่อเนื่อง 6 เดือน โดยประเมินผลเชิงคุณภำพเพื่อทรำบพฤติกรรมกำร ปฏิบัติตนตำมโปรแกรมสุขภำพแพทย์วิถีธรรม ร่วมกับกำรประเมินค่ำดัชนีมวลกำยเพื่อจะช่วยให้สำมำรถอภิปรำย ผลของโปรแกรมได้อย่ำงชัดเจนขึน กิตติกรรมประกำศ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณคณำจำรย์คณะวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ ที่เมตตำ ในกำรชีแนะแนวทำงกำรวิจัย และแนวทำงกำรดำเนินงำน ขอขอบพระคุณ ดร.ใจเพชร กล้ำจน (หมอเขียว) จิตอำสำ แพทย์วิถีธรรม และกลุ่มตัวอย่ำงทุกท่ำนที่ให้ควำมร่วมมือในกำรวิจัยเป็นอย่ำงดียิ่ง เอกสำรอ้ำงอิง กำญจนำ ศักดิ์ชลำธร. (2558). ผลของโปรแกรมสุขศึกษำต่อพฤติกรรมกำรควบคุมน้ำหนักและค่ำดัชนีมวลกำย ในอำสำสมัครสำธำรณสุขประจำหมู่บ้ำน ตำบลบำงแก้ว อำเภอเมืองฉะเชิงเทรำ จังหวัดฉะเชิงเทรำ. ปริญญำสำธำรณสุขศำสตรมหำบัณฑิต สำขำกำร จัดกำรสุขภำพ มหำวิทยำลัยรำชภัฏนครินทร์. คณะอำนวยกำรยุทธศำสตร์สุขภำพดีวิถีไทย. (2553). แผนยุทธศำสตร์สุขภำพดีวิถีชีวิตไทย พ.ศ.2554-2563. สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ. ใจเพชร กล้ำจน. (2558). จิตอำสำแพทย์วิถีพุทธเพื่อมวลมนุษยชำติ. ปรัชญำดุษฎีบณ ั ฑิต สำขำวิชำ ยุทธศำสตร์กำรพัฒนำภูมิภำค (สำธำรณสุขชุมชน) มหำวิทยำลัยรำชภัฏ สุรินทร์. นันทิชำ ประกระโทก. (2554). แนวทำงกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้ำนโภชนำกำรและกำรออกกำลังกำยเพื่อลด ภำวะอ้วนลงพุง. สืบค้น 18 มกรำคม 2561, จำก http://203.157.71.139/group_sr/allfile/ นวลรัดดำ ประเปรียว. (2555). ผลกำรให้ควำมรู้และกำรปรึกษำด้ำนโภชนำกำรต่อกำรปรับเปลีย่ นพฤติกรรมกำร บริโภคอำหำร กำรเคลื่อนไหวออกกำลังกำยและภำวะโภชนำกำร ในผู้รับบริกำรภำวะอ้วนลงพุงที่ โรงพยำบำลอำนำจเจริญ. ปริญญำสำธำรณสุขศำสตรมหำบัณฑิต มหำวิทยำลัยขอนแก่น. นิตยำภรณ์ สุระสำย. (2558). ผลของโปรแกรมสร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรแพทย์ทำงเลือกวิถี ธรรมเพื่อกำร พึ่งตนเองตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียงต่อพฤติกรรมสร้ำงเสริมและสุขภำวะของผู้ต้องขังหญิง เรือนจำ กลำงนครพนม อำเภอเมืองจังหวัดนครพนม. วิทยำนิพนธ์ สำธำรณสุขศำสตรมหำบัณฑิต สำขำกำรสร้ำง เสริมสุขภำพ มหำวิทยำลัยรำชภัฏอุบลรำชธำนี.

252


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วิชัย เอกพลำกร. (2552). กำรสำรวจสุขภำพประชำชนไทยโดยกำรตรวจร่ำงกำยครั้งที่ 4 พ.ศ. 2551-2. สถำบันวิจัยระบบสำธำรณสุข กระทรวงสำธำรณสุข. วิชัย เอกพลำกร. (2557). รำยงำนกำรสำรวจสุขภำพประชำชนไทยโดยกำรตรวจร่ำงกำยครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557. นนทบุรี : สถำบันวิจัย ระบบสำธำรณสุข. วีระชัย สิทธิปิยะสกุลและคณะ. (2553). ยุทธศำสตร์คนไทยไร้พุง สถำนกำรณ์ภำวะอ้วนและกำรดำเนินงำน แก้ไขเขตตรวจรำชกำรที่ 17 กระทรวงสำธำรณสุข. เชียงใหม่ : เกวลีกำรพิมพ์. สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ. (2559). แผนพัฒนำเศรษฐกิจสังคมแห่งชำติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564). กรุงเทพ ฯ : สำนักนำยกรัฐมนตรี. สุดำรัตน์ วำเรศ. (2556). ผลของกำรออกกำลังกำยด้วยกำรเดินที่มีต่อดัชนีมวลกำยและเปอร์เซ็นต์ไขมันของ นักเรียนมัธยมศึกษำตอนต้นทีม่ ีนำหนั ้ กเกินเกณฑ์. ปริญญำกำรศึกษำมหำบัณฑิต สำขำวิชำกำรจัดกำร เรียนรู้พลศึกษำ มหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สุมำลี เกียรติชนก. (2558). เรื่องผลของกำรใช้คู่มือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกำรกินอำหำรลดพลังงำนสำหรับ โปรแกรมลดนำหนักของนักศึกษำที่มีภำวะนำหนักเกินและอ้วน. SDU Research Journal. 8(3) : 97118. Baker, H.E., Milner, N.A., Campbell, D.A. (2015). “Walking Programs to Promote Weight Loss among Obese and Overweight Individuals : Walking Buses for Adults”. Public Health. 129(6) : 822–824. Banwell C, Lim L, et al. ( 009, January). “Body mass index and health-related behaviors in a national cohort of 87,134 Thai open university students.” [Online]. J Epidermal Community Health. 63 : 366–372. สืบค้น 17 เมษำยน 2560, จำก http://jech.bmj.com/content/63/5/366.full.pdf Delia E.S., Christine M.H., Polly P.K.., & Dehryl M. (1997). Motivational Interviewing to Improve Adherence to a Behavioral Weight-Control Program for Older Obese Women with NIDDM : A pilot study. สืบค้น 18 มกรำคม 2561, จำก http://care.diabetesjournals.org/ content/20/1/52. Le,L.T. & Sabaté, J. (2014). “Beyond Meatless, the Health Effects of Vegan Diets : Findings from the Adventist Cohorts”. Nutrients. 6 : 2131-2147. สืบค้น 19 มิถุนำยน 2560, จำก www.mdpi.com/journal/nutrients Menza, M., Vreeland, B., Minsky, S., Gara, M., Radler, D. R., & Sakowitz, M. (2004). “Managing atypical antipsychotic-associated. weight gain : 12-month data on a multimodal weight control program”. The Journal of Clinical Psychiatry. 65(4) : 471-477. NCD Risk Factor Collaboration (NCD-RisC). (2016). Worldwide trends in body-mass index, underweight, overweight, and obesity from 1975 to 2016: a pooled analysis of 2416 population-based measurement studies in 128.9 million children, adolescents, and adults. Lancet. 390(10113) : 2627–2642. PK, N., Katherine, L.T., & Alicja, W. (2005). Risk of overweight and obesity among semi vegetarian,

253


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

lactovegetarian, and vegan women 1,2,3,4. The American Journal of Clinical Nutrition. 81 : 1267-1274.

254


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-24 คุณภำพอำกำศภำยในอำคำรกับกำรป่วยเหตุจำกอำคำรของเจ้ำหน้ำที่ผู้ปฏิบัติงำนในอำคำรสำนักงำนสรรพำกร พื้นที่กรุงเทพมหำนคร 18 INDOOR AIR QUALITY WITH SICK BUILDING SYNDROME OF OFFICIAL IN BANGKOK AREA REVENUE OFFICE 18 พวงบุปผำ หนูรัก1, ประดับ เรียนประยูร2 และ วรรธนะชัย ปฐมสิรวิ งศ์2 1 2

สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ paungbupha.nu@rd.go.th

บทคัดย่อ กำรวิจัยนีมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่มีควำมสัมพันธ์กับกลุ่มอำกำรป่วยเหตุจำกอำคำร และสำรวจควำมชุกกลุ่มอำกำรป่วยเหตุจำกอำคำรของเจ้ำหน้ำที่ผู้ปฏิบัติงำนในอำคำรสำนักงำนสรรพำกรพืนที่ กรุงเทพมหำนคร 18 เป็นกำรสำรวจสิ่งแวดล้อมทำงด้ำนกำยภำพและทำงด้ ำนเคมี ทังชนิดและปริมำณของสำร มลพิ ษต่ ำง ๆ ภำยในอำคำร โดยกำรทำกำรตรวจวั ดคุณ ภำพอำกำศด้ว ยวิธี กำรมำตรฐำน ในพื นที่ ซึ่งมีแ หล่ ง สภำพแวดล้อมแตกต่ำงกัน ได้แก่ ห้องภำษีหัก ณ ที่จ่ำย ห้องกรรมวิธี และห้องตรวจสอบและตรวจแนะนำผู้เสีย ภำษี พำรำมิเตอร์ที่ทำกำรตรวจวัด ได้ แก่ อุณหภูมิ ควำมชืนสัมพัทธ์ อัตรำกำรไหลเวียนอำกำศ ฝุ่นละอองขนำด 2.5 ไมครอน ฝุ่นละอองขนำด 10 ไมครอน ก๊ำซคำร์บอนมอนอกไซน์ ก๊ำซไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊ำซเรดอน ก๊ำซ ฟอร์มำลดีไฮด์ ก๊ำซโอโซนและก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ ตำมระยะเวลำที่กำหนด หลังจำกนัน ทำกำรวิเครำะห์ข้อมู ล โดยกำรนำค่ำที่ตรวจวัดได้เทียบกับค่ำมำตรฐำน พร้อมทังทำกำรสำรวจควำมชุกกลุ่มอำกำรป่วยเหตุจำกอำคำรใน กลุ่มตัวอย่ำงที่เป็นผู้ปฏิบัติงำนภำยในอำคำรจำนวน 95 คน และหำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสิ่งแวดล้อมต่ำง ๆ กับ ควำมชุกกลุ่มอำกำรป่วยเหตุจำกอำคำร ด้วยควำมถี่ ร้อยละและสถิติ Chi-Square test ที่ระดับนัยสำคัญทำงสถิติ 0.05 ผลกำรศึกษำพบว่ำทุกพำรำมิเตอร์อยู่ ในเกณฑ์มำตรฐำน ยกเว้นค่ำของฝุ่ นละอองขนำดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) และก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งมีค่ำเกินกว่ำมำตรฐำน แสดงถึงกำรระบำยอำกำศที่ไม่ เหมำะสม จึงควรติดตังพัดลมระบำยอำกำศให้สำมำรถให้ระบำยอำกำศได้อย่ำงเพียงพอและทำให้เกิดกำรหมุนเวียน อำกำศที่ดีขึน ควำมชุกอำกำรป่วยเหตุจำกอำคำรภำยใน 1 เดือน สัมพันธ์กับลักษณะของสถำนที่ทำงำน ( 2 = 755.333, p = .001) ควำมชุกอำกำรป่วยเหตุอำคำรในช่วงวันหยุดงำน เช่น วันหยุดนักขัตฤกษ์ วันหยุดประจำ สัปดำห์ สัมพันธ์กับลักษณะของสถำนที่ทำงำน ( 2 = 470.952, p = .001) ควำมชุกอำกำรป่วยเหตุอำคำรใน ปัจจุบันขณะที่ทำงำนสัมพันธ์กับด้ำนสิ่งแวดล้อมในที่ทำงำน ( 2 = 342.700, p = .004) และสัมพันธ์กับด้ำน ลักษณะงำน ( 2=316.982, p=.014) คำสำคัญ : คุณภาพอากาศ อนุภาคขนาดเล็ก ก๊าซฟอร์มาลดีไฮด์ ก๊าซโอโซน ก๊าซเรดอน

255


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Abstract This research was aimed to investigate the environmental factors associated with symptomatic syndrome. Physical and chemical environments of the Bangkok Metropolitan Revenue Office 18 were evaluated in Withholding Tax room, Processing room and Tax Inspector Examination and Verification room according to standard method. The indoor air quality as Temperature, Relative Humidity, Air movement, PM10, PM2.5, Carbon Monoxide, Nitrogen Dioxide, Radon, Formaldehyde, Ozone and Carbon Dioxide were conducted at working time. Data were analyzed by using the measured values against the standards values. Prevalence and occurrence of sick building syndrome among 95 workers were investigated and the relationship between sick building syndrome and environmental characteristics was based on Chi-square test at the statistical significance level of 0.05. The results showed that all parameters were standard except for dusts of 10 microns (PM10) and carbon dioxide (CO2), which were above the standard indicating inappropriate ventilation. Ventilation fans should be installed so that they can provide adequate ventilation and better air circulation. The prevalence of occupational illness within a month was related to the nature of the workplace ( 2 = 755.333, p = .001). Prevalence of occupational illnesses in public holidays such as public holidays, and Weekends, Showed the prevalence of occupational illnesses related to workplace environmental conditions ( 2 = 342.700, p = .004), and their related to the characteristics of the workplace ( 2 = 470.952, p = .001) as well as work ( 2= 316.982, p = .014). Keywords : Air Quality, Small Particles ,Formaldehyde, Ozone, Radon บทนำ ปัจจุบันคนทั่วไปได้ให้ควำมสนใจเรือ่ งคุณภำพอำกำศภำยในอำคำรมำกขึน เพรำะคุณภำพอำกำศภำยใน อำคำร (Indoor Air Quality: IAQ) ส่งผลต่อสุขภำพของคนที่อำศัยภำยในอำคำร โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งคนเมืองที่ในแต่ ละวันใช้เวลำส่วนใหญ่อยู่ในอำคำรที่ติดเครื่องปรับอำกำศ เกือบร้อยละ 90 ของเวลำในแต่ละวัน หำกอำกำศภำยใน อำคำรมีมลพิษปนเปื้อนอยู่เกินกว่ำค่ำที่ยอมรับได้ หรือมีกำรระบำยอำกำศไม่ดีอำจส่งผลต่อผูท้ ี่อยู่ในอำคำรก่อให้เกิด โรค Sick Building Syndrome: SBS หรือโรคแพ้ตึก (Norhidayah, Chia-Kuang, Azhar, & Nurulwahida. 2013; Runeson-Broberg & Norbäck. 2013) มีงำนวิจัยจำนวนมำกชีให้เห็นว่ำคุณภำพอำกำศภำยในอำคำรส่วน ใหญ่ในยุคปัจจุบันนันไม่เป็นไปตำมมำตรฐำนและมีแนวโน้มที่ควำมเข้มข้นสูงกว่ำภำยนอกอำคำรถึง 100 เท่ำ (Pitarma, Marques, & Ferreira. 2016) เนื่องจำกสำเหตุต่ำง ๆ เช่น ใกล้แหล่งชุมชนหรือกำรจรำจร (Chithra & Shiva Nagendra. 2012) ระบบกำรหมุนเวียนภำยในอำคำรที่ไม่เหมำะสม (McGill, Oyedele, & McAllister. 2015) มีแหล่งปนเปื้อนของสำรมลพิษภำยในอำคำร (Cheng, Li, Cheng, Baldwin, & Shang, 2017) รวมทังมีสิ่ง ที่ก่อให้เกิดภำวะมลพิษทำงอำกำศในอำคำร ได้แก่ อุณหภูมิ ควำมชืนสัมพัทธ์ อัตรำกำรไหลเวียนอำกำศ อนุภำค

256


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ขนำดเล็ก (PM10), (PM2.5) ก๊ำซคำร์บอนมอนออกไซน์ (CO) ก๊ำซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ก๊ำซเรดอน (Radon) ก๊ำซฟอร์มำลดีไฮด์ (Formaldehyde: HCHO) ก๊ำซโอโซน (Ozone: O3) ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นต้น (Abdul-Wahab, Chin Fah En, Elkamel, Ahmadi, & Yetilmezsoy. 2015; Crook & Burton. 2010; Wang et al. 2008) ซึง่ ปัจจุบันพบว่ำส่งผลให้กับหลำยประเทศในแหล่งชุมชนหนำแน่น เช่น ที่กรุงโซล สำธำรณรัฐเกำหลี (Hwang et al. 2017) นิวเดลี ประเทศอินเดีย (Datta, Suresh, Gupta, Singh, & Kulshrestha. 2017) นครฉำง ซำ (Changsha) ประเทศจีน (Jiang et al. 2018) โมเดนำ (Modena) เมืองแห่งมรดกโลกของอิตำลี (Fantuzzi et al. 1996) สำหรับประเทศไทย พบว่ำอำคำรสำนักงำนส่วนใหญ่ยังมีปัญหำเกี่ยวกับคุณภำพอำกำศภำยในอำคำร เช่นกัน โดยมีปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภำพและส่งผลต่อควำมพึงพอใจของผู้ใช้อำคำร เช่น ฝุ่น (PM10, PM2.5) ที่เกิดขึน ภำยในสำนักงำนก่อให้เกิดปัญหำต่อระบบทำงเดินหำยใจ (กรมอนำมัย. 2559 : 1-1) โดยพบว่ำมีควำมสัมพันธ์กับ โรคภูมิแพ้ของระบบทำงเดินหำยใจ ซึ่งโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่พบบ่อยมีอุบัติกำรณ์ร้อยละ 30 -40 ทั่วโลก ซึ่งผู้ป่วยมี ถึง 400 ล้ำนคนที่เป็นโรคจมูกอักเสบ ภูมิแพ้ หรือโรคภูมิแพ้อำกำศ และมีผู้ป่วยถึง 300 ร้อยล้ำนคนที่เป็นโรคหืด อุบัติกำรณ์ของโรคจมูกอักเสบ ภูมิแพ้ ในประเทศไทยพบว่ำ มีผู้ป่วยผู้ใหญ่ถึงร้อยละ 20 และมีผู้ป่วยเด็กถึงร้อยละ 40 ขณะที่อุบัติกำรณ์ของโรคหืดมีประมำณร้อยละ 10 ดังนันจะมีผู้ป่วย 10-15 ล้ำนคนในประเทศไทย ที่ป่วยเป็น โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และจะมีผู้ป่วย 3-5 ล้ำนคนที่เป็นโรคหืด อุบัติกำรณ์ของโรคภูมิแพ้ทังสองชนิดนีมีแนวโน้ม สูงขึนเรื่อย ๆ โดยเฉพำะในเมืองใหญ่ที่มีมลพิษในอำกำศเพิ่มขึน เชื่อว่ำกำรที่มีปริมำณของมลพิษ และสำรระคำย เคืองในอำกำศมำกขึน และประชำกรสัมผัสกับสำรดังกล่ำวในอำกำศมำกขึน ทำให้พบผู้ป่วยเพิ่มขึน เนื่องจำกเยื่อบุ จมูกของผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และเยื่อบุหลอดลมของผู้ ป่วยโรคหืด มีควำมไวต่อกำรกระตุ้นมำกผิดปกติ ทัง สำรก่อภูมิแพ้ และสำรที่ไม่ใช่สำรก่อภูมิแพ้ มลพิษในอำกำศ จึงสำมำรถกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้และ โรคหืดหอบมีอำกำรมำกขึนได้ (ปำรยะ อำศนะเสน. 2560) สำนักงำนสรรพำกรพืนที่กรุงเทพมหำนคร 18 ตังอยู่ใกล้สี่แยกที่มีกำรจรำจรคับคั่ง ลักษณะอำคำรเป็น อำคำรเก่ำ เป็นอำคำรส ำนักงำน 4 ชัน มีระบบปรับอำกำศแบบปิด ไม่มี ระบบระบำยอำกำศที่ได้ มำตรฐำน มี เจ้ำหน้ำที่ที่ปฏิบัติงำนในอำคำร ทังที่เป็นข้ำรำชกำรและลูกจ้ำงประจำประมำณ 150 คน ลักษณะงำนที่ทำเป็น งำนที่เกี่ยวข้องกับเอกสำรแทบทังสิน และต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในกำรทำงำน 90 เปอร์เซ็นต์ ภำยในอำคำร ประกอบไปด้ ว ย โต๊ ะท ำงำน ตู้เ ก็ บ เอกสำร เครื่ องถ่ ำ ยเอกสำร เครื่อ งคอมพิ วเตอร์ เครื่ อ งพิ ม พ์ คอมพิ ว เตอร์ เครื่องโทรสำร ระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นระบบออนไลน์ขนำดใหญ่ ซึ่งสิ่งเหล่ำนีอำจเป็นที่มำของปัญหำคุณภำพ อำกำศภำยในอำคำรและส่งผลต่อสุขภำพของผู้ที่ใช้อำคำรได้ ด้วยเหตุนีผู้วิจัยจึงมีวัตถุประสงค์ที่จะทำกำรวิจัย เพื่อ สำรวจปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหำคุณภำพอำกำศในอำคำรทังชนิดและปริมำณของสำรมลพิษต่ำง ๆ โดยเฉพำะในห้อง ทำงำนของสำนักงำนสรรพำกรพืนที่กรุงเทพมหำนคร 18 ในห้องที่เกี่ยวข้องกับเอกสำรที่ต้องใช้จำนวนมำก ๆ และ ทำงำนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเลเซอร์ปรินเตอร์ โดยมุ่งเน้นไปที่ ฝุ่นละอองขนำดเล็ก ซึ่งปรำกฏให้เห็นตำมจุด ต่ำง ๆ ของห้องทำงำน ซึ่งพบมำกในห้องทำงำนของ งำนหักภำษี ณ ที่จ่ำย และฝ่ำยกรรมวิธี กำรมีฝุ่นตกอยู่ตำมที่ ต่ำง ๆ ของห้องทำงำนนันนอกจำกจะมีผลต่อควำมรู้สึกของกำรใช้ห้องแล้ว ยังมีผลกระทบต่อคุณภำพอำกำศภำยใน อำคำรสำนักงำนสรรพำกรพืนที่กรุงเทพมหำนคร 18 และมีผลกระทบกับผูป้ ฏิบัตงิ ำนในอำคำร โดยมีอำกำรป่วยด้วย อำกำรภูมิแพ้ต่ำง ๆ และเกิดขึนในขณะที่ทำงำนภำยในอำคำร และเมื่อออกจำกอำคำรแล้วอำกำรป่วยก็ลดลง ซึ่ง สันนิษฐำนว่ำอำกำรป่วยเหล่ำนัน สำเหตุหนึ่งน่ำจะเป็นเพรำะมีฝุ่นละอองขนำดเล็กปนเปื้อนในอำกำศภำยในอำคำร ด้วย

257


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

วิธีดำเนินกำรวิจัย กำรวิจัยครังนีเป็นกำรวิจัยเชิงปริมำณ ศึกษำสำรมลพิษต่ำง ๆ ที่แขวนลอยอยู่ในอำกำศ และมีผลกระทบ กับคุณภำพอำกำศภำยในอำคำร และศึกษำปัจจัยทำงด้ำนกำยภำพที่มีผลต่อควำมสบำยของผู้ที่ใช้อำคำร ในอำคำร สำนักงำนสรรพำกรพืนที่กรุงเทพมหำนคร 18 1. สถำนที่ที่ทำกำรศึกษำวิจัย อำคำรสำนักงำนสรรพำกรพืนที่กรุงเทพมหำนคร 18 เป็นอำคำรที่เป็น ทรัพย์สินของทำงรำชกำรและยังมีควำมคงทนถำวรที่จะใช้งำนต่อไปได้ยำวนำน อำคำรที่มีสภำพค่อนข้ำงเก่ำ เป็น อำคำร 4 ชัน โดยได้สร้ำงขึนและเริ่มใช้งำนในปี พ.ศ. 2530 แต่เดิมอำคำรมีลักษณะโครงสร้ำงไม่แน่นหนำมำกนักมี ช่องเปิดเพื่อระบำยอำกำศโดยรอบอำคำรค่อนข้ำงมำก รวมทังมีช่องแสงสว่ำงเพื่อให้กำรส่องสว่ำงของแสงสม่ำเสมอ และเพียงพอต่อควำมต้องกำรทั่วทุกส่วนของอำคำร แต่เนื่องจำกสภำพปัจจุบัน อำคำรอยู่ในแหล่งชุมชนและติดกับ ผิวจรำจรใกล้สี่แยก มีกำรจรำจรคับคั่งมำกทำให้เกิดมลพิษ จึงมีควำมจำเป็นต้องเปลี่ยนสภำพอำคำรที่เปิดระบำย อำกำศได้ ใ ห้ เ ป็ น อำคำรระบบปิ ด เพื่ อ ลดกำรรั่ ว ของอำกำศร้ อ นชื นภำยนอกเข้ ำ สู่ อ ำคำร และมี ก ำรติ ด ตั ง เครื่องปรับอำกำศในอำคำรเป็นจำนวนมำก เพื่อทำให้เกิดควำมสบำยกับผู้ที่ทำงำน และผู้มำติดต่องำนภำยในอำคำร 2. กำรตรวจวัดคุณภำพอำกำศภำยในอำคำร ดำเนินกำรโดยใช้เครื่องมือซึ่งเป็นเครื่องมือวิทยำศำสตร์ ด้ำนอนำมัยสิ่งแวดล้อมสำหรับตรวจวัดคุณภำพอำกำศภำยในอำคำร เพื่อทำกำรตรวจวัดพำรำมิเตอร์ที่สำคัญต่ำง ๆ ได้แก่ ด้ำนมลภำวะอำกำศภำยในอำคำร (Indoor air pollution) เช่น ฝุ่นละอองขนำดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ฝุ่นละอองขนำดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) ก๊ำซคำร์บอนมอนอกไซด์ (CO) สำรประกอบอินทรีย์ระเหยง่ำยทังหมด (TVOC) ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊ำซฟอมร์มำลดีไฮด์ (Formaldehyde, HCHO) และ ก๊ำซโอโซน (O3) และ ด้ำนภำวะเชิงควำมร้อน(Thermal comfort) เช่น ค่ำอุณหภูมิ (Temperature) ค่ำควำมชืนสัมพัทธ์ (Relative humidity) และกำรเคลื่อนที่ของอำกำศ (Air movement) โดยทำกำรตรวจวัดจำนวน 3 แหล่ง 5 จุด ได้แก่ 1. ห้องฝ่ำยกรรมวิธี 2.ห้องงำนภำษีหัก ณ ที่จ่ำย และ 3. ห้องตรวจและแนะนำผู้เสียภำษี จำนวน 3 จุด ซึ่งดำเนินกำร เก็บตัวอย่ำงทำงกำยภำพและเคมีในช่วงเวลำ 10.30 11.45 น. และ ช่วงเวลำ 11.50-13.45 น. ปรับปรุงจำกวิธีกำร ของ Reanprayoon and Yoonaiwong (2012); Runeson-Broberg and Norbäck (2013) พร้อมทังทำกำร เปรียบเทียบมำตรฐำนคุณภำพอำกำศภำยในอำคำรของ United States Environmental Protection Agency (2018) และสำนักอนำมัยสิ่งแวดล้อม กรมอนำมัย (2559) 3. กำรสัมภำษณ์เพื่อทำกำรประเมินผลกระทบด้ำนสุขภำพใช้แบบสัมภำษณ์ ประกอบด้วย ตอนที่ 1 ด้ำนข้อมูลทั่วไปและด้ำนสุขภำพ ตอนที่ 2 ข้อมูลสถำนที่ปฏิบัติงำน ตอนที่ 3 ลักษณะของสถำนที่ทำงำน และตอนที่ 4 ลักษณะของงำน โดยทำกำรตรวจสอบควำมเที่ยง (Reliability) ของแบบสอบถำมทังฉบับจำกผู้เชี่ยวชำญ 4 ท่ำน ได้ค่ำสัมประสิทธิ์แอลฟำของเครื่องมือ .86 และวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ของปัจจัยต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอำกำร ป่ว ยเหตุ อำคำร คื อ ด้ ำ นบุ ค คล ด้ ำ นสิ่ งแวดล้ อ มในที่ ท ำงำน ลั ก ษณะของสถำนที่ ท ำงำน (ควำมพึ งพอใจของ สภำพแวดล้อมในที่ทำงำน) ด้ำนลักษณะงำน (ด้ำนจิตวิทยำสังคม) โดยใช้สถิติ Chi-Square Test ที่ระดับควำม เชื่อมั่น 95 % ผลกำรวิจัย 1. กำรตรวจวัดคุณภำพอำกำศภำยในอำคำร สำนักงำนสรรพำกรพื้นที่กรุงเทพมหำนคร 18 ผลกำรตรวจวัดคุณภำพอำกำศ พบว่ำ ผลกำรตรวจวัดค่ำอุณหภูมิ (Temperature) ค่ำเฉลี่ย 24.33 ซึ่ง อยู่ในค่ำมำตรฐำนที่ 24-26 Singapore standard 2009 ซึ่งชันที่ 4 โซนที่ 1 มีค่ำต่ำที่สุด และชันที่ 3 โซน ที่ 1 มี

258


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ค่ำสูงที่สุด ค่ำควำมชืนสัมพัทธ์ (Relative humidity) ค่ำเฉลี่ย 45.87 ซึ่งต่ำกว่ำค่ำมำตรฐำนที่ 70 Singapore standard 2009 ซึ่งชันที่ 4 โซนที่ 3 มีค่ำต่ำที่สุด และชันที่ 3 โซนที่ 1 มีค่ำสูงที่สุด กำรเคลื่อนที่ของอำกำศ (Air movement) ค่ำเฉลี่ย 0.22 ซึ่งอยู่ในค่ำมำตรฐำนที่ 0.1-0.3 Singapore standard 2009 ซึ่งชันที่ 4 โซนที่ 3 มีค่ำ ต่ำที่สุด และชันที่ 4 โซนที่ 2 มีค่ำสูงที่สุด ปริมำณฝุ่นละออง (PM2.5) ค่ำเฉลี่ย 29.13 ซึ่งต่ำกว่ำค่ำมำตรฐำนที่ 35 Singapore standard 2009 ซึ่งชันที่ 3 โซนที่ 2 มีค่ำต่ำที่สุด และชันที่ 4 โซนที่ 1 มีค่ำ สูงที่สุด ฝุ่นละออง (PM10) ค่ำเฉลี่ย 52.45 ซึ่งสูงว่ำค่ำมำตรฐำนที่ 50 Singapore standard 2009 ซึ่งชันที่ 3 โซนที่ 2 มีค่ำต่ำที่สุด และชันที่ 4 โซนที่ 3 มีค่ำ สูงที่สุด ก๊ ำซคำร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ค่ำเฉลี่ย 1,013 ซึ่ งสูงว่ำค่ำมำตรฐำนที่ 700 Singapore standard 2009 ซึ่งชันที่ 4 โซนที่ 2 มีค่ำต่ำที่สุด และชันที่ 3 โซนที่ 2 มีค่ำ สูงที่สุด ก๊ำซคำร์บอนมอนออกไซด์ (CO) ค่ำเฉลี่ย 0.83 ซึ่งต่ำกว่ำค่ำมำตรฐำนที่ 9 Singapore standard 2009 ซึ่งชันที่ 3 โซนที่ 2 มีค่ำต่ำที่สุด และ ชันที่ 4 โซนที่ 1 มีค่ำ สูงที่สุด ก๊ำซโอโซน (O3) ผลกำรตรวจวัดในทุกจุดไม่พบว่ำมีค่ำของก๊ำซโอโซนปรำกฏ ก๊ำซ ฟอร์มำลดีไฮด์ (Formaldehyde, HCHO) ผลกำรตรวจวัดในทุกจุดไม่พบว่ำมีค่ำของก๊ำซฟอร์มำลดีไฮด์ ปรำกฏ สำรประกอบอินทรีย์ระเหยง่ำยทังหมด (TVOC) ค่ำเฉลี่ย 119.33 ซึ่งต่ำกว่ำค่ำมำตรฐำนที่ 3000 ppb Singapore standard 2009 ซึ่งชันที่ 3 โซนที่ 2 มีค่ำต่ำที่สุด และชันที่ 4 โซนที่ 1 มีค่ำ สูงที่สุด ดังตำรำงที่ 1 ตำรำงที่ 1 แสดงผลกำรตรวจวัดคุณภำพอำกำศภำยในอำคำร สำนักงำนสรรพำกรพืนที่กรุงเทพมหำนคร 18 เทียบกับค่ำมำตรฐำน บริเวณชัน 3 งำนกรรมวิธี งำนภำษีหัก ณ ที่จ่ำย และบริเวณชัน 4 งำนตรวจสอบและตรวจ แนะนำผู้เสียภำษี พำรำ มิเตอร์

Temp. %RH AM PM2.5 PM10 CO2 CO O3 HCHO/F TVOC

ค่ำที่ตรวจวัดได้ ชั้น 3 ชั้น 4 โซน 1 โซน 2 โซน 1 โซน 2 โซน 3 27.10 53.80 0.17 20.45 53.04 1011 0.5 ND 188

23.70 48.11 0.15 30.7 50.17 995 1 ND 106

24.50 45.31 0.37 28.75 51.61 986 0.9 ND 120

24.80 44.21 0.14 27.95 55.58 1058 0.6 ND 132

24.33 45.87 0.22 29.13 52.45 1013 0.83 ND 119.33

ภำย ค่ำมำตรฐำน นอกอำคำร

29.70 51.50 384 ND

24-26 70 0.10-0.30 35 50 700 9 0.1 0.1 3000 ppb

หมำยเหตุ หน่วย

ยอมรับได้ ยอมรับได้ ยอมรับได้ ยอมรับได้ เกินค่ำมำตรฐำน เกินค่ำมำตรฐำน ยอมรับได้ 1ppm = 1000ppb Singapore Standard SS554:2009, Code of practice for Indoor air quality for air-conditioned building

หมำยเหตุ :

25.10 53.11 0.22 18.47 24.75 1100 0.4 ND 183

ค่ำ เฉลี่ย

โซน 1 (ชัน 3) คืองำนภำษีหัก ณ ที่จ่ำย โซน 2 (ชัน 3) คืองำนกรรมวิธี โซน 1-3 (ชัน 4) คืองำนตรวจสอบและตรวจแนะนำผู้เสียภำษี

259

ºC % m/sec mg/m3 mg/m3 ppm ppm ppm ppm ppm


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2. ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำงที่ทำกำรศึกษำ ข้อมูลทั่วไปและสุขภำพ พบว่ำ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 73.68 เป็นเพศชำย ร้อยละ 26.32 อำยุ ส่วนใหญ่อยู่ระหว่ำง 40-49 ปี ร้อยละ 35.78 รองลงมำอยู่ระหว่ำง 30-39 ปี ร้อยละ 31.58 ประวัติกำรสูบบุหรี่ ส่วนใหญ่ไม่มีประวัติกำรสูบบุหรี่ ร้อยละ 93.68 รองลงมำมีประวัติกำรสูบบุหรี่ร้อยละ 6.32 ควำมไวต่อควันบุหรี่ ส่วนใหญ่มีควำมไวต่อควันบุหรี่ ร้อยละ 57.89 รองลงมำไม่มีควำมไวต่อควันบุหรี่ ร้อยละ 42.11 กำรใช้อุปกรณ์ที่ ช่วยกำรมองเห็นในกำรทำงำน ส่วนใหญ่อยู่ ไม่มีกำรใช้อุปกรณ์ที่ช่วยกำรมองเห็นในกำรทำงำน ร้อยละ 67.37 รองลงมำมีกำรใช้อุปกรณ์ที่ช่วยกำรมองเห็นในกำรทำงำน ร้อยละ 32.63 ประวัติกำรวินิจฉัยจำกแพทย์ ส่วนใหญ่ไม่ มีประวัติกำรวินิจฉัยจำกแพทย์ ร้อยละ 73.68 รองลงมำมีประวัติกำรวินิจฉัยจำกแพทย์ ร้อยละ 26.32 3. ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถำนที่ทำงำน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถำนที่ทำงำน พบว่ำ อำยุกำรทำงำนในอำคำร (ปี) ส่วนใหญ่ทำงำนน้อยกว่ำ 5 ปี ร้อยละ 37.89 รองลงมำทำงำนมำกกว่ำ 10 ปี ร้อยละ 36.84 จำนวนวันทำงำนต่อสัปดำห์ที่ทำงำนในอำคำร (วัน) ส่วนใหญ่ทำงำน 5 วัน ร้อยละ 95.79 จำนวนชั่วโมงทำงำนต่อวันที่ทำงำนในอำคำร (ชั่วโมง) ส่วนใหญ่ทำงำน 8 ชั่วโมง ร้อยละ 77.89 ลักษณะห้องทำงำน ส่วนใหญ่เป็นพืนที่เปิดไม่มีฉำกกัน ร้อยละ 68.42 จำนวนผู้ร่วมงำนใน ห้องทำงำน ส่วนใหญ่ทำงำน 21 คนขึนไป ร้อยละ 48.42 ควำมสะอำดในบริเวณพืนที่ทำงำน ส่วนใหญ่สะอำด พอสมควร คิดเป็นร้อยละ 52.63 แสงสว่ำงบริเวณโต๊ะทำงำน ส่วนใหญ่พอดี ๆ ร้อยละ 63.16 เกิดแสงสะท้อนหรือ แสงสว่ำงจ้ำบริเวณโต๊ะทำงำน ส่วนใหญ่เกิดบำงครัง ร้อยละ 41.05 กำรสังเกตฝุ่นในอำกำศในห้องทำงำน ส่วนใหญ่ ไม่เห็น ร้อยละ 51.58 พบเชือรำในที่ทำงำนภำยในอำคำร ส่วนใหญ่ไม่เห็น ร้อยละ 57.89 บริเวณที่พบเชือรำในที่ ทำงำนภำยในอำคำร ส่วนใหญ่พบเห็นเชือรำบริเวณผนัง ร้อยละ 29.69 รองลงมำพบเห็นเชือรำบริเวณพืนและ เพดำน ร้อยละ 23.44 และ 21.88 ตำมลำดับ กำรจัดวำงเก้ำอีโต๊ะทำงำน ส่วนใหญ่สะดวกสบำยพอควร ร้อยละ 51.58 จำนวนชั่วโมงทำงำนหน้ำคอมพิวเตอร์ต่อวัน ส่วนใหญ่น้อยกว่ำ 8 ชั่วโมง ร้อยละ 46.32 กำรสวมแว่นตำขณะ ทำงำนหน้ำคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่สวมแว่นตำขณะทำงำนหน้ำคอมพิวเตอร์ ร้อยละ 55.79 กำรใช้แผ่นกรองจำก จอคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่ไม่ใช้แผ่นกรองจำกจอคอมพิวเตอร์ ร้อยละ 80.00 ลักษณะหน้ำต่ำงในห้องทำงำน ส่วน ใหญ่มีหน้ำต่ำงในพืนที่ทำงำน ร้อยละ 62.11 ระยะห่ำงจำกพืนที่ทำงำนถึงหน้ำต่ำงที่มองเห็นได้ที่ใกล้ที่สุด ส่วนใหญ่ มำกกว่ำ 2 เมตร ร้อยละ 64.21 ลักษณะระบบปรับอำกำศในที่ทำงำน ส่วนใหญ่มีเครื่องปรับอำกำศภำยในห้อง ร้อย ละ 76.84 ควำมถี่ในกำรทำงำนกับเครื่องถ่ำยเอกสำร ส่วนใหญ่หลำยครัง/วัน ร้อยละ 81.05 ควำมถี่ในกำรทำงำน กับเครื่องปริ๊นเตอร์เลเซอร์ ส่วนใหญ่หลำยครัง/วัน ร้อยละ 31.58 ควำมถี่ในกำรทำงำนกับเครื่องโทรสำร ส่วนใหญ่ น้อยกว่ำ 3 ครัง/สัปดำห์ ร้อยละ 41.05 ควำมถี่ในกำรทำงำนกับนำยำทำควำมสะอำด ส่วนใหญ่หลำยครัง/วัน ร้อย ละ 43.16 ควำมถี่ในกำรทำงำนกับนำยำลบคำผิด ส่วนใหญ่หลำยครัง/วัน ร้อยละ 43.16 4. ลักษณะของสถำนที่ทำงำน (ควำมพึงพอใจของสภำพแวดล้อมในที่ทำงำน) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลักษณะสถำนที่ทำงำน (ควำมพึงพอใจของสภำพแวดล้อมในที่ทำงำน) พบว่ำ ควำม พึงพอใจเกี่ยวกับกำรสนทนำส่วนบุคคล ส่วนใหญ่พึงพอใจน้อย ร้อยละ 44.21 รองลงมำพึงพอใจมำก ร้อยละ 43.16 ควำมพึงพอใจเกี่ยวกับกำรปรำศจำกเสียงรบกวน ส่วนใหญ่พึงพอใจน้อย ร้อยละ 40.00 รองลงมำพึงพอใจมำก ร้อย ละ 37.89 ในเดือนที่ผ่ำนมำขณะอยู่ในที่ทำงำนพบกับอุณหภูมิร้อนเกินไป ส่วนใหญ่ไม่พบเลย ร้อยละ 42.00 อุณหภูมิเย็นเกินไป ส่วนใหญ่ไม่พบเลย ร้อยละ 36.84 อำกำศชืนเกินไป ส่วนใหญ่ไม่พบเลย ร้อยละ 55.79 อำกำศ แห้งเกินไป ส่วนใหญ่ไม่พบเลย ร้อยละ 54.74 กลิ่นบุหรี่ ส่วนใหญ่ไม่พบเลย ร้อยละ 67.37 กลิ่นไม่พึงประสงค์ สำรเคมี ส่วนใหญ่ไม่พบเลย ร้อยละ 47.37 กลิ่นไม่พึงประสงค์อื่น ๆ (เช่น กลิ่นกำย อำหำร นำหอม) ส่วนใหญ่ไม่พบ

260


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เลย และพบ 1-3 วัน ในเดือนที่ผ่ำนมำ ร้อยละ 38.95 และ 38.95 ตำมลำดับ พืนที่มีฝุ่นกระจำย ส่วนใหญ่พบ 1-3 วันต่อสัปดำห์ ในเดือนที่ผ่ำนมำ ร้อยละ 28.42 กำรเก็บเอกสำรใกล้ ๆ ตัวส่วนใหญ่เก็บเอกสำรใกล้ ๆ ตัว ทุกวันใน เดือนที่ผ่ำนมำ ร้อยละ 52.63 5. ลักษณะของงำน (ด้ำนจิตวิทยำสังคม) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลักษณะงำน (ด้ำนจิตวิทยำสังคม) พบว่ำ ภำพรวมในควำมพึงพอใจกับงำน ส่วนใหญ่ พึงพอใจน้อย ร้อยละ 46.32 รองลงมำพึงพอใจมำก ร้อยละ 42.11 ระดับกำรศึกษำ ส่วนใหญ่ปริญญำตรี เป็นร้อย ละ 70.53 ผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่ำสั่งให้ทำในสิ่งที่อำจเกิดควำมขัดแย้ง ส่ วนใหญ่น้อยมำก-ไม่เคย ร้อยละ 48.42 รองลงมำถูกสั่งให้ทำบำงครัง ร้อยละ 47.37 ผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่ำให้สิ่งตอบแทนจนทำให้เกิดควำมขัดแย้งกับคนอื่น ส่วนใหญ่น้อยมำก-ไม่เคย ร้อยละ 80.00 ผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่ำยื่นข้อเสนอที่จำเป็นต้องรับทำให้ทำงำนขัดแย้งกับ หน้ำที่ ส่วนใหญ่น้อยมำก-ไม่เคย ร้อยละ 74.74 ต้องรีบทำงำนเพื่อให้เสร็จทันเวลำ ส่วนใหญ่บ่อยมำก ร้อยละ 28.42 ต้องทำงำนหนักเพื่อให้งำนเสร็จ ส่วนใหญ่บำงครัง ร้อยละ 35.79 มีเวลำในกำรทำงำนให้เสร็จสินใน ระยะเวลำที่น้อยเกินไป ส่วนใหญ่บำงครัง ร้อยละ 49.47 มีงำนให้ทำมำกเกินไป ส่วนใหญ่บำงครัง ร้อยละ 32.63 ทำงำนที่ได้รับมอบหมำยได้สำเร็จ ส่วนใหญ่บ่อย ร้อยละ 52.63 สำมำรถรู้ได้ว่ำคนอื่นคำดหวังในงำนของท่ำน ส่วน ใหญ่บำงครัง ร้อยละ 37.89 งำนที่ทำมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ส่วนใหญ่บ่อย ร้อยละ 46.32 หน้ำที่ต้องรับผิดชอบเพิ่ม ในกำรเลียงดูเด็ก ส่วนใหญ่ตอบไม่ใช่ ร้อยละ 75.79 ทำงำนบ้ำน ส่วนใหญ่ใช่ ร้อยละ 70.53 ดูแลผู้สูงอำยุ–ผู้พิกำร ส่วนใหญ่ตอบไม่ใช่ ร้อยละ 75.79 งำนอื่น ๆ ที่ใช้อย่ำงน้อย 5 ชั่วโมง ส่วนใหญ่ตอบไม่ใช่ ร้อยละ 74.74 6. ควำมชุกกลุ่มอำกำรป่วยเหตุอำคำร 6.1 ควำมชุกของอำกำรตำมระบบในผู้ที่พบกลุ่มอำกำรป่วยเหตุอำคำรภำยใน 1 เดือน พบว่ำ กลุ่มอำกำรระบบระคำยเคืองเยื่อบุ ส่วนใหญ่มีอำกำรตำแห้ง คันตำ ระคำยเคืองตำ ร้อยละ 67.30 รองลงมำมีอำกำรจำม ร้อยละ 64.20 กลุ่มอำกำรทำงเดินหำยใจส่วนล่ำงส่วนใหญ่มีอำกำรไอ ร้อยละ 42.10 รองลงมำมีอำกำรหำยใจตืน ๆ ร้อยละ 36.90 กลุ่มอำกำรระบบประสำท ส่วนใหญ่มีอำกำรเหนื่อยล้ำ อ่อนเพลีย เซื่องซึม ร้อยละ 70.50 รองลงมำมีอำกำรมึนศีรษะ เวียนศีรษะและปวดศีรษะ ร้อยละ 65.30 และ 64.20 กลุ่ม อำกำรทำงผิวหนัง มีอำกำรผิวหนังแห้ง คันผิวหนัง ร้อยละ 66.20 กลุ่มอำกำรทั่วไป ส่วนใหญ่มีอำกำรปวด เมื่อย หลัง ไหล่ คอ ร้อยละ 82.10 รองลงมำมีอำกำรเมื่อยล้ำ และปวดดวงตำ ร้อยละ 77.90 6.2 ควำมชุกของอำกำรตำมระบบในผู้ที่พบกลุ่มอำกำรป่วยเหตุอำคำรภำยใน 1 เดือน ในช่วงหยุด งำน เช่น วันหยุดนักขัตฤกษ์ วันหยุดประจำสัปดำห์ พบว่ำ กลุ่มอำกำรระบบระคำยเคือง เยื่อบุ อำกำรตำแห้ง คันตำ ระคำยเคืองตำเหมือนเดิม จำนวน 60 คน ร้อยละ 63.20 ดีขึน ร้อยละ 35.80 และอำกำรจำมเหมือนเดิม ร้อยละ 71.60 ดีขึน ร้อยละ 26.30 กลุ่ม อำกำรทำงเดินหำยใจส่วนล่ำง อำกำรไอเหมือนเดิม ร้อยละ 70.50 ดีขึน ร้อยละ 27.40 และอำกำรหำยใจตืน ๆ เหมือนเดิม ร้อยละ 75.8 ดีขึน ร้อยละ 22.10 กลุ่มอำกำรระบบประสำท อำกำรเหนื่อยล้ำ อ่อนเพลีย เซื่องซึม เหมือนเดิม ร้อยละ 56.80 ดีขึน ร้อยละ 38.90 อำกำรมึนศีรษะ เวียนศีรษะเหมือนเดิม ร้อยละ 62.10 ดีขึน ร้อยละ 35.80 และอำกำรปวดศีรษะเหมือนเดิม ร้อยละ 58.90 ดีขึน ร้อยละ 38.90 กลุ่มอำกำรทำงผิวหนัง อำกำรผิวหนัง แห้ง คันผิวหนัง เหมือนเดิม ร้อยละ 70.50 ดีขึน ร้อยละ 23.20 กลุ่มอำกำรทั่วไป อำกำรปวด เมื่อยหลั ง ไหล่ คอ เหมือนเดิม ร้อยละ 55.8 ดีขึน ร้อยละ 42.10 และอำกำรเมื่อยล้ำ และปวดดวงตำ เหมือนเดิม ร้อยละ 52.60 ดีขึน ร้อยละ 44.20

261


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

6.3 ควำมชุกของอำกำรตำมระบบในผู้ที่พบกลุ่มอำกำรป่วยเหตุอำคำรในปัจจุบัน พบว่ำ กลุ่มอำกำรระบบระคำยเคืองเยื่อบุ ตำแห้ง คันตำ ระคำยเคืองตำ เหมือนเดิม ร้อยละ 91.60 แย่ลง ร้อยละ 8.40 และอำกำรจำมเหมือนเดิม ร้อยละ 89.50 แย่ลง ร้อยละ 10.5 กลุ่มอำกำรทำงเดินหำยใจ ส่วนล่ำง อำกำรไอเหมือนเดิม ร้อยละ 92.60 แย่ลง ร้อยละ 7.40 และอำกำรหำยใจตืน ๆ เหมือนเดิม ร้อยละ 94.70 แย่ลง ร้อยละ 5.30 กลุ่มอำกำรระบบประสำท อำกำรเหนื่อยล้ำ อ่อนเพลีย เซื่องซึม เหมือนเดิม ร้อยละ 91.60 แย่ ลง ร้อยละ 8.4 อำกำรมึนศีรษะ เวียนศีรษะเหมือนเดิม ร้อยละ 88.40 แย่ลง ร้อยละ 10.500 และอำกำรปวดศีรษะ เหมือนเดิม ร้อยละ 92.60 แย่ลง ร้อยละ 6.30 กลุ่มอำกำรทำงผิวหนัง อำกำรผิวหนังแห้ง คันผิวหนัง เหมือนเดิม ร้อยละ 92.60 แย่ลง ร้อยละ 7.40 กลุ่มอำกำรทั่วไป อำกำรปวด เมื่อยหลัง ไหล่ คอ เหมือนเดิม ร้อยละ 90.50 แย่ ลง ร้อยละ 9.50 และอำกำรเมื่อยล้ำ และปวดดวงตำ เหมือนเดิม ร้อยละ 87.40 แย่ลง คิดเป็นร้อยละ 12.60 7. ควำมสัมพันธ์ของกลุ่มอำกำรป่วยเหตุอำคำรกับปัจจัยต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลกำรศึกษำ พบว่ำ อำกำรป่วยเหตุอำคำรภำยใน 1 เดือน สัมพันธ์กับลักษณะของสถำนที่ทำงำน ( 2= 755.333, p=.001) อำกำรป่วยเหตุอำคำรในวันหยุดงำนสัมพันธ์กับลักษณะของสถำนที่ทำงำน ( 2 =470.952, p=.001) อำกำรป่วยเหตุอำคำรในปัจจุบันขณะที่ทำงำนสัมพันธ์กับด้ำนสิ่งแวดล้อมในที่ทำงำน ( 2 = 342.700, p = .004) และสัมพันธ์กับด้ำนลักษณะงำน ( 2 = 316.982, p=.014) อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ดังตำรำง ที่ 2 ตำรำงที่ 2 ควำมสัมพันธ์ของอำกำรป่วยเหตุอำคำรกับปัจจัยต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อำกำรป่วย เหตุอำคำร

ด้ำนบุคคล 2

ภำยใน 1 เดือน วันหยุดงำน ปัจจุบันในขณะ ที่ทำงำน

184.926 105.181 56.758

p .630 .711 .906

ด้ำนสิ่งแวดล้อมในที่ ทำงำน 2 p 755.605 .300 389.166 .951 342.700 .004

ลักษณะของสถำนที่ ทำงำน 2 p 755.333 .001 470.952 .001 242.841 .437

ด้ำนลักษณะงำน 2

682.473 465.001 316.982

p .713 .056 .014

สรุปผลและวิจำรณ์ผลกำรวิจัย 1. กำรตรวจวัดคุณภำพอำกำศภำยในอำคำร สำนักงำนสรรพำกรพื้นที่กรุงเทพมหำนคร 18 จำกกำรศึ ก ษำฝุ่ น ละออง (PM10) ค่ ำ เฉลี่ ย 52.45 µg/m3 ซึ่ งสู ง ว่ ำ ค่ ำ มำตรฐำนที่ 50 Singapore standard 2009 ซึ่งชันที่ 3 โซนที่ 2 มีค่ำต่ำที่สุด และชันที่ 4 โซนที่ 3 มีค่ำสูงที่สุด สอดคล้องกับกำรศึกษำของเชิด ศิริ นิลผำย, กำนต์พิชชำ เกียรติกิจโรจน์ และสุวรรณี จำมจุรี (2560 : 116) ที่พบว่ำค่ำที่ตรวจวัดได้เกินมำตรฐำน Singapore Standard SS 554 : 2009 Indoor Air Quality for Air-Conditioned in Building อำจเกิดจำกผง หมึกที่ฟุ้งกระจำยขณะใช้งำนเครื่องถ่ำยเอกสำร ซึ่งกำรสัมผัสมลสำรที่ถูกปล่อยออกมำจำกเครื่องถ่ำยเอกสำรทำให้ เกิดสภำวะเครียดหรือออกซิเดชั่น (Oxidative Stress) จำกฝุ่นหมึกที่เป็นสำรอนุมูลอิสระ สำมำรถเข้ำไปทำลำย เซลล์ภำยในร่ำงกำยเป็นปัจจัยพืนฐำนที่ทำให้เกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด หัวใจเกร็งตัว ข้อต่ออักเสบ กำรอับ เสบของเซลล์เนือเยื่อภำยในร่ำงกำย โรคหลอดเลือดสมอง อัลไซเมอร์ ซึ่งบำงโรคตำมที่กล่ำวมำนันโดยเฉพำะโรค หลอดเลือดสมองอำจทำให้เกิดอำกำรมึนศีรษะ ซึม อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อำเจียน สับสนซึ่งเป็นอำกำรทำงสมองขณะ

262


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ปฏิ บั ติ งำนได้ รวมถึ งชนิ ด ของเครื่ อ งพิ ม พ์ อำยุ ก ำรใช้ งำนของเครื่ อ งพิ มพ์ และจ ำนวนเครื่ อ ง จะมี ผ ลต่ อ กำร แพร่กระจำยของฝุ่นขนำดเล็กระดับนำโน ทังนีกำรลดลงของอัตรำกำรระบำยอำกำศภำยในห้องเป็นผลทำให้เกิดกำร เพิ่มขึนของฝุ่นขนำดเล็กระดับนำโนได้และเป็นสำเหตุของกำรทำให้เกิดอำกำรระคำยเคืองระบบทำงเดินหำยใจด้วย เช่นกัน ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ค่ำเฉลี่ย 1,013 ppm สูงว่ำค่ำมำตรฐำนที่ 700 ppm Singapore standard 2009 ซึ่งชันที่ 3 โซนที่ 2 มีค่ำสูงที่สุด คือ 1,100 ppm ส่วนชันที่ 4 โซนที่ 3 มีค่ำสูงที่สุด คือ 1,058 ppm สอดคล้องกับกำรศึกษำของเชิดศิริ นิลผำย, กำนต์พิช เกียรติกิจโรจน์ และสุวรรณี จำมจุรี. (2560 : 115) ที่ พบว่ำ ค่ำเฉลี่ยควำมเข้มข้นก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ในกลุ่มศึกษำที่ตรวจวัดมีค่ำมำกกว่ำอำกำศภำยนอก 854 ppm เกินกว่ำเกณฑ์มำตรฐำนของประเทศสิงคโปร์ที่กำหนดมำกกว่ำอำกำศภำยนอกไม่เกิน 700 ppm ทังนีอำจเกิดจำก จำนวนผู้ปฏิบัติงำน ควำมหนำแน่นของผู้ ใช้บริกำรร้ำนถ่ำยเอกสำร ทำให้สัดส่วนของพืนที่ต่อจำนวนเครื่องถ่ำย เอกสำรต่อผู้ปฏิบัติงำนและผู้ใช้บริกำรไม่สมดุล ส่งผลต่อควำมสำมำรถในกำรระบำยอำกำศภำยในห้อง มีผลทำให้ เกิดอำกำรง่วงนอน มีกำรแสดงออกของกลุ่มอำกำรปวดศีรษะ มึนงง เมื่อยล้ำ กลุ่มอำกำรระคำยเคืองตำ และกลุ่ม อำกำรทำงระบบทำงลำคอและทำงเดินหำยใจ หำกมีกำรเพิ่มอัตรำกำรระบำยอำกำศต่อคนภำยในอำคำรอย่ำง เหมำะสมจะช่วยลดควำมชุกของกำรเกิดโรคกำรเจ็บป่วยจำกอำคำรได้ ซึ่งอำคำรที่มีอัตรำกำรระบำยอำกำศต่ำจะ เป็นผลทำให้เกิดกำรสะสมของมลพิษในอำกำศ และทำให้เกิดอำกำรของโรคกำรเจ็บป่วยจำกอำคำร และสอดคล้อง กับกำรศึกษำของ ศิริรัตน์ เรืองเกศำม สุพิชชำ เอืออรัยโชติ และภำรดี ช่วยบำรุง. (2560 : 90) ที่พบว่ำอำคำรผู้ป่วย นอกที่มีกำรใช้ระบบปรับอำกำศแบบรวม (HVAC) ในคลินิกจักษุ คลินิกกุมำรเวช และบริเวณหน้ำห้องจ่ำยยำ 1 ล้วน แต่พบควำมเข้มข้นของก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์เกิน 1,000 ppm ทังสิน แสดงให้เห็นว่ำในบริเวณดังกล่ำวมีกำร ระบำยอำกำศที่ ไ ม่ เ พี ย งพอตำมข้ อ ก ำหนดของ ASHRAE Standard 62.2 มี โ อกำสในกำรสะสมก๊ ำ ซ คำร์บอนไดออกไซด์และกำรแพร่กระจำยของเชือก่อโรคอื่น ๆ อันจะส่งผลกระทบต่อสุขภำพของผู้ใช้อำคำรได้เมื่อ เปรียบเทียบกับห้องพักผู้ป่วยศัลยกรรมหญิง (สำมัญ) และอำยุรกรรมชำย (สำมัญ) ที่ใช้กำรระบำยอำกำศตำม ธรรมชำติพบว่ำควำมเข้มข้นของก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่ำ 1,000 ppm ตลอดเวลำ 2. ควำมสัมพันธ์ของอำกำรป่วยเหตุอำคำรกับปัจจัยต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ควำมสัมพันธ์ของกลุ่มอำกำรป่วยเหตุอำคำรภำยใน 1 เดือน กับปัจจัยต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จำกกำรศึกษำอำกำรป่วยเหตุอำคำรภำยใน 1 เดือน สัมพันธ์กับ ลักษณะของสถำนที่ทำงำน (ควำมพึง พอใจของสภำพแวดล้อมในที่ทำงำน) ( 2 = 755.333, p = .001) ซึ่งอำจเนื่องจำกกำรเจ็บป่วยไม่ได้มีสำเหตุมำจำก อำคำรแต่เกิดจำกงำนที่ทำอยู่ สอดคล้องกับกำรศึกษำของดำรงศักดิ์ ร่มเย็น. (2557 : 82) ที่พบว่ำกำรทำงำนหนัก เพื่อให้งำนเสร็จสัมพันธ์กับอำกำรป่วยเหตุอำคำรอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิตทิ ี่ระดับ .05 อำจเนื่องจำกลักษณะงำนกำร รักษำพยำบำลที่ต้องทำงำนให้เสร็จทันเวลำเพื่อรักษำชีวิตหรือทำให้อำกำรเจ็บป่วยทุเลำลง บำงครังงำนจึงหนักทำให้ รู้สึกเหนื่อยล้ำและเกิดปัญหำด้ำนสุขภำพขณะอยู่ในที่ทำงำนได้ ควำมสัมพันธ์ของกลุ่มอำกำรป่วยเหตุอำคำรภำยใน 1 เดือน ในช่วงหยุดงำน เช่น วันหยุดนักขัต ฤกษ์ วันหยุดประจำสัปดำห์ กับปัจจัยต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จำกกำรศึกษำอำกำรป่วยเหตุอำคำรในช่วงวันหยุดงำน เช่น วันหยุดนักขัตฤกษ์ วันหยุดประจำสัปดำห์ สัมพันธ์กับลักษณะของสถำนที่ทำงำน ( 2 = 470.952, p = .001) ซึ่งควำมชุกอำกำรป่วยเหตุอำคำรหลำยอำกำรดี ขึนเมื่อหยุดงำน อำจเนื่องจำกหลำยอำกำรมีสำเหตุมำจำกอำคำรหรืองำนที่ทำอยู่ สอดคล้องกับกำรศึกษำของดำรง

263


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ศักดิ์ ร่มเย็น. (2557 : 82) ที่พบว่ำ สำเหตุที่ก่อให้เกิดโรคและอำกำรเจ็บป่วยต่ำง ๆ โดยเฉพำะอำกำรเจ็บป่วยโดย ไม่ทรำบสำเหตุของผู้ที่อยู่อำศัยภำยในอำคำรที่เรียกว่ำกลุ่มอำกำรป่วยเหตุอำคำรมักจะเกิดอำกำรขณะอยู่และ อำจจะหำยไปเมื่อออกจำกอำคำร อำกำรที่พบส่วนใหญ่ เช่น ปวดศีรษะ มึนศีรษะ ง่วงซึม หงุดหงิด ขำดสมำธิในกำร ทำงำน คลื่นไส้ ตำแห้ง ระคำยเคืองตำ คันตำ แสบตำ คอแห้งระคำยคอ เจ็บคอ เสียงแหบ รู้สึกระคำยเคืองจมูก คั ด จมูก หรือกำรได้รับกลิ่นของจมูกผิดปกติ แน่นหน้ำอก หำยใจลำบำก อึดอัดบริเวณทรวงอก ไอในผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ หรือรับควันบุหรี่ ระคำยเคืองใบหน้ำ ผื่นบริเวณใบหน้ำ เป็นต้น ซึ่งอำกำรป่วยเหตุอำคำรสำมำรถพบได้ทังในอำคำร ที่เป็นระบบปิดมีระบบปรับอำกำศและในอำคำรที่มีกำรระบำยอำกำศแบบธรรมชำติ และสอดคล้องกับกำรศึกษำ ของ จักรกฤษณ์ ศิวะเดชำเทพ. (2557 : 10) ที่พบว่ำ ปัจจัยด้ำนจิตวิทยำสังคมเกี่ยวกับสภำพแวดล้อมทำงกำยภำพ เช่น ห้องทำงำน แสง เสียงเก้ำอี โต๊ะทำงำน มีผลทำให้เกิดกลุ่มอำกำรทำงตำได้ อำจเนื่องมำจำกสภำพพืนที่กำร ทำงำนไม่ว่ำจะเป็นแสง เก้ำอี โต๊ะทำงำนที่ไม่เหมำะสมเท่ำที่ควร ทำให้ส่งผลต่อกำรเกิดอำกำรดังกล่ำวได้ ควำมสัมพันธ์ของกลุ่มอำกำรป่วยเหตุอำคำรในปัจจุบันกับปัจจัยต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จำกกำรศึกษำอำกำรป่วยเหตุอำคำรในปัจจุบันขณะที่ทำงำนสัมพันธ์กับด้ำนสิ่งแวดล้อมในที่ทำงำน 2 ( =342.700, p=.004) และสัมพันธ์กับด้ำนลักษณะงำน ( 2=316.982, p=.014) ซึ่งควำมชุกอำกำรป่วยเหตุ อำคำรหลำยอำกำร ในปัจจุบันขณะทำงำนกลับมำมีอำกำรเหมือนเดิม อำจเนื่องจำกหลำยอำกำรมีสำเหตุมำจำก อำคำรหรืองำนที่ทำอยู่ สอดคล้องกับกำรศึกษำของ จักรกฤษณ์ ศิวะเดชำเทพ. (2557 : 10) ที่พบว่ำปัจจัยด้ำน สถำนที่ทำงำน ได้แก่ กำรใช้พรินเตอร์ กำรใช้เครื่องถ่ำยเอกสำร เครื่องโทรสำร เนื่องจำกอำจมีฝุ่นที่อำจเกิดจำกผง หมึกของพรินเตอร์ เครื่องถ่ำยเอกสำร ส่วนระบบปรับอำกำศรวมในห้องทำงำนที่เป็นแบบแอร์รวมที่มีกำรใช้งำนโดย ไม่มีกำรทำควำมสะอำด อำจจะเป็นแหล่งสะสมเชือโรค แบคทีเรีย หรือสำรเคมีต่ำง ๆ ที่อำจส่งผลกำรเกิดอำกำร ป่วยเหตุอำคำรและกำรมีหน้ำต่ำงเปิดออกเพื่อระบำยอำกำศอำจทำให้มีฝุ่นหรือมลพิษจำกภำยนอกเข้ำมำในอำคำร เนื่องจำกสถำนที่ทำงำนอำจเป็นแหล่งของกำรเกิดมลพิษพวกสำรประกอบอินทรีย์ระเหยอำคำรจำกเครื่องพรินเตอร์ หรือเมื่อต้องนั่งทำงำนกับเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเวลำนำน ๆ ทำให้มีอำกำรแสบตำ เหนื่อยล้ำและนำตำแห้ง ส่วน สภำพแวดล้อมในกำรทำงำนบริเวณที่มีสภำพพืนที่อับทึบ ชืน กำรระบำยอำกำศไม่ดีและมีฝุ่นเกำะตำมพืนผิวมี ควำมสัมพันธ์กับกำรเกิดกลุ่มอำกำรป่วยเหตุอำคำร และสอดคล้องกับกำรศึกษำของ เชิดศิริ นิลผำย, กำนต์พิชชำ เกียรติกิจโรจน์ และสุวรรณี จำมจุรี. (2560 : 115) ที่พบว่ำผู้ที่ปฏิบัติงำนภำยในสภำพแวดล้อมกำรทำงำนในห้องที่ มีเครื่องปรับอำกำศจะมีโอกำสเกิดอำกำรของโรคกำรเจ็บป่ วยจำกอำคำรถึง 12.10 เท่ำเมื่อเทียบกับผู้ที่ปฏิบัติงำน ภำยในสภำพแวดล้อมกำรทำงำนที่ไม่มีเครื่องปรับอำกำศ ข้อเสนอแนะในกำรนำผลวิจัยไปใช้ 1. ออกแบบกำรระบำยอำกำศให้เหมำะสมหรือได้มำตรฐำน ซึ่งคำนึงถึงจำนวนคนที่อยู่ในอำคำรและ อัตรำกำรไหลเวียนของอำกำศ เพรำะกำรออกแบบระบบระบำยอำกำศที่เหมำะสมจะช่วยลดปริมำณควำมเข้มข้น ของก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงสำมำรถควบคุมกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์และช่วยลดควำมอับชืนของอำกำศได้ 2. ลดปริมำณฝุ่นละอองขนำดเล็กภำยในอำคำร โดยเพิ่มมำตรกำรรักษำควำมสะอำดของอำคำรและ พืนที่ทำงำนให้สะอำดอยู่ตลอดเวลำโดยกำรทำควำมสะอำดพืน กำรลดปริมำณฝุ่นจำกแหล่งกำเนิดภำยในอำคำร และภำยนอกอำคำรโดยกำรทำควำมสะอำดระบบทังหมด ไม่ว่ำจะเป็นเครื่องปรับอำกำศ พัดลมดูดอำกำศ ตัวกรอง อำกำศ และท่อส่งอำกำศ รวมทังกำรทำควำมสะอำดมุ้งลวด ผ้ำม่ำน เป็นต้น

264


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ข้อเสนอแนะในกำรทำวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรศึกษำเปรียบเทียบระหว่ำงพนักงำนที่อยู่ในอำคำรสำนักงำนใหม่และอำคำรสำนักงำนเก่ำ เพื่อให้เห็นถึงควำมแตกต่ำงอย่ำงชัดเจน 2. ควรศึกษำอัตรำกำรลดลงของกลุ่มอำกำรป่วยเหตุอำคำรเมื่อมีกำรควบคุมหรือจัดกำรกับปัจจัยที่ เกี่ยวข้องกับกำรเกิดกลุ่มอำกำรป่วยเหตุอำคำร เช่น กำรปรับระบำยอำกำศ รวมทังศึกษำว่ำวิธีใดที่สำมำรถลดกลุ่ม อำกำรป่วยเหตุอำคำรได้ดีที่สุด กิตติกรรมประกำศ ขอขอบพระคุณคณำจำรย์มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ทุกท่ำนที่มีส่วนร่วมให้คำแนะนำ โดยเฉพำะอย่ำง ยิ่ง ผศ.ดร.ประดับ เรียนประยูร ดร.วรรธนะชัย ปฐมสิริวงศ์ คุณทัยธัช หิรัญเรือง จิตอำสำแพทย์วิถีธรรม กลุ่ม ตัวอย่ำง และท่ำนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในกำรวิจัยครังนีทังทำงตรงและทำงอ้อม ที่เมตตำอนุเครำะห์ให้ควำมช่วยเหลือ ต่ำง ๆ ต่อกำรวิจัย เอกสำรอ้ำงอิง จักรกฤษณ์ ศิวะเดชำเทพ. (2557). ควำมชุกและควำมสัมพันธ์ของปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกำรเกิดกลุม่ อำกำรป่วย เหตุอำคำรของผู้ที่ทำงำนในอำคำรสำนักงำน กรณีศึกษำอุตสำหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธำนี. กำรจัดประชุมเสนอผลงำนวิจัยระดับบัณฑิตศึกษำ มหำวิทยำลัยสุโขทัย ธรรมมำธิรำช ครังที่ 4 พ.ศ.2557. 1-13. เชิดศิริ นิลผำย กำนต์พิชชำ เกียรติกิจโรจน์ และสุวรรณี จำมจุร.ี (2560 ). กำรศึกษำปัญหำคุณภำพอำกำศ ภำยในอำคำรที่มผี ลต่อโรคกำรเจ็บป่วยจำกอำคำรของผู้ปฏิบัติงำนถ่ำยเอกสำร. วำรสำรมหำวิทยำลัย นรำธิวำสรำชนครินทร์ ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 กันยำยน-ธันวำคม. 106-120. ดำรงศักดิ์ ร่มเย็น. (2557). ควำมสัมพันธ์ของปัจจัยด้ำนสิ่งแวดล้อมและปัจจัยอืน่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอำกำร ป่วยเหตุอำคำรของผู้ปฏิบัติงำนพยำบำลในโรงพยำบำลมหำวิทยำลัยแห่งหนึ่ง. วิทยำศำสตร มหำบัณฑิต มหำวิทยำลัยสงขลำนครินทร์. ศิริรัตน์ เรืองเกศำ สุพิชชำ เอืออรัยโชติ และภำรดี ช่วยบำรุง. (2560). กำรประเมินประสิทธิภำพกำรระบำย อำกำศในโรงพยำบำลด้วยกำรตรวจวัดกำซคำร์บอนไดออกไซด์. วำรสำรวิทยำศำสตร์บูรพำ ปีที่ 22 (ฉบับที่ 2) พฤษภำคม-สิงหำคม. 74-91. Abdul-Wahab, S. A., Chin Fah En, S., Elkamel, A., Ahmadi, L., & Yetilmezsoy, K. (2015). A review of standards and guidelines set by international bodies for the parameters of indoor air quality. Atmospheric Pollution Research, 6(5): 751-767. Cheng, L., Li, B., Cheng, Q., Baldwin, A. N., & Shang, Y. (2017). Investigations of indoor air quality of large department store buildings in China based on field measurements. Building and Environment, 118: 128-143. Chithra, V. S., & Shiva Nagendra, S. M. (2012). Indoor air quality investigations in a naturally ventilated school building located close to an urban roadway in Chennai, India. Building and Environment, 54: 159-167.

265


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Crook, B., & Burton, N. C. (2010). Indoor moulds, Sick Building Syndrome and building related illness. Fungal Biology Reviews, 24(3): 106-113. Datta, A., Suresh, R., Gupta, A., Singh, D., & Kulshrestha, P. (2017). Indoor air quality of nonresidential urban buildings in Delhi, India. International Journal of Sustainable Built Environment. Fantuzzi, G., Aggazzotti, G., Righi, E., Cavazzuti, L., Predieri, G., & Franceschelli, A. (1996). Indoor air quality in the university libraries of Modena (Italy). Science of The Total Environment, 193(1): 49-56. Hwang, S. H., Seo, S., Yoo, Y., Kim, K. Y., Choung, J. T., & Park, W. M. (2017). Indoor air quality of daycare centers in Seoul, Korea. Building and Environment, 124: 186-193. Jiang, W., Lu, C., Miao, Y., Xiang, Y., Chen, L., & Deng, Q. (2018). Outdoor particulate air pollution and indoor renovation associated with childhood pneumonia in China. Atmospheric Environment, 174: 76-81. McGill, G., Oyedele, L. O., & McAllister, K. (2015). Case study investigation of indoor air quality in mechanically ventilated and naturally ventilated UK social housing. International Journal of Sustainable Built Environment, 4(1): 58-77. Norhidayah, A., Chia-Kuang, L., Azhar, M. K., & Nurulwahida, S. (2013). Indoor Air Quality and Sick Building Syndrome in Three Selected Buildings. Procedia Engineering, 53: 93-98. Pitarma, R., Marques, G., & Ferreira, B. R. (2016). Monitoring Indoor Air Quality for Enhanced Occupational Health. Journal of Medical Systems, 41(2): 23. Reanprayoon, P., & Yoonaiwong, W. (2012). Airborne concentrations of bacteria and fungi in Thailand border market. Aerobiologia, 28(1): 49-60. Runeson-Broberg, R., & Norbäck, D. (2013). Sick building syndrome (SBS) and sick house syndrome (SHS) in relation to psychosocial stress at work in the Swedish workforce. International Archives of Occupational and Environmental Health, 86(8): 915-922. United States Environmental Protection Agency. (2018). Indoor Air Quality (IAQ) Retrieved 3, Feb, 2018, from https://www.epa.gov/indoor-air-quality-iaq/indoor-air-quality-offices-andother-large-buildings Wang, B.-L., Takigawa, T., Yamasaki, Y., Sakano, N., Wang, D.-H., & Ogino, K. (2008). Symptom definitions for SBS (sick building syndrome) in residential dwellings. International Journal of Hygiene and Environmental Health, 211(1): 114-120.

266


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-25 ผลของโปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมต่อระดับควำมเครียดของผู้ต้องขังหญิง THE EFFECT OF CHANTING AND DHAMMA REVIEW PROGRAM WITH BUDDHIST MEDICINE ON STRESS LEVELS OF FEMALE PRISONERS ลักขณำ วรพงศ์พัฒน์1 , อรรณพ นับถือตรง2 และ อติพร ทองหล่อ3 1

นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 3 อาจารย์ประจ้า วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ 2

บทคัดย่อ กำรวิจัยครังนี มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำร แพทย์วิถีธรรมที่มีต่อระดับควำมเครียดของผู้ต้องขังหญิง กำรวิจัยครังนี เป็นกำรวิจั ยเชิงทดลองเบืองต้น (Preexperimental research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อน-หลังกำรทดลอง (one-group pretest-posttest design) กลุ่ม ตัวอย่ำง เป็นผู้ต้องขังหญิงเรือนจำกลำงนครพนม จังหวัดนครพนม จำนวน 30 คน ซึ่งได้มำจำกเกณฑ์คัดเข้ำและคัด ออกที่ผู้วิจัยกำหนดขึน ผู้ต้องขังหญิงทำกำรประเมินควำมเครียด โดยใช้แบบวัดควำมเครียดสวนปรุง (SPST-20) กรมสุขภำพจิต ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมทุกวัน เป็นเวลำ 4 สัปดำห์ สถิติที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี ได้แก่ ค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ทำกำรวิเครำะห์คะแนนเฉลี่ยก่อนและ หลังกำรทดลอง โดยใช้สถิติ Paired Samples t-test กำหนดควำมมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ผลกำรวิจัย พบว่ำ ผู้ต้องขังหญิงมีระดับควำมเครียดลดลงอย่ำงมีนัยสำคัญ ทำงสถิติที่ระดับ .05 หลังกำร ทดลอง เมื่อเทียบกับก่อนกำรทดลอง สรุปผลกำรวิจัยได้ว่ำ โปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถี ธรรมสำมำรถลดควำมเครียดของผู้ต้องขังหญิงได้ ดังนัน ควรส่งเสริมให้ผู้ต้องขังหญิงปฏิบัตกิ ำรสวดมนต์และทบทวน ธรรมเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วยลดควำมเครียด ลดควำมทุกข์ภำยในจิตใจ และเพิ่มควำมผำสุกในชีวิตได้อย่ำงยั่งยืน คำสำคัญ: การแก้ปัญหา, ความวิตกกังวล, ความผาสุกในชีวิต Abstract The purpose of this study was to compare the effect of the chanting program and dhamma review with Buddhist Medicine on stress levels of female prisoners. This study employed pre-experimental research and a one-group pretest-posttest design. The sample group was 30 female prisoners from the Nakhon Phanom Central Prison, Nakhon Phanom Province, selected based on the Inclusion and exclusion Criteria established by the researchers. The participants were measured the stress levels at pretest and posttest using the stress measurement method called SPST-20. The participants practiced the chanting and dhamma review program with Buddhist Medicine for four weeks and seven days a week. The obtained data were analyzed using

267


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

mean and standard deviation. The pretest and posttest mean scores were analyzed using a paired sample t-test, at the level of .05. The results showed that the stress levels of female prisoners reduced statistically after the experiment compared with those before the experiment, p < .05. The conclusion of this research found that the chanting and dhamma review with Buddhist Medicine could help reduce female prisoners’ stress. Therefore, female prisoners should be encouraged to practice chanting and dhamma review daily to reduce stress, mental suffering and to increase their sustainable happiness. Keyword : Problem-solving, Anxiety, Well-being บทนำ ประเทศไทยนั บ เป็ น ประเทศที่ มี จ ำนวนผู้ ต้ อ งขั งหญิ งมำกที่ สุ ด เป็ น อั น ดั บ 4 ของโลก รองจำก สหรัฐอเมริกำ จีน และ รัสเซีย และเมื่อเทียบกับจำนวนประชำกรต่อ 100,000 คน แล้วประเทศไทยถือได้ว่ำมี อัตรำส่วนของผู้ต้องขังหญิงต่อประชำกร 100,000 คน มำกที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก (นัทธี จิตสว่ำง. 2558 : 1) โดยประมำณ 70% เป็นผู้ต้องขังที่ต้องโทษคดียำเสพติด ซึ่งเป็นผู้ต้องขังหญิงประมำณ 15% (วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ. 2559 : 1) ปัจจุบันนีผู้หญิงมีบทบำททำงสังคมมำกขึน ต้องรับผิดชอบหำเลียงตนเองและครอบครัวมำกขึน เมื่อ ผู้หญิงเหล่ำนีต้องประสบกั บปัญหำทำงเศรษฐกิจ ปัญหำสังคม ปัญหำครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่มีฐำนะยำกจน ขำด กำรศึกษำ ขำดควำมรู้ ขำดทักษะในกำรประกอบอำชีพ จึงมีโอกำสที่จะเข้ำไปสู่กำรกระทำผิดมำกขึน โดยมีหลำย กรณีผู้หญิงเป็นทังผู้กระทำและถูกกระทำ เป็นผลทำให้จำนวนผู้ต้องขังหญิง มีสถิติเพิ่มสูงขึ นอย่ำงต่อเนื่องมำโดย ตลอด (นัทธี จิตสว่ำง. 2560 : 1) ผู้ต้องขังหญิงจำนวนมำกต้องใช้ระยะเวลำยำวนำน เพื่อทำใจยอมรับสภำพกำรเป็นผู้ถูกต้องขัง และยิ่งมีคำสั่ง ต้องโทษสูงก็จะยิ่งเป็นทุกข์และหดหู่ใจมำกขึน (กฤตยำ อำชวนิจกุล และ กุลภำ วจนสำระ.2560 : 27) โดยรู้สึกสูญเสีย อะไรมำกมำยในชีวิต กังวลเกี่ยวกับชีวิตในเรือนจำ เป็นห่วงสมำชิกในครอบครัว และพยำยำมทำใจยอมรับ ซึ่ง ก่อให้เกิดควำมทุกข์ใจจำกกำรถูกจองจำ กำรพลัดพรำกจำกครอบครัว กำรขำดอิสรภำพในชีวิต และต้องปรับตัวและ ปรับใจ (สมภพ แจ่มจันทร์. 2550 : 1) สอดคล้องกับ นภำภรณ์ หะวำนนท์ และคณะ (2555 : 12) ที่กล่ำวว่ำ สภำวะที่ต้องเข้ำมำอยู่ในเรือนจำ ทำให้รู้สึกหวำดกลัว วิตกกังวลเศร้ำโศก เสียใจ เครียด หมดอำลัยในชีวิต จำกสถิติ กรมรำชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 1 กันยำยน 2560 จังหวัดนครพนม เป็นจังหวัดที่มีจำนวนผู้ต้องขังหญิงมำกที่สุดของเขต 4 คือ 437 คน และจำกกำรสำรวจสุขภำพผู้ต้องขังหญิงเรือนจำกลำงนครพนมจำนวน 349 คน เมื่อวันที่ 28 ตุลำคม 2556 ด้วยกำรประเมินควำมเครียดโดยใช้แบบประเมินของกรมสุขภำพจิต กระทรวงสำธำรณสุข พบว่ำ ผู้ต้องขัง หญิงส่วนใหญ่มีควำมเครียดปำนกลำง ร้อยละ 31.23 และควำมเครียดมำก ถึงร้อยละ 18.62 (นิตยำภรณ์ สุระสำย. 2559 : 5) ควำมเครียด เป็นปัญหำที่สำคัญต่อสุขภำพจิตที่มีควำมจำเป็นต้องหำแนวทำงในกำรแก้ปัญหำ ผู้ที่มี ควำมเครียดที่อยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลำนำน โดยไม่ได้รับกำรแก้ไขหรือกำรช่วยเหลืออย่ำงเหมำะสม อำจเป็น สำเหตุที่สำคัญของควำมเจ็บป่วยทำงกำยหลำยโรค และมีผลเสียต่อสุขภำพจิต จะเกิดอำกำรหงุดหงิด ท้อแท้ เหนื่อย

268


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

หน่ำย ส่งผลต่อควำมรู้สึกนึกคิด พฤติกรรมกำรแสดงออก นำไปสู่กำรเจ็บป่วยทำงจิตที่รุนแรง และเกิดพฤติกรรม ก้ำวร้ำวต่อครอบครัวและผู้อื่น (ชลิดำ ชำนำญเนติวิทย์. 2556 : 1) กำรแก้ปัญหำควำมเครียดมีหลำยวิธีกำร เช่น สมำธิบำบัด ดนตรีบำบัด เล่นโยคะ เป็นต้น จำกงำนวิจัยที่ ผ่ำนมำ รำยงำนว่ำ ในศำสตร์กำรแพทย์ทำงเลือก กำรสวดมนต์บำบัดเป็นทำงเลือกหนึ่งที่สำมำรถนำมำใช้ในกำร บำบัดรักษำโรคโดยไม่ต้องใช้ยำได้ กำรสวดมนต์บำบัดไม่ใช่แค่รักษำโรคทำงใจเพียงอย่ำงเดียวเท่ำนัน แต่ยังสำมำรถ บำบัดโรคทำงกำยได้อีกด้วย สอดคล้องกับ เบญมำศ ตระกูลงำมเด่น และ สุรีพร ธนศิลป์ (2555 : 33) พบว่ำ กำร สวดมนต์สำมำรถผ่อนคลำย ลดควำมเครียดทำงจิตใจได้ เป็นกำรส่งเสริมให้จิตใจสงบ มีควำมสุข สำมำรถแก้ปัญหำ ชีวิต และอุปสรรคได้ด้วยเหตุผลและปัญญำ มองชีวิตอย่ำงปล่อยวำงมำกขึน ในศำสตร์กำรแพทย์ทำงเลือกที่เรียกว่ำ กำรแพทย์วิถีธรรม โดย ดร. ใจเพชร กล้ำจน หรือ อำจำรย์หมอเขียว เป็นผู้ค้นพบกำรดูแลสุขภำพตำมหลักกำร แพทย์วิถีธรรม โดยเน้นวิธีกำรที่เรียบง่ำย ประหยัด พึ่งตน และเป็นประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นกำรใช้หลักพุทธธรรมใน กำรลดควำมเครียดและควำมทุกข์ใจ (ใจเพชร กล้ำจน. 2558 : 669) โดยมีเทคนิคข้อที่ 8 คือ กำรละบำป บำเพ็ญ บุญ ทำจิตใจเบิกบำน ไร้ทุกข์ ไร้กังวล เป็นหนึ่งในวิธีกำรปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตเกิดควำมผำสุกมั่นคงและยั่งยืน นั่นคือ สวดมนต์และทบทวนธรรม พระพุทธเจ้ำตรัสว่ำ “คนจะบรรลุธรรมเพรำะทบทวนธรรม” บททบทวนธรรม เป็น ธรรมะจำกพระไตรปิฎก ที่ถูกนำมำเรียบเรียงเป็นภำษำที่เข้ำใจได้ง่ ำย มีเนือหำให้ตระหนักถึงเรื่องกรรม ผลของ กรรม ควำมเป็นจริงของชีวิต กำรไม่โทษผู้อื่น กำรสำนึกผิด กำรคิด พูด ทำในสิ่งที่ดี กำรปฏิบัติสวดมนต์และทบทวน ธรรมซำ ๆ เป็นประจำทุกวัน จะสำมำรถทำลำยควำมติดยึด ควำมชอบชังที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ได้ นี่คือปัญญำที่ใช้ใน กำรพัฒนำจิตสู่ควำมพ้นทุกข์ ด้วยเหตุผลดังกล่ำว ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดและควำมสนใจศึกษำเปรียบเทียบผลของโปรแกรมสวดมนต์และ ทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมที่ส่งผลต่อระดับควำมเครียดของผู้ต้องขังหญิง เรือนจำกลำงนครพนม จังหวัดนครพนม เพื่อเป็นข้อมูลและแนวทำงแก่ ผู้ต้องขังหญิง สำหรับใช้ประกอบกำรตัดสินใจในกำรนำมำปฏิบัติเพื่อลด ควำมเครียด และแก้ปัญหำต่ำง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ มีสุขภำพจิตใจที่ดีขึน และสำมำรถอยู่ในสังคมได้ อย่ำงปกติสุข วัตถุประสงค์กำรวิจัย เพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมที่มีต่อระดับ ควำมเครียดของผู้ต้องขังหญิง เรือนจำกลำงนครพนม จังหวัดนครพนม สมมติฐำนกำรวิจัย หลังได้รับโปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ผู้ต้องขังหญิงมีควำมเครียด ลดลงมำกกว่ำก่อนได้รับโปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรม วิธีกำรดำเนินกำรวิจัย แบบแผนกำรวิจัย กำรวิจัยครังนีเป็นวิจัยเชิงทดลองเบืองต้น (Pre-experimental research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อน-หลัง กำรทดลอง (One-Group Pretest-Posttest Design)

269


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกร ประชำกรที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี เป็นผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำกลำงนครพนม จังหวัดนครพนม จำนวน 471 คน (กรมรำชทัณฑ์. 2560) กลุ่มตัวอย่ำง กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี เป็นผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำกลำงนครพนม จำนวน 30 คน ซึ่งได้มำ จำกเกณฑ์คัดเข้ำและคัดออกที่ผู้วจิ ัยกำหนดขึน ดังนี เกณฑ์คัดเข้ำ (Inclusion Criteria) 1. อำยุระหว่ำง 20-70 ปี 2. คะแนนควำมเครียดตังแต่ 42 คะแนนขึนไป ประเมินจำกแบบวัดควำมเครียดสวนปรุง กรม สุขภำพจิต ซึ่งมีควำมเครียดในระดับสูงถึงระดับรุนแรง เกณฑ์คัดออก (Exclusion Criteria) 1. มีคะแนนระดับควำมเครียดต่ำกว่ำ 42 คะแนน 2. มีอำยุต่ำกว่ำ 20 ปี 3. มีอำยุมำกกว่ำ 70 ปี คณะกรรมกำรจริยธรรม กำรวิจัยครังนี ได้ผ่ำนกำรรับรองจำกคณะกรรมกำรจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์มหำวิทยำลัยรำชภัฎ สุรินทร์ เลขที่ HE-SRUU2-0016 เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยมี 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้ในกำรทดลอง และเครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บ รวบรวมข้อมูล 1. เครื่องมือที่ใช้ในกำรทดลอง ได้แก่ โปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ที่ผู้วิจัยสร้ำงขึนโดยศึกษำผลกำรวิจัยที่เกี่ยวข้องและแนวคิดต่ำง ๆ มำเป็นแนวทำงในกำรจัดกิจกรรมโปรแกรม โดย กำรประยุกต์องค์ควำมรู้กำรแพทย์วิถีธรรม ร่วมกับแรงสนับสนุนทำงสังคม (Social Support Theory) ของ House (1981 : 202-204) ร่วมกับกำรปรึกษำผู้เชี่ยวชำญด้ำนกำรแพทย์วิถีธรรม ผู้มีประสบกำรณ์ฝึกกำรเรียนรู้ในฐำนงำน แพทย์วิถีธรรม และประสบกำรณ์ของผู้วิจัยเอง เพื่อเป็นแนวทำงในกำรสร้ำงโปรแกรมให้มีประสิทธิภำพ เนือหำ ประกอบด้วย ควำมรู้เกี่ยวกับกำรสวดมนต์และทบทวนธรรม ควำมเครียด กำรฟังธรรม กำรสนทนำธรรม กำรบันทึก ทบทวนธรรม ซึ่งมีเครื่องมือ ดังนี 1.1 หนังสือคู่มือสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ประกอบด้วย ควำมหมำยและ ประโยชน์ของกำรสวดมนต์ กำรทบทวนธรรม ควำมรู้ควำมเครียด เทคนิคกำรล้ำงควำมทุกข์ใจ มีเนือหำหลัก ได้แก่ 1) บทสวดมนต์แปล เป็นบทสวดมนต์ภำษำบำลีพร้อมกำรแปลภำษำไทย ที่กำรแพทย์วิถี ธรรมได้คดั บทสวดมนต์ที่สำคัญ ตำมลำดับ ดังนี คำบูชำพระรัตนตรัย ปุพพภำคนมกำร ไตรสรณคมน์พทุ ธำนุสติ ธัมมำ นุสติ สังฆำนุสติ โอวำทปำติโมกขคำถำ อภิณหปัจจเวกขณปำฐะ ภวตุสัพ เป็นเวลำ 30 นำที 2) บททบทวนธรรม เป็นบทธรรมะจำกพระไตรปิฎก นำมำแปลเป็นภำษำธรรมะที่เข้ำใจง่ำย เปรียบเหมือนคำสุภำษิต คำพังเพย สื่อคติเตือนใจ สั่งสอนในทำงบวก มีเนือหำให้ตระหนักถึงเรื่องกรรม ผลของ กรรม ควำมเป็นจริงของชีวิต กำรไม่โทษผู้อื่น กำรสำนึกผิด กำรคิด พูด ทำในสิ่งที่ดี ประกอบด้วย บททบทวนธรรม

270


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

17 ข้อ และ สุดยอดวำทะแห่งปี ตัวอย่ำงเช่น “สิ่งที่เรำได้รับ คือสิ่งที่เรำทำมำ ไม่มีสิ่งใดที่เรำได้รับ โดยที่เรำไม่เคย ทำมำ” “เกิดอะไร จงท่องไว้ กูทำมำ” “ทีทำชั่วยังมีเวลำทำ ทีทำดีทำไมไม่มีเวลำทำ” เป็นต้น เป็นเวลำ 15 นำที 1.2 สมุดบันทึกทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม เพื่อจดบันทึกสิ่งที่ได้รับเป็นกำรสะท้อนคิด จำกโปรแกรม ประโยชน์ที่ได้รับ กำรเปลี่ยนแปลงทำงด้ำนจิตใจ ด้ำนอำรมณ์ เป็นต้น 1.3 วีดีทัศน์สวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม 1.4 MP3 เสียงบรรยำยธรรมะ โดย ดร. ใจเพชร กล้ำจน 2. เครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถำมที่ใช้ในกำรวัดควำมเครียด ประกอบด้วย 2.1 แบบสอบถำมข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ อำยุ นำหนัก ส่วนสูง สถำนภำพสมรส ระดับกำรศึกษำ คดีที่ต้องโทษ กำหนดโทษที่ตัดสิน เป็นต้น 2.2 แบบวัดควำมเครียดสวนปรุง SPST-20 กรมสุขภำพจิต เพื่อประเมินควำมเครียดก่อน-หลังกำร ได้รับโปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรม กำรตรวจสอบคุณภำพของเครื่องมือ เครื่องมือวิจัยที่ใช้มีกำรตรวจคุณภำพของเครื่องมือ ดังนี 1. ตรวจสอบควำมเที่ยงตรงเชิงเนือหำ (Content Validity) โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่ำน ประกอบด้วย พระภิกษุ แพทย์ พยำบำล ผู้เชี่ยวชำญด้ำนจิตวิทยำ และผู้เชี่ยวชำญด้ำนกำรแพทย์ทำงเลือกวิถีธรรม ได้ทำกำรตรวจสอบหำดัชนีควำมสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ซึ่งกำรพิจำรณำค่ำ IOC ของแต่ละข้อคำถำมทุกข้อ หำกพบว่ำมีค่ำสูงกว่ำ 0.5 แสดงว่ำข้อคำถำมนันมีสอดคล้องตรงตำมเนื อหำ ในกำร ตรวจสอบครังนี พบว่ำ มีค่ำดัชนีควำมสอดคล้องเท่ำกับ 0.96 ซึ่งถือว่ำมีควำมสอดคล้องและถูกต้องตรงตำมเนือหำ สำมำรถนำโปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรมและแบบสอบถำมมำใช้ในกำรวิจัยในครังนีได้ 2. ตรวจสอบควำมเชื่อถือได้ (Reliability) เพื่อตรวจสอบควำมเชื่อถือได้ ของเครื่องมือ (Reliability) โดยผู้เชี่ยวชำญประเมินควำมเป็นไปได้และประเมินควำมเหมำะสมแบบสอบถำมไปทดลองใช้ (Try Out) กับผู้ต้อง หญิงที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่ำง จำนวน 30 คน เพื่อวิเครำะห์ค่ำควำมสอดคล้องภำยในค่ำสัมประสิทธิ์แอลฟำของครอ นบำค (Cronbach’s Alpha coefficient) ซึ่งได้ค่ำควำมเชื่อถือได้เท่ำกับ 0.95 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ผู้วิจัยประชุมเตรียมควำมพร้อมของผู้ช่วยผู้วิจัย ซึ่งประกอบด้วย จิตอำสำแพทย์วิถีธรรม นัดหมำย เพื่อทำควำมเข้ำใจรำยละเอียดและแผนงำน ตลอดจนวิธีกำรปฏิบัติและกำรบันทึกผลกำรวิจัยให้เข้ำใจและถูกต้อ ง ตรงกัน และมอบหมำยให้ผู้ช่วยผู้วิจัยรับผิดชอบเป็นผู้ให้ควำมรู้ในฐำนกำรเรียนรู้และกำรปฏิบัติกิจกรรม 2. จัดเตรียมเครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย สื่อกำรสอน วัสดุอุปกรณ์ และสถำนที่ในกำรใช้ทำกิจกรรม 3. ผู้วิจัยและทีมจิตอำสำแพทย์วิถีธรรม เข้ำพืนที่เรือนจำกลำงนครพนม เป็นเวลำ 4 สัปดำห์ ๆ ละ 1 วัน โดยผู้วิจัยได้ดำเนินกำรวิจัยในระหว่ำงเดือน ธันวำคม พ.ศ. 2560 ถึง เดือน มกรำคม พ.ศ. 2561 เป็นเวลำ 4 สัปดำห์ 4. ผู้ วิ จั ย นั ด หมำยกลุ่ ม ตั ว อย่ ำ งเพื่ อ ชี แจงวั ต ถุ ป ระสงค์ ข องกำรวิ จั ย ขั นตอนกำรด ำเนิ น กำรวิ จั ย ระยะเวลำในกำรทำวิจัย และกำรพิทักษ์สิทธิของกลุ่มตัวอย่ำง 5. เก็บข้อมูลก่อนกำรทดลอง (Pretest) โดยใช้แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลและแบบวัดควำมเครียด กรมสุขภำพจิต SPST-20

271


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

6. ดำเนิน กำรทดลอง โดยผู้วิ จัย จัด กิจ กรรมตำมโปรแกรมสวดมนต์ และทบทวนธรรมให้ แก่ กลุ่ ม ตัวอย่ำง ฟังบรรยำย สำธิต ปฏิบัติ และจัดกิจกรรมกลุ่ม ดังนี สัปดำห์ที่ 1 1. สร้ำงสัมพันธภำพที่ดีต่อผู้ต้องขังหญิง แนะนำผู้วิจัยและจิตอำสำ ชีแจงวัตถุประสงค์ของกำรวิจัย และเป้ำหมำยในกำรเรียนรู้ 2. วิทยำกรบรรยำย “ควำมรู้ ผลต่อร่ำงกำยจิตใจและกำรจัดกำรควำมเครียด” 3. วิทยำกรบรรยำย “ควำมรู้และประโยชน์จำกกำรสวดมนต์และกำรทบทวนธรรม” 4. สำธิตและปฏิบัติร่วมกับเปิดวีดีทัศน์ “กำรสวดมนต์และกำรทบทวนธรรม” 5. ฟังธรรมจำก MP3 “ชีวิตเป็นสุขต้องเข้ำใจเรื่องกรรม” บรรยำยโดย ดร. ใจเพชร กล้ำจน 6. แลกเปลี่ยนประสบกำรณ์โดยจิตอำสำ “สิ่งที่ได้รับจำกกำรสวดมนต์และกำรทบทวนธรรม” สัปดำห์ที่ 2 1. สำธิตและปฏิบัติร่วมกับเปิดวีดีทัศน์ “กำรสวดมนต์และกำรทบทวนธรรม” 2. ฟังธรรมจำก MP3 “กำรใช้ธรรมะ ละบำป บำเพ็ญบุญ ทำจิตใจเบิกบำนเป็นสุข” บรรยำยโดย ดร. ใจเพชร กล้ำจน 3. แลกเปลี่ยนประสบกำรณ์โดยจิตอำสำ “ลดควำมเครียดจำกกำรทบทวนธรรม” 4. เข้ำกลุ่มสนทนำธรรมจิตอำสำกับผู้ต้องขังหญิง สัปดำห์ที่ 3 1. สำธิตและปฏิบัติร่วมกับเปิดวีดีทัศน์ “กำรสวดมนต์และกำรทบทวนธรรม” 2. ฟังธรรมจำก MP3 “เทคนิคทำใจไร้กังวล” บรรยำยโดย ดร. ใจเพชร กล้ำจน 3. แลกเปลี่ยนประสบกำรณ์ โดยจิตอำสำ “เทคนิคทำใจไร้กังวล” 4. แลกเปลี่ยนประสบกำรณ์โดยผู้ต้องขังหญิง “ลดควำมเครียดจำกกำรทบทวนธรรม” 5. เข้ำกลุ่มสนทนำธรรมจิตอำสำกับผู้ต้องขังหญิง สัปดำห์ที่ 4 1. สำธิตและปฏิบัติร่วมกับเปิดวีดีทัศน์ “กำรสวดมนต์และกำรทบทวนธรรม” 2. ฟังธรรมจำก MP3 “ธรรมะรักษำโรค” บรรยำยโดย ดร. ใจเพชร กล้ำจน 3. แลกเปลี่ยนประสบกำรณ์ โดยจิตอำสำ “ธรรมะรักษำโรค” 4. แลกเปลี่ยนประสบกำรณ์โดยผู้ต้องขังหญิง “สิ่งที่ได้รับจำกกำรสวดมนต์และกำรทบทวนธรรม” 5. เข้ำกลุ่มสนทนำธรรมจิตอำสำกับผู้ต้องขังหญิง 7. หลังจำกกลุ่มตัวอย่ำงได้เรียนรู้และฝึกทักษะ กลุ่มตัวอย่ำงจะมีกำรปฏิบัติสวดมนต์และทบทวน ธรรมทุกวัน ก่อนรับประทำนอำหำรกลำงวัน วันละ 45 นำที เป็นระยะเวลำ 4 สัปดำห์ และบันทึกประจำวันในสมุด บันทึกทบทวนธรรมทุกวัน 8. เก็บข้อมูลหลังกำรทดลอง (Posttest) 4 สัปดำห์ โดยใช้แบบวัดควำมเครียดสวนปรุง SPST-20 กรมสุขภำพจิต SPST-20 9. นำข้อมูลก่อนและหลังกำรทดลองไปวิเครำะห์หำค่ำทำงสถิติ

272


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สถิติที่ใช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล 1. หำค่ำเฉลีย่ ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (S.D.) ได้แก่ อำยุ นำหนัก ส่วนสูง กำหนดโทษ และ คงเวลำเหลือรับโทษของกลุม่ ตัวอย่ำง 2. เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของควำมเครียดระหว่ำงก่อนและหลังกำรทดลอง 4 สัปดำห์ โดยใช้สถิติ Paired Sample t-test กำหนดควำมมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ผลกำรวิจัย ตำรำงที่ 1 ค่ำเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนของ อำยุ นำหนัก ส่วนสูง กำหนดโทษ คงเหลือเวลำรับโทษของ ผู้ต้องขังหญิง (n=30) ข้อมูลทั่วไป อำยุ นำหนัก ส่วนสูง กำหนดโทษ คงเหลือเวลำรับโทษ

S.D. 12.09 6.81 5.12 11.08 10.31

46.53 56.67 156.23 17.37 12.37

จำกตำรำงที่ 1 พบว่ำ ผู้ต้องขังหญิงมีอำยุ 46.53 ปี นำหนัก 56.67 กิโลกรัม ส่วนสูง 156.23 เซนติเมตร กำหนดโทษ 17.37 ปี และคงเหลือเวลำรับโทษ 12.37 ปี ตำรำงที่ 2 เปรียบเทียบค่ำเฉลีย่ และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนของควำมเครียดของผู้ต้องขังหญิงก่อน และหลังได้รบั โปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม (n=30) ควำมเครียด ก่อนกำรทดลอง หลังกำรทดลอง

S.D. 9.75 9.37

54.47 44.33

t

p-value

5.65*

< 0.001*

* แตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 จำกตำรำงที่ 2 พบว่ำ ผู้ต้องขังหญิงมีควำมเครียดลดลงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 หลังกำร ทดลอง เมื่อเทียบกับก่อนกำรทดลอง วิจำรณ์ผลกำรวิจัย วัตถุ ประสงค์ ของกำรวิจั ยครั งนี เพื่อ เปรียบเทีย บผลของโปรแกรมสวดมนต์แ ละทบทวนธรรมตำม หลั ก กำรแพทย์ วิ ถี ธรรมที่ มี ต่อ ควำมเครี ย ดของผู้ ต้ อ งขั งหญิ ง เรือ นจ ำกลำงนครพนม จั งหวั ด นครพนม โดยมี สมมติฐำนกำรวิจัย คือหลังได้รับโปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ผู้ต้องขังหญิงมี ควำมเครียดลดลงมำกกว่ำก่อนได้รับโปรแกรมฯ ผลกำรวิจัยครังนี แสดงให้เห็นว่ำ ยอมรับสมมุติฐำนกำรวิจัยที่ตังไว้ โดยผู้วิจัยขอวิจำรณ์ผลกำรวิจัย ดังนี

273


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ผลกำรวิจัยครังนี พบว่ำ หลังได้รับโปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม 4 สัปดำห์ ผู้ต้องขังหญิงมีคะแนนเฉลี่ยของควำมเครียดลดลงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 เมื่อเทียบกับก่อน ได้รับโปรแกรมฯ สอดคล้องกับ กิจจ์ศรัณย์ จันทร์โป๊ และ ถนอมวงศ์ กฤษณ์เพ็ชร์ (2557 : 98) ได้ศึกษำผลของกำรสวดมนต์ ตำมแนวพุทธศำสนำและกำรทำสมำธิแบบอำนำปำนสติที่มีต่อกำรลดควำมเครียดของวัยรุ่น พบว่ ำ หลังกำรทดลอง กลุ่มตัวอย่ำงที่ทำกำรสวดมนต์และกลุ่มตัวอย่ำงที่ทำสมำธิแบบอำนำปำนสติ มีคะแนนเฉลี่ยของควำมเครียดก่อน และหลังกำรทดลองแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับ พรทิพย์ ปุกหุต (2555 : 60) ได้ ศึกษำผลของกำรสวดมนต์บำบัดที่มีต่อควำมวิตกกังวลและควำมผำสุกทำงจิตวิญญำณในผู้ป่วยมะเร็งเต้ำนมระยะรับ กำรรักษำ พบว่ำ หลังกำรทดลอง คะแนนเฉลี่ยของควำมวิตกกังวลลดลงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 และ คะแนนเฉลี่ยของควำมผำสุกทำงจิตวิญญำณเพิ่มขึนอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 ผลกำรวิจัยครังนี มีควำม เป็นไปได้ว่ำผู้ต้องขังหญิงมีควำมเครียดลดลงเพรำะว่ำบทสวดมนต์และบททบทวนธรรมทำให้เกิดกำรผ่อนคลำย มี จังหวะและสำเนียงที่เรียบง่ำย ถ่ำยทอดออกมำเป็นคำพูดเป็นภำษำที่เข้ำใจง่ำย ซึ่งกำรสวดมนต์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ สำมำรถโน้มนำจิตใจให้เกิดกำรผ่อนคลำย โดยเสียงสวดมนต์จะเป็น เสียงโมโนโทน (Monotone) คือมีระดับควำมถี่ เดียว โดยเสียงที่สั่นสะเทือนจำกกำรสวดมนต์ สำมำรถกระตุ้นกำรทำงำนของอวัยวะในร่ำงกำยโดยเฉพำะสำรสื่อ ประสำท เซโรโทนิน (Serotonin) ช่วยกำรเรียนรู้ ลดควำมเครียด ลดอำกำรซึมเศร้ำ ลดระดับนำตำลในเลือด (กิจจ์ ศรัณย์ จันทร์โป๊ และ ถนอมวงศ์ กฤษณ์เพ็ชร์. 2557 : 97) นอกจำกนี กำรสวดมนต์สำมำรถลดภำวะซึมเศร้ำ และ ลดควำมดันเลือด (Roy et al. 2015) และยังสำมำรถลดอัตรำกำรเต้นของหัวใจอีกด้วย (Kori. 2017 : 570) ดังนัน กำรสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักแพทย์วิถีธรรมสำมำรถลดควำมเครียดลดลงได้ และมีแนวโน้มว่ำจะสำมำรถ ลดควำมวิตกกังวล และเพิ่มควำมผำสุกทำงจิตวิญญำณได้ ดั่งที่พระพุทธเจ้ำตรัสว่ำ “คนจะบรรลุธรรมเพรำะทบทวน ธรรม” บททบทวนธรรม มีเนือหำให้ตระหนักถึงเรื่องกรรม ผลของกรรม ควำมเป็นจริงของชีวิต กำรไม่โทษผู้อื่น กำร สำนึกผิด กำรคิด พูด ทำในสิ่งที่ดี กำรปฏิบัติสวดมนต์และทบทวนธรรมซำ ๆ เป็นประจำทุกวัน จะสำมำรถทำลำย ควำมติดยึด ควำมชอบชังที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ได้ นี่คือปัญญำที่ใช้ในกำรพัฒนำจิตสู่ควำมพ้นทุกข์ สรุปผลกำรวิจัย กำรวิจัยครังนีสรุปได้ว่ำ โปรแกรมสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม สำมำรถลด ควำมเครียดของผู้ต้องขังหญิงได้ แสดงให้เห็นว่ำกำรสวดมนต์และทบทวนธรรมเป็นวิธีกำรหนึ่งที่ช่วยลดจิตใจที่มี ควำมเครียด มีควำมสับสนวุ่นวำย ทำให้จิตใจมีควำมผ่อนคลำยมำกขึน และยังสำมำรถลดภำวะซึมเศร้ำ ลดควำมดัน เลือด ลดอัตรำกำรเต้นของหัวใจ และเพิ่มควำมผำสุกภำยในจิตใจของผู้ต้องขังได้อีกด้วย ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในกำรนำผลกำรวิจัยไปใช้ 1. กำรสวดมนต์และทบทวนธรรมสำมำรถลดระดับของควำมเครียดได้ ลดปัญหำชีวิต ลดควำมทุกข์ ภำยในจิตใจ และทำให้เกิดควำมผำสุกในชีวิตได้ ดังนัน ผูต้ ้องขังหญิงควรนำไปฝึกปฏิบัติในทุกที่ทุกเวลำเมื่อเกิด ปัญหำภำยในจิตใจ 2. ควรได้รับกำรเผยแพร่ไปประยุกต์ใช้สำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำหรือทัณฑสถำนแห่งอื่น ๆ

274


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษำกำรสวดมนต์และทบทวนธรรมตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรมที่มีผลต่อควำมเครียดในกลุ่มวัยรุน่ วัยผู้ใหญ่ และวัยสูงอำยุ กิตติกรรมประกำศ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณ กรมรำชทัณฑ์ เรือนจำกลำงจังหวัดนครพนม และกลุ่มตัวอย่ำงที่ให้ควำมร่วมมือ ในกำรวิจัย ขอขอบพระคุณคณำจำรย์มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่ง ดร.อรรณพ นับถือตรง ดร.อติ พร ทองหล่อ และ ดร.ใจเพชร กล้ำจน (หมอเขียว) จิตอำสำแพทย์วิถีธรรม ที่เมตตำชีแนะแนวทำงกำรวิจัยในครังนี เอกสำรอ้ำงอิง กฤตยำ อำชวนิจกุล และ กุลภำ วจนสำระ. (2558). ผู้ต้องขังหญิง:สถำนกำรณ์และข้อเสนอเชิงนโยบำย. สำนักงำนกองทุนสนับสนุนกำรสร้ำงเสริมสุขภำพ (สสส.). พิมพ์ครังที่ 1. กิจจ์ศรัณย์ จันทร์โป๊ และถนอมวงศ์ กฤษณ์เพ็ชร์. (2557, พฤษภำคม - สิงหำคม). “ผลของกำรสวดมนต์ตำมแนว พุทธศำสนำและกำรทำสมำธิแบบอำนำปำนสติที่มตี ่อกำรลดควำมเครียดของวัยรุ่น”. วำรสำร วิทยำศำสตร์กำรกีฬำและสุขภำพ. 15(2) : 89-99. ใจเพชร กล้ำจน. (2558). จิตอำสำแพทย์วิถีพุทธเพื่อมวลมนุษยชำติ. ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญำดุษฎีบณ ั ฑิต สำขำวิชำยุทธศำสตร์กำรพัฒนำภูมิภำค (สำธำรณสุขชุมชน) มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์. ชลิดำ ชำนำญเนติวิทย์. (2556). ปัจจัยที่มีควำมสัมพันธ์กับควำมเครียดของพยำบำลวิชำชีพในโรงพยำบำล ชุมชน จังหวัดศรีษะเกศ. วิทยำนิพนธ์มหำบัณฑิต สำขำวิชำกำรสร้ำงเสริมสุขภำพ มหำวิทยำลัยรำช ภัฎอุบลรำชธำนี. นภำภรณ์ หะวำนนท์และคณะ. (2555). กำรใช้วิจัยเชิงปฏิบัติกำรแบบมีส่วนร่วมเพื่อนำข้อกำหนด กรุงเทพฯ ไปสู่กำรปฏิบัติ กรณีศึกษำในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สำนักกิจกำรในพระดำริพระเจ้ำหลำนเธอ พระองค์เจ้ำพัชรกิติยำภำ, 2555. นัทธี จิตสว่ำง. (2558). ไทยแชมป์โลก “นักโทษหญิงล้นคุก”. มำตรกำรทำงเลือกในกำรปฏิบัติต่อผูก้ ำระทำผิด เพื่อแก้ปัญหำนักโทษล้นคุก. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : http://www.nathee-chitsawang.com สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎำคม 2560. นัทธี จิตสว่ำง. (2560). กำรแก้ปัญหำผูต้ ้องขังหญิงล้นคุก : อำชญำวิทยำ กระบวนกำรยุติธรรมรำชทัณฑ์และกำร วิจัยเชิงคุณภำพ. [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : https://www.gotoknow.org/posts/582021. สืบค้น 10 กรกฎำคม 2560. นิตยำภรณ์ สุระสำย, สุภำพร ใจกำรุณ, และเผ่ำไทย วงศ์เหลำ. (2559, พฤษภำคม-สิงหำคม) “ผลของโปรแกรม สร้ำงเสริมสุขภำพด้วยกำรแพทย์วถิ ีธรรมเพื่อกำรพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียงต่อพฤติกรรมสร้ำง เสริมสุขภำพและภำวะสุขภำพของผู้ต้องขังหญิง เรือนจำกลำงนครพนม.” วำรสำรวิจัยและพัฒนำ ระบบสุขภำพ. 9(2) : 301-311. เบญมำศ ตระกูลงำมเด่น และ สุรพี ร ธนศิลป์. (2555, มกรำคม-เมษำยน). “ผลของโปรแกรมกำรจัดกำรอำกำรที่ เน้นกำรสวดมนต์ต่ออำกำรปวดของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ำย.” วำรสำรสำนักกำรแพทย์ทำงเลือก. 5(1).

275


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

พรทิพย์ ปุกหุต. (2555). ศึกษำผลของกำรสวดมนต์บำบัดต่อควำมวิตกกังวลและควำมผำสุกทำงจิตวิญญำณ ในผู้ป่วยมะเร็งเต้ำนมระยะรับกำรรักษำ. วิทยำนิพนธ์พยำบำลศำสตรมหำบัณฑิต มหำวิทยำลัยขอนแก่น. วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ. (2560). ปัญหำสุขภำพผูต้ ้องขัง. หมอชำวบ้ำน. เล่ม 441 [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก : https://www.doctor.or.th/article/detail/400416. สืบค้นเมือ่ 27 กรกฎำคม 2560. สมภพ แจ่มจันทร์. (2550). ประสบกำรณ์ทำงจิตใจของผู้ต้องขังหญิงคดีฆำตกรรมในทัณฑสถำนหญิง เชียงใหม่. วิทยำนิพนธ์ศิลปศำสตรมหำบัณฑิต จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย. สถิติผตู้ ้องรำชทัณฑ์ทั่วประเทศ. (2560). ศูนย์เทคโนโลยีสำรสนเทศ กองแผนงำนกรมรำชทัณฑ์. [ออนไลน์].เข้ำถึง ได้จำก :https://www.m-society.go.th/article attach18755/20439.pdf สืบค้น 1 ธันวำคม 2560. Jyoti Kori. (2017). Effect of chanting OMKARA mantra on pulse rate for stress reduction. International Journal of Advance Engineering and Research Development (IJAERD). 4(7) : 566-571. Roy PP et al. ( 015). “om-namah-shivaya-chanting-for-management-of-stress-in-elderly-womenwith-hypertension”. Int J Pharm Sci Res. 2016; 7 (11): 4693-96.doi: 10.13040 / IJPSR.0975-8232.7 (11) .4693-96. [Online]. Available : http://ijpsr.com/bft-article Retrieved August 5, 2017.

276


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-26 ผลของกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำที่มีต่ออำกำรปวดคอของผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรม สวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช THE EFFECT OF GUA SHA THERAPY ON NECK PAIN OF PARTICIPANTS IN BUDDHIST MEDICINE CAMP AT SUANPANABUN 2, CHA-UAT DISTRICT, NAKON SI THAMMAAT PROVINCE. วิชัย จตุภัทร์1, อรรณพ นับถือตรง2 และ ภัทรพล ทองนำ3 1 นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2 อาจารย์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 3 อาจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

บทคัดย่อ กำรวิจัยครังนี มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำที่มีต่ออำกำรปวดต้นคอของ ผู้เข้ำ ค่ำยแพทย์ วิถีธรรมสวนป่ำ นำบุญ 2 กำรวิ จัยครั งนี เป็นกำรวิ จัยเชิ งทดลองเบืองต้ น (Pre-experimental research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อน–หลังกำรทดลอง (One–group pretest–posttest design) กลุ่มตัวอย่ำง คือผู้ เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช จำนวน 40 คน ซึ่งได้จำกเกณฑ์คัด เข้ำและคัดออกที่ผู้วิจัยกำหนดขึ น ผู้เข้ำค่ำยที่รั บกำรบำบัดทำกำรประเมินระดับควำมปวดต้น คอ โดยใช้ แบบ ประเมินควำมปวดแบบตัวเลข (Numerical Rating Scale: NRS) ก่อนและหลังได้รับกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำที่ต้นคอ 1 ครัง เป็นเวลำ 30 นำที สถิติที่ใช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่ำเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ทำกำร วิเครำะห์คะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังกำรทดลอง โดยใช้สถิติ Paired sample t–test กำหนดควำมนัยสำคัญทำงสถิติ ที่ระดับ .05 ผลกำรวิจัย พบว่ำ ผู้เข้ำค่ำยที่รับกำรบำบัดมีระดับอำกำรปวดต้นคอลดลงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ ระดับ .05 หลังกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำ เมื่อเทียบกับก่อนกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำ สรุปผลกำรวิจัยได้ว่ำ กำรบำบัดด้วย วิธกี ัวซำสำมำรถลดอำกำรปวดต้นคอของผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมได้ ดังนัน ควรส่งเสริมให้ผู้เข้ำค่ำยแพยท์วิถีธรรมใช้ กำรบำบัดด้วยวิธีกั วซำเพื่อลดอำกำรปวด กำรบำบัดด้ วยวิธีกัวซำนันเป็น วิธีกำรรักษำทำงเลือกหนึ่งที่สำมำรถ พึ่งตนเองได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยลดค่ำรักษำพยำยำลได้ คำสำคัญ : อาการปวดกล้ามเนือ, การพึ่งตนเอง, การแพทย์วิธีธรรม Abstract The purpose of this study was to compare the effect of GUA SHA therapy on neck pain of participants in Buddhist medicine camp at Suanpanaboon 2. This study employed preexperimental research, using a one-group pretest-posttest design.The sample group was 40 participants in Buddhist medicine camp at Suanpanaboon 2, Cha-uat district, Nakhon Si

277


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Thammarat province. The participants were selected based on the inclusion and exclusion criteria established by the researchers. The participants were measured the neck pain at pretest and posttest using the numerical rating scale (NRS). The participants were treated on their neck using the GUA SHA therapy for 30 minutes on each session. The statistical tools for data analysis included mean and standard deviation. The pretest and posttest scores were analyzed using a paired sample t–test, at the level of .05. The results showed that the pretest and posttest scores revealed the pain level of the participants reduced significantly after the treatment, p < .05. The conclusion was reached that the GUA SHA therapy could help decline the participants’ neck pain. Therefore, the participant should be encouraged to use the GUA SHA therapy to reduce pain. The GUA SHA therapy is an alternative treatment method that is based on self-reliance, which in turn helps patients to cut down on their medical expenses. Keywords : Muscle Pain, Self-Reliance, Buddhist medicine บทนำ อำกำรปวดเรือรังของระบบกระดูกและกล้ำมเนือ เช่น อำกำรปวดต้นคอ บ่ำ ไหล่เป็นปัญหำที่พบบ่อย มำกกับกลุ่มวัยทำงำน โดยเฉพำะกลุ่มที่ทำงำนในสำนักงำนที่มักเรียกอำกำรเจ็บป่วยเหล่ำนีว่ำ “โรคออฟฟิศซินโด รม” ในรำยงำนกำรวิจัยของนรำกร พลหำญ สมสมร เรืองวรบูรณ์ โกมล บุญแก้ ว และอนุพงษ์ ศรีวิรัตน์ (2557 : 26) ได้ศึกษำกลุ่มอำกำรที่เกิดต่อร่ำงกำย จำกกำรใช้คอมพิวเตอร์ในกำรปฏิบัติงำนของบุคลำกรสำยสนับสนุน มหำวิทยำลัยนครพนม พบว่ำอำกำรปวดต้นคอมำกที่สุด ร้อยละ 83.7 อำกำรปวดไหล่ ร้อยละ 79.7 อำกำรปวดหลัง ส่วนบน ร้อยละ 63.0 ในขณะเดียวกันข้อมูลจำกสำนักงำนสถิติแห่งชำติ (2553) รำยงำนว่ำ คนไทยมีภำวะเสี่ยงต่อ โรคออฟฟิศซินโดรม ร้อยละ 60 นอกจำกนียังพบว่ำ ช่วงอำยุของผู้มีอำกำรออฟฟิศซินโดรม จำกอดีตมักพบอยู่ใน กลุ่มคนวัยทำงำนอำยุ 40 ปี ปัจจุบันลดลงมำอยู่ที่อำยุ 20 ปีขึนไป ทังนีอำจเป็นเพรำะกำรเจริ ญก้ำวหน้ำทำงด้ำน เทคโนโลยีระบบอินเทอร์เน็ต เข้ำมำมีบทบำทสำคัญในชีวิตประจำวันมำกขึน มีกำรใช้โซเชียลกันอย่ำงแพร่หลำยมำก ขึน เช่น กำรเล่นเกม ผ่ำนทำงแท็บเล็ตหรือสมำร์ทโฟนนำน ๆ ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่มีกำรอักเสบของข้อมือ มีปัญหำ กล้ำมเนือคอ ไหล่ และสะบัก เป็นต้น (เจษฎำ โชคดำรงสุข. 2560) อำกำรปวดต้นคอเป็นปัญหำที่พบบ่อยที่สุดอำกำรหนึ่ง อำจเกิดได้จำกกำรใช้อิริยำบถและท่ำทำงที่ไม่ ถูกต้อง ซึ่งอำกำรปวดต้นคอนีที่ได้สร้ำงควำมทุกข์ทรมำนและก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภำพชีวิต เศรษฐกิจอย่ำง มำก ดังนัน คนส่วนใหญ่มักแสวงหำวิธีกำรจัดกำรควำมปวดเรือรังด้วยตนเอง ซึ่งมีหลำกหลำยวิธี ทังกำรใช้ยำและไม่ ใช้ยำ หำกมีกำรจัดกำรควำมปวดที่ไม่เหมำะสม อำกำรปวดเรือรังก็จะยังคงอยู่หรือกลับเป็นซำได้อีก (กฤตยำ แสนลี และคณะ. 2556) กำรบำบัดรักษำอำกำรปวดต้นคอและบ่ำมีหลำยวิธี เช่น ใช้ยำ (สุรเกียรติ อำชำนุภำพ. 2551) ใช้ วิธีทำงกำยภำพบำบัด ด้วยวิธีกำรนวด ฝังเข็ม กัวซำ หรือใช้วิธีกำรออกกำลังกำย เป็นต้น กำรกัวซำ คือกำรใช้ไม้กัว ซำสัมผัสผิวหนัง ออกแรงกดเล็กน้อยแล้วลำกไปตำมร่องกล้ำมเนือบริเวณกล้ำมเนือต้นคอจนถึงไหล่ และบริเวณหลัง หูจนถึงไหปลำร้ำ ตำแหน่งละ 30-40 ครัง

278


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

โดยในศำสตร์กำรแพทย์ทำงเลือกวิถีธรรม โดย ดร. ใจเพชร กล้ำจน หรือหมอเขียว เป็นผู้ค้นพบกำรดูแล สุขภำพตำมหลักกำรแพทย์วิถีธรรม ที่เน้นวิธีกำรที่เรียบง่ำย ประหยัด ปลอดภัย ได้ผล พึ่งตนเองได้ และสำมำรถ ประยุกต์เข้ำกับวิถีชีวิตได้ มีเทคนิคข้อที่ 2 คือ กำรทำกัวซำบำบัด ซึ่งเป็นศำสตร์ที่เรียนรู้ง่ำย ปฏิบัติง่ำย ทุกคน สำมำรถทำให้ตนเองและผู้อื่นได้โดยไม่มีผลเสีย ถ้ำทำอย่ำงถูกวิธีจะเห็นผลทันที แต่ถ้ำผิดวิธีก็ไม่มีผลเสียหรือ ผลข้ำงเคียงใด ๆ เพียงแต่ไม่หำยจำกอำกำรเจ็บป่วยนัน (ใจเพชร กล้ำจน. 2554 : 26) กำรกัวซำเป็นกำรกระตุ้น ระบบเมตำบอลิซึมของร่ำงกำย ช่วยให้ระบบหมุนเวียนของเลือดดีขึน กระตุ้นเซลล์โดยกำรเพิ่มออกซิเจนและระบำย ของเสียในเซลล์ เพิ่มประสิทธิภำพของระบบภูมิคุ้มกันในร่ำงกำย ทำให้ร่ำงกำยแข็งแรง (อมร ทองสุก,2553) ด้วยเหตุผลดังกล่ำว ผู้วิจัยจึงมีควำมสนใจศึกษำเปรียบเทียบผลของกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำที่มีต่ออำกำร ปวดต้นคอของผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรม สวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช เพื่อใช้เป็นข้อมูลแก่ อำสำสมัครที่เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรม สำหรับใช้ประกอบกำรตัดสินใจนำกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำมำปฏิบัติเพื่อช่วยลด และบรรเทำอำกำรปวดต้นคอต่อไป วัตถุประสงค์กำรวิจัย เพื่อเปรียบเทียบผลกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำที่มีต่ออำกำรปวดต้นคอของผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำ นำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช สมมติฐำนกำรวิจัย หลังกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำ ผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรม มีอำกำรปวดต้นคอลดลงมำกกว่ำก่อนกำรบำบัด ด้วยวิธีกัวซำ วิธีดำเนินกำรวิจัย ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง กลุ่มตัวอย่ำง กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี คือ ผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัด นครศรีธรรมรำช จำนวน 40 คน ที่ได้จำกเกณฑ์คัดเข้ำและคัดออกที่ผู้วิจัยกำหนดขึน ดังนี เกณฑ์คัดเข้ำ (Inclusion Criteria) 1. เป็นผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช 2. เป็นผู้ที่มีอำกำรปวดต้นคอ ที่มีอำยุระหว่ำง 20 – 59 ปี 3. เป็นผู้ที่ไม่ได้รับกำรรักษำอำกำรปวดต้นคอด้วยวิธีกำรอื่น ๆ นอกเหนือจำกโปรแกรมที่กำหนด 4. เป็นผู้ที่ไม่มีควำมผิดปกติของกระดูกต้นคอ 5. เป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณกระดูกต้นคอ เกณฑ์กำรคัดออก (Exclusion Criteria) 1. เป็นผู้ที่มีอำยุไม่ได้อยู่ในช่วงระหว่ำง 20 – 59 ปี 2. เป็นผู้ที่กำลังรักษำอำกำรปวดต้นคอด้วยวิธีกำรอื่น ๆ เช่น กำรนวด ฝังเข็ม กำยภำพบำบัด กินยำ เป็นต้น 4. เป็นผู้ที่มีควำมผิดปกติของกระดูกต้นคอ

279


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

5. เป็นผู้ที่เคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณกระดูกต้นคอ จริยธรรมกำรวิจัย กำรวิจัยครังนีได้ผ่ำนกำรรับรองจำกคณะกรรมกำรจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏ สุรินทร์ เลขที่ HE-SRRU1-0001 เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย 1. เครื่องมือที่ใช้ในกำรทดลองคือ คู่มือกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำที่คอ ที่ผู้วิจัยสร้ำงขึน 2. เครื่องมือที่ใช้ในกำรวัด คือแบบประเมินควำมปวด ประกอบด้วยข้อมูลเบืองต้นของกลุ่มตัวอย่ำง ได้แก่ อำยุ นำหนัก และส่วนสูง ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินควำมปวดตำมแบบของวิธีประเมินควำมปวดด้วยตนเอง (Subjective Assessment) (Melzack & Katz, 1999) โดยเป็นเครื่องมือมำตรฐำนมีกำรพัฒนำและผ่ำนกำรตรวจ สภำพแล้ว ได้แก่ กำรประเมินควำมปวดด้วยตนเอง มำตรวัดควำมปวดแบบตัวเลข (Numerical Rating Scale : NRS) คือ กำรใช้ตัวเลขมำช่วยบอกระดับควำมรุนแรงของอำกำรปวด ใช้ตัวเลขตังแต่ 0 1 … 10 อธิบำยให้กลุ่ม ตัวอย่ำงเข้ำใจก่อนว่ำ 0 หมำยถึง ไม่มีอำกำรปวด และ 10 คือ ปวดมำกที่สุด ให้กลุ่มตัวอย่ำงบอกถึงตัวเลขที่แสดง ถึงควำมปวดที่กลุ่มตัวอย่ำงมีขณะนัน ๆ โดยกำรตีควำมหมำยกำรให้คะแนนดังนี 0 หมำยถึง ไม่ปวดเลย (No pain) 1 - 3 หมำยถึง ปวดเล็กน้อย (Minimal pain) 4 - 7 หมำยถึง ปวดปำนกลำง (Moderate pain) 8 - 10 หมำยถึง ปวดมำก (Severe pain) กำรตรวจสอบคุณภำพเครื่องมือ คู่มือกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำที่คอที่ผู้วิจัยสร้ำงขึน ได้ผ่ำนผู้เชี่ยวชำญ จำนวน 5 ท่ำน ทำกำรตรวจสอบ ควำมถูกต้องและควำมเที่ยงตรงเชิงเนือหำ (Content Validity) ด้วยวิธีกำรตรวจสอบหำค่ำดัชนีควำมสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) โดยกำรพิจำรณำค่ำ IOC ของแต่ละข้อควำม หำกข้อควำมที่มีค่ำ 0.5 - 1.00 จะถือว่ำมีควำมสอดคล้องและสำมำรถนำมำใช้ในกำรวิจัยได้ ซึ่งกำรวิจัยครังนีได้ค่ำดัชนีควำมสอดคล้อง เท่ำกับ 1.0 จึงถือว่ำข้อควำมมีควำมสอดคล้องของเนือหำและภำษำถูกต้อง สำมำรถนำไปใช้ในกำรวิจัยครังนีได้ กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ขันตอนกำรเตรียมควำมพร้อม 1. คัดเลือกผู้ช่วยวิจัยในกำรดำเนินกำรทดลองโดยกำรกัวซำที่คอเพื่อลดอำกำรปวดต้นคอกับกลุ่ม ทดลอง จำนวน 5 คน โดยมีคุณสมบัติดังนี 1.1 เป็นสมำชิกจิตอำสำแพทย์วิถีธรรม ตังแต่ 2 ปี ขึนไป 1.2 มีควำมเชี่ยวชำญในหลักกำรและวิธีกัวซำ และฝึกกัวซำตำมคู่มือในกำรวิจัยครังนี 2. ชีแจงกระบวนกำรและวัตถุประสงค์ของกำรวิจัยกับผู้ช่วยวิจัยได้รับทรำบ 3. ประสำนควำมพร้อมกลุ่มทดลองที่จะเข้ำร่วมวิจัย 4. เตรียมสถำนที่ สิ่งอำนวยควำมสะดวก 5. จัดหำสื่อและโสตทัศนูปกรณ์ 6. เตรียมคู่มือ “กำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำที่คอ” และแบบประเมิน ขันตอนกำรทดลอง

280


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

1. ผู้วิจัยสร้ำงสัมพันธภำพโดยแนะนำตนเอง แนะนำผู้ช่วยวิจัย กล่ำวทัก ทำยกับกลุ่มทดลอง พูดคุย ซักถำมทั่ว ๆ ไป และให้ผู้เข้ำร่วมวิจัยแนะนำตัวเอง จำกนันชีแจงวัตถุประสงค์ วิธีดำเนินกำรวิจัย 2. ผู้วิจัยบรรยำยและใช้สื่อกำรสอนแบบภำพประกอบคำบรรยำยให้ควำมรู้ทั่วไปเกี่ยวกับอำกำรปวด ต้นคอ บ่ำไหล่ กล้ำมเนือและกระดูกบริเวณคอ สำเหตุของอำกำรปวดต้นคอ ปัจจัยที่มีผลและส่งเสริมให้เกิดอำกำร ปวดต้นคอ กำรปฏิบัติตนเมื่อมีอำกำรปวดต้นคอ และแนะนำคู่มือกำรกัวซำที่คอ 3. ก่อนกำรทดลอง (Pretest) กลุ่มตัวอย่ำงประเมินระดับควำมปวดบริเวณต้นคอ 4. ผู้ช่วยวิจัยดำเนินกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำให้กับกลุ่มตัวอย่ำงแบบตัวต่อตัว (1:1) โดยผู้วิจัยเป็นผู้ สังเกตและควบคุมกำรทดลองอย่ำงใกล้ชิด 5. โดยใช้เวลำในกำรทดลองคนละ 30 นำที มีขันตอนดังนี 5.1 ทำนำมันหรือวัตถุหล่อลื่นตำมจุดต่ำงๆที่จะขูดกัวซำ 5.2 ใช้อุปกรณ์ขูดกัวซำ เช่น ไม้กัวซำหรือวัสดุขอบเรียบอื่นๆ ขูดกล้ำมเนือข้ำงกระดูกคอด้ำนซ้ำย โดยขูดจำกท้ำยทอยมำที่ไหล่ ขูด 40–50 ครัง หรือขูดจนรู้สึกสบำย 5.3 ใช้อุปกรณ์ขูดกัวซำ เช่น ไม้กัวซำหรือวัสดุขอบเรียบอื่นๆ ขูดกล้ำมเนือข้ำงกระดูกคอด้ำนขวำ โดยขูดจำกท้ำยทอยมำที่ไหล่ ขูด 40–50 ครังหรือขูดจนรู้สึกสบำย 5.4 ใช้อุปกรณ์ขูดกัวซำ เช่น ไม้กัวซำหรือวัสดุขอบเรียบอื่นๆ ขูดกล้ำมเนือคอด้ำนข้ำงด้ำนซ้ำย โดยขูดจำกหลุมหลังหูตำมร่องกล้ำมเนือลงมำบริเวณหลุมไหปำร้ำ ขูด 40–50 ครังหรือขูดจนรู้สึกสบำย 5.5 ใช้อุปกรณ์ขูดกัวซำ เช่น ไม้กัวซำหรือวัสดุขอบเรียบอื่นๆ ขูดกล้ำมเนื อคอด้ำนข้ำงด้ำนขวำ โดยขูดจำกหลุมหลังหูตำมร่องกล้ำมเนือลงมำบริเวณหลุมไหปำร้ำ ขูด 40–50 ครังหรือขูดจนรู้สึกสบำย 6. หลังกำรทดลอง (Posttest) กลุ่มตัวอย่ำงประเมินระดับควำมปวดบริเวณต้นคอ 7. ผู้วิจัยรักษำควำมลับของกลุ่มทดลอง โดยไม่เปิดเผยข้อมูลที่ได้ เอกสำรที่ ใช้ในกำรเก็บรวบรวม ข้อมูลไม่ระบุชื่อกลุ่มทดลอง แต่จะใช้รหัสแทนชื่อ และเก็บรักษำข้อมูลอย่ำงเป็นควำมลับ และจะลบทำลำยเมื่อ สินสุดกำรวิจัย นอกจำกนันข้อมูลที่ได้จำกกำรศึกษำวิจัยจะนำไปใช้ประโยชน์ในกำรนำเสนอผลกำรศึกษำเชิงวิชำกำร ของผู้วิจัยเท่ำนัน 8. ผู้วิจัยกล่ำวขอบคุณกลุ่มตัวอย่ำงที่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่องำนวิจัยในครังนี 9. ผู้วิจัยตรวจควำมครบถ้วนของคำตอบจำกแบบประเมินควำมปวดที่รับคืนจำกกลุ่มตัวอย่ำง หำก ข้อมูลใดไม่ครบถ้วนหรือไม่สมบูรณ์ ผู้วิจัยจะสอบถำมเพิ่มเติมจนได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ 10. ผู้วิจัยนำข้อมูลมำคิดคะแนนและวิเครำะห์ข้อมูล ด้วยกำรบันทึกข้อมูลที่ได้จำกแบบประเมินควำม ปวดลงในโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป เพื่อหำค่ำสถิติต่ำง ๆ กำรวิเครำะห์ข้อมูล 1. สถิติเชิงพรรณนำ (Descriptive Statistic) โดยใช้สถิติเชิงพรรณนำ คือ ค่ำเฉลี่ย ( X ) และส่วน เบี่ยงเบนมำตรฐำน (S.D.) เพื่อวิเครำะห์ข้อมูลเบืองต้นของกลุ่มตัวอย่ำง ได้แก่ เพศ อำยุ นำหนัก ส่วนสูง คะแนน อำกำรปวดต้นของกลุ่มตัวอย่ำง 2. สถิติเชิงอนุมำน (Inferential Statistic) ใช้สถิติ Paired-Samples t-test เพื่อเปรียบเทียบคะแนน เฉลี่ยอำกำรปวดต้นคอก่อนและหลังกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำ โดยกำหนดควำมมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05

281


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ผลกำรวิจัย ตำรำงที่ 1 ค่ำเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน อำยุ นำหนัก และส่วนสูงของผู้เข้ำค่ำยที่รับกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำ (n=40) ข้อมูลเบื้องต้น อำยุ นำหนัก ส่วนสูง

S.D. 6.64 9.53 5.08

X

55.20 58.78 168.45

จำกตำรำงที่ 1 พบว่ำ ผู้เข้ำค่ำยที่รับกำรบำบัด มีอำยุเฉลี่ย 55.20 ปี นำหนักเฉลี่ย 58.78 กิโลกรัม และ ส่วนสูงเฉลี่ย 168.45 เซนติเมตร ตำรำงที่ 2 กำรเปรียบเทียบอำกำรปวดต้นคอของผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมสวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัด นครศรีธรรมรำช ก่อนและหลังกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำ (n=40) ระดับอำกำรปวดต้นคอ ก่อนกำรทดลอง หลังกำรทดลอง

X

5.68 1.93

S.D. 1.76 1.14

t 17.39

p 0.001*

* มีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 จำกตำรำงที่ 2 พบว่ำ ผู้เข้ำค่ำยที่รับกำรบำบัด มีอำกำรปวดต้นคอลดลงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ ระดับ .05 ภำยหลังกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำ เมื่อเทียบกับก่อนกำรบำบัด วิจำรณ์ผลกำรวิจัย วัตถุประสงค์ของกำรวิจัยครังนี เพื่อเปรียบเทียบผลของกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำที่มีต่ออำกำรปวดต้นคอ ของผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรม สวนป่ำนำบุญ 2 อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมรำช โดยมีสมมติฐำนกำรวิจัย คือ หลังกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำที่คอ ผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรม มีอำกำรปวดต้นคอลดลงมำกกว่ำก่อนกำรบำบัดด้วยวิธีกัว ซำ ซึ่งผลกำรวิจัยครังนีแสดงให้เห็นว่ำ ยอมรับสมมุติฐำนกำรวิจัยที่ตังไว้ โดยผู้วิจัยขอวิจำรณ์ผลกำรวิจัย ดังนี ผลกำรวิจัยครังนี พบว่ำ ระดับค่ำเฉลี่ยของระดับอำกำรปวดต้นคอของผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมลดลง อย่ำงมีนยั สำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 หลังได้รับกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำ เมื่อเปรียบกับก่อนกำรทดลอง สอดคล้องกับ กฤตยำ แสนลี และคณะ (2556) พบว่ำ กำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำ มีผลช่วยลดระดับอำกำรปวดต้นคอในผู้ป่วยที่ปวด คอเรือรังได้ เช่นเดียวกับ ดำรชำ เทพสุริยำนนท์ (2555) พบว่ำ กำรประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกัวซำ และกำรนวดไทย ช่วยลดอำกำรปวดต้นคอของนักศึกษำได้ สอดคล้องกับ กชมน อินทร์บัว และคณะ (2559) พบว่ำ กำรบำบัดด้วย วิธีกัวซำตำมแนวแล่นเส้นประธำนสิบสำมำรถลดอำกำรปวดต้นคอและบ่ำได้ จำกผลกำรวิจัยครังนี แสดงให้เห็นว่ำ หลังได้รับกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมมีอำกำรปวดต้นคอลดลงอย่ำงมำก อำจเพรำะว่ำกำรบำบัด ด้วยวิธีกัวซำ เป็นกำรขูด หรือกำรนวดกล้ำมเนือบริเวณต้นคอ ซึ่งเป็นกำรช่วยกระตุ้นให้ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำงำนมำกขึน มีผลทำให้เลือดและนำเหลืองไหลเวียนได้มำกขึน ช่วยขับพิษหรือขั บของเสียในร่ำงกำยได้เร็วขึน จึง ส่งผลให้อำกำรปวดบวมต้นคอลดลง ดังนัน กำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำบริเวณต้นคอสำมำรถช่วยลดอำกำรปวดต้นคอได้

282


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สรุปผลกำรวิจัย กำรวิจัยครังนีสรุปได้ว่ำ ผู้เข้ำค่ำยแพทย์วิถีธรรมมีระดับของควำมเจ็บปวดต้นคอลดลงหลังได้รับกำร บำบัดด้วยวิธีกัวซำ ดังนัน ผู้เข้ำค่ำยที่มีอำกำรปวดต้นคอสำมำรถนำวิธีกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำไปใช้ได้ทุกที่ทุกเวลำที่ มีอำกำรปวดต้นคอ ถือได้ว่ำเป็นวิธีกำรรักษำทำงเลือกหนึ่งที่สำมำรถพึ่งตนเองได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยลดค่ำรักษำ พยำยำลได้ ข้อเสนอแนะ 1. ควรศึกษำกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำเพื่อช่วยลดอำกำรปวดต้นคอในกลุ่มอื่น เช่น เยำวชน ผู้ใหญ่ และ ผู้สูงอำยุ 2. ควรศึกษำกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำร่วมกับวิธีกำรอื่น เช่น ร่วมกับกดจุด กิตติกรรมประกำศ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณ กลุ่มตัวอย่ำงที่ให้ควำมร่วมมือในกำรวิจัยครังนี ขอขอบพระคุณคณำจำรย์มหำวิทยำลัย รำชภัฏสุรินทร์ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่ง ดร.อรรณพ นับถือตรง ดร.ภัทรพล ทองนำ และ ดร.ใจเพชร กล้ำจน (หมอเขียว) จิตอำสำแพทย์วิถีธรรม ที่เมตตำชีแนะแนวทำงกำรวิจัยในครังนี เอกสำรอ้ำงอิง กชมน อินทร์บัว และคนอื่น ๆ. (2559). ผลของกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำตำมแนวแล่นเส้นประธำนสิบต่อกำร บรรเทำอำกำรปวดบริเวณคอและบ่ำที่มีสำเหตุมำจำกกลุ่มอำกำรปวดกล้ำมเนื้อและพังผืดในผู้ที่ใช้ สมำร์ทโฟนเป็นประจำ. “กำรพัฒนำงำนวิจัย เพื่อรับใช้สังคม” วันที่ 27 พฤษภำคม 2559. หน้ำ 542552. กำญจนบุรี : สถำบันรำชภัฏกำญจนบุร.ี กฤตยำ แสนลี, วิชัย อึงพินิจพงศ์ และ อุไรวรรณ ชัชวำล. (2556). ผลทันทีของกำรบำบัดด้วยวิธีกัวซำต่อกำร บรรเทำอำกำรปวดบริเวณคอและบ่ำที่มีสำเหตุมำจำกกลุ่มอำกำรปวดกล้ำมเนือและพังผืดในผู้ที่ใช้ คอมพิวเตอร์เป็นประจำ. วำรสำรเทคนิคกำรแพทย์และกำยภำพบำบัด มหำวิทยำลัยขอนแก่น, 1-9. ใจเพชร กล้ำจน. (2554). ควำมเจ็บป่วยกับกำรดูแลสุขภำพแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตำมหลักแพทย์ ทำงเลือกวิถีพุทธ ของศูนย์เรียนรู้สุขภำพพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่ำนำบุญ อำเภอ ดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร. วิทยำศำสตร์มหำบัณฑิต มหำวิทยำลัยอุบลรำชธำนี. 35-36 เจษฎำ โชคดำรงสุข. (2560). “กรมควบคุมโรค ห่วงสุขภำพคนทำงำนออฟฟิศ แนะยืดเหยียดกล้ำมเนื้อ และพักสำยตำบ่อย ๆ ลดควำมเมื่อยล้ำของร่ำงกำยป้องกันอำกำรออฟฟิศซินโดรม”. [ออนไลน์] เข้ำถึงได้จำก : https://odpc7.ddc.moph.go.th สืบค้น 15 มกรำคม 2561. ดำรชำ เทพสุริยำนนท์. (2555). กำรประยุกต์ใช้เทคนิคกำรกัวซำและกำรนวดไทยต่อพฤติกรรมกำรดูแลตนเอง เพื่อลดอำกำรปวดต้นคอในนักศึกษำมหำวิทยำลัยรำชภัฏอุบลรำชธำนี. สำธำรณสุขศำสตรมหำ บัณฑิต มหำวิทยำลัยมหำสำรคำม. นรำกร พลหำญ และคนอื่น ๆ. ( 557). “กลุ่มอำกำรที่เกิดต่อร่ำงกำยจำกกำรใช้คอมพิวเตอร์ในกำรปฏิบัติงำน ของบุคลำกรสำยสนับสนุน มหำวิทยำลัยนครพนม” วำรสำรมหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒ (สำขำ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี). 6(12) : 26-38.

283


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สุรเกียรติ อำชำนำนุภำพ. (2551). ตำรำกำรตรวจรักษำโรคทั่วไป. เล่มที่ 1. พิมพ์ครังที่ 4. กรุงเทพมหำนคร พิมพ์ด.ี อมร ทองสุก. (2553). เข็มทิศสุขภำพ. พิมพ์ครังที่ 2. กรุงเทพมหำนคร : บริษัท ชุณหวัตร จำกัด.

284


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-27 รูปแบบกำรอบรมแพทย์วิถีธรรมในสำนักวิปสั สนำเกษตรใหม่ อำเภอสันทรำย จังหวัดเชียงใหม่ TRAINING MODEL OF BUDDHIST MEDICINE IN SAMNAK VIPASSANA KASETMAI, SANSAI DISTRICT, CHIANG MAI PROVINCE ทัศบูรณ์ พรหมรักษำ1 ธงชัย วงศ์เสนำ2 และรัสรินทร์ ฉัตรทองพิศทุ ธิ์3 1

Tasaboon Promrugsa นักศึกษาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2 Thongchai Wongsena รองศาสตราจารย์คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 3 Rassarine Chatthongpisut อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

บทคัดย่อ กำรวิจัยนีเป็นกำรศึกษำเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษำระดับควำมคิดเห็นของผู้เ ข้ำ อบรม แพทย์วิถีธรรมต่อกำรอบรมแพทย์วิถีธรรมในสำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสันทรำยจังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อ ศึกษำระดับกำรปฏิบัติตำมหลักแพทย์วิถีธรรมของผู้ผ่ำนค่ำยกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม ในสำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสันทรำย จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่ำง คือผู้เ ข้ำ อบรมแพทย์วิถีธ รรมในสำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอ สันทรำย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 240 คน โดยเลือกแบบเฉพำะเจำะจงตำมเกณฑ์คัดเข้ำและเกณฑ์คัดออกที่ผู้วิจัย กำหนดเครื่ องมือที่ใช้ ในกำรวิจั ยเป็นแบบสอบถำมสถิ ติที่ใช้ ได้ แก่ ควำมถี่ ค่ำร้อยละ ค่ำเฉลี่ ย และส่วนเบี่ยงเบน มำตรฐำน ผลกำรศึกษำพบว่ำ ผู้เข้ำอบรมแพทย์วิถีธรรมมีควำมคิดเห็นต่อกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม ในภำพรวมอยู่ในระดับ มำกที่สุด ( X =4.34, S.D.=0.68) เมื่อพิจำรณำรำยด้ำน พบว่ำ ด้ำนที่มีควำมคิดเห็นสูงที่สุด คือด้ำนเนือหำสำระกำรเรียนรู้ ( X =4.55, S.D.=0.67) รองลงมำคือ กำรจัดกำรเรียนรู้ ( X =4.53, S.D.=0.73) กำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ ( X =4.35, S.D.=0.65) กำรใช้ สื่อประกอบกำรเรียนรู้ ( X =4.33, S.D.=0.57) และกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ ( X =4.11, S.D.=0.80) ตำมลำดับ ส่วน กำรปฏิบัติตำมหลักแพทย์วิถีธรรมในภำพรวมอยู่ในระดับปำนกลำง ( X = 3.32, S.D.=0.45) เทคนิคที่มีกำรปฏิบัติ มำกที่สุดคือกำรใช้ธรรมะละบำป บำเพ็ญบุญ ทำใจไร้กังวล ( X =4.82, S.D.=0.22) รองลงมำคือ กำรรับประทำน สมุนไพรปรับสมดุล ( X = 4.08, S.D.=0.67) และกำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุล ( X = 4.07, S.D.=0.67) และกำรปฏิบัติ น้อยที่สุดคือ กำรแช่มือแช่เท้ำด้วยนำสมุนไพร ( X = 2.18, S.D.=0.16) ดังนัน จึงควรมีกำรพัฒนำกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ใน กำรอบรมแพทย์วิถีธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เข้ำอบรมแพทย์วิถีธรรม คำสำคัญ : การแพทย์วิถีธรรม, การปฏิบัติแพทย์วิถีธรรม, การอบรมแพทย์วิถีธรรม Abstract The purpose of survey research were to 1) Study opinion participants level of training program in Buddhist medicine 2) Study Practical Buddhist medicine level of participants who passed training program in Buddhist medicine at Samnak Vipassana Kasetmai, Sansai District,

285


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Chiang Mai Province.240 participants samples consisted of participants in Buddhist medicine camp at Samnak Vipassana Kasetmai, Sansai District, Chiang Mai Province. Participants were selected by inclusion criteria as specified by researchers. Questionnaire was used for data collection. Data analysis was performed using frequency, percentage, average and standard deviation. The results of research were found that : Participants’s perceptions of training program in Buddhist medicine were at highest level ( X =4.34, S.D.=0.68).When considered by aspect, Highest was content of instruction ( X =4.55, S.D.=0.67).Followed by learning and teaching ( X =4.53, S.D.=0.73), activities of learning and teaching( X =4.35, S.D.=0.65), learning media( X =4.33, S.D.=0.57) and learning evaluation ( X =4.11, S.D.=0.80).Practical Buddhist medicine of participants who passed training program were at middle level ( X = 3.32,S.D.= 0.45). Most practices was using Dhamma to purify your mind ( X =4.82, S.D.=0.22). Followed by Taking herbs to balance health factor( X =4.08, S.D.=0.67) and Balanced diet ( X =4.07, S.D.= 0.67).And minimal practice was soaking hand and feet with herbal ( X =2.18, S.D.=0.16) Therefore, training program in Buddhist medicine should be develop learning evaluation for most benefit to participants in Buddhist medicine camps. Keywords: Buddhist medicine, Practical Buddhist medicine, Buddhist medicine Traning บทนำ กำรเปลี่ยนแปลงของสังคมยุคโลกำภิวัตน์ มีผลให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงวิถีกำรดำเนินชีวิตของมวลมนุษย์ จำกกำรพึ่งพำตนเองไปสู่กำรพึ่งพำระบบอุตสำหกรรม มีเครื่องอุปโภคบริโภคที่สะดวกสบำยมำกขึน แต่ปนเปื้อนไป ด้วยพิษภัยที่เกิดจำกกระบวนกำรผลิต จึงส่งผลกระทบต่อสุขภำพ เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยกำลังพัฒนำตำมกระแสสังคมโลกจึงได้รับผลกระทบจำกปัญหำต่ำง ๆ อย่ำงเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพำะปัญหำ ด้ำนสุขภำพที่เกิดจำกพฤติกรรม ได้แก่ โรคเบำหวำน ควำมดันโลหิต โรคหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น แม้จะมีควำม พยำยำมแก้ไขจำกหน่วยงำนด้ำนสำธำรณสุข แต่ปัญหำก็ไม่ได้ลดน้อยลงแต่กลับซับซ้อนมำกขึน ประเวศ วะสี. (2546) กล่ำวว่ำ กำรแพทย์แบบเก่ำๆ ไม่สำมำรถสร้ำงสุขภำวะได้ ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีก้ำวหน้ำ แต่รำคำแพง บริกำรไม่ทั่วถึงและไม่เป็นธรรม ตลอดจนไม่สำมำรถแก้ปัญหำใหม่ๆ อันเกิดจำกพยำธิสภำพและควำมเจ็บป่วยทำง สั งคมได้ เนื่ อ งจำกโครงสร้ ำ งสำธำรณสุ ข มี ไ ว้ ส ำหรั บ แก้ ปั ญ หำโรคที่ มี ส ำเหตุ ท ำงกำยและท ำงำนแบบตั งรั บ สอดคล้องกับ สมศักดิ์ ชุณหรัศม์. (2554) ที่ให้ข้อคิดในกำรแก้ปัญหำสุขภำพว่ำกำรพัฒนำสุขภำพต้องทำเชิงรุก โดย ให้ประชำชนมีส่วนร่วมและจัดกำรโดยชุมชนเอง ซึ่งถือเป็นยุทธศำสตร์สำคัญในกำรพัฒนำระบบสุขภำพ เรียกว่ำ “ระบบสุขภำพชุมชน” เพรำะถ้ำไม่ช่วยกันสร้ำงระบบสุขภำพชุมชนที่เข้มแข็ง ภำครัฐก็อำจแบกภำระค่ำใช้จ่ำยด้ำน สุขภำพไม่ไหวอย่ำงที่ประเทศพัฒนำแล้วกำลังเผชิญอยู่ เรำจึงควรปรับวิธีสร้ำงสุขภำพดีให้กับประชำชนโดยเฉพำะ กำรบูรณำกำรองค์ควำมรู้ทำงกำรแพทย์ต่ำง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้มีควำมประหยัดและได้ประสิทธิผล กำรแพทย์ วิ ถี ธ รรม เป็ น แพทย์ ท ำงเลื อกในสั งกั ด กรมกำรแพทย์ แ ผนไทยและกำรแพทย์ ท ำงเลื อ ก กระทรวงสำธำรณสุข ผู้สร้ำงแนวคิดคือ ดร.ใจเพชร กล้ำจน ที่ได้นำจุดดีของกำรแพทย์สำขำต่ำง ๆ มำบูรณำกำร

286


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ด้วยหลักพุทธธรรมและปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นกำรแก้ปัญหำที่ต้นเหตุด้วยกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกำร กิ น กำรอยู่ ที่ เ ป็ น สำเหตุ ข องโรค ใจเพชร กล้ ำ จน. (2553:138) ศึ ก ษำกำรอบรมแพทย์ วิ ถี ธ รรม 1-5 วั น ที่ ใ ห้ ควำมสำคัญกับกำรให้ควำมรู้และเทคนิควิธีกำรดูแลสุขภำพด้วยตนเอง 9 วิธี ได้แก่ 1) กำรดื่มสมุนไพรปรับสมดุล 2) กำรกัวซำ หรือขูดพิษขูดลม 3) กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่หรือดีท๊อกซ์ 4) กำรแช่มือแช่เท้ำด้วยนำสมุนไพร 5) กำรพอก ทำ หยอด ประคบ อบอำบเช็ดด้วยสมุนไพร 6) กำรออกกำลังกำย โยคะกดจุดลมปรำณ 7) กำรรับประทำนอำหำร ปรับสมดุล 8) กำรใช้ธรรมะ ละบำป บำเพ็ญบุญ ทำใจไร้กังวล 9) รู้พักรู้เพียรให้พอเหมำะ พบว่ำ ผู้ป่วยมำกกว่ำร้อย ละ 80 มีอำกำรเจ็บป่วยลดลงเกือบทุกกลุ่มโรค ช่วยประหยัดค่ำใช้จ่ำยและทุกคนสำมำรถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ปัจจุบันได้มีผู้นำแนวทำงกำรอบรมแพทย์วิถีธรรมไปขยำยผลอยู่ในทุกภูมิภำค เป็นเครือข่ำยทำงำนภำยใต้มูลนิธิ แพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งกำรจัดกิจกรรมดังกล่ำวสอดคล้องกับแนวคิด ของแบนดูรำ (Bandura 1989 : 1175) ที่นำเสนอแนวทำงกำรพัฒนำกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเอง ได้แก่ 1) กำรมีประสบกำรณ์ประสบควำมสำเร็จ ด้วยตนเอง 2) กำรได้เห็นตัวแบบหรือประสบกำรณ์ของผู้อื่นที่เป็นบุคคลจริง 3) กำรใช้คำพูดชักจูง เพื่อให้เชื่อว่ำ ตนเองสำมำรถจะประสบควำมสำเร็จในพฤติกรรมที่ตนเองต้องกำรได้ 4) สภำวะด้ำนร่ำงกำยและอำรมณ์ มีอิทธิพล ต่อกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเอง เนื่องจำกกำรที่ร่ำงกำยแข็งแรงสุขสบำยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บุคคลรู้สึกเชื่อมั่นใน ควำมสำมำรถตนเอง ที่จะสำมำรถจัดกำรกับสถำนกำรณ์ต่ำงๆ ได้ ในปี 2560 ทำงเครือข่ำยแพทย์วิถีธรรม ได้มีกำรปรับเนือหำกำรอบรมแพทย์วิถีธรรมจำกค่ำยสุขภำพไม่ เกิน 5 วัน มำเป็นค่ำยสุขภำพและพระไตรปิฎกรวมระยะเวลำ9 วัน โดยให้เวลำมำกขึนกับเนือหำด้ำนพุทธธรรม (เทคนิคข้อที่ 8) ที่จะมีผลต่อกำรแก้ปัญหำที่ต้นเหตุได้ดีที่สุด ผู้วิจัยในฐำนะที่เป็นจิตอำสำแพทย์วิถีธรรม จึงมีควำม สนใจที่จะศึกษำรูปแบบกำรอบรมแพทย์วิถีธรรมที่มีกำรปรับปรุงขึนใหม่ ว่ำมีควำมเหมำะสมอย่ำงไร ส่งผลต่อ สุขภำพกำยและใจของผู้เข้ำอบรมอย่ำงไร พร้อมทังปัญหำและควำมต้องกำร เพื่อจะใช้เป็นแนวทำงนำไปปรับปรุง แก้ไขหรือพัฒนำต่อไป คำถำมกำรวิจัย 1. ควำมคิดเห็นต่อกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม ในสำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสันทรำย จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ในระดับใด 2. กำรปฏิบัติตำมหลักแพทย์วิถีธรรม ของผู้ผ่ำนกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม ในสำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสันทรำย จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ในระดับใด วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย 1. เพื่อศึกษำระดับควำมคิดเห็นต่อกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม ในสำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอ สันทรำย จังหวัดเชียงใหม่ 2. เพื่อศึกษำระดับกำรปฏิบัติตำมหลักแพทย์วิถีธรรมของผู้ผ่ำนกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม ในสำนัก วิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสันทรำย จังหวัดเชียงใหม่ นิยำมศัพท์เฉพำะ กำรอบรม หมำยถึง กระบวนกำรที่จะทำให้ผู้เข้ำรับกำรอบรมเกิดควำมรู้ ควำมเข้ำใจ ทักษะควำม ชำนำญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อันจะเป็นผลทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตำมวัตถุประสงค์ของกำรฝึกอบรม

287


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

แพทย์วิถีธรรม หมำยถึง แพทย์ทำงเลือกสำขำหนึ่งของกรมกำรแพทย์แผนไทยและกำรแพทย์ ทำงเลือก กระทรวงสำธำรณสุข มีเนือหำกำรดูแลสุขภำพด้วยเทคนิคกำรดูแลสุขภำพด้วยตนเอง 9 วิธีหรือยำ 9 เม็ด ได้แก่ 1) กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุล 2) กำรกัวซำ 3) กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่หรือดีท๊อกซ์ 4) กำรแช่มือแช่เท้ำในนำ สมุนไพรที่ถูกกัน 5) กำรพอกทำหยอด ประคบ อบอำบเช็ด 6) กำรออกกำลังกำย โยคะกดจุดลมปรำณ 7) กำร รับประทำนอำหำรปรับสมดุล 8) กำรใช้ธรรมะ ละบำป บำเพ็ญบุญ ทำใจไร้กังวล 9) รู้พักรู้เพียรให้พอดี รูปแบบกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม หมำยถึง หลักสูตรกำรอบรมแพทย์วิถีธรรมในสำนักวิปัสสนำเกษตร ใหม่ อำเภอสันทรำย จังหวัดเชียงใหม่ วิธดี ำเนินกำรวิจัย กำรศึกษำครังนีใช้รูปแบบวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) ประชำกรที่ ใ ช้ ใ นกำรศึ ก ษำครั งนี คื อ ผู้เ ข้ำ อบรมแพทย์วิถีธ รรมในสำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสัน ทรำย จังหวัดเชียงใหม่ ณ วันที่ 20-28 ตุลำคม 2560 จำนวน 500 คนกลุ่มตัวอย่ำง คือผู้เข้ำอบรมแพทย์วิถีธรรมในสำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสัน ทรำย จังหวัด เชียงใหม่กำหนดขนำดกลุ่มตัวอย่ำงโดยใช้ตำรำงสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan (1970 : 607-610, อ้ำงถึงใน ธีรวุฒิ เอกะกุล 2555 : 121) ได้จำนวน 217 คน ในกำรวิจัยครังนีได้เพิ่มขนำดตัวอย่ำงเป็น 240 คน เครื่องมือที่ใช้ ในกำรวิจัยคือแบบสอบถำม สถิติที่ใช้ในงำนวิจัย ได้แก่ ควำมถี่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ระยะเวลำ ศึกษำวิจัยเดือนตุลำคม 2560 – มกรำคม 2561 รวม 3 เดือน เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยและคุณภำพเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถำมซึ่งผ่ำนกำรตรวจสอบควำมตรงเชิง เนือหำ (IOC) จำกผู้เชี่ยวชำญ 5 ท่ำน ได้ควำมสอดคล้องของข้อคำถำมกับวัตถุประสงค์ เท่ำกับ 0.91 ผ่ำนกำร ตรวจสอบควำมเที่ยงของเครื่องมือวิจัย (Reliability) คำนวณโดยใช้สูตรสัมประสิทธ์แอลฟำของครอนบำค (Cronbach’s alpha coefficient) แบบสอบถำมชุดที่ 1 ได้ค่ำควำมเที่ยง 0.85แบบสอบถำมชุดที่ 2 ได้ค่ำควำมเที่ยง 0.90 ประกอบด้วยข้อคำถำม ดังนี แบบสอบถำมชุดที่ 1แบบสอบถำมวันสุดท้ำยของกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับอำยุ และควำมเจ็บป่วย ตอนที่ 2 แบบสอบถำมควำมคิดเห็นต่อกำรอบรมแพทย์วิถีธรรมข้อคำถำมเป็นแบบมำตรำส่วนประมำณ ค่ำ (Rating scale) ที่ผู้วิจัยประยุกต์จำกวิธีกำรสร้ำงของ Likert (Likert Scale) 5 ระดับ ดังนีมำกที่สุด5 คะแนนมำก 4 คะแนนปำนกลำง3 คะแนนน้อย 2 คะแนนน้อยที่สุด 1 คะแนน กำรแปลผลระดับควำมคิดเห็นค่ำคะแนนเฉลี่ยระดับมำกที่สุด เท่ำกับ 4.21-5.00 ระดับมำกเท่ำกับ 3.41– 4.20 ระดับปำนกลำงเท่ำกับ 2.61–3.40 ระดับน้อยเท่ำกับ 1.81–2.60 และระดับ น้อยที่สุดเท่ำกับ 1.00–1.80 แบบสอบถำมชุดที่ 2แบบสอบถำมหลังกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม 2 เดือน ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับ อำยุ และควำมเจ็บป่วย ตอนที่ 2 แบบสอบถำมกำรปฏิบัติตำมหลักแพทย์วิถีธรรม ข้อคำถำมเป็นแบบมำตรำส่วนประมำณค่ำ (Rating scale) ที่ผู้วิจัยสร้ำงขึน โดยประยุกต์จำกวิธีกำรสร้ำงของ Likert (Likert Scale) 5 ระดับ ดังนี มำกที่สุด 5 คะแนน มำก 4 คะแนน ปำนกลำง 3 คะแนน น้อย 2 คะแนน น้อยที่สุด 1 คะแนน กำรแปลผลระดับกำรปฏิบัติ ค่ำคะแนนเฉลี่ยระดับมำกที่สุด

288


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เท่ำกับ 4.21-5.00 ระดับมำก เท่ำกับ 3.41– 4.20 ระดับปำนกลำง เท่ำกับ 2.61–3.40 ระดับน้อยเท่ำกับ 1.81–2.60 และระดับ น้อยที่สุดเท่ำกับ 1.00–1.80 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล เก็บรวบรวมข้อมูลจำกผู้เข้ำอบรมแพทย์วิถีธรรม ในสำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสันทรำย จังหวัด เชี ย งใหม่ โ ดยใช้ แ บบสอบถำม 2 ชุ ด ได้ แ ก่ 1) แบบสอบถำม สอบถำมในวั น สุ ด ท้ ำ ยของกำรอบรมและ 2) แบบสอบถำม สอบถำมหลังกำรอบรมไปแล้ว 2 เดือน กำรวิเครำะห์ข้อมูล กำรวิเครำะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปสถิตทิ ี่ใช้ได้แก่ควำมถี่รอ้ ยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน กำรพิทักษ์สิทธิ์ของกลุ่มตัวอย่ำง ผู้วิจัยยื่นแบบเสนอขอหนังสือกำรรับรองจำกคณะกรรมกำรพิจำรณำจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์คณะ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ และได้รับเลขที่รับรองโครงกำรจริยธรรม HE-SRRU2-0008 ในวันที่ 16 ตุลำคม 2560 ผลกำรวิจัย 1. ข้อมูลทั่วไปกลุ่มตัวอย่ำง ส่วนใหญ่นับถือศำสนำพุทธ ร้อยละ 97.27 ส่วนใหญ่มีภูมิลำเนำในภำคเหนือ ร้อยละ 78.40 ส่วนใหญ่มีอำยุ 40-60 ปี ร้อยละ 47.92 มีควำมเจ็บป่วย ร้อยละ 81.67 2. ควำมคิ ดเห็นต่ อกำรอบรมแพทย์ วิ ถีธรรม ในสำนั กวิ ปั สสนำเกษตรใหม่ อำเภอสั นทรำย จังหวั ด เชียงใหม่หลังกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม 9 วัน ควำมคิดเห็นในภำพรวมอยู่ในระดับมำกที่สุด ( X =4.34, S.D.=0.68) ประกอบด้วย 5 ด้ำน มีรำยละเอียดรำยด้ำน ดังนี 2.1 ด้ำนเนือหำสำระกำรเรียนรู้ พบว่ำ ควำมคิดเห็นด้ำนเนือหำสำระกำรเรียนรู้โดยภำพรวมอยู่ในระดับ มำกที่สุด ( X =4.55, S.D.=0.67) เมื่อพิจำรณำรำยข้อ ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุด ทุกข้อ ค่ำคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุด คือเทคนิคข้อที่ 8 กำรใช้ธรรมะ ละบำป บำเพ็ญบุญ ทำใจไร้กังวล มีเนือหำสำระเหมำะสมและง่ำยต่อกำรเรียนรู้ควำม คิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุด ( X =4.93, S.D.=0.46) รองลงมำคือ เทคนิคข้อที่ 7กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุลมี จุดประสงค์ให้นำไปแก้ปัญหำสุขภำพด้วยตนเอง( X =4.89, S.D.= 0.66) ค่ำคะแนนเฉลี่ยต่ำสุดคือเทคนิคข้อที่ 6 รู้วิธีกำร ทำโยคะ กดจุดลมปรำณที่เหมำะสม ( X =4.23, S.D.=0.65) 2.2 ด้ำนกำรจัดกำรเรียนรู้ พบว่ำ ควำมคิดเห็นด้ำนกำรจัดกำรเรียนรู้โดยภำพรวมอยู่ในระดับมำก ที่สุด ( X =4.53, S.D.=0.73) เมื่อพิจำรณำรำยข้อ ส่วนใหญ่ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุด ค่ำคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุด คือเทคนิคข้อที่ 1 กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุลมีกำรบรรยำยและสำธิตทำให้เข้ำใจง่ำยควำมคิดเห็นอยู่ในระดับ มำกที่สุด( X =4.78, S.D.=0.76) รองลงมำคือเทคนิคข้อที่ 4 กำรแช่มือแช่เท้ำด้วยนำสมุนไพรผู้เข้ำร่วมอบรมมีส่วน ร่วมในกำรทำกิจกรรมควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุด ( X =4.60, S.D.=0.50) ค่ำคะแนนเฉลี่ยต่ำสุดคือเทคนิคข้อที่ 6 กำรออกกำลังกำยโยคะ กดจุดลมปรำณมีบรรยำกำศที่เอือต่อกำรเรียนรู้ มีควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก( X =3.81 S.D.= 0.76) 2.3 ด้ำนกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ พบว่ำ ควำมคิดเห็นด้ำนกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้โดยภำพรวมอยู่ใน ระดับมำกที่สุด( X =4.35, S.D.=0.65) เมื่อพิจำรณำรำยข้อ ส่วนใหญ่ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุด ค่ำคะแนนเฉลี่ย สูงที่สุดคือเทคนิคข้อที่ 8 กำรใช้ธรรมะ ละบำป บำเพ็ญบุญ ทำใจไร้กังวล มีกิจกรรมปลูกฝังให้บำเพ็ญควำมดี พึ่งตน

289


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เสียสละ ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุด ( X =4.85, S.D.=0.56) รองลงมำคือเทคนิคข้อที่ 7 กำรรับประทำน อำหำรปรับสมดุลมีกิจกรรมฝึกปฏิบัติสร้ำงควำมคุ้นชินที่ต่อเนื่อง( X =4.90, S.D.=0.57) ส่วนค่ำคะแนนเฉลี่ยต่ำที่สุด คือเทคนิคข้อที่ 3 กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่สำมำรถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับปำนกลำง ( X = 3.39, S.D.=0.77) 2.4 ด้ำนกำรใช้สื่อประกอบกำรเรียนรู้ พบว่ำ ควำมคิดเห็นด้ำนกำรใช้สื่อประกอบกำรเรียนรู้โดย ภำพรวมอยู่ในระดับมำกที่สุด( X =4.33 S.D.=0.57) เมื่อพิจำรณำรำยข้อ พบว่ำ ส่วนใหญ่ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก ที่สุด ค่ำคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุดคือเทคนิคข้อที่ 7 กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลมีกำรใช้สื่อและอุปกรณ์กำรเรียนรู้ที่ เหมำะสมควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุด ( X =4.62, S.D.=0.66) รองลงมำคือเทคนิคข้อที่ 8 กำรใช้ธรรมะ ละบำป บำเพ็ญบุญ เพิ่มพูนใจไร้กังวลใช้สื่อบุคคลเป็นตัวอย่ำงที่ดีและเป็นแรงบันดำลใจ ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุด( X =4.52, S.D.=0.56)ส่วนค่ำคะแนนเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ เทคนิคข้อที่ 9 กำรรู้เพียรรู้พักให้พอดีสื่อที่ใช้มีควำมชัดเจนและ เข้ำใจง่ำย ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก ( X =3.64, S.D.=0.69) 2.5 ด้ำนกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ พบว่ำ ควำมคิดเห็นด้ำนกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ โดยภำพรวม อยู่ในระดับมำก ( X =4.11, S.D.=0.80) เมื่อพิจำรณำรำยข้อ พบว่ำ ส่วนใหญ่ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก ค่ำคะแนน เฉลี่ยสูงที่สุด คือ เทคนิค ข้อที่ 8 กำรใช้ธรรมะ ละบำป บำเพ็ญบุญ เพิ่มพูนใจไร้กังวล ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก ที่สุด ( X =4.35, S.D.=0.78) รองลงมำคือเทคนิคข้อที่ 7 กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลมีกำรเปิดโอกำสให้สอบถำม และแสดงควำมคิดเห็นเป็นระยะ ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุด( X =4.25, S.D.=0.65) ค่ำคะแนนเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ เทคนิคข้อที่ 5 กำรพอก ทำ หยอด ประคบ อบ อำบ เช็ดด้วยสมุนไพรมีกำรสังเกตและสอบถำมประเมินผลกำร ปฏิบัติ 3. กำรปฏิบัติ ตำมหลัก แพทย์วิถีธรรม หลั งกำรอบรมแพทย์ วิถีธรรมในสำนักวิ ปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสันทรำย จังหวัดเชียงใหม่ หลังกำรอบรม 2 เดือน ดังตำรำงที่ 1 ตำรำงที่ 1 แสดงค่ำเฉลี่ย ส่วนเบีย่ งเบนมำตรฐำน กำรปฏิบัติตำมหลักแพทย์วิถีธรรม หลังกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม ในสำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสันทรำย จังหวัดเชียงใหม่ (n=240) เทคนิค ข้อที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9

กำรปฏิบัติตำมหลักแพทย์วิถีธรรม กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุล กำรกัวซำ กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ กำรแช่มือแช่เท้ำด้วยสมุนไพร กำรพอก ทำ หยอด ประคบ อบ อำบ เช็ดด้วยสมุนไพร กำรออกกำลังกำย โยคะ กดจุดลมปรำณ กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุล กำรใช้ธรรมะละบำป บำเพ็ญบุญ เพิ่มพูนใจ ไร้กังวล รู้เพียรรู้พักให้พอดี ค่ำเฉลี่ยโดยรวม

290

X

S.D.

กำรแปลผล

4.08 2.71 3.11 2.18 3.11 2.67 4.07 4.82 3.11 3.32

0.67 0.65 0.36 0.16 0.36 0.57 0.67 0.22 0.35 0.45

มำก ปำนกลำง ปำนกลำง น้อย ปำนกลำง ปำนกลำง มำก มำกที่สุด ปำนกลำง ปำนกลำง


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

จำกตำรำงที่ 2 พบว่ำ ผู้เข้ำอบรมกำรแพทย์วิถีธรรม มีกำรปฏิบัติตำมหลักแพทย์วิถีธรรมโดยรวม ส่วน ใหญ่มีกำรปฏิบัติอยู่ในระดับปำนกลำง เมื่อพิจำรณำเป็นรำยข้อ พบว่ำ มีกำรปฏิบัติระดับมำกที่สุด 1 ข้อ ระดับมำก 2 ข้อ ระดับปำนกลำง 5 ข้อ และระดับน้อย 1 ข้อ ข้อที่มีค่ำคะแนนเฉลี่ยกำรปฏิบัติสูงสุด 3 ข้อแรก คือ กำรใช้ ธรรมะ ละบำป บำเพ็ญบุญ เพิ่มพูนใจ ไร้กังวล มีกำรปฏิบัติอยู่ในระดับมำก ( X =4.82, S.D.=0.22) รองลงมำ คือ กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุล มีกำรปฏิบัติอยู่ในระดับมำก ( X =4.08, S.D.=0.67) และกำรรับประทำนอำหำร ปรับสมดุล มีกำรปฏิบัติอยู่ในระดับมำก ( X =4.07, S.D.=0.67) ข้อที่มีค่ำคะแนนเฉลี่ยกำรปฏิบัติต่ำที่สุดคือ กำรแช่ มือแช่เท้ำด้วยนำสมุนไพร มีกำรปฏิบัติอยู่ในระดับน้อย ( X =2.18, S.D.= 0.16) วิจำรณ์ผลกำรวิจัย กำรศึ ก ษำรู ป แบบกำรอบรมแพทย์ วิ ถี ธ รรมในส ำนัก วิ ปั ส สนำเกษตรใหม่ อ ำเภอสั น ทรำย จั งหวั ด เชียงใหม่ อภิปรำยผลตำมวัตถุประสงค์ของกำรวิจัยได้ดังนี 1. ควำมคิดเห็นต่อกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม ในภำพรวมอยู่ในระดับมำกที่สุดพิจำรณำรำยด้ำน จำก 5 ด้ำน พบว่ำควำมคิดเห็นในระดับมำกที่สุด 4 ด้ำน เรียงจำกมำกไปหำน้อยคือ ด้ำนเนือหำสำระกำรเรียนรู้ ด้ำนกำร จัดกำรเรียนรู้ ด้ำนกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ และด้ำนกำรใช้สื่อประกอบกำรเรียนรู้ ส่วนด้ำนกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ มีควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกอภิปรำยได้ว่ำ 1.1 ด้ำนเนือหำสำระกำรเรียนรู้ พบว่ำ ควำมคิดเห็นด้ำนเนือหำสำระกำรเรียนรู้โดยภำพรวมอยู่ใน ระดับมำกที่สุด พิจำรณำรำยข้อ พบว่ำ มีควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุดทุกข้อ อำจสืบเนื่องจำก เนือหำสำระ เหมำะสมและง่ำยต่อกำรเรียนรู้ กำรดูแลสุขภำพตำมหลักแพทย์วิถีธรรมเป็นวิธีกำรที่ เรียบง่ำย ทำด้วยตนเองได้ ใช้ ทรัพยำกรที่หำได้ง่ำยใกล้ตัวและมีในท้องถิ่น ประยุกต์เข้ำกับวิถีชีวิตได้ง่ำย มีจุดประสงค์ให้นำไปแก้ปัญหำสุขภำพด้วย ตนเองผู้เข้ำอบรมจึงเข้ำใจเนือหำสำระที่ได้เรียนรู้ได้ง่ำย ประกอบกับผู้เข้ำอบรมส่วนใหญ่นับถือศำสนำพุทธ (ร้อยละ 97.27) และสนใจสมัครเข้ำรับกำรอบรมเพื่อนำไปใช้กับกำรดูแลสุขภำพตนเองและครอบครัว จึงรับข้อมูลได้ดี และ วิทยำกรผู้ถ่ำยทอดเนือหำคือ ดร.ใจเพชร กล้ำจน ผู้เชี่ยวชำญด้ำนกำรแพทย์วิถีธรรม และจิตอำสำแพทย์วิถีธรรม ล้วนเป็นผู้ที่มีประสบกำรณ์กำรปฏิบัติด้วยตนเองอย่ำงเชี่ยวชำญและเห็นประสบกำรณ์ผู้อื่นมำมำก ทำให้ผู้เข้ำอบรม มั่นใจยิ่งขึนสอดคล้องกับแนวคิดของแบนดูรำ (Bandura 1989 : 1175) ที่เชื่อว่ำกำรเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมำกเป็น กำรเรี ย นรู้ โ ดยกำรสั งเกตหรื อเลี ยนแบบจึ งน ำเสนอแนวคิ ด ในกำรพั ฒนำกำรรับ รู้ ควำมสำมำรถตนเองว่ำ มี 4 แหล่งข้อมูลคือ1) กำรมีประสบกำรณ์ประสบควำมสำเร็จด้วยตนเอง 2) กำรได้เห็นตัวแบบหรือประสบกำรณ์ของ ผู้อื่นที่เป็นบุคคลจริง 3) กำรได้รับคำพูดชักจูง เพื่อให้เชื่อว่ำตนเองสำมำรถจะประสบควำมสำเร็จในพฤติกรรมที่ ตนเองต้องกำรได้4) สภำวะด้ำนร่ำงกำยและอำรมณ์ปกติ มีอิทธิพลต่อกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเอง เนื่องจำกกำรที่ ร่ำงกำยแข็งแรงสุขสบำยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บุคคลรู้สึกเชื่อมั่นในควำมสำมำรถตนเอง ที่จะสำมำรถจัดกำรกับ สถำนกำรณ์ต่ำงๆ ได้ 1.2 ด้ำนกำรจัดกำรเรียนรู้ พบว่ำ ควำมคิดเห็นด้ำนกำรจัดกำรเรียนรู้โดยภำพรวม อยู่ในระดับมำก ที่สุด ส่วนใหญ่ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุด อภิปรำยได้ว่ำ กำรจัดกำรเรียนรู้ประกอบด้วยกำรบรรยำยและสำธิต ทำให้เข้ำใจง่ำย ให้ผู้เข้ำร่วมอบรมมีส่วนร่วมในกำรทำกิจกรรมมีบรรยำกำศที่เอือต่อกำรเรียนรู้ ให้ผู้เข้ำอบรมได้อยู่ ในกระบวนกำรเรียนรู้ตลอดเวลำ เช่นมีนำสมุนไพรปรับสมดุลให้ดื่มได้ตลอดวัน และมีอำหำรปรับสมดุลวันละ 3 มือ ได้ฝึกกำรรับประทำนอำหำรตำมลำดับและกำรเคียวอำหำรให้ละเอียด โดยจัดเวลำรับประทำนอำหำรวันละ 2

291


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ชั่วโมง มีบริกำรให้แช่มือแช่เท้ำด้วยนำสมุนไพรใต้ร่มไม้ใหญ่ตำมควำมสมัครใจ ทำให้ผู้เข้ำอบรมได้เรียนรู้และฝึก ปฏิบัติได้บ่อย สอดคล้องกับอมรชัย ตันติเมธ และคณะ (2524 :12) ได้กล่ำวว่ำเทคนิคและวิธีกำรสอนส่วนใหญ่ที่ใช้ นันขึนอยู่กับเนือหำวิชำซึ่งมีลักษณะแตกต่ำงกันออกไปหำกสอนเกี่ยวกับทฤษฎีเนือหำต่ำงกันส่วนมำกจะใช้วิธีกำร แบบบรรยำยเมื่อต้องกำรสอนเกี่ยวกับวิชำทักษะได้มีกำรทดลองกำรสำธิตกำรปฏิบัติจริงทำแบบฝึกหัดเพื่อฝึกฝนให้ มีทักษะในแต่ละด้ำน 1.3 ด้ำนกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ พบว่ำ ควำมคิดเห็นด้ำนกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้โดยภำพรวมอยู่ใน ระดับมำก เมื่อพิจำรณำรำยข้อ ส่วนใหญ่ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุด มีกิจกรรมเรียนรู้ที่หลำกหลำยเข้ำใจง่ำย น่ำสนใจ สำมำรถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ มีกิจกรรมปลูกฝังให้บำเพ็ญควำมดี พึ่งตนเสียสละ ได้ฝึกกำรบำเพ็ญ บุญตำมฐำนต่ำง ๆ โดยหลังกำรให้ข้อมูลประโยชน์ของกำรบำเพ็ญกุศล จะช่วยให้ลดโรคและป้องกันเรื่องร้ำยจำกผล ของกุศลที่ได้ทำ จำกนันได้ให้โอกำสได้ทดลองปฏิบัติ เช่น เรียนรู้กำรจัดกำรขยะ กำรทำนำสมุนไพร กำรทำกสิกรรม ไร้สำรพิษตำมศำสตร์พระรำชำ กำรทำอำหำรสุขภำพ กำรทำควำมสะอำดสถำนที่อบรมและห้องนำ ให้ตนเองและ ผู้อื่นได้ใช้ประโยชน์ เป็นต้นสอดคล้องกับแนวคิดของแบนดูรำ (Bandura 1989 : 1175) ที่เชื่อว่ำกำรมีประสบกำรณ์ ประสบควำมสำเร็จด้วยตนเอง(Enactive Mastery Experiences)เป็นวิธีกำรที่มีอิทธิพลและมีประสิทธิภำพมำกที่สุดใน กำรส่งเสริมกำรรับรู้ควำมสำมำรถตนเองเนื่องจำกเป็นประสบกำรณ์ที่บุคคลประสบควำมสำเร็จในกำรกระทำ พฤติกรรมของตนเองโดยตรงกำรที่บุคคลประสบควำมสำเร็จในกำรกระทำพฤติกรรมด้วยตนเองหลำยๆครังก็จะส่งผล ให้บุคคลรับรู้ควำมสำมำรถตนเองเพิ่มมำกขึน 1.4 ด้ำนกำรใช้สื่อประกอบกำรเรียนรู้ พบว่ำ ควำมคิดเห็นด้ำนกำรใช้สื่อประกอบกำรเรียนรู้โดย ภำพรวมอยู่ในระดับมำกที่สุด เมื่อพิจำรณำรำยข้อ ส่วนใหญ่ควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำกที่สุดสืบเนื่องจำก กำรจัดกำร อบรมแพทย์วิถีธรรม ใช้สื่อบุคคลเป็นหลักคือผู้บรรยำยและแลกเปลี่ยนประสบกำรณ์ที่สำเร็จของจิตอำสำ มีทีมสื่อ ทำหน้ำที่ด้ำนสื่อโดยเฉพำะ ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ถ่ำยทอดสดกำรจัดอบรมออนไลน์ ผู้บรรยำยหลักคือ ดร.ใจเพชร กล้ำจน ผู้เชี่ยวชำญด้ำนกำรแพทย์ทำงเลือกวิถีธรรม มีทักษะในกำรเป็นผู้อธิบำยธรรมะยำก ๆ ให้เข้ำใจได้ง่ำยรวมทัง จิต อำสำแพทย์วิ ถี ธรรมเป็ นสื่ อ บุค คลที่ ดี และเป็ น แรงบัน ดำลใจรวมทั งกำรฝึก ปฏิบั ติ กับ สื่ อที่ เ ป็น ของจริงและ เหตุกำรณ์จริง ทำให้ผู้เข้ำอบรมได้มั่นใจว่ำสำมำรถทำด้วยตนเองได้ ขณะเดียวกันกำรฟังกำรบรรยำยธรรมะยัง สำมำรถติดตำมฟังได้ MP3, หรือเรียนรู้จำกสื่ออื่น ๆ เช่น หนังสือ MP3, ซีดี, อินเตอร์เน็ต จึงเป็นกำรใช้สื่อและ อุปกรณ์กำรเรียนรู้ที่เหมำะสมและทันสมัยสอดคล้องกับณรงค์ กำญจนะ (2553 : 24) กล่ำวว่ำ สื่อและวัสดุอุปกรณ์ กำรสอนเป็ น เครื่ อ งมื อ ส ำคั ญ ที่ จ ะช่ ว ยให้ ก ำรเรี ย นกำรสอนด ำเนิน ไปด้ว ยดี กำรสอนที่ มีก ำรใช้วั ส ดุ อุ ป กรณ์ ประกอบกำรเรียนนอกจำกจะทำให้นักเรียนเห็นควำมเป็นรูปธรรมของสิ่งที่ครูสอนและเพิ่มพูนควำมรู้ควำมเข้ำใจ ของนักเรียนให้เด่นชัดและง่ำยขึน สอดคล้องกับบุญชม ศรีสะอำด (2541: 20) ได้กล่ำวว่ำ กำรจัดประสบกำรณ์กำร เรียนรู้ เพื่อมุ่งให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ตำมวัตถุประสงค์จำกกำรใช้เนือหำเป็นสื่อมีหลำยแบบ เช่นแบบใช้กิจกรรม เป็นแบบที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติด้วยตนเอง เพื่อเอือให้เกิดกำรเรียนรู้อย่ำงมีประสิทธิภำพและประสิทธิผล 1.5 ด้ำนประเมินผลกำรเรียนรู้ พบว่ำควำมคิดเห็นด้ำนกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ โดยภำพรวมอยู่ ในระดับมำก พิจำรณำรำยข้อ ส่วนใหญ่ มีควำมคิดเห็นอยู่ในระดับมำก อภิปรำยได้ว่ำ กำรอบรมแพทย์วิถีธรรมใน สำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อ.สันทรำย จ.เชียงใหม่มีกำรประเมินผลระหว่ำงอบรมโดยกำรสอบถำมหลังกำรบรรยำย กำรสังเกตกำรณ์ปฏิบัติของผู้เข้ำอบรมระหว่ำงฝึกปฏิบัติ เช่นสังเกตกำรโยคะ กำรกดจุดว่ำส่วนใหญ่ปฏิบัติถูกต้อง หรือไม่ เมื่อพบว่ำไม่เข้ำใจก็ช่วยปรับแก้ไขทันที หรือจัดเข้ำกลุ่มเพื่อทบทวนควำมเข้ำใจและเปิดโอกำสให้สอบถำม รวมทังบริกำรให้คำปรึกษำเพื่อช่ วยตอบคำถำมที่ผู้เข้ำอบรมยังไม่เข้ำใจชัดเจน ในระหว่ำงกำรอบรมผู้เข้ำอบรมจึง

292


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

อำจไม่เห็นภำพกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ที่ชัดเจน แต่หลังกำรอบรมมีกำรประเมินผลกำรปฏิบัติตำมหลักแพทย์วิถี ธรรมของผู้เข้ำอบรมในแบบสอบถำม ที่มีข้อคำถำมเป็นแบบมำตรำส่วนประมำณค่ำ (Rating scale) 2. กำรปฏิบัติตำมหลักแพทย์วิถีธรรม ของผู้ผ่ำนกำรอบรมแพทย์วิถีธรรม ในสำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสันทรำย จังหวัดเชียงใหม่ หลังกำรอบรม 2 เดือน โดยรวมอยู่ในระดับปำนกลำง สืบเนื่องจำกผู้เข้ำอบรม กำรแพทย์วิถีธรรมซึ่งได้รับควำมรู้และได้รับกำรฝึกทักษะจำกกำรอบรมแพทย์วิ ถีธรรมที่ประเมินผลควำมคิดเห็นอยู่ ในระดับมำกที่สุด ในด้ำนเนือหำสำระ ด้ำนกิจกรรมส่งเสริมกำรเรียนรู้ และกำรใช้สื่อประกอบกำรเรียนรู้ ทำให้มีกำร รับรู้ที่ดีส่งผลให้เกิดกำรปฏิบัตทิ ี่ต่อเนื่องโดยเฉพำะเทคนิคข้อที่ 8 คือกำรใช้ธรรมะ ละบำป บำเพ็ญบุญ เพิ่มพูนใจ ไร้ กังวล เนื่องจำกได้ฟังกำรบรรยำยอธิบำยหลักธรรมที่นำมำจำกพระไตรปิฎกด้วยภำษำที่เข้ำใจง่ำย สำมำรถนำไปใช้ ในชีวิตประจำวันได้ ประกอบกับผู้เข้ำอบรมเป็นผู้ที่นับถือศำสนำพุทธร้อยละ 97.27 มีพืนฐำนควำมเชื่อและศรัทธำ ในพระพุทธศำสนำเป็นทุนเดิม ส่วนอำหำรและสมุนไพรที่ได้รับกำรอบรมเป็นสิ่งที่สำมำรถหำได้ง่ำยใกล้ตัว จึง สำมำรถนำไปปฏิบัติในวิถีชีวิตได้ ประกอบกับผู้เข้ำอบรมส่วนใหญ่มีภูมิลำเนำอยู่ในภำคเหนือร้อยละ 80 .00 มี สิ่งแวดล้อมที่เอือต่อกำรจัดหำอำหำรและสมุนไพรมำใช้ในกำรรับประทำนปรับสมดุลได้ใกล้เคียงจำกควำมรู้ที่ได้รับ มำจำกกำรอบรม ส่วนกำรปฏิบัติในเทคนิคแพทย์วิถีธรรมข้ออื่น ๆ เช่น กำรกัวซำ กำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ กำรพอก ทำ หยอด ประคบ อบ อำบ เช็ดด้วยสมุนไพร และกำรแช่มือแช่เท้ำ ส่วนใหญ่จะเป็นวิธีกำรนำพิษออกจำกร่ำงกำย ที่ได้รับกำรแนะนำให้ปฏิบัติเป็นครังครำว ต่ำงจำกกำรรับประทำนอำหำรและสมุนไพรที่ต้องปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน สอดคล้องกับกำรศึกษำของเกศรำรัตน์ สิงห์คำ และสุวิธิดำ จรุงเกียรติกุล. (2555 : 788-801) เรื่อง ผลกำรจัด กิจกรรมกำรศึกษำนอกระบบโรงเรียนตำมแนวคิดนีโอฮิวแมนนิสและกำรแพทย์วิถีธรรมเพื่อเสริมสร้ำงพฤติกรรมกำร ดูแลตนเองของตำรวจตระเวนชำยแดน พบว่ำ กิจกรรมกำรศึกษำนอกระบบโรงเรียนตำมแนวคิดนีโอฮิวแมนนิสและ กำรแพทย์วิถีธรรมเพื่อเสริมสร้ำงพฤติกรรมกำรดูแลสุขภำพตนเองของตำรวจตระเวนชำยแดน มีกระบวนกำร กิจกรรมตำมแนวคิดนีโอฮิวแมนนิส ดังนี 1) กำรสร้ำงบรรยำกำศในกำรเรียนรู้ 2) สร้ำงภำพพจน์ด้ำนบวกให้กับ ตนเอง 3) กำรบรรยำยควำมรู้ 4) กำรสำธิต 5) กำรฝึกปฏิบัติ 6) กำรประเมินผลกำรเรียนรู้ ผลกำรจัดกิจกรรมพบว่ำ ผู้เข้ำร่วมกิจกรรมมีควำมรู้และมีทัศนคติสูงขึนกว่ำก่อนกำรทดลอง และมีกำรปฏิบัติตนด้ำนสุขภำพดีขึนกว่ำก่อนกำร ทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 และผู้เข้ำร่วมกิจกรรม ร้อยละ 80.00 มีควำมพอใจในกิจกรรมอยู่ใน ระดับพึงพอใจมำก โดยมีควำมพึงพอใจมำกที่สุดคือ กำรนำควำมรู้ไปปฏิบัติได้จริง สรุปผลกำรวิจัย ผู้เ ข้ำ ค่ำ ยอบรมแพทย์วิถีธ รรม มีค วำมคิด เห็น ต่อ กำรอบรมแพทย์วิถีธรรม ในภำพรวมอยู่ในระดับ มำกที่สุด เมื่อพิจำรณำรำยด้ำน พบว่ำ มีควำมคิดเห็นต่อด้ำนเนือหำสำระกำรเรียนรู้ เป็นอันดับแรก รองลงมำคือ กำรจัดกำรเรียนรู้ กำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ กำรใช้สื่อประกอบกำรเรียนรู้ และกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ ตำมลำดับ ส่วนกำรปฏิบัติตำมหลักแพทย์วิถีธรรมของผู้ผ่ำนกำรอบรม ในภำพรวมอยู่ในระดับปำนกลำง เมื่อพิจำรณำรำยด้ำน พบว่ ำมี กำรปฏิ บัติ ด้ วยกำรใช้ ธรรมะละบำป บำเพ็ญ บุญ เพิ ่ม พูน ใจไร้กัง วล เป็น อัน ดับ แรก รองลงมำคือ กำร รับประทำนสมุนไพรปรับสมดุล กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุล และกำรปฏิบัติน้อยที่สุดคือ กำรแช่มือแช่เท้ำ ด้วยนำสมุนไพร

293


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ข้อเสนอแนะกำรนำผลกำรวิจัยไปใช้ ข้อเสนอะแนะกำรนำผลกำรวิจัยไปใช้ จำกกำรศึกษำรูปแบบกำรอบรมแพทย์วิถีธรรมในสำนักวิปัสสนำเกษตรใหม่ อำเภอสันทรำย จังหวัด เชียงใหม่ มีข้อเสนอแนะจำแนกเป็น 5 ด้ำน ดังนี 1. ด้ำนเนือหำสำระ ควรเพิ่มเติมคำอธิบำยท่ำโยคะและจุดลมปรำณที่ยำกและมักทำผิด 2. ด้ำนกำรจัดกำรเรียนรู้ ควรเตรียมสถำนที่ให้เพียงพอสำหรับออกกำลังกำยและโยคะ 3. ด้ำนกำรส่งเสริมกำรเรียนรู้ ควรเสริมกำรเรียนรู้เรื่องกำรสวนล้ำงลำไส้ใหญ่ โดยให้มีกำรแลกเปลี่ยน ประสบกำรณ์จำกผู้ที่ทำได้แล้ว เพื่อเป็นตัวอย่ำงให้เกิดควำมมั่นใจที่จะตัดสินใจปฏิบัติตำม 4. ด้ำนกำรใช้สื่อประกอบกำรเรียนรู้ ควรมีสื่อแนวนันทนำกำรสร้ำงสรรค์เสริมกำรรู้เพียรรู้พักให้พอดี เพื่อเป็นกำรผ่อนคลำยในช่วงพักหรือสลับรำยกำรในแต่ละวัน 5. ด้ำนกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ ควรให้ผู้เข้ำอบรมได้รำยงำนหรือประเมินผลสุขภำพตัวเอง เพื่อ สมำชิกในกลุ่มจะได้ร่วมแลกเปลี่ยนในประเด็นที่อยู่ในควำมสนใจ ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรศึกษำรูปแบบกำรจัดค่ำยอบรมแพทย์วิถีธรรมโดยเปรียบเทียบต่ำงพืนที่ 2. ควรศึกษำกำรมีส่วนร่วมในกำรอบรมแพทย์วิถีธรรมในชุมชนร่วมกับหน่วยงำนภำครัฐ กิตติกรรมประกำศ ขอขอบคุณ รศ.ธงชัย วงศ์เสนำ ดร.รัสรินทร์ ฉัตรทองพิศุทธิ์ และคณำจำรย์มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ รวมทังจิตอำสำแพทย์วิถีธรรมที่เอือให้งำนสำเร็จด้วยดี เอกสำรอ้ำงอิง เกศรำรัตน์ สิงห์คำ และ สุวิธดิ ำ จรุงเกียรติกลุ . “ผลกำรจัดกิจกรรมกำรศึกษำนอกระบบโรงเรียนตำม แนวคิดนีโอ ฮิวแมนนิสและกำรแพทย์วิถีธรรมเพื่อเสริมสร้ำงพฤติกรรมกำรดูแลตนเองของ ตำรวจตระเวน ชำยแดน.” วำรสำรอิเล็กทรอนิกส์ทำงกำรศึกษำ.7(1) : 788-801. ใจเพชร กล้ำจน. 2553. ควำมเจ็บป่วยกับกำรดูแลสุขภำพแนวเศรษฐกิจพอเพียงตำมหลักแพทย์ ทำงเลือกวิถี พุทธของศูนย์เรียนรู้สุขภำพพึ่งตนตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่ำนำบุญ อำเภอดอนตำล จังหวัดมุกดำหำร.วิทยำนิพนธ์ศิลปศำสตรมหำบัณฑิต มหำวิทยำลัย อุบลรำชธำนี. ณรงค์ กำญจนะ. (2553). เทคนิคและทักษะกำรสอนเบื้องต้น. กรุงเทพฯ. จรัลสนิทวงศ์กำรพิมพ์ บุญชม ศรีสสะอำด. (2541). กำรพัฒนำกำรสอน. กรุงเทพฯ. ชมรมเด็ก ประเวศ วะสี. (2546). กำรพัฒนำกระบวนกำรเรียนรู้แบบพุทธ. กรุงเทพฯ. มูลนิธิสดสี-สฤษดิ์วงศ์ อมรชัย ตันติเมธและคณะ. 2524.เทคนิคและกระบวนกำรในกำรสอนระดับอุดมศึกษำ. รำยงำนกำรประชุมทำง วิชำกำรเรื่องกำรพัฒนำกำรเรียนกำรสอนระดับอุดมศึกษำ.กรุงเทพมหำนคร : คณะครุศำสตร์จุฬำลงกรณ์ มหำวิทยำลัย. Bandura, Albert. 1989 "Human agency in social cognitive theory," American psychologist. 44, 9 : 1175.

294


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-28

พฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรทำนำในจังหวัดมุกดำหำร BEHAVIOR OF PESTICIDES USED OF FARMERS IN MUKDAHAN PROVINCES. กิ่งดอกดิน กล้ำจน1, ประดับ เรียนประยูร2, และ สุธรี ำ อินทเจริญศำนต์3 1 2 3

นักศึกษาปริญญาโท สาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อาจารย์ทปี่ รึกษาวิทยานิพนธ์หลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรนิ ทร์ อาจารย์ทปี่ รึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม อาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

บทคัดย่อ กำรศึกษำเชิงสำรวจนีมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษำพฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรทำ นำในจังหวัดมุกดำหำร กลุ่มตัวอย่ำงคือ เกษตรกรทำนำ จำนวน 195 คน โดยเลือกแบบเฉพำะเจำะจงเลือกในกลุ่ม เกษตรกรทำนำที่ทำหน้ำที่หลักในกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภำษณ์ วิเครำะห์ข้อมูล ทำงสถิติทใี่ ช้ ได้แก่ ค่ำควำมถี่ ค่ำร้อยละ ค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ผลกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มเกษตรกรทำนำ ส่วนใหญ่ เป็นเพศชำย ร้อยละ 74.90 อำยุอยู่ระหว่ำง 41-50 ปี ร้อยละ 46.67มี สถำนภำพสมรส ร้อยละ 80.00 มีระดับกำรศึกษำอยู่ในระดับประถมศึกษำ ร้อยละ 56.92 รำยได้ของครอบครัวส่วน ใหญ่มีหนีสินมีร้อยละ 52.31 สำหรับข้อมูลด้ำนสุขภำพ พบว่ำ ส่วนใหญ่เป็นโรคควำมดันโลหิตสูง ร้อยละ 50.26 รองลงมำ คือ โรคเบำหวำน ร้อยละ 35.38 และเกษตรกรจะบริโภคข้ำวจำกแปลงนำที่ปลูกโดยเก็บข้ำวไว้บริโภคเอง ร้อยละ 73.33 กลุ่มตัวอย่ำงมีระดับพฤติกรรมกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชโดยรวมของเกษตรชำวนำ อยู่ในระดับ ดี ( X = 2.89, S.D.= 0.07) เมื่อพิจำรณำในรำยละเอียดเรียงลำดับจำกมำกไปหำน้อยสรุปได้ดังนี กำรปฏิบัติตัวหลัง กำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรชำวนำ ( X = 2.99, S.D.= 0.04) เป็นอันดับแรก รองลงมำ คือ กำรปฏิบัติ ตัวระหว่ำงฉีดพ่นสำรเคมี ( X = 2.91, S.D.= 0.08) และ กำรปฏิบัติตัวก่อนฉีดพ่นสำรเคมี ( X = 2.77, S.D.= 0.21) เป็นอันดับสุดท้ำยดังนัน หน่วยงำนที่เกี่ยวข้องควรจัดอบรมวิธีกำรใช้และกำรป้องกันตนเองจำกสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช อย่ำงปลอดภัย และจัดโปรแกรมกำรเฝ้ำระวังควำมเสี่ยงต่อสุขภำพจำกกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่ำงต่อเนื่องทุก ปี เพื่อสร้ำงควำมตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภำพจำกกำรสัมผัสสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชจำกกำรทำนำ คำสำคัญ : พฤติกรรมการใช้ สารเคมีก้าจัดศัตรูพืช เกษตรท้านา Abstract This study was a survey study purposed to examine behavior of pesticides used of farmers in Mukdahan provinces. The sample consisted 195 farmers by purposive sample from farmers that major used chemicals pesticide. Data were collected by interviewed form. Data analysis were Frequency, percentage, average and standard deviation. This results revealed that

295


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

The most of famers were male (74.90%). Aged between 41-50 years old (46.67%), marital status (80.00%), mostly primary level (56.92%). The income of most families was debt (52.31%) For health information, most were hypertension (50.31%), followed by diabetes (35.38%) and mostly farmers were consume rice from cultivated fields (73.33%). Holistically the behavior level of pesticides used of farmers in rated good level ( X = 2.89, S.D.= 0.07) When considered by aspect, the first aspect rated was the practice after spraying ( X = 2.99, S.D.= 0.04) followed by the practice during spraying ( X = 2.91, S.D.= 0.08) and the practice before spraying pesticides used ( X = 2.77, S.D.= 0.21).Therefore, pesticide safety training program and surveillance program for reducing health risk should be annually planned and executed operations. Key word : pesticides use, pesticides, farmer บทนำ สถำนกำรณ์อำหำรโลกกำลังเข้ำขันวิกฤต รำคำพืชอำหำรมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึนปริมำณผลผลิตไม่เพียงพอ ในขณะที่ประชำกรโลกมีจำนวนมำกขึน ควำมต้องกำรอำหำรยิ่งสูงขึน ซึ่งสถำนกำรณ์ดังกล่ำวสอดคล้องกับจำนวน ประชำกรของประเทศไทย ณ ปั จ จุ บั น มี ป ระชำกรทั งสิ น 65.40 ล้ ำ นคน (ส ำมะโนกำรเกษตร. 2560) จำก สถำนกำรณ์ดังกล่ำวเกษตรกรทั่วโลกจึงพยำยำมสร้ำงทรัพยำกรอำหำร วัตถุทำงกำรเกษตรเพื่อใช้เป็นต้นทุนในกำร ผลิตอำหำรต่ำงๆให้ประชำกรทั่วโลกได้บริโภค สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชจึงเข้ำมำมีบทบำทตังแต่นันมำ จำกกำรสำรวจ ของสำนักงำนสถิติแห่งชำติ พบว่ำ ประเทศไทยมีประชำกรทำงำนในภำคกำรเกษตรมำกที่สุดจำนวน 14.10 ล้ำนคน มีเนือที่ถือครองทำกำรเกษตรทังสิน 114.60 ล้ำนไร่ เนือที่ประมำณครึ่งหนึ่ง ร้อยละ 51.30 เป็นที่ปลูกข้ำว ดังนัน อำชีพชำวนำจึงถือเป็นอำชีพหลักของประชำชนชำวไทย (สำมะโนกำรเกษตร. 2560) ผลพวงจำกวิกฤติสถำนกำรณ์ ด้ำนอำหำร ในด้ำนกำรเพิ่มผลผลิตทำงกำรเกษตรจึงมีกำรนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มำใช้ในกำรปฏิบัติงำน วิทยำกำร สมัยใหม่หนึ่งในนันคือสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช สำรกำจัดศัตรูพืชจึงเข้ำมำมีบทบำทต่อกำรเพิ่มผลผลิตทำงกำรเกษตร ของเกษตรกรตังแต่บัดนันเป็นต้นมำ โดยเฉพำะชำวนำได้ใช้เครื่องมือที่ทันสมัย พร้อมทังใช้สำรเคมีในทุกขันตอนของ กำรปลูกข้ำว เพื่อเพิ่มผลผลิตข้ำวให้สอดคล้องกับควำมต้องกำรของตลำดที่เพิ่มมำกขึน ซึ่งจำกกำรสำรวจของกรม วิชำกำรเกษตร สำรวจปริมำณและมูลค่ำกำรนำเข้ำวัตถุอั นตรำยทำงกำรเกษตรปี 2559 พบว่ำ มีกำรนำเข้ำสำร กำจัดวัชพืช (Herbicide) 125,596 ตัน มูลค่ำ 9,688 ล้ำนบำท สำรกำจัดแมลง (Insecticide) 16,056 ตัน มูลค่ำ 3,899 ล้ำนบำท สำรป้องกันและกำจัดโรคพืช (Fungicide) 12,915 ตัน มูลค่ำ 4,50 3 และสำรอื่นๆ 6,120 ตัน มูลค่ำ 2,487 ล้ำนบำท (สำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตร. 2560) สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชนอกจำกจะเป็นประโยชน์ใน ด้ำนกำรเพิ่มผลผลิตทำงกำรเกษตรแล้ว กำรใช้ที่ไม่ถูกวิธี หรือไม่ศึกษำวิธีกำรใช้ที่ถูกต้อง ก็ส่งผลกระทบต่อภำวะ สุขภำพของเกษตรกรเช่นเดียวกัน สอดคล้องกับกำรสำรวจโรคที่เกิดจำกกำรประกอบอำชีพและสิ่งแวดล้อมในระบบ Health Data Center (HDC) ของสำนักโรคจำกกำรประกอบอำชีพและสิ่งแวดล้อม เมื่อจำแนกตำมรหัสอำชีพ 4 หลักของสำนักนโยบำยและยุทธศำสตร์ สำนักปลัดกระทรวงสำธำรณสุข พบว่ำ ประชำกรป่วยเป็นโรคพิษสำรกำจัด ศัตรูพืช ป่วยมำกเป็นอันดับ 1 ใน 9 กลุ่ มโรค และยังพบว่ำผู้ประกอบอำชีพปลูกพืชไร่และพืชผัก,ทำไร่และชำวนำ

296


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ปลูกข้ำว มีผู้ป่วยมำกเป็นอันดับ 1 มีจำนวน 2,481 คน จำกจำนวนผู้ประกอบอำชีพ 11,940 คน (สำนักโรคจำกกำร ประกอบอำชีพและสิ่งแวดล้อม. 2559 : 9) สอดคล้องกับกำรศึกษำของกนกอร ที่พบว่ำ พฤติกรรมกำรใช้สำรเคมี กำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรในจังหวัดยโสธร พบว่ำมีพฤติกรรมกำรใช้อยู่ในระดับใช้มำก (กนกอร พรมชำติ. 2555 : ง) เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้สำรกำจัดแมลงในกลุ่มคำร์บำร์เมต (Carbamate) สำรกลุ่มออร์กำโนฟอสเฟต (ชนิกำนต์ คุ้ม นกและสุดำรัตน์ พิมเสน. 2557 : 56,ดำริวรรณ เศรษฐีธรรม และวงศำ เลำหศิริวงศ์. 2555 : 35,สุทธี เชยจันทำ. 2554 : 73) อำกำรแพ้สำรเคมีส่วนใหญ่มักเป็นแบบเฉียบพลัน เช่น ผื่นคัน นำตำไหล แสบจมูก ใจสั่น แน่นท้อง ปวด เมื่อยตำมร่ำงกำย (สุจิตรำ เทพภูเขียวและสมจิต แดนสีแก้ว. 2556 : 980-982) จำกกำรศึกษำพฤติกรรมควำมปลอดภัยในกำรทำงำนและภำวะสุขภำพของเกษตรกรชำวนำในจังหวัด เชียงรำย ผลกำรตรวจเลือดคัดกรองผู้ที่มีควำมเสี่ยงจำกพิษสำรกำจัดศัตรูพืชด้วยกำรหำเอ็นไซม์โคลีนเอสเตอเรส พบว่ำกลุ่ม ตัวอย่ำงร้อยละ40.65 มีผลเลือดอยู่ในระดับมีควำมเสี่ยงและร้อยละ 9.98 มีผลเลือดอยู่ใ นระดับไม่ ปลอดภัย (นภมณ ยำรวง. 2555 : VI,สำยสุนีย์ พันธุ์พำนิช 2554 : 69) สอดคล้องกับกำรศึกษำของกมล กลิ่นน้อย ที่พบว่ำ พฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกร มีควำมสัมพันธ์กับระดับเอ็นไซม์โคลีนเอสเตอเรสใน ร่ำงกำยของเกษตรกร โดยเกษตรกรที่มีพฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ถูกต้องมำก จะมีระดับเอ็นไซม์โคลีส เอสเตอเรสอยู่ในระดับปกติและปลอดภัยมำกกว่ำเกษตรกรที่มีพฤติกรรมำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชถูกต้องปำนกลำง แผนพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2555-2559 มุ่งเน้นส่งเสริมกำรลดปัจจัยเสี่ยง ด้ำนสุขภำพอย่ำงเป็นองค์รวมด้วยกำรสร้ำงเสริมสุขภำวะคนไทยให้มีควำมสมบูรณ์แข็งแรงทังทำงร่ำงกำยและจิตใจ โดยกำรพัฒ นำควำมรู้ และทั กษะในกำรดูแลสุขภำพของตนเอง ครอบครัว ชุม ชน กำรลดปัจจั ยเสี่ย งจำก สภำพแวดล้อมและกำรประกอบอำชีพที่มีผลต่อสุขภำพ สอดคล้องกับแผนพัฒนำฯ ฉบับที่ 12 ที่ให้น้อมนำปรัชญำ เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกำลที่ 9 มำเป็นแนวทำงกำรกำรพัฒนำ โดยเน้นให้คนเป็นศูนย์กลำงในกำรพัฒนำ ประเทศ (สำนักนำยกรัฐมนตรี, สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ . 2556 : 48) จำก ข้อมูลที่กล่ำวมำข้ำงต้น อำชีพชำวนำจึงถือเป็นอำชีพหนึ่งในภำคเกษตรกรรมที่มีโอกำสเกิดอันตรำยต่อผู้ประกอบ อำชีพได้สูงมำก ภำครัฐพยำยำมเข้ำไปดูแลในเรื่องควำมปลอดภัยในกำรทำงำนของชำวนำโดยออกกฎกระทรวงว่ำ ด้วยกำรคุ้มครองแรงงำนในงำนเกษตรกรรม พ.ศ. 2547 แต่ก็ยังไม่คลอบคลุมในเรื่อ งควำมปลอดภัยในกำรทำงำน ของชำวนำมำกนักโดยเฉพำะอย่ำงยิ่งชำวนำที่เป็นนำยจ้ำงของตัวเอง ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะลงไปศึกษำพฤติกรรมกำรใช้ สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรในจังหวัดมุกดำหำร เพื่อเป็นแนวทำงในกำรวำงแผนเพื่อป้องกันโรค เป็น แนวทำงในกำรส่งเสริมสุขภำพ และส่งเสริ มพฤติกรรมที่ถูกต้องในกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรทำนำ ต่อไป วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย เพื่อศึกษำพฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรทำนำจังหวัดมุกดำหำร ขอบเขตของกำรวิจัย 1. ขอบเขตด้ำนเนื้อหำ ทำกำรศึกษำพฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรทำนำ จังหวัดมุกดำหำร โดยเจำะจง เลือกผู้ที่เข้ำร่วมโครงกำร ตรวจสอบสำรเคมีตกค้ำงในเลือดของเกษตรกรกลุ่มเสี่ยง

297


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2. ขอบเขตด้ำนประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกร คือ เกษตรกรผู้ประกอบอำชีพทำนำและอำศัยอยู่ในเขตพืนที่ในจังหวัดมุกดำหำร และเป็นผู้ ที่เข้ำร่วมโครงกำร ตรวจสอบสำรเคมีตกค้ำงในเลือดของเกษตรกรกลุ่มเสี่ยง กลุ่มตัวอย่ำง คือ เกษตรกรผู้ประกอบอำชีพทำนำในจังหวัดมุกดำหำร โดยเจำะจงเลือกผู้ที่เข้ำร่วม โครงกำร ตรวจสอบสำรเคมีตกค้ำงในเลือดของเกษตรกรกลุ่มเสี่ยง 3. ขอบเขตด้ำนพื้นที่กำรศึกษำ อำเภอดอนตำล และอำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดำหำร เนื่องจำกเป็นพืนที่ที่มีกำรปลูกข้ำวมำกที่สุด และ จำกกำรรวบรวมข้อมูลของของโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพระดับตำบล ของอำเภอดอนตำล พบว่ำปัญหำสำคัญ คือ เกษตรกรมีระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดต่ำ วิธดี ำเนินกำรวิจัย ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกร คือ เกษตรกรผู้ประกอบอำชีพทำนำและอำศัยอยู่ในเขตพืนที่ในจังหวัดมุกดำหำร และเป็นผู้ ที่เข้ำร่วมโครงกำร ตรวจสอบสำรเคมีตกค้ำงในเลือดของเกษตรกรกลุ่มเสี่ยง กลุ่มตัวอย่ำง คือ เกษตรกรผู้ประกอบอำชีพทำนำในจังหวัดมุกดำหำร โดยเจำะจงเลือกผู้ที่เข้ำร่วม โครงกำร ตรวจสอบสำรเคมีตกค้ำงในเลือดของเกษตรกรกลุ่มเสี่ยง เครื่องมือที่ใช้ในกำรรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี คือ แบบสัมภำษณ์ข้อมูลทั่วไปของเกษตรกร แบบสัมภำษณ์พฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช เป็นคำถำมเกี่ยวกับพฤติกรรมกำรกำรปฏิบัติตนในกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืช ได้แก่ พฤติกรรมก่อนกำรฉีดพ่น สำรเคมีกำจัดศัตรูพืช พฤติกรรมระหว่ำงกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช พฤติกรรมกำรหลังกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัด ศัตรูพืช กำรเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ผู้วิจัยเสนอโครงกำรวิจัยเพื่อขอรับกำรั บรองมจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์ จำกคณะกรรมกำร จริยธรรมของมหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ 2. เมื่อผ่ำนกำรรับรองจริยธรรมกำรวิจัยในมนุษย์แล้ว ผู้วิจัยทำหนังสือจำกคณบดีคณะวิทยำศำสตร์ และเทคโนโลยี มหำวิทยำลัยรำชภัฏสุรินทร์ ถึงสำนักงำนเกษตรจังหวัดมุกดำหำร สำนักงำนสำธำรณสุขจังหวัด มุกดำหำร และโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพประจำตำบลในอำเภอดอนตำลและอำเภอคำชะอีจังหวัดมุกดำหำร และ หัวหน้ำเจ้ำของโครงกำร ตรวจสอบสำรเคมีตกค้ำงในเลือดของเกษตรกลุ่มเสี่ยงเพื่อชีแจงวัตถุ ประสงค์ของกำรวิจัย และขออนุญำตขอควำมร่วมมือในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล 3. ผู้วิจัยนำหนั งสือเข้ำพบผู้บริหำรของสำนัก งำนเกษตรจังหวัดมุ กดำหำร สำนักงำนสำธำรณสุ ข จังหวัดมุกดำหำร และโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพประจำตำบล ในอำเภอคำชะอีและอำเภอดอนตำล และหัวหน้ำ เจ้ำของโครงกำร ตรวจสอบสำรเคมีตกค้ำงในเลือดของเกษตรกลุ่มเสี่ยงเพื่อชีแจงวัตถุประสงค์ และขอควำมร่วมมือ ในกำรเก็บข้อมูล 4. เมื่อได้รับอนุญำตแล้วผู้วิจัยดำเนินกำรรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่ำงแบบเจำะจง สอบถำมคุณสมบัติ ที่กำหนดไว้ พร้อมทังแนะนำตนเอง และชีแจงวัตถุประสงค์ของกำรวิจัย

298


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

5. ชีแจงกลุ่มตัวอย่ำงถึงกำรพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่ำง ดังนี 5.1 กลุ่มตัวอย่ำงได้รับกำรอธิบำยและตอบข้อสงสัยจำกผู้วิจัยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์กำรวิจัย วิธีกำร วิจัย ควำมปลอดภัย อำกำร หรืออันตรำยที่อำจเกิดขึน รวมทังประโยชน์ที่จะได้รับจำกกำรวิจัย โดยละเอียดแล้วตำม เอกสำรช่วยตัวเองผู้เข้ำร่วมกำรวิจัยแนบท้ำย 5.2 กลุ่มตัวอย่ำงได้รับกำรรับรองจำกผู้วิจัยว่ำจะเก็บข้อมูลส่วนตัวของข้ำพเจ้ำเป็นควำมลับ จะ เปิดเผยได้เฉพำะในรูปแบบของกำรสรุปผลกำรวิจัยเท่ำนัน 5.3 หำกเกิดอันตรำยใดๆ จำกกำรวิจัย ผู้วิจัยจะรับผิดชอบค่ำรักษำพยำบำลที่เป็นผลสืบเนื่องจำก กำรวิจัยนี 5.4 กลุ่มตัวอย่ำงสำมำรถถอนตัวออกจำกกำรวิจัยครังนีเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อกำร รักษำพยำบำลตำมสิทธิที่ข้ำพเจ้ำควรได้รับ 6. ผู้วิจัยรวบรวมข้อมูลโดยกำรสัมภำษณ์เกษตรกรทำนำ กลุ่มตัว อย่ำงที่มีคุณสมบัติตำมที่กำหนด ทังหมดได้จำนวน 195 รำย 7. ผู้วิจัยตรวจสอบควำมถูกต้องสมบูรณ์ของแบบสัมภำษณ์ของแต่ละฉบับหลังสัมภำษณ์ ก่ อนนำไป วิเครำะห์ด้วยวิธีทำงสถิติ กำรวิเครำะห์ข้อมูล สถิติพรรณนำ (Descriptive Statistic) ใช้ในกำรพรรณนำข้อมูลทั่วไป ได้แก่ เพศ อำยุ สถำนภำพสมรส สถำนภำพครอบครัว ระดับกำรศึกษำ รำยได้ครอบครัว ประวัติกำรเป็นโรคหอบหืด กำรเจ็บป่วยหรือโรคประจำตัว ของเกษตรกร กำรบริโภคข้ำวจำกแปลงนำที่ปลูก พฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรู ได้แก่ พฤติกรรมกำรปฏิบัติตัว ก่อนกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช พฤติกรรมกำรปฏิบัติตัวระหว่ำงกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช พฤติกรรมกำร ปฏิบัติตัวหลังกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยใช้สถิติแจกแจงควำมถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ผลกำรวิจัย ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำง ได้แก่ เพศ อำยุ สถำนภำพสมรส สถำนภำพครอบครัว ระดับกำรศึกษำ รำยได้ครอบครัว ประวัติกำรเป็นโรคหอบหืด กำรเจ็บป่วยหรือโรคประจำตัวของเกษตรกร กำรบริโภคข้ำวจำกแปลง นำที่ปลูก จำกกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงจำนวน 195 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชำย ร้อยละ 75.38 ส่วนใหญ่มีอำยุ 41-50 ปี ร้อยละ 46.67 มีสถำนภำพสมรส ร้อยละ 80.00 ส่วนใหญ่เป็นหัวหน้ำครอบครัว ร้อยละ 65.13ส่วนใหญ่มี กำรศึกษำในระดับประถมศึกษำ ร้อยละ 56.92 สำหรับควำมเพียงพอรำยได้ของครอบครัว พบว่ำ ส่วนใหญ่มีหนีสิน มำกถึงร้อยละ 52.31 สำหรับข้อมูลด้ำนสุขภำพ พบว่ำ ไม่พบประวัติกำรเป็นโรคหอบหื ด เป็นโรคควำมดันโลหิตสูง ร้อยละ 50.26 โรคเบำหวำนร้อยละ35.38 เกษตรกรจะบริโภคข้ำวจำกแปลงนำที่ปลูกโดยเก็บไว้กินอย่ำงเดียวสูง ถึงร้อยละ 73.33 ตำมลำดับ พฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืช ได้แก่ พฤติกรรมก่อนฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช พฤติกรรม ระหว่ำงกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช พฤติกรรมหลังกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช

299


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 1 จำนวน ร้อยละ ผลรวมพฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีของระดับพฤติกรรมฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของ เกษตรกรทำนำ พฤติกรรมกำรใช้สำรเคมี ก่อนกำรฉีดพ่น ระหว่ำงกำรฉีดพ่น หลังกำรฉีดพ่น

ดี จำนวน (ร้อยละ) 187 (95.90) 195 (100.00) 195 (100)

ปำนกลำง จำนวน (ร้อยละ) 8 (4.10) 0 (0) 0 (0)

ควรปรับปรุง จำนวน (ร้อยละ) 0 (0) 0 (0) 0 (0)

รวม จำนวน (ร้อยละ) 195 (100.00) 195 (100.00) 195 (100.00)

จำกตำรำงที่ 1 ผลกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีพฤติกรรมก่อนฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชอยู่ ในระดั บดี จ ำนวน 187 คน คิ ดเป็ นร้ อยละ 95.90 และมี พ ฤติ กรรมระหว่ ำงฉีด พ่ นสำรเคมี กำจั ดศั ตรู พื ชและ พฤติกรรมหลังฉีดพ่นสำรสำรเคมีอยู่ในระดับดีคิดเป็นร้อยละ 100.00 ตำรำงที่ 2 คะแนนค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนของระดับพฤติกรรมก่อนฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของ เกษตรกรทำนำ กำรปฏิบัติก่อนฉีดพ่นสำรเคมี ̅

S.D

1. มีกำรสำรวจชนิดและปริมำณของแมลงศัตรูพืชที่ระบำด 2. ศึกษำชนิดของสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้เหมำะสมกับชนิดของ แมลงศัตรูพืช 3. เลือกซือสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีฉลำกถูกต้อง มีเครื่องหมำยแสดง คำ เตือน ชื่อสำรเคมี ชื่อผู้ผลิต เลขทะเบียนวัตถุอันตรำย เป็นต้น 4. เลือกใช้สำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชตำมคำแนะนำของเจ้ำหน้ำที่ เกษตร 5. อ่ำนคำแนะนำจนเข้ำใจก่อนใช้สำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช 6. ผสมสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชตำมอัตรำที่กำหนด 7. ผสมสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชในที่โล่งแจ้ง 8. ยืนอยู่เหนือลมในขณะผสมสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรู 9. ตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องมือก่อนกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช 10. ใช้ปำกเปิดขวดยำ/ซองยำบรรจุสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช* 11. ใช้มือเปล่ำในกำรผสมสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช* รวม

2.44 2.41

0.67 0.68

ระดับ พฤติกรรม ดี ดี

2.80

0.41

ดี

2.75

0.49

ดี

2.79 2.88 2.81 2.81 2.78 2.99 2.96 2.77

0.43 0.39 0.47 0.47 0.45 0.10 0.19 0.21

ดี ดี ดี ดี ดี ดี ดี ดี

*ข้อคำถำมเชิงลบ จำกตำรำงที่ 2 ผลกำรศึกษำพบว่ำ ภำพรวมระดับพฤติกรรมก่อนฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตร ชำวนำ อยู่ในระดับดี ( X = 2.77, S.D.= 0.21) เมื่อพิจำรณำเป็นรำยข้อเรียงลำดับคะแนนจำกมำกไปหำน้อยพบว่ำ ใช้ปำกเปิดขวดยำ/ซองยำบรรจุสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช* อยู่ในระดับดี ( X = 2.99, S.D.= 0.10) เป็นอันดับแรก รองลงมำคือ ใช้มือเปล่ำในกำรผสมสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช* อยู่ในระดับดี ( X = 2.96, S.D.= 0.19) ผสมสำรเคมีกำจัด

300


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ศัตรูพืชตำมอัตรำที่กำหนด อยู่ในระดับดี ( X = 2.88, S.D.= 0.39) ผสมสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชในที่โล่งแจ้ง อยู่ใน ระดับดี ( X = 2.81, S.D.= 0.47) ยืนอยู่เหนือลมในขณะผสมสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรู อยู่ในระดับดี ( X = 2.81, S.D.= 0.47) เลือกซือสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีฉลำกถูกต้อง มีเครื่องหมำยแสดง คำเตือน ชื่อสำรเคมี ชื่อผู้ผลิต เลข ทะเบียนวัตถุอันตรำย เป็นต้น อยู่ในระดับดี ( X = 2.80, S.D.= 0.41) อ่ำนคำแนะนำจนเข้ำใจก่อนใช้สำรเคมีป้องกัน กำจัดศัตรูพืช อยู่ในระดับดี ( X = 2.79, S.D.= 0.43) ตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องมือก่อนกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัด ศัตรูพืช อยู่ในระดับดี ( X = 2.78, S.D.= 0.45) เลือกใช้สำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชตำมคำแนนำของเจ้ำหน้ำที่ เกษตร อยู่ในระดับดี ( X = 2.75, S.D.= 0.49) มีกำรสำรวจชนิดและปริมำณของแมลงศัตรูพืชที่ระบำด อยู่ในระดับดี ( X = 2.44, S.D.= 0.67) ศึกษำชนิดของสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้เหมำะสมกับชนิดของแมลงศัตรูพืช อยู่ใน ระดับดี ( X = 2.41, S.D.= 0.68) เป็นอันดับสุดท้ำย ตำรำงที่ 3 คะแนน ค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนของระดับพฤติกรรมระหว่ำงฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช ของเกษตรกรทำนำ กำรปฏิบัติระหว่ำงฉีดพ่นสำรเคมี 1. สวมถุงมือ 2. สวมรองเท้ำบู๊ท 3. สวมเสือแขนยำว 4. สวมกำงเกงขำยำว 5. สวมแว่นตำ 6. สวมหมวก/ผ้ำโพกศีรษะ 7. สวมอุปกรณ์ครอบปำก/จมูก 8. อยู่เหนือลมขณะฉีดพ่น 9. ใช้สำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชในขณะที่ลมแรง 10. หยุดพักสูบบุหรี่ ดื่มนำหรือรับประทำนอำหำรในระหว่ำงฉีดพ่น* 11. ใช้ปำกเป่ำหรือดูดหัวฉีดพ่นสำรเคมี เมื่อมีสิ่งอุดตัน* 12. พักรับประทำนอำหำรโดยไม่เปลี่ยนเสือผ้ำ* 13. ใช้มือขยีตำ* 14. ใช้มือเกำผิวหนัง* รวม

̅

S.D

2.89 2.96 3.00 3.00 2.93 2.97 2.10 3.00 2.97 2.99 3.00 3.00 3.00 2.98 2.91

0.40 0.19 0.00 0.00 0.31 0.17 0.85 0.00 0.14 0.10 0.00 0.00 0.00 0.12 0.08

ระดับ พฤติกรรม ดี ดี ดี ดี ดี ดี ดี ดี ดี ดี ดี ดี ดี ดี ดี

*ข้อคำถำมเชิงลบ จำกตำรำงที่ 3 ผลกำรศึกษำพบว่ำ ภำพรวมระดับพฤติกรรมระหว่ำงกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของ เกษตรชำวนำ อยู่ในระดับดี ( X = 2.91, S.D.= 0.08) เมื่อพิจำรณำเป็นรำยข้อเรียงลำดับคะแนนจำกมำกไปหำน้อย พบว่ำ สวมเสือแขนยำว อยู่ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) สวมกำงเกงขำยำว อยู่ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) อยู่เหนือลมขณะฉีดพ่น อยู่ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) ใช้ปำกเป่ำหรือดูดหัวฉีดพ่นสำรเคมี เมื่อมีสิ่ง อุดตัน* อยู่ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) พักรับประทำนอำหำรโดยไม่เปลี่ยนเสือผ้ำ* อยู่ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) ใช้มือขยีตำ* อยู่ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) หยุดพักสูบบุหรี่ ดื่มนำหรือรับประทำนอำหำร

301


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ในระหว่ำงฉีดพ่น* อยู่ในระดับดี ( X = 2.99, S.D.= 0.10) ใช้มือเกำผิวหนัง* อยู่ในระดับดี ( X = 2.98, S.D.= 0.12) สวมหมวก/ผ้ำโพกศีรษะ อยู่ในระดับดี ( X = 2.97, S.D.= 0.17) ใช้สำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชในขณะที่ลมแรง อยู่ ในระดับดี ( X = 2.97, S.D.= 0.14) สวมรองเท้ำบู๊ท อยู่ในระดับดี ( X = 2.96, S.D.= 0.19) สวมแว่นตำ อยู่ในระดับ ดี ( X = 2.93, S.D.= 0.31) สวมถุงมือ อยู่ในระดับดี ( X = 2.89, S.D.= 0.40) สวมอุปกรณ์ครอบปำก/จมูก อยู่ใน ระดับปำนกลำง ( X = 2.10, S.D.= 0.85) ตำมลำดับ ตำรำงที่ 4 จำนวนร้อยละ ค่ำเฉลี่ย และส่วนเบีย่ งเบนมำตรฐำนของระดับพฤติกรรมหลังฉีดพ่นสำรเคมีกำจัด ศัตรูพืชของเกษตรกรทำนำ กำรปฏิบัตหิ ลังฉีดพ่นสำรเคมี 1. อำบนำทันที 2. สระผมทันที 3. ซักเสือผ้ำชุดเก่ำที่สวมใส่พ่นสำรเคมี 4. สวมเสือผ้ำชุดใหม่ 5. ล้ำงภำชนะ/อุปกรณ์พ่นสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้สะอำดก่อนเก็บ 6. ล้ำงภำชนะ/อุปกรณ์พ่นสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชในบ่อนำ แม่นำ ลำ คลอง* 7. เก็บสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและอุปกรณ์ในที่ปลอดภัย ห่ำงไกลจำกเด็ก และสัตว์เลียง 8. ทุบทำลำยภำชนะบรรจุสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ใช้หมดแล้ว 9. เผำภำชนะบรรจุสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ทำจำกพลำสติก* 10. เผำภำชนะบรรจุสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีควำมดันภำยใน 11. เข้ำไปตรวจดูแมลงศัตรูพืชทันที หลังใช้สำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชเสร็จ แล้ว* รวม

̅ 3.00 3.00 2.97 3.00 3.00

S.D. 0.00 0.00 0.16 0.00 0.00

ระดับพฤติกรรม ดี ดี ดี ดี ดี

3.00

0.00

ดี

3.00 2.90 3.00 3.00

0.00 0.36 0.00 0.00

ดี ดี ดี ดี

3.00 2.99

0.00 0.04

ดี ดี

*ข้อคำถำมเชิงลบ จำกตำรำงที่ 4 ผลกำรศึกษำพบว่ำ ภำพรวมระดับพฤติกรรมหลังกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของ เกษตรชำวนำ อยู่ในระดับดี ( X = 2.99, S.D.= 0.04) เมื่อพิจำรณำเป็นรำยข้อเรียงลำดับคะแนนจำกมำกไปหำน้อย พบว่ำ อำบนำทันที อยู่ในระดับดี ( X =3.00, S.D.= 0.00) สระผมทันที อยู่ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) สวม เสือผ้ำชุดใหม่ อยู่ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) ล้ำงภำชนะ/อุปกรณ์พ่นสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้ สะอำดก่อนเก็บ อยู่ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) ล้ำงภำชนะ/อุปกรณ์พ่นสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชในบ่อ นำ แม่นำ ลำคลอง* อยู่ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) เก็บสำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและอุปกรณ์ในที่ ปลอดภัย ห่ำงไกลจำกเด็กและสัตว์เลียง อยู่ ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) เผำภำชนะบรรจุสำรเคมีป้องกัน กำจัดศัตรูพืชที่ทำจำกพลำสติก* อยู่ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) เผำภำชนะบรรจุสำรเคมีป้องกันกำจัด ศัตรูพืชที่มีควำมดันภำยใน อยู่ในระดับดี ( X = 2.00, S.D.= 0.00) เข้ำไปตรวจดูแมลงศัตรูพืชทันที หลังใช้สำรเคมี ป้องกันกำจัดศัตรูพืชเสร็จแล้ว* อยู่ในระดับดี ( X = 3.00, S.D.= 0.00) อยู่ในอันดับแรก รองลงมำคือ ซักเสือผ้ำชุด

302


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เก่ำที่สวมใส่พ่นสำรเคมี อยู่ในระดับดี ( X = 3.97, S.D.= 0.16) และ ทุบทำลำยภำชนะบรรจุสำรเคมีป้องกันกำจัด ศัตรูพืชที่ใช้หมดแล้ว อยู่ในระดับดี ( X =2.90, S.D.= 0.36) ตำมลำดับ ตำรำงที่ 5 ค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนของระดับพฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรทำนำ กำรปฏิบัตติ ัวในกำรฉีดพ่นสำรเคมี กำรปฏิบัติตวั ก่อนกำรฉีดพ่นสำรเคมี กำรปฏิบัติตวั ระหว่ำงฉีดพ่นสำรเคมี กำรปฏิบัติตวั หลังกำรฉีดพ่นสำรเคมี ภำพรวมกำรปฏิบตั ิตัวในกำรฉีดพ่นสำรเคมี

̅ 2.77 2.91 2.99 2.89

S.D 0.21 0.08 0.04 0.07

ระดับพฤติกรรม ดี ดี ดี ดี

จำกตำรำงที่ 4 ผลกำรศึกษำพบว่ำ ภำพรวมระดับพฤติกรรมกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตร ชำวนำ อยู่ในระดับดี ( X = 2.89, S.D.= 0.07) เมื่อพิจำรณำในรำยละเอียดเรียงลำดับจำกมำกไปหำน้อยสรุปได้ดงั นี กำรปฏิบัติตัวหลังกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพื ชของเกษตรชำวนำ อยู่ในระดับดี ( X = 2.99, S.D.= 0.04) เป็น อันดับแรก รองลงมำ คือ กำรปฏิบัติตัวระหว่ำงฉีดพ่นสำรเคมี อยู่ในระดับดี ( X = 2.91, S.D.= 0.08) และ กำร ปฏิบัติตัวก่อนฉีดพ่นสำรเคมี อยู่ในระดับดี ( X = 2.77, S.D.= 0.21) เป็นอันดับสุดท้ำย สรุปผลและวิจำรณ์ผลกำรวิจัย กำรศึกษำพฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรทำนำในจังหวัดมุกดำหำร พฤติกรรมกำร ปฏิบัติตัวก่อนกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช ผลกำรศึกษำพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีพฤติกรรมก่อนฉีดพ่น สำรเคมีกำจัดศัตรูพืช พฤติกรรมระหว่ำงฉีดพ่นสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชและพฤติกรรมหลังกำรฉีดพ่นสำรเคมีกำจัด ศัตรูพืชดี อำจเนื่องมำจำกกลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่เป็นเพศชำย ซึ่งเพศชำยโดยเพศกำเนิดจะมีควำมแข็งแรงทำงด้ำน สรีระมำกกว่ำเพศหญิง กำรศึกษำของขวัญดำว กล่ำรัตน์. (2554 : 223) พบว่ำ เพศต่ำงกันมีพฤติกรรมสุขภำพ ต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ .05 และพบว่ำเพศชำยมีควำมสำมำรถในกำรดูแลตนเองมำกกว่ำเพศหญิง (นวลจันทร์ เครือวำณิชกิจ และคณะ. 2555 : 123, เสำวนิจ นิจอนันต์ชัย และ มำลี สันติถิรศักดิ์.. 2553 : 64-74) สอดคล้องกับแนวคิดของ (Orem. 1985) ที่กล่ำวว่ำ เพศเป็นตัวกำหนดบทบำทและบุคลิกภำพในครอบครัว ชุมชน และสังคม โดยสังคมไทยเพศชำยถูกกำหนดให้ผู้ชำยเป็นผู้นำในครอบครัว เพศหญิงสังคมกำหนดให้เป็นแม่บ้ำน จำก ผลกำรศึกษำพบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่เป็นเพศชำยและมีสถำนภำพสมรสร้อยละ 80.00 ซึ่งอำจเป็นไปได้ว่ำ กำร ได้รับกำรดูแลจำกคู่สมรสเป็นตัวชีวัดหนึ่งที่ทำให้เกษตรกรมีพฤติกรรมในกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูอยู่ในระดับดี กลุ่ม เกษตรกรที่มีสถำนภำพสมรสคู่ มักจะมีคู่สมรสคอยช่วยเหลือในกิจกำรต่ำงๆ ทำให้บรรลุเป้ำ หมำยที่ตังไว้ ตลอดจน ได้รับกำรยกย่องนับถือ อำยุ เป็นปัจจัยพืนฐำนที่บ่งชีถึงควำมแตกต่ำงทำงด้ำนร่ำงกำย และควำมรู้สึกนึกคิด อำยุเป็นตัวบ่งชีวุฒิ ภำวะหรื อ ควำมสำมำรถในกำรจั ด กำรกั บ สิ่ งแวดล้ อ ม ภำวะจิ ต ใจและกำรรั บ รู้ อำยุ มี อิ ท ธิ พ ลในกำรก ำหนด ควำมสำมำรถในกำรดูแลตนเองของบุคคล ซึ่งจะเพิ่มขึนตำมอำยุจนถึงวัยผู้ใหญ่และลดลงเมื่ออยู่ในวัยผู้สูงอำยุ (Orem 1991. อ้ำงถึงใน อนุชำ ขุนเมือง).เมื่ออำยุมำกขึนระดับวุฒิภำวะจะเจริญเติบโตและค่อยเปลี่ยนไปตำมวัย บุคคลที่มีวุฒิภำวะมำกขึน ย่อมมีกำรตัดสินใจและรับผิดชอบต่อกำรมีพฤติกรรมสุขภำพได้ดีขึน ซึ่งวัยผู้ใหญ่เป็นวัยที่ สำมำรถวิเครำะห์และพิจำรณำตัดสินใจในกำรแก้ไขปัญหำ รวมทังควำมรับผิดชอบต่อกำรมีพฤติกรรมสุขภำพ

303


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

โดยทั่วไปดีกว่ำช่วงอำยุอื่นๆ (ชื่นกมล สุขดี,ชวพรพรรณ จันทร์ประสิทธิ์ และวันเพ็ญ ทรงคำ. 2553 : 135) กำรศึกษำของธวัช วิเชียรประภำ พรนภำ หอมสินธุ์และ รุ่งรัตน์ ศรีสุริยเวศน์ (2555 : 53-66) พบว่ำ อำยุ เป็น ปัจจัยที่มีควำมสัมพันธ์ทำงบวกกับพฤติกรรมสุขภำพของอำสำสมัครสำธำรณสุขประจำหมู่บ้ำนในจังหวัดจันทบุรี สอดคล้องกับกำรศึกษำของ จีระนันท์ จะเกร็ง (2553 : 80) ศึกษำผลกระทบต่อสุขภำพจำกกำรสัมผัสพลังงำนควำม ร้อนขณะทำงำนในกลุ่มคนทำนำเกลือ จำกำรศึกษำพบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงที่มีอำยุ 20-39 ปี เกิดอำกำรและอำกำรแสดง จำกกำรสั ม ผั ส พลั งงำนควำมร้ อ นมำกกว่ ำ กลุ่ ม ตั ว อย่ ำ งที่ มี อ ำยุ ตั งแต่ 40 ปี ขึ นไป ร้ อ ยละ 37.27และ 32.79 ตำมลำดับ สอดคล้องกับผลกำรศึกษำที่พบว่ำกลุ่ มตัวอย่ำงส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยผู้ใหญ่มีอำยุ 41-50 ปี ร้อยละ 46.67 กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่มีกำรศึกษำอยู่ในระดับประถมศึกษำ กำรศึกษำในระดับประถมศึกษำก็ไม่ได้ หมำยควำมว่ำกลุ่มตัวอย่ำงเป็นคนที่มีควำมรู้น้อย กำรศึกษำของศุภรทิพย์ นิลำรักษ์ (2557 : 56) พบว่ำเกษตรกร ชำวสวนยำงในเขตพืนที่จังหวัดตรำดที่มีระดับกำรศึกษำต่ำงกัน มีคุณภำพชีวิตไม่แตกต่ำงกัน และระดับกำรศึกษำที่ ต่ำงกันเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภำพชีวิตเกษตรกรชำวสวนยำงพำรำ จังหวัดสงขลำไม่แตกต่ำงกัน สุภำ แก้วบริสุทธิ์ (2547 : บทคัดย่อ) และควำมรู้สำมำรถเพิ่มพูนได้ในหลำยช่องทำง จำกผลกำรศึกษำพบว่ำกลุ่มตัวอย่ำงมีพฤติกรรม ในกำรใช้สำรเคมีในระดับดีมีคะแนนค่ำเฉลี่ย 2.89 นั่นแสดงให้เห็นว่ำกลุ่มตัวอย่ำงมีควำมรูใ้ นกำรปฏิบัติตนเป็นอย่ำง ดี จึงส่งผลต่อพฤติกรรม เป็นไปได้ว่ำเกษตรกรได้รับควำมรู้โดยตรงจำกเจ้ำหน้ำที่สำธำรณสุขที่เป็นหัวหน้ำโครงกำร กำรศึกษำของธีระวัฒน์ วงศ์วิชิต (2545 : 14) พบว่ำ เกษตรกรมีควำมรู้ในกำรใช้สำรเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชระดับ มำก ทำให้เกษตรกรรู้จักใช้อุปกรณ์และเครื่องมือป้องกันตนเองมำก ส่วนเกษตรกรมีควำมรู้ในกำรใช้สำรเคมีป้องกัน กำจัดศัตรูพืชระดับน้อย ทำให้เกษตรกรไม่ใช้อุปกรณ์และเครื่องมือป้องกันตนเอง สอดคล้องกับกำรศึกษำของจิต ติพัฒน์ สืบสิมมำ ทัศนีย์ ศิลำวรรณ และณิชชำภัทร ขันสำคร (2560 : 3 ) ที่พบว่ำ ระดับควำมรู้ อำยุ เป็นปัจจัยที่มี ควำมสัมพันธ์กับพฤติกรรมกำรใช้และกำรป้องกันตนเองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (p-value<0.05) ควำมรู้ในกำร ปฏิบัติตัวที่ถูกต้องจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เกษตรกรมีพฤติกรรมในกำรใช้สำรเคมีอยู่ในระดับดี จำกกำรศึกษำพบว่ำกลุ่มตัวอย่ำง เป็นโรคควำมดันโลหิตสูงและโรคเบำหวำน กลุ่มตัวอย่ำงมีโอกำส สัมผัสกับสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชซึ่งเป็นสำรเคมีอันตรำย ถ้ำปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องจะทำให้เกิดควำมเจ็บป่วยเพิ่มได้ง่ำย ซึ่งสอดคล้องกับกำรศึกษำของกิติมำ นิพำสพงษ์ (2556 : 100) ศึกษำปัจจัยที่มีควำมสัมพันธ์กับภำวะสุขภำพของ พนักงำนดับเพลิงกรุงเทพมหำนคร ที่พบว่ำ โรคประจำตัว มีควำมสัมพันธ์กับภำวะสุขภำพของพนักงำนดับเพลิง กรุงเทพมหำนครอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.01 โดยผู้ที่มีโรคประจำตัวจะมีคะแนนภำวะสุขภำพต่ำกว่ำผู้ที่ ไม่มีโรคประจำตัว และจำกกำรศึกษำพฤติกรรมกำรดูแลสุขภำพของคนไทยในเขตปริมณฑลพบว่ำ ประสบกำรณ์กำร เจ็บป่วยมีควำมสัมพันธ์กับพฤติกรรมกำรดูแลสุขภำพในทิศทำงบวก (ประภำสวัชร์ งำมคณะ. 2557 : 1) กำรมีโรค ประจำตัวของกลุ่มตัวอย่ำงก็อำจเป็นตัวชึวัดหนึ่งที่ทำให้เกษตรกรมีพฤติกรรมกำรใช้สำรเคมีในระดับดี ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในกำรนำผลกำรวิจัยไปใช้ หน่วยงำนที่ เกี่ยวข้องควรจัด อบรมวิธีกำรใช้แ ละกำรป้องกันตนเองจำกสำรเคมี กำจัด ศัตรูพื ชอย่ำ ง ปลอดภัย และจัดโปรแกรมกำรเฝ้ำระวังควำมเสี่ยงต่อสุขภำพจำกกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่ำงต่อเนื่องทุกปี เพื่อสร้ำงควำมตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภำพจำกกำรสัมผัสสำรเคมีกำจัดศัตรูพืชจำกกำรทำนำโดยเฉพำะเพศชำย ซึ่งเป็นผู้ที่สัมผัสกับสำรเคมีโดยตรง

304


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษำผลกระทบจำกกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืชต่อภำวะสุขภำพของเกษตรกรทำนำทัง 4 ด้ำน คือ ภำวะสุขภำพด้ำนร่ำงกำย ภำวะสุขภำพด้ำนจิตใจ ภำวะสุขภำพด้ำนสังคมและสิ่งแวดล้อม ภำวะสุขภำพด้ำนจิต วิญญำณ กิตติกรรมประกำศ วิทยำนิพนธ์ ฉบับนี สำเร็จลุล่วงด้วยดีได้ด้วยควำมกรุณำของ ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ดร.ประดับ เรียน ประยูร ที่กรุณำ รับเป็นอำจำรย์ที่ปรึกษำวิทยำนิพนธ์ ซึ่งท่ำนได้กรุณำสละเวลำให้คำปรึกษำ คำแนะนำ ข้อคิดต่ำงๆ ที่เป็นประโยชน์ในกำรทำวิทยำนิพนธ์ มำโดยตลอด จนกระทั่งวิทยำนิพนธ์ฉบับนีมีควำมสมบูรณ์ด้วยดี ผู้วิจัยจึงขอก รำบขอบพระคุณเป็นอย่ำงสูงมำ ณ โอกำสนี ผู้วิจัยขอขอบพระคุณมูลนิธิแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย ที่คอย สนับสนุนผู้วิจัยตลอดมำ เอกสำรอ้ำงอิง กิติมำ นิพำสพงษ์. (2556). ปัจจัยที่มีควำมสัมพันธ์กับภำวะสุขภำพของพนักงำนดับเพลิงกรุงเทพมหำนคร. วิทยำนิพนธ์วิทยำศำสตรมหำบัณฑิต (สำธำรณสุขศำสตร์) สำขำวิชำเอกกำรพยำบำลสำธำรณสุข บัณฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลัยมหิดล ________. (2560). “สำมะโนกำรเกษตร.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก http://www.nso.go.th/ sites/2014. สืบค้นเมื่อ 10 มิถุนำยน 2560. ขวัญดำว กล่ำรัตน์. (2554). ปัจจัยเชิงสำเหตุของพฤติกรรมสุขภำพของผู้สูงอำยุในเขตภูมิภำคตะวันตกของ ประเทศไทย. ศึกษำศำสตรดุษฎีบณ ั ฑิต สำขำวิชำกำรศึกษำตลอดชีวิตและกำรพัฒนำมนุษย์ ภำควิชำ กำรศึกษำเพื่อกำรพัฒนำมนุษย์และสังคม มหำวิทยำลัยศิลปำกร. จิตติพัฒน์ สืบสิมมำ ทัศนีย์ ศิลำวรรณ และณิชชำภัทร ขันสำคร. (2560 ). “พฤติกรรมกำรใช้และกำรป้องกัน ตนเองจำกสำรเคมีกำจัดศัตรูพืช และผลกระทบต่อสุขภำพของเกษตรกรเพำะปลูกพริกผู้ฉีดพ่นสำรเคมี กำจัดศัตรูพืช : กรณีศึกษำ ตำบลสวนกล้วย อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีษะเกษ.” วำรสำร พิษวิทยำไทย. 32(1) : 3 จีระนันท์ จะเกร็ง. (2553). ศึกษำผลกระทบต่อสุขภำพจำกกำรสัมผัสพลังงำนควำมร้อนขณะทำงำนในกลุม่ คน ทำนำเกลือจังหวัดสมุทรสงครำม. วิทยำนิพนธ์วิทยำศำสตร์มหำบัณฑิต สำขำวิชำอำชีวเวชศำสตร์ บัณฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ชนิกำนต์ คุ้มนกและสุดำรัตน์ พิมเสน. (2557,มกรำคม-มิถุนำยน). “พฤติกรรมกำรใช้สำรกำจัดศัตรูพชื ของ เกษตรกรตำบลจอมทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก.” รำชภัฏเพชรบูรณ์สำร. 16 : 56 ชื่นกมล สุขดี,ชวพรพรรณ จันทร์ประสิทธิ์และวันเพ็ญ ทรงคำ (2553,กรกฎำคม-กันยำยน). “ภำวะสุขภำพและ พฤติกรรมปกป้องสุขภำพของคนงำนผลิตเครื่องเรือนไม้ ในอุตสำหกรรมขนำดกลำงและขนำดย่อม.” วำรสำรสภำกำรพยำบำล 25(3) : 133-136. ทองพูล แก้วกำ. (2557,ตุลำคม-ธันวำคม.) “ควำมเสี่ยงในกำรใช้สำรเคมีกำจัดศัตรูพืช ของเกษตรกร ตำบลวังทอง อำเภอนำวัง จังหวัดหนองบัวลำภู.” วำรสำรกำรพัฒนำสุขภำพชุมชน มหำวิทยำลัยขอนแก่น. 2(4) : 117–121.

305


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ธวัช วิเชียรประภำ พรนภำ หอมสินธุ์และ รุ่งรัตน์ ศรีสรุ ิยเวศน (2555, กรกฎำคม – ธันวำคม).“ปัจจัยที่มีผลต่อ พฤติกรรมสุขภำพของอำสำสมัครสำธำรณสุขประจำ หมู่บ้ำน จังหวัดจันทบุร”ี . วำรสำรสำธำรณสุข มหำวิทยำลัยบูรพำ. 7(2) : 53-66. ธวัช วิเชียรประภำ,พรนภำ หอมสินธุ์และรุ่งรัตน์ ศรีสุริยเวศน์. (2555,กรกฎำคม-ธันวำคม). “ปัจจัยที่มีผลต่อ พฤติกรรมสุขภำพของอำสำสมัครสำธำรณสุขประจำ หมู่บ้ำน จังหวัดจันทบุร.ี ” วำรสำรสำธำรณสุข มหำวิทยำลัยบูรพำ. 7(2) : 53 นวลจันทร์ เครือวำณิชกิจ และคณะ. (2555). รำยงำนกำรวิจัย เรื่องปัจจัยที่มีผลต่อภำวะสุขภำพผู้สูงอำยุใน ตำบลโคกโคเฒ่ำ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี. มหำวิทยำลัยรำชภัฏสวนดุสิต. ประภำสวัชร์ งำมคณะ (2557,พฤษภำคม-สิงหำคม). “พฤติกรรมกำรดูแลสุขภำพของคนไทยในเขตปริมณฑล.” วำรสำรวิชำกำรมหำวิทยำลัยปทุมธำนี 6(2) : 21. ภรทิพย์ นิลำรักษ์. (2557 : 55). คุณภำพชีวิตของเกษตรกรชำวสวนยำง ภำยในเขตพื้นที่ จังหวัดตรำด. รัฐ ประศำสนศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำกำรจัดกำรภำครัฐและ ภำคเอกชน วิทยำลัยกำรบริหำรรัฐกิจ มหำวิทยำลัยบูรพำ. รัตนภรณ์ ชมชื่น. ( 2554,มกรำคม – มิถุนำยน). “ควำมรู้และพฤติกรรมในกำรกำจัดขยะมูลฝอยในครัวเรือนของ แม่บ้ำนตำบลชมภู อำเภอสำรภี จังหวัดเชียงใหม่.” วำรสำรบัณฑิตวิจัย. 1(2) : 21. สำนักงำนสถิติแห่งชำติ. (2560). “ประชำกรศำสตร์/ประชำกร.” [ออนไลน์]. เข้ำถึงได้จำก http://www.nso.go.th/sites/2014. สืบค้นเมื่อ 10 มิถุนำยน 2560. เสำวนิจ นิจอนันต์ชัยและมำลี สันติถิรศักดิ์. (2553). “กำรสนับสนุนทำงสังคมและสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อกำรดูแล ตนเองของผู้สูงอำยุในจังหวัดสมุทรปรำกำร.” วำรสำรกองกำรพยำบำล. 37(2) : 64-74. อนุชำ ขุนเมือง. (2546). พฤติกรรมกำรดูแลตนเองด้ำนจิตใจของผู้สูงอำยุ ในชมรมผู้สูงอำยุ จังหวัด สระแก้ว. วิทยำศำสตรมหำบัณฑิต สำขำสุขภำพจิตและกำรพยำบำลจิตเวทมหำวิทยำลัยเชียงใหม่

306


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-29

นวัตกรรมในกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมก่อนตรวจสวนหัวใจ NURSING INNOVATION FOR CORONARY ANGIOGRAM PREPARATION จำเนียร พัฒนจักร1 และ วำสนำ รวยสูงเนิน2 1

เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาอิสระ หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลผู้ใหญ่ นักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลผู้ใหญ่ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2

บทคัดย่อ กำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ เป็นวิธีมำตรฐำนในกำรตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจเพื่อประเมินว่ำ หลอดเลือดหัวใจมีกำรตีบตันหรือไม่ ซึ่งจะนำไปสู่กำรวำงแผนกำรรักษำต่อไป ถึงแม้ว่ำวิธีกำรตรวจดังกล่ำวจะเป็นวิธี มำตรฐำนในกำรตรวจวินิจฉัย แต่พบว่ำทำให้ผู้ป่วยเกิดควำมกลัวและวิตกกังวลต่อกำรตรวจ จำกกำรทบทวน วรรณกรรมพบว่ำกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมก่อนกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ สำมำรถลดควำมวิตกกังวลใน ผู้ป่วยได้ ซึ่งกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมนันเป็นบทบำทอิสระและเป็นบทบำทที่สำคัญของพยำบำล ข้อมูลเตรียม ควำมพร้อมจะประกอบด้วย 4 ชนิดได้แก่ 1) ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีกำรหรือขันตอนกำรตรวจหลอดเลือดหัวใจ 2) ข้อมูล ที่บ่งบอกถึงควำมรู้สึกที่ผู้ป่วยจะต้องเผชิญ 3) ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติ 4) ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีกำร เผชิญควำมเครียด จำกผลกำรทดลองใช้ในผู้ป่วยจำนวน 10 รำยพบว่ำค่ำเฉลี่ยคะแนนควำมวิตกกังวลลดลงจำก 56.40±4.60 เหลือ 36.7±3.54 และผู้ป่วยให้ควำมร่วมมือในกำรตรวจ 100% คำสำคัญ : การให้ข้อมูลเตรียมความพร้อม ความวิตกกังวล การตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ Abstract Coronary angiogram is a gold standard diagnostic procedure that provides quick and accurate findings for CAD diagnosis and treatment. Although CAG is a beneficial procedure, numbers of patients who prepare to have a CAG become very anxious before and during the procedure, especially in the new cases. From the literature review, It was also noted that selfregulatory theory and preparatory information provides a useful framework for information giving related to medical procedures. Proper adaptation leads to anxiety reduction according to the theory. The preparatory information included 1) Procedural information 2) Sensory information 3) Behavioral information 4) Coping information. From pilot study finding, the anxiety level decreased from averagely 56.4±4.60 before information given to 34.7±3.54 after VDO review. The protocol adherence appeared to be high at 100% adherence rated. Key word: Preparatory information, Anxiety, Coronary angiogram

307


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

บทนำ ควำมสำคัญของกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจขำดเลือด (Ischemic heart disease) หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease) เป็นปัญหำสุขภำพที่สำคัญ ข้อมูลขององค์กำรอนำมัยโลกพบว่ำในปี 2012 มีประชำกรเสียชีวิตจำกโรคหลอดเลือด หัวใจมำกถึง 7.4 ล้ำน (World health organize, 2014) ซึ่งเป็นสำเหตุกำรเสียชีวิตอันดับหนึ่งจำกสำเหตุอื่นๆ สำหรับในประเทศไทยพบว่ำจำนวนและอัตรำตำยด้วยโรคหัวใจขำดเลือดต่อแสนประชำกร ปี พ.ศ. 2555-2558 คือ 23.45, 26.91, 27.83 และ 27.88 ตำมลำดับ (สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค, 2588 ) จำกข้อมูลข้ำงต้นจะ พบว่ำโรคหลอดเลือดหัวใจมีแนวโน้มสูงมำกขึนเรื่อยๆ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหำทำงด้ำนสำธำรณสุข ที่ต้องได้รับกำรแก้ไข ทังในด้ำนของกำรป้องกัน กำรตรวจวินิจฉัยและรักษำ รวมทังกำรฟื้นฟู สำหรับกำรตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ วิธีที่เป็นมำตรฐำนในกำรตรวจวินิจฉัย คือกำรตรวจสวน หลอดเลือดหัวใจด้วยสำรทึบรังสี (Coronary angiography) หรือกำรฉีดสี ซึ่งทำได้โดยกำรใช้สำยสวนขนำดเล็กใส่ เข้ำไปตำมหลอดเลือดแดง อำจจะใส่จำกบริเวณขำหนีบ ข้อพับแขนหรือข้อมือ ไปจนถึงจุดที่เป็นรูเปิดของหลอด เลือดที่ไปเลียงหัวใจ หลังจำกนันแพทย์จะใช้สำรทึบรังสีเอ็กซเรย์หรือสี ฉีดเข้ำทำงสำยสวนนันไปที่หลอดเลือดหัวใจ เพื่อตรวจดู ว่ำหลอดเลือดหัวใจนันมีกำรตีบแคบหรือตันหรือไม่ ( สมำคมแพทย์โรคหัวใจ, 2553) กำรตรวจวิธีนี สำมำรถระบุค วำมรุน แรงของหลอดเลื อดหั วใจตี บได้ โดยแสดงผลเป็ นร้ อยละเมื่อเทีย บกั บหลอดเลือ ดที่ ปกติ (ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน และคณะ, 2555; ปรีชำ เอือโรคจนอังกูร, 2553) ซึ่งจำกผลกำรตรวจจะนำไปสู่กำรวำงแผน รักษำต่อ ซึ่งกำรรักษำแบ่งออกเป็นกำรรักษำด้วยยำ (Smith et al,2011) กำรรักษำด้วยกำรทำบอลลูนขยำยหลอด เลือดหัวใจ หรือกำรผ่ำตัดทำทำงเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Levine et al, 2011) กำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจกับภำวะควำมวิตกกังวลของผู้ป่วย กำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ แม้ว่ำจะเป็นวิธีที่เป็นมำตรฐำนในกำรตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่วิธีกำรตรวจดังกล่ำวพบว่ำทำให้ผู้ป่วยเกิดควำมกลั วและวิตกกังวลต่อกำรตรวจได้เช่นกัน จำกกำรทบทวน วรรณกรรมที่ผ่ำนมำพบว่ำผู้ป่วยโรคหัวใจที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจมีระดับควำมวิตกกังวลสูงกว่ำผู้ป่วย ทั่วไป (Nekouei et al., 2011) และในผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจจะมีควำมวิตกกังวลขณะเผชิญ (State anxiety) สูงกว่ำระยะหลังกำรตรวจสวนหัวใจ (ทองทิพย์ ดำรงวัฒน, ริยำ ตันติธรรม, 2543 ; Moradi et al., 2014; Sayin et al., 2014 ) นอกจำกนียังพบว่ำในกลุ่มผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรรักษำโรคหลอดเลือดหัวใจผ่ำนสำย สวนมีระดับควำมวิตกกังวลในระยะก่อนกำรทำหัตถกำรสูงกว่ำหลังกำรทำหัตถกำร (Trotter et al., 2011 ) ซึ่ง จำกกำรศึกษำพบว่ำผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจมีควำมวิ ตกกังวลและกลัวมำกถึงร้อยละ 82 (Jamshidi et al., 2013) นอกจำกนียังพบว่ำญำติหรือสมำชิกในครอบครัวของผู้ป่วยโดยเฉพำะอย่ำงยิ่งสำมีหรือ ภรรยำของผู้ป่วย จะมีควำมวิตกกังวลขณะเผชิญสูงกว่ำภำยหลังกำรตรวจสวนหัวใจ (Sayin et al., 2014) ทังนีกำร ตรวจสวนหลอดเลื อ ดหั ว ใจเป็ น หั ต ถกำรที่ ต้ อ งใส่ ส ำยสวนเข้ ำ สู่ ห ลอดเลื อ ดหั ว ใจ ท ำให้ ผู้ ป่ ว ยมี โ อกำสเกิ ด ภำวะแทรกซ้อนได้ ประกอบกับควำมกลัวกับสิ่งที่ยังไม่สำมำรถคำดกำรณ์ได้ เช่นผลกำรตรวจ จึงทำให้กำรตรวจสวน หลอดเลือดหัวใจ เป็นปัจจัยกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดควำมกลัวและควำมวิตกกังวลได้ และระดับควำมวิ ตกกังวลที่สูงขึน หรือมำกขึน ขณะที่เผชิญกับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจจะส่งผลต่อระบบสรีรวิทยำร่ำงกำย ได้แก่ ทำให้อัตรำ กำรเต้นของหัวใจเร็วขึน ควำมดันโลหิตสูงขึน ส่งผลให้เพิ่มระยะเวลำและควำมยำกในกำรตรวจ หรืออำจเกิด ภำวะแทรกซ้อนได้ เช่น มีโอกำสที่จะเกิดก้อนห้อ เลือดบริเวณที่ใส่สำยสวน หรือ ภำวะแทรกซ้อนของหลอดเลือด

308


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

บริเวณดังกล่ำว (Merriweather et al., 2012) จำกกำรศึกษำพบว่ำมีอัตรำกำรเกิดก้อนห้อเลือด ได้ถึง 4.7% (Manoukian et al, 2007) และในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจผ่ำนหลอดเลือดแดงที่ข้อมือ จะทำให้หลอดเลือดแดงที่ข้อมือหดเกร็ง ในระหว่ำงทำกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้ป่วยรู้สกึ ไม่สุขสบำยเนื่องจำกปวดหรือต้องได้รับยำเพื่อแก้ไขภำวะหลอดเลือดหดเกร็ง (Ercan et al., 2014) ทำให้กำรตรวจ วินิจฉัยต้องใช้เวลำมำกขึน นอกจำกนียังพบว่ำอำจส่งผลทำให้เกิดหลอดเลือดหัวใจหดเกร็งหรือภำวะแทรกซ้อนทำง หัวใจและหลอดเลือดอื่นๆด้วย (Khayyam et al., 2011) ดังนันจำกกำรทบทวนวรรณกรรมและจำกประสบกำรณ์ กำรทำงำนจะพบว่ำกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจทำให้ผู้ป่วยเกิดควำมกลัวและวิตกกังวล กำรลดควำมวิตกกังวล จึงเป็นบทบำทหน้ำที่ที่สำคัญของพยำบำลในกำรดูแลผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ บทบำทของพยำบำลในกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อม ในกำรลดควำมวิตกกังวลในผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ พยำบำลเป็นบุคคลแรกที่ต้อง เผชิญหรือสัมผัสกับควำมรู้สึกของผู้ป่วยมีบทบำทสำคัญ ในกำรประเมินและให้กำรดูแล (Wynne et al., 2004) พยำบำลจึงเป็นบุคคลสำคัญในกำรช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยในกำรช่วยลดควำมวิตกกังวล (เจษฎำ ศรีบุญเลิศ, 2554) จำกกำรทบทวนวรรณกรรมพบว่ ำ กำรลดควำมวิต กกั งวลในผู้ ป่ ว ยที่ เข้ ำ รั บ กำรตรวจสวนหลอดเลือ ดหั ว ใจมี หลำกหลำยวิธี เช่น กำรสร้ำงจินตภำพ (Foji et al., 2015) กำรนวดกดจุด (Vardanjani et al., 2013) และกำรให้ ข้อมูลเป็นต้น กำรให้ข้อมูลเป็นบทบำทอิสระของพยำบำล โดยมีหลักกำรให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงกับควำมเป็นจริง และจำเป็นสำหรับผู้ป่วย ผู้ป่วยที่ได้รับข้อมูลเตรียมควำมพร้อมจะเกิดแบบแผนควำมรู้และควำมเข้ำใจ ทำให้ สำมำรถรับกับสถำนกำรณ์หรือเหตุกำรณ์ต่ำงๆที่เผชิญได้ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีควำมวิตกกังวลลดลงและให้ควำมร่วมมือ ในกำรตรวจรักษำ (มัณฑนำ สังคมกำแหง,2551; ลิกิจ โหรำฤทธิ์, 2551; เยำวลักษณ์ สีหะวิมล, 2552; เจษฎำ ศรีบุญเลิศ, 2554; เอืองฟ้ำ โสดำ, 2557) ซึ่งกำรให้ควำมรู้อย่ำงมีแบบแผนสำหรับผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรทำหัตถกำร หลอดเลือดหัวใจ จะทำให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมกำรดูแลตนเองได้อย่ำงเหมำะสม มีกำรรับรู้ควำมสำมำรถในกำรดูแล ตนเองดีขึน (วศินี สมศิริ และคณะ, 2554) และกำรให้ข้อมูลในกำรเตรียมควำมพร้อมก่อนกำรตรวจสวนหัวใจด้วย กำรใช้สื่อวิดีโอทำให้ผู้ป่วยมีควำมวิตกกังวลลดลง (Moradi et al., 2015 ; Chair et al., 2012 ; Ruffinengo et al., 2008) นอกจำกนีกำรให้ข้อมูลก่อนกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจด้วยกำรจำลองสถำนกำรณ์จริงโดยใช้สื่อกำร สอนด้วยวิดีโอสำมำรถช่วยให้ผู้ป่วยมีควำมเข้ำใจ ทรำบขันตอนกำรปฏิบัติ ลดควำมกลัว ควำมวิตกกังวล และเพิ่ม ประสิทธิภำพในกำรดูแลตนเองได้ดียิ่งขึน (Bowden, T., 2009) ) จำกกำรปฏิบัติงำนที่ผ่ำนมำพบว่ำ ผู้ป่วยที่เข้ำรับ กำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ มีควำมวิตกกังวลต่อกระบวนกำรตรวจรักษำ ผลของกำรตรวจ บำงรำยตื่นเต้น กลัว และนอนไม่หลับ ซึ่งจำกกำรประเมินสัญญำณชีพแรกรับและสัญญำณชีพขณะอยู่ในห้องตรวจ จะพบว่ำผู้ป่วยมี ควำมดันโลหิตที่สูงขึนจำกเดิม ในบำงรำยพบว่ำมีอัตรำกำรเต้นของหัวใจที่เร็วขึน กระสับกระส่ำย เหงื่อออก ตัวเย็น ไม่ให้ควำมร่วมมือขณะตรวจ หรือปฏิเสธกำรรักษำ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งในผู้ป่วยรำยใหม่ซึ่งยังไม่มีประสบกำรณ์ใน กำรตรวจ บำงรำยไม่ทรำบวิธีปฏิบัติตัวขณะตรวจรักษำหรือปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง จำกกำรสัมภำษณ์ผู้ป่วยพบว่ำผู้ป่วย จะมีควำมกลัวและวิตกกังวลต่อกำรตรวจเนื่องจำกไม่มีประสบกำรณ์และไม่ทรำบว่ำกำรตรวจเป็นอย่ำงไร ต้อง ปฏิบัติตัวอย่ำงไร นึกภำพไม่ออก ซึ่งจำกกำรสัมภำษณ์พยำบำลประจำหอผู้ป่วยเกี่ยวกับกำรให้ข้อมูลพบว่ำกำรให้ ข้อมูลก่อนกำรตรวจนัน ส่วนหนึ่งแพทย์จะเป็นผู้อธิบำยให้ผู้ป่วยฟังก่อนเซ็นใบยินยอมกำรตรวจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น กำรอธิบำยถึงวิธีกำรตรวจรวมทังภำวะแทรกซ้อนที่อำจเกิดขึน ในบำงหอผู้ป่วยพยำบำลจะเป็นผู้ให้ข้อมูลทำงวำจำ หรือมีภำพพลิก ทังนีขึนกำรให้ข้อมูลกับผู้ป่วยขึนอยู่กับประสบกำรณ์ ควำมรู้ ควำมสำมำรถ และทักษะของพยำบำล แต่ละคน ซึ่งจะเห็นว่ำกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมก่อนกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจนัน ยังไม่มีแบบแผนที่

309


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ชัดเจน รวมทังข้อมูลที่ให้อำจยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้ป่วยเห็นภำพหรือนึกภำพกำรตรวจ รวมทังทรำบกำรปฏิบัติ ตัวขณะตรวจ หรือควำมรู้สึกต่ำงๆต่ำงผู้ป่วยจะต้องเผชิญในขณะตรวจได้ ดังนันจำกปัญหำดังกล่ำวจึงนำไปสู่กำร พัฒนำนวัตกรรมกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมก่อนกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ วัตถุประสงค์กำรวิจัย เพื่อลดควำมวิตกกังวลในผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ วิธีกำรดำเนินกำรวิจัย กำรพัฒนำนวัตกรรม ใช้กรอบแนวคิด Center for advance nursing practice model ของซูคัพ (soukup et al., 2000) เป็นกรอบแนวคิดในกำรพัฒนำนวัตกรรมทำงกำรพยำบำล ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีกระบวนกำรชัดเจน ครอบคลุมและเน้น ที่ ก ำรพั ฒ นำคุ ณ ภำพกำรพยำบำลในระดั บ องค์ ก รตลอดจนให้ แ นวทำงในกำรพั ฒ นำอย่ ำ งต่ อ เนื่ อ ง โดยมี กระบวนกำรพัฒนำเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 กำรค้นหำปัญหำทำงคลินิก (Evidence triggered phase) เป็นกระบวนกำรของกำรค้นหำ ปัญหำ ระบุปัญหำทำงคลินิกที่สนใจและต้องกำรแก้ไขปัญหำ ซึ่งได้จำกหลักฐำน 2 แหล่ง คือ 1) Practice triggered เป็นปัญหำที่พบจำกกำรปฏิบัติงำน จำกประสบกำรณ์ในกำรดูแลผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือด หัวใจ ซึ่งพบว่ำผู้ป่วยมีควำมกลัวและวิตกกังวลต่อกำรตรวจ นอนไม่หลับ ควำมดันโลหิตสูงขึนจำกเดิม อัตรำกำรเต้น ของหัวใจเร็วขึน กระสับกระส่ำย ไม่ให้ควำมร่วมมือ หรือปฏิเสธกำรรักษำ ซึ่งสำเหตุส่วนหนึ่งเกิดจำกกำรไม่ได้รับ ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมที่เพียงพอ ทังนีกำรให้ข้อมูลกับผู้ป่วยโดยพยำบำลในปัจจุบันนันพบว่ำมีควำมแตกต่ำงกัน ขึนอยู่กับประสบกำรณ์ ทักษะ และวิธีกำร 2) Knowledge triggered ได้จำกกำรศึกษำค้นคว้ำจำกกำรทบทวน งำนวิจัยเอกสำรทังตำรำและบทควำมทำงวิชำกำรต่ำงๆ ที่เกี่ยวกับควำมวิตกกังวลในผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวน หลอดเลือดหัวใจ ซึ่งพบว่ำผู้ป่วยจะมีควำมวิตกกังวลขณะเผชิญสูงกว่ำผู้ป่วยทั่วไป และมีควำมวิตกกังวลสูงกว่ำ ภำยหลังกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งภำวะวิตกกังวลที่สูงขึน จะส่งผลต่อสรีรวิทยำของร่ำงกำย รวมทังอำจทำ ให้เกิดภำวะแทรกซ้อน เพิ่มระยะเวลำกำรตรวจนำนขึน หรืออำจต้องได้รับยำเพื่อแก้ไขอำกำรหรือภำวะแทรกซ้อน ต่ำงๆ ระยะที่ 2 กำรสืบค้นหลักฐำนเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหำทำงคลินิก (Evidence supported phase) เป็นกำรกำหนดขอบเขตในกำรสืบค้นหลักฐำนเชิงประจักษ์ ในกำรสืบค้นโดยใช้กรอบ PICO ในกำรทบทวนหลักฐำนเชิงประจักษ์ดังนี 1) P: ผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ 2) I: Preparatory information 3) C: - 4) O: ควำมวิตกกังวล กำหนดคำสำคัญในกำรสืบค้นได้แก่ Patient education, Knowledge, informational education, videotape information, coronary angiography, preparatory information โดยขอบเขตของกำรสืบค้น เป็นบทควำมตีพิมพ์ในปี 2005-2015 เป็นฉบับภำษำอังกฤษ เป็น กำรศึกษำในมนุษย์เท่ำนัน เป็นกำรศึกษำในกลุ่มตัวอย่ำงอำยุ 18 ปีขึนไป ฐำนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สำหรับกำร สืบค้นได้แก่ CINALH, ProQuest, Science Direct, Pub Med กำรวิเครำะห์และประเมินหลักฐำนเชิงประจักษ์ ภำยหลังกำรสืบค้นหลักฐำนในฐำนข้อมูล เรียบร้อยแล้ว ได้วิเครำะห์และจัดระดับควำมน่ำเชื่อถือของ หลักฐำนเชิงประจักษ์ โดยใช้เกณฑ์ในกำรประเมินคุณภำพงำนกำรประเมินคุณภำพกำรวิจัยของ สถำบันโจแอนนำบ

310


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ริกส์ (Joanna Briggs Institute, 2009) ของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีรำยละเอียดดังตำรำงที่1 และได้มีกำรจัดแบ่ง เกรดของข้อเสนอแนะ (grades of recommendation) โดยใช้หลักเกณฑ์ตำมสถำบันโจแอนนำบริกส์ (Joanna Briggs Institute, 2009) ดังตำรำงที่ 2 กำรพัฒนำนวัตกรรมนีได้ดำเนินกำรสืบค้นบทควำมจำกฐำนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตำมที่ได้กล่ำวไว้ข้ำงต้น นันได้บทควำมจำนวน 31 บทควำม แต่ได้คัดออกเนื่องจำกเนือหำไม่เกี่ยวข้องกับกำรนำไปพัฒนำนวัตกรรมและไม่มี บทควำมฉบับเต็ม จึงได้บทควำมจำนวน 8 บทควำม นำไปสู่กำรวิเครำะห์และสกัดงำนวิจัย ได้หลักฐำนระดับ 1 จำนวน 3 บทควำม หลักฐำนระดับ 2 จำนวน 4 บทควำม หลักฐำนระดับ 3c จำนวน 1 บทควำม ระยะที่ 3 กำรพัฒนำแนวปฏิบัติกำรพยำบำลและนำไปทดลองใช้ (Evidence – observed phase) เป็นระยะของกำรสร้ำงแนวปฏิบัติทำงกำรพยำบำล แล้วนำไปตรวจสอบและทดลองใช้ประเมินผลควำม เป็นไปได้ในกำรใช้แนวปฏิบัติเพื่อยืนยันว่ำแนวปฏิบัติกำรพยำบำลที่สร้ำงขึนมีมำตรฐำน สำมำรถนำไปใช้ได้จริง จำก บทควำมที่สืบค้นได้นำไปวิเครำะห์และนำไปสู่กำรพัฒนำนวัตกรรมกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมก่อนกำรตรวจสวน หลอดเลือดหัวใจด้วยวิดีโอ ซึ่งผู้วิจัยได้พัฒนำขึนจำกหลักฐำนเชิงประจักษ์ ที่ได้จำกขันตอนที่ 2 และจำกกำร ทบทวนวรรณกรรมพบว่ำกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมมีองค์ประกอบของข้อมูลทังหมด 4 ชนิด ตำมกรอบแนวคิด ทฤษฎีกำรปรับตนเอง (Self-regulatory theory) ของลีเวนทำลและจอห์นสัน (Leventhal et al., 1983) ซึ่ง ทฤษฎีกำรปรับตนเอง มีมโนทัศน์หลักเกี่ยวกับกำรสร้ำงแบบแผนควำมรู้ควำมเข้ำใจ (Schema) หรือภำพใน จินตนำกำร (Mental image) ซึ่งเป็นโครงสร้ำงควำมรู้ควำมเข้ำใจ (Cognitive structure) ที่ซับซ้อนที่มนุษย์สร้ำง ขึนจำกประสบกำรณ์ต่ำงๆ ที่ผ่ำนมำ แบบแผนควำมรู้ควำมเข้ำใจจะเป็นตัวชีนำควำมสนใจของมนุษย์ เป็นแนวทำง ในกำรจัดเก็บข้อมูลอย่ำงเป็นระบบในกำรใช้ข้อมูลที่มีอยู่และเป็นแนวทำงนำไปสู่กำรกระทำพฤติกรรมอย่ำงมี เป้ำหมำย (Johnson et al., 1989 อ้ำงถึงใน ยุพิน สังฆะมณี, 2556) ซึ่งข้อมูลทังหมด 4 ชนิด ประกอบด้วย 1) ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีกำร ซึ่งอธิบำยถึงรำยละเอียด ขันตอนของกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ 2) ข้อมูลที่บ่งบอกถึง ควำมรู้สึกที่ผู้ป่วยจะต้องเผชิญ จะอธิบำยถึงควำมรู้สึกที่ผู้ป่วยอำจต้องประสบขณะและภำยหลังกำรตรวจสวนหลอด เลือดหัวใจ 3) ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติ จะอธิบำยถึงพฤติกรรมหรือสิ่งที่ผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติใน ระหว่ำงกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ 4) ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีกำรเผชิญควำมเครียด อธิบำยถึงวิธีกำรหรือแนวทำงที่ ผู้ป่วยสำมำรถนำมำใช้ในกำรลดควำมเครียดในระหว่ำงกำรตรวจ โดยมีเนือหำประกอบด้วย ควำมหมำยของกำร ตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ วัตถุประสงค์ของกำรตรวจ ระยะเวลำในกำรตรวจ กำรเตรียมทำงด้ำนร่ำงกำย สิ่งแวดล้อมในห้องตรวจสวนหัวใจ ขันตอนของกำรทำหัตถกำร ภำวะแทรกซ้อน กำรปฏิบัติตัวก่อน ขณะและหลัง กำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ กำรปฏิบัติตัวภำยหลังกำรจำหน่ำยออกจำกโรงพยำบำล หลังจำกนันได้นำนวัตกรรม ที่ได้ให้ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่ำน ได้แก่ แพทย์ผู้เชี่ยวชำญด้ำนโรคหลอดเลือดหัวใจและกำรตรวจสวนหลอดเลือด หัวใจจำนวน 1 ท่ำน พยำบำลหัวหน้ำห้องตรวจสวนหัวใจซึ่งมีควำมเชี่ยวชำญด้ำนกำรดูแลผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจ สวนหลอดเลือดหัวใจ จำนวน 2 ท่ำน พยำบำลประจำห้องตรวจสวนหัวใจซึ่งมีประสบกำรณ์กำรทำงำนมำกกว่ำ 10 ปี จำนวน 1 ท่ำน และพยำบำลที่มีควำมเชี่ยวชำญในกำรพัฒนำนวัตกรรมจำนวน 1 ท่ำน ตรวจสอบควำมตรงตำม เนือหำ ควำมเหมำะสมของภำษำและภำพที่ใช้ประกอบคำบรรยำย แล้วนำข้อเสนอแนะที่ได้รับมำปรับปรุงแก้ไข ควำมถูกต้อง ผลกำรประเมินนวัตกรรมกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมจำกผู้ทรงคุณวุฒิ นำมำหำค่ำ Content validity index (CVI) ได้เท่ำกับ 0.97 ทังนีวิดีโอมีควำมยำวประมำณ 13 นำที โดยได้ดำเนินกำรแปลงแฟ้มข้อมูล เป็นชนิดเอวีไอและบันทึกเก็บไว้ในแท็บเล็ต เพื่อควำมสะดวกในกำรใช้งำน เนื่องจำกที่หอผู้ป่วยมีข้อจำกัดในเรื่อง เครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับกำรให้ข้อ มูลดังกล่ำว ส่วนกำรประเมินควำมวิตกกังวล มีเครื่องมือที่ใช้สำหรับกำร

311


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ประเมินหลำยอย่ำงเช่น Visual analog scale (Lee et al., 2011), Hospital anxiety depression scale (ธนำ นิลชัยโกวิทย์ และคณะ,2555) หรือแบบประเมินควำมวิตกกังวลขณะเผชิญของสปิลเบอเกอร์ (Spielberger et al.,1967) ซึ่งได้รับกำรแปลเป็นภำษำไทยโดย นิตยำ คชภักดี และคณะ (นิตยำ คชภักดี และคณะ, 2531 อ้ำงถึงใน ยุพิน สังฆะมณี, 2556) มี 20 ข้อ คำตอบเป็นแบบ likert scale (1=ไม่เคยมี 4= มำกที่สุด) คะแนนเต็ม 20-80 โดย แบ่งค่ำคะแนนออกเป็น 3 ระดับตำมระดับควำมวิตกกังวล ได้แก่คะแนนระหว่ำง 20-39 คือควำมวิตกกังวลระดับ ต่ำ 40-59 คือควำมวิตกกังวลระดับกลำง 60-80 คือควำมวิตกกังวลระดับสูง (Wu et al., 2013; Sayin et al., 2014) ซึ่งได้เลือกใช้แบบประเมินควำมวิตกกังวลขณะเผชิญ ของสปิลเบอเกอร์ ก่อนนำไปใช้ ได้นำเครื่องมือดังกล่ำว ไปทดสอบหำค่ำควำมเที่ยง (Reliability) โดยนำไปทดลองใช้กับผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ จำนวน 30 รำย แล้วนำค่ำคะแนนที่ได้ไปหำค่ำสัมประสิทธิ์แอลฟ่ำครอนบำค (Cronbach alpha coefficient) ได้ เท่ำกับ 0.88 ระยะที่ 4 กำรนำไปทดลองใช้ (Evidence – based phase) เป็นระยะของกำรวิเครำะห์อย่ำงมี วิจำรณญำณจำกข้อมูลในระยะ Evidence - supported phase กับระยะ Evidence - observed phase เพื่อให้ ได้แนวทำงในกำรปฏิบัติที่ดีที่สุด โดยกำรนำนวัตกรรมกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมก่อนกำรตรวจสวนหลอดเลือด หัวใจเข้ำสู่กำรปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นลักษณะของกำรศึกษำนำร่องในผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ จำนวน 10 รำย โดยมีกำรประเมินระดับควำมวิตกกังวลเปรียบเทียบก่อนและหลังกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อม โดยมีเกณฑ์คัดเข้ำได้แก่ อำยุ 18 ปีขึนไป เป็นผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจตำมตำรำงนัด หรือเป็น ผู้ป่วยที่เข้ำนอนในโรงพยำบำลก่อนกำรตรวจ 1 วัน เข้ำรับกำรตรวจวินิจฉัยเป็นครังแรก สำมำรถสื่อสำรได้ ไม่มี ประวัติกำรเป็นโรคจิตเภท หรือประวัติกำรได้รับยำรักษำโรคระบบจิตประสำท ยินดีเข้ำร่วมโครงกำร เกณฑ์กำรคัด ออก ได้แก่ คือ 1) ผู้ป่วยไม่สมัครใจเข้ำร่วมโครงกำร และ 2) มีภำวะแทรกซ้อนรุนแรงในขณะตรวจ ทังนีกำรให้ ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมจะให้ในวันที่ผู้ป่วยเข้ำนอนโรงพยำบำลในตอนเย็น ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลำ 1 วันก่อนกำร ตรวจ สถำนที่กำรให้ข้อมูลคือหอผู้ป่วย โดยมีขันตอนให้กำรปฏิบัติดังนี 1. แนะนำตนเองให้ผู้ป่วยทรำบ 2. แจ้งวัตถุประสงค์ 3. ประเมินควำมวิตกกังวลก่อนกำรได้รับข้อมูลด้วยแบบประเมินควำมวิตกกังวลขณะเผชิญให้ผู้ป่วย และครอบครัวได้รับข้อมูลเตรียมควำมพร้อมก่อนกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ ภำยหลังกำรให้ข้อมูลเปิด 4. โอกำสให้ผู้ป่วยซักถำมในประเด็นต่ำงๆที่สงสัย 5. ประเมินควำมวิตกกังวลภำยหลังกำรได้รับข้อมูล กำรประเมินผลลัพธ์ของกำรใช้นวัตกรรม กลุ่มตัวอย่ำงเป็นผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจจำนวน 10 รำย ภำยหลังกำรทดลองใช้ นวัตกรรมดังกล่ำวได้นำข้อมูลที่ได้ไปวิเครำะห์ ข้อมูลทั่วไปพบว่ำส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยเพศชำยจำนวน 8 รำย คิดเป็นร้อยละ 80 เพศหญิงจำนวน 2 รำย คิดเป็นร้อยละ 20 อำยุเฉลี่ยคือ 59 ปี สถำนภำพสมรคู่และนับถือศำสนำพุทธ ร้อยละ 100 จบกำรศึกษำระดับ ประถมศึกษำจำนวน 7 รำย มัธยมศึกษำจำนวน 2 รำย ระดับปริญญำตรีจำนวน 1 รำย คิดเป็นร้อยละ 70, 20 และ 10 ตำมลำดับ ประกอบอำชีพเกษตรกรรมจำนวน 7 รำย รับรำชกำร 2 รำย ธุรกิจส่วนตัวจำนวน 1 รำย คิดเป็นร้อย ละ 70, 20 และ 10 ตำมลำดับ ไม่มีประวัติได้รับกำรผ่ำตัดมำก่อน ได้รับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจผ่ำนบริเวณ ข้อมือจำนวน 5 รำย ผ่ำนหลอดเลือดแดงที่ขำหนีบ 5 รำย ผลกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจพบว่ำผู้ป่วยมีหลอด

312


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เลือดตีบที่ได้รับกำรทำบอลลูนขยำยหลอดเลือดหัวใจจำนวน 3 รำย หลอดเลือดหัวใจปกติและตีบเล็กน้อยได้รับกำร รักษำด้วยยำจำนวน 5 รำย และผู้ป่วยที่มำตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจเพื่อเตรียมผ่ำตัดเปลี่ยนลินหัวใจโดยมีผลกำร ตรวจหลอดเลือดหัวใจปกติจำนวน 2 รำย กำรประเมินควำมวิตกกังวลพบว่ำก่อนได้รับข้อมูลเตรียมควำมพร้อมค่ำคะแนนเฉลี่ยควำมวิตกกังวล เท่ำกับ 56.40 ซึ่งอยู่ระดับปำนกลำง ส่วนภำยหลังกำรได้รับข้อมูลเตรียมควำมพร้อมพบว่ำค่ำคะแนนเฉลี่ยควำมวิตก กังวลลดลงเท่ำกับ 34.7 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ เมื่อติดตำมประเมินควำมร่วมมือในกำรตรวจพบว่ำผู้ป่ วยให้ควำมร่วมมือ ในกำรตรวจ 100% สำมำรถปฏิบัติตัวได้อย่ำงถูกต้องทำให้ไม่มีภำวะแทรกซ้อนเกิดขึน สรุปบทบำทของพยำบำลในกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมก่อนกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ กำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ ถึงแม้ว่ำจะเป็นวิธีมำตรฐำนในกำรตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่ อย่ำงไรก็ตำมวิธีกำรตรวจดังกล่ำวนียังส่งผลต่อผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยเกิดควำมกลัวและวิตกกังวลต่อกำรตรวจ ซึ่งวิธีที่ ช่วยให้ผู้ป่วยลดควำมวิตกกังวลมีหลำยวิธีไม่ว่ำจะเป็นกำรสร้ำงจินตภำพ กำรนวดกดจุด รวมทังกำรให้ข้อมูลเตรียม ควำมพร้อมซึ่งเป็นบทบำทอิสระและเป็นบทบำทที่สำคัญของพยำบำลในกำรดูแลผู้ป่วยที่เข้ำรับกำรตรวจสวนหลอด เลือดหัวใจ ดังจะเห็นได้จำกกำรทบทวนวรรณกรรมที่ผ่ำนมำ ซึ่งข้อมูลกำรเตรียมควำมพร้อมประกอบด้วยข้อมูล 4 ชนิดได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีกำรหรือขันตอนของกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ ข้อมูลเกี่ยวกับควำมรู้สึกที่ต้องเผชิญ ข้อมูลเกี่ยวกับกำรปฏิบัติตัวและข้อมูลเกี่ยวกับวิธีกำรจัดกำรควำมเครียด ทังนีวิธีกำรให้ข้อมูลด้วยกำรใช้สื่อวิดีโอ ช่วยให้ผู้ป่วยเห็นภำพหรือมีควำมเข้ำใจเกี่ยวกับขันตอนกำรตรวจรวมทังวิธีกำรปฏิบัตติ ัวในกำรตรวจชัดเจนขึนและที่ สำคัญช่วยให้ผู้ป่วยลดควำมวิตกกังวลเกี่ยวกับกำรตรวจได้ ให้ควำมร่วมมือในกำรตรวจและมีควำมพึงพอใจ ข้อเสนอแนะ 1. ควรนำนวัตกรรมกำรให้ข้อมูลเตรียมควำมพร้อมก่อนกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจไปประยุกต์ใช้ ในกำดูแลผู้ป่วยที่มำรับกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ 2. ควรมีกำรทำวิจัยเพื่อประเมินผลของกำรใช้นวัตกรรม กิตติกรรมประกำศ ผู้เขียนขอขอบพระคุณท่ำนผู้ทรงคุณวุฒิทัง 5 ท่ำนได้แก่ แพทย์หญิงจิตรดำ อึงประเสริฐ คุณชำริยำ บำรุงศิริ คุณศรพิศ พรมผิว คุณชนิดำ ถำมีมำก คุณมัณฑณำ สังคมกำแหง ที่ได้ให้ควำมกรุณำในกำรตรวจสอบ ควำมถูกต้องของเนือหำข้อมูลเตรียมควำมพร้อมก่อนกำรตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ ตำรำงที่ 1 แสดงระดับควำมน่ำเชื่อถือของหลักฐำนตำมเกณฑ์ของสถำบันโจแอนนำบริกส์ (Joanna Briggs Institute. 2009) ระดับ ระดับที่ 1 ระดับที่ 2

ชนิดของหลักฐำนเชิงประจักษ์ หลักฐำนที่ได้มำจำกกำรวิเครำะห์เมตต้ำ จำกกำรวิจยั เชิงทดลองที่มีกำรสุ่มตัวอย่ำงเข้ำกลุ่ม หรืองำนวิจัยเชิง ทดลองแบบสมบูรณ์ ที่มีช่วงควำมเชื่อมัน่ แคบอย่ำงน้อย 1 เรื่อง หลักฐำนเชิงประจักษ์ที่มำจำกงำนวิจยั เชิงทดลองแบบสมบูรณ์ ที่ดำเนินกำรในกลุ่มตัวอย่ำงขนำด เล็กที่ มีช่วง ควำมเชื่อมั่นกว้ำงอย่ำงน้อย 1 เรื่อง หรืองำนวิจยั กึ่งทดลอง (quasi experimental studies) ที่ไม่มีกำรสุ่มกลุ่ม ตัวอย่ำงเข้ำกลุ่ม

313


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ระดับ ระดับที่ 3a ระดับที่ 3b ระดับที่ 3c ระดับที่ 4

SRRU NCR2018

ชนิดของหลักฐำนเชิงประจักษ์ หลักฐำนที่ได้จำกงำนวิจยั ที่มีกำรดำเนินกำรศึกษำไปข้ำงหน้ำที่มีกลุ่มควบคุม หลักฐำนที่ได้จำกงำนวิจยั ย้อนหลัง หลักฐำนที่ได้จำกกำรศึกษำเชิงสังเกต ที่ไม่มีกลุ่มควบคุม หลักฐำนที่ได้เป็นควำมคิดเห็นของผู้เชี่ยวชำญทำงคลินิกหรืองำนวิจยั ทำงสรีรวิทยำหรือข้อสรุปของ คณะกรรมกำรผู้เชี่ยวชำญ

ตำรำงที่ 2 แสดงระดับข้อเสนอแนะตำมเกณฑ์ของสถำบันโจแอนนำบริกส์ (Joanna Briggs Institute, 2009) เกรดของข้อเสนอแนะ เกรด A เกรด B เกรด C

กำรนำไปใช้ เป็นข้อเสนอแนะที่มีเหตุผลสนับสนุนมำก โดยคำนึงถึงควำมเป็นไปได้ ควำมเหมำะสม ควำมสำคัญและมีประสิทธิผลที่ดีเลิศในกำรปฏิบัติ สมควรนำมำประยุกต์ใช้มำก เป็นข้อเสนอแนะที่มีเหตุผล สนับสนุนปำนกลำง โดยคำนึงถึงควำมเป็นไปได้ ควำม เหมำะสม ควำมสำคัญและมีประสิทธิผล สมควรต้องมี กำรพิจำรณำรับรองก่อนนำมำประยุกต์ใช้ เป็นข้อเสนอแนะที่ไม่มีเหตุผล สนับสนุน ไม่สมควรแก่กำรนำมำประยุกต์ใช้

เอกสำรอ้ำงอิง ควำมสำมำรถและพฤติกรรมกำรดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจที่เข้ำรับกำรทำหัตถกำรหลอดเลือดหัวใจ โรงพยำบำลสงขลำนครินทร์. Princess of Naradhivas University Journal, 3(3), 22-45. จำหน่ำยต่อควำมรู้ ควำมวิตกกังวลและกำรปฏิบัติตัวของผู้ป่วยหลังผ่ำตัดหลอดเลือดหัวใจ. วำรสำรสมำคม พยำบำลฯสำขำภำคตะวันออกเฉียงเหนือ, 30(1),15-21. เฉลิมศรี สุวรรณเจดีย.์ (2550). คู่มือกำรพยำบำลโรคหัวใจ. พิมพ์ครังที่ 5. กรุงเทพฯ: บพิธกำรพิมพ์. ทองทิพย์ ดำรงวัฒน์, และจริยำ ตันติธรรม. (2543). ควำมวิตกกังวลในผู้ป่วยที่ตรวจสวนหัวใจ. ธนำ นิลชัยโกวิทย์ และคณะ ใน ดวงตำ ไกรพัสสร์พงศ์. (บรรณำธิกำร). (2555). คู่มือกำรดูแลผู้มีปัญหำ สุขภำพจิตและจิตเวชสำหรับแพทย์. พิมพ์ครังที่ 4.นนทบุร:ี บียอนด์พับลิชชิ่ง ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน, รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์ และเรวัตร พันธ์กิ่งทองคำ. (บรรณำธิกำร). (2544). ภำวะฉุกเฉินหัวใจ และหลอดเลือด : Cardiac emergency. กรุงเทพฯ: ภำพพิมพ์. ปรีชำ เอือโรจนอังกูร. (บรรณำธิกำร). (2553). ศำสตร์และศิลป์ในกำรดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ ขำดเลือด. กรุงเทพฯ: มิตรสัมพันธ์. พรทิพย์ ศุภมณี, วิไลพรรณ สมบุญตนนท์, อุมำพร ลัฐกำวิบลู ย์, และกิตริ ัตน์ เตชะไตรศักดิ์. (2553). ประสิทธิผลของกำรเยี่ยมเพื่อให้ควำมรู้ก่อนผ่ำตัด ต่อควำมวิตกกังวลและควำมพึงพอใจของผู้ป่วยที่มำรับ กำรผ่ำตัดใหญ่ทำงนรีเวชกรรม โรงพยำบำลศิรริ ำช. วำรสำรกำรพยำบำล, 28(1), 47-57. วศินี สมศิริ, จินตนำ ชูเซ่ง. (2554). ผลของกำรให้ควำมรู้อย่ำงมีแบบแผนต่อควำมรู้ กำรรับรู้ วำรสำรกำรพยำบำลรำมำธิบดี, 2(2), 44-52. วำสนำ รวยสูงเนิน. (2554). กำรพยำบำลผู้ป่วยที่มีปัญหำระบบหัวใจและหลอดเลือด. พิมพ์ครังที่ 1. ขอนแก่น: โรงพิมพ์คลังนำนำวิทยำ.

314


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สำนักนโยบำยและยุทธศำสตร์ สำนักงำนปลัดกระทรวงสำธำรณสุข. (2558). จำนวนและอัตรำตำยด้วยโรคหลอด เลือดหัวใจต่อแสนประชำกร. ค้นเมื่อ 2 ธันวำคม 2560 จำก, http://thaincd.com/informationstatistic/non-communicable-disease-data.php Abdollahzadeh, F., Moghaddasian, S., Rahmani, A., & Shahmari, M. (2014). Effect of video education on knowledge and satisfaction of patients undergoing coronary angiography, Iran J Crit Care Nurs, 7(3), 168-175. Anxiety: A Meta-Analysis. (2014). Evidence-based complementary and alternative medicine. Retrieved Octobe 1, 2015, from http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/ articles/PMC4165564/ Bae H, Bae H, Min BI, Cho S. Efficacy of Acupuncture in Reducing Preoperative Braun LA, Stanguts C, Casanelia L, Spitzer O, Paul E, Vardaxis NJ, Rosenfeldt F. Chair, S.Y., Chau, M.Y., Sit, J.W.H., Wong, E.M.L., Chan, A.W.K. (2012). The psychological effects of a videotape educational intervention on cardiac catheterization patients. Contemporary Nurse, 40(2), 225–233. Gavigan, A., Cain, C., & Carroll, D. (2013). Effects of Informational Sessions on Anxiety Precardiovascular Procedure. Clinical nursing research, 23(3), 281– 295. Jamshidi, N., Abbaszadeh, A., Kalyani, M.N., & Sharif, F. (2013). Effectiveness of video information on coronary angiography patients’ outcomes. Collegian, 20(3), 153–159. Joanna Briggs Institute [JBI]. (2009). JBI Levels of Evidence and Grades of Recommendation. Retrieve 19, 2009, from http://www. Joannabriggs Lee, K. C., Chao, Y. H., Yiin, J. J., Chiang, P. Y., & Chao, Y. F. (2011). Effectiveness of different music-playing devices for reducing preoperative anxiety: A clinical control study. International Journal of Nursing Studies, 48, 1180–1187. Leventhal, H. & Johnson, J.E. (1983). Laboratory and field experimental development of a theory of self-regulation. In P.J. Wooldridge. (Ed.). (1983). Behavioral science & nursing theory. St. Louis, Mo: Mosby Massage therapy for cardiac surgery patients—a randomized trial. (2012). The Journal of thoracic and Cardiovascular Surgery, 14(6), 1453-1459. Manoukian, S.V., Feit, F., Mehran, R., Voeltz, D., Ebrahim, R., & Hamon, M. (2550). Impact of Major Bleeding on 30-Day Mortality and Clinical Outcomes in Patients With Acute Coronary Syndromes: An Analysis From the ACUITY Trial. Journal of the American College of Cardiology, 49(12), 1362-1368. Merriweather, N. & Sulzbach-Hoke, L.M. (2012). Managing risk of complications at femoral vascular access sites in percutaneous coronary intervention. Critical care nurse, 32(15), 16-29.

315


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Moradi, T., & Adib-Hajbaghery, M. (2014). The Effect of an intervention on State and Trait Anxiety Levels of Patients before and after Cardiac Catheterization. Journal of Applied Science and Agriculture, 9(1), 256-260. Mott, A.M. (1999). Psychological preparatory to decrease anxiety association with cardiac catheterization. Journal of vascular nursing, 17(2), 41-49. Rolley, J.X., Salamonson, Y., Wensley, C., Denison, C.R., & Davidson, P.M. (2554). Nursing clinical practice guidelines to improve care for people undergoing percutaneous coronary interventions. Australian critical care, 24, 18-38. Ruffinengo, C., Versino, E. & Renga, G. (2008). Effectiveness of an informative video on reducing anxiety levels in patients undergoing elective coronarography. European Journal of Cardiovascular Nursing, 8, 57–61. Tait, A.R., Voepel-Lewis, T., Moscucci, M., Brennan-Martinez, C.M., & Levine, R. (2009). Patient comprehension of an interactive, computer-based information program for cardiac catheterization: a comparison with standard information. Archives of internal medicine, 169(20), 1907-1914. Wu, K. L., Chen, S. R., Ko, W. C., Kuo, S. Y., Chen, P. L., Su, H. F., & Chang, W. Y. (2014). The effectiveness of an accessibility‐enhanced multimedia informational educational programme in reducing anxiety and increasing satisfaction of patients undergoing cardiac catheterisation. Journal of clinical nursing, 23(13-14), 2063-2073.

316


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

SCIEPO-30 ควำมคำดหวัง ควำมต้องกำรของพยำบำลและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำม มำตรฐำนโรงพยำบำล (Hospital Accreditation) EXPECTATION NEEDS OF THE NURSE AND FACTORS AFFECTING TO PROCESS IMPROVEMENT OF HOSPITAL ACCREDITATION ทัศนีย์ วีระเสถียร1 1

หัวหน้าพยาบาล โรงพยาบาลสังขะ จังหวัดสุรินทร์

บทคัดย่อ กำรวิ จัย ครั งนีมี วั ต ถุ ประสงค์ 1.เพื่ อ ศึ ก ษำปั จ จั ยที่ ส่ งผลกระทบต่ อ ประสิ ท ธิภ ำพของกำรปรั บ ปรุ ง กระบวนกำรทำงำน และ2.ศึกษำควำมคำดหวัง ควำมต้องกำรของพยำบำลต่อกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำม มำตรฐำนโรงพยำบำล(HA) ใช้วิธีกำรสำรวจ ประชำกรกลุ่มตัวอย่ำง คือพยำบำลปฏิบัติงำนในโรงพยำบำลสังขะ 80 คน จำกกำรสุ่มตัวอย่ำงอย่ำงง่ำย(SRS) ด้วยกำรจับลำกแบบไม่แทนที่ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถำมที่ตรวจสอบ ควำมตรงเชิงเนือหำจำกผู้เชี่ยวชำญ 3 ท่ำน มีค่ำควำมเที่ยง 0.891 เครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถำม กำรวิเครำะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ด้วยสถิติเชิงพรรณนำ ประกอบด้วย ค่ำควำมถี่ ค่ำร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนและสถิติเชิงอนุมำนประกอบด้วย Independent Samples t-test, One-way ANOVA และสถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลกำรศึกษำ พบว่ำ 1.ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อำยุ ระดับกำรศึกษำ ตำแหน่ง ระยะเวลำกำรปฏิบัติงำน รำยได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่ำงกันทำให้ประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำลไม่ แตกต่ำงกัน จึงปฏิเสธสมมติฐำนกำรวิจัย 2.ส่วนควำมสัมพันธ์ระหว่ำงปัจจัยที่เกี่ยวกับกำรปฏิบัติงำนกับ ประสิทธิภำพกำรปฏิบัติงำนของประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล(HA) ภำพรวมอยู่ในระดับมำกทุกด้ำน ( X = 4.06; S.D. = 0.72) เมื่อจำแนกเป็นรำยด้ำน เรียงลำดับจำกมำกไปหำน้อย คือ ด้ำนผลกำรปฏิบัติงำน ซึ่งมีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 3.97 และด้ำนส่วนบุคคล ซึ่งมีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 3.80 3.สำหรับ องค์ประกอบของควำมคำดหวังของกลุ่มตัวอย่ำงในด้ำนควำมสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชำ มีค่ำเฉลี่ยมำกที่สุด ( x = 4.00และ S.D.=.59) ด้ำนค่ำตอบแทนและสวัสดิกำร ด้ำนควำมมั่นคงในงำน ด้ำนสภำพแวดล้อมกำรทำงำน ด้ำน ควำมสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงำน มีควำมสัมพันธ์กับประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำน โรงพยำบำล (HA โดยรวมเป็นไปในทิศทำงเดียวกัน ซึ่งมีระดับควำมสัมพันธ์กันปำนกลำง อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ ระดับ 0.01 และ(r = 0.629; P-Value < 0.001) ด้ำนที่มีควำมสัมพันธ์กันมำกที่สุดคือ ด้ำนควำมสัมพันธ์กับกับ ผู้บังคับบัญชำ(r = .686; P-Value < 0.001) รองลงมำคือด้ำนควำมมั่นคงในงำน(r = .677; P-Value < 0.001) คำสำคัญ : ความคาดหวัง ประสิทธิภาพการปรับปรุงกระบวนการท้างานตามมาตรฐานโรงพยาบาล(HA)

317


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Abstract The objectives of this study were 1) to study the factors influencing the workingefficiency of the nurses in Sangkha hospital. and to study expectations needs of the nurse and Factors Affecting to Process Improvement of Hospital Accreditation. The samples was 80 nurses in Sangkha hospital The tools of the research were questionnaire. The analysis of data used Statistical Package for Social Science. The statistics for analysis data used Frequency, Percentage, Mean, Standard Deviation, Pearson's Product Correlation Coefficient Results of the Research 1) Overall, the factors influencing to the working Process Improvement of Hospital Accreditation of the personal factors and the working efficiency of age, degree of education, , income and duration of working was found that: the personal factors of sampling had no the relationship with the working efficiency of Factors Affecting to Process Improvement of Hospital Accreditation. Therefore, the hypothesis was denied. 2) Morever,it was found the every aspect of the expectancy factor of the sample demonstration a positive corelation with the overall work performance aspect a mean of 3.97 and the person aspect had a mean of 3.80 .Samples expect Factors demonstrated a positive corelation with overall work performance at a moderate level with 0.01 as level of significance, and the relationship with commands had moderate level. Keyword : Expectation , Factors Affecting to Process Improvement, Hospital Accreditation บทนำ จำกนโยบำยหลักประกันสุขภำพถ้วนหน้ำตังแต่ปีพ.ศ. 2545 โดยเน้นกำรบริกำรสุขภำพทุกระดับตังแต่ ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ จะช่วยให้ประชำชนได้เข้ำถึงบริกำรสุขภำพอย่ำงเสมอภำค มีคุณภำพ และมีประสิทธิภำพ รวมทังได้รับกำรดูแลอย่ำงต่อเนื่องเหมำะสม โรงพยำบำลสังขะ เป็นองค์กำรภำครัฐที่ให้บริกำรด้ำนกำรรักษำพยำบำล กำรส่งเสริมสุขภำพ กำร ป้องกันโรคและกำรฟื้นฟูสภำพ ภำยใต้นโยบำยกำรประกันสุขภำพถ้วนหน้ำ ซึ่งให้ประชำชนมีทำงเลือกในด้ำนกำร รักษำพยำบำลและกำรดูแลสุขภำพ ตลอดจนมีกำรเรียกร้องสิทธิด้ำนกำรรักษำ พยำบำลมำกขึน โรงพยำบำลสังขะ จึงได้นำแนวทำงกำรปรับปรุงคุณภำพกำรให้บริกำรตำมมำตรฐำนฉบับปีกำญจนำภิเษก (Hospital Accreditation : HA) ซึ่งเป็นมำตรฐำนโรงพยำบำลระดับชำติ มำปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนอย่ำงต่อเนื่องมำเป็นเวลำ 16 ปี ใน หลักของกำรบริหำรและพัฒนำคุณภำพผลกำรปฏิบัติงำนในโรงพยำบำลให้ได้ตำมมำตรฐำน ปัจจัยสำคัญที่จะ ชีให้เห็นถึงควำมสำเร็จได้โดยง่ำยประกำรแรกคือ กำรที่โรงพยำบำลสำมำรถกำหนดแผนงำนนโยบำยที่ได้มำตรฐำน สอดคล้องกับควำมต้องกำรหรือควำมคำดหวังของทังผู้ใช้บริกำรและบุคลำกรผู้ให้บริกำรและแผนงำนนันสำมำรถนำ สู่กำรปฏิบัติได้(สุกัญญำ เพิ่มบุญ 2553) อีกทังยังต้องสอดคล้องกับทิศทำงในกำรปฏิรูประบบบริหำรจัดกำรภำครัฐ ของสำนักงำนคณะกรรมกำรข้ำรำชกำรพลเรือน ซึ่งมีเกณฑ์กำรประเมินประสิทธิภำพกำรปฏิบัติงำนจำนวน 5 ด้ำน ได้แก่ 1) ปริมำณ งำน 2) คุณภำพของผลงำน 3) ควำมทันเวลำ 4) ผลสัมฤทธิ์ของงำน และ 5) กำรประหยัด ทรัพยำกร ผลสัมฤทธิ์ของงำนคำนึงถึงผลลัพธ์ที่ได้ต้องมีคุณภำพต่อวิชำชีพ และใช้ทรัพยำกรในกำรปฏิบัติงำนอย่ำง

318


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เหมำะสมกับผลผลิตของงำนที่เกิดขึน กำรมีประสิทธิภำพกำรปฏิบัติงำนที่ดี ซึ่งประกอบไปด้วยด้ำนประสิทธิภำพ ส่วนบุคคล และด้ำนกำรผลกำรปฏิบัติงำน จำกกำรสำรวจควำมคิดเห็นของบุคลำกรและผู้รับบริกำรกลับไม่เป็นไป ตำมเกณฑ์ชีวัดที่กำหนดไว้ คือ ควำมพึงพอใจในงำนของบุคลำกร และควำมพึงพอใจของผู้รับบริกำรน้อยกว่ำร้อย ละ 80 ด้วยปัจจัยและตัวแปรดังกล่ำวข้ำงต้น โรงพยำบำลสังขะ ตระหนักถึงปัญหำที่อำจเกิดขึนในอนำคต หำก โรงพยำบำลสังขะ ยังไม่ดำเนินกำรศึกษำปัญหำที่เกิดขึนจำกปัจจัยสิ่งแวดล้อมทังภำยในและภำยนอกองค์กำรที่มีผล ต่อกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำน และกำรเพิ่มประสิทธิภำพกำรทำงำน เพื่อหำแนวทำงกำรปรับปรุงกระบวนกำร ทำงำนให้เหมำะสมสอดคล้องกับควำมต้องกำรของประชำชนผู้รับบริกำรและบุคลำกรผู้ให้บริกำร ปัญหำดังกล่ำว อำจส่งผลกระทบให้ควำมสำมำรถในกำรแข่งขันและรำยได้ของโรงพยำบำลลดลง ต้นทุนและค่ำใช้จ่ำยในด้ำนต่ำงๆ สูงขึน จำกกำรทบทวนวรรณกรรมที่ผ่ำนมำ ไม่พบกำรศึกษำที่เกี่ยวกับควำมคำดหวัง ควำมต้องกำรของ พยำบำลต่อกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล(HA) ในโรงพยำบำลภำครัฐ ส่วนใหญ่จะเป็น ในด้ำนของกำรพัฒนำคุณภำพบริกำรตำมควำมคำดหวังและกำรตอบสนองควำมต้องกำรของผู้ใช้บริกำรมำกกว่ำตำม ควำมต้องกำรหรือควำมคำดหวังของบุคลำกรผู้ให้บริกำร ทังที่ในควำมเป็นจริงแล้ว ควำมต้องกำรหรือควำมคำดหวัง ในกำรปฏิบัติงำนของผู้ให้บริกำรนันมีควำมสำคัญยิ่ง เพรำะเป็นข้อมูลพืนฐำนในกำรที่จะวำงแผนพัฒนำบุคลำกรใน องค์กรเพื่อสร้ำงแรงจูงใจให้บุคลำกรทุ่มเทควำมรู้ ควำมสำมำรถปฏิบัติงำนอย่ำงเต็มที่ เพื่อผลกำรปฏิบัติที่มีคุณภำพ ซึ่งอับรำฮัม เซเลนิค และคณะ (Abraham Zaleanik and other อ้ำงใน อภิชัย จตุพรวำท.ี 2557 : 13 ) กล่ำวว่ำ ในกำรที่จะปฏิบัติงำนได้ดีหรือไม่ได้ดีนัน ผู้ปฏิบัติจะต้องตอบสนองควำมต้องกำรทังภำยในและภำยนอก (Internal and External Needs) ซึ่งหำกได้รับกำรตอบสนองแล้วย่อมหมำยถึงกำรปฏิบัติงำนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ ซึ่ง ควำมต้องกำรภำยนอก ได้แก่ รำยได้หรือค่ำตอบแทน ควำมมั่นคงปลอดภัยในกำรปฏิบัติงำน สภำพแวดล้อมทำง กำยภำพ เป็นต้น สถำบันข้ำรำชกำรพลเรือน (2543 อ้ำงใน สุกัญญำ เพิ่มบุญ , 2553 : 4) กล่ำวว่ำ กำรพัฒนำ บุคลำกร เพื่อให้สำมำรถปฏิบัติงำนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพและสร้ำงควำมพึงพอใจให้แก่ผู้ใช้บริกำรนัน จะต้องเกิด จำกควำมต้องกำรของผู้ปฏิบัติ และสอดคล้องกับควำมต้องกำรจำเป็น ขององค์กร ผู้วิจัยในฐำนะเป็นส่วนหนึ่งของ ทีมงำนในกำรพัฒนำและรับรองคุณภำพ ตระหนักถึงควำมสำคัญในกำรดำเนินงำนปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำม มำตรฐำนโรงพยำบำล จึงสนใจที่จะศึกษำปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกำรเพิ่มประสิทธิภำพกำรทำงำนขึน เพื่อนำไปสู่ กำรพัฒนำกระบวนกำรทำงำนให้มีคุณภำพยิ่งขึน วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เพื่ อ ศึ ก ษำปั จ จั ย ที่ ส่ ง ผลกระทบต่ อ ประสิ ท ธิ ภ ำพ ของกำรปรั บ ปรุ ง กระบวนกำรท ำงำน ตำม มำตรฐำนโรงพยำบำล (HA) 2. เพื่อศึ กษำควำมคำดหวั ง ควำมต้ องกำรของพยำบำลต่อ กำรปรับ ปรุงกระบวนกำรท ำงำนตำม มำตรฐำนโรงพยำบำล(HA)

319


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

กรอบแนวคิดกำรวิจัย ตัวแปรอิสระ

SRRU NCR2018

ตัวแปรตำม

ปัจจัยส่วนบุคคล อำยุ ระดับกำรศึกษำ ตำแหน่งหน้ำที่ในกำรปฏิบตั ิงำน ระยะเวลำในกำรปฏิบัติงำน รำยได้เฉลี่ยต่อเดือน

ประสิทธิภำพของกำรปรับปรุง กระบวนกำรทำงำนงำนตำมมำตรฐำน โรงพยำบำล (HA) 1. ด้ำนบุคคล 2. ด้ำนผลกำรปฏิบตั ิงำน

องค์ประกอบของควำมคำดหวัง 5 ด้ำน 1.ค่ำตอบแทนและสวัสดิกำร 2. ควำมมั่นคงในงำน 3.สภำพแวดล้อมในกำรทำงำน 4.ควำมสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชำ 5. ควำมสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงำน (P0ster&L.W.,1974) ภำพที่ 1 กรอบแนวคิดกำรวิจัย สมมติฐำนกำรวิจัย 1. ปัจจัยส่วนบุคคล ประกอบด้วย อำยุ ระดับกำรระดับกำรศึกษำ ตำแหน่งหน้ำที่ในกำรปฏิบัติงำน ระยะเวลำในกำรปฏิบัติงำน รำยได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่ำงกันส่งผลต่อประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำร ทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล(HA)แตกต่ำงกัน 2. องค์ประกอบควำมคำดหวัง ทัง 5 ด้ำน มีควำมสัมพันธ์กับประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำร ทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล(HA) วิธีดำเนินกำรวิจัย กำรวิจัยครังนีเป็นกำรวิจัยเชิงพรรณนำ(Descriptive Research) ด้วยวิธีกำรสำรวจ (Survey Research Method) ใช้แบบสอบถำมเป็นเครื่องมือในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล ระยะเวลำระหว่ำงวันที่ ในช่วงเดือนพฤศจิกำยน – ธันวำคม 2560 ดังต่อไปนี ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกรที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี คือ พยำบำลที่ปฏิบัติงำนในโรงพยำบำล สังขะ จำนวน 99 คน โดยกำหนดคุณสมบัติ ดังนี คุณสมบัติของกลุ่มตัวอย่ำงที่เลือกเข้ำศึกษำ (Inclusion criteria)

320


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

1. เป็นพยำบำลที่ปฏิบัติงำนในสังกัดกลุ่ม กำรพยำบำล โรงพยำบำลสังขะ อำเภอสังขะ จังหวัด สุรินทร์ และปฏิบัติงำนอยู่ในช่วงของกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล(HA) ระหว่ำงปี พ.ศ. 2558 ถึง พ.ศ. 2559 2. ยินยอมเข้ำร่วมกำรวิจัย กลุ่มตัวอย่ำง ขนำดของกลุ่มตัวอย่ำง จำกจำนวนประชำกรที่ใช้ในกำรวิจัยดังกล่ำว ผู้วิจัยได้กำหนดสูตรของเครซี่และ มอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970 อ้ำงใน ธีรวุฒิ เอกะกุล, 2543) มีดังนี n = X 2 Np ( 1 – p ) e 2 (N-1) + X 2 p (1- p) n = ขนำดของกลุ่มตัวอย่ำง N = ขนำดของประชำกร e = ระดับควำมคลำดเคลื่อนของกำรสุ่มตัวอย่ำงที่ยอมรับได้ X 2 = ค่ำไคสแควร์ที่ df เท่ำกับ 1 และระดับควำมเชื่อมั่น 95% (X 2 =3.841) p = สัดส่วนของลักษณะที่สนใจในประชำกร (ถ้ำไม่ทรำบให้กำหนด p = 0.5) วิธี กำรค ำนวณ ผู้วิ จัย ต้อ งทรำบขนำดประชำกรและสัด ส่ว นของลั กษณะที่ สนใจในประชำกร และ กำหนดระดับควำมคลำดเคลื่อนและระดับควำมเชื่อมั่นด้วย เช่น ถ้ำประชำกรที่ใช้ในกำรวิจัยมี จำนวน 99 คน ยอมรับให้เกิดควำมคลำดเคลื่อนของกำรสุ่มตัวอย่ำงได้ 5% ที่ระดับควำมเชื่อมั่น 95% และสัดส่วนของลักษณะที่ สนใจในประชำกรเท่ำกับ 0.5 ขนำดของกลุ่มตัวอย่ำง โดยใช้สูตรของเครซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่ำง จำนวน 80 คน วิธีกำรเลือกกลุ่มตัวอย่ำง ผู้วิจัยใช้ทฤษฎีแบบใช้ควำมน่ำจะเป็น (Probability Sampling) ซึ่งใช้กำรเลือกหน่วยตัวอย่ำงโดยใช้ ควำมน่ำจะเป็นเท่ำกัน (equal probability sampling ) ด้วยวิธีกำรเลือกหน่วยตัวอย่ำง อย่ำงง่ำย ( simple random sampling : SRS) โดยวิธีกำรจับฉลำกแบบไม่มีกำรแทนที่/ใส่คืน ดำเนินกำรเขียนหมำยเลขของหน่วย ตัวอย่ำงทังหมด ตำมบัญชีรำยชื่อประชำกร (กรอบตัวอย่ำง) ลงในกระดำษเพื่อทำเป็นฉลำก จำกนันจึงทำกำรจับ ฉลำกที่ระบุหมำยเลขในกระดำษทีละใบแบบสุ่ม จนครบตำมขนำดตัวอย่ำงที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยครังนี ประกอบด้วยแบบสอบถำม 1 ชุด โดยแบ่งเป็น 4 ส่วน ดังนี ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถำม จำนวน 9 ข้อ ส่วนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบควำมคำดหวัง จำนวน 20 ข้อส่วนที่ 3 ประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล จำนวน 10 ข้อ ส่วนที่ 4 ปัญหำ อุปสรรคและข้อเสนอแนะอื่นๆ

321


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำรแปลผลคะแนน ควำมคิดเห็นในภำพรวม แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี คะแนนเฉลี่ย

ช่วงคะแนน 4.51-5.00 3.51-4.49 2.51-3.50 1.51-2.50 1.00-1.50

ระดับควำมคิดเห็น มำกที่สุด มำก ปำนกลำง น้อย น้อยที่สุด

กำรแปลควำมหมำย เห็นด้วยมำกที่สุด เห็นด้วยมำก เห็นด้วยปำนกลำง เห็นด้วยน้อย เห็นด้วยน้อยที่สุด

กำรตรวจสอบคุณภำพของเครื่องมือ กำรตรวจสอบควำมตรงเชิงเนือหำ ผู้วิจัยได้นำแบบสอบถำมให้ผู้เชี่ยวชำญ จำนวน 3 ท่ำน ตรวจควำมถูก ต้อง ควำมเหมำะสมของภำษำที่ใช้ในแบบสอบถำม และนำทดลองใช้ (Try out) กับกลุ่มตัวอย่ำงที่มีลักษณะคล้ำยคลึงกัน จำนวน 30 คน และวิเครำะห์หำควำมเที่ยง (Reliability) คำนวณหำค่ำสัมประสิทธิ์อัลฟำของครอนบำค (Cronbach's AlphaCoefficient) ของแบบสอบถำม มีค่ำตังแต่ 0.7 ขึนไป จึงจะยอมรับว่ำมีควำมเที่ยงที่เชื่อถือ (บุญธรรม กิจปรีดำ บริสุทธิ์, 2543) ผลกำรทดสอบได้เท่ำกับ0.896 จึงยอมรับแบบสอบถำมได้ กำรเก็บรวบรวมข้อมูล เตรียมแบบสอบถำม เพื่อกำรรวบรวมจำกกลุ่มตัวอย่ำง ซึ่งเป็นพยำบำลที่ทำงำนในโรงพยำบำลสังขะ ผู้วิจัยขอควำมร่วมมือจำกพยำบำลในสังกัดกลุ่มกำรพยำบำล ตอบแบบสอบถำม และเก็บแบบสอบถำมคืนด้วย ตนเอง ผลกำรเก็บ รวบรวมข้ อ มู ล ผู้ วิจั ย ได้ รั บแบบสอบถำมคื น จ ำนวน 80 ฉบั บ คิ ด เป็ น ร้อ ยละ 100 ของ แบบสอบถำมที่ส่งไปทังหมด กำรวิเครำะห์ข้อมูล กำรวิเครำะห์ตัวแปรเดียว ด้วยสถิติเชิงพรรณนำ(Descriptive Statistics) ควำมถี่ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมำตรฐำน สำหรับกำรวิเครำะห์ควำมแตกต่ำงของตัวแปร 2 ตัวแปรใช้ทดสอบค่ำ Independent t–test ที่ระดับนัยสำคัญทำงสถิติ 0.05 ทดสอบควำมแตกต่ำงโดยใช้กำรทดสอบ F - test ด้วยกำรวิเครำะห์ควำม แปรปรวนทำงเดียว ที่ระดับนัยสำคัญ0.05 และใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) เพื่อวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ ผลกำรวิจัย ส่วนที่1 ข้อมูลทั่วไป กำรศึกษำครังนีมีผู้ตอบแบบสอบถำมทังสิน 80 คน มีอำยุน้อยที่สุด 23 ปี อำยุมำกที่สุด 58 ปี และ อำยุเฉลี่ย 36.04 ปี เมื่อจัดกลุ่มอำยุเป็น 4 กลุ่ม พบว่ำส่วนมำก อำยุระหว่ำง 32-40 ปี จำนวน 31 คน คิดเป็น ร้อยละ 38.8 รองลงมำอำยุ ระหว่ำง 23-31 ปี จำนวน 28 คน คิดเป็นร้อยละ 35.0 และน้อยสุดอำยุระหว่ำง 50 58 ปี จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 7.50 ส่วนมำกเป็นเพศหญิง จำนวน 77 คน คิดเป็นร้อยละ 96.25 จบ กำรศึก ษำสูงสุด ระดับปริ ญญำตรีมำกที่สุด จำนวน 66 คน คิ ดเป็น ร้อยละ 82.5 รองลงมำสำเร็จกำรศึกษำ ประกำศนียบัตรพยำบำลศำสตร์ จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ12.50 ระยะเวลำปฏิบัติงำนในหน่วยงำนปัจจุบัน ส่วนมำกอยู่ระหว่ำง 1 – 11 ปี จำนวน 55 คน คิดเป็นร้อยละ68.80 รองลงมำระหว่ำง 12 -22 ปี จำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ25.00 งำนปัจจุบันที่ปฏิบัติงำน ส่วนมำกปฏิบัติงำนผู้ป่วยใน จำนวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ42.50 รองลงมำปฏิบัติงำนผู้ป่วยนอก จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 21.30 เป็นสำยงำน พยำบำลวิชีพมำกที่สุด จำนวน

322


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

77 คน คิดเป็นร้อยละ 96.25 โดยเป็นข้ำรำชกำรมำกที่สุด จำนวน 70 คน คิดเป็นร้อยละ 87.50 รองลงมำเป็น ลูกจ้ำงชั่วครำว จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 7.50 ตำแหน่งหน้ำที่หลักในหน่วยงำนที่ปฏิบัติงำน พบว่ำ ส่วนมำก เป็นพยำบำลประจำกำร จำนวน 53 คน คิดเป็นร้อยละ 66.30 รองลงมำเป็นพยำบำลชำนำญกำร จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 18.80 และ รำยได้เฉลี่ยต่อเดือน พบว่ำ รำยได้เฉลี่ยต่อเดือน ต่ำสุดคือ 13,455 บำท สูงสุด 47,800 บำท และรำยได้เฉลี่ย 26,614.04 บำท และส่วนมำกมีรำยได้เฉลี่ยต่อเดือน ระหว่ำง 22,043 - 30,630 บำท จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 48.30 รองลงมำรำยได้เฉลี่ยต่อเดือนระหว่ำง 13,455 – 22,042 บำท จำนวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 28.80 และรำยได้เฉลี่ยต่อเดือน 39,219 บำทขึนไป จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 8.80 ส่วนที่ 2 ผลกำรวิเครำะห์องค์ประกอบควำมคำดหวังที่ส่งผลต่อประสิทธิภำพกำรปรับปรุง กระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล (HA) ผลกำรศึ ก ษำ องค์ ป ระกอบควำมคำดหวั ง ของกลุ่ ม ตั ว อย่ ำ งต่ อ ประสิ ท ธิ ภ ำพของกำรปรั บ ปรุ ง กระบวนกำรทำงำน พบว่ำ ภำพรวมมีองค์ประกอบควำมคำดหวังอยู่ ในระดับมำก ( X = 3.83 และ S.D.= .19) แสดงให้เห็นว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงมีควำมคำดหวังในระดับมำกต่อประสิทธิภำพของกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำม มำตรฐำน (HA) เมื่อจำแนกองค์ประกอบควำมคำดหวังเป็นรำยด้ำน โดยเรียงลำดับตำมค่ำเฉลี่ยจำกมำกไปหำน้อย พบว่ำ ควำมคำดหวังที่มีค่ำเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้ำนควำมสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชำ ( X = 4.00และ S.D.=.59) รองลงมำ ได้แก่ ด้ำนควำมมั่นคงในงำน ( X = 3.97. และ S.D.= .59) ด้ำนควำมสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงำน ( X = 3.87. และ S.D.= .91) ด้ำนสภำพแวดล้อมกำรทำงำน ( X = 3.81. และ S.D.= .62) และข้อที่มีค่ำเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ด้ำนค่ำตอบแทนและสวัสดิกำร” ( X = 3.52. และ S.D.= .74) ตำมลำดับ ดังตำรำงที่ 1 ตำรำงที่ 1 แสดงค่ำเฉลีย่ ( X ) และค่ำเบี่ยงเบนมำตรฐำน(S.D.) องค์ประกอบควำมคำดหวังที่ส่งผลต่อประสิทธิภำพ กำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำน (HA) จำแนกรำยด้ำน องค์ประกอบควำมคำดหวัง ค่ำตอบแทนและสวัสดิกำร ด้ำนควำมมั่นคงในงำน ด้ำนสภำพแวดล้อมกำรทำงำน ควำมสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชำ ควำมสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงำน ค่ำเฉลี่ยควำมคิดเห็นรวม

S.D. 0.74 0.59 0.62 0.59 0.61 0.19

X

3.52 3.97 3.81 4.00 3.87 3.83

แปลผล มำก มำก มำก มำก มำก มำก

อันดับ 5 2 4 1 3

ส่วนที่ 3 ผลกำรทดสอบสมมติฐำน สมมติฐำนที่1 กลุ่มตัวอย่ำงที่มี อำยุ ระดับกำรศึกษำ ระยะเวลำที่ปฏิบัติงำน (อำยุงำน) ตำแหน่งในกำร ปฏิบัติงำน และรำยได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่ำงกันส่งผลต่อประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำม มำตรฐำน (HA) แตกต่ำงกัน

323


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 2 แสดงควำมแตกต่ำงปัจจัยส่วนบุคคลกับประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำน โรงพยำบำล (HA)

ปัจจัยส่วนบุคคล อำยุ ระดับกำรศึกษำ ระยะเวลำทีป่ ฏิบัติงำน ตำแหน่งในกำรปฏิบัติงำน รำยได้เฉลี่ยต่อเดือน

ประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำม มำตรฐำนโรงพยำบำล (HA) ด้ำนบุคคล ด้ำนผลกำรปฏิบัติงำน ภำพรวม 0.96 0.89 1.64 0.42 0.45 0.19 0.98 0.71 1.46 0.38 0.50 0.24 0.22 0.61 0.67 0.80 0.55 0.51 0.12 1.07 0.02 0.89 0.35 0.05 0.92 1.83 0.29 0.43 0.15 0.83

ค่ำสถิติทดสอบ สมมติฐำน F - Test sig F - Test sig F - Test sig F - Test sig F - Test sig

จำกผลกำรทดสอบควำมแตกต่ำงโดยใช้กำรทดสอบ F - test ด้วยกำรวิเครำะห์ควำมแปรปรวนทำง เดียว ที่ระดับนัยสำคัญ0.05 ระหว่ำงปัจจัยส่วนบุคคล ประกอบด้วย อำยุ ระดับกำรศึกษำ ระยะเวลำที่ปฏิบัติงำน (อำยุงำน) ตำแหน่งในกำรปฏิบัติงำน และรำยได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่ำงกันหลังทดสอบเป็นรำยด้ำน พบว่ำ ปัจจัย ส่วนบุคคล เมื่อจำแนกรำยด้ำน มีค่ำ Sig ซึ่งมีค่ำมำกกว่ำ0.05 สรุปผลกำรทดสอบได้ว่ำ ปัจจัยส่วนบุคคล ทัง 5 ด้ำน ที่แตกต่ำงกันทำให้ประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำน(HA) ของกลุ่มตัวอย่ำงไม่แตกต่ำงกัน สมมติฐำนที่ 2 องค์ประกอบควำมคำดหวังมีควำมสัมพันธ์กับประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำร ทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล (HA) โดยภำพรวม จำกผลกำรวิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ขององค์ประกอบควำมคำดหวังกับประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกำร กระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล(HA) โดยรวม ใช้กำรทดสอบด้วยวิธีกำรวิเครำะห์ค่ำควำมสัมพันธ์ ด้วยสัมประสิทธิ์ของเพียร์สัน (Pearson) ระดับนัยสำคัญทำงสถิติที่ 0.01 เมื่อพิจำรณำรำยด้ำนโดยเรียงจำกมำกไป หำน้อย พบว่ำ ด้ำนควำมสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชำ มีควำมสัมพันธ์ระดับสูงมีค่ำ Sig.เท่ำกับ 0.000 (r = .686**) และ มีทิศทำงบวก สำหรับด้ำนที่มีควำมสัมพันธ์ระดับปำนกลำง ได้แก่ ด้ำนควำมสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงำน ด้ำนควำม มั่นคงในงำน ด้ำนค่ำตอบแทนและสวัสดิกำร ด้ำนสภำพแวดล้อมกำรทำงำน มีค่ำ Sig.เท่ำกับ 0.000 โดยมีค่ำ r = .677** r = .652** r = .623** r = .503** ตำมลำดับ มีทิศทำงบวกหรือทิศทำงเดียวกันในทุกๆด้ำน ซึ่งมีค่ำ Sig.น้อย กว่ำ 0.01 นันคือ ปฏิเสธสมมติฐำนหลัก Ho และยอมรับสมมติฐำนรอง H1 หมำยควำมว่ำองค์ประกอบของควำม คำดหวังรำยด้ำนในทุกๆด้ำนมีควำมสัมพันธ์กับ ประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกำรกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำน โรงพยำบำล(HA) โดยรวม และมีทิศทำงบวกหรือทิศทำงเดียวกัน อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.01 ดังตำรำง ที่ 3

324


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตำรำงที่ 3 แสดงควำมสัมพันธ์ขององค์ประกอบควำมคำดหวังกับประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำน ตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล (HA) โดยรวม องค์ประกอบควำมคำดหวัง 1. 2. 3. 4. 5.

ค่ำตอบแทนและสวัสดิกำร ด้ำนควำมมั่นคงในงำน ด้ำนสภำพแวดล้อมกำรทำงำน ด้ำนควำมสัมพันธ์กบั ผู้บังคับบัญชำ ด้ำนควำมสัมพันธ์กบั เพื่อนร่วมงำน

ประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำน(โดยรวม) r Sig ระดับควำมสัมพันธ์ ** .623 .000 ปำนกลำง ** .677 .000 ปำนกลำง ** .503 .000 น้อย ** .686 .000 ปำนกลำง ** .652 .000 ปำนกลำง

ทิศทำง บวก บวก บวก บวก บวก

**มีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.01 สรุปผลกำรวิจัย 1. ผลกำรวิเครำะห์องค์ประกอบควำมคำดหวังที่ส่งผลต่อประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำร ทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล (HA) พบว่ำ ภำพรวมมีองค์ประกอบควำมคำดหวังอยู่ ในระดับมำก ( X = 3.83 และ S.D.= .19) แสดงให้เห็นว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงมีควำมคำดหวังในระดับมำกต่อประสิทธิภำพของกำรปรับปรุง กระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำน (HA) เมื่อจำแนกเป็นรำยด้ำน พบว่ำ ควำมคำดหวังที่มีค่ำเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้ำนควำมสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชำ ( X = 4.00และ S.D.=.59) และด้ำนที่มีค่ำเฉลี่ยน้อยที่สุดได้แก่ ด้ำนค่ำตอบแทนและ สวัสดิกำร” ( X = 3.52. และ S.D.= .74) 2. ผลกำรทดสอบควำมแตกต่ำงโดยใช้กำรทดสอบ F - test ด้วยกำรวิเครำะห์ควำมแปรปรวนทำง เดียว ที่ระดับนัยสำคัญ0.05 ระหว่ำงปัจจัยส่วนบุคคล ประกอบด้วย อำยุ ระดับกำรศึกษำ ระยะเวลำที่ปฏิบัติงำน (อำยุงำน) ตำแหน่งในกำรปฏิบัติงำน และรำยได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่ำงกันส่งผลต่อประสิทธิภำพกำรปรับปรุง กระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล(HA) ไม่แตกต่ำงกัน 3. ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงองค์ประกอบของควำมคำดหวัง 5 ด้ำน ประกอบด้วย ค่ำตอบแทนและสวัสดิกำร ควำมมั่นคงในงำน สภำพแวดล้อมกำรทำงำน ควำมสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชำ และ ควำมสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงำน กับ ประสิ ทธิ ภำพกำรปรั บปรุ งกระบวนกำรท ำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล(HA) มีค วำมสัม พั น ธ์ ทำงบวกอย่ ำ งมี นัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.01 แสดงให้เห็นว่ำ เมื่อระดับควำมคำดหวังเพิ่มขึนเพิ่มขี จะส่งผลต่อกำรเพิ่มประสิทธ์ ภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำลด้วย วิจำรณ์ผลกำรวิจัย 1. ผลกำรศึก ษำ องค์ ประกอบควำมคำดหวั งของกลุ่ มตั วอย่ำ งต่ อประสิ ทธิ ภำพของกำรปรับ ปรุ ง กระบวนกำรทำงำน พบว่ำ ภำพรวมมีองค์ประกอบควำมคำดหวังอยู่ ในระดับมำก ( X = 3.83 และ S.D.= .19) แสดงให้เห็นว่ำกลุ่มตัวอย่ำงมีควำมคำดหวังในระดับมำกต่อประสิทธิภำพของกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำม มำตรฐำน (HA) เมื่อจำแนกองค์ประกอบควำมคำดหวังเป็นรำยด้ำน พบว่ำ ควำมคำดหวังที่มีค่ำเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้ำนควำมสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชำ ( X = 4.00และ S.D.=.59) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของนิภำ แก้วศรีงำม (อ้ำงใน อภิชัย จตุพรวำที. 2557 : 18) ที่กล่ำวว่ำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลในองค์กำร ถ้ำองค์กำรที่ควำมสัมพันธ์ระหว่ำง นำยกับลูกน้องที่ดีเพียงพอย่อมทำให้บรรยำกำศในกำรทำงำนมีประสิทธิภำพมำกกว่ำองค์กำ รที่มีควำมสัมพันธ์

325


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ระหว่ำงนำยกับลูกน้องที่ไม่ดี รองลงมำ ได้แก่ ด้ำนควำมมั่นคงในงำน ( X = 3.97. และ S.D.= .59) ด้ำนควำม สัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงำน ( X = 3.87. และ S.D.= .91) ด้ำนสภำพแวดล้อมกำรทำงำน ( X = 3.81. และ S.D.= .62) และข้อที่มีค่ำเฉลี่ยน้อยที่สุดได้แก่ ด้ำนค่ำตอบแทนและสวัสดิกำร” ( X = 3.52. และ S.D.= .74) ตำมลำดับ จำกผลกำรวิเครำะห์ข้อมลพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงให้ควำมสำคัญกับด้ำนควำมสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชำมำก ที่สุด 2. ผลกำรศึ ก ษำปั จ จั ย ส่ ว นบุ ค คลที่ ส่ งผลต่ อ ประสิ ท ธิ ภ ำพกำรปรั บ ปรุ งกระบวนกำรท ำงำนตำม มำตรฐำนโรงพยำบำล(HA) ซึ่งสอดคล้องกับกำรศึกษำของอภิชัย จตุพรวำที (2557) ได้ศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำง ปัจจัยส่วนบุคคลกับประสิทธิภำพในกำรปฏิบัติงำนของ อำสำสมัครคุมประพฤติจังหวัดนครสวรรค์ ได้แก่ เพศ อำยุ สถำนภำพกำรสมรส กำรศึกษำ อำชีพ รำยได้ ระยะเวลำกำรปฏิบัติงำนอำสำสมัครคุมประพฤติ พบว่ำปัจจัยส่วน บุคคลของอำสำสมัครคุม ประพฤติไม่มีควำมสัมพันธ์กับประสิทธิภำพกำรปฏิบัติงำนของอำสำสมัครคุมประพฤติ จึง ปฏิเสธ สมมติฐำนกำรวิจัย 3. ผลกำรศึกษำ องค์ประกอบของควำมคำดหวังที่สัมพันธ์กับประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำร ทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล (HA) โดยรวม พบว่ำ องค์ประกอบของควำมคำดหวัง ด้ำนค่ำตอบแทนและ สวัสดิกำร ควำมมั่นคงในงำน ควำมสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชำ และ ควำมสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงำน มีควำมสัมพันธ์ใน ระดับปำนกลำง และควำมคำดหวัง ด้ำนสภำพแวดล้อมกำรทำงำน มีควำมสัมพันธ์ในระดับน้อย แต่ควำมคำดหวังทัง 5 ด้ำน มีควำมสัมพันธ์ในทิศทำงบวกหรือทิศทำงเดียวกันกับประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำม มำตรฐำนโรงพยำบำล(HA) อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งสอดคล้องกั บกำรศึกษำของ นิ่มนวน ทอง แสน, (2558) ที่ได้ศึกษำปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภำพกำรทำงำนของพนักงำนกลุ่มธุรกิจผลิตเครื่องสำอำงในเขต จังหวัดปทุมธำนี ที่พบว่ำองค์ประกอบควำมคำดหวังของพนักงำนกลุ่มธุรกิจผลิตเครื่องสำอำงในเขตจังหวัดปทุมธำนี ทุกด้ำนมีควำมสัมพันธ์กับประสิทธิภำพกำรทำงำนของพนักงำนโดยรวมเป็นไปในทำงเดียวกัน ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะกำรนำผลกำรวิจัยไปใช้ จำกผลกำรศึกษำ พบว่ำ องค์ประกอบของควำมคำดหวังทัง 5 ด้ำน มีควำมสัมพันธ์กันในทิศทำงบวก หรือทิศทำงเดียวกันกับประสิทธิภำพกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล ดังนันผู้บริหำรจึง ควรเพิ่มระดับของควำมคำดหวังของบุคลำกร เพื่อส่งผลต่อกำรเพิ่มประสิทธิภำพของกำรปรับปรุงกระบวนกำร ทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล และยังจำกกำรศึ กษำยังพบว่ำ ควำมคำดหวังด้ำนด้ำนสภำพแวดล้อมกำรทำงำน ที่มีค่ำน้อยที่สุด ซึ่งสถำนที่ทำงำน ควรมีควำมสะดวกสบำยเพียงพอต่อกำรปฏิบัติงำน เช่น มีแสงสว่ำง เหมำะสม อุณหภูมิและกำรถ่ำยเทอำกำศที่ดีเพียงพอ ไม่มีเสียงรบกวน รวมทังสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่ ก่อให้เกิดควำมไม่สบำยใจใน กำรทำงำน อุปกรณ์และเครื่องมือในสำนักงำน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับกำรทำงำนและ เป็นกำรช่วยให้ บุคลำกรทำงำนได้สะดวกและรวดเร็วมำกขึน เช่น วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในงำนธุรกำร เครื่องจักรกลต่ำงๆ รวมถึง เครื่องมือเครื่องใช้ในกำรปฏิบัติงำน ดังนีผู้บริหำรจึงควรมีกำรสำรวจด้ำนสภำพแวดล้อมกำรทำงำนภำยในองค์กำรที่ จะสร้ำงบรรยำกำศที่ดีหรือไม่ดีให้องค์กำร

ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยครั้งต่อไป

326


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กำรวิจัยในครังนีศึกษำเฉพำะควำมคำดหวัง ควำมต้องกำรของพยำบำลต่อกำรปรับปรุงกระบวนกำร ทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำล ผู้วิจัยเสนอให้มีกำรศึกษำเพิ่มเติมในภำพรวมของกลุ่มบุคลำกรอื่นในโรงพยำบำล เพรำะเป็นกลุ่มที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกำรปรับปรุงกระบวนกำรทำงำนตำมมำตรฐำนโรงพยำบำลเช่นกัน กิตติกรรมประกำศ ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่ำน ที่ได้ให้ควำมกรุณำเป็นผู้เชี่ยวชำญช่วยตรวจสอบเครื่ องมือและให้ คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในกำรจัดทำกำรศึกษำวิจัยและขอขอบคุณผู้บริหำร พยำบำล และเจ้ำหน้ำที่ โรงพยำบำล สังขะ และโรงพยำบำลปรำสำท ที่ได้ให้ควำมอนุเครำะห์ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อกำรวิจัยครังนี และขอขอบคุณ กลุ่มตัวอย่ำงที่ให้ควำมอนุเครำะห์ช่วยให้ข้อมูลสำคัญและตอบแบบสอบถำมทุกท่ำน คุณค่ำและประโยชน์ใดๆ อันพึง มีจำกงำนวิจัยฉบับนี ผู้วิจัยขอน้อมบูชำเป็น กตเวทิตำคุณแก่ครูบำอำจำรย์ บิดำมำรดำ ญำติสนิทมิตรสหำย ที่เป็น กำลังใจสนับสนุนในทุกๆ เรื่อง รวมทังผู้มีพระคุณทุกท่ำนที่ได้ร่วมกันสร้ำงสรรค์ผลงำนวิจัยฉบับนี ให้แก่ผู้วิจัยจน ประสบผลสำเร็จลุล่วงด้วยดี เอกสำรอ้ำงอิง ธงชัย สันติวงษ์, กำรบริหำรงำนบุคคล, พิมพ์ครังที่ 7, (กรุงเทพมหำนคร : ไทยวัฒนำพำนิช, 2537), หน้ำ 21-24 ธีระวุฒิ เอกะกุล. (2550). ระเบียบวิธีวิจัยทำงพฤติกรรมศำสตร์ และสังคมศำสตร์. (พิมพ์ครังที่5),อุบลรำชธำนี: วิทยำออฟเซทกำรพิมพ์. นิ่มนวน ทองแสน. ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภำพกำรทำงำนของพนักงำนกลุ่มธุรกิจผลิตเครื่องสำอำง ในเขต จังหวัดปทุมธำนี. กำรค้นคว้ำอิสระปริญญำบริหำรธุรกิจมหำบัณฑิต. คณะบริหำรธุรกิจ. มหำวทิยำลัย เทคโนโลยีรำชมงคลธัญบุรี. บุญธรรม กิจปรีดำบริสุทธิ์. (2543). กำรวิจัยกำรวัดและประเมินผล. พิมพ์ครังที่ 2. กรุงเทพฯ: ศรีอนันต์. บุญธรรม กิจปรีดำบริสุทธิ์. (2549). เทคนิคกำรสร้ำงเครื่องมือรวบรวมข้อมูลสำหรับงำนวิจัย. กรุงเทพฯ: จำมจุรี โปรดักท์. ยุพิน สุขเจริญ, ขวัญดำว กล่ำรัตน์. (2558). ปัจจัยที่มีควำมสัมพันธ์ตอ่ กำรปฏิบัติงำนตำมสมรรถนะพยำบำลวิชำชีพ ของพยำบำลที่ปฏิบัติงำนใน โรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพตำบล จังหวัดนครปฐม วำรสำรมหำวิทยำลัย นรำธิวำสรำชนครินทร์ สำขำมนุษยศำสตร์และสังคมศำสตร์.ปีที่2 ฉบับ สืบค้นจำก https://www.tcithaijo.org/index.php/pnuhuso/article/view/52685. สุกัญญำ เพิ่มบุญ. (2553). ควำมคำดหวังและควำมเป็นจริงในกำรปฏิบัติงำนกับผลกำรปฏิบัติงำนของพยำบำล วิชำชีพในโรงพยำบำลศรีสะเกษ. วิทยำนิพนธ์ปริญญำสำธำรณสุขศำสตรมหำบัณฑิต (บริหำร รพ.) สำขำวิชำวิทยำศำสตร์สุขภำพ มหำวิทยำลัยสุโขทัยธรรมมำธิรำช. อภิชัย จตุพรวำที.(2557) ปัจจัยทีม่ ีผลต่อประสิทธิภำพในกำรปฏิบตั ิงำนของอำสำสมัครคุมประพฤติ จังหวัด นครสวรรค์.วิทยำนิพนธ์ปริญญำพุทธศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ บัณฑิต วิทยำลัย มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณ์รำชวิทยำลัย.หน้ำ13

327


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018 SCIEPO-31

กำรเสริมสร้ำงทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง PALLIATIVE CARE SKILL BUILDING IN CAREGIVERS OF CANCER PATIENTS ชลิยำ วำมะลุน1, จิรังกูร ณัฐรังสี2, เยำวลักษณ์ โพธิดำรำ3 เพชรไทย นิรมำนสกุลพงษ์4, และ เพชรฉวี บุญฉวี5 1 2 3 4 5

Chaliya Wamaloon โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Jirungkoon Nuttrarungsri มหาวิทยาลัยราชธานี Yoawaluck Pothidara มหาวิทยาลัยราชธานี Petthai Niramansakulpong โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Petchawee Boonchawee โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี

บทคัดย่อ กำรวิจัยนีเป็นกำรวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อเปรียบเทียบทักษะของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองก่อน และหลังพัฒนำและศึกษำระดับควำมพึงพอใจต่อกำรเสริมสร้ำงทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง โดย จัดกระบวนกำรเสริมสร้ำงทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองตำมแนวคิดของ Schumacher, Stewart, Archbold, Dodd and Dibble กลุ่มตัวอย่ำง คือ ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่มำรับบริกำรที่โรงพยำบำลมะเร็งอุบลรำชธำนี คั ด เลื อ กกลุ่ ม ตั ว อย่ ำ งแบบเจำะจงจ ำนวน 30 คนตำมเกณฑ์ คุ ณ สมบั ติ ที่ ก ำหนด เครื่ อ งมื อวิ จั ย ได้ แ ก่ กระบวนกำรพัฒ นำศั กยภำพผู้ดู แลที่ ใช้ เป็ นรู ป แบบกำรพั ฒนำ แบบประเมิ นทั กษะกำรดู แ ลผู้ ป่ว ยมะเร็ งแบบ ประคับประคองและแบบประเมินควำมพึงพอใจต่อกำรเสริมสร้ำงทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง ผ่ำน กำรตรวจสอบจำกผู้เชี่ยวชำญและหำค่ำควำมเชื่อมั่นตำมสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่ำของครอนบำคเท่ำกับ0.89และ0.92 ตำมลำดับ วิเครำะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนำและสถิติทดสอบที (Pare t-test) ผลกำรวิจัยพบว่ำ ค่ำคะแนนเฉลี่ยทักษะผู้ดูแลผูป้ ่วยมะเร็งแบบประคับประคองในภำพรวมก่อนและหลัง กำรพัฒนำแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (t = 3.15, P–value < 0.05, 95%CI) ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบ ประคับประคองมีควำมพึงพอใจต่อกำรเสริมสร้ำงทักษะกำรดูแลในระดับมำกที่สุด คำสำคัญ: กำรเสริมสร้ำงทักษะ;ผูด้ ูแล;ผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง Abstract This study was based on a quasi-experimental research design aimed at comparing the palliative care skills of caregivers of cancer patients before and after building skills in providing palliative care for cancer patients. The satisfaction of caregivers providing palliative care for cancer patients was assessed by preparing palliative care skill building processes for caregivers of cancer patients based on the concept of Schumacher, Steward, Archbold, Dodd and Dibble. The subjects consisted of 30 caregivers of cancer patients who received services at Ubonratchathani

328


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Cancer Hospital and were purposively sampled based on inclusion criteria. The research instrumentation consisted of the training course, a handbook on palliative care for cancer patients, a form for assessing skills in providing palliative care for cancer patients and a form for assessing satisfaction about the palliative skill building process among caregivers of cancer patients. The instruments were tested for content validity by experts and the reliability of the skill and satisfaction assessment forms were determined with Cronbach’s Alpha Coefficient, yielding scores of 0.89 and 0.92, respectively. Data were analyzed using descriptive statistics and paired t-test statistics. According to the findings, the overall mean scores of palliative care skills among caregivers of cancer patients before and after skill building were different with statistical significance (t = 3.15, P-value < 0.05, 95% CI). The caregivers of cancer patients who provided palliative care were found to be the most satisfied with care skill building. Keywords: Skill building,; caregivers,; cancer patients under palliative care. บทนำ จำกข้อมูลขององค์กำรอนำมัยโลกปี ค.ศ. 2015 พบผู้ป่วยทั่วโลกเสียชีวิตจำกโรคมะเร็งจำนวน 8.8 ล้ำน คน ซึ่งคิดเป็นอัตรำ 1 ต่อ 6 และจัดอยู่ในอันดับที่ 2 ของผู้เสียชีวิตทังหมด สำหรับประเทศไทยกำรตำยจำก โรคมะเร็งอยู่ในอับดับที่ 1 โดยมีอัต รำตำยเท่ำกั บ 58.6 ต่ อประชำกรแสนคนต่อปี ปัจจุบันควำมก้ำวหน้ำทำง กำรแพทย์ทำให้ประสิทธิภำพในกำรรักษำโรคดีขึน ผู้ป่วยมะเร็งมีอัตรำกำรรอดชีวิตมำกขึนและกลำยเป็นผู้ป่วย เรือรังที่จะต้องได้รับกำรดูแลอย่ำงต่อเนื่อง อย่ำงไรก็ตำมเมื่อมีกำรกลับเป็นซำในรำยที่โรคมะเร็งลุกลำมทำให้ผปู้ ่วยมะเร็งหลำยรำยเลือกวิธีกำรที่จะ ดูแลรักษำแบบประคับประคองเพรำะรู้สึกไม่สุขสบำยจำกกำรรักษำ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนีมักจัดอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง ระยะสุดท้ำย ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่จะเผชิญกับอำกำรต่ำงๆ ที่ส่งผลให้คุณภำพชีวิตลดลง บุคลำกรทำงกำรแพทย์ และพยำบำล จึงควรให้ค วำมสำคัญและใส่ใจในกำรดูแลเพื่อจัดกำรกับอำกำรต่ำงๆและช่วยบรรเทำควำมทุกข์ ทรมำนที่เกิดขึนกับผู้ป่วย โดยเฉพำะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองที่ต้องรับภำระเป็นผู้ดูแลหลัก จำกงำนวิจัยเกี่ยวกับภำระของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งพบว่ำผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งใช้เวลำ 5-10 ชั่วโมงต่อวันใน กำรดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งผู้ดูจะต้องมีกำรปรับตัวภำยใต้สภำวะที่มีควำมกดดัน เกิดควำมเครียด วิตกกังวลและเกิด ควำมเหนื่อยล้ำ โดยเฉพำะกำรดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองเป็นบทบำทที่ผู้ดูแลต้องปฏิบัติโดยที่ไม่ได้ เตรียมควำมพร้อมในกำรดูแลมำก่อน นอกจำกจะทำให้เป็นภำระที่เพิ่มขึนนอกเหนือจำกงำนประจำที่ทำอยู่ ยัง ส่งผลให้ผู้ดูแลเกิดควำมเครียด กังวลต่อกำรเปลี่ยนแปลงที่ผู้ป่วยแสดงออก ดังมีข้อมูลที่ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งสะท้อนให้ เห็นว่ำกำลังแบกรับภำระที่ส่งผลต่อกำรดำรงชีวิต “รู้สึกเหนื่อยมาก นอนไม่หลับและกั งวล กลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึน และไม่รู้ว่าจะท้าอย่างไร” จำกสถำนกำรณ์ดังกล่ำวนีถ้ำหำกได้มีกำรเตรียมควำมพร้อมและพัฒนำทักษะในกำรดูแล ผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองให้กับผู้ดูแลโดยผ่ำนกระบวนกำรแบบมีส่วนร่วม น่ำจะทำให้ผู้ดูแลเกิดกำรเรียนรู้ และสำมำรถนำไปปฏิบัติต่อผู้ป่วยได้ ซึ่งมีงำนวิจัยที่พบว่ำกำรใช้หลักสูตรกำรให้กำรปรึกษำเพื่อฟื้นฟูอำนำจและศักยภำพ ตำมแนวสตรีนิยมพบว่ำหลังกำรอบรมผู้เข้ำอบรมเห็นว่ำกำรอบรมช่วยทำให้เข้ำใจในเนือหำได้ดี กระบวนกำรที่ใช้

329


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สำมำรถถ่ำยทอดควำมรู้ได้ดี มีประโยชน์ในกำรนำไปใช้ในระดับมำก ผู้เข้ำอบรมมีควำมพึงพอใจในภำพรวมต่อกำร อบรมในระดับมำก นอกจำกนียังพบว่ำควำมพร้อมในกำรดูแลและกำรจัดกำรภำยในครอบครัวที่ดี กำรสนับสนุนบริกำรใน สิ่งที่ผู้ดูแลต้องกำร สำมำรถลดควำมวิตกกังวลของผู้ดูแลได้ ผู้ดูแลมีควำมพึงพอใจสูงต่อแนวทำงและวิธีกำรดูแลที่ ได้รับและมีกิจกรรมที่สำมำรถลดภำวะควำมเครียด ช่วยเพิ่มควำมสำมำรถในกำรดูแลผู้ป่วย และช่วยแก้ไขปัญหำ กำรหลับยำกของผู้ดูแล ได้ คือ กำรฝึกทักษะกำรปฏิบัติ กำรช่วยเหลือด้ำนจิตอำรมณ์ กำรนวด และวิธีกำรสนับสนุน เครือข่ำยทำงสังคมและกำรส่งเสริมกำรทำกิจกรรม13 ส่วนกิจกรรมกำรฝึกอบรม กำรให้สุขภำพจิตศึกษำและกำรให้ คำปรึกษำมีผลต่อกำรลดภำระของผู้ดูแลและเพิ่มศักยภำพควำมสำมำรถของผู้ดูแลอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ ด้วยเหตุผลและข้อมูลจำกงำนวิจัยดังกล่ำว คณะผู้วิจัยได้วำงแผนกำรวิจัยกึ่งทดลองเพื่อพิสูจน์สมมุติฐำน โปรแกรมกำรเสริมสร้ำงทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองที่นำมำใช้ในกำรวิจัยในครังนีและคำดว่ำจะ เพิ่มทักษะของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองได้ วัตถุประสงค์กำรวิจัย 1. เปรี ยบเทีย บทั กษะกำรดู แลของผู้ดูแ ลผู้ ป่วยมะเร็ งแบบประคั บประคองก่อ นและหลังเข้ำ ร่ว ม โปรแกรมกำรเสริมสร้ำงทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง 2. ศึกษำระดับควำมพึงพอใจต่อกำรเสริมสร้ำงทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง สมมติฐำนกำรวิจัย ทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองเพิ่มขึนหลักจำกเข้ำร่วมโปรแกรมกำรเสริมสร้ำงทักษะ ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองที่นักวิจัยพัฒนำขึน ขอบเขตกำรวิจัย ขอบเขตเนือหำ ประกอบด้วยทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบประคับประคอง ตำมกรอบแนวคิดกำร เสริมสร้ำงทักษะผู้ดูแลผู้ป่วย ได้แก่ กำรเฝ้ำระวัง กำรแปลควำมหมำย กำรตัดสินใจ กำรปฏิบัติกำร กำรปรับ กิจกรรมตำมควำมเหมำะสม กำรเข้ำถึงแหล่งสนับสนุน กำรให้กำรดูแล ควำมร่วมมือกับผู้ป่วยและกำรเข้ำถึงระบบ กำรดูแลสุขภำพ ขอบเขตด้ำนประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองจำนวน 30 คนที่อยู่ในพืนที่รับผิดชอบของโรงพยำบำลมะเร็ง อุบลรำชธำนี วิธีดำเนินกำรวิจัย เป็นกำรวิจัยกึ่งทดลองและดำเนินกำรที่โรงพยำบำลมะเร็งอุบลรำชธำนีระหว่ำง มกรำคม 2559 – ธันวำคม 2559 ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง กลุ่มตัวอย่ำงในกำรวิจัยคือผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองจำนวน 30 คน ซึ่งกำหนดเกณฑ์ใน กำรคัดเลือก ดังนี

330


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

- เป็นผู้ดูแลหลักของผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง - เป็นผู้มีกำรรับรู้และสติสัมปชัญญะดี - สำมำรถติดต่อสื่อสำรด้วยวิธีกำรเขียน พูด อ่ำน และเขียนภำษำไทยได้ดี - ยินดีสมัครใจเข้ำร่วมในกำรศึกษำวิจัยครังนี เครื่องมือวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยครังนีมี 3 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 แบบสัมภำษณ์ข้อมู ลส่วนบุค คล เป็น ประเด็น คำถำมสถำนะ อำยุ ควำมสัมพันธ์ กับผู้ป่ว ย ประสบกำรณ์กำรดูแล ระยะเวลำที่ให้กำรดูแลผู้ป่วยมะเร็ง จำนวน 5 ข้อ ส่วนที่ 2 แบบประเมินทักษะของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งตำมกำรรับรู้ของผู้ดูแล เป็นประเด็นคำถำมประเมิน ทักษะควำมสำมำรถของผู้ดูแลผู้ป่วยตำมกรอบแนวคิดของ Schumacher and others16 เป็นแบบมำตรำส่วน ประมำณค่ำ(Rating scale) 5 ระดับจำนวน 28 ข้อ ส่วนที่ 3 แบบประเมินควำมพึงพอใจของผู้ดูแลต่อรูปแบบกำรพัฒนำกำรเสริมสร้ำงทักษะกำรดูแลผู้ป่วย มะเร็งแบบประคับประคองที่นักวิจัยพัฒนำขึนจำนวน 20 ข้อเป็นแบบประเมินมำตรำส่วนประมำณค่ำ 5 ระดับ ครอบคลุ ม ใน 4 ด้ ำ น ได้ แก่ ปั จ จั ย ที่ เ กี่ ยวข้ อ งในกระบวนกำรพั ฒ นำ เนื อหำและกำรล ำดั บ กิ จกรรม รู ป แบบ กระบวนกำรกำรพัฒนำ กำรประเมินผลกำรพัฒนำ กำรตรวจสอบคุณภำพเครื่องมือ ผู้วิจัยได้นำเครื่องมือทัง 3 ส่วนส่งให้ผู้เชี่ยวชำญจำนวน 3 ท่ำนได้ตรวจสอบควำมตรงตำมเนือหำโดย พิจำรณำจำกค่ำดัชนีควำมสอดคล้องระหว่ำงข้อคำถำมกับเนือหำและตรงกับนิยำมปฏิบัติกำร (Item Objective Congruence : IOC) พร้อมทังได้ปรับแก้ตำมคำแนะนำของผู้เชี่ยวชำญก่อนนำไปทดลองใช้กับผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง จำนวน 30 คนและหำค่ำควำมควำมเชื่อมั่นด้วยกำรคำนวณหำค่ำสัม ประสิทธิ์แอลฟำของครอนบำค (Cronbach’s Alpha Coefficient) ซึ่งในส่วนที่ 2 แบบประเมินทักษะของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งตำมกำรรับรู้ของผู้ดูแลมีค่ำควำม เชื่อมั่นเท่ำกับ 0.89 และส่วนที่ 3 แบบประเมินควำมพึงพอใจของผู้ดูแลต่อรูปแบบกำรพัฒนำกำรเสริมสร้ำงทักษะ กำรดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง มีค่ำควำมเชื่อมั่นเท่ำกับ 0.92 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลในส่วนที่ 1และ 2 ก่อนเริ่มกระบวนกำรพัฒนำศักยภำพสำหรับผูด้ ูแลผูป้ ่วยมะเร็งแบบ ประคับประคอง(พฤษภำคม 2559)และหลังจำกได้ให้ผู้ดูแลเข้ำรับกำรพัฒนำศักยภำพตำมโปรแกรมกำรอบรมเสร็จ สินในวันสุดท้ำยได้ชีแจงและนัดหมำย 3 เดือนจะมีกำรประชุมเพื่อติดตำมประเมินผลกำรพัฒนำศักยภำพของผู้ดูแล หลังจำกที่นำควำมรู้และทักษะไปใช้ในกำรดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองพร้อมได้เก็บข้ อมูลตำมเครื่องมือ วิจัยในส่วนที่ 2 และ 3 ในเดือนสิงหำคม 2559 กำรวิเครำะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ข้อมูลทั่วไป เพศ อำยุ ประสบกำรณ์กำรดูแล ควำมสัมพันธ์กับผู้ป่วย จำนวนชั่วโมงในกำรดูแลวิเครำะห์ หำค่ำควำมถี่และร้อยละ กำรประเมินทักษะ ผู้วิจัยพิจำรณำใช้เกณฑ์ในกำรแปลควำมหมำยทักษะของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบ ประคับประคองรำยข้อโดยวิเครำะห์ค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน คะแนนรำยด้ำนรวมใช้กำรแปลงข้อมูล เป็น 100 เพื่อจัดระดับทักษะกำรดูแล ตำมหลักกำรของ Cox 17 โดยคำนวณ คะแนน ดังนี

331


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

(คะแนนรวมเฉลี่ยรำยด้ำน – 1) x 100 พิสัยของมำตรวัด (5 – 1 = 4) โดยมีเกณฑ์จัดระดับคะแนนดังนี ต่ำกว่ำ 70 หมำยควำมว่ำ มีทักษะระดับน้อยต้องปรับปรุง 70 - 79.99 หมำยควำมว่ำ มีทักษะระดับพอใช้ 80 - 89.99 หมำยควำมว่ำ มีทักษะระดับดี 90 - 100 หมำยควำมว่ำ มีทักษะระดับดีมำก กำรประเมินควำมพึงพอใจของผู้ดูแลต่อกำรพัฒนำศักยภำพผู้ดูแล ผู้ วิ จั ย วิ เ ครำะห์ ค่ ำ เฉลี่ ย และส่ ว น เบี่ยงเบนมำตรฐำนและจัดระดับควำมพึงพอใจ 4 ระดับคือ พึงพอใจมำกที่สุด พึงพอใจมำก พึงพอใจน้อย พึงพอใจ น้อยที่สุด สรุปผลกำรวิจัย 1. ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่ำงจำนวน 30 คนส่วนใหญ่เป็นเพศชำยร้อยละ 70 อำยุเฉลี่ย 47.1 ปี ควำมสัมพันธ์ของผู้ดูแลกับผู้ป่วยอยู่ในฐำนะเป็นบิดำ/มำรดำมำกที่สุดร้อยละ36.6 กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่ไม่เคยมี ประสบกำรณ์ในกำรดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองร้อยละ 87.7 จำนวนชั่วโมงเฉลี่ยต่อวันในกำรทำหน้ำที่ดูแล มำกกว่ำ 12 ชั่วโมงร้อยละ 80 2. เปรียบเทียบควำมแตกต่ำงค่ำคะแนนเฉลี่ยทักษะผู้ดแู ลผูป้ ่วยมะเร็งแบบประคับประคองในภำพรวม ก่อนและหลังกำรพัฒนำโดยใช้สถิติ Pare t-test เนื่องจำกกำรแจกแจงข้อมูลเป็นแบบปกติ ก่อนทดลองพบว่ำค่ำ คะแนนเฉลี่ยทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองเท่ำกับ 70.24 ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน 11.62 หลัง ทดลองพบว่ำค่ำคะแนนเฉลี่ยทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองเท่ำกับ 78.36 ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน 10.19 และพบควำมแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (t = 3.15, P–value < 0.05, 95%CI) (ตำรำงที่1) ตำรำงที่ 1 เปรียบเทียบควำมแตกต่ำงคะแนนเฉลี่ยทักษะผูด้ ูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองก่อนและหลังกำร พัฒนำทักษะโดยรวม (n = 30) ทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง 1. ทักษะกำรเฝ้ำระวัง 2. ทักษะกำรแปลควำมหมำย 3. ทักษะกำรตัดสินใจ 4. ทักษะกำรปฏิบัตกิ ำร 5. ทักษะกำรปรับกิจกรรมต่ำง ๆ ตำมควำมเหมำะสม 6. ทักษะกำรเข้ำถึงแหล่งสนับสนุน 7. ทักษะกำรให้กำรดูแล 8. ทักษะควำมร่วมมือกับผู้ป่วย 9. ทักษะกำรเข้ำถึงระบบกำรดูแลสุขภำพ ค่ำเฉลี่ยรวม

ก่อน X̄ 68.06 61.94 63.06 73.61 67.50 66.67 71.94 76.88 82.50 70.24

P < 0.05

332

หลัง S.D. 19.58 20.72 16.33 14.53 19.37 24.86 14.10 15.76 12.06 11.62

X̄ 75.56 74.72 73.61 77.78 77.78 85.83 81.11 77.50 81.39 78.36

S.D. 13.66 11.05 17.10 13.55 13.73 12.97 13.83 12.02 10.87 10.19

t

p

3.15

.004*


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

3. ระดับควำมพึงพอใจของผู้ดูแลต่อโปรแกรมกำรพัฒนำทักษะผูด้ ูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง พบว่ำในภำพรวมมีควำมพึงพอใจต่อโปรแกรมกำรพัฒนำทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองค่ำคะแนน เฉลี่ยเท่ำกับ 4.21 ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน 0.59 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในกระบวนกำรพัฒนำทักษะผู้ดูแลคะแนนเฉลี่ย เท่ำกับ 4.09 ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน 0.63 เนือหำและกำรลำดับกิจกรรมในกระบวนกำรพัฒนำ คะแนนเฉลี่ย เท่ำกับ 4.30 ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน 0.60 รูปแบบกระบวนกำรกำรพัฒนำ คะแนนเฉลี่ยเท่ำกับ 4.23 ส่วนเบี่ยงเบน มำตรฐำน 0.60 กำรประเมินผลกำรพัฒนำ 4.17 คะแนนเฉลี่ยเท่ำกับ ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน 0.73 (ตำรำงที่ 2) ตำรำงที่ 2 ควำมพึงพอใจของผู้ดูแลต่อกำรเสริมสร้ำงทักษะกำรดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง (N = 30) ควำมพึงพอใจของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง ปัจจัยที่เกีย่ วข้องในกระบวนกำรพัฒนำทักษะผู้ดูแล

S.D.

1. วิทยำกรสำมำรถถ่ำยทอดควำมรู้และประสบกำรณ์กำร ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบประคับประคอง 2. สถำนที่ของกำรฝึกอบรมมีควำมเหมำะสม 3. สื่อและอุปกรณ์มีควำมเหมำะสม 4. ระยะเวลำในกำรพัฒนำมีควำมเหมำะสม 5. เอกสำรประกอบกำรพัฒนำ คะแนนรวมเฉลี่ย เนื้อหำและกำรลำดับกิจกรรมในกระบวนกำรพัฒนำ 1. แนวคิดพืนฐำนกำรพัฒนำทักษะมีควำมเหมำะสม 2. เนือหำมีควำมสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกำรพัฒนำ 3. กำรเรียงลำดับเนือหำและกิจกรรมของกำรพัฒนำมีควำมเหมำะสม 4. โครงสร้ำงของโปรแกรมกำรพัฒนำมีควำมเหมำะสม 5. กระบวนกำรทำให้มีควำมรู้ สำมำรถประเมินควำมต้องกำรของ ผู้ปว่ ยมะเร็งแบบประคับประคอง 6. กระบวนกำรพัฒนำสำมำรถนำไปประยุกต์ใช้ในกำรปฏิบัติกำรดูแลผู้ป่วยมะเร็ง แบบประคับประคองได้ 7. เนือหำในกระบวนกำรพัฒนำมีประโยชน์ คะแนนรวมเฉลี่ย

4.03

0.76

4.20 4.13 3.93 4.13 4.09

0.66 0.57 0.78 0.78 0.63

4.30 4.27 4.27 4.27 4.33

0.70 0.91 0.74 0.64 0.71

4.40

0.62

4.30 4.30

0.70 0. 60

4.20 4.23 4.23 4.27 4.23

0.55 0.68 0.57 0.64 0.82

4.23

0.60

4.20 4.10 4.20

0.66 0.76 0.85

รูปแบบกระบวนกำรกำรพัฒนำ 1. ควำมเหมำะสมของกระบวนกำรอบรม 2. สื่อที่ใช้ในกระบวนกำรอบรม 3. ควำมเหมำะสมของกิจกรรมในกำรอบรม 4. กำรมีส่วนร่วมมีสว่ นร่วมในกระบวนกำรอบรม 5. รูปแบบกำรฝึกอบรมส่งเสริมกำรเรียนรู้ของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบ ประคับประคอง คะแนนรวมเฉลี่ย กำรประเมินผลกำรพัฒนำ 1. วิธีกำรประเมินผลสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตรกำรฝึกอบรม 2. แบบทดสอบมีควำมสอดคล้องกับเนือหำในหลักสูตร 3. กำรประเมินผลมีควำมเหมำะสม

333


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ควำมพึงพอใจของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง คะแนนรวมเฉลี่ย คะแนนเฉลี่ยภำพรวมทุกด้ำน

X̄ 4.17 4.21

SRRU NCR2018 S.D. 0.73 0.59

วิจำรณ์ผลกำรวิจัย กำรวิจัยครังนีพบว่ำ กลุ่มตัวอย่ำงส่วนใหญ่ไม่เคยมีประสบกำรณ์ในกำรดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับ ประคองคิ ดเป็ นร้อ ยละ 87.7 เนื่องจำกผู้ป่ว ยส่ว นใหญ่เป็น ผู้ป่ว ยที่ไ ด้รับ กำรวินิจ ฉัยว่ำ อยู่ใ นระยะลุ กลำมของ โรคมะเร็งซึ่งไม่ตอบสนองต่อกำรรักษำ ผู้ป่วยและญำติมีควำมประสงค์ที่จะรักษำตำมอำกำร และญำติจึงต้องอยู่ใน ภำวะที่จำต้องดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองโดยไม่มีประสบกำรณ์ ผู้ดูแลส่วนใหญ่มีจำนวนชั่วโมงเฉลี่ยต่อวัน ในกำรดูแลมำกกว่ำ 12 ชั่วโมงคิดเป็นร้อยละ 80 ซึ่งมำกกว่ำผลงำนวิจัยที่ผ่ำนมำที่พบว่ำ ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งใช้เวลำ 5-10 ชั่วโมงต่อวันในกำรดูแลผู้ป่วยมะเร็ง9 และกำรจัดกระบวนกำรเพื่อเสริมสร้ำงทักษะให้กับกลุ่มตัวอย่ำงในกำร วิจัยครังนีจึงเป็นกำรพัฒนำศักยภำพของผู้ดูแลที่ตอบสนองควำมต้องกำรและเป็นกำรเตรียมควำมพร้อมกำรดูแล ผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคอง ผลกำรวิเครำะห์ผลกำรวิจัยตำมวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะในกำรดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง แบบประคับประคองก่อนและหลังพัฒนำพบว่ำมีควำมแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติระหว่ำงค่ำคะแนนเฉลี่ย ทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองในภำพรวมก่อนและหลังกำรพัฒนำ โดยคะแนนเฉลี่ยทักษะผู้ดูแล ผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองหลังกำรพัฒนำมำกกกว่ำก่อนรับกำรพัฒนำ 8.12 (78.36-70.24) แสดงว่ำวิธีกำร กำรพั ฒ นำทั ก ษะผู้ ดู แ ลผู้ ป่ ว ยมะเร็ ง แบบประคั บ ประคองท ำให้ ผู้ ดู แ ลมี ทั ก ษะในกำรดู แ ลผู้ ป่ ว ยมะเร็ ง แบบ ประคับประคองเพิ่มขึน อำจกล่ำวได้ว่ำวิธีกำรกำรพัฒนำศักยภำพผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองครังนี ทำ ให้ผู้ดูแลเกิดควำมชัดเจนมีควำมเข้ำใจในองค์ควำมรู้และเนือหำที่ได้รับจึงทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงในทำงที่ดีขึน ซึ่ง สอดคล้องกับงำนวิจัยของสมพร รุ่งเรืองกลกิจและคณะ ที่พบว่ำกำรประเมินควำมพึงพอใจหลัง กำรอบรม ผู้เข้ำรับ กำรอบรมมีควำมเห็นว่ำกำรอบรมช่วยให้มีควำมเข้ำใจในเนือหำหลังกำรอบรมได้ดี กระบวนกำรที่ใช้สำมำรถถ่ำยทอด ควำมรู้ได้ดี มีประโยชน์ในกำรนำไปใช้ในระดับมำก ผู้เข้ำรับกำรอบรมมีควำมพึงพอใจในภำพรวมต่อกำรอบรมใน ระดับมำก ผลกำรวิเครำะห์ภำพรวมระดับทักษะผู้ดูแลก่อนและหลังกำรอบรมอยู่ในระดับพอใช้ แต่ค่ำคะแนนเฉลี่ย แตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติกล่ำวคือก่อนกำรอบรมมีค่ำคะแนนเฉลี่ยทักษะน้อยกว่ำหลังกำรอบรม (ก่อน อบรม X̄ = 70.24 , SD = 11.62 หลังกำรอบรม X̄ = 78.36 , SD = 10.19) แต่พบว่ำมีทักษะที่อยู่ในระดับดีหลัง กำรอบรม คือ ทักษะกำรเข้ำถึงแหล่งสนับสนุน ทักษะกำรให้กำรดูแลและทักษะกำรเข้ำถึงระบบบริกำรสุขภำพ เนื่องจำกในกระบวนกำรพัฒนำได้เกิดกำรแลกเปลีย่ นเรียนรู้รว่ มกันระหว่ำงผู้ดแู ลและผู้ให้บริกำรในระบบสุขภำพที่มี ประสบกำรณ์ตรงพร้อมให้ข้อมูลกำรเข้ำถึงแหล่งเครือข่ำยต่ำงๆในกระบวนกำรพัฒนำทำให้ผู้ดูแลมีทักษะทัง 3 ด้ำน เพิ่มขึน แสดงว่ำกำรพัฒนำทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยระยะแบบประคับประคองทำให้ผู้ดูแลมีทักษะในกำรดูแลผู้ป่วยมะเร็ง แบบประคับประคองมีประสิทธิภำพ ซึ่งสอดคล้องกับงำนวิจัยของดรรชนี สินธุวงศำนนท์18 พบว่ำผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ำ กลุ่มทดลองตำมโปรแกรมกำรบูรณำกำรกำรดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ำยด้วยกำรใช้หลักพุทธธรรมในพระพุทธ ศำสนำเถรวำท มีค่ำคะแนนเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนกำรรับรู้ต่อคุณภำพชีวิต ในภำพรวมหลังกำรทดลองสูง กว่ำก่อนกำรทดลองอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (p=0.001) และสอดคล้องกับงำนวิจัย ที่พบว่ำปัจจัยเอือต่อกำรดูแล ผู้ป่วยได้แก่ กำรแสวงหำข้อมูลและควำมรู้ ได้รับกำรดูแลจำกบุคลำกรสำธำรณสุขและชุมชน ควำมพร้อมในกำรดูแล

334


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

และมีกำรจัดกำรภำยในครอบครัวที่ดี 13 และสอดคล้องกับงำนวิจัยของดวงกมล วัตรำดุลย์ และคณะ ที่พบว่ำกลุ่ม ตัวอย่ำงซึ่งเป็นผู้ดูแลเด็กติดเชือเอชไอวี/เอดส์ ที่เข้ำโปรแกรมกำรเสริมสร้ำงศักยภำพในกำรดูแลเด็กติดเชือเอชไอวี/ เอดส์ ผู้ดูแลมีคะแนนเฉลี่ยกำรรับรู้ในบทบำทของผู้ดูแลโดยรวมเพิ่มขึนอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (p ‹ 0.05) ผู้ดูแล สร้ำงพลังอำนำจในตนเอง สร้ำงกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนและสร้ำงเครือข่ำยผู้ดูแลในชุมชน สำมำรถแสวงหำแหล่ง ช่วยเหลือทำงสังคมและกำรรักษำให้แก่เด็กติดเชือเอชไอวี/เอดส์ได้ 15 ผลกำรวิเครำะห์ ควำมพึงพอใจของผู้ดูแลต่อรูปแบบกำรเสริมสร้ำงทักษะกำรดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบ ประคับประคองพบว่ำในภำพรวมและรำยด้ำนมีควำมพึงพอใจในระดับมำกที่สุด ซึ่งกำรประเมินควำมพึงพอใจรำย ด้ำนประกอบด้วยปัจจัยที่เกี่ยวข้องในกระบวนกำรพัฒนำ เนือหำและกำรลำดับกิจกรรมในกระบวนกำรพัฒนำ รูปแบบกระบวนกำรกำรพัฒนำ กำรประเมินผลกำรพัฒนำ ซึ่งกำรที่ผู้ดูแลมีควำมรู้สึกพึงพอใจในระดับมำกที่สุดอำจ เป็ น เพรำะว่ ำ กำรที่ ผู้ ดู แ ลไม่ มี ป ระสบกำรณ์ แ ละข้ อ มู ล องค์ ค วำมรู้ ที่ เ กี่ ย วข้ อ งในกำรดู แ ลผู้ ป่ ว ยมะเร็ ง แบบ ประคับประคองเมื่อได้รับกำรเพิ่มพูนทักษะและองค์ควำมรู้ที่จะนำไปใช้ในกำรดูแลได้จริงจึงตอบสนองตำมควำม ต้องกำรของผู้ดูแลจึงประเมินควำมพึงพอใจในระดับมำกที่สุด และมีงำนวิจัยที่สนับสนุนงำนวิจัยครังนีของ Laurel L. Northouse14 กล่ำวว่ำกิจกรรมกำรดูแลครอบครัวผู้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง คือ สุขภำพจิตศึกษำ กำรฝึกอบรม ทักษะ และ กำรให้คำปรึกษำเกี่ยวกับกำรดู แลรักษำ มีผลในกำรลดภำระของผู้ดูแลอย่ ำงมี นัยสำคัญ ช่วยเพิ่ ม ศักยภำพของผู้ดูแลและมีประสิทธิภำพมำกขึน ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีกำรวิจัยซำในกลุ่มผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองโดยมีกำรพัฒนำโปรแกรมกำร เสริมสร้ำงทักษะผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองให้สอดคล้องกับบริบทกำรดูแลและสถำนกำรณ์ปัจจุบัน 2. ควรมีกำรวิจัยปฏิบัติกำรที่ให้ผู้เกี่ยวข้องในกำรดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองมีส่วนร่วมใน กระบวนกำรวิจัยทุกขันตอนที่จะนำไปสู่กำรดูแลผู้ป่วยให้มีคุณภำพชีวิตที่ดี เอกสำรอ้ำงอิง เพ็ญศิริ มรกต , กิตติกร นิลมำนัต และเยำวรัตน์ มัชฌิม.(2556). กำรปรับตัวของญำติผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ำยที่ เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง. บทควำมวิจัยเสนอในกำรประชุมหำดใหญ่วชิ ำกำร ครังที่ 4 วันที่ 10 พฤษภำคม. กรมกำรแพทย์.(2557) แนวทำงกำรดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ำย.กรุงเทพฯ: มปท. กระทรวงสำธำรณสุข.(2558)สถิติสำธำรณสุข2557:Public Health Statistic 2014.กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์ สงเครำะห์ทหำรผ่ำนศึก. ชลิยำ วำมะลุน และคณะ.(2552) กำรพัฒนำรูปแบบกำรดูแลแบบองค์รวมที่มีควำมไวเพศสภำพเพื่อพัฒนำ คุณภำพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งเต้ำนม.อุบลรำชธำนี : อุบลกิจออฟเซ็ทกำรพิมพ์. ดรรชนี สินธุวงศำนนท์.(2558) บูรณำกำรกำรดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ำยด้วยกำรประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมใน พระพุทธศำสนำเถรวำท. วำรสำรวิทยำลัยพยำบำลบรมรำชชนนี นครรำชสีมำ. ปีที่21ฉบับที่(1) ,หน้ำ 25-62. ดวงกมล วัตรำดุลย์ และคณะ.(2553)ผลของโปรแกรมกำรเสริมสร้ำงศักยภำพผู้ดูแลต่อกำรรับรู้ในบทบำทของ ผู้ดูแลและคุณภำพชีวิตของผู้ดูแลเด็กติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์. วำรสำรสภำกำรพยำบำล: 25(3).

335


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สมพร รุ่งเรืองกลกิจ และคณะ.(2558) ประเมินผลกำรใช้หลักสูตรกำรให้กำรปรึกษำเพื่อฟื้นฟูอำนำจและ ศักยภำพตำมแนวสตรีนิยม. วำรสำรพยำบำลศำสตร์และสุขภำพ. ปีที่38 ฉบับที่3 หน้ำ 56-74. สุวรรณำ มณีจำนง , จรรจำ สันตยำกร และ ชมนำด วรรณพรศิริ.2552 ประสบกำรณ์กำรดูแลแบบองค์รวมของ ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ำย. วำรสำรพยำบำลศำสตร์ มหำวิทยำลัยนเรศวร. ปีที่3 ฉบับที่2. Bee, P. E., Barnes, P., & Luker, K. A. (2009). A systematic review of informal caregivers’ needs in providing home‐based end‐of‐life care to people with cancer. Journal of clinical nursing, 18(10), 1379-1393. Cox DR, W. N.(1994). Tests of linearity, multivariate normality and the adequacy of linear scores Applied Statistics. Jansma, F. F., Schure, L. M., & de Jong, B. M. (2005). Support requirements for caregivers of patients with palliative cancer. Patient education and counseling, 58(2), 182-186. Laurel L. Northouse and and others.(September –October 2010) Interventions with Family Caregivers of Cancer Patients : Meta-Analysis of Randomized Trials. CA CANCER J CLIN. 6,5. : 31-339. Schumacher, K. L., Stewart, B. J., Archbold, P. G., Dodd, M. J., & Dibble, S. L. (2000). Family caregiving skill: development of the concept. Res Nurs Health, 23(3), 191-203. Stajduhar, K., Funk, L., Toye, C., Grande, G., Aoun, S., & Todd, C. (2010). Part 1: Home-based family caregiving at the end of life: a comprehensive review of published quantitative research (1998-2008). Palliative medicine, 24(6), 573-593. Sudore, R. L., Casarett, D., Smith, D., Richardson, D. M., & Ersek, M. (2014). Family involvement at the end-of-life and receipt of quality care. J Pain Symptom Manage, 48(6), 1108-1116. Taylor, E. J., & Mamier, I. (2005). Spiritual care nursing: what cancer patients and family caregivers want. J Adv Nurs, 49(3), 260-267. WHO.(2016). cancer palliative เข้ำถึงเมื่อ 15 มิถุนำยน 2559, http://www.who.int/cancer/palliative/en/ Zarrabi, Huo and Meier 2015 : Zarrabi, A. J., Huo, R., & Meier, D. E. (2015). High-Value Palliative Care for Cancer Patients. AMA J Ethics, 17(11), 1064-1072. Doi : 10.1001/journalofethics.2015.17.11.pfor3-1511 journalofethics.2015.17.11.pfor3-1511 [pii] 1064)

336


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภาคบรรยาย กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ บริหารธุรกิจ

337


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภาคบรรยาย กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ บริหารธุรกิจ (1) ห้อง : ณ ห้องช้างแดง ชั้น 3 อาคาร 41 ลาดับ ชื่อ-สกุล HSBO-01 ธมนวรรณ ป้อมสนาม

เวลา หน้า 12.50-13.05 น. 342

HSBO-02

13.05-13.20 น. 351

HSBO-03

HSBO-04

HSBO-05

HSBO-06

HSBO-07

HSBO-08

HSBO-09

เรื่อง บัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง กรณีศึกษา : หมู่บ้านหนองตะไก้ ตาบลบัว ใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา มธุรส ทองอินทราช ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการส่งต่อ ณักษ์ กุลิสร์ วิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหา แบบ แพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอล รุ่งรัตน์ หัตถกรรม ธุรกิจที่พักแรมกับความรับผิดชอบต่อ สิ่งแวดล้อมของสังคมกรณีศึกษา ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ขวัญชนก สุขสมคุณ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างของผูถ้ ือหุ้น ระดับการกากับดูแลกิจการทีด่ ีที่มตี ่อผล การดาเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET 100) กัลธิมา โพธิจินดา ความสัมพันธ์ของการกากับดูแลกิจการที่มี ต่อผลการดาเนินงานของบริษัทจด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทย กรณีศึกษา กลุ่ม SET100 ศิรินทิพย์ ไตรเกษม และ การจัดการความรู้ทางการตลาดของ พัชราภรณ์ เกลียวแก้ว วิสาหกิจชุมชน: กรณีศึกษากลุม่ สตรีทอผ้า ไหมบ้านประดู่ทอง หมู่ 5 ตาบลลาดวน อาเภอลาดวน จังหวัดสุรินทร์ พระครูเกษมอาจารสุนทร (ศุภ แนวทางการส่งเสริมการพัฒนาบทบาท กิตต์ ชนุชรัมย์) พระสงฆ์กับการพัฒนาสังคม : กรณีศึกษา พระครูวิมลอิสสฺ รธรรม (เม้า อิสฺสโร) บุรารัตน์ บุญทรัพย์ องค์กรแห่งการเรียนรู้กับความผูกพันต่อ องค์กรที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการ ปฏิบัติงานของพนักงานธนาคารเพื่อ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในเขต ภูมิภาคตะวันตก สถาพร ศรีเพียวไทย, แนวทางการพัฒนาคุณลักษณะของ จิรายุ ทรัพย์สิน และ สมาชิกสภาเทศบาลเมืองสระแก้ว จังหวัด นพฤทธิ์ จิตสายธาร สระแก้ว

338

13.20-13.35 น. 361

13.35-13.50 น. 374

13.50-14.05 น. 382

14.05-14.20 น. 392

14.20-14.35 น. 400

14.35-14.50 น. 410

14.50-15.05 น. 421


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ลาดับ ชื่อ-สกุล HSBO-10 พระครูสถิตวีรานุวัตร (บุรินทร์ จรุงรัตนมณี) HSBO-11 ชุลีพร เจริญท้าว, อภิชาต แสงอัมพร และ จิรายุ ทรัพย์สิน

HSBO-12 วันเพ็ญ เนียมแสง

SRRU NCR2018

เรื่อง เวลา การบูรณาการหลักพุทธธรรมสาหรับการ 15.05-15.20 น. บริหารการพัฒนาชุมชนของผู้นาชุมชนใน อาเภอปะคา จังหวัดบุรีรมั ย์ ยุทธศาสตร์การบูรณาการทุนทางสังคม 15.20-15.35 น. และการบริหารกิจการบ้านเมืองทีด่ ีของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการพัฒนา อย่างยั่งยืน ในอาเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ การรับรูภ้ าวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงที่ส่งผล 15.35-15.50 น. ต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของพนักงาน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตรในสังกัดฝ่ายกิจการสาขาภาค ตะวันตก

339

หน้า 431

446

460


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภาคบรรยาย กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ บริหารธุรกิจ (2) ห้อง : ณ ห้องช้างกระ ชั้น 3 อาคาร 41 ลาดับ ชื่อ-สกุล HSBO-13 รัฐธรรมนูญ รุ่งเรือง ศศิธร ศูนย์กลาง และ จิรายุ ทรัพย์สิน HSBO-14 ศิริพร สมานจิตร์, อภิชาต แสงอัมพร และ วันชัย สุขตาม HSBO-15 ภานุสิทธิ์ ประทุมทอง, นพฤทธิ์ จิตรสายธาร และ จิรายุ ทรัพย์สิน HSBO-16 กุสุมาวดี คงฤทธิ์ และ สุภาวดี ขุนทองจันทร์

HSBO-17 ธารา เจริญรัตน์ และ ประกอบ คงยะมาศ HSBO-18 ธารา เจริญรัต และ โกศล สอดส่อง

HSBO-19 ธารา เจริญรัตน์ และ ประกอบ คงยะมาศ HSBO-20 พิทยา ผ่อนกลาง และ บัลลังก์ จงวัฒนานุกูล HSBO-21 วราพร โภชน์เกาะ และ ปภารัตน์ โคตรชุม

เรื่อง บทบาทที่เหมาะสมของกานันและ ผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมประชาธิปไตย ในชุมชน เขตอาเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัด สุรินทร์ บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการใน เขตพื้นที่ อาเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัด สุรินทร์ แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ เหมาะสมของผูส้ ูงอายุในเขตอาเภอ พิบูลมังสาหารจังหวัดอุบลราชธานี วัฒนธรรมองค์การทีส่ ่งผลต่อความ พึงพอใจในงานของบุคลากรสาย สนับสนุนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลอีสาน การบริหารแบบมีส่วนร่วมทีส่ ่งผลต่อ ประสิทธิผลการดาเนินงานของเทศบาล ตาบลในจังหวัดเพชรบูรณ์ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการ พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ของ องค์การบริหารส่วนตาบลวัดตูม ตาบล วัดตูม อาเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ส่งผลต่อ การพัฒนาประชาธิปไตยในเขตจังหวัด นครราชสีมา ความสามารถในการบูรณาการความรู้ และความสาเร็จขององค์กร : สานักงาน บัญชีในประเทศไทย พฤติกรรมการออกกาลังกายของผูส้ ูงอายุ ในเขตเทศบาลนคร นครราชสีมา

340

เวลา หน้า 12.50-13.05 น. 469

13.05-13.20 น. 481

13.20-13.35 น. 498

13.35-13.50 น. 509

13.50-14.05 น. 521

14.05-14.20 น. 530

14.20-14.35 น. 540

14.35-14.50 น. 548

14.50-15.05 น. 555


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

ลาดับ ชื่อ-สกุล HSBO-22 บุญเหลือ บุบผามาลา และ ประกอบ คงยะมาศ

HSBO-23 เตชธรรม สังข์คร, ดาริน รุ่งกลิ่น, สุกานดา เทพสุวรรณชนะ และ นลวัชร์ ขุนลา HSBO-24 สันต์ ประจิตร, จิรายุ ทรัพย์สิน, และ อภิชาติ แสงอาพร HSBO-25 KHIN MENGLORM, DR. SUREESHINE SUKANTARAT AND DR. SUPIMPHA WATTASANGKHASOPHON

SRRU NCR2018

เรื่อง เวลา หน้า การมีส่วนร่วมของประชาชนและแนว 15.05-15.20 น. 562 ทางการสร้างหมู่บ้านชุมชนมั่นคง ปลอดภัยจากยาเสพติดอย่างยั่งยืนในเขต จังหวัดหนองบัวลาภู การพึ่งพาตนเองของเกษตรกรผู้เลีย้ งปลา 15.20-15.35 น. 571 กะพงขาวในจังหวัดสุราษฎร์ธานี

บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 15.35-15.50 น. 579 ในการอนุรักษ์ประเพณีบญ ุ บั้งไฟ ในพื้นที่ อาเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรมั ย์ THE GUIDELINE OF CULTURAL 15.50-16.05 น. 590 BANANA VALUE-ADDED IN TA ONG COMMUNE, CHAMKAR LEU DISTRICT, KAMPONG CHAM PROVINCE, CAMBODIA

341


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

HSBO-01 บัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง กรณีศึกษา : หมู่บ้านหนองตะไก้ ตาบลบัวใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา HOUSEHOLD ACCOUNT IN SUFFICIENCY ECONOMY. CASE STUDY: NONGTAKAI VILLAGE, BUA YAI DISTRICT, BUA YAI DISTRICT, NAKHON RATCHASIMA PROVINCE ธมนวรรณ ป้อมสนาม1 1

Thamonwan Pomsanam สาขาวิชาการบัญชี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุลthamonwan_pom@vu.ac.th 1

บทคัดย่อ การศึกษาเรื่อง บัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง กรณีศึกษา : หมู่บ้านหนองตะไก้ ตาบลบัวใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา วัตถุประสงค์การศึกษาเพื่อศึกษาทัศนคติและการจัดทาบัญชีครัวเรือนตามหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเพื่อศึกษาปัญหาและข้อเสนอแนะในการจัดทาบัญชีครัวเรือนตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือครัวเรือนที่อาศัยอยู่ ในหมู่บ้านหนองตะไก้ ตาบลบัวใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา จานวน 79 ครัวเรือน ศึกษาในช่วงเดือน เมษายน – กันยายน 2560 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ครัวเรือนมีทัศนคติในการจัดทาบัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง ดังนี้ ประชาชนมีความเข้าใจความหมายของคาว่า รายรับหรือรายได้ ค่าใช้จ่ายหรือรายจ่าย มีทัศนคติเกี่ยวกับความจาเป็นต้องทาบัญชีครัวเรือน การทาบัญชีครัวเรือน ทาให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ขั้นตอนการจัดทาบัญชีครัวเรือนมีความยุ่งยาก รู้จักคาว่าเศรษฐกิจพอเพียง มีความ เข้าใจเกี่ยวกับบัญชีครัวเรือน คิดว่าเศรษฐกิจพอเพียงมีประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิต การนาความรู้ที่ได้จากหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจาวันของตนเอง ในหมู่บ้านไม่ค่อยมีการรณรงค์ให้มีการจัดทาบัญชี ครั วเรื อน ชุม ชนมี การส่งเสริ ม ให้ ไ ด้รั บการอบรมการจัด ท าบั ญ ชีค รั วเรื อนชุม ชน และประชาสั มพั น ธ์เ กี่ ยวกั บ เศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นหน่วยงานหรือชุมชนสามารถนาไปใช้เป็นแนวคิดในการให้ความรู้ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ ครัวเรือนมีการจัดทาบัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงต่อไปในอนาคตได้ คำสำคัญ : การบัญชี; บัญชีครัวเรือน Abstract The study of household accounting in sufficiency economy, Case Study: Nongtakai Village, Bua Yai District, Bua Yai District, Nakhon Ratchasima Province. The objectives of this study were 1. To study the attitude and practice about household accounting in Sufficiency economy 2.To study problems and suggestions about household accounting in Sufficiency economy. Sample 79 households in the villages of Nongtakai, Bua Yai, Bua Yai, Nakhon Ratchasima was gathered by attached a questionnaire between April-September 2017.The data was analyzed by a

342


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

statistical programs such as mean and standard deviation. The research revealed that the attitude and practice about household accounting in Sufficiency economy was at moderate level. When divided into category found that most of results were at moderate level, there were; 1.People understanding about the meaning of revenue, income, cost or expense, 2. Necessary to do household accounting, 3.Attitude about better life when do household accounting, 4. Household accounting complication, 5. Knowledge and understanding of household accounting in Sufficiency economy, 6. Benefits after doing household accounting, 7. Living Beneficial when doing household accounting, 8. Sufficiency Economy Philosophy knowledge using, whereas 9.Hardly campaign about household accounting and 10.Supporting and promoting within village was rarely to happen. Therefore, organizations or communities can apply the concept of household accounting in Sufficiency economy knowledge to encourage and stimulate to people for the better life. Keywords : Accounting; household accounting บทนา จากสภาวะสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยกระแสวัตถุนิยม และความฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ จนทาให้คนไทยหลง เดินทางผิดไปตามกระแสนิยมจนกลายเป็นปัญหา โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินที่ไม่มีวันจบสิ้น อย่างไรก็ตามคนไทยยังมี ทางออก ซึ่งการจะดารงชีวิตให้อยู่รอดภายใต้สังคมในปัจจุบัน แนวทางหนึ่งที่ประชาชนไทยควรยึดถือ คือ การพึ่งตนเอง รู้จักความพอประมาณ และไม่ประมาท ตามแนวปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง”ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ ทรงมองเห็นถึงความสาคัญของการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง รู้จักความพอมีพอกิน พอมีพอใช้ คานึงถึงหลักเหตุผล และการประมาณตนเอง พร้อมกับทรงเตือนสติประชาชนคนไทยไม่ให้ประมาท โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงินอันเป็น ปัจจัยสาคัญในการดาเนินชีวิต การทาบัญชีครัวเรือนในด้านเศรษฐกิจหรือการบันทึกรายรับรายจ่ายที่ทางราชการ พยายามส่งเสริมให้ประชาชนได้ทากันนั่นเป็นเรื่องการบันทึกรายรับรายจ่ายประจาวันประจาเดือนว่า มีรายรับจาก แหล่งใดบ้าง จานวนเท่าใด มีรายจ่ายอะไรบ้าง จานวนเท่าใด ในแต่ละวัน สัปดาห์ เดือน และ ปี เพื่อจะได้เห็น ภาพรวมว่า ตนเองและครอบครัวทีรายรับเท่าใด รายจ่ายเท่าใด คงเหลือเท่าใด หรือ เงินไม่พอใช้เท่าใด คือ รายจ่าย มากกว่ารายรับ และสารวจว่ารายการใดจ่ายน้อยจ่ายมาก จาเป็นน้อยจาเป็นมาก จาเป็นน้อย อาจลดลง จ่ายเฉพาะ ที่จาเป็นมาก เมื่อนารายรับ รายจ่าย มาบวกลบกันแล้วขาดดุลเกินดุลไปเท่าใด เมื่อเห็นตัวเลข จะทาให้เราคิดได้ ว่า สิ่งไม่จาเป็นนั้นมีมากหรือน้อย หากเราวางแผนการรับการจ่ายเงินของตนเองได้ เท่ากับว่ารู้จักความเป็นคนได้พัฒนา ตนเอง ให้เป็นคนมีเหตุมีผล เป็นคนรู้จักพอประมาณ เป็นคนรักตนเอง รักครอบครัว รักชุมชน และรักประเทศชาติ มากขึ้นจึงเห็นได้ว่า การทาบัญชีครัวเรือน ในเรื่องรายรับรายจ่าย ก็คือวิถีแห่งการเรียนรู้เพื่อพัฒนาชีวิต ตามปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง เพราะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ปรัชญาชีวิตที่ถูกต้องเหมาะสม พอดี สอดคล้อง ถูกต้องตามกฎธรรมชาติที่มีทั้งความเป็นเอกภาพและดุลยภาพอยู่เสมอ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้จัดทาวิจัยนี้ขึ้นมาเพื่อต้องการทราบว่า ประชาชนในชุมชนมีความรู้ และทัศนคติ อย่างไรต่อการจัดทาบัญชีครัวเรือน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและการทาบัญชีในครัวเรือนมีปัญหาและ อุปสรรคอย่างไรบ้าง เพื่อนาผลที่ได้จากการศึกษาไป วางแผนและพัฒนาชุมชนต่อไปในอนาคต

343


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. เพื่อให้ทราบถึงทัศนคติที่มีต่อการจัดทาบัญชีครัวเรือนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ ประชาชนหมู่บ้านหนองตะไก้ ตาบลบัวใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา 2. เพื่อให้ทราบถึงปัญหาและข้อเสนอแนะในการจัดทาบัญชีครัวเรือน ตามหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงของประชาชนหมู่บ้านหนองตะไก้ ตาบลบัวใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา 3. เพื่อเป็นแนวทางให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเสริมสร้างศักยภาพให้ประชาชน มีองค์ความรู้ ด้านการจัดทาบัญชีครัวเรือน เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน การทบทวนวรรณกรรม การศึกษาเรื่อง “ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบัญชีครัวเรือนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง” ผู้วิจัยได้ ศึกษาข้อมูลค้นคว้าเอกสาร แนวคิดทฤษฏี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยได้นาเสนอสาระสาคัญ ดังนี้ 1. แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “เศรษฐกิจพอเพียง” ไม่จาเป็นต้องต่อต้านกระแสโลกาภิวัฒน์หรือสิ่งทันสมัยต่างๆ ทุกคนในสังคม สามารถนาไปใช้ได้ แต่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการใช้จ่ายอย่างขี้เหนียว การห้ามเป็นหนี้ การยอมรับสภาพ หรือการไม่ ขวนขวายทาสิ่งใด ความหมายที่ลึกซึ้งของเศรษฐกิจพอเพียง คือ การคานึงถึงความพอประมาณ คือ ให้ทาอะไรด้วย ความพอดี ไม่มาก หรือน้อยเกินไป และต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ดาเนินชีวิตให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทาง สายกลางและความไม่ประมาท อันจะนาไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง เปรียบเสมือนการสร้างเสาเข็ม สร้าง ฐานให้แข็งแรงมั่นคง ไม่ว่าพายุใดๆ เข้ามา หรือจะต่อเติมสร้างเพิ่มในภายหลัง บ้านก็จะยังคงยืนหยัดอยู่ได้ (มูลนิธิ ชัยพัฒนา. 2560) คานิยาม หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีหลักจาง่ายๆ คือประกอบด้วยคุณลักษณะ 3 ประการ และเงื่อนไข 2 เงื่อนไข ดังนี้ 1. ความพอประมาณ (Moderation) 2. ความมีเหตุผล (Reasonableness) 3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว (Self-immunity) 3.1 เงื่อนไขความรู้ 3.2 เงื่อนไขคุณธรรม (ชนัธฌา ศิวโมกษธรรม. 2550) 2. แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับบัญชีครัวเรือน บัญชีครัวเรือน มิได้หมายถึง การทาบัญชีหรือบันทึกรายรับรายจ่ายประจาวันเท่านั้นแต่อาจหมายถึง การบันทึกข้อมูลด้านอื่นๆ ในชีวิตในครอบครัวเป็นต้นของเราได้ด้วย เช่น บัญชีทรัพย์สิน พันธุ์พืช พันธุ์ไม้ ในบ้านเรา ในชุ ม ชนเรา บัญ ชี ค วามรู้ ค วามคิ ด ของเรา บัญ ชี ผู้ ท รงคุ ณ ผู้ รู้ใ นชุ ม ชนเรา บั ญ ชี ภู มิ ปัญ ญ าด้ านต่ า งๆ เป็ น ต้ น หมายความว่า สิ่งหรือเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเรา เราจดบันทึกได้ทุกเรื่อง หากประชาชนทุกคนจดบันทึกจะมี ประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชนและประเทศจะเป็นแหล่งเรียนรู้ ครอบครัวเรียนรู้ ชุมชนเรียนรู้ และประเทศ เรียนรู้การทาบัญชีครัวเรือนในด้านเศรษฐกิจ หรือการบันทึกรายรับรายจ่ายที่ทางราชการพยายามส่งเสริมให้ ประชาชนได้ทากัน นั่นเป็นเรื่องการบันทึกรายรับรายจ่ายประจาวันประจาเดือนว่า มีรายรับจากแหล่งใดบ้าง จานวนเท่าใด มีรายจ่ายอะไรบ้าง จานวนเท่าใด ในแต่ละวัน สัปดาห์ เดือน และ ปี เพื่อจะได้เห็นภาพรวมว่าตนเอง

344


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

และครอบครัวทีรายรับเท่าใด รายจ่ายเท่าใด คงเหลือเท่าใด หรือ เงินไม่พอใช้เท่าใด คือ รายจ่ายมากกว่ารายรับ และ สารวจว่ารายการใดจ่ายน้อยจ่ายมาก จาเป็นน้อยจาเป็นมาก จาเป็นน้อยอาจลดลง จ่ายเฉพาะที่จาเป็นมาก เช่น ซื้อ กับข้าว ซื้อยา ซื้อเสื้อผ้า ซ่อมแซมบ้าน การศึกษา เป็นต้นส่วนรายจ่ายที่ไม่จาเป็นให้ลด ละ เลิก เช่น ซื้อบุหรี่ ซื้อเหล้า เล่นการพนัน เป็นต้น เมื่อนารายรับ รายจ่าย มาบวกลบกันแล้วขาดดุลเกินดุลไปเท่าใด เมื่อเห็นตัวเลข จะทาให้เรา คิดได้ว่าสิ่งไม่จาเป็นนั้นมีมากหรือน้อยสามารถลดได้หรือไม่ เลิกได้ไหม ถ้าไม่ลดไม่เลิกจะเกิดอะไร กับตัวเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศ หากเราวางแผนการรับการจ่ายเงินของตนเองได้ เท่ากับว่า รู้จักความเป็นคนได้พัฒนาตนเอง ให้ เป็นคนมีเหตุมีผล เป็นคนรู้จักพอประมาณ เป็นคนรักตนเอง รักครอบครัว รักชุมชน และรักประเทศชาติมากขึ้นจึง เห็นได้ว่า การทาบัญชีครัวเรือน ในเรื่องรายรับรายจ่าย ก็คือวิถีแห่งการเรียนรู้เพื่อพัฒนาชีวิต ตามปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง นั่นเอง เพราะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ปรัชญาชีวิตที่ถูกต้องเหมาะสม พอดี สอดคล้องถูกต้องตาม กฎธรรมชาติที่มีทั้งความเป็นเอกภาพและดุลยภาพอยู่เสมอกล่าวได้ว่า การบัญชีครัวเรือนเป็นการรวบรวมเหตุการณ์ ทางการเงินคือรายรับและรายจ่ายในแต่ละวันของบุคคลหรือครอบครัวหรือธุรกิจขนาดย่อมแล้วนามาจดบันทึกใน เอกสารที่จัดทาขึ้น อาจจัดทาเป็นสมุดบัญชีหรือจะใช้โปรแกรมสาเร็จรูปจากคอมพิวเตอร์ก็จะทาให้สะดวกยิ่งขึ้น แล้วสรุปเป็นยอดรวมของรายรับรายจ่ายในแต่ละ เพื่อให้ทราบยอดเงินคงเหลือถ้ามีรายรับมากกว่ารายจ่าย แสดงว่า มีเงินเหลือ ซึ่งจะนาไปใช้จ่ายในเดือนต่อไปหรือจะเก็บสะสมเป็นเงินออมโดยนาไปฝากธนาคารก็ได้ แต่ถ้ารายจ่าย มากกว่ารายรับแสดงว่าต้องจัดหาเงินจากแหล่งอื่นมาเสริม ทั้งนี้การจัดทาบัญชีครัวเรือนไม่ได้มีไว้เพื่อประโยชน์ของ เกษตรกรเท่านั้นแต่ยังหมายถึงประชาชนทุกกลุ่มที่ต้องการมีชีวิตที่มีความสุขอย่างพอเพียงเนื่องจากที่ผ่านมา นโยบายของรัฐได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจในการทาบัญชีครัวเรือนมากกว่า ประชาชนกลุ่มอื่นๆ กรมตรวจบั ญชีสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จึงเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสาคัญในการกระตุ้นกลุ่มเกษตรให้จัดทาบัญชี ครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง จนทาให้มีผู้เข้าใจผิดว่าบัญชีครัวเรือนเป็นบัญชีสาหรับเกษตรกรเท่านั้น [2] มูลนิธิชัยพัฒนา, 2560 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตุลาพร จันทร์กวี และวริศรา ดวงตาน้อย (2558) ศึกษาเรื่องการจัดทาบัญชีครัวเรือนของเกษตรกร ตาบลแม่พลูและตาบลชัยจุมพล อาเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่เคยมีประสบการณ์ในการ จัดทาบัญชี และใช้เวลาว่างช่วงกลางคืนในการจัดทา ทัศนคติของเกษตรตาบลแม่พลู และตาบลชัยจุมพล อาเภอลับ แล จังหวัดอุตรดิตถ์ ต่อการจัดทาบัญชีครัวเรือนโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทัศนคติของเกษตรกรที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือการทาบัญชีครัวเรือนทาให้สามารถวางแผนการเพิ่มรายได้ของครอบครัว และเป็น แรงผลักดันที่ต้องการใช้ชีวิต อย่างพอเพียงตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง [3] ตุลาพร จันทร์กวี และวริศรา ดวงตาน้อย,2556 บุษยา มั่นฤกษ์ (2556) ศึกษาเรื่องการนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ ในการบริหาร จัดการของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตาบลจังหวัดนคปฐม พบว่าผู้บริหารอบต. ในจังหวัดนครปฐมเป็นเพศชาย ระดับการนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินงานของบุคลากรอยู่ในระดับมากพบในด้าน การจัดการองค์การ ด้านการดาเนินงานและด้านการวางแผน ผู้บริหารที่มีการศึกษาระดับปริญญาโท มีการนาหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้มากกว่าผู้บริหารที่มีการศึกษาระดับต่ากว่า ประโยชน์คือสามารถประหยัด งบประมาณขององค์ก ร เกิด การใช้ท รัพ ยากรอย่ างมี ประสิท ธิภ าพ และคุ้ม ค่ า ปั ญหาอุ ป สรรค คือ บุค ลากร / ประชาชนในพื้นที่ยังยึดติดกับวัฒนธรรมประเพณี และแนวคิดวัตถุนิยมบริโภคนิยมและวัฒนธรรมเดิ มขององค์กร

345


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ข้อเสนอแนะ คือ ควรมีการปลูกฝังผู้บริหารให้เห็นคุณค่าและความสาคัญของการนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไปประยุกต์ใช้ [4]บุษยา มั่นฤกษ์, 2556 วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาทัศนคติเกี่ยวกับบัญชีครัวเรือนและที่มีต่อหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2. เพื่อศึกษาปัญหาและข้อเสนอแนะในการจัดทาบัญชีครัวเรือนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กรอบแนวคิดในการวิจัย ข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ - เพศ - อายุ - ระดับการศึกษา - อาชีพ - รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนต่อ เดือน - รายจ่ายเฉลี่ยของครัวเรือนต่อ เดือน

บัญชีครัวเรือน ตามแนวเศรษฐกิจ พอเพียงครัวเรือน ในหมู่บ้านหนองตะไก้ ตาบลบัวใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา

รูปที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจยั จากรูปที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัยนั้น ผู้วิจัยได้ใช้กลุ่มตัวอย่างครัวเรือน ในหมู่บ้านหนองตะไก้ ตาบล บัวใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ขอบเขตการวิจัย ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ต่อไปนี้ 1. ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบัญชีครัวเรือนและทัศนคติที่มีต่อหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2. ปัญหาและข้อเสนอแนะในการจัดทาบัญชีครัวเรือนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3. แนวทางการการเสริมสร้างศักยภาพให้ประชาชนมีองค์ความรู้ด้านการจัดทาบัญชีครัวเรือน วิธีดาเนินการวิจัย จากการศึกษาเรื่อง บัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง กรณีศึกษา : หมู่บ้านหนองตะไก้ ตาบลบัว ใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา มีวิธีการดาเนินการวิจัยดังนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครัวเรือนในหมู่บ้านหนองตะไก้ ตาบล บัวใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา จานวน 89 ครัวเรือน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้วิจัยได้คิดคานวณกลุ่มตัวอย่าง ที่เหมาะสม โดยวิธีการคานวณ Taro Yamane ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จานวน 79 ครัวเรือน (Taro Yamane. 1973) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสอบถาม (Questionnaire) ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้น และทดสอบคุณภาพ เครื่องมือโดยเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยการหาค่าดัชนีความ

346


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

สอดคล้อง (IOC: Index of Congruence) ซึ่งปรากฏทุกข้อคาถามมีค่ามากกว่า 0.6 จากนั้นนาไปทดลองใช้ (Try Out) กับผู้นาครัวเรือนของหมู่บ้านห้วยแคน ตาบลบัวใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านในตาบลเดียวกัน ซึ่งมี สภาพใกล้เคียงกับกับหมู่บ้านหนองตะไก้ จานวน 30 คน และวิเคราะห์ความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม (Reliability) ในภาพรวมทั้งฉบับ โดยวิธีการของครอนบาค (Cronbach) ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 แสดงว่าเครื่องมือมี ความเที่ยงสูง สามารถนาไปเก็บข้อมูลได้ต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล ศึกษาได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากข้อมูลปฐมภูมิ โดยการใช้แบบสอบถาม และเก็บ รวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากหนังสือ เว็บไซต์ และเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบัญชีครัวเรือนและการจัดทาบัญชี การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ผลการวิจัย ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ในการศึกษาครั้งนี้ได้ทาการวิเคราะห์ข้อมูลลักษณะทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามคือ เพศ อายุ ระดับ การศึกษา อาชีพ รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนต่อเดือนและรายจ่ายเฉลี่ยของครัวเรือนต่อเดือน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่ ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุอยู่ระหว่าง 36 – 45 ปี ระดับการศึกษา ประถมศึกษา ประกอบ อาชีพรับจ้าง รายได้ของครัวเรือนส่วนใหญ่ อยู่ระหว่าง 5,000-10,000 บาทต่อเดือน และรายจ่ายของครัวเรือนอยู่ ระหว่าง 5,000-10,000 บาทต่อเดือน ข้อมูลสภาพการจัดทาบัญชีครัวเรือน การวิเคราะห์ข้อมูลสภาพการจัดทาบัญชีครัวเรือนของผู้ตอบแบบสอบถามพบว่าส่วนใหญ่ไม่มีการจัดทา บัญ ชีค รั วเรื อนคิด เป็น ร้ อยละ 88.60 และมี บ างส่ วนที่ท าบัญ ชี ครั วเรื อน คิด เป็น ร้อ ยละ 11.40 ซึ่ งผู้ต อบ แบบสอบถามเป็นผู้ที่จดบันทึกการทาบัญชีครัวเรือนด้วยตนเอง โดยทาบัญชี 1 ครั้ง/สัปดาห์ อย่างสม่าเสมอ และ ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานภายนอก

347


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ทัศนคติเกี่ยวกับการทาบัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตารางที่ 1 ทัศนคติเกี่ยวกับการทาบัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ทัศนคติ/การจัดทาบัญชีครัวเรือน ทัศนคติเกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 1. ในชุมชนของท่านมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงมากน้อย เพียงใด 2. ท่านคิดว่าครอบครัวท่านได้นาความรู้ที่ได้จากหลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงมาใช้ในชีวิตประจาวันของตนเองเพียงใด 3. ครอบครัวของท่านรู้จักคาว่าเศรษฐกิจพอเพียง มากน้อยเพียงใด 4. ท่านคิดว่าเศรษฐกิจพอเพียงมีประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิตเพียงใด 5. ท่านคิดว่าท่านมีสว่ นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศมากน้อย เพียงใด 6. ท่านคิดว่าท่านมีความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงมากน้อยเพียงใด 7. ครัวเรือนมีความจาเป็นต้องทาบัญชีครัวเรือนมากน้อยเพียงใด 8. การทาบัญชีครัวเรือนทาให้มีชีวิตและความเป็นอยู่ดีขึ้นเพียงใด 9. ท่านมีความเข้าใจเกีย่ วกับบัญชีครัวเรือนมากน้อยเพียงใด 10. ในหมู่บ้านของท่านได้มีการรณรงค์ให้มีการจัดทาบัญชีครัวเรือน 11. ท่านเข้าใจความหมายของคาว่าค่าใช้จ่ายหรือรายจ่ายมากน้อยเพียงใด 12. ท่านเข้าใจความหมายของคาว่ารายรับหรือรายได้เพียงใด 13. ท่านคิดว่าเมื่อครอบครัวของท่านได้มีการจัดทาบัญชีครัวเรือนครอบครัว ของท่านจะมีเงินออมมากขึ้นเพียงใด 14. ชุมชนของท่านมีการส่งเสริมให้ได้รับการอบรมการจัดทาบัญชีครัวเรือน มากน้อยเพียงใด 15. ท่านคิดว่าขั้นตอนการจัดทาบัญชีครัวเรือนมีความยุ่งยากเพียงใด รวม

Mean

วิเคราะห์ข้อมูล S.D ระดับ

2.43

1.03

ไม่ดี

14

2.96 3.14 3.05

0.89 0.78 0.79

ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง

11 5 9

2.96 3.08 3.43 3.22 3.13 2.73 3.47 3.47

0.82 0.78 0.82 0.85 0.91 0.97 0.86 0.86

ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง

10 8 2 3 6 12 1 1

3.11

0.81

ปานกลาง

7

2.71 3.16 2.89

0.81 0.86 0.81

ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง

13 4 -

ลาดับ

จากการศึกษาทัศนคติเกี่ยวกับการทาบัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ในภาพรวม พบว่า ครัวเรือนมีทัศนคติในการจัดทาบัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ในระดับปานกลาง (mean = 2.89, S.D = 0.81)เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีความเข้าใจความหมายของคาว่ารายรับหรือรายได้เพียงใด และความเข้าใจ ความหมายของคาว่าค่าใช้จ่ายหรือรายจ่ายมากน้อยเพียงใด อยู่ในระดับปานกลาง (mean = 3.47, S.D = 0.86) ครัวเรือนมีความจาเป็นต้องทาบัญชีครัวเรือนมากน้อยเพียงใด มีทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง (mean = 3.43, S.D = 0.82) การทาบัญชีครัวเรือนทาให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นเพียงใด ทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง (mean = 3.22, S.D = 0.85) ครัวเรือนคิดว่าขั้นตอนการจัดทาบัญชีครัวเรือนมีความยุ่งยากมากน้อยเพียงใด ทัศนคติอยู่ในระดับ ปานกลาง (mean = 3.16, S.D = 0.86) ครอบครัวของท่านรู้จักคาว่าเศรษฐกิจพอเพียง มากน้อยเพียงใด ทัศนคติ อยู่ในระดับปานกลาง (mean = 3.14, S.D = 0.78) ท่านมีความเข้าใจเกี่ยวกับบัญชีครัวเรือนมากน้อยเพียงใด ทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง (mean = 3.13, S.D = 0.91) ท่านคิดว่าเมื่อครอบครัวของท่านได้มีการจัดทาบัญชี ครัวเรือนครอบครัวของท่านจะมีเงินออมมากขึ้นเพียงใด ทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง (mean = 3.11, S.D = 0.81) ท่านคิดว่าท่านมีความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงมากน้อยเพียงใด ทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง (mean = 3.08,

348


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

S.D = 0.78) ท่านคิดว่าเศรษฐกิจพอเพียงมีประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิตเพียงใด ทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง (mean = 3.05, S.D = 0.79) ท่านคิดว่าท่านมีส่วนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศมากน้อยเพียงใด ทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง (mean = 2.96, S.D = 0.82) ท่านคิดว่าครอบครัวท่านได้นาความรู้ที่ ได้จากหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจาวันของตนเองเพียงใด ทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง (mean = 2.96, S.D = 0.89) ในหมู่บ้านของท่านได้มีการรณรงค์ให้มีการจัดทาบัญชีครัวเรือน ทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง (mean = 2.73, S.D = 0.97) ชุมชนของท่านมีการส่งเสริม ให้ได้รับการอบรมการจัดทาบัญชีครัวเรือนมากน้อยเพียงใด ทัศนคติอยู่ในระดับปานกลาง (mean = 2.71, S.D = 0.81) ในชุมชนของท่านมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจ พอเพียงมากน้อยเพียงใด ทัศนคติอยู่ในระดับไม่ดี (mean = 2.43, S.D = 1.03) วิจารณ์ผลการวิจัย การจัดทาบัญชีตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของครัวเรือนในหมู่บ้านหนองตะไก้ ตาบลบัวใหญ่ อาเภอ บัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาพบว่าส่วนใหญ่ไม่มีการจัดทาบัญชีครัวเรือน และมีส่วนน้อยที่ทาบัญชีครัวเรือน จด บันทึกการทาบัญชีครัวเรือนด้วยตนเอง โดยทาบัญชี 1 ครั้ง/สัปดาห์ อย่างสม่าเสมอ จากการศึกษาทัศนคติเกี่ยวกับ การทาบัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ในภาพรวมพบว่าครัวเรือนมีทัศนคติในการจัดทาบัญชีครัวเรือน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีประชาชนมีความเข้าใจความหมาย ของคาว่ารายรับหรือรายได้ ค่าใช้จ่ายหรือรายจ่าย ในระดับปานกลาง มีทัศนคติอยู่ในระดับปานกลางเกี่ยวกับความ จาเป็นต้องทาบัญชีครัวเรือน การทาบัญชีครัวเรือนทาให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ขั้นตอนการจัดทาบัญชีครัวเรือนมี ความยุ่งยาก รู้จักคาว่าเศรษฐกิจพอเพียงในระดับปานกลาง มีความเข้าใจเกี่ยวกับบัญชีครัวเรือนในระดับปานกลาง คิดว่าเศรษฐกิจพอเพียงมีประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิตในระดับปานกลาง การนาความรู้ที่ได้จากหลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงมาใช้ในชีวิตประจาวันของตนเองอยู่ในระดับปานกลาง และในหมู่บ้านไม่ค่อยมีการรณรงค์ให้มีการจัดทา บัญชีครัวเรือน ชุมชนมี การส่งเสริมให้ได้รับการอบรมการจัดทาบัญชีครัวเรือนชุมชน และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ เศรษฐกิจพอเพียงค่อนข้างน้อย ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการจัดทาบัญชีครัวเรือน ครัวเรือนที่ตอบแบบสอบถามให้ข้อเสนอแนะในการจัดทาบัญชี ครัวเรือนว่าหากมีการจัดทาโครงการเกี่ยวกับการจัดทาบัญชีครัวเรือนพบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความสนใจในการ เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ดังนั้นชุมชนหรือหน่วยงานสามารถนาผลการศึกษาการจัดทาบัญชีตามแนวเศรษฐกิจ พอเพียงของครัวเรือนในหมู่บ้านหนองตะไก้ ตาบลบัวใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาที่ว่าส่วนใหญ่ยังไม่ ค่อยมีการจั ดทาบัญชีครัวเรือน หน่วยงานหรือชุมชนสามารถนาไปใช้เป็นแนวคิดในการให้ความรู้ ส่งเสริมและ สนับสนุนให้ครัวเรือนมีการจัดทาบัญชีครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงต่อไปในอนาคตได้

349


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

กิตติกรรมประกาศ ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณ ครั วเรือนในหมู่บ้า นหนองตะไก้ และหมู่บ้า นห้วยแคน ตาบลบัวใหญ่ อาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในงานวิจัย ที่ให้ความช่วยเหลือ เป็นกาลังใจ และมี ส่วนทาให้การศึกษาในครั้งนี้สาเร็จลงด้วยดี เอกสารอ้างอิง ชนัธฌา ศิวโมกษธรรม. (2550). “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง.” “บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียงกับพระอัจฉริยภาพ ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” สมาคมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งประเทศไทย: 27 – 52. วารสารมูลนิธิชัยพัฒนา. ม.ป.ป. “เศรษฐกิจพอเพียง.” แหล่งข้อมูล http://www.pidthong.org/ philosophy.php#. WRqoeJ_sYx. 30 เมษายน 2560. ตุลาพร จันทร์กวี และวริศรา ดวงตาน้อย (2558). การจัดทาบัญชีครัวเรือนของเกษตรกรตาบลแม่พลูและตาบล ชัยจุมพล อาเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์. คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์, วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์, Thailand. Vol 10 No 2 (2015): กรกฎาคม ธันวาคม 2558 : 113-122. บุษยา มั่นฤกษ์. (2556). การนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการของผู้บริหาร องค์การบริหารส่วนตาบล จังหวัดนครปฐม. วิทยานิพนธ์ศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์. พิพัฒน์ ยอดพฤติการณ์. (2550). เศรษฐกิจพอเพียงหมายถึงอะไร. กรุงเทพฯ : วนิดาการพิมพ์. แพรภัทร ยอดแก้ว. (2558). ทัศนคติหรือเจตคติ(Attitude). แหล่งข้อมูล https://www.gotoknow.org/posts/280647. 30 เมษายน 2560.

350


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

HSBO-02 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอล FACTORS INFLUENCING CONSUMER BEHAVIOR THROUGH FORWARDING VIDEO CONTENT MARKETING BY VIRAL MARKETING IN THE DIGITAL ERA มธุรส ทองอินทราช1, ณักษ์ กุลิสร์2 1

Mathurose Tongintharach, นักศึกษาปริญญาโท ภาควิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, Iamsirin.nara@gmail.com1 2 Nak Gulid, รองศาสตราจารย์ ภาควิชาบริหารธุกิจ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มุ่งหมายศึกษาถึงรูปแบบการนาเสนอในคลิปวิดีโอที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอ การตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอล ซึ่งปัจจุบันมีคลิปวิดีโอจานวนมากที่ทาขึ้นมาเพื่อให้ เกิดเป็นกระแสทางการตลาดที่มีการพูดถึงอย่างแพร่กระจายเป็นวงกว้าง (viral Marketing) แต่กลับไม่ประสบ ความสาเร็จในการเผยแพร่ต่อ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริโภคที่เกิดตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นกลุ่ม คนรุ่นใหม่ที่มีจานวนประชากรค่อนข้างมาก และมีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ดิจิตอล และอินเตอร์เน็ตใน ระดับสูง (Digital Native) โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ จานวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และ การสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่า ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน คือ การวิเคราะห์ความแตกต่างโดยการหา ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิ จั ย พบว่ า ผู้ บ ริ โ ภคมี ทั ศ นคติ ต่ อ หลั ก เกณฑ์ ก ารน าเสนอวิ ดี โ อการตลาดเชิ ง เนื้ อ หาแบบ แพร่กระจายในระดับดีมากทุกด้าน โดยด้านความน่าสนใจต่อเนื้อหาในการส่งต่อข้อมูลทางการตลาดมีค่าเฉลี่ยสูงสุด โดยมีความคิดเห็นต่อแรงจูงใจของผู้บริโภคโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีระดับแนวโน้มพฤติกรรมการส่งต่อ วิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายยุคดิจิตอล อยู่ในระดับส่งต่อแน่นอน คำสำคัญ : วิดีโอการตลาดเชิงเนือ้ หา, การตลาดแบบแพร่กระจาย, ผู้บริโภคยุคดิจิตอล Abstract The objectives of this research are to study the presentation format of video clips that influence consumer behavior through forwarding video content marketing by viral marketing in the digital era. Recently, there have been many video clips developed for viral marketing. However, some are not successful in being shared. The sample used in this study was born since 1992. This is a new generation of people with a relatively large number of population that are familiar with computer, digital devices, and have highly internet using skills since young age. In

351


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

this research, the data were analyzed according to the quantitative research methodology. The sample group consists of 400 respondents. The purposive sampling method and convenient sampling are used, and the data are collected by questionnaire. Research results are as follows that consumers have attitudes towards video content marketing presentation format at a very good level in all aspects. The attraction of video content has the influence on the opinions of consumer motivation at the highest level. The attraction of video content also has the influence on video content marketing forwarding behavior, through viral marketing in the era of digital native, at definitely sharing the video level. Keywords : Video Content Marketing, Viral Marketing, Digital Native บทนา ปัจจุบันเป็นยุคแห่งการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร (Information Technology) วิดีโอการตลาดเชิง เนื้อหา (Video Content Marketing) จึงเป็นเครื่องมือสาคัญสาหรับนักการตลาดยุคใหม่ เนื่องจากจุดเด่นเฉพาะ ของวีดีโอที่สามารถสื่อสารแทนคาพูดได้มากกว่า1.8 ล้านคา ภายในเวลาเพียงแค่ 1 นาที และการสื่อสารด้วย ภาพเคลื่อนไหวของวิดีโอนั้นช่วยให้ผู้ชมสามารถจดจารายละเอียดต่างๆ ที่ถูกถ่ายทอดผ่านภาพและเสียงได้มากถึง 95% ซึ่งแตกต่างจากสื่อสารผ่านตัวอักษรที่ผู้อ่านสามารถจดจาได้เพียงแค่ 10% ของข้อมูลทั้งหมดเท่านั้น อีกทั้งการ นาเสนอในรูปแบบวิดีโอยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจ และสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ในการส่งต่อข้อมูลทางการตลาดแบบแพร่กระจาย (Viral Marketing) ในรูปแบบวิดีโอการตลาด เชิงเนื้อหา เพื่อสร้างการรับรู้ และการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมอย่าง มาก เนื่องจากข้อมูลเดินทางอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งสร้างปฏิกิริยาให้เกิดขึ้นจากการส่งต่อสารจากผู้บริโภคด้วยกัน ทั้งนี้การรับรู้ที่แพร่กระจายก็เปรียบเสมือนดาบสองคม มีทั้งด้านบวกและด้านลบ เพราะการแพร่กระจายข้อมูล ออกไป ผู้บริโภคเป็นคนแปลสารที่ผู้ผลิตต้องการสื่อสาร หากผู้บริโภครับรู้สารในด้านบวกจะเกิดผลตอบรับที่ดีและ ส่งต่อข้อมูลไปในด้านบวก แต่หากผู้บริโภครับรู้สารในด้านลบจะเกิดผลเสียหายต่อตราสินค้าหรือธุรกิจ อาศั ยแนวคิด ทฤษฏีท างการตลาดที่ เกี่ย วข้ องกับ การตลาดในปัจ จุบั น แนวคิ ดและทฤษฎีเ กี่ย วกั บ ประชากรศาสตร์ ประกอบด้วยเพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ นิยมใช้ในการแบ่งส่วนการตลาด แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการสื่อสารการตลาด (SMCR) มีลักษณะของการสื่อสาร ที่มีผู้ส่งสาร ข้อมูลข่าวสาร ช่องทางในการส่ง และผู้รับสาร แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับทัศนคติ เป็นการทาความ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติและพฤติกรรมโดยใช้ทัศนคติต่อหลักเกณฑ์การนาเสนอวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหา แบบแพร่กระจาย 10 ด้าน คือ ด้านความน่าสนใจ ด้านอารมณ์ความรู้สึก ด้านลักษณะความแตกต่าง ด้านความ ขัดแย้ง ด้านการให้ประโยชน์และแง่คิด ด้านความสะดวกในการเข้าชมและแบ่งปัน ด้านรูปแบบไม่เหมือนการ โฆษณา ด้านความเป็นเอกลักษณ์ ด้านการสนับสนุนส่งเสริม และด้านการดาเนินงาน แนวคิดและทฤษฎี เกี่ยวกับ แรงจูงใจ โดยอธิบายถึงการเกิดแรงจูงใจของผู้บริโภค ได้แก่ แรงจูงใจด้านเหตุผล และแรงจูงใจด้านอารมณ์ แนวคิด เกี่ยวกับรูปแบบการดาเนินชีวิต ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะรูปแบบการดาเนินชีวิต มุ่งความสาคัญที่กิจกรรม ความสนใจ ความคิดเห็นของผู้บริโภค แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับ แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของพฤติกรรมการส่งต่อข้อมูลข่าวสารทางการตลาด

352


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ในรูปแบบวิดีโอ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับผู้บริโภคยุคดิจิตอล (Digital Native) โดยอธิบายถึงกลุ่มคนที่มีอายุ ระหว่าง 15 – 24 ปี หรือผู้ที่เกิดตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้น ไป ที่คุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ดิจิตอล และ อินเทอร์เน็ตตั้งแต่อายุยังน้อย มีทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิตอลอยู่ในระดับสูง (ITU, 2013) แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการตลาดแบบแพร่กระจาย ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์การสื่อสารที่มีพลังสูงมากต่อการสร้าง ความน่าเชื่อถือ และสามารถกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดี แนวคิดเกี่ยวกับวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหา เป็นการสร้างมูลค่าจากการใช้ข้อมูลผสมผสานกับความบันเทิงเพื่อสร้างผลกระทบในเชิงบวกให้กับผู้บริโภค และเป็น เครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับผู้บริโภค จากข้ อ มู ล ข้ า งต้ น จะเห็ น ได้ ว่ า การสื่ อ สารการตลาดผ่ า นเครื อ ข่ า ยสั งคมออนไลน์ ในรู ป แบบวิ ดี โ อ การตลาดเชิงเนื้อหาสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว และกว้างขวางด้วยต้นทุนที่ต่ากว่ าการสื่อสาร การตลาดแบบดั้งเดิม ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับทัศนคติ แรงจูงใจ รูปแบบการดาเนินชีวิต และ พฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอล เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม ในการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารการตลาด อันนาไปสู่ประโยชน์สูงสุดในการดาเนินธุรกิจ สมมติฐานการวิจัย 1. ผู้บริโภคที่มีลักษณะด้านประชากรศาสตร์แตกต่างกัน มีพฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิง เนื้อหาแบบแพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอลแตกต่างกัน 2. ทั ศ นคติ ต่ อ หลั ก เกณฑ์ ก ารน าเสนอวิ ดี โ อการตลาดเชิ งเนื้ อ หาแบบแพร่ ก ระจาย มี อิ ท ธิ พ ลต่ อ พฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอล 3. แรงจูงใจของผู้บริโภค มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจาย ของผู้บริโภคยุคดิจิตอล 4. รู ป แบบการด าเนิ น ชี วิ ต มี อิ ท ธิ พ ลต่ อ พฤติ ก รรมการส่ ง ต่ อ วิ ดี โ อการตลาดเชิ ง เนื้ อ หาแบบ แพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอล 5. พฤติ ก รรมการส่ งต่ อ วิ ดี โ อการตลาดเชิ ง เนื้ อ หาแบบแพร่ ก ระจายของผู้ บ ริ โ ภคยุ ค ดิ จิ ต อล มี ความสัมพันธ์กับแนวโน้มพฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายยุคดิจิตอล วิธดี าเนินการวิจัย ในการศึ ก ษาวิ จั ย เรื่ อ ง ปั จ จั ย ที่ มี อิ ท ธิ พ ลต่ อ พฤติ ก รรมการส่ ง ต่ อ วิ ดี โ อการตลาดเชิ ง เนื้ อ หาแบบ แพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอล เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยใช้แบบสอบถามเป็น เครื่องมือในการวิจัย เพื่อทาการศึกษาและค้นคว้าตามขั้นตอน ดังนี้ ขอบเขตการวิจัย การวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาลักษณะด้านประชากรศาสตร์ ทัศนคติต่อหลักเกณฑ์การนาเสนอวิดีโอการตลาด เชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจาย แรงจูงใจของผู้บริโภค รูปแบบการดาเนินชีวิตที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอ การตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคยุคดิจิตอล (Digital Naive) ที่มีอายุระหว่าง 15 - 24 ปี หรือ ผู้ ที่ เ กิ ด ตั้ ง แต่ ปี 1992 เป็ น ต้ น ไป เป็ น กลุ่ ม คนที่ เ กิ ด หรื อ เติ บ โตในยุ ค เทคโนโลยี ดิ จิ ต อลและคุ้ น เคยกั บ การใช้

353


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ดิจิตอล และอินเทอร์เน็ตตั้งแต่อายุยังน้อย มีทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองเกี่ยวกับเทคโนโลยี ดิจิตอลอยู่ในระดับสูง และเป็นสมาชิกเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวโยงกับพฤติกรรมการส่งต่อข้อมูลบนเครือข่าย สั ง คมออนไลน์ ที่ เ คยส่ ง ต่ อ วิ ดี โ อการตลาดเชิ ง เนื้ อ หาผ่ า นเครื อ ข่ า ยสั ง คมออนไลน์ ( International Telecommunication Union: Measuring the World's Digital Natives 2013. (Online) 2015, September) ซึ่งไม่ทราบจานวนประชากรที่แ น่นอน และเพื่อให้การเก็บข้อมูลแบบสอบถามสมบูรณ์ จึงเพิ่มจานวนตัวอย่าง กาหนดสัดส่วนประชากรที่จะสุ่มเท่ากับ 0.5 หรือ p = 50% เท่ากับสารองตัวอย่าง 15 ตัวอย่าง รวมเป็น 400 ตัวอย่าง โดยมีวิธีการสุ่มตัวอย่าง ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยจะเลือกการสุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจงแบบออนไลน์เท่านั้น เพื่อให้ได้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจาย อย่างแท้จริง ด้วยการแบบสอบถามออนไลน์ในรูปของเว็บเพจโดย Google Spreadsheets เว็บไซต์ Google Docs ,Facebook, Instagram และ Line ขั้นตอนที่ 2 การสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Convenience Sampling) โดยการสอบถามกับผู้ใ ช้ อินเทอร์เน็ตในการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอล ซึ่งผู้วิจัยได้จัดทา แบบสอบถามออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ และแอพพลิเคชั่น เพื่อให้ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตคลิกเข้า ไปตอบแบบสอบถาม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือและขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ หรือแบบสอบถามที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้ง นี้ ผู้วิจัยสร้างขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลที่ได้จากทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องนามาประยุกต์เป็นลักษณะและ คาถามในแบบสอบถาม โดยแบ่งออกเป็น 6 ส่วนดังนี้ ส่วนที่ 1 ลักษณะด้านประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ ระดับ การศึก ษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ ยต่อเดื อนของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งมีลัก ษณะเป็ นคาถามปลายปิด (Close ended question) ส่ว นที่ 2 แบบสอบถามเกี่ย วกับ ทัศ นคติ ต่ อหลั กเกณฑ์ ก ารน าเสนอวิดี โ อการตลาดเชิงเนื้อ หาแบบ แพร่กระจาย โดยใช้การวัดข้อมูลแบบเชิงอันตรภาคชั้น (Interval Scale) และใช้การให้คะแนนแบบ Likert Scale โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ ส่ว นที่ 3 แบบสอบถามเกี่ ย วกั บ แรงจู งใจของผู้ บ ริ โ ภคยุ ค ดิ จิ ต อลที่ มี ต่ อ พฤติ ก รรมการส่ งต่ อ วิ ดี โ อ การตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจาย โดยใช้การวัดข้อมูลแบบเชิงอันตรภาคชั้น (Interval Scale) และใช้การให้ คะแนนแบบ Rating Scale โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ ส่วนที่ 4 แบบสอบถามเกี่ยวกับรูปแบบการดาเนินชีวิตของผู้บริโภคยุคดิจิตอลที่มีต่อพฤติกรรมการส่งต่อ วิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจาย โดยใช้คาถามปลายปิด (Close - ended response question) ใช้การ วัดข้อมูลแบบเชิงอันตรภาคชั้น (Interval Scale) และใช้การให้คะแนนแบบ Rating Scale ส่วนที่ 5 แบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายของ ผู้บริโภคยุคดิจิตอล ประกอบด้วยคาถามปลายเปิด (Open-ended question) และคาถามปลายปิด (Closeended question) ซึ่งแต่ละข้อคาถามมีหลายคาตอบให้เลือก (Multiple choices) โดยให้เลือกตอบเพียงข้อเดียว

354


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ส่วนที่ 6 แบบสอบถามเกี่ยวกับแนวโน้มพฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจาย ลักษณะคาถามเป็นแบบ Semantic differential scale ซึ่งใช้ระดับการวัดข้อมูลประเภทอันตรภาค (Interval scale) มี 5 ระดับ การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ การศึกษาวิจัยนี้ ผู้วิจัยจะนาแบบสอบถามที่ได้รับทั้งหมดมาตรวจสอบแล้วคัดเลือกเฉพาะแบบสอบถาม ที่สมบูรณ์ เพื่อทาการวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) เพื่ออธิบายข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกลุ่ม ตัวอย่าง ดังนี้ 1.1 ใช้ตารางแจกแจงความถี่ อธิบายลักษณะของข้อมูลใน แบบสอบถามทั้ง 6 ส่วน 1.2 วิเคราะห์ข้อมูลทัศนคติ แรงจูงใจ รูปแบบการดาเนินชีวิต พฤติกรรม และแนวโน้มพฤติกรรม โดยใช้ค่าเฉลี่ย(Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าสูงสุด (Max) และค่าต่าสุด (Min) 2. การวิเคราะห์สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistic) เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระ และตัวแปรตาม โดยสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานมีดังนี้ 2.1 สถิติวิเคราะห์ค่าที (Independent t-test) ใช้เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ เป็นอิสระต่อกัน เพื่อทดสอบสมมติฐานข้อที่ 1 ลักษณะทางประชากรศาสตร์ ได้แก่ ด้านเพศ 2.2 สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One – way analysis of variance) ใช้ เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่า งมากกว่า 2 กลุ่ม เพื่อทดสอบสมมติฐาน ข้อที่ 1 ลักษณะ ด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ ด้านอายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 2.3 การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์ การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Coefficient) คือการทดสอบความสัมพันธ์หรือส่งผลต่อกันระหว่าง ตัว แปรตาม (Response, Dependent variable, Y) หนึ่งตัวกับตัวแปรอิสระ (Predictor, Independent variable, X ) มากกว่าหนึ่งตัว ได้แก่ ทัศนคติด้านความน่าสนใจ ด้านอารมณ์ความรู้สึก ด้านความแตกต่าง ด้านความขัดแย้ง ด้านการให้ประโยชน์ และแง่คิด ด้านรูปแบบไม่เหมือการโฆษณา ด้านความเป็นเอกลักษณ์ ด้านการสนับสนุน ส่งเสริม ด้านการดาเนินงานต่อหลักเกณฑ์การนาเสนอวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจาย แรงจูงใจของ ผู้บริโภคด้านอารมณ์ ด้านเหตุผล รูปแบบการดารงชีวิตด้านกิจกรรม ด้านความสนใจ ด้านความคิดเห็น และตัวแปร ตาม คือ พฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาของผู้บริโภคยุคดิจิตอล 2.4 ใช้ สถิติ ค่ าสัมประสิ ทธิ์ สหสั มพันธ์ อย่างง่ ายของเพี ยร์สั น (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) คือการศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป การพิจารณาความสัมพันธ์ของ ตัวแปรว่ ามีม ากน้ อยเพียงใดนั้ นจะใช้ค่ าสัม ประสิทธิ์ สหสั มพัน ธ์เป็ นค่า วัดความสัมพั นธ์ การบอกระดั บค่า ของ ความสัมพันธ์ หากค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มีค่าเข้าใกล้ -1 หรือ 1 แสดงถึงการมีความสัมพันธ์กันระดับสูง แต่หาก มีค่าเข้าใกล้ 0 แสดงถึงการมีความสัมพันธ์กันในระดับน้อย หรือไม่มีเลย (จักรภพ ธาตุสุวรรณ 2550) การทดสอบ สถิติค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สันเป็นการทดสอบเบื้องต้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวแปรตาม คือ พฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายของผู้บริโภคที่ยุคดิจิตอล ได้แก่ จานวนคลิปที่ส่งต่อ วิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาต่อวัน ความถี่ในการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาต่อสัปดาห์ ระยะเวลาในการใช้งาน

355


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

อินเทอร์เน็ตเพื่อทาการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาต่อวัน มีความสัมพันธ์ต่อกันกับแนวโน้มพฤติกรรมการส่งต่อ วิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายยุคดิจิตอล ผลการวิจัย ผลการวิ เ คราะห์ ข้ อ มู ล เกี่ ย วกั บ ทัศ นคติ ต่ อ หลั ก เกณฑ์ ก ารน าเสนอวิ ดี โ อการตลาดเชิ งเนื้ อ หาแบบ แพร่กระจาย โดยรวมพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีทัศนคติต่อหลักเกณฑ์การนาเสนอวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบ แพร่กระจาย โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.37 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มีทัศนคติในระดับดีมากทุกด้าน โดยมีทัศนคติด้านความน่าสนใจต่อเนื้อหาในการส่งต่อข้อมู ลทางการตลาด มี ค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 4.51 รองลงมาคือด้านความสะดวกในการเข้าชม และแบ่งปันต่อเนื้อหาในการส่งต่อข้อมูลทาง การตลาดมีค่าเฉลี่ย 4.45 ด้านการให้ประโยชน์และแง่คิดต่อเนื้อหาในการส่งต่อข้อมูลทางการตลาด มีค่าเฉลี่ย 4.45 ด้านอารมณ์ความรู้สึกต่อเนื้อหาในการส่งต่อข้อมูลทางการตลาด มีค่าเฉลี่ย 4.42 ด้านความแตกต่างต่อเนื้อหาใน การส่งต่อข้อมูลทางการตลาด มีค่าเฉลี่ย 4.39 ด้านรูปแบบไม่เหมือนการโฆษณาต่อเนื้อหาในการส่งต่อข้อมูลทาง การตลาด มีค่าเฉลี่ย 4.35 ด้านการสนับสนุนส่งเสริมต่อเนื้อหาในการส่งต่อข้อมูลทางการตลาด มีค่าเฉลี่ย 4.30 ด้าน ความเป็นเอกลักษณ์ต่อเนื้อหาในการส่งต่อข้อมูลทางการตลาด โดยมีค่าเฉลี่ย 4.29 ด้านการดาเนินการต่อเนื้อหาใน การส่งต่อข้อมูลทางการตลาด มีค่าเฉลี่ย 4.29 และ ด้านความขัดแย้งต่อเนื้อหาในการส่งต่อข้อมูลทางการตลาด มี ค่าเฉลี่ย 4.24 ตามลาดับ ผู้ ต อบแบบสอบถามมี ค วามคิ ด เห็ น ต่ อ แรงจู ง ใจของผู้ บ ริ โ ภคโดยรวมอยู่ ใ นระดั บ มากที่ สุ ด ผู้ ต อบ แบบสอบถามมีระดับปฏิบัติการ ระดับความสนใจ และระดับความคิดเห็นต่อรูปแบบการดาเนินชีวิตของผู้บริโภคยุค ดิจิตอลโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า แรงจูงใจด้านอารมณ์ ผู้ตอบแบบสอบถามมีแรงจูงใจในระดับมากที่สุดทุกข้อ โดย ด้านเป็นเรื่องที่กาลัง เป็นกระแสนิยมในสังคม มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 4.64 รองลงมาได้แก่ ด้านเป็นเรื่องที่ผู้ส่งต่อข้อมูลให้ความสนใจ และต้องการ ให้ผู้อื่นรับรู้ด้วยเช่นกัน มีค่าเฉลี่ย 4.60 ด้านเป็นเรื่องที่ ต้องการบอกต่อหรือเล่าประสบการณ์ของผู้ส่ง ต่อข้อมูล มีค่าเฉลี่ย 4.46 ด้านเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับความรู้สึกของผู้ส่งต่อข้อมูล มีค่าเฉลี่ย 4.45 และด้านเป็น เรื่องที่สามารถบ่งบอกถึงตัวตน และความรู้สึกนึกคิดของการส่งต่อข้อมูล มีค่าเฉลี่ย 4.27 ตามลาดับ แรงจูงใจด้านเหตุผล ผู้ตอบแบบสอบถามมีแรงจูงใจ ด้านเป็นเรื่องที่ให้ความรู้ และข้อคิดที่สามารถนามา ปรับใช้ในชีวิตประจาวันได้ ในระดับ มากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.54 รองลงมาได้แก่ ด้านเป็นเรื่องที่ต้องการบอกต่อข้อมูล ข่าวสารที่มีประโยชน์ มีแรงจูงใจในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.50 ด้านเป็นเรื่องเตือนภัย หรือเตือนภัยใกล้ตัวเพื่อให้ คนในสังคมได้ตระหนักและเพิ่มความระมัดระวัง มีแรงจูงใจในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.47 เป็นเรื่อง จริงที่สะท้อน หรือบอกเล่าเรื่องราวปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม มีแรงจูงใจในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.39 และเป็น เรื่องที่เสนอข้อมูล และหลักฐานในการดาเนินกิจกรรม มีแรงจูงใจในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.16 ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการดาเนินชีวิตของผู้บริโภคยุคดิจิตอล โดยรวมพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับ ปฏิบัติการ ระดับความสนใจ และระดับความคิดเห็น ต่อรูปแบบการดาเนินชีวิตของผู้บริโภคยุคดิจติ อลโดยรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.38 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็น ในระดับ ดีมาก ทุกด้าน โดยมีค่าเฉลี่ย 4.47 รองลงมาคือระดับปฏิบัติการ ด้านกิจกรรม โดยมีค่าเฉลี่ย 4.40 และระดับความ สนใจ ด้านความสนใจ 4.27 ตามลาดับ

356


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับแนวโน้มพฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายยุค ดิจิตอล อยู่ในระดับส่งต่อแน่นอน สรุปผลการวิจัย ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 20 - 24 ปี มีสถานภาพโสด มีระดับการศึกษาปริญญา ตรี มีอาชีพเป็นข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ และมีระดับเงินเดือน 20,001 บาทขึ้นไป ผู้ตอบแบบสอบถามมี ทัศนคติต่อหลักเกณฑ์การนาเสนอวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจาย โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก มีความ คิด เห็ นต่ อแรงจูงใจของผู้บ ริโ ภคโดยรวมอยู่ใ นระดั บมากที่สุ ด และมีร ะดั บ แนวโน้ มพฤติก รรมการส่งต่อ วิดี โ อ การตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายยุคดิจิตอล อยู่ในระดับส่งต่อแน่นอน และแนะนาต่อแน่นอน วิจารณ์ผลการวิจัย ผู้บริโภคที่มีลักษณะประชากรศาสตร์ ประกอบด้วย เพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ และ รายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายด้านจานวนคลิป ความถี่ และด้านระยะเวลาการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.01 ตามลาดับ เนื่องจากพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตมักขึ้นอยู่กับความสนใจ และ ภูมิหลังของแต่ละบุคคล ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ นิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล (2555) ที่ได้ทาการศึกษาเรื่อง แรงจูงใจในการแบ่งปันวีดีโอคอนเทนท์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทยกลุ่มเจนเนอเรชั่นวาย พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลและพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตที่แตกต่างกัน มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจในการแบ่งปันวีดีโอ คอนเทนท์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทยกลุ่มเจนเนอเรชั่นวาย ทัศนคติต่อหลักเกณฑ์การนาเสนอวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจาย มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม การส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอล ด้านจานวนคลิป ด้านความถี่ และด้าน ระยะเวลาการใช้งานอินเทอร์เน็ต อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05 ในทิศทางเดียวกัน และทิศทาง ตรงกันข้าม โดยสามารถอธิบายได้ร้อยละ 1.9, 2.8 และ 11.2 ตามลาดับ เนื่องจากเนื่องจาก ผู้บริโภคยุคดิจิตอลจะ เปิดรับข้อมูลข่าวสาร และส่งวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหา ประเภทความรู้ และเคล็ดลับต่างๆ โดยเลือกเฉพาะเรื่องที่ ตนเองชื่นชอบ และให้ความสนใจ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ สาวิตรี พรหมสิทธิ์ (2559) ที่ได้ทาการศึกษาเรื่อง การเปิดรับ ทัศ นคติ และแนวโน้มพฤติกรรมในการแบ่งปันข้อมูลทางเฟซบุ๊กของเจเนอเรชั่นวายที่เกี่ยวข้องกับ ผลิตภัณฑ์ พบว่า ความถี่ในการเปิดรับการแบ่งปันข้อมูลทางเฟซบุ๊ก มีความสัมพันธ์กับทัศนคติต่อการแบ่งปันข้อมูล ของเจเนอเรชั่นวาย อย่างไรก็ตามหากผู้บริโภคยุคดิจิตอลมีความถี่ในการเปิดรับข้อมูลมากเท่าใด ย่อมมีโอกาสใน การส่งต่อข้อมูลมากขึ้นเท่านั้น แรงจูงใจของผู้บริโ ภคด้านเหตุผ ล มีอิท ธิพลต่ อพฤติก รรมการส่งต่ อวิดีโ อการตลาดเชิงเนื้อ หาแบบ แพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอลด้านระยะเวลาการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาของ ผู้บริโภคยุคดิจิตอลอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ0.01 ในทิศทางเดียวกัน โดยสามารถอธิบายได้ร้อยละ 2.5 ซึ่ง สอดคล้องกับงานวิจัยของ วิน รัตนาธีราธร (2553) ที่ได้ทาการศึกษาเรื่อง ทัศนคติต่อการทาการสื่อสารทาง การตลาดในรู ป แบบไวรอลวิ ดี โ อ และปั จ จั ย ที่ มี ผ ลต่ อ การตั ด สิ น ใจแชร์ อ อนไลน์ วี ดี โ อของผู้ ใ ช้ เ ฟสบุ๊ ค ในเขต กรุงเทพมหานคร พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจส่งต่อ หรือไม่ส่งต่อไวรอลวิดีโอ คือ ความประทับใจจากเนื้อหา และวิธีการนาเสนอ ถ้าผู้ชมเกิดความชอบหรือความประทับใจ จะทาให้เกิดการส่งต่อเป็นจานวนมาก แต่หากเนื้อหา

357


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ของคลิปวิดีโอมีเนื้อเรื่องที่ไม่น่าสนใจ มีความยืดเยื้อหรือยาวจนเกินไป จนทาให้รู้สึกเบื่อ ผู้บริโภคมักจะไม่ให้ความ สนใจ และไม่ส่งต่อคลิปวิดีโอนั้นๆ ให้กับเพื่อนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ รูปแบบการดาเนินชีวิตด้านกิจกรรม มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้ อหาแบบ แพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอลด้านจานวนคลิป ด้านความถี่ และด้านระยะเวลาการใช้งานอินเทอร์เน็ต อย่างมี นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.01 ในทิศทางเดียวกัน โดยสามรถอธิบายได้ร้อยละ 4.1 , 8.9 และ 1.9 ตามลาดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ วิภาดา พิทยาวิรุฬห์ (2557) ที่ได้ทาการศึกษาเรื่อง สื่อดิจิตอลที่มีอิทธิพล ต่อการตอบสนองของผู้บริโภคในการเข้าถึงข้อมูลทางการตลาด พบว่า รูปแบบการดาเนินชีวิตด้านกิจกรรม ด้าน ความสนใจ และด้านความคิดเห็น มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้สื่อดิจิตอลในการเข้าถึงข้อมูลทางการตลาด ด้านความถี่ในการใช้สื่อดิจิตอลต่อสัปดาห์ ทั้งนี้เนื่องจากรูปแบบการดาเนินชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ชอบใช้เวลา ว่างไปกับการท่องโลกอินเทอร์เน็ต และค้นหาข้อมูลข่าวสารทางการตลาด ติดต่อสื่อสารกับบุคคลที่รู้จักผ่านเครือ ข่านสังคมอนไลน์ มีความสนใจในเทคโนโลยี และข้อมูลของสินค้า/บริการใหม่ๆ อยู่เสมอ ทาให้รูปแบบการดาเนิน ชีวิตด้านความคิดเห็น และความสนใจ มีผลให้เกิดความถี่ในการใช้งานด้วย พฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายของผู้บริโภคยุคดิจิตอลมีความสัมพันธ์ กับแนวโน้มพฤติกรรมการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายยุคดิจิตอลด้านการแนะนาให้ส่งต่อวิดีโอ การตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.01 โดยมีความสัมพันธ์ต่ามาก ในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ สาวิตรี พรหมสิทธิ์ (2559) ที่ได้ทาการศึกษาเรื่อง การเปิดรับ ทัศนคติ และแนวโน้มพฤติกรรมในการแบ่งปันข้อมูลทางเฟซบุ๊กของเจเนอเรชั่นวาย พบว่า พฤติกรรมการเปิดรับ ข้อมูลด้านความถี่ มีความสัมพันธ์กับทัศนคติต่อการแบ่งปันข้อมูล โดยทัศนคติต่อการแบ่งปันข้อมูล มีความสัมพันธ์ กับแนวโน้มพฤติกรรมโดยรวม ในการแบ่งปันข้อมูลของเจเนอเรชั่นวาย จึงอธิบายได้ว่า ผู้บริโภคมีทัศนคติที่ดีต่อด้าน รูปแบบของข้อมูลที่แบ่งปันและด้านเนื้อหาสาระของข้อมูลที่แบ่งปัน ซึ่งทาให้เมื่อได้รับข้อมูลที่ชื่นชอบก็จะมีการ แบ่งปัน (Sharing) ต่อไปยังหน้าสังคมเครือข่ายในเฟซบุ๊กของตัวเอง เพื่อนฝูง หรือคนใกล้ชิ ด และเมื่อเจเนอเรชั่น วายได้รับสารที่ตรงตามที่คาดหวัง หรือมีประโยชน์กับตัวเองก็จะมีการเปิดรับสารนั้นๆ พร้อมกับแบ่งปัน (Sharing) และแนะนาให้บุคคลรอบข้างแบ่งปันต่อไป ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ จากผลการศึกษาวิเคราะห์และสรุปผลการวิจัยข้างต้น ทาให้ทราบถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการ ส่งต่ อวิ ดีโ อการตลาดเชิงเนื้ อหาแบบแพร่ กระจายของผู้บ ริโ ภคยุค ดิจิ ตอล เพื่อ นามาใช้ เป็ นแนวทางในการท า การตลาดในยุคปัจจุบันที่มีแนวโน้มการทาการตลาดออนไลน์ด้วยวิธีต่างๆ รวมถึงมีการใช้วิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหา แบบแพร่กระจายเป็นส่วนหนึ่งในการทาการตลาด เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคยุคดิจิตอลให้ได้มากยิ่งขึ้น ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1. การศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยกลุ่มผู้บริโภคยุคดิจิตอล ควรมีการศึกษาวิจัยกลุ่มผุ้บริโภค กลุ่มอื่นๆ ด้วย อาทิเช่น กลุ่มผู้บริโภคยุค Baby Boomer, กลุ่มผู้บริโภคยุค Gen X, กลุ่มผู้บริโภคยุค Gen Y เป็น ต้น เพราะผู้บริโภคกลุ่มต่างๆ เหล่านี้มีอัตราการใช้งานสื่อออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการส่งต่อวิดีโอ การตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น

358


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

2. การศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ควรทาศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อศึกษาเหตุผล และ รายละเอียดในการส่งต่อวิดีโอการตลาดเชิงเนื้อหาแบบแพร่กระจายด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน กิตติกรรมประกาศ ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้สาเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาของผู้ มีพระคุณหลายท่าน กราบขอบพระคุณ รอง ศาสตราจารย์ ดร.ณักษ์ กุลิสร์ ที่กรุณาสละเวลาอันมีค่ามารับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาปริญญานิพนธ์ รวมถึงให้ความรู้ ข้อแนะนา ตลอดจนข้อคิดเห็นต่างๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการทาปริญญานิพนธ์ฉบับนี้ให้สาเร็จลุล่วง ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์สุพาดา สิริกุตตา และอาจารย์ ดร.อัจฉรียา ศักดิ์ณรงค์ ที่ ให้ความอนุเคราะห์เป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือของแบบสอบถาม และคณะกรรมการสอบปริญญา นิพนธ์ ซึ่งได้สละเวลาอันมีค่าในการให้ข้อเสนอแนะ และชี้ข้อบกพร่องอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการทางานวิจัย ฉบับนี้ สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา และครอบครัวของผู้วิจัย ที่ได้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมใน ทุกๆ สิ่ง พร้อมให้กาลังใจมาโดยตลอด และขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกท่าน ที่ให้กาลังใจและคอยช่วยเหลือกันเสมอมา รวมถึงผู้ตอบแบบสอบถามทุกท่าน ที่สละเวลาและให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม และขอขอบคุณผู้มีส่วน ช่วยเหลือทุกท่านที่ผู้เขียนมิได้เอ่ยถึงมา ณ ที่นี้ด้วย ประโยชน์อันใดที่จะเกิดขึ้นจากปริญญานิพนธ์เล่มนี้ผู้วิจัยขอ น้อมบูชาแด่พระคุณบิดา มารดา ครู อาจารย์ที่อบรมสั่งสอน และให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี เอกสารอ้างอิง จักรภพ ธาตุสุวรรณ. (2550). เอกสารประกอบวิชาการสถิติเบื้องต้นและการวิเคราะห์ข้อมูล. คณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. นิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล. (2555). แรงจูงใจในการแบ่งปันวีดีโอคอนเทนท์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของผู้ใช้ อินเตอร์เน็ตชาวไทยกลุ่มเจนเนอเรชั่นวาย. วิทยานิพนธ์ บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. วิน รัตนาธีราธร. (2553). ทัศนคติต่อการทาการสื่อสารทางการตลาดในรูปแบบ Viral Video และปัจจัยที่มีผล ต่อการตัดสินใจแชร์ออนไลน์วีดีโอของผู้ใช้ Facebook ในเขตกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. วิภาดา พิทยาวิรุฬห์. (2557). สื่อดิจิตอลที่มีอิทธิพลต่อการตอบสนองของผู้บริโภคในการเข้าถึงข้อมูลทาง การตลาด. ปริญญานิพนธ์บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการตลาด กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. ศิริวรรณ เสรีรัตน์; และคณะ. (2546). การบริหารการตลาดยุคใหม่ ฉบับปรับปรุงปี 46. กรุงเทพฯ : ธรรมสาร จากัด. สาวิตรี พรหมสิทธิ์. (2559). การเปิดรับ ทัศนคติ และแนวโน้มพฤติกรรมในการแบ่งปันข้อมูลทางเฟซบุ๊ก ของเจ เนอเรชั่นวายที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต คณะวารสารศาสตร์และ สื่อสารมวลชน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. Domjan, M. (1996). The Principles of Learning and Behavior Belmont. California: Thomson Wadsworth.

359


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

International Telecommunication Union. (2013). Measuring the World's Digital Natives. Measuring the Information Society 2013. Retrieved September 22, 2015, from: http://mikeb.inta.gatech.edu/uploads/papers/measure.digital.natives.pdf. Kotler, Philip. (2000). Marketing Management : Analysis. Planning. Implementation and control. 10th ed. New Jersey: Prentice-Hall, Inc. Palfrey John, and Urs Gasser. (2008). Born Digital : Understanding the First Generation of Digital Natives. Published by Basic Books, A Member of the Perseus Books Group.

360


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

HSBO-03 ธุรกิจที่พักแรมกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของสังคมกรณีศึกษา ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล CORPORATE SOCIAL AND ENVIRONMENTAL RESPONSIBILITY (CSER) IN HOSPITALITY: A CASE STUDY OF DUSIT THANI GROUP HOTEL รุ่งรัตน์ หัตถกรรม1 1

Rungrat Hatthakam สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ rhatthakam@gmail.com

บทคัดย่อ บทความวิชาการเรื่อง ธุรกิจที่ พักแรมกับความรั บผิดชอบต่อสิ่ งแวดล้อมของสังคม กรณีศึกษา ดุสิ ต อินเตอร์เนชั่นแนล มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาแนวคิดของความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR) 2. เพื่อ วิเคราะห์นโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล และ 3. เพื่อเสนอแนะแนวทางการดาเนินงานธุรกิจที่พักแรมกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของสังคม ผลการศึกษาพบว่า 1. การเติบโตของธุรกิจที่พักแรมที่มีการเพิ่มจานวนขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ได้สร้าง ผลกระทบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมจานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวของจานวนและการ ใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ผู้ประกอบการขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นและนากลยุทธ์ CSR (Corporate Social Responsibility) หรือ ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจ มาสร้างความน่าเชื่ อถือในตัวธุรกิจ 2. นโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เริ่มดาเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมโดย มีเป้าหมายเพื่อเป็นหนึ่งในแบรนด์ของโลกที่ทรงคุณค่าในงานบริการ มาตั้งแต่ปี 2013 มีกิจกรรม CSR ทั้งจาก ศูนย์กลางและกิจกรรมเฉพาะ และ 3. แนวทางการดาเนินงานธุรกิจที่พักแรมกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของ สังคมนั้นต้องนาหลักการ CSR มาปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการและตอบให้ตรงกับโจทย์ที่ต้องการให้มีความโดด เด่นกว่าองค์กรอื่น คำสำคัญ: ธุรกิจที่พักแรม: ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม: ธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ Abstract The purposes of this study aim 1. to conceptualize Corporate Social Responsibility (CSR) in the context of Dusit Thani Group Hotel, 2. analyze Dusit's Corporate Social Responsibility & Environmental Management Policies, 3. conclude suggestions of practical character in hospitality sector toward Corporate Social and Environmental Responsibility (CSER) Management. The article concludes by highlighting: 1. The rapid growth of Hospitality industry has influenced Social and Environmental consequently. Hospitality industry that practice Corporate Social and Environmental Responsibility (CSER) Policies in their organization tends to achieve better reputation, brand image, increases in

361


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

customer loyalty, enhanced public relations and benefits. 2. Dusit’s set the policies of Corporate Social and Environmental Responsibility (CSER) and started performing through activities in hotels, resorts and business units across the globe since 2013 to strengthen its brands to global. 3. Hospitality industry needs to imply the strategic of Corporate Social and Environmental Responsibility (CSER) Policies as organization's product differentiation strategy that have made them successful more than their competitors. Keywords : Corporate Social and Environmental Responsibility (CSER); Social Responsibility; Environmental Responsibility บทนา การเติบโตของการท่องเที่ยวในหัวเมืองหลัก รวมถึงการกระตุ้นการท่องเที่ยวจังหวัดเมืองรอง ส่งผลให้ การลงทุนธุรกิจโรงแรมในต่างจังหวัดขยายตัว แต่ธุรกิจโรงแรมก็เผชิญความท้าทายในการเพิ่มอัตราการเข้าพักและ ราคาห้องพัก รวมถึงการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว ซึ่งอาจส่งผลให้ รายได้ค่าห้องพักต่อจานวนห้องพักที่มีอยู่ของ ธุรกิจโรงแรมที่รุกขยายธุรกิจไปยังต่างจังหวัดลดลงหรือเติบโตอย่างชะลอตัวลงได้ในภาพรวม (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, 2559) ภาพรวมธุรกิจโรงแรมทั่วประเทศปี 2559 เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ทั้งในด้านจานวนห้องพัก อัตราการ เข้าพักและค่าห้องพักเฉลี่ย โดยได้รับปัจจัยหนุนที่สาคัญจากจานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวถึง 32.58 ล้านคน ขยายตัวที่ร้อยละ 8.91 จากปีก่อนหน้า และนักท่องเที่ยว ชาวไทยที่มีการท่องเที่ยวจานวนทั้งสิ้ น 145 ล้านคน-ครั้ง ขยายตัวร้อยละ 4.32 จากปีก่อน จากการส่งเสริมฯ ของ รัฐบาล อาทิ มาตรการช้อปช่วยชาติและการต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษี จากค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวปี 2559 ส่งผลให้ประเทศไทย มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 2.52 ล้านล้านบาท (สิริทิพย์ ฉลอง. 2560 : 1) ทั้งนี้ จากการขยายตัวของจานวนและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเกิดความเชื่อมั่น จึงมีการขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 3 ดาว และโรงแรมขนาดเล็กทั่วไป แม้ว่า ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดใหญ่ยังไม่ค่อยมีการลงทุนใหม่มากนักแต่ก็มีการขยายธุรกิจมาสู่ธุรกิจโรงแรมระดับกลาง ถึงโรงแรมราคาประหยัดมากขึ้น โดยภาพรวมที่พักแรมทั้งประเทศปี 2559 มีจานวนทั้งสิ้น 6.83 แสนห้อง เพิ่มขึ้น จากปี 2558 จานวน 0.88 แสนห้อง คิดเป็นร้อยละ 14.7 ประกอบกับ มีการขยายตัวของที่พักแรมที่ไม่ ได้จด ทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายและที่พักทดแทนอื่นๆ อาทิ หอพัก อพาร์ทเมนท์ และคอนโดมิเนียมให้เช่ารายวัน ทาให้มีอุปทานที่พักแรมส่วนเกินอยู่ในตลาดเป็นจานวนมาก ส่งผลทาให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Occupancy rate) เพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก สะท้อนจากอัตราการเข้าพักแรมปี 2559 อยู่ที่ร้อยละ 66.6 ขยายตัวจากปีก่อนหน้า ที่อยู่ที่ ร้อยละ 65.12 ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นได้น้อยมากเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของจานวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ถึง ร้อยละ 8.9 จากปีก่อน (สิริทิพย์ ฉลอง. 2560 : 1) ดังนั้น ด้วยการเติบโตของธุรกิ จที่พักแรมที่มีการเพิ่มจานวนขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ได้สร้างผลกระทบต่อ สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยน้าเสีย อากาศเสีย การสร้างมลภาวะทางเสียง การทาลายความหลากหลาย ทางชีวภาพ เป็นต้น รวมทั้งมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจานวนมากในกระบวนการดาเนินงาน โดยเฉพาะทรัพยากร น้า และพลังงานไฟฟ้า ประกอบกับในภาวะปัจจุบันที่กระแสของโลกร้อนนั้นมีการรณรงค์ให้ธุรกิจต่างๆ เข้ามามีส่วน

362


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ร่วมในการลดโลกร้อนด้วยมาตรการต่างๆ ตลอดจนการออกกฎหมาย และกฎระเบียบต่างๆ ออกมาควบคุมการ ดาเนินธุรกิจของกิจการต่างๆ ให้อยู่ในเกณฑ์และหลักการที่ทางราชการกาหนด ตลอดจนการส่งเสริมให้ธุรกิจต่างๆ ดาเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคมซึ่งรวมถึงธุรกิจโรงแรมต่างๆ ด้วย ในการดาเนินธุรกิจโรงแรมให้ได้ชื่อว่าเป็น โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้น จึงมีการกาหนดกฎเกณฑ์เพื่อใช้เป็นเกณฑ์และหลักการให้ธุรกิจโรงแรมต่างๆ ปฏิบัติตามในทิศทางและเป็นมาตรฐานเดียวกัน แนวโน้มธุรกิจโรงแรมปี 2560 คาดว่ายังคงเติบโต แต่จะเผชิญกับ การแข่งขัน ที่รุนแรงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามนายกสมาคมโรงแรมไทย (Thai Hotels Association) คาดการณ์ธุรกิจโรงแรมปี 2560 จะมีรายได้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และอัตราการเข้าพัก แรมเฉลี่ยสูงกว่า ปีก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 67 (สิริทิพย์ ฉลอง. 2560 : 1) จากจานวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการรุนแรงขึ้น ธุรกิจที่พักแรมเองจึงนากลยุทธ์ที่ใช้สาหรับสร้างความสามารถ ในการแข่งขันและความยั่งยืนให้กับธุรกิจที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน มักจะใช้กลยุทธ์ CSR (Corporate Social Responsibility) หรือ ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจ จะนาไปสู่การสร้างความน่าเชื่อถือในตัวธุรกิจ ให้กับบุคคลอื่นทั่วๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ลูกค้า หรือ ผู้บริโภค ที่จะเกิดความผูกพันและความประทับใจใน สินค้าหรือบริการของธุรกิจในเบื้องต้น (เรวัต ตันตยานนท์. 2557) ซึ่งแนวทางในการทาธุรกิจอย่างมีความ รับผิดชอบต่อสังคม อาจจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะของธุรกิจ ซึ่งจะมีกลไกธุรกิจและความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้มี ส่วนได้เสียแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีเครือข่าย มีจานวนที่พักแรมที่เปิดให้บริการรองรับ นักท่องเที่ยวอยู่ทั่วทุกมุมโลกอย่าง ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล จึงต้องให้ความสนใจและรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อขจัด หรือไม่ทาให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ที่สร้างผลกระทบเชิงลบเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้นจากการดาเนินธุรกิจโดยสิ้นเชิง วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาแนวคิดของความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR) 2. เพื่อวิ เคราะห์ นโยบายการจัดการสิ่ งแวดล้อ มและกิจ กรรมเพื่ อสังคมและสิ่ งแวดล้อ มของดุสิ ต อินเตอร์เนชั่นแนล 3. เพื่อเสนอแนะแนวทางการดาเนินงานธุรกิจที่พักแรมกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของสังคม แนวคิดของความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR) สภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (World Business Council for Sustainable Envelopment) (CSR: Meeting Changing Expectations, 1999)[6] กล่าวว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร คือความมุ่งมั่น หรือพันธะสัญญาที่ธุรกิจมีอยู่อย่างต่อเนื่องในการที่จะประพฤติปฏิ บัติอย่างมีจริยธรรมและมีส่วนร่วมในการพัฒนา เศรษฐกิจด้วยการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานตลอดจนครอบครัวของเขาเหล่านั้น ตลอดจนมีส่วนร่วมใน การพัฒนาเศรษฐกิจในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและสังคมในวงกว้าง องค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค่าและการ พัฒนา (UNTAD) กล่าวว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจ คือ การที่บริษัทเข้าไปเกี่ยวข้องและมีผลกระทบเชิง บวกต่อความต้องการและเป้าหมายของสังคมคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission Green Paper) ความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจ (CSR) คือ แนวคิดที่บริษัทจะบูรณาการงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้าไป ใน กิจการของประเทศ และการปฏิสัมพันธ์ของผู้เกี่ยวข้อง (Stakeholder) โดยสมัครใจ องค์การระหว่างประเทศว่า ด้วยการมาตรฐาน (ISO) กล่าวว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจ (CSR) คือ การที่องค์กรตอบสนองต้อประเด็น ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งที่การให้ประโยชน์หลัก คน ชุมชน และสังคม นอกจากนั้น ยังเป็นเรื่อง

363


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ของบทบาทขององค์กรธุรกิจในสังคมและความคาดหวังของสังคมที่มีต่อองค์กรธุรกิจ โดยจะต้องทาด้วยความสมัคร ใจ และผู้บริหารจะต้องมีบทบาทเกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆ โดยสามารถวัดผลได้ใน 3 มิติ คือ การวัดผลทาง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นาไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ซามูเอลซีเซอโต้ (Certo. 2003 : 48) กล่าวว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจเอกชน หมายถึง การบริหารจัดการที่เป็นการปกป้องและปรับปรุงสวัสดิการของ สังคม (Welfare ofSociety) โดยรวมและผลประโยชน์ขององค์กร (Interest of Organization) ความรับผิดชอบต่อ สังคมของธุรกิจ (CSR) อาจสรุปได้ดังนี้คือ 1. ไม่ทาสิ่งที่เป็นผลเสียต่อสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม 2. ทาสิ่งที่เป็น คุณประโยชน์ต่อสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม 3. พัฒนาตัวเองให้มีคุณธรรม คุณภาพ และประสิทธิภาพอย่างดีที่สุด (ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม. 2549 : 3) ทั้งนี้ ความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจ (Corporate Social Responsibility) คือ การดาเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการใส่ใจและดูแลรักษาคานึงถึงผลประโยชน์ของคน ชุมชน สังคมสั งคม และ สิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักจริยธรรม การกากับดูแลกิจการที่ดี และการนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาบูรณาการเพื่อ นาไปสู่การดาเนินธุรกิจที่ประสบความสาเร็จอย่างยั่งยืน (สถาบันธุรกิจเพื่อสังคม. 2551 : 5) นโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล นโยบายสิ่งแวดล้อมของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นการระบุถึงระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยึดหลัก ของความยั่งยืน การตัดสินใจของผู้ให้บริการงานโรงแรมระดับโลก ก่อให้เกิดความตระหนักต่อการตัดสินใจในธุรกิจ สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ความเชื่อในความสมดุลของธรรมชาติกับความสาคัญทางการ เงินเป็นส่วนหลักในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม คามุ่งมั่นที่จะรับผิดชอบต่อสังคมรวมถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมใน สิ่งอานวยความสะดวกของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ทั่วโลกเป็นไปอย่างรอบคอบ การปกป้องสิ่งแวดล้อมและการ ป้องกันมลพิษ การร่วมมือของคู่ค้าเพื่อปรับปรุงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทางอ้อม จึงก่อให้เกิดกิจกรรมที่ได้ดาเนินการ ไป ไม่ว่ าจะเป็ น โครงการอนุ รัก ษ์สิ่ งแวดล้อ ม การให้ ความรู้ กับ พนั กงานของโรงแรม การลงทุ นที่ เป็ นมิ ตรต่ อ สิ่งแวดล้อม และการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมไปยังลูกค้าของโรงแรม ซึ่ง ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ทาระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยมีหลักเกณฑ์ชี้วัดตามมาตรฐาน ISO14001:2015 เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย องค์กรและการปฏิบัติตามข้อกาหนด ตามหัวข้อ ได้แก่ การปล่อยแก๊สเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ การใช้ การ อนุรักษ์และการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ทรัพยากรน้า การอนุรักษ์และการจัดการสภาพแวดล้อม การวางแผนและการจัดการใช้พื้นที่ การป้องกันคุณภาพอากาศและการควบคุมเสียง การจัดการน้าเสีย การจัดการ ขยะมูลฝอย การจัดเก็บวัตถุที่มีพิษต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ได้แต่งตั้งรองประธานอาวุโสฝ่าย การจัดการคุณภาพทั่วทั้งองค์กรเป็นผู้นาทางด้านพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และผู้อานวยการกลุ่มฝ่ายวิศวกรรม เป็นผู้ประสานงานและรับผิดชอบในด้านการดาเนินการเพื่อความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิผล สามารถขับเคลื่อนการ ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องสาหรับงานด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมให้พนักงานทุกคนเป็นตัวแทนของความมุ่งมั่นของ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และส่งมอบมาตรฐานสากลISO14001 : 2015 ให้กับผู้มีส่วน ได้เสียทุกส่วน นโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของดุสิต อินเตอร์เนชั่น แนล เริ่มดาเนินการด้านความรับผิดชอบ ต่อสังคมโดยมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในแบรนด์ของโลกที่ทรงคุณค่าในงานบริการ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความ เป็นไทยอันทรงคุณค่าแก่ผู้มาเยือน การเปิดโรงแรมใหม่ในต่างประเทศ นอกจากจะเพิ่มมูลค่าของธุรกิจด้านเศรษฐกิจ แล้ว ยังเป็นโอกาสเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้เป็นที่ประจักษ์ นอกจากนี้ได้เชื่อมโยงหน่วยงานภาคการศึกษาทาหน้าที่ สาคัญในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติเข้าสู่งานภาคอุตสาหกรรมการบริการ โดยมีวิสัยทัศน์เพื่อส่งมอบ

364


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ประสบการณ์ในการต้อนรับที่สะท้อนความงามและวัฒนธรรมของประเทศไทยอันทรงคุณค่ ารวมถึงมาตรฐานของ การบริการที่สมบูรณ์แบบเป็นนวัตกรรมใหม่ที่คงเป็นเลิศ และมีพันธกิจที่มุ่งมั่นในการทาให้ดุสิตเป็นหนึ่งในแบรนด์ ของโลกที่ทรงคุณค่าในงานบริการเพื่อตอบสนองทุกความต้องการและซื่อสัตย์ต่อทุกผู้มาเยือน ด้วยคามั่นสัญญาของ แบรนด์ ดุสิต ที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ทรงคุณค่าอันแสนประทับใจให้กับแขกผู้มาเยือน ทั้งนี้นโยบายด้านความ รับผิดชอบต่อสังคมของดุสิต ยังได้ตามแนวทางประยุกต์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการเป็นบริษัทธรรมาภิบาล ควบคู่กับการดารงมาตราฐานการบริการโดยเน้นความเป็นไทย การดูแลสวัสดิการและการพัฒนาบุคคลากร และการ ดาเนินธุรกิจโดยคานึงต่อสิ่งแวดล้อม ดุสิตได้จัดตั้งคณะกรรมการบริหารเพื่อความยั่งยืนเพื่อรับฟังข้อเสนอจาก คณะทางาน และกาหนดนโยบายหลัก และสนับสนุนให้คณะทางานนาไปประสานงานกับทุกฝ่ายเพื่อปฏิบัติให้ เกิดผล คณะกรรมการทั้ง 2 คณะ ประกอบด้วยผู้บริหาร และหัวหน้าของทุกแผนก ทาให้นโยบายและแนวทาง ปฏิบัติได้กระจายไปสู่พนักงานทุกระดับและเป็นช่องทางรับฟังความคิดเห็นจากพนักงาน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของ องค์กร เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือกันและนาไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างยั่งยืนต่อไป โดยมีโครงสร้าง CSR ในองค์กร ดังนี้ CSR Committee

Human Resource

CEO

Operation

CFO

Marketing

Finance ภาพที่ 1 CSR Committee ของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล

365


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ภาพที่ 2 CSR Promotion Team ของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล การดาเนินการที่เชื่อมโยงกับการดาเนินธุรกิจ ดุสิตได้นาวิสัยทัศน์พันธกิจ และนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์กาหนดเป็นนโยบายด้าน ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร และดาเนินการเชื่อมโยงกับการดาเนินธุรกิจที่มีอยู่แล้ว (CSR in process) เพื่อ นาไปสู่การสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับองค์กรและผูม้ ีสว่ นได้เสียซึ่งได้แก่ ผู้ถือหุ้น ลูกค้า พนักงาน สังคม และ หน่วยงานรัฐ อย่างยั่งยืนต่อไป ในแง่ของการเป็นบริษัทธรรมาภิบาล ดุสิตมีการดาเนินงานดังนี้ • มีคณะกรรมการกากับดูแล พิจารณา กลั่นกรอง และอนุมัติการดาเนินงานของฝ่ายบริหาร เพื่อ ความ โปร่งใส โดยมีการประชุมอย่างน้อยปี ละ 6 ครั้ง • มีคณะผู้ บริห ารที่มีป ระสบการณ์แ ละความสามารถในการจัดการกิจการของบริ ษัท เพื่ อสร้า ง มูลค่าเพิ่ม ให้แก่บริษัท และให้ผลตอบแทนที@เหมาะสมต่อการลงทุน • มีนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน ทรัพย์สินทางปัญญา และการต่อต้านทุจริตและคอรัปชั่น โดยส่งเสริม และ อบรมให้พนักงานมีความรู้และเข้าใจในเรื่องดังกล่าว เพื่อนาไปปฎิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างเหมาะสม • ได้รับการประเมินการกากับดูแลกิจการประจาปี 2555 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัท ไทย (IOD) โดยอยู่ในเกณฑ์ดีมาก (4 ดาว) • ได้รับการประเมินคุณภาพการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจาปี 2556 จากสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุน ไทย 98.75 จากคะแนนเต็ม 100 • เว็บไซต์สื่อสิ่งพิมพ์จดหมาย และอีกหลากหลายช่องทางที่ดุสิตใช้เพื่อสื่อสารข้อมูลกับผู้มสี ่วนได้สว่ น เสีย • ผู้ถือหุ้นได้รับแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมและสม่าเสมอ ด้านการดารงมาตรฐานการบริการ มีการดาเนินงานดังนี้ • พนักงานทุกคนได้รับการฝึกอบรมให้มีคุณธรรมและและให้บริการลูกค้า ทุกคนด้วยความเท่าเทียม กัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ • สถานที่ให้บริการมีความปลอดภัยตามหลักสากล

366


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

• การใช้ผลิตภัณฑ์ไทย งานฝี มือของคนไทย ดอกไม้ไทย เป็นองค์ประกอบในการตกแต่งอุปกรณ์ เครื่องใช้ในโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ และเป็นไปตามรายละเอียดการประชาสัมพันธ์ในสื่อ สิ่งพิมพ์ และเว็บไซต์ • เปิดรับฟังข้อเสนอแนะ และมีการเก็บแบบสอบถามจากลูกค้าหลังใช้บริการเพื่อนามาปรับปรุงและ พัฒนาต่อไป การดูแลสวัสดิการและการพัฒนาบุคลากร • พนักงานทุกคน ซึ่งไม่แบ่งเพศ เชื้อชาติศาสนา ได้รับความเท่าเทียมกันตาม สิทธิมนุษยชนในหน้าที่ และการเติบโตในตาแหน่งงานงาน • มีการจัดสวัสดิการ สภาพแวดล้อมในที่ทางานและค่าตอบแทนที่ดีให้กับพนักงาน • เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนได้รับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพและเพิ่ม ทักษะที่เท่าเทียมกัน • มีระบบการประเมินผลการทางานมีประสิทธิภาพ • มีการส่ งเสริ มคุณภาพชีวิต พนักงาน โดยจัด ให้มีการตรวจสุขภาพประจาปี พนักงานเข้ าพักใน โรงแรมกลุ่มดุสิตด้วยราคาพิเศษ มีอาหารให้รับประทาน 4 มื้อ มีสภาพและบรรยากาศทางานที่ดี การดาเนินธุรกิจโดยคานึงต่อสิ่งแวดล้อม • การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่คานึงต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว น้ายาทาความสะอาด สบู่ สระผม ก๊อกน้า ระบบปรับอากาศ คีการ์ด และลดปริมาณการใช้พลาสติก • มีระบบการกาจัดของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การบาบัดน้าเสีย การนากลับมาใช้ใหม่การฝัง กลบ • มีการจัดการการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ • การปรับทัศนียภาพของโรงแรมโดยคานึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสาคัญ เช่น การปลูกต้นไม้ที่เหมาะสม กับสภาพภูมิศาสตร์ • การดาเนินการและจัดการด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานเอิร์ธเช็ค ทั้งนี้การดาเนินโครงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างยั่งยืน Dusit Management Trainee เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2554 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลากรเข้าทางานในโรงแรมกลุ่มดุสิตเพื่อรองรับการขยายกิจการทั้งใน และต่างประเทศโครงการนี้เปิดรับนักศึกษาทั่วไปเข้าฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเมื่อจบแล้วจะได้เข้าทางาน ในตาแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการในกลุ่มดุสิต และมีโอกาสเติบโตในหน้ าที่การงานต่อไป ปัจจุบันมีผู้ผ่านการอบรมและ ปฏิบัติงานในกลุ่มดุสิต 53 คน

367


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

DUSIT MANAGEMENT TRAINEE

ภาพที่ 3 DUSIT MANAGEMENT TRAINEE กิจกรรมของ CSR กิจกรรมเพื่อสังคมบรรษัทบริบาล ที่ปัจจุบันจะนิยมเรี ยกกันว่า “ความรับผิดชอบต่อสังคม” หรือ CSR (Corporate Social Responsibility) เป็นแนวคิดที่กระตุ้นให้องค์กรภาคธุรกิจใส่ใจกับสังคมมากขึ้น ไม่มุ่งแต่จะ กอบโกยผลประโยชน์จากสังคมเพียงอย่างเดียว เนื่องจากในบางองค์กรได้สร้างความเสียหายทั้งในด้าน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ สังคม และสิทธิ ซึ่งเป็นวิธีการทาธุรกิจที่ไม่ยั่งยืนโดยสิ่งเหล่านั้นได้ย้อนมาทาร้ายลูกค้าทางตรงและทางอ้อม ของตนเอง หรือได้สร้างความขัดแย้งกับชุมชนโดยรอบองค์กร ที่ต้องมีตัวประสานและสร้างความเข้าใจให้กับองค์กร ธุรกิจให้มาสนใจ“ความรับผิดชอบต่อสังคม” กระแสตื่นตัวในแนวคิดด้าน “ความรับผิดชอบต่อสังคม” หรือ CSR ในปัจจุบัน ทาให้เราได้เห็นถึง รูปแบบกิจกรรมเพื่อสังคมขององค์กรธุรกิจต่างๆทั้งในกิจกรรม ด้านสงเคราะห์ เช่น การบริจาคทุน หรือสิ่งของให้แก่ ผู้ด้อยโอกาส ด้านรณณรงค์เช่น จัดกิจกรรมลดภาวะโลกร้อน เพื่อสร้างความตระหนักให้ลูกค้าบริษัท หรือบุคคล ทั่วไป ด้านพัฒนาศักยภาพชุมชน เช่น นาองค์ความรู้ที่องค์กรมีไปถ่ายทอดให้กับชุมชนได้พัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ องค์กรจะเป็นพันธมิตรร่วมพัฒนาสังคมกับองค์กรพัฒนาเอกชน ที่มีความสามารถในการทางานเข้าถึงปัญหาและ ความต้องการของสังคมโดยตรง ปัจจุบันเริ่มเกิดกลุ่มอาสาสมัครพนักงานในแต่ละองค์กรมากขึ้น กิจกรรมด้าน CSR ก็ไม่ได้หมายถึง เพียงการทากิจกรรมอาสาสมัครเพื่อสังคมเท่านั้น แต่รวมถึงความ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า สังคม และพนักงานในองค์กร เช่น สินค้ามีคุณภาพ ไม่สร้างผลด้านลบแก่สังคม พนั กงานได้รับ ผลตอบแทนและสวัสดิการอย่างเหมาะสม สิ่งนี้ก็เรียกว่า CSR เช่นกัน ซึ่งในหลายองค์กรอาจใช้จุดนี้เป็นการเริ่มต้น กิจกรรม ด้าน CSR ในวงกว้างได้ในอนาคต กิจกรรมเพื่อสังคมไม่จาเป็นต้องใช้ทุนจานวนมาก ไม่จาเป็นต้องสร้างสัญลักษณ์ใหญ่โตให้คนทั่วไป เห็น องค์กรควรเริ่มต้นกิจกรรมเพื่อสังคมจากภายในสู่ภายนอก สร้างความเข้าใจกับผู้บริหารจนถึงพนักงานต่อการ ทากิจกรรมเพื่อสังคม สร้างกิจกรรมอาสาสมัครเล็กๆ ภายในองค์กร เช่น การพัฒนาสถานที่ทางานร่วมกัน จัด

368


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

บรรยากาศใหม่ๆในสานักงาน เป็นต้น แล้วแสดงให้เห็นถึงผลสาเร็จและผลดี ที่ได้รับจากกิจกรรมนั้นเพื่อเป็นการ สร้างความตื่นตัวในกิจกรรมเพื่อสังคม และขยายขนาดกิจกรรมไปสู่ชุมชนหรือสังคมต่อไป ทุกสิ่งในโลกมีด้านดีและก็ด้านลบอยู่ในตัวมัน แนวคิดการทากิจกรรมด้าน “ความรับผิดชอบต่อสังคม” หรือ CSR ก็เช่นเดียวกัน ที่อาจเป็นจุดเริ่มสร้างปั ญหาให้กับสังคมในอนาคต เพราะถ้าองค์กรธุรกิจทากิจกรรมเพื่อ สังคมตามความต้องการตนเองเป็นที่ตั้ง มองปัญหาในมุมที่ตนเห็นแล้วช่วยเหลือตามที่ตนเองสะดวกเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ได้สร้างภาพลักษณ์แก่องค์กรเท่านั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการกอบโกยผลประโยชน์แล้วสร้างปัญหาทางสังคม ทิ้งไว้ การทากิจกรรมเพื่อสังคมที่ดีต้องเข้าใจถึงปัญหาหรือความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้กิจกรรมที่ เราไปทานั้นประสบผลสาเร็จอย่างแท้จริง ซึ่งกิจกรรมที่สาเร็จอย่างยั่งยืนจาเป็นต้องอาศัยระยะเวลาอาจจะไม่ได้มา รวดเร็วอย่างกิจกรรมที่ฉาบฉวย ที่มุ่งเน้นเป้าหมายทางการโฆษณามากกว่าเป้าหมายของสังคม ผลประโยชน์จาก CSR ที่องค์กรภาคธุรกิจจะได้รับทางตรงและทางอ้อม ทั้งในด้านชื่อเสียงที่ดีของบริษัท ด้านความเชื่อมั่นของลูกค้าที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด และด้านทรัพยากรบุคคลในองค์กร เช่นบางองค์กรจัดกิจกรรม อาสาสมัคร พนักงานที่มีแนวคิดว่า “สังคมพัฒนา พนักงานมีสุข ผลงานออกมาดี ลูกค้ามีความสุข และผลประโยชน์ ก็คืนสู่องค์กร” นี้คือ วิสัยทัศน์ขององค์กรที่มีก้าวหน้าอย่างยั่งยืน คือการพัฒนาพนักงาน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่าต่อ ความก้าวหน้าขององค์กร สาหรับกิจกรรมของ CSR สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ด้าน (Husted. 2003) คือ กิจกรรมจากศูนย์กลาง (centrality) และกิจกรรมเฉพาะ (specificity) โดยในแต่ละด้านมีรายละเอียดดังนี้ 1. กิจกรรมจากศูนย์กลาง เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับวิสัยทัศน์และวัตถุประสงค์ขององค์การ และเป็นกิจกรรมสาคัญทีส่ ่งเสริมธุรกิจหลัก (core business) ขององค์การด้วย รวมทั้งเป็นกิจกรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ การตัดสินใจจากรัฐบาลและกิจกรรมจากศูนย์กลางแตกต่างกันไปตามโครงสร้างของรัฐบาล ซึ่งองค์การจะต้องมี ความสามารถในการควบคุม เพื่อประเมิน- ผลจากกิจกรรมของ CSR และสามารถที่จะให้รางวัล หรือลงโทษบุคคลที่ มีพฤติกรรมไม่สอดคล้องกับที่องค์การตั้งไว้ได้ซึ่งกิจกรรมในส่วนนี้จะเป็นกิจกรรมที่ใช้ต้นทุนสูง แต่จะช่วยให้องค์การ ใช้เวลาไม่มากในการหาทรัพยากรใหม่ๆ ที่จะเข้าถึงกิจกรรมในลักษณะเดียวกัน ขณะเดียวกันก็มีความง่ายที่จะ ประเมินผลประสิทธิภาพการทางาน โดยใช้เงินทุนต่า 2. กิจกรรมเฉพาะ เป็นกิจกรรมที่ปฏิบัติจากการพึ่งพากันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่เกิดขึ้นได้จาก หลายทาง เช่น ประเมินเฉพาะพื้นฐานการลงทุนของการดาเนินการและการเฉพาะเจาะจงผู้ซื้อที่พึ่งพากันบนสินค้า เฉพาะ รวมถึงการเฉพาะเจาะจงความแตกต่างของสินค้าด้วย และสามารถที่จะพัฒนาสินค้าตลอดจนสร้างกระบวนการ ทางนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้ง 2 กรณีนี้ก็คือ การเข้าสู่ตลาดใหม่ นั่นเอง ซึ่งจะทาให้ผู้บริโภคเต็มใจที่จะจ่ายเงินจานวนสูง สาหรับสินค้าที่มีคุณลักษณะเฉพาะและกิจกรรม CSR สามารถสร้างผลประโยชน์ได้ เมื่อสินค้ามีการลอกเลียนแบบ ได้ยากและสินค้ามีความแตกต่างจากตลาดเดิมซึ่งการป้องกันการลอกเลียนแบบจากคู่แข่งขันสามารถทาได้โดยการ จดลิขสิทธิ์หรือจดสิทธิบัตร ซึ่งกิจกรรมเฉพาะจะมีสถานที่มากมายหลายแหล่ง แต่องค์การมักจะให้ความสนใจกับ สถานที่ที่เคยมีการดาเนินงานกิจกรรมนั้นอยู่ก่อนแล้ว เช่น J.P.Morgan เน้นไปที่เมืองหลวงอย่าง New York ในขณะที่ Dell Computer เน้นไปที่ใจกลางเมือง Texas และใจกลางเมือง Tennessee เป็นต้น กิจกรรมเฉพาะ เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับกระบวนการนวัตกรรม (process innovation) ซึ่งเป็นสิ่งสาคัญในการพัฒนาสินค้าและ บริการโดยเน้นกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิง่ แวดล้อม และสามารถลดต้นทุนการผลิตตลอดจนพัฒนาประสิทธิภาพใน การออกแบบสินค้าอีกด้วย

369


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

อย่างไรก็ตาม การที่องค์การจะพิจารณาว่าต้องพัฒนา CSR จากกิจกรรมแบบใดเป็นหลักนั้น ควรคานึงถึง ปัจจัยต่างๆ (M´alovics และคณะ ฯ. 2008) ทั้งภายใน (ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร และพนักงาน) และภายนอกองค์การ (คู่ค้า คู่แข่ง ลูกค้า และ ชุมชนโดยรอบ) รวมถึงพิจารณาความจาเป็นและความสาคัญของแต่ละกิจกรรมว่ากิจกรรม ไหนสาคัญมากน้อยอย่างไร กิจกรรมไหนจาเป็นหรือไม่จาเป็น เพื่อเป็นการได้รับประสิทธิผลกลับคื นสูงสุดจากการ ลงทุน CSR กิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล โรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิต มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยมีการจัดกิจกรรม CSR ต่างๆ ในโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตทั่วโลก โดยจะมีการแจ้งข้อมูลของโครงการต่างๆ ให้ได้ทราบเพื่อให้ ลูกค้า คู่ค้า และพนักงาน ได้มีส่วนร่วมในการเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือสังคม ซึ่งกิจกรรมกิจกรรมเพื่อสังคม และสิ่งแวดล้อมของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล มีดังต่อไปนี้ ดุสิตจับมือมูลนิธิสร้างรอยยิ้ม ช่วยเพิ่มรอยยิ้มให้เด็ก ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล สานต่อโครงการ “ดุสิต สไมล์” ร่วมกับ มูลนิธิสร้างรอยยิ้มแห่งประเทศไทย ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่และความพิการอื่นๆ โดยมี คุณเดวิด ชัคเคิลตัน ประธานฝ่ายปฏิบัติการ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นตัวแทนในการมอบเงินบริจาค จานวน 205,658.14 บาท ให้แก่ ดร.พอล โรแบร์ คณะกรรมการมูลนิธิสร้างรอยยิ้มแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบัน “ดุสิต สไมล์” มียอดบริจาครวมแล้ว ทั้งสิ้นจานวน 507,941.72 บาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ได้วางได้คือ 500,000 บาท ทั้งนี้ เงินสนับสนุนให้แก่โครงการ นั้นมาจากกิจกรรมหลากหลาย อาทิ การสมัครใจในการบริจาคเงินของพนักงานและลูกค้าของโรงแรมในเครือ รวมถึงกิจกรรมวิ่งเปื้อนสีการกุศล (Colour Miles For Smiles) ที่จัดขึ้นที่สวนลุมพินี กรุงเทพฯ ในเดือนเมษายน ปี 2558 อีกทั้ง โรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ ยังได้ให้ความร่วมมือมอบที่พักและอาหารแก่ผู้อานวยการ ผู้ประกอบการ และทีมงานของมูลนิธิสร้างรอยยิ้มแห่งประเทศไทย ในการทาภาพยนตร์โฆษณาชุด "The Painted Smile" พร้อม ปล่อยกลางเดือนมิถุนายน 2558 เพื่อปลุกกระแสสังคมให้ระดมความช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยที่มีภาวะปากแหว่งเพดาน โหว่ให้พวกเขาได้รับการผ่าตัด มีรอยยิ้มและอนาคตใหม่ ทั้งนี้ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล โดยทางโรงแรมได้มอบที่พัก และอาหารแก่ทีมงานในการทาภาพยนตร์ ภาพยนตร์ชุดดังกล่าวได้มีการนาไปเผยแพร่ในหลายๆ ช่องทางเช่น ทรู ทีว,ี เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, VGL Global และผ่านทีวีในห้องพักลูกค้าของโรงแรมในเครือดุสิตในประเทศไทย เพื่อปลุก กระแสสังคมให้ระดมความช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ให้พวกเขาได้รับการผ่าตัดเพื่อมีรอยยิ้มที่ สดใส โครงการดุสิต สไมล์ หนึ่งในโครงการเพื่อสังคมของโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคน ในสังคม โครงการ CSR ดุสิต สไมล์ ร่วมกับ มูลนิธิสร้างรอยยิ้มแห่งประเทศไทย ส่งมอบช่วยเหลือสาหรับค่าใช้จ่าย ในการผ่าตัดรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่และความพิการอื่นๆ โครงการเพื่อช่วยเหลือสังคม โรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิต มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือสังคม ซึ่งร่วมมือกับพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้า ในการสร้างโครงการดีๆ เพื่อสังคมที่ดีขึ้น โดยการระดมเงินทุนเพื่อมอบให้แก่โรงเรียนบริเวณ วัด และสถานสงเคราะห์ ต่างๆ ในใกล้เคียง

370


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

โครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม: EarthCheck โรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิต ร่วมกับโปรแกรม EarthCheck องค์กรระดับโลกด้านมาตรฐานการ จัดการและรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การดาเนินกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคมด้วยความมุ่งมั่นในการดาเนินกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ดังกล่าวมาข้างต้นส่งผลให้ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ได้รับรางวัลรับรองความตั้งใจในการดาเนินกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ 1. รางวัลมาตรฐานระดับทองจากองค์กรเอิร์ธเช็ค เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 ซึ่งดุสิต อินเตอร์ เนชั่นแนล เป็นกลุ่มโรงแรมเจ้าแรกในประเทศที่ได้รับประกาศนียบัตรทองจาก เอิร์ทเช็ค ซึ่งเป็นองค์กรผู้นาด้านการ บริหารจัดการสภาพสิ่งแวดล้อมชั้นนาของโลก ทั้งนี้ 9 โรงแรมในเครือของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ได้รับการตรวจสอบ และรับรองการดูแลสภาพสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคมจากเอิร์ทเช็ค และประสบความสาเร็จในการลด ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉลี่ยกว่า 34% ลดการใช้พลังงานและน้ากว่า 20% และลดปริมาณขยะกว่า 2 ล้านลิตร ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนลได้ร่วมมือกับเอิร์ทเช็คตั้งแต่ปี 2009 ในการดาเนินการบริหาร จัดการเพื่อความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท และเรามีความยินดีที่ได้มอบ ประกาศนียบัตรทองให้แก่โรงแรมทั้ง 9 โรงแรมในเครือดุสิต อินเตอร์เนชั่นเเนล ปัจจุบันนี้ แต่ละโรงแรมของดุสิต อินเตอร์เนชั่นเเนล ได้แสดงความรับผิดชอบต่อการลดการใช้ พลังงาน เเละมลภาวะด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในชุมชน นอกเหนือจากโครงการลดการใช้ พลังงานและการใช้น้านี้ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนลยังให้การช่วยเหลือแก่โรงเรียนท้องถิ่น และนักเรียนผู้ด้อยโอกาส อีกด้วย โดยให้ความสาคัญกับความเป็นอยู่ และสุขภาพของเด็ก กลุ่มดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนลได้ร่วมมือกับ โอเปอร์ เรชั่น สไมล์ ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลในการให้บริการทีมแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อให้บริ การ การผ่าตัดและการรักษาอย่าง ปลอดภัยแก่เด็กที่มีความผิดปกติที่ใบหน้า เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ รายชื่อโรงแรมของกลุ่มในเครือดุสิตอินเตอร์เนชั่นแนลที่ได้รับรางวัลประกาศนียบัตรทอง ได้แก่ โรงเเรมดุสิตธานี กรุงเทพ โรงเเรมดุสิตธานี หัวหิน โรงเเรมดุสิตธานี พัทยา โรงเเรม ดุสิต ลากูน่า ภูเก็ต โรงเเรม ดุสิตธานี ดูไบ โรงเเรมดุสิตดีทู เชียงใหม่ โรงงเรมดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่ โรงเเรมดุสิต โคราช เเละโรงเเรมดุสิต ปริ๊นเซส ศรีนครินทร์ โดยดาเนินการดังนี้ 1. ด้านพลังงาน โรงแรมทั้ง 9 แห่ง นี้ ได้ลดปริมาณการใช้พลังงานโดยเฉลี่ยกว่า 20% ประหยัดกว่า 56, 361,185 MJ ซึ่งเป็นปริมาณพลังงาน เพียงพอที่จะใช้สาหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คน จานวน 2366 ครอบครัวในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศออสเตรเลีย ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเท่ากับว่าสามารถ ประหยัดพลังงานเป็นจานวนเงินกว่า 518,102 ดอลล่าห์ 2. ด้านการใช้น้า ปริมาณการใช้น้าของโรงแรมทั้ง 9 แห่งได้ลดลงถึงกว่า 19% ตั้งแต่เข้า ร่วมโครงการ โดยสามารถประหยัดพลังงานกว่า 84,589,210 ลิตร ซึ่งเท่ากับการใช้น้าสาหรับสระว่ายน้าโอลิมปิก ขนาดมาตรฐาน 34 แห่ง คิดเป็นจานวนเงินถึง 42,124 ดอลล่าห์ 3. ด้านขยะ โรงแรมทั้ง 9 แห่ง ได้ลดปริมาณขยะ โดยเฉลี่ยกว่า 12% ตั้งแต่เข้าร่วม โครงการ โดยสามารถลดขยะไปกว่า 2,029,983 ลิตร ซึ่งเท่ากับปริมาณขยะบรรจุรถบัสโดยสาร 2 ชั้น จานวน 20 คัน หรือ รถสมาร์ทคาร์ กว่า322 คัน ซึ่งเป็นการประหยัดเงินไปกว่า 19,692 ดอลล่าห์ ต่อการนาขยะไปถมที่ 3.1 รางวัล ‘Thailand MICE Venue Standard’ หรือ มาตรฐานสถานที่จัดงานแห่ง ประเทศไทย ในวันที่ 29 มกราคม 2559 ที่พารากอน ฮอลล์ กรุงเทพฯ

371


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

3.2 รางวัล ASEAN Green Hotel Standard award เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 โดยสานักงานกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรุงเทพมหานคร โรงแรมดุสิตธานี พัทยาคว้า 6 รางวัลจากงาน PATTAYA HOSPITALITY CHALLENGE 2016 จานวน 6 ประเภทด้วยกัน อันได้แก่ การแกะสลักผลไม้ การสร้างสรรค์ทาปาส การจัดโต๊ะแบบตะวันตกพร้อม กับประดับด้วยดอกไม้ การนวดไทยจากเทวารัณย์สปา การตกแต่งเค้กแบบฟรีสไตล์ และที่สาคัญ รางวัลชนะเลิศ จากการแข่งขัน Ms. Bartender ประเภททีม ที่ห้องประชุมนภาลัย คอนเวนชั่น ฮอลล์ ณ โรงแรมดุสิตธานี พัทยา 3.3 รางวัลประกาศนียบัตรใบไม้ 5 ใบ จากมูลนิธิใบไม้เขียว (ประเทศไทย) เมื่อ 9 เมษายน 2556 เป็นรางวัลที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นโรงแรมสีเขียวที่มีระบบการจัดการด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ยอดเยี่ยมโดดเด่นและมีประสิทธิภาพ บทสรุปความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมของดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ยึดหลักของความยั่งยืนเพื่อคานึงถึง การตัดสินใจของผู้ให้บริการงานโรงแรมระดับโลกเน้นการสร้างความตระหนักในการทาธุรกิจที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อ ชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยมีการทากิจกรรมที่สอดรับเป็นไปในทิศทางเดียวกับนโยบายคือ การจัดโครงการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม การให้ความรู้กับพนักงานของโรงแรม การลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มี ส่วนรับผิดชอบต่อสังคมไปยังลูกค้าของโรงแรม ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ชี้วัดตามมาตรฐาน ISO14001:2015 ด้วย การแต่งตั้งรองประธานอาวุโสฝ่ายการจัดการคุณภาพทั่วทั้งองค์กร เป็นผู้นาทางด้านพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และผู้อานวยการกลุ่มฝ่ายวิศวกรรม เป็นผู้ประสานงานและรับผิดชอบในด้านการดาเนินการ เป็นการตอกย้าให้เกิด ความน่าเชื่อถือ และส่งผลต่อประสิทธิผลและการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในงานด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการดาเนินการ ตามหลักเกณฑ์ ได้แก่การพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ทรัพยากรน้า การอนุรักษ์และการจัดการสภาพแวดล้อม การวางแผนและการจัดการใช้พื้นที่ การป้องกันคุณภาพอากาศและการควบคุมเสียง การจัดการน้าเสีย การจัดการ ขยะมูลฝอย การจัดเก็บวัตถุที่มีพิษต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการไม่การปล่อยแก๊สเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ การใช้ การอนุรักษ์และการจัดการจัดการขยะมูลฝอย การจัดเก็บวัตถุที่มีพิษต่อสิ่งแวดล้อม ความสาเร็จและความน่าเชื่อถือของการทา CSR ที่ทุกองค์กรต่างปรารถนาให้เกิดขึ้นนั้นอยู่ที่ตัวองค์กร เองในการนามาปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการและตอบให้ตรงกับโจทย์ที่ตอ้ งการ ไม่มีความจาเป็นต้องอาศัยแนวคิด ใหม่หรือหลักการใหม่ นอกเหนือจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน การที่มีองค์กรพยายามจะยกระดับการทา CSR ให้เหนือกว่าที่ เป็ น อยู่ ห รือ ให้มี ค วามโดดเด่ น กว่ า องค์ กรอื่ นด้ ว ยการสร้ างสรรค์ คาใหม่ ห รือ วลีใ หม่ๆ เพื่ อ ใช้ สื่ อสารหรื อสร้ า ง ภาพลักษณ์ให้องค์กร เอกสารอ้างอิง กังสดาล เชาว์วัฒนกุล. (2556). พัฒนาการทางแนวคิดทฤษฎีว่าด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจใน บริบทของศาสตร์ต่างๆ. วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. 39(1): 24-36 (2556) ตรีทศ เหล่าศิรหิ งษ์ทอง พงศ์พัฒน์ ตังคะประเสริฐวิชานี สากลบรรเจิด และปเวสน์ แสงวงศ์รัศมี. (2552). “ความ รับผิดชอบต่อสังคมกับการบริหารห่วงโซ่อุปทาน.” สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2560, จาก http://www.tpa.or.th/publisher/pdfFileDownloadS/fq143_p62-66.pdf ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม. (2549). สานึกไทยที่พงึ ปรารถนา. กรุงเทพฯ.

372


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

เรวัต ตันตยานนท์. (2557). การดาเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคม. สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2560, จาก http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/609729 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย. (2559). “5 เทรนด์ธุรกิจ แรงแซงโค้งปี 2017.” สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2560, จาก https://www.kasikornbank.com/th/business/sme/KSMEKnowledge/article/KSMEAnal ysis/Documents/5BusinessTrendsOf2017.pdf สถาบันธุรกิจเพื่อสังคม. (2551). “รู้จัก CSR.” สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2560 จาก, http://www.csri.or.th/knowledgecsr-definition. สานิตย์ หนูนลิ วิโรจน์ เจษฎาลักษณ์ และจันทนา แสนสุข. (2560). “การพัฒนาโมเดลความรับผิดชอบต่อสังคม เชิงกลยุทธ์เพื่อผลการดาเนินงานที่ยั่งยืนของธุรกิจ โรงแรมในประเทศไทย.” Dusit Thani College Journal Vol.11 Special Issue May 2017. สิริทิพย์ ฉลอง. (2560). ธุรกิจโรงแรม (Hotel Industry). เดือนกุมภาพันธ์ 2560 หน่วยวิเคราะห์เศรษฐกิจภาค บริการ ส่วนเศรษฐกิจรายสาขา ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก. สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2560, จาก https://www.gsb.or.th/getattachment/ สิริทิพย์ ฉลอง. (2560). ธุรกิจโรงแรม (Hotel Industry). เดือนกุมภาพันธ์ 2560 หน่วยวิเคราะห์เศรษฐกิจภาค บริการ ส่วนเศรษฐกิจรายสาขา ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก. สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2560, จาก https://www.gsb.or.th/getattachment/ (CSR : Meeting Changing Expectations, 1999) Certo, S. T. 2003. Influencing initial public offering investors with prestige: Signaling with board structures. Academy of Management Review, 28: 432-446. earthcheck . (2016). “ดุสิตอินเตอร์เนชั่นแนล”. สืบค้นเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2560, จาก https://earthcheck.org/news/2016/march/earthcheck-and-dusit/ Gunningham, N., & Sinclair, D. (1999). Integrative regulation: A principle-based approach to environmental policy. Law and Social Inquiry, 24: 853-896.

373


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

HSBO-04 ความสัมพันธ์ของโครงสร้างของผู้ถือหุ้น ระดับการกากับดูแลกิจการที่ดีที่มีต่อผลการดาเนินงานของบริษัทที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET 100) THE RELATIONSHIP OF OWNERSHIP STRUCTURE CORPORATE GOVERNANCE SCORED TO PERFORMANCED IN COMPANY LISTED ON THE STOCK EXCHANGE OF THAILAND (SET 100) ขวัญชนก สุขสมคุณ1 1

คณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ตาบลท่าวาสุกรี อาเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000. E-mail: kwangkhwanchanok@gmail.com

บทคัดย่อ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างผู้ถือหุ้น ระดับการกากับดูแลกิจการที่ดีที่มีผลต่อการดาเนินงานของบริษัทที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การศึกษาครั้งนี้พบว่า ผู้ถือหุ้นสถาบันการเงินมีความสัมพันธ์ในทาง ลบกับผลการดาเนินงาน ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ผู้ถือหุ้นการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของมีความสัมพันธ์ ในทางบวกกับผลการดาเนินงาน ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และ ผู้ถือหุ้นครอบครัวมีความสัมพันธ์ในทางลบกับ ผลการดาเนินงาน ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และผลวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของระดับการกากับดูแลกิจการที่ดี ต่อผลการดาเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) ของปี 2555-2558 พบว่า มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับผลการดาเนินงาน ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ คำสำคัญ : โครงสร้างของผู้ถือหุน้ , ระดับการกากับดูแลกิจการทีด่ ี , ผลการดาเนินงาน Abstract An analysis of the relationship of shareholder structure to the performance of listed companies in the SET (2012). The Financial institution shareholders have a negative relationship with their operating results. It does not meet the set assumptions. Shareholders The concentration of ownership has a positive relationship with the operating results. According to the assumptions the family shareholders have a negative relationship with the operating results. This is based on assumptions set. The analysis of the relationship between good corporate governance and the performance of the listed companies in the SET (SET 100) for 2012-2015 has shown a positive relationship with the operating results. This is based on assumptions set. Keyword : Ownership Structure , Corporate Governance Scored , Performanced

374


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

บทนา ในสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้น ส่งผลทาให้เกิดการแข่งขันกันระหว่างธุรกิจไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทขนาดเล็กที่มีการจดทะเบียนและ ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งเป้าหมายของทุกกิจการล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะพัฒนาธุรกิจ ของตนเองให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน และธุรกิจต้องมีการบริหารจัดการบริษัทที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบ ได้ และคานึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย การกระทาเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่ากิจการต้องการให้ธุรกิจของตนมีการกากับ ดูแลกิจการที่ดี ในส่วนของผู้ถือหุ้นนั้น เป็นส่วนหนึ่งของหลักการกากับดูแลกิจการที่ดี มีความสาคัญ ต่อองค์กรทาง ธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้ถือหุ้นเป็นเจ้าของธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามสัดส่วนของจานวนหรือมูลค่าของ หุ้น และผู้ถือหุ้นเป็นผู้ได้ประโยชน์ที่สาคัญที่สุดของธุรกิจ เป็นผู้ได้ประโยชน์ชั้นในสุดของธุรกิจ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการ เจริญเติบโตหรือการอยู่รอดของธุรกิจมากที่สุด การบริหารธุรกิจจึงต้องให้ความสาคัญและให้ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์ จากธุรกิจอย่างยุติธรรม หรือมีจริยธรรมทางธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันผู้ถือหุ้นไม่เพียงแต่หวังผลกาไรเพียง อย่างเดียว แต่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ( สุธรรม รัตนโชติ, 2548 ) ซึ่งโครงสร้างผู้ถือหุ้น ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีทั้งโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่เป็นครอบครัว บางบริษัทอาจมี สถาบันการเงินเป็นผู้ถือหุ้น และมีบริษัทที่ผู้ถือหุ้นไม่เกี่ยวข้ องกันเลย ในอดีตกิจการหรือองค์กรที่มีลักษณะที่เป็น ครอบครัวจะบริหารงานกันเองแต่ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่การบริหารที่แตกต่าง เนื่องจากความเป็นเจ้าของ กับการบริหารได้ถูกแยกกันอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่กิจการขายหุ้นไปยังบุคคลภายนอก จึงทาให้ความเป็นเจ้าของ กระจัดกระจาย ดังนั้นการที่ผู้ถือหุ้นที่มีจานวนมากและกระจัดกระจายจะเข้าไปบริหารงานจึงไม่สามารถทาได้ ดังนั้น ผู้ถือหุ้นจึงต้องจ้างตัวแทนหรือที่เรียกว่าผู้บริหารเข้าไปทางานแทนกลุ่มผู้ถือหุ้น (สุภาวดี มอสส์. 2559) แต่เมื่อจ้าง คนนอกเข้าไปดาเนินงานอาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ เพราะผู้บริหารอาจจะไม่ได้ทาเพื่อผู้ ถือหุ้น แต่อาจจะทาเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง จึงส่งผลให้เกิดปัญหาตัวแทน ( Agency Problem ) เป็นการ ขัดแย้งระหว่างตัวการและตัวแทนซึ่งผู้ถือหุ้นจะคานึงถึงผลประโยชน์ของผลการดาเนินงานเป็นหลักเพื่อ ให้ได้รับ ผลตอบแทนสูงสุดให้คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนไป โดยจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผล ส่วนผู้บริหารนั้นจะ ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนและโบนัสต่างๆ ปรับตาแหน่งให้สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาจะเกิดกับผู้บริหาร เมื่อมีผลการดาเนินงานที่สูงขึ้นแต่ได้รับเงินตอบแทนน้อยกว่าที่ควรจะได้รับ ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ถือหุ้น มีการคานึงถึง ค่าใช้จ่ายเพื่อต้องการเงินปันผลและราคาของหุ้นให้สูงที่สุด ซึ่งผู้ถือหุ้นคานึงถึงผลประโยชน์ของตนเป็นหลักเพื่อ แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวสูงสุด (Milton Friedman. 1962) ในขณะที่ผู้ถือหุ้นนั้นมีหลากหลาย ผู้ถือหุ้นอาจจะ เป็นผู้ถือหุ้นที่เป็นสถาบันการเงิน โดยหลักการสถาบันการเงินจะมีความเชี่ยวชาญในการลงทุนและการวิเคราะห์และ พิจารณาหลักทรัพย์ที่สถาบันการเงินต้องการถือครอง ดูจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกมาประกอบในการ ตัดสินใจ เพื่อให้ผลการดาเนินงานต่อองค์กรเพิ่มขึ้น โดยรวมไปถึงผู้ถือหุ้นกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของ ซึ่งผู้ถือ หุ้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีอานาจในการควบคุมจัดการมีกระบวนการการบริหารการจัดการที่มีประสิทธิภาพ (รติ วงศกิตติรักษ์. 2554) หรือผู้ถือหุ้นอาจจะเป็น ผู้ถือหุ้นครอบครัวหรืออาจกล่าวได้ว่าผู้ถือหุ้นกลุ่มนี้เป็นผู้ถือหุ้นของ กิจการที่สืบทอดธุรกิจทางสายเลือดไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานและมีอานาจควบคุมการบริหารงานและการตัดสินใจ ส่งผล ต่อการดาเนินงาน (พนิตตา กีรติกฤติน. 2556) อย่างไรก็ตามบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทยนั้นได้รับการผลักดันให้นาหลักการกากับดูแลกิจการที่ดีมาปฏิบัติ เพื่อเป็นการควบคุมดูแลของตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย เปรียบเสมือนเป็นเครื่องมือช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน (กฤษณี นาศิริกุล. 2558) ช่วยเพิ่ม ความโปร่งใสให้กับข้อมูลทางการเงินเนื่องจาก การกากับดูแลกิจการคือ ระบบภายในและภายนอกที่นามาใช้

375


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตรวจสอบกิจการเพื่อสร้างความมั่นใจว่ากิจการมีความรับผิดชอบและดาเนินการเพื่อผลประโยชน์เพื่อผู้ถือหุ้นทุกคน ( สุภาวดี สุขีชีพ มอสส์. 2559) ซึ่งการกากับดูแลกิจการที่ดีนั้นส่งผลให้ผลการดาเนินงานดียิ่งขึ้น (จีราภรณ์ พงศ์ พันธ์พัฒนะ. 2558) และสามารถนามาใช้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการรับความเสี่ยงที่มาก เกินไปได้ (กฤษณี นาศิริกุล. 2558) สืบเนื่องมาจากอานาจในการตรวจสอบการบริหารงานของผู้บริหารที่แตกต่างกัน ไป และมีนโยบายที่แตกต่างกัน มีทิศทางการดาเนินงานที่ยอมรับความเสี่ยงได้น้อย มีการควบคุมบริหารอย่างเข้มงวด จึงทาให้ผู้บริหารทาเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นไปได้ยากหรือการนาเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารงานป้องกันความ ผิดพลาดในระบบงานต่างๆ ทาให้ส่งผลดีต่อกิจการปรับตัวไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้นได้ ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจศึกษา ความสัมพันธ์ของโครงสร้างของผู้ถือหุ้น ระดับการกากับดูแลที่ดีที่มีต่อผลการดาเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) ซึ่งข้อมูลจากวิจัยเล่มนี้ สามารถใช้เป็นแนวทางให้บุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกากับดูแลธุรกิจ นักลงทุน และ ประชาชน นาผลการวิจัยไปใช้พิจารณาเพื่อสร้าง กระบวนการการกากับดูแลที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยเป็นเครื่องมือให้นักลงทุนและประชาชนทั่วไปใช้เพื่อการ ตัดสินใจในการลงทุนในอนาคตได้อีกด้วย วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของโครงสร้างของผู้ถือหุ้นที่มีต่อผลการดาเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) 2. เพื่อศึกษาความความสัมพันธ์ของระดับการกากับดูแลกิจการที่ดีที่มีต่อผลการดาเนินงานของบริษัท ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) สมมติฐานการวิจัย 1. สัดส่วนของผู้ถือหุ้นที่เป็นสถาบันการเงินมีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลการดาเนินงานของบริษัทที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) 2. สัดส่วนของผู้ถือหุ้นที่เป็นการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของมีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลการ ดาเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) 3. สัดส่วนของผู้ถือหุ้นที่เป็นครอบครัวมีความสัมพันธ์ทางลบกับผลการดาเนินงานของบริษัทที่จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) 4. ระดับการกากับดูแลกิจการที่ดีมีความสัมพันธ์ในทางบวกกับผลการดาเนินงานของบริษัทที่จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) ขอบเขตการวิจัย ขอบเขตด้านเนื้อหา ตัวแปรอิสระ ได้แก่ โครงสร้างผู้ถือหุ้น ประกอบด้วย ผู้ถือหุ้นสถาบันการเงิน การกระจุกตัวของความ เป็นเจ้าของ ผู้ถือหุ้นครอบครัว และ ระดับการกากับดูแลกิจการที่ดี ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลการดาเนินงาน ซึ่งสามารถวัดค่าได้จาก กาไรต่อหุ้น ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และ ราคาหุ้น ตัวแปรควบคุม ได้แก่ ขนาดของกิจการ ความเสีย่ งในการลงทุน

376


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ขอบเขตด้านประชากร การศึกษาครั้งนี้ศึกษาเฉพาะบริษทั ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) ประชากรที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่รายชื่อหลักทรัพย์ของ บริษัทถูกนามาใช้ในการคานวณดัชนี SET ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559โดยเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ถึง พ.ศ.2558 ขอบเขตด้านระยะเวลา ผู้วิจัยได้ทาการศึกษาข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2558 - พ.ศ. 2559 และดาเนินการเก็บข้อมูลย้อนหลัง 4 ปี วิธีดาเนินการวิจัย การศึกษาวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของโครงสร้างของผู้ถือหุ้น ระดับการกากับดูแลที่ดีและความเสี่ยงใน การลงทุนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100 )การศึกษาครั้งนี้ใช้ข้อมูลทุติยภูมิ ในการแปรผลและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร โดยใช้โปรแกรมทางสถิติในการคานวณ มีขั้นตอนการ ดาเนินการวิจัยดังนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง การศึกษาครั้งนี้ศึกษาเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100)ประชากรที่ ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีรายชื่อบริษัทที่จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559โดยเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ถึง พ.ศ.2558 ในการเก็บข้อมูลเพื่อนามาใช้ในการศึกษาความสัมพันธ์ของโครงสร้างของผู้ถือหุ้น ระดับการกากับดูแลที่ดีและความ เสี่ยงในการลงทุนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) โดยผู้วิจัยจะทาการ รวบรวมข้อมูลจากบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่อยู่ในกลุ่ม SET 100 มีจานวน 100 บริษัท ในช่วงปี 2555-2558 เป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 400 บริษัท แต่ผู้วิจัยได้มีการหักกลุ่มตัวอย่างบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ไม่มีรายชื่อที่ได้จ ดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) ที่ไม่มีคะแนนรายงาน การกากับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ รายงานประจาปี 56-1 งบการเงิน และ รายงานผลสารวจการกากับดูแล กิจการบริษัทจดทะเบียนไทยประจาปี 2555- 2558 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies) การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ รวบรวมจาก งบการเงิน รายงานประจาปี แบบแสดงข้อมูลประจาปี พ.ศ. 2555 ถึง ปี พ.ศ.2558 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เปิดเผยต่อสาธารณชนผ่านห้องสมุดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและข้อมูล จาก SET SMART ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจากรายงานผลสารวจการกากับดูแลกิจการบริษัทจด ทะเบียนไทยประจาปี 2555- 2558 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies) การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ 1. วิเคราะห์ภาพรวมและเป็นรายบริษัทข้อมูลของ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทย โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่าสุด และ ค่าสูงสุด 2. ทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) เพื่อ ทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรทุกตัวที่ใช้ในการศึกษาของงานวิจัยชิ้นนี้ ด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Pearson

377


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

Correlation) จะต้องไม่เกิน 0.8 ( อัครพงศ์ อั้นทอง , 2550 ) พร้อมวัดระดับ Muticollinearity ด้วยค่า Variance Inflation Factor ( VIF )กับ ค่า Tolerance โดยค่า VIF ต้องน้อยกว่า 10 และค่า ค่า Tolerance เข้าใกล้ 1 ซึ่ง เป็นข้อตกลงเบื้องต้นของการวิเคราะห์การถดถอยที่ตัวแปรอิสระทุกตัวเป็นอิสระกัน (ไพฑูรย์ ไกรพรศักดิ์. 2546) 3. การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยใช้วิธีการวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย 1. ผลวิ เคราะห์ ความสั ม พัน ธ์ ของโครงสร้ า งของผู้ ถื อหุ้ น ที่มี ต่ อผลการด าเนิ นงานของบริ ษัท ที่ จ ด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( SET 100 ) ของปี 2555 – 2558 พบว่า ด้านกาไรต่อหุ้น (EPS : Earning per Share) มีความสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้นครอบครัว แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้นสถาบันการเงินและ ผู้ถือ หุ้นการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของ ด้านผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ ( ROA: Return on Assets ) มีความสัมพันธ์ กับผู้ถือหุ้นการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของ แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้นสถาบันการเงิน และผู้ถือหุ้นครอบครัว ด้านผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE : Return on Equity ) มีความสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้นการกระจุกตัวของ ความเป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นครอบครัว แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้นสถาบันการเงิน ด้านราคาหุ้น (Share Price) มีความสัมพันธ์ผู้ถือหุ้นสถาบันการเงิน ผู้ถือหุ้นการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของ และผู้ถือหุ้นครอบครัว 2. ผลวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของระดับการกากับดูแลกิจการที่ดีต่อผลการดาเนินงานของบริษัทที่จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( SET 100 ) ของปี 2555-2558 พบว่า พบว่า ด้านกาไรต่อหุ้น (EPS : Earning per Share) มีความสัมพันธ์กับระดับการกากับดูแลกิจการที่ดี แต่ไม่มีความสัมพันธ์ ด้านผลตอบแทนต่อ สินทรัพย์ ( ROA: Return on Assets ) ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE : Return on Equity ) และ ด้าน ราคาหุ้น (Share Price ) สรุปผลการวิจัย 1. พบว่าโครงสร้างของผู้ถือหุ้นที่มีต่อผลการดาเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย (SET 100) มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญ โดย ด้านกาไรต่อหุ้น (EPS : Earning per Share) มีความสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้นครอบครัว ด้านผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA: Return on Assets) มีความสัมพันธ์กับผู้ ถือหุ้นการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของ ด้านผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE : Return on Equity) มี ความสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้นการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นครอบครัว ด้านราคาหุ้น (Share Price) มี ความสัมพันธ์ผู้ถือหุ้นสถาบันการเงิน ผู้ถือหุ้นการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของ และผู้ถือหุ้นครอบครัว 2. พบว่าระดับการกากับดูแลกิจการที่ดีที่มีต่อผลการดาเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( SET 100 ) มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญ โดย ด้านกาไรต่อหุ้น (EPS : Earning per Share) มีความสัมพันธ์กับระดับการกากับดูแลกิจการที่ดี วิจารณ์ผลการวิจัย 1. ผลวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของโครงสร้างของผู้ถือหุ้นสถาบันการเงินที่มีต่อผลการดาเนินงานของ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( SET 100 ) ของปี 2555 – 2558 พบว่า โครงสร้างของผู้ ถือหุ้นสถาบันการเงินมีความสัมพันธ์ทางลบกับผลการดาเนินงาน ซึ่งสอดคล้องกับ JiePing Gou (2556 ) ศึกษา

378


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างผู้ถือหุ้นกับนโยบายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้แห่ง ประเทศสาธารณประชาชนจีน สัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนสถาบันและสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนสถาบันใน ประเทศมีความสัมพันธ์เชิงลบกับการตัดสินใจการจ่ายเงินปันผลและอัตราการจ่ายเงินปันผลอย่างมีนัยสาคัญ 2. ผลวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของโครงสร้างของผู้ถือหุ้นกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของที่มีต่อผลการ ดาเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) ของปี 2555 – 2558 พบว่า โครงสร้างของผู้ถือหุ้นกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของมีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลการดาเนินงาน ซึ่งสอดคล้องกับ นุชธิชา ชีวสุทธิพงศ์ (2553) ได้ศึกษาโครงสร้างผู้ถือหุ้นกับผลการดาเนินงานของกิจการพบว่า ปัจจัยด้านสัดส่วน การถือครองหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้นมีความสัมพันธ์กับผลการดาเนินงานของกิจการโดยไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งโครงสร้างผู้ ถือหุ้นกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของยังทาให้ความสามารถในการทากาไรสูงขึ้นได้และยัง สอดคล้องกับ บงกช ตั้งจิระศิลป์ (2556) ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างผู้ถือหุ้นกับความสามารถในการทากาไร ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า โครงสร้างผู้ถือหุ้นในประเทศไทยมีการกระจุกตัว กันสูง ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ส่วนใหญ่เป็นบุคคลธรรมดาและกลุม่ ครอบครัว ความสามารถในการทากาไรโดยเฉลี่ยบริษัทมี อัตราผลตอบแทนจากส่วนของเจ้าของ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ 3. ผลวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของโครงสร้างของผู้ถือหุ้นครอบครัวที่มีต่อผลการดาเนินงานของบริษัทที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) ของปี 2555 – 2558 พบว่า โครงสร้างผู้ถือหุ้นครอบครัวมี ความสัมพันธ์ทางลบกับผลการดาเนินงาน ซึ่งสอดคล้องกับ ลลิตา แซ่กัง (2558) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความ เป็นครอบครัวต่อผลการดาเนินงานของธุรกิจ กรณีศึกษาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ใน กลุ่มSET100 พบว่าผลการดาเนินของธุรกิจครอบครัวไม่ได้ดีกว่าธุรกิจที่ไม่ใช่รูปแบบครอบครัว ในการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างอายุของบริษัทพบว่ามีความสัมพันธ์ในเชิงบวกระหว่างบริษัทครอบครัวที่มีอายุน้อยกับ ผลการ ดาเนินงานของธุรกิจ และในการศึกษาความเป็นครอบครัวในด้านของการบริหารพบว่าการดารงตาแหน่งผู้บริหาร สูงสุดของผู้ก่อตั้งและสมาชิกครอบครัวของผู้ก่อตั้งนั้นมีความสัมพันธ์ในเชิงลบต่อผลการดาเนินงานของธุรกิจ และยัง สอดคล้องกับ ภาวินี ดวงทวีทรัพย์ (2558) พบว่า กิจการที่มีโครงสร้างการถือหุ้นแบบครอบครัวมีความสัมพันธ์กัน ในเชิงลบกับอัตราผลตอบแทนเกินปกติของกิจการ หมายความว่ากิจการประเภทนี้จะมีอัตราผลตอบแทนเกินปกติใน อัตราที่น้อยกว่ากิจการอื่นๆเนื่องจากเกิดปัญหาตัวแทนระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นที่เป็นสมาชิกในครอบครัวและผู้ถือหุ้ น อื่นๆขึ้น ทาให้การบริหารกิจการนั้นๆเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพและส่งผลในเชิงลบต่อผลประกอบการของ กิจการและอัตราผลตอบแทนของกิจการ 4. ผลวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของระดับการกากับดูแลกิจการที่ดีต่อผลการดาเนินงานของบริษัทที่จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) ของปี 2555-2558 พบว่า ระดับการกากับดูแลกิจการที่ดีมี ความสัมพันธ์ทางบวกกับผลการดาเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) ซึ่งสอดคล้องกับ กานดา พิศาลปีติ (2557) ศึกษาผลกระทบเชิงสาเหตุระหว่างการกากับดูแลกิจการและผลการ ดาเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า ระดับการกากับดูแลกิจการมีความสัมพันธ์ ทางบวกกับผลการดาเนินงานของกิจการ และสอดคล้องกับ จินตวิชญ์ ภูพณิชย์ (2553) การกากับดูแลกิจการและ ผลการดาเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีคะแนนการกากับดูแล กิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับผลการเนิน งานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และดัชนีคะแนนการกากับดูแลกิจการจดทะเบียนใน

379


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยส่งผลต่ อการดาเนินงานของจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มากกว่าสัดส่วนการถือครองหุ้นของคณะกรรมการ ข้อเสนอแนะ จากการวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ของโครงสร้างผู้ถือหุ้นกับผลการดาเนินงาน และความสัมพันธ์ของระดับ การกากับดูแลกิจการที่ดี ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) ทาให้ทราบถึง ความสัมพันธ์ของโครงสร้างผู้ถือหุ้นกับผลการดาเนินงานและความสัมพันธ์ของระดับการกากับดูแลกิจการที่ดี ของ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน ใช้ในการประกอบการ ตัดสินใจเพื่อพิจารณาในการลงทุน อีกทั้งยังเป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้นบริษัท ใช้เป็นแนวทางในการกาหนดการกระจาย การลงทุนให้มีความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะความคิดเห็นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการทาวิจัยครั้ง ต่อไป ดังนี้ 1. ในการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET 100) ในอนาคตต่อไปควรมีการศึกษาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามประเภทของ อุตสาหกรรม เช่น สถาบันการเงิน , อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง เป็นต้น 2. ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยจะทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างผู้ถือหุ้นกับผลการดาเนินงาน ความสัมพันธ์ระหว่างระดับการกากับการดูแลกิจการกับผลการดาเนินงาน ซึ่งผลงานวิจัยที่ได้พบว่ามีความสัมพันธ์ กันซึ่งเห็นได้ว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นทั้ง 3 โครงสร้างนั้นมีส่งผลให้ผลการดาเนินงานนั้นดีขึ้น แต่ การวัดด้วยผลการ ดาเนินงานนั้นยังมีปัจจัยตัวแปรอื่นๆอีกที่ทาให้ผลการดาเนินงานนั้นดีขึ้น กิตติกรรมประกาศ ขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุภาวดี สุขีชีพ มอสส์ ที่ได้ให้เกียรติเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาคอย แนะนาให้คาปรึกษา และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้ได้ลุล่วงไปได้ด้วยดี ตลอดจนแก้ไขจุดบกพร่องต่าง ๆ จน วิทยานิพนธ์เล่มนี้สาเร็จได้ด้วยดี และสุดท้าย ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณบิดา มารดา พี่ น้อง และให้การสนับสนุนแก่ ข้าพเจ้าเสมอมา เอกสารอ้างอิง กฤษณี นาสิริกลุ . (2558). การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกากับดูแลกิจการกับการรับความเสี่ยงของ ธนาคาร กรณีศึกษาประเทศไทย. วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารเงิน, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กานดา พิศาลปีต.ิ (2558). “ผลกระทบเชิงสาเหตุระหว่างการกากับดูแลกิจการ และผลการดาเนินงานของบริษัท จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย.” วารสารบัญชี. 32 (2558) : 5. จินตวิชญ์ ภูพณิชย์. (2553). การกากับดูแลกิจการและผลการดาเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย.” บัญชีมหาบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. จีราภรณ์ พงศ์พันธุ์พัฒนะ. (2558). “กลไกการกากับดูแลกิจการที่ดี และผลการดาเนินงานของกิจการ:บริษัทจด ทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย .” วารสารวิทยาการจัดการสมัยใหม่. 1 ( 2558 ) : 1

380


การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจยั ระดับชาติ บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 13 21 – 22 เมษายน 2561

SRRU NCR2018

นุชธิชา ชีวสุทธิพงศ์. (2553). โครงสร้างผู้ถือหุ้นกับผลการดาเนินงานของกิจการ. วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาวิชาการบริหารการเงิน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. บงกช ตั้งจิระศิลป์. (2556). ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างผู้ถือหุ้นกับความสามารถในการทากาไรของบริษัท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย. บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ภาวินี ดวงทวีทรัพย์. (2558). ความสัมพันธ์ระหว่างการกากับดูแลกิจการ โครงสร้างการถือหุ้นแบบครอบครัว และอัตราผลตอบแทนเกินปกติ. วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. พนิตตา กีรติกฤติน. (2556). ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการกากับดูแลกิจการ การเป็นบริษัทครอบครัวกับผล การดาเนินงานขององค์กร. วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. รติ วงศกิตติรักษ์. (2554). ผลกระทบของโครงสร้างผู้ถือหุ้นต่อมูลค่ากิจการของบริษัทในประเทศไทย. วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ลลิตา แซ่กัง. (2558). ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นครอบครัวต่อผลการดาเนินงานของธุรกิจ กรณีศึกษา บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่ม SET100. บัญชีมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สุธรรม รัตนโชติ. (2548). การจัดการธุรกิจทั่วไป. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศิลปากร. สุภาวดี สุขีชีพ มอสส์. (2559). อิทธิพลของรายการคงค้างภายใต้ดลุ ยพินิจของผู้บริหารและการกากับดูแลกิจการที่ มีผลต่อต้นทุนเงินลงทุน : การวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลช่วงยาวแบบไม่สมดุลด้วยแบบจาลอง Fixed Effects.” วารสารสมาคมนักวิจยั . 21: 2 (พ.ค.-ส.ค.2559) JiePing Gou. (2556). ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างผู้ถือหุ้นกับนโยบายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้แห่งประเทศสาธารณประชาชนจีน. บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย บูรพา. Milton Friedman. (1970). The social responsibility of business is to enhance its profits. New York Times. 32(13): 122–126. Previously published in Milton Friedman. (1962) Capitalism and freedom University of Chicago Pres.

381


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.