เอกสารวิชาการ
คณิตศาสตรชาง
กรมอูทหารเรือ (จัดพิมพเมื่อ ตุลาคม ๒๕๔๙)
สารบัญ หนา บทที่ 1 เศษสวน ทศนิยม อัตราสวน เปอรเซ็นต และการแปรผัน - เศษสวนชนิดตาง ๆ และการบวกลบเศษสวน - การคูณหารเศษสวน - ทศนิยมในงานชาง - แบบทดสอบเศษสวนและทศนิยม - อัตราสวนและสัดสวน - เปอรเซ็นต - แบบทดสอบอัตราสวน สัดสวน และเปอรเซ็นต - การแปรผัน การแปรผันตรง การแปรผกผัน การแปรผันตอเนื่อง - แบบทดสอบการแปรผัน - เลขยกกําลัง - รากและกรณฑ บทที่ 2 จํานวนเชิงซอน - จํานวนเชิงซอนสังยุค - จํานวนเชิงซอนในรูปแกนมุมฉาก - จํานวนเชิงซอนในรูปเชิงขั้ว - จํานวนเชิงซอนในงานชาง บทที่ 3 เรขาคณิตเบื้องตน - เรขาคณิต ลักษณะและคุณสมบัติของรูปสี่เหลี่ยม ลักษณะและคุณสมบัติของรูปสามเหลี่ยม วงกลม มุมภายในวงกลม และสี่เหลี่ยมทีบ่ รรจุในวงกลม - การใชเรขาคณิตในงานชาง
1 5 8 13 19 24 26 31
40 44 54 70 74 75 80 84 89 105 112 122
บทที่ 4 พื้นที่และปริมาตร - วิธีคาํ นวณพื้นที่รูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม และระนาบเอียง - พื้นที่เซกเตอรและเซกเมนต รูปวงรี การหาพื้นทีแ่ ละปริมาตรของรูปทรงตาง ๆ
125 133 137 140
บทที่ 5 ภาคตัดกรวย
163
บทที่ 6 อสมการและคาสัมบูรณ - อสมการ - คาสัมบูรณ
180 191
บทที่ 7 สมการ การแกสมการ และการแกสมการยกกําลัง - สมการและการแกสมการ - สมการและการแกสมการยกกําลัง
195 204
บทที่ 8 ลอการิทึม
223
บทที่ 9 ตรีโกณมิติ
251
บรรณานุกรม
309
1
บทที่ 1 เศษสวน ทศนิยม อัตราสวน เปอรเซ็นต เศษสวนชนิดตาง ๆ และการบวกลบ เศษสวน เศษสวน มีความสัมพันธเกี่ยวของกับงานชางมาก ลองพิจารณาดูวา การวัดความยาว ในมาตราอังกฤษ เราใชเครื่องมือวัด เชน ไมบรรทัด ไดแบงสวนของนิ้วหรือเซนติเมตรออกเปนชอง ยอยเล็ก ๆ ใน 1 นิ้ว หรือ 1 เซนติเมตร แบงออกเปนชองยอย 10 ชอง ดังรูป 1 นิ้ว แบงออกเปน 10 ชองยอย
เปน 101 นิ้ว 2 ชองยอย เปน 102 นิ้ว ฯลฯ ในงานดานชางโลหะซึ่งเกี่ยวกับการตัดเหล็กหรือตัดโลหะตาง ๆ ถาตองการตัดทอนโลหะ ออกเปน 5 สวนเทา ๆ กัน ดังนั้น แตละสวนก็จะเปน 15 ของทอนโลหะทั้งหมด ดังนั้น
1 ชองยอย
สําหรับงานดานชางไฟฟาจะพบวา การตอเซลลไฟฟาหรือความตานทานเขาดวยกัน ทั้งแบบ ขนานหรือแบบผสมก็ตาม อาศัยพื้นฐานคณิตศาสตรหรือเศษสวนเขาชวยในการคํานวณหาคาตาง ๆ ตัวอยาง
จากรูป จะเห็นไดวา ความตานทานรวม R หาไดจาก 1 1 1 1 1 R = R1 + R 2 + R 3 + R 4
2
จากที่กลาวมาทั้งหมด จะเห็นไดวาเรื่องเศษสวนมีสวนสําคัญในการแกปญหางานชางดาน ตาง ๆ ทุกสาขา ซึ่งนักศึกษาจะไดศึกษารายละเอียดใหลึกซึ้งตอไป ความหมายของเศษสวน
เศษสวน หมายถึง สัญลักษณแทนจํานวน ประกอบดวยตัวเลขที่เปนตัวเศษและตัวสวน ชนิดของเศษสวน เศษสวนแบงออกได ดังนี้ 1. เศษสวนแท หมายถึง เศษสวนที่มีตัวเศษนอยกวาตัวสวน หรือเศษสวนที่มีคานอยกวา 99 , 999 ฯลฯ หนึ่ง เชน 14 , 43 , 109 , 100 1,000 2. เศษสวนเกิน หมายถึง เศษสวนที่มีตัวเศษมากกวาตัวสวน หรือเศษสวนที่มีคามากกวา 100 132 หนึ่ง เชน 45 , 109 , 209 , 15 13 , 99 , 113 ฯลฯ 3. เศษสวนคละ หมายถึง เศษสวนที่ประกอบดวยจํานวนเต็มและเศษสวนแทรวมอยู ดวยกัน หรือเกิดจากการแปลงเศษสวนเกินนั้นเอง เชน 1 12 , 3 15 , 10 27 , 100 101 ฯลฯ 4. เศษสวนซอน หมายถึง เศษสวนที่มีตัวเศษเปนเศษสวน และตัวสวนก็เปนเศษสวน เชน 1 1 2 2 , 1 2 , 5 ฯลฯ 2 2 3 3 35 7
3
การเปลี่ยนเศษสวนเกินเปนเศษสวนคละ และเปลี่ยนเศษสวนคละเปนเศษสวนเกิน การเปลี่ยนเศษสวนเกินเปนเศษสวนคละ ทําไดโดยเอาตัวเศษตั้งแลวหารดวยตัวสวน 11 = 2 1 ; 110 = 36 2 ตัวอยาง 5 5 3 3 15 = 1 2 ; 111 = 22 1 13 13 5 5
การเปลี่ยนเศษสวนคละใหเปนเศษสวนเกิน ทําไดโดยเอาตัวสวนคูณจํานวนเต็มแลวบวกดวย ตัวเศษ สวนตัวสวนคงเดิม การเปลี่ยนเศษคละใหเปนเศษสวนเกิน = ( ตัวสวน × จํานวนเต็ม) + ตัวเศษ ตัวสวน × 12 ) + 1 ( 10 1 121 ตัวอยาง = 10 12 10 = 10 13 23 = (3 × 133 ) + 2 = 41 3 11) + 9 = 119 11 109 = (10 ×10 10 การทอนเศษสวนใหเปนเศษสวนอยางต่ํา การทอนเศษสวนใหเปนเศษสวนอยางต่ํา หมายถึง การนําจํานวนใด ๆ มาหารทั้งตัวเศษและ ตัวสวน ใหตัวเลขลดนอยลงจนหารตอไปไมไดอีกแลว ( ตองหารทั้งตัวเศษและตัวสวนพรอมกัน ) 40 ใหเปนเศษสวนอยางต่ํา ตัวอยาง จงทอน 64 40 = 20 (เอา 2 หาร) วิธีทํา 60 32 520 = 5 (เอา 4 หาร) 832 8 40 5 ตอบ ดังนั้น 64 = 8 การเปรียบเทียบเศษสวน เศษสวนแตละจํานวนอาจมีคาเทากัน มากกวา หรือนอยกวากันได อยางใดอยางหนึ่ง ดังนั้น การเปรียบเทียบเศษสวนอาจกระทําไดโดยทําใหเศษสวนที่นํามาเปรียบเทียบมีสวน เทากันเสียกอน แลวจึงพิจารณาดูที่เศษ
4
เราใชเครื่องหมายเทากับ ( = ) มากกวา ( > ) และนอยกวา ( < ) แสดงการเปรียบเทียบ ตัวอยาง จงเปรียบเทียบจํานวนเศษสวนแตละคูตอไปนี้
( 12 , 43 ) วิธีทํา
1 2 3 4 3 5 3 6
= 14 = 43 = 18 30 = 15 30
( 35 , 63 ) 1 2
<
3 4
3 5
>
3 6
การบวกลบเศษสวน การบวกลบเศษสวน มีหลักการดังนี้ 1. ถาสวนเทากัน ใหเอาเศษบวกลบกันไดเลย 2. ถาสวนไมเทากัน ใหทําสวนใหเทากันโดยการหา ค.ร.น. ของสวน แลวจึงดําเนินการ บวกลบเศษสวน 3+ 2 − 3 ตัวอยาง = ? 4 15 10 วิธีทํา หา ค.ร.น. ของสวน คือ 4, 15, 10 = 60 3+ 2 − 3 = 45 + 8 −18 60 4 15 10 = 35 = 7 60 12 การบวกลบเศษสวนคละ จะมีหลักการ ดังนี้ 1. บวกหรือลบจํานวนเต็มกอน แลวจึงบวกหรือลบเศษสวน หรือ 2. ทําเศษคละใหเปนเศษเกิน แลวจึงดําเนินการบวกลบเศษสวน หมายเหตุ ถามีวงเล็บ ใหทําในวงเล็บกอน ตัวอยาง 2 13 + 1 114 − 3 121 = ? 2 13 + 1 114 − 3 121 = ( 2 + 1 − 3) + 13 + 114 − 121 = 0 + 13 + 114 − 121 48 − 11 = 44 +132 81 = 27 = 132 44
5
หรือใชวิธีทําใหเปนเศษเกินกอน แลวจึงดําเนินการบวกลบเศษสวน 37 − 2 1 + 1 4 − 3 1 = 73 + 15 11 12 3 11 12 − 407 = 308 + 180 132 81 27 = 132 = 44
การคูณ หาร เศษสวน การคูณเศษสวนแทดวยจํานวนเต็ม การคูณเศษสวนแทดวยจํานวนเต็ม ทําไดโดยเอาจํานวนเต็มคูณเศษสวน ตัวสวนคงเดิม ถา ไดผลคูณเปนเศษสวนเกินใหเปลี่ยนเปนเศษสวนคละ ตัวอยาง จงคูณ 134 ดวย 12 4 × 12 = 4 × 12 = 48 = 3 9 วิธีทํา 13 13 13 13 ตอบ = 3 139 การคูณเศษสวนแทดวยเศษสวนแท การคูณเศษสวนแทดวยเศษสวนแท ทําไดโดยเอาตัวเศษสวนคูณตัวเศษ และเอาตัวสวนคูณ ตัวสวน ตัวอยาง จงคูณ 174 ดวย 121 4 ×1 วิธีทํา 17 2
= 174 ××12 = 172
= 344
= 172
การคูณเศษสวนเกินดวยเศษสวนแท การคูณเศษสวนเกินดวยเศษสวนแท ทําไดโดยเอาตัวเศษคูณกับตัวเศษ และตัวสวนคูณกับ ตัวสวน ถาผลคูณเปนเศษเกินใหทําเปนเศษคละ 13 × 11 = ? ตัวอยาง 2 12 13 × 11 = 143 = 5 23 วิธีทํา 2 × 12 24 24 23 = 5 24
6
การคูณเศษสวนคละดวยเศษสวนแท การคูณเศษสวนคละดวยเศษสวนแท ทําไดโดยทําเศษสวนคละใหเปนเศษสวนเกินกอน แลวจึงคูณกันเหมือนการคูณเศษสวนเกินกับเศษสวนแท 11 × 1 10 12 ตัวอยาง จงคูณ 4 11 × 1 = 131 × 1 10 12 วิธีทํา 4 12 4 35 = 131 48 = 2 48 การหารดวยเศษสวน การหารดวยเศษสวน แบงออกเปน 2 กรณี คือ 1. การหารจํานวนเต็มดวยเศษสวน ทําไดโดยกลับเศษสวนจากตัวเศษเปนตัวสวน และ ตัวสวนเปนตัวเศษ แลวเปลี่ยนเครื่องหมายหารเปนคูณ ดังนี้ ตัวอยาง จงหาร 10 ดวย 23 10 ÷ 23 วิธีทํา
= 10 × 23 = 302
หมายเหตุ ถาเปนเศษสวนคละ ใหทําเปนเศษสวนเกินกอน ตัวอยาง 11 ÷ 3 14 = ? 11 ÷ 3 14 = 11 ÷ 114 วิธีทํา 44 = 11 × 134 = 13
= 15
= 3 135
1. การหารเศษสวนดวยเศษสวน ทําวิธีเดียวกันคือ นําเศษสวนตัวหารกลับตัวเศษเปน ตัวสวน เปลี่ยนเครื่องหมาย ÷ เปน × แลวคูณกัน ตัวอยาง 1 15 ÷ 5 47 = ? 1 15 ÷ 5 47 = 65 ÷ 397 วิธีทํา 42 = 14 = 65 × 397 = 195 65
7
การใชเศษสวนในงานชาง การใชเศษสวนในงานชาง สวนมากมักจะเปนการคํานวณ ซึ่งตองอาศัยพื้นฐานการบวก ลบ คูณ หาร เศษสวน ดังนั้น นักเรียนจะตองมีความรูเกี่ยวกับการบวก ลบ คูณ หาร เศษสวน มากอน จึงจะแกปญหาโจทยไดคลองแคลว และแมนยํา ตัวอยาง ในการกออิฐผนังบานหลังหนึ่ง ใชปูนเชื่อมรอยตอหนา 43 เซนติเมตร โดยใชอิฐบล็อก ขนาดกวาง 19 12 เซนติเมตร ยาว 40 เซนติเมตร หนา 7 เซนติเมตร ถาระยะจากเสาทัง้ สองหางกัน 2 12 เมตร และ สูง 3 12 เมตร อยากทราบวาจะตองใชอิฐบล็อกทั้งหมดกีก่ อน
วิธีทํา ให n เปนจํานวนอิฐบล็อกในแตละแถว ในแตละแถวจะมีรอยตอ n + 1 รอย = ( n × 40 ) + ( n + 1) × 43 ซม. ดังนั้น ( n × 40 ) + ( n + 1) × 43 = 25 × 100 ซม. 40 n + 43 n + 43 = 250 163n = 250 − 3 = 997 4 4 4 997 × 4 = 997 ∴n = 4 163 163 997 นั่นคือ ในแตละแถวแนวนอกจะใชอิฐบล็อก 163 กอน และ ในระยะแนวตั้ง สูง 3 12 ม. = 72 × 100 ซม. อิฐในแนวตั้งแตละแถวพรอมรอยเชื่อมกวาง = 19 12 + 43 ซม. ในแนวตั้งตองใชอิฐจํานวน 72 × 100 ÷ 19 12 + 43 แถว = 350 ÷ 81 4 ระยะหางระหวางเสา
(
) (
)
8
4 = 1,400 แถว = 350 × 81 81 เพราะฉะนั้น จะตองใชจํานวนอิฐบล็อกทั้งหมดเทากับจํานวนอิฐบล็อกในแนวนอนคูณกับ จํานวนอิฐบล็อกในแนวตั้ง 997 × 1,400 = 105 9,485 กอน = 163 81 13,203 ปดเศษของกอนเปน 1 กอน นั่นคือ จะตองใชอิฐบล็อกทั้งหมด จํานวน 106 กอน ตัวอยาง รถคันหนึ่งบรรทุกดินได 6 ลูกบาศกเมตร ถาตองการถมที่กวาง 50 เมตร ยาว 100 เมตร สูง 15 เซนติเมตร รถบรรทุกดินจะขนกี่เที่ยวจึงจะถมที่ตามตองการได วิธีทํา
ปริมาตรของดินที่จะถมที่ = ดานกวาง × ดานยาว × ความสูง 15 = 50 × 100 × 100 ลูกบาศกเมตร = 750 ลูกบาศกเมตร ดินปริมาตร 6 ลูกบาศกเมตร รถบรรทุกดินได 1 เที่ยว ดินปริมาตร 750 ลูกบาศกเมตร รถบรรทุกดินได 1 ×6750 เที่ยว นั่นคือ รถบรรทุกดินจะขนดินไดเทากับ 750 6 = 125 เที่ยว จึงจะถมดินไดตามที่ตองการ ทศนิยมในงานชาง ในการคํานวณงานชางทุกสาขา เชน งานชางไฟฟา ชางกอสราง ชางอุตสาหกรรม หรือ ชางยนต มักจะพบกับเลขทศนิยมบอย ๆ ดังนั้น ปญหาการคูณหารทศนิยมจึงเปนเรื่องสําคัญสําหรับ การคํานวณในงานชาง โดยเฉพาะการวางตําแหนงทศนิยม หากเราวางตําแหนงทศนิยมนั้นผิดเพียง ตําแหนงเดียว จะมีผลตอการคูณหารทศนิยม ทําใหผลลัพธจากการคํานวณผิดพลาดอยางมาก เชน ผลคูณของ 4.52 กับ 8.355 ไดผลลัพธเทากับ 37.7646 แตถาการวางตําแหนงของผลคูณทศนิยมนี้ ผิดไปหนึ่งตําแหนง ดังนี้ 4.52 × 83.55 = 377.646 จะเห็นวา ผลจากการวางตําแหนงผิดไปเพียง
9
ตําแหนงเดียวทําใหคาที่คํานวณไดผิดพลาดไปถึง 339.8814 ซึ่งจะทําใหเกิดความเสียหายตองานชาง เรามากมหาศาล การบวกลบเลขทศนิยม
การบวกลบเลขทศนิยม มีวิธีการเหมือนกับการบวกลบเลขธรรมดา แตตองตั้งจุดใหตรงกัน และตัวเลขแตละหลักตองตรงหลักกัน ตัวอยาง จงทําใหเปนผลสําเร็จ 3.15 + 0.031 + 0.003 3.15 วิธีทํา + 0.031 + 0.003 3.184 ตอบ 3.184 ตัวอยาง จงทําใหเปนผลสําเร็จ ( 4.0178 − 1.215) + 10.112 − ( 4.015) เทากับเทาใด วิธีทํา
ตอบ
4.0178 1.215 2.8028 + 10.112 12.9148 4.015 8.8998 8.8998
ตัวอยาง จงหาเสนผานศูนยกลางภายนอก ( L ) ของทอ ดังรูป
10
วิธีทํา ความยาวของเสนผานศูนยกลางภายนอก ( L ) = 0.1876 + 2.35 + 0.1634 ∴
L
= 2.7010 = 2.701 นิ้ว
การคูณเลขทศนิยม
การคูณเลขทศนิยมสองจํานวนใด ๆ จะไดตําแหนงจุดทศนิยมของผลคูณ เทากับผลบวกของ ตําแหนงจุดทศนิยมของตัวตั้งและตัวคูณรวมกัน ตัวอยาง จงหาผลคูณตอไปนี้ 3) 1.25 × 8 1) 33.005 × 0.01 2) 1.2435 × 0.002 วิธีทํา 1) 33.005 x 0.01 0.33005 2) 1.2435 x 0.002 0.0024870 3) 1.25 x 8 10.0
มีทศนิยม มีทศนิยม มีทศนิยม มีทศนิยม มีทศนิยม มีทศนิยม มีทศนิยม มีทศนิยม มีทศนิยม
3 ตําแหนง 2 ตําแหนง (3+2) = 5 ตําแหนง 4 ตําแหนง 3 ตําแหนง (4+3) = 7 ตําแหนง 2 ตําแหนง 0 ตําแหนง (2+0) = 2 ตําแหนง
การหารเลขทศนิยม
การหารเลขทศนิยม ถาตัวหารเปนเลขทศนิยม ใหแปลงตัวหารเปนเลขจํานวนเต็ม โดยใช วิธีการเลื่อนจุดทศนิยม การเลื่อนจุดทศนิยมตองเลื่อนทั้งตัวตั้งและตัวหาร โดยใหเลื่อนไปเปนจํานวนเทา ๆ กัน แลว จึงหารแบบการหารเลขทศนิยมดวยจํานวนเต็ม คือ เมื่อการหารผานจุดทศนิยมของตัวตั้ง ก็ใหใสจุด ทศนิยมที่ผลลัพธดวย
11
ตัวอยาง จงหาผลหาร 10.11 ÷ 0.03 วิธีทํา 10.11 ÷ 0.03 = 1011 ÷ 3 ( เลื่อนจุดทศนิยมไปทางขวามือ 2 ตําแหนง ) 3 ) 1011 ตอบ
337 337
ตัวอยาง 2.5550 ÷ 0.25 = ? วิธีทํา 2.2550 ÷ 0.25 = 255.50 ÷ 25 ( เลื่อนจุดทศนิยมไปทางขวามือ 2 ตําแหนง ) 10.22 25 255.50 25 05 00 55 50 50 50 00 ตอบ 10.22 การใชทศนิยมในงานชาง
ในการหาคาตาง ๆ ในงานชางทุกสาขาวิชา มักจะใชความรูเรื่องทศนิยมชวยในการคํานวณ เปนอยางมาก นักศึกษาจะไดพบตอไปนี้ ตัวอยาง ถาแรงดันไฟฟาของเครื่องปงขนมปงเปน 116.5 แอมแปร จงหาความตองการ
โวลต มีกระแสไฟฟาไหลผาน 2.50 R =? I = 2.5 A E = 116.5 V
12
วิธีทํา จากกฎของโอหม E = IR R = EI .5 = 46.6 โอหม = 116 2.5
ตอบ
ตัวอยาง เครื่องยนตของรถยนตจะวัดขนาดเปน ซี.ซี. หมายถึง ปริมาตรของกระบอกสูบในชวงที่ ลูกสูบชักขึ้นชักลงและรวมกันทุกลูกสูบ ถารถยนตคันหนึ่งมี 4 ลูกสูบ แตละลูกสูบมีเสนผาน ศูนยกลางของลูกสูบขนาด 4.5 เซนติเมตร ระยะชวงชักเปน 8.5 เซนติเมตร จงหาขนาดของ รถยนตคันนี้วามีกี่ ซี.ซี.
วิธีทํา ปริมาตรลูกสูบแตละลูก =
2 πr × h
( )
= 227 × 42.5 2× ( 8.5 ) = 135.2410714 ลบ.ซม. = 135 ลบ.ซม. (ปดเศษ) ปริมาตรลูกสูบ 4 สูบ = 4 × 135 = 540 ลบ.ซม. รถยนตคันนี้มีขนาด = 540 ซี.ซี.
13
14
15
16
17
18
19
อัตราสวนและเศษสวน ความหมายของอัตราสวน
อัตราสวนเปนการแสดงคาทางคณิตศาสตรระหวางปริมาณตั้งแตสองปริมาณขึ้นไป เพื่อ เปรียบเทียบความสัมพันธระหวางปริมาณนั้น ๆ การเขียนอัตราสวนใชเครื่องหมาย : แทน ดังนี้ ถา a, b เปนปริมาณสองปริมาณ อัตราสวน a ตอ b เขียนไดดังนี้ a : b ( อานวา a ตอ b ) อัตราสวนระหวาง a : b เมื่อ b ≠ 0 เทากับ ab อัตราสวนระหวาง c : d เมื่อ d ≠ 0 เทากับ dc การเขียนอัตราสวน มักจะเขียนในรูปอัตราสวนอยางต่ํา ตัวอยาง อัตราสวนของ 20 : 30 อัตราสวนอยางต่ําคือ 2:3 การทําอัตราสวนใหเปนเศษสวนอยางต่ํา ทําไดโดยหาตัวเลขมาคูณหรือหารทั้งสวนแรก และ สวนหลังของอัตราสวน ใหเปนจํานวนเต็มบวกที่นอยที่สุด คุณสมบัตขิ องอัตราสวน
อัตราสวนของปริมาณ a และ b เขียนแทนดวย a : b ปริมาณ a เรียกวาพจนที่หนึ่ง หรือ พจนหนา ( Centecedent ) ของอัตราสวน และปริมาณ b เรียกวา พจนที่สองหรือพจนหลัง ( Consequent ) ของอัตราสวน อัตราสวนจะมีคาคงเดิมเมื่อแตละพจนของอัตราสวนเปน ดังนี้ 1. คูณดวยจํานวนคงที่เดียวกัน ak a : b = bk เมื่อ k เปนจํานวนคงที่ และ b, k ≠ 0 2. หารดวยจํานวนคงที่เดียวกัน a:b = a ÷ k:b:k หรือ ab = ka : kb เมื่อ k เปนจํานวนคงที่ และ k, b ≠ 0 ตัวอยาง 1 จงแสดงวา 6 : 9 = 2 : 3 6 : 9 หรือ 69 = 23 ×× 33 = 23 = 2 : 3 วิธีทํา
20
ตัวอยาง 2 จงแสดงวา 1 12 : 23 = 9 : 4 1 12 1 2 วิธีทํา = 1 2 : 3 หรือ 2 3
3 2 = 3×3 2 2 2 3
= 49
−
9:4
การใชอัตราสวนงานชาง
งานชางทุกประเภทอาศัยความรูเรื่องอัตราสวยในการคํานวณหาคาตาง ๆ เชน ในการสราง บาน ถากําหนดอัตราสวนในการเขียนแบบบานเปน 1 : 200 ก็หมายความวา ถาความสูงของบาน เปน 200 ซม. ก็จะเขียนลงในแบบ 1 ซม. ถาความสูงของบานเปน 400 ซม. ก็จะ เขียนลงในแบบเทากับ 1 200 × 400 = 2 ซม. หรือเขียนในรูปอัตราสวนเปน 200 : 1 = 400 : ความยาวทีใ่ ชในการเขียนแบบ = ความยาวจริง × อัตราสวน
ตัวอยาง กําหนดอัตราสวนในการเขียนแบบเปน 1 : 5 จากรูป จงหาความยาว AB, BC และ CD ที่ ใชในการเขียนแบบ
วิธีทํา อัตราสวนที่ใชในการเขียนแบบ 1 : 50 = 501 จากความยาวที่ใชในการเขียนแบบ = ความยาวจริง × อัตราสวน AB = 1.4 × 100 (ซม.) × 501 = 2.80 ซม. BC = 2.8 × 100 (ซม.) × 501 = 5.6 ซม. CD = 0.8 × 100 (ซม.) × 501 = 1.6 ซม.
21
อัตราสวนหลาย ๆ อัตราสวน ในงานชางบางประเภท เชน ในการผสมคอนกรีตงานกอสราง มักจะใชความรูเรื่อง อัตราสวนหลาย ๆ อัตราสวนเพื่อหาปริมาณของปูน หิน ทราย ตัวอยาง อัตราสวนระหวางปูน ทราย หิน มีดังนี้ ปูน : ทราย = 1 : 2 ทราย : หิน = 2 : 5 ดังนั้น ปูน : ทราย : หิน = 1 : 2 : 5 ถามีปูนอยู 10 ถัง จะตองหาทรายและหินมาอยางละกี่ถัง 1 : 2 : 5 = 10 : 20 : 50 (เอา 10 คูณทุกพจนของอัตราสวน) ดังนั้น ตองใชทราย 20 ถัง และ หิน 50 ถัง ตอบ อัตราทด
อัตราทด เปนอัตราสวนระหวางความเร็วรอบของลอขับตอความเร็วรอบของลอตาม
N1 N2 เมื่อ i แทน อัตราทด N1 แทน ความเร็วรอบของลอขับ วัดเปนจํานวนรอบตอนาที N2 แทน ความเร็วรอบของลอตาม วัดเปนจํานวนรอบตอนาที ตัวอยาง มอเตอรไฟฟาตัวหนึ่งหมุนดวยความเร็วรอบ 1,200 รอบตอนาที ทําใหแกนสวานหมุนได 480 รอบตอนาที จงหาอัตราทด N วิธีทํา อัตราทด = N 1 2 แทนคา N1 = 1,200 รอบตอนาที N2 = 480 รอบตอนาที ,200 = 5 อัตราทด = 1480 2 ∴ อัตราทด = 5 : 2 ตอบ
อัตราทด (i)
=
22
ความหมายของสัดสวน
สัดสวน ( Proportion ) หมายถึง การนําเอาสัดสวนสองอัตราสวนมาเทากัน เมื่อทํา อัตราสวนอยางต่ําแลวจะไดคาเทากัน เชน ถา a:b = c:d a = c จะได b d ตัวอยาง ถา a = 3, b = 4, c = 9, d = 12 3 9 3× 3 3 ∴ 4 = 12 = 3 × 4 = 4 หรือ 3 : 4 = 9 : 12 ตัวอยาง จงพิสูจนใหเห็นจริงวา a : b = c : d เปนสัดสวนตอกัน เมื่อ a = 12, b = 16, c = 24 และ d = 32 วิธีทํา a:b = c:d a = c หรือ b d 12 = 24 แทนคา 16 32 12 3× 4 = 3 ทําเปนเศษสวนอยางต่ํา = 16 4×4 4 24 = 3 × 8 = 3 32 4 ×8 4 12 = 24 ดังนั้น 16 32 นั่นคือ 12 : 16 = 24 : 32 จงหาคา x จากสัดสวนตอไปนี้ ตัวอยาง x:2 = วิธีทํา x:2 = x = 2 คูณไขว 3x =
10 : 3 10 : 3 10 3 20 x = 203 = 6 23
ตอบ
23
ชนิดของสัดสวน ( สัดสวนตรง )
สัดส วนตรง หมายถึง สัดสวนที่แสดงการเปรียบเทียบปริมาณที่มีความสั มพันธกั นไป ในทางเดียวกัน คือ เมื่อปริมาณหนึ่งเพิ่ม อีกปริมาณหนึ่งก็เพิ่มตาม และถาลดปริมาณหนึ่งลง อีก ปริมาณหนึ่งก็จะลดลงดวย เชน น้ํามัน 5 ลิตร ราคา 40 บาท น้ํามัน 10 ลิตร ราคา 80 บาท น้ํามัน 2 ลิตร ราคา 16 บาท คุณสมบัติของสัดสวนตรง ถา a, b, c, d เปนสัดสวนตรง หมายความวา ab = dc แลวจะได 1. ad = bc d = c 2. a b b = d 3. a c 2 6 ตัวอยาง ถา 5 = 15 แลวจะได 1. 2 × 15 = 5 × 6 15 = 6 2. 5 2 5 = 15 3. 2 6 สัดสวนผกผัน
สัดสวนผกผัน หมายถึง สัดสวนที่แสดงการเปรียบเทียบปริมาณที่มีความสัมพันธในทาง ตรงกันขาม คือ เมื่อปริมาณหนึ่งเพิ่ม อีกปริมาณหนึ่งจะลด และถาเมื่อปริมาณหนึ่งลด อีกปริมาณ หนึ่งจะเพิ่ม เชน รถยนตคันหนึ่งแลนไดระยะทาง 30 กม. ในเวลา 1 ชั่วโมง ดังนั้น ความเร็วของ รถยนตคันนี้เปน 30 กม. ตอชั่วโมง ถาเพิ่มความเร็วเปน 60 กม. ตอชั่วโมง รถยนตคันนี้จะแลนได ระยะทาง 30 กม. ในเวลาครึ่งชั่วโมงเทานั้น จะเห็นไดวา ถาเพิ่มความเร็วของรถยนต เวลาในการแลนจะลดลง และถาลดความเร็วของรถยนตเวลาใน การแลนจะนานขึ้น
24
คุณสมบัติของสัดสวนผกผัน 1 = d c c d ∴ ab = dc ac = bd
ถา a, b, c, d เปนสัดสวนผกผัน จะได
a = b
ตัวอยาง a, b, c, d เปนสัดสวนผกผัน ถา a = 1, b = 3, c = 6 จงหาคา d วิธีทํา a, b, c, d เปนสัดสวนผกผัน a = 1 = d ∴ b c c d 1 = 1 แทนคา 3 6 d 1 = d 3 6
3d = 6 d = 2
เปอรเซ็นต ความหมายของเปอรเซ็นต
คําวา “รอยละ” หรือ “เปอรเซ็นต” หมายถึง อัตราสวนหรือเศษสวนที่มีสวนเปน 100 เรา ใชสัญลักษณ “%” แทนคําวา เปอรเซ็นต เชน 9 100 หมายถึง รอยละ 9 หรือ 9% 60 100 หมายถึง รอยละ 90 หรือ 90% 10 หมายถึง รอยละ 10 หรือ 10% 100 การนําเอารอยละหรือเปอรเซ็นตไปใชในการคํานวณ ตองเปลี่ยนรอยละหรือเปอรเซ็นตให อยูในรูปของเศษสวนหรือทศนิยมกอน เชน 80 หรือ 0.8 รอยละ 80 = 100 60 หรือ 0.6 60% = 100 เมื่อทําใหอยูในรูปเศษสวนหรือทศนิยมแลว จึงนําไปคิดคํานวณตอไป
25
จงแสดงวิธีทําและหาคําตอบ ตัวอยาง ในโรงเรียนแหงหนึ่งมีนักเรียนทั้งหมด 600 คน วันนี้มีคนมาสาย 5% จงหาวาวันนี้มีคน มาสายรวมกี่คน วิธีทํา มีคนมาสาย 5 % หมายความวา นักเรียน 100 คน มาสาย 5 คน 5 หรือ 5% = 100 5 ดังนั้น วันนี้มีคนมาสาย 100 × 600 = 30 คน
ตอบ
30
คน
หลักในการหาเปอรเซ็นต
การทําเศษสวนใหเปนเปอรเซ็นต ก. เศษสวนที่มีสวนเปนจํานวนที่หาร 100 ลงตัว ตัวอยาง จงแปลง 35 ใหเปนเปอรเซ็นต 3 = 3 × 20 = 60 วิธีทํา 5 5 × 20 100 = 60 % หรือ 35 = 35 × 100 = 60 % ข. เศษสวนที่มีสวนเปนจํานวนที่หาร 100 ไมลงตัว การทําทศนิยมใหเปนเปอรเซ็นต การทําทศนิยมใหเปนเปอรเซ็นต ทําไดโดยแปลงทศนิยมใหเปนเศษสวนกอน แลวคูณ ดวย 100 หรือเอาทศนิยมนั้นคูณกับ 100 เลยก็ได ตัวอยาง จงเปลี่ยน 0.2 ใหเปนเปอรเซ็นต วิธีทํา 0.2 = 102 2 = 10 × 100 % หรือ
= 20 % 0.2 = 0.2 × 100 % = 20.0 % = 20 %
26
ความสัมพันธระหวางเปอรเซ็นต เศษสวน และทศนิยม
เปอรเซ็นต เศษสวน และทศนิยม มีความสัมพันธกันดังตัวอยาง 50 = 0.50 ตัวอยาง 50% = 100 100% = 100 100 = 1.00 10 = 0.10 10% = 100 การใชเปอรเซ็นตในงานชาง
ในงานชางมีปญหาหลายชนิดที่ตองใชความรูเรื่องเปอรเซ็นตไปชวยในการแกปญหา จึงจะ คิดหาคําตอบได ตัวอยาง ในสินแรเหล็กมีเนื้อเหล็กอยู 20% ถาตองการเนื้อเหล็ก 1,500 กิโลกรัม จะตองใช สินแรเหล็กเทาไร วิธีคิด ในสินแรเหล็กมีเนื้อเหล็กอยู 20% หมายความวา ในสินแรเหล็ก 100 กิโลกรัม จะมี เนื้อเหล็กอยู 20 กิโลกรัม วิธีทํา 1 ( ใชวิธีเทียบบัญญัติไตรยางค ) เนื้อเหล็ก 20 กิโลกรัม อยูในสินแรเหล็ก 100 กิโลกรัม เนื้อเหล็ก 1 กิโลกรัม อยูในสินแรเหล็ก 100 20 กิโลกรัม เนื้อเหล็ก 1,500 กิโลกรัม อยูในสินแรเหล็ก 100 20 × 1,500 กิโลกรัม = 7,500 กิโลกรัม
∴ ตองใชสินแรเหล็ก 7,500 กิโลกรัม
วิธีทํา 2 ( ใชเทียบสัดสวน ) ให x แทนสินแรเหล็กที่ตองการทราบคามีเนื้อเหล็ก 20% 20 = 1,500 100 x x = 100 ×201,500 = 7,500 กิโลกรัม ∴ ตองใชสินแรเหล็ก 7,500 กิโลกรัม
ตอบ
ตอบ
27
28
29
30
31
การแปรผัน การแปรผันตรง
การแปรผันตรง หมายถึง การที่ปริมาณ 2 สิ่งหรือมากกวา มีความสัมพันธกันโดยที่เมื่อ สิ่งหนึ่งเพิ่ม อีกสิ่งหนึ่งก็เพิ่ม และเมื่อสิ่งหนึ่งลด อีกสิ่งหนึ่งก็จะลดลงอยางไดสัดสวนกัน เราใชสัญลักษณ “ α ” แทนคําวา “แปรผัน” เชน ถา a แปรผันตรงกับ b แลว เขียนไดเปน a α b หรือเขียนในรูปสมการจะได a = kb a = k เมื่อ k เปนคาคงตัว หรือ b เมื่อ a แปรผันตรงกับ b แลว คาของ a และ b ที่สมนัยกัน เมื่อนํามาหารกันเปนคู ๆ จะ มีคาเทากันหมด และเปนคาคงที่ (Constant) เชน ในเวลา 1 ชั่วโมง เดินทางได 4 กม. ∴ 41 = 4 ∴ 82 = 4 ในเวลา 2 ชั่วโมง เดินทางได 8 กม. ในเวลา 3 ชั่วโมง เดินทางได 12 กม. ∴ 123 = 4 ในเวลา 4 ชั่วโมง เดินทางได 16 กม. ∴ 164 = 4 ∴ 12 = 4 ในเวลา 12 ชั่วโมง เดินทางได 2 กม. 2 ดังนั้น เวลาในการเดินทางแปรผันตรงกับระยะทาง เราสามารถเขียนสมการแสดงความสัมพันธระหวาง a และ b เพื่อใชในการคํานวณไดดังนี้ เมื่อ a แปรผันตรงกับ b a α b ดังนั้น a = kb a=k หรือ b เราใชสมการนี้คํานวณหาคา a หรือ b ได เมื่อเราทราบคา k คา k หาไดจากการเอาคา a และ b ที่สมการกับคูใดคูหนึ่งแทนลงในสมการนี้
32
ตัวอยาง ถา a แปรผันตรงกับ b และ a = 40 เมื่อ b = 32 จงหาคา b เมื่อ a = 60 วิธีทํา เมือ่ a แปรผันตรงตาม b a α b ∴ a = kb (เมื่อ k เปนคาคงที่) จากโจทย เมื่อ a = 40 , b = 32 แทนคาในสมการ จะได 40 = k32 40 = 5 k = 32 4 ดังนั้น ความสัมพันธระหวาง a และ b จะอยูในรูป a = 45 b เมื่อ a = 60 จะได 60 = 45 b ∴ b = 60 × 45 = 48 ดังนั้น เมื่อ a = 60 แลว b = 48
ตอบ
โจทยเกี่ยวกับการแปรผันตรง
การทําโจทยเกี่ยวกับการแปรผันตรง ควรกําหนดตัวอักษรแทนปริมาณของสิ่งของกอน แลว เขียนใหอยูในรูปสมการหาคา k เมื่อไดคา k แลว จึงแทนปริมาณตาง ๆ ลงในสมการการแปรผัน และคํานวณหาคําตอบตอไป ตัวอยาง ระยะทางที่วัตถุตกลงมาจะแปรผันตรงกับกําลังสองของเวลา ถาวัตถุตกไดทาง 256 ฟุต ในเวลา 4 วินาที จงหาวาในเวลา 10 วินาที วัตถุจะตกลงมาไดทางเทาใด วิธีทํา ให s เปนระยะทางที่วัตถุตกลงมา มีหนวยเปนฟุต t เปนเวลาที่วัตถุตกลงมา มีหนวยเปนวินาที ∴ ระยะทางที่วัตถุตกลงมาแปรผันตรงกับกําลังสองของเวลา ∴ s α t2 s = kt2 (เมื่อ k เปนคาคงที่) จากโจทย วัตถุตกไดทาง 256 ฟุต ในเวลา 4 วินาที แทนคาในสมการ 2.56 = k(4)2
33
k = 256 16 = 16 ดังนั้น ความสัมพันธระหวาง s และ t จะอยูในรูป s = 16t2 เมื่อ t = 10 แลว s = 16(10)2 = 16 × 100 = 1,600 ฟุต นั่นคือ ในเวลา 10 วินาที วัตถุจะตกไดทาง 1,600 ฟุต
ตอบ
การแปรผกผัน
การแปรผกผัน หมายถึง การที่ของ 2 สิ่งหรือมากกวามีความสัมพันธกัน โดยที่เมื่อสิ่งหนึ่ง เพิ่ม อีกสิ่งหนึ่งจะลด หรือเมื่อสิ่งหนึ่งลด อีกสิ่งหนึ่งจะเพิ่ม อยางไดสัดสวนกัน เราใชสัญลักษณ “ α ” แทนการแปรผกผัน โดยกลับเศษสวนอีกจํานวนหนึ่ง เชน ถา a แปรผกผันกับ b ∴ a α 1b เขียนใหอยูในรูปสมการ จะได a = kb (เมื่อ k เปนคาคงที่) หรือ ab = k นั่นคือ เมื่อคา a เพิ่มขึ้น คา b จะลดลง และเมื่อคา a ลดลง คา b จะเพิ่มขึ้น 1 เชน 2x = 1y x = 2y ∴ k = 12 xy = 1 W = 3t
x = 1y k = 3
∴k = 1
การหาคา k ในสมการแปรผกผัน ทําไดโดยเอาคา a และ b ที่สมนัยกันแทนในสมการ a = kb
5x = 1y เมื่อ x = 1, y = 2 แลว จะได ∴ k = 10 5 × 1 = k2 เชน ถา
34
ตัวอยาง ถา a แปรผกผันกับกําลังสองของ b และ a = 5, b = 6 จงหาคา b เมื่อ a = 10 วิธีทํา Q a แปรผกผันกับกําลังสองของ b a α 12 b เมื่อ a เปนคาคงที่ a = k2 b จากโจทย a = 5, b = 6 แทนคาในสมการ ∴ 5 = k2 ∴ k = 5 × 36 = 180 ( b) ∴ สมการแสดงความสัมพันธระหวาง a และ b คือ a = 1802 b b 2 = 180 หรือ a เมื่อ
ดังนั้น
a = 10 b 2 = 180 10 = 18 3× 3× 2 b = 18 = = 3 2
ตอบ
การทําโจทยปญหาเกี่ยวกับการแปรผกผัน ควรกําหนดตัวอักษรแทนปริมาณสิ่งของที่จะ นํามาเปรียบเทียบกันกอน แลวเขียนใหอยูในรูปสมการหาคา k เมื่อทราบคา k แลว จึงแทนปริมาณ ตาง ๆ ลงในสมการแปรผกผันนั้น แลวคํานวณหาคําตอบ ตัวอยาง เฟองชุดหนึ่งมีเฟองขับ 24 ฟน หมุนดวยความเร็ว 44 รอบตอนาที ถาเฟองตามมีฟน 33 ฟน จะหมุนดวยความเร็วรอบเทาใด เมื่อจํานวนฟนแปรผกผันกับความเร็วรอบของเฟอง วิธีทํา ให t1 แทนจํานวนฟนของเฟองขับ เทากับ 24 ฟน N1 แทนความเร็วรอบของเฟองขับ มีคาเทากับ 44 รอบตอนาที t 2 แทนจํานวนฟนของเฟองตาม มีเทากับ 33 ฟน N 2 แทนความเร็วรอบของเฟองตาม ซึ่งตองการทราบคา เมื่อจํานวนฟนแปรผกผันกับความเร็วรอบของเฟอง t1 α N1 t1 = Nk (เมื่อ k เปนคาคงที่) 1 ∴ t1 N1 = k ………….(1)
35
และ
t2
N2 t 2 = Nk (เมื่อ k เปนคาคงที่) 2 ∴ t2 N2 = k เมื่อ k เปนคาคงที่ ดังนั้น (1) = (2) ดังนั้น t1 N1 = t 2 N 2 แทนคา t1 , N1 , t 2 และ N 2 24 × 44 = 33 × N 2 × 44 N 2 = 2433 รอบ / นาที = 32 รอบ / นาที นั่นคือ เฟองตามหมุนดวยความเร็ว 32 รอบ / นาที α
………….(2)
การแปรผันตอเนื่อง
การแปรผันตอเนื่อง หมายถึง การแปรผันที่เกิดขึ้นเมื่อปริมาณหนึ่งแปรผัน เกี่ยวเนื่องกับ ปริมาณอื่น ๆ หลาย ๆ จํานวน และปริมาณอื่น ๆ นั้นอยูในรูปผลคูณ เชน มีปริมาณ 3 ปริมาณ คือ a, b, c a แปรผันกับ b เมื่อ c คงที่ ∴ a α b และ a แปรผันกับ c เมื่อ b คงที่ ∴ a α c จะไดวา a แปรผันกับผลคูณของ b และ c เมื่อทั้ง b และ c ตางก็แปรผันทั้งคู ∴ a α bc ดังนั้น a = kbc (เมื่อ k เปนคาคงที่) หรือ ถา a แปรผันกับ b เมื่อ c คงที่ ∴ a α b และ a แปรผกผันกับ c เมื่อ b คงที่ ∴ a α 1c ดังนั้น a α bc เขียนในรูปสมการ a = kbc
(เมื่อ k เปนคาคงที่)
36
ตัวอยาง ถา a แปรผันกับ b และแปรผกผันกับ c ถา a = 14 เมื่อ b = 10, c = 14 จงหาคา c เมื่อ a = 49, b = 45 วิธีทํา ∴ a α b และ a α 1c ∴ a α bc (เมื่อ kเปนคาคงที่) ………(1) a = kbc จากโจทย a = 14, b = 10, c = 14 แทนคาในสมการ (1) จะได 14 = k1410 × 14 = 985 k = 1410 ∴ a = 985cb ……………(2) เมื่อ a = 49, b = 45 หาคา c โดยการแทนคา a, b ในสมการ (2) 49 = 985 ×× c45 2 9 ×45 9 8 ∴ c = 5 × 49 = 18 นั่นคือ เมื่อ a = 49, b = 45 แลว c = 18 ตอบ โจทยปญหาเกี่ยวกับการแปรผันตอเนื่อง
ตัวอยาง คาจางขุดน้ําแปรผันโดยตรงกับปริมาณของดินที่ขุดขึ้นมา และความลึกที่ขุดลงไป ถา คาจางขุดคูกวาง 1 เมตร ลึก 1.5 เมตร เปนเงิน 50 บาทตอความยาว 1 เมตร จงหาคาจางขุดคู ยาว 150 เมตร กวาง 3 เมตร ลึก 2 เมตร d I วิธีทํา ให M แทนคาจางขุดคู V แทนปริมาณของดินที่ขุดขึ้นมา W แทนความกวางของคู d แทนความลึกของคู
W
37
l แทนความยาวของคู เพราะวา M α V M α d M α Vd เขียนในรูปสมการ M = kVd แต V = wdl แทนคา V ใน M = kVd จะได M = kwld2 เมื่อ M = 50 บาท W = 1 เมตร l = 1 เมตร d = 1.5 เมตร แทนคา M, l, W, d จะได 50 = k × 1 × 1 × (1.5 × 1.5) ตองการหา W เมื่อ l = 150 เมตร, W = 3 เมตร, d = 2 เมตร แทนคา M = k × 3 × 150 × ( 2 × 2 ) 50 = k × 1 × 1 × (1.5 × 1.5) (1) ÷ (2) M k × 3 × 150 × ( 2 × 2 ) 50 = 2.25 M 1,800
………. (1) ………. (2)
M = 50 ×2.125,800 = 40,000 บาท ดังนั้น ถาคูยาว 150 เมตร กวาง 3 เมตร ลึก 2 เมตร ตองเสียคาจางขุด เทากับ 40,000 บาท ตอบ บทสรุป
การใชการแปรผันในงานชาง มักจะตองใชสูตรในการคิดคํานวณ สูตรที่สําคัญ ๆ เกี่ยวกับการแปรผัน มีดังนี้ 1. A = πr 2 เมื่อ A แทนพื้นที่ของวงกลม 22 π แทนคาคงที่ = 7 r แทนรัศมีของวงกลม หมายความวา พื้นที่วงกลมแปรผันตรงกับรัศมีของวงกลม
38
A = 12 bh เมื่อ V แทนพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม b แทนความยาวฐานของรูปสามเหลี่ยม h แทนสวนสูงของรูปสามเหลี่ยม 1 แทนคาคงที่ 2 หมายความวา พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมแปรผันตอเนื่องกับความยาวของฐานและ สวนสูงของสามเหลี่ยม 2.
3.
V = 43 πr 3 เมื่อ V แทนปริมาตรของทรงกลม r แทนรัศมีของทรงกลม หมายความวา ปริมาตรของทรงกลมแปรผันตรงกับกําลังสามของรัศมี
I = RE เมื่อ I แทนกระแสไฟฟาในวงจรกระแสตรง E แทนแรงเคลื่อนไฟฟา R แทนความตานทานไฟฟา หมายความวา กระแสไฟฟาในวงจรกระแสตรงแปรผันตรงกับแรงเคลื่อนไฟฟาและ แปรผกผันกับความตานทาน 4.
5.
แรงเคลื่อนไฟฟา 6.
P = IE เมื่อ P แทนกําลังไฟฟา I แทนกระแสไฟฟาในวงจรไฟฟากระแสตรง E แทนแรงเคลื่อนไฟฟา หมายความว า กํ า ลั ง ไฟฟ า แปรผั น ต อ เนื่ อ งกั บ กระแสไฟฟ า ในวงจรและ R = P Al เมื่อ R แทนความตานทานไฟฟาของตัวนํา P แทนคาคงตัว เรียกวา ความตานทานจําเพาะของตัวนํา l แทนความยาวของตัวนํา A แทนพื้นที่หนาตัดของตัวนํา
39
หมายความวา ความตานทานไฟฟาของตัวนําแปรผันตรงกับความยาวของตัวนําและ แปรผกผันกับพื้นที่หนาตัดของตัวนํา V = πr 2 h เมื่อ V แทนปริมาตรของรูปทรงกระบอก r แทนรัศมีของหนาตัดทรงกระบอก h แทนสวนสูงของทรงกระบอก หมายความวา ปริมาตรของรูปทรงกระบอกแปรผันตอเนื่องกับกําลังสองของรัศมี ของหนาตัดทรงกระบอกและสวนสูงของทรงกระบอก 7.
2 W = bdL เมื่อ W แทนน้ําหนักที่คาน ซึ่งมีจุดรองรับที่ปลายทั้งสองจะรับไดโดยปลอดภัย b แทนความกวางของหนาคาน d แทนความหนาของคาน L แทนความยาวระหวางจุดรองรับทั้งสอง หมายความวา น้ําหนักที่คานซึ่งมีจุดรองรับที่ปลายทั้งสองจะรับไดโดยปลอดภัย แปรผันตรงกับความกวางของหนาคานและกําลังสองของความหนาของคาน และแปรผกผันกับ ความยาวระหวางจุดรองรับทั้งสอง
8.
40
41
42
43
44
เลขยกกําลัง 1. ความหมายของเลขยกกําลัง เลขยกกําลัง หมายถึง เลขที่เกิดจากการคูณเลขจํานวนใด ๆ ซ้ํากันหลาย ๆ ครั้ง เชน 53 = 5 × 5 × 5 = 125 2 4 = 2 × 2 × 2 × 2 = 16 10 2 = 10 × 10 = 100 เราเขียนเลขยกกําลังใหอยูในรูป an an อานวา เอยกกําลังเอ็น เราเรียก n วาเปนเลขชี้กําลัง (index) เราเรียก a วาเปนฐาน (base) 2. คุณสมบัติของเลขยกกําลัง ถา a, b, m และ n เปนจํานวนจริงใด ๆ แลว จะได a m × a n = am + n 1) 2) (am) n = amn 3) (ab)m = am bm a n an 4) = เมื่อ b ≠ O b bn 5) a- n = 1n a m = am – n 6) เมื่อ a ≠ O am ÷ an = a n a จากคุณสมบัติขอ (6) จะไดวา เมื่อ m = n และ a ≠ O 6.1) a m ÷ a n = 1
()
7)
6.2) a m ÷ a n = am – n 6.3) a m ÷ a n = n −1 m a a° = 1
เมื่อ m > n และ a ≠ O เมื่อ m < n และ a ≠ O เมื่อ a ≠ O
3. การคูณเลขยกกําลัง การคูณเลขยกกําลัง ที่มีฐานเหมือนกัน ทําไดโดยเอากําลังบวกกัน ดังนี้
am × an
=
am + n
45
ตัวอยางที่ 1 จงหาผลคูณและทําใหอยูในรูปอยางงาย ก) a 3 × a 2 × a ข) 2 × 2 2 × 2 4 ค) 10 2 × 10 3 × 10 4
ง) 25 × 125 × 5 จ) 7 × 49 × 343
วิธีทํา ก) a 3 × a 2 × a ข) 2 × 2 2 × 2 4 ค) 10 2 × 10 3 × 10 4 ง) 25 × 125 × 5 จ) 7 × 49 × 343
= = = = =
= = = = =
a3 + 2 + 1 21 + 2 + 4 102 + 3 + 4 5 2 × 53 × 5 7 × 7 2 × 73
a6 a7 109 52 + 3 + 1 71 + 2 + 3
= 56 = 76
การคูณเลขยกกําลัง ที่อยูในรูปกําลังซอนกัน ทําไดดังนี้ (a3)2 = amn และ (ab)m = am × bm = a6 เชน (a3)2 = a 3× 2 = 26 (22)3 = 2 2 × 3 = 310 (35)2 = 35× 2 (2 × 3)6 = 26 × 36 ตัวอยางที่ 2 จงทําใหอยูในรูปอยางงาย 2n + 1 × 2n – 1 ก. 5
ข.
⎛ 16 y 2 ⎞ ⎜⎜ 2 ⎟⎟ ⎝ ⎠
วิธีทํา ก)
2n + 1 × 2n – 1
ข)
⎡16 y 2 ⎤ ⎢ 2 ⎥ ⎢⎣ ⎥⎦
× 2y
2
= 2n + 1 + n – 1 = 22n
5 × 2y
2
=
( 2 4 ) 5 y 10 × 2y 2 5 2
2 20 y 10 × 2 y 2 2 20 + 1 y 10 + 2 = 25 25 = 221 – 5y10 + 2 = 216y12
=
46
4. การหารเลขยกกําลัง การหารเลขยกกําลังที่มีฐานเหมือนกัน ทําไดดังนี้ a6 = a×a×a×a×a×a 2 a×a a a×a×a×a = = a4 6 a6 – 2 = a4 ดังนั้น a 2 = a
จะไดวา
am an
=
am – n เมื่อ m > n
และถา
a2 a6
=
a×a a×a×a×a×a×a 1 a×a×a×a 1 a4 1 = 1 6 − 2 a a4
= =
จะไดวา
2 ดังนั้น a 6 a
=
an am
=
1
an − m
หรือ a n − m เมื่อ m < n
ตัวอยางที่ 3 จงทําใหอยูในรูปอยางงาย 12 3 ก) x × x4 × x x 12 3 วิธีทํา ก) x × x4 × x = x12 + 3 + 1 – 4 x = x12 = x16 – 4 ตัวอยางที่ 4 จงทําใหเปนผลสําเร็จ 36 x + 3 × 6 x +7 216 x ( 6 2 ) x + 3 × 6 x +7 36 x + 3 × 6 x +7 วิธีทํา = 216 x (63 ) x 2x +6 x +7 = 62x + 6 + x + 7 – 3x = 6 3×x 6 6
47
= 63x – 3x + 6 + 7 1. เลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนศูนย เลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนศูนย เชน
( 1a )
o
a ° , ( ab )° ,
= 60 + 13
, 4 ฯลฯ
เราสามารถหาคาไดดังนี้ เพราะวา
ao
= a2 – 2
= a2 ÷ a2
= aa ×× aa
= 1
ดังนั้น a° = 1, ตัวอยางที่ 1 จงทําใหเปนผลสําเร็จ (a 2 + b 2 )o ก. 4 × (12,000 )° ข. ( − 1)° a 3 × a 2 × a° ค. a 3 × ( ab )° วิธีทํา ก. (a 2 + b 2 )o = 4 × (12,000 )° = ข. ( − 1)° = a 3 × a 2 × a° = ค. a 3 × (ab)° = = = =
เมือ่ a ≠ 0
1 4 ×1 1 4 a3 × a2 × 1 a3 × 1 a 3+ 2 a3 a5 a3 a5 – 3 a2
2 = a2 a
= 613
48
2. เลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนลบ เลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนลบ เขียนไดในรูป 1 1 –1 = 2 , 2 3 1 1 1 = , 2 9 4 3 ตัวอยางที่ 1 จงแสดงวา a– 2 = 12 a –2 วิธีทํา a = a2 – 4 2 = a4 a = 12 a นั่นคือ a– 2 = 12 a ตัวอยางที่ 2 จงหาคาของ 2 วิธีทํา
−5
2 −5 × 2 −2 22
a– n = = =
1 an 3–1 1 2 2
เชน = 2- 2
= a2 ÷ a4 2 = 2a 2 a ×a
× 2−2 22
= (2 −5 × 2 − 2 ) ÷ 2 2 = 2(−5− 2)− 2 = 2- 9
=
1 29
3. การบวก ลบ เลขยกกําลัง การบวกลบเลขยกกําลังที่มีฐานเหมือนกันและมีเลขชี้กําลังเทากัน ทําไดโดยนําสัมประสิทธิ์ ของเลขยกกําลังมารวมกันไดเลย สวนการบวก ลบ เลขยกกําลังที่มีฐานเหมือนกัน แตเลขชี้กําลังตางกัน ทําไดโดยใชวิธีการ แยกตัวประกอบชวย หมายเหตุ การบวกลบเลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังตางกันจะนําสัมประสิทธิ์มารวมกันเลยไมได ตัวอยาง จงทําใหเปนผลสําเร็จ 5− 4 + 5− 2 ก. 5− 3 ข. 9m + 3 + 32m + 3
49
วิธีทํา
ก.
5− 4 + 5− 2 5− 3
−2 −2 −2 = (5 × 5− 3 ) + 5 5 − − 2 2 = 5 ( 5− 3 + 1) 5 -2–(-3) -2 = 5 (5 + 1) = 5- 2 + 3 (5- 2 + 1) 1 = 5 ⎛⎜ 2 +1 ⎞⎟1 ⎝5 ⎠ 1 + 25 = 5 25 26 = 5 25 = 5 15 = 265
( ) ( )
ข.
9m + 3n + 32m
= (32)m + 3n + 32m + 3 = 32m + 6n + 32m + 3 = 3 2 m × 36 n + 3 2 m × 33 = 32m(36n + 33) = 32m(36n + 27)
4. การคูณ หารเลขยกกําลัง การคูณ หารเลขยกกําลัง ใหใชคุณสมบัติของเลขยกกําลังดังตอไปนี้เปนพื้นฐานในการคูณ
และหาร 1) a m × a n = am + n m = am ÷ an 2) a n a = 1n 3) a- n a m = ambm 4) (ab) 5) a ° = 1
= am – n
50
ตัวอยาง จงทําใหเปนผลสําเร็จ และอยูในรูปอยางงาย (36) m − 3 × 6 m + 7 ( 216) m (36) m − 3 × 6 m + 7 (6 2 ) m − 3 × 6 m + 7 = วิธีทํา ( 216) m (63 ) m 2 m −6 × 6m +7 = 6 63m = 6(2m – 6) + (m + 7) – (3m) = 6(2m + m – 3m) – 6 + 7 = 6(3m – 3m) + 1 = 61 = 6
แบบฝกหัด 1. จงทําใหเปนผลสําเร็จ 1. ( X 2 + b°) 2
2. ( a 2 − b °) 2 ( a o + b 2 ) 2 2 2 2 3. 3( ab )°(×ab(a)° b ) 3 4 4. 4 + ( 4°2− 4 )° 4 5. ( abc )° + ( a ° + b + c ) 2 2. จงทําใหเลขชี้กําลังเปนบวก 2 1. ( a − 5 )° 1−2 b 2 2 2. (x y z) (xyz)- 2 3. (m2n2)2 (mn)- 2 ( 4 xy ) −5 4. −1 2 x y −3 −2 −1 5. ( m n −3) ( mn )
( )
3. จงทําใหเปนผลสําเร็จ 1. (a3 + a2) ÷ (a + 1) 2. 5x10 + (x2)5 – 4x10
51
3. (212 + 214) ÷ (21)3 −4 −5 4. (81) −+3 ( 9) 9 4 4 5. n + n ° (2 + n ) 6. (32 – 3- 2) (32+ 3- 2) 7. (x + y)3 ÷ (x + y)- 3 2
2 ⎤ ⎡ 8. ⎢ ( a +1 b ) ⎥ ⎡ ( aa++bb) ⎤ ⎥⎦ ⎣ ⎦ ⎢⎣
⎡ 4ab 2 ⎤ 9. ⎢ 2 ⎥ ⎣⎢ 5a b ⎦⎥
10.
3
3 ⎡ 3ab 2 ⎤ ÷⎢ 2 ⎥ ⎣ 5ab ⎦
( x + y + z ) −2 × ( x + y + z ) −2 (x + y + z)2
ตั้งแตปญหาโจทยขอที่ 1 – 10 จงเลือกขอที่ถูกที่สุดเพียงขอเดียว x4 หมายถึงขอใด ก. x + x + x + x ข. x ⋅ x ⋅ x ⋅ x ค. x × 4 ง. 4 × x (x2)3 หมายถึงขอใด ก. x2 + x2 + x2 ค. x 2 ⋅ x 2 ⋅ x 2
ข. (x3) + (x3) ง. x 3 ⋅ x 3 ⋅ x 3
8 × 8 × 8 × 8 มีคาเทากับขอใด ก. 212 ค. 84
ข. 46 ง. ถูกทั้ง ก, ข และ ค
9 × 9 × 9 มีคาเทากับขอใด ก. 729 ค. (32)3
ข. 36 ง. ถูกทั้ง ก, ข และ ค
2 n × 2 n × 2 n เขียนไดในรูป ก. 2n3 ค. (2n)3
ข. 32n ง. 6n3
52
ขอใดไมถูกตอง ก. a0 = 1
ข. a1 = a ง. a- n = 1n a
ค. am × n ในการเขียนในรูป an เรียก a วา ก. เลขชี้กําลัง ค. ตัวตั้ง
ข. ฐาน ง. ถูกทุกขอ
x 3 มีคาเทากับเทาใด x5 ก. x2 ค. x8
ข. x- 2 ง. x- 8
2 x 3 ⋅ 5x 2 มีคาเทากับเทาใด ก. 7x ค. 10x6
ข. 7x5 ง. 10x5
ax ⋅ a 3 x 2 มีคาเทากับเทาใด ก. a3x3 ค. a4x3
ข. a4x2 ง. a3x2
a 0 x 5 ⋅ a 2 x 2 มีคาเทากับเทาใด ก. x7 ค. a2x3
ข. X10 ง. a2x7
2
( ) มีคาเทากับเทาใด
⎛⎜ x 2 ⎞⎟ ÷ x 3 ab 3 ⎝ y3 ⎠ 3 9 ก. a 5b 6 xy 12 ค. 3 x 9 16 aby
[(x ) ] −3
ก. x- 2 ค. 1x
2 1 3 2
3
3 6 ข. a b5 xy
ง. ไมมีขอถูกตอง
มีคาเทากับเทาใด 3
ข. x 5 1
ง. x 6
53
(- x)3 (2x)5 มีคาเทากับเทาใด ก. 2x8 ค. 32x8
ข. – 2x15 ง. – 32x8
(- 12x8)(- 6x32) มีคาเทากับเทาใด ก. – 72x40 ค. – 72x4
ข. 72x256 ง. – 72x256
(2x3)(- 2x5)(3x2) มีคาเทากับเทาใด ก. – 7x10 ค. 12x3
ข. – 12x30 ง. – 12x10
(x2y2)3(- xy2)3 มีคาเทากับเทาใด ก. – x3y4 ค. x9y12
ข. x3y4 ง. – x9y12
( )
⎛⎜ 11x 5 ⎞⎟ × 625y มีคาเทากับเทาใด ⎝ 25y 2 ⎠ 121x 25 x 4 y 25 x 6 y 3 ข. 11 ก. 11 25 x 4 y −1 25 x 4 y ง. 11 ค. 11 ( −5x 0 ) 2 มีคาเทากับเทาใด 20 x 2 ก. − 45x
ค. 5 2 4x
ข. − 1 2 4x ง. − 45x
(3y) × (- 4y9) มีคาเทากับเทาใด ก. – 12y10 ค. – 7y8
ข. 12y9 ง. 12y10
(2x2)(x3)(3x4) มีคาเทากับเทาใด ก. 6x24 ค. 5x9
ข. 5x24 ง. 6x9
54
(2 × 108 ) (3 × 10 2 ) มีคาเทากับเทาใด ก. 1,1005 ค. 6.106
ข. 1,0005 ง. 6.105
(4y3)(y6)(3y) มีคาเทากับเทาใด ก. – 2a6x7 ค. 12y18
ข. 12y10 ง. 7y10
(a2x)3(- 2x2)2 มีคาเทากับเทาใด ก. – 2a2x7 ค. – 4a6x7
ข. 2a6x7 ง. 4a6x7
x3y5 มีคาเทากับเทาใด xy 2 ก. x2y2
ข. x2y3
ค.
5 2 2 x y
(- 48)(- 2)2 มีคาเทากับเทาใด ก. - 218 ค. 49
ง. x2y- 2 ข. (- 4)9 ง. 2(- 48)
รากและกรณฑ ความหมายของรากและกรณฑ
รากที่ n ของจํานวนจริงใด เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวกที่มีคาตั้งแต 2 ขึ้นไป หมายถึง จํานวนจริงที่ยกกําลัง n แลว มีคาเทากับจํานวนจริงนั้น เชน รากที่สองของ 25 คือ 5 และ - 5 เพราะ 52 = 25 และ (– 5)2 = 25 รากที่สามของ 8 คือ 2 เพราะ 23 = 8 รากที่สี่ของ 81 คือ 3 และ – 3 เพราะ 34 = 81 และ (– 3)4 = 81 จากการหารากดัชนีตาง ๆ ของจํานวนจริงขางตน สังเกตไดวารากที่มีดัชนีเปน n เมื่อ n เปนจํานวนเต็มคูบวก เชน รากที่สอง รากที่สี่ รากที่หก รากที่แปด เปนตน จะมีสองคา คือคาบวก และคาลบ ตัวอยางเชน รากที่สองของ 4 มีคาเปน 2 และ – 2 เขียน 4 แทนรากที่สองของ 4 ที่ เปนบวก นั่นคือ 4 = 2 และ − 4 แทนรากที่สองของ 4 ที่เปนลบ นั่นคือ − 4 = – 2
55
ใหนักเรียนศึกษาการอานกรณฑ 4 อานวา กรณฑที่สองของสี่ หรือรากที่สองที่เปนบวกของ 4 มีคาเทากับ 2 − 4 อานวา ลบกรณฑที่สองของสี่ หรือรากที่สองที่เปนลบของ 4 มีคาเทากับ – 2 3 64 อานวา กรณฑที่สามของหกสิบสี่ หรือรากที่สามของ 64 มีคาเทากับ 4 เนื่องจากรากที่มีดัชนีเปน n ของจํานวนจริงบวกเมื่อ n เปนจํานวนคูบวก จะมีคาเปนไปได สองคา คาหนึ่งเปนจํานวนบวก อีกคาหนึ่งเปนจํานวนลบ จึงตกลงวา ถาหมายถึงคาที่เปนลบจะตอง เขียนเครื่องหมายลบไวหนากรณฑของจํานวนนั้น ๆ ดวย ถาไมมีเครื่องหมายลบใหหมายถึงรากที่ มีคาเปนบวก ดังนั้น 18 = 3 และ − 18 = – 3 หรือ 2 = 1.414... และ − 2 = – 1.414… ดังนี้เปนตน กรณฑที่มีดัชนีเปนจํานวนคูบวก เชน
,4 ,6 ,8
จํานวนที่อยูภายในเครื่องหมาย
กรณฑจะตองเปนจํานวนบวก จึงจะสามารถหาคาได แตถาดัชนีของกรณฑเปนจํานวนคี่ เชน 3 ,5 ,7 จํานวนที่อยูภายในเครื่องหมายกรณฑจะเปนจํานวนบวกลบก็สามารถหาคาได สวน กรณฑดัชนีใด ๆ ของจํานวนศูนย เชน 0 , 3 0 มีคาเทากับศูนย
3.2 ความสัมพันธระหวางกรณฑกับเลขยกกําลัง การเขียนจํานวนที่มีเครื่องหมายกรณฑใหอยูในรูปของเลขยกกําลัง เขียนไดโดยใหจํานวนที่อยู ภายในเครื่องหมายกรณฑเปนฐานและมีเลขชี้กําลังเปนเศษสวน โดยมีตัวเศษเปนหนึ่งและตัวสวน เทากับดัชนีของกรณฑนั้น และสามารถนํากฎของเลขยกกําลังมาใชกับเลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปน เศษสวนได a
=
1 a2 1 b3
3
b
=
n
c
= cn
n
c
1
m
=
( )
1 m n c
m cn
= ตัวอยาง 3.1 จงเปลี่ยนจํานวนตอไปนี้ใหอยูในรูปของเลขยกกําลัง เมื่อ a > 0 และ b > 0 ก. 3 a 2 b 2 ค. ( a + b ) 2 ข.
a3
3
a
ง.
a2 b3
56
วิธีทํา 1
ก. 3 a 2 b 2
= (a 2 b 2 ) 3 1
1
= (a 2 ) 3 ( b 2 ) 3
ข.
a3 3
a
=
2 2 a3b3
=
1 1 3 2 3 (a ) (a )
=
3 1 2 a a3
ตอบ
3+1 3
= a2 a3
3
a = a =
ค.
(a + b ) 2 =
9+ 2 6
11 a6
{(a b)2 }2
ตอบ
1
+
= a+b ง.
a2
1 ⎫2
= ⎧⎨ 3 ⎬ ⎩b ⎭
a2 b3
=
1 2 2 (a ) 1
3 2
=
(b ) a 3 2 b
ตอบ
ตัวอยาง 3.3 จงเขียนจํานวนตอไปนี้ใหอยูในรูปของกรณฑ เมื่อ a > 0 และ b > 0 ก. ข. วิธีทํา
ก.
1 5 3a 2 b 2 3 4 5a 5 4 b 1 5 3a 2 b 2
1 1 5 2 2 3a ( b )
= = 3 a b5 = 3 ab 2 b = 3ab 2 a b
57
= 3b 2 ab 1
3
ข.
5a 4 5 4 b
ตอบ
=
5( a 3 ) 4 1 5 4 (b )
54 a 3 = 4 5 b 54 a 3 = b4 b 5 4 a3 = b b
ตอบ
3.3 การบวกและลบกรณฑ กรณฑที่จะรวมเปนพจนเดียวกันไดนั้น พจนหรือนิพจนภายในเครื่องหมายกรณฑตอง เหมือนกัน และดัชนีของกรณฑตองเทากันดังตัวอยาง ตัวอยาง 3.4 จงทําใหเปนผลสําเร็จ 8 + 18 – 32 วิธีทํา 8 + 18 – 32 = 2× 2× 2 + 2×3×3 – 2× 2× 2× 2× 2 = 2 2+ 3 2– 4 2 = (2 + 3 – 4) 2 = 2 ตอบ ตัวอยาง 3.5
วิธีทํา = = = =
จงทําใหเปนผลสําเร็จ 75 + 147 + 2 125 – 4 20 – 27 75 + 147 + 2 125 – 4 20 – 27 3×5×5 + 3×7×7 + 2 5×5×5 - 4 2× 2×5 - 3×3×3 5 3 + 7 3 + (2 × 5 5 ) - (4 × 2 5 ) - 3 3 (5 + 7 – 3) 3 + (10 – 8) 5 9 3+ 2 5 ตอบ
58
ตัวอยาง 3.6
จงทําใหเปนผลสําเร็จ 1 + 1 2 8
วิธีทํา
= =
= = =
=
1 + 1 2 8 1×2 + 1×8 2 2 8 8 1 2+ 1 8 2 8 1 2 + 1 2×2×2 2 8 1 2+ 2 2 2 8 ( 12 + 14 ) 2 3 4 2
ตอบ
3.3 การคูณและหากรณฑ การคูณและหากรณฑ ทําไดอยางไร ใหศึกษาจากตัวอยางตอไปนี้ ตัวอยาง 3.10 จงหาผลคูณ 3 7 × 2 6 วิธีทํา 3 7 × 2 6 = 3 × 2 7 × 6 = 6 42 ตัวอยาง 3.11 จงหาผลคูณ วิธีทํา
3
12 8
= = = =
3
ตอบ
12 8
1 1 3 (12 ) × (8 ) 2 1× 2 1×3 12 3 2 × 8 2 3 2 3 6 6 12 × 8 6
12 2
×
6
83
= 6 12 2 × 8 3 = 6 2 2 × 2 2 × 32 × 2 3 × 2 3 × 2 3 = 6 2 6 × 2 6 × 2 × 32 = 2 × 26 2 × 32 = 4 6 18
ตอบ
59
ตัวอยาง 3.12 จงหาผลคูณ วิธีทํา
a ×5 b
a × 5 b เมื่อ a > 0 1
1
= a2 × b5 5 2 10 10 a ×b 10 5 10 2 a × b 10 5 2
= = ab = ตัวอยาง 3.14 จงหาผลคูณของ ( 2 วิธีทํา ( 2 - 5 ) ( 2 + 5 ) = = =
ตอบ 5 ) และ ( 2 + 5 ) ( 2 ) 2 – 2 5 + 2 5 – ( 5) 2 2–5 –3
ตอบ
ตัวอยาง 3. 15 จงทําใหเศษสวนที่กําหนดใหมีตัวสวนเปนจํานวนเต็ม 3+ 2 3− 2 วิธีทํา
3 + 2 = ( 3 + 2 )(3 + 2 (3 − 2 )(3 + 2 ) 3− 2 2 + (2 × 3 2 ) + ( 2 ) 9 = 9−2 = 9 + 6 72 + 2
= 11 + 76 2
ตอบ
ตัวอยาง 3.16 จงทําใหเศษสวนที่กําหนดใหมีตัวสวนเปนจํานวนเต็ม 2 3−4 3 3+2 วิธีทํา
2 3 − 4 = ( 2 3 − 4 )(3 3 − 2 ) 3 3+2 ( 3 3 + 2 )(3 3 − 2 ) 2 = 6( 3 ) − 12 23 − 4 3 + 8 9( 3 ) − 4 16 3 + 8 = 18 −27 −4 16 3 = 26 −23
ตอบ
60
2 x+ y ใหอยูในรูปที่ตัวสวนไมมีเครื่องหมายกรณฑ x +2 y เมื่อ x > 0 และ y > 0
ตัวอยาง 3.17 จงเขียน
วิธีทํา
2 x+ y ( 2 x + y )( x − 2 y = x +2 y ( x + 2 y )( x − 2 y 2 x + (1 − 4 ) xy − 2 y = x − 4y 2 x − 2 y − 3 xy = x − 4y
ตอบ
3.4 การแกสมการที่ตัวแปรมีเครื่องหมายกรณฑ การแกสมการในงานชางบางครั้งตัวแปรอาจอยูในเครื่องหมายกรณฑ เชน d = D 2 − 4πA , T = 2 π Lg , r = 3 43Vπ หลักการแกสมการที่มีเครื่องหมายกรณฑ โดยทั่วไปใชวิธียกกําลังเทากับดัชนีของกรณฑทั้ง สองข า งเพื่ อ ให เ ครื่ อ งหมายกรณฑ ห มดไป การแก ส มการที่ มี เ ครื่ อ งหมายกรณฑ จ ะต อ ง ตรวจสอบคาที่จะใชเปนคําตอบทุกครั้ง เพราะบางครั้งคาที่ไดอาจไมสอดคลองกับสมการ ตัวอยาง 3.18 จงแกสมการ 12 x + 1 − 5 = 0 12 x + 1 − 5 = 0 วิธีทํา 12 x + 1 = 5 ยกกําลังสองทั้งสองขาง 12x + 1 = 25 12x = 25 – 1 x = 2 ตรวจสอบคาของ x แทนคา x = 2 ทางซายของสมการ จะได (12 × 2 ) + 1 − 5
ซึ่งเทากับทางขวาของสมการ นั่นคือ x = 2 ทําใหสมการเปนจริง ดังนั้น x = 2
= 25 − 5 = 5–5 = 0
ตอบ
61
ตัวอยาง 3.19 จงแกสมการ 3 x + 3 = 4 3 x+3 = 4 วิธีทํา ยกกําลังสามทั้งสองขาง x + 3 = 43 x = 64 – 3 = 61 ตรวจสอบคาของ x แทนคา x = 61 ทางซายของสมการ จะได 3 61 + 3 = 4 ซึ่งเทากับทางขวาของสมการ นั่นคือ x = 61 ทําใหสมการเปนจริง 3.7 การประยุกตในงานชาง
การคํานวณในทางชางบางครั้งตองนําความรูเรื่องกรณฑมาใชดังตัวอยางตอไปนี้ ตัวอยาง 3.24 เตาไฟฟามีความตานทาน 75 โอหม ใชกําลังไฟฟา 720 วัตต จงหากระแสไฟฟาที่ตองใช กําหนด P = I2R เมื่อ P แทนกําลังไฟฟาที่เตาไฟฟาใช มีหนวยเปนวัตต R แทนความตานทาน มีหนวยเปนโอหม I แทนกระแสไฟฟา มีหนวยเปนแอมแปร วิธีทํา จาก P = I2R 720 = I2 × 75 I2 = 720 75 = 9.6 I = 9.6 A = 96 × 10 × 10 − 2 A = 10 − 1 10 × 96 A จากตาราง 10 × 96 = 30.98387 I = 30.98387 × 10 − 1 A = 3.10 A ดังนั้น ตองใชกระแสไฟฟา 3.10 แอมแปร
ตอบ
62
ตัวอยาง 3.26 ในการติดตั้งถังจายน้ํารูปทรงกระบอกในหมูบานจันสรร ปริมาตร 50.00 ลูกบาศกเมตร มีความสูงดังรูป จงหาเสนผานศูนยกลางของถังจายน้ํา
วิธีทํา
V = π4 d 2 h V แทนปริมาตรน้ําในถังเทากับ 50.00 ลูกบาศกเมตร h แทนความสูงของถังเทากับ 4.00 เมตร d แทนเสนผานศูนยกลางของถัง มีหนวยเปนเมตร 2 50 = 3.14 ×4d × 4 d2 = 350 .14 = 15.92 15.9 d =
m
= 159 × 10 − 2 × 10 m = 10 − 1 10 × 159 m = 39.87 × 10 − 1 m = 3.99 m ดังนั้น เสนผานศูนยกลางของถังจายน้ําเทากับ 3.99 เมตร
ตอบ
ตัวอยาง 3.27 จงหาคาเสนผานศูนยกลางของเพลาตันที่มีโพลารโมเมนตออฟอินเนอรเชีย เทากับ 63.585 (เซนติเมตร)4 4 กําหนดให J = π32d เมื่อ J แทนโพลารโมเมนตออฟอินเนอรเชีย มีหนวยเปน (เซนติเมตร)4 d แทนเสนผานศูนยกลาง มีหนวยเปนเซนติเมตร
63
วิธีทํา
J = 63.585
= d4 = = d =
πd 4 32 3.14 d 4 32 63.585 × 32 3.14 648 4 648 cm 1
= ( 648 ) 2 d = 25.46 =
cm cm
255 × 10 × 10 − 2
= 10 − 1 10 × 255
cm cm
= 10 − 1 × 50.497 cm = 5.05 cm ดังนั้น เสนผานศูนยกลางของเพลาตันเทากับ 5.05 เซนติเมตร ตั้งแตปญหาโจทยขอที่ จงเลือกขอที่ถูกที่สุดเพียงขอเดียว x − 3 = 2 5 จงหา x มีคาเทาใด ก. 20 ข. 23 ค. 30 ง. 13
ถา x − 7 = 3 จงหา x มีคาเทาใด ก. 4 ค. 16
ข. 10 ง. – 16
ถา 2 x + 1 = 1 จงหาคาของ x ก. 0 ค. 2
ข. 1 ง. 3
ถา 5 3b = 25 จงหา b มีคาเทาใด ก. 15 ค. 53
ข. 253 1 ง. 75
ตอบ
64
5x = 10 จงหาคาของ x 3
ถา ก. 6 ค. 60
ข. 30 ง. – 60
ถา 4 x − 5 = 3 7 จงหาคาของ x ก. 14 ข. 15 ค. 16 ง. 17 ถา
3x =
81 จงหาคาของ x 3x
ก. 3, – 3 ค. 9, – 9 ถา
3
ข. 27 ง. 27, – 27
11x − 7 = 5 จงหาคาของ x
ก. 12 11 ค. 12
ข. 32 11 11 ง. 12
ถา x 2 − 9 = x – 3 จงหาคาของ x ก. 4 ข. 9 ค. – 6 ง. – 9 ถา
3x − 1 = จงหาคาของ x 5
ก. 7 ค. 203
ข. 8 ง. 113
50 เขียนใหมในรูป ก. 2 5 ค. 5 2
ข. 4 5 ง. 3 5
27x 2 เขียนเปนรูปอยางงายไดคือ ก. 272 x ค. 3x 3
ข. 3x 2 3 ง. 9x 3
65
72 เขียนเปนรูปอยางงายไดคือ ก. 3 2 ค. 6 2
ข. 2 3 ง. 2 6
5 3 − 3 3 มีคาเทากับเทาใด ก. 2 ค. 2 9
ข. 2 3 ง. ไมมีขอถูก
6 3 − 4 3 + 7 3 มีคาเทากับเทาใด ข. 9 9 ก. 9 27 ค. 9 3 ง. − 9 3 3 5 − 5 20 มีคาเทากับเทาใด ก. − 2 20 ค. − 7 5
ข. − 2 15 ง. 7 5
63 + 28 มีคาเทากับเทาใด ก. 91 ค. 13 7
ข. 9 ง. 5 7
3 2
−
ก. 63 ค. 33
3 + 3 มีคาเทากับเทาใด 3 6
ข. 23 ง. 5 6 3
20 − 24 + 180 + 54 มีคาเทากับเทาใด ก. 6 + 4 5 ข. ค. 4 5 − 6 ง. 9 2
+
10 2 ค. 3 2
ก.
1 มีคาเทากับเทาใด 2
ข.
6−4 5 5+ 6
10 2
ง. 2 2
66
( 7 + 2 ) 2 มีคาเทากับเทาใด ก. 9 ค. 7 7 + 2 2
ข. 2 14 ง. 9 + 2 14
( 7 + 3 )( 7 − 3 ) มีคาเทากับเทาใด ก. 10
ข. 4
ค.
14− 6
ง.
2 7 −2 3
( 3 2 + 2 3 )(3 2 − 2 3 มีคาเทากับเทาใด ก. 6 2 − 6 3 ข. 6 6 ค. 6 ง. 5 ( 4 3 − 3 2 )( 4 3 + 3 2 ) มีคาเทากับเทาใด ก. 12 3 − 12 2 ข. 16 6 ค. 7 3 ง. 30 5 − 3 มีคาเทากับเทาใด 5+ 3 ก. 8 + 2 15 8 ค. 4 − 15
ง. ไมมีขอถูก
4 มีคาเทากับเทาใด 5−2 6 ก. 4 ( 5 − 2 6 ) ค. 4 ( 5 − 4 6 )
ข. 4 ( 5 + 2 6 ) ง. 12
3 5 − 3 มีคาเทากับเทาใด 5+ 3 ก. 9 5 −8 2 3 ค. 9 + 2 15
ข. 9 5 +8 2 3 ง. 9 − 2 15
ข. 4 + 15
67
บทที่ 2 จํานวนเชิงซอน จํานวนเชิงซอน จํานวนเชิงซอน คือ จํานวนที่เขียนอยูในรูปตอไปนี้ คือ
z = x + jy โดยที่ x และ y เปนจํานวนจริงใด ๆ
x เรียกวา “ สวนจริง “ y เรียกวา “ สวนจินตภาพ “ j เรียกวา “ หนวยจินตภาพ “ โดยที่ j = −1 เพื่อความสะดวกเราใชสัญลักษณ สวนจริง
Re z = x
สวนจินตภาพ
Im z = y
ตัวอยางของจํานวนเชิงซอน เชน z1 = 3 + j 2
z2 = - 3 + j 4 z3 = 4 - j 5 z4 = - 6 - j 9 จํานวนจริงทุกจํานวนสามารถเขียนในรูปของจํานวนเชิงซอน x + jy ไดเสมอ เชน
2 = 2 + j0 -3 = -3 + j0 1 2
1= 2
+ j0
68
จํานวนจินตภาพทุกจํานวนสามารถเขียนในรูปของจํานวนเชิงซอน x + jy ไดเสมอ เชน j3 = 0+j3
-j8 = 0- j8 j 41 = 0 + j 1 4 สรุป จํานวนจริง และจํานวนจินตภาพ คือ จํานวนเชิงซอนนั่นเอง ตัวอยาง
จงหาสวนจริง และสวนจินตภาพของจํานวนตอไปนี้
1. 2 - j3 2. 4 + j5 3. –9 + j2
4. – 6 5. j8 6. 0
วิธีทํา
1. จาก z = 2 – j3 สวนจริงคือ สวนจินตภาพ คือ
Re z = 2 Im z = -3
2. จาก z = 4 + j5 สวนจริงคือ สวนจินตภาพ คือ
Re z = 4 Im z = 5
3. จาก z = -9 + j2 สวนจริงคือ สวนจินตภาพ คือ
Re z = -9 Im z = 2
4. จาก z = - 6 ( - 6 + j0 ) สวนจริงคือ สวนจินตภาพ คือ
Re z = - 6 Im z = 0
5. จาก z = j8 ( 0 + j8 ) สวนจริงคือ สวนจินตภาพ คือ
Re z = 0 Im z = 8
69
6. จาก z = 0 ( 0 + j0 ) สวนจริงคือ สวนจินตภาพ คือ
Re z = 0 Im z = 0
จํานวนเชิงซอนสังยุค ให z = x + jy เปนจํานวนเชิงซอนใด ๆ จํานวนเชิงซอนสังยุคของ z เขียนแทนดวย สัญลักษณ z ซึ่งหาไดดังนีค้ ือ
z = x + jy ตารางตอไปนีเ้ ปนตัวอยางของจํานวนเชิงซอน
(Z)
Z
และจํานวนเชิงซอนสังยุค
(Z)
Z
5 + j7 4 - j8 -2 + j5 -7 - j12 -3 4 - j3 - j6
5 - j7 3 + j8 -2 - j5 -7 + j12 -3 4 - j3 - j6
หมายเหตุ จํานวนเชิงซอน และจํานวนเชิงซอนสังยุคจะมีสวนจริงเหมือนกัน แตสวนจินตภาพมีคา ตรงขามกัน กราฟของจํานวนเชิงซอน จํานวนเชิงซอนในรูป x + jy สามารถเขียนอยูในรูปไดเสมอ คือ
x + jy = ( x, y )
70
ดังนั้น เราจึงนําจํานวนเชิงซอนไปเขียนกราฟไดเหมือนกับการเขียนกราฟโดยปกติทั่วไป และเราจะเรียกแกนนอน ( x ) และแกนตั้ง ( y ) ดังนี้ แกนนอน ( x ) เรียกวา “ แกนจริง “ แกนตั้ง ( y ) เรียกวา “ แกนจินตภาพ “ และเราจะเรียกระนาบนีว้ า “ ระนาบเชิงซอน “ หรือ ระนาบ “ อารกองค
จากรูปที่ 1. ความยาวจากจุดกําเนิด ( 0 ) ถึง P เรียกวา “ โมดุลัส “ ซึ่ง โมดุลัส นี้ก็คือ คา สัมบูรณของจํานวนเชิงซอนนั่นเอง หาไดจาก
op =
x2 + y2 = r
2. มุมที่วัดจากแกน x ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาไปยัง op หรือ r เรียกวา “ อารกิว เมนต “ หรือ “ แอมพลิจูด “ ของจํานวนเชิงซอน หาไดจาก
tan
θ
= xy หรือ
=
arctan xy
2 + j หาโมดุลัส และ อารกิวเมนต 2 + j = ( 2 , 1 ) = ( x, y )
ตัวอยางที่ 1 จงเขียนกราฟของ วิธีทํา
θ
71
r = x2 + y2
โมดุลัส
จากสูตร
tan
อารกิวเมนต
θ
θ
ตัวอยางที่ 2 จงเขียนกราฟของ -1 + j วิธีทํา
= (2) 2 + 12 = = 2 +1 = xy = 1 2 1 = arctan 2
-1 + j 3 = ( -1,
3
และหาคาสัมบูรณและแอมพลิจูด
3
) = ( x, y )
คาสัมบูรณ r =
x2 + y2
= = =
3 หนวย
( −1) 2 + (3) 2 1+3 4 = 2 หนวย
y = x
3 = - 3 −1
จากสูตร tan
θ
=
tan ∴ แอมพลิจูด
θ
= - tan ( 60 ° ) = tan ( 180 ° - 60 ° ) = 180 ° - 60 ° = 120 °
θ
หมายเหตุ การหาอารกิวเมนนต หรือแอมพลิจูดของจํานวนเชิงซอน ใหยึดหลักดังตอไปนี้
72
1. จํานวนเชิงซอนในจุลภาคที่ 1 tan θ =
Y
(
P X ,Y
)
y x
=
∴θ =
tan A
A
r O
θ
X
2. จํานวนเชิงซอนในจุลภาคที่ 2 tan θ =
Y
(
P −X ,Y
)
tan θ =
Y
−X
θ
= - tan
x
tan ( 180
∴θ
r
O
−y
o
A A)
−
= 180 o − A
X
3. จํานวนเชิงซอนในจุลภาคที่ 3 Y −X
θ O
X
(
−Y
)
=
−x
tan θ = ∴θ =
r P −X ,Y
−y
tan θ =
tan A o
tan ( 180
180
o
+ A)
+ A
4. จํานวนเชิงซอนในจุลภาคที่ 4 Y X
O
θ
r −Y
X
tan θ = tan θ = ∴θ =
−y
=
x
−tan A
tan ( 360
360
o
−
A
o
−
A)
73
จํานวนเชิงซอนในรูปแกนมุมฉาก “ จํานวนเชิงซอนที่เขียนอยูในรูป x + jy เราเรียกวา “ จํานวนเชิงซอนในรูปแกนมุมฉาก “ นั่นเอง ซึ่งในรูปนี้ ถาเรานํามา บวก ลบ หรือ คูณกัน ใหกระทําแบบปกติธรรมดาทั่ว ๆ ไป ตัวอยางที่ 3 จงหาคาของจํานวนตอไปนี้ ก. ( 3 – j5 ) + ( 4 – j2 ) ข. ( 6 + j2 ) – ( 5 – j4 ) วิธีทํา
ก. ( 3 – j5 ) + ( 4 – j2 )
= 3 – j5 + 4 – j2 = ( 3 + 4 ) + ( - j5 – j2 ) = 7 – j7
ข. ( 6 + j2 ) – ( 5 – j4 )
= 6 + j2 – 5 + j4 = ( 6 – 5 ) + ( j2 + j4 ) = 1 + j6 ตัวอยางที่ 4 จงหาคาของจํานวนตอไปนี้ ก. ( 2 + j3 ) ( 4 – j5 ) ข. ( 6 – j4 ) ( 7 – j2 ) วิธีทํา
ก. ( 2 + j3 ) ( 4 – j5 )
= 8 – j10 + j12 – j215 = 8 + j2 – ( -1 ) 15 = 8 + j2 + 15 = 23 + j2
= 42 – j12 – j28 + j28 = 42 – j40 + ( -1 ) 8 = 42 – j40 – 8 = 34 – j40 สําหรับการหารจํานวนเชิงซอนในรูปแกนมุมฉากใหนําจํานวนเชิงซอนสังยุคของตัวหาร คูณทั้งเศษและสวน ดังนี้ ข. ( 6 – j4 ) ( 7 – j2 )
x1 + jy 1 x 2 + jy 2
=
( x1 + jy1 ) x ( x1 − jy1 ) ( x2 − jy2 ) ( x 2 + jy2 )
74
สิ่งที่ควรจําเพื่อประโยชนสําหรับการหาร คือ ผลคูณของจํานวนเชิงซอนกับจํานวน เชิงซอนสังยุค เปนดังนี้คือ ( x + jy ) ( x – jy ) = x2 + y2 ตัวอยางที่ 5 จงหาคาของจํานวนตอไปนี้ ก. วิธีทํา
3 − j4 2 + j3
ข. 4 − j2 2+ j
(3 − j 4) x (2 − j3) (2 + j3) (2 − j3)
ก. 3 − j 4 = 2 + j3
= = = ข.
4 − j2 2+ j
2 6 − j9 − j8 − j 12 22 + 32 6 − j17 −12 4+9 −
6
−
13
j17
=
=
(4 − j 2) x (2 − j) (2 + j) (2 − j)
=
8 − j4 − j4 + j 2 2 22 + 12
= =
17 −6 + j 13 13
8 − j4 − j4 + j 2 2 4 +1
6 − j8 5
จํานวนเชิงซอนในรูปเชิงขั้ว จํานวนเชิงซอนในรูปเชิงขั้วเขียนอยูในรูปของ r∠θ หรือ r(cos θ + j sin θ )
=
6 − j8 5 5
75
โดยที่ r คือ โมดุลัส หรือ คาสัมบูรณของจํานวนเชิงซอน คือ อารกิวเมนต หรือ แอมพลิจูดของจํานวนเชิงซอน 1. การเปลี่ยนจํานวนเชิงซอนในรูปแกนมุมฉากไปเปนรูปเชิงขั้ว θ
รูปแกนมุมฉาก x + jy หรือเทากับคุลําดับ ( x, y ) นําไปเขียนกราฟได ดังนี้
จากรูปเราจะได x y r tan θ
= r cos θ = r sin θ = x y = y x x + jy = r cos θ + j r sin θ = r ( cos θ + j sin θ )
จาก
2
ตัวอยางที่ 6 จงเปลี่ยน 1 + j วิธีทํา
3
2
+
เปนรูปเชิงขั้ว 1+ j 3
= (1 , j
Y
r =
1 +
r
= = =
x y
√3
P(1, √3 ) X O
tan θ ∴θ
จาก x + jy 1+j
3 3
=
) = ( x, y)
3
x2 + y2
( 3)
2
=
1+ 3
= 60°
r (cos θ + j sine θ )
= 2 ( cos 60º + j sin 60º ) = 2 ∠60º
=
3
4
= tan 60°
= 2
76
ตัวอยางที่ 7 จงเปลี่ยน วิธีทํา −2
-2√2
เปนรูปเชิงขั้ว
− 2 2 − j2 2
=
2 − j2 2
θ
Y O
-2√2
2, − 2 2
x2 + y2
=
(− 2 2 ) + (− 2 2 )
=
8+8
tan θ =
2
y x
tan θ = tan 45° ∴ θ
y)
2
=
16
=
−2 2
= 4
−2 2
= tan ⎛⎜180 ° + 45° ⎞⎟
= 180° + 45°
⎝
⎠
= 225°
x + jy = r (cos θ + j sine θ )
จาก ∴
)= ( x,
= X
r
(− 2
− 2 2 − j2 2
= 4 ( cos 225° + J sin 225° ) = 4 ∠225°
2 การเปลี่ยนจํานวนเชิงซอนในรูปเชิงขั้วเปนรูปแกนมุมฉาก การเปลี่ยนรูปเชิงขั้วเปนรูปแกนมุมฉาก เพียงแตเราแทนคาฟงกชั่น sin θ และ cos θ ก็จะเปลี่ยนเปนรูปแกนมุมฉากทันที ตัวอยางที่ 8 จงเปลี่ยน 4 ( cos 30º + j sin 30º ) เปนรูปแกนมุมฉาก วิธีทํา
cos 30° = sin 30° =
3 2 1 2
3 2
3 1 ∴ 4 ( cos 30° + j sin 30° ) = 4 ⎜⎛ 2 + j 2 ⎞⎟ ⎝ ⎠ = 2 3 + j2
77
ตัวอยางที่ 9 จงเปลี่ยน 2 3 (cos 150° + j sin 150° ) เปนรูปแกนมุมฉาก วิธีทํา cos 150° = cos (180° - 30°) cos 150°
= - cos 30°
=
−
=
1 2
3 2
= sin (180° - 30°) = sin 30° ∴
=
2 3 (cos 150° + j sin 150° )
=
⎛ 3 1⎞ + j ⎟⎟ 2 3 ⎜⎜ − 2⎠ ⎝ 2 −3+ j 3
การคูณจํานวนเชิงซอนในรูปเชิงขั้ว ให z1 = r1(cos θ1 + j sin θ1) = r1 ∠θ1 Z2 = r2(cos θ2 + j sin θ2) = r2 ∠θ2 หรือ
r1 ∠θ1 × r2 ∠θ2 = (r1 r2∠θ1 + θ2 ขอสังเกตุ การคูณจํานวนเชิงซอนในรูปเชิงขั้วใหนําโมดูลัสคูณกันและนําเอาอากิวเมนตมาบวกกัน ตัวอยางที่ 10 จงหาผลคูณของ วิธีทํา
2 2 (cos 90° + j sin 90° )
2 2 (cos 90° + j sin 90° )
=
⎛⎜ 2 ⎝
x
กับ
2 (cos 30° + j sin 30° )
2 (cos 30° + j sin 30° )
2 ⎞⎟⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎪⎨cos ⎜⎜ 90 ° + j sin 30 ° ⎟⎟ + j sin (90 ° + 30 ° )⎪⎬ ⎠⎝
⎧
⎛
⎞
⎫
⎠ ⎪⎩
⎝
⎠
⎪⎭
= 4 ( cos 120° + j sin 120°)
78
ตัวอยางที่ 11 จงหาผลคูณ 3∠60° วิธีทํา 3∠60° x 2∠70°
กับ
2∠70°
= 3 x 2 ∠60°+70° = 6 ∠130°
การหารจํานวนเชิงซอนในรูปเชิงขั้ว กําหนดให Z1 = r1(cos θ1 + j sin θ1) = r1 ∠θ1 Z2 = r2(cos θ2 + j sin θ2) = r2 ∠θ2 z1
r = 1 { cos ( θ1 − r2
z2
θ
2
) + ( j sin θ1 − θ 2 ) }
หรือ r1 ∠θ r = 1 ∠θ 1 − θ 2 r21 ∠θ r2
6 ( cos 120 ° +
j sin 120 ° ) 4 ( cos 90 ° + j sin 90 ° )
ตัวอยางที่ 12 จงหาคาของ
วิธีทํา 6 ( cos 120
j sin 120 ) 4 ( cos 90 ° + j sin 90 ° ) °
°
+
= =
ตัวอยางที่ 13 จงหาคาของ ก. 4∠70° ÷ ข.
2 3
⎧
⎫
⎩ 3 ( cos 30 ° + 2
⎭
6⎪ o o o o ⎪ ⎨cos(120 − 90 ) + j sin (120 − 90 )⎬ 4⎪ ⎪
2∠40°
∠225° ÷
2 3
∠45°
j sin 30° )
79
วิธีทํา
° 4 ∠ 70 ก. 2∠40 °
ข.
=
2∠70 ° − 40 °
=
2∠40 °
2 3 ∠225° 3∠45°
= 2 ∠225° − 45° =
2 ∠180 °
จํานวนเชิงซอนในงานชาง จํานวนเชิงซอนนําไปใชประโยชนในวิชาไฟฟาไดดังนี้คือ
80
หมายเหตุ คาอิมพีแดนซทั้งหมดที่กลาวมา เขียนอยูในรูปเชิงซอนแกนมุมฉาก ถาตองการ เขียนใหอยูในรูปเชิงซอนเชิงขั้วก็ใหใชหลักและวิธีการเดียวกันกับหัวขอที่เรียน มากอนแลว ตัวอยางที่ 14 ในวงจร RL มีความตานทาน 500 3 โอหม และมีอินดักตีฟรีแอกแตนซ 500 โอหม จงหาหาอิมพีแดนซในรูปเชิงขั้ว
81
วิธีทํา จากวงจร RL นํามาเขียนกราฟอิมพีแดนซไดดังนี้
จากรูปอิมพีแดนซ
Z = R + jXL = 500 3 + j 500 โอหม เปลี่ยนใหอยูใ นรูปเชิงขั้ว R ∠θ r = (500 3 ) 2 + ( 500 ) 2 = 750,000 + 250,000 = 1,000,000
โมดุลัส
= 1,000 tan
θ
∴θ ดังนั้น
=
500 = 1 = tan 30° 500 3 3
= 30°
500 3 + j 500 = 1,000 ∠30 ° โอหม
=
ตัวอยางที่ 15 วงจร RC มีคาอิมพีแดนซเทากับ 950 ∠ − 60 ° จงหาความตานทานและคาปาซิ ตีฟรีแอกแตนซของวงจร
82
วิธีทํา จากวงจร RC นํามาเขียนกราฟอิมพีแดนซไดดังนี้
R - j XC ……….. 1
จากรูป อิมพีแดนซ
Z
=
โจทยกําหนดให
Z
= 950 ∠ − 60 °
[
= 950 cos − ( − 60 ° ) + jsin ( − 60 ° ) = 950 ( cos 60 ° - j sin 60 ° )
1
1 = 2
3
= 950 ( 2 - j 2 ) = 475 - j 475 3 ………… 2 = 475 - j 475 3 R - jXC ดังนั้นความตานทาน R = 475 โอหม คาปาซิตีฟรีแอกแตนซ XC = 475 3 โอหม
]
84
บทที่ 3 เรขาคณิตเบื้องตน
งานชางที่เปน งานทางดานอุตสาหกรรมโดยสวนใหญนั้ น ต องเกี่ ย วของกั บรู ปทรง เรขาคณิตเกือบทั้งสิ้น และมีรูปทรงหลายลักษณะตาง ๆ เขามาประกอบรวมกัน เชน การผลิตในงาน กลึง เกี่ยวของกับรูปสี่เหลี่ยมและรูปทรงกลม การผลิตทอน้ําเกี่ยวของกับรูปแบบเสนตรงและรูปมุม ฉาก เปนตน เมื่อรู ปทรงเรขาคณิ ต มีส ว นสํา คั ญ ในงานชางที่ได ก ลา วมา ในรายละเอี ย ดสํ าหรั บ การศึกษาเรื่องเรขาคณิตเบื้องตนนั้นยอมสงผลความเขาใจมากยิ่งขึ้นไปสูในรูปทรงเรขาคณิตที่ดีอีก นับวาเปนสิ่งที่สําคัญที่ตองทําการศึกษาใหเขาใจอยางชัดเจน เพื่อนําไปใชใหเกิดประโยชนกับงานชาง ในแตละชางและแตละสาขาตามรูปแบบงานนั้นที่ตองทําขึ้นมาใชในงานชาง ตัวอยางรูปแบบเรขาคณิตเบื้องตนและรูปทรงเรขาคณิต
รูปที่ 1 แสดงรูปแบบเรขาคณิตเบื้องตน
รูปที่ 2 แสดงรูปทรงเรขาคณิต
85
สัญลักษณ (Symbols) หรือเครื่องหมายที่นยิ มใชในเรขาคณิตเบื้องตน สัญลักษณ ความหมาย เทากับ, เทากัน = ไมเทากับ, ไมเทากัน , 2 มุม ฉ มุมฉาก วงกลม S วงกลมหลายกลม cc เสนรอบวง เทากันทุกประการ ; ขนานกัน, ขนานกับ ; ไมขนานกัน
\
จ
เพราะฉะนัน้ , ดังนั้น เพราะวา สามเหลี่ยม สามเหลี่ยมหลายรูป สี่เหลี่ยมจัตุรัส
ข
สี่เหลี่ยมดานขนาน
ผ
สี่เหลี่ยมผืนผา มากกวา, ใหญกวา นอยกวา, เล็กกวา ตั้งฉากกับ, ตั้งฉากกัน คลายกับ
s
สิ่งที่เห็นจริงและสัจพจน 1. สิ่งที่เห็นจริงแลว (Axioms) คือ ขอความที่ยอมรับกันทั่ว ๆ ไปวาเปนความจริง ไม ตองมีการพิสูจน คือ 1.1 สิ่งของหรือจํานวนที่เทากับสิ่งของ หรือจํานวนเดียวกันยอมเทากัน 300 = 1,000 – 70 ; 250 = 200 + 50 350 - 50 = 300 + 50 ; 2 x 3 = (3-1)(5-2) 3xy = 3x 2 y เมื่อ x 0 x 2 x
86
1.2 สิ่งของหรือจํานวนที่เทากันเมื่อถูกเพิ่มหรือลดลงดวยจํานวนที่เทากันผลยอมเทากัน ของเดิม; 300 = 1,000 – 700 เพิ่มขึ้น; 300 + 75 = (1,000 - 700) + (3/4 x 100) ลดลง; 300 – 75 = (1,000 – 700) – (3/4 x 100) 1.3 จํานวนที่เทากัน เมื่อคูณดวยจํานวนที่เทากัน ผลลัพธยอมเทากัน ตัวอยางเชน 300 = 1,000 – 700 และ 250 = 300 – 50 ทําให 300(250) = (1,000 – 700)(300 – 50) 75,000 = 7,500 1.4 จํานวนที่เทากัน เมื่อหารดวยจํานวนที่เทากัน ผลลัพธยอมเทากันและยังมีอื่น ๆ อีก ตัวอยางเชน 300 = 1,000 – 700 และ 250 = 300 – 50 ทําให 300 = 2. สัจพจน (Postulates) คือ สิ่งที่ยอมรับในวิชาเรขาคณิตวาเปนความจริง โดยไมตองมี การพิสูจน และนําไปใชอางเมื่อการพิสูจนขอความอื่นวาเปนความจริง คือ 2.1 มีเสนตรงเพียงเสนเดียวเทานั้นที่ลากผานจุดที่กําหนดให 2 จุด ไดสั้นที่สุด
รูปที่ 3 (a) รูปที่ 3 (b) รูปที่ 3 (c) รูปที่ 3 (a) และ (b) มีความยาวเสนมากกวา 2.5 เซนติเมตร รูปที่ 3 (c) มีความยาวเสน (เสนตรง) เทากับ 2.5 เซนติเมตร รูปที่ 3 (a), (b) และ (c) แสดงเสนตรงเพียงเสนเดียวเทานั้นที่สามารถลากผานจุดทีก่ ําหนดให 2 จุด ไดสั้นที่สุด 2.2 เสนตรง 2 เสนตัดกันไดที่จดุ ๆ เดียว เทานั้น
รูปที่ 4 แสดงเสนตรง 2 เสนตัดกันไดที่จุดเดียวเทานั้น
87
2.3 ปลายทั้ง 2 ขางของเสนตรงยอมตอออกไปไดไมจํากัด ดังแสดงในรูปที่ 5 B. C. E. 3 ซม.
A.
B.
A.
B.
2 ซม.
4 ซม.
D.
G. F.
2 ซม.
1 ซม.
2 ซม.
รูปที่ 5 แสดงปลายทั้ง 2 ขางของเสนตรงยอมตอออกไปไดโดยไมจํากัด
2.4 เมื่อมีจุดหนึ่งเปนจุดศูนยกลาง จะสรางวงกลมที่มคี วามยาวรัศมี ตามทีก่ ําหนดใหได เพียงวงเดียว A จุดศูนยกลาง
A
A
r = 1.5 ซม.
รูปที่ 6 (a)
รูปที่ 6 (b)
รูปที่ 6 (c)
รูปที่ 6 (c) แสดงวงกลมที่มีจุดศูนยกลางอยูที่จุด A มีรัศมี 1.5 เซนติเมตร
2.5
รูปทรงทางเรขาคณิตถือวาเคลื่อนที่ได โดยไมเปลี่ยนแปลง
(a)
(b)
(c)
รูปที่ 7 (a), (b), (c) แสดงรูปทรงเรขาคณิตเคลื่อนที่
2.6 เสนตรงที่กําหนดจะมีจดุ กึ่งกลางไดจดุ เดียว C
A
BA
เสนตรง AB มีความยาว 4 ซม.
O
B เสนตรง AO - OB = 2 ซม.
D รูปที่ 8 แสดงเสนตรงที่กําหนดจะมีจุดกึ่งกลางไดจุดเดียว
88
2.7 มุม ๆ หนึ่ง จะมีเสนแบงครึ่งมุมไดเสนเดียว
C
C
D
B
60
A
B
มุม ABC = 60o
30 30
A
มุม ABD = มุม DBC = 30o
รูปที่ 9 แสดงการแบงครึ่งมุม (มุมที่กําหนดให) ไดเพียงเสนเดียว
2.8 ณ จุดทีก่ ําหนดใหบนเสนตรงเสนหนึ่ง จะลากเสนตั้งฉากไดเสนเดียว D 2.8 ซม.
1.5 ซม.
A
C
B
A
C
B
รูปที่ 10 แสดงจุดที่กําหนดใหบนเสนตรงเสนหนึ่ง จะลากเสนตั้งฉากไดเสนเดียว
2.9 มุมรอบจุดศูนยกลางยอมเปน 2 เทาของมุมตรง หรือเปน 4 เทาของมุมฉาก C
360
A
B
A
180
D
E
F
มุม A = 360 มุม ABC = 90 = 1 มุมฉาก มุม DEF = 180 = 2 มุมฉาก รูปที่ 11 แสดงมุมรอบจุดศูนยกลางยอมเปน 2 เทาของมุมตรงหรือเปน 4 เทาของมุมฉาก
2.10
รัศมีของวงกลมที่โตเทากัน ยอมยาวเทากัน
A
B r1
r2
C
r3
รูปที่ 12 แสดงวงกลมที่จุด A และ B เปนจุดศูนยกลางที่มีรัศมี = 1.3 เซนติเมตร (แตมีขนาดของรัศมีไมเทากับ วงกลมที่จุด C เปนจุดศูนยกลางของวงกลม)
89
2.11 จะลากเสนตรงผานวงกลมวงหนึ่งไดเพียง 2 จุด D
A A
A
B
C B
E
B
D
F C านวงกลมวงหนึ่งไดเพียง 2 จุด รูปที่ 13 แสดงการลากเสนตรงผ
2.12 มุมฉากทุกมุม มุมตรงทุกมุม ยอมเทากัน C
A
D C
B
F
E
D
G
H
I
B มุม ABC = BCD = 90 = 1 มุมฉาก มุม DEF = GHI = 180 = 1 มุมตรง
รูปที่ 14 แสดงมุมฉากทุกมุม มุมตรงทุกมุม ยอมเทากัน
ลักษณะและคุณสมบัติของรูปสี่เหลี่ยม 1. ลักษณะและคุณสมบัติของรูปสีเ่ หลีย่ มดานขนาน D
C
AB = CD และ AB CD AD = BC และ AD BC B
A
1 2 3 4
B A D = B C D และ A B C = A D C
มีดานตรงขามยาวเทากันและขนานกัน มีมุมตรงขามเทากัน มีเสนทแยงมุมแตละเสนทําใหเกิดสามเหลี่ยม 2 รูป เทากันทุกประการ มีเสนทแยงมุมแบงครึ่งซึ่งกันและกัน
90 D
A
C
รูปที่ 15 (a)
B
D
A
C
B
รูปที่ 15 (b)
D
A
รูปที่ 15 (c)
C
B
จากรูปที่ 15 (a) แสดงความสัมพันธ ABC = ADC จากรูปที่ 15 (b) แสดงความสัมพันธ ABD = BDC จากรูปที่ 15 (c) แสดงความสัมพันธ AO = OC และ BO = OD (ซึ่งผลที่ไดจากเสนทแยงมุม AC ตัดกับ BD ที่จุด O) หมายเหตุ = มีความหมายแทน เทากันทุกประการ
D
2. ลักษณะและคุณสมบัติของรูปสีเ่ หลีย่ มผืนผา D C 1 มีมุมทุกมุมเปนมุมฉาก 2 มีดานตรงขามยาวเทากันและขนาน กัน A B 3 มีเสนทแยงมุมทั้ง 2 ยาวเทากัน ตัด แบงครึ่งซึ่งกันและกัน จากรูปที่ 16 C
A
A = B = C = D = 1 มุมฉาก = 90
O B
รูปที่ 16 แสดงความสัมพันธในขอ AO = OC = BO = OD
AB = CD และ AB CD AD = BC และ AD BC AC = BD AO = OC = BO = OD
3 ลักษณะและคุณสมบัติของรูปสีเ่ หลีย่ มจัตุรัส 1 มีดานทั้ง 4 ยาวเทากัน 2 มีมมุ ทั้ง 4 เปนมุมฉาก 3 เสนทแยงมุมทั้ง 2 ยาวเทากันและตั้ง ฉากซึ่งกันและกัน
91 C
D
จากรูปที่ 17 AB = BC = CD = DA A = B = C = D = 1 มุมฉาก = 90o
O
AC = BD และ BO AOC
หรือ DO AOC และ B AO BOD หรือ CO BO
A
รูปที่ 17 แสดงลักษณะและคุณสมบัติของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
3. ลักษณะและคุณสมบัติของรูปสีเ่ หลีย่ มขนมเปยกปูน D
C
O
1 2 3 4
มีดานทั้ง 4 เทากัน ดานตรงขามของแตละคูข นานกัน มุมทั้ง 4 ไมเปนมุมฉาก เสนทแยงมุมไมเทากันและตั้งฉากซึ่ง กันและกัน
จากรูปที่ 18 AB = BC = CD = DA A
B
AB CD และ BC DA A B C D 90
รูปที่ 18 แสดงรูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูน
AC BD และ AOC BOD 5. ลักษณะและคุณสมบัติของรูปสีเ่ หลีย่ มคางหมู B
A
D
C
รูปที่ 19 แสดงรูปสี่เหลี่ยมคางหมู
1 มีดาน 2 ดานขนานกัน 2 ดานอีก 2 ดานไมขนานกัน และไม จําเปนตองเทากัน ถาเทากันเรียกวา รูปสี่เหลี่ยมคางหมูทรงหนาจั่ว
92
A
จากรูปที่ 19 AB CD และ AB CD AD ไมขนาน BC และ AD BC เรียกวารูป สี่เหลี่ยมคางหมู AD ไมขนาน BC และ AD = BC เรียกวารูปสี่เหลี่ยมคางหมูทรงหนาจั่ว ดังแสดงในรูปที่ 20
B
D
C
รูปที่ 20 แสดงรูปสี่เหลี่ยมคางหมูทรงหนาจั่ว
A D
6. ลักษณะและคุณสมบัติของรูปสีเ่ หลีย่ มดานไมเทา 1 มีดานทั้ง 4 ไมเทากัน B 2 มีมุมทั้ง 4 ไมเทากัน แตถามุมตรงขาม เทากัน วงกลมจะลอมรอบได 3 เสนทแยงมุมตัดกัน ไมแบงครึ่งซึ่งกันและ C กัน
รูปที่ 21 แสดงรูปสี่เหลี่ยมดานไมเทา
เสนตั้งฉากและเสนขนาน 1. เสนตั้งฉาก นิยาม เสนตั้งฉากก็คือ เสนตรงที่ตั้งอยูบนเสนตรงอื่นแลวทําใหมีมุมประชิดกัน (อยู สองขางและติดกัน) เทากัน และมุมที่แตละมุมที่เทากันนั้นเรียกวา “มุมฉาก” หรือเทากับ 90 องศา C
C
A
2 1 O
B
A
D รูปที่ 22 (b )
รูปที่ 22 (a )
รูปที่ 22 (a) รูปที่ 22 (b)
2 1 3 4
1ˆ = 2ˆ 1ˆ = 2ˆ = 3ˆ = 4ˆ
B
93
1.1 ลักษณะและคุณสมบัติของเสนตั้งฉาก 2. มีมุมประชิดเทากัน (รูปที่ 22 (a)) จากจุดภายนอกเสนตรง เมื่อลากเสนตรงไปยังเสนตรงนั้น เสนตั้งฉากจะเปนเสนที่สั้นทีสุด C
M
N
O
L
รูปที่ 23
จากรูป เมื่อลากเสนตรงใด ๆ จากจุด C มายังเสนตรง AB ถาไมอาจลากเสนตรง อื่น ๆ ใหสั้นกวา CO ไดแลว แสดงวา เสนตรง CO สั้นที่สุด ดังนั้น CO ตั้งฉากกับ AB
1.2 การสรางเสนตัง้ ฉาก ในวิชาเรขาคณิต มีวิธกี ารสรางเสนตั้งฉากไดหลายวิธี ถาตองการสรางเสนตรงให ตั้งฉากกับเสนตรง AB ที่จุด O มีวิธีสรางดังนี้ วิธีที่ 1 การสรางเสนตั้งฉากกับเสนตรง AB ที่จุด X วิธีสราง 1. ใช X เปนจุดศูนยกลางรัศมีพอควร O เขียนสวนโคงตัด AB ที่ P และ Q 2. ใช P และ Q เปนจุดศูนยกลาง รัศมี พอควร (ยากกวา PX หรือ QX เขียน สวนโคงตัดกันที่จุด O) A B 3. ลาก OX จะไดเสนตรง OX AB Q P X ที่จุด O รูปที่ 24 พิสูจน ขอความพิสูจน 1.
OXP =
OXQ ทุกประการ
( ด.ด.ด. )
2. \ O X P = O X Q = 90
เหตุผล 1. OX เปนดานรวม
XP = XP ( สราง ) 2. มุมประชิดและเทากัน ซ.ต.พ.
94
วิธีที่ 2 O
C
A
D
X
B
รูปที่ 25
การลากเสนตั้งฉากกับเสนตรง AB ที่จุด X วิธีสราง 1. เลือกจุด C ใด ๆ นอกเสน AB 2. ใช C เปนจุดศูนยกลาง รัศมี CX เขียนวงกลมตัด AB ที่ D อีกจุด หนึ่ง 3. ลาก DC เลยไปตัดเสนรอบวงที่ O 4. ตอ OX 5. ดังนั้น OX AB ที่ X (\ OXˆD เปนมุมในครึ่งวงกลม ยอมเทากับ 1 มุมฉาก)
พิสูจน ขอความพิสูจน
เหตุผล
1. OD เปนเสนผานศูนยกลางของวงกลม
1. DC , CD เปนเสนตรงเสนเดียวกันตามสราง และ C เปนจุดศูนยกลาง
2. \ O X C =
2. มุม D X O เปนมุมภายในครึ่งวงกลม ที่มี DO เปนเสนผานศูนยกลาง 3. เหตุผลขอ 2
AB ที่ X
3. \ OX วิธีที่ 3
O
N
A
1
P
X
รูปที่ 26
B
การสรางเสนตั้งฉากกับเสนตรง AB ที่จุด X วิธีสราง 1. ใช X เปนจุดศูนยกลาง รัศมี XM เขียน สวนโคงของวงกลม MNP 2. ใช M เปนจุดศูนยกลางรัศมีเทาเดิม เขียนสวนโคงตัดสวนโคงวงกลม ที่จุด N และใช N เปนจุดศูนยกลาง รัศมีเทาเดิม เขียนสวนโคงตัดสวนโคงเดิมที่ P (ดังรูป) 3. ใช N และ P เปนจุดศูนยกลาง รัศมีคงเดิม เขียนสวนโคงตัดกันทีจ่ ุด O
95
4. ลาก OX 5. ดังนัน้ OX แบง NXˆP 6. \OX AB ที่จุด X พิสูจน ขอความพิสูจน
เหตุผล
1. XM = MN = NX เปนรูปสามเหลี่ยมดานเทา
1. รัศมีวงกลมเดียวกัน ( ด.ด.ด. ) 2. มุมภายในของรูปสามเหลี่ยมดานเทา
2. M X N = 60
3. เสนตรง XO แบงครึ่ง N X P
3. N X O = 30
4. M X O = M X N + N X O 5. จากขอ 4 ซ.ต.พ.
4. \ M X O = 90 5. \ OX AB ที่จุด X
O
วิธีที่ 4
M
X
N
Q
การสรางเสนตั้งฉากกับเสนตรง AB ที่จุด X วิธีสราง 1. เอา X เปนจุดศูนยกลางเขียนสวนโคงตัด AB ที่ M และ N 2. ใช M, N เปนจุดศูนยกลางเขียนสวนโคงตัด กันที่ O และ Q 3. ลาก OM, ON, QM และ QN 4. ลาก OQ 5. \OQ จะแบงครึ่งและตั้งฉากกับ MN ที่ X
รูปที่ 27 พิสูจน 1. 2. 3. 4.
ขอความพิสูจน MO = NO = NQ OMQN เปนรูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูน OQ ผานจุด X \ OX AB ที่ X
1. 2. 3. 4.
เหตุผล เปนรัศมีเดียวกันตามสราง จากขอ 1. เสนทแยงมุมรูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูน ยอมแบงครึ่งซึ่งกันและกัน จากขอ 3. ซ.ต.พ.
96
วิธีที่ 5
รูปที่ 28
การสรางเสนตั้งฉากกับเสนตรง AB ที่จุด X วิธีสราง สรางโดยใชไมฉาก โดยเลื่อนไมฉากแบบเสน ตรง AB (ดังรูป) และลาก XN แลวตอไปยัง \OX AB ที่ X (เห็นจริงตามรูปภาพแลว)
ตัวอยางการคํานวณโดยใชเรขาคณิตเบื้องตนมาใชในงาน ตัวอยางที่ 1 สมมติวา CD เปนความสูงของเสาอากาศสถานีวิทยุแหงหนึ่ง AC เปนเสนลวดสลิงโยง เสา ถาเราทราบระยะ a1 a2 b1 เรายอมสามารถหาความสูงของเสาอากาศไดโดยไมตองขึน้ ไปวัด
รูปที่ 29 วิธีคํานวณ \ใน ABE, ACD 1. EAˆF = DAˆC 2. FEˆA = DCˆA 3. AFˆE = ADˆC
4. \AEF, ACD เปนรูปสามเหลี่ยม คลาย
เหตุผล
97
เหตุผล
วิธีคํานวณ FE CD 5. AD = AD แทนคา EB, DC, AB, AC จะทําไดดังนี้
b1
6. \ a1 7. \
b2
ผลจากขอ 5
= a 1 a2
b2 = b1 a1 a2 a1
คูณทแยง
(โดยปกติเมื่อเราตองการคํานวณคาใด ๆ เราจะจัดไวซายมือ กรณีนนั้ ถากําหนดให a1 = 10 เมตร, a2 = 30 เมตร และ b1 = 12 เมตร) \ b2 = =
12( 10 30 ) 10 480 10
b2 = 48 เมตร ตอบ ดังนั้น เสาอากาศสงวิทยุสูง 48 เมตร ตัวอยางที่ 2 บานหลังหนึ่งใตถุนบานสูง 2.25 เมตร ถาจะตองสรางบันไดใหบนั ไดแตละขัน้ สูง 15 เซนติเมตร และขั้นบันไดแตละขั้นกวาง 20 เซนติเมตร จงหาวา ก) จะตองใชบันไดกีข่ ั้น ถาเปนบันไดทอดเดียว ข) ราวบันไดยาวเทาใด D B
C
2.25 ม. A รูปที่ 30
98
ก) วิธีคํานวณ บานสูง 2.25 เมตร = 225 ซม. บันไดแตละขัน้ มีความสูง = 15 ซม. \จะมีจํานวนขั้นบันได = 225 = 15 ขั้น 15 ตอบ ก) มีบันไดจํานวน 15 ขั้น ข) จะหาความยาวของราวบันได (ราวบันไดจะตองยาวเทากับแมบันได) วิธีคํานวณ \ บันได 1 ขั้นสูง 15 ซม. กวาง 20 ซม. \ บันได 1 ขั้นทอดตามแมบันได (BC) จากรูป PQR โดยอาศัยทฤษฎีบทของ พาธาโกลัส หรือทฤษฏีบทที่ 29 ของฮอล และ สตีเวน เราจะได 20 ซม. PQ2 = RQ2 + RP2 R PQ2 = 152 + 202 P แทนคา AB = 15 ซม. AC = 20 ซม Q 15 ซม. \ PQ = 152 20 2 = 225 400 รูปที่ 31 = 625 = 25 ซม \บันได 1 ขั้นทอดตามแมบนั ไดได = 25 ซม. บันได 15 ขั้นทอดตามแมบันไดได = 25 x 15 = 375 ซม. ตอบ ราวบันไดยาว 3.75 เมตร 2. เสนขนาน (Parallel lines) นิยาม 1 “เสนตรงทั้งหลายซึ่งอยูบนระนาบ (Plane) เดียวกัน จะเรียกวาขนานกันไดก็ ตอเมื่อตอปลายทั้ง 2 ขางออกไปแลวจะไมมีโอกาสพบกัน” นิยาม 2 “เสนตรงขนานกันก็คือเสนตรงที่อยูบนระนาบเดียวกัน และมีทิศทางเดียวกัน” ผลที่เกิดจากเสนตรงขนานกัน “เมื่อเสนตรงเสนหนึ่งตัดเสนขนานคูหนึ่งแลว (รูปที่ 33) จะทําใหเกิด 1. มุมแยงเทากัน (3 = 5, 4 = 6) 2. มุมภายในและมุมภายนอกขางเดียวกันของเสนตัดเทากัน (1 = 5, 2 = 6) 3. มุมภายในบนขางเดียวกันของเสนตัดรวมกันเทากับ 180o เสมอ (4 + 5 [ 180o, 3 + 6 = 180o)
99
X B A
1 2 4 3
A D
C
C
รูปที่ 32
5 6 8 7 Y
B D
รูปที่ 33
การสรางเสนตรงใหขนานกับเสนตรงที่กําหนดให วิธีที่ 1 สรางเสนตรง PQ ใหขนานกับเสนตรงทีก่ ําหนด AB โดยอาศัยคุณสมบัติ เสนตรง ขนานกันจะมีมุมแยงเทากัน วิธสราง X Q P 1. ลาก AP Y
2. ทํามุม MAˆN = XPˆY โดยใชวงเวียน B 3. Aลาก PYQ
N
M
4. ซึ่งจะได PQ AB
รูปที่ 34
วิธีที่ 2 สรางเสนตรง PQ ใหขนานกับเสนตรงทีก่ ําหนดให AB P
M
N
a A
Q
a
X
Y รูปที่ 35
B
วิธีสราง 1. เลือกจุด X, Y ใดๆ บนเสนตรง AB หางกันพอสมควร 2. ใช X และ Y เปนจุดศูนยกลาง รัศมี = a หนวย เขียนสวนโคง 3. ลาก PQ ใหสัมผัสสวนโคงทั้ง 2 ที่MN 4. \ เสนตรง PQ AB
100
วิธีที่ 3 สรางเสนตรง PQ ใหขนานกับเสนตรงซึ่งกําหนดให AB โดยใชไมฉากเลื่อนซอนกัน N
P
Q
A
M
B
รูปที่ 36
วิธีสราง ใชไมฉาก 2 อัน ใหอันดานซาย (หรือขวา) อยูกับที่ ดังในภาพ แลวเลื่อนดานซาย แนบขึ้นไปเพื่อลากเสน PQ ตามระยะคูขนานที่ตองการ วิธีที่ 4 การสราง PQ ใหขนานกับแนว AB ในแนวดิ่ง โดยการใชลูกดิ่ง
A
B
P
Q
วิธีสราง 1. เมื่อ AB เปนแนวดิ่งของผนังตึกหรือ อาคาร หรือสิ่งอื่น ๆ 2. จากตําแหนง P ที่ตองการแนวขนาน ใช ลูกดิ่งจับ ณ จุด P จะได PQ แนวดิ่ง ขนานตามตองการ
รูปที่ 37
วิธีที่ 5 การสราง PQ หรือหาแนวขนานกับ AB โดยใชไมทําระดับลูกน้ํา ในวิธีนใี้ นงานชางโดยเฉพาะการกอสรางยอมมีความจําเปนและใชมาก ซึ่งวิธกี ารก็เพียง แตใชไมทําระดับทาบตามแนวทีต่ องการแนวขนานกับแนวใด โดยดูจากจุดลูกน้ําวาอยูในตําแหนง เดียวกับแนวที่เราตองการหรือไม แตสวนมากจะใชในแนวระดับและแนวดิ่ง
101
วิธีที่ 6 การหาแนวขนานหรือแนวระดับ โดยใชระดับน้ําในสายยางใส วิธีนี้อาศัยหลักการของธรรมชาติของน้ํา พืน้ ผิวน้ําจะตองมีระดับเทากันในเมื่ออยูใน แหลงเดียวกันหรือภาชนะเดียวกัน เพราะฉะนั้น ถามีน้ําในสายยาง น้ําจะตองพยายามถายทอดใหมี ระดับเสมอกันเสมอไป เมื่อตองการจะใหจุดใดมีระดับเดียวกันกับตําแหนงที่ตองการก็เอาสายยางไปทาบไว ณ จุดนั้นกับจุดที่ตองการ เลื่อนไปมาจนกวาระดับน้ําดานที่กาํ หนดจะหยุดนิ่งในระดับทีต่ องการ ก็ทํา เครื่องหมายเอาไว (ดังรูปที่ 38)
ตัวอยางที่ 3 จากรูป AB // CD เมื่อกําหนดให BAˆK = 30 , DCˆH = 40 จงหามุม
รูปที่ 39
รูปที่ 40
102
วิธีคํานวณ ดูรูปที่ 40 วิธีที่ 1 จากรูปเดิม ตอ AO ไปพบสวนตอของ DC ที่ M เพราะวา AB // DC หรือ AB // DM \ KAˆB = OMˆC = 30o DCˆH = OMˆC = 40o (มุมตรงขาม) \ = 180o - 30o - 40o = 110o \ = 180o - 110o = 70o ตอบ มุม = 70o วิธีที่ 2 จากสิ่งที่กําหนด ลาก OM // AB, OM // CD ดวย ดังนั้น = 30o o = 40 \ = + = 30o + 40o = 70o ตอบ มุม AOˆC = = 70 ตัวอยางที่ 4 จากรูป AB // CD เมื่อกําหนดให APˆO = 120o, OQˆD = 40o, OK แบงครึ่ง POˆQ , OH // AB // CD จงคํานวณหาคามุม
รูปที่ 42
103
วิธีคํานวณ \ AP // HO; \ มุมภายนอก = มุมภายในตรงขาม \ POˆH = 180o – 20o = 60o \ OH // CD; \ มุมแยมยอมเทากัน \ HOˆQ = OQˆD = 40o \ OK แบงครึ่ง POˆQ \ QOˆK = KOˆP \ HPˆK + = POK – a 40o + = 60o – a 2 = 20 = 10 ตอบ มุม = 10 องศา
การแบงเสนตรงออกเปนหลายสวนเทา ๆ กัน 1 แบงโดยใชไมบรรทัดและไมฉาก โดยอาศัยทฤษฎี “เสนตรงที่ลากจากจุดแบงบนดานใดดานหนึ่งของสามเหลี่ยมออกเปน n สวนเทา ๆ กัน ใหขนานกับดานฐาน เสนขนานเหลานั้นจะไปแบงดานที่สามออกเปน n สวนเทา ๆ กันดวย (เหมาะสําหรับจะแบงเสนตรงหรือชิ้นงานที่ความยาวไมลงตัว) ตัวอยางที่ 5 การแบงเสนตรง AB ออกเปน 5 สวนเทา ๆ กัน
104
วิธีสราง 1. ลาก AC ยาวพอประมาณ ทํามุมใด ๆ กับ AB 2. บน AC เลือกความยาวใด ๆ แบงสวนของ AC เอา 5 สวนเปน AP, PQ, QR, RS และ ST 3. โยง TB แลวลากเสนตรงผานจุด S, R, Q, P โดยใหขนานกับ TB พบเสนตรง AB ที่จุด S1, R1, Q1 และ P1 ตามลําดับ 4. ดังนั้นจุด P1, Q1, R1 และ S1 จะแบง AB ออกเปน 5 สวนเทา ๆ กัน ตัวอยางที่ 6 จงแบงแผนอะลูมิเนียมรูปสี่เหลี่ยมผืนผาที่มีขนาดกวาง 4 นิ้ว ยาว 8 นิ้ว แบงตามแนวยาว ออกเปน 3 สวนเทา ๆ กัน
วิธีหาจุดแบง จะเห็นวาถาเราใชวิธีวัดจะมีเปนเศษสวนทศนิยม ตองกะดวยตาอาจไมถูกตอง วิธีแบง 1. ลาก AX เลือกความยาวที่วดั งาย ๆ อาจใช 2 นิ้ว ทําให AP, PQ, OR เทากันตลอด (2 นิ้ว) 2. โยง RD ลาก QQ1, PP1 ใหขนานกับ RD ตัดดานกวางของแผนโลหะที่ Q1, P1 3. \ P1, Q1 เปนจุดแบงแผนโลหะอะลูมิเนียมออกเปน 3 สวนเทา ๆ กัน 4. จาก P1 ลาก P1M, // AB ลาก Q1N // AB 5. ดังนั้น เสน P1M, Q1N จะแบงแผนอะลูมิเนียมออกเปน 3 ชิ้นเทา ๆ กัน วิธีการนีจ้ ะใชกับชิ้นงานอื่นก็ไดทํานองเดียวกัน
105
2. แบงโดยใชวงเวียน วิธีนี้อาศัยหลักการในทํานองเดียวกับวิธีที่ 1 นั่นเอง
วิธีแบง 1. จาก A ลาก AC ทํามุมพอควร และที่ B ลาก BD ทํามุม ABˆD = BAˆC , \ AC // BD 2. ใชวงเวียนรัศมีพอควรตัด AC ที่จุด P, Q, R และ S และตัด BD ที่จุด S1, R1, Q1 และ P1 3. โยง PP1, QQ1, RR1 และ SS1 ตัดเสนตรง AB ที่จุด P2, Q2, R2 และ S2 ตามลําดับ 4. จุดตัด AB จะแบงเสนตรงออกเปน 5 สวนเทา ๆ กัน ขอสังเกต ถาแบงเปน n สวน จุดแบงจะมี n – 1 จุด ลักษณะและคุณสมบัติของรูปสามเหลีย่ ม 1. ลักษณะของรูปสามเหลีย่ ม 1. มีดาน 3 ดาน และมีมุม 3 มุม 2. ถามีดานเทากัน 3 ดานเรียกวารูปสามเหลี่ยมดานเทา 3. ถามีดานเทากัน 2 ดาน (มุมเทากัน 2 มุม) เรียกวารูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว 4. ถาไมมีดานใดเทากันเลย เรียกวารูปสามเหลี่ยมดานไมเทา 5. ถามีมุมใดมุมหนึ่งเปนมุมฉาก (กาง 90) เรียกวารูปสามเหลี่ยมมุมฉาก 6. ถาในรูปสามเหลี่ยมมีมุมใดมุมหนึ่งกางเกิน 90 เรียกวารูปสามเหลี่ยมมุมปาน
106
2. คุณสมบัติของรูปสามเหลี่ยม 1. รูปสามเหลี่ยมที่มีอัตราสวนของดานเปน 3 : 4 : 5 หนวย จะเปนรูปสามเหลี่ยม มุมฉาก แตรูปสามเหลี่ยมมุมฉากทุกรูปไมจําเปนตองมีอัตราสวนของดานเปน 3 : 4 : 5 เสมอไป 2. ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก จัตุรัสบนดานตรงขามมุมฉากจะเทากับผลบวกของ จัตุรัสบนดานอีก 2 ดาน 3. มุมภายนอกของรูปสามเหลี่ยมใด ๆ จะเทากับผลบวกมุมภายในตรงขามกับมุม นั้น ๆ 4. เสนแบงดานหนึ่งของรูปสามเหลี่ยมออกเปนกี่สวนก็ตามทีล่ ากขนานกับฐาน จะ ไปแบงดานที่เหลือออกเปนสัดสวนเดียวกัน 5. เสนตอจุดกึ่งกลางของดานทั้งสามของรูปสามเหลี่ยม จะแบงรูปสามเหลี่ยมเดิม ออกเปนรูปสามเหลี่ยม 4 รูปที่คลายกัน และคลายกับรูปสามเหลี่ยมเดิม 6. ถาลากเสนตรงจากมุมยอดไปแบงครึ่งดานตรงขาม เสนแบงครึ่งฐานทั้งสามจะ ตัดกันที่จุด ๆ เดียวเทานั้น เสนทั้งสามนี้เรียกวา เสนมัธยฐาน 7. ผลบวกของดาน 2 ดานตองยาวกวาดานที่สาม ตัวอยางที่ 7 ตองการเลื่อยเปดปกไมซุง (สมมติวากลม) ใหหนาตัดเปนรูปสี่เหลี่ยม จัตุรัส จากซุงที่มีเสนผาศูนยกลางขนาด 40 นิ้ว จะไดทอนไมที่มีหนากวางเทาใด วิธีคํานวณ จากรูป ACD เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ดังนั้น AD2 + CD2 = AC2 x 2 x 2 40 2 (นิ้ว x นิ้ว)
2 x 2 = 1,600 นิ้ว2 x 2 = 800 นิว้ 2 \ x = 800 นิว้ 2 = 20 2 นิ้ว2 x = 28.28 นิ้ว ตอบ ไมเปดปกแลวกวาง 28.28 นิ้ว
107
ตัวอยางที่ 8 ABC เปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว มีฐานยาว 18 นิ้ว สูง 10 นิ้ว จงคํานวณหาดานที่ เทากัน ยาวดานละเทาไร จากรูป ABC เปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว ลาก AD BC \ ใน ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก จะได AB2 = BD2 + AD2 AB2 = 92 + 102 = 81 + 100 นิ้ว2 = 181 นิ้ว AB = 181 นิ้ว AB = 13.45 นิ้ว ตอบ ดานที่เทากันยาวดานละ 13.45 นิ้ว 3. คุณสมบัติของรูปสามเหลี่ยมคลาย รูปสามเหลี่ยม 2 รูปจะเรียกวาเปนรูปสามเหลี่ยมคลายกันก็ตอเมื่อรูปสามเหลี่ยม 2 รูป นั้นมีมุมทั้งสามเทากัน มุมตอมุม และดานที่ลําดับกันจะไดสัดสวนตอกัน (เปนปฏิภาคตอกัน) ขอสังเกต จะเรียกวาเปนรูปสามเหลี่ยมคลายจะตองมีเงื่อนไข 2 ประการ คือ 1. มีมุมทั้งสามเทากัน มุมตอมุม 2. ดานที่สมนัยกัน (อยูตรงขางมุมที่เทากัน) ไดสัดสวนตอกัน หรือเปนปฏิภาคตอ กัน ตัวอยางแสดงรูปสามเหลี่ยม 2 รูปเปนรูปสามเหลี่ยมคลาย
108
ตัวอยางที่ 9 จงหาผลรวมของมุมภายในของรูปสามเหลี่ยม วิธีทํา \ ผลรวมของมุมภายใน = (n – 2) 180 องศา ในที่นี้ n = 3, \ มุมภายในรวม = (3 – 2) 180 องศา = 1 180 องศา = 180 องศา ตอบ มุมภายในรวมเทากับ 180 องศา ตัวอยางที่ 10 จงหาผลรวมของมุมภายในของรูปเกาเหลี่ยม วิธีทํา \ ผลรวมของมุมภายใน = (n – 2) 180 องศา ในที่นี้ n = 9 \ มุมภายในรวม = (9 – 2) 180 องศา = 7 180 องศา = 1,260 องศา ตอบ มุมภายในรวมเทากับ 1,260 องศา ขอสังเกต ถาเปนรูปหลายเหลี่ยมดานเทา มุมแตละมุมเทากัน ดังนั้นเมื่อเอาจํานวนดาน ไปหารมุมรวม จะไดคาของมุมแตละมุม
109
การสรางรูปหลายเหลี่ยมดานเทา
จะเทากับ
มีขั้นตอนดําเนินงานดังนี้ 1. คํานวณหาวามุมแตละมุมกางเทาใด โดยใชวามุมภายในแตละมุมของรูป n เหลี่ยม ( n - 2 ) 180 องศา n
2. ลากเสนตรงใหมคี วามยาวเทากับดานที่ตองการ 3. สรางมุมกับปลายเสนตรงใหมขี นาดตามที่คํานวณไวในขอ 1 4. แบงครึ่งดานและสรางเสนตั้งฉากไปตัดกับเสนแบงครึ่งมุมที่จุด O 5. ใชจุด O เปนจุดศูนยกลางเขียนวงกลม 6. ใชปลายเสนตรงซึ่งแทนดาน ๆ หนึ่งของรูป n เหลี่ยม รัศมีเทากับดานของรูป เหลี่ยม เขียนสวนโคงตัดเสนรอบวงกลม แลวลากเสนตรงตอระหวางจุดตัดเสนรอบวงกลม จะได รูป n เหลี่ยมตามตองการ ตัวอยางที่ 11 จงสรางรูปหกเหลี่ยมดานเทาใหมดี านยาวดานละ 2 เซนติเมตร วิธีทํา
1. มุมภายในของรูปหกเหลี่ยมแตละมุม =
2. 3. 4. 5. 6.
( 6 - 2 ) 180 6
= 720 = 120 องศา 6
องศา
ลาก AB = 2 เซนติเมตร ทํามุม 120 องศา ที่จุด A และลากเสนแบงครึ่งมุม A แบงครึ่งดาน AB ที่จุด D ลาก DO ไปตัดกับเสนแบงครึง่ มุม BAˆF ที่จุด O เอาจุด O เปนจุดศูนยกลาง รัศมี OA (OB) เขียนวงกลม ใชปลายเสนตรง (ที่จุด A) ซึ่งแทนดาน ๆ หนึ่งของรูปหกเหลี่ยมดานเทา รัศมีเทา AB เขียนสวนโคงตัดเสนรอบวงกลมที่จุด F, E, D, C และ B ตามลําดับ 7. โยงเสน AF, ED, DC และ CB จะไดรูปหกเหลี่ยมดานเทาตามตองการ
110
ตัวอยางที่ 12 ถา ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมคางหมูรูปหนึ่งดังรูป มีดาน AB // CD จุด E และ F เปนจุดกึ่งกลางดาน AD, BC ตามลําดับ ถา AB = 30 หนวย CD = 22 หนวย จงหาความยาว EF
วิธีคํานวณ ลาก EF ลาก AC ตัด EF ที่จุด O จะทําให COF และ CAB เปน รูปสามเหลี่ยมคลาย \ ดานไดสัดสวนกัน
OF = CF = CO AB CB CA OF = 1 (\ F เปนจุดกึ่งกลาง CB) 30 2 30 \ OF = 2 = 15 หนวย
ทํานองเดียวกัน AOE, ACD เปนรูปสามเหลี่ยมคลาย
EO = DC EO = 22 \ EO = \ EF =
AE = AO AD AC 1 2 22 = 11 หนวย 2 EO + OF = 15 + 11 \ EF = 26 หนวย ตอบ ดาน EF ยาว 26 หนวย
ขอสังเกต การเรียกชื่อรูปสามเหลี่ยมคลายนั้น จะตองเรียกเรียงตามลําดับของมุมที่ เทากันมุมตอมุม
111
ตัวอยางที่ 13 จากรูปทีก่ ําหนดได จงคํานวณดาน CD
วิธีคํานวณ จากรูปเมื่อ ABˆC = DCˆB แสดงวา AB // CD และ AEˆB = CEˆB (มุม ตรงขาม) เปนรูปสามเหลี่ยมคลายกัน ทําให ABE, DCE
AB DC 15 DC 15 DC \ 15 5
\
DC
BE
= CE = 12 = 17 - 12
AE DE
12
= 5 = 12 DC 15 5 = 12
25
= 4 = 6.25 เซนติเมตร ตอบ ดาน DC ยาว 6.25 เซนติเมตร ขอสังเกต - รูปสามเหลี่ยมเทากันทุกประการ นับเปนกรณีหนึ่งของรูปสามเหลี่ยมคลายกัน แต รูปสามเหลี่ยมคลายกัน ไมจําเปนตองเทากันทุกประการ - ดานที่สมนัยกัน หมายถึง ดานที่อยูตรงขามกับมุมที่เทากัน ซึ่งจะนําไปเขาสัดสวน กันไดเมื่อเปนรูปสามเหลี่ยมคลาย
112
วงกลม มุมภายในวงกลม และสี่เหลี่ยมที่บรรจุในวงกลม กอนที่จะศึกษาตอไป เพื่อเปนการทบทวนในสิ่งที่ไดศึกษามาบางแลว จะไดกลาวถึง นิยามบางประการเกีย่ วกับเรื่องวงกลม และสวนเกี่ยวของ 1 ลักษณะของวงกลม 1. วงกลม (A circle) คือ รูปบนระนาบซึ่งเกิดจากจุดที่เคลือ่ นที่ไป โดยมีระยะหาง จากจุดทีคงที่จดุ หนึ่งมีระยะคงที่โดยตลอด 2. จุดที่คงที่เรียกวา จุดศูนยกลาง (Centre) 3. เสนโคงที่ลอมรอบจุดเรียกวา เสนรอบวงกลม (Circumference) 4. ระยะที่คงที่ระหวางจุดศูนยกลางไปยังเสนรอบวงกลมเรียกวา รัศมี (Radius) 5. เสนตรงที่ลากจากเสนรอบวงระหวางจุด 2 จุดเรียกวา เสนคอรด (Chord) 6. เสนคอรดที่ลากผานจุดศูนยกลางจะเปนเสนคอรดที่ยาวที่สดุ เรียกใหมวา เสนผาน ศูนยกลาง (Diameter) 2 คุณสมบัติของวกลม 1. พื้นที่วงกลม = π r 2 22 เมื่อ r = รัศมี, = คาคงที่ (ประมาณ ) 7 2 หรือพื้นที่วงกลม d = 4 เมื่อ d = เสนผาศูนยกลาง 2. ความยาวของเสนรอบวง = 2π r 3. มุมที่จุดศูนยกลางของวงกลมจะโตเปนสองเทาของมุมที่เสนรอบวงซึ่งอยูบนสวน โคง (Arc) เดียวกัน ดังแสดงในรูป
รูปที่ 37
113
จากรูปที่ 37 (1) และ (2) จะไดวา
= 2d
และรูปที่ 37 (3) จะไดวา มุมกลับ BOˆC = 2 BAˆC 4. มุมในสวนโคงของวงกลมเดียวกันจะเทากัน
รูปที่ 38 จากรูปที่ 38 (1) บนสวนโคง BC \ BAˆC = BPˆC = BQˆC = ………… จากรูปที่ 38 (2) บนสวนโคง BC (ดานลาง) \ BAˆC = BDˆC = …………….. 5. มุมที่อยูในครึ่งวงกลมของวงกลมใด ๆ จะเปนมุมฉาก
รูปที่ 39 จากรูปที่ 39 (1), (2) AB เปนเสนผานศูนยกลาง \ APˆB = AQˆB = 90 องศา
114
6. มุมตรงขามของรูปสี่เหลี่ยมใด ๆ ที่บรรจุภายในวงกลมรวมกันยอมเทากับสองมุมฉาก
รูปที่ 40 จากรูปที่ 40 1ˆ + 3ˆ = 180 องศา และ 2ˆ + 4ˆ = 180 องศา
ขอสังเกต ขอนี้เปนผลสืบเนื่องมาจากเหตุผลที่วามุมที่จดุ ศูนยกลางจะเปน 2 เทาของ มุมที่เสนรอบวง แตเพราะวามุมรอบจุดศูนยกลาง 360 องศา จึงทําใหมุมที่เสนรอบวงเปน 180 องศา 7. มุมภายนอกของรูปสามเหลี่ยมที่บรรจุภายในวงกลมจะเทากับผลบวกของมุมภายใน ที่อยูตรงขาม
รูปที่ 41 จากรูป 41 ABˆP เปนมุมภายนอกของรูปสามเหลี่ยม ABC \ ABˆP = BAˆC + ACˆB หรือ 4ˆ = 1ˆ + 2ˆ
115
8. มุมภายนอกใด ๆ ของรูปสี่เหลี่ยมที่บรรจุภายในวงกลมจะเทากับมุมภายในที่อยูตรง ขาม
จากรูป 42 ABP เปนมุมฉากนอกของรูปสี่เหลี่ยม ABCD \ ABˆP = ADˆC หรือ 2ˆ = 1ˆ ขอสังเกต 2ˆ + 3ˆ = 180 องศา 1ˆ + 3ˆ = 180 องศา
วงกลม เสนสัมผัสวงกลม และการหาจุดศูนยกลางของวงกลม 1 ลักษณะเสนสัมผัสวงกลม คือ เสนตรงที่ลากจากภายนอกวงกลมมาแตะวงกลมวงหนึง่ ๆ เพียงจุดหนึ่งและจุดเดียว เทานั้น เมื่อตอปลายเสนสัมผัสออกไปสักเทาใดก็ตามจะไมมีโอกาสตัดเสนรอบวง 2 คุณสมบัติของเสนสัมผัสวงกลม 1. เสนสัมผัสวงกลมจะตั้งฉากกับรัศมี 2. เมื่อลากเสนตั้งฉากกับเสนสัมผัส ณ จุดสัมผัส จะผานจุดศูนยกลางของวงกลม 3. จากจุดภายนอกวงกลมจะลากเสนสัมผัสวงกลมวงหนึ่ง ๆ ได 2 เสน 4. เมื่อวงกลม 2 วงสัมผัสกันภายในวงกลม ลากเสนสัมผัสรวมได 1 เสน (รูปที่ 43 (2))
รูปที่ 43 ( 1 )
รูปที่ 43 ( 2 )
รูปที่ 43 ( 3 )
116
5. เมื่อวงกลม 2 วงตัดกัน ลากเสนสัมผัสรวมไดเพียง 2 เสน มีคอรดรวม 1 เสน (รูปที่ 43 (1)) 6. เมื่อวงกลม 2 วงแตะสัมผัสกันภายนอก ลากเสนสัมผัสรวมได 3 เสน (รูปที่ 43 (3) 7. ถาวงกลม 2 วงสัมผัสกันและกันแลว จุดศูนยกลางของวงกลมทั้งสอง และจุด สัมผัสรวมจะอยูในแนวเสนตรงเดียวกัน
รูปที่ 44 จากรูปที่ 44 O และ Q เปนจุดศูนยกลางของวงกลมทั้งสอง P เปนจุดสัมผัสรวม ดังนั้น P และ Q อยูในแนวเสนตรงเดียวกัน จากจุดภายนอกวงกลมจุดหนึ่ง ลากเสนตรงไปยังจุดศูนยกลางของวงกลม เสนตรงนีจ้ ะ แบงครึ่งมุมของเสนสัมผัสทั้งสอง
รูปที่ 45
ครึ่ง PAˆQ
จากรูปที่ 45 AP และ AQ สัมผัสวงกลมที่ P และ Q O เปนจุดศูนยกลางของวงกลม AO แบง \ PAˆO = QAˆO
117
การหาจุดศูนยกลางของวงกลม ในการหาจุดศูนยกลางของวงกลมนัน้ แบงเปน 2 ประการ 1. มีวงกลมอยูแลว จะหาจุดศูนยกลางวงกลมนัน้ 2. ยังไมมีวงกลม และจะสรางวงกลมตามเงื่อนไขบางประการ (จะยังไมกลาวถึง) การหาจุดศูนยกลางของวงกลมเมือ่ มีวงกลม 1. ใชหลักวาเสนแบงครึ่งและตั้งฉากกับคอรด ผานจุดศูนยกลาง
O
วิธีสราง (รูปที่ 48) 1. ลากเสนคอรด AB และ CD ยาว พอควร 2. แบงครึ่งคอรด AB และ CD ที่จุด P และ Q 3. ลากเสนตั้งฉากที่ P และ Q ตัดกันทีจ่ ุด จุด O เปนจุดศูนยกลางของวงกลม (ดังรูปที่ 48)
รูปที่ 48 ขอสังเกต ถาแบงครึ่งวงกลมโดยใชวงเวียน เสนแบงครึ่งจะตั้งฉากกับคอรดดวย ซึ่งไม ตองสรางใหม 2. ใชหลักเกณฑที่วา มุมภายในครึ่งวงกลมเปนมุมฉาก วิธีสราง สรางรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก 2 รูป บรรจุในวง กลมเดียวกัน ดานตรงขามมุมฉากของรูป สามเหลี่ยมตัดกันที่จุด O เพราะฉะนั้น O เปน จุดศูนยกลางของวงกลมตามตองการ (ดังรูปที่ 49) รูปที่ 49
118
A
3. การหาจุดศูนยกลางวงกลมโดยอาศัยหลักเสนสัมผัสยอมตั้งฉากกับรัศมี ณ จุดสัมผัส วิธีสราง 1. ลากเสน AB และ PQ สัมผัสวงกลมที่จุด C P และ R ตามลําดับ (AB ตองไมขนานกับ PQ) R 2. ที่จุด C และ R ลากเสนตั้งฉากไปตัดกัน ที่จุด O O Q \ จุด O เปนจุดศูนยกลางวงกลม (ดังรูปที่ 50) B C
รูปที่ 50 4. การหาจุดศูนยกลางของวงกลม โดยอาศัยหลักที่เสนแบงครึ่งระหวางเสนสัมผัส 2 เสน ที่ลากจากจุดเดียวกัน จะตองผานจุดศูนยกลาง วิธีสราง 1. จากจุดภายนอกวงกลม AP ลากเสนสัมผัส วงกลม 2 คู จาก A สัมผัสวงกลมที่ B และ C จาก P สัมผัสวงกลมที่ O และ Q 2. ลาก AO แบงครึ่ง BAC ลาก PO แบง ครึ่ง PQR เสน AO ตัดกับ PO ที่จุด O ดังนั้น O เปนจุดศูนยกลางของวงกลม (ดังรูปที่ 51) รูปที่ 51
5. การหาจุดศูนยกลางของวงกลม โดยใชเครื่องมือเฉพาะซึ่งเรียกวา เซนเตอรเฮดคอม มิเนชั่น (Combination sets with Center Head)
รูปที่ 52
119
ตัวอยางที่ 14 วงกลมวงหนึ่งมีรัศมี 10 เซนติเมตร จุด A อยูหางจากวงกลม 20 เซนติเมตร จงหาวา เสนสัมผัสที่ลากจาก A ไปสัมผัสวงกลมยาวเทาใด วิธีคํานวณ จากรูป สมมติวาจุด A อยูหางจากวงกลม 20 เซนติเมตร รัศมี OB = 10 เซนติเมตร \ AB สัมผัสวงกลม \ ABˆO = 90 องศา และ AO = AX + XO รูปที่ 53
= 20 + 10 ซม. = 30 เซนติเมตร
ABO เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
AB2 = AO2 + OB2 = 302 + 102 ซม.2 = 900 + 100 ซม.2 = 1,000 ซม.2 1,000 \ AB ซม. = 10 10 AB = 31.26 ซม. ตอบ เสนสัมผัสยาว 31.26 เซนติเมตร
จะได
ตัวอยางที่ 15
ณ จุด A อยูบนถนนสายหนึ่ง นรินทรเดินทางลัดทุงนาไปในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เปนระยะทาง 120 เมตร สําหรับอินทราเดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเปนระยะทาง 85 เมตร จงหาวาขณะนั้นนรินทรและอินทรายืนหางกันกี่เมตร
120
รูปที่ 54
วิธีคํานวณ นรินทรเดินไปทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้น ทางเดินทํามุม 45o กับทิศเหนือไปที่ B อินทราเดินไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ดังนั้น ทางเดินทํามุม 45o กับทิศเหนือไปที่ C \ ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ระยะที่ทั้งสองหางกันคือ BC \ BC2 = AB2 + AC2
BC2 = 1202 + 852 = 14,400 + 7,225 = 21,625 \ BC = 21,625 \ BC = 147.05 ตอบ นรินทรและอินทรายืนหางกัน 147.05 เมตร
ม.2 ม.2 ม.2 ม. ม.
ตัวอยางที่ 16
งานชิ้นหนึ่งตองเจาะรูแผนโลหะเปนวงกลมดังรูป จงหาระยะระหวางจุดศูนยกลางของ วงกลม AC, AB, AE
121
รูปที่ 55 วิธีคํานวณ จากรูปที่ 55
(1)
AC = AD – CD ซม. = 11 – 4 ซม. ซม. \ AC = 7
(2) ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก \ AB2 = AC2 + BC2 = 72 + 52 = 49 + 25 = 74 \ AB = 74 AB = 8.60 (3) AE2 = AD2 + DE2 = 112 + 52 = 121 + 25 = 146 \ AE = 146 = 12.08 ตอบ AC = 7 เซนติเมตร AB = 8.60 เซนติเมตร AE = 12.08 เซนติเมตร
ซม.2 ซม.2 ซม.2 ซม.2 ซม. ซม.2 ซม.2 ซม.2 ซม.
122
การใชเรขาคณิตในงานชาง วิชาเรขาคณิตมีความจําเปนในงานชางเปนอยางมาก ไมวาจะเปนงานดานกอสราง งาน โลหะ งานสํารวจ งานออกแบบ และอื่น ๆ มากมาย ปญหาแตละปญหานี้อาจมีวิธีแกไดหลายแบบ หลายวิธี หรือใชคณิตศาสตรแขนงอื่นเขาชวยดวย เชน พีชคณิต ตรีโกณมิติ เปนตน ทั้งนีก้ ็ตอง แลวแตปญหาแตละปญหา ซึ่งวิธีการก็ตองเลือกใหเหมาะสมกับปญหานั้น ๆ ดังตัวอยางตอไปนี้ ตัวอยางที่ 17 เพลากลมอันหนึ่งมีเสนผานศูนยกลาง 4.9 เซนติเมตร วางไวบนรางรูปตัววี (V-Shape) มีความลึก 3.5 เซนติเมตร จงหาวาตัวเพลาสูงพนจากปากรางขึ้นมากี่เซนติเมตร เมื่อรางเอียง 45 องศากับแนวราบ วิธีคํานวณ ให h = ระยะที่เพลาสูงพนปากราง พิจารณาจากรูปที่ 56 \ h = PR – 3. = (PO + OR) - 3.5 และ OPˆQ = 45o = SPK \ POˆQ = 50o นั่นคือ PQ = OQ = ซม. (เพราะ OPˆQ = 45o )
PQ 2 OQ 2 4.9 2 4.9 2 = 3.46 ซม. = 2 2 4.9 \ h = ( 3.46 + 2 ) - 35 = 2.41 ซม.
\ OP =
ตอบ เพลาสูงพนปากรางขึ้นมา 2.41 เซนติเมตร ตัวอยางที่ 18
จากตัวอยางที่ 17 ถารางเอียง 60 องศา จงหาวาจุดศูนยกลางเพลาจะอยูสูงจากกนราง เทาใด และดานบนเพลาสูงจากรางเทาใด
123
รูปที่ 57 วิธีคํานวณ พิจารณา OPQ เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
OQ = 4.9 2 ซม. (รัศมีวงกลม) OPˆQ = 90 - 60 = 30 และ จากตรีโกณมิต;ิ = sin 30 4.9 OQ = 2 \ OP = 1 sin 30 2 \ OP = 4.9 ซม. \ เพลาสูงจากราง h = (OP + OR) - 3.5 4.9 = (4.9 + 2 ) - 3.5 = 3.85 ซม. ตอบ จุดศูนยกลางอยูสูงกวากนราง 4.9 เซนติเมตร เพลาสูงพนรางขึ้นมา 3.85 เซนติเมตร ทราบความยาว
ตัวอยางที่ 19 จากรูปขางลาง สมมติวาเปนแบบหนาตัดดานขางของอาคาร จงหาระยะ CE เมื่อ FE = 1.5 เมตร
รูปที่ 58
124
วิธีคํานวณ จะใชเรขาคณิตหรือตรีโกณมิติชว ยก็ได ในทีน่ ี้ควรเลือกใชวิธีเรขาคณิตจะ ดีกวา
CE = AD = CF AC EF DC CE 1.2 \ 1.5 = 3.0 1.5 1.2 \CE = 3.0 = 0.6 เมตร \ CE
\ ดานสมนัยกันไดสัดสวนกัน คือ
ตอบ ดาน CE ยาว 60 เซนติเมตร ขอสังเกต การเขาสัดสวนควรเลือกเอาดานที่เราตองการทราบไวเปนเศษ และอยู ดานซายของสมการ เพื่อสะดวกในการคํานวณ และจะใชในคูที่ทราบคาของมัน 3 ใน 4 จํานวน
125
บทที่ 4 พื้นที่และปริมาตร นิยาม 1. สวนสูงหรือความสูง (The Altitude or Height) ของรูปสี่เหลี่ยมดานขนานคือ ระยะของ เสนตั้งฉากระหวางดานทีก่ ําหนดใหเปนฐานกับดานตรงขาม 2. สวนสูงหรือความสูง (The Altitude or Height) ของรูปสามเหลี่ยมคือ ระยะของเสนตั้ง ฉากที่ลากจากมุมที่อยูตรงขามกับฐาน มาตั้งฉากกับฐานหรือสวนตอของฐาน
รูปที่ 1
จากรูปที่ 1 (1) , (2) รูปสามเหลี่ยม ABC และรูปสามเหลี่ยม DEF อยูระหวางเสนคูขนาน CH และ BF ดังนั้น ADQP เปนรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก โดยที่ AP = DQ 3. พื้นที่ของรูปตาง ๆ หมายถึง พื้นที่ผิวของรูปที่อยูภายในเสนลอมรอบ 4. พื้นที่มีหนวยเปนตารางหนวยของมาตราทีก่ ลาวถึงความยาวนั้น ๆ 5. หนึ่งตารางหนวย (A Square Unit) หมายถึง พื้นที่หนึ่งตารางหนวยที่สรางบนดานที่ยาว หนึ่งหนวยความยาวนั้น ๆ วิธีคํานวณพื้นที่รปู สามเหลี่ยม 1. พื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานไมเทา (Oblique Triangles) พื้นที่ = ½ x ฐาน x สูง = ½xbxh เมื่อ b = ความยาวฐาน h = สวนสูง
126 ตามรูปที่ 2 (1), (2) ขอสังเกต การกําหนดดานจะเขียนดวยตัวเขียนเล็ก และอยูตรงขามกับมุม เขียนดาน a จะตอง อยูตรงขามมุม A
รูปที่ 2 2. พื้นที่รูปสามเหลี่ยมที่ทราบความยาวดานทั้งสาม พื้นที่ A = s ( s a)( s b)( s c) เมื่อ A แทนที่พื้นที่รูปสามเหลี่ยม a, b, c แทนความยาวของดานทั้งสาม (รูปที่ 2)
s
เทากับ
abc 2
ตัวอยางที่ 1 รูปสามเหลี่ยม ABC มีดานทั้งสามยาว 9, 12 และ 15 เซนติเมตร ตามลําดับ จงคํานวณหา พื้นที่รูปสามเหลี่ยม ABC
วิธีคํานวณ 1 ใชสูตร พื้นที่รูปสามเหลี่ยม A =
s ( s a)( s b)( s c)
จากโจทย a = 9, b = 12, c = 15, s = 9 12 15 2
= 18
แทนคาในสูตรจะได 18(18 9)(18 12)(18 15) A = = 18 x9 x 6 x3 A = 54 ตารางเซนติเมตร ตอบ พื้นที่รูปสามเหลี่ยม ABC เทากับ 54 ตารางเซนติเมตร
127 วิธีคํานวณ 2 ถาเราพิจารณาความยาวดานทั้งสามจะเห็นวาเปนสัดสวน 9 : 12 : 15 = 3 : 4 : 5 ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก = ½ x 12 x 9 พื้นที่ A = 54 ตารางเซนติเมตร ตอบ พื้นที่รูปสามเหลี่ยม ABC เทากับ 54 ตารางเซนติเมตร พื้นที่รูปสี่เหลี่ยม
s
1. พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส A = s2
s
เมื่อ A = พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส s = ความยาวของดาน 2. พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผา
รูปที่ 4
a
b
A = ab เมื่อ A = พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผา
a = ความกวาง b = ความยาว
รูปที่ 5
b a
3. พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมดานขนาน A = bh, ab sin
h
รูปที่ 6
A = พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมดานขนาน a = ความยาวดานขาง b = ความยาวฐาน = มุมระหวางดาน 2 ดาน
128
4. พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมคางหมู A=
1 h(a b) 2
เมื่อ A = พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมคางหมู h = ความสูงระหวางคูขนาน a, b = ความยาวของดานคูข นาน รูปที่ 7 หมายเหตุ รูปสี่เหลี่ยมคางหมูทรงหนาจั่ว มีดานไมขนานกันยาวเทากัน 5. พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมดานไมเทา A=
รูปที่ 8
1 d ( p q) 2
เมื่อ A = พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมดานไมเทา d = ความยาวเสนทแยงมุม p, q = ความยาวของเสนกิ่ง
หมายเหตุ เสนทแยงมุมจะใช BD ก็ได ซึ่งก็ตองลากเสนกิง่ ใหม 6. พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูน 1. A = bh 2. A =
รูปที่ 9
1 d1d 2 2
เมื่อ A = พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูน b = ความยาวดาน (ฐาน) h = ความสูง d1 , d 2 = ความยาวเสนทแยงมุมทั้งสอง
หมายเหตุ เสนทแยงมุมรูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูน ยอมแบงครึ่งและตั้งไดฉากซึ่งกันและกัน
129 ตัวอยางที่ 2 จงหาพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมคางหมูรูปหนึ่งมีดานคูขนานยาว 12.3 และ 15.7 เซนติเมตร สูง 11 เซนติเมตร วิธีคํานวณ พื้นที่ A
=
1 h(a b) 2
จากโจทย h = 11, a = 12.3, b = 15.7 แทนคา จะได 1 A = 2 11 (12.3 15.7) 1 = 2 11 28
A = 154 ตารางเซนติเมตร ตอบ พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมคางหมูเทากับ 154 ตารางเซนติเมตร
รูปที่ 10
ตัวอยางที่ 3 รูปสี่เหลี่ยมดานขนานรูปหนึ่งมีพื้นที่ 270 ตารางนิ้ว ถาดานคูขนานคูหนึ่งยาวดานละ 18 นิ้ว จงคาความสูง วิธีคํานวณ พื้นที่ A = bh จากโจทย A = 270 ตารางนิว้ , b = 18 นิ้ว, H=? แทนคาในสูตร จะได 270 = 18 h h รูปที่ 11
=
270 18
h = 15 นิ้ว ตอบ สวนสูงของรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน เทากับ 15 นิ้ว
130
ตัวอยางที่ 4 ABCD เปนรูปสี่เหลี่ยมดานไมเทา มีดาน AB=12 นิ้ว BC=15 นิ้ว CD=14 นิ้ว DA=10 นิ้ว และเสนทแยงมุม AC = 16 นิ้ว จงหาพื้นที่รูปสี่เหลี่ยม ABCD
รูปที่ 12
วิธีคํานวณ แบงพื้นที่เปนรูปสามเหลี่ยม 2 รูป จะได พื้นที่รูปสี่เหลี่ยม ABCD = พื้นที่รูปสามเหลี่ยม ABC + พื้นที่รูปสามเหลี่ยม ACD สูตร พื้นที่รูปสามเหลี่ยม A = s ( s a )( s b )( s c ) ใน
ABC;
s = 1 12 15 16 2 s = 21.5
พื้นที่รูปสามเหลี่ยม ABC
ใน
Δ ACD;
= 21.5(21.5 12)(21.5 15)(21.5 16) = (21.5)(9.5)(6.5)(5.5) = 7,301.9375 = 85.45 ตารางนิว้
s=
1 (16 14 10 2
s = 20 พื้นที่รูปสามเหลี่ยม ACD
= 20(20 16)(20 14)(20 10) = (20)(4)(6)(10) = 4,800 = 69.28 ตารางนิว้ พื้นที่รูปสี่เหลี่ยม ABCD = 85.45 + 69.28 = 154.73 ตารางนิว้ ตอบ พื้นที่รูปสี่เหลี่ยม ABCD เทากับ 154.73 ตารางนิ้ว
131 พื้นที่ระนาบเอียง พื้นที่ระนาบเอียง = พื้นที่ในแนวราบ (พื้นที่แปลน)
cos
รูปที่ 13
พื้นที่ระนาบเอียง ABCD = A' B' x B' C' cos θ
ตัวอยางที่ 5
รูปที่ 14
วิธีคํานวณ พื้นที่ระนาบเอียงทั้งหมด = พื้นที่ระนาบเอียง ADEF + พื้นที่ระนาบเอียง BCEF พื้นที่ระนาบเอียง ADEF = พื้นที่ระนาบเอียง BCEF = 2 x พื้นที่ระนาบเอียง ADEF พื้นที่ทั้งหมด = 2 พื้นที่แปลน cosθ = 2 2.5x 80 cos30
132 = =
40 3 2 80
3
=
80 1.732
= 46.19 ตารางเมตร ตอบ พื้นที่ระนาบเอียงทั้งหมดเทากับ 46.19 ตารางเมตร ตัวอยางที่ 6
จงหาพื้นที่หลังคาที่มีจั่วกวาง 9 เมตร อาคารยาว 30 เมตร และมีมุมที่ฐาน 60 องศา
รูปที่ 15
วิธีคํานวณ พื้นที่ระนาบเอียง = พื้นที่ในระนาบ (พื้นที่แปลน) cos θ จากโจทย พื้นระนาบกวาง = 9 เมตร ยาว = 30 เมตร และจั่วทํามุม = 60 องศา = 9 x30o พื้นที่หลังคา cos60 = 9 x 30 1 2 = 540 ตารางเมตร ตอบ พื้นที่หลังคาที่อยูในระนาบเอียงเทากับ 540 ตารางเมตร
133 พื้นที่เซกเตอรและเซกเมนต นิยาม เซกเตอร (Sector) คือ รูปที่ถูกลอมดวยรัศมี 2 เสน และเสนโคงของวงกลมที่อยู ระหวางรัศมีทั้งสองนั้น (ดังรูปที่ 16)
พื้นที่เซกเตอร A=
πr 2 .
θ
360
(360 องศา = π เรเดียน)
เมื่อ A = พื้นที่เซกเตอร r = รัศมีวงกลม A = ความยาวของสวนโคงที่รองรับมุมทีจ่ ุดศูนยกลาง = มุมที่จุดศูนยกลาง ตัวอยางที่ 7 จงหาพื้นที่เซกเตอรที่จุดศูนยกลางรองรับ 120 องศา และรัศมี 35 เซนติเมตร วิธีคํานวณ
พื้นที่เซกเตอร = r 2.
v 360
จากโจทย r = 35, = 120 o แทนคาจะได o 2 120 A = π 35 o 360 = 1 352 3 = 1 1,225 3 1 22 = 3 1,225 7 = 1,283.3 ตารางหนวย ตอบ พื้นที่เซกเตอรเทากับ 1,283.3 ตารางหนวย
134 นิยาม เซกเตอรของวงกลม คือ รูปซึ่งลอมรอบดวยเสนคอรดเสนหนึ่ง และเสนคอรด 1 เสน จะแบงเสนโคงของวงกลมออกเปน 2 สวน ซึ่งมี 2 เซกเมนต ขอสังเกต เสนคอรดของเซกเมนตบางครั้งเรียกวาฐานของเซกเมนต
A=
1 2 r sin 2
เมื่อ A = พื้นที่ (สวนที่แรเงา) r = รัศมีวงกลม = มุมที่รองรับเซกเมนต ขอสังเกต 1. เมื่อ แทนคาโดด ๆ ตองเปลี่ยนองศาเปนหนวยเรเดียน 2. 180 องศา = เรเดียน หรือ 1 องศา = 0.01745 เรเดียน นิยาม มุม 1 เรเดียน คือ มุมที่จุดศูนยกลางของวงกลมซึ่งรองรับสวนโคง (วัดแนบตามแนว โคง) ที่มีความยาวกับรัศมี ตัวอยางที่ 8 จงหาพื้นที่ของบเซกเมนตหรือสวนของวงกลมที่มีรัศมี 6 เซนติเมตร และมุมที่รองรับสวน โคงที่จุดศูนยกลางเทากับ 85 องศา
135 วิธีคํานวณ จากสูตร
A
=
จากโจทย
r 180 องศา
= 6 เซนติเมตร = 85 องศา = เรเดียน
85 องศา
=
x85
=
22 85 7 180 = 1.48 เรเดียน
เนื่องจาก
แทนคาในสูตร จะได
A
1 2 r sin 2
180
1 = 2 6 2 1.48 sin 85o = 36 1.484 0.996 2
= 18 0.488 = 8.784 ตารางเซนติเมตร ตอบ พื้นที่เซกเมนต (สวนที่แรเงา) เทากับ 8.784 ตารางเซนติเมตร หมายเหตุ 1. ในการหาพื้นที่เซกเมนตนี้ เราอาจจะใชวิธีหาพื้นทีข่ องเซกเตอร (Sector) และหา พื้นที่รูปสามเหลี่ยมนํามาลบกันก็ได 2. ถาจะหาพื้นที่สวนใหญจะตองใชมุมที่รองรับ จากตัวอยางที่ 8 เมื่อหาพื้นที่เซกเมนต ใหญ คา 360 o 85o 275 องศา ความยาวของสวนโคง (Arc Length) การหาความยาวของสวนโคง
a=r ( มีหนวยเปนเรเดียน) เมื่อ a = ความยาวของสวนโคง r = รัศมีวงกลม = มุมที่รองรับสวนโคง รูปที่ 21
136 หรือจะหาความยาวสวนโคงโดยเทียบจากมุมที่รองรับสวนโคงนั้น ๆ ก็ได กลาวคือ ความยาวเสนรอบวง = 2 r แตเสนรอบวงมีมุมรอบจุดศูนยกลาง = 360 องศา นั้นคือ มุม 360 องศา รับสวนโคง = 2 r
องศารับสวนโคง = 2 r .
สวนโคงของวงกลมคือ a =
360
2 r.
360
ตัวอยางที่ 9 วงกลมวงหนึ่งรัศมี 14 นิ้ว จงหาความยาวสวนโคงที่รองรับมุมที่จุดศูนยกลาง 115 องศา
1. วิธีคํานวณ จากสูตร ความยาวสวนโคง จากโจทย
แทนคา จะได ความยาวสวนโคง
a = r a=? r = 14 นิ้ว = 115 องศา = 115 x 0.01745 = 2.007 เรเดียน
a = 2.007 x 14
= 28.098 นิ้ว ตอบ สวนโคงยาวเทากับ 28.098 นิ้ว 2. การคํานวณโดยใชเทียบความยาวเสนรอบวงกลมกับมุมที่รองรับสวนโคง จากสูตร ความยาวสวนโคง จากโจทย r =
a = 2 r.
360 14 นิ้ว, = 115 องศา, 22 7
แทนคา จะได
22 115 a = 2 7 14 360 = 28.10 นิ้ว ตอบ สวนโคงของวงกลมยาวเทากับ 28.10 นิ้ว
ความยาวสวนโคง
137 หมายเหตุ การคํานวณวิธีที่ 1 และ 2 นี้ เหตุผลที่ไดคําตอบไมเทากัน ก็เพราะในวิธีที่ 2 ใชคาของ
22 7
ซึ่งเปนคาที่หยาบมาก ถาจะใชคา
ใหละเอียดยิ่งขึ้น
หรือใช
ที่มีคาเดียวกัน
ก็จะไดคา
ตอบเหมือนกัน คาของ 22 (เปนคาหยาบ ๆ) และคาจริงของ = 3.14159265358979323846… 7 รูปวงรี (Ellipse)
รูปที่ 23 นิยาม รูปวงรี คือ รูปที่มีเสนรอบรูปเกิดจากรอยตัดทรงกระบอก หรือกรวยกลมโดยแนวตัด ไมขนานกับแกนหลักใด ๆ ลักษณะวงรี วงรีจะมีแกน 2 แกน เรียกวา แกนยาว (Major Axis) และแกนสั้น (Minor Axis) เสนแกนทั้งสองจะตั้งฉากกัน เมื่อกําหนดใหแกนยาวขอวงรีเทากับ 2a แกนสั้นของวงรีเทากับ 2b และจุด P(x y) เปนพิกัด ใด ๆ บนเสนโคงวงรี แลวสมการทั่วไป ไดแก x2 y2 1 (มีจุดศูนยกลางอยูที่จุดกําเนิดคือ จุด (0, 0)) a2 b2
138 พื้นที่วงรี เมื่อตัดรูปทรงกระบอกในแนวเฉียง (ดังรูปที่ 24) และมองภาพหนาตัด จะเห็นพื้น ผิวหนาตัดเปนรูปวงรี (Ellipse)
รูปที่ 24 ตามที่เราไดศึกษาวิธกี ารหาพื้นที่ระนาบเอียงมาแลว ในที่นี้พื้นที่ของวงรีก็เปนพืน้ ที่ที่อยูใน ระนาบเอียงทํามุม กับพื้นที่หนาตัดตรงของทรงกระบอกคือพื้นที่รูปวงกลม จากที่มาวา
พื้นที่ในระนาบเอียง =
พื้นที่ในระนาบ
โดยทฤษฎีเดียวกัน จะไดวา พื้นที่รูปวงรี =
(พื้นที่แปลน)
cos θ
พื้นที่วงกลม
cos θ
ถากําหนดให A แทนพื้นที่วงกลมรัศมี a พื้นที่วงกลม A = a 2 และ
Cos =
a b
พื้นที่วงกลม
จากสูตร ; พื้นที่รูปวงรี = แทนคา ; รูปที่ 25 ความยาวของเสนรอบวง เมื่อ s แทนความยาวเสนรอบรูปวงรี
a แทนความยาวครึ่งแกนยาว b แทนความยาวครึ่งแกนสั้น
cos θ
2
พื้นที่วงรี =
a
พื้นที่วงรี =
a b
a b
139 จะไดวา ความยาวเสนรอบรูปวงรีคือ S=
โดยประมาณ
2(a 2 b 2 )
หมายเหตุ - สูตรนี้หาไดโดยใชการคํานวณวิชาแคลคูลัสในเรื่องการหาความยาวของสวนโคง - ในหนังสือบางเลม ให a แทนความยาวแกนสั้น และ b แทนความยาวแกนยาว ซึ่งก็จะได สูตรผิดกันไปซึ่งก็ใชไดเชนกัน ตัวอยางที่ 10 กําหนดใหวงรีรูปหนึ่งมีความยาวแกนยาว 6 เซนติเมตร ความยาวแกนสั้น 4 เซนติเมตร จง คํานวณพื้นที่วงรีและเสนรอบรูป
รูปที่ 26
วิธีคํานวณ จากสูตร
พื้นที่วงรี A =
จากโจทย
a=
a b 6 4 3, b = 2 2 2
แทนคา จะได พื้นที่วงรี A = 3 2 = 6 ตารางเซนติเมตร และเพราะวา ความยาวเสนรอบรูป s = 2(a 2 b 2 ) จากโจทย a = 3, b = 2, s = ? แทนคา จะได s = 2(9 4) = 2.6 = 5.099 เซนติเมตร ตอบ วงรีพื้นที่เทากับ 6 ตารางเซนติเมตร ความยาวของเสนรอบรูปวงรีเทากับ 5.099 เซนติเมตร
140 ตัวอยางที่ 11 วงรีวงหนึ่งมีเสนแกนยาว 12.6 นิ้ว ถาปรากฏวามีพื้นที่เทากับ 75.6 ตารางนิ้ว จงหาความยาว แกนสั้น วิธีคํานวณ จากสูตร จากโจทย
พืน้ ที่วงรี A =
a b
A = 75.6 ตารางนิว้ 2a = 12.6 นิ้ว a = 6.3 นิ้ว
แทนคาในสูตร 75.6 = (6.3)b b = 75.6 (6.3)4 = 3.82 นิ้ว ตอบ ความยาวแกนสั้นเทากับ 3.82 นิ้ว การหาพื้นที่และปริมาตรของรูปทรงตาง ๆ การหาพื้นที่และปริมาตรของรูปทรงตาง ๆ สามารถแบงออกเปนประเภทตาง ๆ ที่สําคัญได ดังตอไปนี้ - ปริซึม - ทรงกระบอก - พีระมิด - พีระมิดทรงยอดตัด - กรวย - กรวยยอดตัด 1. ปริซึม (Prism) นิยาม ปริซึม คือ รูปทรงใด ๆ ที่มีพื้นที่หนาตัดหัวทายเหมือนกัน ขนานกัน และเปน รูปเหลี่ยมเทากันโดยตลอด ถาหนาตัดหัวทายตั้งฉากกับเสนขอบรูปเรียกวา ปริซึมฐานฉาก ถาหนาตัดหัวทายไมตั้งฉากกับขอบเรียกวา ปริซึมฐานเหลีย่ ม แตถากลาววาปริซึมโดย ทั่ว ๆ ไป จะหมายถึง ปริซึมฐานฉาก
141
รูปที่ 27
จากที่ไดศกึ ษามาแลว นักเรียนเคยหาปริมาตรของรูปทรงเหลี่ยมมุมฉาก หรือรูปกลองใส ของตาง ๆ (ดังรูปที่ 28) โดยคํานวณหาปริมาตรเทากับ กวาง x ยาว x สูง เมื่อพิจารณาก็จะเห็นวา กวาง ยาว ก็คือพื้นที่ฐานนั่นเอง
รูปที่ 28
= กวาง ยาว สูง = พื้นที่ฐาน สูง ดังนั้นจากเหตุผลเดียวกันนี้ ไมวาฐานของปริซึมจะมีรูปรางอยางใดก็ตาม โดยอาศัยนิยามของ ปริซึม เราจะไดวา
ปริมาตรของรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก
ปริมาตรปริซึม = พื้นที่ฐาน สูง หรือ V = Ah เมื่อ
V แทนปริมาตรปริซึม A แทนพื้นที่ฐาน h แทนสวนสูง หมายเหตุ สูตรนี้จะใชไดทั้งปริซึมเอียงดวย
142 ตัวอยางที่ 12 จงหาปริมาตรของปายชื่อเปนแทงไมสามเหลี่ยมรูปปริซึม ดานหนาติดทั้ง 2 ดาน มีขนาด 8 8 10 เซนติเมตร ยาว 40 เซนติเมตร
รูปที่ 29
วิธีคํานวณ จากรูปที่ 29 หนาตัดเปนรูปสามเหลี่ยม ซึ่งทราบความยาวดานทั้งสาม จากสูตร พืน้ ที่รูปสามเหลี่ยม = s( s a)( s b)(s c) จากโจทย a = 10, b = 8, c = 8 s
10 8 8 2
= 13 พื้นที่รูปสามเหลี่ยม
จากสูตร ปริมาตรปริซึม จากโจทย พื้นที่ฐาน แทนคาในสูตรจะได ปริมาตรปริซึม
A = 13(13 10)(13 8)(13 8) = 13x3x5x5 = 5 39 A = 31.22 ตารางเซนติเมตร = พื้นที่ฐาน สูง = 31.22 ตารางเซนติเมตร, สวนสูง = 40 เซนติเมตร
= 31.22 40 = 1,248.8 ลูกบาศกเซนติเมตร ตอบ ปริมาตรแทงไมสามเหลี่ยมรูปปริซึมเทากับ 1,248.8 ลูกบาศกเซนติเมตร
143
ตัวอยางที่ 13 จงหาปริมาตรรางอาหารสัตว ซึ่งหัวทายเปนรูปสี่เหลี่ยมคางหมูหนาจั่ว มีดานทีข่ นานกันยาว 8 นิ้ว และ 12 นิ้ว รางนี้ลึก 7 นิ้ว และยาว 5 ฟุต
รูปที่ 30
วิธีคํานวณ จากสูตร ปริมาตรปริซึม = พื้นที่ฐาน สูง จากรูปที่ 30 หนาตัดเปนรูปสี่เหลี่ยมคางหมู สูตร พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมคางหมู = จากโจทย a = 8, b = 12, h = 7
1 h( a b) 2
1 = 2 7(12 8) = 70 ตารางนิ้ว จากสูตร ปริมาตรปริซึม = พื้นที่ฐาน สูง ปริมาตรรางอาหารสัตว = พื้นที่ฐาน ยาว ในที่นี้พนื้ ที่หนาตัด 70 ตารางนิ้ว, ความยาวของราง (สูง) = 5 12 = 60 นิ้ว แทนคาจะได ปริมาตรรางอาหารสัตว = 70 60 = 4,200 ลูกบาศกนวิ้ ตอบ ปริมาตรรางอาหารสัตวเทากับ 4,200 ลูกบาศกนิ้ว
พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมคางหมู (ฐาน)
144 2. ทรงกระบอก (Cylinder) นิยาม ทรงกระบอก คือ รูปทรงที่มีพื้นที่หนาตัดตรงเปนวงกลมและตั้งฉากกับแกน โดยมีรูปทรงเทากันโดยตลอด หนาตัดทั้งสองขนานกัน เมื่อกําหนดให r แทนรัศมีวงกลมหนาตัด
d h A v
พื้นที่หนาตัด A
แทนเสนผาศูนยกลางวงกลมหนาตัด แทนความสูงหรือความยาวทรงกระบอก พื้นที่หนาตัด แทนปริมาตรทรงกระบอก
=
หรือ A =
r 2 4
d2
……….(1) ………(2)
จากแนวความคิด ปริมาตรของรูปทรงสม่ําเสมอจะเทากับพื้นที่ฐาน x ความสูงหรือความยาว
ปริมาตรทรงกระบอก V = Ah หรือ V = r 2 h
……….(3) ………(4)
พื้นที่ผิวทรงกระบอก จะประกอบดวยพืน้ ที่หนาตัด 2 ขาง (เมื่อเปนทรงกระบอกตันหรือมีฝา) รวมกับพืน้ ที่ผิวดานขาง ซึ่งพื้นที่ผวิ ดานขางนั้นถาเราพิจารณายืดแผออกก็คือรูปสี่เหลี่ยมผืนผานั่นเอง พื้นที่ผิวดานขาง = เสนรอบวงกลม สูง = 2 r h ……….. (5) พื้นที่ผิวทรงกระบอกทั้งหมด = 2 (พื้นที่หนาตัด) + (พื้นทีผ่ ิวดานขาง) (1) 2 + (5) พื้นที่ผิวทั้งหมด = 2r 2 2r h
พื้นที่ผิวทั้งหมด = 2r (r h)
145 ตัวอยางที่ 14 ถังเก็บน้ําเปนรูปทรงกระบอกมีเสนผาศูนยกลางภายใน 2.5 เมตร สูง 2.2 เมตร จงหาความจุ ของถังน้ํา วิธีคํานวณ ปริมาตรทรงกระบอก V =
รูปที่ 32
d 2 4
h
จากโจทย d = 2.5, h = 2.2, = 3.142 แทนคาในสูตร จะได 3.142 2 ( 2. 5 ) x 2. 2 V = 4 = 10.80 ลูกบาศกเมตร ตอบ ปริมาตรถังน้ํารูปทรงกระบอก เทากับ 10.80 ลูกบาศกเมตร
ตัวอยางที่ 15 ตองการสรางถังเก็บน้ํากลมรูปทรงกระบอก เสนผาศูนยกลางภายใน 3.25 เมตร ใหมีความจุ น้ําไดอยางนอย 20 ลูกบาศกเมตร จะตองสรางถังสูงกี่เมตร วิธีคํานวณ ปริมาตรทรงกระบอก V =
4
d2 h
จากโจทย v = 20 ลูกบาศกเมตร,
d = 3.25 เมตร, h = ? แทนคาในสูตร จะได V
=
3.142 x(3.25) 2 xh 4
= 8.297h
h= รูปที่ 33
20 8.297
= 2.41 เมตร
ตอบ ตองสรางตัวถังใหสูงอยางนอย 2.41 เมตร
ขอสังเกต 1. ถาโจทยกําหนดความยาวรัศมีมาใหเราก็ใชสูตรที่เกีย่ วของกับรัศมี คือ พื้นที่หนาตัด A = r 2
146 ปริมาตร V = r 2 .h 2. หนวยการวัดตองใชหนวยเดียวกัน พื้นที่ผิวและปริมาตรรูปทรงหนาตัดเปนวงรี ถาจะพิจารณาในเรื่องนี้ จะเห็นวาคลายคลึงกับเรื่องรูปทรงกระบอก
รูปที่ 34
เมื่อกําหนดสวนของรูปทรงหนาตัดรูปวงรีดังนี้ แทนความยาวของแกนยาว ให 2a 2b
แทนความยาวของแกนสั้น
h
แทนความสูงหรือความยาวของรูปทรงวงรี ab
พื้นที่หนาตัดวงรี
= เสนรอบรูปวงรี = ดังนั้น พื้นที่ผวิ ดานขาง = = พื้นที่ผิวดานขาง สมการ (1) x 2 + (3) ; พื้นที่ผิวรูปวงรีรวม
2(a 2 b 2
………….(1) ………….(2)
เสนรอบรูป x ความสูง 2(a 2 b 2 ) xh
=
2ab 2(a 2 b 2 h
และ ปริมาตรรูปทรงวงรี = พื้นที่ฐาน สูง ปริมาตรรูปทรงหนาตัดวงรี =
abh
………….(3)
147
3. พีระมิด (Pyramid) นิยาม พีระมิด คือ รูปทรงที่มีฐานเปนรูปเหลี่ยม ดานขางเปนรูปสามเหลี่ยม มียอด แหลมเปนที่รวมของจุดยอดรูปสามเหลี่ยม ถาดานขางทุกดานทํามุมที่ฐานเทากับเรียกวา พีระมิดปกติ ถาทํามุมไมเทากันเรียกวา พีระมิดเอียง ถากลาวถึงพีระมิดลอย ๆ ใหหมายถึง พีระมิดปกติ
รูปที่ 35 นักเรียนศึกษาถึงการหาพื้นทีร่ ูปเหลี่ยมตาง ๆ และปริมาตรของปริซึมและทรงกระบอกมา แลว สําหรับปริมาตรของพีระมิดจะมีความสัมพันธกับปริมาตรของปริซึมที่มีฐานเดียวกัน และมีความ สูงเทากัน กลาวคือ จากการใชเครื่องมือทดลองทางวิทยาศาสตร ในการใหวัตถุแทนทีน่ ้ํา ตามวิธกี าร ของยูเรกา จะพบวาปริมาตรของพีระมิดจะเปน 1 ใน 3 ของปริมาตรปริซึมที่มีฐานเหมือนกันและสูง เทากัน (นักเรียนควรหาวิธีทดลองดู โดยใชวิธีเอาแทนที่น้ําตามวิธีทางวิทยาศาสตร) ทั้งนี้ไมวาจะเปน พีระมิดปกติหรือเอียงก็ตาม
148
ตัวอยางที่ 16 จงหาพื้นที่ผิวและปริมาตรของรูปทรงที่มีหนาตัดเปนรูปวงรีทั้งหัวทายเทากันโดยตลอด ซึ่ง หนาตัดมีแกนยาว 10 นิ้ว และ 8 นิ้ว เปนแทงยาว 35 นิ้ว
รูปที่ 36 วิธีคํานวณ พื้นที่ผิว จากสูตร พื้นที่หนาตัด = ab จากโจทย a = 5, b = 4, h = 35 (ใชคา π 3.142) = 2π 5 4 40 พื้นที่หนาตัด 2 ดาน = 40 3.142 = 125.68 ตารางนิ้ว จากสูตร พืน้ ที่ผิวดานขาง = 2(a 2 b 2 ) x h = 3.142 2( 52 4 2 ) x 35 = 3.142 9.055 35 = 995.80 ตารางนิ้ว พื้นที่ทั้งหมด = พื้นที่หนาตัด + พื้นที่ผิวขาง = 125.68 + 995.80 = 1,121.48 ตารางนิ้ว ตอบ พื้นที่ผิวภายนอกทั้งหมดเทากับ 1,131.48 ตารางนิว้ วิธีคํานวณ ปริมาตร จากสูตร ปริมาตร = ab h แทนคา; ปริมาตร = 3.142 5 4 35 = 2,199.4 ลูกบาศกนวิ้ ตอบ ปริมาตรรูปทรงหนาตัดวงรีนี้ 2,199.4 ลูกบาศกนิ้ว
แทนคา; พื้นที่ผิวดานขาง
149 การหาปริมาตรพีระมิด ถาให A h V
แทนพื้นที่ของพีระมิด แทนความสูง แทนปริมาตรพีระมิด
V=
1 Ah 3
สวนพื้นที่ดานขางของพีระมิดก็จะใชความรูในเรื่องการหาพื้นที่รูปสามเหลี่ยมมาใช (เมื่อ ทราบความยาวฐานและสวนสูง) หรือถาเราอาจทราบคามุมเอียงได ก็ใชวิธีการหาพื้นทีใ่ นระนาบเอียง มาใชได ถาเปนพีระมิดปกติ การหาพืน้ ที่ผิวขางก็หาพื้นที่รูปเดียว แลวเอาจํานวนรูปคูณ แตถาเปนพีระมิดเอียง จะตองพิจารณาพื้นทีร่ ูปสามเหลี่ยมดานขางทีละรูป เมื่อหาไดครบแลว ก็นํามาบวกกันเขาทุก ๆ สวน ก็จะเปนพืน้ ที่ทั้งหมดได ตัวอยางที่ 17 จงหาปริมาตรและพื้นที่ผิวทั้งหมดของพีระมิดที่มีฐานเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวดานละ 15 เมตร และสูง 20 เมตร
รูปที่ 37 วิธีคํานวณ หาปริมาตรของพีระมิด จากสูตร ปริมาตรพีระมิด V =
1 Ah 3
จากโจทยและดูรูป ความยาวของฐานดานละ 15 เมตร, พีระมิดสูง 20 เมตร ดังนั้นพื้นฐานของพีระมิด A = 15 2 = 225 ตารางเมตร 1 ปริมาตร = 3 225 20 = 1,500 ลูกบาศกเมตร ตอบ ปริมาตรพีระมิดเทากับ 1,500 ลูกบาศกเมตร
150 วิธีคํานวณ หาพื้นที่พีระมิด พื้นที่ทั้งหมด = พื้นที่ฐาน + 4 (พื้นที่ดานขางดานหนึ่ง) จากที่หามาแลว พื้นที่ฐาน = 225 ตารางเมตร พิจารณารูป รูปสามเหลี่ยม PBC มีฐาน = 15 เมตร เพราะวารูปสามเหลี่ยม POQ เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก PQ = PO 2 OQ 2 = (20) 2 (7.5) 2 = 400 56.25 = 356.25 = 21.36 เมตร
พื้นที่รูปสามเหลี่ยม PBC =
1 BC PQ 2
= 1 15 21.36 2 = 160.2 ตารางเมตร พื้นที่ทั้งหมด = พื้นที่ฐาน + 4 (พื้นที่รูปสามเหลี่ยม PBC) = 225 + 4 ( 160.2) = 865.8 ตารางเมตร ตอบ พื้นที่ทั้งหมดเทากับ 865.8 ตารางเมตร ตัวอยางที่ 18 พีระมิดฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวดานละ 15 เมตร และสูง 20 เมตร เปนพีระมิดเอียง ดังรูป ขางลางนี้ จงหาปริมาตรและพืน้ ที่ผิวทั้งหมด
รูปที่ 38 วิธีคํานวณ ปริมาตรพีระมิด จากสูตร ปริมาตรพีระมิด V =
1 Ah 3
151 จากโจทย ความยาวของฐานดานละ 15 เมตร, พีระมิดสูง 20 เมตร แทนคา ; V = 1 (1515) 20 3 = 1,500 ลูกบาศกเมตร ตอบ ปริมาตรพีระมิด เทากับ 1,500 ลูกบาศกเมตร วิธีคํานวณ หาพื้นที่ผิวทั้งหมด พื้นที่ทั้งหมด = พื้นที่ฐาน + พื้นที่ผิวดานขาง = (พื้นที่ ABCD) + (พื้นที่ OAB) + (พื้นที่ ODC) + (พื้นที่ OAD) + (พื้นที่ OBC) จากรูป OAB = ODC ขอสังเกต นักเรียนจะตองดูใหออกวา AO ตั้งฉากกับ AB, AP ตั้งฉากกับ BC เพราะวา OAQ เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก โดยทฤษฎีปทาโกรัส (ทบ.29 Hall & Steven) จะไดวา AO 2 = OQ 2 + AQ 2 = 202 + (7.5)2 AO = 400 56.25 = 21.36 เมตร (1) เพราะวา OPQ เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก โดยทฤษฎีปทาโกรัส (ทบ.29 Hall & Steven) จะไดวา OP2 = OQ 2 + PQ 2 = 202 + 152 AO = 400 225 = 625 = 25 เมตร รูปที่ 39 นําเอาคาที่กําหนดและคํานวณไวแลวมาแทนคา พื้นที่ผิวพีระมิด = พื้นฐาน + 2(พื้นที่ OAB)+(พื้นที่ OAD) +(พื้นที่ OBC) = (15 15) + 2 1 15 21.36 1 15 20 1 15 25 2 2 2 = 225 + 320.4 + 150 + 187.5 = 882.5 ตารางเมตร ตอบ พื้นที่ผิวทั้งหมดเทากับ 882.5 ตารางเมตร
152 4. พีระมิดทรงยอดตัด (Frustum of Pyramid) นิยาม พีระมิดทรงยอดตัด คือ พีระมิดที่ถูกตัดสวนบนออกโดยระนาบของเสนตัดขนานกับ ฐาน
รูปที่ 40 จากรูป พีระมิดทรงยอดตัดหมายถึง สวนบน A’ B’ C’ D’ จะถูกตัดออกไป ดังนั้น การหาปริมาตรพีระมิดทรงยอดตัดก็คือ การหาปริมาตรเดิมทั้งหมด แลวหาปริมาตร สวนที่ตัดออกนํามาหักออก และการคํานวณโดยละเอียดไดจากสูตร V = 1 h A1 A2 A1 A2 3 เมื่อ V แทนปริมาตรของพีระมิดทรงยอดตัด A1 , A2 แทนพื้นที่หนาตัดฐานและยอด
h แทนสวนสูงของพีระมิดเมื่อตัดแลว ฉะนั้น การหาพืน้ ที่ฐานก็จะตองใชความรูที่ไดศกึ ษามาแลววาเปนรูปเหลี่ยมชนิดใด (ถา พีระมิดปกติดานขางเปนรูปสี่เหลี่ยมคางหมู) พื้นที่ผิดทั้งหมดของพีระมิดยอดตัดจะเทากับพื้นที่ฐานลางรวมกับพืน้ ฐานบน รวมกับพืน้ ที่ ผิวดานขาง อนึ่ง ถาทราบมุมเอียง ( ) อาจใชวิธกี ารหาพื้นทีใ่ นระนาบเอียงมาชวยในการคํานวณได ตัวอยางที่ 19 จงคํานวณหาปริมาตรและพื้นที่ทั้งหมดของพีระมิดทรงยอดตัด มีหนาตัดฐานและยอดเปนรูป สี่เหลี่ยมจัตุรัส ฐานลางยาวดานละ 7 เซนติเมตร หนาตัดบนยาวดานละ 4 เซนติเมตร สูง 5 เซนติเมตร ดานขางทํามุม 77 องศากับฐาน
153
รูปที่ 41 วิธีคํานวณ หาปริมาตรพีระมิดทรงยอดตัด จากสูตร V = 1 h A1 A2 A1 A2 3 จากโจทย h = 5 เซนติเมตร
A1 = 7 7 = 49 ตารางเซนติเมตร A2 = 4 4 = 16 ตารางเซนติเมตร V = 1 5(49 16 49 16 ) 3 = 5 93 3 = 155 ลูกบาศกเซนติเมตร ตอบ ปริมาตรพีระมิดทรงยอดตัดเทากับ 155 ลูกบาศกเซนติเมตร วิธีคํานวณ หาพื้นที่ทั้งหมดของพีระมิดทรงยอดตัด พื้นที่ดานขางเปนรูปสี่เหลี่ยมคางหมู 4 รูป ซึ่งมีระนาบทํามุม 77 องศา กับฐาน (แปลน) พื้นที่แปลน(ราบ) พื้นที่ระนาบเอียง = cos θ ในที่นี้พนื้ ที่แปลน (สวนที่เงาของระนาบเอียงทับ) = พื้นที่ฐาน – พื้นที่หนาตัดบน = 49 – 16 = 33 ตารางเซนติเมตร รูปที่ 42 พื้นที่ดานขางทั้ง 4 ดาน = 33 (คา cos 77o = 0.2249) cos77 = 33 0.2249 = 146.73 ตารางเซนติเมตร แทนคา;
154 พื้นที่ผิวทั้งหมด
= 49 + 16 + 146.73 = 211.73 ตารางเซนติเมตร ตอบ พื้นที่ผิวทั้งหมดเทากับ 211.73 ตารางเซนติเมตร หมายเหตุ พื้นที่แปลนไมจําเปนตองเปนพื้นที่ฐาน ขอควรจําก็คือ ใชพื้นที่ที่เปนเงาฉาย (Projection) ของระนาบเอียง 5. กรวย (Cone) นิยาม กรวย คือ รูปทรงมีฐานเปนวงกลมและมียอดแหลม กรวย ปกติจะมีจุดปลายแหลมอยูในแนวแกนตั้งฉากที่ลากจูงจุดศูนยกลาง
รูปที่ 43 ในการคํานวณหาปริมาตรทําไดคลายกับการหาปริมาตรของพีระมิดคือเปน 1 ของปริมาตร 3 ปริซึม กลาวคือ ปริมาตรกรวยกลมก็จะเปน 1 ของทรงกระบอก 3 ถากําหนดให V แทนปริมาตรกรวยกลม r แทนรัศมีของปากกรวย h แทนความสูงในแนวตั้งฉาก แทนความยาวของแนวเอียง A แทนพื้นที่ดานขาง จะไดวา
พื้นที่ดานขาง; จากรูป
ปริมาตรกรวย V = 1 π r 2 h 3 A OQ
= r = PQ 2 OP 2 = r r2 h2
………..(1)
155 A = πr r2 h2
นั่นคือ
……….(2)
สูตรการหาพื้นทีด่ านขางใชไดทั้ง (1) และ (2) แลวแตวากําหนดสวนใดมาใหบาง หรือ แลวแตความสะดวก ตัวอยางที่ 20 จงหาปริมาตรและพื้นที่ของกรวยกลมตันที่มี เสนผาศูนยกลางปากกรวย 11 นิ้ว สูง 9 ½
รูปที่ 44
วิธีคํานวณ หาปริมาตรกรวย V = 1π r 2 h 3 จากโจทย r = 11 , h 19 (ใชคา = 3.142) 2 2 2 1 11 19 แทนคาจะได V = π 3 2 2 = 1 3.142 121 19 3 4 2 = 300.98 ลูกบาศกนวิ้ ตอบ ปริมาตรกรวยเทากับ 300.98 ลูกบาศกนิ้ว วิธีคํานวณ หาพื้นที่ผิวทั้งหมด ในขอนีโ้ จทยกําหนด h มาให เลือกใชสูตรหาพืน้ ที่ดานขางได A = πr r2 h 2 จากสูตร
= = = =
2 11 11 19 3.142 2 2 12 17.281 30.25 90.25 17.281 10.98 189.75 ตารางนิ้ว
พื้นที่ดานขางเทากับ 189.75 ตารางนิ้ว พื้นที่ผิวทั้งหมด = พื้นที่ฐาน + พื้นที่ดานขาง = r 2 พื้นที่ดานขาง
156 =
3.142 11 189.75 2 2
= 95.05 + 189.75 = 284.80 ตารางนิ้ว ตอบ พื้นที่ผิวทั้งหมดเทากับ 284.80 ตารางนิ้ว
6. กรวยยอดตัด (Frustum of Cone) นิยาม กรวยยอดตัด คือ กรวยที่ถกู ตัดยอดออกในแนวขนานกับฐาน เชนเดียวกับรูปพีระมิด ทรงยอดตัด ปริมาตรของกรวยยอดตัด คือ ผลตางระหวางปริมาตรกรวยรูปเดิมลบดวยปริมาตรกรวยสวน ยอดที่ถูกตัดออก สําหรับสูตรการคํานวณก็ใชสูตรเดียวกับสูตรพีระมิดทรงยอดตัดคือ
V = 1 h A1 A2 A1 A2 3 เมื่อ A1 , A2 แทนพื้นที่หนาตัดของกรวยดานฐานและบนยอดตามลําดับ
h แทนความสูงกรวยเมื่อตัดยอดแลว V แทนปริมาตรกรวยยอดตัด พื้นที่กรวยยอดตัดประกอบดวยพืน้ ที่หนาตัดสวนฐานและพื้นที่หนาตัดดานบนรวมกับพื้นที่ ผิวดานขาง ซึ่งก็มีวิธีการหาไดเชนเดียวกับการหาพื้นที่ระนาบเอียง หรือจะหาโดยใชสูตร ดังนี้ พื้นที่ผิวขาง = π R r เมื่อ R แทนรัศมีฐาน
r แทนรัศมียอด
แทนความสูงดานเอียง
157 ตัวอยางที่ 21 จงหาปริมาตรทอนเหล็กรูปกรวยตัด ซึ่งมีเสนผาศูนยกลางที่ฐาน 25 เซนติเมตร เสนผาน ศูนยกลางยอด 15 เซนติเมตร สูงตรง 20 เซนติเมตร
รูปที่ 46 วิธีคํานวณ จากสูตร
V = 1 h A1 A2 A1 A2 3
จากโจทย R = 25 , r 15 , h 20 (ใชคา = 3.142 ) 2 2 2 A1 = π 25 625 π 4 2 2 225 25 A2 = π π 4 2 1 625 225 625 225 แทนคาจะได; V = 3 20 4 π 4 π 4 π 4 π = 2,041.67 = 2,041.67 3.142 = 2,041.67 = 2,041.67 3.142 = 6,414.92 ลูกบาศกเซนติเมตร ตอบ ปริมาตรกรวยยอดตัดเทากับ 6,414.92 ลูกบาศกเซนติเมตร ขอสังเกต การแทนคา ครั้งสุดทายครั้งเดียวจะทําใหไดคาผิดพลาดนอยกวาแทนแตตน ๆ และปดเศษทิ้ง
158 ปริมาตรและพื้นทีผ่ ิวของทรงกรม (Sphere) นิยาม ทรงกลม คือ รูปทรงตันที่เกิดจาก พื้นที่รูปครึ่งวงกลมหมุนรอบแกนใดแกน หนึ่ง ซึ่งมีเสนผานศูนยกลางเปนแกนหมุน และผิวพื้นระนาบที่เกิดจากการตัดรูปทรง กลมจะเปนรูปวงกลมเสมอ จากการทดลองประกอบการคํานวณใน ทางคณิตศาสตรขั้นสูงหาไดวา ปริมาตรรูป ทรงกลมจะเปน 2 ใน 3 เทาของปริมาตรรูป ทรงกระบอกที่มีเสนผานศูนยกลางและสูง รูปที่ 47 เทากัน พื้นที่ผิวของทรงกลมจะเปน 4 เทาของพื้นที่วงกลมที่มเี สนผานศูนยกลางเทากัน ในการ ทดลองอาจทําไดโดยใชเสนเชือกมาขดใหรอบ ๆ จุดศูนยกลางของวงกลมใหเต็ม แลวลองมาใชหมุด ยึดและพันรอบ ๆ ทรงกลมใหทึบจนมิดทั้งลูก จะปรากฏวา เสนเชือกที่มีขนาดสม่ําเสมอ ที่ใชพันจน มิดลูกทรงกลม จะยาวเปน 4 เทา ของเสนที่พันจนเต็มวงกลม เสนผานศูนยกลางเดียวกัน วิธีคํานวณ ปริมาตรทรงกลม ; V = 4 πr 3 3 หรือ V = 1πd3 6 เมื่อ V แทนปริมาตรลูกทรงกลม r แทนรัศมีของทรงกลม หรือ d แทนเสนผานศูนยกลางวงกลม และจะไดวา พื้นที่ผิวลูกทรงกลม, A = 4πr 2 หรือ = πd2 ตัวอยางที่ 22 ลูกทุมน้ําหนักลูกหนึ่งมีเสนผานศูนยกลาง 5 นิ้ว จงหาวามีน้ําหนักกี่กโิ ลกรัม ถาวัตถุที่ใชทํา 1 ลูกบาศกนวิ้ หนัก 22.5 กรัม วิธีคํานวณ ปริมาตรทรงกลม V = 4 πr 3 3
159 จากโจทย รัศมีลูกทุมน้ําหนัก ; r = 5 นิ้ว 2 3 4 5 V = π ลบ.นิ้ว 3 2 = 4 π 125 ลบ.นิ้ว 3 8 = 125 π ลบ.นิ้ว 6 = 125 3.142 ลบ.นิ้ว 6 = 65.458 ลบ.นิ้ว 1 ลูกบาศกนวิ้ หนัก 22.5 กรัม ลูกทุมน้ําหนัก = 22.5 65.458 กรัม = 1,472.81 กรัม ตอบ ลูกทุมน้ําหนักทรงกลมหนัก 1,472.81 กรัม ตัวอยางที่ 23 จงหาพื้นที่ผิวและปริมาตรลูกเทเบิลเทนนิส (ปงปอง) จํานวน 72 ลูก ถาแตละลูกมีเสนผาน ศูนยกลาง 3.5 เซนติเมตร วิธีคํานวณ พื้นที่ผิว; A = πd2 ในที่นี้ d = 3.5 เซนติเมตร A = π 3.5 2 ตร.ซม. = (3.142)(3.5)2 ตร.ซม. = 38.4895 ตร.ซม. = 38.4895 72 ตร.ซม. 72 ลูก จะมีพื้นที่ = 2771.244 ตร.ซม. ตอบ พื้นที่ผิวลูกเทเบิลเทนนิส 72 ลูก เปน 2771.24 ตารางเซนติเมตร 4 ปริมาตร v π r 3 3 3.5 ในที่นี้ r = เซนติเมตร 2 = 3.142 ใช 3 4 3.5 v 3.142 ลบ.ซม. 3 2 = 22.452 ลบ.ซม.
160 รวม 72 ลูก มีปริมาตร
= 22.452 72 ลบ.ซม. = 1,616.56 ลบ.ซม. ตอบ ปริมาตรลูกเทเบิลเทนนิส 72 ลูก 1,616.56 ลูกบาศกเซนติเมตร ปริมาตรและพื้นทีผ่ ิววงแหวนกลม (O – ring) ลักษณะวงแหวนกลมก็ตองนึกถึงภาพนําเสนลวดกลมโต นํามาขดเปนวงกลมอีกที่หนึ่ง นั่นเอง ดังนัน้ ปริมาตรของวงแหวนก็คือ การหาปริมาตรทรงกระบอกที่มีฐานเปนพื้นที่หนาตัดกลม และสวนสูงก็คือ ความยาวของเสนรอบวงกลม ซึ่งตองคิดเฉลี่ยเอากึ่งกลาง เมื่อกําหนดใหวงแหวนกลม มี a แทนรัศมีวงใน
b แทนรัศมีวงนอก v แทนปริมาตรวงแหวน A แทนพื้นที่ผิว
รูปที่ 48
จะได v = 1 π 2 b a b a 2 4 และ A = π 2 b 2 a 2 หรือ A = π 2 b a b a
ในการคํานวณนี้ถาเรากําหนดให d แทนความหนาของวงแหวน และ D แทนเสนผาน ศูนยกลางเฉลี่ย b a สามารถเขียนเปนสูตรไดใหมคือ 2 ปริมาตร V = 1 π Dd 2 4 และพื้นที่ผิว A = π 2 Dd. ทั้งนี้แลวแตจะเห็นวาวิธีใดสะดวกกวากัน ผลลัพธเทากันทั้งสองวิธี ดังตัวอยางตอไปนี้
หรือโจทยกําหนดมาใหในลักษณะใด
จะได
ตัวอยางที่ 24 ขนมโดนัททําเปนรูปวงแหวนกลมสม่ําเสมอ ถาขนมแตละอันมีเสนผานศูนยกลางใน 1.5 นิ้ว เสนผานศูนยกลางวงนอก 3 นิ้ว จงคํานวณหาปริมาตรขนมโดนัทแตละอัน
161
รูปที่ 49 วิธีคํานวณ
ปริมาตรวงแหวนในรูป
= 1 π 2 ( b a)( b a) 2 4 a = 1.5 นิ้ว = 3 นิ้ว 2 4 b = 3 นิ้ว 2 = 3.14 ใช 2 1 3 3 3 2 3 v (3.14) 4 2 4 2 4 2 1 9 3 2 = (3.14) 4 4 4 = 3.12 ลูกบาศกนวิ้ ตอบ ปริมาตรขนมโดนัทแตละอันประมาณ 3.12 ลูกบาศกนิ้ว V
ตัวอยางที่ 25 หวงเหล็กรูปวงแหวนกลม ใชสําหรับรัดหัวเสาสะพานแหงหนึ่ง เสนผานศูนยกลางเฉลี่ย 35 เซนติเมตร หวงเหล็กหนา 4 เซนติเมตร จงหาวาหนักกี่นิวตัน (เนื้อเหล็ก 1 ลูกบาศกเมตร หนัก 72,500 นิวตัน) วิธีคํานวณ + (อาศัยรูปจากตัวอยาง 3.22) 1 v π 2 D d 2 4 ในที่นี้ D = 35 ซม. d = 4 ซม. = 3.14 ใชคา v = 1 π 2 (b a)(b a) 2 4 1 2 ลบ.ซม. v 3.14 35 4 2 4
162 = 1380.344 ลบ.ซม. แต 1 ลูกบาศกเมตร = 100 100 100 = 1,000,000 ลบ.ซม. เหล็ก 1,000,000 ลบ.ซม. หนัก 72,500 นิวตัน 72 ,500 1380.344 เหล็ก 1380.344 ลบ.ซม. หนัก = 1,000 ,000 = 100.07 นิวตัน ตอบ หวงเหล็กหนัก 100.07 นิวตัน -----------------------------------------------------------
163
บทที่ 5 ภาคตัดกรวย วงกลม พาราโบลา วงรี และไฮเพอรโบลา เปนเสนโคงทีเ่ กิดจากการตัดกรวยกลมตรงดวย ระนาบ เราจึงเรียกเสนโคงเหลานี้วาภาคตัดกรวย วงกลมที่เกิดจาการที่เรานําเอาพื้นราบตัดกรวยกลมตรง ลักษณะตั้งฉากกับแกนกรวย
พาราโบลาเกิดจากการที่เรานําพื้นราบตัดกรวยกลมตรง ในลักษณะขนานกับแนวดานขางกรวย
วงรีเกิดจากการที่เรานําพื้นราบตัดกรวยกลมตรงเพียงสวนเดียว ในลักษณะไมขนานกับแนวดานขางกรวย และไมตั้งฉากกับ แกนกรวย
ไฮเพอรโบลาเกิดจากการที่เรานําเอาพื้นราบตัดกรวยกลม ทั้งสองสวนของกรวย
164 วงกลมที่เกิดจากการที่เรานําพื้นราบตัดกรวยกลมตรง ในลักษณะทีต่ ั้งฉากกับแกนของกรวย
นิยาม
วงกลม คือ เซตของจุดบนระนาบทุกจุดที่อยูหางจาก จุดคงที่จดุ หนึ่ง เปนระยะทางเทากันเสมอ สมการวงกลมที่มจี ุดศูนยกลางอยูที่จุด ( O, O ) และรัศมีเทากับ r หนวย คือ
x y 2
สมการวงกลมที่มีจุดศูนยกลางอยูที่ จุด ( h, k ) และรัศมีเทากับ r หนวย คือ
(x-h)
2
2
y r
( y - k )2 r 2
( h, k ) O
สมการวงกลมทุกสมการเขียนอยูใ นรูปทั่วไปไดคือ
x 2 + y 2 + Ax + By + C
เมื่อ A , B , C เปนคาคงตัว
r2
= 0
P ( x, y )
x
165 ตัวอยางที่ 1 จงเขียนกราฟและหาสมการวงกลม ที่มีจุดศูนยกลางที่จุด ( O, O ) และรัศมี เทากับ 3 หนวย วิธีทํา สมการวงกลมที่มีจดุ ศูนยกลาง ( O, O ) และรัศมี r หนวย คือ
x2 y2 x2 y2 x2 y2
r2 32 9
ตัวอยางที่ 2 จงเขียนกราฟและหาสมการวงกลมที่มีจุดศูนยกลางที่จุด ( - 1, 2 ) และ รัศมี เทากับ 2 วิธีทํา วงกลมมีจุดศูนยกลาง ( h, k ) = ( - 1, 2 ) รัศมี r สมการวงกลม คือ
=
2
( x h ) 2 + ( y k )2 = r 2 (x + 1) 2 + (x - 2) 2 = 2 2 x 2 2x + 1 + y 2 4 y + 4 = 4 x 2 y 2 2 x 4 y 1 0
y
(- 1, 2 ) -2
(- 1, 0 ) O
ตัวอยางที่ 3 จงหาจุดศูนยกลาง รัศมี จากสมการวงกลม x 2 y 2 2x - 6y 6 0 x 2 y 2 2x 6y 6 0 วิธีทํา จาก ( x 2 2x ) ( y 2 6y ) 6 ( x 2 2 x 1 ) ( y 2 6y 9 ) 6 1 9 ( x 1 ) 2 + (y 3 ) 2 = 4 (x 1 ) 2 + ( y 3) 2 = 2 2 เทียบกับสมการ
( x h) 2 + ( y k) 2
= r2
h = 1. k = 3 และ r = 2 ดังนั้น วงกลมมีจุดศูนยกลาง ( 1, 3 ) มีรัศมีเทากับ 2 หนวย
1
2
x
166 ตัวอยางที่ 4 จงหาสมการวงกลมและเขียนกราฟของวงกลมตามเงื่อนไขที่กําหนดใหดังตอไปนี้ ( ก ) วงกลมมีจดุ ศูนยกลางที่ ( 0, 0 ) และรัศมีเทากับ 2 ( ข ) วงกลมมีจดุ ศูนยกลางที่ ( 0, 2 ) และรัศมีเทากับ 4 ( ค ) วงกลมมีจดุ ศูนยกลางที่ ( - 1, 0 ) และรัศมีเทากับ 3 ( ง ) วงกลมมีจุดศูนยกลางที่ ( - 1, 2 ) และรัศมีเทากับ 4 วิธีทํา (ก) วงกลมมีจดุ ศูนยกลางที่ ( 0, 0 ) และรัศมีเทากับ 2 คือ
x2 y2 r2 x 2 y 2 22 x2 y2 4
วงกลมมีจุดศูนยกลาง C ( h, k ) = C ( 0, 2 )
(ข)
h = 0 และ k = 2 วงกลมมีรัศมี r = 4 สมการคือ ( x h ) 2 + ( y k ) 2 = r 2 ( x 0 )2 + ( y 2)2 = 4 2
x 2 + y 2 4 y 4 = 16 x 2 + y 2 4 y 12 = 0 (ค)
วงกลมมีจุดศูนยกลาง C ( h, k ) = C ( - 1, 0 )
y
h = - 1 และ k = 0 วงกลมมีรัศมี r
( - 4, 0 ) C (- 1, 0 )
O
( 2, 0 )
x
= 3
สมการคือ ( x h ) 2 + ( y k ) 2 = r 2 r 2 (x 1) 2 + ( y 0 ) 2 = 3 2
x 2 + 2x 1 y 2 = 9 x 2 + y 2 2x 8 = 0
167 วงกลมมีจุดศูนยกลาง C ( h, k ) = C ( - 1, 2 ) h = - 1 และ k = 2 วงกลมมีรัศมี r
= 2
สมการคือ ( x h ) 2 + ( y k ) 2 = r 2 ( x 1 )2 + ( y 2 ) 2
= 22
x 2 + 2x 1 y 2 4 y 4 = 4 x 2 + y 2 2x 4 y 1 = 0 ตัวอยางที่ 5 จงหาจุดศูนยกลาง รัศมี และเขียนกราฟของวงกลมจากสมการทีก่ ําหนดให ตอไปนี้
x 2 + y 2 4x 4y 1 = 0 จากสมการ x 2 + y 2 2x 4y1 = 0 (x 2 4x ) + ( y 2 4y ) = 1 ( x 2 4x + 4 ) + ( y 2 4y 4 )
= 1+4+4
( x 2) 2 + ( y 2) 2 = 3 2 เทียบกับ
( x - h ) 2 + ( y k )2 = r 2
h = - 2, k = 2 และ r = 3 นั่นคือ วงกลมนี้มจี ุดศูนยกลางที่ ( - 2, 2 ) และรัศมีเทากับ 3 วงรีเกิดจากการที่เรานําพื้นราบตัดกรวยกลมตรงเพียงสวนเดียว ในลักษณะไมขนานกับ แนวดานขางกรวย และไมตั้งฉากกับแกนของกรวย
นิยาม
ขอสังเกต
วงรี คือ เซตของจุดบนระนาบทุกจุด ที่ผลบวก ของระยะทางจากจุดเหลานี้ไปยังจุดคงที่ 2 จุด มี คาคงที่เสมอ จากจุดคงนี้เรียกวา “ โฟกัส “ ของวงรี
168
( x - h )2 a2
( ก ) วงรีตามแนวแกน x สมการคือ
1. 2. 3. 4. 5. 6.
+
(y - k ) 2
b2
=
1
จุดศูนยกลาง C ( h, k ) จุดโฟกัส F (h + c, k) และ F h - c, k) จุดยอด V(h + a, k) และ V(h - a, k) ความยาวของแกนเอก W = 2 a ความยาวของแกนโท BB = 2 b ความยาวของเลตัสเรกตัม AA = DD 2 = 2b
a
x2 a2
ถาจุดศูนยกลาง C ( h, k ) = C ( 0, 0 ) แลว สมการคือ
( ข ) วงรีตามแนวแกน y สมการ คือ
y2 b2
+
(y - k ) 2 ( x - h )2 + a2 b2
=
=
1
1
1. จุดศูนยกลาง C ( h, k ) 2. จุดโฟกัส F (h + c, k) และ F h - c, k) 3 จุดยอด V(h + a, k) และ V(h - a, k) 4 ความยาวของแกนเอก W = 2 a
=
2b 2
5. ความยาวของแกนโท BB = 2 b 6. ความยาวของเลตัสเรกตัม AA = DD
a
ถาจุดศูนยกลาง C ( h, k ) = C ( 0, 0 ) แลว สมการคือ
ขอควรจําสําหรับวงรีทั้งสองรูป คือ a มีคามากกวา b เสมอ
x2 a2
+
y2 b2
=
1
169
a b c
=
ระยะหางระหวางจุดศูนยกลางกับจุดยอด
=
ระยะหางระหวางจุดศูนยกลางกับจุดปลายขางหนึ่งของแกนโท
=
ระยะหางระหวางจุดศูนยกลางกับจุดโฟกัส
ความสัมพันธระหวาง a, b และ c เปนดังนี้เสมอ คือ
a2 b2 c2 สมการในรูปทั่วไปของวงรี เขียนอยูในรูป Ax 2 By 2 Cx Dy F
0
โดยที่ A, B มีเครื่องหมายเหมือนกัน และ A B ตัวอยางที่ 6 จงหาจุดโฟกัส จุดยอด ความยาวแกนเอก ความยาวแกนโท ความยาวของ เลตัสเรกตัม และเขียนกราฟของสมการวงรี 25 x 2 + 16 y 2 = 400
วิธีทํา
จากสมการ 25 x 2 + 16 y 2 = 400 นํา 400 หารทั้ง 2 ขางของสมการ
x2 + y2 16 25 2 x + y2
1
= =
1
หรือ
y2 + x2 2 2
=
1
เทียบกับ
y2 + x2 a 2 b2
=
1
42
a
52
5
=
5 และ b
จาก
=
4
4
b2 c2
a2
25 C2
= 16 + c 2 = 9
C
= 3
170
สมการนี้เปนรูปวงรีตามแนวแกน y ซึ่งมีลักษณะดังนี้ 1. จุดโฟกัส F ( 0, 3 ) และ F( 0, - 3 ) 2. จุดยอด V ( 0, 5 ) และ V ( 0, - 5 ) 3. ความยาวของแกนเอก W = 2 a = 10 หนวย 4. ความยาวของแกนโท BB = 2 b = 8 หนวย 5. ความยาวของเลตัสเรกตัม 2 2 2b 2(4) AA = DD = = = 32 หนวย 5 5 a
ตัวอยางที่ 7 จงหาจุดศูนยกลาง จุดโฟกัส จุดยอด ความยาวแกนเอกและโท ความยาวของ เลตัสเรกตัม และเขียนกราฟของสมการวงรี 4 x 2 + 9 y 2 24x 36y 36 = 0 วิธีทํา จากสมการ 4 x 2 + 9 y 2 24x 36y 36 = 0 ( 4x 2 24x ) + ( 9y 2 36y ) = - 36 4( x 2 6x ) + 9( y 2 4y ) = - 36 4( x 2 6x 9 ) + 9( y 2 4y 4) = - 36 + 36 + 36 4( x 3 ) 2 + 9( y 2 ) 2 = - 36 นํา 36 หารตลอดสมการ ( x - 3 )2 + ( y 2 )2 = 1 9 4 2 ( x - 3 ) + ( y 2 )2 = 1 22 32 เทียบกับ
( x - h )2 + ( y k ) 2 = 1 b2 a2
h = 3, k = - 2 และ a2 จากความสัมพันธ 9 C2 C
b =2
b2 c2
= 4 + C2 = 5 = 5
171
สมการนี้เปนรูปวงรีตามแนวแกน x ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้ 1. ศูนยกลาง C ( h , k ) และ = C ( 3, - 2 ) 2. จุดโฟกัส F ( h + c, k ) = F ( 3 + 5 , - 2 ) F ( h - c, k ) = F ( 3 - 5 , - 2 ) 3. จุดยอด V ( h + a, k ) = V ( 6 , - 2 ) V ( h - a, k ) = V ( 0 , - 2 ) 4. ความยาวของแกนเอก W = 2 a = 2 ( 3 ) = 6 หนวย 5. ความยาวของแกนโท BB = 2 b = 2 ( 2 ) = 4 หนวย 6. ความยาวของเลตัสเรกตัม 2 2 AA = DD = 2b = 2(2) = 8 หนวย a 3 3 พาราโบลาเกิดจากการที่เรานําพื้นราบตัดกรวย กลมตรง ในลักษณะขนานกับแนวดานขางกรวย นิยาม
พาราโบลา คือ เชตของจุดบนระนาบทุกจุด ที่อยู หางจากจุดคงที่จดุ หนึ่ง และเสนคงที่เสนหนึ่ง เปนระยะทางเทากันเสมอ สมการพาราโบลา สมการพาราโบลา ( y k ) 2 = 4c ( x h ) จุดยอดอยูที่ V ( h, k ) จุดโฟกัสอยูที่ F ( h + c, k ) สมการไดเรกตริกซ คือ x = h – c ความยาวของเลตัสเรกตัม AB = 4C แกนของพาราโบลา คือ y = k ถาจุดยอด V ( O, O ) แลว สมการ คือ
172
y 2 4 cx สมการพาราโบลา ( y k ) 2 = - 4c ( x h ) จุดยอดอยูที่ V ( h, k ) จุดโฟกัสอยูที่ F ( h - c, k ) สมการไดเรกตริกซ คือ x = h + c ความยาวของเลตัสเรกตัม AB = 4C แกนของพาราโบลา คือ y = k ถาจุดยอด V ( 0, 0 ) แลว สมการ คือ y 2 4 cx สมการพาราโบลา ( x h ) 2 = - 4c ( y k ) จุดยอดอยูที่ V ( h, k ) จุดโฟกัสอยูที่ F ( h, k + c ) สมการไดเรกตริกซ คือ y = k - c ความยาวของเลตัสเรกตัม AB = 4c แกนของพาราโบลา คือ x = h ถาจุดยอด V ( O, O ) แลว สมการ คือ
x2
4 cy
สมการพาราโบลา ( x h ) 2 = -4c ( y k ) จุดยอดอยูที่ V ( h, k ) จุดโฟกัสอยูที่ F ( h, k- c ) สมการไดเรกตริกซ คือ y = k + c ความยาวของเลตัสเรกตัม AB = 4c แกนของพาราโบลา คือ x = h ถาจุดยอด V ( O, O ) แลว สมการ คือ
x2
4 cx
173
ขอควรจํา 1. ระยะทางระหวางจุดยอด V กับจุดโฟกัส F เทากับระยะทางระหวางจุดยอด V กับเสนไดเรกตริกซเทากับ c เสมอ 2. รูป ก. เรียกวา พาราโบลาเปดขวา รูป ฃ. เรียกวา พาราโบลาเปดซาย รูป ค. เรียกวา พาราโบลาหงาย รูป ง. เรียกวา พาราโบลาคว่ํา 3. รูปทั่วไปของพาราโบลาเปนดังนี้ คือ y 2 Ay Bx C รูป ก. ข. x 2 Ax By C รูป ค. ง. โดยที่ A, B และ C เปนคาคงตัว
O O
ตัวอยางที่ 8 จงหาสมการพาราโบลาที่มีจุดยอดอยูที่ ( O, O ) และจุดโฟกัสที่จุด ( 3, O ) วิธีทํา สมการพาราโบลามีจุดยอด V( O, O ) คือ y 2 4 cx และ c = 3 y2
y2
4 (3 )x 12 x
ตัวอยางที่ 9 จงหาสมการพาราโบลาที่มีจุดยอดอยูที่ ( 3, 2 ) และสมการไดเรกตริกซ คือ y = 5 วิธีทํา
จากรูป c = 5 – 2 = 3 จุดยอด V ( h, k ) = V ( 3, 2 ) h = 3 และ k = 2 สมการพาราโบลารูปนี้ คือ (x h )2 = - 4 c ( y k )
(x 3 )2 = - 4 ( 3 ) ( y 2 )
x 2 - 6x + 9 = - 12y + 24 x 2 + 12 y - 15 = O
174
ตัวอยางที่ 10 จงหาจุดยอด จุดโฟกัส ความยาวเลตัสเรกตัม สมการไดเรกตริกซ และแกน พาราโบลาของ x 2 = 6 y วิธีทํา
จาก
x2 = 6 y x 2 = 4 ( 32 ) y
3 c = 2 และจุดยอด คือ V ( O, O ) 3 จุดโฟกัส F ( O, 2 ) ความยาวเลตัสเรกตัม 3 AB = 4 c = 4 ( 2 ) = 6 หนวย 3 สมการไดเรกตริกซ y = - 2
แกนพาราโบลา
y = O
ตัวอยางที่ 11 จงหาจุดยอด จุดโฟกัส ความยาวเลตัสเรกตัม สมการไดเรกตริกซ และแกน พาราโบลาจากสมการพาราโบลา x 2 - 4 x + 8y - 20 = 0 วิธีทํา
จากสมการ x 2 - 4 x + 8y - 20 = 0
x 2 - 4 x = - 8y + 20 x 2 - 4 x + 4 = - 8y + 20 + 4 ( x 2 ) 2 = - 8y + 24 ( x 2 ) 2 = - 8( y + 3 ) ( x 2 ) 2 = -4 ( 2 ) ( y – 3 ) เทียบกับ ( x h ) 2 = - 4c ( y – k ) h = 2 และ k = 3 และ c = 2 ดังนั้น จุดยอด คือ V ( h, k ) = V ( 2, 3 ) จุดโฟกัส F ( h, k - c) = F ( 2, 1 ) ความยาวเลตัสเรกตัม AB = 4 c = 4 ( 2 ) = 8 หนวย สมการไดเรกตริกซ y = k + c = 5 แกนพาราโบลา y = h = 2
175
ไฮเพอรโบลา เกิดจากการที่เรานําพื้นราบ ตัดกรวยกลมตรงทั้ง 2 สวนของกรวย นิยาม
ไฮเพอรโบลา คือ เซตของจุดบนระนาบทุกจุดที่ ผลตางของระยะทางจากจุดเหลานี้ไปยังจุดคงที่ 2 จุด มีคาคงที่เสมอ
สมการไฮเพอรโบลา ( ก ) ไฮเพอรโบลาตามแนวแกน x สมการคือ (x h )2 a2
-
(y k )2 b2
= 1
1. จุดศูนยกลาง C ( h, k ) 2. จุดยอด คือ V ( h + a, k ) และ V( h - a, k ) 2. จุดโฟกัส F ( h + c , k) และ F ( h - c , k) 4. ความยาวของแกนตามขวาง W = 2 a หนวย 5. ความยาวของแกนสังขยุค BB = 2 b หนวย 6. ความยาวเลตัสเรกตัม 2 LR = 2 b หนวย
a
ถาจุดศูนยกลาง C ( h, k ) = C (0, 0 ) แลวสมการคือ
x2 - y2 = 1 a2 b2
176
( ข ) ไฮเพอรโบลาตามแนวแกน y สมการคือ (y k )2 a2
2 - ( x 2h ) = 1 b
1. จุดศูนยกลาง C ( h, k ) 2. จุดยอด คือ V ( h, k + a ) และ V( h, k- a ) 3. จุดโฟกัส F ( h, k + c ) และ F ( h, k- c ) 4. ความยาวของแกนตามขวาง W = 2 a หนวย 5. ความยาวของแกนสังยุค BB = 2 b หนวย 6. ความยาวของเลตัสเรกตัม 2 LR = 2 b หนวย
a ถาจุดศูนยกลาง C ( h, k ) = C (0, 0 ) แลวสมการคือ
y2 - x2 = 1 a2 b2
ขอควรจําสําหรับไฮเพอรโบลาทั้ง 2 รูป คือ
a = ระยะทางระหวางจุดศูนยกลางกับจุดยอด b = ระยะทางระหวางจุดศูนยกลางกับจุดปลายขางหนึ่งของแกนสังยุค c = ระยะทางระหวางจุดศูนยกลางกับจุดโฟกัส ความสัมพันธระหวาง a, b และ c เปนดังนี้เสมอ คือ สมการในรูปทั่วไปเขียนอยูในรูป คือ 1. ไฮเพอรโบลาตามแนวแกน x
c2 = a2 + b2
177
A x 2 - B y 2 + C x + Dy + F = O 2. ไฮเพอรโบลาตามแนวแกน y
Ay 2 - Bx 2 + Cx + Dy + F = O ตัวอยางที่ 12 จงหาจุดศูนยกลาง จุดยอด จุดโฟกัส ความยาวของแกนตามขวาง ความยาวของ แกนสังขยุค ความยาวของเรตัสเรกตัม และเขียนกราฟของสมการไฮเพอรโบลา
x2 y2 9 4
1
x2 y2 9 4 2 2 x y 2 2
วิธีทํา
3
2
x2 y2 a2 b2
เทียบกับสมการ
1
1
1
a = 3, b = 2, h = 0, และ k = 0
c2 = a2+ b2 c 2 = 9 + 4 = 13
จากความสัมพันธ
c =
13
สมการนี้เปนรูปไฮเพอรโบลาตามแนวแกน x ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้ 1. จุดศูนยกลาง C ( 0, 0 ) 2. จุดยอด V ( h + a, k ) = V ( 3, 0 ) V( h - a, k ) = V( - 3 , 0 ) 3. จุดโฟกัส F ( h + c, k) = F ( 13 , 0 ) F( h - c, k ) = F( - 13 , 0 ) 4. ความยาวของแกนตามขวาง W = 2 a = 2 ( 3 ) = 6 หนวย
178 5. ความยาวของแกนสังขยุค BB = 2 b = 2 ( 2 ) = 4 หนวย 6 ความยาวของเลตัสเรกตัม LR =
2 b2
8 2 ( 2 )2 = = หนวย 3 3
a
ตัวอยางที่ 13 จงหาจุดศูนยกลาง จุดยอด จุดโฟกัส ความยาวของแกนตามขวาง ความยาวของ แกนสังขยุค ความยาวของเรตัสเรกตัม และเขียนกราฟของสมการไฮเพอรโบลา
9y 2 - 25 x 2 - 18y - 100x - 316 = 0
9y 2 - 25x 2 - 18y - 100x - 316 = 0
วิธีทํา
( 9y 2 - 18y ) - ( 25 x 2 + 100 x ) = 316 9 ( y 2 - 2y ) - 25 ( x 2 + 4x )
= 316
9 ( y 2 - 2y + 1 ) - 25 ( x 2 + 4x + 4 ) = 316 + 9 – 100
9 (y 1) 2 - 25 (x 2 ) 2 = 225 ( y -1 )2 ( x 2 )2 = 1 9 25 ( y - 1 )2 ( x 2 ) 2 = 1 52 32 ( y - k )2 ( x - h )2 เทียบกับสมการ = 1 -
a2
b2
a = 5, b = 3, h = - 2 และ k = 1 จากความสัมพันธ
c2 = a2 + b2
= 25 + 9 = 34 c = 34 สมการนี้เปนรูปไฮเพอรโบลาตามแนวแกน y ซึ่ง มีลักษณะดังนี้ 1. จุดศูนยกลาง C ( h, k ) = C ( - 2, 1 ) 2. จุดยอด V ( h, k+ a ) = V ( - 2, 6 )
179 V( h, k- a ) = V( - 2 , - 4 ) 3 จุดโฟกัส F ( h, k+ c) = F (- 2, 1 + 34 ) F( h, k- c ) = F(- 2, 1 - 34 ) 4. ความยาวของแกนตามขวาง W = 2 a = 2 ( 5 ) = 10 หนวย 5. ความยาวของแกนสังขยุค BB = 2 b = 2 ( 3 ) = 6 หนวย 6 ความยาวของเลตัสเรกตัม 2 18 2 ( 3 )2 b 2 LR = = = หนวย 5 3 a
180
บทที่ 6 อสมการและคาสัมบูรณ อสมการ หมายถึงความสัมพันธของสองปริมาณที่ไมใชการเทากัน มีทสี่ ําคัญอยู 4 แบบ คือ นอย กวา, นอยกวาหรือเทากับ, มากกวา, และมากกวาหรือเทากับ กําหนดให a และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ จะได 1.1
a นอยกวา b เขียนแทนดวยสัญลักษณ a < b หมายถึง a - b เปนจํานวนลบ หรือ a - b < 0 1 < 2 หมายถึง 1 – 2
เชน
= -1
เปนจํานวนลบ หรือ 1 – 2 < 0
- 4 < -1 หมายถึง - 4 – (-1 ) = - 3 เปนจํานวนลบ หรือ - 4 – (-1 ) < 0
- 2 < 3 หมายถึง - 2 – 3 = - 5 1.2
เปนจํานวนลบ หรือ - 2 – 3 < 0
a นอยกวาหรือเทากับ เขียนแทนดวยสัญลักษณ a < b หมายถึง a < b หรือ a = b
1.3 เชน
a มากกวา b เขียนแทนดวยสัญลักษณ a > b หมายถึง a - b หรือ เปนจํานวนบวก หรือ a - b > 0
3 > 0 หมายถึง 3 – 1 = 2
เปนจํานวนบวก หรือ 3 – 1 > 0
- 2 > - 5 หมายถึง - 2 – ( - 5 ) = 3 เปนจํานวนบวก หรือ - 2 – (- 5 ) > 0 4 > - 2 หมายถึง 4 – ( - 2 ) = 6 เปนจํานวนบวก หรือ 4 – (- 2 ) > 0 1.4
a มากกวาหรือเทากับ b เขียนแทนดวยสัญลักษณ a > b หมายถึง a > b หรือ a = b
181
สมบัติของอสมการ ให a, b, c และ d เปนจํานวนจริงใดๆ แลวจะไดวา 1. ถา a < b แลว a + c < b + c ถา a > b แลว a + c < b + c 2. ถา a < b และ c > 0 แลว ac < bc ถา a < b และ c < 0 แลว ac > bc 3. ถา a > b และ c > 0 แลว ac > bc ถา a > b และ c < 0 แลว ac < bc 4. ถา a < b และ b < c แลว a < c ถา a > b และ b > c แลว a > c 5. ถา a < b และ c < d แลว a + c < b + d ถา a > b และ c > d แลว a + c > b + d 6. ให a และ b มีเครื่องหมายเหมือนกัน
1 b 1 b
ถา a < b แลว 1 >
a 1 ถา a > b แลว a
<
7. ถา a < b < O แลว a 2 > b 2 ถา O < a < b แลว a 2 < b 2
ชวงของจํานวนจริง 1 ชวงจํากัด
แบงได 3 ชนิด คือ
1.1 ชวงเปด
(a, b ) = {x l a < x < b} (a, b ) a
b
182
1.2 ชวงปด [a , b ] = { xl a ≤ x ≤ b} เขียนกราฟของเสนจํานวนจริงแทนได คือ
[a , b ]
a
b
1.3 ชวงครึ่งเปด [a , b) = { x l a ≤ x < b } เขียนกราฟของเสนจํานวนจริงแทนได คือ
[a , b) a
b
(a , b ] = {x l a < x ≤ b } เขียนกราฟของเสนจํานวนจริงแทนได คือ
(a , b ] a
b
2 ชวงอนันต 2.1 (a, ∞ ) = { x l x
>
a}
เขียนกราฟของเสนจํานวนจริงแทนได ดังนี้
( a, ∞ ) a
2.2 [a , ∞) = { x l x ≥ a} เขียนกราฟของเสนจํานวนจริงแทนได ดังนี้
[a , ∞) a
( − ∞ , a ) = {x l x < a}
183 2.3
(- ∞ , a ) = {x l x < a } เขียนกราฟของเสนจํานวนจริงแทนได ดังนี้
( − ∞, a, ) b 2.4 (- ∞ , a ] = {x l x ≤ a } เขียนกราฟของเสนจํานวนจริงแทนได ดังนี้
(- ∞ , a ] b ขอสังเกตุ
1. a และ b เรียกวา จุดปลาย ( endpoint ) ของชวง 2. วงกลมโปรงบนกราฟ แสดงวาไมรวมคาที่จุด ๆ นี้ 3. วงกลมทึบบนกราฟ แสดงวารวมคาที่จดุ ๆ นี้
การแกอสมการ การแกสมการ ที่นิยมใชกันทัว่ ๆไป มี 2 วิธี คือ 1. วิธีบวกทั้งสองขางของอสมการ หรือบวกตลอดอสมการดวยจํานวนจริงใด ๆ 2. วิธีคูณทั้งสองขางของอสมการ หรือคูณตลอดอสมการดวยจํานวนบวก ตัวอยางที่ 1 จงแกอสมการ 4x − 5 > 2x + 2 วิธีทํา บวกดวย 5 ทั้งสองขาง จะได 4x > 2x + 7 บวกดวย – 2x ทั้งสองขางจะได 2x > 7 คูณดวย 1 ทั้งสองขาง จะได x
2
เซตคําตอบของสมการนี้คือ
>
7 2
⎧ 7⎫ ⎨x l x > 2 ⎬ ⎭ ⎩
หรือ ⎛⎜ 7 , a ⎞⎟ ⎝2 ⎠
184 ตัวอยางที่ 2 จงแกสมการ 13 < 6x + 1 ≤ 19 วิธีทํา บวกดวย - 1 ตลอดจะได 12 < 6x < 18 คูณดวย
1 6
ตลอดจะได 2 < x < 3
เซตคําตอบของอสมการนี้คือ {x l 2 < x ≥ 3} หรือ ( 2 , 3) ตัวอยางที่ 3 จงแกสมการ x 2 + x ≠ 0 วิธีทํา พิจารณาสมการ x 2 − x − 2 = 0 จะได (x − 1) (x + 2 ) = 0 x = 1, 2 นั่นคือ จํานวนจริงที่ทําให x 2 + x − 2 ≠ 0 คือจํานวนจริงทุก ๆ จํานวน ยกเวน 1 และ -2 เซตคําตอบของสมการนี้ คือ {x l x ≠ 1} U {x l x ≠ - 2} ตัวอยางที่ 4 จงแกอสมการ x 2 + x − 2 > 0 ทําไดดังตอไปนี้ จาก x2 + x − 2 > 0 จะได (x − 1) (x + 2 ) = 0 นั่นคือ จํานวนจริงที่เปนคําตอบของอสมการนี้ จะตองเปนจํานวนที่ทาํ ให (x − 1) และ (x + 2 ) เปนจํานวนบวกทั้งคู หรือ ลบทั้งคู กลาวคือ ก.
0 และ x + 2 > 0 จะได x > 1และ x > - 2 x
−1 >
แตจํานวนที่มากกวา 1 และมากกวา 2 ในขณะเดียวกัน คือ จํานวนที่มากกวา 1 ดังนั้น คําตอบของอสมการในกรณีที่ x − 1 และ x + 2 เปนจํานวนบวกทั้งคู คือจํานวนจริงใด ๆ ที่มากกวา 1
0 และ x + 2 < 0 จะได x < 1 และ x < - 2 แตจํานวนทีน่ อ ยกวา 1 และ -2 ในขณะเดียวกัน คือจํานวนทีน่ อยกวา -2 ดังนั้น คําตอบของอสมการในกรณีที x - 1 และ x + 2 เปนจํานวนลบทั้งคู คือจํานวนจริงใด ๆ ที่นอยกวา -2 เมื่อรวมทั้งสองกรณีเขาดวยกัน คําตอบของ อสมการ x 2 + x − 2 > 0 (1, ∞ ) U ( − ∞ , − 2 ) คือ ข.
x
−1 <
185 จากตัวอยางอาจสรุปไดวาเซตคําตอบของอสมการอยูในรูปชวง ( interval ) ซึ่งแบงออกไดเปน 4 ประเภทใหญ ๆ คือ ชวงเปด ชวงปด ชวงครึ่งเปด หรือชวงครึ่งปด และชวงอนันต ถา a และ b เปนจํานวนจริงใด ๆ โดยที่ a < b แลว จะมีชวงแบบตาง ๆ ที่เกิดขึ้นได ดังตอไปนี้ ชวงเปด ความหมาย
{x l a x b } ความหมาย {x l a x b }
( a, b)
<
ชวงปด
[ a, b]
≤
ชวงครึง่ เปดหรือชวงครึ่งปด
<
≤
ความหมาย
{ x la < x ≤ b } { x la ≤ x < b }
( a, b] [ a, b)
{x l a < x
ชวงอนันต
≤
b}
ความหมาย
{ x lx < a } { x lx ≥ a } {{ xx ll xx ≤< aa }}
(a , ∞ ) [- a , ∞ ) (( −∞∞, ,a ]a )
(a , ) ∞
{x l x
≥
a}
[2 , 10]
ตัวอยาง เชน
1 [ 2 , 8] ∪ [ 4 , 10 ] 2. (14 , 18 ) ∪ (10 , 20 ) 3. ( 25, 80 ] ∪ [ 28, 30 ) 4. ( 75, 80 ] ∩ [77, 85) 5. [35, 36 ) ∩ ( 36, 39 )
= = = = =
[ 2 , 10 ] (10 , 20 ) (25, 30 ) [177, 80 ] ∅
สรุป 1. อสมการ หมายถึง ประโยคสัญลักษณที่มีเครือ่ งหมาย < (นอยกวา ) > ( มากกวา ) ≤ ( นอยกวาหรือเทากับ ) ≥ ( มากกวาหรือเทากับ ) และ ≠ ( ไมเทากับ ) 2. สมบัติของอสมการ ให a , b , c เปนจํานวนจริงใด ๆ แลวจะได 1) สมบัติถายทอด ถา a > b และ b > c แลว a > c 2) สมบัติของการบวกหรือลบ ถา a > b แลว a + c > b + c 3) สมบัติของการคูณ
186 ( 1 ) ถา a > b และ c > 0 แลว ac > bc ( 2 ) ถา a > b และ c < 0 แลว ac < bc 3.
ชวงจํานวนจริง รูปกราฟ
รูปชวง
รูปอสมการ
( −∞, a ) ( −∞, a]
x <a
a
x≤a
a
(a , ∞)
x>a
[a , ∞ )
(a, b)
x≥a a<x< b
( a , b]
a<x≤ b
[a , b )
a≤x< b
[a , b]
a≤x≤ b
1. 2. 3. 4.
( a , b ) เรียกวา ชวงเปด [a , b] เรียกวาชวงปด ( a , b] เรียกวาชวงครึ่งเปดครึ่งปด [a , b ) เรียกวาชวงครึ่งปดครึ่งเปด
a
ขอสังเกตุ
a a
b
a
b
a
b
a
b
187
เสนจํานวนกับอสมการ เราสามารถใชเสนจํานวนแสดงคาตาง ๆ ของอสมการไดดังนี้ 1) a > b หมายความวา a - b > 0 หรือ a อยูทางขวาของ b บนเสนจํานวน b
-4
-3
-2
a
-1
0
1
2
3
4
2) a < b หมายความวา a - b < 0 หรือ b อยูทางขวาของ a บนเสนจํานวน b
a
-4
-3
-2
-1
0
1
2
3
4
3) a ≥ b หมายความวา a - b ≥ 0 ซึ่งเปนสองกรณี กรณีแรก a อยูทางขวาของ b บนเสนจํานวน หรือ กรณีสอง a และ b อยูในตําแหนงเดียวกัน บนเสนจํานวน 4) a ≤ b หมายความวา a - b ≤ 0 ซึ่งเปนสองกรณี กรณีแรก b อยูทางขวาของ a บนเสนจํานวน หรือ กรณีสอง a และ b อยูในตําแหนงเดียวกัน บนเสนจํานวน 5) a < b < c หมายความวา a < b และ b < c 6) a ≤ b ≤ c หมายความวา a ≤ b และ b ≤ c ตัวอยาง
-4 -4 -1
-3 -2
< -1 เพราะ < 0 เพราะ
1 > -1 เพราะ 3 > -4 เพราะ
-1
0
1
2
-4 อยูทางซายของ -1 -1 อยูทางซายของ 0 1 อยูทางขวาของ -1 3 อยูทางขวาของ -4
3
4
188
กราฟของอสมการ 1. กราฟของอสมการเชิงเสนที่มีตัวแปรเดียว คือกราฟของตัวแปรที่สามารถเขียบนเสน จํานวนได ตัวอยางที่ 5 จงเขียนกราฟของ -1 < x ≤ b วิธีทํา กราฟของ -1 < x ≤ 6 หรือ ( -1 , 6 ) คือ
ไมรวมคา -1 -1
0
รวมคา 6
1
2
3
4
5
ตัวอยางที่ 6 จงเขียนกราฟของ x > 3 หรือ x
≤
6
-2
วิธีทํา กราฟของ x > 3 หรือ x < -2 หรือ ( 3 , ∞ ) ∪ ( − ∞ , − 2] )
รวมคา -2
-2
ไมรวมคา 3
-1
0
1
2
3
4
5
2. กราฟของอสมการเชิงเสนที่มีสองตัวแปร คือกราฟของคูลําดับหรือความสัมพันธ ที่สามารถ เขียนไดบนระนาบหรือระบบแกนมุมฉาก การเขียนกราฟชนิดนีน้ ิยมเขียนกราฟของสมการ ซึ่งเปนประโยคสัญลักษณที่ประกอบดวย เครื่องหมาย “ = “ เสียกอน แลวจึงคอยพิจารณาบริเวณหรือเนื้อทีท่ ี่คาของตัวแปรทั้งสองเปนจริงสําหรับ อสมการนั้น เชน ตัวอยางที่ 7 จงเขียนกราฟของอสมการ y > x + 2 วิธีทํา เขียนกราฟของสมการ y = x + 2 กอน แลวจึงคอยพิจารณาบริเวณหรือ เนื้อที่ ที่คาของ x และ y เปนจริงสําหรับอสมการ y > x + 2
189 จากกราฟของสมการ y = x + 2 ขางตน จะเห็นไดวา บริเวณที่คาของ x และ y เปนจริง สําหรับอสมการ y > x + 2 คือบริเวณที่อยูเหนือเสน y = x + 2 ขึ้นไป ( ไมรวมบริเวณที่อยูบ นเสน y = x + 2 ) ดังจะเห็นไดจากเมื่อ x = 0 , y จะมีคามากกวา 2 หรือเมื่อ x = 1 , y จะมีคามากกวา 3 ตัวอยางที่ 8 จงเขียนกราฟของอสมการ 2x + y ≤ 2
1 2 y ≥ -1 วิธีทํา เขียนกราฟของสมการทั้งสาม คือ 2x + y = 2 , 2x พิจารณาบริเวณที่คาของตัวแปรทั้งสองสอดคลองกับทุกอสมการขางตน x
≥
=
½ และ y = 1เสียกอน แลวจึง
จากกราฟของสมการทั้งสาม บริเวณที่คาของ x และ y เปนจริงสําหรับอสมการทั้งสาม คือ บริเวณ ที่แรเงาไว ซึ่งรวมทั้งบริเวณที่อยูบนเสน 2x + y = 2 , x = ½ และ y = -1 ดวย 3.
การประยุกตอสมการในเรื่องการกําหนดเชิงเสน การกําหนดเชิงเสน ( linear programming ) เปนวิธีการที่ใชในการจัดสรรทรัพยากรที่มี อยูใหกับกิจกรรมตาง ๆ ที่ตองการ โดยกิจกรรมเหลานั้นใหผลตอบแทนสูงสุด ตัวอยาง เชน โรงงานผลิตเฟอรนิเจอรแหงหนึ่ง ผลิตเฟอรนิเจอร 2 ชนิด คือ ตู และ เตียง ออกมา จําหนาย การผลิตตูและเตียงแตละหนวยจะตองใชคนงาน 2 ประเภท คือชางไมและชางทาสีในการผลิตตู 1 ใบ ชางไมและชางทาสีตองทํางานเปนเวลา 15 ชั่วโมง และ 5 ชั่วโมงลําดับ และการผลิตเตียง 1 เตียง ชางไมและชางทาสีตองทํางานเปนเวลา 10 ชั่วโมง และ 10 ชั่วโมง ตามลําดับ ถาในแตละวันชางไมและชางทาสี ซึ่งมีจํานวนหลายคนสามารถทํางานไดรวมกัน วัน ละ 60 ชั่วโมง และ 40 ชั่วโมงตามลําดับ และกําไรที่โรงงานไดรับจากการขายตู 1 ใบ เทากับ 300 บาท
190 และขายเตียง 1 เตียงเทากับ 400 บาท โรงงานเฟอรนิเจอรแหงนี้ควรจะผลิตตูและเตียงเปนจํานวนวันละ เทาไรจึงจะไดกําไรสูงสุด ถาให x และ y แทนจํานวนตูและจํานวนเตียงที่โรงงานเฟอรนิเจอรแหงนี้ควรจะผลิตในแตละวัน ให P แทนกําไรที่โรงงานเฟอรนิเจอรไดรบั จากการขายตู x ใบ และเตียง y เตียง จะไดสมการจุดประสงค ( objective equation ) ซึ่งเปนสมการแทนกําไรที่โรงงานเฟอรนิเจอรไดรบั เปน P
=
300 x + 400 y
สําหรับขอจํากัดตาง ๆ ในการผลิตเฟอรนิเจอรทั้ง 2 ชนิด มีดังนี้ 1. ชางไมทํางานไดรวมกันไมเกินวันละ 60 ชั่วโมง 2. ชางทาสีทํางานไดรวมกันไมเกินวันละ 40 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อนํามาเขียนใหอยูใ นรูปอสมการขอจํากัด จะได 15 x + 10 y ≤ 60 5 x + 10 y ≤ 40 และเนื่องจากจํานวนตู ( x ) และ จํานวนเตียง ( y ) ที่ผลิตได จะตองมากกวาหรือเทากับ 0 เสมอ ดังนั้น x ≥ 0
y≥0 อสมการทั้ง 4 คือ 15 x + 10 y ≤ 60, 5 x + 10 y ≤ 40, x ≥ 0 และ y ≥ 0 จะเรียกวา เปนอสมการขอจํากัด ( restriction ) การหาคา x และ y ซึ่งเปนคําตอบโดยมีเงื่อนไขขางตน สามารถทําได โดยการเขียนกราฟของแตละอสมการทุก ๆ อสมการ คําตอบที่ตองการคือ จุดมุมของรูปหลายเหลี่ยมที่เกิด จากกราฟของอสมการขอจํากัดทั้ง 4 อสมการไดดังนี้
191 จุดตาง ๆ ที่อยูใ นบริเวณแรเงา รวมทั้งจุดทีอ่ ยูบนเสนตรง 5 x + 10 y = 40, 15 x + 10 y = 60,
x = 0 และ y = 0 จะสอดคลองกับอสมการขอจํากัดทั้ง 4 อสมการ จุดมุมของรูปหลายเหลีย่ มทีเ่ กิดจากกราฟของอสมการขอจํากัดคือ ( 0, 0 ), ( 4, 0 ), ( 2, 3 ) และ ( 0, 4 ) เมื่อแทนคาจุดเหลานี้ในสมการจุดประสงค จะไดคา P หรือกําไรที่สอดคลองกับคา x และ y ของ แตละจุดดังนี้ กําไรที่ไดรับ ( P = 300 x + 400 y ) 300 ( 0 ) + 400 ( 0 ) = 0 300 ( 4 ) + 400 ( 0 ) = 1,200 300 ( 2 ) + 400 ( 3 ) = 1,800 300 ( 0 ) + 400 ( 4 ) = 1,600 ใหกําไรสูงสุด ดังนั้นโรงงานเฟอรนิเจอรควรผลิตตูวันละ 2 ใบ และ
จุดมุม ( x, y ) ( 0, 0 ) ( 4, 0 ) ( 2, 3 ) ( 0, 4 ) จุดมุม ( 2, 3 ) เตียงวันละ 3 เตียง
สรุป 1. a > b หมายถึง a อยูทางขวาของ b บนเสนจํานวน หรือ a – b > 0 2. a < b หมายถึง a อยูทางซายของ b บนเสนจํานวน หรือ a – b < 0 3. a < b < c หมายถึง a < b และ b < c 4. กราฟของอสมการเชิงเสนทีม่ ีตัวแปรเดียว คือกราฟของตัวแปรที่สามารถเขียนลงบนเสนจํานวน ได 5. กราฟของ อสมการเชิงเสนที่มี 2 ตัวแปร คือกราฟของคูลําดับหรือความสัมพันธที่เขียนลงบน แกนมุมฉากหรือบนระนาบได 6. การแลเงากราฟของอสมการทําไดโดยจัดสมการใหอยูใ นรูปมาตรฐานแลวแรเงาตามความจริง ของรูปมาตรฐาน
นิยามของคาสัมบูรณ ให x เปนจํานวนจริงใด ๆ คาสัมบูรณของ x เขียนแทนดวย สัญลักษณ x ซึ่งกําหนดคาได ดังนี้
x
=
⎧ x ⎪ ⎨ ⎪⎩ − x
ถา x ถา x
≥ <
0 0
192 เชน 2
-2
2
=
0
2
-2
2 3 =3
0 -3
0
=
=
3
-3
3
0
หมายเหตุ 1. คาสัมบูรณของจํานวนจริงใด ๆ คือระยะทางระหวางคานั้นกับ 0 3. คาสัมบูรณของจํานวนจริงใด ๆ มีคามากกวาหรือเทากับ 0 เสมอ
สมบัติของคาสัมบูรณ ให x และ y เปนจํานวนจริงใด ๆ สมบัติของคาสัมบูรณที่ควรทราบ คือ 1. x = − x เชน
2. x 2
x2
=
42
เชน
(− 3)2 3.
xy
=
= −4 =
1 = 1 2 2
1 3
=
16
52
=
= −3
1 2
= −
3
=
4 2 = 42
= −3
2
=
=
(− 3) 2
=
9
=
(2 )(3)
(− 5)2
x . y
เชน ( 2 ) (3)
−
4
1= 1 3 3
x2
= =
4
3
=
2 . 3
( 2 )(- 3) = 2 . − 3
(− 2 )(- 3) = − 2 .
=
6
=
(2 )(3) = 6
−3 =
(2 )(3) = 6
5 2= 5 2 = 25 = − 5 2 = (− 5) 2 =
25
193 4.
x y
x y
=
7 12 7 − 12
เชน
x−y
5.
เมื่อ y
เชน
7 12 −7 12
= =
0
≠
7 12 7 12
= =
y−x 5−3 = 3−5 =
2
=
5 − (- 3)
=
(- 3) − 5
(- 5) − (- 3)
=
(- 3) − (- 5) = 2
6.
x2 เชน
=
=
x
32 = 3 .
42
8
=
4
(- 3)2
= −3 =
3
(- 4 )2
= −4 =
4
.
อสมการและคาสัมบูรณ ให a เปนจํานวนจริงบวก และ x เปนจํานวนจริง พิจารณาอสมการตอไปนี้ 1. x < a อสมการนี้จะเปนจริงเมื่อ x มีคาอยูระหวาง -a กับ a หรือ -a < x < a เทานั้น
-a < x เชน x
-a <
2 จะได
<
a
x
.≤
a
0
2
-2 < x < 2 -2 < x < 2
-2
2
0
a
อสมการนี้จะเปนจริงเมื่อ x มีคาตั้งแต -a ถึง a หรือ -a < x < a เทานั้น
-a ≤ x ≤ a -a
0
a
194 เชน x
≤
2 จะได -2 ≤ x ≤ 2
-2 ≤ x ≤ 2 -2
3.
0
2
x >0 อสมการนี้จะเปนจริงเมื่อ x < - a หรือ x > a เทานั้น
x < -a
x >a
เชน x
>
-a
0
2 จะได x
<
a
-2
หรือ x
>
x < -2
x >2 0
-2
4.
x ≥ a อสมการนี้จะเปนจริงเมื่อ x x ≥ a
≤
-a
เชน
x
≤
2
x
≥
2 จะได x
2
- a หรือ x ≥ a 0
≤
2 หรือ x
0
≥
a
x
≥
2
a
-2 -2
x
2
≥
2
195
บทที่ 7 สมการ การแกสมการ และการแกสมการเลขยกกําลัง 1. สมการและการแกสมการ ในการศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาตอนตนนั้น ไดเคยศึกษาเรื่องการแกสมการบางชนิดมาบางแลว สมการ และการแกสมการทีจ่ ําเปนในงานชางเปนสิ่งสําคัญและตองศึกษาดวยความเขาใจอยางชัดเจน 2 x2 + 3 x = 35
35
2 x2 + 3 x
รูปที่ 1 1.1 ความหมายของสมการและการแกสมการ 1.1.1 สมการ สมการ หมายถึง การเทากัน การสมดุล ในทางคณิตศาสตรที่เรากลาวถึงในที่นจี้ ะหมายถึง การนําเอาจํานวน 2 จํานวนมาเทากัน ซึ่ง จํานวนทีก่ ลาวถึงจะมีตัวไมทราบคา หรือตัวแปรรวมอยูดว ย โดยใชเครื่องหมายเทากับ ( = ) เปนตัวแบงพวก ใหอยูคนละขาง ฉะนัน้ ในการกระทําใด ๆ ในเรื่องสมการจะตองคํานึงเสมอวา ยังคงอยูใ นสภาวะที่เทากัน หรือไม 1.1.2 การแกสมการ การแกสมการ หมายถึง จะตองคนหาคาของตัวไมทราบคา (ปกติใชตวั x, y, z…) ที่อยูใน สมการ ดังนัน้ การทําโจทยจะตองทําจนกระทั่งไดคาของตัวไมทราบคา หรือหาคาตัวแปรมาใหได หลัก เบื้องตนก็คือเอาตัวไมทราบคาจัดไวดานซายของสนมการ (เพื่อความสะดวก) วิธีการแกสมการก็มีดว ยกัน หลายวิธีแลวแตลักษณะของสมการ
196 1.2 สมการเชิงเสน (ตัวแปรตัวเดียว) และการแกสมการเชิงเสน (ตัวแปรตัวเดียว) 1.2.1 สมการเชิงเสนตัวแปรตัวเดียว คือ สมการที่มีตัวแปรหนึ่งตัวและดีกรีสูงสุดของตัวแปรเทากับหนึ่ง เชน 1. 15 (x + 3) = 16x – 11
3x 2 x x - = + 5 3 3 5 3x 5 2x 1 3. = 3 2 1.2.2 การแกสมการเชิงเสน (ตัวแปรตัวเดียว) คือ การหาคาของตัวไมทราบคาที่อยูในสมการ (ตัวแปรตัวเดียว) แลวนําคาที่ได กลับไปแทนคาในสมการไดถูกตอง 2.
ตัวอยางที่ 1 จงคํานวณหาคา x จาก 15 (x + 3) = 16x – 11 15 (x + 3) = 16x – 11
วิธีทํา
15x + (3 15) = 16x – 11 16x – 15x = 45 + 11 x = 56 ตรวจคําตอบ 15 (56 + 3) = 16 (56) – 11 เปนจริง ( = 885 ) ตัวอยางที่ 2 จงแกสมการ
3x 2 x x 5 -3=3+5
วิธีทํา จากโจทยทําสวนใหหมดไปโดยใช ค.ร.น. = 15 คูณตลอดทั้ง 2 ขาง จะได
15
3x 2 x x = 15 + 3 5 5 3
9x – 10 = 5x + 3x 9x – 8x = 10 x = 10
197 ตรวจคําตอบ
3x 2 x x 5 -3 = 3+5 3(10) 2 10 10 5 -3 = 3 + 5 2 1 6- = 3 +2 3 3 1 1 5 = 5 3 3
ตัวอยางที่ 3 จงแกสมการ
3(x 5) 2
=
2x 1 3
วิธีทํา จากโจทยทําใหสวนหมดไป โดยเอา ค.ร.น. คูณตลอดทั้ง 2 ขาง จะได 9 (x + 5) = 2 (2x + 1) 9x + 45 = 4x + 2 เอา 4x ลบออกทั้ง 2 ขาง เพื่อใหดานขวามือไมมี x (ยายขาง) 9x + 45 – 4x = 4x + 2 – 4x 5x + 45 = 2 ยายขาง;
5x = 2 - 45
5x = - 43 - 43 เอา 5 หารตลอด; x = 5
x ตรวจคําตอบ
43 5 2x 1 3 43 2(- ) 1 5 3 1 ( 86 5 ) 3 5 1 ( 86 5 ) 3 5
= -
3(x 5) = 2 43 3( 5) 5 = 2 3 ( 43 25 ) = 2 5 3 ( 18 ) = 2 5
198
9 1 81 3 (- ) = ( - ) 3 5 5 27 - 275 = - 5 1.3 สมการกําลังสองและการแกสมการกําลังสอง 1. สมการกําลังสอง รูปสมการจะมีกําลังสูงสุดของตัวแปรเปนกําลังสอง มีรูปทั่วไปเปน ax2 + bx + c = 0; เมื่อ a, b, c เปนคาคงที่ และ a # 0 ตัวอยางเชน 9x2 + 4x – 36 = 4x ; (ใชวิธีแยกตัวประกอบ) - 4x2 + 10x +6
=0
; (ใชวิธีแยกตัวประกอบ)
3x2 - 12x – 2
=0
; (ใชรูปกําลังสองสมบูรณ)
- x2 + 19x = 44 ; (ใชรูปกําลังสองสมบูรณ) 3x2 - 2x – 5 = 0 ; (ใชสูตร) และ x2 + 5x – 3 = 0 ; (ใชสตู ร) เปนตน 2. การแกสมการกําลังสอง การแกสมการกําลังสองสามารถทําไดโดยวิธดี ังตอไปนี้ การแกสมการกําลังสองโดยวิธีแยกตัวประกอบ การแกสมการกําลังสองโดยวิธีทําใหเปนรูปกําลังสองสมบูรณ การแกสมการกําลังสองโดยใชสูตร 1.3.1 การแกสมการกําลังสองโดยวิธแี ยกตัวประกอบ เมื่อสมการกําลังสองสามารถแยกตัวประกอบไดกค็ วรใชวธิ ีแยกตัวประกอบเพราะสะดวก และรวดเร็ว ตัวอยางที่ 4
4x x - 9 = 1 4 + x 4x x - 9 วิธีทํา = 1 4 + x จากโจทยทําใหสวนหมดไปโดยเอา ค.ร.น. สวน 4x คูณตลอด (ทั้ง 2 ขาง) ในสมการ จะได x (4x) + 4(x – 9) = 4x 4x2 + 4x – 36 = 4x
จงแกสมการ
199 ใช 4x ลบทั้ง 2 ขาง 4x2– 36 ใช 4 หารทั้ง 2 ขาง: x2– 9
= 0
แยกตัวประกอบ; x2– 9
= (x + 3) (x – 3)
= 4x
(x + 3) (x – 3)
= 0
ดังนั้น x + 3 = 0 หรือ x – 3 = 0
x = - 3 หรือ x = 3 รากของสมการ คือ x = - 3 หรือ 3 ตรวจคําตอบ
x = - 3 แทนคาใน
4x x - 9 4 + x = 1 4(-3) (-3)-9 4 + -3 = 1 - 3 + 4 = 1 (เปนความจริง)
4x x - 9 x = 3 แทนคาใน 4 + x = 1 4(3) 3 - 9 4 + 3 = 1 3 + (- 2) = 1 (เปนความจริง) ตัวอยางที่ 5 จงแกสมการ
4
-
5
x -1 x 2
= x3
วิธีทํา จากโจทยเอา ค.ร.น. สวน x (x – 1) (x + 2) คูณเพื่อใหสวนหมดไป จะได 4x (x+ 2) – 5x (x – 1) ทําใหเปนรูปอยางงาย; 4x2 + 8x – 5x2 + 5x ยายขางใหขวามือเปนศูนย; - 4x2 + 10x + 6
= 3 (x – 1) (x + 2) = 3x2 + 3x - 6 = 0
200 เอา – 2 หาร เพื่อใหพจนกําลังสองเปนบวกไปพรอมกัน ; = 0 2x2– 5x - 3 แยกตัวประกอบ; (x – 3) (2x + 1) = 0 x –3 = 0 หรือ 2x + 1 = 0 ดังนั้น x = 3 หรือ x = - 12 ตอบ รากของสมการ x = 3 หรือ - 12 ตรวจคําตอบ
x = 3 แทนคาใน
4 5 x -1 x 2 4 5 3 -1 3 2 2–1
= x3 = 33 = 1 (เปนความจริง)
4 5 x = - 2 แทนคาใน x - 1 = x3 x2 4 5 3 = 1 1 - 12 - -1 - 2 2 2 5 4 3 = - 12 -3 3 2 2 5 4 3 3 - 3 = -1 2 2 2 5 4 3 2 - 2 = -1 2 3 -3 8 10 = -6 - 3 3 18 = - 6 (เปนความจริง) 3
1
201 1.3.2 การแกสมการกําลังสองโดยวิธีทาํ ใหเปนรูปกําลังสองสมบูรณ (Completing The Square) ในกรณีที่สมการกําลังสองไมอาจแยกตัวประกอบไดลงตัวหรือแยกตัวประกอบยากใหใชวิธีนี้จะ สะดวก พิจารณา;
เราจะเห็นวารูปกําลังสองสมบูรณมี + 1 เปนสัมประสิทธิ์ของ x2, เทอมคาคงที่จะเปนกําลัง สองของครึ่งหนึ่งของสัมประสิทธิ์ของ x เสมอ ดังนั้นการจะแกสมการโดยทําเปนกําลังสองสมบูรณ ทําตาม ขั้นตอนดังนี้ 1. จัดใหเทอม x2 และ x อยูซายมือของสมการแลว ทําใหสัมประสิทธิ์ x2 เปน + 1 2. เอา 2 หารสัมประสิทธิ์ของ x แลวยกกําลังสองผลหาร และบวกเขาทั้ง 2 ขางของ สมการ 3. เขียนดานซายมือของสมการเปนรูปกําลังสองสมบูรณในรูป (x a)2 เมื่อ a คือ
1 2
(สัมประสิทธิ์ของ x) 4. ดําเนินการหาคา x ตอไป ตามวิธีพีชคณิต * การแกสมการโดยวิธีนี้จะนําไปใชในการเรียนคณิตศาสตรชั้นสูงและมีประโยชนมาก ตัวอยางที่ 6 จงแกสมการ 3x2 - 12x – 2 = 0 วิธีทํา จากโจทยจัดสมการตามขั้นตอน 1 – 4 ที่กลาวแลว 3x2 – 12x = 2 ทําใหสัมประสิทธิ์ x2 เปน + 1 โดยเอา 3 หารตลอด; 2 จะได x2 – 4x = 3 4 = 4 บวกเขาทั้ง 2 ขาง; เอา - 2 2
202 2 +4 3 14 = 3
(x2 – 4x + 4) = (x – 2)2 หารากที่สองทั้ง 2 ขาง; x–2 x ตอบ รากของสมการคือ
14 3 14 14 + 2; +2 = 3 3 = 14 2 3 , 14 2 3 3 3
=
x
ตัวอยางที่ 7 จงแกสมการ
3x - 8 x-2
-2 = 5x x 5 โดยวิธีกําลังสองสมบูรณ
วิธีทํา จากโจทยทําใหสวนหมดไปโดยเอา ค.ร.น. สว (x – 2) (x + 3) คูณตลอดในสมการ จะได (x + 5) (3x – 8) = (x- 2)(5x – 2) ทําใหเปนรูปอยางงาย; 3x2 + 15x –8x – 40 = 5x2 – 10x – 2x + 4 ยายขาง บวกลบกัน; - x2 + 19x = 44 เอา – 2 หาร; x2 - 19 x = - 22 2 1 = 361 บวกทั้ง 2 ขาง ; เอา - 19 16 2 2 19 19 361 x2 - x + - 2 = - 22 + 2 4 16 19 9 x - 2 = 4 16 หารากที่สองทั้ง 2 ขาง; 19 3 x = 4 4
203 19 3 19 3 + หรือ x = 4 4 4 4 11 หรือ 4 x = 2 11 ตอบ รากของสมการคือ x = หรือ 4 2
x
=
1.3.3 การแกสมการกําลังสองโดยใชสตู ร วิธีนี้นําเอาผลสรุปของการใชวิธีแกสมการโดยใชวิธีทําใหเปนกําลังสองสมบูรณมาใชทันที กลาวคือ เมื่อสมการทั่วไปเปน เมื่อ a, b, c เปน แกสมการจะได
ax2 + bx + c = 0
คาคงที่ และ a # 0
สูตร
ตัวอยางที่ 8 จงแกสมการ 3x2 – 2x – 5 วิธีทํา ถา ax2 + bx + c
= 0 = 0
b 2 4ac 2a จากโจทยเมื่อเทียบกับสมการทัว่ ไป a = 3, b = - 2, c = - 5 (2) (-2)2 4 3 แทนคาในสูตร; x = 23 = 2 4 60 6 8 2 = 6 5 x = , -1 3 5 หรือ – 1 ตอบ รากของสมการ คือ x = 3
x
= b
(- 5)
204
ตัวอยางที่ 9 จงแกสมการ x2 + 5x – 3 = 0 วิธีทํา
จากโจทยเมื่อเทียบกับสมการทัว่ ไป a = 1, b = 5, c = -3 แทนคาในสูตร; 2 x = 5 (5) 4 1 ( 3) 2 1 = 5 25 12 2 = 5 37 2 = - 5 6.08 2 x = - 5 6.08 หรือ x = - 5 6.08 2 2 x = 0.54 หรือ - 5.54 ตอบ รากของสมการ x = 0.54 หรือ – 5.54 ขอสังเกต ในเวลาอางสูตรทุกครั้งควรอางถึงสมการทัว่ ไปดวย เพื่อทําใหเกิดความเขาใจ และมีความชัดเจน จะเกิดความเขาใจอยางแทจริงอีกดวย 2. สมการยกกําลัง และการแกสมการยกกําลัง 2.1 สมการยกกําลัง ความหมายของสมการยกกําลัง คือ สมการที่มตี ัวแปรเปนเลขยกกําลังหรือเลขชีก้ ําลัง เชน =0 3.2x – 48
= ( 2) =0
2x
3
205 2x+1 + 2x = 3 2.2 การแกสมการยกกําลัง ความหมายของการแกสมการยกกําลัง คือ การหาคาของตัวแปรที่มีอยูในสมการ ในทีน่ ี้เปนสมการเลข ยกกําลัง การแกสมการยกกําลัง สามารถแบงการแกสมการไดตามดังนี้ 1. การแกสมการยกกําลัง 2. การแกสมการยกกําลังเมื่อมีตัวแปรเปนฐาน 2.2.1 การแกสมการยกกําลัง การแกสมการเลขยกกําลังในเบื้องตนเปนสมการอยางงายหรือคอนขางงาย ทําไดโดยพยายาม เปลี่ยนเลขฐานใหเปนฐานเดียวกันทั้งหมด บางกรณีทําตัวกําลังใหเหมือนกัน (เมื่อกําลังเปนตัวเลข) หรือถา เปนสมการที่อยูในรูปบวก ลบ อาศัยหลักการแกสมการเบือ้ งตนมาชวย รวมทั้งการแยกตัวประกอบดวย ทั้งนี้ ใหนักเรียกฝกการสมมติรวบยอดไววาจํานวนที่ยกกําลังเหมือน ๆ กัน เหมือนกับตัวแปรตัวหนึ่งนั่นเอง ให ศึกษาจากตัวอยางตอไปนี้ ตัวอยางที่ 10 จงแกสมการ 3x+5 – 92 = 0 วิธีทํา จากโจทย 3x+5 – 92 =0 กรณีนี้ควรทําใหฐานใหเปน 3 เหมือนกัน 3x+5 = 92 3x+5 = (32)2 3x+5 = 34 เมื่อฐานเทากัน แสดงวาเลขยกกําลังตองเทากัน (จะตองมีขางละจํานวนเดียว) x + 5 = 4 x = -1 ตรวจคําตอบ x = -1 แทนคาใน 3x+5- 92 = 3(1)+5 – 92 = 34 – 92 = 4 22 3 – (3 ) = 34 – 34 =
0 0 0 0 0 (เปนความจริง)
206 ตัวอยางที่ 11 จงแกสมการ วิธีทํา
2 3x-4
=
( 2) 2x+3
จาก
2 3x-4
=
( 2) 2x+3
พิจารณาแลวควรทําให 2 และ 2 มีฐาน 2 ดวยกัน 1
(2 2 ) 2x+3 2 3x-4 = 2 3x-4 = 2x+3 เลขฐานเดียวกันเทากัน กําลังยอมเทากัน 3 กําลัง 3x – 4 = x + 2 3 +4 3x – x = 2 11 2x = 2 11 x = 4 ตรวจคําตอบ
ตอบ
ใหเช็คคําตอบวาถูกตองหรือไม โดยนําคา x = 11 แทนคาใน 2 3x - 4 = ( 2) 2x + 3 (เปนความจริง) 4
ตัวอยางที่ 12 จงแกสมการ 3 • 2x – 48 = 0 วิธีทํา จากโจทย 3 • 2x – 48 =0 3 • 2x = 48 เอา 3 หาร; 2x = 16 2x = 24 เลขฐานเดียวกันเทากัน กําลังยอมเทากัน x = 4
ตอบ
207 ตรวจคําตอบ
x = 4 แทนคาใน 3 • 2x – 48 3 • 24 – 48 3 16 – 48
=0 =0 = 0 (เปนความจริง)
ตัวอยางที่ 13 จงแกสมการ 2x+1 + 2x = 3 วิธีทํา 2x+1 + 2x = 3 โดยที่ 2x+1 จากโจทย โดยบวกกัน;
= 2x • 21
2x • 21 + 2x
=3 3 • 2x = 3
เอา 3 หาร; 2x = 1 เราไมอาจทําฐาน 2 ใหเปนฐาน 1 ได แตเพราะวา a0 = 1 20 = 1 นั่นคือ 2x = 1 = 20 x
=0
ตอบ
ตรวจคําตอบ แทนคา x = 0 ในสมการ 2x+1 + 2x = 3 2(0+1) + 20 =3 21 + 20 = 3 2 + 1 = 3 (เปนความจริง) 2.2.2 การแกสมการเลขยกกําลังเมือ่ มีตัวแปรเปนฐาน มีขอสังเกตควรยึดไวเปนหลักการก็คือ เราจะแกสมการนัน้ จะหาคาอะไร จะหาคาตัวแปร ฉะนั้น เมื่อโจทยกําหนดใหตวั แปรมีกําลังไมใช 1 เราก็จะตองอาศัยกฎ (am)n = amn ในที่นตี้ องการให mn = 1 เสมอ นั่นคือไมวากําลังจะเปนเทาใด เมื่อถูกยกกําลังซอน สวนกลับของกําลังเดิมก็ยอมจะเปนกําลัง 1 เสมอ (ถากําลังเดิมเปนลบ ตองยกกําลังติดลบดวย)
208 ตัวอยางที่ 14 จงแกสมการ x
2 3
=
วิธีทํา
4 25
4 25 2 เมื่อจะหาคา x ก็ตองทําให x 3 กลายเปน x (กําลัง 1) เสียกอน 3 จากสมการ (1) ยกกําลัง ทั้ง 2 ขาง ; 2 2 3 4 3 x3 2 = 2 25 2 2 23 = 2 x 5 23 = 3 5 8 x = 125
จากโจทย
2 3
x =
… (1)
ตอบ
ตัวอยางที่ 15 จงแกสมการ วิธีทํา
x x
จาก
x
3 5
= 27
3 5
= 27
3 5
= 33
5 ยกกําลัง ทั้ง 2 ขาง; 3
x
3 5 5 3
x
3
= 3
5 3
= 3-5 =
1 35
=
1 243
ตอบ
209 ตัวอยางที่ 16 จงแกสมการ วิธีทํา
3
3
x 2 +5 2
จากโจทยยกกําลัง
4
5 ทั้ง 2 ขาง; 2 2 + 5 5
3 2 x
จะได
=
2 5
3
x 2 + 5 3
x2 + 5
=
5 (2 ) 2 2
= 25
3
x2 + 5
= 32
3 x2
ยกกําลัง
=
5 42
= 27
2 ทั้ง 2 ขาง; 3
x =
2 (27) 3
x =
9
=
ตอบ
ตัวอยางที่ 17 จงแกสมการ วิธีทํา
(x + 6)0.75 = 8
พิจารณาวาอะไรคูณกับ 0.75
= 1 นั่นคือ
(x + 6)0.75 75 3 0.75 = = ; 100 4
= 23
จากโจทย
3
(x + 6) 4 4 ยกกําลัง ; 3
x+6
4 3
= 23 =
4 (2 ) 3 3
2 (3 ) 3 3
= 24
210
x+6
= 16 x = 10
ตอบ
2.3 เลขยกกําลังฐานสิบ นิยาม เลขยกกําลังฐานสิบ หมายถึง เลขที่มีฐานเปน 10 แลมีเลขชี้กําลังเปนเลขจํานวนเต็ม (บวกหรือลบก็ได) ในทางวิชาชาง มีคาตัวเลขตาง ๆ เวลาคํานวณจะมีคามาก ๆ หรือบางทีก็มีคานอย ๆ คือ ทศนิยม หลายตําแหนง คาตัวเลขที่มาก ๆ หรือนอย ๆ นิยมเขียนในรูปของ A 10” โดยที่ 1 A กลาวคือ A เปน ตัวเลขหลักเดียวนั่นเอง เชน 3 3 มีกระแสไฟฟาไหลผานเสนลวด 0.0003 แอมแปร ซึ่ง 0.0003 = 4 10,000 10 จึงแสดงตัวเลข 0.0003 เปน 3 10-4 ประจุอิเล็กตรอนจํานวน Q = 0.0000000015 คูลอมบ จะเขียนแทนเปน Q = 1.5 10- 9 ความตางศักยไฟฟา 6,000,000 โวลต จะเขียนเปนความตางศักยไฟฟา = 6 106 จํานวนแบคทีเรีย 459,000 ตัว ที่ตรวจพบ .... จะเขียนแทน 459,000 = 4.59 105 ขอสังเกต การใชเลขฐาน 10 เขียนบอกจํานวน 1. ถาเปนเลขจํานวนเต็ม เลขชีก้ ําลังจะนอยกวาจํานวนหลักทัง้ หมดอยูหนึ่ง ถาเปนจํานวนทศนิยม เลขชี้กําลังจะมากกวาเลข 0 ที่นับจากหลังจุดทศนิยมไปอยู 1 มีคาลบ เชน 0.00000549 = 5.49 10- 6 , 0.0025 = 2.5 10- 3 ในการเขียนจํานวนที่มีคามากหรือจํานวนเต็มในรูปแบบ A 10” เมื่อ A เปนเลขจํานวนเต็มหลัก เดียว n เปนเลขจํานวนเต็ม สังเกตเปรียบเทียบในตารางขางลางนี้
211 จํานวนเลขทีก่ ลาวถึง
เมื่อเขียนในรูปแบบ A 10”
จํานวนตําแหนงทศนิยม เลื่อนไปดานซาย
2,531,000 253,100 25,310 2,531 253.1 25.31
2.531 106 2.531 105 2.531 104 2.531 103 2.531 102 2.531 101
6 5 4 3 2 1
แตถาเปนคาตัวเลขที่นอยจะแสดงโดยใชเลขฐาน 10 เชนเดียวกับขางบน คือ A 10n ใหสังเกต ตารางเปรียบเทียบ จํานวนเลขทีก่ ลาวถึง 0.25311 0.02531 0.002531 0.0002531 0.00002531 0.000002531
เมื่อเขียนในรูปแบบ A 10” 2.531 2.531 2.531 2.531 2.531 2.531
-1
10
-2
10
-3
10
-1
10
-5
10
-6
10
จํานวนตําแหนงทศนิยม เลื่อนไปดานซาย 1 2 3 4 5 6
ในทางชางเมื่อเขียนจํานวนที่มีหนวย มักใชคําอุปสรรค (Prefix) นําหนาหนวยแทนเลขยกกําลัง ฐาน 10 ซึ่งเปนที่รูกัน เชน 106 ใชคําอุปสรรคนําหนาหนวยวา เมกะ สัญลักษณ M 103 ใชคําอุปสรรคนําหนาหนวยวา กิโล สัญลักษณ k ใชคําอุปสรรคนําหนาหนวยวา มิลลิ สัญลักษณ m 10- 3 10- 6 ใชคําอุปสรรคนําหนาหนวยวา ไมโคร สัญลักษณ u 10- 9 ใชคําอุปสรรคนําหนาหนวยวา นาโน สัญลักษณ ดังตัวอยางขางลางนี้ ศักยไฟฟา 9.0 106 V หมายถึง ศักยไฟฟา 6.0 MV (เมกะโวลต) กระแสไฟฟา 2.0 10- 3 A หมายถึง กระแสไฟฟา 2 mA (มิลลิแอมแปร)
212 ประจุไฟฟา 5.0 10- 6 F หมายถึง กระแสไฟฟา 5F (ไมโครฟารัด) แรงดัน 1.2 104 N หมายถึง แรงดัน 12 kN (กิโลนิวตัน) ฉะนั้น การเปลี่ยนจํานวนใด ๆ ที่มีหนวยตาง ๆ ใหเปนเลขยกกําลังฐาน 10 จะตองพิจารณาคํา อุปสรรคหรือสัญลักษณทใี่ ชอยูในขณะนั้นควบคูกนั ไปดวย
แบบฝกหัด จงเลือกขอที่ถูกที่สุดเพียงขอเดียว 1. รากของสมการ (คาของ x) x2 – 5x + 4
= 0 ไดแกจํานวนใด
ก. - 4, 1
ข.
4, - 1
ค. - 4, - 1
ง.
4, 1
2. รากของสมการ (คาของ x) 49x2–42x + 9 = 0 เทากับเทาใด 3 3 ก. 7, 3 ข. ,7 7 3 3 7 7 ค. , ง. ,7 7 3 3 2 3. รากของสมการ 4x – 49 = 0 เทากับเทาใด 7 7 2 2 ก. , ข. ,2 2 7 7 7 2 7 7 ค. , ง. - , 2 7 2 2 4. รากของสมการ 10x + 11 =
6 เทากับเทาใด x
2 3 ,5 2 5 2 2 2 ง. - , ค. , 2 3 5 3 2 5. รากของสมการ x – x – 12 = 0 เทากับเทาใด
ก. 5, - 2
ข.
ก. - 4, 3
ข. - 4, - 3
ค. 4, 3
ง. 4, - 3
213 6. รากของสมการ 4x2 – 8x = 0 เทากับเทาใด ก. 2 ข. - 2 ค. 0, - 2 ง. - 2, 0 7. รากของสมการ (5x + 3) x = 0 เทากับเทาใด 3 ก. 0, - 3 ข. 0, 5 5 3 ง. , 0 ค. - , 0 3 5 8. จากสมการ (3x + 1) (3x - 2) = 0 มีรากของสมการคือ
1 2 1 2 , ข. - , 3 3 3 3 3 1 2 ง. 3, ค. - , 2 3 3 9. จากสมการ (2x – 1) (x + 2) = (x + 2) มีรากของ สมการคือ 1 ก. ข. - 1, - 2 2 ค. 2, - 1 ง. 1, - 2 10. จากสมการ x2 – 2x = x + 88 มีรากของสมการคือ ก. 11, - 8 ข. - 11, 8 11 11 8 11 ค. , ง. , 8 8 11 8 11. จากสมการ x2 – 22x + 57 = 0 มีรากของสมการคือ ก. - 3, - 19 ข. 3, - 19 ค. - 3, 19 ง. 3, 19 12. จากสมการ x2 + 22x + 57 = 0 มีรากของสมการคือ ก. -3 , - 19 ข. 3, - 19 ค. - 3, 14 ง. 3, 19 13. จากสมการ x(x – 5) = x มีรากของสมการคือ ก. 6 ข. - 6 ค. 0, - 6 ง. 6, 0 ก.
214 14. จากสมการ 3x2 = 7x มีรากของสมการคือ ก.
7 , 0 3
ข. 0,
7 3 15. จากสมการ x2 = 4 คาของ x คือ ก. 2, 0 ค. 2
ค. 0, -
ง. 0,
3 7
3 7
ข. 0, 2 ง. 2, - 2
16. เมื่อ x = 121 ดังนั้นคาของ x คือ ก. 11, - 11 ค. 11
ข. 11 ง. ไมมีขอถูก
17. เมื่อ x = 25 ดังนั้นคาของ x คือ ก. 5 ค. - 5 18. เมื่อ x =
- 4m 2
ข. 5 ง. 0, - 5
คาของ x คือ
ก.
2m
ข. - 2m
ค.
2m
ง. หาคา x ไมได
19. จากสมการ (x + 1) (3x – 4) = (x + 1) (2x – 3) จงหาคา x ก. 1, 1 ค. 1, - 1 20. จากสมการ 3 x2 = 75 คาของ x ไดแก ก. 25, - 25 ค.
5 5 , 3 3
4 3 3 ง. - 1, 2 ข. - 1,
ข. 5, - 5 ง.
25 25 , 3 3
215 21. คาของ x จากสมการ 4(x + 1)2 = x2 ไดแก
1 , -2 4 2 ค. - 2, 3
2 3 2 ง. - 2, 3
ข. 2, -
ก.
22. รากของสมการ
11 2 11 ค. - 4, 2
x2 x5 = คือ 3x 8 5x 2
23. รากของสมการ
3 26 3 2 ค. - , 2 3
2x 3x 1 + = ไดแก 3 2 4
ก.
24. รากของสมการ
1 2 1 ค. -2, 2
11 2 11 ง. - 4, 2 ข. 4, -
ก. 4,
26 3 3 8 ง. , 8 3 x-4 7 + = คือ 2x 2 1 ข. - 2, 2 1 ง. 2, 2 10 - = 11 คือ x 6 ข.
x2 x -1
ก. 2,
25. รากของสมการ xx- 10 5 ก. 2, 7
ข. 2, - 7
ค. - 2, 7 ง. - 2, - 7 26. สมการในขอใดมีรากของสมการเปน 1 หรือ 2 ก. x2 + 2x + 1 = 0 ข. x2 + 3x + 1 = 0 ค. x2 - 3x + 2 = 0 ง. x2 - 3x - 2 = 0 27 สมการใดมีรากของสมการเปน 4 หรือ – 3 ก. x2 - x - 12 = 0 ข. x2 - x + 12 = 0 ค. x2 + 3x - 4 = 0
ง. x2 + x - 7 = 0
216 28. สมการใดมีรากของสมการเปน 2 หรือ 3 ข. x2 - 5x - 6 = 0 ก. x2 + 5x + 6 = 0 ค. x2 - x + 5 = 0
ง. x2 - 5x + 6 = 0 2 29. สมการใดมีรากของสมการเปน – 2 หรือ 3
4 ก. x + 4x - = 0 3 2 ค. 3x - 4x - 4 = 0 2
30. สมการใดมีรากของสมการเปน 3 ก. x2 + 6x + 9 = 0 ค. x2 - 6x + 9 = 0
ข. 3x2 + 4x - 4 = 0 ง. 3x - 4x + 4 = 0 ข. x2 + 6x - 9 = 0 ง. x2 - 6x - 9 = 0
31. จากสมการ x2 + 6x + k = 0 จะทําเปนกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด ก. 36 ข. 12 ค. 9 ง. - 9 32. จากสมการ x2 - 6x + k = 0 จะทําเปนกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด ก. 36 ข. 12 ค. - 9 ง. 9 33. จากสมการ x2 + 6x - k = 0 จะทําเปนกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด ก. 36 ข. 6 ค. - 9 ง. 9 34. จากสมการ x2 - 4x + k = 0 จะทําเปนกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด ก. - 4
ข. 4
ค. 16
ง. -16
35 จากสมการ x2 - 4x - k = 0 จะทําเปนกําลังสองสมบูรณได เมื่อ x มีคาเทาใด ก. - 4
ข. 4
ค. 8
ง. - 8
36. จากสมการ 2x2 + 12x + k = 0 จะทําเปนกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด ก. 36 ค. 144
ข. - 36 ง. 9
217 37. จาก x2 + 10x + k = 0 จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด ก. - 5
ข. -
10 2
ค. 50 ง. 25 38. จาก 36x2 - 7x + k = 0 จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด
7 6 ข. 6 7 7 49 ค. ง. 144 36 2 39. จาก 3x + 5x - k = 0 จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด 5 5 ก. ข. 3 6 5 25 ค. ง. 30 36 ก. -
40. จงหาวา 1 และ – 2 เปนรากของสมการใดตอไปนี้ ก. x2 - 3x + 2 ข. x2 - 2x + 4 ค. x2 + x - 2
ง. 2x2 - x - 4
41. จาก 2x2 - 5x + k = 0 จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด
2 5 ข. 5 2 25 25 ค. ง. 16 4 x 2 10x 42. จาก 2 + + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด b b ก. -
ก. 5 ค. 15
ข. 10 ง. 25
218 43. จาก 9x2 + 11x + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด
11 11 ข. 2 6 11 121 ค. ง. 36 36 44. จาก 3x2 + 5x + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด 5 25 ก. ข. 9 9 25 5 ง. ค. 3 36 2 45. จาก x - x + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด ก. - 1 ข. 1 1 1 ค. ง. 4 4 2 46. จาก x + x + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด ก.
ก. 1
ข. 2
1 1 ง. 2 4 2 x 47. จาก + 2 x + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด 4 ค.
ก. 1
ข. 2
ค. 4
ง.
1 4
x2 - 2 x + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด 48. 4 ก. 1
ข. 2
ค. 4
1 ง. 4
219 49. จาก 9x2 + 11x + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด
11 11 ข. 2 6 11 121 ค. ง. 36 36 50. จาก 3x2 + 5x + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด 5 25 ก. ข. 9 9 25 5 ง. ค. 3 36 2 51. จาก x - x + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด ก. - 1 ข. 1 1 1 ค. ง. 4 4 2 52. จาก x + x + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด ก.
ก. 1 ค.
1 2
ข. 2 ง.
1 4
x2 53. + 2 x + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด 4 ก. 1
ข. 2
ค. 4
ง.
1 4
x2 - 2 x + k จะเขียนในรูปกําลังสองสมบูรณได เมื่อ k มีคาเทาใด 54. 4 ก. 1
ข. 2
ค. 4
1 ง. 4
220 55. จาก 36x + 84x + 49 เปนผลที่ไดจากขอใด ก. 6x2 + (7)2
ข. (6x)2 + (7)2
ค. (6x – 7)2
ง. (6x + 7)2
x2 56. + 2x + 1 เปนผลที่ไดจากขอใด 4 x2 2 2 ก. ( ) – (1) 2 x ค. ( 1 )2 2 2 x 2x 57. 2 + 1 เปนผลที่ไดจากขอใด b b x x ก. ( )2 + 2 ( ) + (1) b b x ค. ( 1 )2 b
x2 1 2 ) 2 x 1 ง. ( )2 4 2
ข. (
x b x ง. ( b
1 2 1 + )2 2
ข. ( - )
เมื่อกําหนดใหสมการเปน ax2 + bx + c = 0 จะไดสูตรในการแกสมการกําลังสอง
b 2 4ac เปน x = 2a 58. ถาสมการกําหนดให ax2 + bx + c = 0 รากของสมการ (คา x) คือ b b 2 4ac b b 2 4ac ก. x = ข. x = 2a 2a b b 2 4ac - b b 2 4ac ค. x = ง. x = 2a 2a 2 59. เมื่อกําหนดสมการเปน ax + bx + c = 0 จะไดรากของสมการคือ b b 2 4ac b - b 2 4ac x = ก. x = ข. 2a 2a b b 2 4ac b b 2 4ac ง. x = ค. x = 2a 2a b
221 60. ถาสมการกําหนดให ax2 - bx - c = 0 รากของสมการคือ
b b 2 4ac ก. x = 2a - b b 2 4ac ค. x = 2a
- b b 2 4ac ข. x = 2a b 2 b 2 4ac ง. x = 2a
61. กําหนดใหสมการคือ 5x2 + 2cx – 4c2 = 0 ดังนั้นคา c ที่จะแทนในสูตรการแกสมการคือ ก. - 4c
ข. - 2c
ค. 4c2
ง. - 4c2
62. จากสมการ 5x2 – 7x = 9 จงบอกคา x ที่จะแทนในสูตร ก. 5 ข. 9 ค. 7 ง. - 9 63. จากสมการ kx2 + (k – n) x – n = 0 เฉพาะ b2 – 4ac มีคาเทาใด ก. (k + n)
ข. k – n
ง. k 2 4kn n 2 ค. k 2 4kn n 2 64. จากสมการ 2x2 + 3x + 1 เฉพาะ b2 – 4ac มีคาเทาใด ก. 0 ข. 1 ค. 2 ง. 4 65. จากสมการ 3x2 - 5x + 1 รากของสมการคือ
- 5 13 - 5 37 ข. 6 6 5 - 37 5 13 ค. ง. 6 6 66. จากสมการ 2x2 + 3x – 1 = 0 รากของสมการคือ 1 1 ก. 1, ข. 1, 2 2 1 1 ค. -1, ง. -1, 2 2 ก.
67 จากสมการ 12k – 8k2 = 2 คาของ k เทากับเทาใด
222
6 5 3 2 ข. 4 8 3 5 3 13 ค. ง. 4 4 จากสมการ 6x – 4x2 = - 2 คาของ x เทากับเทาใด 6 5 3 13 ก. ข. 4 4 - 3 13 -6 5 ค. ง. 4 4 2 จากสมการ 3 = 4x – 5x เ มื่อจัดสมการเพื่อใชสูตรแลว คาของ a, b และ c ตามลําดับคือ ก. 4, - 5, 3 ข. 4, 5, - 3 ค. 4, - 5, - 3 ง. ไมมีขอถูก จงหาคา (k2 + 1) จากสมการ 3(k2 + 1)2 + (k2 + 1) – 2 = 0 3 ก. 1, ข. 1, 0 2 5 ง. ไมมีคําตอบที่ถูก ค. 0, 2 จงหาคา x จากสมการ 3x2 – 3x – 1 = 0 ก. 3.3, 0.3 ข. 3.3, - 0.3 ค. -3.3, 0.3 ง. -3.3, - 0.3 จงหาคา x จากสมการ 2x2 – 4x + 1 = 0 (ทศนิยม 1 ตําแหนง) ก. 1.7, - 0.5 ข. 2.7, - 0.7 4 24 ค. ง. ไมมีขอถูก 4 x2 x 1 จงหาคา x จากสมการ = 0 (ทศนิยม 1 ตําแหนง) 3 6 2 ก. 1, 1.5 ข. - 1, - 1.5 ค. 1.5, 1 ง. - 1.5, 1 ก.
68.
69.
70.
71.
72.
73.
223
บทที่ 8 ความหมายของลอการิทึม 1. ความหมายของลอการิทึม จากสมการ x = a y เมื่อ a > 0 และ a ≠ 1 สามารถเขียนไดในรูป y = f (x) ไดคือ y = logax เมื่อ a > 0 และ a ≠ 1 ดังนั้น x = ay กับ y = loga x มีความหมายเหมือนกัน โดยที่ a > 0 และ a ≠ 1 สมการเลขยกกําลัง x = ay
ตัวอยาง
สมการลอการิทึม y = loga x
64 = 25
5
= log2 64
25 = 52
2
= log5 25
0.01 = 10 - 2
-2 = log10 0.01
2. ฟงกชันลอการิทึม ฟงกชนั ลอการิทึม หมายถึง ฟงกชันที่อยูในรูป y = loga x หรือ f (x) = loga x ตัวอยางที่ 1
ก. ค. วิธีทํา
f( x)
กําหนด
=
f(1) f(4)
f(1) จาก f ( x ) = = หรือ y หา f ( 1 ) แกน x = 1; y = 2y = ทําเปนเลขยกกําลัง 2y = ดังนั้น y = = . . . f (π)
log2 x จงหาคาของ ข. f ( 2 ) ง. f ( 16 )
ก.
log2 x log2 x log2 1 1 20 0 0
224
f(2) จาก f ( x ) หรือ y
ข.
= log2 x = log2 x
หา f ( 2 ) แทน x = 2; y ทําเปนเลขยกกําลัง ดังนั้น ∴
= log2 2
2y = 2 2y = 21 y = 1 f(2)
f(4) จาก f ( x ) หรือ y หา f ( 4 ) แทน x = 4; y 2y ทําเปนเลขยกกําลัง 2y ดังนั้น y ∴ f(4)
= 1
ค.
= log2 x = log2 x = log2 4 =
4
=
22
= 2 = 2
f ( 16 ) = log2 x จาก f ( x ) = log2 x หรือ y หา f ( 16 ) แทน x = 16; y = log2 16 2y = 16 ทําเปนเลขยกกําลัง 2y = 24 ดังนั้น y = 4 = 4 ∴ f (16 ) ง.
225
3. กฎของลอการิทึม 1. ลอการิทึมของ 1 บนฐานใด ๆ มีคาเทากับศูนย
log a 1
0 เมื่อ a ≠ 0 และ 1
=
เพราะ 20 = 1
log2 1 = 0 log101 = 0 log 1 1 = 0
เชน
เพราะ 100 = 1 0 เพราะ 1 = 1
(2 )
2
2. ลอการิทึมของจํานวนทีม่ ีคาเทากับฐานเทากับหนึ่ง
loga a
=1
เมื่อ a ≠ 0 และ1 เพราะ 21 =
log2 2 = 1 log10 10 = 1 log 1 12 = 1
เชน
2
เพราะ 101 = 10 1 เพราะ 12 =1 2
()
2
3. ลอการิทึมของผลคูณ
log 8 MN = log 8 M + log 8 N เมื่อ a
log2 2 log2
เชน
≠
0 และ 1
log2 ( 2 × 1 ) = log2 2 + log2 1 = 1 + 0 ( log2 2 = 1, log2 1 = 0
=
1 1
= 1
4. ลอการิทึมของผลหาร
log a M N เชน
log2 1 2
=
log a M
−
log a N เมื่อ a ≠ 0 และ 1
= log2 1 - log2 2 = 0–1 = -1
226
5. ลอการิทึมของเลขยกกําลัง
log a M
π log a M เมื่อ a ≠ 0 และ 1
=
log 2 2 3
เชน
= 3 log 2 2 = 3.1 = 3
6. ลอการิทึมของฐานลอการิทึมยกกําลัง
log a M เชน
log 3 2 3
=
π log a M = = =
ตัวอยางที่ 4
วิธีทํา
log a N เมื่อ a ≠ 0 และ 1
1 log 3 2 3 1 (1) 2 1 2
จงหาคาของ log 16 2 (ก) log 2 16 (ข)
−
1 log 10 1,000
(ก)
log 2 16
(ข)
1 log 10 1,000
(ค)
log 9 27
(ง)
log 9 27
= log 2 4 2 = 4 log 2 2 = 4(1) = 4 = log 10 10 − 3 = - 3 log 10 = -3
10
227
log 9 27
(ค)
= log 2 3 3 3 = =
log 125 5
(ช)
วิธีทํา
ตัวอยางที่ 6 วิธีทํา
1
=
log 3 5 2
=
1 10 2 × 35
= ตัวอยางที่ 5
3 log 3 2 3 3 2
กําหนด log10 5 = 0.6990 log10 3 = = = = = = = log10 45 =
5
1 6 0.4771 จงหาคาของ log10 45
log10 ( 9 ×5 ) log109 + log105 log10 32 + log10 5 2 log103 + log105 2 ( 0.4771 ) + 0.6990 0.9542 + 0.6990 1.6532
จงแสดงวา log105 = 1 - log10 2
()
log105 = log10 102 = log1010 - log10 2 = 1 - log 2 10
()
ตัวอยางที่ 7 กําหนด log a = 1, log b = -1, log c = 2 จงหา log ab และ log abc c วิธีทํา log ab = log a + log b - log c
(c )
= 1+(-1)–2 = 0–2 = -2
228
4. สมการลอการิทึม สมการลอการิทึม หมายถึง สมการที่มีตัวแปรอยูในรูปลอการิทึม เชน = 1 3 log x
log ( 3x + 5) log ( x + 7 ) 3 log x + 2 log x2
=
10
=
log ( x + 3 ) – 2
= 5 การแกสมการลอการิทึม ทําไดโดยใชกฎของลอการิทึม ตัวอยางที่ 1 จงหาคา x จาก สมการ วิธีทํา
∴ ∴ ตัวอยางที่ 2 วิธีทํา จาก
log 2x
3 log x
=
3 log x
=
log x3 x3 x
=
log 8 log 8 log 23
=
23
=
2 (เลขชี้กําลังเทากัน)
= 3
log 2x log 2x 2x x
= 3 = log 1,000 (Q 1,000 = 103 ) = 1,000 = 500
ตัวอยางที่ 3 จงหาคาของ t จากสมการ วิธีทํา
log ( t + 6 ) = log ( t + 6 ) = log ( t + 6 ) - log ( t + 2 ) = log ⎛⎜ t + 6 ⎞⎟ = ⎝ t+2⎠ log ⎛ t + 6 ⎞ = ⎜ t+2⎟ ⎝ ⎠
log ( t + 2 ) + 2 log ( t + 2 ) + 2 2 2 log 10 ( Q log 10 = 1 )
log 102
229
t+6 t+2 t+6 t+6 - 99 t
t t
ดังนั้น ตัวอยางที่ 4 จงหาคา y จากสมการ วิธีทํา
=
102
=
100 ( t + 2 )
=
100 t + 200
=
194
194 = - 1 95 -99 99 95 = -1 99
=
2 log y + log y2
= 4
2 log y + log y2
= 4 log 10
2 log y + 2 log y = 4 log 10 4 log y = 4 log 10
y = 10
ดังนั้น
แบบฝกหัด 1
1.1
จงเขียนสมการตอไปนี้ในรูปลอการิทึม 22 = 4
1.2
33
1.3
42
1.4 1.5 1.6 1.7 1.8 1.9 1.10 1.11
= 27
(12 )
2
0
3
= 16 = 1
4
= 1 = 9 = 1 16 − 2 = 0.01 10 ( 20) 1 = 20 9 = 3 10 6 = 1,000,000
2 27 3 2−4
230
2
จงเขียนสมการตอไปนี้ ในรูปสมการของเลขยกกําลัง 2.1 log10 10 = 1 2.2 log10 100 = 2 2.3 log5 1
= 0
2.4 log2 32
= 5
= 43
2.5 log8 16 2.6 log 1 16
= -4
2.7 logx4
=
2.8 log 1 9 3 2.9 log2 B
= -2
2
y
= 12
2.10 loga A
= 1
10
จงหาคาตอไปนี้
3 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 3.7 3.8 3.9
log10 101 log 1 9 3 1 log10 1,000 log10 0.1 loga a4 log.10 0.001 loga loga a loga 1a log 1 125
= = = = = = = = =
( )
( )
5 3.10 log3 loga a3
=
3.11 log 25 + log 4 = 10 10
⎛ ⎞ 3.12 log 1 ⎜ loga a 2 ⎟ 1
⎝ 2
⎠
=
231
จงเติมตัวเลขลงในชองวางใหถูกตอง
4 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 4.7 4.8 4.9 4.10 5
log2 33 log3 log7 ( log2 ( log2 107 log3 log10 log2 22 log10 log 4 4
×
( )
= = ) = ) = = = = = = =
log2 3 + log2 log310 + log3 5 log7 5 + log7 3 log2 5 + log2 7 log2 log38 − log3 4 log1012 - log10 3 log2 2 log10 2 2 log4
กําหนดให f (x) = log3x, g (x) = log2 x , h (x) = log 1 x 2 จงหาคาตอไปนี้ 5.1 f (1) + g (1) + h (1)
5.2 f (9) + g (8) + h(4)
5.3 h ( g (4))
- log2
232
()
5.4
f (27) - g (16) + h 1 2
5.5
[f (19 ).g (161 ).h (18 )]
6
จงหาคาของ loga a3 วิธีทํา
7
จงหาคาของ log4 4 4 วิธีทํา
8
กําหนดให log10 5 = 0.6990 และ log10 7 = 0.8451 จงหาคาของ log10 245 วิธีทํา
233
9
จงแสดงวา log2 1 = log2 8 – 3 วิธีทํา
จงแสดงวา log4 25 - log4 45 + 5 log4 2 = 0
10 วิธีทํา
11
กําหนดให log x = 12 log y = 1 log z = 1 4 3 จงหาคาของ ก) log xyz
xy
ข) log z ค) log ( xyz)2 12
กําหนดให log10 5 = 1 - log10 2 จงหาคาของ log10 250 + log10 500
13
กําหนดให log10 3 = 0.4771 log10 5 = 0.6990 จงหาคาของ ก) log10 450 ข) log10 300
14
กําหนดให log10 5 = 0.6990 และ log10 7 = 0.8451 จงหาคา ก) log10 175 + log10 25 ข) log10 14 - log 70
234
15
กําหนดให log10 5 = 0.6990 จงหาคา log10 62.5
16
จงแกสมการตอไปนี้ 16.1 2 log x – 1 = 0 16.2 log 2x = log 2 + 5 16.3 log ( 2 x - 1 ) = log ( x + 3 ) – 3 16.4 log x = 1 – log ( x - 9 )
17
4 log x3 - 11 log x = 2
18
log x5 + log x4 - log x2 = 7
19
log ( 4 x + 5 ) – log ( x - 3 ) = 2
20
log ( x – 9 ) + log x = 1
21
log ( x + 1 ) + log 2 x = log 2 ( x + 2 ) + 2 log x
22
log x + 2 log 2 x – log 3 x = 5
235
23
log ( x + 1 ) – log ( x – 3 ) = 2.01
24
2 log x – 3 log 2 x = 0.58
แบบฝกหัดการบาน 1.
จงหาคา x จากสมการ ก. log3 243 = x
ข. logx 25 = 1
2
ค. logx 1 = - 3
343
ง. logx 25 2.
= 1
2
จงหาคาตอไปนี้ ก. log8 32 ข. log5 125 ค. log10 0.001 ช. log 1 1,000 10
3.
จงแสดงวา log10 5 - 1 + log10 2 = 0
236
ลอการิทึมธรรมชาติ 1. ความหมายลอการิทึมธรรมชาติ ลอการิทึมธรรมชาติหรือลอการิทึมแบบเนเปยร คือ ลอการิทึมฐาน e โดย e เปนคาคงที่คาหนึ่ง และ e ≈ 2.71828
log e N
=
ln N
ลอการิทึมฐานe ( ln N ) เมื่อนําไปเทียบกับลอการิทึมสามัญ ( log N ) จะเปนไป ดังสมการตอไปนี้คือ
ln N
=
log N 0.4343
ตัวอยางที่ 1 จงหาคาของลอการิทึมตอไปนี้ (ก) ln 3.25 (ข) ln 24.38 (ค) ln 0.05926 วิธีทํา (ก) ln 3.25 = = = (ข) ln 24.38 = = = = (ค) ln 0.05926 = = = =
หรือ
In N
=
2.3026 log N
2.3026 log 3.25 2.3026 ( 0.5119 ) 1.1787 2.3026 log 24.38 2.3026 ( 1.3856 + 0.0014 ) 2.3026 ( 1.3870 ) 3.1937 2.3026 log 0.05926 2.3026 ( - 3 + 0.7723 + 0.0004 ) 2.3026 ( - 2.2273 ) - 5.1286
237
2. คาลอการิทึมฐาน e จากตาราง การหาคา ln N จากตารางลอการิทึมฐาน e เราจะตองเปลี่ยน ln N ใหอยูในรูป ตอไปนี้
(
)
In N = In N 0 × 10 n ; 1 ≤ N0 < 10 . n = จํานวนเต็ม ตัวอยางที่ 2 ตารางลอการิทึมฐาน e บางสวนมีลักษณะดังนี้ 0 1 2 3 4 5 6 7 8
9
1 2 3 4 5 6 7 8 9
7.0. 1.94591 94734 94876 95019 95161 95303 95445 95586 95727 95868 14 28 43 57 71 85 99 114 128 7.1 1.95009 96150 96291 96431 96571 96711 96851 96991 97130 97269 14 28 42 56 70 84 99 112 126 98238 7.2 1.97408 97547 97685 97824 97952 98100 98238 98376 98513 98650 14 28 41 55 69 83 97 110 124 7.3 1.98787 98924 99061 99198 99334 99470 99606 99724 99877 2.00013 14 27 41 54 68 82 95 109 122 7.4 2.00148 00283 00418 00553 00687 00821 00956 01089 01223 01357 13 27 40 54 67 80 94 107 121 7.5 2.0149 01624 01757 01890 02022 02155 02287 02419 02551 02683 13 27 40 53 67 80 93 106 120 7.6 2.02815 02946 03076 03209 03340 03471 03501 03732 03862 03992 13 26 39 52 66 79 92 105 118 7.7 2.04122 04252 04381 04511 04640 04769 04898 05027 05156 05284 13 26 39 52 65 77 90 103 116 7.8 2.05412 05540 05668 05795 05924 06051 06179 06306 06433 06560 13 25 38 51 64 76 89 102 114 7.9 2.06686 06813 06939 07065 07191 07317 07443 07568 07694 07619 13 25 36 50 63 76 88 101 113
ขั้นตอนการใชตารางใหกระทําดังนี้ จาก ln N = ln ( N0 × 10 " ) = =
ln N0 + ln 10" ln N0 + n ln 10
เปดตารางหาคา ln N0 และ ln 10 จากตารางลอการิทึมฐาน e หมายเหตุ ln 10 = 2.3026 ( ควรจําใหไดเพราะในการเปดตารางลอการิทึมฐาน e เราจะตองใช อยูเสมอ ) ตัวอยางที่ 3 จงหาคาลอการิทึมตอไปนี้ (ก) In 70.5 (ข) (ค) (ง)
In 0.0738 In 793.7 In 0.7749
238
In 70.5
วิธีทํา (ก)
= In ( .05 × 10 ) = In 7.05 + In 10
จากตาราง In 7.05
In 10 จาก ( 1) In 70.5 (ข)
In 0.0738
…(1)
= 1.95303 = 2.3026 = 1.95303 + 2.3026 = 4.25563 = In (7.38 × 10-2 ) = In 7.38 + In 10-2
…(1)
= In 7.38 - 2 In 10 จากตาราง In 7.38
In 10 จาก (1) In 0.0738 (ค)
In 793.7
= 1.99877 = 2.302 = 1.99877 – 2 ( 2.3026) = - 2.60643 = In (7.937 × 102) = In 7.937 + In 102 = In 7.937 + In 10
…(1)
จากตาราง In 793.7 = 2.070650 + 0.00088 = 2.07153 In 10 = 2.3026 จาก (1) (ง)
In 793.7 In 0.7749
= 2.07153 + 2 (2.3026) = 6.67673 = In ( 7.749 × 10-1 ) = In 7.749 - 10-1 = In 7.749 - 10
จากตาราง In 7.749
In 10 จาก (1) In 0.7749
= 2.04640 + 0.00116 = 2.04756 = 2.3026 = 2.04756 – 2.3026 = - 0.25504
… (1)
239
3. กราฟลอการิทึม ฟงกชันลอการิทึม เปนอินเวอรสของฟงกชันเอกชโปเนนเชียล จากฟงกชันเอกช โปเนนเชียล f(x) = {(x,y) ∈ R × R+ l y = ax ; a > 0 และ a ≠ 1} อินเวอรสฟงกชันเอกชโปเนเชียล f - 1 (x) = { (x,y)∈ R+ × R l x = ay ; a > 0 และ a
≠
1}
หรือเรียกวา ฟงกชันลอการิทมึ f - 1 (x) = { (x,y)∈ R+ × R l y = loga x , a > 0 และ a กราฟลอการิทึม คือ อินเวอรสของกราฟเอกชโปเนนเชียล
≠
1}
( 12 )
=
สมการลอการิทึม y = loga x ; a > 0 และ a จากนิยาม a > 0 และ a
≠1
1
ทําใหเราแบงคา a ออกเปน 2 กลุม กลุมที่ 1
-1
≠
กลุมที่ 2
0
1 0< a< 1
a >1
การเขียนกราฟสมการลอการิทึมที่ 0 < a < 1 ตัวอยางที่ 1 จงเขียนกราฟจากสมการ y = log x วิธีทํา หาคูลําดับจาก y = log1 x ทําเปนเลขยกกําลังได 2
( ) ( 12 )
x = 12
y
y
−2
-2
=
4
( 12 )
-1
-1
=
2
( 12 )
0
( 12 )y =
0
1
= x
(12 )
1
=
1
1 2
2
2
1 4
240
ตัวอยางที่ 2 จงเขียนกราฟ จากสมการ y = log x และ y = log x บนแกน x, y เดียวกัน วิธีทํา หาคูลําดับจาก y = log 1 x
และ y = log 1 x
2
4
(4 )
(4 )
y ทําเปนเลขยกกําลังได 1 = x และ 1
y
=x
(14 )
x
=
(14 ) (14 ) y
-2
x
=
(12 )
4
2
1
1 4
1 4
y
-2
-1
0
1
2
y
=
16
()
1 -1 = 4 4
0
=
1
()
11 = 1 4 4
()
1 2= 1 4 16
241
การเขียนกราฟสมการ ลอการิทึมที่ a > 1 ตัวอยางที่ 3 จงเขียนกราฟจากสมการ y = log2 x วิธีทํา หาคูลําดับจาก y = log2 x ทําเปนเลขยกกําลังได 2y = x
x
=
y
2y
2
−2
=
-2
1 4
2
−1
=
-1
1 2
o
2
=
0
1
1
2
=
1
2
2
2
=
2
4
242
ตัวอยางที่ 4 จงเขียนกราฟจากสมการ y = log2 x และ y = log4 x
y = log2 x และ y = log4 x
วิธีทํา หาคูลําดับ จาก
ทําเปนเลขยกกําลังได 2y = x และ 4y = x
x=4
y
4
-2
y
2
-2
x=2 y
=
1 16
4
=
4
2
-2
-1
-1
0
=
1 4
4
=
1 2
2
-1
0
1
=
1
4
=
1
2
0
1
2
=
4
4
=
2
2
1
2
=
16
=
4
2
243
จากกราฟที่เขียนทั้งสี่ตัวอยางมีขอสรุปดังนี้ 1. กรณี 0 < a < 1 ถา x มีคาเพิ่มขึ้นเรือ่ ย ๆ ทําให y มีคาลดลง เราจะเรียกกราฟลักษณะ เชนนี้วา ฟงกชันลด (Decreasing Function) กรณี a > 1 ถา x มีคาเพิ่มขึ้นเรือ่ ย ๆ ทําให y มีคาเพิ่มขึ้น เราจะเรียกกราฟลักษณะ เชนนี้วา ฟงกชันเพิ่ม (Increasing Function) 2. กราฟฟงชันลอการิทึมจะตองผานจุด (1, 0) และ (a, 1) เสมอ จาก y = log2 x ถา y = 0 แลว x = a0 = 1 ไดจุด ( 1, 0 ) และ
ถา y = 1 แลว x = a1 = a ไดจดุ ( a, 1 )
3. ในการเขียนกราฟ y = loga x และ y = logb x เมือ่ a > b > 0 เราสามารถเขียนกราฟทัง้ สองโดยการวิเคราะหดังนี้ 3.1 เสนกราฟ y = loga x และ y = logb x ตองผานจุด ( 1, 0 ) 3.2 ลากเสน y = 1 พิจารณาหาจุด ( 1 , a ) และ (1 , b) 3.3 เขียนกราฟผานจุดระหวาง ( 1, 0 ) กับ ( a, 1 ) และ ( 1, 0 ) กับ (b, 1 )
4. สมการเอกซโปเนนเชียลและสมการลอการิทึมในงานชาง
244
ตัวอยางที่ 1 ความสัมพันธระหวางเวลากับอุณหภูมิในการทําใหโลหะชนิดหนึ่งเย็นลง เปนไป ดังสมการ T = T0 ekt โดยที่ T แทนอุณหภูมิเมื่อเวลา t นาทีใด ๆ มีหนวยเปนองคสเคลวิน
T0 แทนอุณหภูมเิ ริ่มตน มีหนวยเปนอาศาเคลวิน t แทนเวลา มีหนวยเปนนาที k แทนคาคงที่คาหนึ่ง T0
จงหาวาจะตองใชเวลากี่นาทีในการทําใหโลหะชนิดนี้อณ ุ หภูมิลดลง 120 องศาเคลวิน ถา = 167 องศาเคลวิน T = 100 องศาเคลวิน และ t = 1 นาที
วิธีทํา
T = T0 ekt T = 100 °K
จากสมการ
แทนคา
T0 = 167
°
…..( 1 )
K
t = 1 นาที 100 = 167 ek 167 ek = 100
∴
In ek = In 167 100 k In e = In 1.67 k = 0.51 (In e = 1) T = T0 e- 0.511
จาก (1)
….(2)
โลหะมีอุณหภูมิ T0 = 167 องศาเคลวิน ตองการทําใหอหุณหภูมิลดลง 120 องศาเค วิน ∴ ตองทําใหโลหะมีอณ ุ หภูมิ จาก ( 2 )
T = 167 - 120 = 47 องศาเคลวิน 47 = 167 e- 0.511
e 0.511 In e- 0.511 0.51 t In e 0.51 t ∴
t
= 167
47 In 167 47 = In 3.55 = ln 3.55
=
=
l n 3.55 0.51
(In e
=
1)
245
= 1.26695 ดังนั้น ตองใชเวลาทั้งหมด 2.48 นาที
0.51
= 2.48
ตัวอยางที่ 2 ความสัมพันธระหวางคาบของการแกวง และความยาวของลูกตุมนาฬิกาเปนไปดัง สมการ In T = 1 ln L + 0.6982
2
เมื่อ T แทนคาบของการแกวง มีหนวยเปนวินาที L แทนความยาวของลูกตุมนาฬิกามีหนวยเปนเมตร ถาความยาวของลูกตุมนาฬิกาเทากับ 0.30 เมตร จงหาคาบจองการแกวงของลูกตุม นาฬิกาเรือนนี้ วิธีทํา จากสูตร
In T = 12 l n L + 0.6982 L = 0.30 เมตร ∴
In T = 12 l n 0.30 + 0.6982 = 1 ( −1 + 1.09861 ) + 0.6982 2 = 1 ( − 0.09861 ) + 0.6982 2
= - 0.04930 + 0.6982 = 0.6489 In T = In 1.91 ∴ T = 1.91 วินาที ดังนั้น คาบของการแกวงเทากับ 1.91 วินาที
246
แบบฝกหัด สมการเอกซโปเนเชียลและสมการลอการิทึมในงานชาง 1
ความสัมพันธระหวางจํานวนแบคทีเรียกับเวลา เปนไปดังสมการ q = 2 (3t ) เมื่อ
q t
แทนจํานวนแบคทีเรีย มีหนวยเปนพันตัว
แทนเวลามีหนวยเปนชั่วโมง ถาตองการแบคทีเรีย 2.43 พันตัว จะตองใชเวลานานเทาไร
2
ความสัมพันธระหวางอุณหภูมิ และเวลาในการทําใหของเหลวชนิดหนึง่ เย็นลงเปนไป ดังสมการ T = Ktn เมื่อ T แทนอุณหภูมิ มีหนวยเปนองศาเซลเซียส t แทนเวลา มีหนวยเปนนาที k,n
แทนคาคงที่
ถา T = 20 องศาเซลเซียส, K = 60 และ t = 11 นาที จงหาวาเมื่อเวลาผานไป 2.70 นาที ของเหลวมีอณ ุ หภูมิเทาไร
247
3
จากวงจรที่กําหนดให
มีสมการความสัมพันธกันดังนี้ คือ =
และ เมื่อ
i0 i E R
t C
e
i i0
= =
i0e E R
t RC
แทนกระแสไฟฟาเริ่มตน มีหนวยเปนแอมแปร แทนกระแสไฟฟาเมื่อ t วินาที มีหนวยเปนแอมแปร แทนแรงเคลื่อนไฟฟา มีหนวยเปนโวลต แทนความตานทาน มีหนวยเปนโอหม แทนเวลาตั้งแตเปดสวิตช มีหนวยเปนวินาที แทนความจุไฟฟา มีหนวยเปนฟารัด ≈ 2.718
ถากําหนดให E = 220 โวลต R = 450 โอหม และ C = 30 × 10- 6 ฟารัด จงหาวาใช เวลานานเทาไรหลังจากเปดสวิตช กระแสไฟฟาจะเหลือเพียงครึ่งหนึง่ ของกระแสไฟฟาเริ่มตน 4
งานที่เกิดจากการเปลี่ยนปริมาตรของกาชชนิดหนึ่ง มวล 1 กิโลกรัม เมื่ออุณหภูมิคงที่ เปนไปดัง สมการ W = 8.1 × 104 In V f Vi เมื่อ W แทนงานมีหนวยเปนจูล Vi แทนปริมาตรเดิมของกาซมวล 1 กิโลกรัม Vf แทนปริมาตรครั้งสุดทายของกาซมวล 1 กิโลกรัม ถาเดิมปริมาตรของกาซชนิดนี้เทากับ 2.9 ลิตรตอมวล 1 กิโลกรัม และถาปริมาตรของกาซ เปลี่ยนไปเปน 10 ลิวตร ตอมวล 1 กิโลกรัม จงหางานทีเ่ กิดขึ้นจากการเปลี่ยนปริมาตรของกาซชนิด นี้ 4 5 จากปญหาในขอ 4 ถางานเกิดขึน้ 15 × 10 จูล ปริมาตรของกาซเปลี่ยนไปเปนเทาไร
248
แบบทดสอบ 1. กําหนด log 2 = 0.3010 และ
log 3 = 0.04771 จงหาคา x จาก สมการ 2x = 12 ก. 3.585 ข. 4.385 ค. 5.015 ง. 6.834 2. จากขอ 1 จงหาคา x จากสมการ
( 3x ) ( 22x ) = 8 ก. 0.387 ข. 0.783 ค. 0.837 ง. 0.873 3. จงหาคา x จากสมการ 4 3x = 8 ก. 0.2 ข. 0.3 ค. 0.4 ง. 0.5 4. จงหาคา x จากสมการ 6 3x + 1 = 36 x + 5 ก. 8 ข. 9 ค. 10 ง. 11 5. จงหาคา x จากสมการ
log x + log x 3 + log x 5
=
ก. 1.0 ข. 0.10 ค. 10 ง. 100 6. จงหาคา x จากสมการ
In 2 x
+
In x2
=
2
ก. 2.718 ข. 2.817 ค. 7.812 ง. 7.128 7. จงหาคา x จากสมการ log (x+8) = log (x – 1) + 1 ก. 0.2 ข. 0.5 ค. 2.0 ง. 2.5
8. จงหาคา จากสมการ x In x4 = In x2 - In x ก. 0.80 ข. 0.75 ค. 0.50 ง. 0.25 9. กําหนดให log 5.49 = 0.7396 จงหาคาของ log 0.00549 ก. 2.2604
ข. -2.2604
ค. -3.7396
ง. 3.7396
10. จากขอ 9 จงหาคาของ log 549 ก. 2.7396 ข. -2.7396 ค. – 3.7396 ง. 3.2604 11. กําหนดให log 999 = 2.9996 จงหาคาของ log 0.0999 ก. -2.9996
ข. -2.9001
ค. -1.9001
ง. -1.9996
12. กําหนดให log 552 = 2.7419
9
จงหาคา In 5.52 ก. 0.7083 ข. 1.7083 ค. 6.3228 ง. 6.7083 13. กําหนดให In 5.49 = 1.70293 และ In 0 = 2.3026 จงหาคา ของ In 5490 ก. 3.86107 ข. 6.18073 ค. 7.38601 ง. 8.61073
249
14. จากขอ 13 จงหาคาของ In 0.549 ก. – 0.70293 ข. – 0.29307 ค. – 0.59967 ง. – 0.95679 15. จงหาคา x จากสมการ log 1 x = 2 ก. 1
ข. 1
2
20
2
4
ค. 2 ง 4 16. จงหาคา x จากสมการ
log x + log 25
3
=
ก. 20 ข. 30 ค. 40 ง. 50 17. จงหาคา x จากสมการ
log3 ( x + 6 )
=
3
ก. 12 ข. 16 ค. 19 ง. 21 18. จงหาคา x จากสมการ 2
log 1 ( x − 9 )
=
-2
5
ก. 3 ข. 4 ค. 5 ง. 6 19. จงหาคา x จากสมการ
log ( log 2 x 4 ) = 2 2
ก. 2 ค. 4
ข. 3 ง. 5
กราฟนี้เปนกราฟของฟงกชันใด ก. y = log2 x ข. y = log 1 x 2
ง. y = log 1 x
ค. y = log3 x
3
21. จากกราฟขอ 20 ถา x = 4
y มีคาประมาณเทาไร ก. -2 ข. ข. -1 ค. 0 ง. ง. 1 22. จากสมการ y = log 1 x
5
ถา y = -1 x มีคาเทาไร ก. 0 ข. 5 ค. 25 ง. - 5
250
23.
27 สมการของฟงกชั่นในขอใดเปน Increasing Function ก. y = log 1 x 2
ข.
y
=
log 1 x
ค.
y
=
log 1 x และ log 5 x
ง.
y
=
log 4 x
3
5
28. จากสมการ y กราฟนี้เปนกราฟของฟงกชนั ใด ก. y = log2 x ข. y = log3 x ค. y = log 1 x
ง. y = log 1 x
2
3
24. จากกราฟขอ 23 ถา x = 1 3 y มีคาประมาณเทาไร ก. 1 ข. 0
ค. -1
ง. –1
2
25. จากกราฟขอ 23 ถา y = -2
x มีคาประมาณเทาไร ก. 0.5 ข. 0.6 ค. 0.7 ง. 0.8 26 กราฟของฟงกชั่นในขอใด เมื่อวาด ลงบนตารางกราฟลอการิทึมแลว ไมผานจุด ( 0 , 1 ) ก. y = 12 ค. y = 1
5
ข. y = 1
3 ง. y = 1 9
y
=
log 1 x 2
log 1 x และ y
=
=
3
log4 x
เมื่อเขียนกราฟจะตัดกันที่จุดใด ก. ( 0 , 1 ) ข. (1 , 0 ) ง. (−1 , 0 ) ค. ( 0 , −1 ) 29. คา a ของขอใดมีคามากที่สดุ ก. y = log 1 x 3
ข. y
=
ค. y
=
ง. y
=
log x 1.1 log 1 x 6
log1.5 x
30. จากคูลําดับ ( 36 , - 2 ) เปนจุดของ สมการในขอใด ก. y = log 1 x 3
ข. y
=
ค. y
=
ง. y
=
log x 1.1 log 1 x 6
log1.5 x
251
บทที่ 9 บทนําตรีโกณมิติ บทนํา ตรี โ กณมิ ติ เ ป น วิ ช าที่ ว า ด ว ยการวั ด และการหาความสั ม พั น ธ ร ะหว า งด า นกั บ มุ ม ของรู ป สามเหลี่ยม ซึ่งมีประโยชนในการนําไปใชในทางชางทุกสาขา ตัวอยางเชน เราอยากทราบความสูงของประภาคาร เรา จะตองใชความสัมพันธของฟงกชัน ตรีโกณมิติชวยใน การคํานวณ ดังรูป ถาเราทราบคามุม θ และระยะจาก เรื อ ถึ ง ประภาคาร เราก็ จ ะสามารถหา ความสู ง ของ ประภาคารได
หรือถาตองการทราบวา เสาไฟฟาอยูสูง จากพื้นกี่เมตร เราก็อาศัยฟงกชันตรีโกณมิติชวย ในการคํานวณอีกเชนกัน
จากตัวอยางที่ยกมาใหเห็น แสดงวาฟงกชันตรีโกณมิติมีความสําคัญในงานชางมาก ซึ่งเราจะ ไดศึกษากันใหละเอียดตอไป 1. มุมและการวัดมุม มุม เกิดจากเสนตรง 2 เสน ลากมาพบกันที่จุด ๆ หนึ่ง C
A
θ
B
จากรูป เสนตรง AO และ BO ลากมา พบกันที่จุด O ทําใหเกิดมุม AOB ขึ้น เรานิยมใสอักษรกรีก เชน α , β, γ, θ กํากับมุมที่เกิดขึ้น
252
การวัดมุม จะเริ่มวัดออกจากเสนเริ่มตน OX
y
y
เสนเริ่มตน θ O ( วัดมุมทวนเข็มนาฬิกxา
x
O
คาของมุมเปนบวก )
ปกติการวัดมุมจะวัดไปในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา คาของมุมที่วัดไดในกรณีนี้จะมีเครื่องหมาย เปนบวก (+) แต ใ นทางตรงข า ม ถ า วั ด มุ ม ในทิ ศ ทางตามเข็ ม นาฬิ ก า ค า ของมุ ม ที่ วั ด ได ใ นกรณี นี้ จ ะมี เครื่องหมายเปนลบ ( - ) y
O
-θ
x เสนเริ่มตน
มุมฉาก เกิดจากเสนตรง 2 เสนตัดกัน ทําใหไดมุม 4 มุมที่มีขนาดเทากันหมด มุมแตละมุมที่ C เกิดขึ้นเรียกวา 1 มุมฉาก จากรูป เสนตรง AB และ CD ตัดกัน ที่จะ O ทําใหเกิดมุมที่เทากัน 4 มุม คือ 2 1 1. มุม COB A B O 3 4 2. มุม AOC 3. มุม AOD 4. มุม BOD แตละมุมเราเรียกวา “มุมฉาก” ซึ่งกางเทากับ 90 องศา D มุมแหลม หมายถึง มุมที่มีขนาดมากกวา 0 องศา แตนอยกวา 90 องศา มุมปาน หมายถึง มุมที่มีขนาดมากกวา 90 องศา แตนอยกวา 180 องศา มุมกลับ หมายถึง มุมที่มีขนาดมากกวา 180 องศา แตนอยกวา 360 องศา
253
a
θ
มุมแหลม °
β
มุมกลับ
มุมปาน
°
°
(0 < a < 90 )
(90 <
θ <
°
°
(180 <
180 )
θ < 360
°
)
แบบฝกหัด จงบอกวา มุมตอไปนี้เปนมุมแหลม มุมปาน หรือมุมกลับ และใหบอกคาของมุมดวย ตัวอยาง
α
มุม α มีคาของมุมเปน
เปนมุม บวก
β
ปาน
มุม มีคาของมุมเปน
เปนมุม
θ
β
มุม มีคาของมุมเปน
45 o
เปนมุม
มุม มีคาของมุมเปน
เปนมุม
254
α
มุม มีคาของมุมเปน
θ
เปนมุม
มุม มีคาของมุมเปน
เปนมุม
β
θ
มุม มีคาของมุมเปน
เปนมุม
มุม มีคาของมุมเปน
เปนมุม
2. หนวยการวัดมุม การวัดมุมเปนองศา (Degree) ถาเราแบงมุมฉากออกเปนมุมยอย ๆ เทากับ 90 มุมยอย มุมยอยแตละมุมที่เกิดขึ้นเรียกวา มุม 1 องศา เราใชสัญลักษณ “ ๐ ” แทนคําวา “ องศา ” เชน 100๐ อานวา หนึ่งรอยองศา 90๐ อานวา เกาสิบองศา 120๐ อานวา หนึ่งรอยยี่สิบองศา มุม 1 องศา ยังแบงยอยออกเปน ลิปดา ( / ) และฟลิปดา ( / / ) ตามลําดับ ดังนี้ 1๐ = 60 / (หกสิบลิปดา) 1/ = 60 / / (หกสิบฟลิปดา)
255
ในงานช า งจะคิ ด มุ มที่ เ ล็ ก กวาหนึ่งองศาเป น ตั วเลขทศนิยมแทนลิ ป ดาและฟลิป ดา เพราะ เครื่องมือวัดมุมสวนมากที่ใชในงานชางมีสเกลของมุมอานเปนองศา การแปลงหนวยวัดมุม สามารถทําไดดวยวิธีบัญญัติไตรยางค ตัวอยาง จงเปลี่ยนมุม 30 ลิปดา 45 ฟลิปดา ใหเปนองศา วิธีทํา 1 องศา เทากับ 60 ลิปดา และ 1 ลิปดา เทากับ 60 ฟลิปดา ∴ 1 องศา = 60 × 60 ฟลิปดา = 3,600 ฟลิปดา หรือ 3,600 ฟลิปดา = 1 องศา 1 ฟลิปดา 45 ฟลิปดา
1 = 3,600
องศา
=
องศา
= จาก
60 ลิปดา
=
1 ลิปดา
=
30 ลิปดา
= =
ดังนั้น มุม 30 ลิปดา กับ 45 ฟลิปดา
= =
∴ มุม 30’ 45”
= =
1× 45 3,600 1 80 1
1 60 1× 30 60 1 2 1 +1 2 8 4 +1 = 5 8 8 5 8 0.625
องศา องศา องศา องศา องศา องศา องศา องศา องศา ตอบ
256
แบบฝกหัด ลําดับที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15
มุมที่กําหนดให องศา
ลิบดา
ฟลิปดา
2
30 12 15 30 45
45 30 45 40 54 30 40 48 32
45 45 30 15 48 42 24 30 25
1 2
45 2 1
แปลงเปนองศา 0.625
36 36 40 52 36
การวัดมุมเปนเรเดียน (Radian) มุม 1 เรเดียน หมายถึง มุมที่จุดศูนยกลาง ของวงกลมซึ่งรองรับดวยสวนโคงของวงกลม ที่ยาวเทากับรัศมีของวงกลมนั้น เมื่อ r = รัศมี ∴ 2π r จะได
=
เสนรอบวง มุมที่จุดศูนยกลาง
B
r
O O
θ
θ
A
= 1 เรเดียล
= เสนรอบวง
รัศมี = 2π r r
= 2π
r
เรเดียน เรเดียน เรเดียน
257
แตมุมที่จุดศูนยกลางมีคา 360 องศา
=
2π
เรเดียน
ดังนั้น
180 องศา
=
π
เรเดียน
และ
90 องศา
=
π 2
เรเดียน
π
เรเดียน
ความสัมพันธระหวางหนวยองศากับเรเดียน ถา D = คาของมุม มีหนวยเปนองศา θ = คาของมุม มีหนวยเปนเรเดียน เพราะวา
180๐
=
ดังนั้น
θ
= D 180
นั่นคือ
=
π • D เรเดียน 180 D = θ • 180
θ
π
π
องศา
การคํานวณเปลี่ยนคามุมจากหนวยองศาเปนหนวยเรเดียน หรือจากเรเดียนเปนองศา ทําไดหลายวิธี ดังนี้ 1. ใชสูตรขางตน 2. โดยการเทียบบัญญัติไตรยางศ 3. อาศัยมุมฉากเปนหลัก ตัวอยาง จงเปลี่ยนมุม 60 องศา ใหมีหนวยเปนเรเดียน วิธีทํา
D 180 60 180
จาก แทนคา
∴θ
ตัวอยาง
จงเปลี่ยนมุม
วิธีทํา
จาก แทนคา
4π 5
= =
θ
π
θ
π = 60π 180
= π
เรเดียน
3
เรเดียน ใหมีหนวยเปนองศา
D 180 D 180
∴D
=
θ
π 4π = 5π = 4 ×180
5
=
4 5
=
144
องศา
258
บทสรุป 1. มุม เกิดจากเสนตรง 2 เสนลากมาพบกันที่จุด ๆ หนึ่ง 2. มุมฉาก เกิดจากเสนตรง 2 เสนตัดกัน ทําใหได 4 มุมที่มีขนาดเทากันหมด มุมแตละมุม เรียกวา มุมฉาก 3. มุมแหลม หมายถึง มุมที่มีขนาดมากกวา 0 องศา แตนอยกวา 90 องศา 4. มุมปาน หมายถึง มุมที่มีขนาดมากกวา 90 องศา แตนอยกวา 180 องศา 5. มุมกลับ หมายถึง มุมที่มีขนาดมากกวา 180 องศา แตนอยกวา 360 องศา 6. มุม 1 เรเดียน หมายถึง มุมที่จุดศูนยกลางของวงกลมซึ่งรองรับดวยสวนโคงของ วงกลมที่ยาวเทากับรัศมีของวงกลมนั้น 7. มุมที่จุดศูนยกลาง = 2π เรเดียน 8. การเปลี่ยนคาจากองศาเปนเรเดียน หรือจากเรเดียนเปนองศา หาไดจากสูตร
D = θ 180° π D
= θ ×180
เมื่อ D = คาของมุมที่เปนองศา θ = คาของมุมที่เปนเรเดียน
π
องศา
259
1 มุมประกอบหนึ่งมุมฉาก C
รูปสามเหลี่ยมที่มีมุมภายในมุมใดมุมหนึ่ง y เปนมุมฉาก เราเรียกรูปสามเหลี่ยมนั้นวา “รูป สามเหลี่ยมมุมฉาก” จากรูป สามเหลี่ยม ABC มีมุม B เปนมุม β a ฉาก ดังนั้น มุมที่เหลืออีก 2 มุม คือ α กับ γ จะรวม B A กันได 1 มุมฉาก หรือ 90 องศา จากนิยามของรูปสามเหลี่ยม มุมภายในของรูปสามเหลี่ยมใด ๆ รวมกันเทากับ 180๐ นั่นคือ α+β+γ = 180๐ แต β = 90๐ ∴ α + 90๐ + γ = 180๐ α+γ = 180๐ - 90๐ = 90๐ α = 90๐ - γ = 90๐ - α หรือ γ เราเรียกมุม α และ γ วา เปนมุมประกอบหนึ่งมุมฉากซึ่งกันและกัน
แบบฝกหัด จงหามุมที่เหลือของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก จากรูป ตัวอยาง 43๐
วิธีทํา มุม α = 90๐ - 43๐ = 47๐ α
260
1
5 วิธีทํา
วิธีทํา ๐
( α + 30 )
α θ
6
2
π
วิธีทํา
α
วิธีทํา
4
10๐ + β
β
7
3 วิธีทํา
α
β
วิธีทํา
35๐
8
4 π 3
วิธีทํา
วิธีทํา
θ
จงหามุมประกอบหนึ่งมุมฉากของมุมตอไปนี้ ตัวอยาง มุม 40๐, 10๐, 58๐, π , π , π 3 6 12 วิธีทํา มุมประกอบหนึ่งมุมฉากของมุม 40๐ = 90๐ - 40๐ = 50๐ มุมประกอบหนึ่งมุมฉากของมุม 10๐ = 90๐ - 10๐ = 80๐ มุมประกอบหนึ่งมุมฉากของมุม 58๐ = 90๐ - 58๐ = 32๐ มุมประกอบหนึ่งมุมฉากของมุม π เรเดียน = π - π = 3π − 2π 3 2 3 6
261
1
= π เรเดียน 6 มุมประกอบหนึ่งมุมฉากของมุม π เรเดียน = π - π = 3π −π 6 2 6 6 = 2π = π เรเดียน 6 3 π π 6 π π −π มุมประกอบหนึ่งมุมฉากของมุม เรเดียน = - = 2 12 12 12 π 5 = เรเดียน 12 ในกรณีที่หนวยวัดของมุมเปนเรเดียน จะได มุม 90๐ = π เรเดียน 2 ° มุม 19
2
มุม 11°
3
มุม 43°
4
มุม 75°
5
o มุม π เรเดียน 4 มุม π o เรเดียน 10 o มุม π เรเดียน 12 o มุม 5π เรเดียน 11 o มุม π เรเดียน 20 o มุม π เรเดียน 13 o มุม 6π เรเดียน 13 o มุม 9π เรเดียน 25
6 7 8 9 10 11 12
262
2. การวัดมุมที่ไดจากการหมุน y
x′
O
A θ
x
ถาหมุนรังสี QA ออกจาก QX ไปในทิศ ทางทวนเข็มนาฬิกาเปนมุม θ โดยใหจุด O เปนจุดหมุนดังรูป จะไดมุมที่เกิดขึ้นมีขนาด เทากับ θ และมีเครื่องหมายเปนบวก (+ )
y′ y
แตถาหมุนรังสี OA ออกจาก OX ไปใน ทิศทางตามเข็มนาฬิกาไปเปนมุม θ จะไดมุม ที่เกิดขึ้นมีขนาดเทากับ θ และคาของมุมมี เครื่องหมายเปนลบ ( - )
x′
θ
y′
x A
ตัวอยาง ถารังสี OA หมุนตามเข็มนาฬิกาไปทํามุม 60 องศากับเสนเริ่มตน OX จงหาวามุมทีว่ ัด จากเสนเริ่มตน OX ไปในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา มีคาเทาใด y วิธีทํา รังสี OA หมุนผานควอดรันตมา 3 ควอด รันต ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา ซึ่งคิดเปนมุม x 60๐ รวมทั้งหมด 90๐ + 90๐ + 90๐ = 270 องศา x′ มุมที่รังสี OA หมุนตอไปเมือ่ ผานควอดรันตที่ 3 y′ A อีก 90๐- 60๐ = 30๐ นั่นคือ มุมทั้งหมดที่ OA หมุนไปทิศทางทวนเข็มนาฬิกา = 270๐ + 30๐ = 300๐ ตัวอยาง จงหาคามุม α1 และ α2 จากรูป y วิธีทํา มุม α1 เปนการวัดมุมในทิศทางทวน เข็มนาฬิกา รังสี OA ตกอยูใ นควอดรันตที่ 2 30๐ a1 x ′ ๐ ๐ ๐ ∴ α1 = 90 + (90 - 30 ) a2 O = 90๐ + 60๐ = 150๐ ตอบ y′
ตอบ
x
263
มุม α2 เปนการวัดมุมตามเข็มนาฬิกา คาที่วัดออกมาไดมีเครื่องหมายเปนลบ ( - ) รังสี OA ตกอยูในควอดรันตที่ 2 ซึ่งผานควอดรันตที่ 4 และ 3 มา ดังนั้น ∴ α2 = -(90๐ + 90๐ + 30๐) = -(180๐+ 30๐) = -210๐ ตอบ
แบบฝกหัด จงหาคามุม θ จากรูป y
1
วิธีทํา x′
๐
25
x
θ O
y′ y
2 วิธีทํา
x′
๐
θ
O
15
y′
3 วิธีทํา ๐
30
x′
O
θ
y′
x
x
264
วิธีทํา x′
x
O θ ๐
30
y′
y
5 วิธีทํา
θ
x′
๐
O
55
x
y′
6
y
วิธีทํา x′
θ
๐
O
60
x
y′ y
7 วิธีทํา x′
๐
60 O θ
y′
8 วิธีทํา x′
O
๐ 45 θ
y′
x
x
265
9
วิธีทํา
9
วิธีทํา
จากรูป จงหาคามุม θ, θ1 , θ2 จากชิ้นงาน
266
3. การแบงจตุรภาค ( ควอดรันต ) ถาแบงมุมรอบจุด O ออกเปน 4 สวน เทา ๆ กัน แตละสวนเราเรียกวา ควอดรันต หรือ จตุรภาค จะได 4 ควอดรันต หรือ 4 จตุรภาค ดังรูป ควอดรันตที่ 1 อยูมุมบนขวา ควอดรันตที่ 2 อยูมุมบนซาย ควอดรันตที่ 3 อยูมุมลางซาย ควอดรันตที่ 4 อยูมุมลางขวา ควอดรันตที่ 1 คาของมุมอยูระหวาง 0๐
y ควอดรันตที่ 2
x′
ควอดรันตที่ 1
ควอดรันตที่ 3
ควอดรันตที่ 4
y′ 90๐ หรือ 0 180๐ หรือ π 2 ๐ 270 หรือ π 360๐ หรือ 3π 2
ควอดรันตที่ 2 คาของมุมอยูระหวาง 90๐ ควอดรันตที่ 3 คาของมุมอยูระหวาง 180๐ ควอดรันตที่ 4 คาของมุมอยูระหวาง 270๐
แบบฝกหัด จงบอกวา มุมตอไปนี้อยูในจตุรภาค (ควอดรันต) ใด และเขียนรูปใหดูดว ย ตัวอยาง 1 มุม 220 องศา มีคาอยูระหวาง 90๐ - 180๐ ดังนั้น มุม 220 องศา อยูในจตุรภาคที่ 3 (ดังรูป) y 2 x′
1 ๐ 90๐ 90 40๐
y′ ตอบ มุม 220 องศา อยูในจตุรภาคที่ 3
x 4
3
x
O
π
เรเดียน 2 π เรเดียน 3π เรเดียน 2 2π เรเดียน
267
ตัวอยางที่ 2 มุม –30 องศา ⎛⎜ − π ⎞⎟ อยูในจตุรภาคที่ 4 ดังรูป ⎝ 6⎠ y O
x′
y′
ตอบ มุม –30 องศา อยูในจตุรภาคที่ 4 1
x
30°
⎛ 14 π ⎞ ⎜ ⎟ ⎝ 9 ⎠
มุม 280 องศา
y
x′
O
x y′
ตอบ 2
มุม 540 องศา (3π) y
x′
O
y y′
ตอบ
268
(
3มุม −220 องศา − 11π 9
)
y
O
x′
x y′
ตอบ 4
( )
มุม 390 องศา 13π 6
y O
x′
x y′
ตอบ 3
(
มุม −600 องศา − 10π 3
) y
x′
O
x y′
ตอบ
บรรณานุกรม วินัย ธรรมศิลป. คณิตศาสตรชาง 1 (เชิงปฏิบัติ) คณ 4101. กรุงเทพ ฯ : สํานักพิมพศูนยสงเสริม วิชาการ. วินัย ธรรมศิลป. หนังสือเรียนหมวดวิชาพื้นฐาน รหัส 151 – 152 คณิตศาสตร 2. กรุงเทพ ฯ : สํานักพิมพศนู ยสง เสริมวิชาการ. วินัย ธรรมศิลป, กมล พุกทอง และ อัครวุฒิ จินดานุรักษ. คณิตศาสตร 4. กรุงเทพ ฯ : สํานักพิมพศนู ยสง เสริมวิชาการ, 2538 ศิโรธ ศิริผล , วิชัย ทิพณีย. 678 หลักการและเทคนิคการแกโจทยทางคณิตศาสตรชาง 2. กรุงเทพ ฯ : 23 บุคเซนเตอร, 2538
บรรณานุกรม กรมพัฒนาการชาง, กรมอูทหารเรือ “ความรูเบื้องตนสําหรับชางตัดเย็บ” กรุงเทพ ฯ อูทหารเรือธนบุรี, กรมอูทหารเรือ “กรรมวิธีการปฏิบัติงาน โรงงานชางเย็บ” กรุงเทพ ฯ เสถียร วิชัยลักษณ , รอยตํารวจโท และ สืบวงศ วิชัยลักษณ, พันตํารวจเอก “พระราชบัญญัติ ธง พ.ศ.๒๕๒๒” อุตสาหกรรม, กระทรวง “มาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรมผาใบ” - ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ ๔๕ (พ.ศ.๒๕๑๖) ออกตามความ ในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ พ.ศ.๒๕๑๑ เรื่อง กําหนด มาตรฐานผลิตภัณฑอตุ สาหกรรมผาใบ - พระราชบัญญัติธง พ.ศ.๒๕๒๒ - กฎกระทรวง (พ.ศ.๒๕๒๔) ออกตามความ ในพระราชบัญญัติธง พ.ศ.๒๕๒๒ - กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๒๖) ออกตามความ ในพระราชบัญญัติธง พ.ศ.๒๕๒๒ - กฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ.๒๕๓๕) ออกตามความ ในพระราชบัญญัติธง พ.ศ.๒๕๒๒ - แจงความสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรม ราชานุญาตประดับแพรแถบเกียรติคุณแกธงชัยเฉลิมพล - ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการใช การชัก หรือ การแสดงธงชาติและธงของตางประเทศในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๒๙ - บรรณานุกรม
64
71 87 88 89 90 91 102