สารบัญ หนา บทที่ 1 บทนํา
2
บทที่2 การหลอมและการเทเหล็กหลอ
14
บทที่3 คุณลักษณะฃองเหล็กหลอ
36
บทที่ 4 การควบคุมและทดสอบคุณภาพของเหล็กหลอ กรรมวิธีนอคคิวเลทกับการทดลองดวยแทงลิ่มและการนํามาใชกับเหล็กหลอทางชาง
42
บทที่5 กระสวนและไสแบบ
51
บทที่ 6 แบบหลอทรายและทรายทําแบบหลอ
91
บทที่7 การจัดระบบแบบหลอ
118
บทที่ 8 การหลอมและการเทเหล็กหลอ
155
บทที่ 9 การหลอมละลายและการเทโลหะชนิดตาง ๆ
168
บทที่10 การกระทําหลังหลอเสร็จและการปรับดวยความรอน
181
บทที่11 การตรวจชิ้นงานหลอ
195
บทที่12 จุดเสียในงานหลอและวิธีแกไข
205
บทที่ 13 เตาหลอมโลหะ
231
บทที่ 14 โลหะวิทยางานหลอ
251
บทที่ 15 ความรูทางเคมีกบั งานหลอ
276
บรรณานุกรม
315
บทที่1 บทนํา ในบทนี้จะไดกลาวถึงประวัติการหลอโลหะโดยยอ การทํางานหลอ โลหะที่ใชในการทํางานหลอ ตลอดจนประโยชนใชสอยของงานหลอ ทั้งนี้เพื่อใหความรูทั่วไปในเรื่องการหลอโลหะ 1.1 ประวัติการหลอโลหะ 1.1.1 การหลอมโลหะ ชิ้นงานหลอนัน้ ไดจากการเทโลหะเหลวลงในแบบหลอปลอยใหเย็นและแข็งตัว ดังนั้นประวัติ การหลอเริ่มตั้งแตเมื่อมนุษยรูจักหลอมโลหะและรูจัดทําแบบหลอ กลาวกันวาเริ่มตั้งแต 4,000 ปกอนเริ่ม คริสตศักราช แตเราไมอาจทราบเวลาที่แนนอน เมื่อมนุษยเริ่มนําโลหะมาใชงานนั้น ไดทําเครื่องประดับโดยการตีทอง หรือเงินใหมีรูปรางตามที่ ตองการ และภายหลังก็ไดนาํ ทองแดงมาตีทําเปนอาวุธบาง เปนผานไถบาง เนื่องจากโลหะเหลานีป้ รากฏอยู ในสภาพบริสทุ ธิ์ตามธรรมชาติ จึงนํามาใชงานไดสะดวก ตอมามนุษยพบโดยบังเอิญวาทองแดงนั้นละลายได และไดคน พบวาเมื่อเทโลหะเหลวลงในแบบ ชิน้ งาน หลอจะสามารถทําชิ้นงานหลอที่มีรูปรางซับซอน เชน เครื่องเรือนและเครื่องประดับตาง ๆ ได หลอในระยะแรก ๆ ทําดวยบรอนซ ซึ่งเปนโลหะผสมระหวางทองแดง ดีบุก และตะกั่วบรอนซมี อุณหฦมหิ ลอมเหลวต่ํากวาทองแดง การหลอบรอนซนั้นกระทํากันครั้งแรกในเมโสโปเทเมีย ประมาณ 3,000 ป กอนคริสตศักราช และเทคนิคนีไ้ ดรับการสงทอดมาสูเอเชียกลางอินเดียและจีน ไดมาถึงจีนราว 2,000 ปกอ นคริสตศักราช ในประเทศจีนสมัยยินประมาณ 2,500-1,000 ปกอนคริสตศักราช ก็ไดมีการหลอภาชนะที่มีขนาดใหญ ๆ และมีคุณภาพดีไดสําเร็จ เทคนิคการหลอบรอนซก็ไดรับการสงทอดไปสูยุโรปในราว 1,500 - 1,400 ปกอนคริสตศักราช มีดาบ หัวหอก เครื่องประดับ ภาชนะตาง ๆ และเครื่องตกแตงใชในงานศพที่ไดทําขึ้นในสเปน สวิสเซอรแลนด เยอรมันนี ออสเตรีย นอรเวย เดนมารค สวีเดน อังกฤษ และฝรัง่ เศส เทคนิคการหลอบรอนซในอินเดียและจีน ไดรับการสงทอดมาสูญี่ปุนและเอเชียอาคเนย ในญี่ปุนมี พระพุทธรูปงาม ๆ ที่ไดสรางขึ้นในระหวางคริสตศักราช 600 – 800 การนําเหล็กมาใชนั้นก็เริ่มดวยการตีเชนเดียวกับทองแดง ชาวอิสสิเรียนและชาวอียิปต ใชเครื่องมือ ทําดวยเหล็ก ในราว 2,800 – 2,700 ปกอนคริสตศักราช ตอมาในราว 800 – 700 ปกอน คริสตศักราช ในประเทศจีนไดมกี ารคนพบการทําเหล็กหลอจากเหล็กปก (pig iron) ซึ่งมีอุณหภูมิ หลอมเหลวต่ําและมีฟอสฟอรัสอยูมาก โดยใชเตาหลอแบบแบน (plane bed)
2
เทคนิคการหลอดังกลาวไดไปถึงประเทศแถบทะเลเมดิเตอรเรเนียนในกรีซราว 600 ปกอน คริสตศักราช ไดมีอนุสาวรียข นาดใหญของเอปามินอนดาส และเฮอรคิวลิส ตลอดจนอาวุธและเครื่องมือ ตาง ๆ ที่เปนชิ้นงานหลอ ในอินเดียในสมัยดังกลาวนี้ไดมีการหลอเหล็กปกและสงไปขายที่อียิปตและยุโรป แตไมไดมกี าร ผลิตเหล็กหลอจากเหล็กปกจริง ๆ จัง ๆ จนกระทั่งในคริสตศตวรรษที่ 14 ในเยอรมันนีและอิตาลีไดมี การเปลี่ยนจากเตาหลอแบบแบนไปใชเตาบลาสต (blast furnace) ทรงกระบอก ในการหลอมก็ใสแร (ores) สลับกับถานไม ไดมีผลงานอุตสาหกรรมเปนจํานวนมาก เชน ปนใหญ ลูกปนใหญ เตาอบ ทอ ฯลฯ เปนตน วิธีการหลอในสมัยนั้น ใชการเทโลหะเหลวที่ไดจากแรลงไปในแบบเลย ไมมีการทําเหล็กปก กอนแลวจึงหลอมเหล็กปกใหม และเทลงแบบดังที่ทํากันในปจจุบัน ถานโคกนั้นไดคน พบกันในอังกฤษในคริสตศตวรรษที่ 18 และไดมีการหลอมเหล็กปกใหมในเตา เล็ก ๆ เพื่อทําชิ้นงานหลอเปนครั้งแรกในประเทศฝรั่งเศส สําหรับเตาหลอนั้น เตาที่คลายคิวโพลา (Cupola) ในปจจุบันไดมีผูสรางขึ้นเปนครั้งแรกในอังกฤษ และการหลอมเหล็กปกในทํานองคลายกับที่ ทําอยูในปจจุบันก็เริ่มขึ้นหลังจากนั้น ถึงแมวาจะมีการตีเหล็กเหนียว (steel) ตั้งแตสมัยดึกดําบรรพ แตเหล็กเหนียวหลอ (cast steel) นั้น ไดรูจักทํากันเมื่อ เอช.เบสเสมเมอร (H.Bessemer) หรือ ดับเบิลยู ซีเมนต (W. Siemens) ไดพบวิธีทําเหล็ก เหนียวจากเหล็กปกในครึ่งหลังของคริสตศตวรรษที่ 19 ชิ้นงานหลอทีท่ ําดวยอะลูมนิ ัมผสมก็เพิ่งมีขึ้นในระยะหลัง หลังจากที่ไดมกี ารคนพบการทําให อะลูมินัมบริสุทธิ์ โดยใชการแยกดวยไฟฟา (electrolysis) ในตอนปลายศตวรรษที่ 19 1.1.2 แบบหลอ ไดใชวิธีเทน้ําโลหะลงไป กลาวกันวาในระยะแรกเมือ่ เริ่มมีการหลอทองแดงที่เมโสโปเตเมียนัน้ บนทราย หลังจากนั้นก็ไดใชวิธีการเทน้ําโลหะในโพรง ซึ่งขุดไวในหิน หินเปนหินชนิด แซนดสโตน ไลมสโตน (sandstone limestone) หรือเซอรเปนไทด (serpentine) ซึ่งทําใหขุดไดงาย และบางครั้งก็ใช ดินเหนียวทําแบบหลอ ในระยะแรก ๆ เมื่อจะหลอวัตถุแบน ๆ เชน หัวขวานหรือดาบก็ใชเฉพาะแบบ สวนลาง (drag mold) โดยไมมีแบบสวนบน (cope mold) แตตอ มาก็ใชทั้งแบบสวนลางและสวนบน หลังจากนัน้ ก็ไดสามารถหลอของที่ขางในกลวง โดยใชไสหรือคอร (core) ซึ่งทําดวยดินเหนียวและผง ถานไม นอกเหนือจากการทําแบบหลอในหินและการทําแบบหลอจากดินดังที่ไดกลาวมาแลว ยังไดมีการ ใชแบบไม (wooden pattern) และแบบขี้ผึ้ง (wax pattern) สําหรับแบบขี้ผึ้งละลาย และเทขี้ผึ้งออก
3
ทําใหเกิดโพรงขึ้นภายในวิธีการดังนี้เปนพืน้ ฐานสําหรับการหลอโดยใชแบบทราย (sandcasting) และการ หลอวิธีขี้ผึ้งหาย (lost wax costing) ปจจุบันกลาวกันวาวิธีการดังกลาวใชกนั มานานแลว ในราว 2,000 ป กอนคริสตศักราช หรือกอนนั้น อยางไรก็ตามเทคนิคการทําแบบหลอทราย โดยใชแบบไมดังที่ใชกันอยู ในปจจุบนั และเทคนิคการหลอมเหล็กก็เพิง่ จะมาสมบูรณแบบหลังจากคริสตศตวรรษที่ 18 ในยุโรป 1.2 การทําชิ้นงานหลอ ในการทําชิ้นงานหลอจะตองมีกระบวนการหลอมโลหะ การทําแบบ การเท การรื้อแบบ และการทํา ความสะอาด (ดูรูป 1.1) ใชเตาชนิดตาง ๆ กันในการหลอมโลหะ กลาวโดยทัว่ ไปคิวโพลาและเตาที่ใชการ เหนีย่ วนําไฟฟาความถี่ต่ํา (low frequency induction furnace) ใชสําหรับเหล็กหลอ (cast iron) เตาอารค ไฟฟา (electric-arc furnace) และเตาที่ใชการเหนี่ยวนําไฟฟาความถี่สูง ใชสําหรับเหล็กเหนียวหลอ และ เตาครูซิเบิล (crucible furnace)ใชสําหรับทองแดงผสมหรือโลหะเบาผสม ที่เปนดังนี้เพราะเตาแตละชนิด เหมาะทีจ่ ะใชหลอมโลหะแตละอยางไดอยางดีและประหยัด
วัตถุดิบ
เตาหลอ
เบา การเท
ระบบการปรับ คุณภาพทรายหลอ
เครื่องทําแบบ หลอ
เขยาทรายออก ทําสะอาด
หีบหลอ
ตรวจสอบ ชิ้นงาน
ทราย
รูปที่ 1.1 กรรมวิธีการหลอโลหะ
4
แบบหลอนั้นมักทําโดยการกระทุงอัดทราย ทรายนี้อาจเปนทรายหลอธรรมชาติหรือทรายผสมดิน เหนียว แบบทรายทํางายและราคาถูก ถาใชทรายที่เหมาะสมบางครั้งก็ใชวัสดุประสาน (binders) ผสมกับ ทราย เชน ใชน้ําแก (water-glass) ซีเมนตฟวรันเรซิน, ฟโนลิคเรซิน (furan resin,phenolic resin) หรือ น้ํามันที่ใชในการทําใหทรายแหง (drying oil) วัสดุประเภทนี้จะทําใหแบบหลอแข็งแรงขึ้น และมักทําใหการ ทําแบบงายขึ้นดวย แตการใชวัสดุเชนนั้นจะทําใหคาใชจายสูงขึ้น ดังนั้นจะตองเลือกใชโดยพิจารณาถึงรูปราง วัสดุที่ใชทําชิ้นงานหลอตลอดจนจํานวนที่ตองการผลิต นอกจากแบบหลอทราย บางครั้งก็ใชแบบหลอทําดวยโลหะ สําหรับการเทน้ําโลหะลงแบบนั้น น้ําโลหะจะวิ่งเขาแบบโดยผานระบบรูเขา (gate) ของแบบระบบรูเขาจะตองอยูในลักษณะที่ทําใหน้ําโลหะ วิ่งเขาแบบไดสะดวก ตามปกติจะอาศัยความดึงดูดของโลกดึงโลหะใหเขาแบบ แตบางครั้ง ก็ใชความดันอัด น้ําโลหะในระหวาง หรือหลังจากการเท การหลอแบบแมพิมพ (die casting) เปนวิธีการหลอที่ใชความดันสูงอัดน้ําโลหะเขาสูแบบซึ่งทํา ดวยโลหะ อาจจะหลอสิ่งของบาง ๆ ไดโดยใชวิธีนี้ การหลอโดยใชความดันต่ํา (low pressure casting) หมายถึงการใชความดันสูงกวาบรรยากาศ เล็กนอย กระทํากับน้ําโลหะในเตา เพื่ออัดใหโลหะเหลววิ่งเขาสูแบบโดยผานทอ การหลอโดยใชแรงเหวี่ยง (centrifugal casting) เปนวิธีการหลอที่ใชการหมุนแบบหลอแลวเทน้ํา โลหะลงในแบบ ดังนั้นน้ําโลหะจะถูกอัดดวยแรงเหวี่ยงจนกระทั่งแข็งตัว การหลอทอก็ใชวิธีนี้ หลังจากการเทจะตองแกะชิ้นงานออกจากแบบและทําความสะอาด สวนที่ยื่นออกมาตรงระบบรูเขา หรือครีมที่เกิดที่แบบตอกันจะตองเอาออก แลวชิ้นงานจะไดรับการตกแตงและทําความสะอาดเพื่อใหดู สวยงาม ทั้งนี้โดยการพนเม็ดโลหะเขากระแทกผิว (shot blasting) หรือโดยกระบวนการอื่นที่มีลักษณะ คลายกัน หลังจากนั้นก็ตรวจดูดวยสายตาวา รูปรางลักษณะเปนอยางไร มีจุดเสียตรงไหนหรือไม และ ตรวจดูมิติ (dimension) ของชิ้นงานดวย นอกจากนั้ น ยั ง มี ก ารตรวจด า นโลหะวิ ท ยาเพื่ อ หาจุ ด เสี ย ภายใน เช น โดยวิ ธี ค ลื่ น เหนื อ เสี ย ง (supersonic testing) หรือวิธีรังสี (radiographic inspection) ในบางกรณียังมีการตรวจความแข็งแรงโครงสราง และสวนผสม โดยการตรวจชิ้นทดสอบ ซึ่งได แบงปนมาจากโลหะหลอมที่ใชเทชิ้นสวนนั้น ๆ ที่กลาวมาคือ วิธีการทําชิ้นงานหลอ บางชิ้นก็ทํายาก บางชิ้นก็ทํางายขึ้นกับรูปราง ขนาด และความเที่ยงตรงที่ตองการ ชิ้นงานที่มีความหนาตางกันมาก ๆ ที่ บางและกวาง หรือที่ตองใชไสแบบยาวและบาง เปนประเภทที่หลอยาก ประเภทที่ตองการความเที่ยงตรง สูงหรือตองการมุมคมมาก ๆ ก็หลอไดยาก ผูที่ทําการหลอและผูที่ออกแบบชิ้นงาน จะตองเขาใจหลักการ งานหลอ จึงจะไดชิ้นงานหลอที่มีคุณภาพดี
5
1.3 โลหะที่ใชในการหลอ 1.3.1 เหล็กหลอ เหล็กหลอเปนโลหะผสมที่ประกอบดวยเหล็ก คารบอน ซิลิคอน แมงกานีส ฟอสฟอรัส และซัลเฟอร แบงออกไดเปน 6 ชนิด คือ เหล็กหลอเทา เหล็กหลอชั้นดีพิเศษ (high grade cast iron) เหล็กหลอมัลลีเบิล (malleable cast iron) และเหล็กหลอเย็นเร็ว (chilled cast iron) โครงสรางของเหล็กหลอเทาประกอบดวยเฟอไรท (ferrite) หรือ เพอไลท (pearlite) และมีคารบอน อิสระ ซึ่งมีรูปรางเปนเกล็ดแทรกอยูในเนื้อเหล็ก คารบอนและซิลิคอนมีผลอยางมากตอโครงสรางเหล็ก ตลอดจนขนาดและรูปรางของคารบอนที่แยกออกมาอยูโ ดยอิสระ (free carbon) จากเฟอไรทหรือเพอไลท คุณสมบัติของเหล็กหลอจะขึน้ กับโครงสรางของเหล็กและขนาดและรูปราง ตลอดจนจํานวนของเกล็ด คารบอน ความหนาของชิ้นงานและอัตราการเย็นตัวของชิ้นงานก็มีผลตอโครงสรางของเหล็กหลอ เหล็กหลอ เทามีความแข็งแรง ทางดึง (tensile strength) ประมาณ 10 – 30 kg/mm2 หรือ 100 – 300 μPa* แตเปราะ จะ หลอมเหลวทีอ่ ุณหภูมิประมาณ 1200 °C ** มีคุณสมบัติการหลอ (castability) ดีเยีย่ มและราคาถูก ดังนั้นจึงใชเหล็กหลอเทากันมาก เหล็กหลอขั้นดีพิเศษจะมีคารบอนและซิลิคอนนอยกวาเหล็กหลอเทา เพื่อใหแข็งแรงกวาเหล็กหลอ เทา เกล็ดคารบอนก็มีขนาดเล็กกวา มีความแข็งแรงทางดึง 30 – 50 kg/mm2 หรือ 300 – 500 μPa จะหลอ ไดยากกวาเหล็กหลอเทา เหล็กหลอเทาผสมประกอบดวยโลหะตาง ๆ ที่นํามาผสม มีเกล็ดกราไฟทละเอียดมาก และมี โครงสรางที่ไมเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดลอม ดังนั้นคุณสมบัติจะดีกวาเหล็กหลอเทา เหล็กหลอเทาผสม นั้นแยกออกเปนสองประเภท คือ ประเภทที่มีโลหะอื่นมาผสมเพียงไมกี่เปอรเซนต และประเภทที่มีโลหะ อื่นมาผสมเปนปริมาณมากโลหะที่นํามาผสมไดแก โครเมียม นิกเกิล ทองแดง โมลิบดีนมั วาเนเดียม (vanadium) ไทเทเนียม (titanium) ฯลฯ โลหะเหลานีจ้ ะทําใหเหล็กหลอทนตอความรอน ความสึกหรอ ความกัดกรอน (corrosion) ไดดีขึ้น และมีคณ ุ สมบัติการปอกดวยเครื่องกลโรงงาน (machinability) ดีขึ้น เหล็กหลอมัลลีเบิลทําจากเหล็กหลอขาว โดยอบเหล็กหลอขาวในเตาอบเปนเวลานาน โครงสราง ซีเมนไทท (cementite) ของเหล็กหลอขาวจะถูกเปลี่ยนเปนเฟอไรทหรือเพอไลท และคารบอนจะแยกตัว ออกมา มีเหล็กหลอมัลลีเบิลอยู 3 ชนิดคือ เหล็กหลอมัลลีเบิลแบลคฮารท (black heart malleable cast iron) เหล็กหลอมัลลีเบิลไวทฮารท (white heart meallable cast iron) ทั้งนี้แยกตามโครงสราง เหล็กหลอมัลลีเบิลเหนือกวาเหล็กหลอเทาในดานความอดทนตอการกระแทก (toughness) และยืดตัวตาม แรงไดมากกวา (elongation) เหล็กหลอชนิดนี้แพงเพราะตองผานการอบ (anneal) ไมเหมาะที่จะใชทํา ชิ้นงานหลอหนา ๆ แตเหมาะที่จะทําชิน้ งานที่บางเพราะทนตอการกระแทกไดดี
6
เหล็กหลอกราไฟทกลม (spheroidal graphite) นั้น ซีเรียม (cerium) ลงในน้ําโลหะ และกราไฟทเปนรูปกลม
ทําขึ้นไดโดยเติมแมกนีเซียม แคลเซียมหรือ
ตาราง 1.1 การจําแนกประเภทของโลหะหลอ
เหล็กหลอ
เหล็กหลอเทา เหล็กหลอคุณภาพดี เหล็กหลอเทาผสม เหล็กหลอกราไฟทกลม เหล็กหลอมัลลีเบิล เหล็กหลอเย็นเร็ว (chilled cast iron) เหล็กเหนียวคารบอน
เหล็กเหนียวหลอ
โลหะหลอ ทองแดงผสมหลอ
เหล็กเหนียวผสม บรอนซ ทองเหลือง ทองเหลืองชนิดทนแรงดึงไดดี (hightension brass) อื่น ๆ อะลูมินัมผสม
โลหะเบาผสมหลอ แมกนีเซียมผสม สังกะสีผสม นิกเกิลผสม ตะกั่วผสม โลหะผสมหลออื่น
ดีบุกผสม อื่น ๆ
7
(spheroids) ก็จะแยกตัวออกมา เหล็กหลอชนิดนี้เหนือกวาเหล็กหลอเทาทั้งในดานความแข็งแรง ความ ทนตอการกระแทก และความทนตอการสึกหรอ แยกออกไดเปน 2 ชนิด คือชนิดที่ตองอบและ ชนิดที่ไม ตองอบ เหล็กหลอเย็นเร็ว (chilled cast iron) เปนเหล็กหลอที่ผิวเปนเหล็กหลอขาว และภายในเปนโครงสราง ที่มีกราไฟทแยกตัวออกมา ผิวจึงทนตอการสึกหรอ และภายในก็ทนตอการกระแทก มักใชทําชิ้นสวนที่ ตองทนตอการสึกหรอ 1.3.2 เหล็กเหนียวหลอ (cast steel) เหล็กเหนียวหลอแยกไดเปนเหล็กเหนียวคารบอนและเหล็กเหนียวผสม เหล็กเหนียวคารบอนมี 2 ชนิด คือ เหล็กเหนียวคารบอนนอย ( C < 0.2%) คารบอนปานกลาง (0.2 – 0.5%C) และ คารบอลสูง (C> 0.5%) การที่มีคารบอนนอยทําใหความแข็งแรงทางดึงต่ํา ดึงยึดไดมาก ทนการกระแทก ไดดี และเชื่อมงาย โครงสรางของเหล็กเหนียวหลอมีลักษณะหยาบและเปราะถาไมผานการกระทําดวย ความรอนโครงสรางจะมีลักษณะละเอียดและทนตอการกระแทกถาผานการอบออนและอบใหเนื้อละเอียด สม่ําเสมอ (annealing and normalizing) อุณหภูมิหลอมเหลวของเหล็กเหนียวประมาณ 1,500ºC จะหลอยาก กวาเหล็กหลอธรรมดา แตใชเปนชิ้นสวนเครื่องกลไดดีเพราะมีความแข็งแรงและราคาต่ํา เหล็กเหนียวผสมหลอมีแมงกานีส โครเมียม โมลิบดีนัม นิกเกิล ผสมอยูอาจมีโลหะ ดังกลาวเพียง อยางเดียวหรือหลายอยางที่ผสมอยูกับเหล็ก โลหะผสมเหลานี้จะทําใหเกิดคุณสมบัติพิเศษ เชน ทนตอการ สึกหรอ ทนตอกรด ตอการกัดกรอน (corrosion) หรือทนตอการกระแทก ตัวอยางเชน เหล็กเหนียวหลอไร สนิม (stainless cast steel) และเหล็กเหนียวหลอทนความรอน 1.3.3 ทองแดงผสมหลอ ที่เรียกวาทองแดงผสมหลอมี บรอนซ ทองเหลือง ทองเหลืองแข็งแรงพิเศษ (high tension brass) อะลูมินัม บรอนซ ฯลฯ บรอนซเปนโลหะผสมที่ประกอบดวยทองแดง และดีบุก บรอนซที่ใชกันมักมีดีบุกนอยกวา 15% อุณหภูมิหลอมเหลวประมาณ 1,000ºC ซึ่งต่ํากวาของเหล็กผสม และหลอไดดีเทา ๆ กับเหล็กหลอเทา ทนตอการกัดกรอนและการสึกหรอไดดีจึงใชทําชิ้นสวนเครื่องกล แตราคาเปน 5 – 10 เทาของเหล็กหลอ เทา ดังนั้นจึงใชทําเฉพาะชิ้นสวนที่ตองการคุณสมบัติพิเศษ บรอนซมี 2 ชนิด คือ ฟอสเฟอรบรอนซ ซึ่งไดรับการเติมฟอสฟอรัสทําใหทนตอการสึกหรอไดดี ขึ้น และบรอนซตะกั่ว (lead bronze) ซึ่งมีตะกั่วผสมอยู ใชทําแบริ่ง ทองเหลืองประกอบดวยทองแดงและสังกะสี และทองเหลืองแข็งแรงพิเศษประกอบดวยทองแดง อะลูมินัม เหล็ก แมงกานีส นิกเกิล ฯลฯ โลหะตาง ๆ ที่เขาไปผสมนี้ทําใหมีคุณสมบัติทางกลดีขึ้น
8
อะลูมินัมบรอนซเปนโลหะผสมระหวางทองแดง อะลูมินัม ฯลฯ ทนการสึกหรอและการกัดกรอน ไดดี นอกจากนี้ยังมีชิ้นงานหลอที่ทําดวยทองแดงบริสุทธิ์ 1.3.4 โลหะเบาผสมหลอ มีอะลูมินัมผสม และแมกนีเซียมผสมฯลฯ อะลูมินัมบริสุทธิ์หลอยากและมีคุณสมบัติทางกลไมดี ดังนั้น จึ ง ใชโลหะผสมที่ ทํ าให มีคุ ณสมบัติดีขึ้น โดยการเติมทองแดง ซิ ลิคอน แมกนีเ ซีย ม แมงกานีส นิกเกิล ฯลฯ อะลูมินัมผสมนี้เบา มีคาความนําความรอน (thermal conductivity) สูง เหมาะสําหรับงานที่ ตองการคุณสมบัติดังกลาว อะลูมินัมผสมชุดA1 –S,Cu – Si และA1- Si – Mg ใชสําหรับทําชิ้นสวนเครื่องกล ชุด A1 – Cu – Ni – Mg และ A1- Si – Cu- Ni- Mg ใชทําชิ้นสวนที่ตองทนความรอนและชุด A1 – Mg สําหรับชิ้นสวนที่ตองทนตอการกัดกรอน แมกนีเซียมผสมเบากวาโลหะ (ที่ใชกันแพรหลาย) อยางอื่น มีความถวงจําเพาะประมาณ 1.8 มักใช อะลูมินัม แมงกานีส เบริลเลียม ฯลฯ ผสมกับแมกนีเซียมในการทําโลหะผสม 1.3.5 โลหะผสมอื่น ๆ สังกะสีผสมซึ่งมีอะลูมินัมอยูนิดหนอยใชในการหลอแบบแมพิมพ (die casting) โมเนลเมทัล (monel metal) เปนนิกเกิลผสมชนิดหนึ่งที่มีทองแดงผสมอยู เฮสเทลลอย (hastelloy) ก็เปนนิกเกิลผสม ก็เปนนิกเกิลผสมมีโดโมลิบดีนัม โครเมียม และซิลิกอนผสมอยู โลหะประเภทตะกั่วผสมมีโลหะใชทําตัวพิมพ ซึ่งมีตะกั่ว ทองแดง และดีบุกเปนสวนผสม และยัง มีโลหะทําแบริ่งซึ่งมีตะกั่ว ทองแดงและพลวงเปนสวนผสม เปนตน 1.4 การใชชิ้นงานหลอ 1.4.1 ปริมาณการผลิตของงานหลอ ในป พ.ศ. 2513 มีการผลิตชิ้นงานหลอทั่วโลกมากกวา 80 ลานตันเหล็กหลอเทามีปริมาณประมาณ 80% (น้ําหนัก) ของงานหลอทั้งหมด รองลงมาคือเหล็กเหนียวหลอ 15% โลหะหลอนอกกลุมเหล็กมี ปริมาณเพียง 2 – 3% ประเทศที่ผลิตชิ้นงานหลอมากมี สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต ญี่ปุน เยอรมัน ตะวันตก สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลีและอินเดีย สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตมีปริมาณผลิต มากกวาประเทศอื่น ๆ 1.4.2 คุณสมบัติที่ตองการและโลหะหลอที่ใหคุณสมบัตินั้น ๆ ชิ้น งานหล อ นั้ น ใช ทํ า งานต า ง ๆ มากมาย ในการตั ด สิ น เลือ กโลหะที่ใ ช ทํ า ชิ้ น งานหล อ จะต อ ง พิจารณาคุณสมบัติ อายุการใชงาน ราคา ฯลฯ ตาราง 1.2แสดงคุณสมบัติที่ตองการและโลหะหลอที่ให คุณสมบัตินั้น 1.4.3 การใชโลหะหลอในดานตาง ๆ ตาราง 1.3 แสดงการใชโลหะหลอชนิดตาง ๆ วาโลหหลอชนิดใดเหมาะสําหรับงานชนิดใด
9
ตาราง 1.2 คุณสมบัติที่ตองการและโลหะหลอที่ใหคุณสมบัตินั้น ๆ คุณสมบัติที่ตองการ ความแข็งแรง
โลหะหลอ เหล็กเหนียวหลอ เหล็กหลอคุณภาพดีพิเศษ (high grade cast iron) เหล็กหลอกราไฟท กลม เหล็กหลอมัลลีเบิล
ทนทานตอการกระแทก
เหล็ ก เหนี ย วหล อ เหล็ ก หล อ กราไฟท ก ลม เหล็กหลอมัลลีเบิล
หลอไดสะดวก
เหล็กหลอเทา บรอนซหลอ อะลูมินัมผสมหลอ (Al-Si-Cu, Al-Si-Mg)
เบา
อะลูมินัมผสมหลอ แมกนีเซียมผสมหลอ
มีความนําความรอนและไฟฟาดีเยี่ยม
ทองแดงบริสุทธิ์หลอ
ทนตอการสึกหรอ
Ni – Crหลอ เหล็กเหนียวแมงกานีสสูงหลอ (high manganese cast steel) เหล็กหลอ กราไฟท ก ลม เหล็ ก หล อ คุ ณ ภาพดี พิ เ ศษ ทองแดงผสมหลอ
ทนตอการกัดกรอน (corrosion)
น้ําจืดและน้ําเค็ม ทองแดงผสมหลอ กรดไนตริก
เหล็กเหนียวหลอไรสนิม เหล็กหลอมีโครเมียมมาก
10
คุณสมบัติที่ตองการ
ทนความรอน
โลหะหลอ เหล็กหลอมีซิลิคอนมาก กรดไฮโดรลิค เฮสเทลลอย ทองแดงผสมหลอ กรดกํามะถัน เหล็กหลอมีซิลิคอนมาก ทองแดงผสมหลอ (ยกเวนทองเหลือง) เหล็กเหนียวหลอชนิด ทนกรด,เหล็กหลอ Ni – resist oxidation และ เหล็กหลอมีโครเมียม มาก อุณหภูมิสูง เหล็กเหนียวหลอมี Cr – Ni มาก เหล็กเหนียวไรสนิมหลอ ดาง (alkali) เหล็กเหนียวหลอคารนอย ทองแดงผสมหลอ เหล็กเหนียวหลอไรสนิม เหล็กหลอเทา 1000 – 1200 °C เหล็กเหนียวหลอทน ความรอน 700 – 800°C เหล็กเหนียวหลอไรสนิม เหล็กเหนียวหลออะลูมินัม เหล็กหลอมีโครเมียมมาก เหล็กหลอ Ni – Cr 500 - 600°C เหล็กเหนียวหลอผสม มีโลหะอื่นผสมนอย เหล็กหลอผสมมีโลหะอื่น ผสมนอย
11
คุณสมบัติที่ตองการ
ทนตออุณหภูมิต่ํา
โลหะหลอ 400°C เหล็กเหนียวคารบอน – หลอ เหล็กเหนียวแมงกานีสสูงหลอ 300°C เหล็กหลอคุณภาพพิเศษ เหล็กหลอกราไฟทกลม เหล็กหลอมัลลีเบิล 250 - 300°C เหล็กหลอเทา 200 - 250°C ทองแดงผสมหลอ 100 - 200°C อะลูมินัมผสมหลอ สูงกวา -25°C -46°C
เหล็กหลอเทา เหล็กเหนียวหลอ คารบอนนอย -73°C เหล็กเหนียวหลอ 2.5%Ni -100°C เหล็กเหนียวหลอ 3.5%Ni -196°C เหล็กเหนียวหลอ 18 Cr-บรอนซหลอ
หมายเหตุ *μPa = micro pascal = 10-6 Newton / m2 lkg/mm2 =9.807 μPa lkg /cm2 =0.09807uPa **1200°C=1200°C elcius =1200 – 273.15 Kelvin Kelvin เปนหนวย SI สําหรับอุณหภูมิ Al = อะลูมิเนียม Cu = ทองแดง Ni = นิกเกิล Mg = แมกนีเซียม Si = ซิลิกอน S = กํามะถัน °C = องศาเซลเซียส
12
ตารางที่1.3 การใชโลหะหลอสําหรับงานตาง ๆ ชนิดของโลหะหลอ ตัวอยางการใชงาน เหล็กหลอเทา ชิ้นสวนรถยนต (เสื้อสูบ ฝาสูบ อางขอเหวี่ยง (รวมทั้งเหล็กหลอชั้นดี) (rank case) ปลอกเสื้อสูบ จานถวง (fly wheel) จานเบรค ฯลฯ) เครื่องกลโรงงาน (แทนเครื่อง โตะรองเครื่อง คันโยก) เครื่องกลน้ํา (สูบน้ํา กังหันน้ํา เปลือกสูบหรือ กังหัน ใบพัดกังหัน) เครื่องทําใยผา เครื่องพิมพ เครื่องไฟฟา (โครง มอเตอร เปลือกมอเตอร) ทอน้ําเหล็กหลอ ชิ้ น ส ว นเครื่ อ งกล (เฟ อ ง ข อ ต อ ส ง กํ า ลั ง (coupling) ลูกรอก) เหล็กหลอมัลลีเบิล ชิ้นสวนรถยนต (ลูกรอก เพลาขอเหวี่ยง ปลอก (malleablecastiron) เสื้อสูบ แขนดันวาลว ดุมลอ จานคลัทซ) ชิ้นสวนเครื่องกล (ขอตอทอ วาลว) เหล็กหลอกราไฟทกลม ชิ้นสวนรถยนต (เพลาขอเหวี่ยง ฯลฯ) อุปกรณ (spheroidal graphite cast iron) ทําเหล็กเหนียว (ลูกกลิ้งรีดเหล็ก แบบหลออิน กอท)ทอน้ําเหล็กหลอ และชิ้นสวนเครื่องกลที่ ต อ งการ ความทนต อ การกระแทกสู ง กว า เหล็กหลอเทา) เหล็กเหนียวคารบอนหลอ ชิ้ น ส ว นเครื่ อ งกลที่ ต อ งการความทนทาน และเหล็กเหนียวผสมหลอ ชิ้ น ส ว นรถไฟ (โครงข อ ต อ ระหว า งรถ) ชิ้นสวนรถตักและขนดิน เครื่องกลน้ํา (ใบพัด เครื่องกังหันน้ํา เปลือกสูบน้ํา) อุปกรณทําเหล็ก เหนียว (ลูกกลิ้งรีดเหล็ก แทนรับลูกกลิ้ง) เรือ (โครงส ว นท า ยเปลื อ กเครื่ อ งกั ง หัน คั น โยก) เครื่องกลแร (เครื่องโมแร เครื่องขุดแร)
13
ชนิดของโลหะหลอ ทองแดงผสมหลอ
โลหะผสมเบาหลอ (light alloy castings)
ตัวอยางการใชงาน ชิ้นสวนเครื่องกล (รองลื่น (bearing) กาน วาลว ปลอกเพลา) เครื่องกลน้ํา (สูบน้ํา สวนประกอบสูบน้ํา) เรือ (ใบพัด สูบน้ํา ฯลฯ) ชิ้นสวนรถยนต (เปลือกชุดเฟองทดสงกําลัง เสื้อสูบ ฝาสูบ ทอไอดี) สูบน้ํา โครงกลอง ถายรูปเปลือกมิเตอร
14
14
บทที่ 2 การหลอมและการเทเหล็กหลอ ในบทนี้จะไดกลาวถึงวิธีการหลอมและการเทเหล็กหลอโดยใชควิ โพลา(cupola)และเตาเหนีย่ วนํา (induction furnace) ความถี่ต่ํา เพื่อที่จะไดชิ้นงานหลอทีด่ ีจะตองมีน้ําเหล็กที่ดีและจะตองเทใหถูกวิธี 2.1 การหลอมเหล็กหลอโดยใชคิวโพลา คิวโพลานั้นใชกันมากในการหลอมละลายเหล็กหลอ เพราะมีขอดีตา ง ๆ ที่เตาชนิดอื่นไมมี ตอไปนี้ 1) เปนเตาที่สรางงายและใชงาย 2) หลอมละลายติดตอกันโดยไมตองหยุดได 3) หลอมละลายในอัตราสูงได 4) อุปกรณทใี่ ชและโสหุยในการหลอมละลายมีราคาถูก 5) ปรับสวนผสม (chemical composition) ไดมาก 2.1.1 สวนตาง ๆ ของคิวโพลา (1) สวนตาง ๆ ของคิวโพลาโดยยอ รูป 2.1 แสดงสวนตางๆของคิวโพลาที่นิยมใชกันประกอบดวยปลอกเหล็กเหนียวรูปทรงกระบอก วางในแนวตั้งมีอิฐทนไฟกรุอยูภายในใสโลหะและถานโคกลงเตาทางชองบรรจุ (charging door) เปาลมเขา เตาทางรูลม (tuyeres) เมื่อถานโคกติดไฟโลหะจะละลาย น้ําโลหะและขี้ตะกรัน (slag) นั้นเจาะออกจาก เตาทางรูเจาะ (tap hole) ซึ่งอยูทางสวนลางของเตา ดังนั้นในคิวโพลาโลหะจะไดรับความรอนโดยตรง จากพลังงานทีเ่ กิดจากเผาไหมของถานโคกโลหะจะหลอมละลายโดยมีประสิทธิภาพสูง (2) การแบงเขตตาง ๆ ในคิวโพลา จากชองบรรจุถึงรูเจาะแบงออกไดเปนเขตตาง ๆ ตามสภาพของโลหะในคิวโพลาเขตใหความ รอนขั้นตน เขตนี้เริ่มจากชองบรรจุไปจนถึงตําแหนงที่โลหะกําลังจะหลอมละลาย ในขณะเลือ่ นลงตาม ทางในเขตนี้โลหะจะรอนขึน้ เปนลําดับเขตหลอมละลาย ชวงบนของสวนที่โลหะละลาย เขตเพิ่มอุณหภูมหิ ลังละลาย นับจากเบื้องลางของเขตหลอมละลายจนถึงระดับรูลมในระหวางที่ผาน เขตนี้น้ําโลหะจะเพิ่มอุณหภูมิหลังจากละลายแลว เขตเบา นับจากรูลมจนถึงกนคิวโพลา เปนที่เก็บน้ําโลหะและขี้ตะกรันในการแบงเขตอีกลักษณะ หนึ่ง ภายในของคิวโพลา แบงออกไดเปนเขตเพิ่มออกซิเจนและเขตลดออกซิเจน เขตเพิ่มออกซิเจนตั้งแตระดับรูลมจนถึงระดับกลางกองถานโคกกนเตา ในเขตนี้ถานโคกไดรบั ออกซิเจนเพิ่มจากอากาศที่เขามาทางรูลมเขตลดออกซิเจน สวนที่อยูเ หนือเขตเพิ่มออกซิเจน แกส CO2
15
ซึ่งเกิดขึ้นในเขตเพิ่มออกซิเจนจะถูกลดออกซิเจนโดยทีถ่ านโคกดึงออกซิเจนไปจาก CO2 รูป 2.2 และรูป 2.3 แสดงคิวโพลาขนาด 3 ตัน (3) สมรรถนะการหลอมละลาย (Melting Capacity) สมรรถนะการหลอมละลายของคิวโพลาคิดเปนตันตอชัว่ โมง สมรรถนะการหลอมละลายจะเปลี่ยน ตามปริมาตรลมที่เขาสูเตา อัตราสวนเหล็กตอถานโคกและสภาพปฏิบัติการอื่นๆถึงแมขนาดเสนผาศูนยกลาง ของคิวโพลาจะไมเปลี่ยนสมรรถนะการหลอมละลายมาตรฐานของคิวโพลาชนิดธรรมดามีแสดงในตารางที่ 2.1 และรูปที่ 2.4 (4) ความสูงทีใ่ ชการไดจริง (Effective Height) ความสูงที่ใชการไดจริงของคิวโพลา คือความสูงนับจากระดับจุดศูนยกลางของรูลม จนถึงสวนลางของ ชองบรรจุ ในชองนี้โลหะที่เขาเตาจะไดรับความรอนขั้นตน ดังนั้นคิวโพลายาวๆ จะชวยใหมีการถายเทความ รอนไดมาก แตถายาวเกินไป จะทําใหมีการตานทางการไหลของอากาศมากเกินไปและอาจทําใหถานโคกถูก อัดมากเกินไปเมื่อไดคิดในแงตาง ๆ ดังกลาวแลว ความสูงที่ใชการไดจริงของคิวโพลามาตรฐานมักจะเทากับ ประมาณสี่ถึงหกเทาของเสนผาศูนยกลางภายในของเตาที่ระดับรูลม (5) เขตเบา (Crucible Zone) เขตเบาคือเขตที่นับจากสวนลางรูลมถึงกนเตา เขตเบาของคิวโพลาที่มีสวนรับน้าํ โลหะตางหาก (forehearth) จะตื้นเพราะไมตองใชรับน้ําโลหะเขตเบาของคิวโพลาที่ใชรับน้ําโลหะดวยจะลึก ตามปกติมัก ใหเขตเบามีขนาดใหญพอทีจ่ ะรับเหล็กได 2 –3 ครั้งบรรจุ (charge) ในเขตเบายังมีถานโคก ดังนัน้ จึงมีที่สําหรับน้ําโลหะเพียง 45%ของปริมาตรทั้งหมด เขตเบาไมควร ใหญเกินจําเปน เพราะจะทําใหเหล็กดูดเอาคารบอนและซัลเฟอรจากถานโคก
16
ตารางที่ 2.1 ความสัมพันธระหวางเสนผาศูนยกลางของคิวโพลาและอัตราการหลอม เสนผาศูนย พื้นที่หนาตัด อัตราการหลอม (ตัน / ซม.) กลางใน อัตราสวนใชไดจริงของเหล็กตอถานโคก (%) D(mm) A (m2) 8 10 12 14 16 18 0.42 0 0.071 0.74 0.64 0.57 0.52 0.47 0.58 350 0.096 1.0 0.9 0.8 0.7 0.64 0.76 400 0.126 1.3 1.1 1.0 0.9 0.83 0.95 450 0.159 1.7 1.4 1.3 1.2 1.05 1.2 500 0.196 2.1 1.8 1.6 1.4 1.3 1.4 550 0.238 2.5 2.2 1.9 1.7 1.6 1.7 600 0.283 3.0 2.6 2.3 2.1 1.9 2.0 650 0.332 3.5 3.0 2.7 2.4 2.2 2.3 700 0.385 4.1 3.5 3.1 2.8 2.6 2.7 750 0.442 4.7 4.0 3.6 3.3 2.9 3.0 800 0.503 5.3 4.6 4.1 3.7 3.3 3.4 850 0.567 6.0 5.2 4.6 4.2 3.8 3.8 900 0.636 6.7 5.8 5.2 4.7 4.2 4.3 950 0.709 7.5 6.4 5.8 5.2 4.7 4.7 1000 0.785 8.3 7.1 6.4 5.8 5.2 5.2 1050 0.866 9.2 7.9 7.0 6.3 5.7 5.7 1100 0.950 10.0 8.6 7.7 7.0 6.3 6.3 1150 1.039 11.0 9.5 8.4 7.6 6.9 6.8 1200 1.131 12.0 10.3 9.2 8.3 7.5 7.4 1250 1.227 13.0 11.2 10.0 9.0 8.1 8.0 1300 1.327 14.0 12.1 10.8 9.7 8.8 8.6 1350 1.431 15.1 13.0 11.6 10.5 9.5 10.2 9.3 1400 1.539 16.3 14.0 12.5 11.3 11.0 10.0 1450 1.651 17.5 15.0 13.4 12.1 11.7 10.6 1500 1.767 18.7 16.1 14.3 13.0
17
(6) รูเจาะ (Tap Hole) และรูขี้ตะกรัน (Slag Hole) รูเจาะและรูขี้ตะกรันอยูในเขตเบา รูปรางและตําแหนงของรูเหลานี้ขึ้นอยูกับวิธีการเจาะเอาน้ํา เหล็กและขี้ตะกรันออก กระบวนการเจาะเอาน้ําโลหะและขี้ตะกรันออกเปนระยะ ๆ ตามวิธีนจี้ ะเจาะเอาน้ําเหล็กหรือ ขี้ ตะกรันที่พกั อยูในอางในเตาคิวโพลา เปนระยะ ๆ จากรูเจาะและรูขี้ตะกรัน ทั้งนี้โดยใชมือจับอุปกรณแลว เจาะและอุดรู วิธีการนี้แสดงในรูป 2.5 และรูป 2.6 สวนผสมทางเคมีของน้ําเหล็กที่ไดโดยวิธนี ี้จะเปลีย่ น เนื่องจากสัมผัสกับถานโคกและขี้ตะกรัน ขบวนกรรมเอาขี้ตะกรันออกทางดานหนา รูป 2.7 แสดงขบวนกรรมนี้ขี้ตะกรันจะไหลออก ติดตอกันไป โดยที่น้ําโลหะจะออกสวนลาง และขี้ตะกรันจะแยกออกจากน้าํ โลหะทันที ขบวนกรรมนี้ ใหผลดีที่สุด เพราะมีการเปลี่ยนแปลงในสวนผสมทางเคมีนอยที่สุด ขบวนกรรมเอาขี้ตะกรันออกทางดานหลัง ดังแสดงในรูป 2.8 รูเจาะและรูขี้ตะกรันอยูคนละดาน จึงไมจําเปนตองมีการแยกขี้ตะกรันออกมาจากน้ําโลหะ น้ําโลหะที่ออกอยางติดตอกัน ทั้งโดยวิธีเอาขี้ตะกรันออกทางดานหนาและดานหลัง จะเขาไปพัก อยูในเตาพักน้าํ โลหะ (forehearth) ดังในรูป 2.9 เมื่อตองการน้ําโลหะก็เทออกไดเทาที่ตองการ (7) รูลม (Tuyere) รูลมทําหนาที่สงอากาศเขาเตาเพื่อใหถานโคกเผาไหมอากาศจะตองเขาในปริมาณ และความดันที่ เพียงพอ ดังนัน้ จึงตองมีการคํานวณและทดลองหาพื้นทีห่ นาตัดรวมของรูลม เพือ่ ใหมขี นาดทีเ่ หมาะสม ถาพื้นที่หนาตัดรวมนอยเกินไปความเร็วลมจะสูงเกินไป ทําใหอุณหภูมิของแกสที่เกิดจากการเผาไหม ต่ําลง แตถาพื้นที่หนาตัดรวมใหญเกินไป ความเร็วลมจะลดและจะไมไดการเผาไหมที่สม่ําเสมอ พื้นที่หนาตัดของรูลมนั้น หาจากอัตรารูลมซึ่งมีนิยามดังนี้ อัตราสวนรูลม (A/a) = พืน้ ที่หนาตัดภายในของคิวโพลาที่ระดับรูเปาลม พื้นที่หนาตัดต่ําสุดของรูลม หนึ่งรู - จํานวนรู อัตราสวนนี้มกั จะเทากับประมาณ 5 – 6 สําหรับคิวโพลาเล็ก และ 8 – 12 สําหรับคิวโพลาใหญ จํานวนรูลมนั้นเลือกโดยวิธกี ําหนดเอา แตจะตองเปนจํานวนคู ดังในตารางที่ 2.2 รูปรางของรูลมอาจเปนรูป (a) ทรงกระบอก (b) สี่เหลี่ยมจัตุรัส และ (c) บานออกดังในรูป 2.10 ชนิด (c) มักใชกับคิวโพลาขนาดใหญ หรือขนาดกลางเพราะพื้นทีห่ นาตัดภายในคอย ๆ ขยายใหญขึ้น ทําให เปาอากาศเขาเตาไดอยางสม่าํ เสมอ
18
ตารางที่ 2.2 จํานวนของรูลม เสนผาศูนยกลางใน ของคิวโพลา (mm) จํานวนรูลม
<600
600 - 900
>900
4-6
6 - 12
10 – 12
ควรใชเหล็กหลอหรือเหล็กเหนียวทํารูลม เพราะมีความแข็งแรงพอที่จะรักษามิติของรูลมไวได ในขณะใชงาน (8) กลองลม ( Window Box หรือ Window Chamber) กลองลมทําหนาที่รวบรวมอากาศที่เปามาจากพัดลม เพื่อจายผานรูลมเขาสูเตาอยางสม่ําเสมอ ดังที่แสดงในรูป 2.11 ความกวางของกลองลมมีขนาดประมาณเทากับเสนผาศูนยกลางของทอสงลมจาก พัดลมและความสูงเทากับสี่เทาของความกวาง 2.1.2 ทฤษฎีการหลอมในคิวโพลา (1) ปฏิกิริยาการเผาไหมในเตา ในคิวโพลาความรอนที่เกิดจากปฏิกิริยาใหความรอนระหวาง 02 จากอากาศที่ถูกเปาเขาตาและ C ในถานโคกจะทําใหโลหะหลอมเหลวทําใหเกิดขี้ตะกรันสงสิ่งเจือปนเขาไปอยูกับขีต้ ะกรัน และลด ออกซิเจนจากออกไซด รูป 2.12 แสดงลักษณะการกระจาย (distribution) แกสของที่เกิดจากการเผาไหม 02 จากอากาศที่เขาเตาทางรูปอนลม ทําใหเกิดปฏิกิริยาเพิม่ ออกซิเจนดังนี้ CO2 (1) C + 02 ถานโคกจะเผาไหมในเขตนี้ และอุณหภูมิทเี่ ขตนี้จะสูงกวาที่อื่นในเตา เขตนี้เรียกวาเขตเพิ่มออกซิเจน ซี่งเกิดในเขตเพิ่มออกซิเจนจะเปลีย่ นเฉพาะ ขางบนของเขตนี้เปนเขตลดออกซิเจน CO2 บางสวนเปน CO โดยปฏิกริ ิยาลดออกซิเจนดังนี้ CO2 + C 200 (2) ปฏิกิริยานี้เปนปฏิกิริยาดูดความรอนและเปนปฏิกิริยาที่เกิดรวดเร็วขึ้น ถาอุณหภูมิขึ้นในเขต สูงขึ้นไปในเตา และเนื่องจากการเกิดปฏิกริ ิยานี้ อุณหภูมขิ องแกสจะลดลง ปฏิกิริยาตามสมการที่ (1) และสมการที่ (2) เกิดขึน้ เมื่อถานโคกสัมผัสกับอากาศที่เปาเขามา ดังนั้นตําแหนงที่ปฏิกิริยาเหลานี้จะเกิด ตลอดจนลักษณะการกระจายของแกสที่เกิดจากการเผาไหมจะ ขึ้นกับขนาดของถานโคกปริมาตรอากาศเปาขนาดของรูลมและตัวแปรอื่น ๆ ในการหลอมโลหะดวยคิวโพลา การควบคุมตําแหนงของเตาเพิ่มออกซิเจนและเขตลดออกซิเจน นับเปนเรื่องสําคัญ เพราะจะกระทบกระเทือนคุณภาพของน้ําโลหะ ถาเขตเพิ่มออกซิเจนขยายขึ้นไปถึง
19
สวนบนของเตา โลหะที่ยังเปนของแข็งจะตองอยูในบรรยากาศเพิ่มออกซิเจนอันรุนแรง ทําใหโลหะ ไดรับออกซิเจนเพิ่มขึ้นเมื่อเปนดังนี้จะเกิดผลเสียในดานการสูญเสีย Si เปนอยางมากในระหวางการ หลอม การทําใหเกิดคารบอนลักษณะแปลก ๆ และเกิดการสูญเสียปริมาณโลหะและอื่น ๆ (2) ปฏิกิริยาทีท่ ําใหเกิดขี้ตะกรันและการเปลี่ยนแปลงของสวนผสมของน้ําโลหะ ขี้ตะกรันของคิวโพลาประกอบดวยวัสดุชว ยใหเกิดขี้ตะกรัน (flux) เชน หินปูน (limestone) วัสดุ กรุเตา ( lining material ) เถาที่เกิดจากถานโคกและออกไซดของโลหะ สวนผสมของขี้ตะกรันขึ้นอยูกับ สภาพปฏิบัติการ (operating condition) และชนิดของวัสดุที่ใช ตารางที่ 2.3 แสดงสวนผสมตามปกติของ ขี้ตะกรันของคิวโพลา เนื่องจากขี้ตะกรันทําปฏิกิริยากับน้ําโลหะ สวนผสมของขี้ตะกรันจะเปนอยางหนึ่ง ที่ทําใหสวนผสมของน้ําโลหะเปลี่ยนไป ดังนั้นจึงควรมีการควบคุมสวนผสมของขี้ตะกรัน ตารางที่ 2.3 สวนประกอบทางเคมีของขี้ตะกรันตามปกติ ของคิวโพลา (%) สวนประกอบ Ca0 Mg0 Al203 Fe0 Mn0 S SiO2 (ชนิด) ขี้ตะกรันกรด 40-50 20-35 0-3 5-12 0.5-0.7 0.5-2.0 0.1-0.4 ขี้ตะกรันดาง 20-30 30-50 5-20 3-10 0.5-5.0 0.5-3.0 0.4-1.0 โดยทั่วไปถาอากาศที่เปามากเกินไป หรือถาอัตราสวนระหวางเหล็กและถานโคกต่ํา จะทําใหเกิด ออกไซดของสวนผสมของโลหะมากขึ้น โดยเฉพาะอยางยิ่งออกไซดของซิลิคอนและแมงกานีส จะเพิ่มขึน้ และคุณภาพน้ําโลหะก็จะต่ําลงเนือ่ งจากการสูญเสียที่เกิดขึน้ ในขณะทําการหลอมเหลว ออกไซดเหลานี้ในขี้ตะกรันทําปฏิกิริยากับคารบอนในน้าํ โลหะและถานโคกดังนี้ Fe0 + C = Fe + CO Si02 + 2C = Si + 2C0 ดังนั้นออกไซดดังกลาวจะถูกลดออกซิเจน ปฏิกิริยาเหลานี้จะเกิดมากขึ้นเมื่ออุณหภูมเิ พิ่ม ดังนัน้ ถาอุณหภูมกิ ารหลอมโลหะสูง การสูญเสียของสารในเหล็ก (โดยที่สารนั้น ๆ กลายเปนออกไซด) จะ เพิ่มขึ้นเปนสัดสวนกับอุณหภูมิ และการเกิดจุดเสียในชิน้ งานหลอก็จะเพิ่มขึ้นเปนสัดสวนดวย ประเด็นสําคัญอีกอันหนึ่งคือ ซัลเฟอรจากถานโคกที่เขาไปในน้ําโลหะ ถานโคกที่ใชงานหลอ ตามปกติมีซัลเฟอรอยู 0.5 – 0.8 % และคาดวาประมาณ 30% ของซัลเฟอรนี้เขาไปในน้ําโลหะ ซัลเฟอรนี้ กลายเปนซัลไฟดในน้ําโลหะ และจะถูกดึงออกมาจากน้าํ โลหะโดยการทําปฏิกิริยากับ Ca0 ซึ่งมีอยูมากใน ขี้ตะกรัน ปฏิกริ ิยาที่วานี้คือ Ca0 + FeS = CaS + Fe0 Ca0 + MnS = CaS + Mn0
20
แตมี Fe0 และ Mn0 อยูมากในขี้ตะกรัน ปฏิกิริยาจะดําเนินไปทางขวาไดยาก ดังนั้นจะดึงเอา ซัลเฟอรออกไดไมมากพอ ดวยเหตุผลนี้จงึ ไมควรใหเกิดการเปนออกไซดมากนักในการหลอมโลหะ (3) ถานโคกและปริมาตรอากาศที่เปาเขาเตา ถาเปาอากาศเขามากเกินไปและมีถานโคกไมพอ ระดับของถานกนเตา (bed coke) จะลดลงและ จะทําใหเหล็กเปนออกไซดไดมาก ทั้งนี้เพราะเหล็กตองอยูในบรรยากาศที่พาใหเกิดการเปนออกไซดได มาก ดังนัน้ จึงจําเปนตองรักษาระดับถานกนเตาใหสูงที่สุดเทาที่จะเปนไปได เพื่อที่จะปองกันมิใหเหล็ก เปนออกไซดและเพื่อใหไดอณ ุ หภูมิน้ําเหล็กสูง หนาที่ของถานโคกที่บรรจุเขาเตาคือการรักษาระดับถานกนเตาใหอยูคงที่และทําใหการทํางานของ เตาเปนไปอยางตอเนื่องกันเปนเวลานาน ปริมาณถานโคกที่เพียงพอสําหรับแตละครั้งบรรจุนั้นจะตอง คํานวณหา โดยการพิจารณาถึงชนิดของเหล็กความแข็งแรงทางกลของถานโคก และปริมาณเถาซัลเฟอร ในถานโคกขนาดของถานโคกก็เปนเรื่องสําคัญที่ควรพิจารณาดวย รูป 2.13 แสดงผลของขนาดถานโคกตอ ปฏิกิริยาการเผาไหมในคิวโพลา ขนาดของถานโคกควรเทากับประมาณ 1/8 – 1/10 ของเสนผาศูนยกลาง ภายในของคิวโพลาและควรมีขนาดเทา ๆ กันดวย ปริมาตรอากาศที่เปาเขาเตามีผลกระทบกระเทือนมากทีส่ ุด ตอการเผาไหมของถานโคกใน คิวโพลา และคํานวณไดจากสูตรตอไปนี้ Q = 1,000 x W x K x K x L x C 60 100 100 โดยที่ Q : ปริมาตรอากาศ m3 / min W : อัตราการหลอมละลาย ton/hr L : ปริมาตรอากาศที่ตองใชในการเผาไหมคารบอน 1 kg m3 / kg K : ปริมาตรถานโคกที่ตองใชในการหลอมละลายโลหะ 1 kg / kg k : ปริมาณคารบอนใน 100 kg ของถานโคก kg C : สัมประสิทธิ์การปรับตามสภาพ ในสมการขางบนมีการคิดการเปลี่ยนแปลงในขนาดถานโคกดวย ปริมาตรอากาศเปานั้นไมเปลี่ยนแปลงตามอัตราสวนเหล็กตอถานโคกมากนักดังนัน้ อาจหา ปริมาณอากาศที่ตองการไดจากสูตรตอไปนี้ W = 100 - 110 m3 / min - m2 A W : ปริมาตรอากาศเปา m3 / min A : พื้นที่หนาตัดของคิวโพลา m2
21
(4) วัสดุที่ใชในการหลอโดยคิวโพลา เหล็กปก (pig iron)วัสดุทใี่ ชกับคิวโพลากันมากที่สุดคือเหล็กปก เพือ่ ใหไดชนิ้ งานหลอที่ดีจะตอง ใชเหล็กปกที่ดี มักจะใชเหล็กปกเทากับประมาณ 20 - 30 % ของโลหะทีใ่ สเขาเตาทั้งหมด เศษเหล็กเหนียว (steel scrap) เหล็กเหนียวใชแลวที่สะอาดจะมีสวนผสมที่เหมือน ๆ กันและหาซื้อ ไดในราคาถูก การที่เหล็กเหนียวมีคารบอนและซิลิกอนนอย ทําใหเหมาะที่จะใชทําชิ้นงานหลอทีต่ องการ % ของ C และ% ของ Si นอย ๆ ตามปกติจะใชเศษเหล็กเหนียวเทากับ 30 - 40 % ของโลหะทั้งหมด โดยเฉพาะในกรณีเหล็กหลอความแข็งแรงสูงจะตองใชเศษเหนียวมากกวาปกติ ขนาดและรูปรางของเหล็กเหนียวใชแลวมีผลกระทบกระเทือนอยางสําคัญตอการรักษาสภาพการที่ ถูกตองภายในเตา เชน ถาใชเหล็กเหนียวใชแลวอยูใ นรูปแผนบาง ๆ จะมีการสูญเสียมวลโดยปฏิกิริยาเพิ่ม ออกซิเจนเปนอยางมาก ตรงกันขามถาแผนเหล็กหนาเกินไปอุณหภูมใิ นเตาจะต่ํา ตาราง 2.4 แสดงขนาดที่ เหมาะสมของเศษเหล็กเหนียวใชแลว เหล็กหลอใชซา้ํ (return scrap) เหล็กหลอใชซ้ํา หมายถึงชิ้นงานหลอที่ใชไมได รูลน รูเท รูวงิ่ หรือ เหล็กหลอใชซา้ํ ที่ซื้อมาจากโรงหลออื่น ควรใชเหล็กหลอใชซ้ําที่มาจากโรงหลอนั้น ๆ เอง เพราะรูสวนผสม เหล็กผสมสารปรับสวนผสม (ferro alloy) หมายถึงวัสดุเชน Fe-Si หรือ Fe-Mn เมื่อใชเหล็กเหนียว ใชแลวเปนเปอรเซนตมากขึ้นก็จะตองมีการปรับสวนผสมโดยการใช ferro alloy ในการปรับสวนผสมควร พิจารณาเรื่องการเปลี่ยนแปลงในสวนผสมของน้ําโลหะ เนื่องจากปฏิกิริยาเพิม่ ออกซิเจนในขณะอยูใ น สวนบนของเตา และที่เกิดจากปฏิกิริยากับขี้ตะกรันหรือถานโคก การเปลี่ยนแปลงใน % C ซึ่งประกอบดวยการลดคารบอนโดยปฏิกริ ิยาเพิ่มออกซิเจนของน้ําโลหะ ขณะที่อยูสวนบนของเตา และการเพิ่มคารบอนโดยปฏิกิริยาระหวางน้ําโลหะและถานโคกนั้น เกีย่ วของ อยางซับซอนกับสภาพปฏิบตั ิการ % C นั้นปรับไดโดยเปลี่ยนอัตราสวนระหวางเหล็กปกและเหล็กเหนียวใช แลวในการหลอมเหลว ควรเผื่อการสูญเสีย Si ประมาณ 10 - 25 % และ Mn ประมาณ 15-30% การสูญเสีย เหลานี้จะตองนําไปประกอบการคํานวณในการปรับสวนผสม % S จะเพิ่มเพราะไดซัลเฟอรจากถานโคก มัก กําหนดให %S เพิ่มไดไมเกิน 0.1% ตาราง 2.5 แสดงตัวอยางของการกําหนดวัสดุชนิดตาง ๆ ที่ใชหลอ
22
ตาราง 2.4 ขนาดที่เหมาะสมสําหรับเศษเหล็กเหนียวที่ใชบรรจุเขาเตา เสนผาศูนยกลางในของคิวโพลา 500 600 650 700 ขนาดของเศษ ความหนา (mm) 4-5 5-8 6-20 6-25 เหล็กเหนียว ความยาว (mm) 50-150 100-200 100-200 100-250
ตาราง 2.5 ตัวอยางของการกําหนดวัสดุชนิดตาง ๆ ที่ใชในการหลอ สวนผสมที่ตองการ ระวางวัสดุ โลหะผสมเหล็ก (%) (%) (%) คุณภาพ เศษ Fe-Si Fe-Mn เศษเหล็ก เหล็ก Si=75% Mn= C Si Mn เหล็กพิก เหนียว หลอ 75% ความเคนดึง 15 3.6 2.2 0.7 30 25 45 1.6 0.2 (kg/mn2) 25 3.3 2.0 0.6 25 40 35 1.7 0.4
เหล็กปก เศษเหล็กเหนียว เศษเหล็กหลอ
C(%) 4.0 2.0 3.4
Si(%) 2.0 0.2 2.0
Mn(%) 0.5 0.4 0.7
ในการคํานวณหาสวนผสมขางบนนี้ไดใชผลการวิเคราะหตอไปนี้ สมมุติ การสูญเพลิงขณะหลอมของซิลิคอนและแมงกานีสเทากับ 15% และ 20%ตามลําดับตัวอยางการ คํานวณหาสวนผสม
23
C
Si
Mn
3.3(%)
2.0(%)
0.6(%)
เหล็กพิก เศษเหล็กเหนียว เศษเหล็กหลอ ผลรวม(%) สูญเพลิง(%) ความแตกตาง(%)
4.0x0.25=1.00 0.2x0.40=0.08 3.4x0.35=1.19 2.27
คารบอนที่ไดรับ จากถานโคก (%) ของผสมจากโลหะ ผสมเหล็ก(%)
1.05
2.0x0.25=0.50 0.2x0.40=0.08 2.0x0.35=0.70 1.28 15 1.28 - 2.0 = -1.07 1-0.15 -
0.5x0.25=0.13 0.4x0.40=0.16 0.7x0.35=0.25 0.54 20 0.54 - 0.6 = -0.21 1-0.20 -
1.07 =1.7 0.75x0.85 Si 2.0(%) 2.35
0.21 =0.4 0.75x0.80 Mn 0.6(%) 0.75
สวนผสมที่ตองการ
สวนผสมที่ตองการ ผลการคํานวณ(%)
- 1.03
C 3.3(%) 3.32
2.1.3 การใชควิ โพลา (1) ผนังเตา (lining) ผนังเตา ประกอบดวยอิฐทนไฟ วัสดุทนไฟหลอสําเร็จรูป หรือวัสดุทนไฟใชในการปะ ถา ตองการใหผนังเตาเปนประเภทกรดก็ควรใชวัสดุทนไฟ chamotle หรืออิฐแปง(talc brick) และควรใช magnesia หรือ doromite ถาตองการผิวเตาประเภทดางควรพอกผิวใหหนา 3 – 4 mmและเพื่อใหจับติดดี ควรใชน้ําใหนอ ยที่สุดคิวโพลาที่ทําผนังเตาใหมนนั้ ควรปลอยใหแหงเองสัก 2-3 วัน แลวจึงเผาถานโคก หรือฟนในเตาเปนเวลา 1 วันกับ1 คืน เพื่อใหแหงสนิท การซอมผนังเตา ตามปกติในการเตรียมใชคิวโพลาก็จะเริ่มโดยการซอมผนังเตา ซึ่งถูกกัดกรอน ไปในการใชงาน โดยเปดเหล็กปดกนเตาออกปลอยใหภายในของเตาเย็นลงแลวจึงซอมจุดทีถ่ ูกกัดกรอน มักจะตองซอมเฉพาะเขตหลอมละลายที่อุณหภูมิสูง จะตองใชสกัดหรือคอนลมเพื่อเอาขี้ตะกรันถานโคก และเหล็กที่ตดิ อยูออกไปจนถึงสวนวัสดุทน ไฟ หลังจากนัน้ อาจตองเปลีย่ นอิฐทนไฟ หรือเพียงแตใชวัสดุทนไฟปะ ทั้งนี้แลวแตสึกกรอนไปแคไหน
24
ควรใหมนี ้ํานอยที่สุดในวัสดุทนไฟทีใ่ ชฉายหรือปะในการซอมรูลมและรูเจาะจะตองระวังเรื่องขนาดรูปราง และมุม หลังจากซอมเสร็จแลวก็ปดประตูปดกน แลวใชทรายทําแบบหลอบุกนเตาใหหนาสัก 30 – 50 mm แลวจึงใสทรายกนเตาทับอีกทีแลวตบใหแนน สวนผสมของทรายกนเตามีในตาราง 2.6 ตัวอยางของ วัสดุตาง ๆ (%) สวนผสม ทรายซิลิกา อิฐแชมโมททปน ดินเหนียว ปูนขาวทนไฟ ถานโคกปน A 40 7 3 50 B 20 40 40 C 70,80 20,30 แชมโมททเปนสวนผสม xSi02.yAl203 เปนกรดก็ไดดางก็ได หรือเปนกลางก็ไดถามี Si02มากก็ เปนกรด นิยมใชกับคิวโพลาสวนลางของเตาจะเรียวลงสูรูเจาะดวยมุม 5/1,000 ถึง 10/1,000 องศาการเรียว นี้ทําใหเจาะน้าํ โลหะออกไดสะดวก ความหนาของทรายกนเตาเทากับ 200mm เปนอยางต่ํา ความหนา นี้ขึ้นกับขนาดของคิวโพลาและจํานวนชั่วโมงปฏิบัติงาน การอุนคิวโพลา หลังจากทําผิวเตาเสร็จแลว ควรปลอยใหแหงชา ๆ อาจทําใหแหงโดยการจุดถาน โคกกนเตา ดังจะไดกลาวถึงในตอนตอไป รูเจาะและปากเตา (spout) นั้น ควรทําใหรอนโดยการเผาดวยฟน หรือถานโคก หรือใชเตาฟู (burner) เพื่อปองกันมิใหอุณหภูมิของน้ําโลหะที่ออกมาทีแรกตองลดลงมาก (2) การเตรียมงาน การจุดเตา หลังจากที่ไดซอมเตาและทําใหแหงแลว ควรเริ่มจุดเตา 3 - 4 ชั่วโมงกอนกําหนดเจาะ น้ําโลหะ เริ่มดวยการใสฟนลงไปที่กนเตา แลวจุดใหติดโดยการใชผาชุบน้ํามันหรือเตาฟู (petroleum burner) หลังจากไฟติดแลวจึงใสถานโคกกนเตา แลวปลอยใหตดิ จนลุกโชน ถาใชตะเกียงแกสเปาชนิดพิเศษสําหรับ ติดเตา จะติดถานโคกกนเตาไดเลยโดยไมตองใชฟน ถาใชวิธีหลังจะใชเวลานอยกวาวิธีแรกมาก การเปากอนหลอม (fore blow) เมื่อเกิดการเผาไหมจนเปลวไฟขึน้ ถึงสวนบนของถานโคกกนเตา แลวก็ปด รูมอง (peep hole) แลวเปาลมประมาณ 3 – 4 นาที ในระหวางที่เปากอนหลอมนี้ ควรปรับระดับ ถานโคกกนเตาใหถูกตองโดยใชโซหรือทอนเหล็กเหนียว วัดจากรูบรรจุ (charging opening)สําหรับคิวโพลา เล็กที่มีขนาดเสนผาศูนยกลางภายในต่ํากวา 700mm ถานโคกกนเตาสูง 1.5 – 1.8 เทาของเสนผาศูนยกลาง ภายในก็พอ และสําหรับคิวโพลาขนาดใหญใชถานโคกกนเตาสูง 1,200 -1,300mm วัสดุบรรจุปริมาณโลหะที่จะบรรจุนั้นคํานวณโดยใชตารางควบคุมวัสดุน้ําหนักโลหะ สําหรับ แตละครั้งบรรจุ (charge) ควรเทากับ 1/10 – 1/15 ของอัตราการหลอมตอชั่วโมงของคิวโพลา ปริมาตร ถานโคกสําหรับแตละครั้งบรรจุนั้นคิดจากอัตราสวนระหวางเหล็กและถานโคก ปริมาณของหินปูนที่ชวย ทําใหเกิดขี้ตะกรันควรเทากับประมาณ 25 – 30% ของน้ําหนักถานโคก ในการบรรจุควรใสหนิ ปูนเขาไป
25
กอน แลวจึงใสโลหะและถานโคกตามลําดับ แตลําดับการบรรจุไมสูสําคัญนักสิ่งที่ควรระวังมากกวาคือ อยาใหขนาดของแตละชิ้นของวัสดุตางกันมาก ๆ (3) วิธีปฏิบัติ การเริ่มเปาลมหลังจากใสวัสดุเขาไปจนถึงสวนลางของประตูบรรจุแลวปลอยใหโลหะไดรับความ รอนประมาณ 15 – 20 นาทีกอนจะเปาลม แตถาชวงนีน้ านเกินไป ระดับของถานโคกกนเตาจะต่ําเพราะเกิด การเผาไหมไปมาก เมื่อไดปลอยใหโลหะรับความรอนเพียงพอแลวก็เริ่มเปาลม หลังจากนี้ประมาณ 3 – 4 นาทีจะเห็นเหล็กละลายเปนหยด ๆ ตกผานรูมอง ตามปกติจะเริ่มเปดรูเทครั้งแรกราว 15-20 นาที หลังจากเริ่มเปาลม น้ําโลหะที่ออกมาแตแรกมีอณ ุ หภูมิต่ําและสวนผสมมักเปลี่ยนไปจากที่ตองการมาก ดังนั้น ตามปกติจะไมใชในการหลอชิ้นงาน ถาตองการใหไดน้ําโลหะอุณหภูมิสูงตั้งแตแรกจะตองใชถานโคกกน เตามาก ๆ และเปาลมมาก ๆ หรือใสแคลเซียมคารไบด 1-2% ผสมมากับถานโคกงวดแรก การหลอมละลายและการเจาะ ถาเปนคิวโพลาที่มที ี่แยกขี้ตะกรันจะเปนการแยกที่หนาเตาหรือ หลังเตาก็ตาม จะเจาะน้ําโลหะออกไดติดตอกันโดยไมตอ งหยุดขี้ตะกรันจะออกมากับน้ําโลหะ แตจะ ถูกแยกออกไป สําหรับคิวโพลาที่ใชวิธแี ยกขี้ตะกรันเปนตอน ๆ นัน้ จะเปดรูเจาะเปนระยะ ๆ ตามปริมาณ น้ําโลหะและขี้ตะกรันในอางเก็บในเตา จะตองบรรจุถา นโคกหินปูน และโลหะเขาเตาเปนระยะ ๆ อยางสม่ําเสมอเพื่อรักษาใหระดับวัสดุ อยูที่สวนลางของประตูบรรจุ ในระหวางการหลอมละลายจะตองตรวจอัตราการหลอมละลายอุณหภูมิของ น้ําเหล็กและความดันของลมเปาอยูเสมอดังนั้นจะตองรักษาสภาวะในเตา กลาวคือ อุณหภูมิ ความดัน ความสูงของกองถานโคกกนเตา ผนังเตา ฯลฯ ไวไมใหเปลี่ยนแปลง ถึงแมวาคิวโพลาจะทํางานโดยมีอัตราสวนเหล็กตอถานโคกที่ถูกตอง และมีปริมาณลมพอเพียง เพราะผนังเตาในเขตหลอมละลายจะสึกกรอนไป แตถาใชงานไปนานเขาระดับถานโคกกนเตาจะลดลง ดังนั้นเพื่อใหระดับถานโคกกนเตาคงที่จะตองใสถานโคกเพิ่มเขาไปเทากับประมาณหนึ่งครั้งบรรจุ (0ne charge)ทุก ๆ หนึ่งชัว่ โมง หรือหนึ่งชั่วโมงครึ่ง วิธีการปฏิบัติเมื่อจะหยุดใชเตา เมื่อใกลจะสิ้นสุดการใชเตา ความดันของอากาศจะลดลง เพราะ ความสูงของถานโคกกนเตาจะลดลง ดังนั้นจึงตองปรับประตูลม (damper) เพื่อรักษาใหปริมาณอากาศ คงที่ ถาปลอยใหเตาทํางานตอไปตามปกติจนกระทั่งโลหะทีอ่ ยูเหนือกองถานโคกกนเตาละลายหมด อาจจะมีโลหะไปติดผนังเตาเนื่องจากน้ําโลหะถูกเปากระจายการสึกกรอนของวัสดุทนไฟ หรือการเพิ่ม ออกซิเจนของเหล็ก ฯลฯ ดังนั้นจึงควรหยุดเปาลมเมื่อยังมีวัสดุอกี ประมาณ 2-3 ครั้งบรรจุอยูเหนือถาน โคกกนเตา
26
พรอมกับที่หยุดเปาลมก็เปดรูมอง (tuyere peep hole) และเอาเหล็กและขี้ตะกรันออกมาทาง รูเจาะและรูขี้ตะกรัน หลังจากนั้นก็เปดประตูกนเตา ทําใหวัสดุทั้งหลายตกลงมาบนกองทราย ซึ่งจัดไวใต คิวโพลา ถาสิ่งตาง ๆ ในเตาไมตกลงมา เมื่อเปดประตูกนเตา จะตองใชทอนเหล็กทะลวง ที่ไมตกมักเปน เพราะทรายรองกนเตามีดนิ เหนียวมากเกินไป ตองปรับสวนผสมของทรายกนเตาใหมีดินเหนียวนอยลง (4) สภาพการทํางานที่ถูกตองของคิวโพลา ในการหลอมละลายเหล็กโดยใชควิ โพลา คุณลักษณะของเหล็กจะเปลีย่ นอยูเสมอ คือเปลี่ยนไป ตามสภาวะของเตา ทั้งนีถ้ ึงแมเตาจะทํางานติดกันในอัตราผลิตคงที่ ดังนั้นจะตองปรับสภาวะตามการ เปลี่ยนแปลงของเตา ทั้งนี้เพือ่ ใหไดสภาวะการทํางานที่อยูในเกณฑใชได (a) สภาวะที่จะทําใหไดอุณหภูมิของน้ําโลหะสูงมีดังนี้ 1) ความสูงที่ใชไดจริง(effective height) สูงพอ 2) ปริมาณลมเปามากพอ (อัตราสวนรูลมสูงพอ) 3) ใชถานโคกแข็งที่มีขี้เถานอย 4) ถานโคกกนเตามีระดับสูง 5) มีการเปาลมมากพอกอนลงมือทํางานตามปกติ 6) ใชถานโคกมากพอ 7) ใชโลหะที่มีขนาดและน้ําหนักเหมาะกับขนาดเสนผาศูนยกลางคิวโพลา 8) มีอัตราการหลอมละลายเหมาะกับขนาดเสนผาศูนยกลางคิวโพลา (b) สภาวะที่จะทําใหไดเหล็กที่ไมผานการทําปฏิกิริยากับออกซิเจนและเปนเหล็กสะอาดมีดงั นี้ 1) ถานโคกกนเตามีระดับสูง 2) ใชถานโคกมากพอ 3) ใชโลหะที่มีขนาดและน้ําหนักเหมาะกับขนาดเสนผาศูนยกลางของคิวโพลา 4) ปองกันมิใหมลี มเปามากเกินไป หรือความดันสูงเกินไป (c) สภาวะที่จะทําใหไดเหล็กที่มีเนื้อสม่ําเสมอและมีสวนผสมทางเคมีตามที่ตองการมีดังนี้ 1) ใชเหล็กปกใหมที่รูสวนผสมทางเคมี 2) ควบคุมเหล็กใชแลวดี มีการจัดแบงประเภทของเหล็กใชแลว 3) ใชโลหะที่มีขนาดและน้ําหนักเหมาะกับขนาดเสนผาศูนยกลางของคิวโพลา 4) ใชรูลมที่สงลมเขาไดเฉลี่ยเทา ๆ กันทั่วพืน้ ที่หนาตัด 5) ใชเตาพักน้ําโลหะ (forehearth)
27
2.1.4 วิธีการใชคิวโพลาในสมัยปจจุบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไดมีการใชควิ โพลาที่หลอเย็นดวยน้ํา และคิวโพลาทีใ่ ชลมรอนเปา (hot blast cupola) กันในงานอุตสาหกรรมในระยะหลัง ๆ (1) คิวโพลาหลอเย็นดวยน้ํา ผนังเตาในเขตหลอมละลายเหนือรูลม เปนสวนที่สึกกรอนมากที่สดุ ในคิวโพลาและเมื่อสึกกรอน ไปมาก ๆ เปลือกเตาซึ่งเปนเหล็กเหนียวจะรอนจนแดง และตองหยุดการทํางานของเตา นอกจากนั้นถา ผนังเตาเหลือบางมาก ๆ จะตองเสียเวลาซอมนาน ดังนั้นในระยะหลัง ๆ นี้ จึงมีการใชคิวโพลาหลอเย็น ดวยน้ํา โดยเฉพาะอยางยิ่งเตาทีห่ ลอเย็นตรงเขตหลอมละลายมีคิวโพลาหลอเย็นดวยน้ําอยูสองชนิด ชนิดแรกมีโพรงรอบเตาใหน้ําอยู (water jacket) ดังในรูป2.15 และอีกชนิดหนึ่งใชน้ําโปรยลงมาที่เปลือก เตาการหลอเย็นวิธีแรกมักใชกับคิวโพลาขนาดเล็กในการหลอเย็น ชนิดที่สองเปลือกเตาควรไดรับน้ําริน ลงมาโดยรอบอยางสม่ําเสมอ คิวโพลาชนิดหลังนี้ควรใชเปลือกเตาหนากวาชนิดแรก และควรหนากวา 10 mm ทั้งนี้ขึ้นอยูกับการพิจารณาระหวางการนําความรอน (ตองการใหเปลือกบาง) และความแข็งแรง ทางกล (ตองการใหเปลือกหนา) วิธีหลังมักใชกับคิวโพลาขนาดใหญคิวโพลาหลอเย็นดวยน้าํ ไดเปรียบ ตรงที่ทําใหใชงานไดนานกอนตองซอม และเมื่อตองซอมก็ไมตองซอมมากเทาเตาที่ไมมีการหลอเย็นดวย น้ํา นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงในสวนผสมของเล็กนอย เพราะสภาวะภายในเตาจะไมคอยเปลี่ยน เนื่องจากมีการสึกกรอนของผนังเตานอย เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการใชคิวโพลาหลอเย็นดวยน้ําที่ผนังเตาหนาเพียง 2 – 3 cm หรือไมมีผนังเตาเลย คิวโพลาบางอันใชวิธหี ลอเย็นโดยใชน้ําหลอเย็นเฉพาะรูลมซึ่งทําดวยทองแดง ทั้งนี้เพื่อจํากัดใหการเผา ไหมอยูใ นเขตเฉพาะ และเพือ่ ไมใหสูญเสียความรอนมากเกินไป (2) คิวโพลาใชลมรอนเปา (Hot Blast Cupolas) คิวโพลาตามปกติใชลมเปาทีไ่ ดจากบรรยากาศรอบเตา แตมีคิวโพลาที่ใชลมที่ผานการทําใหรอ น มากอน การใชอากาศที่ทําใหรอนมากอนทําใหอุณหภูมใิ นเตาสูงขึ้นและมีขอไดเปรียบตาง ๆ ดังนี้ 1) ทําใหอณ ุ หภูมิน้ําโลหะจากคิวโพลาสูงขึ้น 2) ลดอัตราสวนเหล็กตอถานโคกไดโดยไมลดอุณหภูมิ 3) ลดการสูญเสียเนื่องจากการทําปฏิกิริยากับออกซิเจนของซิลิคอน แมงกานีส เหล็ก และ โลหะผสมอื่น 4) อาจใชโลหะคุณภาพต่ําได และลดคาใชจายในดานวัสดุ 5) เพิ่มอัตราการหลอมละลาย มีวิธีการทําใหอากาศรอนกอนเปาอยู 3 วิธี วิธีแรกใชความรอนปกติ (sensible heat) ของแกสใน คิวโพลา วิธีที่สองใชความรอนแฝง(latent heat) ของ CO ซึ่งเปนแกสชนิดหนึ่งในคิวโพลา วิธีที่สามใช
28
แหลงความรอนตางหากจากคิวโพลาเชนในการเผาไหมของแกสหรือน้ํามัน อุณหภูมิลมที่ไดจากวิธีแรก เทากับ 150 – 160 ºC และไมเห็นผลการไดเปรียบมากนัก อุณหภูมิลมที่ไดจากวิธีที่ 2 และที่ 3 เทากับ 350 – 500 ºC และจะเห็นผลการไดเปรียบอยางชัดเจน คิวโพลาใชลมรอนเปาชนิดที่ 1 และ 2 มีแสดงใน รูป 2.17 และรูป 2.18 (3) การลดความชื้นของลมเปา ความชื้นในลมเปาจะทําใหอุณหภูมิน้ําโลหะต่ําลงและทําใหเกิดจุดเสีย (defects) ในชิ้นงานหลอ เหตุที่เกิดขอเสียดังกลาวมีดงั นี้ ความชื้นในอากาศทําปฏิกิริยากับถานโคก H2 O + C CO + H2 – 29.4 calories 2H2O+ C
CO2 + 2H2 – 19.4 calories
ปฏิกิริยาขางบนเปนชนิดดูดความรอน (endothermic) ดังนั้นความรอนที่ควรไดจากถานโคกจึง เสียไปโดยเปลาประโยชน ผลที่เกิดขึ้นคืออุณหภูมิในเตาจะลด เขตเพิ่มออกซิเจน (oxidization zone) จะ ขยายมากขึน้ และทําใหเกิดการหลอมละลายที่เหล็กทําปฏิกิริยากับออกซิเจน(oxidizing melting) เพื่อ ปองกันมิใหเกิดผลเสียเนื่องจากความชื้น จึงมีการลดความชื้นของอากาศเปาวิธีลดความชื้นที่ใชกนั แพรหลายกับคิวโพลามีดังนี้ 1) ลดความชื้นโดยใชซิลิกาเจล (silica gal)ในสภาพของแข็ง 2) ลดความชื้นโดยใชลิเธียม คลอไรด (lithium choride) ในสภาพสารละลาย 3) ลดความชื้นโดยลดอุณหภูมิอากาศ เพื่อดึงความชื้นออกจากอากาศ
29
รูปที่ 2.1 รูปรางคิวโพลา แบบธรรมดา
รูปที่ 2.2 คิวโพลาขนาด 3 ตัน (รูปดานขาง)
30
รูปที่ 2.3 คิวโพลาขนาด 3 ตัน (รูปดานหลัง)
รูปที่ 2.4 สมรรถนะของคิวโพลา
31
รูปที่ 2.5 ขบวนกรรมเจาะน้ําโลหะและขี้ตะกรันออกเปนระยะ ๆ
รูปที่ 2.6 การเจาะน้ําโลหะจากคิวโพลาเปนระยะ ๆ
รูปที่ 2.7 ขบวนกรรมเจาะนําโลหะตอเนื่องโดยกัน้ ขีต้ ะกรันออกขางหนาเตา
32
รูปที่ 2.8 ขบวนกรรมเจาะน้ําโลหะตอเนื่องโดยเอาขี้ตะกรันออกดานหลัง
รูปที่ 2.9 เตาพักน้ําโลหะ
รูปที่ 2.10 รูปทรงสัณฐานตาง ๆ ของรูลม (Tuyere)
33
รูปที่ 2.11 รูปรางและมิติของกลองลม (Wind box)
รูปที่ 2.12 การกระจาย (distribution) ของแกสในคิวโพลากับความสูงจากระดับรูลม
รูปที่ 2.13 ผลของขนาดถานโคกปกตอการเผาไหมในคิวโพลา
34
รูปที่ 2.14 รูปรางผนังดานในของคิวโพลา
รูปที่ 2.15 คิวโพลาแบบหลอเย็นดวยน้ํา
รูปที่ 2.16 คิวโพลาชนิดพนน้ําหลอเย็น
35
รูปที่ 2.17 คิวโพลาลมรอนโดยใชความรอนปกติ (sensible heat)
รูปที่ 2.18 คิวโพลาลมรอนโดยใชการเผา CO
36
36
บทที่ 3 คุณลักษณะของเหล็กหลอ สวนผสมของเหล็กหลอ เหล็กหลอคือโลหะผสมระหวางธาตุเหล็ก (Iron) และธาตุถาน (Carbon)ปกติเหล็กหลอจะมีธาตุถาน ผสมอยูระหวาง 1.7 - 4.3% นอกจากนี้จะมีธาตุอื่น ๆ รวมอยูดว ย เชน ธาตุซิลิคอน (Silicon หรือใชยอ Si ) ซึ่งมีอยูประมาณ 0.3 – 4.0% ธาตุแมงกานีส (Manganese เขียนยอ Mn) มีประมาณไมเกิน 1.5% ธาตุ ฟอสฟอรัส (Phosphorus เขียนยอ P) มีประมาณไมเกิน 1.0% และธาตุซลั เฟอร (Sulphur เขียนยอ S) มี ประมาณไมเกิน 0.2% ตามปกติแลวธาตุคารบอนที่ผสมอยูในเหล็กหลอจะมีมากกวาในเหล็กเหนียว(Steel) และจํานวนธาตุ คารบอนนี้จะละลายอยูในน้าํ เหล็ก (Molten Iron) เมื่อน้ําเหล็กเย็นตัวลงหรือแข็งตัวแลวจะทําใหโครงสราง ภายในเหล็กหลอเกิดขึ้น 2 แบบ คือ แบบแกรไฟท (Graphite) หรือฟรีคารบอน (Free Carbon) และ แบบซีเมนไทท (Cementite) หรือคอมไบนคารบอน (Combined Carbon) คอมไบนคารบอน หมายถึงการทีค่ ารบอนรวมตัวกัน แบบแกรไฟทเราจะพบในเหล็กหลอสีเทา (Grey Cast Iron)สวนแบบซี เมนไททนนั้ เรามักจะพบในเหล็กหลอชนิดเหล็กหลอสีขาว(WhiteCast Iron) ซึ่งเหล็กชนิดนี้จะมีเนื้อแข็ง โครงสรางของเหล็กหลอ เหล็กหลอโดยทั่ว ๆ ไปมีลักษณะโครงสรางภายในเปนแบบตาง ๆ กันคือ 1. ซีเมนไทท (Cementite) โครงสรางของเหล็กหลอชนิดนี้มีธาตุถานรวมตัวกันหรือที่เรียกวา คอมไบนคารบอน ไดจากการเย็น ตัวดวยอัตราสูง (อยางรวดเร็ว) หรือโดยการจัดสวนผสมของเหล็กหลอใหมีปริมาณของคารบอนและซิลิคอน ผสมอยูนอย เหล็กชนิดนี้จะมีเนื้อแข็ง และเปราะ สวนมากเปนพวกเหล็กหลอสีขาว หรือเหล็กมอตเติล (ดังรูป 1 และ 2) 2. เพอรไลท (Pearlite) มีโครงสรางเปนแบบธาตุถานรวมตัวกัน โดยการเรียงซอนกันระหวางโครงสรางเฟอรไรท และ โครงสรางซีเมนไทท (รูปที่ 3) เหล็กหลอชนิดนี้มีความแข็งแรงดีมาก 3. เฟอรไรท (Ferrite) โครงสรางชนิดนี้มีธาตุเหล็กผสมอยูเปนสวนมาก และมีธาตุคารบอนผสมอยูเพียงสวนนอย เนื้อ เหล็กจะออนและมีความแข็งแรงเพียงปานกลางเทานั้น (รูปที่ 4และ5)
37
4. สเตทไดท (Steadite) โครงสรางชนิดนี้เกิดจากการที่ฟอสฟอรัส(P)ที่มีเหลืออยูร วมตัวกันกับธาตุเหล็ก โครงสรางชนิดนี้ ทําใหเหล็กแข็งและเปราะ สาเหตุที่ทําใหเหล็กหลอมีโครงสรางตางกัน สาเหตุสวนใหญที่ทําใหคารบอน (C) รวมตัวกันในเนื้อเหล็ก แลวเกิดเปนแบบตาง ๆ นั้น ขึ้นอยูกับ 1. อัตราการเย็นตัวของน้ําเหล็ก 2. สวนผสมทางเคมีของน้ําเหล็ก 3. การเติมสารเคมีหรือการหลอมดวยความรอนสูง อัตราการเย็นตัวของน้ําเหล็ก การเย็นตัวอยางรวดเร็ว การเย็นตัวดวยอัตราสูงจะเปนสาเหตุหนึง่ ที่ไมทําใหเกิดการรวมตัวของ โครงสรางแบบแกรไฟท ในทางตรงกันขามกลับจะทําใหเกิดโครงสรางชนิดที่เรียกวาคอมไบนคารบอน คือ แบบคารบอนรวมตัวกัน อันจะเปนผลใหเราไดเหล็กหลอชนิดที่มีเนื้อแข็ง หรือทีเ่ รียกกันวา เหล็กหลอสีขาว (White Cast Iron) เหล็กหลอชนิดนี้ถาหักออกมาดูจะเห็นผิวเนื้อเปนสีขาวคลายเงินแข็งมาก และเปราะ จะ นําไปกลึง ไส หรือตบแตงไดยาก สําหรับการเย็นตัวอยางชา ๆ เย็นตัวดวยอัตราต่ํานั้นจะทําใหไดเหล็กหลอ สีเทา ซึ่งมีโครงสรางเปนแกรไฟท ซึ่งเมื่อหักออกจะดูเห็นเปนสีเทา สวนเหล็กหลอที่มีโครงสรางรวมกัน (Mottled Cast ระหวางแบบแกรไฟท และซีเมนไทท มีชื่อเรียกอีกอยางหนึ่งวา “เหล็กหลอมอทเทิล” Iron) เหล็กหลอชนิดนี้เปนเหล็กทีม่ ีคุณสมบัติระหวางเหล็กหลอสีเทา และเหล็กหลอสีขาว อัตราการเย็นตัวของเหล็กหลอนี้ ยอมขึน้ อยูกับความหนาของชิ้นงานของเหล็กหลอดวย ถาชิ้นงานหนาอัตราการเย็นตัวยอมชา และจะทําใหไดเหล็กหลอประเภทเหล็กหลอสีเทา (Grey Cast Iron) แตถาชิ้นงานบางมาก การเย็นตัวของเหล็กหลอนีก้ ็ยอมเร็ว ซึ่งจะไดเหล็กหลอประเภทเหล็กหลอ สีขาวสวนผสมทางเคมีของน้ําเหล็ก คารบอนและซิลิคอนเปนตัวที่ทําใหเกิดแกรไฟท กลาวคือ ถาเหล็กหลอมีสวนผสมของคารบอนและ ซิลิคอนอยูนอย จะทําใหเกิดเหล็กที่มีเนื้อแข็งชนิดหนึ่ง เรียกวา ซิลไอออน (Chilled Iron)ซึ่งมีเนื้อแข็งคลาย เหล็กหลอสีขาว แตถาหากเพิ่มสวนผสมขึ้นไปชนิดใดชนิดหนึง่ หรือทั้งสองชนิด จะทําใหความแข็งที่มีอยู ในเนื้อเหล็กลดลงไปได
38
การเติมสารเคมีและการหลอมดวยความรอนสูง การเติมสารเคมี (Inoculation) และการหลอมดวยความรอนสูง(Superheating) เนื้อเหล็กนีจ้ ะ ทําใหเกิด แกรไฟท ที่ละเอียดกระจายออกไปทั่วเนื้อเหล็กไดมากกวาการหลอม โดยวิธีธรรมดาและ เปนการเพิ่มแรงความตานทานตอแรงดึง (Tensile Strength)ใหสูงขึ้นดวย ก. การเติมสารเคมี สารเคมีที่เราใชเติมกับน้ําเหล็กนั้น สวนมากนิยมใชพวกเฟอรโรซิลิคอน แคลเซียมซิลิไซด แกรไฟท และอื่น ๆ เพื่อชวยใหโครงสรางแบบแกรไฟท ที่อยูในรูปของคารไบด แยกตัวออกไปเปนเกล็ดกระจายอยูทวั่ ไปเหล็กซึ่งมีจํานวนคารบอนสมดุลย (Carbon Equivalent) ต่ําประมาณ 3.7 หรือต่ํากวานัน้ จะมีปฏิกิริยาอยางแรงตอการเติมสารเคมีใหเกิดแกรไฟท เหล็กซึ่งมี จํานวนคารบอนสมดุลย หมายถึงจํานวนธาตุถาน (Carbon) + 1/3 (ซิลิคอน + ฟอสฟอรัส) เฟอรโรซิลิคอนที่ใชเติมควรบดใหละเอียด มีขนาดไมใหญกวา ¼ นิ้ว ปกติแลวจะเติมลงไปที่ รูเจาะน้ําเหล็ก (Cupola Spout) ในอัตราประมาณไมเกิน 0.5% หรือประมาณ 10 ปอนด ตอน้ํา เหล็ก 1 ตัน ข. การหลอมดวยความรอนสูง การหลอมดวยอุณหภูมิสูง มักไมใชเตาคิวโพลาธรรมดา สวนมากจะใชเตาไฟฟาหรือเตาคิวโพลาชนิดที่ใชลมรอน เหล็กหลอที่หลอมดวยอุณหภูมิสูงจนถึง 1,520°C โครงสรางของแกรไฟทจะเปนเกล็ดละเอียด และเล็กกวาปกติ โครงสรางชนิดนี้เมื่อเย็นตัวลงจะเปลี่ยนแปลงไดยากกวาเหล็กหลอทีห่ ลอมดวยเตา คิวโพลาธรรมดา ชนิดของเหล็กหลอ เหล็กหลอแบงออกไดมากมายหลายชนิด มีชื่อเรียกตาง ๆ กัน แตละชนิดจะมีโครงสรางหรือ สวนประกอบภายในไมเหมือนกัน สวนประกอบตาง ๆ เหลานี้จะสามารถเห็นไดจากกลองขยาย ไมโครสโคป โดยดูจากชิ้นสวนตัวอยาง ซึ่งจําเปนตองผานการขัดเงาและทําความสะอาด โดยแชลง ในกรดมาแลวเปนอยางดีเหล็กหลอที่จะกลาวถึงตอไปนี้ เปนเพียงเหล็กหลอ 2 –3 ชนิด ในหลายชนิด ซึ่งนํามาใชงานกันมาก 1. เหล็กหลอสีขาว (White Cast Iron) โครงสรางภายในของเหล็กชนิดนี้ ประกอบดวย โครงสรางแบบซีเมนไททและเพอรไรท (รูปที่ 1) 2. เหล็กหลอมอตเติล (Mottled Cast Iron) มีโครงสรางคลายเหล็กหลอสีขาว แตมกั มี แกรไฟทผสมอยูดวย (รูปที่ 2) 3. เหล็กหลอสีเทา (Grey Cast Iron) มีโครงสรางเปนแบบแกรไฟทกระจายอยูทวั่ ไป โครงสรางนี้อาจเปน
39
ก. เฟอรไรท + แกรไฟท ข. เฟอรไรท หรือ เพอรไรท + แกรไฟท ค. เพอรไรท + แกรไฟท (รูปที่ 3) 4. เหล็กหลอโนดูลาร (Nodular Cast Iron) เปนเหล็กหลออีกชนิดหนึง่ ที่ควรรูจัก เหล็กหลอ ชนิดนี้มีโครงสรางเปนรูกลม หรือทรงกลม(Spheroids) (รูปที่ 4 และ 15) ซึ่งไดจากการหลอมเหล็กหลอ แลวเติมสารเคมีบางชนิด เชน แมกนีเซียม หรือซีเรียมลงไป แตนยิ มใชแมกนีเซียมมากกวา เพราะ ราคาถูกและมีปฏิกิริยาดีกวา ถาเหล็กหลอที่มีโลหะพวกติเตเนียม ตะกั่ว ทองแดง และดีบุกผสมอยู จะทําใหแมกนีเซียมที่เติมลงไปมีปฏิกิริยานอยลงน้ําโลหะที่จะใชทําเหล็กหลอโนดูลาร หรือเรียกสั้น ๆ วาS.G.Iron โดยการเติมแมกนีเซียมนี้ควรมีผสมของฟอสฟอรัส (P) และซัลเฟอร (S) ต่ํา รวมทั้ง แมงกานีส (Mn) ก็ควรจะต่ําดวย เหล็กหลอชนิดนี้ควรนําไปผานความรอน โดยการอบในเตาอบเสียกอนหลังจากเทน้ําเหล็กลง ในแบบหลอแลว เพื่อจะไดเพิ่มความแข็งแรงขึ้นอีก นอกจากจะเพิม่ ความแข็งแรงแลว ความเหนียวก็ จะตองมีมากขึน้ รวมทั้งสามารถตานทานแรงกระแทกและแรงดึงใหดีขึ้นอีกดวย เหล็กหลอชนิดนี้ควร ไดรับการควบคุมดูแลอยางใกลชิด โดยเฉพาะเกีย่ วกับสวนผสมของน้าํ โลหะ เพื่อจะไดคณ ุ สมบัติที่ถูกตอง และแนนอน 5. เหล็กหลอมอลลิเอเบิล (Malleable Cast Iron) เหล็กหลอชนิดนี้จะมีโครงสรางภายใน แบบแกรไฟทเปนรูปกลม เรียกวา “เทมเปอร” (Temper Carbon) (รูปที่ 5) โดยการนําเอาเหล็กหลอที่ ผลิตไดแลว ซึ่งมีสวนผสมเปนเหล็กหลอชนิด เหล็กหลอสีขาว มาผานความรอนในเตาอบเสียกอนที่จะ นําไปใชงาน ความสําคัญของธาตุตาง ๆ ในเหล็กหลอ แกรไฟท (Graphite) เปนคารบอนที่ผสมอยูในเหล็กหลอ ซึ่งเปนตัวทําใหคุณสมบัติของเหล็กหลอแตกตางกัน ออกไป ทั้งนี้ตอ งแลวแตขนาดและรูปรางของแกรไฟททผี่ สมอยูในเนื้อเหล็กหลอนัน้ ๆ โดยทั่วไปแกรไฟทที่รวมอยูใ นเนื้อเหล็กจะมีรูปรางตางกันอยู 3 แบบ คือ 1. แกรไฟททอี่ ยูในเนื้อเหล็กเปนรูปเกล็ดบาง ๆ (รูป 3) 2. แกรไฟททอี่ ยูในเนื้อเหล็กเปนรูปกลม (รูป 4) 3. แกรไฟททอี่ ยูในเนื้อเหล็กเปนลักษณะของเทมเปอรคารบอน (รูป 5)แกรไฟทที่เปนเกล็ด โครงสรางในเหล็กหลอ เราแยกออกตามชนิดและขนาดของมันใหแตกตางกันออกไปได ในรูปที่ 6 (A-E) เปนการกระจายตัวของแกรไฟทหรือชนิดของมันในลักษณะตาง ๆ กัน ขนาดของ เกล็ดแกรไฟทจะแยกออกไดดังตัวอยางที่ 7-14
40
โครงสรางแบบ A ในรูปที่ 6 เปนโครงสรางที่เราตองการมากกวาแตความแข็งแรงก็ยงั ไม มากนัก แบบ B, C,และ D ก็เชนเดียวกัน เพราะการรวมตัวของมันไมสม่ําเสมอ สวนแบบ E แกรไฟท ที่ไดจะไดโดยการผสมคารบอนลงไปใหต่ํากวาปกติ แบบนี้จะไมเหมาะกับงานที่เราตองการความ แข็งแรงนัก เพราะตาขายที่เกิดขึน้ จะทําใหความแข็งแรงของเหล็กนอยลง แตก็ยังความแข็งแรง มากกวาชนิดอืน่ ๆ ที่กลาวมาแลว คารบอนและซิลิคอน (Carbon & Silicon) คารบอนเปนธาตุที่สําคัญที่สุดที่ทําใหเหล็กหลอมีโครงสราง และคุณสมบัตติ างกันออกไป สวนธาตุที่สําคัญรองลงมาคือ ซิลิคอน ธาตุทั้งสองนี้มีความสัมพันธใกลเคียงกันมาก จึงเกิดมีวิธีการ อันหนึ่ง ใชหาความสัมพันธของธาตุทั้งสอง โดยการคํานวณไดดังนี้ คือ เหล็กหลอซึ่งมีจํานวนคารบอนสมดุลย = จํานวนธาตุคารบอน 1/3 (ซิลิคอน + ฟอสฟอรัส) เนื่องจากความสัมพันธอันใกลชิดของทั้งสองธาตุนี้ จึงนิยมใชคําวา Carbon Equivalent (C.E.) แทน การพูดวา เหล็กหลอชนิดหนึ่ง มีสวนผสมคือ คารบอน = x% ซิลิคอน = y% โดยเรียกเสียใหมวา เหล็กหลอชนิดหนึ่งมี C,E, = Z% เพื่อเปนการทราบจํานวนคารบอนและซิลิคอนที่มีอยูรวมกันเลย จากสูตรขางบนนี้ แมงกานีส (Manganese) แมงกานีสรวมตัวกับซัลเฟอรในเหล็กหลอ ทําใหเกิดแมงกานีสซัลไฟด(เศษขี้เหล็ก หรือ Slag) จํานวนที่เหมาะสมสําหรับธาตุทั้งสองที่ควรจะมีในเหล็กหลอคือ แมงกานีสไมนอยกวา 1.7 เทาของ ซัลเฟอรที่ผสมในเหล็กหลอ + 0.35 ถามีแมงกานีสมากเกินพอในเหล็กหลอ จะทําใหเนื้อเหล็กแข็ง เหล็กหลอทั่ว ๆ ไปจะมีสวนผสมของแมงกานีสประมาณ 0.5-1.0% แตบางครั้งอาจสูงกวานีใ้ น กรณีที่ตองการคุณสมบัติเปนพิเศษบางอยาง แมงกานีสสวนมากไดจากเหล็กปกที่ใชผสมในการหลอม เหล็กหลอ แตสามารถใสเพิ่มเติมไดตามตองการโดยการใชพวกกอนเฟอรโรแมงกานีส หรือพวกแมงกานีส บดละเอียดปานกลางมาใสในเบารองรับน้ําเหล็ก ซัลเฟอร (Sulphur) ปฏิกิริยาของซัลเฟอรในเหล็กหลอ คลายกับแมงกานีส และจะไดซัลเฟอรจากพวกเศษเหล็ก และวัสดุทใี่ สไปในเตาหลอม เชน จากพวกถานโคกและอื่น ๆ สามารถทําใหซัลเฟอรลดลงไดจากการ ใหทําปฏิกิริยากับแมงกานีส เชน แมงกานีสซัลไฟด (slag) ปกติมักไมตองการใหซัลเฟอรมารวมอยูใน น้ําเหล็ก แตไมสามารถหลีกเลี่ยงไดเมื่อใชหลอมดวยเตาคิวโพลา เพราะจะไดซัลเฟอรจากถานโคกเสมอ ในเหล็กหลอจึงถูกควบคุมใหมีปริมาณซัลเฟอรผสมอยูนอยที่สุดเทาที่จะเปนไปไดปกติไมเกิน 0.1% ในกรณีที่ตองใชถานโคกทีม่ ีซัลเฟอรผสมอยูสูงจึงจําเปนที่จะตองผสมหินปูน หรือโซดาไฟลง ไปในเตา หรือจะผสมเฉพาะโซดาไฟลงไปในเบาก็ได เพือ่ ลดจํานวนซัลเฟอรลง
41
ฟอสฟอรัส (Phosphorous) ฟอสฟอรัสจะมีอยูในเหล็กหลอเปนลักษณะของเหล็กฟอสไฟด ฟอสฟอรัสชวยใหน้ําเหล็กวิ่งดี เวลาเทลงแบบเหมาะสําหรับใชกับงานที่มคี วามบางมาก ๆ และเปนเหล็กที่ไมแข็งแรงนัก เหล็กหลอที่มี ฟอสฟอรัสผสมอยูมากกวา 0.5%จะแข็งและเปราะ ไมเหมาะกับงานที่จะตองรับแรงกระแทก แตถา ตองการเหล็กที่มีความตานทานตอการสึกกรอน ฟอสฟอรัสจะชวยไดมาก การหลอมเหล็กที่มี ฟอสฟอรัสผสมอยูสูงมักจะไมไดเหล็กที่มคี วามแข็งแรงนัก วิธีการที่จะทําใหฟอสฟอรัสซึ่งผสมอยูในเหล็กหลอมากขึ้นหรือนอยลงนั้นยากมาก ในการ หลอหลอมดวยเตาคิวโพลา ธาตุตาง ๆ ที่หลอมดวยเตาคิวโพลา หรือเติมลงไปที่ปากเบารับน้ําเหล็กจะมีปริมาณเทาเดิม มากขึ้นหรือลดลงก็ได ทั้งนีข้ ึ้นอยูกับ 1. ความรอนทีใ่ ชเผาไหมภายในเตา 2. ขนาดและจํานวนของวัสดุที่เราใสไปในเตา 3. อุณหภูมิของเหล็กหลอภายในเตา ซึ่งอัตราการเพิ่มหรือลดไดแสดงไวดังตอไปนี้ ธาตุ 100 ซิลิคอน ฟอสฟอรัส แมงกานีส โครเมียม นิกเกิล โมลิบดีนั่ม
ปริมาณธาตุที่คงเหลือ เติมที่เตาคิวโพลา เติมที่เบารับน้าํ โลหะ 85-90 90 100 100 85 90 80-85 80-85 100 100 90-95 90-95
42 บทที่ 4 การควบคุมและทดสอบคุณภาพของเหล็กหลอกรรมวิธีอินนอคคิวเลทกับการทดลองดวยแทงลิ่ม และการนํามาใชกับเหล็กหลอทางชาง 1) ความหมายของเหล็กหลอทางชาง 2) บทบาทของสารอินนอคคิวแลนทในเหล็กหลอสีเทา 3) ทฤษฎีการแยกตัวของแกรฟไฟน 4) สรุปขอดีของกรรมวิธีอินนอคคิวเลท 5) สารอินนอคคิวแลนท 6) การควบคุมกรรมวิธีอินนอคคิวแลนท 7) การทดลองดวยแทงลิ่ม 8) ขนาดของแทงลิ่มทดลอง 1. ความหมายของเหล็กหลอทางชาง (ENGINEERING CAST IRON) เหล็กชนิดนี้จะเปนเหล็กมีเนื้อละเอียด E.C.I.เปนเหล็กหลอที่ผานกรรมวิธีอินนอคคิวเลท โครงสรางสม่ําเสมอไมวาจะเปนสวนหนาที่สุดกับสวนบางที่สุดของเหล็กหลอชิ้นนั้น แตถาเปน เหล็กหลอธรรมดาซึ่งไมไดผา นกรรมวิธีอินนอคคิวเลทนี้เราไมสามารถที่จะนําไปใชงานที่ตองการแรง ตานทานสูง ๆ ได คุณสมบัติทางกายภาพและทางกลของเหล็กหลอทั่วไป ขึ้นอยูกับอัตราการเย็นตัวของเหล็ก แตการควบคุมสวนผสมทาง คุณสมบัติเหลานี้สามารถควบคุมไดโดยการควบคุมสวนผสมทางเคมี เคมีจะทําไดยากเมื่อตองการหลองานที่มีสวนคุณสมบัตติ างกันมากชนิด เมื่อเปดเตาครั้งหนึ่ง ๆ เพราะจะตอง เปลี่ยนสวนผสมของวัตถุดิบอยูตลอดเวลาที่เราตองการเปลี่ยนคุณสมบัติของเหล็กหลอ โดยการเติมสารอิน นอคคิวแลนทลงไป ซึ่งสารนี้จะไปลดอิทธิพลของอัตราการเย็นตัวทีม่ ีตอความแตกตางของความหนาบาง ของชิ้นงานโดยไมกระทบกระเทือนตอสวนผสมทางเคมีที่มีอยูในเนื้อเหล็กเมื่อการเย็นตัวสม่ําเสมอทั่วไป เหล็กก็จะมีโครงสรางที่ดีสม่ําเสมอทั่วไปเชนเดียวกันจะมีผลทําใหชางหลอสามารถผลิตงานที่มีคุณภาพสูง และนอกจากนั้นยังสามารถผลิตงานที่มีคุณสมบัติตางกันไดอยางสะดวกอีกดวยเหล็กหลอทางชางแบงเปน 6 ชนิด ตามความตานทานแรงดึงที่มีอยูในเหล็กหลอ ดังนี้
43 ชนิดเหล็กหลอ C-50 C-50 C-45 C-40 C-35 C-30
ความตานทานแรงดึง(ปอนด/ตารางนิ้ว) 55,000 50,000 45,000 40,000 35,000 30,000
ความตานทานตอแรงดึงนี้หาไดจากการทดลอง โดยใชเครื่องดึงแทนเหล็กที่มีสวนตาม มาตรฐานของ A.S.T.M. (AMERICAN SOCIETY FOR TESTING MATERLALS) เสนผาศูนยกลางแทง เหล็กตามมาตรฐาน A.S.T.M. ที่ใชในการทดลองนี้ มีอยู 3 ขนาด A = 0.8" B = 1.2" C = 2" การทดลองสวนมากใชเหล็กขนาด B(1.2") เหล็กที่จะมาใชในการทดลองนั้น ตองเปนเหล็กชนิด เดียวกันกับเหล็กที่ใชงาน ซึ่งเราอาจจะใชน้ําเหล็กที่เหลือจากการเทแบบของงานแลวเทลงไปในแบบของ แทงเหล็ก หรือไมก็รวมแบบของแทงเหล็กเขากับงาน ซึ่งจะตองออกแบบเปนพิเศษ โดยมีความสัมพันธกับ ชิ้นงานเชน อาจจะตองมีความหนาเทากับสวนที่สําคัญที่สุดของงาน 2. บทบาทของสารอินนอคคิวแลนทในเหล็กหลอสีเทา เมื่อสารอินนอคคิวแลนทถูกเติมลงในน้ําเหล็กขณะที่น้ําเหล็กไหลออกจากเตาคิวโพลาสารนี้ก็จะเริม่ มีบทบาทเมื่อน้ําเหล็กคอยเย็นตัวลง โดยไปทําใหคารบอนแยกตัวออกจากเหล็กคารไบน แลวไปจับตัวกัน เปนเกล็ดแกรไฟทอยูทวั่ ไปในเนื้อเหล็กและยังทําใหเนือ้ เหล็กละเอียดขึ้นอีกดวย บทบาท เหลานี้หมายถึงสารอินนอคคิวแลนทนไี้ ดไปชวยปรับปรุงโครงสรางของเหล็กสีเทาใหดีขึ้น คุณสมบัติทางกายภาพของเหล็กหลอสีเทานี้ เราสามารถพิจารณาไดจากโครงสรางของเหล็ก ดังนั้น ถาโครงสรางของเหล็กถูกปรับปรุงใหดีขนึ้ คุณสมบัตทิ างกายภาพของเหล็กก็จะดีขึ้นเชนเดียวกัน สวนเหล็กหลอสีเทาที่ไมไดผานกรรมวิธีอินนอคคิวเลทนี้ เมื่อน้ําเหล็กแข็งตัวแลว เนื้อเหล็กตรง สวนที่บาง ๆ จะเปนสีขาวหรือไมบางแหงก็เปนสีขาวผสมกับสีเทาจัด ๆ เหล็กหลอชนิดนี้มี โครงสรางที่มีรูปคลายตนไมแตกกิ่งกานสาขาของเกล็ดแกรไฟทติดอยูก ับยูเท็คติคเซลลที่หยาบ ๆ ตามเนื้อ เหล็กสวนทีห่ นา ๆ
44 การที่เหล็กมีโครงสรางตางกันระหวางสวนหนากับสวนบาง หรือสวนนอกสุดกับในทีส่ ุดของเนื้อ เหล็กก็เพราะวาอัตราการเย็นตัวของแตละสวนไมเทากัน อิทธิพลของอัตราการเย็นตัวที่แตกตางกันนี้ เราไม สามารถจะหลีกเลี่ยงได แตก็สามารถทําใหนอยลงไดโดยใชกรรมวิธอี ินนอคคิวเลทเขาไปชวย เมื่อเติมสาร อินนอคคิวแลนทลงไปในน้าํ เหล็ก ก็จะทําใหเหล็กมีโครงสรางที่ดีสม่ําเสมอทั่วกันในเนื้อเหล็กไมวา จะเปนสวนในสุดนอกสุดของเหล็ก นอกจากจะชวยใหเหล็กมีโครงสรางที่ดีสม่ําเสมอทั่วกันไปแลว กรรมวิธีนี้ยังชวยเพิ่มความเหนียวใหกับเหล็กหลอสีเทาอีกดวย เปนที่ทราบกันโดยทัว่ ไปแลววา คุณสมบัติของการรับแรงกระแทกและปริมาณยูเท็คติคเซลลของ เหล็กหลอนี้มคี วามสัมพันธกัน เชน ถาปริมาณยูเท็คติคเซลลตอพื้นที่หนึ่งตารางหนวยมีมาก เหล็กหลอสี เทาก็จะมีคุณสมบัติของการรับแรงกระแทกสูงการทําใหปริมาณของยูเท็คติคเซลลมากขึ้นก็เปนหนาที่ใหญ อันหนึ่งของกรรมวิธีอินนอคคิวเลท โดยสารอินนอคคิวแลนทจะไปทําใหเนื้อเหล็กละเอียดขึน้ และมี โครงสรางที่มีเกล็ดแกรไฟทอยูทั่วไป นอกจากนี้ยังเพิ่มความตานทานตอแรงดึงใหกับเหล็กหลอสีเทาอีก ดวย กรรมวิธีอินนอคคิวเลทจะใหประโยชนอยางมากกับเหล็กหลอสีเทาที่มีปริมาณคารบอนสมดุลย 3.7% หรือต่ํากวา เหล็กหลอที่หลอจากเศษเหล็กเหนียวถึง 30% หรือมากกวา เหล็กหลอชนิดนีแ้ กรไฟทจะแยกตัว ออกมาชากวาเหล็กหลอที่หลอจากเหล็กปกแกรไฟทที่ออกมาชานี้จะจับอยูตามรอบ ๆ ผลึกของเหล็กซึ่งเรา เรียกแกรไฟทชนิดนีว้ า อันเดอรคูลแกรฟไฟท (UNDER COOL GRAPHITE) เหล็กอันเดอรคูลแกรไฟท คุณสมบัติทางรับแรงกระแทกจะลดนอยลงไป นอกจากนี้จะเกิดความแตกตางของเนื้อเหล็กทีห่ นาและสวน บาง ซึ่งจะทําใหการตกแตงลําบากขึ้น การเกิดอันเดอรคูลแกรไฟทนี้ เราสามารถปองกันไดโดยการเติมสารอินนอคคิวแลนทลงไปในน้าํ เหล็ก ขณะทีเ่ ราปลอยน้ําเหล็กลงในเบา การเติมสารนี้ควรเติมตรงที่รางหนาเตาคิวโพลา ใชปริมาณของสาร จํานวน 0.2% ถึง 0.5%ของน้ําหนักของเหล็กที่จะนําไปใช ปริมาณของสารที่จะใชมากหรือนอยนั้นขึ้นอยูกับ ชนิดของ E.C.I. อุณหภูมิของน้ําเหล็กและปริมาณของเศษเหล็กเหนียวที่ใสลงไปเชน ถาอุณหภูมิของน้ํา เหล็กเหนียวสูงหรือปริมาณเศษเหล็กเหนียวใสลงไปมาก สารที่ใสลงไปในเหล็กชนิดนี้กต็ องเพิ่มปริมาณมาก ขึ้น น้ําเหล็กที่ไดจากการหลอมจากเตาไฟฟาสวนมากอุณหภูมิจะสูงเกินกวา 1500 °C ดังนั้นเมื่อเหล็ก เย็นตัวและแข็งตัวที่เกิด “อันเดอรคูลแกรไฟท” ซึ่งเราสามารถแกไขการเกิดแกรไฟทชนิดนี้ไดโดยการเติม สารลงไป เหล็กที่ผานกรรมวิธีอินนอคคิวเลทแลวจะเปนเหล็กทีม่ ีแรงเคนภายในต่ําซึ่งจะไมคอ ย เกิดรอยแตกราว และยังมีการหดตัวนอยอีกดวย
45 3. ทฤษฎีแยกตัวของแกรไฟท ทฤษฎีของ “ไพโววาสกี” กลาววา บรรดานิวเคลียจะเปนจุดศูนยกลางของการเกิดผลึกและเปนเหตุ ใหเกิดการแยกตัวของแกรไฟท เมื่อสารอินนอคคิวแลนทถูกใสลงไปในน้ําเหล็กสารนี้ก็จะกระจายไปทัว่ บริเวณ เมื่อสารนี้ไปอยูทาง สวนไหนของน้ําเหล็ก ก็จะไปทําใหน้ําเหล็กบริเวณนัน้ มีเปอรเซ็นตของคารบอนสูงกวาที่อื่นเปนพิเศษ คือ เลย 4.3% ขึ้นไป สวนผสมของน้ําเหล็กทีม่ ีเปอรเซ็นตของ คารบอนกวา 4.3% นี้ เราเรียกวา “ไฮเปอรยูเท คติค” (HYPEREUTECTIC) พออุณหภูมคิ อยลดลงจนถึงอุณหภูมหิ นึ่งคารบอนจะถูกขับออกมาทันทีในรูปที่ ละเอียดมาก คารบอนเหลานี้จะกระจัดกระจายไปทัว่ บริเวณของน้าํ เหล็กและจะกระจายเปนศูนยกลางของ การเกิดผลึก และผลึกที่เกิดขึ้นเหลานี้กจ็ ะจับกันเปนเกล็ดคารบอนอยูท ั่วไปในเนื้อเหล็ก น้ําเหล็กทีใ่ สสารอินนอคคิวแลนทนี้ถาจะใหไดผลตามที่ตองการจะตองไมเก็บน้ําเหล็กที่ใสสารแลว ไวนานจนเกินไป จะทําใหสารนั้นไรประโยชนเพราะวาเมื่อใสสารลงไปแลวก็จะเกิดปฏิกิริยาตามที่กลาวมา ขางตน แตถาเก็บไวนานเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหลายก็จะกลับกลายเปนอยางเดิมเชนเดียวกันกับการใสสาร นอยเกินไปก็จะไมทําใหเกิดผลอันใดกับน้าํ เหล็ก น้ําเหล็กที่ถูกหลอมตัวดวยอุณหภูมิสูงมาก (ประมาณ 1,520°C) จะแข็งตัวโดยมีโครงสรางแบบที่มี “อันเดอรคูลแกรไฟท” เหตุผลที่เกิดโครงสรางแบบนี้กเ็ พราะวา เมื่อเหล็กถูกหลอมดวยอุณหภูมิสงู มาก ๆ และถูกหลอมอยูที่อุณหภูมนิ ั้นนาน ก็จะทําใหบรรดานิวเคลียซึ่งเปนจุดศูนยกลางของการเกิดผลึกหลอม ละลายหมด ดังนั้นสารจึงมีประโยชนมากสําหรับเหล็กจําพวกนี้ 4. สรุปขอดีของกรรมวิธีอินนอคคิวเลท 1. ปองกันการเกิด “อันเดอรคูลแกรไฟท” โดยทําใหเกิดเกล็ดแกรไฟททั่ว ๆ ไปในเนือ้ เหล็ก 2. สามารถผลิตเหล็กหลอคุณภาพสูงจากสวนผสม ซึ่งมีเหล็กเหนียวปนไดซึ่งทําใหประหยัดตนทุน การผลิตลงไปอีก เมื่อเทียบกับการใชเหล็กปก (PIG IRON) 3. สามารถผลิตเหล็กหลอทีม่ ีคุณสมบัติทางกายภาพตาง ๆ กันได โดยไมตองเปลี่ยนการใสวัตถุดบิ (สวนผสม) ตาง ๆ ที่ปอนเขาไปในเตาสําหรับการหลอมครั้งหนึ่ง ๆ 4. ลดการหดตัวภายใน ซึ่งเนื่องมาจากความแตกตางของโครงสรางโดยมีสาเหตุมาจากความหนา บางของชิ้นงาน 5. ลดแรงเคนภายในและไมหดตัวเมื่อผานการตบแตง 6. ชวยใหเหล็กมีโครงสรางที่ดีทุก ๆ สวนของชิ้นงาน ไมวาจะหนาหรือบาง 7. สามารถใชธาตุตาง ๆ ผสมลงในเหล็กไดอยางประหยัด ทั้งนีเ้ พื่อใหไดมาซึง่ คุณสมบัติตาม ตองการ
46 8. ปองกันไมใหเหล็กเปนสีขาวในสวนที่บาง ขอนี้เราตรวจไดจากแทงลิ่มที่ใชในการทดลอง จะเห็น วาเมื่อเติมสาร ๆ ลงในแลว สวนที่เปนเหล็กสีขาวจะลดลงไป 9. เหล็กหลอทีผ่ านกรรมวิธีจะตบแตงไดงายกวา 10. กําจัดผลเสียซึ่งมีสาเหตุมาจากสิ่งตาง ๆ ในขณะที่หลอมอยู ตัวอยางเชน เศษเหล็กตาง ๆ บางชิ้น มีสวนผสมของพวกโครเมียมอยู แตไมสามารถแยกออกไดจําเปนที่ตอ งใสไปในเตา เหล็กที่ไดออกมาจะมี เนื้อแข็ง สารนีก้ ็จะไปทําใหเหล็กมีเนื้อดีขนึ้ 11. สามารถใหคุณสมบัติทางกลไดตา ง ๆ กัน โดยไมตองเปลี่ยนสวนผสมทางเคมี 12. ชวยใหงานออกแบบเครื่องจักรตาง ๆ บรรลุถึงเปาหมาย คือไดคุณสมบัติตามที่ผูออกแบบตองการ 13. เพิ่มความตานทานทางการสึกหรอ 14. สามารถผสมโครเมียมไดถึง 2% โดยที่เหล็กหลอชนิดนี้ยังสามารถที่จะตบแตงไดโดย วิธีธรรมดา 5. สารอินนอคคิวแลนท สารอินนอคคิวแลนททใี่ ชทวั่ ๆ ไป สวนมากประกอบดวยซิลิคอน และ ประสิทธิภาพของสารจะ ขึ้นอยูกับความสามารถละลายตัวไดของซิลิคอน วิธีจะใชสารใหไดผลมากทีส่ ุดนั้น จะตองเติมสารนี้ตรงรางหนาเตาคิวโพลาขณะที่ปลอยน้ําเหล็ก ออกมาสารที่จะใชเติมนั้นจะตองถูกบดใหไดขนาดมาตรฐาน คือ ไมใหญกวาตะแกรงเบอร 10 และไมเล็ก กวาตะแกรงเบอร 60 การที่เลือกใชสารชนิดนั้นใดนั้นควรคิดใหรอบคอบถึงขอดีขอเสียตาง ๆ เสียกอนอยาง เชน ปริมาณมากนอยที่จะตองใชสารคราวหนึ่ง ๆ ราคาถูกแพงเมื่อเปรียบเทียบกับสารชนิดอื่น ความสามารถ ละลายตัวไดประสิทธิภาพและอิทธิพลของสารที่จะมีตอน้ําเหล็ก สารอินนอคคิวแลนทชนิดแรกที่จะนํามากลาวคือ เฟอรโรซิลิคอน สารชนิดนี้เหมาะสําหรับใชกบั งานที่บาง ๆ การใชสารนี้ยงั ไปทําใหเกิดขี้ตะกรันขึ้นอีกดวย ขอเสียที่นับวาใหญทสี่ ุดของเฟอรโรซิลิคอนก็ คือ จะตองใชสารนี้กับอลูมิเนียม 1.5% ซึ่งอลูมิเนียมจะเปนสาเหตุใหเกิดรูพรุนที่ผิวงาน สารอินนอคคิวแลนทที่ดี ควรจะมีความสามารถที่จะแยกคารไบดอยางพอเพียง เพื่อที่จะไปแยกซี เมนไททออกโดยไมเปลีย่ น “เพียไร” เปน “เฟอรไร” ซึ่งจะลดความแข็งแรงของเหล็กลงไป ซิลิคอนและ อลูมิเนียมมีอํานาจมากในการทําใหเกิดการแยกตัวของแกรไฟท แตทั้งสองอยางจะเปลี่ยน “เพียไร” เปน โครงสรางแบบคงตัวของ “เฟอรไร”
47 ประสิทธิภาพของกรรมวิธีนอคคิวแลนทจะหมดไป ถานําเหล็กที่ใสสาร แลวถูกเก็บไวนานเกินไป ประสิทธิภาพจะลดลงเร็วมากที่อุณหภูมิสูงและจะลดลงอยางชา ๆ ขณะที่อณ ุ หภูมิลดลง ถาใชเฟอรโร ซิลิคอน ประสิทธิภาพของสาร ฯ จะหมดเร็วกวาใชสารอยางอื่น ๆ ซึ่งมีคุณภาพสูงกวา แคลเซียม-ซิลิไซด สารนี้เหมาะกับเหล็กหลอที่มีสวนผสมของเหล็กเหนียวเปนเปอรเซ็นตสูง แตไม คอยมีประสิทธิภาพกับงานบาง ๆ ขอเสียของแคลเซียม-ซิลิไซด ก็คือ ทําใหขี้ตะกรันเหนียวมาก ทําใหลําบาก ตอการเขี่ยออก ซึ่งจะทําใหขี้ตะกรันเขาไปผสมเปนเนื้อเหล็กในงาน มีสารอินนอคคิวแลนทหลายชนิดมีจําหนายในตลาด ตัวอยาง เชน คาลอยส ของบริษทั เม็คฮานิค อิน โนคิวลิน ของโฟเซโก แตละชนิดเหลานี้มที ้งั ขอดีและขอเสียบางในการปฏิบัติ 6. การควบคุมกรรมวิธีอินนอคคิวแลนท มีสิ่งที่เกี่ยวของกับปริมาณของสารอินนอคคิวแลนท ที่เราจะตองใชในคราวหนึ่ง ๆ ดังนี้ คือ 1. ชนิดของสารอินนอคคิวแลนท 2. จํานวนคารบอนสมดุลยของเหล็ก 3. ความหนาของชิ้นงาน 4. ปริมาณมากนอยของอินเดอรแกรไฟท มีคนเขาใจกันวากรรมวิธีอินนอคคิวแลนทสวนมากใชเฟอรโรซิลิคอนแตที่จริงมีอีกหลายชนิดทีใ่ ช กันอยูมาก เชน แคลเซียม-ซิลิไซด ซึ่งมีประสิทธิภาพเปนสี่เทาของเฟอรโรซิลิคอนและสารของบริษัทตางๆ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีก กรรมวิธีอินนอคคิวแลนทจะมีปฎิกริยาไวตอเหล็กที่มีจํานวนคารบอนสมดุลยต่ํา ตัวอยางเชน เราใช สารอินนอคคิวแลนทที่มีคณ ุ ภาพต่ําทําใหเหล็กหลอขาวเปนเหล็กหลอสีเทาได โดยไมตองผานการอบ ดวยความรอน และในทางตรงกันขาม เราก็สามารถจะทําใหเหล็กซึ่งมี C.E.I สูง แข็งขึ้นไดโดยใชสารอิน นอคคิวแลนทชนิดทําใหแข็งขึ้น บางครั้งเราใชสารทั้งสองชนิด คืออยางชนิดทําใหออนและแข็งปนกัน เพื่อใหเกิดผลทั้งสองชนิด มีความแข็งแตก็ยังสามารถตบแตงไดงาย เปนที่ทราบกันแลววา ซิลิคอนและ อลูมิเนียมเปนตัวทําใหเกิดการแยกตัวของแกรไฟท แตธาตุทั้งสองนี้จะไปทําให “เพียไร” เปลี่ยนเปน “เฟอร ไร” ที่คงตัว โบรอนและโครเมียมจะไปทําใหซีเมนไททคงตัว สวนนิกเกิล และแมงกานีสจะทําใหออสเต ไนต (AUSTENITE) คงตัวจริงอยูก ารเปลี่ยนสวนผสมทางเคมี ก็อาจจะมีผลในการเปลี่ยนแปลงหรือ ปรับปรุงโครงสรางและคุณสมบัติทางกลใหดีขึ้นได แตก็ไมสะดวกเหมือนกับเราใชกรรมวิธีอินนอคคิว แลนทปรับปรุงแทน ตัวอยางตอไปนี้จะแสดงถึงความแตกตางระหวางเหล็กทีผ่ านกรรมวิธีอินนอคคิวแลนทและ เหล็กหลอธรรมดาตัวเลขตอไปนี้แสดงถึงสวนผสมตาง ๆ ของเหล็กกอนผานกรรมวิธีอินนอคคิวแลนท
48 คารบอนรวม ซิลิคอน
3.2% 1.75% (หลังอินนอคคิวแลนท 1.95% อัตราการเติมสาร 0.22% ของน้ําหนักน้าํ เหล็ก) แมงกานีส 0.83% ซัลเฟอร 0.05% ฟอสฟอรัส 0.16% กอนผานกรรมวิธีอินนอคคิวแลนท แทงลิ่มทดลองวัดได 18/32 นิว้ (14 ม.ม.) หลังกรรมวิธีลิ่ม ทดลองวัดได 6/32 นิ้ว (4.7 ม.ม) อัตราการเติมสาร 80 ออนซ ตอหนึ่งตันของน้ําเหล็กหรือประมาณ 0.22 % ของน้ําเหล็กผลการทดสอบคุณสมบัติทางกล ความตานทานตอแรงดึง ความแข็ง (บริเนล) ตัน/ตารางนิ้ว กิโลกรัม/ตาราง ม.ม กอนเติมสารอิน ฯ 17.0 26.8 255 หลังการเติมสารอินฯ 22.6 35.5 235 5.6 8.7 20 50% ลดชิล (CHILL) ลงไป สารอินนอคคิวเลทสามารถใชสวนกับโครเมียมไดถึง 2% เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของเหล็กใหดีเมื่อ ตองถูกใชในทีม่ ีอุณหภูมิสูง ทั้งนี้การใสโครเมียม 2% นี้มิไดทําใหเหล็กแข็งมากจนตบแตงไมได เหล็กยังคง เปนเหล็กหลอสีเทา นอกจากนั้น ยังมีการทดลองอีกชนิดหนึ่งคือ สารอินนอคคิวแลนททมี่ ี 94%และ75% ของซิลิคอน ผสมกับ 7% ของแมงกานีสและเซอรโครเมียมตามลําดับสารผสมทั้งสองชนิดนีถ้ ูกนํามาใชกับเหล็กซึ่งมี สวนผสมดังนี้ คารบอน 3.05% ซิลิคอน 2.01% แมงกานีส 0.88% ซัลเฟอร 0.114% ฟอสฟอรัส 0.172% จํานวนคารบอนสมดุลย 3.75% การทดลองไดแสดงวาใหผลดีสําหรับเหล็กที่มีคารบอนสมดุลระหวาง 3.35% ถึง 3.75%ดังนัน้ เหล็กหลอที่จะมาผานกรรมวิธีอินนอคคิวแลนท ควรจะมีคารบอนสมดุลประมาณ 3.7% และถาเราตองการ ไดผลดีที่สุดจากกรรมวิธีอินนอคคิวแลนท ตองไมใหจํานวนคารบอนสมดุลยของเหล็ก
49 หลังจากเติมสารอินนอคคิวเลทแลวเกิน 3.8% จํานวนสารอินนอคคิวเลท จะใชนอยลงเมื่อจํานวน คารบอนสมดุลของเหล็กสูง เปนที่ทราบกันแลววา อันเดอรคูลแกรไฟทจะเกิดขึ้นหลังจากเหล็กแข็งตัวแลว ซึ่งถาเปนการเกิดแกร ไฟทธรรมดาก็จะเกิดการแยกตัวเมื่อตอนน้ําเหล็กยังเหลวอยู ประโยชนของสาร ฯ ขอหนึ่งก็คือชวยใหการ เกิดแกรไฟททจี่ ุดยูเท็คติค (UTECTIC POINT) ซึ่งเหล็กธรรมดาจะเกิดแกรไฟทต่ํากวาจุดยูเท็คติค อันนี้ เลยทําใหสามารถกลาวไดวา กรรมวิธีอินนอคคิวแลนทเปลี่ยนวิธีการแข็งตัวของเหล็กปองกันการเกิด อันเดอรคูลแกรไฟท ถาสารอินนอคคิวเลทคุณภาพต่ํา ความสามารถเหลานี้กจ็ ะต่ําไปดวย การเติมสาร ปริมาณมากนอยแคไหนจะเกี่ยวกับปริมาณของอันเดอรคูลแกรไฟทของเหล็กนั้น ๆ สิ่งที่จะมาทําใหเกิดอันเดอรคูลแกรไฟทมดี ังนี้ 1) เกิดมาจากสวนผสมทางเคมีของวัตถุดิบที่เราใสลงไป ซึ่งจะใหปริมาณคอมไบนดคารบอนสูง 2) เกิดจากการเย็นตัวอยางเร็วเนื่องจาก ก. ชิ้นงานบางมาก ข. อุณหภูมขิ องน้ําเหล็กทีเ่ ทต่ํามาก 3) ลดจํานวนคารบอนรวม หรือเพิ่มสวนผสมของเหล็กเหนียว 4) เพิ่มอุณหภูมิของการหลอมสูงกวา 1,560°C การเกิดและการกําจัดอันเดอรคูลแกรไฟทขึ้นอยูกับสิ่งตาง ๆ ทั้ง 5 ขอที่กลาวมา ถาสิ่งตาง ๆ นั้นมี มากขึ้น ปริมาณที่จะใชสารก็มากขึ้นไปดวย ดังตัวอยางตอไปนี้ จํานวนคารบอนสมดุลในเหล็ก ปริมาณสาร (% ของเหล็ก) 3.20 - 3.25 0.20 3.00 - 3.20 0.30 2.50 - 2.75 0.40 2.75 - 3.00 0.50 ถาเหล็กมีจํานวนคารบอนสมดุลในเหล็ก รวม 3.25% ถูกเทลงในงานที่มีความหนา1/8" หรือถูก หลอมดวยอุณหภูมิสูงกวา 1,600°C ก็จําเปนที่จะตองใชสารอินนอคคิวเลทจํานวนมากกวาตารางขางบน เพราะไปเขาเกณฑการเกิดอันเดอรคูลตามขอ 2 (ก) และขอ 4 7. การทดลองดวยแทงลิ่ม การทดลองดวยแทงลิ่มนี้จะขาดเสียมิไดในการควบคุมคุณภาพของเหล็กหลอและการเกิดของแกร ไฟทในเนื้อเหล็กจากกรรมวิธีอินนอคคิวแลนท เพือ่ ที่จะใหไดคณ ุ สมบัติตาง ๆ ตามที่ตองการ ความ แตกตางที่เกิดกับแทงลิ่มกอนและหลังผานกรรมวิธีนั้นจะแสดงถึงประสิทธิภาพของกรรมวิธีนี้
50 แทงลิ่มทดลองซึ่งไดจากน้ําเหล็กกอนกรรมวิธีอินนอคคิวแลนท เราเรียกวาบีฟอรเวจด (Before Wedge) ซึ่งจะแสดงใหเห็นผลจากสวนผสมทางเคมีและความมากนอยของอันเดอรคูล (ดูภาพประกอบ) แทงลิ่มทดลองซึ่งไดจากน้ําเหล็กหลังกรรมวิธีอินนอคคิวแลนท เราเรียกวาอัฟเตอรเวจด (After Wedge) ซึ่งจะแสดงใหเห็นผลจากสวนผสมทางเคมีและความมากนอยของการเกิดแกรไฟท การที่เราจะพิจารณาแทงลิ่มทดลองที่ไดถูกตีหักแลวนัน้ เราพิจารณาหรือวัดคาของมันไดจาก เสนรอยตอของบริเวณสีเทาและสีขาว ตามปกติการวัดคา เราวัดเปนอัตราสวนของนิ้วโดยถือวา 1/32 เปน หนึ่งหนวย ดังนั้นถาเราวัดได 12/32 นิ้วเราก็เรียกคาของแทงลิ่มทดลองนี้เพียง 12 เฉย ๆ เหล็กหลอที่มคี าของ “บีฟอรเวจด” สูง นั้นหมายความวาอัตราการเกิดอันเดอรคูลจะสูงดวย และ เปนผลใหเกิดยูเท็คติคเซลลชนิดใหญอีกดวย แตเมื่อเหล็กชนิดนี้ถูกเติมสารแคลเซียม – ซีลิไซดลงไป เพื่อใหเกิดการแยกตัวของแกรไฟทเพื่อเปนศูนยกลางการเกิดเกล็ดแกรไฟท ซิล (CHILL) สวนที่เปนเนื้อ เหล็กสีขาวของสวนที่เกิดจากอันเดอรคูลจะถูกกําจัดไป คงเหลือไวแตซิล ซึ่งมีผลมาจากสวนผสมทางเคมี ซึ่ง ทําใหเราวัดคาของ “อัฟเตอรเวจด” หรือ “คาไบด” ได และผลที่ตามมายูเท็คติคเซลลจะเล็กลง 8. ขนาดของแทงลิ่มทดลอง รูปหนาตัดของลิ่มจะเปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว มีมุมที่ปลายแหลม 28°C มีความยาวที่ฐานตามขนาด ดังตอไปนี้ ¼", ½", ¾",1", 1 ½" และ 2" ตามลําดับ ในการเลือกใชแทงลิ่มใหเหมาะกับงานเพือ่ ที่จะใหไดคาของซิลที่ถูกตองนั้นเราดูไดจากคาของซิลที่ แทงลิ่ม ถาคาของซิลนั้นเกินครึ่งหนึ่งของความยาวของฐานของลิ่มแลว เราควรทําซิลขนาดใหญกวามาใช แทนในงานนัน้ ๆ เพราะวาถาคาของซิลนั้นมากกวาครึ่งหนึ่งของความยาวของฐานแลว ความละเอียดของคา ของซิลจะลดนอยลงไป
51 บทที่ 5 กระสวนและไสแบบ 5.1 กระสวนงานหลอ (Patterns) ความหมายของกระสวน (Patterns) คือ ตนแบบ,แมแบบ หรือหุน จําลองที่จะทําใหเกิดเปนโพรง หรือชองวางภายในแบบหลอ (Molds) เพื่อใหไดขนาด และรูปรางที่ตองการจะทําการหลอออกมานั่นเอง
รูป 5.1 การ Layout Pattern 5.2 คุณสมบัตขิ องกระสวน 1. ผิวเรียบ 2. ขนาดเที่ยงตรง 3. มีความตานทานตอการเสียดสี 4. มีความแข็งแรงสูง 5. มีความตานทานตอสารเคมี 6. มีความคงทนในอุณหภูมสิ ูง ๆ 7. ทรายตองไมติดกระสวนไดงาย
52
รูปที่ 5.2 การสราง patterns ขนาดใหญ 5.3 วัสดุที่นํามาใชทํากระสวน ในขั้นตนในการทํางานหลอนั้น จะตองมีการเตรียมแบบหรือที่เรียกวา กระสวน (Patterns) เสียกอน ซึ่งกระสวนจะมีขนาดที่แตกตางกันไป ทัง้ นี้ก็ขึ้นอยูก ับเหตุผลในการหลอและจําเปนตองทําการเผื่อขนาดไว จากแบบที่เขียน (Drawing) ดวยก็เพื่อกันการหดตัวของโลหะ (Shrinkage) การตกแตงผิว (Machine Finish Allowance) การเผื่อความลาดเอียง (Draft Allowance) การเผื่อการบิดตัว (Distortion Allowance) และการเผื่อคลอนแบบ เปนตน
53
รูป 5.3 ภาพตัดจากงานจริงเพื่อสรางกระสวน
รูปที่ 5.4 วัสดุที่นยิ มนําใชทํา Pattern มีดังตอไปนี้ คือ 1.ไม (Wond) 2.โลหะ(Metals)
54 3. ปูนพลาสเตอร(Plaster) 4. พลาสติก (Plastic) 5. ปรอท(Hg) 6. ขี้ผึ้ง(Wax) 7. โฟม(Polystyrene) 8. อื่น ๆ (Others)
รูปที่ 5.5 การฝง Pattern ลงในแบบหลอ
5.3.1 กระสวนไม (Wood Pattern) นิยมใชกันมาก เพราะหาไดงายราคาถูกในปจจุบันเรานิยมใชไมสัก (Teak) เพราะมีความคงทนสูง ตบแตงดวยเครื่องมือ, เครื่องจักรไดงาย, ดูดความชื้นนอย รวมทั้งเกิดการบิดตัวไดนอยมาก แตถาหา ไมสัก (Teak)ไดยาก ก็จะนิยมใชไมสน (Pine)แทนก็ได
55
รูปที่ 5.6 กระสวนไม (Wood Pattern) ขอดีของกระสวนไม 1. ราคาถูก 2. น้ําหนักเบา 3. งายในการ Machine 4. ทําใหผิวเรียบไดโดยงาย 5. ใชกับขนาดของงานใหญ ๆ ไดดี 6. งายตอการซอมแซม 7. งายตอการปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลง ขอเสียของกระสวนไม 1. ไมทนทานตอความชื้น 2. ไมทนทานตอการเสียดสี 3. เปลี่ยนแปลงขนาดไดงาย (เมื่อโดนความชื้น) 4. ความแข็งแรงนอยกวากระสวนโลหะ 5. ถาเคลื่อนยาย หรือเปลี่ยนที่จะเกิดการชํารุดไดงาย 6. ไมทนทานตอแรงกระทุง หรือกระแทกจากการดําทรายหลอ 5.3.2 กระสวนโลหะ(Metal Pattern) ที่นิยมใชกันอยางแพรหลาย สวนมากจะไดแก 1. อลูมิเนียม หรืออลูมิเนียมผสม (Al or Al Alloy) 2. เหล็กหลอ(Cast Iron) 3. เหล็กกลา (Steel)
56 4.โลหะผสมดีบุก (Sn Alloy) 5.ทองเหลือง (Brass)
รูปที่ 5.7 กระสวนโลหะ ( Metal Pattern) ขอดีของกระสวนโลหะ 1. แข็งแรง มีความเที่ยงตรงกวากระสวนไม (Wood Pattern) 2. อายุใชงานนานกวากระสวนไม (Wood Pattern) 3. ไมดูดซึมน้ํา 4. สามารถทนการเสียดสีไดดี 5. การเผื่อขนาดตางๆ (Allowance) ไดเที่ยงตรงดีเยีย่ ม 6. ผิวกระสวยสามารถตกแตงใหเรียบไดดยี ิ่งขึ้น ขอเสียของกระสวนโลหะ 1. ราคาคอนขางแพง 2. เกิดการเปนสนิมไดงาย (กระสวนเหล็กหลอ และเหล็กกลา) 3. ถาเปนกระสวนอลูมิเนียม (AI) จะซอมแซมยาก 4. มีน้ําหนักมากกวากระสวนไม (Wood Pattern) 5. ทําการ Machine ไดยากกวากระสวนไม (Wood Pattern) 5.3.3 กระสวนปูนพลาสเตอร (Plaster Pattern) เปนกระสวนที่ทําจากปูนพลาสเตอร (Plaster) หรือยิบซั่มมีความแข็งแรงทนตอแรงกดหรือแรงอัด ไดดีตบแตงผิวไดงายและเรียบดียิ่ง นิยมนํามาใชกับงานที่เราตองการความละเอียดของผิวสูงไดดี
57
รูปภาพ 5.8 กระสวนปูนพลาสเตอร 5.3.4 กระสวนพลาสติก (Plastic Pattern) สวนใหญทํามาจาก Termosetting Plastic นิยมใชแทนกระสวนโลหะ (Metal Pattern) เนื่องจาก ไดขนาดทีแ่ นนอนมาก ขบวนการทําก็ทําไดงาย ไมดดู ความชื้นรวมทั้งตนทุนต่ําอักดวย ชนิด Termosetting Plastic ที่ใชนนั่ ก็คือ Epoxy นั่นเอง
รูปที่ 5.9 ชิ้นงานที่ไดจาก ( Investment Casting)
58 5.3.5 กระสวนขี้ผงึ้ (Loss Wax Pattern) นิยมใชในกระบวนการ Investment Casting ซึ่งไดชิ้นงานที่มีความประณีตสูง สวนมากใชหลอ พระพุทธรูปตางๆ เปนตน ขี้ผึ้ง (Wax) ที่ใชสวนมากจะเปนขี้ผึ้งสารประกอบ และพวกยางสังเคราะหตางๆ ทําโดยการฉีดขี้ผึ้ง เขาสูโพลงแบบของแมพิมพ (Die) ที่เตรียมไวแลวปลอยทิ้งไวใหเกิดการแข็งตัว แลวจึงทําการแยกออกจาก พิมพ (Die) ออกมา 5.3.6 กระสวนปรอท (Hg Pattern) เราสามารถนําเอาปรอท (Hg) มาทําเปนกระสวน (Pattern) ได โดยเทปรอท(Hg) ลงในแมพิมพ กระสวน (Molds) ที่มีอุณหภูมิ - 70°F หรือต่ํากวาก็ได แลวปลอยทิ้งไวในตัวกลางที่เปนอาซีโตนจนปรอท นั้นเกิดการแข็งตัว แลวจึงทําการแยกปรอทที่แข็งตัวแลว 5.3.7 กระสวนโฟม (Polystyrene Pattern) หรือนิยมเรียกกันอีกอยางหนึ่งวา Full Mould Process เหมาะสําหรับหลอชิ้นงานเปนรายชิน้ ๆ เดียวเทานัน้ โดยกอนใชงานตองทาหรือฉาบผิวกระสวนใหทั่วกอน แลวจึงนําไปทําแบบหลอโดยโฟม (Polystyrene) จะถูกอัดตัวอยูในโพรงแบบ เมื่อทําการเทน้ําโลหะลงไปกระสวนจะละลายกลายเปนแกสหนี ออกไป น้ําโลหะจะเขาแทนที่กระสวน เมื่อแข็งตัวก็จะไดชิ้นงานหลอออกมาตามตองการ 5.4 ชนิดของกระสวน กอนอื่นตองคํานึงถึงสิ่งดังตอไปนี้ในการพิจารณาเลือกกระสวนคือ 1. ความซับซอนของชิ้นงาน 2. จํานวนชิ้นงาน 3. ขบวนการทําแบบ 4. แนวโนมทีจ่ ะเปลี่ยนงาน 5.4.1 กระสวนชิ้นเดียว (One-Piece Pattern) มีหลายชื่อ Loose Pattern หรือ Solid Pattern ก็ได ทําไดงาย ราคาถูก ใชผลิตงานจํานวนไมมากนัก มีรูปรางงาย ๆ ไมยุงยากซับซอนนัก สวนใหญจะมีดา นเรียบหนึ่งดาน เรียกวา Parting Surface นิยมใช มือในการทําแบบๆ ทั่วๆ ไป
59
รูป 5.10 กระสวนชิ้นเดียว
60
รูปที่ 5.11 รายละเอียดของ One Piece Pattern 5.4.2 กระสวนสองชิ้น (Two-Piece Pattern) เรียกอีกชื่อหนึง่ วา Split Pattern สวนมากจะนิยมแบงกระสวนออกเปน 2 ซีกเทาๆ กันหรือ อาจจะไมเทากันในบางครั้งก็เปนไดทั้ง 2 ชิ้น จะมี Parting Surface หรือ ระยะ Parting Line โดยจะมี สลักของซีกบน เพื่อสวมกับรูหรือรองของสวนซีกลางเขาดวยกันในขณะทําแบบ เพื่อสวนของซีกบนจะ ติดอยูกับหีบหลอบน (Cope) และสวนของซีกลางจะติดอยูกับหีบหลอลาง (Drag)
61
รูป 5.12 กระสวน 2 ชิ้น 5.4.3 กระสวนหลายชิ้น (Multipiece Pattern) จะมีอยู 3 ชิ้น หรือมากกวาก็ได รูปรางจะมีความยุงยากมากกวากระสวนแบบชนิดที่ไดกลาว มาแลว และจะมีสลัก และรูไวสวมกันในการทําแบบ ซึ่งจะตองใชหีบชิ้นกลาง (Cheek) เขามาชวยดวย ดังรูปที่ 5.13
62
รูป 5.13 กระสวนหลายชิน้
5.4.4 กระสวนติดแผน (Match-Plate Pattern) เปนกระสวนแบบ 2 ชิ้น แลวนํามาติดกับ Follow Board สวนมากจะเปนพวกโลหะมากกวาไม เพราะคงทน แนนอนกวากันมาก (Molding Machines) ผลิตงานเปนจํานวนมาก ๆ ไดดี
หรือโลหะทั้ง 2 ดาน ที่นิยมใช สวนมากใชทําแบบดวยเครื่อง
63
รูป 5.14 กระสวนติดแผน (Match-PlatePattern)
รูป 5.15 กระสวน แบบ Loose-Pieces
64 5.4.5 Cope and Drag Pattern เปนกระสวนติดแผนโดยมีสวนของซีกลางและซีกบนติดอยูกับ Follow Board ที่เปนไมหรือโลหะ คนละแผน นิยมใชเครื่องทําแบบหลอ (Molding Machines)ในการทําแบบ ผลิตงานขนาดใหญ ๆ จํานวน มาก ๆ ไดดี
รูป 5.16 Cope and Drag Pattern 5.4.6 กระสวนโครง (Skeleton Pattern) มีโครงทําดวยไม (Wood) ใหรูปรางเหมือนงานที่ตองการเวลาทําแบบใสทรายตรงชองวางของโครง แลวกระทุงทรายใหไดที่ แลวใชแผนไมทมี่ ีรูปรางเหมือนชิ้นงาน ปาดผิวแบบใหเรียบจึงใชได นิยมใชกับงาน ขนาดใหญมาก ๆ ตนทุนต่ํา ๆ
รูป 5.17 กระสวนชิ้นเดียวเปรียบเทียบกับแบบอื่น ๆ
65
รูป 5.18 กระสวนแบบตาง ๆ
66
รูป 5.19 กระสวนที่ตองใช Follow Board 5.4.7 กระสวนกวาด (Sweep Pattern) ไมแผนไมซีกเดียวตัดใหเปนรูปรางเชนงานจริง , การทําแบบหลอจะใชวิธีกวาด (Sweep) หมุนรอบแกนกลาง เพื่อกวาดทรายใหเปนโพรงแบบตามตองการ นิยมผลิตงานรูปรางงาย ๆ และทั้ง 2 ดานตองเทากันหรือคลอยตามซึ่งกันและกัน ดูรูป 5.18(f) 5.4.8 Gated Pattern ใชผลิตงานที่มีขนาดเล็ก ๆ เทานั้น และจํานวนผลิตก็ไมมากนัก จะมีระบบปอนจาย (Gatting System) ติดอยูมากับ Pattern เสร็จในตัว นิยมทําดวยไม (Wood) หรือโลหะ (Metals) ก็ได ดูรูป 5.20
รูป 5.20 Gated Pattern
67
รูป 5.21 การทําแบบหลอของ Gated Pattern 5.4.9 กระสวนติดแผนรองรับ (Pattern For Follow Board) จะมี Follow Board ที่มีรูปรางเหมือนกับผิวดานในของชิน้ งาน ติดกับสวนของหีบหลอบน (Cope) ขณะทําแบบตองวาง Pattern ลงบน Follow Board ใหทําหีบหลอลาง(Drag)กอน เมื่อพลิกหีบหงายขึ้นแลว ยก Follow Board แลว จึงทําในสวนของหีบหลอบน (Cope) ตอไป ดังรูป 5.19 (j) 5.5 การเผื่อของกระสวน (Pattern Allowance) 5.5.1 การเผื่อหดตัว (Shrinkage) การหดตัวจะมีอยู 3 ขั้นตอน คือ 1. หดตัวขณะเหลว 2. หดตัวขณะกําลังเริ่มแข็งตัว 3. หดตัวเมื่องานเย็นตัวสนิทแลว สวนเผื่อหดตัว (Shrinkage) นั้นคือจํานวนที่ตองทํา Pattern ใหมีขนาดโตกวาชิ้นงานนัน่ เอง ดังตารางที่ 5.1
68 ตารางที่ 5.1
Pattern Shrinkage Allowances PATTERN SHRINKAGE ALLOWANCES*
Before specifying consult the pattern maker and foundryman Pattern Type of Section Contraction Dimension, Construction Thickness, in.per ft Casting Alloys in. in. Gray cast iron Up to 24 Open 1/8 Form 25 to 48 Open 1/10 Over 48 Open 1/12 Up to24 Cored 1/8 From25 to 36 Cored 1/10 Over36 Cored 1/12 Cast steel Up to24 Open 1/4 From25 to 72 Open 3/16 Over72 Open 5/32 Up to18 Cored 1/4 From19 to48 Cored 3/16 From49 to66 Cored 5/32 Over66 Cored 1/8 Malleable cast iron 1/16 11/64 1/8 5/32 3/16 19/128 1/4 9/64 3/8 1/8 1/2 7/64 5/8 3/32 3/4 5/64 7/8 3/64
69
Casting Alloys Aluminum
Magnesium
Brass Bronze
Pattern Dimension in.
Type of Section Construction Thickness in. 1 Up to 48 Open 49to 72 Open Over72 Open Up to 24 Cored From25 to 48 Cored Over 48 Cored Up to48 Open Over48 Open Up to24 Cored Over24 Cored
Contraction in. per ft 1/32 5/32 9/64 1/8 5/32 9/64 to 1/8 1/8 to1/16 11/16 5/32 5/32 5/32 to 1/8 3/16 1/8 to 1/4
5.5.2 การเผื่อตบแตง (Machine Finish Allowance) เปนจํานวนเนือ้ ของงานที่เผื่อไวทําการตบแตง (Machine)ในขั้นสุดทายกอนนํา Pattern ไปใชงาน ตอไป ดังตาราง 5.2
70 ตารางที่ 5.2 Machine Finish Allowances Machine Finish Allowances and Blueprint Markings* Machine Finish Allowances-Various Metals Allowances,in. Pattern Size,in. Cast iron Up to6 6 to 12 12 to 20 20 to 36 36 to 60 Cast steel Up to 6 6 to 12 12 to 20 20 to 36 36 to 60 Non-ferrous Up to 3 3 to 8 6 to 12 12 to 20 20 to 36 36 to 60 Admiralty metal Up to 24
Bore
Surface
CopeSide
1/8 1/8 3/16 1/4 5/16
3/32 1/8 5/32 3/16 3/16
3/16 1/4 1/4 1/4 5/16
1/8 1/4 1/4 9/32 5/16
1/8 3/16 1/4 1/4 1/4
1/4 1/4 5/16 3/8 1/2
1/16 3/32 3/32 1/8 1/8 5/32
1/16 1/16 1/16 3/32 1/8 1/8
1/16 3/32 1/8 1/8 5/32 3/16
1/4
1/4
3/8
71 5.5.3 การเผื่อความลาดเอียง (Draft Allowance) เปนการทําใหผิวในแนว Vertical ใหเกิดมีความลาดเอียงขึ้นมา เพื่อสะดวกในการถอด Pattern ออก จากแบบหลอทรายนั่นเอง
รูป 5.22 การเผื่อความลาดเอียง 5.6 การกําหนดสัญลักษณสีของกระสวน ตามมาตรฐานอเมริกัน (AFS) ดังนี้ 1. สีดํา สวนไมตองตกแตง 2. สีแดง สวนที่ตองตกแตง 3. สีเหลือง บาไสแบบ 4. สีดําบนพื้นเหลือง สวนเกินไมตองการในงานจริง 5. สีแดงบนพืน้ เหลือง สวนแยกชิน้ ได
72
รูป 5.23 สัญลักษณสีของ Pattern 5.7 บาไสแบบ (Core Print) เปนสวนยื่นออกจาก pattern เพื่อเปนตัวรองรับ Cores ตาง ๆ จะแบงออกไดดังนี้คือ 5.7.1 Vertical Core เรียกอีกอยางหนึ่งวา Cope and Drag Print โดยบาจะอยูทั้งหีบบน (Cope) และหีบลาง(Drag) นั่นเอง จะทําใหเกิดบารองรับในแนวดิ่ง (Vertical)นิยมทําปลายใหเรียวเพื่อถอดไดงา ย
รูป 5.24 Vertical Core
73 5.7.2 Horizotal Core คลายกับแบบ Vertical Core แตที่แตกตางกัน คือ บาจะวางในแนวนอน สวนมากจะพบใน กระสวนแบบ Two Piece Pattern
รูป 5.25 Horizotal Core 5.7.3Hanging or Cover Core ไสแบบจะประกอบในลักษณะแขวนไวเหนือโพรงแบบหลอบาชนิดนีจ้ ะมีขนาดใหญกวา Pattern
รูป 5.26 Hanging Core 5.7.4 Balanced Core ดานหนึง่ ของ Core จะถูกยึดไว สวนปลายที่เหลือจะยืน่ ไปในโพรงแบบหลอซึ่งมีขนาดเล็กกวา Core และ Core ทั้ง 2 ดานจะตอง Balanced กันเสมอ บางทีอาจใช Chaplet ชวยยึดดวย
74
รูปที่ 5.27 Balanced Core 5.7.5 Drop or Stop off Core สวนใหญชนิดนี้ Core จะอยูใ นแบบหลอชั้นลาง (Drag) ทั้งหมด มีดานหนึ่งชนกับParting Line พอดี ดังรูป 5.28
รูปที่ 5.28 Stop off Core 5.7.6 Ram-Up Core สวนมากจะอยูใ นหีบหลอลาง (Drag) หมดเชนกัน แตจะจมอยูก นของโพรงแบบหลอชั้นลาง และที่ โพรงแบบดานบนจะทํา Taper ไวเพื่อสะดวกในการถอดออก ดังรูป 5.29
75
รูปที่ 5.29 Ram-Up Core 5.7.7 Kiss Core สวนใหญจะมี Core จํานวน 2 ตัวหรือมากกวาในโพรงแบบหลอชั้นลาง (Drag)สําหรับชิ้นงานที่ ตองการรูจํานวน 2 รู หรือมากกวา โดยปลายดานหนึง่ ของ Core จะดันทรายของหีบหลอบน (Core) และอีก ดานที่เหลือจะชนกับกนโพรงแบบหลอในหีบหลอชั้นลาง (Drag) ดังรูป 5.30
รูปที่ 5.30 Kiss Core 5.8ไสแบบ (Cores) ไสแบบ (Cores) หมายถึง ทรายที่ทําเปนรูปรางตาง ๆ เพื่อใหชิ้นงานหลอที่ออกมาเปนรู หรือ รอง ตาม ตองการ โดยการวางลงในโพรงแบบหลอ กอนทําการเทน้ําโลหะลงแบบไสแบบ (Cores) มีอยูหลายชนิด ไดแก
76 1. ไสแบบทรายชื้น (Green Sand Cores) 2. ไสแบบทรายแหง(Dry Sand Cores) 3. ไสแบบเปลือกบาง (Shell Cores) 4. ไสแบบหีบรอน (Hot-Box Cores) 5. ไสแบบซินโฟล (Synflo Cores) 6. ไสแบบซิลิเกต(Co2 Cores) 7. ไสแบบฟูราน (Furan Cores) 8. ไสแบบซินโคร (Synoor Cores) 9. ไสแบบโพลเฟน (Flofen Cores) 10. ไสแบบโพลเทอม(Floterm Cores) 11. Resin Bonded Cores 12. The Cold Set Process 13. Fluid or Cartable Sand Process 14. Nishiyama Process 15. Oil-No-Bake Process แตในทีน่ ี้จะขอกลาวถึงใน 2 แบบแรกที่เปนที่นิยมกันมากเทานั้น คือ 5.8.1 ไสแบบทรายชื้น (Green Sand Core) คือ ไสแบบ (Core) ที่ทําดวยทรายชื้น (Green Sand) เปนสวนหนึ่งของแบบหลอ (Molds)ที่ทําขึ้นมา พรอม ๆ กันก็ได เพราะใชทรายชนิดเดียวกันนั่นเอง หรือนํามาประกอบกันภายหลังกอนเทน้ําโลหะก็ยอม ได
รูปที่ 5.31 ไสแบบทรายชืน้
77
รูปที่ 5.32 Green Sand Core
รูป 5.33 แสดงการวางไสแบบในแบบหลอ
78
รูป 5.34 การใช Split Pattern และ Green Sand Core
รูป 5.35 แสดงการวาง Core อีกแบบหนึ่ง
79 5.8.2 ไสแบบทรายแหง (Dry Sand Core) ทําจากทราย Silica (Sio2) โดยขจัดสิ่งสกปรกออกใหหมดกอน เรียกอีกอยางหนึ่งวา Sharp Sand โดยผสมกับตัวประสาน (Binder) และน้ํา (Water) ลงไปใหเขากัน Binder จะเพิ่มความแข็งแรงในขณะชืน้ (Green) หรือขณะแหง (Dry) อาจจะเติมเบนโทไนทลงไปอีกเพือ่ เพิ่มความแข็งแรงขณะชืน้ (Green Strength) ตัว Binder ที่ใชกนั คือ ยางธรรมชาติ, ยางสังเคราะห,น้ํามันลีนซีด หรือ Core Oil เปนตน
รูป 5.36 Dry Sand Core 5.9คุณสมบัตขิ องไสแบบ 1. มี Green Strength สูง (เมือ่ เขาเตาอบ) 2. มี Dry Strength สูง (เพื่อคงรูปรางขณะอบ) 3. มี Baked Strength สูง(เพือ่ คงรูปรางหลังอบ) 4. มี P.M.สูง 5. ผิวเรียบ 6. พังไดงายเมือ่ หลอเสร็จแลว
80 5.10 สวนประกอบของไสแบบ 1. ทราย (Sands) จะมีปริมาณ Clays นอยที่สุด ขนาดเม็ดทรายจะโตกวาทรายแบบหลอ เพื่อใหมี P.M. สูง 2. ตัวประสาน (Binder)เปนสวนที่สําคัญในการเกาะยึดเม็ดทรายในแตละเม็ดใหเกาะแนนรวมตัวกัน เปนรูปรางขึ้นไดตามตองการ ไดแก น้ําแกว,ยางสังเคราะห,ซีเมนต,ปูนพลาสเเตอร,น้ํามันตาง ๆ ,น้ําออย,แปง มัน,แปงขาวโพด เปนตน 3. น้ํา (Water) เราก็ถือวาเปนตัวประสานดวยเชนกัน แตที่ตองแยกมาใหเห็นชัดเจนก็เพราะวาน้ํามัน เปนตัวประสานราคาถูก,หาไดงาย,มีผลกับไสแบบ (Cores) มากที่สุดทั้งยังเปนหัวใจสําคัญในขบวนการทํา ไสแบบ (Cores) อีกดวย ซึ่งเราจะมองขามไมไดเลย 5.11 กลองไสแบบ (Core Boxs) จะทําดวยไม (Wood) หรือโลหะ (Metals) ก็ไดแลวแตจะสะดวก ภายในจะมีโพรงเปนรูปรางตาง ๆ เมื่อใสทรายทีผ่ านกรรมวิธีผสมกันในสัดสวนที่ถูกตองแลวทําการตําหรือกระมุงทราย ๆ จะเกาะยึดตัวกัน เปนรูปรางตาม Core Boxes นั่นตามตองการ หลังจากนัน้ ก็ทําการถอดไสแบบ (Core) นั้นออก แลวไปเขาเตา อบ (Ovens) ตอไป
รูป 5.37 เครื่องโมทรายไสแบบ (Cores)
81
รูปที่ 5.38 Core Boxs
82
รูป 5.39 แสดง Core Boxes อีกแบบหนึ่ง
83 กลองไสแบบ (Core Boxes) มีอยู 7 ชนิด คือ 5.11.1 Half Core Box ทําเปนรูปกระทรงกระบอก (Cylindrical Cores) มีอยูซีกเดียวไมมีฝาปด ดังรูป 5.40
รูปที่ 5.40 Half Core Box 5.11.2 Slab or Dump Core Box มีอยูซีกเดียวเชนกัน และไมมีฝาปด เมื่อใสทรายลงไปใหกระทุง ใหไดระดับขอบบนของกลอง แลวทําการปาดทรายสวนเกินใหเรียบแลวนําแผนรองมาประกบดานบนอีกที กอนทําการพลิก Core Box คว่ําลง แบบนีน้ ิยมทําเปนรูปสี่เหลี่ยม,สามเหลี่ยม หรืออืน่ ๆก็ได
รูปที่ 5.41 Dump Core Box
84 5.11.3 Split Core Box เปนกลองแบบ 2 ซีกมีฝาปดเปดอยูดานใน และใช C-Clamp ยึดประกบกัน หรือใชสลัก (Dowel) ประกบกันก็ยอมได ดังรูป 5.42
รูป 5.42 Split Core Box 5.11.4 Left and Right Hand Core Box เปนกลองไสแบบที่ใชผลิตทองอแบบตาง ๆ (Pipe Bends) มี 2 ซีก แลวนํามาประกบกันทีหลัง ดังรูป 5.43
รูป 5.43 Left and Right Hand Core Box 5.11.5 Strickle Core Box สวนใหญทาํ จากไม (Wood)มีStrickle Board เปนฝาดานบนคลาย ๆ Punch และมีสวนลางเปนCore Box เปรียบเสมือนเปน Die แลวจะประกบลงอัด Strickle Board ลงมาเขาหา กัน และอาจจะพลิก Core Box กลับดานอีกครั้งหนึ่ง ดังรูป 5.44
85
รูป 5.44 Strickle Core Box 5.11.6 Gang Core Box สามารถผลิตไสแบบ (Cores) ทีละมาก ๆ ในครั้งหนึ่ง ๆ ดังรูป 4.45
รูป 5.45 Gang Core Box 5.11.7 Loose Piece Core Box เปนลักษณะที่มีซีกเดียว (Half Core Box) แตมี Loose Piece ที่ทํา ดวยไม(Wood) ใสลงในตําแหนงที่ทําไวดว ย เพื่อใหไดชนิ้ งานออกมาตามตองการ ดังรูป 5.46
86
รูป 4.46 Loose Piece Core Box 5.12 หมุดยึดไสแบบ (Chaplets) เปนโลหะทีว่ างในโพรงแบบหลอ (Molds)ระหวางผิวแบบรวมทั้งผิวของ Cores จุดประสงคคือ เพื่อ ตรึง Coresใหอยูในตําแหนงที่แนนอน จะเปนชนิดเดียวกับน้ําโลหะที่จะทําการเทลงแบบ ตองสะอาด ปราศจากสิ่งสกปรก เชน สนิมหรือความชื้นตาง ๆ
รูป 5.47 Chaplets
87
รูป 5.48 แสดงหมุดยึดไสแบบตาง ๆ 5.13 การกระทุงไสแบบ แบงออกเปน 5 วิธี ดังนี้ 5.13.1 ทําดวยมือ (Hand Making) ทําไดงาย,สะดวก และประหยัด เปนที่นิยมใชกันมาก 5.13.2 เขยาดวยเครื่อง (Jolt Machine)สะดวกรวดเร็ว,ทันสมัยกวาแบบแรก 5.13.3 อัดดวยเครื่อง (Squeezing) คลายกับแบบที่ 2 5.13.4 แบบเหวี่ยงทราย (Sand Slinger) ใชเครื่องเหวีย่ งทราย เหมาะสําหรับแบบขนาดใหญมาก
88
รูปที่ 5.49 Sand Slinger 5.13.5 แบบเปาทราย (Core Blowing Machine) ใชอากาศเปาเพื่อใหทรายวิ่งเขาแบบ ดังรูป5.50
รูป 5.50 Core Blowing
89
รูป 5.51 Core Extrusing Machine
รูปที่ 5.52 Continuous Core-Baking-Arrangement 5.14 การอบไสแบบ (Cores Baking) มีเตาอบหลายชนิดที่ใชกันในปจจุบันนี้คือ 5.14.1 Core Ovens เปนเตาอบธรรมดาทั่ว ๆ ไป มีทั้งอบแบบตอเนือ่ ง หรือเปนบางครั้งไป เปนที่ นิยมใชกันทัว่ ไป เพราะราคาไมแพงนัก,หาไดงาย มักใชแก็สหรือน้ํามันชวยในการอบ
รูป 5.53 Dielectric Core Baking System
90 5.14.2 Dielectric Core Bakers เปนเตาอบไฟฟาใชขนาด 1,500 V ความถี่ประมาณ 20 ลาน Cycle โดยมีสายพานลําเลียงนําไสแบบ (Core) เขาขออกจากเตาโดยผานแทง Electrode ดวยเวลาที่รวดเร็วเวลาที่ใช ในการอบประมาณ 30 วินาทีตอครั้งหนึ่ง ๆ ความรอนที่ไดแก Core ประมาณ 280°Fเพื่อใหความชืน้ ระเหย เปนไอออกจาก Cores ใหหมดนั่นเองดังรูป 5.53
Making a core (a) ramming core sand, (b) drawing the core box, (c)baking the core half (in a dielectric oven), (d)pasting the core halves, (e)”washing”thecore with refractory slurry to improve casting surface finish. รูป 5.54 แสดงขั้นตอนการทํา Cores
91
91
บทที่ 6 แบบหลอทรายและทรายทําแบบหลอ ในบทนี้จะไดกลาวถึงแบบหลอทราย ซึ่งเปนแบบหลอที่ใชกันมากที่สุดและกลาวถึงทรายทําแบบ หลอ ทรายทําแบบหลอบางชนิดมีดินเหนียวเปนตัวประสาน (binder) บางชนิดก็ใชตัวประสานพิเศษ จะได กลาวถึงการทําแบบหลอทรายกอน แบบหลอทรายนั้นทําโดยใชมือหรือโดยใชเครื่องทําแบบหลอ ในระยะหลังมีการทําแบบหลอโดย ใชเครื่องมากขึน้ เพราะความกาวหนาของเครื่องทําแบบหลอทั้งขนาดเล็กและใหญ 6.1 การทําแบบหลอดวยมือ การทําแบบหลอดวยมือนัน้ ใชในกรณีทมี่ ีการผลิตเปนจํานวนนอย หรือเมื่อรูปรางซับซอน ทําแบบ หลอดวยการใชเครื่องไดยาก หรือเมื่อชิ้นงานหลอใหญมาก ๆ สวนมากใชทรายที่มีดินเหนียวเปนตัวประสาน 6.1.1 วิธีการทําแบบหลอสําหรับแบบหลอบน แบบหลอลางชนิดธรรมดา ลําดับการทําแบบหลอดวยมือ โดยใชทรายเปยก (green sand) มีดังนี้ (ดูรูป 105) 1) วางกระดานรองแบบหลอลงบนพื้นเรียบ โดยมีกองทรายอยูขาง ๆ 2) วางกระสวนและหีบสําหรับแบบสวนลาง (drag) ลงบนกระดานรองแบบหีบจะตองใหญกวา กระสวนพอทีจ่ ะทําใหความหนาของทรายโดยรอบกระสวนเทากับ 30-50 mm จะตองกําหนดตําแหนงรูเทไว กอน 3) คลุมผิวของกระสวนดวยทรายผิว (skin sand) หรือsurface sand ที่ผานการรอน (sieved) ให ละเอียดแลว ใหชั้นของทรายผิวนีห้ นาประมาณ 30mm (รูป 105(1) ) 4) เททรายทําแบบหลอ (molding sand) ลงบนทรายผิว แลวกระทุงดวยเครื่องมือกระทุง(rammer) จะตองระวังมิใหเครื่องมือกระทุงไปกระทุง กระสวนโดยตรง การกระทุงหรืออัดทรายโดยใชที่อัด (stamp)ก็ กระทําตามหลักการเดียวกันนี้ หลังจากนั้นก็ปาดทรายทีก่ องพูนเหนือระดับขอบบนของหีบหลอออก แลวยก หีบพรอมทั้งแบบหลอและกระสวนขึ้นจากกระดานรองแบบ (รูป 105 (2) ) 5) พลิกหีบเอาสวนลางขึ้นบน แลววางลงบนกระดานรองแบบและวางอีกครึ่งหนึ่งของกระสวนลง บนกระสวนครึ่งลาง วางหีบสําหรับแบบหลอสวนบนครอบกระสวนแลวโรยผงแยกหนาผา (parting agent) ลงบนหนาผา (parting surface) และบนผิวของกระสวน (รูป 105(3))
92
6) วางกระสวน รูเท (sprue rod) และกระสวนรูลนเขาที่ แลวเททรายผิวและทรายทําแบบหลอลงหีบ เสร็จแลวกระทุง (รูป 105 (4) ) ถาหีบไมมีเดือยหรือสลักสําหรับกํากับการวางแบบหลอเขากับแบบหลอลาง จะตองทําเครือ่ งหมายไวเพือ่ ใหวางไดถูกที่ แลวยกแบบหลอสวนบนหรือแบบบน (cope) ขึ้นจากแบบหลอ สวนลางหรือแบบลาง (drag)และวางบนกระดานรองแบบ (รูป105(5) ) 7) รูวิ่งและรูเขานั้นอาจแซะเอาโดยใชเกรียงหรือชอน (spatule) ก็ไดแตถาใชกระสวนสําหรับรูวิ่ง และรูเขาวางตอเขากับกระสวนของชิ้นงานก็ไมตองใชวธิ ีแซะโดยใชเกรียง ดึงกระสวนออกจากแบบหลอ โดยใชเข็ม (รูป 105 (6)) แลววางไสแบบลงในโพรงของแบบ เสร็จแลวประกบแบบบนเขากับแบบลาง (รูป 105 (7)) เปนอันเสร็จการทําแบบหลอ รูป 106 แสดงเครื่องมือในการทําแบบหลอดวยมือที่มกั ใชกัน มีหีบอยูหลายชนิดที่ใชในการทําแบบหลอ ที่ใชกนั มากที่สุดคือหีบไมหรือโลหะสําหรับหีบบนและ หีบลาง ดังแสดงในรูป 107 (a) หีบกลมก็ใชกนั นอกจากนี้ยังมีหีบที่แกะออกจากแบบหลอไดกอนเท (removable flask) ดังในรูป 107 (b) หีบที่วานี้แกะออกจากแบบหลอไดหลังจากทําแบบหลอเสร็จ ดังนั้น อาจทําแบบหลอไดหลายอัน โดยใชหีบเดียว หีบประเภทนี้มีหีบถอด (slip flask) ซึ่งถอดออกไดหลังจากทํา แบบหลอเสร็จ หีบประกับ (snap flask) ซึ่งมีบานพับติดอยูตรงมุมหีบและหีบแกะ (pop-off flask) ซึ่งแกะ ออกจากแบบหลอไดโดยถอดปากจับ (clamp) ตรงมุมตรงขามสองมุมของหีบ 6.1.2 การทําแบบปาด (Loam molding) แบบโลมใชสําหรับทําชิ้นงานหลออันเดียว หรือทําชิ้นงานใหญ ๆ ใชในการทําแบบหลอของทอโคง หรือหีบทรงกระบอกหมุน (rotating drum) เครื่องทําแหง (dryer) สําหรับการผลิตกระดาษหรือกงลอของ เครื่องกังหัน (turbine rotator หรือ turbine wheel) ใชกระสวนปาด (sweeping pattern หรือstrickle pattern) ในการทําแบบปาด ในการทําแบบหลอใชวิธีหมุนแผนซึ่งมีรอยโหวเปนรูปหนาตัดของชิ้นงานรวมแกนกลาง หรือวิธีลากใบปาด (strickle)ตามแผนกํากับ (guides) ซึ่งมีรูปรางตามรูปรางของชิ้นงาน ผิวของแบบหลอทํา ดวยโลม ซึ่งชืน้ และละเอียด ใชทรายแหงธรรมดาหรือผงอิฐในการทําโลม ยกเวนสวนที่ใชทําผิวแบบหลอ รูป 108 แสดงแบบหลออันใหญ ทําแบบบนพื้นหรือในบอ (pit) ใชวิธีปาดในการทําแบบปาด การทํา แบบหลอโดยการปาดมีลําดับการทําดังนี้
93
1.วางหีบสําหรับแบบบนลงกระดานรองแบบหรือบนพืน้ แลววางแผนรอง (center plate หรือ support) ลงตรงกลางของพื้นหีบ (รูป109) 2. แกนกลาง (center rod) ของใบปาดนั้นยึดในแนวตั้ง โดยแผนรองและโครงยึด (trestle) จะตองยึด โครงยึดไวไมใหเคลื่อนที่ แลวจุดหมุนของแบบปาดก็จะถูกยึด โดยวางน้ําหนักทับโครงยึดเหนือจุดหมุน 3. ในกรณีที่ใชทรายเปยกทําแบบหลอใหเททรายทําแบบลงในหีบ แลวทํารูปรางคราว ๆของ ชิ้นงาน โดยการปาด ทรายจะพูนขึน้ หรือลึกเปนรองแลวแตรางของกระสวน เมื่อไดรูปรางคราว ๆ แลวก็ โปรยทรายผิวลงบนผิวของแบบหลอ แลวแตงผิวแบบหลอใหเรียบรอยโดยการปาดอีกครั้งหนึ่ง 4. ในกรณีทใี่ ชโลม (loam) ทําแบบหลอก็ใหใชโลมแทนที่จะใชทรายผิวโปรยลงบนรูปรางคราว ๆ และแตงผิวแบบหลอใหเรียบรอยโดยการปาดอีกครั้งหนึ่ง ในกรณีนี้ถาหมุนใบปาดซ้ําหลายครั้งจะกลับทําใหผิวแบบหลอขรุขระชื้นเพราะโลมไปติดกับใบ ปาด เมื่อเช็ดโลมที่ติดกับใบปาดออกแลว และหมุนใบปาดทวนทิศทางเดิมอีกครัง้ หนึ่ง ก็เปนการเสร็จการ แตงผิวแบบหลอ ในกรณีทไี่ มใชใบปาดหมุนดังที่ไดกลาวมา แตใชการลากใบปาดตามแผนกํากับ วิธีการทําก็ จะคลายกับวิธขี างบน 6.2 การทําไสแบบ ไสแบบคือทรายทําเปนรูปราง ซึ่งใชวางลงในโพรงของแบบหลอเพื่อกันมิใหโลหะเขาสูสวนของ ชิ้นงานที่ตองการใหเปนรูหรือชองวาง ไสแบบมีหลายชนิด เชน ไสแบบน้ํามัน (oil core) ไสแบบ CO2(CO2 core) ไสแบบใชลม (airset core) ฯลฯ ชื่อตาง ๆ เหลานี้เรียกตามตัวประสานหรือตามกระบวนการทําไสแบบ 6.2.1 การทําไสแบบดวยมือ จะไดอธิบายวิธีการไสแบบโดยใชหีบไสแบบ (core box) (ดูรูป 110) เพื่อทําไสแบบรูปราง ดังแสดงในรูป 110(1) จะตองใชหีบไสแบบ ดังแสดงในรูป110(2)การหนีของแกสออกจากไสแบบนี้จะ เปนไปในทิศทางเดียว ดังนั้นจึงเจาะรูระบายแกสดังแสดงใน (3)และมีชองเจาะไวเพื่อใหรูระบายแกสหลาย ๆ รูตอเนื่องกัน ดังใน (4)เพื่อสงแกสออกจากแบบหลอ เมื่อทําเสร็จแลวจะยางไสแบบเหนือเครื่องทําแหง (dryer) โดยหมุนไปรอบ ๆ ดังใน (5)และลบคมและแตงผิวใหเรียบ โดยใชเกรียง (spatula) ในการทําไสแบบดวยมือจะตองระมัดระวังในเรื่องตอไปนี้ 1. บรรจุทรายทําไสแบบลงในหีบอยางสม่าํ เสมอ
94
2. ตรวจตราดูมิติและตําแหนงของเสนเชื่อมรูระบายแกส ตลอดจนเสนผาศูนยกลางและ ตําแหนงของรูระบายแกส 3. ระวังอยาใหไสแบบที่ทําเสร็จแลวตองบิดเบี้ยวหรือหัก 6.2.2 การทําไสแบบโดยใชเครื่อง ในการทําไสแบบโดยใชเครือ่ ง จะใชเครื่องเปาไสแบบ (core-blower) รูป 111 แสดงรูปราง และสวนประกอบของเครื่องเปาไสแบบทีน่ ิยมใชกัน เมื่อเปาอากาศเขาไปในถังเก็บทราย (sand reservoir) ทรายทําไสแบบจะถูกปอนไปกับอากาศเขาสูหบี ไสแบบ ซึ่งมีปากจับติดกับถังจายทราย อากาศจะหนีออกได ทางรูระบายอากาศในหีบไสแบบ สวนทรายจะคงอยูในหีบไสแบบ เปนไสแบบที่ตองการเสร็จแลวปลอย ปากจับออก และแกะไสแบบออกจากหีบ รูป 112 แสดงสวนประกอบของเครื่องทําไสแบบโดยวิธีเปาที่มีสมรรถนะสูงจะเปาอากาศเขาทางรู เหนือถังจายทราย (sand hopper)และทางดานขางของถังเก็บทราย ดังนั้นจะทําใหสามารถสงทรายเขาหีบไส แบบไดสะดวก ทรายจะไมยันกันและยึดกันเปนรูปรางสะพาน ทําใหสามารถปอนทรายได ถึงแมเปนทรายที่ ยึดตัวกันคอนขางแนน ในการทําไสแบบดวยเครื่องจะตองระวังเรือ่ งตอไปนี้ 1) ออกแบบหีบไสแบบใหทาํ ไสแบบไดสะดวกหาทางทีจ่ ะปองกันการสึกหรอที่เกิดจากทราย 2) จะตองมีการระบายลมที่เหมาะสม เพือ่ ใหอากาศในหีบไสแบบและอากาศที่ถูกเปาเขามาในหีบ พรอมกับทราย ออกจากหีบไดโดยสม่ําเสมอ รูปรางตําแหนงและจํานวนของรูระบายอากาศเปนสวนสําคัญ ของการทําไสแบบ 6.3 การฉาบผิวแบบหลอ หลังจากที่ไดแกะกระสวนออกแลว ก็ใชผงกราไฟทหรือผงไมคา (mica)ผสมน้ําทาหรือพนผิวแบบ หลอ เพื่อใหทาํ หนาที่ตอไปนี้ 1. กันมิใหน้ําโลหะแทรกซึมเขาในทรายและทําใหทรายหลอมเหลว 2. เพื่อใหผวิ ของงานหลอเรียบ 3. เพื่อทําใหเอาทรายไสแบบและทรายทําแบบหลอออกไดงายในตอนเขยาทรายออก 4. กันมิใหเกิดจุดเสีย เนื่องจากทราย เชน การเกิดครีบ (finning) เพื่อใหทําหนาที่ขางบนได
95
วัสดุที่ใชฉาบผิวตองมีคุณสมบัติตอไปนี้ 1) สามารถทนอุณหภูมิน้ําโลหะไดโดยไมละลาย 2) มีความแข็งแรงเมื่อทาเสร็จและแหงแลว พอที่จะไมถูกน้ําโลหะดึงหลุดจากผิวแบบหลอ 3) มีความหนาของผิวฉาบพอที่จะกันมิใหน้ําโลหะซึมเขาในทราย 4) เกิดแกสนอยในขณะทําการหลอ 6.3.1 การฉาบผิวแบบหลอสําหรับแบบหลอทรายเปยก สําหรับแบบหลอทรายเปยกใชผงกราไฟท ผงไมคาหรือแปงหิน (talcpowder) ลวน ๆ ใชวัสดุ ดังกลาวในการโปรย (dusting) หรือทาผิวแบบหลอโดยใชแปรง มีกระบวนการฉาบผิวดังนี้ 1) ถาเปนวิธีโปรยใชถุงผงหรือแปงทําดวยผาฝาย โปรยที่ผิวแบบในแนวตั้งกอน 2) ถาเปนวิธีทา ใชแปรงซึ่งมีผงหรือแปงติดอยูที่ปลาย ทาผิวแบบในแนวตั้งโดยเริม่ จากขางลางขึ้นสู ขางบน 3) มักจะมีผงหรือแปงกองอยูท ี่กนของโพรงในแบบจะตองกวาดหรือเปาออก 6.3.2 การฉาบผิวแบบหลอสําหรับแบบหลอทรายแหง สําหรับแบบหลอทรายแหงใชวัสดุตอ ไปนี้ 1) ใชผงกราไฟทหรือถานไม ถาอุณหภูมเิ ทต่ํากวา 1,350°C ระวังอยาใหเกิดฟองหรือแกส เนื่องจาก ตัวประสาน โดยการใชสวนผสมตอไปนี้ ก. กราไฟทผสม 100 สวน (กราไฟทเกล็ด (scaly graphite)0-40 สวน กราไฟทผง (earthy graphite) หรือ black wash100-60สวน)เบนโทไนท(bentonite) 10-20สวน (หรือดินทนไฟ(fire clay) 20-40สวน) ข. กราไฟทผสม 100 สวน (กราไฟทเกล็ด 20-50 สวน กราไฟทผงหรือผงถานโคก(Coke breeze)80 – 50 สวน) เบนโทไนท 10-20สวน(หรือดินทนไฟ 20-40 สวน) ทั้งในสองกรณีขางบนถาใชดินทนไฟ ใหผสมน้ําเหลือง (molasses) 2-5 สวน หรือกรดลิกนิน ซัลฟอนิค (lignin sulfonic acid) นอยกวา 2 สวนเขาดวยตอ 100 สวนของกราไฟทผสม 2) สําหรับอุณหภูมิเทสูงกวา 1,350°C จะตองใชวัสดุทมี่ ีการเปลี่ยนแปลงในคุณสมบัตินอยเมื่อใชที่ อุณหภูมิสูง ควรใชสวนผสมเชนตัวอยางขางลาง
96
ก. กราไฟทผสม 100 สวน (กราไฟทเกล็ด 90-80 สวน ผงถานโคก 20 สวน) เบนโทไนท 10-20 สวน ข. กราไฟทเกล็ด 100 สวน แอมโมเนียมคลอไรด 0.5 สวน, เบนโทไนท 10-20สวน ใชน้ําผสม เทากับ 100- 200% ของสวนผสมขางบนสําหรับการฉาบผิวแตละครั้ง แตถาใชกราไฟทเกล็ดกับเบนโท ไนท ควรใชนา้ํ มากกวานี้ และถาใชกราไฟทผงกับดินทนไฟ ควรใชน้ํานอยกวานี้ วิธีการฉาบผิวแบบหลอทรายแหงมีดงั นี้ 1) ตรวจวาน้ําฉาบผิวขนพอเหมาะหรือยัง กอนลงมือฉาบผิว 2) ใหฉาบผิวกอนยางแบบหลอ ถายางเพียงครั้งเดียวและฉาบผิวหลังจากยางครั้งแรกสําหรับแบบ หลอที่จะยางสองครั้ง 3) ฉาบผิวดวยการพนหรือการทา 4) ฉาบผิวที่อยูใ นแนวตั้ง โดยพนหรือทาจากลางขึ้นบน 5) ในกรณีที่ฉาบผิวของแบบหลอทรายที่แหงแลว ควรใชน้ําผสมดินเหนียวทาผิวเสียกอน 6) หลังจากพนหรือทาแลว ถาการฉาบยังไมเรียบ แตงใหเรียบโดยใชเกรียง (spatula) 7) ถาพนหรือทาฉาบผิวทับลงบนผิวที่ฉาบแลว และแหงแลว จะปรากฎวาผิวฉาบมักจะหลุดออกใน ตอนเทน้ําโลหะ 6.4 อุปกรณเพิ่มเติมของแบบหลอ 6.4.1 หมุดยึดไสแบบ (Chapletd) หมุดยึดไสแบบคือชิ้นสวนทําดวยโลหะ ใชในการยึดไสแบบหมุดยึดไสแบบนี้ถาไมจําเปนไมควร ใชในกรณีที่บา ไสแบบไมสามารถยึดไสแบบได เพราะรูปรางของแบบก็จําเปนตองใชหมุดยึดไสแบบ รูปรางและขนาดของหมุดยึดไสแบบจะตองเหมาะกับสภาพของชิ้นงาน และวัสดุทใี่ ชทําหมุดควร เปนชนิดเดียวกับวัสดุของชิน้ งาน (1) รูปรางของหมุดยึดไสแบบ โดยทั่วไปหมุดยึดไสแบบควรมีพื้นที่ผิว (surface area) มาก ๆ เพื่อจะไดกลืนเขากับโลหะของ ชิ้นงานไดสะดวก ถาสวน A ในรูป 113 ใหญเกินไปเมือ่ เทียบกับสวน H การละลาย (fusion) จะไมสมบูรณ แตถาสวน A เล็กเกินไปก็จะทําใหหนาทีย่ ึดไสแบบไดไมเต็มที่ ถาสวน D ใหญเกินไปเมื่อเทียบกับสวน A การละลายจะไมสมบูรณ
97
แตถาเล็กเกินไปก็จะทําใหหนาที่ยึดไสแบบไดไมดี เพราะหมุดยึดไสแบบจะจมเขาไปในไสแบบ รูปรางของหมุดยึดไสแบบขึน้ กับความตองการ บางครั้งแผนที่อยูตรงปลายทั้งสองขาง ทอนกลมอาจ ทําดวยวัสดุตางจากทอนกลม ทั้งนี้เพื่อกันมิใหแผนบาง ๆ นั้นละลายเร็วเกินไป ผิวของหมุดจะตองสะอาด จะตองไมมีออกไซดหรือความชื้นที่ผิว ถามีจะทําใหละลายยาก และจะ ทําใหเกิดรูโหวเนื่องจากการหด (2) ชนิดของหมุดยึดไสแบบ หมุดยึดไสแบบมีรูปรางและขนาดตาง ๆ กัน และมีชนิดและชื่อตาง ๆ กันรูป 114 แสดงชนิดที่ สําคัญ ๆ หมุดสองหัว (double – head chaplets)เปนชนิดที่ใชกันมากที่สุดชนิดนีม้ ีรูปรางและขนาดตาง ๆ กัน ทอนกลมระหวางทั้งสองหัวนั้น ทําเปนเกลียวเพื่อใหกลืนเขากับโลหะของชิ้นงาน ทั้งสองหัวจะมีรเู ล็ก ๆ ที่ จะปลอยแกสที่ออกมาในระหวางการเท ไดหนีออกไปไดสะดวก สําหรับบางชนิดระยะระหวางสองหัวปรับ ได หมุดกาน (stem chaplets)ใชยึดไสแบบสําหรับชิ้นงานหลอใหญ ๆ เชน ทอ โดยใชกานยาวนัน้ ติด เขากับหีบหลอ โครงหรือกาน (mandrels) ของไสแบบ หมุดปรุ (perforated chaplets) ทําดวยเหล็กแผนยาว ๆ ซึ่งมีรูเล็ก ๆ อยูเปนจํานวนมาก รูมีไวเพื่อให แกสหนีออกได และเพื่อใหกลืนเขากับโลหะของชิ้นงานใชสําหรับชิน้ งานหลอขนาดเล็ก และสําหรับชิ้นงาน หลอที่ใชบรรจุของไหลที่มคี วามดัน หมุดเหล็กแผน (sheet metal chaplets) ทําดวยเหล็กแผนบาง ๆ ที่ถูกอัดออกมาเปนรูปรางมีขนาด เล็ก แตแข็งแรง ถึงแมเมื่อสัมผัสกับน้ําโลหะ หมุดหลอ (cast chaplets) ทําโดยการหลอดวยโลหะชนิดเดียวกับโลหะของชิ้นงานใชกับชิน้ งาน หลอที่หนาและใหญ หมุดเครื่องกระจายความรอน (radiator chaplets) ใชสําหรับยึดไสแบบของชิ้นงานขนาดเล็ก ใชสวม เขากับวงแหวน (Washer) ซึ่งติดอยูกับผิวแบบหลอ 6.4.2 เดือยเสริม (Mandrels) เดือยเสริมคือโครงสรางที่ใสอยูในไสแบบหรือแบบหลอ เพื่อไมใหไสแบบหรือแบบหลอหักพัง ถา ใชเดือยเสริมอยางไมถูกตอง จะเกิดผลเสียเปนอยางมากตอประสิทธิภาพการทําแบบหลอ และการแกะแบบ หลอ (shakeout operation) นอกจากนั้นยังจะทําใหเกิดจุดเสีย (defects) ในการหลออีกดวย
98
ขอควรระวังเรือ่ งเดือยเสริมมีดังนี้ 1) จะตองคิดถึงการขยายตัวเนื่องจากความรอน ในขณะที่ทําใหไสแบบหรือแบบหลอแหง หรือ ในขณะเทน้ําโลหะ 2) จะตองคิดถึงการหดตัวของชิ้นงานหลอ หลังจากเทเสร็จแลว 3) จะตองใชเดือยเสริมแตละอันไดหลาย ๆ ครั้ง 4) จะตองเสริมความแข็งแรงของไสแบบ ทําใหทนความดันของน้ําโลหะได 6.4.3 น้ําหนักทับแบบหลอ (Weights) ในการเทน้ําโลหะลงในแบบหลอ แบบบน (cope) จะไดรับแรงลอยตัว (buoyancy force) จากน้ํา โลหะ ดังนัน้ จะตองมีน้ําหนักทับแบบบนเพื่อกันมิใหลอย จะคํานวณน้ําหนักทีจ่ ะตองใชไดจากสูตรตอไปนี้ น้ําหนัก W : kPA (kg) P : ความดันของน้ําโลหะตรงหนาผา (parting surface) (kg/cm2) A : พื้นที่หนาตัดของโพรงแบบหลอตรงหนาผา (cm2) K : อัตราสวนเผื่อ (safety factor) P = ﻻh ﻻ:น้ําหนักจําเพาะของน้ําโลหะ (เชน 0.0073 kg/cm3 สําหรับเหล็กหลอเทา) h : ความสูงของรูเทเหนือหนาผา ดังนั้นน้ําหนักจะทับแบบจะเทากับ W = kﻻAh (kg) ใชอัตราสวนเผื่อประมาณ 1.5 – 2.0 เพราะฉะนั้น W = (1.5 – 2.0) ﻻAh (kg) ตัวอยาง กรณีของเหล็กหลอเทาที่มีพื้นหนาตัด A –200 cm2 ความสูงของรูเทเทากับ 15 cm อัตราสวนเผื่อ เทากับ 1.5 W = 1.5 x 0.0073 x 200 x 15 = 33 kg ตามความเปนจริงมีน้ําหนักของแบบบนอยูแลว ดังนั้นน้าํ หนักทับเหล็กนอยกวาที่คํานวณไว ขางบนได
99
6.5 ทรายหลอ 6.5.1 คุณสมบัติของทรายหลอ ทรายหลอจะตองมีคุณสมบัติตอไปนี้ 1) ขึ้นรูปไดงา ย (formability) และทําแบบหลอไดสะดวก โดยที่มีความแข็งแรงพอ แบบหลอที่ทํา เสร็จแลวจะตองแข็งแรงพอที่จะยกไปไดและเทน้ําโลหะเขาไปไดโดยไมเกิดการเสียหาย ดังนั้นจะตองมี ความแข็งแรงที่อุณหภูมิหอง และมีความแข็งแรงที่อุณหภูมิสูง (hot strength) 2) จะตองใหแกสซึมออกได (permeability) สะดวกพอถาอากาศหรือแกสที่เกิดขึน้ ไมสามารถซึม ผานเม็ดทรายออกไปจากแบบหลอเร็วพอในขณะเทน้ําโลหะแลวอาจเกิดจุดเสียประเภทรูโหวที่เกิดจากการ หดตัวและรูพรุนที่ผิว 3) ขนาดของเม็ดทรายและปริมาณของเม็ดทรายแตละขนาด ตองเหมาะสมถาใชทรายละเอียดทํา แบบหลอผิวของชิ้นงานจะละเอียดดี แตถา เม็ดทรายละเอียดเกินไป แกสจะออกไมไดจะเกิดรูพรุน (blow holes) ดังนั้น จะตองจัดใหขนาดของเม็ดทรายและปริมาณของเม็ดทรายแตละขนาดเหมาะสม ทั้งนี้โดย คํานึงถึงทั้งสองประเด็นขางตน 4) ตองมีความทนไฟ (refractoriness) สูงพอ คือไมละลายที่อุณหภูมิเท ตาราง 6.1 แสดงอุณหภูมิเท ของน้ําโลหะชนิดตาง ๆ เม็ดทรายและตัวประสานจะตองมีความทนไฟพอ คือตองทนไดเมื่อเทน้ําโลหะ อุณหภูมิสูงลงในแบบหลอ 5) มีสวนผสมที่เหมาะสมเมื่อเม็ดทรายสัมผัสกับน้ําโลหะอุณหภูมิสูง จะเกิดปฏิกริ ิยาทางกายภาพ (physical) และทางเคมี ดังนัน้ ไมควรมีสวนผสมใด ๆ ที่จะทําใหเกิดแกสหรือที่จะละลายไปกับน้ําโลหะ 6) นํามาใชไดอีก ทรายที่ดจี ะตองใชไดหลายครั้ง เพื่อความประหยัด 7) ทรายที่ใชจะตองมีราคาถูกดวย ตารางที่ 6.1 อุณหภูมิเทสําหรับการหลอโลหะตาง ๆ ชนิดของโลหะที่หลอ อุณหภูมิเท (°C) โลหะผสมเบา 650 – 750 บรอนซ 1100-1250 ทองเหลือง 950-1100 เหล็กหลอ 1250- 1450 เหล็กเหนียวหลอ 1500-1550
100
6.5.2 ทรายหลอชนิดตาง ๆ ทรายหลอที่ใชกันมากที่สุดมี ทรายภูเขา (mountain sand) ทรายทะเล (shore sand) ทรายแมน้ํา (river sand ) และทรายซิลิกา (silica sand) ทั้งหมดนีเ้ กิดขึ้นตามธรรมชาติ ในการใชทําแบบหลอนั้น จะใช ทรายบางชนิดในสภาพทีเ่ กิดขึ้นตามธรรมชาติและบางชนิดก็จะบดใหเม็ดไดขนาดเสียกอน ถาทรายมีดิน เหนียวผสมอยู และเกาะติด (adhesive) กันไดดี ก็จะใชไดเลย แตถาเกาะติดกันไมดีพอจะตองเติมดินเหนียว ลงไป บางครั้งก็จะตองเติมทัง้ ตัวประสาน (binders) และดินเหนียวลงไปดวย ทรายภูเขานัน้ โดยทั่วไปไดจากชั้นหินเกา ๆ (old strata) มีดินเหนียวผสมอยูดวย และสวนมากตอง ผสมน้ําลงไปกอน จึงจะใชเปนทรายหลอได ที่มีดนิ เหนียวอยู 10 – 20 % จะใชไดเลยโดยไมตองเติมดิน เหนียว สวนที่มีดินเหนียวนอยกวานัน้ และติดกันไมดี จะตองเติมดินเหนียวตามสัดสวนที่เหมาะสมลงไป กอน ทรายทะเลไดจากชายหาดและทรายแมน้ําไดจากแมน้ํา ทรายซิลิกา ในบางกรณีไดจากภูเขาตาม สภาพธรรมชาติ บางกรณีก็ไดจากการบดหินที่มแี รควอรท (quartzite) ที่เรียกวา หินเขีย้ วหนุมาน สวนประกอบที่สําคัญที่สุดของทรายทุกชนิดคือ Sio2 จะมีสิ่งเจือปน (impurities) เชน ไมคา (mica) หรือ เฟลดสปาร (feldspar) ที่เรียกวาหินฟนมา ทรายทะเลและทรายแมน้ําจะมีสิ่งเจือปนโดยเฉพาะอยางยิ่งมีสาร อินทรี (organic) อยูมาก ในการใชทําแบบหลอควรมีสิ่งเจือปนเหลานี้นอยที่สุด ทรายซิลิกาธรรมชาติและ ทรายซิลิกาที่ทําขึ้นจากการบดหินควอรทมีสิ่งเจือปนอยูนอ ย และมี Sio2 อยูมากกวา 95 % ทรายทะเล ทรายแมน้ํา ทรายซิลิกาธรรมชาติ และทรายซิลิกาที่ทําขึ้นจากการบดหินควอรทจะไม เกาะติดกันเอง จะตองเติมตัวประสานลงไป เพื่อใหเม็ดทรายยึดกันกอนที่จะนําไปใชทําแบบหลอ 6.5.3 สวนประกอบของทรายหลอ (1) เม็ดทราย เม็ดทรายหลอแบงออกไดเปนหลายชนิด ดังแสดงในรูป 115 มีชนิดเม็ดกลม (rounded) เม็ด เกือบเหลี่ยมหรือมน (subangular) เม็ดเหลีย่ ม (angular) และเม็ดผลึก (crystalline) ฯลฯ ทรายชนิดเม็ดกลมใชเปนทรายหลอไดดี เพราะใชตวั ประสานนอย ๆ ก็ทําใหมีความแข็งแรงพอ นอกจากนั้นยังปลอยอากาศใหซึมผาน (permeability) ไดดีมาก และทําใหน้ําโลหะไหลสะดวก (flowability) ดวย ทรายเม็ดผลึกไมเหมาะที่จะใชทําทรายหลอ เพราะในการผสมทรายจะเกิดการหักเปนชิ้นเล็ก ๆ ทํา ใหความทนตอความรอน (refractoriness ) ต่ํา อากาศซึมออกไดยากและยังตองใชตัวประสานมากอีก ดวย
101
ทรายหลอมักประกอบดวยเม็ดทรายหลายขนาด แตในบางกรณีก็รอนทรายจนไดเม็ดขนาดเทา ๆ กันเสียกอน จึงใชทําแบบหลอ โดยทั่วไป 2/3 ของเม็ดทราย สําหรับทรายหลอควรมีขนาดอยูในชองตาม ขนาดรูตะแกรงรอน 3 ขนาดติด ๆ กัน สวนอีก 1/3 นั้น ควรมีขนาดตามรูตะแกรงรอนขนาดถัดไปจาก ขนาดทั้ง 3 แทนที่จะมีขนาดเม็ดเทา ๆ กัน (2) ดินเหนียว ดินเหนียวประกอบดวยดินเหนียวขาวบริสุทธิ์ (kaolinite) อิลไลท (illite) และมอนทมอริล โลไนท (montmorillonite) ตลอดจนควอรทเฟสดสปาร ไมคา และสิ่งเจือปนอืน่ ถาเติมน้ําเขาไป จะเหนียว(sticky)และถามีนา้ํ มากจะมีลักษณะคลายแปงเปยก (pasty) ถาน้ําแหงลงไปความเหนียวจะลดลง มาก ขนาดของเม็ดดินเหนียวอยูระหวาง 0.005 – 0.02 mm สําหรับชิ้นงานหลอขนาดใหญที่ใชแบบหลอทรายแหง จะใชทรายซิลิกาที่มีดินเหนียวทนไฟไดสูง (ที่เกิดตามธรรมชาติ) ผสมอยู บางครั้งก็ใชเบนโทไนท (bentonite) ซึ่งเปนดินเหนียวชนิดหนึ่งผสมเขากับ ทราย เบนโทไนทประกอบดวยเม็ดเล็ก ๆ ขนาด 10 – 0.01μ*สวนประกอบสําคัญของเบนโทไนทคือ มอนท มอริลโลไนท (Al2 O3 .4 SiO2 . H2O) ความเหนียวยืด (plasticity) เกิดขึน้ เนื่องจากการพองของเม็ดเล็ก ๆ ของ เบนโทไนทเมือ่ เติมน้ําลงไป (3) ตัวประสานชนิดอื่น ๆ บางครั้งไสแบบทําดวยทราย ซึ่งมีน้ํามันพืชผสมอยู 1.5 – 3.0% แลวยางที่อณ ุ หภูมิ 200 - 250°C น้ํามันประเภทนี้มีน้ํามันละหุง (linseed oil) น้ํามันถั่วเหลือง(soy bean oil) และน้ํามันโคลซา (colza oil) เปน ตน ไสแบบในลักษณะนีเ้ รียกวา ไสแบบทรายผสมน้ํามัน (oil sand core) ไสแบบชนิดนี้ไมเก็บความชื้นและ สลายตัวงายในตอนแกะแบบ ถามีแตน้ํามันผสมกับทรายจะมีความแข็งแรงไมเพียงพอที่อุณหภูมหิ อง ดังนั้น จะใชเบนโทไนทหรือแปงผสมเขาดวยเล็กนอยเพื่อใหขนึ้ รูปและปรับแตงได ถึงแมจะกระทําที่อณ ุ หภูมิหอง นอกจากใชดนิ เหนียวเปนตัวประสานในการทําแบบหลอแลว ในบางกรณีกใ็ ชเดกซทรีน (dextrine) ซึ่งทําจากแปงเปนตัวประสานอีกดวย เดกซทรีนนี้เหนียวถึงแมจะมีความชื้นต่ํา ดังนั้นจึงใชชว ยทําใหเม็ด ทรายเกาะกันดี สําหรับทรายที่ผิวแบบหลอของแบบหลอทรายเปยกและแบบหลอทรายแหง นอกจากนีย้ ังใช น้ําแกว(water- glass) เรซิน (resins) หรือซีเมนต (cement) เปนตัวประสานพิเศษ
102
(4) สวนผสมพิเศษ ใชผงถานหิน ผงยางมะตอย (pitch powders) ผงถานโคก (coke-breeze) หรือผงกราไฟท (graphitic powder) ประมาณ 1% ผสมกับทรายทําแบบหลอ เพื่อทําใหผิวงานหลอละเอียด ทําใหแกะแบบงาย และกันมิ ใหเกิดกาบหรือหนาขาวตัง (scabs) ในบางกรณีถาใสสวนผสมเหลานี้เขาไปมากเกินไป จะทําใหเกิดจุดเสีย เนื่องจากเกิดแกสขึ้น ดังนั้นการใชสวนผสมในปริมาณที่เหมาะสมจึงเปนเรื่องสําคัญ นอกจากนี้ยังอาจ เกิดผลตรงขามกับที่ตองการ ถาใชของที่มีคุณภาพไมดี 6.5.4 คุณสมบัติของทรายทําแบบหลอ (1) คุณสมบัตขิ องทรายทําแบบหลอชนิดเปยก คุณสมบัติตาง ๆ ของทรายที่มีดินเหนียวหรือเบนโทไนทเปนตัวประสานเปลี่ยนไปตามปริมาณ ความชื้นในทราย ดังนัน้ การควบคุมปริมาณความชื้นจึงเปนเรื่องสําคัญในการควบคุมคุณสมบัติของทรายทํา แบบหลอ รูป 116 แสดงความสัมพันธระหวางปริมาณความชื้น และคุณสมบัตติ างๆ ของทรายผสมดิน เหนียว ถาไมเปลี่ยนปริมาณดินเหนียว แตเพิ่มปริมาณความชื้นความแข็งแรงจะเพิ่มขึน้ เปนลําดับจนถึง จุดสูงสุด เมือ่ ปริมาณความชื้นเพิ่มขึ้นอีกความแข็งแรงจะลดลงถาไมเปลี่ยนปริมาณความชื้นแตเพิ่มปริมาณ ดินเหนียวก็จะพบคุณลักษณะเชนเดียวกับนี้ สภาพที่เกิดความแข็งแรงและการปลอยซึม (permeability) สูงสุดคือสภาพที่เม็ดทรายมีดินเหนียวผสมน้ําหุมอยูด วยความหนาระดับหนึ่ง ถามีความชื้นมากเกินไป ความ แข็งแรงและการปลอยซึมจะลดลง เพราะดินเหนียวที่มคี วามชื้นมากเกินไปนี้จะขยายเขาไปอยูในทีว่ าง ระหวางเม็ดทราย ถาความชื้นไมพอความแข็งแรงจะลดลง เพราะความเหนียวของดินเหนียวจะลด นอกจากนั้นดินเหนียวในสภาพผงจะเขาไปอุดที่วางระหวางเม็ดทราย ทําใหการปลอยซึมลดลง ปริมาณความชื้นที่ทําใหเกิดความแข็งแรงสูงสุด และที่ทําใหเกิดการปลอยซึมสูงสุดโดยทัว่ ไปมักไม ตรงกัน รูป 117 แสดงความสัมพันธระหวางปริมาณความชื้น ความแข็งแรง และความปลอยซึม ของทรายที่ มีเบนโทไนทเปนตัวประสาน เมื่อปริมาณความชื้นเพิม่ ขึ้นความแข็งแรงและความปลอยซึมจะเพิม่ ขึ้นจนถึง สูงสุด ถาเพิ่มตอไปอีก คุณสมบัติดังกลาวจะกลับลดลง ดังแสดงในรูป สําหรับทรายที่มีเบนโทไนทเปนตัว ประสานปริมาณความชื้นที่ทาํ ใหความแข็งแรงขณะเปยก (Wet strength) สูงสุด และที่ทําใหการปลอยซึม สูงสุดจะใกลกนั มาก (2) คุณสมบัตทิ ี่เปลี่ยนเพราะอากาศ (Air-set properties) คุณสมบัติของแบบหลอที่เปลี่ยนระหวางหลังจากที่ทําแบบหลอเสร็จ และเมื่อเทน้ําโลหะเรียกวา คุณสมบัติที่เปลี่ยนเพราะอากาศ โดยทัว่ ไปการเปลีย่ นแปลงเกิดเพราะ
103
การเคลื่ อ นที่ ข องความชื้ น ในแบบหล อ และการระเหยของความชื้ น ของผิ ว แบบหล อ การ ระเหยทํ า ให ผิ ว แบบหล อ แข็ ง ขึ้ น ความแข็ ง จะเพิ่ ม ขึ้ น มากเพี ย งใดขึ้ น กั บ คุ ณ สมบั ติ ข อง ทรายและสวนผสม การกระทุง หรือสภาพรอบๆ แบบหลอ (อุณหภูมิของบรรยากาศความชื้น ฯลฯ) การที่ความชื้นระเหยออกไปทําใหผิวของแบบหลอทรายที่มีเบนโทไนทเปนตัวประสานมีอาการ เปราะ ดังนัน้ จะตองควบคุมอัตราการระเหยของความชื้น (3) คุณสมบัติเมื่อแหง (Dry properties) ทรายที่มีดินเหนียวเปนตัวประสานเมื่อแหงแลว จะมีการปลอยซึมและความแข็งแรงสูงกวาเมื่อยัง เปยก เพราะความชื้นสวนที่เกินระดับที่ทําใหเกิดความแข็งแรงเมื่อเปยกสูงสุด และความชื้นที่ติดผิวของเม็ด ดินเหนียวจะหมดไป ปริมาณความชื้นในแบบหลอกอนทําใหแหงมีผลตอคุณสมบัติเมื่อแหงเปนอยางมาก เห็นไดจาก 116 และรูป 117 วาความแข็งแรงทางอัดเมือ่ แหงจะสูงขึ้น ถาความชื้นแตแรกมีมากขึน้ จะสูงขึ้น ความแข็งแรงทางอัดเมื่อแหงของทรายที่มีดินเหนียวเปนตัวประสาน มีสวนเกีย่ วของกับการเกิด จุดเสียประเภทรอยแหวง(cut)ในขณะเท ถาความแข็งแรงทางอัดต่ําก็มักจะเกิดรอยแหวง แตถาความแข็งแรง ทางอัดมากเกินไปก็จะทําใหแกะแบบยาก (4) คุณสมบัตทิ ี่อุณหภูมิสูง (Hot properties) แบบหลอจะตองรับอุณหภูมสิ ูง และความดันสูงของน้ําโลหะในขณะเท ดังนั้นจะตองรูความแข็งแรงที่ อุณหภูมิสูง การขยายตัวเนื่องจากความรอน ฯลฯ เสียกอน (ก) การขยายตัวเนื่องจากความรอน กอนทรายหลอจะขยายตัวอยางรวดเร็วในตอนแรก และขยายตัวชาลงในตอนตอไปจนถึงจุดขยายตัว สูง ดังแสดงในรูป 118 ปริมาณสูงสุดนี้จะใหญขึ้นถาอุณหภูมิสูงขึ้น ถาเปนทรายเม็ดละเอียดจะกินเวลาใน การขึ้นถึงปริมาตรสูงสุดมากกวาทรายเม็ดหยาบ การขยายตัวเนื่องจากความรอนจะเปลี่ยนไปตามชนิดของ ทรายหลอ ดังแสดงในรูป 119 ทรายทะเลและทรายภูเขาขยายตัวเนื่องจากความรอนนอยกวาทรายซิลิกาและ ทรายโอลิวีน (olivine snd) และทรายเซอรคอน (zircon sand) ขยายตัวเนื่องจากความรอนนอยมาก การขยายตัวเนือ่ งจากความรอนเพิ่มขึ้นเปนสัดสวนกับปริมาณความชื้นของทรายและจะลดลงถา ปริมาณสวนผสมที่ติดไฟเพิม่ ขึ้น
104
(ข) ความแข็งแรงที่อุณหภูมิ แบบหลอจะตองทนความดันที่เกิดจากการไหลของน้ําโลหะได ความแข็งแรงที่อณ ุ หภูมิสูงที่แบบ 2 หลอตองมีนั้น ขึ้นกับลักษณะงาน จะตองมีคาเพียงประมาณ 30 Kg/cm (-3μPa)เปนอยางสูงสําหรับ เหล็กหลอและเหล็กเหนียวหลอ ควรจะมีคาสูงกวานี้เล็กนอย ถาเปนชิ้นงานหลอขนาดใหญหรือเปนแบบ หลอที่ทําดวยทรายแหง ความแข็งแรงที่อุณหภูมิสูงขึ้นกับชนิดของทรายหลอ และขึ้นกับปริมาณดินเหนียว ลักษณะการ กระจาย (distribution) ของขนาดเม็ดทรายและความหนาแนนตามปรากฏ (apparent density) (รูป 120) ถาปริมาณดินเหนียวไมเปลีย่ น ความแข็งแรงในการประสานระหวางทรายและดินเหนียว (binding strength) จะเพิ่มถาขนาดเม็ดทรายลดลง และความแข็งแรงของทรายที่มีขนาดเม็ดอยูในลักษณะกระจายจะ สูงกวาทรายทีม่ ีขนาดเม็ดเทา ๆ กัน ทรายที่มีขนาดเม็ดในลักษณะกระจายจะสูงกวาทรายที่มีขนาดเม็ดเทา ๆ กัน ทรายที่มขี นาดเม็ดในลักษณะกระจายจะอัดตัวไดความหนาแนนสูง มีเนื้อที่สัมผัสระหวางเม็ดทรายสูง และมีความแข็งแรงสูงที่อุณหภูมิสูง (ค) การดัดไปตามแรงที่อุณหภูมิสูง (Hot deformation) ชิ้นของทรายทําแบบหลอทีด่ ีจะดัดไปตามแรงไดมากกอนที่จะหักในสภาพอุณหภูมิสูง อาจจะกลาว ไดวา การดัดไปตามแรงนี้คอื ความสามารถที่จะรับการขยายตัวเนื่องจากความรอนขณะเทน้ําโลหะเขาแบบ หลอ การดัดไปตามแรงที่อุณหภูมิสูงจะเพิ่ม ถาขนาดเม็ดทรายเล็กลง และปริมาณดินเหนียวสวนผสมพิเศษ และความชืน้ เพิ่มขึ้น (รูป 121) (5) คุณสมบัตกิ ารคงรูป (Retained properties) คุณสมบัติของแบบหลอที่ตองมีเมื่อแกะชิ้นงานออกจากแบบหลอ หลังจากเทเรียกวา คุณสมบัติการ คงรูป เพื่อความสะดวกในการแกะแบบ ทรายทําแบบหลอจําเปนจะตองสลายตัวไดงาย หมายความวาแบบ หลอควรจะแตกรอนออกงาย ๆ และแกะทรายออกจากผิวงานไดงาย ทรายทําแบบหลอนั้นจะถูกใชซ้ําหลายคน ดังนั้นการเก็บรวบรวมทรายหลังจากการแกะแบบจะตอง ทําไดโดยสะดวก จะตองมีการควบคุมความชื้นและสวนผสมของตัวประสานอยางเครงครัดจึงจะไดทรายทํา แบบหลอที่มีคุณสมบัติการคงรูปที่ดีจริง ๆ ถาทรายสลายตัวยาก จะแกไดโดยการเติมผงถานหิน (coal- dusts) หรือแปง (starch)
105
6.5.5 การจัดระบบสําหรับทรายทําแบบหลอ (1) กระบวนการนําทรายหลอกลับมาใช จะใชทรายทําแบบหลอกันซ้าํ หลายหน ไมวาจะใชกับน้ําโลหะชนิดใด รูป 122 แสดงลําดับ กระบวนการนําทรายหลอกลับมาใช ทรายที่ผานการใชงานแลว จะถูกปรับใหเขากับสภาพที่จะใชใหมได โดยการเติมทรายใหมและตัวประสานเขาไป หลังจากเอาสิ่งเจือปนออกไปแลว จุดสําคัญของกระบวนการนี้ คือ การเอาผงละเอียดและสิง่ เจือปนออก แลวผสมทรายและทําใหทรายเย็น ทรายทําแบบหลอจะถูกยอยใหแตกออกเปนชิ้น ในตอนนี้จะมีทรายเปนผงละเอียดเพิ่มขึ้น และแรง ประสาน (binding force) ของดินเหนียวจะลดลง ดังนั้นจะแยกเอาทรายที่เปนผงละเอียดและดินเหนียว ออกมา แลวเติมทรายใหมและตัวประสานเขาไป ถาไมทําเชนนี้ความแข็งแรงและการปลอยซึมของทราย จะลดลง ทําใหเกิดจุดเสียเชนเกิดทรายเขาไปแทรกในเนือ้ โลหะ (seabs) และเกิดรูพรุนที่ผิว ฯลฯ การผสมทรายเปนขั้นสําคัญในการปรับสภาพทราย จะตองเติมดินเหนียวความชื้น และตัวเติมอื่น ๆ (additives) เขาไปกับทรายทําแบบหลอ แลวจึงผสมการใสวัสดุตาง ๆในปริมาณที่ถูกตองและการ กวนผสมเขาดวยกันเปนเรื่องสําคัญ ถาผสมไมดีทรายทําแบบหลอจะมีความแข็งแรงไมพอ ถาไมทําใหทราย เย็นเสียกอนใชทําแบบอีกครั้งหนึ่ง และถาอุณหภูมิ 30 - 40ºC จะเกิดการระเหยของความชื้นมากขึ้น แลว ไอน้ํานี้จะกลับกลายเปนของเหลวที่ผิวกระสวน ทําใหแกะทรายออกจากผิวกระสวนไดยาก นอกจากนัน้ จะ เกิดจุดเสีย (casting defects) มากขึ้น ดังนั้นจะตองทําใหทรายเย็นลง โดยใชอุปกรณทําใหเย็น(cooling apparatus) ในการปรับสภาพของควรเลือกเครื่องที่เหมาะสมกับงานเครื่องเหลานี้ คือ เครื่องโมทราย (sandmill) เครื่องผสมทราย (sand-mixer ) ตะแกรงรอนทราย (send-screen) เครื่องยอยทราย (sand-blender) ฯลฯ (2) เครื่องโมทราย (sand- mill) เครื่องผสมทราย (sand- mixer) ปรับสภาพทรายทําแบบหลอโดยใชเครื่องโมทรายหรือเครื่องผสมทรายทั้งนี้แลวแตชนิดของตัว ประสาน มักใชเครื่องโมทรายสําหรับกรณีที่ตัวประสานเปนดินเหนียวและใชเครือ่ งผสมทรายสําหรับที่ใช น้ํามัน (drying oil) หรือโซเดียมซิลิเกท (sodium silicate) เปนตัวประสาน รูป 123 แสดงเครื่องโมทรายมักมีลูกกลิง้ สองลูกหมุนอยูในถังทรงกระบอกการผสมระหวางทราย และตัวประสานเกิดจากการที่ทรายและตัวประสานถูกลูกกลิ้งอัดเขากลับพื้นลางหรือขาง ๆ ของถังผสมทราย เครื่องโมทรายที่ใชกันมากมีลูกกลิ้งสองลูกกลิ้ง
106
อยูบนแผนลางของถัง ในขณะทีห่ มุนไปรอบๆเพลากลาง ความเร็วของลูกกลิง้ รอบเพลากลางมักเทากับ ประมาณ 40-60 รอบตอนาที และจะตองใชเวลา 5-10 นาที ในการผสมจากเริ่มจนเสร็จ เครื่องโมทรายอีก ประเภทหนึ่งมีลูกกลิ้งสองลูก ซึ่งหมุนอยูในพื้นราบแนวนอน ทําการผสมทรายโดยอัดทรายเขากับขางๆของ ถัง ดังที่เห็นในรูป 5-32 สําหรับเครื่องนี้ความเร็วรอบเพลากลางเทากับประมาณ 60-100 รอบตอนาที และใช เวลาผสมเพียงประมาณ 2-3 นาทีตั้งแตตนจนเสร็จ แตการผสมวิธีแรกเปนวิธีที่ดีกวา เครื่องผสมทรายมีตัวหมุน ซึ่งประกอบดวยเพลาและมีใบกวนทรายสองสามอันติดอยูก ับเพลา ตัวหมุนนี้หมุนรอบแกนแนวราบ ทั้งหมดวางอยูใ นราง(trough) ซึ่งอยูในแนวราบ ทรายและตัวประสานจะ ถูกผสมในรางนี้ มีเครื่องผสมทรายอยูสองชนิด คือชนิดที่ผสมทรายเปนงวดๆ (batch type) และชนิดที่ผสม ทรายตอเนื่องกันไป (continuous type) เรื่องสําคัญในการใชเครื่องผสมทรายคือ การควบคุมปริมาณทรายและสวนผสมใหถูกตองตาม ตองการ การควบคุมเวลาที่ใชในการผสมใหพอเหมาะ และการทําความสะอาดเครื่องหลังจากใชแลว (3) เครื่องยอยทราย (sand-blender) เครื่องยอยทรายทําหนาทีย่ อยทรายที่เปนกอน ๆ หลังจากการผสมรูป 125 แสดง เครื่องยอยทราย ทรายทําแบบหลอจะถูกปอนเขาสูสายพานยาวซึ่งมีฟน เหล็ก มีลักษณะคลายฟนหวี ในขณะทรายถูกพาไป ตามสายยาง กอนทรายจะถูกยอยโดย “หวี” แลวจะถูกเหวีย่ งไปขางหนาของเครื่อง ในขณะทีท่ รายผาน เครื่องนี้ อาจจะจัดใหอากาศเขาสัมผัสเม็ดทราย ( aeration ) หรืออาจแยกเอาสิ่งเจือปน ( ถามี ) ออกเสีย อัตราความเร็วปอนของสายพานประมาณ 10 m/sec และระยะการเหวี่ยงทรายประมาณ 2-3 m ทรายที่ถูก ปอนเขาเครื่องนี้อาจเปนทรายจากเครื่องโมทรายหรืออาจเปนทรายดํา ( black sand ) ที่เพิ่งผานการใชทํา แบบหลอ (4) การรอนทราย ( Sieving ) ในการทําทรายแบบหลอที่ผา นการใชงานแลวกลับมาใชอีก มีการใชเครื่องรอนทรายในการแยกเอา ทรายเม็ดหยาบมาก ๆ หรือสิ่งเจือปนออก มีเครื่องรอนอยูสองชนิด คือชนิดหมุน ( รูป 126 ) และชนิดสั่น ( 127 ) ชนิดแรกเปนรูปกรวยกลมหรือกรวยหกเหลี่ยม หรือกรวยแปดเหลี่ยม เนือ่ งจากทรายทีถ่ ูกปอนเขา เครื่องจะถูกรอนออกในระหวางที่เคลื่อนที่ออกจากทางเขาไปสูทางออก ดังนั้นจึงทําทางออกเล็กกวาทางเขา
107
สําหรับกรวยรูปหลายเหลีย่ มกอนทรายจะตกลงมาในขณะที่กรวยหมุน เกิดการกระแทกระหวางกอนทราย ทําใหกอนทรายถูกยอยเปนเม็ดทราย ทรายดําในสภาพหลังจากการแกะแบบหลอ จะอยูในกอนทั้งเล็กและใหญ ในกรณีเชนนีจ้ ะผาน เครื่องยอยอีกชนิดหนึง่ เสียกอนเขาเครื่องรอน เครื่องนี้ประกอบดวยถังทรงกระบอกซึ่งหมุน ผนังดานใน ของถังจะมีแผนโลหะติดอยูใ นลักษณะเกลียว ( spiral ) เกลียวนี้จะพากอนทรายขึน้ ไป แลวปลอยใหตกลง มาแตกเปนชิ้นเล็ก ๆ (5) เครื่องแยกดวยแมเหล็ก ในการปรับสภาพของทรายทําแบบหลอทีใ่ ชแลว เพื่อนํามาใชใหม (สําหรับเหล็กหลอและเหล็กเหนียว) จะใชเครื่องแยกดวยแมเหล็กในการแยกชิน้ เหล็กออกจากทราย มีแมเหล็กที่ใชกนั อยูสองชนิดคือ แมเหล็ก ถาวร และแมเหล็กไฟฟา แมเหล็กติดอยูกับลูกรอก (pulley) ตรงปลายสุดของสายพานสงทราย (belt conveyor)ทรายจะเคลื่อนไปกับสายพานจนถึงแมเหล็ก และตกออกจากสายพาน สวนชิ้นเหล็กในทรายจะถูก ดูดติดกับทรายสายพานและหมุนตามสายพานจนเลยลูกรอก แลวจึงตกลงจากสายพาน (6) เครื่องทําใหทรายเย็น (Sand – coler) ในการที่จะทําใหทรายไดเร็ว จะตองใชอากาศที่จะระบายความรอนเขาสัมผัสเม็ดทรายใหมาก ที่สุด มีเครื่องทําใหทรายเย็นแบบตาง ๆ ดังจะไดกลาวถึงตอไป รูป 128 แสดงเครื่องที่ใชอากาศเปาผานทรายที่ถูกใบพายกวน รูป 129 แสดงเครื่องที่ปลอยทรายเขา ในเครื่องแลวตีทรายที่กําลังตกดวยใบพัด ทําใหกระจายขึ้น และมีอากาศเปาเขามาดูดความรอนจากทรายที่ กําลังกระจาย รูป 130แสดงเครื่องที่มีทรายวางอยูบนตะแกรง และมีอากาศเปาขึ้นจากเบื้องลาง เครื่องนี้มี เครื่องกลทําใหตะแกรงสั่น ซึ่งทําใหทรายลอยตัวขึ้น ดังนั้นอากาศจะดูดความรอนไดอยางมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่อุณหภูมิทรายสูงมาก เปาแตลมเทานั้นไมพอ ควรพรมน้าํ ลงบนทรายเล็กนอย เพื่อใหน้ํา ระเหยและดึงความรอนไปจากทราย
108
รูปที่105 กรรมวิธีการทําแบบหลอดวยมือ
รูปที่ 106 เครื่องมือสําหรับใชทําแบบหลอดวยมือ
109
รูปที่ 107 (a) หีบแบบหลอ
รูปที่107 (b) หีบแบบหลอลอดได
รูปที่ 108 แบบหลอปาดโดยใชแผนปาด
รูปที่ 109 เครื่องชวยปาด
110
รูปที่ 110 หีบไสแบบ
รูปที่ 111 กลไกการเปาของเครื่องเปาทําไสแบบ
111
รูปที่ 112 เครื่องยิงทรายทําไสแบบ
รูปที่ 113 รูปรางของหมุดยึดไสแบบ
รูปที่ 114 หมุดยึดไสแบบชนิดตาง ๆ
112
รูปที่ 115 รูปรางของเม็ดทรายหลอ
รูปที่ 116 ผลของความชื้นและสวนผสมดินเหนียวที่มีตอทรายที่ใชดนิ เหนียวเปนตัวยึด
รูปที่ 117 ผลของความชื้นและเบนไทไนทที่มีตอทรายที่ใชเบนโทไนทตัวยึด
113
รูปที่ 118 เสนแสดงการขยายตัวเพราะความรอนของทราย ณ อุณหภูมิที่ตาง ๆ กัน
รูปที่ 119 การขยายตัวเนื่องจากความรอนของทรายชนิดตาง ๆ
รูปที่ 120 ความแข็งแรงทางอัดเมื่อรอนของทรายทําแบบหลอ
114
รูปที่ 121 การเปลี่ยนแปลงรูปรางเมื่อรอนของทรายทําแบบหลอ ทรายใชแลว ทรายใหม ทําใหแหง ทําใหเย็น รอนดวยตะแกรง ที่เก็บทรายใหม
เขยา แมเหล็กแยกเศษเหล็ก ออก
ดินเหนียวและตัวเติมอื่น ๆ
บดกอนใหแตก ทําใหเย็น รอนดวยตะแกรง ที่เก็บทรายใชแลว
ที่เก็บดินเหนียวและตัวเติมอื่น ๆ
เครื่องผสม ผึ่งลม ที่เก็บ แบบหลอ เทน้ําโลหะ
รูปที่ 122 แผนภูมิตอเนื่องของการปรับคุณภาพทราย
115
รูปที่ 123 เครื่องโมทราย (ใชลูกกลิ้งหมุนในแนวตัง้ )
รูปที่ 124 เครื่องโมทราย (ใชลูกกลิ้งหมุนในแนวนอน)
รูปที่ 125 เครื่องเคลาใหทรายฟู
116
รูปที่ 126 เครื่องรอนทรายชนิดหมุน
รูปที่ 127 เครื่องรอนชนิดสัน่
รูปที่ 128 เครื่องกวนทรายและเปาทรายใหเย็น
117
รูปที่ 129 เครื่องทําใหทรายเย็นแบบตั้งใชใบพัดตีทรายทีก่ ําลังตก
รูปที่ 130 เครื่องทําใหทรายเย็นแบบสั่น
118 บทที่ 7 การจัดระบบงานหลอ บทนี้วาดวยการกําหนดรูเท (sprue) รูลน (riser) ทุนเย็น (chill) ฯลฯ สําหรับงานหลอ การกระทําดังกลาวนับไดวาสําคัญที่สุดในการหลอโลหะ ในการทําการหลอจะตองมีรูเท ซึ่งนําน้ําโลหะเขาสูชองวางของแบบหลอ และตองมีรูลน ซึ่ง สงน้ําโลหะเขาสมทบเมื่อมีการหดตัวขณะแข็งตัวและเย็นตัว ขนาดของรูเทและรูลนขึ้นกับความหนา ของชิ้นงานและชนิดของน้ําโลหะ ดังนั้นการกําหนดขนาดจึงเปนงานที่คอนขางยากยิ่งกวานัน้ ยังตอง คํานึงถึงสภาวะของการเท เชน อุณหภูมนิ ้ําโลหะขณะเท และอัตราการเท เนื่องจากคุณภาพของชิ้นงาน หลอขึ้นกับรูเท รูลนสภาวะการเทตาง ๆ ฯลฯ ดังนั้นการกําหนดสิ่งดังกลาวนี้จึงควรกระทําดวยความ ระมัดระวัง 7.1 ระบบจายน้ําโลหะ (Gating system) 7.1.1 ชื่อและหนาที่ของสวนตาง ๆ ของระบบจายน้ําโลหะ ระบบจายน้ําโลหะคือ ทางที่น้ําโลหะเขาสูชองวางของแบบหลอทุก ๆ สวนมีชื่อนับตั้งแตแอง (pouring cup) ที่รับน้ําโลหะที่ลงมาจากเบา (ladle) จนถึงรูที่นําเขาสูชองวางในแบบหลอ ชื่อเหลานี้มี แองเท (basin) รูเท (sprue) รูวิ่ง (runner) และรูเขา (ingate) ดังแสดงในรูป 62 แองเท เปนที่รับน้ําโลหะ จากเบา รูเท (sprue หรือ downsprue) เปนทางที่นําน้ําโลหะจากอางเทไปสูรูวิ่งและรูเขา รูวิ่ง (runner) เปนทางที่นําน้าํ โลหะจากรูเทไปยังสวนตาง ๆ ของแบบหลอ รูเขา (ingate) เปนทางที่น้ําโลหะจากรูวิ่ง เขาสูชองวางในแบบหลอ 7.1.2 รูปรางของสวนตาง ๆ ของระบบจายน้ําโลหะ (1) แองเท (Basin หรือ pouring cup) แองเทมีรูปรางเปนกรวยหรือถวยอยูเหนือรูเท แองเทตองมีลักษณะที่จะกันมิใหมีสิ่งเจือปน (inpurity) ในน้ําโลหะจากเบาเขาไปในรูเท ดังนั้นจะตองไมตื้นนักถาอัตราสวนระหวางความสูงของ เชนต่ํากวา 3 ระดับน้ําโลหะในแองเท เรียกวาH และเสนผาศูนยกลางของอางเทเรียกวา d นอยเกินไป จะเกิดการหมุนตัวของน้ํา (vortex) ซึ่งจะพาขี้ตะกรัน (slag) หรือสิ่งเจือปนอื่นซึ่งลอยอยูทผี่ ิวน้ําโลหะ เขาไปในรูเทดวย ดังนั้นความสูงของอางจึงควรจะมากที่สุดเทาที่จะทําได เชนที่แสดงในรูป 63 แตถา ลึกเกินไป การเทจะไมสะดวกและจะมีน้ําโลหะเหลืออยูภ ายหลังมากเกินไปซึ่งเปนการไมประหยัด มีแองเทแบบที่มีสวนกันขี้ตะกรัน ดังนั้นมักใหความสูงของแองเปน 5-6 เทาของเสนผาศูนยกลาง
119 (skim core) ดังแสดงในรูป 64 จะตองเทน้ําโลหะลงในสวนทีห่ างจากรูเท สวนกันขี้ตะกรันจะกันมิให ขี้ตะกรันและสิ่งเจือปนผานปลอยแตน้ําโลหะที่สะอาดลอดขางใตเขาสูรูเท บางครั้งก็มีจุกรูเท (sprue plug) อยูที่ทางเขาของรูเทจะเปดก็ตอเมื่อมีน้ําโลหะในแองเทเต็ม (รูป 65) สิ่งเจือปนและขี้ตะกรันลอยอยูทผี่ ิว ทําใหไมเขารูเท ถาแองเทเล็กเมื่อเทียบกับชิ้นงาน อาจตอง มีการเติมน้ําโลหะลงแองเทอีก 2 - 3 ครั้งกอนที่แบบหลอจะเต็ม ในบางกรณีก็ทําแองเทใหใหญกวา ชองวางในแบบหลอทําใหเทน้ําโลหะลงในแองเทใหเต็มครั้งเดียวพอ รูป 66 แสดงกรณีที่จกุ รูเททําดวยกราไฟท โดยที่กา นทําดวยเหล็กเหนียวสลักนั้นจะลอยในน้ํา โลหะและจะกันมิใหน้ําโลหะหมุนและดึงเอาสิ่งสกปรกเขาไปในรูเท (2) รูเท (sprue) รูเทเปนรูตรงและอยูในแนวตั้ง มีหนาตัดเปนรูปกลม บางครั้งหนาตัดจะเทากันตลอดจากบน ถึงลาง แตสว นมากจะใหญขางบนและคอย ๆ เล็กลง รูเทหนาตัดเทากันนั้นใชเมื่อตองการใหน้ําโลหะ เขาเร็วและสม่าํ เสมอ รูเทหนาตัดคอดลงนั้นใชเมื่อตองการกันมิใหสงิ่ เจือปนเขา คือตองการปลอยให เขานอยที่สุดเทาที่จะทําไดทาํ รูเทโดยการทะลวงแบบหลอดวยทอนของแข็ง หรือใชปลอกทําดวยวัสดุ ทนไฟ (refractory chamotte sleeve) วิธีทําประเภทหลังใชสําหรับรูเทที่ยาว (3) รูวิ่ง (runner) ทั้งนี้เพราะทําหนาตัดรูปรางดังกลาว รูวิ่งมักมีหนาตัดเปนรูปสี่เหลี่ยมคางหมูหรือครึ่งวงกลม บนหนาผาไดงาย และนอกจากนัน้ เสนรอบวงของหนาตัดยังมีคานอยเมื่อเทียบกับเนื้อที่ ดังนั้นน้ําโลหะ จะเย็นชา รูวิ่งนี้ยิ่งใหญยงิ่ ดี เพราะทําใหน้ําโลหะเย็นชาแตถาใหญเกินไปจะสิ้นเปลืองมาก รูป 67 แสดง มิติที่เหมาะของหนาตัดสําหรับความยาวตาง ๆ ของรูวิ่ง น้ําโลหะในรูวงิ่ จะยังคงมีสิ่งเจือปนลอยอยู โดยเฉพาะอยางยิ่งเมือ่ เริ่มเทดังนั้นควรพยายามเอา สิ่งเจือปนเหลานี้ออก วิธีทํามีดังนี้ 1) มีสวนตอเพื่อดักสิ่งเจือปน ตรงปลายรูวิ่ง น้ําโลหะที่มาถึงในตอนแรกสุดพรอมทั้งสิ่งเจือปน จะคางอยูใ นสวนนี้ (รูป 68) 2) ทําใหน้ําโลหะหมุนกอนถึงรูเขา ดังแสดงในรูป 69 น้ําโลหะเขาอางพักตามแนวเสนสัมผัส แลวหมุน ทําใหสิ่งเจือปนไปรวมกันอยูตรงกลาง 3) ใชรดู ัก (relief sprue) ดังในรูป 70 น้ําโลหะที่มาถึงกอนจะวิ่งขึน้ ตามรูดักและสิ่งเจือปนก็จะ คางอยูในนัน้ รูดักอยูถัดจากรูเท กอนถึงรูวงิ่ 4)ใชที่กรองดังในรูป 71 สิ่งเจือปนจะติดอยูกับทีก่ รอง เมื่อน้ําโลหะไหลผานจานกรอง (strainer core) ซึ่งเปนจานที่มีรูเล็ก ๆ เปนจํานวนมาก ควรใชวัสดุประเภทกระเบื้องเผา (ceramic) ทํา จานกรองบางครั้งก็วางจานกรองตรงทางเขาของรูเท
120 (4) รูเขา(Ingate) รูเขานั้นจะมีขนาดเล็กกวารูวงิ่ เพราะตองการกันมิใหสิ่งเจือปนเขาไปในชองวางของแบบหลอ หนาตัดของรูเขามีรูปรางสี่เหลี่ยมมุมฉาก สี่เหลี่ยมคางหมู สามเหลี่ยม และครึ่งวงกลม รูเขามักจะคอด ลงกอนถึงชองวางของแบบหลอแลวจึงใหญขึ้นเมื่อจะเขาแบบ ทั้งนี้เพื่อกักเอาสิ่งที่หลุดติดมากับ น้ําโลหะ (เชนทราย) ไวไมใหเขาแบบ ในตอนที่เอารูเทออกมักตัดสวนที่คอดที่สุดนี้ เพื่อไมใหตัดผิด โดยไปตัดเอาสวนหนึ่งของชิ้นงานหลอ (รูป 72) 7.1.3 รูเขาชนิดตาง ๆ (classfication of gating systems) รูเขามีชนิดตาง ๆ กัน ชนิดของรูเขาขึ้นกับรูปรางของชิ้นงานหลอ ชนิดตาง ๆ ของรูเขา มีรูเขา ที่หนาผา (parting gate) รูเขาทางขางบน (pop gate) รูเขาทางขางลาง (bottom gate) รูเขารูปดินสอ (pencil gate) รูเขาหลายระดับ (step gate) และรูเขารูปลิ่ม (wedge gate) ฯลฯ รูเขาที่หนาผา (รูป 73) เปนรูเขาที่ตรงหนาผาของแบบหลอ เมื่อเขาแลวน้ําโลหะจะลงไปใน ชองวางรูเขาทางขางบน (pop gate) เขาตรงจากขางบนของแบบหลอในแนวตั้ง น้ําโลหะที่เขาตามวิธีนี้ จะรบกวน (รูป 74) น้ําโลหะที่อยูใ นแบบ รูเขาชนิดนี้สิ้นเปลืองนอย และใชกนั มาก ทั้งนี้เพราะในการ ทําแบบหลอทําระบบรูเขา (gating system) ไดสะดวก และรูมักจะไมตองยาว รูเขาทางขางลาง (รูป 75) เปนรูเขาทีเ่ ขาตรงสวนลางของแบบหลอดังนั้นสวนมากจะมีรูเทยาว ในแนวตั้งตอกับรูวิ่งในแนวราบ แลวจึงมีรเู ขาตอขึ้นสูแบบ ในบางกรณีกใ็ ชรูเขารูปวงแหวน (ring gate) ดังในรูป 76 และใชรูงอน (horn gate) รูเขาทางขางลางจะทําใหน้ําโลหะขยับขึ้นในชองวางของแบบ โดยไมมีสิ่งรบกวนเชนรูเขาทาง ขางบน จึงเหมาะสมสําหรับกรณีที่ตองการใหน้ําโลหะไหลเขาเร็ว ๆ เชนเมือ่ ทําเหล็กเหนียวหลอหรือ เหล็กหลออื่นที่เกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนไดงายเชน เหล็กหลอ กราไฟทกลม รูเขารูปดินสอ (pencil gate) (รูป75) เปนระบบที่น้ําโลหะไหลลงจากรูเล็ก ๆ หลายรูที่เจาะไว ใตแองเทเหมาะสําหรับชิ้นงานหลอที่ยาวและบางเชนทอ เมื่อมีรูเขารูปดินสออยูเหนือสวนบนของแบบ หลอทอที่อยูในแนวตั้งน้ําโลหะจะเต็มจากขางลางขึ้นมาอยางสม่ําเสมอ และจะไดทอ ที่มีเนื้อสม่ําเสมอ รูเขาหลายระดับ (step gate)(รูป 79) เปนชนิดที่มีรูเทตอกับรูเขาหลายรู น้ําโลหะจะไหลเขา ชองวางในแบบจากรูเขาอันต่ําสุดกอน แลวจึงเขาจากรูเขาอันสูงขึ้นเปนอันดับ ดังนั้นน้ําโลหะที่รอน ที่สุดจะอยูตรงสวนบนของโลหะในชองวางเสมอ และการแข็งตัวจะไลจากขางลางมาถึงขางบน ถาเปน ดังนี้ถึงแมในกรณีโลหะที่มกี ารหดตัวมาก เชน เหล็กเหนียวหลอก็จะมีโพรงที่เกิดจากการหดเพียง เล็กนอยเทานัน้ ตถาไมไดทํารูเขาชนิดนี้อยางดีเปนพิเศษแลว น้ําโลหะจะไหลเขาแบบจากรูเขา อันต่ําสุดอันเดียว และดังนั้นจะไมไดผลดีเทาที่ควรไดจากรูเขาชนิดหลายระดับ
121 รูเขารูปลิ่ม (wedge gate)(รูป 80) เปนชนิดที่รูมีรูปรางยาวแตแคบอยูตรงสวนบนของแบบ ใช สําหรับชิ้นงานหลอที่เรียบและแบนที่มีความหนาปานกลางน้ําโลหะจะคอยๆเขาโดยไมกระทบกระเทือนน้ํา โลหะ ที่อยูในแบบแลวในกรณีนี้น้ําโลหะที่อยูขางบนจะรอนกวาที่อยูขางลาง และจะมีโพรงที่เกิดจากการ หดเพียงเล็กนอย 7.1.4 ระบบรูเขาสําหรับชิน้ งานเหล็กหลอ การกําหนดระบบรูที่ผูทําแบบหลอกําหนดเอาเอง โดยไมสูมีหลักเกณฑอะไรก็ทํากันมาก แตก็มีโรงหลอเปนจํานวนไมนอยที่ใชผูเชี่ยวชาญเฉพาะเปนผูกําหนดและถือเปนสวนหนึ่งของกระสวนแลวจึง สงตอใหผูทําแบบหลออยางไรก็ตามในการกําหนดชนิดตําแหนงและมิติของระบบทางเขา จะตองคํานึงถึงมิติ รูปรางและความหนาของชิ้นงาน ตลอดจนเวลาที่ใชในการเทและคุณลักษณะการไหลของน้ําโลหะ วิธีตอไปนี้ใชในการกําหนดระบบทางเขาสําหรับชิ้นงานเหล็กหลอ 1) หาเวลาที่ใชในการเท T ซึ่งขึ้นกับน้ําหนักของน้ําโลหะทั้งหมดทีใ่ ชในการเท W อาจหา T ได จากรูป 81 หรือจากตารางอืน่ 2) หาปริมาตรที่เทตอหนวยเวลา Q จากน้าํ หนัก W เวลาที่ใชในการเท T และน้ําหนักจําเพาะ ของโลหะ W = Q = v.a T 3) ปริมาตรที่เทตอหนึ่งหนวยเวลา Q เทากับผลคูณระหวางพื้นทีห่ นาตัดของรูเขา a และความเร็ว มัชฌิมา (mean) ของน้ําโลหะ V ดังนั้นจะหา a ได ถารู V V นัน้ คํานวณไดจากความสูงของรูเท h โดย ใชสูตร v = C 2 gh
g เปนความเรงเนื่องจากความดึงดูดของโลก 980 cm/sec2 และ C เปนสัมประสิทธิ์การไหล เทากับ 0.5 – 0.6 สําหรับรูเขาที่ซับซอน และเทากับ 0.9 – 1.0 สําหรับรูเขาที่ไมซับซอน 4) ถามีรูเขามากกวา 2 รู พื้นที่หนาตัดของรูเขาแตละอันจะเทากับพืน้ ที่หนาตัด a ที่หาไดจาก ขางบนหารดวยจํานวนรูเขา รูเขาจะตองมีขนาดที่มีพื้นทีห่ นาตัดเทากับคาที่เพิ่งหาได 5) มิติของรูเทและรูวิ่งหาไดจากพื้นทีห่ นาตัดรวมของรูเขา สําหรับเหล็กหลอมีหลักเกณฑดังนี้ พื้นที่หนาตัดของรูเท > พื้นที่หนาตัดของรูวิ่ง > พื้นที่หนาตัดของรูเขา
122 อัตราสวนระหวางพืน้ ที่ทั้งสองเปนดังนี้ 1:0.9:0.8 หรือ 1.0:0.75:0.5 สวนรูเขาที่เขาจาก ขางลาง (bottom gate) นั้น จะตองมีพื้นหนาตัดของรูเขาที่ใหญ ในกรณีเชนนี้ในบางครั้งก็ใชอัตราสวน 1 : 1.1:1.2 หรือ 1:1.25 :1.5 และ a ที่หาไดจากขอ 3 จะเปนพืน้ ที่หนาตัดของรูเท ขนาดของรูวิ่งและรู เขาก็จะหาไดจากอัตราสวนขางบน แตเพื่อความสะดวกมีตาราง 7.1 ซึ่งบอกขนาดของรูเท รูวิ่ง และรูเขา มาตรฐานสําหรับชิ้นงานหลอขนาดตาง ๆ สําหรับในตาราง 7.1 รูเทใหญกวารูเขา ตารางที่ 7.1 ตัวอยางมิติมาตรฐานของรูเท,รูวิ่ง,รูเขา สําหรับการหลอเหล็กหลอเทา น้ําหนักของ ขนาดเสนผา มิติของรูวิ่ง มิติของรูเขา ชิ้นงานหลอ ศูนย (kg) กลางรูเท รูวิ่งเดียว รูวิ่งคู รูเขาเดียว รูเขาคู รูเขาสาม รูเขาสี่ (mm) ทาง ทาง 150-100 30 20x20 15x15 90x6 45x6 30x6 25x6 100-200 35 30x30 22x22 100x7 50x7 35x7 25x7 200-400 40 35x35 25x25 60x8 40x8 30x8 400-800 50 40x40 30x30 75x10 50x10 40x10 800-1600 60 50x50 35x35 90x12 60x12 45x12 1600-3200 75 60x60 45x45 70x15 60x15 จํานวนของรูวงิ่ และรูเขาขึ้นกับรูปรางของชิ้นงาน น้ําโลหะจะตองเขาโพรงโดยสม่ําเสมอที่สุด เทาที่จะทําได และระยะทางจากรูเทถึงโพรงจะตองสั้นทีส่ ุดเทาที่จะทําได รูเขาจะตองอยูใ นทิศทางที่จะ ทําใหน้ําโลหะไมวิ่งเขาชนแบบหรือชนไสแบบ 7.1.5 ระบบทางเขาสําหรับชิน้ งานเหล็กเหนียวหลอ วิธีการกําหนดระบบทางเขาสําหรับชิ้นงานเหล็กเหนียวหลอก็คลายกับของเหล็กหลอ ในการ ในกรณีดังกลาวจะใชสวนรับน้ําโลหะตรงรู เทเหล็กเหนียวมักใชเบาที่เทจากสวนลาง (bottom – pour) เทที่มีพื้นที่ใหญกวาพื้นทีห่ นาตัดของชองเทของเบา เพื่อกันมิใหน้ําโลหะหก พื้นที่หนาตัดของรูวิ่งจะ ใหญกวารูเท สวนพืน้ ทีห่ นาตัดของรูเขาจะใหญกวาของรูวิ่ง ทัง้ นี้เพื่อใหน้ําโลหะวิ่งเขาแบบไดสะดวก หลักเกณฑการกําหนดขนาดมีดังนี้ พื้นที่หนาตัดของรูเท = (1.4-1.5) x พื้นที่หนาตัดชองเทของเบา พื้นที่หนาตัดของรูเท : พื้นที่หนาตัดของรูวิ่ง : พื้นที่หนาตัดของรูเขา = 1: (1.52 - 2) :( 2 - 4) ที่ผิวในของรูเทจะมีปลอกทําดวยวัสดุทนไฟ (chamotte sleeve) หรือทอดินเผา (soil tube) กันมิใหทรายติดน้ําโลหะเขาไปในโพรง
123 รูป 82 แสดงความสัมพันธระหวางน้ําหนักของชิ้นงานเหล็กเหนียวหลอกับเวลาที่ใชในการเท 7.1.6 ระบบทางเขาสําหรับชิน้ งานหลอนอกกลุมเหล็ก (non-ferrous) ในการหลอโลหะผสมนอกกลุมเหล็กมักจะเกิดขี้ตะกรัน เม็ดผลึกหยาบและความไมสม่ําเสมอ ของสวนผสมในเนื้อชิน้ งาน (segregation) ทั้งนี้เนื่องจากคุณสมบัติของโลหะนอกกลุมเหล็ก ดังนั้นจึง ตองพิจารณาคุณสมบัติของโลหะผสมแลว ใชระบบทางเขาที่เหมาะสม ระบบรูเขาที่สําคัญ ๆ สําหรับโลหะผสมนอกกลุมเหล็ก มีรเู ขาชนิดรูลน (riser gate) รูเขาจาก ขางลาง (bottom gate) รูเขารูปดินสอ (pencil gate) รูเขาหลายแขนง (branch gate) ฯลฯ (1) รูเขาชนิดรูลน รูเขาชนิดรูลน เปนระบบรูเขาซึ่งทําหนาที่เปนรูลนดวย ดังนั้นมิติจะตองใหญพอที่ทําใหทาํ หนาที่เปนรูลน ได ในการกําหนดจํานวนของรูลนใหคิดวา รูลนแตละอันใชไดในอาณาเขต 8 เทาของ ความหนา t ของชิ้นงาน มิติของรูเขาชนิดรูลนมีในรูป 83 และหาไดจากสูตรตอไปนี้ = 3t (หรือ t) D2 = 1.5D2 ถึง 2D2 H1 W1 = 0.5D2 W2 = 0.8D2 A =0.5D2 (สําหรับงานทีม่ ีรูปรางเปนทอนยาว) A =0.8t (สําหรับงานทีม่ ีรูปรางเปนแผน) H2 =1.5A =D2 R1 จํานวนของรูเขา 1 n> 8xt (หรือ t’) n : จํานวนของรูเขา l : ความยาวของชิน้ งานหลอ เพราะฉะนั้นพื้นที่หนาตัดรวมของรูเขา (a1) = n. W2 . A อัตราสวนระหวางพืน้ ที่หนาตัดของรูเทตอพื้นที่หนาตัดของรูวิ่งตอพื้นที่หนาตัดของรูเขา 1:2:2 สําหรับรูวิ่ง h =
a2 0 .8
124 W =0.8h ∴ a2 =h.W สําหรับรูเท D1 =
4a 3
π
(2) รูเขาจากขางลาง รูเขาจากขางลางใชสําหรับโลหะผสมที่มีขี้ตะกรันมาก ดังนัน้ จึงตองมีการปองกันมิใหเกิด การวนของน้ําโลหะ โดยใชแองเทใหญ น้ําโลหะจะคอย ๆ ไหลเขาแบบดวยความเร็วต่ํา เพราะมีรูดกั (relief sprue)และเพราะลักษณะของรูวงิ่ แองเทจะตองมีความกวางยาวและความลึกมากพอที่จะรับน้ํา โลหะไวไดหมดโดยไมลน ความลึกจะตองไมต่ํากวา 75 mm และตรงทางออกจะตองมีการมนที่มีรัศมี 25 – 40 mmรูเทอันที่โลหะผานอันแรก (primary sprue) มีขนาดมาตรฐานซึ่งไดกําหนดไวโดยอาศัย ประสบการณจากการปฏิบัตงิ านและอัตราสวนของพื้นหนาตัดรูเทตอพืน้ ที่หนาตัดรูวงิ่ พื้นที่หนาตัดรู เขานั้น ควรเทากับ 1:4:4 เพื่อใหน้ําโลหะไหลลงโดยไมมีการวน หลังจากที่หาขนาดของรูเท (primary sprue) ไดจากรูป 84 แลวคํานวณหามิติอื่น ๆ ไดดังนี้ D2 φ= 2.5.D1Ф H2 = 75mm D3Ф = 3.D3Ф H3 = 2.D3Ф = 6D3Ф D4Φ< 1 / 2.T และ D4Ф > 8 D5 =
a2 1 .2
H4 = 4.D4Ф H5 = 1.2.D5 n =
a1 π / 4 .D 42
D5 เปนความกวาง และ H5 เปนความสูงของรูวิ่ง จํานวนของรูเท (n) กําหนดใหระยะระหวางรูเขา (pitch) เล็กกวา 8 T และใหระยะระหวางรูเขาเทา ๆ กัน
125 (3) รูเขารูปดินสอ (pencil gate) การใชรูเขารูปดินสอเปนวิธกี ารที่ไดผลที่สุดในการปองกันการเกิดโพรงเนื่องจากการหดตัว และในการเทน้ําโลหะเขาโพรงแบบอยางสม่ําเสมอ ในกรณีนนี้ ้ําโลหะลงมาจากขางบน ดังนั้นน้ําโลหะ ในแบบจะถูกรบกวนและจะทําปฏิกิริยากับออกซิเจน ดังนั้นจึงไมเหมาะสําหรับโลหะผสมจําพวก ทองเหลืองหรืออะลูมินั่ม รูเขารูปดินสอนี้มีประโยชนในการกันมิใหน้ําโลหะกระแทกผิวแบบหลอ หรือไสแบบ และกันมิใหนา้ํ โลหะหมุนแลวดูดเอาขี้ตะกรันเขาแบบหลอ มิติของรูเขารูปดินสอหาไดจากสูตรตอไปนี้ (ดูรูป 86 ประกอบ) D < 0.5.T H = 4.D หลังจากหาขนาดเสนผาศูนยกลางของรูเขารูปดินสอแลวก็คํานวณหาน้าํ หนักของน้ําโลหะที่ จะตองเท แลวหาจํานวนรูเขาจากตาราง 7.2 (4) รูเขาหลายทาง (Branch gate) รูเขาหลายทางใชสําหรับชิ้นงานหลอที่มีรูปรางซับซอนและที่ใชรูลนขาง (side riser) ไมได เพราะถูกบังคับโดยชิ้นงานหลอ จะตองเริ่มโดยการหาอัตราการเท แลวจึงหาขนาดของระบบทางเขา อัตราการเทจะตองไมเร็วหรือชาเกินไป คือจะตองไมใหเกิดการไหลแบบอลวน (turbulent flow) การมี ขี้ตะกรันหรือทรายติดน้ําโลหะเขาไป การที่โลหะเขาไมเต็มแบบเพราะแข็งตัวเสียกอน และจะตอง พยายามใหอณ ุ หภูมิสม่ําเสมอทั่วทั้งชิ้นงานเพื่อใหไดงานหลอที่ดี ไมมีการราวหรือบิดเบี้ยว
126 ตารางที่ 7.2 ความสัมพันธระหวางจํานวนรูเขาดินสอ ขนาดเสนผาศูนยกลางของรูเขาดินสอกับ น้ําหนักเท น้ําหนักเท เสนผาศูนยกลางและจํานวนทางเขาดินสอ W (kg) 10φ 12φ 14φ 16φ 18φ 20φ 22φ 8φ 20<W<50 5 3 2 50<W<75 6 4 3 2 8 5 3 2 2 75<W<100 100<W<125 8 5 4 3 2 2 125<W<150 10 6 4 3 2 2 2 150<W<200 11 7 5 4 3 2 2 2 16 10 7 5 4 3 3 2 200<W<300 300<W<450 18 11 7 6 5 3 3 2 450<W<600 20 13 9 7 5 4 3 3 600<W<800 24 15 11 8 6 5 4 3 25 16 11 9 6 5 4 3 800<W<1000 1000<W<1500 31 21 14 11 8 6 5 4 1500<W<2000 38 24 16 12 9 7 6 5
127 ตารางที่ 7.3 เสนผาศูนยกลางของรูเทของรูเขาหลายทางและน้ําหนักเท น้ําหนักเท พื้นที่รูเทa3 เสนผาศูนยลางรูเท น้ําหนักเท พื้นที่รูเทa3 เสนผาศูนยกลางรูไท <=10 kg 300-350kg 1200mm2 130mm2 13mmΦ 39mmΦ 10-20 19 350-400 39 240 1200 20-30 22 400-450 40 370 1270 30-40 24 450-500 42 430 1360 40-50 25 500-600 43 480 1460 50-75 27 600-700 45 580 1620 75-100 30 700-800 47 700 1710 100-125 31 800-900 48 770 1840 125-150 33 900-1000 49 830 1910 150-175 34 1000-1250 52 920 2170 175-200 36 1250-1500 55 1030 2410 200-250 39 1500-2000 60 1180 2810 250-300 39 1200
พื้นที่หนาตัดของรูเขา (a3) นั้นหาไดจากตารางที่ 7.3 (a2) และรูเขา(a1) จากอัตราสวน a3 : a 2 : a1 = 1:2:2 สําหรับรูวิ่ง
แลวคํานวณหาพืน้ ทีห่ นาตัดของรูวงิ่
W 2 = ab ,
H2 = W2 (ดูรูป 87) หนาตัดของรูวงิ่ นั้นทําเปนรูปสี่เหลี่ยมคางหมูเหมือนของเหล็กหลอความกวาง (W1) และ ความสูง (H1) ของรูเขาหาไดดังนี้ H1 < 0.5 H2 W 1 > 2H1 P < 8T
128 7.2 รูลน (Riser) 7.2.1 รูลนชนิดตาง ๆ และความแตกตางในการใชงาน มี 4 แบบการใชงาน รูลนทําหนาทีป่ อนน้ําโลหะเขาไปแทนสวนที่หดในขณะที่แข็งตัว ดังนั้นน้ําโลหะในรูลน จะตองแข็งตัวหลังน้ําโลหะในชิ้นงาน ถารูลนใหญเกินไปก็จะเปนการสิ้นเปลืองและถาเล็กเกินไปจะ เกิดโพรงเนื่องจากหดตัว รูลนแบงออกไดเปนสองชนิดคือ รูลนขาง (side riser) และรูลนบน (top riser) รูลนขางอยูทาง ขางของชิ้นงานหลอ และตอกับรูเทและรูวิ่ง โดยตรงในลักษณะนีใ้ ชไดผลดีสําหรับชิ้นงานที่มขี นาดเล็ก หรือขนาดกลาง รูลนบนอยูขางบนของชิน้ งาน ซึ่งมักมีรูปรางทรงกระบอกหรือมีขนาดใหญ รูป 88 แสดงตัวอยางของรูลนขางและรูป 89 แสดงตัวอยางของรูลนบน รูลนที่เปดใหน้ําโลหะสัมผัสบรรยากาศเรียกวา รูลนเปด (open riser) สวนรูลนที่ขางบนปด (มักปดดวยรูปครึ่งทรงกลม) เรียกวารูลนปด (blind riser) รูลนปดจะไมสามารถปอนน้ําโลหะเมื่อน้าํ โลหะตรงที่ผิวในของรูลนแข็งตัว เพราะมีความดันเหนือน้ําโลหะในรูลนนอยมาก (ใกลสูญญากาศ) จะตองมีไสรูปกรวย (conical core) ปลายแหลมเสียบอยูขางบนเพื่อใหความดันจากบรรยากาศเขาชวย (ดูรูป 90) รูลนปดจะทําใหประหยัดน้ําโลหะ เพราะสามารถใชรูลนปดไดขนาดเล็กกวารูลนเปด แตจะเสียเวลาทําแบบหลอมากกวารูลนเปด 7.2.2 รูลนสําหรับชิ้นงานเหล็กหลอ การหดของเหล็กหลอในระหวางแข็งตัวจะนอยกวาของเหล็กเหนียวหลอ และโลหะผสมนอก กลุมเหล็ก (nonferrous alloys) รูลนมีหนาที่ทงั้ ปอนน้ําโลหะเขาไปแทนสวนที่หดในขณะที่แข็งตัว เพื่อกันมิใหเกิดโพรงและทั้งทําใหทราย ขี้ตะกรันตลอดจนแกสที่ติดน้ําโลหะเขาไปไดผุดขึ้นในรูลน จะไดไมติดอยูใ นชิ้นงานหลอโดยทั่วไปเหล็กหลอมีสัมประสิทธิ์การหดตัวดังนี้ เหล็กหลอที่มคี วามแข็งแรงทางดึงเกิน 35kg/ mm2 (≈ 350μPa)…5% เหล็กหลอที่มคี วามแข็งแรงทางดึงเกิน 30kg/ mm2 (≈ 300μPa)…3% เหล็กหลอที่มคี วามแข็งแรงทางดึงเกิน 25kg/ mm2 (≈ 250μPa)…2% เหล็กหลอที่มคี วามแข็งแรงทางดึงเกิน 20kg/ mm2 (≈ 200μPa)…0 – 1% กอนอื่นที่จะตองหาขนาดของรูลนที่จะทําใหสามารถปอนน้ําโลหะเขาไปแทนสวนหดไดอยาง เพียงพอ เนื่องจากน้าํ โลหะที่สัมผัสผิวของแบบรูลนและที่สัมผัสบรรยากาศจะแข็งตัวเสียกอน เพราะ อุณหภูมิลดลงอยางรวดเร็ว ดังนั้นน้ําหนักเพียงสวนหนึ่งของรูลนเทานั้นที่ทําหนาที่ของรูลน ไมใช น้ําหนักทั้งหมด อัตราสวนการปอนน้ําโลหะที่ใชไดจริง (effective feed ratio) ของรูลนขางซึ่งตอกับ ระบบทางเขา จะตางไปจากของรูลนบนซึ่งใชน้ําโลหะที่ลนขึ้นมาจากโพรง ทั้งนี้เพราะอุณหภูมิของน้ํา โลหะในแตละรูลนตางกัน ตาราง 7.4 แสดงอัตราสวนการปอนที่ใชไดจริง หมายความวา ถาน้ําหนัก
129 ทั้งสิ้นของรูลนเทากับ 100 kg น้ําหนักสวนที่ทําหนาที่ปอนจริงสําหรับรูลนขางจะเทากับ 35-40kg และ สําหรับรูลนบนเทากับ 30 – 35kg รูปรางของรูลนควรเปนทรงกระบอก ทั้งนี้เมื่อคํานึงถึงผลงานตามหนาที่ของรูลนและความ สะดวกในการทําแบบหลอ ขนาดเสนผาศูนยกลางของทรงกระบอกขึ้นอยูกบั ความหนาของชิ้นงาน เพียงอยางเดียว ดังแสดงในตาราง 7.5 เมื่อหาขนาดเสนผาศูนยกลางไดแลวมิติอื่นๆทุกอันก็จะหาได จากรูป 91 และรูป 92 นอกจากนี้ยังมีรูลนซึ่งตอยอดจากชิ้นในรูปรางทรงกระบอกยาว เชน ปลอกเสื้อสูบหรือ ลูกสูบ รูลนชนิดนี้ใชกันมากเพราะใชไดดีกวาอยางอื่น ในดานการกํากับใหการแข็งตัวดําเนินไปตาม ทิศทางที่ตองการ และในดานการทําหนาที่ของรูลนเมื่อนําโลหะเขาสูแบบ โดยใชรูเขารูปดินสอ (รูป 93) เมื่อหามิติและรูปรางของรูลนไดแลว จะตองพิจารณาเรือ่ งขอบเขตการทํางานของรูลน โดยทั่วไปขอบเขตการทํางานของรูลนจะเทากับประมาณ 8 เทาของความหนาของชิ้นหลอในตําแหนง ใตรูลน ถาความหนาของชิน้ งานหลอเทากับ 40 mm ดังแสดงในรูป 94 ขอบเขตการทํางานของรูลน เทากับ 3.20 mm นับจากขอบของรูลนในดานซายและขวาตามลําดับ ตารางที่ 7.4 ตราสวนการปอนที่ใชไดจริง ชนิดของรูลน—วัสดุที่หลอ เหล็กหลอเทา (%) เหล็กหลอเหนียว (%) รูลนบน 30 – 35 20 – 25 รูลนลาง 35 - 40 25 - 30 ตารางที่ 7.5 วิธีหาเสนผาศูนยกลางของรูลน ความแข็งแรง เสนผาศูนยกลาง DΦ ทางดึงของวัสดุ ชนิดรูลน รูลนขาง รูลนบน 20-25kg / mm2 T + 30 T + 40 T + 40 T + 50 มากกวา 30kg / mm2 T : ความหนาของชิ้นงานหลอภายใตรูลน 7.2.3 รูลนสําหรับชิ้นงานเหล็กเหนียวหลอ เหล็กเหนียวหลอมีจุดหลอมเหลวสูงและมีสัมประสิทธิ์การหดตัวสูงนอกจากนัน้ ยังแข็งตัวเร็ว กวาเหล็กหลอ ดังนั้นหนาตัดของรูลนสําหรับเหล็กเหนียวหลอจะตองใหญกวามาก รูลนควรอยู เหนือรูเขาตรงตําแหนงสูงสุดของชิ้นงานหลอและที่จุดเหนือสวนทีห่ นาที่สุดของชิ้นงาน และ
130 นอกจากนั้นจะตองเอาออกไดสะดวกเมื่อหลอเสร็จควรมีรูปรางทรงกระบอก (รูป 95 แสดงตัวอยาง ของรูลน) สวนจํานวนรูลนนั้นหาไดจากสูตรตอไปนี้ (ดูรูป 96 ประกอบ) จํานวนรูลน = ความยาวทัง้ สิ้นของชิน้ งานที่รูลนจะตองทําหนาทีป่ อนโลหะ (mm) 2 x ระยะการทํางานของรูลน (DF) (mm) ในกรณีที่มีเศษสวนใหปดเปนหนึง่ หนวยเต็ม เมื่อหาตําแหนงรูปรางและจํานวนรูลนได แลว ก็จะตองหามิติของสวนอื่น ๆ ตอไป ปริมาตรของรูลนนั้นไดจากปริมาตรของรูลน / ปริมาตรของ ชิ้นงานหลอ ซึ่งหาไดจากรูป 97 (L+W) / T เปนตัวประกอบที่ขึ้นกับรูปราง (shape factor) L คือ ความยาวของชิ้นงาน W คือความกวางของชิ้นงาน และ T คือความหนาของสวนของชิ้นงานตรงที่ควร แตในกรณีที่ไมสามารถจัดรูลนไวในตําแหนงที่ จะเปนทีต่ ้งั รูลน รูลนควรมีรูปทรงกระบอก ไดคํานวณไว เพราะรูปรางของหีบหลอหรือรูปรางของชิ้นงาน และทําใหมีตําแหนงระหวางรูลนที่ รูลนปอนไมถึงก็ใหใชรูลนที่มีความหนาเทากับเสนผาศูนยกลางของรูปทรงกระบอก และใหยดึ สวนกวาง ออกไปในทางที่ปอนไมถึง จนเปนที่แนใจไดวารูลนจะปอนไปถึงจุดที่เดิมปอนไมถงึ ความสูงของรูลน (H) นั้น ถามีปลอกที่ใหความรอนหรือมีฉนวนความรอนใหใชเทากับ เสนผาศูนยกลาง (D) ของรูลน สําหรับรูลนที่ไมมีปลอกใหความรอนหรือฉนวนความรอน ใชสูตร ตอไปนี้ ความสูงของรูลน H =(1.5 + 0.2) x D Φ ……..รูลนทรงกระบอก ความสูงของรูลน H =(2.0 + 0.2) x แกนสั้น…...รูลนรูปรี(elliptic) 7.2.4 รูลนสําหรับชิ้นงานหลอนอกกลุมเหล็ก (nonferrous) โดยทั่วไปชิ้นงานหลอนอกกลุมเหล็กหดมากในขณะแข็งตัว ดังนั้นจะตองปอนน้ําโลหะเขาใน ชองวางระหวางเม็ดผลึกที่เกิดขึ้นในระหวางแข็งตัว โดยเฉพาะอยางยิ่ง สําหรับโลหะผสมทองแดงซึ่ง ประกอบดวยโลหะที่มีจุดแข็งตัวตาง ๆ กันเปนการยากที่วางระบบมาตรฐานสําหรับการปอนโลหะ มี วิธีการกําหนดระบบการปอนโลหะอยูห ลายวิธี ตางกันสําหรับตางบริษทั แตไมมีมาตรฐาน รูป 98 แสดงตัวอยางของรูลนสําหรับชิ้นงานหลอนอกกลุมเหล็ก รูป 99 แสดงตัวอยางของรู ลนสําหรับใบพัดแมงกานีสบรอนซมิติของรูลนหาไดจากรูป 100 ขอบเขตการทํางานของรูลนสําหรับชิ้นงานหลอนอกกลุมเหล็ก เล็กกวาของเหล็กหลอ ทําให ตองเปลืองโลหะที่ใชทํารูลน มาก แตถาใชทุนเย็น(chill) เขาชวยก็จะทําใหสามารถเพิ่มขอบเขตการ ทํางานของรูลน ดังตัวอยางในตาราง 7.6 แสดงการเพิ่มขอบเขตการทํางานของรูลนสําหรับชิ้นงานหลอ บรอนซเมื่อใชทุนเย็น
131 ตารางที่ 7.6 ขอบเขตการทํางานของรูลน วัสดุที่ใชหลอ เหล็กเหนียวหลอ เหล็กหลอเหนียว เหล็กหลอเทา บรอนซ บรอนซ ทองเหลือง อะลูมินัมบรอนซ อะลูมินัม
ขอบเขตการทํางานของรูลน(T : ความหนา) 4.5T 6-6.5T 8T 6T 10T 5.5T 5-6T 6T
หมายเหตุ PELLINI 20-40(ความหนา) โดยการใชทนุ เย็น
7.3 ทุนเย็น (chills) 7.3.1 ทุนเย็นประเภทตาง ๆ ทุนเย็นคือสิ่ง (มักเปนโลหะ) ที่ใชวางติดกับสวนของชิน้ งานหลอที่ตอ งการใหเย็นเร็ว แบงออก ไดเปน 3 ชนิดคือ ทุนเย็นนอก (external chill) แบบหลอโลหะใชเปนทุนเย็นและทุนเย็นใน (internal chill) ทุนเย็นนอกนัน้ ใชกับสวนของชิ้นงานที่หนามาก หรือที่รูลนไมสามารถปอนน้ําโลหะใหได ทุนเย็นนอกดึงความรอนจากสวนนอกของชิ้นงาน ทุนเย็นชนิดแบบหลอโลหะโดยทั่วไปใชสําหรับ ชิ้นงานหลอนอกกลุมเหล็ก เพื่อทําใหเย็นเร็วและเพื่อทําใหสวนนอกทั้งหมดของชิ้นงานแข็งตัวอยาง รวดเร็ว ทั้งนี้เพื่อกันมิใหเกิดการมีสวนผสมตางกัน (segregation) และการสูญเสียความทนตอความดัน ของของเหลวทุนเย็นในใชวางตรงจุดตัด (intersection) หรือที่หนาแปลนที่นูนขึน้ มา (boss) ขนาด เล็กที่อยูหางจากรูลน ทั้งนี้เพื่อกันมิใหเกิดโพรงในเนื้องาน 7.3.2 ทุนเย็นสําหรับชิ้นงานเหล็กหลอ เนื่องจากชิน้ งานเหล็กหลอมีโพรงที่เกิดจากการหดตัวนอยกวาเหล็กเหนียว และโลหะนอก กลุมเหล็ก(nonferrous metals) จึงมักไมตองใชทุนเย็น แตสําหรับเหล็กหลอเหนียว (ductile cast iron) ซึ่งปจจุบันใชกันมากนั้นก็ใชทุนเย็นกันมากทุนเย็นทําใหเกิดการประหยัดโลหะที่ตอ งใชทํารูลน ทุนเย็นสําหรับชิ้นงานเหล็กหลอ ใชในการกันมิใหเกิดโพรงที่เกิดจากหดตัวโดยทําใหสวนที่ หนาแข็งตัวและเย็นตัวเร็วขึ้น ทําใหสวนที่หนาและสวนที่บางแข็งตัวพรอมกัน ถาใชทุนเย็นไมเพียงพอ จะทําใหเกิดจุดเสีย (defects) กลาวคือการบิดเบี้ยวและรอยราวตลอดจนโพรงที่เกิดจากการหดตัว รูป 101 แสดงวิธีการใชทุนเย็น
132 7.3.3 ทุนเย็นสําหรับชิ้นงานเหล็กเหนียวหลอ หนาที่สําคัญของทุนเย็นสําหรับเหล็กเหนียวหลอคือ การรักษาสวนที่ไมไดรับน้ําโลหะปอน จากรูลนมิใหเสียการใชทุนเย็นนอกและทุน เย็นใน มักเปนไปตามหลักเกณฑตอไปนี้ 1) ชิ้นงานหลอที่บางสวนหนาบางสวนบางใชทุนเย็นนอกและทุนเย็นใน 2) ชิ้นงานหลอที่มีความหนาของสวนหนาสุดมากกวาสองเทาของความหนาของสวนบางสุด ใชทุนเย็นใน 3) การปองกันมิใหเกิดโพรงจากการหดตัวที่จุดตัด ใชทุนเย็นนอกและทุน เย็นใน 4) การปองกันมิใหเกิดรอยราวที่จุดตัดใชทนุ เย็นนอกรูป 102 และรูป 103 แสดงวิธีหามิติของ ทุนเย็นนอก และรูป 104 แสดงวิธีหามิติของทุนเย็นใน ชนิดของวัสดุที่ใชทําทุนเย็นเปลี่ยนไปตามลักษณะการใชงาน ชิ้นงานเหล็กเหนียวหลอและ ทอนเหล็กเหนียวออน (mild steel) กลม ใชทําทุนเย็นนอกและทอนเหล็กเหนียวออนกลมใชทาํ ทุนเย็น ใน และใชทําทอนเย็น (chill rods)ใชกับขอตอ (junction) 7.3.4 การเลือกใชทุนเย็นสําหรับชิ้นงานหลอนอกกลุมเหล็ก(non-ferrous casting) ทุนเย็นนั้นใชสวนมากกับชิน้ งานหลอนอกกลุมเหล็ก วัสดุที่ใชทาํ ทุนเย็นมักเปนเหล็กหลอ แต สําหรับชิ้นงานหลออลูมินั่มผสม (aluminum alloy) มักใชทุนเย็นที่ทําดวยวัสดุที่มีสวนผสมเหมือนกับ ชิ้นงานหลอนัน้ ที่มีดีบุกเปนสวนผสมหลัก ชิ้นงานหลอนอกกลุมเหล็ก อาจแบงออกไดเปนหลายชนิด เชน (tin base) เชนบรอนซ ที่มีสังกะสีเปนสวนผสมหลัก เชน ทองเหลือง ที่มีตะกั่วดีบุกเปนสวนผสมหลัก เชนบรอนซตะกัว่ และอลูมนิ ั่มผสม ฯลฯ ตาราง 7.7 แสดงการใชทุนเย็น แยกตามวัสดุที่ใชหลอ หนาที่ ของทุนเย็นก็เปลี่ยนไปตามชนิดของวัสดุที่ใชหลอดวย 1) สําหรับชิ้นงานหลอบรอนซชวงอุณหภูมแิ ข็งตัวจะกวาง และการที่จะปอนโลหะเขาสูทวี่ าง ระหวางโครงสรางรูปกิ่งไม (dendrites) ก็ทําไมไดเพราะบรรดากานของโครงสรางชนิดนี้กนั้ ไว ดังนั้น จะเกิดโพรงเล็ก ๆ ที่เกิดจากการหดตัวและทําใหคณ ุ สมบัติของชิ้นงานในดานความทนตอความดันของ ของเหลวตองตกต่ําลง เพื่อปองกันมิใหเกิดจุดเสีย (defect) นี้ โครงสรางจะตองประกอบดวยเม็ด ผลึกรูปเสาเข็ม (columnar grains) หนาทีส่ ําคัญของทุนเย็นคือ การชวยใหเกิดโครงสรางชนิดดังกลาว 2) สําหรับชิ้นงานหลอฟอสเฟอรบรอนซ และบรอนซตะกั่วนั้น ทุนเย็นทําหนาที่กันมิใหเกิด การเปลี่ยนแปลงในสวนผสม (segregation) ของฟอสฟอรัสและตะกัว่ ตามลําดับ และกันมิใหเกิดโพรง เนื่องจากการหดตัวในกรณีของชิ้นงานหลอบรอนซ 3)ในกรณีของทองเหลือง ทองเหลืองความแข็งแรงสูง หรืออะลูมินัมบรอนซโลหะเหลานี้มี สัมประสิทธิ์การหดตัวสูง ดังนั้นจึงใชทนุ เย็นในการประหยัดโลหะที่ตองใชทํารูลน และกันมิใหเกิด
133 การเสื่อมลงของคุณสมบัติทางกล เพราะใชเวลาการแข็งตัวนาน โดยเฉพาะอยางยิง่ ทองเหลืองความ แข็งแรงสูง ไดรับความกระทบกระเทือนในเรื่องนี้มาก ถาไมมีทนุ เย็นชิน้ งานหลอทําดวยโลหะชนิดนี้ จะเกิดการราวเนื่องจากการเปลี่ยนคุณสมบัติกับเวลา (aging) นอกจากนั้นคุณสมบัติทางกลจะ ตกลงอยางมากอะลูมินั่มบรอนซที่เย็นชา ๆ จะเสียความแข็งแรงทางดึง (ซึ่งควรจะสูง) และความทน ตอการกระแทก ทั้งนี้เพราะสภาพ ﻻตกผลึก 4) สําหรับชิ้นงานหลออะลูมินั่มผสม ทุนเย็นมีหนาที่ทําใหโครงสรางละเอียดในตําแหนงที่จะ ไดรับการปอกผิวดวยเครื่องกลโรงงาน นอกจากนีย้ ังมีหนาที่ลดโพรงเนื่องจากการหดตัว ตาราง 7.8 และ 7.9 แสดงลักษณะการใชงานและชนิดของทุน เย็นการเลือกใชทุนเย็นขึ้นกับ จุดประสงคในการใชงาน เชน เพื่อใหชิ้นงานกั้นไมใหน้ําซึมผานได (seal) หรือเพื่อใหเม็ดผลึกละเอียด ตรงผิวที่จะไดรับการปอกดวยเครื่องกลโรงงาน ฯลฯ ไดมีการทดลองเพื่อหาวิธีท่ดี ที ี่สุดที่จะหามิติและความหนาของทุนเย็นถึงแมจะถือวาเปนวิธีที่ ใชโดยทัว่ ไปไมได เพราะทุนเย็นที่ใชในการทดลองอาจมีรูปรางไมเหมือนกับทุน เย็นที่จะใช แตถาใช คาที่ไดจากการทดลองที่ต่ําสุดก็จะทําใหมิติที่ใชไมผิดมากนัก สูตรตอไปนี้ใชในการหามิติและความ หนาของทุนเย็น การหาความหนาของทุนเย็นนอกและแบบหลอโลหะ T = α .t T : ความหนา (mm) ของทุนเย็นนอกหรือแบบหลอโลหะ t : ความหนาของชิ้นงานหลอ ซึ่งตองการการใชทุนเย็น (mm) α : คาคงที่ขึ้นกับชนิดวัสดุของชิ้นงานหลอ (ดูตาราง 7.10) สูตรนี้ใชไดในกรณีที่ T < 50 mm การหาขอบเขตการใชงานของทุนเย็นนอก L = B. (T + W) L ขอบเขตการใชงานของทุนเย็น (mm) T ความหนาของทุนเย็น (mm) B คาคงที่ขึ้นกับวัสดุที่ใชหลอ (ดูตาราง 7.11) W ความกวางของทุนเย็น (mm)
134 ตารางที่ 7.7 การใชทุนเย็นและวัสดุที่หลอ ชนิด วัสดุ การใช ทุนเย็นนอก ใสไวบนชิน้ งานหลอที่หนาเกิน 40 mm หรือใสไวบนผิว BC,LBC,PBC,AL งานที่มีความหนาเกิน 20 mmหรือใสไวบนชิ้นสวนทีห่ นา นอยกวานัน้ แตมีการเปลี่ยนแปลงในความหนา HBsC,YbsC,AlBC ใสไวบนชิน้ หลอที่มีรับน้ําโลหะทางรูลนได และหนาเกิน 20 mmหรือใสไวบนมุมฐานรองหรือที่มุมของขอตอ แบบหลอโลหะ BC,LBC,PBC,HBsC,Ybs ในทํานองเดียวกันกับทุนเย็นนอก แตในกรณีที่ผลิตเปน C,AlBC จํานวนมากกวา 5 และรูปรางงาย ๆ หรือสําหรับงาน BC2 หรือ BC3 ที่ไมตองตกแตงทีม่ ีความหนามากกวา 20 mm และตองทดลองอัดดวยน้ําหรือลม ทุนเย็นใน BC,HBsC,PBC,YbsC,LB ใชสอดเขาไปในชิ้นงานหนา ๆ ซึ่งจะตองเจาะหรือควาน C,AlBC,Al ภายหลังหรือชิน้ สวนที่ไมสามารถรับน้ําโลหะจากรูลนได และหนาเกิน 40mm ในกรณีที่ใชทุนเย็นนอกไมได BC : บรอนซหลอ (Bronze Castings) BC2 : บรอนซหลอ(Bronze Gastings) ความแข็งแรง >25kg/mm2 การยืด >20% BC3 : บรอนซหลอ(Bronze Castings) ความแข็งแรง>25kg/mm2 การยืด > 15% Al : อะลูมินัม LBC : บรอนซผสมตะกั่วหลอ(Leaded Bronze Castings) PBC : ฟอสเฟอรบรอนซหลอ(Phosphor Bronze Castings) HBsC : ทองเหลืองหลอความแข็งแรงสูง (High strength Brass Castings) YBsC : ทองเหลืองชนิดเหลืองหลอ (Yellow Brass Castings) AlBsC : อะลูมินัมบรอนซหลอ (Aluminum Bronze Castings) (จากมาตรฐานอุตสาหกรรมญี่ปุน) การหามิติของทุนเย็นใน D Φ =t DΦ : เสนผาศูนยกลางของทุนเย็น (mm) T : ความหนาของชิ้นงานที่จะตองใชทนุ เย็น ﻻ: คาคงที่ขึ้นกับวัสดุทใี่ ชหลอ (ดูตาราง 7.12)
135 ถาจะตองมีการเจาะ(drilling) หรือขยายรู(boring)หลังจากการหลอ จะตองใชทุนเย็นใน ซึ่งมี เสนผาศูนยกลางเล็กกวา 60%ของเสนผาศูนยกลางของรูที่จะเจาะ จํานวนครั้งในการใชทุนเย็นกวาจะถึงพิกดั ความทน (endurance limit) เปนเรื่องสําคัญถาใช ทุนเย็นหลาย ๆ ครั้งเขาผิวจะละลาย เพราะเกิดการเปลี่ยนรูปเนื่องจากความรอน (heat distortion) หรือ อาจเกิดรอยราวเปนเสนละเอียดการใชทุนเย็นที่เสื่อมคุณภาพแลว จะเกิดผลเสียแกชิ้นงานหลอ ดังนั้น จะตองตรวจจํานวนครั้งที่ทนุ เย็นจะใชไดจากตาราง 7.13 ตารางที่ 7.8 การใชทุนเย็น ชนิด การใช สําหรับสวนทีป่ อนน้ําโลหะเขาไมได และที่มีความหนาไมคงที่สําหรับผิวงาน ทุนเย็นนอก ที่ตองการใหเย็นเร็ว สําหรับหนาตัดหนามาก ๆ(หนากวา 250mm)ในกรณีที่ เกรงจะเสียคุณสมบัติทางกล ทุนเย็น สําหรับดุมที่ตองเจาะรูภายหลัง และใชทุนเย็นนอกไมได ทุนเย็น แทง T Φ =(1/4 - 1/5) t ใน ทุนเย็น สําหรับชิ้นสวนซึ่งใชขดลวดไดผลดี ขดลวด TΦ = (0.04 – 0.08) x ปริมาตรของสวนที่หนา
ชนิด ทุนเย็นนอก
แบบหลอโลหะ ทุนเย็นใน
ตารางที่ 7.9 ชนิดของทุนเย็น การใชงาน ใชแทงเหล็กใสไวบนชิ้นงานหลอ เมื่อทําให อัตราการเย็นตัวสม่ําเสมอและชวยให โครงสรางโลหะดีขนึ้ แบบหลอทั้งอันหรือไสแบบที่ทําดวยโลหะ จะชวยทําใหโครงสรางของโลหะดีขึ้น สอดแทงโลหะเขาไปในสวนที่หนา เพื่อทํา ใหอัตราการเย็นตัวสม่ําเสมอ ตารางที่ 7.10 คาของ a (แอลฟา) วัสดุ คาของ a BC,PBC,LBC 1.2 YBsC,HBsC,AlBC,Al 0.8
รูปประกอบ
136 ตารางที่ 7.11 คาของ B (เบตา) วัสดุ คาของ B (เบตา) BC,PBC,LBC 0 YBsC,HBsC,AlBC,Al 1.0
ตารางที่ 7.12 คาของ ( ﻻแกมมา) วัสดุ คาของﻻ BC,PBC,LBC 0.5 YBsC,HBsC,AlBC,Al 0.4
ตารางที่ 7.13 จํานวนครั้งในการใชทุนเย็นจนกวาจะถึงพิกัดความทน วัสดุ จํานวนครั้ง ทุนเย็นนอก 5–6 แบบหลอโลหะ 40 - 50
รูปที่ 62 ชื่อของสวนตาง ๆ ในระบบการปอนน้ําโลหะ
137
รูปที่ 63 มิติของแองเท
รูปที่ 64 แองเทพรอมดวยสวนกันขี้ตะกรัน
รูปที่ 65 แองเทพรอมดวยจุกอุด
138
รูปที่ 66 การกําจัดการหมุนวนของน้ําโลหะโดยใชจุกกราไฟท
รูปที่ 67 มิติและรูวิ่ง
รูปที่ 68 สวนตอเพื่อดักสิง่ เจือปน
139
รูปที่ 69 ทางเขาวน
รูปที่ 70 รูดกั
140
รูปที่ 71 ตัวอยางของการใชที่กรอง
รูปที่ 72 รูปรางของรูเขา
รูปที่ 73 รูเขาที่หนาผา
141
รูปที่ 74 รูเขาทางขางบน
รูปที่ 75 รูเขาทางขางลาง
รูปที่ 76 รูเขารูปวงแหวน
142
รูปที่ 77 รูงอน
รูปที่ 78 รูเขารูปดินสอ
รูปที่ 79 รูเขาหลายระดับ
143
รูปที่ 80 รูเขารูปลิ่ม
รูปที่ 81 แผนภูมิอัตราการเทน้ําโลหะ
144
รูปที่ 82 ความสัมพันธระหวางเวลาที่ใชเทกับน้ําหนักเท สําหรับเหล็กเหนียวหลอ
รูปที่ 83 มิติของรูเขาชนิดลน
145
รูปที่ 84 เสนผาศูนยกลางของรูเทจริง(ไมใชรูดัก)vs น้ําหนักเท
รูปที่ 85 มิติของรูเขาจากดานลาง
146
รูปที่ 86 มิติของรูเขารูปดินสอ
รูปที่ 87 มิติและรูปรางของรูเขาหลายทาง
รูปที่ 88 ตัวอยางของรูลนขาง
147
รูปที่ 89 ตัวอยางรูลนบน
รูปที่ 90 ไสแบบแหงสนิทเสียบอยูที่สวนบนของรูลนปด
รูปที่ 91 มิติของรูลนขาง
148
รูปที่ 92 มิติของรูลนบน
รูปที่ 93 มิติของรูลนบน
รูปที่ 94 ระยะทางที่รูลนสามารถปอนโลหะถึง
149
รูปที่ 95 รูลนชนิดตาง ๆ
รูปที่ 96 ความสัมพันธระหวางความหนาของชิน้ งานหลอ (T )กันระยะทางที่รูลนสามารถปอนได (Dp)สําหรับเหล็กเหนียวหลอ
150
รูปที่ 97 เสนโคง “เพสลินี”
รูปที่ 98 รูลนสําหรับชิ้นงานหลอที่ไมมีเหล็กผสมอยู (NONFERROUS)
151
รูปที่ 99 รูลนสําหรับใบพัด
รูปที่ 100 การกําหนดรูลนสําหรับงานหลอใบพัด
152
รูปที่ 101 การใชทุนเย็น
รูปที่ 102 ทุนเย็นนอกวางไวบนพื้นผิวราบ
153
รูปที่ 103 ทุนเย็นใสไวตรงมุม (แทงกลม)
154
รูปที่ 104 วิธีคํานวณหาขนาดของทุน เย็นใน
155
บทที่ 8 การหลอมและการเทเหล็กหลอ 8.1 การตรวจและการปรับคุณสมบัตินา้ํ เหล็ก กอนที่จะเทน้ําเหล็กควรไดตรวจสวนผสมและคุณสมบัตเิ สียกอน และเมื่อตรวจแลวถาจําเปน ก็ปรับคุณสมบัติเชน โดยการใสสารพิเศษ (inoculation) 8.1.1 วิธีการตรวจน้ําเหล็ก (1) การทดสอบโดยวิธีเย็นเร็ว โดยทั่วไปจะใชชิ้นทดสอบรูปลิ่ม หรือรูปแบนที่ถูกจับใหเย็นโดยเร็วรูป 131 แสดงชิ้นทดสอบ ดังกลาว ในการทดสอบจะตองตักน้ําเหล็กออกจากปากคิวโพลาหรือเบา แลวเทลงในแบบหลอของชิ้น ทดสอบแลวปลอยใหเย็นหลังจากแข็งตัวแลว ก็หักชิ้นทดสอบออกเปน 2 สวน แลววัดสวนกวางหรือสวนลึก ของสวนที่เปนเหล็กหลอขาว ถา % ของ C และSi มีนอย มักจะเกิดสวนที่เปนเหล็กหลอขาวลึกกวากรณีที่ % ของ C และ Si มีมาก รูป 132 แสดงความสัมพันธระหวางความลึกของเหล็กหลอขาวและคารบอนอิ่มตัว หรือ saturated carbon (Sc) คารบอนอิ่มตัวหมายถึง %C + %Si (2) การตรวจเยื่อหุมผิวบนของน้ําเหล็ก ที่อุณหภูมิต่ํากวา 1,400˚C จะเกิดมีเยื่อที่เกิดมีจากปฏิกิรยิ ากับออกซิเจนอยูบนน้ําโลหะ เยื่อนี้จะแตก ออกเมื่อแกสจากน้ําโลหะดัน และจะเกิดเปนรูปตาง ๆ จากการสังเกตรูปเหลานี้จะพอรูคณ ุ สมบัติของน้ํา โลหะอยางคราว ๆ เพราะน้ําเหล็กทีม่ ีสวนผสมตางกันจะเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนมากนอยตางกัน รูป ดังกลาวแบงออกไดเปนชนิดตาง ๆ ดังในรูป 133 รูปลายหลังเตาแสดงวามี % C และSi สูงเมื่อ%C และ Si ต่ําลง รูปเยือ่ จะกลายเปนลักษณะใบสนหรือใบไผ หรือเปนลักษณะมองไมออก รูปใบไผและรูปมอง ไมออกแสดงวามีการทําปฏิกิริยากับออกซิเจนมาก และถามีปฏิกิริยากับออกซิเจนมากกวานัน้ เยื่อจะปดน้ํา โลหะเสียหมด และไมปรากฏเปนรูปอะไรเลย (3) การวิเคราะหดานความรอน หรือจุดที่อุณหภูมิหยุดเปลี่ยนกอนถึงอุณหภูมยิ ูเทคติค โดยทั่วไปอุณหภูมิที่เริ่มเกิดการแข็งตัว (proeutectic thermal arrest temperature) มีความสัมพันธอยางใกลชิดกับคารบอนเทียบเทา (carbon equivalent หรือCE=C% + 1/3(Si% + P)) เชนในกรณีของเหล็กหลอที่มี % C ต่ํากวาสวนผสมยูเทคติค (hypo-eutectic cast iron)หรือมี % C ต่ํากวา 4.25% อุณหภูมิทแี่ บงระหวางสภาวะของแข็งและของเหลว (liquidus temperature) จะเปนสัดสวนกลับกับคารบอนเทียบเทา ดังนัน้ จะหาคารบอนเทียบเทาของน้ําเหล็ก ไดถารูจุดที่อณ ุ หภูมิหยุดเปลี่ยนกอนถึงอุณหภูมิยูเทคติค จะดังกลาวไดจากเสนแสดงอัตราการเย็นตัว (cooling curve) แลวเทียบกับเสนแสดงความสัมพันธระหวางจุดที่อุณหภูมหิ ยุดเปลี่ยนคารบอนเทียบเทา ซึ่ง
156
ไดมาจากการทดลอง การวัดคารบอนเทียบเทาโดยวิธีนใี้ ชกันอยางแพรหลาย รูป 134 และ 135 แสดงตัวอยาง ของเสนแสดงอัตราการเย็นตัวกับเสนแสดงความสัมพันธระหวางจุดอุณหภูมหิ ยุดเปลี่ยนและคารบอน เทียบเทาซึ่งไดจากทดลองรูป136 แสดงวาคารบอนเทียบเทาที่หาไดโดยวิธีนี้ใกลเคียงกับผลที่ไดจากการ วิเคราะหทางเคมี (4) การวัดอุณหภูมิ ใชเทอรโมคัปเปล (thermo-couple) เครื่องวัดอุณหภูมิโดยวิธีเปรียบเทียบสี (optical pyrometer or color pyrometer) ชนิดหลังใชกันแพรหลาย เพราะถูกกวาและใชงาย 8.1.2 การปรับคุณสมบัตขิ องน้ําเหล็ก (1) การใสสารพิเศษ (Inoculation) (a) วิธีนี้ใชการใสโลหะหรือโลหะผสมลงไปในน้ําเหล็กกอนเท โดยใหมีปริมาณนอยพอที่จะไมทํา ใหเปลี่ยนสวนผสมทางเคมีของเหล็ก จุดประสงคของการกระทํานีก้ เ็ พื่อใหกราไฟทกระจายอยางสม่ําเสมอ ทั่วเนื้อเหล็ก และเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติทางกล รูป 137 แสดงการเพิ่มความแข็งแรงทางดึง (tensile strength) และการลดความแข็ง สารพิเศษนี้ชว ยปองกันมิใหสวนบางของชิ้นงานเกิดเปนเหล็กหลอขาว และจะทําใหเกิดโครงสรางที่เหมือนกันอยางสม่ําเสมอทั่วชิ้นงาน ถึงแมวาความหนาของชิ้นงานจะไมเทากัน (b) สารพิเศษ(inoculant) สารพิเศษที่ใชมีสารพิเศษชวยใหเกิดกราไฟทและสารพิเศษรวม สารพิเศษที่มักใชกันมีแสดงใน ตาราง 8.1 ในบรรดาสารพิเศษเหลานัน้ มีแคลเซียมซิลิไซด (calcium silicide) ซึ่งมีแคลเซียม 30 – 35% และเฟอโรซิลิคอน(ferro-silicon) ซึ่งมี Si อยู 50 – 75% ที่ใชกันแพรหลายที่สุด
157
ประเภ ท
ตารางที่ 8.1 สวนผสมทางเคมีของสารพิเศษ (inoculants) สวนผสม (%) Si Ca In Cr C สารพิเศษ สัญลักษณ เมดัลลิค ซิลิคอน 50 S เฟอรโร ซิลิคอน 75 S
ทําให เกิด กรา ไฟท
เฟอรโร ซิลิคอน คารบอน(เศษอีเลคโทรด) แคลเซียมซิลิไซด คารโบรันดัม ซิลิโด-โครเมียม ซิลิโด-โมลินดีนัม
Si Fe-Si50%
>98 50
Fe 50 Fe2520
Fe-Si75% 75-80 C Ca-Si Si-C Si-Cr Si-Mo
Other elem ents
90-100 60-65 30-35 45-56 30 30
วัสดุ รวม หลาย อยาง ซิลิโด-แมงกานีส-โครเมี่ยม Si-Mn-Cr 17-19
28-46 50 Mo 60 8-11
(C) วิธีการใสสารพิเศษ วิธีที่งายที่สุดและไดผลที่สุดคือ การโรยสารพิเศษลงบนน้ําโลหะ ขณะที่ไหลจากปากเตาหรือเมือ่ ไหลจากเตาพัก (forehearth) เขาเบา บางครั้งก็จะใสสารพิเศษไวที่กน เบา แลวเทน้ําโลหะทับลงไปแลวจึง กวนใหผสมกัน ผลที่จะไดจากการใสสารพิเศษจะลดลง ถาทิ้งไวนานหลังจากผสมแลวดังแสดงในรูป 138 ดังนั้นจึงมีการใชแทงสารพิเศษติดอยูท ี่ปากเทของเบา ดังแสดงในรูป 139 ปริมาณสารพิเศษที่ใชอยู ในราว 0.1-0.3% ของน้ําโลหะ อุณหภูมิขณะใสสารพิเศษควรสูงที่สุดเทาที่จะทําได ถาอุณหภูมิต่ํากวา 1,400°Cการใสสารพิเศษมักจะใหผลนอย
158
(2) การเติมโลหะผสม บางครั้งมีการเติม Ni,Cr,Mo ฯลฯ ลงไปในน้ําโลหะบางกอนทีจ่ ะเท ทั้งนี้เพื่อปรับปรุง คุณสมบัติทางกล ความทนตอความรอน ความทนตอการกัดกรอนความทนตอการสึกหรอ หรือ คุณสมบัติอื่น ในการเติมดังกลาวนี้อาจใช 20% Fe-Ni,60% Fe-Cr เศษลวดทองแดง 60% Fe-Mo หรือโลหะ ผสมอื่น (3) การกระทําเพื่อลดซัลเฟอร (กํามะถัน) ซัลเฟอรโดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อมีปริมาณต่ํากวา 0.1% จะไมสูมีผลเสียตอคุณสมบัติของเหล็กหลอ แตในกรณีที่ตอ งการทําเหล็กหลอกราไฟทกลม (spheroidal graphite cast iron) จําเปนตองลดปริมาณ ซัลเฟอรใหต่ํากวา 0.01-0.02% กอนที่จะลงมือทําการใหกราไฟทมีรูปกลม ที่จําเปนเพราะโลหะผสม แมกนีเซียมราคาแพง ซึ่งใชในการทํากราไฟทใหกลมจะไปทําปฏิกิรยิ ากับซัลเฟอรเสียมาก กอนที่ไดไปทํา หนาที่ทํากราไฟทใหกลม ในการลดซัลเฟอรมักใชแคลเซียมคารไบด (Ca C2) กัน 8.2 การเทเหล็กหลอ 8.2.1 เบาเท ใชเบารับน้ําเหล็กจากเตากอนเทเขาแบบ มีเบาเทชนิดตาง ๆ เชนเบาที่มีแขนใชในการยกและการเท เบาที่มีคันโยก (ขนาด 10 – 2,000 kg)เบาที่ใชเฟองในการทําใหเอียงขณะที่เท เบาที่เทจากขางใตพรอมจุก (ขนาด 200 – 10,000 kg) ฯลฯ เบานั้นมีทงั้ ทรงกรวยและทรงกระบอก เบาชนิดปากเหมือนกาน้ําชาและชนิด และบุ เทจากขางใตสามารถกันไมใหขี้ตะกรันปนเขาไปกับน้ําเหล็กเบาเหลานี้ทําดวยแผนเหล็กเหนียว ภายในดวยวัสดุทนไฟ เชน อิฐทนไฟวัสดุทนไฟสําหรับเบาขนาดต่ํากวา 500 kg ทําจากทรายซิลิกา ดินทนไฟ และเศษอิฐทนไฟ อัตราสวนผสมประมาณ 1.2 :1.2 :1 นวดใหเขากันดวยมือ เติมน้ํา 10 – 15% แลวจึงใชบุ เบาที่บุแลวตองใชเตาฟูแกสหรือเตาฟูน้ํามันทําใหแหงใชเวลา ½ - 1 ชั่วโมง มักใชราวเดีย่ วและกวานไฟฟา ในการยกและเคลื่อนที่เบารูป 140 แสดงเบาทรงกรวยทีใ่ ชเฟองและพวงมาลัยหมุน 8.2.2 การระมัดระวังในการเท (1) การทําใหเบาแหง ถาเบาไมแหงสนิทจะทําใหอุณหภูมิของน้าํ เหล็กลดลง เกิดปฏิกิรยิ าระหวางน้ําเหล็กกับออกซิเจน และเกิดจุดเสีย เชน รูพรุน (blow hole,pin hole) ฯลฯ
159
(2) การเอาขี้ตะกรันออก จะตองเอาขี้ตะกรันบนน้ําโลหะออกกอนการเท ขี้ตะกรันเกิดจากการเติมสารเคมีหรือการที่ผิวเตาสึก กรอน (erosion) เพื่อความสะดวกในการเอาขี้ตะกรันออก ใชขี้เถาของฟางหรือแปงแกว (obsidian flour) โปรยทั่วผิวหนาของน้ําโลหะ การที่ปดผิวหนานี้ชว ยไมใหอุณหภูมิตกดวย (3) อุณหภูมิเท อุณหภูมิเทมีผลกระทบกระเทือนตอคุณสมบัติของชิ้นงานหลอเปนอยางมากถาอุณหภูมิเทต่ําไป น้าํ โลหะจะแข็งเร็ว จะไหลไมดี และทําใหเกิดจุดเสีย เชนรูโหวที่เกิดจากการหด รูพรุน และน้ําโลหะไมเขา (misrun) ฯลฯ (4) เวลาที่ใชในการเท จะตองเทโดยไมกระฉอกและเทใหเสร็จโดยเร็ว แองรับน้ําเหล็ก(pouring basin) ตองเต็มอยูเสมอ ขณะเทควรคํานวณเวลาที่ควรใชในการเท โดยคํานึงถึงน้าํ หนัก ความหนาของชิ้นงาน ตลอดจนลักษณะของ แบบ ฯลฯ 8.2.3 การเทโดยอัตโนมัติ สภาพการทํางานในขณะเทเปนสภาพที่ไมเหมาะสําหรับคนทํางาน เพราะรอนและมีฝุนและควัน และการเรงความเร็วในการเท ในระยะหลัง ๆ นี้ทําใหการเทโดยใชแรงคนเปนไปไดโดยยาก ดังนั้นการเท โดยอัตโนมัตจิ ึงเปนที่นยิ มใชกันในการหลอที่ใชแบบโลหะ และโลหะที่ใชหลอมีจุดหลอมเหลวต่ํา แต สําหรับเหล็กหลอใชกันไมมากเทา เพราะอุณหภูมหิ ลอมเหลวสูง สําหรับเหล็กหลอใชวิธีเทโดยอัตโนมัติ 4 วิธีตอไปนี้ (1) ชนิดจุกอุด ใชเตาเหนี่ยวนําความถี่ต่ําชนิดของเปนเบาเท ที่กนเบามีจุกซึ่งปดเปดโดยใชความดันจากน้ํามันใน กระบอก เตาทั้งอันจะเคลื่อนที่ไปกับแบบหลอตามรางซึ่งขนานกับรางของแบบหลอ เมื่อเทจนเต็มแลวแสง อินฟราเรดจากน้ําโลหะที่รลู น (ดูรูป 141) จะสงสัญญาณไปที่โฟโตเซล ทําใหเกิดกระแสไฟฟามีแอมปลิไฟ เออรขยายพลังงานไฟฟานี้แลวใชในการปดจุก (2) ชนิดเบาเอียง ใชเบาซึ่งตามปกติใชคนเท แตเปลี่ยนแปลงทําเปนรองเทอัตโนมัติมีทั้งชนิดเดียวและชนิดชุด ซึ่ง ประกอบดวยเตาพักน้ําโลหะ และเบาอีกหลายเบารูป 142 แสดงเตาชุดทําการเทโดยอัตโนมัติ โดยเอียงเบา เมื่อถึงแบบหลอ ในการรับน้าํ โลหะเบาจะเคลื่อนที่ไปยังเตาพักน้ําโลหะซึ่งมีจุก จะเปดจุกปลอยน้าํ โลหะเปน ระยะ โดยการปดเปดจุกอยางอัตโนมัติ ปริมาณน้ําเหล็กที่เบารับไวจะถูกกําหนดโดยอัตโนมัติ โดยเครื่องชั่ง ซึ่งติดอยูกับเบา เตาพักน้ําโลหะมีขนาด 2-3 ตันและมักมีเบาเท 2-3 อัน เครื่องเทอัตโนมัตินี้ใชไดกบั เครื่องทํา แบบหลอความเร็วสูง ชนิดที่ใชเวลาในการทําแบบหลอเพียง 12 วินาที
160
(3) ชนิดความดัน ตามวิธีนี้น้ําเหล็กในเตาพัก (holding furnace) จะถูกดันออกทางปากเทโดยใชอากาศอัด รูป 143 แสดงเครื่องชนิดนี้ มีเตาเหนี่ยวนําความถีต่ ่ําชนิดชอง (channel ) ซึ่งมีปากรับน้ําเหล็ก ปากเท และระบบสง อากาศอัด รูปนี้แสดงการเทโดยที่เตาพักไดรับน้ําเหล็กจากอุปกรณขนสงน้ําเหล็กอัตโนมัติ (4) ชนิดสูบแมเหล็ก-ไฟฟา สูบแมเหล็ก-ไฟฟา คือสูบที่ใหแรงดันแกน้ําเหล็ก โดยใชปฏิกิริยาแมเหล็ก-ไฟฟาระหวาง สนามแมเหล็กเคลื่อนที่ และกระแสที่เกิดจากการเหนีย่ วนําในน้ําเหล็ก น้ําเหล็กจะถูกยกขึ้นตามปากเทซึ่ง ลาดขึ้น และจะไหลเขาแบบทางรูของปากเท เครื่องเทแบบนี้ประกอบดวยอางรับน้ําโลหะ(pouring basin) สูบแมเหล็ก-ไฟฟาและปากเท (tapping spout) เครื่องนี้จะทําตามสัญญาณบังคับอยางรวดเร็ว สามารถบังคับ ไดจากระยะไกล และเหมาะสําหรับการทํางานอัตโนมัติเพราะการบังคับการเท คือการขนสงน้ําเหล็กและการ หยุดเทนั้นบังคับโดยใชไฟฟารูป 144 แสดงเครื่องเทอัตโนมัติชนิดสูบแมเหล็ก-ไฟฟา และรูป 145 แสดง เสนทางการไหลของน้ําเหล็ก
161
รูปที่ 131 การตรวจน้ําเหล็กโดยวิธีเย็นเร็วสองวิธี
รูปที่132ผลของคารบอนอิ่มตัวที่มีตอความลึกของรอยเย็นเร็วของลิ่มทดลอง
162
รูปที่ 133 ลักษณะเยื่อหุมผิวบนของน้ําเหล็ก
รูปที่ 134 แผนภูมิแสดงการเย็นตัวของโลหะ
163
รูปที่ 135 ความสัมพันธระหวางจุดที่อุณหภูมิหยุดเปลีย่ นกอนถึงยูเทคติค (PROSUTECTIC THERMAL AARREST TEMPERATURE)และคารบอนเทียบเทา
รูปที่ 136 ความเกี่ยวพันธ (CORRELATION )ของคา CEที่ไดจากการวิเคราะหทางเคมี และ ที่ไดจาก CE meter
164
รูปที่ 137 การปรับปรุงคุณสมบัติทางกลโดยการใสสารพิเศษ
รูปที่ 138 ผลของการใสสารพิเศษ :การเปลี่ยนแปลงกับระยะเวลาหลังจากการใส
165
รูปที่ 139 ขบวนกรรมใสสารพิเศษในขณะเท
รูปที่ 140 เบาเอียงเทดวยเฟอง (Geared)
รูปที่ 141 เตาหลอมเหนี่ยวนําแบบจุกอุดพรอมดวยอุปกรณการเทอัตโนมัติ
166
รูปที่ 142 อุปกรณการเทน้ําโลหะอัตโนมัตแิ บบเบาเอียง
รูปที่ 143 อุปกรณการเทน้ําโลหะอัตโนมัตแิ บบใชอากาศอัด
รูปที่ 144 อุปกรณการเทน้ําโลหะแบบสูบแมเหล็กไฟฟา
167
รูปที่ 145 การไหลของน้าํ โลหะในอุปกรณเทน้ําโลหะแบบสูบแมเหล็กไฟฟา
168
บทที่ 9 การหลอมละลายและการเทโลหะชนิดตาง ๆ 9.1การหลอมละลายและการเทเหล็กหลอกราไฟทจับกลุมหรือเหล็กหลอเหนียวหรือเหล็กหลอมัลลีเบิล (Malleable Cast Iron) ในตอนนีจ้ ะไดกลาวโดยยอถึงขอควรระวังในการหลอมละลายและการเทเหล็กหลอมัลลีเบิล อาจจะ หลอมละลายเหล็กหลอมัลลีเบิล โดยใชวิธีเตาเดียว วิธีสองเตา(duplex) และวิธีสามเตา (triplex) ในการ หลอมละลายอาจใชคิวโพลาหรือเตาชนิดสะทอนความรอน (reverberatory rnace) เชน blast furnace หรือ open-hearth furnace ตามลําพังแตละอยาง หรือใชหลายอยางรวมกัน เชน ใชคิวโพลาและเตาไฟฟาก็ได การหลอมละลายโดยใชควิ โพลาหรือคิวโพลารวมกับเตาไฟฟาเปนวิธกี ารที่ใชกันมากที่สุดสําหรับหลอม ละลายเหล็กหลอมัลลีเบิลการใชคิวโพลาเปนวิธีที่เร็ว หลอมละลายไดตอเนื่องกัน และราคาอุปกรณก็ถูกแต ในการหลอมละลาย โดยใชคิวโพลาจะตองควบคุมการบรรจุวัสดุและถานโคกอยางใกลชิด เพราะขี้ตะกรัน ที่เกิดขึ้นไมสามารถที่จะชวยลดปริมาณซัลเฟอรในน้ําโลหะไดดังนัน้ วัสดุบรรจุที่สําคัญ ๆ จึงมักเปนเศษ เหล็กเหนียว 30 - 40% และเศษเหล็กหลอมัลลีเบิล สวนผสมทางเคมีของน้ําโลหะที่ไดจากการหลอมละลาย โดยคิวโพลาตามปกติเปนดังนี้ Si : 0.9 - 0.5% Mn: < 0.5% P : < 0.2% S : < 0.25% วิธีการใชสองเตาก็นิยมกันมากในการหลอมน้ําโลหะสําหรับเหล็กหลอมัลลีเบิล ตามวิธีนี้จะเทน้ํา โลหะจากคิวโพลาเขาสูเตาเหนี่ยวนํา ซึง่ มีวัสดุที่ไดหลอมละลายไวแลวเปนปริมาณเล็กนอย การควบคุม สวนผสมและการลดซัลเฟอรก็กระทําที่เตาเหนีย่ วนํานี้ โดยเติมเศษเหล็กเหนียว โลหะผสมเหล็กและฟลักซ การปรับปริมาณคารบอนใหสูงขึ้นนั้น กระทําโดยการเติมถานโคก (ที่เปนสวนเหลือของการกลั่นน้ํามัน pitch coke) ที่มีปริมาณซัลเฟอรต่ํา หรือเติมเศษอีเลคโทรดกอนที่จะเจาะน้ําโลหะมาเทจะตองทําการทดสอบ โดยหลอชิ้นทดสอบขนาด 25 – 150 mmในแบบหลอทราย หลังจากเทแลว 4 นาทีกจ็ ะปลอยใหชนิ้ หนึ่งเย็น ในอากาศและอีกชิ้นหนึ่งเย็นในน้ํา วิธกี ารนี้ใชสําหรับการตรวจโครงสรางหรหือตรวจปริมาณ C และ Si อุณหภูมิของน้าํ เหล็กขณะเจาะมาตรวจเทากับ 1,370 –1,450°C ในการกระทําการหลอนั้น แบบหลอที่ใชทาํ ดวยทรายเปยก ซึ่งเปนทรายสังเคราะหโดยมีเบนโท ไนทผสมน้ําเทากับ 3.5 – 5% เปนตัวประสานการหดตัวของเหล็กหลอมัลลีเบิลนั้นมากกวาของเล็กหลอเทา
169
และเวลาการแข็งตัวก็สั้นกวา ดังนั้นจําเปนตองใชรูลน และรูเทที่มีเสนผาศูนยกลางใหญกวาของเหล็กหลอ เทา หลังจากเทแลวจะตีรูเทและรูลนออกดวยคอน แลวสงชิ้นงานทีส่ ั่นเอาทรายออกแลว ไปตรวจและเขา กระบวนการปรับคุณสมบัติดวยความรอน 9.2 การหลอมละลายและการเทเหล็กเหนียวหลอ (Cast Steel) ในตอนนีจ้ ะไดกลาวโดยยอถึงขอควรระวังในการหลอมละลายและการเทเหล็กเหนียวหลอ 9.2.1 วิธีการหลอมละลาย ที่แลวมาจนถึงปจจุบันยังใชเตา 0pen-hearth กันมากในการหลอมละลายเหล็กเหนียว แตในระยะ หลัง ๆ นี้มีการใชเตาไฟฟากันมากขึ้น เพราะคาใชจายในการหลอมละลายต่ํา การหลอมละลายโดยใชอารค ไฟฟานัน้ แยกออกไดเปนวิธีกรดและวิธดี าง วิธีกรดใชสําหรับหลอมละลายเศษเหล็กชั้นดีและวิธีดางใช สําหรับเศษเหล็กขั้นปกติ เตาไฟฟา Heroult ดังในรูป 146 เปนเตาไฟฟาที่ใชกันมากที่สุดเตานีใ้ ชไฟฟาสลับสามเฟสพลังงาน ความรอนนั้นไดจากการที่ไฟฟากระโดด (arc) จากอีเลคโทรดคารบอนไปยังเหล็กเหนียว ขี้ตะกรันที่เกิดขึน้ จะปดน้ําโลหะและกั้นมิใหน้ําโลหะดูดแกสเขาไปจากบรรยากาศในขณะที่กระทําการใหน้ําโลหะบริสุทธิ์ขึ้น (refining) ในการหลอมเหลวเหล็กเหนียว นอกจากจะตองควบคุมสวนผสมทางเคมีและอุณหภูมแิ ลว ยังตองควบคุมการดูดแกสและปริมาณ และชนิดของวัสดุอโลหะทีแ่ ทรกอยูใ นน้ําโลหะ ในการเอาแกสออกจากน้ําโลหะ วิธีการใสแรเหล็กหรือ เกล็ดเหล็ก (mill scale) ในระยะลดออกซิเจนก็ใชกันมาก แตในระยะหลังมีการใชวธิ ี
170
ตารางที่ 9.1 การหลอมเหล็กเหนียวดวยเตาอารดดาง
หมายเหตุ
ใสออกซิเจน
FeMn FeSi
CaO CaF1
เพิ่มออกซิเจนครั้งที่ 2
ลดออกซิเจน
25
60
FeMn FeSi
AI
116 1630 0.12
1620 0.18
>0.20
>0.18 <0.010 <0..35 2.5-3
0.60
0.22 0.65 <0.025 <0.025
เท
1640 0.30
ปรับสวนผสม
หลอมเหลวเสร็จ
การ เพิ่มออกซิเจนครั้ง หลอม แรก ละลาย เวลา(นาที) 130 15 แรงเคลื่อนไฟ 202 127 ฟา(V) อุณหภูมิ(c) 1535 สวน C 0.35-0.45 ผสม Mn >0.30 เคมี P <0.40 S <0.50 ความเปนดาง 1.5 ขั้นปฏิบัติการ แรงเคลื่อนไฟฟาสูงหลอมเร็ว
ระยะเวลา ทํางาน
CaO
ทดสอบการลดออกซิเจน
CaOore
รอใหเกิดขี้ตะกรันสีขาว
CaO
เพิ่มอุณหภูมิเอาขี้ตะกรันออก 80%ตรวจสวนผสมและ อุณหภูมิกอนที่จะเปาออกซิเจน เขาไป เพิ่มความบริสุทธิ์โดยการ เลือกเอาขี้ตะกรันออก 90%
สารที่ใชเติม
1.วัสดุที่ใสเขาเตาตองแหงสนิท ชวงเวลาที่บรรจุและการคุยเขี่ยตองเพียงพอหลังจากบรรจุเขาเตาแลว 2.ตองเปาออกซิเจนเขาไปในอุณหภูมิเหนือ 1958°C และการเปาออกซิเจนนี้จะตองหยุดกอนที่คารบอนลดลงถึง0.15%มุมการ ทํางานของทอเปาแกส 30°และความลึกเทากับ 5 CM ใตพื้นผิวโลหะเหลว
ออกซิเจนกันมากขึ้น ขอไดเปรียบของวิธีออกซิเจนมีดังนี้ 1) คาหลอมเหลวต่ํา 2) เพิ่มอุณหภูมิน้ําโลหะไดงา ย 3) คุณภาพดีขนึ้ จากการที่เอาแกสออก 4) ทําเหล็กเหนียวคารบอนต่ําไดสะดวก
171
เมื่อเทียบกับวิธีหลอมละลายปกติที่ใชแรเหล็กแลว วิธีใหมนี้จะสามารถทําน้ําเหล็กที่ทาํ ใหเกิดรูพรุน (pin hole) นอยลง การหดตัวนอยลง การฉีกเนื่องจากความรอน (hot tear)นอยลง นอกจากนั้นโลหะผสมที่ ใสเขาไปจะคงอยูในน้ําเหล็กไดมากกวาและอัตราการลดคารบอนเปนสิบเทาของวิธีธรรมดา วิธีที่ใชแรเหล็กประกอบดวยระยะเพิ่ม 02 2 ระยะ และระยะลด 02 1ระยะ ในการเพิ่ม 02 ครั้งแรก ฟอสฟอรัส แมงกานีส-ซิลิคอน และคารบอนจะทําปฏิกริ ิยากับ 02 ที่อุณหภูมิคอนขางต่ํา ออกไซดที่เกิดขึน้ ยกเวน CO จะลอยขึ้นสูผิวบนของน้ําโลหะในสภาพของฟองแกส ซึ่งจะกลืนตัวเขาไปกับขี้ตะกรันหลังจาก เอาขี้ตะกรันออกแลวก็จะถึงการเพิ่ม 02 ครั้งที่สอง ในตอนนี้จะตองเพิม่ อุณหภูมิ การเพิ่มความบริสุทธิ์และ การเอาแกสออก เกิดจากการลอยตัวสูผิวบนของฟองแกส เมื่อสิ้นสุดการเพิ่ม 02 ตอนที่สองแลว การเกิดฟอง จะสงบลงแลวเอาขี้ตะกรันออกอีกครั้งหนึง่ ตอนตอไปคือตอนลด 02 ในตอนนี้ 02 จะถูกดึงออกจากน้ําโลหะ โดยใช Fe-Mn และFe-Si ตามปกติปริมาณการเติม Fe-Mnจะอยูในราว 0.21%และสิ้นสุดการลด 02 โดยการ เติม Fe-Si เปนปริมาณ 0.5% หลังจากที่ไดปรับสวนผสมและตรวจการลด 02 แลวก็พรอมที่จะเจาะน้ําโลหะ ไปใช สําหรับการหลอมละลายเหล็กเหนียวโดยใชออกซิเจนนัน้ การปลอยฟองแกสผานน้ําโลหะจะทําให เกิดผลเปนอยางมากในดานทําใหบริสุทธิ์ ดังนั้นการหลอมละลายวิธีนี้จะทําใหชิ้นงานหลอที่มีคุณภาพ แนนอนไมเปลี่ยนแปลง โดยวิธกี ารปฏิบัติก็เปนวิธีงาย ๆ แตในวิธีนี้จะตองควบคุมระยะเวลาการฉีด 02 ปริมาณและความดันของ 02 และปริมาณการเกิดปฏิกิริยากับ 02 อยางใกลชิดวิธีการหลอมละลายโดยใช ออกซิเจน มีแสดงอยูในตาราง 9.1 ขอกําหนดสําหรับวิธีการหลอมละลายโดยใชออกซิเจนมีดังนี้ เสนผาศูนยกลางของทอฉีดออกซิเจนทําดวยทองแดง 20-40mm ความยาวของทอฉีด 5-8 m มุมของทอฉีด 20-30°C ความลึกของทอฉีด ประมาณ 100 mm ไดขตี้ ะกรัน ความดันในการฉีด 5–10kg/cm2 ความเร็วในการฉีด 200-600m/sec อัตราการฉีดโดยปริมาตร 0.5–1.0 m3/min เวลาในการฉีด 2-3 min ปริมาตรการฉีด 2-3m3 อัตราการลดคารบอน 0.06-0.08%C/min รูป 147 แสดงมิติมาตรฐานของเตาไฟฟา Heroult แบบดางกนเตากรุดวยอิฐทนไฟชั้นหนึ่งกอน แลว ตามดวยอิฐ chamotte หรืออิฐ magnesia แลวประสานและปดอิฐเหลานี้ดวยสวนผสมของแมกนีเซียมชนิด เม็ด 70-75% และแปงแมกนีเซียม 25 – 30%และมีนา้ํ มันดินแหง (anhydrous tar)12 % การฉาบนี้แบง
172
ออกเปนสองชั้น ชั้นแรกหนาประมาณ 30 mm เมื่อแตงใหเรียบแลว ตามดวยชัน้ ที่สอง ผนังและฝาทําดวยอิฐ ซิลิกา 9.2.2 วิธีการเท น้ําเหล็กเหนียวที่ออกมาจากเตาหลอมละลายจะเขาไปพักในเบาแลว จึงถูกเทจากเบาเขาแบบหลอ เบามักมีหนาตัดเปนทรงกลม เสนผาศูนยกลางกับความลึกของเบาเกือบเทากัน สําหรับชิ้นงานหลอใหญ ๆ จะใชเบาชนิดมีจุก ดังแสดงในรูป 148 สําหรับชิ้นงานหลอเล็ก ๆ มักใชเบาชนิดเอียงเท เบากรุดวยอิฐ chamotte หรืออิฐทนไฟ agalmatolite ซึ่งมีการปลอยซึม(porosity) ต่ํามีการหดตัวนอยและความสม่ําเสมอ (homogeneity)สูง ชองปลอยน้ําเหล็กและจุกมักทําดวยอิฐคารบอน นอกจากในบางกรณีก็ทําดวยอิฐ chamotte หรือ agalmatolite ชองปลอยน้ําเหล็กจะตองยาวพอทีจ่ ะทําใหน้ําเหล็กลงสูเบาโดยไมกระเด็น จะตองทําใหเบาแหงสนิท โดยใชเตาฟูน้ํามันกอนใชรับน้ําเหล็ก ในการเทจะตองใชความระมัดระวังในดานอุณหภูมิเท ความเร็วในการเทและวิธีการเทดังนี้ อุณหภูมิ เทขึ้นกับปริมาณคารบอนในน้ําเหล็ก ดังแสดงในรูป 149 ในดานความเร็วในการเทนั้นจะตองเทชา ๆ เพื่อมิ ใหเกิดจุดเสีย เชนรอยราว แตถาเทชาเกินไปจะเสียความสามารถในการไหล มีแกสติดเขาไปกับน้ําเหล็ก เกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ และทําใหผิวไมเรียบ จะตองกําหนดความเร็วในการเทที่เหมาะสม โดย คํานึงถึงชนิดของน้ําเหล็ก ขนาดของชิ้นงานหลอและแบบหลอ วิธีการเทแบงออกไดหยาบ ๆ เปนการเทจากดานบนและการเทจากดานลาง สําหรับการเทจาก ดานลาง ความเร็วของน้ําเหล็กจะต่ํา และน้ําเหล็กจะไมกระเด็น ถาเทจากสวนบนความเร็วจะสูง ทําใหผิว หยาบ เนื่องจากการกระเด็น ดังนั้นในกรณีที่เทจากดานบน อัตราการเทในตอนตนควรจะต่ํา แลวจึงคอย ๆ เร็วขึ้น จะตองระวังไมใหชองปลอยน้ําเหล็กแตะแบบหลอ นอกจากนั้นตองไมใหเกิดการกระเด็นของน้ํา เหล็ก และตองจัดชองปลอยน้ําเหล็กใหอยูใ นแนวตั้ง เพือ่ กันมิใหน้ําเหล็กวิ่งเขาสูแบบหลอเปนมุมเอียง 9.2.3 การทดสอบในการหลอ 9.2.3.1 การวัดอุณหภูมิ (1) เครื่องวัดอุณหภูมิชนิดจุม วิธีนี้วดั อุณหภูมิของน้ําโลหะโดยตรงคือ โดยการจุมเทอรโมคับเปล(platinum-platinum rhodium ซึ่งมีทอควอทซหรือ recrystallizaed aluminum หุมอยูลงในน้ําโลหะ เมื่อไมนานมานี้มีการใชปลายจุมชนิด เปลี่ยนไดหุมดวยกระดาษ
173
(2) การใชทอนเหล็กเหนียววัดอุณหภูมิ วิธีนี้ใชวัดอุณหภูมิน้ําเหล็กในเตาเหนี่ยวนําความถี่สูง โดยใชลวดเหล็กเหนียวออน (mild steel) ขนาดเสนผาศูนยกลาง 4-6mmและนาฬิกาจับเวลา จุมลวดนี้ลงในน้ําเหล็ก แลวจับเวลาที่ใชในการทําใหลวด ละลาย เวลาทีว่ ัดไดจะเทียบเปนอุณหภูมิได ในกรณีเตาอารคหรือเตา open hearth ใชทอนเหนียวออนขนาดเสนผาศูนยกลาง 12.5mm ยาว 3 m ทอนนี้จะถูกลากไปกลับ 5 ครั้ง ระหวางจุดสองจุดซึ่งหางกัน 40 cm ในอัตราความเร็วไปกลับหนึ่งครั้งตอ หนึ่งวินาทีปริมาณเหล็กทีห่ มดไปจากปลาย (นับเฉพาะชวง 20 mm จากปลาย)จะเทียบเปนอุณหภูมิได โดย ใชตารางเทียบ (3) การใชแบบหลอทรายหรือชอนวัดอุณหภูมิ ในวิธีจะใสน้ําเหล็กลงในแบบหลอทรายหรือในชอนตัก ตัวอยางที่มีขนาดตามที่กําหนดไว แลววัด เวลาจากเมื่อเริ่มใสน้ําเหล็ก จนถึงขณะเกิดเยื่อออกไซดโดยใชนาฬิกาจับเวลา เวลานีจ้ ะเทียบเปนอุณหภูมิได (4) วิธีอื่น มีการใชเครื่องวัดอุณหภูมิ โดยใชสายตาเทียบแสง (optical pyrometer) และเครื่องที่วดั การ แผรังสี (radiation pyrometer) 9.2.3.2 การทดสอบขี้ตะกรัน (1) ทดสอบโดยเทียบสี เมื่อเทียบสีของตัวอยางขี้ตะกรันกับตัวอยางขี้ตะกรันมาตรฐานที่รูสวนผสมอยูแลว จะทําใหคะเน ความเปนดาง ปริมาณเหล็กที่ทําปฏิกริ ิยากับออกซิเจน(oxidizediron) และแมงกานีสที่ทําปฏิกิรยิ ากับ ออกซิเจน (oxidized manganese) ได (2) ทดสอบโดยสังเกตรูปรางลักษณะของชิ้นทดสอบ ใสน้ําเหล็กลงในเบาเล็ก ๆ แลวเทลงในแบบหลอสําหรับเหล็กเหนียวขนาดเสนผาศูนยกลาง 115mm และลึก 20 mm หลังจากแข็งตัวแลว เมื่อสังเกตลักษณะสี ลักษณะโครงสรางฟองที่ผิว และเมื่อแกะผิว ตรงหนาออกดู จะคะเนความเปนดางและความสามารถในการทําปฏิกริ ิยากับออกซิเจนได (3) การทดสอบผลการลดออกซิเจน หลังจากไดกวนน้ําเหล็กปนกับขี้ตะกรันในเบาแลว กคอ ย ๆ เทน้ําเหล็กเหนียวลงในแบบหลอที่ทํา ดวยโลหะหรือดวยทราย ในขณะเดียวกันก็สังเกตประกายที่เกิดขึ้น เพื่อทราบอุณหภูมิน้ําเหล็ก เมือ่ เริ่มแข็งตัว ก็ตรวจผิวและตรวจสวนทีเ่ กิดขึ้นหลังจากกระเทาะผิวบนออกแลว ถาความเร็วในการหดตัวของสวนผิวบน ของชิ้นงานหลอมีมาก และสวนที่ถูกกระเทาะหนาออกแลวไมปูดกลับขึ้นมาเปนรูปเดิมก็แสดงวาไดมีการลด ออกซิเจเพียงพอแลว ถาปูดกลับขึ้นมาก็แสดงวา การลดออกซิเจนยังไมเพียงพอ
174
(4) การทดสอบหาปริมาณฟอสฟอรัสและออกไซดของเหล็ก วิธีทดสอบ (Red Shortness Test) นี้ เปนวิธีที่ใชหาปริมาณฟอสฟอรัสและออกไซดของเหล็กได โดยสะดวก วิธีนี้ขึ้นอยูกับคุณสมบัติของฟอสฟอรัสที่ทําใหเหล็กเหนียวเปราะ และของออกไซดของเหล็กที่ ทําใหเกิดการราวที่เขตเม็ดผลึกนําชิ้นทดสอบที่ไดเจาะและดี (forged) ไวแลว มาตีตอ ใหความหนาต่ํากวา 2 mm และสังเกตรอยราวที่เกิดขึ้น เสร็จแลวเปรียบเทียบกับชิ้นทดสอบมาตรฐาน 9.3 การหลอมละลายและการเทโลหะผสมที่มีทองแดงเปนสวนผสมหลัก ในตอนนีจ้ ะไดกลาวโดยยอถึงขอควรระวังในเรื่องการหลอมละลายและการเทโลหะที่มีทองแดง เปนสวนผสมหลัก 9.3.1 การหลอมละลายโลหะผสมทองเหลือง ใชเตาเบา (crucible furnace) เตาอารคและเตาเหนี่ยวนําความถี่ต่ํา ในการหลอมละลายทองเหลือง วิธีการหลอมละลายมีดังนี้ ใสโลหะผสมซึ่งมีทองแดงเปนสวนผสมหลัก และเศษโลหะที่ผานการหลอมาแลว ลงในเตาตามสัดสวนที่ตองการ แลวหลอมละลายโดยมีผงถานไมคลุมผิวบน เพื่อลดการสูญเสียสังกะสี เนื่องจากการทําปฏิกิริยากับออกซิเจนใหเหลือนอยที่สุด เมื่อละลายแลวเติมสวนผสม เชน สังกะสี ดีบุกหรือ ตะกัว่ ลงไป แลวกวนดวยทอนคารบอน ถาอุณหภูมนิ ้ําโลหะสูงเกินไปจะเกิดการสูญเสียของสังกะสีโดยการระเหยเปนอยางมาก แตถา อุณหภูมิต่ําเกินไป จะไมมีการไลแกสออกมากพอ อุณหภูมมิ าตรฐานของน้ําโลหะสําหรับโลหะผสม ทองเหลืองมีดงั นี้ 85%Cu - 15%Zn 1,150 - 1,200°C 70%Cu - 30%Zn 1,080 - 1,130°C 60%Cu - 40%Zn 1,030 - 1,080°C 9.3.2 การหลอมละลายโลหะผสมทองเหลืองทนแรงดึงไดสูง ใชเตาเบาหรือเตาสะทอนความรอนซึ่งใชนา้ํ มันดิบหรือถานหินเปนเชื้อเพลิงใสสวนผสม เชน Cu,Mn,CuFe,Mn,Cu-Niและโลหะผสมที่มีทองแดงเปนสวนผสมหลัก ลงในเตาในอัตราสวนที่ไดคํานวณไว หลังจาก ละลายแลว คลุมน้ําโลหะดวยผงถานไม แลวเพิ่มความรอนใหอณ ุ หภูมิสูงกวาอุณหภูมิเท 50-100°Cอุณหภูมิ เทที่เหมาะสมมีดังนี้
175
บางกวา 12 mm 1,030-1,050°C 12-25mm 1,000-1,030°C หนากวา 25mm แตบางกวา 35mm 980-1,000°C 9.3.3 การหลอมละลายโลหะผสมบรอนซ ใชเตาเบากันมากที่สุดในการหลอมละลายโลหะผสมบรอนซ แตใชเตาสะทอนความรอนสําหรับ การผลิตปริมาณมาก จุดสําคัญที่สุดในการหลอมละลายคือการจํากัดการดูด H2 เขาไวในน้ําโลหะใหมีนอย ที่สุด เพราะถามีมากจะทําใหเกิดจุดเสีย เชน รูพรุน (blow holes) รูแกส และรูเข็ม (pin holes)ดวย จุดประสงคดังกลาวจะตองกระทําตามวิธีการตอไปนี้ ตองเก็บเบาคารบอนที่ใชหลอมละลายไวในบรรยากาศ ที่แหง เชน เตาอบแหง และกอนใชหลอมละลายจะตองอบแหงเปนเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ที่อณ ุ หภูมิเหนือ 100°C ใสความรอนเขาเตาตอเนื่องกันจนเบาเปนสีแดง แลวใสทองแดง (เพียงเล็กนอย) เขาเตากอน หลังจาก ละลายแลวจึงใสโลหะที่เหลือ ถาใชทองแดงทําสายไฟ (electric copper) จะตองไลแกสโดยใหความรอนแกนา้ํ โลหะ ทั้งนี้เพราะมี แกส H2อยูมาก เพื่อกันมิใหน้ําโลหะดูด H2 มาจากบรรยากาศ ควรใหบรรยากาศในเตาเปนบรรยากาศหนักไป ทางออกซิเจน (oxidizing atmosphere) ถึงขนาดที่น้ําโลหะจะทําปฏิกริ ิยากับออกซิเจนบางเล็กนอย หลังจากละลายแลว เติมคอปเปอรออกไซด ประมาณ 0.2%แมงกานีสไดออกไซด ประมาณ 0.3% หรือโปรแตสเซียมเปอรแมงกาเนต ประมาณ 0.1%เพื่อลดปริมาณไฮโดรเจน หลังจากนั้น 5-10 นาที จึงเติม สวนผสม เชน ดีบุก สังกะสี ตะกัว่ และในระหวางนั้นก็สงความรอนใหน้ําโลหะอยูโ ดยตลอด กอนจะนําน้ํา โลหะไปใชควรเติม phosphor-copper (มีฟอสเฟอร 15%)แลวกวนเพือ่ ลดออกซิเจน ปริมาณของ phosphorcopper ขึ้นอยูก ับตัวเติมออกซิเจน(oxidizer) ที่ใสเขาไปเพื่อลดไฮโดรเจน อุณหภูมิเทขึ้นอยูกับรูปรางและขนาดของชิน้ งานหลอ อุณหภูมิมาตรฐานมีดังนี้ อุณหภูมิการหลอมละลาย (°C) อุณหภูมิเท(°C) 88Cu-8Sn-4Zn 1,250-1,300 1,150-1,200 88Cu-10Sn-2Zn 1,250-1,300 1,150-1,200 85Cu-5Sn-5Pb-5Zn 1,150-1,200 1,050-1,100 เมื่อชิ้นงานโลหะผสมบรอนซแข็งตัว ผลึกรูปกิ่งไม (dentrite) จะขยายอยางรวดเร็ว จากผิวเขาสู ภายในและสิ่งไมบริสุทธิ์และแกสจะไปรวมอยูระหวางผลึกรูปกิ่งไม ซึ่งเปนตําแหนงที่มีจุดหลอมละลายต่ํา การแบงแยก(micro segregation) นี้ ทําใหเกิดจุดเสีย เชน ถาชิ้นงานหลอเปนภาชนะใสน้ําน้ําอาจรั่ว ถามี ความดันในการเอาแกสที่ทําใหเกิดจุดเสียออกไป อาจลดความดันในเตาเพื่อดังแกสออก หรืออาจปลอยแกส เฉื่อยผานน้ําโลหะ เพื่อดึงแกสออก ทัง้ นี้นอกเหนือจากลดปริมาณ H2โดยการเติมแมงกานีสไดออกไซด (ออกซิเดชัน)และการเติมฟอสเฟอร- คอปเปอร (ดีออกซิเดชัน) ดังที่ไดกลาวไวขางตน
176
9.3.4 การหลอมละลายฟอสเฟอรบรอนซ ใชเตาน้ํามัน เตาอารค และใชกันมากคือ เตาเบา (รูป 150) ใสโลหะที่มีทองแดงเปนสวนผสมหลัก และเศษโลหะหลอ แลวเขาในเตา หลังจากที่ไดทําใหรอนขั้นตน (preheat) แลวถามี H2 อยูในหรือถูกดูดเขา ไปในน้ําโลหะมาก ควรใสออกซิไดเซอร เชน แมงกานีสที่ผานการลดออกซิเจนแลวประมาณ 0.1-0.5%เขา ไปกับโลหะขณะบรรจุเขาเตา หลังจากละลายแลวก็กระทําการดีออกไดซขั้นตน โดยเติมฟอสเฟอรคอปเปอร แลวจึงเติมดีบกุ และดีออกซิไดซตอไป โดยการใสฟอสเฟอร- คอปเปอรเขาไปอีก แลวจึงเจาะน้ําโลหะไปใช หลังจากที่ไดผสมใหเขาเนื้อแลว ซึ่งใชเวลา 2-3 นาที อุณหภูมิหลอมละลายที่เพียงพอเทากับ 1,500 – 1,200°C สําหรับฟอสเฟอรบรอนซที่มี 9-12%Sn และ1,050 – 1,100°C สําหรับที่มี 12 – 15%Sn 9.3.5 การหลอมละลายอลูมินัมบรอนซ ใช Cu-Al (50%Al), Cu-Fe (10%Fe), Fe-Ni (25%Ni), Mn-Cu (10-30%Mn) และCu-Ni (50% Ni) เปนโลหะหลักในการหลออะลูมินัมบรอนซ ใสโลหะเขาเตากอนแลวจึงใสทองแดง เทน้ําโลหะที่ไดลงใน แบบทําแทง (ingot) นําแทงโลหะนี้ไปผสมกับเศษโลหะหลอแลว แลวหลอมละลายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อหลอม ละลายแลว น้ําโลหะจะดูด H2เขาไปไดเพียงเล็กนอย เพราะมีอะลูมินัมที่ทําปฏิกิริยากับออกซิเจนเปนเยื่อคลุม แตถาดูด H2เขาไปแลวจะเอาออกยาก ดังนัน้ จึงไมควรใหอุณหภูมิเกินอุณหภูมิจุดละลาย(supherheat)และควร ใชฟลักซ (flux) ที่ผานการทําแหง เชน เกลือและโบแรกซ(borax) อุณหภูมิเทที่สงู เทากับ 1,220°C สําหรับชิ้นงานหลอทีบ่ าง 1,150°C สําหรับที่หนาปานกลางและ 1,100°Cสําหรับที่หนา น้ําโลหะอะลูมนิ ัมบรอนซมี Alประมาณ 10%และมักจะทําใหมขี ี้ตะกรัน นอกจากนั้น ยังมีชวงอุณหภูมินั้นยังมีชวงอุณหภูมิแข็งตัวที่แคบทําใหหดตัวมาก ดังนั้นจึงจําเปนที่จะกันมิใหขี้ตะกรันเขา แบบโดยเทจากกนเบา 9.4 การหลอมละลายโลหะผสมอะลูมินัม ในตอนนีจ้ ะไดกลาวถึงขอควรระวังตาง ๆ ในการหลอมละลายโลหะผสมอะลูมนิ ั่ม ใชเตาเบา เหล็กหลอ (cast iron crucible furnace)เตาเบา(crucible furnace)และเบาสะทอนความรอน ในการหลอม ละลายโลหะผสมอะลูมินั่ม เฉพาะสําหรับหลอมละลาย Al-7Si-3Mg และโลหะผสม Al-Mgใหใชเบา คารบอน เพราะถาเหล็กติดเขามาในน้ําโลหะจะทําใหคณ ุ สมบัติทางกลและความตานทานการกัดกรอนต่ําลง วิธีการหลอมละลายโดยใชเบาเหล็กหลอ และเบาคารบอนมีดังนี้ เริ่มโดยการบรรจุเศษอลูมินั่ม แลว จึงใสอลูมินั่มใหมและโลหะที่เปนสวนผสมหลักแมกนีเซียมนั้นจะตองกักไวที่กนเตา โดยใชเครือ่ งมือเชนที่ ใชในการเพิ่มฟอสเฟอรัส Phofphoriserแลวปลอยใหละลายเพราะถาปลอยลอยแมกนีเซียมจะหมดไปโดย ปฏิกิริยากับออกซิเจน ควรตัดโลหะ เพื่อใหละลายเร็วและลดการสูญเสียที่เกิดจากปฏิกิรยิ ากับออกซิเจนใหนอยที่สุด ออกเปนชิ้นเล็ก ๆ แลวทําใหรอนขั้นแรกเสียกอน เมื่อโลหะในเตาเริ่มละลายก็โปรยฟลักซ (flux) คลุม
177
เพื่อกันมิใหเกิดการทําปฏิกิริยากับออกซิเจน และมิใหน้ําโลหะดูดแกสจากบรรยากาศ และจะตองกวนน้ํา โลหะบอยพอ เพื่อใหโลหะผสมกันสม่ําเสมอ และไมมีการแบงแยก (segregation) ตาราง 9.1 ในตารางชางหลอหลอม เลม 1 หนา 87 แสดงตัวอยางของสวนผสมของฟลักซ การ ใชฟลักซที่ผานการทําใหแหงแลวประมาณ 1-3%จะชวยดึงแกสออก และลดรูพรุน (blow hole and pin hole) และทําใหคุณสมบัติทางกลดีขึ้น หลังจากหลอแลวกระทําดวยความรอน เพื่อขจัดความเคนที่เกิดจากการหลอ และเพื่อกระทําดวยเครื่องกลโรงงานไดสะดวกขึน้ ตลอดจนเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติทางกล ตารางที่ 9.2 ตัวยา (flux) สําหรับอะลูมินัมผสม เฮกซา เฮกซา แมกนี ตัวอยางของ ฟลูออโรซิลิ ฟลูออโรซิลิ ซิคเอซิด เซียมคลอไรด ซิค เอซิด ผสม แคลเซียม โซเดียม
1. 2. 3. 4. 5. 6.
50 60 60
50 40 40 14 60 83.5
แคลเซียม ฟลูออไรด
โซเดียม คลอไรด
เคเลียมคลอ ไรด
40 5
38 17.5 11
8 17.5
เคเลียม ฟลูออไรด
5.5
178
รูปที่ 146 เตาไฟฟา “HEROULT ”
ความจุ(ตัน) 3 6 8 10 15
a 1900 2450 2700 2900 3350
b 350 380 400 420 460
c 1200 1400 1500 1600 1800
d 500 570 620 650 700
e 2600 3210 3500 3700 4270
f 280 310 330 330 380
g 230 260 280 280 330
h 590 615 735 760 950
i 250 280 300 300 366
รูปที่ 147 มิตมิ าตรฐานของเตาไฟฟา HEROULT ชนิดดาง
j 340 430 470 500 550
k 330 333 335 337 441
n 1060 1510 1710 1870 2200
179
รูปที่ 148 เบาแบบมีจุกอุด
รูปที่ 149 อุณหภูมิแนะนําสําหรับการเท
180
รูปที่ 150 เตาเบาแบบเผาไหมดวยน้ํามันเตา (Heavy oil)
181
บทที่ 10 การกระทําหลังหลอเสร็จและการปรับดวยความรอน เมื่อไดดึงชิ้นงานหลอจากหีบหลอแลว ก็จะตองเอาทรายที่ติดกับชิน้ งานออก ตัดเอารูเท รูวงิ่ รูลน และตัดครีบออก แลวจึงทําความสะอาดผิวชิน้ งานในการกระทําดังกลาว อาจใชเครื่องหรือใชมือ แต ควรใชเครื่องใหมากที่สุด การกระทําตอชิ้นงานหลอหลังหลอเสร็จแลว แบงออกไดเปน 2 ประเภท ประเภท แรก คือ การเอาทรายทําแบบหลอ และทรายไสแบบออกจากชิน้ งานหลอ และประเภทหลัง คือ การ กระเทาะเอาครีบและทรายทีย่ ังเหลือออก 10.1 การแกะชิ้นงานและทรายจากหีบหลอ 10.1.1 การแกะชิ้นงานจากแบบหลอ วิธีการแกะชิ้นงานจากแบบหลอขึ้นกับชนิดของแบบหลอ และวิธีการทําแบบ (1) กรณีที่แบบหลออันลางมีสัน(rib)เสริมความแข็งแรง ในกรณีนี้กอนที่จะแกะชิน้ งานจากหีบหลอหีบลาง จะตองแยกหีบลาง และหีบบนออกจากกัน กอนยกหีบบนขึ้น โดยใชเครื่องยกหรือปนจั่น แตวิธีการจะตางกันสําหรับกรณีที่ชิ้นงานติดขึ้นมากับหีบ บนหรือติดอยูก ับหีบลาง ถาชิ้นงานติดหีบบนขึ้นไปจะสงทั้งหมดไปที่เครื่องสั่นออก ซึ่งจะแยกทราย ใหญออกมาจากชิ้นงาน และแบบบนหลังจากนั้นก็สงชิน้ งานไปยังสายพานสงของที่สั่นได หรือไปที่ เครื่องเอาทรายออก หรือเครื่องอื่นในลักษณะนี้ แลวจะสงหีบบนตามสายพานไปยังสวนทําแบบหลอ ในทํานองคลายกันก็จะสงหีบลางกลับไปยังสวนทําแบบหลอ หลังจากแกะทรายออกแลวถาชิ้นงานติด อยูกับหีบลาง แลวหีบบนถูกยกออกไป ก็ใหยกชิน้ งานหลอออก หลังจากเอาทรายออกแลว ก็สงตอไปยัง ขบวนกรรมตอไป อาจตองเอาชิ้นหลอออกโดยจับแบบลางกลับหัว (2) กรณีที่แบบหลออันลาง ไมมีสันเสริมความแข็งแรง ในกรณีนี้ใชแรงดันหีบบน โดยดันจากขางบน ทั้งนีไ้ มตองแยกหีบบนจากหีบลาง เมื่อดัน เอาชิ้นงานและทรายออกแลว ก็สงตรงไปยังเครื่องสั่นทรายออก (shake-out machine) หรือสายพานสง ของที่สั่นได สําหรับหีบบนและหีบลางใหดําเนินการเหมือนในขอ (1) นอกจากนั้นในการทีใ่ ชแรงดัน ชิ้นงานหลอออกจากหีบก็อาจหักรูเท และรูวิ่งออกไดไปในตัวดวย ดังนั้นวิธีนปี้ ฏิบัติไดงายกวากรณีที่ หีบลางมีสัน และนอกจากนัน้ ยังมีจดุ ไดเปรียบอื่นอีก (3) กรณีที่ไมใชหีบหลอ ในกรณีนี้ไมตอ งมีการเอาหีบหลอออก และไมตอ งกระทําการเกี่ยวกับหีบบนหีบลางดังไดทาํ มาเพียงแตใสชิ้นงานหลอและแบบหลอเขาในเครื่องเอาทรายออก หรือวางลงบนสายพานลําเลียงชนิด สั่น ดังนั้นในกรณีนี้ทํางานงาย
182
10.1.2 เครื่องเอาทรายออกและทําความสะอาดผิวชิ้นงาน (1) เครื่องเขยา (shake-Out Machine) เครื่องนี้เอาทรายออกโดยการเขยา แบบหลอซึ่งวางอยูบนตะแกรงของเครื่องเขยาถูกเขยา การ สั่นสะเทือนจะผานหีบบนและหีบลางไปถึงทรายและชิน้ งานหลอ ทําใหทรายแตกออกและตกลงผาน ตะแกรงสายพานลําเลียงจะรับทรายที่หลนออก และขนออกไป คงเหลือแตชิ้นงานหลออยูบนตะแกรง เครื่องเขยาแบงออกไดตามลักษณะการเขยาเปน 2 ชนิด เครื่องเขยาที่มีแกนหมุนหลายอัน (แกนหมุน 2 อัน 3 อัน) มีกลไกที่ทําใหชนิ้ งานเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่กําหนดไวในการเอาทรายออกใชวิธีเขยา ขึ้นลง และสามารถสงชิ้นงาน โดยอัตโนมัติไปยังขบวนกรรม (process) ตอไป สําหรับเครื่องเขยาที่มี แกนหมุนอันเดียวมีแตกลไกที่จะเขยาขึ้นลง ดังนั้นจึงจําเปนตองมีทผี่ ลักใหชิ้นงานเคลื่อนที่ เครื่องเขยา สามารถเอาทรายออกและลําเลียงชิ้นงานหลอโดยอัตโนมัติ นอกจากนัน้ ยังทําใหคนงานไมตองอยูใน บรรยากาศของควัน ฝุนและความรอน เครื่องเขยาใชไดกับชิ้นที่มนี ํา้ หนัก 0.5-30 ตัน เวลาที่ใชในการ เขยาขึ้นกับขนาดของชิ้นงานและวิธีการทําแบบหลอ และในกรณีที่มกี ารลําเลียงจากขบวนกรรมหนึ่งไปยัง อีกขบวนกรรมหนึ่ง โดยอัตโนมัติจะตองเลือกเครือ่ งสั่นที่ทํางานไดเร็วพอ แตโดยทัว่ ไปใชเวลา ประมาณ 30-60 วินาที (2) เครื่องทลวงไสแบบ(Core Knock- Out Machine) หลังจากที่ชิ้นงานหลอผานการเขยาเอาทรายออกแลวก็ถูกปลอยใหเย็นแลวจึงเอาไสแบบออก รูป 151 แสดงใหเห็นชิ้นงานวางอยู โดยมีทอลมกระหนาบอยูทั้งสองขาง แลวทรายไสแบบจะถูกเขยา และทะลวงออกเครื่องทะลวงไสแบบนี้ ใชสําหรับกรณีตอไปนี้ใชเมื่อทรายแตกออกยากเชน เมือ่ ไสแบบ มีน้ํามันเปนตัวประสาน หรือแบบหลอทําดวยทรายชนิดแข็งเอง(self hardening) และเมื่อเอาทรายออก ยาก เชนทรายในชองน้ําหลอเย็นของเสื้อสูบเครื่องยนต ในการเอาทรายออกจากชิ้นงานธรรมดาใชเวลา เพียง 20-60 วินาที แตในบางกรณีจะเกิดการราวหรือแตก เพราะถูกกระทุงอยูนานเกินไป จึงจําเปนที่ จะตองกําหนดเวลาการเอาทรายออกที่ไมนานเกินไป แลวเลือกใชเครื่องที่มีสมรรถนะที่จะทํางานเสร็จ ไดตามเวลาที่ตองการสมรรถนะของเครื่องขึ้นกับขนาดและรูปรางของชิ้นงาน ชนิดของไสแบบ นอกจากนั้น จะตองควบคุมความดันของลมในทอใหเหมาะสม (3-10kg / cm2) และในการจับชิ้นงานก็ตองเลือกจับสวนที่ แข็งแรงที่สุด (3) การพนดวยน้ําและพนดวยโลหะ ไมเกิดฝุน มี 2 วิธี 1. ใชการพนน้าํ เอาทรายออกและทําความสะอาด วางชิน้ งานลงบนโตะหมุน ซึ่งอยูภ ายในตู หรือกลองที่ปดมิดชิดผูปฏิบัติงานซึ่งอยูน อกตูมอง 2 เขาสูชิ้นงานโดยปนพนน้ําปนพนน้ํานั้นอาจเลื่อน ผานรูมองแลวพนน้ํา ความดันสูงราว 150kg / cm ขึ้นลงในแนวดิ่ง เลื่อนซายขวาตามแนวราบ และสามารถปรับมุมไดสะดวก ดังนั้นจะสามารถพนทราย
183
ทั้งภายในและภายนอกชิ้นงานออกไดเครื่องนี้ไมทําใหเกิดฝุน จึงไมตองมีเครื่องดูดฝุน และเครื่องมือ ที่ใชก็ไมจําเปนตองกันฝุนได (dust proof) แตมีจุดเสียเปรียบตรงที่จะตองมีเครื่องกําจัดน้ําเสีย และจะตองมี เครื่องเก็บทรายแหง หลังจากแยกออกจากน้ําแลว 2. ถาเอาทรายออกและทําความสะอาดผิว โดยการพนดวยโลหะมีวิธีการดังนี้ วางชิน้ งานหลอลงบนโตะหมุน หรือแขวนไวกับที่แขวน เม็ดตัดจากลวดหรือแผนสี่เหลี่ยมจาก แลวใสไวในตู แลวจึงยิงดวยเม็ดโลหะ (ลูกกลมเหล็กเหนียว) ขางบนและขาง ๆ ของตู ทรายจะหลุดออก และเมื่อยิงอยูนานผิวชิ้นงานจะสะอาด สมรรถนะการทํา ความสะอาดโดยการยิงเม็ดโลหะของเครื่องชนิดตาง ๆ ตลอดจนขนาดของชิ้นงานที่ควรใช มีแสดงใน ตาราง 10.1 เครื่องยิงดวยเม็ดโลหะแบงออกไดตามวิธียิงและชนิดของตูได มี 5 ชนิด ดังนี้ 1) ชนิดหมุนกวน (tumbler type) 2) ชนิดถังทํางานเปนชวง ๆ (batch barrel type) 3) ชนิดถังทํางานตอเนื่อง (continuous batch type) 4) ชนิดโตะ(table type) 5) ชนิดแขวนลําเลียง(hanger-conveyor type) ตารางที่ 10.1 แบบและสมรรถนะของเครื่องยิงเม็ดเหล็กแข็ง ชนิด
ความจุของ หองยิง
น้ําหนักชิ้นงาน(kg)
ชนิดหมุนกวน
0.05-0.25m3
น้ําหนักรวม ของชิ้นงาน 80-3,000
ชนิดถังทํางาน เปนชวง ๆ ชนิดถังทํางาน ตอเนื่อง
0.15-3.0m3
500-8,000
30-1,500
Various Kinds
2-12T / hr
10-70
ชนิดโตะ
<2,745x2,060 x2,000mm <2,400x5,800 x4,700mm
200-1,500
200-1,500
ชนิดแขวน ลําเลียง
น้ําหนักของ แตละชิ้นงาน 10-30
10-300
ขนาดใหญ ที่สุดของ ชิ้นงาน
สําหรับงานชิ้นเล็ก ๆ และรูปรางธรรมดา ยกเวนชิ้นบาง ๆ
<750Lmm
สําหรับงานชิ้นเล็ก ๆ และรูปรางธรรมดายกเวนชิ้น บาง ๆ สําหรับชิ้นงานปานกลางบาง และยาว สําหรับชิ้นงานที่เล็ก ๆ ปานกลางและรูปรางธรรมดา
<700Lmm
<1700Φx8 สําหรับชิ้นงานยาว ๆ ปาน 00H กลางและชิ้นใหญ <700Φx1,2 สําหรับชิ้นงานที่เล็ก ๆ 00L และปานกลางในการผลิตเปน จํานวนมาก ๆและตอเนื่องกัน
184
10.1.3 การจัดการกับทรายที่เอาออกจากงานหลอ ทรายที่เอาออกจากชิ้นงานและหีบบนหีบลางมีอุณหภูมสิ ูง และปนกับโครงไสแบบ (core grid) ครีบชิ้นงานน้าํ โลหะที่หกแลวแข็งตัว และในบางกรณีก็มีรูเท รูวงิ่ และรูลน ดังนั้นกอนที่จะลําเลียง ทรายไปยังถังจายทราย (hopper) จะตองแยกเอาสิ่งตาง ๆ เหลานี้ออกเสียใหหมดกอน อาจเอาออกได โดยใชเครื่องแยกที่ใชลอขับสายพานลําเลียง แตมวี ิธีที่ดีกวา คือ การใชแมเหล็กไฟฟาซึ่งอยูเหนือ สายพานลําเลียงดูดชิน้ งานใหญออกไปจากทราย ทรายทําแบบหลอและทรายทําไสแบบตางกันมาก ดังนั้น จําเปนตองแยกทรายทั้งสองชนิดออกจากกัน โดยใชเครื่องตางชนิดแยกทรายแตละชนิดออกไป หรือ แยกสายพานลําเลียงทรายออกเปนสองสาย 10.2 การตกแตงชิ้นงาน 10.2.1 การเอารูเทและรูลนออก ในการเอารูเทและรูลนออก อาจใชวิธีตาง ๆ ตอไปนี้ จะใชวิธใี ดนั้นขึน้ กับขนาดของชิ้นงาน คุณภาพของวัสดุและลักษณะการวางรูเทและรูลน 1) ตีหัก 2) ตัดออกดวยแกส 3) ตัดออกดวยอารค 4) ตัดออกโดยวิธีกล วิธีตีหักใชกันมากที่สุดในการหลอเหล็กหลอเทา หรือเหล็กหลอมัลลีเบิลวิธีนี้แยกออกเปน วิธีใชพลังงานคนคือ การใชคอนตี และวิธีใชพลังงานกล เชนการสั่น การกระแทกหรือการกด ในทาง ปฏิบัติถึงแมวา มีกรณีที่รูเท และรูลนหักออกเองเนื่องจากการกระแทกเพื่อเอาทรายทําแบบออกหรือ โดยการเขยาในเครื่องเขยา แตโดยทั่วไปแลวมักจะหักรูเทและรูลนออกขณะที่ชิ้นงานอยูใ นเครื่องเขยา หรืออยูบนสายลําเลียงแขวน (hanger conveyor) เพื่อใหชนิ้ งานเย็นลงหรืออยูบนสายพานลําเลียง ปกติหรือบนพืน้ และในบางกรณีกใ็ ชเครื่องอัดโดยมีที่รับและกํากับชิ้นงาน (jig) หรือใชเครื่องหมุน กวน (tumbler)เพื่อเอารูเทและรูลนออกในขณะเดียวกับที่เอาทรายออก วิธีตัดดวยแกสนั้นใชสําหรับเหล็กเหนียวหลอ ถามีปญ หาในการใชแกสตัดเชน เมื่อตัดเหล็ก เหนียวโลหะผสมสูง ดังเชนเหล็กเหนียวไรสนิมและเหล็กแมงกานีสสูง หรือถามีปญหา ในการตัดดวยแกสถึงแมจะใชกับเหล็กหลอ หรือโลหะผสมนอกกลุมเหล็ก (non ferrous) ก็ตาม ก็ใช วิธีตัดออกดวยอารค การตัดโดยวิธีกลหรือการเลื่อยนั้น สวนมากใชกับชิ้นงานหลอโลหะผสมทองแดง หรือโลหะผสมเบา (light alloy) การเลื่อยชากวาการใชแกสตัดแตเมื่อตัดแลวผิวจะเรียบ และตัดได ทําใหไมตองตกแตงมาก นอกจากนั้นถาสวนนั้นของงานจะตองผานงานเครื่องกลโรงงาน เที่ยงตรง ก็จะไดเปรียบตรงที่ไมตองเผื่อไวมาก อีกประการหนึ่งการเลื่อยทําใหไมเกิดปญหาดานการบิดเบี้ยวหรือ
185
ราวเนื่องจากความรอน และในกรณีที่ชิ้นงานทําดวยวัสดุราคาแพงก็สามารถทําใหรอยตัดแคบและถา จะเก็บทีเ่ กิดจากการตัดก็ได เครื่องที่ใชเลื่อยมีเครื่องตัดความเร็วสูง (high speed cutter) หรือเครื่อง เลื่อยสายพาน (band saw) ตารางที่ 10.2 การเลือกวงลอหินเจียรนัยสําหรับใชงานที่เจียรนัยงาย ๆ ชนิดตัวประสาน ความเร็วของหนาหิน เจียร m / min ชนิดของเครื่องเจียร นัย เสนผาศูนยกลาง ของวงลอ หินเจียร นัย โลหะที่ เจียรนัย เหล็กเหนียว คารบอนธรรมดา เหล็กเหนียวผสม เหล็กเหนียวหิน เครื่องมือ เหล็กเหนียวไร สนิมและเหล็ก เหนียวทนความ รอน เหล็กหลอเทาและ เหล็กหลอพิเศษ เหล็กหลอ มัลลีเบิล
วงลอหินเจียรนัยที่ใชสารพวกแข็งใสเหมือน แกว(vitrified)เปนตัวประสาน 1,500-2,000 เครื่องเจียร นัยตั้งโตะ
เครื่องเจียร นัยมือ
เครื่องเจียรนัย เหวี่ยง
เครื่องเจียร นัยตั้งโตะ
125-405
90-255
305-610
125-405
90-255
305-610
A300
A30P
A20R
-
A24P
A16R
A240
A24P
A20Q
-
A20P
A16Q
-
A24P
A20P
-
A24P
A16P
A30M
A30M
A20P
-
A24M
A16P
C20Q A24P
C20R A24Q
A20Q
-
A20Q
A16P
A24P
A24P
A20P
-
A20P
A16P
A เม็ด
วงลอหินเจียรนัยที่ใชวัสดุพวกยางResinoid เปนตัวประสาน 3,000
ขนาด
30
0 การแบงชั้น
เครื่องเจียรนัย เครื่องเจียรนัย มือ เหวี่ยง
เม็ดA : อะลูมินัมเหลว เม็ดC : ซิลิคอนคารไบด
186
ชั้นและหมายเลขกําหนดขนาด ชั้น หมายเลขกําหนดขนาด หยาบ 10 12 14 16 20 24 ปานกลาง 30 36 46 54 60 ละเอียด 70 80 90 100 120 150 180 220 ละเอียดมาก 240 280 320 400 500 600 700 800 ละเอียดมากพิเศษ 1,000 1,200 1,500 2,000 2,500 3,000 การแบงชั้นแสดงความแข็งแรงของตัวประสาน การแบงชั้นมีผลกระทบกระเทือนตอแนวตัด ของเม็ดหินเจียรนัยและมีผลอยางมากตอขบวนกรรม การเจียรนัยโดยทัว่ ไปจะกําหนดชั้นของวงหินลอ เจียรนัยโดยใชตัวอักษรตัวอักษรที่ใกล Z ขึ้นแสดงวาแข็งขึ้น 10.2.2 การตกแตง เทาที่เปนมามักใชคอนถาก (ehipping hammer) กันมาก ในการตกแตงรอยตัดครีบ รูเท และรู ลน เนื่องจากวิธีนี้ทําใหเกิดเสียงดังมาก และคนงานจะเหนื่อยมาก จึงมีการเปลี่ยนไปใชวิธีใหม ๆ (1) คอนถาก ใชคอนถากกลม โดยที่หัวเปนสกัด มักใชอากาศอัดที่มีความดัน5-7kg / cm2 เนื่องจากเหตุผล ขางบน จึงควรลดการใชคอนถากลงใหมากที่สุด แตสําหรับการเอาครีบภายในออกนั้นวิธีอื่นใช ไมสะดวก จึงใชวิธีนี้กนั โดยทั่วไปที่โรงหลอตาง ๆ (2) เจียรนัย มักใชเครื่องเจียรนัยกันทั้งภายนอกและภายในชิ้นงาน ในการเอาครีบสวนที่ไมใชและสวนที่มี ทรายไหมตดิ อยูออกจากชิ้นงาน เครื่องเจียรนัยแบงออกไดเปนชนิดตาง ๆ ดังนี้ เครื่องเจียรนัยมือ (hand grinder) เครื่องเจียรนัยเหวีย่ ง (swing grinder) เครื่องเจียรนัยตั้งโตะ (bench grinder) และเครื่อง เจียรนัยอัตโนมัติ (auto-grinder) การเลือกใชชนิดใดขึ้นกับรูปรางของชิ้นงานตาราง 10.2 แสดงหิน เจียรนัยสําหรับงานตาง ๆ ชนิดของหินเจียรนัยที่เหมาะสมขึน้ กับคุณภาพของวัสดุที่ใชหลอและชนิด ของเครื่องเจียรนัย (3) การใชแกสเซาะ (Gas Gouging) ในการตกแตงเหล็กเหนียวหลอ ใชแกสเซาะประกอบอารค (arc gouging) หรือประกอบ เปลวไฟ (flame gouging) ใชวิธีอารคคารบอนกันมากที่สุด ตามวิธีนี้โลหะทีล่ ะลายเพราะความรอนจาก อารคจะถูกเปาออกไป โดยอากาศมีความดัน 5-7kg / cm2 เปาขนานกับอีเลคโทรดคารบอนมีการใช ออกซิเจนแทนอากาศอัด แตมีขอเสียตรงที่ทําใหโลหะทําปฏิกิริยากับออกซิเจนมาก โดยการใชอากาศ หรือออกซิเจนเปานี้ จะทําใหสามารถตัดโลหะไดอยางเรียบสําหรับวิธีเปลวไฟนัน้ จะมีหัวเปาติด
187
กับเครื่องตัดดวยแกส และกระทําการเซาะดวยเปลวไฟได โดยการเพิ่มอัตราการเปาของออกซิเจนที่ ความดันคอนขางต่ํา โดยการใชหวั ตัดทีม่ ีรูปรางเหมาะสม และควบคุมความดันคอนขางต่ํา โดยการใช หัวตัดทีม่ ีรูปรางเหมาะสมและควบคุมความดันและอัตราการไหลของออกซิเจน จะทําใหสามารถเซาะ เอาจุดเสียบนผิวงานออกไปได 10.3 การซอมชิ้นงานหลอ ในกรณีที่พบหลังจากปาดผิวดวยเครื่องกลโรงงานแลว วามีจุดเสียในชิ้นงานหลอ เชน มีทราย หรือขี้ตะกรันแซกอยูในเนื้อโลหะมีรอยราวที่ผิวงาน หรือมีรูพรุน มีรอยบุมเกิดจากการหดตัว มักจะทํา การซอมโดยการเชื่อม ถึงแมจะตัดสินใจไดยากวาควรซอมหรือไมแตก็มีหลักอยูว า เมื่อซอมแลวความ แข็งแรงทางกลความเกร็ง (rigidity) ฯลฯ จะอยูใ นเกณฑใชไดหลังจากการซอมหรือไม จะเกิดตําหนินา เกลียดหลังจากการซอมหรือไม อาจจะทดลองทําการซอมกับชิ้นงานอื่นดูกอนวา เมื่อซอมแลวจะหวัง ไดเพียงใด และถาตัดสินใจวาจะซอมก็จะตองกําหนดระดับมาตรฐานการเชื่อม ในกรณีของชิ้นงาน เล็ก ๆ ผลิตปริมาณมาก ควรตองสํารวจคาซอมกอนลงมือซอม เพราะมีบอย ๆ ที่หลอใหมดกี วาซอมวิธี ตาง ๆ ที่ใชซอมชิ้นงานหลอมี เชื่อม พนโลหะ ซอมโดยวิธีกล และอุด (impregnation)แตใชวิธีเชื่อมกัน มากที่สุด 10.3.1 การซอมโดยการเชื่อม (1) การซอมโดยการเชื่อมสําหรับเหล็กหลอธรรมดา การเชื่อมอารคคลุม (shielded) หรือเชื่อมแกส แตเนื่องจากความรอนจากการเชือ่ มมักเกิดการ เปนรูขนาดแกสซึมผานได (gas porosity) การบิดเบี้ยว การราว และอาจทําใหเกิดซีเมนไทท ซึ่งทําให แข็ง ในการซอมทุกกรณีสวนที่ไดรับการเชื่อม จะตองไดรับการสะกัดและเจียรนัยและเช็ดเอาน้าํ มันหรือ ไขมันออก โดยใชน้ํามันเบนซินหรือทินเนอร จนกระทั่งไดผิวโลหะที่สะอาดการเชื่อมอารคคลุมแบง ออกไดเปน เชื่อมเย็น และเชื่อมรอน ในการเชื่อมเย็นไมมีการทําใหชิ้นงานรอนไวกอน ใชลวดเชื่อมทํา ดวยเหล็กเหนียวออนหรือโลหะผสมนอกกลุมเหล็ก (nonferrous alloy) ในการเชื่อมเปนแนวนูนยาวไม เกิน 50 mm ใชวิธีเปนชวงไมตอกันเปนเสนไปกลับ (weaving) และหลังจากเอาขี้โลหะออกแลว ก็ตอก (peen) โดยใชคอนถาก (คอนเคาะขี้ตะกรัน) ควรจะอบเหนียวหลังจากเชื่อมแลว ใชการบากตอไปนี้ใน การเชื่อม ชนิดจุก (plug type) ชนิด V ชนิด U และชนิด X ในการเชื่อมรอน ทําใหชิ้นงานรอนไว กอนที่อุณหภูมิ 500 - 600°C แลวเชื่อมโดยการใชธูปเชื่อมทําดวยเหล็กหลอหรือทําใหรอ นไวกอนที่ อุณหภูมิ 100 - 300°C แลวเชื่อมโดยใชธูปเชื่อมทําดวยเหล็กเหนียวออนดวย หรือโลหะผสมนอก กลุมเหล็ก ตาราง 10.3 แสดงสวนผสมของธูปเชื่อม และรูป 152 แสดงความสัมพันธระหวาง อุณหภูมิการทําใหรอนขั้นตน และกระแสไฟฟาที่ใชเชือ่ มสําหรับกรณีที่ใชธูปเชื่อมทําดวยนิกเกิลบริสุทธิ์
188
ตารางที่ 10.3 สวนผสมของลวดเชื่อมไฟฟาอารคแบบคลุมสําหรับเชื่อมเหล็กหลอ ชนิดของ สวนผสมทางเคมี(%) ลวดเชื่อม C Mn Si P Ni S Fe Cu นิกเกิล 0.1 <0.2 99.5 <0.002 บริสุทธิ์ นิกเกิลทองแดง 1.0 0.1-0.15 65-70 1-1.5 ผสม(โลหะ โมเนล) เหล็ก<0.2 <1.0 <0.3 40-65 <0.04 40-60 <0.8 นิกเกิลผสม อีเวอรเคอร - 1.0-2.0 3.0-4.0 94-96 ที่เหลือ 1.0<1.0 2.5-9.5 <0.20 <0.04 เหล็กหลอ ทั้งหมด 5.0 ที่เหลือ เหล็ก <0.15 <0.8 <1.0 <0.03 <0.03 ทั้งหมด เหนียวออน ในการเชื่อมแกสใหความรอนขั้นตนแกชิ้นงานตรงที่จะเชื่อม จนอุณหภูมิถึง 400 - 600°Cแลว ใหความรอนทั่วชิ้นงานดวยเปลวเปนกลาง (neutral) ของออกซิกเซทีลีน หลังจากนั้นใหความรอนตรง จุดเชื่อมจนถึงภาวะกึ่งหลอมเหลวใชเปลวไฟเอาทราย และออกไซดออกไปจากชิ้นงานแลวหลอมลวด เชื่อม (ทําดวยเหล็กหลอ) เปลือย พรอมกับฟลักซ เมื่อชิ้นงานเริ่มละลายได 3-4 หยด ก็ผสมกับน้ําโลหะ จากปลายลวดเชื่อม โดยไมหยุดการใหความรอนทําตามวิธีนี้ตอไปจนเสร็จ หลังจากนั้นอบชิ้นงานใน เตาอบ โดยมีสิ่งเก็บความรอน เชน ทราย ขี้เถาฟาง ฯลฯ คลุมอยู อุณหภูมิอบ 500- 600°C ใชเวลาอบ 30-60 นาทีตอมาความหนา 25mm ตาราง 10.4 แสดงตัวอยางของสวนผสมของธูปเชื่อมและตาราง 10.5 แสดงตัวอยางของฟลักซ 2. การเชื่อมซอมเหล็กหลอกราไฟท (Spheroidal graphite) ใชลวดเชื่อมทีม่ ีสวนผสมเชนเดียวกับชิน้ งานหลอ และใชฟลักซ ซึ่งประกอบดวยแมกนีเซียม และอารเซนิคเชื่อมโดยวิธีเชือ่ มแกส และอบออนหลังจากการเชื่อมอีกวิธีหนึง่ เชื่อมหลังจากทําใหรอน ขั้นตนถึงอุณหภูมิ 70-200 °C ใชลวดเชื่อมคลุม (shielded) ทําดวยโลหะผสมเหล็ก - นิกเกิลและอบ คลายความเคน (anneal) 1-2ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 700-800°C
189
ตารางที่ 10.4 สวนผสมของลวดเชื่อมแกสสําหรับเชื่อมเหล็กหลอ ชนิดของ ลวดเชื่อม
การใชงาน และ คุณลักษณะ
ใชสําหรับ เชื่อม เหล็กหลอมี ลวดเชื่อม การไหลตัว เหล็กหลอ ดี เทา ใชสําหรับ เชื่อมอุด เหล็กหลอ มีAl ลวดเชื่อม มีCaใชกับ ที่มีธาตุ เหล็กหลอ พิเศษ กราไฟท กลม
สวนผสมทางเคมี(%) C
Si
Mn
P
S
3.20-3.70
2.75-3.50
0.50-0.75
0.50-0.75
<0.12
3.20-3.70
2.75-3.50
0.50-0.75
<0.55
<0.12
3.0-3.1
3.1-3.5
0.5-0.6
0.3-0.4
<0.1
Al0.5-1.0
<0.02
Ca ปริมาณ นอยมาก
3.0-3.3
3.0-4.5
<0.6
<0.08
ตารางที่ 10.5 สวนผสมของยาประสานฟลักซสําหรับเชื่อมแกส NO. สวนผสมสําคัญของยาประสาน 1. 15%Na2B4 07 , 15%Na 2 Co3 , 70%NaHCo3 2. 15%Na2 B4O7 , 40%Na2 Co3 , 40% NaHCo3 5% Si02 3. 50%Na0H , 50% NaHCo3 , 4. 50% Mn02 4-6%KCN, 1%Si , 0.3%Al , 34%NaN03 5. 80% Na2 Co3 , 18%H3B03, 2%Si02 ขอควรจําในการใชยาประสาน ยาประสานเปยกมักจะทําใหเกิดรูพรุน ดังนั้นจึงไมควรใชยาประสาน ที่ เปยกอยาใชยาประสานมากเกินไป (3) การเชื่อมซอมเหล็กเหนียวหลอ ใชการบากวิธี U, V หรือ X สําหรับซอมการราวหรือการแตกในการซอมอยางอื่นใชวธิ ีจุก (plug) ซึ่งมนที่กนและใชมุมระหวาง 70-90 °C สําหรับดานขาง ทําความสะอาดผิวงานโดยใชแปรงลวด สกัด เครื่องเจียรนัยมือหรือโดยการเซาะอารค-อากาศ ฯลฯ อุณหภูมิการใหความรอนขัน้ ตนขึ้นกับ ปริมาณคารบอนดังในรูป 153 ใชวธิ ีเชื่อมแบบอารคคลุม และใชวิธีตาง ๆ ตอไปนี้ (แลวแตกรณี)
190
เชื่อมแนวนูนไปกลับ (weaving) แนวนูนสูง แนวนูนเรียงเอียง (cascade) แนวนูนเรียงตรง (block) ใน การเชื่อมหลายชั้นสําหรับรอยบากใหญ และใชการเรียงตามแนวนอนหรือการเรียงชั้นตามแนวควง (screw) สําหรับการบากแบบจุดที่ลึก จะตองเคาะ (peen) หลังจากการเชื่อมทุกชั้น รูป 154 แสดงวิธีการ เชื่อมหลายชั้น การอบหลังเชื่อมกระทําโดยใหความรอนทั่วทั้งชิน้ งานที่อุณหภูมิ 600-650°C แลวอบ คลายความเคน ระยะเวลามาตรฐานในการอบหลังเชื่อมประมาณ 1 ชั่วโมง ตอความหนา 25 mm (4) การบัดกรีแข็ง (Brazing) การบัดกรีแข็งคือ การประสานโลหะโดยใชตวั ประสานเปนโลหะตางชนิด ในขณะที่โลหะนัน้ อยูในสภาวะของเหลว โดยที่อุณหภูมหิ ลอมเหลวของตัวประสานต่ํากวาของชิ้นงาน สําหรับงานบัดกรี แข็งมี บัดกรีเงินและบัดกรีทองเหลือง ฯลฯ ตาราง 10.6 แสดงสวนผสมของวัสดุบัดกรีและตาราง 10.7 แสดงการใชวสั ดุบัดกรีสําหรับชิ้นงาน ทําดวยวัสดุชนิดตาง ๆ (5) การเชื่อมไหล (Flow welding) ในวิธีนจี้ ะหลอสวนที่ขาดไปหรือแหวงไปใหม โดยติดแบบหลอเขากับสวนที่แหวงไป แลวเท น้ําโลหะที่มีสว นผสมเหมือนกับชิ้นงานลงไปในแบบ วิธีนี้ใชกับโลหะผสมทองแดงไดสะดวกกวา เหล็กหลอ ถาใชกับเหล็กหลอใหใชนา้ํ เหล็กที่มีคารบอนและซิลิคอนสูง และจะตองทําใหชิ้นงานรอน ไวกอนที่อุณหภูมิ 400- 600°C (6) การเชื่อมจุดไฟ (Thermit welding) วิธีนี้ใชกับรูโหวหรือรอยราวขนาดใหญ จะตองใชวัสดุทนไฟทําเปนแบบ สําหรับสวนที่เสีย แลวใสอะลูมนิ ัมและเหล็กออกไซดผงในเบาแลวจุดเผาไหม หลักการของการเชื่อมวิธนี ี้ขึ้นอยูกับ ปฏิกิริยาใหความรอนที่ใหอณ ุ หภูมิสูงถึง 3000°C แลวเทน้ําโลหะลงในแบบหลอที่เตรียมไว รูป 155 แสดงตัวอยางของการเชื่อมแบบจุดไฟ (7) การพนโลหะ(Metal spraying) วิธีพนโลหะกึง่ หลอมเหลวเปนเม็ดลงบนผิวงานที่เสีย ใชกับกรณีทผี่ ิวงานหยาบ ความหนาไม พอ มีทรายหรือขี้ตะกรันติดอยูในเนื้อโลหะ กอนพนโลหะควรทําความสะอาดชิ้นงาน โดยการยิงดวย เม็ดโลหะและทําใหรอนไวกอ นที่ 300-350°Cโลหะที่ใชพนมี สังกะสี โลหะผสมทองแดง เหล็กเหนียว นิกเกิล และโลหะผสมนิกเกิลโครม ฯลฯ 10.3.2 การซอมโดยวิธีกล (Mechanical repair) มีวิธีตาง ๆ เชน อุดดวยชิ้นโลหะ ใชปลอกอัด หรือยึดดวยโลหะ(metal locking) ฯลฯ ใชปลอก อัดเมื่อรูเสื้อสูบโตเกินไปหลังจากกระทําดวยเครื่องกลโรงงานแลว หรือเมื่อความหนานอยไป หรือรั่ว การยึดดวยโลหะนัน้ เปนประเภทใชปากจับ (clamp) เหมาะสําหรับซอมรอยราว
191
10.3.3 การอุด (Impregnation) เหมาะสําหรับที่มีการเสียเล็ก ๆ นอย ๆ ในดานผิวหยาบ หรือมีทรายแทรกอยูในเนื้อโลหะ แต การเสียกระจายเปนเขตกวางหรือเมื่อเกรงจะเกิดการรั่วของน้ํามันหรือน้าํ วิธีนี้ใชกับชิน้ งานที่ทําดวย เหล็กหลอ อะลูมินัม โลหะผสมแมกนีเซียม หรือทองแดง หลังจากทําความสะอาดแลว ใสชนิ้ งานลงใน ถังใสของเหลวใชอุดที่อณ ุ หภูมิประมาณ50°Cแลวลดและเพิ่มความดัน ของเหลวใชอุด ซึ่งอาจจะเปน โซเดียมซิลิเคท หรือเรซินสังเคราะหจะเขาไปอุดรูพรุน เสร็จแลวลางชิ้นงานในน้ํา ทําใหแหงเขาขบวน กรรมกันสนิม แลวทําใหแหงอีกครั้งหนึ่ง 10.3.4 วิธีอื่น ๆ (1) การใชพลาสติกอุด พลาสติกที่ใชอุดเปนผงผสมสวนใหญประกอบดวยผงโลหะ และเรซินสังเคราะหใชผงนี้อุด หรือเติมสวนที่เสีย ความแข็งแรงจะต่ํากวาโลหะ วิธีนี้เหมาะสําหรับกรณีที่ซอมเพื่อความสวยงามเทานั้น (2) การปะ ใชแผนโลหะเชื่อมปะเพื่อปดรูโหว จะตองทําใหชิ้นงานรอนอยูกอนที่ 160-190°C ตารางที่ 10.6 สวนประกอบและการใชประโยชนวัสดุบดั กรี ชนิดของวัสดุบัดกรี
วัสดุบัดกรีเงิน
วัสดุบัดกรีเงิน เยอรมัน
วัสดุบัดกรีทองเหลือง
ตะกั่วบัดกรีดีบุก
รูปราง
สวนประกอบ(%)
แผนยาวแคบ แผน(plate)ลวด ผง
0-8P 5-8Ag 0-25Zn 0-18Cd ที่เหลือเปนCu
635-870
ผงกอน
45-55Zn 0-10Ni ที่เหลือเปน Cu
840-900
แทง แทงลวดแผน บาง ๆ เม็ด แทงลวดแผน บาง ๆ เม็ด
32-62Cu 0-42Sn 0-11NiZn 38Pb 62Sn
30Pb 30Sn 35Zn
อุณหภูมิหลอมเหลว(°C)
820-935
การใชประโยชน
ใชเชื่อมทองแดงผสม นิกเกิลผสมและเหล็กผสม โดยใชหัวเชื่อมแกสเปา เตา อบ หรือจุมลงในวัสดุบัดกรี เหลว ๆ แลวยกขึ้น ใชเชื่อมทองแดงผสม นิกเกิลผสมเหล็กเหนียว และเหล็กหลอโดยใชหัว เชื่อมแกสเปาหรือจุมยก ใชเชื่อมทองแดงผสม นิกเกิลผสมและเหล็กหลอ ใชบัดกรีซอมแซมงาน ทั่วไป
184
ใชบัดกรีอุดรูเหล็กหลอ ทั่วๆไป
192
ตารางที่ 10.7 วัสดุบัดกรีสําหรับโลหะตาง ๆ บัดกรีแข็ง โลหะ
บัดกรีออน
ตะกั่วบัดกรี ตะกั่วบัดกรี เงิน ทองเหลือง
ยาประสาน
ตะกั่วบัดกรี ตะกั่วบัดกรี สวนประกอ สภาพที่ใช ฟอสเฟอร อะลูมินัม บทีส่ ําคัญ ทองแดง
เหล็กเหนียว คารบอน เหล็กเหนียว ผสมตํา เหล็กเหนียว ไรสนิม
เหล็กหลอ
น้ําประสาน ทอง (borax)กรด บอริค ฟลูออไรด
ผงคลาย แปงเปยก เหลว
ฟลูออไรด คลอไรด
ผง
นิคเกิลผสม อลูมินัม ผสม ทองแดง ผสม
กรดบอริค ฟลูออไรด คลอไรด
รูปที่ 151 เครื่องทลวงไสแบบ
193
รูปที่ 152 ความสัมพันธระหวางอุณหภูมอิ ุนใหรอนกอนเชื่อมของชิน้ งานและกระแสไฟเชื่อมสําหรับ เชื่อมเหล็กหลอ โดยใชลวดเชื่อมนิกเกิลบริสุทธิ์
รูปที่ 153 ความสัมพันธระหวางปริมาณคารบอนและอุณหภูมิใหรอนกอน
194
รูปที่ 154 การเชื่อมหลายชัน้
รูปที่ 155 การเชื่อมจุดไฟ (เทอรมิท)
195
บทที่ 11 การตรวจชิ้นงานหลอ 11.1 จุดประสงคของการตรวจชิ้นงานหลอมีดังตอไปนี้ (1) รักษาระดับคุณภาพ จะตองคัดเอาชิ้นงานที่เสียออกไป เพื่อใหผลผลิตเรียบรอยโดยสมบูรณและมีคณ ุ ภาพ (2) ตัดคาใชจายโดยคนพบจุดเสียเสียแตตน ขบวนกรรม นับตั้งแตการตรวจรับวัตถุดบิ และวัสดุที่ใชการผลิต ตลอดจนการทําแบบหลอการเท ฯลฯ จนเสร็จมีโอกาสที่จะเกิดจุดเสียขึ้นทั้งนั้น ถาตรวจพบจุดเสียยิ่งตนขบวนกรรมเทาไรก็จะเปนการ ประหยัดคือจะไดไมตองเสียคาใชจายสําหรับชิ้นงานทีจ่ ะตองถูกคัดออกอยูดี (3) การปรับปรุงวิธีการผลิต จากขอมูลในดานคุณภาพที่ไดจากการตรวจและทดสอบชิ้นงานในระหวางการผลิต จนทําให สามารถดําเนินการแกไขไดแตตนมือ คือไมตองรอจนกระทั่งไดผลิตออกมาเปนจํานวนมาก หรือ จนกระทั่งของออกสูตลาดแลว นอกจากนัน้ เมื่อไดประมวลผลของการตรวจแลว ก็อาจจะปรับปรุง วิธีการผลิตเสียใหม เพื่อใหคุณภาพดีขึ้น การตรวจชิ้นงานหลอนั้น อาจแบงออกเปนลักษณะตาง ๆ ดังนี้ (1) การตรวจรูปรางลักษณะ จากการตรวจประเภทนี้จะพบความไมเรียบรอย การมีวัสดุแทรกในเนื้อโลหะรอยราว ฯลฯ ถา เกิดที่ผิวและจะพบชิ้นสวนที่มีขนาดนอกเขตที่ยอมได(ตามมาตรฐานของการตรวจขนาด) ดวย (2) การตรวจจุดเสียภายใน (ตรวจโดยไมทาํ ลาย) ในการตรวจวิธีนี้ไดตรวจจุดเสียที่มีอยูภ ายในเนื้อ เชน จุดโหวภายในที่เกิดจากแกส จุดโหวที่ เกิดจากการหดตัว การแทรกของวัสดุ เชนทรายในเนือ้ โลหะ การราว ฯลฯ ที่เกิดขึ้นภายในเนื้อโลหะ ทั้งนี้โดยไมตอ งทําลายชิ้นงาน (3) การตรวจวัสดุ ตรวจการผิดปกติในวัสดุ คือ สวนผสม โครงสราง และคุณสมบัติทางกล (4) การตรวจโดยทําลาย เปนการตรวจที่ตองหักหรือตัดชิ้นสวนออก เพื่อใหแนใจวามีจุดเสียจริงตามที่ไดพบในการตรวจ ประเภทที่ (1) - (3) หรือไมการตรวจคุณภาพและจุดเสียนั้น อาจใชการสุมตัวอยาง จํานวนตัวอยางขึ้นกับ ขนาดของรุนผลิต (lot)
196
ในการจะตัดสินใจวาจะรับหรือคัดทิ้ง จะตองมีมาตรฐานทั้งในดานคุณภาพการใชงานและรูปราง ลักษณะ ในกรณีที่ไมแนวา ควรรับหรือตัดทิ้ง ควรมีการทดสอบมาตรฐานการตรวจจะตองเปนมาตรฐาน ที่เหมาะสมคือ ไมสูงหรือต่ําเกินไป ถาสูงเกินไปจะทําใหเสียคาใชจา ยมาก และถาต่ําเกินไป ก็จะทําให หนวยงานอุตสาหกรรมนั้นเสียชื่อ ในการตรวจจุดสําคัญ ๆ ในเรื่องการเสีย เชน ชนิด รูปราง สถานที่ที่คนพบจุดเสีย สภาพ การผลิต ฯลฯ นั้น จะตองบันทึกไวอยางเที่ยงตรง สําหรับชิ้นงานที่ผานการทดสอบนั้น ก็จะตองบันทึกระดับ ของคุณภาพดวย แลวสงขอมูลเหลานี้ไปยังแผนกแกไข แผนกแกไขใชขอมูลดังกลาวในการควบคุมคุณภาพ และกําหนดวิธีการแกไขมิใหเกิดจุดเสีย การรักษาและปรับปรุงคุณภาพ และการสรางมาตรฐานการตรวจที่ เหมาะสม โดยใชขอมูลดังกลาว นับเปนเรือ่ งสําคัญยิ่ง การตรวจรับวัตถุดิบและวัสดุที่ใชในการผลิตเปนการ ตรวจที่สําคัญมากอยางยิ่ง หากไมระมัดระวังอาจมีรุนผลิต (lot) ใหญ ๆ ที่เสียแตผานการตรวจรับ 11.2 การตรวจรูปรางลักษณะ 11.2.1 วิธีการตรวจรูปรางลักษณะ การตรวจวิธีนี้เปนการตรวจจุดเสียที่เกิดที่ผิวงาน จุดเสียของงานหลอสวนมากมักเกิดที่ผวิ และ ตรวจพบไดโดยวิธีนี้ การตรวจรูปรางลักษณะสวนมากหมายถึงการตรวจดวยสายตา แตในบางกรณีอาจ ตรวจการผิดปกติ ซึ่งอยูภายในเนื้อโลหะโดยใชคอนเคาะก็ได ในสวนตอไปนี้จะไดกลาวถึงสวนงาน ซึ่งมักมีจุดเสีย ทั้งนี้เพื่อจะไดตรวจดวยความระมัดระวังเปนพิเศษ 1) หลังจากการเทแกสและชิน้ ของแบบหลอที่หักติดน้ําโลหะไป จะไปสูสวนบน (cope side) ของชิ้นงาน ดังนั้นรูที่เกิดจากแกส การแทรกของวัสดุในเนื้อโลหะมักเกิดขึ้นทีน่ ั่น ความดันของน้ํา โลหะตรงสวนบนของแบบจะนอยเมื่อเทียบกับสวนลาง ดังนั้นการเขาไมเต็มแบบและรูโหวที่เกิดจาก การหดมักจะเกิดขึ้น 2) ที่ดานลางของชิ้นงาน ความดันจะมีมาก จึงมักมีน้ําโลหะแทรกเขาผิวแบบทําใหผงิ งานหยาบ 3) ตรงที่ความหนาเปลี่ยนโดยกระทันหัน ตรงมุมมน (fillet) และรูเขามักจะมีการหดตัวมากเปน พิเศษ ดังนั้นจึงมักมีโพรงทีเ่ กิดจากการหดตัวอยูม าก มักเกิดจากน้ําโลหะแทรกเขาแบบหลอตรงมุมมน สวนตรงรูเขามักเกิดการที่สวนหนึ่งของแบบหลอหลุดหรือหักติดไปกับน้ําโลหะวิ่งเขาแบบ 4) ตรงสวนที่บางและใชหมุดยึดไสแบบ ตัวหมุดมักละลายไมหมดจึงมักมีรูเกิดจากแกสขึน้ รอบ ๆ หมุด 5)ในกรณีที่ใชไสแบบที่ซับซอน อาจมีทรายไสแบบเหลือติดอยูในชิ้นงาน
197
11.2.2 การตรวจมิติ การผิดพลาดในมิติของชิ้นงานอาจเกิดจากการผิดพลาดในแบบของกระสวน ในการทํากระสวน การ สึกหรอของกระสวน การผิดพลาดในการประกอบไสและแบบหลอ การบิดเบี้ยวของไสแบบและแบบหลอ หลังจากเท ฯลฯ ตามธรรมดาจะไมสามารถตรวจมิติดวยสายตา นอกจากในกรณีทเี่ ชน เกิดการสลับกันใน การใสไสจึงตองใชเครื่องวัด เชน ขาจับขนาด (scribing block) หรือเครื่องวัดอื่น ถาตรวจงานที่ผลิตปริมาณ มาก ควรใชเกจ (gauge)พิเศษสําหรับแตละงาน และใชจกิ (jig) ในการตรวจ เพราะจะทําใหตรวจไดรวดเร็ว และแมนยําขึน้ ในการผลิตงานชิ้นใหม จะตองรับตรวจมิติโดยละเอียด โดยใชขาจับขนาด มิฉะนัน้ ถางานเกิด ผิดขนาดอาจตองคัดงานหลอทิ้งทั้งหมด ในการผลิตตอเนื่องกันตองมีการตรวจดวยขาจับขนาด และมีการผา ชิ้นงานออกเปนครั้งคราว เพื่อตรวจมิติภายในซึ่งธรรมดาตรวจไมได และถามีการคลาดเคลื่อนในมิติ เนื่องจากกระสวนสึกหรอ จะไดจดั การแกไขเสีย อุปกรณวดั ที่ใชกนั ตามปกติในการตรวจมิติ มีดังนี้ (1) อุปกรณวัดทั่วไป มีเวอรเนียรคาลิเปอร คาลิเปอร บันทัด สแนบเกจ (snap guage) ซึ่งเปน go-no go gange ขนาดเล็ก เกจวัดความลึก ไมโครมิเตอร และอื่น ๆ จุดสําคัญคือ วิธีการใชเกจเหลานี้ การเลือกใชเกจใด ยอมขึ้นกับ รูปรางของงานและจุดประสงคของการตรวจ ถาจะวัดความยาวที่คงที่หรือความหนา ฯลฯ ควรใชเกจพิเศษ เฉพาะงาน เกจวัดตามแนวรูปราง(profile gauge)เปนเกจทําดวยเหล็กแผนหรืออยางอื่น มีรูปรางเหมือนกับ ของชิ้นงาน ใชสําหรับทาบตรวจชิ้นงานที่มีแนวผิวซับซอน เพื่อตรวจวามีการผิดพลาดในมิติทผี่ ิวหรือไม ความหนาที่อยูเขาไปขางในของงาน หรือความหนาตรงสวนโคงของงานนั้น ใชคาลิเปอรประกอบกับเกจ หนาปทม(dial indicator) วัดไดสะดวก (2) จิกตรวจงาน (inspection jig) จิกตรวจงานนีม้ ักใชกนั ในการตรวจงานผลิตปริมาณมาก ใชเปนกฎทัว่ ไปไดวา จุดตั้ง (location)ของ จิกคือ จุดชุดเดียวกับจุดตั้งที่ใชในงานเครื่องกลโรงงาน จิกตรวจงานประกอบดวยตัวจิก อุปกรณซึ่งสามารถ ใชตรวจมิตไิ ด โดยใชจกิ เปนจุดตั้ง และเกจแนวรูปราง (profile gauge) โดยการใชจิกจะวัดมิติไดในทั้ง 3 มิติ (3) วิธีอื่น ถาตองการวัดความหนา แตไมสามารถเขาถึงผิวดานใน จะวัดจากภายนอกขางเดียวได โดยใช เครื่องวัดความหนา โดยวัดความตานทานไฟฟาและเครื่องวัดใชความถี่เหนือเสียง (supersonic) เครื่องที่วัด ความตานทานไฟฟาเปนเครื่องที่วัดความตางศักยระหวางจุดสองจุดบนผิวดานเดียวกัน ความตางศักยนจี้ ะ ตางกัน ถาความหนาของงานตางกัน เครื่องวัดใชความถี่เหนือเสียงนั้น วัดความหนาโดยการวัด
198
ระยะเวลาระหวางพัลซ (pulse) ความถี่เหนือเสียงที่สงออกไปในแนวตั้งฉากกับผิวกับพัลซที่สะทอน กลับจากผิวลาง 11.3 การตรวจจุดเสียภายในเนื้องาน ในการตรวจรูภายในที่เกิดจากแกส รูพรุน โพรงที่เกิดจากการหดตัวรอยราว วัสดุอื่นแทรก ฯลฯ ถาจุดเสียเหลานี้เกิดภายในเนื้องาน อาจใชวิธีเคาะชิน้ งานแลวฟงเสียงหรือใชวิธตี าง ๆ เชน วิธีความถี่ เหนือเสียง แมเหล็กกัมมันตภาพรังสี ฯลฯ 11.3.1 การเคาะตรวจ วิธีนี้ใชการฟงเสียงเคาะ เพื่อทราบวามีจดุ เสียภายในหรือไม และคุณภาพของเนือ้ โลหะหรือไม อาจใชหูฟงหรือออสซิลโลกราฟ (oscillograph)แลวแตกรณี งานที่ราวจะไมใหเสียงใสเทางานที่ไมเสีย นอกจากนั้นจะไมกังวลนานเทา ในดานการตรวจคุณภาพของวัสดุนั้น ถาชิน้ งานมีความแข็งและความ แข็งแรงต่ํา เสียงจะต่ํา แตถาความแข็งและความแข็งแรงสูง คลื่นเสียงจะสูงขึ้นและใสขึ้น 11.3.2 การตรวจโดยวิธีซึมเขาผิว วิธีนี้ใชตรวจจุดเสีย เชน รอยราว โพรงที่เกิดจากการหดตัว ฯลฯ ซึ่งทําใหเกิดรูหรือรอยแยก เล็ก ๆที่ผิวงาน วิธีตรวจแบบนี้แบงออกไดเปน วิธตี รวจโดยใชของเหลวซึมเขาไปยอมสี และวิธีตรวจ โดยใชวัสดุเรืองแสง (fluores-cence) ซึมเขาไป ทั้งสองวิธีมีหลักการทํางานเดียวกัน รูป 156 แสดง หลักการทํางาน ชิ้นงานตองไดรับการทําความสะอาดกอน แลวจึงทาของเหลวที่จะใหซึมลงไปบน ชิ้นงาน เสร็จแลวเช็ดออกและทําความสะอาดอีกครั้งหนึ่ง แตในครั้งนี้สวนที่ติดอยูบนผิวเทานั้นที่ถูก เช็ดออกไป สวนที่ซึมไปในจุดเสียจะยังอยู หลังจากนั้นก็ทาน้ํายาลงไป เพื่อยอมใหของเหลวที่อยูใน จุดเสียเกิดเปนสี หรือฉายแสงดํา (black light) ลงบนผิวงาน เพื่อใหของเหลวในจุดเสียเรืองแสง โดยวิธี นี้ก็จะตรวจพบจุดเสีย 11.3.3 การตรวจวิธีแมกนาฟลักซ (Magnaflux) หรือเสนแรงแมเหล็ก วิธีนี้ใชในการตรวจจุดเสีย เชน รอยราว โพรงที่เกิดจากหดตัว การมีสิ่งแปลกปลอมติดอยูในเนือ้ โลหะ ฯลฯ ทีเ่ กิดที่ผิวหรือใตผิวเล็กนอย ใชไดเฉพาะกับงานที่ทําดวยวัสดุที่เปนแมเหล็กได เชน เหล็กหลอ รูป 157 แสดงหลักการทํางาน กอนอืน่ ชิ้นงานจะตองถูกทําเปนแมเหล็ก ดังนั้นจะเกิดเสนแรงแมเหล็กดัง แสดงในรูป 157และจะมีบางสวนที่รั่วออกสูอากาศ เรียกวา เสนแรงแมเหล็กรั่วขัว้ แมเหล็กจะเกิดที่จุดเสียดัง แสดงในรูป 157 ดังนั้น ถาโรยผงเหล็กลงบนผิวงานจะมีการจับกลุมของผงเหล็กรอบ ๆ จุดเสีย ขนาดของจุด ที่เกิดจากการจับกลุมของผงเหล็กจะใหญกวาตัวจุดเสียเอง ทําใหสามารถตรวจพบจุดเสียเล็ก ๆ ซึ่งไม สามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา ในการปฏิบัติงาน
199
จริง ๆ โดยมีผงแมเหล็กเรืองแสงลอยอยู ผงแมเหล็กจะจับกลุมรอบจุดเสีย เสร็จแลวนําชิ้นงานไปรับการฉาย แสงดําเพื่อใหผงแมเหล็กเรืองแสง ในการตรวจวิธีนี้จุดที่ควรไดรับความสนใจ คือ วิธีการทําเปนแมเหล็กถาแนวแรงของแมเหล็ก ที่เกิดขึ้นตั้งฉากกับจุดเสีย ความเที่ยงในการตรวจจะสูงสุด แตถาแนวแรงขนานกับจุดเสีย จะไมมีฟลักซ แมเหล็กรัว่ ดังนั้นจะไมมกี ารดูดผงเหล็ก ดังนัน้ ถาตรวจแลวไมพบในครั้งแรก จะตองทําใหชิ้นงานเปน แมเหล็กอีก โดยครั้งนี้ใหมีแนวแรงตั้งฉากกับทิศทางของแนวแรงเดิม รูป 158 แสดงวิธีตาง ๆ ในการทําให เปนแมเหล็ก การเลือกใชวิธใี ดนั้น ขึน้ อยูก บั รูปรางของชิ้นงาน และตําแหนงของจุดเสีย 11.3.4 การตรวจโดยใชคลืน่ ความถี่เหนือสูงกวาเสียง (วิธีสังเกตการสะทอนของ pulse) ตามวิธีน้ตี รวจจุดเสียโดยสงคลื่นความถี่เหนือเสียงเขาสูสวนที่ตองการตรวจ แลวสังเกตการผิดปกติ ของคลื่นที่สะทอนกลับ เมื่อคลื่นความถี่สูงซึ่งวิ่งภายในชิ้นงานไปพบผิวของจุดเสีย เชน รูที่เกิดจากแกส สิ่ง แปลกปลอม ฯลฯ จะสะทอนกลับวิธีที่ใชหลักการสะทอนกับของ pulse นี้คือ วิธีตรวจโดยใชคลื่นความถี่ เหนือเสียง รูป 159 แสดงหลักการทํางานของเครื่องตรวจจุดเสียดวยคลื่นความถี่เหนือเสียง pulse oscillator และ vibrator ในตัวตรวจจะสราง pulse ความถี่เหนือเสียงขึ้น แลวสงเขาสูชิ้นงาน โดยแนบตัวตรวจเขากับ ชิ้นงาน ถามีจดุ เสียภายในเนือ้ งาน pulseสวนหนึ่งจะสะทอนกลับเขาสูตัวตรวจ สวนที่เหลือของ pulse จะ ผานตอไปจนถึงผิวของดานตรงขาม จึงสะทอนกลับ ดังนั้นสําหรับชิ้นงานที่ไมมีจุดเสีย pulse จะใชเวลานาน กวากอนที่จะสะทอนกลับถึงตัวตรวจ คลื่นที่สะทอนกลับจะถูกเปลี่ยนเปน voltage ความถี่สูง ขยายขนาดใน ตัวรับ แลวสงไปสูหลอด Braun จะตรวจพบจุดเสียได โดยดูจากภาพในหลอด Braun ดังแสดงในรูป 159 11.3.5 การตรวจโดยใชรงั สี (Radiographic inspection) รังสีเชน X-ray, ﻻ-ray ฯลฯ มีลักษณะเปนคลื่นแมเหล็ก-ไฟฟา (electromagnetic) เชนเดียวกับแสง และตางมีความยาวคลื่นต่ํา และมีพลังสามารถผานทะลุโลหะได ปริมาณการผานของรังสีขึ้นกับชนิดโลหะ ความหนา ความหนาแนน และพลังงานการแผรังสี รูป 160 แสดงลักษณะการสงรังสีผานชิ้นทดสอบที่มี จุดเสียภายใน และมีความหนาไมเทากัน ถาความหนานอย ความเขม (intensity) ของรังสีที่ผานก็จะมาก ดังนั้นรังสีที่ผานจะออนลงตามลําดับ Io, I1 และ I2 ถามีจุดเสียอยูภ ายใน ความเขมของรังสีที่ผาน (I3) จะสูง กวา I2 ถึงแมความหนาที่ C จะเทากับความหนาที่ B ดังนั้นโดยการวัดความเขมของรังสีที่ผานแตละสวนของ ชิ้นงาน จะตรวจพบจุดเสีย เชน โพรงที่เกิดจาก
200
การหดตัว สิ่งแปลกปลอมที่ติดอยูในเนื้องาน ฯลฯ ความเขมของรังสีที่ผานนั้น จะบันทึกไวบนฟลมถายภาพ หรือเปนภาพอยูบนแผนเรืองแสง และโดยการตรวจดูภาพดังกลาว จะตรวจพบจุดเสียได (1) ﻻ-ray วัสดุกัมมันตทใี่ ชในการตรวจดวยรังสี มีแสดงในตาราง 8.1 ﻻ- rayมีขอดี เชน มีพลังเจาะทะลุสูง เครื่องจายรังสีขนยายสะดวก เพราะสิ่งดักรังสีไมใหออกมานอกอุปกรณมีขนาดเล็ก ราคาถูก ฯลฯ แตก็มี ขอเสีย เชน ควบคุมพลังงานการแผรังสีไมได ตองใชเวลาสงและรับรังสีนาน จําเปนตองระมัดระวังในการใช และขนยายเครื่อง ฯลฯ เครื่องตรวจโดยใชﻻ-ray มีขาย ดังนัน้ ซื้อไปใชได เครื่องชนิดนี้เหมาะสําหรับงาน ขนาดใหญและหนามาก (2) เครื่อง X-ray รูป 161 แสดงเคาโครงของเครื่อง X-ray ชนิดเคลื่อนที่และชนิดตัง้ ประจําที่ สําหรับชนิดติดตัง้ ประจําที่ไดรับไฟฟาแรงสูงสําหรับหลอด X-ray จากเครือ่ งกําเนิดไฟฟาแรงสูง และมีการหลอเย็นเพื่อปองกัน มิใหหลอด X-ray รอนเกินไป ดังนัน้ เครื่องตั้งประจําที่ใชกับงานที่ใชเวลานาน และใชกระแสไฟฟาสูง ๆ ได ชนิดเคลื่อนทีย่ อมมีขอเสียเมื่อเทียบกับชนิดตั้งประจําที่ และก็มีขอดีตรงที่ขนยายงาย ใชสะดวก ฯลฯ 11.3.6 การทดสอบโดยใชความดันน้าํ และอากาศ การทดสอบประเภทนี้ใชตรวจจุดเสียที่เปนรูทะลุจากภายในถึงภายนอกชิ้นงาน ในกรณีที่ชนิ้ งาน ตองรับความดันในการใชงาน มีการใชความดันของเหลวความดันอากาศ การใชสูญญากาศฯลฯ ทัง้ นี้แลวแต ขนาดความดันในการใชงานแตมักใชชนิดความดันน้ําและความดันอากาศ ในการทดสอบโดยใชความดันน้ํา จะตองอุดรูทุกรูของงาน แลวตรวจวามีนา้ํ รั่วหรือไม เมื่อน้ําในชิน้ งานไดรับความดันในการทดสอบดวย ความดันอากาศ จะตองอุดรูทุกรูของงาน แลวจุมลงในน้าํ แลวจึงสงอากาศอัดเขาไปในชิ้นงาน งานที่มีจุดเสีย จะมีฟองอากาศลอยขึ้นมาจากจุดเสียในกรณีที่ผลิตปริมาณมาก มีอุปกรณที่ใหความดันและตรวจการรั่วโดย อัตโนมัติ แตในบางกรณีความดันที่ใชทดสอบอาจต่ํากวาที่ตองการ เพราะอาจอุดรูรั่วไมดีพอ ดังนัน้ จึงควรมี การตรวจโดยใชสายตาบางเปนครั้งคราว การตรวจโดยวิธีนกี้ ระทําเมื่อเสร็จงานเครื่องกลโรงงาน รูป 162 แสดงวิธีการตรวจจุดเสีย โดยใชน้ําหรืออากาศ ตารางที่ 11.1 ชนิดของวัสดุกัมมันตที่ใชในการตรวจดวยรังสี 137CS 192Ir 170Tm สารกัมมันต 60Co ฮาลฟ –ไลฟ 5.2y. 30y. 7.44d. 127d. สภาวะเคมี Co CaCl Ir Tm203 ความหนาแนน(g/cm3) 8.9 3.5 22.4 4 พลังงานﻻ-ray(MeV) 1.17,1.33 0.662 0.30-0.61 0.084, (1.25 เฉลี่ย) (0.35 เฉลี่ย) 0.052
201
รูปที่ 156 หลักการตรวจโดยใชวิธีซึมเขาผิว
รูปที่ 157 หลักการทํางานของการตรวจดวยวิธีเสนแรงแมเหล็ก (MAGNAFLUX)
202
รูปที่ 158 วิธีตา ง ๆในการทําใหเปนแมเหล็ก
รูปที่ 159 หลักการทํางานของเครื่องตรวจจุดเสียดวยคลืน่ ความถี่สูงเหนือเสียงและภาพแสดงจุดเสีย
203
รูปที่ 160 หลักการตรวจสอบโดยใช (X-ray) แบบเคลื่อนที่ เครื่องควบคุม
เครื่องกําเนิดX-ray
ออโตทรานสฟอรเมอร สวิทซ เครื่องตั้งเวลา โวลทมิเตอรแอมมิเตอร เครื่องปองกัน
หลอด X-ray หมอแปลงไฟฟาแรงสูง ฟลาเมนตทรานสฟอรเมอร ระบบการหลอเย็น รีเลยอุณหภูมิ
แบบตัง้ ประจําที่ เครื่องควบคุม ออโตทรายสฟอรเมอร สวิทซ เครื่องตั้งเวลา โวลทมิตอรแอมมิเตอร เครื่องปองกัน
สายเค เบิ้ล แรง เคลื่อน ต่ํา
เครื่องกําเนิดไฟฟา สายเค แรงสูง หมอแปลงไฟฟาแรงสูง เบิ้ล ฟลาเมนตทรานสฟอรเม แรง อรหลอดเรคติไฟเออร สูง คอนเดนเซอร
กลองหลอด X- ray
หลอด X-ray
สายเคเบิ้ลแรงเคลื่อนต่ํา รูปที่ 161 เคาโครงของเครื่อง X-ray
สูบหลอเย็น
204
(A)ทดสอบโดยใชนา้ํ อัด
(B)ทดสอบโดยใชอากาศ
รูปที่ 162 การทดสอบแรงอัดรั่วของเสื้อสูบ
205
บทที่ 12 จุดเสียในงานหลอและวิธีแกไข จุดเสียในงานหลอมีลักษณะตาง ๆ กันหลายลักษณะ โดยทั่วไปจุดเสียขึ้นกับวิธีการทําแบบและการ เทและไมขึ้นกับชนิดของวัสดุหรือประเภทของงานหลอ เมื่อไดสํารวจจนทราบแนถึงสาเหตุของจุดเสียก็จะ แกไขไดไมวางานหลอจะทําดวยวัสดุอะไร ในการทําชิ้นงานหลอขึ้นมานั้นจะตองมีขบวนกรรมมากมาย วิธีการปฏิบัติอันใดอันหนึ่งในแตละขบวนกรรมอาจเปนสาเหตุของจุดเสีย ดังนั้นจึงเปนการยากที่จะ วิเคราะหไดถกู ตองวาอะไรเปนสาเหตุแน ผูวิเคราะหตองมีประสบการณมากจึงจะวิเคราะหไดถูก ในการ ทํางานของโรงหลอแตละโรงหลอจะตองมีการวางเทคนิคและขบวนกรรมมาตรฐาน เมื่อเกิดจุดเสียขึ้นสิ่ง แรกที่ควรจะสํารวจคือ วิธีการปฏิบัติตาง ๆ ที่ใชในการทําชิ้นงานหลออันที่มีจุดเสียเปนไปตามวิธีมาตรฐาน หรือไม ในบางกรณีก็ตองมีการประลองเพื่อหาสาเหตุ ลักษณะที่สําคัญของจุดเสียในงานหลอและวิธีการ แกไขมีดังนี้ 12.1 จุดเสียชนิดตาง ๆ และลักษณะ คณะกรรมาธิการหลอโลหะระหวางชาติไดแบงประเภทของจุดเสียออกเปน 9 ประเภท คือ (1) หางหนูหรือสะเก็ดบานปลาย (2) โพรง (3) รอยราว(4) ผิวหยาบ(หนาขาวตัง) (5) น้ําโลหะวิ่งเขาไมเต็ม แบบ (misrun) (6) มิติผิด (7) มีสิ่งแปลกปลอมหรือมีความไมสม่ําเสมอในเนื้อเหล็ก (8) การบิดเบี้ยว (9) จุดเสียที่มองไมเห็น จุดเสียเหลานี้เกิดจากการออกแบบ (รูปรางของชิ้นงาน) วัสดุที่ใช(เชนวัสดุที่หลอมละลาย ทราย ฯลฯ) ขบวนกรรม (การหลอมละลาย การปรับคุณสมบัติของทราย การทําแบบหลอ การเท การแตงขั้น สุดทาย ฯลฯ ) หรือการออกแบบการหลอ ( รูเท รูวิ่ง ฯลฯ ) จุดเสียชนิดเดียวกันอาจเกิดจากสาเหตุที่ ตางกัน ตาราง 12.1แสดงจุดเสียที่เกิดบอย ๆ และลักษณะของจุดเสียนัน้ ๆ รูปรางของจุดเสียขึ้นอยูกับวัสดุที่ ใชหลอ แตถือวาเปนจุดเสียประเภทเดียวกัน 12.2 จุดเสียในชิ้นงานเหล็กหลอ 12.2.1 รูพรุน (blow holes) (1) ลักษณะ รูพรุนดังแสดงในตาราง 12.1 เปนจุดเสียทีเ่ กิดบอยที่สุดในงานหลอ รูพรุนมีรูปรางตาง ๆ กัน รูพรุน อาจเปนรูที่ผิวงานหรืออาจเปนโพรงภายใน มักเปนโพรงกลมอยูใตผิวเล็กนอย รูพรุนมีสีตางกันแลวแต สาเหตุ คือสีในกรณีที่มีการทําปฏิกิริยากับออกซิเจน และในกรณีทไี่ มทําปฏิกิริยากับออกซิเจน สําหรับ เหล็กหลอและเหล็กเหนียวหลอจะเปนสีดําหรือสีน้ําเงิน และสําหรับโลหะผสมทองแดงจะเปนสีนา้ํ ตาลหรือ เหลือง
206
(2) สาเหตุ สาเหตุของรูพรุนนั้น แบงเปนกลุมใหญ ๆ ได 2 กลุม คือที่เกิดจากแกสจากน้ําโลหะและที่เกิดจาก แกสจากแบบหลอ รูป 12.1 แสดงการเกิดแกสรูพรุนมักเกิดจาก 1. การหลอมเหลวที่มีการทําปฏิกิริยากับออกซิเจน 2. ปากคิวโพลาและเบาไมแหงพอ ทําใหนา้ํ โลหะมีแกส 3. อุณหภูมิเทต่ํา 4. เทชา 5. แองรับน้ําโลหะในแบบหลอและระบบรูเขาเปยก 6. แบบหลอปลอยซึมไมมากพอ 7. ไมมีการปลอยแกสออกจากไสแบบมากพอ 8. แบบหลอไมแหงพอ 9. เกิดแกสจากแบบหลอมากเกินไป 10. ความดันของน้ําโลหะนอยเกินไป 11. เกิดแกสจากหมุดยึดไสแบบ ทุนเย็นในหรือทุนเย็นนอก (3) วิธีการแกไข 1.ในการหลอมเหลวโดยใชคิวโพลาจะตองใหไดน้ําโลหะที่ใสโดยรักษาระดับความสูงของถานโคก กนเตา โดยไมเปาลมมากเกินไป โดยการยางบริเวณกนเตาและผิวเตาใหแหงกอนใชงาน และโดยการใชตัว ลดออกซิเจน นอกจากนัน้ จะตองใหไดน้ําโลหะอุณหภูมิสูง โดยการควบคุมปริมาณถานโคกใหเหมาะสม ปากเตาและเบาจะตองแหงสนิท 2. รูพรุนมักเกิดขึ้นถาถาอุณหภูมิเทต่ํา หรือเมื่อตําแหนงของรูเทไมเหมาะสมหรือใชเวลานานเกินไป จึงจําเปนตองวาดรูเทใหถูกจุดและเทน้ําโลหะที่อุณหภูมิสูงพอและเทอยางรวดเร็ว (ดูรูป 12.2 และ 12.3) 3.เนื่องจากรูพรุนเกิดจากการที่แบบหลอปลอยซึมไมมากพอ หรือเมื่อมีความชื้นเฉพาะจุดหรือมีวัสดุ ที่ทําใหเกิดแกส จึงตองแกในจุดตาง ๆ ดังกลาว 4.ในกรณีที่ปลอยแกสออกจากไสแบบไมมากพอ โดยเฉพาะเมื่อมีน้ําโลหะหุมไสแบบไวเกือบมิด จะเกิดรูพรุนใหญขนาดที่แกไขไมไหว ดังนั้นจึงตองจัดใหมีทางแกสออก หรือโดยผสมขี้เถาถานโคกเขากับ ทรายไสแบบ หรือโดยปลอยใหแกสออกทางบาไสแบบ โปรดดูตัวอยางในรูป 12.4 5. ถาระดับน้ําโลหะในรูเทต่ําเกินไป ความดันของน้ําโลหะจะต่ํากวาความดันของแกสในแบบหลอ ดังนี้การที่ความดันของน้ําโลหะต่ําจะทําใหเกิดรูพรุนมีตัวอยางกรณีทแี่ กการเกิดรูพรุนไดโดยใหความดันน้ํา โลหะไมต่ํากวา 200 mm(โปรดดูรูป 12.5) และความเร็วเทตองสูงดวย
207
12.2.2 รูเข็ม (pin holes) (1) ลักษณะ รูเข็มคือรูซึ่งมีผิวในเรียบ และมักเปนรูกลม ขนาดของจุดเสียแบบรูเข็มอยูในราว 1-2 mm หรือต่ํากวา คือ เปนรูเล็ก ๆ คลายรูที่เกิดจากเข็มเจาะรูเข็มมักเกิดขึน้ ทั่ว ๆ ผิวงานภายในของรูมีสีขาวเงิน หรือสีนา้ํ เงินที่เกิด จากปฏิกิริยากับออกซิเจน (2) สาเหตุ เชนเดียวกับรูพรุน (3) วิธีแกไข เชนเดียวกับรูพรุน 12.2.3 รูแกสที่เกิดจากทุนเย็น (1) ลักษณะประจํา รูแกสเปนรูพรุนชนิดหนึ่งที่เกิดใกลหมุดยึดไสแบบทุนเย็นหรือทุนเย็นในภายในรูจะเรียบและรูมี ขนาดตาง ๆ กัน (2) สาเหตุ ถาผิวของทุนเย็น หมุดยึดไสแบบ ฯลฯ ที่เสนสัมผัสกับน้ําโลหะเปนสนิมหรือถาวัสดุที่ฉาบผิว กลายเปนไอไดงาย จะทําใหเกิดรูแกส รูแกสอาจเกิดจากการที่ความชื้นในแบบหลอกลายเปนไอ และไปกลั่น ตัวที่ผิวทุนเย็น แลวทําปฏิกิรยิ ากับน้ําโลหะเกิดเปนแกส (3) วิธีแกไข กอนที่จะใสทนุ เย็นและหมุดยึดไสแบบจะตองขัดเสียใหดี เพื่อปองกันมิใหเกิดสนิม ควรเคลือบทุนเย็น ทุนเย็นใน ฯลฯ ดวยดีบกุ แตถาเคลือบดวยวัสดุที่ใชบดั กรี จะทําใหเกิดรูพรุน มักจะจัดใหมีรองที่ผิวตรงที่ สัมผัสกับน้ําโลหะ เพื่อใหแกสหนีออกไดงาย (ดูรูป 12.6) รูพรุนที่เกิดจากหมุดยึดไสแบบอาจทําใหน้ํารั่ว ถา ใชกับน้ําที่รับความดัน ทําใหงานหลอนัน้ ใชไมได รูป 12.7 แสดงการใชที่รองรับหมุดยึดไสแบบเพื่อปองกัน มิใหเกิดการรัว่ ถาอุณหภูมิของแบบหลอและไสแบบหลอตางกันในขณะทีแ่ บบหลอรอการเทความชื้นอาจ กลั่นตัวเปนน้ําที่สวนที่อุณหภูมิต่ํากวา ทําใหเกิดรูพรุน ดังนั้นจึงตองทําใหอุณหภูมิเทากัน ดวยเหตุผล เดียวกัน ตองใหอุณหภูมิของทุกสวนเหนือ 100°C เพื่อปองกันมิใหเกิดการกลั่นตัวในขณะทีย่ างใหแบบหลอ แหงหลังจากทีใ่ สหมุดยึดไสแบบ ทุนเย็น และทุนเย็นใน ฯลฯ แลว
208
12.2.4 โพรงทีเ่ กิดจากการหดตัว (1) ลักษณะ โพรงที่เกิดจากการหดตัว เกิดจากการหดตัวเมื่อโลหะแข็งตัว ภายในของโพรงประกอบดวยผลึกรูป กิ่งไม สําหรับเหล็กหลอผิวในของจุดเสียชนิดนี้มีสีน้ําเงิน (2) สาเหตุ โพรงและรูโหวที่เกิดจากการหดตัวเกิดจากสาเหตุชุดเดียวกัน คือ เกิดในขณะที่โลหะแข็งตัว โดยที่สวนตาง ๆ ของชิ้นงานแข็งตัวไมพรอมกัน มักจะเกิดที่สวนทีแ่ ข็งตัวหลังสุด เหล็กหลอจะหดตัว 2.0โดยเฉลี่ยเมือ่ แข็งตัวแตจะขยายตัว(เมื่อแข็งตัว) ถาหนามากและจะกลับกลายเปนหดตัวถาหนานอย เหล็กหลอที่มคี ารบอน 3.4% จะขยายตัวเมื่อแข็งตัว ถาความหนาเทากับประมาณ 25mm แตถาปริมาณ คารบอนต่ําลงจะกลายเปนหดตัวที่ความหนาเทากันนี้ ถาใชแบบหลอทรายเปยกเหล็กหลอจะหดตัว เมื่อแข็งตัวสาเหตุของการเกิดจุดเสียเนื่องจากการหดตัว มีดังนี้ 1. อุณหภูมิเทต่ําเกินไป ทําใหรูลนแข็งตัวเร็ว จึงปอนน้ําโลหะไดยาก 2. ความสูงของรูลนนอยเกินไป หรือเมื่อเทไมเทเผื่อใหมนี ้ําโลหะในรูลนมากพอ 3. วัสดุที่ใชบรรจุเขาเตามีสนิมและสิ่งไมบริสุทธิ์มาก 4. การออกแบบหรือการทํารูลนไมดี 5. น้ําโลหะทําปฏิกิริยากับออกซิเจน ทําใหหดตัวมากเมือ่ แข็งตัว 6. อุณหภูมิเทต่ํา และน้ําโลหะทําปฏิกิริยากับออกซิเจน เนื่องจากถานกนเตาในคิวโพลาต่ําเกินไป 7. คอของรูลนเล็กเกินไป 8. ตําแหนงของรูลนไมเหมาะ ระยะที่ตองปอนน้ําโลหะสูงเกินไป 9. แบบหลอพองเมื่อโดนความดันน้ําโลหะ ทั้งนี้เนื่องจากกระทุงไมแนนพอ 10. แบบหลอทรายที่มีมุมแหลม และไสแบบหลอทําดวยทรายที่บางและลอมรอบดวยน้ําโลหะที่จุด ดังกลาวนีจ้ ะรอนมาก ทําใหเกิดเปนจุดรอน (hot spot) ซึ่งทําใหเกิดโพรงเนื่องจากการหดตัว 11. เมื่อรูลนปอนน้ําโลหะไดยาก เพราะมีการเปลี่ยนแปลงความหนาโดยกระทันหัน 12. เมื่อชิ้นงานหลอมีมุมแหลมเกินไป หรือสวนที่ยื่นออกมีขนาดเล็กเกินไป(รัศมีเล็กเกินไป) (3) วิธีแกไข (a) การจัดลําดับการแข็งตัวกอนหลัง การแข็งกอนแข็งหลังของสวนตาง ๆ ของชิ้นงานจะตองเปนไปในทางที่จะทําใหรูลนทํางาน ไดผลที่สุด สวนที่ไดรับน้ําโลหะเขาเต็มกอนจะมีอณ ุ หภูมิต่ําที่สดุ และสวนที่เต็มหลังสุด จะมีอุณหภูมิ สูงสุด การวางรูลนไวตรงสวนที่เต็มหลังสุดเปนเรื่องทีส่ ําคัญมาก ในกรณีเชนนี้ควรเทน้ําโลหะเขา แบบหลอรูลน ดังนั้นวิธีแสดงในรูป 12.8 a,b เปนวิธีที่ดี แตสําหรับวิธี c จะไมสามารถปอนน้ําโลหะ
209
รอน ๆ เขาแทนที่การหดตัวได ถึงแมจะเทน้ําโลหะอุณหภูมิสูงลงรูเทน้ําโลหะ ที่เขารูลนซึ่งอยูตรงสวน หัวจะมีอณ ุ หภูมิต่ําทําใหรูลนทํางานไมไดดี รูป 12.9 แสดงการจัดรูเทสําหรับปลอกเสื้อสูบ รูป (a) แสดงวิธีการปอนจากขางลาง วิธีนี้นา้ํ โลหะที่สวนลางจะมีอุณหภูมิสูง และน้ําโลหะที่สวนบนสุดจะมี ดังนั้นโลหะจะเริ่มแข็งจากขางบนและโพรงที่เกิดจากการหดตัวมักเกิดที่ตรงกลาง อุณหภูมิต่ําสุด เพราะเปนสวนที่ไดรับความดันจากรูลนต่ํากวาสวนลาง วิธีที่ดีคือวิธีที่ใหเริ่มแข็งตัวจากขางลางโดยใช รูเขาชนิดดินสอดังในวิธี (b) แตถา เทน้ําโลหะผานรูเขาดินสอตั้งแตตนน้ําโลหะอาจจะวิ่งเขากระทบ แบบหลออยางแรง ดังนั้นจึงควรเริ่มโดยการเทน้ําโลหะเขาตามวิธี (a) กอน แลวจึงเปนเทเขาทางรูเขา ดินสอตามวิธี (b) วิธีดังกลาวนี้จึงเปนวิธีทนี่ ิยมใชกัน (b) การใชทุนเย็น วิธีนี้คือวิธีใชทุนเย็นในการบังคับใหเกิดการแข็งตัวของสวนตาง ๆ กอนหรือหลังตามที่ตองการ ทั้งนี้เพื่อใหรูลนทํางานไดดีขนึ้ รูป 12.10 แสดงตัวอยางการใชทุนเย็น น้ําโลหะจะถูกปอนเขาสูขอบซึ่ง อยูโดยรอบจากรูลนขาง แตละไมสามารถปอนเขาหนาแปลนนูน (boss) ได เพราะตองผานสวนที่บาง ทําใหไมไดรับผลจากรูลนเลย ดังนั้นจึงจัดทุนเย็นไวที่สว นลางของหนาแปลนนูน และเอารูลนไว ขางบนดังนี้โลหะเริ่มแข็งจากขางลางและรูลนจะทําหนาที่ไดอยางดี เนื่องจากอาจเกิดรูโหวตรงที่ผนัง ตัดกันเพราะปอนโลหะเขายาก จึงจัดใหแข็งกอนโดยใชทุนเย็น (c) เขตใชไดผลของรูลน เขตใชไดของรูลนขึ้นกับวัสดุที่ใชหลอวิธกี ารเทและความหนามักจะกะกันโดยประมาณวา เขตใชได ของการปอนน้ําโลหะจากรูลนควรเทากับ 8 เทาของความหนาของงานมีตัวอยางแสดงในรูป 12.11 12.2.5 การหดตัวที่เกิดตรงสวนนอก (1) ลักษณะ การหดตัวที่เกิดตรงสวนนอกทําใหเกิดรูทผี่ ิวนอกของชิน้ งาน ทั้งนี้เพราะการหดตัวขณะที่โลหะ แข็งตัว (2) สาเหตุ ดู 12.2.7 (3) วิธีแกไข ดู 12.2.4 12.2.6 โพรงทีเ่ กิดจากการหดตัว (1) ลักษณะ โพรงที่เกิดจากการหดตัวเกิดจากสาเหตุเดียวกับจุดเสียทีเ่ กิดจากการหดตัวที่สวนในและการหดตัวที่ สวนนอก และอาจเกิดตรงสวนที่หนาที่แข็งตัวหลังสุดจะเกิดเปนกลุมรูเล็ก ๆ ซึ่งมีโครงสรางกิ่งไมหยาบที่ผิว ใน และมักเกิดขึ้นตรงสวนหนา สวนทีห่ นาตัดตัดกัน สวนเวาของมุมมน (concave fillet part) ฯลฯ ของ ชิ้นงานหลอ
210
(2) สาเหตุ ดู 12.2.4 (3) วิธีแกไข ดู 12.2.4 12.2.7 ผิวหยาบเห็นเปนโครงสรางของเม็ดผลึก (1) ลักษณะ ผิวหยาบเห็นเปนโครงสรางของเม็ดผลึกเกิดจากการเย็นชา จะเกิดกระจายทั่วสวนที่หนาและเมื่อ แตงดวยเครื่องกลโรงงานแลวจะดูขรุขระเหมือนหนังหมู (2) สาเหตุ ผิวหยาบดังกลาวนี้เกิดจากกราไฟท เมื่อขนาดการอิ่มตัวของคารบอน(carbon saturation degree) เทากับ 1 หรือสูงกวา เนื่องจากโลหะมีปริมาณคารบอนสูง หรือถาเย็นชาจะเกิดเกล็ดกราไฟททว่ั ผิวของสวน ที่หนา โครงสรางเชนนี้มีความแข็งแรงทางดึงต่ํา และจะใหผวิ หยาบเมื่อทํางานเครื่องกลโรงงานแลว ดังนั้น ชิ้นงานที่มีจุดเสียประเภทนี้จงึ ใชไมได (3) วิธีแกไข ตองเปลี่ยนสวนผสมของน้ําโลหะ หมายความวา ตองควบคุมปริมาณของ C,Si และ P ใหเหมาะกับ ความแข็งแรงที่ตองการและความหนา 12.2.8 สะเก็ดที่เกิดจากผิวแบบหลอหลุด (1) คุณลักษณะ ทรายที่หลุดเปนแผนหรือเปนกอนจากผิวแบบจะเขาสูโพรงของแบบหลอและมักไปอยูกับแบบหลอ บน ดังนี้ จะทําใหมีทรายแทรกอยูในเนื้อโลหะ สวนทีท่ รายหลุดออกไปจะเกิดเปนตําหนิ รูปแผนหรือรูป กอน (2) สาเหตุ ผิวของแบบหลอขยายตัวเพราะความรอนจากน้ําโลหะและบางสวนอาจหลุดติดน้ําโลหะไป จุดเสีย ชนิดนี้เรียกวา สะเก็ดที่เกิดจากทรายหลุด ทรายที่หลุดจะไปกับน้ําโลหะและกลายเปนสวนหนึ่งของชิ้นงาน หลอ จุดเสียอีกชนิดที่คลาย ๆ กันที่เรียกวา buckle เกิดจากสาเหตุเดียวกันและมักเกิดจากการที่ทรายที่ผิวแบบ หลอบนซึ่งไดรับความรอนรังสีจากน้ําโลหะเปนเวลานาน จนเสียความแข็งแรงและหลุดลงมา สาเหตุโดย ละเอียดมีดังนี้ 1. เทชาเกินไป 2. อุณหภูมิเทสูงเกินไป 3. ทรายไมทนตอความรอน
211
4.ตําแหนงของรูเทไมถูกตอง
น้ําโลหะเขาแบบหลอหลังจากสวนนั้นตองรับความรอนเฉพาะจุด
มาแลว 5. ทรายมีวัสดุหนืดและมีดนิ (silt)มากเกินไป 6. ซอมแบบหลอไมเรียบรอย 7. ทาน้ําฉาบผิว(black wash) หนาเกินไป 8. เหล็กยึดไสแบบหลอขยายตัว 9. กระทุงไมแนนพอ 10. ไมมีทางใหแกสออกมากพอ 11. ทรายไมปลอยซึม (permeable) มากพอ (3) วิธีแกไข วิธีแกไขเห็นไดชัดแลวจากสาเหตุในขอ(2) โดยทัว่ ไปแลวก็จะตองเพิ่มความทนตอความรอนของ ทรายและทําใหความแข็งทีเ่ กิดจากการกระทุงสม่ําเสมอโดยลดความชืน้ ของทรายและเพิ่มตัวประสาน ใช ทรายที่การขยายตัวนอย หรือเติมผงไมลงไปเพื่อใหทรายหยุนตัวมากขึ้น สวนระบบรูเทตองเปนไปตามนี้ 1) เวลาเทตองสั้น 2) การไหลเขาแบบตองเฉลี่ยไปทั่ว ๆ ไมใหบางสวนตองถูกเสียดสีมากเปนพิเศษ 3)ปลายของรูเทจะตองไมตดิ กับแบบหลอหรือไสแบบหลอ ดังนั้นจะตองจัดใหนาํ้ โลหะเขาแบบ หลอจากดานลาง คือไมใหวิ่งเขาตรง ๆ 4)ในรูป 12.12น้ําโลหะเขาทางรูเท (1) กอน และเมื่อน้ําโลหะขึ้นถึงระดับ Bแลวจึงเขาทางรูเท (2)วิธี นี้เปนผลดีในดานการเย็นกอนเย็นหลังดวย 12.2.9 จุดเสียหางหนูหรือจุดเสียเปนเสน ๆ (1) ลักษณะ ดังแสดงในตาราง 12.1.9จุดเสียหางหนูเปนจุดเสียที่ผวิ ทรายที่ผิวแบบหลอขยายตัวและน้ําโลหะ แทรกเขาใตสว นที่ขยายตัวนั้น หลังจากหลอเสร็จและเอาทรายออกแลวจะเห็นเปนรอยโหวเปนรูปเสน เนื่องจากดูคลายหางหนูจึงเรียกวาจุดเสียชนิดนีว้ าหางหนู (2) สาเหตุ และ(3) วิธีแกไขเหมือนกับของสะเก็ดที่เกิดจากผิวแบบหลอหลุด ใน 12.2.8 12.2.10 แบบหลอหักเปนบางสวน (1) ลักษณะ เปนรอยปูดขึน้ มารูปรางไมแนนอน เมื่อแบบหลอบางสวนหักและหลุดออกและทรายสวนที่ หลุดออกจะแทรกอยูในเนื้อโลหะตรงสวนอื่น
212
(2) สาเหตุ 1)ไมไดกระทุง แนนพอ เพราะทําแบบหลอโดยไมระมัดระวัง และนอกจากนัน้ การเสริมความ แข็งแรงดวยตะปูแบบหลอยังไมเพียงพอ สวนของแบบหลอที่ออ นแอจะหักเพราะจะดึงกระสวนออก แรงเกินไปหรือมุมลาดของกระสวนนอยเกินไป 2) ทรายไมแข็งแรงพอ 3) กระทํากับแบบหลออยางรุนแรง (3) วิธีแกไข เนื่องจากสาเหตุของจุดที่เสียเกิดจากความไมระมัดระวัง วิธีแกไขก็คือใชความระมัดระวังอยาง มากในการทําแบบหลอ 12.2.11 แบบหลอปูดขึ้นทีห่ นาผา (1) ลักษณะ ในการประกอบแบบหลอบนเขากับแบบหลอลาง สวนหนึ่งของแบบหลอจะหักและตกลงไป ในแบบหลอ ดังนั้นตรงที่แบบหลอหักออกจะเกิดเปนสวนยื่นออกมาในชิน้ งานหลอ และทรายที่หลุด ออกมาจะทําใหเกิดโพรง เพราะมีทรายแทรกในเนื้อโลหะตรงที่ทรายตกไปกองอยูในแบบหลอ (2) สาเหตุ ดังที่แสดงในตาราง 12.1.11ถาสวนแบบหลอบนและแบบหลอลางไมประกบกันพอดี สวนที่ยนื่ ออก จําถูกกดจนหัก และทรายที่หลุดออกจะอยูในแบบหลอดังนั้นทรายนั้นจะไปแทรกอยูในแบบหลอบนหรือ แบบหลอลาง (3) วิธีแกไข ตรงหนาผา (parting surface) จะตองแบนเรียบ โดยใชกระดานทําแบบหรือตรวจแตงใหเรียบ หรือลองประกอบดูกอน แลวยกขึ้นตรวจวามีความผิดปกติเกิดขึ้นที่หนาผาหรือไม และภายในแบบหลอ มีทรายหลนอยูหรือไม 12.2.12 ทรายติดกระสวน (1) ลักษณะ ในการดึงกระสวนออก ทรายผิวแบบหลออาจหลุดออกมาดวย ดังนั้นจะทําใหเกิดรอยปูดที่ ผิวงานหลอ ทําใหผิวงานหลอดูนาเกลียด (2) สาหตุ 1) ในการดึงกระสวนออก เมื่อมีทรายผิวหลุดติดออกมาดวยก็มิไดมีการซอมและแตงแบบ 2) ทรายมักติดกระสวนที่ผวิ ขัดมันไวไมดแี ละเปยก ถาทําใหกระสวนรอนเสียกอนใช ทรายจะไมตดิ
213
3) ทรายที่รอน ทรายที่ไมชื้นพอ ทรายที่ไมมีดินเหนียวปนอยูพอ มักจะติด 4) กระทุงแบบหลอไมแนนพอ 5) แปงที่ใชกบั กระสวนเพื่อใหถอดออกงายไมดีพอ 6) มุมลาดของกระสวนไมมากพอ 7) ไมไดสั่นกระสวนมากพอขณะดึงออก (3) วิธีแกไข 1) ทรายตองเย็นพอ 2) ถาใชกระสวนทําดวยโลหะและกระสวนแผน (pattern plate)ตองทําใหรอนกอน 3) ใชทรายทีแ่ ข็งแรงพอและใชแปงอยางดี 4) กระทุงแบบหลอใหแนนพอ 5) การขยับใหกระสวนคลายการติดแนนและการสั่นกระสวนตองมากพอ 12.2.13 ทรายหลอมแข็ง (1) คุณลักษณะ จุดเสียที่เกิดขึน้ จากการหลอมแข็งคือทรายและโลหะทีห่ ลอมผสมกันอยู และติดอยูก ับผิวงาน เกิด จากการที่ทรายสวนหนึ่งที่ผวิ แบบหลอหลอมตัว (2) สาเหตุ 1) น้ําโลหะมีความตึงผิวนอย 2) ความดันสถิตและความดันจลนของน้ําโลหะสูงเกิน 3) อุณหภูมิเทสูงเกินไป 4) ทรายหยาบเกินไปและกระทุงนอยเกินไป 5) ทรายทนความรอนไดนอยเกินไป 6) ตัวประสานทรายมากเกินไป 7) วัสดุทําผิวไมดี (3) วิธีแกไข 1) ตองใชทรายที่ทนความรอนสูง 2) ตองผสมเหล็กออกไซด (เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของทรายเมื่อรอน)เขากับทรายใหดี 3) ตองกระทุงทรายใหแนน 4) ตองใชทรายที่มีการกระจาย(distribution) ของขนาดเม็ดกวางพอ
214
12.2.14 น้ําโลหะแทรกเขาในเนื้อทราย (1) ลักษณะ จุดเสียชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อน้ําโลหะแทรกเขาในผิวของแบบหลอ ดวยเฉพาะอยางยิ่งจะแทรกเขา ในผิวของไสแบบที่อุณหภูมสิ ูง และทรายจะหลอมผสมกับน้ําโลหะจุดเสียเชนนี้มักจะเกิดขึ้นกับสวนที่ อุณหภูมิสูง เชน ตรงมุมแหลม หรือเกิดกับไสแบบขนาดเล็กหรือปานกลาง (2) สาเหตุ น้ําโลหะแทรกเขาในชองวางระหวางเม็ดทรายที่ผิวแบบหลอ และเขาผสมทราย (3) วิธีแกไข เหมือนกับของจุดเสียที่เกิดจากการหลอมแข็ง ในกรณีของจุดเสียชนิดนีจ้ ุดสําคัญอยูที่ความ ตานทานความรอนของทรายและการกระทุง ทราย 12.2.15 แบบหลอโปง (1) ลักษณะ ความดันของน้ําโลหะสูงมากทําใหแบบหลอโปงและทําใหชิ้นงานโปงเปนแหง ๆ (2) สาเหตุและวิธีแกไข การโปงเกิดจากการที่แบบหลอโปงออกสูดานนอก เพราะความดันน้ําโลหะหรือเมื่อไสแบบ ถูกอัดจนยุบ วิธีแกไขมีดังนี้ 1) ตองเพิ่มความแข็งแรงทางอัดของแบบหลอ 2) การกระทุงทรายตองเพียงพอและสม่ําเสมอทั่วแบบหลอ 3) ตองใชแบบหลอที่แหง ความแข็งแรงทางอัดจะเพิ่มเมือ่ แบบหลอแหง 12.2.16 การเคลื่อนของแบบหลอ (1) ลักษณะ สวนที่มาบรรจบกันตรงหนาผาไมตรงกัน (2) สาเหตุและวิธีแกไข สาเหตุของการเคลื่อนมีดังนี้ 1) ศูนยของกระสวนเคลื่อนหรือเดือยกํากับเคลือ่ น 2) ศูนยหรือเดือยกํากับของหีบไสแบบเคลื่อน 3) ศูนยของกระสวยแผนเคลื่อน 4) เดือยกํากับซองหีบแบบหลอหลวม 5) ศูนยของแบบหลอทําดวยโลหะเคลื่อน 6) หีบแบบหลอไมแข็งแรงพอ
215
7) เกิดการเคลื่อนหลังจากประกอบแบบหลอแลว ในการแกไขก็แกตามสาเหตุนั้น ๆ 12.2.17 ไสแบบเขยื้อน (1) ลักษณะ ไสแบบถูกดันใหลอยขึ้นโดยน้ําโลหะ ทําใหผนังของชิน้ งานดานบนบางหรืออาจจะโหวในบางกรณี (2) สาเหตุ เมื่อไดรับแรงดันใหลอยไสแบบโกงหรือเขยื้อนขึ้น ทําใหมิติของงานผิดไปหรืออาจทําใหเกิดรูโหว (3) วิธีแกไข 1) ตองคํานวณดูวาบาไสแบบและตัวไสแบบแข็งแรงพอที่จะทนแรงดันลอยไดหรือไม ถาจําเปนควร เสริม หรือทําใหบาไสแบบแข็งแรงขึ้น 2) จะตองยึดบาไสแบบกับแบบหลอใหแนนพอ 3) สําหรับชิ้นงานหลอขนาดใหญ ไสแบบตองรับแรงดันลอยสูง จะตองใชมุดยึดไสแบบเปนจํานวน มาก หรือตองทําใหไสแบบแข็งแรง โดยใชเหล็กเสริมไสแบบดังในรูป 12.13 ตัวอยางในรูปเปนเสื้อสูบหนัก 18 ตัน แรงดันลอยที่ไสแบบไดรับเทากับ 7 ตัน ในกรณีเหล็กเสริมไสแบบเปนตัวรับแรงนี้ มีการเจาะรูเพื่อ จะไดดันไสแบบไมใหโกงขึ้นรูเชนนี้มีประโยชนในการเอาทรายไสแบบออกดวย (ดูตัวอยางในรูปที่ 12.14) 12.2.18 รอยราวหรือรอยแตก (1) ลักษณะ รอยราว (หรือรอยแตก) แบงออกไดเปนสองประเภท คือ รอยราวที่เกิดจากการหดตัวและรอยราวที่ เกิดจากความเคนคาง รอยราวที่เกิดจากการหดตัวมักเกิดที่มุมชิ้นงานตรงที่มีมุมมนรัศมีนอย ๆ ความกวาง อาจจะมากหรือนอย แตขอบรอยราวมักจะมน รอยราวจําพวกหนึ่งในประเภทที่เกิดจากความเคนคาง คือการ ฉีกเนื่องจากความรอน (hot tear) เกิดที่อุณหภูมิสูง และอีกจําพวกหนึ่งคือรอยราวที่เกิดที่อุณหภูมติ ่ํา ทั้งสอง จําพวกเกิดจากการดึงเพราะการหดขณะแข็งตัวรอยการฉีก เนื่องจากความรอนจะเปนรอยมนและอาจไม ตอเนื่องกันแตรอยราวที่เกิดที่อุณหภูมิต่ําจะเปนรอยทีไ่ มกวางขอบรอยราวจะเปนสันแหลมและจะมีแนวตรง (2) สาเหตุ สวนที่แข็งตัวกอนหดตัวและดึงโลหะสวนที่ยังไมแข็งตัวพอ จึงทําใหเกิดรอยราว รอยราวอาจขยาย ใหญขึ้นเมื่อมีการหดตัวหลังจากแข็งตัวแลว รอยราวประเภทนี้มักเกิดตรงที่ผนังหนา ๆ ตัดกันหรือที่มุม แหลม ๆ
216
สาเหตุการเกิดรอยราวเนื่องจากความเคนคางมีดงั นี้ 1) การออกแบบการหลอมีสวนสําคัญในการเกิด หรือไมเกิดจุดเสียชนิดนีค้ วามเคนเกิดขึ้น เพราะการแข็งตัวและหดตัวขึ้นไมพรอมกันเนื่องจากความหนาของผนังไมเทากัน 2) แบบหลอไสแบบหรือเหล็กเสริมไสแบบฝนการหดตัวของโลหะ 3) การวางรูเทและรูลนไมเหมาะสม ทําใหลําดับการแข็งตัวของสวนตางๆ ไมถูกตอง (3) วิธีแกไข วิธีปองกันมิใหเกิดรอยราวเนื่องจากการหดตัวมีดังนี้ 1) ทําใหแข็งตัวพรอม ๆ กันโดยใชทุนเย็นตรงขอตอ 2) ปอนน้ําโลหะเขาแบบหลอจากหลาย ๆจุดเพื่อใหเขาถึงสวนตางๆ พรอม ๆ กัน 3) เวลาเทตองสั้น 4) จะตองไมมมี ุมแหลมในชิน้ งาน แตะละมุมตองมนและมีรัสมีการมนตามที่กําหนด 5) หลีกเหลี่ยงการเปลี่ยนแปลงความหนาโดยกระทันหัน ถาตองมีการเปลี่ยนแปลงในความหนาตอง คอย ๆ เปลี่ยน จะตองไมใหมีจุดเย็นชา (hot spot ) (ดูรูป 12.15) วิธีปองกันมิใหเกิดรอยราวเนื่องจากความเคนคางมีดังนี้ 1) ในการออกแบบงานหลอตองพยายามใหความหนาของผนังของแตะละสวนเทากัน 2) เมื่อจําเปนตองมีการเปลี่ยนแปลงในความหนาของผนังในชิ้นงานหลอที่ทําหนาที่เปนโครงสราง ผนังสวนที่หนาจะตองไดรับการทําใหเย็นเร็วเชนโดยใชทุนเย็น และจําตองเปลี่ยนระบบรูเขา รูวิ่ง 3) ตรงที่เปนมุมในชิ้นงานจะตองมน 4) จะตองใชสันเสริมความแข็งแรง 5) เมื่อเทเสร็จแลวจะตองตัดเหล็กเสริมไสแบบ เพื่อใหหดตัวไดงาย 6) ทรายที่หุมเหล็กเสริมแบบของงานหลอขนาดใหญตอ งหนาไมต่ํากวา 50 mm 7) ตองทําใหไสแบบกลวง หรือผสมเถาถานโคกหรือวัสดุประเภทนัน้ เขากับทรายทําไสแบบ เพือ่ ให ไสแบบยืดหยุน ได 8) หลังจากเทแลว จะตองปลอยใหเย็นชา ๆ ในแบบหลอ ในรูป 12.16 แขนตาง ๆ มีขนาดเล็ก และอยูใ นตําแหนงตรงขามกัน จึงเกิดรอยแตกตัวอยางนี้แสดงการออกแบบที่ไมดี ในกรณีเชนนี้จะตอง ปอนน้ําโลหะเขาจากวงนอก และใชทุนเย็นติดกับหนาลางของมุม ตรงที่แขนแตละอันตอกับวงใน จะตองมีการมนมีมุมแหลมไมได รูป 12.17 แสดงการแตกตรงสวนตอของทางออกของเปลือกเครื่อง เปาขนาดใหญ ในกรณีนที้ างออกและทางเขาซึ่งยื่นออกจากตัวเปลือก ไดรับการตานทานการหดตาม แนวแกน (ขณะแข็งตัว) จากแบบหลอ สวนตอแตละแหงจะตองมีการมนและมีสันเสริมความแข็งแรง
217
12.2.19 การเกิดเหล็กหลอเย็นเร็ว (chills) (1) ลักษณะ บางสวนของชิ้นงานหรือสวนของโลหะใกลผิวงานเย็นเร็ว จนเกิดเปนเหล็กหลอขาวสวนเย็น เร็วนี้จะแข็งมาก แตงดวยเครื่องกลโรงงานไมได สวนที่อยูภ ายในถัดเขาไปจะเปนเหล็กหลอเทาผสมกับ เหล็กหลอขาว (mottled)และถัดไปจากนัน้ อีกจะเปนเหล็กหลอเทา (2) สาเหตุ 1) สวนผสมของโลหะไมเหมาะสม 2) น้ําเหล็กมีอณ ุ หภูมิสูงกวาจุดหลอมละลายมากเกินไป 3) เย็นเร็ว 4) ปริมาณคารบอนและซิลิคอนต่ํา (3) วิธีแกไข 1) จะตองใชสวนผสมของโลหะที่เหมาะกับความหนาของผนังและความแข็งแรงทีต่ องการ เชน ถาใช โลหะที่มีความแข็งแรงทางดึง 250 μPa (ประมาณ 25 kg/mm2) เมื่อความหนาของผนังเทากับ 25mm เทลง ในแบบหลอที่มีความหนาของผนังเทากับ 8 mm ผิวของงานและมุมจะเกิดเปนเหล็กหลอขาวและแข็งมาก ใน กรณีเชนนี้ จะตองใชโลหะทีม่ ีปริมาณคารบอนและซิลิคอนสูง 2) จะตองไมมโี ครเมียม โคบอลดและวาเนเดียมผสมอยูในโลหะ 12.2.20 การเกิดเหล็กหลอเย็นเร็วกลับทาง (1) ลักษณะ ปรากฏการณนี้หมายถึงกรณีที่เกิดมีเหล็กหลอขาวเกิดขึ้นที่สวนกลาง(ภายใน)ของผนังชิ้นงาน (2) สาเหตุ สาเหตุของปรากฏการณนี้เปนที่ทรายแนชดั แตจะแกไมใหเกิดขึ้นไดโดยลดปริมาณซัลเฟอร และเพิ่มปริมาณแมงกานีส 12.2.21 น้ําโลหะเขาไมถึง (misrun) และน้ําโลหะแข็งปดทาง(cold shut) (1) ลักษณะ misrun หมายถึงกรณีที่น้ําโลหะเขาไมเต็มแบบ cold shut หมายถึง การเกิดรอยแหวงที่ผิวงาน หรือที่ผนังของงาน เนื่องจากน้ําโลหะสองสายที่มาบรรจบกันไมประสานกัน (2) สาเหตุ 1) ผนังบางเกินไป 2) อุณหภูมิเทต่ําเกินไป 3) เทชาเกินไป
218
4) น้ําโลหะไหลเขาสวนตาง ๆ เร็วชาตางกัน เพราะระบบรูเขาไมดี 5) ทางปลอยแกสออกจากแบบหลอไมเพียงพอ 6) ระบบรูลนไมดี (3) วิธีแกไข 1) อุณหภูมิเทตองสูง 2) เทใหเร็ว 3) เพิ่มจํานวนรูเขาและน้ําโลหะตองเขาจากหลาย ๆ ตําแหนง เพื่อจะไดเขาสูสวนตาง ๆ ในอัตรา ไลเลี่ยกัน 4) เพิ่มทางปลอยแกสออกจากแบบหลอ 5) การปลอยแกสออกจากไสแบบตองเพียงพอ 12.2.22 ขี้ตะกรันแทรกอยูในเนื้องาน (1) ลักษณะ ขี้ตะกรันเปนวัสดุที่ไมใชโลหะเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีในขณะหลอมละลายขณะแข็งตัวหรือ ในขณะเท ขี้ตะกรันอาจแทรกอยูในน้ําโลหะ และมักลอยอยูแถบผิวของแบบหลอสวนบน (2) สาเหตุ 1) น้ําโลหะทําปฏิกิริยากับออกซิเจน 2) ใสสารพิเศษมากเกินไป 3) แยกขี้ตะกรันออกจากผิวน้ําโลหะในเบานอยเกินไป 4) วัสดุกรุเบาไมมีความทนตอความรอนพอ 5) เทนานเกินไป 6) ไมมีแองเท 7) ไมกระทุงผิวแบบหลอใหแนนพอ 8) การแตงผิวแบบหลอไมดี 9) ทรายทําแบบหลอไมมีความทนตอความรอนพอ 10) มีฟองแกสเนื่องจากแบบหลอไมแหงพอ 11) โพรงของแบบหลอไมสะอาดพอ 12) แบบหลอไมปลอยซึมมากพอ 13) ระบบรูเทไมดี รูป 12.18 แสดงระบบแบบหลอของเปลือกกลองเฟองทดของเทอรไบนสังเกตระบบรูเขาวา รูวิ่งอยู ในสวนแบบบน แตรูเขาตอจากสวนลางของรูวิ่งอยูในสวนแบบลาง ดังนั้นขี้ตะกรันหรือทรายที่ตดิ มากับน้ํา
219
โลหะจะลอยอยูขางบนในรูวงิ่ และดังนัน้ จะไมเขาสูแบบหลอ ในกรณีนี้อัตราสวนระหวางรูเทและรูเขา เทากับ 1.0.8 (3) วิธีแกไข แกโดยปองกันมิใหเกิดสาเหตุตาง ๆ ดังทีร่ ะบุไวในขอ (2) 12.2.23 ทรายแทรกอยูในเนื้อโลหะ (1) ลักษณะ ทรายอาจแทรกอยูในเนื้อโลหะตรงผิวงานหรือแทรกอยูภ ายใน (2) สาเหตุและ (3) วิธีแกไขดู 12.2.22 (2) และ (3) 12.2.24 การบิดโกง (1) ลักษณะ การบิดโกง เกิดจากความเคนเนื่องจากความรอน เกิดภายหลังการเท (2) สาเหตุ ชิ้นงานที่มีลักษณะเปนแผนหรือยาวอาจบิดโกง เนื่องจากเกิดการหดตัวไมพรอมกัน ทําใหเกิดความ เคนตางกันในสวนตาง ๆ (3) วิธีแกไข 1) พยายามออกแบบรูปรางงานหลอที่จะทําใหไมเกิดการบิดโกงในกรณีที่ชิ้นงานมีลกั ษณะเปนแผน ก็ตองเพิ่มความตานทานการโกงโดยมีสันเปนแนว ๆ หรือตัดกันเปนตาราง 2)ในกรณีที่มสี ันไมไดในการเทชิ้นงานทีย่ าวหรือแบน จะตองใหแบบหลออยูในแนวตั้ง เพื่อให อุณหภูมิที่แตละหนาตัดสม่าํ เสมอกันทั่วหนาตัด 3)ในกรณีที่คาดการณไดวาจะเกิดการบิดโกง อาจเพิ่มความหนาเผื่อแตงหรืออาจทําใหแบบหลอโกง กลับทางไวกอน รูป 12.9แสดงตัวอยางการหลอแทนเครื่องกลโรงงานขนาดใหญ โดยจัดใหมกี ารโกงกลับ ทางไวกอน ทําใหแทนนั้นไมโกงหลังจากหลอเสร็จ
220
ตารางที่ 12.1 จุดเสียในงานหลอ
221
222
รู
223
สูผิวน้ําโลหะ
ฟองแกส แกสในน้ําโลหะ
ออกจากแบบหลอ
ออกจากรูไอ
ถูกกักอยูในโลหะ ถูกกักอยูบริเวณผิว
สารละลายแข็งหลังจากแข็งตัวแลว
ผานทราย
รูพรุนภายใน แกสจากแบบหลอ
ออกจากรูลนและรูเทา
เขาไปสูน้ําโลหะ ผิวเปนรูพรุน แกสที่เกิดจากเหตุ
รูปที่12.1ขบวนกรรมของแกสที่เกิดขึ้น
224
รูปที่ 12.2 การเปลี่ยนตําแหนงรูเทเพื่อเลี่ยงการเกิดรูพรุน
รูปที่ 12.3 การเปลี่ยนตําแหนงรูเทเพื่อเลี่ยงการเกิดรูพรุน
225
รูปที่ 12.4 จัดใหมีรูไอที่โตพอสําหรับใหแกสออกเพื่อเลี่ยงการเกิดรูพรุน
รูปที่ 12.5 การหลีกเลี่ยงรูพรุนโดยการจัดใหมีความดันของน้ําโลหะสูง
รูปที่ 12.6 ทุนเย็นซึ่งมีรองบนผิวหนาทําใหแกสหนีออกงายขึ้น
226
รูปที่ 12.7 ที่รองรับหมุดยึดไสแบบ
รูปที่ 12.8 การวางตําแหนงตาง ๆ ของรูเทและรูลนและผลที่เกิดจากรูลน
227
รูปที่ 12.9 การวางรูเทสําหรับปลอกเสื้อสูบ
รูปที่ 12.10 โพรงที่เกิดจากการหดตัวอาจเกิดที่หนาแปลนนูนแตใสทนุ เย็นแลวจะไมเกิด
228
รูปที่ 12.11 เขตใชไดผลของรูลนสําหรับการหลอเหล็กหลอ
รูปที่ 12.12 การหลองานตรงกระบอกโดยใชรูเท 2 อัน
รูปที่ 12.13 วิธีการแกไขไสแบบเขยื้อน
229
รูปที่ 12.14 ฝาสูบซึ่งมีการแกไขไมใหไสแบบเคลื่อน
รูปที่ 12.15 การหลีกเลี่ยงจุดเย็นชา
รูปที่ 12.16 รอยราวเกิดเพราะแขนเสริมมีขนาดเล็กถาจะเลี่ยงไมใหเกิดการแตกเชนนีจ้ ะตองเทน้ําโลหะเขา ตรงสวนวงกลมนอกและวางทุนเย็นไวตดิ กับมุม
230
รูปที่ 12.17 รอยราวของเปลือกเครื่องเปาลมหลีกเลี่ยงการราวไดโดยการใชสันเสริมความแข็งแรง
รูปที่ 12.18 รูตา ง ๆทําใหในหีบสวนบนและรูเขาตาง ๆ อยูใ นหีบสวนลางขี้ตะกรันไมสามารถเขาสู แบบหลอได
รูปที่ 12.19 หลีกเลี่ยงการปดโกงของแทนเครื่องกลโรงงานโดยการจัดใหมีการโกงกลับทางไวกอน
231
231
บทที่ 13 เตาหลอมโลหะ 13.1 เตาหลอมโลหะ เครื่องมือและอุปกรณที่ใชในการหลอหลอโลหะตาง ๆ นั้นมีอยูมากมายหลายชนิดแตในทีน่ ี้จะขอกลาว แตละชนิดที่มคี วามสําคัญและที่นิยมใชกนั ในวงอุตสาหกรรมของบานเรา กอนอื่นเราตองคํานึงถึงหลักการเลือก วิธีหรือชนิดของการใชเครื่องมือและอุปกรณดังกลาว ดังตอไปนี้ 1. จํานวนหรือปริมาณที่ตองการ 2. จุดหลอมเหลว,อุณหภูมิ และจุดหลอมละลายของโลหะนั้น ๆ 3. การลงทุนซื้อเครื่องมือและอุปกรณตาง ๆ 4. รายจายตาง ๆ เกี่ยวกับการใชเครื่องมือและอุปกรณตาง ๆ 5. การควบคุมคุณภาพของงาน 6. จุดคุมทุน,กําไร หรือแนวโนมในการขาดทุน 13.2 ชนิดของเตาหลอมโลหะ กอนอื่นที่จะพูดถึงชนิดของเตาหลอมโลหะที่สําคัญ ๆ ตาง ๆ เราตองพูดถึงเตาที่นับกันวาเปนสิ่งแรกเริ่ม ของวงการหลอหลอมโลหะเลยทีเดียว เตานั้นคือ เตาสูง (Blast Furnace) นั่นเอง เตาสูง (Blast Furnace) โลหะแทง (Ingot) เราถือไดวาเปนวัตถุดิบในขั้นตนทีใ่ ชในการผลิตเหล็กในทุก ๆ ชนิดที่เรานํามาใชกัน อยูในปจจุบันนี้ ซึ่งนับกันวามีความสําคัญมาก และโลหะแทง (Ingot) ดังกลาวนี้ก็ผลิตไดมาจากเตาสูง (Blast Furnace) นั่นเอง
รูปที่ 13.1 เตาสูง (Blast Furnace)
232
จากรูปที่ 13.1 เปนการแสดงภาพตัดของเตาสูง (Blast Furnace) ใหเห็นโดยชัดเจนรวมทั้งยัง บอกโซนของชวงอุณหภูมภิ ายในเตาในแตละชั้นของตัวเตาใหเราทราบวา ในชวงไหนอุณหภูมิสูง หรือ ต่ําเทาไร จากเตานีน้ ิยมใชผลิตโลหะแทง (Ingot) ตัวเตามีขนาดเสนผาศูนยกลางประมาณ 25 ฟุต สูง 200 ฟุต ในเวลา 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง ผลิตเหล็กไดประมาณ 1,800 ตัน โดยมีวัตถุดิบที่ใชใสลง ในเตา ก็ไดแก แรเหล็ก (Fe) ถานโคกและปูนขาว ซึ่งจะใสลงทางปากเตาที่อยูท างดานบน และนิยมใส เปนชั้น ๆ ลดหลั่นกันลงมาตามลําดับ ปูนขาวที่ใสลงไปจะชวยทําหนาที่เปน Flux ซึ่งจะเขาทําปฏิกิรยิ ากับสินแรซงึ่ มีวัสดุตาง ๆ ที่ไม บริสุทธิ์อยูมากมาย แลวกลายสภาพเปนขีต้ ะกรัน (Slag) ลอยตัวขึ้นสูผิวหนาของน้ําเหล็ก ลมรอนจะชวยทําใหการเผาไหมของถานหินเปนไปไดเร็ว และสมบูรณแบบยิ่งขึน้ และ กลายเปนแกส CO ในภายหลังเราจะเทน้ําเหล็กออกจากเตาในทุก ๆ 6 ชั่วโมงตอจํานวน 1 ครั้ง ซึ่งจะไดเหล็ก ดิบ (Pig Iron) ปริมาณไมนอยในแตละวัน
รูปที่ 13.2 แสดง Ingot ของ Steel
233
รูปที่ 13.3แสดงขบวนการทํางานของเตาสูง (Blast Furnace) 13.3 ประเภทของเตาหลอมโลหะ เตาที่ใชในการหลอมโลหะมีอยูมากมายหลายชนิดสุดแลวแตงานและชนิดโลหะที่ตองการหลอ ดังตอไปนี้ 1. เตา Cupola 2. Open Hearth Furnace 3. Air Furnace หรือ Reverberatory Furnace 4. Breckelsberg Furnace 5. เตา Converter 6.Electric Furnace 6.1Direct Arc Furnace 6.2Indirect Electric Arc Furnace 7.Induction Furnace 7.1High Frequency Induction Furnace 7.2Low Frequency Induction Furnace 8.Crucible Furnace 9.เตา Basic Oxygen (BOF)
234
13.3.1 เตา Cupola จากรูป 13.4 แสดงภาพตัดของเตา Cupola ใหเห็นอยางเดนชัด เปนลักษณะรูปทรงกระบอกตั้ง เปลือก รอบนอกของเตาเปนเหล็กแผนหนาประมาณ ⅜ นิ้ว ภายในบุดวยอิฐทนไฟ รอบนอกเปลือกเตามี Wind Bose ลอมอยูโดยรอบ Wind Bose นี้มีหนาที่ถายเทอากาศไปยังชองลม “Tuyeres”อยางสม่ําเสมอจาก Wind Bose ที่ ติดตอกับชองลม (Tuyeres) ซึ่งเปนชองทะลุเปลือกเตาและอิฐทนไฟเขาไปยังบริเวณหลอมละลาย โดยปกติเตา Cupola จะมีขารองรับกนเตาอยู 4 ขา มีบานประตูครึ่งวงกลมอยู 2 บาน ซึ่งมีไวปดกนเตา ภายหลังการหลอม ละลายแลวจะตองเปดประตูน้ําออกเพื่อใหถานโคก และ Slag ที่เหลือคางอยูหลุดลงมา ลมที่เปา เขาไปชวยใน การหลอมละลายไดมาจากเครื่องเปา (Blower) ผานเขาไปยัง Wind Bose โลหะทีห่ ลอมละลายจะไหลผานลง มายังชองปากเตา ซึ่งยื่นออกมาขางหนาเตาเพื่อรอถายลงในเบาถาย (Ladles)ตอไป ที่ขางเตาต่ํากวาชอง Tuyeres เล็กนอย มีรูถายขี้เหล็ก
รูปที่ 13.4 (A) Cupola Furnace
235
Slag (Slag Hole) เพื่อแยก Slag ที่ลอยอยูบนน้ําเหล็กออกใหหมด บนดานขาง Wind Bose ตรงกับ ชองลม Tuyeres มีรูเล็ก ๆ ใสกระจกสีสําหรับมองดูสภาพของถานและเหล็กที่กําลังหลอมละลาย สวน เหล็กและถานโคก บรรจุลงในเตาทางชองบรรจุซึ่งอยูสูงจากชอง Tuyeres ขึ้นไป และมีพนื้ อีกชั้นหนึ่ง ตางหากจากพืน้ ชั้นลาง พื้นชั้นนี้จะตองใหกวางพอสําหรับกองถานโคก และเหล็กที่จะตองใสเตาหลอม เตา Cupola เปนเตาที่ประหยัด และใชกันแพรหลาย ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดี ดังนี้คือ 1. เปนเตาหลอมละลายไดรวดเร็ว 2. เปนเตาชนิดที่หลอมละลายเหล็กไดติดตอกันไป และทํางานไดงาย 3. คาใชจายในการติดตั้งราคาจะถูก 4. คาซอมเตาราคาต่ําที่สุด เมื่อเทียบกับเตาชนิดอื่น ๆ 5. ปรับปรุงในการใชงานไดสะดวก 6. นอกจากใชสําหรับผลิตเหล็กหลอทั้งหมดแลวยังสามารถใชผลิต เหล็กออน เหล็กเหนียว หรือ โลหะผสมชนิดทองแดงเจือในบางครั้งไดอีกดวย
รูปที่ 13.4 (B) แสดงภาพตัดภายในของ Cupola Furnace
236
รูปที่ 13.5 Sectional View ของเตา Cupola และ Preheating Stove ขบวนการติดเตา Cupola ในการทํางานของเตา Cupola จะจุดเชื้อเพลิงที่ถานโคก โดยถานโคกนี้จะแบงเปนชั้น ๆ โดยชั้น สวนลางสุด จะเปน Coke Bed และถัดสูงขึ้นมาอีกชั้นจะเปนถานโคกและเหล็กสลับชั้นกันไป โดย สัดสวนของถานโคก 1 สวน เหล็ก 10 สวน โดยน้ําหนัก Flux ที่ใชจะเปนหินปูน หินฟนมา หรือ โซดา แอซก็ได ใสเขาไปในภายหลังเพื่อกันการเกิด Oxide และให Slag หรือขี้ตะกรันหลอมเหลวอยูเสมอ สวนอากาศที่ใชคือ ประมาณ 115 ฟุต3 ความดัน 15 PSI. ที่อุณหภูมิ 62๐F เพื่อตองการหลอมละลาย คารบอน C จํานวน 1 lb.ตอเหล็ก 1 ตัน และหินปูน 78 lb. ความดันลมที่พนเขาเตานั้นขึ้นกับ เสนผาศูนยกลางของตัวเตา เหล็ก Pig Iron (เหล็กดิบ) ควรบรรจุใหรอบ ๆ ผนังเตา ซึ่งจะไดรับความรอนสูง,เหล็กเหนียว(เศษ) ควรบรรจุทับบนชั้นของ Pig Iron อีกทีหนึ่ง หรือบรรจุเขาไปหาศูนยกลางของเตาก็ได สวนเศษเหล็กหลอควร บรรจุทับชั้นเหล็กเหนียวอีกทีเชนกัน ชองที่เปนรูสําหรับน้ําเหล็กไหลลงสูปากเตาดานหนา จะตองพอกดวยดิน ทนไฟใหเหลือรูโตประมาณ 1½ นิ้วและจะมีรางทีย่ ึดติดกับตัวเตา เพื่อใหน้ําเหล็กไหลลงสูเบา ( Ladle ) ได สะดวกไมหกกระจัดกระจาย รางดังกลาวนี้มีความยาวประมาณ 30 – 40 นิ้ว หลังจากถานโคกชั้นแรกเกิดการลุก ไหมดแี ลว จึงเปดเครื่องเปาลมเขาไป
237
ในเตา และการบรรจุเหล็กและถานโคกเขาไปในเตาแลวเชนเดียวกัน รูมองภายในและรูถายขีเ้ หล็กจะถูกปด หลังจากเปดลมเขาไปภายในเตาแลวประมาณ 10 นาที น้ําเหล็กทีห่ ลอมละลายจะไหลออกมาทางรูไหล แตยังไม รอนจัดพอที่จะเทแบบได จะตองปลอยใหน้ําเหล็กไหลออกมาประมาณ 1 นาที คือเททิ้งหลังจากปลอยใหน้ํา เหล็กไหลแลว จะตองอุดรูไหลดวยดินทนไฟผสมกับทรายหลอซึ่งทําเปนแทงรูปกรวย หลังจากอุดรูไหลแลว ประมาณ 10 นาที จึงใชเหล็กแทงรูไหลใหมใหแทงรูปกรวย (Bott) แตกออกเพื่อจะไดน้ําเหล็กไปเทลงแบบ แลว อุดรูไหลดวยดินและแทงรูไหลทุก ๆ 5นาที เหตุที่ตองอุดก็เพื่อใหเตาไดรับความรอนพอและขังน้ําเหล็กไดพอ จํานวน BLAST FURNACES
BLAST FURNACES
BASIC IRON HAEMATITE IRON (PIG IRON-COLD)
MIXERS (MOLTEN IRON) STEELSCRAP
PIG IRON(COLD) ALLOYS
CONVERTER PROCESSES
OPEN HEARTH FURNACES
STEEL INGOTS
WROUGHT IRON SWEDISH IRON
CUPOLA
ALLOYS
H.EINDUCTION AND CRUCIBLE FURNACES
SOAKING PIT
ROLLED SECTIONS PLATE SHEET STRIP FORGINGS PRESSINGS
PUDDLING FURNACE
IRON CASTINGS
ELECTRIC ARC FURNACES
ROLLING FORGING.PRESSING
CUPOLA
TROPENAS CONVERTER STEEL FOUNDRY
STEEL CASTINGS CARBON AND ALLOY STEELS
SMALL INGOTS CARBON STEELS CUTLERY SHEARS TOOLS ETC
รูป 13.6 Diagram ของขบวนการผลิตเหล็กและเหล็กกลา
STEEL FOUNDRY PRECISION CASTINGS IN “SPECIAL” STEELS
238
รูปที่ 13.7 แสดงขบวนการหลอมแบบตางๆ
239
13.3.2 เตา Basic Oxygen (BOF) เปนเตาถลุงที่ใชโลหะแทง (Ingot) 65-80%จากเตาสูง(Blast Furnace)ใชเศษเหล็กและปูนขาวใสลงใน เตาดวย จะใชกาซออกซิเจน(O2)เขาชวยในขบวนการหลอมโลหะและวัตถุดิบทีใ่ สลงไป เซอรเฮนรี่ เบสเซม เมอร ไดคิดคนวิธีถลุงแบบนี้ เมื่อป ค.ศ. 1800 ในการหลอมจะใสเศษโลหะลงในเตา แลวเทน้ําโลหะที่รอ น ๆ ตามลงไป เมื่อเตาตั้งตรงแลวใชหลอด O2 ขนาดยาว ๆ จุมลงที่ปากเตา โดยมีน้ําหลอเย็นชวยดวย การจุมตองใหสูงกวาระดับน้ําเหล็ก ประมาณ 8 ฟุต เมื่อ O เปาเขาสูผิวหนาน้ําโลหะนั้น ขบวนการจุดระเบิดจะดําเนินการขึ้นทันที อุณหภูมิจึงสูงขึ้นตามกัน เมื่อถึง อุณหภูมิ 3000°F จะมีธาตุที่เกิดเปน Oxide คือ C,Mn และSi สวนพวก Slag หรือขี้ตะกรันตองเติมปูนขาวลงไป เพื่อขจัด P,S ใหจับตัวรวมตัวกันดังกลาว แลวเทน้ําโลหะออกจากเตา เอเทลงแบบ (Mold)ตอไป ก็จะได เหล็กกลา (Steel) ตามตองการ 13.3.3 เตา Open Hearth เปนกระบวนการที่ใชผลิตเหล็กกลา (Steel) อีกวิธีหนึ่ง เปนเตาที่มีขนาดใหญพอควรจะสรางดวยอิฐทน ไฟเปนสวนใหญ ลักษณะทีส่ ําคัญจะเปนแอง หรืออางอยูตรงกลางเตาขนาดเตานิยมใชคือ สามารถผลิตเหล็กได วันละ 150 ตัน หรือ 150,000 กิโลกรัมทีเดียวเตาชนิดนี้จะแบงออกเปน 2 แบบคือ 1. Acid Open Hearth Process ชนิดนี้เหมาะแกการผลิตเหล็กชนิด High grade Steel โดยใช Pig Iron ที่มีปริมาณของ PและSต่ํา ใสลง ในเตา จะมี Lining และFlux ชนิด Aeid หรือชนิดเปนกรด ซึ่งมีความสามารถในการขจัด Mn และ Si ที่อยูใน เนื้อเหล็กออกไดดียิ่ง เหล็กดิบ (Pig Iron)ชนิดดังกลาวนีส้ วนใหญจะมีราคาแพง และหายากดวย ตองคํานึงถึงใน ขอนี้ดวย 2. Basic Open Hearth Process ชนิดนี้จะบรรจุหรือใสเหล็กดิบ (Pig Iron) เศษเหล็กเหนียว (Steel Scrap) และ Line Stone ซึ่งเปนตัว ที่จะกลายเปน Flux ภายหลัง โดยใชอตั ราสวนของเหล็กดิบ (Pig Iron) 3 สวน ตอเศษเหล็กเหนียว (Steel Scrap) 1 สวน วิธีนจี้ ะมี Lining และ Flux ชนิด Basicหรือชนิดเปนดาง ซึ่งจะขจัด Mn,P และ Si ออกจากเนื้อเหล็กไดดี อีกดวย
240
รูปที่ 13.8 ภาพตัดของเตา Open Hearth
รูปที่ 13.9 0pen Hearth Furnace
241
รูปที่ 13.10 แสดง Open Hearth Furnace อีกมุมหนึ่ง
รูปที่ 13.11 Heat Regenerators สําหรับแกส-ไฟของเตา
242
13.3.4 Air Furnace หรือ Reverberatory Furnace จะใชในการผลิต White Iron Castings เพราะอาจจะทําเปน Malleable Iron ได เตามีลักษณะยาวรูป สี่เหลี่ยมผืนผาหลังคาโคง สามารถเคลื่อนที่เขา-ออกได เหนือแองหลอมเหล็ก เชื้อเพลิงที่ใชคือ Pulverized Coal หรือน้ํามันเพือ่ ใหความรอนในการหลอมละลายเหล็กเพือ่ เปาเขาไปในเตาพรอมกับอากาศเพื่อใหเปลวไฟ (Flame) วิ่งผานเหนือโลหะที่บรรจุในเตาวิธีนี้ตองใชอากาศเขาชวยดวย เพื่อผลในการควบคุมสวนผสมของ โลหะใหดีขึ้น
รูปที่ 13.12 Air Furnace
รูปที่ 13.13 ภาพตัดของ Air Furnace
243
13.3.5 เตา Converter หรือ Side- Blow เปนเตาใชในการทําเหล็กกลา (Steel) ใชสําหรับแยกธาตุคารบอน ( C ) ที่มีปริมาณอยูมากเกินไป เพื่อ ผลิตเหล็กกลาหลออีกดวย โดยทั่วไปจะลด S ออกจากเหล็กกอนทีจ่ ะใสในเตา Converter ตัวเตานัน้ สามารถปรับ ระดับตาง ๆ โดยใหต่ํา, เอียงเปนมุม , เพื่อเทน้ําโลหะไดสะดวก อากาศจะผานทาง Tuyers ที่ดานขางของเตา แต อยูเหนือน้ําโลหะหลอมในเตา จะทําให C, Si และ Mn ถูกลดออกจากน้ําโลหะ และถาเติม Al ลงไปดวยจะทําให เทลงในแบบ (Molds) หลอไดดียิ่ง
รูปที่ 13.14 แสดงการหมุนของเตา Converter
244
รูปที่ 13.15 Converter Furnace 13.3.6 เตาเบา (Crucible Furnace) เปนเตาที่นยิ มใชในการหลอมทองเหลือง (Brass) และโลหะผสม (Alloy)ตาง ๆ โดยตัวเตาจะเปน แกรไฟทผสมกับดินปนเปนรูปเบา เพื่อทนความรอนไดดี จะมีโครงเหล็กซึ่งมีวัสดุทนไฟครอบคลุมตัวเตาอีก ชั้นหนึ่ง จะทําชองวางรอบเตาไวเพื่อใหเชือ้ เพลิงหรืออากาศเขาทําปฏิกิริยาในการหลอมโลหะ เชื้อเพลิงที่นิยม ใชคือ น้ํามัน กาซ หรือถานโคก เมื่อไดทแี่ ลวก็สามารถยกเบาออกจากเตาไปเทน้ําโลหะลงสูแบบ (Molds) ได โดยสะดวกยิ่งขึ้น
245
รูปที่ 13.16 Crucible Furnace
รูปที่ 13.17 ภาพตัดของ Crucible Furnace
246
13.3.7เตาเหนี่ยวนําไฟฟา (Induction Furnace) แบงออกเปน 2 ชนิดคือ 1. High Frequency Induction Furnace ชนิดนี้จะมีวัสดุทนความรอน (Refractory Crucible) ซึ่งลอมรอบดวยขดทองแดง (Cu) ที่มีระบบ น้ําหลอเย็นพรอมทั้งเพื่อผานกระแสไฟฟาความถี่สูง จะเปนขดปฐมภูมิ (Primary)ของ Transformer และประจุ ใหเปลี่ยนแปลงเปนทุติยภูมิ (Secondary) ความรอนจะอยูใ นประจุมกี ารสลับของสนามแมเหล็กโดยรวดเร็ว โดย สลับไปสลับมาตลอดเวลา จนกวาโลหะจะหลอมละลาย เหมาะสําหรับทําเหล็กกลาชนิดพิเศษ เหล็กกลา คุณภาพสูง ๆ เปนตน
รูปที่ 13.18 High Frequency Induction Furnace
247
2. Low Frequency Induction Furnace จะเปนชนิด Short Circuited Transformer จึงทําใหขดปฐมภูมิ (Primary) ของ Transformer ถูกพันในแกนเหล็กขนาดเล็ก ๆ สวนขดทุติยภูม(ิ Secondary) ของ Transformer จะถูกกระทําโดยทาง ไหลของน้ําโลหะที่หลอมเหลว ภายในเตานั้นเอง จะเกิดกระแสไฟสูงและแรงเคลื่อนต่ําขึ้น จนโลหะเกิด การหลอมละลาย เหมาะสําหรับหลอพวกโลหะนอกกลุมเหล็ก (Nonferrous Metals)
รูปที่ 13.19 Induction Furnace
248
13.3.8 เตาไฟฟา (Electric Furnace) แบงออกเปน 2 ชนิดคือ 1. Direct Arc Furnace แบบนี้จะมีผนังเตาที่ทําการบุดวยกรดหรือดาง ถาเปนการบุดวยกรด (Acid) ตรงผนังดานขางของเตา จะเปนอิฐซิลิกา (Silica Brick) นิยมใชผลิตเหล็กคารบอนต่ํา (Low carbon Steel) ตองใชเศษเหล็ก (Scrap) ที่มี ปริมาณ S และ P ต่ํา ถาเปนชนิดดาง (Basic) ผนังดานขางจะเปนอิฐอะลูมินา (Alumina Brick) ใชผลิตเหล็กกลา เกรดตาง ๆ รวมทั้งเหล็กผสมตาง ๆ ดวย สามารถควบคุม S และ P ไดดียิ่ง 2. Indirect Electric Arc Furnace จะมีแทง Electrode อยูสูงกวาน้ําโลหะที่กําลังหลอมละลาย จะมีการสงผานความรอนไปสูน้ําเหล็ก โดย การแผรังสีของความรอน ซึง่ จะตรงขามกับแบบ Direct Electric Arc Furnace ที่จะใหกระแสไฟวิ่งจากแทง Electrode ไปยังน้ําเหล็กที่หลอมละลาย และจะวิ่งกลับมาสูแทง Electrode เชนเดิม จนครบวงจร แทง Electrode ที่ใชจะมี 3 แทงดวยกันทําจากแกรไฟทมขี นาดเสนผาศูนยกลางประมาณ 30 นิ้ว ยาวประมาณ 80 ฟุต ใช V = 40 V และ A = 12,000 A ซึ่งสูงมาก
รูปที่ 13.20 ภาพตัดของ Electric Arc Furnace
249
รูปที่ 13.21 Electric Arc Furnace
250
รูปที่ 13.22 Electric Resistance Furnace
รูปที่ 13.23 แสดง Electric Arc Furnace ทั้ง 2 ชนิด
251
251
บทที่ 14 โลหะวิทยางานหลอ 14.1 โลหะวิทยางานหลอ โดยทั่วไปแลวหลักการหลอ-หลอมโลหะนัน้ เปนขบวนการทําการหลอมโลหะใหเกิดการหลอมละลาย จนกลายเปนของเหลว แลวทําการเทน้ําโลหะที่หลอมเหลวนั้นลงไปในแบบหลอ (Molds) ที่เตรียมไว ดังนั้นเมือ่ น้ําโลหะเกิดการแข็งตัวขึ้นภายในแบบ หลอ (Molds)ก็จะไดรูปรางตาง ๆ ตามที่เราตองการ หลักในการสังเกตและพิจารณางานหลอโลหะจะแบงออกไดเปน 2 ขอใหญ ๆ คือ 1.ทางดานโลหะวิทยา (Metallurgy) ซึ่งหลักการจะอยูท ี่ขบวนการหลอมเหลวแบบตาง ๆ รวมถึง ขบวนการหลอที่ทําใหเกิดการแข็งตัวของน้ําโลหะภายในแบบหลอ (Molds)ที่ไดเตรียมไว 2. กรรมวิธีการหลอ(Foundry Process) ซึ่งหลักการจะคํานึงถึงการเลือกกระสวนทีใ่ ช การเลือก แบบ หลอ วัสดุที่ใช และรวมถึงขัน้ ตอนและเทคนิคตาง ๆ ที่จะนํามาใช 14.2 ผลึกของโลหะและการเกิดผลึก การแข็งตัวของโลหะเกิดขึน้ ได 3 ลักษณะ คือ 1. การแข็งตัวที่อุณหภูมิคงที่ (โลหะบริสุทธิ์และโลหะยูเทคติก) 2. การแข็งตัว ณ อุณหภูมิไมคงที่ (สารละลายของของแข็ง) 3. เริ่มแข็งตัวตามชวงอุณหภูมิ และในชวงสุดทายแข็งตัวที่อณ ุ หภูมิคงที่ (การแข็งตัวของโลหะ) โปรยูเทคติก+ยูเทคติกการแข็งตัวโดยการตกผลึกของโลหะนัน้ จะเริ่มตนที่การเกิดนิวเคลียสกอนแลวคอยเติบโต เปนเกรนขึน้ ลักษณะของมันขึ้นอยูกับการเย็นตัวและสวนผสมของธาตุ การแข็งตัวจะหมดสิ้นก็ตอ เมื่อน้ําโลหะ เกิดการแข็งตัวจนหมด หรือเกิดนิวเคลียสจนหมดจากการคลายตัวของอุณหภูมิ
รูปที่ 14.1 แสดงการเย็นตัวของ Pure Metal
252
จากรูป A โลหะเหลวเริ่มตนแข็งตัวที่สุด a และสิ้นสุดการแข็งตัวทีจ่ ดุ b โดยมีอณ ุ หภูมิคงที่เทากับ T1 ตลอดเวลาของการแข็งตัวเปลี่ยนสภาวะจากของเหลว เปนของแข็ง เนื่องจากการคลายความรอนแฝง เปน ลักษณะของการแข็งตัวของโลหะและโลหะผสม จากรูป Bโลหะหลอมเหลวเริ่มแข็งตัวทีจ่ ุด a และสิ้นสุดการแข็งตัวที่จุด b โดยมีอณ ุ หภูมิลดลง ตลอดเวลา เปนลักษณะของการแข็งตัวของโลหะผสม จากรูป C โลหะหลอมเหลวเริ่มแข็งตัวทีจ่ ุด a โดยการกลายเปนของแข็งชนิดที่ 1 (S 1)อุณหภูมลิ ดลง เรื่อย ๆ จนถึงจุด b โลหะหลอมเหลวจะหยุดการเปลี่ยนแปลงเปนของแข็งชนิดที่ 1 แตจะเปลี่ยนแปลงเปน ของแข็งชนิดที่ 2 (S2) ที่อุณหภูมิคงที่และสิ้นสุดการแข็งตัวที่จุด C เปนลักษณะของการแข็งตัวของโลหะผสม (โปรยูเทคติก+ยูเทคติก) ขณะการแข็งตัวที่เกิดขึ้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอยาง เชน ทันทีที่เทน้ําโลหะลง ในแบบ (Molds) ความรอนจะเริ่มถายเทออกสูแบบ(Molds) นั้นความรอนนี้เรียกวา“ความรอนยิง่ ยวด”(Super heat) ซึ่งจะตองแยกตัวออกจากน้ําโลหะกอน แลวจึงเกิดนิวเคลียส และแข็งตัวในที่สุดนอกจากนี้ยัง เกิดความรอนแฝงในขณะแข็งตัว แลวจะถายเทความรอนไปยังแบบหลอ แลวถายเทตอไปยังบรรยากาศ จนงานเย็นตัวลงถึงอุณหภูมหิ อง ในขณะเย็นตัวจะเกิดการหดตัวของเนื้อโลหะ 3 ขั้นตอน คือ หดตัว ขณะเปนของเหลว (อุณหภูมลิ ดลง) หดตัวขณะกําลังแข็งตัว และหดตัวหลังจากการแข็งตัวอยางสมบูรณ ดังนั้นควรพิจารณาการแข็งตัวของโลหะ ในประเด็น 3 ประการ คือ 1. การเติบโตของเกรน 2. การเกิดและถายเทความรอน 3. การเปลี่ยนแปลงขนาด การแข็งตัวของโลหะเริ่มตนเมื่อเปอรเซ็นตของการสั่นสะเทือนของอะตอมลดลงถึง 12% ของระยะทาง สมดุล โดยอะตอมของโลหะบางสวนเริ่มตนจับตัวกันเปนนิวเคลียสปรากฏการณและการหดตัวหลังจากการ แข็งตัวอยางสมบูรณ ดังนั้นควรพิจารณาการแข็งตัวของโลหะในประเด็น 3 ประการ คือ 1. เกิดการเย็นตัวแบบยิ่งยวด 2. เกิดจากอนุภาคสิ่งแปลกปลอมในโลหะเหลว และจากการเย็นตัวอยางยิ่งยวด 3. เกิดจากสารที่เติมลงไปในน้ําโลหะหลอมเหลว ซึ่งละลายตัวยังไมหมด
253
รูปที่ 14.2 แสดงขัน้ ตอนการเจริญเติบโตของเกรน นิวเคลียสจะเติบโตไดโดยการดึงอะตอมจากน้ําโลหะหลอมเหลวมาเสริมตัวเองกลายเปนเกรน และจะ เติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกวาน้ําโลหะหลอมเหลว หรือเติบโตมาชนกันเองจึงจะหยุดตัว บริเวณทีเ่ กรนเติบโตจน มาชนกันเรียกวา Grain boundary หรือ ขอบเกรนเปนบริเวณที่อะตอมเรียงตัวผิดปกติ และมีสารมลทินปะปนอยู มาก ถาหากน้าํ โลหะเกิดการเย็นตัวอยางยิ่งยวด ซึ่งเปนการแข็งตัวในสภาวะไมสมดุล ผลึกจะเกิดการเติบโตแบบ โครงสรางกิ่งไม (Dendrite Structure) 14.3 โครงสรางผลึกแบบกิง่ ไม (Dendrite Structure) เปนโครงสรางที่มีกิ่งกานสาขามากมายคลายกับกิ่งของตนไม หรือเรียกวา Pipe tree Structure อาจเกิด ใน Columnar grains หรือ Equiaxial grains ก็ได เกรนแบบนี้เกิดจากการฟอกตัวของเกรนในทิศทางอาจไม เทากันอีกทิศทางหนึ่ง ในการฟอกตัวในทิศทางที่ไมเทากันนี้เปนเหตุใหเกิดโครงสรางแบบกิ่งไมหรือโครงสราง กระดูก (Skeleton) โครงสรางแบบนี้จะทําใหเกิดรูพรุน(Porous) ขึ้นในเนื้อโลหะ รูพรุนนี้เกิดขึ้นเล็กนอย แตทํา ใหโลหะนี้มีคณ ุ สมบัติทางดานความเหนียวลดลงได
254
การเกิดโครงสรางกิ่งไมในโลหะผสม จะเกิดไดจากผลของการทําใหเย็นตัวอยางยิ่งยวด แตในโลหะ บริสุทธิ์เปนแบบที่เรียกวา “ความรอนถูกดึงออกอยางรวดเร็ว” แตในโลหะผสมเกิดขึ้นไดจากเหตุผลของ การเย็นตัวอยางยิ่งยวด ซึง่ เกิดขึ้นเนื่องจากสวนผสมที่แข็งตัวมีคาสวนประสมของธาตุ ตางจากของเหลวที่ อุณหภูมิสูงขึ้น การเจริญเติบโตของโครงสรางแบบกิ่งไมนี้ เปนการแข็งตัวของโลหะที่เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิในสวนที่อยู หนาของการแข็งตัวมีคาต่ํากวาจุดหลอมเหลว เพราะสาเหตุที่อุณหภูมขิ องผิวหนา มีคาสูงกวาอุณหภูมิของแข็ง และของเหลว หากเราสมมุติวาของเหลวที่เรามีอยูนั้นมีอัตราการเย็นตัวอยูที่อณ ุ หภูมผิ ิวหนา(Interface) ในขณะ ที่ของเหลวแข็งตัว ความรอนแฝงสวนหนึง่ จะถูกคลายออกมา ซึ่งทําใหในบริเวณนีม้ ีอุณหภูมิสูงขึ้น ดังนั้นถาเรา พิจารณาจากแนวผิวหนาเขาสวนที่เปนของเหลวอุณหภูมิจะลดลงเรื่อย ๆ ลักษณะการลดลงของอุณหภูมิเชนนี้ เราเรียกวา “อุณหภูมิผันกลับ” (Temperature Invension)
รูปที่ 14.3การเจริญเติบโตของโครงสรางแบบกิ่งไม สวนที่เปนของแข็งจะยื่นเขาไปในของเหลว หากการเคลื่อนที่ยากก็จะทําใหที่ปลายกิง่ ของมันมีปริมาณ อัตราการเย็นตัวสูงขึ้น ซึ่งยิ่งจะสงเสริมใหมันงอกออกไปดวยอัตราที่สูงขึ้นไปอีกเราเรียกการงอกนี้วา Dendrite Growth ซึ่งจะเปนแบบขั้นแรกและขั้นที่สอง หรือแขนงยอย ๆ ออกไป อีกเปนขั้นที่ 3
255
รูปที่ 14.4 Coring or Segregation การเย็นตัวอยางยิ่งยวดเปนเหตุผลหนึ่งในการที่โลหะเปลี่ยนสภาพจากของเหลวเปนของแข็งนั้น คือ องศาของการเย็นตัวอยางยิ่งยวด โดยปกติของเหลวทุกชนิดจะมีอุณหภูมิลดต่ําลงกวาคาอุณหภูมิหลอมเหลวทาง ทฤษฎีกอนที่จะเริ่มแข็งตัว ทั้งนี้เนื่องจากการเกิดนิวเคลียสนั้นชากวาการลดของอุณหภูมิ องศาของการเย็น ตัวอยางยิ่งยวด ปริมาณของการเย็นตัวที่มีคาสูงไดดวย ทั้งนี้เนื่องจากการแข็งตัวเกิดขึ้นอยาง Homogeneous ในทางกลับกันของเหลวที่มสี ารมลทินปนอยูมาก อะตอมของสารมลทินที่ปะปนอยูน ั้นจะทําหนาที่เปน จุดเริ่มตนในการจุดนิวเคลียส
รูปที่ 14.5 Phase diagram ของ Ni-Cu
256
รูปที่ 14.6 Phase diagram ของ Al-Cu ปริมาณของการเย็นตัวอยางยิง่ ยวดมีผลอยางมากกับอัตราการเคลื่อนที่ของของแข็ง และของเหลว ที่สงผิวหนางานสวนที่เปนของแข็งนั้นจะมีอุณหภูมิเทากัน หรือต่ํากวาอุณหภูมิหลอมเหลว แตใน ของเหลวนั้น อุณหภูมิของการยึดเหนี่ยวอาจมีได 2 กรณี คือ อุณหภูมิทสี่ ูงกวาการยึดเหนี่ยว หรือ อุณหภูมิที่ลดต่ํากวาการยึดเหนี่ยวที่ผิวหนาของงาน
รูปที่ 14.7 รูปแบบของ Graphite ในเหล็กหลอ
257
14.4 การแข็งตัวของโลหะบริสุทธิ์ภายในแบบหลอ 14.4.1 เมื่อหลอมโลหะจนหลอมเหลวแลวนําไปเทลงในแบบหลอ(Molds) น้ําโลหะบริเวณผนังแบบจะถายเทความรอนใหแกผนังและผิวแบบอยางรวดเร็ว ทําใหอุณหภูมิบริเวณ นั้นต่ํากวาสวนอื่น และเกิดการแข็งตัวหรือเปนเปลือกบาง ๆ ในขณะที่บริเวณภายในยังคงเปนของเหลว ความ รอนจากภายในก็ยังคงถายเทความรอนผานเปลือกบาง ๆนั้น ออกสูผนังแบบ และสูบรรยากาศภายนอก ทําให โลหะนั้นแข็งตัวมากขึ้น ซึง่ ตองเพิ่มความหนาของสวนที่แข็งตัวแลวมีจํานวนมากขึ้นเรียกวา Chill Zone หรือ Fine Grains ความหนาของสวนเกรนละเอียดนั้น หาไดจากสูตรดังตอไปนี้ D = K√t - C เมื่อD = ความหนา K,C = คาคงที่ t = เวลา คาคงที่ K ขึ้นอยูกับขนาดของงาน และอัตราการถายเทความรอนของแบบหลอคาคงที่ C ขึ้นอยูกับ ระดับของความรอนยิ่งยวด (Super heat)ขณะที่ผิวงานกําลังแข็งตัว น้ําโลหะที่เหลือจะมีอุณหภูมลิ ดต่ําลง และ ในที่สุดจะเกิดนิวเคลียส และเจริญเติบโตอยางสม่ําเสมอ
รูปที่ 14.8 แสดง Solidification จากผนังแบบ
รูปที่ 14.9 แสดงชวงระยะเวลาการแข็งตัวที่ผิวของ Steel Castings
258
รูปที่ 14.10 Solidification of Steel ในทราย และ Chilled molds
รูปที่ 14.11 Solidification of Alloy
259
14.4.2 Columnar ตอจากเกรนละเอียดที่อยูใกลกับผนังแบบ แลวน้ําโลหะจะคอย ๆ เย็นตัวอยางสม่ําเสมอ ลักษณะการเกิดเกรนของโลหะจะเกือบมีขนาดเทากันทุก ทิศทางประมาณวาเกือบกลม ถึงกระนัน้ ก็ตามการเย็นตัวก็ยังคงไมคอยสม่ําเสมอนัก เกรนที่ไดจงึ ไมคอยเปน รูปราง แบบกลมนัก การเกิดแบบนี้ขึ้นอยูกบั ปจจัย 2 ประการ คือ 1. แลวแตทิศทางของการจัดรูปแบบของเกรน 2.การเจริญเติบโตของเกรนจะเคลื่อนเขาหาของเหลวเสมอ ฉะนั้นเกรนจะจัดรูปแบบเขาหาจุดศูนยกลาง ของ Ingot เสมอ 3. Equi axial Zone เกิดจากโลหะหลอมเหลวสวนทีแ่ ข็งตัวครั้งสุดทายตรงบริเวณจุดศูนยกลางของแทง Ingot ซึ่งจะใหเกรนหยาบ พบวาเกรนของโลหะตอนนี้สามารถจะเจริญเติบโตไดทุกทิศทาง ทั้งนี้เพราะอัตรา การถายเทความรอน (Rate of heat transfer) ประมาณวาเปนไปไดทกุ ทิศทาง ดังรูป 14.12
รูปที่ 14.12 โครงสรางของการตกผลึก (a) ผลึกละเอียด Columnar เกิดขึ้นใน Pure Metal (b) ผลึกละเอียดผสม Columnar ผสมผลึกหยาบสม่ําเสมอ เกิดในสารละลายของแข็ง (c)ผลึกหยาบสม่ําเสมอ (Equiaxed grain) เนื่องจากการแข็งตัวพรอม ๆ กัน โดยการเติมสารตัวเรงลงไป
260
14.4.3 การแพรตัวของอะตอม (Diffusion of Atom) การแพรตัวเปนขบวนการที่อะตอมของธาตุหนึ่งเคลื่อนที่เขาไปที่อีกธาตุหนึ่ง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในภาวะ ของแข็งของเหลวหรือแกส ในสภาวะของแข็งการแพรตัวจะตองมีแรงกระตุนจํานวนมาก ซึ่งแรงกระตุนไดจาก พลังงานความรอนอุณหภูมิยงิ่ สูงพลังงานความรอนยอมมาก การแพรซมึ ยิ่งเกิดขึน้ ไดดี กลไกของการแพรซึมมี อยู 2 ลักษณะ คือ ดังรูป 14.13
รูปที่ 14.13 แสดงกลไกการแพรซึมแบบ Diffusion 1. กลไกเขาแทนที่ในชองวางการแพรซึมเกิดขึ้นไดโดยอะตอมเคลื่อนที่เขาไปยังจุดกลางดังรูป A เปน ระนาบที่อะตอมอัดตัวกันหนาแนนในของแข็งบริสุทธิ์ ซึ่งจะมีที่วาง (Vacancy) อยูห ลายจุด อะตอมที่ลอมรอบที่ วางตางก็มีโอกาสเคลื่อนที่เขาไปในทีว่ างนั้น การแพรซึมของสารบริสุทธิ์นี้มีชื่อเรียกวา Self-Diffusion รูป B เปนระนาบของอะตอมของสารละลายแบบสารละลายของแข็งเขาไปแทนที่ของรูป A ยังไมเปลี่ยนแปลงที่วาง แตละแหงจะมีทั้งอะตอม A และ B ลอมรอบอยู และตางก็มีสิทธิ์ที่จะเคลื่อนที่เขาไปยังที่วางนั้นดวยกันทั้งคู 2. กลไกของการเขาแทรกตัว โครงสรางของผลึก (Crystal) เปนลักษณะที่มีอะตอมเล็ก ๆ แทรกอยูใ น ชองวางของอะตอมใหญ
261
รูปที่ 14.14 แสดงกลไกการแพรซึมแบบแทรกตัวในชองวาง อะตอมเล็กพยายามจะแทรกเขาไปในชองวางของอะตอมใหญ ซึ่งตองอาศัยพลังงานกระตุนเพื่อทีจ่ ะดัน อะตอมเล็กแทรกตัวเขาไปในชองวางของอะตอมใหญ 3. การเกิดความเครียดแข็งของโลหะ (Strain Hardening of Metal) จากกราฟความเคน-ความเครียด ถา แรงที่มากระทําไมเกินจุดคราก พอเอาแรงออกการยึดตัว หรือการเปลี่ยนแปลงไปจะกลับเขาสูสภาพเดิม แตถา แรงที่มากระทําเกินจุดคราก และเกิดความเคน แลวโลหะนัน้ ถาปลอยแรงการเปลี่ยนแปลงนั้นจะกลับเขาที่เดิม ไดไมหมด ทําใหมีการเปลีย่ นรูปภายในโลหะนัน้ ขึ้น ซึ่งเรียกวาการเปลี่ยนแปลงถาวร และจะมีการเปลี่ยนแปลง ตกคางอยูภายใน ถาโลหะนั้นไดรับความเคนซ้ําอีกจะเกิดการเปลี่ยนรูปถาวรนอยลง และจุดครากจะเพิ่มขึ้น ถาจะใหเกิด การเปลี่ยนรูปถาวรขึ้นอีกตองใชแรงมากขึน้ กวาเดิม แสดงวาโลหะนัน้ มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น การที่โลหะมี ความแข็งแรงเพิ่มขึ้น หลังจากเกิดการเปลี่ยนถาวรขึ้นอีก ตองใชแรงมากขึ้นกวาเดิมแสดงวาโลหะนัน้ มีความ แข็งแรงเพิ่มขึน้ การที่โลหะมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น หลังจากเกิดการเปลี่ยนรูปถาวรนี้ เรียกวา ความเครียดแข็ง หรือความแข็งหลังการขึ้นรูป (Work Hardening)
รูปที่ 14.15 แสดงขั้วบวกและลบของการแทนที่ในชองวาง
262
รูปที่ 14.16 แสดงถึงผลของแฟรงคเกิล และสก็อตตี้ในสภาพของแข็ง
รูปที่ 14.17 แสดงขั้วบวก และลบที่เขาแทนที่ในสารบริสทุ ธิ์ผสม 14.5 ขบวนการเกิดผลึกใหม ขบวนการเกิดผลึกใหมแบงเปน 2 ขั้นตอน คือ 14.5.1 การเกิดผลึกใหมครัง้ แรก (Primary Recrystallization) ไดแก ชวงที่มีเกรนยาว อันเกิดมาจาก ถูกแปรรูป แลวเปลี่ยนเปนเกรนมุมละเอียด แตยังคงเรียงตัวไมสม่ําเสมอ 14.5.2 การเกิดผลึกใหมครั้งทีส่ อง(Secondary Recrystallization) หรือการเติบโตของเกรน ไดแก ชวง ที่เกรนเกิดขึ้นใหม เติบโตขึ้นและเกิดที่อณ ุ หภูมิสูงกวาขั้นแรก
263
รูปที่ 14.18 แสดงขบวนการเกิดผลึกใหมในแตละชวง การเกิดนิวเคลียสของผลึกใหม ซึ่งจะกอตัวขึ้นในบริเวณที่ปราศจากความเคลียสซึ่งเกิดตามบริเวณที่มี การเลื่อนตัวตัดกันบริเวณทีเ่ กิด Twinning และใกล Grains Boundary ดังรูป14.19
รูปที่ 14.19 แสดงการหมุนของซับเกรน อีกนัยหนึ่งที่ทาํ ใหนวิ เคลียสกอตัวขึ้นได คือ เนื้อเกรนบางสวนจะถูกลอมดวยขอบเกรนมุมกวาง เพราะขอบเกรนมุมแคบจะเคลื่อนที่ไดชากวา จากสาเหตุ 2 ประการที่กลาวมาแลว อาจจะเปนเหตุ
264
ใหเกิดนิวเคลียสขึ้นมา สวนจะเกิดในลักษณะใดนั้น ขึน้ อยูกับธรรมชาติของการเปลี่ยนรูปของงาน ขอบเกรนที่เคลื่อนที่ไปนี้จะกวาดเอาการคลาดเคลื่อนไปดวย ทําใหบริเวณความเครียดขนาดเล็ก ๆ ขึ้น จนมีขนาดวิกฤติของนิวเคลียส บริเวณดังกลาวก็จะเกิดนิวเคลียส และเติบโตตอไปเปนผลึกในกรณีของ ผลึกเดี่ยว เมื่อนําไปอบคืนตัวจะเกิดซับเกรน ๆ รวมตัวกันก็จะเกิดบริเวณปลอดความเครียดการขจัด ขอบของซับเกรนใหไดผล ซับเกรนทั้ง 2 ตัวตองหมุนไปในขณะเดียวกันดังรูป 14.19 สมมติวามีเพียงซับเกรนเดียวที่หมุนไป (ปกติจะหมุนไปทั้ง 2 ซับเกรน) รูป A ทั้ง 2 ซับเกรน เกือบจะรวมตัวกันอยูแลว แตภายในซับเกรนยังคงมีการเรียงตัวที่แตกตางกันเมื่อมีซับเกรนหนึ่งหมุน ไปจนการเรียงตัวในซับเกรนทั้ง 2 เหมือนกัน รูป B และ C พลังงานผิวจะดึงเอาสวน BCD และ GHI ใหเปนแนวเสนตรง รูป D การรวมตัวของซับเกรนนี้เปนเสมือนการเคลื่อนทีข่ อง Dislocation จากขอบ เกรนเดิม CH ซึ่งเคยแบงแยกซับเกรนทั้ง 2 ตอมาขอบซับเกรน CH จะเคลื่อนที่ไปรวมตัวกับผิวของซับ เกรนที่ยังคงมีอยู ดังนั้นจะทําใหผิวดานใดดานหนึ่งมีพลังสูง ขบวนการดังกลาวจะมาจากการกระโดด ขาม และการเลื่อนตัวขึ้นในขณะเดียวกันไดโดยการปนขามนั้นเปนผลของที่วางเคลื่อนที่ไป 14.6 การเติบโตของผลึกใหม เปนขบวนการที่เกิดขึ้นธรรมชาติ เนื่องดวยมีพลังงานภายในลดลง พลังงานภายในนัน้ จะเกิดที่ จึงจะกลืนเกรนขนาดเล็ก และจะเติบโตเปนเกรนขนาดใหญขึ้น การเติบโตของเกรน ผิวตอหนวยพืน้ ที่ ดังกลาวจะทําใหพื้นที่ผวิ ของเกรนลดลง ขนาดของเกรนมีบทบาทตอคุณสมบัติของโลหะหลายประการ จึงควรรูกลไกของการเติบโต การควบคุมขนาดของเกรน ซึ่งเปนหลักการของการอบชุบที่เหมาะสม ตอไป การเติบโตของเกรนอาจเกิดได 3 กรณี คือ 1. เนื่องจากการเกิดนิวเคลียส ซึ่งเปนศูนยกลางของผลึกใหม ซึ่งจะเติบโตเปนเกรนใหม แตจะ เกิดไดไมบอยนัก 2. เนื่องจากการเคลื่อนที่ของขอบเกรนโดยการเคลื่อนที่ออกไป เนื่องจากเกรนที่มีขนาดใหญ จะมีเสถียรภาพ (Stable) ดีกวา 3. เนื่องจากการรวมตัวของเกรน ขอบเกรนทีอ่ ยูใกลเคียงกันคอย ๆ รวมตัวเขาดวยกันเกรน ละเอียดหลาย ๆ เกรน จึงรวมตัวเปนเกรนที่ใหญขึ้น เนื่องดวยตามขอบเกรนมีรอยตําหนิ และมีสาร มลทินสะสมอยู 14.6.1 กลไกของการเกิดผลึกใหม อะตอมที่อยูตามขอบเกรน จะสามารถกระโดดขามขอบเกรนได โดยเฉพาะอยางยิ่งถาอะตอม นูนอยูห างจากอะตอมขางเคียงมากกวาอะตอมอื่น ๆ ที่อุณหภูมิสูง ถาพลังงานมีความรอนสูงพออะตอม ที่อยูติดกับขอบเกรน จะเคลื่อนที่จากเกรนที่มีเกรนที่มีขอบนูนไปยังเกรนที่มีขอบเวาไดมากกวา ทั้งนี้ โดยเฉลี่ยแลวอะตอมที่อยูทผี่ ิวเวาจะเคลื่อนที่ออกไปไดยากกวา อะตอมที่อยูบนผิวที่นูน ดังนั้นอะตอม
265
ที่อยูบนผิวนูนจึงเคลื่อนที่ขามขอบเกรนออกไปเพิ่มจํานวนอะตอมในทีม่ ีผิวเวา จึงทําใหเกิดขอบเกรนใหม ถา ขอบเกรนยังคงโคงนูนอยู ก็จะกระโดดขามจากเกรนที่มีขอบนูนไปสูเกรนทีม่ ีขอบเวาเรื่อย ๆ ผลก็คือ แนวขอบเกรนจะเคลื่อนที่เขาหาจุดศูนยกลางของความโคงมักจะอยูในเกรนเล็ก และอยูภายนอกเกรนใหญ ทําใหเกรนเล็กถูกดูดกลืนหายไปเกิดเปนเกรนใหมขึ้น 14.6.2 กลไกการเจริญเติบโตของผลึกใหม ในโลหะที่เกิดผลึกใหมอยางสมบูรณแลว แรงขับดันเพื่อใหผลึกเติบโตจะอยูใ นรูปของ พลังงานผิว (Surface energy) ของขอบเกรน เมื่อขนาดเกรนโตขึ้น และมีจํานวนลดนอยลงขอบเกรน จะหายไป และพลังงานผิวจะหายไป และลดลงตามสัดสวนดังเชน เซลลของฟองสบูจะเติบโตขึ้นได โดยพลังงานผิวฟลมสบูลดลง กลไกของการเจริญเติบโตของผลึกมีองคประกอบ และปจจัยมากมายเขา มาเกี่ยวของ ซึ่งจะไมเหมือนกรณีของฟองสบู แตเพื่อความเขาใจกลไก การเติบโตของผลึกไดงายขึ้น จึงจะอธิบายการเจริญเติบโตของฟองสบูดังนี้ ภายในฟองสบูจะมีแกส ซึ่งมีความดันมากกวาบรรยากาศภายนอก เพราะวาฟลมของฟองสบูมี ความตึงผิวจะสามารถหาความแตกตางของความดันภายนอก และภายในฟองสบูไดจากสูตรดังนี้ P = 4/R หรือ 8/D เมื่อ P เปนความตึงผิวดานหนึ่งของฟลมฟองสบู (มีฟลม 2 ดาน) R เปนรัศมีของฟองสบู D เปนเสนผาศูนยกลางฟองสบู เนื่องจากความดันภายในฟองสบูกับความดันภายนอกตางกัน แกสจึงเกิดการแพรจากดานที่มี ความดันสูงไปยังดานที่มีความดันต่ํากวา อะตอมจะแพรจากภายนอกออกไปสูศูนยกลางของฟองสบู จนหายไปในที่สุดดังรูป 14.20
รูปที่ 14.20 แสดงการยุบตัวของฟองสบู
266
จากรูป 14.20 แสดงการเติบโตของฟองสบูใน 2 มิติที่มุมลางขวามือ จะแสดงเวลาเปนนาที ที่ใชกวนใหเกิดเปนฟองสบู และยังแทนเวลาระหวางที่ฟองสบูเติบโตขึ้น ในแตละรูปนัน้ จะเห็นเซลลที่ มี 3 ดานอยูม ากมาย เมื่อดานทั้ง 3 ของเซลลมีความตึงผิวเทานัน้ และพบกันเกิดมุมประมาณ 120° สวน โคงดานเวาของเซลลจะพุงเขาหาศูนยกลางของผนังเซลล จึงมีแนวโนมทีจ่ ะเคลื่อนที่เขาหาศูนยกลาง ปริมาตรของเซลลลดลง และหายไปในทีส่ ุด ถาผนังเซลลของฟองสบูมีดานนอยกวา 6 ดานจะเวาเขาหาศูนยกลางของเซลล สวนเซลลที่มี มากกวา 6 ดาน ผนังจะนูนเขาหาศูนยกลางของเซลล ดังนั้นเซลลที่มีผนังนอยกวา 6 ดาน จึงไมมี เสถียรภาพ และคอย ๆ หดหายไป สวนเซลลที่มีมากกวา 6 ดาน เสถียรภาพดีกวา มีโอกาสเติบโตตอไป เซลลยิ่งเล็กก็ยงิ่ นอยดาน ดังนั้นเซลล 3 ดาน จึงสลายตัวไปอยางรวดเร็วเนื่องจากมีขนาดเล็ก เพราะมีดานนอย ความแตกตางของความดันภายใน – ภายนอก อัตราการแพรตัว และเคลื่อนที่สูง สวนเซลลที่มี 4 ดาน จะไมสลายตัวไปทันที แตจะกลายเปนเซลล 3 ดาน กอน จึงสลายตัวไป ตลอดเวลาการเจริญเติบโตของเซลลมีจํานวนดานเพิ่มขึน้ หรือลดลง ดังรูป 14.21
รูปที่ 14.21 แสดงการเปลีย่ นแปลงดานของเกรนในชวงของการเจริญเติบโต เนื่องจากสวนโคงของขอบเซลลที่แบงเซลล B และ D ออกจากเซลล A และ C และขอบเกรน เคลื่อนที่ไป ดังนั้นขอบเกรนระหวาง B และ D จึงถูกขจัดไป และเกิดขอบเกรนระหวาง A และ C ขึ้น ใหม เซลล B และ D ตางก็สญ ู เสียดานผนังไป สวนเซลล A และ C มีดานผนังเพิ่มขึ้น 14.7 การรวมตัวของเกรนตามลักษณะทางเรขาคณิต แตขอบเกรนระหวางเกรนทั้ง เปนการรวมตัวกันของ 2 เกรน ที่มกี ารจัดเรียงตัวสัมพันธกัน สองมีพลังงานผิวต่ําก็คือ Sub-Grains Boundary ลักษณะของการสรางของเกรนดังรูป 14.22
267
รูปที่ 14.22 แสดงการรวมตัวของเกรนทั้งสอง รูปAแสดงเกรนA-Bที่ฝงแยกกันอยู ถาขอบเกรนที่เกิดขึน้ เมื่อเกรนทั้งสองพบกันเปนขอบเกรนมุมกวาง พลังงานผิวของขอบเกรนจะเทากับขอบเกรนอื่น ๆ ขอบเกรนจะเปนดังรูป C ถาหากขอบเกรนมุมแคบ คา พลังงานที่ผิวในขอบเกรน a-b ต่ํามาก แรงดึงตาม a-b นอยมาก ขอบเกรนจะเปนดังรูป D ดังนั้นจะเห็นไดวา การ รวมตัวแบบนีท้ ําใหเกรนเติบโตไดเร็วมาก การเกิด Sub-Grains Boundary ขอบเกรนรวมเปนการรวมตัวกันของขอบเกรน เกรน A และ Bจะสัมผัส กันไดเมื่อเกรน C หายไป ถาเกรน A และเกรน B มีการจัดเรียงตัวเหมือนกัน ขอบ a-b จะเปนเสมือน Sub-Grains Boundary เกรน A และ B และเกรน B ถือวาเปนเกรนเดียวกัน 14.8 การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางเรขาคณิตของเกรน 3 มิติ ลักษณะการเปลี่ยนแปลงตาง ๆ ที่กลาวมาแลวเกิดใน 2 มิติเทานั้น แกเกรนของโลหะจะมีการ เปลี่ยนแปลงในลักษณะ 3 มิติ ดังรูป 14.23
รูปที่ 14.23 รูป 3 มิติของเซลลในรูป 14.22 ซึ่งเปนเกรน 4 ดาน
268
เมื่อขอบเกรนทั้ง 4 หายไป เกรนดังกลาวจะสลายตัวไปดวย รูป B เปนรูป 3 มิติ ของเกรนในรูป 14.21 ขอบเกรน B-D ในรูปที่ 14.23 จะกลายเปนจุดพบกันของเกรน 3 เกรนเมื่อเกรนลางและเกรนบน รวมตัวกัน เสนดังกลาวจะหายไป เกิดเปนเกรนในแนวนอนกัน้ ระหวางเกรนลางและบน ทําใหขอบ เกรนเพิ่มขึ้นในกรณีดงั รูปที่ 14.23 C จะเกิดในทางตรงขามกับที่กลาวมาในรูป 14.23 D เปนลักษณะ การรวมกันของเกรนใน 3 มิติ เกรนลางและเกรนบนจะสามารถเคลื่อนตัวมาใกลชิดกันไดดังรูปที่ 14.23 B แตในกรณีนี้ขอบเกรนที่เกิดขึน้ เปนขอบเกรนมุมแคบ เกรนลางและเกรนบนจึงรวมตัวกันอยาง มีประสิทธิภาพ สวนรูป 14.23 E เปนการแยกตัวของเกรนเดียวออกเปน 2 เกรน 14.9 กฎการเติบโตของเกรน ในขณะที่จํานวนเซลลลดลงเมื่อเวลานานขึน้ ลักษณะการเรียงตัวกันของเซลลจะเหมือนกัน ตลอดเวลา แมวาเซลลจะมีขนาดโตอยูแลวก็ตาม ไมวาอัตราการเติบโตจะเร็วสักเทาใด เซลลจะมี ขนาดใกลเคียงกับขนาดเฉลีย่ เสมอ และขนาดเฉลี่ยจะเติบโตเมื่อมีเวลานานขึ้น ดังนั้นเมื่อกลาวถึงขนาด เซลลของฟองสบู หมายถึงเสนผาศูนยกลางเซลลเฉลี่ยของฟองสบู ในกรณีของโลหะก็เชนกัน เมื่อ กลาวถึงขนาดเกรนเสนผาศูนยกลางเฉลี่ยของเกรน การเติบโตของเกรนหรือเซลลก็คือการที่ขนาดเฉลี่ย ของเกรน หรือของเซลลโตขึ้น ในกรณีการเติบโตของเซลลโลหะจะมีลักษณะคลายกับการเติบโตของฟองสบู แรงขับดัน เพื่อใหเกรนเติบโตก็คือ พลังงานผิวของขอบเกรน การเคลื่อนที่ของขอบเกรนโลหะเหมือนกับการ เคลื่อนที่ของผนังฟองสบู โดยขอบเกรนจะเคลื่อนที่เขาหาศูนยกลางของสวนโคงเซลลฟองสบูเติบโต โดยโมเลกุลของแกสแพรผานผนังของฟองสบู ในกรณีของโลหะอะตอมจะขามขอบเกรนไปยังดาน ตรงขาม ดังนั้นจะเห็นวาอะตอมที่อยูในขอบเกรนของผลึกมีลักษณะคลายเลนซเวา (Coneave* side) มี เสถียรภาพดีกวาอะตอมที่อยูต ามขอบเกรนนูน (Convex side) เพราะวาอะตอมที่อยูดานเวาจะมีอะตอม อื่นในเกรนเดียวกันลอมรอบอยูอยางหนาแนน จึงมีแรงยึดเหนี่ยวมากกวาสวนอะตอมที่อยูในดานนูนมี แรงยึดเหนีย่ วนอยกวา จึงไมคอยมีเสถียรภาพ และมีโอกาสกระโดดขามขอบเกรนไปยังดานที่มีขอบ ยิ่งขอบเกรนมีความโคงมากก็ยงิ่ เกิดผลดังกลาวไดมาก ขอบเกรนก็ยิ่งเคลื่อนที่ได เกรนเวาไดมากกวา เร็วขึ้น แตเนื่องจากความรูเกีย่ วกับขอบเกรนของโลหะยังมีอยูนอยมาก ดังนัน้ กลไกของอะตอมที่ กระโดดขามขอบเกรนจึงยังไมคอยกระจางนัก 14.10 การถลุงเหล็กกลา ทําใหโดยวิธีดงึ เอาสิ่งเจือปนที่มีอยูในเหล็กออกเหล็กที่ผานการถลุงขั้นตนดวยกรรมวิธีเตาสูง ผลผลิตที่ได ออกมา เราเรียกวา เหล็กดิบ (Pig Iron) จากนั้นจะสงผานไปถลุงดวยมี C ปะปนอยูประมาณ 0.3-2.0% และมี Mn,Si,S และ P ปะปนอยูดวย สารมลทินเหลานี้จะเปนตัวทําใหเหล็กไมแข็งแรง และเปราะ การที่จะทําใหเหล็กมีความ แข็งแรง,เปราะและเหนียวขึ้น จึงจําเปนตองเอาสารมลทินเหลานั้นออก โดยการถลุงดวยเตาเหลานี้ คือBesemmer เตา
269
กระทะ ถาตองการใหไดเหล็กกลามีคุณสมบัติเปนพิเศษ และมีคุณภาพดียิ่งขึ้นจะตองถลุงดวยกรรมวิธีเตาไฟฟา ชนิด Arc หรือถาตองการใชงานพิเศษ เชน ไนเทอรไบร,ครีบเครื่องบินเจท จะตองกระทําดวยกรรมวิธี Killer Steels ขบวนการถลุงเหล็กกลาอาจจะแยกออกตามลักษณะของอิฐทนไฟที่ใชในเตาถลุงเปน 2 ประเภท คือ อิฐ ทนไฟที่เปนกรด และเปนดางสารมลทินที่เจือปนที่แยกตัวออกจากเนื้อเหล็กเรียกวา เหล็กกลาที่เปนกรดหรือ ดางเหมือนกับลักษณะของอิฐทนไฟทีใ่ ชในขบวนการถลุงที่มีสภาพเปนกรด จะใชอิฐทนไฟที่ทําจากซิลิกาเปน หลัก อิฐทนไฟชนิดดาง ทําจากสารแมกนีไซด หรือโคโลไบดเปนหลัก องคประกอบที่สําคัญของแมกนีไซด คือ แมกนีไซดคารบอเนต (Mg CO3) กับโคโลไบด ประกอบดวยแคลเซียมคารบอเนต และแมกนีเซียมคารบอเนต (Ca CO3, Mg Co3) ตารางที่ 14.1 TYROICAL COMPOSITIONS OF SILICA AND BASIC BRICK* Per Cent
Silica Aluming Lime Magnesia Type of Brick (Si02) (Al202) (Ca0) (Mg0) Silica Conventional and Superduty (overAll range) 95-97 0.20-1.2 1.8-3.5 Basic Chrome 3-6 15-33 14-19 Forsterite 33-39 47-55 Magnesite 3-6 0.4-2.0 1-5 85-95+ *Courteay Harbison Walker Refractories Co.
Iron Chromic Oxide Oxide Other (Fe202) (Cr202) Oxides
0.3-0.9 11-17 9-11 0.5-4.0
-
0.05-0.3
30-45 1-2 3-4 - 0.5-1.0
270
รูปที่ 14.24 อิฐทนไฟขนาดมาตรฐาน ตารางที่ 14.2 TYPICAL COMPOSITIONS OF FIRECLAYS AND HIGH-ALUMINA BRICK* Per Cent Silica Alumina Titania Other (Al 202) (Ti02) Oxides Type of Brick (Si02) Fireclay Superduty High duty,aluminous Semi-silica Medium duty Low duty High alumina 50%alumina class 60%alumina class 70% alumina class 80% alumina class 90% alumina class 99% alumina class *Courtesy Harbison – Walker
49-53 51-60 72-80 57-70 60-70 41-47 31-37 20-26 11-15 8-9 0.5-1.0 Refractories Co.
40-44 35-40 18-24 25-36 22-33
2.0-2.5 1.7-3.3 1.0-1.5 1.3-2.1 1.0-2.0
3-4 3-6 1.5-2.5 4-7 5-8
47.5-52.5 57.5-62.5 67.5-72.5 77.5-82.5 89-91 98-99
2.0-2.8 2.0-3.3 3.0-4.0 3.0-4.0 0.4-0.8 Trace
3-4 3-4 3-4 3-4 1-2 0.6
271
ในการถลุงเหล็กดิบ (Pig Iron) ที่มี P ปนอยูจํานวนมาก จะตองใสปูนขาวลงไป ซึ่งจะไปทําปฏิกริ ิยากับ P กลายเปน Slag ออกมาเปนดาง ถาถลุงในเตาที่มีอิฐทนไฟประเภท Silica เปนหลัก จะเกิดปฏิกิริยากับ S ดังขอ เปรียบเทียบความแตกตางของขบวนการทั้งสองดังแสดงไวในตารางที่ 14.3 ตารางที่ 14.3 กรด ดาง ชนิดของอิฐทนไฟ ซิลิกามีซิลิคอนมากฟอสฟอรัส แมกนีไซดมีฟอสฟอรัสมากซิลิกานอย องคประกอบ แสลก เปนกรดเนื่องจากมีซิลิกานอย เปนดางเนื่องจากมีปูนขาวมาก ธาตุที่เกิด Oxidation คารบอน,ซิลิคอน,แมงกานีส C,Si,Mn,P,S ในขบวนการสุดทายของการถลุงเหล็ก บางสวนของเหล็กจะถูกดึงออกซิเจนออกกลายเปนเหล็ก Oxide ละลายปนอยูก บั น้ําเหล็ก ดังนั้น จําเปนตองขจัดออกดวยการใช Deoxidation เชนFerro-Mn,Ferro-Si และ Al ลง ไป เพื่อดึง O2ออกใหเปน Slag ซึ่งจะไมละลายในน้ําเหล็ก Slag จะลอยตัวปกคลุมอยูเหนือน้ําเหล็กอีกที
รูปที่ 14.25 Iron-iron carbide phase diagram
272
เหล็กทุกชนิดเมื่อมีอุณหภูมิเปลี่ยนไป เหล็กเหลานี้จะมีโครงสรางเปลี่ยนไป เชนเหล็กบริสุทธิ์ (Pure Iron) ที่มีอุณหภูมิอยูในชวง 937-1,400°C จะมีโครงสรางผลึกแบบ F.C.Cสวนในชวงอุณหภูมิ อื่น ๆ จะมีโครงสรางผลึกเปนแบบ B.C.C การเปลี่ยนโครงสรางผลึกนี้จะทําใหปริมาตรอุณหภูมิ เปลี่ยนแปลงไปดวย
รูปที่ 14.26 แสดงอัตราการเปลี่ยนแปลงโครงสรางอยางชา ๆ ในขณะเย็นตัวลงมา 14.11 ปฏิกิริยายูเทคติก (Eutectic Reaction) เปนปฏิภาคหมุนกลับในแผนภูมิของ Fe-C ที่เกิดขึ้นแกมมา = 2.0% C ของเหลว = 4.3%C,Fe3C= 6.67%C เกิดที่อณ ุ หภูมิประมาณ 1,130°C (2,000°F) เขียนเปนสูตรไดดังนี้ เย็นตัว ของเหลว ของแข็ง 1 + ของแข็ง 2 รอนขึ้น
273
รูปที่ 14.27 รูปแสดง Microstructure ในการแข็งตัวของ Cast iron โดยที่ดานซายเปน White cast iron ดานขวาเปน Gray cast iron
รูปที่ 14.28 รูปแสดงการชุบแข็งของเหล็ก 0.80% C(ขนาด Specimen มีเสนผาศูนยกลาง 1/2นิ้ว)
274
รูปที่ 14.29 Tempering of Martensite
รูปที่ 14.30 เปรียบเทียบคุณสมบัติ หลังการชุบแข็งของเหล็กกลาที่มีสวนผสมของ Ni-Cr
รูปที่ 14.31 แสดงการ Annealing ของเหล็กหลอสีเทา (a)Anneal ที่อุณหภูมิต่ํา (b)Anneal ที่อุณหภูมิปานกลาง (c)Anneal ที่อุณหภูมิสูง
275
รูปที่ 14.32 แสดงการ Annealing ของ Ferritic malleable iron
รูปที่ 14.33 โครงสรางและคุณสมบัติหลังการหลอ และการอบชุบของDuctile iron ที่จุด Eutectic ซึ่งมีของเหลว 4.3%C จะเปนจุดที่อณ ุ หภูมิต่ํากวาอุณหภูมิวกิ ฤติของการหลอมละลายของ โลหะผสมมี 3 สภาพ คือ Liquide , Austenite และ Iron Carbide ดังกลาวมาแลว ถาทําใหเย็นตัวลงต่ํากวา 1,130°C จะได เย็นตัว ของเหลว แกรมมา + เหล็กคารไบด 4.3%C รอนขึ้น 20%C 6.67%C
276
277
276
บทที่ 15 ความรูทางเคมีกับงานหลอ 15.1 การถลุงเหล็ก 15.1.1 แรเหล็กดิบ บรรดาเหล็กทีเ่ อามาสรางสิ่งวัตถุตาง ๆ ที่เราเห็นกันอยูใ นทุกวันนี้ เดิมทีเดียวไมเปนเหล็ก บริสุทธิ์ (Pure Iron) เลยทีเดียว มักจะรวมตัวอยูกับธาตุอื่น ๆ ตัวอยางเชน Oxide Carbonate ของเหล็ก ซึ่งจมปนอยูกบั ดิน (Earth) หิน (Stone) ทราย (Sand) และสิ่งอื่น ๆ เปนตน แรเหล็กที่ปะปนอยูเชนนี้ เราเรียกวา “แรเหล็กดิบ” และมักจะกระจัดกระจายอยูเปนจํานวน มากบางนอยบาง ตามภูมิประเทศตาง ๆ คือ บางทีก็อยูบนหิน (On Stone) เปนพื้นราบกวางใหญ บางที ก็อยูเปนกอนเปนหมู และบางทีก็อยูเ ปนเสนสายตาง ๆ บางมากบางนอยบางคละกันไป แตแรเหล็กดิบ เหลานี้มีอยูมากหลายชนิดดวยกัน และที่เปนชนิดที่สําคัญก็คือ 1. แม็กเนไตท (Maxnetite) 2. เฮมาไตท (Hamatite) 3. สเปคูลัม (Cpaculum 4. สแปโร็ส (Sparros) 5. หินเหล็ก (Iron Stone) 6. แบลคแบลนด(Black Bland) 15.1.2 แม็กเนไตท (Maxnetite) เปนเหล็กดิบ (Pig Iron) ที่ประกอบไปดวยแรเหล็ก(Fe) กับธาตุออกซิเจน (O2) รวมเปนIron and Oxigen หรือเขียนตามสูตรเคมี คือ Fe3O4 และจะมีเนื้อเหล็กปะปนอยูประมาณ72.41% กับมีลักษณะสัณฐานเปนสีดาํ เหล็กดิบ(Pig Iron) ชนิดนี้ เดิมที่ไดพบขึ้นที่เมืองแมกนีเซียในแถบเอเซียนี้เอง และเปนธาตุแมเหล็กอีกดวย ซึ่ง อาจจะดูดของสิ่งอื่นๆ ไดเชนเดียวกับแทงแมเหล็กถาวร แตในปจจุบันนี้ไดตรวจพบวามีอยูตามประเทศ นอรเวย สวีเดน สหรัฐอเมริกา แคนาดา และแถบไซบีเรีย ในสหภาพโซเวียต แตที่มีมากที่สุดนั้นอยูทางทิศเหนือของ ประเทศสหรัฐอเมริกา กับประเทศสวีเดน
277
รูป 15.1 แสดงการเตรียม Scrap
รูปภาพ 15.2 การแสดงการเทน้ําโลหะจากเตาหลอม
รูป 15.3 แสดงการเทน้ําโลหะลง Molds
278
15.1.3 เฮมาไตท (Hamatite) มีอยูดวยกัน 2 ชนิด เปนสีเลือดหมูชนิดหนึ่ง และเปนสีแดงอีกชนิดหนึ่ง ชนิดสีแดง ประกอบดวยออกไซดของเหล็ก (Oxide of Iron) เขียนเปนสูตรทางเคมี คือ Fe2O3มี เนื้อเหล็กปะปนอยูประมาณ 70% นอกนั้นจะมีธาตุออกซิเจน (O2) ปะปนอยูทั้งสิ้นลักษณะของเหล็กดิบ (Pig Iron) ชนิดนี้มีความแข็งแรงรวมตัวกันเปนกอนคลายกอนดินทั่ว ๆ ไป และมีทรายชนิดหนึ่งที่เปน สิ่งโสโครกปะปนอยูดว ย และยังมีลวดลายเปนริ้ว ๆ ติดอยูทั่วทั้งกอนเหล็กดิบนั้นดวย ชนิดสีแดงนี้จะ พบมากที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สเปน แอลจีเรีย ซาโซนีแลนด และตามเทือกเขาอาตซ ชนิดสีเลือดหมู จะมีน้ํา(H2O) เจือปนอยูดว ยประมาณ 9-14% และมีเนือ้ เหล็กปะปนอยูดวย ประมาณ 60% ลักษณะของเหล็กดิบ (Pig Iron) ชนิดนี้จะรวมอยูกันเปนกอน และเปนเงาแวววาวดวย แหลงที่พบมากอยูที่ประเทศฝรั่งเศส เยอรมันนี สเปน และแคนาดา โดยทั่วไปเราจะใชเหล็กดิบ (Pig Iron) ชนิดนี้ทําการถลุง 15.1.4 สเปคูลัม (Spaculum) เปนกอนสี่เหลี่ยมมีลักษณะเปนเขี้ยว ๆ ออกสีดํา ๆ กับมีลวดลายเปนริ้ว ๆ สีแดง และมีธาตุ เหล็ก (Fe) ผสมอยูดวยเหมือนกับ เฮมาไตท (Hamatite) แรเหล็กชนิดจะพบไดตามแถบประเทศ สหภาพโซเวียต สเปน ดีวอเชอร เวลมา และที่อื่น ๆ
รูป 15.4 Electrie Are Furnace (ขนาด 40 ตัน)
279
รูป 15.5 Ladle Refining Equipment 15.1.5 สแปโรส (Sparros) บางทีเราเรียกวา คารบอเนต (Carbonate) คือ ประกอบไปดวย Oxide ของเหล็กและกรดถาน (Acid Charcoal) เมื่อเขียนตามสูตรทางเคมีคือ Fe CO2 ซึ่งเปนเหล็กดิบ (Pig Iron) ที่มีเนื้อเหล็กปะปนอยู 48.3% และมี ลักษณะเปนกอนสีเทา กับมีริ้วลายสีขาว โดยมากมักจะมีธาตุหินปูนของแมกนีเซียม (Mg) กับ แมงกานีส (Mn) ปะปนอยูด วยเพียงเล็กนอยแหลงที่พบมากอยูที่ โซเมอรเชค เดอรแฮม คอนวอล สหภาพโซเวียต และคาลินเทีย ฯลฯ แตที่ประเทศสเปน และประเทศฮังการี จะมีอยูมากที่สุด กับเปนแรเหล็กทีใ่ ชในการทําการผลิตเหล็กกลา (Steel) อีกดวย รวมทั้งในประเทศเยอรมันนีจะผลิตจากเหล็กดิบชนิดนี้แทบทั้งสิ้น
รูป 15.6 Rolled Steel (Wire Rods,Bars)
280
15.1.6 หินเหล็ก (Iron Stone) จะมีดนิ ปะปนอยูกับสแปโรส (Sparros) มากบาง นอยบาง เปนปกแผนและมีสีตาง ๆ กัน บาง ทีก็มีสีเทาออนบาง และบางทีก็เปนสีดาํ แดงบาง เหล็กดิบ (Pig Iron) ชนิดนี้จะมีเนื้อเหล็กปะปนอยู ตั้งแต 20 – 37 % นอกนั้นก็จะมีดนิ กับธาตุอื่น ๆ ปะปนอยูอ ีกมากบางนอยบาง แตมีกํามะถัน (Sulphur) ไมเกิน 1.2 % และฟอสฟอรัส (P) ประมาณ 0.2 – 15 % และเปนเหล็กที่ถลุงตามเขตที่พบ มากในแถบ เดนกอรแลนด ในสหรัฐอเมริกา และที่ดอรบวี อรวิชเชอร ฯลฯ 15.1.7 แบลคแบลนด (Black Bland) เปนหินเหล็กชนิดอื่น ๆ คือ มีธาตุถาน (C) ปะปนอยู และมีเนือ้ เหล็กปะปนอยูตั้งแต 17 – 30% เมื่อเวลาจะทําการถลุงเหล็กดิบ (Pig Iron) ชนิดนี้ แลวไมจําเปนจะตองเพิม่ เติมสิ่งที่ชวยใหไฟลุกไหม ไดดีลงไปอีก เพราะวาเรามีธาตุถาน (C) ปะปนอยูใ นแรมาบางแลว สวนแหลงที่พบกันมาก คือ อยู ทางทิศใตของสแตปฟอสเรอร ปรัสเซีย ฯลฯ 15.2 การเตรียมเหล็กดิบสําหรับถลุง เมื่อไดเหล็กดิบ (Pig Iron) แลว ทีแรกจะตองสังเกตดูวา เหล็กดิบ (Pig Iron) ชนิดใดมีสิ่ง โสโครกปะปนอยู เราจะตองชําระลางเอาออกเสียใหหมดกอน แลวก็ทุบเหล็กดิบ (Pig Iron) เหลานั้นให เปนกอนเล็ก ๆ เพื่อที่ละลายในเตาถลุงไดงาย หรือทําการหลอมไดงายนั่นเอง ถาเราไมทําเชนนี้แลว Oxide ของเหล็กจะปะปนไปกับกากของเหล็กเสียเปลา ๆ แตในเหล็กดิบ (Pig Iron) บางชนิด เชน สแปโรส (Sparros) และหินเหล็ก (Iron Stone) มักจะเปนโปรโตไซด (Protoside) อยูกอน เพราะฉะนั้นเรามักจะทําใหเหล็กดิบ (Pig Iron) กลายเปนเปอรออกไซด (Peroxide) ของเหล็กเสียกอน เพื่อกันมิใหเนือ้ ของเหล็กปะปนไปกับกากของเหล็กเสียเปลา ๆ ในขณะที่ละลายแลว หรือหลอมแลว
รูป 15.7 Cold Drawn Wire
281
รูป 15.8 Wire Rod 15.3 การชําระลางสิ่งโสโครก การที่จะทําการชําระลาง หรือทําความสะอาดขจัดเอาพวกดิน ทราย และสิ่งอื่น ๆ ทีเ่ กาะจับ อยูกับเหล็กนัน้ เรามักจะใชน้ําใหไหลผานไปในเหล็กดิบ (Pig Iron) ที่กองอยูบนตะแกรงในอางขนาด ใหญ แลวก็เอาชะแรงเหล็กคอยเขี่ยไวบอย ๆ เพื่อไลของสกปรกโสโครกใหหลุดออกไปกับน้ํานั้น
รูป 15.9 Round Bar
282
รูป 15.10 Flat Bar 15.4 การยางเหล็กดิบ การที่เราจะทําการยางเหล็กดิบ (Pig Iron) นั้น เปนสิ่งสําคัญของเหล็กดิบ (Pig Iron) ที่จะบรรจุลง ในเตาถลุง เพราะวาในเหล็กดิบ (Pig Iron) นั้น บางชนิดก็จะมีน้ํา และสิง่ อื่น ๆ ที่จะเปนเชื้อเพลิง ปะปนอยูด วย ซึ่งเปนการจําเปนที่ตอ งไลสิ่งเหลานั้นออกเสียใหหมดกอน เพื่อจะไดไมเสียประโยชน ในการถลุงเหล็ก แตในประเทศอังกฤษนั้น ชนิดของเหล็กดิบ (Pig Iron) หินเหล็ก (Iron Stone) กับสแปโรซ (Sparros) มักจะยางเสียกอน สวนเฮมาไตท (Hamatite) กับแมกเนไตท (Maxnetite) นั้น ไมตองยาง แตจะบรรจุลงในเตาไดเลย และวิธีที่จะทําการยางเหล็กดิบ (Pig Iron) นั้นจะมีอยูดว ยกัน หลายวิธีดว ยกัน แตเมื่อครั้งกอน ๆ นั้น จะใชตะแกรงเหล็กยกเปนพื้นสูงขึ้นกวาพืน้ ดินเล็กนอย แลวก็เอา ถานหินกับเหล็กมาวางสลับกันเปนชัน้ ๆ บนตะแกรงเหล็กดังกลาว ภายหลังจากนั้นก็ทําการเผาถานให ไหมติดเปนไฟขึ้น แตวิธียางเหล็กดิบ (Pig Iron) ถากระทําดวยวิธีดังกลาวมานี้จะไมรอนระอุทั่วถึงกัน โดยตลอด ทั้งเชื้อเพลิงก็จะสิ้นเปลืองมากขึ้นดวย จึงไดทําการคิดวิธีการใหม บางทีก็อาจจะทําเปนหลุม กลม ๆ และมีอิฐทนไฟมาวางกั้นรอบ ๆ ตามพืน้ ในหลุมโดยรอบ และใหมีชอ งทางลมเปาทางดานกน หลุมอยูดว ย แลวก็เอาเหล็กดิบ (Pig Iron) และถานหิน(Char-coal) มาทําการสุมไฟในหลุมนี้ ยังมีเตายางอีกชนิดหนึง่ ที่ใชกันมากในแถบเดลเวอรแลนด คือจะทําเปนรูปถังกลม ๆ ดวยแผน เหล็ก และมีอิฐทนไฟกัน้ ตามพื้นขางในใหรอบสวนที่ใตแกนนั้นมีเสาขนาดสั้น ๆ คอยชวยค้ํา ใหอยูหาง จากพื้นดิน และตามขางในรอบ ๆ ตัวเตาจะมีชองระบายอากาศ เพื่อใหอากาศไหลผานไดโดยสะดวก เพื่อจะเปาถานใหติดไฟดียิ่งขึน้ และตรงกลางของกนเตานั้น จะทําใหนนู สูงขึ้นเปนรูปฝาชีพอสมควร
283
เมื่อเวลาเทเหล็กดิบลงมาก็จะไดชวยยอยกลับขึ้นทางเบื้องบนได อนึง่ ประโยชนของเตายางชนิดนี้ ก็คือ จะทําใหน้ําและแกสกรดถาน (Gas Acid Charcoal) ซึ่งอยูในเหล็กดิบ (Pig Iron) ก็จะแยกตัวออกไป และ บางทีกํามะถัน (S) ก็จะแยกออกไปไดบาง แลวก็ทําใหเหล็กดิบ (Pig Iron) เปนลักษณะเหล็กพรุนที่ดี เพื่อสําหรับละลายในเตาถลุงไดงายนั่นเอง
รูป 15.11 Oil Hydraulie Press(2,500 ตัน)
รูป 15.12 ตัวอยางของ Forged Bar
284
รูป 15.13 ตัวอยาง Forged Products 15.5 เชื้อเพลิง เชื้อเพลิงที่ใชในการถลุงแรเหล็กดิบนัน้ มีอยูหลายอยาง ดังตอไปนี้ 15.5.1 ไม (Wood) มักใชเปนเชื้อเพลิงมากในเวลาที่หาไดงาย ถาเหล็กดิบ(Pig Iron)ไมตองการความรอนมากนัก ก็จะมี ประโยชนมาก อนึ่ง ไมแหงตางจะมีธาตุตาง ๆ ปะปนยูดังนี้ คือ 1. Charcoal 49.0 % 2. Hydrogen 6.5 % 3. Oxygen 42.5 % 4. Nitrogen 1.0 % 5. มูลเถา 2.0 % แตตามที่จริงไม (Wood) นั้น จะเอามาหลอมเหล็กดิบ (Pig Iron) ไมได เพราะวาไมบังเกิดความรอนไม เพียงพอ โดยเหตุที่มีเชื้อน้ํามันที่ละลายไดเร็วมากปะปนอยูดว ยนั่นเอง 15.5.2 ถานไม (Charcoal Wood) เมื่อในสมัยโบราณนั้นถานไม (Charcoal Wood) จะเปนเชื้อเพลิงธรรมดาที่ใชกนั มาก แตปจจุบนั นี้ก็ยัง มีใชกันอยูมากในประเทศสวีเดน และแถบเทือกเขายูแรน (Ural Mountain) เทานั้น เพราะวาที่บริเวณเหลานั้นมี จํานวนมากมาย แตถานที่ใชนั้นตองเปนลักษณะดังนี้คือ ตองเหนียวพอ ทนน้ําหนักที่ถูกทับอยูได และเมื่อ หักออกดูตองเปนสีดํามัน กับเปนทั้งเปนถานที่แทจริง สวนจํานวนของธาตุที่ประกอบเปนถานไมนั้นมีสวนผสม ของ 1. Charcoal = 80 – 83 % 2. Hydrogen = 1–2% 3. Oxygen และ Nitrogen = 14 – 14.5 % 4. มูลเถา = 1–5%
285
แตความรอนที่บังเกิดขึ้น โดยถานไมนั้นยังรอนมากกวาไมมาก และที่ใชในประเทศสวีเดนนัน้ ไดรายงานไววา จํานวนถานที่ใชหลอมเหล็กดิบ (Pig Iron) ใหได 1 ตนนั้น ตองใชถานไมอยางนอย ประมาณ 15.5 ปอนด หรือเทากับ 700 กิโลกรัม แตที่ใชในเตาใบหนึ่งในสหรัฐอเมริกา รายงานไววา ตองใชถาน 17.6 ปอนด หรือเทากับ 800 กิโลกรัม ตอน้ําหนัก 1 ตน 15.5.3 ถานแอนดทราไซด (Antarside Charcoal) เปนถานหิน (Coal) อยางดี และไมคอยจะมีควันเมื่อกระทบความรอนเขาแลว มักจะกลายเปนผงไดงาย กับทั้งเปนถานที่ติดไฟไดยากมากเชนกัน เวนแตเมื่อใชลมเปาชวย เพราะฉะนั้นเขาจะไมใชในการหลอมเหล็ก มากนัก แตทนี่ ิยมใชก็มีเชนกัน เชนในสหรัฐอเมริกาในบางแหงยังใชอยู และทางตอนใตของสหภาพโซเวียตก็ ยังพอมีใชอยูบา งเชนกัน แตการใชนั้นเปนสิ่งที่จํากัดเทานั้น สวนธาตุที่ประกอบเปนแอนดทราไซดนั้นมีถาน (charcoal) ตั้งแต 85-94 % และมีมูลเถาอยูไมเกิน 5 % 15.5.4 ถานโคก (Coke Charcoal) คือถานหินธรรมดาซึ่งไดเอามาเผาไลน้ํามันและเชื้ออื่นๆที่มีอยูใหไหมไปหมด และดูเหมือนถานโคก นั้นจะมีเชื้อเพลิงที่ประจําสําหรับ ใชในการหลอมเหล็ก เปนอันมากเพราะมีลักษณะเปนกอนแข็ง ๆ ที่สามารถจะ ทนกําลังบีบไดมาก กับทั้งเปนลักษณะพรุนมาก ที่จะทําใหเผาไหมไดรวดเร็ว สวนธาตุในถานโคกนั้นจะมีคลาย ๆ กับไม (Wood) แตจะมีมูลเถาเหลืออยูมากประมาณ 12%,ฟอสฟอรัส(P) 6.02%,กํามะถัน(S)1% แตถานโคกทีด่ ี ที่สุดนั้นจะเอามาจากเดอรแฮม แถบชายทะเลทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศกรีซ และทางแถบตะวันตก ของประเทศเยอรมันนี 15.5.5 ฟลั๊ก (Flux) ในเวลาทีจ่ ะถลุงเหล็กนัน้ เรามักเอาวัตถุบางอยางมาทําเปนเชื้อเพลิง เพื่อชวยเหล็กใหหลอมละลายเร็วขึ้น เพราะวาเหล็กดิบ (Pig Iron) เหลานั้นมีสิ่งโสโครกที่ละลายยากปะปนอยูดว ย เชน ดิน (Earth และหิน(Stone) เปน ตน อันเปนสิ่งที่ลวนแตไมคอยจะละลายในเตาไดงายเลย และมีผลทําใหเหล็กหลอมละลายไดยากขึ้นอีกดวย ถึงแมวา เตาทีใ่ ชนั้นมีความรอนสูงมากพอ บางทีก็ทําใหเหล็กหลอที่จะละลายไดมากก็อาจจะทําใหละลายได นอยลงไปจากเดิมได กลายเปนกากเหล็กเสียเปลา ๆ โดยเหตุนี้จําเปนตองมีสิ่งชวยใหไฟติดเขามาเกีย่ วของดวย สิ่ง เหลานี้เรียกวา ฟลั๊ก(Flux) แตฟลั๊ก (Flux) ที่ใชกนั นัน้ มีอยูห ลายชนิด ตามแตชนิดของเหล็กดิบ (Pig Iron) ที่จะใช โดยมากมักจะใชหนิ ปูน ถาหากวาฟลัก๊ (Flux) ที่ใชนนั้ มีแรเหล็กดวยก็จะยิ่งดีมาก เพราะวาเมื่อหลอมละลายก็จะยิง่ ทวีจาํ นวนของเหล็กเพิ่มขึ้นมาบาง แตฟลั๊ก (Flux) นั้นไมใชจะใชจําเพาะเทานั้นทีเดียว บางทีกใ็ ชสิ่งอืน่ ๆ เพิม่ อีก เชนถาเหล็กดิบ (Pig Iron) นั้น ใชทรายปนกับหินปูน บางทีกเ็ อาดิน (Earth) ปนกับหินปูนแทนไดบาง เมื่อเห็นวา เหล็กดิบ (Pig Iron) นั้น มีธาตุซลิ ิคอน (Si)ประปนอยูด วย ซึ่งลักษณะคลายเหล็กเผาไฟ และประโยชนของการใช หินปูนนัน้ ก็คอื เมื่อเวลาเหล็กดิบ (Pig Iron) หลอมละลาย ธาตุตา ง ๆ ในนัน้ ก็จะแยกตัวออกมาเกิดเปนแกสกรด ถาน (Acid Charcoal Gas) ลอยขึน้ ไป แลวหินปูนที่รอนจัดจนไหมกจ็ ะจมอยูใ นสวนลางรวมตัวกับซิลิกอน (Si) Iron) และมีเถาถานโคก แตถาไมมหี นิ ปูน เชนนัน้ แลวก็ทาํ ให อันเปนธาตุเดิมที่มีอยูใ นเหล็กดิบ (Pig
286
เปนวัตถุของซิลิคอน (Si) ที่หลอมละลายยาก แตเมือ่ เจือใหถูกสวนแลว ซิลิคอน (Si) และดิน (Earth) ในเหล็กดิบ (Pig Iron) รวมทั้งเถาถานก็จะเปนกากเหล็กใหหลอมละลายไปได ซึ่งจะเปนของทีเ่ ทออกมาทางชองกากเหล็ก แต สวนหินปูนทีใ่ ชนั้นอาศัยสิ่งโสโครกในเหล็กดิบ (Pig Iron) นั้นกับถานโคก โดยเฉพาะจะกลาวตอไปในภายหลัง อีกประการหนึง่ ประโยชนของการใชหินปูน เปนกากเหล็กละลายไปนัน้ คือ สําหรับชักเอากํามะถัน (S) ในถาน โคกไปดวย เพราะกํามะถัน (S) เปนปรปกษกับเหล็ก ซึ่งจะทําใหลักษณะของเหล็กที่ไดถลุงมาจะเลวลงนั่นเอง
รูปที่ 15.14 สภาพของโรงงานหลอโลหะอันทันสมัย (จากภาพถายทางอากาศ)
287
รูปที่ 15.15 สภาพทางดานหนาของโรงงานหลอโลหะที่ทันสมัยในปจจุบันนี้ 15.6 จํานวนเหล็กดิบ (Pig Iron) และถาน (Charcoal) ที่ตองการ ถาเหล็กดิบทีบ่ รรจุอยูในเตา ซึ่งมีเนื้อเหล็กปะปนอยู 60% แลวจะตองใชเหล็กดิบตั้งแต 1 และ 2 ใน 3 สวน ตอแรที่จะตองการ 1 ตัน แตเหล็กหลอ (Cast Iron) นั้นมีธาตุซิลิคอน (Si) ถาน (Charcoal) กํามะถัน (S) ฟอสฟอรัส (P) ปะปนอยูด วย ถาจะตองการ 1 ตัน แลวก็อาจจะทําไดโดยหลอม เหล็กดิบ 1 2/3 ตัน ที่มีเนื้อเหล็กปะปนอยูประมาณ 55% เมื่อเห็นวามีฟอสฟอรัส (S) เปนจํานวนมากคือ ประมาณ 57% หรือถามีฟอสฟอรัส (S) เปนจํานวนนอย(นอยกวา 57%) สวนเชื้อเพลิงคือถานโคก ที่จะ ถลุงใหไดเหล็กจํานวน 1 ตัน (1,000 กิโลกรัม) เชนนี้ก็จะตองใชถานประมาณ 1 ตัน (1,000 กิโลกรัม) เชนกัน แตจุเอาแนนอนนักยังไมได บางทีก็นอยกวานี้กไ็ ด บางทีก็อาจจะมากกวานี้ก็เปนได เชน ถา ใชเชื้อเพลิงนอยสําหรับการถลุง ก็จะเห็นวาเหล็กทีไ่ ดออกมานัน้ ก็จะมีกํามะถัน (S) ปะปนอยูมาก สวน กากของเหล็กดิบก็จะละลายไมดี ถาใชเชื้อเพลิงมากเหล็กก็จะมีปริมาณของซิลิคอน (S) มากดวย และทํา แลวก็จะทําใหเหล็กเกาะคางตามที่นั้น ใหเกิดการรอนจัดเกินไป จนอาจจะทําใหอิฐที่กนั้ เหล็กละลายได บาง เหตุเชนนี้ คือทําใหการถลุงเหล็กเปลี่ยนแปลงไดอยูเสมอ สวนฟลั๊ก (Flux) ที่จะเติมปะปนลงไปดวย นั้น ตองคาดคะเนไปตามความเหมาะสมของสิ่งโสโครกที่ปะปนอยูใ นเหล็กดิบ (Pig Iron) นั้น ในถาน โคก และจํานวนในหิน (Stone) ดวย แตโดยมากจะเกือบเทากับจํานวนถานที่ใช
288
ไอของไฟที่ออกจากเตาถลุงเหล็กนั้น มักจะประกอบไปดวยธาตุตาง ๆ และจะแตกตางกันไป ตามชนิดของเชื้อเพลิงที่ใชดว ย ถาในเตานั้นใชถานไม (Wood Charcoal) และถานโคก เปนเชื้อเพลิง และมักจะมี Hydrogen และ Marsh gas นอย (หรือ Phosphene gas) ตารางที่ 15.1 ตัวอยางของไอไฟ ที่มีผูไดแยกออกตรวจรายงานไววา มีธาตุตาง ๆ ประกอบอยูดังนี้ ธาตุ ชื่อธาตุ ปริมาณ CO Carbon Mono Oxideหรือ 25-29% Carbonic Acid Gas 6-29% N Nitrogen 45-57% H Hydrogen 0-7% หรือ Marsh Gas 0-3% อนึ่งเมื่อเหล็กดิบเชื้อเพลิง และฟลั๊ก ในเตาถลุงเหล็กรอนจัด สิ่งเหลานี้จะละลายออกมา สวน เหล็กก็จะจมอยูทางที่พักเหล็ก นอกนั้นก็จะไหมไฟไปกับลมบาง ที่เหลืออยูจะเปนกากเหล็กลอยอยูบน แรเหล็กเทานัน้ เมื่อกากเหล็กลอยขึ้นมาถึงชองของกากเหล็กทีจ่ ะออกแลว ก็ทําการเปดใหออกจากเตา เสีย โดยใหไหลลงในหลุมที่ไดขุดไว แตวิธีทิ้งกากเหล็กตามธรรมดานั้นจะตองทําถังกากเหล็กตั้งอยู บนรถไว และใหอยูใกล ๆ เตาตรงที่ ๆ กากเหล็กจะไหลลง เมื่อเทลงในถังของกากเหล็กเสร็จแลว ก็ใช รถลากเอาไปทิ้งเสีย
รูปที่ 15.16 ตัวอยางชิ้นงานที่ผานขบวนการหลอแบบตาง ๆ
289
กากเหล็กที่เอาออกจากเตาถลุงเหล็กนั้น คือ เปนแกวอยางชนิดเลวชนิดหนึ่ง และมักจะมีความ มัวอยางมาก แตในบางทีก็ใส และบางครั้งก็เปนสีขาวแท ๆ สีของกากเหล็กนั้นจะเปลี่ยนจากดําเปน แดงแก หรือดําไปจนถึงสีมวง และโดยมากมักจะเปนสีเขียว สีเทาหรือสีฟา สวนรูปรางนั้นบางทีก็เปน ปกแผน และแข็งเปนกอนคลายกับดิน บางทีกเ็ บาเปนลักษณะกอนพรุน ๆ เหมือนกับหินพุมิส เมื่อกากเหล็กเปนสีดําหรือสีเขียวแลว คือจะมีเนื้อเหล็กปะปนมาดวย หรือมีทั้งเหล็ก (Fe) กับ แมงกานีส (Mn) ถาเปนสีมวงคือ มีแตแมงกานีส (Mn) และที่เปนสีฟานั้นแสดงวาในกากเหล็กนัน้ มี กํามะถัน (S) แตที่เปนกากเหล็กแท ๆ นั้นตองเหลว (Liquid) ปราศจากเหล็กปะปนอยูด วย และมีสีเปน สีเทา เมื่อเย็นตัวลงแลวลองหักออกดูตองเปนสีคลายหิน (Stone) อยางไรก็ดีกากเหล็กนัน้ จะดีหรือไมดี ก็สุดแลวแตความรอนของเตา แตความรอนนั้นตองคะเนใหเหมาะสมกับเหล็กดวย คือ ถาความรอนไม เพียงพอก็จะทําใหเนื้อเหล็กปะปนไปกับกากเหล็กดวย ถารอนจัดจนเกินไปก็จะทําใหสิ่งที่กั้นเหล็ก โดยรอบ ๆ เตา ก็จะไดรับอันตรายไปดวย
รูปที่ 15.17 แสดง Valueชนิดตาง ๆ ทีผ่ านขบวนการหลอมา
290
รูปที่ 15.18แสดงชิ้นสวนตาง ๆ ที่ผานกรรมวิธีหลอแบบพิเศษ ตารางที่ 15.2 แสดงธาตุตา ง ๆ ที่ผสมอยูในกากเหล็ก (ที่ดี) ธาตุ(ที่ผสม) ปริมาณ(%) ซิลิกา(Silica) 45% หินปูน(Calcium) 89% Oxideของเหล็ก 2% อลูมิเนียม(Al) 15% แมกนีเซียม(Mn) 6% โปแตส(Potash) 2% กํามะถัน(S) และฟอสฟอรัส(P) 1% 15.7 การเทเหล็กลงแบบ (Molds) ภายหลังที่ไดเขี่ยกากเหล็กออกจากเตาแลว เมื่อเห็นวาเหล็กที่ละลายนัน้ เหมาะสมแกความ ตองการ แลวก็เปดชองใหเหล็กไหลลงสูเบา (Ladle) แลวนําไปเทลงในแบบทราย (Sand molds) หรือ แบบ (Molds) ที่ทําเปนแทงสี่เหลี่ยม และเหล็กที่ทํามาไดตามที่ไดกลาวมานี้เรียกวา เหล็กหลอ (Cast Iron) แตยังไมเปนเหล็กบริสทุ ธิ์ (Pure Iron) ทีเดียว เพราะวามีธาตุตาง ๆ ปะปนอยูมาก คือ ในขณะที่ เหล็กถูกถานโคกซึ่งรอนจัดจนเปนสีขาวเหล็กจะดูดเอาถานบางสวนไวบาง และจํานวนที่ดูดไวนั้นเปน
291
จํานวนที่คอนขางจะคงที่ คือ ไมนอยกวา 3.25% และไมเกิน 4.25% และเมื่อยังหลอมละลายอยูนนั้ ถาน ที่จะรวมกับเหล็ก โดยทางสูตรเคมีโดยการ Balance สมการ แตเมื่อเย็นตัวลงมาก็จะมีความชักนําที่จะ ขับถานใหออกเปนผงละเอียด การที่เปนเชนนีไ้ ดก็จะตองเสียเวลา และอาจจะปองกันโดยอยาให โดยเอาน้ํา เหล็กเย็นตัวเร็ว เชนถาเอาเหล็กที่ยังละลายมาแตเพียงบางสวนมาทําใหเย็นตัวลงโดยรวดเร็ว ราด หรือเทลงในแบบ (Molds) เหล็กนั้นจะเกิดการรวมตัวกัน แลวมีผลทําใหเหล็กนั้นมีความแข็ง และ เปราะ เมื่อลองหักออกมาดูจะเห็นเนื้อเปนสีขาว ๆ ถาหากวาเราเอาเหล็กที่หลอมละลายนั้นเทลงใน แบบทราย (Sand Molds) แลวทําการควบคุมใหเย็นตัวลงอยางชา ๆ ธาตุถานในเหล็กก็จะถูกขับออกมา เปนลักษณะผงละเอียดจนเกินไป และทําใหแรนั้นออนเหนียว และเมื่อหักออกดูจะเห็นเปนเนื้อสีเทา ๆ หรือสีดํา ๆ ในเหล็กนี้ยังมีซิลิคอน (Si) ปะปนอยูด วย ซึ่งเหล็กจะดูดเอาเถาของถานโคก และหินปูนในเตา และทั้งเปนการยากที่สุดที่จะเอาออกจากเหล็กได เตานั้นไมรอนจัดนัก เหล็กก็มีซิลิคอน (Si)0.5% เทานั้น ถาหากวาเตานัน้ รอนจัด สวนตางในถานโคกก็จะทวีขึ้นแลวเหล็กจะมีซิลิคอน (Si) 4.5% เทานั้น แตตามธรรมดามีอยูประมาณ 1-2% การทีม่ ีซิลิกอน (Si) ในเหล็กนี้ คือ จะขับไลถานในเหล็ก ออกไปเปนอยางชิ้นถานขนาดเล็ก ๆ เพราะฉะนัน้ ถานที่มีซิลิคอน (Si) ปริมาณมาก ๆ มักจะมีรอยแตก อาออกมา แตเหล็กชนิดนี้จะมีธาตุถานนอยกวาเหล็กธรรมดา สวนกํามะถัน (S) ในเนื้อเหล็กก็มีอยูบาง แตสิ่งเหลานี้เปนของไมตองการ แตก็มีอยูประมาณ 0.02% บางทีก็มีอยูถึง 0.25% เพราะวาธรรมดาแลว เหล็กดิบ (Pig Iron) นั้น จะมีกํามะถัน (S) ปะปน อยูบางเล็กนอยเสมอ แตในถานโคกก็มีประมาณ 0.05% ถาหากวาเตาถลุงเหล็กรอนจัด ๆ กํามะถัน (S) ก็จะแยกตัวออกไปรวมตัวกับหินปูน (Calcium) และปะปนกับกากเหล็กออกไป แตถาเตานั้นไมรอน จัด แลวแรเหล็กนั้นจะมีกํามะถัน (S) มากเกินกวา 0.05% และการที่มีกํามะถันนี้ คือ มีอํานาจจะยึดธาตุ ถานไวในเนื้อเหล็กนั่นเองเพราะฉะนั้นเหล็กที่มีกํามะถัน (S) จํานวนมากมักจะเปราะและแข็ง สวนจํานวนของฟอสฟอรัส (P) ที่มีอยูในเหล็กนั้นจะมาก หรือนอยเพียงใดก็ขึ้นอยูก ับแรที่ใช ดวย เพราะวาธาตุชนิดนี้มีอยูในเหล็กดิบ (Pig Iron) ในถานโคก และในหินปูน (Calcium) ดวย เหมือนกัน ถาเหล็กนัน้ จะเอามาใชในการหลอแลวไมควรจะใหมีมากไดถึง 3% การที่มีมากเชนนีก้ ็คือ เพราะฉะนัน้ จึงมีประโยชนมาก ทําใหเหล็กนัน้ เปราะ และทวีการบํารุงใหเหล็กนั้นหลอมเหลวอยูเ สมอ ในเวลาที่จะหลอวัตถุซึ่งมีลวดลายอยางละเอียด แตสําหรับกรรมวิธีการหลอแบบธรรมดา มักจะมีอยู ประมาณ 0.05% ถาจะทําเหล็กกลา (Steel) จากเหล็กหลอ (Cast Iron) ชนิดนี้แลวไมใหมีฟอสฟอรัส (P) เกินกวา 0.1% นอกจากธาตุตา ง ๆ ที่กลาวมาแลวนี้ ยังมีแรแมงกานีส (Mn) ปะปนอยูดว ยอีก แตมีสวนนอย ที่สุด เพราะวาจะมีติดมาแตด้งั เดิมกับเหล็กดิบ (Pig iron) แตไมละลายในเตาถลุงหมดไปทีเดียว
292
บางสวนก็ปะปนไปกับกากเหล็ก เพราะฉะนัน้ แทงเหล็กที่มีขายกันตามทองตลาดมีแรชนิดนี้ไมต่ํากวา 1% แตมีถึง 2% นั้น คือไมใชเหล็กหลอธรรมดา เพราะฉะนั้นในการที่จะทําเหล็กกลามักใหมีแมงกานีส (Mn) ปะปนอยูกากเหล็กมากตั้งแต 10-20% แตชนิดนี้คือเปนแรที่ชวยใหธาตุถานรวมอยูกับเนื้อเหล็ก แลวทําใหเหล็กนั้นทั้งเปราะทั้งแข็ง สวนธาตุอื่นในเนื้อเหล็กยังมีอีกหลายชนิด แตในที่นี้จะไมขอ กลาวถึง เพราะธาตุเหลานั้นไมคอยมีผลใด ๆ กับเนื้อเหล็กมากมายนัก นั่นเอง ตามที่กลาวมาแลวนั้นจะเห็นไดวา เหล็กหลอ (Cast Iron) มีลักษณะตาง ๆ กันคือ เปลี่ยนแปลง ไปตามความรอนของเตา และเหล็กดิบ (Pig Iron) ที่ใชดวย เพราะฉะนัน้ ตามที่มีขายกันตามทองตลาด จะมีอยูมากมายหลายชนิด และอาจแบงออกไดเปน 3 จําพวกดวยกันดังนี้ 1. จําพวกสีเทา 2. จําพวกสีขาว 3. จําพวกสีลวดลาย ซึ่งดังที่ไดกลาวมาแลวนี้จะทํารายการแยกแยะใหดูเปนตารางใหชัดเจนยิ่งขึ้นดังรายการ ตารางที่ 15.3
ชนิดของธาตุตาง ๆ เหล็ก(Iron) ถานผสมอยูกับเหล็ก ถานไมผสมอยูกับเหล็ก ซิลิคอน(Si) กํามะถัน(S) ฟอสฟอรัส(P) แมงกานีส(Mn)
ตารางที่ 15.3 เหล็กสีขาว(%) เหล็กสีเทา(%) 89.86% 90.24 2.46 1.02 0.37 2.64 1.12 3.06 2.12 1.14 0.31 0.93 2.72 0.83
เหล็กสีลวดลาย(%) 89.30 1.73 1.11 2.17 1.48 1.17 1.60
และในจํานวนนี้ยังแบงออกเปนหมายเลขตาง ๆ ตามแตวาจะเปนชนิดสีเทา หรือความออนความแข็ง มากนอยเพียงใด สวนที่อยูในจําพวกสีเทานั้น คือ เมื่อหักออกดูจะเห็นเนือ้ เหล็กเปนเม็ดหยาบ ๆ สีเทา และเปนเนื้อทีอ่ อนเหมาะสําหรับหลอรูปพรรณตาง ๆ ที่มีลวดลายอยางละเอียด
293
รูปที่ 15.19 แสดงขบวนการหลอมโลหะอีกวิธีหนึ่ง
รูปที่ 15.20 แสดงกรรมวิธีการผลิตแบบครบวงจร
294
รูปที่ 15.21 ตัวอยางของผลผลิตที่ไดคุณภาพ 15.8 กําลังของเหล็กหลอ ขอบเขตกําลังดึงของเหล็กหลอ (Cast Iron) ตามธรรมดานั้นมักจะมีอยูในระหวาง 4-14 ตันตอ 1 ตารางนิ้ว แตคิดโดยเฉลี่ยแลวก็อยูในราว 7.5 ตัน และบางทีเหล็กที่มีลักษณะดีนนั้ ก็มกี ําลังดึงถึง 18 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว ขอบเขตกําลังกดของเหล็กหลอ (Cast Iron) นั้น อยูใ นระหวางจาก 25-60 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว และจํานวนทีเ่ ฉลี่ยนั้นประมาณ 45 ตันตอ 11 ตารางนิ้ว หรือเทากับ 6 เทาของขอบเขตกําลังดึง ธาตุที่ผสมในเหล็กหลอ (Cast iron) 1.Iron (Fe) = 92.55% ก.ก. 2.Carbon (C) = 3.30 ก.ก. 3.Silicon(Si) = 2.50 ก.ก. 4.Manganese(Mn) = 0.60 ก.ก. 5.Sulphur(S) = 0.05 ก.ก. 6.Phosphorus(P) = 1.00 ก.ก. ∴รวมทั้งสิ้น = 100.00 ก.ก.
295
รูปที่ 15.22 แสดงชิ้นสวนของรถยนตที่ผานขบวนการหลอ
รูปที่ 15.23แสดงชิ้นสวนของอะไหลตาง ๆ(บอกน้ําหนักเปนกิโลกรัม)
296
15.9 โลหะแรและธาตุตาง ๆ อักษรยอสําหรับแรตาง ๆ และน้ําหนักซึ่งตราใชกันทั่วโลกมีอยูมากมายดวยกัน ถาจะพูดถึงธาตุ (Element) ตาง ๆ แลว ตามจริงก็ไดอุบตั ิขึ้นในโลกมาหลายพันปแลว เพราะไดทราบจากประวัตกิ ารขอ วัตถุภาชนะที่เปนแกวไดอุบตั ิขึ้นมาเปนเวลาลวงเลยไปตั้ง 4,600 ปเศษแลว และติดตอสืบเนื่องมา โดยลําดับ ผสมผสานกับบรรดาพวก “อัลเคมิส” ก็ไดพบของที่แปลกประหลาดขึ้นเปนชวง ๆ ชั้น ๆ มา จนราว 100 ปเศษมานี้ ผูที่ทําการทดลองพบสิ่งใดทําประโยชนอยางหนึ่งอยางใดไดผลสมจริง โดยไม ผันแปรแลวก็ทําการบันทึกขอความสิ่งอันประหลาดของธาตุตาง ๆ นั้นไว ตามธรรมดาแลวบุคคลคน หนึ่งมักจะคนควาหาของจริงสิ่งหนึ่งเทานัน้ เอง และบางทีก็อยูก นั คนละมุมโลก แตก็ไดมีการสงขาว คราวถึงกันได เพราะฉะนั้นธาตุ (Element) ตาง ๆ จึงรวมกันเขาเปนปกแผนใหญโตขึ้นมาใหเห็นไดใช กันในปจจุบนั นี้มากมายหลายดาน นักวิทยาศาสตรทุก ๆ ชาติ จึงพรอมใจกันใหตั้งอักษรแทนชื่อธาตุ ตาง ๆ มิใหตองเขียนชื่อในเวลาเลนแรแปรธาตุมากมายจะเปนการเสียเวลา โดยใหใชแตเพียงอักษรยอ เทานั้นก็จะรูไดวาเปนธาตุนนั้ ธาตุนี้ โดยทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใชแทนชื่อเต็ม ๆ ของธาตุนั้น ๆ นั่นเอง
297
อันดับ (Atomic Number) 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. 19. 20. 21. 22. 23.
ตารางที่ 15.4 ตารางจําแนกรายละเอียดของธาตุชนิดตาง ๆ อักษรยอ น.น.อะตอม ชื่อธาตุ (Element) (Symbol) (คิดเปนหนวย)(Atomic Weight) Hydrogen Helium Lithium Beryllium Boron Carbon Nitrogen Oxygen Fluorine Neon Sodium Magnesium Aluminium Silicon Phosphorus Sulphur Chlorine Argon Potassium Calcium Scandium Titanium Vanadium
H He Li Be B C N O F Ne Na Mg Al Si P S Cl Ar K Ca Sc Ti V
1.008 4.003 6.940 9.020 10.820 12.010 14.008 16.000 19.000 20.183 22.997 24.320 26.970 28.060 30.980 32.060 35.457 39.950 39.102 40.080 44.900 47.900 50.940
298
อันดับ (Atomic Number)
ชื่อธาตุ (Element)
อักษรยอ (Symbol)
24. 25. 26. 27. 28. 29. 30. 31. 32. 33. 34. 35. 36. 37. 38. 39. 40. 41. 42. 43. 44. 45. 46. 47.
Chromium Manganese Iron Cobalt Nickel Copper Zinc Gallium Germanium Arsenic Selenium Bromine Krypton Rubidium Strontium Yttrium Zirconium Columbium Molybdenum Technetium Ruthenium Rhodium Palladium Silver
Cr Mn Fe Co Ni Cu Zn Ga Ge As Se Br Kr Rb Sr Y Zr Cb Mo Tc Ru Rh Pd Ag
น.น.อะตอม (คิดเปนหนวย) (Atomic Weight) 52.000 54.940 55.830 58.930 58.710 63.540 65.720 69.720 72.590 74.920 78.960 79.910 83.800 85.470 87.620 88.910 91.220 92.910 95.940 99.000 101.070 102.910 106.400 107.870
299
อันดับ (Atomic Number)
ชื่อธาตุ (Element)
อักษรยอ (Symbol)
48. 49. 50. 51. 52. 53. 54. 55. 56. 57. 58. 59. 60. 61. 62. 63. 64. 65. 66. 67. 68. 69. 70. 71. 72.
Cadmium Indium Tin Antimony Tellurium Iodine Xenon Cesium Barium Lanthanum Cerium Praseodymium Neodymium Promethium Sumarium Europium Gadolinium Terbium Dysprosium Holmium Erbium Thulium Ytterbium Lutetium Hafnium
Cd In Sn Sb Te I Xe Cs Ba La Ce Pr Nd Pm Sm Eu Gd Tb Dy Ho Er Tm Yb Lu Hf
น.น.อะตอม (คิดเปนหนวย) (Atomic Weight) 112.400 114.820 118.690 121.750 127.600 126.900 131.300 132.910 137.340 138.910 140.120 140.910 144.240 145.000 150.350 151.960 157.250 158.920 162.500 164.930 167.260 168.930 173.640 174.970 178.490
300
อันดับ (Atomic Number)
ชื่อธาตุ (Element)
อักษรยอ (Symbol)
73. 74. 75. 76. 77. 78. 79. 80. 81. 82. 83. 84. 85. 86. 87. 88. 89. 90. 91. 92. 93. 94. 95. 96. 97.
Tantalum Tungsten Rhenium Osmium Iridium Platinum Gold Mercury Thallium Lead Bismuth Polonium Astatine Radon Francium Radium Actinium Thorium Protactinium Uranium Neptunium Plutonium Americium Curium Berkelium
Ta W Re Os Ir Pt Au Hg Tl Pb Bi Po At Rn Fr Ra Ac Th Pa U Np Pu Am Cm Bk
น.น.อะตอม (คิดเปนหนวย) (Atomic Weight) 180.950 183.850 186.200 190.200 192.200 195.100 196.970 200.590 204.370 207.190 208.080 210.000 211.000 222.000 223.000 226.000 227.000 232.040 231.050 238.030 237.000 242.000 243.000 247.000 249.000
อันดับ
ชื่อธาตุ
อักษรยอ
น.น.อะตอม
301
(Atomic Number)
(Element)
(Symbol)
98. 99. 100. 101. 102. 103.
Californium Einsteinium Fermium Mendelevium Nobelium Lawrencium
Cf Es Fm Md No Lr
(คิดเปนหนวย) (Atomic Weight) 251.000 254.000 257.000 258.000 259.000 260.000
Our Universe Matter Our Elements Organic Substances Liquids
Inorganic Substances Gases
Fuels Chemicals Oils Paints Foods
Carbon dioxide Carbon monoxide
Solids
Liquids
Gases
Acids Water Bases Drugs
Chlorinc Argon Helium Solids
Living organisms Metals Cements Polymers Ceramics Stone Natural resins Composites Soils Glasses Foods Clays รูปที่ 15.24 แผนผังแสดงโครงสรางของธาตุที่แปรสภาพเปนวัสดุตาง ๆ
302
Material properties
Chemical
Metals
Plastics
Ceramics
Composites
Physical
Composition Microstructure Phases Grain size Corrosion resistance Inclusions Composition Fillers Crystallinity Melting point Molecular weight Thermal Flammability Magnetic Spatial configuration Electrical Chemical resistance Optical Composition Acoustic Porosity Gravimetric Grain size Binder Corrosion resistance Composition (matrix/reinforcement) Matrix/reinforcement bond Volume fraction reinforcement Reinforcement nature Corrosion resistance
Mechanical
Dimensional
Tensile properties Toughness Ductility Fatigue Hardness Creep resistance
Avilable shapes Available sizes Available surface texture Manufacturing tolerances
Tensile properties Heat distortion Compression strength PV Limit Toughness
Manufacturing tolerances Stability Available sizes
Tensile properties Compression strength Fracture toughness Hardness
Available shapes Available sizes Manufacturing tolerances Available surface texture
Tensile properties Compression strength Fracture toughness Creep resistance
Available shapes Available sizes Manufacturing tolerances Stability
รูปที่ 15.25 แผนภูมิแสดงคุณสมบัติของวัสดุตาง ๆ
303
15.10 โลหะธาตุ โลหะธาตุที่แมเหล็กสามารถดูดติดไดมีอยูดวยกัน 6 ชนิด คือ 1. เหล็ก (Iron) 2. นิกเกิล (Nickel) 3. โคบอลด (Cobalt) 4. โครเมียม (Chromium) 5. แมงกานีส (Manganese) 6. ซีเรียม(Cerium) 15.11 การผสมแรโลหะธาตุ การผสมแร คือ เอาแรตาง ๆ มาปะปนกันเขาเพื่อจะไดทาํ ใหแรชนิดนีก้ ลายเปนชนิดอื่นขึ้น แลวจึงจุไดเอามาทําเปนวัตถุอื่น ๆ บางอยาง เพื่อใหเหมาะสมแกตามความประสงค แตวิธีที่จะผสมกัน ทําไดหลายหนทาง คือ วิธีที่ 1 โดยการเอาแรตาง ๆ ชนิดมาทําการหลอมใหละลายดวยกันแตละเบา ๆ ละชนิด แลวมาเทปน กันแลวใชเหล็กซึ่งพันดวยปอเคน แลวทาดวยผงกราไฟท (Graphite) คนในเบาใหโลหะตาง ๆ เขากัน ไดดี แลวจึงนําไปเทลงในแบบ (Molds) ที่ปนเอาไวแลว และแบบ (Molds) นั้นจะทําเปนรูปพรรณตาง ๆ อยางใดก็ได วิธีที่ 2 โดยการทุบหรือตําแรชนิดตาง ๆ ใหละเอียดแลวปะปนกันหลอมใหละลายเขาดวยกัน วิธีที่ 3 โดยการผสมกันดวยไฟฟา (การชุบ) ตามวิธีที่ 1 นั้น เปนทีน่ ิยมใชทํากันมาก และแรที่ทําจากวิธีนี้ เชน บรอนซ (Bronze)ทองเหลือง (Brass) และอลูมิเนียม (Al) กับแรผสมชนิดอื่น ๆ ที่บรรดาเหลาชางใชเปนอันมาก แตการที่จะทําตามวิธีนี้แลวตองใชเบา (Ladle) เปนเครื่องมือสําหรับหลอมแร แตผลที่จะบังเกิดนัน้ ไมสู จะมากมายนัก เพราะฉะนั้นถาจะตองการจํานวนของแรผสมมาก ๆ แลวก็ควรใชเตาชนิดที่เปลวไฟผาน สวนเชื้อเพลิงที่จะใชในการหลอมนั้นจะใชชนิดใดก็ได คือ เปนถานไม (Charcoal Wood) ถานโคก หรือแกสไฟฟาหรือน้ํามันก็ได แตสําหรับเบา (Ladle) นั้นใชถานโคกดีกวาใชเชื้อเพลิงชนิดอื่น ๆ ถา ใชถานไม (Charcoal Wood) จะทําใหเบา (Ladle) สึกหรอเร็วขึ้น การใชเตาน้ํามัน เบา (Ladle) มักจะเกิดการกระเทาะแตกและบางลงไปทุกที ๆ จนหมด ขอดีของถานโคกนั้นก็คือจะใหความรอนได สูงกวาถานไมอีกดวย
304
ตามวิธีที่ 2 คือ เปนวิธีที่สามารถทําไดจริง แตดูเหมือนแรที่เอามาผสมนั้นจะไมผสมเขากัน ไดทั่วถึงกัน สวนการที่จะทําตามกรรมวิธีนี้ไดนนั้ ก็จะตองทําการทุบหรือตีชิ้นแรนี้เปนชิ้นเล็กที่สุด เสียกอนแลวจึงนํามาผสมกัน แลวทําการตําหรือทุบใหเกาะตัวกันเปนกอน เพื่อใหกอนแรผสมรวมตัว เกาะกันไดดี แตทั้งนี้ก็ตองอาศัยคุณสมบัติของแรนั้นอีกดวย ตามวิธีที่ 3 นั้นคือ ถาเราปลอยกระแสไฟฟาใหวิ่งผานลงในน้ําเกลือ เชน Na Cl ซึ่งมีแร 2 ชนิด ปะปนกันอยูก จ็ ะไดแร 2 ชนิดเกาะพรอมกันในเวลาเดียวกัน แลวก็กลายเปนแรผสมกันไดจริง ๆ การชุบ แตกรรมวิธีนจี้ ะทําไดนั้นก็ทาํ ไดแตเฉพาะแรบางชนิดเทานั้น เราจึงเรียกขบวนการดังกลาววา (Electroplating) เชน การชุบทองเหลือง, การชุบเงิน, การชุบนิกเกิล และการชุบโครเมียม เปนตน 15.12 ชนิดของแรผสม แรที่ผสมกันมีหลายชนิด คือ แรผสมกับเหล็ก, แรผสมกับทองแดง, แรผสมกับเงินและทองคํา เปนตน แตในจําพวกทีผ่ สมกับทองแดง และเหล็กนั้นถาแบงออกไปเปนแรชนิดตาง ๆ ไดอีกเปนอัน มาก แตที่กลาวตอไปนี้จะคัดเอาเฉพาะแรที่ผสมที่ใชในวงการทางชางเราโดยละเอียด วิธีผสมสวนมาก มักจะใชตามกรรมวิธีที่ 1 ทั้งสิ้น แตกอนที่จะกลาวถึงแรผสมนั้น จะตองอธิบายคุณสมบัติและกําเนิด ของแรที่จะนํามาผสมไวกอน ดังตอไปนี้ 1. ทองแดง (Cu) ทองแดง (Cu) ตามธรรมดาแลวจะอยูร วมตัวกันเปนกอนบริสุทธิ์ แตในสวนมากมักจะรวมอยู กับธาตุอื่น ๆ ดังที่เราเรียกกันวา “ทองแดงดิบ” แตในทองแดงดิบนั้นก็ยังแยกออกไปเปนชนิดตาง ๆ กันไดอกี ที่มีมากที่สุดคือ เปนชนิดที่มีธาตุกํามะถัน (S) ปะปนอยูดว ยนอกจากกํามะถัน (S) แลวยังมี ธาตุอื่น ๆ ปะปนอยูอกี เชน เหล็ก (Fe) สารหนู (As) ตะกั่ว (Pb) และพลวง (Sb) เปนตน แตกเ็ ปนจํานวน นอย เพราะทองแดงดิบที่เอามาถลุง ก็ใชอยางทองแดง (Cu) ที่ปะปนอยูก ับกํามะถัน (S) สวนการถลุงก็ ผิดกับการถลุงเหล็ก เพราะวาเหล็กดิบ (Pig Iron) จะมีธาตุออกซิเจน (O2) ปะปนอยูมาก และ อาจจะไล ออกซิเจน(O2) ออกจากเหล็ก (Fe) โดยถาน ( C )ได แตทองแดงดิบนี้หาเปนเชนนี้ไม คือ จะตองไลกํามะถัน (S) ออกจากทองแดง (Cu) กอนเพื่อใหทองแดง (Cu) ไปรวมอยูกับออกซิเจน (O2) ตอมาภายหลังจึงคอยขับไลออกซิเจน (O2) ออกอีกครั้งหนึ่ง จึงจะไดทองแดงที่บริสุทธิ์ (Pure) เตาที่ ใชหลอมทองแดงนั้น คือ ใชเตาอยางเตาถาน โดยไมใหเชื้อเพลิงกระทบกับทองแดงดิบไดเลย สวน ขั้นตอน หรือกรรมวิธีการถลุงนั้นก็จะดําเนินการไปคลาย ๆ กับกรรมวิธีในการถลุงเหล็กนั่นเอง 2. คุณสมบัตขิ องทองแดง ทองแดง (Cu) เปนแรที่ออนเหนียว มีลักษณะเปนสีแดง จุดหลออมละลาย หรือจุดหลอมเหลว (Melting Point) ประมาณ 11,050°C (2,100°F) น้ําหนักพิกัดประมาณ 8.9 อาจทนตอแรงดึงไดตั้งแต 20,000 ถึง 30,000 ปอนดตอตารางนิ้ว
305
3. ทองแดงและทองแดงผสม ทองแดง (Cu) เกิดขึ้นไดในพื้นดินโดยลําพังก็มี และมีสิ่งเจือปนอยูกับสิ่งอื่น ๆ ก็มี เนื้อทองแดง อาจจะแยกออกจากสิ่งอื่น ๆ ไดโดยขบวนการถลุงในเตาชนิดหนึ่ง แตถาใหไดเนื้อทองแดงบริสุทธิ์ (Pure) จะตองนําทองแดงทีถ่ ลุงแลวมาทําการแยกอีกครัง้ หนึ่งดวยไฟฟา โลหะชนิดนี้มสี ีแดง เหนียวมาก ตีหรือรีดออกเปนแผน เปนทอ และดึงออกเปนเสนลวดไดดี ทั้งยังเปนตัวนําไฟฟาไดดียิ่ง ทองแดง เมื่อเผาไฟแลวนํามาชุบน้ํา ทําใหไดเนื้อออนกวาเดิม ซึ่งตรงขาม กับเหล็ก ซึ่งเผาไฟแลวนํามาชุบน้ํา จะทําใหไดเนื้อที่แข็งขึ้นทองแดงถาถูกตี เคาะ รีด หรือทําการขึ้น รูปแบบเย็น (Cold Work) ดวยวิธีอื่น ๆ จะทําใหเนื้อของทองแดงมีความแข็งแรงสูงขึ้น แตก็มีความ เปราะมากขึ้นเชนนี้ ในการดัดงอ หรือทุบตีทองแดงเมื่อยังดิบอยู หรือเย็นตัวแลวก็ดี ไมควรกระทําซ้ํา ๆ หลาย ๆ หนนัก เพราะจะทําใหเนื้อเปราะได ทองแดงบริสุทธิ์ (Pure) ไมเหมาะแกการหลอ เพราะนําไป ตบแตงดวยเครื่องมือกลลําบากมาก เพราะเนื้อมีความออนและเหนียวมาก คอยหลบคมเครื่องมือเวลา ทําการ M/C ทองแดงที่เราใชกันอยูมากในเวลานี้ ไดแก ใชผสมทําทองเหลือง (Brass) ใชผสมทํา บรอนซ (Bronze) เปนตน 4. การแยกธาตุดวยไฟฟา ในปจจุบนั นี้มกี ารแยกธาตุดว ยกระแสไฟฟา ซึ่งธาตุที่เกิดจากธรรมชาติ ซึ่งกรรมวิธีนี้นบั วามี ประโยชนในการขบวนการผลิตเปนอยางยิ่ง เราะจะไมใชความรอน แตทําไดเฉพาะธาตุทองแดง (Cu) คือ จะใหเปนรูปลวดลายใด ๆ ไดตามความประสงคทุกประการดังเชนตัวอยาง เรามีอางแกว อางเคลือบ จํานวน 1 ใบ ทําการละลายจุนสี (Copper Sulphate)Cu So4 ลงในน้ํา กลั่นใหเขมขน ใสลงไปประมาณครึ่งอาง แลวเอาแผนสังกะสี (Zn) หนาประมาณ ⅛ นิ้ว ตัดขนาด ตามตองการ แลวเอาขี้ผึ้งแข็งมาปนไดเปนรูปอยางใดอยางหนึ่งตามตองการ นํามาติดกับหนาของแผน สังกะสีใหแนน และควรเอาฝุน พลับมาโก ทาเกลือกหนาขี้ผึ้งใหทั่วดีแลว ใหหาไมคานมารองสังกะสี แลววางลงในอาง หลังจากนั้นใหหงายหนาของสังกะสีลงในอางน้ําจุนสี (Copper Sulphote) แลวแชทิ้ง ไวประมาณ 7-12 คืน จะเกิดกระแสไฟฟาหมุนเวียนขึน้ และแยกเอาธาตุทองแดง (Cu) ออจากจุนสี (Copper Sulphate) ใหวิ่งไปจับพลับมาโก ซึ่งฉาบหนาขี้ผึ้งอยู ใหมีรูปรางเหมือนกับขี้ผึ้งดังกลาว วิธีนี้ สามารถไดความหนาที่เคลือบถึง ½ นิ้ว ทีเดียว 5. แรผสมกับทองแดง (Element Mixture and Copper) ทองแดง (Cu) ที่มีขายกันตามทองตลาดนั้น ไมเปนทองแดงที่บริสุทธิ์ทีเดียว มักจะมีทองแดง (Cu) อยูตั้งแต 99.5-99.87% นอกนั้นจะมีสิ่งโสโครกปะปนอยูด วย เชน สารหนู (As) กํามะถัน (S) ตะกัว่ (Pb) ฯลฯ และบางทีก็มีแรอื่น ๆ เชน เงิน (Ag) และแอนติโมนี(Sb) ปะปนอยูดว ย สิ่งตาง ๆ เหลานี้เปน
306
เชื้อที่จะทําใหทองแดง (Cu) มีความแข็งและเปราะทั้งยังทําใหกระแสไฟฟาเดินผานไมสูจะสะดวกนัก และแรที่ผสมกับทองแดง (Cu) นั้นก็มีอยูด วยกันหลายอยาง แตมกั จะจัดไวเปน 3 จําพวก ดังนี้คือ 1. เมื่อมีดีบุก (Sn) ผสมอยูกบั ทองแดง (Cu) มากเราเรียกวา บรอนซ (Bronze) 2. เมื่อมีสังกะสี (Zn)ผสมอยูกับทองแดง (Cu) มากเราเรียกวา ทองเหลือง (Brass) 3. เมื่อมีแรเบ็ดเตล็ดผสมกับทองแดง (Cu) แตที่จดั เอาไวเชนนี้นั้น จะถือเอาเปนหลักทีเดียว มิได เพราะวาผูที่ทําการผสมแรนั้นมักจะเอาสิ่งอื่น ๆ เจือปนลงไปในบรอนซ (Bronze) และทองเหลือง (Brass) อีก ดังจะสังเกตไดในภายหลัง และที่จัดไวเชนนี้ที่จริงแลวเราเรียกชื่อใหแตกตางกันเสีย เพื่อจะ ไดรูวาเปนคนละชนิดกันเทานั้นเอง 6. บรอนซ(Bronze) หรือโลหะสําริด บรอนซ (Bronze) คือ ทองแดง (Cu) ผสมกับดีบุก (Sn) และอาจจะมีสังกะสี (Zn) ตะกัว่ (Pb) ผสม อยูบางเล็กนอย สวนใหญจะเปนบรอนซสามัญที่ใชในหารหลอทําปน โลหะทีก่ ลายเปนสังกะสี (Zn) ถา ผสมเปนจํานวนไมเกิน 25% ก็จะมีลักษณะแข็งขึ้น และรับแรงไดสูงขึ้น ถามากเกินไปกวานี้ จะเปราะ และความสามารถในการรับแรงจะต่ําลง และถามีมากเกินกวา 75% จะทําใหมเี นื้อออน ไมมีกําลัง ถาผสมกับฟอสฟอรัส (P) เขาดวยเปนจํานวนเพียงเล็กนอยจะทวีแรงขึ้น และความแข็งของ บรอนซขึ้นอีกมาก และยังสามารถทนตอแรงกระแทกไดดี เราเรียกวา ฟอสฟอรัสบรอนซ(Phosphorus Bronze) เหมาะกับการทําพวกขอเหวีย่ ง เปนตน นอกจากนีย้ ังมีบรอนซพิเศษชนิดอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกตามชื่อของโลหะที่ผสมเขาอีกเปนพิเศษ เชน ซิลคิ อนบรอนซ (Silicon Bronze) อาเบคอน บรอนซ (Arbecon Bronze) ฯลฯ 7. ทองเหลือง(Brass) ทองเหลือง (Brass) คือ ทองแดง (Cu) ผสมกับสังกะสี (Zn) และอาจมีดีบุก (Sn) ตะกัว่ (Pb) ผสมอยู บางเล็กนอย สังกะสี (Zn) จะทําใหโลหะกลายเปนทองเหลือง (Brass)ซึ่งมีลักษณะแข็งขึ้น ถาทวีจํานวนของ สังกะสี (Zn) ที่ผสมขึ้น การทนทานตอแรงดึงก็จะทวีขึ้นดวย ถามีมากเกินกวา 45%แลว การทนทานตอแรงดึงจะ ลดลง และถาสังกะสี (Zn) มีเกินกวา 50% ทองเหลือง จะเปราะเกินไปใชงานอะไรไมไดเลย คุณสมบัติในการตี ออก แผรีด หรือดึงออกเปนเสนนั้น ถาแมนจะไมเทากับทองแดง (Cu) ก็ยังสามารถทําไดเหมือนกันคือ หลอได งายเหมือนกัน และเครื่องมือกลตาง ๆ ก็สามารถทําการ M/C ไดดกี วาอีกดวย ทองเหลืองที่ใชกันอยูมหี ลายชนิด คือ เปลี่ยนแปลงไปตามจํานวนของทองแดง (Cu) กับสังกะสี (Zn) ที่ ผสมกันอยู แตอาจจะแบงออกเปน 3 ชนิด คือ 1. ทองเหลืองหลอ 2. ทองเหลืองอยางดี (Good Brass) สําหรับรีดไดเมื่อขณะเย็น (Cold Rolling) 3. ทองเหลืองอยางเลว (Bad Brass) สําหรับรีดไดเมื่อขณะรอน (Hot Rolling)
307
8. ทองเหลืองหลอ ทองเหลืองหลอนั้น จะมีทองแดง (Cu) เจือปนอยูประมาณ 66% สังกะสี (Zn) ประมาณ 34% จะ สามารถทนตอแรงดึงไดประมาณ 16 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว นําไปหลอเปนสิ่งของตาง ๆ ไดดีมาก 9. ทองเหลืองอยางดี (Good Brass) ทองเหลืองอยางดี (Good Brass) นั้นจะมีทองแดง (Cu) มากกวา 60% ขึ้นไป และเปน ทองเหลืองที่เหมาะสําหรับรีดในขณะเย็น (Cold Rolling) ไดดี แตชนิดที่ดียิ่งที่นยิ มเอามาใชทําลวด ซึ่งพอจะทนตอแรงดึงไดประมาณ 13 และทอนั้นจะมีทองแดง (Cu) 70% และสังกะสี (Zn) 30% ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว และจากการทดลองจะเห็นวาเปนทองเหลืองที่ออนและเหนียวมาก อีกทั้งยังมีความ ตานทานตอแรงดึงไดสูงมากอีกดวย 10. ทองเหลืองอยางเลว (Bad Brass) ทองเหลืองอยางเลว (Bad Brass) คือ มีทองแดง (Cu) ตั้งแต 53%-63% นอกนั้นจะเปนแร สังกะสี (Zn) เจือปนอยูทั้งสิ้น ทองเหลืองชนิดนี้รีดไดในขณะรอน (Hot Rolling ) สามารถทนทานตอ แรงดึงไดประมาณ 20 ตันตอ 1 ตารางนิ้ว แตมียอรชเฟร เดริดมันซไดคดิ ทําทองเหลืองที่มีการจด ลิขสิทธิ์ไวเมื่อป พ.ศ. 2375 นั้น คือมี ทองแดง (Cu) 60% หรือคิดเปน 3 สวนและสังกะสี (Zn) 40% หรือคิดเปน 2 สวนจากทั้งหมด 5 สวนดวยกัน ซึ่งจะเปนทองเหลืองที่เอามาหุมใตทองเรือไม กับทั้งยังมี ประโยชนอีกที่ทําใหเกิดความทนทานขึ้น จึงเรียกวา “ แร มันซ เมตาน” มาจนทุกวันนี้ และเปนแรที่รดี ไดในขณะรอน ( Hot Rolling ) ทั้งยังกันสนิมไดดีอกี ดวย และทนทานตอแรงดึงได 22 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว การใชทองเหลืองในการทําสิ่งของเครื่องใชนั้นอาจทําใหออนและแข็งได เชน เมื่อเผาไฟ แลวจุมลงในน้าํ เย็น ๆ ก็จะทําใหออนตัวลงได ตอมาไดมีการคิดคนควาเปลี่ยนแปลงเพือ่ ใหทองเหลือ ชนิดนี้มีราคาถูกลงอีก จึงไดทําการเจือปนตะกั่ว (Pb) ลงไปอีกประมาณ 3.5% และทองแดง (Cu) มากกวา 56% ซึ่งดูเหมือนวาจะมีกําลังเกือบเทากัน แตทองเหลืองชนิดนี้ไมใครจะใชกันมากมายนัก 11. ทองเหลืองมาลอ คือทองเหลืองธรรมดา ผสมดวยทองแดง 66.6% หรือคิดเปน 10 สวน และสังกะสี (Zn)33.3% หรือคิดเปน 5 สวนเหมาะสําหรับทําพวกฉิ่ง,ฉาบ,ฆอง,มีด ฯลฯ จะสามารถทนตอแรงดึงไดตั้งแต 10-12 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว 12. ทองเหลืองเดลตา (Delta Brass) นายอเล็กเซ็นเดอรเปนผูคดิ ไดเปนคนแรก และไดมีการจดลิขสิทธิ์เมื่อปพ.ศ. 2426 ชนิดนี้ สําหรับผสมเปนทองเหลืองอยางเหล็ก แลวตั้งชื่อใหวา แรเดลตา ซึ่งสวนสําคัญที่ใชในการผสมนั้น คือ เอาแรผสมกับสังกะสี (Zn) กับเหล็ก (Fe) เปนเชื้อในการทําแรเดลตากับฟอสฟอรัส (P) เจืออยูนิดหนอย ซึ่งใชสําหรับไมใหเปน Oxide นั่นเอง แตการที่จะเติมเหล็ก (Fe) ฟอสฟอรัส (P) นั้น มักจะมีแมงกานีส
308
(Mn) อลูมิเนียม(Al) ดีบุก (Sn) และบางครั้งก็มีตะกั่ว (Pb) ปะปนติดไปดวย และสวนผสมของ ทองเหลืองเดลตา (Delta Brass) จะมีทองแดง (Cu)55% สังกะสี(Zn)42% และเหล็ก(Fe) ตั้งแต1-2% กับมีจํานวนของแมงกานีส (Mn) และอลูมิเนียม (Al) แรผสมชนิดนี้จะแข็งและเหนียวกวาทองเหลือง (Brass) ซึ่งจะใชหลอและรีดไดในขณะรอน (Hot Rolling) นอกจากนี้ยังกันการกัดกรอนไดดีอกี ดวย และมักเอาไปใชทําฟนเฟองเครื่องจักรตาง ๆ และที่นายเทต แมเยอรไดทดลองขั้นนั้น คือ มีการทนตอ แรงดึงไดตั้งแต 21.5-23.5 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว 13. ทองเหลืองดูรานา (Durana Brass) แรชนิดนีไ้ ดทาํ ขึ้นในประเทศเยอรมันนี และดูเหมือนวาจะมีสวนผสมคลายกับแรเดลตา และ ทําเปนชนิดตาง ๆ กันออกไป สวนจํานวนแรที่ผสมประกอบดวย ทองแดง (Cu) 64.75%, สังกะสี (Zn)29.50%,เหล็ก (Fe)1.70%, อลูมิเนียม(Al) 2.80%, ดีบุก (Sn), และอื่น ๆ อีกประมาณ 1.22% 14. ทองเหลืองเทียมเงิน ในป พ.ศ.2383 นายเอลคิงตัน ในประเทศอังกฤษ ไดเริ่มทําการชุบสิ่งของตาง ๆ ดวยเงิน (Al) และทองเหลือง (Au) เปนสินคาใหญโตในชวงเวลานั้น เขาไดใชของที่ทําดวยเงินเทียม (German Silver) มาทําเปนชอนสอม ,ถาด ฯลฯ ประกอบไปดวย ทองแดง (Cu) 50% นิกเกิล(Ni)30%และสังกะสี (Zn)20% 15. ทองเหลืองนาวี (Navy Brass) และเปนแรผสมที่ ทองเหลืองชนิดนี้มีทองแดง (Cu) 62% สังกะสี (Zn)37% ดีบุก (Sn) 1% อาจจะปองกันการเกิดสนิมไดพอสมควร ในกรณีใชในทองทะเล แตที่เอามาทําทอหรือหลอดนั้นตอง ใหออนลงนิดหนอย คือ ใหมี ทองแดง (Cu) 78% สังกะสี (Zn) 21% ดีบุก (Sn)1% การที่เจือปนดีบุก (Sn) ลงไปดวย 1% นั้นก็เพื่อทําใหทองเหลืองนั้นทวีกําลังขึ้น แตถาเจือปนลงไปในปริมาณที่มากเกินไป จะ ทําใหทองเหลืองนั้นเปราะและแข็งมากขึ้น 16. ทองเหลืองขาว (White Brass) ทองเหลืองขาว (White Brass) หรือ เงินเยอรมัน เรียกตามปากชาวบานทัว่ ไปวา “ทองขาว” มี สวนผสมคือ 1. ทองแดงบริสุทธิ์ (Pure) = 50 กรัม 2. นิกเกิล (Ni) = 15กรัม 3 .สังกะสี(Zn) = 15กรัม ขบวนการทํา คือ ทําการบด นิกเกิล (Ni) และทองแดง (Cu) ใหเปนผงกอนแลวจึงทําการหลอม ประโยชนใชในฐานเกี่ยวกับทางดานไฟฟา มีความตานทานกระแสไฟฟาไดประมาณ 13 โอมห
309
รูปที่ 15.26 Electrochemical Corrosion of metals
รูปที่ 15.27 แสดงการเกิด Oxide แบบฟลม
รูปที่ 15.28 Metallurgical factors of Corrosion
310
รูปที่ 15.29 รูปแบบของการกัดกรอน
รูปที่ 15.30 ทอทองแดงที่ถกู กัดกรอน
รูปที่ 15.31 แสดงทอเหล็กที่ถูกกัดกรอนจนทะลุ
311
รูปที่ 15.32 แสดงจุดที่จะเกิด Corrosion ของแผนทองแดง กับเงิน
รูปที่ 15.33 Stress Corrosion Cracking of Stainless Steel
312
17. ทองเหลืองไฟฟา (Electric Brass) ทองเหลืองไฟฟา (Electric Brass) มีสวนผสมของ ทองแดง (Cu) 90% และดีบุก (Sn) 10% ขบวนการทําโดยการหลอมใหเขากัน ควรหลอมใหทองแดง (Cu) ละลายเสียกอนเปนการดี มีความ ตานทานกระแสไฟฟาประมาณ 10 โอมห 18. ทองเหลืองแบลตินอยด (Baltinoi Brass) ชนิดนี้มีสวนผสมของ 1. ทองแดง (Cu) =51 กรัม 2. สังกะสี (Zn) =22กรัม 3. นิกเกิล (Ni) =22กรัม 4. ทองคําขาว(Pi) =5กรัม ขบวนการผลิต คือ ทําการปนนิกเกิล (Ni) กับทองคําขาว (Pi) ใหละเอียดเสียกอนแลวจึงทําการ หลอมใหเขากัน ชนิดนีจ้ ะมีความตานทานกระแสไฟฟาไดประมาณ 32 โอมห 19. ทองเหลืองกรมทาง ชนิดนี้มีสวนผสม ดังนี้ 1. ทองแดง (Cu) =85% 2. ดีบุก(Sn) =14% 3. สังกะสี(Zn) =1% วิธีการผลิต คือ ทําใหทองแดงหลอมละลายเสียกอน จึงใสดีบุก (Sn) ลงไป แลวยกเบาขึ้นจากเตา แลว ใสสังกะสี (Zn) ลงไปจึงทําการคนหรือกวนใหเขากัน แลวเทลงแบบ(Mold) ใชทําบูซและกาบเพลา 20. ทองเหลืองกาแรต ชนิดนี้มีสวนผสมดังนี้ 1. ทองแดง (Cu) =86% 2. สังกะสี (Zn) =2% 3. ดีบุก(Sn) =12% ทองเหลืองชนิดนี้ถามีความแข็งมากเกินไป ควรจะทําใหออนลงโดยลดปริมาณของดีบุก (Sn) ลงและเพิม่ ปริมาณของสังกะสี (Zn) ดังนี้ คือ 1. ทองแดง(Cu) =86% 2. สังกะสี(Zn) =4% 3. ดีบุก(Sn) =10%
313
สวนผสมดังกลาวนี้ที่โรงงานรถไฟมักกะสันไดใชทํากาบเพลารถจักร และเหมาะสําหรับทํา ชิ้นสวนตาง ๆ ที่ตองการทนตอการเสียดสี และทนตอกําลังกด 21. ทองเหลืองผสมใหมตรามีตัน มีสวนผสม ดังนี้คือ 1. ทองแดง (Cu) =85% 2. ดีบุก(Sn) =6% 3. สังกะสี(Zn) =4.50% 4. ตะกัว่ (Pb) =4.50% แตนิยมใชผสมกับทองเหลืองรูปพรรณเกาดังนี้ 1. ทองเหลืองรูปพรรณเกา = 75% 2. ทองเหลืองรูปพรรณใหม = 25% เมื่อไดสูตรผสมใหม จะเปนดังนี้ 1. ทองเหลืองรูปพรรณเกา = 75% 2. ทองแดง (Cu) = 21.25% 3. ดีบุก (Sn) = 1.50% 4. สังกะสี (Zn) = 1.125% 5. ตะกัว่ (Pb) = 1.125% สวนผสมดังกลาวนี้ โรงงานรถไฟมักกะสันนิยมใชกนั มาก เพราะเหมาะกับชิ้นสวนที่ตองใช กําลังอัด เชน กอก, วาลว เปนตน 22. ทองเหลืองแผน (ชางแสง) ชนิด ก. สวนผสม คือ 1. ทองเหลืองแผน ก. = 42.5% 2.ทองเหลือรูปพรรณเกา = 42.5% 3. ทองแดง (Cu) = 50% 4. ดีบุก (Sn) = 5% ใชทํากาบเพลา, สะพานเลื่อน หรือชิ้นสวนที่ใชกําลังอัด และเสียดสีมาก ๆ 23. ทองเหลือแผน (ชางแสง) ชนิด ข. สวนผสม คือ 1. ทองเหลืองแผน ข. = 80% 2. ทองแดง (Cu) = 15%
314
คุณสมบัติจะเหมือนกับทองเหลืองแผน ชนิด ก และทองเหลืองแผนชนิดนี้จะเปนชนิดออน 24. ฟอสฟอรัสบรอนซ (Phoshhorus Bronze) แรผสมชนิดนี้ คือ เปนบรอนซ (Bronze) ที่มีธาตุฟอสฟอรัส (P) เจือปนอยูดว ยเล็กนอย คือ ทํา มาจากโดยการเอาดีบุก (Sn), ฟอสฟอรัส (P), ทองแดง (Cu) ปะปนไปกับบรอนซที่กําลังหลอมละลาย ถาจะใหแรผสมนี้มีความเหนียว ก็อยาใหมีฟอสฟอรัส (P) มากเกินกวา 0.1% และดีบุก (Sn) มากเกิน กวา 0.9% ขึ้นไป ถาหากวามีฟอสฟอรัส (P) มากกวานี้แลวก็จะทําใหแรผสมนั้นมีความแข็งขึ้น ซึ่งจะ นําไปใชทําลิน้ และระบบเฟองตาง ๆ กับยังตานทานตอการกัดกรอนไดดีอีกดวย แตฟอสฟอรัส บรอนซ (Phosphorus Bronze) ตาง ๆ โดยเฉพาะชนิดออนนัน้ สามารถทนตอแรงดึงไดประมาณ 20 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว ถาทําเปนลวดจะทนตอแรงดึงไดประมาณ 50 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว 25. บรอนซทําเงินตรา (Bronze make money) บรอนซที่ใชทําสตางคเหรียญตาง ๆ เชน เหรียญ 25 สตางค, 50 สตางค, 1 บาท, 2 บาท, 5 บาท และ 10 บาท นั้น ตองการใหออนและเหนียว เพื่อจะไดลวดลายทีป่ มติดสวยเดนเรียบรอยดี กับทั้งใหมี ความแข็งแรงพอเพียง เพื่อไมใหสึกหรอเร็วดวย ในป พ.ศ. 2395 ในกรมกษาปณของประเทศฝรั่งเศส และสังกะสี (Zn)1% ใชทําเงินตราขึ้นใชเปน ไดใชบรอนซอยางที่มีทองแดง (Cu) 95% ดีบุก (Sn)4% แหงแรก แรผสมชนิดนี้ในประเทศอังกฤษก็ไดตั้งตนใชทําเงินตรา เมื่อประมาณป พ.ศ. 2405 ที่ผานมานี้ และสังเกตดูเห็นวาเปนแรทมี่ ีความทนทานตอการสึกหรอดีมาก ทั้งปจจุบันนีก้ ็ยังคงใชกันอยูทั้ง 2 ประเทศดังกลาวถาตองการใหมีความออนกวาที่ใชนี้ ก็แกไขไดโดยลดปริมาณของดีบุก (Sn) ให นอยลงนั่นเอง 26. อลูมิเนียมบรอนซ (Aluminium Bronze) แรผสมชนิดนี้ มีอลูมิเนียม (Al) เจือปนอยูกับบรอนซ (Bronze) ตั้งแต1-10% และเปนแรที่แข็ง คลายเหล็กกลาชนิดออน ถาหากมีอลูมิเนียม (Al) เจือปนอยูตั้ง 10% แลวจะทําใหมีความทนทาน และ ทนตอแรงดึงไดตั้งแต 40-45 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว นิยมใชทําพวกแบริ่ง ,เฟอง,ใบจักร ฯลฯ ถามีมากกวา 10% ขึ้นไปจะทําใหเปราะมาก แลวก็ไมมีประโยชนที่จะเอามาทําอะไรไดเลย อนึ่ง อลูมิเนียม บรอนซ (Aluminium Bronze) นี้อาจจะประสานก็ได โดยใชทองประสานแรจํานวน ¼ สวน และน้ําประสาน ทอง ¾ สวน ถาจะใหดีแลวควรใชดีบุกบริสุทธิ์ (Pure) กับฟลั๊ก (Flux) ที่ผสมดวยสังกะสี (Zn) และ กรดมูรีเอติคแอซิค หมายเหตุ อลูมิเนียม บรอนซ (Aluminium Bronze) นี้ ปจจุบันในทองตลาดนิยมใชกนั มาก เพราะมีราคาไมแพงนัก โดยมีสวนผสม ดังนี้ 1. ทองแดง (Cu) =90% 2. อลูมิเนียม =10%
315
27. แรระฆังบรอนซ (Element Bell Bronze) ชนิดนี้ทําดวยบรอนซ(Bronze) อยางที่มีดีบุก (Sn) เจือปนอยูตั้งแต 15-35% แตไมมีแรอื่น ๆ เชน ตะกัว่ (Pb), สังกะสี(Zn) ปะปนอยูด วยเลย ถาเปนระฆังขนาดใหญ ๆ จะมีจํานวนดีบุก (Sn) ปะปนอยูมากตั้งแต 25% ขึ้นไป และถาเปนระฆังขนาดเล็ก ๆ ก็จะมีดีบุก(Sn)ประมาณ 15% แตเสียงระฆังนั้นอาจจะเปลีย่ นแปลงไปตาม สวนผสมดวยก็ได ขอเหลานี้ตองอาศัยความชํานาญของผูทําดวย อาจจะทําการหลอและหลอมไมไดระดับ อุณหภูมิของแรนั้น ๆ ก็ได ทัง้ ยังทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงเสียงของระฆังก็ได 28. แมงกานีส บรอนซ (Manganese Bronze) แรผสมชนิดนี้ มีแร แมงกานีส (Mn) เจือปนอยูกับบรอนซ (Bronze) ตั้งแต 1-3%กับทั้งมีสังกะสี (Zn) และตะกั่ว (Pb) ปะปนอยูด ว ยตั้งแต 4-5% คือ โดยเอา แมงกานีส (Mn),เหล็ก (Fe),ทองแดง(Cu)ปะปนไปกับ บรอนซ (Bronze) ซึ่งเปนแรผสมที่มีลักษณะทีแ่ ข็งและเหนียวยืดไดบา ง กับทั้งยังทนตอการสึกหรอไดดีเชนกัน หรือรีดใหเปนแผน หรือจะทุบตีใหเปนรูปรางตาง ๆ ในขณะที่กําลังรอนอยู( Hot Working)ก็ได เพราะฉะนัน้ มักจะเอามาใชทํากานสูบน้ํา,ลิ้น,ปกใบจักร ฯลฯ ถาหากวา แมงกานีส บรอนซ(Manganese Bronze)นั้นเปนชนิด หลอ จะทนตอแรงดึงไดประมาณ 26 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว ถาเปนชนิดรีดจะทนตอแรงดึงไดประมาณ 44 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว ตารางที่ 15.5 แสดงสวนผสมของแรระฆังบรอนซที่ใชทําระฆังชนิดตาง ๆ ชนิดของระฆัง ทองแดง (Cu) ดีบุก (Sn) พลวง (Sb) (%) (%) (%) ระฆังขนาดใหญ 76 24 ระฆังขนาดกลาง 78 22 ระฆังขนาดที่ใชในวงดนตรีตางๆ 75 25 ระฆังขนาดที่ใชในนาฬิกา 40 60 ระฆังขนาดเล็ก 84 16 กระดิ่ง (ใหญ) 87.5 12.5 กระดิ่ง (เล็ก) 40 60 แรระฆังและฉิ่ง มีสวนผสมดังนี้ คือ 1. ทองแดง (Cu) 2. ดีบุก (Sn)
= 80% = 18%
316
3. พลวง (Sb) = 1% 4. สังกะสี (Zn) = 1% แรระฆัง (ใหญ) มีสวนผสมดังนี้ คือ 1. ทองแดง (Cu) = 36 สวน หรือ 75% 2. สังกะสี (Zn) = 10 สวน หรือ 25% แรกระดิ่ง (เล็ก) มีสวนผสมดังนี้ คือ 1.ทองแดง (Cu) = 36 สวน หรือ 72% 2. สังกะสี (Zn) = 13 สวน หรือ 26% 3. เหล็ก(Fe) = 1สวน หรือ 2% 29. แรบรอนซปน (Element Bronze Gun) เมื่อครั้งในสมัยที่ยังคิดเอาเหล็กกลา (Steel) มาทําปนยังไมไดนั้น เขาใชบรอนซ(Bronze) ทําปนแทนจึง ไดเรียกกันวา “แรปน” คือ เปนแรที่มีดีบุก (Sn) เจือปนอยูกับทองแดง (Cu) ตั้งแต 8-11% และเปนแรผสมที่มี กําลังเหนียวและการยืดตัวไดดี กับทั้งสามารถทนตอแรงสั่นสะเทือนไดพอสมควร ซึ่งในตารางตอไปนี้จะแสดง แรปน ซึ่งไดใชตามประเทศตาง ๆ เมื่อสังเกตสวนผสมตาง ๆ จะเห็นวาเกือบจะเหมือน ๆ กันในแทบทุกประเทศ เวนเสียแตในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเทานั้น ซึ่งมีแรผสมที่ผิดสวนกับของประเทศอื่น ๆ ตารางที่ 15.6 แสดงสวนผสมของแรบรอนซปน ปนของประเทศ ทองแดง ดีบุก(Sn) เหล็ก (Fe) สังกะสี(Zn) ตะกัว่ (Pb) (Cu)(%) (%) (%) (%) (%) อังกฤษ 91.74 81.26 เยอรมันนี 90.91 9.09 ฝรั่งเศส 90.73 9.27 สหรัฐอเมริกา 90.00 10.00 สหภาพโซเวียต 88.61 10.70 0.69 สวิสเซอรแลนด 88.93 10.38 0.11 0.42 0.06 จีน(ปกกิ่ง) 77.18 3.42 7.16 5.66 13.32 จีน(ไตหวัน) 93.19 5.43 1.38
317
30. แรแมงกานีส (manganese) สวนผสม คือ 1. ทองแดง (Cu) =84% 2. แมงกานีส(Mn) =12% 3. นิกเกิล(Ni) =4% แรชนิดนีใ้ ชสําหรับทําขดลวดตานทาน และความตานทานจะไมเพิ่มขึ้นเทาไรนักเมื่ออุณหภูมิ เพิ่มขึ้น หรือสูงขึ้น 31. แรยูรีคา(Eureka) เปนโลหะผสมทองแดง(Cu) =60% และนิกเกิล(Ni) =40% มีความตานทานกระแสไฟฟาเปน 28 เทาของทองแดง (Cu) ใชทําเตารีดไฟฟา, กาตมรอนไฟฟา และใชเชนเดียวกับแรแมงกานีส,แรนิโครม 32. แรนิโครม(Nichrome) เปนโลหะผสมของ 1. นิกเกิล(Ni) =66% 2. โครเมี่ยม(Cr) =20% 3. เหล็ก(Fe) =14% มีความตานทานกระแสไฟฟาเปน 60 เทาของทองแดง (Cu) ใชงานเหมือนกับแรยูรีคา(Eureka)ในเตารีด ไฟฟา,กาตมน้าํ ไฟฟา เพื่อตองการใหเกิดความรอนสูง เพราะมีความตานทานที่สูงมาก 33. แรบริทันเนีย(Britalnia) เปนแรที่นิยมใชทําชอนสอม เปนโลหะที่มสี ังกะสี (Zn) เจือปนอยูอีกแตเปนสวนนอยที่สุด และถาดตาง ๆ แตแรขาวธรรมดาที่เราชาวชางใชกันนั้น คือ มีสวนผสมดังนี้ 1. ดีบุก(Sn) =85% 2. ทองแดง =5% 3. พลวง(Sb) =10% แตจะเอาเปนที่แนนอนทีเดียวไมได เพราะสุดแลวแตจะใชทําวัสดุอยางไรที่จะเหมาะกับแรชนิดนัน้ สวนแรที่มีสวนผสมของ 1. ดีบุก(Sn) =75% 2. พลวง(Sb) =25% นั้นเปนแรผสมที่ละลายไดงา ย มีความตานทานไฟฟาไดประมาณ 10 โอมห
318
34. แรขาวรถไฟ เปนโลหะที่มดี ีบุก (Sn) =85.5% ทองแดง (Cu) =6.5% พลวง (Sb) =8.0% เปนแรขาวทีใ่ ชทํากาบรองเพลาของรถไฟ เปนตน แรขาวชนิดนี้จะสูญเสียเชื้อเพลิงในการ เผาไหมประมาณ 4% เปนอยางมาก 35. แรทองประสาน ใชผสมแรบัดกรีไว คือ ใชในการเปาแลน เรียกวา “แรทองประสาน” โดยใหเอาทองแดง (Cu) 1 สวน และสังกะสี (Zn) 1 สวน ใชความรอนประมาณ 550°C หลอมใหละลายเขากันเปนเนื้อ เดียวกัน ใชนา้ํ ประสานทอง (Borax) โรยใสเวลาเปาแลน หรือเอามาทุบตีใหเปนชิ้นเล็ก ๆ บางทีก็เอาน้ํา ประสานทอง (Borax) ปนกับชิ้นทองประสานแรดว ย แรทองประสานนี้ใชสําหรับประสานทองเหลือง บรอนซ (Brass Bronze) และทองแดง (Cu) ใหติดเปนเนื้อเดียวกัน สวนเหล็กหลอ (Cast Iron), เหล็ก ออน (Wrought Iron) และเหล็กกลา (Steel) นั้นจะประสานกันดวยแรทองประสานนี้ก็ทําได แตของที่ จะประสานนัน้ จะตองทําใหเรียบรอยเสียกอนเสมอ เชน จะทําการติดหัวตอทอน้ํา เปนตน กอนจะทําจะ เปนจะตองขัดของสิ่งนั้นใหสะอาด โดยใชน้ํากรดกัดเสียกอนก็ได แลวจึงนําแรทองประสานกับน้ํา ประสานทอง (Borax) มารวมกันวางไวตรงจุดทีจ่ ะทําการประสานนั้น แลวก็เอาไฟมาเผาตรงที่จะทําการ ประสานจนแรประสานทองนั้นละลายเขากัน เมื่อเห็นวาละลายดีแลวก็เอาไฟออกจากที่จดุ นัน้ เสีย แลว ปลอยใหแรประสานทองที่ละลายนั้นเย็นตัวลง ของสิ่งนั้นก็จะติดกันจนแนนเปนเนือ้ เดียวกัน 36. แรบัดกรีไวอยางแข็ง ใชบัดกรีทองขาว,เงินเยอรมัน และแพลตินอยด รวมทั้งเหล็กกลาบางชนิดดวย สวนผสม 1. ดีบุก(Sn) =70กรัม 2. นิกเกิล(Ni) =8กรัม ใชความรอน 1,140°C หลอมใหละลายเขาดวยกัน จะเปนแรบัดกรีไวอยางแข็ง 37. แรบัดกรีไวอยางออน มีสวนผสม คือ 1. ทองแดง (Cu) =90 กรัม 2. สังกะสี(Zn) =140 กรัม 3. นิกเกิล(Ni) =20 กรัม
319
ใชความรอนประมาณ 900°C หลอมใหละลายเปนเนื้อเดียวกัน ใชน้ําประสานทอง (Borax) ใน เวลาเปาแลนเหมือนกันทั้ง 2 ชนิด 38. แรขาว แรที่ผสมดวยดีบุก (Sn) ตะกั่ว (Pb) และพลวง (Sb) นั้นมักจะเปนสีขาว จึงเรียกวา “แรขาว” แต แรขาวนี้ไมจําเปนตองผสมกันดวยแรทั้ง 3 ชนิดที่กลาวมาก็ได จะผสมกันเพียง 2 อยาง เชน ดีบุก (Sn) กับตะกัว่ (Pb) หรือตะกัว่ (Pb) กับพลวง (Sb) หรืออาจเปนดีบกุ (Sn) กับพลวง (Sb) ก็ได ซึ่งผิดแปลกกัน ไปตามเหตุที่ตอ งใชทําสิ่งของใด ๆ แตแรขาวที่ผสมดีบุก (Sn) กับตะกัว่ (Pb) นั้น มักจะเอามาใชทํา ตุกตาการบัดกรี และชางตะกั่ว สวนของที่ทําดวยแรนี้ ถามีดีบุก (Sn) เจือปนอยูมากของนั้นก็ยิ่งมีราคา ขึ้นทันที และแรขาวที่ผสมดวย ตะกัว่ (Pb) กับพลวง (Sb) นั้น มักจะเอามาใชทําตัวพิมพ คือ มีตะกัว่ (Pb) ประมาณ 80% และมีพลวงประมาณ 20% แตในบางทีก็มดี บี ุก (Sn) เจือปนอยูดว ยเหมือนกัน สวน แรขาวสําหรับที่ชางใชสําหรับรองรับเพลานั้น คือ ผสมดวยดีบกุ (Sn) พลวง (Sb) และทองแดง (Cu) เปนแรที่กนั ความฝดไดบางพอควร และมีชื่อเรียกกันไปอีกตามจํานวนที่แรนนั้ ผสมอยู อนึ่ง การที่เรา ใสพลวง (Sb) ลงไปนั้น จะทําใหแรผสมนั้นมีความแข็งมากขึ้น สวนทองแดง (Cu) นั้น ก็ชวยบาง เล็กนอย คือ ทําใหสีเปลี่ยนไปเล็กนอย และเรียกกันวา “แร แบบบิต” 39. แรแบบบิต คือมี 1. ทองแดง(Cu) =3.7% 2. ดีบุก(Sn) =88% 3. พลวง (Sb) =7.4% 40. ฟวซ มีสวนผสม 1. ตะกัว่ บริสุทธิ์ =25กรัม 2. ดีบุกบริสุทธิ์ =25กรัม 3. บิสมัท(Bi) =50กรัม หลอมละลายใหเขากัน แลวทําเปนเสนตามขนาดตาง ๆ 41. แรละลายงาย แรผสมชนิดนี้ ประกอบไปดวย ดีบกุ (Sn) ตะกัว่ (Pb) และบิสบัท(Bi) และบางครั้งก็มี แค ดเมี่ยม (Cd) เจือปนอยูดว ย เพื่อใชสําหรับทําหมุดกันอันตรายที่ติดอยูหลังทองเพลิงของหมอน้ํา และใช ตัดทางเดินไฟฟาเมื่อมีกําลังเกินขนาด (Over Load) หรือใชในการบัดกรีที่ตอ งการเร็ว ๆ และเปนแรที่ ละลายไดงาย โดยไมตองการความรอนมากมายนัก ตารางสวนผสมของแรธาตุที่ละลายงายดังจะได
320
แสดงไว จะใชความรอนเทาใดที่จะทําใหละลายไดตั้งแต 1-8 เปนของนาย Heine ไดคัดเลือกเอาจาก ความเห็นสวนตัวของเขาเอง นอกนั้นเปนของผูอื่นที่ไดคนควาทดลองไดมา ตารางที่ 15.7 แสดงสวนผสมของแรละลายงาย ดีบุก(Sn) ตะกัว่ (Pb) บิสมัท(Bi) แคดเมี่ยม(Cd) จุดละลาย°F 1. 12.50 25.00 50.00 12.50 65.50 2. 13.30 26.70 50.00 16.00 60.68 3. 14.80 26.00 52.20 7.00 68.50 4. 14.30 28.60 50.00 7.10 70.00 5. 10.30 27.60 27.60 34.50 75.00 6. 20.00 35.10 35.30 9.50 80.00 7. 12.50 25.00 50.00 12.50 150.00 8. 20.00 30.00 50.00 197.00 9. 40.00 20.00 60.00 201.00 10. 50.00 10.00 50.00 246.00 อนึ่งแรที่ละลายงายนัน้ ถามี ตะกัว่ (Pb) ดีบุก (Sn) และบิสมัท(Bi) เทานั้น ก็จะเปนแรที่จะ สามารถยึดตัวออกไดอีกในขณะเย็น (Cold Working) เพราะฉะนั้นถาใหมีลวดลายทีม่ ีความละเอียด มากๆ ควรเลือกใชแรผสมดังกลาวนี้ สวนชนิดที่มแี คดเมี่ยม (Cd) ปะปนอยูน ั้น ถึงแมเย็นตัวลงแลวก็จะ ไมสามารถดึงหรือยืดออกไดอีก ถาเราตองการใหแรผสม ในตารางดังกลาวนั้นหลอมละลายลงไดเร็ว ขึ้นอีกก็จําเปนจะตองเจือปน ปรอท (Hg) เติมปะปนลงไปดวยจะเปนการดี 42. แรแคดเมี่ยม (Cd) เปนแรที่ขาวมัว และเปนเงา มีน้ําหนักพิกัด 8.6 จะเริ่มหลอมละลายที่อุณหภูมิ 320°C หรือ 608°F และจะระเหยกลายเปนไอ เมื่ออุณหภูมิถึง 410°C หรือ 770°F เมื่อหักออกดูจะเห็นเนื้อเปนเสน ขาว ๆ แรแคดเมี่ยม (Cd) นี้มักปะปนอยูกับสังกะสี (Zn) เปนแรดิบมากกวาที่ปะปนอยูกับแรชนิดอืน่ ๆ วิธีถลุงแรแคดเมี่ยม (Cd) ขั้นแรกตองไลสังกะสี (Zn) ออกใหหมดเสียกอน ถาหากวาแคดเมี่ยม (Cd) ปะปนอยูมากตั้งแต 2-10% แลว ตองใชถานศิลาผสม และกลั่นในหมอกลั่นที่เปนรูปขวดมีคองอลงไป และตองเผาไฟให รอนจัดจนมีสแี ดง ถาตองการใหแคดเมี่ยม (Cd) นั้นบริสุทธิ์ ก็ตองกลั่นอีกครั้งหนึ่ง แรชนิดนี้มักใชใน การทําสีเหลือง หรือใชผสมกับ บิสมัท (Bi)
321
43. แรบัดกรีของเบา ๆ แรผสมชนิดนี้ คือ มีดีบุก (Sn) 2 สวน ตะกั่ว (Pb) 3 สวน ใชสําหรับบัดกรีของเบา ๆ เชน กระปอง กระโถน ทองเหลือง ฯลฯ เหลานี้เปนตน แตของที่จะบัดกรีตรงสวนไหนตองทาน้ํายาให สะอาดเสียกอน เพื่อกันมิใหเปนสนิมขึ้นในระหวางที่เชื่อมกันไดน้ํายานั้นมักใชสังกะสี (Zn) ปะปนไป ในน้ํากรดไฮโดรคลอลิค แอซิค ถาไมมีน้ํายาเชนนีก้ ็ใหใชเทียนไข หรือยางสนแทนก็ได แตไมคอยสูจะ ไดผลดีมากนัก 44. แรบัดกรีโลหะทั่วไป ใชบัดกรีโลหะทั่วไป นอกจากแรบริทันเนีย (Britalnia) อลูมิเนียม (Al) เหล็กหลอ (Cast Iron) และเหล็กกลา (Steel) นอกนั้นใชบัดกรีไดทั้งหมด สําหรับสิ่งของที่หยาบ ๆ ใหเอาดีบกุ (Sn) 1 สวน ตะกัว่ (Pb) 1 สวน หลอมใหละลายเขากัน ใชความรอนประมาณ 160°C หรือ 346°F แลวเทลงในแบบ เหล็กที่เปนแทงยาว ๆ 45. แรบัดกรีของละเอียด ใชบัดกรีสิ่งของที่ละเอียด ๆ เชน ชิ้นสวนเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน ทีวี ฯลฯ ใหเอาดีบกุ (Sn) 2 สวน ตะกัว่ (Pb) 1 สวน หลอมใหละเอียดโดยใชความรอนที่อุณหภูมิประมาณ 135°C หรือ 301°F การ บัดกรีโลหะทัว่ ไปจะใชฟลัก๊ (Flux) ได 2 ชนิด คือ ยางสน และกรดเกลือ 46. แรบัดกรีอลูมิเนียม ตะกัว่ บัดกรีอลูมิเนียมใหเอา ดีบุก (Sn) 1 ชั่ง และบิสมัท(Bi) 1 ตําลึง ใชความรอน 175°C หรือ 373°F หลอมละลายเขาดวยกัน แลวเทเปนแทง โดยใชฟลั๊ก(Flux) ทาเวลาบัดกรีแลวเอาวาสลีนอยางดี ทําเปนฟลั๊ก (Flux) ก็ได 47. แรบัดกรีเหล็กตาง ๆ ตะกัว่ บัดกรีเหล็กตาง ๆ ใหเอาตะกั่ว (Pb) ชนิดแรบัดกรีโลหะทั่วไป ใชฟลั๊ก (Flux) เกลือ แอมโมเนีย (ละลายน้ําทา) 48. แรบัดกรีแรบริทันเนีย สวนผสม คือ 1. ตะกัว่ (Pb) ½ ชั่ง 2. ดีบุก(Sn) ½ ชั่ง 3. บิสมัท(Bi) 1 ชั่ง ใชความรอน 150°C หรือ 328°F ใช Flux ยางสนทาเวลาบัดกรี ตองขัดที่จะทําการบัดกรีให สะอาดเสียกอน
322
49. แรผสมที่ใชทํารูปพรรณ แรผสมของเงิน (Ag) กับทองแดง (Cu) นั้น มักใชทําเงินเหรียญตรา ซึ่งใชอยูตามประเทศตาง ๆ และใชทําเครือ่ งประดับประดาตาง ๆ ดวย แตบางทีมีสังกะสี (Zn) ปะปนอยูดวยเล็กนอย เพื่อตองการ ใหหลอมละลายไดงายขึ้น เชน ที่ใชในการบัดกรีรปู พรรณที่ทําดวยเงิน (Ag) เปนตน สวนแรผสมของ ทองคํากับแรทองแดงก็เปนที่นิยมใชกันมากมาย คือเอมาทําเหรียญตรา และทํารูปพรรณตาง ๆ ถาแร ผสมชนิดนี้มีทองแดง (Cu) เจือปนอยูตงั้ แต 60% ขึ้นไป เราเรียกกันวา นาค แตในตางประเทศเรียกตาม แรผสมเปนกะรัต (K) กะรัตหนึ่งหนัก 4 กรัม คือ ทองคําแทคิดเปน 24 กะรัต (24 K) ทองคํา 18 กะรัตมี เนื้อทองคํา 18/24 ของทองคําแท สวนแรผสมของทองนั้นไมคอยจะใชกนั โดยมาก เพราะราคาแพงมาก และที่ใชผสมกันมานั้นจะใชเงิน (Ag) เปนสวนใหญ เพราะจะไมดําเร็วเหมือนกับเงินแท ตารางที่ 15.8 ตารางแรผสมของทองคํา,เงินและทองขาว ชนิด ทองคํา(Au) เงิน(Ag) สังกะสี(Zn) ทองขาว(Pt) ทองแดง(Cu) 1. 92.50 7.00 2. 90.00 10.00 3. 91.66 8.34 4. 91.66 8.33 5. 90.00 10.00 6. 7. 65.83 17.35 8. 66.60 11.10 22.20 9. 10.00 6.00 4.00 หมายเหตุ ชนิดที่ 1. เงินอังกฤษใชประจําอยูใ นปจจุบัน 2. เหรียญฝรั่งเศส และเยอรมันนี 3. รูป และเหรียญ เบรซิเลียน 4. เหรียญทองอังกฤษ, ตุรกี, เบรซิเลียน 5. เหรียญเยอรมันนี, ฝรั่งเศส, สหรัฐอเมริกา, เบลเยี่ยม, สเปน, สวิสเซอรแลนดและ สหภาพโซเวียต 6. ใชในการแพทย, ทําฟน, การบําบัดกรีเงิน, การบัดกรีทอง
323
15.13 หมวดแรวิทยุ 1. แรโบรไนท เปนแรซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มีสีแดงหมองคล้ําคลายกับทองบรอนซ ลักษณะเปนกอนหรือ เปนผง เราอาจผสมแรนี้ขึ้นได โดยเอาผงทองแดงหนัก 189.60 สวน ผงเหล็กบริสุทธิ์หนัก 55.90 สวน และผงกํามะถันเหลืองหนัก 95.66 สวน ทั้ง 3 อยางนี้มาผสมเขาดวยกัน ใสภาชนะแกวหรือดินขัดมัน นําขึ้นตั้งบนไฟ พอมีความรอนเพื่อใหกํามะถันละลายธาตุทั้ง 3 จะเขาผสมรวมเปนเนื้อเดียวกันกลายเปน แรโบรไนท 2. แรซิงไซท เปนแรที่เกิดขึน้ ตามธรรมชาติ มีสีดําแดง เราอาจผสมแรนี้ขึ้นได คือ เอาผงสังกะสีบริสุทธิ์หนัก 64.90 สวน เขมาน้ํามันกาซ หรือถานหินหนัก 11.96 สวน ทั้ง 2 อยางนี้ผสมกันเขาดวยไฟ ใชกําลัง ไฟออน ๆ แลวปลอยใหออกซิเจนเขาไปประมาณ 47.99 สวน ธาตุทั้ง 3 นี้จะเขาผสมกันเปน แรซิงไซทอีกวิธีหนึ่งอาจทําไดงาย คือ เอาผง Zinc Oxide มาใสขวดแกวแลวทําใหรอน 60°C แลวเอา กรดกํามะถัน (S) ผสมใสลงไปแลวทิ้งไวประมาณ 5 คืน จะเกิดเปนแรซิงไซท 3. แรคารบอนดดัม เปนแรซึ่งเกิดโดยธรรมชาติ มีสีคลายหินเหล็กไฟ วิธีทํา ใหเอาถาน (C) หรือเขมาไฟ หรือถาน หินอยางใดอยางหนึ่งก็ได มาผสมกับหินเหล็กไฟ ชนิดแกวสีน้ําตาล แลวบรรจุในเตาไฟฟา ทําการเผา ดวยไฟฟา ธาตุทั้ง 2 นี้กจ็ ะเขาผสมกันกลายเปนแรคารบอนดดัม มีประโยชน นอกจากจะทําเปน ดีเต็ก เตอรสําหรับเครื่องรับวิทยุแลว ยังใชเปนเครื่องเปลี่ยนกระแสไฟสลับ เปนกระแสไฟตรงไดอีกดวย เชน หลอดเร็กติไฟรเออร เพราะคารบอนดดัมมีหนาที่รับ แตกระแสไฟบวกเพียงอยางเดียวเทานัน้ 4. แรคอปเปอรไพไรท (Copperpririte) เปนแรที่เกิดขึน้ ตามธรรมชาติ มีลักษณะสีเหลืองออกเทา ๆ เราอาจทําแรนี้ขึ้นไดโดยใหเอา ผงทองแดงบริสุทธิ์หนัก 63.20 สวน ผงเหล็กบริสุทธิ์ หนัก 55.90 สวน และผงกํามะถันเหลือง หนัก 63.78 สวน ทั้ง 3 อยางนี้นําใสในภาชนะเพื่อเอาขึ้นตั้งไฟหลอมใหละลายเขากัน ก็จะแปรธาตุ ออกเปนแรคอปเปอรไพไรท (Copperpririte) 5. แรซิลิคอน (Si) มีหลายสิบชนิด มีลักษณะเปนสีนา้ํ ตาล แรชนิดนี้มีธาตุผสม ดังนี้ เปนแรเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ คือ ธาตุศิลา ดินสอพอง โปแตส ธาตุถาน (C) เปนตน 6. แรการีนา(Garina) เปนแรตะกั่ว ซึ่งเกิดโดยธรรมชาติ มีลักษณะเปนผงเงาโลหะคลายขี้ตะไบสังกะสีถาเราจะทํา ขึ้นใหเตรียมดังนี้
324
1. เงิน (Ag) หนัก =7.06 สวน 2. ตะกัว่ (Pb)หนัก =15.07 สวน 3. กํามะถัน(S)หนัก =12.80 สวน ซึ่งทั้ง 3 อยางนําใสในภาชนะ แลวนําขึ้นตั้งไฟ ธาตุทั้ง 3 จะละลายเขาดวยกัน แลวกลายเปนแร ตะกัว่ -กํามะถัน เรียกวา แรการีนา (Garina) 7. แรราดีโอไซด(Radiosite) เปนแรเกิดตามธรรมชาติมีมากในประเทศโบฮีเมีย แรนี้เราเอามาใชแยกเอาธาตุเรเดียม (Ra) บริสุทธิ์ ออกจากลําแสง “ราดิโอแอคตีฟ” คลายกับแสง X-Ray ธาตุนี้จะทําขึ้นก็ไดโดย เตรียม 1. เรเดียม (Ra) หนัก =118.01 สวน 2. แบเรียม (Ba) ชนิดผงหนัก =136.86 สวน 3. ยูเรเนียม (U)ชนิดผง หนัก =239.80 สวน ซึ่งทั้ง 3 อยางนี้ผสมกันในขวดแกว แลวจะเกิดความรอนขึ้นเอง จะผสมผสานกันจน กลายเปนแรราดีโอไซด (Radiosite) 8. แรเปอรมาไนท (Permanite) เปนแรธรรมชาติเชนกัน มีลกั ษณะคลายแรการีนา (Garina) เราจะนํามาไดโดยใช 1. ผงคารบอนด หนัก =23.94 สวน 2. ผงเหล็กหนัก =55.90สวน 3. ผงทรายขาวหนัก =28.30สวน ทั้ง 3 รายการนี้ นํามาผสมกันแลวทําการบรรจุเขาเตาเผาดวยไฟฟา สิ่งเหลานี้จะผสมกัน แลว แปรธาตุกลายเปนแรเปอรมาไนท (Permanite) 9. แรดํายาถม เปนแรที่ผสมขึ้น มีลกั ษณะสีดีเปนมัน โดยชางทองจะใชทาํ ลวดลายภาชนะขาวของเครื่องใช เชน ดุมเสื้อ ,หัวเข็มขัด ฯลฯ เปนตน และจะใชทําแรวิทยุกพ็ อนํามาใชไดเชนกัน โดยมีสวนผสมดังนี้ คือ ทองแดง (Cu) ,เงิน(Ag), ตะกั่ว(Pb) , และกํามะถัน(S) ซึ่งทั้ง 4 อยางนี้รวมใสเบาหลอมใหละลายเปน เนื้อเดียวกัน จะกลายเปนแรดําหรือยาถม นั่นเอง 10. ยางแข็ง(Hard Rubber) โดยเอายางอินเดีย, ยางดิบ, ถาน , กํามะถัน, Cs2 และถานเขมาไฟ มารวมกันผานขบวนการทํา ยางใหเปนยางแข็ง (Hard Rubber) 11. การติดเซลลูลอยด (Celluloiud) สวนผสมใหเอา เศษเซลลูลอยด , แอมมอลเอสซีเต็ด(น้ํานมแมวชนิดอยางแรงจัด) เพื่อใชติด
325
ปากกาหมึกซึม,ฟลมภาพยนตรและเซลลูลอยดตาง ๆ เปนตน 12. ถานกราไฟท (Graphite) หรือตะกั่วดํา หรือดินสอดํา เปนธาตุถานที่บริสุทธิ์หาไดงายกวาเพ็ชร (Dimond) ากในสหภาพโซเวียตแถบเทือกเขาอัลตรัย และใน ประเทศออสเตรเลีย แถบเทือกเขาโมธีเมีย รวมถึงหมูเกาะวังกาอีกดวย สวนในประเทศเราก็พอมีอยูพ อสมควร ธาตุถานชนิดนี้กระแสไฟฟาสามารถไหลผานได จึงใชทําไสโคมไฟฟาและผสมกับทองแดง โดยที่เราจะทําธาตุ บริสุทธิ์ ทําแปรงถานสําหรับเสียดสีกบั คอมพิวเตอรของไดนาโม หรือ Generator ถานกราไฟทนี้ขึ้นเองก็ได โดยเอาธาตุถานที่เกือบบริสุทธิ์ เชน เขมาไฟน้าํ มันกาซซึ่งจุดแลวควันไฟจะ ขึ้นไปจับ จะเปนลักษณะผงสีดํา หรือเขมาไฟน้ํามันยางก็ได โดยการเผาในเตาไฟฟา และเมือ่ ใสในเตาจน มอดแลว ก็พยายามอยาใหอากาศออกซิเจนเขาไปถูกกับถานได แลวจึงทําการปลอยกระแสไฟฟาเขาไป จนมีความรอนสูงถึง 3,325°C ถานชนิดนีก้ ็จะกลายธาตุเปลี่ยนแปรเปนถานกราไฟทในที่สุด 13. คุณสมบัตขิ องถานกราไฟท ถานกราไฟทจะไมละลายในน้ํากรดตาง ๆ แตจะละลายในกรดดินประสิวที่ผสมกับPottassium Chlorate จะแปรธาตุกลายเปนกรดกราไฟท ถานกราไฟทสามารถจะทนความรอนไดมากกวาเพ็ชร เพราะฉะนั้นจึงใชผสมกับดินเหนียวทําเบาหลอมเหล็ก และโลหะธาตุตาง ๆ ใชทําดินสอดําและชางหลอ ใชทํา Core และแบบทราย (Molds)ชนิดตาง ๆ เพื่อใหทรายมีการลอนตัวดีนนั่ เอง 14. การละลายธาตุดวยไฟฟา หรือการทําถาน (C) ใหบริสุทธิ์ ทําเตาแบบเดียวกับเตาหลอมอลูมิเนียม แตมีทอเหมือนเตาที่ใชทําฟอสฟอรัส (P) โดยเอาถาน หิน หรือถานไมซึ่งเผาในที่อับอากาศ ปนใหเปนผงแลวใสลงในเตาไฟฟา แลวทําการปลอยกระแสไฟฟา ใหเกิดการ Arc ขึ้นระหวางเตากับแทงถานใหมีความรอนประมาณ 3,400°C ผงถานจะกลายเปนไอวิ่ง ไปตามทอซึ่งขดอยูในถังน้ําเย็นแลวเลยลงสูแบบพิมพ (Master) ซึ่งเปนแผนเหล็กสลับซับซอนกัน หรือ ปลอยใหเลยเขาไปในแทงดินสอดําทีเดียวเลยก็ได ไอถานจะแข็งกลายเปนธาตุกราไฟททนความรอน ไดมากเทาเทียมกับเพ็ชร (Dimond) ทีเดียวและมีลกั ษณะเปนสีดาํ ประโยชนใชทําดินสอดํา, แปรงถาน ไฟฟา ,ผงพลัมมาโก, ผสมกับดินทําเบาทนไฟ และทําถานโคมอารค 15.14 หมวดแรธาตุที่สําคัญ 1. ตะกั่ว(Pb) แตก็ยังไมมีผูใดคนพบเลย และมักรวมอยูกับ ยังเปนที่สงสัยกันอยูว าเปนกอนบริสุทธิ์หรือไม แรธาตุตาง ๆ เปนตะกัว่ ดิบชนิดตาง ๆ สวนตะกัว่ ดิบชนิดที่ดีที่สุด ก็คือ ตะกัว่ ที่มีกํามะถัน (S) ปะปนอยู มาก นอกจากนี้ก็มีเหล็ก (Fe) ทองแดง (Cu) เงิน (Ag) และพลวง (Sb) ปะปนอยูดวย แตเปนจํานวนนอย ที่สุด ซึ่งไมตองมีก็ได ซึ่งไมตองมีก็ได ตะกัว่ ชนิดดที่กลาวมาแลวนีเ้ ปนตะกัว่ ดิบทีเ่ อามาถลุงโดยมากนั่นเอง
326
วิธีถลุงตะกั่ว มีหลายวิธี ขั้นแรกแยกตะกัว่ ออกไปโดยใชถาน หรือเหล็กอันเปนที่ชวยละลาย ซึ่งเปนสิ่งที่ คลายกับ Flux ที่ใชในเตาถลุงเหล็ก คุณสมบัตขิ องตะกั่ว เมื่อลองหักดูจะเปนแรออนและเหนียว มีสีเทา เปนเงามันและมักจะมัวเร็ว ในเมื่อกระทบกับ อากาศ จะละลายเมื่อมีความรอน 330°C มีน้ําหนักพิกัดประมาณ 11.36 ประโยชนของตะกั่ว ใชทําลูกปน สี และผสมทองเหลือง (Brass) และบรอนซ (Bronze) ฯลฯ 2. สังกะสี (Zn) จะรวมอยูกับแรธาตุตาง ๆ ชนิดอื่น ๆ เปนสังกะสีดิบ และมีอยูห ลายชนิด แตที่ใชเอามาถลุง เปนสังกะสีนนั้ คือ เอาสังกะสีดิบที่มธี าตุออกซิเจนปะปนอยูด วย เพราะวาสังกะสีดิบชนิดนี้มีอยู มากกวาชนิดอืน่ ๆ สวนวิธีทจี่ ะถลุงนั้นก็เปนวิธีงาย ๆ วิธีถลุงสังกะสี โดยการไลธาตุออกซิเจนออกจากสังกะสีโดยเผาถาน หรือเชือ้ เพลิงที่มีธาตุถานปะปนอยูด วย ซึ่งใหความรอนเกินกวาขอบเขตที่สังกะสีจะละลายเทานัน้ สังกะสีก็จะละลายกลายเปนไอออกไป เพราะฉะนั้นจําเปนจะตองมีเครื่อง หรืออุปกรณที่ทําใหไอของสังกะสี เกิดการควบกลั้นกลับกลายมาเปน กอนได วิธีการนี้คนพบคนแรกโดย นาย เฮลเกน ในป พ.ศ. 2464 คุณสมบัตขิ องสังกะสี เปนแรที่แข็ง เปราะ มีสีขาว คอนขางออกมัวนิดหนอย จะละลายเมื่อมีความรอนถึง 441°C จะ ระเหยเมื่อมีความรอนถึง 1,040°C มีนา้ํ หนักพิกัดเทากับ 7 เปนแรที่ทนทานตออากาศหรือบรรยากาศ ตาง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอยางฉับพลัน ประโยชนของสังกะสี ใชผสมเปน Alloy กับทองแดง (Cu) จากสวนผสม 1. ทองแดง (Cu) =90% 2. สังกะสี (Zn) =30% จะไดทองเหลือง (Brass) ชนิดปลอกกระสุนปนเล็ก 3. ดีบกุ (Sn) ชนิดดิบมี 2-3 ชนิด แตชนิดที่มดี ีบกุ มาก คือ แคสซีเตอรไรท (Sn O2) ดีบุกชนิดนี้เปนแรที่ใช กันในการถลุงดีบุกในเวลาจะถลุง ตองเอาดีบุกยางไฟ หรือไลความชื้นออกเสียกอนกํามะถัน (S) หรือ สิ่งอื่น ๆ ที่จะเอาออกไดใหดาํ เนินการขับไลออกใหหมดสิ้นจะดีมาก
327
วิธีถลุงดีบุก เมื่อยางแลวก็นําไปปะปนกับผงถานแอนดทราไซดหรือถานไมกับปูนขาว ผสมใหเขากันแลว เอามาบรรจุเตายางเหล็ก แตตองใหมีความชื้นอยูบาง เพื่อปองกันผงในเตาจะปลิวได จํานวนถานทีใ่ ช ปะปนกับดีบุกดิบนั้นก็สําคัญเชนกัน ดีบกุ ที่ถลุงโดยวิธนี ี้ไมสูจะบริสทุ ธิ์นัก อนึ่งดีบุกดิบนัน้ อาจถลุงได อีกวิธีหนึ่งโดยใชถานไมเปนเชื้อเพลิงได แตวิธีนแี้ รดีบุกมักปะปนไปกับกากดีบุกมากดวย ชนิดหลังนี้ มักใชตามแถบประเทศอังกฤษ และแถบทวีปเอเชียมาก คุณสมบัตขิ องดีบุก เปนแรอยางดี มีสีขาวเหลืองออกซีด ๆ กับเปนแรที่ออนมาก อาจจะทุบใหเปนแผนบาง ๆ ลง จะละลายเมื่อมีความรอนถึง 320°C ไดถึง 1/1,000 นิ้ว แตทนตอแรงดึงไดเพียง 2.1 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว และเปนแรที่ไมเปนสนิม สวนดีบุกที่ใชตามทองตลาดไมใครจะเปนดีบุกที่มีความบริสุทธิ์นัก มักจะมี สิ่งอื่นปะปนติดมาดวยเสมอ เชน ตะกั่ว (Pb) เหล็ก (Fe) สารหนู (As) ฯลฯ น้ําหนักพิกัด 7.2 ประโยชนของดีบุก ใชผสมเปน Alloy ของบรอนซ (Bronze) ทองเหลือง (Brass) และแรขาวตะกั่วบัดกรี ฯลฯ เปนตน 4. พลวงหรือแอนติโมนี (Sb) แตมักไปปะปนอยูก ับทองคํา (Au) เงิน (Ag) และสารหนู(As) แต บางทีจะอยูเ ปนกอนบริสุทธิ์ ที่เปนพลวง (Sb) ชนิดดิบนี้มักจะปะปนอยูกับกํามะถัน (S) โดยรวมตัวทางเคมีเปนสวนมาก ทั้งเปนแร ดิบที่ใชในขบวนการถลุงมากดวย วิธีการถลุงพลวง แรดิบมีวิธีถลุง 2 วิธี จะถลุงโดยวิธีถลุงดีบุกก็ได แตวิธีที่ใชกันมากคือ เขาใชชิ้นเหล็กทีป่ ะปน สวนกากที่ มากับพลวงดิบใสลงในเบา แลวเผาใหรอนจนละลาย เมื่อหลอมดีแลวก็เทลงแบบเหล็ก เหลือกนเบาก็เคาะทิ้งเสีย เมื่อแรในแบบเหล็กนั้นเย็นดีแลว ก็ทําการหักใสลงในเบาใหมอีกครั้งหนึ่ง เพราะยังมีเหล็กปะปนอยูอีก ตอไปก็ใหเอาแรที่หักเหลานั้นมาบรรจุลงในเบา ปะปนกับพลวงดิบ และ Flux ซึ่งเปนชนิด Sodium Carbonate แลวเผาใหรอนจนแรหลอมละลาย เมื่อเห็นวาละลายดีแลวก็เทลง แบบ (Molds) ก็จะไดพลวงที่ดีขึ้นคือ จะมีพลวง (Sb) อยู 95.5% เหล็ก (Fe)2% และกํามะถัน(S)2% คุณสมบัตขิ องพลวง ชนิดอยางดีจะเปนแรสีขาว กับเปนแรที่เปราะและแข็งจะละลายเมื่อมีความรอนถึง 630°C มี น้ําหนักพิกดั 6.7 ประโยชนของพลวง ใชผสมเปน Alloy, ทองเหลือง (Brass), บรอนซ (Bronze), แรขาวฯลฯ
328
5. บิสมัท(Bi) ชนิดที่อยูโดยลําพังก็มีอยูมาก แตที่อยูเปนแรดิบนั้นจะมีนอย และที่นํามาถลุงแรบิสมัทนี้มักใช อยางที่ปะปนกันอยูก ับกํามะถัน (S) วิธีถลุงบิสมัท โดยเอาแรดิบบรรจุลงในหลอดที่เอียงอยู และทางภายนอกหลอดนั้นจะมีเปลวไฟลนอยูเ สมอ ถาหากวาแรบิสมัทดิบละลาย แลวก็จะไหลลงอางอันเปนที่สําหรับจะไดยกลงในแบบทีเดียว สวนกาก ที่เหลืออยูในหลอด ก็มีแตของโสโครกอยูเทานัน้ เชน พวกสารหนู (As), ตะกัว่ (Pb), ดีบุก (Sn), เงิน (Ag) และกํามะถัน (S) มีอยูบางเล็กนอย สิ่งดังกลาวนี้เปนของที่ดิบติดมาแตดั้งเดิมปะะปนมากับแรบิสมัทดิบ นั่นเอง อนึง่ แรดิบที่ใชนตี้ องเปนแรอยางที่มีอยูตามลําพังเอง ถาหากวาแรดิบที่ปะปนอยูก ับกํามะถัน (S) แลวใหหลอมในเบาไดโดยไมใชหลอดดังกลาวมาแลว โดยใชเชือ้ ของอื่น ๆ ชวยไลกํามะถัน (S) ออกไป เชน ถาน (C) และเหล็ก (Fe) กับ Flux ที่เปนธาตุดางดวย สวนบิสมัท (Bi) เมื่อละลายแลวก็จะจมอยูตรง กนเบา สวนกากที่ลอยอยูเบื้องบนก็ใหเทออกทิ้งเสียใหทําการหลอมใหมอีกครั้ง จึงจะเทลงแบบ (Molds) ได คุณสมบัตขิ องบิสมัท เปนแรที่เปราะมีสีชมพูออน จุดหลอมละลายคือ 268°C มีน้ําหนักพิกัด 9.8 และยืดตัวไดดีมาก ในขณะอัดตัวเปนกอน ประโยชนของบิสมัท ใชผสมกับตะกั่ว (Pb) และฟวส ฯลฯ 6. นิกเกิล (Ni) แรดิบมีหลายชนิดคลาย ๆ กับเหล็กดิบ (Pig Iron) และทองแดง (Cu) เพราะฉะนัน้ จึงมีวธิ ีการ ถลุงอยูหลายวิธีตามแตชนิดของนิกเกิลที่ใชดวย ถาเปนนิกเกิลดิบอยางที่มีกํามะถัน (S) ปะปนอยูมาก ให ถลุงอยางวิธีถลุงทองแดง ถาเปนนิกเกิลอยางที่มีออกซิเจนมากใหถลุงอยางวิธีถลุงเหล็กก็ได คุณสมบัตขิ องแรนิกเกิล เปนแรที่แข็งและเหนียว มีสขี าว จะหลอมเมื่ออุณหภูมถิ ึง 1,600°C มีน้ําหนักพิกัด 8.8กับทั้งเปน แรที่ทนตอสภาพบรรยากาศ และน้ําไดดี ประโยชนของนิกเกิล ใชผสมเปน Alloy ของเหล็ก (Fe) และโลหะธาตุอื่น ๆ ฯลฯ 7. โครเมี่ยม(Cr) เปนแรที่มีความสําคัญมากเชนกัน มักจะอยูปะปนกับธาตุออกซิเจนและเหล็ก(Fe) ทั้งเปนแร สําหรับใชถลุงมากกวาชนิดอืน่ ๆ
329
วิธีการถลุงโครเมี่ยม ทําเชนเดียวกันกับขบวนการถลุงเหล็ก คุณสมบัตขิ องแรโครเมี่ยม เปนแรที่แข็งมาก ทั้งเปนแรที่หลอมละลายไดยาก มีน้ําหนักพิกัดประมาณ 7.3 ประโยชนของโครเมี่ยม ใชผสมเหล็ก, Alloy และใชเกี่ยวกับงานทางดานๆไฟฟา ฯลฯ 8. แมงกานีส (Mn) มักรวมอยูก ับธาตุออกซิเจน เปนแมงกานีสเสียมากกวาทีจ่ ะอยูปะปนกับธาตุอื่น ๆ วิธีการถลุงแมงกานีส ถลุงอยางเดียวกับการถลุงเหล็ก แตในเร็ว ๆ นี้ การที่จะถลุงนั้นจะใชอลูมิเนียม (Al) หรือ ซิลิคอน (Si) ปะปนกับเหล็ก (Fe) ก็ได วิธีถลุง คือ ใหเผาแมงกานีสออกไซดกับซิลิกอน (Si) ปะปนกับ เหล็ก (Fe) ในเตากระทะที่ทําดวยธาตุดาง แตไมคอยจะมากมายนัก คุณสมบัตขิ องแรแมงกานีส มีลักษณะแข็ง มีสีขาวคอนขางไปทางแดง ทั้งเปนแรที่เปนสนิมไดงาย เมื่อทิง้ ไวถูกอากาศ จุด หลอมละลายประมาณ 1,900°C มีน้ําหนักพิกัด 8.0 ประโยชนของแมงกานีส ใชผสม Alloy, เหล็กตางๆ ฯลฯ 9. ทังสะเตน หรือวุลแฟรม (W) แรชนิดนี้บางทีเรียกวา วุลแฟรมก็ได มักจะรวมกันกับออกซิเจน และเหล็ก (Fe) บางทีกป็ ะปน กับปูน (Calcium) บางก็มี วิธีถลุงแรทังสะเตน ใชวิธีเดียวกับการถลุงเหล็กทั่ว ๆไป คุณสมบัตขิ องแรทังสะเตน เปนแรที่มีความแข็ง, มีสีขาว,จุดหลอมละลาย 3,400°C มีน้ําหนักพิกดั 19.1 ประโยชนของทังสะเตน ใชผสม Alloy, เหล็ก และใชเกี่ยวกับงานทางไฟฟา ฯลฯ 10. โมลิบดินั่ม (Mo) เปนแรที่สําคัญ คือ เปน Molybdenum Disulphite ซึ่งเปนแรคลายผงดินสอดํานั่นเองโดยมาก มักจะถลุงจากแรดิบชนิดนี้
330
คุณสมบัตขิ องโมลิบดินั่ม เปนแรที่เปราะ มีสีขาว เปนมันคลายเงิน จะหลอมละลายไดกต็ อเมื่อไดรับความรอนชนิดรอน จัด ๆ มากที่สุดเทานั้น ประโยชนของโมลิบดินั่ม ใชผสมเหล็ก , Alloy ฯลฯ 11. อลูมิเนียม (AI) มีอยูทั่วไปตามที่ตาง ๆ เชน ในดิน (Earth), หิน (Stone) , ทราย(Sands) และตามแรธาตุ ๆ ที่จับ เปนอลูมิเนียม อยูกันเปนกอน แตไมใชอยูตามลําพังมักจะอยูรวมกับธาตุออกซิเจน และธาตุอื่น ๆ บาง ดิบ และที่สําคัญคือ Alumina Oxode หรือ เรียกกันวา Alumina เฉย ๆ วิธีถลุงแรอลูมิเนียม การถลุงจะใชกระแสไฟฟาใหไหลผานใน Alumina เพื่อแยกสิ่งเหลานี้ออก แลวจะได อลูมิเนียม (Ai) ออกมา คุณสมบัตขิ องแรอลูมิเนียม เปนแรที่แข็งเพียงเล็กนอย มีสีขาว และน้ําหนักเบา จะหลอมละลายที่อุณหภูมิ 700 °C ทนตอ แรงดึงไดประมาณ 17 ตัน ตอ 1 ตารางนิ้ว มีนา้ํ หนักพิกัด 2.68 กับทั้งเปนแรที่ทนทานตอสภาพ บรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไดดมี ากดวย ประโยชนของอลูมิเนียม ใชผสม Alloy, บรอนซ (Bronze) และใชในการทํารูปพรรณตางๆ ฯลฯ เตา ไฟฟาถลุงอลูมิเนียม การแยกธาตุ AI ออกจาก Aluminium Oxide นั้น โดยการใชวธิ ีการแยกดวยเตาไฟฟา (Electric Furnaces) โดยตัวเตานีจ้ ะทําเปนลักษณะ 2 ชั้น และมีฝาปด-เปด ได เพื่อมิใหอากาศไหลเขา ไปปะปนกันได ชั้นนอกทําดวยดินเหนียวกอเปนเตา หรือจะใชปนู ขาว, ปูนทนไฟ อยางใดอยางหนึ่งก็ ได สวนภายในทําดวย ถานคารบอน (C) อัดตัวอยูแนนภายในเบา และทางสวนลางของเตา ตองทําให มีรูสําหรับใหโลหะธาตุที่หลอมละลายไหลออกมาได แลวก็แข็งตัวเปนโลหะธาตุทมี่ ีความบริสุทธิ์ (Pure) สวนฝานั้นทําดวยดินเหนียว มีรูตรงกลางสําหรับหยอนแทงถานคารบอน (C ) ขนาดใหญ ๆ ลง ไปไวตรงกลาง เพื่อเปนชองทางใหเกิดการ Arc ขึ้น ซึ่งจะไดความรอนสูงประมาณ 3,900-4,000 °C เมื่อ เราเอาธาตุ Aluminium Oxide (Al 2 O3 ) หรือดินสอพองที่มีมากทีจ่ ังหวัดลพบุรี โดยมากจะใสลงไปใน เตาแลวใหเตากับแทงถานนัน้ ช็อตกัน ก็จะเกิดเปนไฟ Arc ขึ้น ซึ่งจะมีความรอนสูงมากดังกลาวมาแลว ดินสอพองจะละลายแยกเอาออกซิเจนออกมา กลายเปนโลหะธาตุ อลูมิเนียมบริสุทธิ์ มีสีขาวผอง
331
เหมือนกัน แตเบากวาเงินโลหะธาตุอลูมิเนียมนี้ จะมีราคาถูกเพราะหาแรไดงายแตเปนโลหะธาตุที่ทน กรดดินประสิวไดดีที่สุดอีกดวย กรดดังกลาวไมอาจจะกัดอลูมิเนียมใหละลายไดเลย และยังใชผสมกับ ทองแดง (Cu) กลายเปนอลูมิเนียมบรอนซ (Aluminium Bronze) ใชประโยชนในดานตาง ๆ ไดอยาง มากมาย 12. อลูมิเนียมและอลูมิเนียมผสม Al ไมไดเกิดขึน้ ใตดินโดยลําพัง แตจะรวมอยูกับสิ่งอื่น ๆ ในสินแรหลายชนิด มักมี Al ปะปน อยูประมาณ 8% ฉะนั้นจึงเปนโลหะสามัญ และมีมากมายหลายชนิด ตามธรรมดาแลวจะอยูกับตะกัว่ (Pb) และแมกนีเซียม (Mg) การที่จะไดแร Al จําเปนจะตองแยกสินแรบางชนิดที่มี Al ปะปนอยู ประมาณ 40-55% ซึ่งเปนชนิดที่มักจะใชในการทํา Al โลหะอลูมิเนียมทีแ่ ยกไดจะมี Al แท ๆ ไมต่ํากวา 95% และมีความบริสุทธิ์ถึง 99% ก็มี Al มีสีขาวคลายเงิน เนื้อเหนียวทนทาน และเบา เปนตัวนําไฟฟาที่ดี และขัดขึ้นเงาไดก็ดี โลหะผสมของ Al ก็มลี ักษณะไมผิดแปลกจากกันเทาใดนัก จะมีลักษณะเหนียวไมเปราะอาจตีแผ หรือรีดออกเปนแผน ๆ ทอน ๆ และดึงออกเปนเสนยาว ๆ ไดดี โลหะชนิดนี้เมื่อถูกตี เคาะ หรือ โดยกระทําแบบอื่น ๆ ซึ่งเปนการกระทําในขณะเย็น (Cold Works) ลักษณะจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กลาวคือ ความแข็งจะสูงขึ้น แตความเปราะก็จะมากกวาเดิมดวยเชนกัน ฉะนั้นในการทํา Al ที่มี สวนผสมอยางเดียวกันใหเปนแผนหรือเปนทอน จึงอาจทําใหมีความแข็งแรงต่าํ ลง รวมทั้งความแข็งจะ มากนอยกวากันได อยางอาการที่รีดมา เชนที่เรียกกันวาอยางออนหยาบคอนขางแข็ง หรืออยางแข็ง เราสามารถทํา เปนตน อยางชนิดออนเราจะดึงขาดดวยแรงประมาณ 8-10 กก. ตอตารางมิลลิเมตร Al การเชื่อมประสานไดดี และ Al แทนั้นเราจะใชมากในการทําชนิดเปนแทง เปนทอน เปนแผน และเปน ทอ สําหรับชิ้นสวนที่ไมตองการทนตอแรงดึงสูง ๆ 13. อลูมิเนียม หรือ ดูลาดูมีน เปนโลหะผสมของ Al อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งโลหะผสมดวย อลูมิเนียม (Al) ทองแดง(Cu) แมกนีเซียม (Mg) และแมงกานีส(Mn) มีแรงสูงกวา Al มากมายดูลาดูมีน มีแรงสูงเทียบเทากับเหล็กเหนียว (Mn) กลาวคือ แรงดึงเมื่อขาดประมาณ 35-45 กก. ตอตารางมิลลิเมตร แตน้ําหนักประมาณ 1/3เทาของเล็ก ดูลาดูมีนเปนโลหะที่ ไมเหมาะกับการเชื่อม เปนโลหะที่เบา และทนแรงดึงไดดี และใชสําหรับทําชิ้นสวนที่ตองการทนแรงตาง ๆ 14. การใชอลูมิเนียม และอลูมิเนียมผสม แรงดึงเมื่อขาด 14 กก./มม.2 Al บริสุทธิ์ซึ่งมีเนื้อ 99% ที่มีใชอยูเวลานี้ เปนชนิดแผนและทอ เหมาะกับชิ้นสวนที่ไมตองออกแรงมาก ใชทําทอระบายความรอนของเครื่องยนต
332
Al ผสมตางก็มีสวนผสม และแรงดึงตางกันทั้งสิ้นมีทงั้ ทอ ทอน และแผน บางชนิดเมื่ออบชุบ แลวจะมีแรงดึงสูงกวา เมื่อไมไดผานการอบชุบมา แตอยางใดก็ดี Al ผสมนี้จะมีแรงดึงสูงกวา Al ที่ บริสุทธิ์ จะทนแรงดึงไดตั้งแต 24-43 กก./มม.2 สวนชนิดทีเ่ ปนแผนนิยมใชทําชิ้นสวนที่จะตอกัน และ ชิ้นสวนอื่น ๆ ที่ตองการทนตอแรงไดมาก ๆ Al ผสม Alloy กับทองแดง (Cu) ตั้งแต 3-5% เรานิยมใชหลอทําลูกสูบที่ใชกับเครื่องยนตตาง ๆ Al และ Al ผสมนี้ตางชนิด ตางก็มีคุณภาพตางกันออกไป วิธีการเผา หรือวิธีการจุมน้ําใหเย็น ตัวลง จะทําใหความสามารถรับแรงตาง ๆ เปลี่ยนแปลงไปได ฉะนั้นในการใชก็จะตองใชระมัดระวัง เปนพิเศษ เพื่อกันสับสนซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได
333