0
เอกสารประกอบ
เวที
21 ธันวาคม 2553
1
สารบัญ ลําดับ
พื้นที่
เรื่อง
หนา
ประสบการณจากน้ําคลื่น 1
พังงา
2
พังงา
กระบวนการฟนฟูวิถีชีวิตโดยผูประสบภัยเปนแกนหลัก กรณี : พื้นที่ประสบภัยสึนามิ ชายฝงอันดามัน ประเทศไทย การศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดการความเสี่ยงจากภัย พิบัติโดยชุมชนเปนฐานจากภาคประชาสังคม : กรณีศึกษา ชุมชนบานน้ําเค็ม ต.บางมวง อ.ตะกั่วปา จ.พังงา
ประสบการณสูน้ําทวม 3 นครราชสีมา น้ําคลื่นเจอน้ําทวม ประสบการณจากน้ําเค็มสูกระเบื้องใหญ 4 ลพบุรี บทเรียนจาก น้ํา น้ํา ประสบการณสํารวจพื้นที่น้ําทวม อ.บานหมี่ จ.ลพบุรี 20-25 ตุลาคม 2553 5 ปทุมธานี กระบวนการ “สรางสายใยเครือขาย ทามกลางสายน้ํา... ทวม” กรณี : เครือขายสิ่งแวดลอมชุมชนจังหวัดปทุมธานี 6 สงขลา ประสบการณการรับมือภัยพิบัติ น้ําทวมใหญ 2010 และพายุดีเปรสชั่น บทเรียนจากภาคสาธารณสุข 7 สงขลา เครือขายอาสาสมัครจัดการภัยพิบัติจังหวัดสงขลา 8 ปตตานี หลังพายุใหญพาดผาน "อาวปตตานี" 9 กรุงเทพ สรุปบทเรียน ศอบ (ศูนยอาสาประชาชนฟนฟูภัยพิบัต)ิ 10 ภาคอีสาน (ราง) ขอเสนอเบื้องตนแผนงานปฏิรูปการจัดการน้ําอีสาน คณะอนุกรรมการปฏิรูปที่ดนิ ทรัพยากร สิ่งแวดลอม และน้ํา
2 11
21 28 39 44 62 70 76 105
2
กระบวนการฟนฟูวิถีชีวิตโดยผูประสบภัยเปนแกนหลัก กรณี : พื้นที่ประสบภัยสึนามิ ชายฝงอันดามัน ประเทศไทย
3
กระบวนการฟนฟูวิถีชีวิตโดยผูประสบภัยเปนแกนหลัก กรณี : พื้นที่ประสบภัยสึนามิ ชายฝงอันดามัน ประเทศไทย โดย นายไมตรี จงไกรจักร เครือขายผูประสบภัยสึนามิ นายจํานงค จิตรนิรัตร อาสาสมัครสึนามิ นางปรีดา คงแปน มูลนิธิชุมชนไท ความเปนมาและการเริ่มกระบวนการ หลังจากเหตุการณคลื่นยักษสึนามิถลม 6 จังหวัด ชายฝงทะเลอันดามัน ที่สงผลใหเกิด ความสูญเสียชีวิตคนในครอบครัว ทรัพยสิน เครื่องมือประกอบอาชีพ การทํามาหากิน ฯลฯ จาก ปญหาวิกฤตความเดือนรอนเฉพาะหนาในชวงแรก ไดนํามาสูปญหาที่ยิ่งใหญขึ้น ชาวบานบาง ชุมชนไมสามารถกลับไปปลูกบานในที่เดิมได เนื่องจากปญหาที่ดิน ซึ่งเปนปญหาพื้นฐานเดิม แตการเกิดคลื่นยักษถลมทําใหเปดภาพปญหาเรื่องที่ดินของชาวบานที่อาศัยอยูชายฝงทะเลมา ยาวนานมีความชัดเจนและรุนแรงขึ้น นอกจากนี้สึนามิทําใหพบวากลุมคนชาวเล กลุมคนไทย พลัดถิ่น และกลุมประมงพื้นบาน ที่มีวัฒธรรมและวิถีชีวิตเรียบงายกับธรรมชาติ และเปนเจาของ ทะเลที่แทจริง กําลังถูกรุกรานจากขางนอกอยางรุนแรง จากหมูบานที่ประสบภัยธรณีพิบัติ 407 หมูบาน จํานวนผูเดือดรอน 12,480 ครอบครัว บานพักอาศัยเสียหาย 6,824 หลัง มีชุมชนผูประสบภัยรายแรง 47 หมูบาน ประมาณ 5,448 ครอบครัว ซึ่งมีผูเสียชีวิตประมาณ 8,000 คน เหตุการณภัยพิบัติแตละครั้งที่เกิดขึ้น ประชาชนจํานวนมากเดือดรอนสิ้นเนื้อประดาตัว อกสั่นขวัญหาย คนที่รอดชีวิต มีทั้งหวงการคนหาศพของญาติพี่นองที่ตายหรือสูญหาย และตอง กังวลกับการหาอาหาร น้ํา ยาและที่พักที่ปลอดภัย ทามกลางการทํางาน พวกเราหลอรวมประสบการณ รวมพลังทั้งหมดที่มีอยู ชวยกัน ทํางาน แบงงานกันทําโดยอัตโนมัติ มีเปาหมายเดียวกัน คือแกปญหาผูประสบภัยทั้งเฉพาะหนา และระยะยาว เปนประสบการณที่อยูในความทรงจําของทุกคน .... ทั้งชาวบานที่ประสบภัยสึ นามิ......และนักพัฒนาก็เรียนรูการแกปญหาไปกับกระแสสึนามิ เชนกัน . ในภาวะฉุกเฉิน ผูที่เดือดรอนจะรอรับบริการอยางเดียวไมได เพราะจะมีผูเดือดรอน จํานวนมาก ปญหาที่เกิดขึ้นแตละครอบครัวมีมากตามมาดวย ประกอบกับระบบของหนวยงาน ราชการตางๆ ไมคลองตัว ไมไดมีแผนเพื่อการรับมือกับปญหาวิกฤติ หนทางที่ดีที่สุดคือ ทํา ใหผูประสบภัย ลุกขึ้นมาแกปญหาดวยตัวของเขาเอง การสนับสนุนให ผูเดือดรอนชวยเหลือ กันเอง และสรางการมีสวนรวม หลักๆคือ การรวมคนเดือดรอน รวมเสบียง รวมดูแลคนออนแอ รวมหาที่อยูอาศัย ทําใหการฟนฟูทุกดานจะเกิดขึ้นอยางรวดเร็ว และมีพัฒนาการตอเนื่องระยะ ยาวบทเรียนกรณีภัยพิบัติสึนามิ มีขั้นตอนที่สําคัญ ดังนี้
4
๑. การกูวิกฤติ ในชวง ๗ วันแรกของการเกิดภัยพิบัติ กรณีสึนามิในประเทศไทย ไม มี แ ผนการเตรี ย มความพร อ มล ว งหน า แต เ มื่ อ เกิ ด เหตุ ทั้ ง ภาครั ฐ และภาคเอกชน ออกมา ชวยเหลือเองโดยอัตโนมัติ แบงเปน ๓ สวน หลักๆ คือ ๑.) การชวยแหลือผูบาดเจ็บและคนหา ศพ ที่ประกอบดวยทั้งภาครัฐและเอกชน ตางคนตางลงพื้นที่อยางอิสระของแตละองคกร แต เปนความรวมมือที่ดี เมื่อขอมูลมารวมที่โรงพยาบาล วัด และศาลากลางจังหวัด ๒.) การระดม ของช ว ยเหลื อ ซึ่ ง จะมี ก ารสื่ อ สารทุ ก รู ป แบบทั้ ง โทรศั พ ท วิ ท ยุ แ ละโทรทั ศ น การบริ จ าค ชว ยเหลือจึ งมาจากทั่ว ประเทศอยางรวดเร็ว ๓.) การสํารวจแบบเร็ วๆว าคนที่รอดตายและ เดือดรอนจะอยู ตอไปอย างไร เพราะอยู ในภาวะสับสนวุนวาย วัดหรือโรงเรียนอยูอาศั ยได หรือไม หองน้ํ าควรมีการจัดหาเพิ่มเติม การทําศูนยพักชั่วคราว ควรมีการสํ ารวจพื้นที่โดย สอบถามกับผูประสบภัย ใหไดพื้นที่ที่ผูประสบภัยเชื่อวาปลอดภัย เชน กรณีเกิดภัยสึนามิ ตอง เปนพื้นที่ไกลทะเล ๒. จัดหาเตนสและที่พักชั่วคราว เพื่อเปนที่รวมคน สรางขวัญกําลังใจผูประสบภัย และบรรเทาทุ ก ข เ ฉพาะหน า เหตุ ผ ลที่ ต อ งหาเต น ส ที่ พั ก ชั่ ว ครา เพราะการสร า งบ า นพั ก ชั่วคราวตองใชเวลานานนับเดือน ควรมีการวางแผน ทําผังการกางเตนส และมีกําลังคนที่มาก พอ คืนแรกผูประสบภัยเขามาพักอาจจะไมมาก แตคืนที่สองคืนที่สาม จะมีคนเขามาเพิ่มอีก หลายเท า ตั ว นั ก จั ด ระบบชุ ม ชนต อ งมี ที ม ในการจั ด การ ควรมี ที ม ทํ า ข อ มู ล และ มี ก ารจั ด สํานักงานฯเพื่อเปนศูนยกลางในการประสานงาน ๓. เริ่มจัดระบบชุมชนในที่พักชั่วคราวทันที โดยแบงเปนกลุมยอย หรือโซน ตามกลุม ผูเดือดรอน อาจใชแถวเตนเปนตัวแบง หรือตามสภาพ กลุมหนึ่งไมควรเกิน ๒๐ ครอบครัว แต ละกลุมเลือกตัวแทน ๓-๕ คน มาเปนคณะประสานงาน ๔. จัดประชุมตัวแทนกลุม หรือ คณะประสานงาน เพื่อ สรางแกนนําใหม ทามกลาง วิกฤต ในชวงแรกควรมีการประชุมหารือรวมกันทุกคืน รวมทั้งจัดประชุมชี้แจงแกผูเดือดรอน กระตุนใหมาแกปญหารวมกัน ไมรอใหคนอื่นชวยเพราะผูเดือดรอนมีจํานวนมาก แตคนชวยมี น อย ผู ป ระสบภั ย ต องเริ่ มเองก อน แลว บอกความตองการที่ชัดเจนต อผู ที่ จะมาช ว ยเหลื อ และใชที่ประชุมใหญตั้งกติกาการอยูรวมกันในที่พักชั่วคราว ๕ใการแกปญหาเฉพาะหนารวมกัน แตละคนจะเอาเรื่องที่เดือดรอนมาหารือกัน มีการ วางกติกาการอยูรวมกัน...เชน ไมดื่มเหลา การดูแลความปลอดภัย การรับของบริจาค การ จัดการขยะ การดูแลเด็ก ฯลฯ ๖ใการประชุมปรึกษาหารืออยางเขมขน.....และนําผลที่ไดไปปฎิบัติ มีการติดตามผล รวมกันเปนการเรียนรูทามกลางการทํา ทําใหแกนนําเริ่มเขาใจการรวมคิดรวมทํา ในการ จัดการศูนยพักชั่วคราวรวมกัน อยางคอยเปนคอยไป
5
๗ .รวบรวมขอมูลของสมาชิก เชน ชื่อ สกุล สมาชิกครอบครัว ผูพิการ คนทอง เด็ก คนแก คนปวย คนตาย ที่อยูอาศัยดั้งเดิม ความตองการเรงดวน ระยะยาว ควรแบงงาน ใหตัวแทนกลุมทําหนาที่ในการสํารวจ และมาสรุปรวมกัน จะเปนกระบวนการที่ทําใหตัวแทน กลุ มรู จักสมาชิกในกลุ มของตนเองมายิ่งขึ้น ควรมี นักแผนที่ สถาปนิ ก สนับ สนุ น มี ก าร ประสานสื่อมวลชน มีกลองถายรูป วีดีทัศน เก็บบรรยากาศตางๆไว ๘. ประสานงานกับหนวยงาน หรือ องคกรตางๆในการเขามาชวยเหลือ เชน จัดสราง โรงเรือนอาคารที่จําเปน เพื่อ พยาบาล อาหารเสบียง ศูนยเด็ก หรือสวม น้ําดื่มน้ําใช การดูแล ความปลอดภัย-จัดทําแผนระยะตางๆเสนอตอฝายเกี่ยวของ การประสานความรวมมือหลายองคกรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทามกลางภาวะความ ไรระเบียบ เพื่อใหการจัดระบบการชวยเหลือประสบภัยบรรลุเปาหมาย ใชการประชุมหารือ รวมกันเปนหลัก กรณีที่พักชั่คราวอบต.บางมวง เตนสที่พักจํานวนกวา 800 หลัง เปนที่ดึงดูดให ผูสนับสนุนทั้งหลายหลั่งไหลเขามาไมขาดสาย มีกลุมองคกรตางๆมากวา 50 แหงที่มารวม สนับสนุน เปนพลังภาคประชาชนที่นาสนใจ ๙. การจัดระบบรับบริจาคเขากองกลาง เพื่อแกวิกฤตความวุนวาย สลายความขัดแยง และเปนแบบฝกหัดของการสรางความเอื้ออาทรตอกัน ซึ่งกรณีประเทศไทยสงผลใหเกิดกองทุน หมุนเวียนยั่งยืนจนถึงปจจุบัน หลังจากที่มีการตั้งเตนสชั่วคราวนับพันหลัง การหลั่งไหลของผูบริจาคมีเขามาอยาง มากมาย ผูบริจาคสวนใหญ ตองการแจกของใหถึงมือผูประสบภัย มีการเขาแถวรับของกัน วันละนั บ สิบ ครั้ ง บางรายนํ า ของมานอยบางคนได บ างคนไม ได เกิ ด ความขั ดแย งกั นขึ้ น ประกอบกับที่พักเล็กมากจนไมมีที่เก็บของ...... ควรมี การประชุมหารื อเรื่องการรับ บริจาคของและเงินเขากองกลาง และมีการตั้ง คณะทํางาน ฯ เพื่อทําหนาที่อธิบายใหผูบริจาคเขาใจ การติดปายประชาสัมพันธแจกเอกสาร เปนภาษาอังกฤษ การเปดบัญชีธนาคารรวมกัน ของเขาโกดังตองมีการจัดระบบการเบิกจาย ของใชที่จําเปนอยางเปนธรรม ๑๐. ทีมหลักในการจัดการบริหารศูนยพักชั่วคราวควรเปนนักพัฒนาที่มีประสบการณื มีความยืดหยุนคลองตัว สวนราชการเปนหนวยสนับสนุน ทีมงานควร พักอาศัยในแคมป เพื่อประเมินสถานการณเปนระยะ ๑๑ . สรางศูนยกลางขยายการชวยเหลือไปสูพื้นที่อื่นตอไป เมื่อจัดระบบแคมปแรกลง ตัวแลว ที่สําคัญสนับสนุนใหทีมตัวแทนชาวบาน ไดเปนผูขยายการชวยเหลือเพื่อนผูเดือดรอน ดวยตัวเอง เพื่อสนับสนุนใหเกิดการผูกใจ สรางความสัมพันธที่ดี และเปนเพื่อนกันระยะยาว แคมปแรกเกิดระบบการดูแลระดับหนึ่ง กอนขยายไปสูที่อื่น เชน มีเสบียงอาหาร หมอ ตัวแทนกลุมการประชุม ขอมูล ระบบองคกรหนวยงาน การดูแลผูออนแอ สถานที่ศาสนพิธี ๑๒. สร า งกิ จ กรรมหลากหลายตามความจํ า เป น และเป น การเตรี ย มความพร อ ม ชาวบาน เชน ศูนยเด็กและเยาวชน กลุมอาชีพ (อาจหวังผลทางเศรษฐกิจหรือทางจิตใจ)
6
ฟ น ฟูวั ฒ นธรรม อาสาสมั ค รชุ มชน การจั ด การกองทุ น การออมทรั พ ย หรื อ ธนาคารชุ ม ชน สํารวจศักยภาพ ( หมอยา กอสราง ตอเรือ งานฝมือตางๆ) การออกแบบ วางผัง นาไร ที่อยู อาศัย การสนับสนุนใหมีการเรียนรูทามกลางการทํา ทําใหเกิดคณะทํางานศูนยประสานงาน บานน้ําเค็มและเกิดกองทุนของชุมชนจนถึงวันนี้ การฟนฟูจิตใจแกผูประสบภัยหลายวิธี การรวมคน การสรางที่พักชั่วคราว การประชุม พูดคุย การแบงงานกันไปทํา เปนสวนหนึ่งของการฟนฟูและหลอหลอมจิตใจ นอกจากนี้ยังมี หมอจากหลายองคกร มีผูนําศาสนาเกือบทุกศาสนาที่เขามารวม ๑๓. นักพัฒนาสังเกตและศึกษาแกนนําแตละคนอยางละเอียด ทํางานทางความคิด กุมสภาพให ไ ด อาจใช วิ ธี คุย บุค คล แต ใ ห ใชการประชุมที มเปนหลัก ทุ กครั้ งมี การบั นทึก รายงานตอวงใหญ. ..... ความคิด ทาทีการใหมีสวนรวม ...... ความมีคุณธรรม ทุกดาน ...... การประสานงานกับคนอื่น ระดมความรวมมือได ...... ขยัน ทั้งการคิด และการทํา ...... มีแนวคิดทํางานเปนทีม ๑๔. กรณีเกิดปญหาที่ดิน ภัยพิบัติทุกแหงในประเทศไทย เกิดปญหาการไลที่ จากทั้ง ภาครั ฐและเอกชน เนื่ อ งจากเปนป ญหาที่มีม าเดิม เพื่อไมใ หเ ป น การซ้ํา เติ ม ผูประสบภัย ควรสนับสนุนใหสรางบานในที่ดินเดิม ปญหาเรื่องเอกสารสิทธิที่ดินพิจารณาที หลัง อาจมีการใชคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ตั้งอนุกรรมการแกไขปญหาที่ดินหลังภัยพิบัติ หรือฟองศาล แลวแตกรณี ควรมีนักกฎหมายเขามาชวยเหลือ และ สนับสนุนการจัดทําขอมูล ประวัติศาสตรชุมชน ทําแผนที่ ใชภาพถายทางอากาศยืนยัน ๑๕. การสรางบานและวางผังชุมชน แบบมีสวนรวม ควรหารือกับชาวบานหาก ชุมชนใดตองการกลับไปสูที่เดิมได ควรสนับสนุนงบประมาณในการสรางบานใหมอยางรวดเร็ว โดย มี ส ถาปนิ กมาชว ยออกแบบผั งชุ ม ชนและแบบบ าน โดยใชก ระบวนการมี ส ว นรว มของ ชาวบาน ใหเปนแบบบานที่มาจากความตองการของชาวบาน .......สอดคลองกับวัฒธรรมวิถี ชีวิตชุมชนและทองถิ่น ในชวงสรางบาน ใหใชการสราวบานเปนเงื่อนไขในการสรางคน สราง ความภูมิใจของชุมชน โดยทุกคนทั้งผูชาย ผูหญิง เด็ก มารวมกันสรางบาน ใหมีการแบงงาน กันทํา เชน มีฝายกอสราง ฝายการเงิน ฝายอาหารและน้ํา ฝายประสานงานกับอาสาสมัคร เปนตน ซึ่งกรณีเมืองไทย มี ๒ ลักษณะ คือ (๑). ชุมชนที่ผูสนับสนุนมีเงื่อนไขใหผูอยูอาศัย สร า งบ า นกั น เอง ( มี ก ารระดมอาสาสมั ค รทั้ ง ในและต า งประเทศมาร ว มกั น สร า ง ) เป น กระบวนการสรางการมีสวนรวมของชุมชน ทําใหคนในชุมชนรักและหวงแหนชุมชน เกิดการ เรียนรูนิสัยใจคอ ความเอื้ออาทร ความสามรถที่แทจริงระหวางกันชัดเจน เปนประโยชนกับ
7
การจัดตั้งคณะกรรมการในการบริหารจัดการเรื่องตางๆของชุมชนในระยะตอไป (๒) .ชุมชนที่ หนวยงานราชการ (ทหาร ) สรางบานใหแลวเสร็จ ผูอยูอาศัยเขาไปอยูอยางเดียว ขาดการมี สวนรวม ชุมชนเหลานี้ มีปญหาในการจัดการทุกดาน เพราะรอใหราชการมาจัดการให อีกทั้ง แบบบานที่สรางไมเหมาะสมกับการใชงานในวิถีประจําวัน เชน ไมมีพื้นที่วางเครืองมือประมง เปนตน และในกรณีเมืองไทย บานน็อคดาวนสําเร็จรูปจากตางประเทศไมสอดคลองกับสภาพ อากาศทําใหรอนอบอาว ๑๖. การชวยเหลือคนชายขอบ เชน ชาวเล คนไรสัญชาติ หรือแรงงานตางดาว เมื่อเกืดภัยพิบัติคนเหลานี้จะไมไดรับการชวยเหลือ เพราะไมมีบัตรประชาชน ไมมีสิทธิใด จึง ควรมีการสนใจเปนพิเศษ คนเหลานี้จะมีปญหาความไมมั่นคงในการอยุอาศัยตามมา ๑๗. การฟนฟูวัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรม ศาสนา การละเลนพื้นบาน ภูมิ ปญญา ภาษาของชาวบาน รวมทั้งการสนับสนุนใหเกิดลานวัฒธรรม พิพิธภัณฑทองถิ่น สิ่งเหลานี้ เปนกระบวนการรวมคน สรางขวัญกําลังใจ บําบัดความโศกเศราเสียใจ สรางความ มั่นใจและเพิ่มพลังชีวิต โดยเฉพาะกลุมคนชายขอบ หรือคนกลุมนอย มีโอกาสแสดงออกใน ลักษณะตางๆ กรณีประเทศไทยสามารถฟนฟูกลุมศิลปนอันดามันที่มีการแสดง เชน ร็องแง็ง ลิเกปา มโนราห รํามะนา ฯลฯ ไดถึง ๓๐ กลุม ๑๘. การเรงสรางชุมชนใหมที่เขมแข็งในที่ดินเดิม การยายออกจากที่พักชั่วคราว กลับสูชุมชนเดิม ควรมีการวางแผนรวมระหวางผูประสบภัย และมีสิ่งอํานวยความสะดวก พื้นฐาน เชน น้ํา ไฟ ที่ทําการชุมชน คณะกรรมการชุมชนที่ผานการหารือกัน ศูนยดูแล เด็ก คนปวย กองทุนการประกอบอาชีพ หรือพื้นที่สาธารณะอื่นๆ คารมีกิจกรรมตอเนื่องใน ชุมชน รวมทั้ง การทําบุญ ทําพิธีกรรม เพื่อสรางขวัญกําลังใจกอนการเขาบานใหมเปนเรื่อง สําคัญ อีกประการหนึ่ง ๑๙. การเกิดเครื อขายผู ประสบภั นสึนามิ ในกรณีประเทศไทยมีการประกาศตั้ ง เครือขายผูประสบภัยสึนามิ ตั้งแต ๓ เดือนแรกของการประสบภัย โดยสนับสนุนใหแกนนํา ของผูประสบภัยแตละพื้นที่ ไดพบปะแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งในเบื้องตนมีสมาชิกประมาณ ๓๐ ชุมชน และจะมีผูประสบภัยที่เพิ่มขึ้นเปน ๑๓๐ ชุมชนในระยะตอมา ใหใชปญหารวมเปน เงื่อนไขในการเชื่อมโยงกันเปนเครือขาย ฯ กรณีเมืองไทยมีปญหาที่ดิน ปญหาไมมีบัตรไมมี สิทธิไดรีบการชวยเหลือ เครือขาย ฯ จึงทําหนาที่ในการรวบรวมปญหาเสนอตอรัฐบาล โดย การเผยแพรทางสื่อสาธารณะ การเสนอผานหนวยงานราชการที่เกี่ยวของ และการเจรจากับ รัฐบาลเปนระยะ สงผลใหรัฐบาลตั้งคณะอนุกรรมการแกไขปญหาที่ดินในพื้นที่ธรณีพิบัติ อยางเรงดวน ๒๐. การสนับสนุนใหชุมชนทําแผนแมบทในการแกปญหาและพัฒนาชุมชนระยะยาว การยายกลับเขาสูชุมชนเดิม เรื่องอาชีพ รายได การอยูการกิน การเรียนหนังสือของเด็ก เปน เรื่องสําคัญที่จะตองสนับสนุน และการสนับสนุนควรเนนความยั่งยืน ใหผูประสบภัยสามารถ
8
พึ่งตนเองไดในระยะยาว ควรมีการจัดทําแผนรวมกันทั้งในระดับชุมชนวาจะทําอะไรกอนหลัง และแผนการพัฒนาความเขมแข็งของเครือขาย กรณี บานน้ําเค็ม จังหวัดพังงา นอกจากมี แผนการพัฒนาชุมชนแลว มีการทําแผนเตรียมความพรอมรับมือกรณีเกิดภัยพิบัติ โดยมีทีม อาสาสมัครชาวบาน มีการซอมหนีภัย วิทยุสื่อสาร การเฝาระวังคลื่น กรณีจังหวัดภูเก็ต เครือขายชุมชนพัฒนาเมืองภูเก็ต รวมลงนามความรวมมือกับองคกรที่เกี่ยวของ ในการปลูก ปาชายเลน ๑ ลานตน การพัฒนาแกนนํา และการสนับสนุนใหเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรูดูงาน การประชุมสรุปบทเรียน ใหผูประสบภัยรวมกันระดมความเห็นและตรวจสอบจุดออน จุดแข็ง ของตนเอง เปนระยะ และนักพัฒนาควรใชทั้งความสําเร็จและความลมเหลว เปนบทเรียนใน การทําใหแกนนําชุมชนไดเขาใจ และวิเคราะหได ขั้นตอนการสนับสนุนใหกลุมผูประสบภัยเชื่อมโยงกันเปนเครือขาย
บา ย ย โ น ง ิ บเช น้ํา ท ะ ร ก ผล . / โฉ น ด อพท นา ฯลฯ การพัฒ
ปญหาที่ดิน / กรณีพิพาทเอกชน /ที่ดินรัฐ การคืนสัญชาติ
ล รัฐบา
การเสนอแกปญหา เชิงนโยบาย การเสนอผลการฟนฟูโดยชุมชน ครบรอบ 1 ป
อนุกรรมการแกไข ปญหาที่ดินสึนามิ
การเชื่อมประสานระหวาเครือขาย“เครือขาย ผูประสบภัย 6 จังหวัด” การแกไขปญหาที่ดิน / สํารวจขอมูล / เชื่อมโยงในระดับ พื้นที่และเครือขาย
กระบวนการ “สึนามิ”
การพัฒนาแกนนํา / ขยายคณะทํางาน กองทุนฟนฟูชุมชน / เรือ / กลุมอาชีพ การฟนฟูวิถีชีวิต / วัฒนธรรม / ประเพณี / ศิลปน
สรางบานถาวร / ออกแบบบาน / ชุมชนสรางบานเอง สนับสนุนการรวมกลุม / การมีสวนรวม / คณะทํางานรับบริจาคของ / คณะทํางานบานพัก การแกปญหาเฉพาะหนา ที่พัก / อาหาร ฯลฯ
๑๔. การบริจาคเปนดาบ ๒ คม ขอควรระวัง คือ การบริจาคทําใหผูประสบภัยหวัง
พึ่งพิงคนอื่นมากขึ้นจนแกไขยาก กรณีเมืองไทย คือ( ๑.) ผูบริจาคที่ใจบุญไมเขาใจการสราง เงื่อนไขใหเกิดความเขมแข็งในชุมชน บริจาคโดยไมเขาใจ ไมรูจักสภาพของชุมชน ทําใหผูนํา บางคนยักยอกเงิ นขาดความเชื่อถื อจากสมาชิกเป นการใหที่ทําลายโดยไมเจตนา ( ๒.) ผู บริจาคที่สรางเงื่อนไขในการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของชุมชน ซึ่งตองมีกลไกในการบริหาร
9
จัดการกองทุนรวมกัน มีการตรวจสอบ มีการแบงงานกันทํา เปนตน แตควรมีการติดตามจาก ผูสนับสนุนอยางตอเนื่อง เพราะยังมีปญหาเกิดขึ้นอีกหลายประการ ๒๓. สนั บ สนุ น ให ส รุ ป ป ญ หาและ ผลการทํ า งานฟ น ฟู ชุ ม ชนของเครื อ ข า ยชุ ม ชน ผูประสบภัย เพื่อเสนอตอสาธารณะ เปนการสรางความภาคภูมิใจ ความมั่นใจในการ รวมกันคิก รวมกันทํา และรวมกันผลักดันการแกปญหาอื่นๆในระยะยาว กรณีประเทศไทย ผลการทํางานของเครือขาย มีดังนี้ • สรางบานผูประสบภัย ๑,๐๓๐ หลังใน ๑๙ ชุมชน • สรางและซอมเรือประมง ๑,๗๐๐ ลํา • จัดตั้งกลุมอาชีพ ๔๙ กลุม มีสมาชิก ๑,๕๐๐ คน • จัดตั้งกองทุนเรือ กองทุนอาชีพ และกลุมออมทรัพย ๗๒ กลุม • จัดตั้ง กลุมเยาวชน กลุมอนุรักษปาชายเลน ๑๒ กลุม • แกปญหาที่ดินได ๑๓ กรณี จํานวน ๑,๑๕๖ ครัวเรือน ขอเสนอใหรัฐแกไขปญหาเพื่อที่ชุมชนผูประสบภัยจะทํางานฟนฟูชุมชนอยางยั่งยืน ๑.) ออกระเบียบรับรองชุมชนผูประสบภัยในที่ดินรัฐ เปน “สิทธิรวมของชุมชน ” ๒.) เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่เอกชนออกโดยมิชอบ และทับซอนชุมชน ๓.) จัดหาไฟฟาและน้ําประปาใหชุมชนผูประสบภัย ๔.) แกไข ระเบียบ ขอบังที่เปนอุปสรรคในสรางบาน ๔.) เรงสํารวจแกปญหาคนไรสัญชาติ ๕.) จัดสรรงบประมาณเปนกองทุนหมุนเวียนใหชุมชนผูประสบภัย ๖.) ใหเด็กที่ประสบภัยทุกคน มีสิทธิพิเศษในการเรียนและรักษาสุขภาพ ๗.)บรรจุหลักสูตรสึนามิและภูมิปญญาทองถิ่นเกี่ยวกับการเตือนภัยในโรงเรียนริมทะเล ๘.)ใหชุมชนจัดระบบเตือนภัยของตนเองเสริมระบบเตือนภัย เชน วิทยุชุมชน วิทยุสื่อสาร ๙.) ชุมชนผูประสบภัยมีสวนรวมทุกขั้นตอนในการจัดผังที่ดินใหม ๑๐). ยกเลิกโครงการพัฒนาขนาดใหญที่กระทบตอวิถีชีวิตชุมชน
10
บทสรุป กรณีประเทศไทย การเกิดภัยพิบัติ ทําใหสังคมไดรับรุวา ยังมีชุมชนตาง ๆ ที่ไมไดรับ การปกป อ งคุ ม ครอง และการไม ไ ด รั บ สวั ส ดิ ก ารพื้ น ฐาน เช น บั ต รประจํ า ตั ว ประชาชน การศึกษา ยารักษาโรค เครื่องนุงหม ที่อยูอาศัย มีคุณภาพชีวิตต่ํากวาเกณฑปกติของคน ชายขอบ เชน ชาวเลและคนไทยพลัดถิ่น มีความไมมั่นคงในที่ดินและที่อยูอาศัย แมจะมี ประวัติศาสตรชุมชนมายาวนานกวา 100 ปก็ตาม มีนโยบายและแผนพัฒนาของรัฐที่มีผลกระทบ ตอวิถีชีวิตชาวเล ชาวประมง และวิธีการ ทํามาหากินโดยรวมและเกิดความขัดแยงในการแยงชิงทรัพยากร ชาวเลไมมีโอกาสอยูริมหาดที่ เคยอยูจอดเรือ ไมมีอิสระในการหาปลาเพราะทะเลมีเจาของ ทําอาชีพบริการไมได เพราะมี แผนการสัมปทาน ทาเรือนําลึกของตางชาติ หรือกิจการการลงทุน ตาง ๆ ไมยอมรับกติกาการอนุรักษ ทรัพยากรของชุมชนตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เปนตน สึนามิเปนภัยพิบัติจากธรรมชาติ แตเปดใหเห็นถึงสิ่งที่มนุษยกระทําตอมนุษย จะเห็น ไดวาในที่สุดแลวกลับกลายเปนปญหาความไมเปนธรรมในการพัฒนา ทีไปละเมิดสิทธิของ ชุมชน ที่อยู กอนสึนามิมานับรอยป คุณภาพชีวิตของคนชายฝงอันดามันจึงทุกขยาก ตกต่ําลง ทุกวันในขณะที่ทรัพยากรที่อุดมสมบูรณกลับตกอยูในมือของนักธุรกิจทั้งไทยและตางประเทศ ที่ดินชายหาด ทั้งบนฝงและพื้นที่เกาะ แมกระทั่งปาชายเลน ก็ตกไปเปนทรัพยากรสวนบุคคล แทบทั้งหมด ซึ่งในการแกไขปญหานี้ ตองเปนการแกไขในระดับนโยบายที่เปดโอกาสให ชุม ชน ประชาชนคนเล็ ก ๆ ทุ ก ชาติ พัน ธุ มี สว นร ว มเป นตั ว หลัก ในการพั ฒ นาท อ งถิ่ น และ ประเทศ กรณีสึนามิประเทศไทย ไดพิสุจนใหเห็นแลววา กระบวนการพัฒนาสามารถเปลี่ยน วิก ฤตเป น โอกาสได สามารถทํ า ให คนที่ตางคนต า งอยู รวมกันเปน เครื อข ายช ว ยเหลื อกั น สามารถทําใหเกิดเครือขายชุมชนที่เขมแข็ง มีคุณภาพ เขารวมการพัฒนาเรื่องอื่นๆ ของสังคม ไดอยางยั่งยืน ดั ง นั้ น การเปลี่ ย นภั ย พิ บั ติ เ ปน กระบวนการพั ฒ นาควรเป นยุ ท ธศาสตร สํ า คั ญ ที่ หนวยงานที่เกี่ยวของในระดับนานาชาติ ทั้ง ยูเอ็น อาเซี่ยน ธนาคารโลก กาชาดสากล ฯลฯ ใหการสนับสนุนฟนฟูวิถีชีวิตชุมชนผูประสบภัยพิบัติทุกประเภท ที่กําลังเกิดขึ้นและที่จะ เกิดขึ้นอีกในอนาคต
11
การศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดการความเสีย่ งจากภัยพิบัติโดยชุมชนเปนฐาน จากภาคประชาสังคม : กรณีศึกษาชุมชนบานน้ําเค็ม ต.บางมวง อ.ตะกัว่ ปา จ.พังงา
12
การศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดการความเสีย่ งจากภัยพิบัติโดยชุมชนเปนฐาน จากภาคประชาสังคม : กรณีศึกษาชุมชนบานน้ําเค็ม ต.บางมวง อ.ตะกัว่ ปา จ.พังงา ศิรินันต สุวรรณโมลี1 สุรพงษ ชูเดช2 และ มิชิตา จําปาเทศ รอดสุทธิ3 บทคัดยอ บทความนี้เปนนําเสนอผลการศึกษาเชิงคุณภาพเกี่ยวกับการศึกษาปญหา อุปสรรค และแนวทางการพัฒนาการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยมีชุมชนเปนฐานจากภาคประชา สั ง คม จากบทเรี ย นของชุ ม ชนบ า นน้ํ า เค็ ม ตามแนวความคิ ด การดํ า รงชี วิ ต อย า งยั่ ง ยื น (sustainable livelihoods) โดยใชเทคนิคเดลฟาย (Delphi) ในการรวบรวมขอคิดเห็นจาก ผูปฏิบัติงานภาคประชาสังคม ไดแก ชุมชน องคกรพัฒนาเอกชนและภาครัฐที่รวมดําเนินงานกัน จํานวน 10 คน ผลการศึกษาพบวา 1) ในการดําเนินงาน พบปญหาดานการมีสวนรวม ดาน งบประมาณ ดานความรูความเขาใจในสิทธิหนาที่ในการดําเนินงานและดานการประสานงาน ระหวางองคกร 2) แนวทางในการพัฒนาการดําเนินงานคือ ภาคชุมชนควรมีการรวมกลุมและ การจัดการองคกรชุมชน (Organization Building) ซึ่งเปนหัวใจของกระบวนการจัดการความ เสี่ยงจากภัยพิบัติโดยมีชุมชนเปนฐาน ตั้งแตชวงตนของการฟนฟูชุมชน สวนภาครัฐและองคกร พัฒนาเอกชน ควรประสานการดําเนินงานรวมกัน โดยดานการมีสวนรวมนั้น องคกรพัฒนา เอกชนสามารถชวยทํางานเชิงลึกวางรากฐานการจัดการตนเองใหกับชุมชนได ดานงบประมาณ และอุปกรณ ในชวงตนนั้นองคกรพัฒนาเอกชนสามารถจัดหามาใหกับชุมชนไดคลองตัวกวา ภาครัฐ สวนภาครัฐสนับสนุนการสานตอการดําเนินงานใหกับในระยะยาวควบคูไปกับใหความรู และสรางความเขาใจในสิทธิหนาที่ในการดําเนินงานที่ถูกตองแกชุมชน คําสําคัญ : ภัยพิบัติ, การจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยมีชุมชนเปนฐาน, การดํารงชีวิต อยางยั่งยืน บทนํา เหตุการณสึนามิซัดชายฝงอันดามัน ในวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ไดสรางจุดเปลี่ยนใหประเทศ ไทยไดตระหนักถึงวิกฤตที่เกิดขึ้นจากความเสียหายจากภัยพิบัติ และไดทําใหคนไทยไดรวมตัว รวมใจเปนหนึ่งเดียวกัน จนเกิดความเปนประชาสังคม (Civil Society) จากผูที่มีจิตอาสาทั้ง ประชาชนทั่วไป ภาครัฐ และภาคเอกชนที่อยูนอกพื้นที่ประสบภัยโยงความชวยเหลือกันอยางไร พรมแดน โดยมีทุนทางสังคมของความไววางใจมาชวยลดชองวางระหวางบุคคลหรือองคกร ทํา ใหทุกภาคสวนรวมกันทํางานไดในฉับพลัน ดังกรณีของชุมชนบานน้ําเค็ม ต.บางมวง อ.ตะกั่ว ปา จ.พังงา ที่ไดรับความชวยเหลือจากภาคประชาสังคม ตั้งแตการบริจาคตามความตองการขั้น พื้ น ฐ า น ไ ป จ น ถึ ง ก า ร ส ร า ง วิ ธี คิ ด ที่ ชี้ ใ ห ชุ ม ช น เ ห็ น ค ว า ม สํ า คั ญ ใ น จั ด ก า ร ต น เ อ ง 1
นักศึกษาโปรแกรมทักษะการจัดการทรัพยากรฐานชุมชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาธนบุรี สายสังคมศาสตรและมนุยศาสตร คณะศิลปศาสตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาธนบุรี 3 สถาบันการบริหารและจิตวิทยา 2
13
(Self-organization) เริ่มจากแกปญหาและเรียนรูจากปญหาควบคูกันไป โดยไมรอคอยแตความ ชวยเหลือจากภายนอกชุมชน(สุริชัย, 2550) กระทั่งหาแนวทางในการสรางความมั่นคงใหกับ การใชชีวิตในชุมชนโดยเลือกใชเทคนิคการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยมีชุมชนเปนฐาน (Community-based Disaster Risk Management: CBDRM) มากําหนดมาตรการลดความ เสี่ยงในการวางแผนการ บริหารทรัพยากร ปองกันและแกไขปญหาทุกขั้นตอน โดยอาศัยความ เขาใจดานสภาพแวดลอมและบริบทของคนในชุมชนเปนหลัก (นิลุบล, 2006) เมื่อพิจารณาปรากฏการณในขางตนแลวจะเห็นวา ความเปนประชาสังคมจากผูสนับสนุน ภายนอกและการจัดการตนเองจากภายในชุมชนเปนปจจัยที่โยงใหการฟนฟูและเตรียมพรอม รับมือกับภัยพิบัติเกิดขึ้นไดอยางครบวงจร การศึกษาในครั้งนี้จึงสนใจกระบวนการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติของชุมชนบาน น้ําเค็ม ตําบลบางมวง อําเภอตะกั่วปา จังหวัดพังงา ซึ่งมีบทเรียนที่สามารถนําไปขยายผล สู แนวทางการพัฒนาการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยมีชุมชนเปนฐานจากภาคประชาสังคม โดยลดชองวางและเชื่อมโยงการดําเนินงานจากทั้ง 3 ภาคสวนไดแก ภาคชุมชน องคกรพัฒนา เอกชน และภาครัฐได วัตถุประสงค 1. เพื่อศึกษาปญหา อุปสรรค พรอมทั้งแนวทางการแกไขในการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ โดยมีชุมชนเปนฐานของชุมชนบานน้ําเค็มจากภาคประชาสังคม 2. เพื่ อศึ กษาแนวทางการพั ฒนาการจั ดการความเสี่ ยงจากภั ย พิ บัติ โดยมีชุ มชนเป นฐานจาก บทเรียนความรวมมือกันในภาคประชาสังคมของชุมชนบานน้ําเค็ม วิธีดําเนินการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ผูวิจัยนําเอาเทคนิคเดลฟาย (Delphi) มาใชในการรวบรวมขอคิดเห็นเกี่ยวกับ แนวทางการพัฒนาและสนับสนุนการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยมีชุมชนเปนฐาน โดย เลือกผูเชี่ยวชาญแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และใชวิธีบอกตอ (Snowball Sampling) จากผูปฏิบัติงาน ผูเชี่ยวชาญจากชุมชน องคกรพัฒนาเอกชนและภาครัฐ จํานวน10 คน ผลการวิจัย 1. การศึกษาบทบาทของแตละภาคสวนในกระบวนการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ โดยมีชุมชนเปนฐาน โดยทั่วไปกระบวนการ CBDRM จะประกอบดวยขั้นตอนการดําเนินงานทั้งหมด 7 ขั้นตอน (นิลุบล, 2006) ดังภาพที่ 1 ซึ่งหากแบงชวงเวลาในการดําเนินงานตามแนวคิดการจัดการตนเอง (Seixas และคณะ, 2008) แลวจะพบวาการดําเนินงานมีอยู 2 ชวงใหญๆ คือ ชวงเริ่มตนการ จัดการ ไดแก กระบวนการ CBDRM ขั้นที่ 1-5 และชวงสานตอการจัดการ ไดแก กระบวนการ CBDRM ขั้นที่ 6-7
14
ขั้นตอนที่ 1
• การเลือกชุมชนและพื้นที่ดําเนินงาน
2
• การทํามวลชนสัมพันธ และการสรางความเขาใจกับชุมชน
3
• การจัดองค กรชุม ชนในการจัดการภัยพิบัติ
4
• การจัดทําแผนการจั ดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยการมีสวนรวมของชุมชน
5
• การประเมินความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยการมีสวนรวมของชุมชน
6
• การเสริมสรางขีดความสามารถใหแกชุมชน
7
• การติดตามการทํางาน การรายงานผลและการปรับปรุงแกไข
ภาพที่ 1 ขั้นตอนของการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยมีชุมชนเปนฐาน 1.1 ชวงเริ่มตนการจัดการ กอนที่ศูนยเตรียมความพรอมปองกันภัยพิบัติแหงเอเชีย (ADPC) จะจัดการอบรม CBDRM ในป พ.ศ.2547 ชาวบานไดรับการสนับสนุนขององคกรพัฒนาเอกชนในการจัดระบบการ รวมกลุมและสรางการเรียนรูผานการลงมือปฏิบัติตั้งแตพักอยูที่ศูนยพักชั่วคราวบางมวง ในการ แก ป ญ หาความเป น อยู จ ากผลกระทบของสึ น ามิ เช น การฟ น ฟู แ ละจั ด ตั้ ง กลุ ม อาชี พ การ แกปญหากรรมสิทธิ์ที่ดิน การฟนฟูวัฒนธรรมซึ่งเปนกระบวนการรวมคน บําบัดความโศกเศรา เสียใจ สรางความมั่นใจและเพิ่มพลังชีวิต การสนับสนุนใหชุมชนทําแผนแมบทในการแกปญหา และพั ฒ นาชุ ม ชนระยะยาวเพื่ อ การพึ่ ง พาตนเอง การสานเครื อ ข า ยผู ป ระสบภั ย สํ า หรั บ แลกเปลี่ยน รับฟงปญหาระหวางผูประสบภัยและยื่นขอเสนอในการจัดการปญหาตอภาครัฐ ซึ่ง เปนกิจกรรมที่วางรากฐานในการจัดการตนเองใหกับชาวบาน จนเมื่อชาวบานยายจากศูนยพักชั่วคราวบางมวง กลับมายังชุมชนบานน้ําเค็มซึ่งเปนที่พัก อาศัยเดิม การสรางทีมที่จะเตรียมพรอมตอความเสี่ยงจากคลื่นสึนามิซึ่งเคยสรางความสูญเสีย ใหกับชุมชนก็เริ่มขึ้นโดยมีชาวบานเปนตัวหลักในการตั้งคณะกรรมการ จัดการคนในชุมชนให ทําหนาที่ตางๆ โดยมีศูนยในการบริหารการจัดการ คือ ศูนยประสานงานชุมชนบานน้ําเค็มซึ่ง ทําหนาที่ประสานกับองคกรที่เขามาชวยทั้งภาครัฐ องคกรพัฒนาเอกชน อาสาสมัครและคน ทั่วไป และศูนยอาสาสมัครปองกันภัยฝายพลเรือน (อปพร.) บานน้ําเค็ม เปนแกนหลักในการ เฝาระวังและเตรียมพรอมตอภัยจากคลื่นสึนามิ โดยมีองคกรบริหารสวนตําบลบางมวงสนับสนุน งบประมาณในการอบรมและจัดซื้ออุปกรณที่จําเปนตอการกูภัย การซอมอพยพ สวนองคกร พัฒนาเอกชนเปนพี่เลี้ยงที่ใหคําปรึกษาในการทําแผนจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติซึ่งตองใช เวลาถึง 1 ปเต็ม
15
1.2 ชวงสานตอการจัดการ หลังจากที่เกิดแผนเตรียมความพรอมรับมือกับภัยพิบัติจนชุมชนตั้งทีมและสามารถดําเนินงาน จนเปนระบบของตนเองแลว องคกรพัฒนาเอกชนที่อยูในพื้นที่ก็คอยๆ ลดบทบาทของตนเองลง จากพี่เลี้ยงที่อยูใกลชิด มาเปนผูชวยที่คอยสังเกตการณ ใหคําปรึกษาเมื่อชุมชนตองการความ ชวยเหลือและใหการสนับสนุนการพัฒนาความสามารถตอยอดที่จําเปนตอการพัฒนาตนเองของ ชุมชน สวนภาครัฐหลังจากสนับสนุนกระบวนการ CBDRM และทีมอปพร.ของบานน้ําเค็มแลว ยังมีการพัฒนาความสามารถของอาสาสมัครตอเนื่องดวยการฝกอบรมทักษะในการกูชีพกูภัยใน โครงการ หนึ่งตําบล หนึ่งทีมกูภัย (OTOS) และนําชุมชนเขารวมโครงการชุมชนเขมแข็ง เตรียมพรอมปองกันภัยเปนชุมชนนํารองในป พ.ศ.2551 ซึ่งใชถึงเวลา 1 ปเต็มในการพัฒนา ระบบขอมูลและการจัดการความรูดานภัยพิบัติของชุมชน พัฒนาแผนการจัดการความเสี่ยงภัย ตอยอดจาก CBDRM เดิมที่ไดรับการอบรมไวแลวใหเขมแข็งใหครอบคลุมภัยอื่นๆ ตลอดจน สามารถพึ่งพาตนเองในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยกรมปองกันและบรรเทาสาธารณภัย ใน กระทรวงมหาดไทยเปนผูรับรองใหบานน้ําเค็มไดเปนชุมชนนํารองในโครงการชุมชนเขมแข็ง เตรียมพรอมปองกันภัย 2. การศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยมีชุมชนเปนฐาน ในศึกษาครั้งนี้ใชแนวคิดการดํารงชีวิตอยางยั่งยืน (DFID, 2000) ศึกษาความสัมพันธของ องค ประกอบที่มีผลตอวิธีการดํ ารงชีวิต 5 ประการ นํามาอธิบายแนวทางในการพัฒนาการ จัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติแกชุมชนโดยใชความคิดเห็นจากผูเชี่ยวชาญดานปญหาและแนว ทางแกไขที่พบในการดําเนินงานตามกรอบการดําเนินงานการดํารงชีวิตอยางยั่งยืน องคกรและกระบวนการ ตนทุนในการดํารงชีวิต
ความเสี่ยงและ ความเปราะบาง -ความเสียหาย -แนวโนม -ฤดูกาล
H S
N
P
F
ผลที่ชุมชนไดรับ
ที่กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลง
โครงสราง -ภาครัฐ -ภาคเอกชน กระบวนการ -กฎหมาย -นโยบาย -วัฒนธรรม - สถาบัน
วิธีการ ดําเนิน ชีวิต
- รายไดทเี่ พิ่มขึ้น - ความเปนอยูท ี่ดขี ึ้น - ความเปราะบางลดลง - มีความยัง่ ยืนในการ ใชทรัพยากรธรรมชาติ มากขึ้น
H = ทุนมนุษย (human capital) N = ทุนธรรมชาติ (natural capital) F = ทุนทางการเงิน (financial capital) P = ทุนกายภาพ (physical capital) S = ทุนทางสังคม (social capital)
ภาพที่2 กรอบการดําเนินงานในการดํารงชีวิตอยางยั่งยืน (Sustainable livelihoods framework)
องคประกอบในการดํารงชีวิตอยางยั่งยืนทั้ง 5 ประการ ดังภาพที่ 2 นั้น มีความสัมพันธกัน คือ
16
-
-
-
-
บริบทของความเสี่ยงและความเปราะบาง (vulnerability context) ใชอธิบายความเสี่ยง ของชุมชนที่อาจเกิดความเสียหายอยางฉับพลัน เชน ภัยธรรมชาติ การขาดเงินใชจาย ป ญ หาความขั ด แย ง การเปลี่ ย นแปลงตามฤดู ก าล เช น การทํ า อาชี พ ในช ว งฤดู ต า งๆ แนวโน ม ของป จ จั ย ต า งๆ ที่ มี ผ ลกระทบต อ วิ ถี ก ารดํ า รงชี พ เช น แนวโน ม ประชากร ทรัพยากร เศรษฐกิจ รัฐบาล นโยบาย และเทคโนโลยี เปนตน ตนทุนในการดํารงชีวิต (livelihood assets) ใชอธิบายถึงตนทุนชุมชนนํามาใชในการ ดําเนินงาน ไดแก H = ทุนมนุษย (human capital) เชน ความรู ขีดความสามารถในการทํางาน ภาวะผูนํา สุขภาพ N = ทุนธรรมชาติ (natural capital) เชน พื้นที่ทํากิน การชลประทาน ทรัพยากรชายฝง F = ทุนทางการเงิน (financial capital) เชน เงินเดือน กองทุนในชุมชน เครื่องมือทํากิน บาน P = ทุนกายภาพ (physical capital) เชน ถนน ไฟฟา ประปา และสาธารณูปโภคตางๆ S = ทุนทางสังคม (social capital) เชน การรวมกลุม ภาคีเครือขาย ประชาสังคมที่สนับสนุน องคกรและกระบวนการที่กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลง (transforming structures & processes) ใชอธิบายปจจัยสนับสนุนจากอิทธิพลของทรัพยากร ที่ในขณะเดียวกันก็ทําให เกิดการเปลี่ยนแปลงของภาครัฐและชุมชน ที่นําไปสูการปรับปรุงการดําเนินงานเพื่อสราง ความมั่นคงในการดําเนินชีวิต ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้มีกระบวนการจัดการความเสี่ยงจากภัย พิบัติโดยมีชุมชนเปนฐานเปนกระบวนการที่สรางการเปลี่ยนแปลง ยุทธวิธีในการดําเนินชีวิต (livelihood strategies)ใชอธิบายแนวทางในการปรับปรุงวิธี ดําเนินชีวิตใหมีความมั่นคงมากขึ้น ผลที่ชุมชนไดรับ (livelihood outcomes) เปนผลไดที่เกิดจากการเลือกวิถีการดําเนินชีวิต ซึ่งการศึกษาในครั้งนี้จะใหความสําคัญกับการลดความเปราะบางในการดํารงชีวิตเปนหลัก
3. ภาพรวมของปญหาและแนวทางแกไขในการดําเนินงาน ในการตั้ง ที ม เตรี ย มพร อมรั บ มือ ภั ย พิ บัติ ช ว งแรกๆพบว า ชาวบ า นขาดความเชื่ อ ถื อ ในการ ดําเนินงานกันเอง ปญหาอคติและความขัดแยงภายในชุมชน ซึ่งแกไขไดโดยสรางความรูความ เขาใจในการดําเนินงานและสรางความรวมมือกันในการแกปญหาและลดความขัดแยงที่เกิดขึ้น จนเขาสูชวงสานตอการจัดการ ก็พบปญหาดานการสรางการมีสวนรวมในระยะยาวและปญหา การขาดงบประมาณในระยะยาว ซึ่งสามารถแกไขไดโดยดวยการผสานกลุมตางๆในชุมชน ให เกิดการสื่อสารกันอยางตอเนื่อง ซึ่งนําไปสูการพึ่งพาตนเองในการสรางรายไดมาสํารองหรือ หมุนเวียนการดําเนินงานตอไป สวนปญหาที่มาจากภายนอกชุมชน โดยมากจะมาจากขอจํากัด ของภาครั ฐ การแกปญหา คือ ผูป ฏิบั ติงานจากทุกภาคสวนปรับเปลี่ยนทั ศ นคติใ ห เป นการ ทํางาน ทุกองคกรตองทํางานเปนทีมเดียวกัน ตองใหความสําคัญกับการดําเนินงานโดยชุมชน เปนฐาน กลาวคือ ตองทํางานโดยใหชุมชนเปนศูนยกลาง ทุกสวนตองเห็นประโยชนของชุมชน เปนหลัก ใหอํานาจการตัดสินใจอยูที่ชุมชน
17
4. แนวทางการพัฒนาและขยายผลการดําเนินงาน 4.1 แนวทางในการพัฒนาการดําเนินงาน จากการสัมภาษณถึงปญหาและแนวทางในการแกไขจากการดําเนินงานในขางตน ผูวิจัยไดสราง แนวทางในการพัฒนากระบวนการ CBDRM ทั้ง 7 ขั้น ออกมาเปนแผนภาพที่ 3 ไดดังนี้ ขั้นตอนที่
1
การเลือกชุมชนและพืน้ ที่ดําเนินงาน
2
การทํามวลชนสัมพันธ และการสรางความเขาใจกับชุมชน
3
การจัดองคกรชุมชนในการจัดการภัยพิบัติ
4
5
เลือกชุมชนทีม่ ีความพรอมและความตั้งใจตอการจัดการตนเองกอน ทุกภาคสวนรวมกัน สื่อสารเรื่องสิทธิ หนาที่ และความรูพ้นื ฐานดานภัยพิบัติอยางชัดเจน เพื่อสรางความตระหนักในการจัดการตนเองแกชุมชน ขั้นแรกตองคนหาแกนนําที่เปนตัวจริงมาเปนอาสาสมัครรวมกันทํางาน จากนั้นกระตุนใหภายในชุมชนไดเชื่อมโยงการเรียนรูเขาดวยกัน
การประเมินความเสีย่ งจากภัยพิบัติโดยการมีสวนรวมของชุมชน องคกรปกครองสวนทองถิ่นตองมีสวนรวมในการประเมินความเสี่ยง ทําแผนลดความ เสี่ยงของชุมชน และเผยแพรแผนที่เกิดขึ้นสูชาวบานทั่วไปดวย
การจัดทําแผนการจัดการความเสีย่ งจากภัยพิบัติโดยการมีสวนรวม ทําแผนโดยใหอํานาจในการตัดสินใจ (Empowerment) โดยการมีสวนรวม จากภายในชุมชนเปนหลัก ตามความรูความเขาใจและการยอมรับรวมกัน
6
7
การเสริมสรางขีดความสามารถใหแกชุมชน ควรสนับสนุนทํางานภาคชุมชนใหเขมแข็ง ควบคูกับสอนวิธใี ชอาํ นาจหนาที่และ แนวทางดําเนินงานภาคปฏิบัตใิ นเชิงรุก แกผูบริหารองคกรปกครองสวนทองถิ่นดวย
การติดตามการทํางาน การรายงานผลและการปรับปรุงแกไข ควรตรวจสอบการรวมกลุมของคณะทํางานเปนประจําทุกป วาฝอหรือสลายตัวไปหรือยัง เพื่อที่จะไดสนับสนุนใหมีการสรรหาผูที่มาดําเนินงานแทนผูที่หายไป สรางเครือขาย ผสานคณะทํางานดานการจัดการภัยเขากับกลุมตางๆ ในชุมชนและขยาย ไปสูนอกชุมชน เพื่อเพิ่มโอกาสในการแลกเปลี่ยนบทเรียน
ภาพที่ 3 แนวทางแกปญหาที่พบในกระบวนการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยมีชุมชนเปนฐาน
18
4.2 โมเดลการสําหรับการขยายผลการดําเนินงาน จากการสรุปขอมูลในการสัมภาษณ ผูวิจัยไดนําบทเรียนและปญหาที่พบในการดําเนินของชุมชน บานน้ําเค็มสามารถสรางโมเดลการเตรียมพรอมรับมือภัยพิบัติดวยกระบวนการจัดการความ เสี่ยงจากภัยพิบัติโดยมีชุมชนเปนฐาน ดังโมเดลในภาพที่ 4 โดยนําผลบทเรียนจากการจัดตั้งทีม ประสานงานของบานน้ําเค็มที่สามารถนําไปใชในการขยายผลสูชุมชนอื่นๆ ไดเปนขั้นตอนการ ดําเนินงานดังนี้
ทุนทาง สังคม
ทุนมนุษย
ทุนทาง การเงิน
รวมกลุ ม ทุน สิ่งแวดล อม
ทรั พยากร
ทุนทาง กายภาพ
แลกเปลี่ ยนความคิ ดเห็น
สรางความตระหนัก
ช วงสานต อการจัดการ
ช วงเริ่มต นการจัดการ
หาแกนนําและสรางทีม
วางรากฐานการจัดการตนเอง
แบงหนาที่รับผิ ดชอบ
ตองมีพี่เลี้ ยงที่ให คําปรึ กษาใน การดําเนินงาน สื่ อสารเรื่ องความ รับผิดชอบและ เจาภาพที่ ชดั เจน
สร างทีมปฏิบัติงาน
หาแกนนําตัวจริงที่จะรับผิดชอบการดําเนินงาน พัฒนาทักษะการจัดการภัยพิ บตั ิ (สรางทุนมนุษย)
สร างแผนเตรียมพร อมรั บมือภัยพิบัติ
ภาครัฐเอื้ ออํานาจดวยการรับรองการดําเนินงาน ระดมความคิ ด ประเมินความเสี่ ยงรวมกับชาวบาน ดําเนินงานลดความเสี่ ยงทางกายภาพแกชุมชน
พัฒนาขีดความสามารถเพิ่มเติม
ตอยอดทักษะในการจัดการภัยที่จาํ เป็ นเพิ่ มเติ ม จัดหาเครื่ องมือและอุ ปกรณที่จาํ เป็ นในการจัดการ
ผสานเขากับกลุมตางๆในชุมชน สร างเครื อข ายกับชุ มชนข างเคียง และองค กรที่เกี่ยวข อง
โยงการดําเนินงานและการรวมกลุ ม สรางการดําเนินงานในระยะยาว เตรี ยมพรอมชวยเหลือกันและกันในอนาคต แลกเปลี่ ยนเรี ยนรู สะทอนบทเรี ยนระหวางชุ มชน
ภาพที่ 4 โมเดลการเตรียมพรอมรับมือภัยพิบัตขิ องชุมชนบานน้ําเค็ม
19
4.3 ภาพรวมของแนวทางในการพัฒนาการดําเนินงาน การจัดการที่ยั่งยืนนั้นไมสามารถทําแยกสวนเพียงประเด็นใดประเด็นเดียวได การสรางรากฐาน ให ชุ มชนจัดการตนเองไดอย างแท จริงนั้นตองแกปญหาต างๆไปพร อมๆกัน โดยการ เตรียมพรอมรับมือภัยพิบัตินั้น ควรเริ่มผูปฏิบัติงานควรเริ่มจากศึกษาทุนทั้ง 5 ประการ ที่มีอยู ในชุมชนไดแก ทุนมนุษย ทุนทางสังคม ทุนสิ่งแวดลอม ทุนกายภาพ และทุนทางการเงิน โดย ให ค วามสํ า คั ญ กั บ การใช ทุ น ทางสั ง คมและการสร า งทุ น มนุ ษ ย มาสร า งกระบวนการที่ จ ะ กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงที่จะพัฒนาชุมชน ซึ่งในการสนับสนุนในชุมชนเกิดการจัดการตนเอง นั้น ภาครัฐควรพัฒนานโยบายใหเจาหนาที่กับชุมชนปฏิบัติงานดวยการมีสวนรวมกันเพิ่มมาก ขึ้น ขณะเดียวกันก็ควรจะสงเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู ทั้งระหวางชุมชนและระหวางภาคสวน ขับเคลื่อนใหเกิดเครือขายที่พรอมจะชวยกันแกปญหา บทสรุป ในการศึกษาปญหาที่พบในการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยมีชุมชนเปนฐานของชุมชน บานน้ําเค็มจากภาคประชาสังคมนั้น พบวา ในการแกปญหานั้นทุนมนุษยและทุนทางสังคมเปน ปจจัยหลักในการขับเคลื่อนชุมชน กลาวคือ ความรูที่มีอยูในทุนมนุษยและความรวมมือจากทุก ภาคสวนทั้งภายในชุมชนและภายนอกชุมชนจากทุนทางสังคม เปนสิ่งที่ชวยคลี่คลายปญหาดาน การมี ส ว นร ว ม ป ญ หาด า นงบประมาณ ปญ หาดา นความรู ค วามเข า ใจในสิท ธิ ห นา ที่ใ นการ ดําเนินงาน ปญหาดานสภาพแวดลอมและปญหาดานการประสานงานระหวางองคกร ในขณะที่ ทุนทางการเงินและทุนทางกายภาพยังเปนขอจํากัดในการดําเนินงาน ป ญ หาและแนวทางการในการแกไ ขที่ก ลาวมาในข า งต น ได ส ะท อนให เ ห็ นว า แนว ทางการพัฒนาการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยมีชุมชนเปนฐาน จะตองใหความสําคัญกับ การวางรากฐานใหคนในชุมชนพึ่งพาตนเองเปนหลักตั้งแตตน โดยสนับสนุนใหชาวบานรวมกลุม กัน ระดมความคิ ดมาวางแผนจัดการปญหา ซึ่งถัดมาก็ตองตอยอดทางความรู ทั้งจากการ สะทอนประสบการณจากดําเนินงานมาเปนบทเรียนและการแลกเปลี่ยนเรียนรูจากชุมชนอื่นมา ปรับใชกับการดําเนินงานของตนเอง รวมกับเขารับการอบรมทักษะดานตางๆที่จะสรางเสริมการ พัฒนาศักยภาพของสมาชิกหรือคณะกรรมการของชุมชน เพื่อพัฒนาการดําเนินงานของชุมชน ตอไป อภิปรายผล ในการศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติตามแนวคิดการดํารงชีวิต อยางยั่งยืน นอกจากความคิดเห็นจากผูเชี่ยวชาญแลว ควรมีการวิจัยเชิงปริมาณเพื่อสํารวจ ความคิดเห็นที่มีตอความเสี่ยงและความเปราะบาง ตนทุนในการดํารงชีวิตของชุมชน และการ จัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในชุมชนที่ผานมา รวมไปถึงความตองการของคนใน ชุมชนที่มีตอการพัฒนาการดําเนินงานตอไป
20
เอกสารอางอิง นิลุบล สูพานิช, 2006, คูมือแนวทางการปฏิบัติงานสําหรับผูปฏิบัติงานภาคสนาม ในการ จัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเปนฐานในประเทศไทย, กรมปองกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, 2549. สุริชัย หวันแกว และคณะ, 2549, สังคมวิทยา สึนามิ: การรับมือภัยพิบัติ, นโยบายการรับมือ ภัยสึนามิ, สถาบันวิจัยสังคม และศูนยการศึกษาการพัฒนาสังคม คณะรัฐศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, พิมพครั้งที่ 1 พฤศจิกายน 2550,: กรุงเทพมหานคร. Seixas et al., Self-organization in integrated conservation and development Initiatives, International Journal of the Commons, Vol.2, no 1 January 2008, pp. 99-125.
DFID. 2000, Sustainable Livelihoods Guidance Sheets. Department for International Development. (Available at www.livelihood.org/info_guidancesheets.htm.).
21
น้ําคลื่นเจอน้ําทวม ประสบการณจากน้ําเค็มสูกระเบื้องใหญ
22
น้ําคลื่นเจอน้ําทวม ประสบการณจากน้ําเค็มสูกระเบื้องใหญ บทที่ 1 ธารน้ําใจผูประสบภัยสินามิสูผูประสบภัยน้ําทวม เลาเรื่องโดย ไมตรี จงไกรจักร กลับจากกรุงเทพฯ วันที่ 18 ตค. 53 เวทีปฏิรูปประเทศไทย มาถึงบานยังไมทันไดพัก กันเลยทีมงานก็ยกโขยงมาที่ศูนยประสานงาน ไม ชาวเลซอยองคการ บอก “ผมรับไมไดกับ ขาวที่เห็นพี่นองเราลอยคอในน้ํามาหลายวัน บางพื้นที่ยังไมไดรับความชวยเหลืออะไรเลย เหมือนตอนที่พวกเราถูกสึนามิ อยางไรผมคิดวาพี่นองเราที่กําลังประสบภัยน้ําทวมอยูตองได ขาวกิน” แลวทีมงานจึงตั้งวงคุยกันเปนเรื่องราววาจะเอาอยางไร เราทําอะไรไดบางไดคุยเรื่อง การเตรียมการของผูประสบภัยสึนามิ จ.พังงา ไดมีการโทรศัพทพูดคุยและประสานงานกับพี่นอง จ.ภูเก็ต ระนอง ประจวบคีรีขันธ เพื่อระดมของบริจาคและเตรียมอุปกรณเกี่ยวกับการทําอาหาร เพื่อไดนํามาใหพี่นองผูประสบภัยน้ําทวม 2 วัน เชาวันที่ 20 ต.ค. 53 ขาวเรื่องจะไปชวยชุมชนน้ําทวมที่นครราชสีมา กระจายสูชุมชน คนทะยอยกันมาบางคนถือขาวสาร บางคนถือไข บางคนขนน้ํามันพืชมา เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงลงชื่อกันเปนอยางระบบ ยายเอื้อน อายุ 78 ป ลวงเงินออกจากกระเปาอยางกระหยิ่มยิ้มยอง 300 บาท และเอย “ลูกหลานฉันมีมากกวา 50 คนที่เคยถูกสึนามิ และคนจากทั่วประเทศเคยเอา ขาวมาใหกินและชวยเหลือพวกเราจนสามารถชวยเหลือตัวเองอยางยั่งยืนจนถึงทุกวันนี้ฉันไม เคยลืม ฉันทําไดแคนี้นะ” เราเตรียมของขึ้นรถตั้งแตเชา ไม ชาวเลซอยองคการ หิ้วกระเปามากอนใคร คอยจัด ของทุกอยางดวยความดีใจที่ตัวเองจะไดไปภาคอีสานครั้งแรก และทีมงานทยอยกันมาเกิน จํานวนที่นัดหมายกันไว 15 คน เพิ่มเปน 18 คน การเดินทางไกลของเราเริ่มจากจังหวัดพังงา เวลา 16.00 น. ของวันที่ 21 ตุลาคม 2553 โดยพี่นอง จ.ภูเก็ต ระนองมารวมสบทบ หลังจากนั้น เวลาประมาณ 23.00 น. เดินทางถึงดานสิงขร จ.ประจวบฯ พี่นองเครือขายคนไทยผลัดถิ่น/คน ไรสัญชาติ เขารวมสบทบอีก 30 คน เวลาประมาณ 03.00 น. ของวันที่ 22 ตุลาคม 2553 ถึง จังหวัดอยุธยา อ.นครหลวง และไดแลกเปลี่ยนประสบการณกับพี่นองชุมชนที่ประสบภัยน้ําทวม หมูบานศรีจําปา ถึงแผนปองกันภัยพิบัติ และมอบเงินชวยเหลือแกกรรมการชุมชน จํานวน 10,000 บาท พี่ยูรเอย “ ผมไมสามารถทําอะไรไดมากกวานี้เพราะพวกเราตั้งใจมาทําอาหาร โดยทีมงานเตรียมยกครัวเคลื่อนที่ และแมครัวอยางครบแลว เปาหมายอยากทําครัว” หลังจากนั้นไดมีการประสานงานกับเพื่อนๆ เครือขายที่โคราช ไดขอมูลวา อ.พิมาย ได รั บ ความเดื อ ดร อ นหนั ก ที ม งานจึ ง มุ ง หน า มาโคราชทั น ที่ ในการเดิ น ทางครั้ ง นี้ ไ ด มี ก าร
23
ประสานงานกั บ พี่ น อ งเครื อ ข า วชาวอ า วตั ว ก.และเครื อ ข า ยตลาดร อ ยป ส ามชุ ก ว า ให ที ม เครือขายผูประสบภัยสึนามิ และเครือขายไทยผลัดถิ่นเดินทางไปกอน หากขาดเหลืออะไรพี่นอง เครือขายอาวตัว ก และเครือขายสามชุกจะใหความชวยเหลือทันที ในที่สุดกระบวนเครือขายผูประสบสึนามิและเครือขายคนไทยผลัดถิ่น จํานวน 50 คน เดินทางดวยรถกะบะบรรทุกขาวปลาอาหารมาถึง อบต.กระเบื้องใหญ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา การเดินทางทามกลางเสนทางที่ ลัดเลาะและออมพื้ นที่น้ําท ว ม กวาจะถึ งจุ ดหมายก็ ใ ช เ วลา ยาวนานและยังไมมีใครไดนอนเลยยาวนานกวา 24 ชั่วโมง อ. บัณทร ออนดํา กลาววา “ผมไมเคยเห็นทีมงานชุมชนเครือขายที่มีระบบการจัดการ ชวยเหลือขององคกรชุมชนกันเองในยามคับคันเชนนี้กันมากอน ผมเชื่อวากระบวนการเชนนี้ สามารถเปนรูปแบบของการชวยเหลือดูแลกันเองอยางเปนระบบ เปรียบเสมือนการปฏิรูปสังคม การเมืองจากฐาน” ตลอดเสนทางการเดินทางที่ผานมา มีหลายหมูบานที่น้ําทวมสูงกวา 2 เมตร และทําให ตองอพยพมาอยูบนถนน สวนขาวในนาที่กําลังออกรวงใกลที่จะเก็บเกี่ยวไดแลว และคาดวานา ขาวจะเกิดความเสียหายทั้งหมด เมื่อมาถึงไดรับการตอนรับจากกํานัน นายก อบต. รองนายก อบต. ประธานสภา ปลัด และเจาหนาที่ อบต.กระเบื้องใหญ ดวยสีหนาที่ยิ้มแยมแจมใสหลังจากที่มีการทักทายเปนที่ เรียบรอยแลว และมีการปรึกษาหารือถึงขอมูลความเดือดรอนของพี่นองชาวตําบลกระเบื้องใหญ ที ม งานได รั บ ข อ มู ล ว า มี พี่ น อ งที่ เ ดื อ ดร อ น 11 หมู บ า น กว า 2,000 หลั ง คาเรื อ น ที ม งานจึ ง ตัดสินใจตั้งครัวเพื่อทําขาวปลาอาหารที่ อบต.กระเบื้องใหญทันที เจาหนาที่ อบต.กระเบื้องใหญ เลาถึงความเดือดรอนของพี่นองผูประสบภัยน้ําทวมวา ผู ที่ อ ยู ข า งในน้ํ า ท ว มมา 2-3 วั น แล ว ตอนนี้ เ ริ่ ม มี ป ญ หาเรื่ อ งอาหารการกิ น เมื่ อ เห็ น พี่ น อ ง ผูประสบภัยสึนามิ เขามาชวยเหลือก็รูสึกดีใจ หลังจากที่ทีมงานถึงก็ไดหาที่ทําครัว และก็เจียวไข แกงไตปลา เริ่มทําขาวหอกวา 500 หอ เพื่อนําไปแจกจายพี่นองผูประสบภัยในหมูบาน พรอมทั้งทีมเตรียมความพรอมปองกันภัย พิบัติของเครือขายผูประสบภัยสึนามิ ประกอบเรือยางกูภัย 2 ลํา และเดินทางไปสํารวจสภาพใน หมูบานพรอมทั้งนําขาวหอไปแจกจายทันที ในเวลา 17.00 น.ทันที คืนนี้ทีมงานกวา 40 ชีวิต คางแรมที่ อบต.กระเบื้องใหญ พรอมทั้งพรุงนี้ออกเดินทางไป สํารวจใจหมูบานใกลเคียงอีกครั้งหนึ่ง หลายพื้นที่ไดรับขาวสารเรื่องนี้โทรตามและแจงขาววามีหลายพื้นที่ที่ยังไมมีขาวกิน อยากใหทีมเครือขายเขาไปชวยสนับสนุนอาหาร พวกเราจึงแจงมายังชุมชนประสบภัยทุกที่ หากพวกเรามีกําลังพอ เราอยากไปชวยทุกที่ แตครั้งนี้เราตองขอโทษพี่นองหลายชุมชนที่เรา พยายามจะไปแตไมไดไป หากมีโอกาสเราจะมาเยี่ยมเยือนตอไป
24
บทที่ 2 แลกเปลี่ยนเรียนรูเพื่อฟน ฟูหลังน้ําลด โดย นักจัดระบบชุมชน* ตําบลกระเบื้องใหญก็เปนอีกหนึ่งพื้นที่ที่ไดรับผลกระทบจากภัยน้ําทวม ซึ่งปจจัยหลัก ทางธรรมชาติแลวมนุษยยังเปนสวนหนึ่งที่เปนผูทําลายเสียเอง ประสบการณน้ําทวมครั้งนี้มี หลายอยางไดเกิดขึ้น ความสูญเสียตางๆ จากบานเรือนที่ทํากิน รวมถึงดานอาชีพ สิ่งเหลานี้ อาจจะทําใหเรามีความรูสึกเศราใจอยูบาง แตการลุกขึ้นมาแกปญหาของตนเองนาจะเปนหนทาง นําไปสูการจัดการกับปญหาไดถูกจุดมากกวา การ “พลิกวิกฤตเปนโอกาส” จากการสูญเสีย จึงนับเปนสิ่งที่เราควรคํานึงถึง เชนในการเหตุการณคลื่นยักษสึนามิ ถลมในพื้นที่อันดามัน ทํา ใหผูประสบภัยสึนามิกลุมหนึ่ง ลุกขึ้นมาแกปญหาของตนเอง ซึ่งการจัดการความเสี่ยงโดยชุมชน เอง เปนทางเลือกในการเติมชองวางในกระบวนการฟนฟูภัยพิบัติโดยชุมชนเปนหลัก จึงมีความ จําเปนอยางยิ่ง ที่จะตองเรงดําเนินการไปควบคูการบรรเทาภัยในชวงวิกฤติ และการฟนฟูวิถี ชีวิตของชุมชนในเบื้องตน ถึงเวลาแลวที่เราตองพูดคุยหารือกันเพื่อสรางจุดเริ่มตนที่จะสามารถ นําไปสูการแกปญหาไดในอนาคต 1.สาเหตุของน้ําทวมในครั้งนี้ ดานภูมิศาสตรนั้น ตําบลกระเบื้องใหญ เปนพื้นที่รับน้ําทั้งหมด 5 สาย ตอใหมีแกมลิงก็ ชวยไมได เราตองมองจากตนน้ํามากอน เชน การสรางถนน ตึกแถว มีจุดใหญคือลําตะคอง ลํา แคละ ชุมชนนี้เปนชุมชนที่สูงที่สุด ปกธงชัยเดี๋ยวนี้เปนคลองสงน้ํา อําเภอพิมายที่น้ําทวมเพราะ การสงน้ําของชลประทานไมไดเต็มรอย ที่เราจะแกปญหาการเดินทางน้ําไมกักขังน้ํา มาเร็วไป เร็ว ซึ่งเมื่อระดมความคิดวิเคราะหสาเหตุที่เกิดน้ําทวมแลวมองใหลึกที่สุดเทาที่มองเห็นได พบวา ปจจัยภายในของปญหาในครั้งนี้ คือ พื้นที่กระเบื้องใหญมีลักษณะเปนแอง เมื่อเจอฝน ตกมากกวาปกติ ประกอบกับมีการตัดไมทําลายปา มีการทําถนนกีดขวางน้ําและสรางถนนมาก โดยไมมีทางระบายน้ําเพียงพอ อีกทั้งเสนทางของหมูบานตันน้ําไมสามารถระบายได และไมทีที่ กักเก็บน้ําขนาดใหญ ตนไมก็ไมมี จึงไมมีแหลงซับน้ํา ประกอบกับชาวบานไมไดเชื่อคําเตือน ของรัฐจึงไมไดเตรียมตัวรับมือ สวนปจจัยภายนอก เนื่องจากปนี้หนาแลง แลงจัด แลงนาน เขื่อนจึงไมปลอยน้ํากักน้ํา ไวเต็มที่ พอฝนตกลงมาก็เลยไมมีที่รับน้ําเพิ่ม จึงตองปลอยน้ําลงมา ในขณะที่โรงงาน อุตสาหกรรมก็สรางถนน วางทอระบายน้ําขนาดเล็กเกินกวาที่จะรองรับน้ําในปริมาณมากขนาด นี้ได นอกจากนั้นยังมีปญหาเรื่องโรงงานเกลือ ที่ปดกั้นเสนทางน้ํา และปลอยคราบน้ํามันออกมา ทุกป จนชาวบานทําประมงไมได และยังมีปญหาน้ําจากขางบนเปลี่ยนทิศ เพราะการผันน้ําไปใช ทางอื่น ทําใหมีความขัดแยงในการจัดการน้ํา
25
ซึ่งเมื่อน้ําทวมแลวปญหาที่ตามมาก็คือ บานเรือนและทรัพยสินเสียหาย มีขยะเขา บานเรือน, พืชทางการเกษตรเสียหาย, ถนนถูกตัดขาด การจราจรไมสะดวก การแจกของอาจจะ ติดขัดในตอนแรก, น้ํา ไฟฟา ถูกตัด ไมมีน้ําใช ขาดน้ําดื่ม ชาวบานเจ็บปวย เกิดโรคน้ํากัดเทา สุขภาพจิตแย ไมสามารถทําอะไร เนื่องจากบานเรือนเสียหาย ประกอบอาชีพไมได ไมมีรายได มาเลี้ยงครอบครัว ที่นา ที่สวน และเปนหนี้กับ ธกส. หนําซ้ําชวงที่นา้ํ ทวมสินคายังราคาแพงขึ้น
2.การแกไขปญหา ในสถานการณฉุกเฉิน การลงมือตอบโตกับน้ําที่หลากมา คือ ขนยายสิ่งของใหพนน้ํา ขอความชวยเหลือกันในหมูบาน รวมแรงรวมใจในการแกไขปญหาเรื่องน้ําทวม ขอ อบต. – ทหาร มาชวยขนของขึ้นที่สูง จัดทีมงานดูเรื่องไฟฟา และทีมงานที่น้ําไมทวมมาชวยแพ็คของที่ สํานักงาน สวนการฟนฟูถัดมา จะตองมีการฟนฟูและการบูรณาการเกษตรกร เพื่อการฟนฟูอาชีพ ในระยะสั้น โดยตองควรมีการสนับสนุนเมล็ดผัก (ผักสวนครัว) ในการทําเกษตร เชน ผักกาด ผักชี คะนา กวางตุง ผักบุง พรอมดวยเครื่องมือในการทําเกษตรฯ ถัดมาจึงสนับสนุนพันธุขาว นาปรัง พันธุขาวนาป สนับสนุนการประมง เชน พันธุปลา บอและลําคลองสาธารณะ ไปจนถึง การสรางธนาคารขาว วางแผนการระบายน้ําและการชลประทานตอไป
26
ในอนาคตการเตรียมพรอมและปองกันประวัติศาสตรซ้ํารอยอีกครั้ง ชาวบานเห็นวา จะตองสรางทางระบายน้ํา และการสรางแกมลิง หรือการทําฝาย เชน การขุดลอกคลอง จุด ขวางทางน้ํา พรอมกับจัดการสิ่งแวดลอมที่จะสงผลกระทบ เชน คราบน้ํามัน ขยะ โรงงาน และ การทําชลประทานเขาถึงหมูบาน โดยควรจัดทําแผนระบบและอุปกรณปองกันภัย คือ 1. เตรียมทรัพยสิน ขนยายไวในที่ปลอดภัย น้ําดื่ม น้ําใช 2. เรือและอุปกรณ เสื้อชูชีพ เชือก ยารักษาโรคตางๆ 3. เสาวัดระดับน้ํา ที่จุดที่จะทราบตามจํานวนหลังคาเรือน SML 4. อาสาสมัครในชุมชน 5. เครือขายวิทยุชุมชน และตําบลใกลเคียงประสานงานรวมกัน 6. ความเชื่อของขาวสารตองเชื่อมั่นหนวยงานราชการและประชาชนตองรวมกันตัดสินใจ และแกปญหา 7. การกอสรางโครงสรางพื้นฐานระบบน้ําในอนาคตไมวาน้ําทวม หนาแลง และรวมกันทํา ประชาคมของแตละหมูบาน 8. มีการอบรม ซักซอมอาสาและประชาชนอยางนอยปละ 2 ครั้ง เพื่อเตรียมความพรอมใน อนาคตและรับมือกับสถานการณขางหนา 9. จัดทําแผนที่และโครงสรางตางๆ ในหมูบานพรอมทั้งระบุชัดเจนระดับความสูง–ต่ํา ขอ งบพื้นที่แตละชุมชนนั้นๆ
27
ส ว นการขั บ เคลื่ อ นในระยะยาว ชุ ม ชนจะต อ งมี แ ผนการจั ด การภั ย น้ํ า ท ว มอย า งมี ประสิทธิภาพ ซึ่งตองเรงมือทําในระยะเรงดวน ระยะปานกลางและระยะยาวในระดับนโยบาย คือ ระยะเรงดวน 1. ตองจัดตั้งคณะทํางานที่มีทักษะในการเตรียมพรอมปองกันภัย จากภาคีภาคสวนตางๆใน ระดับตําบล ใหเชื่อมโยงกับระดับอําเภอ และเชื่อมโยงกับระดับจังหวัด ทั้งแผนที่ภูมิศาสตร และแผนชุมชน รวบรวมและทําขอมูลรอบดานตั้งแตระดับหมูบานทุกหมูบานดวย 2. ตองจัดระบบฐานขอมูล ที่สามารถสงตอขอมูลออนไลนถึงอําเภอ และจังหวัดได อย างมี ประสิทธิภาพ และฐานขอมูลนี้จะตองปรับปรุงทุกป ใหสามารถชวยเหลือเยียวยาชาวบานใน หมูบานตางๆ ไดตรงจุดและทันทวงที 3. วางผังเมืองและวางผังความรวมมือในการรับน้ํา รับภัย เก็บรายละเอียด ซักซอม สรางความ รวมมือและความชวยเหลือตางๆทั้งภาครัฐ เอกชนตั้งแตระดับจังหวัด มายังอําเภอ ตําบล จนถึงหมูบานใหผานทางชองนี้จะทําใหเกิดเอกภาพและมีประสิทธิภาพที่สุด ระยะปานกลาง 1. สรางแผนทุกชุมชนใหจัดทําแกมลิงทุกตําบลและแหลงกักเก็บน้ําขนาดเล็กทุกหมูบานบน เสนทางลุมน้ํา 2. ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ควรเพิ่มการขุดลอกคูคลองเชื่อมระหวางตําบล ใชเรือเปนพาหนะใน ชีวิตประจําวันมากขึ้น ใหชาวบานหวนกลับมาสรางความคุนเคยกับวิถีทางน้ํา เฉพาะใน พื้นที่ราบลุมทํานาซึ่งมีหลายตําบล 3. สรางสะพาน ลดพื้นที่ถนน แมกระทั่งในเขตเมืองตองเปลี่ยนจากถนนเปนลําคลองบาง การแกปญหานี้ หากหมูบานไหนทําไดก็ สามารถทําไปไดเลย หากหมู บานไหนไมทํ าก็ตาม หมูบานอื่นไมทัน แตในระยะยาวแผนนี้ควรจะเกิดขึ้นเปนแผนประจําตําบล ที่ทุกตําบลควร เตรียมไว ควบคูกับการแกไขแบบถาวรที่รัฐบาลตองลงมาชวย โดยเฉพาะการชลประทานที่ตอง ลงรวมมือกันแกไข อยางถาวรจริงในเสนทางน้ําสายหลักคือ น้ํามูล ลํากระแท ที่ตองแกไขเรื่อง ความตื้นเขินเดินน้ําไมสะดวก ที่ผานมาการแกไขมันสายไป หากมีการแกไขแบบถาวรก็ไมตอง มาเสียงบประมาณ จายคาชดเชย เชนนี้ และถาชาวบานไดรับความรูดานภัยพิบัติ ใหเตรียมตัว เฝาระวังคอยชวยเหลือซึ่งกันและกัน พรอมจะเจอเหตุการณก็คงจะไมสายเกินไป _______________________________________________________________________ *นักจัดระบบชุมชน นายจํานงค จิตรนิรัตน นส.มณฑา อัจฉริยกุล นางปรีดา คงแปน นายไมตรี จงไกรจักร นายประธาน ลายลักษณ นส.หทัย คํากําจร
นักพัฒนาอาวุโส ที่ปรึกษาเครือขายสึนามิ มูลนิธิชุมชนไท /นักจัดระบบชุมชน มูลนิธิชุมชนไท /นักจัดระบบชุมชน ผูประสานงานเครือขายสึนามิ ทีมรับมือภัยพิบัติเครือขายสึนามิ มูลนิธิชุมชนไท / ปฏิบัติงานในพื้นที่กระเบื้องใหญ
28
ประสบการณสํารวจพืน้ ที่น้ําทวม อ.บานหมี่ จ.ลพบุรี 20-25 ตุลาคม 2553
บทเรียนจาก
โดย ศิรินันต สุวรรณโมลี
29
บทเรียนจากน้าํ น้ํา : ตอนที่ 1 ขาวสารกับความตองการของผูประสบภัย จัดยังไงใหพอ "ขาวหนึ่งกิโล กินได 2 วันกวาๆ" "ขาว 5 กิโล กินไดไมถึงสัปดาห" นี่ เปนสิ่งที่เรียนรูจากการพูดคุยกับครูเกง บานแหลม เพชรบุรี ลูกสาวผูใหญบา น อาสาสมัครน้ํา ทวมบานหมี่เราพบความรูด านความตองการ วา คน 3 คน ใชขาว 1 กิโล กินได 3 มื้อ เทียบ อัตราบริโภคได 5 มื้อ ใชขาว 2 กิโล (2 วัน) 10 มื้อ ใชขา ว 4 กิโล (3 วันกวาๆ) 12 มื้อ ใชขา ว 5 กิโล (4 วัน) ดังนั้นการประทังชีพสําหรับชาวบานในชุมชน WaterWorld ซึ่งไมสามารถออกไปหาซื้อขาวของ เพราะไมมีเรือ และ โดนน้ําขังไวหมด (หนําซ้ํารานคาขาวก็ทว มเองซะดวย)ถาน้ําทวมแลวลดลง ภายใน 3 วันทันที คงไมมีปญหา แตน้ําจากคลองชัยนาท-ปาสักจะยังคงไหลมาเดิมอีกหลายรอบ เพื่อระบายน้ําที่เต็มจากชวงบนลงมาซึ่งนอกจากจะทําใหน้ําในคลองไมมีที่ไปแลว น้ําในชุมชนจะ ยังคงขังตอไปอีกมากกวา 1 เดือน
การบริจาคขาวจึงควรจะจัดใหขาวถุงละ 5 กิโล เปนอยางต่ําสุด เพื่อใหคน 2 คน อยูรอดได 1 อาทิตย
ชาวบานในชุมชนที่น้ําลดแลวก็จัดการตนเองในการทํากับขาวไดระดับหนึ่ง แตเงินที่จะซื้อขาวก็ แทบจะไมมีแลว เพราะขาวที่จะเกี่ยวก็จมน้ําไปหมดแลว สิ่งที่ทําไดกค็ ือ ชวยตัวเอง แลวชีวิตคง จะดีขึ้น ถามีคนเอาสิ่งที่ตองการเขามาชวย และมีการปรับปรุงนโยบายในการจัดการน้ํา ที่แบง รับแบงสูกันมากขึ้น
30
เมื่อ เราเหนื่อย เรายังหนีออกมากินหมูกระทะ แลวนอนตากแอรได เพราะเราโชคดี ที่ที่มีที่แหง ใหเราหนีไปนอนนอกชุมชน แตสําหรับชาวบาน เขายังตองอยูที่นั่น บานที่น้ําลอยคอนั่นคือบาน ของเขา ที่มีเรือ่ งในชุมชนทีต่ องแกปญหา มีอีกหลายปากทองอีกหลายคนที่ตองเลีย้ ง เราขอ ยืนยันวา เรายังเหนื่อยเพียงเสี้ยวทีช่ าวบานไดรับ เราขอนับถือหัวใจของชาวบานทุกคนที่สูอยาง สุด มือ แลวเราจะรีบกลับไป เพื่อแบงปนโชคดีของเรา
บทเรียนจากน้าํ น้ํา : ตอนที่ 2 การจัดถุงยังชีพ เรื่องของน้ําใจที่ตอ งใชสมองเยอะ เรื่องของจําเปนและไมจําเปนในถุง เนีย่ ประสบการณที่ผานมาพบวา ถุงของบางองคกรมีตนทุนถึง 500 บาท และในถุงนั้นมีของที่ไมได ใชในภาวะฉุกเฉินจากนั้นทวม คือ มี แปรงสีฟน ยาสีฟน สบู ขันน้ํา รองเทาแตะชางดาว ฯลฯ ก็ไมใชวา มันจะใชไมไดคือการใหมัน ก็ดี เพิ่งแต ถาเอามูลคาของของที่วานี่มารวมกัน(เอาแบบของธรรมดาราคาถูกแบบปกติแลว นะ)จะพบวา แปรงสีฟน 20 บาท ยาสีฟน 40 บาท สบู 20 บาท ขันน้ํา 20 บาท รองเทาแตะชางดาว 60 บาท ทั้งหมดรวมเปนเงิน 160 บาท เงิน 160 บาท สําหรับภาวะปกติ ก็ถือวาไมมาก แตถามาลองคิดดูวา เงิน 160 เนี่ย ซื้อขาวสารถุงละ 5 กิโล ซึ่งมันถุงละ 80 ไดตั้ง 2 ถุง ก็ผูประสบภัยเองก็ซาบซึ้งใจในความหวังดี เพียงแตถา 160 บาทนี้จะซือ้ ขาวสารไปใหบานที่ยังไมมีใครเขาไปถึง เพียงแตถาเงิน 160 บาท จะไปซื้อโทนาฟ สัก 3 หลอด ซื้อพาราสัก 3 แผง เงินนั้นจะมีคุณคามากๆ คนใหก็เต็มใจให คนรับก็เต็มใจรับนะ ไมปฏิเสธเลย เพียงแตในใจแอบคิดวา เอารองเทาแตะกับยาสีฟนอะ ไปแลกผาอนามัยไดปะ หรือเอาเกิบแตะเนี่ยไปแลกมามาไดมั้ย สัก 4 หอก็ยังดี เออจะวาไปในถุงยังชีพเนีย่ ใสโจกซองแบบเทน้ํารอน ปนแทนมามามาก็ได เพราะลูกเล็กเนี่ย กินโจกได
31
(สวนตัวผูเขียนแคอยากจะบอกเล็กๆ วา เพราะงานนี้มันเปนน้ําทวม ไมใชสึนามิที่น้ําซัดไป ทั้งหมดไง สบู ยาสีฟน รองเทามันยังอยู หนวยงานที่จัดใหตองมีการปรับตัว เรื่องการจัดการ ความรู อยายึดติดการประสบการณที่เคยมี จนมองไมเห็นความจําเปนที่แทจริงในหนางาน เพราะวาชาวบานตองการกินขาว ไมไดตองการกินยาสีฟน ชวยเอาเงินที่เคาชวยกันบริจาค ดวยความศรัทธาและความเชื่อมั่นวา คุณจะชวยชาวบานไดมีประสิทธิภาพที่สุด ไปใชใหเกิด ประสิทธิภาพที่สุดดวยเถิด)
บทเรียนจากน้าํ น้ํา : ตอนที่ 3 : อยากบริจาคอะไปไหนดี นอกจากปญหาการเดินทางที่ขาดเรือ และ เดินทางดวยเรือไดทางเดียวเทานั้น เรายังเจอปญหาเรื่องการจัดการของบริจาควา ถาไมมีแกนนํา อาสาสมัครหรือ ผูนําชุมชน ออกมารับของ "คนในหมูบาน ก็จะไมไดรับของบริจาค" ก็อยางที่บอก เพราะวาไมมคี นมาขนไปนัน่ แหละ และเนื่องจากชุมชนจะอยูลกึ เขาไปจากถนนคันคลองเสนหลัก ที่ตองขามสะพานมาอีกที การจะ เขาออกมันก็ยาก
หนาเขานูนยังมีอีกหมูบานนึง
เลยสะพานนี่ไปนูนนนน ลิบๆ ก็ยังมีอีกหมูบานนึง
และอยางที่รูเวลาของบริจาคมาลงในชุมชน ของมันมาพอครบจํานวนกับคนทั้งตําบลในครั้งเดียว ซะเมื่อไร ทีนี้ผูใหญบานไหนไมอยูตอนของมาลงก็ขามไป ผูใหญบานไหนอยูตรงศูนยรับนั่นก็ได ไป
32
และที่เห็นแคหอประปานี่ยังเรียกวาชุมชนที่อยูใกลถนนนะ ที่จริงมันก็ไมใชความผิดของผูใหญที่อยู หรือ คนที่ไมอยูรอรับของ เพราะในขณะนั้น ใครจะยอมใหลูกตัว ลูกบานตัวอดโซ ชีวติ มันตองเจอปญหาทั้งในบานและหนาบาน ไหนน้ําจะทวมของ ไหนจะกลัวของหาย ไหนจะ ตอนวัวขึ้นที่สงู ไหนจะคอยคุมเด็กที่บานไมใหเลนน้ําเนากันจนเปอย แลวจะแยกรางที่ไหนมารับงานทั้งสองหนางานได แคคิดก็เหนื่อยแทน สิ่งเหลานี้ ปญหายังกอใหเกิดความขัดแยงระหวางหมูบาน การไดของไมเทากัน มันมีทั้งไดไมครบทุกบาน และถึงไดครบทุกบาน พอบานอื่นมาเห็นอีกหมูบาน ไดถุงยังชีพทีม่ ีตนทุนสูงกวา อีกบานก็เคืองกันอีก ผูใหญแกบางทานดวยการตัดปญหา (ตัดใจ) ปลอยไป ไมเขาไปวุน วายหัวใจ จายของตอไปตาม ทะเบียนบานใหครบ วาไป.. แลวเราจะชวยใหเขาลดปญหาพวกนีไ้ ดยังไง อืม ไมควรไปแจกตรง? ผูบริจาคควรเอาของไวที่กองกลาง (เตนทตรงตีนสะพานหรือทางเขาหมูบานนั่นแหละ) เพื่อให แกนนําหรือตัวแทน รับไปจัดการจายของใหเทาเทียมกัน (จงเชื่อใจและไวใจ แมวาจะไมคอย เขาใจก็ตาม)
33
คือ ถาทีมคุณมีของมากพอสําหรับหนึ่งหมูบาน (300 ชุด ขึ้นไป) ก็วากันแตถาคุณมีไมถึง แลว คุณแจกบานนี้ๆ บานโนน บานนั่น แลว อาว บานตอไปหมดพอดีเปนบานเรา เราก็นอยใจนะวา ไมวะ ทําไม ไมถึงบานเรา ฝนตกไมทวั่ ฟาอีกแลวจะโทษเทวดาองคไหนดี ที่จริง หลังจากนี้เราวา เราควรจะสรางวัฒนธรรมการบริจาคใหมีแบบแผน คือ สะทอนบทเรียน ใหผูบริจาคเขาใจปญหาที่มันตามมาอะนะ ในขณะเดียวกัน ชุมชนเองก็ตองมีระบบกองกลางที่ซื่อตรง ทําหนาที่รับมือสําหรับคนที่ไมรูจะไป บริจาคปลายทางที่ไหน ทีจ่ ะรับเอาของมาลงที่สวนกลาง แลวก็ชว ยกันคัดแยก จัดการของบริจาคของตัวเองใหเทาเทียมกันตอไป ชวยคํานวนให (อีกละ) ถา จะบริจาคลงพื้นที่เลยตองคิดวาจะใหในระดับใด เพื่อที่จะใหกระจายไปไดถวนทั่วและถึงเร็ว เพราะผูใหญบานจะตองแจกของใหชาวบานไดเทากันและไดพรอมกัน ดังนั้นคํานวณใหฟง หนึ่ง หมูบาน (ขนาดกลาง) จะมีจํานวนครอบครัว ประมาณ 300- 400 ครัวเรือน นี่แปลวา ของประมาณ 400 ชุด จะใหคน ไดประมาณ 1 หมูบาน เพื่อลดความปวดกบาลของแกนนําชุมชน และลดการจัดการ เราควรจะ จัดของเปนชุดใหเรียบรอย (ขาวสาร มามา ปลากระปอง ใสถุงมัดจัดใหเสร็จสําหรับหนึ่ง ครอบครัวใหพอ ) แลวนําไปบริจาคที่ผุใหญบานหรือแกนนําทีละหมูไ ปเลย หรือถามีสายปาน ใหญกวานั้นก็บริจาคใหระดับตําบลไปเลย หนึ่ง ตําบลจะมีประมาณ 7-12 หมูบาน ประชากรก็ 2,000 คน โดยประมาณออ แตเช็คกอนก็ ดีกวา ตําบลนีโ้ ดนน้ําทวมกี่หมู เดี๋ยวจะระดมไปเกอ เอ แตถาเกอก็ไมเปนไร ขนไปใหตําบลอื่นตอไปก็ได ถามีรถบรรทุกก็ขนมาลงทีเ่ ต็นทประจําตําบลแลวแจงกํานัน ผุใหญ หรือแกนนําชุมชนให ประกาศเสียงตามสายเรียกลูกบานมารับไดเลย ...จัดไป......................
แทบทุกหมูบานที่บานหมี่ จะมีเตนท (ยืมวัดมา) มาตั้งเพื่อประสานความชวยเหลือ และรับของบริจาคแบบนี้แหละ
34
บทเรียนจากน้าํ น้ํา ตอนที่ 4 : ก็อยากทํากับขาวเองเหมือนกัน แตครัวมันอยูใ ตน้ํา เลยตองทําโรงครัวหมูบา น
สมตํา ขาวเหนียว ไขเจียวภาพนี้ ขโมยมาจากอัลบั้มใน Facebook ของเอก กระจกเงา ตอง ขอขอบคุณไว ณ ที่นี้ แมสมตําจานนี้จะไมไดกินในหองหรู แตขอบอกวา อรอยน้ําใจ ของ แมบานผูประสบภัยที่ตําใหกินอยางเหลือประมาณ (ขนาดปกติไมกินปลารา ยังกินอยางอรอย) น้ําทวมงวดนี้ แนนอนวา ไมใชเรื่องที่ภาครัฐจะจัดการแตเพียงฝายเดียว แตก็ไมใชวาจะโทษ เทวดาแตฝายเดียวก็ตองรับมือดวยกันทุกฝาย ทั้งชาวบาน พี่มารค และเทวดา เมื่อคืนกอน เพื่อนถามวา "การที่เราเขาไปใหของหรือชวยทําโรงครัวชุมชนแบบทีท่ ํามานี่ มันถือเปนการแทรกแซงรึเปลา" เราตอบวา"ทีจ่ ริงแลว ระบบหรือแบบแผนที่มีเนี่ยมันก็ถูกของมันนะ แตเมื่อสภาพความเปนจริง มันเกินคาด เราวา เราก็จําเปนจะตองเขาไปทําในสวนที่มันนอกเหนือจากที่คาดไวคะ " ขอเลาภาพการจัดการของที่บานใหฟงวา ที่อําเภอจะมีศูนยรับบริจาค ที่ทางอําเภอและกิ่งกาชาดประจําอําเภอ เปนผูบริหารจัดการ พอของบริจาคมา ของก็จะมาลงที่นี่ พอขาวกลองเสร็จ คนก็จะมาเอาจากที่นี่โดยจะจายของไป เมื่อผูนําชุมชน ไดแก อบต. หรือ กํานัน หรือ ผูใหญบานแจงความตองการของบริจาคและความ ชวยเหลือมารับเอาไป
35
แนนอนวา ของนะพอ แตการจัดการไมมีวันพอ เพราะปญหามันไมมีวันหยุด เสาร - อาทิตย เหมือนคนทํางาน ก็เหตุการณมันใหญและกวางเกินที่มือของคนใหญที่อยูขางนอกจะไปควาไวถึง ดังนั้นใครที่อยูใกลมือ หรือ อยูในชุมชนเองพวกเขานัน่ แหละที่จะตองจัดการ ชวยตัวเองกอนและ การที่เราไปสนับสนุนใหเขาชวยตัวเองได มันก็เปนการหนุนเสริมที่ถูกตอง ไมเห็นจะผิดตรงไหน หรือถาจะเรียกวา เปนการแทรกแซง ก็เปนการแทรกแซงที่บริสุทธิใ์ จ เพื่อมนุษยธรรมอยางศูนย ขาวกลอง หรือ โรงครัวชุมชน ที่เราไปชวยชาวบานตัง้ เนี่ย มีคําถามวาเปนการแทรกแซงชุมชน หรือ แทรกแซงการจัดการของภาครัฐมั้ย เราก็ตองมอง ยอนปญหากลับที่ดู วา ชาวบานเองอยากทํากับขาวเองเหมือนกัน แตครัวมันอยูใตน้ํา แลวจะให ทําไงเตาก็อยูใ ตน้ํา แกสก็จม ถานก็เปยก ทางออกที่ทําไดคือ ไปใชครัวทีว่ ัด เพราะที่วัดมีหมอ พรอม มีเตาพรอม มีถานพรอม มีจานพรอม ชอนพรอม พอที่จะรองรับคนจํานวนมากกกกกก ไดอยูแลว ยอดเลย ที่นี่แหละทําโรงครัวหมูบานไดเลย เพราะความจําเปนแรกในชีวติ ก็คือ การมีขาวกินนี่แหละ มี ขาวกิน มีเพื่อนที่มารวมตัวกัน ชวยกันคิดหาทางที่จะลงแรง แกปญหากันตอไปนี่แหละเราพบวา มันเปนการตอบโจทยย้ํา วาความตองการขอความชวยเหลืออันดับแรกๆ ตองเปนเรื่องอะไร
36
เรื่องเลาทิ้งทาย น้ําทวมงวดนี้จะสปอยลจนหนูเสียนิสัย หรือ จะสอนใหหนูลงมือเอง เรื่องที่จะเลาตอไปนี้ ถาไมทิ้งชวงเวลาไวสกั พัก ก็คงจะนึกไมออก มองไมเห็นวาที่จริงมันก็เปนปญหา มันเริ่มมาจากตั้งแต 15- 18 ตุลาคมที่ผานมา บานที่ อ.บานหมี่ จ.ลพบุรี เจอฝนตกหนักตอกัน 3 วันติด ฟามันปดซะจนเรานึกวาจานดาวเทียมเสีย พอก็บนวา เถามันเทศของแมแก มันไปพันจานแดงของพอ (ในขณะที่จานเหลืองของแมไมยักกะมีปญหาสักเทาไร) เราดูภาพถายดาวเทียมก็เห็นแลวแหละ วาเมฆมันหนาซะขนาดนั้นสัญญาณมันจะผานลงมาหาจานแกไดยังไง แลวฉันก็หนีกลับไปกรุงเทพ พรอมกับขาวทีว่ ิ่งตามมาวา น้ําทวมที่จังหวัดซึ่งอยูตนน้าํ และทวมอําเภอเราเกิดดวย ปนี้แลงนาน แตพอฝนมา ฝนก็ลงซะแรงเลย ชาวบานไมมีใครคิดวาเมฆกอนนั้น มันจะทําให บานเราแบงเปนฝงแหงและฝง waterworld ครึ่งๆกันไดขนาดนี้ ฉันกลับบานอีกครั้งใน 2 วันถัดมา ซึ่งเปนวันที่น้ําเขาสูงสุดจนถนนถูกปด เพราะน้ําเชี่ยวเซาะ เอาคอสะพานทรุด ทีมเพื่อน 2 ทีม ที่มาดวย ไดทําใหฉันเกิดจุดเปลีย่ นทางความคิด ทีมแรกซึ่ง เปนทีม survey และกูวิกฤตชีวติ ในชวง 1-3 วันแรก อันนี้ขอขามไปกอน ทีมที่ทําใหฉันตอง เขียนบทความนี้ คือ ทีมทีส่ องซึ่งเปนทีมกูวิกฤตอาหาร (Food crisis) ในชวง 3-7 วันถัดมา การกลับบานในมุมมองใหมครั้งนี้ ทําใหฉันไดเห็นทั้งเรื่องดีและเรื่องที่เปนดาบสองคมในบานของฉันเอง มีหมูบานสองหมูบานที่ฉันและทีมเพื่อนเอาถุงยังชีพไปลงในชุมชน ทั้งสองหมูบานเหมือนกันตรงที่มีอาชีพหลัก คือ ทํานา และอยูไกลถนนใหญ หมูบานแรก ฉันกาวเขาไปผานสายสัมพันธของนาซึ่งเปนพี่เลี้ยงสมัยเด็กๆ หมูบานที่สอง ฉันและเพื่อนกาวเขาไปผานขอความรองขอความชวยเหลือ จากนองคนหนึ่งซึ่งก็ไมรูจักกันมากอนได Facebook และโทรศัพททรี่ องขอใหมา (แลวก็ไดรตู อนตัววา นองเคาเปนรุนนองที่จบมัธยมโรงเรียนเดียวกับเรา)
37
เมื่อกาวลงไปถึงก็พบวา หมูบานที่สองมีทีมแมบานที่ตงั้ โรงครัวชุมชนตั้งแตวันแรก มีทีมพอบานที่จัดระบบของบริจาคและระดมแจกจายไดเพียงพอตอสมาชิกในชุมชน วางายๆคือ มีการจัดการตนเองไดอยางดี ในขณะที่หมูบา นแรก พอขึ้นไปบนศาลาวัดก็เห็นน้ําบริจาควางอยู 6 แพค และกวาจะเริม่ ตั้งโรงครัวชุมชนได กวาจะมีระบบจัดการของบริจาค ทั้งหมูบานก็โดนน้ําขังปาเขาไป 5 วันแลว สิ่งที่ทําให 2 หมูบานตางกันออกไปก็คือ ผูนําที่มีอยูในชุมชน สาเหตุที่หมูบา นแรก มีน้ําบริจาควางอยูแค 6 แพค นั่นเพราะ ผูใหญบานของเขาไมไดอาศัยอยูในชุมชน จึงไมสะดวกที่จะเขามาทํางานใหกับชุมชน และตัวลูกบานเองก็มีแตผูหญิงกับเด็กทีม่ ีภาระในบาน เลยขยับอะไรไมไดมากนัก สวนอีกหมูบานนั้นไมรูวาเชิงลึกนั้นผูใหญบานเขามีบทบาทมากนอยแคไหน แตเทาทีเ่ ห็น ลูกบานที่นี่เขาฟตกันทั้งทีม ทํางานเขาขากันเปนอยางดี ในภาวะที่การคมนาคมทางกายภาพถูกตัดขาด พวกเขาใชชองทางใดสื่อสารใหโลกภายนอกไดยินเสียงรองขอความชวยเหลือ หมูบานแรก นาใช Social Capital (ทุนทางสังคม) ดึงสัมพันธระหวางคนรูจัก ที่อยูในอําเภอเดียวกันฝงทีแ่ หง มาชวยฝง ที่เปยก หมูบานที่สอง มี gen Y ที่ใช Social Network เรียกคนที่ไมเคยรูจัก ใหเขามารูจักและมาชวยหมูบานของตัวเอง ตอนนี้หมูบานที่เปนหวงไมใชหมูบานแรก ฉันกลับเปนหวงหมูบานทีส่ องมากกวา แมวาทั้งพอบานและแมบานที่นี่จะเขาฟตและทํางานเขาขากันเปนอยางดี แตไมรูวา gen Y รุนถัดมา จะสปอยลไปแคไหนแลวไมรู เพราะ พฤติกรรมบน Social Network กับน้ําทวมในครั้งนี้ มันมีจุดที่นาสังเกตอยูวา คนที่ตะโกนดังสุด คนที่ TWIT ถี่สุด คนที่ Tag เคาเยอะสุด คนโพส Facebook แรงสุด คนนั้นจะไดความชวยเหลือเขาไปเยอะสุด มันนาตกใจตรงที่วา "เฮย นี่เรากําลังโหวต AF หรือชวยน้ําทวมกันวะเนี่ย" เอา แลวหมูบา นที่โดนตัดไฟ โทรศัพทหาย ไมมีอินเตอรเนท ไมมี BB ใชนี่จะทําไงกันเนี่ย แลว คิดยังไง ถึงไดเรียกคนที่ไมรูจักเขามาในบานกันเต็มไปหมดเลย
38
ทําไมตอง Twit กันไปขอขาวจากกรุงเทพ ทั้งๆที่รุนพี่ของเราในสมาคมศิษยเกาก็มีทั้งเจาของ โรงสีและสมาชิกหอการคาสารพัด ทั้งๆที่ เรามีเพื่อน มีพี่นอง มีญาติบานใกลในฝงที่ไมโดนน้ํา ทวมกันอยูตั้งมากตั้งมาย เรากลับลืมที่จะใชทุนทางสังคมเหลานี้ ในขณะเดียวกัน เราวา ผูทมี่ ีทุนทางสังคมเหลานี้ก็อาจจะถูกสปอยลไปแลวดวยไมตางกัน ก็ เพราะมีเรื่องน้ําทวมขึ้นมา ขาวของทั้งของหลวงและของราษฏร นานาคันรถ ก็ตางขนกันเขามา เสียจนเถาแกกงสีที่อีกบานแทบไมตองปนอะไรไป จนเดี๋ยวนี้ เวลามีชาวบานมาบอกวา โดนน้ําทวมอยูตรงไหน ขาดอะไร คนแถวบานเราซึ่งไมเปยกก็บอกวา "แลวจะบอกตอๆไปใหนะ" เราก็ เอา เฮย ไมใชตองชวยลงแรง เอาขาวไปสง ไปลงของใหหรอกเหรอ ทั้งหมดนี้ไมไดจะบอกวา การใหของจากกรุงเทพมันไมดีนะ การแบงปนโชคดีของเราจากฝงที่ น้ําไมทวม ไปให เพื่อน พอ แม พี่ นอง ที่แบงรับแบงสูก ันอยูขางหนามันดีอยูแลว เพียงแตอยาก เรียกรองบางอะไรบางวา อยาสปอยหนู และที่เลามานี่ เราแคกําลังเตือนคนรุนเราวา อยาลืมวานอกจากเราตองดูแลตัวเราเองแลว คนที่มีสัมพันธในสังคมใกลบานเราก็ยังมีอยูนะ เขาเองมีกําลังที่จะชวยเราไมตางกัน และคนใกลบานก็ตองไมลืมนะ วาบานนั้นกับเราก็อยูใกลกันแคนี้เอง ความชวยเหลือจากเรามันไมไกล ไปไดไวและยังไดใจวาเราชวยกัน
39
กระบวนการ “ สรางสายใยเครือขาย ทามกลางสายน้ํา...ทวม ” กรณี : เครือขายสิ่งแวดลอมชุมชนจังหวัดปทุมธานี
40
กระบวนการ “ สรางสายใยเครือขาย ทามกลางสายน้ํา...ทวม ” กรณี : เครือขายสิ่งแวดลอมชุมชนจังหวัดปทุมธานี เครือขายสิ่งแวดลอมชุมชน จังหวัดปทุมธานี เครือขาย ฯ เกิดจากการรวมตัวของ ชุมชนหลายๆ ชุมชนที่ อาศั ย ริมคู คลองจังหวัดปทุมธานี ตั้งแตป 2547 ที่ผานมามี การทํา กิจกรรมรวมกลุมในหลายๆเรื่อง เชน การออมทรัพย การฟนฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมมอญ การ รณรงคใหทําถังบําบัดน้ําเสียราคาถูกในแตครัวเรือน การทําน้ําหมักชีวภาพเพื่อฟนฟูสภาพ แมน้ําลํ าคลอง จน “ ชุมชนคลองปรอก” ไดรับรางวัลจากกองทุนสิ่งแวดลอมโลก เปนพื้นที่ แลกเปลี่ยนเรียนรูของชุมชนตางๆ ในประเทศ และอยูระหวางความพยายามในการขยายออกสู ชุมชนอื่นๆ ใน 8 สายคลอง เขตจังหวัดปทุมธานี จํานวน 45 ชุมชน โดย แกนนําเครือขาย ซึ่ง เปนตัวแทนจากชุมชนตางๆทําหนาที่ในการดําเนินงาน มีนักจัดระบบชุมชน ( Oganizer ) จาก มูล นิ ธิ ชุ ม ชนไท เข า ไปสนั บ สนุ น กระบวนการทํ า งานแบบมี ส ว นร ว มของชุ ม ชน และ มี ก าร ประสานความรวมมือกับสถาบันพัฒนาองคกรชุมชน (พอช.) เพื่อสนับสนุนการแกปญหาที่อยู อาศัย รวมทั้งเครือขาย ฯ เปนสมาชิกสมัชชาสุขภาพจังหวัดปทุมธานี
หลังจากระดับน้ําในแมน้ําเจาพระยาขึ้นสูงและทะลักเขาบานเรือน แกนนําเครือขาย ฯ ได มี ก ารโทรนั ด ประชุ ม ด ว น และสรุ ป ข อ มู ล ว า มี 14 ชุ ม ชนที่ เ ดื อ ดร อ น จึ ง จั ด ตั้ ง ศู น ย ประสานงานและชวยเหลือสมาชิกที่ไดรับผลกระทบจากน้ําทวม ขึ้น โดยใช ศูนยประสานงาน และชวยเหลือผูประสบภัยน้ําทวม เครือขายสิ่งแวดลอมชุมชนจังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู ตรงขามชุมชนวัดหงส อ.เมือง จ.ปทุมธานี ศูนย ฯ เริ่มดําเนินการเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2553 โดยแกนนําแตละชุมชนลงไปสํารวจ ความเดือ ดร อ นและความตอ งการเร ง ด ว นของสมาชิ ก หลัง จากนั้ น ได สง ข อมู ล ความ ตองการทางอีเมล ให แก กลุมเพื่อนๆที่อาสาระดมของช วยเหลื อน้ํ าทว ม การชวยเหลือ เบื้องตน เปนไปอย างดี มีการทําขอมูลทั้งการรับบริจาค การแจกจายที่เ ขาถึงผูประสบภั ย เพราะทีมแกนนําแตละชุมชนมาเปนแกนหลักในการแจกจาย ในขณะที่แกนนําจากชุมชนอื่นๆ ก็ตามไปหนุนชวยกัน ทําใหเกิดความสัมพันธที่ดีระหวางแกนนําในชุมชนกับสมาชิก และเกิด
41
การทํางานรวมกันระหวางชุมชนทั้ง 14 ชุมชน ถึงแมจะมีของจํานวนจํากัด แตตรงกับความ ตองการอยางแทจริง เชน ขาวสาร อาหารกลอง เรือทองแบน ไมทําสะพาน ยาน้ํากัดเทา สวมชั่วคราว เปนตน
ชุมชน ที่ไดรับความเดือดรอนจากผลกระทบน้ําทวมจํานวน 14 พื้นที่ จํานวน 1,241 หลังคาเรือน ประมาณ 4,900 คน แบงเปน อําเภอเมือง 8 พื้นที่ 1)ชุมชนเมือง 7 ชุมชน 318 หลังคาเรือน 2)ตําบลหลักหก หมู 2 หมูบาน จํานวน 150 หลังคาเรือน อําเภอสามโคก 4 พื้นที่ 1)ชุมชนตําบลกระแชง 3 หมูบาน 280 หลังคาเรือน 2)ชุมชนบางโพธิ์เหนือ อ.สามโคก 1 ชุมชน 75 หลังคาเรือน 3)บานปทุม หมู 2 หมูบาน 240 หลังคาเรือน 4)ชุมชนวัดราษฎรรังสรร 80 หลังคาเรือน อําเภอลําลูกกา 1 พื้นที่ 1) ชุมชนคูคตพัฒนา 38 หลังคาเรือน อําเภอธัญบุรี 1 พื้นที่ 1) ชุมชนริมคลองรังสิต คลองหนึ่ง คลองสอง 60 หลังคาเรือน
42
แผนที่แสดงพื้นที่บริเวณชุมชนน้ําทวมปทุมธานี ศูนยประสานงานน้ําทวมภาคประชาชน จังหวัดปทุมธานี บานปทุม ม. 1- ม.3 สามโคก 240 หลัง ชุมชนวัดราษฎรรังสรร 60 หลัง อบต.กระแชง 280 หลัง ชุมชนบางโพธิ์เหนือ 75 หลัง ชุมชนบางโพธิ์ใน 89 หลัง ชุมชนคลองพิกุล 45 หลัง ชุมชนวัดหงส 40 หลัง ชุมชนบางปรอก 20 หลัง ชุมชนริมคลองรังสิต 80 หลัง ชุมชนวัดโคก 30 หลัง ชุมชนโสภาราม 74 หลัง ชุมชนเทพพัฒนา 20 หลัง
ม.4 ,ม.5 ตําบลหลักหก 150 หลัง ชุมชนคูคตพัฒนา 38 หลัง
สรุปลักษณะปญหา 1. น้ําทวมขังสูง ตองใชเรือ เขาออก จํานวน 513 หลัง 2. น้ําทวมบางสวน ( ลุยนําเล็กนอย น้ําทวมบริเวณบานบางสวน ) จํานวน 650 หลัง 3. ไดรับผลกระทบพื้นที่ตอเนื่อง เชน น้ําทวมถนน ทางเดิน ทางเขาบาน 78 หลัง ลักษณะบานที่ไดรับผลกระทบจากน้ําทวม 1. บานมีเลขที่ จํานวน 1,087 หลัง 2. บานไมมีเลขที่บาน จํานวน 80 หลัง 3. บานเชา จํานวน 74 หลัง เวทีสรุปประสบการณทํางาน หลังจากระดับน้ําทรงตัว ยังคงมีทีมเฝาระวังระดับน้ํา ศูนย ฯ ยุ ติ ก ารทํ า อาหารเพื่ อ เลี้ ย งคนที่ ม าช ว ยทํ า กระสอบทราย มี ก ารจั ด พู ด คุ ย เพื่ อ สรุ ป การ ดําเนินงาน ที่ผานมา ดังนี้ - อาสาสมัครประจําศูนยเปนผูนําชุมชนตาง ๆ โดยเฉพาะชุมชนที่ไดรับผลกระทบโดยตรง จํานวน 20 คน หมุนเวียน - อาสาสมัครประสานงาน ชวยเหลือ จากพื้นที่น้ําทวม 14 พื้นที่ ๆ ละ 3 – 5 คน - การจัดตั้งศูนยเชิงรุก พรอมตั้งรับ มีขอมูล มีระบบการบริหารจัดการ โดยชุมชนเองเห็นวาดี มีประโยชนมาก และสามารถเขาถึงผูที่เดือนรอนจริง ๆ โดยไมตองแยงกัน - สนับสนุนตรงตามความตองการ และเรื่องที่ไมมีใครสนับสนุน เชน จัดหาอาหารผูที่มาเปน อาสาสมัครชวยทํากระสอบทราย ปองกันน้ําทวม หองน้ําเคลื่อนที่ เรือทองแบน ยาน้ํา กัดเทา ( มากกวาขาวสารอาหารแหง )
43
- เห็นศักยภาพของเครือขายชุมชนที่มีการรวมกลุมและทํากิจกรรมมาอยางตอเนื่อง พบ ภาวะวิกฤติ สามารถรวมตัวและชวยเหลือไดทันทวงที และไดรับการยอมรับจากชุมชน และ ภาคีฯ - ชาวบานที่ไมเดือดรอนมาก ก็มารวมบริจาคของดวย (ไมไชมารับแตเพียงอยางเดียว) - เห็ น ควรว า น า จะมี ก ารพั ฒ นาจากศู น ย ป ระสานงานและช ว ยเหลื อ เป น ศู น ย ประสานงานและปองกันภัยพิบัติภาคประชาชน ในการฟนฟูและปองกันในโอกาสตอไป ปญหาอุปสรรค การประสานงานหน ว ยงานราชการ เป น ไปได น อ ย มาก และ ขาดงบประมาณในการบริหารจัดการขับเคลื่อน กิจกรรม ที่เปนคาใชจาย เชน คานํามันรถ คามอเตอรไซด คา ถุงในการใสขอแจก เพราะผูบริจาคเปนสิ่งของ หรือเงิน ระบุ ของที่จะตองซื้อ เปนตน สรุปการชวยเหลือและขอบคุณผูสนับสนุน รายการ น้ําดื่ม ยาสามัญประจําบาน ขาวสาร เรือทองแบน ซีเลคทูนากระปอง ทูนาน้ําเกลือ ขนมปงแซนวิช บะหมี่สําเร็จรูป ไขเค็ม ไมกระดาน สุขาเคลื่อนที่(SCG) น้ําแกว (เอื้องธัญญ) กาแฟ แกว อาหารสด
จํานวน 10,800 ขวด 200 ชุด 1,590 กก. 5 ลํา 120 กระปอง 1,920 กระปอง 100 ชิ้น 260 ซอง 100 ฟอง 35 แผน 50 ชุด 5 ลัง 3 ชุด 20,000 บาท
ผูสนับสนุน การประปานครหลวง และสสส. การประปานครหลวง ธนาคารกรุงไทย (22,500 ) อื่นๆ ธนาคารกรุงไทย ลงพื้นที่ชวยชาวบาน - ทีมมูลนิธิ 1500 ไมล - ทีมมูลนิธิชุมชนไท - ขาวทีวีไท ขาวเที่ยง สกูปขาว - เครือขายสิ่งแวดลอมกรุงเทพฯ/ ปริมณฑล - อาสาชวยน้ําทวม อื่นๆ มูลนิธิชุมชนไท
นายอํานาจ จันทรชวง มูลนิธิชุมชนไท รายงาน
44
ประสบการณการรับมือภัยพิบัติ น้ําทวมใหญ 2010 และพายุดีเปรสชั่น บทเรียนจากภาคสาธารณสุข
45
ประสบการณการรับมือภัยพิบัติ น้ําทวมใหญ 2010 และพายุดีเปรสชั่น บทเรียนจากภาคสาธารณสุข นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ คศน.001 เรียบเรียง ป 2553 บทพิสูจนที่ชัดเจนวา โลกและประเทศไทยไดรับผลกระทบอยางชัดเจนจากภาวะโลกรอน และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกแลว น้ําทวมใหญป 2553 ที่เกิดขึ้นไลมาตั้งแตภาคเหนือตอนลาง มา ภาคกลาง ภาคอีสานและภาคใต ไดสรางความสูญเสียอยางมาก โรงพยาบาลชุมชนและสถานีอนามัยใน หลายพื้นที่ก็ไ ดรับผลกระทบอยางมาก ประสบการณการรับมือภัยพิบัติ น้ํา ทวมใหญ 2010 ของ 3 โรงพยาบาลในจังหวัดสงขลาคือโรงพยาบาลหาดใหญ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อําเภอนาทวี และโรงพยาบาลจนะ รวมถึงประสบการณการเผชิญหนากับพายุดีเปรสชั่นของโรงพยาบาลสทิงพระ ที่ โรงพยาบาลเหลานั้นไดเขียนมาเลาสูกันฟง เปนบทเรียนที่เห็นภาพของความโกลาหลและการจัดการที่เปน ความรูฝงลึก ( tacit knowledge ) ที่นาสนใจยิ่ง
ภาค 1 : เมื่อน้ําทวมโรงพยาบาลนาทวี บทเรียนทีค่ วรแบงปน อําเภอนาทวี เปนอําเภอเศรษฐกิจดีอีกอําเภอของจังหวัดสงขลา เต็มไปดวยสวนยางและสวนผลไม มีโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อําเภอนาทวี ขนาด 120 เตียงตั้งอยู เปนโรงพยาบาลระดับ 2.2 ของกระทรวงสาธารณสุข คือมีแพทยเฉพาะทาง ในชวงที่ประสบเหตุน้ําทวมในวันที่ 1-2 พฤศจิกายน 2553 นี้ คุณหมอสุวัฒน วิริยพงษสกิจ ผูอํานวยการโรงพยาบาลนาทวี ไดถายทอดประสบการณไวอยางนาสนใจ
มุงสูนาทวี ตอนประมาณตี 4 ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 หนุมนอยชื่อ “ชาย” แฟนของนองเจาพนักงาน เภสัชกรรมไดโทรมาปลุกผม แจงวาน้ําขึ้นสูงมาก กําลังทะลักเขาโรงพยาบาลนาทวี ผมรับโทรศัพททีแรกยัง ไมเชื่อ เพราะสักเที่ยงคืน เพิ่งคุยกับทีมงานที่ดูแลเครื่องสูบน้ําของชลประทาน ซึ่งไดมาติดตั้งในโรงพยาบาล และเริ่มสูบน้ําไดตั้งแตชวงเย็นแลว ปกติถาเปนแบบนี้ก็จะอุนใจ เพราะเครื่องพญานาคทั้งสองตัวขนาด 12 นิ้ว ฝนตกหนักๆมาสักชั่วโมง อีก 2 ชั่วโมงก็แหง แตปรากฏวาฝนดันตกตลอด ผมคิดไดแตเพียงวา ใหกั้น กระสอบทรายที่พอมีใหสูงไวกอน สวนตัวเองจัดแจงหยิบเสื้อผาติดมือไปสองสามชุดกอน ระหวางทางฝนยังคงตกหนักตลอด ที่ปดน้ําฝนเรงเต็มสตีมแลวก็ยังตองคอยๆขับรถไปไดอยางชาๆ สายฝนที่เย็นฉ่ํา แตใจมันรอนรุม ความเร็วสัก 60 กิโลเมตรตอชั่วโมง ดูมันชางชักชาเหมือนเตาคลานเลย ทีเดียว ผมเพิ่งทราบขอมูลเมื่อมาทบทวนเหตุการณวา “ฟารั่ว” ในชวง 2 วันนี้เปนอยางไร เชนที่อําเภอนาทวี ปกติฝนจะตกเฉลี่ยทั้งปที่ 1200-1500 มิลลิเมตร มาปนี้ แค 2 วัน 31ต.ค-1พ.ย. ตกไป 504 มิลลิเมตร เรียกวา เปน 1/3 ของฝนทั้งป ระหวางทางผมผานอําเภอจะนะกอน ดูปริมาณน้ําสองขางทางแลวมีลุนวา น้ําไมมากกระมัง หารูไม วา จะนะเปนสวนปลายน้ํา น้ํายังเดินทางมาไมถึง เวลาผานไปสัก 1 ชั่วโมง พอเริ่มเขาเขตอําเภอนาทวี ตอง เปลี่ยนใจครับ เริ่มเห็นชาวบานยาย วัว ควาย และขาวของมายังทองถนน ฝนเริ่มซาเม็ดลง เหยียบคันเรงเร็ว ขึ้นหนอย ใจเตลิดคิดไปถึงเรื่องอื่น คิดถึงการซอมแผนอุทกภัยที่เตรียมซอมกันในวันรุงขึ้นคือวันที่ 2 พ.ย. หรือเราจะไดเจอของจริงเลย
46
พอเขาเขตตลาดนาทวี ลงจากสะพานขามคลองนาทวี มองลงไป สามแยกวังโตยาวไปสุดลูกตา ตลอดทางไปอํ า เภอเทพา ผมไม เ ห็ น พื้ น ผิ ว ถนนแล ว เห็น มี ร ถกระบะวิ่ ง สวนมาได แสดงว า รถยั ง พอฝ า กระแสน้ําได เลี้ยวขวาที่สามแยกวังโต มุงหนาสู รพ.ระยะทางราว 1 กิโลเมตรถึงหนาสนามกีฬาเทศบาล สอง ขางทาง มีรถจอดซอนกัน 3 แถว ตรงนี้เปนเนินสูงหนอย ผูคนตางนํายานพาหนะจอดหนีน้ํากัน ผมขับรถ Volvo คูใจเกือบถึงหนา รพ. ลําบากเสียแลวละ น้ํามากจริงๆ ตองหันหัวรถกลับมาจอดหนาสนามกีฬาเหมือน คนอื่นๆบาง ผมเดินเทาสัก 200 เมตร จนถึงแนวรั้วรพ. หนารั้วโรงพยาบาลเห็นสมาชิกชาวโรงพยาบาลสัก 5-6คน รวมตัวกันอยูหลังแนวเขื่อนกระสอบ ทรายหนารพ. ถนนทางเขารพ.กระแสน้ําเชี่ยวมาก เจาหนาที่ตองใชรถกระบะคันหนึ่งจอดบนถนนใหญ ใช เชือกผูกกับรถยึดโยงกับเสาภายในรพ. เพื่อไวเกาะเดินเขาไปได แตก็ตองใชความระมัดระวังเปนอยางมากผม ตัดสินใจเดินเกาะเชือกฝากระแสน้ําโดยมีพนักงานขับรถคอยเดินขนาบเขาไปได สิ่งแรกผมที่ทําคือ ขี่จักรยานตระเวนดูรอบรพ. น้ําขึ้นเร็วมากจริงๆครับ รอบรพ.เรามีเขื่อนกั้นน้ําสูง ประมาณ 2 เมตร จุดต่ําสุดของเขื่อนอยูบริเวณฝงที่ติดกับสํานักงานขนสงจังหวัด เราประชาสัมพันธเสียงตาม สายระดมคนที่มีอยูในบานพักทั้งชายหญิงและญาติผูปวย ชวยกันบรรจุทรายใสกระสอบ ผมอาจจะใชคําผิด ครับ ใสถุงดํามากกวา เพราะกระสอบตามแผนเดิม จะเอาเขามาเตรียมในชวงสายของวันนี้ เพื่อจะซอมแผน ในวันรุงขึ้น นองรปภ.ประยุกตโดยใชถุงดําซอนกัน 3 ชั้นเพื่อปองกันการแตก ก็พอบรรเทาไปไดบาง เรา ชวยกันลําเลียงขนกระสอบถุงดําไปเสริมแนวเขื่อนฝงขนสง แตดูแลวยังไมเพียงพอแน ผมรองขอกระสอบไป ยังทานนายอําเภอและพี่ๆที่สสจ.สงขลา เผื่อวาจะยื้อกันลองดูสักตั้ง
ปฏิบัติการยายผูปวยกอนน้ําเขาโรงพยาบาล ประมาณ 10 โมงเชาทานนายอําเภอฝากระแสน้ําดวยรถขับเคลื่อนสี่ลอทรงสูง ผานมาทางประตู สํารองของรพ.มาได ผมวานใหทานชวยตรวจสอบปริมาณน้ําจากตนน้ํา ทั้งจากตําบลประกอบ ตําบลสะทอน และที่สําคัญคืออุทยานแหงชาติเขาน้ําคาง ทานบอกผมวา “น้ํายังมีอีกมากครับคุณหมอ” ผมตัดสินใจใชแผนขั้นสุดทายคือยายคนไขออกจากโรงพยาบาลทั้งหมด ถึงแมในขณะนั้นภายใน โรงพยาบาลยังแหง แตภายนอกโรงพยาบาลเราถูกรายลอมดวยน้ําหมดแลว อยูไดเพราะเขื่อนกั้นน้ําและ เครื่องสูบน้ําทํางานอยูตลอดเวลา ผมสั่งการใหหัวหนาพยาบาลและหัวหนาตึกเตรียมเคลื่อนยายผูปวย โดย set priority case เปนประเภทตามความเรงดวนไว ประมาณ 11 โมง ของวันที่ 1 พฤศจิกายน รถยีเอ็มซี 3 คันจากคายทหาร ร5 พัน3 โดยการ ประสานงานของทานนายอําเภอ พรอมกําลังเกือบ 20 นาย เริ่มมาลําเลียงยายผูปวย คนแรกที่ผมคิดถึงคือ กัลยาณมิตรคนสําคัญ คุณหมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ที่โรงพยาบาลจะนะ ซึ่งหางออกไป 20 กิโลเมตร จัดการ รับคนไขที่จําเปนตองนอนโรงพยาบาลตอ 35 คน ที่เหลือ ไป โรงพยาบาลสงขลานครินทร โรงพยาบาล หาดใหญ โรงพยาบาลนาหมอม รวมสงผูปวยไปทั้งหมด 44 คน ชุดแรกที่สงตอคือกลุมเด็กที่ตองใช incubator โชคดีมากครับ ที่เพิ่งซื้อตัวใหมมา 2 ตัว ราคาตัวละ 5 แสน รูเลยครับวาคุมกับการรักษาชีวิตเด็กตัวนอยๆไดอีก 2 คน การขนยายผูปวยเปนไปอยางตอเนื่องและ ทุลักทุเล เพราะไมใชยายแตผูปวย แตหมายถึงญาติและขาวของเครื่องใชของผูปวยดวย ผูปวยเที่ยวสุดทายถูกสงตอไปประมาณ 6 โมงเย็น พลทหารขับรถบอกผมขากลับเที่ยวสุดทายวา ขับไปก็นั่งภาวนาสวดมนตไป ใหปลอดภัยทุกๆคน ชื่นชมนองพยาบาลมาก เขาใหกําลังใจพลขับ พรอมดูแล คนไขระหวางทางไปดวย ทานที่นึกภาพไมออก ลองคิดดูวา ระยะทาง 50 กิโลเมตร ใชเวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง เปนอยางไร
47
ปฏิบัติการสูส ักตั้ง สักบายโมงสิ่งที่เราหนักใจที่สุดคือเขื่อนบริเวณฝงสถานีขนสงนั้นทานความแรงของน้ําไมไหวแลว น้ําทะลายเขื่อนเขามาจนพังพินาศ เสียงน้ําตกไหลเขาโรงพยาบาลจนทีมงานสูบน้ําประสานมาวาขอหยุดสูบ เพราะสูไมไหวแลว ผมสั่งการทางวิทยุใหสูบน้ําตอ เพื่อยื้อกับเวลาที่เราตองยายคนไขและยายขาวของให ไดมากที่สุด ระหวางนี้การเคลื่อนยายทามกลางกระแสน้ําที่ขึ้น เชี่ยวและแรง เราใชเวลากวา 6 ชั่วโมง แบง กําลังกันยายขาวของสวนหนึ่ง ยายผูปวยอีกสวนหนึ่งที่ยังหลงเหลือ อุปกรณสวนที่ยายไมไดเปนอุปกรณตัวใหญ เชน ยูนิตฟน เครื่องนึ่ง เครื่องอบผา เครื่องซักผา ก็ พยายามถอดมอเตอรออก พนักงานชางมือสั่นพลางถอดอุปกรณพลาง พอสัก 4 โมงเย็น น้ําสูงมากจนพนแนวเขื่อนรอบโรงพยาบาล ถึงแมเราจะเรงบรรจุกระสอบทราย กลางสายฝน อุดรูรั่ว เสริมคันดินใหสูงขึ้น ยื้อเวลา เพราะคาดวามันไมนาจะสูงกวานี้ แตผิดคาด น้ํามามาก ทั้งเร็วและแรง คราวนี้เครื่องสูบน้ําทั้ง 2 เครื่องเอาไมอยู จนตองยอมแพ น้ําจึงเขาทวมโรงพยาบาลอยาง รวดเร็ว ระดับน้ําบริเวณตึกอุบัติเหตุ ราว 1 เมตร บานพัก 1.5-2 เมตรตองอพยพอยูตึกใหมทั้งหมด ในวันนั้นไฟดับทั้งอําเภอ ทีมงานยังชวยกันสรางเขื่อนปองกันโรงไฟฟาสํารองซึ่งเปนจุดสําคัญที่สุด ตอไป ชวยกันวิดน้ํา สูบน้ํา ผลัดเวรเฝากันทุกชั่วโมง จนถึงรุงเชา เพราะถาไมมีไฟ คนที่บนตึกในโรงพยาบาล 80 ชีวิตก็คงลําบาก ในจํานวนนี้มีคนไขที่แพทยอนุญาตใหกลับบานได แตเขากลับไมได เพราะน้ําทวมเมือง ไปหมดแลว หลังจากนั้นเราก็ลุนกันวา น้ําจะเขาตึกใหม 2 ชั้นที่เรากําลังอยูหรือไม โลงใจเอาตอนเที่ยงคืน น้ําเริ่ม ทรงตัว อีกแคคืบหนา เราอาจตองอพยพขึ้นชั้น 2 คืนนี้ชาวโรงพยาบาลนอนกันบนตึกใหมกันอยางอบอุน แต ทุกคนก็หลับๆตื่นๆ พะวงกับสถานการณที่คาดเดาไมได เนื่องจากการสื่อสารถูกตัดขาดหมด
น้ําลดกับภารกิจที่ยังรอคอย เชาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 น้ําเริ่มลดระดับชาๆ พอระดับน้ําภายนอกเริ่มลดต่ํากวาภายใน โรงพยาบาล สมาชิกชวยกันกั้นกระสอบทรายใหม เริ่มระดมสูบน้ําออกอีกครั้ง แตมีโจทยใหญตามมาคือ น้ํามันสํารองใกลหมด ทั้งใชกับเครื่องปนไฟ และเครื่องสูบน้ํา หัวจายน้ํามันในปมน้ํามันไมทํางานเพราะยังไม มีไฟฟาใช กัดฟนวัดดวงเราใชเวลา 24 ชั่วโมง ก็สามารถทําใหน้ําภายในไมทวมในอาคาร แลวรีบลางโคลน ไมงั้นจะลางยากมาก จึงใชไดโวสูบน้ําที่กําลังลดนี่แหละฉีดลางเบื้องตน ไดผลดีมาก เรียกวาเอาเกลือจิ้มเกลือ สําหรับการบริการ ทีมงานโรงพยาบาลปรับแผนโดยแบงกําลังไปออกหนวยตั้งโรงพยาบาลสนาม โดยขอรถทหารลุยเขามารับคุณหมอกัมปนาท จันทนะ และคณะไปออกหนวยใหบริการชาวบานบริเวณชั้น สองธนาคารการเกษตรและสหกรณซึ่งอยูในเขตชุมชน อีกสวนหนึ่งเริ่มมีคนไขอาศัยรถยีเอ็มซีทหารเขามารับ บริการที่โรงพยาบาล เราปรับรูปแบบที่ตึกใหม ใหเปนทั้ง ER LR และOPD หองยาแบบยอสวน เปน 2 จุด ใหญที่ใหบริการประชาชน ชวงบายเจาหนาที่เริ่มลงไปสํารวจความเสียหายที่บานพักกัน โดนกันไปเต็มๆทุกบาน ทั้งรถยนต เครื่องใชไฟฟา ที่นอน โซฟา จมน้ําจมโคลนกันเห็นๆ วันนี้ระบบสื่อสารบางสวนเริ่มฟน สื่อหนังสือพิมพบาง ฉบับ ทีวี วิทยุหลายชองมาสัมภาษณ ถึงแมขาวจะไมคอยออก เพราะความสนใจไปอยูที่หาดใหญเปนหลัก แตพวกเราก็มีความสุขที่ฝาวิกฤติมาได คืนนี้นอนกันบนตึกใหมอีกเชนเคย เชาวันที่ 3 พฤศจิกายน เปนวันแหงการขัดลางโรงพยาบาล ระดมคนลงลางตามจุดสําคัญ โชคดี ว า ระบบประปาของโรงพยาบาลช า งเราซ อ มได แ ล ว เริ่ ม มี น้ํ า ใช บ า ง เจ า หน า ที่ โ รงพยาบาลที่ ติ ด น้ํ า อยู
48
ภายนอกเริ่มทยอยเขามาชวยขัดลาง โชคดีที่สองคือ ไดน้ํามันสํารองมาจากสงขลา โดยการประสานจากสสจ. รถทหารบรรทุกมาใหอุนใจไปอีกมาก ชวงเย็นนายแพทยสาธารณสุขจังหวัดสงขลามาเยี่ยมใหกําลังใจ หลังจากนั้นเราสรุปงานประจําวัน เราตั้งเปาวาพรุงนี้ตองเปดบริการในสวนหนา คือ OPD และ ER ใหได ในวันนั้นแมโรงพยาบาลจะยังไมเปด แตเราไมไดปดโรงพยาบาล คนไขที่หาทางมาจนได สวนใหญ จําเปนตองนอนโรงพยาบาลเกือบทั้งนั้น ในชวงวิกฤตินี้มีคนไขในสะสมเพิ่มขึ้นจนเกือบ 20 คน ถึงแมระบบ ออกซิเจนไมทํางาน X’ray ยังจมน้ํา หอง lab ก็จม แตทีมเจาหนาที่ก็สามารถดูแลไดตามสมควร 4 พฤศจิกายน สามารถเปด OPD ได 3 หอง ชวงสายๆทีม IT จัดการระบบใหใชงานไดบางสวน ทหารจาก ร.5 พัน 3 ทีมเทศบาล เจาหนาที่โรงพยาบาลลางโรงพยาบาลรอบที่ 3 ซึ่งยังมีโคลนติดอยูโดยรอบ อีกครั้ง ตองขอรถน้ําและรถดับเพลิงจากเทศบาลระดมมาชวยกัน อีกสวนก็เปดบริการไปดวย ถึงแมระบบยัง ไมพรอม เลยตองมาใชระบบมือ (manaul) ทั้งหมด ทีมจากศูนยชางคือศูนยวิศวกรรมจากสงขลาไดเขามากินอยูพักคางคืนตั้งแตเมื่อวาน มาดูเครื่องซัก ผา อบผาให ชวงเย็นสามารถงานอยางละ 1 เครื่อง ทางทีมซักฟอกจัดเวรเปนกะทํางานกัน 24 ชั่วโมง ทยอย ซักผาที่จมน้ํากองเปนภูเขานอยๆ คาดวาใชเวลาสัก 3 วัน นาจะบรรเทาไปไดบาง ทีม IT ก็ทํางานกันโตรุง ระบบบริการ HOSxp เริ่มใชการไดบริเวณ OPD หองยา ER จนใชไดสัก 60 % สวนระบบบริการเมื่อวาน ER เริ่มเปดเวรบาย WARD เปดไดทั้งหมด 60 เตียง ทยอยรับผูปวยจาก รพ.อื่นๆมาแลว LAB เริ่ม CBC UA ได วันนี้เราจัดการเรื่องขยะเปนหลัก ทีมเทศบาลมาชวยเก็บ เริ่มทยอย เก็บในสวนงานสนับสนุน ลางบริเวณคลังพัสดุ วันที่ 5 ทุกอยางเริ่มเขาที่ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อําเภอนาทวี ไดผานวิกฤตและ เปดบริการเต็มรูปแบบแลว
ภาค 2 : ประสบการณวุนๆของโรงพยาบาลจะนะทีน่ ้ําเกือบทวม เหตุ ก ารณ น้ํ า ท ว มใหญ จั ง หวั ด สงขลาจากพายุ ดี เ ปรสชั่ น ที่ ขึ้ น ฝ ง ที่ จั ง หวั ด สงขลาในวั น ที่ 1-3 พฤศจิกายน 2553 ที่ผานมา ลุมน้ํานาทวี เปนอีกลุมน้ําหนึ่งที่มีเรื่องราวน้ําทวมใหญมาเลาสูกันฟง อําเภอ นาทวีอยูบนเชิงเขา มีทางน้ําและคลองที่ไหลลงสูอําเภอจะนะ ดังนั้นหากน้ําทวมอําเภอนาทวี น้ําก็จะทวม จะนะในอีกไมนาน
ความวุนวายกอนน้ําเขาเมือง ที่โรงพยาบาลจะนะน้ําเขามาที่สุดในประวัติศาสตรการตั้ง รพ.นับตั้งแตป 2516 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 เมื่อน้ําปาไหลบาเขาตัวอําเภอนาทวี โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนา ณ อําเภอนาทวี ซึ่งเปน โรงพยาบาลขนาด 90 เตียงถูกน้ําทวม น้ําเขาตึกผูปวย ไฟฟาดับ ทําใหตองมีการทยอยขนคนไขกับรถทหาร มารักษาตอที่โรงพยาบาลจะนะรวม 35 คน กวาจะเสร็จก็ตกเย็น ทีมของโรงพยาบาลจะนะฝากขาวกลอง กลับไปกับรถทหารใหเจาหนาที่นาทวี 100 กลองเปนอาหารเย็นที่กินตอนค่ํา ยอดวันนั้นคนไขอยูที่ประมาณ 80 เตียง โชคดีที่จะนะน้ําขึ้นตอนค่ํา และสวนใหญรูตัวลวงหนาวาน้ําจากนาทวีซึ่งหางออกไป 20 กิโลเมตร มาแลว คนไขสวนหนึ่งก็รีบสมัครใจกลับบาน ไมมีใครอยากทิ้งบานในสถานการณวิกฤต คนไขคนเฝาคง
49
อยากกลับไปขนของหนีน้ํากัน ก็ถือวาโรงพยาบาลขนาด 60 เตียงมีคนไขไมแนนเกินไป ตอนนั้นหมอเภสัช พยาบาลจะนะก็ปนปวนกับคนไขที่ทะลักเขามาเหมือนน้ําปา พอตกค่ําเรื่องคนไขก็เขาที่เขาทาง ชวงเชาวันนั้น เมื่อคาดเดาไดวาน้ําทวมใหญแน ทางโรงพยาบาลก็มีการประสานรถเติมออกซิเจน เหลวใหเขามาเติมออกซิเจนเหลวใหเต็มเปนกรณีพิเศษโดยที่ยังไมถึงระดับที่ตองเติม ซึ่งบริษัทเขาอยูที่ หาดใหญก็ยินดีมาเติมให ชวงบายเจาหนาที่โรงพยาบาลไปตลาดตุนอาหารสดเพิ่มขึ้นอีก เผื่อวาจะทวม หลายวัน ตุนน้ํามันสําหรับรถทุกคันใหเต็มถัง สั่งกาซหุงตมถังใหญมาเพิ่มอีก 2 ถัง น้ํามันสําหรับเครื่องปน ไฟพรอมแลว ขาวสารอาหารแหงพรอมนานแลว เงินสดในมือก็พรอมมีเงินอยูเกือบ 50,000 บาท เพราะชวง น้ําทวมไฟดับ ธนาคารปด ATM ไมทํางาน เงินสดเทานั้นที่จะจับจายได ขาวน้ําจะทวมจะนะ ในบายวันนั้น ญาติคนไขก็พาคนไขขาประจํา 3-4 คน เชนคนไขถุงลมโปงพอง คนไขสูงอายุที่บานชั้นเดียว พามาฝากนอนที่โรงพยาบาล แบบนี้เรียกวา ชาวบานเขาทีการเตรียมตัว ตอนเย็นเลิกงาน เปนชวงวัดใจ น้ํากําลังเขาจะนะ ใครจะกลับบานเพราะหวงบานก็คงเดาไดวา คง กลับมาไมไดแลวในวันพรุงนี้ แตถาไมรีบกลับก็คงไมไดกลับ ผมเองก็ตัดสินใจแลววา ปนี้ดูทาน้ําสูงกวาทุก ครั้ง หมอที่อยูเวรก็เปนนองๆใชทุน ภรรยากลับบานแลว คงไปขนของที่รานขายยา ขออยูเปนกําลังใจและ อํานวยการตามหนาที่ใหโรงพยาบาลแลวกัน ก็เลยนอนที่โรงพยาบาล
โกลาหลเมื่อน้ําเริ่มเขาโรงพยาบาล ตกค่ําน้ําขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นอยางนากลัว ในตลาดทวมหมดแลว แตตัวโรงพยาบาลตั้งในที่ที่สูงที่สุดของ ตลาด มองไปเห็นโรงพัก ที่วาการอําเภอ ทวมแลว น้ําเขาโรงพยาบาลเริ่มทวมโรงซักฟอก เครื่องซักผาเริ่ม จมไปสัก 1 ฟุต ก็ยังพอไหว สัก 3 ทุม ผูคนในโรงพยาบาลแตกตื่น เพราะกลัววาน้ําที่ทวมถนนใน โรงพยาบาล ซึ่งสูงกวาถนนภายนอกเปนฟุต แตน้ําที่สูงขึ้นจนนากลัววาจะทวมรถ จึงตองมีการจัดระเบียบ การจอดรถกับอยางโกลาหล ทั้งรถสวนตัวและรถโรงพยาบาล เอาขึ้นจอดตรงทางเชื่อมบาง ขึ้นที่สูงสักนิด บาง จนเรียกวามีรถจอดเต็มทางลาดที่เอาผูปวยเขาตึกบริการ หากมีคนไขมาตองกางรมแลวหามมาขึ้นทาง บันได เพราะรถจอดเต็มหมดแลว แตคืนนั้นคนไขนอยมาก สวนใหญคงโกลาหลกับการขนของหนีน้ํา และ ถนนเสนหลักน้ําทวมจนยากที่จะเดินทางแลว ตกค่ํานั้นเองไฟฟาก็ดับลงทั้งอําเภอ เครื่องปนไฟของโรงพยาบาลดังกระหึ่มในทามกลางความเงียบ สงัด แสงไฟทั้งอําเภอมีแตโรงพยาบาลเทานั้นที่สวาง มองไปจากชั้น 4 ของอาคารผูปวยในเห็นแตโรงแยก กาซจะนะ และโรงไฟฟาจะนะ ที่มีทองฟาสีสวาง ซึ่งแปลวาทั้งอําเภอนาจะมีเพียง 3 แหงที่มีไฟฟา เรียกวา โคตรนาอิจฉาที่สุดในอําเภอ สวนโรงพักและที่วาอําเภอที่ควรเปนศูนยอํานวยการชวยเหลือประชาชนนั้นมืด สนิท การสื่อ สารถู ก ตั ด ขาดหลั งไฟฟา ดับ ไมน าน เขา ใจวา เสารับ สงสั ญ ญาณมือถื อ คงแบตตารี่ ห มด โทรศัพทพื้นฐานใชไมได เปนคืนที่เงียบสงบ ดึกน้ําทรงตัว ไมทวมสูงจนเขารถที่จอดไว ทาทางจะไมวิกฤต กวานี้แลว มื้อเชาทุกคนไปกินขาวตมไกไดที่โรงครัว โรงครัวเลี้ยงอาหารทุกมื้อกับทุกคนในโรงพยาบาลทั้ง คนไข ญาติและเจาหนาที่ ถนนไมมีรถวิ่ง มีแตคนเดินลุยน้ําระดับเอวเดินชมเมืองในอีกบบรรยากาศ หมอ ในโรงพยาบาลวันนี้มีตั้ง 4 คน ชวยกันไป round ward 2 คน อีก 2 คนก็อยูเฝาหองฉุกเฉิน เปนวันที่มีคนไขมา โรงพยาบาลนอยที่สุด คือประมาณ 30 คน และไมนาเชื่อวายังมีคนเดินลุยน้ํามาโรงพยาบาลตั้ง 30 คน เกือบ ครึ่งหนึ่งคือคนไขกลุมสําคัญที่โรงพยาบาลจะนะใหบริการเขามายาวนาน คือคนไขกลุมที่ติดเฮโรอีน แลวมา รับยาเมธาโดนทดแทนทุกวันไมเวนเสารอาทิตย ไมนาเชื่อคนกลุมนี้แมน้ําจะทวม แตเขาก็บากบั่นลุยน้ํามา กินยา แสดงวาโรคสมองติดยานี้ทรมานจริงๆ น้ําทวมหากพอมาไดก็ยังมาดีกวาขาดยา
50
ฟอรมาลีนกับเรื่องราวที่นึกไมถึง ตอนเชานั้นเอง พยาบาลไดแจงวาคนไขบนตึกอาการหนัก เปนผูปวยชายสูงอายุที่มาจากนาทวี เปนโรคเสนเลือดในสมองแตก สงไปรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทรแลว กลับมานอนรักษาตอที่นาทวี ได 1 วันก็ตองยายหนีน้ํามาที่โรงพยาบาลจะนะ นายแพทยสุภัทร ฮาสุวรรรกิจ เลาวา ผูปวยอาการแยลง ซึม หายใจติดๆ คุยกับญาติวาคงไมไหว ญาติเขาใจลงความเห็นรวมกับหมอ วาไมสงตอ สภาพของผูปวยชัดเจนแลววาไมนานคงสิ้นลมแน ผมเลยถามหาฟอรมาลีนจากหองยา ปรากฏ วาไมมี ไมไดเตรียมไว ไปไดจากหอง lab ที่เขาไวดองชิ้นเนื้อมาแค 400 ซีซี ก็ยังดี โรงพยาบาลชุมชนไมมี ตูเย็นเก็บศพ หากเสียชีวิตอีกวันเดียวก็เนาเหม็นแลว พอเที่ยงผูปวยก็จากโลกนี้ไปอยางสงบ พยาบาลก็เริ่ม หยดฟอรมาลีนทางน้ําเกลือ เพื่อรักษาศพไว ไมรูเมื่อไรจะกลับบานไดในสภาวะที่น้ําทวมสูงเชนนี้ ชวงบาย 3 โมง รถทหารคันใหญมาสงยาน้ําทวม แลวเขาจะไปสงยาตอที่โรงพยาบาลนาทวีตอพอดี มีคนไขและญาติขอติดรถเสี่ยงไปลงกลางทางหลายคน ผมเลยขอฝากศพนี้ไปกับญาติฝากไปใหถึงตลาดนา ทวีดวย ปรากฏวาคนอื่นที่จะพลอยไปกลับรถขอลงหมดทั้งคัน ไมมีใครยอมไปดวยเลย โวยวายกันบาง ผม ก็บอกวา คนเปนไมเนารอได คนตายรอไมได กลับไปที่ตึกคนไขไปพักและหาขาวกินกอนแลวกัน แลวรถ ทหารที่ขนยาและศพก็ออกไปจากโรงพยาบาล คุณหมอที่อําเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลาก็มีคนไขเสียชีวิตในโรงพยาบาลตอนน้ําทวมอําเภอเชนกัน แตโรงพยาบาลรัตภูมิแกปญหาดวยการใหคนลุยน้ําไปยืมโลงเย็นมาจากวัดมาเสียบไฟฟาที่โรงพยาบาล รอ จนน้ําลดจึงสงมอบศพใหญาติไปทําพิธีกรรมตอไป
น้ําเริ่มลด ชีวิตแหงความวุนวายก็เริม่ ตน ในวันที่ 2 โรงพยาบาลตึกหนาไมมีน้ําใช เพราะเครื่องสูบน้ําบาดาลขึ้นหอถังสูงจมน้ําเมื่อคืนที่ผาน มา ซึ่งเราไมเคยนึกถึง มอเตอรเครื่ องสูบน้ําจมน้ํา แตตึกผูปวยในยังมีน้ําใช เพราะเปนคนละระบบกัน ความเดือดรอนจึงไมมาก เครื่องปนไฟยังทํางาน 24 ชั่วโมง น้ํามันที่มีพอใชอีก 2 วัน โรงพยาบาลกลายเปน ที่รับบริการชารจแบตตารีมือถือประจําอําเภอ คืนที่ 2 น้ําเริ่มลดลงในชวงค่ํา ฝนไมตกเพิ่ม น้ําทวมลดลงคนไขก็เพิ่มขึ้นทันที น้ําลดแลว การสง ตอผูปวยก็เริ่มขึ้น แตการสื่อสารยังแยมาก ทําใหการตรวจสอบเสนทางการสงตอยากลําบาก วาเสนทาง ไหนไปไดไปไมได หลักๆก็สงตอไปโรงพยาบาลสงขลา เพราะหาดใหญยังจมน้ําอยู ตกดึกการไฟฟาเริ่ม ปลอยกระแสไฟฟา แตการสื่อสารยังยากลําบาก ภาพรวมโรงพยาบาลก็มีอาคารซักฟอกจายกลาง อาคารกายภาพบําบัด ศาลาละหมาด ซึ่งเปน อาคารแนวเดียวกันที่ตั้งในที่ลุมที่สุดของโรงพยาบาลทวมระดับเกือบหัวเขา ความเสียหายมีเล็กนอยคื อ เครื่องซักผาเสีย เครื่องสูบน้ํา และเครื่อง compressor เปาลมของยูนิตทําฟน แตทั้งหมดนี้ซอมได วันที่ 3 น้ําในโรงพยาบาลแหงสนิทแลว ถนนเสนหลักเดินทางได มีแตบานที่อยูในที่ลุมที่ยังมีน้ํา ทวม คนไขเริ่มมาโรงพยาบาลมากกวาปกติ โดยเฉพาะคนไขเรื้อรังเบาหวานความดันที่ยาลอยไปกับสายน้ํา แลว หมอที่ติดน้ําอยูหาดใหญก็มาโรงพยาบาลไดแลว เจาหนาที่เพิ่มจํานวนขึ้นพอรับมือกับผูปวยไหว คนที่ อยูเวรสลับกันเฝาโรงพยาบาลมาตลอด 2 วันก็ไปพัก คนใหมมาทําหนาที่ทดแทน เพราะหมอในโรงพยาบาลจะนะมีนอย และชาวบานตองการยาพื้นฐานมากกวาตองการหมอ ทาง โรงพยาบาลและสาธารณสุขอําเภอเลยจัดหนวยพยาบาลออกไปกับรถพยาบาลฉุกเฉินไปแจกจายยา ออกไป เปน 3 สาย แวะเปนจุดจุดละสัก 1 ชั่วโมง แลวก็ไปตอจุดอื่น บางสวนก็ฝากยาสามัญประจําบานไวที่บาน อส
51
ม.ใหเปนจุดกระจายยา จัดบริการแบบนี้สัก 3 วันก็หยุดลงเพราะน้ําลด ชาวบานสวนใหญพึ่งตนเองและ เดินทางสะดวกแลว สภาพหลังน้ําทวม พบแตขยะทั้งอําเภอ บานชาวบานกวาครึ่งเปนบานชั้นเดียว น้ําทวมครั้งนี้สูง กวาทุกครั้ง ทําใหบานชั้นเดียวนั้นน้ําทวมสูงจนขาวของเสียหายหมด โดยเฉพาะรถเครื่องและเครื่องใชไฟฟา จมน้ําหมด เสื้อผาที่นอนหมอนฟูกเปยกน้ําจนแทบจะใชไมได ซึ่งชาวบานกลุมนี้มีความนาเปนหวงดาน สุข ภาพจิ ต มากเปน พิ เ ศษ แต แ ต ล ะชี วิ ต ก็ ต อ งดิ้ น รนกัน ต อ ไป คุ ณ หมอสุ ภั ท รบอกว า “ผมคิ ด เอาเองว า ชาวบานเขาเผชิญความทุกขยากมาทั้งชีวิต ความคิดฆาตัวตายหรือเครียดจัดจนตองมาหาหมอจึงไมมาก เหมือนคนเมือง” สุดทายตองขอบคุณบรรพบุรุษที่เลือกทําเลในการตั้งโรงพยาบาลจะนะไดเหมาะสมแลว
ภาค 3 : น้ําทวมหาดใหญ กับบริการปฐมภูมิกูภัยพิบัติแหงทศวรรษ อําเภอหาดใหญเปนอําเภอเศรษฐกิจของภาคใต น้ําทวมครั้งรุนแรงครั้งสุดทายคือป 2543 หรือ 10 ปกอนหนานี้ ในครั้งนี้ฝนที่ตกหนักตลอดลุมน้ําคลองอูตะเภา ซึ่งเปนคลองสายหลักที่ไหลผาเมืองเหมือน แมน้ําเจาพระยาแหงกรุงเทพมหานคร ไดลนตลิ่งทวมเมืองอยางรวดเร็วในค่ําคืนของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 อุทกภัยในหาดใหญครั้งนี้น้ําทวมสูงอยางรวดเร็วมาก โรงพยาบาลหาดใหญตั้งอยูในทําเลที่คอยขาง ลุม ระดับน้ําสูงจนเขาอาคารผูปวนอก อาคารสนับสนุนตางๆหลายอาคารของโรงพยาบาลหาดใหญ บริเวณ ถนนน้ําเชี่ยวมาก ไฟฟาดับตอนกลางคืน สัญญาณโทรศัพทถูกตัดขาด เจาหนาที่ไมสามารถเดินทางเขาออก จากตัวอาคารได โรงพยาบาลปดโดยปริยาย โรงปนไฟถูกน้ําทวม จนตองมีการขนยายผูปวยหนักไปนอน รักษาตอที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร แตถึงกระนั้นในโรงพยาบาลหาดใหญที่ถูกน้ําทวม ก็ยังมีผูปวยและ ญาตินอนรักษาตัวอยูหลายรอยชีวิต
บันทึกจากหอผูปวยใน น้ําทวมเมืองกับคนไขในที่ยังตองดูแล ณ มุมหนึ่งของโรงพยาบาลหาดใหญ ที่อยูทามกลางความมืดปราศจากแสงสวางจากไฟฟา ซึ่งให ความสะดวกในการทํางานมาตลอดหลายป แตปจจุบันนี้แสงสวางดังกลาวไมมีแลว มีเพียงแสงเทียนและและ แสงจากไฟฉายกระบอกนอยที่ใหความสวางอยูในหอผูปวย ทามกลางความมืดรอบดาน ความกังวลและ ความกลัว ยอมเกิดขึ้นในใจของผูปฏิบัติงานในฐานะผูใหการดูแลผูปวยที่ไมมีแมเครื่องอํานวยความสะดวก และอุปกรณที่ทันสมัยใหใชในเวลานี้ แมมีเพียงแสงเทียนและไฟฉายที่ใหแสงสวางบุคลากรทางสาธารณสุข ไมวาจะเปนแพทย พยาบาล เภสัชกร และเจาหนาที่ทุกฝาย แทนที่จะทําใหทอแทหมดกําลังในการปฏิบัติ หนาที่ แตกลับเปนแรงเสริมใหทุกคนมีความเห็นอกเห็นใจ ชวยเหลือซึ่งกันและกันเพิ่มขึ้น พยาบาลยังคงใหการดูแลผูปวยที่นอนพักรักษาตัวอยูที่หอผูปวย ซึ่งยังมีผูปวยเปนจํานวนมาก สวนที่มีการขนยายผูปวยไปนั้น สวนใหญก็เปนกลุมผูปวยหนักที่ตองดูแลอยางซับซอน ตองใชเครื่องมือที่ พึ่งพากระแสไฟฟา แตผูปวยสวนใหญหลายรอยชีวิตของโรงพยาบาลยังไมไดเคลื่อนยายไปไหน ยังรับการ ดูแลรักษาทามกลางสายฝนและความมืดที่โรพยาบาลหาดใหญ แนนอนวา พยาบาลและเจาหนาที่ทุกฝายจะมีความกังวลใจและยากลําบากในการใหการปฏิบัติการ เปนอยางมาก เพราะไมมีแสงสวางที่เพียงพอในการดูแลผูปวย ไฟฉายจึงเปนอุปกรณที่ใหแสงสวางคูกายที่ พยาบาลจะตองนําติดตัวไปดวยทุกที่ ซึ่งพยาบาลหนึ่งคนจะมีไฟฉายคนละหนึ่งกระบอก เพื่อใหแสงสวาง
52
ในขณะใหการพยาบาล ในการฉีดยาผูปวย มือหนึ่งถือไฟฉายอีกมือหนึ่งถืออุปกรณสําหรับฉีดยาหรือใหสาร น้ํา ซึ่งเมื่อพยาบาลเดินไปถึงเตียงของผูปวย ญาติจะเปนผูชวยในการสองไฟฉายใหพยาบาลไดฉีดยาหรือ เปดเสนเพื่อใหสารน้ํา ในสวนลึกของจิตใจพยาบาลมีความกังวลอยูมาก กลัวจะเปดเสนใหน้ําเกลือไมได ทําใหยอนนึกไป ถึงตะเกียงที่ชาวสวนยางนําไปกรีดยาง ซึ่งจะตองสวมศีรษะไวและสามารถใชมือทั้ง 2 ขาง กรีดยางได โดย ที่ไมตองถือตะเกียงไว แตในเวลานี้มีเพียงกระบอกไฟฉายและแสงเทียนไขเทานั้น ซึ่งก็เพียงพอแลวหากมี ความมุงมั่นที่จะปฏิบัติหนาที่ใหดีที่สุด สําหรับผูปวยทีอยูในภาวะวิกฤตหรือใสทอชวยหายใจ ซึ่งมีความจําเปนจะตองมีการสังเกตอาการ อย า งใกล ชิ ด ก็ ยั ง คงมี ต กค า งอยู ที่ โ รงพยาบาลหาดใหญ อี ก จํ า นวนหนึ่ ง ผู ป ว ยที่ ใ ส ท อ ช ว ยหายใจนั้ น เครื่องชวยหายใจยังสามารถใชได เพราะมีกระแสไฟฟาจากเครื่องปนไฟบางเครื่องที่ยังไมจมน้ํายังทํางานได แตการดูดเสมหะมีความยุงยากมากเพราะระบบการดูแลเสมหะแบบ pipeline นั้น ไมทํางานเนื่องจากระบบ ดูดสุญญากาศเสียหายจากน้ําทวม ทั้งหอผูปวยมีเพียงเครื่องดูดเสมหะแบบโบราณที่เสียบปลั๊กไฟฟาไดเพียง เครื่องเดียว ในขณะเดียวกันมีผูปวยที่ใชเครื่องชวยหายใจประมาณ 10 คน ซึ่งไมเพียงพอตอความตองการ ในการใชแตละครั้งจะตองรอดูดเสมหะเปนราย ๆ ตองหมุนเวียนกันใช นวัตกรรมใหมๆแบบโบราณจึงเกิดขึ้น เมื่อมีความจําเปนที่จะตองดูดเสมหะพรอม ๆ กัน ทําให พยาบาลตองคิดวิธีการใหม ๆ ขึ้นมาใชทันที โดยการขอยืมลูกสูบยางแดงมาตอเขากับสายดูดเสมหะของ ผูปวยแลวดูดเสมหะออก วิธีนี้ก็สามารถชวยเหลือผูปวยไดเชนกัน เพียงแตตองเสียเวลาในการลางลูกสูบ ยางแดง ซึ่งตองใชเวลานานพอประมาณในการลางใหสะอาด แตก็นับเปนนวัตกรรมแปลกใหมแตสามารถ ใชไดจริง ๆ นาจะนําไปจดสิทธิบัตรไวใชในยามฉุกเฉิน หากผู ปว ยมีอ าการกํา เริบหรือมี อ าการรุน แรงขึ้น จํา เปน ที่ จ ะตอ งรายงานแพทย ทราบนั้ น ใน สถานการณ ป กติ แค ย กหู โ ทรศั พ ท ขึ้ น ก็ ส ามารถรายงานอาการแก แ พทย ไ ด ทั น ที แต ณ ป จ จุ บั น นี้ สถานการณน้ําทวมทําใหการรายงานอาการมีความยุงยากมากและตองใชเวลาในการเดินไปตามแพทยที่ หองพักแพทยทามกลางความมืด มีเพียงแสงสวางจากไฟฉายเทานั้น จินตนาการตาง ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว สมอง ทําใหเกิดความกลัวขึ้นมา แตเมื่อเดินมาถึงหองพักแพทย เคาะประตูเรียกแพทยเพื่อไปดูอาการ ผูปวย ความกลัวนั้นก็จางหายไป เมื่อนึกถึงหนาที่ที่จะตองปฏิบัติและจะตองใหการดูแลผูปวย ทามกลางความมืดกิจกรรมตาง ๆ ดําเนินไปอยางเงียบ ๆ แตมีแนบแผนที่จะตองปฏิบัติ ยังคงมี การประเมินสัญญาณชีพผูปวยทั้งผูปวยที่วิกฤตและไมวิกฤต การบันทึกทางการพยาบาล การอาบน้ํา การ ทําแผล การใหอาหารทางสายยาง และกิจกรรมอื่นอีกมากมายที่จะตองปฏิบัติเพื่อใหผูปวยปลอดภัย และให กําลังใจญาติที่เฝาผูปวยเพื่อไมใหเกิดความเครียดและใหผานพนเหตุการณนี้ไปได ภายใตสถานการณที่อยูในความมืดหนึ่งวันหนึ่งคืนนั้น แมบรรยากาศภายนอกจะมืดมิด แตก็มี ความสวางในใจเกิดขึ้นแกทุกคนที่ประสบเหตุ แตทุกคนสามารถอยูรวมกันได และสามารถปฏิบัติกิจกรรม ตาง ๆ ไดอยางเปนปกติ หากทุกคนมีความเมตตา เอื้อเฟอเผื่อแผ การเห็นอกเห็นใจ ชวยเหลือกันและกัน
เหตุเกิดทีเ่ วชกรรม ในวันที่น้ําเขาโรงพยาบาลหาดใหญ ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 คุณหมอพณพัฒน โตเจริญวานิชย หัวหนากลุมงานไดรวบรวม สมาชิกแพทย พยาบาลกลุมงานเวชกรรมสังคม ที่ติดน้ําทวมอยูบนตึกเวชปฎิบัติครอบครัว ประกอบดวย หมออีก 3 คนและพยาบาล 2 คน นําชุดยาสามัญประจําบานจํานวน 240 ชุด ฝากไปกับเรือเร็วที่แลนเขามาสง ผูปวยที่โรงพยาบาลนําไปแจกจายใหผูประสบภัยในพื้นที่เทศบาลนครหาดใหญ “เรือมีอยูไมกี่ลํา แลนมาที่
53
โรงพยาบาลแลวจะกลับมาอีกทีก็ตอนที่มีคนเจ็บนะหมอ น้ํามันเชี่ยวมาก วันนี้มีคนเรือโดนไฟชอตไปแลวดวย ไมคอยปลอดภัยครั บหมอ” เสียงคนเรือตอบ นั่นหมายความว าถานั่งไปกับเรือจะไดก ลับมาโรงพยาบาล เมื่อไหรก็ไมรู เมื่อคิดไดเชนนี้แลว ทุกคนจึงตัดสินใจกันวาเราควรจะรอตั้งหลักกันกอนดีกวา ออกไปคงเปน ภาระมากกวาจะไดประโยชนกับชาวบาน จึงตัดสินใจฝากยาไปกับเรือ ที่บังเอิญผานไปมาชาวบานก็จะตะโกน เรียกขอรับยาเปนจุดๆไป พุธที่ 3 พฤศจิกายน 2553 บริเวณดานหนาโรงพยาบาลหาดใหญ ระดับน้ําสูงถึงหนาอก น้ําประปา ไมไหล ไฟฟาดับ สัญญานโทรศัพทยังถูกตัดขาด คลินิกเวชปฏิบัติครอบครัวยังปดใหบริการ แตไดจัดเตรียม ชุดยาสามัญประจําบานตอไป เพื่อสนับสนุนหนวยบริการในอําเภอหาดใหญ หมอสองคนขยับไปชวยตรวจ ผูปวยนอกดานหนาตึกใหญของโรงพยาบาลที่ผูปวยสามารถเดินทางมารับบริการได อีกสวนเตรียมเสบียงยา สามัญประจําบาน ทีมแพทยนําโดยคุณหมอหทัยทิพย ธรรมวิริยะกุล จากเวชกรรมสังคมพรอมแพทยอาสา จากกลุมงานสูติฯหนึ่งทาน คือ นพ.จิตติ ลาวัลยตระกูล ลงเรือเคลื่อนที่เร็วรวมกับมูลนิธิสวางแผไพศาลซึ่ง อาสาเดินทางมารวมกูภัยน้ําทวมจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ ออกเดินทางไปยังหมูบานจุฑาทิพย ชุมชนคลอง แหฝงตรงขามหางสรรพสินคา Big C ซึ่งขณะนั้นไดรับแจงจากทีมกูภัยวาวิกฤตมากเพราะน้ําทวมเกินระดับ ศรีษะ ชาวบานเริ่มขาดน้ํา อาหารและรองขอยา ขณะเดินทางโดยทางเรือไมเพียงแตตองระมัดระวังกระแสน้ําเชี่ยวกราด แตยังตองระวังสิ่งของ หรือ รถที่จอดจมอยูใตน้ําดวย บางครั้งลูกเรือก็ตองลงจากเรือไปถือหางเรือหรือลากไปวายน้ําไปเรือที่ใชจึงตองเปน เรือทองแบนและตองมีเครื่องยนตจึงจะสามารถเดินทางได สิ่งที่ควรเตรียมตัวเสมอเมื่อตองนั่งเรือไปชวยน้ํา ทวมคือ ชูชีพ โทรโขง รองเทาบูทสําหรับลุยน้ําและถุงยาที่กันน้ําเขาได ที่สําคัญที่สุดคืออยาลืมพกน้ําดื่มและ อาหารของตัวเองไปดวยเพราะนาทีนั้นคงไปหวังพึ่งใหใครหาอาหารและน้ําใหเราไมได เวลาหนึ่งวันผานไปอยางรวดเร็ว เวลาเลิกงานสําหรับการออกหนวยไมใชสี่โมงเย็นแตเปนเวลาพลบ ค่ําที่คาดเดาไมไดจริงๆ สําหรับชาวบานจะตองเตรียมหมาน้ํา (อุปกรณตักน้ําผูกเชือก) เอาไวหอยลงมาจาก หลังคาเพื่อรับของเสบียงหรือยาน้ําทวมไวดวย ไปแจกยาอาจจะตองฝกปรือฝมือในการโยนรับเหมือนเลนแชร บอลไปกอนดวยเพราะชาวบานลงมาหาเราไมไดเราก็ไมสามารถปนจากเรือไปบนหลังคาบานคนไขได รวม ภารกิจในวันนั้นไดแจกยาชุดผูใหญไป 300 ชุด ยาชุดเด็ก 200ชุด ชวงเย็นไดสํารวจพื้นที่ประสบภัยบริเวณเขต 8 และจันทรวิโรจน เนื่องจากในขณะที่ไปแจกยานั้น ชาวบานหลายคนมักถามเปนประโยคแรกวามีน้ํามาดวยมั้ย ทีมหนวยเคลื่อนที่ในวันนั้นจึงไดขอสรุปวาถาจะ ไปแจกยาชาวบานขอใหเตรียมน้ําไปดวย ดื่มน้ําจะไดกินยาไปดวยนั่นเอง ตกเย็น ตะวันโพลเพล ทีมกูภัย ลงทุนควักกระเปา หนึ่งพันบาทไปซื้อน้ํากลับเขาไปแจกที่หมูบานเพราะชาวบานคงรอคอยขามคืนไมไหว กลับไปในหมูบานรอบที่สองจึงไดเห็นวาชาวบานบางคนพยายามเปนตัวแทนลุยน้ําออกมาเพื่อมารับ ถุงยังชีพที่ตั้งจุดแจกจายอยูบนพื้นดินปากทางเขาหมูบาน คุณลุงคนหนึ่งรับถุงแจกแลวก็หอบหิ้วทั้งลากทั้งอุม ถุงจนขาดของหลนไปตามทางน้ํา ทีมกูภัยทนไมไดตองจอดเรือเอาถุงในเรือลงไปเปลี่ยนให คนแก และหนุม สาววัยกลางคน ไมวาชายหรือหญิง คอยๆเดินลุยน้ํา บางก็นั่งบนที่นอนที่ลอยน้ําออกมาพรอมเตียง เด็กๆ เกาะกะละมังลอยตามน้ําไมใหจม เพื่อความหวังขางหนาวาอาจจะมีน้ําแจก มีอาหารหรือเสบียงกลับไปใหคน ในครอบครัว แมจะทั้งเหนื่อยทั้งเพลียแตหมอสองคนก็ยังวางแผนตอวาพรุงนี้คงตองออกมาลุยอีกวัน คุณหมอจิตติอาจารยอาวุโสกลุมงานสูตินรีเวชซึ่งบานพักในโรงพยาบาลก็น้ําทวมไมนอยไปกวานอก โรงพยาบาลนัดหมายเปนเสียงแข็งวา “พรุงนี้ผมจะออกมาชวยอีก บานผมยังไงก็ยังไมมีน้ําลางบาน เก็บไว กอน เอาไวทีหลังละกัน ชาวบานลําบากกวามาก” ใครไดฟงก็จะรูสึกทึ่งไมรูลืม
54
ภารกิจหลังน้าํ ลด แจกยาดวยใจ พฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน 2553 โรงพยาบาลหาดใหญน้ําลดลงไมทวมขัง แตยังไมสามารถเปด บริการไดเนื่องจากบุคลากรขาดแคลน สวนหนึ่งประสบอุทกภัยหนักไมแพกัน จึงยังไมสามารถจัดระบบบริการ ในคลินิกได ขณะนั่งเตรียมจัดชุดยาสามัญประจําบานซึ่งมีคุณพยาบาลจิราภรณ จิตรากุล หรือ ภรณ เปนผู ควบคุมการผลิตยาชุดสามัญประจําบานสําหรับน้ําทวมมือหนึ่งของเวชกรรมสังคมหาดใหญอยูนั้น คุณหมอ หทัยทิพยกระหืดกระหอบกลับจากประชุม war room ของโรงพยาบาลหาดใหญมาขออาสาเจาหนาที่เวชกรรม สังคมที่พอมีอยูรวมออกหนวยแพทยเคลื่อนที่ ทันทีที่ถามทุกคนยกมือขึ้นอยางไมลังเล วันนี้จึงมีหลายคนเขา รวมใหบริการออกหนวยเคลื่อนที่เร็ว แพทย 3 คนรวมทั้งคุณหมอจิตติซึ่งไดตั้งใจไวอยางมุงมั่นวาจะไมนั่งรอ ผูปวยที่โรงพยาบาลหาดใหญอีกแลวแตจะออกไปชวยชาวบานถึงในพื้นที่ดีกวา และแพทยประจําบานสาขา เวชศาสตรครอบครัวอีก 2 ทานเขารวมดวยพรอมทีมพยาบาล โดยมีพยาบาล 2 คนอยูประจําสํานักงานเปนผู ประสานงานและเฝากองบัญชาการ นับเปนความโชคดีของคนโรงพยาบาลหาดใหญ ที่ถึงแมรถของโรงพยาบาลหาดใหญจะโดนน้ําทวม ไปจํา นวนกว า ครึ่ ง หนึ่งของรถที่มี อ ยู รวมทั้ ง คลังยาน้ํา ทว มที่ ก ลับโดนน้ํา ท ว มไปดวย แตเ ราก็ไ ดรับการ สนั บ สนุ น ความช ว ยเหลื อ ในระดั บ ปฐมภู มิ จ ากโรงพยาบาลต า งๆอย า งไม ข าดสายและทั น ท ว งที เช น โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลาและแพทยจากโรงพยาบาล ชุมชนตางๆรอบๆหาดใหญ ในวันนี้การออกหนวยเคลื่อนที่จึงใชรถจากโรงพยาบาลราชวิถีรวมกับทีมสุขภาพ และเวชภัณทที่นําติดมากับรถจากโรงพยาบาลราชวิถี นําทีมโดยนายแพทยไพโรจน เครือกาญจนา หัวหนา ทีมกูชีพโรงพยาบาลราชวิถีพรอมทีมแพทยพยาบาล ออกบริการตรวจรักษาผูปวย ทําแผลและฉีดยา 2แหง คือ มัสยิสยิดบานเหนือ จํานวน 147 ราย และ รัตนอุทิศ 3 จํานวน 174 ราย พบสวนใหญเปนผูปวยกลุม อาการคลายไขหวัดใหญ ปวดกลามเนื้อ มีบาดแผลและน้ํากัดเทา ในชวงเย็นไดจัดทีมพรอมรถฉุกเฉินลง แจกยาสามัญประจําบานใน ชุมชนบางแฟบนําโดยคุณหมอธาดา ทัศนกุล รวมทั้งวันแจกยาชุดไปจํานวน 760 ชุด
ปฐมภูมิเชิงรุก บุกถึงประตูบาน ศุกรที่ 5 พฤศจิกายน 2553 แบงทีมสนับสนุนจัดเตรียมเวชภัณท1ทีม อีกทีมใหบริการในคลินิกเวช ปฏิบัติครอบครัว เพื่อบริการประชาชนในพื้นที่ใกลโรงพยาบาลที่สามารถเดินทางมารับบริการไดเพราะน้ําลด แลว นอกจากนี้ยังจัดบุคลากรเปดใหบริการใน CMU ของโรงพยาบาลหาดใหญไดแก CMU 3 ตําบล และ CMU ควนลัง และอีกทีมของเวชกรรมโรงพยาบาลหาดใหญรวมกับทีมโรงพยาบาลราชวิถีออกหนวยแพทย เคลื่อนที่ โดยรถของโรงพยาบาลราชวิถี ตรวจรักษาโรคที่ตลาดพอพรหม ทีม ใชเวลารวมชั่วโมงในการเปลี่ยนสภาพสกปรกของตลาดหลังอุทกภัย ใหกลายมาเปนแคมป บริการผูปวยที่สมบูรณแบบ ทีมกูชีพดัดแปลงพื้นที่นําหินและเศษไมในตลาดมาเปนบันไดและราวเกาะให ผูปวยที่บาดเจ็บที่ขา มีรถเข็นใหผูปวยที่เดินไมไหวเพราะมีบาดแผลที่หัวเขาทําใหขอเขาอักเสบ ผูปวยสวน ใหญมีบาดแผลที่เทาจากของมีคมบาดหรือกระแทกของแข็ง รักษาจนยา Dicloxacilllin หมด ตองจาย Pen V แทน และมีผูปวยโรคเรื้อรังหลายราย เชน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หอบหืด มาขอรับยาเพราะยาหายไป กับน้ําที่ทวมบานสูงถึง1-2 เมตร วันนี้มีผูปวยรับบริการทั้งสิ้น 230 ราย ฉีดวัคซีนปองกันบาดทะยัก(TT) 50 ราย สงไปเย็บแผลที่โรงพยาบาลหาดใหญ 1 ราย การออกหนวยแพทยเคลื่อนที่นั้นมีทั้งการตรวจรักษาในที่ตั้งหนวย และการออกแจกยาไปตาม ตรอกซอกซอยในเขตชุมชนทาเคียนดวย คุณหมอธาดาใชโทรโขงเชิญชวนพี่นองใหมารับยา ทีมงานอีก 4-5
55
คนรับหนาที่แจกยาอยูดานหลังรถอยางแข็งขัน ชุดยาฯผูใหญจํานวน 450 ชุด เด็กจํานวน 100 ชุด หมด ภายในหนึ่งชั่วโมง ชาวบานทั้งไหวทั้งน้ําตาคลอที่มีหมอมาแจกยาถึงบาน เดินมารับยาที่รถพรอมอวยพรหมอ กับทีมจนเราตื้นตันใจและหายเหนื่อยไปตามๆกัน นอกจากใหบริการยาชุดสามัญประจําบานแลว กอนพลบค่ํา หนวยแพทยเคลื่อนที่ไดเคลื่อนที่ฝากอง ขยะเขาไปฉีด TT ใหผูปวยที่นัดไวเมื่อวานบริเวณเดิมในชุมชนรัตนอุทิศ (ซอย3) หนวยฉีดวัคซีนบาดทะยัก เปดประตูรถตู ตั้งเปนจุดฉีดยาสําหรับผูมีบาดแผลและยังไมไดรับวัคซีนกระตุนบาดทะยัก แพทยคนที่หนึ่งมี หน าที่คัดกรองและตรวจดูแผล อีกคนมือถือโทรโขงประกาศให ผูที่กํา ลังลางซากปรักหักพังมารับบริก าร แพทยอีกทานใหบริการยาสามัญประจําบาน พยาบาลเตรียมอุปกรณพรอมฉีด งานนี้ใชแพทยเปลืองหนอย แตในเวลานั้นทุกคนตองทําหนาที่ใหไดทุกอยาง เพราะเรามีกันอยูเพียงแคนั้นจริงๆ เพียงครึ่งชั่วโมง TT 40 doses เทาที่มีถูกใชหมด ผูปวยดีใจมากที่ไมตองเดินทางไปฉีดที่โรงพยาบาลเพราะภาระหนาที่ที่ตองไปหาน้ํา ดื่มหรือหาน้ําอาบ หาขาวกลองที่ขาดแคลนใหคนที่บานก็วุนวายมากจนไมมีเวลาไปโรงพยาบาล
สงไมผลัด จากทีมไกลสูกองกําลังนักศึกษาแพทย การออกหนวยในวันหลังๆเวชภัณฑทุกอยางเริ่มขาดแคลนเพราะหองยาของโรงพยาบาลหาดใหญ ยังลมเพราะอุทกภัย ยาจึงมีไมเพียงพอ แตเหมือนมีโชคดีเปนครั้งที่สองที่ทีมกูชีพจากราชวิถี ไดประสานงาน กับทานผูอํานวยการโรงพยาบาลเด็กและ War Room ของกระทรวงสาธารณสุข ที่กรุงเทพทําใหไดรับการ สนับสนุนยาน้ําเด็ก ซึ่งเปนยาที่ขาดมากตั้งแตวันแรกที่น้ําทวมคลังยา จนไดรับยามาทางเครื่องบินอยาง รวดเร็วในวันตอมา หลังเสร็จภารกิจ โรงพยาบาลราชวิถีแจงวาจะถอนกําลังกลับกทม.เพราะสถาณการณเริ่ม คลี่คลายแลว ทีมหาดใหญเริ่มใจหายแตก็ตองทําใจใหเขมแข็งเพราะเขาก็รวมทุกขรวมสุขกันมาหลายวัน กลับจากออกหนวยคืนนั้นทีมเวชกรรมสังคมจึงตองประชุมวางแผนรับมือการทํางานเพื่อชวยเหลือ ประชาชนในวันเสารอาทิตยที่ 6-7 พฤศจิกายนกันใหมวาจะหายานพาหนะและบุคลากรที่ไหนมาชวยออก หนวย ทีมที่ออกหนวยกันมาแตแรกก็เริ่มเหนื่อยลา โชคดีค รั้งที่สามเกิดขึ้นขณะที่ ในชวงเวลาดังกลา วมี นักศึกษาแพทยชั้นปที่ 4 ขึ้นเรียนวิชาเวชศาสตรครอบครัวและชุมชนพอดี จึงเปนโอกาสดีของนักศึกษาที่จะ ไดมาเรียนรู การดูแลชุมชนในสถานการณที่มีภัยพิบัติ จริงๆแลวนองๆนักศึกษาแพทยชั้นปที่ 4 ทุกคนไดมา รวมกันเตรียมเสบียงยาจนค่ํามืดอยูทุกวัน แตวันพรุงนี้พวกเขากําลังจะไดออกไปปฏิบัติงานในพื้นที่จริงหลาย คนถึงกับแทบอดใจรอไมไหว วันเสารที่ 6 พฤศจิกายน 2553 สถานการณทั่วไปที่เวชกรรมสังคม ยังมีขยะบริเวณหนาอาคาร วันนี้ มีนักศึกษาแพทยชั้นป4จํานวน10 กวาคนมารวมทีมกับแพทยชุดเดิม เวลา 9.00น.เริ่มใหบริการหนวยแพทย เคลื่อนที่ไปยังชุมชนจันทรวิโรจน แตไดรับแจงจากเจาหนาที่ฝายปกครองทองถิ่นทานหนึ่งวา มีหนวยแพทย เคลื่อนที่จากร.พ.สงขลานครินทรมาใหบริการแลวในวันกอนหนานี้ วันนี้อาจมีชุมชนที่ลําบากกวา ทีมจึงยาย หนวยแพทยมาที่ชุมชนสําราญสุข ในพื้นที่เทศบาลคลองแห เนื่องจากการจราจรติดขัดมากกวาจะมาถึงพื้นที่ ออกหนวยตองใชเวลากวา 2 ชั่วโมงทั้งที่เวลาปกติเมื่อยังไมเกิดอุทกภัยใชเวลาเพียงประมาณ 15 นาที จน เริ่มมีฝนตกหนักหนวยแพทยฯตองตั้งอยูในเพิงหมาแหงนริมทาง เพราะพื้นที่มีแตซากบานเรือนที่ประสบภัย แมวาการใหบริการทําไดลําบาก แตสามารถใหบริการดานการตรวจรักษาและทําแผล ชาวบานไดถึง100 ราย ชวงบาย หมอธาดานํานักเรียนแพทยขึ้นรถออกแจกชุดยาสามัญประจําบาน ตามซอยใกลๆจนถึงเวลา 16.00 น.จึงเดินทางกลับสํานักงาน
56
นักศึกษาแพทยชั้นปที่ 4 เริ่มเรียนรูวาชีวิตจริงไมไดงายนักเหมือนในภาพยนตแตแทจริงแลวทั้ง เหนื่อยและลําบากปนกับความสุขใจที่ไดชวยเหลือชาวบาน นองๆหลายคนพูดเปนเสียงเดียวกันวาถาไมไดไป เห็นกับตาคงไปรูวาชาวบานลําบากกันขนาดนั้น วันอาทิตยที่ 7 พฤศจิกายน 2553 วันนี้นอกจากนศพ.ป 4 แลว ยังมีนักศึกษาแพทยป 5 ขอรวมออก หนวยฯดวย ทีมเวชกรรมสังคมลงพื้นที่ใหบริการ 2ชุมชน คือชวงเชาที่ชุมชนทุงเสา ใหบริการจนพักเที่ยง เสร็จ ก็ยายไปบริการที่ชุมชนคลองเตย แตดูเหมือนชาวบานยังเครียดกับการทําความสะอาดบานจึงมารับ บริการนอยกวาที่คาดการณไว หมอธาดาจึงขับรถคันเล็กประจําศูนยบริการสาธารณสุขคลองเตยพานักเรียน แพทย 6 คน ไปแจกยาชุดสามัญประจําบานตามตรอกซอกซอยในชุมชน สรางความครื้นเครงใหกับนักศึกษา แพทยเปนอยางมากจนเวชภัณฑจากสสจ.ทั้ง 200 ชุดหมด ไดรับการตอบสนองเปนอยางดีจากชาวบาน ทีมออกหนวยจึงไดประจักษวาถาไมประกาศใหไดรับขาวสารเปนรูปธรรม ชาวบานก็จะไมทราบวามี การตั้งจุดบริการหรือมีบริการดานสุขภาพดวย เพราะภาระงานดานปจจัย สามอยางคือ อาหาร เครื่องนุงหม บาน ยังไมเรียบรอย ยารักษาโรคจึงตามมาทีหลัง ประโยชนที่เหนือความคาดหมายที่สุดในวันนี้คือนักศึกษา แพทยตางไดรับประสบการณจากการปฏิบัติในพื้นที่ภัยพิบัติจริงจนเกิดความเขาใจมากขึ้นมีมุมมองที่ดีตอการ เสียสละ การเขาถึงชุมชนในอีกระดับหนึ่งและไดตระหนักจากการไดเห็นภาพจริงจากอาจารยวา Primary care doctor มีความสําคัญอยางไรตอชุมชน น้ําไดลดระดับลงไปแลว ยังคงไวแตรองรอยคราบดินโคลนและขยะเนาเหม็นที่ทําใหเมืองหาดใหญ ทั้งเมืองซึ่งเคยสวยงามนาเที่ยวชมกลายเปนเมืองลางซอมบี้มีแตซากปรักหักพัง สัตวเลี้ยงจมน้ําอืดไปทั่วเมือง อีกไมกี่วันนับจากน้ําลดหนอนแมลงวันก็จะเติบโตขึ้น หนอนแมลงหวี่จะกลายเปนตัวเต็มวัย ยุงลายที่ชอบน้ํา ขัง จะเริ่มแพรพัน ธุ ทํา ให เกิดป ญ หาโรคติดเชื้อและโรคระบาดตามมาได เวชกรรมสัง คมหาดใหญจึ ง ได ประสานกับกรมอนามัยสิ่งแวดลอม งานสุข าภิบาลและปองกันโรค กรมสุ ขภาพจิต ออกควบคุ ม โรคและ เยียวยาเมืองหาดใหญ ตระเวนพนยาฆาหนอนแมลงวัน กําจัดสัตวนําโรค และพนหมอกควัน รวมทั้งเติม คลอรีนในบอน้ําใช น้ําทวมหาดใหญครั้งนี้ทําใหคนหาดใหญไดรับมากไมแพกันกับน้ําที่ทวมคือน้ําใจ ที่ไดรับจากการ ชวยเหลื อของทีมตางๆทั้งจากในและนอกระบบสาธารณสุข อยางไมขาดสายรวมทั้งความอดทน มีน้ํา ใจ เอื้อเฟอตอกันของเจาหนาที่ในโรงพยาบาลในขณะที่เกิดอุทกภัยหนักมีมาก บทเรียนที่ไดจากเหตุอุทกภัยใน ครั้งนี้สมควรนําไปเปนสวนหนึ่งในการสรางการเตรียมพรอมตอการรับสถาณการณอุทกภัยหรือภัยพิบัติที่อาจ เกินขึ้นไดอีกในวันขางหนา
ภาค 4 : เพื่อพายุดีเปรสชัน่ กระหน่ําสทิงพระ อําเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ภูมิประเทศติดทะเลทั้งสองดาน ทิศตะวันออกติดฝงอาวไทย และ ทิศตะวันตกติดทะเลสาบสงขลา ปจจุบันสทิงพระเปนเมืองแหงหลังคาหลากสี หากคุณผานอําเภอสทิงพระ วันนี้คุณจะเห็นภาพ หลังคาที่ไมมีเหมือนเมืองใดในโลกนี้ หลังคาบานของประชาชน สถานที่ราชการ บานพัก โรงพยาบาลหรือ สถานีอนามัย ก็มีหลังคาหลากสี สีแดงบาง สีเขียว สีแดงสลับขาว กระเบื้องดินสลับกับสังกะสี ตนไมลม ระเนระนาด เสาไฟฟาโคนลม เกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้ 1 พฤศจิกายน 2553 เปนวันที่ชาวอําเภอสทิงพระไมเคยลืมคงจะเปนเรื่องเลาขานถึงอานุภาพ แหงพายุดีเปรสชั่นใหกับลูกหลานอยางไมมีวันลืม
57
คืนแหงความหฤโหดเริ่มขึ้นเมื่อ กรมอุตุนิยมวิทยา แจงเตือนวาจะเกิด พายุดีเปรสชั่นบริเวณ ภาคใตตอนลาง ขาวออกมาเปนระยะวาจะเกิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราช แตอนิจจา.....ครึ่งชั่วโมงกอนเกิด ถึง ไดรับรูวาพายุไดเปลี่ยนทิศทาง ใจกลางพายุหมุนดวยความแรง 80 กิโลเมตรตอชั่วโมง มาเขาที่อําเภอสทิง พระ ชาวบานที่ไดรับฟงขาวสารทางวิทยุ อบต./เทศบาล แจงเตือนประชาชนออกเสียงตามสายบางแหงที่ ไดรับขาวสาร วาประชาชนที่อาศัยอยูใกลริมทะเลใหอพยพมาอยูที่บริเวณหนาที่วาการอําเภอสทิงพระ ผล ปรากฎวา ชาวบานเชื่อนอยมากก็ยังอาศัยอยูในบานดังเดิมความรูสึกวาพายุ มันก็เกิดบอยที่สทิงพระ ก็ไม เห็นเปนอะไร เวลา 23.40น. ชาวสทิงพระตองตื่นตระหนกสุดขีด.....เสียงอะไรดังหวี๊ดๆๆๆๆๆๆๆเสียงสูงมาก ปนดวยเสียงวูๆๆๆๆๆๆๆๆ...ตามดวยลมกรรโชกอยางรุนแรง ฝนตกอยางหนักหนวง มองไปบนทองฟามี แสงสีแดง พายุหมุนเปนเกลียว เปนจุดๆ เสียงพายุเหมือนมัจจุราชรายที่โกรธใครมา หอบเอาหลังคาชาวบาน ที่อยูริมทะเลทั้ง 2ขาง ออกไปทิ้งนอกบาน ชาวบ า นที่คูขุ ด บอกว า พายุห อบหลั ง คาเขาไปบนท องฟ า เปด บ า นเขาออกมา ตามดว ยน้ํ า จาก ทะเลสาบสงขลาที่พายุหอบเอามาฝากสูงประมาณ 5 เมตร ผสมดวย โคลนสีดําจากทองทะเลลึก.. ปลา กุง นกกระยาง ถาโถมใสตัวบาน บานที่ยกพื้นสูง พังครืนลงมา เขากับแมลอยคอ กระเด็นออกจากบาน ลอย ไปติดอยูกับ กอตนลําพู น้ําไหลเชี่ยว ทั้งหนาวเหน็บตามตัว มีแผล เปนรอยขีดขวน เลือดไหลออกมาจนหยุด ไหลเอง ตัวซีดเย็น สงสารแมเหลือเกิน พายุสงบจึง พาแมมาขออาศัยอยูที่วัด เสื้อผาเปลี่ยนก็ไมมี ทุกอยาง หายไปกับพายุหมดแลว ตองใชจีวรพระหมตัว นายขนบอายุ 35ป คือผูปวย Home ward ที่ใสสายสวนปสสาวะคาไว ทีมพยาบาลลงไปดูแลที่ บา น ขนบเลา ให เราฟงวา เมื่อพายุ เกิด มั น ไดพัด บา นของเขาที่มุ งด ว ยจาก หลั ง คาเป ด ออกไป ฝนเท กระหน่ําลงมาบนตัวเขา บานเอนลง เอนลง หลังคาหลุดออกไปทีละอัน สองอัน เขานอนอยูคนเดียว อัมพาต ทอนลางหนีไปไหนก็ไมได ทั้งกลัวทั้งตกใจ..พอตั้งสติไดเขา ไดโทรศัพทไปบอกพี่ชายใหมาชวย แต อนิจจา พอพี่ชายมาถึง บานและหลังคา ก็พังมาทับตัวเขากับพี่ชาย ไปไหนไมได ตะโกนใหใครชวยก็ไมมี ฟาก็คําราม ฟาผาตลอดเวลา ฝนตกหนัก ลมพัดแรง ไฟดับ โทรศัพทก็เปยกน้ําสัญญาณก็ถูกตัด ใครเลาจะไดยิน ในเมื่อทุกคนตองประสบชะตากรรม แหงความโหดรายดวยกัน ทั้งเขาและพี่ชายก็มีแผลเลือดก็ไหลอยูตลอด ตะเกียกตะกายลากถูกันออกจากบาน ที่พัง ไปอาศัยที่โรงเคี่ยวน้ําตาล พอประทังชีวิตไปไดอยางทรมาน ทุกคนประสบชตากรรมเหมือนกัน เจาหนาที่ของเรา โรงพยาบาลเองก็ไมแตกตางจากชาวบาน เจาหนาที่ของเราหลายคน บานพังทั้งหลัง หลังคาถูกยกไปทิ้งไวไกลจากบานเปน 10 เมตร หมอหุงขาว เครื่องซักผาก็พังหมด ถูกพายุหมุนเขาบาน เสื้อผาก็ไมมีใส เชนพี่สิริพงศ ลูกจางโรงพยาบาลทําหนาที่ ซักฟอก ออกมาขอความชวยเหลือในตอนเชาที่โรงพยาบาลวาไปชวยแมของเขาที บานเขาพังหมดแลว หลังคาพังหมด น้ําฝนเทลงมาจากชั้นบนที่ไมมีหลังคา ลงมาบนเตียงแม มิหนําซ้ําน้ําก็ยังทวมมาจากดานลาง จนถึงเตียงนอนแมที่พิการอายุ 85 ป ชวยเอารถไปรับแมมาขออาศัยที่โรงพยาบาล สภาพที่ไปถึง คุณยายตัว เปยกชุมหนาวสั่น ญาติตองเอารมนั่งกางอยูทั้งคืน มันชางโหดรายอะไรเชนนี้ โรงพยาบาลสทิงพระก็พังเชนกัน บานพักก็พัง แรงพายุหมุนไดหอบเอาหลังคา ลานเอนกประสงค หลังโรงพยาบาล หอบไปทิ้งไวที่บนหลังคาหองฉุกเฉิน สนามหญา และถนนใหญหนาโรงพยาบาล เปนผลดี ที่ทําใหหลังคาหองฉุกเฉิน ไมถูกลมพัดพังไปดวย หลังคา OPD เพดานพังลงมา อุปกรณขาวของใชถูกพายุ หมุนกระจัดกระจาย เหมือเศษขยะ
58
น้ําเจิ่งนองโรงพยาบาล เจาหนาที่ชวยกันทําความสะอาด พวกเราที่อยูเวรเปนหวงชาวบาน พอแมพี่นองที่อยูขางนอก รวมถึงญาติๆ เปนอยางไรกันบาง คนที่มาผลัดเวรดึกก็มาไมได เจาหนาที่และ พยาบาลก็ตองอยูเวรบายตอเวรดึกโดยไมไดพัก พายุเกิดเวลาประมาณ 23.40 น. หมุนทําลายทุกอยางที่ขวางหนาอยูประมาณ 1 ชั่วโมงเสียงพายุ หมุนเหมือนเสียงกรีดรอง...ฝนตกหนักอยางบาคลั่ง เสียงลม แรงพายุหมุนแรงมาก ถอนตนไมที่อายุเปน รอยๆ ป ขนาดใหญแคไหนก็ลม บานหลายพันหลังพังเสียหายเกือบหมดทั้งอําเภอ เสาไฟฟาลมลงตั้งแตใกล โรงพยาบาลไปถึงหนาอําเภอ ประมาณ30 ตน ตนไมโคน ลม ขวางทางหลัก ไฟฟาดับทั้งหมด หลังพายุผานไป เงียบ เงียบจริงๆ เงียบจนนากลัว เหมือนไมมีอะไรเกิดขึ้น***** ประมาณตี 2 เศษ โรงพยาบาลของเราก็ตองทําภารกิจหนักอีกครั้ง ผูปวยหลายสิบรายเริ่มทยอยเขา มา ทุกคนมาในสภาพที่เปยกโชก เลือดไหล มีบาดแผลรอยขีดขวน แผลถูกของมีคมบาด กระเบื้องตกใส หลังคาทับ ตนไมตกใส รถชนตนไม พวกเราทีมสาธารณสุขมาชวยกันเย็บแผลใหการดูแลรักษาประชาชน จนถึงเชาโดยไมไดเปลี่ยนเวร ผูปวยที่อุบัติเหตุรถชนตนไม อาการหนัก ตองชวยชีวิต ใส ET tube มีอาการ ทางสมองตองสงไป รพ.สงขลา หรือรพ.มอ. ก็ไปไมได ในเมื่อหาดใหญก็น้ําทวมเหมือนกัน ชวยกันดูแลผูปวย จนถึงเชาถึงจะRefer ไปโรงพยาบาลที่จังหวัดสุราษธานีได รุงเชาขาพเจาขับรถออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปดูความเสีย ก็ไดพบกับคุณหมอนครินทร ฉิม ตระกูลประดับ ผูอํานวยการโรงพยาบาลสทิงพระ ที่ขับรถออกไปดูสถานที่ตั้งแต 6โมงเชา ผอ.บอกวา ไปไดไมไกลตนไมเสาไฟฟาขวางทางอยู ใจกลางพายุนาจะอยูที่ตําบลกระดังงา เพราะตนไมไมลมแตถูกบิด ขาดออกไปจากแรงหมุนเปนวงกลม มองออกไปพบชาวบานชวยกันตัดตนไมบริเวณถนนสายหลักพื่อใหรถ สามารถผานได แตในตรอก/ซอยเขาไปไมได บนถนนมีแตเศษกระเบื้อง กิ่งไม ผอ.กลับไปบานพักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผาชุดใหม กางเกงขาสั้น เสื้อยืดสีขาว มานําทีมเจาหนาทีที่มา ทํางานได เพียงฝายละไมกี่คน เริ่มจาก ทําความสะอาดจุดบริการผูปวย บริเวณหนา OPD ตัดตนไมที่ขวาง ถนนโรงพยาบาล หลังจากไปหากระเบื้องมามุงหลังคาบานพัก ใหเจาหนาที่นอนได มีเสื้อผาใสทํางาน แตพอ ไปถึงรานกระเบื้องก็พบกับชาวบานที่ไปรอซื้อกระเบื้อง คิวยาวมากๆ ชาวบานรอคิวซื้อกระเบื้องอยูประมาณ 300 คนรถจอดเต็มยาว 2 ขางถนน จะไปแยงกับชาวบานก็กระไรอยู ก็เลยใหคนขับรถไปซื้อที่อําเภอระโนด ไดกระเบื้องมาชวยกันซอมบานพักและโรงพยาบาล แตก็ทําเองไมได พี่ทีมชางขึ้นไปซอมแตดวยไมใชผู ชํานาญดานหลังคา เลยพลักตกจากหลังคา แตบุญยังชวย พี่ชางควาไมคานหลังคาหอยตองแตง ทุกคนตกใจมาก หากตกลงมาไมตายก็พิการ แนๆ ผอ.เลยบอกหยุดกอนรอตามชางในหมูบานมาซอม แตคิวชางก็ยาวมาก บานชางก็พังเหมือนกัน ผอ.เรียกทีมกรรมการบริหารโรงพยาบาลประชุมทีมนํา เพื่อวางแผนการใหความชวยเหลือประชาชน ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลไมได ผูปวยเบาหวาน/ความดันโลหิตสูง ก็ไมไดมารับยาตามกําหนดนัด ผูปวย ของเราเปนอยางไรกันบาง ตําบลไหนลําบากมากที่สุด ติตตอเจาหนาที่ตางๆก็ไมได น้ํามันที่ใสเครื่องปนไฟ สํารองก็ใชไปเกือบหมดแลว การประชุมวางแผนงานก็เริ่มขึ้น สาธารณสุขอําเภอเขามาชวยหาน้ํามันสํารองเพราะหากโรงพยาบาลไมมีไฟฟาทุกอยางก็สะดุดหมด ผูปวยมาคลอดผูปวยหนัก ระบบออกซิเจนก็ใชการไมได น้ํามันไมมีเลยในอําเภอสทิงพระ เพาระปมก็ตองใช ไฟฟาในการดูดจาย พอไมมีไฟฟาก็ไมสามารถเติมน้ํามันได ปมน้ํามันก็เสียหายแตยังโชคดี ที่ไดไปซื้อที่ ปมน้ํามันหลอดของชาวบาน การไฟฟาก็เขามาบอกวาจะรีบตอไฟฟาใหโรงพยาบาลแตเสาไฟฟาลมกอนถึง โรงพยาบาล 30 ตน ก็คงตองรอ
59
เชาวันที่ 3 พฤศจิกายน 2553 หลังจากทีเราซอมโรงพยาบาลไปมากแลว พรอมใหบริการประชุมทีม ตามแผนการชวยเหลือ รวมกับทีมสถานีอนามัย ชาวบานสะทอนใหฟงวาไมเห็นมีใครมาชวยเราเลย ไมมีใครรู เลยวาชาวสทิงพระลําบากแคไหน ก็โทรศัพทไมมีสัญญาณ ไฟฟาไมมี พวกเรานอนอยูในความมืดมา 3 คืน แลว ขาวปลาอาหารก็แบงกัน เสื้อผาก็แบงกัน แตหลังคาก็ไมมี กระเบื้องก็ไมมีที่ซื้อ หมอมีผายางที่เปนปาย ไวนิลเหลืออยูบางไหม เอามาคลุมหลังคาใหบานลุงที ขาพเจาเสนอแนะกับผูนําชุมชนวาคงตองสะทอนใหโลก รับรูบางวาเราลําบากกันแคไหน หลังจากนั้นผูนําชุมชุมชนขับรถไปโทรศัพทในเมือง โทรหาสื่อวิทยุจึงไดมี เสียงสะทอนออกมาวาชาวสทิงพระประสบกับวาตภัยอยางรายแรง ตองไปอาศัยอยูที่วัด ชาวสทิงพรขอขอบคุณนักขาวทุกทานที่ชวยกระจายขาว วาชาวสทิงพระตองการกระเบื้องกับหลังคา แคไหน โดยเฉพาะนักขาวคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา จากสถานีโทรทัศนชอง3ที่ลงมาทําขาวถึงสทิงพระมาดู ความลําบากของพี่นองชาวสทิงพระดวยตัวเอง หลังสื่อกระจายเผยแพรออกไป ความชวยเหลือหลายๆ หนวยงานก็เขามาชวยเหลือประชาชน กระเบื้องหลังคาก็หลั่งไหลมายังสทิงพระ โรงพยาบาลตางๆก็เขามา ชวยเหลือ โรงพยาบาลและทีมงานสาธารณสุขของเราชวยชาวบานเต็มที่ แผนการดําเนินการของทีม นอกจาการการบําบัดรักษาผูบาดเจ็บและผูเจ็บปวยในสถานบริการ ก็ไดออกหนวยบริการหนวยเคลื่อนที่ ออก ตรวจสุขภาพในพื้นที่ครอบคลุมทุกตําบล ตั้งแตวันที่ 4 – 16 พ.ย. 53 รวม 18 ครั้ง มีผูมารับบริการจํานวน 1,803 ราย ยังมีการเยี่ยมผูสูงอายุ ผูพิการ หญิงตั้งครรภ ผูปวยเรื้อรัง ทุกรายโดยพยาบาลประจําบานและ เจาหนาที่สถานีอนามัย เยี่ยมผูที่บานพังทั้งหลังทุกคนพรอมประเมินสุขภาพจิต พบเครียดมาสงตอใหกับ ทีมงานสุขภาพจิต จัดทําทะเบียนผูที่ตองการชวยเหลือ จากการประเมินภาวะสุขถาพจิตและภาวะเครียด พบผูปวยวิตกกังวลสูงจํานวน 40 คน มีผูปวยภาวะซึมเศราที่ตองดูแลตอเนื่อง จํานวน 2 ราย นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังมีการชวยเหลือดานอื่นๆ เชน บริการชารตแบตเตอรี่โทรศัพท ไฟฉาย, โคมไฟ,กลองถายรูป ตั้งแตวันที่ 3 – 5 พ.ย. 53 จํานวน 369 ราย เพราะไฟฟาดับทั่วทั้งอําเภอ ( ตั้งแตวันที่ 2 – 10 พ.ย. 53 : บางหมูบานไฟฟาดับถึง 10 วัน) ทําใหไมสามารถใชอุปกรณสื่อสาร / อุปกรณอิเลกโทร นิคที่จําเปนได โรงพยาบาลยังเปนศูนยรับบริจาคเสื้อผาจากผูมีจิตศรัทธาจํานวน 12 ราย นํามาแจกจายตอใหแก ประชาชนผูมารับบริการที่โรงพยาบาลสทิงพระ รวมถึงไดนําไปแจกจายแกประชาชนในหมูบานเปนจํานวน มาก มีเครือขายสนับสนุนเงินมาชวยชาวบานดวยจํานวน 12,000 บาท เจาหนาที่ตางชวยกันคนละมือ มีการใหความรูเสียงตามสายในรพ.เรื่อง การปองกันโรคที่มากับน้ํา ทวม การนจัดบอรดใหความรูเรื่องการปองกันโรคที่มากับน้ําทวม การแจกเอกสาร/คูมือ “สาธารณสุขหวงใย อยากใหคนไทยปลอดภัยในชวงน้ําทวม” ซึ่งไดรับจากกระทรวงสาธารณสุข การจัดรายการเสียงตามสาย รวมกับพยาบาลที่รับผิดชอบดานสุขภาพจิต บทเรียนจาก Depreession ที่เกิดที่สทิงพระครั้งนี้สงผลใหเกิดความเสียหาย ตอรางกาย ทรัพยสิน ที่อยูอาศัย หลังคาบานของเรามีสีสันที่หลากหลาย สีเขียว สีแดงสีขาว กระเบื้องดินสลับกับสังกะสี ฯลฯ ขอใหมีหลังคากันแดดกันฝน...... ชาวบานหลายคนที่หมดหวังกับชีวิต หวาดกลัว เพียงแคเห็นลมพัดหรือฝน ตกก็มีอาการกลัว นอนไมหลับ คงตองใชเวลาอีกหลายปถึงจะกลับมาเหมือนเดิม
60
กาวสูการจัดการพิบัติภัยในอนาคต ถึงวันนี้คงไมมีใครไววางใจสถานการณภัยพิบัติทางธรรมชาติไดอีกตอไป รวมทั้งอุบัติภัยหรือสา ธารณภัยในเมืองไทยดวย ความไมแนนอนคือสิ่งที่ตองยอมรับและเรียนรู เพื่อเตรียมมาตรการรับมือใน อนาคต การมีชองทางกระจายขอมูลขาวสาร ที่ตองพัฒนาจนสามารถวิเคราะหขอมูล สรางเปนสัญญาณ เตือนภัยเรงดวนแกประชาชนได ทุกหนวยบริการตองมีแผนรับสถานการณอุทกภัยและอุบัติภัยอื่นๆ ควรมี การจัดทําแผน, คูมือ, การสื่อสารกับเจาหนาที่ และสาธารณะ การซอมแผนรวมกับหนวยงานอื่นๆ การเตรียม ความพรอมอื่นๆ เชน การจัดหาเครื่องมือ, ยานพาหนะ ฯลฯ โรงพยาบาลชุมชนควรมีเรือทองแบนที่ปลอดภัย เสื้อชูชีพ เพื่อใชในการปฏิบัติการชวยเหลือประชาชน ซึ่งสามารถใชเงินบํารุงจัดหาได เจาหนาที่สาธารณสุข ตองเรียนรูเรื่อง “การตอบโตภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข” (Public Health Emergency Response) แผนการสงตอในสถานการณวิกฤตก็ควรปรับปรุงใหทันสมัยอยูเสมอ อีกทั้งยังตองประสานแนวราบ กับสถานีอนามัย องคกรปกครองสวนทองถิ่น เพื่อชวยเหลือผูปวย คนชรา คนพิการ ออกจากจุดน้ําทวม ตอง พึ่งพาอาศัยรถและกําลังคนของหนวยทหาร หรือเรือกูภัยและยานพาหนะของหนวยงานอื่น หากจะตองสรางสถานบริการสาธารณสุขใหม ควรเลือกสถานที่ที่ปลอดภัย ควรตั้งอยูในที่ดอน ไม ควรใกลแหลงน้ําขนาดใหญ เชน แมน้ําลําคลอง มีระบบระบายน้ําเปนอยางดี มีระบบสํารองไฟฟาและประปา ที่เพียงพอ โรงไฟฟาสํารองตองยกใหสูงเพียงพอ ตองมีระบบการสื่อสารหลายชองทาง ทั้งวิทยุ โทรศัพท โทรศัพทไรสาย เปนตน ยังอีกมากมายการจัดการภัยพิบัติที่ตองลงมือทํา บทเรียนวันนี้ไมควรสูญเปลาใหประวัติศาสตรซ้ํารอย @@@@@@@@@@@@@@@
61
ขอขอบคุณ นักเขียนผูเขียนจากประสบการณจริง ที่เขียนเรื่องมาปะติดปะตอจนเปนบทความชิ้นนี้ - นายแพทยสุวัฒน วิริยพงษสุกิจ ผูอํานวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินาถ ณ อําเภอนาทวี จังหวัดสงขลา - นายแพทยธาดา ทัศนกุล กุมารแพทย แพทยเวชศาสตรครอบครัว โรงพยาบาลหาดใหญ จังหวัด สงขลา - แพทยหญิงหทัยทิพย ธรรมวิริยะกุล แพทยเวชศาสตรครอบครัว โรงพยาบาลหาดใหญ จังหวัด สงขลา - นายแพทยวชิระ บถพิบูลย ผูอํานวยการโรงพยาบาลชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา - คุณสุรีย พีพะระพรรณ พยาบาลหอผูปวยใน โรงพยาบาลหาดใหญ จังหวัดสงขลา - ศิริลักษณ ชวงมี พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสิงพระ อ.สทิงพระ จ.สงขลา - นายแพทยสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผูอํานวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา
62
เครือขายอาสาสมัครจัดการภัยพิบัติจังหวัดสงขลา
63
เครือขายอาสาสมัครจัดการภัยพิบัติจังหวัดสงขลา โดย ชาคริต โภชะเรือง ผูจัดการมูลนิธิชุมชนสงขลา
สืบเนื่องมาจากการเกิดภัยพิบัติในพื้นที่จังหวัดสงขลา ซึ่งมีสาเหตุของความรุนแรงเกิด จากภาวะฝนตกหนักมากอนหนานี้ทําใหมีปริมาณน้ํามากและเมื่อวันที่ ๑ พ.ย ๒๕๕๓ เกิดพายุ ดีเปรสชันบริเวณอาวไทยตอนลาง มีศูนยกลางหางประมาณ ๓๕๐ กิโลเมตร ทางตะวันออก เฉียงใตของจังหวัดสงขลา เคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผานบริเวณภาคใตตอนลาง โดยขึ้นฝงในพื้นที่คาบสมุทรสทิงพระและอําเภอเมืองในบางสวน ความรุนแรงของทั้งกระแสลม และสายน้ํา สงผลใหเกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นเปนทวีคูณ จังหวัดสงขลามีสถานการณน้ําทวมขังในพื้นที่ ๕ อําเภอ ๔๒ ตําบล ๓๐๙ หมูบาน ราษฎรไดรับความเดือดรอน ๔๗,๓๒๐ ครัวเรือน ๑๔๔,๘๔๑ คน บานเรือนราษฎรเสียหายทั้ง หลัง ๖๒๓ หลัง เสียหายบางสวน ๔๓,๓๓๑ หลัง อาคารพาณิชย ๑๕๕ หอง โรงงาน ๒๐ แหง โรงแรม ๑ แหง ยานยนต ๒๙,๘๙๖ คัน เรือประมงไดรับความเสียหาย ๕๐๓ ลํา ปศุสัตว ๙,๑๖๕ ตัว สัตวปก ๑๘๔,๒๐๗ ตัว บอปลา ๖,๔๘๒ บอ พื้นที่การเกษตร ๒๐๒,๔๙๙ ไร สิ่ง สาธารณประโยชนไดรับความเสียหาย ถนน ๑,๓๑๓ สาย สะพาน/คอสะพาน ๒๔๘ แหง ทํานบ/ พนังกั้นน้ํา ๔๗ แหง เหมือง ๒๑ แหง วัด/มัสยิด ๑๘๑ แหง โรงเรียน ๒๓๐ แหง สถานที่ ราชการ ๑๐๔ แหง บอน้ํา ๑,๓๖๗ แหง แนวกันคลื่น ๕ แหง ทอระบายน้ํา ๒๒๐ แหง มี ผูเสียชีวิต ๓๕ ราย (อ.เมือง ๓ ราย อ.สิงหนคร ๖ ราย อ.หาดใหญ ๑๗ ราย อ.จะนะ ๕ ราย อ. บางกล่ํา ๑ ราย อ.คลองหอยโขง ๑ ราย อ.นาทวี ๑ ราย อ.กระแสสินธุ ๑ ราย) โรงบุญรวมใจชวยผูประสบภัย ขณะเกิ ด เหตุ อุ บั ติ ภั ย ดั ง กล า ว มี ค วามช ว ยเหลื อ ทั้ ง จากภาครั ฐ ภาคเอกชน ภาค ประชาชนเพื่อชวยบรรเทาความรุนแรงที่เกิด มีตัวอยางอาสาสมัครที่เกิดขึ้นจากความคิดริเริ่ม ของภาคประชาชนที่นาสนใจ ดังเชน กรณีโรงบุญรวมใจชวยผูประสบภัย ซึ่งดําเนินการโดย อ.ภาณุ พิทักษเผาและทีมงานสมาคมเกษตรอินทรียวิถีไทสงขลา ใชหลักคิดทางศาสนาใน เรื่ องของการแบ งป น ชว ยเหลือเกื้อกูล กันและกัน ทําใหคนรูสึกว ามีที่พึ่ง และเปนการสราง ความสัมพันธในฐานะที่เกิดมาเปนเพื่อนพี่นองรวมชะตากรรม ไดเขามารวมชวยเหลือผูทุกขยาก ดวยการเปดโรงบุญเพื่อใหทานแกประชาชนที่ยังไมสามารถหาวัตถุดิบและไฟฟามาปรุงอาหาร ไดรับประทานอาหารเจสดใหม น้ําสะอาด โดยการชวยเหลือคนทุกชนชั้นไมวายากดีมีจนทั้ง ๓ มื้อตอวัน เริ่มตั้งแตเวลา ๗ โมงเชาจนถึง ๑ ทุมของทุกวันเปนเวลา ๗ วันติดตอกัน จํานวนคน ที่มาใชบริการไมต่ํากวาพันคนตอวัน
64
ในการดําเนินการดังกลาวไดรับความรวมมือจากโรงเรียนหาดใหญสมบูรณกุลกันยาได ให ใ ช ส ถานที่ บริ ษั ท หาดทิ พ ย อ นุ เ คราะห เ ต น ท สถานี วิ ท ยุ ม.อ.ช ว ยสื่ อ สารความต อ งการ เทศบาลนครหาดใหญ ใหรถสุขาและไฟฟา สาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)ตั้งเต็นทนําเจาหนาที่จาก โรงพยาบาลจากอํ า เภอต า งๆหมุ น เวี ย นมาตรวจรั ก ษาพยาบาล เจ า ของบ อ น้ํ า บาดาลช ว ย สนับสนุนเรื่องน้ํา แลวก็มีอาสาสมัครจากในพื้นที่และทั่วประเทศเขามาชวยเหลือแบงเบาความ ทุกข บางคนมาชวยรองเพลง สรางสีสันคลายความทดทอในชีวิต ทุกคนที่มาทานอาหารที่โรงบุญ จะไดทานอาหารที่ยังรอน ไมบูดเนา ทีมงานจัดซื้อ วัตถุดิบอยางประณีต และจัดปรุงอยางถูกสุขลักษณะ ตองใชเงินซื้อวัตถุดิบวันละ ๑-๒ หมื่นบาท จากการทํางานดวยจิตแหงการใหเชนนี้ โรงบุญแหงนี้จึงมียอดบริจาคสูงถึง ๘ หมื่นกวา บาท ไมนับรวมการบริจาคที่เปนวัตถุดิบอีกรวมแสนบาท(ขาวสาร พืชผักผลไม) ซึ่งเงินจํานวน ดังกลาวก็ไดนําไปใชในการจับจายซื้อของ และนําไปชวยเหลือผูประสบเหตุที่จําเปนเรงดวน และในปจจุบันไดพัฒนาการตั้งเปน กองบุญฟนฟูชีวิตผูประสบภัยสงขลา มีเงินตั้งตนกวา ๑๘๐,๐๐๐ บาท นอกจากนั้นแลวสงขลายังมีวิทยุเครื่องแดงโดยการจัดตั้งของกองทัพภาคที่ ๔ รวมกัน แลวไมต่ํากวา ๑ หมื่นเครื่อง ในชวงเวลาปกติ ไดทําหนาที่เฝาระวังในดานความมั่นคง แตใน ภาวะอุ บั ติ ภั ย เช น นี้ ก็ มี บ ทบาทสํ า คั ญ ร ว มกั บ ศู น ย วิ ท ยุ อิ น ทรี ซึ่ ง ในภาวะปกติ ก็ มี ก าร ลาดตระเวนเมืองหาดใหญทุกศุกร-เสารรวมกับกองทัพ แลวก็ชวยเหลือประชาชนในทุกเรื่อง ไม วาจะรถกุญแจหาย ยางแบนฯลฯ ตามแนวทาง “เราพรอมรับใชสังคมดวยจิตอาสา” คุ ณ อนุ ช า อรรถธรรม ผู ป ระสานงานเล า ให ฟ ง ว า นี่ คื อ เครื่ อ งมื อ สื่ อ สารของภาค ประชาชนที่ทรงอานุภาพ “ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ใชวิทยุเครื่องแดง เพียงแคไปจดทะเบียนขอ อนุญาตใชและพกพาเทานั้น ที่กสช. เราก็สามารถพกติดตัวมาใชประโยชนได” น้ําทวมคราวนี้คุณอนุชาเอง ติดอยูในบาน อาศัยวิทยุเครื่องแดงนี่แหละที่ไดสื่อสาร และ มีบทบาทใหความชวยเหลือคนอื่นๆ วิทยุกระแสหลักของมอ. FM.88.00 MHz เปนอีกองคกรหนึ่งที่ชวยประสานความ ชวยเหลือสงตอความตองการไปยังผูที่ประสบเหตุและผูที่พรอมจะใหความชวยเหลือ หรือเปน กระบอกเสียงประชาสัมพันธ เฝาระวัง ติดตามขาวสารเพื่อการเตือนภัย ทั้งยังทําหนาที่สมกับ ความเปนสื่อ ในยามเกิดเหตุคับขัน กลายเปนชองทางหลัก เปนที่พึ่งใหกับคนสงขลาจํานวนมาก ไดรับฟงขาวสาร คุ ณ บั ญ ชร วิ เ ชี ย รศรี คุ ณ อรุ ณ รั ต น แสงละออง ทํ า หน า ที่ จั ด รายการ เป น สื่ อ กลาง กระจายความชวยเหลือไปใหผูที่เดือดรอน บางชวงเวลาที่คับขัน สถานีวิทยุแหงนี้ทํางานตลอด ๒๔ ชั่วโมง หลายเหตุการณที่เขาดายเขาเข็ม หรือระหวางความเปนความตาย การสื่อสารผาน สถานีก็เปนอีกตัวชวยทําใหสถานการณคลี่คลายไปได
65
ศูนยประสานงานชวยเหลือผูประสบภัยภาคประชาชนคาบสมุทรสทิงพระ ในพื้นที่ของคาบสมุทรสทิงพระ ซึ่งประกอบดวย ๔ อําเภอในจังหวัดสงขลา ไดแก อําเภอสิงหนคร อําเภอสทิงพระ อําเภอกระแสสินธุ และอําเภอระโนด ซึ่งเปนพื้นที่ตกสํารวจก็วา ได ที่นี่กําลังมีเรื่องที่นาชื่นชมเกิดขึ้นไมนอย ชวงแรกของการเกิดอุทกภัยและวาตภัยในวันที่ ๑ พฤศจิกายน แทบไมมีใครลวงรูความ เคลื่อนไหวหรือผลกระทบที่เกิดอยางกระจางชัดตอสายตาของผูคนละแวกนี้ เนื่องจากขาวสาร ถูกตัดขาด ทุกกระแสความสนใจมุงสูเมืองหาดใหญ จนกระทั่งหาดใหญน้ําลด ขาวคราวจาก คาบสมุทรสทิงพระจึงเริ่มปรากฏตอสาธารณะ และนั่นนํามาสูความตื่นตัวของผูที่เกี่ยวของ เมื่อหาดใหญเริ่มคลี่คลาย เราเองไดชักชวน เพื่อนๆพี่ๆนองๆในพื้นที่รวมกันจัดตั้ง "ศูนยประสานงานชวยเหลือผูประสบภัยภาค ประชาชนคาบสมุทรสทิงพระ" โดยรวมกับศูนยเรียนรูภูมิปญญาชาวบก(หมายถึงคาบสมุทร สทิงพระ) ของครูฑูรย (ไพฑูรย ศิริรักษ) ใชศูนยแหงนี้ซึ่งก็โดนแรงลมกระชากหลังคา ประตูฉีด ขาด เสียหาย ภายหลังซอมแซมครูฑูรย ตั้งใจจะใชเปนจุดรวมการชวยเหลือประชาชนในหมู ๗ ของตําบลสทิงพระ แตเราไปขอใชเปนศูนยประสานงานหลักระดับโซน รวมกับอีกหลายองคกรที่ เคยทํ า งานด ว ยกั น เช น เครื อ ข า ยสภาองค ก รชุ ม ชน เครื อ ข า ยชุ ม ชนเพื่ อ การฟ น ฟู ลุ ม น้ํ า ทะเลสาบโซนคาบสมุทรสทิงพระ การตั้งศูนยแหงนี้เกิดขึ้นบนความตั้งใจไมใชวาจะแยกสวนจาก องคกรภาครัฐหรือ ทองถิ่น เราตัง้ ศูนยแหงนี้เพื่อเสริมเติมอุดชองวางการทํางานที่มีอยู...ผนวกกับความกังวลหวงใย และความมั่นใจวาเรามีศักยภาพพอที่จะชวยเหลือชุมชนดวยกัน
ศูนยประสานงานชวยเหลือผูประสบภัยฯ
ผูมารอรับกระเบื้อง
ทีมงานกําลังอลวนกับขอมูล ประสานงาน
66
มีวิทยุชุมชนของเครือขายมาจัดรายการสด
ความเสียหายของบานเรือน
ความเสียหายจากวาตภัย หลายคนบอกเปนเสียงเดียวกันวาเปนปรากฏการณแรกในชีวิตที่ไดพบเจอ กระแสลม พายุงวงชางหมุนตัวเปนเกลียวพัดหวนถอนรากถอนโคนตนไมใหญลมทับหลังคาบาน ยกบาน ลอยทั้งหลังไปหลนหางออกไปเปนเมตร ผูเฒาบางคนตกใจจนถึงขั้นนอนปวยลุกไมขึ้น เหนือไปกวานั้นสายลมหอบเอาสายน้ําลอย ขามถนนมาทวมอีกฝงฟาก ทามกลางเสียง คํารามกูเกรี้ยวอันนาสะพรึงกลัว หางพายุกระชากสายน้ํา หอบเอาสาหรายใตทะเลสาบไปมวน พันกับเสาบาน กระเบื้องดินเผา กระเบื้องมุงหลังคาปลิววอน ตกรวงเกลื่อนพื้นดิน ดานหนึ่งของ คาบสมุทรติดกับทะเลสาบสงขลา น้ําจากหาดใหญ จากพัทลุงไหลมากองอยูที่นี่ ทวมทนเขาสู หมูบาน แลวไฟก็ดับ กวา ๒ หมื่นครัวเรือนโดยประมาณไดรับผลกระทบ หลายตําบลมีบานทั้งหลังพังพินาศ ชนิดแทบไมเหลือซาก เชน ตําบลกระดังงา มีกวา ๒๐ หลัง ตําบลครองรี มี ๒๕ หลังคาเรือน ตําบลกระแสสินธุ มีไมต่ํากวา ๑๐ หลัง ชาวบานไรที่อยู บางครัวตองอพยพไปอยูรวมกับญาติพี่ นอง คนรูจัก หลายคนอพยพไปกินนอนบนถนน ทั้งเฝาวัว สัตวเลี้ยง ลูกเล็กเด็กแดงกินนอน รวมกันเปนที่นาเวทนา
67
มูลนิธิชุมชนสงขลา ผมเองในฐานะที่ทํางานกับมูลนิธิชุมชนสงขลา ในชวงเกิดอุทกภัยมีโอกาสไดไปรวมกับ สถานีวิทยุ FM ๘๘.๐๐ MHz รวมจัดรายการกับพี่ๆนองๆในเครือขาย เปดสายรับขาวสาร รวม ไปถึงความตองการในการชวยเหลือผูประสบภัย ทําใหเห็นอิทธิพลของสื่อที่สามารถใชใหเปน ประโยชนกับสาธารณไดมาก วาตภัยคราวนี้ก็เชนกัน ผมพยายามใชสื่อที่มีทุกชองทางใหเปนประโยชนเพื่อสื่อสาร ความคิด มูลนิธิชุมชนสงขลาของเรา ไมอยากทํางานแคเพียงหาเงินแลวก็นําไปบริจาค หรือ ระดมหาวัสดุอุปกรณไปแจก ถายภาพแลวก็กลับ มูลนิธิฯตั้งใจที่จะเปนสื่อกลางประสานความ รวมมือใหผูใหและผูรับไดพบ กัน ขณะเดียวกันก็พยายามสรางแนวคิด...สงเสริมการใหที่มี คุณคาและรับอยางมีศักดิ์ศรี กระตุนใหชุมชนที่เปนผูรับ ไดมีสวนรวม ไดใชเงื่อนไขความ เดือดรอนเปนฐานสรางพลังรวม เชื่อมประสานทุกสวนในชุมชน จับมือกับภาคีหนวยงาน ภายนอก ชวยกันฟนฟูชุมชุมชนอยางมีศักดิ์ศรีเทาเทียมกับผูให ที่วาจะมาจากไหน หรือมาจาก องคกระดับใด มูลนิธิชุมชนสงขลา ไดรวมกับอีกหลายองคกรในพื้นที่ ทําหนาที่ประสานงาน ระดม ความชวยเหลือ พรอมทั้งจัดระบบใหกับอาสาสมัคร ชี้เปาใหกับองคกรหนวยงานตางๆที่ลงมา ชวยเหลือพื้นที่ ขณะเดียวกัน ก็ทําหนาที่ระดมทุน นําความชวยเหลือทั้งงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ แรงงาน ลงไปใหกับพื้นที่ เพื่อรวมกันฟนฟูชุมชนใหกลืบสูสภาพปกติ โดยเฉพาะเราได ร ว มกั บ กองทุ น รั ก ษ ค ลองอู ต ะเภา นํ า นั ก ศึ ก ษาจากมหาวิ ท ยาลั ย นราธิวาสราชนครินทร เขามาชวยเหลือคนสงขลา อาสาสมัครหัวใจแกรงจากมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร มหาวิทยาลัยแหงนี้เกิดขึ้นเมื่อป ๔๘รวมเอาสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ไดแก วิทยาลัย พยาบาล วิทยาลัยเกษตร วิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยอาชีพตากใบ มายกระดับเปนมหาวิทยาลัย เนนการเรียนรูในสายวิทยาศาสตรสุขภาพและวิทยาศาสตรเทคโนโลยี ในครั้งนี้ไดชวยเหลือ ชุมชน จั ดตั้ งศู นย รับ บริ จาคในมหาวิทยาลัย นําสิ่งของไปบริจาคและลงมาตั้ งศู นย ใ ห ค วาม ชวยเหลือ
68
“นักศึกษาเหลานี้จะไดใชความรูที่ร่ําเรียนมาไดใชประโยชนใหเพื่อนมนุษย ผศ.ประทีป รองอธิการบดีกลาว วันที่ ๙ พฤศจิกายน เราไดนํานักศึกษาจํานวน ๘๐ คนเขาไปชวยเหลือชุมชนบานดอน คัน ตําบลคูขุด ซึ่งเราไดประสานแกนนําในพื้นที่คือครูปราณี มณีดุลย บอกวายังไมมีความ ชวยเหลือเขาไป หลังจากประสานกับพื้นที่ใหมีการเตรียมคน เตรียมวัสดุ โดยมีขอตกลงรวมกัน วา ทางแกนนําคือผูใหญบาน อบต.และชุมชนจะตองลําดับความสําคัญ จัดระบบการชวยเหลือ ประชาชนกันเอง ทางมูลนิธิชุมชนสงขลามีผูบริจาคเงินใหนําไปซื้อกระเบื้องมุงหลังคา เราได นําไปจัดซื้อแลวสงตอใหกับชุมชน สมทบกับกระเบื้องจากอบต. โดยชุมชนจะเปนผูออกในสวน ของขอเกี่ยวและตาปู ชวงเชาฝนตกหนัก แตก็เวนชวงใหไดพอหายใจ แลวก็ตกหนักลงมาอีก ไมมีวี่แวววาจะ หยุด รถของมหาวิทยาลัยวิ่งฝายสายน้ําที่สูงระดับหนาแขงเขาสูหมูบาน เห็นไดชัดวาชุมชนโดน กระหน่ําซ้ําทั้งจากน้ําทวมและลมพายุจนสะบักสะบอม เมื่อพบกันแกนนําชุมชน การชวยเหลือ จึงเริ่มตนขึ้นอยางรวดเร็วทามกลางสายฝนกระหน่ําหนัก แตก็ไมมีใครยั่น แววตานักศึกษาทุก คนกลับมุงมั่น สนุกสนานกับภารกิจ ทั้งผูบริหารและคณะอาจารยที่นําทีมมาจัดระบบการทํางาน อย า งยอดเยี่ ย ม นั ก ศึ ก ษามี อุ ป กรณ ป อ งกั น มี ร ถเดิ น ทางพร อ มอุ ป กรณ ก อ สร า ง มี อ าหาร เตรียมพรอมสําหรับนักศึกษามุสลิม รวมไปถึงที่พัก
เริ่มงานกลางฝนหนัก
ซอมหลังคากลางสาย
ฝน สภาพบานกลางน้ํา ตําบลคูขุด แหลงกําเนิด เทง...ตัวตลกหนังตะลุงชื่อ
69
ดัง ลุยงานกลางฝน
เราตกลงกันวาจะลุยเก็บงานไปทีละหมูบาน จนกระทั่งแลวเสร็จทางมหาวิทยาลัยให เวลาไมต่ํากวาสัปดาหที่จะชวยเหลือชุมชน... ชุดประจําที่ หมูบานดอนคัน และ ๒ชุด ประจําอยูที่บานดอนเค็ด ทั้งหมดตางรวมกัน ระดมชวยเหลือผูประสบภัย โดยจัดตั้งหนวยซอมแซมเครื่องใชไฟฟาที่เกิดความเสียหาย อาทิ เครื่องวิทยุ โทรทัศน เตารีด ฯลฯ เปนบรรยากาศที่คึกคักมาก รวมจํานวนผูขอความชวยเหลือ จํานวน ๒๙ ครัวเรือน นอกจากการซอมแซมแลว ทางศูนย ไดนําสิ่งของจําเปน และน้ําดื่มมอบ ใหกับบานเรือนที่เดือดรอนจากเหตุการณอุทกภัยในครั้งนี้อีกดวย นี่คือน้ําใจจากพื้นที่ซึ่งไดรับผลกระทบจากเหตุไฟใต เปนสวนหนึ่งของตัวอยางความ พยายามชวยเหลือตนเอง ชวยเหลือกันเองของประชาชนในพื้นที่ ชวยกันบรรเทาความทุกข หนักในขณะที่ความชวยเหลือจากภาครัฐและหนวยงานที่เกี่ยวของยังไปไมถึง. ภาพถายครัวเรือนที่ไดรับกระเบื้องมุงหลังคาและไดรับการชวยเหลือจากนักศึกษาในการซอมแซมหลังคา
70
ปตตานี – หลังพายุ – สูการฟนฟู
71
หลังพายุใหญพาดผาน "อาวปตตานี" วันที่ 05 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ปที่ 33 ฉบับที่ 11957 มติชนรายวัน โดย ภาสกร จําลองราช padsakorn@hotmail.com เสียงดังโหวกเหวกดวยภาษามลายูทองถิ่นดังไมขาดสาย ทําใหบรรยากาศดูอบอุนมาตั้งแตเชา เนื่องจากผูมีน้ําใจ มากหนาหลายตาตางมารวมกันลงแรงสรางบานหลังใหมให กับชาวบานที่กําลังตกอยูในสถานการณยากลําบาก ผานไป 1 เดือนเศษแลวที่คนในหมูบานปาตา อําเภอยะหริ่ง จังหวัดปตตานี ตองประสบภัยพิบัติ จากพายุและคลื่นทะเล จนทําใหบานเรือนและทรัพยสินเสียหายสิ้นบานปาตาเปนหมูบานเล็กๆ ริมอาวปตตานี ชาวบานสวนใหญมีอาชีพประมง เชนเดียวกับอีก 26 ชุมชนรอบอาว ซึ่งพายุ ใหญที่เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 1 พฤศจิกายน ทําใหหมูบานนับสิบชุมชนตางๆ ประสบความเสียหาย กันถวนหนา โดยมีบานเรือนที่พังยับและที่พังบางสวน รวมพันหลัง นอกจากนี้ เครื่องมือทํามาหากินตองสูญหายไปจํานวนมาก เชนเดียวกับเกลือที่กองรอขาย มูลคานับสิบลานบาทที่ตองละลายไปกับน้ํา จนเจาของนาตองสิ้นเนื้อประดาตัว ชุมชนปาตาแยกออกมาจากชุมชนตันหยง ลูโละ ซึ่งเปนหมูบานเกาแกและมีตํานานเลาวา เจา แมลิ้มกอเหนี่ยวมาสิ้นชีวิตที่นี่ และในอดีตชาวบานตันหยงลูโละก็อาศัยใชน้ําจากบอบานกรือเซะ ที่อยูหางออก ไป 2 กิโลเมตร เพราะดินที่นี่เปรี้ยวทําใหไมสามารถนําน้ํามาบริโภคได ชุมชนปาตามีบานไดรับความ เสียหาย 11 หลัง แตเนื่องจากที่ดินที่ ชาวบานอาศัยอยูเปนที่ดินสาธารณะ ซึ่งผูอาวุโสบานตันหยงลูโละเห็นวา ชาวบานจํานวนหนึ่งไมมีที่อยู จึง สนับสนุนใหยา ยมาอยูที่นี่ แตเมื่อ เกิดภัยพิบัติ ทําใหสวนราชการ กระอักกระอวนใจที่จะเขามาสราง บานใหมใหเพราะระเบียบของ ทางการที่เอื้อประโยชนเฉพาะที่ดินที่ ชาวบานตางถิ่นชวยกันสรางบานใหชาวปาตา มีเอกสารสิทธิ
72
ในที่สุด ชาวบานทั้งมุสลิมและพุทธตางรวมแรงรวมใจกันยกบานหลังใหมขึ้นมา ทําใหเจาของ บานพอที่จะยิ้มออกได ขณะที่ทหารที่รับผิดชอบพื้นที่ก็ไดรับมอบหมายใหสรางบานบางสวน ดวยเชน กัน แตความคึกคักดูเหมือนจะเทไปที่บาน "ชาวบานชวยชาวบาน" มากกวา เสียงเลาถึงเหตุการณ ในค่ําคืนนั้นดังไมขาดสาย ภัยธรรมชาติอันรุนแรงกลายเปนฝนรายที่ ชาวบานตางจดจําและเลาขานไปอีกนาน "น้ํา มาหลายระลอก ตอนแรกสูงแคเอว แลวก็ลงไป ครั้งสุดทายสูงมาก ทําใหบานพังหมด แต ผมพาครอบครัวหนีไปอยูที่บานใหญแลว" แวอาลี มะรอแม ยังคงมีน้ําเสียงตื่นเตนทุกครั้ง เมื่อ ถายทอดประสบการณหมาดๆ ใหเพื่อนๆ ตางถิ่นฟง "ตั้งแตเกิดมาไมเคยพบเหตุการณรุนแรง แบบนี้เลย เคยเจอพายุหมุนครั้งหนึ่งตอนยังเด็ก แตก็ไมมีน้ําทวมมากเหมือนครั้งนี้" บานของแวอาลีสรางดวยอิฐบล็อค แตความรุนแรงของคลื่นลมทําใหผนังอิฐทะลุและพังราบคาบ ในชีวิตเขาไมเคยคิดวา อาวปตตานีที่เคยคุมกายชุมชนมายาวนาน จะตองเผชิญชะตากรรม เชนนี้ หรืออาวปตตานีกําลังเปลี่ยนไป อาวปตตานีมีพื้นที่ 75 ตารางกิโลเมตร โดยมีแหลมยื่นไปในทะเลที่เรียกกันวาแหลมโพธิ์มีความ ยาว 22 กิโลเมตร ทุกตะกอนที่ไหลมาตามแมน้ําปตตานีและคลองยะหริ่ง สูอาวปตตานีทําใหเกิดนิเวศวัฒนธรรมที่ สั่งสมเปนแหลงอารยธรรมเกาแก และสําคัญแหงหนึ่งในแหลมมลายู หลายปมาแลวที่มะรอนิง ตานอ ชาวบานบูดีกัมปง ชุมชนปลายสุดของแหลมโพธิ์ ไดเขาไปมี สวนรวมในการพิทักษและดูแลทรัพยากรธรรมชาติในอาวปตตานี ในอดีตเขามีอาชีพหาปลาในอาวปตตานี ซึ่งมีรายไดเลี้ยง ดูลูก 9 คน อยางไมเดือดรอน ในยามขัดสนก็ยังจับหอยที่ มีอยูมากมาย ทั้งหอยแครง หอยขาว หอยตาควาย ขึ้นมาขายเปนรายไดเสริม สาวนอยเพลิดเพลินอยูบนกองผาที่ แตในชวงกวา 10 ปที่ผานมา ระบบนิเวศในอาวปตตานี ถูกนํามากองไวตั้งแตเกิดภัยพิบัติ เปลีย่ นไปมาก ทําใหทรัพยากรเสื่อมโทรมอยางรวดเร็ว "นาย ทุนเขามาจับจองพื้นที่ในอาวทําเปนที่เลี้ยงหอยแครงเยอะมาก พวกเราพยายามคัดคาน เพราะในอาวควรเปนพื้นที่สาธารณะ พวกเขาไมยอมเขาไปหากิน เขาคราดหอยทีก็ทําลายระบบ
73
นิเวศหมด" มะรอนิงสะทอนปญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนหนึ่งในหลากหลายรูปแบบที่รุกรานวิถีชีวิต ของชุมชน ในขณะที่ ปากอาวปตตานีกําลังแคบลงเรื่อยๆ เพราะแนวกันคลื่นที่ทําใหกระแสน้ํา เปลี่ยนทิศทาง พื้นที่หญาทะเลซึ่งเปนแหลงอาหารและอนุบาลสัตวน้ําที่สําคัญไดหดแคบลงมาก เชนเดียวกับการขุดลอกรองน้ําและโครงการถมทะเลเพื่อพัฒนาทาเรือ ซึ่งไมมีการศึกษาและทํา ความเขาใจในระบบนิเวศ ทําใหกลายเปนตัวเรงความเสื่อมโทรมเพิ่มขึ้น รอบๆ อาวยังมีโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมาย หลายแหงประกอบกิจการอยางมักงายโดย ปลอยน้ําเสียที่ไมไดบําบัดลงทองอาว "ทุก วันนี้หาปลาในอาวอยางเดียวไมพอกินหรอก เด็กๆ รุนใหมตางก็หนีไปหางานทําในมาเลย กันหมด ไปที่นูนรายไดดีกวาทํางานอยูแถวบานเยอะ" มะรอนิงเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้น ที่ชัดเจนคือในหมูบานโดยรอบอาวแทบไมมีกําลังแรงงานในวัยหนุมเหลืออยู เลยเพราะ พากันไปทํางานรานตมยํากุงในมาเลเซียกันหมด เมื่อหลายปกอน เขาและชุมชนรวมตัวกันสรางเขตอนุรักษหอยเพื่อใหชาวบานไดมีโอกาสใช ทรัพยากรในน้ํากันอยางทั่วถึง เชนเดียวกับชาวบานอีกหลายชุมชนที่พยายามลุกขึ้นมาปกปอง ทรัพยากรของตัวเอง ชุมชนรอบอาวปตตานีไดถักทอกันเปนเครือขายเพื่อรักษาและฟนฟู สภาพแวดลอมใหอยูยั่งยืน ขึ้นทามกลางสถานการณความรุนแรงของไฟใตที่ยัง ลุกโชน "เมื่อ 2-3 ปกอน พวกเราพยายาม จัดตั้งสภาอาวปตตานีขึ้นมา เพื่อใหพูดอะไร จะไดมีน้ําหนักขึ้น" เขาบอกถึงกลไกที่ชุมชนตางๆ รวมกันสรางขึ้น แมยังไมเปนรูปเปนรางมากนัก แตภัยพิบัติที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทําใหชาวบาน พยายามแปรวิกฤตใหเปนโอกาสโดยระดมความคิดเห็นและยกระดับการรวม ตัวของชุมชนให แนบแนนมากกวาเดิม กลไกที่ชาวบานสรางขึ้น ไมวาจะเปนในนามเครือขายอนุรักษหรือสภา อาว ไมเคยสรางปญหาหรือเกิดความขัดแยงกับฝายใด ไมวาจะเปนใตดินหรือบนดิน นอกเสีย จากพวกนักฉกฉวยผลประโยชนโดยมิชอบ "ผมอยากใหหอย ใหปลา กลับมาอยูในอาวอยางอุดมสมบูรณเหมือนเดิม" มะรอนิงสวดขอพร พระเจาอยูเปนประจํา สภาอาวปตตานีไดรับเสียงตอบรับจากเครือขายชุมชนตางๆ นักวิชาการใน มอ.ปตตานี และอีก หลายภาคสวนอยางคึกคัก ภาพความรวมแรงรวมใจกันสรางบานใหผูประสบภัย ตลอดจนการระดมสมองของชาวบาน ทํา ใหเกิดบรรยากาศอันอบอุนขึ้นมาในชุมชนอาวปตตานี หลังพายุใหญ ทองฟามักแจมใส และ ธรรมชาติก็ยังใหโอกาสมนุษยอยูเสมอแตที่นาหนักใจคือภัยจากฝมือมนุษยดวยกันเอง เพราะยิ่ง เลวรายมืดดําขึ้นทุกที และยังไมมีทีทาวาจะมีแสงใหพอมองเห็นอุนใจเหมือนฟาหลังฝนไดบาง เลยบางทีชุมชนอาจตองเปลงประกายขับไลความมืดกันเอง ///////////////////////////////////////////
74
ขอเสนอแนะในการฟนฟูชุมชน จากการประชุมระหวางนักวิชาการ NGOs และตัวแทนชาวบานจากชุมชนที่ประสบภัยพิบัติรอบอาวปตตานี วันเสารที่ 13 พฤศจิกายน 2553 ณ หองมะปราง ชั้น 2 คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี พื้นที่ประสบภัย 4 กลุมยอยที่ไดรับผลกระทบจากดีเปรสชั่นครั้งนี้ประกอบดวย - ดาโตะ/บูดีกัมปง/ตะโละอาโหร - บางเขา (บานสายหมอ) /บางตาวา - แหลมนก/ตันหยงลูโละ - บางรพา/ทากําชํา ในการประชุมพบวาแนวทางการแกไขจะตองมีองคประกอบในการจัดการ คือ 1. ตองตั้งระบบชุมชน มองที่การตั้งกรรมการและการแบงงาน การรับผิดชอบ รวมกันแกปญหาน้ําทวมมาเปนจุด รวมในการรวมคน โดย NGOs เปนพี่เลี้ยง รวมเรียนรู ชวยเหลือตามภารกิจ โดยชาวบาน นํารวมหมู แบงงานกันรับผิดชอบ สังเกต คัดเลือกและพัฒนาผูนํารุนใหม สําหรับชุมชนที่ รวมตัวกันไมได นั่นเปนโจทย ไมใชเปนคําตอบ ชุมชนที่รวมตัวกันไมไดควรหาวิธีวาจะทํา อยางไร ที่จะชวยเขาได เชน ดูความพรอม อยางชุมชนทากําชํา บางรพา สายหมอ บางตา วา มีการจัดระบบกันกอนหนานี้แลวตั้งแตเรื่องถุงยังชีพ ชุมชนตะโละอาโหร รวมตัวไดดี ลาสุดมีโครงการไทยเขมแข็งลงไปก็จัดระบบแจกจายไดทั่วถึง ชุมชนดาโตะ ตันหยงลูโละ เปนแบบอยางที่นาจะไดเรียนรู วันแรก ๆ วุนวายมากแตจัดระบบไดคอนขางเร็ว แตก็ยัง ต อ งการความช ว ยเหลื อ ในการจั ด ระบบอยู ต อ งแบ ง กั น ตามไปดู ว า พื้ น ที่ ไ หนที่ ตั้ ง คณะทํางาน หรือศูนยประสานงานที่ชัดเจน ถาที่ไหนพรอมก็ใหไปเปดบัญชี เราก็มีเงื่อนไข วาเงินก อนแรกจะมี เ ท าไร และเงินกอนถัดไปควรจะมีเ งื่อนไขอะไรออกมา และขอใหมี คณะกรรมการตรงกลางเพื่อพิจารณาขั้นตนกอน 2. การแกปญหาในแตละประเด็น เรื่องอาชีพ การซอมเรือ สุขภาพ สิ่งแวดลอม ตามที่ชาวบานนําเสนอ ปริมาณความเสียหาย ไมเยอะ เปนการพัฒนากาวตอไปมากกวา ในการเขาไปสํารวจขอมูลตองพิจารณาเรื่อง ความตางในเพศสภาพเพราะที่ผานมา การจูนคลื่นยังไมคอยตรงกับชาวบาน ผูหญิงพูดตรง กับผูเก็บขอมูลมากกวาผูชาย ซึ่งขอมูลที่ไดมามีภาพรวม 2 มิติ คือ โดยใหการชวยเหลือ เชน เรื่องที่ดิน การตัดถนน เพื่อเปนเครื่องมือสรางความเขมแข็งระยะยาวของชุมชน 3. การระดมทรัพยากร เปนสิ่งที่จําเปนเกี่ยวเนื่องการกับแกปญหาในแตละประเด็น ทั้งการฟนฟูในเชิงกายภาพ ไม วาจะเปนการสรางบาน การซอมแซมสาธารณูปโภค และการสรางศักยภาพในการทํางาน
75
จากการจัดประชุม การจัดเวที โครงสรางพื้นฐานอื่น ๆ เชน ระบบการเงิน บัญชี ซึ่งควรใช เปนตัวชี้วัดความเขมแข็งของชุมชน 4. มีสวนรวมจากหลายหนวยงาน ทุ ก ภาคส ว นสามารถร ว มกั น ฟ น ฟู ไ ด ต ลอดทุ ก ระยะโดยชาวบ า นเป น แกนหลั ก ในการ ดําเนินงาน บทบาทที่แตละภาคสวนสามารถรวมมือดําเนินงานได คือ ชุมชน - ชาวบานตองมีขอมูลของตนเอง update ขอมูลใหทันสมัย ใหคนอื่นเขาถึง/เชื่อมตอได - อยากใหมีเจาภาพ/คณะกรรมการกลางที่ดูเรื่องขอมูล แลวแตใครจะเอาไปใชเพื่อ ประโยชนอะไร ขอใหชวยเรียงลําดับความเดือดรอนใหชัดเจน (พื้นที่ ความตองการ) เพื่อเปนขอมูล/ตอบโจทยสาํ หรับผูใหการชวยเหลือ ภาคประชาสังคม - ชุมชนควรรวมมือกับ NGOs และมหาวิทยาลัยเรื่องสิทธิในที่ดิน ที่อยูอาศัยของหมูบาน ชาวประมงชายฝง การฟนฟู เชน การปลูกปาชายเลน - การสรางความเขมแข็งขององคกรที่อยูในหมูบานทั้งนี้ การสนับสนุนงบประมาณบางกรณี อาจเปนลักษณะสมทบเพื่อไมใหเกิดความซ้ําซอน (เรือ-การประมง) และในระยะยาวตอง ประสานความรวมมือกับหนวยงานอื่น ๆ ที่กวางขวางขึ้นตอไป สถาบันการศึกษา - สามารถมีสวนในการชวยประสาน รวมเรียนรู ดู process/ศึกษา ระหวางราชการ ทองถิ่น - ชวย identify เรื่องที่ชาวบานตองการแตยังขาดและอุดชองวาง - ศูนยรวมการแจงขาว จัดระบบขอมูล ติดตามและประเมิน - ชวยระดมทุน/หรือสิ่งที่ชาวบานควรไดแตยังขาด - สรางการเรียนรูใหกับชาวบานในการรับมือภัยพิบัติ ภาครัฐ - จังหวัดให อสม. และเครือขายสํารวจขอมูลความเสียหายลงในแบบ สพ. 2 (ใสขอมูล ชื่อ เลขทีบ่ าน ลักษณะบาน จํานวนคนในครอบครัว ความเสียหาย) ประมงจังหวัดก็มี แบบฟอรมสํารวจ และหนวยงานตาง ๆ เขาไปทําขอมูลตามเปาหมายของตน ทั้งนี้ หมูบานที่ตั้งตัวติดแลวก็ใหมีการสํารวจภายในหมูบานตนเอง เชน ดาโตะ - เราจะมี ยุทธศาสตรอยางไร (ในแงมหาวิทยาลัย) เชน เลือกชวยหมูบานที่แยที่สุด หรือจะ ติดตามหมูบานระยะยาวซัก 7 หมูบาน เก็บขอมูลมาแลวเอามาทําอะไรตอ ?? - ควรมีใช GIS บอก location และใสขอมูลเชิงลักษณะเพิม่ จากการสํารวจภาคสนาม มี สถิติจากราชการ และติดตามเฉพาะขอมูลที่ active เพื่อยืนยันความถูกตองของขอมูล - ควรมีวทิ ยุเปนชองทางออกอากาศสื่อสาร update ขอมูลความเสียหาย การชวยเหลือ ทั้งจากชาวบาน หนวยงานราชการ และผูต องการใหความชวยเหลือ
76
สรุปบทเรียน
โดย อาสาสมัครทุกคน
77
บทที่ 1 Timeline เลาเรื่องรายวัน day by day ฉาย dynamic การปรับตัว การรวมตัว บทบาทของแตละฝาย ชวงที่ 0 กาวกอนเริ่ม การตั้งเคากลุมกอนนักเคลื่อนไหวทางสังคมทั้งภาคธุรกิจและนักพัฒนาฯ ที่กอการกัน จนเกิดศูนยอาสาสมัครประชาชนฟนฟูภัยพิบัติ(ศอบ.)ในครั้งนี้ เริ่มมาจากการประชุมกัน 3 ครั้ง ที่ ธนาคารกรุงไทยในวันที่ 26 ตุลาคม ที่ สสส. ในวันที่ 28 ตุลาคม และที่ทีวีไทย ในวันที่ 1 พฤศิจกายน เพื่อรวมตัวกันหารือกันถึงแตละกาวที่แตละคนจะลงมือกับเหตุน้ําทวม ที่เริ่มฤดูของ ความแปรปรวนดวยจังหวัดที่ทวมนําไปกอน ไดแก ราชบุรี เพชรบุรีและโคราช ซึ่งเปนปฐมบทที่ ปลุกใหตื่นและมองเห็นไดแลววาจะมีทั้งน้ําและฝนอีกเปนกอนๆ กําลังจอคิวตามมา แมวาจะ “เงื้องาราคาแพง” ของการรวมตัวกันในการรับน้ํากอนนี้จะชาไปนิด แตเวลาของการเงื้อนั้นก็ทํา ใหผูกอการทั้งหลายไดเก็บชั่วโมง พิสูจนบทเรียนการรับบริจาคและชวยเหลือผูประสบภัย และ คัดกรองคนที่มีแนวคิดเดียวกันใหโดดลงมารวมวงเดียวกัน โดยมีดีเปรสชั่นที่ยกตัวขึ้นฝงของ ภาคใตในวันจันทรที่ 1 พฤศจิกายน เปนตัวเรงในการตัดสินใจ และมีเวทีระดมความคิดในชวง เย็นที่จัดขึ้นที่ทีวีไทย จนเกิดแนวคิดหลักในการดําเนินงานของเครือขายภาคประชาชนเพื่อ รับมือกับวิกฤตที่จะคุกคามทั้งผูใหความชวยเหลือและผูประสบภัย บทเรียนจากการทํางานฟนฟูบนความหลากหลายของสภาพภูมิศาสตรและวัฒนธรรม เปนสิ่งทําใหการทํางานแบบโครงขายในพื้นที่จําเปนตองถูกจัดตั้งขึ้น อาจารยยักษ (วิวัฒน ศัลย กําธร) ไดเสนอหลักการทํางานเพื่อชวยเหลือผูประสบภัยที่เขาถึงชุมชนในเชิงลึกและสรางความ เขมแข็งในการจัดการตัวเองไปพรอมๆกันวา การจัดการในระดับภาคประชาชนนั้น (ดังภาพที่ 1) จํ า เป น ต อ งมี ก ารทํ า งานแบบกระจายศู น ย (node) ออกไปแบบแบนราบในการให ค วาม ชวยเหลือและทรัพยากรจากสวนกลางที่ไปสูพื้นที่ปลายทาง ไปสูการจัดการดวยคนปลายทาง ซึ่งรูจักพื้นที่ของตนเองดีที่สุด
ภาพที่ 1 หลักการจัดการพื้นที่ประสบภัยตามแนวคิดภาคประชาชน
78
ที่จริงหลักการที่วามานี้ ไมไดมาจากความคิดของคนคนเดียว แตแนวคิดนี้ไดรับการ ทดสอบและยืนยันดวยบทเรียนจากการทํางานของภาคประชาชนที่ชุมฉ่ําจนถึงเปยกโชกกัน เกือบหนึ่งเดือนกอนหนา ประกอบกับบทเรียนจากน้ําทวมในปลายป 49 เหตุการณสึนามิในป 2546 องคกรภาคประชาชนทั้งหมดกวา 50 องคกร แทบทั้งหมดมีความคิดเห็นในปญหาและ การหาวิธีแกที่ตรงกันอยางที่ไมนาเชื่อวา การลดปญหาการเขาไมถึงชุมชนที่ตกคางและการให ความชวยเหลือที่ไมเทาเทียมนั้น ควรใหชาวบานหรือภาคประชาสังคมในพื้นที่ ทําหนาที่มดงาน ระดมกํ าลังจากพื้นที่ ใกลเ คีย ง ขนขาวขนของเขาไปจัดสรรและแบงปนในชุมชนของตนเอง เพราะมดงานเหลานี้รูจักทรัพยากรและรูจักพื้นที่ของตนเองดีที่สุด จึงควรใชการโยงใหชุมชนที่ ประสบภัยไดรับความชวยแบบชาวบานใหชวยชาวบานดวยกันเอง แมวาแนวคิดการจัดการแบบแบนราบสูทองที่ อาจมองไดวาเปนแนวคิดการจัดการแบบ แนวดิ่งในอีกรูปแบบหนึ่ง ผูเขียนบทความนี้ก็ขอยืนยันวา แนวความคิดการจัดการแบบแบนราบ ของกรุงเทพ ที่จะนําสิ่งของบริจาควิ่งไปสูแตละชุมชนโดยตรง ก็อาจเปนการจัดการสูปลายทาง แบบแนวดิ่งพื้นอีกรูปแบบหนึ่งดวยเชนกัน เพราะความคิดของมนุษยเรานั้นไมสมบูรณแบบ การ แสวงหาจุดรวมและการสงวนความแตกตาง ก็นับเปนการจัดการทางความคิดที่เราไมสามารถ เพิกเฉยไดอีกประการหนึ่ง ชวงที่ 1 Day1-day3 อุทกภัยทางความคิด และวิกฤติชีวิตในพื้นที่ประสบภัย หลังจากที่ดีเปรสชั่นมาถึงภาคใตฝงอาวไทยและเสร็จประชุมวันกอน ทีมขาวของทีวีไทย นําโดยพี่แวว (นาตยา แวววีรคุปต) และทีม Frontline ของ 1,500 ไมล นําโดยพี่โตง (รัฐภูมิ อยู พร อ ม) ก็ อ อกเดิ น ทางลงไปปลายทางหาดใหญ เ พื่ อ ลงสํ า รวจพื้ น ที่ พร อ มกั บ เช า วั น ที่ 2 พฤศจิกายน 2553 ที่การเตรียมศูนยรับมือวิกฤตที่กรุงเทพ ไดเริ่มขึ้นที่ชั้น 2 ของโรงแรมพินนา เคิล ลุมพินี ที่ ดร.วงษภูมิ วนาสิน ใหใชเปนที่ทํางานและที่พักสําหรับอาสาสมัครไดเปลี่ยนกะ ทํางานตอเนื่องกันไดตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีพี่ลักษณ สมลักษณ หุตานุวัตร จาก SVN (Social venture network) คอยเปนแมบานและแมงานที่ดูแลศูนยอาสาประชาชนฟนฟูภัยพิบัติ (ศอบ.) ซึ่ ง ปรั บ เปลี่ ย นชื่ อ มาหลายรอบจนได ชื่ อ นี้ ใ นป จ จุ บั น และยั ง มี สสส., ที วี ไ ทย และ www.thaiflood.com คอยใหการสนับสนุน สิ่งแรกที่ทําในการเริ่มศูนยวันนั้นคือ การสรางระบบการประสานขอมูลในฝายทั้ง 5 ที่ อาจารยยักษไดรางไวเมื่อวันกอนตอนประชุมที่ทีวีไทย คือ ฝายขอมูล-ขาว ฝายมวลชน ฝาย ทรัพยากร ฝายอาสาสมัคร ฝายบริหาร โดยการเสนอตัวของอาสาหนึ่งคนตอหนึ่งฝายขึ้นมาเปน เจาภาพหลักในการรวมขอมูลเพื่อที่จะตัดสินใจตอในฝายนั้น เพื่อลดความซ้ําซอนในการสื่อสาร ที่นี่เราเรียกระบบนี้วา Communications line พูดงายๆ คือ จะบอกเรื่องไหน ก็เดินไปหาคนนั้น โดยขอมูลที่จะเขาไปยังแตละฝายนั้นประกอบดวย 1. มวลชน (ชุ มชน/คนพื้ น ที่ ) เปน ตัว แทนคนในพื้ น ที่ ทํ า หน าที่ สื่ อสาร ช ว ยประเมิ น สถานการณและประสานความชวยเหลือ โดยมีพื้นฐานความเขาใจในพื้นที่ประสบภัย
79
และมี connection ศูนยประสานงานในระดับพื้นที่ สื่อสารเอาขอมูลมาแชรกับฝาย ทรัพยากรซึ่งเปนสวนตอไป 2. ทรัพยากร ทําหนาที่ระดมของบริจาค และประสานขอมูลความตองการความชวยเหลือ เชน พื้นที่ที่ตองการใหชวยประสานเรือที่จะอพยพ พื้นที่ที่ตองการอาหารสด พื้นที่ที่ ตองการถุงยังชีพ รวมไปถึงการประสานพาหนะสําหรับขนสงไปยังพื้นที่ประสบภัย ตอไป 3. ขอมูล–ขาว ทําเรื่องสถานการณพื้นที่ ระดับน้ํา ระดับความเสียหาย ความเสี่ยงที่จะ โดนซ้ําและการเตือนภัย เพื่อจัดลําดับการสงความชวยเหลือหรือแจงเตือนใหมีการ เตรียมพรอม 4. อาสาสมัคร ทําหนาที่จัดระบบคนที่เขามาทําใหศูนยลื่นไหล ไปยังตําแหนงตางๆที่มี ความตองการทั้งหนางาน (ในพื้นที่) และ หลังบาน (ที่ศูนยกรุงเทพ) 5. บริหาร แนนนอนวา War room ก็คือ หองแหงการบริหารจัดการ ทุกชวงเย็นผูใหญและ ผู ป ระสบการณ ทั้ ง หลายจะแวะเวี ย นมาแลกเปลี่ ย นความคิ ด ในการกํ า หนดทิ ศ ทาง รวมกันตอไป หลักการทํางานที่วาไปขางบนพอจะเขียนเปน Map ไดดังภาพนี้
ภาพที่ 2 โครงสรางการทํางานของศูนยอาสาสมัครประชาชนฟนฟูภัยพิบัติ ชวงที่ฟาสวางของวันแรกทั้งวันนี่หมดไปกับการระดมความคิด จัดระบบ และอะไรอีก หลายอยางที่ไมลงตัว พอเขาสูชวงฟามืดนี่ยิ่งแยกวา เพราะตัวเมืองก็ถูกน้ําหลาก-น้ําทวมสูงเปน
80
เมตรทําใหไปไหนไมได พื้นที่ปลายทางถูกตัดไฟเพื่อปองกันไฟรั่ว เสนทางเดินรถก็ไปไดยาก เพราะตนไมลมระหวางทางปดถนนไปหลายจุด ระบบโทรศัพทลมเหลวเพราะชองสัญญาณเต็ม เนื่องจากมีผูใชบริการจํานวนมาก แมแตจะติดตอทีม Frontline เพื่อสื่อสารกันเองก็ทําไดยาก ตั้งแตฟามืดนี่ภารกิจหลักของเรา คือ ประสานตอหนวยฉุกเฉินเขากับความชวยเหลือที่รองขอ มาทั้งทาง Twitter บนหนาเว็บ Thaiflood และทางโทรศัพท เคสทุกเคสสะเทือนความรูสึกจนอยู นิ่งไมได อาสาสมัครซึ่งประสานงานในภาวะวิกฤติเปนครั้งแรกตางตื่นเตนและพยายามประสาน หน ว ยเคลื่ อ นที่ เ ร็ ว แทบทุ ก ชนิ ด ลงไปช ว ยในพื้ น ที่ คอยจดจ อ ความคื บ หน า ในการให ค วาม ชวยเหลือไมวาจะเปน เคสหญิงทองแกจะคลอดจนน้ําเดินแลวแตติดอยูในที่พัก หรือ เคสคนปวย เสนเลือดสมองตีบเจาะคอชวยหายใจที่ติดอยูในโรงแรมกําลังอาการทรุด ซึ่งญาติเลาสถานการณ ใหฟงดวยน้ําเสียงสั่นเครือ เรื่องราวเหลานี้ตอง recheck หลายครั้งเพื่อใหไดขอมูลที่ชัดเจน เรียกวา เจอขอมูลไหลเขามาทวมจนประสบอุทกภัยทางความคิดกันไปหมดเลยทีเดียว การทํางานอาสาสมัครในวันแรก จึงอยูในภาวะโกลาหลกันทั้งคืน หลุดไปจากเริ่มแรกที่ ตั้งใจวาจะประชุมสรุปงานกันทุก 3 ชั่วโมง เราตางก็ทําไมสําเร็จ และแมจะตั้งเปาวาจะทําหนาที่ ประสาน node สนับสนุนใหเกิดการเชื่อมโยงภายในพื้นที่นั้น เสียงรองขอความชวยเหลือจากคน แตละคนที่มีเครื่องมือสื่อสารเปนฟางเสนเดียว ก็ทําใหเราประสบอุทกภัยทางความคิดเอาใจไป ติดกับชีวิตจนไขวเขว ทํางานไมไดไปตามเปาที่ตั้งไวตอนหัววัน กระทั่งเชาวันที่สองพี่ลักษณถึงเรียกสติอาสาสมัครทั้งทีมคืนมาไดวา เปาหมายและ วิธีการทํางานของเราคืออะไร การทํางานอยางมีระบบจริงๆ ถึงไดเริ่มขึ้นเปนครั้งแรก เรียกไดวา เมื่อน้ํานิ่งคนก็เริ่มนิ่ง เพราะเมื่อโทรไปติดตามความคืบหนาในการชวยเหลือทั้งสองเคสที่เลาไป แลวในขางตนวา ไดรับความชวยเหลือและปลอดภัยแลว คนทํางานก็เริ่มมีสมาธิกับงานขางหนา มากขึ้น เมื่อความรุนแรงของกระแสน้ําเริ่มลดลง ความตองการตอจากการเอาชีวิตรอดใหไปอยู ในพื้นที่ปลอดภัยก็คือ การกิน อาหารสดหรือเรียกงายๆ วา “ขาวกลอง” เปนความตองการถัดมา หลังจากไดที่ปลอดภัย ใครบอกวาขาวกลองไมสําคัญ ผูเขียนขอบอกวา ขาวกลองเนี่ยสําคัญ มาก การจะดูแลกันตอไปของชุมชนเนี่ยขาวกลองถือเปนจุดเปลี่ยนของชุมชนเลยทีเดียว เพราะ ในปรากฏการณของพื้นที่ประสบภัย เราพบวา คนแตละคน หรือ แตละครอบครัว จะถูกซัดให กระจัดกระจายหรือถูกทําใหปลีกแยกออกไปจากสิ่งแวดลอมที่คุนชิน บางบานสูญเสียครัวและ อุปกรณทําอาหาร บางคนตองยายหนีไปอยูที่อื่นซึ่งไมรูวาจะไปหาอาหารไดที่ไหน การมีครัว รวมหรือครัวชุมชนเปนคําตอบที่จะทําใหผูประสบภัยซึ่งกําลังเควงอยู ไดมีอาหารกิน ไดพื้นที่ที่ จะรวมตัวกันพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่เผชิญ ไปจนถึงหาทางที่จะจัดการกับภาวะที่แตละคน เผชิญอยู ซึ่งครัวรวมหรือครัวชุมชนนี้อาจเกิดขึ้นไดทั้งการลงแรงกันของชาวบานเองและการเขา ไปชวยตั้งโรงครัวจากคนนอกดวยการหาคนและหาวัตถุดิบตั้งตน อยาง น้ําปลา น้ํามัน พริก กระเทีย ม ผั ก หมู เห็ ด เป ด ไก สํา หรับ มื้ อ แรกๆ เข า ไปช ว ย เพื่ อที่จ ะชวนชาวบ า นเข า มา ชวยกันลงแรงตอไป ปรากฏการณในการบริจาคในครั้งนี้มีเรื่องนาดีใจ ที่คนไทยเขาใจลําดับ
81
ความสําคัญและความหมายของปจจัย 4 สําหรับผูประสบภัยมากขึ้น ครั้งนี้เราไมเห็นกองภูเขา เสื้อผา ครั้งนี้เรามองไมเห็นกองของบริจาคที่อยูนอกเหนือความจําเปน ครั้งนี้เราเห็นความเขาใจ ที่ดีขึ้นในการใหความชวยเหลือที่จะกอใหเกิดปญหาความขัดแยงระหวางชุมชนนอยลง ตอง ขอขอบคุณคนไทยที่เขาใจบทเรียนในการบริจาคจากประสบการณที่เรารวมทุกขรวมสุขกันมา กอนที่จะเตลิดออกอาวไทยไป ตอนนี้ขอกลับมาที่ศูนยฯกอน งานที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ในชวงวันที่ 3 นี่คอยๆ เปลี่ยนจากการสื่อสาร มาเปนการระดมทรัพยากรและ logistic ในการ ประสานเรื่องอาหารสดหรือขาวกลองไปชวยผูประสบภัยที่ติดอยูในพื้นที่ ซึ่งงานนี้ทีมเจาหนาที่ จากมูลนิธิกระจกเงาก็ไดเดินทางลงพื้นที่หาดใหญเพื่อประสานการตั้งศูนยขาวกลองและ logistic ของบริ จ าคลงไปจากกรุ ง เทพ โดยมี ส ายการบิ น นกแอร อ าสาขนให ใ นภารกิ จ นี้ โ ดยเฉพาะ นอกจากนั้นวันนี้เรายังมีกลุมคนที่เราตองการที่สุดก็กาวเขามาในหอง พวกเขาคือ พี่ประยูร พี่ ยาและพี่มณเฑียร ซึ่งเปนชาวบานแกนนําในเครือขายองคกรชุมชนในภาคใตและมีประสบการ ในการฟนฟูชุมชนที่ประสบภัยสึนามิ ดวยการชวนของพี่ดวง มูลนิธิชุมชนไทย ใหเขามาลองดูวา จะชวยอะไรไดบางตั้งแตชวงเย็น ซึ่งพอกาวเขามาพี่ทั้งสามคนก็เห็นและรูทันทีเลยวา ทาจะตอง อยูยาวซะแลว เพราะคนที่จะประสานชุมชนไดมันขาดจริงๆ หลักจากจูนระบบและจูนความเขาใจเขาดวยกัน การทํางานในวันที่สามลงลึกไปในพื้นที่ ประสบภัยทั้ง 7 จังหวัด ไดแก ชุมพร สุราษฏรธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา และ ปตตานี จนสามารถคนพบคนที่จะเปนแกนในการประสานทองถิ่นไปไดอีกหลายพื้นที่ เพราะมี คนที่มี Connection และความเขาใจในทองถิ่นเขามารวมทีมดวยอยางเต็มตัว ชวงที่ 2 day4-day7 วิดขอมูลที่ทวมชีวิต แลวไปกูวิกฤติปากทอง คําถามที่มีอยูตลอดมาตั้งแตสมัยสึนามิ คือ เราจะลดปญหาความซ้ําซอนและการตก หลนในการใหความชวยเหลือในพื้นที่ประสบภัยพิบัติไดยังไง ก็หาคําตอบกันตอไป จนวันนี้ ปญหานี้ก็ยังเจอเรื่องนี้อยู แตในภาวะวิกฤตแบบนี้ สิ่งที่เราตองทําก็คือ ตองรูจักละและวางในสิ่ง ที่เรายังมองไมเห็นวาเราทําไดแคไหน แตขณะเดียวกัน เราก็จะทําเต็มที่ในสิ่งที่เราทําได และทํา ตอไปใหถึงที่สุด หลั ง จากที่ ศู น ย เ ริ่ ม เป น ที่ รู จั ก และมี ก ารส ง ข อ ความรั บ อาสาสมั ค รออกไป ช ว งนี้ อาสาสมัครก็เขามาชวยงานในศูนยเพิ่มขึ้นเปนจํานวนมาก ความหลากหลายของอาสาสมัครได พัฒนาใหการทํางานคอยๆ เขารูปเขารอยมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกระนั้นงานในชวง 4-5 วันแรกก็ยัง ไมไดเปนไปอยางที่ตั้งใจหวังวาจะใหเกิด node ในการระดมทรัพยากรจากพื้นที่ใกลๆ มาชวย กันเอง เพราะเราเองก็ยังเปนการชวยเหลือจากขางบนแลวสงขึ้นเครื่องบินลงไปขางลาง และ ขางลางก็ยังไมสามารถตั้งตัวไดเชนกัน แตอยางนอยเราก็เริ่มมีผูประสานและ node ซึ่งเปนจุด เชื่อมตอที่ชัดเจนมากขึ้นในการประสานความชวยเหลือในลักษณะของใยแมงมุม ซึ่งถาพูดถึงใย แมงมุมนั่นก็แสดงวา มันตองมีตัวแมงมุม ถาเปรียบใหศูนย ศอบ. เปนตัวแมงมุม ชุมชนในพื้นที่ เปนศูนยประสานงานก็คงเปนขาแมงมุมที่โยงความชวยเหลือใหกันและกัน เชน ชวงที่คาบ
82
เกี่ยวกับระหวางวิกฤติปากทองกับวิกฤตชีวิตอยางชวงนี้ ตอนที่นครศรีธรรมราชโดนพายุเขา ถัดมาจากหาดใหญ เราไดทําหนาที่ประสานใหทางหาดใหญซึ่งน้ําลดคลี่คลายจนเรือเริ่มใช นอยลงแลว ใหหาดใหญสงเรือไปชวยนครฯที่กําลังน้ําเออ พรอมกันก็ไดชวยประสานเรื่องวิกฤต อาหาร พัทลุงมีโรงสีชุมชนมีขาวเล็บนก ซึ่งเปนขาวดีของทางใตที่ขายใหไดในราคาชวยเหลือ ผูประสบภัยและยังจัดสงใหฟรี เราก็เปนตัวประสานใหขาวจากพัทลุง(สวนที่ไมทวม)ไปชวย พัทลุงสวนที่ทวม ไปชวยหาดใหญ ไปชวยนครฯ ได การระดมทรัพยากรและ logistic ในการสงอาหารและยาลงไปในพื้นที่จึงเปนงานที่มี บทบาทสําคัญในชวงนี้ ระบบการจัดการของเราแบงแบบงายๆ ไดเปน 2 สวน คือ ฝงตนทางที่ กรุงเทพ และฝงปลายทางที่ทางใต ซึ่งสื่อสารจํานวนของที่ตองการโดยรวมขึ้นมา สวนเราก็ จัดหาของใหไดตามความตองการและตามจํานวนที่ตองการจัดเปนกลุมๆ แตละจังหวัด แลว ทยอยสงไป โดยมีสายการบินนกแอรเอื้อเฟอพื้นที่โกดังใหเราจัดของและเอื้อเฟอเครื่องบินขน ของใหในชวงที่ถนนยังถูกปดดวยน้ําและตนไมที่ลมขวางอยูระหวางทาง โดยการจัดการของ บริจาคในฝงกรุงเทพจะรับทั้งของที่เปนชิ้นยอยๆ จากผูบริจาคทั่วไปและของบริจาคลอตใหญๆ ที่มีผูบริจาคตรงจากโรงงาน ทั้งหมดจะถูกนํามาจัดแบงตามปริมาณที่แตละพื้นที่ตองการแลว สงไปยัง node ปลายทาง ดังรูปที่ 3
ภาพที่ 3 ระบบการจัดการของบริจาคและ logistic ไปยังพื้นที่ประสบภัย
83
การระดมทรัพยากรและ logistic นี่กวาจะลงตัวก็ปาเขาไปวันที่ 7 ตั้งแตเปดศูนย ระหวางทางนี่ เจอปญหาและอุปสรรคในการทํางานมากมายซึ่งเดี๋ยวจะขอเลาตอในสรุปบทเรียน ชุดถัดไปซึ่งจะเลาถึงรายละเอียดการของการทําแตละฝายอีกที วันที่ 7 ของการทํางานนี่ เพราะวาระบบงานเริ่มลงตัวแลว เราถึงไดขอปลีกตัวจากหอง สี่เหลี่ยมไปลงพื้นที่หนางานบาง ดวยความคิดเห็นที่ตรงกันทุกคนวา ถาคนที่ศูนยไมเขาใจ สภาพหนางาน การจัดระบบเพื่อพัฒนางานตอไปตามสภาวะที่เปนจริงมันจะเปนไปไดยาก เรา จึงเดินทางลงไปปตตานี โดยนั่งเครื่องบินไปลงหาดใหญแลวตอรถตูไปลงที่ ม.อ. ปตตานี ซึ่ง เปนสถานที่รวมพลของคนแกนหลักที่ประสานระหวางชุมชนกับสวนกลางที่จะเขาไปใหความ ชวยเหลือ เราหารือกันถึงกลุมกอนของคนทํางานที่เกิดขึ้นวาจะขับเคลื่อนกันตอไปอยางไรและ ขอลงไปสัมผัสพื้นที่บานดาโตะ อ.ยะหริ่ง จ.ปตตานี ซึ่งมีลักษณะเปนอาวที่ถูกขนาบดวยทะเล ซึ่งขอมูลที่ทางกรุงเทพไดรับคือ ในวันที่พายุเขา น้ําทะเลยกระดับสูงขึ้นเปนเมตรตั้งแตชวงบาย กอนที่พายุจะเขา ซึ่งขาวในทองที่ก็เตือนภัยแจงวาพายุจะเขาตอนกลางคืน แตขนาดฟายังไมมืด น้ํายังขึ้นสูงขนาดนี้ คนธรรมดาก็อยูนิ่งไมไดแลว ชาวบานก็เลยอพยพกันไปอยูในที่ปลอดภัย ทิ้งไวแตฝูงแพะและบานเรือน ความเสียหายจึงเกิดขึ้นกับทรัพยสินมากกวา พอไปถึงนั้นเรา พบวา ชุมชนนี้ประสบภัยไมตางจากบานน้ําเค็ม สมัยที่โดนสึนามิ คือ ขอ 1 บานถูกคลื่นซัดพัง เสียหาย ขอ 2 มีคนเขาไปในชุมชนมากมายคลายกรุปทัวรจนรถติดยาวกวา 5 กิโล ไปถึงปาก ทางเขาชุมชน ขอ 3 มีความชวยเหลือเขาไปอยางลนหลาม แตปญหาเรื่องการจัดการจนเกิดรอย ราวระหวางชุมชน
รูปที่ 4 สภาพชุมชนดาโตะ อ.ยะหริ่ง จ.ปตตานี ที่ไดรบั ความเสียหายจากดีเปรสชั่น
84
ทั้งกอนลงพื้นที่และหลังจากกลับมา มีคําถามและขอถกเถียงวาสิ่งที่สรางความเสียหาย ใหชุมชนนี่เปน Strom surge หรือไม จนวันนี้ก็ยังไมมีคํายืนยัน และผูเฒาผูแกในชุมชนก็ยังไม เคยเจอเหตุการณแบบนี้เลย ธรรมชาติในทุกวันนี้มันเปลี่ยนแปลงไป แลวเราจะรับมือยังไงกับ ความแปรปรวนที่นากลัว ชวงที่ 3 day7-day10 เฝาระวังภัยซ้ํา พรอมกับทําในสิ่งที่ทําได แมวาสถานการณน้ําหลากจะเริ่มเบาบางลง แตฝนที่ตกสะสมก็ยังมีความเสี่ยงตอการ เกิดภัยพิบัติซ้ํา ทั้ง landslide ในพื้นที่ลาดเอียงตามเชิงเขาและน้ําหลากตามพื้นที่รับน้ําทั้งหลาย ชวงนี้งานระดมทรัพยากรและ logistic เราก็ยังทําอยู แตสิ่งที่เพิ่มเขามาคือ เราเริ่มมีสติที่จะ ติดตาม ฝนตกสะสม ที่จะทําใหเกิดดินถลมซ้ํา โดยใชวิทยุสื่อสาร ว.ดํา ที่จริงบทบาทการทํางาน ของวิทยุสื่อสารกับงานภัยพิบัติในศูนยนี่เริ่มมีมาตั้งแตที่พี่ยา และ พี่มณเฑียร เดินเขามาในศูนย แลวทําใหเราพบวา การ recheck ขอมูลทั้งความเสียหายและความชวยเหลือที่ตองการจาก ปลายทางพื้นที่ประสบภัยนั้น สามารถทํารวมกันไดโดยใชโทรศัพท วิทยุสื่อสาร และ Social media อยาง Twitter ทั้ง 3 อยางรวมกัน เชน เมื่อเราพบการแจงของความชวยเหลือผาน Twitter เราก็จะโทรไปเช็คสถานะของคนโพส Twitter นั้นวา ขณะนั้นไดรับความชวยเหลือหรือ ยัง หากยังไมไดรับความชวยเหลือ เราก็จะไดวิทยุสื่อสารแจงขาวไปยังศูนยที่อยูใกลๆ ในพื้นที่ วาสามารถใหความชวยเหลือไดอยางไรบาง ดังรูป
รูปที่ 5 การใชเครื่องมือสื่อสารเพื่อประสานความชวยเหลือกับพื้นทีป่ ระสบภัย
85
โดยในสวนของวิทยุสื่อสารหรือ ว.ดํา นั้น เราใชโปรแกรม Echolink ซึ่งเปน VoIP ที่ เชื่อมสัญญาณวิทยุสื่อสารผานเขาคอมพิวเตอร ทําใหคนอยูที่ไกลอยางกรุงเทพยังสามารถรับ ขาวสารทันสถานการณไดพรัอมกับกลุมอาสาที่ใช ว.ดํา ในพื้นที่ประสบภัยทางใตดวย เลามาถึง ตรงนี้คงเริ่มมีคําถามอีกแลววา โทรศัพทก็มี อินเตอรเนทที่จะเอาไวใช Social network ก็มี ทําไมตองกลับไปใชวิทยุสื่อสารดวยละ เดี๋ยวคําถามนี้จะไปตอบอยางละเอียดในสรุปบทเรียนชุด ถัดไป โปรดติดตามชมอีกเชนกัน การขอความชวยเหลือที่ศูนยฯ นอกจากจะเขามาโดย connection ของผูประสานงาน พื้นที่แลว ก็ยังมีผูที่ตอสายเขามาโดยตรงผานโทรศัพทสวนกลางของศูนย มีอยูสายหนึ่งโทรแจง มาวา เปนผูประสบภัยอยูในพื้นที่ จ.อยุธยา ไมมีไฟฟาใชมากวาสัปดาหแลว อยากจะขอใหทาง ศูนยชวยเหลือดวย เมื่อนองอาสาสมัครไดรับสายนี้ นองก็เลาตอใหพี่ลักษณฟงและหารือวาเรา จะทําอะไรไดบาง ผูเขียนซึ่งเปนคนที่นั่งฟงทั้งสองคนอยูก็ทําไดเพียงคิดวา ก็คงตองรอใหทาง ไฟฟาเคาจัดการเอง แตดวยความคิดที่ไมเคยรั้งรอที่จะลงมือและความเปนอาสาสมัคร ทั้งสอง คนก็ประสานงานแจงปญหาที่ชาวบานไมมีไฟฟาใชตอการไฟฟาสวนภูมิภาคของทางจังหวัด ไป จนกระทั่งเคามองเห็นปญหาและชวยหาทางออกใหจนเจาหนาที่แจงวาจะไปติดตั้งอุปกรณไฟฟา ใหชาวบานไดมีไฟฟาใชไดในวันรุงขึ้น สําหรับผูเขียน เรื่องนี้เปนเรื่องราวเล็กๆ ที่นาภูมิใจวา การไมดูดายและไมรั้งรอของการ ขยับตัวจากฟนเฟองเล็กๆ ที่กาวขามความไมมั่นใจ สงเสียงไปบอกฟนเฟองขนาดใหญใหรูตัววา การขยับของเขาสามารถเปลี่ยนแปลง สวนอื่นๆใหดีขึ้นไดอยางไร มันชวยย้ําใหเรามั่นใจวา เรา ทุกคนที่เปนฟนเฟองทุกอันไมวาเล็กหรือใหญ หากเราเลิกปดกั้นตัวเองจากความกลัววาจะทํา ไมได แลวมาลงมือเอาแคเพียงเรื่องเล็กๆ ที่เราทําได เทานี้โลกก็คอยๆเปลี่ยนแลว สรุปยอย รอยเรียง Dynamic ความเปลี่ยนแปลงทัง้ 3 ชวง จากการทํางานทั้ง 3 ชวง จะเห็นไดวาคนที่มีบทบาทสําคัญในแตละชวงงานจะแบงเปน ชวงเตรียมการ งานดานวิชาการทั้งสายวิทยและสายสังคม ซึ่งอยูภายใตฝายขอมูลจะ เปนตัวกําหนดทิศทางการทํางานของศูนย ชวงเผชิญเหตุและเฝาระวังภัย งานดานสื่อสารซึ่งอยูภายใตฝายชุมชนจะมีบทบาท เดนกวาวิชาการ เพราะชุมชนซึ่งเปนผูเผชิญเหตุมีความเขาใจในบริบททางสังคมและภูมิศาสตร ของตัวเองดีที่สุด การสื่อสารโดยมวลชนเชื่อมโยงกันระหวาง Connection ที่เปนคนที่เคยรูจัก กั น มาก อ นแล ว ความเข า ใจและความไว ว างใจที่ มี อ ยู เ ป น กุ ญ แจสํ า คั ญ ของการชี้ ใ ห node ปลายทางไดเริ่มตนความรวมมือกันและไดชูใหเห็นวาแตละพื้นที่จะมีใครเปนแกนหลักที่จะ ทํางานในชวงถัดไป ชวงฟนฟู ฝายทรัพยากรและ Logistic จะมีบทบาทมากที่สุดชวงหลังเหตุฉุกเฉิน เพราะ ในชวงที่พื้นที่ประสบภัยปลายทางยังตั้งตัวไมได การเสริมกําลังและการเขาไปชวยตั้งตนการ จัดการโดยใชทรัพยากร ไมวาจะเปน ขาวกลอง น้ําดื่ม ยา หรือ ขาวสารที่จะตองใชบริโภค
86
ในชวงถัดไป ตางเปนสิ่งที่ใชแกไขสถานการณและสรางประสบการณในการลงมือจัดการตนเอง ในเวลาเดียวกัน นอกจากบทบาทในการนําของแตละฝายแลว เรายังพบวิวัฒนาการของการปรับตัว รวมตัว และการแตกหนอที่เกิดขึ้นระหวางการทํางานไปพรอมๆกัน งอกเปนภารกิจแยกยอยแต ละดานไปไดอีก คือ ดานขอมูล – ชุมชน เมื่อทํางานไปไดสักระยะ เราพบวาฝายขอมูลและฝายชุมชนนั้น แทบจะเปนฝายเดียวกัน เพราะพี่ยา พี่มณเฑียร ที่ทําหนาที่ในการประสานงาน node หรือ ชุ ม ชนปลายทางนั้ น ต อ งทํ า หน า ที่ ใ นการสื่ อ สารและการจั ด การข อ มู ล ที่ ชุ ม ชนแจ ง กลั บ มา กระจายสื่อสารภายในศูนยใหทุกคนไดรับขอมูลทราบทั่วกัน โดยภายในศูนยนองๆ อาสาสมัคร เปนผูชวยพิมพ/เขียนขอมูลที่ไดมาซึ่งตอนแรกเริ่มจากการรวมขอมูลเปนหนึ่งจังหวัด หนึ่ง A4 กอน ตอมาพอขอมูลเริ่มมีความเคลื่อนไหวเขามาในจํานวนมากและมีความเร็วเพิ่มขึ้น เราก็ เปลี่ยนใชไวทบอรดตีตารางแบงแตละจังหวัด แลวแปะ Notepad ขนาด ½ กระดาษ A4 แสดง ขอมูลความตองการของแตละพื้นที่ซึ่งเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา พรอมกับรายงานสถานะการ สง-รับ จํานวนสิ่งของที่สงเรียบแลวและคงคางกํากับไวในสวนทาย
รูปที่ 6 บอรดสื่อสารขอมูลความตองการและความชวยเหลือใหภายในศูนยทราบขอมูลโดยทั่วกัน
ดานทรัพยากร-logistic หลังจากที่มีการสื่อสารภายในวาความตองการของแตละพื้นที่ เปนอยางไร จํานวนเทาไร ฝายทรัพยากรและ logistic ซึ่งทํางานแทบจะเปนเนื้อเดียวกัน ก็จะ ประสานของบริจาคที่ระดมมาไดขนสงจากต นทางไปยังคลังสินคาหรือที่เรียกกันติดปากวา Cargo ที่ ส นามบิ น ซึ่ ง ที่ นั่ น จะมี ก ารคั ด แยก แบ ง ตามจํ า นวน โทรแจ ง ผู ป ระสานงาน Node ปลายทางวา เครื่องบินจะไปถึง flight ไหน และเช็ควารายการสิ่งของตรงตามความตองการ หรือไม จากนั้นจึงแพคใหเรียบรอยตามระบบการบิน ขนขึ้นเครื่อง จากนั้นจึงโทรเช็คซ้ําวาแจงผู ประสานงาน Node ปลายทางไดรับสิ่งของครบตามจํานวนหรือไม เพื่อที่จะไดแกปญหาในการ ระดมและการจัดสงตอไป ซึ่งทั้งฝายขอมูลชุมชนและฝายทรัพยากร-logistic นี้สามารถเขียน ภาพโยงความสัมพันธในการทํางานรวมกันไดเปนภาพที่ 7
87
ภาพที่ 7 กระบวนการทํางานรวมกันระหวางฝายขอมูลชุมชนและฝายทรัพยากร-logistic ดานการสื่อสาร สําหรับการสื่อสารภายในศูนยที่มีนองๆอาสาสมัครที่คอยวิ่งไปวิ่งมา เขียนแปะ เขียนแปะ และชวยประจํา Echolink เปลี่ยนกะชวยงานสื่อสารสูชุมชนแลว เรายังมี การสื่อสารสาธารณะไปสูภายนอกวาสถานการณพื้นที่ปลายทางและภารกิจที่ทางศูนยไดทําใน แตละวันนั้นมีอะไรลุลวงและยังตองสานตอไปอีกใหคนภายนอกไดรับรูการทํางานและชองทางที่ จะเขามามีสว นร ว มได จุ ดนี้ เ ปนสิ่ งที่เราออกแบบไววาอยากจะให มีการสื่ อสารสูภายนอกที่ ชัดเจน ฉับไวและตอเนื่อง แตเราก็ทํางานไดเต็มที่เพียงเทานี้จริงๆ เพราะกําลังคนของเราเองก็ ไมเพียงพอที่จะรับมือกับหนางานซึ่งประสานเขามาสิบทิศอยูแลว ชว งแรกเราจึงแทบจะไม สามารถสื่อสารสาธารณะออกไปสูภายนอกไดเลยวา เราไดสงความชวยเหลือไปใหใคร ที่ใด และ จํานวนเทาไรไดบาง ทําใหเราตองใชเวลาในการทําความเขาใจคนนอกและอาสาสมัครที่เขา มาใหมอยูพอสมควร ครั้งตอไปถามีอาสาที่มาชวยดานการสื่อสารสาธารณะไดโดยตรงนี่การ ทํางานของเราคงจะราบรื่นไดมากขึ้น สําหรับกระบวนการสื่อสารภายใน อยางที่เลาไปในขางตนวามีนองๆอาสาสมัครเขามา ชวยทําขอมูลขึ้นบอรดแสดงความตองการในแตละพื้นที่พรอมกับสถานะความชวยเหลือใหทุก
88
ฝายไดทราบขอมูลทั่วกันแลว ยังมีการสื่อสารภายในระหวางฝายที่ตองทํางานตอเนื่องกัน คือ เมื่อฝายขอมูล-ชุมชน ไดแจงตอฝายทรัพยากรวาตองการของสิ่งใดจํานวนเทาไรเรียบรอยแลว ฝายทรัพยากรซึ่งแทบจะเปนรางเดียวกับฝาย logistic ก็จะประสานการขนสงตอและเช็คซ้ําวา ปลายทางไดรับของเปนที่เรียบรอย แลวสื่อสารกลับ ฝายสื่อสารซึ่งทราบความคืบหนาของแตละ ฝายก็จะทําหนาที่คลายดาวเทียมกระจายขาวตอซึ่งเขียนแทบดวยรูปภาพไดดังนี้
ภาพที่ 7 ลําดับขั้นการสื่อสารระหวางฝายขอมูลชุมชนและฝายทรัพยากร-logistic ซึ่ ง แนวทางในการปรั บ ปรุ ง การทํ า งานของฝ า ยสื่ อ สาร คื อ นอกจากจะมี ค นที่ ดู แ ล อุปกรณ IT-support และวิทยุสื่อสารที่ใช Echolink ประสานกับทางชุมชนปลายทางแลว ยังควร จะมี ฝ ายสื่ อที่ ทํ าหนาที่ ชั ดเจนอยางนอยหนึ่งคน ที่ ทําหนาที่ประชาสัมพันธ Information ทํา หนาที่เขียนขาว press ขาว ถึงการประสานงานกระจายขาวระดมของ ระดมอาสา ไมควรเอาไป รวมกับการกรองขอมูลชุมชน หรือ การติดตามขอมูลสภาพอากาศ เพราะที่จริงมันคนละเรื่องกัน และคนที่ทํางานก็ควรจะโฟกัสและลงมือเรื่องใดเรื่องหนึ่งใหชัด ถึงจะไดทํางานใหสุด ในขณะที่ ฝายขอมูลซึ่งทําหนาที่วิชาการ เตือนภัย ดูฝน หรือปรึกษาเรื่องเฉพาะทางก็ควรตองมีคนที่มาทํา หนาที่ที่ชัดเจน นอกจากนั้นการถอดบทเรียนองคกรทุกฝายทั้งหมดก็ควรจะทําไปพรอมกันๆ ระหวางทํางานไปในตัว ดานการบริหารและดานอาสาสมัคร แมวาจะไมคอยมีใครกลาวถึง แตทั้งสองสวนนี้ แทจริงเปนกําลังหลักในการทํางานเลยทีเดียว เราโชคดีที่มีผูใหญที่ชวยตัดสินใจโฟกัสภาพรวม และเปนที่ปรึกษาที่ดีกับอาสาสมัครที่มาชวยงาน ระบบยังมีคนที่มีประสบการณในการจัดการ อาสาสมัครที่มองเห็นภาพรวมทั้งหมดและรูขอมูลทุกฝายวาใครขาดแรงที่จะเขาไปชวยดานไหน
89
และชวย recruit skill ของอาสา ใชเวลาและทําความรูจักแตละคน ซึ่งเราก็ยังเจอปญหาเดิม คือ เราดูแลเคาไดไมทั่วถึง มีเวลาเรียนรูกันนอยเกินไป เลยรูจักอะไรจากเคาไมไดมาก ตองทํางาน ดวยกันไปสักพักถึงจะมองเห็นทักษะออกมาจากสถานการณ ซึ่งพวกเอามักจะแสดงตัวออกมา เอง แลวเราคอยชอนเขาไปเขางาน จากการสรุปยอย รอยเรียง Dynamic ความเปลี่ยนแปลงทั้ง 3 ชวงที่กลาวมาคงจะ พอที่จะทําใหเห็นบรรยากาศในการทํางานไปบางแลววา ความเปนจริงในการทํางานนั้นคนที่มา ทํางานภายใตภาวะวิกฤติจะตองทําตัวเองใหมีความยืดหยุนสูง สามารถปรับตัวเขากับเงื่อนไข ในการทํ า งานที่ เ ปลี่ ย นแปลงอยู เ สมอ ผู เ ขี ย นคิ ด ว า บทเรี ย นจากการลองผิ ด ลองถู ก ใน ประสบการณที่ผานมาและบทเรียนจากการทํางานในครั้งนี้ คงจะชวยฉายภาพโครงรางการ ทํางานของศูนยที่จะทําหนาที่เปน back office ในภาวะวิกฤต ใหคนที่จะเขามาเปนอาสาสมัคร เดิ น หน า การทํ า งานในครั้ ง ต อ ไป มุ ง ไปข า งหน า ได ใ นเส น ทางที่ ชั ด เจนขึ้ น ด ว ยแผนที่ จ าก ประสบการณที่เรารอยเรียงไวใหในครั้งนี้แลว
90
บทที่ 2 Part by part กาวยางแตละกาว เลาแบบ Part by part เลาการทํางานของแตละฝาย โครงสรางการทํางาน ในเชิงขอแนะนําการ ตั้งศูนย เรื่อง ฝายที่ 1 มวลชน - ดานมวลชนสัมพันธ - ดานการสื่อสาร ฝายที่ 2 ทรัพยากร-logistic - ดานการจัดหาทรัพยากร - ดาน logistic ฝายที่ 3 ขอมูล-ขาว - ดานสื่อ / การเผยแพรขาว - ดานวิชาการ - การจัดการขอมูลภายในศูนย ฝายที่ 4 อาสาสมัคร - Volunteer recruit ฝายที่ 5 บริหาร - สิ่งที่ตองมีตอนเริ่มศูนย บทสรุปและแนวทางการปรับปรุงโครงสรางศูนยในอนาคต
91
ฝายที่ 1 มวลชน หนึ่งเดือนที่ผานมากับงานอาสาสมัครใน ”ศูนยอาสาประชาชนฟนฟูภัยพิบัติ” ระบบการดําเนินงานหลักของศูนยนี้มาจากไอเดียหลักของ อ.ยักษ วิวัฒน ศัลยกําธร คนอื่นมองศูนยนี้อยางไรไมรู แตผูเขียนคิดวามันควรจะ “เปนศูนยทเี่ กิดขึ้นมาเพื่อไมใหเกิดศูนย” คือ มันควรจะเปนโครงขายที่ทั้งโยงและกระจาย ความชวยเหลือใหปลายทางชวยเหลือตัวเองได โดยระบบมันทํางานดวยตัวของมันเองคือ “ชุมชนทํางานใหชุมชน” ดวยการกระจายขอตอ (node) ประสานความชวยเหลือออกไป การประสานงานในลักษณะในแมงมุมจึงเริ่มขึ้นตั้งแตวนั แรกที่มีศูนย โดยศูนยจะเปนตัวแมงมุม สวนทีมคนทํางานชุมชนในพื้น (หนาบาน) ก็เปนไดทั้งใยแมงมุมและเปนขาแมงมุมที่ทําหนาที่โยงความชวยเหลือ ใหแตละที่มองเห็นทรัพยากรหรือกําลังที่จะแบงปนกันได การใชมวลชนสัมพันธและการสื่อสาร จึงเปน 2 สิ่งที่เราใชถักโยง เกี่ยวเอามาเปนเครื่องมือเบิกทางสูการใหความชวยเหลือชุมชนปลายทาง ดานมวลชนสัมพันธ การเข ามาของอาสาสมัครคนใตอยาง พี่มณจากระนอง พี่ยาจากตรัง พี่ ป ระยูรจาก น้ําเค็ม ซึ่งเปนแกนนําชาวบานที่มีทักษะในการทํางานเชื่อมโยง เหตุการณนี้เปนจุดสําคัญที่ทํา ใหศูนยสามารถตอติดกับคนที่ทํางานในพื้นที่ได เพราะพี่ๆ ทุกทานมีคุณสมบัติ คือ 1. รูจักสิ่งแวดลอมและวัฒนธรรมของชุมชน 2. มีความเขาใจในบริบทของพื้นที่และมีสายสัมพันธ (Connection) รูจักกับพี่นองในชุมชน เครือขายที่ทํางานดวย 3. เขาใจสภาพการเมืองของทองถิ่น มีคนรูจักที่สามารถสงตอขอมูลความตองการและ กระจายขาวสารไดอยางรวดเร็ว กลไกของการประสานงานที่มีอยูไมอาจขับเคลื่อนได ถาไมมีคนที่คณ ุ สมบัติเหลานี้เขามา ชวยงาน ดานการสื่อสาร ถัดจากมีมวลชนสัมพันธแลว การสื่อสารตามมา การเชื่อมโยงเทคโนโลยีเขากับทองถิ่น ผานการใชโทรศัพท social network และวิทยุสื่อสาร เปนอีกปจจัยที่ใชในการดําเนินงาน
92
จากการดํ า เนิ น งานในครั้ ง นี้ เ ราพบว า เทคโนโลยี เ ป น ตั ว เร ง ที่ ทํ า ให ค วามช ว ยเหลื อ เข า ถึ ง ผูประสบภัยไดมากขึ้น อยางที่กลาวไปแลวในบทที่ 1 เพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง จึงตองมีการ ตรวจสอบขอมูลซ้ําใหตรงกันอยางนอย 2 ใน 3 จากเครื่องมือสื่อสารทั้ง 3 ชนิดที่แจงขอมูลเขา มา ซึ่งขอมูลที่ไดรับนั้นมีทั้งการรองขอความชวยเหลือรายบุคคลจากหนาเว็บ Thaiflood การ แจงเหตุของ node จากชุมชน และการสงขอมูลความชวยเหลือที่ไดรับกลับมายังสวนกลาง สําหรับการประสานงานกับปลายทางนั้นยิ่งอยูในภาวะฉุกเฉิน จํานวนการสงขอมูลเขา มาก็จะมีมาก และขอมูลก็จะมีความเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก การสื่อสารทุกสายจึงตองมีการ ตรวจสอบขอมูลใหมีความถูกตองอยูเสมอ การทํางานจึงตองเปนระบบ คือ 1. ผูประสานงาน node ปลายทางที่รวบรวมขอมูลประเภทสิ่งของที่ตองการและจํานวน สิ่งของที่ตองการเปนจํานวนถุงยังชีพหรือจํานวนครัวเรือนไว 2. ผูประสานงาน node ปลายทางแจงขอมูลในขอ 1) แกผูประสานมวลชนที่กรุงเทพพรอม ทั้งตรวจสอบความถูกตองของขอมูลกับเครือขายในพื้นที่ 3. ประสานมวลชนที่กรุงเทพ สงขอมูลใหกับฝายทรัพยากรใหระดมสิ่งของ และเมื่อได สิ่งของมาฝาย logistic ก็จะสงสิ่งที่ตามที่แจงมาในขางตนลงพื้นที่ จากนั้นจึงโทรไปเช็ค ซ้ําวาไดรับตรงตามความตองการหรือไม อยางไร
รูปที่ 8 เสนทางการสื่อสารระหวางสวนกลางกับ node และชุมชน
93
นอกจากสื่อสารเพื่อประสานของบริจาคแลว เรายังมีการสื่อสารเพื่อเฝาระวังภัยพิบัติซ้ํา ที่จะเกิดตอเนื่องจากฝนที่ตกสะสมตอเนื่อง หลักในการทํางานก็จะเปนแบบเดียวกัน คือ รับสาร และเช็คซ้ํา โดย 1. เมื่อนักวิชาการ แจงขอมูลพื้นที่เสี่ยงภัย เชน โคลนถลม หรือ น้ําปาไหลหลาก มายัง ศูนย ศูนยก็จะใชวิทยุสื่อสาร ตรวจสอบสถานการณกับเครือขายวา มีความเสี่ยง เชน มี ฝนตกตอเนื่องหลายวันหรือไม น้ําในลําหวยมีความขุนจากตะกอนดินผิดปกติหรือไม พื้นดินเชิงเขามีรอยดินแยกหรือไม 2. หากเครือขายในพื้นที่แจงกลับมาวามีความเสี่ยงดังกลาว ทางศูนยจะขอใหทางเครือขาย ดําเนินการแจงเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย 3. ระหวางนั้นจะมีการตรวจสอบซ้ําวา ในพื้นที่มีการแจงเตือนหรือมีการดําเนินการอพยพ ชาวบานหรือไม ซึ่งหากเครือขายปลายทางตองการใหเราสนับสนุนเรื่องใด ก็จะมีการ แจงกลับมาในขั้นตอนนี้ 4. เฝาติดตามผล วาสถานการณเรียบรอยดีหรือไม หลังจากภาวะวิกฤตผานไปแลว ทาง ชุมชนมีความตองการอะไรเพิ่มเติม ก็ขอใหทางเครือขายแจงมา สําหรับการสื่อสารเพื่อเตือนภัยนั้น นายอนนต อันติมานนท เสนอสิ่งที่ควรปรับปรุงเพิ่มเติม 3 เรื่อง วา ‐ คําศัพทที่ตองใชตรงกันทุกฝาย เชน ฝนตกระดับ 5 หาของที่ศูนยกับของในพื้นที่ไมมีใคร เทากันเลย เพราะฉะนั้น เราควรจะเรียกหนวยที่ใชในการวัดใหเทากัน ‐ ควรมีการวางแนวการสื่อสารลวงหนาวา อะไรควรใชวิทยุสื่อสาร อะไรควรใชโทรศัพท อะไร ควรใชอินเตอรเนทเพราะเมื่อตองเช็คเหตุในพื้นที่ฉุกเฉิน มันจะสับสน และทุกขายจะตองมี ระบบสื่อสารสํารองทันที และตองมีหนวยในการประสานงานมากกวาหนึ่งจุดในพื้นที่ ‐ สวนในการบันทึกเหตุ ที่ผานมามีการบันทึกขอมูลไมครบถวน เชน ฝนตกเทาไรปริมาณ เทาไร จะสงผลยังไง ระดับน้ําจุดไหน มันควรจะมีขอมูลที่ถูกตองที่ชวยเทียบเคียงได เรามี ภาควิชาการอยูระดับหนึ่งก็จริง แตถาเราเปนขอมูลที่ทางหนึ่งที่ถูกตองจากที่เคยเกิดขึ้น มาแลวนี่มันจะเทียบเคียงได
94
ฝายที่ 2 ทรัพยากร-logistic หากอยูในภาวะปกติการระดมทรัพยากรคงจะตองทําหนังสือขอความอนุเคราะห แจงจุดประสงค เปาหมาย วิธีการดําเนินงาน เพื่อใหไดความรวมมือมาอยางเปนขั้นตอน แตเพราะความเดือดรอนไมเคยรอใคร และเพราะผูใ หเขาใจในภาวะฉุกเฉิน ทําใหเราไดรบั ความรวมมือจากแหลงทุนเปนจํานวนมาก ซึ่งมาจากความสัมพันธระหวางภาคี โดยเฉพาะภาคธุรกิจ ที่กาวขามเงื่อนไขและขอจํากัดตางๆ ทําใหการสงทรัพยากรตางๆเปนไปดวยความคลองตัว แสดงใหเห็นถึงพลังในภาคประชาชนอยางที่เกิดขึ้นในชวงที่ผานมา ดานการจัดหาทรัพยากร กระบวนการระดมทรัพยากรหลักๆที่เกิดขึ้นในศูนยมาจากการใชความสัมพันธสวน บุคคลระหวางภาคีเครือขายอาสาสมัครแตละคน จากทุนทางสังคมในความเชื่อใจและความ ไว ว างใจที่ มี ต อ กั น นํ า เอาสิ่ ง ที่ แ ต ล ะคนมี โ ยงไปให ค วามช ว ยเหลื อ สู ชุ ม ชนปลายทาง เป น ความสัมพันธในรูปแบบใหมที่ใชทุนทางสังคมซึ่งเปนทั้งกาวในการเชื่อมโยงความชวยเหลือเขา ไปถึงกัน และเปนทั้งเกียรที่ขับเคลี่อนการทํางานใหคลองตัวกาวขามกฏเกณฑที่สรางขั้นตอน ตางๆกั้นไวไปดวยพรอมๆกัน
ภาพที่ 9 ภาพแสดงทุนทางสังคมที่ใชในการโยงความชวยเหลือในภาวะภัยพิบตั ิ
95
ดาน logistic กระบวนการขนสง หรือ logistic นั้นประกอบดวย 2 สวนหลักๆ คือ 1) การประสานผู บริจาคในการขนของจากแหลงทรัพยากรจากโกดังหรือคลังตางๆ ไมวาจะเปนกรุงเทพ อยุธยา ไปยังจุดจัดการ(รวบรวม) ของบริจาคที่สนามบินหรือขนสงก็แลวแต 2) การแพ็คของบริจาคตาม ความตองการในพื้นที่แลวนับจํานวนใหตรงกับความตองการในพื้นที่แลวสงตอไปยัง node ปลายทาง ขอมูลความตองการความชวยเหลือที่ node ปลายทางจะเปนตัวกําหนดการระดม ทรัพยาการ วาตองการของประเภทไหน จํานวนเทาไร ซึ่งจากการขนสงของ เราพบวาสิ่งที่มี การสงลงไปมากที่สุดการ คือ อาหาร ทั้งขาวสารและปลากระปอง รองลงมา คือ ยาสามัญประจํา บาน ซึ่งกระบวนการขนสงจากแหลงหนึ่งไปยังอีกแหลงหนึ่งเปนดังนี้ 1. เริ่มจากผูประสานงานมวลชน โทรแจงยอดรวมความตองการความชวยเหลือในแตละ node จังหวัด มาที่ฝายทรัพยากร 2. ฝายทรัพยากรจะประสานการขนสงสิ่งของจากโกดังตางๆ ลงไปยังจุดขนสงของฝงกรุงเทพ 3. ณ จุดขนสงของฝงกรุงเทพ เมื่ออยูภาวะในเรงดวน เราไดใชการขนสงโดยเครื่องบินเปน หลัก จนเมื่อภาวะเรงดวนผานไปก็จะกลับมาใชรถบรรทุกตามปกติ ซึ่งการจัดลําดับความ ชวยเหลือใหกอน-หลังนั้น ผูประสานงานจะ recheck กับผูประสานงานวาสถานการณใน พื้นที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม จํานวนความตองการยังคงเทาเดิมหรือไม 4. เมื่อ node ปลายทางไดรับของ ก็จะมีการจัดหารถขนสงของไปแจกจายตามชุมชนตอไป
ภาพที่ 9 การขนสงของบริจาคในภาวะฉุกเฉิน
96
ฝายที่ 3 ขอมูล-ขาว การสื่อสารขอมูลและขาวตางๆ ในระยะเริม่ ตนการทํางานนั้นมีขอจํากัดหลายประการ เพราะเราขาดอาสาสมัครที่มีทักษะและประสบการณดานสื่อ และยังขาดคนที่จะคอยโฟกัสขอมูลทั้งดานวิชาการและการ press ขาว เพื่อที่จะสื่อสารขอมูลภายในไปสูภายนอก ใหรับรูวาสิง่ ที่เรากําลังทําคืออะไร ดังนั้น ในการทํางานครั้งหนา เราควรจะแบงเปนการสื่อสารภายในศูนย สื่อสารชุมชน สื่อสารสาธารณะ โดยที่แตและสวนจะตองมีอาสาสมัครที่รับผิดชอบและสงตองานกันอยางตอเนื่อง ดานสื่อ / การเผยแพรขาว การประชาสัมพันธและ press ขาว ประสานงานกระจายขาวระดมของ ระดมอาสาเปน กิจกรรมที่เพิ่งลงตัวหลังวันที่ 8 ของการดําเนินงาน ซึ่งงานภาวะฉุกเฉินไดผานไป จากการ ดําเนินงาน เราพบวา ไมควรเอาในสวนนีไ้ ปทําหนาที่รวมกับการกรองขอมูลชุมชน หรือ การ ติดตามขอมูลสภาพอากาศ เพราะที่จริงมันคนละเรื่องกันและเปนการแบกภาระเยอะเกินไป ทํา ใหทํางานไดไมมีประสิทธิภาพเทาที่ควร ดานวิชาการ ขอมูลทางอุตุนิยมวิทยา เชน ปริมาณน้ําฝน ความเร็วลม และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับ ชุมชน ทั้งน้ําหลากและโคลนถลมเปนInformation ที่เราประเมิน ตรวจสอบ และแจงเตือนชุมชน ถาตรงนี้มีคนของพื้นที่เองเลยการประเมินและประสานเรื่องตางๆ ก็จะแมนยํามาขึ้น สําหรับการ ทํางานที่ผานมาอาสาสมัครในศูนยจะไมไดเปนคนทําขอมูลเชิงรุกดานความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เอง แตทางศูนยจะไดรับความชวยเหลือจาก นักวิชาการทั้งดร.รอยล จิตรดอน ผูอํานวยการ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร และคุณไกลกอง ไวทยการ หัวหนาฝายสงเสริม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มูลนิธิกองทุนไทย ไดสงประมวลผลและแจงเตือนใหเรา แจงเตือนชุมชนอีกที การจัดการขอมูลภายในศูนย การจัดการขอมูลภายในศูนย เริ่มจากภายในหองยังมีการหอยปายบอกชื่อฝายไวเหนือ หัว เพื่อใหสะดวกกับอาสาสมัครที่เขามาใหมจะไดรูวาฝายไหนอยูตรงไหนของหอง จะไดไป ประสานงานถูกซึ่งเมื่องานเขามาเราจะใชกระดาษ Notepad เขียนขอความ 1 แผน ตอ 1 เรื่อง เพื่อสะดวกตอการมองหา เชน เรื่องที่แจงเขามา 1 เคส ก็เขียน 1 เรื่องนั้น ลงบนกระดาษ 1
97
แผน หรือมีผูที่ประสงคจะบริจาคเขามา 1 ราย เราก็จะบันทึกไวบนกระดาษ 1 แผนเชนกัน แลว กระดาษเหลานี้ก็จะถูกแปะอยูบนบอรดหรือผนังหองแบงตามหมวดหมูของภารกิจ เชน วันแรก ที่โดนน้ําหลาก เรามีบอรด 2 บอรดที่อยูคูกันคือ บอรดแจงขอความชวยเหลือ และ บอรดแหลง ของหนวยกูภัย สวนวันที่ 2 บอรด 2 บอรดที่ตามมาคูกันคือ บอรดความตองการของบริจาค (need) และ บอรดแหลงผูใหของบริจาค(Give) วันที่ 3-4 มีบอรดผูประสาน node แตละจังหวัด รวมถึงการอัพเดทรายการใหความชวยเหลือและความตองการที่ยังรอคอย นอกจากนั้นยังมีการ แปะบันทึกการประชุมรายวันที่ถอดบทเรียนรายวันเอาไวใหเห็นความคืบหนาดวย
รูปที่ 11 บรรยากาศและการจัดการขอมูลในศูนยโดยใช notepad สําหรับนักจัดการมืออาชีพอาจจะมีขอสงสัยวาทําไมเราไมใชฐานขอมูลในคอมพิวเตอร หรือใช server แชรขอมูลกัน ผูเขียนขอแจงวา เหตุผลที่เราใชการสื่อสารขอมูลภายในดวย hard copy อยางบอรดหรือกระดาษนี้ ก็เพราะชวงแรกๆ เราขาดคนที่จะทํางาน It support ทั้งการ ติดตั้งคอมพิวเตอร ปริ๊นเตอร เซ็ทวง LAN แตเรายังขาดสิ่งที่ตองการมากที่สุด คือ intranet ที่ จะใชเก็บขอมูลและแชรขอมูลตรงกลางใหเห็นไดทั่วกัน ซึ่งเราเคยขอความเรื่องนี้จากองคกรแหง หนึ่งไปแลว แตเคาก็ไมสามารถจะใหบริการเราใชได เพราะติดปญหาเรื่องลิขสิทธ เราจึงได สื่อสารกันแบบ manual กันทั่วทั้งหอง ซึ่งนั่นก็ทําใหการทํางานของเรามีสีสันและมีความเปน มนุษยไปอีกแบบ
98
ฝายที่ 4 อาสาสมัคร เมื่อคนหนึ่งคนเดินเขามาเราจะใหเขาไปชวยงานอะไร เมื่อคน 4 คน เดินเขามา เราจะใหเขาไปชวยตอมือไดที่ฝายไหน เมื่อคนกลุมใหญๆ เขามาพรอมๆกัน เราจะทําใหเขาเขาใจสิ่งที่เรากําลังทําไดอยางไร Volunteer recruit เปนคําตอบของจัดการอาสาสมัคร Volunteer recruit การทํางานนี้ตองมีคนที่มองเห็นภาพรวมทั้งหมดและรูขอมูลทุกฝายวาใครขาดแรงที่จะ เขาไปชวยดานไหน และยังตองมีคนที่ recruit skill ของอาสาเปน ไมปลอยอาสาทิ้ง ตองใหเวลา และทําความรูจัก เพราะแตละคน เพียงแวบแรก เรารูจักอะไรจากเคาไมไดมาก เมื่อทํางาน ดวยกันไปสักพักทักษะจะแสดงออกมาใหเห็นจากสถานการณ แลวเราคอยชอนเขาไปเขางาน บทเรียนในครั้งนี้เผยใหเห็นขั้นตอนในการจัดการอาสาสมัครวาประกอบดวย 1. ดานแรก ตองมีโตะรับอาสาสมัครตั้งอยูหนาหอง เพื่อใหอาสาสมัครที่มาใหมไดลงทะเบียน กรอกชื่อ ที่อยู อีเมล เบอรโทรศัพท สําเนาบัตรประชาชนไว เพื่อเก็บไวเปนบันทึกสําหรับ การติดตามงานและการระดมอาสาสมัครครั้งถัดไป 2. ดานที่สอง พออาสาสมัครเขียนในลงทะเบียนเสร็จ ก็จะมีการปฐมนิเทศพรอมๆ กันวาศูนย เราทํางานเพื่ออะไร มีการแบงฝายการทํางานอยางไร มีกระบวนการทํางานอยางไร ระหวาง นั้นเราก็จะดูการตั้งคําถามของอาสาสมัคร ระหวางนั้นก็อานทักษะหรือความสามารถของ อาสาสมัครไปดวยวาเคามีพื้นฐานดานไหน 3. ดานที่สาม ถามอาสาสมัครแตละคนวาสมัครใจที่จะชวยงานดานใด และงานดานใดที่มี connection ในการระดมทรัพยากร หรือมีความสามารถพิเศษอะไรบาง 4. ดานที่สี่ ใหเขาลงไปทํางาน โดยเริ่มจากไปชวยคนที่ทํางานเปนตัวหลักอยูกอนแลว ใหคนที่ เปนตัวหลักเปนพี่เลี้ยง สอนระบบการทําและการเก็บขอมูลเพื่อสงตองาน ระหวางนั้นก็คอย ดูวาเขามีปญหาที่ตองการใหเราชวยเหลืออยางไรบาง หรืออบรมเฉพาะทางใหถาเคาพรอม 5. ดานที่หา เมื่อเสร็จภารกิจก็จัดการถอดบทเรียนอาสาสมัครรวมกัน แตจากการจัดกิจกรรม ไปแล ว เราก็ พ บว า อาสาสมั ค รยั ง ไม ไ ด รั บ การให ค วามสนใจเท า ที่ ค วร อาจเป น เพราะ กิจกรรมของเราสั้นและเราแจงการนัดประชุมกระชั้นเกินไป สําหรับการปรับปรุงการสงตองานของอาสาสมัครซึ่งจรมาและจรไปใหตอเนื่องนั้น มีผู เสนอความคิดวา ควรจัดตารางคนทํางานและแจงใหทราบเพื่อทราบเวรและงานในระยะยาว ควรจะมีการทําแฟมงานแตละ job หรือแตลพื้นที่ เหมือน log book ที่ใชบันทึกในการใชวิทยุ สื่อสาร ใหที่คนที่เขามาทํางานตอไดรูงานที่ทํามาแลวและเอาขอมูลมาทํางานไดทันทีไมตอง เสียเวลาไปคนหาดวยตัวเอง
99
บทที่ 5 บริหาร สํ า หรั บ การบริ ห ารจั ด การในศู น ย นั้ น เราโชคดี ที่ ไ ด ผู ใ หญ ม าช ว ยให ทํ า ปรึ ก ษาและ ตัดสินใจ โดยทําหนาที่โฟกัสภาพรวมแลวใหสิทธิ์การจัดการแกอาสาสมัครที่เยาวกวา โดยไมมี บทบาทแทรกแซงมากเกินไปไป มอบอํานาจการตัดสินใจใหคนทํางานอยางเต็มที่ ซึ่งการบริหาร จัดการศูนยนั้นยอมขึ้นอยูกับอัตลักษณของแตละคนที่มาทํางานบริหารอยูแลว บทความในสวน นี้จึงขอเสนอการเตรียมอาสาสมัครและอุปกรณที่จะใชในการบริหารศูนย เพื่อที่จะเปนคูมือใน การตั้งศูนยสําหรับการจัดการครั้งถัดไปนาจะเกิดประโยชนในเชิงรูปธรรมตอคนที่อาจตองเผชิญ ภาวะนี้อีกครั้งอยางแนนอน นอกจากทํางานกวางๆที่มีฝาพนังใหแปะงานและมีกระดานแลว วัสดุ อุปกรณสํานักงาน และอาสาสมัครแตละฝายที่เพียงพออยางนอยที่สุดควรจะมีในการเริ่มทํางานครั้งตอไปดังตาราง จํานวนอุปกรณที่ตองการในการเริ่มศูนย อุปกรณ จํานวน (ชิ้น) โตะประชุม 6 คอมพิวเตอร 4 Printer 2 Projector 1 โตะทํางาน 8 เกาอี้ 15 โทรศัพท 5 FAX 1 โทรทัศน 5 แผนที่จังหวัด n/a ปากกา/ดินสอ 30 Scotch tape 5 กระดาษ 3 รีม Flip board 3 high speed internet 2 ปลั๊กไฟ 5 Post it >10
จํานวนอาสาสมัครที่ตองการในการเริ่มศูนย อาสาสมัคร ฝายชุมชน ฝายสื่อสาร ฝายขาว ฝายวิชาการ ฝายทรัพยากร ฝาย logistic ฝายอาสาสมัคร ฝายสวัสดิการดูแลขาว/น้ํา ธุรการ / การเงิน
จํานวน (คน) 3 1 1 1 2 3 2 1 1
100
สวนเอกสารทีท่ างศูนยจะตองมีไวใชในการทํางานควรจะเริ่มดวย 1. ใบลงทะเบียนอาสาสมัคร รายละเอียดประกอบดวย ชือ่ เบอรโทร อีเมล ความถนัด เวลาสะดวก และมาจาก เครือขาย 2. เอกสารติดตามการขนสง เชน ตารางสายการบิน เวลาเครื่องออก การประสานรถที่จะขนสงสูป ลายทาง เพราะการ ของตองไปถึงกอนสนามบิน 3 ชั่วโมง การติดตอคนชวยขนของกอนเวลาเครื่องออก 4 ชั่วโมง ตองมีการประสานงานคนรับของที่สนามบินขาไปและปลายทาง โดยทราบชื่อ และ เบอรโทร เพื่อประสานงาน ขนสงทางรถติดตอจุดสงของและปลายทาง กําหนดจํานวนและ เวลา คนปลายทางที่จะมารับใหเบอรโทรทั้งสองฝายเพื่อติดตอกัน รายละเอียดของการ ขนสง ประกอบดวย - ประเภทของรถ (กระบะ 1-3 ตัน, รถ 6 ลอ 12-15 ตัน, รถ 10 ลอ 17-20 ตัน) - เวลาขนของ โดยประสานงานกับเจาของรถ และสถานที่ที่ไปรับ โดยใหเบอรทั้งสอง ฝาย เพราะอยางในกรุงเทพ รถ 10 ลอ จะมีปญหาในการวิ่งกลางเมืองกรุงเทพ เชน สี ลม สุขุมวิท ฯ - สถานที่ตาง ๆ เพื่อระบุเสนทางการเดินทาง เพื่อประหยัดเวลาและคาใชจาย - ขึ้นตารางของบริจาค ใหทราบน้ําหนัก เพื่อจัดรถใหอยางเหมาะสม เตรียมเอกสารที่ บรรจุไป และลงรายละเอียดสินคา รวมถึงคนปลายทาง โดยกําหนดคนรับ ทราบเบอร 3. เอกสารสําหรับฝายทรัพยากร - การหาของบริจาคตามตารางความตองการ / บันทึกของบริจาคและเงินสนับสนุน - ขึ้นกระดานและประสานงานกับการขนสง / บันทึกความตองการและปญหาของแตละ พื้นที่ - list เบอรโทรศัพทเครือขาย ฯ - list เบอรโทรศัพทผูสนับสนุน และ supplier 4. การจัดการของบริจาคและการขนสง - ตารางความตองการ แยกประเภทของ จํานวนที่ชัดเจนและพื้นที่ทตี่ อ งการ พรอม จํานวนคนที่เดือดรอนโดยมี ชื่อผูแจง เบอรโทร สถานที่หรือพิกัดที่ตองการ สินคาที่ ตองการ - ตารางสินคาทีบ่ ริจาค ระบุสินคา น้ําหนัก จํานวนชิ้น น้ําหนักรวม เพื่อสะดวกในการ ขนสง
101
- ระบุการขนสง วาสงมาเองพรอมคนที่ขนของหรือไม หรือใหเราดําเนินการขนหากให เราดําเนินการขนสง ติดตอหนวยหาของสนับสนุน เพือ่ ประสานกับคนที่ปลายทางที่ ตองการของขอทราบเบอรคนประสานงาน สถานที่และเวลาทีส่ ะดวก - ติดตามสินคาและการสงสินคา โดยมีเอกสารกํากับเปนรายละเอียดของ เพื่อใหตรงกับ ความตองการ ทําตารางการเดินทางและการขนสง โดยระบุสินคา คนติดตอปลายทาง คนที่ดูแลที่สนามบินวันนั้น บันทึกปลายทางรับของ รวบรวมตามเอกสารขึ้นตารางตาม วัน - นอกจากนั้นควรมีการถอดความรูเรื่องการแพคของบริจาควา ในสถานการณภัยไหน ควรแพคของที่จําเปนอะไรไปใหบาง และของแตละชนิดความมีจํานวนเทาไร ควรมี ปริมาณเทาไร ควรมีน้ําหนักเทาไร จึงจะเหมาะสมกับการขนสงและตอบสนองความ ตองการของผูประสบภัย - ตารางเงินที่บริจาค ระบุวันที่ เวลา ชื่อคน เบอรโทร เปาหมาย เพื่อดําเนินการ บทสรุปและแนวทางการปรับปรุงโครงสรางศูนยในอนาคต จากการระดมสมองเพื่อถกกันวาหากจะตองมี warroom ที่ประสานงานกับชุมชนใน ลักษณะ node แบบนี้อีก เราควรจะแบงฝายในการทํางานอยางไร เราก็ไดขอสรุปวา ควรมีอยาง นอยที่สุด 5 ฝายแบบนี้ ถือวาโอเคแลว แตถามีอาสาสมัครที่มีศักยภาพและมีจํานวนเพียงพอ (เนนวามีคนพอ) สําหรับทํางานระยะยาวหรือลงลึกไปกวานั้น เราควรจะแบงฝายในการทํางาน ออกเปน 10 ฝาย คือ 1. ฝายวิชาการ ดูแผนที่อากาศ รับขาว ประเมินความเสี่ยง หากสามารถทําไดควรจะจัดอบรมใหทุกคน ทั้งชาวบานและอาสาสมัครมีความรูดานการภูมิอากาศ ภูมิศาสตรและสื่อสารกันใน หนวยมาตราวัดเดียวกัน ไปจนถึงการติดตามขอมูลเพื่อเฝาระวังความเสี่ยงและ ตัดสินใจที่จะจัดการตนเองทั้งการปองกันภัยและการอพยพ โดยไมตองรอคําสั่งจาก ภายนอก 2. ฝายประชาสัมพันธ (PR เขียนขาว) ทําหนาที่กรองขาว รายงานขาวที่ไดรับจากภาคชุมชน กระจายไปยังสื่อสาธารณะวาเรา ทําอะไร กระจายความตองการ ไดรับของมาจากไหน ไดสงของไปไหน จํานวนเทาไร ชี้แจงเรื่องการเอาความชวยเหลือไปใช 3. ฝายขอมูล-ชุมชน ทําหนาที่ประสานงานองคกรพื้นที่ – เชื่อมโยงอํานาจจากสวนกลาง หากเปนไปไดควร ทํา map เครือขาย ชี้ใหเห็นความสัมพันธระหวางพื้นที่และประเด็นตางๆ โดยระบุ key
102
4.
5.
6.
7.
person วา คนติดตอที่ชื่อนี้ติดตอเรื่องอะไร สายใด โดยทําเปน plate เปน Area base เปนจังหวัด เปนทั้งแผนภาพ ไฟลงาน และทําเปนแฟม hard copy เชน เคส สุราษฏรธานีธานี ก็แฟมสุราษฏรธานีธานี เคสนครศรีธรรมราชก็แฟมนครศรีธรรมราช รายงานขอมูลขอเท็จจริงตางๆ เพื่อสะดวกที่สําหรับคนที่จะมาทํางานตอมือกัน ฝายทรัพยากร มีหนาที่หลัก คือ ระดมทรัพยากรจากแหลงทุน ประสานนําเขา สงตอทรัพยากรที่ไดไป ให logistic ซึ่งสําหรับการทํางานอีกในครั้งหนา เราคิดวาเราพบ Sequence จาก ประสบการณเดิมในครั้งนี้อยูแลว เราควรจะเตรียมการลวงหนาในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะ การประสานแหลงทุนหรือทรัพยากรในพื้นที่โดยมีการทําบัญชีเครือขายผูให (บริจาค) หรือมีกองทุนสําหรับชวยเหลือผูประสบภัย โดยกลุมคนที่ keep connection ใหรวมกัน ดวยประสบการณรวมในครั้งนี้ keep paper เอาทั้งคนและชุดความรู สําหรับ ปะติดปะตอประยุกตใชใหมในภาวะฉุกเฉินครั้งถัดไป ฝาย logistic ทําหนาที่จัดสงทรัพยากรจากแหลงทุน ไปยังจุดขนสงกรุงเทพ และประสานทรัพยากร จาก Node ไปสูปลายทาง ซึ่งการทํางานในครั้งถัดไปจะตองจัดลําดับพาหนะตาม ความสําคัญในการขนสง เชน จะใชเครื่องบิน ก็ตอเมื่อเสนทางเดินรถถูกตัดขาด ชุมชน ประสบภัยหนัก ตองการความชวยเหลืออยางเรงดวน ของที่จะสรางความเสียหายกับ เครื่องบินไวสงทางรถตามไปทีหลัง ฝายสื่อสาร (Communication) เปนฝายที่มีคนประจําเครื่องมือสื่อสาร ประสานวิทยุสื่อสาร ดูแลเครื่องมือสื่อสาร การ ทํางานครั้งตอไปจะตองกําหนดวาการสื่อสารประเภทใดเรื่องใดใชอุปกรณใดสื่อสาร เชน โทรศั พท ใ ชแจ งของอาหาร ขาวสาร นม, วิท ยุสื่อสาร ใช คุ ยแจ งการเตือนภัย เสื่ยง, Twitter ใชเช็คขอมูลการไดรับความชวยเหลือ คิดเหมือนกันครับจริงๆแลว มันควรจะมีใครแตละฝาย อยางฝายวิทยุที่ผมทําเนี่ย ขอมูล สงตอสถานการณสี่หาวันกอนที่ผมจะมาเนี่ยไมมี วาสามารถประสานงานที่ไหนไดบาง ซึ่งศักยภาพในการทํางานมันจะลดลงทันทีเลยเพราะมันไมรู ทีนี้ขอมูลพื้นฐานที่ทุกฝาย ตองมีอยางแฟมเนี่ย ขอมูลทางภูมิศาสตรมันควรจะมีทีมละชุดจะไดไมตองแยงกันดู มัน จะลดเวลาไปไดเยอะ ฝายอาสาสมัคร ทําหนาที่ recruit อาสาสมัครที่ walk-in เขามาใหไปถึงงานที่มีความตองการคนที่มี ทั ก ษะนั้ น การทํ า งานในครั้ ง หน า ควรมี presentation แนะนํ า อาสาสมั ค ร หรื อ มี โครงสรางที่ชี้แจงใหเคาเขาใจอยางชัดเจน Facebook แสดงโครงสรางใหเขาใจลวงหนา กอนอาสาเดินเขามาจะชวยลดเวลาในการสรางความเขาใจเรื่องศูนยของอาสาสมัคร ดวย
103
8. ฝายที่ปรึกษาประจําศูนย / อาสาเฉพาะทาง เชน แพทยที่ใหคําปรึกษาในภาวะที่ วิกฤตถึงชีวิต นักวิชาการดานอุตุนิยมวิทยา นักภูมิศาสตรที่ใหคําปรึกษาเรื่องแผนที่ ฝายเทคโนโลยี IT-support ดูแลอุปกรณ ทั้งโทรศัพทดาวเทียม และคอมพิวเตอร 9. ฝายธุรการและการเงิน ทําหนาที่ดูแลการใชเงินเพือ่ บริหารศูนยอาสาสมัครและการใชจายเงินบริจาค สราง ความโปรงใสในการใชเงิน โดยแจงวารับมาเทาไร ไปเทาไร ถึงไหนเทาไร รวมไปถึง อาจจะไปชวยคิดเรื่องการจัดการเงินเพื่อฟนฟูตนเองในระยะยาวของชุมชนตอไป 10. ฝายบริหาร ฝายเบรก และ ฟนธง ทําหนาที่ดูแลการดําเนินงานในภาพรวมของศูนยอาสาสมัคร ในอนาคตควรจะกําหนด วัฒนธรรมการทํางานใหมีการประชุมทั้งชวงเชาและชวงเย็นเปน Morning brief และ night brief อยางตรงเวลาและสม่ําเสมอ นอกจากนั้นยังจะตอง Chart organization โยง วาใครเชื่อมอะไรอยู เพื่อที่อาสาสมัครที่มาใหมจะไดทราบวาตองวิ่งไปหาวาใครสายไหน พัฒนาตอจาการ Post-it บนผนังซึ่งมองหาความเชื่อมโยงไมออก สําหรับการทํางานใน ฝายนี้ เราตองการคนที่มีประสบการณการทํางานในภาวะวิกฤตที่มที ักษะในการบริหาร คือ สามารถขับเคลื่อน เบรก ตัดสินใจ และฟนธงในงานตางๆ ไดอยางแมนยํา พรอมทั้ง มีสติในการทํางานดวย ซึ่งสําหรับฝายทั้งหมดที่กลาวมาผูเขียนคิดวา เราควรจะมีการตั้งวงเพื่อนที่มีสัญญาใจ รวมกันในอนาคต หากเกิดภาวะวิกฤตเชนนี้แลว เราจะมารวมตัวกัน ชวยเหลือกันแบบนี้อีก ผูเขียนขอตั้งชื่อกลุมที่เกิดขึ้นและจะเกิดขึ้นจาก warroom นี้วา “กลุมเพื่อนยามวิกฤต หรือ Crisis friend” เพื่อที่จะยึดโยงความทรงจําดีๆที่เราเคยสรางรวมกันไว และถามีภาวะที่ตองการ เราอีกเมื่อไร เราจะกลับมารวมตัวกัน
104
รูปที่ 12 กลุมเพื่อนยามวิกฤตทั้ง 10 ฝาย
105
(ราง) ขอเสนอเบื้องตนแผนงานปฏิรูปการจัดการน้ําอีสาน คณะอนุกรรมการปฏิรูปที่ดิน ทรัพยากร สิ่งแวดลอม และน้ํา
106
(ราง) ขอเสนอเบื้องตนแผนงานปฏิรูปการจัดการน้ําอีสาน คณะอนุกรรมการปฏิรูปที่ดิน ทรัพยากร สิ่งแวดลอม และน้ํา 1.หลักการและเหตุผล ทําไม ปฏิรูปประเทศไทย ตอง ปฏิรูประบบการจัดการน้ํา? น้ํา เปนสิ่งที่ขาดไมไดสําหรับทุกชีวิต มนุษยเปนผูมีสวนสําคัญที่ทําใหสมดุลของน้ําบน โลกเสียไป มนุษยใชน้ํามากเกินกวาความจําเปนพื้นฐานที่ควรจะใช กิจกรรมหลายๆ อยางของ มนุษยแยงน้ําไปจากปา แยงน้ําไปจากปลา และสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น และนับวันมนุษยจะเขาใจเรื่อง น้ําที่เชื่อมโยงกับฐานทรัพยากรอื่นนอยลงเรื่อยๆ หลายกรณีก็แกลงทําเปนไมรูไมชี้ หรือหา เหตุผลอื่นๆ มากลบเกลื่อน บายเบี่ยงเพื่อแยงน้ําไปจากสิ่งมีชีวิตอื่น หรือแยงไปจากมนุษยดวย กันเอง เพื่อผลประโยชนของกลุมตน น้ําบนโลกไมไดมีมากขึ้นหรือนอยลง แตวัฏจักรที่น้ําเคยหมุนเวียนเปนไอน้ํา น้ําแข็ง และของเหลวอยางสมดุลในระบบตางหากที่ผิดเพี้ยน ทําใหดูเสมือนวาทําไมบางพื้นที่แหงแลง ขึ้น แลงยาวนานขึ้น หรือบางแหงกลับมีน้ํามากเกินไปจนทวมซ้ําซาก หรือไปทวมเอาชวงเวลาที่ ไมควรจะทวม เปนตน เราคงปฏิเสธไมไดวากิจกรรมของมนุษยเปนสวนสําคัญที่ทําใหสิ่งเหลานี้ เกิดขึ้น ปญหาจึงใหญโตเกินกวามนุษยเพียงคนเดียว หรือประเทศหนึ่งๆ จะแกไขไดทั้งหมด แต อย า งน อยหลายๆ ชุ ม ชนบนโลกใบนี้ ก็ไ ดเ ลือ กใช วิ ถีชี วิ ต ที่เ อื้อ อํา นวยต อธรรมชาติ ม ากขึ้ น ดํารงชีวิตที่สมดุลอยูบนพื้นฐานของศักยภาพทรัพยากรที่ตนเองมี รวมไปถึงทรัพยากรน้ําที่เปน เรื่องสําคัญตอชีวิตและการผลิตอาหาร สถานการณปญหาในปจจุบัน การทบทวนอดีต หันกลับไปมองภูมิปญญาดั้งเดิม จึง ไมใชการจํายอม การสิ้นไรหนทาง หรือ การขาดซึ่งเทคโนโลยี แตเปนการมองอยางเขาใจวา บรรพบุรุษของเราอยูรอดมาไดอยางไรนับพันๆ ปทามกลางฝนแลง น้ําทวม โดยที่การจัดการใน อดีตนั้นไมไดมีเทคโนโลยีชั้นสูงอะไร แตมีปญญาที่จะเขาใจสภาพพื้นที่ เขาใจพฤติกรรมของน้ํา เขาใจรอบวัฏจักรของฤดูกาล แลวนํามาวางแผนจัดการชีวิต และจัดการการผลิตใหสอดคลองกับ สภาพดังกลาว จนกลายเปนวิถี มีการสั่งสม วิวัฒน สืบทอด จนกลายเปนวัฒนธรรมที่เชื่อมโยง ระหวาง มนุษย ธรรมชาติ และปรากฏการณเหนือธรรมชาติ หรือเรียกอยางสั้นๆ วา “นิเวศ วัฒนธรรม, ภูมินิเวศ หรือ ภูมิสังคม” แลวแตจริตจะนําไปใช แตความหมายก็คลายๆ กัน คือ ความเขาใจพัฒนาการของสังคมมนุษยผานความสัมพันธระหวางมนุษยกับมนุษย มนุษยกับ ธรรมชาติ และมนุษยกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
107
ดังนั้น ในภาคเหนือจึงมีระบบเหมืองฝายที่เหมาะสมกับพื้นที่สูงที่เต็มไปดวยปาเขาและ ภูดอยสลับซับซอน มีพื้นที่ราบนอย การมีลําเหมืองลัดเลาะไปตามไหลเขาซึ่งรับน้ํามาจากลําน้ํา ที่ ท ดให สู ง ขึ้ น เล็ ก น อ ยโดยฝายพื้ น บ า นที่ ทํ า มาจากวั ส ดุ ธ รรมชาติ เพื่ อ ส ง ไปตามลํ า เหมื อ ง กระจายไปสูแปลงนาเล็กๆ ตั้งแตที่สูงจนถึงที่ลุมควบคูกับการรักษาตนน้ํา ปาเขา นับเปนระบบ ที่เหมาะสม ขณะที่ภาคอีสานเปนพื้นที่แลงนาน เปนที่ราบกวางใหญสลับกับเนินดินเนินเขา เล็กๆ ตนน้ําของอีสานจึงไมไดมาจากบนภูสูงเทานั้น แตมาจากทุกพื้นที่ น้ําอีสานมาเร็ว ไปเร็ว และมีพื้นที่หลากทวมในฤดูฝนตามริมแมน้ํา และปากแมน้ําเชนปาบุง ปาทาม แตเกือบทั้งหมด ไหลไปลงแมน้ําโขง การจัดการน้ําของอีสานจึงมีความหลากหลายสูงมาก ตั้งแตการเลือกใชพันธุ ขาวที่อายุสั้นเก็บเกี่ยวเร็วในพื้นที่ดอน การเลือกใชความสูงของคันนาหลายระดับเพื่อเก็บน้ํา การทําฝายดิน ลําเหมือง ทํานบเบนน้ํา-เก็บน้ํา ระหัดวิดน้ํา การใชน้ําจากบึง หนอง บุง กุด เพื่อ ทํานาทาม รวมถึงการขุดสระ หรือ ตะพัง ในชุมชน เพื่อเก็บน้ําไวใชสอยในครัวเรือน การรอง น้ําฝนไวกิน และการขุดบอน้ําตื้นไวใช เปนตน สวนภาคกลางนั้นเปนที่ราบลุมดินตะกอนกวาง ใหญ สวนใหญเปนดินเหนียวอุมน้ําดี การรับน้ําหลากในหนาน้ํา แลวเลือกใชพันธุพืชที่สามารถ อยูกับน้ําไดเปนภูมิปญญาที่นาอัศจรรย โดยเฉพาะขาวขึ้นน้ําที่เปนพันธุขาวที่ดีที่สุดพันธุหนึ่ง ของโลก คือ ปนแกว การยกรองสวนที่เปนทั้งพื้นที่รับน้ํา ระบายน้ํา และเก็บน้ําไวใชในหนาแลง ไปในตั ว รวมถึ ง การขุ ด คลองเชื่ อ มต อ ในทุ ก พื้ น ที่ เ พื่ อ เก็ บ น้ํ า ระบายน้ํ า และเป น เส น ทาง คมนาคม การสรางเรือนยกพื้นใตถุนสูง ซึ่งเปนการแสดงใหเห็นถึงความออนนอมตอธรรมชาติ เปนภูมิปญญาที่มากกวาการจัดการน้ํา สวนภาคใตและภาคตะวันออกมีลักษณะที่คลายคลึงกัน คื อ มี ป ริ ม าณน้ํ า ฝนสู ง มี แ ม น้ํ า สายสั้ น ๆ ที่ ไ หลลงมาจากเทื อ กเขาแล ว ไหลลงทะเล มี พื้ น ที่ เชื่อมตอระหวางทะเลกับน้ําจืดเปนปาชายเลน ปาพรุตามที่ลุมและปากแมน้ํา ในอดีตการทํามา หากินตามฤดูกาลและเก็บเกี่ยวผลผลิตจากธรรมชาติเปนสิ่งที่เพียงพอแลวสําหรับพื้นที่ดังกลาว แมจะมีการปลูกพืชเพื่อขายเปนรายไดบางก็เปนพืชยืนตน เชน มะพราว ทุเรียน มังคุด และไม ผลอื่นๆ ที่ชาวบานปรับปรุงพันธุมาจากพืชดั้งเดิมมานับรอยๆ ป และก็เปนรูปแบบการผลิตที่ ผสมผสานเปนสวนเดียวกับปาธรรมชาติจนแยกแทบไมออกเชนสวนสมรมของภาคใต เปนตน จากที่กลาวมาทั้งหมดสะทอนใหเห็นวาการจัดการน้ําไมไดแยกออกจากการจัดการชีวิต การจั ด การระบบการผลิ ต และการจั ด การร ว มกั บ เรื่ อ งอื่น ๆ ซึ่ ง เป น การจั ด การรวมหมู แ ละ กระจายศูนย ตั้งแตระดับครัวเรือน ชุมชน หลายๆ ชุมชนรวมกัน และการจัดการในระดับลุมน้ํา ทั้งการรักษาตนน้ํา การฟนฟู การจัดสรรน้ํา และการชําระขอพิพาทเรื่องน้ํา ดังเชนในภาคเหนือ ซึ่ ง มี ก ฎกติ ก าที่ ทั้ ง หมดต อ งเคารพร ว มกั น คื อ การไม ล ะเมิ ด ต อ ธรรมชาติ จ นเกิ น พอดี แต หลังจากเรารับเอาแนวทางการพัฒนาประเทศจากตะวันตกเขามาพรอมกับความทันสมัย และ การจัดการแบบรวมศูนยอํานาจ ทําใหศักยภาพของชุมชนและทองถิ่นในการจัดการลดนอยลง ตลอดมา อํานาจในการจัดการ การกําหนดนโยบาย การใชงบประมาณ เพื่อสรางสิ่งแปลกปลอม ทางน้ําเกิดขึ้นนับหมื่นๆ แสนๆ โครงการ โดยมองไมเห็นหัวประชาชนผูอยูติดกับดินกับน้ํา การ ผูกขาดความรูในการจัดการ การเจาะจงเลือกใชเทคโนโลยีผานความเชี่ยวชาญทางชลศาสตร
108
และวิศวกรรมทางน้ํา วิศวกรรมชลประทาน ตามแบบแผนของการศึกษาสมัยใหมในตะวันตก ยิ่ง เบียดขับและเหลือชองทางใหภูมิปญญาดั่งเดิมนอยลงทุกที และสิ่งเหลานี้เองที่ไปทําลายระบบ นิเ วศลุมน้ําอยางมากมาย กลุมผูคนที่มุงหวั งเอาน้ําไปใชเ พื่อการเติบโตทางเศรษฐกิ จแบบ อุตสาหกรรมนํา ไดแยงเอาน้ําไปจากชาวไรชาวนาจนสุดจะทานทนในปจจุบัน การพัฒนาแหลง น้ําที่ใชงบประมาณมหาศาลในหวงเวลา 50 ปที่ผานมา จึงวนเวียนอยูที่การขุดลอกแมน้ําลําหวย การทําคันดินและถนนเลียบแมน้ําลําคลอง การสรางเขื่อน อางเก็บน้ํา คลอง ฝาย ประตูน้ํา และ มุ ง ไปสู ก ารผั น น้ํ า ข า มลุ ม น้ํ า ในอนาคต เพื่ อ รองรั บ การเติ บ โตของชุ ม ชนเมื อ ง การพั ฒ นา อุตสาหกรรม และเกษตรอุตสาหกรรม รวมถึงน้ําเพื่อผลิตกระแสไฟฟาดังเชนกรณีการผลักดัน ใหมีการสรางเขื่อนในแมน้ําโขง และแมน้ําสาละวินของการไฟฟาฝายผลิตฯ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด อยูภายใตการจัดการของกลุมคนเพียงหยิบมือที่ดูเหมือนวาไดกลายเปนเจาของน้ําทั้งประเทศ ไปแลว ไดแก กรมชลประทาน การไฟฟาฝายผลิตฯ และกรมทรัพยากรน้ํา แตทั้งหมดมักจะไมรับผิดชอบใดๆ เมื่อเกิดภาวะวิกฤตขึ้น เชน เมื่อยามใดที่เกิดภัยแลง น้ําในเขื่อนไมพอก็อางวาฝนตกนอย เขื่อนไมมีน้ําพอสําหรับทั้งปนไฟ เกษตรกร เมือง และ อุตสาหกรรม ดังนั้น กลุมคนที่ถูกบังคับใหเสียสละชั่วนาตาปก็คือกลุมที่มีอํานาจตอรองนอยที่สุด นั่นคือชาวนา ในกรณีภาคกลางและภาคตะวันออกจะชัดเจนมาก จะมีการประกาศงดการปลอย น้ําและใหเกษตรกรงดทํานาปรังอยูเสมอ เพื่อรักษาน้ําไวใหเมืองและอุตสาหกรรม รวมทั้งปนไฟ ในภาคตะวันออกอางเก็บน้ําใหญๆ จะถูกจัดการโดยบริษัทเอกชนที่จายสัมปทานใหกับรัฐและสง น้ําไปขายตอเอากําไร และลูกคาที่มีกําลังจายไดก็ไมพนเมืองและอุตสาหกรรม น้ําจึงแทบไม เหลือมาถึงเกษตรกรชาวไรชาวสวน แมในภาวะน้ําทวม พื้นที่ซึ่งตองรักษาเอาไวไมใหประสบ ภัยก็คือ เมือง แหลงการคา และอุตสาหกรรม การทําใหเมืองปลอดภัยคือการสรางทํานบ การทํา พนังกั้นน้ําริมตลิ่งแมน้ํา การสรางทางเบนน้ําออกไปใหพนเมือง การปดประตูน้ําไมใหน้ําไหลเขา คลองมาในเมือง การตั้งสถานีสูบน้ําออกจากเมือง และเมื่อเมืองปลอดภัย เรากลับพบวาผูที่จม อยูใตบาดาลก็คือเกษตรกร ชาวชนบทและพื้นที่เกษตรกรรมที่อยูนอกเมืองนั่นเอง หากการจัดการน้ํายังเป นเชนทุกวันนี้ ในอนาคตก็ค งไมมีใครทําอาชีพเกษตรกรรม เพราะตองถูกบังคับใหเสียสละตลอดเวลา ทั้งยังมีความเสี่ยงสูง (ทั้งจากน้ําทวม ฝนแลง และ ราคาตกต่ํา) ชาวนามีอํานาจตอรองนอย เชน กรณีชาวบานรอบพื้นที่หนองหานกุมภวาป จ. อุดรธานี หนึ่งในโครงการโขง ชี มูล ที่ลมเหลว เรียกรองใหเจาหนาที่สูบน้ําออกจากพื้นที่น้ําทวม ขังเขาไปยังอางเก็บน้ํา และเปดประตูระบายน้ําจากอางลงสูแมน้ําใหญ เพราะน้ําทวมนาเสียหาย หนวยงานที่เกี่ยวของก็จะอางวา ไมมีงบประมาณสําหรับจายคาสูบน้ํา และเปดประตูน้ําไมได ตองไดรับการอนุมัติจากผูบังคับบัญชาในกรุงเทพฯ สิ่งเหลานี้เกิดขึ้นซ้ําซากมานับ 10 ป ตั้งแต โครงการนี้ดําเนินการมา การจัดการน้ําแบบผูกขาด รวมศูนย และความถือดีของหนวยงานที่เกี่ยวของกับน้ํา เปน ตัวการสําคัญในการทําลายระบบนิเวศลุมน้ํา ทําลายวิถีชีวิต วิถีการผลิต และภูมิปญญาของ ประชาชน การกาวไปขางหนาโดยโครงสรางเหลานี้ยังดํารงอยู ไมสามารถนําไปสูการสราง
109
ความเปนธรรมและการลดความเหลื่อมล้ํา ลดอํานาจรัฐ และเพิ่มอํานาจประชาชนใหเปนจริงได ขณะที่แนวคิดการกระจายอํานาจไปสูองคกรปกครองสวนทองถิ่น ก็ยังไมสามารถเปนความหวัง ไดมากนัก เพราะยังถูกครอบงําจากรัฐผานกระทรวงมหาดไทย รวมถึงแนวคิด องคความรูใน การจั ด การก็ ยั ง ปฏิ บั ติ ต ามแบบส ว นราชการ โครงสร า งการจั ด การและอํ า นาจในการสร า ง นโยบายตามที่ เ ป น อยู มี แ ต จ ะเป น เครื่ อ งมื อ ในการฉ อ ฉลให นั ก การเมื อ งและข า ราชการนํ า งบประมาณไปใชปูยี้ปูยําผานโครงการนอยใหญและสรางความปนปใหกับแหลงน้ําและสราง ความทุกขยากของประชาชนมากขึ้น การปฏิรูปการจัดการน้ําจึงตองสรางพลังการจัดการขึ้น ใหม ภายใตเงื่อนไขที่ตองยอมรับวา “น้ําเปนของทุกชีวิต น้ําเปนความจําเปนพื้นฐานไมใชสินคา ที่จะมาหากําไรเกินควร น้ําเปนเรื่องที่ทุกคนตองมีสวนในการบริการจัดการ ไมใชผูกขาดโดยรัฐ และการจัดการน้ําเปนวัฒนธรรมของมนุษยที่สะทอนใหเห็นถึงการอยูรวมกันระหวางมนุษยกับ ธรรมชาติอยางสมดุล ไมใชอยูบนพื้นฐานเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเห็นแกตัว” 2.แนวคิดและกระบวนการในการขับเคลื่อนงาน “ปฏิรูปการจัดการน้ํา” การปฏิรูปการจัดการน้ํา ไมใชการทํางานเพียงเพื่อนําเสนอแนวทางการปฏิรูปตอรัฐบาล แตเปนกระบวนการเพื่อนําไปสูการเสริมสรางพลังอํานาจของประชาชนเพื่อนําไปสูเปาหมาย ของการปฏิรูป ซึ่งตองพิจารณาอยู 4 ประเด็น/ขั้นตอนสําคัญ คือ 2.1) วิเคราะหสถานการณปจจุบัน ณ สถานการณปจจุบัน น้ํา มีประเด็นความขัดแยง ในการจั ด การอย า งไร ทั้ ง ในระดั บ ท อ งถิ่ น ภู มิ ภ าค หรื อ ในระดั บ โลก ความเคลื่ อ นไหว สถานการณ ภาวะคุ ก คามต า งๆ ของการนํ า ไปสู วิ ก ฤติ น้ํ า หรื อ การแย ง ชิ ง น้ํ า และภายใต สถานการณเหลานี้มีกลไกทางสังคม และกลไกของรัฐอะไรบางที่เกี่ยวของกับการจัดการน้ํา ตั้ง แต ร ะดั บ นโยบาย ไปจนถึ ง การปฏิ บัติ ก ารในระดั บ พื้ น ที่ และกลไกเหล า นั้น ได ทํ า หน า ที่ อยางไร เกิดผลสําเร็จ ลมเหลว หรือมีปญหาอุปสรรคใดบางที่สงผลกระทบทั้งตอประชาชนและ ตอการแกไขปญหาของรัฐเอง และประชาชนไดใชกระบวนการอยางไรบางในการเขาถึงขอมูล ขาวสาร ไดเขาไปมีสวนรวมในการคิด วางแผน ตัดสินใจ วิพากษวิจารณ หรือคัดคานอยางไร บทเรียนที่ผานมาเปนอยางไร และความตองการของแตละภาคสวนที่เกี่ยวของกับการปฏิรูป ระบบการจัดการน้ําเปนอยางไร 2.2) การสนั บ สนุ น ปฏิ บั ติ ก ารเพื่ อ สร า งพลั ง ความเปลี่ ย นแปลงและสรุ ป ประสบการณ-บทเรียนในพื้นที่รูปธรรม เพื่อใหไดผลสัมฤทธิ์และองคความรูบนฐานการ ปฏิบัติจริงเกี่ยวกับการสราง-เพิ่มอํานาจภาคประชาชนในการแกปญหาของประชาชนในการ จัด การน้ํ า ตามสถานการณ สํ า คั ญ ที่ กํ าลั ง ดํ า เนิ น การอยู รวมทั้ ง ประสบการณ ด า นการสร า ง ทางเลือกที่เหมาะสมในการจัดการน้ําที่ประสบความสําเร็จ โดยคณะอนุกรรมการ/คณะทํางานลง ไปรวมสังเกตการณ สนับสนุนกระบวนการ สรางเงื่อนไขแวดลอมที่เหมาะสมตอการแกปญหา แลวมีการสรุปเปนบทเรียนสําคัญ รวบรวมเปนองคความรูที่จะใชเปนขอเสนอในการปฏิรูปในขั้น ตอไป ทั้งนี้โดยใชพื้นที่ที่มีกระบวนการดําเนินการของชุมชนทองถิ่นดําเนินการกันอยู เชน กรณี
110
โครงการ โขง ชี มูล เขื่อนปากมูล กรณีประสบการณในการจัดการน้ําขนาดเล็กระดับไรนา ระดับชุมชนทองถิ่น หลายพื้นที่ 2.3) การสรางภาพอนาคต เปนการนําขอมูลมาประมวล วิเคราะห และนําไปสูการ พยากรณอนาคตวาจะเกิดอะไรขึ้นบางจากทางเลือก หรือเงื่อนไขตางๆ (scenario) เชน การไม ปฏิรูปปลอยใหกลไกปกติดําเนินไป การยกระดับการมีสวนรวมของประชาชนมากขึ้นโดยที่ไม เปลี่ยนแปลงโครงสราง หรือ การเปลี่ยนแปลงโครงสรางโดยลดอํานาจรัฐและเสริมสรางพลังของ ประชาชนในการจัดการตนเอง เปนตน เพื่อใหเห็นภาพอนาคตที่ชัดเจนซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจาก สถานการณที่เปนอยูและสถานการณที่เปลี่ยนแปลงไป 2.4) การขับเคลื่อนไปสูการปฏิรูป เปนการวิเคราะหและเลือก scenario ที่เหมาะสม ที่ สุ ด ไปสู ก ารดํ า เนิ น การอย า งเป น รู ป ธรรมในการเปลี่ ย นแปลงให เ กิ ด ผล โดยใช พ ลั ง ของ ประชาชนในการสรางอํานาจตอรองกับรัฐในการแกปญหา หรือชะลอภาวะคุกคามตางๆ ในระยะ สั้ น และนําไปสูการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ทั้งในเชิงโครงสร าง กลไก นโยบาย และการ ปฏิบัติการในระดับทองถิ่น
111
3.สถานการณปจจุบันที่เปนบริบทของกระบวนการปฏิรูปการจัดการน้ํา 3.1) สถานการณน้ําทวมใหญในลุมน้ําชี มูล เจาพระยา ในเดือนตุลาคม 2553 โดย เปนที่ประจักษวาเกิดจากความผิดพลาดจากกระบวนการจัดการน้ําภาครัฐที่มี “เขื่อนขนาดใหญ” เปนเครื่องมือ ทั้งกระบวนการปองกันแกไขและเยียวยาผลกระทบที่ไมทันการ ไมทั่วถึงอันเกิด จากความเสื่ อ มของกลไกรั ฐ สถานการณ นี้ ส ะท อ นให เ ห็ น อย า งชั ด เจนถึง ความจํ า เป น ต อ ง เปลี่ ย นแปลงขนานใหญเ กี่ย วกับ ทิศ ทาง-นโยบายและกลไกการจัดการน้ํ า ของประเทศไทย อนุกรรมการควรใชสถานการณนี้เปนจุดเริ่มตนในการเชื่อมโยงไปสูการวิเคราะหปญหาทั้งระบบ ของการจัดการน้ํา 3.2) ปจจุบันมีการถกเถียง การแยงบทบาทกันเองระหวางหนวยงานที่รับผิดชอบ นโยบายในการจัดการน้ํา ระหวางกรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ํา ซึ่งทั้งสองหนวยงานเนนที่ นโยบายการจัดการน้ําขนาดใหญ ไมใหความสําคัญและกีดกันบทบาทหนวยงานที่สนับสนุน ทางเลือกการจัดการน้ําขนาดเล็กระดับไรนา-ระดับชุมชนทองถิ่น เชน กรมพัฒนาที่ดิน สถาบัน สารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร เปนตน สถานการณนี้เหมาะสมที่อนุกรรมการจะไดรับ ทราบจากหนวยงานรัฐเกี่ยวกับขอมูลขาวสาร เกี่ยวเนื่องกับวิธีคิด กระบวนการและเงื่อนไข สําคัญเกี่ยวกับกระบวนการและกลไกการจัดการน้ําของประเทศ เพื่อสรางชองทางที่จะสราง ความโปรงใส การมีสวนรวมและการตรวจสอบการใชอํานาจรัฐดานนี้อยางจริงจัง 3.3) ปจจุบันมีการอนุมัติแผนงานตางๆ มากมายที่จะเตรียมการริเริ่มโครงการการ จัดการน้ําขนาดใหญ เชน ในภาคอีสาน มีการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2552 ในการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดลอม และการประเมินสิ่งแวดลอมระดับ ยุ ท ธศาสตร โครงการบริ ห ารจั ด การน้ํ า โขง เลย ชี มู ล โดยแรงโน ม ถ ว ง และเมื่ อ วั น ที่ 22 มิถุนายน 2553 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบใหกรมทรัพยากรน้ํา ดําเนินการศึกษาความเหมาะสมและ ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดลอม โครงการระบบเครือขายน้ําในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 พื้นที่ พรอมทั้งศึกษาผลกระทบระดับยุทธศาสตรในพื้นที่ครอบคลุมลุมน้ํา โขง ชี มูล จะเห็นไดวา นโยบายการจัดการน้ํายังดําเนินไปตามทิศทางของการสราง เมกกะ โปรเจกต ใชทุนจํานวนมาก และไรการศึกษาหาทางเลือกอื่นๆที่เหมาะสมในการจัดการน้ํา ตลอดจนกระบวนการเปดเผยขอมูล – การมีสวนรวมอยางสิ้นเชิง อันเปนหนทางที่จะสรางให เกิดโครงการที่ไมมีความคุมคา และยังกอใหเกิดผลกระทบตอระบบนิเวศและชุมชนทองถิ่นซ้ํา รอยการพัฒนาโครงการในระยะที่ผานมาอยางแทจริง อนุกรรมการควรไดมีการเรียกขอมูลและหนวยงานมาชี้แจง แลกเปลี่ยน ทบทวน ในกรณีดังกลาว พรอมมีความชอบธรรมที่จะเสนอใหมีการทบทวน ประเมินผล โครงการเดิมที่ ดําเนินไปแลว และเสนอใหหนวยงานที่เกี่ยวของรับผิดชอบ ในการแกไข ปองกัน เยียวยา และ ฟนฟูผลกระทบที่เกิดขึ้นใหครบถวนเสียกอน กอนการดําเนินการใดๆ ตอไป
112
4.แผนการดําเนินงานปฏิรูปน้ําอีสาน 4.1) รวบรวมขอมูล เอกสารวิชาการ งานวิจัย หนวยงานที่เกี่ยวของ เครือขายน้ํา-ทรัพยากร และสื่อตางๆ 4.2) สํารวจหรือรับฟงขอมูลระดับพื้นที่เพื่อศึกษาบริบทการจัดการน้ํา สถานการณ ปญหา ความตองการ และขอเสนอตางๆ รวมทั้งสนับสนุนกระบวนการการแกปญหา/สรางสรรค ทางเลือกการจัดการน้ําที่เหมาะสมในบางพื้นที่ที่เกิดองคความรูที่สําคัญ ใน 5 พื้นที่ ไดแก พื้นที่ ลุมน้ําชี (ชัยภูมิ ขอนแกน รอยเอ็ด), พื้นที่ลุมน้ํามูล (ราษีไศล หัวนา ปากมูน),พื้นที่ลุมน้ํา สงคราม,พื้นที่หวยหลวง-หนองหานกุมภวาป-ลําปาว ,พื้นที่ลุมน้ําโขง (ปากชม บานกุม) 4.3) จัดเวทีกลางรับฟงขอมูลจากหนวยงานที่เกี่ยวของกับการจัดการน้ํา ไดแก กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ํา กรมทรัพยากรน้ําบาดาล คณะกรรมการนโยบายน้ําแหงชาติ การประปานครหลวง-ส ว นภู มิ ภ าค สํ า นั ก งานนโยบายและแผนทรั พ ยากรธรรมชาติ แ ละ สิ่งแวดลอม (สวนพื้นที่ชุมน้ํา และกองวิเคราะหผลกระทบ) 4.4) รับฟงขอมูลจากนักวิชาการและผูเชี่ยวชาญดานทรัพยากรน้ําจาก สถาบัน สารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (สสนก.), โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ, ศูนย พลังงานเพื่อสิ่งแวดลอม อุทยานสิ่งแวดลอมนานาชาติสิรินธร, ศูนยวิจัยภูมิสารสนเทศเพื่อ ประเทศไทย, ศูนยเตือนภัยพิบัติแหงชาติ, สมาคมตอตานสภาวะโลกรอน เปนตน 4.5) ศึกษาพื้นที่รูปธรรมในการจัดการน้ําที่ยั่งยืนใน 5 ประเด็น ไดแก 1) พื้นที่สูง และตนน้ํา 2) การจัดการน้ําพื้นที่ราบลุมและปากแมน้ํา 3) การจัดการน้ําในพื้นที่แหงแลง และดิน เค็ม 4) การจัดการน้ําในระดับไรนาและกลุมผูใชน้ํา 5) การจัดการน้ําเพื่ออุตสาหกรรมและเมือง 4.6) ศึกษาดูงานการจัดการน้ําประเทศเพื่อนบานในอนุภูมิภาคลุมน้ําโขง เชน ลาว เวียดนาม กัมพูชา 4.7) การสร า งภาพอนาคต (scenario) จากการนํ า ข อ มู ล ทั้ ง หมดมาประมวล วิ เ คราะห และนํ า ไปสู ก ารพยากรณ อ นาคตภายใต เ งื่ อ นไขและทางเลื อ กต า งๆ และเลื อ ก scenario ที่นาจะนําไปสูความยั่งยืนที่สุดในการนําไปกําหนดเปนขอเสนอเพื่อการปฏิรูป ภายใต เงื่อนไขการลดอํานาจรัฐและเสริมสรางพลังของประชาชนในการจัดการทรัพยากรน้ํา 4.8) จัดเวทีนําเสนอขอมูล และรับฟงความคิดเห็นเพิ่มเติมจากทุกภาคสวน 4.9) การสื่อสารตอสาธารณะอยางตอเนื่อง พรอมทั้งการสรางความรูสูประชาชนใน วงกวางผานเครือขายในระดับพื้นที่ 4.10) การผลักดันขอเสนอสูรัฐบาผานเครือขายภาคประชาชน และประชาสังคม 4.11) การสรางกลไกภาคประชาสังคมในการติดตามตรวจสอบการแกไขปญหา เฉพาะหนาและการปฏิรูปในระยะยาวของรัฐบาล 4.12) การเสริมสรางรูปธรรมตนแบบในการจัดการน้ําอยางยั่งยืนและขยายผลสู พื้นที่เปาหมายหรือพื้นที่นํารอง .................................
0