} ออกแบบเบื้องต้น {บทสรุป
006330 Basic Design
ความรู้เบื้องต้นใน
งานออกแบบ
การออกแบบ คืออะไร • การออกแบบตรงกับภาษาอังกฤษว่า “design”
• ในภาษากรีก หมายถึง บทกวี (poetry) • ต้องมีการวางเค้าโครงตามจินตนาการของผู้ประพันธ์ผสมผสานกับ ความรู้สึกที่แสดงออกให้ผู้อื่นเข้าใจอย่างมีศิลปะและสุนทรียภาพ • ต่อมามีความหมายครอบคลุมถึงงานทุกชนิด ที่มีการออกแบบตามกฎเกณฑ์การจัดองค์ประกอบศิลป์เพื่อให้บรรลุถึง ความงามอันสมบูรณ์ โดยไม่คานึงถึงชนิดของงาน
• การออกแบบ หมายถึง ความคิดคานึงหรือจินตนาการเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ โดยรวมขององค์ประกอบย่อย กับโครงสร้างของแต่ละเรื่อง • โดยการสลับสับเปลี่ยนคุณสมบัติขององค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ขนาด พื้นผิว ตาแหน่ง ทิศทาง รูปร่าง รูปทรง จังหวะ เพื่อให้ได้โครงสร้างที่เหมาะสมที่สุด • การรู้จักวางแผน ก่อนการลงมือกระทา โดยสอดคล้องกับรูปแบบและวัสดุ แต่ละชนิด ตามความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้น
• การปรับปรุงผลงานที่มีอยู่แล้ว ให้เหมาะสมมีความแปลกใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยที่จะต้องคานึงถึงความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย
การออกแบบคืออะไร
• การออกแบบ คือ การสร้างสิ่งใหม่
• การออกแบบ คือ การปรุงแต่งของเดิม
• อิทธิพลของรูปแบบและการใช้ชีวิตที่ส่งผลต่อการออกแบบ • ตามไม่ทัน จะใช้ยังไงดี ไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นงามเลย
• ความต้องการในการดารงชีวิต • ความก้าวหน้าของวัสดุอุปกรณ์ • ความคิดและการเข้าถึงความจริงในศิลปะของนักออกแบบ
จุดมุ่งหมายของการออกแบบ • การออกแบบมีจุดมุ่งหมายสาคัญ 2 ประการ • การออกแบบเพือ่ ประโยชน์ใช้สอย เป็นกระบวนการคิดในการแก้ปัญหาโดย การจัดองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม เพื่อสนองความต้องการด้าน กายภาพ คานึงถึงความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพใน การใช้งานเป็นอย่างดี การออกแบบลักษณะนี้นักออกแบบควรคานึงถึง • ..............1.1 หน้าที่หรือประโยชน์ใช้สอย (function) ..............1.2 ความประหยัด (economy) ..............1.3 ความทนทาน (durability) ..............1.4 ความงาม (beauty) ..............1.5 โครงสร้าง (construction)
• การออกแบบเพื่อความงามและความพอใจ • เป็นการออกแบบทีน่ ิยมใช้กับศิลปกรรมหรืองานวิจิตรศิลป์ทุกแขนง • ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ดนตรี นาฏศิลป์ วรรณกรรม • ผลงานเหล่านี้เกิดจากการถ่ายทอด “ความงาม” • โดยใช้ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ ผสมผสานกับความรู้ ประสบการณ์และ ความชานาญถ่ายทอดผ่านสื่อหรือวิธีการ
คุณค่าของการออกแบบ • • • • •
จากแนวคิดของ ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ การออกแบบเป็นสื่อกลาง ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และระหว่างมนุษย์กับวัตถุ ที่มีคุณค่า 3 ประการ .............1. เพื่อประโยชน์ใช้สอย (ทางกายภาพ) .............2. เพื่อคุณค่าทางความงาม ซึ่งเกี่ยวข้องกับทัศนศิลป์ .............3. เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร (สร้างทัศนคติ)
• การออกแบบเป็นพื้นฐานงานที่มนุษย์สร้างขึ้น • การออกแบบเป็นผลของความอยากรู้อยากเห็น • การออกแบบมิใช่สิ่งที่เกินความสามารถมนุษย์
Dot and Line Basic design 006133
• • • •
จุดนั้นเป็ นทัศนธาตุท่สี ามารถสัมผัสและให้ ความรู้สกึ ได้ น้อย ด้ วยจุดเป็ นอนุภาคที่มีความกว้ าง ความยาว และความหนา น้ อยที่สดุ เมื่อเทียบกับ บรรดาส่วนประกอบมูลฐาน หรือทัศนธาตุอ่นื ซึ่งในทางด้ านศาสตร์อ่นื ๆ อาจจะตีค่าของจุดในทางต่าสุด โดยให้ คา นิยาม ของจุดว่า “เป็ นสิง่ ที่ ไม่มีความกว้าง ความยาว ความ หนา” • ทางทัศนศิลป์ จุด มีค่า มากมายกว่านั้น • ด้ วยในทางศิลปะนั้นเกี่ยวข้ องกับความรู้สกึ มากกว่า การตีความ เพราะ จุด ๆ หนึ่งที่ปรากฏในภาพอาจจะค่อย ๆ แปรเปลี่ยน เป็ นสิ่งต่าง ๆ ในจินตนาการก็ได้
การเกิดของจุด จุดสามารถเกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ • 1. เกิดขึ้ นเองตามธรรมชาติ เช่น จุดในลายของสัตว์ เปลือกหอย ผีเสื้อ แมลง พืช เปลือกไม้ ฯลฯ
• 2. เกิดจากมนุษย์สร้างขึ้ น ได้ แก่การจิ้ม กระแทก กด ด้ วยวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆเช่น ปากกา ดินสอ พู่กนั กิ่งไม้ และของปลายแหลม
Dot and Line (2) Basic design 006133
• ความหมายของเส้น
เส้นเกิดจากการเคลื่อนที่ของจุด (Moving dot) จานวนมาก ไปใน ทิศทาง ที่กาหนด หรือเส้นคือทางเดินของจุดไปในทิศทางเดียวกันที่ กาหนด เส้น เป็ นแนวเชื่อมโยงระหว่าง จุดสองจุดขึน้ ไป
• เส้น จะมีปฏิกิรยิ า โต้ตอบกับสายตาของ มนุษย์ให้เคลื่อนทีไ่ ป ตาม ลักษณะของเส้น ได้เป็ นอย่างดี เราจะเห็นเส้นในการ เคลื่อนไหว ของ มนุษย์ เส้นรูปทรงของสัตว์ วัตถุ และธรรมชาติ ที่แตกต่างกัน รูปลักษณะของเส้นเหล่านีไ้ ม่วา่ จะเป็ นเส้นที่ ปรากฏ ตามสายตา (Visual Elements)หรือเส้นที่ท่ีปรากฏในความคิด (Conceptual Elements) ก็ตาม สามารถทาให้เกิดความรูส้ กึ ต่าง ๆ เช่น ตื่นเต้น สงบราบเรียบ นิ่มนวล ร่าเริง เคร่งขรึม อ่อนหวาน เป็ นต้น เส้น จึงเป็ นองค์ประกอบหนึ่ง ที่สามารถถ่ายทอดความรูส้ กึ ของ ผูส้ ร้าง งาน ศิลปะ ให้ผอู้ ่ืนได้สมั ผัสได้เป็ นอย่างด
• ลักษณะของเส้น • เส้นมีมิตเิ ดียว คือ ความยาว ไม่มีความกว้างมีแต่ มีความหนา ที่ เรียกว่า เส้นหนา เส้นบาง เส้นใหญ่ เส้นเล็ก ความหนาของเส้น จะต้อง พิจารณาเปรียบเทียบกับความยาวด้วย คือถ้าเส้นนัน้ สัน้ แต่มีความ หนามากจะหมดคุณลักษณะ ของความเป็ นเส้น กลายเป็ น รูปร่าง สี่เหลี่ยมผืนผ้าไป
• เส้นมี ทิศทางต่างกัน เช่น แนวราบ แนวดิ่ง แนว เฉียง และมีลกั ษณะ ต่าง ๆ เช่น ตรง คด เป็ นคลื่น ก้นหอย ชัด พร่า ประ ฯลฯ ทิศทางและลักษณะของ เส้น ให้ความรูส้ กึ ต่อผูส้ มั ผัส แตกต่างกัน ออกไป ดังต่อไปนี ้
• 1. เส้นตรง (Straight Line) หมายถึงเส้นตรงในทิศทางใด ทิศทาง หนึ่ง ให้ความรูส้ กึ แข็ง แรง แน่นอน หยุดนิ่ง ถูกต้อง ตรง เข้มแข็ง ไม่ประนีประนอม รุนแรง เด็ด เดี่ยว ให้ความรูส้ กึ หยาบ และการเอาชนะ เส้นตรงใช้มากในทัศนศิลป์ ประเภทสถาปั ตยกรรม
• 2. เส้นโค้ง (Curved Line)
เส้นโค้ง ให้ความรูส้ กึ มีการเคลื่อนไหว เส้นโค้ง มีหลายลักษณะ คือ เส้น โค้งน้อย ๆ หรือเป็ นคลื่นน้อย ๆ ให้ความรูส้ กึ สบาย เปลี่ยนแปลงได้ เลื่อนไหลต่อเนื่อง คลายความกระด้าง มีความ กลมกลืน ในการเปลี่ยน ทิศทาง มีความเคลื่อนไหวช้า ๆ สุภาพ เย้ายวน มีความเป็ น ผูห้ ญิง นุ่มนวล และอิ่มเอิบ ถ้าใช้ เส้นแบบนีม้ ากเกินไป จะให้ความรูส้ กึ กังวล เรือ่ ย ๆ เฉื่อยชา ขาดจุดหมาย
• 3. เส้นฟั นปลาหรือเส้นซิกแซ็ก (Zigzag Line) เป็ นเส้นคดที่หกั เห โดย กะทันหัน เปลี่ยนทิศทาง รวดเร็วมาก ทาให้ ประสาทกระตุก ให้ความรูส้ กึ รุนแรง ตื่นเต้น สับสน วุน่ วาย ไม่แน่นอน ให้จงั หวะ กระแทก เกร็ง ทาให้นกึ ถึงพลังไฟฟ้า ฟ้าผ่า กิจกรรมที่ขดั แย้ง ความรุนแรง ต่อสู้ การทาลาย และสงคราม
• เส้นหนา (Thick) ที่ให้ความรูส้ กึ กระด้าง ก้าวร้าว แข็ง มีพลัง • เส้นบาง (Thin) ที่ให้ความบอบบาง ละเอียด ประณีต เปราะบาง • เส้นประ (Broken) ที่ให้ความรูส้ กึ ไม่แน่นอน ขาดเป็ นห้วง ไม่ตอ่ เนื่อง ไม่มีพลัง
ทิศทางของเส้น 1. เส้นแนวนอน (Horizontal Line) เป็ นเส้นเดินทางตามแนวนอน กลมกลืนกับ แรงดึงดูด ของโลก ให้ความรู ส้ กึ ในทางราบ กว้าง พักผ่อน เงียบ เฉย สงบ นิ่ง เป็ นสัญลักษณ์ของการพักผ่อน ผ่อนคลาย ที่ให้ความรูส้ กึ เช่นนีม้ าจากท่าทางของคนนอนที่เป็ นการพักผ่อน ไป จนถึง ความสงบ ที่เหมือนกับท่านอนของคนไม่มีชีวิต
• 2. เส้นแนวตัง้ (Vertical Line) เป็ นเส้นที่มีลกั ษณะตรงกันข้ามกับเส้นนอน คือเป็ นเส้นที่เดินทางใน แนวดิ่ง ให้ความสมดุล มั่นคง แข็งแรง สูงสง่า พุง่ ขึน้ จริงจัง และเงียบ ขรึม เป็ นสัญลักษณ์ของ ความถูกต้อง ซื่อสัตย์ มีความสมบูรณ์ในตัว เป็ นผูด้ ี จริงจังเคร่งขรึม สง่า ทะเยอทะยาน และรุง่ เรือง ทัง้ นีม้ าจาก ท่าทางมนุษย์ เวลาตื่นตัวมีพลัง จะอยูใ่ นลักษณะยืนขึน้ มากกว่าการ นอนราบ
• 3. เส้นแนวเฉียง (Diagonal Line) เป็ นเส้นที่อยูร่ ะหว่างเส้นนอน กับเส้นตัง้ ให้ความรูส้ ึก เคลื่อนไหว รวดเร็ว ไม่สมบูรณ์ ไม่ม่นั คง ต้องการเส้นเฉียง อีกเส้นหนึง่ มาช่วยให้มี ความมั่นคง สมดุลขึน้ เส้นที่เฉียงและโค้ง ให้ความรูส้ กึ ที่ขาดระเบียบ ตามยถากรรม ให้ความรูส้ กึ พุง่ เข้า หรือพุง่ ออกจาก ที่วา่ ง ในงาน ออกแบบทัศนศิลป์ เส้นเฉียง ให้ประโยชน์ในการลดความกระด้าง จาก การใช้เส้นตัง้ และเส้นนอน
• ชนิดของเส้น • รูปลักษณะและทิศทางของเส้นที่มีแตกต่างกัน ออกไป มากมาย เส้น เหล่านัน้ มีทงั้ เส้นที่ปรากฏตามสายตา (Visual Elements) และ เส้นที่ท่ีปรากฏในความคิด (Conceptual Elements) เส้นทัง้ สองชนิดนีจ้ ะจาแนกออกมาตามแนวทางสร้างงาน และตามทีป่ รากฏ ในงานทัศนศิลป์
• 1. เส้นแท้จริง (Actual Line) • หมายถึงเส้นที่แสดงความคมชัดเข้ม ในงานศิลปะ แม้จะมี ความหนา บางอยูใ่ นตัว โดยแสดงบุคลิกของเส้น ในลักษณะต่าง ๆ เช่น ตรง โค้ง ซิกแซ็ก โค้งไป โค้งมา ฯลฯ หรือประกอบกันขึน้ เป็ นรูปร่างและรูปทรง
• 2. เส้นโดยนัย (Implied Line) • หมายถึง เส้นที่ไม่ปรากฏรูปเส้นชัดเจน โดยตรง แต่เป็ นเส้นทีเ่ กิดจาก องค์ประกอบต่าง ๆ จัดเรียงตามตาแหน่ง และทิศทาง ที่ผดู้ สู ามารถ รับรูไ้ ด้โดยนัย และทราบว่าเป็ นเส้นตรง โค้ง หรือ ซิกแซ็ก ซึง่ เส้นโดยนัย นี ้ ก็จะให้ความรูส้ กึ เช่นเดียวกัน กับเส้นแท้จริง
• 3. เส้นไม่มีตัวตน (Psychic Line) • เส้นไม่มีตวั ตน หรือเส้นโดยจิต หมายถึงเส้นที่ไม่มีลกั ษณะเส้นที่แท้จริง และเส้นโดยนัย แต่เป็ นเส้นจะปรากฏให้สามารถรับรูไ้ ด้จาก องค์ประกอบ เนือ้ หา เรือ่ ราว ด้วยความรูส้ กึ ว่ามีเส้นปรากฏอยู่ แต่ความ จริงแล้วไม่มี เส้นในลักษณะนี ้ ต้องอาศัยจิตนาการ ของผูด้ เู ป็ นสาคัญ
• 4. เส้นทีเ่ กิดจากขอบ (Line Formed by Edges) • หมายถึงเส้นที่ไม่ใช่เกิดจาก การเขียนหรือการลาก ขูดขีดให้เกิดเป็ น เส้นโดยตรง แต่เป็ นเส้นที่เกิดจากส่วนประกอบ มูลฐานหรือทัศนธาตุ อื่น ๆเช่น รูปร่าง รูปทรง สี หรือนา้ หนักอ่อนแก่ ที่นามาจัดองค์ประกอบแล้ว ส่วน ขอบที่มาชนกันเกิดเป็ นเส้นขึน้ มา เช่นเส้นที่ปรากฏ ในธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา
รูปร่ างและรูปทรง 006133 Basic Design
• รูปร่าง ตามความเข้าใจทั่วไป หมายถึง การล้อมรอบ หรือการบรรจบกัน ของเส้น บนพืน้ ที่วา่ ง • มีรูปลักษณะ แบนราบเป็ น 2 มิติ • แต่ในทางทัศนศิลป์ แล้ว รูปร่าง มีความหมายมากกว่านัน้ เพราะรูปร่าง เกิดขึน้ จากความสัมพันธ์ ของส่วนประกอบ ขัน้ มูลฐานของศิลปะ Element อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ หลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ซึง่ ได้แก่ จุด เส้น สี หรือพืน้ ผิว ฯลฯ
• รูปร่าง ไม่แสดงนา้ หนักแสงเงา ให้เห็นเป็ น ปริมาตรหรือมวล ดังเช่นรูปทรง • แต่ทงั้ รูปร่าง และรูปทรง จะมีความสัมพันธ์กนั อย่างใกล้ชิด • เพราะการจะกาหนดว่า สิ่งนัน้ คือรูปร่าง หรือรูปทรง ก็อยูท่ ่ี การพิจารณา จากองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย
• รู ป (A) มีความกว้างและความยาว เป็ น 2 มิติ คือรู ปร่าง
• รู ป (B) เพิ่มความลึกเป็ น 3 มิติ ถ้าจะมองว่ามีความลึก มีปริมาตร(Volume) และมวล(Mass) ก็คอื รู ปทรง แต่ถา้ จะมองว่า มิตทิ ี่ 3 นัน้ เป็ นมิตลิ วง (Pictorial Space) ไม่ใช่มติ จิ ริง (Physical Space) เพราะปรากฏบนพืน้ ระนาบ 2 มิติ ก็อาจเรียกว่า รู ปร่าง • รู ป (C ) ถ้ามองแค่เส้นรอบนอก หรือภาพเงา(Silhouette) ก็คอื เป็ นรู ปร่าง • รู ป(D) เป็ นรู ปร่างถ้าจะมองว่ามีความเป็ นกลุม่ ก้อน หรือมวล(Mass) ก็คอื รู ปทรง
• รู ปร่างทีเ่ กิดจากจุด เส้น นา้ หนัก
รูปร่ างธรรมชาติ (Natural Shape)
รูปร่ างเรขาคณิต (Geometric Shape)
รูปร่ างนามธรรม (Abstract Shape) • รูปร่างที่ถกู เปลี่ยนแปลง อาจเป็ นรูปร่าง ที่มาจากธรรมชาติ เรขาคณิต หรือจากจินตนาการ ซึง่ รูปร่างลักษณะนี ้ อาจพอมองออกว่า คล้ายกับ รูปร่างอะไร หรือไม่สามารถระบุได้วา่ เป็ นรูปร่างอะไร อาจเรียก รูปร่าง ชนิดนีว้ า่ รูปร่าง ไม่แสดงเนือ้ หาหรือรูปร่างอิสระ ซึง่ เป็ นรูปร่าง ที่เกิดขึน้ โดยไม่จาเป็ นต้อง อ้างอิงธรรมชาติหรือเรขาคณิต
Positive - Negative Shape
• รูปทรง (Form) จะมีความสัมพันธ์ กันอย่างใกล้ชิดกับรูปร่าง • แต่รูปทรง มีความแตกต่าง อย่างเห็น ได้ชดั เจนที่สดุ • รูปทรงมีลกั ษณะเป็ น 3 มิติ คือ นอกจากจะมีสว่ น กว้าง และ ส่วนยาว แล้ว จะแสดงส่วนหนา หรือส่วนลึกเพิ่มขึน้ อีกมิตหิ นึ่ง
• การที่จะศึกษาเรือ่ งรูปทรงอย่างลึกซึง้ ควรจะศึกษาถึงลักษณะ ที่เด่นชัด อีก ประการหนึ่ง ของรูปทรงก็คือ • มวลและปริมาตร (Mass and Volume) เพราะสิ่งนี ้ เป็ นสิ่งที่สาคัญที่ สร้างความแตกต่างระหว่างรูปร่าง และ รูปทรง • รูปทรงจะมีมวล และปริมาตร เพราะสิ่งนี ้ ทาให้เกิดมิตจิ ริง (Physical Space) ที่ทาให้วตั ถุนนั้ มีความกว้าง ยาว ลึก ทาให้เกิดความรู ส้ กึ แน่นทึบ หรือเป็ นกลุม่ เป็ นก้อน ที่จบั ต้องได้ วัดระยะได้
• เมื่อเราพับ หรือขึน้ รูปกล่องสี่เหลี่นมจตุรสั ใบหนึ่ง ก็จะเกิดที่วา่ งภายใน รูปสี่เหลี่ยมนี ้ ส่วนนี ้ เรียกว่า ปริมาตร (Volume) และรูปทรง สี่เหลี่ยมภายนอก ที่เกิดขึน้ ที่มีลกั ษณะทึบตันนี ้ เรียกว่า มวล (Mass)
• พืน้ ทีภ่ ายในของสถาปัตยกรรมคือ ปริมาตร (Volume) และรู ปทรงภายนอกคือ มวล (Mass)
• ในบางกรณี รูปทรง อาจหมายถึง รูป 3 มิติท่ีเป็ นมิตลิ วง (Pictorial Space) หมายถึงรูปนัน้ มีระยะ มีความลึกมีความเป็ นมวลและ ปริมาตร เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่มองเห็นนี ้ ไม่สามารถจับต้องได้ หรือวัด ระยะได้ ตามความเป็ นจริง ดังตาเห็นเช่น งานจิตรกรรม ที่ปรากฏ ใน ลักษณะ แบนราบ 2 มิติ บนพืน้ ระนาบ เป็ นต้น
• รูปที่ดแู ล้ว สามารถ ระบุได้วา่ เป็ นรูปอะไร หรือเหมือนกับอะไร • การระบุวา่ เป็ น หรือเหมือนสิ่งใดสิ่งหนึ่งนี ้ นีเ้ กิดจากสัญชาติญาณ การ เรียนรู ้ ประสบการณ์ ของมนุษย์ ซึง่ ไม่เท่ากัน ทาให้ บางรู ป สามารถ เข้าใจได้”ทันที” จากสัญชาติญาณ • เช่น รูปเหมือนจริง ในธรรมชาติ รูปพืน้ ฐานทางเรขาคณิตบางรูป อาจ ต้องใช้ความรู ้ ประสบการณ์ และจินตนาการเข้าไป ร่วมพิจารณาด้วย
• การคลีค่ ลายจากรู ปทรงทีร่ ู จ้ กั มาสูร่ ู ปทรงในจินตนาการ ชือ่ Reclining Figure • โดย Henry Moore
ขนาดและสั ดส่ วน 006133 Basic Design
ขนาด (Size หรื อ Scale) สั ดส่ วน (Proportion)
• มนุษย์ เป็ นพืน้ ฐานของสัดส่วนทัง้ มวล มาตัง้ แต่สมัยกรีก • โดยมีคากล่าวว่า " มนุษย์ เป็ นมาตรวัดของทุกสิ่ง" (Man is the Measure of all things) • ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ลีโอนาโด ดา วินซิ ได้เขียนแผนภาพ (Diagram) มนุษย์ภายในวงกลม และสี่เหลี่ยม • ตามการศึกษา เรือ่ ง สัดส่วนมนุษย์ ของ ยุคลิด (Euclid ปราชญ์ดา้ นคณิตศาสตร์ในสมัย กรีก โบราณ) • ที่มีช่ือเรียกว่า "The Golden Rule"
• ขนาด เป็ นส่วนย่อย (Detail) หมายถึง ขนาดความใหญ่ ความเล็ก ความกว้าง ความยาว หรือความลึก ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึง่ วัดได้ตาม มาตรา ที่มนุษย์ได้กาหนดหน่วยวัดขึน้ มา เพื่อเป็ นมาตรฐานใช้เรียกกัน • สัดส่วน เป็ นส่วนรวม (Mass) หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งสอง สิ่ง ที่มีขนาดต่างกัน เช่นการที่จะระบุวา่ ขนาดนัน้ มีความใหญ่ เล็ก หรือ มีความเหมาะเจาะพอดีแค่ไหนนัน้ • ต้องนาไปเปรียบกับขนาดโดยส่วนรวม (Mass) ที่เรียกว่าสัดส่วน (Proportion)
• ปราชญ์ในสมัยกรีกโบราณได้ศกึ ษา ขนาดและสัดส่วน ของรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่มีสดั สวนงดงาม ลงตัว ที่เรียกว่า สัดส่วนทองคา • "The Golden Mean Rectangle" หรือ "The Golden Rectangle" • คือสัดส่วน 1: 1. 618... และได้ใช้เป็ นต้นแบบในการ ออกแบบ สถาปั ตยกรรม ในสมัยนัน้
พืน้ ผิว ผิวสัมผัส
Texture
• ศิลปิ นจะใช้พนื ้ ผิว สร้างความงาม และค่านา้ หนัก เพื่อให้ เกิดความ ประสานกลมกลืน ความแตกต่าง และจุดเด่น เป็ นต้น • โดยเฉพาะการออกแบบสถาปั ตยกรรม ลักษณะผิวจะมีประโยชน์ มากกว่า งานออกแบบทัศนศิลป์ ประเภทอื่น • เพราะลักษณะผิว สนองทัง้ ประโยชน์ใช้สอย และความงาม โดย สถาปนิกจะเลือกวัสดุท่ีมีพืน้ ผิว แตกต่างกันมาใช้ เช่น ลักษณะผิวที่ หยาบ เรียบ มัน จะมีคณ ุ สมบัติในการใช้สอยแตกต่างกัน • ในการออกแบบ ศิลปะประยุกต์ เช่น การออกแบบเครือ่ งใช้ใน ชีวิตประจาวัน คุณสมบัตทิ างกายสัมผัสของลักษณะผิว ก็มี ประโยชน์ ไม่นอ้ ยกว่าทางด้านความงาม
• พืน้ ผิว หมายถึงบริเวณผิวนอกของสิ่งต่าง ๆ ทีป่ รากฎให้เห็น รับรูไ้ ด้ดว้ ยการ รับสัมผัสทางตาและกายสัมผัส ก่อให้เกิดความรูส้ กึ ในลักษณะต่าง ๆ • เช่น หยาบ ละเอียด มัน วาว ด้าน และขรุขระ พืน้ ผิว เป็ นส่วนประกอบ (Element) ที่สาคัญของศิลปะอันหนึ่ง ที่ถกู นา มาใช้สร้างสรรค์ ทัศนศิลป์ • พืน้ ผิวสามารถก่อให้เกิดปฏิกิรยิ าทางด้านความรูส้ กึ รับรู ไ้ ด้ดว้ ยการรับ สัมผัสทางตา และจับต้องได้ทางกาย สัมผัส
• เกิดขึน้ ตามธรรมชาติ • ได้แก่พืน้ ผิวของสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิต เช่น เปลือกไม้ ก้อน กรวด ก้อนหิน กิ่งไม้ ใบไม้ ผิวหนังสัตว์ ฯลฯ
• เกิดขึน้ โดยมนุษย์สร้างขึน้ • ได้แก่ การขูด ขีด ระบาย ฯลฯ ให้เกิดเป็ นร่องรอยพืน้ ผิว ในลักษณะต่าง ๆ เช่น การเขียนเส้นด้วยปากกา ดินสอ การเขียนสีดว้ ยแปรงแห้ง ๆ การ ใช้ฟองนา้ แตะแต้มสีบนกระดาษ ในงานจิตรกรรม การสร้างพืน้ ผิว หยาบ และละเอียด ในงานประติมากรรม และสถาปั ตยกรรม
• เกิดขึน้ โดยกระบวนการผลิตของเครื่องจักร • การเกิดของพืน้ ผิวลักษณะนี ้ ถือว่า เกิดขึน้ โดยมนุษย์เช่นเดียวกัน แต่ ผ่านทางเครือ่ งจักร ไม่ใช่โดยนา้ มือมนุษย์โดยตรง ซึง่ ทาให้ได้ พืน้ ผิวที่ หลากหลาย และพืน้ ผิวที่เกิดขึน้ นี ้ มีทงั้ ล้อเลียนจากธรรมชาติ และ พืน้ ผิวที่สร้างขึน้ มาใหม่ เพื่อประโยชน์ ทางใดทางหนึ่ง
ลักษณะของพืน้ ผิว • 1. พืน้ ผิวจริง (Real Textures) • หมายถึงพืน้ ผิวที่สามารถจับต้องได้ เช่น เปลือกของต้น ไม้ ใบไม้ ก้อน หิน ก้อนกรวด ผลไม้ ผิวหนังคน สัตว์ ฯลฯ • พืน้ ผิวลักษณะนีม้ นุษย์สามารถ สัมผัสได้ ทัง้ ทางจักษุ สมั ผัส และกาย สัมผัส (Tactile Textures ) และความรูส้ กึ ที่สมั ผัสได้ ก็มกั จะ ตรงกัน ทัง้ ที่ตาเห็นและการสัมผัส • พืน้ ผิวจริง จะมีคณ ุ สมบัติของ ส่วนประกอบอื่น มาเกี่ยวข้องโดยตรงก็ คือ นา้ หนัก และทิศทาง ของแสงและเงา เพราะสิ่งนี ้ จะทาให้การ เกิด ของพืน้ ผิว เด่นชัดขึน้
• พืน้ ผิวเทียม (Artificial Textures) • หมายถึงพืน้ ผิวที่เลียนแบบพืน้ ผิวจริง และเป็ นพืน้ ผิวที่ รับรูไ้ ด้ทางจักษุ สัมผัส (Visual Textures) โดยรูส้ กึ ได้ โดย ประสบการณ์ท่ีเคย รับรูจ้ ากพืน้ ผิวจริง เช่น มองเห็นว่า เรียบมัน หยาบ ขรุขระ ฯลฯ • แต่เมื่อสัมผัสจากทางกาย อาจจะมีลกั ษณะ คล้อยตามกับที่ตาเห็น หรือค้านกับที่ตาเห็น ก็ได้
• • • •
พืน้ ผิวมีความสาคัญต่องานออกแบบทัศนศิลป์ ใน 2 ด้านคือ ด้านอารมณ์ ความรูส้ กึ จากการมองเห็นหรือทางจักษุสมั ผัส ต่อพืน้ ผิวนัน้ ด้าน ประโยชน์ใช้สอยจากคุณสมบัติของ พืน้ ผิวนัน้ โดยตรง แต่ในทาง ทัศนศิลป์ ความสาคัญของพืน้ ผิว ต่อความรูส้ กึ ด้านด้านอารมณ์ จะมีความ สาคัญมากกว่า
• พืน้ ผิวละเอียดเรียบ • ลักษณะทางกายภาพ ของ พืน้ ผิวแบบนีจ้ ะสะท้อนแสง และถ้ามีนา้ หนัก แสง เงาเกิดขึน้ ก็จะเป็ นนา้ หนักแสง เงา ที่น่มุ นวล ซึง่ จะให้ความรูส้ กึ นุ่มนวล บอบบาง เบา สุภาพ และถ้าพืน้ ผิวเรียบ มีความมันวาว ก็จะให้ ความรูส้ กึ หรูหรามีราคา
• พืน้ ผิวหยาบไม่เรียบ ลักษณะทางกายภาพ ของ พืน้ ผิวแบบนีจ้ ะดูดซับแสง และทาให้นา้ หนัก ของแสง เงา ที่เกิดขึน้ มีนา้ หนักที่รุนแรง จะให้ความรู ส้ กึ เข้มแข็ง หนัก แน่น มั่นคง น่ากลัว กระด้าง.
Value ค่าน้ าหนัก
• นา้ หนักอ่อนแก่ของแสงและเงา ที่ปรากฏบนวัตถุนนั้ เป็ นผลมาจาก แสงสว่าง ในธรรมชาติหรือแสงสว่างที่มนุษย์ ประดิษฐ์ขนึ ้ • เมื่อใดที่แสง ตกกระทบวัตถุจะเกิด เป็ นบริเวณ สว่างและบริเวณมืดโดย บริเวณสว่าง และบริเวณมืดจะค่อย ๆ กระจาย ค่านา้ หนักความอ่อนแก่ได้ อย่างกลมกลืน ปรากฏเป็ น ปริมาตรของรูปทรงของวัตถุ • เรื่องของนา้ หนัก จึงเกีย่ วข้อง โดยตรง กับแสงสว่าง • ถ้าปราศจากแสงสว่าง หรือมีปริมาณน้อย รูปทรงของวัตถุก็จะพร่ามัวหรือ มองเห็นได้ไม่ชดั เจน • กล่าวได้วา่ นา้ หนัก เป็ นการตอบสนองทางการเห็นจากการเกิดของแสงสว่าง และเงามืด ที่ปรากฏบนวัตถุ
ในทางทัศนศิลป์ น้ าหนักอ่อนแก่ หมายถึงความอ่อนแก่ บริ เวณเนื้อที่ ของ วัตถุที่ถูกแสงและ บริ เวณเนื้อที่ที่เป็ นเงา อาจจะมีน้ าหนักอ่อนตั้งแต่ ขาว จนถึงดา นอกจากนี้น้ าหนักแสงเงา ยังให้ผลอื่น ๆได้อีก
• สร้างพืน้ ผิว • ค่าของแสงเงาที่ตกกระทบพืน้ ผิวใด ๆ ก็จะเกิดค่านา้ หนัก ความอ่อนแก่ ทาให้พนื ้ ผิวนัน้ มีลกั ษณะต่างกันออกไป เช่น มีความเรียบ แบน มี ความกลมหรือความเป็ นเหลี่ยม นูนออกมา เป็ น 3 มิติ
• สร้างสี • สีทกุ สี เมื่อถูกแสงเงาตกกระทบ ก็จะมีคา่ ของสี และค่านา้ หนัก ที่แตกต่างกัน
• สร้างความตัดกัน เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างความมืด ความสว่าง ความอ่อน ความแก่ ที่อยูใ่ นตาแหน่ง ใกล้เคียงกัน
• ค่านา้ หนักแสงเงา (Chiaroscuro) • เป็ นเทคนิคของการเขียนภาพ ที่กาหนด ให้มีแสง ส่องมายังวัตถุในภาพ เกิดเป็ น ค่านา้ หนัก ของแสงเงา เป็ นที่นิยมของศิลปิ นหลายคน เช่น Michelangelo เป็ นต้น
• ค่านา้ หนักแบบ 2 มิติ • หมายถึงนา้ หนักที่ปรากฏบนพืน้ ผิว 2 มิติ ที่มีแค่ ความกว้างและความ ยาว ทาให้เกิดความแตกต่าง ของนา้ หนักในภาพ เป็ นส่วนกาหนดรูป และพืน้ และอื่น ๆ
ค่านา้ หนักแบบ 3 มิติ
• ค่านา้ หนักที่แสดง ความกว้าง ความยาว และความลึก • ให้ความเป็ น 3 มิติ แก่รูปร่างเกิดเป็ นมิตลิ วงเพิ่มขึน้ • เช่น ที่ปรากฏในงานจิตรกรรม และ ภาพพิมพ์
• ค่านา้ หนักที่ปรากฏในรูปทรง 3 มิติ เช่นในประติมากรรม สถาปั ตยกรรม ทาให้รูปทรงนัน้ มีมวล (Mass)และปริมาตร (Value) เกิดมิติ ที่ ชัดเจน สามารถสร้างอารมณ์ และ ความรูส้ กึ ตามต้องการ นอกจากนี ้ แสงเงาที่ปรากฏยังวัตถุ ยังสร้างพืน้ ผิวของวัตถุนนั้ ให้เด่นชัดขึน้
• มนุษย์สามารถแยกแยะค่านา้ หนักของแสง ที่ปรากฏยังวัตถุ ได้หลายค่านา้ หนัก
Color 006133 Basic Design
•
เซอร์ ไอแซค นัวตัน พบว่า แสงอาทิตย์มีสี ต่าง ๆ รวมกันอยู่ เมื่อให้แสงอาทิตย์สอ่ งผ่านแท่งแก้ว รูปสามเหลี่ยม (Prism) แสงที่ผา่ น ออกมาอีกด้านหนึ่ง จะมี 7 สี ดังที่ เห็นในสีรุง้ กินนา้ Red, Yellow, Orange, Green, Blue, Indigo, Violet หรือเรียกเป็ นชื่อย่อว่า ROY G BIV
•
สีโทนร้อน (Warm Tone) ทาให้มองดูแล้ว เหมือนอยูใ่ กล้ ใช้สโี ทนเย็น (Cool Tone) ทาให้รูส้ กึ อยูไ่ กลออกไป ทาให้เกิดเป็ นระยะ
• •
แม่สีลบ (Substractive Color) แม่สีของช่างเขียน (Artist Color) หรือแม่สีวตั ถุธาตุ (Pigmentary color) ประกอบด้วยสี 3 สี คือ สีเหลือง (Yellow) สีแดง (Red) สีนา้ เงิน (Blue) แม่สีชา่ งเขียน (Artist Color) เมื่อสีทงั้ สามมีการผสมกันเป็ นคู่ ๆ ก็จะเกิดเป็ นสีตา่ ง ๆ และเมื่อผสมกันไปเรื่อย ๆ ในขัน้ สุดท้าย ทาให้ไม่มี แสงสีใด สามารถสะท้อนออกมาไดั ก็จะเป็ นความมืด หรือสีดาอาจเรียกได้วา่ เป็ นการผสมสีแบบลบ (Subtractive Mixing)
การใช้ สีเอกรงค์ (Monochromatic Colors)
•
กลมกลืน ไม่เกินสามสี จืดชืด ผสมคูต่ รงข้าม
การใช้ สีแบบสี ใกล้ เคียง (Relate Color, Analogous Colors)
การใช้ สีแบบวรรณะ (Warm Tone / Cool Tone)
การใช้ สีส่วนรวม (Tonality)
การใช้ สีแบบค่ าของสี (Value of Color) • ค่าของสี หมายถึง ลักษณะความเข้มหรือความอ่อน – แก่ ของสีท่ีไล่เลี่ยกัน การใช้สีแบบค่าของสีนี ้ คือ การใช้สีแท้ (Hue) ผสมกับสีกลาง คือสีดา สีขาว สีเทา ทาให้ค่าของสี (Value) นัน้ อ่อน หรือเข้มขึน้
การใช้ สีแบบแตกต่ างกัน • การใช้สแี บบแตกต่างกันชนิดตัดกันอย่างแท้จริง (True Contrast)
• สีตดั กันนี ้ อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สีคู่ (Complementary Color) เพราะนอกจาก จะมีทิศทางที่เป็ นสีคตู่ รงกันข้ามกัน ในวงสีแล้ว ยังมีอิทธิพลซึง่ กันและกัน เช่น ในเงาของสีแต่ละสี จะมีเงา ของ สีคเู่ จือปนอยู่ ทาให้ยดึ ถือเป็ น ทฤษฎีวา่ หากต้องการทาให้สีใด ๆ หม่นลง หรือเหมือนกับอยูใ่ นเงามืดแล้ว ให้ ใช้สีคตู่ รงกันข้ามนีม้ าผสม จะทาให้ผลที่ได้เป็ นธรรมชาติ ที่ถกู ต้อง แท้จริง การ ใช้สีวิธีนี ้ ทาให้ งานออกแบบนัน้ มีความโดดเด่น สะดุดตา น่าสนใจ แต่ควรมี แนวทาง การใช้ท่ีถกู ต้อง เพราะสีคเู่ หล่านี ้ มีคา่ ของสีท่ีตดั กัน อย่างรุนแรง
ในธรรมชาติได้ จัดสั ดส่ วนของสี ตัดกันอย่ างแท้ จริ ง ได้ อย่ างลงตัว
การใช้ สีแบบแตกต่ างกันชนิดสี ตรงกันข้ ามเยือ้ ง (Split Complementary Colors) • สีตรงกันข้ามเยือ้ ง (Split Complementary Colors) หมายถึงสี คูต่ รงกับข้าม ที่อยูเ่ ยือ้ งมาทางซ้ายและทางขวาของ สีคปู่ ฏิปักษ์ เช่น
สีคตู่ รงกันข้ามเยือ้ งของ สีเหลือง คือ สีมว่ งแดง และม่วงนา้ เงิน สีคตู่ รงกันข้ามเยือ้ งของ สีมว่ ง คือ สีสม้ เหลือง และเขียวเหลือง
การใช้ สีแบบแตกต่ างกันชนิดสี ตัดกันโดยนา้ หนัก (Value Contrast) • สีตดั กันโดยนา้ หนัก (Value Contrast) ได้แก่สีท่ีมีความแตกต่าง กัน ในเรือ่ งความเข้ม หรือคุณค่านา้ หนัก (Value)ของแต่ละสี ซึง่ ไม่ใช้ สีคตู่ รงข้าม (Complementary Colors) กันในวงสี ความเข้ม หรือตัดกันโดยนา้ หนักนี ้ จะมีตดิ ตัวเป็ นลักษณะเฉพาะ ของแต่ละสี ซึง่ จะเห็นได้ชดั เจน หากปรับค่าสีเหล่านัน้ มาเป็ นค่านา้ หนัก ขาว ดา •
การใช้ สีแบบแตกต่ างกันชนิดไตรสั มพันธ์ (Triadic Color)
การใช้ สีแบบแตกต่ างกันชนิดจตุสัมพันธ์ (Quadratic Color)
การใช้ สีแบบแตกต่ างกันชนิดสี ปรากฏเด่ นชัด (Intensity) • สีปรากฏเด่นชัด (Intensity) หมายถึง สีท่ีดู แล้ว สะดุดตาโดยมีสีอ่ืน เป็ น องค์ประกอบ เพื่อ เสริมให้เกิด ความ เด่นชัดสะดุดตามากขึน้ กว่าค่า นา้ หนักเดิม • เช่นเดียวกับ ดวงจันทร์ จะเห็นเด่นชัดในเวลา กลางคืน เพราะอยู่ ท่ามกลางท้องฟ้า ที่มืดหรือมี ค่านา้ หนักที่เข้ม
การใช้ สีแบบแตกต่ างกันชนิดกลับค่ าของสี (Discord) • การใช้สีโดยการกลับค่าของสี คือ การใช้สีท่ีมีนา้ หนักอ่อน ร่วมกับสีท่ีมี นา้ หนักแก่ แต่กลับนา้ หนักของสีแก่นนั้ ให้ออ่ นลงกว่าสีท่ีมี นา้ หนักอ่อน และใช้ในปริมาณที่นอ้ ยกว่า
Symbol
• สัญลักษณ์ หรือ เครื่องหมาย (Symbol) • โดยพืน้ ฐานหมายถึง สิ่งทีใ่ ช้ แทนความหมายของอีกสิ่งหนึ่ง • สัญลักษณ์ หมายถึง วัตถุ อักษร รูปร่าง หรือสีสัน ซึง่ ใช้ในการสื่อ ความหมายหรือแนวความคิดให้มนุษย์เข้าใจไปในทางเดียวกัน • อาจจะเป็ นรูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ • ในทางปรัชญามักมีคานิยามว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติ หรือ แม้ในจักรวาล สามารถแทนได้ดว้ ยสัญลักษณ์ทงั้ สิน้
• สัญลักษณ์นั้นช่วยในการสื่อสาร อาจจะเป็ นรูปภาพ การเขียน อักษร การออกเสียง หรือการทาท่าทาง • ซึง่ ช่วยให้ผู้ส่งสารและผู้รับสารเข้าใจตรงกัน • แม้จะพูดกันคนละภาษา แต่ขนึ้ อยู่กับประสบการณ์ของทัง้ สอง ฝ่ ายว่า ผู้ส่งสารมีความสามารถใช้สัญลักษณ์ให้ส่ือความหมาย มากเพียงใด และผู้รับสารมีความเข้าใจในสัญลักษณ์ทใี่ ช้มาก เพียงใด • ดังนั้นภาษามือจึงจัดว่าเป็ นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งเช่นกัน
Lettering อั ก ษ ร ป ร ะ ดิ ษ ฐ์
เป้ าหมายหลักของการออกแบบตัวอักษรประดิษฐ์ • ต้องการสนองตอบด้านประโยชน์ ใช้สอยได้อย่างเต็มที่ ดังนัน้ การ สร้างรูปลักษณ์ของตัวอักษรให้มรี ปู แบบใหม่ทเ่ี หมาะสมกับลักษณะ การใช้งานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ และสามารถสือ่ ความได้อย่างดีตรง ตามหลักของภาษา • ต้องการสนองตอบให้เกิดคุณค่าทางความงาม การสร้างแบบ ตัวอักษรให้ถ่ายทอดคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ รูปลักษณ์ตวั อักษรและ งานประดิษฐ์ทส่ี ร้างสรรค์ขน้ึ จึงต้องสามารถจะสะท้อนความงามและ ความเหมาะสมตามความหมายของคาหรือข้อความในงานนัน้ ๆ
• โครงสร้างของตัวอักษร ลักษณะเฉพาะ การจัดวางให้ถูกต้องตามหลักภาษา โดยเฉพาะภาษาไทยทีม่ ลี กั ษณะเด่นทีแ่ ตกต่างจากภาษาอื่น มีหลักการจัดวาง ตาแหน่ง สระ วรรณยุกต์รวมทัง้ เครือ่ งหมายอย่างอื่นด้วย • การออกแบบตัวอักษรประดิษฐ์ จึงไม่ได้หมายความเป็ นเพียงการสร้าง รูปลักษณ์ของตัวเองเท่านัน้ ยังต้องคานึ่งถึงเรือ่ งสไตล์ของตัวอักษร เรือ่ งของการจัดพืน้ ทีว่ า่ ง การตกแต่งตัวอักษร การจัดวางตัวอักษร เพือ่ ประยุกต์ใช้ในงานต่างๆ
สมมาตร
กลมกลืน
สัดส่วน
จังหวะลีลา
จุดเด่น
LOGO
1. ศึกษาว่ าโลโก้ คืออะไร และ มีหน้ าที่อย่ างไร ? • สะท้อนถึงภาพลักษณ์ในทางการตลาดของธุรกิจของคุณ (Brandยี่หอ้ ) ผ่านทาง รูปร่าง ตัวอักษร สี หรือ รูปภาพ • โลโก้สามารถสร้างแรงบันดาลใจ ความเชื่อ ความนิยม และการจดจา เกี่ยวกับองค์กรหรือสินค้า และมันคืองานของ Designer
2. ศึกษาหลักการในการออกแบบโลโก้ • • • •
โลโก้ตอ้ งสื่อตัวตนได้ โลโก้ตอ้ งเป็ นที่จดจา โลโก้ตอ้ งสื่อได้แม้ไม่ได้ใช้สีสนั โลโก้ตอ้ งสื่อได้แม้ขนาดเล็กๆ
3. ศึกษาจากโลโก้ ทปี่ ระสบควาสาเร็จและข้ อผิดพลาดต่ างๆ • โลโก้ : NIKE (เป็ นโลโก้ท่ีคลาสสิคมากๆ) ผูอ้ อกแบบ : Caroline Davidson ในปี 1971 ในราคาเพียง $35 เท่านัน้ แต่เป็ นโลโก้ท่ีมีพลังมาก จดจาได้ง่าย สื่อได้ แม้ไม่ได้ใช้สีสนั และสื่อได้แม้ขนาดเล็กๆ มันธรรมดามากๆ ดูรวดเร็ว และสื่อถึงปี กของรูปปั้นเทพธิดาแห่งชัยชนะของกรีก
4. เริ่มต้ นกระบวนการออกแบบโลโก้ ของตัวเอง *สรุปการออกแบบให้เข้าใจตรงกัน * ค้นคว้าและรวมหัวกันออกไอเดีย * ร่างภาพโลโก้ * สร้างต้นแบบ * ส่งไปให้ผวู้ า่ จ้างพิจารณา * ปรับปรุงจนเสร็จตามความต้องการ * ส่งไฟล์ให้ผวู้ า่ จ้างและให้บริการหลังการขาย
“Tips from The Logo Factory Designers” • • • • • • •
เริ่มให้ดแี ละทาอย่างถูกต้อง เรียบง่าย เป็ นดี ขนาดโลโก้ทป่ี รับได้ตงั้ แต่เล็กเท่าขีม้ ดจนถึงเรือไททานิก ถ่ายทอดจุดเด่น เอกลักษณ์ หรือความเป็ นตัวตนของบริษัทให้ชัดเจน เรื่องของความสูงและความกว้างของโลโก้ก็สาคัญ โลโก้มีทงั้ แบบรูปทีเ่ ป็ นไอคอนและแบบตัวอักษร โลโก้คอื ตัวลูกค้าด้วยเช่นกัน
• • • • • • •
อย่าลืมสาระสาคัญหรือแนวคิดหลักของบริษัท โดดเด่น สะดุดตา คาจากัดความแบบย่อหรือสโลแกนไม่ใช่ส่วนหนึ่งของโลโก้ แตกต่างสร้างการจดจา สีของโลโก้ก็สาคัญ ใช้รูปแบบของโลโก้ทเี่ ข้าใจได้งา่ ย อย่าเปลี่ยนแปลง
โลโก้ทดี่ ี คือ โลโก้ทลี่ ูกค้าบอกได้ว่าเป็ นแบรนด์อะไร เพียงแค่เห็นรู ปทรง
• Press Kit เอกสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่จะ ประชาสัมพันธ์ เอกสารข่าวแจก (Press release) กาหนดการ รายชื่อสื่อมวลชนของที่ระลึก ที่แสดงความเป็ น เอกลักษณ์ขององค์กร • สาหรับมอบให้ส่อื มวลชน ผูเ้ ข้าร่วมกิจกรรม เช่น เสือ้ ยืดปากกา • เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์องค์กรและประชาสัมพันธ์โครงการ • โดยจัดรวมใส่แฟ้ม หรือกระเป๋ า (ขึน้ อยูก่ บั งบประมาณที่ได้รบั )
•
แฟ้ มข้ อมูลเอกสารเพือ่ การเผยแพร่
• (press kits - media information kits) • ข่าวแจก ภาพถ่าย คาปราศรัย คาบรรยายสรุป ข้อมูล เบือ้ งหลังเกี่ยวกับกิจกรรมหรือเหตุการณ์ตา่ ง ๆ รายงาน ประจาปี • ใช้สาหรับแจกจ่ายเนื่องในงานพิเศษหรือวาระสาคัญต่าง ๆ เช่น การจัดประชุม การแถลงข่าว การให้สมั ภาษณ์แก่ สื่อมวลชน หรือในกรณีท่ีส่อื มวลชนขอมา