NisitJournal Mon

Page 1

หนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติ ภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ฉบับ ชุมชนชาติพันธุ์มอญ 'บางกระดี่' ศูนย์รวมภูมิปัญญามอญ

ดื่มชิลล์ ๆ บนเกาะเกร็ด พื้นที่ผสม ของความเก่าและใหม่

'ปัจอะห์ต๊ะห์' เรื่องเล่าสงกรานต์มอญ


ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา เดียวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย นิราศภูเขาทอง - สุนทรภู่ นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 2


Editor’s talk : บทบรรณาธิ ก าร โดย กษิ ด ิ ศ ศรี ว ิ ล ั ย

"แตกต่ า ง อย่ า ง งดงาม"

“ท่ามกลางสังคมของมวลมนุษย์ คุณอาจรู้สึก เหมื อ นไม่ มี ชี วิ ต เลย หากปราศจากซึ่ ง อั ต ลั ก ษณ์ ” ค�ำกล่าวนี้ของ อีริค เอช อีริคสัน นักจิตวิทยาชื่อดังผู้ ศึกษาเรื่องวิกฤตอัตลักษณ์ อาจท�ำให้เข้าใจว่าเหตุใด ชนชาติพลัดถิ่นอย่าง ‘มอญ’ จึงยังคงความพยายาม ที่จะรักษาอัตลักษณ์เฉพาะของกลุ่มตนไว้ แม้พวกเขา จะอาศัยอยู่ในประเทศไทย และถือสัญชาติไทยอยู่ก็ตาม การได้เรียนรูเ้ รือ่ งชุมชนชาวมอญระหว่างการผลิต วารสารฉบับนีท้ ำ� ให้ผมได้ฉกุ คิดถึงค�ำพูดของเพือ่ นคนหนึง่ ที่มักเล่าให้ฟังถึงความคับข้องใจที่มีต่อประเทศที่แห่งนี้ เขาระบายความอึดอัดที่ท�ำให้เขาอยากโยกย้ายตัวเองไป อยู่ใน ‘ที่ ๆ ดีกว่า’ และที่ส�ำคัญ เขายังปรารภว่าพร้อมจะ ละทิ้งอัตลักษณ์เดิม ๆ เพื่อให้กลมกลืนกับ ‘ที่ ๆ ดีกว่า’ นั้นได้ ผมไม่เคยเห็นด้วยกับเขา อะไรท�ำให้เขาแน่ใจว่า สังคมใหม่นั้นจะปฏิเสธอัตลักษณ์ของเขา และยิ่งได้เรียนรู้ เรื่องราวของชาวมอญพลัดถิ่น ผมก็ยิ่งไม่เชื่อว่าเพื่อนคนนี้ จะสามารถละทิ้งตัวตนของเขาได้อย่างสมบูรณ์ และได้แต่ ตั้งค�ำถามว่า เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไร หากต้องละทิ้งสิ่งที่ ก่อร่างขึ้นมาเป็นตัวเขาในวันนี้ กรณีของชาวมอญพลัดถิ่นในประเทศไทยถือเป็น ตัวอย่างที่ดีของการผสมกลมกลืนอย่างไม่ละทิ้งตัวตน พวกเขาได้ประคับประคองสิ่งที่ท�ำให้พวกเขา ‘แตกต่าง’ ให้ อ ยู ่ ร อดมาได้ ทั้ ง ในยุ ค สมั ย ที่ ค วามเป็ น หนึ่ ง เดี ย ว คือแนวคิดหลักของสังคม ในยุคที่สังคมตื่นเต้นกับการ เปิดพื้นที่ให้กับความหลากหลาย หรือแม้กระทั่งในยุคที่ พื้นที่ของความหลากหลายถูกท�ำให้ลดหายลงไปอีกครั้ง ชาวมอญยังท�ำให้เห็นว่า การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ของสั ง คมใหม่ ไ ม่ ไ ด้ อ ยู ่ ภ ายใต้ เ งื่ อ นไขของการละทิ้ ง ความเป็นตนเอง หากผูอ้ า่ นได้เรียนรูเ้ รือ่ งราวของชาวมอญ ผ่าน ‘นิสิตนักศึกษา’ ฉบับนี้แล้ว คงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘ความแตกต่าง’ ที่ชาวมอญมีไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด กลับกัน มันคือความสวยงามที่มีคุณค่าทั้งต่อพวกเขาเอง และสังคม หากพวกเขาละทิ้ง ‘ความแตกต่าง’ ที่มีแล้ว คุณค่าในชุมชนที่พวกเขาอยู่ก็คงหายไปด้วยเช่นกัน หวังว่านอกจากคนในชุมชนชาวมอญ และผูท้ สี่ นใจ ในประเด็นชาติพันธุ์ เพื่อนคนนี้จะได้อ่านและเรียนรู้จาก วารสารฉบับนี้ว่า “ความแตกต่างนั้นงดงามอย่างไร”

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 3


CONTENT : สารบั ญ

6

8 10

แผนที่

6 สั ม ภาษณ์

20

บทความ

8 ท่ อ งเที่ ย ว

24

มองมอญอีกมุม กับ ธวัชพงศ์ มอญดะ

แผนที่ท่องเที่ยวเกาะเกร็ด และบางกระดี่

12

‘จากอ่าวเมาะตะมะถึงสยาม’ การอพยพของชาวมอญสู่ ประเทศไทยในอดีต

ดื่มชิลล์ ๆ บนเกาะเกร็ดพื้นที่ผสม ของความเก่าและใหม่

26 10 อาหาร ‘ข้าวแช่มอญ’ ความพิถีพิถัน

วั ฒ นธรรม

ไขกลอนเรือนมอญ ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่

แห่งชนชาติ

เรื่ อ งเล่ า จากชุ ม ชน 12 ‘ปัจอะห์ต๊ะห์’เรื่องเล่าสงกรานต์ มอญ

14

สารคดี

‘บางกระดี่’ ศูนย์รวมภูมิปัญญามอญ

14

20

กระบอกเสี ย งชุ ม ชน 28 ชาวมอญชอบประเพณีไหน?

ภาษา

30

Infographic

31

“เมียะ เง่อระอาว” 6 เอกลักษณ์ที่โดดเด่น ของชาวมอญ

24

กองบรรณาธิ ก าร

หนั ง สื อ พิ ม พ์ ฝ ึ ก ปฎิ บั ติ ภาควิ ช าวารสารสนเทศ คณะนิ เ ทศศาสตร์ จุ ฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลั ย อาจารย์ ที่ ป รึ ก ษา - อ.พรรษาสิ ริ กุ ห ลาบ บรรณาธิ ก ารผู ้ พิ ม พ์ ผู ้ โ ฆษณา - ผศ.ดร.ณรงค์ ข� ำ วิ จิ ต ร์ บรรณาธิ ก ารฝ่ า ยเนื้ อ หา กษิ ดิ ศ ศรี วิ ลั ย บรรณาธิ ก ารฝ่ า ยศิ ล ป์ กนต์ ธ ร พิ รุ ณ รั ต น์ กองบรรณาธิ ก าร เกศญา เกตุ โ กมุ ท , นริ ศ รา สื่ อ ไพศาล, มั น ตา อ� ำ นวยเวโรจน์ , อภิ ส รา บรรทั ด เที่ ย ง, ชนมน ยาหยี ที่ อ ยู ่ 254 ถนนพญาไท แขวงวั ง ใหม่ เขตปทุ ม วั น กรุ ง เทพมหานคร 10330 โทร 0-2218-2140 Facebook : www.facebook.com/nisitjournal Twitter : @Nisit_journal

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 4


MISSION STATEMENT : พั น ธกิ จ

สั ง คมไทยเป็ น สั ง คมพหุ วั ฒ นธรรมที่ มี ก าร รวมตัวกันของชาติพันธุ์ต่างๆ กว่า 56 กลุ่ม ท�ำให้มี ความแตกต่าง และหลากหลายด้านวัฒนธรรมสูง แต่ใน ขณะเดียวกัน ด้วยการให้ความส�ำคัญกับฐานคิดแบบ รัฐชาติ อ�ำนาจน�ำในสังคมไทยจึงมีความพยามยามที่จะ หล่อหลอมความเป็นชาติ สร้างความเป็นอันหนึง่ อันเป็น เดียวกัน และตีกรอบ ‘ความเป็นไทย’ ด้วยความหมาย เพียงชุดเดียว ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นสังคมไทยก่อร่าง มาจากส่วนผสมที่หลากหลาย แนวคิดในการพัฒนาประเทศให้เจริญตามแบบ สากลก็มีส่วนในการลดทอน ‘ส่วนผสม’ ที่แตกต่างของ ความของความเป็นไทย เห็นได้จากชุมชนชาติพนั ธุด์ งั้ เดิม ต่าง ๆ ที่เริ่มมีขนาดที่เล็กลงเรื่อย ๆ ทั้งจากการย้าย ถิน่ ฐานของคนในชุมชนเพือ่ แสวงหาวิถชี วี ติ สมัยใหม่ และ จากการผสมกลมกลืนไทยผ่านการแต่งงาน ส่งผลให้คน ไทยรุ่นหลังให้ความส�ำคัญกับความเป็นชาติพันธุ์ต่าง ๆ น้ อ ยลง ทว่ า ยั ง คงมี ก ลุ ่ ม คนชาติ พั น ธุ ์ บ างส่ ว นที่ ยั ง พยายามจะรักษาไว้ซงึ่ อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้ ไม่ให้ถูกกลืนหายไป อีกทั้งยังใช้แนวคิดการพัฒนาใน รูปแบบที่แตกต่างมาเป็นเครื่องมือเพื่อต่อรองอัตลักษณ์ ของกลุ่มตนด้วย กองบรรณาธิการ ‘นิสิตนักศึกษา’ จึงอยากเป็น ส่ ว นหนึ่ ง ในการน� ำ เสนออั ต ลั ก ษณ์ ท างชาติ พั น ธุ ์ ท่ี หลากหลายนีใ้ ห้สาธารณะได้รจู้ กั และเข้าใจและเพือ่ เป็น พื้นที่ให้ชุมชนชาติพันธุ์ได้สื่อสารเพื่อบอกเล่าเรื่องราว และประเด็นปัญหาของกลุม่ ตน อีกทัง้ น�ำเสนอความเป็น มาทางประวัติศาสตร์ของชุมชน เพื่อให้ทั้งคนที่อยู่ใน บริเวณชุมชนและคนภายนอกได้รับทราบ และเพื่อช่วย ด�ำรงไว้ซึ่ง ‘ความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์’ อันงดงามนี้

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 5


แผนที่ ท ่ อ งเที่ ย วเกาะเกร็ ด

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 6


แผนที่ ชุ ม ชนบางกระดี่

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 7


ARTICLE : บทความ

‘จากอ่าวเมาะตะมะถึงสยาม’ การอพยพของชาวมอญสู่ประเทศไทยในอดีต

เรื ่ อ งโดย : กษิ ด ิ ศ ศรี ว ิ ล ั ย , มั น ตา อำ�นวยเวโรจน์

เป็ น เวลากว่ า ห้ า ศตวรรษแล้ ว ที่ ช าวมอญได้ อพยพเข้ามาในแผ่นดินไทย พวกเขาได้กระจายตัวไป ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย และ ผสมกลมกลื น จนกลายเป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของสั ง คมไทย แม้กระทั่งวัฒนธรรมของพวกเขาก็ยังถูกหล่อหลอมจน กลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วัฒนธรรมไทย’ ในปัจจุบัน ชนชาติอันร�่ำรวยซึง่ ศิลปวัฒนธรรมนีม้ ที มี่ าทีไ่ ปอย่างไร ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย อย่างทุกวันนี้ ‘นิสติ นักศึกษา’ จึงขออาสาพาผูอ้ า่ นย้อน เรือ่ งราวประวัตศิ าสตร์การอพยพของชาวมอญอีกครัง้ ต้นก�ำเนิดของอารยธรรมมอญนั้นได้ถูกระบุไว้ ในหนังสือ ‘มอญสยาม’ โดยบุญยงค์ เกศเทศ ซึ่งตีพิมพ์ ในปีพ.ศ. 2557 ผู้เขียนอ้างถึงพงศาวดารมอญที่บันทึก ว่า อารยธรรมมอญนั้นเริ่มมาตั้งแต่ 241 ปีก่อนพุทธกาล โดยพระราชโอรสของพระเจ้าติสสะแห่งแคว้นหนึ่งของ อินเดียได้เกณฑ์ผคู้ นลงเรือส�ำเภามาตัง้ หลักปักฐาน เขาได้สร้าง อาณาจักรขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น�้ำอิรวดี บริเวณ ตอนล่างของพม่าในปัจจุบนั จนในช่วงเวลาต่อมาได้พฒ ั นา เป็นอาณาจักรของชาวมอญที่มีชื่อเรียกว่า ‘สะเทิม’ บุญยงค์ยงั อธิบายอีกว่า ตลอดระยะเวลากว่า 700 ปี ทีม่ อญได้สร้างอาณาจักรขึน้ มา มอญต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อ

ปกป้องอาณาจักรของตนจากการรุกรานของพม่าซึง่ ตัง้ อยู่ ทางเหนื อ การต่ อ สู ้ ร ะหว่ า งสองอาณาจั ก รยื ด เยื้ อ จน พ.ศ. 1600 กษัตริย์บุเรงนองของพม่าได้ท�ำการยึดครอง รัฐมอญส�ำเร็จ จึงแบ่งอาณาเขตมอญออกเป็นรายหัวเมือง อีกทั้งได้พยายามหลอมรวมวัฒนธรรมมอญให้กลายเป็น วัฒนธรรมของพม่า บุญยงค์ระบุวา่ ความบีบคัน้ ทางการเมือง ภายใต้การปกครองของพม่าท�ำให้ความเป็นอยูข่ องชาวมอญ มี ค วามยากล� ำ บาก ทั้ ง จากการถู ก กดขี่ รี ด ไถผลผลิ ต การเกษตร และการถูกเกณฑ์เป็นแรงงานก่อสร้างหรือ เกณฑ์เข้ากองทัพพม่า ด้วยเหตุผลนี้เอง ชาวมอญจึงเริ่ม ต้นอพยพเข้ามายังประเทศไทยตัง้ แต่สมัยของพระนเรศวร มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา เรือ่ ยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ บุญยงค์ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงสาเหตุที่ชาวมอญ เลือกอพยพมาในไทยว่า ไทยและมอญมีความคล้ายคลึง กันทั้งด้านภูมิศาสตร์ที่เอื้อต่ออาชีพเกษตรกรรม และมี วัฒนธรรมที่ยึดถือศาสนาพุทธเป็นแกนกลาง อีกทั้งยังอยู่ ในพื้นที่ใกล้เคียง ประเทศไทยจึงเป็นจุดหมายปลายทาง ทีเ่ หมาะสมเป็นอย่างมากในการอพยพย้ายถิน่ ของชาวมอญ เส้นทางต่าง ๆ ทีช่ าวมอญใช้อพยพเข้ามาตัง้ แต่สมัย กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาจนถึ ง สมั ย รั ต นโกสิ น ทร์ ไ ด้ ถู ก ระบุ ไ ว้ ใ น วิทยานิพนธ์เรือ่ งชาวมอญในประเทศไทย โดยสุภรณ์ โอเจริญ

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 8


และพม่า ชาวมอญจ�ำนวนมากเป็นก�ำลังพลส�ำคัญของ กองทัพไทย ทัง้ ยังมีการอ้างถึงชาวมอญในฐานะประชาชน ทีอ่ ยูภ่ ายใต้กฏหมายหรือประกาศต่าง ๆ ของทางการเสมอ ทางการจึงปฏิบัติต่อชาวมอญอย่างไม่ถือเป็นชาวต่างชาติ ทั้งยังให้เสรีภาพในการประกอบอาชีพ และก�ำหนดหน้าที่ ให้ชายฉกรรจ์มอญต้องเข้าเวรท�ำราชการเกณฑ์ จ่ายส่วย รวมทัง้ ยังมีโปรดเกล้าฯ แต่งตัง้ ให้ชาวมอญมียศศักดิต์ า่ ง ๆ เช่นเดียวกันกับชาวไทย ซึ่งถือเป็นวิธีกลมกลืนชาวมอญ ให้เข้ากับสังคมไทยไปอย่างแนบสนิท

ภาพจาก : ้http://www.flickr.com

เมือ่ ปีพ.ศ. 2519 ว่า การอพยพล้วนแล้วแต่มีต้นทางมาจาก เมืองมะละแหม่ง และเมืองเมาะตะมะ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ ปากแม่น�้ำสาละวิน ริมฝั่งอ่าวเมาะตะมะ ทางทิศตะวันตก ของประเทศพม่าในปัจจุบัน โดยการอพยพแบ่งออกเป็น ทั้งหมด 3 เส้นทาง ได้แก่ ทางด่านแม่ละเมา จังหวัดตาก ทางด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรี และทางเมือง อุทยั ธานี ทว่าสองเส้นทางแรกเป็นเส้นทางทีช่ าวมอญเลือก ใช้ในการอพยพมากกว่าเส้นทางอื่น เพราะเป็นเส้นทางที่ คุ้นเคยจากการที่พม่าเคยยกกองทัพมาท�ำสงครามกับไทย รวมทัง้ เป็นเส้นทางทีพ่ วกเขาใช้ในการติดต่อค้าขายกับไทย สุภรณ์ยังกล่าวว่า ชาวมอญจ�ำนวนมากที่อพยพ เข้ามาในสมัยกรุงธนบุรีได้ตั้งหลักแหล่งบริเวณปากเกร็ด นนทบุรี และสามโคก ปทุมธานี ส่วนในสมัยรัตนโกสินทร์ ชาวมอญก็ได้สนองพระราชโองการสร้าง ‘​นครเขื่อนขันธ์’ ขึ้นบริเวณปากลัด ตอนล่างของกรุงเทพ พื้นที่เหล่านี้จึง กลายเป็ น ที่ ตั้ ง ของชุ ม ชนชาวมอญขนาดใหญ่ ที่ ส� ำ คั ญ หลายชุมชนมาจนถึงปัจจุบัน สุภรณ์ โอเจริญ ยังได้ระบุในหนังสือ ‘มอญในแผ่น ดินสยาม’ ซึง่ ตีพมิ พ์เมือ่ ปีพ.ศ. 2552 ว่า ชาวมอญทีอ่ พยพ เข้ามาสู่ประเทศไทยนั้น ได้รับการต้อนรับอย่างดีจาก กษัตริยไ์ ทย สืบเนือ่ งมาจากเมือ่ ครัง้ สงครามระหว่างอยุธยา

ขณะเดียวกัน สุภรณ์ยังชี้ให้เห็นว่า กระบวนการ ผสมกลมกลื น ชาวมอญเข้ า กั บ สั ง คมไทยไม่ ไ ด้ เ ป็ น ไป โดยเสรี เ สี ย ที เ ดี ย ว แต่ยงั แฝงไปด้วยเงือ่ นไขบางประการ เช่น การที่ชาวมอญต้องเปลี่ยนชื่อนามสกุลให้เป็นไทย แลกกั บ การได้ รั บ ที่ ดิ น เพื่ อ อยู ่ อ าศั ย และการมอบ ยศถาบรรดาศั ก ดิ์ แ บบไทยให้ กั บ ขุ น นางชาวมอญที่ อพยพมา ซึ่ ง เงื่อนไขเหล่านี้ล้วนมีนัยยะในการลดทอน ความแตกต่างโดยให้ชาวมอญละทิ้งอัตลักษณ์ของตน ทว่าชาวมอญ กลับไม่ได้ละทิ้งเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ของพวกเขาไป ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่พวกเขา ด�ำรงไว้จึงเป็นดั่งเส้นใยที่เชื่อมโยงชาวมอญในทุกหนแห่ง ให้พวกเขาได้ระลึกถึงความเป็นชนชาติที่มีร่วมกัน จนกระทัง่ ปัจจุบนั ชาวมอญอพยพในประเทศไทย ยั ง สามารถคงไว้ ซึ่ ง อั ต ลั ก ษณ์ ข องตนผ่ า นรายละเอี ย ด ทางวัฒนธรรม เช่น ภาษา เครื่องแต่งกาย อาหาร ดนตรี การละเล่ น และการแสดงต่างๆ โดยมีความเชื่อเรื่อง การนับถือผีและความยึดมั่นในศาสนาพุทธเป็นแกนกลาง ส�ำคัญ ความเชื่อเหล่านี้ท�ำให้เกิดประเพณีประจ�ำชาติ ที่ เ ป็ น แบบฉบั บ ของมอญโดยเฉพาะ เช่ น ประเพณี สงกรานต์พระประแดง ลอยกระทงสาย และล้างเท้าพระ เป็ น ต้ น มากไปกว่ า นั้ น ชาวมอญอพยพยั ง ได้ ส ร้ า ง สัญลักษณ์เพื่อแสดงออกในเชิงการเมือง ผ่านเพลงชาติ มอญ สัตว์สัญลักษณ์ (หงส์) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัน ชาติมอญ ที่ถูกก�ำหนดให้ตรงกับวันแรม 1 ค�่ำเดือน 3 โดย มี จุ ด ประสงค์ เ พื่ อ สร้ า งจิ ต ส� ำ นึ ก ของชนชาติ ที่ มี ประวัติศาสตร์ยาวนานร่วมกัน เพื่อปฏิเสธการตกอยู่ภาย ใต้ อ� ำ นาจของพม่ า และเพื่ อ ระลึ ก ถึ ง บรรพบุ รุ ษ ของ พวกเขา

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 9


CULTURE : วั ฒ นธรรม

ไขกลอนเรื อ นมอญ ' ปลูกเรือ นตามใจผู ้ อยู ่ เรื่ อ งโดย : เกศญา เกตุ โ กมุ ท ภาพโดย : อภิ ส รา บรรทั ด เที่ ย ง

“บ้ า นที่ ป ลู ก ตามต� ำ ราความเชื่ อ ได้ อ ย่ า ง ครบถ้วนแม่นย�ำ ย่อมส่งผลดีตอ่ ผูอ้ ยูอ่ าศัย ผีบา้ นผีเรือน จะปกปักษ์รักษา ให้อยู่ดีสุขสบาย” ลุงกัลยา ปุงบางกระดี่ อายุ 73 ปี ชาวบ้านชุมชนบางกระดี่ เล่าถึงความเป็นมา ของบ้านเรือนแบบชาวมอญ ทีส่ งั เกตได้ทนั ทีเมือ่ ก้าวย่าง เข้ามาในชุมชนซึง่ มีรปู แบบบ้านคล้ายคลึงกันแทบทุกหลัง

ต้องอิงตามต�ำราโลกสิทธิ ต�ำราระบุรายละเอียดไว้มากมาย อย่างเสาบ้านจะต้องมีสามเสาส�ำคัญ ได้แก่ เสาตัวผู้ ตั้งไว้ ให้ผีบรรพบุรุษเข้ามาสิงสู่อาศัย เสาต้นนี้จึงห้ามน�ำสิ่งของ ไปแขวนเด็ดขาด เสาทีส่ องคือเสาตัวเมีย และเสาทีส่ ามเป็น เสาพระที่ทุกบ้านต้องมี แต่ละเสาจะมีสัญลักษณ์บอกให้รู้ จากการแต่งกายให้กับเสา”

สาเหตุที่บ้านในชุมชนมีลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ ลุงกัลยา อธิบายให้ฟังว่า เป็นเพราะชาวบ้านเชื่อเรื่องการ ปลูกสร้างบ้านตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์โลกสิทธิ ต�ำรารวม ความเชือ่ ทีเ่ ป็นแบบแผนปฏิบตั ติ นของชาวมอญ ซึง่ รวมไป ถึงพิธกี รรมและรูปแบบในการสร้างบ้าน ตามความเชือ่ ของ ชาวมอญนัน้ หากบ้านหลังใดไม่ได้ปลูกให้ถกู ต้องตามต�ำรา จะเกิดเภทภัยขึ้นกับบ้านหลังนั้น เช่น คนในบ้านเจ็บป่วย บ้างก็ว่า ผีบ้านผีบรรพบุรุษอาจไม่พอใจ

ธวัชพงศ์ มอญดะ หรือ ‘พี่โอ’ อายุ 40 ปี ผู้ริเริ่มศูนย์วัฒนธรรมมอญบางกระดี่ อธิบายเพิ่มเติมว่า เนื่องจากเสาทั้งสามต้นถือเป็นหัวใจของการก่อสร้างบ้าน เจ้าของบ้านจึงต้องท�ำพิธไี หว้เสาเสียก่อน และแต่งกายให้กบั เสาทั้ ง สามต้ น ตามเพศของเสา เช่ น เสาตั ว ผู ้ ต ้ อ งมี ผ้าขาวม้า เสาตัวเมียมีผา้ ถุงหรือสไบ ส่วนเสาพระจะแขวน ด้วยกล้วยและข้าวต้มลูกโยน ทัง้ นีใ้ นเชิงปฏิบตั กิ ารแต่งเสา นัน้ เอือ้ ต่อการท�ำงานของช่างก่อสร้าง เป็นเหมือนกลอุบาย ที่แฝงไว้ในภูมิปัญญา “เวลาท�ำงานนาน ๆ กลางอากาศ ร้อน ช่างจะได้ใช้สิ่งใกล้ตัว อย่าง ผ้าขาวม้า สไบ ที่ผูกไว้ กับเสา มาบังแดดได้ กล้วยหรืออาหารอื่น ๆ ที่น�ำมาไหว้ เสาก็สามารถไหว้ลาน�ำมากินได้” พี่โอเสริม

ลุงกัลยายังเล่าอีกว่า ชาวมอญบางกระดี่จะตั้ง บ้านเรือนเป็นแนวตามขวางคลองสนามชัยทัง้ สองฝัง่ อย่าง หนาแน่น ซึ่งบ้านมอญดั้งเดิมจะอยู่ฝั่งเดียวกับวัดและ หันหน้าเข้าหาคลอง โดยมีลกั ษณะเป็นเรือนใต้ถนุ สูงคล้าย กับบ้านเรือนไทย แต่จะมุงหลังคาด้วยใบจาก ทว่าปัจจุบัน บางหลังดัดได้แปลงให้เป็นครึง่ ปูนครึง่ ไม้เพือ่ เหมาะกับการ เป็ น อยู ่ ใ นยุ ค สมั ย “บ้ า นมอญจะให้ ค วามส� ำ คั ญ กั บ องค์ประกอบต่าง ๆ ของบ้านเป็นอย่างมาก เพราะการสร้าง

นอกจากพิธกี รรมในการสร้าง บ้านมอญยังมีราย ละเอียดทีแ่ สดงถึงความใส่ใจทีม่ ตี อ่ ผูอ้ ยูอ่ าศัย ไม่วา่ จะเป็น สั ด ส่ ว นความยาวของเสาและคานบ้ า น ต�ำ แหน่ ง ที่ ต้ั ง ของบ้าน ทิศทางของห้องพัก หรือแม้แต่แสงและเงา

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 10


ที่ตกสู่ตัวบ้าน เช่น ห้องที่มีเสาผี หรือห้องของเจ้าของบ้าน ควรได้ รั บ แสงตะวั น ก่ อ นในยามเช้ า เพราะแดดอ่ อ น ยามเช้าส่งผลดีต่อร่างกายผู้อยู่ อีกทั้งในช่วงเย็น ห้องนี้ก็ จะมีอากาศเย็นก่อนห้องอื่น ๆ เพราะไม่ถูกแดดบ่ายส่อง เป็ น เวลานาน เจ้ า ของบ้ า นจะเข้ า นอนได้ อ ย่ า งสบาย ส่งผลให้คนในครอบครัวสบายใจตามไปด้วย เมือ่ ถามว่าชาวมอญในชุมชนจะเลือกไม่ปลูกบ้าน ตามความเชื่อได้หรือไม่ ค�ำตอบที่ได้รับจากคนในชุมชน บางกระดี่ แ ทบไม่ แ ตกต่ า งกั น แม้ จ ะเป็ น เหตุ ผ ลของ บุคคลคนละรุ่นก็ตาม ผู้สูงวัยอย่างลุงกัลยาให้ค�ำตอบที่ หนักแน่นว่า “เป็นไปไม่ได้ คัมภีร์โลกสิทธิมีมาตั้งแต่ บรรพบุ รุ ษ ถ้ า ไม่ ต ามจะเกิ ด เรื่ อ งไม่ ดี ” ส่ ว นธวั ช ชั ย ให้เหตุผลว่า “บ้านหลังไหนไม่ได้ปลูกตามคัมภีร์แสดงว่า ไม่ใช่คนเชื้อสายมอญ เพราะชาวมอญที่นี่จะอนุรักษ์รูป แบบบ้านเก่าไว้ และในชุมชนยังมีผเู้ ฒ่าผูแ้ ก่อยู่ ถ้าจะสร้าง แบบโมเดิรน์ คงไม่มใี ครกล้าท�ำ เพราะยังกลัวในเรือ่ งผีและ การท�ำผิดประเพณี ความเชื่อนี้จึงยังคงถูกสืบทอดจนถึง ปัจจุบัน” แสดงให้เห็นว่าความเชื่อเรื่องพิธีกรรมของชาว มอญในชุมชนยังคงถูกสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ในแง่มุมสถาปัตยกรรม จักรพร สุวรรณนคร นักวิชาการด้านสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อธิบายว่า บ้านมอญมีลกั ษณะ พิเศษ เช่น การมีแท่นวางของเพื่อเตรียมใส่บาตรพระ มี ห ้ อ งบู ช าผี ที่ อ อกแบบไว้ อ ย่ า งแม่ น ย� ำ ซึ่ ง แสดงถึ ง ความเชื่อด้านศาสนาและพิธีกรรม ต่างจากบ้านเรือนไทย ที่ค�ำนึงเรื่องประโยชน์การใช้สอยเป็นหลัก

จักรพรยังชี้ว่า การออกแบบบ้านเรือนที่มีใต้ถุน สูงนั้นเอื้อต่อการใช้ชีวิตในช่วงหน้าฝน เพราะชาวมอญ จะอาศัยอยูร่ มิ น�ำ้ น�ำ้ จะได้ทว่ มไม่ถงึ ตัวบ้าน หลังคามุงจาก ของบ้านมอญต้องการองศาที่ค่อนข้างสูงกว่าปกติ เพื่อให้ บ้านระบายอากาศได้ดี “แม้จะยึดถือเอาความเชือ่ เป็นหลัก แต่บา้ นมอญก็เอือ้ ต่อความสะดวกสบายของผู้ อย่างระดับ ของพื้นบ้านที่สูงต�่ำไม่เท่ากัน ตามแปลนของบ้านมอญ อันนี้ ลานบ้านจะอยู่ต�่ำสุด สูงขึ้นมาอีกหนึ่งระดับจะเรียก ว่าเฉลียง และระดับสูงสุดคือห้องนอน การเล่นระดับแบบ นี้ คือการท�ำให้ตัวบ้านมีชั้นเชิง บ่งบอกถึงการเข้าถึงของ การใช้พื้นที่แต่ละส่วน จากพื้นที่สาธารณะเข้าสู่พ้ืนที่ส่วน ตัว อย่างการวางห้องนอนให้อยู่สูงสุด ก็เพื่อให้ยากต่อการ เข้าถึง” ตามความเชื่อของมอญ การที่ผู้อาศัยอยู่ในบ้าน อย่างสุขสบายเป็นผลมาจากการปฏิบัติตามคัมภีร์อย่าง เคร่ ง ครั ด ท� ำ ให้ ผี บ ้ า นผี เ รื อ นปกปั ก ษ์ รั ก ษา แต่ ห าก พิจารณาอย่างลึกซึ้งตามหลักสถาปัตยกรรม จะพบว่าทุก องค์ประกอบของการปลูกสร้างล้วนถูกออกแบบมาให้ สอดคล้องกับวิถชี วี ติ ความเป็นอยู่ และเอือ้ ประโยชน์สงู สุด ต่อผู้อาศัย ซึ่งความเชื่อต่าง ๆ ที่แฝงมากับคติมงคลหรือ ความเชือ่ ตามทีต่ ำ� ราได้ระบุไว้ ล้วนมีพนื้ ฐานมาจากความ เข้าใจอย่างถ่องแท้ที่บรรพบุรุษชาวมอญมีต่อภูมิสัณฐาน ภูมิอากาศ และธรรมชาติที่แวดล้อมตนอยู่

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 11


COMMUNITY’S TALE : เรื ่ อ งเล่ า ชุ ม ชน

‘ปั จ อะห์ ต ๊ ะ ห์ ’ เรื่องเล่าสงกรานต์มอญ เรื ่ อ งโดย : นริ ศ รา สื ่ อ ไพศาล ภาพจาก : http://www.suwatchaitubtim.com

ใกล้ถึงวัน ‘ปัจอะห์ต๊ะห์’ ประจ�ำปีเข้าไปทุกที แน่นอนว่าเป็นวันที่ชาวมอญแห่งเกาะเกร็ดเฝ้ารอให้มาถึง ‘ปัจอะห์ต๊ะห์’ หรือ สงกรานต์ ถือเป็นประเพณีที่ส�ำคัญของชาวมอญ เนื่องจากปฏิทินเทศกาลประจ�ำปีของ ชาวมอญนั้นเริ่มต้นด้วยวันสงกรานต์ ซึ่งตรงกับวันที่ 13 เมษายน วันนี้จึงถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวมอญนั่นเอง ความส�ำคัญของวันสงกรานต์ยังรวมถึงการที่พี่น้องชาวมอญได้รวมตัวกัน สังสรรค์ ท�ำบุญ ตักบาตร รดน�้ำด�ำหัว ผูใ้ หญ่ และต้อนรับปีใหม่ไปพร้อม ๆ กัน เกาะเกร็ดเองก็เป็นชุมชนมอญทีส่ ำ� คัญของประเทศไทย ทีท่ กุ ปีในวันปีใหม่มอญ ชาวมอญจากแต่ละท้องที่ รวมถึงนักท่องเที่ยวจากที่ต่าง ๆ จะพากันขึ้นเรือข้ามมายังเกาะเพื่อร่วมประเพณีส�ำคัญนี้ ชาวมอญเป็นชนชาติทมี่ คี วามผูกพันแน่นแฟ้นกับพุทธศาสนา การจัดงานสงกรานต์จงึ มีการท�ำบุญท�ำทานใหญ่โต และยังจัดต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี ไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม โดยพิธีจะเริ่ม จากการท�ำบุญฉลองสงกรานต์ การท�ำบุญกลางบ้าน และร�ำประจ�ำปีของแต่ละหมูบ่ า้ น ทัง้ ยังมีการจัดเฉลิมฉลองการท�ำบุญ รักษาศีลเพื่อต้อนรับศักราชใหม่และเพื่อบูชาพระรัตนตรัยและนางสงกรานต์ ในช่วงสัปดาห์ก่อนเทศกาลปีใหม่ คนในชุมชนจะเตรียมข้าวแช่ กวนกะละแม ข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวแก้ว เป็นขนมส�ำหรับท�ำบุญ ทั้งยังมีการท�ำ ‘คะนอมจิน’ ขนมจีนต�ำรับมอญ เพื่อท�ำบุญรวม ณ ‘ถนนข้าวแช่’ ซึ่งถือเป็น สถานที่ส�ำคัญประจ�ำเทศกาลปีใหม่บนเกาะเกร็ด ชาวบ้านจะจัดงานเลี้ยงข้าวแช่กันบนถนนแห่งนี้ในวันที่ 14 เมษายน ถนนข้าวแช่เป็นชื่อซึ่งคนในชุมชนเรียกถนนที่ตั้งอยู่หน้าวัดไผ่ล้อม วัดส�ำคัญวัดหนึ่งของเกาะเกร็ด ในวันที่ 14 เมษายน ณ ถนนแห่งนี้จะมีการแห่ ‘เปิงชังกราน’ หรือ ข้าวแช่ ไปถวายพระสงฆ์ โดยในวันที่ 14 เมษายน ชาวบ้านจะน�ำข้าวแช่ไปถวายพระสงฆ์แต่เช้าตรู่ และหลังจากที่พระสงฆ์ฉันเพลเสร็จ จะเดินออกมาให้ศีลให้พร พรมน�้ำมนต์ บนถนนข้าวแช่ที่แน่นขนัดด้วยผู้คน จากนั้นหลังสิ้นสัญญาณนกหวีดของ แม่งาน ก็จะเป็นช่วงเวลาทีท่ กุ ๆ คนร่วมกันทานข้าวแช่ โดยบ้านทีเ่ ตรียมอาหารมาก็จะเลีย้ งอาหารทัง้ คนในชุมชน รวมถึง นักท่องเที่ยวทีม่ าร่วมงาน ในขณะเดียวกันทีบ่ า้ นของชาวบ้าน ก็จะมีการท�ำพิธบี ชู านางสงกรานต์หรือ ‘มิห๊ ซ์ งกราน’ โดย การสร้างศาลเพียงตาหน้าบ้าน และน�ำข้าวแช่ถวายบูชา นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 12


ป้าเรือ

จากนั้น ในวันที่ 15 เมษายน จะมีการแห่นางสงกรานต์ ปล่อยนก ปล่อยปลา มีการแห่น�้ำหวานไปถวายพระตามวัดต่าง ๆ จากนั้นชาวบ้านจะ แห่หงส์ ธงตะขาบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมอญ น�ำไปชักขึ้นประจ�ำเสาแต่ละวัด ‘ป้าเรือ’ หรือ แก้ว สว่างเนตร วัย 54 ปี ชาวมอญซึ่งเกิดและเติบโต ณ เกาะเกร็ดแห่งนี้ ปัจจุบนั มีอาชีพขายน�ำ้ หวานอยูห่ น้าวัดไผ่ลอ้ ม เล่าถึงสีสันวัน งานสงกรานต์ในความทรงจ�ำว่า สงกรานต์มอญนั้นขึ้นชื่อ จัดงานกันเรียกได้ ว่าเป็นเดือน ๆ บ้านไหนร�่ำรวยก็เป็นตัวตั้งตัวตีท�ำบุญรวม ทุกหมู่บ้านจะมีการ จัดงานร้องร�ำท�ำเพลงสนุกสนาน เป็นโอกาสที่หนุ่มสาวจะได้พบปะกัน “แต่เดี๋ยวนี้งานฉลองสงกรานต์ก็จะเริ่มประมาณวันที่ 14 ไปจนไม่เกิน วันที่ 20-21 จะมีขบวนแห่น�้ำหวานปล่อยนกปล่อยปลา ทุกหมู่ ก็จะประมาณ อาทิตย์เดียว ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ โอโห ตอนนั้นเป็นเดือนเลย เลี้ยงกันแบบ จริง ๆ จัง ๆ ทั้งกลางคืนกลางวัน” ป้าเรือเสริมว่า แต่ก่อนที่งานสงกรานต์ของชาวมอญจัดใหญ่โตขนาดนี้ เพราะต้องการอนุรกั ษ์วฒ ั นธรรมเอาไว้ เพราะสงกรานต์ของชาวมอญนัน้ เต็มไป ด้วยเอกลักษณ์และพิธกี ารส�ำคัญต่าง ๆ อย่างไรก็ตามเมือ่ วันเวลาผ่านไปเทศกาล อันยิง่ ใหญ่กค็ อ่ ย ๆ ลดขนาดงานลงด้วยหลายปัญหาและหลายปัจจัย แม้จะยังคง ความส�ำคัญอย่างยิง่ ต่อชาวมอญก็ตาม แต่จากทีเ่ คยจัดงานเป็นเดือนก็ลดเหลือ เพียงราวสัปดาห์หนึ่งเท่านั้น

ภาพจาก http://travelnonthaburi.com

“เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้ว เพราะว่ามันไม่มีตัวตั้งตัวตีจัดเลี้ยง เศรษฐกิจมัน ไม่คอ่ ยดี บางคนก็แบบว่า โอ้ย จะไปเลีย้ งเขาท�ำไม เงินทองหายาก แต่สมัยก่อน ตอนป้าเป็นเด็ก เช้าตืน่ ขึน้ มาก็ได้กนิ แล้ว ข้าวต้มหมูขา้ วต้มปลา เขาตัง้ เป็นโรงทาน เลีย้ งเลย เลีย้ งทัง้ วัน” ป้าเรือว่า “กลางคืนยังมีอกี มีรำ� วงด้วย เหมือนร�ำวงย้อนยุค ทีเ่ ขาเล่นกัน ผูห้ ญิงคนไหนทีเ่ สียงดีกข็ นึ้ ไปร้องเพลง แต่สมัยนีม้ นั ท�ำไม่ได้ เพราะ หนุม่ สาวชอบเขม่นกันในวงร�ำแล้วตีกนั งานเมือ่ ก่อนดีมากเลยนะ ผิดกับสมัยนี”้

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 13

แม้ ว ่ า จะมี ป ั ญ หามากมาย เกิ ด ขึ้ น แต่ ป ้ า เรื อ ยั ง คงยื น ยั น ว่ า เทศกาลปีใหม่ยังคงเป็นงานที่ต้อง จั ด ขึ้ น ทุ ก ปี เ พื่ อ สื บ สานประเพณี อันมีมาแต่เดิม และด้วยเป็นงานที่ จัดเพียงแค่ปีละครั้ง จึงเป็นงานใหญ่ ที่ชาวมอญจากหลายที่มารวมตัวกัน รวมถึ ง คนในชุ ม ชนที่ ย ้ า ยไปตั้ ง ถิ่นฐานที่อื่นก็จะกลับมาเยี่ยมเยือน กันในวันพิเศษนี้ “คนที่ แ ต่ ง งานมี ค รอบครั ว ไปแล้ ว ก็ อ อกไปอยู ่ ก รุ ง เทพฯ พอ สงกรานต์อยากกลับมา ก็ชวนคนใน ครอบครั ว กลั บ มาด้ ว ยเยอะแยะ” ป้าเรือบอกด้วยรอยยิ้ม สงกรานต์ ณ เกาะเกร็ด จึงมี ความส� ำ คั ญ ต่ อ ชาวมอญในชุ ม ชน อย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นงานที่ ยิ่งใหญ่ หรือเป็นเทศกาลเต็มไปด้วย คุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถชี วี ติ เท่านัน้ แต่มากไปกว่านัน้ คื อ ความสั ม พั น ธ์ ข องผู ้ ค นที่ี มี ต ่ อ ชุมชน ไม่ว่าจะย้ายถิ่นฐานไป ณ ที่ แ ห่ ง ใดแต่ ใ นเทศกาลส� ำ คั ญ นี้ ที่นี่คือบ้านของพวกเขาเสมอ


FEATURE : สารคดี

‘บางกระดี่’

ศูนย์รวมภูมิปัญญามอญ เรื ่ อ งโดย : ชนมน ยาหยี , กษิ ด ิ ศ ศรี ว ิ ล ั ย ภาพโดย : เกศญา เกตุ โ กมุ ท

“อารยธรรมมอญมีอยู่ก่อนการเกิดขึ้นของรัฐไทยและพม่าเป็นเวลานาน มอญจึงเป็นชนชาติที่เคยมีบทบาท ส�ำคัญในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นแบบของอารยธรรมด้านการเมืองการปกครอง ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมของประเทศแถบนี้ อีกทั้งยังเป็นผู้น�ำศาสนาพุทธแบบเถรวาทมาสู่ภูมิภาคตั้งแต่ 600 ปีก่อนคริสตกาล” ค�ำกล่าวข้างต้นของไบรอัน ลี ฟอสเตอร์ นักวิจัยด้านชาติพันธุ์ ในการศึกษาเรื่อง Ethnicity and Economy : The Case of The Mons in Thailand เมื่อ ค.ศ.1972 ท�ำให้ทราบว่า มอญเป็นชนชาติที่มีความร�่ำรวยในอารยธรรม มากเพียงใดก่อนพวกเขาจะกลายเป็นชนชาติที่ไร้ดินแดนอันเป็นเอกราชและอยู่ภายใต้ความกดดันทางการเมืองจาก การปกครองของพม่า จนกระทั่งบางส่วนได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางเป็น ต้นมา ในประเทศไทยจึงมีชุมชนชาวมอญกระจายอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ลุ่มแม่น�้ำในภาคกลาง เมื่อมนุษย์อพยพย้ายถิ่นฐานไปที่ใด ย่อมน�ำอารยธรรมของตนติดไปด้วยเป็นธรรมดา ชาวมอญเองก็เช่นกัน เมื่อ อพยพเข้ามาในประเทศไทย พวกเขาได้พกพาเอาอารยธรรมของชนชาติตดิ ตัวมาด้วย ซึง่ อารยธรรมทีว่ า่ รวมไปถึงภูมปิ ญ ั ญา ที่พวกเขาใช้เพื่อด�ำรงชีพ เช่น การผลิตข้าวของเครื่องใช้ หรือแม้กระทั่งการละเล่นและการดนตรี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภูมิปัญญาที่พวกเขาพกพามาเหล่านี้ได้กลมกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย จนอาจท�ำให้เอกลักษณ์ที่เคยสร้าง ความแตกต่างให้กับชาวมอญเลือนหายไป ทว่าชุมชนชาวมอญหลายแห่งในประเทศไทยยังคงพยายามรักษาเอกลักษณ์ที่มาจากอารยธรรมของชนชาติ เอาไว้ ท ่ า มกลางยุ ค สมั ย ที่ เ ปลี่ ย นแปลง หนึ่ ง ในนั้ น คื อ ‘ชุ ม ชนมอญบางกระดี่ ’ ในกรุ ง เทพมหานคร ชุ ม ชนที่ ใ ช้ ‘การท่องเทีย่ ว’ เข้ามาเป็นเครือ่ งมือส�ำคัญเพือ่ ท�ำให้เอกลักษณ์ของชนชาติยงั คงเป็นทีร่ บั รูต้ อ่ ไปในสังคม จนกระทัง่ ชุมชน กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียง เห็นได้จากรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 14


ชุมชนมอญบางกระดี่ แขวงแสมด�ำ เขตบางขุนเทียน ชุมชนแห่งนี้มีเรื่องราวความเป็นมาของภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่น่าสนใจ เป็นชุมชนซึ่งเป็นศูนย์รวมของทั้งงานฝีมือที่ สืบทอดวิธีท�ำมาจากบรรพบุรุษ และภูมิปัญญาในการหา เลี้ยงชีพจากวัสดุตามธรรมชาติ เช่น การท�ำเครื่องดนตรี มอญ การท�ำอาหารและขนมมอญ และการท�ำแส้ใบจาก เป็นต้น ธวัชพงศ์ มอญดะ หรือ ที่คนในชุมชนรู้จักกันใน นาม ‘พี่โอ’ ผู้ก่อตั้งศูนย์ศิลปวัฒนธรรมมอญที่บางกระดี่ เล่าว่า ชุมชนมอญบางกระดี่ได้รวมตัวกันเป็นชุมชนขึ้นมา ตั้งแต่ช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยูห่ วั หรือกว่า 1,302 ปีทแี่ ล้ว ปัจจุบนั ชุมชนมีสมาชิก ประมาณ 1,700 หลังคาเรือน หรือราว 5,000 คน และ ที่ส�ำคัญชาวบ้านร้อยละ 80 ยังใช้ภาษามอญอยู่ ธวัชพงศ์ยงั อธิบายอีกว่าทางทิศตะวันตกของชุมชน ติดกับคลองสนามชัยที่กั้นชุมชนกับป่าจากซึ่งเป็นพื้นที่ท�ำ มาหากินของคนในชุมชน ส่วนปากทางเข้าหมู่บ้านคือวัด บางกระดีซ่ งึ่ เป็นศูนย์กลางของชุมชนวัดแห่งนีเ้ ป็นสถานที่ ประกอบศาสนกิจของคนในชุมชน และเป็นพื้นที่รักษา อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวชุมชนทีท่ ำ� ให้ชมุ ชนเชือ่ ม ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับคนในชุมชนเองได้อีกทางหนึ่ง

น อ ก จ า ก นั้ น ใ น ชุ ม ช น ม อ ญ แ ห ่ ง นี้ ก็ ยั ง มี ‘ศู น ย์ ศิ ล ปวั ฒ นธรรมมอญ’ ซึ่ ง เป็ น พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ห ลั ก ที่ รวบรวมหลักฐานทางวัฒนธรรมของชาวมอญเอาไว้ ศูนย์วัฒนธรรม ชุมชนบางกระดี่ ธวัชพงศ์ได้เล่าว่า เดิมทีศูนย์ศิลปวัฒนธรรมของ ชุมชนนัน้ เกิดขึน้ จาก ‘ความเสียดาย’ ของเขาเอง เนือ่ งจาก สมัยทีเ่ ขายังศึกษาอยูช่ นั้ ประถมศึกษาปีที่ 4 พระครูอนุกลู สิกขากรและคณะกรรมการชุมชนบางกระดี่เคยมีแนวคิด จะจั ด ตั้ ง พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ขึ้ น เพื่ อ รวบรวมข้ า วของเครื่ อ งใช้ ของชาวมอญ แต่กลับไม่เป็นผล เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนจาก ภายนอกเข้ามากว้านซื้อข้าวของเครื่องของใช้ในชุมชนไป เป็นจ�ำนวนมาก ธวัชพงศ์ซึ่งก�ำลังบวชเรียนอยู่จึงตัดสินใจ สึกเพื่อออกมาสร้างศูนย์ศิลปวัฒนธรรมมอญที่ใต้ถุนบ้าน ตนเอง เพื่อให้เป็นสถานที่รวบรวมผลงานจากภูมิปัญญา ท้ อ งถิ่ น ซึ่ ง สะท้ อ นเรื่ อ งราวประเพณี ต ่ า ง ๆ ของมอญ โดยจัดแสดงทั้งการท�ำแส้ การท�ำอาหารประจ�ำชาติอย่าง ข้าวแช่ กาละแม และลอดช่อง หลั ง จากจั ด ตั้ ง ศู น ย์ ศิ ล ปวั ฒ นธรรมมอญได้ สองปี ศู น ย์ ฯ ก็ เ ริ่ ม มี ชื่ อ เสี ย งขึ้ น มากขึ้ น หลั ง จาก ที่ ‘โครงการเดินตามรอยชลมารคของพระเจ้าเสือ’ ของ

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 15


กรุงเทพมหานครได้ลอ่ งเรือผ่านบริเวณชุมชนบางกระดี่ ซึ่ง เป็นทางผ่านไปสู่ศาลพันท้ายนรสิงห์ “ตอนนั้นมีสมาชิก คนหนึ่ ง ในคณะเดิ น เรื อ อยากแวะเข้ า ห้ อ งน�้ ำ แล้ ว พอ ลงมาเห็ น ว่ า ชุ ม ชนดู ก ว้ า งขวางเค้ า ก็ เ ลยเดิ น แวะชม เลยเห็นว่าชุมชนของเราน่าสนใจ น่าท่องเทีย่ ว หลังจากนัน้ ก็มรี ายการทีวเี ริม่ เข้ามาถ่ายอีกหลายช่อง” ธวัชพงศ์กล่าว อย่างภาคภูมิใจ แน่นอนว่าจ�ำนวนผูท้ เี่ ข้ามาเยีย่ มชมชุมชนมีมาก ขึ้ น เรื่ อ ยๆ บวกกั บ ขนาดใต้ ถุ น บ้ า นของธวั ช พงศ์ ที่เล็กเกินกว่าจะเก็บสิ่งของเครื่องใช้ของชาวมอญจาก ทั่วประเทศได้หมด ชุมชนจึงร่วมกับส�ำนักงานวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเทีย่ ว กรุงเทพมหานคร และสถาบันไทยคดี ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทีเ่ ห็นถึงความส�ำคัญของ การอนุรกั ษ์วฒ ั นธรรมมอญ เพื่อพัฒนาชุมชนให้เป็นแหล่ง ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการ “คราวนี้เราก็ ใช้ลักษณะบ้านในชุมชนที่เป็นใต้ถุนสูงให้เป็นประโยชน์ เราให้ ช าวบ้ า นจั ด การภู มิ ป ั ญ ญาอย่ า งเป็ น ระบบ ให้ชาวบ้านเสนอว่า ครัวเรือนของตนมีความถนัดอะไร หลังจากนัน้ ก็กระจายข้าวของเครือ่ งใช้ทร่ี วมไว้ไปตามบ้าน แต่ ล ะหลั ง เราจึ ง แบ่ ง ภู มิ ป ั ญ ญาหลั ก ๆ ได้ เ ป็ น บ ้ าน ท ะแย ม อญ บ ้ า น ข น ม บ ้ า น แ ส ้ แ ล ้ ว ก็ มี ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมที่นี่เป็นศูนย์กลางอยู่ด้านในสุดของ ชุมชน” ธวัชพงศ์อธิบายให้เห็นถึงแนวทางในการพัฒนา ชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และเขายังได้ เสริมอีกว่าแนวทางนี้ท�ำให้บ้านแต่ละหลังในชุมชนเป็นดั่ง ‘พิพธิ ภัณฑ์ทมี่ ชี วี ติ ’ จากคลังความรูข้ องผูเ้ ฒ่าผูแ้ ก่เจ้าของ บ้านหลังนั้น ๆ เอง บ้านทะแยมอญ บ้านภูมิปัญญาหลังแรกที่ ‘นิสิตนักศึกษา’ จะ พาผู ้ อ่ านไปเยี่ยมชม คือ ‘บ้านทะแยมอญ’ ซึ่งเปรียบ เสมือนพิพธิ ภัณฑ์ขนาดย่อมส�ำหรับจัดแสดงเครือ่ งดนตรีที่ ใช้ใน ‘วงทะแยมอญ’ วิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาวัฒนธรรมดนตรี ของปี่พาทย์มอญ โดย ณรงค์ฤทธิ์ คงปิ่น เมื่อ พ.ศ.2539 ได้ระบุว่า”ทะแยมอญ”เป็นเพลงพื้นเมืองอย่างหนึ่งของ

ชาวมอญที่ สื บ ทอดกั น มาแต่ โ บราณกาล โดยค� ำ ว่ า ‘ทะแย’ ในภาษามอญเรียกว่า ‘ถะเยะ’ แปลว่า ขับร้อง การแสดงทะแยมอญนั้นคล้ายคลึงกับการละเล่นพื้นเมือง ของไทย โดยมีลักษณะคล้ายกับการเล่นเพลงฉ่อย เพลง ล�ำตัด หรือเพลงพวงมาลัย แต่แตกต่างกันทีท่ ะแยมอญจะ ไม่มีการร้องค�ำหยาบโลน ซึ่งความต่างตรงนี้ถือเป็นเสน่ห์ อย่างหนึง่ ของทะแยมอญ การเล่นทะแยมอญมีทงั้ การร้อง และร�ำประกอบกับดนตรี และเนื้อหาหรือค�ำร้องจะขึ้น อยู่กับโอกาสในการแสดงเป็นส�ำคัญ ทั้งในงานมงคลและ งานอวมงคล ตลอดจนเทศกาลต่างๆ อย่างเช่นในเทศกาล สงกรานต์มอญที่เรามักจะได้ยินเสียงการเล่นทะแยมอญ อยู่ตลอดเวลา บ้ า นทะแยมอญแห่ ง ชุ ม ชนบางกระดี่ นั้ น อยู ่ ใ น ความดูแลของลุงกัลยา ปุงบางกระดี่ ผูเ้ ป็นทัง้ เจ้าของบ้าน และผู้สร้างสรรค์ผลงานเครื่องดนตรีทุกชิ้นในบ้านเอง โดยจะเน้ น รวบรวมเครื่ อ งดนตรี ป ระเภทเครื่ อ งสาย เป็นหลัก ประกอบด้วย จะเข้มอญ ซึ่งแตกต่างไปจากจะเข้ โดยทั่วไป เพราะเป็นการสลักไม้ให้เป็นรูปร่างจระเข้จริง และใช้เม็ดพลอยประดับให้เป็นนัยน์ตาของจระเข้ ทั้ง ยังมีซอสามสายมอญมีรปู ร่างคล้ายไวโอลิน หัวซอเป็นปลอก ไม้ส ลั ก ลวดลายสวยงาม นอกจากนี้ ยั ง มี เ ครื่ อ งดนตรี ประเภทอื่น เช่น กลองมอญสองหน้า และขลุ่ยมอญ “วงเครื่องสายมอญนั้นส�ำคัญต่อการเล่นทะแย มอญทุ ก ครั้ ง เพราะมี ห น้ า ที่ ค ลอเสี ย งของผู ้ ขั บ ร้ อ ง เพราะวงทะแยมอญมีเสียงเบา จะไม่กลบเสียงร้อง ท�ำให้ ผูฟ้ งั จะได้จบั ใจความเนือ้ ร้องทีเ่ ป็นเรือ่ งพุทธประวัติ หลักธรรม คติสอนใจ ชาดกต่าง ๆ ได้” ลุงกัลยากล่าว ลุ ง กั ล ยายั ง ได้ อ ธิ บ ายเกี่ ย วกั บ วงทะแยมอญนี้ เพิ่มเติมว่า ท�ำนองเพลงที่นิยมร้องในวงทะแยมอญนั้น มีสองท�ำนอง คือ เพลงของฝ่ายชายทีเ่ รียกว่า ‘เจิก้ มัว่ ’ เป็น เพลงที่ฝ่ายชายร้องน�ำขึ้นก่อนเพื่อให้ฝ่ายหญิงร้องโต้ตอบ ส่วนอีกท�ำนองเป็นเพลงทีฝ่ า่ ยหญิงร้องน�ำขึน้ ก่อนแล้วฝ่าย ชายร้องโต้ตอบเรียกว่า ‘โป้ตเซ่' น่าเสียดายที่ผู้เล่นในวง ทะแยมอญนั้นลดลงเรื่อย ๆ

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 16


เนื่องจากการเล่นต้องใช้ภาษามอญในการขับร้อง เกือบทั้งเพลง ขณะที่จ�ำนวนผู้ที่สามารถสื่อสารและเข้าใจ ภาษามอญได้อย่างถูกต้อง ในชุมชนก็ลดลงไปตามยุคสมัย ทว่าผูใ้ หญ่ในชุมชนอย่างลุงกัลยายังคงไว้ซง่ึ ความพยายาม ที่จะรักษาศิลปะอันงดงามนี้ไว้ โดยลุงกัลยาได้ร่วมกับผู้สูง อายุอีกท่านในชุมชนคือ ลุงจ�ำเรียน แจ้งสว่าง จัดตั้ง วงทะแยมอญ‘คณะหงส์ฟ้ารามัญ’ ขึ้น ซึ่งถือเป็นวงทะแย มอญวงเดียวทีเ่ หลืออยูใ่ นประเทศไทย “หงส์ฟา้ รามัญเป็น คณะเดียวที่มีการแสดงทะแยมอญในไทย ว่าง ๆ เราก็ พยายามฝึกเด็ก ๆ ละแวกนี้ให้เล่นดนตรีเอาไว้ จะได้ช่วย กันอนุรักษ์ของมอญอย่างเดิม ๆ ไว้ อยากให้หมู่มอญเรา อนุรักษ์วัฒนธรรมการละเล่นดนตรีมอญ เครื่องสายมอญ เอาไว้ เขาจะได้รวู้ า่ ทะแยมอญเป็นวัฒนธรรมประเพณีของ มอญ ของคนไทยเชื้อสายมอญที่ยังมีอยู่” ลุงกัลยากล่าว

ลุงกัลยา ปุงบางกระดี่

บ้ า นขนมสมจิ ต ร “คนมอญนิ ย มซื้ อ ขนมไปใส่ บ าตรในวั น พระ แล้วก็เแบ่งไปให้ญาติพี่น้องด้วย นี่เป็นประเพณีที่สืบทอด มานานแล้ว เวลาเอาขนมไปให้ญาติ ส่วนใหญ่จะให้ลูก หลานเป็นคนน�ำเอาไป พอไปถึงบ้านญาติผู้ใหญ่ เขาจะได้ สวดอาราธนาศีลให้พรกับลูกหลานเป็นสิริมงคล” ป้าสมจิตร เตียเปิ้น เจ้าของบ้านขนมสมจิตร อีกบ้านทีเ่ ป็นหนึง่ ในเหล่าบ้านภูมปิ ญ ั ญาของชุมชน เล่าให้ ฟังถึงความส�ำคัญของขนมหวานที่มีต่อชาวมอญในชุมชน บางกระดี่ ชุมชนมอญบางกระดีแ่ ห่งนี้ ยังคงรักษาภูมปิ ญ ั ญา การท�ำอาหารหวาน หรือ ‘ขนมชาวรามัญ’ ที่คนมอญรุ่น บรรพบุรษุ เรียนรูส้ ตู รมาจากชาวโปรตุเกสในยุคอาณานิคม โดยมี ‘บ้านขนมสมจิตร’ เป็นบ้านหลังแรกในชุมชนที่ท�ำ ขนม เช่น ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด และเม็ดขนุน ป้าสมจิตร เตียเปิ้น นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 17


นอกจากนักท่องเทีย่ วทีเ่ ข้ามาเยีย่ มชมชุมชนแล้ว ลูกค้าของบ้านขนมมักเป็นคนใน ชุมชนที่มาซื้อเพื่อน�ำไปถวายพระในเทศกาลส�ำคัญ “ร้านอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้เพราะชาวบ้าน ในชุมชน เวลามาซื้อเขาเข้ามาเหมาทีละหลายบาท เอาไปประกอบพิธีส�ำคัญ ๆ มากสุดก็มี ครั้งหนึ่งเหมาไปเกือบหมื่น” ป้าสมจิตรกล่าวอย่างออกรส “ไม่ใช่แต่พิธีมงคลนะที่ใช้ขนม งานศพก็ยังใช้ไว้เลี้ยงแขก” ป้าสมจิตรเสริม บ้านขนมสมจิตรตั้งอยู่ริมถนนบางกระดี่ ก่อนทางขึ้นสะพานข้ามไปวัดบางกระดี่ บ้านขนมแห่งนี้สามารถสังเกตได้ง่ายเพราะมีป้ายร้านที่ค่อนข้างใหญ่ รวมไปถึงขนมมากมาย ที่วางขายอยู่ด้านหน้า ลักษณะขนมของที่นี่ค่อนข้างแตกต่างจากร้านขนมในตัวเมืองอย่าง ชัดเจน เนื่องจากชาวมอญมีวิธีการท�ำขนมที่เป็นเอกลักษณ์จากการปั้นด้วยมือ ท�ำให้ขนาด ของขนม โดยเฉพาะเม็ดขนุน ใหญ่กว่าขนมโดยทั่วไปมาก ต่างกับร้านขนมส่วนใหญ่ในยุคนี้ ที่ใช้เครื่องอัดในการท�ำ ส่งผลให้เนื้อขนมค่อนข้างแข็งและมีขนาดเล็ก

ฝอยทอง วั ต ถุ ดิ บ

1. ไข่แดงของไข่เป็ด 3 ฟอง 2. ไข่แดงของไข่ไก่ 2 ฟอง 3. กลิ่นดอกมะลิ 1/2 ช้อนชา 4. ใบเตย 1 ใบ 5. น�้ำตาลทราย 600 ก. 6. น�้ำเปล่า 400 มล.

วิ ธี ท� ำ

1. น�ำน�้ำเปล่า น�้ำตาลทราย ใบเตย กลิ่น มะลิ ลงต้มในกระทะทองเหลือง เปิดไฟแรง 2. ตีไข่ไก่และไข่เป็ดให้เข้ากัน น�ำไปกรอด้วย กระชอนตาถี่ จากนั้นตักไข่ใส่กรวยส�ำหรับท�ำ ฝอยทอง 3. ตักใบเตยออก และหยอดไข่ให้เป็นสาย วน ให้รอบกระทะทองเหลืองประมาณ 20-30 รอบ ต่อ 1 ชิ้น 4. ใช่ไม้ปลายแหลม ค่อยๆ ช้อนฝอยทองขึ้น มาให้เป็นแผ่น วางพักไว้บนตะแกรง 30 นาที ที่มา : http://www.foodtravel.tv ภาพจาก : http://www.centerwedding.com นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 18


บ้านแส้ นอกเหนือจากภูมิปัญญาด้านดนตรีและการท�ำ ขนมแล้ว ทีช่ มุ ชนบางกระดีแ่ ห่งนีย้ งั มีการท�ำเครือ่ งใช้ทหี่ า ได้ยากในปัจจุบัน อย่าง ‘แส้’ ที่มีความคงทนแข็งแรง สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ด้วยการปัดยุงและแมลงและ อาจน�ำไปใช้ปัดฝุ่นท�ำความสะอาดบ้านได้อีกด้วย เมื่ อ เดิ น เข้ า มาที่ ด ้ า นในของชุ ม ชนจะพบ ‘บ้านแส้’ ซึ่งเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูงที่มีแส้แขวนอยู่จ�ำนวน มาก ทัง้ สีสม้ และสีนำ�้ ตาลอ่อนสลับกันไป เจ้าของบ้านแห่ง นี้คือ ลุงรอด และป้าบุปผา นิ่มตานี สองสามีภรรยาที่มี ฝีมอื ในการท�ำแส้จากใบจาก จนกระทัง่ มีผคู้ นจากภายนอก สนใจและติดต่อเข้ามาขอเรียนรูก้ ารท�ำแส้ ซึง่ ส่วนใหญ่เป็น นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ แม้จะเป็นคนไทยทีแ่ ต่งงานกับมอญแล้วย้ายเข้า มาอยู่ในชุมชนในภายหลัง แต่ลุงรอดก็ยังเห็นความส�ำคัญ ของการท� ำ ให้ ชุ ม ชนบางกระดี่ เ ป็ น พื้ น ที่ ท ่ อ งเที่ ย วเชิ ง วัฒนธรรมอย่างแท้จริง ลุงรอดบอกว่าแส้ที่ท�ำขึ้นในบ้าน จะไม่ขาย ให้คนภายนอกเพื่อการพาณิชย์โดยตรง แต่จะ ขายให้ ชาวบ้านใน ชุมชนได้ใช้สอย หรือขายให้กับผู้ที่เข้า มาเที่ยวชมชุมชนเท่านั้น

แส้ที่ท�ำตั้งใจท�ำด้วยมือเอง อยากให้เป็นมรดกของชุมชน ให้คนมาเที่ยวดู มาซื้อที่ชุมชนนี้ อยากให้เป็นการอนุรักษ์ สมบัติของชุมชน ไม่ใช่เน้นขายเอาเงิน" ลุงรอดกล่าว ลุ ง รอดยั ง ได้ อ ธิ บ ายขั้ น ตอนในการท� ำ แส้ ว ่ า เริ่มแรกจะต้องใช้ ‘ดอกจาก’ ที่เก็บมาทั้งก้านจากดงต้น จากบริเวณสองฝั่งคลองสนามชัย เมื่อได้ดอกจากมาแล้ว ต้องท�ำการเลือกก้านดอกที่เป็น ‘ก้านโหม่ง’ คือมีลักษณะ ก้านดอกเป็นเปลือกแข็งสีนำ�้ ตาล จากนัน้ ตัดส่วนดอกออก แล้วน�ำส่วนก้านดังกล่าวมาตีจนแตกเป็นเส้นใยให้ยาวตาม ความต้องการ ระหว่างตีตอ้ งคอยใช้มอื สางเส้นใยจากไม่ให้ พันกัน จะย้อมสีหรือไม่ก็แล้วแต่ความชอบ

เราจึ ง เห็ น ได้ ว ่ า

‘ภู มิ ป ั ญ ญา’ ที่ ช าวมอญ บางกระดีไ่ ด้ พกติดตัวมาตัง้ แต่รนุ่ บรรพบุรษุ นัน้ มีบทบาท ส�ำคัญมากเพียงใดต่อการด�ำรงชีพของคนในชุมชน เพราะ นอกจากมันจะท�ำให้ชุมชนมีความงดงามที่ชวนให้นักท่อง เที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมแล้ว ภูมิปัญญาอันเป็นผลผลิตจาก อารยธรรมเก่าแก่ของชาวมอญยังเป็นดัง่ เครือ่ งมือส�ำคัญที่ พวกเขาใช้เพือ่ ต่อรองอัตลักษณ์แห่งชนชาติ ไม่ให้เลือนหาย ไปท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์ที่เชี่ยวแรง

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 19


INTERVIEW : สั ม ภาษณ์

มองมอญอี ก มุ ม กั บ

ธวัชพงศ์ มอญดะ เรื่ อ งและภาพโดย : อภิ ส รา บรรทั ด เที่ ย ง

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 20


ท�ำความรู้จักกับที่มา เอกลักษณ์ และการรักษา ไว้ซึ่งชาติของมอญ ผ่านมุมมองของ ธวัชพงศ์ มอญดะ ชายเชื้ อ สายมอญในชุ ม ชนมอญบ้ า นบางกระดี่ แขวงแสมด� ำ เขตบางขุ น เที ย น กรุ ง เทพมหานคร มหาดเล็ ก รั ก ษาพระองค์ ในสมเด็ จ พระเจ้ า ลู ก เธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และผู้ก่อตั้ง ศูนย์ศลิ ปวัฒนธรรมมอญ ทีค่ รัง้ หนึง่ ได้เคยลักลอบเข้าไป ในรั ฐ มอญ ประเทศพม่ า เพื่ อ ค้ น หาต้ น ก� ำ เนิ ด ของ บรรพบุรุษ มอญมาอยู่ในไทยได้อย่างไร โดยเฉพาะที่บางกระดี่ แห่งนี้? มีการจดบันทึกว่ามอญอพยพเข้ามาไทยถึงเก้าครัง้ แต่จริง ๆ แล้วมากกว่านั้นเพราะว่ามอญมีการติดต่อและ ค้าขายระหว่างไทยกับมอญนานมาแล้ว การอพยพเข้ามา ของคนมอญก็คือ หนีสงครามที่สู้รบกับพม่า โดยสงคราม ครัง้ ทีใ่ หญ่ทสี่ ดุ เกีย่ วกับการแย่งชิงพระไตรปิฎก คนมอญก็ เลยร่นหนีเข้าสู่ประเทศไทย มอญบางกระดี่จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่มอญที่มาจาก เมืองมอญเลยซะทีเดียว เป็นมอญอพยพเข้ามาอยูใ่ นชุมชน อืน่ ๆ แล้วค่อยมาตัง้ ถิน่ ฐานทีน่ ี่ เดิมทีบางกระดีเ่ ป็นป่าจาก และป่าฟืน คนมอญมีความรู้เรื่องการท�ำจากท�ำฟืนก็เลย มาตัดจากตัดฟืนตรงนี้ การไปมาหลายหนไม่สะดวก ก็ตั้ง ถิ่นฐานที่นี่ซะเลย เราสามารถแยกแยะลักษณะคนมอญออกจากคนไทยได้ อย่างไรบ้าง หรือมีวัฒนธรรมอะไรของมอญที่แตกต่าง จากไทยอย่างชัดเจน? คนมอญกับคนไทยจะแยกกันยากมาก แต่คนมอญ ส่ ว นใหญ่ จ ะผิ ว สี ด� ำ แดง ตาโต ดั้ ง จมู ก คม ใบหน้ า รูปไข่ ถ้าผู้หญิงจะแยกได้อย่างชัดเจนที่การเกล้ามวย ในส่วนวัฒนธรรม คนมอญนับถือพระพุทธศาสนาก็จริง แต่ก็ยังนับถือผีคู่ไปด้วย การถือผีของคนมอญก็ถือว่าเป็น กรอบอย่างหนึ่งที่ใช้สอนให้ลูกหลานท�ำคุณงามความดี ไม่ท�ำความชั่วต่อวงศ์ตระกูลและผู้อื่น ประเพณีของเรา ก็ แ ตกต่ า ง ไม่ ว ่ า จะเป็ น ประเพณี ก ารเกิ ด การตาย การด�ำรงชีวิต

“เราได้เห็นประเพณีมอญ มาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เล็กจนโต ปู่ยาตา ยายก็จูงมือเราเข้าวัด พ่อเราเองก็ชอบแอบไป ช่วยเหลือทหารมอญ” การที่เป็นคนมอญในไทย เคยมีใครตั้งค�ำถามถึงชนชาติ ของพี่บ้างมั้ย? ก็มีบ้าง สมัยเด็กตอนเรียนลิลิตตะเลงพ่าย ก็จะมี การพูดถึงมอญอยู่ในบทเรียนก็จะโดนล้อ แต่เราก็ไม่ได้คิด อะไร เราภูมิใจซะอีกที่ท�ำให้เขารู้จักมอญ โดยส่วนตัวมีความภูมิใจกับมอญอย่างไร แล้วอะไรเป็น แรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาท�ำงานเกี่ยวกับมอญ? เราได้เห็นประเพณีมอญมาตัง้ แต่เด็ก ตัง้ แต่เล็กจน โตเราก็ได้เข้าวัด ปูย่ าตายายก็จงู มือเราเข้าวัด เห็นการร�ำผี พิธีกรรม งานบวช งานแต่ง พ่อเราเองก็ชอบแอบไปช่วย เหลือด้านทหารมอญ เอายาเอาน�้ำเกลือ แม้กระทั่งแอบ ซ่อนพวกกระสุน อาวุธไปส่งให้คนมอญให้ทหารมอญตาม ชายแดน พ่อไปทีเป็นเดือน กลับมาได้ที 10 วันก็ไปอีก ยิ่งท�ำให้เราฝังใจ อยากจะท�ำแบบพ่อ กลายเป็นความ ภาคภูมิใจในความเป็นมอญของเรา ก็เลยท�ำให้เราลุกขึ้น มาท�ำงานเรื่องมอญ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมมอญนี้มีที่มาอย่างไร? ตอนทีเ่ ราอยูป่ . 4 มีคณะกรรมการในชุมชนเขาพูด ว่าจะท�ำพิพิธภัณฑ์มอญขึ้นที่วัด เราโตขึ้นมาจบม.3 ก็ยัง ไม่มีพิพิธภัณฑ์ จนกระทั่งเราไปเรียนปวช. แล้วบวชอยู่ที่ วัดบางกระดี่ เราเห็นเขารื้อโรงลิเกเก่า น่าเสียดายมาก บอกจะท�ำพิพิธภัณฑ์ก็ยังไม่เห็นท�ำสักที ช่วงที่เราบวชได้

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 21


เข้าเดือนที่ 8 ก็เห็นรถเข้ามากว้านซื้อของเก่าในชุมชน เราเห็นก็เสียดาย เลยคุยกับเจ้าอาวาสบอกให้ทำ� พิพธิ ภัณฑ์ ท่านเจ้าอาวาสก็เห็นดีด้วยแต่ไม่มีที่ให้ท�ำ เลยขอสึกแล้ว ออกมาเริ่มรวบรวมข้าวของเริ่มท�ำพิพิธภัณฑ์ขึ้นมา กลาย เป็นศูนย์ศลิ ปวัฒนธรรมมอญ มาจนถึงปัจจุบนั นีก้ ป็ ระมาณ สิบเก้าปีแล้ว ท�ำมาตั้งแต่อายุ 21 ได้ยินว่าครั้งหนึ่งที่เคยลักลอบเข้ารัฐมอญในพม่า ช่วย เล่าให้ฟังหน่อยว่าท�ำไมถึงต้องเข้าไป? กชภรณ์ ตราโมท นักวิจัยจากสถาบันไทยคดีศึ ก ษา มหาวิ ท ยาลั ย ธรรมศาสตร์ ซึ่ ง ได้ รั บ ทุ น จาก จิม ทอมป์สนั เขาก�ำลังท�ำวิจยั เรือ่ งการท�ำผ้ามอญ เขาเลือก เราเป็นผู้ช่วยวิจัย อาจารย์บอกว่าจะต้องเก็บตัวอย่างผ้า มอญในรัฐมอญมาให้ได้ ซึ่งต้องลงพื้นที่มะละแหม่ง ซึ่งแต่ เดิ ม พื้ น ที่ นี้ เ ป็ น รั ฐ ต้ อ งห้ า ม จะไม่ ค ่ อ ยให้ ค นไทยและ นักท่องเทีย่ วเข้าไป แต่ดว้ ยความอยากไปเห็น อยากรูเ้ รือ่ ง ราวของแผ่นดินมอญ เลยตัดสินใจไป เข้าไปได้อย่างไร อยู่ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง? การเดินทางของเราเป็นการลักลอบเข้าไป ไปถึง แม่สอดก็ไม่รู้จะข้ามไปยังไง ถ้าข้ามตรงสะพานที่นักท่อง เที่ยวข้ามแล้วเราไม่กลับมามันก็จะเป็นปัญหาระหว่าง ประเทศว่าคนไทยหายเข้าไป ก็เลยนั่งอยู่ที่ตีนสะพานตรง แม่สอด พอได้ยินเสียงคนพูดภาษามอญคุยกันก็เลยเดิน ตามเขา เราโชคดีทเี่ ราพูดภาษามอญได้ ก็บอกเขาว่าจะไป หมูบ่ า้ นเกาะสักทีม่ ะละแหม่ง เขาเลยพาเรานัง่ มอเตอร์ไซค์ เข้าไปถึงค่ายทหารมอญที่เมียวดีเพื่อขึ้นรถไปมะละแหม่ง พอไปถึงที่นั่นก็ไปพึ่งวัด เจ้าอาวาสเลยพาไปฝากให้อยู่กับ ชาวบ้านที่หมู่บ้าน แล้วก็โกหกคนอื่นว่าเป็นมอญพม่า อยู่ได้สักหกเดือน คนก็เริ่มรู้แล้ว เพราะเขาจับ ส�ำเนียงเราได้ เขาก็เรียกเราว่ามอญไทย แล้วก็เริ่มมีทหาร พม่ามาตามจับ แต่กเ็ ป็นความโชคดีของเราได้รบั ความช่วย เหลือจากทหารมอญ แล้วพอดีมที หารมอญทีย่ งิ กันกับพม่า เสียชีวิตไปคนหนึ่ง ก็เลยเอาชื่อเราเข้าสวมให้ แล้วให้เรา ไปท�ำบัตรประชาชน บัตรทหารมอญ เราจึงได้ชอื่ เป็นทหาร มอญ เป็นประชาชนคนมอญ ก็เลยตัดสินใจกลับไปบวชกับ เจ้าอาวาสที่วัดในเกาะสักหนึ่งปี และได้เดินทางไปนู้นไปนี่ ธวัชพงศ์ขณะบวชที่พม่า

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 22


“กาลเวลาท�ำให้ อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่ชุมชนเรายังโชคดี ที่ยังมีคนแก่คนเฒ่า เป็นคลังสมองให้เราอยู่ ประเพณีก็ยังปฎิบัติ กันอยู่”

ถูกกลืน แต่ถ้าถามว่าวันข้างหน้าอีกสิบปีมันจะหายไปมั้ย มันพูดไม่ได้ ที่เราท�ำอยู่ตรงนี้ เราแค่ท�ำให้เต็มที่ให้ดีที่สุด ที่จริงเด็กในชุมชนรุ่นหลัง ๆ เขาก็ยังมีความภูมิใจ ในความเป็นมอญของเขานะ เขาก็ยังรู้ภาษา เวลามีงาน กิจกรรมประเพณีอะไรในชุมชนก็จะได้ก�ำลังจากพวกเขา มาช่วยเยอะมาก พวกเขารู้ว่าประเพณีนี้เด็กต้องมาท�ำ อันนี้ จะรู้โดยอัตโนมัติเลยว่าหน้าที่ของเขาในชุมชน คือ อะไร ทุกอย่างถือเป็นการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอยู่แล้ว เป็นการปลูกฝังให้เห็นวัฒนธรรมไปในตัว อยากให้หน่วยงานใดของรัฐเข้ามาช่วยเหลือเรื่องนี้เป็น พิเศษมั้ย? ภาครัฐเราก็อยากให้เข้ามาช่วย โดยเฉพาะของ กระทรวงวัฒนธรรม เราก็เคยท�ำหนังสือไปหลายหนแล้ว แต่ก็เงียบ เราก็เลยต้องดิ้นรนท�ำกันเองในแบบฉบับที่เรา ท�ำได้

ในรัฐมอญ เก็บตัวอย่างผ้าทอมอญ พวกผ้าต่าง ๆ ผ้าผี ผ้านุ่งทั่วไป ผ้าเก่า ในเมืองไทยไม่มีแล้วไปให้ทีมวิจัย และ ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสองปีอย่างมีความสุขแล้วกลับมา ผ้ามอญทีต่ อนนีไ้ ม่มใี นไทยแล้ว หรือภาษามอญทีค่ นพูด ได้น้อยลง คิดอย่างไรกับวัฒนธรรมมอญในไทยก�ำลัง เจือจางไป? ผมว่าวัฒนธรรมมอญมันก็ใกล้เคียงกับของคนไทย ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษาของชุมชน ว่าใครจะเก็บอะไรได้ มากได้น ้อยขนาดไหน เพราะตอนนี้ความเจริญ ถนน หนทาง กาลเวลามันท�ำให้อะไรหลายอย่างเปลีย่ นแปลงไป อยูแ่ ล้ว แต่ชมุ ชนเรายังโชคดีทมี่ คี นเฒ่าคนแก่ทยี่ งั เป็นคลัง สมองให้เราอยู่เยอะ ประเพณีก็ยังปฏิบัติกันอยู่ มันก็เลย ท�ำให้อะไรหลาย ๆ อย่างยังอยู่คู่คนมอญ แล้วในอนาคตมองว่าจะรักษาอัตลักษณ์ชนชาติเราไว้ได้ อย่างไร สามารถฝากความหวังไว้กบั เด็กรุน่ หลังได้ไหม? เราพูดไม่ได้หรอกครับ อย่างถ้าเกิดผู้ชายมอญ แต่งงานกับผูห้ ญิงไทย ทางผูห้ ญิงเขาก็ตอ้ งมาเข้าทางมอญ เพราะว่าผีจะอยู่กับลูกผู้ชาย แต่ถ้าเกิดผู้หญิงมอญไปแต่ง กับคนไทย เขาก็แค่หมดผี เพราะฉะนัน้ มันยังยากทีจ่ ะท�ำให้ นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 23

ธวัชพงศ์ขณะเดินทางศึกษาศิลปะวัฒนธรรมมอญ


TRAVEL : ท่ อ งเที ่ ย ว

ดื่ ม ชิ ล ล์ ๆ บนเกาะเกร็ ด พื้ น ที่ ผ สมของความเก่ าและใหม่ เรื ่ อ งและภาพ โดย : นริ ศ รา สื ่ อ ไพศาล

บ่ายวันเสาร์หนึง่ ในหน้าร้อนอันอบอ้าว หลังจาก ขับรถมาเกือบชั่วโมง ยานพาหนะสี่ล้อจึงได้เคลื่อนตัว ผ่านทางด่วนด่านที่ 3 แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด อีก 4 กิโลเมตรเราก็จะไปถึงท่าเรือข้ามฟากไปยังเกาะเกร็ด ซึ่งเป็นหมุดหมายของเราในวันนี้

เปิ ด ต้ อ นรั บ นั ก ท่ อ งเที่ ย วให้ เ ข้ า มานั่ ง ชิ ล ล์ ซึ บ ซั บ บรรยากาศไลฟ์สไตล์บนพื้นที่ชุมชนเก่าของชาวมอญที่ เข้ากันได้อย่างไม่ขัดเขิน

ท่าเรือไปยังเกาะเกร็ดอยู่ที่วัดสนามเหนือ ซึ่งจะ พาเราข้ามแม่นำ�้ เจ้าพระยาไปยังวัดปรมัยกิ าวาส วัดส�ำคัญ บนเกาะเกร็ดในราคาไม่แพงเพียงเทีย่ วละ 2 บาท หลังจาก ตากแดดยืนรออยู่ราว 5 นาที เรือข้ามฟากก็เข้าเทียบท่า พาหนะลอยน�้ำที่แล่นเอื่อยท่ามกลางแดดยามบ่ายค่อย ๆ พาเราข้ามไปยังเกาะเกร็ด เกาะกลางน�ำ้ แห่งแม่นำ�้ เจ้าพระยา แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อด้านเครื่องปั้นดินเผาของจังหวัด นนทบุรี ที่ส�ำคัญยังเป็นชุมชนชาวมอญเก่าแก่นับตั้งแต่ สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช

ตลอดทางเดินจากปากทางเข้าหมู่ที่ 1 ทั้ง 2 ฝั่งมี ร้ า นอาหารและร้ า นกาแฟที่ ต กแต่ ง อย่ า งทั น สมั ย อยู ่ ประปราย จุดหมายของเราในวันนี้คือร้าน ‘CHIT BEER’ ร้านคราฟเบียร์รมิ น�ำ้ ทีก่ ำ� ลังโด่งดังในโลกออนไลน์เพือ่ ลอง เบียร์โฮมเมดสัก 2-3 แก้ว โดยมี ‘พี่ชิต’ วิชิต ซ้ายเกล้า เจ้าของร้านช่วยแนะน�ำเบียร์ที่น่าสนใจ นอกจากจะขาย คราฟท์เบียร์แล้ว ทีน่ ยี่ งั เป็นโรงเรียนสอนท�ำคราฟท์เบียร์ให้ กับคนที่สนใจ และยังเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนส�ำหรับชาว ต่ า งชาติ ที่ ส นใจในเรื่ อ งกระบวนการท� ำ เบี ย ร์ อี ก ด้ ว ย ยืนยันได้จากจ�ำนวนนักดืม่ ทีเ่ ต็มร้านจนไม่มที นี่ งั่ และเกือบ ครึ่งเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางมาเพื่อดื่มเบียร์โดยเฉพาะ

หลังจากลงจากเรือข้ามฟาก นักท่องเที่ยวต่างก็ เลีย้ วขวามุ่งหน้าเข้าสู่โซนตลาดนัดเพื่อจับจ่ายซื้อของ บ้าง ก็หาเช่าจักรยานขี่รอบเกาะตลอดระยะทาง 6 กิโลเมตร แต่จุดหมายของ ‘นิสิตนักศึกษา’ ไม่ใช่การเดินชมตลาด เราเดินเลี้ยวซ้ายเข้าสู่หมู่ 1 ซึ่งเป็นชุมชนบ้านริมน�้ำ ที่มี บรรดาร้านกาแฟและร้านอาหารหลายเจ้าจับจองพื้ น ที่

เบียร์แก้วแรกที่ได้ลิ้มลองคือ Kolsch เป็นเบียร์ ชนิดลาเกอร์ (Lager) ซึง่ เป็นเบียร์สเี หลืองใส ๆ รสชาติเบา ให้ความรู้สึกสดชื่น ส่วนแก้วต่อมาคือ Amber เป็นเบียร์ ชนิดเอล (Ale) ซึ่งมีสีค่อนไปทางเหลืองอ�ำพันตามชื่อ โดยรสชาติและกลิ่นจะเข้มข้นกว่า โดยรวมแล้วรสชาติ เบียร์ดี คุ้มค่าราคาแก้วละ 120 บาท บวกกับบรรยากาศ

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 24


ริมแม่นำ�้ เจ้าพระยาน่านัง่ แล้ว ถือเป็นจุดทีค่ นชอบดืม่ เบียร์ ยั ง ใช้ ส อยได้ จ ริ ง อี ก ด้ ว ยนอกจากนั้ น พี่ เ บญยั ง ได้ สั่ ง ท� ำ ไม่ควรพลาดหากแวะมาเยือนเกาะเกร็ด ผลิ ต ภั ณ ฑ์ อื่ น ๆ เช่ น กาน�้ ำ และถ้ ว ยบดกาแฟด้ ว ยมื อ ขนาดเล็ก แม้ว่าร้านกาแฟของเธอจะเป็นร้านที่มีรูปแบบ ช่วงบ่ายแก่ ๆ เพราะร้านเบียร์คนแน่นจนไม่มีที่นั่ง ทันสมัย ตกแต่งแบบโมเดิร์น ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ‘พีเ่ บญ’ หรือ เบญจมาศ แก้วเก็บ เจ้าของร้านกาแฟ ‘คัว่ มือ’ ที่ชอบจิบกาแฟและถ่ายภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือน ร้านกาแฟทันสมัยถ่ายรูปสวย ซึ่งเปิดอยู่ตรงข้ามร้านเบียร์ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม การอยู่ร่วมกันกับผู้ที่อยู่ จึงใจดีให้เรายกเบียร์มานั่งจิบที่ร้านของเธอแทน เธอไม่ใช่ อาศัยมาก่อนนั้นเป็นสิ่งที่ส�ำคัญ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนเกาะ คนเกาะเกร็ดโดยพื้นเพ เพียงแต่มาเช่าที่เปิดร้านกาแฟที่นี่ เกร็ด แต่เธอก็มองเห็นถึงคุณค่าและเอกลักษณ์ของชุมชน ได้ 7 เดือนแล้ว นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 แห่งนี้ จึงได้มีการปรับเปลี่ยนให้บางอย่างในร้านมีความ กลมกลืน ผสมผสานไปกับวัฒนธรรมถิ่นเดิม “ร้านพี่จะเน้นความสดใหม่ของกาแฟ และเน้นให้ ลูกค้ามาท�ำเอง” พี่เบญบอก โดยจุดขายของร้านคือจะมี “ก็ปรับตัวอยู่กันได้” พี่เบญเสริมว่าการที่หมู่ 1 มี เมนูทใี่ ห้ลกู ค้าท�ำกาแฟด้วยตนเอง เริม่ ตัง้ แต่ควั่ เมล็ดกาแฟ คาเฟ่และร้านค้าทันสมัยเกิดขึน้ เป็นการเรียกนักท่องเทีย่ ว จากนั้นน�ำมาบด ชง และดื่ม โดยเมนูกาแฟท�ำมืออยู่ที่ชุด ต่างชาติให้เพิ่มมากขึ้นด้วย “ร้านแบบนี้ฝรั่งเขาชอบแนว ๆ ละ 200 บาทเท่านั้น ดื่มได้หลายคนอีกต่างหาก นี้น่ะ ฝรัง่ เขาจะไม่ชอบเดินทางโน้น (ตลาดหมู่ 7) เมือ่ เช้าพี่ ก็ขายกาดินเผาไปใบหนึ่ง ฝรั่ง คนญี่ปุ่น เขาชอบ” พี่เบญ แม้ว่าจะไม่ใช่คนท้องที่ แต่พี่เบญก็สนิทสนมกับ บอก ก่อนขอตัวไปต้อนรับลูกค้าต่างชาติชุดใหม่ที่เดิน เพื่อนบ้านเป็นอย่างดี ที่ส�ำคัญในร้านกาแฟ ‘คั่วมือ’ นั้น เหงื่อซ่กเข้ามาในร้าน เป็นแก้วกาแฟที่ท�ำจากเครื่องปั้นดินเผาซึ่งสั่งท�ำโดยตรง จาก ‘กลุม่ หัตถกรรมเครือ่ งปัน้ ดินเผา หมู่ 1 โอทอปต้นแบบ’ เกาะเกร็ดยังคงเป็นที่ ๆ มีนกั ท่องเทีย่ วแวะเวียนมา ทีก่ อ่ ตัง้ แต่ปี พ.ศ.2540 เพือ่ ส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิก เยี่ยมชมเรื่อย ๆ ร้านค้าจากแต่ก่อนที่เป็นของคนในชุมชน ในกลุ ่ ม การท� ำ หั ต ถกรรมเครื่ อ งปั ้ น ดิ น เผาของชาวไทย ท�ำกันเอง ก็เริ่มมีคนนอกเข้ามาจับจองพื้นที่มากขึ้นพร้อม เชื้อสายมอญในพื้นที่ จนได้มีการพัฒนาฝีมือ คุณภาพ และ กับความทันสมัยที่เข้ามาด้วย หลายคนอาจจะคิดว่าเกาะ รูปแบบผลิตภัณฑ์ตามสมัยปัจจุบันและเพื่อให้ชุมชนมอญ เกร็ดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เก่าแก่ เต็มไปด้วยวัฒนธรรม เกาะเกร็ดเป็นศูนย์การเรียนรู้และศูนย์กลางการผลิตและ และวิถีชีวิตดั้งเดิม แต่ในอีกมุมหนึ่ง เกาะเกร็ดก็เริ่มมีร้าน จ�ำหน่ายเครื่องปั้นดินเผา คาเฟ่ ฮิ ป ๆ เกิ ด ขึ้ น หลายแห่ ง โดยที่ ร ้ า นบางร้ า นก็ พยายามผสมผสานไลฟ์สไตล์ทนั สมัยให้เข้ากับความเก่าแก่ แก้วกาแฟของร้าน ‘คัว่ มือ’ จึงเป็นถ้วยกาแฟดินเผา และดั้งเดิมของชุมชน เพื่อให้มีจุดขายเรียกนักท่องเที่ยวให้ ทรงกลมมีหจู บั ทีผ่ ลิตจากดินเหนียวท้องนา มีการสกรีนโลโก้ แวะเวียนเข้ามามากขึน้ เป็นความสัมพันธ์แบบพึง่ พาอาศัย ของร้านบนแก้ว ซึ่งนอกจากจะเป็นของที่ระลึกได้แล้ว เพือ่ รักษาการท่องเที่ยวแห่งเกาะเกร็ดให้ยั่งยืน

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 25


FOOD : อาหาร

ความพิถีพิถัน แห่งชนชาติ

เรื ่ อ งโดย : มั น ตา อำ�นวยเวโรจน์

ชาวมอญมีชื่อเสียงในเรื่องการสืบทอดวัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมด้านอาหาร อันละเอียดลออและเต็มไปด้วยขั้นตอนการปรุงที่พิถีพิถัน วัฒนธรรมอาหารของพวกเขา มักมาควบคู่กับพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของชาติพันธุ์ นอกจากนั้นวัฒนธรรม อาหารของชาวมอญยั ง ได้ ก ลายมาเป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของวั ฒ นธรรมอาหารไทยในปั จ จุ บั น หากกล่าวถึงอาหารไทยที่ได้รับอิทธิพลจากมอญ ข้าวแช่คงเป็นจานแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึง ทว่าข้าวแช่ในแบบฉบับมอญแท้ๆ นั้นเป็นอย่างไร เรือ่ งราวของข้าวแช่มอญได้ถกู บันทึกไว้ในงานวิชาการจ�ำนวนมากทีศ่ กึ ษาเกีย่ วกับวิถชี วี ติ ของชาวมอญ อรสา เงินฉาย ได้ระบุไว้ในการศึกษาเรื่องวัฒนธรรมชุมชนชาวมอญเกาะเกร็ด เมื่อปีพ.ศ.2550 ว่า ข้าวแช่เป็นอาหารที่ชนชาติมอญนิยมน�ำมาทําในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ใน ภาษามอญเรียกว่า ‘เปิงด้าจก์’ แปลตรงตัวว่า ‘ข้าวนํ้า’ จะรับประทานกับเครื่องเคียงห้าถึงเจ็ด ชนิด เช่น ผัดผักกาดกับกะทิ เนื้อเค็มผัดกะทิ ลูกกะปิทอด กระเทียมดองผัดไข่ หอมแดงสอดไส้ ปลาเค็มผัดหวาน พริกหยวกสอดไส้ไข่เค็ม เป็นต้น ทว่าข้าวแช่มอญไม่ได้มีอยู่แค่ที่เกาะเกร็ดเท่านั้น ถวิล มอญดะ หรือ ป้าพู หญิงอาวุโส เชื้อสายมอญซึง่ อาศัยอยูใ่ นชุมชนมอญบางกระดีม่ าร่วม 60 ปี และยังคงรักษาสูตรการท�ำข้าวแช่ ต�ำหรับมอญทีไ่ ด้รบั สืบทอดมาจากบรรพบุรษุ ได้เล่าว่า กรรมวิธกี ารท�ำข้าวแช่ตามสูตรบรรพบุรษุ ของป้านั้นต้องอาศัยความละเมียดละไมและใช้เวลาข้ามคืนกว่าจะครบกระบวนการ โดยเริ่มต้น ตั้งแต่การเลือกเมล็ดข้าวที่ควรเป็นข้าวสารเมล็ดสวย ไม่ยาวมากและไม่หัก จากนั้นน�ำมาซาวน�้ำ ประมาณเจ็ดครั้งจนสะอาดแล้วจึงน�ำข้าวไปใส่ลงในหม้อดิน นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 26

ภาพจาก : manager.co.th

‘ข้ า วแช่ ม อญ’


ป้าพูยำ�้ ว่าหม้อทีใ่ ส่ขา้ วแช่ตอ้ งเป็นหม้อดินเผาใหม่ ที่ ไ ม่ เ คยถู ก ใช้ ม าก่ อ น ซึ่ ง อาจมี ชื่ อ เรี ย กหลากหลาย ตามแต่ละชุมชนมอญ ทัง้ หม้อตาล หม้อทะนน หม้อคะนน และหม้อขนม หม้อเหล่านีจ้ ะต้องน�ำไปลนด้วยกาบมะพร้าว เพื่ อ ให้ ห ม้ อ หอมกลิ่ น ควั น ก่ อ นจะน� ำ มาใช้ หุ ง ให้ ไ ด้ ข้าวเมล็ดสวย “การหุงข้าวที่จะเอามาแช่ต้องห้ามหุงให้ ข้าวแฉะไปและห้ามไหม้ด้วย พอข้าวสุกให้เทน�้ำออก แล้ว เอาข้าวเม็ดอูมผึง่ ทิง้ ไว้บนผ้าขาวบาง ๆ จนข้าวเย็น หลังจาก นั้นยังต้องซาวข้าวที่ผึ่งเย็นแล้วอีกสองสามครั้งให้ข้าว สะอาดจริง ๆ” ป้าพูเสริม เมื่อถามถึงน�้ำที่จะน�ำมาแช่ข้าว ป้าพูเล่าว่าน�้ำ ต้ อ งผ่ า นการให้ เ ดื อ ดจนสะอาดแล้ ว ทิ้ ง ไว้ ใ ห้ เ ย็ น ก่ อ น จะลอยดอกไม้ เช่น มะลิ กุหลาบมอญ หรือชมนาด ลงไป และอาจตามด้วยการอบควันเทียนเพือ่ เพิม่ กลิน่ หอมขึน้ อีก ก็ได้ “ยิ่งอบเทียนซ�้ำหลายครั้ง ก็จะยิ่งได้รสชาติที่ดีและ กลิ่นที่หอมเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน” ป้าพูเผยเคล็ดลับ ป้ าพู อ ธิ บ ายกรรมวิธีอย่างเพลิด เพลิน จนมาถึ ง ขั้ น ตอนสุ ด ท้ า ย นั่ น คื อ การเทข้ า วสุ ก ผสมกั บ น�้ ำ ที่ อ บ กลิ่นหอมลงไปในหม้อดินอีกครั้ง ก่อนจะผูกปิดปากหม้อ ด้วยผ้าขาว ป้าพูยังเสริมว่า ด้วยธรรมชาติของหม้อดิน จะท�ำให้อณ ุ หภูมขิ องข้าวเย็นลงอีกและยังช่วยเก็บกลิน่ หอม ของข้าวให้คงอยู่นานยิ่งขึ้น ผสมรวมกับกลิ่นหอมดินไหม้ ของตัวหม้อด้วย

แต่ต้องอาศัยความพิถีพิถันในการปรุง อย่างเช่นการปรุง รสปลาแห้งป่น จะต้องน�ำปลามาท�ำเค็มก่อนตากแห้ง จาก นั้นน�ำมาย่างจนสุกแล้วน�ำไปบดเนื้อให้ละเอียด คลุกลงใน ครก ใส่เกลือและน�้ำตาลลงไปเพื่อรสชาติที่กลมกล่อม “แต่บางเครื่องเคียงก็ท�ำไม่ยาก อย่างไข่เค็มคนส่วนใหญ่ ก็มตี ดิ บ้านอยูแ่ ล้ว น�ำมาย�ำก็ได้ ผัดไชโป๊หรือกระเทียมดอง ก็ง่ายแตกต่างกันไปแล้วแต่ฐานะบ้าน” ป้าพูกล่าว นอกจากนัน้ ป้าพูยงั ได้แยกให้เห็นว่า ข้าวแช่สตู รใหม่ ทีช่ าวไทยน�ำมาประยุกต์วธิ ที ำ� เช่น การหุงข้าวพร้อมใบเตย การดัดแปลงเพิ่มรสชาติให้กับเครื่องเคียงให้มีรสจัดขึ้น แตกต่างจากต้นต�ำหรับของชาวมอญ​ ทั้งความใส่ใจใน รายละเอี ย ดการปรุ ง อั น พิ ถี พิ ถั น ที่ ล ดน้ อ ยลงไปมาก จากการเลือกใช้ข้าวเม็ดแข็งเนื่ องจากหุงง่าย และจาก กรรมวิธีการอบควันเทียนหรืออบน�้ำดอกไม้ที่น้อยครั้งลง “ข้าวแช่ไทยที่วางขายตามตลาดทั่วไปดูเผิน ๆ อาจไม่เห็น ว่าแตกต่าง แต่ถา้ ได้ลองลิม้ รสข้าว แล้วซดน�ำ้ ข้าวแช่เข้าไป ก็จะรู้ได้ทันทีว่าข้าวแช่หม้อไหนเป็นข้าวแช่ตามฉบับมอญ ที่แท้จริง”

ส่วนเครื่องเคียงหรือเครื่องรับประทานกับข้าวแช่ ป้าพูบอกว่าสูตรข้าวแช่ของตนนั้นมีเครื่องเคียงไม่มาก

‘ความเชื่อของมอญเกี่ยวกับข้าวแช่’

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 27

ภาพจาก : manager.co.th

ในอดี ต ชาวมอญได้ ถื อ การหุ ง ข้ า ว แช่เป็นพิธีกรรมบูชาเทวดาอย่างหนึ่ง เมื่อจัด เตรียมข้าวแช่เสร็จ ชาวมอญจะจุดธูปเทียนเชิญ ท้าวกบิลพรหมลงมาเสวยข้าวแช่ จากนั้นจะ พากันนำ�ข้าวแช่ไปถวายพระ เมื่อจบจากงาน บุญที่ วัดหนุ่มสาวจะตั้งขบวนแห่ข้าวแช่ไปให้ ผู้หลักผู้ใหญ่ในชุมชน เหลือจากนั้นจึงจะนำ�มา กินกันเอง


COMMUNITY'S VOICES : กระบอกเสี ย งชุ ม ชน

ชาวมอญชอบประเพณี ไ หน เรื่ อ งและภาพโดย : กนต์ ธ ร พิ รุ ณ รั ต น์ , เกศญา เกตุ โ กมุ ท

?

ชอบทะแยมอญแต่ลุงเล่นไม่เป็นนะ เพราะลุงไม่ใช่คนมอญดั้งเดิมแท้ แต่ลุงชอบดูมันสวยและมีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร นายรอด นิ่ ม ตานี อาชี พ ท� ำ แส้

เทศกาลสงกรานต์ที่เกาะเกร็ดนี่ ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะการสรงน�้ำพระ หรือแม้กระทั่งก่อนไปวัด คนมอญก็จะมี พิธีกรรมที่โดดเด่น นายสายั น ต์ สอนส� ำ แดง อาชี พ ธุ ร กิ จ ส่ ว นตั ว

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 28


ผมชอบภาษามอญเวลาอยู่ที่บ้านปู่ พ่อและแม่ก็พูดภาษามอญ แต่พอไป โรงเรียนผมไม่กล้าพูดภาษามอญ เพราะที่โรงเรียนไม่มีใครพูดภาษามอญ ด.ช.ธนวั ฒ น์ ปุ ง บางกะดี่ นั ก เรี ย น

ชอบการท�ำบุญไปวัดไปทุกวันพระและ ทุกเทศกาลต่างๆ เวลาไปวัด พระก็จะ สวดเป็นภาษามอญ คนไทยไปฟังก็จะฟัง ภาษาสวดไม่เข้าใจ นางสมบู ร ณ์ พุ ด เครื อ อาชี พ แม่ บ ้ า น

ชื่นชอบภาษามอญ ภาษามอญมี เอกลักษณ์และส�ำเนียงที่ไม่เหมือน ใคร เวลาคนพูด เราเองยังชอบฟัง เลยมันเพราะ นางเอกจิ ต รา เอี่ ย มหล่ อ อาชี พ แม่ บ ้ า น

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 29


CULTURE : วั ฒ นธรรม

“เมียะ เงอระอาว” เรื่ อ งและภาพโดย : เกศญา เกตุ โ กมุ ท

“เมี ย ะ เง อ ระอาว สวั ส ดี ค  ะ สวั ส ดี ค รั บ ” คํ า ทั ก ทายลอยผ า นเข า หู เ มื่ อ ก า วเข า สู  ชุ ม ชนมอญ บางกระดี่ ภาษาที่ฟงดูแปลกหูและเปนเอกลักษณขาง ตนนั้นคือภาษาพื้นเมืองของชาวมอญที่คนเฒาคนแก ของชุมชนแหงนีย้ งั คงใชพดู สือ่ สารในชีวติ ประจําวันและ พวกเขายังตองการสืบทอดใหคงอยูตอไป ในชุมชนบางกระดีช่ าวบานทีม่ อี ายุประมาณ 40 ปขึ้นไปยังใชภาษามอญในการสื่อสารสลับกับภาษาไทย ภาคกลาง หากแตมชี าวบานเพียงไมกคี่ นเทานัน้ ทีส่ ามารถ เขียนและอานตัวอักษรมอญได ทวาทางชุมชนแหงนี้ยังคง รวมมือกันเพือ่ อนุรกั ษภาษามอญไว เห็นไดจากภาษามอญ บนปายบอกทางและปายชือ่ บานแตละหลังในชุมชนทัง้ ยัง มีการรวมมือกันเพือ่ จัดสอนภาษามอญใหกบั พระสงฆและ เด็ก ๆ ภายในชุมชนดวย คุณลุงกัลยา ปุงบางกระดี่ คือหนึ่งในผูที่ตองการ สืบสานการใชภาษามอญ เขารับอาสาทําหนาทีเ่ ปนครูสอน ภาษามอญซึ่งเปนดั่งหัวใจในการอนุรักษภาษาประจํา

ชนชาติใหกับพระสงฆและเด็ก ๆ ภายในชุมชน คุณลุงให เหตุผลสั้น ๆ วาเขามีใจรักและอยากใหความเปนมอญ ยังคงอยูต อ ไปเรือ่ ย ๆ “การรักษาภาษาเอาไวเปนเรือ่ งทีไ่ ม งาย เพราะเด็กรุนใหมเริ่มที่จะไมเปดรับกับภาษาเกา ๆ แบบนี้ แตก็ยังโชคดีที่มีบางสวนที่สนใจ และรูสึกสนุกไป กับการพูดไดหลากหลายภาษา” ลุงกัลยาเสริม ด.ญ.ณั ฐ วรรณ เปลื้ อ งผานก หรื อ ส ม โอ นักเรียนชั้นป.6 โรงเรียนบางกะดี่ ผูซึ่งสามารถสอบวัดผล ภาษามอญไดคะแนนอยูในกลุมสูงของผูสอบ นั่นคือ รอย ละ 77 เลาวา ภาษามอญเปนเรื่องยากสําหรับเธอเพราะ ตองเรียนตัวอักษรใหมทั้งหมด แตเนื่องจากยาและแมใช ภาษามอญพูดสือ่ สารกันในบาน เธอจึงอยากทีจ่ ะเรียนรูใ ห สามารถอานเขียนและสามารถรวมพูดภาษามอญกับพวก เขาได “หนูไมอายที่จะพูดมอญในชีวิตประจําวัน เพราะ หนูคดิ วา ในเมือ่ บานเราเปนมอญ เราก็ควรพูดมอญไดและ เขาใจเวลาใครพูดกับเรา ภาษาทําใหคนเขารูว า เราเปนใคร ไมเห็นตองอาย”

คําทักทายภาษามอญ

สวัสดี : แหม็ะ เงยระอาว / เมียเงอ ระอาว สบายดีไหม : หมองหมิบหมองยา บานอยูที่ไหนหรือ : ออยหนุมอะลอเรา พูดภาษามอญไดไหม : ฮามอะเหรหมอนเกอะเหอะเกอะฮา ที่มา : www.monstudies.com

นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 30


นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา 31



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.