Read & Roam UmPhang
Bag Packing การเดินทาง จากกรุงเทพสู่อ้มผาง มีระยะทางประมาณ 700 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ส่วน ตั ว ประมาณ 11-12 ชั่ ว โมง และถ้ า จะเข้ า ไปที่ ห มู ่ บ ้ า นกุ ย เลอตออี ก ต้ อ งใช้ เ วลาประมาณ 3 ชั่วโมง สามารถเดินทางด้วยรถประจ�ำทาง สายกรุงเทพ - แม่สอด ของบริษัทขนส่งจ�ำกัด ขึ้นรถที่ สถานีขนส่งผู้ โดยสารหมอชิตจากนั้นขึ้นรถสองแถวประจ�ำทางจากแม่สอดไปยังอุ้มผาง การจัดกระเป๋า ส�ำหรับใครที่คิดจะไปค้างคืนในป่า นอกจากเสื้อผ้าแล้วยังต้องมีถุงนอน เต๊นท์แล้วยังต้องเตรี ยมอาหารและอุปกรณ์ตา่ งๆเข้าไปด้วย การจัดกระเป๋าเดินป่าจึงไม่ ใช่เรือ่ งง่ายแนะน�ำให้หาเป้แบ็ค แพ็คดีๆสักใบทีช่ ว่ ยในการกระจายน�ำ้ หนัก ใบใหญ่พอประมาณสัก 40-50 ลิตร เพือ่ ช่วยให้การเดิน ป่าของเราสะดวกยิ่งขึ้น ด้วยสัมภาระที่เราต้องพกไปในทริคการจัดกระเป๋าในทริปมีเยอะและน�้ำหนักมาก การจัดวาง สิ่งของต่างๆลงไปจึงจ�ำต้องมีการกระจายน�้ำหนัก เพื่อมิให้ต้องปวดเมื้อยกล้ามเนื้อกันมากเกินไป โดยให้เอาถุงนอนซึ่งมีน�้ำหนักเบาไว้ล่างสุด แล้วตามด้วยเต๊นท์ที่หนักสุด โดยอาจแยกส่วน เฉพาะ ตัวเต๊นท์ ส่วนเสาให้เอาไว้ด้านข้างของกระเป๋า จากนั้นจึงตามด้วยอาหารและอุปกรณ์ต่างๆที่มีน�้ำ หนัก ต่อด้วยเสื้อผ้าเท่าี่จ�ำเป็นแนะน�ำให้น�ำเสื้อแขนยาวขายาวไปด้วยในการเดินป่าเพราะจะช่วย ป้องกันแมลงและกิ่งไม้ขีดข่วนได้ด้วย สุดท้ายบนสุดจึงเป็นพวกอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่างๆ อย่าง กล้องถ่ายรูปหรือมีดพกที่อาจต้องหยิบมาใช้ระหว่างทาง และอย่าลืมพวกขวดน�้ำ และลูกอมต่างๆ ไว้ข้างๆกระเป๋าเพื่อสะดวกเวลากระหายระหว่างทาง เมื่อจัดกระเป๋าเสร็จแล้วก็ออกเดินทางกันได้ เลย
แผนที่ กลองถายรูป และอุปกรณอื่นๆ
เสื้อผา อาหาร และอุปกรณ เตนท ถุงนอน
คุยกับ ลุงสมหมาย ปราชญ์ กระเหรีย่ งฤๅษี
รักษาป่า ดูแลต้นน�้ำ เพื่อใคร?? “ ส า ย น�้ ำ ทุ ก ส า ย ไ ห ล ล ง สู ่ ท ะ เ ล ” นี่ ค� ำ พู ด นี้ อ าจคงเป็ น ประโยคเรื่ อ งที่ ใคร ๆ หลายๆคนต่างคุน้ เคยรูด้ ี แต่สำ� หรับลุงสมหมาย หรือ สมหมาย ทรัพย์รังสิตกุล ปราชญ์ชาว กระเหรีย่ งปกาเกอะญอ บ้านหม่องกัว๊ ะ ต.แม่จนั อ.อุ้มผาง จ.ตาก นี่คือค�ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นหลักค�ำ สอนของฤๅษีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตา ยาย เพื่อเตือนใจว่า พวกเขาคือคนต้นน�้ำที่ ใช้ ชีวิตผูกพันพึ่งพาอาศัยป่าและน�้ำ จ�ำต้องดูแล รักษามันไว้เพือ่ คนทีข่ า้ งล่าง เพราะน�ำ้ คือชีวติ ที่ หล่อเลี้ยงคนทุกคนไม่ว่าจะอยู่ต้นน�้ำหรือปลาย น�้ำ วันนี้เราจะมาคุยกับลุงสมหมายถึงแนวคิด เหล่านี้กัน กระเหรี่ยงฤาษี คืออะไร ฤาษี เป็นลัทธิๆหนึ่งที่ชาวปกาเกอะญอ นับถือกันหลายชั่วอายุคน ทั้งค�ำสอนของฤาษี และปกาเกอะญอ มี ใจหลักที่เหมือนกันคือ ต้อง ดูแลต้นน�้ำล�ำธาร ต้องดูแลป่า โดยจะมีข้อห้าม ต่างๆ ที่จะช่วยกันรักษาป่า ทั้งการห้ามท�ำไร่ ในพืน่ ทีป่ า่ ลึก พืน้ ทีต่ าน�ำ ้ และจะมีพธิ รี กั ษาต้นน�ำ ้ และนอกจากนั้นยังมีวิถีชีวิตที่แตกต่างออกไป แต่เดิมนัน้ ลุงเล่าว่าคนทีน่ บั ถือฤาษีจะห้ามกินหมู กินไก่ ห้ามกินเหล้าเบียร์ ถึงแม้คนอืน่ จะเอามา ก็เอาเข้าบ้านไม่ ได้เลย แต่ตอนนีย้ คุ สมัยเปลีย่ น ไป มีการเลี้ยงสัตว์ กินสัตว์มากขึ้น เพราะแต่ เดิมนัน้ จะหากินเอาแต่ของป่า แต่ทกุ วันนีเ้ มือ่ ป่า ลดลง ถ้ายังคงกินแต่ของป่า ป่าจะหมดไป ให้เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลง “ความเจริญเข้ามาทุกสิง่ ทุกอย่างจะดีหมด แต่ ไม่จริง น�้ำมันจะแห้ง ป่ามันจะหมด มนุษย์
เราจะเดือดร้อน เท่ากับวิกฤตเข้ามา แต่เราต้อง ตัง้ ตัวให้ดๆี ถ้าเราตัง้ สติไม่ดี ไม่อยูแ่ บบฤาษี วัน ถึงแม้ว่าพื้นที่ต.แม่จัน โดยรอบตอนนี้กลายเป็นไร่ ข้างหน้าจะล�ำบากมากกว่า” ข้ า วโพดเกื อ บหมดแล้ ว เพราะ นอกจากชาวบ้านจะสามารถกู้เงินธกส. จัดการกับปัญหาในไร่ ในนาโดยไม่ ใช้สารเคมี ได้ง่ายกว่าการท�ำไร่หมุนเวียนแบบที่ลุงท�ำอยู่ ลุ ง สมหมายเล่ า ว่ า นอกจากนาข้ า วแล้ ว บริษัทรับซื้อยังจัดหาเมล็ดพันธ์ ปุ๋ยและยาให้ ไร่อื่นๆจะไม่มีเจ้าของ แต่ถือว่าเป็นของทุกคน เสร็จสรรพ แต่ลุงกลับมองว่าข้าวโพดเปรียบ ใครจะใช้ ป ลู กอะไรก็ ผลั ด กั นไป 3-5 ปี ท� ำ เสมือนเป็นเป็นต้นหนี้ และนอกจากนัน้ ยังใช้สาร หมุนเวียนกันไปแต่ ไม่ ใช่ถางป่าแบบไร่เลือ่ นลอย เคมียังเป็นเหตุท�ำให้ต้นน�้ำหลายสายเปลี่ยนไป ที่หลายคนเข้าใจ เป็นการใช้วิธีธรรมชาติไม่ ให้ “ข้าวโพดรายได้ดี ถ้าปลูกข้าวโพดจะเบิก ดินเสือ่ ม ขอแต่มขี อ้ ตกลงเพียงอย่างเดียวคือว่า เงินธกส.ได้ทนั ที แต่เราท�ำแบบนีธ้ กส.ไม่รวู้ า่ เรา ต้องช่วยกันรักษา และห้ามใช้สารเคมี ท�ำไร เบิกไม่ ได้ บางคนก็ ไม่ ได้กำ� ไร บางคนก็ ได้ ส่ ว นการจั ด การกั บ แมลงในไร่ น านั้ น คนได้ก�ำไรเยอะก็นายทุน พ่อค้าคนกลาง เดี๋ยว ปราชญ์ชาวกระเหรี่ยงว่าไม่ ใช่เรื่องยากถ้าหาก นี้ ใช้ยาเยอะขึ้น เมื่อก่อนน�้ำทุกห้วยกินได้หมด ยังรักษาป่าไว้ ได้ เพราะนอกจากวิธีการแบบ เลย เดี๋ยวนี้กินไม่ ได้แล้ว สารเคมีลงมาเยอะ” โบราณที่สามารถเอาเปลือกไม้บางชนิดมาไล่ แมลงได้ แมลงต่าง ๆ ทั้งจากในป่าและในนาถ้า ยังอยู่ครบก็จะสามารถสร้างสมดุลและจัดการ คนอื่นๆหันไปใช้สารเคมีกันหมด แล้วอย่าง กันได้เอง เช่น แมลงปอจะวางไข่ ในนาระหว่าง นี้จะรักษาต้นน�้ำได้อย่างไร ?? กล้ า ข้ า วก็ จ ะช่ ว ยกิ น แมลงที่ ม าไข่ บ นใบข้ า ว “ถ้าเราห้ามเขาแล้วเขาไม่มกี นิ เราไปเลีย้ ง เพียงเแต่ตอ้ งรักษาสภาพแวดล้อมเดิมให้คงอยู่ เขาไหวหรอ ไม่ ไหว ปนเปื้อนก็ปนเปื้อนอยู่ แต่ เนื่ อ งจากตอนนี้ แ มลงหลายชนิ ด หายไปมาก เราก็ท�ำให้ดีแล้วกัน คนอื่นก็แล้วแต่เขา แต่เรา เพราะพื้นที่อื่นใช้สารเคมี จึงส่งผลกระทบมาทั่ว ท�ำดี ไว้ก่อน ท�ำได้เท่าไรก็เท่านั้น ห้ามคนอื่นก็มี “แมลงที่อยู่ ในน�้ำที่สู้สารเคมี ไม่ ได้ บาง ปัญหา แก้ ไขตัวเองก่อน ถ้ายังไม่ ได้ปฏิรูปตัว อย่างก็หายไปเยอะเลย ปลาอะไร แมลงปอก็ เองแล้วจะปฏิรปู ใคร” นีค่ อื ค�ำตอบทีเ่ ราได้จาก หายไปเยอะเลย โดยเฉพาะหิง่ ห้อย เดีย๋ วนี้ ไม่มี ลุงสมหมาย คือขอเพียงแต่ยืนหยัดท�ำในสิ่งที่ แล้ว น้อยลงแล้ ว สมั ย ก่ อ นนี่ มี เ ต็ ม ต้ นเลย” คิดว่าดีแล้วต่อไป โดยมีแนวคิดว่าทุกๆอย่าง ต้องเริ่มที่ตัวเรา นอกจากนั้นลุงสมหมายกับ ชาวบ้านยังร่วมกันท�ำงานกับเจ้าหน้าทีพ่ ทิ กั ษ์ปา่ ไร่หมุนเวียนรายได้น้อย แต่ดีกว่า “อะไรที่ ใช้สารเคมีเราไม่ท�ำ” นี่คือค�ำพูดที่ ทัง้ ช่วยแบ่งปันสิง่ ของและช่วยเป็นหูเป็นตาเพือ่ ลุงสมหมายย�้ำกับเราตลอดการพูดคุยอยู่เสมอ ช่วยกันดูแลต้นธารแห่งนี้อีกด้วย
แล้ว ท� ำ ไ ม ต ้ อ ง รักษาต้นน�้ำ ?? ต้นน�้ำล�ำธาร คื อ สิ่ ง มี ค ่ า ยิ่ ง ก ว ่ า ท รั พ ย ์ สิ น เ งิ น ท อ ง ที่ ต้องรักษาและส่ง ต่ อ ไปยั ง ชั่ ว ลู ก ชั่ ว หลาน นี่คือความคิดที่ลุง สมหมายได้ ทิ้ ง กั บ เราไว้ เพราะเราไม่ ได้อยู่ ในโลกนี้ แต่เพียงคนเดียว หากแต่ วั น ข้ า งหน้ า ยั ง มี ลู ก หลานที่ ต้องอาศัยต่อไป “พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย เขาบอกว่า น�้ำ ทุกสายก็ ไหลลงสู่ทะเล เราอยู่ต้นน�้ำ ล�ำธาร ไม่ ใช่ว่าเราอยู่คนเดียว ถ้าเรา อยู่แบบท�ำลายต้นน�้ำ คนต้นน�้ำ กลาง น�ำ ้ ปลายน�ำ้ ก็จะเดือดร้อนทัง้ หมด เพราะ เราเป็นมนุษย์คนหนึง่ ต้องอยูเ่ ป็นเพือ่ นกัน ทั้งหมด ถ้าเราคิดดีๆ ต้นน�้ำที่เรารักษานี่ มันยังมีคนอีกกี่คน” ลุงสมหมายกล่าว
เมื่ อ พู ด ถึ ง อุ ้ ม ผาง หลายๆคนคง นึกถึงน�้ำตกทีลอซู แต่จริงๆแล้วที่นี่ยังมี ธรรมชาติสวยงามให้ชมอีกหลายแห่ง และที่ เ ราจะพาไปสั ม ผั ส กั น วั น นี้ คื อ “ ป ิ ตุ ๊ โ ก ร ” น�้ ำ ต ก ที่ สู ง ที่ สุ ด ใ น ประเทศไทย ปิต๊ ุ๊ โกร หรือ เปรโต๊ะลอซู คือ น�้ ำ ตกที่ ซ ่ อ นตั ว อยู ่ ก ลางผื น ป่ า อุม้ ผาง มีตน้ ธารจากยอดดอย มะม่วงสามหมื่นไหลลงมา แยกเป็นสองสาย และ ม า บ ร ร จ บ กั น เ ป ็ น รูปหัวใจ จนได้ชื่อว่าเป็น “ หั ว ใ จ แ ห ่ ง ผื น ป ่ า อุ ้ ม ผาง”
พบกับอุปสรรคหลายต่อหลายอย่าง ทั้งลุยน�้ำ ลุยโคลน ปีนขึ้นเนินชัน อีกทั้งแมลงและสัตว์ เลื้ อ ยคลาน เพราะฉะนั้ น จะต้ อ งเตรี ย มฟิ ต ร่างกาย จิตใจ และแพ็คกระเป๋ามาให้พร้อม แต่ ความล�ำบากที่คุณต้องเผชิญเหล่านี้ี จะท�ำให้ คุณรู้สึกคุ้มค่ากับสิ่งที่ ได้พบแน่นอน
เตรียมตัวออกเดินทาง ปกติแล้วนักท่องเที่ยวที่มามักจะใช้เวลา เดินกัน 2-3 วัน แต่ถา้ เดินแบบเร่งรีบ ก็สามารถ ใช้เวลาเพียงวันเดียวได้ เแต่อาจคงต้องแลกกับ ความเหนื่อยล้าและการเร่งฝีเท้าอีกเท่าตัว เช้าวันใหม่...ฝนยังคงโปรยปรายเป็นสาย ท�ำให้มนั่ ใจได้วา่ ทางของเราคงไม่งา่ ยแน่ ดังนัน้ ทางทีด่ ี เราจึงแนะน�ำว่า ใครที่ ไม่ ได้นำ� รองเท้า เดินป่าแบบมีพื้นยึดเกาะอย่างดีมา ควรไปซื้อ การเดิน “สตั๊ดดอย” ที่มีขายในร้านจ�ำหน่ายอุปกรณ์ ทางไปสู่ปิตุ๊ การเกษตรในตัว อ.อุ้มผาง มาใส่ เพื่อจะได้ โกรนัน้ ไม่ ใช่ ท�ำให้การเดินป่าคล่องตัวขึ้น เรื่ อ งง่ า ย เ พ ร า ะ มุ่งหน้าสู่กุยเลอตอ นอกจาก จุดเริม่ ต้นของเราคือ “กุยเลอตอ” หมูบ่ า้ น ระยะทาง เล็กในป่าใหญ่ของชาวปกาเกอะญอ ในต.แม่จัน จะไกลแล้ว ชุมชนเล็กๆที่เรียบง่าย สงบ ชาวบ้านส่วนใหญ่ การเดินป่า มี อ าชี พ ท� ำ ไร่ ท� ำ นา เลี้ ย งสั ต ว์ ด� ำ เนิ น วิ ถี ยั ง ต ้ อ ง เรียบง่าย ด้วยระยะทางห่างจากตัวอ�ำเภอ ประมาณ 60 กม. กับสภาพเส้นทางแล้วเราจึง ใช้เวลานัง่ รถกว่าชัว่ โมงครึง่ จนมาถึง ศาลาพักริมทางปากทางเข้า หมูบ่ า้ นกุยเลอตอ จุดเริม่ ต้ น ของการออก เ ดิ น เ ท ้ า
พิชต ิ น�ำ้ ตกป ิตุ ๊ โกร สายธารหัวใจแห่งป ่าอุม้ ผาง สองข้างทางแห่งความประทับใจ ลุยล�ำธาร ชมไร่นา เส้นทางในช่วงแรกเป็นการเดินเลาะเรียบ ริมไร่นาสีเขียวทีก่ ำ� ลังเปลีย่ นเป็นสีทองสวยของ ชาวบ้าน บนเส้นทางลูกรังที่ควายเดินได้ง่าย กว่าคน เพราะมากไปด้วยความลืน่ จากดินโคลน และเส้นทางลุยล�ำธารผ่านสายน�้ำตื้นๆเย็นฉ�่ำ เป็นระยะทางประมาณ 5 กม. โดยใช้เวลา 2 ชม.กว่าๆก่อนจะถึงทีพ่ กั จุดแรก “น�ำ้ ตกมึเลโกร”
ถ่ายรูปชื่นชมกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็น ดอกเทียนสี ม่วงสดใส มะลิป่าสีขาว เห็ดถ้วยดอกโต พืช วงศ์ขงิ ข่า อีกทัง้ เส้นทางที่ ใช้ยงั ลัดเลาะล�ำห้วย ขึ้นไป จึงมีวิวสวยๆของสายน�้ำให้ชมกันเป็น ระยะๆ ช่วยผ่อนคลายความเหน็ดเหนือ่ ยได้พอ สมควร ส่วนระยะทางช่วงหลังไม่ ไกลมากแค่ ประมาณ 2.5 กม. แต่ว่าก็ต้องใช้เวลาเกือบ 2 ชม. เพราะความชันของเส้นทาง ซึง่ ระยะหลังๆ น�้ำตกมึเลโกร แคมป์นำ�้ ตกมึเลโกร มีอดีตกระท่อมเฝ้านา เกือบจะต้องไต่ ไปตามหิน จนสุดท้ายเราก็ ได้พบ ของผู้ ใหญ่บา้ นทีย่ กให้กบั ชุมชนจัดท�ำเป็นจุดพัก กับหัวใจของป่าอุ้มผาง นักท่องเที่ยว ตัวน�้ำตกเป็นน�้ำตกขนาดเล็กสูง ปิตุ๊ โกรธารหัวใจแห่งป่า ประมาณ 5 เมตร และเป็นส่วนหนึ่งของน�้ำตก และแล้ ว เราก็ ม าถึ ง เป้ า หมายของเรา ปิตุ๊ โกรในส่วนชั้นล่าง น�้ำตกแห่งนี้มีสายน�้ำใส น�้ำตกปิตุ๊ โกรนี้มี 3 ช่วง ที่สามารถปีนขึ้นไปชม ไหลเย็ น สามารถเล่ น น�้ ำ กระโดดน�้ ำ ได้ ได้ ซึ่งจะท�ำให้ ได้มุมมองสามแบบ แต่ต้องใช้ น�้ำเย็นสะอาดจากภูเขาที่ ไหลมากระทบใส่ตัว ความระมัดระวัง โดยในมุมชัน้ 3 ด้านบนสุดจะ นับเป็นดัง่ สปาธรรมชาติทชี่ ว่ ยสร้างความสดชืน่ เห็นเป็นมุมมองของสายน�้ำหลายสายไหลมา ชุ ่ ม ฉ�่ ำ ให้ กั บ ร่ า งกายที่ อ ่ อ นล้ า ซึ่ ง หลั ง เดิ น ปะทะกันก่อนมุดหายลงไปในหุบเหวเบื้องล่าง เหน็ดเหนื่อยลื่นเปรอะเลอะโคลนกันมา ส่ ว นในมุ ม ชั้ น ที่ 2 จะเป็ น มุ ม มองแบบใกล้ ละอองน�้ำปลิวมาโปรยปราย สายน�้ำตกไหลมา มุ่งสู่เส้นทางหัวใจ หลังจากพักผ่อนหย่อนใจกันเสร็จ เราก็ บรรจบกันเป็นรูปตัววี และสุดท้ายคือมุมมองชัน้ ออกเดินทางไปต่อบนเส้นทางป่าดิบสูงชัน ซึ่ง แรกที่อยู่ ไกลออกมา เราจะเห็นน�้ำตก 2 สาย การเดินทางต่อจากนี้ หากเปรียบกับช่วงต้นนั้น ซ้าย-ขวา ไหลเป็นสายฟูฟ่องเกาะหน้าผาหิน นี่คือ “ของจริง” เพราะที่มากกว่าความลื่น ยัง ล ง ม า บ ร ร จ บ กั น ซึ่ ง นี่ เ อ ง คื อ มี ค วามชั น ที่ เ พิ่ ม มาเป็ น เท่ า ตั ว อย่ า งไรก็ ดี “ หั ว ใ จ ที่ เ ร า ต า ม ห า ” ระหว่างทางยังมีพืชพันธุ์เฉพาะถิ่น และดอกไม้ ผาหินตัง้ ตระหง่านตรงหน้า สายน�ำ้ สีขาว ส ว ย ง า ม พ อ ใ ห ้ ไ ด ้ สองสายฟูฟ่องไหลมาบรรจบกันเป็นรูปหัวใจ ละอองเย็ น ๆปลิ ว มาปะทะใบหน้ า ช่ า งเป็ น บรรยากาศความสดชื่ น และเย็ น สบายที่ สุ ด เรียกได้ว่าคุ้มค่าการเดินทางแสนเหน็ดเหนื่อย และยากล�ำบากมานาน ภาพความสวยงามและ ยิ่งใหญ่ของปิตุ๊ โกร ไม่ว่าจะตัวหนังสือหรือ กล้องถ่ายรูปก็คงไม่สามารถเก็บรายละเอียดมา บรรยายได้หมดเท่ากับการมาเห็นด้วยตาด้วย เอง ใครที่มาอุ้มผางเพื่อแวะชมทีลอซู แล้ ว พลาดลื ม มาเยื อ นหั ว ใจของ ป่าแห่งนี้ คงจะต้องเสียใจเป็นแน่
น�้ำพริกกะเหรี่ยง & แตงกวาดอย เมนูเด็ด ห้ามพลาด!! กว่าจะฝ่า 1219 โค้ง มาถึงใจกลางป่า ขนาดนีแ้ ล้ว อาหารทีจ่ ะแนะน�ำก็คงหนี ไม่พน้ ของเด็ดจากที่นี่ วันนี้เราจะมาท�ำความรู้จัก กับอาหารของชาวกระเหรีย่ งกัน อาหารของ ชาวปกาเกอะญอนัน้ เป็นอาหารทีน่ า่ สนใจ มี เอกลักษณ์ทั้งในด้านเครื่องปรุงและวิธีการ ประกอบอาหารของตนเอง กะเหรี่ ย งมี วัฒนธรรมการกินอยูท่ ปี่ ระณีตในทัง้ ความคิด ความอร่อย ความคาว ความหอม และความ เหม็น ต่างกับอาหารไทยพื้นบ้านอยู่บ้าง ที่ เห็นได้ชัดคือ จะไม่มีรสหวานเลย ความมัน เลีย่ นก็นอ้ ยมาก เพราะไม่ ใส่กะทิ และเลีย่ ง ไม่ค่อยใส่น�้ำมัน แต่จะมีจุดเด่นคือ นิยมใส่ เครื่องหอมต่างๆ เช่น หัวหอมเล็ก ใบผักชี ต้นหอม ดอกข่า ใบขิง ดอกโหระพา ดอก กระเพรา ใบแมงลัก โดยชาวกระเหรี่ยงมี เครื่องหอมกว่าร้อยชนิด
ยังไม่มีลูกหลานกะเหรี่ยงคนไหนเลยที่จะ ปฎิเสธที่จะทานน�้ำพริก หรือ มุซ่าโต่ เมื่อใด ที่คุณมี โอกาสเข้าไปในหมู่บ้านของชาวปกา เกอะญอก็ อ ย่ า ลื ม ลองสั ม ผั ส กั บ รสของ น�้ำพริกกะเหรี่ยง น�้ำพริกกระเหรี่ยงมีรสเผ็ดจัดและเค็ม มาก มีกลิ่นหอม มีกลิ่นหอมเพราะผักหอม ชนิดต่าง ๆ มักกินกับผักสุกที่ต้มหรือนึ่งแล้ว เช่น ผักกาด มะเขือ ถั่ว ยอดฟักทองอ่อน ยอดผัก ยอดหวาย มักไม่ค่อยกินผักดิบ เพราะถือว่าการกินผักดิบจะท�ำให้ท้องอืด
มุ ซ ่ า โต่ จ ะประกอบด้ ว ยเครื่ อ งสด เครื่องให้ความเผ็ด และเครื่องท�ำให้น�้ำแกง ข้น โดยจะไม่ ใส่เครื่องเทศพวกพริกไทย ลูกผักชี หรือยี่หร่าเลย โดยครกที่ ใช้ต�ำจะ ใช้ ไม้เนื้อแข็ง ฉะนั้นจึงไม่ละเอียดเหมือนน�้ำ พริกไทยและที่จะแนะน�ำในที่นี้ก็คือไฮไลท์ เมนูไฮไลท์ทสี่ ำ� คัญมากเลยก็คอื น�ำ้ พริก เด็ดของที่นี่ น�้ำพริกถั่วเน่า กับผักต้ม โดยแต่ละมื้อชาวปกาเกอญอมัก น�้ำพริกถั่วเน่า จะไม่จดั อาหารมากกว่า 2 ชนิด เพราะถือว่า ถัว่ เน่าฟังดูอาจเหมือนกินไม่ ได้ ไม่นา่ กิน สิน้ เปลือง และไม่ชอบกินอาหารรวมกันในมือ้ แต่ถา้ ได้ลมิ้ ลองแล้วจะรูว้ า่ มันอร่อยมาก โดย เดียวหลายอย่างเพราะเห็นว่าคลื่นไส้ การหมักถั่วให้กินได้นานนั้นเป็นภูมิปัญญา น�้ำพริกหรือ หรือ มุซ่าโต่ ในภาษา ของชาวบ้านทีม่ กี นั ยาวนานไม่ ใช่แค่ชาติพนั ธุ์ กะเหรี่ยง เป็นอาหารที่ขาดไม่ ได้เลย ทุกมื้อ กะเหรี่ยงเท่านั้น แต่ ในต่างประเทศก็มี จะต้องมีรายการอาหารนี้ ชาวกะเหรีย่ งเชือ่ เช่นกันอย่าง ว่า กินน�้ำพริกแล้วจะท�ำให้ร่างกายแข็งแรง มีความอดทนสูง ทนต่อสภาพภูมอิ ากาศ เพือ่ เป็นการเสริมสร้างก�ำลังตามความเชื่อของ บรรพบุรษุ ของกะเหรีย่ ง ชาวกะเหรีย่ งจะจัด รายการน�้ำพริกให้กับลูกหลานและฝึกให้ลูก หลานกินน�้ำพริกตั้งแต่ยังเยาววัย ความเชื่อ ดังกล่าวจะแท้จริงประการใดนั้น
ในญี่ปุ่น หลายคนอาจคุ้นเคยกันดีกับ มิโสะ หรือนัตโตะ หรืออย่างของจีนก็มีเต้าเจี้ยว เช่นกัน ฟังดูแบบนีแ้ ล้วคงพอนึกภาพออกกัน บ้าง ว่ามันไม่ ได้น่าขยะแขยงอย่างที่คิด โดยวิธีท�ำถั่วเน่านั้น เริ่มจากถั่วเหลือง พันธ์พนื้ เมือง ไปแช่นำ�้ จนนิม่ แล้วน�ำไปต้มจน สุก พักไว้ ให้เย็น น�ำไปล้างให้เยื่อหุ้มบางๆ หลุดออก แล้วห่อด้วยใบตองตึงให้มดิ ชิด พัก ทิ้งไว้ 2-3 คืน ให้ถั่วหมักตัวเองจนส่งกลิ่น หอม แล้วเอาออกมาต�ำกับเกลือเม็ด ห่อด้วย ใบตองใหม่แล้ว น�ำไปนึ่งจนใบตองเหลื อ ง เพียงเท่านีก้ จ็ ะสามารถเก็บไว้ ใช้ปรุงอาหาร ได้ต่อไป ส่วนขั้นตอนน�ำมาท�ำน�้ำพริกนั้นก็ ไม่มีอะไรยากซะทีเดียว ลองมาดูกัน เริ่มจากวัตถุดิบ พริกกะเหรี่ยงสด 10 เม็ด กระเทียม 1 หัว หอมแดง 1 หัว เกลือ 1 ช้อนกาแฟ ผงชูรส ครึ่งช้อนชา ถั่วเน่าแผ่น 1 แผ่น มะเขือเทศ 2 ลูก ผักชีกะเหรี่ยง หรือ พอซิมึ และตะไคร้
จากนั้นน�ำพริกสด โดยต้องเป็น พริ ก กะเหรี่ ย งเท่ า นั้ น เพราะจะมี รสชาติความเผ็ดและกลิ่นหอมที่เป็น เ อ ก ลั ก ษ ณ ์ ต ่ า ง จ า ก พ ริ ก อื่ น ๆ กระเทียม หอมแดง ถั่วเน่าแผ่น และมะเขือเทศ มาเผาไฟให้สุก ใช้ครกต�ำเกลือให้ละเอียด และ น�ำวัตถุดิบที่เผาไว้เมื่อครู่น�ำมา ต�ำให้ละเอียด โดยน�ำมาใส่ ตามล�ำดับและโรยหน้า ด้ ว ยผั ก ชี ก ะเหรี่ ย ง ตักใส่ถ้วย แค่นี้ก็พร้อม รับประทาน แล้ว ยิ่ง ทานคู ่ กั บ ดี มึ๊ ห รื อ แตงดอยด้ ว ย แล้วนั้น นับ ว่าเด็ดมาก เ ป ็ น เ ม นู ต้ อ งห้ า ม พลาดเลย ทีเดียว
เดินป่า เสาะหาชีวิตจริง
บันทึกชีวิตของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล จากคืนวันแห่งราวไพรสู่นาคร เดินป่าเสาะหาชีวิตจริง ได้ถ่ายทอด เรื่ อ งราวชี วิ ต ของชายที่ เ กิ ด และโตมากั บ ทะเลผูน้ ี้ นับตัง้ แต่วนั ทีต่ ดั สินใจหันหลังให้กบั อ�ำนาจรัฐ ท�ำใจโบกมือลากับครอบครัว เดิน หน้าเข้าสู้ป่า ดินแดนที่เข้าแทบไม่รู้จัก ทั้ง สภาพภู มิ ป ระเทศที่ ไม่ คุ ้ น ชิ น และพรรค คอมมิวนิสต์ที่ ไม่เคยเข้าใจอุดมการณ์อย่าง ถ่องแท้มาก่อน แต่หากเพราะไม่มีทางเลือก ให้สู้ ในสังคมได้ต่อ เขาจึงจ�ำต้องเปลี่ยน สมรภูมิใหม่ และเรือ่ งราวการต่อสูท้ เี่ ขาต้อง เผชิญต่อจากนี้หาใช่เพียงแค่การจับอาวุธ ฆ่าฟัน แต่ยังมีการต่อสู้เชิงความคิด จน สุดท้ายเมือ่ ผ่านไปกว่าห้าปีเมือ่ ได้พบว่าทาง ที่ ต นเลื อ กนั้ น ไร้ ค วามหมาย จึ ง ยุ ติ ชี วิ ต นักปฏิวัติลงและหวนสู่เมืองอีกครั้ง
อุม้ ผางไม่ ได้เป็นแค่เพียงผืนป่าตะวันตก อันอุดมสมบูรณ์ธรรมดา ที่ ใครหลายคนต่าง ดัน้ ด้นเดินทางมาเพือ่ สัมผัสกับธรรมชาติ แต่ ม า ก ไ ป ก ว ่ า นั้ น ยั ง เ ป ็ น ที่ ส� ำ คั ญ ท า ง ประวัติศาสตร์ เพราะในอดีตที่แห่งนี้ยังเป็น ฐานทีม่ นั่ ของพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศไทย เป็นดัง่ สมรภูมริ บของเหล่านักสูแ้ ละนักศึกษา ผู ้ ไ ม่ จ อมจ� ำ นนต่ อ อ� ำ นาจเผด็ จ การทหาร นั บ ตั้ ง แต่ ช ่ ว งเหตุ ก ารณ์ เ ดื อ นตุ ล าคม พ.ศ. 2516 เป็ น ต้ น มา บั น ทึ ก ชี วิ ต ของ ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งทศวรรษที่ ใช้ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตผู้น�ำศึกษาผู้นี้ จึงไม่ ใช่เพียงแค่บันทึกธรรมดา หากแต่เป็น ชีวิตอยู่ ในป่า นอกเหนือจากเรื่องราวการ ดั่ ง เอกสารทางประวั ติ ศ าสตร์ ข องสั ง คม ต่อสู้ โศกนาฏกรรมและการจากลาทีเ่ ขาต้อง เผชิญ เสกสรรค์ยงั ได้ถา่ ยทอดการใช้ชวี ติ อยู่ สมัยใหม่อีกด้วย
กับป่าทีต่ อ้ งพยายามเข้าใจและปรับตัวให้อยู่ กับสภาพเหล่านี้ อีกทั้งพาเราไปรู้จักกับป่า ไม่ ใช้เพียงแค่เห็นมัน แต่ท�ำให้เราเห็นถึง ความเป็นไปของธรรมชาติ และสัตว์ปา่ ต่างๆ ที่นอกจากได้ความรู้ ยังพาให้เราได้เข้าใจ ความเป็นไปของชีวิต งานเขี ย นของเขาดู ผิ ว เผิ น อาจคล้ า ย บันทึกความทรงจ�ำธรรมดา แต่ความลุ่มลึก ที่แฝงอยู่บนภูผาสูงชัน ดินที่นุ่มแฉะ หรือ สายน�้ ำ เชี่ ย ว อารมณ์ ค วามรู ้ สึ ก จาก ประสบการณ์ที่พบเจอ ที่ ได้ถูกถ่ายทอด ออกมาด้วยภาษาที่มีลูกเล่นเชิงวรรณศิลป์ และสอดแทรกปรัชญาชีวิตลงไป อาจท�ำให้ ผูอ้ า่ นต้องสะอึก จนต้องตัง้ กลับมาค�ำถามกับ ตัวเอง และปรารถนาจะเดินทางสัมผัสกับ ดินแดนอุ้มผางนี้สักครั้งหนึ่งเป็นแน่
December 2015
Volume 1