บทความตีพิมพ์ในสูจิบัตรการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 61

Page 1

บทความตีพิมพ์ในสูจิบัตรการแสดงศิลปกรรมแหํงชาติ ครั้งที่ 61 ระลึกถึงสามดวงดาวผู้จากไปสู่แดนไกล โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณพิษณุ ศุภนิมิต

ชํวงเวลาที่ผํานมานี้ มีคากลําวที่นําใจหายอยูํบํอยๆวํา มีดวงดาวหลํนจากฟากฟ้าหลายดวง โดยเฉพาะ ดวงดาวแหํงศิลปะ ดาวดวงใหญํหลํ น จากฟากฟ้าถึงสามดวงในรอบปีที่เพิ่งผํานมา เริ่มจาก ถวัลย์ ดัชนี ประหยัด พงษ์ดา และชลูด นิ่มเสมอ การเอํยนามสามผู๎ยิ่งใหญํแหํงวงการศิล ปะ โดยไมํมีคานาหน๎าดูจะไมํสุภาพและไมํบังควรแตํที่ผมเอํย เชํนนี้ ก็เพราะนึกถึง ถวัลย์ ดัชนี ซึ่งปกติผมจะเรียกวําพี่หวัน แตํครั้งหนึ่งที่ผมเป็นพิธีกรแนะนาพี่หวันวําเป็น “ศิลปินชื่อดัง” ก็โดนสวนกลับทันทีวํา “ผมไม่ได้ชื่อดัง และผมก็ไม่ได้เป็นนักร้อง” (นักร้อง ดัง พันกร) นี่ เป็นมุกของศิลปินใหญํนาม ถวัลย์ ดัชนี ซึ่งทาให๎ผมไมํกล๎าแนะนาศิลปินด๎วยคานาหน๎าใดๆเพราะไมํวําจะเอํย นามใด ก็จะโดนพี่หวันสวนกลับทุกครั้งไป ถวัลย์ ดัชนี ดาวดวงใหญํที่รํวงจากฟากฟ้าเป็นดวงแรกในชํวงรอบปีนี้ คือ วันที่ 3 กันยายน 2557 สิริ อายุ 74 ปี หลายคนได๎ทราบขําวตั้งแตํเช๎าจากโลกของโซเซียล มีเดีย และตกใจไมํแนํใจกับขําวการจากไปอยําง กะทันหันครั้งนี้ ถวัลย์ ดัชนี ต๎องทวนคาที่พี่หวันไมํชอบจริงๆ วํา พี่เป็นศิลปินดังคับฟ้าจริงๆ ไมํเฉพาะเขตเชียงราย ภาคเหนือ และทั้งประเทศ แตํดังในระดับโลก ดังทั้งผลงาน ดังทั้งลักษณะของงาน ดังทั้งเสียง และดังทั้ง สานวนโวหาร พี่หวันเป็นทั้งพหูสูตจดจาพระคัมภีร์ ทํองบทกลอนได๎เป็นเลํมๆอยํางที่ไมํมีศิลปินคนไหนเทียบเทําได๎ มี นิยายนิทานที่ผู๎คนตํางพากันรุมล๎อมเมื่อเจอถวัลย์ ดัชนี ไมํวําพี่จะไปปรากฏตัวอยูํที่แหํงใด ก็จะเป็นคนที่เดํน เป็นพระเอกอยูํเสมอ เรื่องสานวนโวหารนั้นเป็นเลิศกวําใคร มีทั้งโวหารที่เป็นปรัชญาล้าลึกและสานวนที่ห้าหั่นเชือดเฉือน แตํ ไมํมีเจตนาที่จะทาร๎ายใคร ผมมีตัวอยํางที่จะเลําให๎ฟัง ถึงครั้งหนึ่งที่อยูํในบรรยากาศเมื่อคราวที่พี่หวันกาลังให๎สัมภาษณ์กับรายการ โทรทัศน์โดยพิธีกรชื่อดัง (ดังอีกแล๎ว) พี่หวันกาลังอรรถธิบายถึงความหมายของศิลปะตามสานวนที่ล้าลึกของ ทําน เป็นเวลานานพอสมควรพิธีกรก็เลยถามขัดขึ้นมาวํา


“อาจารย์ชํวยอธิบายให๎งํายๆอีกครั้งได๎ไหมครับ” พี่หวันหยุดอยูํชั่วพริบตา เหมือนได๎ทีที่จะปลํอยมุกเด็ด “ถ้าคุณจะให้ผมพูดอีกทีนะ ผมว่าให้ผมไปเห่าเอาจะดีกว่า” พิธีกรชื่อดังหน๎าซีดไมํถามตํออะไรอีก และผมคาดวําเทปสัมภาษณ์ชํวงเด็ดนั้นไมํได๎ออกอากาศแนํนอน พี่หวันสั่งสมสรรพวุธโวหารจนเป็นที่ยอมรับในความแหลมคมทางสติปัญญาจนทํานกลายเป็นปรมาจารย์ โดยไมํต๎องเป็นอาจารย์สอนที่สานักไหน อาณาจักรของทํานไปรุํงเรืองที่เชียงราย เป็นสานักศิลปะที่มีเส๎นทาง ไปสูํที่นั่น และทํานได๎จากไปด๎วยถ๎อยคาสรรเสริญของผู๎คนในวงการศิลปะ

ประหยัด พงษ์ดา หรือ ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดา ผมเรียกทํานวํา อาจารย์ประหยัด เพราะทํานเป็นอาจารย์สอนวิชาภาพพิมพ์แกํผม ดวงดาวที่สองจากไปถัดจาก ถวัลย์ ดัชนี เพียงไมํกี่วัน คือใน วันที่ 19 กันยายน 2557 สิริอายุ 79 ปี นี่ก็เป็นอีกทํานหนึ่งที่จากไปอยํางรวดเร็ววํากันวําทํานสนิทสนมกับพี่ห วันมาก การจากไปของพี่หวันมีสํวนทาให๎อาจารย์รู๎สึกเสียใจมากๆ อาจารย์ประหยัดทํานเป็นครูตลอดชีวิต สอนตลอดเวลา สอนไปขีดเขียนรูปไป พูดอธิบายไป ทํานมี เมตตากับลูกศิษย์ทุกคน เป็นคนอารมณ์ดี มีเรื่องเลําเป็นนิทานบรรจุอยูํในคลังสมองมากมายคราใดที่เจอะเจอ กับถวัลย์ ดัชนี เป็นต๎องเอานิทานออกมาดวลกัน และอาจารย์ก็มักจะยอมพี่หวันให๎ ใช๎ชื่อ ประหยัด เป็นตัว ละครนั้นๆอยํางไมํถือตัว นิยายของอาจารย์ในระยะหลังนี้ ต๎องจดไว๎ในสมุดพกเลํมเล็กๆที่เอาติดใสํกระเป๋าเสื้อไว๎เสมอ เพราะ เหตุที่วํา นิทานของอาจารย์มีเยอะเหลือเกิน และเมมโมรี่ความจาก็เริ่มมีจากัดเมื่อชํวงวัยชรา มีครั้งหนึ่งที่อาจารย์เริ่มจะเลํานิทานให๎ลูกศิษย์ฟัง แตํเผอิญมีศิษย์ที่รักคนหนึ่งแกล๎งทํานโดยไมํรับฟัง และเดินหนีออกไป ทํานโกรธมากเดินตามไป เรียกให๎มาฟังให๎ได๎ เป็นเรื่องที่ทุกคนพากันหัวเราะ


อาจารย์มีเรื่องราวเกี่ยวกับ ท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี มากมายเพราะเหตุที่ทํานสนิทกับอาจารย์ศิลป์ และมีความรักอาจารย์มาก เคยไปพบกับอาจารย์ศิลป์ที่โรม อาจารย์พาขึ้นรถเมล์ไปซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียน บน รถเมล์อากาศร๎อนผู๎คนแออัด อาจารย์ศิลป์หันมาบํนกับอาจารย์ประหยัดวํา “ฉันเหม็นกลิ่นฝรั่งนะนาย กลับบ๎านเราดีกวํา” (บ๎านเรา คือ เมืองไทย) ชีวิตของอาจารย์ในชํวงสุดท๎าย นอกจากการอุทิศให๎กับวงการศิลปะของเราแล๎ว สิ่งที่เห็นได๎ชัดแจ๎งก็คือ ความ รักที่มอบให๎กับครอบครัว ภรรยา และลูกๆของทําน

ชลูด นิ่มเสมอ หรือ ศาสตราจารย์เกียรติคุณชลูด นิ่มเสมอ ผมเรียกทํานวํา อาจารย์ชลูดทํานเป็น อาจารย์ที่สอนศิลปะทุกอยําง สอนความเป็นครู และสอนการดาเนินชีวิต อยํางที่ไมํได๎มาจ้าจี้จ้าไซ หรือมาสอน กันตรงๆ แตํเป็นการสอนที่ทาให๎ดู ทาให๎เห็น แล๎วเราก็จดจามาใช๎ในชีวิตประจาวัน อาจารย์ชลูดจากเราไปเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2558 เกือบครบรอบปีของการเสียพี่ถวัลย์และอาจารย์ ประหยัด สิริอายุ 86 ปี อาจารย์ชลูด ทํานเป็นดาวดวงใหญํอยูํในดาวทั้งสามดวง ทํานเป็นศิษย์รักของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่รับมอบมรดกทางศิลปะทั้งสถานภาพเป็นศิลปินและในด๎านวิชาการศึกษาศิลปะ ทํานสืบทอดและทาให๎เกิด สิ่งใหมํมากมายทั้งในมหาวิทยาลัยศิลปากรและในวงการศิลปะไทยรํวมสมัย อาจารย์ชลูดทางานโดยไมํต๎องพูด (มาก) ปลํอยให๎ศิลปะทาแทนทําน เป็นตัวอยํางของงานสอนศิลปะ สิ่งเหลํานี้บอกเลําด๎วยตัวเอง ทํานทดลองทางานศิลปะทุกประเภทไมํวําจะเป็นประติมากรรม งานปั้น งานหลํอ แกะไม๎สลักหิน งานจิตรกรรมทั้งในแบบเอ็กซ์เพรสชั่น แบบแนวศิลปะไทย และในแนวคอนเซ็ปต์ งานภาพ พิมพ์ ทาให๎ได๎กํอตั้งภาควิชาภาพพิมพ์ และงานสมัยใหมํในแนวความคิดใหมํงานทั้งหมดไปสูํแบบอยํางของงาน สอนศิลปะทั้งสิ้น


อาจารย์เป็นคนพูดน๎อย สุขุมคัมภีรภาพ จนดูเหมือนเป็นคนดุ เป็นคนถือตัว แตํที่เป็ นเชํนนั้นมาจาก บุคลิกเดิมเป็นคนมุํงมั่นในการทางาน และอยูํในชํวงของการค๎นหาตัวตน แตํเมื่ออาจารย์หลุดพ๎นจากชํวงยุค ของการแสวงหา เหมือนกับได๎สูํชํวงของการค๎นพบแล๎ว อาจารย์กลับเป็นผู๎มีเมตตา ถํายทอดวิชาความรู๎อยําง ไมํรู๎จักเหน็ดเหนื่อย ลูกศิษย์ที่ได๎ศึกษาเลําเรี ยนจากอาจารย์ในชํวงหลังจึงนับเป็นบุญคุณที่ได๎รับการถํายทอด วิทยายุทธอยํางเต็มที่ ทํานอาจารย์ทางานศิล ปะทุกวันอยํางไมํหยุดยั้ง สอนนักศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี ปริ ญ ญาโท และปริ ญ ญาเอก ตราบจนวาระสุ ด ท๎ า ยก็ ยั ง มี ลู ก ศิ ษ ย์ ต ามไปให๎ ทํ า นสอนถึ ง บ๎ า น

อาจารย์ชลูดทํานเป็นศิลปากรรุํนที่ 7 พ.ศ. 2493 แตํเป็นบัณฑิตศิลปากรคนที่ 1 โดยได๎รับปริญญา เกียรตินิยมอันดับ 1 เป็นรุํนพี่อาจารย์ประหยัด 2 รุํน คือ รุํนที่ 9 พ.ศ. 2495 และเป็นรุํนอาจารย์ของพี่ถวัลย์ รุํนที่ 15 พ.ศ. 2501 ดวงดาวทั้งสามดวงตํางเดินทางไปตามทางของตนเอง สั่งสมประสบการณ์จนเป็นดาวดวงใหญํที่โคจรมา พบกันในเวทีศิลปกรรมระดับชาติ โดยเฉพาะในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ซึ่งเป็นเวทีที่ท่านศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ได๎ริเริ่มกํอตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2492 เพื่อให๎เป็นเวทีของศิลปินไทยได๎ฝึกฝน แขํงขัน พัฒนาให๎ก๎าวหน๎าเทียมกับนานาชาติ เวทีนี้คํอยๆเติบโตเรื่อยมาจนบัดนี้เป็นครั้งที่ 61 แล๎ว นอกจากความริเริ่ม


ของทํานอาจารย์ศิลป์ ที่เป็นคุณูปการเป็นอยํางยิ่งแล๎ว บรรดาลูกศิษย์ของทํานที่ได๎ชํวยกันสืบสาน สืบตํอ ตําง ก็ มี สํ ว นท าให๎ ก ารแสดงศิ ล ปกรรมแหํ ง ชาติ นี้ ก ลายเป็ น ฐานที่ มั่ น คงของประเทศชาติ ดาวทั้ ง สามดวง ศาสตราจารย์ชลูด นิ่มเสมอ ศาสตราจารย์ประหยัด พงษ์ดา และถวัลย์ ดัชนี เป็นดวงดาวที่โคจรมาพบ กัน และมีสํวนที่สืบทอดแนวทางที่อาจารย์ศิลป์วางไว๎ ตราบจนสิ้นวาระแหํงสังขาร นําแปลกที่ลูกศิษย์ของทํานอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ทั้งสาม มีความขยันในการสร๎างสรรค์งานศิลปะอยําง ชนิดที่ไมํเคยหยุดนิ่งเลยแม๎แตํนาทีเดียว ทุกคนเป็นคนชน ชนด๎วยการใช๎มือขีดเขียนอยูํตลอดเวลา ไมํวําจะนั่ง คุยหรือพูดโทรศัพท์ ทํานก็ยังทางานศิลปะได๎ เมล็ดพืชแหํงความขยัน ความมุํงมั่นที่อาจารย์ศิลป์ได๎เพาะปลูกไว๎ จึงเป็นความสาเร็จที่ตกทอดมาสูํศิลปะในปัจจุบันได๎

ทํานทั้งสามได๎รับเกียรติยกยํองให๎เป็น “ศิลปินแห่งชาติ” เทําเทียมกับ อาจารย์ชลูดในสาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) พ.ศ. 2541 อาจารย์ประหยัด ในสาขาทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์) พ.ศ. 2541 และพี่ถวัลย์ ใน สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) พ.ศ. 2544 เหลํานี้เป็นการประกาศคายกยํองเป็นทางการ หากแตํโดยทั่วไปทั้ง สามทํานตํางก็ได๎รับความรัก การยกยํองบูชา จากคนทั่วไปทั้งประเทศโดยความยินยอมพร๎อมใจอยํางไมํมีข๎อ กังขา ทั้งสามทํานกลําวอยูํเสมอในระยะหลังนี้วํา อยากจะปลดระวางจากการเป็นคณะกรรมการตัดสินการ แสดงศิลปกรรมแหํงชาติ เนื่องจากอายุที่มากขึ้นอยูํทุกปี ทั้งเรื่องของสังขารที่อํอนแอลงมากแล๎ว และทํานก็มี ความประสงค์ที่จ ะให๎ คนรุํ น ใหมํๆก๎าวเข๎ามาทดแทนบ๎าง แตํก็ไมํเคยทาได๎ เนื่องจากไมํได๎รับอนุญาตจาก ประชาชน ทั้งสามทํานจึงเข๎าสภาวะของโลกที่กลําวไว๎วํา เมื่อผลไม๎ที่สุกงอมแล๎ว ก็จะต๎องถึงเวลาที่จะต๎องรํวง หลํนไป มีนักคิดนักเขียนกลําวถึงความตายในทานองวํา ความตายไมํใชํการสูญเสียที่ยิ่งใหญํที่สุดในชีวิต แตํว ความสูญเสียที่ยิ่งใหญํที่สุดคือ การตายทั้งๆที่เรายังมีชีวิตอยูํ (นอร์แมน คัสชื่นส์) จาก ”พลังแหํงชีวิต” ซึ่งไมํใชํ ดวงดาวทั้งสามอยํางแนํนอน ตามแนวคิดของชาวพุทธนั้น การเกิดและการตายคือสิ่งเดียวกัน เหมือนเชํนการยกเท๎าขึ้นและลง ดั้งนั้น ชีวิตจึงคล๎ายกับการตามหาศิลปินผู๎สร๎างสรรค์เรือนกายให๎กับเรา เมื่อยังไมํพบเรือนกายที่ดีและเหมาะสม เรา จึงต๎องเดินทางทํองเที่ยวไปในสังสารวัฏนับภพชาติไมํถ๎วนตํอไป


“วันแห่งการจากไป ควรจะเป็นวันเก็บเกี่ยวด้วยหรือไม่ และในอนาคตกาลนั้น ควรจะเป็นที่กล่าว กันหรือไม่ว่า สันธยากาลแห่งเรานั้น แท้จริงก็เป็นรุ่งอรุณด้วย” (คาลิล ยิบราน จาก “ปรัชญาชีวิต” ดวงดาวทั้งสามผู๎ยิ่งใหญํ นับวําทํานเป็นผู๎ที่สั่งสมเสบียงของการเดินทางไว๎แล๎วเป็นอยํางดี ทํานคงได๎พบ ที่พักระหวํางทางที่ดีได๎ การที่ได๎กลําวไว๎ตั้งแตํต๎นวํา มีดวงดาวสามดวงหลํนจากฟากฟ้า แท๎จริงคือ ดวงดาวทั้ง สามนั่นเอง ที่กลับมาประดับอยูํบนฟากฟ้า ขอคารวะ ท่านอาจารย์ชลูด นิ่มเสมอ ท่านอาจารย์ประหยัด พงษ์ดา และ ท่านถวัลย์ ดัชนี เป็น ดังในคัมภีร์พระธรรมบท กลําวไว๎วํา “บุรุษผู๎จากไปสูํแดนไกลเสียนาน เมื่อกลับถึงบ๎านโดยสวัสดิภาพ ญาติมิตรและผู๎ปรารถนาดีทั้งหลาย ยํอมต๎อนรับด๎วยความยินดี”


In Fond Remembrance of the Three Stars By Professor Emeritus Pishnu Supanimit In this recent time, a saying constantly vibrates in my mind. “The great stars have fallen down from the sky, especially the artist stars who fell off the sky in these passing years from Thawan Duchanee to Prayad and Chalood Nimsamer respectively. Saying the names of “the great three” in our art society without a proper title might sound impolite and highly inappropriate. But there is a reason to this when I think of Thawan Duchanee, whom I usually called “Pi wan.” However, there was an incident. When I was the host for a show and introduced him with “the famous artist” title, he put the words back into my mouth saying. “my name is not Fame and I am not a singer too” (he made a pun with the word Fame in Thai, “Dunk” , which is punned to the name of Dunk Pankorn, a famous Thai singer). This is an example of many puns manifested by the great Thawan Duchanee, a truly big-named artist. This incident made me think twice before introducing him as a celebrity of some sort; he always had his way of striking back. Thawan Duchanee, the first mega star who fell down from the sky. He passed away on 3 September 2014 at the age of 74. Many had heard the sad news from the social media in the morning of the day and were shocked and perplexed, for it was so sudden and unexpected. Thawan Duchanee, Pi wan, despite your disapproval, insist that you truly a famous star that sheds light throughout the sky and not just that of Chiang Rai or in the Northern part of Thailand but throughout Thailand and beyond. You are the famous artist, famed for your art, famed for your outspokenness and famed for your eloquent vocabulary. Thawan Duchanee was also a scholar who could recite verse and verse from the Buddhist manuscript, as well as other books of poems so adroitly to a degree no other artist can match. He had endless tales and stories to share with the people who would somehow manage to flock up around him every time he made an appearance. Thawan was a man only equal to be the leading man and nothing less. He was known to have a way with his words – better than anyone I know. He was equipped with such a verbal skill that could produce line after line containing profound meanings and sharp, vivacious and dramatic verbal expression but without intention to abuse anyone.


My fond memory about the artist has taken me to yet another one of those episodes that I must share with you. Pi wan was giving an interview to a famous host of TV programme (yes, another “famed” person). During the length of the interview, he had been going on and on entertaining in great details pertaining to art with his large vocabulary until suddenly, the host interrupted with a question; “Would you please put that to a simpler terms?” Pi wan stopped talking immediately as if he knew time to drop yet one of his famous puns was imminent. “if you want me to repeat that, I would rather go barking it out.” The face of the host went pale; I assumed that this part was cut out and never actually went to air. He had enhanced his verbal skill and weaponry until he became widely accepted as an eminent figure in the art world without having to profess his greatness to anyone or at any art school. He has formed his own region, which until this day continues to thrive in Chiang Rai, with an art school of his own. He left us, with words of praise by people in our art circles. Prayad Pongdam or Professor Emeritus Prayad Pongdam whom I was used to calling him Ajarn Prayad (Professor Prayad) was also my Printmaking teacher. The death of Ajarn Prayad was only a few days after apart the great loss of Thawan Duchanee, precisely on 19 September 2014. At the age of 79 years old, he was yet another great artist who abruptly passed away. I was told that he and Pi wan were close friends and the unexpected departure of Pi wan must have caused him a great sadness. Ajarn Prayad had been a teacher throughout his life. In the classroom he would be drawing while going into great length about art ; this was his lifetime dedication. He had an immense loving kindness for his students. Always in a good mood, he liked telling stories that were carefully picked out from a stockpile of stories. Anytime he ran into Thanwan Duchanee, need not to say, there would be a contest of tale and storytelling. He had a big heart to always let Pi Wan use the name Prayad as a character in the story without hard feelings. His anecdotes later were recorded in a form of small notebook kept in his pocket due to an exceeding number of tales in correlation with memory space limited by his age. One time, when he was about to start on one of his great tales to his students, one of his dear students pretended to wall away. He was so angry that he called that student back to listen to his story. This story in itself made us laugh.


Another story involved our revered Professor Silpa Bhirasri to whom Ajarn Prayad was close and whom he very much adored. He went to meet Ajarn Silpa in Rome, and Ajarn Silpa took him on a bus ride to buy stationary. It was a hot day in the bus fully packed with passengers. Ajarn Silpa turned to his student to whine a complaint: “I am sick of the smelly Farangs (foreigners) Let us go home (Home is Thailand)” Later in his life, besides his dedication to the art society in Thailand, he will be also vividly remembered for his love he fondly gave to his family, his wife and children. Last but never the least is Chlood Nimsamer or Professor Emeritus Chalood Nimsamer whom I called him Ajarn Chalood. If there were an art teacher who could teach all fields of arts, he would be one of the best. Not only were his lessons equipped with a fine artistry in teaching but also filled with know-hows about leading one’s life. He did not explain in great length of how art works or forced the students to take on lessons. He showed it to them, let them see how he did it, and students would take lessons from him naturally into their life. Ajarn Chalood left us at the age of 86, on 4 June 2015, which nearly marked a year since Pi Thawan and Ajam Prayad’s departures. Ajarn Chalood was the great star among the three. He was a beloved student of Professor Silpa Bhirasri, who inherited to him as an artist and the academy for art education. He passed on this legacy and born new creation and ideas to the benefits of Silpakorn University and Thai Contemporary Art. Man of few words, Ajarn Chalood primarily let his art speak for him. This is a finest example of what a great art teacher should be. A work of art in itself will tell best. He experimented with art in and across many genres from sculpture and statuary to casting and stone carving. In paintings, he had gone to an astonishing length in terms of variety and versatility. His collection encompasses different genres of painting ranging from Expressionism to Traditional Thai and Conceptual. His work in Printmaking alone had been credited for the founding of the department of Printmaking, and his modern and more contemporary range of work extends itself to the New Conceptual. All of the aforementioned were all turned into materials for his art classes, for his students. He was rather always quiet and had this calm air about him so much so that he might be regarded as strict and reserved. But this personality of his only reflected a strong determination and his work ethics that he was holding on to during his self-discovery years. But after the passage of discovery completed its course, his generosity shone through by


means of passing on the knowledge to the students relentlessly. The later generations of students were truly blessed to have an opportunity to learn from the experienced artist whose mastery reached a state of maturity, as did the artist himself. He had dedicated himself to art incessantly; he gave classes to both bachelor and postgraduate levels till the very last days of his life where students were still allowed in his home for lessons. Ajarn Chalood was in Class 7 of the year 1950 at Silpakorn and was the first gradate to receive a first-degree honor. He was 2 years senior to Ajarn Prayad who was in Class 9 of the year 1952. He became teacher for the class 15 in which Pi wan enrolled as a student in the year of 1958. The three stars had finally come across in the course of their orbits. They all had gathered experience and honed their skills until they came to meet each other at the National Exhibition of Art founded in 1949 by Professor Silpakorn Bhirasri with an objective to give Thai artists space to sharpen, compete and flourish in order to keep up with the world. This competition has continued to flourish to this day throughout a course of over 60 years, with this year marking its 61st anniversary. His students also helped to continue this legacy once initiated by Professor Silpa for whose benevolence we will be thankful. The three stars; Professor Chalood Nimsamer, Professor Prayad Pongdam, Thawan Duchnee, met and helped to cement the foundation of art in the country. They had done their part in continuing this establishment of art enrooted by Ajarn Silpa to their last breath. Interestingly, what these three artists all shared was unrivalled passion for art and prolificacy in creating art that were inherited to their students. All three were gifted with the creative hands that could not be withdrawn from drawing, even when they were talking on the phone or chatting; art being were instantly being produced, This seed of their dedication and determination continues to plant the root for artists of my generation and the next. All three were officially awarded the title of “National Artist: Ajarn Chalood in Visual Art (Sculpture) in 1998; Ajarn Prayad in Visual Art (Printmaking) in 1998; and Pi Thawan in Visual Art (Painting) in 2001.� But the highest compliment to them of all, I believe is the continual love and great praise from the public audience in Thailand that are still widely expressed. Of later times in their life, all three kept insisting on retiring from the Committees of National Exhibition of Art partly due to their advanced age that entailed an aging body. They wished the new generation of artists would step up to resume their duty; however, that had


not happened during their tenure; the public would have not allowed it. But the nature always has its way. And so came the moment when the nature took to its own course just like in a saying that goes: “When the fruit is ripe, it will then drop to the ground. To a matter of life and death, a writer once said: “Death is not the greatest loss in life. The great loss is what dies inside us while we live.” (Norman Cousins, “The Celebration of Life)” Though this saying resonates truth about life, it cannot be applied to the lives of our three stars whose lives were fully lived. In accordance with Buddhist philosophy, death and birth are alike just as an act of lifting one’s leg up is to that of lowering it down. So, life is a quest in itself of finding a true artist to create and adorn our body. If a naturally perfect body is not yet to be met, we need to carry on this long journey in the Wheel of Life until we meet the one. “Shall the day of parting be the day of gathering? And shall it be said that my eve was in truth my dawn?” (Kahlil Gibran, “The Prophet”) The three great stars had been well prepared with all necessary provision for their journey. They should have found peace at a resting place over the course of the journey. And finally, contrary to the comparison I made throughout my writing, I believe the three stars have not at all fallen down; instead, they went back to the sky now brightly adorned with the three shining stars for us to see from afar. I would like to end this with a quote from a chapter in the Dhammapada to express my homage to the Great Three. Ajarn Chalood Nimsamer, Ajarn Prayad Pongdam, and Ajarn Thawan Duchanee. “A man who journeyed long and far Once returned home safe and sound, Relatives, friends and well wishers Will greet him with the joy for all.”

ผู๎แปล ภณิพล อภิชิตสกุล English text by Panipol Apichitsakul เอื้อเฟื้อภาพประกอบโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณพิษณุ ศุภนิมิต Photos courtesy of Professor Emeritus Pishnu Supanimit


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.