Credit: Columbia Pictures
Editorial Pirun Anusuriya วัฒนธรรมการอ่านในยุคสมัยนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ส่วนหนึ่งเพราะการมาของโซเชียล มีเดีย ที่บางคนอาจมองว่า คนยุคนี้อ่านหนังสือกันน้อยลงกว่าเมื่อก่อน ขณะเดียวกันก็ยัง มีบางคนเชือ ่ มนต์เสน่ห์ของการอ่านผ่านหน้ากระดาษ ในยุคทีน ่ ต ิ ยสารหลายหัวเริม ่ ทีจ่ ะเพิม ่ ช่องทางการอ่านในลักษณะ e-magazine ส่วนตัวผมมองว่านีเ่ ป็นโอกาสทีจ่ ะสามารถท�ำนิตยสารของตัวเองออกมา โดยไม่ ต้องใช้งบในการพิมพ์ เพียงแต่ต้องลงแรงกับสิ่งนี้ ทั้งการเขียนคอลัมน์ หาภาพประกอบ จัดหน้า และหาช่องทางการเผยแพร่ ในที่สุดก็คลอดนิตยสาร ALTERNATIVE เล่มนี้ ออกมา มันคือนิตยสารหนังที่เลือกที่จะไม่ตามเทรนด์ แต่มุ่งจะเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้กับ ผู้อ่าน ทั้งคอลัมน์สัมภาษณ์ผู้ก�ำกับหนังชั้นครู คอลัมน์ Wide Angle ที่เป็นบทวิจารณ์ ขยายการคิด วิเคราะห์หนังที่น่าสนใจ และแนะน�ำหนังสือน่าอ่านที่เราอาจมองข้ามไปตาม แผงหนังสือ เราท�ำงานนีด ้ ้วยความตัง้ ใจโดยไม่มผี ลตอบแทนทางธุรกิจ แต่กย็ น ิ ดีรบ ั การสนับสนุน หากมีใครอยากให้เราได้พิมพ์เผยแพร่ในวงกว้าง แล้วส่งค�ำติชมมาทางเฟสบุคของเพจเรา ตามทีเ่ ห็นด้านล่างนีไ้ ด้เลยครับ The culture of reading today has much transformed from the traditional sense, and part of the reasons is the emergence of social media. It may seem that we’re reading less than we used to, but there are still some people who are charmed by feels of holding an actual book in their hands. With many other magazines migrating to the e-magazine market, I see the opportunity to make my own mark on this emerging space. Save for the cost of publishing, I spent all my efforts into putting together this magazine; authoring the columns, finding illustrations and images, doing the page layout, and finding the channel of distribution. In the end, ALTERNATIVE is born. It doesn’t aim to follow the current trends in cinema, but to broaden the readers’ horizon. This is done through the different columns such as; the interviews with the masters of film directing, the film critique and analysis in Wide Angle, and an overlooked-book recommendation column. The will to create this magazine came purely from the hearts. The team receives no return on the investment, but we do appreciate any support or the spread of words on the magazine. Stay tune for the next issue, and please feel free to provide feedback on our official Facebook page at this following link
WWW. FACEBO O K. CO M/ BEIN G ALTER
Contributor Molly Thamrongvoraporn I have always fantasized of authoring my own book. To create a world and have it appreciated by the readers would make my days whole. But, like a lot of the fantasies people have, it is yet to be fulfilled. While I go on a lengthy search for an inspiration to author; a translation work is as close as it gets for me. To inform or tell a story to the people who can’t access it through a language in which it is written. When I was invited (or lured into) to be a part of this e-magazine, I had almost no hesitation, on the surface level, and thought it would be a good place to get my foot in the door of the ever-evolving publishing media realm. As a reader, I’ve always loved the ‘feels’ of a real book. I love the smell of one, the weight of one, and especially the thought of possessing one. Before my whimsical little fantasy could materialize into a bunch of pages, an e-magazine will have to do. I hope you readers find the magazine as eye-opening and enjoyables as I have working on it. Much appreciation for any support and feedback.
Where there is power, there is resistance. - Michel Foucault
Military Issue 4 8
14
Cover Feature - In the name of Scorsese Wide Angle - How to win at checkers (every time) - Devils on the doorstep - Downfall
Books - Claiming his name, ‘Lek-Hip’ of Mad Dogs & Co
FONTS Cambria Math Century Gothic CS PraJad Engravers MT EucrosiaUPC ThaiSans Neue Trajan Pro Trebuchet MS
CO VER F EATURE
IN THE NAME OF
SCO
TAXI DRIVER ความเดือดดาลแห่งทศวรรษที่ 70
ปั จจุ บันนีป้ ี 2015 หากเรามองย้อนไปในช่ วงไม่ก่ปี ี ท่ผี า่ นมา จะเห็นตัวละครที่มคี วามเป็น Anti-Hero อยู ่ หลายแบบ บ้างก็โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา เก็บตัวอย่างเรื่อง Drive หรือแปลกแยก ไม่อยู ใ่ นกฎเกณฑ์ของส้งคม อย่างเรื่อง Nightcrawler ทัง้ คูต่ า่ งก็มจี ุ ดร่วมคือ รถยนต์คนั งามที่ออกท่องไปยามราตรี และความเประบาง ที่อยู ่ภายใต้จิตใจที่แสนอันตราย ALTERNATIVE ฉบับนี้ เราขอพาท่านไปรู ้จักนักขับตัวพ่อแห่งยุ ค 70 ทราวิส จาก Taxi Driver ผลงานก�ำกับของมาร์ติน สกอร์เซซี่ หนังที่ได้ช่ือว่าเป็นงานคลาสสิคของ ยุ คสมัย เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในหนังสือ Conversations with Scorsese ของ Richard Schickel
Taxi Driver มันไม่ใช่ หนังที่เน้นเรื่องของชาติพนั ธุ เ์ ลยซักนิด แต่มนั
ก็ดเู หมือนอิงมาจากประสบการณ์ในชี วติ ส่วนตัวของคุณนะ
ก็ใช่ ผมขอเล่าเรื่องพื้นเพของผมหน่อยละกัน บรรพบุรุษ ผมมาจากซิซิลีแบบเสื่อผืนหมอนใบ พวกเขาเลี้ยงผมมา แต่ถงึ อย่างนัน ้ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความเป็นอิตาเลียนซักเท่าไหร่ บางทีกค็ ยุ กับเขาไม่ร้เู รือ่ ง เอาจริงๆ คนอิตาเลียนเป็นคนทีไ่ ม่ เหมือนชาวบ้านทัว่ ไปนัก ครอบครัวทางฝั่งแม่ทำ� ให้ผมนึกถึง เรื่อง La Terra Trema หนังที่ว่าด้วยแม่ผู้ต้องเลี้ยงดู ลูกชายทัง้ หมดของเธอ ส่วนครอบครัวทางพ่อผมก็เป็นพวก คนทีส ่ ้ชู วี ต ิ แม่ของพ่อ ซึง่ ก็คอ ื คุณย่า ท่านเป็นหญิงแกร่ง เหมือน Katina Paxinou ในหนังอิตาเลียนเรื่อง Rocco
and His Brothers
พวกเขาเป็นคนทีด่ ราม่า เจ้าอารมณ์ ยึดถือธรรมเนียม ปฏิบตั แิ บบเข้มข้นมาก แต่พอผมได้ดห ู นังอย่าง Shadows ของ จอห์น คาสซาเวทีส หรือหนังอิงมาร์ เบิร์กแมน และการได้ ไปเรียนที่ NYU มันรู้สึกเหมือนหลุดออกไปอีกโลกนึงจากที่ เคยพบเจอ และผมก็ถ่ายทอดสิง่ เหล่านีอ ้ อกมาตอนท�ำหนัง เรือ ่ ง Mean Streets ในตอนทีไ่ บรอัน เดอ พัลมา เอาสคริปท์ Taxi Driver ให้ผมอ่าน ตอนนั้นมันเหมือนส่องกระจกสะท้อนต่อโลกที่ ผมเคยเติบโตมา ได้เห็นสิ่งที่อยากจะขจัดออกไปจากความ ทรงจ�ำ เอาจริงๆ ผมไม่อยากจะพูดถึงพื้นเพตัวเองให้ใครรู้ นักหรอก อย่างหนังเรื่องนี้มันมีความเดือดดาลที่ผมเคย เห็นจากคนรุ่นปู่ย่าแฝงอยู่ด้วย ใน Taxi Driver ผมเลือกจะปล่อยความรู้สึก เกรี้ยวกราดออกมา คงถือว่าได้บ�ำบัดตัวเองด้วยอย่างหนึ่ง ตอนอ่านบท ผมรู้ทันทีว่ามันมีสิ่งที่โดนเราอยู่ สิ่งเหล่านั้นมัน คือโทสะ ความอัดอั้น ความโดดเดี่ยวที่อยู่ข้างใน รวมๆ แล้วก็ คือความรู้สึกว่าเราไม่สามารถเข้ากับใครเขาได้เลย ผมมัก จะเจออะไรอย่างนีเ้ สมอ สิง่ ทีท ่ ำ� ให้ร้ส ู ก ึ ว่าตัวเองเป็นคนนอก อย่างตอนเด็กๆ ผมโตกับมาในย่านทีว่ ด ั ความเป็น แมนโดยดูที่ใครเล่นใคร ยิ่งล้มคนอื่นได้มากนัน ่ คือยิง่ แกร่ง แต่เฮ้ย! นีแ่ ม่งไม่ใช่หนังของอาร์โนลด์ ถึงแม้ผมจะอยู่ในย่าน แบบนั้น แต่ผมเคยได้ยินพ่อพูดเกี่ยวกับความเป็นแมนที่ ต่างออกไป พ่อสอนให้เราเป็นแมนจากการมีคุณธรรม จากจุดนั้น การที่ผมไม่ได้ไปชกต่อยกับใครอย่าง
4 / ALTERNATIVE MILITARY ISSUE
มาร์ติน สกอเซซี่ กับอิริยาบทผ่อนคลาย ในกองถ่าย Taxi Driver
Credit: Columbia Pictures
ORSESE จากทีผ่ มไม่ได้ไปต่อยตีอะไรกับใครเขา บวกกับการที่ บอกความรู้สึกไม่ชอบนี้กับใครไม่ได้ด้วย มันจึงถูก เล่าออกมาในงานอย่าง Mean Streets ต่อมาก็ ใน Taxi Driver ที่เจาะลึกความรู้สึกของการที่ไม่ เข้าพวก ไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งกับใครๆ ได้เลย ผมจ�ำได้ว่าบ๊อบ (โรเบิร์ต เดอนีโร) เคยพูดความรู้สก ึ คล้ายกันนี้ในงานเทศกาลหนังไตรเบ็คก้าเมื่อสอง สามปีก่อน ตอนนั้นเขาพูดบนเวทีว่า “ผมใฝ่ฝันมา ตลอดว่าอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของอะไรซักอย่าง ตอนนี้ผมได้เป็นแล้ว” ที่เขาพูดมามันก็คือการ ถอดความใจกลางของหนังเรื่องนี้ เป็นครั้งแรกที่ ผมได้ยินเขาพูดอะไรแบบนี้เลยนะ ตอนชวนเขา มาเล่น Taxi Driver เราแทบไม่ต้องมาคุยกัน แล้วว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ท�ำไม เราถึงอินกับมันนัก เพราะต่างคนต่างเข้าใจดี
เดี๋ยวนะ ขอแทรกแป๊บนึง แต่เท่าที่ดใู นหนังมา ตัวทราวิส พระเอกในเรื่อง มันเป็นคนบ้าไม่ใช่ เหรอ คุณจะเอาอะไรกับคนที่เพิ่งกลับจากเวียดนามวะ ถามจริง เราแทบไม่ร้ห ู รอกว่าเขาในเจออะไรในสงคราม นีม ้ าบ้าง การยืน ่ ปืนให้กบ ั เด็กทีอ ่ ายุแค่ 17 แล้วส่ง มันไปสู่สมรภูมิ คงมีแต่พระเจ้าเท่านัน ้ แหละทีจ่ ะรู้วา่ สิง่ ทีเ่ กิดขึน ้ กับเขาเป็นยังไง คิดดูสิ ในเวียดนามอะไร ท�ำให้คนคนนึงเป็นวีรบุรษ ุ ล่ะ มันมีสงิ่ ทีเ่ รียกว่าวีรบุรษ ุ อยู่จริงรึเปล่าเถอะ ผมไม่รู้ ไม่เคยไปรบ ไม่เคยมี ประสบการณ์อะไรแบบนัน ้ แต่ความเหงา การทีร่ ้สู กึ ว่าเป็นคนนอก การที่ ไม่สามารถทีจ่ ะสือ ่ ถึงใครได้เลย นัน ่ คือสิง่ ถูกถ่ายทอด อยู่ในหนัง และตัวละครก็ระเบิดความรุนแรงนีอ้ อกมา นัน่ แหละเป็นสิง่ ทีเ่ ราทุกคนต้องยอมรับ ว่าคุณเองก็เคยมี ความคิดบ้าๆ แบบนีในหัวอยู่ ้ บ้างเหมือนกันแหละ เพียงแต่ ไอ้ทราวิสดันข้ามเส้นนัน้ ไปแล้ว นีแ่ หละความเจ๋งทีพ ่ อล ชเรเดอร์เขียนไว้ในบท บางส่วนอาจสือ่ ความเป็น มนุษย์ได้ แต่กม ็ เี รือ่ งล่อแหลมอย่างการเหยียดผิวและ แง่มม ุ หนักๆ อยู่ด้วย แต่ผมก็เชือ ่ ว่าหลายคนต่างก็คด ิ
ไอริส-โจดี้ ฟอสเตอร์ และ ทราวิส-โรเบิร์ต เดอนิโร ในยุ คที่ทงั้ สองยังครองความหนุ่มสาว
อย่างที่ในหนัง มีจุดหนึ่งที่ทราวิสมันพู ดว่า เขาคือคนที่จะ มาช� ำระล้างความสกปรกของเมืองใช่ ไหม ใช่แล้ว
คุณจะให้เราเข้าใจว่าตัวละครมันคิดว่าตัวเองเป็นผู ไ้ ถ่บาปเหรอ เพราะผมไม่คอ่ ยเห็นว่ามันจะยึดอะไรเป็นหลักความเชื่อเลย นอกเหนือจากทีค่ ณ ุ บรรยายมา มันก็คอื คนบ้าไร้ขดี จ�ำกัดที่ดนั เชื่ อว่าตัวเองเข้ากับใครเขาไม่ได้ คุณจะอธิบายตัวละครยังไง เพราะมีคนคิดแบบนี้ไง ผมถึงได้ท�ำหนังออกมา เพราะว่ามันสื่อถึงความกระหายของคน คนแบบที่พร้อมจะฆ่าล้างบางคนทั้งหมู่บ้าน ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และสัตว์ เพียงเพราะว่าคนอื่นนั้นไม่เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกับเขา นี่คือคนที่สามารถลงมือท�ำอะไรแบบนั้นได้ ถ้าถูกผลักหรือกดดันมากๆ มันเป็นคนนอกสังคมที่เต็มไปด้วยความกระหาย และความเชื่อแบบหลับหูหลับตา เขายิงคนที่ไม่ได้ท�ำอะไรกับเขาได้ใช่ไหม ท�ำไมล่ะ ก็เพราะว่าเขาไม่สามารถไปยิงไอ้นักการเมืองที่ ไม่เคยท�ำอะไรให้กับเขาเหมือนกัน ส่วนตัวผม สิ่งส�ำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่การถ่ายทอดเรื่องราว หรืออธิบายการกระท�ำของตัวละคร แต่ มันอยู่ที่การเข้าถึงความคิดของตัวละครทราวิส อะไรท�ำเขาลงมือท�ำอะไรแบบนั้นออกมา ยกตัวอย่างหนังสือ Notes from Underground ของฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี เชือ ่ มโยงกับ Taxi Driver ประเด็นทีค ่ นเรา อาจแสร้งว่าไม่ชอบคนอื่นก็ได้ แต่ในส่วนลึกมืดด�ำที่สุดของหัวใจ เราต่างรู้ดีว่าที่ท�ำไปเป็นเพราะกลัว และไม่อยากเป็นฝ่ายถูกกระท�ำ ถูกผลักออกจากสังคม ถูกปฏิเสธจนไม่กล้าเปิดรับใครได้อกี มันไม่ใช่หนทางทีด ่ น ี ก ั หรอก แต่เพราะเราเป็นคนธรรมดาทีม ่ ขี ้อบกพร่อง
ALTERNATIVE MILITARY ISSUE / 5
แต่ผมเห็นความเป็นคนของตัวละครนีอ้ ยู เ่ หลือเกินนะ ถึงจะ ไม่เชื่ อในศาสนา ไม่มคี วามเห็นต่อเรื่องการเมือง ไม่สามารถ มีปฏิสมั พันธ์กบั คนอืน่ ได้ แต่เขาทีย่ งั หลงใหลในผู ห้ ญิงคนหนึง่ คือ เบ็ทซี่ คนทีเ่ ป็นอาสาให้นกั การเมืองทีล่ งเลือกตัง้ ถามหน่อย ว่าตัวเธอเป็นกระจกสะท้อนความด้อยเสรีภาพ ไร้อ�ำนาจ จากคนรอบข้างที่คมุ อยู ่ แล้วเบ็ทซี่ กเ็ กิดไปสนใจในตัวทราวิส เพราะว่าส�ำหรับเธอเขาดูด้อยกว่ามาก เป็นผู ้ชายที่เธอไม่ ต้องไขว่คว้า นี่ผมเดาเอานะ ซึ่ งท�ำให้การพาเธอไปดูหนังโป๊... เออๆ คุณน่าจะจ�ำได้นะ แต่คนส่วนมากจ�ำมันไม่ค่อยได้ หรอก ในยุคนัน ้ มันมีการพยายามท�ำให้หนังโป๊เป็นที่ ยอมรับด้วย หนังอย่าง Deep Throat หรือ Sometimes Sweet Susan ตอนนัน ้ ผมไปดู Deep Throat กับเดอ พัลมา แล้วมันบอกว่า “เฮ้ย มึง ดูคนรอบๆ ตัวมึงเด่ะ มันไม่เข้าท่าเลยนะเว้ย มีแต่คน เขามากันเป็นคู่ทงั้ นัน ้ เลย” ผมเลยบอกว่า “ถูกของมึง เราน่าจะมากับแจมกับคนพวกนีใ้ นชุดกันฝนท่าจะดีนะ ว่าไหม” เหตุการณ์นน ั้ มันเป็นความหน้าไหว้หลังหลอก ในสังคมแบบข�ำๆ มันอาจเป็นการทลายเรือ่ งชนชัน้ ด้วย ระหว่างตัวละคร
แต่กลับกันตัวทราวิส เขามุง่ ทีจ่ ะมาทีน่ เ่ี อง เหมือนกับเขามาที่ โรงหนังโป๊เป็นเรื่องปกติ คือถ้าผมจะมโนเอาว่า มันมีสว่ นที่มา จากชี วติ จริงของคุณส่วนหนึ่งได้ไหม เออ ผมว่า มันก็พด ู ยาก แต่ในฉากนีท ้ งั้ นักแสดงและตัว ผมต่างรู้สก ึ กับมัน ผมกับบ๊อบ ไม่เคยเปิดอกคุยเรือ ่ งนี้ กันอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อนด้วยสิ แต่บางทีมน ั ไม่ต้อง อาศัยค�ำพูดหรอก มันเป็นแค่ความเข้าใจ ผมไม่เคยพูด เรือ ่ งนี้ แต่ร้วู ่าเขาเข้าใจดี เกีย ่ วกับเรือ ่ งทีถ ่ ก ู ผลักออก จากสังคม เรือ ่ งทีไ่ ม่สามารถเป็นส่วนหนึง่ กับคนอืน ่ ๆ เขาได้
อย่างซี นที่ดงั มาก คือซี นตรงกระจก ที่เขาซ้อมพู ดคนเดียว อ๋อ นั่นอิมโพรไวส์
มาร์ติน สกอเซซี่ ก�ำลังสาธิตกลยุ ทธการเข้าตีอย่าง ถูกวิธีในฉากไคล์แมกซ์ของเรื่อง
โรงหนังโป๊ชั้นสองคือที่หย่อนใจของหนุ่มแท็กซี่ ขี้เหงาผู ้นี้ อิมโพรไวส์เยอะหรือเปล่า อิมโพรไวส์หมดแหละ ในบทเขาแต่งตัวเตรียมพร้อมลุยอยู่หน้ากระจก เห็นความจิต บนสีหน้าเขา แล้วต้องสไลด์ปืนเข้าออกจากแขนเสือ้ ซึง่ ต้องสไลด์ออกมาไม่ได้เรือ่ ง ด้วยนะ แต่ในหนังมันดันออกสไลด์ออกมาพอดีซะงั้น มันมีเรือ ่ งไม่คาดคิดเต็มไปหมด เพือ ่ นผมคนหนึง่ เขาเป็นหน่วยรบ พิเศษที่เวียดนาม ครั้งหนึ่งเขาเคยเอารูปพวกเพื่อนที่ก�ำลังจะเข้าภารกิจมา ให้ผมดู ทรงผมพวกเขาเหมือนกับทรงโมฮอก นัน ่ จึงเป็นทีม ่ าของทรงผมของทราวิส ส่วนเรือ่ งการถ่ายท�ำตอนนัน ้ เราค่อนข้างถูกบีบให้จบคิวถ่าย มันถ่ายมา เกินห้าวันจากวันทีก ่ ำ� หนดไว้ 40 คิว ซวยโคตร! แถมเจอสภาพอากาศย�ำ่ แย่อก ี หายนะแทบทุกอย่าง แต่อย่างไรก็ตามส�ำหรับซีนทีเ่ ขาพูดหน้ากระจก ผมอยากให้เขาพูดกับตัวเอง ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาควรพูดอะไร แต่ผมจ�ำได้ว่า มันเคยมีที่ มาร์ลอน แบรนโด เล่นซีนแบบนีใ้ นหนังเรือ ่ ง Reflections in a Golden Eye วันทีพ ่ วกเราเริม ่ ถ่ายกัน เซ็ทอยู่ทอี่ พาร์ทเมนท์ทใี่ กล้จะพังมิพงั แหล่ บน โคลัมบัส อเวนิว ถนน 89 เราอยู่ห้องที่อยู่ด้านหน้าตึกตรงชั้นสองที่แทบ ได้ยน ิ เสียงทุกอย่างจากหน้าถนนเลย ภายในห้อง ผมนัง่ อยู่ทพ ี่ น ื้ ส่วนบ๊อบอยู่ ตรงหน้ากระจก ไมเคิล แชปแมน คุมกล้อง พอเริม ่ อิมโพรไวส์ เขาก็พยายาม คิดถึงใครก็ได้ทผี่ ดุ ขึน ้ เข้ามาในหัว แล้วก็พดู ไปเรือ่ ย ถ้าเกิดเขาได้ยน ิ ใครทีอ ่ ยู่ตรง นัน ้ แล้วพูดอะไรทีไ่ ม่เข้าท่า เขาก็จะหันหลังกลับแล้วพูดประมาณว่า “นีแ่ กพูดกับ ฉันเหรอ” “พูดจาหาเรือ่ งแบบนี้ แกต้องเคลียร์กบ ั ฉันแล้วล่ะ” อะไรท�ำนองนัน้ ไม่ได้เป๊ะ ทุกค�ำหรอก แต่มน ั ก็อารมณ์นเี้ ลย
6 / ALTERNATIVE MILITARY ISSUE
นี่คือคนที่สามารถลงมือท�ำอะไรแบบนัน้ ได้ ถ้าถูกผลักหรือกดดันมากๆ มันเป็นคนนอกสังคมที่เต็มไปด้วยความ กระหายและความเชื่ อแบบหลับหูหลับตา เขายิงคนที่ไม่ได้ท�ำอะไรกับเขาได้ใช่ ไหม ท�ำไมล่ะ ก็เพราะว่าเขาไม่สามารถไปยิงไอ้นักการ เมืองที่ไม่เคยท�ำอะไรให้กับเขาเหมือนกัน ตอนนัน ้ ผมโดนเร่งให้ทน ั ตารางการถ่ายท�ำ ขณะเดียวกัน พีท สกอปปา ทีเ่ ป็นผู้ช่วยผู้กำ� กับตอนนัน ้ ก�ำลังทุบประตูอยู่ระหว่างทีเ่ ทค เขาตะโกนเข้ามาว่า “เฮ้ย เร็วหน่อยสิ เราต้องเร่งให้ทน ั ตามตารางนะพรรคพวก” ผมเลยตอบไป “กูขอสองนาที สองนาทีเท่านัน ้ มันก�ำลัง ออกมาดีเลย” แต่จริงๆ ตอนนัน ้ มันวุ่นวายมาก แล้วผมก็ให้บ๊อบเล่นอีกเทคสองเทค แต่เขาก็พด ู ในแบบทีเ่ ป็นของเขาเองเสมอ และมันก็ กลายเป็นประโยคยอดเยีย ่ ม ซึง่ เขายอมรับเลยว่าตอนนัน ้ เขาคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียว พูดกับตัวเองคนเดียวจริงๆ และก็ออกมาอย่างทีเ่ ห็น
ในตอนจบของหนัง ทราวิสดูเหมือนปกติดแี ล้ว เห็นเขายืน พู ดคุยปกติกบั พวกโชเฟอร์ดว้ ยกัน แล้วจูๆ่ เบ็ทซี่กข็ น้ึ มานัง่ รถแท็กซี่ ของเขา เธอเหมือนจะมีใจให้เขาด้วย และดูเหมือน เขาก็จะไม่จู่โจมเธออีกแล้ว
เบื้องหลังฉากอาหารเช้าระหว่างทราวิสและไอริส
ผมไม่คดิ ว่าเป็นการจู่โจมอะไรแบบนัน ้ นะ การทีผ่ ้ห ู ญิง คนหนึ่งยอมขึ้นรถแท็กซี่ของชายที่เราต่างรู้ว่าเขา ดูไม่ค่อยปกติ เป็นความรู้สกึ ที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ออกจะหวาน ผมเลยคิดหาทางทีจ่ ะสือ ่ ฉีกออกไป จากแบบนัน ้ พอเธอลงจากรถแล้ว เราเลยให้ทราวิส มองทีก ่ ระจกส่องหลัง เหมือนเขาแวบเห็นอะไรบาง อย่างด้วยสายตาดุดัน จากจุดนั้นเหมือนระเบิด เวลาในตัวเขาจะกลับมาเดินอีกครัง้ ไม่ช้าก็เร็วเมือ ่ ความรุนแรงในตัวเขาปะทุอก ี อาจจะมีการสังเวย ตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายก็ได้ ใครจะไปรู้ เพราะว่า ก่อนหน้านีเ้ ขาเองก็ต้องการดับชีวิตตัวเองอยู่นี่ แต่ ตอนนั้นเคราะห์ดีที่ปืนนั้นดันกระสุนหมดซะก่อน
ALTERNATIVE MILITARY ISSUE / 7
Kitty, a friend of Ek who hopes to climb the social ladders via the barrack. Ryu Ingkarat delivered an impressive performance in the role of Oat.
The bond between the two brothers is depicted in the memory of motorcycle rides.
ในช่ วงชี วิตของชายไทย บางคงอาจจะต้องเผชิ ญกับ ความหวาดหวัน่ ยามทีต่ อ้ งเข้ารับการคัดเลือกเกณฑ์ทหาร อันเป็น ‘หน้าที่’ ของชายไทยเมื่ออายุ ครบ 21 ปี บริบูรณ์ แต่ก็เป็นเรื่องที่รู้กันในสังคมไทยแลนด์แดนสตอกันดี ว่าหนทางหลีกเลี่ยงที่จะไม่ต้องเป็นนั้นไม่ได้ยากเย็น เพียงแค่ ‘เงิน’ คุณถึงหรือเปล่าเท่านัน้
In some Thai men’s lives comes a time of nervousness and uncertainty. That time is the conscription: a ‘duty’ for men who have turned 21 years old. But it is very well known that, in this Pretentious Land of Thais,walking free from a drafting day is easy peasy. The only question they ask you is about how much money you’ve got.
How to Win at Checkers (Every Time) (2015) focuses on
Credit: Add Word Productions
8 / ALTERNATIVE MILITARY ISSUE
the aforementioned issue. The story is told through the protagonist, Oat, a young man who has a recurring nightmare of his older brother, Ek, going up in flame in a dark alley. The movie is a flash back to Oat’s memory as an elementary school boy. It depicts the relationship between the brothers, Ek was the leader of the family whose duty was to earn money together with his aunt to take care of everyone. But a struggle was looming when another duty was calling upon him: the drafting. If he drew out a red card, it would mean that he had to leave siblings behind, and that included Oat and another younger sister. This is the first Thai movie in many years’ time to depict realistically the life of the people lower in the socio-economic level. At the same time, it leaves out nothing about the wealth and social gapthat we are so numbed to in daily life. Common as it is, the issue is hardly ever addressed in the mainstream cinema. Perhaps the producers fear that it wouldn’t entertain the audience. Therefore, this movie is the result of true bravery of the producers who found a space for this project in a mainstream arena.
The checkers games of the brothers.
Ek showing his beloved younger brother the world in a gay bar.
กล่าวถึงความสัมพันธ์ของโอ๊ตและเอก พีช่ ายผู้เป็นเสมือน เสาหลักของบ้าน เอกผู้ต้องหาเงินมาจุนเจือครอบครัวร่วมกับป้า เพือ ่ เลีย ้ งดูคนในบ้าน แต่อป ุ สรรคทีก ่ ำ� ลังคืบคลานเข้ามาคือใบเรียก ให้ไปเกณฑ์ทหาร ซึ่งหากจับได้ใบแดง นั่นหมายถึง การที่ไม่ สามารถอยู่ชว่ ยดูแลน้อง ซึง่ นอกจากโอ๊ตแล้วก็มน ี ้องสาวคนเล็ก พ่วงมาอีกคน นับว่าเป็นหนังไทยในรอบหลายปีที่ถ่ายทอดชีวิตของ คนทีอ่ ยู่ภายใต้สงั คมชนชัน้ ล่างได้อย่างสมจริงเป็นธรรมชาติ ขณะเดียวกัน ก็ไม่ทิ้งประเด็นความเหลื่อมล�้ำของคนต่างฐานะทางสังคม อันเป็น สิง่ ทีเ่ ราพบได้ในชีวติ จริงจนชินชา แต่กลับไม่ค่อยได้เห็นในหนังกระแสหลัก อาจเพราะผู้สร้างทัว่ ไปเกรงว่าท�ำออกมาแลัวจะไม่มีคนดู ซึ่งถือเป็น ความกล้าหาญของทีมนีท ้ ป ี่ ลุกปั้นโปรเจคท์จนได้มพ ี น ื้ ทีย ่ น ื ฉายโรง ข้อบกพร่องทีป ่ รากฎชัด คือเรือ ่ งความต่อเนือ ่ งของเวลา สังเกตจากร่องรอยของความไม่เนียนผ่านงานโปรดัคชัน ่ ภาพลักษณ์ ของตัวละครบางคน พร็อพประกอบฉาก เช่น เกมคอนโซลที่ตัว ละครเล่น โปสเตอร์ศล ิ ปินเพลงยุค 90 หรือทีวพ ี ลาสม่าจอแบน น�ำพาให้สบ ั สนว่าจริงๆ แล้ว เรือ่ งราวในหนังเกิดในยุคสมัยไหนกันแน่ รวมถึงการแสดงของนักแสดงสมทบที่แข็ง ดูไม่สมจริง เท่าทีค่ วร แต่ทงั้ หมดก็พอมองข้ามไปได้ เพราะการแสดงของตัวละครหลัก โอ๊ตในวัยเด็ก ที่น�ำแสดงโดย ริว อิงครัต หนุ่มน้อยผู้นี้ให้การแสดง ทีค่ ่อนข้างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ถกู กลบเวลาร่วมซีนกับผู้ใหญ่แม้แต่น้อย เมือ ่ หนังว่าด้วยการเกณฑ์ทหารแล้ว ไม่เพียงแค่การโฟกัส ทีต ่ วั ละครหลัก แต่เรายังได้เห็นกระบวนการอย่างเป็นล�ำดับขัน ้ ตอน การถ่ายภาพทีส ่ มจริงด้วยกลวิธขี องสารคดี เช่นเดียวกับ Draft Day งานก่อนหน้าของผู้กำ� กับจอช คิม สารคดีว่าด้วยการเกณฑ์ทหาร และถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนไทย แต่บริบท ทรรศนะต่างๆ ที่ถ่ายทอดออกมา ก็ใกล้เคียงสังคมไทยในแง่ทไี่ ม่สวยงามนัก ทัง้ เรือ่ ง การดิน ้ รน ยาเสพย์ตดิ ผู้มอี ท ิ ธิพล การขายบริการทางเพศ จนนัยยะ หนึ่งมันเกือบเป็นหนังสะท้อนสังคมในสิ่งที่คนไทยต่างรู้ดีว่ามีตรง ไหน แต่ไม่อยากพูดถึง ตัวบทอาจยังมีจดุ ด้อยอยู่บ้าง ตรงทีค่ นท�ำใส่ใจกับ ’เรือ่ งเล่า’ ทีม ่ าจากหนังสือสองเล่ม มุ่งจะผูกให้มน ั เป็นหนังเรือ่ งเดียวกัน จนละเลย มิติความลึกของตัวละครอื่น บทบาทจึงเหมือนมาเพียงเพื่อสร้าง ’อุปสรรค’ ให้กับตัวละครหลัก โดยไม่ได้เห็นแง่มุมอื่นใดมากกว่า นั้นเลย หนทางสุดท้ายทีต ่ วั ละครเลือกทีจ่ ะไม่แพ้ในเกมหมากรุก ทุกครัง้ ไป แม้ยงั คลุมเครือในแง่การเป็นหนังเล่าเรือ ่ ง แต่ในภาพรวม มันได้ตอบโจทย์คนดูหนังไทยทีค ่ าดหวังถึงหนังน�ำ้ ดีในระยะทีผ ่ ่านมา ด้วยประเด็นที่ค่อนข้างแข็งแรง มีแง่มุมท้าทายคนดูให้ไปขบคิดต่อ ไม่ใช่เพียงแค่หนังบันเทิงที่ดูแล้วก็จบกัน
Tony Rakkaen plays the Adult Oat.
However, the obvious flaw of this movie is the discontinuity of a timeline in terms of production design. The confusion of the characters’ styling and props, such as the games played by the characters, the 90s musical band posters, or a flat plasma screen television really clouds the exact era of when the movie is set. Some supporting actors were not as convincing as they should have been, but it was all forgivable with the performance of the protagonist, the young Oat, played by Ryu Ingkarat. The young boy actor gave a rather natural performance that doesn’t at all faint out against the other adult actors. As a movie about conscription, How to Win at Checkers (Every Time) doesn’t only focus on the main characters. It also focuses on the process of realistically telling the story in a documentary style similar to earlier documentary film on conscription of the director, Josh Kim, in Draft Day (2013). Although he is not Thai, Josh Kim has very closely presented the ugly contexts and perspectives of the Thai society. This includes the daily struggles, the drug abuse, the social class and its power, and the sex trade. In other words, this movie is almost a reflection of the issues every Thai person is well aware of, but refuses to discuss. The script may seem a little weak as the director very much focuses on ‘telling the stories’ that came off two different books tied into one movie. With such deep focus on one thing, the dimension of the supporting characters is simply lacking. Some characters seem as if they were there just to be an ‘obstacle’ to the main characters and nothing else. The final choice of the characters to never losing at checkers may seem a little unclear for a narrative –driven movie. But overall, the movie meets the expectations of the Thai movie goers who have been looking for a decent, non-soap-opera film for a while. With the strong points and thought-provoking aspects, this movie is not simply a one-off entertainment, but rather a film that sticks to the audiences long after they’ve watched it.
WIDE ANGLE
How to Win at Checkers (Every Time) หรือ พีช่ าย My Hero เกาะเกีย่ วประเด็นหลักของเรือ่ งดังกล่าว บอกเล่าผ่านตัวละครโอ๊ต ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เฝ้าฝันถึง เหตุการณ์ปริศนาที่เห็น เอก พี่ชายของตนถูกไฟลุก ท่วมร่างอยู่ในตรอกมืด พลันย้อนกลับไปเล่าเหตุการณ์ ก่อนหน้านัน ้ ในความทรงจ�ำของโอ๊ตสมัยยังเป็นเด็กประถม
ALTERNATIVE MILITARY ISSUE / 9
Devils on the Doorstep
Credit: Asian Union Film and Entertainment
WIDE ANGLE
บางคนอาจคุ้นเคยชื่ อ เจียงเหวิน จาก Let the Bullets Fly หนังจีนที่เต็มไปด้วย การหักเหลี่ยมเฉือนคมที่แสนตลกร้าย แต่มไี ม่มากคนนักที่จะได้ชมผลงานก่อนหน้านี้ ของเจียงเหวินอย่าง Devils on the Doorstep ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2000 แต่ภาพ การน�ำเสนอกลับคล้ายหนังโบราณยุ คขาวด�ำ ด้วยทัศนียภาพแถบชนบทจีนที่ ไกลปื นเที่ยง หนังพาคนดูยอ้ นยุ คไปในช่ วงญี่ป่ ุ นรุกรานจีน เพื่อบอกเล่าว่า สงคราม สามารถเปลี่ยนคนบริสุทธิ์ให้กลายเป็นปี ศาจร้ายได้อย่างไร ในภาวะสงครามที่ญี่ปุ่นเข้ายึดหมู่บ้านในมณฑลต่างๆ ของจีน ต้าซัน ตัวเอกของเรื่องที่อาศัยอยู่บ้านซอมซ่อ กับเมียเพียงสองคน ต้องรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันกลางดึก เมือ ่ มีชายลึกลับบุกเข้ามาในบ้านพร้อมชักปืนขู่ แล้วโยนกระสอบสองใบที่บรรจุคนไว้ หนึ่งเป็นทหารญึ่ปุ่นอีกหนึ่งเป็นล่ามจีนแปลภาษาญี่ปุ่นได้ ดูจากท่าทีแล้ว ชายลึกลับคนนี้น่าจะเป็นทหารจีนที่จับเชลยทั้งสองมา เรือ ่ งชวนหัวเกิดตรงทีช่ ายลึกลับบังคับให้ต้าซัน เค้นค�ำสารภาพจากเชลยสองคนนีม ้ าให้ได้ แล้วจะกลับมา ทวงถามอีกครัง้ ในวันปีใหม่ ต้าซันก็พอจะเดาออกว่าถ้าหากไม่ทำ� ตาม คงต้องตายแน่ แต่ปรากฎว่าพอถึงวันปีใหม่ กลับไม่มีวี่แววชายคนนั้นอีกเลย
People may remember the name of the Chinese director, Wen Jiang, from the movie Let the Bullets Fly (2012); a Chinese movie known for its sharp dark humor and outwitting. However, few are familiar with Wen Jiang’s earlier work, Devils on the Doorstep (2000) which was visually designed to look like a film from the Black-and-White era. Setting its scenes in China’s underdeveloped countryside, the movie takes the audiences back to the time of the Japanese invasion to show how war can demonize even the most innocent.
Dasan and his wife in anticipation of mysterious man.
10 / ALTERNATIVE MILITARY ISSUE
During the Japanese invasion of the upcountry China, Dasan and his wife were living in a rundown peasant home by themselves when the unexpected hit them. In the middle of one typical night, a mysterious man invaded their home with a gun threat. He threw down 2 sacks containing two people. One is a Japanese soldier, the other is a ChineseJapanese translator. From the way he seemed, the mysterious man might have been a Chinese soldier who had captured his prisoner. The situation all got curious when the mysterious man forced Dasan to interrogate the prisoners for confession. Dasan was to do whatever it takes to squeeze the confession out of them before New Year when the mysterious man claimed he would return. Dasan figured that he would have been killed if he didn’t conform to the man, but when New Year finally came around the mysterious man never showed up or was heard of again. And so the innocent Dasan was left with the guilt and burden of the two prisoners. Dasan asked the other villagers, who were all just farmers, for help and solution. This entire time, the movie shows the innocence and sincerity of the upcountry villagers who had mercy even for the Japanese soldier, and treated him with much humane.
ชาวบ้านซื่อๆ ที่ต้องแบกภาระนี้กับเชลยสองคนที่เป็น ชงักปักหลัง เขาขอความช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้านในการหาหนทาง แก้ปัญหา ซึง่ ต่างก็เป็นเพียงชาวไร่ชาวนาธรรมดา ตลอดเวลาเราได้ เห็นถึงความจริงใจของชาวบ้านในชนบท แม้กระทัง่ เชลยอย่างทหาร ญี่ปุ่นก็ได้รับการปฏิบัติในฐานะเพื่อนร่วมโลกอย่างเห็นอกเห็นใจ หนังโลกสวยอยู่ได้ชวั่ โมงนึง ก่อนทีจ่ ะเปลีย ่ นตัวเองเข้าสู่ ความหายนะด� ำ มื ด ที่ ท� ำ ลายความศรั ท ธาในมนุ ษ ย์จ นหมดสิ้ น ชนิดที่ว่าความตลกโปกฮาที่เคยมีมา ท�ำให้คนดูละอายแก่ใจเมื่อ ต้องเป็นพยานรู้เห็นชะตากรรมหลังจากนั้น
The gathering of the vilagers of which each prisoner has his own understanding.
ต้าซันใช้ทุกวิถีทางที่ละมุนละม่อมในการให้สองคนที่ ถูกจับมายอมรับสารภาพ แม้วา่ หนึง่ ในนัน ้ จะเป็นทหารญีป ่ ่น ุ เอาแต่ ตะโกนก่นด่าคนในหมู่บ้าน แต่ล่ามจีนอีกคนทีเ่ ป็นเชลยก็คอยประคับประคอง สถานการณ์ให้ผ่านพ้นด้วยการแปลสาส์นเป็นคนละทาง เช่น ทหาร ญีป ่ ่น ุ ขอให้สอนค�ำด่าแรงๆ ภาษาจีนหน่อย แต่ล่ามจีนดันไปสอน ค�ำอวยพร พอชาวบ้านได้ฟังแทนที่จะโกรธเลยเอ็นดูปนข�ำไปแทน เมือ ่ เวลาผ่านไป ความมีนำ�้ ใจของชาวบ้าน ค่อยๆ ซึมซับ ลงไปในจิตใจทหารญีป ่ ่น ุ ส่วนต้าซันได้รบ ั ข้อเสนอจากคนในหมู่บ้าน ให้ฆ่าเชลยสองคนนัน ้ ทิง้ เสีย เขาก็ทำ� ไม่ลง (เช่นเดียวกับคนในหมู่บ้าน ที่ไม่มีใครกล้าท�ำเช่นกัน) เป็นสิ่งที่สะท้อนคุณค่าความดีงามของ คนที่ปรากฏอย่างแจ่มชัด ทุ ก ค น ใ น ห มู ่บ ้า น เ ห็ น ต ร ง กั น ว ่า จ ะ ล ้ม เ ลิ ก เ รื่ อ ง ”ค�ำสารภาพ” แต่จะสร้าง “ข้อตกลง” ใหม่ขึ้นมาด้วยการปล่อย ทหารญีป ่ ่น ุ คืนสู่ค่ายเพือ่ แลกกับข้าวสองเกวียน แม้หลายคนในหมู่บ้าน จะเห็นว่าอันตราย แต่ต้าซันยอมเสี่ยง เมื่อต้าซันเข้าไปถึงกองทัพญี่ปุ่น พบนายกองญี่ปุ่นที่ ยินดีแถมข้าวให้อีกสี่เกวียน และเลี้ยงฉลองคนในหมู่บ้าน ทุกคนดู มีมติ รไมตรีต่อกัน ทัง้ จีนและญีป ่ ่น ุ ต่างร้องร�ำท�ำเพลงกันอย่างสนุกสนาน ก่อ นที่ ทุ ก สิ่ ง จะยุ ติ แ ละกลายเป็น การสั ง หารโหดคนในหมู่บ้าน ไม่เว้นเด็ก ผู้หญิง คนแก่ เพราะวันนั้นคือวันที่องค์จักรพรรดิญี่ปุ่น ประกาศยอมแพ้สงคราม ความจริงคือเหล่าทหารญี่ปุ่นได้พ่ายแพ่แล้วอย่างสิ้น เชิงต่ออเมริกาทีท ่ งิ้ บอมบ์ใส่นางาซากิกบ ั ฮิโรชิม่า เพียงแต่ในดินแดน ไกลปืนเที่ยงแห่งนั้น ไม่มีชาวจีนคนไหนที่จะล่วงรู้ชะตากรรมว่า ตนเองได้พ้นจากการถูกกดขีจ่ ากญีป ่ ่น ุ แล้ว มีเพียงนายกองคนเดียวทีร่ ้ ู การเลี้ยงฉลองจึงไม่มีจุดประสงค์อื่นใดนอกเหนือไปจาก “การฆ่า คนจีนเพื่อทิ้งทวนก่อนยอมรับความพ่ายแพ้” ต้าซันหนีรอดมาได้โดยบังเอิญ แต่กลับต้องเห็นภาพหมู่บ้าน ตัวเองถูกเผาวอดต่อหน้าต่อตา ความเมตตาทีเ่ คยมีกลับกลายเป็น ใบสัง่ ฆ่าคนในหมู่บ้าน และคนเซ็นสัง่ การอาจไม่ใช่ใครทีไ่ หน นอกจาก เขาที่ตัดสินใจในการสร้าง “ข้อตกลง” ส่งนักโทษแลกข้าวนั่นเอง ท่ามกลางความหดหู่ในท้ายองก์ของหนัง ผู้กำ� กับเจียงเหวิน ได้พาคนดูเดินทางไปสู่ทางเดินอันมืดมิดของตัวละคร ด้วยฉากไล่ฆ่า ทหารญีป ่ ่นุ ของต้าซัน ทัง้ ทีท ่ หารเหล่านัน้ ถูกจับปลดอาวุธแล้ว การล้างแค้น อันน่าสลดสังเวชที่เราไม่รู้สึกสะใจกับการได้เห็นทหารญี่ปุ่นถูกฆ่า เท่ากับไม่ได้เห็นความยินดีในแววตาของต้าซันเมือ่ ได้ล้างแค้น มันคือ ความหดหู่ทต ี่ ้องรับรู้ว่าคนทัง้ หมู่บ้านตายเพราะตน เมือ่ การกระท�ำอันอือ้ ฉาวรู้ไปถึงกองทัพจีน ย่อมมีบทลงโทษ ต้าซันถูกตัดสินโทษให้ประหารชีวิต ความตลกร้ายอยู่ทก ี่ องทัพจีนก็ มองการกระท�ำของต้าซันว่าป่าเถื่อนไร้อารยะ จนไม่สามารถที่จะ ลงมือประหารด้วยน�้ำมือตนได้ จึงให้เชลยญี่ปุ่น เป็นคนส�ำเร็จโทษ เขาด้วยดาบซามูไรแทน ลองเดาดูสิว่าใครจะเป็นคนลงมือ ???
Their world was utopic for an hour before abomination rolled in to completely annihilate all faiths in humanity. All the humorous elements is zapped so hard that the audiences may find themselves ashamed of what happens next. Dasan was trying every possible gentle methods in order to get the two prisoners to confess. Although the Japanese soldier was doing nothing but cussing at the villagers; the translator prisoner helped easing the situations by changing the Japanese soldier’s message. The soldier asked to be taught strong curse words, but all the translator taught him was the blessing and well-wishing. The villagers found it funny, and instead of being upset,they started to have mercy for him in their hearts. As time went by, the villagers’ mercy started touching the soldier’s heart. Dasan was given the option of killing off the two prisoners from the villagers (who couldn’t do it themselves), but couldn’t get himself to do it. The good in the people’s hearts clearly shone through with this part of the movie. All villagers came to an agreement to give up on forcing the prisoners for any confession. Instead, they came up with a ‘deal’ with the soldier to let him go in exchange for two wagons full of rice. Although many found the idea risky, Dasan was willing to risk it. Once Dasan faced the Japanese army, the chief was happy to give four addition wagons of rice, and treated the whole village to a feast. Everyone was friends for a moment. The Chinese and Japanese both sang and danced together with merriment. Before the end of the night, however, the table was turned. The night ended in a massacre of the villagers, including the children, the women, and the elders. It was all because it was the day the Japanese Emperor announced their surrender of the war. The truth was that the Japanese army had been long defeated since the US’s bombing of Hiroshima and Nagasaki. Most Chinese people had yet to realize that they were no longer under the oppression of the Japanese army. The chief was the only one who knew about it. Therefore, the purpose of the feast was no other than to have “the last kills” before accepting their defeat. Dasan somehow survived the massacre, but had to watch his village burning down to the ground right in front of him. The mercy they had for the Japanese soldier had become the ticket to the mass murder of his people, and he was the one to purchase it when he agreed to exchange the prisoners for the rice. In the last and most depressing act of the movie, Wen Jiang takes his audiences on a dark trip down the road of his protagonist’s. In the scenes where Dasan went on the killing rampage of the unarmed Japanese soldiers; there is no satisfaction to be felt when their lives were taken, nor would one see the happiness Dasan’s eyes when he had his revenge. Only depression was in his eyes to know that he was the cause of the death of his entire village. Once the news of the rampage had reached the Chinese army, Dasan was arrested sentenced to death for killing the unarmed Japanese soldiers. The funniest part was when the Chinese army decided that Dasan’s behavior was so barbaric that they couldn’t execute him themselves. Instead, they gave this job to a Japanese prisoner who used a Samurai sword to finish him off. Would you like to guess who it was?
The Japanese army chief playing nice to the vilagers before unveiling the most inhumane horror.
ALTERNATIVE MILITARY ISSUE / 11
Downfall The face of the dictator, Adolf Hitler, portrayed by Bruno Granz.
มนุ ษ ย์ เ ราทุ ก คนล้ ว นต้ อ งเผชิ ญกั บ ช่ วงเวลา แห่งความยากล�ำบาก บ้างก็ตอ้ งแบกรับภาระรับผิดชอบ เรื่องยากจะตัดสินใจ ถึงอย่างนัน้ เราก็ยังเชื่ อมั่นว่า จะต้องผ่านมันไปให้ได้ แต่หากชะตาชี วิตพัดพาเรา ให้ไปอยู ่ในช่ วงเวลาที่ความมั่นคงของประเทศก�ำลัง สั่นคลอน ทุกการตัดสินใจของเราเดิมพันด้วยชี วิต พลเมืองนับล้าน ศึกสงครามแสนยาวนานและส่อแวว ที่จะพ่ายแพ้ ช่ วงเวลาตอนนัน้ คงจะเป็นความทุกข์ แสนสาหัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราตกอยู ่ในสถานะ ของผู ้น�ำ
เพียงชายคนนี้ ไม่ใช่ ผู้วิเศษ
Mankind. Every one of us goes through a struggle sometimes. Some are burdened with difficult decision-makings, but one must always have it in his heart that he will make it somehow. However, when life has brought one into a nation’s stability crisis; the fate of millions depends solely on his decisions. As the long battle is on the verge of being lost, the days were full of sorrow and hardship, especially for the burdened leader.
Downfall ผลงานก�ำกับภาพยนตร์ของ โอลิเวอร์ เฮิร์ชบีเกิล ถ่ายทอดช่วงเวลาสุดท้ายของผู้น�ำเผด็จการชื่อก้อง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หรือทีต ่ วั ละครในเรือ ่ งทัง้ หลายเรียกขานกันว่า ท่านผู้นำ� (Fuhrer) ในช่วงวิกฤตตอนข้าศึกก�ำลังรุกคืบ เข้าใกล้ถึงเมืองเบอร์ลินอยู่ทุกขณะ โดยหนังเล่าผ่านมุมมองของ เทราด์ ยุงเกอร์ หญิงสาวผู้เพิ่งเข้ามาเป็นเลขานุการ คนใหม่ในห้องท�ำงานของท่านผู้น�ำ เธอได้รับรู้เรื่องราวส�ำคัญบทหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์เยอรมัน ความศรัทธาของ คนรอบข้างที่มีต่อเขา รวมไปถึงตัวตนฮิตเลอร์ยามเมื่อสิ้นไร้ความหวังและโรยรา เรือ ่ งราวถูกถ่ายทอดอย่างมีชน ั้ เชิงตัง้ แต่ฉากเปิดเรือ ่ ง ภาพชายวัยกลางคนทีภ ่ ม ู ฐิ านสมกับเป็นผู้นำ� ทางการทหาร ก่อนจะเปิดเปลือยความเอาแต่ใจ ไม่ฟังเหตุผล ยามเมือ ่ เจอกับสภาวะวิกฤตทางการรบ เหล่านายพลต่างจ้องจะเกลีย้ กล่อม ให้ยอมรับความพ่ายแพ้ครัง้ นี้ แต่ฮต ิ เลอร์กลับยืนกรานให้รบต่อ เขายังหวังลมๆ แล้งๆ ว่าวันหนึง่ อาณาจักรไรซ์ทส ี่ าม จะต้องยืนยง ทั้งที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยซากปรักหักพังและซากศพชาวเยอรมัน
12 / ALTERNATIVE MILITARY ISSUE
Third Reich
(German: Drittes Reich) was the period in the history of Germany from 1933 to 1945, when it was a dictatorship under the control of Adolf Hitler and the Nazi Party Credit: Constantin Film Produktion
นอกจากฮิตเลอร์แล้ว ยังมีตวั ละครรอบตัวอีก หลายคนที่ยังคงศรัทธาเขาอยู่ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจลึกๆ ว่า กองทัพแดงของรัสเซียจะต้องบุกมาถึงเมืองไม่ช้าก็เร็ว พวกเขายินดีที่จะปฎิเสธความจริงและใช้ชีวิตราวกับไม่ ค�ำนึงถึงวันพรุ่งนี้ โดยที่ข้างนอกมีชาวเมืองถูกทอดทิ้ง ให้อดอยาก คนชราถูกปล่อยไว้ในโรงพยาบาลอย่างสิน ้ หวัง ทหารบาดเจ็บมากมายที่รักษาแทบไม่ทัน แต่ใ ช่ว ่า หนั ง จะตั้ ง เป้า โจมตี ฮิ ต เลอร์เ พี ย ง อย่างเดียว อีกด้านหนึ่งเรากลับได้เห็นความมีวิสัยทัศน์ ทีก ่ ว้างไกล แม้มน ั จะกลายเป็นค�ำพูดทีห ่ าประโยชน์อน ั ใด ไม่ได้แล้วในเวลานัน ้ สะท้อนให้เห็นความมุ่งมัน ่ ทีเ่ ลยเถิด จนถึงขัน ้ ดันทุรงั อันหวังจะให้เยอรมนีและระบอบสังคมนิยม แผ่ขยายอ�ำนาจไปไกล แต่ความเป็นจริงทีฮ่ ติ เลอร์ได้กลับมา คื อ ก า ร ที่ ถู ก น า ย พ ล ค น ส นิ ท ท� ำ ล า ย ค ว า ม ไว้ เนื้อเชื่อใจอย่างย่อยยับ เราอาจมองได้ว่า ฮิตเลอร์ในช่วงเวลานัน ้ ก็เป็น แค่ตาแก่น่าสงสารที่ดื้อรั้นไม่ฟังใคร แม้ความตายของ ชาวเมืองก็สามารถมองข้ามได้อย่างไม่ยห ี่ ร่ะ ขณะเดียวกัน ความยิ่ ง ใหญ่ที่ ฮิ ต เลอร์ส ร้า งให้กั บ ชนชาติ เ ยอรมั น ความศรัทธาของคนมากมายทีย่ งั มีต่อเขา ก็ทำ� ให้ชาวบ้าน บางคนยังยอมสู้ยบ ิ ตา เอาชีวติ เข้าแลกเพือ่ ปกป้องเบอร์ลน ิ ไว้ ว่ากันว่าประวัตเิ ขียนขึน ้ โดยผู้ชนะ เราอาจรู้จก ั ฮิตเลอร์ในฐานะผู้ได้ชอ ื่ ว่าเป็นคนสัง่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชาวยิว หรือผู้น�ำอันยิ่งใหญ่ของเยอรมันในสงครามโลก ครัง้ ที่ 2 แต่ในแง่ความเป็นมนุษย์ปถ ุ ชุ นในช่วงชีวต ิ สุดท้าย ของชายคนนี้ที่ Downfall ได้ถ่ายทอดเอาไว้ เชื่อว่า หลายคนยากจะลืมเขาได้ลง
movie ‘Fuhrer’. The story was told through the perspective of Traudl Junge, a young woman who had just taken the job as the one of the secretaries in his office. She became witness to the historical moments of Germany, including the faith people had in their Fuhrer, the man he was in the face of desperation, and his fall from grace.
The story was played out strategically from very start. The audiences are shown a dignified middle-aged man worthy of a military leader figure before the façade is torn down baring all his stubborn, egotistical, and irrational side in the time of great crisis. Although the military generals tried to convince him to accept the outcome of the war, Hitler insisted to battle on with his forlorn hope that the Third Reich would prevail, hence the cities left in ruin and the piling bodies of the German people. Apart from Hitler, the movie tells the story of other characters whose faith in the Fuhrer stayed strong even though they knew the Russian’s Red Army was soon to set foot in their territory. They were willing to reject reality and lived in an idealistic vacuum, leaving the forsaken elders and countless wounded soldiers in the hospital out of the picture. But what this movie does is more than just exposing Hitler’s failures. It also shows him as a visionary statesman, even though all his words are lost among the battle ruins. His persistence and determinism to expand Germany and its socialism was returned by the betrayal of his closest generals. In the end, the audiences might look at Hitler under a different light: as a pitiful, stubborn old man. Regardless of how many deaths were overlooked, the greatness Hitler had promised to his people still held enough faith in the people’s heart that they were willing to give up their lives to protect Berlin. It is said that history is written by the victors. People may remember Hitler either as the one who commanded the genocide of millions Jews or the great Fuhrer who led Germany into World War II. As a man, however, his last days were unforgettably depicted in this movie: Downfall.
WIDE ANGLE
อาณาจักรไรซ์ท่ีสาม คือ ชื่ อสามั ญ ของเยอรมั นไรซ์ นั บ เอาช่ วงเวลาระหว่ า งปี 1933 - 1945 เมือ่ ประเทศเยอรมนี อยู ่ ภ ายใต้ ก ารควบคุ ม ของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และพรรคนาซี โดยถื อ เอาจั ก รวรรดิ โ รมั น ส มั ย ก ล า ง เ ป็ นไ ร ซ์ ที่ ห นึ่ ง และเยอรมันยุ คปลายศตวรรษ ที่ 19 เป็นไรซ์ท่ีสอง
Downfall is the work of the director, Oliver Hirschbiegel, which depicts the last days as the enemies were closing in on Berlin of infamous dictator, Adolf Hitler, or as he was called by the characters in the
Traudl Junge, the lucky woman who had the job of being Hitler’s secretary.
ALTERNATIVE MILITARY ISSUE / 13
“กูกเ็ปน็ ของกูแบบนีแ้ หละ ใครจะมองยังไงกูไม่สนหรอก บางคนอาจมีเป้าหมายแล้วเดินไปตามทางนั้น กูกม็ เี หมือนกัน แต่กไู ม่ชอบไปทางตรง ออกนอก ทางบ้าง แวะพักบ้าง แล้วกลับเขา้ มาใหม่ นีแ่ หละชีวติ กู” - เล็กฮิป จากหนังสือ เมือ่ มีผูอ้ า้ งว่าเป็น ‘เล็กฮิป’ แห่งพันธุ ห์ มาบ้า หน้า 119
ข้อความข้างตนคงสาธยายความเป็นตัวตนของชายผู้นี้ได้เป็นอย่างดี เล็กฮิปคือบุคคลผู้มตี วั ตนจริงในนวนิยายเรือ่ ง “พันธุ์หมาบ้า” ของชาติ กอบจิตติ นวนิยายซึ่งเป็นแม่แบบแห่งจิตวิญญาณยุคแสวงหาของวัยรุ่น พันธุ์หมาบ้า เล่าถึงกลุ่มวัยรุ่นทีอ ่ อกเดินทางท่องเทีย่ ว ผจญภัย ประกอบสั ม มาอาชี ว ะที่ อ าจไม่ไ ด้เ งิ น ทองมากมายให้ส ะสมเป็น ทุนรอนนัก ซ�ำ้ ยังใช้ชวี ต ิ อย่างเสเพลในสายตาคนนอก ทัง้ บุหรี่ เหล้ายา หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่พวกเขาเรียกขานกันว่า พืชสวรรค์ ซึ่งคือกัญชา ผ่านวันเวลาทีล่ ่วงไปท่ามกลางความหฤหรรษ์ อาศัยพักพิงอยู่รม ิ ชายหาด ทั้งพัทยา ภูเก็ต และบางส่วนก็เปิดร้านขายของในกรุงเทพ ชีวต ิ เขาเหล่านัน ้ ผูกพันกันเหนียวแน่นด้วยมิตรภาพ อันมีตวั ละครหลักได้แก่ อ็อตโต้ ทัย ด�ำ แก่ ชวนชัว่ เล็กฮิป และคนอื่นๆ ที่แวะเวียนเข้าออกมาร่วมหรรษากันบางครั้งบางคราว เมื่อมีผู้อ้างว่าเป็น ‘เล็กฮิป’ แห่งพันธุ์หมาบ้าเป็นการเรียบเรียงบทสนทนาระหว่าง นาวินผู้สัมภาษณ์ กับเล็กฮิป หรือเปี๊ยก-ชื่อเล่นจริงของเขา ชายผู้มีอายุวัยล่วงเข้าสู่ 60 กว่า แต่การแต่งตัวยังคงสไตล์ฮิปปี้ อย่างที่เห็นกันบนหน้าปกหนังสือเล่มนี้
เมื่อมีผู้อ้างว่าเป็น ‘เล็กฮิป’ แห่งพันธุ ์หมาบ้า
BOOKS
บทสนทนาอันอบอวลไปด้วยมวลกัญชา จากปากค�ำของชายผู ้อ้างตัวว่าเป็น ‘เล็กฮิป’
“I’ve always been this way. I don’t give a sh*t what people think. Someone else might have their own path, and they follow it. I’m the same way. I don’t like walking a straight line. Sometimes I go off the road. I get tired, I take a break, and I get back in. That’s just my life.” - Lek-Hip, Claiming His Name, ‘Lek-Hip’ of Mad Dogs & Co Page 119
The quotation above is, perhaps, the best definition of this man’s identity. Lek-Hip is a real-life person from the novel Mad Dogs & Co by Chart Korbjitti. The novel that stands for the soul-searching teenager spirit. Mad Dogs & Co tells the story of a group of teenagers who went on an adventure taking up odd jobs that don’t necessarily pay for a living. They lived a seemingly stray life drinking and trying out drugs, especially a certain kind they called ‘the heavenly grass’ or marijuana. Their days went by full of joy as they made different beaches of Thailand their homes, including Pattaya and Phuket. Some of them eventually ended up having a leather fashion store in Bangkok. Their lives were tightly bonded with friendship. The main characters include Otto, Tai, Dum, Gae, Chuanchua, Lek-Hip, and many others who occasionally pop in and out of the party.
14 / ALTERNATIVE MILITARY ISSUE
Claiming His Name, ‘Lek-Hip’ of Mad Dogs & Co Claiming His Name, ‘Lek-Hip’ of Mad Dogs & Co is the compilation of the conversations between Navin, the author and interviewer, and Lek-Hip or in his actual nickname, Peak. The man still dresses himself in hippie style in his 60s as seen on the cover of the book. The main focus of the book is on the life of Peak himself and the parallel events in Mad Dogs & Co. The story starts off with Peak’s childhood, running on till when he got to meet one of the main characters in the novel, Chuanchua, who was actually Chart Korbjitti at Porchang Academy of Arts. The conversation leads on to the time Peak and his friends spent their drunken days on the beaches of Thailand, when he went in search for a job in the United States, and the present day. The present day of old age where he contemplates the way he has led his life. Looking back to his wilder days, Peak finds his past to be a valuable lesson rather than anything to regret.
เรือ ่ งราวในหนังสือราวกับเหตุการณ์ค่ขู นานในพันธุ์หมาบ้า ทีเ่ ลือกโฟกัสไปยังเรือ่ งราวของพีเ่ ปี๊ยกเป็นหลัก ตัง้ แต่วยั เด็ก จนได้ร้จู กั กับตัวละครในนิยายทีช่ อ่ื ชวนชัว่ ซึง่ ก็คอื ชาติ กอบจิตติ ทีเ่ รียนเพาะช่าง มาด้วยกัน จนถึงชีวิตที่มั่วสุมกับเพื่อนริมหาดทะเลไทย ไปจนถึง การหางานท�ำทีอ ่ เมริกา และปัจจุบน ั ในวัยดึกทีเ่ ข้าสู่จด ุ ทบทวนชีวต ิ ทีผ ่ ่านมาของตน การมองย้อนกลับไปยังช่วงชีวต ิ เหล่านัน ้ กลายเป็น บทเรียนที่ล�้ำค่ามากกว่าการมานั่งเสียดายหรืออาลัยอาวรณ์ โดยส่วนตัวผมรู้จักพี่เปี๊ยกมาระยะเวลาหนึ่ง เขาคือผู้อยู่ เบือ ้ งหลังงานออกแบบฉากให้กบ ั หนังอิสระอย่าง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ รวมถึ ง เป็น อาร์ท ไดเร็ ต เตอร์ใ ห้กั บ โฆษณาและงานอี เ วนท์ท าง ศิลปะมาหลายเวที ในขณะนี้เขาพ�ำนักอยู่ต่างประเทศกับเพื่อนใน วงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอเมริกา พี่เปี๊ยกเป็นเพียงไม่กี่คนจากนวนิยายเรื่องพันธุ์หมาบ้า ทีย่ งั คงมีชวี ติ อยู่ เนือ่ งจากชีวติ สุดขัว้ ของกลุ่มเพือ่ นในเวลานัน้ ท�ำให้บางคน ต้องจากโลกนีไ้ ปก่อนวัยอันควร อาจเพราะเหล้าและยาเสพติดทีบ ่ น ่ั ทอน อายุขยั ด้วยส่วนหนึง่ ในช่วงชีวติ บัน ้ ปลายนี้ พีเ่ ปี๊ยกทีบ ่ อกกล่าวเรือ่ งราว ผ่านตัวอักษร ไม่แตกต่างไปจากพีเ่ ปี๊ยกทีผ่ มเคยรู้จกั เขายังคงสนุกสนาน ใจกว้าง และเอ็นจอยกับชีวติ เสมอ แน่นอนว่าเขายังหลงใหลในพืชสวรรค์ เหมือนอย่างเคย หนังสือเล่มนีเ้ ป็นการบันทึกบทสนทนา ว่าด้วยความทรงจ�ำ ของพีเ่ ปี๊ยกผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน นับว่าเป็นผู้ทใี่ ช้ชวี ต ิ ได้ค้ม ุ ทีส่ ด ุ คนหนึง่ ทีไ่ ด้ดำ� รงอยู่บนโลกใบนี้ ย้อนไปในยุคสมัยหนุ่มแน่น นอกเหนือจากเหล้า พีเ่ ปี๊ยกจัดมาหมดแล้ว ทัง้ แอซิด แฮสชี่ เห็ดเมา แต่ยาเหล่านัน ้ ไม่ใช่เหตุผลทีจ่ ะอ้างถึงการมีชวี ต ิ ทีค ่ วรค่าแก่การรับรู้ แต่คือวิถีทางแห่งความเป็นบุปผาชน ชีวิตแบบเสรีที่ยึดเหนี่ยวกัน ในพวกพ้อง และไม่เคยตัดสินกันทีเ่ งินทองของมีคา่ ว่าใครจะสะสม ไว้ในการครอบครองได้มากกว่า แต่ต่างคนต่างนับถือกันที่ ‘ใจ’ ล้วนๆ เราไม่อาจตัดสินคนได้เพียงการมองเปลือกนอกฉันใด วิถีทางในการด�ำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามครรลองก็ไม่มีอยู่จริงฉันนั้น เพราะทางเลือกนัน ้ ขึน ้ อยู่กบ ั มุมมองทีพ ่ งึ พอใจของแต่ละคน และถ้าหาก มนุษย์เราต่างเชื่อใน “เสรีภาพแห่งการใช้ชวี ต ิ ” ค�ำตอบของมันย่อม ไม่ได้เป็นสิง่ ทีต ่ ายตัวหรือตามแบบแผนทีห ่ นังสือ how to ทัง้ หลาย นิยามเอาไว้ นั่นคือสิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก ‘เขา’ ชายผู้ที่ชาติ กอบจิตติ ยกย่องให้เป็น ‘ฮิปปี้คนสุดท้ายของเมืองไทย’
The marijuana-fueled conversations with the man who claims to be ‘Lek-Hip’ Personally, I’ve known Peak for a while now. He was the man behind the set designing of the independent movie, Shakespeare Must Die (2012), and acting as the Art Director of many different advertisement campaigns and artistic events. He now resides abroad with his friends in the movie industry of the US. Peak is one of a few people from Mad Dogs & Co who is still alive today. With their extreme and wild lifestyle back in the days, some of the gang passed away in an untimely manner. Perhaps it was the alcohol and drug abuse that had shortened their lives. Nevertheless, man who tells his story through writing today is still the same man I’ve come to know. Peak is a fun-loving and generous soul who enjoys life and his ‘heavenly grass’ as he always has. This book is a record of conversations on the memory of Peak who has thoroughly been through life. He is one of those people who has lived their life the possible fullest. In his younger days, apart from alcohol. Peak has tried everything. The list included acid, hashish, psychedelic mushrooms just to name a few. But those substances were no excuse for living such a meaningful life. Rather it was the way of the hippie lifestyle. The way of the free people who hold on to only friendship, and judge no one by their money or possession. The people who only see others by their ‘hearts’. Just like how a book cannot be judged by its cover; the perfect recipe for how one should lead their life cannot be defined. Therefore, one’s life path depends solely on the freedom of thoughts and the perspectives one has. If a person believes in the freedom to live, the answer to life does not come in one shape or size as defined by the how-to books. That is what we’ve learned from ‘him’, the man Chart Korbjitti named the Last Hippie of Thailand.
ALTERNATIVE MILITARY ISSUE / 15
Credit: Columbia Pictures
To Be Continue...