[เขาเรียกผมว่า ซ๊วบตา ] Jaturong Khongcharoenporn 5314101305

Page 1


จากใจคนขี​ียน

หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนนั้นได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนๆ ของเขา เองที่ได้ให้ฉายาต่างๆ นาๆ ตลอดเวลา 3 ปี ในการใช้ชีวิตภายในมหาวิทยาลัย ของเขา ซึ่งแต่ละคนก็ต่างเรียกในแบบที่ตัวเองชอบ แต่ในเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ของเขารวมถึงอาจารย์บางคนเรียกบ่อยมากที่สุดคือ “ ซ๊วบตา ” และชื่อนี้เอง ทำ�ให้ใครหลายๆ คนต่าง เรียกติดปากกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้ถ่ยทอดความเป็นตัวของตัวผู้เขียน ออกมา โดยหวังไว้ว่าหากผู้ที่ได้อ่านหนือสือเล่มนี้มีชีวิตที่คล้ายกับตัวของผู้ เขียน จะได้แนวทางและเอาเป็นเยี่ยงในการดำ�เนินชีวิตให้มีความสุข โดยไม่ ว่าจะใครมาว่าอะไรให้ก็ได้ใช้คำ�พูดเหล่านั้นเป็นแรงผลักดนตัวเองให้ประสบ ความสำ�เร็จได้ในอนาคตและเป็นเครื่องพิสูจน์ให้กับผู้คนรอบข้างที่เคย ปรารบเอาไว้ก่อนหน้ามาก่อนดังเช่นสุภาษิตจีนที่บอกไว้ไว่า “ ระยะทาง พิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ” นั่นเอง

1


ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าตัวผู้เขียนเองไม่ใช่ผู้ที่เรียนเก่งหรือผู้ที่มี ความขยันหมั่นเพรียรอะไรมากมาย แต่เป็นคนที่มีความฝันและเป็นคน ที่ไม่ชอบให้ใครมาดูถูกอะไรเพราะไม่มีอะไรที่ทำ�ไม่ได้สำ�หรับผู้ที่ถูกดูถูก และอีกอย่างนึงสำ�หรับตัวผู้เขียนนั้นถ้าได้ตั้งความหวังอะไรไว้แล้วเป็นเรื่อง ยากที่จะห้ามไม่ให้ทำ�ในสิ่งที่คิดและหวังไว้ ดังนั้นเราจึงมีหน้าที่ทำ�วันนี้ให้ ดีที่สุด ส่วนอนาคตหากจะเกิดอะไรขึ้นเป็นเรื่องที่เรากำ�หนดไม่ได้ ดังคำ�ที ่ ท่านผู้ใหญ่มักจะพูดว่า “ ความพยายามเป็นเรื่องของมนุษย์ แต่ความสำ�เร็จ เป็นเรื่องของพระเจ้า ” ดังนั้นผมจึงอยากให้ผู้อ่านได้เอาเป็นเยี่ยงแต่จะเอาเป็น อย่างหรือไม่นั้นก็แล้วแต่ผู้อ่านจะเห็นควร อาจจะเกิดประโยชน์กับผู้สนใจ ไม่มากก็น้อย หากคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ทำ�ให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์บ้าง ก็ขอให้ท่านจงพบแต่ความสุขในชีวิต และจงใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าต่อไป...

2

จตุรงค์ คงเจริญพร



1

นิทาน

ชีวิตส่วนตัว

กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่ถึงห้าปีที่ผ่านมา มีเด็กชายอายุ 18 อยู่ 1 คน ที่ อยู่ในช่วงปลายชีวิตมัธยมและต้องการหาที่เรียนใหม่ เหมือนกันเพื่อนๆ ซึ่งเพื่อน ของเขาแต่ละคนนั้นต่างก็ขวันขวายหาที่เรียน ติว เรียนพิเศษ สอบนู่น สอบนี่ แต่ เขาไม่ เขาทำ�ทุกอย่างตรงกันข้ามกับเพื่อนของเขา เขาขี้เกียจที่จะไปหาสถานที่เรียน พิเศษ ติว หรือแม้กระทั่งความกระตือรือร้นในการหาที่สอบตรงของมหาวิทยาลัย ต่างๆ ในขณะนั้น Notebook ถือว่ายังมีราคาสูงในโรงเรียนหรือชุมชนรอบนอก นักเรียนที่มีโน๊ตบุ๊คและพกมาที่โรงเรียนได้นั่นแสดงว่าเป็นเด็กที่รวย หรือตั้งใจเรียน เรียนเก่ง พ่อแม่จึงให้เป็นรางวัลตอบแทน เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนโง่ ไม่เก่ง ไม่ฉลาด เหมือนใครๆ บ้านก็ไม่ได้รวย จะมาทำ�ตัวแบบเพื่อนของเขา อยากมี อยากได้ คง ลำ�บาก แต่ครูบางคนกับเตือนสติและชี้ให้เขาเห็นถึงตัวเขาว่า “ เขาไม่ใช่คนโง่ เพียง แต่เขาเป็นคนขี้เกียจ “ เท่านั้นเอง .... ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่รู้สึกตัว และยังหัวดื้อคิดว่า ตัวเองโง่ อยู่ตลอด จนกระทั่งเพื่อนเพื่อนของเขาได้เปิดดูผลการสอบของแต่ละคน บางคนก็สมหวังบ้าง หรือผิดหวังจนร้องไห้บ้าง เมื่อเขาเห็นบรรยากาศแบบนั้นแล้ว เขาจึงเกิดอาการที่ค่อนข้างอิจฉาคนที่ได้ที่เรียน และสงสารคนที่ผิดหวังและเริ่มคิดได้ ว่า “ นี่มันก็ใกล้จะถึงเวลาจบชีวิตมัธยม ” แล้ว ทำ�ไมเขายังไม่มีที่เรียน 4


ด้วยความที่เขาเป็นเด็กกิจกรรมจึงถูกครูหลายๆคนตำ�หนิใน เรื่องการเรียนและดูถูกไว้ว่า “ อย่างเธอจะได้ที่เรียนเหรอ “ เขาจึงมี ความตั้งใจที่จะหาที่เรียนให้กับตัวเอง แล้วมาวันหนึ่งที่โควต้าโครงการเรียนดีของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ของจังหวัดเชียงใหม่ก็ได้ส่งเรื่องมาให้ทางโรงเรียนพิจารณานักเรียน ส่งเข้าโครงการ เขาเลือกที่จะส่งผลงานเข้าคณะมนุษย์ศาสตร์ สาขา วิชาบ้านและชุมชน ด้วยความมั่นใจในผลงานที่สะสมไว้เขาจึงเดิน เข้าไปในห้องงานแนะแนวของโรงเรียนแล้วพูดความต้องการให้ครู ท่านหนึ่งได้ฟัง แล้วครูท่านนั้นก็ได้ให้คำ�ตอบกลับมาว่า มีคนส่ง สาขานี้เหมือนกันของโรงเรียนนี้ซึ่งเป็นเด็กในสายการเรียนครูเอง เกรดเขาสูงกว่าเธอแล้วเธอยังต้องไปแข่งกับคนอื่นที่เกรดสูงกว่านี้ ( ในตอนนั้นเขาไม่ได้มีผลการเรียนสะสมที่สูงมากมาย ไม่ถึง 3.00 ด้วย ซ้ำ� เขาจึงคิดขึ้นในใจว่ามันเรื่องของผม ผมอยากจะส่งทำ�ไมต้องมา พูดตัดกำ�ลังใจกันแบบนี้ ) เขาจึงถามครูท่านคนนั้นต่อว่าแล้วพอจะมี สาขาอะไรที่ผมจะส่งได้อีกไหมครับ คำ�ตอบที่ได้คือ เอาที่เธอชอบ ลองพูดมา เขาจึงตัดสินใจที่จะส่งผลงานเข้าโครงการของสาขาวิชา สื่อสารมวลชน หรือ MassCom ซึ่งเป็นความฝันของเขาตั้งแต่เด็ก แต่เหตุที่เขาไม่ได้เลือกตั้งแต่แรกเพราะคะแนนสูงเกินความสามารถ เขานั่นเอง เขามีเวลา 1 เดือนในการทำ�แฟ้มสะสมงาน เขาได้ทุ่มเทให้ กับการทำ�แฟ้มผลงานอย่างเต็มที่และเต็มความสามารถของเขาซึ่งใน แฟ้มนั้นล้วนแต่เป็นผลงานของเขาล้วนๆ ไม่ได้ก๊อปปี้ของใครมาเลย และไม่ได้Make Up ข้อมูลลงแฟ้มเลยสักนิด ( ต่างจากเพื่อนของเขา บางคนที่ Copy งานของเขา )

5


6


7


จนกระทั่งเข้าสู่ 2 วันสุดท้ายก่อนส่งผลงาน มีเพื่อนคนหนึ่งเดินมาพูด กับเขาว่า ถ้าหากต้องการส่งผลงานเข้าโครงการของสาขาบ้านและชุมชนก็ส่งเลยนะ เราไม่ส่งแล้ว ซึ่งมันเป็นคำ�พูดที่เขาได้ยินแล้วรู้สึกเจ็บใจและปวดร้าวเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่เขาหน้าจะมีโอกาศได้ส่งผลงานเข้าสาขานั้นแล้วแท้ๆ ในความคิดของเขาตอน นั้นเกิดความรู้สึกเคืองเพื่อนคนนั้นมาก เขาคิดว่าเมื่อไม่ส่งทำ�ไมต้องเอาเรื่องแบบ นี้มาเป็นของเล่น แต่ในเมื่อเขาได้ทำ�แฟ้มสะสมงานทางด้านของสาขาการสื่อสาร มวลชนอย่างเต็มที่แล้ว เขาจึงตัดสินใจส่งผงานเข้าโครงการของสาขาการสื่อสาร มวลชน ความตั้งใจและความพยายามของเขาในการหาที่เรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาพยายามหาที่สอบให้กับตัวเองในการเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น ม.มหาสารคาม ม.ขอนแก่น มูบรพา ม.แม่โจ้ โควต้าภาคเหนือ และเขาก็ได้ทำ�การเตรียมตัวเป็น อย่างดี และในระหว่างนั้นเขาก็ได้ยื่นขอโควต้าของ ม.แม่โจ้ และสถาบันราชภัฏ เชียงใหม่ไว้ด้วย

8


ความผิดหวังครั้งแรกของเขาก็ปรากฏขึ้น ผลของการประกาศผลใน การส่งผลงานเข้าโคงการเรียนดีสาขาวิชาการสื่อสารมวลชนออกมาโดยที่ไม่มีชื่อของ เขาติดอันดับของการสอบสัมภาษณ์ นั่นก็แสดงว่าเขายื่นไม่ติดเขารู้สึกผิดหวังเป็น อย่างมาก เขาเสียใจจนไม่สนใจการเรียน เป็นเพราะเขาหวังไว้สูงเกินไป เมื่อเขา ตกลงมาเขาจึงเจ็บมากเป็นธรรมดา ... บวกกับเสียงนินทาที่เขาพอจะรู้ว่าครูท่านหนึ่ง ได้ติหนิเกี่ยวกับแฟ้มสะสมงานของเขาว่า ไม่ดีข้างนอกหนา แต่ข้างในแทบไม่มีอะไร เลย ทั้งๆที่เขาได้ตั้งใจทำ�มันอย่างเต็มที่ ในนั้นล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูล ผลงาน และ ความสามรถของเขาล้านๆ

9


แต่ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ หลัง จากนั้นไม่ถึง 2 สัปดาห์ความพยายาม ของเขาได้สัมฤทธิ์ผลออกมาทันที เมื่อ ยังไม่ทันได้สอบตามที่เขาลงสมัครไว้ แม้แต่ที่เดียว ผลของโควต้า 2 สถาบัน ที่เขาได้ยื่นไว้นั้นประกาศผลออก มาโดยมีชื่อเขาได้รับสิทธิ์ในการเข้า ศึกษาต่อในสาขาวิชา นิเทศศาสตร์ บูรณาการ ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ คุ​ุรุศาสตร์ เอก คอมพิวเตอร์ศึกษา ของ สถาบันราชภัฏ เขาได้ตัดสินใจเลือก สาขาวิชานิเทศศาสตร์บูรณาการ ของ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพราะมันเป็นความ ฝันของเขาตั้งแต่เด็กในการเรียนทาง ด้านนี้ถึงแม้มหาวิทยาลัยแม่โจ้จะมีชื่อ เสียงทางด้านเกษตรก็ตาม และเรื่องเล่า เกี่ยวกับการรับน้องของมหาวิทยาลัยแม่ โจ้ที่ว่า “ งานหนักไม่เคยฆ่าคน “ 10


....แต่ด้วยความคิดที่ยังเป็นเด็ก ที่คิดว่าชีวิตมหาวิทยาลัยคงเหมือนกันกับชีวิตมัธยม ที่เรียน ง่ายๆ ไม่ต้องอะไรมากมาย ...เขาได้ทำ�ตัวเฉื่อยชากับการเรียน ไม่ค่อยสนใจ การเรียน นิสัยเดิมๆเรื่มปรากฏอีกครั้ง เช่น หลับในห้องเรียน ไม่ส่งงาน ติดเกมส์ ผลตอบแทนในการเรียนของการทำ�ตัวของเขาแบบนี้จึงแสดงให้เห็นว่าหากเขาทำ�ตัว แบบนี้เขาคงไม่รอด เขาคงโดนรีทายในเทอมที่ 2 แน่นอน เกรดของเขาต่ำ�มาก แต่ยัง ดีที่เขาไม่ดื่มเหล้า ไม่เที่ยวกลางคืนเกรดจึงทำ�ให้เกรดของเขาไม่เสี่ยงถึงกับอันตราย ในการโดนรีทาย ผลการเรียนของเขาในชีวิตนักศึกษาชั้นปึที่ 1 เทอมที่ 1 ที่ออกมา คือ 1.59 ซึ่งเกรด 2 เทอมต้องรวมกันได้ 1.50 ขึ้นไป ระหว่างที่กลับไปเยี่ยมโรงเรียน พร้อมกับเพื่อนๆ หลายๆคน คุณครูต่างก็ได้ไถ่ถามเกี่ยวกับผลการเรียนของแต่ละคน บางคนก็ได้ 3 กว่าๆบ้าง เกือบ 3 บ้าง แต่เขากลับไม่กล้าเอ่ยปากที่จะพูด เขารู้สึก อาย กลัวโดนดูถูกและสบประมาท จากครูคนที่เคยว่าเขาเอาไว้ เขาจึงรู้สึกตัวว่า หากทำ�ตัวแบบนี้ต่อไปเขาจะต้องโดนคนทีโรงเรียนนินทาและสบประมาทลับหลัง แน่นอน ไม่พอ พ่อแม่ของเขาที่ส่งเข้ามาเล่าเรียน ส่งเงิน เสียแรงในการทำ�งานต้อง มาเสียใจในผลการเรียนของเขา เขาจึงตั้งตัว ตั้งใจในการเรียนและทำ�ตัวใหม่อีกครั้ง ในเทอมที่ 2

11


12


13


ด้วยแรงกดดันต่างๆ รวมถึงการเรียนเทอมที่สองต้องมีอุปกรณ์ในการ ช่วยเรียนเขาจึงขอพ่อซื้อกล้อง DSLR ซึ่งเป็นสิ่งจำ�เป็นในการเรียน ( แต่ความจริงไม่ ต้องซื้อก็ได้ ) และมันเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนว่าเขาต้องมีสัก 1 เครื่อง ที่เป็นของเขาเอง ด้วยความที่อยากได้มากเขาจึงสัญญากับพ่อของเขาไว้ว่าหากพ่อซื้อ ให้จะทำ�เกรด A ให้ได้ในรายวิชา Photo ให้ได้ แล้วเขาก็ทำ�ได้อย่างที่สัญญาเอาไว้ แต่คะแนนในรายวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิคออกมาค่อนข้างที่จะแย่ ...แม่ของเขาได้เห็น ถึงปัญหา จึงตัดสินใจควักเงินเก็บที่มีอยู่ซื้อโน๊ตบุ๊คให้โดยที่บอกกับสามีของตัวเอง ว่าต้องผ่อนให้ลูก ... แต่กว่าผู้เป็นแม่จะซื้อให้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะผลการเรียนใน เทอมที่ 2 ของเขาออกมาก่อนที่จะซื้อโน๊ตบุ๊คเพียงไม่กี่วัน และผลการเรียนในเทอม 2 นี้ออกมาดีกว่าเทอม 1 แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของตัวเขา มันเพียงพอต่อการอยู่รอด ในมหาวิทยาลัย แต่มันคงไม่เพียงพอในการหางาน ซึ่งผลการเรียนเทอมนี้ที่ออกมา คือ 2.07

14


ด้วยความสงสารพ่อและแม่ เขาจึงทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนในการ เรียนชั้นปีที่ 2 เทอม 1 อีกครั้งเขาได้ตั้งใจเรียน ส่งงานทุกชิ้นถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยดี ก็ตาม พ่อของเขาได้สอนเอาไว้ว่า การที่พ่อแม่ส่งเงินให้ลูกเรียนพ่อแม่ไม่ได้หวังว่า ลูกจะต้องจบออกมามีเงินดือนที่ล้นฟ้า เพียงแค่จบออกมาแล้วเป็นคนดีของสังคมก็ พอ ...การที่ลูกได้ออกไปเรียนไกลบ้านแบนี้ ลูกจะทำ�อะไรพ่อแม่ไม่รู้ไม่เห็น...ลูก อาจจะโกหกพ่อแม่ได้ แต่พึงละรึกไว้ว่า พ่อแม่เชื่อในตัวลูกว่ามีความเป็นผู้ใหญ่พอ ...เขาได้ยินเช่นนี้แล้ว ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาในการเรียนมากยิ่งขึ้น จนผล การเรียนในเทอมที่ 1 ชั้นปีที่ 2 ออกมาคือ 2.66 เขาพอใจกับการเรียนเป็นอย่างมาก และหวังว่าในเทอม 2 ชั้นปีที่ 2 เขาตองทำ�ให้ดีกว่านี้และทำ�ให้ดีที่สุด และตอนนี้เขา ก็รู้ตัวเองแล้วว่าเขาไม่คนโง่ แต่เป็นคนขี้เกียจเท่านั้นเอง เขามีความตั้งใจที่จะเรียน ให้จบภายใน 4 ปีให้ได้ และ เขาจะนำ�ใบปริญญากลับไปให้พ่อและแม่ รวมถึงครู ที่โรงเรียนเก่า ผู้ที่ปลุกปั้นขี้โคลนสกปรกๆ เป็นหุ่นปั้นเผาดินที่มีความเงางาม ให้ ได้.. 15


“ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเราเกิดมาไม่ควร ทำ�ให้พ่อแม่เสียใจ ไม่ควรท้อในสิ่งที่ยังไม่ได้เริ่ม นำ�คำ� สบประมาทของผู้คนรอบกายมาเป็นแรงบันดาลใจในการ ทำ�สิ่งนั้นให้เป็นจริงให้ได้ เป็นคนดีของสังคม สนุกให้ เต็มที่ในเวลาเล่น จริงจรังทุกครั้งในการเรียน การทำ�งาน แล้​้วชีวิตเราก็จะมีแต่ความสุขเอง ”

16


เป็น

ในแบบ ที่อยากเป็น

2

คุณเคยได้ยินไหมครับว่าคนเราเลือกที่จะเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถ ที่จะทำ�และเลือกอยู่ในแบบที่เราเป็นโดยที่เราไม่ได้ไปสร้างความรำ�คาญ นั้นให้ใคร คนเราเกิดมาไม่เท่ากันอยู่แล้วครับขนาดนิ้วของเราที่เกิดออก มาพร้อมกับตัวเราเองแท้ๆ ยังยาวไม่เท่ากันเลย แต่มันก็มีความสามารถที่ แตกต่างกันออกไปและสามารถทำ�ร่างกายเราทำ�อะไรต่อมิอะไรได้ ตัวเรา เองก็เหมือนกันนั่นแหละครับ เราสามารถอยู่ได้โดยไม่สร้างความเดือด ร้อนให้คนอื่นและยังสามารถสร้างความสุขและสร้างมิตราภาพที่ดีให้กับ คนที่อยู่รอบๆ ข้างได้ เพียงแค่คุณ “ กล้าทำ�ในสิ่งที่คุณเป็นและสิ่งที่คุณ อยากทำ� ” ถ้าคุณไม่เชื่อคุณลองถามตัวเองว่าคุณเคยลองแล้วหรือยัง....

17


ชีวิตมหาลัยเป็นห้วงเวลาสั้นๆ ที่เราต้องไขว่คว้าเอาไว้ เพราะ มันแทบไม่ทางที่เราจะย้อนเวลากลับมายังช่วงเวลานี้ได้อีกถ้าวันไดวันหนึ่งเรา นึกเสียดายและอยากย้อนกลับมาทำ�สิ่งที่เรายังไม่เคยทำ�มัน ตลอดระยะเวลาเกือบสามปีที่ผมได้มีโอกาศเข้ามาศึกษาภายใน

มหาวิทยาลัยแม่โจ้แห่งนี้ ระยะเวลาได้สอนให้ผมรู้ว่าบนโลกนี้นั้นมันมีมิตรา ภาพที่ยั่งยืนและไม่ยั่งยืน สาเหตุนั้นก็เป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่มักจะไม่จริง ใจต่อกันหรือสังคมที่คนส่วนใหญ่สวมหน้ากากเข้าหากันที่หลายๆ คนคุ้นหู กันนั่นแหละครับ สังคมแบบนี้แน่นอนว่าเราเองก็ต้องเลือกที่จบคบเพื่อน แต่ คำ�ว่าเพื่อนนั้นมันลึกซึ้งเกินกว่าที่บางคนจะเข้าใจ และเราเองนั้นก็ต้องให้ ความจริงใจต่อเพื่อนของเราด้วยถ้าหากเราต้องการความรักและมิตราภาพที่ สวยงาม บางคนอาจจะอัธยาศัยดีเป็นพิเศษ ส่วนบางคนก็อาจจะมีโลกส่วน ตัวที่สูงเกินไป แต่มนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคมอยู่แล้วครับ ที่ไหนไม่มีสังคมที ่นั่นไ่ม่มีมนุษย์แน่นอน กลับมาเข้าเรื่องกันต่อครับ คุณเชื่อไหมว่าตัวเองนั้นมีฉายาที่ เพื่อนเรียกไม่ต่ำ�ว่า 2 ชื่อแน่นอน และแน่นอนสำ�หรับผมแล้วตั้งแต่ได้เข้าเรียน มหาวิทยาลัยแทบจะนับไม่ได้เลยว่าเพื่อนเรียกผมว่าอะไรบ้าง แต่ที่เรียกกัน 18


อย่างคับคั่งและหนาหูมากในตอนนี้คือ “ ซ๊วบตา ” หรือซุปตา นั่นแหละครับชื่อนี้ต้องขอบอกก่อนเลยว่าผมนั้นก็ไม่ได้เป็นคนหล่อ รวย หรือ โด่งดังอะไรมาจากไหนหรอกครับ แต่ที่เพื่อนๆ พี่ๆ รวมทั้งอาจารย์เรียกแบบนี้ ก็เพราะตัวผมนั้นชอบพูดในสไตล์หมอแหนม หรือแอนนา ชวนชื่น นั่นแหละ ครับ ถ้าเกิดคำ�ถามขึ้นว่าทำ�ไมต้องพูดในแบบของคนอื่นน่ะเหรอ ผมก็คงต้อง ตอบว่าผมเป็นคนที่ไม่ชอบความเครียดมากเท่าไหร่นัก ชอบความสนุก เฮฮา และสร้างความสนุกรวมไปถึงเสียงหัวเราะให้เพื่อนๆ ครับ

19


เพราะการที่เป็นผู้ให้คือสิ่งที่ดี และผมเองก็เชื่อว่าถ้าหากทำ� อะไรไปแล้วก็จะได้สิ่งนั้นกลับคืนมาเช่นกัน ง่ายๆ ขณะที่คุณอ่านหนังสือเล่ม นี้ของผมคุณลองหยุดอ่านสักหนึ่งนาทีแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับใครก็ได้สักคน หนึ่ง แล้วคุณก็จะได้รอยยิ้มของเขากลับคืนมา และที่ผมต้องพูดในแบบของ หมอแหนมนั้นก็เพราะว่าผมชอบสไตล์การพูดของเขาจนทำ�ให้ผมหยุดคิดไม่ ได้ว่าการพูดแบบนี้มันหยุดฟังไม่ได้เพราะมันจะมีคำ�ต่างๆ มากมายที่เราได้ยิน แล้วหัวเราะออกมาทันที อย่าลืมนะครับว่าคนเราหัวเราะหนึี่งครั้งอายจะุยืนไป อีกหนึ่งวัน แต่การพูดของผมนั้นก็ไม่ได้พูดแบบพร่ำ�เพื่อจนทำ�ให้คนรอบข้าง รู้สึกเบื่อหรือรำ�คาญนะ อย่าลืมว่าเราต้องรู้จักความพอดี ถ้าหากว่าเยอะเกินไป จากที่คนรอบข้างรู้สึกดีจะกลายเป็นหมั่นใส้เอาก็ได้

20


และอย่าลืมว่าคนไทยเราให้ความสำ�คัญกับความอวุโสเป็นอย่าง มากการวางตัวในสังคม มีสัมมาคารวะต่อผู้ที่มีวัยวุทสูงกว่าถือว่าเป็นสิ่งที่ดี่เพ ราะผู้ใหญ่จะได้เห็นว่าเราเป็นเด็กที่มีความนอบน้อมถ่อมตน อาจจะมีความรู้ สึกอยากช่วยเหลือเกื้อกูลในอนาคต

ในขณะเดียวกันในสังคมที่มีแต่การแย่งชิงและการแข่งขันแบบนี้ ก็ย่อมต้องมีผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำ� หรือผู้ที่แสดงตนว่าเหนือกว่าคนอื่นในด้านการ เรียน และการทำ�กิจกรรมต่างๆ ตัวผมเองก็ไม่ต่างอะไรจากคนกลุ่มนี้มากหรอก ครับ จะน้อยกว่าก็ตรงที่ไม่เคยทะเยอทะยานตัวเองให้สูงกว่าคนอื่นเพียงแต่บาง ครั้งก็ต้องการแสดงความคิดเห็นบ้าง แต่ด้วยตัวผมนั้นเป็นคนที่ปากจัดหากได้ พูดหรือหักหน้าใครแล้วนั้นอาจจะถึงแตกหักกันไปเลยข้างนึงก็เป็นได้ ในเวลา ส่วนใหญ่ผมจึงไม่ค่อยพูดมากเท่าไหร่นักเมื่อมีกิจกรรมที่ต้องแสดงความคิดเห็น ถึงแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยก็ตามแต่ออกเสียงมากก็ไม่เป็นผลดีกับตัวเองเสมอไป 21


อย่าลืมนะครับว่าบนโลกนี้ไม่มีใครที่ต้องการเห็นเรื่องในแง่ลบ มากกว่าเรื่องในทางที่สร้างสรรค์มากกว่า คนเราถ้าหากมีความสนุกที่ไหน เมื่อ นั้นเราก็จะมีความสุขใจและอยากอยู่อย่างนั้นนานๆ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ครับ ร้อยพ่อพันแม่มาอยู่ในที่เดียวกัน ต่างคนก็ต่างความคิด มากคนก็ยิ่งมากความ บางครั้งถ้าเรายอมเงียบเสียบ้างก็ไม่เสียหายอะไร และที่สำ�คัญที่สุดการเป็นผู้ ให้เป็นลาภอันประเสริฐที่สุด เพราะผู้ให้ยอ่มได้รับการตอบแทนจากผู้คนรอบ ข้างเสมอ แม้ว่าสิ่งที่ได้มานั้นจะจับต้องไม่ได้ก็ตาม และสิ่งที่พึงระลึกไว้ที่สุดสำ�หรับการดำ�เนินชีวิตดั่งสุภาษิตที่ว่า “ มีเพื่อนเพียงหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนชั่วให้มัวหมอง ”

22


23


“ โลกปัจจุบันมันกว้างเท่าเดิม.... ,,,แต่ที่ที่าอยู่ มันแคบลง ”

24



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.