DasJati : Suwana Sama 2015

Page 1



ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้จัดงาน คณะทำ�งานและนักแสดง โครงการจัดแสดงบัลเล่ต์-โอเปร่าเฉลิมพระเกียรติ

“พระสุวรรณสาม”



Presented by

พระสุวรรณสาม Part III

The Faithful Son

An Opera-ballet

by Somtow Sucharitkul

คาเรล เร กามาเช่ • เดเมียน ไวท์ลี่ย์ • คาสแซนดรา แบล็ก พจน์ปรีชา ชลวิจารณ์ • ฤทธิ์ พานิชกุล อชิรญาณ์ ศุกลักษณ์นารี • พันธวิทย์ อัศวเดชเมธากุล

Kaleigh Rae Gamaché • Demian Whiteley • Cassandra Black Jak Cholvijarn • Rit Parnichkun Ashiraya Supaluknaree • Puntwitt Asawadejmetakul SURYADHEP MUSIC SALA ศ า ล า ด น ต รี สุ ริ ย เ ท พ

ร่วมด้วย with

คณะนักร้องประสานเสียงสยามออร์ฟิอุส • วงดุริยางค์สยามฟิลฮาร์โมนิค incooperation with

Siam Orpheus Choir • Siam Philharmonic Orchestra

สมเถา สุจริตกุล

Somtow Sucharitkul

กำ�กับการแสดง Director

ภูวเรศ วงศ์อติชาติ

Phuwarate Wongartichart

ออกแบบลีลาระบำ� Choreographer

ทฤษฎี ณ พัทลุง

Trisdee na Patalung

อำ�นวยเพลง Conductor รอบปฐมทรรศน์โลก:

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 19.30 น. World Premiere: December 5, 2015 • 7:30 pm

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.30 และ 19.30 น./ วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 19.30 น.

December 6, 2015 • 2:30 & 7:30 pm/ December 7, 2015 • 7:30 pm

ณ ศาลาดนตรีสุริยเทพ มหาวิทยาลัยรังสิต at Suryadhep Music Sala, Rangsit University


‘Das Jati’

ทศชาติ

วัฏจักร

ทศชาติ มหากาพย์สังคีตศิลป์

พระพุทธเจ้า 10 ชาติ วัฏจักรแห่ง 10 สังคีตศิลป์

แห่งศตวรรษที่ 21 โดย สมเถา สุจริตกุล ศิลปินศิลปาธรกิตติคุณ

4

ทศชาติชาดก เป็นวัฏจักรที่ยิ่งใหญ่ ว่าด้วยสิบชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ก่อนเสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า เล่าขานซ้ำ�แล้วซำ�้ เล่าในหมู่พุทธศาสนิกชนมากว่าสองพันปี “พระเตมีย์” (The Silent Prince) มหาอุปรากรประพันธ์โดยสมเถา สุจริตกุล เปิดแสดงรอบปฐมทัศน์โลกที่ฮูสตัน มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2553 สร้างความตื่นตะลึงให้บรรดา นักวิจารณ์ว่าเป็นสังคีตศิลป์ชั้นสูงที่ รังสรรค์โดยคีตกวีไทย โอเปร่าสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล คณะมหาอุปรากร ในสังกัดมูลนิธิมหาอุปรากรกรุงเทพ ซึ่งเป็นองก์กรเพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมโดยไม่แสวงหาผล กำ�ไร จึงได้จัดการแสดงมหาอุปรากร เรื่องเดียวกันที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2555 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ผลงานนี้เป็นสังคีตศิลป์ ประเภทคลาสสิกในประเทศไทยซึ่งมีผู้ สนใจสำ�รองบัตรเข้าชมมากกว่าจำ�นวน ที่นั่งถึงสองเท่า หลังจาก บัลเล่ต์โอเปร่า “สุริโยไท” ประสบความสำ�เร็จท่วมท้น สมเถา สุจริตกุล ได้นำ�ซิมโฟนีพระมหาชนกซึ่ง ได้รับแรงบันดาลใจจากทศชาติชาดก มาดัดแปลงนำ�เสนอในรูปแบบบัลเล่ต์ โอเปร่าเรื่อง “พระมหาชนก” เพื่อน้อม เกล้าฯ ถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในโอกาสวัน

คล้ายวันพระราชสมภพ ความสำ�เร็จจากนิยายชาดก 2 เรื่อง ซึ่งถ่ายทอดเป็นสังคีตศิลป์บนเวที ทำ�ให้ สมเถาตัดสินใจรังสรรค์การแสดงคีต มหากาพย์ทศชาติ น้อมเกล้าฯ ถวาย พระราชวงศ์จักรี เพื่อเทิดพระเกียรติ พระบรมกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน ประวัติศาสตร์ โดยนำ�พระชาติทั้งสิบ ของพระพุทธเจ้าจากทศชาติชาดกมา ถ่ายทอดเป็นดนตรีประกอบการแสดง และระบำ�ให้ครบทั้งสิบพระชาติ ดังนั้น ในช่วงเฉลิมฉลองสมเด็จพระ เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ ในปี 2558 โอเปร่าสยามจึงจัดการแสดง “พระภูริทัต” และจัดการแสดง “พระ สุวรรณสาม” ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปี เดียวกันนั้นเอง โครงการนำ�เสนออดีตชาติทั้งสิบของ พระพุทธเจ้าในรูปแบบการแสดงดังกล่าวจะใช้เวลารวมทั้งสิ้น 5 ปี เมื่อ เสร็จสมบูรณ์จะเป็นการแสดงที่ใช้เวลา กว่า 5 วันในช่วงเทศกาล ศิลปินจำ�นวน มหาศาล เครื่องดนตรีนานาประเภททั้ง ไทยเดิมและตะวันตกที่นำ�มาบรรเลงใน แต่ละเรื่อง และจำ�นวนเพลงที่ใช้ในการ ถ่ายทอดเรื่องราวของพระชาติทั้งสิบ ของพระพุทธเจ้า จะทำ�ให้ “ทศชาติ” ของสมเถา สุจริตกุล เป็นผลงานยิ่ง ใหญ่ซึ่งใช้ความมานะพยายามสูงสุดใน

ประวัติศาสตร์การดนตรีและการแสดง ในระดับโลก สมเถา สุจริตกุล สรรค์สร้างผลงาน ชุดอลังการนี้เพื่อให้ประเทศไทยปรากฏ นามอย่างถาวรในแผนที่วัฒนธรรมโลก เทศกาลวัฏจักรทศชาติชาดกจะเป็นจุด สนใจของนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ระดับสูงจากต่างประเทศเทียบเท่า The Ring Cycle ของเยอรมนีในเทศกาลไบรอยธ์ ซึ่งมีผู้สนใจเดินทางไปชมจากทั่ว โลกแม้ต้องใช้เวลารอคอยนานถึง 10 ปี โครงการคีตมหากาพย์ทศชาติเป็น โครงการเพื่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ กล่าวคือ เทิดพระเกียรติบรม กษัตริย์และพระราชวงศ์จักรี เผยแผ่ พุทธศาสนาแก่ชาวโลกในรูปแบบที่ง่าย ต่อการเข้าใจ และนำ�ประเทศชาติให้ ก้าวขึ้นสู่ระดับแนวหน้าในด้านสังคีตศิลป์และวัฒนธรรมตลอดจนเปิดโอกาส ให้ศิลปินไทยได้แสดงศักยภาพร่วมกับ ดารามหาอุปรากรจากทุกมุมโลก นอกจากนี้ ยังเป็นพลังดึงดูดชาวต่าง ชาติให้เดินทางมาประเทศไทยซึ่งหมาย ถึงเงินเข้าประเทศจำ�นวนมหาศาล การยกระดับประเทศไทยขึ้นเป็น ศูนย์รวมศิลปวัฒนธรรมแห่งกลุ่มประเทศอาเซียนจะเกิดขึ้นได้ด้วยความร่วม มือของศิลปิน บริษัทห้างร้าน องค์กร รัฐบาลและเอกชน ในการนำ�ทัศนภาพที่ ชัดเจนไปสู่ความเป็นรูปธรรม


Ten Lives of the Buddha A Cycle of Ten Music Dramas by

Somtow Sucharitkul

‘DAS • JATI’

Coming in Installments Over the Next Five Years

The Dasjati Jatakas are an epic cycle of the last Ten Lives of the Buddha, told and retold all over the Buddhist world for over two thousand years. Somtow Sucharitkul’s opera The Silent Prince was premiered in Houston in 2010 to the most stunning reviews ever accorded a work of music theatre by a Thai composer, and the subsequent production created by Opera Siam in 2012 in honour of HM The King of Thailand was the first opera production in Thailand to twice as many ticket applications as available seats. Building on the spectacular success of his ballet-opera Suriyothai, Somtow restructured his Mahajanaka Symphony, inspired by another of the Dasjati Jatakas, as a ballet-opera and presented it on the birthday of HRH The Crown Prince of Thailand. Based on the success of the first two Dasjati Jatakas adapted to music theatre, Somtow has announced that, in honour of the 88th Birthday of HM

The King and in tribute to one of the most celebrated royal reigns in history, he will embark on the task of creating music dramas based on all ten of the Dasjati Jatakas. The task will take five more years to complete and when done, it will entail performance over a five-day festival period. The huge number of characters, the use of different ensembles of Thai and Westerm instruments for each work in the cycle, and the sheer amount of music required to tell the story of ten epic lives will make Somtow’s Das•jati the most ambitious work in the entire history of music and theatre, and the largest integrated work of classical music of all time. In 2015, during the birthday celebrations for HRH Princess Sirindhorn, Opera Siam unveiled Bhuridatta - Prince of Dragons, and during the King’s 88th birthday festivities two more episodes will be unveiled.

The creation of this work is designed to put Thailand permanently on the world cultural map, with festival revivals of the entire cycle to become a fixture of high-end tourism, and Asian equivalent to Germany’s Ring Cycle at the Bayreuth Festival to which audiences come from all over the world and which has a ten-year waiting list. Educating the world about Buddhism, providing a showcase for the greatest Thai designers, artists and musicians, cooperating with worldclass opera stars from all over the globe, and providing a permanent tourist magnet for visitors to spend money in this Thailand, and putting the country squarely in the cultural center of ASEAN are only the beginning of the benefits that will arise when the artists, corporations, and government bodies cooperate to bring this bold vision to life.


Synopsis

เรื่องย่อ

พระสุวรรณสาม

Suwana Sama องก์ 1

ทุกูลกับปาริกา เป็นลูกชายหญิงของชาวบ้านสอง หมู่บ้าน บิดามารดาของทั้งสองฝ่ายคบหาสนิทสนมและ หวังจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน จึงจัดพิธีแต่งงานให้ ทุกูล กับปาริกายอมเข้าพิธีโดยดี แต่ยืนกรานว่าจะอยู่ร่วมกัน ฉันท์พี่น้อง เพราะได้ตั้งสัตย์สาบานต่อเทพเจ้าไว้ว่าจะ รักษาพรหมจรรย์ชั่วชีวิต และใช้ชีวิตเยี่ยงดาบส สวดมนต์ ภาวนาปฏิบัติธรรมเพื่อหาทางบรรลุโสดาบัน เมื่อเสร็จพิธี ตามความประสงค์ของบิดามารดาแล้ว สองหนุ่มสาวก็ตาม กันไปใช้ชีวิตสันโดษในป่าลึก เทพธิดาวสุนธรีมองจากสวรรค์เห็นภาพนิมิตว่ากรรม เก่าจะบันดาลให้ทุกูลและปาริกาตาบอด ไม่สามารถมีชีวิต อยู่ได้โดยปราศจากผู้ดูแล ท้าวสักกเทวราช ราชาสวรรค์ จึงเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ แล้วบันดาลให้ปาริกาตั้งครรภ์ เพียงแค่ทุกูลใช้มือลูบที่หน้าท้องของปาริกา 6

ปาริกาคลอดบุตรเป็นชายชื่อสุวรรณสาม ผิวเนื้อเป็น ทองอร่าม สุวรรณสามอยู่กับบิดามารดาในป่าจนเติบโต เป็นหนุ่ม วันหนึ่งทุกูลกับปาริกาถูกพิษงูที่นัยน์ตาจน ตาบอดทั้งสองข้าง สุวรรณสามก็ปรนนิบัติ หาข้าวน้ำ�ให้ บิดามารดาโดยไม่ทิ้งขว้างหรือหนีหายไปไหน

องก์ 2

พระเจ้ากบิลยักขแห่งกรุงพาราณสีออกป่าล่าสัตว์ เห็น ร่างทองท่ามกลางฝูงกวางก็อยากได้ จึงใช้ธนูอาบอาพิษยิง ถูกสุวรรณสามล้มลง ก่อนสิ้นใจ สุวรรณสามขอให้พระเจ้า กบิลยักขเข้าไปในป่าลึกเพื่อดูแลบิดามารดาแทนตน เมื่อ เห็นว่าเหยื่อที่ถูกยิงตายเป็นมนุษย์ กษัตริย์กบิลยักขเสียใจ ยิ่งนัก จึงยอมบุกบั่นไปจนถึงกระท่อมที่อยู่ของทุกูลกับปา ริกาเพื่อรับใช้ตามคำ�ฝากฝังของผู้เป็นบุตร เมื่อทุกูลกับปาริการู้ว่าสุวรรณสามตายก็ร้องไห้ น้ำ�ตา หยดลงบนศพ น้ำ�ตาอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ให้กำ�เนิดทำ�ให้ สุวรรณสามฟื้นจากความตาย นัยน์ตาที่บอดทั้งสองข้าง ของทุกูลกับปาริกาก็กลับมองเห็นเป็นปกติ

ACT I Two villages were situated on opposite banks of a river dividing the Kingdom of Benares. Their hunter chiefs, friends throughout the years, betrothed their infant children to each other shortly after their birth. Now, these two were not like other children. Both were born with skins of golden hue. And although they were surrounded by hunters, they refused to harm any living creature. They had a special destiny, for they had to replace with purity and goodness an evil carried with them from a former life. At that time, many lives ago, they had been born into the family of a doctor who, angered by a rich patient’s refusal to pay his fee for curing the eye disease, gave him some medicine which took away the sight of one eye. Though the evil was done by the head of the household, the children of the family also had to do penance. Thus it was that, once they were born into families of hunters and betrothed, they felt obliged to live as ascetics and deny themselves all pleasures of the senses. In vain each begged his parents to forgo the marriage. They were married against their will, but secretly determined to live as brother and sister. Dukulaka, as the boy was called, and Parika, the girl, unwilling to hunt or partake of the comforts of their parents’ dwelling, were allowed to go into the forest and live in an hermitage where they led lives of meditation and purity. Although Sakka helped them with their small needs, he was uneasy, for he knew that their past had not yet been washed clean. Sakka foresaw that a grave misfortune was to strike them. He tried to convince them that they would have to bear a son in order to be assured of someone to care for them when affliction struck. “Never,” they said. “Impossible.” For this was not the way of asceticism. At last Sakka persuaded them that a pure conception could take place if, at the proper time, Dukulaka placed one finger on his wife’s navel. So it was that the Bodhisatta was reborn into the world of men. But it was not quite a human world. As the ascetics came and went, looking for berries and nuts in the forest, it was a graceful kinnaris who looked after Suvannasama, or Sama, as the Bodhisatta was named at birth. This holy life could only have taken place in the Himavat forest, below the peaks that reach into the very palaces of the gods in Sakka’s heaven. And yet, its inhabitants were not immune to danger. When Sama was sixteen, as predicted, a misfortune befell his parents. As they were making their way home after a day of gathering fruits, it suddenly began to rain. Taking shelter at the roots of a tree,


they unwittingly stood on an anthill under which a poisonous snake resided. As they huddled there, drops of their sweat fell onto the snake and he was angered. So he puffed out his deadly breath at them and blinded them instantly. From this time onward their son, whom they grew to cherish even more than before, was their sole support. Sama tied ropes and bamboo poles in all directions for them to follow. He swept their dwelling clean of leaves and insects, collected their food, fed them succulent fruits, went every day to a pond to fill a waterpot for them. He bathed them and comforted them. He moved about so gently that even the deer, timid of other men, were never afraid of him and accompanied him wherever he went. ACT I One evening, while Sama was fetching the evening’s water in his small round pot, which one of the deer that accompanied him used to carry for him, the king of Benares himself wandered into the forest. While hunting for venison, he had chanced upon a glade near the pond where Sama stood. The king, named Piliyakka, was fascinated by the sight of what appeared to be some divine creature for his ability to tame the animals of the forest. He was consumed with curiosity and the desire to take a trophy home to show his ministers. Envisioning the reception he would enjoy once he returned home with such a prize, Piliyakka in his pride drew back his bow and shot a poisoned arrow into Sama’s side. The deer fled in terror. The waterpot tumbled over. And Sama slowly and gravely sank to the sand. Blood poured from his lips as he spoke aloud, asking who it could be who desired his death and what could be gained by such an act. King Piliyakka was struck by the absence of blame or anger in Sama’s words and ventured out of concealment. As they talked, the king pretended that he had been aiming at one of the deer rather than at Sama. But Sama knew this to be a lie, and Piliyakka had to admit the truth. Still the boy did not reprimand him. Instead, he grieved aloud for his parents. Who would feed them now? Who would bring them water each day? Who would bathe them? The king was struck with shame. Whereupon he took up the waterpot and promised Sama to care for his parents as if they were his own. Sama then lost consciousness. Piliyakka, thinking he was dead, wailed loudly and paid homage to Sama’s body. In the meantime, a daughter of the gods who had been Sama’s mother in his seventh incarnation before this one sensed that something had befallen her former son. Convinced that Sama as well as his parents would die if she did not intercede, she proceeded to the scene and, hidden in a tree, spoke to the king, who had already begun to change his mind

about caring for Sama’s parents. “O king,” she admonished him. “You have done a grievous thing. Go and nurse the blind parents and your bad deed shall be forgotten. Be charitable of heart and you will attain heaven.” Inspired by the goddess’s words, Piliyakka set out for the hermitage. There he confessed his crime to Sama’s parents. They were stricken with sorrow and grief. So great was their suffering that their penance, carried with them throughout so many lifetimes, was at that moment ended. Unaware of their renewed purity, they asked merely that the king lead them to their son’s body. The king reluctantly complied. On reaching their son, the two ascetics knelt down and wept. All past evils having been washed away by their tears, they were able to bring their son back to life. As his mother prayed, Sama’s body slowly turned to one side. As his father took up his mother’s solemn words, he turned to the other side. The goddess, who had witnessed these acts from her hiding place, then revealed herself and profoundly asserted the virtue of Sama. The air was tense. Even the kinnaris who had cared for Sama as a child gathered quietly to wait for a miracle to happen. Through the night they remained beside him, all minds bent on restoring life to the boy who seemed more a heavenly being than a human. At last Sama stirred, then rose, fully recovered from his injury. At that very moment, dawn broke over the forest and Sama’s mother and father could see with their own eyes Sama’s restoration, for their blindness had ended along with their penance. King Piliyakka, who had come as an intruder into this quiet and pure world, left the site, full of wonder and amazement at the miraculous event he had witnessed. He was unaware to the last that even he had served as an agent of good, for without his cruel act, the devoted son Sama could not have ended his parents’ affliction.


Composer and Director

คีตกวีและผู้กำ�กับการแสดง 8

สมเถา สุจริตกุล

Somtow Sucharitkul สมเถา เกิดในกรุงเทพฯ เติบโต ในยุโรป เป็นคนไทยคนแรกที่สำ�เร็จ มัธยมศึกษา จากวิทยาลัยอีตัน ต่อมาได้ รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เคม บริดจ์ ประเทศอังกฤษ จนสำ�เร็จการ ศึกษาระดับปริญญาตรี (เกียรตินิยม) และปริญญาโท แขนงวิชาวรรณคดี ควบคู่กับดนตรี งานอาชีพแรกของสม เถาคือสร้างสรรค์ดนตรี คีตนิพนธ์ ทัศน์ ภูเขาทอง View from the Golden Mountain ซึ่งสมเถาประพันธ์เมื่อ พ.ศ. 2518 เป็นการบุกเบิกครั้งสำ�คัญของ วงการดนตรีโดยใช้เครื่องดนตรีไทยผสม เครื่องดนตรีตะวันตกเป็นครั้งแรกใน ประวัติศาสตร์การดนตรี สมเถา ทำ�หน้าที่วาทยกรครั้งแรก เมื่ออายุเพียง 19 ปี โดยอำ�นวยเพลงให้ วงดุริยางค์ ฮอลแลนด์ซิมโฟนีออร์เคสต ร้าที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในคีตนิพนธ์ Holland Symphony ซึ่งเขาประพันธ์ ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระบรม ราชินีนาถจูเลียนา แห่งเนเธอร์แลนด์ เนื่องในวโรกาสครองสิริราชสมบัติครบ 25 ปี ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 สม เถา ได้ชื่อว่าเป็น ‘คีตกวีล้ำ�ยุค’ แห่ง ภาคพื้นเอเซีย เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ อย่างหนักจากเพื่อนร่วมชาติ แต่ในช่วง เวลาเดียวกันก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำ�นวย การฝ่ายศิลป์ (Artistic Director) ใน งานมหกรรมดนตรีแห่งเอเซีย (Asian Composers Expo 78) เขาก่อตั้ง สมาคมคีตกวีแห่งประเทศไทย และได้รับ แต่งตั้งเป็นผู้แทนถาวรจากประเทศไทย ในคณะกรรมาธิการดนตรี นานาชาติ แห่งยูเนสโก เมื่อความคิดสร้างสรรค์ด้านดนตรี หยุดชะงักชั่วคราว สมเถาจึงหันไปสู่ บรรณพิภพ เมื่อต้น พ.ศ. 2523 นับแต่ นั้นเป็นต้นมา เขาผลิตนวนิยายภาษา อังกฤษแนวต่าง ๆ 50 เรื่องรวมทั้งเรื่อง สั้นกว่า 200 เรื่อง ออกสู่ตลาดโลก

ภายใต้นามปากกา เอส.พี. สมเถา (S. P. Somtow) ผลงานของนักประพันธ์ ไทยผู้นี้ได้รับรางวัลหลากหลาย และมี ผู้นำ�ไปแปลเป็นภาษาต่าง ๆ กว่า 10 ภาษา นวนิยายประเภทสยองขวัญ เรื่อง Vampire Junction โดย เอส.พี. สม เถา ได้รับเลือกเป็นวรรณคดีประเภท กอธิคคลาสสิคซึ่งมหาวิทยาลัยหลาย แห่งในสหรัฐฯ นำ�ไปใช้เป็นตำ�ราเรียนใน หลักสูตรวิชาวรรณคดี Jasmine Nights นวนิยายกึ่งอัตชีวประวัติ พิมพ์จำ�หน่าย ครั้งแรกโดยสำ�นักพิมพ์ Hamish Hamilton แห่งประเทศอังกฤษ สร้าง ชื่อเสียงให้ผู้เขียนจน George Axelrod นักเขียนบทภาพยนตร์มือทอง เจ้าของ รางวัลตุ๊กตาทองแห่งวงการภาพยนตร์ สหรัฐอเมริกากล่าวว่า สมเถา สุจริตกุล คือ ‘D. J. Salinger of Siam’ ผลงานวรรณกรรมของ เอส. พี. สมเถา ได้รับรางวัลหลากหลายรวม ทั้ง World Fantasy Award อันมีเกียรติ สูงสุด จากเรื่องสั้น The Bird Catcher นอกจากนั้นสมเถายังเคยดำ�รงตำ�แหน่ง นายกสมาคมนักเขียนนิยายสยองขวัญ แห่งสหรัฐอเมริกา สมเถาหวนกลับสู่วงการดนตรีอีก ครั้งในช่วงคริสต์ศวรรษ 1990 โดย เปลี่ยนแนวการประพันธ์จากเดิมเป็น ‘นีโอ-คลาสสิค’ เมื่อปี พ.ศ. 2542 สม เถาได้รับมอบหมายให้ประพันธ์ มัทนา มหาอุปรากรเรื่องแรกโดยคีตกวีไทย โดยอัญเชิญพระราชนิพนธ์ของสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่อง มัทนะ พาธา มาถ่ายทอด เป็นมหาอุปรากร สมบูรณ์แบบเรื่องแรกแห่งสหัสวรรษ ใหม่ เปิดแสดงรอบปฐมทัศน์โลกที่ กรุงเทพฯ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ผลงานครั้งนั้นประสบความ สำ�เร็จท่วมท้นและได้รับการยกย่อง ใน Opera Now นิตยสารที่มีอิทธิพล สูงสุดแห่งวงการมหาอุปรากร พิมพ์ใน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ว่ายิ่ง

ใหญ่ในระดับ ‘One of the operatic events of the year’ นอกจากนั้น สม เถายังได้ประพันธ์คีตนิพนธ์อมตะอย่าง ต่อเนื่อง รวมทั้งผลงานที่ได้รับพระบรม ราชานุญาตและพระราชานุญาตให้ ประพันธ์ทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้แก่มหาอุปรากร อิงวรรณคดีเรื่อง อโยธยา จาก ‘รามเกียรติ์’ ฉบับเอเชียตะวันออก กัลยาณีซิมโฟนี ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จ พระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และ คอนแชร์โต้มหาราชินี Queen Sirikit Piano Concerto ทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ ในปี 2555 ได้แสดง Requiem for the Mother of Songs ผลงานอลังการที่สม เถาใช้เวลาประพันธ์กว่า 3 ปี ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้า กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราช นครินทร์ สมเถา สุจริตกุล เป็นศิลปินคนแรก ที่ได้รับรางวัลศิลปาธรกิตติคุณเมื่อ พ.ศ. 2551 เป็นผู้ก่อตั้งวงดุริยางค์สยามฟิล ฮาร์โมนิค และวงดุริยางค์ สยามซินโฟนิ เอตต้า ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศในการ แข่งขันระดับโลกในเทศกาล Summa Cum Laude 2555 ณ กรุงเวียนนา ประเทศ ออสเตรีย เขาผลิตผลงาน อย่างต่อเนื่องทั้งในด้านวรรณกรรมและ คีตศิลป์ รวมทั้งดนตรีละครเพลง “เร ยา เดอะมิวสิคัล” ในรูปแบบบรอดเวย์ มาตรฐาน และบัลเลต๋-โอเปร่า “สุริ โยทัย” ซึ่งได้รับความสำ�เร็จอย่างมาก มี ผู้สนใจเข้าชมอย่างล้นหลามทุกรอบการ แสดง ปัจจุบัน สมเถาดำ�รงตำ�แหน่ง ประธานมูลนิธิมหาอุปรากรกรุงเทพ และผู้อำ�นวยการฝ่ายศิลป์ประจำ�คณะ มหาอุปรากรโอเปร่าสยามอินเตอร์ เนชั่นแนล


“The most well-known expatriate Thai in the world”— International Herald Tribune Once referred to by the International Herald Tribuneas “the most well-known expatriate Thai in the world,” Somtow Sucharitkul is no longer an expatriate, since he has returned to Thailand after five decades of wandering the world. He is best known as an award-winning novelist and a composer of operas. Born in Bangkok, Somtow grew up in Europe and was educated at Eton and Cambridge. His first career was in music and in the 1970s he acquired a reputation as a revolutionary composer, the first to combine Thai and Western instruments in radical new sonorities. Conditions in the arts in the region at the time proved so traumatic for the young composer that he suffered a major burnout, emigrated to the United States, and reinvented himself as a novelist. His earliest novels were in the science fiction field but he soon began to cross into other genres. In his 1984 novel Vampire Junction, he injected a new literary inventiveness into the horror genre, in the words of Robert Bloch, author of Psycho, “skillfully combining the styles of Stephen King, William Burroughs, and the author of the Revelation to John.” Vampire Junction was voted one of the forty all-time greatest horror books by the

Horror Writers’ Association, joining established classics like Frankenstein and Dracula. In the 1990s Somtow became increasingly identified as a uniquely Asian writer with novels such as the semi-autobiographical Jasmine Nights. He won the World Fantasy Award, the highest accolade given in the world of fantastic literature, for his novella The Bird Catcher. His fifty-three books have sold about two million copies world-wide. After becoming a Buddhist monk for a period in 2001, Somtow decided to refocus his attention on the country of his birth, founding Bangkok’s first international opera company and returning to music, where he again reinvented himself, this time as a neo-Asian neo-Romantic composer. The Norwegian government commissioned his song cycle Songs Before Dawn for the 100th Anniversary of the Nobel Peace Prize, and he composed at the request of the government of Thailand his Requiem: In Memoriam 9/11 which was dedicated to the victims of the 9/11 tragedy. According to London’s Opera magazine, “in just five years, Somtow has made Bangkok into the operatic hub of Southeast Asia.” His operas on Thai themes, Madana, Mae Naak, Ayodhya, and The Silent Prince have been well received by international critics. His most recent operas, the Japanese inspired Dan no Ura and the fantasy

opera The Snow Dragon, have gained him acceptance as “one of the most intriguing of contemporary opera composers” (Auditorium Magazine). He has recently embarked on a ten-opera cycle, Dasjati - The Ten Lives of the Buddha - which when completed will be the classical music work with the largest time span and scope in history. He is increasingly in demand as a conductor specializing in opera and in the late-romantic composers like Mahler. His repertoire runs the entire gamut from Monteverdi to Wagner. His work has been especially lauded for its stylistic authenticity and its lyricism. The orchestra he founded in Bangkok, the Siam Philharmonic, mounted the first complete Mahler cycle in the region. Somtow’s current project, the Siam Sinfonietta, is a youth orchestra he founded five years ago, using a new educational method he pioneered and which is now among the most acclaimed youth orchestras world-wide, receiving standing ovations in Carnegie Hall, The Konzerthaus in Berlin, Disney Hall, the Musikverein in Vienna, and many other venues around the world. He is the first recipient of Thailand’s “Distinguished Silpathorn” award, given for an artist who has made and continues to make a major impact on the region’s culture, from Thailand’s Ministry of Culture.


Conductor

วาทยกร

10

ทฤษฎี ณ พัทลุง

Trisdee na Patalung

ทฤษฎี ณ พัทลุง เป็นนักประพันธ์ดนตรี และวาทยกรไทยที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับใน ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง เป็นวาทยกรไทย คนเดียวที่ได้รับเกียรติไปอำ�นวยเพลงให้กับ วง Royal Scottish National Orchestra, Orchestra Sinfonica Nazionale della RAI (วงออร์เคสตราแห่งชาติอิตาลี) และยัง เป็นศิลปินชาวไทยคนแรกที่ได้เซ็นสัญญากับ สังกัด Columbia Artists Management Inc. นิวยอร์ค (CAMI) ในปี 2554 ทฤษฎีได้รับการกล่าวถึงโดย นิตยสาร Class Filosofia ประเทศอิตาลี ว่าเป็นหนึ่งในวาทยกรอายุต่ำ�กว่า 30 ปีที่ มีความสามารถที่สุดในโลก ในปีต่อมา ได้ ควบคุมวง Siam Sinfonietta ร่วมกับ อาจารย์สมเถา สุจริตกุล ในการแข่งขันวง ดุริยางค์เยาวชนระดับโลก Summa Cum LaudeInternational Youth Music Festival Vienna นำ�รางวัลชนะเลิศกลับมา สู่ประเทศไทย หนังสือพิมพ์ Bangkok Post เลือกทฤษฎีเป็นหนึ่งใน “66 Young Leaders Shaping Thailand’s Future” และ นอกจากนั้นยังได้รับคัดเลือกเป็น ผู้ทำ�คุณ ประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนสาขาสื่อมวลชน เพื่อเด็กและเยาวชนที่ป้องกันปัญหาสังคม จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ โดยเข้ารับพระราชทาน โล่เกียรติคุณในวันเยาวชนแห่งชาติประจำ� ปี 2555 ทฤษฎีรับตำ�แหน่งโค้ชนักร้องโอเปร่าที่ สถาบัน Opera Studio Nederland แห่ง ประเทศเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่อายุ 18 ปีและ เป็นวาทยก รไทยคนแรกที่ได้อำ�นวยเพลง ที่ Concertgebouw ประเทศเนเธอร์แลนด์ หนึ่งในหอแสดงดนตรีคลาสสิคที่สำ�คัญที่สุด ของโลก จากนั้นได้รับเชิญจาก Dutch National Touring Opera ไปอำ�นวยเพลง ในมหาอุปรากร La Ceneretola (ซินเดอเรล ลา) ใน 12 เมืองทั่วประเทศเนเธอร์แลนด์ และยังได้รับเชิญไปอำ�นวยเพลงในเทศกาล โอเปราระดับโลก Rossini Opera Festival ณ เมือง Pesaro ประเทศอิตาลีในปี 2552 -

2553 โดยถือเป็นวาทยกรรับเชิญที่อายุน้อย ที่สุดในเทศกาลเป็นเวลา 2 ปีซ้อน ในฐานะนักประพันธ์เพลง ทฤษฎีได้ ประพันธ์เพลง Eternity (นิรันดร์) คีตา ลัยถวายแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้า ฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราช นครินทร์ ซึ่งได้รับการบรรเลง ณ มณฑลพิธี ท้องสนามหลวงและเมื่อสมเด็จพระเจ้าภคินี เธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณ วดี ทรงเจริญพระชนมายุ 7 รอบทฤษฎีได้ ประพันธ์บทเพลงเฉลิมพระขวัญ “พระหน่อ นาถ” โดยนำ�บทกล่อมในพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาประพันธ์ทำ�นอง สากล ออกอากาศทางช่อง Modernine TV ต่อมาได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยสื่อโทรทัศน์ ในช่วงพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระ ศพฯ และบรรเลงสดในมณฑลพิธีพระเมรุ ท้องสนามหลวง ทฤษฎีเริ่มศึกษาดนตรีเมื่ออายุ 13 ปี โดยเรียนเปียโนกับอาจารย์วรพร ณ พัทลุง, อาจารย์จามร ศุภผล และอาจารย์เอริ นาคา กาวา ต่อมาได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ สมเถา สุจริตกุลและรับหน้าที่ผู้ฝึกสอน นักร้องโอเปราประจำ�าคณะมหาอุปรากร กรุงเทพตั้งแต่อายุ 15 ปี ปัจจุบัน นอกจาก การเดินทางไปเป็นวาทยกรรับเชิญกับวง ออร์เคสตราในต่างประเทศ ทฤษฎียังดำ�รง ตำ�แหน่งเป็นวาทยกรประจำ�วงดุริยางค์สยาม ฟิลฮาร์โมนิค จากการอำ�นวยเพลงของทฤษฎีใน มหาอุปรากรเรื่อง The Magic Flute ของ Mozart ในปี 2549 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่ง ประเทศไทย นิตยสาร ‘OPERA’ แห่งกรุง ลอนดอนได้กล่าวถึงการแสดงครั้งนั้นในบท วิจารณ์ว่า: “หากคำ�าว่า ‘อัจฉริยะ’ ยังเหลือ ความหมายใดๆ อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยคำ� กล่าวอ้างเกินจริงนี้ ทฤษฎีนับเป็นตัวอย่าง ที่แท้จริงแห่งยุคปัจจุบัน” Thai conductor Trisdee na Patalung has worked extensively at the Netherlands Opera Studio as

conductor and resident coach. He was music director of a staged performance of Händel’s oratorio Belshazzar directed by Harry Kupfer, Monteverdi’s Il combattimento di Tancredi e Clorinda, Marc-Antoine Charpentier’s La Descente d’Orphée aux Enfers at the Concertgebouw and Monteverdi’s Orfeo directed by Pierre Audi at the Amsterdam Schouwburg. He conducted the Rossini Opera Festival’s 2009 production of Il viaggio a Reims in Pesaro, Italy, and the Dutch National Touring Opera’s (Nationale Reisopera) 2010 production of Rossini’s La Cenerentola. “Discovered” by Somtow Sucharitkul at the age of 15 and engaged as resident repetiteur and assistant conductor of Opera Siam at 16, Trisdee had his operatic conducting debut in Opera Siam’s Die Zauberflöte at 20, immediately followed by Gluck’s Orfeo ed Euridice at the Steyr Music Festival in Austria. Since then he has conducted such orchestras as the Royal Scottish National Orchestra, Orchestra Sinfonica Nazionale della RAI, Orchestra Sinfonica di Milano Giuseppe Verdi, Orchestra I Pomeriggi Musicali di Milano, Orchestra Haydn di Bolzano e Trento, Orchestra Sinfonica G. Rossini, and Het Gelders Orkest. He is currently the Siam Philharmonic Orchestra’s resident conductor. Of Trisdee’s conducting of Die Zauberflöte, UK’s OPERA magazine said, “If the word ‘genius’ still has any meaning in this age of rampant hyperbole, Trisdee is truly a living example.”


Puwarate graduated from Bangkok University with a bachelor’s degree majoring in advertising management. While studying in university, he had been assigned to be choreographer for Lakornnitade (Faculty of Communication Arts’ Drama) Bangkok University for several plays such as ‘Lakornnitade Bangkok University XVI - The Five Volunteer’, ‘Lakornnitade Bangkok University XVIII – รัตติกาล ครั้งหนึ่ง’, ‘Lakornnitade Bangkok University XX – ผมคิดถึงแม่แบบมหัศจรรย์’. Then, he got many wonderful chances to design fantastic shows for big events of many companies such as Singha Corporation, Otop, etc.. Besides, it’s an his honors to have the opportunities to work for Somtow Sucharitkul’s operas as a choreographer which are the ‘Otello’ and the ‘Mae Naak’ in 2003, and in 2011 he had the chance to go to London for UK premiere of Mae Naak. Moreover, he did choreograph for the ‘Reya The Muscal’ ‘Silent Prince’ ‘Suriyothai’ ‘Dan-no-Ura’ and ‘The Magic Flute.’ Now, he have his own team named “Step Dsign” which aims to do the performing arts., that recently one of the contestants of Thailand’s got talent season 3, under the name of “New blood”. My latest work is to be the choreographer for ballet-opera ‘Suriyothai’ which once again directed by Somtow Sucharitkul.

Associated with

สิริพงษ์ สุนทรเสนาะ (ดุ่ย) เกิด 25 พฤศจิกายน 2525 จบการศึกษาจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขา วิชาการละคร มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เคย สอนเต้นที่ รร. มีฟ้า ในปี พ.ศ.2550-2552 โดยมีผลการ แสดงต่างๆ อาทิ ร่วมทำ�การแสดงพิธีเปิดและปิด SEA Game ครั้งที่ 24 ที่จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย ร่วมแสดงละครเวที “เรยาเดอะมิวสิคัล” ร่วมงาน A TOUT JAMAIS MUSICAL MAJESTY OF THE KING 2011 ณ ประเทศฝรั่งเศส และเข้าร่วมประกวด THAILAND’S GOT TALENT#3 ในชื่อกลุ่ม NEW BLOOD TEAM ในปีพ.ศ. 2556 สิริพงษ์ ได้ร่วมงานกับโอเปร่าสยาม ในฐานะนัก สิริพงษ์ สุนทรเสนาะ อนัทภิกรณ์ ประทับศักดิ์ เต้นมาแล้วหลายครั้ง อาทิ โอเปร่าเรื่อง “แม่นาค” ณ Siripong Soontornsanor Anatphikorn Pratubsak ประเทศอังกฤษ โอเปร่า “เดอะ ฟลายอิ้ง ดัทช์แมน” “ คาร์เมน” “บัลเล่ต์โอเปร่า สุริโยทัย” ร่วมออกแบบท่า เต้น “พระมหาชนก โอเปร่า” “ดันโนอุระ” ปัจจุบัน สิริพงษ์เป็นนักออกแบบท่าเต้นและร่วม แสดงในงานต่างๆของคณะ STEP DSIGN

นักออกแบบลีลาระบำ�

Puwarate Wongatichart

Choreographer

ภูวเรศ วงศ์อติชาติ

11


Cast

นักแสดงนำ�

12

พจน์ปรีชา ชลวิจารณ์ Potprecha Cholvijarn The Bodhisattva

Jak (Potprecha) Cholvijarn sang in Nicholson Choir at Cheam School, Winchester College Chapel Choir, and Bristol Cathedral Choir as a choral scholar. He attended Eton College Choral Course, masterclasses by Michael Chance, and took lessons with Charles Brett and Patrick Van Goethem. Based in Bangkok, Thailand, Jak has performed as a soloist for Opera Siam (Bangkok Opera), Siam Philharmonic, and Siam Sinfonietta on many occasions, notably, in Mozart’s Requiem, Handel’s Dixit Dominus, Massenet’s Thaïs (Myrtale), Rossini’s Petite Messe Sollenelle, Haydn’s Harmoniemesse, Mahler’s Symphony No. 3, Mozart’s Zauberflöte (dritte Dame), and Cavalli’s La Calisto (Endimione). Achan Somtow Sucharitkul cast him as the Buddha in two episodes of his Ten Lives of the Buddha (Das Jati) music drama cycle: as Prince Temiya in The Silent Prince (opera) and as Prince Bhuridat in Bhuridat (ballet-opera); and created the roles of Lord Atsumori in Dan No Ura (opera), and European Singer in Suriyothai (ballet-opera) for him. With Grand Opera (Thailand), he sang in concerts and events organized by British, Swiss, Austrian and Spanish embassies in Bangkok, for example, Queen Elizabeth II’s Diamond Jubilee celebration in Bangkok, Austrian National Day Celebrations in Bangkok, Spanish Song and Zarzuela Concert, Swiss Art Song Concert, and Mozart, Schubert and Strauss Concert; and in concerts to celebrate Her Majesty Queen Sirikit’s and HRH Princess Sirindhorn’s birthdays at the Royal Cliff Hotel, Pattaya. He also sang in Handel’s Messiah for Bangkok International Community Orchestra and Combined Choir, and in fund

raising events for many charitable foundations including Zonta International, English-Speaking Union, NightLight International, Kritanusorn Foundation and Foundation for the Blind. In addition to singing, Jak served as a jury in the 8th International Choir Competition Grand Prix in Pattaya. He is currently taught by Stefan Sanchez and Deborah York. Jak holds a master’s degree in Buddhist Studies and is completing a PhD in the same field at University of Bristol, UK. He is a special lecturer at Thai Studies Center, Chulalongkorn University.

เดเมียน ไวท์ลีย์ Damian Whiteley

ฤทธิ์ พานิชกุล Rit Parnichkun

Australian bass Damian Whiteley studied at University of Sydney, RNCM in Manchester & the young artist programme IOS at Opernhaus Zürich. As a member of l’Académie Européenne de Musique, Damian participated in the Peter Brook production of Don Giovanni conducted by Claudio Abbado/Daniel Harding at Festival d’Aix-en-Provence & world tour. Performs regularly with William Christie/Les Arts Florissants, including at Teatro Real Madrid (Monteverdi’s L’Incoronazione di Poppea), Opera Comique Paris (Deborah Warner’s production of Purcell’s Dido & Aeneas). Major roles in Germany in Salieri’s Falstaff, Graun’s Cesare e Cleopatra, Gazzaniga’s Don Giovanni, Paisiello’s Il Barbiere di Siviglia. Recently Musica Speranza (a Mozart pasticcio) at the Salzburg Landestheater, Bartolo in Mozart’s Le Nozze di Figaro in Dublin, Grande Inquisitore in Verdi’s Don Carlo in Spain, and a debut solo CD Bass Instinct with acclaimed Australian pianist Tamara Anna Cislowska and tours of Australia, New Zealand, Germany & Switzerland in mozart & ME, a one-man show based on the life of Lorenzo Da Ponte.

The Bodhisattva

Rit Parnichkun is a 9 years old Thai-Japanese boy. At first, he went along with his elder siblings for Opera Siam children choir’s audition and got the first chance of performing in the opera, Mae Naak. He played the role of Daeng (Mae Naak’s son) at Bloomsburry theatre in London (2011). He then performed twice as Little Prince Temiya in The Silent Prince both held at Thailand Cultural Center. He joined as a chorus member in Otello, Suriyothai Ballet-Opera, and The Flying Dutchman of Opera Siam. In 2014, Rit joined the children’s choir of La Boheme performed by Italian Lirico Opera, a part of Bangkok festival of music and dance. Rit’s biggest role is by singing and performing little emperor Antoku in Opera Siam’s world premier opera, Dan no Ura in August 2014. His latest performance is by singing the first boy in the three spirits of Opera Siam’s Magic Flute performed during Christmas last year. Rit is having voice lessons with Stefan Sanchez. He is currently studying in grade 4 at AIT International School, Pathumthani.

King of Heaven/ Piliyakkha, King of Kashi

เคลลี่ เรย์ กามาเช่ Kaleigh Rae Gamaché

Apsara/ Queen of Kashi (Head wife) Kaleigh Rae Gamaché, American Coloratura Soprano, returns to Thailand in the role of Apsara/ Queen of Kashi. Ms. Gamaché made her Thailand debut in Sucharitkul’s The Snow Dragon in July. She is a BFA graduate of the University of Wisconsin-Milwaukee in Vocal Performance. She also completed a year of study in Ger-


many at the Folkwang University of the Arts, where she received her German Minor and Certificate. Recent opera credits include Nurse, Ensemble and Joan/Princess un-

derstudy in the World Premiere/ Thailand Premiere, The Snow Dragon (Somtow Sucharitkul), with Opera Siam and Skylight Music Theatre; Serpina/Serena in La serva padrona/Maid To Marry with Third Avenue Playhouse; Angel in Maid of Orleans (Tchaikovsky) with the Russian Opera Workshop; Le Feu in L’enfant et les sortilèges (Ravel) with Milwaukee Opera Theatre; Miss Titmouse in Too Many Sopranos (Penhorwood) with UWM Opera Theatre; and Papagena in Folkwang University of the Arts’ production of The Magic Flute (Mozart). Ms. Gamaché is currently preparing the role of the Maid in Powder Her Face (Thomas Adès) for an American production in 2016.

คาสแซนดรา แบล็ค Cassandra Black Bahusodari

was dazzling.” Since her operatic debut, she has been sought after for more than twenty leading soprano roles in both the contemporary and standard repertoire such as “Marie Antoinette” in The Ghosts of Versailles, “Doll Common” in Vera of Las Vegas, “Floria Tosca,” “Leonore” in Fidelio, “Donna Anna,” and “Fiordiligi,” to name a few. One of Cassandra’s highlights has been portraying the extremely demanding role of “The Dirty Duchess, Margaret of Argyll” in Thomas Ades’ Powder Her Face for which UK’s Opera Magazine said, “Cassandra Black …was fully up to the musical and dramatic challenges. Unfazed by the punishingly wide-range vocal writing she sang with allure and acted with assurance.” Ms. Black’s concert appearances include the Houston Symphony, the Symphony of Southeast Texas, Veridian Symphony and the Woodlands Symphony as well as a concert with Opera Louisiane. Recently Ms. Black covered Norma with St. Petersburg Opera, sang her first Verdi Requiem, two Mozart Requiems, and two role debuts as “Donna Anna” in Don Giovanni and the Mother in Hänsel und Gretel with Opera in the Heights. This coming season she will be returning to the Skylight to sing her her first Tosca and revisit her success as the “Dirty Duchess” in Powder Her Face. To stay up-todate on Cassandra’s singing activities, visit and “like” her page on Facebook. www.cassandrablackonline.com

อชิรญาณ์ ศุกลักษณ์นารี Ashiraya Supaluknaree Parika

Cassandra Aaron Black has performed as a soloist in Italy, Switzerland, Germany, China, throughout the United States, and is making her Thailand debut. The Houston Chronicle described her as “Moving, masterful, and marvelous,” Culture Map called her “Nothing short of thrilling,” and the St. Petersburg Times said “Cassandra

Ashiraya Supaluknaree, soprano, completed her bachelor’s degree and is now pursuing a master’s degree in vocal performance at the

Conservatory of Music, Rangsit University where she studies voice with bass-baritone, Kittinant Chinsamran. She’s successfully won the Conservatory’s Concerto Competition three years in a row from 2012-2014 and performed with the Conservatory’s orchestra at Thailand Cultural Center. Moreover, in 2013, she won the bronze certificate from the Fifth Bangkok Opera International Singing Competition. In the same year, she passed the blind audition to be one of the contestants in The Voice Thailand season 2. In 2014 She joined Bangkok Opera Young soloist program’s La Calisto as Giunone. Later in 2015, she made her debut with Opera Siam in the role of First lady in Mozart’s Die Zauberflöte and later on as the cloth vender in Bhuridat and the ensemble in The Snow Dragon.

พันธวิทย์ อัศวเดชเมธากุล Puntwitt Asawadejmetakul Dukulaka

Puntwitt Asawadejmetakul, Countertenor, was awarded a scholarship to participate in Michael Chance’s 2015 Masterclass in Siena where he also had a chance to worked with Daniel Taylor, Ian Partridge Lynne Dawson and Paul Beier. He graduated his bachelor’s degree in vocal performance from the Conservatory of Music, Rangsit University (full scholarship) where he studied with Kittinant Chinsamran. He started his pop vocal training at the age of 9 with Wasan Kedkeaw at Yamaha school of music. Later on, he continued his classical vocal training with Salith Dechsangworn at College of Music Mahidol University (campus for general public). In 2009-2010, he had been an AFS exchange student at Shaker Heights High School , Ohio, where he joined the tenor section of St.Dominic Choir and his school’s


Cast

นักแสดงนำ�

14

A Cappella and Chamber Choir. He also performed as a soloist in several school ceremonies with both choirs. At the end of the academic year, he was awarded the Best Male Singer of the Year from the school. In 2011, he participated in Agalin Music Camp. His awards in singing include the second prize in Clavinova with Vocal category from Yamaha Thailand Music Festival 2008, the RSU Concerto Competition winners in 2012 and 2013, and the gold certificate from the Fifth Bangkok Opera Singing Competition 2013. He had performed Bach’s Manificat in D with Chulalongkorn University Chamber Orchestra and Concert choir, Handel’s Messiah with Bangkok Combine Choir and He was invited to join Asain Youth Choir for One (AYCO) in 2014 and He was an Alto soloist for Beethoven’s Symphony No.9 with Siam Philharmonic Orchestra. Puntwitt is a member of the Young Soloist Program by Opera Siam where he took on the role of Pane from Cavalli’s La Calisto and premiere the roles of Page to Lord Yoshitsune from Sucharitkul’s Dan no Ura and Mendicant’s son / Grand vizier from Bhuridat, one of the ten lives of the Buddha series in Sucharitkul’s DASJATI.

มานา แก้วแท้ JC Manar Kaewtae

Mother of Parika/ Queen of Kashi (No. 1 Wife)

Being born in Chinese opera family. JCmanar has been inspired and fallen for opera and musical. Awarded first runner up 0f 2008 Thailand Five Zones Singing Competition for international song category, she was given a scholaship of An advanced voice study at Vatinee Music school. An ensemble who was chosen to sing USA National Anthem as an opening piece of

Raktersamer The musical 2011, played One of the Hi-So Gangster in Reya the musical. She also loves cooking.When she doesn’t sing, she cooks but while she’s cooking, she sings! Her voice is not less grace than her beauty. Nothing could stop her from reaching for the star and one day the world will remember her name. She was contestant of TV singing show “Keep Your Light Shining Thailand.”

อารียา โรจนดิษฐ์ Areeya Rotjanadit

training at the age of six. He started his first piano lesson with Watcharavadee Warasittichai and later with Dr. Tretip Kamolsiri. He started singing in the choir of Bangkok Christian College under Sathit Sukchongchaipruk. He sings with Chulalongkorn University Concert Choir, a gold medal award winner from Venezia in Musica competition 2014 in Italy, in many concerts under the baton of Dr. Pawasut Piriyapongrat. Yotsawan has

Mother of Dukulaka/ Queen of Kashi (No. 2 Wife)

Areeya Rotjanadit (Lookpla) has started her singing lessons when she was in the 7th grade and continued to pursue her dream of being a professional singer at the college of dramatic Arts. During the six years of voice training, she competed in many singing contests, including the “Thailand’s got talent Season 1” and the “23rd KPN Award” where she was among the finalists. Areeya is now 19 years old and has already made herself known in the world of classical music and opera. She is a member of Siam Sinfonietta and had a role in a number of operas and recently, she has joined to Siam Sinfonietta V-tour in Europe and Abu Dhabi with “Měsičku” (Dvořak) song and Bhumibol Adulyadej song “Saifon” conducted by Somtow Sucharitkul and Trisdee na Patalung. She also continues to compete in the singing contests and received an award from the Bangkok opera ASEAN International singing competition 2014.

ยสวันต์ มีทองคำ� Yotsawan Meethongkum Father of Dukulaka/ Head Huntsman

A young baritone, Yotsawan Meethongkum started his musical

sung with Siam Orpheus Choir in Mahler’s Symphony of a Thousand and Wagner’s the Flying Dutchman. He recently took on the role of Sylvana in La Calisto and 2nd Priest in Die Zauberflöte. He created the role of Lord Michinobu in Dan no Ura, and Subhag in Bhuridat with Opera Siam in their latest season. Yotsawan has studied voice with bass-baritone Kittinant Chinsamran, and later with baritone Stefan Paul Sanchez. He is also a member Young Soloist Program by Opera Siam. He performed with Rangsit University Symphony Orchestra as the winner of the Conservatory’s Concerto Competition 2014. He also sang the baritone solo in Beethoven’s Symphony No.9 with the Bangkok Charity Orchestra and second time with Siam Philharmonic Orchestra

ชัยพร พวงมาลี Chaiporn Phuangmalee Father of Parika/ Grand Vizier of Kashi

ChaipornPhuangmalee, tenor, has excelled in music from an early age. Beginning as a pianist, he was an active performer in his youth, and received an award for his performance of songs by His Majesty King BhumibolAdulyadej. Mr. Phuangmalee began singing in the pop style before training classically with Pitchaya Kemasingki and entering the Pre-College program at Mahidol University’s College of



JESUS AND BUDDHA in

“THE FAITHFUL SON” by S.P. Somtow

With the release of “Sama - The Faithful Son” on Father’s Day in only a few days’ time, I’ve crossed one of the thresholds in this journey towards creating an epic 10-part music drama based on the Ten Lives of the Buddha, the iconic series of stories that are told throughout the Buddhist world. You see, Wagner’s Ring Cycle is the “biggest” piece of music (and theater, and opera) ever written, and consists of four stage works. “The Faithful Son” will be the fourth part of my series to appear and thus the series reaches a kind of numeric parity with Wagner, though I still have a long way to go to get to the end... “Iconic” is a word used frequently about DasJati — The Ten Lives of the Buddha — but one of the reasons I’ve embarked on this project is that I discovered that the lives aren’t really as well known as I thought, that they aren’t taught in school that much — any

more than the exploits of Zeus and Hercules are taught in schools in the west — and that therefore people today are losing touch with their cultural origins, with the very framework of their lives. Most Thais knows the story of Prince Vessantara, the 10th of the lives, and Mahajanaka, the second life, was popularized by His Majesty’s adaptation which came out almost two decades ago. The others, while depicted on the walls of almost every temple in Thailand, tend to draw a blank. The third Jataka in the series, called Phra Suwana Sama in Thai, is actually a remarkable tale. The most intimate of the ten stories, taking place almost entirely in the magical forest of the Himavant, but it’s particularly appropriate for Father’s day because its subject matter is filial piety, which is a big deal in Thai culture and also amongst Confucians and in other civilizations in the region. Oddly enough its plot

mirrors the Christian narrative in a way that might be more than coincidence. What story, after all, deals with a messenger from heaven, a virgin birth, a gentle child whose goodness is beyond all measure, who places service to others above himself, whose life is plagued by a vengeful serpent, who miraculously causes the blind to see, who is slain by a thoughtless tyrant, then resurrected from the dead? Jesus, for sure, but oddly enough, also the third incarnation of Buddha in the celebrated Ten Lives. Did the Jesus narrative travel east? (We know that many of the jataka tales are not contemporaneous with the Buddha, but were absorbed into the canon from all sorts of sources, including folk tales and legends from many countries). Or did the jataka story travel west? Or all these stories all manifestations of a single greater


them — represent the two villages, but also two worlds — gods and men — life and death — the simple beauty of the forest and the urbane beauty of the court of the King of Benares. But what divides the sound world of the opera is also what makes it one. Though Suwana Sama is a profoundly Buddhist story, it resonates powerfully with the message of Christmas and in fact the cast includes a larger number of committed Christians than we usually have in the local cast of our opera productions. And the beauty of the story, and its moral lesson, speaks to them as well. consciousness? When I analyzed the story in order to extract an opera from it, it made me think of what people around the world have in common, not about what makes them different from each other. Set in a magical forest with a protagonist who talks to animals (a sort of Buddhist version of St. Francis) Suwana Sama is the most lyrical of the DasJati stories, and it has an amazingly happy ending — even the murderous King Piliyakka is made to learn compassion and learns to stop treating people as collectible objects. The original jataka tale contains a deus ex machina in the person of the yakhini Bahusodari, who was the Bodhisattva’s mother in a previous life. Her spirit watches over him from a distant mountain, and she materializes at the climax of the story to teach King Pilyakka a moral lesson. In my opera I’ve placed her on the stage all the way through the opera in the form of a statue that comes to life, providing a challenging role for dramatic soprano Cassandra Black, who has to be a statue for over 70 minutes. But the magical moment when she speaks allows us to hark back to operatic ancestors like Don Giovanni, and also to the climax of Shakespeare’s The Winter’s Tale, where cold stone also receives a voice. King Piliyakka treats the living as though they were already dead, and in my adaptation is rebuked

by something dead that he discovers to be living. Something many members of the audience may comment on is that fact that this opera uses two orchestras. The original is about two villages on opposite sides of a river that seek to become united in the marriage of the children of their headmen. The marriage is interrupted because of a vow chastity, yet the couple must conceive a son because that child is destined to be a Bodhisattva. Gods intervene to make the impossible possible. And the child’s goodness conquers even death. The two orchestras with the stereo effects that become possible — and with one conductor juggling

In a world where there’s increasing tension between people of different faiths and philosophies, I would hope that Suwana Sama - The Faithful Son brings people together a little bit, and helps to spread a message of compassion and forgiveness. S.P. Somtow is the novelistic pen name of composer Somtow Sucharitkul, whose latest opera, Suwana Sama - The Faithful Son premieres December 5th in celebration of the King’s Birthday, at the new state of the art Suryadhep Music Sala in Rangsit. There is an international cast and the Siam Philharmonic is conducted by Trisdee na Patalung. Tickets available from Thai Ticket Major.


A Studio instead of a seat. That’s flying reimagined.

Discover the difference between a conventional seat and an actual Studio in Business Class on the new Etihad A380 and 787 Dreamliner. Both spacious and private, our Studio provides a unique environment for all travellers to work, rest and play. It’s a do anything space where you can enjoy a ‘Dine Anytime’ menu, with expert guidance from our onboard Food & Beverage Manager. Or simply relax in the fully-flat bed. When was Business Class ever like this? Never. Flying Reimagined. etihad.com #Reimagined


Soontorn Meesri Aiya Chayothin Sathukarn Saeng-arun

Dena Euprasert

Atiwan Ourairat

คุณสุนทร มีศรี ด.ญ. อติวัณณ์ อุไรรัตน์ ด.ญ. อัยยา ชโยธิน ด.ญ. เดนา อยู่ประเสริฐ ด.ญ. ปาย พิมพ์วิระยะกุล ด.ช. สาธุการ แสงอรุณ ด.ช. ณธัญ วิทยะสิรินันท์ ด.ช. กิติพัฒน์ อภิชัยโชติรัตน์

Kittiphat Apichaichotirat

Nathan Vidhayasirinun

of Music include roles in Opera and Music Theatre productions such as West Side Story, Die Fledermaus, South Pacific, and The Land of Smiles. Other notable performances include singing chorus for Fillipa Giordano, and singing at the International Dance Festival Thailand at the Thailand Cultural Centre. In 2012 and 2013, Mr. Phuangmalee was a member of the chorus for the opening concert and opera of La Fêtte, sponsored by the French Embassy in Thailand. He was recently awarded the Bronze Prize in the Junior Division of the 5th Bangkok Opera Singing Competition in 2013. Recently, he was one of the soloists performed in the soft opening and the grand opening of Prince Mahidol hall with Thailand philharmonic orchestra (TPO). He is a member of Grand Opera Thailand with Stefan Sanchez, he performs regularly in Bangkok and throughout the nation.

โอเปร่าสยามอินเตอร์เนชันแนล ขอขอบคุณผู้ปกครองนักแสดงสมทบรุ่นเยาว์ และนักแสดงสมทบกิติมศักดิ์

Pye Pimviriyakul

Music. He continues his studies on scholarship at Mahidol University as an undergraduate in Voice Performance where he studied with Colleen Jennings and Joseph Rinaldi. He is currently a student of Nicholas Provenzale. He has participated in master classes with Franz Lukasovsky, IsvanBonyhadi and Mario Antonio Diaz. Performances with the College


Charin Sumakka

Teody Avellaneda

Sébastien Maury

Jitpuwapat Mokkamakkul

Philippe Saint-Paul

Edward Stein

Rom Parnichkun

Nicholas Booth Miho Fukutome

Rhea Mahayag

Arunporn Taksintaweesap

20 Thalassa Tapia-Ruano Ferrand

Burichaya Kosiyakul

Ma Cecilia N Dellava

Chantal Gopinath

Ploy Chattanont

Pannarat Phnitsirinun

Poonnika Nina Molloy

Emm Parnichkun

Jenelyn Cagamcam

Chorus

นักร้องประสานเสียง


Wichuda Jeenrian

Pongnarin Maikhami

Laphatsarada Chanruang

Kraisorn Khunlad

Niramol Kajeeworakul

Anatphikorn Pratubsak

Boonyarit Boonthoeng

Wirunphan Bunmi

Pattharika Jantaramanit

Prasit Kaniknan

Weerapong Suabangpra

Nutthaphong Khounkrea

Chutimon Deesee-on

Sirirat Phuurirod Nimitr Yoocharoen

นักระบำ�

Dancers 21


นักดนตรี

Orchestra

Concertmaster

Chot Buasuwan โชติ บัวสุวรรณ • หัวหน้าวง โชติเริ่มเรียนไวโอลินตั้งแต่อายุ ๗ ปี กับ ผศ. นรอรรถ จันทร์กล่ำ� ต่อมาโชติได้เข้าศึกษาที่ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และได้รับรางวัลผู้มีความ สามารถทางดนตรีจากสมเด็จพระบรม โอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวร วงศ์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ (พระ ยศในขณะนั้น) ในเวลาต่อมาโชติได้รับเลือก เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเพื่อศึกษาต่อ ณ เมือง Palmerston North ประเทศนิวซีแลนด์ และได้ เข้าร่วมวง Manawatu Youth Orchestra และ Manawatu Sinfonia Orchestra ในระหว่าง ศึกษาที่นั่นด้วย ก่อนไปศึกษาที่ประเทศนิวซีแลนด์ โชติได้มี โอกาสเรียนไวโอลินกับ อาจารย์ประทักษ์ ประที ปะเสน อาจารย์ทัศนา นาควัชระ และภายหลังกับ อาจารย์ศิริพงษ์ ทิพย์ธัญ ปัจจุบัน โชติกำ�ลังศึกษาในระดับปริญญาตรีใน สาขาวิชาเอกไวโอลินกับ ผศ. นรอรรถ จันทร์กล่ำ� ที่ภาควิชาดุริยางคศิลป์ตะวันตก คณะศิลปกรรม ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสมาชิกของ วงออเคสตราแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้า วงดุ ริ ย างค์ ส ยามฟิ ล ฮาร์ โ มนิ ค และวงดุ ริ ย างค์ เยาวชนสยามซินโฟนิเอตต้า

Orchestral Keyboards

Violoncello

Wishwin Sureeratanakorn Kant Lormsomboon

Harp

Viola

Atjayut Sangkasem Ilina Sawicka

French Horn

Violin 2

Kulisara Sangchan Thanapak Poonpol

Trumpet

Violin 1

Chot Buasuwan Lertkiat Chongjirajitra

Ensemble 1

22

Chot has started playing violin at the age of 7 with Nora-ath Chanklum. He went to Vajiravudh College and while he studying at Vajiravudh College, HRH Crown Prince Maha Vajiralongkorn and HRH Princess Srirasmi bestowed him the “Musical Talent Award”. Later he went to study in New Zealand under the international exchange program between Vajiravudh College and Newzealand. Whilst there, he became a member of Manwatu Youth Orchestra and Manwatu Sinfonia. Before he went to study in New Zealand, he had a chance to study with many well-known Thai violinist such as Dr. Pratak Prateepasen, Tasana Nagavajara and Siripong Tiptan. He is Currently studying for bachelor’s degree in western music at Chulalongkorn University and has been joined with Siam Sinfonietta, Siam Philharmonic Orchestra, Chulalongkorn University Symphony Orchestra, CU String Orchestra and Thai Youth Orchestra.


Siam Philharmonic Orchestra วงดุริยางค์สยามฟิลฮาร์โมนิก

ปจจุบัน สยามฟลฮารโมนิคเปนวงดุริยางคที่ มีประสบการณการบรรเลงเพลงโอเปราสูงสุดแหง ภาคพื้นเอเชียอาคเนย จากผลงานที่หลากหลาย ทั้งบทเพลงรวมสมัยและคีตนิพนธจากคีตกวี ระดับปรมาจารย อาทิ โมสารท แวรดี ปุชชินี มาเซเนต บริเตนและวากเนอร เปนตน และวงดุริยางคสยามฟลฮารโมนิคไดเริ่มนําเสนอ “วัฏจจัก รมาหเลอร” ครบทั้ง 11 บท ตั้งแต่ พ.ศ. 2552 - 2558

Orchestral Keyboards

Violoncello

Samatchar Pourkarua Vorarat Wattanasombat

Harp

Viola

Jitsamon Shattrakom Pasatorn Stieniti

French Horn

Violin 2

Vinai Siripen Tharit Korthammarit

Violin 1 Trumpet

Ensemble 2

Thanaporn Sathienwaree

----The Siam Philharmonic Orchestra was founded in 2002 by Somtow Sucharitkul. Originally named the MIFA Sinfonietta, the orchestra originally was intended to fulfill a need for a small symphony orchestra in Bangkok that concentrated on the core classical repertoire and brought more historically informed performance techniques to the region. In 2003, the orchestra became the resident orchestra of the Bangkok Opera. Since that time its repertoire and standing have grown tremendously. In 2005, recognizing that with its Mahler and Wagner premieres it could no longer be called a “sinfonietta”, and at the suggestion of HRH Princess Galyani Vadhana, the Bangkok Opera’s board changed the orchestra’s name to the Siam Philharmonic Orchestra. The Siam Philharmonic has a special mission to young people and from the beginning instituted a highly suc-

cessful apprentice program, in which exceptionally talented students were recruited to play alongside topprofessionals. Graduate of this programme have gone on to become some of Thailand’s most well-known instrumentalists. In 2010, the orchestra sponsored the creation of a new youth orchestra in order to widen the pool of young talent. The Siam Philharmonic is currently the most experienced opera orchestra in Southeast Asia, with a wide repertoire that includes contemporary operas as well as established classics by Mozart, Verdi, Puccini, Massenet, Britten, and Wagner. In 2009 it inaugurated a complete Mahler cycle which will be completed by the year 2015. Opera magazine’s critic Jonathan Richmond has said of this orchestra: “The playing was clean, taut, and full of detail. Strings were sharply disciplined to evoke a thousand feelings, while sensitive to exploring the depths of those emotions, once exposed. And the winds: just a single flute could enslave the whole Thailand Cultural Centre to the belief that Verdi’s extraordinary fiction was in fact true to life. This was music of a greatness surely more splendid than anything Bangkok has ever heard before. Bravo!”

Nutdanai Karuhardsuwarn

สยามฟลฮารโมนิคออเคสตรากอตั้งโดย สมเถา สุจริตกุล เมื่อป พ.ศ. 2543 ภายใตชื่อ “มีฟา ซินโฟนิเอตตา” (MIFA Sinfonietta) เพื่อสนอง ความตองการของกรุงเทพฯ ในการมีซิมโฟนีออเคสตราขนาดเล็กที่เนนหนักในการบรรเลงดนตรี คลาสสิคประเภท repertoire รวมทั้งฝกฝน นักดนตรีในภาคพื้นใหพัฒนาเทคนิคการบรรเลง มีฟาซินโฟนิเอตตาถูกจัดใหเปนวงดุริยางคใน สังกัดคณะมหาอุปรากรบางกอกโอเปราตั้งแตป พ.ศ. 2544 ตอมาผลงานขอวงมีฟาซินโฟนิเอตตา ไดเจริญ เติบโตและกาวไกลยิ่งขึ้น การบรรเลงคีตนิพนธ ของปรมาจารยคีตกวีมาหเลอรและวากเนอร เมื่อป พ.ศ. 2548 ทําใหไมเหมาะที่เรียกวงดุริยางคนี้วา“ซินโฟนิเอตตา” หรือวงดุริยางคนอย อีกตอไป จึงไดเปลี่ยนชื่อวงจากเดิมเปน “วงดุริยางค สยามฟลฮารโมนิค” (Siam Philharmonic Orchestra) ซึ่งเปนชื่อที่สมเด็จพระเจาพี่นาง เธอเจาฟากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร ไดทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ พระราชทาน ภารกิจหลักของวงดุริยางคสยามฟลฮารโมนิค ไดแก โครงการสนับสนุนเยาวชน ผูมีพื้นฐานชั้น ตนจนถึงผูประสบความสําเร็จในระดับสูง ทั้งนี้ ดวยการเสาะหาเยาวชนผูมีพรสวรรคมาฝกสอน และเปดโอกาสใหแสดง ฝมือเคียงบาเคียงไหล นักดนตรีอาชีพผูมีความสามารถในฐานะสมาชิก เต็มขั้นของวง- ดุริยางคโดยไมมีการจํากัดอายุ เยาวชนผูผานโครงการนี้จะไดกาวไปสูระดับแนว หนาของศิลปนไทยผูมีชื่อเสียงเดนดัง โดยในป 2553 วงสยามฟลฮารโมนิคไดสนับสนุนการกอตั้งวงดุริยางคเยาวชนสยามซินโฟนิเอตตาเพื่อรวม รวบเหลานักดนตรีทั้มีพรสวรรคเพื่อเตรียมตัวเปน นักดนตรีอาชีพที่ดีในอนาคต


Vorawit Saeweewanlop

Somnuek Saeng-arun

Traditonal Thai Instruments

Tambura

Percussion 3

Percussion 2

Wasupon Tarntira

Jittinant Klinnumhom

Percussion 1

Panthit Rojwatham

Percussion 4

Nadis Boonrod

Timpani

Daisuke Iwabuchi

Bass Trombone

Thanisorn Puengchai

Trombone 2

Apisak Porncheewangkun

24 Clarinet & Bass Clarinet

Ratchanon Intarasathit

KittipatRatinai Trombone 1

Kijjarin Pongkapanakrai Oboe & English Horn

Flute 2

Sethapong Janyarayachon

Piyaway Poolsri Trumpet

Bassoon

Kotchapak Boonviparut

Flute 1

Pannita Chalermrungroj

Piccolo & Flute 3

Teerawat Ratthanaphapameteerat

Double bass

Pongsathorn Surapab

Orchestra Tutti

นักดนตรี


ณัฐวรรณ สันติภาพ

ออกแบบเครื่องแต่งกายนักแสดง

Assistant costume designer: Kanokrat Ariya

Natthawan joined Opera Siam as a costume designer since July 2014, she has designed and led the costume team in various production including the epic Dan No Ura. Natthawan holds a Master’s Degree in Fashion Brand Management from Florence, Italy. Being an art, culture, and history enthusiast, along with her experience from fashion industry, makes her costume design express more than a story but intellection and her passion as well.

ฝ่ายผลิต

Natthawan Santiphap

Production Team

Costume Designer

25

Make-up

Montri Wadlaiad มนตรี วัดละเอียด

ออกแบบแต่งหน้านักแสดง เริ่มเรียนแต่งหน้าที่โรงเรียนสอนศิลปะการแต่ง หน้า MTI (Makeup Technique International) มีผลงานเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในแนวคิด และฝีมือ ทั้งงานแต่งหน้านักแสดงภาพยนตร์ ละคร เวที นางแบบ และงานภาพยนตร์โฆษณา เป็น Makeup Designer ที่มีแนวคิดการออกแบบได้ อย่างเหนือจินตนาการ จนได้รับรางวัลด้านการแต่ง หน้านักแสดงภาพยนตร์จากหลากหลายสถาบัน เป็นผู้สนองพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ศึกษาและออกแบบการแต่ง หน้าโขนสำ�หรับการแสดงโขนพระราชทาน และ จัดพิมพ์เป็นหนังสือหน้าโขน ปัจจุบันเป็นครูใหญ่ โรงเรียนสอนศิลปะการแต่งหน้า MTI และช่างแต่ง หน้า ผลงานการออกแบบ-แต่งหน้าที่สำ�คัญ ได้แก่ การออกแบบแต่งหน้าภาพยนตร์จันดารา อุโมงค์ผา

เมือง ชั่วฟ้าดินสลาย สุริโยไท คู่กรรมและตำ�นาน สมเด็จพระนเรศวร การออกแบบแต่งหน้าละคร โทรทัศน์สาบพะเพ็ง เหนือเมฆ ผลงานการออกแบบ แต่หน้าละครเวทีสู่ฝันอันยิ่งใหญ่ แมคเบธ และไกล กังวล Music on Beach รางวัลที่เคยได้รับ เช่น รางวัลชนะเลิศการ ประกวดแต่งหน้าแฟนซีแห่งประเทศไทย 2529 รางวัลชนะเลิศการประกวดแต่งหน้าแฟนซีแห่ง เอเชีย พ.ศ. 2529 รางวัลแต่งหน้ายอดเยี่ยม โดย สมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งประเทศไทย จากภาพยนตร์ เรื่องฉลุยหิน...คนไข่สุดขอบโลก พ.ศ. 2537 นอกจากนี้แล้ว ยังได้รับรางวัลพระสุรัสวดี (ตุ๊กตาทอง) สาขาแต่งหน้ายอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ หลายเรื่อง อาทิ เหยื่อ (พ.ศ. 2530) ตลาด พรหมจารี (พ.ศ. 2531) โหมโรง (พ.ศ. 2547) และ จันดารา (พ.ศ. 2555)


Executive Producer

ผู้อำ�นวยการบริหาร

26

ถ่ายเถา สุจริตกุล

Thaithow Sucharitkul

หลังจากสำ�เร็จมัธยมศึกษาจากมาแตร์ เดอีและวัฒนาวิทยาลัย ถ่ายเถา สุจริต กุล เดินทางไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ สำ � เร็ จ วิ ช าเคหะศาสตร์ จ ากสถานศึ ก ษา วิ้งค์ฟีลด์เพลส (Winkfield Place) ประเทศ อังกฤษ และศึกษาวิชาจิตกรรมภาพวาด ระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัย โนเทรอ เดม (University of Notre Dame) สหรัฐอเมริกา สมรสกับศาสตราจารย์ ดร. สมปอง อดีต เอกอัครราชทูตไทย และได้เดินทางติดตาม สามี ใ นฐานะภริ ย าเอกอั ค รราชทู ต ประจำ � ประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปและญี่ปุ่นรวม 9 ประเทศ ระหว่างใช้ชีวิตเกือบ 2 ทศวรรษที่ซาน ฟรานซิสโก ถ่ายเถาได้ทำ�หน้าที่ผู้อำ�นวย การสร้าง (Producer) ภาพยนตร์ซึ่งเป็น ผลงานของบุตรชาย นายสมเถา สุจริตกุล ถ่ายทำ�ในฮอลลิวู้ด รวมทั้งอำ�นวยการผลิต มหาอุปรากรหลายเรื่องนำ�เสนอโดยโอเปร่า สยาม อินเตอร์เนชั่นแนล คณะมหาอุปรากร ใ น สั ง กั ด มู ล นิ ธิ ม ห า อุ ป ร า ก ร ก รุ ง เ ท พ นอกจากนั้น ยังเป็นนักแปลและนักเขียนผู้มี ผลงานที่เด่นดัง อาทิ “ดอกส้มสีทอง” และ “เรยา” รวมทั้งจัดทำ�คำ�บรรยายประกอบ การแสดงมหาอุปรากรทุกเรื่องของโอเปร่า สยาม เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ สมาคมนัก เขียนแห่งประเทศไทยได้ประกาศเกียรติและ มอบรางวัล “นราธิป” ให้ ถ่ายเถา สุจริตกุล

ในฐานะนักเขียนผู้สร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อ เนื่องยาวนานและผลงานเป็นที่ยอมรับอย่าง กว้างขวาง กับรางวัล “สุรินทราชา” สำ�หรับ นั ก แปลดี เ ด่ น จากสมาคมนั ก แปลและล่ า ม แห่งประเทศไทย ถ่ายเถา สุจริตกุล ได้รับคัด เลือกเป็นสตรีไทยดีเด่นพุทธศักราช ๒๕๕๗ After finishing high school from Mater Dei Institute and Wathana Withaya Academy, Bangkok, Thaithow Sucharitkul continued her study in the United Kingdom at Winkfield Place and received her diploma in Home Economics and later on in the United States, where she had her training in studio arts graduate studies. Thaithow married Professor Dr. Sompong Sucharitkul, former Ambassador of Thailand to 9 countries in Europe and Japan. Thaithow Sucharitkul spent the past two decades in San Francisco with her husband after his return to academia. Her last association with an American University was in the position of Associate Director of the Bangkok Summer Program offered by Golden Gate University School of Law. During her stay

in the United States, Thaithow Sucharitkul produced two of her son’s (Somtow Sucharitkul) movies as well as several renowned operas for Bangkok Opera, an opera company under the umbrella of Bangkok Opera Foundation. She also spends part of her time using her literary skill, writing novels in her own name, and translating her son’s books from English into Thai. Her most popular novel “Dok Som Si Thong” was made into the talkof-the-town television series and the first Thai Broadway-styled musical “Reya the Musical.” In the year 2013, Thaithow was given an award for ‘Pride and Prime’ student of Wathana Withaya Academy. She was also honoured with ‘Narathuip Award’ as acclaimed writer from The Writers’ Association of Thailand as well as ‘Surinraja’ Award for Best Translator from Translators and Interpreters Association of Thailand. Thaithow was selected as one the Outstanding Thai Ladies of the year 2014.


ดร.นฎาประไพ สุจริตกุล เป็นผู้ร่วมก่อ ตั้งมูลนิธิมหาอุปรากรกรุงเทพ เริ่มผลงาน ทางการขับร้องเพลงเดี่ยว “Rock Mass” คีตนิพนธ์ของพี่ชาย “สมเถา สุจริตกุล” ทางโทรทัศน์ Evangelische Omroep เนเธอร์แลนด์ เมื่ออายุ 14 ปี ก่อนหน้านั้น เธอคร่ำ�หวอดกับการแสดงนาฏศิลป์รำ�ไทย ในฐานะนักแสดงรุ่นเยาว์ตั้งแต่ 3 ขวบ เคย รับหลายบทบาทในการแสดงละครการกุศล พิธีกร ร้องเพลงในงานคอนเสิร์ต ตลอด จนรับบทเอกในนาฏกะ “วาสวฑัตตาใน ฝัน” ซึ่งแสดงหน้าพระที่นั่งพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว นอกเหนื อ จากดี ก รี ด็ อ กเตอร์ ส าขา รัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปารีส นฎาประไพ ยังชื่นชอบศิลปะการแสดง ทั้งการร้องเพลง ไทยเดิมและเพลงป๊อบสากล ผ่านการรับบท ต่างๆ ในคณะบางกอกโอเปร่า อาทิ บทหมู่ มวลในมหาอุปรากร “มัทนา” และนักร้อง ประสานเสียงในงาน “Requiem 9/11” นฎา ประไพเริ่มบทบาทในฐานะ Producer ให้กับ บางกอกโอเปร่าในปี 2005 ในมหาอุปรากร “Aida”, “Queen Sirikit Concerto” ผล งาน ของไมสโตรสมเถาซึ่งประพันธ์ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ เสด็จทอดพระเนตรพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้า พี่นางเธอฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รวมถึงมหาอุปรากร “Mae Naak” ประพันธ์ โดยไมสโตรสมเถา อันเป็นผลงานแรกของ คณะ Opera Siam International ที่จัด แสดงที่ประเทศอังกฤษ ในปี 2555 นฎาประไพ รับหน้าที่เป็นผู้ อำ�นวยการผลิตให้กับ “The Requiem for the mother of Songs” ของ ไมสโตรสมเถา ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญยกย่องในวงการดนตรี คลาสสิ ก ทั่ ว โลกว่ า เป็ น ผลงานชิ้ น โบว์ แ ดง ของศตวรรษ ไมสโตรสมเถา ใช้เวลาบรรจง รังสรรค์งานประพันธ์ชิ้นนี้ถึง 4 ปีเต็ม เพื่อ น้อมรำ�ลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุด

มิได้ แห่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กรมหลวง นราธิวาสราชนครินทร์ องค์พระอุปถัมภ์ของ มูลนิธิมหาอุปรากรกรุงเทพ พระมารดาแห่ง วงการดนตรีคลาสสิกของประเทศไทย ในปี 2556 รับหน้าที่เป็นผู้อำ�นวยการผลิต “สุริโยทัย” บัลเล่ต์-โอเปร่าเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ของ สมเถา สุจริตกุล ซึ่งประพันธ์ขึ้นโดยอาศัย เค้าโครงเรื่องจากตำ�นานประวัติศาตร์ไทย ซึ่ง สร้างประวัติศาสตร์ให้แก่วงการดนตรีคลาส สิกของไทย โดยมีผู้เข้าชมเต็มหอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยทั้ง 9 รอบ หรือกว่า 13,000 คน และใน ปี 2557 นฎาประไพรับหน้าที่เป็น ผู้อำ�นวยการผลิตโอเปร่า “ดัน โน อุระ” จาก เค้าโครงเรื่องตำ�นานแห่งเฮเกะ ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ชิ้นสำ�คัญแห่งเกาะญี่ปุ่น รอบปฐมทัศน์ โลก เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนาง เจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมถึงเป็นผู้อำ�นวย การผลิ ต ให้ แ ก่ โ ครงการจั ด แสดงคอนเสิ ร์ ต เฉลิมพระเกียรติ “ก้าวสู่ ๘๘ พรรษา องค์ ราชัน” โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมกับ มูลินิธิมหาอุปรากรกรุงเทพ และล่าสุด “ภูริ ทัตนาคราช” บัลเล่ต์-โอเปร่า ในโครงการจัด แสดง “ทศชาติ” โดย สมเถา สุจริตกุล Founding member of the Bangkok Opera Foundation, Nadaprapai began her musical career in the 1970s when she sang a solo in her brother Somtow’s Rock Mass on Dutch television at the age of 14 on the Evangelische Omroep network. She had actually previously appeared in theatre and television, performing classical Thai dance on Thai TV since she was 3 years old. Nadaprapai is active in charity concerts, and performed in a leading role in the classical Thai music drama Wassawattana Nai Fun before his majesty the King of Thailand. With a doctorate in political science from the University of Paris, Nadaprapai has had a hand in many areas of show business, including a stint as a club singer, a small role in Opera Siam’s inaugural produc-

tion of Madana, and chorus roles in productions such as Somtow’s Requiem: In Memorial 9/11. Nadaprapai’s experience as a producer started with the much praised Opera Siam’s production of Aida which reimagined the story as taking place during the Siamese-Burmese Wars of the Ayuthaya period of Thai history. She was the executive producer of Mae Naak UK Tour in 2011. Nadaprapai also produced the world premiere of Somtow Sucharitkul’s Queen Sirikit Concerto which was presided over by both Her Majesty the Queen and HRH Princess Galyani Vadhana. In 2012, she was the producer of the internationally acclaimed “REQUIEM For The Mother Of Songs”, composed and conducted by Somtow. In 2013, Nadaprapai produced the first example of an innovative art form, the Ballet-Opera “Suriyothai” composed and directed by Somtow in honour of HM The Queen of Thailand staged at the Thailand Cultural Centre. It was one of the most successful events in the history of art and culture in the region. Last year Nadaprapai Produced the opera “Dan no Ura” based on the tale of the Heike in honor of the birthday of HM the Queen of Thailand. With The National Legislative Assembly and The Bangkok Opera Foundation, she was also the producer of “988 Concert” to celebrate HM the King’s Birthday. Earlier this year Nadaprapai produced the Ballet-Opera “Bhuridat” The Dragon Lord, part of Das-Jati (Ten Lives of The Buddha) by Somtow Sucharitkul.

ผู้อำ�นวยกาผลิต “วัฏจักรทศชาติ”

Dr. Nadaprapai Sucharitkul

‘Das • Jati’ Producer

ดร. นฎาประไพ สุจริตกุล

27


BANGKOK OPERA FOUNDATION a registered nonprofit educational and culture foundation

มูลนิธิมหาอุปรากรกรุงเทพ President Vice President Committee Secretary-Treasurer Legal Counsel

สมเถา สุจริตกุล Somtow Sucharitkul ถ่ายเถา สุจริตกุล Thaithow Sucharitkul ดร. นฎาประไพ สุจริตกุล Dr. Nadaprapai Sucharitkul รักศักดิ์ คณานุรักษ์ Raksak Kananurak สืบสกุล ศรีชยันดร Suebsakul Srichayandorn ศ. ดร. สมปอง สุจริตกุล Prof. Dr. Sompong Sucharitkul Opera Siam International โอเปร่าสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล

Hon. Patron Hon. Patron (International Hon. Chairman

หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา HH Princess Sukhumabinanda Baripatra กีย์ เกรวิล เอิร์ล ออฟ วอริค ที่ 9 The Rt. Hon. Guy Greville, 9th Earl of Warwick, 9th Earl Brooke ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ Dr. Surin Pitsuwan Executive Committee คณะกรรมการบริหาร

Chairman, Director of Development General and Artistic Director Committee

ดร. นฎาประไพ สุจริตกุล Dr. Nadaprapai Sucharitkul สมเถา สุจริตกุล Somtow Sucharitkul รักศักดิ์ คณานุรักษ์ Raksak Kananurak ชเล วุทธานันท์ Schle Wood-thanan Advisory Board คณะกรรมการที่ปรึกษา

Chairman Committee

คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล Khunying Patama Leeswadtrakul ดร. สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา Dr. Sumet Jumsai Na Ayudhaya ดร. สุวิทย์ ยอดมณี Dr. Suwit Yodmanee วรพจน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา Vara-Poj Snidvongs na Ayudhya ดร. สุนทร อัศวานันท์ Dr. Soonthorn Asavanant ประยุทธ มหากิจศิริ Prayudh Mahagitsiri อวิรุทธ์ วงศ์พุทธพิทักษ์ Aviruth Wongbuddhapitak รศ. ดร. วีณา เชิดบุญชาติ Dr. Vina Churdboonchart ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ Dr. Sirilaksana Khoman ม.ล. ภูมิใจ ชุมพล M.L. Poomchai Chumbala วราห์ สุจริตกุล Varah Sucharitakul ดร. พอล เบเรสฟอร์ด ฮิล Dr. Paul Beresford Hill เจมส์ รูนีย์ James Rooney เดวิด ไกเลอร์ David Giler เร็กซ์ มอร์แกน Rex Morgan ฟลอเรียน พรูสส์ Florian Preuss เพชรากรณ์ วัชรพล สนิทวงศ์ ณ อยุธยา PetcharaKorn Vacharaphol Sanidvongs ศานติ ประนิช Santi Pranich พิชัย ปิตุวงศ์ Pichai Pituwong

คณะกรรมการที่ปรึกษาโครงการ “ทศชาติ” (เรียงตามลำ�ดับอักษร)

Advisory Board of ‘Das Jati’ Project (by Thai Alphabetical Order) ฐาปน สิริวัฒนภักดี Thapana Sirivadhanabhakdi ปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล Prisna Pongtadsirikul ม.ล. ภูมิใจ ชุมพล M.L. Poomchai Chumbala เร็กซ์ มอร์แกน Rex Morgan วิจิตร ชินาลัย Vichit Chinalai ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร M.R. Sukhumbhand Paripatra คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Khunying Sudarat Keyuraphan ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ Dr. Surin Pitsuwan ดร. สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา Dr. Sumet Jumsai na Ayudhya ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ Dr. Arthit Ourairat ฮาราลด์ ลิงค์ Harald Link


ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมอุปถัมภ์

โครงการ “ทศชาติ” การมีส่วนร่วมในโครงการหมายถึง

• ท่านจะได้ร่วมงานกับโรงมหรสพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นส่วน หนึ่งของประวัติศาสตร์การดนตรีและศิลปะการแสดงอย่างถาวร • ในระยะเวลา 5 ปีนี้ ท่านจะช่วยนักร้อง นักเต้น นักดนตรี นัก ออกแบบกราฟฟิค ช่างตัดเย็บเครื่องแต่งกาย และนักสร้างฉาก ซึ่งเป็นคน ไทยรวมแล้วนับพันให้มีงานทำ� • “ทศชาติ” ที่เสร็จสมบูรณ์จะเป็นอุปกรณ์การศึกษาที่สำ�คัญ เหนืออื่นใดสำ�หรับพุทธศาสนิกชนทั่วโลกในการนำ�เรื่องราวไปเผยแพร่ต่อ ไป • ท่านจะได้ร่วมในแผนงานเฉลิมพระเกียรติพระราชวงส์จักรีและ มหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย และอยู่ในความทรงจำ� ของคนรุ่นหลัง • ช่วยให้รัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการท่องเที่ยว ไม่ใช่เพียง ระยะสั้น แต่ยาวนานตราบใดที่ไทยยังเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติผู้รักศิลปะการดนตรีและมหาอุปรากรจะเริ่มวางแผนเดินทาง มาชม “ทศชาติวัฏจักร” ที่กรุงเทพฯ เช่นเดียวกับการแสดงที่ไบย์รอยธ์ เยอรมนี • ช่วยประเทศไทยให้ยืนหยัดในสถานะศูนย์รวมศิลปะวัฒนธรรม แห่งภาคพื้น We are seeking sponsorships/production partners for this enterprise on all levels, from solo donors to major corporations and government bodies.

Becoming a Das•jati Partner means • You will be linked with the “biggest” music theater spectacle of all time and be forever part of the history of music and theater • For the next five years you will be helping to give employment to what will eventually amount to thousands of Thai singers, dancers, musicians, graphics designers, costume makers, and set builders • The completed Das•Jati will be one of the most important educational tools ever created for Buddhists around the world, making these stories accessible to all • You will participate in an enduring project that will celebrate Thailand’s most beloved monarch and be a reminder for generations to come • You will help to generate tourism income for this country not just for a few years, but for as long as Thailand is a tourist destination, as music and opera lovers begin to designate the Das•Jati Cycle performances as a place of artistic pilgrimage comparable to Bayreuth for Germany • You will help to ensure that Thailand becomes and remains at the absolute epicenter of culture in the region

‘Das • Jati’

Fund Pledges

Naga (Anonymous) Dr. Arnond Sakworanich Chee Wong Cipriano De Guzman Jr. Divina Anatan Kant Lormsomboon Ratana Roipornkasemsuk Siriwat Chantaro Thalassa Tapiia-Ruano Thidaporn Sermchai Apsarini Björn Lindstrom Choopong Kiangsiri Dag Johanessen Daniel Desjardins Erica Crutchley Jiraros Kewjaila Panporn Puangchaipruek Peerapong Lekrungruangkit Viswa Subbaraman Apsara Chaiporn Chinaprayoon Chongkonnee Wongpashukchot Gerard Isaacson Lesley Junlakan Linda Cummings Orapin Kanchanagorn Patrick Drnec Sirikarn Luengvarintra Sunetra Rasmussen Ted and Jeanne Shibuya Devi (Anonymous) Karen Schur-Narula Michael Proudfoot Preecha Udomkijdecha Raksak Kananurak Tom Page Deva Somtow Sucharitkul Dr. Thanat Khoman and Family Akkradeva Institute of Metropolitan Development (Mahakorn 3) Christian Ham Piyabutr Cholvijarn Santi Pranich Yos Euarchukiati Mahadeva Thai Yarnyon Co., Ltd. Dr. Arthit Ourairat Dr. Nadaprapai Sucharitkul Pisit Laosirirat Prayuth Mahagitsiri Dr. Sompong Sucharitkul


Production Credits

ทีมงาน

วาทยกร Conductor ผู้กำ�กับการแสดง Director ออกแบบลีลาระบำ� Choreographer ผู้อำ�นวยการผลิต Producer ผู้อำ�นวยการบริหาร Executive Producer ผู้จัดการฝ่ายผลิต Production Manager ผู​ู้จัดการวงดุริยางค์ Orchestra Manager ผู้ช่วยควบคุมฝ่ายดนตรี Assistant Music Supervisor เจ้าหน้าที่ฝ่ายโน้ต Orchestra Librarian ประสานงานนักร้องประสานเสียง Chorus Coordinator/ ประสานงานต่างประเทศ International Affairs เปียโนประกอบการฝึกซ้อม Piano Répétiteur ประสานงานนักเต้น Dance Team Coordinator ประสานงานนักแสดงสมทบเด็ก Children Extras Coordinator

30

ออกแบบฉาก Set Designer ผู้จัดการเวที Stage Manager สร้างฉาก Set/ อุปกรณ์ประกอบฉาก Props ออกแบบแสง Lighting Designer ออกแบบเครื่องแต่งกาย Costume Designer แต่งหน้า Make-up ทำ�ผม Hair Dressing จัดทำ�คำ�บรรยายและคำ�แปลภาษาไทย Subtitles & Thai Translator เจ้าหน้าที่ฝ่ายคำ�บรรยาย Subtitles Operators บันทึกภาพเคลื่อนไหว Video Recording บันทึกภาพนิ่ง Still Photographer บันทึกเสียง Sound Recording สถานที่ฝึกซ้อม Rehearsal Spaces

ภาพหน้าปก Cover Art ออกแบบกราฟิค Graphic Designer บัญชี การเงินและธุ​ุรการ Account, Finace and Admin ผู้ช่วยทั่วไป Production Assistants

ทฤษฎี ณ พัทลุง Trisdee na Patalung สมเถา สุจริตกุล Somtow Sucharitkul ภูวเรศ วงศ์อติชาติ Puwarate Wongatichart ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ Dr. Arthit Ourairat ถ่ายเถา สุจริตกุล Thaithow Sucharitkul ณัฏฐ์ คำ�นาค Nath Khamnark พงศธร สุรภาพ Pongsathorn Surapab จิตตินันท์ กลิ่นน้ำ�หอม Jittinant Klinnumhom ธนาคาร ธีรสุนทรวัฒน์ Tanakan Theerasuntornvat เซบาสเตียน มาวรี่ Sébastian Maury กันต์ ล้อมสมบูรณ์ Kant Lormsomboon วรรัชฏ วัฒนสมบัติ Vorarat Wattanasombat พฤกษา ชนาธิปัตย์ Pruksa Chanatipat โสภิต สุจริตกุล Sopit Sucharitkul คาโรลีนา ตาเปีย-รัวโน เฟรันด์ Carolina Tapia-Ruano Ferrand ดีน ชิบูญา Dean Shibuya สรินยา ออลสัน Sarinya Olsson เกียรติ ภู่ทับทิม Kiat Phootubtim ไรอัน แอ็ตติกจ์ Ryan Attig ณัฐวรรณ สันติภาพ Natthawan Santiphap โรงเรียนสอนศิลปะการแต่งหน้า เอ็ม ที ไอ MTI สถาบันเสริมสวยนานาชาติเกตุวดี แกนดินี Ketvadee Gandini ถ่ายเถา สุจริตกุล Thaithow Sucharitkul บวรวรพล วงษ์สุวรรณ Bawornwarapon Wongsuwan เดอะ สตูดิโอ โปรดักชั่น The Studio Production ภูริวัฒน์ เจริญยิ่ง Puriwat Charoenying ธีม พี418 โพเธน Theme P418 Pothen ศูนย์สังคีตศิลป์สุจริตธำ�รง Sucharit Thamrong Music Centre สมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษฯ Old England Students Association จิรโรจน์ แก้วใจหล้า Jiraros Kewjaila ชัยมงคล วิริยะสัจจาภรณ์ Chaimongkol Wiriyasatjaporn รัตนา ร้อยพรเกษมสุข Ratana Roipornkasemsuk วัทน์สิริ ศุกรินทร์ Watsiri Sukkarin ศิริวัฒน์ จันทวโร Siriwat Chantawaro





SURYADHEP MUSIC SALA ศ า ล า ด น ต รี สุ ริ ย เ ท พ


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.