ปที่ 6 òäÛa January - June 2011/ @ @1432@@¶ëþa@ô†b»@@–@1431òv¨aëˆ@ ฉบับสังคมศาสตรและมนุษยศาสตร
ฉบับที่ 10
†‡ÈÛa
@òîãbã⁄aë@òîÇbànuüa@âìÜÈÛa Þbª
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
Al-Nur Journal The Graduate School of Yala Islamic University ประธานทีป่ รึกษา อธิการบดี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ที่ปรึกษา รองอธิการบดีฝา่ ยวิเทศสัมพันธ์และกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยอิสลายะลา รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาศักยภาพนักศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายทรัพย์สินและสิทธิประโยชน์ มหาวิทยาลัยอิสลายะลา คณบดีคณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา คณบดีคณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ผู้อํานวยการสถาบันภาษานานาชาติ ผู้อํานวยการสํานักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผู้อํานวยการสถาบันอัสสาลาม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา เจ้าของ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา บรรณาธิการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มุฮําหมัดซากี เจ๊ะหะ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา กองบรรณาธิการ รองศาสตราจารย์ ดร.อิบราเฮ็ม ณรงค์รักษาเขต วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี รองศาสตราจารย์ ดร.นิรันดร์ จุลทรัพย์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ Assoc. Prof. Dr.Mohd Muhiden Bin Abd Rahman Fakulti Pengajian Islam, Universiti Malaya, Nilam Puri Asst. Prof. Dr.Muhammad Laeba Islamic Law, International Islamic University Malaysia ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิเลาะ แวอุเซ็ง วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อุไรรัตน์ ยามาเร็ง คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อาจารย์เจ๊ะเหล๊าะ แขกพงศ์ สถาบันอิสลามและอาหรับศึกษา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ซอลีฮะห์ หะยีสะมะแอ สํานักบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผู้ช่วยศาสตราจารย์จารุวัจน์ สองเมือง คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.ซาการียา หะมะ คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.ซอบีเราะห์ การียอ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.อัดนัน สือแม สาขาวิชาภาษาอาหรับและวรรณคดี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.มูฮามัสสกรี มันยูนุ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ผูท้ รงคุณวุฒพิ จิ ารณาประเมินบทความ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อับดุลเลาะ หนุม่ สุข ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หะสัน หมัดหมาน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภริ มย์ศรี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บรรจง ไวทยเมธา ดร.มะรอนิง สาแลมิง ดร.อิบรอเฮม สือแม อาจารย์นิมัศตูรา แว Prof. Dr. Haydar Khujali Dr.Mahmud Muhammad AbdulQadir Salim
มหาวิทยาลัยรามคําแหง มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนียะลา Omduman Islamic University, Omduman-Sudan มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์
บรรณาธิการจัดการ กองจัดการ
นายฟาริด อับดุลลอฮ์หะซัน นายมูฮาํ หมัด สะมาโระ นายนัศรุลลอฮ์ หมัดตะพงศ์ นายฆอซาลี เบ็ญหมัด นายมาหะมะ ดาแม็ง นายอับดุลย์ลาเต๊ะ สาและ นายนัสรูดิง วานิ นายอาสมิง เจ๊ะอาแซ
กําหนดการเผยแพร่
2 ฉบับ ต่อปี
การเผยแพร่
จํ า หน่ า ยโดยทั่ ว ไปและมอบให้ ห้ อ งสมุ ด หน่ ว ยงานของรั ฐ และเอกชน สถาบันการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ
สถานทีต่ ดิ ต่อ
บัณฑิตวิทยาลัย ชั้น 2 สํานักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา 135/8 หมู่ 3 ตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี 94160 โทร.0-7341-8614 โทรสาร 0-7341-8615, 0-7341-8616 Email: fariddoloh@gmail.com
รูปเล่ม
บัณฑิตวิทยาลัย
พิมพ์ที่
โรงพิมพ์มิตรภาพ เลขที่ 5/49 ถนนเจริญประดิษฐ์ ตําบลรูสะมิแล อําเภอเมือง จังหวัดปัตตานี 94000 โทร 0-7333-1429 http://www.tci-thaijo.org/index.php/NUR_YIU/issue/archive
ฉบับอิเล็กทรอนิกส์
∗ทัศนะและข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่าน ทางกองบรรณาธิการเปิดเสรีด้านความคิด และไม่ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
บทบรรณาธิการ มวลการสรรเสริญทั้งหลายเป็นสิทธิแห่งเอกองค์อัลลอฮฺ ที่ทรงอนุมัติให้การรวบรวมและจัดทํา วารสารฉบับนี้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี ขอความสันติสุขและความโปรดปรานของอัลลอฮฺ จงประสบแด่ท่านนบีมุฮัม มัด ผู้เป็นศาสนฑูตของพระองค์ตลอดจนวงศ์วานของท่านและผู้ศรัทธาต่อท่านทั่วทุกคน วารสาร อั ล -นู ร เป็ น วารสารทางวิ ช าการฉบั บ สั ง คมศาสตร์ แ ละมนุ ษ ยศาสตร์ บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ซึ่งได้จัดตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ เพื่อนําเสนอองค์ความรู้ในเชิงวิชาการที่หลากหลาย จาก ผลงานของนักวิชาการ คณาจารย์ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาทั้งภายในและภายนอก ทั้งนี้เพื่อเป็นการเผยแพร่ องค์ความรู้ที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์สู่สังคม วารสาร อั ล -นู ร ฉบั บ นี้ เป็ น ฉบั บ ที่ 10 ประจํ า ปี 2554 เป็ น ฉบั บ ที่ ไ ด้ จั ด ทํ า ในรู ป แบบของ อิเล็กทรอนิกส์ (Thai Journals Online) ที่ได้รวบรวมบทความทางวิชาการที่มีความหลากหลายทางด้านภาษาและ ได้รับเกียรติจากบรรดาผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งในประเทศและต่างประเทศทําหน้าที่ตรวจสอบและประเมินคุณภาพของ บทความ กองบรรณาธิการวารสาร ยินดีรับการพิจารณาผลงานวิชาการของทุกๆ ท่านที่มีความสนใจ รวมถึง คําติชม และข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อนําสู่การพัฒนาผลงานทางวิชาการให้มีคุณภาพต่อไป
บรรณาธิการวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
1
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﳏﻤﺪ ﺳﻴﺪ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﻭﺗﺮﺟﻴﺤﺎﺗﻪ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻮﺳﻴﻂ ﻟﻠﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ: ﺩﺭﺍﺳﺔ ﻋﻦ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻟﺴﻮﺭﰐ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ﻭﺍﻟﺒﻘﺮﺓ
บทความวิชาการ
∗
ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺃﲪﺪ ﳒﻴﺐ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ
ﻣﻠﺨﺺ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻳﻌ ّﺪ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﳏﻤﺪ ﺳﻴﺪ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺷﻴﺦ ﺍﻷﺯﻫﺮ ﺍﻟﺮﺍﺣﻞ – ﺭﲪﻪ ﺍﷲ – ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﻷﺟﻼﺀ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻘﺮﻥ ،ﻟﻔﻀﻴﻠﺔ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻷﻛﱪ ﺟﻬﻮﺩ ﻣﻠﻤﻮﺳﺔ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ﻭﻗﻀﺎﻳﺎ ﺍﻷﻣﺔ .ﻭﻣﻦ ﺃﺟ ﹼﻞ ﻣﺆﻟﻔﺎﺗﻪ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﺍﳌﺴﻤﻰ " ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻮﺳﻴﻂ ﻟﻠﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ" .ﺞ ﻓﻴﻪ ﻣﻨﻬﺠﺎ ﻋﻠﻤﻴﺎ ﺭﺍﺋﻌﺎ ﻳﺴﺘﺤﻖ ﺍﻟﻮﻗﻮﻑ ﻋﻨﺪﻩ .ﻭﻣﻦ ﺍﻣﺘﻴﺎﺯﺍﺕ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺗﺮﺟﻴﺤﺎﺗﻪ ﻭﺍﺧﺘﻴﺎﺭﺍﺗﻪ ﰲ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﳌﺴﺎﺋﻞ ﺍﻟﱵ ﳍﺎ ﻋﻼﻗﺔ ﺑﺘﻔﺴﲑ ﺁﻳﺎﺕ ﺍﷲ .ﻫﺬﺍ ﳑﺎ ﺩﻋﺎ ﺍﻟﻜﺎﺗﺐ ﻹﻟﻘﺎﺀ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻀﻮﺀ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﺎﻝ.
∗ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﺩﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ،ﺍﶈﺎﺿﺮ ﰲ ﺃﻛﺎﺩﳝﻴﺔ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﲜﺎﻣﻌﺔ ﻣﻼﻳﺎ ،ﻧﻴﻠﻢ ﺑﻮﺭﻱ ،ﻛﻠﻨﱳ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
2
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
Abstract Is Dr. Mohamed Sayed Tantawiy, Sheikh Al-Azhar the late. From eminent scientists in this century, the Grand Imam of concrete efforts in the service of the Qur'an and Sunnah, and the issues of the nation. In order to explain his workscalled "al-Tafsir al-Wasit lil Qur'an al-Karim" Approach in which ascientific approach is great stand with him. It is this interpretation Trgihath privileges and choices in many of the issues related to theinterprdtation of the verses of Allah. Prompting this writer to shed light in this area.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
3
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺑﺎﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﳏﻤﺪ ﺳﻴﺪ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ: ﺍﲰﻪ :ﳏﻤﺪ ﺳﻴﺪ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻭﻟﺪ ﰲ ﻗﺮﻳﺔ ﺳﻠﻴﻢ ﲟﺤﺎﻓﻈﺔ ﺳﻮﻫﺎﺝ ﰲ ﺍﻛﺘﻮﺑﺮ ﻋﺎﻡ .1928ﺗﻠﻘﻰ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺗﻌﻠﻴﻤﻪ ﺍﻷﺳﺎﺳﻲ ﺑﻘﺮﻳﺘﻪ ،ﻭﺣﻔﻆ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﰒ ﺍﻟﺘﺤﻖ ﲟﻌﻬﺪ ﺍﻹﺳﻜﻨﺪﺭﻳﺔ ﺍﻟﺪﻳﲏ ﻋﺎﻡ .1944ﻭﺑﻌﺪ ﺍﻧﺘﻬﺎﺀ ﺩﺭﺍﺳﺘﻪ ﺍﻟﺜﺎﻧﻮﻳﺔ ﺍﻟﺘﺤﻖ ﺑﻜﻠﻴﺔ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻭﲣﺮﺝ ﻓﻴﻬﺎ ﻋﺎﻡ ،1958ﰒ ﺣﺼﻞ ﻋﻠﻰ ﲣﺼﺺ ﺍﻟﺘﺪﺭﻳﺲ ﻋﺎﻡ .1959 )ﺃﲪﺪ ﺍﻟﺒﺤﲑﻱ ﰲ ﺟﺮﻳﺪﺓ ﺍﳌﺼﺮﻱ ﺍﻟﻴﻮﻡ(12 :2010 ، ﻭﰲ ﻋﺎﻡ 1960ﻋﻴّﻦ ﺇﻣﺎﻣﹰﺎ ﺑﺎﻷﻭﻗﺎﻑ ﻓﻈﻞ ﲦﺎﱐ ﺳﻨﻮﺍﺕ ﻳﻌﻤﻞ ﺑﺎﻹﻣﺎﻣﺔ ﻣﻨﺘﻘﻼ ﻣﻦ ﻣﺴﺠﺪ ﺇﱃ ﺁﺧﺮ ﻳﻌﻆ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻭﰲ ﺍﻟﻮﻗﺖ ﻧﻔﺴﻪ ﻳﻘﻮﻡ ﺑﺪﺭﺍﺳﺎﺗﻪ ﺍﻟﻌﻠﻴﺎ ﺑﺄﺻﻮﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺣﱵ ﺣﺼﻞ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭﺍﺓ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﻛﺎﻥ ﻣﻮﺿﻮﻉ ﺭﺳﺎﻟﺘﻪ ” ﺑﻨﻮ ﺇﺳﺮﺍﺋﻴﻞ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ“ ﻭﻛﺎﻥ ﺫﻟﻚ ﻋﺎﻡ ،1966ﰒ ﺍﻧﺘﻘﻞ ﻟﻠﻌﻤﻞ ﺑﺎﳉﺎﻣﻌﺔ ﰲ ،1968ﻓﻌﻴّﻦ ﻣﺪﺭﺳﺎ ﻟﻠﺘﻔﺴﲑ ﺑﻜﻠﻴﺔ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﰒ ﺃﺳﺘﺎﺫﺍ ﻣﺴﺎﻋﺪﺍ ﺑﻜﻠﻴﺔ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﺄﺳﻴﻮﻁ ﻋﺎﻡ 1972ﰒ ﺳﺎﻓﺮ ﺇﱃ ﻟﻴﺒﻴﺎ ﻟﻴﻌﻤﻞ ﺑﺎﳉﺎﻣﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺇﱃ ﻋﺎﻡ ،1976ﻭﻋﻴّﻦ ﺑﻌﺪ ﻋﻮﺩﺗﻪ ﻣﻨﻠﻴﺒﻴﺎ ﻋﻤﻴﺪﹰﺍ ﻟﻜﻠﻴﺔ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﺄﺳﻴﻮﻁ ﰒ ﺩﻋﺘﻪ ﺍﳉﺎﻣﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ ﺍﳌﻨﻮﺭﺓ ﻟﻴﻌﻤﻞ ﺎ ﻓﺴﺎﻓﺮ ﺇﱃ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩﻳﺔ ﳌﺪﺓ ﺃﺭﺑﻊ ﺳﻨﻮﺍﺕ ﻛﺎﻣﻠﺔ ﺭﺋﻴﺴﺎ ﻟﻘﺴﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﻌﻠﻴﺎ ﰒ ﻋﺎﺩ ﻟﻴﺘﻮﱄ ﻋﻤﺎﺩﺓ ﻛﻠﻴﺔ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﺎﻟﻘﺎﻫﺮﺓ ﰒ ﹼﰎ ﺗﻌﻴﻴﻨﻪ ﰲ ﺍﻹﻓﺘﺎﺀ ﻣﻔﺘﻴﹰﺎ ﻟﻠﺪﻳﺎﺭ ﺍﳌﺼﺮﻳﺔ ﰲ 1986 /10 /26ﻭﻇﻞ ﻣﻔﺘﻴﹰﺎ ﻋﺸﺮ ﺳﻨﻮﺍﺕ ﻟﻴﺘﻮﱄ ﺑﻌﺪﻫﺎ ﻣﺸﻴﺨﺔ ﺍﻷﺯﻫﺮ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﺃﺻﺪﺭ 7557ﻓﺘﻮﻱ ﻣﺴﺠﻠﺔ ﺑﺪﻓﺎﺗﺮ ﺩﺍﺭ ﺍﻹﻓﺘﺎﺀ).ﻓﺮﻳﺪ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ،ﳏﻤﺪ ﺯﻳﻦ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ ،ﻋﻤﺮ ﻋﺒﺪﺍﳉﻮﺍﺩ ،ﰲ ﺇﻧﺘﺮﺍﻧﻴﺖ( ﻣﻜﺎﻧﺘﻪ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ: ﻳﻌ ّﺪ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﻭﺍﺣﺪﺍ ﻣﻦ ﺃﺟ ﹼﻞ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺍﻷﺯﻫﺮ ﻭﺃﻏﺰﺭﻫﻢ ﻋﻠﻤﺎ ،ﺧﺎﺻﺔ ﰲ ﻋﻠﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ،ﻭﻫﻮ ﻣﺘﻔﻮﻕ ﻃﻮﺍﻝ ﻣﺸﻮﺍﺭﻩ ﺍﻟﺘﻌﻠﻴﻤﻲ ،ﻭﻛﺎﻥ ﳑﺘﺎﺯﺍ ﺃﻛﺎﺩﳝﻴﺎ ،ﻭﺗﻮﱃ ﺍﻟﻜﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﳌﻨﺎﺻﺐ ﺍﻟﻘﻴﺎﺩﻳﺔ ﰲ ﺍﳌﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﻟﺪﻳﻨﻴﺔ) .ﺃﲪﺪ ﺍﻟﺒﺤﲑﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ(12 ، ﺛﻨﺎﺀ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻋﻠﻴﻪ: ﻭﻗﺪ ﺃﺛﲎ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﻋﺪﺩ ﻛﺒﲑ ﻣﻦ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺍﻷﺯﻫﺮ ﻭﻏﲑﻫﻢ .ﻳﻘﻮﻝ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﻋﻠﻲ ﲨﻌﺔ، ﻣﻔﱵ ﲨﻬﻮﺭﻳﺔ ﻣﺼﺮ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ" :ﻟﻘﺪ ﻓﻘﺪﺕ ﺍﻷﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﲟﻮﺕ ﻓﻀﻴﻠﺔ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﳏﻤﺪ ﺳﻴﺪ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﺷﻴﺦ ﺍﻷﺯﻫﺮ ،ﺍﳌﻔﺴﺮ ﺍﻟﻠﻐﻮﻱ ﻭﺍﻟﻔﻘﻴﻪ ﺍﻟﻜﺒﲑ ﻋﻠﻤﺎ ﻣﻦ ﺃﻋﻼﻣﻬﺎ ﻭﻛﻮﻛﺒﺎ ﻣﻦ ﻛﻮﺍﻛﺐ ﺍﳍﺪﺍﻳﺔ ﰲ ﲰﺎﺋﻬﺎ ﻭﺭﻣﺰﺍ ﺷﺎﳐﺎ ﻣﻦ ﺭﻣﻮﺯﻫﺎ ﺍﻟﻌﻈﺎﻡ ،ﻓﻘﺪﺕ ﺭﺟﻼ ﻋﺎﺵ ﻋﻤﺮﻩ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺧﺪﻣﺔ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺧﺪﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ. )ﻋﻤﺮﻭ ﲨﺎﻝ(5 :2010 ، ﻭﻣﻨﻬﻢ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻳﻮﺳﻒ ﺍﻟﺒﺪﺭﻱ ﺣﻴﺚ ﻳﻘﻮﻝ" :ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺮﺍﺣﻞ ﺧﻠﹼﻒ ﻟﻠﻤﻜﻨﺒﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻋﺸﺮﺍﺕ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﻭﺍﳌﺆﻟﻔﺎﺕ ﰲ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﻭﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﺍﳊﺪﻳﺚ ﻭﺍﻟﺪﻋﻮﺓ" อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
4
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺃﲪﺪ ﺍﻟﻄﻴﺐ ﺭﺋﻴﺲ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﺯﻫﺮ ﻭﻗﺘﺌﺬ" :ﻛﺎﻥ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﻣﻦ ﺃﻛﱪ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﻃﻼﻕ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻭﻛﺎﻥ ﺛﺎﱐ ﺍﺛﻨﲔ ﳑﻦ ﺗﺼﺪﻭﺍ ﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻛﺎﻣﻼ") .ﻋﺼﺎﻡ ﻫﺎﺷﻢ.(5 :2010 ، ﻭﻭﺻﻒ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﻃﻪ ﺃﺑﻮ ﻛﺮﻳﺸﺔ ﻧﺎﺋﺐ ﺭﺋﻴﺲ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﺯﻫﺮ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺑﺄﻧﻪ ﻛﺎﻥ ﻗﻴﻤﺔ ﺷﺎﳐﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﻴﻢ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻌﺘﺰ ﺑﺪﻳﻨﻬﺎ ﻭﻛﺮﺍﻣﺘﻬﺎ ،ﻭﻛﺎﻥ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﰲ ﺍﳌﻘﺎﻡ ﺍﻷﻭﻝ ﺧﺎﺩﻣﺎ ﻟﻠﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺍﳌﺘﺎﺑﻌﺔ ﺍﻟﺪﻗﻴﻘﺔ ﳊﻔﻈﺔ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺇﻋﻼﻧﻪ ﻟﺸﻌﺎﺭ )ﻣﻦ ﱂ ﳛﻔﻆ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻓﻠﻴﺲ ﺑﺄﺯﻫﺮﻱ() .ﺃﳝﻦ ﲪﺰﺓ.(12 :2010 ، ﻣﺆﻟﻔﺎﺗﻪ: ﻟﻔﻀﻴﻠﺔ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﻋﺪﺓ ﻣﺆﻟﻔﺎﺕ ﻭﻣﻦ ﺃﳘﻬﺎ) ﻓﺮﻳﺪ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ،ﳏﻤﺪ ﺯﻳﻦ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ ،ﻋﻤﺮ ﻋﺒﺪﺍﳉﻮﺍﺩ، ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ(: .1ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻮﺳﻴﻂ ﻟﻠﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ -ﲬﺴﺔ ﻋﺸﺮﺓ ﳎﻠﺪﹰﺍ .2ﺑﻨﻮ ﺇﺳﺮﺍﺋﻴﻞ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ )ﻭﻫﻮ ﺭﺳﺎﻟﺘﻪ ﰲ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭﺍﺓ( .3ﺍﻟﻘﺼﺔ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ –ﳎﻠﺪﺍﻥ .4ﺃﺩﺏ ﺍﳊﻮﺍﺭ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ .5ﺍﻻﺟﺘﻬﺎﺩ ﰲ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ .6ﻣﻌﺎﻣﻼﺕ ﺍﻟﺒﻨﻮﻙ ﻭﺃﺣﻜﺎﻣﻬﺎ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ .7ﺟﻮﺍﻣﻊ ﺍﻟﺪﻋﺎﺀ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ .8ﺃﺣﻜﺎﻡ ﺍﳊﺞ ﻭﺍﻟﻌﻤﺮﺓ .9ﺍﻟﺼﻮﻡ ﺍﳌﻘﺒﻮﻝ .10ﺍﳊﻜﻢ ﺍﻟﺸﺮﻋﻲ ﰲ ﺃﺣﺪﺍﺙ ﺍﳋﻠﻴﺞ .11ﻛﻠﻤﺔ ﻋﻦ ﺗﻨﻈﻴﻢ ﺍﻷﺳﺮﺓ .12ﺍﻟﺴﺮﺍﻳﺎ ﺍﳊﺮﺑﻴﺔ ﰲ ﺍﻟﻌﻬﺪ ﺍﻟﻨﺒﻮﻱ .13ﻓﺘﺎﻭﻱ ﺷﺮﻋﻴﺔ .14ﺍﳌﺮﺃﺓ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ .15ﻋﺸﺮﻭﻥ ﺳﺆﺍ ﹰﻻ ﻭﺟﻮﺍﺑﹰﺎ .16ﺣﺪﻳﺚ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻋﻦ ﺍﻟﻌﻮﺍﻃﻒ ﺍﻹﻧﺴﺎﻧﻴﺔ .17ﺍﻹﺷﺎﻋﺎﺕ ﺍﻟﻜﺎﺫﺑﺔ ﻭﻛﻴﻒ ﺣﺎﺭﺎ ﺍﻹﺳﻼﻡ .18ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﳌﻴﺴﺮ .19ﲢﺪﻳﺪ ﺍﳌﻔﺎﻫﻴﻢ .20ﺧﻄﺐ ﺍﳉﻤﻌﺔ
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
5
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺟﻬﻮﺩﻩ: ﻳﻌﺘﱪ ﻓﻀﻴﻠﺔ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﻣﻦ ﺍﻷﺋﻤﺔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺧﺎﺿﻮﺍ ﻣﻌﺎﺭﻙ ﻓﻜﺮﻳﺔ ﻛﺜﲑﺓ ﻭﻣﺘﻌﺪﺩﺓ ﻷﻧﻪ ﻗﺪﻡ ﺍﺟﺘﻬﺎﺩﺍﺕ ﺟﺪﻳﺪﺓ ﻻﻗﺖ ﻗﺒﻮﻻ ﻭﻋﺎﳉﺖ ﻣﺸﻜﻼﺕ ﺣﻴﺎﺗﻴﺔ ﻭﰲ ﺍﻟﻮﻗﺖ ﻧﻔﺴﻪ ﻻﻗﺖ ﺍﻋﺘﺮﺍﺿﺎﺕ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻡ ﺑﺘﻄﻮﻳﺮ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺑﺎﻷﺯﻫﺮ ﺍﻟﺸﺮﻳﻒ ﻣﺮﺗﲔ ﻟﺘﻮ ﺍﻛﺐ ﺍﻟﺘﻄﻮﺭﺍﺕ ﻭﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻭﻫﻮ ﻣﺎ ﻻﻗﻰ ﺍﺳﺘﺤﺴﺎﻧﺎ ﺃﺣﻴﺎﻧﺎ ﻭﻻﻗﻰ ﻛﺬﻟﻚ ﻣﻌﺎﺭﺿﺔ. ﰲ ﻋﻬﺪﻩ ﲡﺎﻭﺯﺕ ﺍﳌﻌﺎﻫﺪ ﺍﻷﺯﻫﺮﻳﺔ ﲦﺎﻧﻴﺔ ﺁﻻﻑ ﻣﻌﻬﺪ ﰲ ﺃﳓﺎﺀ ﺍﳉﻤﻬﻮﺭﻳﺔ ﻭﲡﺎﻭﺯﺕ ﻛﻠﻴﺎﺕ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﺯﻫﺮ 60ﻛﻠﻴﺔ ﻭﻫﻮ ﺗﻄﻮﺭ ﺑﺪﺃﻩ ﻓﻀﻴﻠﺔ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﻋﺒﺪﺍﳊﻠﻴﻢ ﳏﻤﻮﺩ ﻭﻭﺳﻊ ﻓﻴﻪ ﻭﺯﺍﺩ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺮﺍﺣﻞ ) ﻓﺮﻳﺪ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ،ﳏﻤﺪ ﺯﻳﻦ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ ،ﻋﻤﺮ ﻋﺒﺪﺍﳉﻮﺍﺩ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ(. ﻭﻓﺎﺗﻪ: ﺗﻮﰲ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﳏﻤﺪ ﺳﻴﺪ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﰲ 2010/3/10ﻋﻦ ﻋﻤﺮ ﻳﻨﺎﻫﺰ 82ﻋﺎﻣﺎ ﺇﺛﺮ ﺇﺻﺎﺑﺘﻪ ﺑﺄﺯﻣﺔ ﻗﻠﺒﻴﺔ ﰲ ﻣﻄﺎﺭ ﺍﳌﻠﻚ ﺧﺎﻟﺪ ﺍﻟﺪﻭﱄ ﺑﺎﻟﺮﻳﺎﺽ ،ﻭﺫﻟﻚ ﻗﺒﻴﻞ ﻋﻮﺩﺗﻪ ﻟﻠﻘﺎﻫﺮﺓ .ﻭﻛﺎﻥ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ ﻳﺰﻭﺭ ﺍﳌﻤﻠﻜﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩﻳﺔ ﻟﻠﻤﺸﺎﺭﻛﺔ ﰲ ﺣﻔﻞ ﺗﻮﺯﻳﻊ ﺟﺎﺋﺰﺓ ﺍﳌﻠﻚ ﻓﻴﺼﻞ ﺍﻟﻌﺎﳌﻴﺔ ﳋﺪﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺗﻜﺮﱘ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ .ﻭ ﹼﰎ ﺩﻓﻨﻪ ﰲ ﺍﻟﺒﻘﻴﻊ ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ ﺍﳌﻨﻮﺭﺓ) .ﺃﲪﺪ ﺍﻟﺒﺤﲑﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ .(12 ،ﺭﺣﻢ ﺍﷲ ﺍﻟﻔﻘﻴﺪ ﺍﳉﻠﻴﻞ ﺭﲪﺔ ﻭﺍﺳﻌﺔ ﻭﺃﺳﻜﻨﻪ ﻓﺴﻴﺢ ﺟﻨﺎﺗﻪ. ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺑﺘﻔﺴﲑﻩ "ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻮﺳﻴﻂ": ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻛﻤﺎ ﲰﺎﻩ ﻣﺆﻟﻔﻪ " ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻮﺳﻴﻂ ﻟﻠﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ" ﳝﺘﺎﺯ ﺑﻜﻮﻧﻪ ﺗﻔﺴﲑﺍ ﻭﺳﻴﻄﺎ .ﻭﺍﻟﻮﺳﻴﻂ ﻫﻮ ﻣﺎ ﺑﲔ ﺍﻟﻜﺒﲑ ﻭﺍﻟﻮﺟﻴﺰ ﺇﻻ ﺃﻥ ﺣﺠﻢ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ -ﻭﻫﻮ ﰲ 15ﳎﻠﺪﺍ ﻛﺒﲑﺍ -ﰲ ﺭﺃﻳﻲ ﻗﺪ ﺧﺮﺝ ﻣﻦ ﺩﺍﺋﺮﺓ "ﺍﻟﻮﺳﻴﻂ" ﺇﱃ "ﺍﻟﻜﺒﲑ". ﻭﻗﺪ ﻗﺮﺭ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﻓﺘﺮﺓ ﺗﻮﻟﻴﻪ ﳌﻨﺼﺐ ﺷﻴﺦ ﺍﻷﺯﻫﺮ ﺗﻌﻤﻴﻢ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻫﺬﺍ ﻋﻠﻰ ﻃﻼﺏ ﺍﳌﺮﺍﺣﻞ ﺍﻟﺘﻌﻠﻴﻤﻴﺔ ﺍﻷﺯﻫﺮﻳﺔ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ) .ﺃﲪﺪ ﺍﻟﺒﺤﲑﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ (13 ،ﻭﻗﺪ ﻭﻓﹼﻖ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ ﰲ ﺍﳔﺎﺫ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻘﺮﺍﺭ ﻟﻜﻮﻥ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺳﻬﻼ ﻣﻴﺴﻮﺭﺍ ﻣﺒﺴﻄﺎ ﻭﻣﻨﺎﺳﺒﺎ ﻟﻄﻠﺒﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﰲ ﻓﻬﻢ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ. ﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻋﻤﻮﻣﺎ: ﺑﻴّﻦ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ ،ﻭﺫﻟﻚ ﰲ ﻣﻘﺪﻣﺔ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﺣﻴﺚ ﺫﻛﺮ ﺃﻧﻪ ﻗﺪ ﺍﻧﺘﻔﻊ ﻛﺜﲑﺍ ﲟﺎ ﻛﺘﺒﻪ ﺍﻟﻜﺎﺗﺒﻮﻥ ﻋﻦ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ ﻋﻠﻰ ﺍﺧﺘﻼﻑ ﻣﻨﺎﻫﺠﻬﻢ ﻭﺍﲡﺎﻫﺎﻢ .ﻭﻛﺎﻥ ﻫﺪﻓﻪ ﻣﻦ ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻟﻴﻜﻮﻥ ﺗﻔﺴﲑﺍ ﻋﻠﻤﻴّﺎ ﳏﻘﻘﺎ ﳏﺮﺭﺍ ﻣﻦ ﺍﻷﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﻀﻌﻴﻔﺔ ﻭﺍﻟﺸﺒﻪ ﺍﻟﺒﺎﻃﻠﺔ ﻭﺍﳌﻌﺎﱐ ﺍﻟﺴﻘﻴﻤﺔ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
6
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻭﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻛﻤﺎ ﺻﺮّﺡ ﺑﺬﻟﻚ ﰲ ﻣﻘﺪﻣﺔ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻛﻤﺎ ﻳﻠﻲ )ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﳏﻤﺪ ﺳﻴﺪ:(10-9 :2007 ، ﺑﺪﺃ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻏﺎﻟﺒﺎ ﺑﺸﺮﺡ ﺍﻷﻟﻔﺎﻅ ﺍﻟﻘﺮﺁﻧﻴﺔ ﺷﺮﺣﺎ ﻟﻐﻮﻳﺎ ﻣﻨﺎﺳﺒﺎ ،ﰒ ﺑﻴّﻦ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﻣﻨﻬﺎ -ﺇﺫﺍﻛﺎﻥ ﺍﻷﻣﺮ ﻳﻘﺘﻀﻲ ﺫﻟﻚ . ﰒ ﺫﻛﺮ ﺳﺒﺐ ﺍﻟﱰﻭﻝ ﻟﻶﻳﺔ ﺃﻭ ﺍﻵﻳﺎﺕ ،ﺇﺫﺍ ﻭﺟﺪ ﻭﻛﺎﻥ ﻣﻘﺒﻮﻻ ﰒ ﺫﻛﺮ ﺍﳌﻌﲎ ﺍﻹﲨﺎﱄ ﻟﻶﻳﺔ ﺃﻭ ﺍﳉﻤﻠﺔ ﻋﺎﺭﺿﺎ ﻣﺎ ﺍﺷﺘﻤﻠﺖ ﻋﻠﻴﻪ ﻣﻦ ﻭﺟﻮﻩ ﺍﻟﺒﻼﻏﺔ ﻭﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﻭﺍﻟﻌﻈﺎﺕﻭﺍﻵﺩﺍﺏ ﻭﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ،ﻣﺪﻋﻤﺎ ﺫﻟﻚ ﲟﺎ ﻳﺆﻳﺪ ﺍﳌﻌﲎ ﻣﻦ ﺁﻳﺎﺕ ﺃﺧﺮﻯ ،ﻭﻣﻦ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ،ﻭﻣﻦ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺴﻠﻒ ﺍﻟﺼﺎﱀ. ﲡﻨﺐ ﺍﻟﺘﻮﺳﻊ ﰲ ﻭﺟﻮﻩ ﺍﻹﻋﺮﺍﺏ ﻭﺍﻛﺘﻔﻰ ﺑﺎﻟﺮﺃﻱ ﺃﻭ ﺍﻵﺭﺍﺀ ﺍﻟﺮﺍﺟﺤﺔ ﺇﺫﺍ ﺗﻌﺪﺩﺕ ﺍﻷﻗﻮﺍﻝ . ﺗﻮﺧﻰ ﻓﻴﻤﺎ ﻛﺘﺐ ﺇﺑﺮﺍﺯ ﻣﺎ ﺍﺷﺘﻤﻞ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻣﻦ ﻫﺪﺍﻳﺎﺕ ﺟﺎﻣﻌﺔ ،ﻭﺃﺣﻜﺎﻡ ﺳﺎﻣﻴﺔ،ﻭﺗﺸﺮﻳﻌﺎﺕ ﺟﻠﻴﻠﺔ ،ﻭﺁﺩﺍﺏ ﻓﺎﺿﻠﺔ ،ﻭﻋﻈﺎﺕ ﺑﻠﻴﻐﺔ ،ﻭﺃﺧﺒﺎﺭ ﺻﺎﺩﻗﺔ ،ﻭﺗﻮﺟﻴﻬﺎﺕ ﻧﺎﻓﻌﺔ ،ﻭﺃﺳﺎﻟﻴﺐ ﺑﻠﻴﻐﺔ ،ﻭﺃﻟﻔﺎﻅ ﻓﺼﻴﺤﺔ. ﻫﺬﺍ ﻣﻦ ﺍﻷﻣﻮﺭ ﺍﻟﱵ ﺃﺷﺎﺭ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻋﻦ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ .ﻭﻫﻨﺎﻙ ﻋﺪﺓ ﺃﻣﻮﺭ ﺃﺧﺮﻯ ﳍﺎ ﺻﻠﺔ.ﺑﺎﳌﻨﻬﺞ ﻻﺣﻈﺘﻬﺎ ﺧﻼﻝ ﺩﺭﺍﺳﱵ ﻟﺴﻮﺭﰐ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ﻭﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ،ﺃﻭﺩ ﺗﺴﺠﻴﻠﻬﺎ ﻫﻨﺎ: ﺑﺪﺃ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ﺑﺘﻌﺮﻳﻒ ﺍﻟﺴﻮﺭﺓ ﻭﺫﻛﺮ ﻫﻞ ﻫﻲ ﻣﻜﻴﺔ ﺃﻡ ﻣﺪﻧﻴﺔ .ﻛﻤﺎﺗﻄﺮﻕ ﺑﺴﺮﺩ ﻋﺪﺓ ﺃﲰﺎﺀ ﻟﺴﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ،ﻭﺑﲔ ﻓﻀﺎﺋﻠﻬﺎ .ﻭﻋﻠﻰ ﺍﳌﺴﻠﻚ ﻧﻔﺴﻪ ﺳﺎﺭ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻟﺴﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ) .ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ .(28-27 ، ﺞ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻣﻨﻬﺞ ﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ ﰲ ﺫﻛﺮ ﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﻭﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻣﻊ ﺇﻋﺮﺍﺿﻪ ﻋﻦ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻹﺳﺮﺍﺋﻴﻠﻴﺔﻭﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﺍﳌﻜﺬﻭﺑﺔ . ﲨﻊ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺑﲔ ﺍﳌﻨﻬﺠﲔ ﺍﻟﺮﺋﻴﺴﲔ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﳘﺎ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ﻭﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﻟﺮﺃﻱ ﺑﺸﺮﻁﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﻣﻘﺒﻮﻻ ﻣﻊ ﺍﺳﺘﺌﻨﺎﺳﻪ ﺑﺂﺭﺍﺀ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﻳﻦ .ﻟﺬﺍ ﻧﺮﻯ ﺃﻥ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻗﺪ ﺭﺟﻊ ﺇﱃ ﻣﺼﺎﺩﺭ ﻣﺘﻨﻮﻋﺔ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻛﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻄﱪﻱ ،ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ،ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ ،ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻔﺨﺮ ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ ،ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ، ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﺒﺤﺮ ﺍﶈﻴﻂ ،ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ ،ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺎﲰﻲ ،ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﳌﻨﺎﺭ ،ﻭﺃﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻻﺑﻦ ﺍﻟﻌﺮﰊ ،ﻭﻓﺘﺢ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﻟﻠﺸﻴﺦ ﺻﺪﻳﻖ ﺧﺎﻥ ،ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻷﻛﱪ ﳏﻤﻮﺩ ﺷﻠﺘﻮﺕ ،ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ﻟﻠﺸﻴﺦ ﳏﻤﺪ ﺍﳋﻀﺮ ﺣﺴﲔ ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺁﻳﺎﺕ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﻟﻠﺸﻴﺦ ﳏﻤﺪ ﻋﻠﻲ ﺍﻟﺴﺎﻳﺲ . ﺍﻋﺘﻤﺪ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﻭﺁﺛﺎﺭ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻛﻤﺎ ﺭﺟﻊ ﺇﱃ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ .ﻭﻣﻦﻛﺘﺐ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﻛﺼﺤﻴﺢ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ،ﻭﺻﺤﻴﺢ ﻣﺴﻠﻢ ،ﻭﺳﻨﻦ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ ،ﻭﺳﻨﻦ ﺃﰊ ﺩﺍﻭﺩ ،ﻭﺳﻨﻦ ﺍﻟﻨﺴﺎﺋﻲ ،ﻭﺳﻨﻦ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ ،ﻭﻣﺴﻨﺪ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﲪﺪ ﻭﻏﲑﻫﺎ ﻣﻦ ﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﻷﺳﺎﺳﻴﺔ ﰲ ﺍﳊﺪﻳﺚ . ﺃﻭﺭﺩ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺑﺬﻛﺮ ﺍﻟﻘﺮﺍﺀﺍﺕ ﺍﳌﺘﻮﺍﺗﺮﺓ ﻭﺍﻟﺸﺎﺫﺓ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﺑﻌﺾ ﺍﻵﻳﺎﺕ ) .ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ، .(149 อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
7
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺧﺎﺽ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﺴﺎﺋﻞ ﺍﻟﻌﻘﺪﻳﺔ ﻭﺩﺍﻓﻊ ﻋﻦ ﻋﻘﻴﺪﺓ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﻭﺭ ّﺩ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻌﺘﺰﻟﺔ .ﺗﺮﺟﻴﺤﺎﺗﻪ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ: ﳑﺎ ﺍﻣﺘﺎﺯ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺃﻥ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺃﺑﺪﻯ ﺭﺃﻳﻪ ﺑﺘﺮﺟﻴﺢ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﳌﺴﺎﺋﻞ ﺍﳌﺨﺘﻠﻒ ﻓﻴﻬﺎ ﻣﻊ ﺑﻴﺎﻥ ﰲ ﺍﻟﻐﺎﻟﺐ ﺳﺒﺐ ﺍﻟﺘﺮﺟﻴﺢ .ﻭﻛﺎﻥ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺫﻟﻚ ﺍﺗﺒﺎﻉ ﺍﳊﻖ ﻭﲢﺮﻱ ﺍﻟﺼﻮﺍﺏ .ﻭﺗﺘﻨﻮﻉ ﺍﳌﺴﺎﺋﻞ ﺍﻟﱵ ﺻﺮﺡ ﻓﻴﻬﺎ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺑﺎﻟﺘﺮﺟﻴﺢ ،ﻣﻨﻬﺎ ﻣﺴﺎﺋﻞ ﻟﻐﻮﻳﺔ ،ﻭﻣﺴﺎﺋﻞ ﻓﻘﻬﻴﺔ ،ﻛﻤﺎ ﺣﺼﻞ ﺍﻟﺘﺮﺟﻴﺢ ﰲ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﺴﺎﺋﻞ ﺍﻟﻌﻘﺪﻳﺔ ﻭﺍﳌﺴﺎﺋﻞ ﺍﻷﺧﺮﻯ ﺍﻟﱵ ﺗﺘﻌﻠﻖ ﺑﺎﻟﻘﺮﺍﺀﺍﺕ ﻭﺍﻷﺧﺒﺎﺭ. ﻭﺧﻼﻝ ﺗﺄﻣﻠﻲ ﰲ ﺳﻮﺭﰐ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ﻭﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﺟﺪﺕ ﺗﺮﺟﻴﺤﺎﺕ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ ﺗﺸﻤﻞ ﻋﺪﺓ ﳎﺎﻻﺕ ﺃﻭ ﻣﺴﺎﺋﻞ .ﺃﺫﻛﺮ ﻫﻨﺎ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻨﻤﺎﺫﺝ ﺍﻟﱵ ﳌﺴﺘﻬﺎ ﻣﻦ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺘﺮﺟﻴﺤﺎﺕ ﻋﻨﺪ ﺩﺭﺍﺳﱵ ﻟﺴﻮﺭﰐ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ﻭﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ،ﻭﻫﻲ ﻛﻤﺎ ﻳﻠﻲ: -1ﺍﻟﺘﺮﺟﻴﺤﺎﺕ ﰲ ﻣﻜﻴﺔ ﺍﻟﺴﻮﺭﺓ ﺃﻭ ﻣﺪﻧﻴﺘﻬﺎ ﻭﰲ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ. ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑﺓ ﻟﺴﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ،ﻃﺮﺡ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺳﺆﺍﻻ ،ﻣﱴ ﻧﺰﻟﺖ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ؟ ﰒ ﻗﺎﻝ :ﻟﻺﺟﺎﺑﺔ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺴﺆﺍﻝ ﻧﻘﻮﻝ :ﺇﻥ ﺍﻟﺮﺃﻱ ﺍﻟﺮﺍﺟﺢ ﺑﲔ ﺍﶈﻘﻘﲔ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺃﺎ ﻧﺰﻟﺖ ﲟﻜﺔ ،ﺑﻞ ﻫﻲ ﻣﻦ ﺃﻭﺍﺋﻞ ﻣﺎ ﻧﺰﻝ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﲟﻜﺔ .ﻭﻗﻴﻞ :ﺇﺎ ﻣﺪﻧﻴﺔ .ﻭﻗﻴﻞ :ﺇﺎ ﻧﺰﻟﺖ ﻣﺮﺗﲔ ﻣﺮﺓ ﲟﻜﺔ ﺣﲔ ﻓﺮﺿﺖ ﺍﻟﺼﻼﺓ ﻭﻣﺮﺓ ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ ﺣﲔ ﺣﻮﻟﺖ ﺍﻟﻘﺒﻠﺔ .ﰒ ﺃﻭﺭﺩ ﻗﻮﻝ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ :ﺍﻷﻭﻝ ﺃﺻﺢ ﻟﻘﻮﻟﻪ – ﺗﻌﺎﱃ – ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳊﺠﺮ ) :ﻭﻟﺪ ﺁﺗﻴﻨﺎﻙ ﺳﺒﻌﺎ ﻣﻦ ﺍﳌﺜﺎﱐ ﻭﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ( ﻭﺳﻮﺭﺓ ﺍﳊﺠﺮ ﻣﻜﻴﺔ ﺑﺎﻹﲨﺎﻉ .ﻭﻻ ﺧﻼﻑ ﰲ ﺃﻥ ﻓﺮﺽ ﺍﻟﺼﻼﺓ ﻛﺎﻥ ﲟﻜﺔ ،ﻭﻣﺎ ﺣﻔﻆ ﺃﻧﻪ ﻛﺎﻥ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻗﻂ ﺻﻼﺓ ﺑﻐﲑ )ﺍﳊﻤﺪ ﷲ ﺭﺏ ﺍﻟﻌﺎﳌﲔ( )ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ.(2 :1 ، ﻭﻳﻼﺣﻆ ﻫﻨﺎ ﺃﻥ ﺗﺮﺟﻴﺢ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺑﻨﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﺗﺮﺟﻴﺢ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ ﰲ ﺍﳌﺴﺄﻟﺔ ﻭﻋﻠﻤﺎﺀ ﺁﺧﺮﻳﻦ ﱂ ﻳﺬﻛﺮ ﺃﲰﺎﺀﻫﻢ . ﻭﻟﻠﺤﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ﰲ ﺃﻭﺍﺋﻞ ﺑﻌﺾ ﺳﻮﺭ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﻛﺜﲑﺓ ﻋﻨﺪ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ .ﻓﻌﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ )ﺃﱂ( ﻓﻘﺪ ﺭﺟﺢ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺑﻘﻮﻟﻪ :ﻭﻟﻌﻞ ﺃﻗﺮﺏ ﺍﻵﺭﺍﺀ ﺇﱃ ﺍﻟﺼﻮﺍﺏ ﺃﻥ ﻳﻘﺎﻝ ﺇﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ﻗﺪ ﻭﺭﺩﺕ ﰲ ﺍﻓﺘﺘﺎﺡ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﺴﻮﺭ ﻟﻺﺷﻌﺎﺭ ﺑﺄﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﺬﻱ ﲢﺪﻯ ﺍﷲ ﺑﻪ ﺍﳌﺸﺮﻛﲔ ﻫﻮ ﻣﻦ ﺟﻨﺲ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﺍﳌﺮﻛﺐ ﻣﻦ ﻫﺬﻩ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﻟﱵ ﻳﻌﺮﻓﻮﺎ ،ﻭﻳﻘﺪﺭﻭﻥ ﻋﻠﻰ ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻣﻨﻬﺎ ،ﻓﺈﺫﺍ ﻋﺠﺰﻭﺍ ﻋﻦ ﺍﻹﺗﻴﺎﻥ ﺑﺴﻮﺭﺓ ﻣﻦ ﻣﺜﻠﻪ ،ﻓﺬﻟﻚ ﻟﺒﻠﻮﻏﻪ ﰲ ﺍﻟﻔﺼﺎﺣﺔ ﻭﺍﳊﻜﻤﺔ ﻣﺮﺗﺒﺔ ﻳﻘﻒ ﻓﺼﺤﺎﺅﻫﻢ ﻭﺑﻠﻐﺎﺅﻫﻢ ﺩﻭﺎ ﲟﺮﺍﺣﻞ ﺷﺎﺳﻌﺔ ،ﻭﻓﻀﻼ ﻋﻦ ﺫﻟﻚ ﻓﺈﻥ ﺗﺼﺪﻳﺮ ﺍﻟﺴﻮﺭ ﲟﺜﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ﳚﺬﺏ ﺃﻧﻈﺎﺭ ﺍﳌﻌﺮﺿﲔ ﻋﻦ ﺍﺳﺘﻤﺎﻉ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺣﲔ ﻳﺘﻠﻰ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺇﱃ ﺍﻹﻧﺼﺎﺕ ﻭﺍﻟﺘﺪﺑﺮ ،ﻷﻧﻪ ﻳﻄﺮﻕ ﺃﲰﺎﻋﻬﻢ ﰲ ﺃﻭﻝ ﺍﻟﺘﻼﻭﺓ ﺃﻟﻔﺎﻅ ﻏﲑ ﻣﺄﻟﻮﻓﺔ ﰲ ﳎﺎﺭﻯ ﻛﻼﻣﻬﻢ ،ﻭﺫﻟﻚ ﳑﺎ ﻳﻠﻔﺖ ﺃﻧﻈﺎﺭﻫﻢ ﻟﻴﺘﺒﻴﻨﻮﺍ ﻣﺎ ﻳﺮﺍﺩ ﻣﻨﻬﺎ ،ﻓﻴﺴﺘﻤﻌﻮﺍ ﺣﻜﻤﺎ ﻭﺣﺠﺠﺎ ﻗﺪ ﺗﻜﻮﻥ ﺳﺒﺒﺎ ﰲ ﻫﺪﺍﻳﺘﻬﻢ ﻭﺍﺳﺘﺠﺎﺑﺘﻬﻢ ﻟﻠﺤﻖ )ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ.(39 ، -2ﺍﻟﺘﺮﺟﻴﺤﺎﺕ ﰲ ﺍﳌﺴﺎﺋﻞ ﺍﻟﻠﻐﻮﻳﺔ ﻣﻦ ﺍﳌﺴﺎﺋﻞ ﺍﻟﻠﻐﻮﻳﺔ ،ﺍﺷﺘﻘﺎﻕ ﺍﻟﻜﻠﻤﺎﺕ ﺃﻭ ﺍﻷﻟﻔﺎﻅ . ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ ) ﺑﺴﻢ ﺍﷲ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﻟﺮﺣﻴﻢ ( ،ﺗﻜﻠﻢ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻋﻦ ﺍﺷﺘﻘﺎﻕ ﻛﻠﻤﺔ ) ﺍﻻﺳﻢ( ،ﻓﺬﻛﺮ ﻣﺬﻫﺐ ﺍﻟﺒﺼﺮﻳﲔ ﺑﺄﻥ ﺍﻻﺳﻢ ﻣﺸﺘﻖ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻤﻮ ،ﻭﻫﻮ ﺍﻟﻌﻠﻮ ﻭﺍﻟﺮﻓﻌﺔ ،ﰒ ﺫﻛﺮ ﻣﺬﻫﺐ ﺍﻟﻜﻮﻓﻴﲔ ﺑﺄﻧﻪ ﻣﺸﺘﻖ ﻣﻦ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
8
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﻟﺴﻤﺔ ﻭﻫﻲ ﺍﻟﻌﻼﻣﺔ ،ﻷﻥ ﺍﻻﺳﻢ ﻋﻼﻣﺔ ﳌﻦ ﻭﺿﻊ ﻟﻪ ،ﻓﺄﺻﻞ ﺍﺳﻢ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ) ﻭﺳﻢ( .ﰒ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺸﻴﺦ :ﻭﻳﺮﻯ ﺍﶈﻘﻘﻮﻥ ﺃﻥ ﺭﺃﻱ ﺍﻟﺒﺼﺮﻳﲔ ﺃﺭﺟﺢ ،ﻷﻧﻪ ﻳﻘﺎﻝ ﰲ ﺗﺼﻐﲑ )ﺍﺳﻢ( ﺳﻤﻰ ،ﻭﰲ ﲨﻌﻪ ﺃﲰﺎﺀ ،ﻭﺍﻟﺘﺼﻐﲑ ﻭﺍﳉﻤﻊ ﻳﺮﺩﺍﻥ ﺍﻷﺷﻴﺎﺀ ﺇﱃ ﺃﺻﻮﳍﺎ .ﻭﻟﻮ ﻛﺎﻥ ﺃﺻﻠﻪ ﻭﺳﻢ – ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﻜﻮﻓﻴﻮﻥ – ﻟﻘﻴﻞ ﰲ ﲨﻌﻪ :ﺃﻭﺳﺎﻡ ،ﻭﰲ ﺗﺼﻐﲑﻩ ﻭﺳﻴﻢ )ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ.(15 ، ﻭﻣﻦ ﺍﳌﺴﺎﺋﻞ ﺍﻟﻠﻐﻮﻳﺔ ،ﲢﺪﻳﺪ ﻣﻌﺎﱐ ﺍﻟﻜﻠﻤﺎﺕ ﺃﻭ ﺍﻷﻟﻔﺎﻅ .ﻓﻌﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ ) ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﻟﺮﺣﻴﻢ (، ﺃﻭﺭﺩ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﻋﺪﺓ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﰲ ﻣﻌﲎ ) ﺍﻟﺮﲪﻦ( ﻭ ) ﺍﻟﺮﺣﻴﻢ( ﰒ ﻗﺎﻝ " :ﻭﺍﻟﺬﻱ ﻳﺮﺍﻩ ﺍﶈﻘﻘﻮﻥ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺃﻥ ﺍﻟﺼﻔﺘﲔ ﻟﻴﺴﺘﺎ ﲟﻌﲎ ﻭﺍﺣﺪ ،ﺑﻞ ﺭﻭﻋﻲ ﰲ ﻛﻞ ﻣﻨﻬﻤﺎ ﻣﻌﲎ ﱂ ﻳﺮﺍﻉ ﰲ ﺍﻵﺧﺮ .ﻓﺎﻟﺮﲪﻦ ﲟﻌﲎ ﻋﻈﻴﻢ ﺍﻟﺮﲪﺔ ،ﻷﻥ ﻓﻌﻼﻥ ﺻﻴﻐﺔ ﻣﺒﺎﻟﻐﺔ ﰲ ﻛﺜﺮﺓ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﻭﻋﻈﻤﺘﻪ ،ﻭﻳﻠﺰﻡ ﻣﻨﻪ ﺍﻟﺪﻭﺍﻡ ﻛﻐﻀﺒﺎﻥ ﻭﺳﻜﺮﺍﻥ .ﻭﺍﻟﺮﺣﻴﻢ ﲟﻌﲎ ﺩﺍﺋﻢ ﺍﻟﺮﲪﺔ، ﻷﻥ ﺻﻴﻐﺘﻪ ﻓﻌﻴﻞ ﺗﺴﺘﻌﻤﻞ ﰲ ﺍﻟﺼﻔﺎﺕ ﺍﻟﺪﺍﺋﻤﺔ ﻛﻜﺮﱘ ﻭﻇﺮﻳﻒ" ﻭﺃﺣﺎﻝ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻨﻘﻞ ﺇﱃ ﺗﻔﺴﲑ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ﻟﻔﻀﻴﻠﺔ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﳏﻤﺪ ﺍﳋﻀﺮ ﺣﺴﲔ )ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ .(16 ،ﻛﻤﺎ ﺗﻄﺮﻕ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺇﱃ ﺑﻴﺎﻥ ﻧﻮﻉ ﺃﻝ ﰲ )ﺍﳊﺠﺮ( ﻭﺫﻟﻚ ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ، {zsr q p o
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(2:60 ، ﻭﺭﺟﺢ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺃﻥ ﺃﻝ ﻫﻨﺎ ﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺍﳉﻨﺲ ﻭﻟﻴﺲ ﻟﻠﻌﻬﺪ ﻷﻥ ﺍﻧﻔﺠﺎﺭ ﺍﳌﺎﺀ ﻣﻦ ﺃﻱ ﺣﺠﺮ ﺑﻌﺪ ﺿﺮﺑﻪ ﺃﻇﻬﺮ ﰲ ﺇﻗﺎﻣﺔ ﺍﻟﱪﻫﺎﻥ ﻋﻠﻰ ﺻﺪﻕ ﻣﻮﺳﻰ– ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ– ﻭﺃﺩﻋﻰ ﻹﳝﺎﻥ ﺑﲏ ﺇﺳﺮﺍﺋﻴﻞ ﻭﺍﻧﺼﻴﺎﻋﻬﻢ ﻟﻠﺤﻖ ﺑﻌﺪ ﻭﺿﻮﺣﻪ، ﻭﺃﺑﻌﺪ ﻋﻦ ﺍﻟﺘﺸﻜﻴﻚ ﰲ ﺇﻛﺮﻡ ﺍﷲ ﻟﻨﺒﻴﻪ ﻣﻮﺳﻰ– ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ )ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ.(16 ، -3ﺍﻟﺘﺮﺟﻴﺤﺎﺕ ﰲ ﺍﳌﺴﺎﺋﻞ ﺍﻟﻔﻘﻬﻴﺔ . ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ، {z®¬ « ª © ¨ § ¦¥ ¤ £ ¢
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(196 :2 ،
ﺃﻭﺭﺩ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺧﻼﻓﺎ ﺑﲔ ﲨﻬﻮﺭ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻭﺍﻷﺣﻨﺎﻑ ﰲ ﻣﺴﺄﻟﺔ ﲢﺪﻳﺪ ﳏﻞ ﺍﳍﺪﻱ ﻟﻠﻤﺤﺼﺮ. ﺍﻷﺣﻨﺎﻑ ﻳﺮﻭﻥ ﺃﻥ ﳏﻞ ﺍﳍﺪﻱ ﻫﻮ ﺍﻟﺒﻴﺖ ﺍﳊﺮﺍﻡ ،ﻭﺃﻣﺎ ﺍﳉﻤﻬﻮﺭ ﻓﲑﻭﻥ ﺃﻥ ﳏﻞ ﺍﳍﺪﻱ ﻟﻠﻤﺤﺼﺮ ﻫﻮ ﺍﳌﻜﺎﻥ ﺍﻟﺬﻱ ﺣﺪﺙ ﻓﻴﻪ ﺍﻹﺣﺼﺎﺭ .ﻭﺭﺟﺢ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻗﻮﻝ ﺍﳉﻤﻬﻮﺭ ﻷﻥ ﺭﺃﻱ ﺍﳉﻤﻬﻮﺭ ﺃﻛﺜﺮ ﺍﺗﻔﺎﻗﺎ ﻣﻊ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ،ﻭﻓﻴﻪ ﺗﺴﻬﻴﻞ ﻋﻠﻰ ﺍﶈﺼﺮﻳﻦ. ﺫﻛﺮ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺍﺧﺘﻼﻑ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﰲ ﻣﺴﺄﻟﺔ ﺍﻹﺣﺮﺍﻡ ﺑﺎﳊﺞ ﰲ ﻏﲑ ﺃﺷﻬﺮ ﺍﳊﺞ .ﻭﺫﻟﻚ ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻟﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ { .zDC B Aﻓﻘﺎﻝ ﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻴﺔ ﺃﻧﻪ ﻻ ﳚﻮﺯ ﺍﻹﺣﺮﺍﻡ ﺑﺎﳊﺞ ﰲ ﻏﲑ ﺃﺷﻬﺮ ﺍﳊﺞ ﻷﻥ ﺍﻹﺣﺮﺍﻡ ﺑﻪ ﰲ ﻏﲑ ﺃﺷﻬﺮﻩ ﻳﻜﻮﻥ ﺷﺮﻭﻋﺎ ﰲ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ﰲ ﻏﲑ ﻭﻗﺘﻬﺎ ﻓﻼ ﺗﺼﺢ .ﻭﺃﻣﺎ ﺍﻷﺣﻨﺎﻑ ﻓﺈﻢ ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ ﺇﻧﻪ ﳚﻮﺯ ﺍﻹﺣﺮﺍﻡ ﺑﺎﳊﺞ ﻗﺒﻞ ﺍﺷﻬﺮﻩ ﻭﻟﻜﻨﻪ ﻣﻊ ﺍﻟﻜﺮﺍﻫﺔ .ﻭﺍﻹﻣﺎﻡ ﻣﺎﻟﻚ ﻻ ﻳﺮﻯ ﻛﺮﺍﻫﺔ ﰲ ﺫﻟﻚ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
9
ﰒ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ :ﻭﻳﺒﺪﻭ ﺃﻥ ﺭﺃﻱ ﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻴﺔ ﻫﻨﺎ ﺃﺭﺟﺢ ،ﻷﻥ ﻗﻮﻟﻪ – ﺗﻌﺎﱃ – { G F E
z Hﻳﺸﻬﺪ ﳍﻢ ،ﻓﻘﺪ ﺟﻌﻞ– ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ– ﻫﺬﻩ ﺍﻷﺷﻬﺮ ﻭﻋﺎﺀ ﳍﺬﻩ ﺍﻟﻔﺮﻳﻀﺔ ﻭﻇﺮﻓﺎ ﳍﺎ ) .ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ.(16 ،ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ، { z gf e d c b
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(221 :2 ،
ﺃﻭﺭﺩ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺁﺭﺍﺀ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺑﲔ ﺍﳌﺎﻧﻌﲔ ﻭﺍﻴﺰﻳﻦ ﺣﻮﻝ ﻣﺴﺄﻟﺔ ﺯﻭﺍﺝ ﺍﳌﺴﻠﻢ ﺑﺎﻟﻜﺘﺎﺑﻴﺔ .ﻭﺭﺟﺢ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﲜﻮﺍﺯﻩ ﻷﻥ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺻﺮﻳﺢ ﰲ ﺫﻟﻚ ﻭﻷﻥ ﻋﻤﺮ– ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ– ﺃﻗﺮ ﺑﺄﻧﻪ ﻟﻴﺲ ﲝﺮﺍﻡ )ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ.(16 ، -4ﺍﻟﺘﺮﺟﻴﺤﺎﺕ ﰲ ﺍﳌﺴﺎﺋﻞ ﺍﻟﻌﻘﺪﻳﺔ. ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ، {¾ ¿ Ç Æ Å Ä Ã Â Á À
z
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(210 :2 ،
ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ " :ﻭﺍﳌﻌﲎ :ﻣﺎ ﻳﻨﺘﻈﺮ ﺃﻭﻟﺌﻚ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺃﺑﻮﺍ ﺍﻟﺪﺧﻮﻝ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻣﻦ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺟﺎﺀﻢ ﺍﻟﺒﻴﻨﺎﺕ ،ﺇﻻ ﺃﻥ ﻳﺄﺗﻴﻬﻢ ﺍﷲ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ ﰲ ﻇﻠﻞ ﻛﺎﺋﻨﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻐﻤﺎﻡ ﺍﻟﻜﺜﻴﻒ ﺍ ﻟﻌﻈﻴﻢ ﻟﻴﺤﺎﺳﺒﻬﻢ ﻋﻠﻰ ﺃﻋﻤﺎﳍﻢ، ﻭﺗﺄﺗﻴﻬﻢ ﻣﻼﺋﻜﺘﻪ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﻻ ﻳﻌﻠﻢ ﻛﺜﺮﻢ ﺇﻻ ﻫﻮ–ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ-ﻭﺇﺗﻴﺎﻥ ﺍﷲ– ﺗﻌﺎﱃ– ﺇﳕﺎ ﻫﻮ ﺑﺎﳌﻌﲎ ﺍﻟﻼﺋﻖ ﺑﻪ – ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ – ﻣﻊ ﺗﱰﻳﻬﻪ ﻋﻦ ﻣﺸﺎﺔ ﺍﳊﻮﺍﺩﺙ ،ﻭﺗﻔﻮﻳﺾ ﻋﻠﻢ ﻛﻴﻔﻴﺘﻪ ﺇﻟﻴﻪ– ﺗﻌﺎﱃ -ﻭﻫﺬﺍ ﺭﺃﻱ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺍﻟﺴﻠﻒ " .ﺇﱃ ﺃﻥ ﻗﺎﻝ ":ﻭﻗﺪ ﺍﺭﺗﻀﻰ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺮﺃﻱ ﻋﺪﺩ ﻣﻦ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﻣﻨﻬﻢ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ. ﰒ ﺃﺭﺩﻑ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺑﺬﻛﺮ ﻗﻮﻝ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺍﳋﻠﻒ ﻓﺈﻢ ﻳﺆﻭﻟﻮﻥ ﺇﺗﻴﺎﻥ ﺍﷲ ﲟﺎ ﻳﺘﻨﺎﺳﺐ ﻣﻊ ﺫﺍﺗﻪ– ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ،ﻭﻟﺬﺍ ﻓﺴﺮﻭﺍ ﺇﺗﻴﺎﻧﻪ ﺑﺄﻣﺮﺥ ﺃﻭ ﺑﺎﺳﻪ ﰲ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ) .ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ.(451-450 ، ﻳﻔﻬﻢ ﻣﻦ ﻃﺮﻳﻘﺔ ﺳﻮﻕ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﻟﻘﻮﻝ ﺍﻟﺴﻠﻒ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻵﻳﺔ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭﺓ ﺃﻧﻪ ﳝﻴﻞ ﺇﱃ ﻗﻮﳍﻢ ،ﻓﻜﺄﻥ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻗﺪ ﺭﺟﺢ ﻗﻮﻝ ﺍﻟﺴﻠﻒ ﻋﻠﻰ ﻗﻮﻝ ﺍﳋﻠﻒ ﰲ ﺫﻟﻚ .ﻭﺍﷲ ﺃﻋﻠﻢ. ﻭﻻ ﻏﺮﺍﺑﺔ ﰲ ﺫﻟﻚ ،ﻷﻥ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻧﻔﺴﻪ ﻗﺪ ﻓﺴﺮ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ، {È Ç Æ
zÉ
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻘﺮﺓ(29 :2 ،
ﺃﻱ ﻋﻼ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﻭﺍﺭﺗﻔﻊ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺗﻜﻴﻴﻒ ﻭﻻ ﲢﺪﻳﺪ ﻭﻻ ﺗﺸﺒﻴﻪ ،ﻣﻊ ﻛﻤﺎﻝ ﺍﻟﺘﱰﻳﻪ ﻋﻦ ﲰﺎﺕ ﺍﶈﺪﺛﺎﺕ ،ﻭﻗﺪ ﺳﺌﻞ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﻣﺎﻟﻚ ﻋﻦ ﺍﻻﺳﺘﻮﺍﺀ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﺮﺵ ،ﻓﻘﺎﻝ :ﺍﻻﺳﺘﻮﺍﺀ ﻏﲑ ﳎﻬﻮﻝ ،ﻭﺍﻟﻜﻴﻒ ﻏﱪ ﻣﻌﻘﻮﻝ ،ﻭﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﻪ ﻭﺍﺟﺐ ،ﻭﺍﻟﺴﺆﺍﻝ ﻋﻨﻪ ﺑﺪﻋﺔ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
10
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺃﻭﺭﺩ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻠﻒ ﻭﺍﳋﻠﻒ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ )ﺍﻟﻜﺮﺳﻲ( ﻋﻨﺪ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ، {Å Ä
z ÈÇ Æ
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(255 :2 ،
ﺣﻴﺚ ﻳﻘﻮﻝ :ﻭﻟﻠﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﲡﺎﻫﺎﻥ ﻣﺸﻬﻮﺭﺍﻥ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻣﻌﲎ ﺍﻟﻜﺮﺳﻲ ﰲ ﺍﳉﻤﻠﺔ ﺍﻟﻜﺮﳝﺔ ،ﻓﺎﻟﺴﻠﻒ ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ: ﺇﻥ ﷲ– ﺗﻌﺎﱃ– ﻛﺮﺳﻴﺎ ﻋﻠﻴﻨﺎ ﺃﻥ ﻧﺆﻣﻦ ﺑﻮﺟﻮﺩﻩ ﻭﺇﻥ ﻛﻨﺎ ﻻ ﻧﻌﺮﻑ ﺣﻘﻴﻘﺘﻪ ،ﻷﻥ ﺫﻟﻚ ﻟﻴﺲ ﰲ ﻣﻘﺪﻭﺭ ﺍﻟﺒﺸﺮ. ﻭﺍﳋﻠﻒ ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ :ﺍﻟﻜﺮﺳﻲ ﰲ ﺍﻵﻳﺔ ﻛﻨﺎﻳﺔ ﻋﻦ ﻋﻈﻢ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ،ﻭﻧﻔﻮﺫ ﺍﻟﻘﺪﺭﺓ ،ﻭﺳﻌﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ،ﻭﻛﻤﺎﻝ ﺍﻹﺣﺎﻃﺔ. ﰒ ﺫﻛﺮ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻛﻼﻡ ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ ﰲ ﺗﻠﺨﻴﺺ ﺍﻷﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﻋﻦ ﻣﻌﲎ ﺍﻟﻜﺮﺳﻲ ،ﰒ ﻗﺎﻝ :ﻫﺬﺍ ﻭﻗﺪ ﺭﻭﻯ ﺍﳌﻔﺴﺮﻭﻥ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺃﻧﻪ ﻗﺎﻝ )ﻛﺮﺳﻴﻪ ﻋﻠﻤﻪ( ﻭﻟﻌﻞ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻜﺮﺳﻲ ﺑﺎﻟﻌﻠﻢ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺣﱪ ﺍﻷﻣﺔ ﻫﻮ ﺃﻗﺮﺏ ﺍﻷﻗﻮﺍﻝ ﺇﱃ ﺍﻟﺼﻮﺍﺏ ،ﻷﻧﻪ ﻫﻮ ﺍﳌﻨﺎﺳﺐ ﻟﺴﻴﺎﻕ ﺍﻵﻳﺔ ﺍﻟﻜﺮﳝﺔ )ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ .(586 ، -5ﺍﻟﺘﺮﺟﻴﺤﺎﺕ ﰲ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ ﺍﳌﺒﻬﻤﺎﺕ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻧﺮﻯ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ ﻛﺜﲑﺍ ﻣﺎ ﺍﻋﺘﻤﺪ ﻋﻠﻰ ﻗﻮﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﻄﱪﻱ ﰲ ﺍﻷﻣﻮﺭ ﺍﻟﱵ ﺃﻤﻬﺎ ﺍﷲ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ .ﻓﻌﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﻝ، { z´ ³ ² ±
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(35 :2،
ﺳﺮﺩ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﲨﻠﺔ ﻣﻦ ﺍﻷﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﱵ ﺫﻛﺮﻫﺎ ﺍﳌﻔﺴﺮﻭﻥ ﰲ ﺑﻴﺎﻥ ﻧﻮﻉ ﺍﻟﺸﺠﺮﺓ ،ﰒ ﻗﺎﻝ :ﺇﻻ ﺃﻥ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﱂ ﻳﺬﻛﺮ ﻧﻮﻋﻬﺎ ﻋﻠﻰ ﻋﺎﺩﺗﻪ ﰲ ﻋﺪﻡ ﺍﻟﺘﻌﺮﺽ ﻟﺬﻛﺮ ﻣﺎ ﱂ ﻳﺪﻉ ﺍﳌﻘﺼﻮﺩ ﻣﻦ ﺳﻮﻕ ﺍﻟﻘﺼﺔ ﺇﱃ ﺑﻴﺎﻧﻪ .ﰒ ﺃﺛﲎ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﻄﱪﻱ ﰲ ﺗﺮﺟﻴﺤﻪ ﺍﳌﻮﻓﻖ ﻟﻠﻤﺴﺄﻟﺔ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭﺓ ) ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ .(100 ،ﻭﻗﺪ ﺃﻃﺎﻝ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻨﺪﻣﺎ ﺗﻌﺮﺽ ﻟﺒﻴﺎﻥ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﻣﻦ )ﻣﺼﺮﺍ( ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ، { ¬ ® ¯ z ³² ± °
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(61 :2 ،
. ﻭﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﺃﻭﺭﺩ ﻣﺎ ﻗﺎﻟﻪ ﺍﻟﻄﱪﻱ ﺃﺭﺩﻑ ﺑﺬﻛﺮ ﻣﻮﻗﻒ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ﰲ ﺫﻟﻚ .ﰒ ﺟﺎﺀ ﺑﺘﺮﺟﻴﺤﻪ ﺣﻴﺚ ﻭﺍﻓﻖ ﻣﺎ ﺫﻫﺐ ﺇﻟﻴﻪ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ﺑﺄﻥ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﺑﺎﳌﺼﺮ ﻣﻜﺎﻥ ﻏﲑ ﻣﻌﲔ ،ﻭﺫﻟﻚ ﺍﺳﺘﻨﺎﺩﺍ ﻷﺭﺑﻌﺔ ﻣﻦ ﺍﳌﺮﺟﺤﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﺫﻛﺮﻫﺎ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ )ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ .(152 ،ﻣﻦ ﺟﻬﺔ ﺃﺧﺮﻯ ،ﺃﺑﺪﻯ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺗﺮﺟﻴﺤﻪ ﰲ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﺒﻬﻤﺎﺕ ﻛﻤﺎ ﺟﺎﺀ ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻟﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ، {zE D C B A
อัล-นูร
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(58 :2 ،
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
11
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺣﻴﺚ ﻳﻘﻮﻝ :ﺍﻟﻘﺮﻳﺔ ﻫﻲ ﺍﻟﺒﻠﺪﺓ ﺍﳌﺸﺘﻤﻠﺔ ﻋﻠﻰ ﻣﺴﺎﻛﻦ ،ﻭﺍﳌﺮﺍﺩ ﺎ ﺑﻴﺖ ﺍﳌﻘﺪﺱ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺮﺍﺟﺢ )ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ، ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ ،(140 ،ﻭﱂ ﻳﺬﻛﺮ ﻫﻨﺎ ﺳﺒﺐ ﺗﺮﺟﻴﺤﻪ . -6ﺍﻟﺘﺮﺟﻴﺤﺎﺕ ﰲ ﺍﳌﻌﺎﱐ ﺍﻟﱵ ﻳﺮﺍﺩ ﺎ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺫﻛﺮ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺃﻥ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﻣﻦ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ )ﻏﲑ ﺍﳌﻐﻀﻮﺏ ﻋﻠﻴﻬﻢ( ،ﺍﳌﻐﻀﻮﺏ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺍﻟﻴﻬﻮﺩ ﻭﺑـ )ﺍﻟﻀﺎﻟﲔ( ﺍﻟﻨﺼﺎﺭﻯ .ﻟﻮﺭﻭﺩ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﰲ ﺣﺪﻳﺚ ﺭﻭﺍﻩ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﲪﺪ ﰲ ﻣﺴﻨﺪﻩ ﻭﺍﺑﻦ ﺣﺒﺎﻥ ﰲ ﺻﺤﻴﺤﻪ .ﰒ ﺫﻛﺮ ﺃﻥ ﻣﻦ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﻣﻦ ﻓﺴﺮ )ﺍﳌﻐﻀﻮﺏ ﻋﻠﻴﻬﻢ( ﲟﻦ ﻓﺴﺪﺕ ﺇﺭﺍﺩﻢ ﺣﻴﺚ ﻋﻠﻤﻮﺍ ﺍﳊﻖ ﻭﻟﻜﻨﻬﻢ ﺗﺮﻛﻮﻩ ﻋﻨﺎﺩﺍ ﻭﺟﺤﻮﺩﺍ ،ﻭﺃﻥ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﺑﺎﻟﻀﺎﻟﲔ ﻣﻦ ﻓﻘﺪﻭﺍ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻓﻬﻢ ﺗﺎﺋﻬﻮﻥ ﰲ ﺍﻟﻀﻼﻻﺕ ﺩﻭﻥ ﺃﻥ ﻳﻬﺘﺪﻭﺍ ﺇﱃ ﻃﺮﻳﻖ ﻗﻮﱘ . ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ، {zy x w v u
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(124 :2 ،
ﺭﺟﺢ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺭﺃﻱ ﺍﻟﻄﱪﻱ ﺑﺄﻥ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﻠﻤﺎﺕ ﺍﻷﻭﺍﻣﺮ ﺍﻟﱵ ﻛﻠﻒ ﺍﷲ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﺎ ،ﻓﺄﰎ ﺎ ﻋﻠﻰ ﺃﰎ ﻭﺟﻪ )ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ.(265 ، ﻭﰲ ﲢﺪﻳﺪ ﻣﻌﲎ )ﺍﳋﻤﺮ( ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ، {´ z¸ ¶ µ
)ﺳﻮﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(219 :2 ،
ﺫﻛﺮ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺧﻼﻓﺎ ﺑﲔ ﲨﻬﻮﺭ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻭﺍﻷﺣﻨﺎﻑ ﰲ ﺫﻟﻚ .ﻣﺬﻫﺐ ﺍﳉﻤﻬﻮﺭ ﺃﻥ ﻛﻠﻤﺔ )ﲬﺮ( ﺗﺸﻤﻞ ﻛﻞ ﺷﺮﺍﺏ ﻣﺴﻜﺮ ﺳﻮﺍﺀ ﺃﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﻋﺼﲑ ﺍﻟﻌﻨﺐ ﺃﻡ ﻣﻦ ﺍﻟﺸﻌﲑ ﺃﻡ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻤﺮ ﺃﻡ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺫﻟﻚ .ﻭﺃﻣﺎ ﺍﻷﺣﻨﺎﻑ ﻭﻣﻦ ﻭﺍﻓﻘﻬﻢ ﻓﺈﻢ ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ ﺇﻥ ﻛﻠﻤﺔ )ﲬﺮ( ﻻ ﺗﻄﻠﻖ ﺇﻻ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺸﺮﺍﺏ ﺍﳌﺴﻜﺮ ﻣﻦ ﻋﺼﲑ ﺍﻟﻌﻨﺐ ﻓﻘﻂ، ﺃﻣﺎ ﺍﳌﺴﻜﺮ ﻣﻦ ﻏﲑﻩ ﻛﺎﻟﺸﺮﺍﺏ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻤﺮ ﺃﻭ ﺍﻟﺸﻌﲑ ﻓﻼ ﻳﺴﻤﻰ ﲬﺮﺍ ﺑﻞ ﻳﺴﻤﻰ ﻧﺒﻴﺬﺍ .ﻭﻗﺪ ﺑﻨﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺃﻥ ﺍﶈﺮﻡ ﻗﻠﻴﻠﻪ ﻭﻛﺜﲑﻩ ﺇﳕﺎ ﻫﻮ ﺍﳋﻤﺮ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻨﺐ .ﺃﻣﺎ ﺍﻷﻧﺒﺬﺓ ﻓﻜﺜﲑﻫﺎ ﺣﺮﺍﻡ ﻭﻗﻠﻴﻠﻬﺎ ﺣﻼﻝ.ﰒ ﺫﻛﺮ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ ﺗﺮﺟﻴﺢ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻟﺮﺃﻱ ﺍﳉﻤﻬﻮﺭ ﻭﺗﻀﻌﻴﻔﻬﻢ ﻣﺎ ﺫﻫﺐ ﺇﻟﻴﻪ ﺍﻷﺣﻨﺎﻑ ﻭﻣﻦ ﻭﺍﻓﻘﻬﻢ )ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ.(481 ، ﻭﰲ ﻣﺴﺄﻟﺔ ﲢﺪﻳﺪ ﻣﻌﲎ )ﺍﻟﺼﻼﺓ ﺍﻟﻮﺳﻄﻰ( ﻋﻨﺪ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ، {zE D C B A
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(238 :2 ، ﺳﺮﺩ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺃﻗﻮﺍﻻ ﻛﺜﲑﺓ ﻟﻠﻌﻠﻤﺎﺀ ﻓﻴﻬﺎ ،ﻭﺭﺟﺢ ﺃﻥ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﺑﺎﻟﺼﻼﺓ ﺍﻟﻮﺳﻄﻰ ﻫﻲ ﺻﻼﺓ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﻛﻤﺎ ﺫﻫﺐ ﺇﻟﻴﻪ ﺃﻛﺜﺮ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻟﻮﺭﻭﺩ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ ﰲ ﺫﻟﻚ ﻭﻷﻥ ﺻﻼﺓ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺗﻘﻊ ﰲ ﻭﺳﻂ ﺍﻟﺼﻠﻮﺍﺕ ﺍﳋﻤﺲ ،ﺇﺫ ﻗﺒﻠﻬﺎ ﺍﺛﻨﺘﺎﻥ ﻭﺑﻌﺪﻫﺎ ﺍﺛﻨﺘﺎﻥ ،ﻭﻷﺎ ﻭﺳﻂ ﺑﲔ ﺻﻼﰐ ﺍﻟﻨﻬﺎﺭ ،ﻭﺻﻼﰐ ﺍﻟﻠﻴﻞ )ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﻣﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ.(548-547 ، อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
12
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﳋﺎﲤﺔ: ﺇﻥ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﳏﻤﺪ ﺳﻴﺪ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ ﻟﻪ ﺟﻬﺪ ﻣﺒﺎﺭﻙ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ ﻭﺳﻨﺔ ﺭﺳﻮﻟﻪ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ،ﻭﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﻗﻀﺎﻳﺎ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ .ﻭﺇﻥ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﺍﻟﺬﻱ ﲰّﺎﻩ "ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻮﺳﻴﻂ ﻟﻠﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ" ﻛﺘﺎﺏ ﻧﻔﻴﺲ ﻗﻴﻢ .ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﺃﺣﺴﻦ ﻣﺎ ﻛﺘﺐ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻘﺮﻥ .ﻭﻗﺪ ﻭﻓﹼﻖ ﻓﻴﻪ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺇﻋﺪﺍﺩﻩ ﻭﺗﺮﺗﻴﺒﻪ ﺇﺫ ﺃﻧﻪ ﺑﲎ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻋﻠﻰ ﻣﻨﻬﺞ ﺳﻠﻴﻢ ﻣﻘﺒﻮﻝ .ﻭﻗﺪ ﺳﺎﺭ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺬﻱ ﺭﲰﻪ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﻃﺒﻖ ﻣﺎ ﻗﺎﻟﻪ ﰲ ﻣﻘﺪﻣﺔ ﺗﻔﺴﲑﻩ .ﻭﻣﻦ ﺍﻣﺘﻴﺎﺯﺍﺕ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﺣﺘﻮﺍﺅﻩ ﻋﻠﻰ ﲨﻠﺔ ﻛﺒﲑﺓ ﻣﻦ ﻣﺼﺎﺩﺭ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺪﳝﺔ ﻭﺍﳊﺪﻳﺜﺔ ﺃﻭ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﺓ ،ﻭﺍﺧﺘﻴﺎﺭﺍﺗﻪ ﻭﺗﺮﺟﻴﺤﺎﺗﻪ ﺍﻟﱵ ﺗﺰﻳﺪ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺴﻔﺮ ﺍﳉﻠﻴﻞ ﺣﺴﻨﺎ ﻭﲨﺎﻻ ،ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺍﺷﺘﻤﺎﻟﻪ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻔﻮﺍﺋﺪ ﻭﺍﳊﻜﻢ ﺍﻟﻜﺜﲑﺓ ﳑﺎ ﳚﻌﻞ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﺮﺟﻌﺎ ﻻ ﻳﺴﺘﻐﲏ ﻋﻨﻪ ﻃﻠﺒﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
13
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺃﲪﺪ ﺍﻟﺒﺤﲑﻱ ،2010 ،ﻣﻘﺎﻝ ﰲ ﺟﺮﻳﺪﺓ ﺍﳌﺼﺮﻱ ﺍﻟﻴﻮﻡ ،ﺍﻟﻌﺪﺩ ) ،2097ﺍﳋﻤﻴﺲ ،(2010/3/11ﺹ.12 :
ﻓﺮﻳﺪ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ،ﳏﻤﺪ ﺯﻳﻦ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ ،ﻋﻤﺮ ﻋﺒﺪﺍﳉﻮﺍﺩ ، 2010 ،ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻷﻛﱪ ﺷﻴﺦ ﺍﻻﺯﻫﺮ ﰲ ﺫﻣﺔ ﺍﷲ ،ﰲ ﺇﻧﺘﺮﺍﻧﻴﺖhttp://www.masreat.com .
ﻋﻤﺮﻭ ﲨﺎﻝ ،2010 ،ﻣﻘﺎﻝ ﰲ ﺟﺮﻳﺪﺓ ﺍﻷﻫﺮﺍﻡ ،ﺍﻟﻌﺪﺩ ) ،45020ﺍﳋﻤﻴﺲ ،(2010/3/11ﺹ.5 :
ﺍﻟﻌﺼﺎﻡ ﻫﺎﺷﻢ ،2010 ،ﻣﻘﺎﻝ ﰲ ﺟﺮﻳﺪﺓ ﺍﻷﻫﺮﺍﻡ ،ﺍﻟﻌﺪﺩ ) ،45020ﺍﳋﻤﻴﺲ ،(2010/3/11ﺹ.5 : ﺃﳝﻦ ﲪﺰﺓ ،2010 ،ﻣﻘﺎﻝ ﰲ ﺟﺮﻳﺪﺓ ﺍﳌﺼﺮﻱ ﺍﻟﻴﻮﻡ ،ﺍﻟﻌﺪﺩ ) ،2097ﺍﳋﻤﻴﺲ ،(2010/3/11ﺹ.12 : ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ،ﳏﻤﺪ ﺳﻴﺪ ،2007،ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻮﺳﻴﻂ ﻟﻠﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ،ﺝ ،1.ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺴﻌﺎﺩﺓ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
15
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻓﺮﺍﻧﻦ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ )ﺑﺎﺑﺎ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ( ﺩﺍﻥ ﺳﻮﻣﺒﺎﻏﻨﺚ ﻛﻔﺪﺍ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﻓﻄﺎﱏ ﺩﺍﱂ ﳑﺒﻴﻨﺎ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻨﺪﻭﻕ ﻭﻱ ﻳﻮﺳﻒ ﺳﻴﺪﺉ
บทความวิชาการ
∗
ﺍﺑﺴﺘﺮﺍﻙ ﺩﺍﱂ ﻣﻘﺎﻟﺔ ﺍﻳﻦ ،ﻓﻨﻮﻟﻴﺲ ﺧﻮﺑﺎ ﻣﻐﻜﺎﺟﻲ ﺩﺍﻥ ﻣﻨﻠﻴﱵ ﺗﻨﺘﻎ ﺳﺆﺭﻍ ﺗﻮﻛﻮﻩ ﻳﻎ ﺗﺮﻛﻨﻞ ﺩﻓﻄﺎﱐ ﻓﺪﺍ ﺃﺧﲑﺙ ﺍﺑﺪ ﻳﻐﻚ 20ﻡ ﻳﺄﻳﺖ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ) ﺑﺎﺑﺎ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ( ﺧﺎﺭﻕ ﻛﺮﻳﺎﻥ ،ﺗﻮﺟﻮﺍﻥ ﺍﺳﺎﺳﻲ ﻓﻨﻮﻟﻴﺴﻦ ﻣﻘﺎﻟﺔ ﺍﻳﻦ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻣﻐﻨﻞ ﻓﺮﺍﻧﻦ ﺩﺍﻥ ﺳﻮﻣﺒﺎﻍ ﺑﺎﺑﺎ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ ﻛﻔﺪﺍ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﺗﺮﺍﻭﺗﺎﻡ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﻓﻄﺎﱐ ،ﺩﻏﻦ ﺧﺎﺭﺍ ﻣﺜﻠﻴﺪﻳﻘﻜﻲ ﺩﺍﻥ ﻛﺎﺟﻲ ﺳﺠﺎﺭﻩ ﻫﻴﺪﻭﻓﺚ ﺩﺍﻥ ﻓﺮﺍﻧﻨﺚ ﺩﺍﱂ ﳑﺒﻴﻨﺎ ﺩﺍﻥ ﳑﺒﻴﻼ ﻓﻜﺮﺓ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺍﺳﻼﻡ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﻣﻼﻳﻮ ﻓﻄﺎﱐ ،ﺳﻔﺎﻱ ﺩﻓﻐﺎﺭﻭﻫﻲ ﻻﺋﻲ ﻛﻔﺪﺍ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﻓﻄﺎﱐ ﺍﻭﳍﻜﺮﺍﻥ ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺗﻴﺪﻕ ﺩﻓﻐﺎﺭﻩ ﻻﺋﻰ ﺍﻭﻟﻪ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﺩﺳﺮﺍﻏﻲ ﺍﻭﻟﻪ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﺳﻜﻮﻟﻪ ﻣﺜﺒﺒﻜﻦ ﺑﱪﺍﻑ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﻓﻄﺎﱐ ﺩﺍﻭﺑﻪ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺳﻜﻮﻟﺔ ﺍﺗﻮ ﻣﺪﺭﺳﺔ ،ﺑﺎﺑﺎ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﺗﻮﻛﻮﻩ ﻳﻎ ﳑﱪﻱ ﻛﻔﻨﺘﻴﻐﻦ ﺍﻳﻦ ﻛﻔﺪ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ،ﻣﻐﺌﺎﻟﻖ ﻓﻼﺟﺮﺍﻥ ﺣﺪ ﻳﺚ ﳑﻮﻓﻖ ﲰﺎﻏﺔ ﻛﺮﻭﺣﺎﻧﻴﺔ ﻛﻔﺪﺍ ﺟﻨﺮﺍﺳﻰ ﻳﻎ ﺍﻛﻦ ﺩﺍﺗﻎ ﻣﻐﻴﻠﻖ ﺩﺭﻓﺪ ﻓﻜﺮﺓ ﻓﺮﺑﺎﳍﻦ ﺩﺍﻥ ﻓﺮﺗﻴﻜﺎﻳﻦ ﺩﺍﱂ ﻣﺴﺄﻟﺔ ﺧﻼﻓﻴﺔ ،ﺩﻏﻦ ﺍﻳﻦ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﻴﻨﺚ ﺍﺩﺍ ﺑﺮ ﺑﻴﺬﺍ ﺟﻚ ﺩﺑﻨﺪﻳﻎ ﺩﻏﻦ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ۲ﻳﻐﻸﻳﻦ ﺩﻓﻄﺎﱐ. ﻧﺘﻴﺠﺔ ﺗﻮﻟﻴﺴﻦ ﺍﻳﻦ ،ﺑﺎﺑﺎ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ ﻣﻐﺌﻮﻧﺎ ﺧﺎﺭﺍ ﻳﻎ ﺑﺮﺑﻴﺬﺍ ﻳﻎ ﺑﻮﻟﻴﻪ ﻣﻐﺎﺗﺴﻲ ﺳﻜﻮﻟﻪ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻣﻨﺌﻖ ﺩﺍﻥ ﳑﺒﻴﻼ ﻓﻜﺮﺓ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﻓﻄﺎﱐ ،ﺳﺮﺕ ﻣﻨﻈﺎﻫﲑﺩﺍﻥ ﳑﺒﻴﻨﺎ ﲰﺎﻏﺔ ﻭﺭﻉ ﺩﻛﺎﻟﻐﻦ ﺟﻨﺮﺍﺳﻴﺚ ﺩﻭﻗﺖ ﺳﻜﻮﻟﻪ ﺳﺪﻳﻜﻴﺖ ﺩﻣﻲ ﺳﺪﻳﻜﻴﺖ ﻫﻴﻠﻎ ﲰﺎﻏﺔ ﺍﺧﻼﻕ ﻛﺮﻭﺣﺎﻧﻴﺔ ﺍﻳﺖ. ﺍﻭﻟﺴﻦ ﻣﻘﺎﻟﺔ ﺍﻳﻦ ،ﺧﺎﺭﺍ ﻳﻐﱪﺑﻴﺬﺍ ﺩﻏﻦ ﺍﻭﺭﻍ ﻷﻳﻦ ﺳﺮﺕ ﺍﺩﺍ ﺑﻮﻗﱵ ﺑﻮﻟﻴﻪ ﻣﻐﺎﺗﺴﻲ ﻓﻐﺎﺭﻭﻩ ۲ﺩﺍﱂ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﳑﺒﻴﻨﺎ ﺍﻭﺭﺋﺎﻧﻴﺴﺎﺳﻲ ﺗﺮﺗﻨﺘﻮ ،ﺍﻳﺘﻠﻪ ﺳﺘﻐﺔ ﺩﺭﻓﺪ ﺟﺎﻟﻦ ﻣﻨﻮﺟﻮﻛﺠﻴﺄﻥ ،ﺩﻏﻦ ﺧﺎﺭﺍ ﺍﻳﻨﻠﻪ ﻳﻐﺪﺋﻮﻧﺎ ﺍﻭﻟﻪ ﺑﺎﺑﺎ ﺷﻴﺪ ﺩﺩﺍﱂ ﳑﺒﻴﻨﺎ ﺩﺍﻥ ﳑﺒﻴﻼ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﻳﻎ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻨﺪﻭﻕ.
∗
ﺩﻛﺘﻮﺭﺓ ﻓﻠﺴﻔﺔ ﺩﺍﱂ ﺟﻮﺭﻭﺳﻦ ﺟﻐﺮﺍﰲ ،ﻓﻨﺸﺮﺡ ﻓﺮﻭﻛﺮﱘ ﺳﺮﺟﺎﻥ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺍﺳﻼﻡ ،ﺟﺎﺑﱳ ﺳﺠﺎﺭﺓ ﺩﺍﻥ ﲤﺪﻭﻥ ﺍﺳﻼﻡ ،ﻳﻮﻧﻴﱪﺳﻴﱵ ﺍﺳﻼﻡ ﺟﺎﻻ.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
16
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
Abstract In this article the author has studied the history of scholers in the late 20th century, which was introduced in the province of patani. He is Tuanguru hj. Abdurasid (Baba sid wara’). He is responsible for the development of pondok (school) in patani muslim society, The main purpose of this paper is to study the role and duties of hj.sid wara’ to development pondok school in patani Muslim society. The study of the reconstruction and development to protect the institutions that exist for social pondok forever. Cause of such concepts as the social one is a wake to the study of Islamic schools. And many pondok institutions are turning to school. Hj. Abdurasid is important that care is critical to recovery and development of this concept to the Muslim community in pattani by promoting the study of Hadith in pondok previously, the institute of pondok not aware of this. Study to reduce or understading of the different ideas and respect the ideas of others. That, identities of the institutions of the faith institutions pondok back . To give social recognition that are unique and different from is earlier. The study found that, Baba sid to use a new method that can be above of superior to the existing schools and create a unique identity to the dominant society. The manner of their action . And a good spirit. Avoid the division in society. Concluded that the form or method and is superior to others and give. It is a factor to success in the organization. This is one form by Baba sid, can be used to develop your ideas.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
17
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻓﻨﺪﻫﻮﻟﻮﺍﻥ ﺍﳊﻤﺪ ﷲ ﺍﻷﻭﻝ ﻗﺒﻞ ﻛﻞ ﺃﻭﻝ ،ﻭﺍﻵﺧﺮ ﺑﻌﺪ ﻛﻞ ﺁﺧﺮ ،ﻭﺍﻟﺪﺍﺋﻢ ﺑﻼﺯﻭﺍﻝ ،ﺍﻟﻘﺎﺋﻢ ﻋﻠﻰ ﻛﻞ ﺷﺊ ﺑﻐﲑ ﺍﻧﺘﻘﺎﻝ ،ﻭﺍﳋﺎﻟﻖ ﺧﻠﻘﻪ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺃﺻﻞ ﻭﻻﻣﺜﺎﻝ ،ﻭﻫﻮ ﺍﻟﻮﺍﺣﺪ ﻣﻦ ﻏﲑ ﻋﺪﺩ ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺒﺎﻗﻰ ﺑﻌﺪ ﻛﻞ ﺃﺣﺪ ﺇﱃ ﻏﲑ ﻬﻧﺎﻳﺔ ﻭﻻﺃﻣﺪ. ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﻻ ﺍﻟﻪ ﺍ ﹼﻻ ﺍﷲ ﻭﺣﺪﺓ ﻻﺷﺮﻳﻚ ﻟﻪ ،ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﳏﻤﺪﹶﺍ ﻋﺒﺪﻩ ﺍﻟﻨﺠﻴﺐ ،ﻭﻟﻪ ﺍﻷﻣﲔ ﺍﺻﻄﻔﺎﻩ ﻟﺮﺳﺎﻟﺘﻪ ﻭﺍﺑﺘﻌﺜﻪ ﺑﻮﺣﻴﻪ ،ﺩﺍﻋﻴﹶﺎ ﺧﻠﻘﻪ ﺇﱃ ﻋﺒﺎﺩﺗﻪ ﻭﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻪ ﻭﺍﺻﺤﺎﺑﻪ ﺃﲨﻌﲔ. ﺳﺠﺎﺭﻩ ﺗﻠﻪ ﳑﺒﻮﻗﺘﻴﻜﻦ ﻬﺑﻮﺍ ﻓﻄﺎﱏ ﻓﺪﺍ ﺳﻮﺍﺕ ﻛﺘﻴﻚ ﺩﻫﻮﻟﻮ ،ﻳﺄﻳﺖ ﻛﺘﻴﻚ ﻣﺎﺳﻴﻪ ﺩﻛﻮﺍﺳﺄﻱ ﺍﻭﻟﻴﻪ ﺭﺍﺝ۲ ﻣﻼﻳﻮ ﺍﺳﻼﻡ ،ﻓﺮﻧﻪ ﻣﻨﺠﺎﺩﻯ ﻓﻮﺳﺔ ﲤﺪﻭﻥ ﻋﻠﻤﻮ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﻛﻔﻮﻟﻮﺍﻥ ﻣﻼﻳﻮ ﻋﺎﻣﺚ .ﺑﺮﻛﺎﺕ ﺗﻮﺍﻥ ﺩﻛﺘﻮﺭ ﳏﻤﺪ ﻻﺯﻡ ﻻﻭﻯ :ﻣﺎﺳﻮﻕ ﺩﺍﻥ ﺑﺮﻛﻤﺒﻐﺚ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﻓﻄﺎﱏ ﺍﺩﺍﻟﻪ ﺑﺮﻛﺄﻳﺔ ﺭﺍﻓﺔ ﺩﻏﻦ ﻓﺮﻛﻤﺒﺎﻏﻦ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﻧﻮﺳﻨﺘﺎﺭﺍ ﻋﺎﻣﺚ ،ﻓﻄﺎﱏ ﺩﺗﻘﺪﻳﺮ ﻛﻦ ﺍﻧﺘﺎﺭﺍ ﺑﻮﻣﻰ ﻛﻼﻫﲑﺍﻥ ﻓﺎﺭﺍ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺩﺍﻥ ﺩﺍﻧﺘﺎﺭﺍ ﲤﻔﺔ ﻓﺮﺗﻮﺑﻮﻫﻦ ﺍﻳﻨﺴﺘﻴﺘﻮﺓ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺍﺳﻼﻡ ﺗﺮﺍﻭﺍﻝ ﺩﺋﻮﺋﻮﺳﻦ ﻛﻔﻮﻟﻮﺍﻥ ﻣﻼﻳﻮ )ﳏﻤﺪ ﻻﺯﻡ ﻻﻭﻯ ،(94 :2003 ،ﺩﺍﻥ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﺮﻛﺎﺕ ﻻﺋﻲ :ﺑﺎﺛﻖ ﻓﻜﺘﻮﺭ ﻳﻎ ﳑﺒﻮﺍﺗﻜﻦ ﺍﺟﺎﺭﺍﻥ ﺍﺳﻼﻡ ﺑﺮﻛﻤﺒﻎ ﻓﺴﺔ ﺩﻓﻄﺎﱏ ﺩﺍﻥ ﺑﺮﻓﺮﺍﻧﻦ ﺳﺒﺎﺋﻰ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﺜﻴﱪﺍﻥ ﺃﺟﺎﺭﺍﻥ ﺍﺋﺎﻡ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﺭﻧﺘﺎﻭ ﺍﻳﻦ ،ﺩﺍﻧﺘﺎﺭﺍ ﻳﻎ ﺗﺮﻓﻨﺘﻴﻎ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻣﻼﻟﺆﻱ ﺩﻭﺍ ﺑﻨﺘﻮﻕ ،ﻓﺮﺗﺎﻡ ،ﻣﻼﻟﺆﻱ ﺍﻳﻨﺴﺘﻴﺘﻮﺓ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺍﻥ ﻛﺪﻭﺍ ،ﻣﻼﻟﺆﻱ ﻛﺮﻳﺎ ﻛﺄﻛﻤﺄﻥ) .ﳏﻤﺪ ﻻﺯﻡ ﻻﻭﻯ ،2003 ،ﺃﻭﻑ ﺳﻴﺖ(. ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻣﺮﻭﻓﺎﻛﻦ ﺍﻳﻨﺴﺘﻴﺘﻮﺓ ﺗﺮﻓﻨﺘﻴﻎ ﺩﺍﱂ ﳑﺄﻳﻨﻜﻦ ﻓﺮﺍﻧﻦ ﻓﻨﺪﻳﺪﻳﻘﻜﻦ ،ﻓﻐﻤﺒﺎﻏﻦ ﺍﺟﺎﺭﺍﻥ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﺍﻥ ﺳﻜﺎﻟﻴﺌﻮﺱ ﺳﺒﺎﺋﻰ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﺮﻛﻤﺒﺎﻏﻦ ﻛﺒﻮﺩﺍﻳﺄﻥ ﻣﻼﻳﻮ،ﻛﻤﻮﳔﻮﻟﻦ ﺍﻳﻨﺴﺘﻴﺘﻮﺓ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺍﺳﻼﻡ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻣﺮﻭﻓﺎﻛﻦ ﳌﺒﻎ ﻛﺄﺋﻮﻏﻦ ﻛﺘﻤﺪﻭﻧﻨﺚ ،ﻓﺮﻳﻨﺴﻴﻒ ﻓﻤﺒﻼﺟﺮﺍﻧﺚ ﺗﻠﻪ ﺑﺮﺟﺎﻱ ﻣﻼﻫﲑﻛﻦ ﻓﺎﺭﺍ ﻋﻠﻤﻮﺍﻥ ﺍﺳﻼﻡ ﻓﻄﺎﱏ ﺗﻮﺭﻭﻥ ﲤﻮﺭﻭﻥ ﻫﻴﻐﺊ ﻛﻬﺎﺭﻱ ﺍﻳﻦ ،ﻣﺮﻳﻚ ﺩﺩﻳﺪﻳﻖ ﺍﺋﺮ ﻣﻨﺠﺎﺩﻯ ﺍﻧﺴﺎﻥ ﻳﻎ ﺋﻴﺌﻴﻪ ﺑﺮﺟﻮﺍﻍ ،ﺑﺮﺩﻋﻮﺍﻩ ﺩﺍﻥ ﺑﺮﺍﻭﺳﻬﺎ ﳑﱪﻯ ﻓﻨﺪﻳﺪﻳﻘﻜﻦ ﻛﻔﺪﺍ ﺍﻧﻖ ﻭﺍﻃﻨﺚ ،ﺣﺎﺻﻴﻞ ﺩﺭﻓﺪﺍ ﻓﺮﺟﻮﺍﻏﻦ ،ﻛﺌﻴﺌﻴﻬﻦ ﺩﺍﻥ ﺧﺘﻮﺳﻦ ﺍﻳﺪﻳﺎ ﺳﺮﺕ ﻓﻴﻜﲑﺍﻥ ﻣﺮﻳﻚ ،ﳑﺒﻮﺍﺗﻜﻦ ﺍﺟﺎﺭﺍﻥ ﺍﺳﻼﻡ ﺑﺮﺋﻤﺒﻎ ﺩﺑﻮﻣﻰ ﻓﻄﺎﱏ ﺗﺮﻭﺱ ﻣﻨﺮﻭﺱ ﻫﻴﻐﺊ ﻛﻬﺎﺭﻯ ﺍﻳﻦ ).ﳏﻤﺪ ﻻﺯﻡ ﻻﻭﻯ ،ﺍﻳﺒﻴﺪ(95 :، ﺩﺍﻥ ﺳﺠﺎﺭﻩ ﳑﺒﻮﻗﺘﻴﻜﻦ ﻻﺋﻰ ﻬﺑﻮﺍ ﺍﻳﻨﺴﺘﻴﺘﻮﺳﻲ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺇﺳﻼﻡ ﻳﻎ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻓﺮﺗﺎﻡ ﻛﺎﱄ ﺩﺩ ﻳﺮﻳﻜﻦ ﺩﻓﻄﺎﱐ ،ﺩﺍﻥ ﺍﻳﺎﺙ ﻣﺮﻭﻓﺎﻛﻦ ﻓﻨﺪﻳﺪﻳﻘﻜﻦ ﺗﺮﺗﻮﺍ ﺩﺁﺳﻴﺎ ﺗﻐﺌﺎﺭﺍ ،ﻋﻠﻤﺎﺀ ﻓﻄﺎﱐ ﺗﻠﻪ ﻣﻠﻘﺴﻨﺎﻛﻦ ﺗﻮﺋﺲ ﺗﺮﺳﺒﻮﺕ ﺳﺠﻖ ﺃﺑﺪ ﻙ 12 -ﻡ ﻻﺋﻲ ،ﺩﻏﻦ ﻳﻎ ﺩﻣﻜﲔ ،ﺗﻴﺪﻗﻠﻪ ﻛﺘﺮﻻﻟﻮﺍﻥ ﺟﻚ ﺩﻛﺎﺗﻜﻦ ﻬﺑﻮﺍ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻳﻎ ﺳﻜﺎﺭﻍ ﺗﺮﺩﺍﻓﺔ ﺩﻣﺎﻥ ۲ﲤﻔﺖ ﺩﺁﺳﻴﺎ ﺗﻐﺌﺎﺭﺍ ﻓﺮﺗﺎﻡ ﻛﺎﱄ ﺩﺩﻳﺮﻳﻜﻦ ﺩﺑﻮﻣﻲ ﻓﻄﺎﱐ ) ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻠﻄﻴﻒ ﲪﻴﺪﻭﻥ، (45 :1977ﻭﻟﻮﻓﻮﻥ ﺍﺩﺍ ﲨﻠﻪ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺩﻳﺮﻳﻜﻦ ﺩﺗﺎﻧﻪ ﺃﺧﻴﻪ ﺗﺘﺎﰲ ﺩﻛﻨﻠﻜﻦ ﺗﻮﻬﺑﻨﺚ ﻓﺪﺍ ﺍﺑﺪ ﻙ 14 -ﻡ .ﺩﺍﻥ ﺩﻛﻮﺍﺳﻦ ﺟﺎﻭﺍ ﻓﺪﺍ ﺍﺑﺪ ﻙ 15 -ﻡ. ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ ﺳﻌﺪ ﺑﺮﻓﻨﺪﺍﻓﺔ ﺳﻴﺴﺘﻴﻢ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺇﺳﻼﻡ ﺩﻓﺘﺎﱐ ﻣﻮﳔﻮﻝ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺟﻠﺲ ﺍﺩﺍﻟﻪ ﺩﺳﻜﻴﺘﺮ ﺗﺎﻫﻮﻥ 1592ﻡ ﻳﻐﺪ ﺃﺳﺎﺳﻜﻦ ﺍﻭﻟﻴﻪ ﺷﻴﺦ ﻓﻘﻴﻪ ﻭﺍﻥ ﻣﻮﺳﻰ ﺑﻦ ﻭﺍﻥ ﺧﻴﻀﺮ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ﺍﻟﻔﻄﺎﱐ )ﺍﻳﺒﻴﺪ ،ﺩﺍﻥ ﻟﻴﻬﺖ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ ﺳﻌﺪ ،(32 :2001 ،ﺩﺍﻥ ﺳﺘﺮﻭﺱ ﻫﻴﻐﺊ ﲰﻔﻲ ﺗﺎﺣﻒ ﻛﻤﻮﳔﻘﺚ ﻓﺪﺍ ﺃﺑﺪ ﻙ19 -ﻡ .ﺍﺩﺍﻟﻪ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻳﻎ ﻓﺎﻟﻴﻎ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
18
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺑﺴﺮﺩﺍﻥ ﻣﺸﻬﻮﺭ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ "ﺑﻨﺪﻍ ﺩﺍﻯ" ﻳﻎ ﺗﻠﻪ ﺩﺩﻳﺮﻳﻜﻦ ﺍﻭﻟﻴﻪ ﺷﻴﺦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ ﺑﻦ ﻣﺼﻄﻔﻰ ﺍﻟﻔﻄﺎﱏ ،ﺑﻠﻴﻮ ﺍﺩﺍﻟﻪ ﺳﺆﺭﻍ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺑﺴﺮ ﺩﻓﻄﺎﱐ ﻓﺪ ﻛﺘﻴﻚ ﺍﻳﺖ ).ﺍﲪﺪ ﻓﺘﺤﻲ.(62 :1992 ، ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ۲ﻳﻎ ﻣﻮﳔﻮﻝ ﺳﻠﻔﺲ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺑﻨﺪﻍ ﺩﺍﻯ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺑﺮﻣﲔ ،ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺍﻻ ،ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﲰﻼ، ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺩﻭﺍﻝ ،ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺗﻠﻮﻕ ﻣﺎﻧﻊ ﺩﺍﻥ ﻷﻳﻦ) ۲ﳏﻤﺪ ﻻﺯﻡ ﻻﻭﻯ ،ﺍﻳﺒﻴﺪ (96 :ﻣﻨﺮﻭﺳﻲ ﺳﻴﺴﺘﻴﻢ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ،ﻧﺌﺮﻱ ﻓﻄﺎﱏ ﲰﻴﻤﻐﺚ ﺗﻠﻪ ﻣﻼﻫﲑﻛﻦ ﺭﺍﻣﻲ ﻓﺎﺭﺍ ﻋﻠﻤﻮﺍﻥ ﺍﺳﻼﻡ ﻳﻎ ﺑﺮﺟﺎﺱ ﻛﻔﺪﺍ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﺍﻥ ﺍﻭﻣﺘﺚ ﺩﺭﻧﺘﺎﻭ ﺁﺳﻴﺎ ﺗﻐﺌﺎﺭﺍ ،ﺩﻣﻮﻷﻱ ﺩﻏﻦ ﺷﻴﺦ ﺩﺍﻭﺩ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺍﻟﻔﻄﺎﱏ )1847-1769ﻡ( ،ﺷﻴﺦ ﻧﺊ ﺩﻳﺮ ﺑﻦ ﻭﺍﻥ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ )1889-1844ﻡ( ،ﺷﻴﺦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺍﲰﺎﻋﻴﻞ ﺩﺍﻭﺩﻱ ﺍﻟﻔﻄﺎﱐ ﺍﺗﻮ ﺷﻴﺦ ﻧﺊ ﻣﺖ ﻛﺨﻴﻚ )1915-1844ﻡ(، ﺷﻴﺦ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺯﻳﻦ ﺑﻦ ﻣﺼﻄﻔﻰ ﺍﻟﻔﻄﺎﱏ )1908-1856ﻡ( ،ﺷﻴﺦ ﺯﻳﻦ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﻄﺎﱏ )1820ﻫﻦ1913-ﻡ( ،ﺩﺍﻥ ﺑﱪﺍﻑ ﺍﻭﺭﻍ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﻷﻳﻦ ﻳﻎ ﺳﺰﻣﺎﻥ ﺩﺍﻥ ﺳﺴﻮﺩﻩ ﻣﺮﻳﻚ ،ﺳﻬﻴﻐﺌﺎ ﻟﻪ ﻛﻔﺪﺍ ﺗﻮﻛﻮﻩ ﺗﻮﻛﻮﻩ ﻣﺘﺄﺧﲑ ﺳﻠﻔﺲ ﻓﺮﺍﻍ ﺩﻧﻴﺎ ﻛﺪﻭﺍ ﺳﻔﺮﺕ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻭﺍﻥ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺍﺩﺭﻳﺲ ﺍﺗﻮ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺑﺮﻣﲔ )1957 -1874ﻡ( ،ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭﺣﺎﺝ ﺳﻮﻟﻮﻍ )1954-1895ﻡ( ،ﺷﻴﺦ ﺍﲰﺎﻋﻴﻞ ﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﻗﺎﺩﺭ ﺑﻦ ﻣﺼﻄﻔﻰ ﺍﻟﻔﻄﺎﱏ ﺍﺗﻮ ﻓﺄﺩﻋﻴﻞ )1965-1882ﻡ ( ،ﺣﺎﺝ ﺣﺴﻦ ﻣﻖ ﺃﻏﺌﻮﻝ )1969-1895ﻡ( ،ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﺭﺷﺪ ﺍﺗﻮ ﺗﺆﺩﺍﻻ )1989-1975ﻡ( )ﳏﻤﺪ ﻻﺯﻡ ﻻﻭﻯ ،ﺍﻳﺒﻴﺪ (97 :ﺩﺍﻥ ﻷﻳﻦ ﻻﺋﻲ. ﻣﻚ ﺳﺎﻟﻪ ﺳﺆﺭﻍ ﺟﻨﺮﺍﺳﻰ ﻳﻎ ﺗﺮﻛﻨﻞ ﺩﻓﻄﺎﱏ ﻓﺪﺍ ﺃﺧﲑﻥ ﺍﺑﺪ ﻳﻐﻚ 20ﻡ ﺍﻳﺖ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﺑﻦ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﻳﻎ ﻣﻐﺌﻮﻧﺎﻛﻦ ﺳﻴﺴﺘﻴﻢ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺍﻥ ﳑﺒﻴﻼ ﺩﻣﻰ ﳑﻴﻤﻔﻴﻨﻜﻦ ﺳﻴﺴﺘﻴﻢ ﺍﻳﻦ ﺩﻓﺮﻣﻮﻛﺄﻥ ﺑﻮﻣﻲ ﺍﻳﻦ ﺳﻔﺎﻱ ﺗﻴﺪﻕ ﺩﻫﺎﻓﻮﺳﻜﻦ ﺍﻭﻟﻴﻪ ﺳﻴﺴﺘﻴﻢ ﺑﺎﺭﻭ ﻳﻐﺪﻧﺎﻣﻜﻦ ﺳﻜﻮﻟﻪ .ﺩﺳﻴﻨﻴﻠﻪ ﻳﻎ ﻣﻨﺪﻭﺭﻭﻍ ﻓﻨﻮﻟﻴﺲ ﺍﻧﺘﻮﻕ ﳑﺒﻮﺍﺕ ﺳﺎﺗﻮ ﻫﻴﻤﻔﻮﻧﻦ ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺗﻮﻟﻴﺴﻦ ﺍﻧﺘﻮﻕ ﻣﻨﺠﻠﺴﻜﻦ ﺟﺎﺱ ۲ﺩﺍﻥ ﻓﺮﺍﻧﻦ ﻓﺎﺭﺍ ﺋﻮﺭﻭ ۲ﻛﻔﺪﺍ ﺟﻨﺮﺍﺳﻰ ﻳﻐﺎﻛﻦ ﺩﺍﺗﻎ ،ﻓﻨﻮﻟﻴﺲ ﺑﺮﻫﺎﺭﻑ ﻫﻴﻤﻔﻮﻧﻦ ﺍﻳﻦ ﺩﺍﻓﺖ ﳑﱪﻯ ﺋﻤﱪﺍﻥ ﺟﻠﺲ ﺗﻨﺘﻎ ﺳﺌﻮﺭﻍ ﺩﺍﻋﻰ ﺩﺍﱂ ﻣﻨﺌﻘﻜﻦ ﺃﺋﺎﻡ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﺭﻧﺘﺎﻭ ﺍﻳﻦ . ﺑﻴﻮﺋﺮﺍﰱ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ -1ﻻﺗﺮﺑﻼﻛﻎ ﻓﺮﻳﺒﺎﺩﻯ ﺩﺍﻥ ﻛﻠﻮﺍﺭﺋﺚ ﺳﺌﻮﺭ ﻍ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﻳﻎ ﺑﺎﺛﻖ ﳑﱪﻯ ﺟﺎﺱ ﻛﻔﺪ ﻓﺮﻛﻤﺒﺎﻏﻦ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﺍﻥ ﻛﺴﺪﺭﺍﻥ ﻋﻠﻤﻮ ،ﺩﺟﺎﺭﻕ ﻛﺮﻳﺎﻥ ﻛﺎﻭﺍﺳﻦ ﺳﻴﺒﻮﺭﻯ ﻓﻄﺎﱏ ،ﺍﻳﺎﻟﻪ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﺑﻦ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ،ﻳﻎ ﻟﺒﻪ ﺗﺮﻛﻨﻞ ﺩﻏﻦ ﻧﺎﻡ ﺑﺎﺑﺎ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ. ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﺗﻠﻪ ﺩ ﻻﻫﲑﻛﻦ ﻓﺪ ﺗﺎﺭﻳﺦ 1ﺑﻮﻟﻦ ﻣﺎﻳﻮ 1914ﻡ .ﺍﻳﻬﺚ ﺣﺎ ﺝ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﻳﻐﱪﺍﺻﻞ ﺩﺭﻯ ﻛﻤﻔﻮﻍ ﺳﻲ ﺀ ﻣﻮﺀ ﻛﻮﺍﺳﻦ ﺧﺎﺭﻕ ﻛﺮﻳﺎﻥ ﺩﺃﻳﺮﺓ ﺳﻴﺒﻮﺭﻯ ﻓﻄﺎﱐ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﺳﺆﺭﻍ ﻳﻎ ﻭﺭﻉ ﻳﻎ ﻣﺸﻬﻮﺭ ﺩﻏﻦ ﻛﺒﺄﻳﻘﻜﻦ ﺩﺍﻥ ﻛﺒﺎﺟﻴﻘﻜﻦ ﺩﺟﺎﻟﻦ ﺍﷲ ﺩﺍﻥ ﺗﺮﺩﻳﺮﻯ ﺩﺭﻓﺪ ﻛﻠﻮﺍﺭﺉ ﻳﻎ ﺳﺪﺭﻫﻨﺎ ﻣﺴﻜﲔ ﺩﺍﻥ ﻳﻎ ﺑﺮﺩﻳﻜﺎﺭﻯ ﻳﻎ ﺗﻴﺪﻕ ﻣﻨﺮﳝﺎ ﺻﺪﻗﺔ ،ﺩﺍﻥ ﺳﻐﺌﻮﻑ ﳑﺒﻴﺎﻳﻜﻦ ﺩﺍﻥ ﺑﻠﻨﺠﺎ ﻫﺎﺭﻳﻦ ﺋﻠﻮﺍﺭﺉ ﺩﺭﻯ ﺣﺎﺻﻴﻞ ﺗﺎﻏﻨﺚ ﺳﻨﺪﻳﺮﻯ ،ﺩﻏﻦ ﺩﻣﻜﲔ ﺧﺎﺭﺍ ﺍﻳﻬﺚ ﳑﻠﻴﻬﺮﺍ ﺍﻧﻘﺚ ،ﺗﻴﺪﻕ ﺳﻮﻛﺎ ﳑﱪﻯ ﻛﺌﻤﺎﺭﺍﻥ ﺩﻧﻴﺎ ﻛﻔﺪﺍ ﺃﻧﻘﺚ ،ﺩﺍﻥ ﺳﺮﻳﻎ ﳑﻮﻓﻖ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
19
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﻧﻘﺚ ﻛﺄﺭﻩ ﺃﺧﲑﺓ ) ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ،ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ 2010 /4 /22ﻡ( ،ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ﻣﻨﺠﺮﻳﺘﺎ ﻻﺋﻲ ﺗﻨﺘﻎ ﺳﺠﺎﺭﻩ ﻫﻴﺪﻭﻑ ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ :ﻬﺑﻮﺍ ﻫﻴﺪﻭﻑ ﺩﻏﻦ ﺳﺮﺑﺎ ﻓﺮﺧﻮﺑﺄﻥ ﲰﻨﺠﻖ ﺩﺭﻯ ﻛﺨﻴﻞ ﻻﺋﻲ ،ﺑﻠﻴﻮ ﺩﺍﱂ ﻛﺎﺩﺍﻥ ﺳﻮﺳﻪ ﻫﻴﻐﺊ ﺩﺳﺎﺗﻮ ﻛﺘﻴﻚ ﻣﺎﺱ ﻛﺨﻴﻠﺚ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﻨﺘﺄ ﻭﺍﻍ ﺩﻏﻦ ﺍﻳﺒﻮﺙ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﺑﻠﻲ ﺗﻔﻮﻍ ﺳﻔﺮﺕ ﻛﺎﻧﻖ ۲ﻷﻳﻦ ﺩﻣﺎﺱ ﻓﺮﺋﻲ ﻛﺴﻜﻮﻟﻪ ،ﺍﻳﺒﻮﺙ ﺗﻴﺪﻕ ﺩﺍﻓﺔ ﻣﻨﻮﱐ ﺍﻭﻟﻴﻬﻜﺮﺍﻥ ﺗﻴﺪﻕ ﻓﺮﻧﻪ ﺍﺩﺍ ﻭﺍﻍ ﻳﻎ ﻟﺒﻪ ،ﻣﻠﻴﻨﻜﻦ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﺑﻠﻲ ﺑﺎﺭﻍ ﺑﻠﻨﺠﺎ ﺩﺍﻓﻮﺭ ﺳﻬﺎﺝ ،ﺍﺩﺍ ﺳﺎﺗﻮ ﻫﺎﺭﻱ ﲰﺎﺱ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﺮﺍﻭﺳﻴﺎ ﻛﲑﺍﺙ ﺩﺭﺟﺔ ﺩﻭﺍ ﺳﻜﻮﻟﻪ ﺭﻧﺪﻩ ﺑﻠﻴﻮ ﺭﺍﺳﺎ ﻻﻓﺮ ﺍﻓﺒﻴﻼ ﺳﺆﺭﻍ ﻓﻨﺠﺎﺟﺎ ﺗﻔﻮﻍ ﻛﺎﻧﻖ ۲ﻻﻟﻮ ﺩﺩﻓﻨﺚ ،ﺑﻠﻴﻮ ﺳﻮﻏﺌﻮﻩ ۲ﺍﻳﻐﲔ ﻣﺎﻛﻦ ﺗﻔﻮﻍ ﺍﻳﺖ ،ﺗﺘﺎﰲ ﺳﺎﻳﻐﺚ ﺗﻴﺪﻕ ﺍﺩﺍ ﻭﺍﻍ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﻛﺎﻧﻖ۲ ﻳﻐﻸﻳﻦ ،ﻫﻴﻐﺊ ﺑﻠﻴﻮ ﺗﻮﻏﺌﻮ ﻫﺎﺭﻓﻨﺚ ﻛﺎﻟﻮ ﻛﺎﻟﻮ ﺗﻮﺍﻧﺚ ﳑﺒﺎﺋﻲ ﺳﻜﻔﻴﻎ ﺗﻔﻮﻍ ﺻﺪﻗﺔ ﻛﻔﺪﺍﺙ ،ﺗﺘﺎﰲ ﺟﻮﺉ ﺑﻠﻴﻮ ﺭﺍﺳﺎ ﻛﺨﻴﻮﺍ ،ﻫﻴﻐﺊ ﺑﻠﻴﻮ ﻛﻠﻮﻩ ﺩﺩﺍﱂ ﻫﺎﺗﻴﺚ ﻛﺎﻟﻮ ﺍﷲ ﳑﱪﻯ ﻛﻤﻮﺭﻫﻦ ﻫﺎﰐ ﻛﻔﺪﺍ ﺗﻮﺍﻥ ﺗﻔﻮﻍ ﺍﻳﺖ ،ﻫﻴﻐﺊ ﺑﻠﻴﻮ ﺍﻳﻜﻮﺕ ﺳﺎﻡ ﺗﻮﺍﻥ ﺗﻔﻮﻍ ﺩﺩﺍﱂ ﻓﺮﺟﺎﻟﻨﻦ ﺟﺎﻭﻩ ﺑﺎﺋﻲ ﻛﺎﻧﻖ ﺳﻔﺮﺗﺚ ﻣﻐﻴﻜﻮﺕ ،ﺗﺘﺎﰲ ﺧﻴﺘﺎ ﺧﻴﺘﺎﺙ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻣﺎﻛﻦ ﺗﻔﻮﻍ ﺍﻳﺖ ،ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﻫﺎﺑﻮ ﺩﻏﻦ ﺳﺒﺐ ﺩﻋﺎﺀﺙ ﺗﻴﺪﻕ ﺑﺮﺑﺘﻮﻟﻦ ﺩﻏﻦ ﻛﻬﻨﺪﻕ ﺍﷲ ،ﺑﻠﻴﻮ ﻣﺮﺍﺳﺄﻱ ﻛﺨﻴﻮﺍ ﺟﻮﺉ ﺍﻳﻨﻠﻪ !!! ﺧﺮﻳﺘﺎ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﲰﺎﺱ ﻛﺨﻴﻠﺚ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ﻣﻨﺠﺮﻳﺘﺎ ﺳﺮﺕ ﻣﻐﺎﻟﲑ ﺍﻳﺮ ﻣﺎﺗﺚ. ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺳﺎﺗﻮ ﻓﺮﺍﺳﺄﻥ ﺩﺩﺍﱂ ﻫﺎﰐ ﻓﻨﻮﻟﻴﺲ ﻬﺑﻮﺍ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺩﺭﻱ ﻛﺨﻴﻞ ۲ﻻﺋﻲ ﺳﻮﺩﻩ ﺩﻓﻮﻓﻮﻕ ﺍﻭﻟﻪ ﺍﻳﻬﺚ ﲰﺎﻏﺔ ﻛﺄﳝﺎﻧﻦ ،ﲰﺎﺱ ﺑﻠﻴﻮ ﺩﺑﻐﻜﻮ ﺳﻜﻮﻟﻪ ﺭﻧﺪﻩ ﺩﺍﱂ ﻣﺎﺱ ﻟﺒﻴﻬﻜﻮﺭﻍ ﻋﻤﺮﺙ ﺩﺭﺟﺔ ﺩﻭﺍ ﺑﻠﻴﻮ ﺳﻮﺩﻩ ﻣﻐﻨﻞ ﺍﷲ ،ﺍﻓﺒﻴﻼ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﺮﺣﺎﺟﺔ ﻛﻔﺪ ﺳﻮﺍﺕ ﻣﻚ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﻴﻨﺘﺄ ﺩﺍﻥ ﺑﺮﺩﻋﺎﺀ ﻛﻔﺪ ﺍﷲ ،ﺳﺪﻏﻜﻦ ﻛﺎﻧﻖ ۲ﻳﻐﻸﻳﻦ ﺑﻠﻮﻡ ﻻﺋﻲ ﳑﺎﳘﻲ ﺳﻴﺎﻓﻜﻪ ﺍﷲ؟ ﻛﺎﻟﻮ ﻟﻪ ﺧﻨﺘﻮﻩ ﺳﻔﺮﺕ ﺗﻮﻏﺌﻮ ﺑﻮﺍﻩ ﻓﺄﻭﻩ ﻟﻮﺭﻭﻩ ﺍﺗﻮ ﺟﺎﺗﻮﻩ ﺑﺮﺳﺎﻡ ﻛﺎﻧﻖ ۲ﻳﻐﻸﻳﻦ ،ﺑﻴﺎﺱ ﻛﺎﻧﻖ ﻳﻐﻸﻳﻦ ﳑﻴﻨﺘﺄ ﻛﻔﺪﺍ ﺟﻮﻥ ﺳﻔﺎﻯ ﻣﻨﺪﺍﺗﻐﻜﻦ ﺃﻏﲔ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻣﻨﺠﺎﺗﻮﻫﻜﻦ ﺑﻮﺍﻩ ﺍﻳﺖ ﺳﻔﺮﺕ ﻛﺎﺗﺚ "ﺟﻮﻥ ﺟﻮﻥ ﻣﻨﺘﺄ ﺃﻏﲔ ﺳﻜﺎﻭﻩ" ﺳﺪﻏﻜﻦ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﻳﻐﱪﺳﺎﻡ ﻋﻤﺮ ﺩﻏﻦ ﻛﺎﻧﻖ ۲ﺍﻳﺖ ،ﳑﻴﻨﺘﺄ ﻛﻔﺪ ﺍﷲ ﺳﻔﺮﺕ ﻟﻔﻈﺚ "ﻳﺎﷲ ﻳﺎ ﺗﻮﻫﻨﻜﻮﺑﺎﺋﻲ ﻛﻨﻠﻪ ﺃﻏﲔ ﻣﻐﺌﺮﻗﻜﻦ ﻓﻮﻫﻦ ﻓﺄﻭﻩ ﺳﻔﺎﻱ ﺟﺎﺗﻮﻩ ﺑﻮﺍﻩ ﺑﻮﺍﻫﺚ" )ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ2010/4/25 ،ﻡ(. -2ﻓﻨﺪﻳﺪﻳﻘﻜﻨﺚ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﻮﻷﻱ ﺑﻼﺟﺮ ﳑﺒﺎﺥ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺩﺭﻭﻣﻬﺚ ﺳﻨﺪﻳﺮﻯ ،ﺩﻏﻦ ﺍﻳﺒﻮ ﺩﺍﻥ ﺍﻳﻬﺚ ،ﻫﻴﻐﺊ ﺧﺘﻢ ﺩﺍﻥ ﻓﻨﺪﻱ ﳑﺒﺎﺥ ﺳﻨﺪﻳﺮﻱ ﺩﻏﻦ ﻟﺒﻪ ﻛﻮﺭﻍ ﲡﻮﻳﺪﺙ ،ﺳﺘﻠﻪ ﺑﺮﺍﻭﺳﻴﺎ ﲰﻔﻲ ﺗﻮﺟﻪ ﺗﺎﻫﻮﻥ ﻣﻮﻷﻳﻠﻪ ﻣﺎﺳﻮﻕ ﺳﻜﻮﻟﻪ ﺭﻧﺪﻩ ،ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻭﺳﻴﺎ ﺑﺮﺳﺎﻡ ﻓﺪ ﺣﺎﻝ ﻛﺎﻧﻖ ۲ﻷﻳﻦ ﺑﻠﻮﻡ ﻻﺋﻲ ﻟﻜﺖ ﻛﺄﻳﻦ ﺑﺮﻓﺎﻛﻲ ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺭﲰﻰ ﻣﻨﺘﻮﻑ ﻋﻮﺭﺓ ﻫﺎﺙ ﺗﺮﺋﻨﺘﻮﻍ ﺩﻟﻴﻬﲑ ﺳﻬﺎﺝ ) ﺗﻠﻨﺠﻎ( ،ﺗﺘﺎﰲ ﺑﻠﻴﻮﺳﻮﺩﻩ ﻓﻨﺪﻱ ﻓﺎﻛﻲ ﺳﺎﺭﻭﻍ ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﻣﻨﻨﺘﻮﻑ ﻋﻮﺭﺓ ،ﺑﻠﻴﻮ ﺳﻮﺩﺓ ﻣﻨﻮﱐ ﲰﺒﻬﻴﻎ ﻭﻟﻮﻓﻮﻥ ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺑﻠﻮﻡ ﺧﻮﻛﻮﻑ ﻟﻴﻢ ﻭﻗﺖ ﺩﺍﱂ ﺳﻬﺎﺭﻱ ) ﻛﻠﻮﺍﺭﺉ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺳﻲﺀ ﻣﺆ ،ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ 2010/4/21ﻡ( . -2.1ﻓﻨﺪﻳﺪﻳﻘﻜﻦ ﺩﺳﻜﻮﻟﻪ ﺭﻧﺪﻩ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﺧﺎﺭﻕ ﻛﺮﻳﺎﻥ ﻣﻮﻷﻱ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﺳﻜﻮﻟﻪ ﺭﻧﺪﻩ ﺃﻟﲑﺍﻥ ﺳﻴﺎﻡ ﺳﻬﻴﻐﺊ ﺩﺭﺟﻪ 4ﻛﻠﺲ ﻓﻐﺎﺑﻴﺴﻦ ﺳﻜﻮﻟﻪ ﺭﻧﺪﻩ ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ،ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ﺑﺮﻛﺎﺕ :ﻣﻐﻴﻜﻮﺕ ﺧﺮﻳﺘﺎ ﺑﺎﺏ ﲰﺎﺱ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﻮﺩﺍ، ﻛﺮﺍﺟﺄﻥ ﻣﻨﺎﻭﺭﻛﻦ ﻛﻔﺪﺍﺙ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺋﻮﺭﻭ ﺳﻜﻮﻟﻪ ﺭﻧﺪﻩ ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ،ﺗﺘﺎﰲ ﺗﺎﻭﺍﺭﻥ ﺍﻳﺖ ﺗﻴﺪﻕ ﺩﺗﺮﳝﺎ ﺍﻭﻟﻴﻪ ﺍﻳﻬﺚ، ﺍﻭﻟﻴﻬﻜﺮﺍﻥ ﻫﺎﺭﻓﻦ ﺍﻳﻬﺚ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺋﻮﺭﻭ ﺍﺋﺎﻡ ،ﺩﺍﻥ ﺣﺴﺮﺓ ﺍﻳﻬﺚ ﻣﺜﻤﺒﻮﻍ ﻣﺎﺕ ﻓﻼﺟﺮﺍﻧﺚ ﻳﻎ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
20
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺗﺘﺎﰲ ﺩﺍﱂ ﻛﺄﺩﺃﻥ ﺍﻳﻦ ﺳﺒﺐ ﻛﺨﺮﺩﻳﻘﻜﻦ ﺩﺍﻥ ﻓﻨﺪﺍﻯ ﳑﺒﺎﺥ ﺩﺍﻥ ﺑﺮﻓﻨﺘﻮﻥ ﺩﻳﻜﲑ ﺑﺎﺭﺕ ،ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ﺑﻠﻴﻮ ﺗﺮﻓﻐﺎﺭﻭﻩ ﺩﻏﻦ ﺩﻳﻜﲑ ﺑﺎﺭﺕ ﺩﺍﻥ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺗﻮﺍﻥ ﺟﻮﺭﻭ ﻳﻎ ﻫﻴﺒﺔ ﺩﺩﺍﱂ ﳑﺒﺎﻭﺍ ﺩﺍﻥ ﳑﺎﺩﻭ ﺩﻳﻜﲑ ﺑﺎﺭﺕ ﺍﻳﺖ ،ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﻫﻴﺒﻮﺭﺍﻥ ﻛﻔﺪ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ،ﺩﺩﺍﱂ ﻛﺄﺩﺃﻥ ﺍﻳﺖ ﺍﻳﻬﺚ ﺗﻴﺪﻕ ﺭﺿﺎ ﺩﻏﻦ ﻛﻔﻨﺪﺍﻳﻦ ﺍﻧﻘﺚ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺟﻮﺭﻭ ﺩﻳﻜﲑ ،ﺩﻏﻦ ﺩﻣﻜﲔ ﺳﺌﺮﺍ ﺍﻳﻬﺚ ﳑﱪﻱ ﺗﺎﻭﺭﺍﻥ ﺑﺮﻛﻬﻮﻳﻦ ﺩﻏﻦ ﺍﺳﺘﺮﻱ ﻓﺮﺗﺎﻣﺚ ﺩﻏﻦ ﺳﺆﺭﻍ ﺋﺎﺩﻳﺲ ﻛﻤﻔﻮﻍ ﻳﻐﱪﻧﺎﻡ ﻓﻮﺍﻥ ﺯﻳﺘﻮﻥ ﻳﻐﻤﺸﻬﻮﺭ ﺩﻏﻦ ﻧﺎﻡ ﻛﺄﺗﻮﻥ ،ﻓﺮﻛﻬﻮﻳﻦ ﺍﻳﻦ ﻛﺎﺗﺚ ﺩﻭﺭﻏﻦ ﺩﺭﻓﺪ ﺍﻭﺭﻍ ﺗﻮﺍ ﺩﺍﻥ ﺍﻭﺭﻍ ﻛﻤﻔﻮﻍ ،ﺩﻏﻦ ﺳﺒﺐ ﺗﺮﻓﻐﺎﺭﻭﻩ ﺩﻏﻦ ﺍﺧﻼﻕ ﻳﻎ ﺑﺄﻳﻚ ﺩﺍﻥ ﺩﻓﺮﺧﻴﺄﻱ ﺍﻭﻟﻴﻪ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﻛﻤﻔﻮﻍ ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ،ﺳﻔﺎﻯ ﺗﻴﺪﻕ ﺋﻠﻴﻨﺨﲑﻻﺋﻲ ﻛﺄﺭﻩ ﺩﻳﻜﲑ ﺑﺎﺭﺕ )ﺭﻣﻠﺔ ﺍﺳﺘﺮﻯ ﺍﺳﺘﺎﺫ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺳﺊ ﻣﺆ ،ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ 2010/4/23ﻡ ( ،ﺩﻏﻦ ﺗﻴﺪﻕ ﺑﱪﺍﻑ ﻻﻡ ﺣﺴﺮﺓ ﺍﻳﻬﺚ ﺳﻔﺎﻱ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺳﺌﻮﺭﻍ ﺋﻮﺭﻭ ﺍﺋﺎﻡ )ﺑﺎﺏ( ﺃﺧﲑﺙ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺑﺮﻓﻴﺴﻪ ﺩﻏﻦ ﻳﻎ ﻓﺮﺗﺎﻣﺚ ﺩﻏﻦ ﺍﻟﺴﻦ ﺑﻠﻴﻮ ﻟﺒﻪ ﻓﻨﺘﻴﻎ ﻛﻔﺪﺍ ﻣﻨﻨﺘﻮﰐ ﻋﻠﻤﻮ ،ﺩﺍﻥ ﺑﺮﲰﺎﻏﺔ ﻛﺄﺭﻩ ﺍﺋﺎﻡ ﻟﺒﻪ ﺩﺭﻱ ﻳﻐﻸﻳﻦ ﺗﺮﻓﻘﺴﺎ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺑﺮﻓﻴﺴﻪ ﺩﻏﻦ ﺍﺳﺘﺮﻳﺚ ﻳﻐﻔﺮﺗﺎﻡ ﺍﻳﺖ ،ﻣﻚ ﺩﻣﺎﺱ ﺗﺮﺃﺧﲑ ﺍﺳﺘﺮﻳﺚ ﻳﻐﱪﻓﺮﺗﺎﻡ ﺑﺮﻛﻬﻮﻳﻦ ﺩﻏﻦ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﻳﻐﻤﺸﻬﻮﺭ ﻧﺎﻣﺚ ﰊ ﻟﻪ ﺗﻮﺍﻥ ﻣﺆﺳﺲ ﺷﺮﻛﺔ ﺧﻖ ﻛﺮﻳﺎﻥ. -2.2ﻓﻨﺪﻳﺪﻳﻘﻜﻦ ﺩﻓﻨﺪﻭﻕ ﺳﻠﻔﺲ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﺳﻜﻮﻟﻪ ﺩﺍﺳﺮ ﻬﺗﺎﻱ ،ﺑﻠﻴﻮ ﻓﻴﻨﺪﻩ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺳﺎﻳﻒ ﺳﻴﺒﻮﺭﻱ ﻓﻄﺎﱏ ،ﺩﻏﻦ ﻛﺨﺮﺩﻳﻘﻜﻨﺚ ﺩ ﺩﺍﱂ ﻣﺜﻤﺒﻖ ﻋﻠﻤﻮ ﺩﺍﻥ ﻭﺭﻋﺚ ،ﻣﻚ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ) ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺳﺎﻳﻒ( ﺑﺎﺋﻲ ﺗﺎﻭﺍﺭﻥ ﻛﻬﻮﻳﻦ ﺩﻏﻦ ﺍﻧﻖ ﻓﺮﺍﻣﻔﻮﻧﺚ ﻳﻐﱪﻧﺎﻡ ﺧﻠﻴﻔﺔ ﺑﻨﺖ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ،ﺗﺘﺎﰲ ﺩﻏﻦ ﻣﺎﺱ ﺗﻴﺪﻕ ﺑﱪﺍﻑ ﻻﻡ ﺑﻠﻴﻮ ﺧﺮﺍﻱ ﺩﺍﻥ ﻃﻠﻖ ﺑﺮﺃﺳﻴﻐﻦ ﺩﻏﻦ ﺍﻧﻖ ﻓﺮﺍﻣﻔﻮﻥ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺍﻳﺖ ،ﺩﻏﻦ ﺳﺒﺐ ﻓﺮﻛﻬﻮﻳﻨﻦ ﺍﻳﺖ ﺩﺃﺩﺍﻛﻦ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﺗﻜﺎﻧﻦ ﺩﺭﻓﺪ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺳﻨﺪﻳﺮﻱ ﻳﻎ ﺑﻠﻮﻡ ﻣﻨﺪﺍﻓﺔ ﻓﺮﺳﺘﻮﺟﻮﺍﻥ ﺩﺭﻓﺪ ﺍﻧﻖ ﻓﺮﺍﻣﻔﻮﺍﻧﺚ ،ﻣﻚ ﺗﺮﻓﻘﺴﺎ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﺮﻓﻴﻨﺪﻩ ﺩﺭﻯ ﺳﻴﺘﻮ ﺳﻔﺎﻱ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﺮﲰﺒﻮﻍ ﻻﺋﻲ ﺧﻴﺘﺎ ﺧﻴﺘﺎﺙ ﺩﺩﺍﱂ ﻓﺮﺟﺎﻟﻨﻦ ﻬﺑﺘﺮﺍ ﻋﻠﻤﻮ ﻓﻐﺘﻬﻮﺍﻥ، ﺩﺍﻥ ﺑﻠﻴﻮ ﻓﻴﻠﻴﻪ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺣﺎﺝ ﺣﺴﻦ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺃﻣﲔ ﻣﻖ ﺃﻏﺌﻮﻝ ﺩﺍﺋﺮﺓ ﻣﺎﻳﻮﺭ ﻓﻄﺎﱐ ) ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺑﻦ ﺣﺎﺝ ﳏﻤﺪ، ﲤﻮﺩﺋﺎ 2010/4/6ﻡ( ﺩﺍﻥ ﺍﺳﺘﺮﻯ ﻳﻐﻜﺪﻭﺍ ﺍﻳﻦ ﺳﺘﻠﻪ ﺩﺧﺮﺍﻳﻜﻦ ﺍﻭﻟﻴﻪ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ،ﻣﻚ ﺩﻛﻬﻮﻳﻦ ﻻﺋﻲ ﺩﻏﻦ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﺻﺎﱀ ﻳﻎ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﻓﻐﺌﻨﱵ ﺗﺆﺋﻮﺭﻭ ﺗﻮﺍ ﻳﻎ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭﺩﻣﺎﺱ ﺳﻜﺎﺭﻍ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻓﻨﺪﻭﻕ ﺳﺎﻳﻒ ﺳﺒﻬﺎﺋﲔ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺍﻭﻟﻴﻬﻜﺮﺍﻥ ﻣﺆﺳﺴﺔ ﺍﻳﻦ ﺩﻣﺎﺱ ﺳﻜﺎﺭﻍ ﺍﺩﺍ ﺩﻭﺍ ﺍﻟﲑﻥ :ﺍﻟﲑﻥ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺍﻥ ﺍﻟﲑﻥ ﺳﻜﻮﻟﻪ. ﺩﻓﻨﺪﻭﻕ ﺳﺎﻳﻒ ﺍﻳﻦ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﺩﺋﻠﺮﻛﻦ ﺍﻭﻟﻴﻪ ﺋﻮﺭﻭ ﺩﺍﻥ ﺭﺍﻛﻨﺚ ﺩﻏﻦ ﻧﺎﻡ " ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ")ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ( ﺩﻏﻦ ﻛﺄﺩﺃﻥ ﺑﻠﻴﻮ ﺳﻨﺘﻴﺎﺱ ﺑﺮﻛﻔﻴﺔ ﲰﺒﻬﻴﻎ ﺑﺮﲨﺎﻋﺔ ﺩﺑﺎﺭﻳﺴﻦ ﺃﻭﻝ ،ﻬﺑﻜﻦ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﻣﺆﺫﻥ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻣﺜﺮﻭ ﻓﻼﺟﺮ ﺩﺭﻱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻛﺒﻠﻲ ﺍﺗﻮ ﻣﺼﻠﻰ ﺑﺮﲨﺎﻋﺔ ،ﺩﺍﻥ ﺑﻠﻴﻮﺟﻮﺉ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻏﻦ ﺧﺎﺭﺍ ﺗﻜﻮﻥ ﺩﺍﻥ ﺑﺮﺳﻮﻏﺌﻮﻩ ﺩﺩﺍﱂ ﻣﺎﺕ ﻓﻼﺟﺮﺍﻧﺚ ،ﺳﺒﺐ ﺍﻳﺖ ﺑﻠﻴﻮ ﺩﺋﻠﺮﻛﻦ ﻭﺭﻉ ﺩﻏﻦ ﻭﺭﻉ ﺍﻳﻦ ﺩﻓﻐﺎﺭﻭﻫﻲ ﺍﻭﻟﻴﻪ ﺍﻭﺭﻍ ﺭﺍﻣﻲ ﻳﻎ ﺧﻮﺑﺎ ﻣﻨﺎﻭﺭﻛﻦ ﺍﻧﻖ ﻓﺮﺍﻣﻔﻮﺍﻥ ﻣﺮﻳﻚ ﺳﻔﺎﻯ ﺑﺮﻛﻬﻮﻳﻦ ﺩﻏﻦ ﺑﻠﻴﻮ. ﺩﻣﺎﺱ ﺑﻠﻴﻮ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻣﻖ ﺃﻏﺌﻮﻝ ،ﺑﻠﻴﻮﻓﺮﻧﻪ ﺩﺑﺮﻱ ﻧﺼﻴﺤﺔ ﻛﻔﺪﺍﺙ ﺍ ﻭﻟﻴﻪ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﺣﺴﻦ ﺑﺮﻛﻨﺄﻥ ﺩﻏﻦ ﻓﺮﻛﻬﻮﻳﻨﻦ ،ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﻣﻐﺘﺎﻛﻦ ﻛﻔﺪﺍﺙ :ﻛﺎﻣﻮ ﺗﺄﺑﺮﺍﻭﻧﺘﻮﻍ ﻻﺋﻲ ﺑﻼﺟﺮ ﺳﺮﺕ ﻛﻬﻮﻳﻦ ،ﺍﻛﻮ ﺳﻮﻙ ﻧﺼﻴﺤﺔ ﻛﻔﺪﺍ ﻣﻮ ﻫﻨﺪﻗﻠﻪ ﻛﺎﻣﻮ ﺑﻼﺟﺮ ﺗﺮﻭﺱ ﺩﺍﻥ ﺟﺎﻏﻦ ﳑﻴﻜﲑ ﺑﺮﻛﻬﻮﻳﻦ ﻻﺋﻲ ،ﻫﻴﻐﺊ ﺑﻴﻼ ﻛﺎﻣﻮ ﺭﺍﺳﺎ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
21
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺳﻮﺩﻩ ﺧﻮﻛﻮﻑ ﺩﻏﻦ ﻋﻠﻤﻮ ﻓﻐﺘﻬﻮﺍﻥ ،ﻛﺎﻣﻮ ﺑﺮﻫﻨﱵ ﺩﺍﻥ ﻛﻬﻮﻳﻦ ﺩﺍﻥ ﺳﺮﻩ ﻛﻔﺪﺍ ﺍﷲ ﺇﻥ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ ﺟﻚ ﺑﺘﻮﻝ ﺩﻏﻦ ﻛﻬﻨﺪﻗﺚ ،ﻛﺎﻣﻮ ﺍﻛﻦ ﺩﺍﻓﺔ ﻛﱪﻛﺎﺗﻦ )ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ2010/4/27 :ﻡ(. ﺩﻏﻦ ﺍﻳﺖ ﺑﻠﻴﻮ ﺩﻏﺮ ﻧﺼﻴﺤﺔ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭﺙ ﺩﺍﻥ ﺗﺮﻭﺱ ﺑﻼﺟﺮ ﻫﻴﻐﺊ ﲰﻔﻲ ﺳﻮﺍﺕ ﻣﺎﺱ ﺩﻏﻦ ﺗﻘﺪﻳﺮ ﺍﷲ ،ﺍﺩﺍ ﺍﻭﺭﻍ ﻣﻨﻮﻟﻮﻏﺚ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﲤﺒﻎ ﺩﺍﻥ ﳑﱪﻯ ﻧﻔﻘﺔ ﻓﺮﺟﺎﻟﻨﻦ ﻣﺴﺎﻓﲑﺙ ﻛﻤﻜﻪ ﻳﻎ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﻘﺼﻮﺩﺙ )ﻓﺮﺗﺎﻡ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻣﻨﻮﻧﻴﻜﻦ ﺣﺞ ﺩﺍﻥ ﻳﻐﻜﺪﻭﺍ ﲰﺒﻮﻍ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻛﻮﺗﺎ ﻣﻜﻪ(. -2.3ﻓﻨﺪﻳﺪﻳﻘﻜﻦ ﺩﻣﻜﻪ ﺳﺘﻠﻪ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﺮﺍﺳﺎﻛﻦ ﻛﻬﻮﻳﻦ ﺩﻣﺎﺱ ﺑﻼﺟﺮ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺳﺎﺗﻮ ﺑﺒﺎﻧﻦ ﺑﺮﺕ ،ﺗﺮﻫﺎﺩﻑ ﻛﺠﻴﺄﻧﺚ ﺩﺩﺍﱂ ﻣﻨﻮﻧﺘﻮﰐ ﻋﻠﻤﻮ ،ﺩﻣﻲ ﻻﺭﻱ ﺟﺄﻭﻩ ﺩﺭﻓﺪﺍ ﻓﺮﺋﻠﻮﻗﻜﻦ ﺍﻳﻦ ،ﺑﻠﻴﻮ ﻣﺴﺎﻓﲑ ﺍﻧﺘﻮﻕ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻣﻜﻪ ﺳﻔﺎﻱ ﺗﻴﺪﻕ ﺍﺩﺍ ﻻﺋﻲ ﺍﻭﺭﻍ ﻣﻨﺎﻭﺍﺭ ﺍﻧﻖ ﻓﺮﺍﻣﻔﻮﺍﻥ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﺑﺮﻛﻬﻮﻳﻦ ﺩﻏﻨﺚ ،ﺩﻏﻦ ﺍﻳﺖ ﺑﻠﻴﻮ ﺗﺮﻭﺱ ﺑﻼﺟﺮ ﻋﻠﻤﻮ ﺩﺗﺎﻧﻪ ﻣﻜﻪ ،ﺳﻼﻡ ﻟﺒﻪ ﻛﻮﺭﻍ 19ﺗﺎﻫﻮﻥ ،ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺗﺮﻭﺳﻦ ،ﻓﺪﺍ ﻣﻮﻻﺙ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﺮﻣﻘﻴﻢ ﺩﻛﺎﻭﺍﺳﻦ ﻳﻐﱪﻧﺎﻡ ﺷﻌﺐ ﻋﺎﻣﺮ ،ﻳﻎ ﺗﻴﺪﻕ ﺟﺄﻭﻩ ﺟﺎﺭﻗﺚ ﺩﺭﻓﺪ ﻣﺴﺠﺪ ﺍﳊﺮﺍﻡ ﻳﺄﻳﺖ ﲤﻔﺖ ﺑﻼﺟﺮ ،ﺩﺍﻥ ﻣﺎﺱ ﻳﻐﺘﺮﺃﺧﲑ ﺑﻠﻴﻮﻓﻴﻨﺪﻩ ﻛﻜﺎﻭﺍﺳﻦ ﺷﻌﺐ ﻋﻠﻰ ﻳﻎ ﻟﺒﻪ ﺩﻛﺖ ﻻﺋﻲ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻛﻤﺴﺠﺪ ،ﻟﺒﻪ ﺩﻛﺖ ﻻﺋﻲ ﻛﻜﻤﻔﻮﻍ ﺃﺟﻴﺎﺩ ﻳﺄﻳﺖ ﻛﺎﻭﺍﺳﻦ ﺑﺎﺛﻖ ﻓﺎﺭﺍ ﻓﺎﺭﺍ ﺷﻴﺦ ﺩﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﻣﻼﻳﻮ ﻳﻎ ﻣﻐﺎﺟﺮ ﺍﻧﻖ ۲ﻣﻼﻳﻮ ﻳﻎ ﺑﺮﺍﺩﺍ ﺩﻣﻜﻪ ﻳﺄﻳﺖ ﻛﺎﻭﺍﺳﻦ ﺑﻮﻛﻴﺖ ﺍﺟﻴﺎﺩ ﺳﺪ ،ﺳﻔﺮﺕ ﺑﺎﺑﺎ ﱄ ﺧﺎﻳﻴﺎ ،ﺑﺎﺑﺎ ﺳﲔ ﺳﻮﺭﺍﺕ ﺩﺍﻥ ﻷﻳﻦ ،۲ﺳﺘﻠﻪ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﺮﺍﻭﺳﻴﺎ ﺳﻮﺩﻩ ﻻﺭﻭﺕ ﻓﻨﺠﻎ ﻛﲑﺍ ﻟﺒﻬﻜﻮﺭﺍﻍ 45ﺗﺎﻫﻮﻥ ،ﺑﺎﺭﻭﻟﻪ ﺑﻠﻴﻮ ﳑﻴﻜﲑﻛﻦ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﺑﺮﻛﻬﻮﻳﻦ ،ﻣﻚ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﺎﺳﻮﻕ ﺩﺍﱂ ﻋﺎﱂ ﻓﺮﻛﻬﻮﻳﻨﻦ. ﺳﺴﻮﻏﺌﻮﻫﺚ ﻓﺮﻛﻬﻮﻳﻨﻦ ﺩﻛﺎﱄ ﺍﻳﻦ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻛﺎﱄ ﻛﺘﻴﺊ ،ﺳﺘﻠﻪ ﺩﻭﺍ ﺍﺳﺘﺮﻱ ﻳﻎ ﻻﻟﻮ ﺩﺧﺮﺍﻳﻜﻦ ﺩﻣﺎﺱ ﺳﺒﻠﻮﻡ ﺑﻠﻴﻮ ﻛﺘﺎﻧﻪ ﺳﻮﺟﻲ ﻻﺋﻲ ،ﺩﺍﻥ ﺍﳒﻮﺭﺍﻥ ﺍﺗﻮ ﻓﺮﺍﺗﻮﺭﺍﻥ ﻓﺮﻛﻬﻮﻳﻨﻨﺚ ﺩﻛﺎﱄ ﺍﻳﻦ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﻐﻬﻨﺘﺮ ﺑﺮﻳﺘﺎ ﻣﻼﻟﻮﻱ ﻛﺎﻭﺍﻥ ۲ﺩﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ۲ﻳﻎ ﺑﻠﻴﻮ ﺛﻘﺔ ﺩﺍﻥ ﻓﺮﺧﺎﻳﺄﻱ ﲰﺄﺩﺍ ﺩﺗﺎﻧﻪ ﺳﻮﺧﻲ ﺍﺗﻮﻓﻮﻥ ﺩﺗﺎﻧﻪ ﺍﻳﺮ ﻳﺄﻳﺖ ﺩﻓﻄﺎﱏ ،ﺩﺳﻴﺘﻮ ﺟﻮﺉ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﻨﺪﺍﻓﺔ ﻓﻐﺸﻮﺭﺍﻥ ﻳﻎ ﺗﺮﺩﻳﺮﻱ ﺩﺭﻓﺪﺍ ﺍﻳﻬﺚ ﺳﻨﺪﻳﺮﻱ ﺩﺍﻥ ﻛﺎﻭﻥ ۲ﻳﻐﻸﻳﻦ ،ﺑﻠﻴﻮ ﺩﻏﻦ ﺗﻴﺪﻕ ﺳﻮﺳﻪ ﺩﺍﻥ ﺑﺮﺳﺘﻮﺟﻮ ﻛﻬﻮﻳﻦ ﺩﻏﻦ ﺳﺆﺭﻍ ﺋﺎﺩﻳﺲ ﺑﻜﺲ ﺑﻼﺟﺮ ﻣﺪﺭﺳﺔ ﻓﻮﻣﻴﻎ ﻳﻐﱪﻧﺎﻡ ﲪﻴﺪﺓ ﺑﻨﺖ ﺣﺴﻦ. ﻓﺮﻛﻬﻮﻳﻨﻦ ﺍﻳﺖ ﺩﺃﺩﺍﻛﻦ ﺩﺭﻭﻣﻪ ﻛﻠﻮﺍﺭﺉ ﲪﻴﺪﺓ ﺳﻨﺪﻳﺮﻯ ﺩﻓﺎﺳﲑ ﺟﺎﻭﺍ ﻛﻮﺍﺳﻦ ﺗﻠﻮﺑﻦ ﻓﻄﺎﱏ ،ﺳﺨﺎﺭﺍ ﻭﻛﻴﻞ ﺍﻏﻜﺖ ) ﻟﻔﻆ ﻧﻜﺎﺡ( ﺩﺍﻥ ﺗﺮﻭﺱ ﺩﻫﻨﺘﺮﻛﻦ ﻛﺘﺎﻧﻪ ﻣﻜﺔ ،ﻳﻎ ﻓﺪ ﺃﻭﻟﺚ ﻓﻮﺍﻥ ﲪﻴﺪﺓ ﺳﺒﻠﻮﻡ ﺑﺮﻓﻴﻨﺪﻩ ﺩﺭﻱ ﻣﺪﺭﺳﺔ ﻓﻮﻣﻴﻎ ﻛﻔﻮﻧﺪﻭﻕ ﻓﺎﺳﲑ ﻓﻮﺗﻴﻪ ،ﻳﻎ ﻣﻘﺼﻮﺩ ﺍﻳﻬﺚ ﺳﻔﺎﻯ ﻣﻠﻨﺨﺮ ﻻﺋﻲ ﻓﻐﺎﺟﻴﻨﺚ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺑﻮﻛﻦ ﺩﺳﻜﻮﻟﻪ ،ﻛﺎﺕ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ :ﺳﺎﻱ ﺭﺍﺳﺎ ﺍﻳﻐﲔ ﺑﺮﺳﺎﻡ ۲ﺩﻏﻦ ﺭﺍﻛﻦ ۲ﺳﺎﻱ ﺑﺮﲰﺒﻮﻍ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻟﻮﺍﺭ ﻧﺌﺮﻱ ﺩﻣﺎﻟﻴﺴﻴﺎ ﺍﺗﻮ ﺩﺗﺎﻧﻪ ﻋﺮﺏ ،ﺗﺘﺎﰱ ﺧﻴﺘﺎ ﺧﻴﺘﺎ ﺳﺎﻱ ﺩﺳﻜﺖ ﺍﻭﻟﻪ ﺑﺎﻑ ﺳﺎﻱ ﺳﺘﻠﻪ ﺳﺎﻱ ﺳﻠﺴﻲ ﻓﻔﺮﻳﻘﺴﺄﻥ ﺩﻛﻠﺲ ﲰﺒﻴﻠﻦ ﺩﻓﻮﻣﻴﻎ ،ﻳﻎ ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ﻓﻮﻣﻴﻎ ﻫﺎﺙ ﻛﻠﺲ ﲰﺒﻴﻠﻦ ﺳﻬﺎﺝ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﻛﻠﺲ ﻓﻐﺎﺑﻴﺴﻦ ،ﺩﺍﻥ ﺑﻮﻟﻴﻪ ﲰﺒﻮﻍ ﺩﺳﻜﻮﻟﻪ ﻷﻳﻦ ﺳﻔﺮﺕ ﺩﺑﻨﺪﺍﺭ ،ﺟﺮﺍﻏﺒﺎﺗﻮ ،ﺩﺍﻧﻸﻳﻦ )ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ :ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ 2010/4/28ﻡ(. ﺳﻮﻗﺘﻮ ﺳﻬﺎﺝ ﺍﻓﺒﻴﻼ ﲪﻴﺪﺓ ﲰﻔﻲ ﺩﺗﺎﻧﻪ ﺳﻮﺧﻲ ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﻣﻨﺨﺮﻳﺘﺎ ﻛﻔﺪﺍ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ﻬﺑﻮﺍ ﺑﻠﻴﻮ ﻳﻎ ﺳﺒﻠﻮﻡ ﺍﻳﺖ ،ﺑﻠﻴﻮ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻏﻦ ﺳﻮﺳﻪ ﻛﺎﺩﻍ ۲ﺗﻴﺪﻕ ﻣﺎﻛﻦ ﺩﺭﻱ ﻓﺎﺋﻲ ﻫﻴﻐﺊ ﻓﺘﻎ ،ﺩﻏﻦ ﺳﺒﺐ ﻛﺒﺎﺛﻘﻜﻦ ﺳﻮﻣﺒﲑ ﻳﻎ ﺩﺍﻓﺔ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻫﻴﺪﻭﻓﻦ ﻫﺎﺭﻳﲔ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﺑﻨﺪﺍ ۲ﺳﺒﻴﻞ )ﺑﻨﺪﺍ ﺻﺪﻗﺔ( ﻳﻎ ﺑﻴﺎﺱ ﺍﻭﺭﻍ ﻋﺮﺏ ﺳﻮﻙ ﳑﱪﻱ ﺻﺪﻗﺔ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
22
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻛﻔﺪﺍ ﻓﻘﲑ ﻣﺴﻜﲔ ،ﻛﺎﻟﻮ ﻫﺎﺭﻱ ﻣﺎﻥ ﺑﻠﻴﻮ ﺗﻴﺪﻕ ﲰﻔﺖ ﻣﻨﺮﳝﺎ ﺻﺪﻗﺔ ﺍﺗﻮ ﻣﻜﺎﻧﻦ ﺩﺭﻱ ﻓﻤﻮﺭﻩ ﻫﺎﰐ ،ﻣﻚ ﺑﻠﻴﻮ ﻛﺨﻴﻮﺍ ﺩﺍﻥ ﺗﻴﺪﻕ ﺍﺩﺍ ﻣﺎﻛﻨﻦ ،ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ﺧﺮﻳﺘﺎ ﻻﺋﻲ ﺗﻨﺘﻎ ﻛﺼﱪﺍﻧﺚ ﺩﺩﺍﱂ ﻓﺮﻻﻳﻨﻦ ﻬﺑﺘﺮﺍ ﻛﻌﻠﻤﻮﺍﻥ ،ﲰﺎﺱ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻣﻜﻪ ﺩﻭﻗﺖ ﺍﻳﺖ ﻳﻎ ﻛﺎﻭﻥ ۲ﲰﻮﺍ ﳑﺎﺳﻖ ﻣﺎﻛﻨﻦ ﺩﻏﻦ ﺑﻮﺗﻮﺋﺲ ،ﺗﺘﺎﰲ ﺑﻠﻴﻮ ﻫﺎﺙ ﻣﻐﺌﻮﻧﺎ ﺩﺍﻓﻮﺭ ﲰﺎﻭﺭ ﻳﻎ ﻣﻐﺌﻮﻧﺎ ﻣﻴﺜﻖ ﺋﺎﺱ ﺳﻬﺎﺝ . ﺳﺘﻠﻪ ﺑﻠﻴﻮ ﻛﻬﻮﻳﻦ ﺩﻏﻦ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ،ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﻣﻨﻠﻮﺍﺳﻜﻦ ﺭﺯﻗﻲ ﻛﻔﺪﺍﺙ ﻳﻎ ﺑﺎﺛﻖ ،ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺍﻧﺴﻮﺭ ۲ﻫﻴﻐﺊ ﺩﺍﻓﺔ ﳑﻨﺠﻐﻜﻦ ﻣﺎﺳﺚ ﻫﻴﺪﻭﻑ ﺩﻣﻜﻪ ﺑﺮﲤﺒﻪ ﻻﺋﻲ ،ﻳﻎ ﻟﺒﻪ ﻛﻮﺭﻍ 4ﺗﺎﻫﻮﻥ ،ﺳﺘﻠﻪ ﺍﻳﺖ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﺮﺗﻮﻟﻖ ﺑﺎﻟﻴﻖ ﻛﺘﺎﻧﻪ ﺍﻳﺮ .ﺑﺮﻛﺎﺕ ﺍﻭﺳﺘﺎﺫ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺳﻲﺀ ﻣﺆ :ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﺑﺎﻟﻴﻖ ﻛﺘﺎﻧﻪ ﺍﻳﺮ ﲰﺎﺱ ﺳﺎﻱ ﺩﺍﻓﺔ ﻗﺒﻮﻝ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻧﺌﺮﻱ ﺳﻮﺩﺍﻥ ﻟﺒﻪ ﻛﻮﺭﻍ ﺗﺎﻫﻮﻥ 1399ﻫﺠﺮﻳﺔ ﻳﻐﱪﲰﺄﻥ ﺩﻏﻦ ﺗﺎﻫﻮﻥ 1978ﻣﻴﻼﺩﻳﺔ ،ﺑﺮﺍﺭﰐ ﺑﻠﻴﻮ ﺩﺳﺎﻥ ﻟﺒﻪ ﻛﻮﺭﻍ 23ﺗﺎﻫﻮﻥ )ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺳﻲﺀ ﻣﺆ ،ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ2010/4/ 21 :ﻡ(. ﺑﻠﻴﻮ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻣﻜﻪ ﻫﺎﺙ ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺑﻴﺎﺱ ﺳﻬﺎﺝ )ﺍﻳﻨﻔﻮﺭﻣﻞ( ،ﻳﻎ ﺗﻴﺪﻕ ﺑﺮﺍﻟﲑﻥ ﺳﻜﻮﻟﻪ ،ﺑﻠﻴﻮﻫﺎﺙ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻣﺴﺠﺪ ﺍﳊﺮﺍﻡ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺗﻠﻘﻰ ﺩﺭﻓﺪ ﺗﻮﻛﻮﻩ ﺗﻮﻛﻮﻩ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﻳﻎ ﻣﻌﺘﱪ ﻓﺪﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ﺳﺘﻐﻪ ﺩﺭﻓﺪﺍﺙ ﺍﻳﺎﻟﻪ: (1ﺷﻴﺦ ﳏﻤﺪ ﺣﻀﺮﻣﻲ (2ﺷﻴﺦ ﳏﻤﺪ ﺻﻔﺮ (3ﺷﻴﺦ ﻋﺒﺪ ﺍﳌﻠﻚ ﻣﻌﻼ (4ﺷﻴﺦ ﺳﻌﻴﺪ ﺟﻨﺪﻝ (5ﺷﻴﺦ ﺣﺴﻦ ﳏﻤﺪ ﻣﺸﺎﻁ ﺩﺍﻥ ﻷﻳﻦ ۲ﺙ )ﻣﺎﻣﺎﲪﻴﺪﺓ ،ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ2010/4/25 :ﻡ( ﺩﺍﻥ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭ ﻣﻨﺪﺍﳌﻲ ،ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﻛﺘﺎﺏ ﻛﻜﺘﺎﺏ ) ﺑﺎﺏ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﺣﺎﺝ ﺃﻣﲔ، ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ2010/4/25 :ﻡ( ﺍﻳﺎﻟﻪ: (1ﺷﻴﺦ ﺳﻴﺪ ﻋﻠﻮﻱ ﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺍﳌﺎﻟﻜﻲ (2ﺷﻴﺦ ﻭﺍﻥ ﺍﲰﺎﻋﻴﻞ ﺑﻦ ﻭﺍﻥ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ ﺍﻟﻔﻄﺎﱐ )ﻓﺄﺩﺍﻋﻴﻞ( (3ﺷﻴﺦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ ﺍﳌﻨﺪﻳﻠﻲ ﺍﻻﻧﺪﻭﻧﻴﺴﻲ (4ﺩﺍﻥ ﻷﻳﻦ ۲ﺙ -3ﻋﻠﻤﻮ ﻓﻐﺘﻬﻮﺍﻧﺚ ﺳﺴﻮﻏﻜﻮﻫﺚ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﺑﻦ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺍﺩﺍﻟﻪ ﺳﺆﺭﻍ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﻓﻄﺎﱏ ﻳﻎ ﻫﻴﺪﻭﻑ ﺩﺍﱂ ﺳﻮﺍﺳﺎﻥ ﻓﻨﻮﻩ ﺩﻏﻦ ﻋﻠﻤﻮ ﻓﻐﺘﻬﻮﺍﻥ ،ﻳﻎ ﺳﻮﺩﻩ ﻣﻌﻠﻮﻡ ﻬﺑﻮﺍ ﺩﺯﻣﺎﻧﺚ ﻳﺄﻳﺖ ﻓﺪ ﻓﺮﺗﻐﻬﻦ ﺩﺍﻥ ﺃﺧﲑ ﺍﺑﺪ ﻙ 20ﻡ ﺑﺎﺛﻖ ﻋﻠﻤﺎﺀ ۲ﻳﻎ ﺗﺮﻛﻨﻞ ﲰﺄﺩﺍ ﺩﺍﱂ ﻧﺌﺮﻱ ﺍﺗﻮ ﻟﻮﺍﺭ ﻧﺌﺮﻱ ،ﻳﻎ ﺑﻮﻟﻴﻪ ﺳﻴﺎﻑ ﺳﻬﺎﺝ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻣﻐﺠﺮ ﻋﻠﻤﻮ ﺍﻳﺖ، ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺟﻮﺉ ﺗﻴﺪﻕ ﺧﻮﺍﻱ ﺩﺭﻛﺠﺮﺍﻥ ﺍﻳﺖ ،ﺩﺭﻓﺪ ﺩﺍﱂ ﻧﺌﺮﻱ ﻫﻴﻐﺊ ﻟﻮﺍﺭ ﻧﺌﺮﻱ. ﻣﻚ ﻓﺪﺍ ﺍﺑﺪ ﺗﺮﺳﺒﻮﺕ ﺍﻳﺖ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﻣﻨﺪﺍﻓﺖ ﺩﻳﺪﻳﻘﻜﻦ ﻳﻎ ﻻﻡ ﺳﻬﻴﻐﺊ ﺑﻠﻴﻮ ﺗﺮﻛﻨﻞ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﺳﺆﺭﻍ ﻋﺎﱂ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﻓﻄﺎﱏ ﻳﻎ ﻓﻨﻮﻩ ﺩﻏﻦ ﻋﻠﻤﻮ ﻓﻐﺘﻬﻮﺍﻥ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺍﺗﻮ ﺗﻠﻘﻲ ﻳﻎ ﺧﺘﻢ ﻛﺘﺎﺏ ﻛﻜﺘﺎﺏ ﺳﻔﺮﺕ ﻓﺮﻳﺪﺓ ﺍﻟﻔﺮﺍﺀﻳﺪ ،ﻣﻨﻴﺔ ﺍﳌﺼﻠﻲ ،ﺑﺎﻛﻮﺭﺓ ﺍﻷﻣﺎﱐ ﺩﻏﻦ ﺑﺎﺏ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﺑﺎﺑﺎ ﺗﻮﺍ ﻓﻐﺎﺱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺳﺎﻳﻒ ﺩﺍﻥ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
23
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻋﻘﻴﺪﺓ ﺍﻟﻨﺎﺟﲔ ﺷﺮﺡ ﺍﻟﺴﺘﲔ ﺍﻟﻜﻴﻼﱐ ،ﺍﻟﺸﺮﻗﺎﻭﻯ ،ﺍﻻﻗﻨﺎﻉ ﺩﻏﻦ ﺑﺎﺏ ﺣﺎﺝ ﺣﺴﻦ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺃﻣﲔ ﻣﻖ ﺍﻏﺌﻮﻝ )ﺑﺎﺏ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ2010/4/27 :ﻡ( ﺩﺍﻥ ﺑﺎﻳﻖ ﻛﺘﺎﺏ ۲ﻳﻐﻸﻳﻦ ﻳﻎ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺗﻴﺪﻕ ﺧﺘﻢ ﺩﻏﻦ ﺋﻮﺭﻭ ﺳﺘﻐﻬﺚ ﺑﺮﺧﺘﻢ ﺳﻔﺎﺭﻭﻩ ﺍﺗﻮ ﺳﺮﺑﻊ ﺩﺭﻓﺪ ﻛﺘﺎﺏ ﺳﻔﺮﺕ ﻓﺘﺢ ﺍﻟﻮﻫﺎﺏ ،ﺍﶈﻠﻲ ،ﺳﻠﻢ ﺍﳌﺒﺘﺪﺉ ،ﺑﻠﻮﻍ ﺍﳌﺮﺍﻡ ،ﻓﺘﺢ ﺍﻟﻘﺮﻳﺐ )ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ2010/4/27 :ﻡ( ،ﻛﺎﺕ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ﻻﺋﻲ ﺑﺎﺛﻖ ﻛﺘﺎﺏ ﻳﻎ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺑﻼﺟﺮ ﺳﺒﻠﻮﻡ ﻛﻤﻜﻪ ﺩﻏﻦ ﺋﻮﺭﻭ ۲ﺙ ﺩﻓﻄﺎﱐ ﺩﻏﻦ ﺍﻟﺴﻦ ﺳﺘﻠﻪ ﺳﺎﻱ ﺑﺎﻟﻴﻖ ﺩﺭﻱ ﻣﻜﻪ ﺩﻏﻦ ﺋﺴﺎ ۲ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺗﻴﺪﻕ ﻣﺄﻭ ﺑﺎﻟﻴﻖ ﻛﺮﻭﻣﻪ ﺑﺎﻑ ﺳﺎﻱ ﺩﻓﺎﺳﲑ ﺟﺎﻭﺍ ،ﻳﻎ ﻣﻘﺼﻮﺩ ﺍﻳﻪ ﺳﺎﻱ ﻣﻨﻨﺘﻮﺑﺎﻟﻴﻖ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﺑﻮﻛﺎ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﲤﻔﺖ ﺗﻴﻐﺌﻠﺚ ﺗﺘﺎﰲ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺍﻏﺌﻦ ﺍﻭﻟﻴﻬﻜﺮﺍﻥ ﺧﻴﺘﺎ ۲ﺙ ﺩﺭﻱ ﻣﻮﻻ ﻻ ﺋﻲ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﺮﻧﻴﺔ ﳑﺒﻮﻛﺎ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﻛﻤﻔﻮﻍ ﺩﲤﻔﺔ ﻻﻫﲑﺙ ﺳﻨﺪﻳﺮﻱ ،ﺍﻓﺒﻴﻼ ﺳﺎﻱ ﲰﻔﻲ ﺩﺭﻭﻣﻬﺚ ﺳﺎﻱ ﻣﻠﻴﻬﺖ ﺑﺎﺛﻖ ﻛﺘﺎﺏ ۲ﺩﺳﻴﻤﻔﻦ ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺑﺄﻳﻚ ﺍﻭﻟﻪ ﺍﻳﺒﻮﺙ ﺩﺭﻭﻣﻬﺚ ،ﻳﻎ ﺳﺎﻱ ﺍﻳﻐﺔ ﺳﻔﺮﺕ ﻛﺘﺎﺏ ﺳﻔﻴﻨﺔ ﺍﻟﻨﺠﺎ ،ﺗﻔﺴﲑ ﺟﻼﻟﲔ ،ﺭﻳﺎﺽ ﺍﻟﺼﺎﳊﲔ ،ﺳﺒﻞ ﺍﻟﺴﻼﻡ ،ﻣﻨﻬﺎﺝ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ ،ﺍﺑﻦ ﻋﻘﻴﻞ ﺩﺍﻥ ﻷﻳﻨﺚ. ﺩﻣﻜﺔ ﺟﻮﺉ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺗﻠﻘﻲ ﺳﻔﺮﺕ ﻛﺘﺎﺏ ﺳﻨﻦ ﺍﰊ ﺩﺃﻭﺩ ﺩﻏﻦ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺳﻴﺪ ﻋﻠﻮﻱ ﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺍﳌﺎﻟﻜﻲ ،ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻷﺯﻫﺮﻯ ،ﺍﻟﻔﺎﻛﻬﻲ ،ﺍﺑﻦ ﻋﻘﻴﻞ ،ﺷﺮﺡ ﺍﻟﺘﻬﺬﻳﺐ ﺩﻏﻦ ﻣﺸﺎﻳﺦ ﻳﻎ ﺳﻔﺮﺕ ﺑﺮﺍﻳﻜﻮﺕ :ﺍﻟﺸﻴﺦ ﳏﻤﺪ ﺻﻔﺮ ،ﺍﻟﺸﻴﺦ ﻋﺒﺪ ﺍﳌﻠﻚ ﻣﻌﻼ ،ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺳﻌﻴﺪ ﺟﻨﺪﻝ ،ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺣﺴﻦ ﳏﻤﺪ ﻣﺸﺎﻁ ،ﺍﺩﺍﻓﻮﻥ ﻛﺘﺎﺏ ﺑﺎﻛﻮﺭﺓ ﺍﻷﻣﺎﱏ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻏﻦ ﻣﻐﺎﺭﻍ ﻛﺘﺎﺏ ﺳﻨﺪﻳﺮﻯ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﺣﺎﺝ ﻭﺍﻥ ﺍﲰﺎﻋﻴﻞ ﺑﻦ ﻭﺍﻥ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ ﺍﻟﻔﻄﺎﱐ ) ﻓﺄﺩﺍﻋﻴﻞ( ﻳﻎ ﺳﺒﻠﻮﻡ ﺍﻳﻦ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻳﻦ ﺑﻠﻴﻮ ﺳﻮﺩﻩ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻏﻦ ﺗﻮﺍﻥ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺳﺎﻳﻒ ،ﺍﻳﻦ ﺍﺩﺍﻟﻪ ﺍﻭﺳﻬﺎ ﺩﺭﻓﺪ ﻓﻬﻤﻦ ﻓﺘﻴﻘﻜﻦ ﺩﺍﻥ ﻫﻴﻤﻔﻮﻥ ﺳﻠﻔﺲ ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ ﺩﻏﻦ ﺑﱪﺍﻑ ﺍﻭﺭﻍ ﺩﺍﻥ ﻣﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﻳﻦ ﺩﺗﺌﺴﻜﻦ ﺍﻭﻟﻪ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﻩ ﺳﻨﺪﻳﺮﻱ ﺩﻛﺎﱄ ﻳﻎ ﺗﺮﺃﺧﲑ ﺩﺍﱂ ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ )2010/4/29ﻡ(. -4ﻓﻐﺎﺳﺎﺱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﻣﺎﺱ ﻓﺮﺗﻐﻬﻦ ﺩﺍﻥ ﺃﻭﻝ ۲ﺃﺧﲑ ﺍﺑﺪ ﻳﻐﻚ 20ﺍﻳﺖ ،ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻣﺎﺱ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﺑﺎﻟﻴﻖ ﻛﺘﺎﻧﻪ ﺍﻳﺮ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﺑﺮﻓﺮﺍﻧﻦ ﺩﺍﱂ ﳑﺒﻴﻨﺎﻛﻦ ﻓﻮﺳﺔ ﻣﻐﺎﺟﻴﲔ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ،ﻳﻐﺪﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻣﺎﺱ ﻳﻎ ﻓﺎﻟﻴﻎ ﻫﻴﺒﺔ ﺳﺮﺍﻏﻦ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﺗﺮﺍﻫﺎﺩﻑ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﻴﲔ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ،ﺳﺘﻐﺔ ﺩﺭﻓﺪ ﻋﻨﺎﺻﺮ ﺳﺮﻏﻦ ﻳﻎ ﻓﺎﻟﻴﻎ ﻫﻴﺒﺔ ﺳﻜﺎﱄ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻛﺮﻳﻜﻮﱂ ﻛﺮﺍﺟﺄﻥ ﺗﺮﻫﺎﺩﻑ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﺳﻼﺗﻦ ﻬﺗﺎﻱ ،ﺩﻏﻦ ﺧﺎﺭﺍ ﻛﺮﺟﺄﻥ ﳑﱪﻱ ﺳﻮﻛﻮﻏﻦ ﻫﻴﺒﺔ ﻛﻔﺪﺍ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﻴﲔ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻓﺮﺃﻭﻬﺑﻦ ﺃﻟﲑﻥ ﻳﻎ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻛﻔﺪﺍ ﺳﻜﻮﻟﻪ ﺩﺍﻥ ﻣﻨﺮﳝﺎ ﻬﺑﺌﲔ ﺍﻛﺎﺩﳝﻴﻚ ﻣﺎﺳﻮﻕ ﺩﺩﺍﱂ ﺳﻜﻮﻟﻪ ﺃﺋﺎﻡ . ﺩﻏﻦ ﺍﻳﺖ ﺩﻣﺎﺱ ﻳﻎ ﺳﺎﻡ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﳑﱪﻱ ﺳﻮﻛﻮﻏﻦ ﻫﻴﺒﺔ ﺗﺮﻫﺎﺩﻑ ﺳﻜﻮﻟﻪ ،ﺩﺍﻥ ﺑﺎﺛﻖ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺍﻭﺑﻪ ﺍﻟﲑﻧﺚ ﻛﻔﺪﺍ ﺳﻜﻮﻟﻪ ،ﺗﺮﺍﻭﺗﺎﻡ ﻳﻐﺪ ﺃﺧﲑ ﺍﺑﺪ 20ﳘﻔﲑ ۲ﻫﺎﺑﻴﺲ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﻳﻐﱪﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ،ﺩﺍﻥ ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ﺟﻮﺉ ﻭﻗﺖ ﺗﻴﺒﺄﻥ ﻓﻼﺟﺮ ﻳﻎ ﲤﺒﺔ ﺳﺠﺎﻧﺎ ﻣﻮﺩﺍ ﺩﺭﻓﺪ ﻟﻮﺍﺭ ﻧﺌﺮﻯ ﺑﺮﻓﻮﺍﻕ ۲ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺍﻧﺴﻮﺭﺍﻥ ،ﻛﺎﺗﺚ ﺑﺎﺛﻖ ﺩﻛﻼﻏﻦ ﻣﺮﻳﻚ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﻣﻨﻨﺘﻮ ﺑﺎﺋﻲ ﺑﺎﺏ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ،ﺩﻏﻦ ﺍﻳﺖ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺳﺎﺗﻮ ﺳﺒﺐ ﻓﺮﺍﻭﻬﺑﻦ ﺩﺭﻱ ﺍﻟﲑﻥ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻛﻔﺪﺍ ﺍﻟﲑﻥ ﺳﻜﻮﻟﻪ )ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ2010/4/27 :ﻡ(.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
24
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ،ﺑﺎﻟﻴﻖ ﻟﻪ ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﻛﺘﺎﻧﻪ ﺍﻳﺮ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﳑﺒﻴﻨﺎ ﺧﻴﺘﺎ ۲ﺙ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﳑﺄﻳﻨﻜﻦ ﻓﺮﺍﻧﻦ ﺩﺍﱂ ﻣﻨﻴﻐﻜﺘﻜﻦ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺍﺳﻼﻡ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻳﻎ ﳘﻔﲑ ۲ﺩﺗﻠﻦ ﺍﻭﻟﻪ ﺍﻟﲑﻥ ﺳﻜﻮﻟﻪ ،ﻓﺪ ﺗﺎﻫﻮﻥ 1978ﻡ ﻣﻮﻻﻟﻪ ﺑﺎﺏ ﻣﺒﻮﻛﺎ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻳﻎ ﺑﺮﲤﻔﺔ ﺩﻛﻤﻔﻮﻍ ﺳﻲﺀﻣﺆ ﺧﺎﺭﻗﻜﺮﻳﺎﻥ ﺩﺃﻳﺮﺓ ﺳﻴﺒﻮﺭﻱ ،ﻛﺎﺕ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ﻓﺪﺍ ﻓﺮﻣﻮﻷﻧﺚ ﺩﺭﻱ ﺗﺎﻧﻪ ﻣﻜﻪ ﻻﺋﻲ ﺑﺎﺑﺎ ﺑﺮﺧﻴﺘﺎ ۲ﺩﺍﻥ ﺳﺎﻏﺔ ﺑﻴﻤﺒﻎ ﺗﻨﺘﻎ ﲤﻔﺔ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﳑﺒﻮﻛﺎ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﻴﲔ ﺍﻳﺖ ﺩﺍﻥ ﺑﻠﻴﻮ ﻓﻴﻠﻴﻪ ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺗﺌﺲ ﻬﺑﻮﺍ ﺗﺘﻒ ﺑﺮﻣﻘﻴﻢ ﺩﻛﻤﻔﻮﻏﺚ ﺳﻨﺪﻳﺮﻱ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻛﻤﻔﻮﻍ ﺳﻲﺀ ﻣﺆ ،ﺩﺍﻥ ﺑﺎﺏ ﺧﺮﻳﺘﺎ ﻻﺋﻲ ﻛﻔﺪﺍ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ﺑﺎﺛﻖ ﺗﺎﻭﺭﺍﻥ ۲ﺩﺭﻓﺪ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﺳﻔﺎﻱ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﻐﺎﺳﺎﺳﻜﻦ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﲤﻔﺔ ﻳﻐﻸﻳﻦ ﺗﺘﺎﰲ ﺃﻏﺌﻦ ،ﺍﻳﻦ ﺧﺮﻳﺘﺎ ﺳﺒﻠﻮﻡ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﺎﻟﻴﻖ ﻛﺘﺎﻧﻪ ﻓﻄﺎﱏ ﻻﺋﻲ ،ﺗﺌﺲ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ﻻﺋﻲ ﻛﻔﺪﺍ ﻓﻨﻮﻟﻴﺲ ﻬﺑﻮﺍ ﺗﺎﻧﻪ ﻳﻐﺪ ﻓﺴﺎﻛﺄﻱ ﺩﺭﻓﺪ ﺍﻳﻬﺚ ﺟﺄﻭﻩ ﺩﺭﻱ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ،ﺃﺧﲑ ﺩﻏﻦ ﻧﻴﺔ ﺑﻠﻴﻮ ﻳﻎ ﺑﺄﻳﻚ ﺍﺩﻳﻖ ﻓﺮﺍﻣﻔﻮﺍﻧﺚ ﻣﻴﻨﺘﺄ ﺗﻮﻛﺮ ﺗﺎﻧﻪ ﻓﺴﺎﻛﺎ ﺍﻳﺖ ﺩﺍﻥ ﺩﺑﺎﺋﻴﻜﻦ ﻛﻔﺪﺍﺙ ﺳﻜﻔﻴﻎ ﺗﺎﻧﻪ ﺩﻓﻴﻐﺌﲑ ﺟﺎﻟﻦ ﺭﺍﻱ ،ﺩﻏﻦ ﺍﻳﺖ ﺧﻴﺘﺎ ۲ﺑﻠﻴﻮ ﺩﻣﻘﺒﻮﻟﻜﻦ ﺍﻭﻟﻪ ﺍﷲ. ﺳﺘﻠﻪ ﺍﻳﺖ ﺩﻭﺍ ﺗﺎﻫﻮﻥ ﺑﻠﻴﻮ ﳑﺒﺎﻏﻮﻥ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ،ﺑﻴﻠﻐﻦ ﻓﻼﺟﺮ ﺑﺮﲤﺒﻪ ﻫﻴﻐﺊ ﺩﻛﺎﺗﻜﻦ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻳﻎ ﻓﺎﻟﻴﻎ ﺑﺴﺮ ﻳﻐﻜﺘﻴﺊ ﺩﻛﻮﺍﺳﻦ ﻓﻄﺎﱏ ﺳﻠﻔﺲ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺍﻻ ﺩﺍﻥ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺳﻜﻢ ،ﻳﻎ ﻓﺎﻟﻴﻎ ﺑﺎﺛﻖ ﺳﻜﺎﱄ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻓﻼﺟﺮ ﻳﻎ ﻣﻨﺪﻓﺘﺮﻛﻦ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺍﻳﻦ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻳﻎ ﺩﺍﺗﻎ ﺩﺭﻱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ۲ﺗﺮﺑﺴﺮ ﺍﻳﺖ ،ﻣﻌﻨﺎﺙ ﺋﻮﻟﻮﻏﻦ ﻓﻼﺟﺮ ﻳﻎ ﺳﻮﺩﻩ ﳑﻔﻮﺛﺄﻱ ﻣﱳ ۲ﻋﻠﻤﻮ ﻳﻎ ﺑﻮﻟﻴﻪ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﻓﻐﺌﻨﱵ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻳﻐﺪ ﻓﻐﺌﻴﻠﻜﻦ ﺩﺩﺍﱂ ﺳﻴﺴﺘﻴﻢ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻛﻔﻼ ﻣﻄﺎﻟﻌﺔ ﻳﺄﻳﺖ ﻓﺎﺭﺍ ﺋﻮﺭﻭ ۲ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻓﻼﺟﺮ ﺑﺎﺭﻭ. ﻛﺎﺕ ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ :ﺩﻏﻦ ﺑﻮﻗﱵ ﺍﻳﻦ ﺳﻮﺩﻩ ﺗﻨﺘﻮ ﺩﺭﺟﻪ ﻋﻠﻤﻮ ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﺍﺩﺍ ﺑﻴﺬﺍ ﺩﻏﻦ ﻋﻠﻤﻮ۲ ﺩﲤﻔﺔ ﻷﻳﻦ ،ﺍﻭﻟﻴﻪ ﻛﺮﺍﻥ ﻭﺭﻉ ﺩﺍﻥ ﺭﻧﺪﻩ ﺩﻳﺮﻳﺚ ﺩﺍﻧﺘﺎﺭﺍ ﻋﻠﻤﻮ ﻓﻴﻠﻴﻬﻦ ﺑﺎﺋﻴﺚ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﺑﻮﻛﻮ ﺑﺮﻛﻨﺄﻥ ﺩﻏﻦ ﻓﻨﺎﻭﺭ ﻫﺎﰐ، ﺳﻔﺮﺕ ﺍﺣﻴﺎﺀ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺩﺍﻥ ﻛﺘﺎﺏ ﺣﺪﻳﺚ ﺳﻔﺮﺕ ﺳﻨﻦ ﺃﰊ ﺩﺃﻭﺩ ﺩﺍﻥ ﺳﺒﺎﺋﻴﺚ. ﺍﻭﻟﻴﻪ ﻛﺮﺍﻥ ﺩﻣﺎﺱ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺳﺪﻍ ﺑﺮﺍﺩﺍ ﺩﺑﻐﻜﻮ ﻓﻼﺟﺮﺍﻥ ،ﺑﺎﺛﻖ ﻋﺎﱂ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﻳﻎ ﺑﻮﻟﻴﻪ ﻣﺜﻴﺪﻗﻜﻦ ﺑﺮﺑﺎﺋﻲ ﻋﻠﻤﻮ ﻓﻐﺘﻬﻮﺍﻥ ،ﻓﺎﺭﺍ ۲ﺋﻮﺭﻭ ﻳﻐﺘﺮﻛﻨﻞ ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ﲰﺄﺩﺍ ﺩﺍﱂ ﻧﺌﺮﻱ ﺩﺍﻥ ﻟﻮﺍﺭﻧﺌﺮﻱ ،ﺳﺘﻐﻪ ﺩﺭﻓﺪﺍﺙ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺻﻐﲑ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺩﻫﺎﻥ ﺍﻧﻖ ﺗﺆﺍﳝﺎﻡ ﻛﻮﺍﻻﺑﺮﺍﺱ ،ﺣﺎﺝ ﻭﺍﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﺩﺭﻳﺲ ﺑﺮﻣﲔ ،ﺣﺎﺝ ﺣﺴﻦ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺃﻣﲔ ﻣﻖ ﺃﻏﺌﻮﻝ ،ﺣﺎﺝ ﻭﺍﻥ ﺍﲰﺎﻋﻴﻞ ﺑﻦ ﻭﺍﻥ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ ﺍﻟﻔﻄﺎﱐ ،ﺷﻴﺦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ ﺍﳌﻨﺪﻳﻠﻲ ﺍﻻﻧﺪﻭﻧﻴﺴﻲ ،ﺩﺍﻥ ﻷﻳﻨﺚ. -5ﺍﻟﲑﻥ ﺩﺍﻥ ﻣﻨﻬﺎﺝ ﻓﻼﺟﺮﺍﻥ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻗﺚ ﺳﻔﺮﺕ ﺑﻴﺎﺱ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ۲ﻷﻳﻦ ﺩﻛﺎﻭﺍﺳﻦ ﻓﻄﺎﱏ ،ﻣﻐﺎﺗﻮﺭ ﺟﺪﻭﻝ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﻫﺎﺭﻳﻦ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻳﻎ ﺑﻴﺎﺳﺚ ﺳﻠﻔﺲ ﻣﻨﻮﻧﻴﻜﻦ ﲰﺒﻬﻴﻎ ﻓﺮﺽ ﺩﻣﺼﻠﻰ ،ﻣﻚ ﺩﺳﻴﺘﻮﺩﻣﻮﻻﻛﻦ ﺑﻼﺟﺮ ﻓﻼﺟﺮﺍﻥ ﻣﻐﻴﻜﻮﺕ ﺍﻑ ﻳﻐﺪﺍﺗﻮﺭﻛﻦ ﺍﻭﻟﻪ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺩﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ۲ﻣﻄﺎﻟﻌﺔ ،ﻣﻚ ﺟﺪﻭﻝ ﻳﻐﺪﺍﺗﻮﺭﻛﻦ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺑﺎﺏ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ ﺍﻳﻦ ،ﺍﺩﺍﻟﻪ ﺳﻔﺮﺕ ﺑﺮﺍﻳﻜﻮﺕ) :ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ(
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
25
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻭﻗﺖ ﺑﻼﺟﺮ
ﻧﺎﻡ ﻛﺘﺎﺏ
ﻣﻼﺣﻈﺔ
ﺳﻠﻔﺲ ﺻﺒﺢ
ﺟﺪﻭﻝ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﺋﻮﺭﻭ ﻣﻄﺎﻟﻌﺔ ﻓﻼﺟﺮﺑﺎﺭﻭ
ﺍﳌﺼﻠﻲ ،ﻓﺮﻳﺪﺓ ،ﺍﺟﺮﻭﻣﻴﺔ، ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺩﺍﻥ ﺳﺒﺎﺋﻴﺚ
ﺟﻢ 9-8
ﻓﺘﺢ ﺍﻟﻮﻫﺎﺏ
ﻛﺘﺎﺏ ﻓﻘﻪ
ﺟﻢ 11-9
ﺳﻨﻦ ﺍﰊ ﺩﺃﻭﺩ
ﻛﺘﺎﺏ ﺣﺪﻳﺚ
ﺟﻢ 12-11
ﺍﻷﺯﻫﺮﻱ
ﻛﺘﺎﺏ ﳓﻮ
ﺟﻢ 1-12
ﺷﺮﺡ ﺍﻟﺘﻬﺬﻳﺐ
ﻛﺘﺎﺏ ﻣﻨﻄﻖ
ﺟﻢ 2 -1
ﺑﺮﳛﺔ
ﺳﻠﻔﺲ ﻇﻬﻮﺭ
ﺗﻔﺴﲑﺍﳉﻼﻟﲔ
ﻛﺘﺎﺏ ﺗﻔﺴﲑ
ﺟﻢ 4-3ﻓﺘﻎ
ﺍﻋﺎﻧﺔ ﺍﻟﻄﺎﻟﺒﲔ
ﻛﺘﺎﺏ ﻓﻘﻪ
ﺳﻠﻔﺲ ﻋﺼﺮ
ﻓﻼﺟﺮ ﻣﺎﺳﻴﻎ ۲ﻣﻨﺨﺎﺭﻱ ﺑﻴﺒﺎﺱ ،ﺑﺮﳛﺔ ،ﺟﺪﻭﻝ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﺋﻮﺭﻭ ﻣﻄﺎﻟﻌﺔ ﻓﻼﺟﺮﺑﺎﺭﻭ ﺋﻮﺭﻭﺙ
ﺳﻠﻔﺲ ﻣﻐﺮﺏ
ﺳﺒﻴﻞ
ﺳﻠﻔﺲ ﻋﺸﺎﺀ
ﺳﻔﻴﻨﺔ ﺍﻟﻨﺠﺎ ،ﻛﺘﺎﺏ ﺩﻋﺎﺀ ،ﻛﺘﺎﺏ ﺫﻛﺮ ﺩﺍﻥ ﺳﺒﺎﺋﻴﺚ
ﺟﻢ 10-9ﻣﺎﱂ
ﺑﺮﳛﺔ
ﺟﻢ 1-10ﻣﺎﱂ
ﺟﺪﻭﻝ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﺋﻮﺭﻭ ﻣﻄﺎﻟﻌﺔ
ﻓﻘﻪ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻣﻨﺎﺟﺎﺕ ﻛﻔﺪﺍﷲ ﻓﻼﺟﺮ ﻣﺎﺳﻴﻎ ۲ﻣﻨﺨﺎﺭﻱ ﺋﻮﺭﻭﺙ
ﻛﺎﺕ ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﻳﻎ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺑﺮﺑﻴﺬﺍ ﺍﻧﺘﺎﺭﺍ ﻓﻼﺟﺮﺍﻥ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﺩﻕ ۲ﻳﻐﻸﻳﻦ ﺩﻛﺎﻭﺍﺳﻦ ﻓﻄﺎﱐ ﺍﻳﻦ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﺩﻭﺍ ﻓﻼﺟﺮﺍﻥ ،ﺩﺍﻥ ﺟﻮﺉ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﻓﻐﺎﺭﻭﻩ ﻛﻔﺪﺍﺙ ﺩﺍﻥ ﻛﻔﺪﺍ ﺑﱪﺍﻑ ﺍﻭﺭﻍ ﻓﻼﺟﺮ ﻳﻐﻸﻳﻦ ﻳﻎ ﺩﺍﺗﻎ ﺩﺭﻱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺳﻜﻢ ،ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺍﻻ،ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺑﺮﻣﲔ ،ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻣﻖ ﺃﻏﺌﻮﻝ ﺩﺍﻥ ﻷﻳﻦ ،۲ﺍﻳﺎﻟﻪ: ﺃ.ﻛﺘﺎﺏ ﺣﺪﻳﺚ ﺳﻨﻦ ﺍﰊ ﺩﺃﻭﺩ ﺏ .ﺩﺍﻥ ﻓﻼﺟﺮﺍﻥ ﺳﻠﻔﺲ ﻋﺸﺎﺀ ﻳﺄﻳﺖ ﺭﻫﺴﻴﺎ ﺩﺭﻱ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻓﻼﺟﺮ ۲ﺙ ﺳﻬﺎﺝ ﻳﻎ ﺗﻴﺪﻕ ﺍﺩﺍ ﻓﻼﺟﺮﺍﻥ ﺳﻔﺮﺕ ﺍﻳﻦ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻷﻳﻦ ،ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﳑﺒﻴﻨﺎﺀ ﺭﻭﺣﺎﱐ ﺩﺍﻥ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺳﺆﺭﻍ ﻭﺭﻉ ﻳﻎ ﺑﺮﻛﺔ. ﺩﺍﻥ ﺩﲤﺒﻬﻜﻦ ﻻﺋﻲ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﺋﻮﺭﻭ ۲ﻣﻄﻠﻌﺔ ﻓﺪ ﻣﺎﱂ ﻣﻴﻐﺌﻮﺍﻥ ﻳﺄﻳﺖ ﻣﺎﱂ ﲨﻌﺔ ﺩﺍﻥ ﺳﺒﺖ ﻓﻼﺟﺮﺍﻥ ﺗﻠﻘﻲ ﻳﻎ ﺑﱪﺍﻑ ﻛﺘﺎﺏ ﻳﻎ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺗﻠﻘﻲ ﺩﺭﻓﺪ ﺷﻴﺦ ﺩﻣﻜﺔ ﺳﻔﺮﺕ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﰱ ﺍﻻﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ، อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
26
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﳌﺬﺍﻫﺐ ﺍﻻﺳﻼﻣﻴﺔ ﳏﻤﺪ ﺍﺑﻮﺯﻫﺮﺓ ،ﺷﺮﺡ ﺍﻟﺰﺑﺪ ﻏﺎﻳﺔ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ،ﺟﻮﺍﻫﺮ ﺍﻟﺒﻼﻏﺔ ﰱ ﺍﳌﻌﺎﱐ ﻭﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﻭ ﺍﻟﺒﺪﻳﻊ، ﺍﺠﻤﻟﻮﻉ ﺷﺮﺡ ﺍﳌﻬﺬﺏ ،ﺍﺣﻴﺎﺀ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻟﻐﺰﺍﱄ ،ﺍﻷﺫﻛﺎﺭ ﺍﻟﻨﻮﻭﻱ. -6ﻓﺮﻛﻬﻮﻳﻨﻨﺚ ﺩﺍﻥ ﻛﺘﻮﺭﻭﻧﻨﺚ ﻓﺮﺗﺎﻡ ﻛﺎﱄ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ ﺑﺮﻭﻣﻬﺘﻐﺊ ﻓﺪ ﺍﻭﺳﻴﺎ ﺑﻠﺴﻦ ﺗﺎﻫﻮﻥ ﺳﺘﻠﻪ ﺑﱪﺍﻑ ﺗﺎﻫﻮﻥ ﲤﺒﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺩﻓﺮﻳﻐﻜﺔ ﺳﻜﻮﻟﻪ ﺭﻧﺪﻩ ﻛﺮﺍﺟﺄﻥ ﻬﺗﺎﻱ ،ﺩﺍﻥ ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺟﻮﺭﻭ ﻻﺋﻮ ﺩﺍﱂ ﻛﻮﻣﻔﻮﻟﻦ ﺩﻳﻜﲑﺑﺎﺭﺕ ،ﻛﻬﻮﻳﻨﻦ ﻓﺮﺗﺎﻡ ﺍﻳﻦ ﺩﻏﻦ ﻓﻮﺍﻥ ﺯﻳﺘﻮﻥ ﺍﺗﻮ ﻛﺄﺗﻮﻥ ،ﺗﺘﺎﰲ ﺩﺧﺮﺍﻳﻜﻦ ﺳﺘﻠﻪ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﻣﺮﻭﺟﻮﻋﻜﻦ ﺩﻳﺮﻱ ﻛﻤﺒﺎﱄ ﻛﻔﺪ ﲰﺎﻏﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺍﺳﻼﻡ ،ﺩﺍﻥ ﺩﺳﻴﺘﻮﻟﻪ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺳﺆﺭﻍ ﺩﺍﻥ ﲰﺒﻮﻍ ﻓﻼﺟﺮﺍﻧﺚ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﺩﻕ ﺳﺎﻳﻒ ،ﺳﺘﻠﻪ ﻣﱳ ﺑﱪﺍﻑ ﻋﻠﻤﻮﺙ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﻛﻬﻮﻳﻨﻜﻦ ﺍﻧﻖ ﻓﺮﺍﻣﻔﻮﻧﺚ ﻛﻔﺪ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﺍﺳﺘﺮﻱ ﻳﻐﻜﺪﻭﺍ ،ﺟﻮﺋﺎ ﺩﺧﺮﺍﻳﻜﻦ ﻳﺄﻳﺖ ﺳﺒﻠﻮﻡ ﺩﺍﻓﺔ ﺍﻧﻖ. ﺩﺍﻥ ﺍﺳﺘﺮﻱ ﻳﻐﻜﺘﻴﺌﺎﺙ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﲪﻴﺪﺓ ﺑﻨﺖ ﺣﺴﻦ ﺑﻜﺲ ﻓﻼﺟﺮ ﻓﻮﻣﻴﻎ ،ﺩﻛﺮﻧﻴﺎ ﺍﷲ 9ﺍﻭﺭﻍ ﺍﻧﻖ ﺍﻳﺎﻟﻪ7 : ﺍﻭﺭﻍ ﻟﻼﻛﻲ 2ﺍﻭﺭﻍ ﻓﺮﺍﻣﻔﻮﺍﻥ ﺃ .ﺍﻧﻖ ﻳﻐﻔﺮﺗﺎﻡ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﻟﻼﻛﻲ ﻳﻐﱪﻧﺎﻡ ﳏﻤﺪ ﻟﻄﻔﻰ ﺑﻦ ﻋﻴﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﺳﻮﺩﻩ ﻣﻨﻴﻐﻜﻞ ﺩﻧﻴﺎ ﺑﱪﺍﻑ ﺗﺎﻫﻮﻥ ﻻﻟﻮ ﺳﺘﻠﻪ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﻣﻨﻴﻐﺌﻞ ﺩﻧﻴﺎ ،ﻳﻎ ﺳﺎﻳﻐﺚ ﺗﻴﺪﻕ ﺑﻮﻟﻴﻪ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﻓﻐﺌﻨﱵ ﺑﺎﺑﺎﺙ . ﺏ .ﺍﻧﻖ ﻳﻐﻜﺪﻭﺍ ﻧﺎﻡ ﻧﻮﺭﺣﻴﺎﰐ ،ﻻﻫﲑ ﻓﺪﺍ 31ﻳﻮﻟﻴﻮ 1980ﻡ ،ﺩﺍﻥ ﺩﻛﻬﻮﻳﻨﻜﻦ ﺩﻏﻦ ﺃﲪﺪ ﺩﺭﻱ ﻗﺮﺍﺑﺘﺚ ﺳﻨﺪﻳﺮﻱ ،ﺳﺘﻠﻪ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﻣﻨﻴﻐﺌﻞ ﺩﻧﻴﺎ ،ﺍﲪﺪ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﻓﻐﺌﻨﱵ ﻳﻎ ﻓﺎﻟﻴﻎ ﻫﻴﺒﺔ ﺩﺩﺍﱂ ﻣﻐﺎﺗﻮﺭ ﻓﺮﺍﻧﻦ ﺳﻔﺎﻱ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺍﻳﻦ ﺗﻴﺪﻕ ﻣﻮﻧﺪﻭﺭ ﺩﺍﻥ ﺩﺳﻨﺠﻮﻍ ﻻﺋﻲ ﺍﻭﻟﻪ ﻣﻮﺭﻳﺪ ﺩﺍﻥ ﻓﻼﺟﺮ ،ﺗﺘﺎﰱ ﺳﺎﻳﻐﺚ ﺍﺳﺘﺮﻳﺚ ﻳﻎ ﺳﻼﻣﺎ 10 ﺗﺎﻫﻮﻥ ﺩﺭﻱ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﻓﺮﻛﻬﻮﻳﻨﻨﺚ ﺗﻴﺪﻕ ﺑﻮﻟﻴﻪ ﻫﻴﺪﻭﻑ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﺳﻮﺍﻣﻲ ﺍﺳﺘﺮﻱ ،ﻣﻚ ﺩﻧﺼﻴﺤﺔ ﺍﻭﻟﻪ ﺳﺆﺭﻍ ﺍﻭﺭﻍ ﺗﻮﺍ ﺑﺮﻫﺠﺮﺓ ﻛﻤﻜﻪ ،ﺳﻔﺎﻱ ﺍﺳﺘﺮﻳﺚ ﺑﻮﻟﻴﻪ ﳑﱪﻱ ﻛﺎﺳﻴﻪ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﺳﻮﺍﻣﻲ ﺍﺳﺘﺮﻱ ،ﻣﻚ ﻛﺪﻭﺍﺙ ﺩﻓﻘﺴﺎ ﺑﺮﻫﺠﺮﺓ ﻛﻤﻜﻪ ﺩﺭﻓﺪ ﺍﻳﺖ ﻫﻴﻐﺊ ﺳﻜﺎﺭﻍ ﻣﺮﻳﻚ ﺑﺮﺩﻭﺍ ﻣﺎﺳﻴﻪ ﺗﻴﻐﺌﻞ ﻻﺋﻲ ﺩﻣﻜﻪ ،ﻛﺎﺗﺚ ﺃﲪﺪ ﻳﻎ ﺍﻛﻦ ﺑﺎﻟﻴﻖ ﻣﻐﺎﺟﺮ ﺩﺍﻥ ﳑﺒﺎﻏﻮﻥ ﻛﻤﺒﺎﱄ ﻓﻮﻧﺪﻭﺩﻕ ﻳﻎ ﺗﻠﻪ ﺭﻧﺘﻮﻩ ﺍﻳﺖ. ﺝ .ﺍﻧﻖ ﻳﻐﻜﺘﻴﺊ ﻳﻐﱪﻧﺎﻡ ﻧﻮﺭﻋﻴﲏ ﻳﻐﻼﻫﲑ ﻓﺪ ﺗﻐﺌﻞ 20ﻧﻮﳝﱪ1981ﻡ ،ﺩﻛﻬﻮﻳﻦ ﺩﻏﻦ ﺳﺆﺭﻍ ﻣﻮﺭﻳﺪﺙ ﺑﺮﻧﺎﻡ ﻳﻮﺳﻒ ،ﺗﺘﺎﰲ ﻫﻴﺪﻭﻑ ﻣﺮﻳﻚ ﺑﺮﺩﻭﺍ ﺗﻴﺪﻕ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﺳﻮﺍﻣﻲ ﺍﺳﺘﺮﻱ ،ﺍﻭﻟﻴﻬﻜﺮﺍﻥ ﻓﺮﻛﻬﻮﻳﻨﻦ ﺍﻳﻦ ﺗﻴﺪﻕ ﺩﺳﺘﻮﺟﻮﻱ ﺍﻭﻟﻪ ﻓﻴﻬﻖ ﺍﻧﻖ ﻓﺮﺍﻣﻔﻮﺍﻧﺚ ،ﻣﻚ ﺑﺎﺑﺎ ﻳﻮﺳﻒ ﻳﻎ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺧﺎﻟﻮﻥ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻓﺎﻛﺮ ﻓﺌﻨﺘﻴﺚ ﺗﺮﻓﻘﺴﺎ ﺑﺮﻓﻴﺴﻪ ﺩﻏﻦ ﺍﺳﺘﺮﻳﺚ ،ﻛﺎﺕ ﺍﻭﺭﻍ ﺍﺳﺘﺮﻳﺚ ﺳﻮﺩﻩ ﺍﺩﺍ ﻛﻜﺎﺳﻴﻪ ،ﺩ ﺍﻥ ﻓﺪﺍ ﺃﺧﲑ ﺙ ﻧﻮﺭﻋﻴﲏ ﺩﻛﻬﻮﻳﻦ ﺩﻏﻦ ﻟﻼﻛﻲ ﻳﻐﺪﻛﺎﺳﻴﻬﻴﺚ ،ﺍﻳﺎﻟﻪ ﺳﻮﺩﺍﺭﺍ ﻓﻮﺯﻱ ﻳﻐﺪﻛﻤﻔﻮﻍ ﺟﻐﺎ ﻛﻮﺍﺳﻦ ﺗﻠﻮﺑﻦ ،ﺳﺘﻠﻪ ﺍﻳﺖ ﺑﺎﺑﺎ ﻳﻮﺳﻒ ﺑﺮﻓﻴﻨﺪﻩ ﻛﻔﻮﻧﺪﻭﻕ ﺗﺆﺳﺎ ،ﺩﺍﻥ ﺩﻛﻬﻮﻳﻨﻜﻦ ﺩﻏﻦ ﺍﻧﻖ ﻓﺮﺍﻣﻔﻮﺍﻥ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﺣﺴﲔ ﺗﺆﺳﺎ ،ﺩﺍﻥ ﺑﻠﻴﻮ ﻣﻨﺪﺍﻓﺔ ﻛﺠﻴﺄﻥ ﻳﻎ ﻓﺎﻟﻴﻎ ﻫﻴﺒﺔ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﺑﺮﺟﺎﻱ ﳑﺒﺎﻏﻮﻥ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻳﻐﺘﺮﺑﺎﺭﻭ ﺩﻛﻮﺍﺳﻦ ﺧﻮﻣﻴﻞ ﺗﻠﻮﺑﻦ ﻳﺄﻳﺖ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺑﺎﺑﺎ ﺳﻒ ﻳﻐﱪﻷﻳﻦ ﺍﻟﲑﻧﺚ ﺩﺭﻓﺪ ﺩﻭﺍ ﺑﻮﺍﻩ ﻣﺪﺭﺳﺔ ﺟﻮﻣﻴﻞ ﻳﻐﻤﺸﻬﻮﺭﺍﻳﺖ. ﺩ .ﳏﻤﺪ ﻋﺪﻟﻦ ﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﻳﻐﻼﻫﲑ ﻓﺪﺍ 19ﺍﻭﻏﺴﻂ 1983ﻡ ،ﻓﺪﺍ ﺃﻭﻝ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺑﺎﺑﺎ ﻋﻴﻞ ﺳﻔﻨﺠﻎ ﻛﺎﻭﺍﺳﻦ ﻳﺄﺭﻳﻎ ﻓﻄﺎﱐ ،ﺗﺘﺎﰲ ﺳﻜﺎﺭﻍ ﺳﻮﺩﻩ ﻛﻠﻮﺍﺭ ﺩﺍﻥ ﺑﻜﺮﺟﺎ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﺍﻭﺭﻍ ﺑﻴﺎﺱ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
27
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻫـ .ﳏﻤﺪ ﺷﻜﺮﻱ ﺩﻻﻫﲑ ﻓﺪ ﺗﻐﺌﻞ 27ﺍﻭﻛﺘﻮﺑﺮ1988ﻡ ،ﻻﻫﲑﺙ ﺩﻏﻦ ﻛﺄﺩﺃﻥ ﺟﻨﺪﺭﺍ ،ﺳﻜﺎﺭﻍ ﺗﻴﻐﺌﻞ ﺑﺮﺳﺎﻡ ﺩﻏﻦ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ. ﻭ .ﳏﻤﺪ ﺳﺒﻜﻲ ﺩﻻﻫﲑ ﻓﺪ ﺗﻐﺌﻞ 21ﺩﻳﺴﻤﱪ 1989ﻡ ،ﺳﻜﺎﺭﻍ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺑﺎﺏ ﻋﺰﻳﺰ ﻓﺎﺩﻍ ﻓﻮﺳﻮ ﻛﺎﻭﺍﺳﻦ ﻳﺄﺭﻍ ﻓﻄﺎﱐ. ﺡ .ﳏﻤﺪ ﺻﻔﻮﺍﻥ ﺩﻻﻫﲑ ﻓﺪ ﺗﻐﺌﻞ 13ﺍﻭﻏﺴﻂ 1991ﻡ ،ﺗﻴﺪﻕ ﺑﻼﺟﺮﺩﺍﻥ ﺗﻴﻐﺌﻞ ﺑﺮﺳﺎﻡ ﺍﻳﺒﻮﺙ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ. ﻁ .ﳏﻤﺪ ﺣﻨﺒﻠﻲ ﻻﻫﲑ ﻓﺪ ﺗﻐﺌﻞ 21ﺍﻭﻛﺘﻮﺑﺮ 1993ﻡ ،ﺗﻴﺪﻕ ﺑﻼﺟﺮﺩﺍﻥ ﺗﻴﻐﺌﻞ ﺑﺮﺳﺎﻡ ﺍﻳﺒﻮﺙ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ. ﻱ .ﳏﻤﺪ ﻟﻘﻤﺎﻥ ﻻﻫﲑ ﻓﺪ ﺗﻐﺌﻞ 11ﺟﻮﻥ 1997ﻡ ،ﻳﻎ ﻣﺎﺳﻴﻪ ﻻﺋﻲ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﺩﺍﱂ ﺳﻜﻮﻟﻪ ﺭﻧﺪﻩ. -7ﻓﻐﺎﺭﻭﻫﺚ ﺩﺍﱂ ﺑﻴﺪﻍ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﺑﺮﻛﺎﺕ ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﺎﻏﻮﻝ ﻣﻮﻟﻮﻍ ﺑﻜﺲ ﻓﻼﺟﺮ ﺑﺎﺑﺎ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ :ﻬﺑﻮﺍ ﻓﻐﺎﺭﻭﻩ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﺩﻏﻦ ﻣﺸﺎﺭﻛﺘﺚ ﺳﺎﻏﺖ ﺑﺎﺛﻖ ﺳﺘﻐﻪ ﺩﺭﻓﺪﺍﺙ. ﻓﺮﺗﺎﻡ :ﺑﻠﻴﻮ ﺗﺮﻓﻐﺎﺭﻭﻩ ﺩﻏﻦ ﺳﺆﺭﻍ ﻭﺭﻉ ﻳﻎ ﺗﻴﺪﻕ ﺍﺩﺍ ﻓﺮﺑﺎﳍﻦ ﻓﺮﺋﺎﺩﻭﻫﻦ ﺩﺍﱂ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﲰﻨﺠﻖ ﺩﺭﻓﺪ ﻣﺎﺱ ﺩﻳﻮﺍﺳﺎ ﻻﺋﻲ. ﻛﺪﻭﺍ :ﺑﻠﻴﻮ ﺗﺮﻓﻐﺎﺭﻭﻩ ﺩﻏﻦ ﺳﺆﺭﻍ ﺑﺮﻛﺔ ﻓﺮﻣﻴﻨﺘﺄﻧﺚ ﺳﻼﻟﻮ ﺩﻗﺒﻮﻟﻜﻦ ﺍﻭﻟﻴﻪ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱄ ﺳﻔﺮﺕ ﺑﺎﺭﻍ ﻫﻴﻠﻎ ،ﺑﻨﺪﺍ ﺩﺧﻮﺭﻱ ﺍﻭﻟﻪ ﻓﻨﺨﻮﺭﻱ ﺩﻏﻦ ﺩﻭﻋﺎﺀﺙ ﺍﺧﲑﺙ ﺑﻨﺪﺍ ۲ﺍﻳﺖ ﺩﻫﻨﺘﺮﺑﺎﻟﻴﻖ ﻛﻔﺪﺍ ﺗﻮﺍﻧﺚ. ﻛﺘﻴﺊ :ﺑﻠﻴﻮ ﺗﺮﻓﻐﺎﺭﻭﻩ ﺳﺆﺭﻍ ﺑﻴﺠﻖ ﺩﺍﱂ ﻓﻨﺘﺪﺑﲑﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ،ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺑﻮﺍﺕ ﻛﺎﺳﻴﻪ ﺩﺍﻥ ﻣﺴﺮﺍ ﻛﻔﺪﺍ ﻣﻮﺭﻳﺪ ،۲ﺳﻨﺘﻴﺎﺱ ﺗﻮﻟﻮﻍ ﺩﺍﻥ ﻧﺼﻴﺤﺔ ﻣﻮﺭﻳﺪﺙ ﺍﻓﺒﻴﻼ ﺗﻴﻤﻔﺎ ﺑﺎﻻ ﺍﺗﻮ ﻛﺴﻮﺳﻬﻦ. ﻛﺄﻣﻔﺖ :ﺑﻠﻴﻮ ﺗﺮﻓﻐﺎﺭﻭﻩ ﺳﺆﺭﻍ ﻣﻨﺠﺎﺉ ﺍﻣﺎﻧﺔ ﺩﺍﻥ ﺭﻫﺴﻴﺎ ﺍﻭﺭﻍ ،ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﲤﻔﺔ ﺍﺩﻭﺣﺎﻝ ،ﺩﺍﻥ ﺑﻮﻟﻴﻪ ﻣﻨﻐﻪ ﺍﻓﺒﻴﻼ ﺩﺍﺗﻎ ﻓﺮﺋﺎﺩﻭﻫﻦ ﺩﺍﱂ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ. -8ﻫﺎﺭﻓﻨﺚ ﺩﻣﺎﺱ ﺩﻓﻦ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺳﻨﺘﻴﺎﺱ ﺍﺩﺍ ﻛﻠﻮﻫﻦ ﺗﻨﺘﻎ ﻣﻨﺌﻖ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺗﺎﻧﻪ ﻓﻄﺎﱐ ،ﺩﺍﻥ ﺟﺎﻏﻦ ﺩﺑﻴﺎﺭﻛﻦ ﻫﻴﻐﺊ ﺩﺗﻠﻦ ﺍﻭﻟﻪ ﻓﻐﺎﺭﻭﻩ ﺳﻜﻮﻟﻪ )ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺟﻨﺎﻕ ﻣﻨﻨﺘﻮ ﺍﻣﺎﻡ ﻣﺴﺠﺪ ﺧﺎﺭﻕ ﻛﺮﻳﺎﻥ 2010/4/23 :ﻡ ( -9ﻓﺮﺍﻧﻦ ﺗﻮﺍﻧﺌﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ )ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ( ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﻓﻮﻣﻴﻎ ﺳﺘﻠﻪ ﻣﺎﻥ ﺑﻠﻴﻮ ﻓﻮﻟﻎ ﺩﺭﻓﺪﺍ ﻣﻨﻨﺘﻮﺕ ﻋﻠﻤﻮ ﺩﻣﻜﺔ ﻓﺪﺍ ﺗﺎﻫﻮﻥ 1978ﻡ ،ﻛﺪﻭﺩﻭﻗﻜﻦ ﺑﻠﻴﻮ ﺩﻓﻄﺎﱐ ﻓﺪﺍ ﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ﺳﻼﻛﻮ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺟﻨﺮﺍﺳﻲ ﲰﺎﻭﺍﻥ ﻳﻎ ﳑﺒﺎﻭﺍ ﻓﻜﺮﻩ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﳑﺒﺎﻏﻮﻥ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻳﻐﺪﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ﻓﻮﺳﺔ ﺳﻔﺮﺕ ﺍﻳﻦ ﺳﻮﺩﻩ ﻛﻮﺭﻍ ﻓﻐﺎﺭﻭﻫﺚ ﺩﺍﱂ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﻻﺋﻲ، ﺳﺒﺐ ﺳﺮﺍﻏﻦ ﻓﻜﺮﺓ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺍﺳﻼﻡ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻣﺪﺭﺳﺔ ﻳﻐﺘﺮﻫﻴﺒﺔ ﺩﻣﺎﺱ ﺍﻳﺖ ،ﻣﻚ ﺩﻏﻦ ﻛﻘﻮﺍﺗﻦ ﻛﻌﺰﺍﻣﻨﺚ ﺳﺮﺕ ﻛﻌﻠﻤﻮﺍﻧﺚ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻣﺜﻤﺒﻮﻏﻜﻦ ﻓﺮﺍﻧﻦ ﺳﺆﺭﻍ ﻋﻠﻤﺎﺀ ،ﺃﺧﲑﺙ ﺑﻠﻴﻮ ﺩﺍﻓﺖ ﳑﺒﻴﻨﺎﻛﻦ ﺃﻭﻣﺔ ﺩﺍﱂ ﳑﺒﺎﻏﻮﻥ ﺑﻮﺩﺍﻳﺎ ﻋﻠﻤﻮ ،ﺗﺮﺍﻭﺗﺎﻡ ﻋﻠﻤﻮﺍﺋﺎﻡ ،ﻣﻚ ﺩﺃﻧﺘﺎﺭﺍ ﻓﺮﺍﻧﻨﺚ ﺳﻔﺮﺕ ﺑﺮﺍﻳﻜﻮﺕ: อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
28
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻓﺮﺗﺎﻡ :ﻓﻐﺎﺳﺎﺱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺳﺘﻠﻪ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﻓﻮﻟﻎ ﺩﺭﻱ ﻣﻜﺔ ﺑﻠﻴﻮ ﻟﻐﺴﻮﻍ ﳑﺒﺎﻏﻮﻥ ﺳﺒﻮﺍﻩ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻳﻐﱪﻧﺎﻡ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺑﺎﺑﺎ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ ﺩﺃﺗﺲ ﺳﻜﻔﻴﻎ ﺗﺎﻧﻪ ﻓﺪﺍ ﻣﻮﻻﺙ ﺳﻘﺪﺭ 10ﺭﺍﻱ ﺳﻬﺎﺝ ،ﺗﺘﺎﰲ ﺩﺑﻠﻲ ﲤﺒﻪ ﻻﺋﻲ ﺩﻏﻦ ﺩﻭﻳﺖ ﺩﺭﻣﺎ ﺩﺍﻥ ﺧﲑﺍﺕ ﺩﺭﻓﺪﺍ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﲤﻔﺎﺗﻦ ﺩﺍﻥ ﺩﻟﻮﺍﺭ ﺳﻔﺮﺕ ﻣﺎﻟﻴﺴﻴﺎ ،ﺍﻭﺭﻍ ﻣﻼﻳﻮ ﺩﺗﺎﻧﻪ ﻣﻜﺔ ﺩﺍﻥ ﺳﺒﺎﺋﻴﺚ ،ﺩﻭﻗﺖ ﻓﻨﻮﻟﻴﺲ ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ ﺩﻏﻦ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ﺑﻠﻴﻮ ﺗﻴﺪﻕ ﺑﻮﻟﻴﻪ ﻣﻨﺠﻮﺍﺏ ﲨﻠﺔ ﻳﻎ ﺳﺒﻨﺮ ﻗﺪﺭ ﻟﻮﺍﺱ ﻛﺎﻭﺍﺳﻦ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺍﻳﺖ. ﺍﻓﺒﻴﻼ ﺗﺮﺩﻳﺮﻱ ﺳﺒﻮﺍﻩ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﻛﺎﻭﺍﺳﻦ ﺟﺎﺭﻕ ﻛﺮﻳﺎﻥ ﺳﻔﺮﺕ ﺍﻳﻦ ،ﺳﺌﺮﺍ ﺑﺎﺑﺎ ﺷﻴﺪ ﻣﻨﺮﳝﺎ ﻓﻼﺟﺮ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻣﻨﻮﻧﻴﻜﻦ ﺧﻴﺘﺎ ۲ﺙ ،ﺩﻏﻦ ﺍﻳﺖ ﺭﺍﻣﻲ ﲨﻠﻪ ﻓﻼﺟﺮ ﺑﺎﺭﻭ ﺩﺍﺗﻎ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻣﺜﺮﻩ ﺩﻳﺮﻱ ﺩﺍﻥ ﺑﻼﺟﺮ ﺍﺩﺍ ﻳﻎ ﺩﺍﺗﻎ ﺑﺮﻛﻠﻮﺍﺭﺉ ﺳﻮﺍﻣﻲ ﺍﺳﺘﺮﻱ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺳﺪﻳﺎﻛﻦ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻳﻐﺪﻧﺎﻣﻜﻦ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺍﱂ ،ﺍﺩﺍﻓﻮﻥ ﻓﻼﺟﺮ ﺑﻴﺎﺱ ﺍﺩﺍﺙ ﻟﻼﻛﻲ ﺩﺍﻥ ﻓﺮﺍﻣﻔﻮﺍﻥ ﲰﻮﺍ ﺩﺳﺪﻳﺎﻛﻦ ﺩﲤﻔﺔ ﺗﺮﺗﻨﺘﻮ. ﻛﺒﺎﺛﻘﻜﻦ ﻓﻼﺟﺮ ﻳﻎ ﺗﺴﺠﻴﻞ ﺑﻼﺟﺮ ﺩﺳﻴﲏ ﺗﺮﺩﻳﺮﻱ ﺩﺭﻓﺪ ﻓﻼﺟﺮ ﻳﻎ ﺩﺍﺗﻎ ﺩﺭﻱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ۲ﻳﻐﻸﻳﻦ ﺩﺍﻥ ﺭﺍﻣﻲ ﺩﻛﻼﻏﻨﺚ ﺍﺩﺍﻟﻪ ﻓﻼﺟﺮ ﻳﻎ ﺳﻮﺩﻩ ﺑﺮﻛﻤﻤﻔﻮﺍﻥ ﺩﺳﺌﻲ ﻋﻠﻤﻮ) ۲ﺑﺎﺏ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ(. ﻛﺪﻭﺍ :ﳑﺎﺳﻮﻗﻜﻦ ﻓﻼﺟﺮﺍﻥ ﺣﺪﻳﺚ ﺩﺍﱂ ﺍﻟﲑﻥ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﳑﺄﻳﻦ ﻓﺮﺍﻧﻦ ﻳﻎ ﺑﺴﺮ ﺩﺍﱂ ﳑﺎﺳﻮﻕ ﻓﻼﺟﺮﺍﻥ ﺣﺪﻳﺚ ﺳﻔﺮﺕ ﺳﻨﻦ ﺍﰊ ﺩﺃﻭﺩ ﺳﺒﺎﺋﻴﺚ ﺩﺍﻥ ﺩﻏﻦ ﻓﻼﺟﺮﺍﻥ ﲤﺒﻬﻦ ﺍﻳﻦ ﺑﻮﻟﻴﻪ ﻣﻐﻮﻬﺑﻜﻦ ﺑﱪﺍﻑ ﺗﻌﺼﺐ ﻛﻔﺪﺍ ﻣﺬﻫﺐ ﺗﺮﺗﻨﺘﻮ ،ﺑﻮﻟﻴﻪ ﺩﻛﺎﺗﻜﻦ ﺷﻌﺎﺭ ﺑﺎﺑﺎ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ ﺍﻳﺎﻟﻪ ﺟﺄﻭﻩ ﺩﻳﺮﻱ ﺩﺭﻓﺪ ﻓﺮﺑﺎﳍﻦ ﺧﻼﻓﻴﺔ ،ﺑﻠﻴﻮ ﻟﺒﻪ ﺳﻮﻙ ﻣﻐﻴﻠﻘﻜﻦ ﺩﺭﻓﺪﺍ ﺧﻼﻓﻴﺔ ،ﺑﻠﻴﻮ ﻟﻪ ﳑﺒﺄﻳﻘﻜﻲ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﻓﺮﺑﺎﳍﻦ ﺧﻼﻓﻴﺔ ﺑﺮﻣﻮﻻ ﺩﺭﻱ ﻓﻼﺟﺮﺙ ﺳﻨﺪﻳﺮﻯ ) ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ( ،ﺑﺮﻛﺎﺕ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ :ﺑﺎﺑﺎ ﺍﺩﺍ ﻓﺴﺎﻧﻦ ﺩﺍﻥ ﺳﻨﺘﻴﺎﺱ ﺑﺎﺋﻲ ﻧﺼﻴﺤﺔ ﻛﻔﺪﺍ ﻓﻼﺟﺮﺙ ﺍﺩﺍﻟﻪ ﻓﺮﺑﺎﳍﻦ ﻣﺜﺒﺒﻜﻦ ﻓﻮﺗﺲ ﺭﲪﺔ ﺩﺭﻓﺪ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱄ ،ﺗﻨﺘﻎ ﻓﺮﻛﺎﺭﺍ ﺧﻼﻓﻴﺔ ﻫﺎﺙ ﻓﺮﺳﻠﻴﺴﻴﻬﻦ ﻓﻨﺪﺍﻓﺔ ﺩﺍﻥ ﻣﺴﺄﻟﺔ ﺍﻳﻜﻮﺕ ﺍﻳﺖ ﻛﻴﺖ ﺑﻴﺒﺎﺱ ﺩﺩﺍﱂ ﻓﻴﻠﻴﻬﻦ ،ﻫﻨﺪﻗﻠﻪ ﻓﻴﻠﻴﻪ ﻳﻎ ﻣﺎﻥ ﻟﺒﻪ ﺩﻛﺖ ﺩﻏﻦ ﺣﺪﻳﺚ ﺩﺍﻥ ﺧﺎﺭﺍ ﻓﺎﺭﺍ ﺻﺤﺎﺑﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﺍﲪﻌﲔ. ﻛﺘﻴﺊ :ﳑﻮﻓﻮﻕ ﲰﺎﻏﺔ ﺭﻭﺣﺎﻧﻴﺔ ﻛﻔﺪ ﻓﻼﺟﺮ ﺑﻠﻴﻮ ﺑﺮﻓﺮﺍﻧﻦ ﻣﻐﺌﺎﻟﻘﻜﻦ ﻓﻼﺟﺮﺙ ﳑﱪﺳﻴﻬﻜﻦ ﺩﻳﺮﻱ ﺩﻏﻦ ﻣﻼﻟﻮﻱ ﲰﺒﻬﻴﻎ ﻣﺎﱂ ،ﺩﻭﻋﺎﺀ ،ﺫﻛﲑ ،ﺗﻮﻛﻞ ﺩﻳﺮﻱ ﻛﻔﺪﺍ ﺍﷲ ﺳﻔﺎﻱ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺳﺆﺭﻍ ﻭﱄ ﺍﷲ )ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ.( 2010/4/6 ، -10ﻣﺮﻳﺪﻣﺮﻳﺪ ﺩﺍﻥ ﻓﻐﻴﻜﻮﺗﺚ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺑﺮﺟﺎﻱ ﻣﻨﺨﻴﺘﻖ ﺭﺍﻣﻲ ﻣﺮﻳﺪ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﻋﺎﱂ ﻋﻠﻤﺎﺀ ،ﺩﺍﻥ ﻣﺮﻭﻓﺎﻛﻦ ﺟﻨﺮﺍﺳﻲ ﻓﻼﻓﻴﺲ ﺩﻬﺑﺌﲔ ﺍﻭﺋﺎﻡ ﻳﻎ ﺑﺮﻭﻳﺒﺎﻭﺍ ﺩﺍﻥ ﺣﺮﻣﺎﰐ ﺍﻭﻟﻪ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ،ﺳﺒﻬﺌﲔ ﻣﺮﻳﻚ ﻣﻮﳔﻮﻝ ﺳﺒﺎﺋﻲ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺗﺮﺍﻭﺗﺎﻡ ﺩﻓﻄﺎﱐ ،ﻣﻨﻜﻞ ﺳﺒﻬﺌﲔ ﻳﻎ ﻷﻳﻦ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺋﻮﺭﻭ ﺩﺳﻜﻮﻟﻪ ﺍﺋﺎﻡ ﺩﺍﻥ ﻣﻨﺠﺎﺩﻱ ﺍﻣﺎﻡ ﻣﺴﺠﺪ ﺩﺍﻥ ﻓﻤﻴﻔﲔ ﺩﻛﻤﻔﻮﻍ ﺩﻛﺎﻭﺍﺳﻦ ﻛﺪﻳﺎﻣﻦ ﻣﺮﻳﻚ ،ﺑﺮﺍﻳﻜﻮﺕ ﺍﻳﻦ ﺳﺘﻐﺔ ﺩﺭﻓﺪ ﺟﻨﺮﺍﺳﻲ ﺧﻴﺘﻘﻜﻨﺚ: (1ﺍﲪﺪ ﻣﻨﺘﻮﺙ ﻳﻎ ﺳﻜﺎﺭﻍ ﺩﻣﻜﺔ (2ﺑﺎﺑﺎ ﻳﻮﺳﻒ ﻣﺄﻗﺎ ﻓﻐﺎﺳﺎﺱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺧﻮﻣﻴﻞ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
29
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
(3ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﻓﻐﺎﺳﺎﺱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺑﺎﻏﻮﻝ ﻣﻮﻟﻮﻍ (4ﺑﺎﺑﺎ ﺯﻛﺮﻳﺎ ﺩﻭﻳﻦ ،ﻓﺌﺎﻭﻱ ﳎﻠﺲ ﻓﻄﺎﱐ (5ﺃﻭﻍ ﻛﺮﺍﺳﻖ ﺳﻜﺎﺭﻍ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻛﺮﺍﺳﻖ (6ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﻟﻴﻮﻳﻪ ﻓﻐﺎﺳﺎﺱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺭﺍﻛﻮﺀ (7ﺑﺎﺑﺎ ﳏﻤﺪ ﻓﻐﺎﺳﺎﺱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻫﻮﺍﻛﺎﻭ ﺳﻮﻏﻜﻼ (8ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﳊﻤﻴﺪ ﻓﻐﺎﺳﺎﺱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻫﺎﺩﻳﺎﻱ (9ﺑﺎﺑﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻐﲏ ﻓﻐﺎﺳﺎﺱ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺟﻼﰲ ﺟﺎﺑﺖ (10ﻧﻮﺭﺍﻟﺪﻳﻦ ﺳﻜﺎﺭﻍ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺑﺎﻏﻮﻝ ﻛﺎﺑﻮ (11ﺍﲪﺪ ﺑﻨﺪﻍ ﺩﺍﱂ ﺳﻜﺎﺭﻍ ﺍﺳﺘﺎﺫ ﺩﺳﻜﻮﻟﻪ ﺑﻮﺀﺑﻮﻕ (12ﺩﺍﻧﻸﻳﻦ.۲ -11ﻛﺮﻳﺎﺙ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺗﻴﺪﻕ ﲰﻔﺖ ﺧﻴﺘﻖ ﺑﻮﻛﻮ ﺗﻮﻟﻴﺴﻦ ﻫﺎﺙ ﺍﺩﺍ ﺑﻮﻛﻮﺗﻮﻟﻴﺴﻦ ﺗﺎﻏﻦ ،ﺩﻣﺎﺱ ﻓﻨﻮﻟﻴﺲ ﻣﱰﻳﺎﺭﻫﻲ ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ ،ﻣﺎﻣﺎ ﺑﺮﻛﺎﺕ ﻧﻮﺗﺎ ۲ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺑﺎﺛﻖ ﺩﻛﻼﻏﻦ ﻣﻮﺭﻳﺪ ۲ﺙ ﺍﻣﺒﻴﻞ ﺩﻏﻦ ﺳﺨﺎﺭﺍ ﺍﺫﻥ ﺍﺗﻮ ﺗﻴﺪﻕ ﺩﺍﻥ ﺗﻴﺪﻕ ﺳﻴﺎﻓﻮﻥ ﻳﻎ ﺑﺎﻭﺍ ﻛﻤﺒﺎﱄ ﺩﻏﻦ ﺍﺩﺍ ﺳﺒﻠﻮﻡ ﺍﻳﻦ ،ﺍﺩﺍ ﺗﺘﺎﻣﻮ ﺩﺭﻱ ﻣﺎﻟﻴﺴﻴﺎ ﺩﺍﺗﻎ ﺍﻭﻧﺘﻮﻕ ﻫﻴﻤﻔﻮﻥ ﺧﻴﺘﻖ ﺗﺘﺎﰲ ﻧﻮﺗﺎ ۲ﺍﻳﺖ ﺗﻴﺪﻕ ﺍﺩﺍ ﻻﺋﻲ ،ﻣﻠﻴﻨﻜﻦ ﺳﺎﺗﻮ ﺑﻮﻛﻮ ﺳﻬﺎﺝ ﺍﻳﺎﻟﻪ :ﺑﻮﻛﻮ ﺳﻼﺡ ﺍﳌﺆﻣﻦ ،ﺑﻮﻛﻮ ﺍﻳﻦ ﻣﻨﺮﻏﻜﻦ ﺗﻨﺘﻎ ﺩﻋﺎﺀ ﻣﺴﺘﺠﺎﺏ ،ﺩﻋﺎﺀ ﺳﻨﺠﺎﺕ ﺑﺎﺋﻲ ﻣﺆﻣﻦ ﺩﺍﻥ ﺳﺒﺎﺋﻴﺚ. -12ﻛﺴﻮﺩﺍﻫﻦ ﻳﻎ ﺑﺄﻳﻖ ﺳﺘﻠﻪ ﻣﺎﻥ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ )ﺑﺎﺑﺎ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ( ﻳﻎ ﺑﺌﻴﺘﻮ ﺑﺴﺮﺳﻮﻣﺒﺎﻏﻨﺚ ﺩﺍﻥ ﺟﺎﺳﺚ ﻳﻎ ﺗﻴﺪﻕ ﺗﺮﻫﻴﺘﻮﻍ ﺩﺍﱂ ﻓﺮﻛﻤﺒﺎﻏﻦ ﺧﺰﺍﻧﺔ ﻋﻠﻤﻮﺍﺳﻼﻡ ﻛﻔﺪ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ،ﺃﺧﲑﺙ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺟﺎﺗﻮﻩ ﺳﺎﻛﻴﺖ ﺑﱪﺍﻑ ﻫﺎﺭﻱ ﺳﻬﺎﺝ ﺑﻠﻴﻮ ﺩﻓﻐﺌﻴﻞ ﺍﻭﻟﻪ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱄ ﻓﺪ ﺗﺎﺭﻳﺦ 4ﺍﻭﻛﺘﻮﺑﺮ2005ﻡ ،ﺩﻏﻦ ﺍﻭﺳﻴﺎﺙ 86ﺗﺎﻫﻮﻥ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
30
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺭﺟﻮﻋﻜﻦ ﺑﻮﻛﻮ ﺍﲪﺪ ﻓﺘﺤﻲ .1992 .ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺑﺴﺮ ﺩﺍﺭﻱ ﻓﻄﺎﱐ .ﺑﺎﻏﻲ :ﻓﻨﺮﺑﻴﺔ ﻳﻮﻧﻴﱪﺳﻴﱵ ﻛﺒﻐﺴﺄﻥ ﻣﻠﻴﺴﻴﺎ. ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ ﺳﻌﺪ " .2001 .ﺩﻋﻮﺓ ﺇﺳﻼﻣﻴﺔ :ﺳﺎﺗﻮ ﻛﺎﺟﲔ ﺗﺮﻫﺎﺩﻑ ﺳﺠﺎﺭﻩ ﻓﺮﻛﻤﺒﺎﻏﻦ ﻓﻨﺪﻳﺪﻳﻘﻜﻦ ﺇﺳﻼﻡ ﺩﺍﱂ ﻣﺸﺎﺭﻛﺖ ﻣﻼﻳﻮ ﻓﻄﺎﱐ :ﺳﺎﺗﻮ ﻓﻐﻨﺎﻟﻦ" .ﺟﻮﺭﻧﻞ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺍﺳﻼﻡ .ﻛﻮﻟﻴﺞ ﺍﺳﻼﻡ ﺟﺎﻻ .ﺑﻴﻞ)1 .ﻣﻮﻙ(33 .
ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻠﻄﻴﻒ ﲪﻴﺪﻭﻥ .1977 .ﺩﺍﱂ ﻓﺮﻭﻑ ،ﺩﺍﻥ ﻟﻴﻬﺖ :ﻭﺍﻥ ﳏﻤﺪ ﺻﻌﲑ ،ﻓﻐﺎﺳﻮﺓ ، ،ﺑﻴﻞ .45 : 422
ﳏﻤﺪ ﻻﺯﻡ ﻻﻭﻯ .2003 .ﺳﺠﺎﺭﻩ ﺩﺍﻥ ﻓﺮﻛﻤﺒﺎﻏﻦ ﺍﺋﺎﻡ ﺍﻧﻮﺗﻦ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﻣﻼﻳﻮ ﻓﻄﺎﱏ .ﻓﻮﺳﺔ ﻛﺒﻮﺩﺍﻳﺄﻥ ﺍﺳﻼﻡ. ﻛﻮﻟﻴﺞ ﺍﺳﻼﻡ ﺟﺎﻻ. ﲤﻮﺩﻭﺋﺎ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ .2010 .ﻭﻱ ﻳﻮﺳﻒ ﺳﻴﺪﺉ2010/4/6 .ﻡ .ﺑﺮﲤﻔﺖ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﻛﻮﻳﻎ ﺗﺮﻧﻎ ﻓﻨﺎﺭﻳﻖ ﻓﻄﺎﱏ.ﺑﻜﺲ ﻓﻼﺟﺮ ﻻﻡ ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ.
ﺭﻣﻠﻪ ﺳﺊ ﻣﺆ .2010 .ﻭﻱ ﻳﻮﺳﻒ ﺳﻴﺪ ﺉ 2010 /4 /25 .ﻡ .ﺑﺮﲤﻔﺖ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺍﻥ ﺭﻭﻣﻬﺚ ﻛﻤﻔﻮﻍ ﺳﻲﺀ ﻣﺆ ﺧﺎﺭﻕ ﻛﺮﻳﺎﻥ ﺳﻴﺒﻮﺭﻱ.
ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺳﺊ ﻣﺆ .2010 .ﻭﻱ ﻳﻮﺳﻒ ﺳﻴﺪ ﺉ 2010 /4 /21 .ﻡ .ﺑﺮﲤﻔﺖ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺍﻥ ﺭﻭﻣﻬﺚ ﻛﻤﻔﻮﻍ ﺳﻲﺀ ﻣﺆ ﺧﺎﺭﻕ ﻛﺮﻳﺎﻥ ﺳﻴﺒﻮﺭﻱ. ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﺣﺎﺝ ﺍﻣﲔ .2010 .ﻭﻱ ﻳﻮﺳﻒ ﺳﻴﺪﺉ2010 /4 /25 .ﻡ .ﺑﺮﲤﻔﺖ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ) ﺑﺎﻏﻮﻝ ﻣﻮﻟﻮﻍ( ﺩﺍﻥ ﺩﺭﻭﻣﻬﺚ ﻛﻤﻔﻮﻍ ﺑﺎﻏﻮﻝ ﻣﻮﻟﻮﻍ ﻣﻘﻴﻢ ﺗﺒﻴﻎ ﺳﻴﺒﻮﺭ ﻱ ﺑﻜﺲ ﻓﻼﺟﺮ ﻻﻡ ﺩﺍﻥ ﻓﺮﻧﺔ ﺑﺮﺗﻮﺋﺲ ﺑﱪﺍﻑ ﺗﺎﻫﻮﻥ ﻻﻣﺚ ﺳﻠﻔﺲ ﺑﺎﺏ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ ﻣﻨﻴﻐﺌﻞ ﺩﻭﻧﻴﺎ.
ﻣﺎﻣﺎ ﲪﻴﺪﺓ .2010 .ﻭﻱ ﻳﻮﺳﻒ ﺳﻴﺪﺉ2010/4/22 .ﻡ .ﺑﺮﲤﻔﺖ ﺩﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺩﺍﻥ ﺭﻭﻣﻬﺚ )ﻓﻮﻧﺪﻭﻕ ﺷﻴﺪ ﻭﺭﻉ(.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
31
ﻣﻔﻬﻮﻡ ﻭﲰﺎﺕ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺗﺎﺭﳜﻴﺔ ﻭﲢﻠﻴﻠﻴﺔ
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 บทความวิชาการ
∗
ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺯﺍﻕ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺃﲪﺪ
ﻣﻠﺨﺺ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻓﺘﺮﺓ ﺗﺎﺭﳜﻴﺔ ﻣﺮﺕ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻭﺧﻠﹼﻔﺖ ﺃﺣﺪﺍﺛﹰﺎ ﻋﺪﻳﺪﺓ ،ﻭﻗﺪ ﺗﻮﺻﻒ ﺍﻟﺸﻌﻮﺏ ﺑﺎﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺇﻣﺎ ﻟﻌﺪﻡ ﺇﺩﺭﺍﻛﻬﺎ ﳌﺎ ﳛﺪﺙ ﺣﻮﳍﺎ ﻣﻦ ﺃﻣﻮﺭ ﻭﺇﻣﺎ ﺗﺼﺮﻓﻬﺎ ﺑﻼ ﻭﻋﻲ ﻓﻴﻤﻜﻦ ﺇﻃﻼﻕ ﺍﻟﻠﻔﻆ ﻋﻠﻴﻬﺎ ،ﻓﻜﺎﻧﺖ ﻟﻠﻌﺮﺏ ﺗﺼﺮﻓﺎﺕ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﳝﻜﻦ ﺍﻟﺘﻌﺮﻑ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺁﻳﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻭﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﻟﺸﻌﺮ ﺍﳉﺎﻫﻠﻲ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺼﻮﺭ ﺟﺎﻧﺒﹰﺎ ﻣﻦ ﺣﻴﺎﻢ ،ﻓﻜﻞ ﺃﻣﺔ ﻣﻦ ﺍﻷﻣﻢ ﳍﺎ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ،ﺗﻨﺘﻬﻲ ﺑﻔﺘﺮﺓ ﺍﻟﻮﻋﻲ ﻭﺍﻹﺩﺭﺍﻙ ،ﺃﻣﺎ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻓﺄﺻﺒﺤﻮﺍ ﰲ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﻭﻫﻢ ﻋﻠﻰ ﺣﺎﻟﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻮﻋﻲ ﻭﺍﻹﺩﺭﺍﻙ ،ﻓﻤﺎ ﺍﻟﺬﻱ ﺣﺪﺙ ﻟﻠﻌﺮﺏ ﺣﱴ ﻭﺻﻔﻮﺍ ﺑﺎﳉﺎﻫﻠﻴﺔ؟
∗ ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ،ﳏﺎﺿﺮ ﺑﻘﺴﻢ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﲟﺮﺣﻠﺔ ﻣﺎﺟﺴﺘﲑ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
32
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
Abstract Ignorance historical period passed to the Arabs and left events that many have described people as ignorant or the lack of awareness of what is happening around things or disposal without awareness can launch word it ، was to the Arabs the actions of ignorance can be identified through the verses of the Koran and the history books and pre-Islamic poetry ، which depicts an of their lives ، every nation have ignorant ، ending a period of awareness and perception ، and the Arabs they became ignorant and they are in a state of consciousness ، what happened to the Arabs and even described as ignorant?
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
33
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﳌﻘﺪﻣﺔ ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺃ /ﰲ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺍﳉﻬﻞ ﺿﺪ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﻗﺪ )ﺟﻬﻞ( ﻣﻦ ﺑﺎﺏ ﻓﻬﻢ ﻭﺳﻠﻢ ،ﻭ)ﲡﺎﻫﻞ( ﺃﺭﻯ ﻣﻦ ﻧﻔﺴﻪ ﺫﻟﻚ ﻭﻟﻴﺲ ﺑﻪ، ﻭ)ﺍﻟﺘﺠﻬﻴﻞ( ﺍﻟﻨﺴﺒﺔ ﺇﱃ ﺍﳉﻬﻞ ،ﻭ)ﺍﻬﻠﺔ( ﺑﻮﺯﻥ ﺍﳌﺮﺣﻠﺔ ،ﺍﻷﻣﺮ ﺍﻟﺬﻱ ﳛﻤﻞ ﻋﻠﻰ ﺍﳉﻬﻞ ﻭﻣﻨﻪ ﻗﻮﳍﻢ :ﺍﻟﻮﻟﺪ ﳎﻬﻠﺔ، ﻭ)ﺍﻬﻞ( ﺍﳌﻔﺎﺯﺓ ﻻ ﺃﻋﻼﻡ ﻓﻴﻬﺎ) .ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ(49 :1986 ، ﻼ ﻭﺟﻬﻞ ﻋﻠﻰ ﻼ ﻭﺟﻬﺎﻟﺔ ﺧﻼﻑ ﻋﻠﻤﺘﻪ ،ﻭﰲ ﺍﳌﺜﻞ ﻛﻔﻰ ﺑﺎﻟﺸﻚ ﺟﻬ ﹰ ﻣﻦ ﺟﺎﻧﺐ ﺁﺧﺮ ﺟﻬﻞ) :ﺟﻬﻠﺖ( ﺍﻟﺸﻴﺊ ﺟﻬ ﹰ ﻏﲑﻩ ﺳﻔﻪ ﻭﺃﺧﻄﺄ ،ﻭﺟﻬﻞ ﺍﳊﻖ ﺃﺿﺎﻋﻪ ﻓﻬﻮ ﺟﺎﻫﻞ ،ﻭﺟﻬﻮﻝ ﻭﺟﻬﻠﺘﻪ ﺑﺎﻟﺘﺜﻘﻴﻞ ﻧﺴﺒﺘﻪ ﺇﱃ ﺍﳉﻬﻞ) .ﺍﻟﻔﻴﻮﻣﻲ(44 :1978 ، ﻼ ﻭﺍﺳﺘﺨﻔﻪ ﺃﻳﻀﺎﹰ ،ﻭﺍﺳﺘﺠﻬﻠﺘﻪ ﻭﺟﺪﺗﻪ ﻭﻳﻘﻮﻝ ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ :ﺍﳉﻬﻞ ﻧﻘﻴﺾ ﺍﻟﻌﻠﻢ ،ﻭﺍﺳﺘﺠﻬﻠﻪ :ﻋﺪﻩ ﺟﺎﻫ ﹰ ﺟﺎﻫﻼﹰ ،ﻭﺃﺟﻬﻠﺘﻪ :ﺟﻌﻠﺘﻪ ﺟﺎﻫﻼﹰ ،ﻭﺇﻣﺎ ﺍﻹﺳﺘﺠﻬﺎﻝ :ﲟﻌﲎ ﺍﳊﻤﻞ ﻋﻠﻰ ﺍﳉﻬﻞ ،ﻭﺟﻬﻞ ﻓﻼﻥ ﺣﻖ ﻓﻼﻥ ﻋﻠﹼﻲ ﻼ ﺑﻐﲑ ﺍﻟﻌﻠﻢ) .ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ ،ﺩ.ﺕ(129 : ﻭﺟﻬﻞ ﺬﺍ ﺍﻷﻣﺮ ،ﻭﺍﳉﻬﺎﻟﺔ :ﺃﻥ ﺗﻔﻌﻞ ﻓﻌ ﹰ ﺏ /ﰲ ﺍﻻﺻﻄﻼﺡ ﺃﻣﺎ ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﰲ ﺍﻻﺻﻄﻼﺡ ﻓﻬﻲ) :ﺍﳊﺎﻟﺔ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻣﻦ ﺍﳉﻬﻞ ﺑﺎﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ،ﻭﺷﺮﺍﺋﻊ ﺍﻟﺪﻳﻦ ،ﻭﺍﳌﻔﺎﺧﺮﺓ ﺑﺎﻷﻧﺴﺎﺏ ﻭﺍﻟﻜﱪ ﻭﺍﻟﺘﺠﱪ() .ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ ،ﺩ.ﺕ ،ﺹ(130 ﻭﻗﻴﻞ ﻫﻲ) :ﺍﳉﻬﻞ ﺍﻟﺬﻱ ﻫﻮ ﺿﺪ ﺍﻟﻌﻠﻢ ،ﻭﻣﻦ ﺍﳉﻬﻞ ﺑﺎﻟﻘﺮﺍﺀﺓ ﻭﺍﻟﻜﺘﺎﺑﺔ ،ﻭﻓﻬﻤﻬﺎ ﺁﺧﺮﻭﻥ ﺃﻬﻧﺎ ﻣﻦ ﺍﳉﻬﻞ ﺑﺎﷲ ﻭﺑﺮﺳﻮﻟﻪ ﻭﺑﺸﺮﺍﺋﻊ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻭﺑﺎﺗﺒﺎﻉ ﺍﻟﻮﺛﻨﻴﺔ ﻭﺍﻟﺘﻌﺒﺪ ﻟﻐﲑ ﺍﷲ ،ﻭﺫﻫﺐ ﺁﺧﺮﻭﻥ ﺇﱃ ﺃﻬﻧﺎ ﻣﻦ ﺍﳌﻔﺎﺧﺮﺓ ﺑﺎﻷﻧﺴﺎﺏ ﻭﺍﻟﺘﺒﺎﻫﻲ ﺑﺎﻷﺣﺴﺎﺏ ﻭﺍﻟﻜﱪ ﻭﺍﻟﺘﺠﱪ( ) ﺟﻮﺍﺩ ﻋﻠﻲ،1980 ،ﺝ،1ﺹ(38 ﺝ /ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺫﻛﺮﺕ ﻛﻠﻤﺔ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﰲ ﻋﺪﺓ ﺁﻳﺎﺕ ﻭﲟﻔﺎﻫﻴﻢ ﳐﺘﻠﻔﺔ ،ﻭﳝﻜﻦ ﺃﻥ ﺗﻘﺴﻢ ﺇﱃ ﻗﺴﻤﲔ، ﻛﻞ ﻗﺴﻢ ﳜﺘﻠﻒ ﻋﻦ ﺍﻵﺧﺮ ﰲ ﺍﳌﻌﲎ: ﺍﻟﻘﺴﻢ ﺍﻷﻭﻝ: ﲢﻤﻞ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﻣﻌﲎ ﺍﳊﻤﻴﺔ ﻭﺍﻟﻄﻴﺶ ﻭﺍﻟﻐﻀﺐ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛ ﴿{ | }~ ¡ ﴾¦ ¥ ¤ £ ¢ ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛
﴿﴾k j i h g f e
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(67 :2 ،
)ﺳﻮﺭﺓﻩ ﺍﻷﻋﺮﺍﻑ(199 :7 ، อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
34
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛ ﴿﴾® ¬ « ª © ¨ § ¦ ¥ ¤ £ ¢ )ﺳﻮﺭﺓﻩ ﺍﻟﻔﺮﻗﺎﻥ(63 :25 ، ﺃﻭﺿﺢ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ ﺃﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺗﺪﻋﻮ ﺇﱃ ﺍﻟﺘﱰﻩ ﻋﻦ ﻣﻨﺎﺯﻋﺔ ﺍﻟﺴﻔﻬﺎﺀ ،ﻭﻣﺴﺎﻭﺍﺓ ﺍﳉﻬﻠﺔ ﺍﻷﻏﺒﻴﺎﺀ، ﻭﺍﻹﻋﺮﺍﺽ ﻋﻦ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻈﻠﻢ ،ﻛﻤﺎ ﺗﺪﻋﻮ ﺇﱃ ﺍﻟﺘﺨﻠﻖ ﺑﺎﻷﺧﻼﻕ ﺍﳊﻤﻴﺪﺓ ،ﻭﺍﻷﻓﻌﺎﻝ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪﺓ) .ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ(1978:444، ﺍﻟﻘﺴﻢ ﺍﻟﺜﺎﱐ: ﺗﺪﻋﻮ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺇﱃ ﺃﻓﻌﺎﻝ ﻛﺎﻧﺖ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ،ﻓﻔﻲ ﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛ ﴿﴾ Ú Ù Ø × Ö Õ Ô Ó Ò Ñ Ð ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛
﴿﴾m l k j i h g f
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﺎﺋﺪﺓ(50 :5 ،
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻷﺣﺰﺍﺏ. (33 :33 ،
ﻳﺮﻯ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ ﺃﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺗﺪﻋﻮ ﺇﱃ ﺃﻓﻌﺎﻝ ﻛﺎﻧﺖ ﻣﻨﺘﺸﺮﺓ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ،ﻓﺤﻜﻢ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻳﻘﺼﺪ ﺑﻪ ﺣﻜﻢ ﺍﻟﺸﺮﻳﻒ ﺧﻼﻑ ﺣﻜﻢ ﺍﻟﻮﺿﻴﻊ ،ﺃﻭ ﺇﻗﺎﻣﺔ ﺍﳊﺪﻭﺩ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻀﻌﻔﺎﺀ ﺍﻟﻔﻘﺮﺍﺀ ،ﻭﺗﺮﻙ ﺍﻷﻗﻮﻳﺎﺀ ﺍﻷﻏﻨﻴﺎﺀ ،ﺃﻣﺎ ﺗﱪﺝ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻷﻭﱃ ﻓﻬﻮ ﺍﻟﺘﻨﻌﻢ ﻭﺇﻇﻬﺎﺭ ﺍﻟﺰﻳﻨﺔ ﻭﺍﶈﺎﺳﻦ ﻟﻠﺮﺟﺎﻝ ،ﻭﺇﳕﺎ ﺟﺮﻯ ﺫﻟﻚ ﰲ ﺍﻷﺯﻣﺎﻥ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﺔ ،ﻭﻣﻦ ﺍﳌﻌﺮﻭﻑ ﺃﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻛﺎﻧﺖ ﺃﻫﻞ ﻗﺸﻒ ﻭﺿﻨﻚ ﰲ ﺍﻟﻐﺎﻟﺐ ).ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ(178 :1978 ، ﻭﻗﺪ ﻭﺭﺩﺕ ﺁﻳﺎﺕ ﻋﺪﻳﺪﺓ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﲢﻤﻞ ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ،ﻭﻫﻲ ﺇﻣﺎ ﺗﻌﲏ ﺍﳊﻤﻴﺔ ﻭﺍﻟﻄﻴﺶ ﻭﺍﻟﻐﻀﺐ ،ﺃﻭ ﺗﺪﻋﻮ ﺇﱃ ﺃﻓﻌﺎﻝ ﻛﺎﻧﺖ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ) .ﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ ،154ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﺤﻞ ،119ﺳﻮﺭﺓ ﻳﻮﺳﻒ ،33ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻷﻧﻌﺎﻡ ،35ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﻤﻞ ،55ﺳﻮﺭﺓ ﻫﻮﺩ .( 29 ﻳﺘﻀﺢ ﻣﻦ ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺃﻬﻧﺎ ﺗﻮﺟﺪ ﰲ ﻧﻔﺲ ﻛﻞ ﺇﻧﺴﺎﻥ ﻳﺴﲑ ﰲ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﻀﻼﻝ، ﻟﺬﻟﻚ ﺇﻣﺎ ﺃﻥ ﺗﻜﻮﻥ ﰲ ﺗﺼﺮﻓﺎﺕ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﻣﻊ ﺃﺧﻴﻪ ﰲ ﺃﻱ ﳎﺘﻤﻊ ،ﺃﻭ ﺗﻜﻮﻥ ﻣﻊ ﻛﻞ ﺇﻧﺴﺎﻥ ﻻﻳﺴﺘﻄﻴﻊ ﺃﻥ ﻳﻨﻬﻰ ﻧﻔﺴﻪ ﻋﻦ ﺍﳍﻮﻯ ،ﻭﺑﺎﻟﺘﺎﱄ ﻻ ﻳﺮﺑﺢ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻭﺍﻵﺧﺮﺓ. ﻭﻳﻮﺿﺢ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ ﻣﻦ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻷﺣﺰﺍﺏ ﺍﻵﻳﺔ )) :(33ﻭﻻﺗﱪﺟﻦ ﺗﱪﺝ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻷﻭﱃ ( ،ﺍﺧﺘﻼﻑ ﺍﻵﺭﺍﺀ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻷﻭﱃ ،ﻓﻘﻴﻞ "ﻫﻲ ﺍﻟﺰﻣﻦ ﺍﻟﺬﻱ ﻭﻟﺪ ﻓﻴﻪ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ،ﻛﺎﻧﺖ ﺍﳌﺮﺃﺓ ﺗﻠﺒﺲ ﺍﻟﺪﺭﻉ ﻣﻦ ﺍﻟﻠﺆﻟﺆ ﻓﺘﻤﺸﻲ ﻭﺳﻂ ﺍﻟﻄﺮﻳﻖ ﺗﻌﺮﺽ ﻧﻔﺴﻬﺎ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺮﺟﺎﻝ .ﻭﻗﺎﻝ ﺍﳊﻜﻢ ﺑﻦ ﻋﻴﻴﻨﺔ" ﻣﺎﺑﲔ ﺁﺩﻡ ﻭﻧﻮﺡ ،ﻭﻫﻲ ﲦﺎﳕﺎﺋﺔ ﺳﻨﺔ ،ﻭﺣﻜﻴﺖ ﳍﻢ ﺳﲑ ﺫﻣﻴﻤﺔ ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ "ﻣﺎﺑﲔ ﻧﻮﺡ ﻭﺍﺩﺭﻳﺲ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﻜﻠﱯ" ﻣﺎﺑﲔ ﻧﻮﺡ ﻭﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ،ﻗﻴﻞ "ﺇﻥ ﺍﳌﺮﺃﺓ ﻛﺎﻧﺖ ﺗﻠﺒﺲ ﺍﻟﺪﺭﻉ ﻣﻦ ﺍﻟﻠﺆﻟﺆ ﻏﲑ ﳐﻴﻂ ﺍﳉﺎﻧﺒﲔ ﻭﺗﻠﺒﺲ ﺍﻟﺜﻴﺎﺏ ﺍﻟﺮﻗﺎﻕ ﻭﻻﺗﻮﺍﺭﻱ ﺑﺪﻬﻧﺎ ،ﻭﻗﺎﻟﺖ "ﻣﺎﺑﲔ ﻣﻮﺳﻰ ﻭﻋﻴﺴﻰ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﺸﻌﱯ" ﻣﺎﺑﲔ ﻋﻴﺴﻰ ﻭﳏﻤﺪ )ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ(. ﻭﻗﺎﻝ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻌﺎﻟﻴﺔ :،ﻫﻲ ﺯﻣﺎﻥ ﺩﺍﻭﺩ ﻭﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ،ﻛﺎﻥ ﻓﻴﻪ ﻟﻠﻤﺮﺃﺓ ﻗﻤﻴﺺ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﺭ ﻏﲑ ﳐﻴﻂ ﺍﳉﺎﻧﺒﲔ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺃﺑﻮ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
35
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﻟﻌﺒﺎﺱ ﺍﳌﱪﺩ :ﻭﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻷﻭﱃ ﻛﻤﺎ ﺗﻘﻮﻝ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﳉﻬﻼﺀ ﻗﺎﻝ :،ﻭﻛﺎﻥ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﳉﻬﻼﺀ ﻳﻈﻬﺮﻥ ﻣﺎﻳﻘﺒﺢ ﺇﻇﻬﺎﺭﻩ ،ﺣﱴ ﻛﺎﻧﺖ ﺍﳌﺮﺃﺓ ﲡﻠﺲ ﻣﻊ ﺯﻭﺟﻬﺎ ﻭﺧﻠﻬﺎ ،ﻓﻴﻨﻔﺮﺩ ﺧﻠﻬﺎ ﲟﺎ ﻓﻮﻕ ﺍﻷﺯﺍﺭ ﺇﱃ ﺃﻋﻠﻰ ،ﻭﻳﻨﻔﺮﺩ ﺯﻭﺟﻬﺎ ﲟﺎ ﺩﻭﻥ ﺍﻷﺯﺍﺭ ﺇﱃ ﺍﻷﺳﻔﻞ ،ﻭﺭﲟﺎ ﺳﺄﻝ ﺃﺣﺪﳘﺎ ﺻﺎﺣﺒﻪ ﺍﻟﺒﺪﻝ .ﻭﻗﺎﻝ ﳎﺎﻫﺪ :ﻛﺎﻥ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﻳﺘﻤﺸﲔ ﺑﲔ ﺍﻟﺮﺟﺎﻝ ،ﻓﺬﻟﻚ ﺍﻟﺘﱪﺝ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ :ﺟﻌﻠﻬﺎ ﺃﻭﱃ ﺑﺎﻟﻨﺴﺒﺔ ﺇﱃ ﻣﺎ ﻛﻦ ﻋﻠﻴﻪ ،ﻭﻟﻴﺲ ﺍﳌﻌﲎ ﺃﻥ ﰒ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﺃﺧﺮﻯ، ﻭﻗﺪ ﺃﻭﻗﻊ ﺇﺳﻢ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﺗﻠﻚ ﺍﳌﺪﺓ ﺍﻟﱵ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ) .ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ(178 :1978 ، ﻧﻼﺣﻆ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ ﺃﻥ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﻗﺼﺪﻫﺎ ﻫﻲ ﺍﳊﺎﻟﺔ ﺍﻟﱴ ﻛﺎﻧﺖ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻷﻣﻢ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺩﻭﻥ ﲢﺪﻳﺪ ﳍﺬﻩ ﺍﻷﻣﻢ ،ﻭﻗﺪ ﺣﺼﺮ ﺃﻣﺮ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﰲ ﺗﱪﺝ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﺑﺼﻔﺔ ﺧﺎﺻﺔ ﻭﺟﻌﻠﻬﺎ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﺃﻭﱃ ﺩﻭﻥ ﺫﻛﺮ ﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺃﺧﺮﻯ. ﻛﻤﺎ ﻳﺬﻛﺮ ﻣﻦ ﺟﺎﻧﺐ ﺁﺧﺮ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛ ﴿ ﴾u t s r q p o n m l k j )ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ(8 :4 ، ﺇﱃ ﺃﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﻻﻳﺔ ﻋﺎﻣﺔ ﻟﻜﻞ ﻣﻦ ﻋﻤﻞ ﺫﻧﺒﺎ ً ،ﻭﻗﻴﻞ :ﳌﻦ ﺟﻬﻞ ﻓﻘﻂ ،ﻓﻜﻞ ﻣﻦ ﻋﺼﻰ ﺭﺑﻪ ﻓﻬﻮ ﺟﺎﻫﻞ ﺣﱴ ﻳﱰﻉ ﻋﻦ ﻣﻌﺼﻴﺘﻪ ،ﻗﺎﻝ ﻗﺘﺎﺩﺓ :ﺃﲨﻊ ﺃﺻﺤﺎﺏ ﺍﻟﻨﱯ )ﺻﻠﻲ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ( ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﻛﻞ ﻣﻌﺼﻴﺔ ﻓﻬﻲ ﲜﻬﺎﻟﺔ ﻋﻤﺪﹰﺍ ﻛﺎﻧﺖ ﺃﻭﺟﻬ ﹰ ﻼ .ﻭﻗﺎﻝ ﻋﻜﺮﻣﺔ :ﺃﻣﻮﺭ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻛﻠﻬﺎ ﺟﻬﺎﻟﺔ ﻳﺮﻳﺪ ﺎ ﺍﳋﺎﺭﺟﺔ ﻋﻦ ﻃﺎﻋﺔ ﺍﷲ .ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﺰﺟﺎﺝ : ﻗﻮﻟﻪ " ﲜﻬﺎﻟﺔ " ﺍﺧﺘﻴﺎﺭﻫﻢ ﺍﻟﻠﺬﺓ ﺍﻟﻔﺎﻧﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻠﺬﺓ ﺍﻟﺒﺎﻗﻴﺔ ) .ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ :1978،ﺝ(90 ،5 ﺩ /ﰲ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﺸﺮﻳﻒ ﻛﺬﻟﻚ ﺗﺸﲑ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﺇﱃ ﻟﻔﻆ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ،ﻓﻔﻲ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺃﻥ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﻗﺎﻝ :ﻷﰊ ﻼ ﺑﺄﻣﻪ )ﺇﻧﻚ ﺇﻣﺮﺅ ﻓﻴﻚ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ( ) ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ1420،ﻫـ2000/ﻡ:،ﺝ ،(27،1ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﻨﱯ ) :ﺇﺫﺍ ﺫﺭ ﻭﻗﺪ ﻋﻴﺮ ﺭﺟ ﹰ ﻛﺎﻥ ﺃﺣﺪﻛﻢ ﺻﺎﺋﻤﹰﺎ ﻓﻼ ﻳﺮﻓﺚ ﻭﻻ ﳚﻬﻞ( )ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ ،ﺩ.ﺕ. (307:، ﻭﺭﻭﻯ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ﰲ ﺻﺤﻴﺤﻪ ،ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ـ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ـ ﺃﻧﻪ ﻗﺎﻝ ) :ﺇﺫﺍ ﺳﺮﻙ ﺃﻥ ﺗﻌﻠﻢ ﺟﻬﻞ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻓﺄﻗﺮﺃ ﻣﺎ ﻓﻮﻕ ﺍﻟﺜﻼﺛﲔ ﻭﻣﺎﺋﺔ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻷﻧﻌﺎﻡ )ﻗﺪ ﺧﺴﺮ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﻗﺘﻠﻮﺍ ﺃﻭﻻﺩﻫﻢ ﺳﻔﻬﹰﺎ ﺑﻐﲑ ﻋﻠﻢ ﻭﺣﺮﻣﻮﺍ ﻣﺎ ﺭﺯﻗﻬﻢ ﺍﷲ ﺍﻓﺘﺮﺍﺀ ﻋﻠﻰ ﺍﷲ ﻗﺪ ﺿﻠﻮﺍ ﻭﻣﺎ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻣﻬﺘﺪﻳﻦ( )ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ،ﺝ ،3ﺹ ،1297ﻭﺍﻵﻳﺔ 140ﻣﻦ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻷﻧﻌﺎﻡ( . ﻭﻋﻦ ﻋﺒﻴﺪ ﺍﷲ ﲰﻊ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ـ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ـ ﻳﻘﻮﻝ :ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ :ﺃﺭﺑﻊ ﰲ ﺃﻣﱵ ﻣﻦ ﺃﻣﺮ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻻ ﻳﺘﺮﻛﻮﻬﻧﻦ )ﺍﻟﻔﺨﺮ ﺑﺎﻷﺣﺴﺎﺏ ،ﻭﺍﻟﻄﻌﻦ ﰲ ﺍﻷﻧﺴﺎﺏ ،ﻭﺍﻹﺳﺘﺴﻘﺎﺀ ﺑﺎﻟﻨﺠﻮﻡ ،ﻭﺍﻟﻨﻴﺎﺣﺔ( )ﺍﻟﺒﻴﻬﻘﻲ، 1410ﻫـ1990 /ﻡ.(63 : ﻭﰲ ﺣﺪﻳﺚ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ـ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ـ ﺃﻧﻪ ﻗﺎﻝ) :ﻣﻦ ﺍﺳﺘﺠﻬﻞ ﻣﺆﻣﻨﹰﺎ ﻓﻌﻠﻴﻪ ﺇﲦﻪ( )ﺍﺑﻦ ﺍﻷﺛﲑ، 1383ﻫـ1963/ﻡ.(192 :
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
36
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻭﺃﻣﺎ ﰲ ﺣﺪﻳﺚ ﺍﻹﻓﻚ ،ﻗﺎﻟﺖ :ﻋﺎﺋﺸﺔ ـ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ـ )ﻭﻟﻜﻦ ﺍﺟﺘﻬﻠﺘﻪ ﺍﳊﻤﻴﺔ( )ﺍﺑﻦ ﺍﻷﺛﲑ، 1383ﻫـ1963/ﻡ.(192 : ﻧﺮﻯ ﻣﻦ ﻟﻔﻆ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﻭﺭﺩﺕ ﰲ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﻫﻲ ﺃﻓﻌﺎﻝ ﻗﺎﻡ ﺎ ﺍﻟﺒﻌﺾ ﰲ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻔﺘﺮﺓ ﻭﻣﻨﻬﺎ ﺃﻥ ﻳﻔﻌﻞ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﺷﻴﺌﹰﺎ ﻟﻴﺲ ﻣﻦ ﺧﻠﻘﻪ ﻓﻴﻐﻀﺒﻪ ﻓﺈﳕﺎ ﺇﲦﻪ ﻋﻠﻰ ﻣﻦ ﺟﻌﻠﻪ ﻳﻘﻮﻡ ﺬﺍ ﺍﻟﻔﻌﻞ ،ﺃﻭ ﲪﻠﺘﻪ ﺍﻷﻧﻔﺔ ﻭﺍﻟﻐﻀﺐ ﻋﻠﻰ ﺍﳉﻬﻞ ،ﺃﻭ ﺃﻥ ﻳﺘﻌﻠﻢ ﻣﺎ ﻻ ﺣﺎﺟﺔ ﺇﻟﻴﻪ ﻣﻦ ﻋﻠﻮﻡ ﰲ ﺩﻳﻨﻪ ﻣﻦ ﻋﻠﻢ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ،ﻭﺑﺼﻔﺔ ﻋﺎﻣﺔ ﻫﻲ ﺍﳊﺎﻝ ﺍﻟﱵ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻣﻦ ﺍﳉﻬﻞ ﺑﺎﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﻭﺷﺮﺍﺋﻊ ﺍﻟﺪﻳﻦ. ﻫـ /ﻋﻨﺪ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﺍﳌﻌﺎﺻﺮﻳﻦ ﻳﻌﺮﻑ ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺑﺄﻬﻧﺎ ﺍﻟﺰﻣﻦ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻜﺜﺮ ﻓﻴﻪ ﺍ ﳉﻬﻞ ،ﻭﻗﺪ ﺗﻜﻮﻥ ﺃﻳﺎﻡ ﺍﻟﻔﺘﺮﺓ ﻭﻫﻮ ﺍﻟﻌﻬﺪ ﺍﻟﺬﻱ ﳛﺪﺙ ﺑﲔ ﺍﻟﺮﺳﻮﻟﲔ ،ﻭﻗﺪ ﻧﻄﻠﻖ ﻋﻠﻰ ﺯﻣﻦ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻣﻄﻠﻘﺎﹰ ،ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻣﺎ ﻗﺒﻞ ﺍﻟﻔﺘﺢ ،ﻭﻋﻠﻰ ﻣﺎ ﻛﺎﻥ ﺑﲔ ﻣﻮﻟﺪ ﺍﻟﻨﱯ ﻭﻣﺒﻌﺜﻪ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺧﺎﻟﻮﻳﻪ :ﺃﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻠﻔﻆ ﺍﺳﻢ ﺣﺪﺙ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻟﻠﺰﻣﻦ ﺍﻟﺬﻱ ﻛﺎﻥ ﻗﺒﻞ ﺍﻟﺒﻌﺜﺔ ) .ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ، 1414ﻫـ :ﺝ ،1ﺹ.(15 ﻳﺘﻀﺢ ﻣﻦ ﺗﻌﺮﻳﻒ ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ ﺇﻥ ﻟﻠﺠﺎﻫﻠﻴﺔ ﻋﺪﺓ ﻣﻌﺎ ﻥ: ﺃﻭﳍﺎ :ﺍﻟﺰﻣﻦ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻜﺜﺮ ﻓﻴﻪ ﺍﳉﻬﻞ ،ﺫﻛﺮ ﺍﻟﺰﻣﻦ ﻫﻨﺎ ﺩﻭﻥ ﲢﺪﻳﺪ ﻭﻏﺎﻟﺒﹰﺎ ﻣﺎ ﻳﻜﻮﻥ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ،ﻭﻟﻜﻦ ﻻﻳﻌﺮﻑ ﻫﻞ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺰﻣﻦ ﻗﺼﲑ ﺃﻭ ﻃﻮﻳﻞ ،ﻭﺑﺎﻟﻨﺴﺒﺔ ﻟﻠﺠﻬﻞ ﰲ ﺃﻱ ﺟﺎﻧﺐ ﻛﺎﻥ ﻫﻞ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﺍﻟﺪﻳﻨﻴﺔ ﺃﻡ ﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ ﺃﻡ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ ،ﻓﻠﻔﻆ ﺍﳉﻬﻞ ﻫﻨﺎ ﺃﻃﻠﻖ ﺑﺼﻮﺭﺓ ﻋﺎﻣﺔ. ﺛﺎﻧﻴﻬﺎ :ﺇﻃﻼﻕ ﻟﻔﻆ ﺍﳉﻬﻞ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻔﺘﺮﺓ ﺑﲔ ﺍﻟﺮﺳﻮﻟﲔ ،ﻓﻜﻞ ﺭﺳﻮﻝ ﻳﺒﻌﺚ ﺇﱃ ﻗﻮﻡ ﳍﺪﺍﻳﺔ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻦ ﺍﻟﻀﻼﻟﺔ ﻭﻋﺪﻡ ﺍﻹﺷﺮﺍﻙ ﺑﺎﷲ ﻭﺇﺧﻼﺹ ﺍﻟﻌﺒﻮﺩﻳﺔ ﻟﻪ ،ﻓﻴﻌﻤﻞ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﻋﻠﻰ ﻧﺸﺮ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻘﻮﺍﻋﺪ ﺑﲔ ﻗﻮﻣﻪ ﻭﳝﻜﺚ ﻣﻌﻬﻢ ﻣﺪﺓ ﻋﻠﻰ ﺫﻟﻚ ﰒ ﻳﻨﻘﻀﻲ ﺃﺟﻠﻪ ﻭﻳﻌﻮﺩ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺇﱃ ﺇﺷﺮﺍﻛﻬﻢ ﻣﺮﺓ ﺃﺧﺮﻯ ،ﻭﻟﻜﻦ ﺑﻌﺪ ﻣﺪﺓ ﻃﻮﻳﻠﺔ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ ﺣﱴ ﺗﻨﺴﻰ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﺘﻌﺎﻟﻴﻢ ،ﻓﻴﻨﻘﻠﺐ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﳉﺎﻫﻠﻴﺘﻬﻢ ﻣﻦ ﺟﺪﻳﺪ. ﺛﺎﻟﺜﻬﺎ :ﺗﻄﻠﻖ ﻋﻠﻰ ﺯﻣﻦ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻣﻄﻠﻘﺎﹰ ،ﻭﻳﻌﲏ ﺫﻟﻚ ﲢﻮﻝ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻮﺣﻴﺪ ﺑﺎﷲ ﺇﱃ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﺑﻪ ﻭﺇﺷﺮﺍﻙ ﻏﲑﻩ ﰲ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ،ﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛ ﴿ { | } ~ _ ` ﴾f e d c b a )ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺰﻣﺮ(3 :39 ، ﺭﺍﺑﻌﻬﺎ :ﻭﺗﻄﻠﻖ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻔﺘﺮﺓ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻧﺖ ﻗﺒﻞ ﺍﻟﻔﺘﺢ ،ﻭﻳﻘﺼﺪ ﺑﺎﻟﻔﺘﺢ ﻫﻨﺎ ﻓﺘﺢ ﻣﻜﺔ ﺍﳌﻜﺮﻣﺔ ،ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﻛﺎﻥ ﺃﻫﻠﻬﺎ ﰲ ﺿﻼﻟﺔ ،ﻭﻋﺪﻡ ﺩﺧﻮﳍﻢ ﺍﻹﺳﻼﻡ ،ﻓﻌﺮﻓﺖ ﺑﺎﳉﺎﻫﻠﻴﺔ. ﺧﺎﻣﺴﻬﺎ :ﺍﻟﻮﻗﺖ ﺍﻟﺬﻱ ﻛﺎﻥ ﺑﲔ ﻣﻮﻟﺪ ﺍﻟﻨﱯ ﻭﻣﺒﻌﺜﻪ ،ﻛﺎﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﻣﻜﺔ ﻭﺍﻟﻘﺮﻯ ﻣﻦ ﺣﻮﳍﺎ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﻇﻼﻡ ﺷﺪﻳﺪ ،ﺭﻏﻢ ﺃﻬﻧﻢ ﻳﻌﺮﻓﻮﻥ ﺩﻳﻦ ﺍﳊﻨﻴﻔﻴﺔ ﺇﻻ ﺃﻬﻧﻢ ﻇﻠﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﺣﺎﳍﻢ ﻣﻦ ﻋﺒﺎﺩﺓ ﺍﻷﻭﺛﺎﻥ ،ﻭﻇﻠﻢ ﺍﻟﻨﺎﺱ ،ﻓﺴﻤﻴﺖ ﻓﺘﺮﻢ ﻫﺬﻩ ﺑﺎﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺗﻨﺘﻈﺮ ﻣﻦ ﻳﻨﻘﺬﻫﺎ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
37
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺕ ﻣﻦ ﻓﺮﺍﻍ ،ﺑﻞ ﻛﺎﻧﺖ ﻧﺘﻴﺠﺔ ﻟﻠﺒﻴﺌﺔ ﺍﻟﱵ ﳔﻠﺺ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ ﺇﱃ ﺃﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﳊﺎﻟﺔ ﺍﻟﱵ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﱂ ﺗﺄ ﻳﻌﻴﺸﻮﻥ ﻓﻴﻬﺎ ﻭﺍﺗﺒﺎﻋﻬﻢ ﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ﺍﻷﺻﻨﺎﻡ ﺍﻟﱵ ﻳﻌﺘﻘﺪﻭﻥ ﺃﻬﻧﺎ ﺗﻘﺮﻢ ﺇﱃ ﺍﷲ ،ﺑﻞ ﺃﺑﻌﺪﻢ ﻋﻦ ﻋﺒﺎﺩﺓ ﺍﷲ ﻭﺟﻌﻠﺘﻬﻢ ﻻ ﻳﻔﺮﻗﻮﻥ ﺑﲔ ﺍﳊﻖ ﻭﺍﻟﺒﺎﻃﻞ. ﻭﲟﻔﻬﻮﻡ ﺁﺧﺮ ﻭﻗﺮﻳﺐ ﻣﻦ ﺍﳌﻌﲎ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ ﺗﻌﺘﱪ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻟﺰﻣﻦ ﺍﻟﺬﻱ ﺍﺳﺘﺸﺮﻯ ﻓﻴﻪ ﺍﳉﻬﻞ ﲟﻌﺮﻓﺔ ﺍﷲ ،ﻓﻔﻲ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﻮﻗﺖ ﻛﺎﻥ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻳﺆﻣﻦ ﺑﻮﺟﻮﺩ ﺇﻟﻪ ﻭﺍﺣﺪ ﺧﺎﻟﻖ ﳍﺬﺍ ﺍﻟﻜﻮﻥ ،ﻭﻣﻊ ﺫﻟﻚ ﻳﺸﺮﻛﻮﻥ ﻣﻌﻪ ﺍﻷﺻﻨﺎﻡ ﰲ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ﻭﻳﺘﻘﺮﺑﻮﻥ ﺎ ﺇﻟﻴﻪ ﻹﻋﺘﻘﺎﺩﻫﻢ ﺍﳌﻄﻠﻖ ﺃﻬﻧﺎ ﻭﺍﺳﻄﺔ ﺗﺼﻠﻬﻢ ﺑﻪ) .ﻗﺎﺳﻢ ﺣﺒﻴﺐ1423 ،ﻫـ2003/ﻡ.(17: ﺑﻴﻨﻤﺎ ﻳﺮﻯ ﺟﻮﺍﺩ ﻋﻠﻲ ﺃﻥ ﻟﻔﻆ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻣﺼﻄﻠﺢ ﻣﺴﺘﺤﺪﺙ ﱂ ﻳﻜﻦ ﻣﻮﺟﻮﺩﹰﺍ ﻣﻦ ﻗﺒﻞ ﻭﺇﳕﺎ ﻇﻬﺮ ﺑﻄﻬﻮﺭ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻟﺘﻮﺿﻴﺢ ﺍﳊﺎﻟﺔ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﲟﺠﺮﺩ ﳎﺊ ﺍﻹﺳﻼﻡ ،ﻓﺎﻟﻘﺼﺪ ﻫﻨﺎ ﺍﻟﺘﻤﻴﻴﺰ ﻋﻦ ﺍﻟﻌﺼﻮﺭ ﺍﻟﱵ ﺳﺒﻘﺖ ﺍﻹﺳﻼﻡ ،ﻭﻣﻊ ﻫﺬﺍ ﻓﻠﻔﻆ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﱂ ﻳﺮﺗﺒﻂ ﺑﺎﻟﻌﺮﺏ ﺑﻞ ﺃﻃﻠﻖ ﺍﻟﻨﺼﺎﺭﻯ ﻋﻠﻰ ﺍﳊﻘﺐ ﺍﻟﱵ ﺳﺒﻘﺖ ﺍﻟﻨﱯ ﻋﻴﺴﻰ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﺑﺎﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺃﻭ ﺯﻣﺎﻥ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﺳﺘﺨﻔﺎﻓﹰﺎ ﺑﺘﻠﻚ ﺍﻷﻳﺎﻡ ﻭﺍﺳﺘﻈﻬﺎﺭﹰﺍ ﳊﺎﻟﺔ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺍﻟﻮﺛﻨﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻣﻊ ﺍﺭﺗﻜﺎﻢ ﺍﳋﻄﺎﻳﺎ ﻭﺍﻗﺘﺮﺍﻑ ﺍﻟﺬﻧﻮﺏ ﺍﻟﱵ ﺃﺑﻌﺪﻢ ﻋﻦ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﻣﻠﻜﻮﺕ ﺍﷲ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﻧﻈﺮ ﺍﻟﻨﺼﺮﺍﻧﻴﺔ) .ﺟﻮﺍﺩ ﻋﻠﻲ، 1980ﻡ :ﺝ ،1ﺹ.(37 ﻭﻗﺪ ﻭﺭﺩﺕ ﰲ ﺍﻵﻳﺔ ﺍﻟﺜﺎﻟﺜﺔ ﻋﺸﺮ ﻣﻦ ﺍﻹﺻﺤﺎﺡ ﺍﻟﺴﺎﺑﻊ ﻋﺸﺮ ﻣﻦ ﺳﻔﺮ ﺃﻋﻤﺎﻝ ﺍﻟﺮﺳﻞ ،ﻭﻗﺼﺪ ﺎ ﺯﻣﻦ ﺍﳉﻬﻞ ﻭﻋﺪﻡ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ ،ﻭﻗﺪ ﻋﺮﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻮﺻﻒ ﰲ ﺍﻷﺯﻣﻨﺔ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﺔ ﻟﻠﻨﺼﺮﺍﻧﻴﺔ ﺇﺷﺎﺭﺓ ﺇﱃ ﺍﳊﺎﻝ ﺍﻟﺴﺎﺋﺪﺓ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻟﺒﺸﺮ ﻗﺒﻞ ﻇﻬﻮﺭ ﺩﻳﺎﻧﺔ ﺟﺪﻳﺪﺓ) .ﻋﻠﻲ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺣﺴﻦ ،ﺩ.ﺕ :ﺹ.(28 ﻟﺬﻟﻚ ﻳﻘﻮﻝ ﻓﻴﻠﻴﺐ) :ﺗﻔﺴﺮ ﻛﻠﻤﺔ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻋﺎﺩﺓ ﺑﻌﺼﺮ ﺍﳉﻬﻞ ﺃﻭ ﺍﳍﻤﺠﻴﺔ ،ﻭﻟﻜﻨﻬﺎ ﰲ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﺗﻌﲏ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻔﺘﺮﺓ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻧﺖ ﻓﻴﻬﺎ ﺷﺒﻪ ﺍﳉﺰﻳﺮﺓ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﺧﺎﻟﻴﺔ ﻣﻦ ﺃﻱ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺃﻭ ﻧﱯ ﻣﻮﺣﻰ ﺇﻟﻴﻪ ﺃﻭ ﻛﺘﺎﺏ ﻣﱰﻝ() .ﻓﻴﻠﻴﺐ ﺣﱴ1961 ،ﻡ.(128 : ﻛﻤﺎ ﻳﻨﻈﺮ ﳌﻔﻬﻮﻡ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺍﳉﺎﻧﺐ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺼﻒ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺑﺎﻟﻘﺴﻮﺓ ﻭﺍﻟﻮﺣﺸﻴﺔ ﻭﺍﻟﺬﻱ ﻳﺘﻤﺜﻞ ﰲ ﺍﺳﺘﻐﻼﻝ ﺍﻟﻀﻌﻔﺎﺀ ﻭﺍﺳﺘﻌﺒﺎﺩﻫﻢ ،ﻓﻜﺎﻧﺖ ﺣﻴﺎﻢ ﺗﻌﺞ ﺑﺎﳍﻤﺠﻴﺔ ﻭﺍﻟﻔﻮﺿﻰ ،ﻓﻤﻦ ﻗﺴﻮﻢ ﻳﻘﺪﻣﻮﻥ ﻋﻠﻰ ﻭﺃﺩ ﺍﻟﺒﻨﺎﺕ ﺩﻭﻥ ﺭﲪﺔ ﺃﻭ ﺷﻘﻔﺔ ،ﻭﺗﱪﻳﺮﻫﻢ ﰲ ﺫﻟﻚ ﳐﺎﻓﺔ ﺍﻟﺬﻝ ﻭﺍﻟﻌﺎﺭ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻠﺤﻖ ﺍﻟﻘﺒﻴﻠﺔ ﺑﺴﺒﺒﻬﻦ ﺃﻭ ﳐﺎﻓﺔ ﺍﻟﻔﻘﺮ ﻭﺍﳊﺎﺟﺔ ).ﻛﺎﺭﻳﻦ ﺁﺭﻣﺴﺘﺮﻭﻧﺞ1998 ،ﻡ.(94 : ﻭﺗﻨﺴﺐ ﺩﺍﺋﺮﺓ ﺍﳌﻌﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻟﻔﻆ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺇﱃ ﺍﳍﻤﺠﻴﺔ ،ﻭﻟﻜﻦ ﲟﻔﻬﻮﻡ ﺃﺩﻕ ﻭﺃﴰﻞ ﺗﻌﲏ ﺍﻟﻌﻨﻒ ﻭﺍﳊﺪﺓ ﻭﺍﻟﻐﻠﻮ ﰲ ﺗﻘﺪﻳﺮ ﺍﻷﻣﻮﺭ ،ﻓﻘﺪ ﻛﺎﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻳﻔﻌﻠﻮﻥ ﺫﻟﻚ ﻳﻐﻠﻮﻥ ﰲ ﺍﻟﻜﺮﻡ ﺣﱴ ﻳﻜﻮﻥ ﺳﻔﻬﹰﺎ ﺃﻭ ﺳﺮﻓﺎﹰ ،ﻭﻳﻐﻠﻮﻥ ﰲ ﺍﻟﺜﺄﺭ ﺣﱴ ﻳﻜﻮﻥ ﻋﺪﻭﺍﻧﺎﹰ ،ﻭﻳﻐﻠﻮﻥ ﰲ ﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﺣﱴ ﻳﻜﻮﻥ ﻮﺭﺍﹰ ،ﻭﺍﻟﻘﺼﺪ ﻫﻮ ﺍﻟﺴﺒﻴﻞ ﺍﻟﺴﻮﻱ ﰲ ﻛﻞ ﺷﻴﺊ ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺬﻱ ﺟﺎﺀ ﺑﻪ ﺍﻹﺳﻼﻡ) .ﺃﲪﺪ ﺍﻟﺸﻨﺘﻨﺎﻭﻱ1933 ،ﻡ:ﺝ ،6ﺹ.(265 ﺃﻣﺎ ﺟﺮﺟﻰ ﺯﻳﺪﺍﻥ ﻓﻴﻘﻮﻝ ﺃﻥ ﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻋﺼﺮﺍﻥ :ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻷﻭﱃ ،ﻛﺎﻧﺖ ﰲ ﺍﻟﻌﻬﻮﺩ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﺔ ،ﻭﳝﺜﻞ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻌﻬﻮﺩ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺍﻟﺒﺎﺋﺪﺓ ﻭﻫﻢ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺍﻟﻌﺎﺭﺑﺔ ﺃﺻﻞ ﺍﻟﻌﺮﺏ ،ﻭﱂ ﻳﺒﻖ ﻋﻠﻰ ﻭﺟﻪ ﺍﻷﺭﺽ ﺃﺣ ﺪ ﻣﻦ ﻧﺴﻠﻬﻢ ،ﺃﻣﺎ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔ ﻳﻘﺼﺪ ﺎ ﺣﺎﻟﺔ ﺷﺒﻪ ﺟﺰﻳﺮﺓ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻭﺧﺎﺻﺔ ﺃﻫﻞ ﺍﳊﺠﺎﺯ ﻭﻣﺎ ﺣﻮﳍﺎ ،ﻭﻛﺎﻧﺖ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﻌﺪﺓ ﻗﺮﻭﻥ ،ﻓﻜﺎﻥ ﺍﻫﺘﻤﺎﻣﻬﻢ ﲝﻴﺎﻢ ﻭﺗﺄﻣﲔ ﻣﺼﺎﺩﺭ ﺭﺯﻗﻬﻢ ،ﻭﻫﻢ ﺩﺍﺋﻤﹰﺎ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﲝﺚ ﻋﻦ ﺍﳌﺎﺀ ﻭﺍﳌﺮﻋﻰ ،ﰒ ﺃﺻﺒﺤﺖ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
38
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﳍﻢ ﻣﺼﺎﺩﺭ ﺃﺧﺮﻯ ﻟﻺﺭﺗﺰﺍﻕ ﻛﺎﻟﻐﺰﻭ ﻭﺍﻟﺴﻠﺐ ﳑﺎ ﻧﺘﺞ ﻋﻨﻬﻤﺎ ﻗﻴﺎﻡ ﺍﳊﺮﻭﺏ ﻭﺍﳌﻨﺎﺯﻋﺎﺕ ﻓﻴﻤﺎ ﺑﻴﻨﻬﻢ ﺇﱃ ﺃﻥ ﻋﻤﺖ ﺍﻟﻔﻮﺿﻰ ﻛﻞ ﺑﻘﺎﻋﻬﻢ ﻭﺍﺳﺘﻤﺮﺕ ﺭﺩﺣﹰﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﺰﻣﻦ) .ﺟﺮﺟﻰ ﺯﻳﺪﺍﻥ1402 ،ﻫـ1982 /ﻡ:ﺝ ،11ﺹ.(29 ﻛﻤﺎ ﻳﺸﲑ ﺍﳉﺎﺣﻆ ﺇﱃ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﺘﻘﺴﻴﻢ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺍﻟﺸﻌﺮ ﺇﺫ ﻳﻘﻮﻝ) :ﻭﺃﻣﺎ ﺍﻟﺸﻌﺮ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﻓﺤﺪﻳﺚ ﺍﳌﻴﻼﺩ ﺻﻐﲑ ﺍﻟﺴﻦ ،ﺃﻭﻝ ﻣﻦ ﻬﻧﺞ ﺳﺒﻴﻠﻪ ﻭﺳﻬﻞ ﺍﻟﻄﺮﻳﻖ ﺇﻟﻴﻪ ﺃﻣﺮﺅ ﺍﻟﻘﻴﺲ ﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﻭﻣﻬﻠﻬﻞ ﺑﻦ ﺭﺑﻴﻌﺔ ،ﻓﺈﺫﺍ ﺍﺳﺘﻈﻬﺮﻧﺎ ﺍﻟﺸﻌﺮ ﻭﺟﺪﻧﺎﻩ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺟﺎﺀ ﺍﷲ ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ ﲬﺴﲔ ﻭﻣﺎﺋﺔ ﻋﺎﻡ ،ﻭﺇﺫﺍ ﺍﺳﺘﻈﻬﺮﻧﺎ ﺑﻐﺎﻳﺔ ﺍﻻﺳﺘﻈﻬﺎﺭ ﻓﻤﺎﺋﱵ ﻋﺎﻡ() .ﺍﳉﺎﺣﻆ، 1388ﻫـ1969 /ﻡ :ﺝ ،1ﺹ.(74 ﳝﻜﻦ ﺃﻥ ﻧﻼﺟﻆ ﰲ ﻗﻮﻝ ﺍﳉﺎﺣﻆ ﻧﻮﻋﲔ ﻣﻦ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ: ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﺑﻌﻴﺪﺓ :ﻳﻘﺼﺪ ﺎ ﺍﻟﻌﻬﻮﺩ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻧﺖ ﻓﻴﻬﺎ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺍﻟﺒﺎﺋﺪﺓ ،ﻭﺳﻤﻴﺖ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﺑﻌﻴﺪﺓ ﻟﺒﻌﺪ ﺍﳌﺴﺎﻓﺔ ﺍﻟﺰﻣﻨﻴﺔ، ﻭﻋﺪﻡ ﻭﺭﻭﺩ ﺷﻴﺊ ﻣﻦ ﺃﺧﺒﺎﺭﻫﺎ ﺣﱴ ﻭﻟﻮ ﻛﺎﻥ ﺷﻌﺮﹰﺍ. ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﻗﺮﻳﺒﺔ :ﻭﻫﻲ ﺍﻟﻔﺘﺮﺓ ﺍﻟﱵ ﻭﺭﺩﺕ ﺃﺧﺒﺎﺭﻫﺎ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﺸﻌﺮ ،ﻭﺍﺳﺘﻨﺎﺩﹰﺍ ﻟﻘﻮﻝ ﺍﳉﺎﺣﻆ ﻫﻲ ﻣﺎ ﻛﺎﻧﺖ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﲟﺎﺋﺔ ﻭﲬﺴﲔ ﻋﺎﻣﹰﺎ ﺃﻭ ﻣﺎﺋﺘﲔ ،ﻭﻋﺮﻓﺖ ﺑﺸﻌﺮ ﺃﻣﺮﺅ ﺍﻟﻘﻴﺲ. ﻭﺑﻨﻔﺲ ﺍﻟﻘﺪﺭ ﻳﻘﺴﻢ ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺇﱃ: ﺟﻬﻞ ﺑﺴﻴﻂ :ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﱂ ﻳﻌﻠﻢ ﺍﳊﻖ. ﺟﻬﻞ ﻣﺮﻛﺐ :ﻭﻫﻮ ﺍﻋﺘﻘﺎﺩ ﺧﻼﻑ ﺍﳊﻖ ﻓﻬﻮ ﺟﺎﻫﻞ ﻭﺇﻥ ﻋﻠﻢ ﺃﻧﻪ ﳐﺎﻟﻒ ﻟﻠﺤﻖ ،ﻓﻜﻞ ﻣﻦ ﻋﻤﻞ ﺳﻮﺀﹰﺍ ﻓﻬﻮ ﺟﺎﻫﻞ ﻭﺇﻥ ﻋﻠﻢ ﺃﻧﻪ ﳐﺎﻟﻒ ﻟﻠﺤﻖ ،ﻷﻥ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺍﳊﻘﻴﻘﻲ ﺍﻟﺮﺍﺳﺦ ﰲ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﳝﺘﻨﻊ ﺃﻥ ﻳﺼﺪﺭ ﻣﻌﻪ ﻣﺎ ﳜﺎﻟﻔﻪ ﻣﻦ ﻗﻮﻝ ﺃﻭ ﻓﻌﻞ ﻼ ﺬﺍ ﻓﻤﱴ ﺻﺪﺭ ﺧﻼﻓﻪ ﻓﻼﺑﺪ ﻣﻦ ﻏﻔﻠﺔ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻋﻨﻪ ﺃﻭ ﺿﻌﻔﻪ ،ﻭﺗﻠﻚ ﺃﺣﻮﺍﻝ ﺗﻨﺎﻗﺾ ﺣﻘﻴﻘﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻓﺘﺼﲑ ﺟﻬ ﹰ ﻼ ﻣﻨﺴﻮﺑﹰﺎ ﺇﱃ ﺍﳉﺎﻫﻞ ،ﻓﺈﻥ ﻣﺎ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻋﻠﻴﻪ ﻣﻦ ﺍﻻﻋﺘﺒﺎﺭ ،ﻓﺎﻟﻨﺎﺱ ﻗﺒﻞ ﻣﺒﻌﺚ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﰲ ﺣﺎﻝ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﺟﻬ ﹰ ﺍﻷﻗﻮﺍﻝ ﻭﺍﻷﻋﻤﺎﻝ ﺇﳕﺎ ﺃﺣﺪﺛﻪ ﳍﻢ ﺟﺎﻫﻞ ﻭﺇﳕﺎ ﻳﻔﻌﻠﻪ ﺟﺎﻫﻞ ،ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻛﻞ ﻣﺎ ﳜﺎﻟﻒ ﻣﺎ ﺟﺎﺀﺕ ﺑﻪ ﺍﳌﺮﺳﻠﻮﻥ ﻣﻦ ﻳﻬﻮﺩﻳﺔ ﺃﻭ ﻧﺼﺮﺍﻧﻴﺔ ﻓﻬﻲ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ،ﻭﺗﻠﻚ ﻛﺎﻧﺖ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻟﻌﺎﻣﺔ ،ﻓﺄﻣﺎ ﺑﻌﺪ ﻣﺒﻌﺚ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﻓﺎﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﳌﻄﻠﻘﺔ ﻗﺪ ﺗﻜﻮﻥ ﰲ ﻣﺼﺮ ﺩﻭﻥ ﻣﺼﺮ ،ﻭﻗﺪ ﺗﻜﻮﻥ ﰲ ﺷﺨﺺ ﺩﻭﻥ ﺷﺨﺺ ﻛﺎﻟﺮﺟﻞ ﻗﺒﻞ ﺃﻥ ﻳﺴﻠﻢ ﻓﺈﻧﻪ ﰲ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﻭﺇﻥ ﻛﺎﻥ ﰲ ﺩﺍﺭ ﺍﻹﺳﻼﻡ ،ﺃﻣﺎ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﳌﻘﻴﺪﺓ ﻗﺪ ﺗﻘﻮﻡ ﰲ ﺑﻌﺾ ﺩﻳﺎﺭ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﰲ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻷﺷﺨﺎﺹ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ. ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ1414 ،ﻫـ :ﺝ ،1ﺹ.(17-16 ﻭﰲ ﺫﺍﺕ ﺍﻟﺴﻴﺎﻕ ﻳﻘﻮﻝ ﳏﻤﺪ ﻗﻄﺐ :ﺇﻥ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻫﻲ ﺣﺎﻟﺔ ﻧﻔﺴﻴﺔ ﺗﺮﻓﺾ ﺍﻻﻫﺘﺪﺍﺀ ﺪﻱ ﺍﷲ ،ﻭﻭﺿﻊ ﺗﻨﻈﻴﻤﻲ ﻳﺮﻓﺾ ﺍﳊﻜﻢ ﲟﺎ ﺃﻧﺰﻝ ﺍﷲ ،ﻭﱂ ﻳﻘﻞ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻗﻂ ﺇﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﻷﻬﻧﻢ ﻻﻳﻌﺮﻓﻮﻥ ﺍﻟﻔﻠﻚ ﻭﺍﻟﻄﺒﻴﻌﺔ ﻭﺍﻟﻄﺐ ﻭﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺔ ،ﺇﳕﺎ ﻗﺎﻝ ﳍﻢ ﺇﻬﻧﻢ ﺟﺎﻫﻠﻴﻮﻥ ﻷﻬﻧﻢ ﳛﻜﹼﻤﻮﻥ ﺃﻫﻮﺍﺀﻫﻢ ﻭﻳﺮﻓﻀﻮﻥ ﺣﻜﻢ ﺍﷲ ،ﻭﺍﻋﻄﺎﻫﻢ ﺍﻟﺒﺪﻳﻞ ﻣﻦ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ،ﻭﻫﻲ ﺣﺎﻟﺔ ﳝﻜﻦ ﺃﻥ ﺗﻮﺟﺪ ﰲ ﺃﻱ ﻭﻗﺖ ﻭﰲ ﺃﻱ ﻣﻜﺎﻥ ،ﻛﻤﺎ ﺗﻮﺟﺪ ﻛﺬﻟﻚ ﰲ ﺃﻱ ﻣﺴﺘﻮﻯ ﻣﻦ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ ﻭﺍﻟﺘﻘﺪﻡ ﺍﳌﺎﺩﻱ ﻭﺍﻟﻘﻴﻢ ﺍﻟﻔﻜﺮﻳﺔ ﻭﺍﻹﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ ﻭﺍﻹﻧﺴﺎﻧﻴﺔ ﻓﻴﻨﺘﺞ ﻋﻨﻬﺎ ﺍﻹﳓﺮﺍﻑ ﻭﺷﻘﺎﺀ ﺍﻟﺒﺸﺮﻳﺔ ).ﳏﻤﺪ ﻗﻄﺐ1415 ،ﻫـ 1995-ﻡ.(9-6: ﺃﻣﺎ ﺍﺑﻦ ﺧﻠﺪﻭﻥ ﻳﺮﻯ ﺃﻥ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﻗﺒﻞ ﺍﻟﺘﻤﻴﻴﺰ ﺟﺎﻫﻞ ﲜﻤﻴﻊ ﺍﳌﻌﺎﺭﻑ ،ﰒ ﺗﺴﺘﻜﻤﻞ ﺻﻮﺭﺗﻪ ﺑﺎﻟﻌﻠﻢ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻜﺘﺴﺒﻪ ﺑﺂﻻﺗﻪ ﻓﻜﻤﻞ ﺫﺍﺗﻪ ﺍﻹﻧﺴﺎﻧﻴﺔ ﰲ ﻭﺟﻮﺩﻫﺎ ،ﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
39
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
﴿~ _ ` ﴾b a
.(374
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻌﻠﻖ(5 :96 ، ﻼ ﺑﺬﺍﺗﻪ ).ﺍﺑﻦ ﺧﻠﺪﻭﻥ1413 ،ﻫـ193/ﻡ: ﻼ ﻟﻪ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﻛﺎﻥ ﺟﺎﻫ ﹰ ﺃﻱ ﺃﻛﺴﺒﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻣﺎ ﱂ ﻳﻜﻦ ﺣﺎﺻ ﹰ
ﺃﻳﻦ ﳒﺪ ﺍﳉﻬﻞ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻌﺮﺏ؟ ﻻﻳﺪﻝ ﻟﻔﻆ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﳉﻬﻞ ﺍﻟﺬﻱ ﻫﻮ ﺿﺪ ﺍﻟﻌﻠﻢ ،ﻻﻧﻪ ﻻﳝﻜﻦ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﻟﻠﻌﺮﺏ ﺣﻀﺎﺭﺓ ﺗﻠﻴﺪﺓ ﺭﺍﺳﺨﺔ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺃﻥ ﻳﻄﻠﻖ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻮﺻﻒ ،ﻭﺍﳌﻌﺮﻭﻑ ﺃﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﳍﻢ ﺑﺎﻉ ﻃﻮﻳﻞ ﰲ ﺍﻟﺸﻌﺮ ﻭﺍﳋﻄﺎﺑﺔ ﻭﺍﻷﻣﺜﺎﻝ ﻭﺍﻟﺮﺳﺎﺋﻞ ﻭﺍﳊﻜﻢ ﺍﳌﺸﻬﻮﺭﺓ .ﻭﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻨﻄﻠﻖ ﺗﺪﻝ ﻋﻠﻰ ﺍﻧﺘﺸﺎﺭ ﻋﺒﺎﺩﺓ ﺍﻷﻭﺛﺎﻥ ﺑﲔ ﺍﻟﻌﺮﺏ ،ﻓﺎﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺬﺍ ﺍﳌﻌﲎ ﻗﺼﺪ ﻣﻨﻬﺎ ﺍﻻﻧﺼﺮﺍﻑ ﺇﱃ ﺍﻟﻮﺛﻨﻴﺔ ﺍﻟﺴﺎﺋﺪﺓ ﻗﺒﻞ ﺷﺮﻳﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ) ﳛﲕ ﺍﳉﺒﻮﺭﻱ1388 ،ﻫـ1968 /ﻡ.(27 : ﻛﻤﺎ ﳝﻜﻦ ﺃﻥ ﳛﺪﺩ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﳉﺎﻫﻠﻲ ﺑﺎﻟﻔﺘﺮﺓ ﺍﻟﱵ ﺍﻛﺘﻤﻞ ﻓﻴﻬﺎ ﻧﺸﻮﺀ ﺍﻟﺸﻌﺮ ﺍﳉﺎﻫﻠﻲ ﻭﺍﳋﻂ ﺍﻟﻌﺮﰉ ،ﻭﻟﻔﻆ ﺍﳉﻬﻞ ﻣﺸﺘﻖ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻔﻪ ﻭﺍﻟﻐﻀﺐ ،ﻭﻫﻲ ﺗﻘﺎﺑﻞ ﻛﻠﻤﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﻟﱵ ﺗﻌﲏ ﺍﳋﻀﻮﻉ ﻭﺍﻟﻄﺎﻋﺔ ﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ ﻭﻣﺎ ﺗﺘﻀﻤﻦ ﻣﻦ ﺳﻠﻮﻙ ﻗﻮﱘ ﻭﺧﻠﻖ ﻛﺮﱘ ،ﻓﺄﻃﻠﻘﺖ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﻟﺬﻱ ﺳﺒﻖ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﻛﻞ ﻣﺎﻓﻴﻪ ﻣﻦ ﻭﺛﻨﻴﺔ ﻭﺃﺧﻼﻕ ﻗﻮﺍﻣﻬﺎ ﺍﳊﻤﻴﺔ ﻭﺍﻷﺧﺬ ﺑﺎﻟﺜﺄﺭ ﻭﺍﺭﺗﻜﺎﺏ ﻣﺎ ﺣﺮﻣﻪ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﳊﻨﻴﻒ ﻣﻦ ﻣﻮﺑﻘﺎﺕ) .ﺷﻮﻗﻲ ﺿﻴﻒ1960،ﻡ.(39 : ﻳﺘﺒﲔ ﻣﻦ ﲢﺪﻳﺪ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﳉﺎﻫﻠﻲ ﺑﺎﻛﺘﻤﺎﻝ ﺍﻟﺸﻌﺮ ﻭﺍﳋﻂ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﺃﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺑﻠﻐﻮﺍ ﻣﺮﺣﻠﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻮﻋﻲ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﳉﺎﻧﺐ ،ﻭﺗﻨﻈﻢ ﺷﻌﺮﹰﺍ ﻋﻨﺪ ﻛﻞ ﻣﻨﺎﺳﺒﺔ ،ﻓﻜﻞ ﻣﺎ ﳛﺪﺙ ﻣﻦ ﺗﺼﺮﻓﺎﺕ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﻛﺎﻟﻘﺘﺎﻝ ﻷﺗﻔﻪ ﺍﻷﺳﺒﺎﺏ ﻭﺃﺧﺬ ﺍﻟﺜﺄﺭ ﻭﺍﻻﻓﺘﺨﺎﺭ ﺑﺎﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﰲ ﺍﳊﺮﻭﺏ ﺗﻘﺎﻝ ﺷﻌﺮﹰﺍ ﻟﻴﻮﺿﺢ ﺍﻟﻘﺎﺋﻞ ﻣﺂﺛﺮ ﻗﻮﻣﻪ ﻭﻓﻀﺎﺋﻞ ﻧﻔﺴﻪ ،ﻓﻴﱪﺯ ﻟﻶﺧﺮﻳﻦ ﻗﻮﺓ ﻗﺒﻴﻠﺘﻪ ﻭﺷﺠﺎﻋﺔ ﺭﺟﺎﳍﺎ ﻋﻨﺪ ﻣﻮﺍﺟﻬﺔ ﺍﻷﻋﺪﺍﺀ ﻟﺘﺸﺘﻬﺮ ﺑﲔ ﺍﻟﻘﺒﺎﺋﻞ ﺣﱴ ﻻﲡﺮﺅ ﺃﻱ ﻗﺒﻴﻠﺔ ﻋﻠﻰ ﻣﻨﺎﺯﻟﺘﻬﺎ ﺃﻭﳎﺮﺩ ﺍﻟﺘﻔﻜﲑ ﻟﻺﻏﺎﺭﺓ ﻋﻠﻴﻬﺎ ،ﻓﺎﻟﺸﻌﺮ ﻫﻮ ﺍﻟﺬﻱ ﺃﻇﻬﺮ ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻟﻌﺮﺏ .ﺇﻻ ﺃﻥ ﺃﲪﺪ ﺃﻣﲔ ﻳﺮﺑﻂ ﺍﳉﻬﻞ ﺑﺎﻷﻣﻴﺔ ﻭﻳﻘﻮﻝ) :ﻭﻗﺪ ﻛﺎﻥ ﺍﳉﻬﻞ ﻓﺎﺷﻴﹰﺎ ﻓﻴﻬﻢ ،ﻭﺍﻷﻣﻴﺔ ﺷﺎﺋﻌﺔ ﺑﻴﻨﻬﻢ ﻭﺧﺼﻮﺻﹰﺎ ﰲ ﺍﻷﻗﻄﺎﺭ ﺍﻟﺒﺪﻭﻳﺔ ،ﻭﻳﺮﻯ ﺃﻥ ﺍﻟﻜﺘﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﻌﻠﻢ ﺇﳕﺎ ﻳﻜﺜﺮﺍﻥ ﺣﻴﺚ ﻳﻜﺜﺮ ﺍﻟﻌﻤﺮﺍﻥ ،ﻭﻳﺜﺒﺖ ﺃﻥ ﺍﳊﺠﺎﺯﻳﲔ ﻭ ﺍﳌﺼﺮﻳﲔ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﺃﺷﺪ ﺑﺪﺍﻭﺓ ﻭﺃﻛﺜﺮ ﺃﻣﻴﺔ( ).ﺃﲪﺪ ﺃﻣﲔ1978 ،ﻡ.(141 : ﳜﺎﻟﻒ ﺃﲪﺪ ﺃﻣﲔ ﺑﺬﻟﻚ ﻧﺎﺻﺮ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻷﺳﺪ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺮﻯ ﺃﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻳﻜﺘﺒﻮﻥ ﰲ ﺟﺎﻫﻠﻴﺘﻬﻢ ﻟﺜﻼﺛﺔ ﻗﺮﻭﻥ ﻣﻀﺖ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﺎﳋﻂ ﺍﻟﻨﺒﻄﻲ ﺍﻟﺬﻱ ﻋﺮﻓﻪ ﺑﻌﺪ ﺫﻟﻚ ﺍﳌﺴﻠﻤﻮﻥ ،ﻭﻗﺪ ﺃﺻﺒﺤﺖ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺑﺎﻟﻜﺘﺎﺑﺔ ﺃﻣﺮﹰﺍ ﻳﻘﻴﻨﻴﺎ ً ﻭﻳﻘﺮﺭﻩ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺍﻟﻌﻠﻤﻲ ﺍﻟﻘﺎﺋﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺪﻟﻴﻞ ﺍﳌﺎﺩﻱ ﺍﶈﺴﻮﺱ ﻭﺫﻟﻚ ﺑﻌﺪ ﺍﻛﺘﺸﺎﻑ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻟﻜﺘﺎﺑﺔ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺍﻟﻨﻘﻮﺵ ﺍﻟﱵ ﻭﺟﺪﺕ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﻥ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ ﻭﺍﻟﺮﺍﺑﻊ ﻭﺍﻟﺴﺎﺩﺱ ﻟﻠﻤﻴﻼﺩ ﳑﺎ ﻳﺆﻛﺪ ﺃﻥ ﻋﺮﺏ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻳﻌﺮﻓﻮﻥ ﺍﻟﻜﺘﺎﺑﺔ ﻣﻨﺬ ﻗﺮﻭﻥ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ).ﻧﺎﺻﺮ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻷﺳﺪ1988 ،ﻡ.(33 : ﺑﻴﻨﻤﺎ ﻳﺬﻫﺐ ﻋﺒﺪﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﺪﻭﺭﻱ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺑﺪﺍﻳﺔ ﺍﺳﺘﻌﻤﺎﻝ ﺍﻟﻜﺘﺎﺑﺔ ﻭﻇﻬﻮﺭ ﺍﳋﻂ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﻛﺎﻥ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﻥ ﺍﻟﺴﺎﺩﺱ ،ﻭﺍﻟﻌﺮﺏ ﻳﺴﺘﻌﻤﻠﻮﻥ ﺍﳋﻂ ﺍﳌﺴﻨﺪ ﻭﺍﻵﺭﺍﻣﻲ ﰲ ﺍﻟﻜﺘﺎﺑﺔ ،ﻭﻭﺟﺪﺕ ﺑﲔ ﻋﺮﺏ ﺍﻟﺸﻤﺎﻝ ﻣﻨﺬ ﺍﻟﻘﺮﻥ ﺍﻟﺜﺎﱐ ﻗﺒﻞ ﺍﳌﻴﻼﺩ ،ﻓﺎﻟﻠﺤﻴﺎﻧﻴﻮﻥ ﻭﻣﺪﻳﻨﺘﻬﻢ ﺩﻳﺪﺍﻥ ﰲ ﴰﺎﻝ ﺍﳊﺠﺎﺯ ﻗﺮﺏ ﺍﻟﺴﺎﺣﻞ ﻭﻛﺘﺎﺑﺘﻬﻢ ﲞﻂ ﺍﳌﺴﻨﺪ ﻭﺍﻟﺜﻤﻮﺩﻳﻮﻥ ﻳﺘﻮﺍﺟﺪﻭﻥ ﰲ ﴰﺎﻝ ﺍﳉﺰﻳﺮﺓ ﻭﺧﺎﺻﺔ ﴰﺎﻝ ﺍﳊﺠﺎﺯ ﻭﻟﺪﻳﻬﻢ ﻧﻘﻮﺵ ﻣﺘﻌﺪﺩﺓ ﰲ ﺍﻟﺸﻤﺎﻝ ﻭﺍﻟﻮﺳﻂ ﻓﻜﺎﻧﻮﺍ ﻳﺴﺘﻌﻤﻠﻮﻥ ﺧﻄﹰﺎ ﻣﻦ ﺍﳌﺴﻨﺪ .ﻭﺃﻣﺎ ﺍﻟﺼﻔﺎﺋﻴﻮﻥ ﻭﻣﻮﻃﻨﻬﻢ ﺑﺎﺩﻳﺔ ﺍﻟﺸﺎﻡ ﺑﲔ ﺣﻠﺐ ﻭﺗﺪﻣﺮﻭﻣﺮﻛﺰﻫﻢ ﺣﻮﺭﺍﻥ ﺍﻟﺸﺮﻗﻴﺔ ﻛﺘﺒﻮﺍ ﲞﻂ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
40
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻳﺸﺒﻪ ﺍﳋﻂ ﺍﳌﺴﻨﺪ ﻭﻟﻐﺘﻬﻢ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ،ﻭﺍﻷﻧﺒﺎﻁ ﺍﺳﺘﻌﻤﻠﻮﺍ ﺍﳋﻂ ﺍﻵﺭﺍﻣﻲ ،ﻭﺍﻟﻠﺨﻤﻴﲔ ﻛﺎﻧﺖ ﻛﺘﺎﺑﺘﻬﻢ ﺑﺎﳋﻂ ﺍﻵﺭﺍﻣﻲ ﺍﻟﻨﺒﻄﻲ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﺃﺩﻯ ﺇﱃ ﺗﻄﻮﺭ ﺍﳋﻂ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﻭﺧﺎﺻﺔ ﻣﻦ ﺍﳋﻂ ﺍﻟﻨﺒﻄﻲ .ﻭﻗﺪ ﻭﺻﻞ ﻫﺬﺍ ﺍﳋﻂ ﺇﱃ ﻣﻜﺔ ﰲ ﺃﻭﺍﺳﻂ ﺍﻟﻘﺮﻥ ﺍﻟﺴﺎﺩﺱ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﺓ ﺍﻟﻐﺮﰊ ﺑﲔ ﺍﻟﻴﻤﻦ ﻭﺍﻟﺸﺎﻡ ،ﻭﺗﻌﻠﻢ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻫﺬﺍ ﺍﳋﻂ ﻣﻦ ﺍﳊﲑﺓ ).ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﺪﻭﺭﻱ1986 ،ﻡ.(32 : ﺗﺄﻛﻴﺪﹰﺍ ﻟﺬﻟﻚ ﳒﺪ ﺃﻥ ﻟﻠﻌﺮﺏ ﺣﻀﺎﺭﺓ ﰲ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﳉﺎﻫﻠﻲ ،ﻭﱂ ﻳﻜﻦ ﳉﻬﻠﻬﻢ ﻋﻼﻗﺔ ﺑﺎﳌﻌﺎﺭﻑ ﻭﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ،ﺇﻻ ﺃﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺗﻔﺘﻘﺮ ﺇﱃ ﺿﻌﻒ ﺍﻟﺘﻌﻠﻴﻞ ﻭﻋﺪﻡ ﺍﻹﺩﺭﺍﻙ ﰲ ﺭﺑﻂ ﺍﻷﺳﺒﺎﺏ ﺑﺎﳌﺴﺒﺒﺎﺕ ،ﻓﻘﺪ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﺃﻫﻞ ﺫﻛﺎﺀ ﻭﺧﱪﺓ ﻭﺩﺭﺍﻳﺔ ،ﻭﻛﺎﻥ ﻓﻴﻬﻢ ﻣﻦ ﳝﻠﻚ ﺃﺫﻫﺎﻧﹰﺎ ﺻﺎﻓﻴﺔ ﻭﻧﻈﺮﺍﺕ ﺻﺎﺩﻗﺔ ﺇﱃ ﺍﻟﻄﺒﻴﻌﺔ ﻭﺃﺣﻮﺍﻝ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ،ﻭﻻ ﺗﻘﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻨﻈﺮﺍﺕ ﻋﻦ ﺑﻌﺾ ﻧﻈﺮﺍﺕ ﺍﻟﻔﻼﺳﻔﺔ ﻭﺍﻟﺒﺎﺣﺜﲔ ﻭﺍﳌﻔﻜﺮﻳﻦ ،ﻳﺪﻝ ﺫﻟﻚ ﻋﻠﻰ ﺃﻬﻧﻢ ﺣﻴﻨﺌ ﺬ ﱂ ﻳﻜﻮﻧﻮﺍ ﰲ ﺟﻬﻞ ﺗﺎﻡ ﺑﻞ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﺷﻴﺊ ﻏﲑ ﻳﺴﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺍﻟﺘﻔﻜﲑ) .ﻗﺎﺳﻢ ﺣﺒﻴﺐ1423 ،ﻫـ2003 /ﻡ.(18 : ﻭﻗﺪ ﻣﻨﺤﺖ ﺍﻟﻄﺒﻴﻌﺔ ﺃﻣﺔ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺍﻻﻓﺘﺤﺎﺭ ﺑﺎﻟﻘﻮﺓ ﻭﺍﻟﻔﺮﻭﺳﻴﺔ ﻭﺍﻟﺜﻘﺔ ﰲ ﺍﻟﻨﻔﺲ ،ﻭﺃﻛﺴﺒﺘﻬﺎ ﺑﻼﻏﺔ ﰲ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﻭﻓﺼﺎﺣﺔ ﰲ ﺍﻟﻠﺴﺎﻥ ﻭﻗﻮﺓ ﰲ ﺍﻟﺬﺍﻛﺮﺓ ﻭﻋﺪﻡ ﺍﳋﻀﻮﻉ ﻷﻱ ﺍﺣﺘﻼﻝ ﺃﺟﻨﱯ ﻭﺍﻹﺗﺒﺎﻉ ﻏﲑ ﺍﶈﺪﻭﺩ ﳌﺎ ﺗﺮﻛﻪ ﺍﻷﺟﺪﺍﺩ ﻣﻊ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺍﻟﺮﻭﺣﻲ ﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ﺍﻷﻭﺛﺎﻥ ،ﻭﺭﻏﻢ ﺫﻟﻚ ﺍﺗﺼﻔﻮﺍ ﺑﺎﳉﻬﻞ ﻟﻺﺿﻄﺮﺍﺏ ﺍﻟﺬﻱ ﺣﺪﺙ ﰲ ﺣﻴﺎﻢ ﰲ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﺍﻟﺪﻳﻨﻴﺔ ﻭﺍﻹﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ ﻭﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ ،ﻭﻫﻮ ﻧﺎﺗﺞ ﻣﻦ ﺇﺗﺒﺎﻉ ﺍﻟﻌﻘﻞ ﻟﺪﻳﻦ ﻣﻌﲔ ﻣﻦ ﺑﲔ ﳐﺘﻠﻒ ﺍﻷﺩﻳﺎﻥ ،ﻭﻟﻜﻞ ﻓﺮﺩ ﰲ ﺫﻟﻚ ﺍﺘﻤﻊ ﺣﺮﻳﺔ ﺍﻋﺘﻨﺎﻕ ﻣﺎﻳﺮﻳﺪ (ajid Ali Khank, 1983: 31). ﻛﻤﺎ ﺍﺗﺒﻊ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻃﻘﻮﺳﹰﺎ ﻭﺷﻌﺎﺋﺮ ﳏﺮﻓﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ﺍﻟﻨﺼﺮﺍﻧﻴﺔ ﻭﺍﻟﻴﻬﻮﺩﻳﺔ ﻣﻊ ﻗﺒﻮﻝ ﺍﳋﺮﺍﻓﺔ ﻭﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﺎﻷﺳﺎﻃﲑ ،ﻓﺎﺭﺗﻜﺒﻮﺍ ﺍﶈﺮﻣﺎﺕ ﻭﻓﻌﻠﻮﺍ ﺍﳌﻨﻜﺮﺍﺕ ﻭﻇﻠﻤﻮﺍ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﻭﻇﻠﻤﻮﺍ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻌﻬﻢ) .ﳏﻤﻮﺩ ﺷﺎﻛﺮ، 1405ﻫـ1985 /ﻡ :ﺝ ،1ﺹ.(93 ﻳﻼﺣﻆ ﺗﺄﺛﲑ ﺍﻟﻄﺒﻴﻌﺔ ﰲ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﳑﺎ ﻳﻨﺘﺞ ﻋﻨﻬﺎ ﺗﻜﻮﻳﻦ ﻋﻘﻠﻴﺔ ﳝﻜﻦ ﺃﻥ ﺗﺴﺎﻫﻢ ﰲ ﻗﻴﺎﻡ ﺣﻀﺎﺭﺓ، ﻓﺎﻟﻌﺮﺏ ﻳﻘﻄﻨﻮﻥ ﺍﻟﺼﺤﺮﺍﺀ ﺍﻟﱵ ﳜﻴﻢ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻟﺴﻜﻮﻥ ﻓﺘﻤﻨﺢ ﺍﻟﻌﻘﻠﻴﺔ ﺍﳌﻨﺎﺥ ﺍﳌﻼﺋﻢ ﻟﻠﺘﺄﻣﻞ ﻭﺍﻟﺘﻔﻜﲑ ،ﻭﻣﻊ ﻫﺬﺍ ﺳﺎﺩﺕ ﺍﻟﻔﻮﺿﻲ ﻗﺒﺎﺋﻞ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻭﺫﻟﻚ ﻧﺘﻴﺠﺔ ﻻﺧﺘﻼﻑ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ﻭﺍﻷﻓﻜﺎﺭ .ﻭﻳﺮﺟﻊ ﺍﻟﺴﺒﺐ ﰲ ﺫﻟﻚ ﺇﱃ ﺗﻌﺪﺩ ﺁﳍﻪ ﺍﻟﻌﺮﺏ ،ﻭﺗﺄﺛﺮﺕ ﺑﺎﳌﺬﺍﻫﺐ ﻭﺍﳌﻌﺘﻘﺪﺍﺕ ﺍﻟﱵ ﺗﺴﺮﺑﺖ ﺇﻟﻴﻬﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻔﺮﺱ ﻭﺍﻟﺮﻭﻡ ،ﻓﺎﺧﺘﻼﻁ ﺍﻟﺪﻳﺎﻧﺎﺕ ﻭﺗﺰﺍﺣﻢ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ﺃﺩﻯ ﻟﻌﺪﻡ ﺍﻻﺳﺘﻘﺮﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮﻱ ﺃﺩﺧﻠﺖ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺣﲑﺓ ﻣﻦ ﺃﻣﺮﻫﻢ ،ﻓﺠﻬﻠﺖ ﻋﻘﻮﳍﻢ ﻋﻦ ﺇﺩﺭﺍﻙ ﺣﻘﻴﻘﺔ ﺍﻟﺪﻳﻦ. ﻟﺬﺍ ﻳﺼﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﻋﻠﻰ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ–ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ–ﺣﺎﻟﺔ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻋﻨﺪﻣﺎ ﺑﻌﺚ ﺍﻟﻨﱯ ﺑﻘﻮﻟﻪ ﰲ ﺧﻄﺒﺔ ﻼ ﻣﺘﻔﺮﻗﺔ ﻭﺃﻫﻮﺍﺀ ﻣﻨﺘﺸﺮﺓ ﻭﻃﻮﺍﺋﻒ ﻣﺸﺘﺘﺔ ﺑﲔ ﻣﺸﺒﻪ ﷲ ﰲ ﺧﻠﻘﻪ ﺃﻭ ﻣﻠﺤﺪ ﰲ ﺍﲰﻪ ﺃﻭ ﻣﺸﲑ ﻟﻪ) :ﺑﻌﺜﻪ ﻭﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻠ ﹰ ﺇﱃ ﻏﲑﻩ ،ﺿﻼ ﹰﻻ ﰲ ﺣﲑﺓ ﻭﺧﺎﺑﻄﲔ ﰲ ﻓﺘﻨﺔ ،ﻗﺪ ﺍﺳﺘﻬﻮﻢ ﺍﻷﻫﻮﺍﺀ ﻭﺍﺳﺘﺬﳍﻢ ﺍﻟﻜﱪﻳﺎﺀ ﻭﺍﺳﺘﺨﻔﺘﻬﻢ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﳉﻬﻼﺀ ،ﺣﻴﺎﺭﻯ ﰲ ﺯﻟﺰﺍﻝ ﻣﻦ ﺍﻷﻣﺮ ﻭﺑﻼﺀ ﻣﻦ ﺍﳉﻬﻞ() .ﺍﻟﺸﺮﻳﻒ ﺍﻟﺮﺿﻲ1408 ،ﻫـ1988 /ﻡ:ﺝ ،1ﺹ.(214 ﻧﺴﺘﻄﻴﻊ ﺃﻥ ﻧﻘﻮﻝ ﳑﺎ ﺳﺒﻖ ﺃﻥ ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﺧﺘﻠﻒ ﰲ ﺍﳌﻌﲎ ﻭﺍﺗﻔﻖ ﰲ ﺍﳌﻘﺼﺪ ،ﻭﻫﻮ ﳐﺎﻟﻔﺔ ﻛﻞ ﻣﺎ ﺃﻣﺮ ﺍﷲ ﺑﻪ ،ﻓﺎﻹﻧﺴﺎﻥ ﻫﻮ ﺍﻟﺬﻱ ﺻﻨﻊ ﺍﳉﻬﻞ ﻟﻨﻔﺴﻪ ﻭﱂ ﻳﻜﻦ ﻟﻠﺠﻬﻞ ﻭﺟﻮ ﺩ ﻗﺒﻞ ﺫﻟﻚ ،ﻭﺫﻟﻚ ﺑﺎﺗﺒﺎﻉ ﺃﻫﻮﺍﺀﻫﻢ ، ﻓﺎﳉﻬﻞ ﻻ ﻳﻘﻊ ﺇﻻ ﻋﻨﺪﻣﺎ ﺗﻐﻔﻞ ﺍﻟﻘﻠﻮﺏ ﻋﻦ ﺣﻘﻴﻘﺔ ﺃﻗﻮﺍﳍﺎ ﻭﺃﻓﻌﺎﳍﺎ ﻓﻴﻨﺘﺞ ﻋﻨﻪ ﺍﻟﺸﻘﺎﺀ ﻭﺍﳊﲑﺓ ﻭﺍﻹﺿﻄﺮﺍﺏ ﻭﲤﺰﻕ ﺍﳊﻴﺎﺓ ﻭﺗﺸﺘﺖ ﺍﻷﻓﻜﺎﺭ ،ﻷﻥ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﻭﺿﻊ ﻟﻨﻔﺴﻪ ﻗﺎﻧﻮﻧﹰﺎ ﺃﺑﻌﺪﻩ ﻋﻦ ﺍﺗﺒﺎﻉ ﺍﳊﻖ ﻭﺍﺩﺧﻠﻪ ﰲ ﻏﻴﺎﻫﺐ ﺍﻟﻀﻼﻝ، อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
41
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻓﻜﺎﻥ ﻻﺑﺪ ﺃﻥ ﻳﻈﻬﺮ ﺩﻳﻦ ﺟﺪﻳﺪ ﺘﻤﻊ ﻣﺜﻞ ﻫﺬﺍ ﻓﻴﺄﺧﺬﻩ ﳓﻮ ﺍﳋﲑ ﻭﻳﻬﺪﻳﻪ ﺇﱃ ﺍﻟﻄﺮﻳﻖ ﺍﳌﺴﺘﻘﻴﻢ ﻭﻳﻌﻴﺪﻩ ﺇﱃ ﺍﳊﻖ ﺍﻟﺬﻱ ﻃﹸﻤﺲ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﲤﻜﻨﺖ ﻣﻨﻬﻢ ﺃﻫﻮﺍﺀ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻭﻟﻌﺒﺖ ﺑﻌﻘﻮﳍﻢ ﻓﻜﺎﻧﻮﺍ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﺒﺆﺱ ﻭﺍﻟﻀﻨﻚ. ﲰﺎﺕ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺭﻏﻢ ﺍﳊﻴﺎﺓ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﻳﻌﻴﺸﻬﺎ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺟﻌﻠﺘﻬﻢ ﰲ ﺃﻋﲔ ﺍﻵﺧﺮﻳﻦ ﻛﺄﻬﻧﻢ ﳛﺒﻮﻥ ﺳﻔﻚ ﺍﻟﺪﻣﺎﺀ ﺑﺴﺒﺐ ﺷﻨﻬﻢ ﻟﻠﺤﺮﻭﺏ ﺍﳌﺘﻜﺮﺭﺓ ﻷﺳﺒﺎﺏ ﺫﹸﻛﺮﺕ ﻣﻦ ﻗﺒﻞ ﻓﺎﻛﺘﺴﺒﻮﺍ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﻭﺍﻟﻘﻮﺓ ﻓﻜﺎﻧﺖ ﳍﻢ ﻣﻔﺨﺮﺓ ،ﻭﻣﻊ ﺫﻟﻚ ﺍﺷﺘﻬﺮﻭﺍ ﺑﻜﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻷﺧﻼﻕ ﺍﻟﻜﺮﳝﺔ ﻭﺍﳋﻼﻝ ﺍﳊﻤﻴﺪﺓ ،ﻭﻣﻦ ﺍﳌﻌﺮﻭﻑ ﺃﻥ ﺍﳊﺮﻭﺏ ﺗﻔﺮﻕ ﺑﲔ ﺍﻟﻘﺒﺎﺋﻞ ﺇﻻ ﺃﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﳋﻼﻝ ﲨﻌﺘﻬﻢ ﻭﺟﻌﻠﺘﻬﻢ ﰲ ﺗﻀﺎﻣﻦ ﻭﺛﻴﻖ ،ﻓﻜﺎﻥ ﺍﻟﺘﻨﺎﻓﺲ ﺑﲔ ﺍﻟﻘﺒﺎﺋﻞ ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﺗﻜﻮﻥ ﺍﻷﻓﻀﻞ ﰲ ﺍﻟﻘﻴﺎﻡ ﺑﺎﻟﻌﻤﻞ ﺬﻩ ﺍﳋﻼﻝ ﻭﺍﻻﺷﺘﻬﺎﺭ ﺎ ،ﻟﻌﻞ ﻛﻠﻤﺔ ﺍﳌﺮﻭﺀﺓ ﺗﻀﻢ ﺧﲑ ﲰﺎﻢ ﻛﺎﳊﻠﻢ ﻭﺍﻟﻮﻓﺎﺀ ﻭﲪﺎﻳﺔ ﺍﳉﺎﺭ ﻭﺍﻟﻜﺮﻡ ﻭﺍﻟﻌﻔﺔ ﻭﺍﻹﻋﺮﺍﺽ ﻋﻦ ﺷﺘﻢ ﺍﻟﻠﺌﻴﻢ ﻭﺍﻟﻐﺾ ﻋﻦ ﺍﻟﻌﻮﺭﺍﺕ ،ﻭﻗﺪ ﺍﺳﺘﻤﺮﺕ ﻣﻌﻬﻢ ﺣﱴ ﺑﻌﺪ ﻇﻬﻮﺭ ﺍﻹﺳﻼﻡ ،ﻭﻗﺪ ﻗﹸﺴﻤﺖ ﺇﱃ ﺛﻼﺛﺔ ﲰﺎﺕ ﻭﻫﻲ: /1ﻋﺎﺩﺍﺕ ﻭﺗﻘﺎﻟﻴﺪ ﺃﻧﻜﺮﻫﺎ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺃ /ﺍﻟﻐﺰﻭ ﻭﺍﻟﺜﺄﺭ ﺏ ﻧﺸﺒﺖ ﺑﺴﺒﺐ ﺃﺧﺬ ﺍﻟﺜﺄﺭ ﻳﻘﻊ ﺍﻟﻘﺘﺎﻝ ﺑﲔ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺑﺴﺒﺐ ﺃﺣﺪ ﺃﻣﺮﻳﻦ ﺇﻣﺎ ﺍﻟﺜﺄﺭ ﻭﺇﻣﺎ ﺍﻟﻐﺰﻭ ،ﻓﻜﻢ ﻣﻦ ﺣﺮ ﹴ ﻓﺄﺩﺕ ﺇﱃ ﺣﺮﻭﺏ ﻃﺎﺣﻨﺔ ﺍﺳﺘﻤﺮﺕ ﻟﻌﺪﺓ ﺳﻨﻮﺍﺕ ،ﺃﻣﺎ ﺍﻟﻐﺰﻭ ﻓﻴﻘﻊ ﺇﻣﺎ ﻣﻦ ﺍﻓﺮﺍﺩ ﺃﻭ ﻣﻦ ﲨﺎﻋﺎﺕ ،ﻭﺍﻟﺪﺍﻓﻊ ﻟﺬﻟﻚ ﺿﺮﻭﺭﺓ ﺍﳊﻴﺎﺓ ﺑﺴﺒﺐ ﻧﻘﺺ ﺍﻷﻣﻄﺎﺭ ﻭﺟﺪﺏ ﺍﻷﺭﺽ ،ﻓﻬﺬﻩ ﻭﺳﻴﻠﺔ ﻻﻛﺘﺴﺎﺏ ﻣﻌﻴﺸﺘﻬﻢ ﻭﻗﺪ ﺃﺩﺕ ﻫﺬﻩ ﺍﳊﺮﻭﺏ ﺇﱃ ﺇﻓﻨﺎﺀ ﺍﻟﻨﻔﻮﺱ ﻭﺇﺗﻼﻑ ﺍﻷﻣﻮﺍﻝ ،ﻓﻜﺎﻥ ﻫﺬﻩ ﻧﻮﻋﹰﺎ ﻣﻦ ﺣﻴﺎﺓ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ) ،ﻋﺒﺪﺍﻟﻠﻄﻴﻒ ﺍﻟﻄﻴﺒﺎﻭﻱ، 1979ﻡ ،ﺹ ،(165ﻛﻤﺎ ﺗﻨﺸﺐ ﺍﳊﺮﺏ ﺑﲔ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺑﺴﺒﺐ ﺍﻟﱰﺍﻉ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺮﺍﻋﻲ ﺃﻭ ﺍﻹﻫﺎﻧﺔ ).ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ1414 ،ﻫـ: ﺝ ،1ﺹ.(110 ﻛﺬﻟﻚ ﻣﻦ ﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﳊﺮﻭﺏ ﻗﺪ ﲣﺮﺝ ﺍﳉﻤﺎﻋﺎﺕ ﻟﻠﺒﺤﺚ ﻋﻦ ﺷﻴﺊ ﳜﻔﻒ ﺍﳉﻮﻉ ﻟﺪﻳﻬﻢ ،ﺣﻴﺚ ﺧﺮﺝ ﲨﺎﻋﺔ ﻳﻘﺼﺪﻭﻥ ﺣﻲ ﻣﻦ ﺑﺠﻴﻠﺔ ،ﻭﺃﻛﻤﻠﻮﺍ ﻣﻬﻤﺘﻬﻢ ﺑﻨﺠﺎﺡ ﻭﻋﺎﺩﻭﺍ ﺇﱃ ﻣﻀﺎﺭﻢ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﻗﺘﻠﻮﺍ ﲨﺎﻋﺔ ﻣﻦ ﺃﻋﺪﺍﺋﻬﻢ ،ﻓﻘﺎﻝ ﺷﺎﻋﺮﻫﻢ: ﻭﺻﻮﺕ ﻓﻴﻨﺎ ﺑﺎﻟﺼﺒﺎﺡ ﺍﳌﺜــﻮﺏ ﻓﺜﺎﺭﻭﺍ ﺇﻟﻴﻨﺎ ﰲ ﺍﻟﺴﻮﺍﺩ ﻓﻬﺠﻬﺠﻮﺍ ﻓﺸﻦ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﻫﺰﺓ ﺍﻟﺴﻴﻒ ﺛﺎﺑـﺖ ﻭﺻﻤﻢ ﻓﻴﻬﻢ ﺑﺎﳊﹸﺴﺎﻡ ﺍﳌﺴﻴــﺐ ﻭﻗﺪ ﺧﺮ ﻣﻨﻬﻢ ﺭﺍﺟﻼﻥ ﻭﻓـﺎﺭﺱ ﻛﻤ ﻲ ﺻﺮﻋﻨﺎﻩ ﻭﺧﻮﻡ ﻣﺴﻠــﺐ )ﻳﻮﺳﻒ ﺧﻠﻴﻒ1966 ،ﻡ ،ﺹ.(184 ﻣﻦ ﺟﺎﻧﺐ ﺁﺧﺮ ﳒﺪ ﺣﺮﻭﺏ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﰲ ﺣﻮﺍﺩﺙ ﺧﻠﺪﺎ ﺍﳌﺮﻭﻳﺎﺕ ﻭﺍﻟﻘﺼﺎﺋﺪ ،ﻛﺄﻳﺎﻡ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺍﳌﺸﻬﻮﺭﺓ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﺳﺒﺒﻬﺎ ﺍﻟﱰﺍﻉ ﺑﲔ ﺍﻟﻘﺒﺎﺋﻞ ،ﻭﳍﺬﺍ ﻳﺸﺘﻬﺮ ﻓﻴﻬﺎ ﺑﻌﺾ ﺍﻷﺑﻄﺎﻝ ﻭﻳﺘﻐﲎ ﺎ ﺍﻟﺸﻌﺮﺍﺀ ﻣﻦ ﺍﻟﻄﺮﻓﲔ ﺭﺩﺣﹰﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﺰﻣﻦ ،ﻭﻗﺪ ﻳﺴﺘﻤﺮ ﺍﻟﱰﺍﻉ ﻓﺘﺮﺓ ﻃﻮﻳﻠﺔ ﻭﻳﻨﺘﻬﻲ ﺑﺘﺪﺧﻞ ﻃﺮﻑ ﺛﺎﻟﺚ ،ﻭﺗﺘﻜﺮﺭ ﻫﺬﻩ ﺍﳊﻮﺍﺩﺙ ﺑﺼﻮﺭﺓ ﻣﺴﺘﻤﺮﺓ ﺑﲔ ﻗﺒﺎﺋﻞ ﺍﻟﻌﺮﺏ).ﺟﻮﺭﺝ ﺣﺪﺍﺩ1378 ،ﻫـ1958 /ﻡ.(321: อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
42
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻭﺧﲑ ﻣﺜﺎﻝ ﻷﻳﺎﻡ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻔﺮﻭﻕ ﺑﲔ ﻋﺒﺲ ﻭﺑﲏ ﺳﻌﺪ ﺑﻦ ﺯﻳﺪ ،ﻗﺎﺗﻠﻮﻫﻢ ﻓﻤﻨﻌﺖ ﻋﺒﺲ ﻧﻔﺴﻬﺎ ﻭﺣﺮﳝﻬﺎ ﻭﺧﺎﺑﺖ ﻏﺎﺭﺓ ﺑﲏ ﺳﻌﺪ ﻭﻗﻴﻞ ﻟﻘﻴﺲ ﺑﻦ ﺯﻫﲑ ﻭﻳﻘﺎﻝ ﻋﻨﺘﺮﺓ :ﻛﻢ ﻛﻨﺘﻢ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻔﺮﻭﻕ؟ ﻗﺎﻝ ﻣﺎﺋﺔ ﻓﺎﺭﺱ ﻛﺎﻟﺬﻫﺐ ﱂ ﻧﻜﺜﺮ ﻓﻨﻔﺸﻞ ﻭﱂ ﻧﻘﻞ ﻓﻨﺬﻝ ).ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ1414 ،ﻫـ :ﺝ ،2ﺹ.(70 ﺏ /ﺍﻟﺘﻌﺼﺐ ﻟﻠﻘﺒﻴﻠﺔ ﻳﻘﻮﻯ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻟﺸﻌﻮﺭ ﺑﺎﻹﻧﺘﻤﺎﺀ ﺇﱃ ﺍﻟﻘﺒﻴﻠﺔ ﺃﻛﺜﺮ ﻣﻦ ﺍﻹﻧﺘﻤﺎﺀ ﻟﻸﻣﺔ ،ﻭﺍﻟﻌﺮﰊ ﳝﺪﺡ ﻗﺒﻴﻠﺘﻪ ﻭﻳﺘﻐﲎ ﺑﺎﻧﺘﺼﺎﺭﻫﺎ ﻭﻳﻌﺪﺩ ﳏﺎﺳﻨﻬﺎ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺍﻟﺸﻌﺮ ،ﻭﺍﻟﺴﺒﺐ ﰲ ﺫﻟﻚ ﻋﺪﻡ ﺍﲢﺎﺩ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻭﰲ ﺍﻟﺸﻌﻮﺭ ﺍﻟﻮﻃﲏ ﻟﻌﺪﻡ ﻭﺟﻮﺩ ﺣﻜﻮﻣﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ ﳜﻀﻌﻮﻥ ﳍﺎ ﻭﻳﺄﲤﺮﻭﻥ ﺑﺄﻣﺮﻫﺎ ،ﻷﻥ ﺍﻟﻨﻄﺎﻡ ﺍﻟﻘﺒﻠﻲ ﻳﺮﻓﺾ ﺫﻟﻚ) .ﳏﻤﺪ ﺃﻣﲔ ﺻﺎﱀ1984 ،ﻡ.(362: ﻳﺘﺒﲔ ﳑﻦ ﺫﹸﻛﺮ ﺃﻥ ﻟﻔﻆ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻳﻄﻠﻖ ﻋﻠﻰ ﲨﺎﻋﺎﺕ ﻻ ﳜﻀﻌﻮﻥ ﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﻳﻨﻈﻢ ﺣﻴﺎﻢ ،ﺑﻜﻞ ﺟﻮﺍﻧﺒﻬﺎ ﺍﻟﺪﻳﻨﻴﺔ ﻭﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ ﻭﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﻟﲑﻗﻰ ﻢ ﳌﺴﺘﻮﻯ ﺍﻹﻧﺴﺎﻧﻴﺔ ،ﻭﰲ ﳎﺘﻤﻊ ﻛﻬﺬﺍ ﻳﺘﺒﻊ ﻛﻞ ﻓﺮﺩ ﻫﻮﺍﻩ ،ﻟﺬﻟﻚ ﺍﻧﺘﺸﺮﺕ ﺍﻟﻔﻮﺿﻰ ﻭﺍﳍﻤﺠﻴﺔ ﰲ ﻛﻞ ﻣﻜﺎﻥ ﻭﺃﺻﺎﺑﺖ ﺍﻟﺼﻐﲑ ﻭﺍﻟﻜﺒﲑ ،ﺍﻟﺮﺟﻞ ﻭﺍﳌﺮﺃﺓ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺴﻮﺍﺀ ﺩﻭﻥ ﺃﻥ ﻳﻔﻜﺮﻭﺍ ﰲ ﻃﺮﻳﻘﺔ ﺗﺨﻠﺼﻬﻢ ﻣﻦ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻔﻮﺿﻰ ﺍﻟﻌﺎﺭﻣﺔ ،ﻓﺄﺻﺒﺤﻮﺍ ﲨﺎﻋﺎﺕ ﻣﺘﻔﺮﻗﺔ ﺫﺍﺕ ﺁﺭﺍﺀ ﳐﺘﻠﻔﺔ ﻭﻣﺬﺍﻫﺐ ﻣﺘﻌﺪﺩﺓ، ﻓﺠﺎﻫﻠﻴﺔ ﻣﺘﻌﻤﻘﺔ ﰲ ﺍﻟﻨﻔﻮﺱ ﺭﺍﺳﺨﺔ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﻮﻝ ﻭﻻ ﳝﻜﻦ ﺃﻥ ﺗﻨﺘﻬﻲ ﺇﻻ ﺑﻈﻬﻮﺭ ﺭﺳﻮﻝ ﻳﺪﻋﻮﻫﻢ ﺇﱃ ﺍﳊﻖ ﻭﻳﻬﺪﻳﻬﻢ ﺇﱃ ﺍﻟﻄﺮﻳﻖ ﺍﳌﺴﺘﻘﻴﻢ ﻭﻳﻮﺿﺢ ﳍﻢ ﺍﳊﻖ ﻣﻦ ﺍﻟﺒﺎﻃﻞ ﻭﻳﻨﺸﺮ ﺍﻟﻌﺪﻝ ﻭﺍﳌﺴﺎﻭﺍﺓ ﺑﻴﻨﻬﻢ. /2ﻋﺎﺩﺍﺕ ﻭﺗﻘﺎﻟﻴﺪ ﺃﻗﺮﻫﺎ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﺸﺮﻭﻁ ﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﻳﻘﻮﻝ ﺍﺑﻦ ﺧﻠﺪﻭﻥ :ﺇﻥ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﺒﺪﻭ ﺃﻗﺮﺏ ﺇﱃ ﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﻣﻦ ﺃﻫﻞ ﺍﳊﻀﺮ ﻷﻥ ﺃﻫﻞ ﺍﳊﻀﺮ ﺃﻟﻘﻮﺍ ﺟﻨﻮﻢ ﻋﻠﻰ ﻣﻬﺎﺩ ﺍﻟﺮﺍﺣﺔ ﻭﺍﻟﺪﻋﺔ ﻭﺍﻧﻐﻤﺴﻮﺍ ﰲ ﺍﻟﻨﻌﻴﻢ ﻭﺍﻟﺘﺮﻑ ﻭﻭﻛﻠﻮﺍ ﺃﻣﺮﻫﻢ ﰲ ﺍﳌﺪﺍﻓﻌﺔ ﻋﻦ ﺃﻣﻮﺍﳍﻢ ﻭﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﺇﱃ ﻭﺍﻟﻴﻬﻢ ﻭﺍﳊﺎﻛﻢ ﻭﺍﳊﺎﻣﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻮﻟﺖ ﺣﺮﺍﺳﺘﻬﻢ ﻭﺍﺳﺘﻨﺎﻣﻮﺍ ﺇﱃ ﺍﻷﺳﻮﺍﺭ ﺍﻟﱵ ﲢﻮﻃﻬﻢ ﻭﺗﻮﺍﻟﺖ ﻋﻠﻰ ﺫﻟﻚ ﻣﻨﻬﻢ ﺍﻷﺟﻴﺎﻝ ﻭﺗﺘﺰﻟﻮﺍ ﻣﱰﻟﺔ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﻭﺍﻟﻮﻟﺪﺍﻥ ،ﻭﺃﻫﻞ ﺍﻟﺒﺪﻭ ﻟﺘﻔﺮﺩﻫﻢ ﻋﻦ ﺍﺘﻤﻊ ﻭﺗﻮﺣﺸﻬﻢ ﰲ ﺍﻟﻀﻮﺍﺣﻲ ﻭﺑﻌﺪﻫﻢ ﻋﻦ ﺍﳊﺎﻣﻴﺔ ﻗﺎﺋﻤﻮﻥ ﺑﺎﳌﺪﺍﻓﻌﺔ ﻋﻦ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﻻ ﻳﻜﻠﻮﻬﻧﺎ ﺇﱃ ﺳﻮﺍﻫﻢ ﻭﻻ ﻳﺜﻘﻮﻥ ﻓﻴﻬﺎ ﺑﻐﲑﻫﻢ ﻓﻬﻢ ﺩﺍﺋﻤﹰﺎ ﳛﻤﻠﻮﻥ ﺍﻟﺴﻼﺡ ﻭﺍﺛﻘﲔ ﺑﺄﻧﻔﺴﻬﻢ ﻗﺪ ﺻﺎﺭ ﳍﻢ ﺍﻟﺒﺄﺱ ﺧﻠﻘﹰﺎ ﻭﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﺳﺠﻴﺔ ﻳﺮﺟﻌﻮﻥ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﻣﱴ ﺩﻋﺎﻫﻢ ﺩﺍﻉ ﺃﻭ ﺍﺳﺘﻨﻔﺮﻫﻢ ﺻﺎﺭﺥ. )ﺍﺑﻦ ﺧﻠﺪﻭﻥ1413 ،ﻫـ1993 /ﻡ(100-99 : ﺃﻣﺎ ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ ﻓﲑﻯ ﺃﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺃﺷﺠﻊ ﻣﻦ ﻏﲑﻫﻢ ﻷﻥ ﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﻔﺎﺕ ﺍﻟﻐﺮﻳﺰﻳﺔ ﻭﺍﻟﺴﺠﺎﻳﺎ ﺍﻟﻄﺒﻴﻌﻴﺔ ﻭﻗﻮﺓ ﻟﻠﻨﻔﺲ ﻣﻌﻨﻮﻳﺔ ،ﻭﻫﻰ ﺍﻹﻗﺪﺍﻡ ﰲ ﻣﻮﺿﻊ ﺍﻹﺣﺠﺎﻡ ﻭﻋﺪﻡ ﺍﳌﺒﺎﻻﺓ ﺑﺎﳊﻴﺎﺓ ﻭﻻ ﺑﺎﳌﻤﺎﺕ ،ﻭﺍﻟﻌﺮﺏ ﱂ ﺗﺰﻝ ﺭﻣﺎﺣﻬﻢ ﻣﺘﺸﺎﺑﻜﺔ ﻭﺃﻏﻤﺎﺭﻫﻢ ﰲ ﺍﳊﺮﻭﺏ ﻣﺘﻬﺎﻟﻜﺔ ﻭﺳﻴﻮﻓﻬﻢ ﻣﺘﻘﺎﺭﻋﺔ ﻭﺃﺑﻄﺎﳍﻢ ﰲ ﻣﻴﺎﺩﻳﻦ ﺍﻟﻐﻮﻏﺎﺀ ﻣﺘﻨﺎﺯﻋﺔ ﻗﺪ ﺭﻏﺒﻮﺍ ﻋﻦ ﺍﳊﻴﺎﺓ ﻭﻃﻴﺐ ﺍﻟﻠﺬﺍﺕ ﻭﺯﻫﺪﻭﺍ ﻟﺘﺄﻳﻴﺪ ﻋﺰﻫﻢ ﻋﻦ ﺍﳌﻘﻴﻞ ﰲ ﺃﻭﻓﻴﺎﺀ ﺍﻟﺸﻬﻮﺍﺕ ) .ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ1414 ،ﻫـ، ﺝ ،1ﺹ.(104-103 ٍ ﻳﻌﺘﱪ ﺍﻟﺒﺪﻭ ﺃﺻﺢ ﺃﺑﺪﺍﻧﺎ ﻣﻦ ﺃﻫﻞ ﺍﳊﻀﺮ ﻟﻨﺸﺄﺓ ﺍﻟﻄﺒﻴﻌﻴﺔ ﻭﻟﺼﺤﺔ ﺍﳍﻮﺍﺀ ﰲ ﺍﻟﺒﺎﺩﻳﺔ ،ﻭﻟﺬﻟﻚ ﻛﺎﻥ ﺍﻟﺒﺪﻭ ﺃﻗﻞ ﺗﻌﺮﺿﹰﺎ ﻟﻸﻣﺮﺍﺽ ﻭﺃﻗﺪﺭ ﻋﻠﻰ ﲢﻤﻞ ﺍﳌﺸﺎﻕ ﻭﺍﺎﻋﺎﺕ ،ﰒ ﺃﻥ ﺍﻟﺒﺪﻭ ﺃﻛﺜﺮ ﺷﺠﺎﻋﺔ ﻻﺿﻄﺮﺍﺭﻫﻢ ﺍﻟﺪﺍﺋﻢ ﺇﱃ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
43
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﻟﺪﻓﺎﻉ ﻋﻦ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﻭﺃﻫﻠﻬﻢ ﻭﻋﻤﺎ ﳝﻠﻜﻮﻥ ﰲ ﻭﺟﻪ ﺍﻟﻌﺪﻭ ﺍﳌﻐﲑ ﻭﰲ ﺭﺩ ﺍﳊﻴﻮﺍﻥ ﺍﳌﻔﺘﺮﺱ ،ﻟﺬﻟﻚ ﻛﺎﻧﺖ ﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﻭﺍﻟﻘﺘﺎﻝ ﻋﺎﺩﺗﲔ ﰲ ﺍﻟﺒﺪﻭﻱ ﻳﻨﺸﺄ ﻋﻠﻴﻬﻤﺎ ﻣﻨﺬ ﺍﻟﺼﻐﺮ ،ﻛﻤﺎ ﻳﺴﺮﻉ ﺇﱃ ﺇﻏﺎﺛﺔ ﺍﳌﻈﻠﻮﻡ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺃﻥ ﻳﺴﺄﻝ ﻋﻦ ﻃﺒﻴﻌﺔ ﺍﻹﻏﺎﺛﺔ) .ﻋﻤﺮ ﻓﺮﻭﺥ1981 ،ﻡ.(46: ﺃﻣﺎ ﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﻣﻦ ﻭﺟﻬﺔ ﺍﻟﻨﻈﺮ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻳﻌﺘﱪ ﻭﺳﻴﻠﺔ ﻣﻦ ﻭﺳﺎﺋﻞ ﺍﻟﺪﻋﻮﺓ ،ﻳﻠﺠﺄ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﺍﳌﺴﻠﻢ ﻋﻨﺪﻣﺎ ﻳﻘﻒ ﺍﻷﻋﺪﺍﺀ ﰲ ﻭﺟﻪ ﺗﺒﻠﻴﻎ ﺭﺳﺎﻟﺔ ﺍﷲ ﺇﱃ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻛﺎﻓﺔ ،ﻟﺬﻟﻚ ﱂ ﺗﻜﻦ ﺍﳊﺮﺏ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻏﺎﻳﺔ ﰲ ﺣﺪ ﺫﺍﺎ. )ﺍﳊﻤﺼﻲ1411 ،ﻫـ1991/ﻡ :ﺹ.(59 ﻭﻗﺪ ﻓﺮﺽ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﺳﺘﻌﻤﺎﻝ ﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﻭﺍﻟﻘﻮﺓ ﻟﺮﺩ ﺍﻻﻋﺘﺪﺍﺀ ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛ ﴿﴾ Î Í Ì Ë Ê ÉÈ Ç Æ Å Ä Ã Â Á )ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(190 :2 ، ﻓﺎﺷﺘﺮﻁ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﳍﺬﺍ ﺍﻟﻘﺘﺎﻝ ﺷﺮﻃﲔ ﳘﺎ :ﺃﺣﺪﳘﺎ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﻗﺘﺎﻝ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﰲ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ ،ﲟﻌﲎ ﻗﺘﺎﻝ ﻛﻞ ﻣﻦ ﻳﻘﻒ ﰲ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﺪﻋﻮﺓ ﺇﱃ ﺍﷲ ،ﻭﺛﺎﻧﻴﻬﻤﺎ ﺍﻟﻨﻬﻲ ﻋﻦ ﺍﻻﻋﺘﺪﺍﺀ ﰲ ﺍﻟﻘﺘﺎﻝ ،ﻓﻼ ﻳﻘﺎﺗﻞ ﻣﻦ ﺃﻣﺴﻚ ﻳﺪﻩ ﻋﻦ ﻗﺘﺎﻝ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ) .ﻋﺮﺟﻮﻥ1404 ،ﻫـ1984 /ﻡ.(786 : ﻭﺍﻟﻮﺍﻗﻊ ﺃﻥ ﺩﻋﻮﺓ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻟﻠﻘﺘﺎﻝ ﺇﳕﺎ ﻫﻲ ﺩﻋﻮﺓ ﺇﱃ ﻗﺘﺎﻝ ﺍﳌﻌﺘﺪﻳﻦ ﻛﻤﺎ ﻫﻲ ﺩﻋﻮﺓ ﺇﱃ ﻋﺪﻡ ﺍﻻﻋﺘﺪﺍﺀ ،ﻓﻌﻞ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﻭﺃﺻﺤﺎﺑﻪ ﱂ ﻳﻜﻮﻧﻮﺍ ﳛﺒﻮﻥ ﺍﻟﻘﺘﺎﻝ ،ﻭﱂ ﻳﺒﺪﺃﻭﺍ ﺍﻟﻌﺪﻭ ﺑﺎﻟﻘﺘﺎﻝ ﺇﻻ ﺑﻌﺪ ﺍﻻﻋﺘﺪﺍﺀ ﻋﻠﻴﻬﻢ. )ﺍﳊﻤﺼﻲ1411 ،ﻫـ1991 /ﻡ.(63 : ﻳﻈﻬﺮ ﳑﺎ ﺳﺒﻖ ﺃﻥ ﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﺍﻟﱵ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﺒﺪﻭ ﻛﺎﻧﺖ ﺍﺳﺘﻌﺪﺍﺩﹰﺍ ﳌﻮﺍﺟﻬﺔ ﺃﻱ ﺧﻄﺮ ﻗﺪ ﻳﻄﻬﺮ ﻓﺠﺄﺓ ﳑﺎ ﻳﺴﺘﻮﺟﺐ ﺭﺩ ﺍﻟﻌﺪﻭﺍﻥ ﺑﺴﺮﻋﺔ ﻓﺎﺋﻘﺔ ،ﺃﻣﺎ ﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﱂ ﺗﻜﻦ ﻟﺴﻔﻚ ﺩﻣﺎﺀ ﺍﻵﺧﺮﻳﻦ ﺑﻞ ﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺃﺟﻞ ﲪﺎﻳﺔ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﻭﺍﻟﺪﻓﺎﻉ ﻋﻦ ﺍﻟﺪﻳﻦ ،ﺇﺫﻥ ﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻛﺎﻧﺖ ﺩﻓﺎﻋﹰﺎ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﻔﺲ ﻭﺭﺩ ﺍﻋﺘﺪﺍﺀ ﺍﳌﺸﺮﻛﲔ. /3ﻋﺎﺩﺍﺕ ﻭﺗﻘﺎﻟﻴﺪ ﺃﻗﺮﻫﺎ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻣُﻄﻠﻘﹰﺎ ﺍﻟﻮﻓﺎﺀ ﻳﻌﺘﱪ ﺍﻟﻮﻓﺎﺀ ﺃﺧﻮ ﺍﻟﺼﺪﻕ ﻭﺍﻟﻌﺪﻝ ،ﻭﺍﻟﻐﺪﺭ ﺃﺧﻮ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﻭﺍﳉﻮﺭ ،ﻭﺫﻟﻚ ﺃﻥ ﺍﻟﻮﻓﺎﺀ ﺻﺪﻕ ﺑﺎﻟﻠﺴﺎﻥ ﻭﺍﻟﻔﻌﻞ ﻣﻌﺎﹰ ،ﻭﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻀﻄﺮﻭﻥ ﺇﱃ ﺍﻟﺘﻌﺎﻭﻥ ،ﻭﻻ ﺳﻴﻤﺎ ﺍﻟﻌﺮﺏ ،ﻭﻻ ﻳﺘﻢ ﺗﻌﺎﻭﻬﻧﻢ ﺇﻻ ﲟﺮﺍﻋﺎﺓ ﺍﻟﻌﻬﺪ ﻭﺍﻟﻮﻓﺎﺀ ،ﻭﻟﻮﻻ ﺫﻟﻚ ﻟﺘﻨﺎﻓﺮﺕ ﺍﻟﻘﻠﻮﺏ ﻭﺻﻌﺒﺖ ﺍﳌﻌﺎﺋﺶ ،ﻓﺎﻟﻌﺮﺏ ﱂ ﻳﻨﻘﻀﻮﺍ ﶈﺎﻓﻆ ﻋﻬﺪﹰﺍ ﻭﱂ ﳜﻠﻔﻮﺍ ﳌﺮﺍﻗﺐ ﻭﻋﺪﺍﹰ ،ﻳﺮﻭﻥ ﺍﻟﻐﺪﺭ ﻣﻦ ﻛﺒﺎﺋﺮ ﺍﻟﺬﻧﻮﺏ ﻭﺍﻹﺧﻼﻑ ﻣﻦ ﻣﺴﺎﻭﺉ ﺍﻟﺸﻴﻢ ﻭﺃﻗﺒﺢ ﺍﻟﻌﻴﻮﺏ ،ﻓﻬﻢ ﺃﺣﻔﻆ ﻟﻠﻌﻬﺪ ﻭﺃﻭﰱ ﺑﺎﻟﻮﻋﺪ) .ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ، 1414ﻫـ :ﺝ ،1ﺹ.(122 ﻟﺬﻟﻚ ﻳﺮﻯ ﻣﻦ ﺷﺪﺓ ﺍﻟﺘﺰﺍﻡ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺑﻮﻓﺎﺋﻬﻢ ﺃﻥ ﻳﻀﺤﻲ ﺍﻟﺸﺨﺺ ﺑﻨﻔﺴﻪ ﺑﺪﻷ ﻣﻦ ﺃﻥ ﳜﺪﺵ ﰲ ﲰﻌﺘﻪ ﻳﻮﺻﻒ ﺑﺎﻟﻐﺪﺭ ،ﻭﰲ ﻋﻬﻮﺩ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻛﺎﻥ ﺇﺫﺍ ﻏﺪﺭ ﺍﻟﺮﺟﻞ ﻭﱂ ﳛﺎﻓﻆ ﻋﻠﻰ ﻋﻬﺪﻩ ﻭﻭﻓﺎﺋﻪ ﻳﺮﻓﻌﻮﻥ ﻟﻪ ﰲ ﺳﻮﻕ ﻋﻜﺎﻅ ﻟﻮﺍ ًﺀ ﻟﻴﻌﺮﻓﻪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ،ﻭﻭﺭﺩ ﺃﻥ ﻟﻜﻞ ﻏﺪﺭ ﻟﻮﺍﺀ ﻓﻬﺬﻩ ﺍﻟﻄﺮﻳﻘﺔ ﻣﻦ ﺃﺷﻬﺮ ﺍﻷﺷﻴﺎﺀ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻌﺮﺏ )ﺟﻮﺍﺩ ﻋﻠﻲ، 1980ﻡ :ﺝ ،4ﺹ.(402 อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
44
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺑﻴﻨﻤﺎ ﻳﻌﺮﻑ ﻭﻓﺎﺀ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﻋﻨﺪﻣﺎ ﻳﻠﺘﺰﻡ ﺑﻮﻋﺪﻩ ﺃﻣﺎﻡ ﻧﺎﺭ ﻣﺸﺘﻌﻠﺔ ،ﺃﻭ ﻳﺪﺧﻞ ﻳﺪﻩ ﰲ ﺟﻔﻨﺔ ﳑﻠﻮﺀﺓ ﺑﺎﻟﺪﻡ ﺃﻭ ﺍﻟﻌﻄﺮ ﻛﻨﺎﻳﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺘﺰﺍﻣﻪ ﺍﻟﺸﺪﻳﺪ ﺑﻪ) .ﻋﺒﺪ ﺍﳌﻨﻌﻢ ﻣﺎﺟﺪ1990 ،ﻡ :ﺝ ،1ﺹ.(51 ﻳﺘﺒﲔ ﺃﻥ ﻭﻓﺎﺀ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻭﺣﺮﺻﻬﻢ ﺍﻟﺸﺪﻳﺪ ﻋﻠﻴﻪ ﻳﻌﺪ ﻣﻦ ﺃﺭﻓﻊ ﺍﻟﺸﻴﻢ ﻋﻨﺪﻫﻢ ،ﻟﺬﻟﻚ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻳﻌﻈﻤﻮﻥ ﺃﻣﺮﻩ ﻭﳝﺘﺪﺣﻮﻥ ﺃﻫﻠﻪ ،ﻓﺄﺻﺒﺢ ﺧﻠﻘﹰﺎ ﳍﻢ ﻭﺻﺎﺭﻭﺍ ﻳﺄﻧﻔﻮﻥ ﻣﻦ ﺇﺧﻼﻑ ﺍﻟﻮﻋﺪ ﻭﻳﺸﻬﺮﻭﻥ ﲟﺮﺗﻜﺒﻪ ﻭﻳﺒﺎﻟﻐﻮﻥ ﰲ ﺍﻟﺜﻨﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻮﻓﺎﺀ ،ﻓﺮﻋﺐ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻓﻴﻪ ،ﻓﺄﻓﻀﻰ ﺇﱃ ﺻﻼﺡ ﺍﻷﺣﻮﺍﻝ ﻭﺣﻔﻆ ﺍﳊﻘﻮﻕ. ﺍﻟﻜﺮﻡ
ﻳﻌﺘﺰ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺑﻜﺮﻡ ﺍﻟﻀﻴﺎﻓﺔ ﻭﻫﻰ ﲰﺔ ﻣﺘﺄﺻﻠﺔ ﰲ ﻧﻔﻮﺳﻬﻢ ،ﻓﻬﻢ ﻳﺴﺘﻘﺒﻠﻮﻥ ﺍﻟﻀﻴﻒ ﺑﺎﻟﺒﺸﺮ ﻭﺍﻟﺘﺮﺣﺎﺏ، ﻭﻳﻘﺪﻣﻮﻥ ﻟﻪ ﺃﻓﻀﻞ ﻣﺎ ﻟﺪﻳﻬﻢ ﻣﻦ ﻃﻌﺎﻡ .ﻭﱂ ﻳﻜﻦ ﻛﺮﻣﻬﻢ ﰲ ﻧﻄﺎﻕ ﳏﺪﻭﺩ ﺑﻞ ﻳﺸﻤﻞ ﺍﻟﻘﺮﻳﺐ ﻭﺍﻟﺒﻌﻴﺪ ﻭﻣﻦ ﻳﻌﺮﻓﻮﻧﻪ ﻭﻻﻳﻌﺮﻓﻮﻧﻪ ،ﺣﱴ ﻋﺪﻭﻫﻢ ﺇﺫﺍﻧﺰﻝ ﺑﺴﺎﺣﺘﻬﻢ ﻳﺴﺘﺒﺸﺮﻭﻥ ﺑﻪ ﻭﻳﻜﺮﻣﻮﻥ ﻭﻓﺎﺩﺗﻪ) .ﳛﲕ ﺍﳉﺒﻮﺭﻱ، 1388ﻫـ1968/ﻡ.(62 : ﻛﻤﺎ ﻳﻌﺘﱪ ﺍﻟﺘﺮﺣﻴﺐ ﺑﺎﻟﻀﻴﻒ ﻭﺇﻛﺮﺍﻣﻪ ﳌﺪﺓ ﺛﻼﺛﺔ ﺃﻳﺎﻡ ﺩﻭﻥ ﺃﻥ ﻳﺴﺄﻟﻮﻩ ﻋﻦ ﺷﻲﺀ ﻳﻌﺪ ﻣﻔﺨﺮﺓ ﳍﻢ )ﺑﺸﲑ ﺍﻟﺘﻠﻴﺴﻲ ﻭﲨﺎﻝ ﺍﻟﺬﻭﻳﺐ2002،ﻡ ،(42 :ﺑﻞ ﻳﻌﺘﱪ ﻗﺮﻯ ﺍﻟﻀﻴﻒ ﻗﺎﻧﻮﻧﹰﺎ ﺟﺎﻣﻌﹰﺎ ﻟﻘﻮﺍﻧﲔ ﺍﻹﻧﺴﺎﻧﻴﺔ ).ﺳﻴﺪﻳﻮ1400 ،ﻫـ :ﺹ.(18 ﺑﻴﻨﻤﺎ ﻳﻈﻬﺮ ﻛﺮﻡ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺇﻛﺮﺍﻡ ﺍﻷﺭﺍﻣﻞ ﻭﺍﻟﻴﺘﺎﻣﻰ ﻭﺍﻟﺴﺎﺋﻠﲔ ﺇﺫﺍ ﻣﺎ ﺍﺷﺘﺪ ﺍﻟﱪﺩ ﻭﺷﺢ ﺍﳌﻄﺮ ﻭﱂ ﳚﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻃﻌﺎﻣﹰﺎ )ﺍﻟﺴﻴﺪ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺳﺎﱂ1989 ،ﻡ ،(441 :ﻭﻟﻴﺲ ﲟﺴﺘﺒﻌﺪ ﺃﻥ ﻳﺄﺧﺬ ﺍﻷﻋﺮﺍﰊ ﺍﳌﻀﻴﺎﻑ ﲨﻞ ﺟﺎﺭﻩ ﻃﻮﻋﹰﺎ ﺃﻭ ﻛﺮﻫﹰﺎ ﻭﻳﺼﻨﻊ ﻣﻨﻪ ﻃﻌﺎﻣﹰﺎ ﻟﻴﻤﻌﻦ ﰲ ﺇﻛﺮﺍﻡ ﺿﻴﻮﻓﻪ ).ﻏﻮﺳﺘﺎﻑ ﻟﻮﺑﻮﻥ1969 ،ﻡ ،ﺹ. (73 ﻭﻗﺪ ﺗﻌﻮﺩﻭﺍ ﻛﺜﲑﹰﺍ ﻋﻠﻰ ﺫﺑﺢ ﺇﺑﻠﻬﻢ ﰲ ﺳﻨﲔ ﺍﻟﻘﺤﻂ ﻹﻃﻌﺎﻡ ﺍﻟﻀﻴﻮﻑ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﻳﱰﻟﻮﻥ ﻢ ﺃﻭﺗﺪﻓﻌﻬﻢ ﺍﻟﺼﺤﺮﺍﺀ ﺇﻟﻴﻬﻢ ،ﻭﺫﻟﻚ ﺑﺮﻏﻢ ﺣﻴﺎﺓ ﺍﻟﺼﺤﺮﺍﺀ ﺍﻟﻘﺎﺳﻴﺔ ).ﺷﻮﻗﻲ ﺿﻴﻒ1960 ،ﻡ ،ﺹ.(68 ﻳﺪﻝ ﻋﻠﻰ ﺳﺨﺎﺀ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻧﺎﺭ ﻛﺎﻧﺖ ﺗﻮﻗﺪ ﺗﺴﻤﻰ ﻧﺎﺭ ﺍﻟﻘﺮﻯ ﻭﻫﻰ ﻧﺎﺭ ﺍﻟﻀﻴﺎﻓﺔ ،ﻭﺫﻟﻚ ﻻﺳﺘﺪﻻﻝ ﺍﻷﺿﻴﺎﻑ ﺎ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﱰﻝ ،ﻭﻛﺎﻧﻮﺍ ﻳﻮﻗﺪﻭﻬﻧﺎ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﻣﺎﻛﻦ ﺍﳌﺮﺗﻔﻌﺔ ﺣﱴ ﺗﺒﺪﻭ ﻣﻦ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺒﻌﺪ ،ﻭﺭﲟﺎ ﻳﻮﻗﺪﻭﻬﻧﺎ ﺑﺎﳌﻨﺪﱄ ﺍﻟﺮﻃﺐ ﻓﻬﻮ ﺍﻟﻌﻮﺩ ﺍﻟﻄﻴﺐ ﺍﻟﺮﺍﺋﺤﺔ ﻟﻴﻬﺘﺪﻱ ﺎ ﻣﻦ ﻻ ﻳﺒﺼﺮ ).ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ1414 ،ﻫـ :ﺝ ،2ﺹ.(161 ﻳﻈﻬﺮ ﳑﺎ ﺳﺒﻖ ﺃﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻳﻔﺘﺨﺮﻭﻥ ﺑﺴﻤﺔ ﺍﻟﻜﺮﻡ ﻛﺜﲑﹰﺍ ﻭﻳﺒﺬﻟﻮﻥ ﻣﺎﰲ ﻭﺳﻌﻬﻢ ﻭﻳﺘﻨﺎﻓﺴﻮﻥ ﰲ ﺫﻟﻚ ﻭﻳﻌﻮﺩ ﺍﻟﺴﺒﺐ ﰲ ﺫﻟﻚ ﺇﱃ ﻃﺒﻴﻌﺔ ﺷﺒﺔ ﺟﺰﻳﺮﺓ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺍﻟﻘﺎﺳﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﻳﻨﺪﺭ ﻓﻴﻬﺎ ﺍﳌﺎﺀ ﻭﺍﻟﻜﻸ ﻓﺎﻧﻌﻜﺲ ﺫﻟﻚ ﻋﻠﻴﻬﻢ ،ﻓﻜﺎﻥ ﺍﻟﺸﺨﺺ ﳚﻮﺩ ﺑﻜﻞ ﻣﺎ ﳝﻠﻚ ﺣﱴ ﻳﻔﻀﻞ ﺍﻟﻐﲑ ﻋﻠﻰ ﻧﻔﺴﻪ ﲟﺎﻝ ﺃﻭ ﺧﻼﻓﻪ ،ﻭﻣﺎﰲ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﺼﻨﻴﻊ ﻣﻦ ﻣﺪﺡ ﻳﻠﺤﻖ ﻢ ﻓﻘﺴﻮﺓ ﺍﻟﻄﺒﻴﻌﺔ ﻛﺎﻧﺖ ﺳﺒﺒﺎ ﰲ ﺑﺮﻭﺯ ﺷﻴﻤﺔ ﺍﻟﺮﲪﺔ ﺑﻴﻨﻬﻢ. ﳉﻮﺍﺭ ﺍ
ﺍﳉﻮﺍﺭ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻤﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﳍﺎ ﺣﺮﻣﺔ ﻛﺒﲑﺓ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ،ﻓﺎﺫﺍ ﺍﺳﺘﺠﺎﺭ ﺷﺨﺺ ﺑﺸﺨﺺ ﺃﺧﺮ ﻭﻗﺒﻞ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﺸﺨﺺ ﺃﻥ ﳚﻌﻠﻪ ﺟﺎﺭﹰﺍ ﻭﻣﺘﺴﺠﲑﹰﺍ ﺑﻪ ﻭﺟﺒﺖ ﻋﻠﻴﻪ ﲪﺎﻳﺘﻪ ﻭﺣﻖ ﻋﻠﻰ ﺍﳉﺎﺭ ﺍﻟﺪﻓﺎﻉ ﻋﻦ ﳎﲑﻩ ﻭﺍﻟﺬﺏ ﻋﻨﻪ ،ﻭﺇﻻ ﺍﺻﺒﺢ ﻧﺎﻗﻀﹰﺎ ﻟﻠﻌﻬﺪ ﻧﺎﻛﺜﹰﺎ ﳐﺎﻟﻔﹰﺎ ﳊﻖ ﺍﳉﻮﺍﺭ ﻭﻋﻠﻰ ﺍﻟﻘﺒﺎﺋﻞ ﺍﺳﺘﺠﺎﺭﺓ ﻣﻦ ﻳﺴﺘﺠﲑ ﺎ ﻭﺍﻟﺪﻓﺎﻉ ﻋﻨﻪ ﺩﻓﺎﻋﻬﺎ ﻋﻦ ﺃﺑﻨﺎﺋﻬﺎ) .ﺟﻮﺍﺩ ﻋﻠﻲ1980 ،ﻡ :ﺝ ،4ﺹ.(361
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
45
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺑﻴﻨﻤﺎ ﳛﺮﺹ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﻋﻠﻰ ﺟﺎﺭﻩ ﻛﺤﺮﺻﻪ ﻋﻠﻰ ﻧﻔﺴﻪ ،ﺑﻞ ﻗﺪ ﻳﻔﺮﻁ ﰲ ﺃﻫﻠﻪ ﻭﻻ ﻳﻔﺮﻁ ﰲ ﺟﺎﺭﻩ ،ﻭﺇﺫﺍ ﲣﻮﻑ ﺍﻟﺮﺟﻞ ﻣﻦ ﺳﻮﺀ ﺳﻴﺼﻴﺒﻪ ﺟﺎﺀ ﺇﱃ ﺭﺟﻞ ﳛﻤﻴﻪ ﻭﻳﻘﻮﻝ ﻟﻪ :ﺃﺟﺮﱐ ﻓﻴﺠﲑﻩ ﺑﻘﺪﺭ ﻃﺎﻗﺘﻪ ،ﻭﻗﺪ ﻳﺄﰐ ﺑﻌﻀﻬﻢ ﻟﻴﺴﺘﺠﲑ ﺑﺮﺟﻞ ﻭﱂ ﳚﺪﻩ ﰲ ﺑﻴﺘﻪ ﻓﻴﻜﻔﻲ ﺃﻥ ﻳﺮﺑﻂ ﻃﺮﻑ ﺛﻮﺑﻪ ﺇﱃ ﻃﺮﻑ ﺍﻟﺒﻴﺖ ﻭﺑﺬﻟﻚ ﻳﺼﲑ ﺟﺎﺭﹰﺍ ﻭﳚﺐ ﻋﻠﻰ ﺻﺎﺣﺐ ﺍﻟﺒﻴﺖ ﺃﻥ ﳚﲑﻩ ﻭﺃﻥ ﻳﻄﻠﺐ ﻟﻪ ﺑﻈﻼﻣﺘﻪ) .ﺟﺮﺟﻰ ﺯﻳﺪﺍﻥ1402 ،ﻫـ1982 /ﻡ :ﺝ ،4ﺹ.(310-309 ﻣﻦ ﺟﺎﻧﺐ ﺁﺧﺮ ﺗﺘﺴﺎﻭﻯ ﺍﶈﺎﻓﻈﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﳉﺎﺭ ﻣﻊ ﺍﶈﺎﻓﻈﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺸﺮﻑ ،ﻭﻫﺬﻩ ﻣﺮﺗﺒﺔ ﻋﻠﻴﺎ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻌﺮﺏ، ﻓﺎﳉﻮﺍﺭ ﻣﻦ ﺍﳌﺜﻞ ﺍﻟﻌﻠﻴﺎ ﻭﺍﳋﺼﺎﻝ ﺍﻟﻨﺒﻴﻠﺔ ﺍﻟﱵ ﳛﺮﺹ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻋﻠﻴﻬﺎ ،ﻭﻳﻔﺨﺮﻭﻥ ﺑﺄﺩﺍﺋﻬﺎ ﻭﺍﻟﻮﻓﺎﺀ ﲝﻘﻬﺎ) .ﳛﲕ ﺍﳉﺒﻮﺭﻱ1388 ،ﻫـ1968/ﻡ.(67: ﳑﺎ ﺟﻌﻠﻬﻢ ﻳﻌﻈﻤﻮﻥ ﺍﻷﺣﻼﻑ ﻓﻼ ﻳﻨﻘﻀﻮﻬﻧﺎ ﻣﻬﻤﺎ ﻗﺎﺳﻮﺍ ﺑﺴﺒﺒﻬﺎ ﻣﻦ ﺣﺮﻭﺏ ﺣﺮﺻﹰﺎ ﻣﻨﻬﻢ ﲝﻤﺎﻳﺔ ﺍﳉﺎﺭ ﻷﻧﻪ ﺍﺳﺘﺠﺎﺭ ﻢ ﻭﺃﻋﻄﻮﻩ ﻋﻬﺪﹰﺍ ﺃﻥ ﻳﻨﺼﺮﻭﻩ. ﺑﺬﻟﻚ ﳝﻜﻦ ﻟﻠﺮﺟﻞ ٍٍﺃﻥ ﻳﺴﺘﺠﲑ ﺑﻘﱪ ﻛﻤﺎ ﻳﻜﻮﻥ ﰲ ﺟﻮﺍﺭﻩ ﺍﻷﺣﻴﺎﺀ ،ﻓﻴﺼﲑ ﰲ ﺟﻮﺍﺭﻩ ﻭﰲ ﺣﺮﻣﻪ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﻘﱪ ،ﻓﻴﺼﺒﺢ ﻋﻠﻰ ﺃﻫﻞ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﻘﱪ ﺍﻟﺪﻓﺎﻉ ﻋﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﳉﺎﺭ ﻭﲪﺎﻳﺘﻪ ،ﻭﻗﺪ ﺍﺳﺘﺠﺎﺭ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺑﻘﱪ ﻋﺎﻣﺮ ﺑﻦ ﺍﻟﻄﻔﻴﻞ ﻓﻜﻞ ﻣﻦ ﻳﻜﻮﻥ ﰲ ﳏﻴﻂ ﺍﻟﻘﱪ ﻳﺼﺒﺢ ﺁﻣﻨﺎ ﻋﻠﻰ ﻣﺎﻟﻪ ﻭﻧﻔﺴﻪ ،ﻛﺬﻟﻚ ﳝﻜﻦ ﺍﻻﺳﺘﺠﺎﺭﺓ ﲟﻌﺒﺪ ﺃﻭ ﺃﻱ ﻣﻜﺎﻥ ﻣﻘﺪﺱ ﻓﻴﻜﻮﻥ ﰲ ﺣﺮﻣﻪ ﺫﻟﻚ ﺍﳌﻜﺎﻥ ،ﻭﻋﻠﻰ ﺃﺻﺤﺎﺑﻪ ﺃﺩﺍﺀ ﺣﻘﻮﻕ ﺍﳉﻮﺍﺭ .ﻧﻼﺣﻆ ﺫﻟﻚ ﰲ ﺟﻮﺍﺭ ﻣﻜﺔ ﻓﻤﻦ ﺩﺧﻞ ﺍﳊﺮﻡ ﺻﺎﺭ ﰲ ﺟﻮﺍﺭ ﺑﻴﺖ ﺍﷲ ﺁﻣﻨﺎ ﻣﻄﻤﺌﻨﹰﺎ ﻻﳚﻮﺯ ﺍﻻﻋﺘﺪﺍﺀ ﻋﻠﻴﻪ ،ﻭﻋﻠﻰ ﻗﺮﻳﺶ ﺍﻟﺪﻓﺎﻉ ﻋﻨﻪ) .ﺟﻮﺍﺩ ﻋﻠﻲ1980 ،ﻡ: ﺝ ،4ﺹ.(362 ﺳﺌﻞ ﺃﻋﺮﺍﰊ ﻋﻦ ﻣﺒﻠﻊ ﺣﻔﺎﻅ ﻗﻮﻣﻪ ﻓﻘﺎﻝ) :ﻳﺪﻓﻊ ﺍﻟﺮﺟﻞ ﻣﻨﺎ ﻋﻤﻦ ﺍﺳﺘﺠﺎﺭ ﺑﻪ ﻣﻦ ﻏﲑ ﻗﻮﻣﻪ ﻛﺪﻓﺎﻋﻪ ﻋﻦ ﻧﻔﺴﻪ( ).ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺭﺑﻪ1983 ،ﻡ :ﺝ ،1ﺹ.(105 ﻧﻼﺣﻆ ﳑﺎ ﺳﺒﻖ ﺃﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺗﻨﺘﻈﺮ ﳌﺴﺄﻟﺔ ﺍﳉﻮﺍﺭ ﻧﻈﺮﺓ ﺗﺒﺠﻴﻞ ﻭﺍﺣﺘﺮﺍﻡ ،ﻭﺗﻀﻊ ﳍﺎ ﺍﻻﻋﺘﺒﺎﺭ ،ﻭﻳﻌﺘﱪ ﺍﳉﻮﺍﺭ ﺭﺩ ﺣﻘﻮﻕ ﺍﳌﻈﻠﻮﻣﲔ ﻣﻦ ﻧﺎﺣﻴﺔ ،ﻭﻣﻦ ﻧﺎﺣﻴﺔ ﺃﺧﺮﻯ ﲪﺎﻳﺔ ﺍﳌﺴﺘﻀﻌﻔﲔ ،ﻛﻤﺎ ﻳﺸﻌﺮ ﺍﲑ ﺑﺎﻟﻔﺨﺮ ﻭﺍﻻﻋﺘﺰﺍﺯ ﻟﻘﻴﺎﻣﻪ ﲝﻖ ﺍﳉﻮﺍﺭ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﳚﻠﺐ ﻟﻪ ﺍﳌﺪﺡ ﻭﺍﻟﺴﻤﻌﺔ ﺍﻟﻄﻴﺒﺔ ﺑﲔ ﳐﺘﻠﻒ ﺍﻟﻘﺒﺎﺋﻞ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﺗﻘﺼﺪﻩ ﺍﻟﻌﺮﺏ. ﺍﻟﻌﻔﺔ
ﲤﺴﻚ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺑﺎﳊﻴﺎﺓ ﻭﺍﻟﻌﻔﺔ ﻭﺍﻟﻐﲑﺓ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﺮﺽ ﻭﺍﻟﺸﺮﻑ ،ﻭﻛﺎﻧﻮﺍ ﺃﺷﺪ ﻏﲑﺓ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ،ﻭﻗﺪ ﻭﺟﺪ ﻓﺮﻳﻘﺎﻥ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺍﺧﺘﻠﻔﻮﺍ ﰲ ﺟﺎﻧﺐ ﺍﻟﻌﻔﺔ ،ﻓﺮﻳﻖ ﻻﻳﻬﻤﻪ ﺳﻮﻯ ﺷﺮﺏ ﺍﳋﻤﺮ ﻭﻟﻌﺐ ﺍﳌﻴﺴﺮ ،ﻭﻓﺮﻳﻖ ﻻﻳﺮﻯ ﻼ ﻭﻗﺪ ﺗﻐﻨﻮﺍ ﺎ ﰲ ﺃﺷﻌﺎﺭﻫﻢ. ﺳﻮﻯ ﺍﻟﻌﻔﺔ ﺳﺒﻴ ﹰ ﻯ ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ ﰲ ﺍﻟﻌﻔﺔ ﻭﺍﻟﻐﲑﺓ ﺍﻟﻘﻮﺓ ﰲ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﺳﺒﺒﹰﺎ ﻟﺼﻴﺎﻧﺔ ﺍﳌﺎﺀ ﻭﺣﻔﻈﹰﺎ ﻟﻸﻧﺴﺎﺏ ،ﻟﺬﻟﻚ ﻗﺒﻞ ﻛﻞ ﻳﺮ ٍﹴ ﺃﻣﺔ ﻭﺿﻌﺖ ﺍﻟﻐﲑﺓ ﰲ ﺭﺟﺎﳍﺎ ﻭﺿﻌﺖ ﺍﻟﺼﻴﺎﻧﺔ ﰲ ﻧﺴﺎﺋﻬﺎ ﻷﻬﻧﺎ ﺛﻮﺭﺍﻥ ﺍﻟﻐﻀﺐ ﲪﺎﻳﺔ ﻋﻠﻰ ﺇﻛﺮﺍﻡ ﺍﳊﺮﻡ ،ﻭﻗﺪ ﻭﺻﻞ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺍﻟﻐﲑﺓ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺟﺎﻭﺯﻭﺍ ﺍﳊﺪ ،ﻓﺄﺻﺒﺤﻮﺍ ﻳﺌﺪﻭﻥ ﺑﻨﺎﻢ ﺧﻮﻓﹰﺎ ﺃﻥ ﻳﻠﺤﻖ ﺍﻟﻌﺎﺭ ﻢ ﻣﻦ ﺃﺟﻠﻬﻦ ،ﻟﺬﻟﻚ ﺍﻋﺘﻨﻮﺍ ﺑﻀﺒﻂ ﺍﻷﻧﺴﺎﺏ ﻏﺎﻳﺔ ﺍﻹﻋﺘﻨﺎﺀ ).ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ1414 ،ﻫـ :ﺝ ،1ﺹ.(140
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
46
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻭﺍﺗﺼﻔﺖ ﺍﳌﺮﺃﺓ ﰲ ﺍﻟﻌﺼﺮﺍﳉﺎﻫﻠﻲ ﺑﻌﻔﺔ ﺍﻟﻨﻔﺲ ﻧﺘﻴﺠﺔ ﻟﻠﻤﺠﺘﻤﻊ ﺍﻟﺬﻱ ﺗﻌﻴﺶ ﻓﻴﻪ ﻭﻣﺎ ﳛﻤﻞ ﻣﻦ ﺍﺳﺘﻐﻼﻝ ﻭﺃﻧﻔﺔ ﻭﺗﺘﺰﻋﺮﻉ ﻋﻠﻰ ﺍﺳﺘﻘﻼﻝ ﺍﻟﻔﻜﺮ ﻭﺍﺑﺎﺀ ﺍﻟﻀﻴﻢ ،ﻓﻠﺬﻟﻚ ﺗﺘﺮﻓﻊ ﻋﻦ ﺍﺭﺗﻜﺎﺏ ﻣﺎ ﻳﻬﻴﻨﻬﺎ ،ﻣﻦ ﺃﺟﻞ ﺫﻟﻚ ﺗﻨﺸﺄ ﻏﲑﺓ ﺭﺟﺎﳍﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﺮﺽ ﻷﻬﻧﺎ ﻣﻦ ﻣﺴﺘﻠﺰﻣﺎﺕ ﺍﻟﻌﻔﺔ ﻭﺍﻷﻧﻔﺔ ﻭﺍﻻﺳﺘﻘﻼﻝ) .ﺟﺮﺟﻰ ﺯﻳﺪﺍﻥ1402 ،ﻫـ1982/ﻡ: ﺝ ،4ﺹ.(607 ﻓﺘﻌﺪ ﺍﳌﺮﺃﺓ ﺟﺰﺀﹰﺍ ﻻﻳﺘﺠﺰﺃ ﻣﻦ ﻋﺮﺽ ﺍﻟﺮﺟﻞ ،ﻓﻴﻐﻀﺐ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺇﺫﺍ ﻭﻗﻌﺖ ﺑﻌﺾ ﻧﺴﺎﺋﻬﻢ ﰲ ﺍﻷﺳﺮ، ﻓﻴﺒﺬﻟﻮﻥ ﻛﻞ ﻃﺎﻗﺘﻬﻢ ﻟﻠﺤﺎﻕ ﻦ ﻭﺇﻧﻘﺎﺫﻫﻦ ﻟﻴﻐﺴﻠﻮﺍ ﻋﺎﺭ ﺳﺒﻴﻬﻦ ﻋﻨﻬﻢ ﻭﻫﻮ ﻋﺎﺭ ﻟﻴﺲ ﻓﻮﻗﻪ ﻋﺎﺭ ،ﻟﺬﻟﻚ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻳﺼﻄﺤﺒﻮﻬﻧﻦ ﻣﻌﻬﻢ ﺇﱃ ﺍﳊﺮﺏ ﺣﱴ ﻳﺸﺪﺩﻥ ﻣﻦ ﻋﺰﺍﺋﻤﻬﻢ ﻭﺃﻻ ﻳﻘﻊ ﳍﻦ ﻣﻜﺮﻭﻩ ،ﻛﻦ ﻳﺴﺘﺸﻄﻦ ﻏﻀﺒﹰﺎ ﺇﺫﺍ ﺭﺿﻴﺖ ﺍﻟﻌﺸﲑﺓ ﺑﺄﺧﺬ ﺍﻟﺪﻳﺔ ،ﺣﻘﻨﹰﺎ ﻟﻠﺪﻣﺎﺀ) .ﺷﻮﻗﻲ ﺿﻴﻒ1960 ،ﻡ.(73 : ﻓﺘﺘﺴﺎﻭﻯ ﻛﻠﻤﺔ ﺍﻟﻌﺮﺽ ﻣﻊ ٍٍﻛﻠﻤﺔ ﺍﻟﺸﺮﻑ ﺃﻭﺍﳊﺴﺐ ،ﻭﻳﺮﺟﻊ ﺫﻟﻚ ﺇﱃ ﻗﺪﺳﻴﺔ ﺭﺍﺑﻄﺔ ﺍﻟﺪﻡ ﻫﻲ ﺃﺳﺎﺱ ﻛﻴﺎﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ ،ﻭﻛﺎﻥ ﺇﺫﺍ ﺍﻧﺘﻬﻚ ﻋﺮﺽ ﺍﳌﺮﺃﺓ ﺗﻘﺘﻞ ،ﻭﻳﺄﺗﻰ ﺍﻧﺘﻬﺎﻙ ﻋﺮﺿﻬﺎ ﻟﻀﻌﻔﻬﺎ ﻭﻟﻴﺲ ﳋﻴﺎﻧﺔ ﻓﻜﺎﻥ ﺍﻷﻋﺪﺍﺀ ﻼ ﻭﺃﺣﻴﺎﻧﹰﺎ ﻳﺘﻢ ﺷﺮﺍﺀ ﻳﻬﺎﲨﻮﻥ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﻟﻠﻨﻴﻞ ﻣﻦ ﻋﺮﺿﻪ ﻓﺘﻨﺸﺐ ﺍﳊﺮﻭﺏ ﻭﻻ ﺗﻨﺘﻬﻲ ﺣﱴ ﻳﺴﺘﺮﺩ ﺍﻟﺸﺮﻑ ﻛﺎﻣ ﹰ ﺍﻟﺸﻌﺮﺍﺀ ﺑﺎﳌﺎﻝ ﺣﱴ ﻻﻳﻨﺎﻟﻮﺍ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﺮﺽ) .ﻋﺒﺪﺍﳌﻨﻌﻢ ﻣﺎﺟﺪ1990 ،ﻡ.(54 : ﻳﻼﺣﻆ ﺣﺮﺹ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﺃﻻ ﳝﺲ ﻋﺮﺿﻬﻢ ﺑﺴﻮﺀ ،ﻓﺈﺫﺍ ﲢﺮﺵ ﺑﻪ ﺃﺣﺪﻫﻢ ﺃﻭ ﺣﺎﻭﻝ ﺍﻻﻧﺘﻘﺎﺹ ﻣﻨﻪ ﺑﺘﻠﻤﻴﺢ ﺃﻭ ﺑﺈﺷﺎﺭﺓ ﺃﻭ ﺑﻐﻤﺰ ﻫﺎﺝ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﻭﺛﺎﺭ ﻣﺪﺍﻓﻌﺎ ًﻋﻦ ﻧﻔﺴﻪ ﻭﻋﺮﺿﻪ) .ﺟﻮﺍﺩ ﻋﻠﻲ1980 ،ﻡ :ﺝ،4 ﺹ .(407 ﺍﳋﺎﲤﺔ
ﻧﺴﺘﻨﺘﺞ ﻣﻦ ﲰﺎﺕ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺃﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻳﻌﻴﺸﻮﻥ ﺣﻴﺎﺗﲔ ﰲ ﺁﻥ ﻭﺍﺣﺪ ،ﻓﺤﻴﺎﻢ ﲡﻤﻊ ﺑﲔ ﺍﻟﻔﻀﺎﺋﻞ ﻭﺍﳌﺴﺎﻭﺉ ،ﺃﻣﺎ ﺍﻟﻔﻀﺎﺋﻞ ﻓﻬﻲ ﺍﻟﻮﻓﺎﺀ ﻭﺍﻟﻜﺮﻡ ﻭﺍﳉﻮﺍﺭ ﻭﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﻭﺍﳊﻠﻢ ،ﺃﻣﺎ ﺍﳌﺴﺎﻭﺉ ﻓﻬﻲ ﺍﻟﺴﻠﺐ ﻭﺍﻟﻨﻬﺐ ﻭﺳﻔﻚ ﺍﻟﺪﻣﺎﺀ ﻭﺷﺮﺏ ﺍﳋﻤﺮ ﻭﺍﺳﺘﺒﺎﺣﺔ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﻭﻭﺃﺩ ﺍﻟﺒﻨﺎﺕ ،ﻓﺤﻴﺎﻢ ﻣﺒﻨﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺘﻀﺎﺩﺍﺕ ،ﻛﻞ ﻓﻀﻴﻠﺔ ﺗﻘﺎﺑﻠﻬﺎ ﺭﺫﻳﻠﺔ ﻛﺎﻟﺴﻠﺐ ﻭﺍﳉﻮﺩ ﻭﺍﻟﻨﻬﺐ ﻭﺍﻟﻜﺮﻡ ﻭﺍﻟﻘﺴﻮﺓ ﻭﺍﻟﻨﺒﻞ ﻭﺍﻟﻐﻀﺐ ﻭﺍﳊﻠﻢ ﻭﺍﻧﺘﻬﺎﻙ ﺍﻟﻌﺮﻭﺽ ﻭﺍﻟﻌﻔﺔ ﻭﺍﻟﺘﻘﻴﺪ ﺑﺎﻟﻘﺒﻴﻠﺔ ﻣﻊ ﺍﳊﺮﻳﺔ .ﻭﻟﻜﻦ ﳌﺎﺫﺍ ﻗﺎﻣﺖ ﺣﻴﺎﻢ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻨﺤﻮ؟ ﻗﺪ ﺗﻜﻮﻥ ﺍﻟﻄﺒﻴﻌﺔ ﻫﻰ ﺍﻟﱵ ﺻﲑﺕ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺍﳊﺎﻝ ،ﻓﺴﻔﻚ ﺍﻟﺪﻣﺎﺀ ﻭﺍﺳﺘﺒﺎﺣﺔ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﻭﻭﺃﺩ ﺍﻟﺒﻨﺎﺕ ﱂ ﻳﻜﻦ ﺇﻻﻧﺘﻴﺠﺔ ﻟﻠﺴﻠﺐ ﻭﺍﻟﻨﻬﺐ ،ﻭﺍﻟﺬﻱ ﻛﺎﻥ ﺑﺪﻭﺭﻩ ﻧﺘﻴﺠﺔ ﻟﺸﺢ ﺍﳌﺎﺀ ﻭﻗﻠﺔ ﺍﻟﻐﺬﺍﺀ ،ﻭﺍﺫﺍﺳﺘﻤﺮ ﺍﳊﺎﻝ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻮﺗﲑﺓ ﻳﻬﻠﻚ ﺍﳊﺮﺙ ﻭﺍﻟﻨﺴﻞ ﻓﺘﻌﺪﻡ ﺍﳊﻴﺎﺓ .ﻭﺣﱴ ﻻ ﳛﺪﺙ ﻫﺬﺍ ﻛﺎﻥ ﻻﺑﺪ ﻣﻦ ﻇﻬﻮﺭ ﲰﺎﺕ ﺗﻌﻤﻞ ﻋﻠﻰ ﺗﻮﺍﺯﻥ ﻃﺒﻴﻌﺔ ﺍﳊﻴﺎﺓ ﺣﱴ ﻻﺗﺮﺟﺢ ﻛﻔﺔ ﺩﻭﻥ ﻛﻔﺔ ،ﻭﻫﻜﺬﺍ ﺗﺴﲑ ﺍﳊﻴﺎﺓ ﺑﺴﺠﻴﺘﻬﺎ ﻭﻫﻲ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﻟﻜﻞ ﺭﺫﻳﻠﺔ ﻓﻀﻴﻠﺔ ،ﻓﻼﺑﺪ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﺪﻝ ﺃﻥ ﻳﺴﻮﺩ ﺍﳊﻴﺎﺓ ﻭﺗﺬﻫﺐ ﺍﻻﻣﻮﺭ ﻫﻜﺬﺍ ﺇﱃ ﺃﻥ ﻳﺄﰐ ﺍﻟﻴﻮﻡ ﺍﻟﺬﻱ ﺗﺮﺟﺢ ﻓﻴﻪ ﻛﻔﺔ ﺍﻟﻔﻀﺎﺋﻞ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺮﺫﺍﺋﻞ ،ﻭﻫﻮ ﻳﻮﻡ ﻇﻬﻮﺭ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﻟﺬﻱ ﻓﺮﻕ ﺍﳊﻖ ﻣﻦ ﺍﻟﺒﺎﻃﻞ ،ﻭﻫﻜﺬﺍ ﺃﺻﺒﺤﺖ ﺍﻟﻐﻠﺒﺔ ﻟﻠﻔﻀﺎﺋﻞ ﰲ ﻬﻧﺎﻳﺔ ﺍﳌﻄﺎﻑ ،ﻳﻘﻮﻝ ﲰﺎﻙ) :ﺇﻥ ﺃﻫﻞ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﺇﺫﺍ ﻛﺎﻥ ﰲ ﺍﻟﺮﺟﻞ ﺳﺖ ﺧﺼﺎﻝ ﺳﻮﺩﻭﻩ ،ﻭﻫﻲ ﺍﻟﺼﱪ ﻭﺍﳊﻠﻢ ﻭﺍﻟﺴﺨﺎﺀ ﻭﺍﻟﺸﺠﺎﻋﺔ ﻭﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﻭﺍﻟﻮﺿﻊ ().ﺍﺑﻦ ﺣﻴﺎﻥ ،ﺩ.ﺕ :ﺝ ، 3ﺹ.(26
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
47
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻓﺈﺫﺍ ﻛﺎﻧﺖ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻔﻀﺎﺋﻞ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻇﻠﺖ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻛﻤﺎ ﻫﻲ ،ﻣﻊ ﺇﺿﻔﺎﺀ ﺍﻷﺩﻟﺔ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ،ﻭﺍﻟﱵ ﺟﻌﻠﺘﻬﺎ ﺃﻛﺜﺮ ﻋﻤﻘﹰﺎ ﰲ ﺍﻟﻨﻔﻮﺱ ،ﻓﻜﻞ ﺃﻣﺔ ﺳﺎﺩﺕ ﻓﻴﻬﺎ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻔﻀﺎﺋﻞ ﻭﺍﺳﺘﻌﻠﺖ ﻓﻴﻬﺎ ﻣﻜﺎﺭﻡ ﺍﻷﺧﻼﻕ ﻏﻠﺐ ﻋﻠﻰ ﺃﻓﺮﺍﺩﻫﺎ ﺍﻹﲢﺎﺩ ﻭﺍﻟﺘﺂﻟﻒ ﰲ ﲨﻴﻊ ﺍﻻﻋﻤﺎﻝ ﻭﺍﳌﻘﺎﺻﺪ ﻭﺩﺍﻣﺖ ﺍﻟﻮﺣﺪﺓ ﺑﻴﻨﻬﻤﺎ ﲟﻘﺪﺍﺭ ﺭﺳﻮﺥ ﺍﻟﻔﻀﻴﻠﺔ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
48
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺍﺑﻦ ﺍﻷﺛﲑ ،ﺃﺑﻮ ﺍﳊﺴﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺍﻟﻜﺮﻡ1383 .ﻫـ1963 /ﻡ .ﺍﻟﻨﻬﺎﻳﺔ ﰲ ﻏﺮﻳﺐ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻭﺍﻷﺛﺮ .ﲢﻘﻴﻖ ﻃﺎﻫﺮ ﺍﺑﻦ ﺣﻴﺎﻥ ،ﻭﻛﻴﻊ ﺑﻦ ﺧﻠﻒ) .ﺩ.ﺕ( .ﺃﺧﺒﺎﺭ ﺍﻟﻘﻀﺎﺓ .ﺝ .3ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ. ﺍﺑﻦ ﺧﻠﺪﻭﻥ،ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ1413 .ﻫـ 1993 /ﻡ .ﻣﻘﺪﻣﺔ ﺍﺑﻦ ﺧﻠﺪﻭﻥ .ﻁ .1ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺭﺑﻪ ،ﺃﺑﻮ ﻋﻤﺮ ﺃﲪﺪ1983 .ﻡ .ﺍﻟﻌﻘﺪ ﺍﻟﻔﺮﻳﺪ .ﺷﺮﺣﻪ ﺃﲪﺪ ﺍﻟﺰﻳﻦ ﻭﺁﺧﺮﻭﻥ .ﻁ.1ﺝ 1ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﺍﻟﻌﺮﰊ. ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ ،ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻛﺮﻡ) .ﺩ.ﺕ( .ﻟﺴﺎﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ .ﻁ .3ﺝ .11ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺻﺎﺩﺭ. ﺩﺍﻭﺩ ،ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﺑﻦ ﺍﻷﺷﻌﺚ .ﺩ.ﺕ .ﺳﻨﻦ ﺃﰊ ﺩﺍﻭﺩ .ﲢﻘﻴﻖ ﳏﻤﺪ ﳏﻲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﳊﻤﻴﺪ .ﺝ .2ﺑﲑﻭﺕ :ﺍﳌﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﻌﺼﺮﻳﺔ. ﺃﲪﺪ ﺍﻟﺸﻨﺘﻨﺎﻭﻱ ﻭﺁﺧﺮﻭﻥ1933 .ﻡ .ﺩﺍﺋﺮﺓ ﺍﳌﻌﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ .ﺭﺍﺟﻌﻬﺎ ﳏﻤﺪ ﻣﻬﺪﻱ.ﺝ .6ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺃﲪﺪ ﺃﻣﲔ1978 .ﻡ .ﻓﺠﺮ ﺍﻹﺳﻼﻡ .ﻁ .12ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ :ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﻨﻬﻀﺔ ﺍﳌﺼﺮﻳﺔ. ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ ،ﳏﻤﻮﺩ ﺷﻜﺮﻱ1414 .ﻫـ .ﺑﻠﻮﻍ ﺍﻷﺭﺏ ﰲ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺃﺣﻮﺍﻝ ﺍﻟﻌﺮﺏ .ﺻﺤﺤﻪ ﳏﻤﺪ ﺠﺔ ﺍﻷﺛﺮﻱ. ﻁ .1ﺝ .1ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﺍﻟﺒﻴﻬﻘﻲ ،ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺍﳊﺴﲔ1410 .ﻫـ 1990 /ﻡ .ﺷﻌﺐ ﺍﻹﳝﺎﻥ .ﳏﻤﺪ ﺍﻟﺴﻴﺪ ﺯﻏﻠﻮﻝ .ﻁ .1ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ،ﺃﺑﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ1420.ﻫـ 2000 /ﻡ .ﺻﺤﻴﺢ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ .ﺿﺒﻄﻪ ﺻﺪﻗﻲ ﲨﻴﻞ ﺍﻟﻌﻄﺎﺭ. ﻁ .1ﺝ .1ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ ﻟﻠﻄﺒﺎﻋﺔ ﻭﺍﻟﻨﺸﺮ ﻭﺍﻟﺘﻮﺯﻳﻊ. ﺍﳉﺎﺣﻆ ،ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﲝﺮ1388 .ﻫـ 1969 /ﻡ .ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳊﻴﻮﺍﻥ .ﲢﻘﻴﻖ ﻋﺒﺪﺍﻟﺴﻼﻡ ﳏﻤﺪ ﻫﺎﺭﻭﻥ .ﻁ .3ﺝ.1 ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ. ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﻟﻘﺎﺩﺭ1986 .ﻡ .ﳐﺘﺎﺭ ﺍﻟﺼﺤﺎﺡ .ﺑﲑﻭﺕ :ﻣﻜﺘﺒﺔ ﻟﺒﻨﺎﻥ /15 .ﺍﻟﺴﻴﺪ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺳﺎﱂ1989 .ﻡ .ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﻋﺼﺮ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ .ﺍﻹﺳﻜﻨﺪﺭﻳﺔ :ﻣﺆﺳﺴﺔ ﺷﺒﺎﺏ ﺍﳉﺎﻣﻌﺔ. ﺍﻟﺸﺮﻳﻒ ﺍﻟﺮﺿﻲ1408 .ﻫـ 1988 /ﻡ .ﺞ ﺍﻟﺒﻼﻏﺔ .ﲢﻘﻴﻖ ﳏﻤﺪ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ .ﻁ .1ﺝ .1ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳉﻴﻞ. ﺍﻟﻔﻴﻮﻣﻲ ،ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ1398 .ﻫـ 1978 /ﻡ .ﺍﳌﺼﺒﺎﺡ ﺍﳌﻨﲑ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ ،ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻮﻟﻴﺪ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ1398 .ﻫـ 1978 /ﻡ .ﺍﳉﺎﻣﻊ ﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ .ﻁ .3ﺝ .1ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺑﺸﲑ ﺭﻣﻀﺎﻥ ﺍﻟﺘﻠﻴﺴﻲ ﻭﲨﺎﻝ ﻫﺎﺷﻢ ﺍﻟﺬﻭﻳﺐ2002 .ﻡ .ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ .ﻁ .1ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﺪﺍﺭ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ. ﺟﺮﺟﻰ ﺯﻳﺪﺍﻥ1402.ﻫـ1982/ﻡ .ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺘﻤﺪﻥ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ .ﻁ .2ﺝ .11ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳉﻴﻞ ﻟﻠﻨﺸﺮ ﻭﺍﻟﺘﻮﺯﻳﻊ. ﺟﻮﺍﺩ ﻋﻠﻲ1980 .ﻡ .ﺍﳌﻔﺼﻞ ﰲ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ .ﻁ .2ﺝ .1ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻟﻠﻤﻼﻳﲔ. ﺟﻮﺭﺝ ﺣﺪﺍﺩ1378 .ﻫـ 1958 /ﻡ .ﺍﳌﺪﺧﻞ ﺇﱃ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ .ﺩﻣﺸﻖ :ﻣﻄﺒﻌﺔ ﺍﳉﺎﻣﻌﺔ ﺍﻟﺴﻮﺭﻳﺔ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
49
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺳﻴﺪﻳﻮ1400 .ﻫـ .ﺧﻼﺻﺔ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﻌﺮﺏ .ﻁ .2ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻵﺛﺎﺭ ﻟﻠﻄﺒﺎﻋﺔ ﻭﺍﻟﻨﺸﺮ ﻭﺍﻟﺘﻮﺯﻳﻊ. ﺷﻮﻗﻲ ﺿﻴﻒ1960 .ﻡ .ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﳉﺎﻫﻠﻲ .ﻁ .8ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺎﺭﻑ. ﻋﺒﺪﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﺪﻭﺭﻱ1986 .ﻡ .ﺍﻟﺘﻜﻮﻳﻦ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻲ ﻟﻸﻣﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ .ﻁ .3ﺑﲑﻭﺕ :ﻣﺮﻛﺰ ﺩﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﻮﺣﺪﺓ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ. ﻋﺒﺪﺍﻟﻠﻄﻴﻒ ﺍﻟﻄﻴﺒﺎﻭﻱ1979 .ﻡ .ﳏﺎﺿﺮﺍﺕ ﰲ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻭﺍﻹﺳﻼﻡ .ﻁ .2ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻷﻧﺪﻟﺲ ﻟﻠﻄﺒﺎﻋﺔ ﻭﺍﻟﻨﺸﺮ. ﻋﺒﺪ ﺍﳌﻨﻌﻢ ﻣﺎﺟﺪ1990 .ﻡ .ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ ﻟﻠﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﻋﺼﻮﺭ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻭﺍﻟﻨﺒﻮﺓ ﻭﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪﻳﻦ .ﻁ.2 ﺝ .1ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ :ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﻷﳒﻠﻮ ﺍﳌﺼﺮﻳﺔ. ﻋﻠﻲ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺣﺴﻦ .ﺩ.ﺕ .ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺍﻟﻌﺎﻡ .ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ :ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﻨﻬﻀﺔ ﺍﳌﺼﺮﻳﺔ. ﻋﻤﺮ ﻓﺮﻭﺥ1981.ﻡ .ﺍﻟﻌﺮﺏ ﰲ ﺣﻀﺎﺭﻬﺗﻢ ﻭﺛﻘﺎﻓﺘﻬﻢ .ﻁ .2ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻟﻠﻤﻼﻳﲔ. ﻏﻮﺳﺘﺎﻑ ﻟﻮﺑﻮﻥ1969 .ﻡ .ﺣﻀﺎﺭﺓ ﺍﻟﻌﺮﺏ .ﺗﺮﲨﺔ ﻋﺎﺩﻝ ﺯﻋﻴﺘﺮ .ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ :ﻣﻄﺒﻌﺔ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﳊﻠﱯ ﻭﺷﺮﻛﺎﻩ. ﻓﻴﻠﻴﺐ ﺣﱴ1961 .ﻡ .ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﻌﺮﺏ .ﻁ .3ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺸﺎﻑ ﻟﻠﻨﺸﺮ ﻭﺍﻟﻄﺒﺎﻋﺔ ﻭﺍﻟﺘﻮﺯﻳﻊ. ﻗﺎﺳﻢ ﺣﺒﻴﺐ ﺟﺎﺑﺮ1423.ﻫـ 2003 /ﻡ .ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﲔ ﺍﻟﺒﺪﺍﻭﺓ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ .ﻁ .1ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﻛﺎﺭﻳﻦ ﺁﺭﻣﺴﺘﺮﻭﻧﺞ1998 .ﻡ .ﺳﲑﺓ ﺍﻟﻨﱯ ﳏﻤﺪ .ﺗﺮﲨﺔ ﻓﺎﻃﻤﺔ ﻧﺼﺮ ﻭﳏﻤﺪ ﻋﻨﺎﱐ .ﻁ .1ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ :ﺷﺮﻛﺔ ﺻﺤﺎﺭﺍ ﻟﻠﻄﺒﺎﻋﺔ. ﳏﻤﺪ ﺃﻣﲔ ﺻﺎﱀ1984 .ﻡ .ﺍﻟﻌﺮﺏ ﻭﺍﻹﺳﻼﻡ .ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ :ﻣﻜﺘﺒﺔ ﻬﻧﻀﺔ ﺍﻟﺸﺮﻕ. ﳏﻤﺪ ﺍﻟﺼﺎﺩﻕ ﻋﺮﺟﻮﻥ1404 .ﻫـ1994/ﻡ .ﺍﳌﻮﺳﻮﻋﺔ ﰲ ﲰﺎﺣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ .ﻁ .2ﺟﺪﺓ:ﺍﻟﺪﺍﺭ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩﻳﺔ ﻟﻠﻨﺸﺮ ﻭﺍﻟﺘﻮﺯﻳﻊ. ﳏﻤﺪ ﺣﺴﻦ ﺍﳊﻤﺼﻲ1411 .ﻫـ 1991 /ﻡ .ﺍﻟﺪﻋﺎﺓ ﻭﺍﻟﺪﻋﻮﺓ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﺓ .ﻁ .1ﺩﻣﺸﻖ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ. ﳏﻤﺪ ﻗﻄﺐ1415 .ﻫـ1995 /ﻡ .ﺟﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻟﻘﺮﻥ ﺍﻟﻌﺸﺮﻳﻦ .ﻁ .14ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺸﺮﻭﻕ. ﳏﻤﻮﺩ ﺷﺎﻛﺮ1405 .ﻫـ1985 /ﻡ .ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ .ﻁ .4ﺝ .1ﺑﲑﻭﺕ :ﺍﳌﻜﺘﺐ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ. ﻧﺎﺻﺮ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻷﺳﺪ1988 .ﻡ .ﻣﺼﺎﺩﺭ ﺍﻟﺸﻌﺮ ﺍﳉﺎﻫﻠﻲ ﻭﻗﻴﻤﺘﻬﺎ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻴﺔ .ﻁ .7ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ:ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺎﺭﻑ. ﳛﻰ ﺍﳉﺒﻮﺭﻱ1388 .ﻫـ1968 /ﻡ .ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ .ﺑﻐﺪﺍﺩ :ﻣﻄﺒﻌﺔ ﺍﳌﻌﺎﺭﻑ. ﻳﻮﺳﻒ ﺧﻠﻴﻒ1966 .ﻡ .ﺍﻟﺸﻌﺮﺍﺀ ﺍﻟﺼﻌﺎﻟﻴﻚ ﰲ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﳉﺎﻫﻠﻲ .ﻁ .3ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺎﺭﻑ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
51
บทความวิจัย
ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺗﻘﻮﱘ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﳌﺴﺎﻋﺪ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﻛﺎﺭﻳﻨﺎ ﺍﻟﺒﻨﺪﺍﺭﻱ ** ﺇﻟﻴﺎﺱ ﺣﺴﻦ ﺍﻟﺼﺪﻳﻘﻲ *** ﳏﻤﺪ ﺻﻼﺡ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺇﺩﺭﻳﺲ ﺍﻟﺘﺮﻧﻨﺠﻲ
∗
ﺍﺑﺴﺘﺮﺍﻙ ﺪﻑ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻘﺎﻟﺔ ﺇﱃ ﺑﻴﺎﻥ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺗﻘﻮﱘ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻭﺳﻼﻣﺘﻪ ﺍﻟﱵ ﻫﻲ ﻣﻠﻚ ﺍﻷﻋﻀﺎﺀ .ﺳﻠﻚ ﺍﻟﻜﺎﺗﺐ ﰲ ﻣﻘﺎﻟﺘﻪ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﳌﻜﺘﱯ ﺃﻭ ﺍﻟﻨﻈﺮﻱ ،ﺟﻤﻌﺖ ﻓﻴﻬﺎ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻧﻴﺔ ﻭﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﺘﺤﺪﺙ ﻋﻦ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺍﺳﺘﺪﻝ ﺑﻜﻼﻡ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ،ﻓﺒﺪﺃ ﺍﻟﻜﺎﺗﺐ ﻓﻴﻪ ﺑﺘﻌﺮﻳﻒ ﻟﻐﻮﻱ ﻭﺍﺻﻄﻼﺣﻲ ﻟﻠﻘﻠﺐ ﻭﺍﻟﻌﻠﻢ ﰒ ﺗﺘﻄﺮﻕ ﺇﱃ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﻣﻨﻬﺞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﰲ ﺗﻘﻮﱘ ﺍﻟﻘﻠﺐ. ﻭﺃﻇﻬﺮﺕ ﻟﻨﺎ ﺍﻟﻨﺘﺎﺋﺞ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺍﻟﻌﺮﺽ ﺃﻥ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻗﺎﺑﻠﺔ ﻟﻠﺘﻐﲑ ،ﻓﺎﻟﻨﻔﺲ ﻛﺎﻟﻄﻔﻞ ﺇﻥ ﺗﺮﻛﺘﻪ ﻋﻠﻰ ﺣﺐ ﺍﻟﺮﺿﺎﻋﺔ ﺷﺐ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻭﺇﻥ ﺗﻔﻄﻤﻪ ﻳﻨﻔﻄﻢ ،ﺇﺫ ﺃﻧﻨﺎ ﺇﺫﺍ ﻗﻠﻨﺎ ﺃﻥ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻭﺍﻟﻨﻔﺲ ﻻ ﺗﺘﻐﲑ ﻟﻜﺎﻥ ﺍﻟﻘﻮﻝ ﺑﺎﻃﻼ ،ﺇﺫ ﻟﻮ ﻛﺎﻥ ﺍﻷﻣﺮ ﻛﺬﻟﻚ ﻟﺒﻄﻠﺖ ﺍﳌﻮﺍﻋﻆ ﻭﺍﻟﻮﺻﺎﻳﺎ ﻭﺍﻟﺘﺄﺩﻳﺒﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﻭﺭﺩﺕ ﰲ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ،ﻓﻤﻦ ﻳﺘﺤ ﺮ ﺍﳋﲑ ﻕ ﺍﻟﺸﺮ ﻳﻮﻗﻪ(( ،ﻭﺧﲑ ﺩﻟﻴﻞ ﻋﻠﻰ ﺫﻟﻚ ﻣﻜﺎﻥ ﻣﻦ ﺃﻣﺮ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻗﺒﻞ ﺍﻟﺒﻌﺜﺔ ﻭﺑﻌﺪﻫﺎ ﻣﻦ ﺍﳉﻔﻮﺓ )) ﻳﻌﻄﻪ ،ﻭﻣﻦ ﻳﺘﻮ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺟﺎﺀ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﻓﺄﺩﻢ ﺑﺎﻷﺩﺏ ﺍﻟﺮﺑﺎﱐ ،ﻓﺒﻌﺪ ﺍﻟﺒﻌﺜﺔ ﺧﺎﻟﻄﺖ ﺑﺸﺎﺷﺔ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻗﻠﻮﻢ ﻭﺃﺻﺒﺤﻮﺍ ﻣﺜﺎﻻ ﳛﺘﺬﻯ ﺑﻪ.
∗
ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﳌﺴﺎﻋﺪ ،ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﻗﺴﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﻋﻀﻮ ﻫﻴﺌﺔ ﺍﻟﺘﺪﺭﻳﺲ ﲜﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﻣﲑ ﺳﻮﻧﻜﻼ ﻧﻜﺮﻳﻦ ﻓﻄﺎﱐ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ.
**
ﻃﺎﻟﺐ ﲟﺮﺣﻠﺔ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﺷﻌﺒﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻗﺴﻢ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﻣﲑ ﺳﻮﻧﻜﻼ ﻧﻜﺮﻳﻦ ﻓﻄﺎﱐ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ.
***
ﻃﺎﻟﺐ ﲟﺮﺣﻠﺔ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﺷﻌﺒﺔ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﻗﺴﻢ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﻣﲑ ﺳﻮﻧﻜﻼ ﻧﻜﺮﻳﻦ ﻓﻄﺎﱐ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
52
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
Abstract The purpose of this article to statement knowledge and its method in the evaluation of heart and integrity that are the property of the members. Wire writer in his article on desktop or theoreticalapproach, bringing together Quranic verses and hadiths that speaks from the heart as well as the quoted words of the scholars,began by defining the language and idiomatic knowledge of the heart and then touch on talk about the knowledge curriculum in the evaluation of the heart. And showed us the results from the display that the heart be changed, the soul like a child that left him on the love ofbreastfeeding broke it though to wean, if we say that the heart and soul does not change he would have to say is void, because if that were the case invalidated preaching, bequests and discipline contained in the Qur'an and Sunnah. It is good inguiry, and the bestproof of that are form location companions before and after themission of the acrimony that came to the Prophet Muhammad of literature lord, after contact with the mission of faithscreen their hearts and have become a model.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
53
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﳌﻘﺪﻣﺔ ﺇﻥ ﺍﳊﻤﺪ ﷲ ﳓﻤﺪﻩ ﻭﻧﺴﺘﻌﻴﻨﻪ ﻭﻧﺴﺘﻐﻔﺮﻩ ﻭﻧﺴﺘﻬﺪﻳﻪ ﻭﻧﻌﻮﺫ ﺑﺎﷲ ﻣﻦ ﺷﺮﻭﺭ ﺃﻧﻔﺴﻨﺎ ﻭﻣﻦ ﺳﻴﺌﺎﺕ ﺃﻋﻤﺎﻟﻨﺎ ﻣﻦ ﻳﻬﺪﻩ ﺍﷲ ﻓﻼ ﻣﻀﻞ ﻟﻪ ﻭﻣﻦ ﻳﻀﻠﻞ ﻓﻼ ﻫﺎﺩﻱ ﻟﻪ ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﻻ ﺇﻟﻪ ﺇﻻ ﺍﷲ ﻭﺣﺪﻩ ﻻ ﺷﺮﻳﻚ ﻟﻪ ،ﺍﻟﻘﺎﺋﻞ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﺍﻟﻜﺮﱘ: {w v u t ،r q p o n m ،k j i h g f e ¦¥ ¤ £ ¢ ¡ ~ } | { z y x § ¨ © zª
ﻛﺮﻣﻪ ﺗﻌﺎﱃ ﻭﻓﻀﻠﻪ ﻋﻠﻰ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﻋﺒﺎﺩﻩ ﺍﻟﻘﺎﺋﻞ:
)ﺳﻮﺭﺓﺍﳌﺆﻣﻨﻮﻥ(13-12 :23 ،
{_ ` l k j i h g f e d c b a zonm )ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻹﺳﺮﺍﺀ(70 :17 ،
ﺍﻟﺬﻱ ﺣﺒﺐ ﺇﱃ ﺧ ﹾﻠ ﻘ ﻪ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺍﻟﻘﺎﺋﻞ:
{z u t s r q p o n
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳊﺠﺮﺍﺕ(7 :49 ، ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﳏﻤﺪﹰﺍ ﻋﺒﺪﻩ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ،ﻭﺧﲑﺗﻪ ﻣﻦ ﺧﻠﻘﻪ ،ﺷﺮﺡ ﻟﻪ ﺻﺪﺭﻩ ،ﻭﻭﺿﻊ ﻋﻨﻪ ﻭﺯﺭﻩ ،ﻭﺭﻓﻊ ﻟﻪ ﺫﻛﺮﻩ ،ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﻋﻠﻰ ﺁﻟﻪ ﻭﺻﺤﺒﻪ ﺃﲨﻌﲔ ﻭﺳﻠﻢ ﺗﺴﻠﻴﻤﹰﺎ ﻛﺜﲑﹰﺍ. ﺃﻣﺎ ﺑﻌﺪ: ﳑﺎ ﻻ ﺷﻚ ﻓﻴﻪ ﺃ ﹼﻥ ﺍﳊﻜﻮﻣﺎﺕ ﺃﻭ ﺍﺘﻤﻌﺎﺕ ،ﺩﻭ ﹰﻻ ﻛﺎﻧﺖ ﺃﻭ ﺷﻌﻮﺑﺎﹰ ،ﺻﻐﲑﺓ ﻛﺎﻧﺖ ﺃﻭ ﻛﺒﲑﺓ ﰲ ﺍﻟﻌﺎﱂ ﻻ ﺑ ﺪ ﺃﻥ ﻳﺮﺃﺳﻬﺎ ﻣﻠﻚ ﺃﻭ ﺣﺎﻛﻢ ،ﻓﻬﻮ ﻳﻘﻮﻡ ﺑﺘﻨﻈﻴﻢ ﺃﻣﻮﺭ ﳑﻠﻜﺘﻪ ﻭﺗﺪﺑﲑ ﺃﺣﻜﺎﻣﻪ ﻭﻗﻮﺍﻧﻴﻨﻪ ،ﻓﻤﻨﻪ-ﺃﻱ ﺍﳌﻠـﻚ ﺃﻭ ﺼﺪﺭ ﺍﻷﻣﻮﺭ ،ﻭﻋﻠﻰ ﺍﻟﺮﻋﻴﺔ ﺃﻭ ﺍﳌﺮﺅﻭﺱ ﺍﻟﻘﻴﺎﻡ ﺑﺎﻟﻮﺍﺟﺒﺎﺕ ﺍﳌﻠﻘﺎﺓ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺣﺴﺐ ﺍﻟﻠﻮﺍﺋﺢ ﺍﳌﺮﺳﻮﻣﺔ. ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ-ﺗ ﻛﺬﻟﻚ ﻓﺈ ﹼﻥ ﺟﺴﻢ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﻳﺘﻜﻮﻥ ﻣﻦ ﺃﻋﻀﺎﺀ ﺩﺍﺧﻠﻴﺔ ﻭﺧﺎﺭﺟﻴﺔ ،ﻇﺎﻫﺮﺓ ﻛﺎﻧﺖ ﺃﻭ ﺑﺎﻃﻨﺔ ،ﻻ ﻳﺘﺤـﺮﻙ ﻋﻀﻮ ﻣﻦ ﺃﻋﻀﺎﺋﻪ ﲟﻔﺮﺩﻩ ﺩﻭﻥ ﺃﻥ ﻳﺄﺗﻴﻪ ﺃﻭﺍﻣﺮ ﺻﺪﺭﺕ ﻣﻦ ﺟﻬﺔ ﻣﻌﻴﻨﺔ ،ﻟﺬﺍ ﻓﺈ ﹼﻥ ﺍﻷﻋﻀﺎﺀ ﻻ ﺗﺘﺤﺮﻙ ﺇ ﹼﻻ ﻭﻫﻨﺎﻙ ﹶﺃ ﻣ ﺮ ﺴﺒ ﻖ ﺃﹸ ﹺﺭﻳ ﺪ ﺑﻪ ﺗﻨﻔﻴﺬ ﻣﺎ ﹸﺃ ﻣﺮ ،ﻓﺎﻟﻴﺪ ﺗﻘﻮﻡ ﺑﺘﻨﻔﻴﺬ ﺍﻷﻭﺍﻣﺮ ﺑﺎﻟﻠﻤﺲ ﺃﻭ ﺇﻣﺴﺎﻙ ﺷﻲﺀ ﻣﻌﻴﻦ ﺻﺎﺩﺭ ﻣﻦ ﻣﺮﺳﻮﻡ ﻣﻠﻜﻲ، ﻣ ﻭﺍﻟﺮﺟﻞ ﲤﺸﻲ ﺇﱃ ﻣﺎ ﺃﻣﺮ ﺑﻪ ﻓﻬﻮ ﻣﺄﻣﻮﺭ ،ﻭﺍﻟﻌﲔ ﺗﻨﻈﺮ ﺇﱃ ﻣﺎ ﺃﻣﺮ ﻭﲰﺢ ﳍﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻈﺮ ،ﻭﺍﻷﺫﻥ ﻭﺍﻟﻔﻢ ﻭﺍﻷﻧـﻒ ﻻ ﺐ ﻭﺣ ﺪ ﺩ ﳍﺎ ﻓﻲ ﺃﺷﻴﺎﺀ ﻣﻌﻴﻨﺔ. ﺗﻘﻮﻡ ﺑﺄﻱ ﻋﻤﻞ ﺇﻻ ﻭﻗﺪ ﻛﹸﺘ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻠﻚ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺪﻳﺮ ﺃﺣﻮﺍﻝ ﺍﳌﻤﻠﻜﺔ ﰲ ﺟﺴﻢ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ،ﺍﳌﺴﻴﻄﺮ ﻋﻠﻰ ﻛﻞ ﺍﳉﻮﺍﺭﺡ ﻭﺍﻷﻋﻀﺎﺀ، ﺨ ﻔﻴ ﺔ ﺳﺎﻛﻨ ﺔ ﰲ ﺻﻠﺐ ﺍﳉﺴﻢ ﳏﺮﻭﺳ ﺔ ﰲ ﺍﻟﻘﻔﺺ ﺼﺪﺭ ﻟﻜﻞ ﺍﻷﻭﺍﻣﺮ ﻭﺍﻟﻨﻮﺍﻫﻲ ،ﻣﺎ ﻫﻮ ﺇﻻ ﻣﻀﻐﺔ؛ ﻗﻄﻌﺔ ﳊ ﹴﻢ ﻣ ﺍ ﹸﳌ ﺍﻟﺼﺪﺭﻱ ﻻ ﻳﺮﻯ ﺇﻻ ﺑﺎﻷﺟﻬﺰﺓ ﺍﳊﺪﻳﺜﺔ ،ﺇﻥ ﺻﻠﺤﺖ ﺻﻠﺢ ﲨﻴﻊ ﻣﻦ ﲢﺖ ﻳﺪﻩ ،ﻭﺇﻥ ﻓﺴﺪﺕ ﻓﺴﺪ ﲨﻴﻊ ﻣﻦ ﲢﺖ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
54
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺳﻴﻄﺮﺗﻪ .ﻣﻀﻐﺔ ﲢﻜﻢ ﳑﻠﻜﺔ ﺑﺄﻛﻤﻠﻬﺎ ،ﺑﺼﻼﺣﻬﺎ ﺗﺼﻠﺢ ﺍﻟﺮﻋﻴﺔ ﻭﺑﻔﺴﺎﺩﻫﺎ ﺗﻔﺴﺪ ،ﺃﻻ ﻭﻫﻲ ﻛﻤـﺎ ﰲ ﺍﳊـﺪﻳﺚ ﺍﻟﻘﻠﺐ .ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ : ﺴﺪ ﹸﻛﻠﱡﻪ؛ ﺃﹶﻻ ﻭ ﻫ ﻲ ﺍﻟ ﹶﻘﹾﻠﺐ" ﳉ ﺴ ﺪ ﺍ ﹶ ﺕ ﹶﻓ ﺴ ﺪ ﺴﺪ ﹸﻛﻠﱡﻪ ،ﻭﹺﺇﺫﹶﺍ ﹶﻓ ﳉ ﺻﻠﹸ ﺢ ﺍ ﹶ ﺖ ﺤ ﺻﻠﹸ ﻀ ﻐ ﹰﺔ ﹺﺇﺫﹶﺍ ﺴ ﺪ ﻣ ﳉ "ﺃﹶﻻ ﻭﹺﺇﻥﱠ ﻓﻲ ﺍ ﹶ )ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ،ﺻﺤﻴﺢ:ﺝ1ﺹ(19 ﺻﻠﹸ ﺢ ﺍﳉﺴﺪ ﻛﻠﻪ ،ﻭﺇﻥ ﻓﺴﺪ ﺻﻠﹸ ﺢ ﺐ ﹺﺇ ﹾﻥ ﻓﻬﺬﺍ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﻣﻦ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺃﺑﻠﻎ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﰲ ﺃ ﱠﻥ ﺍﻟﻘﻠ ﻓﺴﺪﺍﳉﺴﺪ ﻛﻠﻪ ،ﻭﺃﻥ ﻣﺎﺩﺗﻪ ﻣﺎﺩﺗﺎﻥ :ﻣﺎﺩﺓ ﺻﻼﺡ ﻭﻣﺎﺩﺓ ﻓﺴﺎﺩ ﻓﻬﻮ ﻟﻸﻏﻠﺐ ﻣﻨﻬﻤﺎ ،ﻭﳍﺬﺍ ﲡﺪ ﺃﻥ ﻛﺜﲑًﺍ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻳﻌﻤﻞ ﺑﺎﻟﻄﺎﻋﺎﺕ ﻭﳜﻠﻄﻬﺎ ﺑﺎﳌﻌﺎﺻﻲ ،ﻷﻥ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﲤﺪﻩ ﻣﺎﺩﺗﺎﻥ ،ﻣﺎﺩﺓ ﺧﲑ ﻭﺻﻼﺡ ﻭﺣﻴﺎﺓ ﻭﺫﻛﺮ ﻭﺍﻋﺘﺒﺎﺭ ﻭﻭﻋﻆ، ﻭﻣﺎﺩﺓ ﺃﺧﺮﻯ ﻭﻫﻲ ﻣﺎﺩﺓ ﻓﺴﺎ ﺩ ﻭ ﺷ ﻬ ﻮ ﺓ ﻭﺷﺒ ﻪ ﻭﻣﺎ ﺇﱃ ﺫﻟﻚ. ﻫﺬﺍ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻳﺒﻴﻦ ﻟﻨﺎ ﺃ ﹼﻥ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻫﻮ ﻣﻠﻚ ﺍﳉﻮﺍﺭﺡ ﻭﺍﻷﻋﻀﺎﺀ ،ﻭﻫﻮ ﺃﺷﺮﻑ ﻋﻀﻮ ﺧﻠﹶﻘﻪ ﺍﷲ ﻭﻭﻫﺒﻪ ﻟﻌﺒﺎﺩﻩ ،ﻭﻫﺬﺍ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺃﻭ ﺍﻟﻨﻔﺲ ﺃﻭ ﺍﻟﻠﺐ ﺃﻭ ﺍﻟﻔﺆﺍﺩ ﳛﻴﺎ ﺑﺎﻟﺮﻭﺡ ،ﻭﺍﻟﺮﻭﺡ ﺃﻣﺮ ﻏﻴـﱯ ﻻ ﻳﻌﻠﻢ ﺣﻘﻴﻘﺘﻪ ﺇﻻ ﺍﷲ ، ﻓﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻣﻨﺬ ﺍﻟﻘﺪﻡ ﺇﱃ ﺯﻣﻨﻨﺎ ﻫﺬﺍ ﻻ ﻳﻌﺮﻓﻮﻥ ﻟﻠﺮﻭﺡ ﹸﻛﻨﻬًﺎ ،ﻭﻳﺼﻌﺐ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺣﻘﻴﻘﺘﻪ ﻛﻤﺎ ﻗﻠﻨﺎ ﺑﺄﻧﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﻐﻴﺒﻴﺎﺕ ،ﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻣﺒﻴﻨﺎ ﻭﻣﻮﺿﺤﺎ ﳍﻢ ﺑﺄﻥ ﺍﻟﺮﻭﺡ ﻣﻦ ﺃﻣﺮﻩ ﻭﲣﺼﺼﻪ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ: {zÎ Í Ì Ë Ê É È Ç Æ Å Ä ÃÂ Á À
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻹﺳﺮﺍﺀ(85 :17 ،
ﺬﺍ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻳﻌﺘﱪ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﻭﻳﻔﻜﺮ ﻭﻳﺴﺘﺸﻌﺮ ﺑﺎﻟﻨﻌﻢ ﺍﳌﺴﺪﺍﺓ ﺇﻟﻴﻪ ،ﻭﺬﺍ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﳛﺲ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﺑﺎﳊﺰﻥ ﻭﺍﻟﻔﺮﺡ ﻭﺍﻟﻐﻢ ﻭﺍﳍﻢ ﻭﺍﻟ ﻮﹶﻟ ﻪ ﻭﺍﳊﺐ ﻭﺍﻟ ﹸﻜ ﺮﻩ ،ﻭﺑﺎﻟﻘﻠﺐ ﻳﺴﺘﻄﻴﻊ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﺃﻥ ﻳ ﻤﻴ ﺰ ﺑﲔ ﺍﳊﻖ ﻭﺍﻟﺒﺎﻃﻞ ،ﻭﺍﳋﲑ ﻭﺍﻟﺸﺮ، ﻭﺍﻟﺼﻼﺡ ﻭﺍﻟﻔﺴﺎﺩ ﺇﱃ ﻏﲑ ﺫﻟﻚ. ﺸﻘﹶﺎ ِﺀ ﻭﺍﻟ ﻓﺎﻟﻘﻠﺐ ﻫﻮ ﻣﻨﺎﻁ ﺍﻟ ﺴﻌﺎﺩﺓ ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺬﻱ ﳚﺐ ﺃﻥ ﳛﺮﺹ ﺍﻟﻌﺒﺪ ﺍﳌﺴﻠﻢ ﻋﻠﻰ ﻣﺪﺍﻭﺍﺗﻪ ﻭﺗ ﹶﻔﻘﱡ ﺪ ﻩ ﰲ ﻛﻞ ﺣﲔ ﺠﻠﹸﻮ ﻩ ﺑﺬﻛﺮ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﻭﻗﺪ ﺛﺒﺖ ﰲ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﻗﺎﻝ: ﺴ ﻘﻴ ﻪ ﻣﻦ ﻧﺒ ﹺﻊ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻭﻳ ﻭﺑﲔ ﻓﺘﺮﺓ ﻭﺃﺧﺮﻯ ﻳﺘﻌﺎﻫﺪﻩ ﹶﻓﻴ ﷲ ﹶﻻ َﻳ ْﻨﻈﹸﺮُ ﹺﺇﻟﹶﻰ ﹶﺃ ْﺟﺴَﺎ ِﺩ ﹸﻛ ْﻢ َﻭ ﹶﻻ َﻳ ْﻨﻈﹸﺮُ ﹺﺇﻟﹶﻰ ﺻُ َﻮ ﹺﺭﻛﹸ ْﻢ َﻭﹶﻟ ِﻜ ْﻦ َﻳ ْﻨﻈﹸﺮُ ﹺﺇﻟﹶﻰ ﹸﻗﻠﹸﻮﹺﺑ ﹸﻜ ْﻢ" "ﹺﺇ ﱠﻥ ﺍ َ )ﻣﺴﻠﻢ ،ﺻﺤﻴﺢ(6542 : ﻭﻗﺒﻞ ﺍﻟﺒﺪﺀ ﰲ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭ ﻧﻠﻘﻲ ﺍﻟﻀﻮﺀ ﻗﻠﻴﻼ ﻋﻠﻰ ﺗﻌﺮﻳﻒ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺍﻟﻘﻠﺐ ﻭﺍﳌﻨﻬﺞ ﻭﺍﻟﺘﻘﻮﱘ. ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻟﻐﺔ ﻭﺍﺻﻄﻼﺣﺎ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻟﻐﺔ :ﺿﺪ ﺍﳉﻬﻞ ،ﻋﻠ ﻢ ﻳ ﻌﻠﹶﻢ ﺍ ﻋﹶﻠ ﻢ ﻋ ﹾﻠﻤًﺎ ﻭ ﻣ ﻌﻠﹸﻮﻣًﺎ ،ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻫﻮ ﺍﻟﻴﻘﲔ ﺃﻭ ﺑﻌﺒﺎﺭﺓ ﺃﺧﺮﻯ ﺃ ﹼﻥ ﺍﻟﻌﻠﻢ: ﺇﺩﺭﺍﻙ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﲝﻘﻴﻘﺔ ،ﻭﺍﻟﻴﻘﲔ :ﻧﻮﺭ ﻳﻘﺬﻓﻪ ﺍﷲ ﰲ ﻗﻠﺐ ﻣﻦ ﳛ ﺐ ﻳﻘﺎﻝ ﻋﻠﻢ ﻳﻌﻠﻢ ﺇﺫﺍ ﺗﻴﻘﱠﻦ ،ﻭﺭﺟﻞ ﻋﺎﱂ ﻭﻋﻠﻴﻢ )ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ1414 ،ﻫـ1994-ﻡ .(451:ﻭﻛﻤﺎ ﻗﻠﻨﺎ ﺃ ﹼﻥ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻫﻮ ﺇﺩﺭﺍﻙ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﲝﻘﻴﻘﺘﻪ ،ﺫﻟﻚ ﺿﺮﺑﺎﻥ:
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
55
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺃﺣﺪﳘﺎ :ﺇﺩﺭﺍﻙ ﺫﺍﺕ ﺍﻟﺸﻲﺀ .ﻭﻫﻮ ﺍﳌﺘﻌﺪﻱ ﺇﱃ ﻣﻔﻌﻮﻝ ﻭﺍﺣﺪ ﳓﻮ: { » ¼ ½ ¾¿ z
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻷﻧﻔﺎﻝ(60 :8 ،
ﻭﺍﻟﺜﺎﱐ :ﺍﳊﻜﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﺑﻮﺟﻮﺩ ﺷﻲﺀ ﻫﻮ ﻣﻮﺟﻮﺩ ﻟﻪ ،ﺃﻭ ﻧﻔﻲ ﺷﻲﺀ ﻫﻮ ﻣﻨﻔﻲ ﻋﻨﻪ .ﻭﻫﻮ ﺍﳌﺘﻌﺪﻱ ﺇﱃ ﻣﻔﻌﻮﻟﲔ ،ﳓﻮ ﻗﻮﻟﻪ: {z § ¦ ¥
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻤﺘﺤﻨﺔ(10 :60 ،
ﻭﺍﺻﻄﻼﺣًﺎ :ﻫﻮ ﺍﻻﻋﺘﻘﺎﺩ ﺍﳉﺎﺯﻡ ﺍﳌﻄﺎﺑﻖ ﻟﻠﻮﺍﻗﻊ .ﻭﻗﺎﻝ ﺍﳊﻜﻤﺎﺀ :ﻫﻮ ﺣﺼﻮﻝ ﺻﻮﺭﺓ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﻞ، ﺺ ﻣﻦ ﺍﻟﺜﹼﺎﱐ .ﻭﻗﻴﻞ :ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺻﻮﻝ ﺍﻟﻨﻔﺲ ﺇﱃ ﻣﻌﲎ ﺍﻟﺸﻲﺀ .ﻭﻗﻴﻞ :ﻋﺒﺎﺭﺓ ﻋﻦ ﺇﺿﺎﻓﺔ ﳐﺼﻮﺻﺔ ﺑﲔ ﻭﺍﻷﻭﻝ ﺃﺧ ﺍﻟﻌﺎﻗﻞ ﻭﺍﳌﻌﻘﻮﻝ .ﻭﻏﲑ ﺫﻟﻚ )ﺍﻧﻈﺮ :ﺍﳉﺮﺟﺎﱐ1416 ،ﻫـ.(155: ﻣﻌﺎﱐ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﰲ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ. ﺍﻟﻘﺎﻑ ﻭﺍﻟﻼﻡ ﻭﺍﻟﺒﺎﺀ ﺃﺻﻼﻥ ﺻﺤﻴﺤﺎﻥ ،ﺃﺣﺪﳘﺎ ﻳﺪﻝ ﻋﻠﻰ ﺧﺎﻟﺺ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﻭﺷﺮﻳﻔﻪ .ﻭﺍﻵﺧﺮ ﻗﻠﺐ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﻭﻏﲑﻩ ،ﲰﻲ ﺑﻪ ﻷﻧﻪ ﺃﺧﻠﺺ ﺷﻲﺀ ﻓﻴﻪ ﻭﺃﺭﻓﻌﻪ .ﻭﺧﺎﻟﺺ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﻭﺃﺷﺮﻓﻪ ﻗﻠﺒﻪ )ﺍﺑﻦ ﻓﺎﺭﺱ1991،ﻡ.(17/5: ﻭﺍﻟﻘﻠﺐ ﲢﻮﻳﻞ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﻋﻦ ﻭﺟﻬﻪ .ﻗﻠﺒﻪ ﻳﻘﻠﺒﻪ ﻗﻠﺒﹰﺎ ،ﻭﺃﻗﻠﺒﻪ ،ﻭﻗﺪ ﺍﻧﻘﻠﺐ .ﻭﻗﻠﺐ ﺍﻟﺸﻲﺀ ،ﻭﻗﻠﺒﻪ :ﺣﻮﻟﻪ ﻇﻬ ًﺮﺍ ﻟﺒﻄﻦ .ﻭﻛﻼﻡ ﻣﻘﻠﻮﺏ ،ﻭﻗﻠﺒﺘﻪ ﻓﺎﻧﻘﻠﺐ ،ﻭﻗﻠﺒﺘﻪ ﻓﺘﻘﻠﺐ .ﻭﻗﻠﺒﺖ ﻓﻼﻧﹰﺎ ﻋﻦ ﻭﺟﻬﻪ ﺃﻱ ﺻﺮﻓﺘﻪ .ﻭﺍﳌﻨﻘﻠﺐ: ﻣﺼﲑﻙ ﺇﱃ ﺍﻵﺧﺮﺓ )ﺍﻟﻔﺮﺍﻫﻴﺪﻱ،ﺩ.ﺕ .(171/5 :ﻭﻗﻠﺐ ﺍﻷﻣﻮﺭ :ﲝﺜﻬﺎ ﻭﻧﻈﺮ ﰲ ﻋﻮﺍﻗﺒﻬﺎ ،ﻭﰲ ﺍﻟﺘﱰﻳﻞ: {z HGF
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ(48: 9 ،
ﻛﻠﻪ ﻣﺜﻞ ﲟﺎ ﺗﻘﺪﻡ .ﻭﺗﻘﻠﺐ ﰲ ﺍﻷﻣﻮﺭ ،ﻭﰲ ﺍﻟﺒﻼﺩ :ﺗﺼﺮﻑ ﻓﻴﻬﺎ ﻛﻴﻒ ﺷﺎﺀ .ﻭﰲ ﺍﻟﺘﻨـﺰﻳﻞ: { zz y x w v
)ﺳﻮﺭﺓ ﻏﺎﻓﺮ(4: 40 ،
ﻣﻌﻨﺎﻩ :ﻓﻼ ﻳﻐﺮﺭﻙ ﺳﻼﻣﺘﻬﻢ ﰲ ﺗﺼﺮﻓﻬﻢ ﻓﻴﻬﺎ ،ﻓﺈﻥ ﻋﺎﻗﺒﺔ ﺃﻣﺮﻫﻢ ﺍﳍﻼﻙ .ﻭﺭﺟﻞ ﻗﻠﺐ :ﻳﺘﻘﻠﺐ ﻛﻴﻒ ﻳﺸﺎﺀ .ﻭﺗﻘﻠﺐ ﻇﻬﺮﹰﺍ ﻟﺒﻄﻦ ،ﻭﺟﻨﺒﹰﺎ ﳉﻨﺐ :ﲢ ﻮﻝ. ﻭﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ: {zTS RQ
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﻮﺭ(37: 24 ، อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
56
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺰﺟﺎﺝ" :ﺗﺮﺟﻒ ﻭﲣﺎﻑ ﻣﻦ ﺍﳉﺰﻉ ﻭﺍﳋﻮﻑ" ،ﻗﺎﻝ :ﻭﻣﻌﻨﺎﻩ :ﺃﻥ ﻣﻦ ﻛﺎﻥ ﻗﻠﺒﻪ ﻣﺆﻣﻨﹰﺎ ﺑﺎﻟﺒﻌﺚ ﻭﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ ﺍﺯﺩﺍﺩ ﺑﺼﲑﺓ ﻭﺭﺃﻯ ﻣﺎ ﻭﻋﺪ ﺑﻪ ،ﻭﻣﻦ ﻛﺎﻥ ﻗﻠﺒﻪ ﻋﻠﻰ ﻏﲑ ﺫﻟﻚ ﺭﺃﻯ ﻣﺎ ﻳﻮﻗﻦ ﻣﻌﻪ ﺃﻣﺮ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ ﻭﺍﻟﺒﻌﺚ، ﻓﻌﻠﻢ ﺫﻟﻚ ﺑﻘﻠﺒﻪ ،ﻭﺷﺎﻫﺪﻩ ﺑﺒﺼﺮﻩ ،ﻓﺬﻟﻚ ﺗﻘﻠﺐ ﺍﻟﻘﻠﻮﺏ ﻭﺍﻷﺑﺼﺎﺭ)ﺍﺑﻦ ﺳﻴﺪﻩ:ﺩ.ﺕ .(85/3:ﻗﺎﻝ ﺍﻷﺯﻫﺮﻱ: ﺐ ﺍﻟ ﹸﻘﺮﺁ ﻥ ﻳﺲ" ﳊﺪﻳﺚ" :ﺇ ﱠﻥ ﻟﻜ ﱢﻞ ﺷ ﻲ ِﺀ ﹶﻗﻠﹾﺒﹰﺎ ﻭﺇﻥ ﹶﻗ ﹾﻠ ﺍﻟﻘﻠﺐ :ﻣﻀﻐﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻔﺆﺍﺩ ﻣﻌﻠﻘﺔ ﺑﺎﻟﻨﻴﺎﻁ .ﻭﰲ ﺍ ﹶ )ﺩ.ﺕ .(233/3:ﺍﻟ ﹶﻘﻠﹾﺐ :ﺍﻟﻔﺆﺍﺩ ،ﻭﻗﺪ ﻳﻌﺒﺮ ﺑﻪ ﻋﻦ ﺍﻟﻘﻠﺐ .ﻭﰲ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ: {zXWVUT SRQ
)ﺳﻮﺭﺓ (37 :50 ،A ﺤﺾ ﻛ ﱢﻞ ﺷﻲ ٍﺀ )ﺍﻟﻔﲑﻭﺯﺁﺑﺎﺩﻱ، ﺃﻱ ﻋﻘﻞ )ﺍﻧﻈﺮ:ﺍﳉﻮﻫﺮﻱ1402،ﻫـ .(91/2 :ﻭﺍﻟ ﹶﻘ ﹾﻠﺐ :ﺍﻟ ﻌ ﹾﻘﻞﹸ ،ﻭ ﻣ 1415ﻫـ1995-ﻡ.(113/1: ﺏ ﻭﺍ َﻷ ﹾﻓﺌ ﺪﺓﹸ ﻗﺮﻳﺒﺎ ﻥ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻮﺍ ِﺀ ﻭ ﹶﻛ ﺮ ﺭ ﺫ ﹾﻛﺮﳘﺎ ﻻﺧﺘﻼﻑ ﺍﻟﻠﻔﻈﲔ ﺗﺄﹾﻛﻴﺪﹰﺍ ﻭﻗﺎﻝ ﺑﻌﻀﻬﻢ ﺳﻤﻲ ﻭﻗﻴﻞ ﺍﻟ ﹸﻘﻠﹸﻮ ﺍﻟ ﹶﻘ ﹾﻠﺐ ﹶﻗﻠﹾﺒﹰﺎ ﻟﺘ ﹶﻘﻠﱡﺒﹺﻪ )ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ1994،ﻡ.(685/1: ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻋﻠﻰ ﻣﻌﻨﻴﲔ ﻛﻤﺎ ﻋﱪ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﻐﺰﺍﱄ ﰲ ﺍﻹﺣﻴﺎﺀ ﻗﺎﺋﻼ" :ﺃﺣﺪﳘﺎ :ﺍﻟﻠﺤﻢ ﺍﻟﺼﻨﻮﺑﺮﻱ ﺍﻟﺸﻜﻞ ﺍﳌﻮﺩﻉ ﰲ ﺍﳉﺎﻧﺐ ﺍﻷﻳﺴﺮ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺪﺭ ،ﻭﻫﻮ ﳊﻢ ﳐﺼﻮﺹ ،ﻭﰲ ﺑﺎﻃﻨﻪ ﲡﻮﻳﻒ ،ﻭﰲ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﺘﺠﻮﻳﻒ ﺩﻡ ﺃﺳﻮﺩ ﻫﻮ ﻣﻨﺒﻊ ﺍﻟﺮﻭﺡ ﻭﻣﻌﺪﻧﻪ. ﻭﻟﺴﻨﺎ ﻧﻘﺼﺪ ﺍﻵﻥ ﺷﺮﺡ ﺷﻜﻠﻪ ﻭﻛﻴﻔﻴﺘﻪ ،ﺇﺫ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﺑﻪ ﻏﺮﺽ ﺍﻷﻃﺒﺎﺀ ﻭﻻ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﺑﻪ ﺍﻷﻏﺮﺍﺽ ﺍﻟﺪﻳﻨﻴﺔ. ﻭﻫﺬﺍ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻣﻮﺟﻮﺩ ﻟﻠﺒﻬﺎﺋﻢ ،ﺑﻞ ﻫﻮ ﻣﻮﺟﻮﺩ ﻟﻠﻤﻴﺖ .ﻭﳓﻦ ﺇﺫﺍ ﺃﻃﻠﻘﻨﺎ ﻟﻔﻆ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﱂ ﻧﻌﻦ ﺑﻪ ﻼ ﻋﻦ ﺫﻟﻚ؛ ﻓﺈﻧﻪ ﻗﻄﻌﺔ ﳊﻢ ﻻ ﻗﺪﺭ ﻟﻪ ،ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﻋﺎﱂ ﺍﳌﻠﻚ ﻭﺍﻟﺸﻬﺎﺩﺓ ﺇﺫ ﺗﺪﺭﻛﻪ ﺍﻟﺒﻬﺎﺋﻢ ﲝﺎﺳﺔ ﺍﻟﺒﺼﺮ ﻓﻀ ﹰ ﺍﻵﺩﻣﻴﲔ. ﻭﺍﳌﻌﲎ ﺍﻟﺜﺎﱐ :ﻫﻲ ﻟﻄﻴﻔﺔ ﺭﺑﺎﻧﻴﺔ ﺭﻭﺣﺎﻧﻴﺔ ﳍﺎ ﺬﺍ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺍﳉﺴﻤﺎﱐ ﺗﻌﻠﻖ ،ﻭﺗﻠﻚ ﺍﻟﻠﻄﻴﻔﺔ ﻫﻲ ﺣﻘﻴﻘﺔ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﻭﻫﻮ ﺍﳌﺪﺭﻙ ﺍﻟﻌﺎﱂ ﺍﻟﻌﺎﺭﻑ ﻣﻦ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ،ﻭﻫﻮ ﺍﳌﺨﺎﻃﺐ ﻭﺍﳌﻌﺎﻗﺐ ﻭﺍﳌﻌﺎﺗﺐ ﻭﺍﳌﻄﺎﻟﺐ .ﻭﳍﺎ ﻋﻼﻗﺔ ﻣﻊ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺍﳉﺴﻤﺎﱐ ،ﻭﻗﺪ ﲢﲑﺕ ﻋﻘﻮﻝ ﺃﻛﺜﺮ ﺍﳋﻠﻖ ﰲ ﺇﺩﺭﺍﻙ ﻭﺟﻪ ﻋﻼﻗﺘﻪ؛ ﻓﺈﻥ ﺗﻌﻠﻘﻪ ﺑﻪ ﻳﻀﺎﻫﻲ ﺗﻌﻠﻖ ﺍﻷﻋﺮﺍﺽ ﺑﺎﻷﺟﺴﺎﻡ ﻭﺍﻷﻭﺻﺎﻑ ﺑﺎﳌﻮﺻﻮﻓﺎﺕ ،ﺃﻭ ﺗﻌﻠﻖ ﺍﳌﺴﺘﻌﻤﻞ ﻟﻶﻟﺔ ﺑﺎﻵﻟﺔ" )ﺩ.ﺕ (206/2:ﻭﻛﺬﻟﻚ ﳒﺪ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﻋﻨﺪ ﺍﳉﺮﺟﺎﱐ )ﺍﳉﺮﺟﺎﱐ1416،ﻫـ.(57/1:ﻛﺬﻟﻚ ﻧﺮﻯ ﺃﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﻳﻜﺎﺩ ﻳﻜﻮﻥ ﺷﺒﻪ ﺇﲨﺎﻉ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻛﺎﺑﻦ ﺍﻟﻘﻴﻢ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﺍﻟﺘﺒﻴﺎﻥ ﰲ ﺃﻗﺴﺎﻡ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ )ﺩ.ﺕ ،(14:ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﻨﻴﺴﺎﺑﻮﺭﻱ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﻏﺮﺍﺋﺐ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺭﻏﺎﺋﺐ ﺍﻟﻔﺮﻗﺎﻥ )ﺩ.ﺕ ،(159/1:ﻭﺍﻟﺰﺑﻴﺪﻱ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﺇﲢﺎﻑ ﺍﻟﺴﺎﺩﺓ ﺍﳌﺘﻘﲔ ﺑﺸﺮﺡ ﺇﺣﻴﺎﺀ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﻟﺪﻳﻦ )ﺩ.ﺕ (202/7:ﻭﺍﻟﺒﻘﺎﻋﻲ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ )ﺩ.ﺕ .(371/5 :ﻓﺎﻟﻠﻄﻴﻔﺔ "ﻛﻞ ﺇﺷﺎﺭﺓ ﺩﻗﻴﻘﺔ ﺍﳌﻌﲎ ﺗﻠﻮﺡ ﻟﻠﻔﻬﻢ ﻻ ﺗﺴﻌﻬﺎ ﺍﻟﻌﺒﺎﺭﺓ ،ﻛﻌﻠﻮﻡ ﺍﻷﺫﻭﺍﻕ ،ﻭﺍﻟﻠﻄﻴﻔﺔ ﺍﻹﻧﺴﺎﻧﻴﺔ :ﻫﻲ ﺍﻟﻨﻔﺲ ﺍﻟﻨﺎﻃﻘﺔ ﺍﳌﺴﻤﺎﺓ ﻋﻨﺪﻫﻢ ﺑﺎﻟﻘﻠﺐ ،ﻭﻫﻲ ﰲ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﺗﻨـﺰﻝ ﺍﻟﺮﻭﺡ ﺇﱃ ﺭﺗﺒﺔ ﻗﺮﻳﺒﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻔﺲ ﻣﻨﺎﺳﺒﺔ ﳍﺎ ﺑﻮﺟﻪ ،ﻭﻣﻨﺎﺳﺒﺔ ﻟﻠﺮﻭﺡ ﺑﻮﺟﻪ ،ﻭﻳﺴﻤﻰ ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻷﻭﻝ: ﺍﻟﺼﺪﺭ ،ﻭﺍﻟﺜﺎﱐ :ﺍﻟﻔﺆﺍﺩ" )ﺍﳉﺮﺟﺎﱐ1416 ،ﻫـ.(62 /1:
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
57
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺗﻌﺮﻳﻒ ﺍﳌﻨﻬﺎﺝ ﻟﻐﺔ ﻭﺍﺻﻄﻼﺣﹰﺎ ﻟﻐﺔ :ﻬﻧﺞ ﻳﻨﻬﺞ ﻣﻨﻬﺎﺟًﺎ ،ﻭﺍﳌﻨﻬﺞ ﺑﻮﺯﻥ ﺍﳌﺬﻫﺐ ،ﻭﻬﻧﺞ ﺍﻟﻄﹼﺮﻳﻖ ﺃﻱ ﺃﺑﺎﻧﻪ ﻭﺃﻭﺿﺤﻪ ﻭﻬﻧﺠﻪ ﺳﻠﻜﻪ ﻭﻗﻄﻌﻪ )ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ 1414 ،ﻫـ1994-ﻡ ﺹ.(681 ﺍﺻﻄﻼﺣﹰﺎ :ﺍﳌﻨﻬﺎﺝ ﻫﻮ ﺍﻟﻄﹼﺮﻳﻖ ﺍﻟﻮﺍﺿﺢ ﺍﳌﺴﺘﻤ ﺮ )ﺍﻷﺻﻔﻬﺎﱐ1381،ﻫـ ﺹ .(825ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ؛ { z on m l k j
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﺎﺋﺪﺓ(48 :5 ،
ﻗﺎﻝ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ )1417ﻫـ1996-ﻡ" :(137/3 :ﺃﻱ ﺃﻧﻪ ﺟﻌﻞ ﺍﻟﺘﻮﺭﺍﺓ ﻷﻫﻠﻬﺎ؛ ﻭﺍﻹﳒﻴﻞ ﻷﻫﻠﻪ؛ ﻚ ﺃ ﹼﻥ ﺍﻷﻧﺒﻴﺎﺀ ﻗﺪ ﺍﺗﻔﻘﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﷲ ﺟ ﹼﻞ ﻭﻋﻼ ﻭﻣﺎ ﻭﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻷﻫﻠﻪ؛ ﻭﻫﺬﺍ ﰲ ﺍﻟﺸﺮﺍﺋﻊ ﻭﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺍﺕ" .ﻭﻻ ﺷ ﺺ ﺑﻪ ﻣﻦ ﻓﺮﻭﻉ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﻭﺗﻔﺎﺻﻴﻠﻬﺎ .ﻓﻘﻮﻟﻪ) :ﺷﺮﻋﺔ ﱯ ﻣﺎ ﳜﺘ ﻳﺘﻌﻠﹼﻖ ﺑﺄﻣﻮﺭ ﺍﻹﻋﺘﻘﺎﺩ ﻭﺍﻷﺧﻼﻕ ،ﻭﻟﻜ ﹼﻞ ﻧ ﻼ ﻭﺳﻨﺔ. ﻭﻣﻨﻬﺎﺟًﺎ ( :ﺃﻱ :ﺳﺒﻴ ﹰ ﻭﺃﺣﺴﻦ ﻣﺎ ﻗﻴﻞ ﰲ ﺍﻟﻔﺮﻕ ﺑﲔ ﻛﻠﻤﱵ) :ﺷﺮﻳﻌﺔ() ،ﻣﻨﻬﺎﺝ( ﻫﻮ ﺃﻥ" :ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﻫﻲ ﻣﺎﻳﺒﺘﺪﺃ ﻓﻴﻪ ﺇﱃ ﺍﻟﺸﻲﺀ، ﻭﻣﻨﻪ ﻣﺎ ﻳﻘﺎﻝ :ﺷﺮﻉ ﰲ ﻛﺬﺍ ،ﺍﻱ ﺍﺑﺘﺪﺃ ﻓﻴﻪ ،ﻭﻛﺬﺍ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ :ﻭﻫﻲ ﻣﺎ ﻳﺸﺮﻉ ﻓﻴﻬﺎ ﺇﱃ ﺍﳌﺎﺀ ،ﺃﻣﺎ ﺍﳌﻨﻬﺎﺝ :ﻓﻬﻮ ﺍﻟﻄﹼﺮﻳﻖ ﺍﻟﻮﺍﺿﺢ ﺍﻟﺴﻬﻞ" ﺍﻫـ )ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ1417،ﻫـ1996-ﻡ.(66/2: ﺍﻟﺘﻘﻮﱘ ﻟﻐﺔ ﻭﺍﺻﻄﻼﺣﺎ. ﻟﻐﺔ :ﻗﻮﻡ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﺗﻘﻮﳝﹰﺎ ﻓﻬﻮ ﻗﻮﱘ ﺃﻱ ﻣﺴﺘﻘﻴﻢ ،ﻭﺍﻟﻘﻮﺍﻡ ﺑﺎﻟﻔﺘﺢ ﺍﻟﻌﺪﻝ ﻭﻗﻮﺍﻡ ﺍﻷﻣﺮ ﺑﺎﻟﻜﺴﺮ ﻧﻈﺎﻣﻪ ﻭﻋﻤﺎﺩﻩ )ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ1414 ،ﻫـ1994-ﻡ ﺹ ،(557ﻭﺍﻟﻘﻴﺎﻡ ﻭﺍﻟﻘﻮﺍﻡ :ﺍﺳﻢ ﳌﺎ ﻳﻘﻮﻡ ﺑﻪ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﺃﻱ :ﻳﺜﺒﺖ ،ﻛﺎﻟﻌﻤﺎﺩ ﻭﺍﻟﺴﻨﺎﺩ :ﳌﺎ ﻳﻌﻤﺪ ﻭﻳﺴﻨﺪ ﺑﻪ ،ﻛﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ؛ {z ¬ « ª © ¨ § ¦ ¥ ¤
ﺃﻱ :ﺟﻌﻠﻬﺎ ﳑﺎ ﻳ ﻤﺴِﻜﻜﻢ .ﻭﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ؛ {z^ ] \ [ Z Y
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ(5 :4 ،
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﺎﺋﺪﺓ(97 :5 ،
ﺃﻱ :ﻗﻮﺍﻣﺎ ﳍﻢ ﻳﻘﻮﻡ ﺑﻪ ﻣﻌﺎﺷﻬﻢ ﻭﻣﻌﺎﺩﻫﻢ ،ﻭﺗﺄﰐ ﲟﻌﲎ ﺍﻟﺜﺒﻮﺕ ﻭﺍﳌﻘﻮﻡ ﻟﻸﻣﻮﺭ ﻛﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ؛ ﺩﻳﻨًﺎ ﹶﻗﻴﻤًﺎ
ﺃﻱ :ﺛﺎﺑﺘﹰﺎ ﻣﻘﻮﻣﺎ ﻷﻣﻮﺭ ﻣﻌﺎﺷﻬﻢ ﻭﻣﻌﺎﺩﻫﻢ )ﺍﻷﺻﻔﻬﺎﱐ1381 ،ﻫـ ﺹ .(691-690ﻭﺗﺄﰐ ﻋﻠﻰ ﺍﳋﻠﻘﺔ ﺍﳊﺴﻨﺔ ﺍﳌﺘﻜﺎﻣﻠﺔ ﺍﳌﺘﻨﺎﺳﻘﺔ ﻛﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ؛ { zP O N M L K
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﲔ(4 :95 ،
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
58
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺃﻱ ﺃﺣﺴﻦ ﰲ ﻫﻴﺌﺘﻪ ﻭﺃﻋﺪﻝ ﰲ ﻗﺎﻣﺘﻪ ﻭﺃﲨﻞ ﰲ ﺻﻮﺭﺗﻪ .ﺍﺻﻄﻼﺣًﺎ :ﲢﺴﲔ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﻭﺗﺰﻳﻴﻨﻪ ﻭﺗﻌﺪﻳﻠﻪ ﻭﺗﺜﺒﻴﺘﻪ ﻭﺗﺴﻨﻴﺪﻩ ﻭﺗﺼﻠﻴﺤﻪ ﺇﱃ ﻣﺎﻓﻴﻪ ﺧﲑ ﻭﺻﻼﺡ ﻭﺍﺳﺘﻘﺎﻣﺔ ﻭﻓﻼﺡ ﰲ ﺍﻟﺪﺍﺭﻳﻦ . ﻭﻫﺬﺍ ﻳﺘﻀﺢ ﰲ ﻣﻮﺍﺯﻧﺔ ﺍﻟﺸﻲ ﻭﻣﻘﺎﺑﻠﺘﻪ ﺑﺎﳌﻌﻴﺎﺭ ﺍﻹﳍﻲ ﺍﻟﹼﺬﻱ ﺃﻭﺣﻰ ﺇﱃ ﻋﺒﺪﻩ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﳏﻤﺪ ﻭﻫﻮ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻓﺈﻥ ﻃﺎﺑﻘﻪ ﻭﻭﺍﻓﻘﻪ ﻛﺎﻥ ﺎ ﻭﹺﻧ ﻌﻢ ،ﻭﺇﻻ ﻛﺎﻥ ﺧﻼﻑ ﺫﻟﻚ ﻣﻦ ﻣﻮﺍﻓﻘﺔ ﺍﳍﻮﻯ ﻭﺍﻟﻨﻔﺲ ﺍﻷﻣﺎﺭﺓ ﺑﺎﻟﺴﻮﺀ ﻭﺍﻟﺸﻴﻄﺎﻥ-ﻭﺍﻟﻌﻴﺎﺫ ﺑﺎﷲ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ. ﻣﻨـﺰﻟﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﰲ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻭﺍﻟﺘﻨﻮﻳﻪ ﲟﻜﺎﻧﺘﻪ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ. ﻭﺍﻟﻌﻠﻢ ﻣﻦ ﺃﺟ ﹼﻞ ﺍﻟﻮﺳﺎﺋﻞ ﰲ ﺗﻘﻮﱘ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻭﺃﻛﱪﻫﺎ ﻣﱰﻟﺔ ﻋﻨﺪ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻭﻋﻨﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ؛ ﻷﻧﻪ ﻳﺮﺷﺪ ﺇﱃ ﻛﻴﻔﻴﺔ ﺍﻟﺘﺨﻠﹼﻖ ﺑﻜ ﹼﻞ ﻣﻜﺎﺭﻡ ﺍﻷﺧﻼﻕ ﺍﻟﱵ ﺗﺆﺩﻱ ﺇﱃ ﺳﻼﻣﺔ ﺍﻟﻘﻠﺐ ،ﻭﻳﻀﻌﻬﺎ ﰲ ﻣﻮﺍﺿﻌﻬﺎ ،ﻭﻳﻌﺮﻑ ﺑﻪ ﻣﻮﺍﻗﻊ ﺍﳋﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺸﺮ ﻭﻣﺮﺍﺗﺒﻬﺎ" ،ﻓﲑﺷﺪ ﺇﱃ ﻣﻮﺍﻗﻊ ﺑﺬﻝ ﺍﳌﻌﺮﻭﻑ ،ﻭﺍﻟﻔﺮﻕ ﺑﻴﻨﻪ ﻭﺑﲔ ﺍﳌﻨﻜﺮ ،ﻭﺗﺮﺗﻴﺒﻪ ﰲ ﻭﺿﻌﻪ ﻣﻮﺍﺿﻌﻪ ،ﻓﻼ ﻳﻀﻊ ﺍﻟﻐﻀﺐ ﻣﻮﺿﻊ ﺍﳊﻠﻢ ﻭﻻ ﺍﻟﻌﻜﺲ ،ﻭﻻ ﺍﻹﻣﺴﺎﻙ ﻣﻮﺿﻊ ﺍﻟﺒﺬﻝ ﻭﻻ ﺍﻟﻌﻜﺲ ")ﺍﺑﻦ ﺍﻟﻘﻴﻢ، 1375ﻫـ.(317/2: ﻭﻷﺟﻞ ﻫﺬﺍ ﳒﺪ ﻣﻜﺎﻧﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻋﻈﻴﻤﺔ ،ﺣﻴﺚ ﺃﻛﺜﺮ ﻣﻦ ﺫﻛﺮﻩ ﺟﺪًﺍ ﻭﻧﻮﻩ ﺑﺸﺄﻧﻪ ﻭﺷﺄﻥ ﺃﻫﻠﻪ ،ﻭﺃﺟﺰﻝ ﳍﻢ ﻋﻈﻴﻢ ﺍﻷﺟﺮ ﻭﻛﺜﲑ ﺍﻟﻔﻀﻞ .ﺃﻣﺎ ﺫﻛﺮﻩ ﻟﻪ ﻓﻘﺪ ﻭﺭﺩ ﻟﻔﻆ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺍﻟﹼﺬﻱ ﻫﻮ ﺃﲨﻊ ﺃﻟﻔﺎﻅ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﻭﻣﺎ ﺗﻔﺮﻉ ﻣﻨﻪ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﳓﻮ ﲬﺲ ﻭﺳﺘﲔ ﻭﲦﺎﻥ ﻣﺎﺋﺔ ﻣﺮﺓ ،ﻭﻭﺭﺩ ﺫﻛﺮﻩ ﺑﺄﻟﻔﺎﻅ ﻣﺘﻘﺎﺭﺑﺔ ﻟﻪ ﰲ ﺍﻟﺪﻻﻟﺔ ﻛﺎﻟﻔﻘﻪ ،ﻭﺍﳌﻌﺮﻓﺔ ،ﻭﺍﳍﺪﻱ ،ﻭﺍﻟﻌﻘﻞ ،ﻭﺍﻟﻔﻜﺮ ،ﻭﺍﻟﺘﺪﺑﺮ ،ﻭﺍﻟﺘﺬﻛﺮ ،ﻭﺍﻟﻨﻈﺮ ،ﻭﺍﻟﺒﺼﲑﺓ ،ﻣﺮﺍﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﻛﻤﺎ ﺫﻛﺮ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺍﻷﻟﻔﺎﻅ ﺍﳌﻘﺎﺑﻠﺔ ﻟﻪ ﻛﺎﳉﻬﻞ ﻭﺍﻟﺴﻔﻪ ،ﻭﺍﻟﻀﻼﻝ ﻭﺍﻟﻌﻤﻪ ،ﻭﺍﻟﻈﹼﻦ ﻭﺍﻟﺒﺎﻃﻞ ،ﻭﺍﻹﻓﻚ ﻣﺮﺍﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﻋﻠﻰ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﻟﺬﹼﻡ ﻭﺍﻟﺘﻨﻔﲑ ﻣﻦ ﺍﻻﺗﺼﺎﻑ ﺑﻪ )ﺍﻧﻈﺮ :ﻓﺘﺢ ﺍﷲ ﺳﻌﻴﺪ1406 ،ﻫـ.(199-189: ﺗﻨﻮﻳﻪ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺑﺎﻟﻌﻠﻢ ﺃﻣﺎ ﺗﻨﻮﻳﻬﻪ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ ﺑﺎﻟﻌﻠﻢ ﻓﻔﻲ ﺁﻳﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﻧﺬﻛﺮ ﺑﻌﻀًﺎ ﻣﻨﻬﺎ ﻓﻴﻤﺎ ﻳﻠﻲ: -1ﻣﻦ ﺫﻟﻚ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ: { z  Á À ¿ ¾ ½ ¼ » º¹ ¸ ¶ µ
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(269 :2 ،
ﻭﺍﳊﻜﻤﺔ ﻫﻲ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺍﻟﻨﺎﻓﻊ ﺍﳌﺆﺩﻱ ﺇﱃ ﺍﻟﻌﻤﻞ ﺍﻟﺼﺎﱀ )ﺍﳉﻼﻟﲔ ،ﺩ.ﺕ ،(57 :ﻭﻳﻘﺎﻝ :ﻫﻲ ﲢﻘﻴﻖ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺇﺗﻘﺎﻥ ﺍﻟﻌﻤﻞ )ﺍﻟﺒﻴﻀﺎﻭﻱ1402 ،ﻫـ (62 :ﻭﻗﻴﻞ ﻫﻲ :ﺇﺻﺎﺑﺔ ﺍﳊ ﻖ ﺑﺎﻟﻌﻠﻢ ﻭﺍﻟﻌﻘﻞ )ﺍﻷﺻﻔﻬﺎﱐ1381 ،ﻫـ .(127:ﻓﺎﻧﻈﺮ ﻣﺒﻠﻎ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻨﻮﻳﻪ ﺑﺎﻟﻌﻠﻢ ﰲ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺔ ﺇﺫ ﺃ ﹼﻥ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺃﺧﱪ ﺑﺄﻧﻪ ﺧﲑ ﻛﺜﲑ ﻻ ﻳﻘﺪﺭ ﻗﺪﺭﻩ ﻭﻻ ﻳﺪﺭﻙ ﻣﺪﺍﻩ ،ﻣﻦ ﺃﻭﺗﻴﻪ ﻓﻘﺪ ﺣﻴﺰﺕ ﺇﻟﻴﻪ ﺧﲑﺍﺕ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻭﺍﻵﺧﺮﺓ. -2ﻭﻟﻘﺪ ﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺃﺟ ﹼﻞ ﻧﻌﻢ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻭ ﻣﻨﻨﹺﻪ ﻋﻠﻰ ﻋﺒﺪﻩ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﳏﻤﺪ ،ﺇﻳﺘﺎﺅﻩ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﳊﻜﻤﺔ ﻭﺗﻌﻠﻴﻤﻪ ﺇﻳﺎﻩ ﻣﺎ ﱂ ﻳﻜﻦ ﻳﻌﻠﻢ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺟ ﹼﻞ ﺷﺄﻧﻪ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
59
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
{ z Ô Ó Ò Ñ Ð ÏÎ Í Ì Ë Ê É È Ç Æ Å
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ(113 :4 ،
ﱳ ﺑﻪ ﻋﻠﻰ ﺑﲏ -3ﻭﻗﺪ ﲡﻠﹼﺖ ﻣﻜﺎﻧﺘﻪ ﺃﻛﺜﺮ ﺣﻴﻨﻤﺎ ﺟﻌﻠﻪ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻗﺮﻳﻨًﺎ ﻟﻨﻌﻤﺔ ﺍﳋﻠﻖ ﻭﺍﻹﳚﺎﺩ ﻭﺍﻣ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﰲ ﺃﻭﻝ ﺳﻮﺭ ﺍﻟﻮﺣﻲ ﺗﻨـ ﺰ ﹰﻻ ﻋﻠﻰ ﻧﺒﻴﻪ ﳏﻤﺪ ﺣﻴﺚ ﻗﺎﻝ ﺟ ﹼﻞ ﺫﻛﺮﻩ: { z،b a ` _ ~ ، | { z ، x w v ، t s r q ، o n m l k
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻌﻠﻖ(5-1 :96 ،
ﻭﻫﺬﻩ ﺃﻭﻝ ﺻﻴﺤﺔ ﺗﺴﻤﻮ ﺑﻘﺪﺭ ﺍﻟﻘﻠﻢ ﻭﺗﻨﻮﻩ ﺑﻘﻴﻤﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺗﻌﻠﻦ ﺍﳊﺮﺏ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﻣﻴﺔ ﺍﻟﻐﺎﻓﻠﺔ ،ﻭﲡﻌﻞ ﺍﻟﻠﹼﺒﻨﺔ ﺍﻷﻭﱃ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﻛ ﹼﻞ ﺭﺟﻞ ﻋﻈﻴﻢ ﺃﻥ ﻳﻘﺮﺃ ﻭﺃﻥ ﻳﺘﻌﻠﹼﻢ )ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻐﺰﺍﱄ1408 ،ﻫـ.(220: ﻼ ﻟﻠﻌﻠﻢ ﺍﳉﺎﻣﻊ ،ﺍﻟﺪﺍﻝ ﻋﻠﻰ ﻱ ﺷﺮﻑ ﻟﻠﻌﻠﻢ ﺃﺟ ﹼﻞ ﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺸﺮﻑ ﺍﳌﺒﲔ ،ﻭﻛﻔﻰ ﺬﺍ ﺷﺮﻓﹰﺎ ﻭﻓﻀ ﹰ ﻓﺎﻧﻈﺮ ﺃ ﺍﷲ ﺟ ﹼﻞ ﺟﻼﻟﻪ ،ﻭﻋﻠﻰ ﺃﺳﺮﺍﺭﻩ ﰲ ﻛﻮﻧﻪ ﻭﳐﻠﻮﻗﺎﺗﻪ ،ﻓﺈ ﹼﻥ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻣﻦ ﺃﻋﻈﻢ ﺍﻷﺩﻟﹼﺔ ﻭﺃﻇﻬﺮﻫﺎ ﻋﻠﻰ ﻭﺟﻮﺩ ﺍﷲ ﻭﻭﺣﺪﺍﻧﻴﺘﻪ ﻭﺍﺳﺘﺤﻘﺎﻗﻪ ﻟﻸﻟﻮﻫﻴﺔ ﻭﺍﻟﻌﺒﻮﺩﻳﺔ ،ﻓﺪ ﹼﻝ ﻫﺬﺍ ﻋﻠﻰ ﺃ ﹼﻥ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺃﺷﺮﻑ ﻣﺎ ﰲ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ،ﻭﺃ ﹼﻥ ﻓﻀﻠﻪ ﻭﺷﺮﻓﻪ ﺇﻧﻤﺎ ﻫﻮ ﺑﺎﻟﻌﻠﻢ )ﺍﺑﻦ ﺍﻟﻘﻴﻢ1399 ،ﻫـ.(57: ﻓﻠﻘﺪ ﺑﻴﻨﺖ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺍﻟﻜﺮﳝﺔ ﻭﻏﲑﻫﺎ ﺍﻟﻜﺜﲑ :ﳌﻜﺎﻧﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ،ﻭﻣﱰﻟﺘﻪ ﰲ ﺩﻳﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ،ﻭﺃﻧﻬﺎ ﻣﱰﻟﺔ ﱄ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ )ﻣﻨﻬﺎﺝ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ ،ﺩ.ﺕ(6 : ﻋﻈﻴﻤﺔ ،ﻭﺃﻧﻪ ﻗﻄﺐ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﻭﻋﻠﻴﻪ ﻣﺪﺍﺭﻫﺎ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﺃﻓﺎﺩﻩ ﺍﻟﻐﺰﺍ ﹼ "ﻳﺎ ﻃﺎﻟﺐ ﺍﳋﻼﺹ ﻭﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ﻋﻠﻴﻚ ﺃ ﻭ ﹰﻻ ﻭﻓﻘﹼﻚ ﺍﷲ ﺑﺎﻟﻌﻠﻢ ،ﻓﺈﻧﻪ ﺍﻟﻘﻄﺐ ﻭﻋﻠﻴﻪ ﺍﳌﺪﺍﺭ ،ﻭﺍﻋﻠﻢ ﺃ ﹼﻥ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ﺟﻮﻫﺮﺍﻥ ﻷﺟﻠﻬﺎ ﻛﺎﻥ ﻛ ﹼﻞ ﻣﺎ ﺗﺮﻯ ﻭﺗﺴﻤﻊ ﻣﻦ ﺗﺼﻨﻴﻒ ﺍﳌﺼﻨﻔﲔ ،ﻭﺗﻌﻠﻴﻢ ﺍﳌﻌﻠﹼﻤﲔ ،ﻭﻭﻋﻆ ﺍﻟﻮﺍﻋﻈﲔ ،ﻭﻧﻈﺮ ﺍﻟﻨﺎﻇﺮﻳﻦ ،ﺑﻞ ﻷﺟﻠﻬﺎ ﺃﻧﺰﻟﺖ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﻭﺃﺭﺳﻠﺖ ﺍﻟﺮﺳﻞ ،ﺑﻞ ﻷﺟﻠﻬﻤﺎ ﺧﻠﻘﺖ ﺍﻟﺴﻤﺎﻭﺍﺕ ﻭﺍﻷﺭﺽ ﻭﻣﺎ ﻓﻴﻬﻦ ﻣﻦ ﺍﳋﻠﻖ ،ﻗﺎﻝ :ﻭﺗﺄﻣﻞ ﺁﻳﺘﲔ ﻣﻦ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ ﺇﺣﺪﺍﳘﺎ :ﻗﻮﻟﻪ ﺟ ﹼﻞ ﺫﻛﺮﻩ؛ {ç æ å ä ã â á à ß Þ Ý Ü Û Ú Ù Ø × Ö Õ zí ì ë ê é è
ﻗﺎﻝ :ﻭﻛﻔﻰ ﺬﻩ ﺍﻵﻳﺔ ﺩﻟﻴﻼ ﻋﻠﻰ ﺷﺮﻑ ﺍﻟﻌﻠﻢ ،ﻻ ﺳﻴﻤﺎ ﺍﻟﺘﻮﺣﻴﺪ. ﺍﻵﻳﺔ ﺍﻟﺜﹼﺎﻧﻴﺔ :ﻗﻮﻟﻪ ﺟ ﹼﻞ ﻣﻦ ﻗﺎﺋﻞ؛ {z h g f e d c
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻄﻼﻕ(12 :65 ،
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺬﺍﺭﻳﺎﺕ(56 :51 ،
ﻼ ﻋﻠﻰ ﺷﺮﻑ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ،ﻭﻟﺰﻭﻡ ﺍﻹﻗﺒﺎﻝ ﻋﻠﻴﻬﺎ ،ﹼﰒ ﻗﺎﻝ :ﻓﺄﻋﻈﻢ ﺑﺄﻣﺮﻳﻦ ﳘﺎ ﻗﺎﻝ :ﻭﻛﻔﻰ ﺬﻩ ﺍﻵﻳﺔ ﺩﻟﻴ ﹰ ﺍﳌﻘﺼﻮﺩ ﻣﻦ ﺧﻠﻖ ﺍﻟﺪﺍﺭﻳﻦ ﻓﺤ ﻖ ﻟﻠﻌﺒﺪ ﺃ ﹼﻻ ﻳﺸﺘﻐﻞ ﺇ ﹼﻻ ﻤﺎ ،ﻭﻻ ﻳﺘﻌﺐ ﺇ ﹼﻻ ﳍﻤﺎ ﻭﻻ ﻳﻨﻈﺮ ﺇ ﹼﻻ ﻓﻴﻬﻤﺎ ،ﻭﺍﻋﻠﻢ ﺃ ﹼﻥ ﻣﺎ ﺳﻮﺍﳘﺎ ﻣﻦ ﺍﻷﻣﻮﺭ ﺑﺎﻃﻞ ﻻ ﺧﲑ ﻓﻴﻪ ،ﻭﻟﻐﻮ ﻻ ﺣﺎﺻﻞ ﻓﻴﻪ ﻗﺎﻝ :ﻓﺈﺫﺍ ﻋﻠﻤﺖ ﺫﻟﻚ ،ﻓﺎﻋﻠﻢ ﺃ ﹼﻥ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺃﺷﺮﻑ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
60
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﳉﻮﻫﺮﻳﻦ ﻭﺃﻓﻀﻠﻬﻤﺎ .ﻭﻟﻜﻦ ﻻﺑﺪ ﻟﻠﻌﺒﺪ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ﻣﻊ ﺍﻟﻌﻠﻢ ،ﻭﺇ ﹼﻻ ﻛﺎﻥ ﻋﻠﻤﻪ ﻫﺒﺎ ًﺀ ﻣﻨﺜﻮﺭًﺍ ،ﻓﺈ ﹼﻥ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﲟﱰﻟﺔ ﻆ ﻭﻧﺼﻴﺐ". ﺍﻟﺸﺠﺮﺓ ﻭﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ﲟﱰﻟﺔ ﲦﺮﺓ ﻣﻦ ﲦﺮﺍﺎ ،ﻓﺈﺫﻥ ﻻ ﺑﺪ ﻟﻠﻌﺒﺪ ﻣﻦ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﻟﻪ ﻣﻦ ﻛﻼ ﺍﻷﻣﺮﻳﻦ ﺣ ﹼ ﻭﳚﺪﺭ ﺑﻨﺎ ﺃﻥ ﻧﺴﺘﺸﻬﺪ ﻭﻧﺆﻳﺪ ﺫﻟﻚ ﲟﺎ ﺟﺎﺀ ﰲ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﳌﺼﻄﻔﻰ ﻣﻦ ﺑﻴﺎﻥ ﻟﻔﻀﻴﻠﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺗﻮﺿﻴﺤﻪ ﻭﺗﻔﺼﻴﻠﻪ ﻛﻤﺎ ﺟﺎﺀ ﰲ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﻧﺬﻛﺮ ﺑﻌﻀًﺎ ﻣﻨﻬﺎ: ﻱ ﻭﻣﺴﻠﻢ ﻣﻦ ﺣﺪﻳﺚ ﺃﰊ ﻣﻮﺳﻰ ﺃ ﹼﻥ ﺍﻟﻨﱯ ﻗﺎﻝ: -1ﻣﺎ ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ " ﻣﺜﹶﻞ ﻣﺎ ﺑﻌﺜﲏ ﺍﷲ ﻣﻦ ﺍﳍﺪﻯ ﻭﺍﻟﻌﻠﻢ ﻛﻤﺜﻞ ﺍﻟﻐﻴﺚ ﺍﻟﻜﺜﲑ ﺃﺻﺎﺏ ﺃﺭﺿًﺎ ،ﻓﻜﺎﻥ ﻣﻨﻬﺎ ﻧﻘﻴ ﹲﺔ ﺏ ﺃﻣﺴﻜﺖ ﺍﳌﺎﺀ ﻓﻨﻔﻊ ﺍﷲ ﺎ ﻗﺒﻠﺖ ﺍﳌﺎﺀ ﻓﺄﻧﺒﺘﺖ ﺍﻟﻜﻸ ﻭﺍﻟﻌﺸﺐ ﺍﻟﻜﺜﲑ ،ﻭﻛﺎﻧﺖ ﻣﻨﻬﺎ ﺃﺟﺎﺩ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻓﺸﺮﺑﻮﺍ ﻭﺳﻘﻮﺍ ﻭﺯﺭﻋﻮﺍ ،ﻭﺃﺻﺎﺑﺖ ﻣﻨﻬﺎ ﻃﺎﺋﻔ ﹰﺔ ﺃﺧﺮﻯ ﺇﻧﻤﺎ ﻫﻲ ﻗﻴﻌﺎﻥ ﻻ ﲤﺴﻚ ﻣﺎﺀ ﻭﻻ ﺗﻨﺒﺖ ﻛﻸً ،ﻓﺬﻟﻚ ﻣﺜﻞ ﻣﻦ ﻓﻘﻪ ﰲ ﺩﻳﻦ ﺍﷲ ﻭﻧﻔﻌﻪ ﻣﺎ ﺑﻌﺜﲏ ﺍﷲ ﺑﻪ ﻓﻌﻠﻢ ﻭﻋﻠﹼﻢ ،ﻭﻣﺜﻞ ﻣﻦ ﱂ ﻳﺮﻓﻊ ﺑﺬﻟﻚ ﺭﺃﺳًﺎ ،ﻭﱂ ﻳﻘﺒﻞ ﻫﺪﻯ ﺍﷲ ﺍﻟﹼﺬﻱ ﺃﺭﺳﻠﺖ ﺑﻪ" )ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ 1378 ،ﻫـ ، 30/1:ﻭﻣﺴﻠﻢ 1407 ،ﻫـ(.2282 : ﻓﻘﺪ ﺷﺒﻪ ﺍﻟﻨﱯ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺍﳍﺪﻯ ﺍﻟﹼﺬﻱ ﺟﺎﺀ ﺑﻪ ﺍﻟﻐﻴﺚ ﳌﺎ ﳛﺼﻞ ﺑﻜ ﹼﻞ ﻭﺍﺣﺪ ﻣﻨﻬﻤﺎ ﻣﻦ ﺍﳊﻴﺎﺓ ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻊ ﻭﺍﻷﻏﺬﻳﺔ ﻭﺍﻷﺩﻭﻳﺔ ﻭﺳﺎﺋﺮ ﻣﺼﺎﱀ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩ ،ﻓﺈﻧﻬﺎ ﻣﻨﻮﻃﺔ ﺑﺎﻟﻌﻠﻢ ﻭﺍﳌﻄﺮ ،ﻭﺷﺒﻪ ﺍﻟﻘﻠﻮﺏ ﺑﺎﻷﺭﺽ ﺍﻟﺘﻲ ﻳﻘﻊ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﳌﻄﺮ ﻷﻧﻬﺎ ﺍﶈ ﹼﻞ ﺍﻟﹼﺬﻱ ﳝﺴﻚ ﺍﳌﺎﺀ ﻓﻴﻨﺒﺖ ﺳﺎﺋﺮ ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﻨﺒﺎﺕ ﺍﻟﻨﺎﻓﻊ ،ﻛﻤﺎ ﺃ ﹼﻥ ﺍﻟﻘﻠﻮﺏ ﺗﻌﻲ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻓﻴﺜﻤﺮ ﻓﻴﻬﺎ ﻭﻳﺰﻛﻮ ﻭﺗﻈﻬﺮ ﺑﺮﻛﺘﻪ ﻭﲦﺮﺗﻪ ،ﰒ ﻗﺴﻢ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺇﱃ ﺛﻼﺛﺔ ﺃﻗﺴﺎﻡ ﲝﺴﺐ ﻗﺒﻮﳍﻢ ﻭﺍﺳﺘﻌﺪﺍﺩﻫﻢ ﳊﻔﻆ ﻭﻓﻬﻢ ﻣﻌﺎﻧﻴﻪ ﻭﺍﺳﻨﺘﺒﺎﻁ ﺃﺣﻜﺎﻣﻪ ﻭﺍﺳﺘﺨﺮﺍﺝ ﺣﻜﻤﻪ ﻭﻓﻮﺍﺋﺪﻩ. ﺃﺣﺪﻫﺎ :ﺃﻫﻞ ﺍﳊﻔﻆ ﻭﺍﻟﻔﻬﻢ ﺍﻟﹼﺬﻳﻦ ﺣﻔﻈﻮﻩ ﻭﻋﻘﻠﻮﻩ ﻭﻓﻬﻤﻮﺍ ﻣﻌﺎﻧﻴﻪ ﻭﺍﺳﺘﻨﺒﻄﻮﺍ ﻭﺟﻮﻩ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﻭﺍﳊﻜﻢ ﻭﺍﻟﻔﻮﺍﺋﺪ ﻣﻨﻪ ،ﻓﻬﺆﻻﺀ ﲟﱰﻟﺔ ﺍﻷﺭﺽ ﺍﻟﺘﻲ ﻗﺒﻠﺖ ﺍﳌﺎﺀ ﻓﺄﻧﺒﺘﺖ ﺍﻟﻜﻸ ﻭﺍﻟﻌﺸﺐ ﺍﻟﻜﺜﲑ. ﺛﺎﻧﻴﻬﺎ :ﺃﻫﻞ ﺍﳊﻔﻆ ﺍﻟﹼﺬﻳﻦ ﺭﺯﻗﻮﺍ ﺣﻔﻈﻪ ﻭﻧﻘﻠﻪ ﻭﺿﺒﻄﻪ ،ﻭﱂ ﻳﺮﺯﻗﻮﺍ ﺗﻔﻘﹼﻬﺎ ﰲ ﻣﻌﺎﻧﻴﻪ ﻭﻻ ﺍﺳﺘﻨﺒﺎﻃﹰﺎ ﻭﻻ ﺍﺳﺘﺨﺮﺍﺟﹰﺎ ﻟﻮﺟﻮﻩ ﺍﳊﻜﻢ ﻭﺍﻟﻔﻮﺍﺋﺪ ﻣﻨﻪ ،ﻓﻬﺆﻻﺀ ﲟﱰﻟﺔ ﺍﻷﺭﺽ ﺍﻟﺘﻲ ﺃﻣﺴﻜﺖ ﺍﳌﺎﺀ ﻟﻠﻨﺎﺱ ﻓﺎﻧﺘﻔﻌﻮﺍ ﺑﻪ :ﻫﺬﺍ ﻳﺸﺮﺏ ﻣﻨﻪ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻳﺴﻘﻲ ﻭﻫﺬﺍ ﻳﺰﺭﻉ ،ﻓﻬﺆﻻﺀ ﺍﻟﻘﺴﻤﺎﻥ ﻫﻢ ﺍﻟﺴﻌﺪﺍﺀ ﻭﺍﻷﻭﻟﻮﻥ ﺃﺭﻓﻊ ﺩﺭﺟﺔ ﻭﺃﻋﻠﻰ ﻗﺪﺭًﺍ. ﺛﺎﻟﺜﻬﺎ :ﺍﻟﹼﺬﻳﻦ ﻻ ﻧﺼﻴﺐ ﳍﻢ ﻣﻨﻪ ﻻ ﺣﻔﻈﹰﺎ ﻭﻻ ﻓﻬﻤًﺎ ﻭﻻ ﺭﻭﺍﻳﺔ ﻭﻻ ﺩﺭﺍﻳﺔ ،ﺑﻞ ﻫﻢ ﲟﱰﻟﺔ ﺍﻷﺭﺽ ﺍﻟﺘﻲ ﻫﻲ ﻗﻴﻌﺎﻥ ،ﻻ ﺗﻨﺒﺖ ﻭﻻ ﲤﺴﻚ ﺍﳌﺎﺀ ﻟﻴﻨﺘﻔﻊ ﺑﻪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ،ﻭﻫﺆﻻﺀ ﻫﻢ ﺍﻷﺷﻘﻴﺎﺀ )ﺑﺘﺼﺮﻑ ﺍﻧﻈﺮ :ﺍﺑﻦ ﺍﻟﻘﻴﻢ1399 ،ﻫـ ﺹ.(66-65 -2ﻣﺎ ﺃﺧﺮﺟﻪ ﻣﺴﻠﻢ ﻣﻦ ﺣﺪﻳﺚ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﻗﺎﻝ :ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ: "ﺇﺫﺍ ﻣﺎﺕ ﺍﺑﻦ ﺁﺩﻡ ﺍﻧﻘﻄﻊ ﻋﻤﻠﻪ ﺇ ﹼﻻ ﻣﻦ ﺛﻼﺙ :ﺻﺪﻗﺔ ﺟﺎﺭﻳﺔ ،ﺃﻭ ﻋﻠﻢ ﻳﻨﺘﻔﻊ ﺑﻪ ،ﺃﻭ ﻭﻟﺪ ﺻﺎﱀ ﻳﺪﻋﻮ ﻟﻪ" )ﻣﺴﻠﻢ ،ﺻﺤﻴﺢ1407 ،ﻫـ(1631: ﻭﰲ ﻫﺬﺍ ﺩﻟﻴﻞ ﻋﻠﻰ ﻓﻀﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺍﻟﹼﺬﻱ ﺣﻴﺚ ﻳﻈ ﹼﻞ ﺛﻮﺍﺑﻪ ﺟﺎﺭﻳًﺎ ﻟﺼﺎﺣﺒﻪ ﺑﻌﺪ ﻣﻮﺗﻪ ﻣﺎ ﺍﻧﺘﻔﻊ ﺑﻪ ،ﻭﻣﺎ ﺃﺣﻮﺝ ﺍﳌﺮﺀ ﺇﱃ ﻋﻤﻞ ﺻﺎﱀ ﻳﺼﻞ ﺇﻟﻴﻪ ﺍﻟﺜﹼﻮﺍﺏ ﰲ ﺁﺧﺮﺗﻪ ﻓﺈﻥ ﻛﺎﻥ ﻣﻨ ﻌﻤًﺎ ﺯﺍﺩ ﰲ ﻧﻌﻴﻤﻪ ،ﻭﺇﻥ ﻛﺎﻥ ﻏﲑ ﺫﻟﻚ ﺧﻔﹼﻒ ﻋﻨﻪ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
61
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺗﻨﻮﻳﻪ ﺍﷲ ﺑﺄﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﳊﺚ ﺑﺎﻻﺯﺩﻳﺎﺩ ﻣﻨﻪ ﻭﳑﺎ ﻳﺤﻤﻞ ﻋﻠﻰ ﺫﻟﻚ ﺃﻳﻀًﺎ ﺍﻟﺘﻨﻮﻳﻪ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ ﺑﺄﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺣﻴﺚ ﺃﻋﻠﻰ ﺩﺭﺟﺎﻢ ﻭﺭﻓﻊ ﺷﺄﻬﻧﻢ ﻭﻣﻴﺰﻫﻢ ﻋﻠﻰ ﻏﲑﻫﻢ ﰲ ﺁﻳﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﻣﻦ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﺍﻟﻜﺮﱘ ،ﻓﻤﻦ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻲ ﺻﺮﺣﺖ ﲟﻜﺎﻧﺔ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ: -1ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ، { z `_ ^ ] \ [ Z Y X W V U T
)ﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ(18 :3 ،
ﻓﻘﺪ ﺩﻟﹼﺖ ﺍﻵﻳﺔ ﻋﻠﻰ ﺃ ﹼﻥ ﺷﻬﺎﺩﺓ ﺃﻭﱄ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﺑﺎﻟﻮﺣﺪﺍﻧﻴﺔ ﺗﻠﻲ ﺷﻬﺎﺩﺗﻪ ﻟﻨﻔﺴﻪ ﺑﺬﻟﻚ، ﻭﺷﻬﺎﺩﺓ ﻣﻼﺋﻜﺘﻪ ﻟﻪ ﺎ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻳﺪ ﹼﻝ ﻋﻠﻰ ﺷﺮﻑ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺃﻫﻠﻪ ﻣﻦ ﻭﺟﻮﻩ ﻋﺪﻳﺪﺓ ﻣﻨﻬﺎ: (1ﺍﺳﺘﺸﻬﺎﺩﻫﻢ ﺩﻭﻥ ﻏﲑﻫﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﺒﺸﺮ . (2ﺍﻗﺘﺮﺍﻥ ﺷﻬﺎﺩﻢ ﺑﺸﻬﺎﺩﺗﻪ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺷﻬﺎﺩﺓ ﻣﻼﺋﻜﺘﻪ . (3ﺃ ﹼﻥ ﰲ ﺍﻵﻳﺔ ﺗﺰﻛﻴﺔ ﳍﻢ ﻭﺗﻌﺪﻳﻼﹰ ،ﻓﺈ ﹼﻥ ﺍﷲ ﻻ ﻳﺴﺘﺸﻬﺪ ﻣﻦ ﺧﻠﻘﻪ ﺇ ﹼﻻ ﺍﻟﻌﺪﻭﻝ. (4ﻭﺻﻒ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﳍﻢ ﺑﺄﻭﱄ ﺍﻟﻌﻠﻢ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻳﺪ ﹼﻝ ﻋﻠﻰ ﺍﺧﺘﺼﺎﺻﻬﻢ ﺑﻪ ،ﻭﺃﻧﻬﻢ ﻣﻦ ﺃﻫﻠﻪ ﻭﺃﺻﺤﺎﺑﻪ. (5ﺃﻧﻪ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﺍﺳﺘﺸﻬﺪ ﻢ ﻋﻠﻰ ﺃﺟ ﹼﻞ ﻣﺸﻬﻮﺩ ﺑﻪ ﻭﺃﻋﻈﻤﻪ ،ﻭﻫﻮ ﺷﻬﺎﺩﺓ ﺃﻥ ﻻ ﺇﻟﻪ ﺇﻻ ﻫﻮ ،ﻭﺍﻟﻌﻈﻴﻢ ﺍﻟﻘﺪﻳﺮ ﺇﻧﻤﺎ ﻳﺴﺘﺸﻬﺪ ﻟﻪ ﺑﺄﻛﺎﺑﺮ ﺍﳋﻠﻖ ﻭﺳﺎﺩﺍﻢ. (6ﺃﻧﻪ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﺟﻌﻞ ﺷﻬﺎﺩﻢ ﺣﺠﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻨﻜﺮﻳﻦ ﻓﻬﻢ ﲟﱰﻟﺔ ﺃﺩﻟﹼﺘﻪ ﻭﺁﻳﺎﺗﻪ ﻭﺑﺮﺍﻫﻴﻨﻪ ﺍﻟﺪﺍﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﺗﻮﺣﻴﺪﻩ. (7ﺃﻧﻪ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﺟﻌﻠﻬﻢ ﻣﺆﺩﻳﻦ ﳊﻘﹼﻪ ﻋﻨﺪ ﻋﺒﺎﺩﻩ ﺬﻩ ﺍﻟﺸﻬﺎﺩﺓ ،ﻓﺈﺫﺍ ﺃ ﺩﻭﻫﺎ ﻓﻘﺪ ﺃﺩﻭﺍ ﺍﳊ ﻖ ﺍﳌﺸﻬﻮﺩ ﺑﻪ، ﻼ ﻓﺜﺒﺖ ﺍﳊ ﻖ ﺍﳌﺸﻬﻮﺩ ﺑﻪ ،ﻭﻭﺟﺐ ﻋﻠﻰ ﺍﳋﻠﻖ ﺍﻹﻗﺮﺍﺭ ﺑﻪ )ﺍﺑﻦ ﺍﻟﻘﻴﻢ1399 ،ﻫـﺶ ،(83:ﻓﻨﺎﻫﻴﻚ ﺬﺍ ﺷﺮﻓﹰﺎ ﻭﻓﻀ ﹰ ﻼ ﻷﻭﱄ ﺍﻟﻌﻠﻢ ،ﻓﺈﱃ ﺃﻥ ﻳﺼﻞ ﺷﻬﺎﺩﻢ ﷲ ﺑﺎﻟﻮﺣﺪﺍﻧﻴﺔ ﺩﻟﻴﻞ ﻋﻠﻰ ﺻﻔﺎﺀ ﻭﻃﻬﺎﺭﺓ ﻭﺣﺴﻦ ﺃﺧﻼﻗﻬﻢ ﻭﺟﻼ ًﺀ ﻭﻧﺒ ﹰ ﻭﻣﻌﺎﻣﻠﺘﻬﻢ ﻟﻠﻨﺎﺱ ﻟﻴﻨﺎﻟﻮﺍ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﺮﺗﺒﺔ ﺍﻟﺮﻓﻴﻌﺔ. -2ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ؛ { z ãâ á à ß Þ Ý Ü Û Ú
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﺎﺩﻟﺔ(11 :58 ، ﺃﻱ ﰲ ﺍﻟﺜﹼﻮﺍﺏ ﰲ ﺍﻵﺧﺮﺓ ﻭﰲ ﺍﻟﻜﺮﺍﻣﺔ ﰲ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ،ﻓﲑﻓﻊ ﺍﳌﺆﻣﻦ ﻋﻠﻰ ﻣﻦ ﻟﻴﺲ ﲟﺆﻣﻦ ،ﻭﺍﻟﻌﺎﱂ ﻋﻠﻰ ﻣﻦ ﻟﻴﺲ ﺑﻌﺎﱂ )ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ1417 ،ﻫـ1996-ﻡ" ،(299/17 :ﻓﻤﻦ ﲨﻊ ﺑﲔ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻭﺍﻟﻌﻠﻢ ﺭﻓﻌﻪ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺑﺈﳝﺎﻧﻪ ﺩﺭﺟﺎﺕ ،ﰒ ﺭﻓﻌﻪ ﺑﻌﻠﻤﻪ ﺩﺭﺟﺎﺕ" )ﺍﻟﺸﻮﻛﺎﱐ1418 ،ﻫـ1997-ﻡ.(189/5: ﻭﻛﻤﺎ ﺃﻣﺮ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻧﺒﻴﻪ ﳏﻤﺪﺍ ﺑﺎﻻﺯﺩﻳﺎﺩ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻓﻜﺬﻟﻚ ﺃﻣﺮ ﻛﺎﻓﹼﺔ ﻋﺒﺎﺩﻩ ﺃﻥ ﻳﺘﺰﻭﺩﻭﺍ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻣﺎ ﻳﺼﺤﺤﻮﻥ ﺑﻪ ﻣﻌﺘﻘﺪﺍﻢ ،ﻭﻳﺼﻠﺤﻮﻥ ﺑﻪ ﺃﻣﻮﺭ ﺩﻳﻨﻬﻢ ﻭﺩﻧﻴﺎﻫﻢ ،ﺣﻴﺚ ﻭﺭﺩ ﺍﻷﻣﺮ ﺍﻹﳍﻲ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺍﳋﻠﻴﻘﺔ ﺑﺄﻥ ﺗﻌﻠﻢ :ﺇﺣﺪﻯ ﻭﺛﻼﺛﲔ ﻣﺮﺓ ،ﻭﺫﻟﻚ ﰲ ﳎﺎﻝ ﺍﻷﻣﻮﺭ ﺍﻻﻋﺘﻘﺎﺩﻳﺔ ﻭﺍﻟﺘﺸﺮﻳﻌﻴﺔ ،ﻛﻘﻮﻟﻪ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ:
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
62
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
{zá à ß Þ Ý Ü
)ﺳﻮﺭﺓ ﳏﻤﺪ(19 :47 ، ﻭﻗﺪ ﻋﻘﺪ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ﳍﺬﻩ ﺍﻵﻳﺔ ﺑﺎﺑًﺎ ﻋﻨﻮﺍﻧﻪ " :ﺑﺎﺏ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻗﺒﻞ ﺍﻟﻘﻮﻝ ﻭﺍﻟﻌﻤﻞ ﻟﻘﻮﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ :ﻓﺎﻋﻠﻢ" ﻗﺎﻝ: ﻓﺒﺪﺃ ﺑﺎﻟﻌﻠﻢ )ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ 1378،ﻫـ .(27/1:ﻭﻗﻮﻟﻪ؛: {z ä ã â á à ß
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(233 :2 ،
ﻣﻨﻬﺞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﰲ ﺗﻘﻮﱘ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻓﻨﺠﺪ ﺃﻥ ﻟﻠﻌﻠﻢ ﻣﻨﺎﻫﺞ ﻟﻠﺘﻮﺻﻞ ﺇﱃ ﺻﻼﺡ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻓﻨﺒﺪﺃ ﲟﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘﺄﻣﻞ ﻭﺍﻟﻨﻈﺮ ﻭﺍﻟﺘﻔﻜﺮ ﻭﺍﻟﺘﺪﺑﺮ ﻓﻜﻠﻤﺔ ﺃﱂ ﺗﺮ ﻭﻣﺸﺘﻘﺎﺎ ﺃﻭ ﲟﺎ ﰲ ﻣﻌﻨﺎﻫﺎ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺑﻠﻐﺖ ﲬﺴﲔ ﻣﻮﺿﻌﺎ ﻛﻠﻬﺎ ﺗﺪﻝ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺘﺄﻣﻞ ﻭﺍﻟﺘﻔﻜﺮ ﻭﺍﻟﺘﺪﺑﺮ ﻣﻨﻬﺎ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ؛ {tsrq ponmlkjihgfedc zjihgfedcba`_~}|{zyxwvu
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳊﺞ(18 :22 ،
ﻭﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ؛ { k j ih g f e d c b a ` _ ^ ] \ [ Z Y zqpon ml
)ﺳﻮﺭﺓﺍﻟﺮﻭﻡ(8 :30 ،
ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ؛ {z g f e d c b a
)ﺳﻮﺭﺓ ﳏﻤﺪ(24 :47 ،
ﻓﻬﺬﻩ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﻛﻠﻬﺎ ﺗﺄﺧﺬ ﺑﺎﻟﻘﻠﺐ ﺇﱃ ﺍﻟﺘﻔﻜﺮ ﻭﺍﻟﺘﺪﺑﺮ ﻭﺍﻟﻨﻈﺮ ﰲ ﳐﻠﻮﻗﺎﺕ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﰲ ﺍﻟﺴﻤﺎﻭﺍﺕ ﻭﺍﻷﺭﺽ ﻭﺧﻠﻘﺔ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﻭﺗﺪﺑﺮ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺇﱃ ﻏﲑﻫﺎ ﳑﺎ ﳚﻌﻞ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻳﻨﻜﺴﺮ ﺃﻣﺎﻡ ﻋﻈﻤﺔ ﺍﷲ ﻭﺟﱪﻭﺗﻪ ﻭﻳﺸﻌﺮﻩ ﺑﺎﻟﺬﻝ ﻭﺍﳍﻮﺍﻥ ﻭﺃﻥ ﻻ ﺣﻮﻝ ﻭﻻ ﻗﻮﺓ ﻟﻪ ﺇﻻ ﺑﺎﷲ ،ﻭﺬﺍ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﻳﺴﺘﻄﻴﻊ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﺃﻥ ﻳ ﹶﻘﻴ ﻢ ﻗﻠﺒﻪ ﻭﻳﺼﻠﺤﻪ ﻭﻳﻨـﺰﻫﻪ ﻣﻦ ﺷﻮﺍﺋﺐ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻭﺍﻟﻌﻨﺎﺩ ﻭﺍﻟﻌﺠﺐ .ﻭﳒﺪ ﺃﻳﻀﺎ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﻌﻠﻤﻲ ﺍﻟﺘﺬﻛﲑﻱ ﺍﻟﻮﻋﻈﻲ ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛ { z ،h g f e d c ، a ` _ ^ ، \ [ Z Y X W
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻻﻧﻔﻄﺎﺭ(8-6 :82 ،
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
63
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻓﺘﺬﻛﲑ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺑﻌﺪﻡ ﺍﻻﻏﺘﺮﺍﺭ ﺑﺎﷲ ﻣﻦ ﺩﻭﺍﻋﻲ ﺍﻟﺘﻘﻮﱘ ﻓﻔﻴﻪ ﺗﺬﻛﲑ ﻟﻺِﻧﺴﺎﻥ ﲟﻮﺟﺒﺎﺕ ﺍﺳﺘﺤﻘﺎﻕ ﺍﻟﺮﺏ ﻃﺎﻋﺔ ﻣﺮﺑﻮﺑﻪ ﻓﻬﻮ ﺗﻌﺮﻳﺾ ﺑﺎﻟﺘﻮﺑﻴﺦ .ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺇﺟﺮﺍﺀ ﻭﺻﻒ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺩﻭﻥ ﻏﲑﻩ ﻣﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﷲ ﻟﻠﺘﺬﻛﲑ ﺑﻨﻌﻤﺘﻪ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻭﻟﻄﻔﻪ ﻢ ﻓﺈﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺣﻘﻴﻖ ﺑﺎﻟﺸﻜﺮ ﻭﺍﻟﻄﺎﻋﺔ .ﻓﺎﳋﹶﻠﻖ :ﺍﻹِﳚﺎﺩ ﻋﻠﻰ ﻣﻘﺪﺍﺭ ﻣﻘﺼﻮﺩ .ﻭﺍﻟﺘﺴﻮﻳﺔ: ﺟﻌﻞ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﺳﻮﻳﺎﹰ ،ﺃﻱ ﻗﻮﳝﹰﺎ ﺳﻠﻴﻤﺎﹰ ،ﻭﻣﻦ ﺍﻟﺘﺴﻮﻳﺔ ﺟﻌﻞ ﻗﻮﺍﻩ ﻭﻣﻨﺎﻓﻌﻪ ﺍﻟﺬﺍﺗﻴﺔ ﻣﺘﻌﺎﺩﻟﺔ ﻏﲑ ﻣﺘﻔﺎﻭﺗﺔ ﰲ ﺁﺛﺎﺭ ﻗﻴﺎﻣﻬﺎ ﺑﻮﻇﺎﺋﻔﻬﺎ ﲝﻴﺚ ﺇﺫﺍ ﺍﺧﺘﻞ ﺑﻌﻀﻬﺎ ﺗﻄﺮﻕ ﺍﳋﻠﻞ ﺇﱃ ﺍﻟﺒﻘﻴﺔ ﻓﻨﺸﺄ ﻧﻘﺺ ﰲ ﺍﻹِﺩﺭﺍﻙ ﺃﻭ ﺍﻹِﺣﺴﺎﺱ ﺃﻭ ﻧﺸﺄ ﺍﳓﺮﺍﻑ ﺍﳌﺰﺍﺝ ﺃﻭ ﺃﱂ ﻓﻴﻪ ،ﻓﺎﻟﺘﺴﻮﻳﺔ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﳍﺬﺍ ﺍﳌﻌﲎ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ .ﻭﺍﻟﺘﻌﺪﻳﻞ :ﺍﻟﺘﻨﺎﺳﺐ ﺑﲔ ﺃﺟﺰﺍﺀ ﺍﻟﺒﺪﻥ ﻣﺜﻞ ﺗﻨﺎﺳﺐ ﺍﻟﻴﺪﻳﻦ، ﻭﺍﻟﺮﺟﻠﲔ ،ﻭﺍﻟﻌﻴﻨﲔ ،ﻭﺻﻮﺭﺓ ﺍﻟﻮﺟﻪ ،ﻓﻼ ﺗﻔﺎﻭﺕ ﺑﲔ ﻣﺘﺰﺍﻭﺟﻬﺎ ،ﻭﻻ ﺑﺸﺎﻋﺔ ﰲ ﳎﻤﻮﻋﻬﺎ .ﻭﺟ ﻌﻠﹶﻪ ﻣﺴﺘﻘﻴﻢ ﺍﻟﻘﺎﻣﺔ )ﺍﺑﻦ ﻋﺎﺷﻮﺭ،ﺩ.ﺏ.(145/16: ﻣﻨﻬﺎ :ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻹﺭﺷﺎﺩﻱ ﰲ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ؛ { a `_ ^ ] \ [ Z Y XW V U T S R Q P z j i h g fe d c b
)ﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ(159 :3 ،
ﻓﺎﳌﻨﻬﺞ ﺍﻹﺭﺷﺎﺩﻱ ﻟﻪ ﻣﻴﺰﺗﻪ ﰲ ﺗﻘﻮﱘ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺇﺫ ﺑﺎﻹﺭﺷﺎﺩ ﻭﺍﻟﺘﻮﺟﻴﻪ ﳛﺼﻞ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﻭﻻ ﺳﻴﻤﺎ ﺃﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺔ ﻆ :ﺍﻟﺴﻲﺀ ﺧﻄﺎﺏ ﻟﻠﻨﱯ ﻭﺃﻣﺘﻪ ﻣﻦ ﺑﻌﺪﻩ ،ﻭﺍﳌﻌﲎ :ﻟﻮ ﻛﻨﺖ ﻓ ﹼﻈﹰﺎ ﻟﻨﻔﺮﻙ ﻛﺜﲑ ﳑﻦ ﺍﺳﺘﺠﺎﺏ ﻟﻚ ﻓﻬﻠﻜﻮﺍ ،ﻭﺍﻟ ﹶﻔ ﹼ ﺍﳋﻠﻖ ،ﺍﳉﺎﰲ ﺍﻟﻄﺒﻊ .ﻭﺍﻟﻐﻠﻴﻆ ﺍﻟﻘﻠﺐ :ﺍﻟﻘﺎﺳﻴﻪ ،ﺇﺫ ﺍﻟﻐﻠﻈﺔ ﳎﺎﺯ ﻋﻦ ﺍﻟﻘﺴﻮﺓ ﻭﻗﻠﹼﺔ ﺍﻟﺘﺴﺎﻣﺢ ،ﻭﺍﻻﻧﻔﻀﺎﺽ :ﺍﻟﺘﻔﺮﻕ. ﻛﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺼﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻴﺔ ﻟﺼﻼﺡ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻣﺮﺩﻭﺩﺓ ﻭﻣﺬﻣﻮﻣﺔ ﰲ ﺍﻻﺳﻼﻡ ﻭﺗﺄﺑﺎﻩ ﺍﻟﻔﻄﺮﺓ ﺍﻟﺴﻠﻴﻤﺔ .ﻭﻳﺄﰐ ﺑﻌﺪﻩ ﻣﺒﺎﺷﺮﺓ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻹﺭﺷﺎﺩﻱ ﻟﺘﻘﻮﱘ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺑﺎﻟﻌﻔﻮ ﻭﺍﻻﺳﺘﻐﻔﺎﺭ ﻭﺍﳌﺸﺎﻭﺭﺓ ﻭﺍﻟﻌﺰﳝﺔ ﻭﺍﻟﺘﻮﻛﻞ )ﺍﺑﻦ ﻋﺎﺷﻮﺭ، ﺩ.ﺏ.(261/3: ﻣﻨﻬﺎ :ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﻮﺻﻔﻲ ﻭﺍﻻﻣﺘﻨﺎﱐ ﰲ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ؛ {| } ~ ¡ § ¦ ¥ ¤ £ ¢ ¨ ©zª
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ(128 :9 ،
ﻭﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ؛ {´ Ã Â Á À ¿ ¾ ½ ¼ » º ¹ ¸ ¶ µ z ÎÍÌËÊÉ ÈÇÆ ÅÄ
)ﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ(124 :3 ،
ﻓﻨﺠﺪ ﰲ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﻮﺻﻔﻲ ﺍﻻﻣﺘﻨﺎﱐ ﺩﻋﺎﺋﻢ ﻟﺘﻘﻮﱘ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻭﺫﻟﻚ ﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﲟﺎ ﺍﻣﱳ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻟﻺﻧﺴﺎﻧﻴﺔ ﻋﺎﻣﺔ ﻭﻟﻠﻤﺆﻣﻨﲔ ﺧﺎﺻﺔ ﺑﺈﺭﺳﺎﻝ ﺍﻟﺮﺳﻞ ﺇﻟﻴﻬﻢ ﻭﺑﻴﺎﻥ ﻣﻬﻤﺎﻢ ﺍﻟﱵ ﻛﻠﻔﻬﻢ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻓﻴﺸﺘﺎﻕ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺇﱃ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
64
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺻﻔﺎﺕ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﺍﳌﺒﻌﻮﺙ ﻭﻛﻴﻒ ﻫﻲ ﺃﺧﻼﻗﻪ ﻭﴰﻴﻠﺘﻪ ﻓﻴﻜﻮﻥ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺑﻌﺪ ﺍﺗﺒﺎﻉ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﺳﻠﻴﻤﺎ ﺻﺤﻴﺤﺎ ﺻﺎﳊﺎ. ﻣﻨﻬﺎ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻹﺧﺒﺎﺭﻱ ﻭﺍﻟﻘﺼﺼﻲ، {e d c b a ` _ ~ } | { z y x w v u ..... ،m l k j i h gfﺇﱃ ﻗﻮﻟﻪz× Ö Õ ......
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﺎﺋﺪﺓ(31-27 :5 ،
ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﻫﺬﺍ ﺍﳊﺪﺙ ﺍﳉﻠﻞ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ ﻧﺮﻯ ﺃﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﻳﻮﺿﺢ ﻟﻨﺎ ﺃﳕﻮﺫﺟﹰﺎ ﻟﻄﺒﻴﻌﺔ ﺍﻟﺸﺮ ﻭﺍﻟﻌﺪﻭﺍﻥ ﺍﻟﺬﻱ ﻻ ﱳ ﻭﺍﺳﺘﺤ ﺮ ﺍﻟﻘﺘﻞ ﻋﻠﻰ ﻭﺟﻪ ﺍﻷﺭﺽ ﻫﻮ ﻗﺎﺑﻴﻞ ﻣﱪﺭ ﻟﻪ ،ﻭﻛﻤﺎ ﺃ ﹼﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻘﺼﺔ ﻫﻲ ﻣﻘﺪﻣﺔ ﻟﺴﻔﻚ ﺍﻟﺪﻣﺎﺀ ﻭﺃﻭﻝ ﻣﻦ ﺍﺳ ﺍﻟﹼﺬﻱ ﺳﻴﺘﺤﻤﻞ ﻭﺯﺭ ﻣﻦ ﺑﻌﺪﻩ ﺇﱃ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ ،ﻭﻣﺎ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺼﻔﺎﺕ ﺍﻟﺪﻧﻴﺌﺔ ﺇ ﹼﻻ ﺩﻟﻴﻞ ﳋﻠﻖ ﺳﻲﺀ ﺧﺒﻴﺚ ،ﻓﻌﻠﻰ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺍﻟﻌﺎﻗﻞ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺗﻮﻗﻲ ﺍﳊﺬﺭ ﻭﺍﻻﺗﻘﺎﺀ ﺍﻟﺸﺪﻳﺪ ﻣﻦ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺼﻔﺎﺕ ﺍﳌﺬﻣﻮﻣﺔ ﻛﺎﳊﺴﺪ ﻭﺍﳊﻘﺪ ﻭﺍﻟﺘﺴﺮﻉ ﰲ ﻭﺿﻊ ﺍﻟﻘﺮﺍﺭ ﳑﺎ ﻗﺪ ﻳﺆﺩﻱ ﺇﱃ ﺍﻟﻘﺘﻞ ﻭﺍﺳﺘﺤﻼﻝ ﺍﻟﺪﻡ ﻭﻻﺷﻚ ﺃﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﻓﻌﺎﻝ ﻧﺘﻴﺠﺔ ﻻﺗﺒﺎﻉ ﺍﳍﻮﻯ ﻭﺍﻟﻨﻔﺲ ﺍﻷﻣﺎﺭﺓ ﺍﻟﺘﻲ ﺗﻌﻤﻰ ﺍﻟﻘﻠﻮﺏ )ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ1417 ،ﻫـ1996-ﻡ ،43/2 :ﺭﺷﻴﺪ ﺭﺿﺎ ،ﺩ.ﺕ ،343/6:ﻭﺍﻟﻘﺎﲰﻲ1398 ،ﻫـ.(159/6 : ﻣﻨﻬﺎ ﻣﻨﻬﺞ ﺍﳌﻮﺍﺯﻧﺔ ﻭﺍﳌﻘﺎﺭﻧﺔ ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛ { zÑ Ð Ï Î ÍÌ Ë Ê É È Ç Æ Å
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺰﻣﺮ(9 :39 ،
ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛ { ` z ji h g f e d c b a
) ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺮﻋﺪ(16 :13 ،
ﻓﺎﳌﻮﺍﺯﻧﺔ ﻭﺍﳌﻘﺎﺭﻧﺔ ﻣﻨﻬﺞ ﻗﻮﱘ ﰲ ﺻﻼﺡ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺇﺫ ﺃﻥ ﺍﳌﻌﲎ :ﻻ ﻳﺴﺘﻮﻱ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﳍﻢ ﻋﻠﻢ ﻓﻬﻢ ﻳﺪﺭﻛﻮﻥ ﺣﻘﺎﺋﻖ ﺍﻷﺷﻴﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﻣﺎ ﻫﻲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﲡﺮﻱ ﺃﻋﻤﺎﳍﻢ ﻋﻠﻰ ﺣﺴﺐ ﻋﻠﻤﻬﻢ ،ﻣﻊ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﻻ ﻳﻌﻠﻤﻮﻥ ﻓﻼ ﻳﺪﺭﻛﻮﻥ ﺍﻷﺷﻴﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﻣﺎ ﻫﻲ ﻋﻠﻴﻪ ﺑﻞ ﲣﺘﻠﻂ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺍﳊﻘﺎﺋﻖ ﻭﲡﺮﻱ ﺃﻋﻤﺎﳍﻢ ﻋﻠﻰ ﻏﲑ ﺍﻧﺘﻈﺎﻡ ،ﻛﺤﺎﻝ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺗﻮﳘﻮﺍ ﺍﳊﺠﺎﺭﺓ ﺁﳍﺔ ﻭﻭﺿﻌﻮﺍ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻣﻮﺿﻊ ﺍﻟﺸﻜﺮ .ﻭﰲ ﺫﻟﻚ ﺇﺷﺎﺭﺓ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺍﻹِﳝﺎﻥ ﺃﺧﻮ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻷﻥ ﻛﻠﻴﻬﻤﺎ ﻧﻮﺭ ﻭﻣﻌﺮﻓ ﹲﺔ ﺣﻖ ،ﻭﺃﻥ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﺃﺧﻮ ﺍﻟﻀﻼﻝ ﻷﻧﻪ ﻭﺍﻟﻀﻼﻝ ﻇﻠﻤﺔ ﻭﺃﻭﻫﺎﻡ ﺑﺎﻃﻠﺔ ،ﻓﻤﻘﺎﺭﻧﺔ ﺍﻟﺸﻴﺌﲔ ﻭﻣﻌﺎﺩﻟﺘﻪ ﻭﳏﺎﺫﺍﺗﻪ ﺑﺎﻟﺴﻨﺪ ﺇﱃ ﻣﻘﻴﺎﺱ ﺍﻟﺸﺮﻉ ﺍﻹﳍﻲ ﻣﻦ ﺩﻋﺎﺋﻢ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ )ﺍﻟﻄﺎﻫﺮ ﻋﺎﺷﻮﺭ ،ﺩ.ﺕ.(294/12: ﺁﺛﺎﺭ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﰲ ﺗﻘﻮﱘ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺇ ﹼﻥ ﻣﻦ ﺁﺛﺎﺭ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﰲ ﺗﻘﻮﱘ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺗﱪﺯ ﻋﻼﻣﺘﻬﺎ ﰲ ﻣﺪﻯ ﻋﻠ ﻮ ﻣﺮﺗﺒﺔ ﺍﳋﺸﻴﺔ ﻭﺍﳋﻮﻑ ﻭﺛﺒﺎﺎ ﻭﺭﺳﻮﺧﻬﺎ ﰲ ﻗﻠﻮﺏ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﺍﻟﺼﺎﳊﲔ ﻭﺧﺼﻮﺻًﺎ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺃﻭ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻛﻤﺎ ﰲ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ؛ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
65 { ¯ z µ´ ³ ² ± °
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
)ﺳﻮﺭﺓ ﻓﺎﻃﺮ(28 :35 ،
ﻓﻘﺼﺮ ﺧﺸﻴﺘﻪ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻓﻴﻬﻢ ،ﻷﻧﻬﻢ ﺃﻋﺮﻑ ﺑﺎﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻭﺟﻼﻟﺘﻪ ﻭﻋﻈﻤﺘﻪ ،ﻭﻣﻦ ﻛﺎﻥ ﺑﺎﷲ ﺃﻋﺮﻑ ﻛﺎﻥ ﻣﻨﻪ ﺃﺧﻮﻑ ،ﲞﻼﻑ ﺃﻫﻞ ﺍﳉﻬﻞ ﻓﺈﻧﻬﻢ ﳌﹼﺎ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻻ ﻳﻌﺮﻓﻮﻥ ﺍﷲ ﺣ ﻖ ﻣﻌﺮﻓﺘﻪ ،ﱂ ﳜﺸﻮﻩ ﻓﻠﺬﻟﻚ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻻ ﻳﺮﺟﻮﻥ ﷲ ﻭﻗﺎﺭًﺍ ،ﻭﻳﻌﺼﻮﻧﻪ ﺟﻬﺎﺭًﺍ ﻭﻬﻧﺎﺭًﺍ ،ﻭﰲ ﻫﺬﺍ ﺩﻻﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﻓﻀﻞ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﻋﻈﻴﻢ ﻣﱰﻟﺘﻬﻢ ﻷﻧﻬﻢ ﺃﻫﻞ ﺧﺸﻴﺔ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻭﺃﻫﻞ ﺧﺸﻴﺘﻪ ﻫﻢ ﺃﻫﻞ ﺟﻨﺘﻪ؛ { z W V U T SR Q P O N ML K J I H G F E D
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻴﻨﺔ(8 :98 ،
ﻭﻣﻦ ﺫﻟﻚ ﺃﻳﻀًﺎ ﻧﻴﻞ ﻟﻘﺒﺔ ﺍﳋﲑﻳﺔ ﺍﻟﺪﺍﺋﻤﺔ ﻛﻤﺎ ﰲ ﺣﺪﻳﺚ ﻣﻌﺎﻭﻳﺔ ﻗﺎﻝ :ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ: "ﻣﻦ ﻳﺮﺩ ﺍﷲ ﺑﻪ ﺧﲑﺍ ﻳﻔﻘﹼﻪ ﰲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ،ﻭﺇﻧﻤﺎ ﺃﻧﺎ ﻗﺎﺳﻢ ﻭﺍﷲ ﻳﻌﻄﻲ ،ﻭﻟﻦ ﺗﺰﺍﻝ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﻣﺔ ﻗﺎﺋﻤﺔ ﱴ ﻳﺄﰐ ﺃﻣﺮ ﺍﷲ" ﻋﻠﻰ ﺃﻣﺮ ﺍﷲ ﻻ ﻳﻀﺮﻫﻢ ﻣﻦ ﺧﺎﻟﻔﻬﻢ ﺣ )ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ 1378 ،ﻫـ ،28/1:ﻭﻣﺴﻠﻢ 1407 ،ﻫـ(.1037 : "ﻭﺍﳌﻌﲎ :ﺃ ﹼﻥ ﻣﻦ ﻓﻘﹼﻬﻪ ﺍﷲ ﰲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻓﻘﺪ ﺃﺭﺍﺩ ﺑﻪ ﺧﲑًﺍ ،ﻭﺍﳌﺮﺍﺩ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﳌﺴﺘﻠﺰﻡ ﻟﻠﻌﻤﻞ ،ﻭﺃ ﹼﻥ ﻣﻦ ﱂ ﻳﻔﻘﹼﻬﻪ ﰲ ﺩﻳﻨﻪ ﱂ ﻳﺮﺩ ﺑﻪ ﺧﲑًﺍ ،ﻭﰲ ﻫﺬﺍ ﺑﻴﺎﻥ ﻟﻔﻀﻞ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﺳﺎﺋﺮ ﺍﻟﻨﺎﺱ ،ﻭﻓﻀﻞ ﺍﻟﺘﻔﻘﻪ ﰲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﻠﻰ ﺳﺎﺋﺮ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ " )ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ1398 ،ﻫـ.(259/1: ﻭﻣﻦ ﺍﻵﺛﺎﺭ ﺃﻳﻀًﺎ ﳒﺪ ﺃ ﹼﻥ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻗﺪ ﺑﻠﻎ ﺩﺭﺟﺔ ﺍﻟﻨﻘﺎﺀ ﻭﺍﻟﺼﻔﺎﺀ ﺑﻌﻴﺪ ﻋﻦ ﺍﳊﺴﺪ ﻭﺍﻟﺒﻐﺾ ﻭﺍﻟﺸﺤﻨﺎﺀ ﻓﻨﻘﻴﺖ ﺳﲑﻢ ﻭﺳﺮﻳﺮﻢ ﻭﺫﻟﻚ ﺑﺴﺒﺐ ﺍﺳﺘﻐﻔﺎﺭ ﺍﳌﻼﺋﻜﺔ ﺍﻟﹼﺬﻳﻦ ﰲ ﺍﻟﺴﻤﺎﻭﺍﺕ ﻭﺍﻷﺭﺽ ﳍﻢ ﺣﺘﻰ ﺍﳊﻴﺘﺎﻥ ﺍﻟﺘﻲ ﰲ ﺟﻮﻑ ﺍﳌﺎﺀ ،ﻭﺍﻟﻨﻤﻞ ﰲ ﺟﺤﺮﻫﺎ ﻛﻤﺎ ﰲ ﺣﺪﻳﺚ ﺃﰊ ﺃﻣﺎﻣﺔ ﺍﻟﺒﺎﻫﻠﻲ ﻗﺎﻝ :ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ: "ﺇ ﹼﻥ ﺍﷲ ﻭﻣﻼﺋﻜﺔ ﻭﺃﻫﻞ ﺍﻟﺴﻤﻮﺍﺕ ﻭﺍﻷﺭﺽ ﺣﺘﻰ ﺍﻟﻨﻤﻠﺔ ﰲ ﺟﺤﺮﻫﺎ ،ﻭﺣﺘﻰ ﺍﳊﻮﺕ ﻟﻴﺼﻠﱡﻮﻥ ﻋﻠﻰ ﻣﻌﻠﹼﻢ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺍﳋﲑ" )ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ 1394 ،ﻫـ1974-ﻡ(154/4: ﻭﻣﻨﻬﺎ ﺃﻳﻀًﺎ ﺍﺗﺨﺎﺫ ﺍﳊﺬﺭ ﻭﺍﳋﻮﻑ ﻣﻦ ﺍﻟﻮﻗﻮﻉ ﰲ ﺍﳌﻌﺼﻴﺔ ﻭﻣﺎ ﺇﱃ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﻨﻜﺎﻝ ﰲ ﺍﻵﺧﺮﺓ ﻭﺃﻳﻀًﺎ ﺻﻔﺔ ﺍﻟﺮﺟﺎﺀ ﺍﳌﺘﻌﻠﹼﻖ ﺑﺎﷲ ﻋ ﺰ ﻭﺟ ﹼﻞ ﻭﺭﲪﺘﻪ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻻ ﻳﺘﺨﺬﻩ ﺇ ﹼﻻ ﺍﻟﻌﺎﳌﻮﻥ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ؛ {¸ É È Ç Æ Å ÄÃ Â Á À ¿ ¾ ½ ¼ » º ¹ z Ñ Ð Ï Î ÍÌ Ë Ê
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺰﻣﺮ(9 :39 ، อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
66
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻓﻨﺠﺪ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﰲ ﺣﺬﺭ ﺩﺍﺋﻢ ﻭﺍﻧﺘﺒﻬﺎﻩ ﻣﺴﺘﻤﺮ ﳛﺬﺭﻭﻥ ﻣﻦ ﺍﻟﻮﻗﻮﻉ ﰲ ﺍﳌﻌﺎﺻﻲ ﺍﻟﺘﻲ ﻻ ﺗﺮﺿﻲ ﺍﷲ، ﻭﺍﻟﻌﻜﺲ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﺮﺟﺎﺀ ﻭﺍﻷﻣﻞ ﰲ ﻣﻐﻔﺮﺗﻪ ﻭﺭﲪﺘﻪ ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻧﻴﻞ ﻣﱰﻟﺔ ﺍﻟﺘﻘﻮﻯ ﺍﻟﺘﻲ ﺑﻪ ﺗﻄﹾﻬﺮ ﺍﻟﻨﻔﻮﺱ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﻧﺎﻳﺎ ﻛﺘﻄﻬﲑ ﺍﻷﺭﺽ ﻟﻠﺒﺬﺭ ﻣﻦ ﺧﺒﺎﺋﺚ ﺍﻟﻨﺒﺎﺕ ،ﻭﺫﻟﻚ ﻷ ﹼﻥ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻧﻮﺭ ﺑﻪ ﳛﺼﻞ ﺍﻟﺘﻘﻮﻯ ،ﻻ ﻳﺼﻠﺢ ﻟﻪ ﻗﻠﺐ ﺭﺍﻧﺖ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺬﹼﻧﻮﺏ ﻭﺍﳌﺴﺎﻭﺉ ﺍﳋﻠﻘﻴﺔ ﺑﻞ ﻭﻻ ﻳﺪﺧﻞ ﻓﻴﻪ ،ﻭﺇﻧﻤﺎ ﻳﺪﺧﻞ ﰲ ﻗﻠﺐ ﻃﺎﻫﺮ ﻧﻘﻲ )ﺍﻧﻈﺮ :ﺍﻷﺻﻔﻬﺎﱐ1408 ،ﻫـ ﺹ .(240ﻟﺬﻟﻚ ﻳﻘﻮﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ؛ { z Ó Ò Ñ Ð ÏÎ Í ÌË Ê
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(282 :2 ، ))ﻓﺈ ﹼﻥ ﻫﺬﺍ ﻭﻋﺪ ﻣﻦ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺑﺄ ﹼﻥ ﻣﻦ ﺍﺗﻘﺎﻩ ﻋﱠﻠ ﻤﻪ ،ﺃﻱ ﳚﻌﻞ ﰲ ﻗﻠﺒﻪ ﻧﻮﺭًﺍ ﻳﻔﻬﻢ ﺑﻪ ﻣﻦ ﻣﺎ ﻳ ﹾﻠﻘﹶﻰ ﺇﻟﻴﻪ(( )ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ1417 ،ﻫـ1996-ﻡ.(406/3 : ﻣﻨﻬﺎ ﺃﻳﻀًﺎ ﻟﲔ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻭﺫﻟﻚ ﺑﺎﻟﺒﻜﺎﺀ ﻭﺍﳋﺸﻴﺔ ﻭﺍﳋﺸﻮﻉ ﻭﺍﻟﺘﺬﻟﹼﻞ ﻟﻪ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ؛ {] ^ _ ` p o n m l k j ،h g f e d c b a zx w v u t s،q
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻹﺳﺮﺍﺀ(109-107 :17 ،
ﺇ ﹼﻥ ﺍﻷﺟﺪﺭ ﲟﻦ ﻳﺘﺼﻒ ﺑﺴﻼﻣﺔ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻭﲤﺜﻠﺖ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﺴﻼﻣﺔ ﰲ ﺳﻠﻮﻛﻪ ﻭﺃﻗﻮﺍﻟﻪ ﻭﺃﻓﻌﺎﻟﻪ ﻫﻢ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺍﻟﹼﺬﻳﻦ ﻫﻢ ﻭﺭﺛﺔ ﺍﻷﻧﺒﻴﺎﺀ ،ﺍﻟﻘﺎﺋﻤﻮﻥ ﲝﻤﻞ ﺃﻋﺒﺎﺀ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻮﺭﺍﺛﺔ ﻹﺻﻼﺡ ﺍﻷﻓﺮﺍﺩ ﻭﺍﳉﻤﺎﻋﺎﺕ ﻭﺍﻷﻣﻢ ،ﻛﻤﺎ ﻫﻮ ﻣﻘﺘﻀﻰ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻮﺭﺍﺛﺔ ،ﻭﻛﻤﺎ ﻫﻮ ﺍﻟﺸﺄﻥ ﰲ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ،ﻓﻜﺎﻥ ﺍﻟﻮﺍﺟﺐ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺃﻥ ﻳﺘﻤﺜﹼﻠﻮﺍ ﺍﻷﺧﻼﻕ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﻂ ﺃﻧﻈﺎﺭﻫﻢ ﰲ ﺍﻟﺘﺄﺳﻲ ﻭﺍﻻﻗﺘﺪﺍﺀ ،ﻓﺤﻴﺜﻤﺎ ﺍﺗﺼﻔﻮﺍ ﺍﻋﺘﻘﺎﺩًﺍ ﻭﻗﻮ ﹰﻻ ﻭﻋﻤﻼﹰ ،ﺃﻛﺜﺮ ﻣﻦ ﻏﲑﻫﻢ ،ﺇﺫ ﻫﻢ ﺃﺩﻟﹼﺔ ﺍﻟﻨﺎﺱ ،ﻭﳏ ﹼ ﻼ ﻭﻧﺒﻼﹰ ،ﻭﺍﺳﺘﻘﺎﻣﺔ ﻭﺳﻠﻮﻛﹰﺎ ﺣﺴﻨًﺎ ،ﻭﺣﻴﺜﻤﺎ ﲣﻠﹼﻮﺍ ﺑﺴﻼﻣﺔ ﺍﻟﻘﻠﺐ ،ﺃﻓﺎﺩﻭﺍ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﻭﳎﺘﻤﻌﺎﻢ ﻭﺃﻭﺭﺛﻮﺍ ﺍﺘﻤﻊ ﻓﻀ ﹰ ﻼ ﺧﺴﻴﺴًﺎ ﻷﻧﻪ ﻳﻘﺘﺒﺲ ﻋﻨﻬﺎ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻗﺪﻭﺓ ﺘﻤﻌﺎﻢ ﻟﻠﺘﺨﻠﹼﻲ ﻋﻦ ﺍﻟﻔﻀﻴﻠﺔ ﻭﺍﻟﺘﺤﻠﹼﻲ ﺑﺎﻟﺮﺫﻳﻠﺔ ،ﻭﺃﺻﺒﺢ ﺍﺘﻤﻊ ﺭﺫﻳ ﹰ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻼﻣﺔ ﻣﻦ ﻋﻠﻴﺎﺋﻪ ،ﻭﻫﻢ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﰲ ﺳﻠﻮﻛﻬﻢ ﻭﻣﻌﺎﻣﻼﻢ ،ﻟﺬﻟﻚ ﻛﺎﻥ ﳍﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﻣﺎ ﻟﻴﺲ ﻟﻐﲑﻫﻢ ﺇﻥ ﺍﻫﺘﺪﻭﺍ ﻭﻫﺪﻭﺍ ،ﻭﻋﻠﻴﻬﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻮﺯﺭ ﻣﺎ ﻟﻴﺲ ﻋﻠﻰ ﻏﲑﻫﻢ ﺇﻥ ﺿﻠﹼﻮﺍ ﻭﺃﺿﻠﹼﻮﺍ ،ﻛﻤﺎ ﻳﺪ ﹼﻝ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﻘﺎﺋﻞ: "ﻣﻦ ﺩﻋﺎ ﺇﱃ ﻫﺪﻯ ﻛﺎﻥ ﻟﻪ ﻣﻦ ﺍﻷﺟﺮ ﻣﺜﻞ ﺃﺟﻮﺭ ﻣﻦ ﺗﺒﻌﻪ ﻻ ﻳﻨﻘﺺ ﺫﻟﻚ ﻣﻦ ﺃﺟﻮﺭﻫﻢ ﺷﻴﺌﹰﺎ، ﻭﻣﻦ ﺩﻋﺎ ﺇﱃ ﺿﻼﻟﺔ ﻛﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﻣﻦ ﺍﻹﰒ ﻣﺜﻞ ﺁﺛﺎﻡ ﻣﻦ ﺗﺒﻌﻪ ﻻ ﻳﻨﻘﺺ ﺫﻟﻚ ﻣﻦ ﺁﺛﺎﻣﻬﻢ ﺷﻴﺌﹰﺎ" )ﻣﺴﻠﻢ ،ﺻﻴﺤﻴﺢ1407 ،ﻫـ.(2674 :
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
67
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﳋﺎﲤﺔ
ﺑﺴﻢ ﺍﷲ ﻭﺍﻟﺼﻼﺓ ﻭﺍﻟﺴﻼﻡ ﻋﻠﻰ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﻭﻋﻠﻰ ﺁﻟﻪ ﻭﺻﺤﺒﻪ ﻭﻣﻦ ﻭﺍﻻﻩ ﻭﺳﻠﻢ ﺗﺴﻠﻴﻤﺎ ﻛﺜﲑﺍ. ﻓﺒﻌﺪ ﺍﻟﻔﺮﺍﻍ ﻣﻦ ﻛﺘﺎﺑﺔ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻘﺎﻟﺔ ﺗﻠﺨﺼﺖ ﻟﻨﺎ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻨﻘﺎﻁ ﺍﻟﺘﺎﻟﻴﺔ: ﺃﻥ ﺗﻌﺮﻳﻒ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺍﻻﺻﻄﻼﺣﻲ ﻳﻄﺎﺑﻖ ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺍﻟﻠﻐﻮﻱ ﻣﻦ ﺇﺩﺭﺍﻙ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﻭﺍﻟﻴﻘﲔ ﲝﻘﻴﻘﺘﻪ ﻭﺍﻟﻮﺻﻮﻝ ﺇﱃ ﺍﻻﻋﺘﻘﺎﺩ ﺍﳉﺎﺯﻡ ﺍﳌﻄﺎﺑﻖ ﻟﻠﺤﻘﻴﻘﺔ .ﻛﺬﻟﻚ ﳒﺪ ﰲ ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺍﻟﻠﻐﻮﻱ ﺍﻟﺪﺍﻝ ﻋﻠﻰ ﺧﺎﻟﺺ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﻭﺷﺮﻓﻪ ،ﻭﻛﻤﺎ ﺃﻧﻪ ﺃﻳﻀﺎ ﻟﻄﻴﻔﺔ ﺭﺑﺎﻧﻴﺔ ﺭﻭﺣﺎﻧﻴﺔ ،ﻭﻫﻲ ﺣﻘﻴﻘﺔ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﺍﳌﺪﺭﻙ ﺍﻟﻌﺎﱂ ﺍﻟﻌﺎﺭﻑ .ﺗﺘﻘﻠﺐ ﻭﺗﺘﺤﻮﻝ ﳍﺎ ﻋﻼﻗﺔ ﺑﺎﻟﻘﻠﺐ ﺍﳉﺴﻤﺎﱐ .ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺍﳌﻨﻬﺎﺝ ﻭﺍﻟﺘﻘﻮﱘ ﻓﺈﻬﻧﻤﺎ ﻳﺪﻻﻥ ﻋﻠﻰ ﺳﻠﻮﻙ ﺍﻟﻄﺮﻳﻖ ﺍﻟﻮﺍﺿﺢ ﺍﳌﺴﺘﻘﻴﻢ ﺍﻟﺜﺎﺑﺚ ﻭﺍﳌﺼﻠﺢ ﻭﺍﳌﻌﺪﻝ. ﻭﳒﺪ ﻋﻨﺪ ﺗﻨﺎﻭﻟﻨﺎ ﳌﱰﻟﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﻭﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﺜﺎﺑﺘﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻨﻮﻩ ﲟﻜﺎﻧﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺷﺮﻓﻪ ﻭﺗﻨﻮﻳﻪ ﺍﷲ ﻟﻪ ﻭﺃﻫﻠﻪ ﻭﺍﳊﺚ ﺑﺎﻻﺯﺩﻳﺎﺩ ﻣﻨﻪ ﰲ ﺁﻳﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ،ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺑﺮﻭﺯ ﺁﺛﺎﺭ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﰲ ﺗﻘﻮﱘ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﰲ ﺍﺭﺗﻔﺎﻉ ﺍﳋﺸﻴﺔ ﻭﺍﳋﻮﻑ ﻭﺛﺒﺎﺎ ﻭﺭﺳﻮﺧﻬﺎ ﰲ ﻗﻠﻮﺏ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﺧﺎﺻﺔ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻣﻨﻬﻢ ،ﻭﻧﻴﻠﻬﻢ ﻟﻘﺒﺔ ﺍﳋﲑﻳﺔ ﺍﻟﺪﺍﺋﻤﺔ ،ﻭﺑﻠﻮﻍ ﺩﺭﺟﺔ ﺍﻟﻨﻘﺎﺀ ﻭﺍﻟﺼﻔﺎﺀ ﺍﻟﺮﻭﺣﻲ ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺍﲣﺎﺫ ﺍﳊﺬﺭ ﻭﺍﳋﻮﻑ ﻣﻦ ﺍﻟﻮﻗﻮﻉ ﰲ ﺍﳌﻌﺎﺻﻲ ﻭﺧﺘﺎﻣﺎ ﺑﻠﲔ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﺍﳌﺘﻤﺜﻠﺔ ﰲ ﺍﻟﺒﻜﺎﺀ ﻭﺍﳋﺸﻴﺔ ﻭﺍﳋﺸﻮﻉ ﻭﺍﻟﺘﺬﻟﻞ. ﺍﳌﻘﺘﺮﺣﺎﺕ
-1ﺩﻋﻮﺓ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻭﺍﳌﺜﻘﻔﲔ ﺇﱃ ﺍﻟﺘﺮﻛﻴﺰ ﺍﻟﺪﻗﻴﻖ ﰲ ﺍﺳﺘﺨﺮﺍﺝ ﻣﻨﻬﺞ ﺍﻟﻮﺣﻲ ﰲ ﺗﻘﻮﻡ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻣﻦ ﻣﻨﺒﻌﻬﺎ ﺍﻷﺻﻴﻞ :ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ،ﺑﺄﺳﻠﻮﺏ ﻳﻨﺎﺳﺐ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﻭﻳﺘﻮﺍﻛﺐ ﻣﻊ ﺍﻟﺰﻣﻦ ،ﻛﻲ ﺗﺴﻬﻞ ﺍﻻﺳﺘﻔﺎﺩﺓ ﻣﻨﻬﺎ ﻋﻨﺪ ﺃﺑﻨﺎﺀ ﺃﻣﺘﻨﺎ ﻭﻣﻦ ﺗﻜﺘﺐ ﻟﻪ ﺍﳍﺪﺍﻳﺔ ﻣﻦ ﻏﲑﻫﺎ. -2ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﻟﻠﺤﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻧﺼﻴﺐ ﰲ ﺍﻟﺪﺭﻭﺱ ﻭﺍﶈﺎﺿﺮﺍﺕ ﻭﺍﳋﻄﺐ ﰲ ﺍﳌﺴﺎﺟﺪ ﻭﺍﳉﻮﺍﻣﻊ ﺍﻟﻜﱪﻯ ﺍﳌﺆﲤﺮﺍﺕ ﻭﺍﻟﻨﺪﻭﺍﺕ ﻭﺍﻟﻠﻘﺎﺀﺍﺕ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ ﺑﺸﱴ ﺍﻟﻠﻐﺎﺕ ﺍﳌﻮﺟﻮﺩﺓ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﺭﺽ. -3ﻭﺟﻮﺏ ﺍﻻﻫﺘﻤﺎﻡ ﺬﺍ ﺍﻟﻌﻀﻮ ﺍﳌﺘﺮﻭﻙ ﻭﺧﺼﻮﺻﺎ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻭﺍﻟﺮﻭﺡ ﻟﻘﻠﺔ ﻣﻦ ﻳﻬﺘﻤﻮﻥ ﺎ ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺍﻻﻫﺘﻤﺎﻡ ﺑﺘﻐﺬﻳﺘﻬﺎ ﻏﺬﺍﺀ ﺭﻭﺣﻴﺎ ﻭﻧﻔﺴﻴﺎ ﻭﻋﻠﻤﻴﺎ ﻭﺛﻘﺎﻓﻴﺎ؛ ﻛﻤﺎ ﺗﻌﺘﲎ ﺍﳉﺴﻢ ﻭﺍﳉﺴﺪ ﺑﺸﻜﻞ ﻛﺒﲑ
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
68
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ،ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1398 .ﻫـ .ﻓﺘﺢ ﺍﻟﺒﺎﺭﻱ ﺑﺸﺮﺡ ﺻﺤﻴﺢ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ .ﺷﺮﻃﺔ ﺍﻟﻄﺒﺎﻋﺔ ﺍﻟﻔﻨﻴﺔ ﺍﳌﺘﺤﺪﺓ. ﺍﺑﻦ ﺳﻴﺪﻩ ،ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ .ﺩ.ﺕ .ﺍﶈﻜﻢ ﻭﺍﶈﻴﻂ ﺍﻷﻋﻈﻢ .ﺩ.ﺏ ،ﺩ.ﻁ. ﺍﺑﻦ ﺍﻟﻘﻴﻢ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺍﳉﻮﺯﻳﺔ1375 .ﻫـ .ﻣﺪﺍﺭﺝ ﺍﻟﺴﺎﻟﻜﲔ ﺑﲔ ﻣﻨﺎﺯﻝ ﺇﻳﺎﻙ ﻧﻌﺒﺪ ﻭﺇﻳﺎﻙ ﻧﺴﺘﻌﲔ .ﺩ.ﺏ ﻣﻄﺒﻌﺔ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﺍﶈﻤﺪﻳﺔ. ﺍﺑﻦ ﺍﻟﻘﻴﻢ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺍﳉﻮﺯﻳﺔ1399 .ﻫـ .ﻣﻔﺘﺎﺡ ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺴﻌﺎﺩﺓ ﻭﻣﻨﺸﻮﺭ ﻭﻻﻳﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺍﻹﺭﺍﺩﺓ .ﺗﺼﺤﻴﺢ: ﳏﻤﻮﺩ ﺣﺴﻦ ﺭﺑﻴﻊ .ﺩ.ﺏ .ﺩ.ﻁ ﺍﺑﻦ ﺍﻟﻘﻴﻢ ،ﴰﺲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ .ﺩ.ﺕ .ﺍﻟﺘﺒﻴﺎﻥ ﰲ ﺃﻗﺴﺎﻡ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ .ﺗﺼﺤﻴﺢ ﻭﺗﻌﻠﻴﻖ :ﳏﻤﺪ ﺣﺎﻣﺪ ﺍﻟﻔﻘﻲ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ،ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﻛﺜﲑ ﺍﻟﺪﻣﺸﻘﻲ1417 .ﻫـ1996-ﻡ .ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ .ﺑﲑﻭﺕ :ﻣﺆﺳﺴﺔ ﺍﻟﺮﻳﺎﻥ ﻟﻠﻄﺒﺎﻋﺔ ﻭﺍﻟﻨﺸﺮ ﻭﺍﻟﺘﻮﺯﻳﻊ. ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻣﻜﺮﻡ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭﻱ1416 .ﻫـ1995-ﻡ .ﻟﺴﺎﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ. ﺍﻷﺻﻔﻬﺎﱐ ،ﺍﳊﺴﻴﲏ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﳌﻔﻀﻞ ﺍﻟﺮﺍﻏﺐ1418 .ﻫـ1997-ﻡ .ﻣﻔﺮﺩﺍﺕ ﺃﻟﻔﺎﻅ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ .ﲢﻘﻴﻖ :ﺻﻔﻮﺍﻥ ﻋﺪﻧﺎﻥ ﺩﺍﻭﻭﺩﻱ .ﺩﻣﺸﻖ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻘﻠﻢ. ﺍﻷﺻﻔﻬﺎﱐ ،ﺍﳊﺴﻴﲏ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﳌﻔﻀﻞ ﺍﻟﺮﺍﻏﺐ1381 .ﻫـ ﺏ .ﻣﻔﺮﺩﺍﺕ ﺃﻟﻔﺎﻅ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ .ﲢﻘﻴﻖ :ﳏﻤﺪ ﺳﻴﺪ ﻛﻴﻼﱐ .ﻣﺼﺮ :ﻣﺼﻄﻔﻰ ﺍﻟﺒﺎﰊ ﺍﳊﻠﱯ. ﺍﻷﺯﻫﺮﻱ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺍﻷﺯﻫﺮﻱ ﺍﳍﺮﻭﻱ .ﺩ.ﺕ .ﺬﻳﺐ ﺍﻟﻠﻐﺔ .ﺩ.ﺏ ،ﺩ.ﻁ. ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ1378 .ﻫـ .ﺻﺤﻴﺢ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ .ﻣﺼﺮ :ﻣﻄﺎﺑﻊ ﺍﻟﺸﻌﺐ. ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ .ﺩ.ﺕ ﺏ .ﺻﺤﻴﺢ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ .ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ :ﻣﺮﻛﺰ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﻭﺍﻹﻋﻼﻡ/ﺩﺍﺭ ﺇﺷﺒﻴﻠﻴﺎ. ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ ،ﺃﰊ ﳏﻤﺪ ﺍﳊﺴﲔ ﺑﻦ ﻣﺴﻌﻮﺩ1414 .ﻫـ1993-ﻡ .ﻣﻌﺎﱂ ﺍﻟﺘﻨـﺰﻳﻞ ﻭﻣﺪﺍﺭﻙ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺍﻟﺒﻘﺎﻋﻲ ،ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺣﺴﻦ ﺍﻟﺮﺑﺎﻁ .ﺩ.ﺕ .ﻧﻈﻢ ﺍﻟﺪﺭﺭ ﰲ ﺗﻨﺎﺳﺐ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﻭﺍﻟﺴﻮﺭ .ﺩ.ﺏ .ﺩ.ﻁ. ﺍﻟﺒﻴﻀﺎﻭﻱ ،ﻧﺎﺻﺮ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺃﰊ ﺍﳋﲑ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺍﻟﺸﲑﺍﺯﻱ1402 .ﻫـ .ﺃﻧﻮﺍﺭ ﺍﻟﺘﱰﻳﻞ ﻭﺃﺳﺮﺍﺭ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ. ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ. ﺍﻟﺒﻴﻬﻘﻲ ،ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺍﳊﺴﲔ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ .ﺩ.ﺕ .ﺷﻌﺐ ﺍﻹﳝﺎﻥ .ﺩ.ﺏ .ﺩ.ﻁ. ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ ،ﺃﰊ ﻋﻴﺴﻰ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺳﻮﺭﺓ1394 .ﻫـ1974-ﻡ .ﺍﳉﺎﻣﻊ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ .ﺩ.ﺏ .ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ. ﺍﳉﺮﺟﺎﱐ ،ﺍﻟﺸﺮﻳﻒ ﻋﻠﻰ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ1416 .ﻫـ .ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻔﺎﺕ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﺍﳉﺰﺍﺋﺮﻱ ،ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺟﺎﺑﺮ1416 .ﻫـ1996-ﻡ .ﺃﻳﺴﺮ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﻟﻜﻼﻡ ﺍﻟﻌﻠﻲ ﺍﻟﻜﺒﲑ .ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺍﳌﻨﻮﺭﺓ :ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﻭﺍﳊﻜﻢ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
69
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﳉﻼﻟﲔ ،ﺟﻼﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ﺍﶈﻠﻲ ﻭ ﺟﻼﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ .ﺩ.ﺕ .ﺗﻔﺴﲑ ﺍﳉﻼﻟﲔ .ﺩ.ﺏ .ﻣﺼﻄﻔﻰ ﺍﻟﺒﺎﰊ ﺍﳊﻠﱯ. ﲨﺎﻋﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ .ﺩ.ﺕ .ﺍﳌﻌﺠﻢ ﺍﻟﻮﺳﻴﻂ .ﺍﺳﺘﺎﻧﺒﻮﻝ :ﺍﳌﻜﺘﺒﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻟﻠﻄﺒﺎﻋﺔ ﻭﺍﻟﻨﺸﺮ ﻭﺍﻟﺘﻮﺯﻳﻊ. ﺍﳉﻮﻫﺮﻱ ،ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺑﻦ ﲪﺎﺩ ﺍﳉﻮﻫﺮﻱ1402 .ﻫـ .ﺍﻟﺼﺤﺎﺡ ﺗﺎﺝ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﻭﺻﺤﺎﺡ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ .ﲢﻘﻴﻖ :ﺃﲪﺪ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻐﻔﻮﺭ ﻋﻄﺎﺭ .ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ .ﺩ.ﻁ. ﺍﳋﺎﺯﻥ ،ﻋﻼﺀ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩﻱ1415 .ﻫـ1995-ﻡ .ﻟﺒﺎﺏ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ ﰲ ﻣﻌﺎﱐ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ. ﺿﺒﻄﻪ ﻭﺻﺤﺤﻪ :ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﳏﻤﺪ ﻋﻠﻲ ﺷﺎﻫﲔ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ1414 .ﻫـ1994-ﻡ .ﳐﺘﺎﺭ ﺍﻟﺼﺤﺎﺡ .ﺑﲑﻭﺕ :ﻣﺆﺳﺴﺔ ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ. ﺭﺷﻴﺪ ﺭﺿﺎ ،ﳏﻤﺪ .ﺩ.ﺕ .ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﳊﻜﻴﻢ ﺍﻟﺸﻬﲑ ﺑﺘﻔﺴﲑ ﺍﳌﻨﺎﺭ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺍﻟﺰﺑﻴﺪﻱ ،ﳏﻤﺪ ﻣﺮﺗﻀﻰ .ﺩ.ﺕ .ﺇﲢﺎﻑ ﺍﻟﺴﺎﺩﺓ ﺍﳌﺘﻘﲔ ﺑﺸﺮﺡ ﺇﺣﻴﺎﺀ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﻟﺪﻳﻦ .ﺩ.ﺏ .ﺩ.ﻁ. ﺍﻟﺰﺭﻛﻠﻲ ،ﺧﲑ ﺍﻟﺪﻳﻦ1984 .ﻡ .ﺍﻷﻋﻼﻡ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻟﻠﻤﻼﻳﲔ. ﺍﻟﺴﻌﺪﻱ ،ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﻧﺎﺻﺮ1414 .ﻫـ1993-ﻡ .ﺗﻴﺴﲑ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻛﻼﻡ ﺍﳌﻨﺎﻥ .ﲢﻘﻴﻖ :ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﻣﻌﻼ ﺍﻟﻠﻮﳛﻖ .ﺑﲑﻭﺕ :ﻣﺆﺳﺴﺔ ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ. ﺍﻟﺸﻮﻛﺎﱐ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ1418 .ﻫـ1997-ﻡ .ﻓﺘﺢ ﺍﻟﻘﺪﻳﺮ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﺑﲔ ﻓﲏ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺔ ﻭﺍﻟﺪﺭﺍﻳﺔ ﻣﻦ ﻋﻠﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ .ﺣﻘﻘﻪ :ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﻋﻤﲑﺓ .ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ :ﺩﺍﺭ ﺍﳋﺎﱐ. ﺍﻟﻄﺎﻫﺮ ﻋﺎﺷﻮﺭ ،ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻄﺎﻫﺮ ﺑﻦ ﻋﺎﺷﻮﺭ .ﺩ.ﺕ .ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﺘﺤﺮﻳﺮ ﻭﺍﻟﺘﻨﻮﻳﺮ .ﺩ.ﺏ .ﺩ.ﻁ. ﺍﻟﻄﱪﻱ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ ﺑﻦ ﻳﺰﻳﺪ ﺑﻦ ﻛﺜﲑ ﺑﻦ ﻏﺎﻟﺐ ﺍﻵﻣﻠﻲ 1415 .ﻫـ1995 -ﻡ .ﺟﺎﻣﻊ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﰲ ﺗﺄﻭﻳﻞ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ .ﲢﻘﻴﻖ :ﺃﲪﺪ ﳏﻤﺪ ﺷﺎﻛﺮ .ﺑﲑﻭﺕ :ﻣﺆﺳﺴﺔ ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ. ﺍﻟﻐﺰﺍﱄ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ .ﺩ.ﺕ .ﻣﻨﻬﺎﺝ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ .ﺩ.ﺏ .ﺩﺍﺭ ﺇﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ،ﻋﻴﺴﻰ ﺍﻟﺒﺎﰊ ﺍﳊﻠﱯ ﻓﺘﺢ ﺍﷲ ﺳﻌﻴﺪ ،ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺴﺘﺎﺭ1406 .ﻫـ .ﺍﳌﺪﺧﻞ ﺇﱃ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﳌﻮﺿﻮﻋﻲ .ﺩ.ﺏ .ﺩ.ﻁ. ﺍﻟﻔﺮﺍﻫﻴﺪﻱ ،ﺍﳋﻠﻴﻞ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ .ﺩ.ﺕ .ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻌﲔ .ﺩ.ﺏ .ﺩ.ﻁ. ﺍﻟﻔﲑﻭﺯ ﺁﺑﺎﺩﻱ ،ﳎﺪ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻳﻌﻘﻮﺏ ﺍﻟﺸﲑﺍﺯﻱ1415 .ﻫـ1995-ﻡ .ﺍﻟﻘﺎﻣﻮﺱ ﺍﶈﻴﻂ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﺍﻟﻔﻴﻮﻣﻲ ،ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺍﳌﻘﺮﻱ .ﺩ.ﺕ .ﺍﳌﺼﺒﺎﺡ ﺍﳌﻨﲑ ﰲ ﻏﺮﻳﺐ ﺍﻟﺸﺮﺡ ﺍﻟﻜﺒﲑ .ﻣﺼﺮ :ﻣﺼﻄﻔﻰ ﺍﻟﺒﺎﰊ ﺍﳊﻠﱯ. ﺍﻟﻘﺎﲰﻲ ،ﳏﻤﺪ ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺳﻌﻴﺪ1398 .ﻫـ .ﳏﺎﺳﻦ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ. ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭﻱ1417 .ﻫـ1996-ﻡ .ﺍﳉﺎﻣﻊ ﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻐﺰﺍﱄ1408 .ﻫـ .ﺧﻠﻖ ﺍﳌﺴﻠﻢ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻟﻠﻤﻼﻳﲔ. ﻣﺴﻠﻢ ،ﺍﺑﻦ ﺍﳊﺠﺎﺝ ﺍﻟﻘﺸﲑﻱ ﺍﻟﻨﻴﺴﺎﺑﻮﺭﻱ1407 .ﻫـ .ﺻﺤﻴﺢ ﻣﺴﻠﻢ .ﺑﲑﻭﺕ :ﻣﺆﺳﺴﺔ ﻋﺰ ﺍﻟﺪﻳﻦ. ﻣﺴﻠﻢ ،ﺍﺑﻦ ﺍﳊﺠﺎﺝ ﺍﻟﻘﺸﲑﻱ ﺍﻟﻨﻴﺴﺎﺑﻮﺭﻱ1419 .ﻫـ1998-ﻡ ﺏ .ﺻﺤﻴﺢ ﻣﺴﻠﻢ .ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺴﻼﻡ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
70
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﻟﻨﺴﻔﻲ ،ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺃﲪﺪ1416 .ﻫـ1996-ﻡ .ﻣﺪﺍﺭﻙ ﺍﻟﺘﻨـﺰﻳﻞ ﻭﺣﻘﺎﺋﻖ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ .ﲢﻘﻴﻖ :ﻣﺮﻭﺍﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﺸﻘﺎﺭ. ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻨﻔﺎﺋﺲ. ﺍﻟﻨﻮﻭﻱ ،ﺃﺑﻮ ﺯﻛﺮﻳﺎ ﺷﺮﻑ1419 .ﻫـ1998-ﻡ .ﺍﳌﻨﻬﺎﺝ ﺷﺮﺡ ﺻﺤﻴﺢ ﻣﺴﻠﻢ ﺑﻦ ﺍﳊﺠﺎﺝ .ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺴﻼﻡ. ﺍﻟﻨﻴﺴﺎﺑﻮﺭﻱ ،ﻧﻈﺎﻡ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﳊﺴﻦ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻘﻤﻲ .ﺩ.ﺕ .ﻏﺮﺍﺋﺐ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺭﻏﺎﺋﺐ ﺍﻟﻔﺮﻗﺎﻥ .ﲢﻘﻴﻖ :ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﻋﻄﻮﺓ ﻋﻮﺽ .ﻣﺼﺮ :ﻣﺼﻄﻔﻰ ﺍﻟﺒﺎﰊ ﺍﳊﻠﱯ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
71
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺃﳘﻴﺔ ﺍﻻﺣﺘﺠﺎﺝ ﺑﺄﺣﺎﺩﻳﺚ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﳌﺴﻴﺢ ﰲ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ
บทความวิจัย
ﳏﻤﺪ ﺻﻼﺡ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺇﺩﺭﻳﺲ ﺟﺊ ﻟﻪ ﺍﻟﺘﺮﻧﻨﺠﻲ ** ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﻛﺎﺭﻳﻨﺎ ﺍﻟﺒﻨﺪﺍﺭﻱ *** ﺇﻟﻴﺎﺱ ﺣﺴﻦ ﺍﻟﺼﺪﻳﻘﻲ
∗
ﻣﻠﺨﺺ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻘﺎﻟﺔ ﺍﻟﱵ ﺑﲔ ﺃﻳﺪﻳﻨﺎ ﺑﻌﻨﻮﺍﻥ " ﺃﳘﻴﺔ ﺍﻻﺣﺘﺠﺎﺝ ﺑﺄﺣﺎﺩﻳﺚ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﳌﺴﻴﺢ ﰲ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ" ،ﺃﻥ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﰲ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﰲ ﺍﻟﺼﺤﺎﺡ ﻭﺍﻟﺴﻨﻦ ﻭﺍﳌﺴﺎﻧﻴﺪ ﻭﻏﲑﻩ ﻣﻦ ﺩﻭﺍﻭﻳﻦ ﺍﻟﺴﻨﺔ، ﻭﻫﻲ ﺗﺪﻝ ﻋﻠﻰ ﺩﻻﻟﺔ ﺻﺮﳛﺔ ﻋﻠﻰ ﺛﺒﻮﺕ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﰲ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ،ﻭﻻ ﺣﺠﺔ ﳌﻦ ﺭﺩﻫﺎ .ﺃﻣﺎ ﺧﱪ ﺍﻵﺣﺎﺩ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺼﺤﺤﻪ ﺃﻫﻞ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻭﻳﻘﺒﻠﻮﻧﻪ ﻓﻬﻮ ﺣﺠﺔ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ﻭﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﺑﺈﲨﺎﻉ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻢ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻭﺗﺎﺑﻌﻴﻬﻢ ،ﺇﺫ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻢ ﻳﺮﻭﻭﻥ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻵﺣﺎﺩ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ،ﻭﻳﻌﺘﻘﺪﻭﻥ ﲟﺎ ﺗﻀﻤﻨﺘﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ﻭﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﺍﻟﻐﻴﺒﻴﺔ ،ﻭﻻ ﻳﻔﺮﻗﻮﻥ ﺑﻴﻨﻬﺎ ﻭﺑﲔ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﰲ ﺷﺮﻭﻁ ﺍﻟﻘﺒﻮﻝ ﻭﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﺮﺩ، ﺑﻞ ﻳﻮﺟﺒﻮﻥ ﰲ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ﻣﺎ ﻳﻮﺟﺒﻮﻧﻪ ﰲ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﺜﺒﺖ ﻭﺍﻟﺘﺤﺮﻱ. ﻭﺃﻣﺎ ﺇﻧﻜﺎﺭ ﺧﱪ ﺍﻵﺣﺎﺩ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ،ﻓﻼ ﺷﻚ ﺃﻧﻪ ﺧﻄﺄ ﻛﺒﲑ ،ﻻ ﻳﻜﻮﻥ ﺇﻻ ﻋﻦ ﺟﻬﻞ ﺑﻨﺼﻮﺹ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﰲ ﺫﻟﻚ .ﻭﻗﺪ ﺻﺤﺖ ﻭﺗﻮﺍﺗﺮﺕ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﻋﻦ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﰲ ﻧﺰﻭﻝ ﺍﳌﺴﻴﺢ ﺍﺑﻦ ﻣﺮﱘ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻤﺎﺀ ﰲ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ،ﺛﺎﺑﺘﺔ ﳝﻸ ﺍﻷﺭﺽ ﻗﺴﻄﹰﺎ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﻣﻠﺌﺖ ﺟﻮﺭﺍﹰ ،ﻭﻧﺰﻭﻝ ﺍﳌﺴﻴﺢ ﺍﺑﻦ ﻣﺮﱘ، ﻫﺬﺍ ﺛﺎﺑﺖ ﺑﺎﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ ﺍﳌﺘﻮﺍﺗﺮﺓ ﻋﻦ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ،ﻓﺈﻧﻜﺎﺭﻫﺎ ﻛﻔﺮ ﻭﺿﻼﻝ.
∗ ﻃﺎﻟﺐ ﲟﺮﺣﻠﺔ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﺷﻌﺒﺔ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﻗﺴﻢ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﻣﲑ ﺳﻮﻧﻜﻼ ﻧﻜﺮﻳﻦ ﻓﻄﺎﱐ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ. ** ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﳌﺴﺎﻋﺪ ،ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﻗﺴﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﻋﻀﻮ ﻫﻴﺌﺔ ﺍﻟﺘﺪﺭﻳﺲ ﲜﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﻣﲑ ﺳﻮﻧﻜﻼ ﻧﻜﺮﻳﻦ ﻓﻄﺎﱐ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ. *** ﻃﺎﻟﺐ ﲟﺮﺣﻠﺔ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﺷﻌﺒﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻗﺴﻢ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﻣﲑ ﺳﻮﻧﻜﻼ ﻧﻜﺮﻳﻦ ﻓﻄﺎﱐ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
72
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
Abstract This article that hands entitled the importance of protest titled interviews descent of Jesus Christ in the last decade. That the conversations contained in the revelation of Jesus in the books of Saheeh and Sunan and Musnad and other collections of the Sunnah, which shows the significance of explicit evidence of the descent of Jesus in the last decade, the argument is not refunded. The news ones in this topic that correctable by the people to talk and accept is the argument in the beliefs and provisions of the consensus of the companions and followers and their followers, as they tell of ahaadeeth alahad in faith, and believe what the contents of beliefs and news of metaphysics, does not differentiate between them and the ahadeeth provisions in the conditions of acceptance and the reasons for the reply, But they require in what beliefs they bind him in ahadeeth of beliefs what provisions of the validation, investigation and denial of the news ones on this subject, there is no doubt that he is a big mistake, it is only ignorance of the texts of the Qur'aan and Sunnah in that. The true and there were frequent this news from the Messenger of God in the revelation of Christ, the Son of Mary from the sky in the last decade, fixed fills the earth with fairness after that was filled with oppression, and the descent of Jesus son of Mary, this fixed the right frequent ahaadeeth from the Messenger of Allah, They deny Vancarha heresy and deception.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
73
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﳌﻘﺪﻣﺔ ﺇﻥ ﺍﳊﻤﺪ ﷲ ،ﳓﻤﺪﻩ ﻭﻧﺴﺘﻌﻴﻨﻪ ﻭﻧﺴﺘﻬﺪﻳﻪ ﻭﻧﺴﺘﻐﻔﺮﻩ ،ﻭﻧﻌﻮﺫ ﺑﺎﷲ ﻣﻦ ﺷﺮﻭﺭ ﺃﻧﻔﺴﻨﺎ ﻭﻣﻦ ﺳﻴﺌﺎﺕ ﺃﻋﻤﺎﻟﻨﺎ ،ﻣﻦ ﻳﻬﺪﻩ ﷲ ﻓﻼ ﻣﻀﻞ ﻟﻪ ،ﻭﻣﻦ ﻳﻀﻠﻞ ﻓﻠﻦ ﲡﺪ ﻟﻪ ﻭﻟﻴﹰﺎ ﻣﺮﺷﺪﺍﹰ ،ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﻻ ﺇﻟﻪ ﺇﻻ ﺍﷲ ﻭﺣﺪﻩ ﻻ ﺷﺮﻳﻚ ﻟﻪ ،ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﳏﻤﺪﹰﺍ ﻋﺒﺪﻩ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﺧﺎﰎ ﺍﻷﻧﺒﻴﺎﺀ ﻭﺍﳌﺮﺳﻠﲔ ،ﺧﺼﻨﺎ ﲞﲑ ﻛﺘﺎﺏ ﺃﻧﺰﻝ ﻭﺃﻛﺮﻣﻨﺎ ﲞﲑ ﻧﱯ ﺃﺭﺳﻞ ،ﻭﺃﰎ ﻋﻠﻴﻨﺎ ﺍﻟﻨﻌﻤﺔ ﺑﺄﻋﻈﻢ ﺍﻟﻨﻌﻢ ﻭﺷﺮﻉ ﻟﻨﺎ ﺑﺄﻓﻀﻞ ﺍﻟﺸﺮﻉ ،ﻗﺎﻝ : {z ut s r qp o n m l k
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﺍﳌﺎﺋﺪﺓ(3 :5 ،
ﺃﻣﺎ ﺑﻌﺪ ﺃﲪﺪ ﺍﷲ ﺍﻟﺬﻱ ﻭﻓﻘﲏ ﳋﺪﻣﺔ ﺩﻳﻨﻪ ،ﺇﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻘﺎﻟﺔ ﳐﺼﻮﺹ ﺑﺘﺨﺮﻳﺞ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﳌﺴﻴﺢ ﰲ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ﻣﻦ ﺃﻣﻬﺎﺕ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﳊﺪﻳﺜﻴﺔ ،ﻓﺈﻥ ﻋﻠﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺃﺷﺮﻑ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺍﻟﺬﻱ ﻫﻮ ﺃﺻﻞ ﻣﻦ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ،ﻭﺍﳊﺪﻳﺚ ﻋﺒﺎﺭﺓ ﻋﻦ ﺍﻟﺴﻨﺪ ﻭﺍﳌﱳ ،ﻭﺍﻟﺴﻨﺪ ﻫﻮ ﺳﻠﺴﻠﺔ ﺍﻟﺮﻭﺍﻩ ،ﻭﻗﺪ ﻳﻜﻮﻥ ﲨﻴﻌﻬﻢ ﺛﻘﺎﺕ ،ﻓﻴﺴﻤﻰ ﺳﻨﺪﺍ ﺻﺤﻴﺤﹰﺎ ﻭﻗﺪ ﻳﻜﻮﻥ ﻣﻨﻬﻢ ﺿﻌﻴﻔﺎ ﺃﻭ ﻭﺿﺎﻋﺎﹰ ،ﻓﻴﺴﻤﻰ ﺳﻨﺪ ﹰﺍ ﺿﻌﻴﻔﹰﺎ ﺃﻭ ﻣﻮﺿﻮﻋﺎﹰ ،ﻭﳍﺬﺍ ﳚﺐ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﺍﻫﺘﻤﺎﻡ ﺑﺎﻟﺴﻨﺪ ،ﺑﺄﻥ ﳝﺤﺼﻮﺍ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﻭﻳﻔﺤﺼﻮﺍ ﺍﻟﺮﺟﺎﻝ ﻗﺒﻞ ﺍﻟﻘﺒﻮﻝ ﻭﺍﻟﺮﺩ. ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﰲ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﰲ ﺃﺻﻞ ﺍﻟﻠﻐﺔ )ﺧﺮﺝ( ﺍﳋﺎﺀ ﻭﺍﻟﺮﺍﺀ ﺍﳉﻴﻢ :ﺃﺻﻼﻥ ،ﻭﻗﺪ ﳝﻜﻦ ﺍﳉﻤﻊ ﺑﻴﻨﻬﻤﺎ ،ﻓﺎﻷﻭﻝ :ﺍﻟﻨﻔﺎﺫ ﻋﻦ ﺍﻟﺸﻲﺀ .ﺍﻟﺜﺎﱐ :ﺍﺧﺘﻼﻑ ﺇﱃ ﻟﻮﻧﲔ. ﻓﺄﻣﺎ ﺍﻷﻭﻝ :ﺧﺮﺝ ﳜﺮﺝ ﺧﺮﻭﺟﺎﹰ ،ﺍﳋﺮﻭﺝ ﻭﺍﳋﺮﺝ :ﺍﻹﺗﺎﻭﺓ ،ﻷﻧﻪ ﻣﺎﻝ ﳜﺮﺟﻪ ﺍﳌﻌﻄﻲ ،ﻭﺍﳋﺎﺭﺟﻲ: ﺍﻟﺮﺟﻞ ﺍﳌﺴﻮﺩ ﺑﻨﻔﺴﻪ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﻟﻪ ﻗﺪﻡ .ﺍﳋﺮﻭﺝ :ﺧﺮﻭﺝ ﺍﻟﺴﺤﺎﺑﺔ ،ﻭﻓﻼﻥ ﺧﺮﺝ ﻓﻼﻧﹰﺎ ،ﺇﺫﺍ ﺗﻌﻠﻢ ﻣﻨﻪ. )ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﻭﺯﻣﻼﺋﻪ ،ﺩ ﺕ(224/1 ، ﺃﻣﺎ ﺍﻷﺻﻞ ﺍﻵﺧﺮ :ﻓﺎﳋﺮﺝ ﻟﻮﻧﺎﻥ ﺑﲔ ﺳﻮﺍﺩ ﻭﺑﻴﺎﺽ .ﻭﻣﻦ ﺍﻟﺒﺎﺏ ﺃﺭﺽ ﳐﺮﺟﺔ ،ﺇﺫﺍ ﻛﺎﻥ ﺑﻨﺘﻬﺎ ﰲ ﻣﻜﺎﻥ ﺩﻭﻥ ﻣﻜﺎﻥ) .ﻧﻌﻤﺔ ﻭﺯﻣﻼﺋﻪ ،ﺩ ﺕ ،ﺹ(372 : ﻭﺧﺮﺟﺖ ﺍﻟﺮﺍﻋﻴﺔ ﺍﳌﺮﺗﻊ ،ﺇﺫﺍ ﺃﻛﻠﺖ ﺑﻌﻀﺎﹰ ،ﻭﺫﻟﻚ ﻣﺎ ﺫﻛﺮﻧﺎ ﻣﻦ ﺍﺧﺘﻼﻑ ﺍﻟﻠﻮﻧﲔ )ﺍﺑﻦ ﻓﺎﺭﺱ1991 .ﻡ، (175/2 ﻭﻳﻄﻠﻖ ﺍﻟﺘﺨﺮﺝ ﻋﻠﻰ ﻋﺪﺓ ﻣﻌﺎﻥ ﺃﺷﻬﺮﻫﺎ: -1ﺍﻻﺳﺘﻨﺒﺎﻁ :ﻗﺎﻝ ﰲ ﺍﻟﻘﺎﻣﻮﺱ" :ﻭﺍﻻﺳﺘﺨﺮﺍﺝ ﻭﺍﻻﺧﺘﺮﺍﺝ :ﺍﻻﺳﺘﻨﺒﺎﻁ )ﺍﻟﻔﲑﻭﺯ ﺁﺑﺎﺩﻱ1996 .ﻡ .ﺹ: (237
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
74
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
-2ﺍﻟﺘﺪﺭﻳﺐ :ﻗﺎﻝ ﰲ ﺍﻟﻘﺎﻣﻮﺱ " :ﺧﺮﺟﻪ ﰲ ﺍﻷﺩﺏ ﻓﺘﺨﺮﺝ ﻭﻫﻮ ﺧﺮﻳﺞ ) ﻛﻌﻨﲔ( ﲟﻌﲎ ﻣﻔﻌﻮﻝ" ﺃﻱ ﳔﺮﺝ" )ﻧﻌﻤﺔ ﻭﺯﻣﻼﺋﻪ ،ﺩ ﺕ ،ﺹ(372 : -3ﺍﻟﺘﻮﺟﻴﻪ :ﺗﻘﻮﻝ :ﺧﺮﺝ ﺍﳌﺴﺄﻟﺔ .ﻭﺟﻬﻬﺎ ،ﺃﻱ ﺑﲔ ﳍﺎ ﻭﺟﻬﻬﺎ. ﻭﺍﳌﺨﺮﺝ :ﻣﻮﺿﻊ ﺍﳋﺮﻭﺝ ﻳﻘﺎﻝ :ﺧﺮﺝ ﳐﺮﺟﹰﺎ ﺣﺴﻨﺎﹰ ،ﻭﻫﺬﺍ ﳐﺮﺟﻪ. ﻭﺍﳋﺮﻭﺝ :ﻧﻘﻴﺾ ﺍﻟﺪﺧﻮﻝ ﻳﻘﺎﻝ :ﻭﻗﺪ ﺃﺧﺮﺟﻪ ﻭﺧﺮﺝ ﺑﻪ )ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ1990 ،ﻡ(249/2 ، ﻭﺧﺮﺝ ﺍﳊﺪﻳﺚ :ﻧﻘﻠﻪ ﺑﺎﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ ،ﺃﻭ ﺍﻟﺸﻲﺀ :ﺃﺑﺮﺯﻩ )ﻣﺼﻄﻔﻰ ﻭﺯﻣﻼﺋﻪ .ﺩ ﺕ .ﺟـ(8 . 1 ﻭﻣﻨﻪ ﻗﻮﻝ ﺍﶈﺪﺛﲔ ﻋﻦ ﺍﳊﺪﻳﺚ" :ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ" ﺃﻱ ﺃﺑﺮﺯﻩ ﻟﻠﻨﺎﺱ ﻭﺃﻇﻬﺮﻩ ﳍﻢ ﺑﺒﻴﺎﻥ ﳐﺮﺟﻪ ،ﻭﺫﻟﻚ ﺑﺬﻛﺮ ﺭﺟﺎﻝ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺧﺮﺝ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻣﻦ ﻃﺮﻳﻘﻬﻢ. ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻗﻮﳍﻢ :ﺧﺮﺝ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ "ﲟﻌﲎ" ﺃﺧﺮﺟﻪ ،ﺃﻱ ﺫﻛﺮ ﳐﺮﺟﻪ )ﺍﻟﻄﺤﺎﻥ1996 .ﻡ .ﺹ(8 : ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ " :ﺗﺒﺎﻟﻎ ﻓﻴﻪ ﺍﳌﺮﺽ ﻭﺍﳍﻢ ،ﺇﺫﺍ ﺗﻨﺎﻫﻲ ،ﻭﰲ ﲢﺮﻳﺮ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﺃﻱ ﺬﻳﺐ ﺍﳌﺮﻭﻱ ﻭﲣﻠﻴﺼﻪ ﻭﺗﻠﺨﻴﺼﻪ )ﺍﳌﻨﺎﻭﻱ .ﺩ ﺕ(2/1 ، ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﻋﻨﺪ ﺍﶈﺪﺛﲔ ﻳﻄﻠﻖ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﻋﻨﺪ ﺍﶈﺪﺛﲔ ﻋﻠﻰ ﻋﺪﺓ ﻣﻌﺎﻥ: -1ﻓﻴﻄﻠﻖ ﻋﻠﻰ ﺃﻧﻪ ﻣﺮﺍﺩﻑ ﻟـ "ﺍﻹﺧﺮﺍﺝ" :ﺃﻱ ﺇﺑﺮﺍﺯ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻟﻠﻨﺎﺱ ﺑﺬﻛﺮ ﳐﺮﺟﻪ ،ﺃﻱ ﺭﺟﺎﻝ ﺇﺳﻨﺎﺩﻩ ﻼ" :ﻫﺬﺍ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ،ﺃﻭ ﺧﺮﺟﻪ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ" ﺃﻱ ﺭﻭﺍﻩ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺧﺮﺝ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻣﻦ ﻃﺮﻳﻘﻬﻢ ،ﻓﻴﻘﻮﻝ ﻣﺜ ﹰ ﻭﺫﻛﺮ ﳐﺮﺟﻪ ﺍﺳﺘﻘﻼ ﹰﻻ )ﺍﻟﻄﺤﺎﻥ1996 .ﻡ .ﺹ(9 : ﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺍﻟﺼﻼﺡ ﰲ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ " :ﻭﻟﻠﻌﻠﻤﺎﺀ ﺑﺎﳊﺪﻳﺚ ﰲ ﺗﺼﻨﻴﻔﻪ ﻃﺮﻳﻘﺘﺎﻥ ،ﺇﺣﺪﳘﺎ :ﺍﻟﺘﺼﻨﻴﻒ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﺑﻮﺍﺏ ،ﻭﻫﻮ ﲣﺮﳚﻪ ﻋﻠﻰ ﺃﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﻭﻏﲑﻫﺎ ) .ﺍﺑﻦ ﺍﻟﺼﻼﺡ .ﺩ ﺕ .ﺹ (253 :ﻓﺎﳌﺮﺍﺩ ﺑﻘﻮﻟﻪ " ﲣﺮﳚﻪ" ﺃﻱ ﺇﺧﺮﺍﺟﻪ ﻭﺭﻭﺍﻳﺘﻪ ﻟﻠﻨﺎﺱ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ. -2ﻭﻳﻄﻠﻖ ﻋﻠﻰ ﻣﻌﲎ ﺇﺧﺮﺍﺝ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﻣﻦ ﺑﻄﻮﻥ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﻭﺭﻭﺍﻳﺘﻬﺎ: ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺴﺨﺎﻭﻱ ﰲ ﻓﺘﺢ ﺍﳌﻐﻴﺚ" :ﻭﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﺇﺧﺮﺍﺝ ﺍﶈﺪﺙ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﻣﻦ ﺑﻄﻮﻥ ﺍﻷﺟﺰﺍﺀ ﻭﺍﳌﺸﻴﺨﺎﺕ ﻭﺍﻟﻜﺘﺐ ﻭﳓﻮﻫﺎ ،ﻭﺳﻴﺎﻗﻬﺎ ﻣﻦ ﻣﺮﻭﻳﺎﺕ ﻧﻔﺴﻪ ﺃﻭ ﺑﻌﺾ ﺷﻴﻮﺧﻪ ﺃﻭ ﺃﻗﺮﺍﻧﻪ) "...ﺍﺑﻦ ﺍﻟﺼﻼﺡ ،ﺩ ﺕ ،ﺹ(253 : -3ﻭﻳﻄﻠﻖ ﻋﻠﻰ ﻣﻌﲎ ﺍﻟﺪﻻﻟﺔ :ﺃﻱ ﺍﻟﺪﻻﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﻣﺼﺎﺩﺭ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻷﺻﻠﻴﺔ ،ﻭﻋﺰﻭﻩ ﺇﻟﻴﻬﺎ ،ﻭ ﺫﻟﻚ ﺑﺬﻛﺮ ﻣﻦ ﺭﻭﺍﻩ ﻣﻦ ﺍﳌﺆﻟﻔﲔ. ﻗﺎﻝ ﺍﳌﻨﺎﻭﻱ ﰲ ﻓﻴﺾ ﺍﻟﻘﺪﻳﺮ ﻋﻨﺪ ﻗﻮﻝ ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ " :ﻭﺑﺎﻟﻐﺖ ﰲ ﲢﺮﻳﺮ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ" " :ﲟﻌﲎ ﺍﺟﺘﻬﺪﺕ ﰲ ﺬﻳﺐ ﻋﺰﻭ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺇﱃ ﳐﺮﺟﻴﻬﺎ ﻣﻦ ﺃﺋﻤﺔ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﻣﻦ ﺍﳉﻮﺍﻣﻊ ﻭﺍﻟﺴﻨﻦ ﻭﺍﳌﺴﺎﻧﻴﺪ ،ﻓﻼ ﺃﻋﺰﻭ ﺇﱃ ﺷﻲﺀ ﻣﻨﻬﺎ ﺇﻻ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﺘﻔﺘﻴﺶ ﻋﻦ ﺣﺎﻝ ﳐﺮﺟﻪ ،ﻭﻻ ﺍﻛﺘﻔﻰ ﺑﻌﺰﻭﻩ ﺇﱃ ﻣﻦ ﻟﻴﺲ ﻣﻦ ﺃﻫﻠﻪ") .ﺍﻟﺴﺨﺎﻭﻱ1996 .ﻡ.(343/2 ، ﻭﺍﳌﻌﲎ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ ﻫﻮ ﺍﻟﺬﻱ ﺷﺎﻉ ﻭﺍﺷﺘﻬﺮ ﺑﲔ ﺍﶈﺪﺛﲔ ،ﻭﻛﺜﺮ ﺍﺳﺘﻌﻤﺎﻝ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻠﻔﻆ ﻓﻴﻪ ﺍﺳﻴﻤﺎ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﻭﻥ ﺍﳌﺘﺄﺧﺮﺓ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﺑﺪﺃ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺑﺘﺨﺮﻳﺞ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﳌﺒﺜﻮﺛﺔ ﰲ ﺑﻄﻮﻥ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﳊﺎﺟﺔ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺇﱃ ﺫﻟﻚ) .ﺍﳌﻨﺎﻭﻱ. ﺩ ﺕ(10/1 ، อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
75
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﰲ ﺍﻻﺻﻄﻼﺡ ﺑﻨﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﺇﻃﻼﻗﺎﺕ ﺍﶈﺪﺛﲔ ﺍﻟﺜﻼﺛﺔ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭﺓ ﳝﻜﻨﻨﺎ ﺗﻌﺮﻳﻒ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﰲ ﺍﻻﺻﻄﻼﺡ ﺑﺜﻼﺛﺔ ﺗﻌﺮﻳﻔﺎﺕ ﺗﺎﻟﻴﺔ: ﻼ :ﻫﺬﺍ ﺣﺪﻳﺚ ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺍﻷﻭﻝ :ﺇﺧﺮﺍﺝ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻭﺇﺑﺮﺍﺯﻩ ﻟﻠﻨﺎﺱ ﺑﺬﻛﺮ ﺳﻨﺪﻩ ﻭﻣﺘﻨﻪ ،ﻭﻓﻴﻘﺎﻝ ﻣﺜ ﹰ ﻼ. ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ،ﲟﻌﲎ ﺃﺑﺮﺯﻩ ﻭﺃﻇﻬﺮﻩ ﻟﻠﻨﺎﺱ ﺑﺬﻛﺮ ﺳﻨﺪﻩ ﻭﻣﺘﻨﻪ ﻛﺎﻣ ﹰ ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺍﻟﺜﺎﱐ :ﲣﺮﻳﺞ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﻛﺘﺎﺏ ﻣﻌﲔ ﺑﺬﻛﺮ ﺳﻨﺪ ﺍﳌﺨﺮﺝ ﻟﺬﻟﻚ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﺬﻱ ﺫﻛﺮﻩ ﺻﺎﺣﺐ ﻛﺘﺎﺏ ﻣﻌﲔ )ﺁﻝ ﲪﻴﺪ2000 .ﻡ .ﺹ(6 : ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ :ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺍﻟﺬﻱ ﺃﺻﺒﺢ ﺍﻹﺩﺭﺍﺝ ﻋﻨﺪ ﺍﳌﺘﺄﺧﺮﻳﻦ ﺯﻣﺎﻧﻨﺎ ،ﻋﺮﻓﻪ ﺑﻌﻀﻬﻢ ﺑﻘﻮﻟﻪ: ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﻫﻮ ﺍﻟﺪﻻﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﻣﻮﺿﻊ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﰲ ﻣﺼﺎﺩﺭﻩ ﺍﻷﺻﻠﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﺃﺧﺮﺟﺘﻪ ﺑﺴﻨﺪﻩ ﰒ ﺑﻴﺎﻥ ﻣﺮﺗﺒﺘﻪ ﻋﻨﺪ ﺍﳊﺎﺟﺔ )ﺍﻟﻐﻤﺎﺭﻱ .ﺩ ﺕ(10/1 ، ﻗﺎﻝ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻴﺾ ﺃﲪﺪ ﰲ "ﺍﳍﺪﺍﻳﺔ ﰲ ﲣﺮﻳﺞ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﺒﺪﺍﻳﺔ"" :ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﻫﻮ ﻋﺰﻭ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺇﱃ ﻣﺼﺪﺭﻩ ﺃﻭ ﻣﺼﺎﺩﺭ ﺍﻷﺻﻠﻴﺔ ﻣﻦ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﺍﳌﺸﺮﻓﺔ ،ﻭﺗﺘﺒﻊ ﻃﺮﻗﻪ ﻭﺃﺳﺎﻧﻴﺪ ﻭﺣﺎﻝ ﺭﺟﺎﻟﻪ ﻭﺑﻴﺎﻥ ﺩﺭﺟﺘﻪ ﻗﻮﺓ ﻭﺿﻌﻔﹰﺎ )ﺍﻟﻄﺤﺎﻥ، 1996ﻡ ،ﺹ(10 : ﻭﺍﳌﺮﺍﺩ ﲟﺼﺎﺩﺭ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻷﺻﻠﻴﺔ ﻣﺎ ﻳﻠﻲ -1ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﺍﻟﱵ ﲨﻌﻬﺎ ﻣﺆﻟﻔﻮﻫﺎ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺗﻠﻘﻴﻬﺎ ﻋﻦ ﺷﻴﻮﺧﻬﻢ ﺑﺄﺳﺎﻧﻴﺪ ﺇﱃ ﺍﻟﻨﱯ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﺴﺘﺔ ﻭﺍﳌﻮﻃﺄ ﻣﺎﻟﻚ ﻭﻣﺴﻨﺪ ﺃﲪﺪ ﻭﻣﺴﺘﺪﺭﻙ ﺍﳊﺎﻛﻢ ﻭ ﻣﺼﻨﻒ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺯﺍﻕ )ﺍﻟﻄﺤﺎﻥ1996 ،ﻡ ،ﺹ(10 : -2ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﺍﻟﺘﺎﺑﻌﺔ ﻟﻠﻜﺘﺐ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭﺓ ،ﻛﺎﳌﺼﻨﻔﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﲨﻌﺖ ﺑﲔ ﻋﺪﺩ ﻣﻦ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﺔ، ﻣﺜﻞ :ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳉﻤﻊ ﺑﲔ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔ ﻟﻠﺤﻤﻴﺪﻱ ﺃﻭﺍﳌﺼﻨﻔﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﲨﻌﺖ ﺃﻃﺮﺍﻑ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻜﺘﺐ ،ﻣﺜﻞ :ﲢﻔﺔ ﺍﻷﺷﺮﺍﻑ ﲟﻌﺮﻓﺔ ﺍﻷﻃﺮﺍﻑ ﻟﻠﻤﺰﻱ ،ﺃﻭ ﺍﳌﺼﻨﻔﺎﺕ ﺍﳌﺨﺘﺼﺮﺓ ﻣﻦ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺴﻨﺔ ،ﻣﺜﻞ :ﻛﺘﺎﺏ ﺬﻳﺐ ﺳﻨﻦ ﺃﰊ ﺩﺍﻭﺩ ﻟﻠﻤﻨﺬﺭﻱ )ﺍﻟﻄﺤﺎﻥ1996 ،ﻡ ،ﺹ(11 : -3ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﳌﺼﻨﻔﺔ ﰲ ﺍﻟﻔﻨﻮﻥ ﺍﻷﺧﺮﻯ ،ﺍﻟﻜﺘﻔﺴﲑ ﻭﺍﻟﻔﻘﻪ ﻭﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ،ﺍﻟﱵ ﺗﺴﺘﺸﻬﺪ ﺑﺎﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ،ﻟﻜﻦ ﺑﺸﺮﻁ ﺃﻥ ﻳﺮﻭﻳﻬﺎ ﻣﺼﻨﻔﻬﺎ ﺑﺄﺳﺎﻧﻴﺪ ﺍﺳﺘﻘﻼ ﻻﹰ ،ﺃﻱ ﺃﻥ ﻻ ﻳﺄﺧﺬﻫﺎ ﻣﻦ ﻣﺼﻨﻔﺎﺕ ﺃﺧﺮﻯ ﻗﺒﻠﻪ ،ﻭﻣﻦ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﻣﺜﻞ" :ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻄﱪﻱ ﻭﺗﺎﺭﳜﻪ ﻭﻛﺘﺎﺏ ﺍﻷﻡ ﻟﻠﺸﺎﻓﻌﻲ) .ﺍﻟﻄﺤﺎﻥ1996 .ﻡ .ﺹ(11 : ﺃﳘﻴﺔ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﻻﺷﻚ ﺃﻥ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﻓﻦ ﺍﻟﺘﺨﺮﺝ ﻣﻦ ﺃﻫﻢ ﻣﺎ ﳚﺐ ﻋﻠﻰ ﻛﻞ ﻣﺸﺘﻐﻞ ﺑﺎﻟﻌﻠﻮﻡ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ ﺃﻥ ﻳﻌﺮﻓﻪ ،ﻭﻳﺘﻌﻠﻢ ﻗﻮﺍﻋﺪﻩ ﻭﻃﺮﻗﻪ ﻟﻴﻌﺮﻑ ﻛﻴﻒ ﻳﺘﻮﺻﻞ ﺇﱃ ﻣﻮﺍﺿﻌﻪ )ﺍﻟﻄﺤﺎﻥ1996 .ﻡ .ﺹ(12 : ﺇﻥ ﻋﻠﻢ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻌﺘﱪ ﻣﻦ ﺃﻫﻢ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺍﳊﺪﻳﺜﻴﺔ ﺍﻟﺘﻄﺒﻴﻘﻴﺔ ،ﻳﻌﻠﻢ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﺃﻣﻮﺭﺍ ﻛﺜﲑﺓ ﻣﻨﻬﺎ: -1ﺍﻟﻘﺪﺭﺓ ﻋﻠﻰ ﲨﻊ ﺍﻟﻨﺼﻮﺹ ﺑﺼﻮﺭﺓ ﺃﺻﻮﻟﻴﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﳌﺴﻨﺪﺓ ﻭﻏﲑ ﺍﳌﺴﻨﺪﺓ ﰲ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﺍﻟﻮﺍﺣﺪ. -2ﺍﻟﻘﺪﺭﺓ ﻋﻠﻰ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺃﺳﺎﻧﻴﺪ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻨﺼﻮﺹ ﺍﻟﱵ ﲨﻌﺖ ﻟﺪﻳﻪ ﻭﺍﳊﻜﻢ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻭﻓﻖ ﺍﻷﺻﻮﻝ ﺍﳌﺘﺒﻌﺔ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻔﻦ ،ﻭﺍﺳﺘﺒﻌﺎﺩ ﻣﺎ ﻻ ﻳﺼﻠﺢ ﻟﻼﺣﺘﺠﺎﺝ ﺑﻪ ﻣﻨﻬﺎ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
76
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
-3ﺍﻟﻘﺪﺭﺓ ﻋﻠﻰ ﺿﺒﻂ ﺍﻟﻨﺺ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺳﻨﺪﹰﺍ ﻭﻣﺘﻨﺎﹰ ،ﻭﲪﺎﻳﺘﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﺤﺮﻳﻒ ﻭﺍﻟﺘﺼﺤﻴﻒ ﻭﺫﻟﻚ ﺑﺎﻟﺮﺟﻮﻉ ﺇﱃ ﻛﺘﺐ ﺍﻷﻧﺴﺎﺏ ،ﻭﺍﳌﺆﺗﻠﻔﻮ ﺍﳌﺨﺘﻠﻒ ،ﻭﻛﺘﺐ ﺍﻟﻐﺮﻳﺐ ﻭﻏﲑﻫﺎ) .ﺍﻟﻄﺤﺎﻥ1996 ،ﻡ ،ﺹ(189 : -4ﲪﺎﻳﺔ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﻣﻦ ﺍﻻﳓﺮﺍﻑ ﰲ ﻓﻬﻢ ﺍﻟﻨﺺ ،ﻭﲢﻤﻴﻠﻪ ﻣﺎﻻ ﳛﺘﻤﻞ ،ﻭﺫﻟﻚ ﺑﺎﻟﺮﺟﻮﻉ ﺇﱃ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺸﺮﻭﺡ ﺍﻟﱵ ﺃﻭﺻﺤﺖ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﻬﺑﺬﻩ ﺍﻟﻨﺼﻮﺹ) .ﺍﻟﻄﺤﺎﻥ1996 .ﻡ .ﺹ(189 : -5ﲨﻊ ﺃﻛﱪ ﻋﺪﺩ ﻣﻦ ﺃﺳﺎﻧﻴﺪ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﻓﺒﺎﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﻳﺘﻮﺻﻞ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﺇﱃ ﻣﻮﺿﻊ ﺃﻭ ﻣﻮﺍﺿﻊ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﳌﺘﻌﺪﺩﺓ ،ﻭﻳﻌﺮﻑ ﺃﻳﻀﹰﺎ ﺃﻣﺎﻛﻦ ﻭﺭﻭﺩﻩ ﰲ ﻛﻞ ﻣﻮﺿﻊ ﻳﻌﺮﻑ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ،ﻓﻴﻜﻮﻥ ﻗﺪ ﺣﺼﻞ ﻋﻠﻰ ﺃﺳﺎﻧﻴﺪ ﻣﺘﻌﺪﺩﺓ ﻟﻠﺤﺪﻳﺚ )ﺍﳌﻬﺪﻱ1986 ،ﻡ ،ﺹ(11 : -6ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺣﺎﻝ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﺑﺘﺘﺒﻊ ﺍﻟﻄﺮﻕ ،ﻓﺒﺎﻟﻮﺻﻮﻝ ﺇﱃ ﻃﺮﻕ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﳝﻜﻦ ﻣﻘﺎﺑﻠﺘﻬﺎ ﺑﺒﻌﻀﻬﺎ ،ﻓﻴﻈﻬﺮ ﻣﺎ ﻓﻴﻬﺎ ﻣﻦ ﺍﻧﻘﻄﺎﻉ ﺃﻭ ﺍﺗﺼﺎﻝ )ﺍﳌﻬﺪﻱ1986 ،ﻡ ،ﺹ(12 : -7ﺯﻭﺍﻝ ﻋﻨﻌﻨﻪ ﺍﳌﺪﻟﺲ ،ﻓﺎﳌﺪﻟﺲ ﻫﻮ ﻣﺎ ﺳﻘﻂ ﻣﻦ ﺇﺳﻨﺎﺩﻩ ﺭﺍﻭ ﱂ ﻳﺴﻤﻌﻪ ﻣﻦ ﺣﺪﺙ ﻋﻨﻪ ﻣﻮﳘﹰﺎ ﲰﺎﻋﺔ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﱂ ﳛﺪﺙ ﺑﻪ )ﺍﻟﻘﺎﲰﻲ1979 ،ﻡ ،ﺹ(130 : ﺃﳘﻴﺔ ﺍﻻﺣﺘﺠﺎﺝ ﺑﺄﺣﺎﺩﻳﺚ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﳌﺴﻴﺢ ﺍﺑﻦ ﻣﺮﱘ ﺇﻥ ﻛﺜﲑﹰﺍ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﻋﺎﺓ ﻭﺑﻌﺾ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﰲ ﻋﺼﺮﻧﺎ ﺍﻟﻴﻮﻡ ﻳﻨﻜﺮﻭﻥ ﺣﺪﻳﺚ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﳌﺴﻴﺢ ﺃﻭ ﻳﺆﻭﺎ ،ﺍﻋﺘﻤﺎﺩﹰﺍ ﻋﻠﻰ ﻋﻘﻮﳍﻢ ﻭﺃﻓﻜﺎﺭﻫﻢ ،ﻭﻳﻄﻌﻨﻮﻥ ﰲ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ ،ﻣﻊ ﺍﻷﺳﻒ ﻻﻳﻬﺘﻤﻮﻥ ﲜﺎﻧﺐ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﻭﺇﺻﻼﺣﻬﺎ ،ﺑﻞ ﺭﲟﺎ ﻳﻘﻮﻝ ﺑﻌﻀﻬﻢ" :ﺍﺗﺮﻛﻮﺍ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﻠﻰ ﻋﻘﺎﺋﺪﻫﻢ ! ﻭﻻ ﺗﺘﻌﺮﺿﻮﺍ ﻓﻴﻤﺎ ﺍﺧﺘﻠﻔﻨﺎ ﻓﻴﻪ ...ﺃﻭ ﳓﻮﹰﺍ ﻣﻦ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻌﺒﺎﺭﺍﺕ ﺍﻟﱵ ﲣﺎﻟﻒ ﻗﻮﻝ ﺍﷲ : { z ä ã â á àß Þ Ý Ü Û Ú Ù Ø × Ö Õ Ô Ó Ò Ñ
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ(59 :4 ،
ﻻ ﺍﺟﺘﻤﺎﻉ ﻭﻻ ﻗﻮﺓ ﺇﻻ ﺑﺎﻟﺮﺟﻮﻉ ﺇﱃ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ ﻭﺳﻨﺔ ﺭﺳﻮﻟﻪ ﻭﺗﺮﻙ ﻣﺎ ﺧﺎﻟﻔﻬﻤﺎ ،ﻭﻻﺳﻴﻤﺎ ﰲ ﻣﺴﺎﺋﻞ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﺍﻟﱵ ﻫﻲ ﺍﻷﺳﺎﺱ ،ﻭﻗﺎﻝ : {zgfedcba
)ﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ(103 :3 ،
ﻭﻻ ﻳﺼﻠﺢ ﺁﺧﺮ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﻣﻪ ﺇﻻ ﻣﺎ ﺃﺻﻠﺢ ﺃﻭﳍﺎ) .ﺍﻟﻔﻮﺯﺍﻥ1419 ،ﻫـ1998/ﻡ ،ﺹ(9 : ﻓﺈﻥ ﻛﺎﻧﺖ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﻣﻮﺍﻓﻘﺔ ﳌﺎ ﺑﻌﺚ ﺍﷲ ﺑﻪ ﺭﺳﻠﻪ ﻭ ﺃﻧﺰﻟﻪ ﺑﻪ ﻛﺘﺒﻪ ،ﻓﻬﻲ ﻋﻘﻴﺪﺓ ﺻﺤﻴﺤﺔ ﺳﻠﻴﻤﺔ ﲢﺼﻞ ﻬﺑﺎ ﺍﻟﻨﺠﺎﺓ ﻣﻦ ﻋﺬﺍﺏ ﺍﷲ ﻭﺍﻟﺴﻌﺎﺩﺓ ﰲ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻭﺍﻵﺧﺮﺓ. ﻭﺇﻥ ﻛﺎﻧﺖ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﳐﺎﻟﻔﺔ ﳌﺎ ﺃﺭﺳﻞ ﺍﷲ ﺑﻪ ﺭﺳﻠﻪ ﻭﺃﻧﺰﻝ ﺑﻪ ﻛﺘﺒﻪ ،ﻓﻬﻲ ﻋﻘﻴﺪﺓ ﺗﻮﺟﺐ ﻷﺻﺤﺎﻬﺑﺎ ﺍﻟﻌﺬﺍﺏ ﻭﺍﻟﺸﻘﺎﺀ ﰲ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻭﺍﻵﺧﺮﺓ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
77
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺃﻥ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﰲ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﰲ ﺍﻟﺼﺤﺎﺡ ﻭﺍﻟﺴﻨﻦ ﻭﺍﳌﺴﺎﻧﻴﺪ ﻭﻏﲑﻩ ﻣﻦ ﺩﻭﺍﻭﻳﻦ ﺍﻟﺴﻨﺔ، ﻭﻫﻲ ﺗﺪﻝ ﻋﻠﻰ ﺩﻻﻟﺔ ﺻﺮﳛﺔ ﻋﻠﻰ ﺛﺒﻮﺕ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﰲ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ،ﻭﻻ ﺣﺠﺔ ﳌﻦ ﺭﺩﻫﺎ ،ﺃﻭﻗﺎﻝ :ﺇﺎ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺁﺣﺎﺩ ﻻ ﺗﻘﻮﻡ ﻬﺑﺎ ﺍﳊﺠﺔ ،ﺃﻭ ﺇﻥ ﻧﺰﻭﻟﻪ ﻟﻴﺲ ﻋﻘﻴﺪﺓ ﻣﻦ ﻋﻘﺎﺋﺪ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﺍﻟﱵ ﳚﺐ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺃﻥ ﻳﺆﻣﻨﻮﺍ ﻬﺑﺎ. ﺃﻣﺎ ﺧﱪ ﺍﻵ ﺣﺎﺩ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺼﺤﺤﻪ ﺃﻫﻞ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻭﻳﻘﺒﻠﻮﻧﻪ ﻓﻬﻮ ﺣﺠﺔ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ﻭﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ،ﺑﺈﲨﺎﻉ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻢ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻭﺗﺎﺑﻌﻴﻬﻢ ،ﺇﺫ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻢ ﻳﺮﻭﻭﻥ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻵﺣﺎﺩ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ، ﻭﻳﻌﺘﻘﺪﻭﻥ ﲟﺎ ﺗﻀﻤﻨﺘﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ﻭﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﺍﻟﻐﻴﺒﻴﺔ ،ﻭﻻ ﻳﻔﺮﻗﻮﻥ ﺑﻴﻨﻬﺎ ﻭﺑﲔ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﰲ ﺷﺮﻭﻁ ﺍﻟﻘﺒﻮﻝ ﻭﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﺮﺩ ،ﺑﻞ ﻳﻮﺟﺒﻮﻥ ﰲ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ﻣﺎ ﻳﻮﺟﺒﻮﻧﻪ ﰲ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﺜﺒﺖ ﻭﺍﻟﺘﺤﺮﻱ. ﻭﻗﺪ ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻲ 1ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ" :ﻭﻟﻮ ﺟﺎﺯ ﻷﺣﺪ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺃﻥ ﻳﻘﻮﻝ ﰲ ﻋﻠﻢ ﺍﳋﺎﺻﺔ :ﺃﲨﻊ ﺍﳌﺴﻠﻤﻮﻥ ﻗﺪﳝﹰﺎ ﻭﺣﺪﻳﺜﹰﺎ ﻋﻠﻰ ﺗﺜﺒﻴﺖ ﺧﱪ ﺍﻟﻮﺍﺣﺪ ﻭﺍﻻﻧﺘﻬﺎﺀ ﺇﻟﻴﻪ ،ﺑﺄﻧﻪ ﱂ ﻳﻌﻠﻢ ﻣﻦ ﻓﻘﻬﺎﺀ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﺃﺣﺪ ﺇﻻ ﻭﻗﺪ ﺛﺒﺘﻪ ﺟﺎﺯ ﱄ .ﻭﻟﻜﻦ ﺃﻗﻮﻝ :ﱂ ﺃﺣﻔﻆ ﻋﻦ ﻓﻘﻬﺎﺀ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﺃﻢ ﺍﺧﺘﻠﻔﻮﺍ ﰲ ﺗﺜﺒﻴﺖ ﺧﱪ ﺍﻟﻮﺍﺣﺪ ،ﲟﺎ ﻭﺻﻔﺖ ﻣﻦ ﺃﻥ ﺫﻟﻚ ﻣﻮﺟﻮﺩ ﻋﻠﻰ ﻛﻠﻬﻢ" )ﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻲ ،ﺩ ﺕ ،ﺹ(458-457 : ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﱪ ﺍﻷﻧﺪﻟﺴﻲ 2ﺍﻟﻔﻘﻴﻪ ﺍﳌﺎﻟﻜﻲ ﺍﻟﺸﻬﲑ ،ﻭﻫﻮ ﻳﺘﻜﻠﻢ ﻋﻦ ﺧﱪ ﺍﻵﺣﺎﺩ ﻭﻣﻮﻗﻒ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻣﻨﻪ: "ﻭﻛﻠﻬﻢ ﻳﺪﻳﻦ ﲞﱪ ﺍﻟﻮﺍﺣﺪ ﺍﻟﻌﺪﻝ ﰲ ﺍﻻﻋﺘﻘﺎﺩﺍﺕ ،ﻭﻳﻌﺎﺩﻱ ﻭﻳﻮﺍﱄ ﻋﻠﻴﻬﺎ ،ﻭﳚﻌﻠﻬﺎ ﺷﺮﻋﹰﺎ ﻭﺩﻳﻨﹰﺎ ﰲ ﻣﻌﺘﻘﺪﻩ ،ﻋﻠﻰ ﺫﻟﻚ ﲨﻴﻊ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﺴﻨﺔ") .ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﱪ ،ﺩ ﺕ.(8/1 ، ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﻗﻴﻢ ﺍﳉﻮﺯﻳﺔ 3ﻭﻫﻮ ﻳﺮﺩ ﻋﻠﻰ ﻣﻦ ﱂ ﳛﺘﺞ ﲞﱪ ﺍﻵﺣﺎﺩ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ﻣﻦ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﺒﺪﻉ ) ،ﻭﺃﻣﺎ ﺍﳌﻘﺎﻡ ﺍﻟﺜﺎﻣﻦ :ﻭﻫﻮ ﺍﻧﻌﻘﺎﺩ ﺍﻹﲨﺎﻉ ﺍﳌﻌﻠﻮﻡ ﺍﳌﺘﻴﻘﻦ ﻋﻠﻰ ﻗﺒﻮﻝ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ،ﻭﺇﺛﺒﺎﺕ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﻟﺮﺏ ﺗﻌﺎﱃ ﻬﺑﺎ .ﻓﻬﺬﺍ ﻻ ﻳﺸﻚ ﻓﻴﻪ ﻣﻦ ﻟﻪ ﺃﻗﻞ ﺧﱪﺓ ﺑﺎﳌﻨﻘﻮﻝ .ﻓﺈﻥ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻢ ﻫﻢ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺭﻭﻭﺍ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﻭﺗﻠﻘﺎﻫﺎ ﺑﻌﻀﻬﻢ ﻋﻦ ﺑﻌﺾ ﺑﺎﻟﻘﺒﻮﻝ ،ﻭﱂ ﻳﻨﻜﺮﻫﺎ ﺃﺣﺪ ﻣﻨﻬﻢ ﻋﻠﻰ ﻣﻦ ﺭﻭﺍﻫﺎ ،ﰒ ﺗﻠﻘﺎﻫﺎ ﻋﻨﻬﻢ ﲨﻴﻊ ﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ،ﻣﻦ ﺃﻭﳍﻢ ﺇﱃ ﺁﺧﺮﻫﻢ) "...ﺍﺑﻦ ﺍﻟﻘﻴﻢ ﺩ ﺕ ،ﺹ .(577 :ﻭﺑﻨﺎ ًﺀ ﻋﻠﻰ ﺫﻟﻚ :ﻓﺈﻥ ﺭﺩ ﺧﱪ ﺍﻵﺣﺎﺩ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ﻣﻨﻬﺞ ﺑﺪﻋﻲ ﳜﺎﻟﻒ ﺇﲨﺎﻉ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﻭﺍﳉﻤﺎﻋﺔ. ﺑﻞ ﺇﻥ ﺭﺩ ﺧﱪ ﺍﻵﺣﺎﺩ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ﻳﺆﻭﻝ ﺇﱃ ﺭﺩ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﻛﻠﻬﺎ ،ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺣﺎﰎ ﺍﺑﻦ ﺣﺒﺎﻥ) 4ﺕ 354ﻫـ( ،ﰲ ﻣﻘﺪﻣﺔ ﺻﺤﻴﺤﺔ" :ﻓﺄﻣﺎ ﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﻓﺈﺎ ﻛﻠﻬﺎ ﺃﺧﺒﺎﺭ ﺁﺣﺎﺩ( ،ﺇﱃ ﺃﻥ ﻗﺎﻝ) :ﻭﺃﻥ ﻣﻦ ﺗﻨﻜﺐ ﻋﻦ ﻗﺒﻮﻝ ﺃﺧﺒﺎﺭ ﺍﻵﺣﺎﺩ ،ﻓﻘﺪ ﻋﻤﺪ ﺇﱃ ﺗﺮﻙ ﺍﻟﺴﻨﻦ ﻛﻠﻬﺎ ،ﻟﻌﺪﻡ ﻭﺟﻮﺩ ﺍﻟﺴﻨﻦ ﺇﻻ ﻣﻦ ﺭﻭﺍﻳﺔ ﺍﻵﺣﺎﺩ" ) .ﺍﺑﻦ ﺣﺒﺎﻥ ،ﺩ ﺕ، (156/1
1ﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻲ :ﻓﻴﻤﺎ ﺑﻌﺪ ﺇﻥ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ. 2ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﱪ ) :ﺕ 463ﻫـ( ﻓﻴﻤﺎ ﺑﻌﺪ ﺇﻥ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ. 3ﺍﺑﻦ ﻗﻴﻢ ﺍﳉﻮﺯﻳﺔ :ﻓﻴﻤﺎ ﺑﻌﺪ ﺇﻥ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ. 4ﺍﺑﻦ ﺣﺒﺎﻥ :ﻓﻴﻤﺎ ﺑﻌﺪ ﺇﻥ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
78
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻭﺃﻣﺎ ﺇﻧﻜﺎﺭ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﰲ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ،ﻓﻼ ﺷﻚ ﺃﻧﻪ ﺧﻄﺄ ﻛﺒﲑ ،ﻻ ﻳﻜﻮﻥ ﺇﻻ ﻋﻦ ﺟﻬﻞ ﺑﻨﺼﻮﺹ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﰲ ﺫﻟﻚ ،ﺃﻭ ﻋﻦ ﻣﻨﻬﺞ ﻣﺒﺘﺪﻉ ﰲ ﻃﺮﻳﻘﺔ ﺍﻟﺘﻌﺎﻣﻞ ﻣﻊ ﺃﺩﻟﺔ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ،ﻟﻦ ﻳﻜﻮﻥ ﺇﻧﻜﺎﺭ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﻣﻌﻪ ﺃﻭﻝ ﺿﻼﻻﺗﻪ ﻭﻣﻨﻜﺮﺍﺕ ﺁﺭﺍﺋﻪ ﺍﳌﺒﻨﻴﺔ ﻋﻠﻴﻪ ،ﻭﻻ ﺁﺧﺮﻫﺎ. ﻭﻟﻘﺪ ﺟﺎﺀ ﻣﺎ ﻳﺪﻝ ﻋﻠﻰ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ،ﰲ ﺛﻼﺙ ﺁﻳﺎﺕ ﻣﻨﻪ ،ﻭﻫﻲ :ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ: {zyxwvutsrqp
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ(159 :4 ،
ﻭﻣﻌﲎ ﺍﻵﻳﺔ :ﻟﻴﺲ ﺃﺣﺪ ﻣﻦ ﺍﻟﻴﻬﻮﺩ ﻭﺍﻟﻨﺼﺎﺭﻯ ﺇﻻ ﻭﺳﻴﺆﻣﻦ ﻗﻄﻌﹰﺎ ﻭﺟﺰﻣﹰﺎ ﺑﻌﻴﺴﻰ ، ﻋﺒﺪ ﷲ ﻭﺭﺳﻮ ﹰﻻ ﻣﻨﻪ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ،ﻭﺫﻟﻚ ﺳﻴﻜﻮﻥ ﻗﺒﻞ ﻣﻮﺕ ﻋﻴﺴﻰ ،ﻭﻣﻌﻠﻮﻡ ﺃﻥ ﻫﺬﺍ ﱂ ﻳﻘﻊ ﺣﱴ ﺍﻵﻥ ،ﳑﺎ ﻳﻌﲏ ﺃﻧﻪ ﳑﺎ ﺳﻮﻑ ﻳﻘﻊ ﻓﻴﻤﺎ ﻧﺴﺘﻘﺒﻠﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ. ﻭﻗﻮﻟﻪ : { z C BA
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺰﺧﺮﻑ(61 :43 ،
ﻟﻘﺪ ﻛﺎﻧﺖ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﻗﺒﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺔ ﺗﺘﺤﺪﺙ ﻋﻦ ﻋﻴﺴﻰ ، ﻓﺎﻟﻀﻤﲑ ﰲ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺔ ﻳﻌﻮﺩ ﺇﻟﻴﻪ . ﻭﺍﳌﻌﲎ :ﺇﻥ ﻋﻴﺴﻰ ﺷﺮﻁ ﻭﻋﻼﻣﺔ ﻣﻦ ﻋﻼﻣﺎﺕ ﺍﻟﺴﺎﻋﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻌﻠﻢ ﻬﺑﺎ ،ﻓﺴﻤﻲ ﺍﻟﺸﺮﻁ ﻋﻠﻤﹰﺎ ﳊﺼﻮﻝ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺑﻪ ﻭﻗﺮﺉ ﰲ ﺍﻟﺸﻮﺍﺫ )ﻟ ﻌﻠﹶﻢ( ﺑﻔﺘﺢ ﺍﻟﻌﲔ ﻭﺍﻟﻼﻡ ﲟﻌﲎ ﺍﻟﻌﻼﻣﺔ )ﺍﳊﺴﻴﲏ1426 ،ﻫـ2005 -ﻡ ،ﺹ.( 267 : ﻭﻗﻮﻟﻪ : { z G F ED C B A
)ﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ(46 :3 ،
ﻭﻭﺟﻪ ﺩﻻﻟﺔ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺔ ﻋﻠﻰ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺃﻥ ﺍﷲ ﻋﺪﺩ ﺑﻌﺾ ﺧﺼﺎﺋﺺ ﻋﻴﺴﻰ ﻭﺩﻻﺋﻞ ﻧﺒﻮﺗﻪ ،ﻓﻜﺎﻥ ﻣﻨﻬﺎ ﻛﻼﻣﻪ ﰲ ﺍﳌﻬﺪ ﻭﻫﻮ ﺭﺿﻴﻊ ،ﻭﻛﻼﻡ ﺍﻟﺮﺿﻴﻊ ﻣﻦ ﺍﳋﻮﺍﺭﻕ ﺍﻟﺪﺍﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﺒﻮﺓ ﻭﻻ ﺷﻚ .ﻓﻤﺎ ﻫﻮ ﻭﺟﻪ ﺫﻛﺮ ﻛﻼﻣﻪ ﻭﻫﻮ ﻛﻬﻞ ،ﻭﺍﻟﻜﻬﻮﻟﺔ ﺳﻦ ﺑﺪﺍﻳﺔ ﻇﻬﻮﺭ ﺍﻟﺸﻴﺐ ،ﻭﺍﻷﺻﺤﺎﺀ ﻛﻠﻬﻢ ﻳﺘﻜﻠﻤﻮﻥ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺴﻦ؟! ﺇﻥ ﺫﻛﺮ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﰲ ﺳﻦ ﺍﻟﻜﻬﻮﻟﺔ ﰲ ﺳﻴﺎﻕ ﺫﻛﺮ ﺧﺼﺎﺋﺺ ﻋﻴﺴﻰ ،ﻭﺍﳋﻮﺍﺭﻕ ﺍﻟﱵ ﺗﺪﻝ ﻋﻠﻰ ﻧﺒﻮﺗﻪ ﻓﻴﻪ ﺇﺷﺎﺭﺓ ﻭﺍﺿﺤﺔ ﺇﱃ ﺃﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﺳﻴﻜﻮﻥ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﺗﻜﻮﻥ ﻣﻌﻬﺎ ﺇﺣﺪﻯ ﺧﺼﺎﺋﺼﻪ ﺃﻳﻀﹰﺎ ﺍﻟﺪﺍﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﻧﺒﻮﺗﻪ ،ﻭﻫﺬﻩ ﺍﳊﺎﻟﺔ ﱂ ﺗﻘﻊ ﻓﻴﻤﺎ ﻣﻀﻰ ﻣﻦ ﺣﻴﺎﺗﻪ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﻓﻴﻬﺎ ﺑﲔ ﺍﻟﻨﺎﺱ ،ﻭﺫﻟﻚ ﳑﺎ ﻻ ﳜﺎﻟﻒ ﻓﻴﻪ ﺍﻟﻴﻬﻮﺩ ﻭﺍﻟﻨﺼﺎﺭﻯ ﻭﺍﳌﺴﻠﻤﻮﻥ. ﻓﻠﻢ ﻳﺒﻖ ﺇﻻ ﺃﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﳋﺼﻴﺼﺔ ﺳﺘﺘﺤﻘﻖ ﻓﻴﻤﺎ ﻧﺴﺘﻘﺒﻞ ﻣﻦ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻳﻌﲏ ﺃﻥ ﻋﻴﺴﻰ ﺳﻴﻌﻮﺩ ﺑﲔ ﺍﻟﻨﺎﺱ، ﻟﺘﺘﺤﻘﻖ ﻟﻪ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻌﺠﺰﺓ ،ﻭﻫﻲ ﻛﻼﻣﻪ ﻛﻬ ﹰ ﻼ) .ﺍﳊﺴﻴﲏ1426 ،ﻫـ2005 -ﻡ ،ﺹ.(267 : ﻭﻣﻊ ﻫﺬﻩ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺻﺤﻴﺤﺔ ﻛﺜﲑﺓ ﰲ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ،ﻭﻣﻨﻬﺎ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺃﺧﺮﺟﻬﺎ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ﻭﻣﺴﻠﻢ ﰲ ﺻﺤﻴﺤﻴﻬﻤﺎ ،ﺍﻟﻠﺬﻳﻦ ﳘﺎ ﺃﺻﺢ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺑﻌﺪ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ ،ﻭﻫﻲ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺗﻠﻘﺘﻬﺎ ﺍﻷﻣﺔ ﺑﺎﻟﻘﺒﻮﻝ ،ﻓﻬﻲ ﻣﻔﻴﺪﺓ ﻟﻠﻴﻘﲔ،
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
79
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺣﱴ ﻋﻨﺪ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﺒﺪﻉ ﻣﻦ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻜﻼﻡ ،ﺍﻟﺬﻳﻦ ﻻ ﳛﺘﺠﻮﻥ ﺑﺄﺧﺒﺎﺭ ﺍﻵﺣﺎﺩ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﺎﺋﺪ ،ﺑﻞ ﻟﻘﺪ ﻭﺻﻔﺖ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺑﺎﻟﺘﻮﺍﺗﺮ ،ﻭﻭﺻﻔﻬﺎ ﺑﺬﻟﻚ ﲨﻊ ﻛﺒﲑ ﻣﻦ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ) .ﺍﻟﻮﺍﺑﻞ1421 .ﻫـ ،ﺹ.(349 : ﺇﺫﺍ ﺛﺒﺖ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﻭﺟﺐ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﻪ ،ﻭﺗﺼﺪﻳﻖ ﻣﺎ ﺃﺧﱪ ﺑﻪ ﺍﻟﺼﺎﺩﻕ ﺍﳌﺼﺪﻭﻕ ،ﻭﻻ ﳚﻮﺯ ﺭﺩ ﻗﻮﻟﻪ، ﻟﻜﻮﻧﻪ ﺣﺪﻳﺚ ﺁﺣﺎﺩ ،ﻷﻥ ﻫﺬﻩ ﺣﺠﺔ ﻭﺍﻫﻴﺔ ،ﺇﻥ ﺣﺪﻳﺚ ﺍﻵﺣﺎﺩ ﺇﺫﺍ ﺻﺢ ،ﻭﺟﺐ ﺗﺼﺪﻳﻖ ﻣﺎ ﻓﻴﻪ ،ﻭﺇﺫﺍ ﻗﻠﻨﺎ :ﺇﻥ ﺣﺪﻳﺚ ﺍﻵﺣﺎﺩ ﻟﻴﺲ ﲝﺠﺔ ،ﻓﺈﻧﻨﺎ ﻧﺮ ﱡﺩ ﻛﺜﲑﹰﺍ ﻣﻦ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﻭﻳﻜﻮﻥ ﻣﺎ ﻗﺎﻟﻪ ﻋﺜﺒﹰﺎ ﻻ ﻣﻌﲎ ﻟﻪ، ﻛﻴﻒ ﻭﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻗﺪ ﻧﺼﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﺗﻮﺍﺗﺮ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﰲ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﳌﺴﻴﺢ . ﻭﺳﺄﺫﻛﺮ ﻫﻨﺎ ﻋﻠﻰ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﳌﺜﺎﻝ: 5 -1ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ ﺍﻟﻄﱪﻱ " :ﺑﻌﺪ ﺫﻛﺮﻩ ﺍﳋﻼﻑ ﰲ ﻣﻌﲎ ﻭﻓﺎﺓ ﻋﻴﺴﻰ " ﻭﺃﻭﱃ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﻗﻮﺍﻝ ﱄ " ﻟﺘﻮﺍﺗﺮ ﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﻋﻦ ﺭﺳﻮﻝ ﺑﺎﻟﺼﺤﺔ ﻋﻨﺪﻧﺎ ﻗﻮﻝ ﻣﻦ ﻗﺎﻝ " :ﻣﻌﲎ ﺫﻟﻚ :ﺇﱐ ﻗﺎﺑﻀﻚ ﻣﻦ ﺍﻷﺭﺽ ،ﻭﺭﺍﻓﻌﻚ ،ﺇ ﹼ ﺍﷲ ﺃﻧﻪ ﻗﺎﻝ" :ﻳﱰﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺑﻦ ﻣﺮﱘ ﻓﻴﻘﺘﻞ ﺍﻟﺪﺟﺎﻝ" )ﺍﻟﻄﱪﻱ1415 .ﻫـ1995 -ﻡ.(291/ 3 ، -2ﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ " :6ﺗﻮﺍﺗﺮﺕ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﻋﻦ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺃﻧﻪ ﺃﺧﱪ ﺑﱰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﻗﺒﻞ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ ﺇﻣﺎﻣﹰﺎ ﻋﺎﺩ ﹰ ﻻ ﻭﺣﻜﻤﹰﺎ ﻣﻘﺴﻄﹰﺎ" )ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ1418 .ﻫـ1998-ﻡ.(488/1 ، 7 -3ﻭﻗﺎﻝ ﺻﺪﻳﻖ ﺣﺴﻦ " :ﻭﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﰲ ﻧﺰﻭﻟﻪ ﻛﺜﲑﺓ ،ﺫﻛﺮ ﺍﻟﺸﻮﻛﺎﱐ ﻣﻨﻬﺎ ﺗﺴﻌﺔ ﻭﻋﺸﺮﻳﻦ ﺣﺪﻳﺜﺎﹰ ،ﻣﺎ ﺑﲔ ﺻﺤﻴﺢ ،ﻭﺣﺴﻦ ،ﻭﺿﻌﻴﻒ ،ﻣﻨﻬﺎ ﻣﺎ ﻫﻮ ﻣﺬﻛﻮﺭ ﰲ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﺪﺟﺎﻝ ...ﻭﻣﻨﻬﺎ ﻣﺎ ﻫﻮ ﻣﺬﻛﻮﺭﺓ ﰲ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﳌﻨﺘﻈﺮ ،ﻭﺗﻨﻀﻢ ﺇﱃ ﺫﻟﻚ ﺃﻳﻀﹰﺎ ﺍﻵﺛﺎﺭ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﻋﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ،ﻓﻠﻬﺎ ﺣﻜﻢ ﺍﻟﺮﻓﻊ ،ﺇﺫ ﻻ ﳎﺎﻝ ﻻﺟﺘﻬﺎﺩ ﰲ ﺫﻟﻚ " ﰒ ﺳﺎﻗﻬﺎ ﻭﻗﺎﻝ " :ﲨﻴﻊ ﻣﺎ ﺳﻘﻨﺎﻩ ﺑﺎﻟﻎ ﺣ ﺪ ﺍﻟﺘﻮﺍﺗﺮ ﻛﻤﺎ ﻻ ﳜﻔﻰ ﻋﻠﻰ ﻣﻦ ﻟﻪ ﻓﻀﻞ ﺍ ﻃﱢﻼﻉ" ) ﺍﻟﻮﺍﺑﻞ . 1421ﻫـ .ﺹ.(350 : -4ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﻐﻤﺎﺭﻱ " :8ﻭﻗﺪ ﺛﺒﺖ ﺍﻟﻘﻮﻝ ﺑﱰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﻋﻦ ﻏﲑ ﻭﺍﺣﺪ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻭﺃﺗﺒﺎﻋﻬﻢ ﻭﺍﻷﺋﻤﺔ ﻭﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻣﻦ ﺳﺎﺋﺮ ﺍﳌﺬﺍﻫﺐ ﻋﻠﻰ ﳑﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ﺇﱃ ﻭﻗﺘﻨﺎ ﻫﺬﺍ" )ﺍﻟﻐﻤﺎﺭﻱ .ﺩ ﺕ .ﺹ.(351 : ﻭﻗﺪ ﺻﺤﺖ ﻭﺗﻮﺍﺗﺮﺕ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﻋﻦ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﰲ ﻧﺰﻭﻝ ﺍﳌﺴﻴﺢ ﺍﺑﻦ ﻣﺮﱘ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻤﺎﺀ ﰲ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ،ﺛﺎﺑﺘﺔ ﳝﻸ ﺍﻷﺭﺽ ﻗﺴﻄﹰﺎ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﻣﻠﺌﺖ ﺟﻮﺭﺍﹰ ،ﻭﻧﺰﻭﻝ ﺍﳌﺴﻴﺢ ﺍﺑﻦ ﻣﺮﱘ ،ﻫﺬﺍ ﺛﺎﺑﺖ ﺑﺎﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ ﺍﳌﺘﻮﺍﺗﺮﺓ ﻋﻦ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ،ﻓﺈﻧﻜﺎﺭﻫﺎ ﻛﻔﺮ ﻭﺿﻼﻝ ﻧﺴﺄﻝ ﺍﷲ ﺍﻟﻌﺎﻓﻴﺔ.
5ﺍﻟﻄﱪﻱ :ﻓﻴﻤﺎ ﺑﻌﺪ ﺇﻥ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ. 6ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ :ﻓﻴﻤﺎ ﺑﻌﺪ ﺇﻥ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ. 7ﺻﺪﻳﻖ ﺣﺴﻦ :ﻓﻴﻤﺎ ﺑﻌﺪ ﺇﻥ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ. 8ﺍﻟﻐﻤﺎﺭﻱ :ﻓﻴﻤﺎ ﺑﻌﺪ ﺇﻥ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
80
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﳌﺴﻴﺢ ﰲ ﺃﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻷﻭﻝ ﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﺔ؛ ﺐ ﻋ ْﻦ ﺴﻴ ﹺ ﻱ ﻋ ْﻦ ﺳﻌِﻴ ِﺪ ْﺑ ﹺﻦ ﺍﹾﻟﻤ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﹶﺃﺑﻮ ﺑ ﹾﻜ ﹺﺮ ْﺑ ﻦ ﹶﺃﺑﹺﻲ ﺷْﻴﺒ ﹶﺔ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﺳ ﹾﻔﻴﺎ ﹸﻥ ْﺑ ﻦ ﻋﻴْﻴﻨ ﹶﺔ ﻋ ْﻦ ﺍﻟ ﱡﺰ ْﻫ ﹺﺮ ﱢ ﺴﻄﹰﺎ ﹶﺃﺑﹺﻲ ﻫ ﺮ ْﻳ ﺮ ﹶﺓ ﻋ ْﻦ ﺍﻟﻨﹺﺒ ﱢﻲ ﻗﹶﺎ ﹶﻝ )) :ﹶﻻ ﺗﻘﹸﻮ ﻡ ﺍﻟﺴﺎ ﻋﺔﹸ ﺣﺘﻰ ﻳْﻨ ﹺﺰ ﹶﻝ ﻋِﻴﺴﻰ ﺍ ْﺑ ﻦ ﻣ ْﺮﻳ ﻢ ﺣ ﹶﻜﻤًﺎ ﻣ ﹾﻘ ِ ﺠ ْﺰﻳ ﹶﺔ ﻭﻳﻔِﻴ ﻀﻊ ﺍﹾﻟ ﹺ ﺨْﻨﺰﹺﻳ ﺮ ﻭﻳ ﺐ ﻭﻳ ﹾﻘﺘﻞﹸ ﺍﹾﻟ ِ ﺼﻠِﻴ ﺴﺮ ﺍﻟ ﻭﹺﺇﻣﺎﻣًﺎ ﻋ ْﺪﻟﹰﺎ ﹶﻓﻴ ﹾﻜ ِ ﺾ ﺍﹾﻟﻤﺎ ﹸﻝ ﺣﺘﻰ ﻟﹶﺎ ﻳ ﹾﻘﺒﹶﻠﻪ ﹶﺃ ﺣ ٌﺪ(( )ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﺔ ،ﺩ ﺕ ،ﺭﻗﻢ(95 / 12 ،4068 : ﺝ -ﲣﺮﻳﺞ ﺍﳌﱳ ﻭﰲ ﺻﺤﻴﺢ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ﺑﻠﻔﻆ ))ﻭﺍﱠﻟﺬِﻱ ﻧ ﹾﻔﺴِﻲ ﹺﺑﻴ ِﺪ ِﻩ ﹶﻟﻴﻮ ِﺷ ﹶﻜ ﻦ ﹶﺃ ﹾﻥ ﻳْﻨ ﹺﺰ ﹶﻝ ﻓِﻴ ﹸﻜ ْﻢ ((...ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ.2070 : ﺑﺎﺏ ﻗﺘﻞ ﺍﳋﱰﻳﺮ1406 ،ﻫـ1986-ﻡ.(462 / 7 ، ﻭﰲ ﺻﺤﻴﺢ ﻣﺴﻠﻢ ﺑﻠﻔﻆ )) :ﻭﺍﱠﻟﺬِﻱ ﻧ ﹾﻔﺴِﻲ ﹺﺑﻴ ِﺪ ِﻩ ﹶﻟﻴﻮ ِﺷ ﹶﻜ ﻦ ﹶﺃ ﹾﻥ ﻳْﻨ ﹺﺰ ﹶﻝ ﻓِﻴ ﹸﻜ ْﻢ ((...ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ،220 : ﺑﺎﺏ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﺑﻦ ﻣﺮﱘ ﺣﺎﻛﻤﺎ ﺑﺸﺮﻳﻌﺔ ﻧﺒﻴﻨﺎ ،ﺩ ﺕ.(368 / 1 ، ﻭﰲ ﺳﻨﻦ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ ﺑﻠﻔﻆ )) :ﻭﺍﱠﻟﺬِﻱ ﻧ ﹾﻔﺴِﻲ ﹺﺑﻴ ِﺪ ِﻩ ﹶﻟﻴﻮ ِﺷ ﹶﻜ ﻦ ﹶﺃ ﹾﻥ ﻳْﻨ ﹺﺰ ﹶﻝ ﻓِﻴ ﹸﻜ ْﻢ ((...ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ،2159 : ﺑﺎﺏ ﻣﺎﺟﺎﺀ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺑﻦ ﻣﺮﱘ1415 .ﻫـ1995-ﻡ(178 / 8 ، ﺩ -ﺭﺟﺎﻝ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ. ﹶﺃﺑﻮ ﺑ ﹾﻜ ﹺﺮ ﺑ ﻦ ﹶﺃﺑﹺﻲ ﺷ ﻴﺒ ﹶﺔ :ﻫﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺷﻴﺒﺔ ،ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﺍﻟﻮﺍﺳﻄﻲ ﺍﻷﺻﻞ ،ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺷﻴﺒﺔ ﺍﻟﻜﻮﰲ :ﺛﻘﺔ ﺣﺎﻓﻆ ﺻﺎﺣﺐ ﺗﺼﺎﻧﻴﻒ ،ﻣﻦ ﺍﻟﻌﺎﺷﺮﺓ ﻣﺎﺕ ﺳﻨﺔ ﲬﺲ ﻭﺛﻼﺛﲔ ) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ .ﺹ.(184 : ﺳ ﹾﻔﻴﺎ ﹸﻥ ﺑ ﻦ ﻋﻴ ﻴﻨ ﹶﺔ :ﻫﻮ ﺳﻔﻴﺎﻥ ﺑﻦ ﻋﻴﻴﻨﺔ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻋﻤﺮﺍﻥ :ﻣﻴﻤﻮﻥ ﺍﳍﻼﱄ ،ﺃﺑﻮ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻜﻮﰲ ،ﰒ ﺍﳌﻜﻲ :ﺛﻘﺔ ﺣﺎﻓﻆ ﻧﻘﻴﺔ ﺇﻣﺎﻡ ﺣﺠﺔ ،ﺇﻻ ﺃﻧﻪ ﺗﻐﲑ ﺣﻔﻈﻪ ﺑﺂﺧﺮﻩ ،ﻭﻛﺎﻥ ﺭﲟﺎ ﺩﻟﺲ ﻟﻜﻦ ﻋﻦ ﺍﻟﺜﻘﺎﺕ ،ﻣﻦ ﺭﺅﻭﺱ ﺍﻟﻄﺒﻘﺔ ﺍﻟﺜﺎﻣﻨﺔ، ﻭﻛﺎﻥ ﺃﺛﺒﺖ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﰲ ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﺩﻳﻨﺎﺭ ،ﻣﺎﺕ ﰲ ﺭﺟﺐ ﺳﻨﺔ ﲦﺎﻥ ﻭﺗﺴﻌﲔ ،ﻭﻟﻪ ﺇﺣﺪﻯ ﻭﺗﺴﻌﻮﻥ ﺳﻨﺔ) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ 1416 ،ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ.(184 : ﻱ :ﻫﻮ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﳛﻲ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺧﺎﻟﺪ ﺑﻦ ﻓﺎﺭﺱ ﺑﻦ ﺫﺅﻳﺐ ﺍﻟﺬﻫﻠﻲ ،ﺍﻟﻨﻴﺴﺎﺑﻮﺭﻱ :ﺛﻘﺔ ﺣﺎﻓﻆ ﺍﻟ ﺰ ﻫ ﹺﺮ ﺟﻠﻴﻞ ،ﻣﻦ ﺍﻟﻌﺎﺷﺮﺓ ،ﻣﺎﺕ ﺳﻨﺔ ﲦﺎﻥ ﻭﲬﺴﲔ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ،ﻭﻟﻪ ﺳﺖ ﻭﲦﺎﻧﻮﻥ ﺳﻨﺔ ) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ، 1416ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ.(446 : ﺐ :ﻫﻮ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﺍﳌﺴﻴﺐ ﺑﻦ ﺣﺰﻥ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻭﻫﺐ ﺑﻦ ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﻋﺎﺋﺬ ﺑﻦ ﻋﻤﺮﺍﻥ ﺑﻦ ﺴﻴ ﹺ ﺳﻌﻴ ﺪ ﺑ ﹺﻦ ﺍ ﹾﻟﻤ ﳐﺰﻭﻡ ﺍﻟﻘﺮﺷﻲ ﺍﳌﺨﺰﻭﻣﻲ ،ﺃﺣﺪ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﻷﺛﺒﺎﺕ ﺍﻟﻔﻘﻬﺎﺀ ﺍﻟﻜﺒﺎﺭ ،ﻣﻦ ﻛﺒﺎﺭ ﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔ ،ﺍﺗﻔﻘﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﻣﺮﺳﻼﺗﻪ ﺃﺻﺢ ﺍﳌﺮﺍﺳﻴﻞ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺍﳌﺪﻳﲏ :ﻻ ﺃﻋﻠﻢ ﰲ ﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﺃﻭﺳﻊ ﻋﻠﻤﹰﺎ ﻣﻨﻪ ،ﻣﺎﺕ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﺘﺴﻌﲔ ،ﻭﻗﺪ ﻧﺎﻫﺰ ﺍﻟﺜﻤﺎﻧﲔ ) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ.(180 :
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
81
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻱ -ﺣﻜﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺻﺤِﻴ ٌﺢ " ،ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ، 2159 ،ﺑﺎﺏ ﻣﺎﺟﺎﺀ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺑﻦ ﺴ ٌﻦ ﺚ ﺣ ﻗﺎﻝ ﺃﺑﻮ ﻋﻴﺴﻰ " :ﻫﺬﹶﺍ ﺣﺪِﻳ ﹲ ﻣﺮﱘ1415 ،ﻫـ1995-ﻡ ،ﺟـ . 8ﺹ(178 : ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻷﻟﺒﺎﱐ " :ﺣﺪﻳﺚ ﺻﺤﻴﺢ" ،ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،2733 :ﰲ ﺍﻟﺴﻠﺴﻠﺔ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ1412 ،ﻫـ1992ﻡ6 ،
.(524/
ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﺜﺎﱐ ﺐ ﻋ ْﻦ ﹶﺃﺑﹺﻲ ﺴﻴ ﹺ ﺏ ﻋ ْﻦ ﺳﻌِﻴ ِﺪ ْﺑ ﹺﻦ ﺍﹾﻟﻤ ﺚ ْﺑ ﻦ ﺳ ْﻌ ٍﺪ ﻋ ْﻦ ﺍْﺑ ﹺﻦ ِﺷﻬﺎ ﹴ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ :ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﻗﹸﺘْﻴﺒﺔﹸ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﺍﻟﱠﻠْﻴ ﹸ ﻫ ﺮ ْﻳ ﺮ ﹶﺓ ﹶﺃﻥﱠ ﺭﺳﻮ ﹶﻝ ﺍﻟﻠﱠ ِﻪ ﻗﹶﺎ ﹶﻝ )) :ﻭﺍﻟﱠ ِﺬﻱ ﻧ ﹾﻔﺴِﻲ ﹺﺑﻴ ِﺪ ِﻩ ﹶﻟﻴﻮ ِﺷ ﹶﻜ ﻦ ﹶﺃ ﹾﻥ ﻳْﻨ ﹺﺰ ﹶﻝ ﻓِﻴ ﹸﻜ ْﻢ ﺍ ْﺑ ﻦ ﻣ ْﺮﻳ ﻢ ﺣ ﹶﻜﻤًﺎ ﺾ ﺍﹾﻟﻤﺎ ﹸﻝ ﺣﺘﻰ ﻟﹶﺎ ﻳ ﹾﻘﺒﹶﻠﻪ ﹶﺃ ﺣ ٌﺪ(( ﺠ ْﺰﻳ ﹶﺔ ﻭﻳﻔِﻴ ﻀﻊ ﺍﹾﻟ ﹺ ﺨْﻨﺰﹺﻳ ﺮ ﻭﻳ ﺐ ﻭﻳ ﹾﻘﺘﻞﹸ ﺍﹾﻟ ِ ﺼﻠِﻴ ﺴﺮ ﺍﻟ ﺴﻄﹰﺎ ﹶﻓﻴ ﹾﻜ ِ ﻣ ﹾﻘ ِ )ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ1415 .ﻫـ1995-ﻡ .ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ(178/8 ،2159 : ﺝ – ﲣﺮﻳﺞ ﺍﳌﱳ ﰲ ﻣﺴﻨﺪ ﺃﲪﺪ ﻧﻔﺲ ﻟﻔﻆ ،ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ .10522 :ﻣﺴﻨﺪ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ1419 .ﻫـ1998-ﻡ(66/22 ، ﻭﰲ ﺻﺤﻴﺢ ﻣﺴﻠﻢ ﺑﻠﻔﻆ ) :ﻭﺍﱠﻟﺬِﻱ ﻧ ﹾﻔﺴِﻲ ﹺﺑﻴ ِﺪ ِﻩ ﹶﻟﻴﻮ ِﺷ ﹶﻜ ﻦ ﹶﺃ ﹾﻥ ﻳْﻨ ﹺﺰ ﹶﻝ ﻓِﻴ ﹸﻜ ْﻢ ...ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،220 :ﺑﺎﺏ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﺑﻦ ﻣﺮﱘ ﺣﺎﻛﻤﺎ ﺑﺸﺮﻳﻌﺔ ﻧﺒﻴﻨﺎ ،ﺩ ﺕ.(368/1 ، ﻭﰲ ﺻﺤﻴﺢ ﺍﺑﻦ ﺣﺒﺎﻥ ﺑﻨﻔﺲ ﻟﻔﻆ ،ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،6944 :ﺑﺎﺏ ﺫﻛﺮ ﺧﱪ ﻗﺪ ﻳﻮﻫﻢ ﻣﻦ ﱂ ﳛﻜﻢ ﺻﻨﺎﻋﺔ، ﺩ ﺕ(178/28 ، ﺩ -ﺭﺟﺎﻝ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﻗﺘﻴﺒﺔ :ﻫﻮ ﻗﺘﻴﺒﺔ ﺑﻦ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﲨﻴﻞ ﺑﻦ ﻃﺮﻳﻒ ﺍﻟﺜﻘﻔﻲ ،ﺃﺑﻮ ﺭﺟﺎﺀ ﺍﻟﺒﻐﻼﱐ ،ﺛﻘﺔ ﺛﺒﺖ ،ﻣﻦ ﺍﻟﻌﺎﺷﺮﺓ ،ﻣﺎﺕ ﺳﻨﺔ ﺃﺭﺑﻌﲔ ،ﻋﻦ ﺗﺴﻌﲔ ﺳﻨﺔ) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ.(389 : ﺍﻟﻠﻴﺚ ﺑﻦ ﺳﻌﺪ :ﻫﻮ ﺍﻟﻠﻴﺚ ﺑﻦ ﺳﻌﺪ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﻟﻔﻬﻤﻲ ،ﺃﺑﻮ ﺍﳊﺎﺭﺙ ﺍﳌﺼﺮﻱ :ﺛﻘﺔ ﺛﺒﺖ ﻓﻘﻴﻪ ﺇﻣﺎﻡ ﻣﺸﻬﻮﺭ ،ﻣﻦ ﺍﻟﺴﺎﺑﻌﺔ ،ﻣﺎﺕ ﰲ ﺷﻌﺒﺎﻥ ﺳﻨﺔ ﲬﺲ ﻭﺳﺒﻌﲔ )ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ.(400 : ﺍﺑﻦ ﺷﻬﺎﺏ :ﻫﻮ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻣﺴﻠﻢ ﺑﻦ ﻋﺒﻴﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺷﻬﺎﺏ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺍﳊﺎﺭﺙ ﺑﻦ ﺯﻫﺮﺓ ﺑﻦ ﻛﻼﺏ ﺍﻟﻘﺮﺷﻲ ﺍﻟﺰﻫﺮﻱ ،ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ،ﺍﻟﻔﻘﻴﻪ ﺍﳊﺎﻓﻆ :ﻣﺘﻔﻖ ﻋﻠﻰ ﺟﻼﻟﺘﻪ ﻭﺇﺗﻘﺎﻧﻪ ،ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﺭﺅﻭﺱ ﺍﻟﻄﺒﻘﺔ ﺍﻟﺮﺍﺑﻌﺔ ،ﻣﺎﺕ ﺳﻨﺔ ﲬﺲ ﻭﻋﺸﺮﻳﻦ ،ﻭﻗﻴﻞ ﺫﻟﻚ ﺑﺴﻨﺔ ﺃﻭ ﺳﻨﺘﲔ )) (2396ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ(440 : ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﺍﳌﺴﻴﺐ:ﻫﻮ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﺍﳌﺴﻴﺐ ﺑﻦ ﺣﺰﻥ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻭﻫﺐ ﺑﻦ ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﻋﺎﺋﺬ ﺑﻦ ﻋﻤﺮﺍﻥ ﺑﻦ ﳐﺰﻭﻡ ﺍﻟﻘﺮﺷﻲ ﺍﳌﺨﺰﻭﻣﻲ ،ﺃﺣﺪ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﻷﺛﺒﺎﺕ ﺍﻟﻔﻘﻬﺎﺀ ﺍﻟﻜﺒﺎﺭ ،ﻣﻦ ﻛﺒﺎﺭ ﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔ ،ﺍﺗﻔﻘﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﻣﺮﺳﻼﺗﻪ ﺃﺻﺢ ﺍﳌﺮﺍﺳﻴﻞ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺍﳌﺪﻳﲏ :ﻻ ﺃﻋﻠﻢ ﰲ ﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﺃﻭﺳﻊ ﻋﻠﻤﹰﺎ ﻣﻨﻪ ،ﻣﺎﺕ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﺘﺴﻌﲔ ،ﻭﻗﺪ ﻧﺎﻫﺰ ﺍﻟﺜﻤﺎﻧﲔ(2396) . )ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ.(180 :
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
82
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻱ -ﺍﳊﻜﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺻﺤِﻴ ٌﺢ " .ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ، 2159 .ﺑﺎﺏ ﻣﺎﺟﺎﺀ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺑﻦ ﺴ ٌﻦ ﺚ ﺣ ﻗﹶﺎ ﹶﻝ ﹶﺃﺑﻮ ﻋِﻴﺴﻰ " :ﻫﺬﹶﺍ ﺣﺪِﻳ ﹲ ﻣﺮﱘ1415 ،ﻫـ1995-ﻡ.(178/8 ، ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻷﻟﺒﺎﱐ " :ﺣﺪﻳﺚ ﺻﺤﻴﺢ" .ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ .2733 :ﰲ ﺍﻟﺴﻠﺴﻠﺔ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ1412 ،ﻫـ1992ﻡ/6 ،
(524
ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ ﺐ ﹶﺃﻧ ﻪ ﺳ ِﻤ ﻊ ﹶﺃﺑﺎ ﺴﻴ ﹺ ﺏ ﻋ ْﻦ ﺳﻌِﻴ ِﺪ ْﺑ ﹺﻦ ﺍﹾﻟﻤ ﺚ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﺍْﺑ ﻦ ِﺷﻬﺎ ﹴ ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﲪﺪ :ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﻫﺎ ِﺷ ٌﻢ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﹶﻟْﻴ ﹲ ﻫ ﺮْﻳ ﺮ ﹶﺓ ﻳﻘﹸﻮ ﹸﻝ ﻗﹶﺎ ﹶﻝ ﺭﺳﻮ ﹸﻝ ﺍﻟﻠﱠ ِﻪ )) :ﻭﺍﱠﻟﺬِﻱ ﻧ ﹾﻔﺴِﻲ ﹺﺑﻴ ِﺪ ِﻩ ﹶﻟﻴﻮ ِﺷ ﹶﻜ ﻦ ﹶﺃ ﹾﻥ ﻳْﻨ ﹺﺰ ﹶﻝ ﻓِﻴ ﹸﻜ ْﻢ ﺍْﺑ ﻦ ﻣ ْﺮﻳ ﻢ ﺣ ﹶﻜﻤًﺎ ﺾ ﺍﹾﻟﻤﺎ ﹸﻝ ﺣﺘﻰ ﻟﹶﺎ ﻳ ﹾﻘﺒﹶﻠﻪ ﹶﺃ ﺣ ٌﺪ(( ﺠ ْﺰﻳ ﹶﺔ ﻭﻳﻔِﻴ ﻀﻊ ﺍﹾﻟ ﹺ ﺨْﻨﺰﹺﻳ ﺮ ﻭﻳ ﺐ ﻭﻳ ﹾﻘﺘﻞﹸ ﺍﹾﻟ ِ ﺼﻠِﻴ ﺴﺮ ﺍﻟ ﺴﻄﹰﺎ ﻳ ﹾﻜ ِ ﻣ ﹾﻘ ِ )ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺃﲪﺪ1419 ،ﻫـ1998-ﻡ ،ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ(66/22 ،10522 : ﺝ -ﲣﺮﻳﺞ ﺍﳌﱳ ﺃﺧﺮﺝ ﺍﳊﺎﻛﻢ ﰲ ﻣﺴﺘﺪﺭﻛﻪ ﺑﻠﻔﻆ )) ﻟﻴﻬﺒﻄﻦ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﺑﻦ ﻣﺮﱘ ((...ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،4127 :ﺑﺎﺏ ﺫﻛﺮ ﻧﱯ ﺍﷲ ﻭﺭﻭﺣﻪ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﺑﻦ ﻣﺮﱘ ،ﺩ ﺕ.(436/9 ، ﺃﺧﺮﺝ ﺃﲪﺪ ﰲ ﻣﺴﻨﺪﻩ ﺑﺜﻼﺙ ﺃﻟﻔﺎﻅ: ﺍﻟﻔﻆ ﺍﻷﻭﻝ)) :ﻳْﻨ ﹺﺰﻝﹸ ﻋِﻴﺴﻰ ﺍْﺑ ﻦ ﻣ ْﺮﻳ ﻢ (( ...ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ(415/20 ،9871 : ﺍﻟﻠﻔﻆ ﺍﻟﺜﺎﱐ)) :ﻭﺍﱠﻟﺬِﻱ ﻧ ﹾﻔﺴِﻲ ﹺﺑﻴ ِﺪ ِﻩ ﹶﻟﻴﻮ ِﺷ ﹶﻜ ﻦ ((...ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ(66/22 ،10522 : ﻭﺍﻟﻠﻔﻆ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ)) :ﻳﻮ ِﺷﻚ ((... ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ (12/12 ،6971 :ﻭﻛﻞ ﻡ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﻟﻔﺎﻅ ﺍﻟﺜﻼﺛﺔ ﻣﻦ ﻣﺴﻨﺪ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﻋﻦ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ . ﺩ -ﺭﺟﺎﻝ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﻫﺎﺷﻢ :ﻫﻮ ﻫﺎﺷﻢ ﺑﻦ ﻫﺎﺷﻢ ﺑﻦ ﻋﺘﺒﺔ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻭﻗﺎﺹ ﺍﻟﺰﻫﺮﻱ ،ﺍﳌﺪﱐ ،ﻭﻳﻘﺎﻝ ﻫﺎﺷﻢ ﺑﻦ ﻫﺎﺷﻢ ﺑﻦ ﻫﺎﺷﻢ: ﺛﻘﺔ ،ﻣﻦ ﺍﻟﺴﺎﺩﺳﺔ ،ﻣﺎﺕ ﺑﻀﻊ ﻭﺃﺭﺑﻌﲔ) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996 -ﻡ ،ﺹ.(501 : ﺍﺑﻦ ﺷﻬﺎﺏ :ﻫﻮ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻣﺴﻠﻢ ﺑﻦ ﻋﺒﻴﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺷﻬﺎﺏ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺍﳊﺎﺭﺙ ﺑﻦ ﺯﻫﺮﺓ ﺑﻦ ﻛﻼﺏ ﺍﻟﻘﺮﺷﻲ ﺍﻟﺰﻫﺮﻱ ،ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ،ﺍﻟﻔﻘﻴﻪ ﺍﳊﺎﻓﻆ :ﻣﺘﻔﻖ ﻋﻠﻰ ﺟﻼﻟﺘﻪ ﻭﺇﺗﻘﺎﻧﻪ ،ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﺭﺅﻭﺱ ﺍﻟﻄﺒﻘﺔ ﺍﻟﺮﺍﺑﻌﺔ، ﻣﺎﺕ ﺳﻨﺔ ﲬﺲ ﻭﻋﺸﺮﻳﻦ ،ﻭﻗﻴﻞ ﺫﻟﻚ ﺑﺴﻨﺔ ﺃﻭ ﺳﻨﺘﲔ )) .(2396ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ: .(440 ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﺍﳌﺴﻴﺐ :ﻫﻮ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﺍﳌﺴﻴﺐ ﺑﻦ ﺣﺰﻥ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻭﻫﺐ ﺑﻦ ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﻋﺎﺋﺬ ﺑﻦ ﻋﻤﺮﺍﻥ ﺑﻦ ﳐﺰﻭﻡ ﺍﻟﻘﺮﺷﻲ ﺍﳌﺨﺰﻭﻣﻲ ،ﺃﺣﺪ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﻷﺛﺒﺎﺕ ﺍﻟﻔﻘﻬﺎﺀ ﺍﻟﻜﺒﺎﺭ ،ﻣﻦ ﻛﺒﺎﺭ ﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔ ،ﺍﺗﻔﻘﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﻣﺮﺳﻼﺗﻪ ﺃﺻﺢ ﺍﳌﺮﺍﺳﻴﻞ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺍﳌﺪﻳﲏ :ﻻ ﺃﻋﻠﻢ ﰲ ﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﺃﻭﺳﻊ ﻋﻠﻤﹰﺎ ﻣﻨﻪ ،ﻣﺎﺕ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﺘﺴﻌﲔ ،ﻭﻗﺪ ﻧﺎﻫﺰ ﺍﻟﺜﻤﺎﻧﲔ ) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ.(180 :
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
83
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻱ -ﺣﻜﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﻗﺎﻝ ﺍﳊﺎﻛﻢ ﰲ ﻣﺴﺘﺪﺭﻛﻪ" ،ﻫﺬﺍ ﺣﺪﻳﺚ ﺻﺤﻴﺢ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﻭﱂ ﳜﺮﺟﺎﻩ ﻬﺑﺬﻩ ﺍﻟﺴﻴﺎﻗﺔ" ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،4127 ﺑﺎﺏ ﺫﻛﺮ ﻧﱯ ﺍﷲ ﻭﺭﻭﺣﻪ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﺑﻦ ﻣﺮﱘ ،ﺩ ﺕ(436 /9 ، ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﺮﺍﺑﻊ ﺕ ﺍﹾﻟ ﹶﻘﺰﺍ ﹺﺯ ﻱ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﺳ ﹾﻔﻴﺎ ﹸﻥ ﻋ ْﻦ ﹸﻓﺮﺍ ٍ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ :ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﺑْﻨﺪﺍ ٌﺭ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﻋْﺒﺪ ﺍﻟ ﺮ ْﺣ ﻤ ﹺﻦ ْﺑ ﻦ ﻣ ْﻬ ِﺪ ﱟ ﺤﻦ ﻑ ﻋﹶﻠْﻴﻨﺎ ﺭﺳﻮ ﹸﻝ ﺍﻟﻠﱠ ِﻪ ِ ﻣ ْﻦ ﻏﹸ ْﺮ ﹶﻓ ٍﺔ ﻭﻧ ْ ﻋ ْﻦ ﹶﺃﺑﹺﻲ ﺍﻟﻄﱡ ﹶﻔْﻴ ﹺﻞ ﻋ ْﻦ ﺣ ﹶﺬ ْﻳ ﹶﻔ ﹶﺔ ْﺑ ﹺﻦ ﹶﺃﺳِﻴ ٍﺪ ﻗﹶﺎ ﹶﻝ :ﹶﺃ ْﺷ ﺮ ﺲ ﺸ ْﻤ ﹺ ﻉ ﺍﻟ ﺕ ﹸﻃﻠﹸﻮ ﺸ ﺮ ﺁﻳﺎ ٍ ﻧﺘﺬﹶﺍ ﹶﻛﺮ ﺍﻟﺴﺎ ﻋ ﹶﺔ ﹶﻓﻘﹶﺎ ﹶﻝ ﺍﻟﻨﹺﺒ ﱡﻲ )) : ﻟﹶﺎ ﺗﻘﹸﻮ ﻡ ﺍﻟﺴﺎ ﻋﺔﹸ ﺣﺘﻰ ﺗ ﺮﻭْﺍ ﻋ ْ ﺏ ﻒ ﺑﹺﺎﹾﻟ ﻤ ْﻐ ﹺﺮ ﹺ ﺴ ٌ ﻕ ﻭ ﺧ ْ ﺸ ﹺﺮ ﹺ ﻒ ﺑﹺﺎﹾﻟ ﻤ ْ ﺴ ٌ ﻑ ﺧ ْ ﺝ ﻭﺍﻟﺪﺍﺑ ﹶﺔ ﻭﹶﺛﻠﹶﺎﹶﺛ ﹶﺔ ﺧﺴﻮ ٍ ﺝ ﻭ ﻣ ﹾﺄﺟﻮ ِﻣ ْﻦ ﻣ ْﻐ ﹺﺮﹺﺑﻬﺎ ﻭﻳ ﹾﺄﺟﻮ ﺖ ﺱ ﹶﻓﺘﺒﹺﻴ ﺤﺸﺮ ﺍﻟﻨﺎ ﺱ ﹶﺃ ْﻭ ﺗ ْ ﻕ ﺍﻟﻨﺎ ﺨﺮﺝِ ﻣ ْﻦ ﹶﻗ ْﻌ ﹺﺮ ﻋ ﺪ ﹶﻥ ﺗﺴﻮ ﺏ ﻭﻧﺎ ٌﺭ ﺗ ْ ﺠﺰﹺﻳ ﺮ ِﺓ ﺍﹾﻟ ﻌ ﺮ ﹺ ﻒ ﹺﺑ ﺴ ٌ ﻭ ﺧ ْ ﺤﻤﻮ ﺩ ْﺑ ﻦ ﹶﻏْﻴﻠﹶﺎ ﹶﻥ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﻭﻛِﻴ ٌﻊ ﻋ ْﻦ ﻣ ﻌﻬْ ﻢ ﺣْﻴﺚﹸ ﺑﺎﺗﻮﺍ ﻭﺗﻘِﻴ ﹸﻞ ﻣ ﻌﻬْ ﻢ (( ﺣْﻴﺚﹸ ﻗﹶﺎﻟﹸﻮﺍ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﻣ ْ ﺕ ﻧ ْ ﺳ ﹾﻔﻴﺎ ﹶﻥ ﻋ ْﻦ ﹸﻓﺮﺍ ٍ ﺕ ﺍﹾﻟ ﹶﻘﺰﺍ ﹺﺯ ﺹ ﻋ ْﻦ ﹸﻓﺮﺍ ٍ ﺤ ﻮﻩ ﻭﺯﺍ ﺩ ﻓِﻴ ِﻪ ﺍﻟ ﱡﺪﺧﺎ ﹶﻥ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﻫﻨﺎ ٌﺩ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﹶﺃﺑﻮ ﺍﹾﻟﹶﺄ ْﺣ ﻮ ﹺ ﺴ ﱡﻲ ﻋ ْﻦ ﺷْ ﻌﺒ ﹶﺔ ﺤﻤﻮ ﺩ ْﺑ ﻦ ﹶﻏْﻴﻠﹶﺎ ﹶﻥ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﹶﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭ ﺩ ﺍﻟ ﱠﻄﻴﺎِﻟ ِ ﺚ ﻭﻛِﻴ ﹴﻊ ﻋ ْﻦ ﺳ ﹾﻔﻴﺎ ﹶﻥ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﻣ ْ ﺤ ﻮ ﺣﺪِﻳ ِ ﻧ ْ ﺕ ﻭﺯﺍ ﺩ ﺚ ﻋْﺒ ِﺪ ﺍﻟ ﺮ ْﺣ ﻤ ﹺﻦ ﻋ ْﻦ ﺳ ﹾﻔﻴﺎ ﹶﻥ ﻋ ْﻦ ﹸﻓﺮﺍ ٍ ﺤ ﻮ ﺣﺪِﻳ ِ ﺕ ﺍﹾﻟ ﹶﻘﺰﺍ ﹺﺯ ﻧ ْ ﻱ ﺳ ِﻤﻌﺎ ِﻣ ْﻦ ﹸﻓﺮﺍ ٍ ﺴﻌﻮ ِﺩ ﱢ ﻭﺍﹾﻟ ﻤ ْ ﺤﻤ ﺪ ْﺑ ﻦ ﺍﹾﻟ ﻤﹶﺜﻨﻰ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﹶﺃﺑﻮ ﺍﻟﱡﻨ ْﻌﻤﺎ ِﻥ ﺍﹾﻟ ﻓِﻴ ِﻪ ﺍﻟ ﺪﺟﺎ ﹶﻝ ﹶﺃ ْﻭ ﺍﻟ ﱡﺪﺧﺎ ﹶﻥ ﺣ ﺪﹶﺛﻨﺎ ﹶﺃﺑﻮ ﻣﻮﺳﻰ ﻣ ﺤ ﹶﻜﻢْ ﺑ ﻦ ﺚ ﹶﺃﺑﹺﻲ ﺩﺍ ﻭ ﺩ ﻋ ْﻦ ﺷْ ﻌﺒ ﹶﺔ ﻭ ﺯﺍ ﺩ ﻓِﻴ ِﻪ ﻗﹶﺎ ﹶﻝ : ﺤ ﻮ ﺣﺪِﻳ ِ ﺕ ﻧ ْ ﺠِﻠ ﱡﻲ ﻋ ْﻦ ﺷْ ﻌﺒ ﹶﺔ ﻋ ْﻦ ﹸﻓﺮﺍ ٍ ﻋْﺒ ِﺪ ﺍﻟﻠﱠ ِﻪ ﺍ ﹾﻟ ِﻌ ْ ﺤ ﹺﺮ ﻭﹺﺇﻣﺎ ﻧﺰﻭ ﹸﻝ ِﻋﻴﺴﻰ ﺍْﺑ ﹺﻦ ﻣ ْﺮﻳ ﻢ (( )) ﻭﺍﹾﻟﻌﺎ ِﺷ ﺮﺓﹸ ﹺﺇﻣﺎ ﺭﹺﻳ ٌﺢ ﺗ ﹾﻄ ﺮﺣﻬْ ﻢ ﻓِﻲ ﺍﹾﻟﺒ ْ )ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ1415 ،ﻫـ1995-ﻡ .ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ(99/8 ،2109 : ﺝ -ﲣﺮﻳﺞ ﺍﳌﱳ ﻭﺃﺧﺮﺝ ﺃﲪﺪ ﰲ ﻣﺴﻨﺪ ﺑﻨﻔﺲ ﻟﻔﻆ ،ﻣﺴﻨﺪ ﺃﰊ ﺳﺮﳛﺔ ﺍﻟﻐﻔﺎﺭﻱ ﺣﺬﻳﻔﺔ ﺑﻦ ﺃﺳﻴﺪ1419 ،ﻫـ 1998-ﻡ، ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ.(369/22 ،15557 : ﻭﺃﺧﺮﺝ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ ﰲ ﺳﻨﻨﻪ ﺑﻠﻔﻆ )) ﹶﻟ ْﻦ ﺗﻜﹸﻮ ﹶﻥ ﹶﺃ ْﻭ ﹶﻟ ْﻦ ﺗﻘﹸﻮ ﻡ ﺍﻟﺴﺎ ﻋﺔﹸ ...ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،3757 :ﺩ ﺕ ،ﺑﺎﺏ ﺃﻣﺎﺭﺍﺕ ﺍﻟﺴﺎﻋﺔ ،ﺩ ﺕ.(390 /11 ، ﻭﺃﺧﺮﺝ ﺍﺑﻦ ﺣﺎﺟﻪ ﰲ ﺳﻨﻨﻪ ﺑﻨﻔﺲ ﻟﻔﻆ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ ،ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،4045 :ﺑﺎﺏ ﺍﻵﻳﺎﺕ1416 ،ﻫـ- 1996ﻡ(67/12 ، ﺩ -ﺭﺟﺎﻝ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ُﺑ ﻨﺪﺍﺭ :ﻫﻮ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺑﺸﺎﺭ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﺍﻟﻌﺒﺪﻱ ،ﺍﻟﺒﺼﺮﻱ ،ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ،ﺑﻨﺪﺍﺭ :ﺛﻘﺔ ،ﻣﻦ ﺍﻟﻌﺎﺷﺮﺓ ،ﻣﺎﺕ ﺍﺛﻨﺘﲔ ﻭﲬﺴﲔ ،ﻭﻟﻪ ﺑﻀﻊ ﻭﲦﺎﻧﻮﻥ ﺳﻨﺔ) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ.(405 :
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
84
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﻱ :ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﻣﻬﺪﻱ ﺑﻦ ﺣﺴﺎﻥ ﺑﻦ ﺍﻟﻌﻨﱪﻱ ﻣﻮﻻﻫﻢ ،ﺃﺑﻮ ﺳﻌﻴﺪ ﺍﻟﺒﺼﺮﻱ ﻋ ﺒﺪ ﺍﻟ ﺮ ﺣ ﻤ ﹺﻦ ﺑ ﻦ ﻣ ﻬ ﺪ ﱟ ﺛﻘﺔ ﺛﺒﺖ ﺣﺎﻓﻆ ﻋﺎﺭﻑ ﺑﺎﻟﺮﺟﺎﻝ ﻭﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺍﳌﺪﻳﲏ :ﻣﺎﺭﺃﻳﺖ ﺃﻋﻠﻢ ﻣﻨﻪ ،ﻣﻦ ﺍﻟﺘﺎﺳﻌﺔ ،ﻣﺎﺕ ﺳﻨﺔ ﲦﺎﻥ ﻭﺗﺴﻌﻴﻨﺊ ،ﻭﻫﻮ ﺍﺑﻦ ﺛﻼﺙ ﻭﺳﺘﲔ) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ.(293 : ﺳ ﹾﻔﻴﺎ ﹸﻥ ﺑﻦ ﻋﻴﻴﻨﺔ :ﻫﻮ ﺳﻔﻴﺎﻥ ﺑﻦ ﻋﻴﻴﻨﺔ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻋﻤﺮﺍﻥ :ﻣﻴﻤﻮﻥ ﺍﳍﻼﱄ ،ﺃﺑﻮ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻜﻮﰲ ،ﰒ ﺍﳌﻜﻲ :ﺛﻘﺔ ﺣﺎﻓﻆ ﻧﻘﻴﺔ ﺇﻣﺎﻡ ﺣﺠﺔ ،ﺇﻻ ﺃﻧﻪ ﺗﻐﲑ ﺣﻔﻈﻪ ﺑﺂﺧﺮﻩ ،ﻭﻛﺎﻥ ﺭﲟﺎ ﺩﻟﺲ ﻟﻜﻦ ﻋﻦ ﺍﻟﺜﻘﺎﺕ ،ﻣﻦ ﺭﺅﻭﺱ ﺍﻟﻄﺒﻘﺔ ﺍﻟﺜﺎﻣﻨﺔ، ﻭﻛﺎﻥ ﺃﺛﺒﺖ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﰲ ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﺩﻳﻨﺎﺭ ،ﻣﺎﺕ ﰲ ﺭﺟﺐ ﺳﻨﺔ ﲦﺎﻥ ﻭﺗﺴﻌﲔ ،ﻭﻟﻪ ﺇﺣﺪﻯ ﻭﺗﺴﻌﻮﻥ ﺳﻨﺔ) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ.(184 : ﺕ ﺍﹾﻟ ﹶﻘﺰﺍ ﹺﺯ :ﻫﻮ ﻓﺮﺍﺕ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﻟﻘﺰﺍﺯ ،ﺍﻟﻜﻮﰲ :ﺛﻘﺔ ،ﻣﻦ ﺍﳋﺎﻣﺴﺔ) .(5380) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﹸﻓﺮﺍ ٍ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ .ﺹ.(380 : ﹶﺃﺑﹺﻲ ﺍﻟ ﱡﻄ ﹶﻔﻴ ﹺﻞ :ﻫﻮ ﺃﰊ ﺍﻟﻄﻔﻴﻞ :ﻋﺎﻣﺮ ﺑﻦ ﻭﺍﺋﻞ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﺣﺠﺶ ﺍﻟﻠﻴﺜﻲ ،ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻄﻔﻴﻞ ،ﻭﺭﲟﺎ ﻋﻤﺮﺍﹰ ،ﻭﻟﺪ ﻋﺎﻡ ﺃﺣﺪ ،ﻭﺭﺃﻯ ﺍﻟﻨﱯ ،ﻭﺭﻭﻯ ﻋﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﻓﻤﻦ ﺑﻌﺪﻩ ،ﻭﻋﻤﺮ ﺇﱃ ﺃﻥ ﻣﺎﺕ ﺳﻨﺔ ﻋﺸﺮ ﻭﻣﺌﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ، ﻭﻫﻮ ﺁﺧﺮ ﻣﻦ ﻣﺎﺕ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ،ﻗﺎﻟﻪ ﻣﺴﻠﻢ ﻭﻏﲑﻩ) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ .ﺹ(231 : ﺣ ﹶﺬ ﻳ ﹶﻔ ﹶﺔ ﺑ ﹺﻦ ﹶﺃﺳﻴ ٍﺪ :ﻫﻮ ﺣﺬﻳﻔﺔ ﺑﻦ ﺃﺳﻴﺪ ﺍﻟﻐﻔﺎﺭﻱ ،ﺃﺑﻮ ﺳﺮﳛﺔ ،ﺻﺤﺎﰊ ،ﻣﻦ ﺃﺻﺤﺎﺏ ﺍﻟﺸﺠﺮﺓ ،ﻣﺎﺕ ﺳﻨﺔ ﺍﺛﻨﺘﲔ ﻭﺃﺭﺑﻌﲔ) (1154) .ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1416 ،ﻫـ1996-ﻡ ،ﺹ(94 : ﻱ -ﺍﳊﻜﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺚ ﺖ ﺣﻴﻲﱟ ﻭ ﻫﺬﹶﺍ ﺣﺪِﻳ ﹲ ﺻ ِﻔﻴ ﹶﺔ ﹺﺑْﻨ ِ ﻗﹶﺎ ﹶﻝ ﹶﺃﺑﻮ ﻋِﻴﺴﻰ ﻭﻓِﻲ ﺍﹾﻟﺒﺎﺏ ﻋ ْﻦ ﻋِﻠ ﱟﻲ ﻭﹶﺃﺑﹺﻲ ﻫ ﺮ ْﻳ ﺮ ﹶﺓ ﻭﹸﺃﻡﱢ ﺳﹶﻠ ﻤ ﹶﺔ ﻭ ﺻﺤِﻴ ٌﺢ. ﺴ ٌﻦ ﺣ )ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ1415 ،ﻫـ1995-ﻡ .ﺭﻗﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ(99/8 ،2109 : ﺍﳋﺎﲤﺔ
ﻭﻗﺪ ﺑﻴﻦ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻓﺈﻥ ﻋﻠﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺃﺷﺮﻑ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺍﻟﺬﻱ ﻫﻮ ﺃﺻﻞ ﻣﻦ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ،ﻭﺃﻥ ﻋﻴﺴﻰ ﺳﻴﱰﻝ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ﻟﻴﻜﻮﻥ ﺣﺠﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﻣﻢ ﺍﻟﺜﻼﺙ ﻛﻠﻬﺎ ،ﻭﺍﳊﻜﻤﺔ ﻣﻦ ﻧﺰﻭﻟﻪ ﰲ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ﻭﻟﻴﺲ ﻗﺒﻞ ﺫﻟﻚ ،ﺃﻥ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ﻳﺘﺴﻢ ﺑﻘﻠﺔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﻧﺪﻭﺭﻩ ،ﻭﻛﺜﺮﺓ ﺍﳉﻬﻞ ﻭﺍﻧﺘﺸﺎﺭﻩ ،ﻭﻟﻴﺲ ﻫﻨﺎﻙ ﺃﻛﻔﺄ ﻭﻻ ﺃﻭﱃ ﲟﻬﻤﺔ ﺇﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻭﺗﻨﻔﻴﺬ ﺷﺮﻳﻌﺔ ﺭﺏ ﺍﻟﻌﺎﳌﲔ ﻣﻦ ﻧﱯ ﻛﻌﻴﺴﻰ ﰲ ﺟﻼﻟﺔ ﻗﺪﺭﻩ ﻭﻋﻠﻮ ﻣﱰﻟﺘﻪ ،ﻓﻬﻮ ﺭﻓﻊ ﺇﱃ ﺍﻟﺴﻤﺎﺀ ﻭﱂ ﳝﺖ ،ﻭﺍﻷﻣﻢ ﺍﻟﺜﻼﺙ ﺍﺧﺘﻠﻔﺖ ﻓﻴﻪ ﺃﺷﺪ ﺍﻻﺧﺘﻼﻑ ،ﻓﻠﻴﺲ ﻫﻨﺎﻙ ﺃﻋﺪﻝ ﻣﻨﻪ ﺣﻜﻤﹰﺎ ﺑﻴﻨﻬﻢ ،ﻓﻴﺤﻜﻢ ﺑﺼﺤﺔ ﺩﻳﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺑﻄﻼﻥ ﻏﲑﻩ ﻣﻦ ﺍﻷﺩﻳﺎﻥ ،ﻓﻴ ﹾﻜﺴِﺮ ﺍﻟﺼﻠﻴﺐ ﰲ ﺩﻻﻟﺔ ﻋﻤﻠﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﺑﻄﻼﻥ ﻣﻌﺘﻘﺪ ﺍﻟﻨﺼﺎﺭﻯ ﰲ ﺻﻠﺒﻪ ،ﻭﻳﻘﺘﻞ ﺍﳋﱰﻳﺮ ﻟﻠﺪﻻﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﺑﻄﻼﻥ ﺷﺮﻉ ﺍﻟﻨﺼﺎﺭﻯ ﰲ ﺇﺑﺎﺣﺘﻪ ،ﻭﻳﻔﺮﺽ ﺍﳉﺰﻳﺔ ﻋﻠﻰ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻜﺘﺎﺑﲔ ﻣﻦ ﺍﻟﻴﻬﻮﺩ ﻭﺍﻟﻨﺼﺎﺭﻯ ﺩﻻﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﻣﻮﺍﻓﻘﺘﻪ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﻣﻌﺎﻣﻠﺘﻬﺎ ﺇﻳﺎﻫﻢ ،ﻭﻳﻜﺎﻓﺊ ﺍﷲ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﰲ ﺯﻣﻨﻪ ﻓﺘﻌﻈﻢ ﺑﺮﻛﺎﺕ ﺍﻷﺭﺽ ،ﻭﺗﻜﺜﺮ ﺧﲑﺍﺎ ،ﻭﻳﺰﺭﻉ ﺍﷲ ﺍﻟﻘﻨﺎﻋﺔ ﰲ ﻗﻠﻮﺏ ﺍﳋﻠﻖ ،ﻭﻳﻨﺒﺖ ﺍﻟﻮﺭﻉ ﰲ ﻧﻔﻮﺳﻬﻢ ،ﻓﻴﺴﲑ ﺍﻟﻐﲏ ﲟﺎﻟﻪ ﻣﺘﺼﺪﻗﹰﺎ ﻓﻼ ﳚﺪ ﻣﻦ ﻳﻘﺒﻠﻪ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
85
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﻟﻔﻮﺍﺋﺪ ﺍﻟﻌﻘﺪﻳﺔ -1ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ﻣﻦ ﺃﻣﻮﺭ ﺍﻻﻋﺘﻘﺎﺩ ﺍﻟﺜﺎﺑﺘﺔ. -2ﺣﻜﻤﻪ ﺑﲔ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺑﺸﺮﻳﻌﺔ ﳏﻤﺪ . -3ﺇﺑﻄﺎﻟﻪ ﺩﻳﻦ ﺍﻟﻨﺼﺎﺭﻯ. -4ﺇﺑﻄﺎﻟﻪ ﺩﻳﻦ ﺍﻟﻴﻬﻮﺩ. -5ﻓﺮﺿﻪ ﺍﳉﺰﻳﺔ ﻋﻠﻴﻬﻢ. -6ﻣﻦ ﺃﻧﻜﺮ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﺍﳌﺴﻴﺢ ﰲ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ﻓﻘﺪ ﻛﺬﺏ ﺭﺳﺎﻟﺔ ﳏﻤﺪ .
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
86
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﳌﺼﺎﺩﺭﻭ ﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﺑﻦ ﺍﻟﺼﻼﺡ ،ﺃﺑﻮ ﻋﻤﺮﻭ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﻟﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﻟﺸﻬﺮ ﺯﻭﺭﻱ .ﺩ ﺕ .ﻋﻠﻮﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﲢﻘﻴﻖ ﻭﺷﺮﺡ :ﻧﻮﺭ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﺘﺮ. ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ،ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺷﻬﺎﺏ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ ﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻲ 1416 .ﻫـ 1996 -ﻡ ،ﺗﻘﺮﻳﺐ ﺍﻟﺘﻬﺬﻳﺐ .ﺑﻌﻨﺎﻳﺔ ﻋﺎﺩﻝ ﻣﺮﺷﺪ .ﻣﺆﺳﺴﺔ ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ .ﺑﲑﻭﺕ. ﺍﺑﻦ ﻓﺎﺭﺱ ،ﺃﺑﻮ ﺍﳊﺴﲔ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻓﺎﺭﺱ ﺑﻦ ﺯﻛﺮﻳﺎ1991 .ﻡ .ﻣﻌﺠﻢ ﻣﻘﺎﻳﻴﺲ ﺍﻟﻠﻐﺔ .ﲢﻘﻴﻖ ﻭﺿﺒﻂ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﳏﻤﺪ ﻫﺎﺭﻭﻥ .ﺑﲑﻭﺕ ﻟﺒﻨﺎﻥ :ﺩﺍﺭ ﺍﳉﻴﻞ. ﺍﺑﻦ ﻗﻴﻢ ﺍﳉﻮﺯﻳﺔ ،ﺃﰊ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ .ﺩ ﺕ .ﺍﻟﺼﻮﺍﻋﻖ ﺍﳌﺮﺳﻠﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﳉﻬﻤﻴﺔ ﻭﺍﳌﻌﻄﻠﺔ. ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ،ﺍﳊﺎﻓﻆ ﻋﻤﺎﺩ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺃﰊ ﺍﻟﻔﺪﺍﺀ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺑﻦ ﻛﺜﲑ ﺍﻟﻘﺮﺷﻲ ﺍﻟﺪﻣﺸﻘﻲ1418 .ﻫـ1998-ﻡ .ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ .ﻗﺪﻡ ﻟﻪ :ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ ﺍﻷﺭﻧﺆﻭﻁ .ﺍﳌﻤﻠﻜﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩﻳﺔ .ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ .ﺩﺍﺭ ﺍﳊﻜﻤﺔ. ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﺔ ،ﺃﰊ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻳﺰﻳﺪ ﺍﻟﻘﺰﻭﻳﲏ 1416 .ﻫـ 1996 -ﻡ .ﺳﻨﻦ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﺔ .ﺑﺸﺮﺡ :ﺃﰊ ﺍﳊﺴﻦ ﺍﻟﺴﻨﺪﻱ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ ،ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻣﻜﺮﻡ ﺍﻷﻓﺮﻳﻘﻲ ﺍﳌﺼﺮﻱ 1990 .ﻡ .ﻟﺴﺎﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺼﺎﺩﺭ. ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺣﻨﺒﻞ 1419 .ﻫـ 1998 -ﻡ .ﺍﳌﺴﻨﺪ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺣﻨﺒﻞ .ﺑﻘﻠﻢ :ﺃﰊ ﺻﻬﻴﺐ ﺍﻟﻜﺮﻣﻲ ﺑﺎﻟﺘﻨﺴﻴﻖ ﻣﻊ ﺍﳌﺴﺘﺸﺮﻕ ﺍﻟﺴﻮﻳﺪﻱ ﺍﻟﻜﺒﲑ ﺟﺎﻥ ﺟﺎﺭﺑﻴﻪ .ﺑﲑﻭﺕ :ﻋﺎﱂ ﺍﻟﻜﺘﺐ. ﺁﻝ ﲪﻴﺪ ،ﺳﻌﺪ ﻋﺒﺪ ﺁﻝ ﲪﻴﺪ2000 .ﻡ .ﻃﺮﻕ ﲣﺮﻳﺞ ﺍﳊﺪﻳﺚ .ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ .ﺩﺍﺭ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﻟﺴﻨﺔ. ﺍﻷﻟﺒﺎﱐ ،ﳏﻤﺪ ﻧﺎﺻﺮ ﺍﻟﺪﻳﻦ1412 .ﻫـ1992ﻡ .ﺳﻠﺴﻠﺔ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ .ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ :ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﳌﻌﺎﺭﻑ. ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ،ﺃﺑﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺑﻦ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺑﻦ ﺍﳌﻐﲑﺓ ﺑﻦ ﺑﺮﺩﺯﺑﺔ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ1406 .ﻫـ1986-ﻡ .ﺻﺤﻴﺢ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ :ﺍﳉﺎﻣﻊ ﺍﳌﺴﻨﺪ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺍﳌﺨﺘﺼﺮ ﻣﻦ ﺃﻭﺭ ﺭﺳﻮﻻ ﷲ ﻭﺳﻨﻨﻪ ﻭﺃﻳﺎﻣﻪ .ﺑﲑﻭﺕ :ﻋﺎﱂ ﺍﻟﻜﺘﺐ. ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ1415 ،ﻫـ1995-ﻡ .ﺍﳉﺎﻣﻊ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺳﻨﻦ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ .ﺇﻋﺪﺍﺩ :ﻫﺸﺎﻡ ﲰﲑ ﺍﻟﻨﺠﺎﺭﻱ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺇﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ. ﺍﳊﺎﻛﻢ ،ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺃﰊ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﳊﺎﻛﻢ ﺍﻟﻨﻴﺴﺎﺑﻮﺭﻱ1990 .ﻡ .ﺍﳌﺴﺘﺪﺭﻙ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔ .ﺇﻋﺪﺍﺩ: ﻳﻮﺳﻒ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﳌﺮﻋﺸﻠﻲ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺍﻟﺴﺨﺎﻭﻱ ،ﴰﺲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ1996 .ﻡ .ﻓﺘﺢ ﺍﳌﻐﻴﺚ ﺷﺮﺡ ﺃﻟﻔﻴﺔ ﺍﳊﺪﻳﺚ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻲ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺩﺭﻳﺲ ﺃﺑﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻲ1358 .ﻫـ1939-ﻡ .ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ ﺍﶈﻘﻖ :ﺃﲪﺪ ﳏﻤﺪ ﺷﺎﻛﺮ .ﻣﺼﺮ ﺍﻟﻘﺎ ﻫﺮﺓ. ﺍﻟﻄﱪﻱ ،ﺃﺑﻮ ﺟﻌﻔﺮ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ ﺍﻟﻄﱪﻱ1415 .ﻫـ1995-ﻡ .ﺟﺎﻣﻊ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﻋﻦ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ ﺁﻱ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ .ﻗﺪﻣﻪ ﻟﻪ. ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺧﻠﻴﻞ ﺍﳌﻴﺲ .ﻟﺒﻨﺎﻥ .ﺩﺍﺭﺍ ﻟﻔﻜﺮ .ﺑﲑﻭﺕ. ﺍﻟﻄﺤﺎﻥ ،ﳏﻤﻮﺩ ﺍﻟﻄﺤﺎﻥ1996 .ﻡ .ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﻭﺩﺭﺍﺳﺔ ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ .ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ :ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﳌﻌﺎﺭﻑ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2010
87
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
ﺍﻟﻐﻤﺎﺭﻱ ،ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﶈﺪﺙ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻴﺾ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺍﻟﺼﺪﻳﻖ .ﺩ ﺕ .ﺍﳍﺪﺍﻳﺔ ﰲ ﲣﺮﻳﺞ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﳍﺪﺍﻳﺔ .ﲢﻘﻴﻖ ﻳﻮﺳﻒ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﳌﺮﻋﺸﻴﻠﻲ ﻭﻋﺪﻧﺎﻥ ﻋﻠﻲ ﺷﻼﻕ .ﻋﺎﱂ ﺍﻟﻜﺘﺐ. ﺍﻟﻔﲑﻭﺯ ﺁﺑﺎﺩﻱ ،ﳎﺪ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻳﻌﻘﻮﺏ1996 .ﻡ .ﺍﻟﻘﺎﻣﻮﺱ ﺍﶈﻴﻂ .ﺑﲑﻭﺕ .ﻣﺆﺳﺔ ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ. ﻣﺼﻄﻔﻰ .ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﻣﺼﻄﻔﻰ ،ﺃﲪﺪ ﺍﻟﺰﻳﺎﺕ ،ﺣﺎﻣﺪ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ ،ﳏﻤﺪ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﺠﺎﺭ .ﺩ ﺕ .ﺍﳌﻌﺠﻢ ﺍﻟﻮﺳﻴﻂ. ﺍﳌﻜﺘﺒﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ. ﺍﳌﻨﺎﻭﻱ ،ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺅﻭﻑ ﺍﳌﻨﺎﻭﻱ1356 .ﻫـ .ﻓﻴﺾ ﺍﻟﻘﺪﻳﺮ ﺷﺮﺡ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﺍﻟﺼﻐﲑ ﻣﻦ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﺒﺸﲑ ﺍﻟﻨﺬﻳﺮ .ﻣﺼﺮ :ﺍﳌﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻳﺔ ﺍﻟﻜﱪﻯ. ﺍﳌﻬﺪﻱ ،ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻘﺎﺩﺭ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﳍﺎﺩﻱ1986 .ﻡ .ﻃﺮﻕ ﲣﺮﻳﺞ ﺣﺪﻳﺚ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ .ﺩﺍﺭ ﺍﻻﻋﺘﺼﺎﻡ. ﺍﻟﻮﺍﺑﻞ ،ﻳﻮﺳﻒ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﻳﻮﺳﻒ ﺍﻟﻮﺍﺑﻞ1421 .ﻫـ .ﺃﺷﺮﺍﻁ ﺍﻟﺴﺎﻋﺔ .ﺩﺍﺭ ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ .ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
89
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
บทความวิจัย
The Role of Muslim Pathan Leader in Southern Isan of Thailand Farida Sulaiman∗ Abstract Driving force in all levels radically merges its mechanism to provide guidance for development. A part of the process is usually based on religion root such as Christianity, Hindu, Buddhism, Confucius, Taoism, Islam etc. Major people in civil society groups have strict attitude towards their religious faiths. Especially, Islamic religion emphasizes on human peace (Islam Mualaigum). As a result, the role of Islamic living exhibits the movement of generous society providing the respect among community people. Thus Islamic people characterize several aspects of leaderships e.g. economy, society and politic etc. According to the study of way of life and role of Muslim Pathan settled down in Southern Isan of Thailand, consisting of Si Sa Ket, Ubon Ratchathani, Yasothon, Buri Ram and Surin Provinces, the way of living, ethnic identity and the role of Muslim Pathan living with Thai Buddhist in the community with end of distinct religion shined crucially social dimension to community development. Point of view regarding acceptance of leadership role from local people was, therefore, estimated by credibility, principally based on daring determination and providing benefits to society. Some Muslim Pathan have been chosen for administrative leaders from the past till the present both local level e.g. Provincial Administration Organization(PAO), Local Administration Organization(LAO), kaman, village headman; and national level i.e. member of parliament. From the field survey, the Muslim Pathans in all society groups who were religious leaders (imam) and political leader extended their cooperation and cohesion in establishing a variety of activities, for example religion, community development, tradition and culture enhancement in tangible way with local people. Key Words: Role, Community Leader, Muslim Pathan, Islamic Religion
∗
Member of the House of Representative, Surin Province, Doctor of Philosophy Program in Regional Development Strategies, Surindra Rajabhat University.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
90
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
บทคัดย่อ สังคมในทุกระดับมีการขับเคลื่อนให้เกิดแนวทางต่อการพัฒนา ส่วนหนึ่งเป็นการใช้หลักคิดพื้นฐานมาจาก รากเหง้าของศาสนา อาทิ ศาสนาคริสต์ ฮินดู พุทธ ขงจื้อ เต๋า อิสลาม ฯลฯ ประชาชนส่วนใหญ่ในกลุ่มสังคมมีทัศนคติ ต่อความศรัทธาตามหลักคําสอนของศาสดาอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะศาสนาอิสลามที่มุ่งเน้นความสันติสุขแก่เพื่อน มนุษย์ ทําให้บทบาทในการดํารงอยู่ของชาวมุสลิมมีลักษณะของสังคมที่ให้ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน เป็นที่ เคารพรักต่อคนในชุมชน บทบาทของคนมุสลิมจึงมีลักษณะเป็นผู้นําในด้านต่างๆ อาทิ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และ การเมือง จากการศึกษาวิถีชีวิต และบทบาทของคนมุสลิมปาทานที่มีการตั้งถิ่นฐานในเขตอีสานใต้ของประเทศไทย ประกอบด้วย จังหวัดศีรสะเกษ อุบลราชธานี ยโสธร บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ทําให้เห็นถึงการดํารงชีวิต อัตลักษณ์ของ ชาติพันธุ์ และบทบาทของมุสลิมปาทานที่มีการอาศัยร่วมกันกับชาวไทยพุทธในชุมชน วิถีแห่งการดํารงชีวิตที่ต่าง ศาสนาเป็นมิติทางสังคมที่มีความสําคัญต่อการพัฒนาชุมชน มุมมองในการยอมรับบทบาทความเป็นผู้นําของคนใน ชุมชนจึงถูกกลั่นกรองตามทัศนะโดยให้ความเชื่อถือต่อความกล้าตัดสินใจ และสร้างคุณประโยชน์ให้กับชุมชนเป็นแกน หลัก ส่งผลให้คนมุสลิมปาทานส่วนหนึ่งถูกเลือกสรรให้เป็นผู้นําด้านการปกครองเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง ตั้ง แต่ อ ดี ต จนถึ ง ปั จจุ บั น ทั้ ง ในระดั บ ท้ อ งถิ่ น เช่ น องค์ ก ารบริ ห ารส่ ว นจั ง หวั ด องค์ ก ารบริ ห ารส่ ว นตํ า บล กํ า นั น ผู้ใหญ่บ้าน และในระดับประเทศ คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผลการศึกษาภาคสนามพบว่า ผู้นํามุสลิมปาทานทุกกลุ่มในสังคม ได้แก่ ผู้นําทางศาสนา (อิหม่าม) และผู้นํา ทางด้านการเมือง มีการประสานความร่วมมือในการรังสรรค์กิจกรรมทางด้านต่างๆ อาทิ กิจกรรมทางศาสนา กิจกรรมการพัฒนาชุมชน กิจกรรมทางด้านการส่ง เสริมประเพณีและวัฒนธรรม ร่วมกับคนในพื้นที่ได้อย่างเป็น รูปธรรม คําสําคัญ: บทบาท ผู้นําชุมชน มุสลิมปาทาน คําสอน ศาสนาอิสลาม
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
91
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
Introduction From the background survey of Muslim Pathan settling down in Isan Thailand , their primary residences were the areas in Sri Khora Phume District in Surin Province and Krasang District in Buri Ram Province where became immigrant communities during the World War I, in the same period of lower Isan railway construction crossing over Dong Phaya Yen mountain range-Khao Yai Forest. From 2000, Nakhon Ratchasima, Surin, Ubon Ratchathani Provinces were the locations where the first group of Muslim Pathan have settled down in Isan.(Chatthip Natsupha. 1984: 85). They lived among Thai Isan society where most people adhered Buddhism and there were plenty of various ethnic groups with totally different belief on tradition and culture. Mazhab Hanafi and Pashtun tribal code are regarded as tradition and way of life of Muslim Pathan, code of living with 9 regulations of Pashtunwali namely: 1) Warmly guest welcoming 2) Protection 3) Fairness 4) Courage 5) Honesty 6) Justice 7) Belief in God and doctrine 8) Self-esteem 9) To honor to woman (Ismail Khan. 2010: June 20) According to the study and census of Muslim citizen in Thailand (year 2000), the result was found that there were 2,777,542 Muslim populations: 1,376,874 males, and 1,400,668 females. The major Muslim, with 2,246,399 people, lived in the South region or equivalent to 80.9%; while the least lived in the Northeast region or Isan with 0.7% of nation Muslim population(Thai Muslim Health Plan. 2004: 2) From Muslim population statistics, there were less Muslim population living in Isan comparing to the other regions. Based on Thai Muslim Health Plan(2004 : 2-3), the Muslim census in the Northeast region as of 1 April 2004, the findings was that there were 18,069 Muslim population, consisting of 6,844 males and 11,225 females. Major Muslim population lived in Nakhon Ratchasima Province with 3,464 people and the least in Nong Bua Lam Phu with 236 people. The proportion of female Muslim dominated higher rate than male Muslim in every Northeastern province. At present, Isan Muslim Pathan plays important roles in socio-economic and political aspects, especially the latter. The findings in the study area was that the total 32 local politicians and nation politicians, both female and male in Southern Isan, namely Surin, Buri Ram, Si Sa Ket and Ubon Rathcathani Provinces as tabulated in Table 1.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
92
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
Table 1 Name List of Mulim Pathan Local Politicians and Nation Politicians Province No. Name-Surname Position Surin 1 Mr. Darun Prathan Former Kamnan of Rangang Subdistrict 2 Mrs. Biyan Prathan Former Kamnan of Rangang Subdistrict 3 Mr. Pairoj Prathan Former Kamnan of Rangang Subdistrict (passed away) 4 Mrs. Farida Sulaiman (Prathan) Member of the House of Representative 5 Mr. Danai Prathan Vice President of Provincial Administration Organization (PAO) 6 Mr. Dawut Akaraphisan Former Advisor of President of Provincial Administration Organization (PAO) 7 Mr. Somsak Prathan Former Member of Provincial Administration Organization (PAO) 8 Miss Somruedee Prathan Former Member of Provincial Administration Organization (PAO) 9 Mrs. Fariya Prathan Member of Provincial Administration Organization (PAO) 10 Miss Chamaiphorn Prathan Member of Provincial Administration Organization (PAO) 11 Mr. Adam Prathan Member of Provincial Administration Organization (PAO) 12 Mr. Arakhan Prathan Former Member of Provincial Administration Organization (PAO) (passed away) 13 Mr. Ekaphot Prathan Former Member of Provincial Administration Organization (PAO) (passed away) 14 Mrs. Jintana Prathan Former Member of Provincial Administration Organization (PAO) (passed away) 15 Mrs. Samphorn Prathan Vice President of Subdistrict Administration Organization (SAO), Rangang Subdistrict Si Sa Ket 1 Mr. Nisit Vejsiriyanan Former Member of the House of Representative 2 Mr. Klamkhan Pathan Former Member of the House of Representative 3 Mr. Rai Pathan Former Member of Provincial Administration Organization (PAO)
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 4
Mr. Sod Pathan
5
Mr.Somvej Pathan
6 7
8 Buri Ram
1 2 3 4
Yasothon
1 2
Ubon Ratcha thani
1
2 3
อัล-นูร
93
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
Former Member of Provincial Administration Organization (PAO)
Former Member of Provincial Administration Organization (PAO) Mr. Sirirat Pathan Former Member of Provincial Administration Organization (PAO) Mr.Tan Vejsiriyanan Advisor of Vice President of Subdistrict Administration Organization (SAO), Phayu Subdistrict Subdistrict Mr. Alikhan Tayukane Former Member of Provincial Administration Organization (PAO) Mr. Praphan Samarn-prathan Former Member of Provincial Administration Organization(PAO) (passed away) Mr. Parinya Samarn-prathan Former Member of Provincial Administration Organization(PAO) Mrs. Paleerat Samarn-prathan Mayor of Muang District Mr. Ithisak Pathan Former Member of Krasang Subdistrict Municipality Council Mr. Ronrithichai Khankhet Member of the House of Representative Mr. Wichan Khankhet Member of Provincial Administration Organization (PAO) Mr. Chuvit Phithak-pornpalop Member of the House of Representative
Mrs.Janthana Phithak- Former Member of Provincial Administration pornpalop Organization (PAO) Mr. Nathawat Nisan Member of Provincial Administration Organization (PAO)
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
94
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
From the data in Table 1, according to the view point of local community, Muslim Pathan were respectable and acceptable in politician role, in succession from the past till present. Though the Muslim Pathan is the community minor group, the characteristics and way of living present their loyalty, daring reckoning, daring determination with leadership, charity to neighbors and society and fait adherence. The precedent characteristics enhance dominant roles and unique identity of Muslim Pathan widely accepted by Thai Buddhist and Muslim. Leadership and Political Role of Muslim Pathan Etiquettes of Muslim Pathan’s leader groups taking political role whose nurture are fostered by ancestors with adherence based on race, religion, and traditional way of practice, tolerance, generosity for community people, rule adherence, interest loan free for supporting community people in subsistence, regardless of hatred for cultural and religious groups. As a result, the image of Muslim Pathan’s political leadership (shown in Figure 1) towards the citizen as the leader of community development enhance the local community progress and better well-being.
Figure 1 Local Muslim Pathan in Surin and Buri Ram Provinces Having Outstanding Success on Community Development with Acceptance from Community People From Figure 1, the presentation depicts feminine and masculine role raised from community people to support local political way as local leaders. They still assist and develop the progressive area and elevate villagers’ quality of life for better living following to mainstream society amidst of continuously unstable economic changes.
...Political working is the matter of sacrifice, self-devotion for society in order to prevent from inequality, unfairness. The local people learned my sincerity in earnest for working so that I was elected as Kamnan for taking care of villagers’ happiness and sufferings. Then. I awarded Kamnan Naeb Thong(reward for outstanding Kamnan) in 1995 from Ministry of Interior. After retired, I have continued to assist the villagers as much as I can do. Because of our lineage,
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
95
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
Muslim Pathan typically characterize the kind-heartedness and sincerity to everyone. So people in the community still pay respect to me. It’s all the same I was Kamnan. I have been assisting the villagers both education and occupation enhancement... Biyan Prathan, Former Kamnan of Rangang Subdistrict, Surin Province Kindness and sincerity to unceasingly assist the community people for better living and social development in various aspects became the community acceptance in every election vote. That established my private sector community development in cooperation with the stakeholders according to H.M. the king speech “Those who are kind-hearted and generous to others reflect their gentle heart with well mental perception. Whenever we are tendered and delicate, our working would be in progress and be successful. (Bhumibol Adulyadej, Phrabat Somdet Praparaminthara Maha. 2009 : 75) In addition to working in local level, after interview of Mr. Parinya Samarnprathan, the former mayor of Buri Ram Province, the findings constitutes the leadership’s principle concepts towards political point of view in respect of his role for social development causing substantial changes.
...Progress in social development need to be conducted in parallel with material and mental aspects. For being the leader, there are three principles to be adhered: 1) the leader must have the vision of trouble shooting and create social benefits. 2) daring to propose the new things for villager choices 3) daring determination and further practice for serious development and utmost benefits to the community people with participatory process of stakeholders both public sector and private sector. All cooperation would establish various development cohesion in collaborative environment with the most efficiency… Parinya Samarnprathan, Buri Ram Former Mayor, Buri Ram Province The role of community leader in politics is a leadership challenge to bring the community into the development. The villagers and relevant agencies are needed to participate together with to coordinate the mutual interests in all community activities in order to drive and change the social context to improve. Hereof, this leadership is not only the deed of the leader, but also the deed of both the leader and his adherent with purpose of the public interests. (Wittayakorn Chiangkul. 2010 : 25) IMAM : The Role of Community Development in Education Under the social and cultural conditions of Muslim Pathan, their ways of lives are mainly respected to the Islamic doctrine in aspects of living in society, perception, attitude, belief in Allah, and have been fostered by the doctrine of Na Bee Muhammad, the Prophet of Islam. These doctrines can touch on their souls and ways of lives and can encourage them to help their neighbors. Consequently, the Muslim Pathan plays the leadership role in the community, especially for the role of religious leadership like the center of the Muslim community.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
96
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
The religious principles are applied to be the core practices of their living and drive a community way of life to be hospitality, kindness to human beings and courage to make decisions and benefits to the society. So, the role of religious leaders or Imams is important to the Muslim community in the ongoing civil society regarding social, economic and politic. From the field survey, it helps to illustrate the concepts and attitudes of many religious teachers who share interesting opinions about the approaches in developing the community by means of an educational foundation to encourage the community development into practice and potentially develop the community people.
Picture 2 The Role of Religious Leader (Imam) on the Education of the Community in Buri Ram Province and Surin Province ...We try to make a clear educational policy. This is very important because the education will
change and develop our community. Firstly, the children and young people should previously attend the basic education, and the religious teachers will provide additional training in the mosque after school every day altogether with their parents to take care and coach their children. Then, the young people will grow up with quality, good morality in their future ways of lives... Manakhun Sukhachok, Imam, Buri Ram Islamic laws cover all aspects of life relating to human peace, conduct the Muslim way of life to behave and practice under the moral and ethical doctrine as a norm of thought and as a factor in the coexistence of a solidarity society. The psychological foundation consists of love, kindness, resulting in social morality. (Organizational Committee of Kutabah Book, 2006: 75) Seeing that Muslims respect and believe in the Islamic doctrine being directed their lives into peace and kindness to each other, (Viroj Pathan 2011: January 1), their communities grow stronger. In 1982, the first Muslim group was formed in the Northeast (Isan) for educational promotion and development through the summer training course in 17 provinces in the Northeast (Isan). The working paradigm is to foster the education for young people from the past until the present. This is to force the
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
97
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
development of the Muslim people to play roles in society, to take part in solving economic problems and arranging political activities with the intention that they can take on local and national political election continuously. The leadership of Muslims come from the Islamic doctrines, comprising of the principles of faith and practice (Muhammad Suri 2011: January 2), which are applied to social development at all levels. According to the principle of practice (Sunna) of Na Bee Muhammad, the Prophet of Islam, the doctrines on complementary helping human being, family members and behaving in society have been accepted by all people. (Darun Prathan. 2010: December 31) The faith of people in the community leads the Muslims to be accepted greater in society as well as to play roles and contribute in the community development. Muslims in Thailand have ethnic diversity such as the Muslim Malays, Arab, Indian, Cham, Chin Haw and Pathan. Besides, they play the different social roles in community and civil society. From the field study by collecting the empirical data in the Southern Isan of Thailand, it helps to understand the role of Muslim leadership obviously, especially for Muslim Pathan in Sisaket, Yasothon, Ubon Ratchathani, Buri Ram and Surin Provinces. Muslim Pathan has settled in Thailand during the World War I and II by migration from Pakistan to various areas, such as migration from Myanmar's to the Southern of Thailand and from Malaysia to settle in different regions of Thailand. (Wanahudson Sakhunkhan 2010: December 31) Primarily, the majority of Muslims work as security guards in many places, cowmen, cloth sellers and butchers sold to the community. …My father came from Pakistan which was formerly located in India. He wanted to work,
venture to fate and earn money. Firstly he was a security guard and then became a butcher. After met my mother, who was a Buddhist, he decided to live here and earned living as a butcher. The daily life still had a prayer at mosques on a regular basis. We deeply respect and believe in Allah.. Every Friday, all Muslim nationalities will take part in religious mosques strictly. Therefore, mosque is like a center of religious education… Chanchai Pathan, Imam, Ubon Ratchathani The majority of Muslim Pathan immigrants often worked as security guards and butchers. However, currently their ways of lives have been changed to definitely conform to the social context, such as enhancing the economical development by means of food sellers, constructors, farmers, para rubber gardener, cosmetic traders and cloth sellers, etc. Considering the social role of Muslim Pathan, they are in cooperation and coordination inside the community for different development such as being a committee of community development, promoting local tradition and culture, etc. In addition, the Muslim Pathan are prominent in politics. They are always entrusted from the local people and constantly assigned into the political administration bath at local and national level. The said role was formed upon the religious doctrine, which was the heart of Muslim lives. The study process of the Al-Quran Bible is a system of compulsory education that Muslim people must pursue and practice strictly and learn continuously. The role of education is closely correlated with the Islamic doctrine in every context of Muslim society. อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
98
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
Conclusion Muslim Pathan has migrated from Pakistan during the 1st World War 1, then continuously moved and scattered into all regions of Thailand. The Muslim Pathan leaders are courage in making decisions and helpful to their neighbors. According to the image of community leaders, they have been entrusted to take on the leadership role in the community at anytime. The role of community leader of the Muslim Pathan contains multi-dimensional characteristics of leadership in economy, social and politic. These leadership characteristics have been fostered under the foundation of Islamic doctrines. These doctrines don’t affect the living concept and the way of living practice in case they live with people who have different religion and tradition such as Thai Buddhists and Muslims. In contract, they significantly support, mutually depend on each other like relatives and efficiently promote the development.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
99
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
Bibliography Organizational Committee of Kutabah Book, 2006. Glorified Kutabah on the occasion of The Sixtieth Anniversary Celebrations of His Majesty's Accession to the Throne. Bangkok : Federation of Agricultural Cooperatives of Thailand. Chatthip Natsupa. (Editor). 1984. History of the Thai Economy until 1941. Bangkok: Thammasat University. Chanchai Pathan. (2010: December 31) Imam (religious teacher). Interview. Darun Prathan. (2010: December 31) a Former Subdistrict Headman of Rangang Subdistrict. Interview. Biyan Prathan. (2011: January 3) a former Subdistrict Headman of Rangang Subdistrict. Interview. Prarinya Samaprathan (2011: January. 2), a Former Mayor. Buriram Province. Interview. Reinforcing Plan of Thai Muslim Health Care. 2004. The 2000 Thai Muslim Population Census: Whole Kingdom. no publisher : no date of publication. Reinforcing Plan of Thai Muslim Health Care. 2004. The 2000 Thai Muslim Population Census: Northeast region. no publisher : no date of publication. Bhumibol Adulyadej, Phra Bat Somdet Phra Poramintharamaha. 2009. Father’s Teaching: Processing of His Majesty Royal speech and the Supreme Court regarding the sufficiency economy. Printed No. 8. Bangkok: Bangkok Publisher. Manakhun Sukhachok, Imam, Buri Ram (2011: January 2) Imam (religious teacher). Interview. Muhammad Suri, (2011: January 2) Imam (religious teacher). Interview. Wanahudson Sakhunkhan, (2010: December 31) Dawah (Islamic cleric). Interview. Wichan Chuchuay. 2010. Muslim Society in the Northeast. MA thesis. (Thai studies), Graduate School. Srinakharinwirot University , Maha Sarakham. Vithayakorn Chiangkul. 2010. Science and Art of Leadership in the Modern World. Bangkok: Sai Than. Viroj Pahan. (2011: January 1). Community leader of Mosque Kut Roh Tu Islam, Yasothon. Interview. Ismail Khan. (2010 : June 20). Muslim Pathan. Interview.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
101
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
บทความวิจัย
การจัดการความเสีย่ งในการให้บริการวัคซีนของหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดปัตตานี ณัทพล ศรีระพันธุ์∗ เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย∗∗ สาวิตรี ลิ้มชัยอรุณเรือง∗∗∗ บทคัดย่อ การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสําคัญการจัดการความเสี่ยง ระดับการปฏิบัติการจัดการ ความเสี่ยง และปัญหาการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีนของบุคลากรสาธารณสุขของหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดปัตตานี เลือกตัวอย่างแบบเจาะจง คือหัวหน้าหน่วยบริการปฐมภูมิ และผู้รับผิดชอบหลักให้บริการวัคซีน 226 คน (จาก 113 แห่ง) เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ได้คืนมา 206 ชุด (ร้อยละ 91.15) ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิง เนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่านได้ค่าเท่ากับ 0.93 ได้ค่าความเที่ยงโดยใช้สูตรคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (KR-20) เท่ากับ 0.94 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (จํานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) ผลการวิ จัย พบว่า ความสํ าคั ญการจั ด การความเสี่ ยงในการให้บริการวั คซีน โดยรวมและทุ ก ด้ า นอยู่ใ น ระดับสูง ( X = 0.89, SD = 0.24) มีค่าสูงสุดด้านความรู้เทคนิควิธีการ ( X = 0.93, SD = 0.21) รองลงมาด้านการ บริหารวัสดุอุปกรณ์ ( X = 0.92, SD = 0.19) ด้านการพัฒนาคุณภาพบุคลากร ( X = 0.88, SD = 0.22) และด้านการ บริหารงบประมาณ ( X = 0.82, SD = 0.35) ส่วนการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีนโดยรวมอยู่ ในระดับปานกลาง ( X = 2.30, SD = 0.79) มี 3 ด้านอยู่ในระดับปานกลางคือด้านความรู้เทคนิควิธีการ ( X = 2.66, SD = 0.81) ด้านการบริหารวัสดุอุปกรณ์ ( X = 2.32, SD = 0.73) ด้านการพัฒนาคุณภาพบุคลากร ( X = 2.31, SD = 0.76) แต่ด้านการบริหารงบประมาณอยู่ในระดับต่ํา ( X = 1.92, SD = 0.84) ปัญหางานให้บริการวัคซีน คือเจ้าหน้าที่ ไม่เพียงพอ (ร้อยละ 47.57) ขาดความรู้การบริหารงบประมาณ (ร้อยละ 44.66) และแบ่งพื้นที่รับผิดชอบไม่เหมะสม (ร้อยละ 41.26) การจัดการความเสี่ยงดังกล่าว จึงควรพัฒนาทั้งระบบ โดยเน้นด้านการบริหารงบประมาณ การจัด กําลังคน การพัฒนาความรู้แก่ผู้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านการส่งเสริม สุขภาพของเด็กไทยต่อไป คําสําคัญ : ความเสี่ยง การจัดการความเสี่ยง วัคซีนสําหรับเด็ก หน่วยบริการปฐมภูมิ
∗
นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ∗∗ Ph.D.(ประชากรศาสตร์)อาจารย์ประจําสาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ∗∗∗ Ph.D.(พัฒนาศึกษาศาสตร์)อาจารย์ประจําสาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
102
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
Abstract This research aimed to identify the level of value perception, managerial operation, and problems on risk management of vaccination services in primary care units (PCUs) in Pattani province. The chiefs of all PCUs and primary responsible staff of the services were purposively recruited. Data were collected using a questionnaire, which was examined for content validity, giving a validity index of 0.93. The reliability was evaluated by using the Kuder-Richardson method (KR-20) giving a value of 0.94. The data were analyzed using descriptive statistics (percentage, mean and standard deviation). The results revealed that the levels of value perception on total and subtotal risk management in vaccination services of the PCUs were at a high level (overall, X = 0.89, SD = 0.24; knowledge and techniques, X = 93, SD = 0.21; material management, X = 0.92, SD = 0.19; staff weouber development, X = 0.88, SD = 0.22; and budgeting, X = 0.82, SD = 0.35). The level of total managerial operation on risk management was at a medium level ( X = 2.30, SD = 0.79). Considering the subtotal scores, three domains were at a medium level, i.e., knowledge and techniques ( X = 2.66, SD = 0.81), material management: ( X = 2.32, SD = 0.73) and staff weouber development ( X = 2.31, SD = 0.76), whereas the budgeting was at a low level ( X = 1.92, SD = 0.84). Problems on risk management of the service were found in shortage of staff weouber (47.57 %), lacking in knowledge on financial management (44.66%) and inappropriate manpower management (41.26 %). Risk management should be operated at the system level of the service by focusing on budgeting and staff weouber training for continuing development of risk management on the service in order to provide an effective health-promoting service for Thai children. Keyword: Risk, Risk management , Expanded Program on Immunization, Primary care unit
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
103
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
บทนํา การให้บริการวัคซีนในจังหวัดปัตตานี พบว่ามีความครอบคลุมต่ําในกลุ่มเด็กอายุ 0-5 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 25472551 ในวัคซีน 5 ชนิดคือวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน และโปลิโอ ใน พ.ศ. 2550 เด็กได้รับวัคซีน คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนเข็มที่ 5 และวัคซีนโปลิโอครั้งที่ 5 เพียงร้อยละ 83.52 และ 83.98 ตาม ลําดับ และปี 2551 ได้รับวัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนเข็มที่ 5 และวัคซีนโปลิโอครั้งที่ 5 คิดเป็นร้อยละ 89.80 และ 89.63 ตามลําดับ (กลุ่มงานควบคุมโรค, 2552) ซึ่งต่ํากว่าเกณฑ์กระทรวงสาธารณสุขที่กําหนดให้เด็กได้รับวัคซีนทุกชนิดมีความครอบคลุม ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 90.00 (กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน, 2547) จึงจําเป็นต้องปรับระบบบริการที่เหมาะสมเพื่อ ป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ จากการป่วย พิการหรือตายได้จากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน (ประกอบ, 2543) ที่ผ่านมามี การปฏิบัติตามคู่มือของกระทรวงสาธารณสุขหลายเล่ม เมื่อวิเคราะห์รายละเอียดของคู่มือแต่ละเล่ม พบว่ามีแนวปฏิบัติที่ มีรายละเอียดทางเทคนิคมาก แต่ขาดการระบุการจัดการความเสี่ยง ในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่ อาจมีการปฏิบัติตามคู่มือไม่ ครบถ้วน เช่นการศึกษาของสํานักโรคติดต่อทั่วไป (2547) พบว่าสาเหตุหลักคือเจ้าหน้าที่มีคู่มือแต่ขาดความรู้แนวทาง ปฏิบัติ ขาดติดตามเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนตามกําหนด ไม่เห็นประโยชน์การได้รับวัคซีนตามระยะเวลาและจากการศึกษาของ พอพิศ (2551) พบว่ามีความบกพร่องการนัดรับวัคซีนระหว่างเข็มน้อยกว่าเกณฑ์ที่กําหนด อาจทําให้การสร้างเสริม ภูมิคุ้มกันโรคไม่ดีเท่าที่ควร ปัญหาความเสี่ยงดังกล่าวเมื่อศึกษานําร่องพบว่าเกิดจากสาเหตุหลัก 3 ด้านคือเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ อสม. และ ผู้ปกครองที่มีบุตรอายุ 0-5 ปี ปัญหาเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ พบว่าขาดความรู้การนัดระยะห่างระหว่างเข็มไม่ถูกต้อง บันทึกอุณหภูมิตู้เย็นไม่ต่อเนื่อง ขาดคู่มือ กลัวความไม่ปลอดภัยจากสถานการณ์เป็นต้น ปัญหา อสม. พบว่าขาดการ ติดตามเด็กมารับวัคซีน ขาดการอบรม ขาดการบันทึกรายชื่อประชาชนทุกคนอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ปัญหาด้านผู้ปกครอง ที่มีบุตรอายุ 0-5 ปี พบว่าไม่มีความรู้เรื่องวัคซีน ขาดความตระหนัก ขาดแรงจูงใจ บางคนไม่ให้ความร่วมมือ ประกอบ อาชีพนอกพื้นที่และนําเด็กไปด้วย เป็นต้น จากปัญหาดังกล่าวกระทบถึงการได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ในเด็กได้ ซึ่ง ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายควรให้ความสําคัญ ร่วมกันจัดการความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ ทําให้ทราบปัญหาล่วงหน้าและเตรียมวิธี ป้องกันแก้ไขได้ถูกต้องซึ่งจะเพิ่มโอกาสความสําเร็จ (ประเสริฐ และคณะ, 2547;Brown, 1979) โดยใช้วิธีการบริหาร ทรัพยากรของกระทรวงสาธารณสุขที่สําคัญ 4 ด้านคือด้านความรู้เทคนิควิธีการ ด้านการบริหารวัสดุอุปกรณ์ ด้านการ พัฒนาคุณภาพบุคลากร และด้านการบริหารงบประมาณ (อรุณ, 2537) บูรณาการกับการจัดการความเสี่ยง 5 ขั้นตอน จากแนวคิดของนฤมล (2550) อนุวัฒน์ (2543) คณะกรรมการความปลอดภัยในที่ทํางานประเทศออสเตรเลีย (2009) และคณะกรรมการบริหารสุขภาพและความปลอดภัยในการทํางานประเทศอังกฤษ (2009) จะสามารถจัดการความเสี่ยง งานบริการวัคซีนได้ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจและเลือกศึกษา “ การจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีนของหน่วย บริการปฐมภูมิ จังหวัดปัตตานี” ขึ้นเพื่อศึกษาระดับการให้ความสําคัญการจัดการความเสี่ยง ระดับปฏิบัติการจัดการ ความเสี่ยง และปัญหาการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีนของหน่วยบริการปฐมภูมิ ทั้งยังทราบปัญหาเชิง คุณภาพ ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ ที่สามารถประยุกต์ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนงานการจัดการความเสี่ยงการ ให้บริการวัคซีนในเชิงรุกได้อย่างเหมาะสม เป็นการจัดการความเสี่ยงด้านการป้องกันให้หมดไปหรือเหลือน้อยที่สุดที่ หน่วยงานสามารถยอมรับได้ และลดความสูญเสียที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของเด็กได้อย่างมีมูลค่าสูงทั้งที่เป็นรูปตัวเงินและ ไม่เป็นรูปตัวเงิน (Chris, 2002) ส่งผลให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเด็กไทยทุกคนที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และสามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีความสุข (ชูชัย และคณะ, 2552)
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
104
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาระดับการให้ความสําคัญการจัดการความเสี่ยง ในการให้บริการวัคซีนของบุคลากรสาธารณสุข ของหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดปัตตานี 2. เพื่อศึกษาระดับการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยง ในการให้บริการวัคซีนของบุคลากรสาธารณสุข ของหน่วย บริการปฐมภูมิ จังหวัดปัตตานี 3. เพื่อศึกษาปัญหาการจัดการความเสี่ยง ในการให้บริการวัคซีนของบุคลากรสาธารณสุข ของหน่วยบริการ ปฐมภูมิ จังหวัดปัตตานี งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การให้บริการวัคซีน ของหน่วยบริการปฐมภูมิมีจํานวน 8 ชนิดสามารถป้องกันโรคได้ 10 โรค (วัณโรค คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ หัด หัดเยอรมัน คางทูม ตับอักเสบบี และไข้สมองอักเสบเจอี) เป้าหมายคือความครอบคลุม เด็ก0-5 ปีมากกว่าร้อยละ 90.00 และที่สําคัญเพื่อให้ประชาชนมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ปลอดภัยจากโรคป้องกันได้ ด้วย(สํานักโรคติดต่อทั่วไป, 2550) มีนโยบายการดําเนินงานดังนี้ (กระทรวงสาธารณสุข, 2538; สํานักงาน หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, 2553) (1) ต้องจัดให้บริการแก่ประชาชนด้วยความสะดวก ปลอดภัย เน้นคุณภาพและ มาตรฐาน (2) วัคซีนต้องมีคุณภาพดี (3) ให้ครอบคลุมประชากรในระดับสูงที่สุด (4) ให้บริการในทุกพื้นที่ทั้งในและ นอกหน่วยบริการปฐมภูมิ (5) ใช้สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก (สมุดสีชมพู) ทุกครั้ง (6) รับบริการในสถานพยาบาล อื่นได้ (7) มีการเฝ้าระวังอาการข้างเคียงหลังจากรับวัคซีน (8) สถานบริการสาธารณสุขของรัฐทุกแห่งที่ให้บริการ วัคซีนในเด็กจะไม่มีการเรียกเก็บเงินค่าใช้ จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ความเสี่ยงที่เกิดจากระบบการให้บริการวัคซีนนั้นแบ่งได้ ดังนี้ (1) เกิดกับผู้รับบริการ (2) เกิดกับเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ (3) เกิดกับสถานบริการ (4) เกิดกับชุมชนจากการขาด ความร่วมมือของชุมชน ( สิทธิศักดิ์, 2544) มีจุดมุ่งหมายการจัดการความเสี่ยงที่สําคัญคือ (1) การหลีกเลี่ยงความ เสี่ยง (2) การโอนความเสี่ยง (3) การป้องกันความเสี่ยง (4) การลด/ควบคุมความเสี่ยง คือการมีแผนรองรับหลังจาก เกิดการสูญเสียขึ้นแล้ว (นฤมล, 2550; ประเสริฐ และคณะ, 2547; อนุวัฒน์, 2543) การค้นหาและการจัดการความเสี่ยงการให้บริการวัคซีนของหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยประยุกต์แนวคิดการ จั ด การความเสี่ ย งของนฤมล (2550) อนุ วั ฒ น์ (2543) คณะกรรมการความปลอดภั ย ในการทํ า งานประเทศ ออสเตรเลีย (2009) และคณะกรรมการบริหารสุขภาพและความปลอดภัยในการทํางานประเทศอังกฤษ (2009) ได้ 5 ขั้นตอน (1) การจัดตั้งทีมหรือผู้รับรับผิดชอบด้านให้บริการวัคซีน (2) การเก็บรวบรวมข้อมูลความเสี่ยงจากปัญหา ให้บริการวัคซีน (3) การประเมินและจัดลําดับความเสี่ยงจากปัญหาให้บริการวัคซีน (4) การจัดการความเสี่ยงที่ เหมาะสม และ (5) การติดตามประเมินผล โดยบูรณาการกับงานบริหารทรัพยากรสาธารณสุขมี 4 ด้าน (1) ด้าน ความรู้เทคนิควิธีการ (2) ด้านการบริหารวัสดุอุปกรณ์ (3) ด้านการพัฒนาคุณภาพบุคลากร และ (4) ด้านการบริหาร งบประมาณ (อรุณ, 2537) สําหรับปัญหาอุปสรรคการจัดการความเสี่ยงงานให้บริการวัคซีนของหน่วยบริการปฐมภูมิ พบว่ามี 3 ด้านคือ ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ด้าน อสม.และ ด้านผู้ปกครองซึ่งแต่ละด้านมีรายละเอียดสําคัญ ดังนี้ (1) ด้านเจ้าหน้า พบว่ามีปัญหาดังนี้; วรัญญา,2552; อมร และคณะ, 2548; WHO, 2008) 1) ขาดแคลนบุคคลากร 2). การจัดสรรบุคลากร ปฏิบัติงานไม่ตรงกับความรู้ความสามารถ 3) เจ้าหน้าที่ขาดการทํางานเป็นทีมสหวิชาชีพ 4) บุคลากรขาดขวัญและ กําลังใจในการปฏิบัติงาน จากสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 5) ขาดความรู้เทคนิควิธีการ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
105
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
ให้บริการวัคซีน 6) ขาดการติดตามเด็กที่พลาดการรับวัคซีน 7) เจ้าหน้าที่มีภาระงานมาก 8) ขาดการนัดให้บริการวัคซีน ในครั้งต่อไป 9) ขาดการนิเทศงานให้บริการวัคซีน (10) ขาดวัสดุอุปกรณ์ให้บริการวัคซีน (2) ด้าน อสม มีปัญหาดังนี้ (พัช โรบล, 2535; พงษ์เทพ, อมร, สุวัฒน์ และสุภัทร, 2550) 1) ขาดการอบรมความรู้เรื่องวัคซีน 2) ขาดการทําหน้าที่ตาม บทบาทความรับผิดชอบ เช่นการติดตามเด็กมารรับวัคซีน 3) มีภาระงานรับผิดชอบมาก (3) ด้านผู้ปกครอง สรุปปัญหาได้ ดังนี้ (กลุ่มงานควบคุมโรค,2553; ศิริวรรณ และกาญจนาพันธุ์,2543; สําลี และคณะ, 2521; Good, 1974) 1) ขาดความรู้ ความเข้าใจ ขาดแรงจูงใจ 2) ทําบัตรนัดหรือสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กหาย และไม่มาติดต่อขอรับสมุดใหม่ 3) กลัวลูก ไม่สบาย 4) ไปประกอบอาชีพต่างถิ่นและนําเด็กไปด้วย 5) ไม่มีเวลานําบุตรไปรับวัคซีนตามกําหนด 6) ไม่ยินยอมให้บุตร ได้รับวัคซีน 7) บ้านอยู่ไกลจากหน่วยบริการปฐมภูมิทําให้ไม่สะดวกในการเดินทาง วิธีดาเนินการวิจัย
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือบุคลากรสาธารณสุขปฏิบัติงานในหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดปัตตานี 475 คน จากหน่วย บริการปฐมภูมิ 128 แห่ง (ใช้ทดลองเครื่องมือวิจัยจํานวน 15 แห่ง) โดยส่วนที่เหลือจํานวน 427 คนจากหน่วยบริการ ปฐมภูมิ 113 แห่ง ใช้สําหรับเก็บข้อมูลในการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดปัตตานี113 แห่งเลือก ตัวอย่างแบบเจาะจงหน่วยบริการปฐมภูมิๆ ละ 2 คน คือหัวหน้าหน่วยบริการปฐมภูมิ 1 คน และผู้รับผิดชอบหลักงาน ให้บริการวัคซีน 1 คน รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นจํานวน 226 คน แต่ผู้วิจัยได้รับแบบสอบถามคืนเพียง 206 คน คิดเป็น ร้อยละ 91.15
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล มี 3 ส่วนคือ (1) ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างจํานวน 13 ข้ อ (2) ข้ อ มู ล การจั ด การความเสี่ ย งในการให้ บ ริ ก ารวั ค ซี น ของหน่ ว ยบริ ก ารปฐมภู มิ มี 2 ประเด็ น คื อ 2.1) ความสําคัญการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีน 58 ข้อ และ 2.2) การปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงในการ ให้บริการวัคซีน 58 ข้อ (3) ข้อมูลปัญหาการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีนของบุคลากรสาธารณสุข ของ หน่วยบริการปฐมภูมิ 19 ข้อ
การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ การหาความตรงตามเนื้อหาของแบบสอบถาม ดังนี้ โดยผ่านผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน 5 คน และหาค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (content validity index - CVI) พบว่าได้ ค่าเท่ากับ 0.93 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ ที่ยอมรับได้โดยทั่วไปคือตั้งแต่ 0.80 ขึ้นไป (Polit & Hungler, 1999; Davis, 1992; บุญ ใจ, 2550) การหาความเที่ยงของแบบสอบถาม ดังนี้ หลังจากที่ผู้วิจัยได้นําแบบสอบถามที่ผ่านการปรับปรุงตามข้อคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว ได้ทดลองใช้ เครื่องมือกับกลุ่มตัวอย่าง เพื่อหาความเที่ยงในรอบที่ 1 หลังจากนั้นได้ทดสอบซ้ํา (test - retest) ถึงการให้ ความสําคัญการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีนในรอบที่ 2 ซึ่งพบว่าได้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.75 โดยมีรายละเอียดการหาความเที่ยงของแบบสอบถาม ดังนี้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
106
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
รอบที่ 1 การหาความเที่ยง จากการทดลองใช้เครื่องมือ (try out) โดยผู้วิจัยได้ทดลองใช้แบบสอบถามกับ กลุ่มตัวอย่าง ในพื้นที่เขตอําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี จํานวน 15 หน่วยบริการปฐมภูมิๆ ละ 2 คนคือหัวหน้าหน่วย บริการปฐมภูมิ 1 คน และผู้รับผิดชอบหลักงานให้บริการวัคซีน 1 คนรวม 30 คน แต่ได้รับแบบสอบถามกลับจํานวน 28 ฉบับ (ร้อยละ 93.33) หลังจากนั้นได้หาความเที่ยงแบบสอบถามด้วยวิธีคูเดอร์ริชาร์ดสัน20 (Kuder-Richardson 20, KR–20) ได้ค่าความเที่ยงแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.94 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ คือตั้งแต่ 0.80 ขึ้นไป (บุญใจ, 2550) การทดลองใช้เครื่องมือในรอบที่ 1 นี้ผู้วิจัยใช้เกณฑ์ประเมินมาตรฐานศูนย์สุขภาพชุมชน โดยทุกข้อคําถามของ แต่ละด้านจะต้องได้คะแนนประเมินไม่ต่ํากว่าร้อยละ 50.00 หากข้อคําถามใดได้คะแนนต่ํากว่าร้อยละ 50.00 ผู้วิจัยจะ ตัดข้อนั้นทิ้งจะไม่นําไปถามในรอบที่ 2 ซึ่งพบว่าในรอบที่ 1 นี้มีข้อคําถามที่ผ่านเกณฑ์การทดลองใช้เครื่องมือจํานวน 69 ข้อจากข้อคําถามทั้งหมด 74 ข้อ และผู้วิจัยได้ทดสอบความเที่ยงซ้ําในรอบที่ 2 ต่อไป รอบที่ 2 โดยการทดสอบแบบสอบถามซ้ํา (test - retest) กับกลุ่มเป้าหมายเดิมและจํานวนข้อคําถามที่ผ่าน เกณฑ์ในรอบที่ 1 จํานวน 69 ข้อ ซึ่งรอบที่ 2 นี้ผู้วิจัยทดสอบความเที่ยงแบบสอบถามด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน พบว่าได้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.75 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ โดยกําหนดว่า แบบสอบถามที่สร้างขึ้นใหม่ค่าความเที่ยงที่ยอมรับได้ตั้งแต่ 0.70 ขึ้นไป ลังจากกลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญการจัดการ ความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีนในรอบที่ 2 แล้วผู้วิจัยได้นําร้อยละของการให้ความสําคัญการจัดการความเสี่ยงทั้ง 2 รอบ มาเปรียบเทียบกัน โดยใช้ร้อยละ รอบที่ 2 เป็นเกณฑ์ หากมีข้อใดในรอบที่ 2 ได้ค่าร้อยละต่ํากว่ารอบที่ 1 จะตัดข้อนั้นทิ้ง เหลือเฉพาะข้อที่กลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญได้เท่านั้น และพบว่ากลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญทั้งสิ้นจํานวน 58 ข้อ (ร้อยละ 84.10) จากข้อคําถามทั้งหมด 69 ข้อ ซึ่งผู้วิจัยได้นําข้อคําถามจํานวน 58 ข้อดังกล่าว ใช้สําหรับเก็บข้อมูลทั้งจังหวัด ปัตตานี ต่อไป
การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ขั้นเตรียมการก่อนเก็บรวบรวมข้อมูล 1.1 เสนอหนังสือขออนุญาตเก็บรวบรวมข้อมูลจากคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ ส่งถึงนายแพทย์ สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี และสาธารณสุขอําเภอทุกอําเภอ เพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูล 2. ขั้นดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล 2.1 ชี้แจงวัตถุประสงค์การวิจัยต่อนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานีและสาธารณสุขอําเภอทุก อําเภอ ถึงประโยชน์ การพิทักษ์สิทธิ ขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูลในพื้นที่ พร้อมติดต่อนัดประชุมเจ้าหน้าที่หน่วย บริการปฐมภูมิในวันถัดไป 2.2 ประชุมชี้แจงเจ้าหน้าที่หน่วยบริการปฐมปฐมภูมิ เพื่อทราบวัตถุประสงค์การวิจัย และขอความ ร่วมมือตอบแบบสอบถาม พร้อมแจกแบบสอบถามและกําหนดวันเก็บแบบสอบถามกลับ ในสัปดาห์ถัดไป 2.3 เก็บรวบรวมแบบสอบถามกลับพร้อมตรวจสอบความสมบูรณ์ ครบถ้วนของข้อมูลหากข้อมูลใด ไม่สมบูรณ์ ผู้วิจัยจะส่งแบบสอบถามกลับไปใหม่ และใช้การสื่อสารที่เหมาะสมช่วย เช่นโทรศัพท์ เป็นต้น 3. ขั้นเตรียมการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 เมื่อได้แบบสอบถามกลับคืนมาหมดแล้วผู้วิจัยได้ตรวจสอบความสมบูรณ์อีกครั้ง แล้วนํามา ประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูลตามวิธีทางสถิติอย่างเหมาะสม
การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การประมวลผลข้อมูลด้วยโปรแกรมสําเร็จรูป การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติดังนี้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
107
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
(1) ข้อมูลทั่วไปวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (จํานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ค่าต่ําสุด ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน) (2) ระดับความสําคัญการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีน วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (จํานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) (3) ระดับปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีน วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (จํานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) (4) ปัญหาการจัดการความเสี่ยง ในการให้วัคซีนของหน่วยบริการปฐมภูมิ วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (จํานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ต่ําสุด ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) สรุปผลและอภิปรายผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย
ผลการศึกษาข้อมูลทั่วไปของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข (N = 206) พบว่าบุคลากรสาธารณสุขส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย (ร้อยละ 75.24 และ 24.76) อายุเฉลี่ย อายุ 40.76 ปี มีจํานวนมากที่สุดช่วงอายุ 40-49 ปี (ร้อยละ36.89) ส่วนใหญ่สําเร็จระดับประกาศนียบัตร หรือ เทียบเท่า ปวส. (ร้อยละ 55.34) รองลงมาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าปริญญาตรี (ร้อยละ43.69) ตําแหน่งเจ้า พนั ก งานสาธารณสุ ข ชํ า นาญงานมากที่ สุ ด (ร้ อ ยละ 23.30) ประสบการณ์ ใ ห้ บ ริ ก ารวั ค ซี น เฉลี่ ย 15.99 ปี มี ประสบการณ์ให้บริการวัคซีนช่วง1-5 ปีมากที่สุด(ร้อยละ 25.73) จํานวนเกินครึ่ง (ร้อยละ 67.96) ยังไม่มีการจัดตั้ง ทีมบริหารความเสี่ยง ส่วนใหญ่ผ่านการอบรมความรู้การบริหารความเสี่ยง (ร้อยละ 79.13 ) มีด้านทักษะหรือเทคนิค การฉีดวัคซีนถูกต้องจํานวนครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 50.49) ส่วนใหญ่ให้บริการวัคซีน 4 ครั้ง/เดือน (ร้อยละ 37.38) มีการ ให้บริการวัคซีนเชิงรุกนอกหน่วยบริการปฐมภูมิ (ร้อยละ 78.16) มีผลงานความครอบคลุมการให้บริการวัคซีน มากกว่าร้อยละ 90.00 ในปีงบประมาณ 2552 มากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 60.19) ผลการวิ จั ย พบว่า ความสํ าคั ญการจั ด การความเสี่ ยงในการให้บริการวั คซีน โดยรวมและทุ ก ด้ า นอยู่ใ น ระดับสูง ( X = 0.89, SD = 0.24) มีค่าสูงสุดด้านความรู้เทคนิควิธีการ ( X = 0.93, SD = 0.21) รองลงมาด้านการ บริหารวัสดุอุปกรณ์ ( X = 0.92, SD = 0.19) ด้านการพัฒนาคุณภาพบุคลากร ( X = 0.88, SD = 0.22) และด้านการ บริหารงบประมาณ ( X = 0.82, SD = 0.35) ส่วนการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีนโดยรวมอยู่ ในระดับปานกลาง ( X = 2.30, SD = 0.79) มี 3 ด้านอยู่ในระดับปานกลางคือด้านความรู้เทคนิควิธีการ ( X = 2.66, SD = 0.81) ด้านการบริหารวัสดุอุปกรณ์ ( X = 2.32, SD = 0.73) ด้านการพัฒนาคุณภาพบุคลากร ( X = 2.31, SD = 0.76) แต่ด้านการบริหารงบประมาณอยู่ในระดับต่ํา ( X = 1.92, SD = 0.84) ปัญหางานให้บริการวัคซีน คือเจ้าหน้าที่ ไม่เพียงพอ (ร้อยละ 47.57) ขาดความรู้การบริหารงบประมาณ (ร้อยละ 44.66) และแบ่งพื้นที่รับผิดชอบไม่เหมะสม (ร้อยละ 41.26) (ตาราง 1-5)
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
108
ตาราง 1 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับการให้ความสําคัญการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีน ของบุคลากรสาธารณสุข จําแนกเป็นรายด้าน และโดยรวม (N = 28) คะแนนการให้ความสําคัญ การให้ความสําคัญเกี่ยวกับสภาพการณ์การ ระดับการให้ การจัดการความเสี่ยง จัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีน ความสําคัญ X SD ด้านความรู้เทคนิควิธีการ 0.93 0.21 สูง ด้านการบริหารวัสดุอุปกรณ์ 0.92 0.19 สูง 0.88 0.22 สูง ด้านการพัฒนาคุณภาพบุคลากร 0.82 0.35 สูง ด้านการบริหารงบประมาณ การให้ความสําคัญโดยรวม 0.89 0.24 สูง ตาราง 2 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีน ของกลุ่ม ตัวอย่าง จําแนกเป็นรายด้าน และโดยรวม (N = 206) คะแนนการปฏิบัติ ระดับการปฏิบัติ การปฏิบัติการจัดการความเสี่ยง การจัดการความเสี่ยง การจัดการ ในการให้บริการวัคซีน X ความเสี่ยง SD ด้านความรู้เทคนิควิธีการ ด้านการบริหารวัสดุอุปกรณ์ ด้านการพัฒนาคุณภาพบุคลากร ด้านการบริหารงบประมาณ การปฏิบัติโดยรวม
2.66 2.32 2.31 1.92 2.30
0.81 0.73 0.76 0.84 0.79
ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ต่ํา ปานกลาง
ตาราง 3 จํานวน ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด ต่ําสุดของปัญหาการจัดการความเสี่ยงใน การให้บริการวัคซีนของหน่วยบริการปฐมภูมิ จําแนกตามด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ (N = 206) ปัญหาด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ จํานวน (คน) ร้อยละ จํานวนเจ้าหน้าที่ ( X = 3.83, SD = 1.07) (Min = 2, Max = 7) 108 52.43 เพียงพอ (คน/หน่วยบริการปฐมภูมิ) 2-3 98 47.57 4-5 84 40.78 6-7 24 11.65 ไม่เพียงพอ 98 47’57 ขาดความด้านรู้เทคนิควิธีการ 25 12.14 ขาดความรู้ด้านการบริหารวัสดุอุปกรณ์ 40 19.42 ขาดความรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพบุคลากร 49 23.78 ขาดความรู้ด้านการบริหารงบประมาณ 92 44.66
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
109
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
ปัญหาการแบ่งพื้นที่เขตรับผิดชอบในการปฏิบัติงาน ปัญหาการแบ่งพื้นที่เขตรับผิดชอบในการปฏิบัติงาน แบ่งพื้นที่รับผิดชอบไม่เหมะสม แบ่งพื้นที่อย่างเหมาะสม ตําแหน่งเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการวัคซีนในหน่วยบริการปฐมภูมิ ไม่เหมาะสม เหมาะสม ผลกระทบด้านความไม่ปลอดภัยของเจ้าหน้าที่จาก สถานการณ์ความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ( X = 1.63, SD = 0.71) กระทบมาก กระทบปานกลาง กระทบน้อย ปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ มีภาระงานรับผิดชอบมาก ขาดคู่มือปฏิบัติงานเกี่ยวกับงานบริการวัคซีน ไม่ได้ทําแผนแก้ปัญหาร่วมกับ อบต. CUP การเบิกจ่ายเงินจาก CUP ยุ่งยาก มีขั้นตอนมาก ขาดความร่วมมือกับกลุ่ม ชมรม องค์กรในชุมชน พื้นที่รับผิดชอบกว้าง ไม่สะดวกในการเดินทาง ทีมสุขภาพไม่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
85 121
41.26 58.74
122 84
59.22 40.78
105 73 28
50.97 35.44 13.59
151 68 104 92 59 37 40
73.30 33.00 50.49 44.66 28.64 17.96 19.42
ตาราง 4 จํานวน ร้อยละ ของปัญหาการจัดการความเสี่ยง ในการให้บริการวัคซีนของหน่วยบริการปฐมภูมิ จําแนก ด้าน อสม. ปัญหาด้าน อสม. จํานวน (คน) ร้อยละ อสม.ไม่มีการบันทึกบัญชีจํานวนหลังคาเรือนและ 39 18.93 รายชื่อทุกคนในเขตรับผิดชอบเป็นปัจจุบัน อสม. ใหม่และเก่ายังไม่ได้รับการอบรมความรู้งานบริการ วัคซีน 43 20.87 อสม.ไม่มีการจัดทําแผนหรือวาระประชุมประจําเดือน ที่เหมาะสม 50 24.27 อสม. ติดตามเด็กมารับวัคซีนไม่ต่อเนื่อง 77 37.38 อสม.รับผิดชอบหลังคาเรือน > 15 หลังคาเรือน/คน 85 41.26
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
110
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
ตาราง 5 จํานวน ร้อยละ ของปัญหาการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีนของหน่วยบริการปฐมภูมิ จําแนก ด้านผู้ปกครอง ปัญหาด้านผู้ปกครอง จํานวน (คน) ร้อยละ บ้านอยู่ไกลจากหน่วยบริการปฐมภูมิ 31 15.05 กลัวลูกไม่สบาย 33 16.02 ทําบัตรนัดหรือสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กหาย (สมุดสีชมพู)หาย 39 18.93 ไม่ให้ความร่วมมือ 69 33.50 จําวันฉีดไม่ได้ เมื่อพ้นกําหนดนัดแล้วก็ยังไม่นําเด็กมารับวัคซีน 72 34.95 ฝากบุตรให้อยู่กับคนอื่นเช่นปู่ ยา ตา ยาย ญาติ 81 39.32 ไปประกอบอาชีพต่างถิ่นและนําเด็กไปด้วย 108 52.43 ขาดความรู/้ ไม่ตระหนักในการพาเด็กมารับบริการวัคซีนตามนัด 118 57.28 อภิปรายผลการวิจัย รูปแบบการวิจัยเชิงพรรณนานี้ ใช้ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ร่วมกับการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้วิจัยได้อภิปรายผลตามวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้
วัตถุประสงค์ข้อที่ 1 เพื่อศึกษาระดับการให้ความสําคัญการจัดการความเสี่ยง ในการให้บริการวัคซีนของ บุคลากรสาธารณสุข ของหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดปัตตานี พบว่ากลุ่มตัวอย่างคือบุคลากรสาธารณสุข จํานวน 28 คน ให้ความสําคัญการจัดการความเสี่ยงในการ ให้บริการวัคซีนโดยรวมอยู่ในระดับสูง ( X = 0.89, SD = 0.24) (ตาราง 1) และทุกด้านอยู่ในระดับสูงเช่นกัน สามารถ เรียงคะแนนเฉลี่ยจากมากที่สุดไปน้อยที่สุด คือด้านความรู้เทคนิควิธีการ ด้านการบริหารวัสดุอุปกรณ์ ด้านการพัฒนา คุณภาพบุคลากร และด้านการบริหารงบประมาณ การให้ความสําคัญสูงดังกล่าว อาจเนื่องจากกลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้มี ความรู้มีความเข้าใจ และเห็นความสําคัญของงานให้บริการวัคซีนโดยเฉพาะการมีความรู้มีทักษะนั้นเป็นสิ่งสําคัญ ที่สุด ทราบประโยชน์ของวัคซีนนั้นสามารถแก้ปัญหาโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ซึ่งพบว่าโรคติดต่อบางชนิดได้ หมดไปจากโลกนี้แล้ว เช่นฝีดาษ และโรคโปลิโอที่กําลังจะหมดไปในไม่ช้านี้ ก็เนื่องมาจากการให้ความสําคัญกับการ นําวัคซีนมาใช้ นอกจากนี้พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ผ่านการอบรมด้านการจัดการความเสี่ยงการให้วัคซีน (ร้อยละ 85.70) ทําให้มีความรู้และเข้าใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งประภาเพ็ญ (2526) กล่าวว่าความรู้มีความสําคัญก่อให้เกิด ความเข้าใจ เกิดแรงจูงใจที่จะปฏิบัติ ความรู้และการปฏิบัติจึงมีความสัมพันธ์กันไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม และพบว่ากลุ่มตัวอย่างเห็นความสําคัญของการตั้งทีมสุขภาพมากเกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 46.43) ซึ่งจะช่วยส่งเสริม การทํางานให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้เร็วขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับณัฏฐพันธ์ และคณะ (2546) กล่าวว่าการทํางานเป็นทีมมี ประโยชน์มากและมีความสําคัญ ช่วยให้งานบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีอายุ เฉลี่ย 36.68 ปี ประกอบกับมีประสบการณ์ในการทํางานมานานเฉลี่ย 10.86 ปี ซึ่งเป็นวัยที่พร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ ความรู้ ประสบการณ์ที่จะส่งเสริมการทํางานให้ประสบผลสําเร็จตามวัตถุประสงค์ได้เร็วขึ้น สอดคล้องกับการศึกษา ของเบนเนอร์ (Benner, 1982) กล่าวว่าผู้ท่ีมีประสบการณ์การทํางาน 2-3 ปีขึ้นไป เป็นผู้ท่ีมีสมรรถนะสูงในการเรียนรู้ ฝึกฝนเพื่อพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และแอนโตน็อบสกี้ (Antonovsky, 1987) กล่าวว่าผู้ใหญ่ในวัยทํางาน เป็นผู้ท่ีมีความรับผิดชอบสูง สามารถปรับตัวแก้ปัญหาต่างๆได้ดีและจะถาวรเมื่ออายุได้ 30ปี และวิมลรัตน์ (2539)
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
111
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
กล่าวว่าบุคคลที่มีอายุมากจะมีประสบการณ์ มีความรู้ ความชํานาญในการปฏิบัติงานมากขึ้น และแก้ปัญหาได้ดี สามารถแยกการให้ความสําคัญเป็นรายด้าน ดังนี้ (1) ด้านความรู้เทคนิควิธีการ พบว่ากลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญอยู่ในระดับสูง ( X = 93, SD = 0.21) (ตาราง 1) อาจเนื่องจากการให้บริการวัคซีนเป็นการให้บริการที่เ กี่ยวข้องกับสุขภาพเด็ก ที่จะต้องตระหนักและ ระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่นการแพ้วัคซีน การฉีดวัคซีนที่ถูกต้อง อาการไข้หลังได้รับวัคซีน การเก็บวัคซี สอดคล้องกับ กรมควบคุมโรคติดต่อ (2547) มีการให้ความสําคัญกับการใช้เทคนิคการฉีดวัคซีนเพื่อลดความเจ็บปวดในเด็ก การ เก็บวัคซีนที่ถูกต้อง มีระบบลูกโซ่ความเย็นเก็บวัคซีน มีการให้ความรู้และขอความร่วมมือกับผู้ท่ีต้องเกี่ยวข้องให้นํา เด็กมารับวัคซีนตามเกณฑ์กําหนด มีระบบติดตามเด็กที่พลาดการรับวัคซีนของ อสม.เป็นต้น (2) ด้านการบริหารวัสดุ อุปกรณ์ พบว่ากลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญในระดับสูง ( X = 0.92, SD = 0.19) (ตาราง 1) อาจเนื่องจากกลุ่มตัวอย่าง เห็นความสําคัญของการมีและใช้วัสดุอุปกรณ์ ซึ่งจะต้องคํานึงถึงจํานวนที่เพียงพอไม่มากหรือน้อยจนเกินไป และมี คุณภาพดี สอดคล้องกับกระทรวงสาธารณสุข (2538) กล่าวว่าวัสดุอุปกรณ์ควรมีอย่างเหมาะสม มีการบํารุงรักษา ตามระยะเวลา มีสื่อการสอนสุขศึกษาที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ มีผู้รับผิดชอบการจัดหาตรวจสอบทั้งปริมาณและ คุณภาพวัสดุอุปกรณ์ (3) ด้านการพัฒนาคุณภาพบุคลากร พบว่ากลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญในระดับสูง ( X = 0.88, SD = 0.22) อาจเนื่องจากคนเป็นทรัพยากรที่มีค่าและสําคัญที่สุดขององค์กร ซึ่งชูชัย ( 2552) และอรุณ (2537) กล่าวว่าคนคือหัวใจสําคัญที่ควรได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งด้านความรู้ ทักษะ ที่เหมาะสม (4) ด้านการบริหาร งบประมาณ พบว่ากลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญในระดับสูง ( X = 0.82, S.D. = 0.35) อาจเนื่อง จากกลุ่มตัวอย่างเห็น ว่า งบประมาณมีความสําคัญในการดําเนินกิจกรรมงานให้บรรลุเป้าหมายได้ ซึ่งวินัย และคณะ (2553) และอนุวัฒน์ (2543) กล่าวว่างบประมาณตามแผนงานโครงการนั้น มีความสําคัญมากจึงควรใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตาม วัตถุประสงค์ มีการบันทึกหลักฐานที่สมบูรณ์ มีการบริหารที่เอื้อ คล่องตัว ไม่ยึดระเบียบมากจนเกินไปแต่ยึดประโยชน์ ของประชาชนเป็นหลักสําคัญ มีการจัดตั้งผู้รับผิดชอบ การจัดทําแผนใช้งบประจําปีเป็นต้น ความสําคัญการให้บริการ วัคซีนดังกล่าว ทําให้กลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญอยู่ในระดับสูง
วัตถุประสงค์ข้อที่ 2. เพื่อศึกษาระดับการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยง ในการให้บริการวัคซีนของบุคลากร สาธารณสุข ของหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดปัตตานี ผลการศึกษาระดับการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีน พบว่าโดยรวมปฏิบัติได้ในระดับ ปานกลาง ( X = 2.30, SD = 0.79) โดยปฏิบัติได้ในระดับปานกลาง 3 ด้าน เรียงลําดับจากมากไปน้อย คือด้านความรู้ เทคนิควิธีการ ด้านการบริหารวัสดุอุปกรณ์ และด้านการพัฒนาคุณภาพบุคลากร ( X = 2.66, SD = 0.81; X = 2.32, SD = 0.73; = X = 2.31, SD = 0.76) ตามลําดับ และด้านการบริหารงบประมาณมีการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยง ได้ในระดับต่ํา ( X =1.92, SD = 0.84) (ตาราง 2) การปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงการให้บริการวัคซีนโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( X = 2.30, SD = 0.79) อาจเนื่องมาจากการให้วัคซีนจะต้องปฏิบัติตามแบบแผน ทฤษฎี ที่ต้องตระหนักถึงความถูกต้อง มีคุณภาพ มาตรฐาน อย่างเคร่งครัด จะเห็นได้ว่าความรู้และการปฏิบัติต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยประภาเพ็ญ (2526) กล่าวว่า ทัศนคติที่ดีจะทําให้มีการปฏิบัติที่ดี ซึ่งสืบเนื่องมาจากบุคคลนั้นมีความรู้ และทัศนคติที่ดีที่จะช่วยนําความรู้ไปใช้อย่าง ถูกต้อง สอดคล้องกับการศึกษาของเงินยวง (2552) พบว่าความเชื่อด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรม การป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจโดยรวมของผู้ดูแลเด็ก 0-5 ปี อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ และพบว่ากลุ่มตัวอย่าง มีการศึกษาระดับต่ํากว่าปริญญาตรีเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 99.03) ความรู้ในระดับปริญญาตรีหรือต่ํากว่าปริญญาตรี จัดได้ว่าเป็นการศึกษาที่มีกระบวนการเรียนการสอนที่ให้นักศึกษามีความรู้แต่การวิเคราะห์และสังเคราะห์มีน้อย (รํา อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
112
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
ภาภรณ์, 2549) ซึ่งแมคคอร์มิคและอิลเจ็น (McCormick & Illgen, 1985) กล่าวว่าระดับการศึกษาเป็นปัจจัยที่มีผลต่อ การปฏิบัติงานซึ่งบุคคลที่มีความรู้สูงจะมีการพิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างมีเหตุผล และเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อมได้ถูกต้อง มากกว่า ทั้งนี้ยังพบว่ากลุ่มตัวอย่างทักษะการฉีดวัคซีนที่ถูกต้องเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น (ร้อยละ 50.49) และมีจํานวน 1/5 ไม่เคยเข้ารับการอบรมความรู้การบริหารความเสี่ยงการให้บริการวัคซีนมาก่อน (ร้อยละ 20.87) ทําให้ขาดความรู้ ความเข้าใจการให้บริการวัคซีนได้ ซึ่งการอบรมนั้นเป็นการจัดการความเสี่ยงได้อีกวิธีหนึ่ง สอดคล้องกับเรณูววรรณ (2540) กล่าวว่าการฝึกอบรม ทําให้เจ้าหน้าที่มีความรู้ ทักษะ เจตคติและปฏิบัติหน้าที่ได้มากขึ้น และการไม่มีคู่มือ ความรู้วัคซีนใช้ อาจทําให้กลุ่มตัวอย่างขาดความรู้ได้ ซึ่งพบว่ามีคู่มือใช้น้อยประมาณ 1/3 เท่านั้น (ร้อยละ 33.00) (ตาราง 3) นอกจากนี้พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความรู้น้อยที่สุดด้านการบริหารงบประมาณเกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 44.66) และข้อมูลเชิงประจักษ์พบว่าในรอบ 5 ปีท่ีผ่านมาเจ้าหน้าที่รับผิดชอบยังไม่เคยได้รับการจัดการอบรมความรู้การ บริหารงบประมาณมาณมาก่อน จากสาเหตุการขาดความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติ การให้บริการวัคซีนของกลุ่มตัวอย่าง ทําให้มีการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงการให้บริการวัคซีนได้ในระดับปานกลาง ซึ่งสามารถแยกอธิบายแต่ละด้านได้ ดังนี้ (1) ด้านความรู้เทคนิควิธีการ พบว่ามีการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง ( X = 2.66, SD = 0.81) (ตาราง2) อาจเนื่องจากกลุ่มตัวอย่างมีความรู้และเห็นความสําคัญการให้วัคซีนว่าเป็นการป้องกันโรคที่ดีที่สุด แต่มีเทคนิคขั้นตอนมากทําให้ปฏิบัติไม่ได้ครบตามเกณฑ์ ทําให้เกิดความเสี่ยงได้ ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากขาดการ อบรมความเสี่ยงการให้วัคซีนมาก่อน (ร้อยละ 20.87) ทําให้ขาดความรู้ทางด้านเทคนิควิธีการ (ร้อยละ 12.14) เช่น การนัดระหว่างเข็มไม่ถูกต้อง สอดคล้องกับสํานักโรคติดต่อทั่วไป (2550) กล่าวว่าการให้วัคซีนควรคํานึงถึงอายุและ ระยะเวลาห่างระหว่างเข็มที่เหมาะสม มีทักษะการฉีดวัคซีนไม่ให้เ ด็กเจ็บ ทักษะการฉีดเข้าในหนังที่ต้องใช้ความ ชํานาญสูง (2) ด้านการบริหารวัสดุอุปกรณ์ พบว่ามีการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง ( X = 2.32, SD = 0.73) อาจเนื่องจากกลุ่มตัวอย่างขาดการอบรม (ร้อยละ 20.87) ทําไม่มีความรู้และตระหนักในการบริหารวัสดุ อุปกรณ์ที่เพียงพอทั้งปริมาณและมีคุณภาพ และยังขาดสื่อการให้สุขศึกษาเกือบครึ่ง (ร้อยละ 45.15) ซึ่งวิภารัตน์, พอ พิศ, ไหมสาเหราะและศิวาภรณ์ (2531) กล่าวว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ให้ความรู้โดยแจกเอกสารสื่อสุขศึกษาแก่ อส ม. ผสส. และกลุ่มแม่บ้านอย่างสม่ําเสมอ ส่งผลให้กลุ่มดังกล่าวมีความรู้เพิ่มขึ้นและนําบุตรหลานมารับวัคซีนเพิ่มขึ้น (3) ด้านการพัฒนาคุณภาพบุคลากร พบว่ามีการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง ( X = 2.31, SD = 0.76) อาจเนื่องมาจากกลุ่มตัวอย่างส่วนหนึ่งขาดการอบรมความรู้การบริหารความเสี่ยง (ร้อยละ 20.87) ทําให้ขาด ความรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพบุคลากร (ร้อยละ 23.78) (ตาราง 3) และปัจจุบันเน้นการทํางานเป็นทีมมากขึ้น แต่ พบว่ายังไม่มีการจัดตั้งทีมสุขภาพมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 67.96) ประกอบกับความไม่ปลอดภัยจากสถานการณ์ (ร้อย ละ 100.00) ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ไม่กล้าติดตามงานในพื้นที่ ทําให้ขาดการติดต่อกับชุมชนมากขึ้น ก่อให้เกิดผลตามมา คือความร่วมมือน้อยลง (ร้อยละ 28.64) และขาดการวางแผนแก้ปัญหางานร่วมกับหน่วยงานอื่นในพื้นที่เช่น อบต. CUP ประมาณครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 50.49) ทําให้กลุ่มตัวอย่างทําบทบาทหน้าที่ได้น้อยลง เช่นการค้นหา คัดกรอง ติดตาม ส่งต่อบุคคล ครอบครัวที่มีความสี่ยงด้านสุขภาพ การให้ความรู้ด้านสุขภาพ การประสานงาน การฝึกอบรม ผู้ นิเทศงานเป็นต้น และพบปัญหาอีกประการคือตําแหน่งหน้าที่รับผิดชอบงานให้บริการวัคซีนไม่เหมาะสม (ร้อยละ 59.22) เนื่องจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้อุทิศเวลาให้กับด้านการบริหารมากกว่าการให้บริการ และพยาบาลวิชาชีพ ไม่ได้รับผิดชอบงานให้บริการวัคซีน ซึ่งวรัญญา (2552) พบว่าปัญหาในหน่วยบริการปฐมภูมิคือการจัดสรรบุคลากร ไม่เหมาะสมตามกรอบตําแหน่งไม่เหมาะสม เช่นการให้พยาบาลวิชาชีพทํางานแทนตําแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข (4) ด้านการบริหารงบประมาณ พบว่ามีการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงได้ในระดับต่ํา ( X = 1.92 SD = 0.84) อาจ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
113
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
เนื่องเดิมการผลิตบุคลากรหน่วยบริการปฐมภูมิเพื่อการสนับสนุนบุคลากรหลักที่ขาดแคลนเท่านั้น และไม่มีการสอน การบริหารงบประมาณมาก่อนซึ่งกันยา (2537) กล่าวว่าการผลิตบุคลากรสนับสนุนเพื่อต้องการให้เข้าถึงตัวประชาชน โดยตรง เน้นการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเป็นหลัก ซึ่งพบว่ากลุ่มตัวอย่างขาดความรู้ขั้นตอนการใช้งบประมาณ เกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 44.66) และพบว่าในรอบ 5 ปีท่ีผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่มีการอบรมความรู้การ บริหารงบประมาณในหน่วยบริการปฐมภูมิ อาจทําให้กลุ่มตัวอย่างรับรู้ถึงอุปสรรคในการบริหารงบประมาณมากขึ้น สอดคล้องกับการรับรู้ประโยชน์และอุปสรรคของเพนเดอร์ (Pender, 1996) ที่กล่าวว่าเมื่อบุคคลรับรู้ประโยชน์น้อย ขณะเดียวกันก็รับรู้อุปสรรคมากกว่าบุคคลมีโอกาสจะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมสุขภาพนั้นมากขึ้น สอดคล้องภารณี และว ราณี (2548) พบว่ากลุ่มครูสตรีระยะหมดประจําเดือนจะรับรู้อุปสรรคมากกว่าครูสตรีระยะใกล้หมดประจําเดือน ทํา ให้มีการปฏิบัติกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพได้ต่ํากว่า
วัตถุประสงค์ข้อที่ 3 เพื่อศึกษาปัญหาการจัดการความเสี่ยง ในการให้บริการวัคซีนของบุคลากรสาธารณสุข ของหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดปัตตานี พบว่ า มี ปั ญ หา 3 ด้ า นที่ สํ า คั ญ คื อ ด้ า นเจ้ า หน้ า ที่ ผู้ ใ ห้ บ ริ ก าร ด้ า น อสม. และด้ า นผู้ ป กครอง ที่ มี ค วาม เกี่ยวข้องสัมพันธ์ สามารถแยกอภิปรายได้ดังนี้ ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ใ ห้บริการ พบปัญหาซึ่งพอสรุปได้ดังนี้ (1) ความไม่ปลอดภัยจากสถานการณ์ 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ (ร้อยละ 100.00) (ตาราง 3) ทําให้ปฏิบัติงานเชิงรุกได้น้อยลง (2) ขาดบุคลากรปฏิบัติงาน (ร้อยละ 4757) เฉลี่ย 3.83 คนต่อแห่ง การขาดอัตรากําลังมีผลต่อภาระงานรับผิดชอบมากขึ้น (ร้อยละ 73.30) (3) ขาดความรู้ การบริหารงบประมาณตามขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินจากหน่วยคู่สัญญา (CUP) (ร้อยละ 44.66) (4). ปัญหาการแบ่ง พื้นที่รับผิดชอบไม่เหมาะสม (ร้อยละ 41.26) ด้าน อสม.พบปัญหาซึ่งพอสรุปได้ดังนี้ (1) อสม.รับผิดชอบหลังคาเรือนในพื้นที่มากกว่า 15 หลังคาเรือน (ร้อยละ 41.30) (ตาราง 4) (2) อสม.ไม่มีการจัดทําบัญชี จํานวนหลังคาเรือนและรายชื่อทุกคนในเขตรับผิดชอบเป็น ปัจจุบัน (ร้อยละ 18.93) (3) อสม. ใหม่ยังไม่ได้รับการอบรมความรู้งานบริการวัคซีน และ อสม. เก่ายังไม่ได้รับการ อบรมฟื้นฟูประจําปี (ร้อยละ 20.87) (4) อสม.ไม่มีการทําแผนหรือวาระประชุมประจําเดือนประมาณ 1/4 (ร้อยละ 24.27) และ (5) อสม,ขาดการติดตามเด็กที่พลาดการรับวัคซีนอย่างต่อเนื่อง (ร้อยละ 37.38) ด้านผู้ปกครอง พบปัญหาซึ่งสรุปได้ดังนี้ (1) ขาดความรู้ ความเข้าใจ งานให้บริการวัคซีนมากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้ อ ยละ 57.28) (ตาราง 5) (2). ไม่ อ ยู่ ใ นพื้ น ที่ ต้ อ งไปประกอบอาชี พ ต่ า งถิ่ น และนํ า เด็ ก ไปด้ ว ย (ร้ อ ยละ52.43) (3) ฝากบุตรไว้กับบุคคลอื่น (ร้อยละ 39.32) (4) ไม่ให้ความร่วมมือ (ร้อยละ 33.50) ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะในการนําผลการวิจัยไปใช้ กลุ่มตัวอย่างมีการปฏิบัติการจัดการความเสี่ยงในภาพรวมได้ระดับปานกลาง ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม ดังนี้ (1) พัฒนาคุณภาพเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง โดยการการอบรมความรู้ประจําปี เน้นการทํางานเป็นทีมสุขภาพมากขึ้น ทํางานเชิงรุกมากขึ้น เน้นการประสานร่วมกับหน่วยงานอื่นในพื้นที่มากขึ้น (2) ด้านงบประมาณ ควรให้ความสําคัญมากขึ้นกว่าเดิมโดยส่งเสริมให้ความรู้ เน้นประสิทธิภาพ เหมาะสม ถูกต้อง นิเทศ ติดตามอย่างต่อเนื่องมากขึ้น (3) พัฒนาการและปรับปรุงฐานข้อมูลเด็ก 0-5 ปี เป็นปัจจุบันมีวิเคราะห์และสร้างข้อมูล ใหม่เสนอกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมากขึ้น (4) พัฒนาระบบติดตามเด็กที่พลาดการรับวัคซีน เช่นจัดทําแผนอบรมให้ความรู้ อสม. ผู้นําชุมชน ผู้นําศาสนา ผู้ปกครอง สมาชิก อบต.ประจําปี อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
114
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
ข้อเสนอแนะในการทําวิจัยครั้งต่อไป การวิจัยครั้ง ต่อไปควรเพิ่ม รูปแบบศึกษาการเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาในเชิงลึกเช่น ใช้แบบสัมภาษณ์ การ สนทนากลุ่ม ร่วมกับแบบสังเกต เกี่ยวกับพฤติกรรมด้านสุขภาพ ทัศนคติ วัฒนธรรมของสังคม รวมทั้งเหตุการณ์ ต่างๆ ที่เ กี่ยวข้องกับการให้บริการวัคซีนเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล ตีความ และสร้างข้อสรุปใหม่ ได้องค์ความรู้ใหม่ที่ สามารถอธิบายสาเหตุที่แท้จริงจากปัญหาความครอบคลุมการได้รับวัคซีนต่ําได้ชัดเจนมากขึ้น บรรณานุกรม กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน สํานักโรคติดต่อทั่วไป กระทรวงสาธารณสุข. 2547.คู่มือปฏิบัติงานการสร้างเสริม ภูมิคุ้มกันโรคสําหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข. กรุงเทพมหานคร: สํ านั กงานกิ จการโรงพิ มพ์ องค์ การ สงเคราะห์ทหารผ่านศึก. กระทรวงสาธารณสุข. 2538.คู่มือการปฏิบัติงานเรื่องงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค,กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด. กลุ่มงานควบคุมโรค สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี. 2552. สรุปผลการดําเนินงานควบคุมโรคติดต่อที่ป้องกันได้ ด้วยวัคซีนประจําปีงบประมาณ 2551. (อัดสําเนา). กลุ่ ม งานควบคุ ม โรค สํ านั ก งานสาธารณสุ ข จั ง หวั ด ปั ต ตานี . 2553. สรุ ป ผลการดํ า เนิ น งานควบคุ ม โรคติ ด ต่ อ ที่ ป้องกันได้ด้วยวัคซีนประจําปีงบประมาณ 2552. (อัดสําเนา). กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข. 2547. คู่มื อการบริหารจัดการวัคซีนและระบบลูกโซ่ความเย็น. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์การศาสนาสํานักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ. กันยา กาญจนบุรานนท์. 2537. การผลิตบุคลากรสาธารณสุข. เอกสารการสอนชุดวิชาการบริหาร ท รั พ ย า ก ร สาธารณสุข หน่วยที่ 1-7. นนทบุร:ี โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. เงินยวง ศิริกาญจนโรจน์. 2552. ความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อทางเดิน หายใจส่วนบน ของผู้ดูแลเด็ก 0-5 ปี ในอําเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา. สารนิพนธ์พยาบาล ศ า ส ต ร ม ห า บั ณ ฑิ ต สาขาวิชา พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. ชูชัย ศุภวงศ์ และคณะ. 2552. คู่มือการให้บริการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล. กรุงเทพมหานคร: บริษัท ที คิว พี จํากัด. ณัฏฐพันธ์ เขจรนัน และคณะ. (2546). การสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพมหานคร:ธรรกมล การพิมพ์. นฤมล สะอาดโฉม. 2550. การบริหารความเสีย่ งองค์กร. กรุงเทพมหานคร: Than books. บุญใจ ศรีสถิตนรากูล. 2550. ระเบียบวิธีการวิจัยทางพยาบาลศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: บริษัท ยู แ อ น ด์ ไ อ อินเตอร์มีเดีย จํากัด. ประกอบ บุญไทย. 2543. แนวทางสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค. เอกสารการสอนชุดวิชาสุขภาพส่วนบุคคล แ ล ะ ชุ ม ช น หน่วยที่ 8-15. นนทบุร:ี โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ประเสริฐ และคณะ. 2547. คู่มื อการจัดทําระบบบริหารความเสี่ยง. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2553,จาก httpwww.cu-qa.chula.ac.thLearn_ShareRiskrisk_manage.pdf ประภาเพ็ญ สุวรรณ. 2536. พฤติกรรมสุขภาพ. เอกสารการสอนชุดวิชาสุขศึกษา หน่วยที่1-7.นนทบุรี: โรงพิมพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
115
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
ประภาเพ็ญ สุวรรณ. (2526). ทัศนคติ: การวัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอนามัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์พีระพัธนา. พงศ์เทพ สุธีรวุฒิ อมร รอดคล้าย สุวัฒน์ วิริยพงษ์สุกิจ และสุ ภัทร ฮาสุ วรรณกิจ. 2550. วิกฤติของระบบ สาธารณสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข, 1(2), 145 – 154. พอพิศ วรินทร์เสถียร. 2551. ความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนในเด็กอายุครบ 1 ปี. การสํารวจความ ค ร อ บ ค ลุ ม ของการได้รับวัคซีนขัน้ พืน้ ฐานและวัคซีนในนักเรียน พ.ศ. 2551. กรุงเทพมหานคร: สํานักงานกิจการโรง พิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก. ภารณี เทพส่องแสง และวราณี สัมฤหธิ์. 2548. ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ประโยชน์การรับรู้อุปสรรคกับพฤติกรรม ส่งเสริมสุขภาพของครูสตรีวัยทอง ในเขตอําเภอเมือง จังหวัดตรัง. สํานักงาน ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ร ะ ท ร ว ง สาธารณสุข. (เอกสารเย็บเล่ม). รําภาภรณ์ หอมตีบ. 2549. สมรรถนะของผู้จัดการหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดสงขลา. วิทยานิพนธ์วิทยาศาศาตรมหา บัณฑิต สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ มหาวิทยาลัยสงขลานคริน ทร์ เรณูวรรณ หาญวาฤทธิ์. 2540. อนามัยชุมชน. นนทบุรี: บริษัทยุทธรินทร์การพิมพ์ จํากัด. วรัญญา ชุมประเสริฐ. (2552). ปัจจัยทํานายผลการดําเนินงานของหน่วยบริการปฐมภูมิในจังหวัดพัทลุง. วิทยานิพนธ์ วิทยาศาตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. วินัย สวัสดิวร และคณะ. (2553). คู่มือปฏิบัติงานกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ ปี 2553 . นนทบุรี: สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. วิภารัตน์ พฤติกิตติ พอพิศ วรินทร์เสถียร ไหมสาเหราะ บินมะหะหมัด ศิวาภรณ์ อุบลชลเขตต์. 2531. รายงาน โครงการพัฒนาชุมชน เรื่องการพัฒนาการรับบริการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ในเด็กอายุ 0-1 ปี ตําบลตลิ่งชัน อําเภอจะนะ จังหวัดสงขลา.ภาคสาธารณสุขศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. วิมลรัตน์ ขันธ์เจริญ. 2539. การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียนวิเคราะห์ในกรณีของ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร(ฝ่ายมัธยม). วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. ศิริวรรณ ชุมนุม และกาญจนาพันธุ์ สมหอม. 2543. ความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนในเด็ก อายุต่ํากว่า 3 ปี ในเขต 7 ปี 2543. สํานักงานควบคุมโรคติดต่อเขต 7 จังหวัดอุบลราชธานี (อัดสําเนา). สํ า นั ก โรคติ ด ต่ อ ทั่ ว ไป กระทรวงสาธารณสุ ข . 2550. ตํ า ราวั ค ซี น และการสร้ า งเสริ ม ภู มิ คุ้ ม กั น โรค 2550. กรุงเทพมหานคร: สํานักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก. สําลี เปลี่ยนบางช้าง และคณะ. 2521. สังคมวิทยาในการใช้บริการสาธารณสุขของรัฐในชนบทภาคกลางรายงานการ สํารวจเบื้องต้น. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงสาธารณสุข. สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. (2553). คูม่ ือหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. นนทบุรี: สํานักงาน หลั กประกั น สุขภาพแห่งชาติ. สิทธิศักดิ์ พฤกษ์ปิติกุล. 2544. คู่มือก้าวสู่ HA (Hospital Accreditation) Step by Step. กรุงเทพมหานคร: ส. เอเซียเพลส. อนุ วั ฒน์ ศุ ภชุ ติ กุ ล. 2543. ระบบบริ หารความเสี่ ยงในโรงพยาบาล. นนทบุ รี : สถาบั นพั ฒนาและรั บรองคุ ณภาพ โรงพยาบาล. อรุณ บุญมาก. 2537. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทรัพยากรสาธารณสุข. เอกสารการสอนชุดวิชาการบริหาร ท รั พ ย า ก ร สาธารณสุข หน่วยที่ 1-7 นนทบุรี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช. อุทัย ชูโต. 2531. บริหารศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: สโมสรวิทยาลัยการปกครอง. อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
116
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
Antonovsky, A. 1987. Unraveling the mystery of health: How people manage stress and stay well. San Francisco: Jossey-Bass. ACT Work Safety Commissioner. 2009. 6 Steps to Risk Management. Retrieved July 12, 2009, from http://www. worksafety.act.gov.au/publication/6-steps-risk-anagement. Brown, B.L. 1979. Risk management for hospital a practical approach. Gaithersburg: An Aspen-publication. Benner, P 1982. From novice to expert. American Journal of nursing, 82(3), 402-407. Chris Steele BSc. (Hons), FCO; tom, Dip CLP, Dip OC. 2002. An introduction to clinical riskmanagement. Retrieved July 10, 2009, from, www.optometry.co.uk Davis, L. 1992. Instrument review: Getting the most from your panel of experts. Applied Nursing Research, 5, 194-197. Good C.V. 1974. Dictionary of education. 3rd. ed. New York: Graw-Hill. Health and Safety Executive. (2009). Five steps to risk assessment. Retrieved June 20, 2009, from http://www.hse.gov.uk/risk 2009 McCormick, J.E. & Illgen, D. (1985). Industrial and organizational phychology. 3rd ed. Engle wood:Prentice Hall. Polit, D.F., & Hungler, B.P. 1999. Nursing research: Principles and methods (6th ed). Philadelphia: Lippincott. Pender, N. J. 1996. Health promotion in nursing practice. (3 rd ed.). California: Appleton & Lange.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
117
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
บทความวิจัย
การพัฒนารูปแบบการนําเสนอรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม เพื่อพัฒนาวิถีชีวิตชาวไทยมุสลิมบนหลักการของศาสนาอิสลาม บรรจง โซ๊ะมณี∗ บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการรับรู้และความพึงพอใจสื่อวิทยุกระจายเสียง รายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการของศาสนาอิสลาม 2) สร้างรูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการ ของศาสนาอิสลามที่สามารถพัฒนาวิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมบนหลักการของศาสนาอิสลาม และ 3) ประเมินผลการ ใช้รูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการของศาสนาอิสลามที่สามารถพัฒนาวิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมบน หลักการของศาสนาอิสลาม เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ชาวไทยมุสลิม จํานวน 475 คน สถิติวิจัย ใช้สถิติค่าความถี่และค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. ผลการวิจัยพบว่า 1. การรับฟังรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมส่วนใหญ่รับทราบจากการบอกกล่าว จํานวนสมาชิกในครัวเรือนที่ รับฟัง 2-3 คน โดยฟัง ทุกวัน ฟัง วัน ละ 3-4 ชั่ว โมง พบว่ามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 3 ด้าน คื อ ด้านการ นําเสนอรูปแบบรายงาน ด้านวิทยากร ผู้ดําเนินรายการ และด้านประโยชน์ที่ได้รับ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปาน กลาง 2 ด้าน คือ ด้านการนําเสนอเนื้อหาสาระ และด้านการออกอากาศ 2. การสร้ างรูปแบบการนําเสนอรายการวิทยุคลื่น คุณธรรม เพื่อ พัฒนาวิถีชีวิต ของชาวไทยมุ ส ลิ ม บน หลักการของศาสนาอิสลาม สามารถสร้างผังรายการใหม่และใช้ออกอากาศทุกวันจันทร์-วันศุกร์ ตลอด 24 ชั่วโมง และออกอากาศ ทุกวันเสาร์-วันอาทิตย์ ตลอด 24 ชั่วโมง 3. ผลประเมินการใช้รูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม คือ เมื่อฟังรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมแล้ว ทําให้ เข้าใจเรื่องของศาสนาดีขึ้น มีอาจารย์เพิ่มมากขึ้น มีรายการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น คําสําคัญ: รายการวิทยุ. พัฒนาวิถีชีวิต. ชาวไทยมุสลิม. ศาสนาอิสลาม
∗
อัล-นูร
นักศึกษาปริญญาเอก หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขายุทธศาสตร์การพัฒนา โครงการบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
118
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
Abstract The purposes of this thesis were 1) to study perception and satisfaction with virtue radio programs based on Islam principles, 2) to create the models of radio programs for developing Muslims’ ways of life based on Muslim principles, and to evaluate the results of using the models of the radio programs. The samples comprised 475 Muslims. The research instruments were questionnaire, and interview. The statistics employed in this study were frequency, percentage, mean, and standard deviation. The research results revealed that: 1. The informants were mainly informed to listen to the virtue radio programs. Two-three members of each family listened to the virtue radio programs and switched to other radio stations every day for three-four hours. It indicated that their satisfaction was found at a high level in three aspects i.e., program presentation, program anchor, and benefits, while in two aspects i.e., contents presentation, and a radio broadcast was found at an average moderate level. 2. For creating the model presentation of the virtue radio programs for developing Muslims’ ways of life based on Islam principles, it discovered that new scheme of the different programs was created and broadcasted on Monday-Friday, and on Saturday-Sunday for twenty-four hours. 3. The evaluative results of the virtue program showed that having listed to the programs, the informants better understood the religions stories. There has also been increase number of religious teachers and the new programs. Keyword : Wave radio program, Development of life, Thai muslim, Islamic religion
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
119
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
บทนํา ชาวไทยมุสลิมเป็นกลุ่มชนที่มีวิถีชีวิตแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ เพราะต้องยึดมั่น ตั้งมั่นอยู่ในหลักการของ ศาสนาอิสลาม มีวิถีชีวิตที่จะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามแบบแผนที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์อัล – กุรฺอาน และ ตามแบบฉบับการดําเนินวิถีชีวิตตามนบี (ศาสดา) มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะ-ลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งผู้ท่ีถือกําเนิดเป็นมุสลิม ทุกคนและผู้เข้ารับอิสลามเป็นมุสลิมใหม่ต้องศึกษาเรียนรู้ และประพฤติปฏิบัติให้เป็นแบบแผนในวิถีชีวิตประจําวัน วิถี ชีวิตของมุสลิม ประกอบด้วยหลักใหญ่ 3 ประการ คือ หลักศรัทธา หลักปฏิบัติ และหลักคุณธรรมจริยธรรม “การแสวงหาความรู้นั้นเป็นบัญญัติเหนือมุสลิมทุกคนทั้งชายและหญิง” (บันทึกโดย “อิบนุมาญะ”) ด้วยเหตุนี้ การศึกษาจึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย จะต้องศึกษาตั้งแต่ในเปล จนถึงหลุมศพ มุสลิมจะต้องแสวงหาความรู้ ถึงแม้ว่าจะต้องเดินทางไปถึงเมืองจีน ในสมัยก่อน ถ้ามุสลิมประสงค์ที่จะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม มุสลิมจําเป็นต้องเดินทางไป ศึกษาในโรงเรียน สถาบันการศึกษา หรือสถานที่ต่างๆ ที่มีการสอนหนังสือแต่ในปัจจุบันนี้เวลาของคนเราไม่ค่อยจะมี มาก ดังนั้น การมีสื่อมวลชนมุสลิม จึงเป็นสิ่งจําเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการของมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ สื่อวิทยุหรือโทรทัศน์ สามารถจะตอบสนองความต้องการของมุสลิม ได้ดีที่สุดและมีผลมากที่สุด แต่ในปัจจุบันนี้ รายการวิทยุและโทรทัศน์ของมุสลิมยังขาดอยู่ และที่มีอยู่ยังไม่ค่อยจะเป็นระบบ และกระทํากันอย่างครบวงจร ดังนั้น ถ้าสามารถจะมีรายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ สําหรับมุสลิมโดยเฉพาะ จะเป็นการตอบสนองความต้องการของ มุสลิมได้ดีที่สุด (อารง สุทธาศาสน์, สัมภาษณ์ 19 เมษายน 2552) สื่อวิทยุกระจายเสียง เป็นสื่อมวลชนที่เข้าถึงประชาชนได้อย่างกว้างขวาง สามารถรับฟังได้ทุกหนทุกแห่ง โดยไม่มีข้อจํากัดในเรื่องเวลาและสถานที่ ขจัดปัญหาความไม่รู้หนังสือของผู้รับสารออกไปได้ อีกทั้งเป็นสื่อที่มีราคา ถูก ประชาชนที่มีรายได้น้อย สามารถหาซื้อเครื่องรับวิทยุกระจายเสียงมารับฟังได้ วิทยุกระจายเสียงจึงมีความสําคัญ ทั้งในระดับท้องถิ่นและในระดับชาติ (อนุตรา พรวดี, 2544) รายการวิทยุคลื่นคุณธรรม เป็นรายการทางวิทยุกระจายเสียงจัดตั้งขึ้นมา เพื่อทําหน้าที่เป็นสื่อในการสื่อสาร ระหว่างบุคคลโดยเฉพาะในสังคมมุสลิม และเป็นสื่อในการเรียกร้องเพื่อนมนุษย์ไปสู่ความดี ละเว้นความชั่วที่เป็น อบายมุขต่าง ๆ ซึ่งเป็นคําสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า ﻨ ﹶﻜ ﹺﺮﻋ ﹺﻦ ﺍﹾﻟﻤ ﻮ ﹶﻥ ﻬ ﻨﺗﻭ ﻑ ﻭﻌﺮ ﻤ ﻭ ﹶﻥ ﺑﹺﺎﹾﻟﻣﺮ ﺗ ﹾﺄ ความว่า “ท่านทั้งหลายจงเรียกร้องไปสู่ความดีและท่านทั้งหลายจงห้ามปรามจากความชั่ว” (ซูเราะห์ อาละ อิมรอน, 3: 110) ฉะนั้นการใช้ประโยชน์จากวิทยุกระจายเสียง เพื่อการสื่อสารหลักการของศาสนาอิสลามให้ชาวไทยมุสลิม ได้รับข้อมูลข่าวสารต่างๆ เรียนรู้ และนําไปปฏิบัติใช้ เพื่อพัฒนาวิถีชีวิตให้อยู่บนหลักการศรัทธา การปฏิบัติ รวมถึง หลักคุณธรรมและจริยธรรมในการดําเนินชีวิต ตามแนวทางแห่งอัล-กุรฺอาน และแบบฉบับของนบี (ศาสดา) มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะ-ลัยฮิวะซัลลัม. โดยรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม มุ่งหวังที่จะเกื้อกูลผู้ด้อยโอกาส ต้องการลดช่องว่าง ทางสังคม และประสานความเป็นหนึ่งเดียวของพี่น้องมุสลิมด้วยกัน ก่อเกิดเป็นจุดมุ่งหมายให้คนในชาติได้เข้าใจ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
120
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
ศาสนาอิสลามอย่างถ่องแท้และถูกต้องมากยิ่งขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาชีวิตในแบบฉบับของมุสลิมบน หลักการของศาสนาอิสลามอย่างถูกต้อง ไม่หลงใหลตามกระแสสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ การใช้สื่อวิทยุกระจายเสียงรายการคลื่นคุณธรรม ทําหน้าที่เป็นสื่อกลางในการให้ข้อมูลข่าวสารความรู้ต่างๆ ทางด้านหลักการของศาสนาอิสลาม จึงเป็นการสื่อสารรูปแบบหนึ่งที่ใช้บทบาทและอิทธิพลของสื่อ ในการส่งสารไปยัง ผู้รับสารโดยเฉพาะชาวไทยมุสลิม เพื่อมุ่งหวังให้ผู้ฟังเกิดการเรียนรู้และไปปฏิบัติใช้ นําไปสู่การพัฒนาวิถีชีวิตชาวไทย มุสลิม ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาถึง การพัฒนารูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม เพื่อพัฒนาวิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมบน หลักการของศาสนาอิสลาม ซึ่งจัดโดยมูลนิธิเพื่อคุณธรรม และคาดว่า จะมีส่วนช่วยให้ชาวไทยมุสลิมพัฒนาคุณภาพ วิถีชีวิต ตามหลักการศาสนาอิสลามดียิ่งขึ้น วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาการรับรู้และความพึงพอใจสื่อวิทยุกระจายเสียงรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการของ ศาสนาอิสลาม 2. เพื่อสร้างรูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการของศาสนาอิสลามที่สามารถพัฒนาวิถีชีวิตของ ชาวไทยมุสลิมบนหลักการของศาสนาอิสลาม 3. เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการของศาสนาอิสลามที่สามารถพัฒนา วิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมบนหลักการของศาสนาอิสลาม ประโยชน์ของการวิจัย ผลการสํารวจการรับรู้และความพึงพอใจสื่อวิทยุกระจายเสียงรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการของ ศาสนาอิสลามของชาวไทยมุสลิม จะนําไปสร้างรูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการของศาสนาอิสลาม ที่ สามารถพัฒนาวิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมให้ดีขึ้น ซึ่งรูปแบบดังกล่าวจะนํามาทดลองใช้และประเมินเพื่อให้รูปแบบนั้น ได้เห็นถึงข้อบกพร่องหรือจุดที่ควรปรับปรุงแก้ไข อันจะนําไปสู่การปรับปรุงรูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม บน หลักการของศาสนาอิสลาม ที่มีความเหมาะสมต่อไป นิยามศัพท์เฉพาะ การพัฒนารูปแบบ หมายถึง การปรับปรุงพัฒนารูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมเอฟเอ็ม 106.25 MHz ให้ ดีขึ้นมากกว่าเดิม รายการ หมายถึง การนําเสนอสาระความรู้ท่ีผ่านกระบวนการกลั่นกรองสู่กลุ่มเป้าหมาย ในระยะเวลาที่ กําหนด รายการวิทยุคลื่นคุณธรรม หมายถึง รายการวิทยุกระจายเสียงคลื่นคุณธรรม FM 106.25MHz ออกอากาศ ทุกวัน 24 ชั่วโมง ดําเนินการออกอากาศ โดยมูลนิธเิ พื่อคุณธรรม วิถีชีวิตชาวไทยมุสลิม หมายถึง การใช้ชีวิตประจําวันของชาวไทยมุสลิมตามหลักการของศาสนาอิสลาม ซึ่ง เป็นลักษณะทางชีวิตและสังคม ที่บุคคลอาศัยอยู่ในชุมชนนั้นประพฤติปฏิบัติ และเป็นพฤติกรรมที่สามารถควบคุม เปลี่ยนแปลง และพัฒนาได้ แนวทางในการดําเนินชีวิตของชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม โดยมีหลักคําสอน ข้อปฏิบัติ ข้อใช้ ข้อห้าม หลายประการแตกต่างไปจากศาสนาอื่น ศาสนาอิสลามกําหนดว่า คนดี คือผู้ท่ีกระทําตัวเป็นบ่าวที่ดี ของพระเจ้า ปฏิบัติตามข้อใช้และข้อห้ามอย่างเคร่งครัด การเป็นคนดีในโลกนี้ เขาจะดําเนินชีวิตอยู่บนความถูกต้อง
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
121
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีความสงบสุขใจ และเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว เขาจะได้รับการตอบแทนผลกรรมดีจากพระเจ้า ทําให้เขาได้รับความสุขอย่างถาวรในโลกหน้า สําหรับการวิจัยครั้งนี้ การพัฒนาวิถีชีวิตตามหลักการศาสนาอิสลาม หมายถึง แบบแผนวิถีชีวิตของผู้นับถือ ศาสนาอิ ส ลาม ประกอบด้ว ย หลัก การศรั ท ธา หลัก การปฏิ บั ติ และหลั กคุ ณ ธรรม โดยมี คัม ภี ร์อั ล -กุ รฺ อ านเป็ น ธรรมนูญ และแบบฉบับของท่านนบี (ศาสดา) มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะ-ลัยฮิวะซัลลัม. ดังนี้ 1. หลักการศรัทธาในศาสนาอิสลามนั้น นบี (ศาสดา) มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะ-ลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ﻩ ﺷ ﱢﺮ ﻭ ﻩ ﻴ ﹺﺮﺧ ﺪ ﹺﺭ ﻦ ﺑﹺﺎﹾﻟ ﹶﻘ ﻣ ﺆ ﻭﺗ ﺧ ﹺﺮ ﻮ ﹺﻡ ﺍﻟﹾﺂ ﻴﺍﹾﻟﻪ ﻭ ﻠﺳﻭﺭ ﻪ ﹺﺒﻭﻛﹸﺘ ﻪ ﺘﺋ ﹶﻜﻣﻠﹶﺎ ﻭ ﻪ ﻦ ﺑﹺﺎﻟﻠﱠ ﻣ ﺆ ﻥ ﻗﹶﺎ ﹶﻝ ﹶﺃ ﹾﻥ ﺗ ﺎﺍﹾﻟﹺﺈﳝ ความว่า “การศรัทธานั้นคือ การศรัทธามั่นในอัลลอฮฺและมลาอีกะฮฺของพระองค์และคัมภีร์ของ พระองค์และศาสนทูตของพระองค์และวันสิ้นโลกและกฎแห่งความดีและความชั่ว” (บันทึกโดย “อิหม่ามมุสลิม”) ดังนั้นการศรัทธาสามารถสรุปได้ 6 ประการคือ ศรัทธาในอัลลอฮฺ ศรัทธาในมลาอิกะฮฺ ศรัทธาในบรรดา คัมภีร์ทางศาสนา ศรัทธาในศาสนทูต ศรัทธาในวันกิยามะฮฺ (วันสิ้นโลก) และศรัทธาใน เกฺาะฎอ-เกฺาะดัรฺ ()ﻗﻀﺎﺀﻗﺪﺭ กฎแห่งความดี – ความชั่ว 2. หลักการปฏิบัติในอิสลามนั้น ท่านนบี (ศาสดา) มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะ-ลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ﻲ ﺗﺆ ﻭﺗ ﺼﻠﹶﺎ ﹶﺓ ﻢ ﺍﻟ ﻴﺗﻘﻭ ﻢ ﺳﻠﱠ ﻭ ﻪ ﻴﻋﹶﻠ ﻪ ﺻﻠﱠﻰ ﺍﻟﱠﻠ ﻪ ﻮ ﹸﻝ ﺍﻟﻠﱠﺭﺳ ﺍﻤﺪ ﺤ ﻣ ﻭﹶﺃﻥﱠ ﻪ ﻪ ﹺﺇﻟﱠﺎ ﺍﻟﱠﻠ ﺪ ﹶﺃ ﹾﻥ ﻟﹶﺎ ﹺﺇﹶﻟ ﻬ ﺸ ﺗ ﻡ ﹶﺃ ﹾﻥ ﺳﻠﹶﺎ ﺍﹾﻟﹺﺈ ﺳﺒﹺﻴﻠﹰﺎ ﻪ ﻴﺖ ﹺﺇﹶﻟ ﻌ ﺘ ﹶﻄﺳ ﺖ ﹺﺇ ﹾﻥ ﺍ ﻴﺒﺞ ﺍﹾﻟ ﺗﺤﻭ ﺎ ﹶﻥﻣﻀ ﺭ ﻡ ﻮﺗﺼﻭ ﺰﻛﹶﺎ ﹶﺓ ﺍﻟ ความว่า “อิสลามนั้นคือ การปฏิญาณตนว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺและ แท้จริงมูฮัมมัดเป็นศาสนทูต ของอัลลอฮฺ และการดํารง (นมาซ) ละหมาด และการถือศีลอด ใน เดือนรอมาดอนและการบริจาคซะกาตและการประกอบพิธีฮัจญ์หากท่านมีความสามารถ” (บันทึกโดย “อิหม่ามมุสลิม”) ดังนั้นหลักปฏิบัติของอิสลามนั้นสามารถสรุปได้ 5 ประการคือ การปฏิญาณตน การละหมาด (นมาซ) การ ถือศีลอด อัส-เซามุน ( )ﺍﻟﺼﻮﻡการจ่ายอัส-ซะกาต ( )ﺯﻛﺎﺓการบริจาคทาน การประกอบพิธีฮัจญ์ 3. หลักคุณธรรมจริยธรรม คือ ความประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม ถูกต้องตามหลักการและแนวทางของศาสนา อิสลาม เป็นที่ยอมรับของสังคมมุสลิมทั่วโลก โดยมีท่านนบี (ศาสดา) มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะ-ลัยฮิวะซัลลัม. เป็นผู้ ชี้นําแนวทาง อธิบายกําหนดรายละเอียด ทั้ง ภาคทฤษฎีและปฏิบัติตามครรลองของศาสนาอิสลาม แต่ความดีที่ บริสุทธิ์นั้น ท่านนบี (ศาสดา) มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะ-ลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ﻙ ﺍﻳﺮ ﻧﻪﻩ ﹶﻓﹺﺈ ﺍﺗﺮ ﻦ ﺗ ﹸﻜ ﻢ ﻩ ﹶﻓﹺﺈ ﹾﻥ ﹶﻟ ﺍﺗﺮ ﻚ ﻧﻪ ﹶﻛﹶﺄ ﺪ ﺍﻟﻠﱠ ﻌﺒ ﺗ ﻥ ﻗﹶﺎ ﹶﻝ ﹶﺃ ﹾﻥ ﺎﺣﺴ ﺍﹾﻟﹺﺈ ความว่า “ความดีนั้ น คื อ การที่ ท่า นสั ก การะอัล ลอฮฺเ สมื อนท่า นเห็น พระองค์ แ ม้ ท่ า นไม่เ ห็ น พระองค์แท้จริงพระองค์ทรงเห็นท่าน” (บันทึกโดย “อิหม่ามมุสลิม”)
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
122
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
ชาวไทยมุสลิม หมายถึง ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย มีเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย และนับถือศาสนาอิสลาม ใน งานวิจัยนี้ ศึกษากลุ่มชาวไทยมุสลิม (สัปปุรุษ) ที่อาศัยในกรุงเทพมหานคร เฉพาะเขตคลองสามวา มีนบุรี หนองจอก จังหวัดฉะเชิงเทราเฉพาะเขตอําเภอบางน้ําเปรี้ยว และจังหวัดสมุทรปราการทั้งจังหวัด ประกอบด้วย 1. ผู้นําศาสนา หมายถึง อิหม่าม คือ ผู้นําศาสนาอิสลามประจํามัสยิด คอเต็บ คือ ผู้แสดงธรรมประจํามัสยิด และบิลาล คือ ผู้ประกาศเชิญชวนให้มุสลิมปฏิบัติศาสนกิจตามเวลาประจํามัสยิด 2. นักวิชาการมุสลิม หมายถึง ผู้เชี่ยวชาญในวิชาความรู้ด้านศาสนาอิสลาม 3. แม่บ้าน หมายถึง ภรรยาของพ่อบ้าน หญิงที่ผู้จัดการงานในบ้าน ที่นับถือศาสนาอิสลาม 4. เยาวชน หมายถึง บุคคลอายุเกิน 14 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ ที่นับถือศาสนาอิสลาม วิธีดําเนินการวิจัย 1.ขั้นตอนการวิจัย 1.1 ศึกษาการรับรู้และความพึงพอใจสื่อวิทยุกระจายเสียงรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการของศาสนา อิสลาม 1.2 การสร้างรูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการของศาสนาอิสลามที่สามารถพัฒนาวิถีชีวิตของ ชาวไทยมุสลิมบนหลักการของศาสนาอิสลาม 1.3 การประเมินผลการใช้รูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการของศาสนาอิสลามที่สามารถพัฒนา วิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมบนหลักการของศาสนาอิสลาม 2.ประชากรและหน่วยวิเคราะห์ 2.1 กลุ่มผู้ฟังเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน อิหม่าม คอเต็บ และบิลาลจํานวน 1 คน ต่อ 1 มัสยิด รวมทั้งสิ้น 465 คน 2.2 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก 1. ผู้ให้ข้อมูลหลักที่เป็นผู้นําศาสนาอิส ลาม โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จากอิหม่ามซึง่ เป็นผู้นําศาสนาอิสลามประจํา 5 มัสยิดใน 5 เขตพื้นที่ จํานวน 1 คน ต่อ 1 มัสยิด รวม 5 คน 2. ผู้ให้ข้อมูลหลักที่เป็นผู้รับฟังรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการของศาสนาอิสลาม เป็นประจําทุกวัน ทุกเวลา ใน 5 เขตพื้นที่ จํานวน 1 คน ต่อ 1 พื้นที่ รวม 5 คน 3.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.1 การศึกษาเอกสาร และงานวิจัยต่างๆ เพื่อศึกษาการพัฒนารูปแบบการนําเสนอรายการวิทยุ 3.2 แบบสอบถามการรับรู้และความพึงพอใจ รายการวิทยุ สําหรับกลุ่มเป้าหมาย 3.3 แบบสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก 4.การวิเคราะห์ข้อมูล ทําการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาเอกสาร และงานวิจัยต่างๆ จากแบบสอบถามการรับรู้และความพึง พอใจจากกลุ่มผู้ฟังเป้าหมาย จํานวน 465 คน ได้กรอกข้อมูล โดยใช้สถิติ ค่าความถี่และค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean : X ) และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. (Standard deviation) จากการที่ได้สัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูล หลักที่เป็นผู้นําศาสนาอิสลาม จํานวน 5 คน จากการที่ได้สัมภาษณ์กลุ่มผู้รับฟังรายการ จํานวน 5 คน เพื่อประเมินผล การใช้รูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม ที่สามารถพัฒนาวิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมบนหลักการของศาสนาอิสลาม
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
123
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
สรุปผลการวิจัย จากการวิจัยเรื่องการพัฒนารูปแบบการนําเสนอรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม เพื่อพัฒนาวิถีชีวิตชาวไทย มุสลิม บนหลักการของศาสนาอิสลาม โดยสรุปผลการวิจัยได้ ดังนี้ 1.ข้อมูลการรับรู้สื่อรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ พบว่า การรับฟัง รายการวิทยุคลื่นคุณธรรมส่วนใหญ่รับทราบจากการบอกกล่าว จํานวน 205 คน คิดเป็นร้อยละ 44.1 จํานวนสมาชิก ในครัวเรือนที่รับฟังรายการวิทยุส่วนใหญ่ 2-3 คน จํานวน 283 คน คิดเป็นร้อยละ 60.9 การรับฟังรายการวิทยุคลื่น คุณธรรมภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่ฟังทุกวัน จํานวน 206 คน คิดเป็นร้อยละ 44.3 ช่วงเวลาในการรับฟังรายการ วิทยุคลื่นคุณธรรม ส่วนใหญ่เวลา 06.00-12.00 น. จํานวน 209 คน คิดเป็นร้อยละ 44.9 ในแต่ละวันท่านรับฟัง รายการวิทยุคลื่นคุณธรรมส่วนใหญ่ 3-4 ชั่วโมง จํานวน 173 คน คิดเป็นร้อยละ 37.2 ท่านรับฟังรายการวิทยุคลื่น คุณธรรม ส่วนใหญ่ในลักษณะเปิดรับฟังสลับคลื่นอื่น จํานวน 311 คน คิดเป็นร้อยละ 66.9 สาเหตุที่ติดตามรับฟัง รายการ ส่วนใหญ่พอใจข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ จํานวน 220 คน คิดเป็นร้อยละ 47.3 เนื้อหาสาระที่ชอบรับฟัง ส่วน ใหญ่เกี่ยวกับศาสนา จํานวน 237 คน คิดเป็นร้อยละ 51.0 ต้องการให้มีรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมต่อไป ส่วนใหญ่ ต้องการ จํานวน 436 คน คิดเป็นร้อยละ 93.8 การแนะนําให้ผู้อื่นรับฟังรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม ส่วนใหญ่แนะนํา จํานวน 328 คน คิดเป็นร้อยละ 70.5 เคยมีการสอบถาม/ติชมให้คําแนะนํามายังรายการ ส่วนใหญ่ไม่เคย จํานวน 352 คน คิดเป็นร้อยละ 75.7 วิธีการสอบถาม/ติชม/ให้คะแนะนํารายการวิทยุ ส่วนใหญ่ คือพบปะ/พูดคุย จํานวน 305 คน คิดเป็นร้อยละ 65.6 ความต้องการให้รายการวิทยุคลื่นคุณธรรมปรับปรุงในเรื่องเปลี่ยนวิธีการนําเสนอ จํานวน 174 คน คิดเป็นร้อยละ 37.4 การรับฟังรายการวิทยุ ทําให้วิถีการดําเนินชีวิตส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในเรื่อง หลักการศรัทธา จํานวน 189 คน คิดเป็นร้อยละ 40.6 ความพึงพอใจที่ได้รับจากการรับฟังรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม ด้านภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อวิเคราะห์ เป็นรายด้าน พบว่า ความพึงพอใจที่ได้รับจากการรับฟังรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก ในข้อ 1. การนําเสนอรูปแบบรายงาน ข้อ 3. วิทยากรผู้ดําเนินรายการ และข้อ 4 ประโยชน์ที่ได้รับ ส่วนข้อ 2. การ นําเสนอเนื้อหาสาระ และข้อ 5. การออกอากาศ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2. รูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม 2.1 ผังรายการออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตลอด 24 ชั่วโมง เวลา 09.00-09.30 ผังรายการเดิมชื่อรายการสบายๆ สไตล์มุสลีมะห์ เป็นรูปแบบรายการข่าวสารที่เป็น สารประโยชน์ ได้สร้างผังรายการที่พัฒนาแล้วชื่อรายการอิสลามเพื่อสันติ เป็นรูปแบบรายการธรรมะ (ศาสนา อิสลาม) เวลา 11.00-12.00 , 15.00-15.30 , 16.00 – 16.30, 04.00 – 05.00 ผังรายการเดิมชื่อรายการรณรงค์เรื่อง การดูแลรักษาสุขภาพ (ขายยาสมุนไพร) เป็นรูปแบบรายการข่าวสารที่เป็นสารประโยชน์ ได้สร้างผังรายการที่พัฒนา แล้วชื่อรายการบริการข้อมูลข่าวสารของสังคมมุสลิม เป็นรูปแบบรายการข่าวสารที่เป็นสารประโยชน์ เวลา 20.00-21.00 , 05.30-07.00 ผังรายการเดิมชื่อรายการรณรงค์เรื่องการดูแลรักษาสุขภาพ (ขายยา สมุนไพร) เป็นรูปแบบรายการข่าวสารที่เป็นสารประโยชน์ ได้สร้างผังรายการที่พัฒนาแล้วชื่อรายการกิจกรรมของ มูลนิธิเพื่อคุณธรรม เป็นรูปแบบรายการกิจกรรมสาธารณประโยชน์ 2.2 ผังรายการออกอากาศทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตลอด 24 ชั่วโมง
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
124
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
เวลา 08.00-08.30 ผังรายการเดิมชื่อรายการรณรงค์เรื่องการดูแลรักษาสุขภาพ (ขายยาสมุนไพร) เป็น รูปแบบรายการข่าวสารที่เป็นสารประโยชน์ ได้สร้างผังรายการที่พัฒนาแล้วชื่อรายการบริการข้อมูลข่าวสารของ สังคมมุสลิม เป็นรูปแบบรายการข่าวสารที่เป็นสารประโยชน์ เวลา 09.00-09.30 ผังรายการเดิมชื่อรายการสบายๆ สไตล์มุสลีมะห์ เป็นรูปแบบรายการข่าวสารที่เป็น สารประโยชน์ ได้สร้างผังรายการที่พัฒนาแล้วชื่อรายการหลักเตาฮีด เป็นรูปแบบรายการธรรมะ (ศาสนาอิสลาม) เวลา 10.00-10.30 , 10.30-11.00 , 11.00-12.00 ผังรายการเดิมชื่อรายการรณรงค์เรื่องการดูแลรักษา สุขภาพ (ขายยาสมุนไพร) เป็นรูปแบบรายการข่าวสารที่เป็นสารประโยชน์ ได้สร้างผังรายการที่พัฒนาแล้วชื่อรายการ สื่อการเรียนการสอน ผ่านรายการวิทยุ เป็นรูปแบบรายการธรรมะ (ศาสนาอิสลาม) เวลา 15.00-15.30 , 16.00-16.30 , 19.30-21.00 , 04.00-05.00 , 05.30-07.00 ผังรายการเดิมชื่อ รายการรณรงค์เรื่องการดูแลรักษาสุขภาพ (ขายยาสมุนไพร) เป็นรูปแบบรายการข่าวสารที่เป็นสารประโยชน์ ได้สร้าง ผั ง รายการที่ พั ฒ นาแล้ ว ชื่ อ รายการบริ ก ารข้ อ มู ล ข่ า วสารของสั ง คมมุ ส ลิ ม เป็ น รู ป แบบรายการข่ า วสารที่ เ ป็ น สารประโยชน์ เวลา 01.30 – 02.00 ผังรายการเดิมชื่อรายการเทปกุรอาน (เชคอาลี) เป็นรูปแบบรายการธรรมะ (ศาสนา อิสลาม) ได้สร้างผังรายการที่พัฒนาแล้วชื่อรายการอัลกุรอานธรรมนูญของชีวิต เป็นรูปแบบรายการธรรมะ (ศาสนาอิสลาม) 3. ประเมินผลการใช้รูปแบบรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมบนหลักการของศาสนาอิสลามที่สามารถพัฒนาวิถี ชีวิตของชาวไทยมุสลิมบนหลักการของศาสนาอิสลาม สามารถสรุปผลได้ คือ เมื่อฟังรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมแล้ว ทําให้เข้าใจเรื่องของศาสนาดีขึ้นมีอาจารย์เพิ่มมากขึ้น มีรายการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เพราะมีการตอบปัญหาข้อข้องใจเรื่อง ของศาสนา ทําให้ได้ละหมาดตรงเวลา ครบทั้ง 5 เวลา รายการวิทยุคลื่นคุณธรรมได้ถ่ายทอดการละหมาดที่มักกะฮฺ ฟังรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม แล้วเกิดความสบายใจ ได้สอนเรื่องความไม่ดี เรื่องโทษของการเสพติด ขายยาเสพติด ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ทําให้ได้หูตาสว่างมากยิ่งขึ้น มีรายการสอนอัลกุรอาน อย่างถูกวิธี เป็นการดีมากที่ รายการนี้ ได้มอบเวลาออกอากาศให้กับ มูลนิธิ สมาคม องค์กรต่างๆที่ต้องการจะใช้สื่อวิทยุเป็นช่องทางในการ ประชาสัมพันธ์ กิจกรรม โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และมีการประชาสัมพันธ์เรื่องผู้ป่วย และผู้เสียชีวิต ให้ใช้บริการ รถพยาบาล รับ–ส่ง ผู้ป่วยหรือผู้เสียชีวิตของมูลนิธิเพื่อคุณธรรม การอภิปรายผล 1.ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจที่ได้รับจากการรับฟังรายการวิทยุคลื่นคุณธรรม โดยด้านภาพรวมมีระดับ ความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า 1.1 ด้านการนําเสนอรูปแบบรายงาน มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อ พบว่ามี ระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 3 ข้อ คือ ข้อ 1.1 ในลักษณะพูดคุย ข้อ 1.2 ในลักษณะบรรยาย และข้อ 1.3 ใน ลักษณะหลักธรรมคําสอนของศาสนา ทั้งนี้อาจเป็นการนําเสนอรูปแบบรายการในลักษณะมีการพูดคุยและบรรยาย คั่นกลางระหว่างรายการหลักธรรมคําสอนของศาสนาทําให้ผู้ฟังไม่เบื่อรายการ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของสุรินทร์ แปลงประสพโชค (2546: บทคัดย่อ )ศึกษาวิจัยเรื่อง การทดลองจัดวิทยุกระจายเสียงชุมชน สําหรับชุมชนในเขตชาน เมือง จังหวัดจันทบุรี ที่ศึกษาได้ข้อค้นพบตรงกันว่า รายการวิทยุมีลักษณะการสื่อสารแบบสองทาง เช่น การติดต่อเข้า มายังรายการก็มีจํานวนเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
125
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
1.2ด้านการนําเสนอเนื้อหาสาระ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อ พบว่ามี ระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง 2 ข้อ คือในข้อ 2.3 ความน่าสนใจ/ความหลากหลาย และข้อ 2.4 สิ่งใหม่ๆ/ ความรู้ใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ําซาก จําเจ น่าเบื่อ และอยู่ในระดับมาก 2 คือในข้อ 2.1 ความรู้ท่ีเป็นสารประโยชน์ที่ได้รับ และข้อ 2.2 ข้อมูลข่าวสาร/ประชาสัม พันธ์ที่ได้รับ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะรายการคลื่นวิทยุมีการนําเสนอเนื้อหาสาระที่เ ป็น ประโยชน์ และมีความน่าสนใจ และหลากหลาย มีความรู้ในสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ําซาก จําเจและน่าเบื่อ ซึ่งสอดคล้องกับ งานวิจัยของทิวาพร แสนเมืองชิน (2543: บทคัดย่อ) ศึกษาวิจัยเรื่อง “การสื่อสารแบบมีส่วนร่วมของประชาชนโดย ผ่านรายการวิทยุชุมชน สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดนครราชสีมา” ที่ศึกษาได้ข้อค้นพบตรงกันว่า การดําเนินงานวิทยุชุมชนพบว่า ประชาชนเข้าถึงสื่อในลักษณะติดตามรับฟังด้วยเห็นเป็นประโยชน์ของรายการต่อการ ดําเนินชีวิต การแจ้งข่าวสาร การแสดงความคิดเห็นและร้องทุกข์ ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการผลิตรายการและ วางแผน 1.3ด้านวิทยาการผู้ดําเนินรายการ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อ พบว่ามี ระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง 3 ข้อ คือในข้อ 3.2 มีวิธีการนําเสนอที่น่าฟัง น่าสนใจและน่าติดตาม ข้อ 3.3 มีความรู้จริง มีความน่าเชื่อถือในสิ่งที่นําเสนอ และข้อ 3.5 ไม่พูดจา กล่าวโทษ/ให้ร้ายผู้อื่น และอยู่ในระดับมาก 2 ข้อ คือในข้อ 3.1 ใช้ภาษา/คําพูด สุภาพ ชัดเจนเหมาะสม และข้อ 3.4 มีทัศนคติที่ดี/มีความเป็นกลาง ทั้งนี้อาจเป็น เพราะวิทยากรผู้ดําเนินรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมมีทัศนคติที่เป็นกลางในการจัดรายการ และยังใช้ภาษา/คําพูดที่ ชัดเจนและเหมาะสมกับการเป็นผู้จัดรายการ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของนาฏยา เสวกแก้ว (2541: บทคัดย่อ) ศึกษาวิจัยเรื่อง บทบาทของวิทยุท้องถิ่นในจังหวัดชลบุรีต่อการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่ศึกษา ได้ข้อค้นพบตรงกันว่า การจะทํารายการวิทยุท้องถิ่น จะต้องมีเหตุปัจจัยหลายประการที่จะทําให้เห็นว่า บทบาทหน้าที่ ที่ผู้ส่งสารพึงกระทํามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทํารายการวิทยุให้เกิดประโยชน์ต่อคนในท้องถิ่นมากที่สุด 1.4 ด้านประโยชน์ที่ได้รับ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อ พบว่ามีระดับความพึง พอใจอยู่ในระดับปานกลาง 4 ข้อ คือในข้อ 4.1 รับทราบข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้น ข้อ 4.5 ลด ละ เลิก อบายมุข ข้อ 4.6 ลดปัญหาความขัดแย้ง/การใช้ความรุนแรง และข้อ 4.7 ตั้งใจประกอบอาชีพที่สุจริต และอยู่ในระดับมาก 3 ข้อ คือใน ข้อ 4.2 ใช้ในการสนทนา/ถ่ายทอดให้กับผู้อื่น ข้อ 4.3 นําความรู้ท่ีได้รับไปประยุกต์ในการดําเนินชีวิต และข้อ 4.4 มี การปฏิบัติศาสนกิจมากขึ้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมนั้นสร้างประโยชน์ให้กับผู้ฟังรายการ โดย ผู้ฟังรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมได้นําความรู้ท่ีได้รับไปประยุกต์ในการดําเนินชีวิต และถ่ายทอดให้กับผู้อื่นมากขึ้น ซึ่ง สอดคล้องกับงานวิจัยทิวาพร แสนเมืองชิน (2543: บทคัดย่อ) ศึกษาวิจัยเรื่อง “การสื่อสารแบบมีส่วนร่วมของ ประชาชนโดยผ่านรายการวิทยุชุมชน สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดนครราชสีมา” ที่ศึกษาได้ข้อ ค้นพบตรงกันว่าการดําเนินงานวิทยุชุมชนพบว่า ประชาชนเข้าถึงสื่อในลักษณะติดตามรับฟังด้วยเห็นเป็นประโยชน์ของ รายการต่อการดําเนินชีวิต การแจ้งข่าวสาร การแสดงความคิดเห็นและร้องทุกข์ ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการ ผลิตรายการและวางแผน 1.5ด้านการออกอากาศ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อวิเคราะห์เป็นรายข้อ พบว่ามีระดับ ความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลางทุกข้อ คือในข้อ 5.1 การรับฟังชัดเจนไม่มีคลื่นแทรก ข้อ 5.2 แต่ละรายการมีช่วง ความถี่ในการออกอากาศที่เหมาะสม ข้อ 5.3 วัน เวลา ในการออกอากาศ แต่ละรายการเหมาะสม และข้อ 5.4 ให้ ผู้รับฟัง มี ส่ ว นร่ ว มในการแสดงความคิ ด เห็น ทั้งนี้อาจเป็น เพราะการออกอากาศของวิ ท ยุคลื่ น คุณธรรมนั้ น ทาง คลื่นวิทยุมีการวางแผนในการจัดรายการแต่ละรายการในการออกอากาศที่เหมาะสม และไม่มีคลื่นแทรก ผู้รับฟังก็มี ส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ในรายการได้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของสมานจิต ภิรมย์รื่น (2546: อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
126
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
บทคัดย่อ) ได้ทําการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบสถาบันส่งเสริมและเผยแผ่การพระพุทธศาสนาในประเทศ ไทย ที่ ศึกษาได้ข้อค้น พบตรงกันว่า สถานี จัด ให้มี รูปแบบ ระบบ วิธีการ สื่ อ อุปกรณ์ในการเผยแผ่ ที่เ หมาะสม มี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน 1.6ด้านภาพรวม มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อวิเคราะห์เป็นรายด้าน พบว่ามีระดับความพึงพอใจ อยู่ในระดับปานกลาง 2 ด้าน คือในด้าน 2. ด้านการนําเสนอเนื้อหาสาระ และด้าน 5. ด้านการออกอากาศ และอยู่ใน ระดับมาก 3 ด้าน คือในด้าน 1. ด้านการนําเสนอรูปแบบรายการ ด้าน 3. ด้านวิทยากรผู้ดําเนินรายการ และด้าน 4. ด้านประโยชน์ที่ได้รับ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมนั้นมีการนําเสนอรูปแบบของรายการที่เป็น ประโยชน์ต่อผู้ฟัง และในด้านของวิทยากรผู้ดําเนินรายการก็มีการนําเสนอเนื้อสาระที่เหมาะสมไม่น่าเบื่อ ซึ่งสอดคล้อง กับงานวิจัยของสมพล กุลติยะรัตนะ (2543: บทคัดย่อ) ศึกษาวิจัยเรื่องวิทยุกระจายเสียงเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น: ศึกษาพฤติกรรม ความพึงพอใจและการใช้ประโยชน์ของรายการ “พัฒนาชุมชน...วิถีคนพอเพียง”ที่ศึกษาได้ข้อค้นพบ ตรงกันว่า การรับฟังรายการวิทยุของผู้ฟัง มีเหตุผลหลักในการรับฟัง รายการ “พัฒนาชุมชน...วิถีคนพอเพียง” เพื่อนํา สาระความรู้ท่ีได้จากการรับฟังไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจําวัน และสามารถช่วยให้เกิดการพัฒนาตนเองใน ชีวิตประจําวัน และนําไปสู่การพัฒนาสังคม ข้อเสนอแนะ เมื่อได้นําผังรายการวิทยุคลื่นคุณธรรมที่ได้พัฒนารูปแบบขึ้นมาใหม่และได้การตอบรับที่ดีมาก ดังนั้นจึงมี ข้อเสนอแนะเพื่อให้สถานีวิทยุอื่นๆ ได้นําไปปฏิบัติ คือ ควรปรับปรุงในด้านการนําเสนอเนื้อหาสาระของรายการ โดย วิทยากรผู้ดําเนินรายการต้องสร้างจุดความน่าสนใจให้หลากหลาย ผู้ดําเนินรายการต้องแสวงหาสิ่งใหม่ๆหรือความรู้ ใหม่ๆ มานําเสนอ ควรหาข้อมูลข่าวสารที่เป็นสาระประโยชน์และประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ฟังอยู่เสมอ ควรตระหนักถึง ด้านการออกอากาศให้มากเพิ่มขึ้น เพราะถ้ารายการคลื่นวิทยุฟังไม่ชัดเจน มีคลื่นแทรกตลอดเวลา จะทําให้ผู้ฟัง รายการหันไปฟังรายการอื่นแทน ควรมีการวางแผน จัดผังรายการ และวันเวลาในการออกอากาศ ในแต่ละช่วงให้มี ความเหมาะสม และควรให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในรายการด้วย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
127
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
บรรณานุกรม พระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านฉบับแปลภาษาไทย. โดยสมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย. ศูนย์กษัตร์ ฟะฮัด เพื่อการ พิมพ์อัลกุรอาน. อัลมาดีนะห์ อัลมูเนาวาเราะห์ ราชอานาจักร ซาอุดีอาราเบีย. นาฎยา เสวกแก้ว. 2541. บทบาทของวิทยุท้องถิ่นในจังหวัดชลบุรี ต่อการอนุรักษ์ ส ภ า พ แ ว ด ล้ อ ม แ ล ะ ทรัพยากรธรรมชาติ. กรุงเทพฯ: คณะนิเทศศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. มูลนิธิเพื่อคุณธรรม. 2553. ผังรายการสถานีวิทยุคลื่นคุณธรรม FM 106.25 MHz. กรุงเทพฯ: ฝ่ายผลิตสื่อวิทยุ มูลนิธิเพื่อคุณธรรม. สุรินทร์ แปลงประสบโชค. 2546. การทดลองจัดรายการวิทยุกระจายเสียงชุมชน สําหรับชุมชนชนบทในเขตชานเมือง จังหวัดจันทบุรี. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สมานจิต ภิรมย์รื่น. 2546. “การพัฒนารูปแบบสถาบันส่งเสริมและเผยแผ่การพระพุทธศาสนาในประเทศไทย”. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. อารง สุทธาศาสน์. (อาจารย์). 2552. บรรจง โซ๊ะมณี. 19 เมษายน 2552. อุทุมพร จามรมาน. 2528. รายงานการวิจัยเรื่องคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพมหานคร. คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. อนุตรา พรวดี. 2544. ความต้องการรายการวิทยุชุมชนของผู้ฟังในเขตปริมณฑล ของกรุงเทพมหานคร. กรุงเทพฯ: คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. หนังสือต่างประเทศ Ibnu Majah Muhammad bin Yazid al-Qazwiniy. n.d. Sunan Ibnu Majah. Tahqiq Muhammad Fuaad al-Baqiy. Beirut: Dar al-fikr. Muslim bin Hijaj al-Qushairiy al-Naisaburiy. n.d. Sahih Muslim. Tahqiq Muhammad Fuaad al-Baqiy. J 1-5. Beirut: Dar Ehyaa al-Turath al-cArabiy. เว็บไซด์อ้างอิง http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?passTo=6b46c0ad44ce7b814b8f6e0c35b1ccb0&pageid=2 0&bookID=1027&read=true&count=true (เข้าถึงเมื่อ 17 ต.ค. 2552).
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
129
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
บทความวิจัย
การมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก: กรณีศึกษาตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี รอยฮาน เจ๊ะหะ∗ สุชาดา ฐิติรวีวงศ์∗∗ ชิดชนก เชิงเชาว์∗∗∗ บทคัดย่อ การวิจ ัย ครั ้ง นี ้ม ีว ัต ถุป ระสงค์เ พื ่อ ศึก ษาการมี ส่ ว นร่ ว มของประชาชนในการป้ อ งกั น และควบคุ ม โรค ไข้เลือดออก: กรณีศึกษาตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี กลุ่ม ตั ว อย่า งเป็น หัวหน้าครัวเรือนหรือตัวแทน หัวหน้าครัวเรือนซึ่งมีอายุ 15 ปีขึ้นไปที่อาศัยในเขตตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ตั้งแต่เดือนมกราคมถึง เดือนมีนาคม 2552 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง หาความเที่ยงตรงเชิง เนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบ และหาค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือตามวิธีของคูเ ดอร์ – ริ ช าร์ ด สั น โดยใช้ สู ต ร KR- 20 (kuder Richardson 20) โดยการวัดแล้ววัดซ้ํา (Test-retest) ได้ค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.65 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสําเร็จรูป หาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกส่วนใหญ่ประชาชนมี ความรู้ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกอยู่ในระดับปานกลาง การมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกัน และควบคุมโรคไข้เลือดออก อยู่ในระดับปานกลาง เพศ รายได้ต่อเดือน และการเป็นสมาชิกกลุ่มอื่นทางสังคม มี ความสัมพันธ์ต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 ประชาชนมีปัญหาและอุปสรรคของการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อยู่ในระดับ ปานกลาง คําสําคัญ: การมีส่วนร่วม การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก
∗
นักศึกษาปริญญาโทสาขาวิชาส่งเสริมสุขภาพ ภาควิชาพลศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ Ph.D. (Education) อาจารย์ภาควิชาพัฒนาชุมชน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ∗∗∗ Ph.D. (Education) อาจารย์ภาควิชาสถิติคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ∗∗
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
130
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
Abstract The objectives of this study aimed to investigate the participation of people in controlling and preventing Dengue fever by focusing a case study of Tambon Khoutoom, Yarang District, Pattani Province. The sample of study were the head of families or their representative whose age were above 15 years old and living in Tambon Khoutoom, Yarang District, Pattani Province since January until March 2009. The instrument used for data collecting was questionnaire which developed by the researcher. Content validity was examined by specialists. Reliability of questionnaire was 0.60 Data were analyzed by packaged program using frequency, percentage, mean, standard deviation and Pearson's product moment correlation coefficient. The result of the study revealed that most people were knowledgeable on preventing and controlling dengue fever in moderate level. Participation of people in preventing and controlling dengue fever in moderate level. Gender, monthly income and other social membership had relationship with the participation of people in preventing and controlling dengue fever statistically a significant level of 0.05. People faced the problems and obstacles of participation in preventing and controlling dengue fever in moderate level. Keywords: Participation, Controlling and Preventing Dengue fever.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
131
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
บทนํา โรคไข้เลือดออกนับเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับประเทศปัญหาหนึ่ง เป็นโรคติดต่อที่นําโดยยุงลาย ซึ่งพบว่า มีการระบาดในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2493 โดยวินิจฉัยว่าเป็นโรค “ไข้หวัดใหญ่ ที่มีเลือดออก” ต่อมา พ.ศ. 2501 เกิดการระบาดครั้งใหญ่ในกรุงเทพมหานครโดยมีผู้ป่วย 2,500 ราย มีอัตราตายร้อยละ 10 ผู้ป่วยส่วนใหญ่มี อายุระหว่าง 2-6 ปี ต่อมาได้แพร่กระจายไปตามจังหวัดใหญ่ๆ ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2508 ได้เกิดการระบาดไปทั่วทุกภาคของประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน (กองระบาดวิทยา,2542 : 9) ดังนั้นการ ป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกจึงจําเป็นต้องได้รับการพัฒนา เนื่องจากมีปัจจัยที่เอื้อต่อการระบาดของโรค ไข้เลือดออกหลายประการ ดังนี้ (ศุภมิตร ชุณหสุทธิวัฒน์,2542 : 5) จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมานี้เป็นส่วนสําคัญ ที่เอื้อต่อการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกในช่วงสี่ทศวรรษที่ ผ่านมา ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึงได้ปรับปรุงแนวคิดและทิศทางในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก โดย ไม่พึ่งหน่วยงานของรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่มุ่งเน้นให้มีการปรับแนวคิด เจตคติ และพฤติกรรมของประชาชนให้เห็น ความสําคัญและถือเป็นภารกิจที่จะต้องช่วยกันควบคุมลูกน้ํายุงลาย โดยการกําจัดลูกน้ํายุงลายและทําลายแหล่ง เพาะพันธุ์ยุงลายในบ้านของตนเองและสถานที่สาธารณะให้ครอบคลุมและต่อเนื่อง การระบาดของโรคไข้เลือดออกในจังหวัดปัตตานี พบว่าสถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกในปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2550) อัตราป่วยโดยเฉลี่ย 203.16 ต่อแสนประชากร (สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี, 2550) ส่วนการระบาดของโรค ไข้เลือดออกในตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พบว่าสถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกในปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2550) อัตราป่วยโดยเฉลี่ย 75.47 ต่อแสนประชากร เป็นอัตราป่วยใน อันดับ 2 สูงสุดของอําเภอยะรัง (สถานีอนามัย บ้านโสร่ง, 2551) จากปัญหาสถานการณ์ดังกล่าว ปี 2546 คณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขอําเภอยะรัง ร่วมกับศูนย์ ควบคุมโรคติดต่อนําโดยแมลงที่ 12 จังหวัดยะลา และองค์การบริหารส่วนตําบลเขาตูม รณรงค์ควบคุมกําจัดแหล่ง เพาะพันธ์ยุงลายในพื้นที่ตําบลเขาตูม ทําให้จํานวนผู้ป่วยลดลง คิดเป็นอัตราป่วย 796.63 ต่อแสนประชากร และในปี ต่อมา สถานีอนามัยตําบลเขาตูมได้ดําเนินการควบคุมโรคไข้เลือดออกอย่างต่อเนื่องทําให้ผู้ป่วยลดจํานวนลงในปี ต่อมา (สํานักงานสาธารณสุขอําเภอยะรัง,2550) จากสถานการณ์การเกิดโรคไข้เลือดออก ในปี 2546-2550 ที่ลดลงอย่างชัดเจนในตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ซึ่งถ้าวิเคราะห์อย่างผิวเผิน ก็อาจสรุปได้ว่าเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการป้องกันและ ควบคุ ม โรคของสาธารณสุ ข จั ง หวั ด ปั ต ตานี แ ละของอํ า เภอยะรั ง ที่ ไ ด้ นํ า แนวทางการป้ อ งกั น และควบคุ ม โรค ไข้เลือดออกโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนมาใช้ในการดําเนินการ แต่ถ้าพิจารณาตามลักษณะการระบาดของโรค ไข้เลือดออก ที่มีการระบาดแบบปีเว้นปี หรือ ปีเว้นสองปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า การที่การระบาดของโรค ไข้เลือดออกลดลงนั้นเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรค เนื่องจากไม่มีข้อมูลสนับสนุน ว่าประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข และแนวทางการดําเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานีหรือไม่และมีลักษณะ อย่างไร ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของ ตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ซึ่งผลที่ได้จากการศึกษา จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางแผนการ ดําเนินงาน และเป็นแนวทางในการดําเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
132
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
จังหวัดปัตตานีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อันจะเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในท้องถิ่น ให้มีสุขภาพ ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อเป็นพื้นฐานสําคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป วัตถุประสงค์ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ 1. เพื่อศึกษาระดับความรู้และระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกัน และควบคุมโรคไข้เลือดออก ในตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี 2.เพื่ อ ศึ ก ษาปั จ จั ย ที่ มี ค วามสั ม พั น ธ์ ต่ อ การมี ส่ ว นร่ ว มของประชาชนในการป้ อ งกั น และควบคุ ม โรค ไข้เลือดออก 3.เพื่ อ ศึ ก ษาปั ญ หาและอุ ป สรรคที่ มี ต่ อ การมี ส่ ว นร่ ว มของประชาชนในการป้ อ งกั น และควบคุ ม โรค ไข้เลือดออก ขอบเขตการศึกษา การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก โดยศึกษาการมีส่วนร่วมในการค้นปัญหาและตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการวางแผนดําเนินกิจกรรม การมีส่วนร่วมใน การปฏิบัติการ การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ และการมีส่วนร่วมในการประเมินผล จากหัวหน้าครัวเรือนหรือ ตัวแทนหัวหน้าครัวเรือนซึ่งมีอายุ 15 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในเขตตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานีไม่น้อยกว่า 6 เดือน คํานิยามศัพท์เฉพาะ การมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึง การมีส่วนร่วมของประชาชนในการค้นหาปัญหาและตัดสินใจ ในการ วางแผนดําเนินกิจกรรม ในการร่วมปฏิบัติการ ในการรับผลประโยชน์และในการประเมินผล การป้องกันและควบคุม โรคไข้เลือดออก ประชาชน หมายถึง ประชาชนที่มีชื่อในทะเบียนราษฎร์อยู่ในเขตตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ความรู้ของประชาชน หมายถึง ประชาชนมีความรู้ตามทฤษฎีของการเกิดโรคไข้เลือดออกได้ถูกต้องตาม เกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด การป้องกันและควบคุมโรค หมายถึงการวางแผนและดําเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อสกัดกั้นมิให้เกิดโรค ไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออก หมายถึง การติดเชื้อไวรัสเด็งกี่ ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนําโรค วิธดี ําเนินการวิจัย 1. แบบการวิจัย การศึกษาวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงสํารวจ (Survey Research) เพื่อศึกษาระดับความรู้ ระดับการมีส่วน ร่ว มของประชาชน วิ เ คราะห์ ค วามสั ม พั น ธ์ ข องตั ว แปร และศึ ก ษาปั ญ หาและอุ ป สรรคที่ มี ต่อ การมีส่ ว นร่ว มของ ประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
133
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ หัวหน้าครัวเรือนหรือตัวแทนหัวหน้าครัวเรือนซึ่งมีอายุ 15 ปีขึ้นไป ในเขต ตําบลเขาตูมซึ่งมีทั้งหมด 7 หมู่บ้าน 3,022 ครัวเรือน โดยใช้ข้อมูลครัวเรือนตามข้อมูลความจําเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) ปี พ.ศ. 2550 เป็นเกณฑ์ ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือหัวหน้าครัวเรือนหรือตัวแทนหัวหน้าครัวเรือนซึ่ง มีอายุ 15 ปีขึ้นไปที่อาศัยในเขตตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2552 ซึ่งการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างกําหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรในการคํานวณของ Yamane ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 95 (Yamane,1973 อ้างตามบุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์,2543:164) 2. เครื่องมือในการวิจยั เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเองโดยการศึกษาทบทวนแนวคิดทฤษฎี และ งานวิจัยที่เ กี่ยวข้องกับเรื่องที่จะทําการศึกษารวมทั้งประยุกต์จากแนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชน ของ John M.Cohen and Norman T.Uphoff (1980, 219-222) เพื่อให้คําถามครอบคลุมเนื้อหาและตัวแปรที่กําหนด ซึ่ง ประกอบด้วยข้อคําถาม 4 ตอน ดังนี้ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน ระยะเวลาที่อาศัยในชุมชน และ การเป็นสมาชิกกลุม่ อื่นทางสังคม ส่วนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ของประชาชนในเรื่อง ความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออก ความรู้เรื่องชีวนิสัยของ ยุงลาย ความรู้เรื่องวงจรชีวิต ความรู้เกี่ยวกับการกําจัดแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย ความรู้เกี่ยวกับสารที่ใช้ในการกําจัด ยุงลาย ความรู้เรื่องการปฏิบัติตนในการป้องกันโรคไข้เลือดออก ความรู้เรื่องการตรวจหาลูกน้ํายุงลายและความรู้ เรื่องกิจกรรมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ส่วนที่ 3 ข้อมูลเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ประกอบด้วย เนื้อหาข้อความเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน คือ 1) การมีส่วนร่วมในการค้นปัญหาและตัดสินใจ 2) การ มีส่วนร่วมในการวางแผนดําเนินกิจกรรม 3) การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ 4) การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ และ 5) การมีส่วนร่วมในการประเมินผล ข้อมูลการมีส่วนร่วมมีเกณฑ์การให้คะแนนโดยใช้มาตรวัดแบบสเกล ซึ่ง ประกอบด้วย 5 ระดับตัวเลือก (สุภควดี ธนสีลังกูร,2545:25) แบบสอบถามได้ส่งการตรวจสอบหาความเที่ยงตรงด้านเนื้อหา โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน ประกอบด้วย นักวิชาการซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย 1 คน ผู้รับผิดชอบงานโรคติดต่อ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี 2 คน ผู้รับผิดชอบงานโรคติดต่อ สํานักงานสาธารณสุขอําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี 1 คน และนักวิชาการส่งเสริมสุขภาพ องค์การบริหารส่วนตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี 1 คน หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคําถามกับ คุณลักษณะตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540: 177) ผู้ วิ จั ย ได้ นํ า แบบสอบถามที ่ไ ด้ป รับ ปรุง แล้ว ไปทดลองใช้ก ับ กลุ ่ม ตัว อย่า งที ่ม ีล ัก ษณะเดีย วกั น กับ ประชากรที่ศึกษาจํานวน 30 ราย จากประชาชนตําบลกอลํา อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็น ตําบลใกล้เคียงและมีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่างที่ทําการศึกษา ทดสอบค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดย การวัดแล้ววัดซ้ํา (Test – retest ) ส่วนแบบสอบถามหาค่าความเชื่อมั่นตามวิธีของคูเ ดอร์ – ริ ช าร์ ด สั น โดยใช้ สู ต ร KR- 20 (kuder Richardson 20) และหาค่ า ความเชื่ อ มั่ น แบบของแบบสอบถามทั้งฉบับโดยการวัดแล้ววัดซ้ํา (Test-retest) (สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์‚ 2540: 226 - 227) โดยกําหนดค่าความเชื่อมั่นที่ได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.60 ขึ้นไป
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
134
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลร่วมกับผู้ช่วยวิจัย 10 คน ซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ชั้นปี 3-4 ซึ่งผ่านการลงทะเบียนเรียนวิชาวิธีวิทยาการวิจัยมาแล้ว โดย ผู้วิจัยให้การอบรมและประชุมชี้แจงวัตถุประสงค์ในการวิจัย ตลอดจนรายละเอียดของแบบสอบถาม คู่มือการใช้ แบบสอบถามและเทคนิคขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูลตามแบบสอบถามเพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจตรงกัน จึง ดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยมีขั้นตอนดังนี้ 1.ผู้วิจัยทําหนังสือผ่านหัวหน้าภาควิชาพลศึกษาคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต ปัตตานี ผ่านกํานันตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์และขออนุญาตเก็บข้อมูลจาก หัวหน้าครัวเรือนในตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี 2. ผู้วิจัยอธิบายวิธีตอบแบบสอบถามของข้อมูลทั่วไป ข้อมูลความรู้ในเรื่องโรคไข้เลือดออก และข้อมูล เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกที่ผ่านการตรวจสอบหาความเที่ยงตรง ด้านเนื้อหา โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน ตรวจสอบแก้ไข และให้ข้อเสนอแนะ จากนั้นผู้วิจัยนําแบบสอบถามมาแก้ไข ปรับปรุงตามข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิก่อนนําไปหาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามแล้วนําไปใช้จริง แล้วจึงให้ผู้นําครัวเรือนตอบแบบสอบถามด้วยตนเอง (ในกรณีที่อ่านออกเขียนได้) ในกรณีที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้จะ ใช้วิธีสัมภาษณ์แทนโดยการแปลให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ตอบ 3. เก็บรวบรวมข้อมูลการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกจากหัวหน้าครัวเรือนในตําบล เขาตูมที่เป็นประชากรกลุ่มตัวอย่าง 4. ตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากการตอบแบบสอบถามของหัวหน้าครัวเรือนแต่ละรายสมบูรณ์จนครบ 353 ราย โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลประมาณ 3 เดือน (เดือนมกราคม-มีนาคม 2552) 5. วิเคราะห์ข้อมูลตามวิธีการที่ได้วางแผนไว้ 4. การวิเคราะห์ขอ้ มูล ผู้วิจัยนําข้อมูลไปวิเคราะห์โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรมสําเร็จรูป โดยกําหนดระดับความมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งมีขั้นตอนในการคํานวณ ดังนี้ n 1. แจกแจงความถี่และร้ อยละ x i สูตรค่าเฉลี่ย (Mean) (บุญเรียง ขจรศิลป์‚ 2542: 27) 2. หาค่าเฉลี่ยเลขคณิต โดยใช้
x =
∑
i =1
n
เมื่อ x แทน ค่าเฉลี่ย ∑ xi แทน ผลรวมของคะแนน n แทน จํานวนผู้ตอบแบบสอบถาม 3. ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) (Ferguson‚ 1981: 68) S .D . =
∑
x
2
− (
∑
x )
2
/ n
n − 1
เมื่อ S. D. แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑ x 2 แทน ผลรวมของคะแนนของกลุ่มตัวอย่างยกกําลังสอง ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด n แทน ขนาดกลุ่มตัวอย่าง
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
135
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
4. วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลทั่วไป ซึ่งเป็นปัจจัยส่วนบุคคลกับการมีส่วนร่วมของประชาชนใน การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ใช้สถิติในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยค่า ไค-สแควร์ (Chi-Square) 5. วิเคราะห์หาความสัม พันธ์ระหว่างความรู้เกี่ย วกั บ ไข้เ ลื อ ดออกกับ การมีส่ว นร่ว มในการป้ อ งกัน และ ควบคุมโรคไข้เลื อดออกที่ สอบถามครั้งที่ 1 และและครั้งที่ 2 (สูตรหาความเชื่อมั่น) สรุปผลการวิจยั 1.ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลทัว่ ไปเกี่ยวกับผูต้ อบแบบสอบถาม พบว่าประชาชนเป็นเพศชายจํานวน 118 คน คิดเป็นร้อยละ 33.4 และเพศหญิง จํานวน 235 คน คิดเป็น ร้อยละ 66.6 ประชาชนมีอายุน้อยกว่า 21 ปีจํานวน 114 คน คิดเป็นร้อยละ 40.8 และอายุระหว่าง 21 – 30 ปี จํานวน 115คน คิดเป็นร้อยละ 32.6 และ อายุระหว่าง 31 – 40 ปี จํานวน 50 คน คิดเป็นร้อยละ 14.2 และอายุ ระหว่าง 41 – 50 ปี จํานวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ 9.6 และ อายุระหว่าง 51- 60 ปี จํานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 2.0 และอายุากกว่า 60 ปีขึ้นไปจํานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 0.8 ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ อื่น ๆ จํานวน 126 คน คิดเป็นร้อยละ 35.7 และประชาชนส่วนน้อยประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชนจํานวน 8 คนคิดเป็น ร้อยละ 2.3 ประชาชนส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาสูงสุดคือมัธยมศึกษาจํานวน 191 คนคิดเป็นร้อยละ 54.1 และ ประชาชนส่วนน้อยมีระดับการศึกษาสูงสุดคือสูงกว่าปริญญาตรี จํานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 1.4 ประชาชนส่วนใหญ่ มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาทต่อเดือน จํานวน 215 คิดเป็นร้อยละ 60.9 และส่วนน้อยที่มีรายได้ 20,00130,000 บาท จํานวน 1 คน และ 30,001 – 40,000 บาท จํานวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 0.3 ประชาชนส่วนใหญ่อาศัย อยู่ในชุมชนระหว่าง 16 – 20 จํานวน 81 คน คิดเป็นร้อยละ 22.9 ประชาชนส่วนน้อยอาศัยอยู่ในชุมชน น้อยกว่า 6 ปี จํานวน 38 คนคิดเป็นร้อยละ 10.8 ประชาชนเป็นสมาชิกกลุม่ อื่นทางสังคมจํานวน 26 คิดเป็นร้อยละ 7.4 และไม่เป็น สมาชิกทางสังคม จํานวน 327 คิดเป็นร้อยละ 92.6 2.ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลความรู้ของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก จําแนกเป็นรายข้อ ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่ประชาชนมีความรู้ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะเรื่อง โรคไข้เลือดออกติดต่อจากยุงลายที่มีเชื้อไข้เลือดออก ประชาชนมีความเข้าใจจํานวน 331 คิดเป็นร้อยละ 93.8 รองลงมาคือ การปิดฝาภาชนะน้ําดื่มทุกภาชนะ เป็นการป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ จํานวน 329 คน คิดเป็นร้อยละ 93.2 และประชาชนยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับยุงที่เป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออกมักวางไข่ในร่องน้ําทิ้ง สาธารณะ อยู่ในระดับน้อย จํานวน 57 คน คิดเป็นร้อยละ 16.1 3.ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลคะแนนเฉลี่ยความรูข้ องประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ผลการศึกษาพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้เรื่องการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อยู่ในระดับ ปานกลาง จํานวน 252 คิดเป็นร้อยละ 71.4 มีความรู้อยู่ในระดับน้อย จํานวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 0.3 และมีความรู้ ระดับมาก จํานวน 100 คน คิดเป็นร้อยละ 28.3 4.ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ผลการศึกษาพบว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก จําแนกโดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าส่วนใหย่อยู่ในระดับปานกลางเช่นเดียวกัน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
136
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
5.ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความสัมพันธ์ต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ผลการศึกษาพบว่า เมื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ ต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกัน และควบคุมโรคไข้เลือดออก พบว่า เพศ รายได้ต่อเดือน และการเป็นสมาชิกกลุ่มอื่นทางสังคม มีความสัมพันธ์ต่อการ มีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อ พิจารณาปัจจัยด้านอื่น ๆ คือ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษาสูงสุด อาศัยอยู่ในชุมชน และความรู้ของประชาชน พบว่าไม่ มีความสัมพันธ์ต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก 6..ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปัญหาและอุปสรรคของการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ผลการศึ ก ษาพบว่ า ประชาชนมี ปั ญ หาและอุ ป สรรคของการมี ส่ ว นร่ ว มในการป้ อ งกั น และควบคุ ม โรค ไข้เลือดออก อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเกี่ยวกับความรู้เรื่องการดําเนินกิจกรรมป้องกันและควบคุม โรคไข้เลือดออกเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่รับผิดชอบฝ่ายเดียว จํานวน 181 คน คิดเป็นร้อยละ 51.3 และมี ปัญหาการเข้าร่วมกิจกรรมป้องกันและควบคุมโรคไข้เลื อดออกเป็นเรื่องความสัม พันธ์ระหว่างสมาชิก อบต.กับ ประชาชนในหมู่บ้าน น้อยที่สุด จํานวน 145 คน คิดเป็นร้อยละ 41.1 การอภิปรายผลการวิจยั การอภิปรายผลการศึกษาครั้งนี้ จําแนกเป็น 4 ประเด็น ดังนี้ 1. ความรูข้ องประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ผลการศึกษาพบว่าประชาชนมีระดับความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออกแตกต่างกัน คือ ประชาชนมีความรู้อยู่ใน ระดับน้อย ร้อยละ 0.3 ปานกลาง ร้อยละ 71.7 และระดับมาก ร้อยละ 28.3 ที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องมาจาก กลุ่มตัวอย่าง ที่ศึกษาครั้งนี้มีความแตกต่างกันตามลักษณะส่วนบุคคล (เพศ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้ ระยะเวลาที่อาศัย อยู่ในชุมชน และการเป็นสมาชิกกลุ่มอื่นทางสังคม) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ สมศักดิ์ ศรีสันติสุข (2538: 3) ที่ กล่าวว่า ความรู้จะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามพื้นฐานและความสามารถของแต่ละบุคคล 2. ระดับการมีสว่ นร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ผลการศึกษาพบว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก จําแนกโดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 2.65 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง เช่นเดียวกัน ที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องมาจากประชาชนไม่มีเวลาเพียงพอสําหรับการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก เนื่องจากต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในประกอบอาชีพ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของมณี สุขประเสริฐ และคณะ (2544 อ้างใน อารีย์ เชื้อสาวะถี, 2546) พบว่าประชาชนให้ความสําคัญเรื่องเศรษฐกิจการทํามาหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว มากกว่าการป้องกันโรคไข้เลือดออก ทั้งๆ ที่เพิ่งมีการระบาดของโรคไข้เลือดออกในชุมชนก็ตาม อีกประการหนึ่งอาจ เนื่องมาจาก ประชาชนไม่เห็นความสําคัญในปัญหาโรคไข้เลือดออก ซึ่งจากการวิจัยของ สมหวัง ซ้อนงาน (2544) พบว่า ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกเพียงร้อยละ 27.25 ถือว่าเป็นอัตราที่น้อยมาก แสดง ให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นความสําคัญของปัญหาโรคไข้เลือดออกว่าเป็นปัญหาที่จะต้องช่วยกันแก้ไข 3. ความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ ต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรค ไข้เลือดออก ได้แก่ เพศ รายได้ต่อเดือน และการเป็นสมาชิกกลุม่ อื่นทางสังคม มีรายละเอียด ดังนี้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
137
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
เพศ พบว่า มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก เพศ หญิงให้ความสําคัญกับการการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกมากกว่าเพศชาย จากสถิติ พบว่าประชาชนเพศ หญิงมีส่วนร่วมการการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 8.9 ในขณะที่ประชาชนเพศ ชายมีส่วนร่วมการการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในระดับมาก คิดเป็นร้อยละเพียง 0.8 เท่านั้น ซึ่งสอดคล้อง กับการศึกษาของนิรุจน์ อุทธา และคณะ (2543) พบว่า เพศเป็นตัวแปรที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการ การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ แต่ไม่สอดคล้องกับการศึกษาของสําเนียง วงศ์วาน (2549) ที่พบว่าเพศเป็นตัวแปรที่ไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการการป้องกันและควบคุมโรค ไข้เลือดออก โดยอธิบายว่า การเข้าไปมีส่วนร่วมของประชาชนในการการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกไม่ได้ จํากัดเพศ แสดงว่าบุคคลเพศใดก็ตามสามารถที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมได้ด้วยกันทั้งสิ้น รายได้ ต่ อ เดื อ น พบว่ า มี ค วามสั ม พั น ธ์ กั บ การมี ส่ ว นร่ ว มของประชาชนในการป้ อ งกั น และควบคุ ม โรค ไข้เลือดออก ทั้งนี้อธิบายได้ว่าเมื่อประชาชนมีรายได้ดีก็จะไม่ดิ้นรนทํามาหากินมากจึงมีเวลาที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมใน กิจกรรมต่างๆ มากขึ้น สอดคล้องกับการศึกษาของ นิรุจน์ อุทธา และคณะ (2543) พบว่า รายได้ต่อเดือนของ ครั ว เรื อ น มี ผ ลต่ อ การมี ส่ ว นร่ ว มของประชาชนต่ อ การป้ อ งกั น และควบคุ ม โรคไข้ เ ลื อ ดออก และสอดคล้ อ งกั บ การศึกษาของสําเนียง วงศ์วาน (2549) ที่พบว่ารายได้เป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนใน การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก การเป็นสมาชิกกลุ่มอื่นทางสังคม พบว่ามีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้เลือดออก ทั้งนี้อธิบายได้ว่ากิจกรรมการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกเป็น บทบาทหน้ า ที่ ข องผู้ มี ส ถานภาพทางสั ง คมหรื อ ผู้ ที่ มี ตํ า แหน่ ง ในชุ ม ชนอยู่ แ ล้ ว เช่ น อสม. กํ า นั น ผู้ ใ หญ่ บ้ า น คณะกรรมการหมู่บ้าน สมาชิก อบต. เป็นต้น เพราะต่างก็ได้รับการสนับสนุนและจัดตั้งจากทางราชการให้เข้าไปมี บทบาทในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกไม่มากก็น้อยแตกต่างกันออกไป อีกทั้งการประกอบกิจกรรมทาง สุขภาพใดๆ ทางราชการก็มักจะริเริ่มดําเนินการจากกลุ่มผู้มีตําแหน่งในชุมชนเสมอ ดังนั้นประชาชนที่มีตําแหน่งใน ชุมชนจึงมีส่วนร่วมมากกว่าประชาชนทั่วไปที่ไม่มีตําแหน่งในชุมชน สอดคล้องกับการศึกษาของ นิรุจน์ อุทธา และ คณะ (2543) ที่พบว่าสถานภาพทางสังคมมีผลต่อการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก และ สอดคล้องกับกับการศึกษาของ สมหวัง ซ้อนงาม (2544) ที่พบว่าสถานภาพทางสังคมมีความสัมพันธ์กับการมีส่วน ร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ในส่วนปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก คือ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษาสูงสุด การอาศัยอยู่ในชุมชน และความรู้ของประชาชน มีรายละเอียด ดังนี้ อายุ พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ทั้งนี้ อธิบายได้ว่าบุคคลวัยใดก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก เพื่อเป็นการช่วยเหลือ ตามวุ ฒิ ภ าวะ และกํ า ลั ง ของบุ ค คลที่ จ ะกระทํ า ได้ ใ นกิ จ กรรมของการมี ส่ ว นร่ ว มในแต่ ล ะขั้ น ตอน สอดคล้ อ งกั บ การศึกษาของนิรุจน์ อุทธา และคณะ (2543) พบว่าอายุไม่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้เลือดออก สอดคล้องกับการศึกษาของสมหวัง ซ้อนงาน (2544) พบว่าอายุไม่มีความสัมพันธ์กับการมี ส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อํ าเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโ ลก และยัง สอดคล้องกับการศึกษาของสําเนียง วงศ์วาน (2549) พบว่าอายุไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนใน การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อําเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
138
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
อาชีพ พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ทั้งนี้อธิบายได้ว่าอาชีพเป็นบทบาทและหน้าที่ที่มีในสังคม แต่ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าบุคคลจะมีพฤติกรรมการเข้าไปมี ส่วนร่วมมากหรือน้อย ดังนั้นอาชีพจึงไม่ใช่เป็นตัวกระตุ้นให้เข้าไปมีส่วนร่วม และในการมีส่วนร่วมการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้เลือดออกก็ไม่ได้จํากัดอาชีพใดๆ ดังนั้นทุกอาชีพมีโอกาสที่จะเข้าร่วมได้ไม่แตกต่างกัน สอดคล้องกับ การศึกษาของนิรุจน์ อุทธา และคณะ (2543) พบว่าอาชีพไม่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้เลือดออก และยังสอดคล้องกับการศึกษาของสําเนียง วงศ์วาน (2549) พบว่าอาชีพไม่มีความสัมพันธ์ กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อําเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด แต่ไม่ สอดคล้องกับการศึกษาของสมหวัง ซ้อนงาน (2544) พบว่าอาชีพมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนใน การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก และไม่สอดคล้องกับการการศึกษาของ วัชรพันธ์ แน่ประโคน (2544) พบว่าอาชีพมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุม โรคไข้เลือดออก อําเภอเมือง จังหวัดบุรรี ัมย์ ระดับการศึกษาสูงสุด พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรค ไข้เลือดออก ทั้งนี้อธิบายได้ว่าประชาชนที่มีระดับการศึกษาไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการมีส่วน ร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก สอดคล้องกับการศึกษาของนิรุจน์ อุทธา และคณะ (2543) พบว่าระดับการศึกษาสูงสุด ไม่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก สอดคล้องกับการศึกษาของสมหวัง ซ้อนงาน (2544) พบว่าระดับการศึกษาสูงสุดไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วม ของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก และยังสอดคล้องกับ การศึกษาของสําเนียง วงศ์วาน (2549) พบว่าระดับการศึกษาสูงสุดไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อําเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด การอาศัยอยู่ในชุมชน พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรค ไข้เลือดออก ทั้งนี้อธิบายได้ว่าอาจเนื่องมาจาก ลักษณะการอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของประชาชนส่วนมากจะอาศัยอยู่ อย่างถาวร โดยจากข้อมูลการอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาครั้งนี้ พบว่าระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ของประชาชนที่น้อยกว่า 6 ปี เพียงร้อยละ 10.76 จึงอาจกล่าวได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในหมู่บ้านเป็นเวลา มากกว่า 6 ปี ดังนั้นการที่ประชาชนส่วนใหญ่มีระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านไม่แตกต่างกันมาก โดยทุกคนอาศัยอยู่ ในหมู่บ้านอย่างถาวร จึงมีโอกาสรับรู้เรื่องเกี่ยวกับกิจกรรมการป้องกัน และควบคุมโรคไข้เลือดออกของหมู่บ้านและ เข้าร่วมกิจกรรมฯ โดยเท่าเทียมกัน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของนุ่มนวล อุทังบุญ (2544) พบว่าระยะเวลาที่อาศัย อยู่ในหมู่บ้านไม่มีความสัมพันธ์กับระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกใน จังหวัดเลย ความรู้ของประชาชน พบว่าความรู้ของประชาชนเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วน ร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกทั้งนี้อธิบายได้ว่าประชาชนไม่ได้มีการกระทําพฤติกรรม ให้เป็นไปตามความรู้ที่มีอยู่ ดังนั้นพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกใน เขตตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานีอาจจะเป็นแบบใดก็ได้ อาจเป็นเพราะว่า สังคมปัจจุบันมีภาวะเศรษฐกิจที่ บีบรั ดตัว มากทําให้ประชาชนไม่มีเวลามาสนใจในการเข้าร่วมกิจกรรมป้องกันและควบคุมโรคไข้เลื อดออก และ ประชาชนอาจคิดว่าการกําจัดลูกน้ําเป็นเรื่องยุ่งยากเนื่องจากเป็นธรรมชาติที่มีมานานจะกําจัดอย่างไรก็ไม่หมดไปได้ ทําให้การกําจัดลูกน้ําของประชาชนขาดความต่อเนื่องสม่ําเสมอ ประชาชนจะดําเนินการเฉพาะเมื่อได้ยินข่าวการ ระบาดของโรคไข้เลือดออกในหมู่บ้านหรือชุมชนเท่านั้น
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
139
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
4.ปัญหาและอุปสรรคของการมีสว่ นร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก จากผลการศึกษาพบว่า ประชาชนมีปัญหาและอุปสรรคของการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรค ไข้เลือดออก อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเกี่ยวกับความรู้เรื่องการดําเนินกิจกรรมป้องกันและควบคุม โรคไข้เลือดออกเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่รับผิดชอบฝ่ายเดียว การขาดความตระหนักถึงความสําคัญของ ปัญหานี้ อาจทําให้ประชาชนไม่รู้สึกถึงความเป็นเจ้าภาพในการแก้ปัญหาของชุมชนเอง ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญในการมีส่วน ร่วมของประชาชนในการพัฒนาหลายด้าน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของเชฎฐชัย ศรีชูชาติ (2542) สมบูรณ์ นันทวงศ์ (2542) และบุญเสริม ศรีทา (2544) ที่พบว่าการตระหนักถึงปัญหาทําให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในโครงการต่างๆ และ มีบทบาทสําคัญต่อความสําเร็จของโครงการ ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนําผลการวิจยั ไปใช้ ข้อค้นพบจากการศึกษาครั้งนี้ จะเป็นข้อมูล พื้น ฐานที่สําคัญต่อการวางแผนการดํา เนิน งานป้อ งกัน และ ควบคุมโรคไข้เลื อดออก เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดําเนินงานป้องกันและควบคุมโรค ไข้เลือดออกอย่างต่อเนื่อง ดังต่อไปนี้ 1.1 จากการศึกษาว่าประชาชนมีระดับความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออกในระดับปานกลาง ดังนั้น หน่วยงานของ รัฐ เช่นสถานีอนามัย หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบต. ควรเร่งดําเนินการในการเผยแพร่ความรู้ให้แก่ ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึงและมีรูปแบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ให้ประชาชนเกิดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม เช่น การจัดให้ ความรู้โดยวิธีทัศนศึกษาเพื่อรับทราบความสําเร็จของที่อื่นๆ ที่ประสบความสําเร็จของการทํางานที่อยู่บนพื้นฐานของ ความรู้ที่ถูกต้อง 1.2 จากผลการวิจัย พบว่า การเป็นสมาชิกกลุ่มอื่นทางสังคมมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ดังนั้น ผู้ท่ีมีสถานภาพดังกล่าว เช่น อสม. หรือ อบต. ควรดูแลเอาใจใส่ และติดตามการดําเนินงานอย่างสม่ําเสมอ สร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชาวบ้าน ปลูกจิตสํานึกของชาวบ้านให้รักและ ห่วงใยชุมชนของตนเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการทํากิจกรรมร่วมกัน รวมทั้งกําหนดบทบาทประชาชนในการมีส่วน ร่วมให้ชัดเจนแล้วจะส่งผลให้การมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกประสบผลสําเร็จ 1.3 จากผลการวิจัย พบว่าประชาชนมีปัญหาและอุปสรรคของการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรค ไข้เลือดออกเกี่ยวกับความรู้เรื่องการดําเนินกิจกรรมป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ภาครัฐที่รับผิดชอบฝ่ายเดียว ดังนั้น ผู้ท่ีมีสถานภาพทางสังคม เช่น อสม. อบต. กํานัน หรือผู้ใหญ่บ้านสร้างความ ตระหนักแก่ประชาชนในการมีส่วนร่วมป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก โดยจัดกิจกรรมที่เอื้อให้ประชาชนเข้ามามี ส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนค้นหาปัญหาและตัดสินใจ ซึ่งเป็นขั้นตอนสําคัญที่จะทําให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาและนําสู่ การมีส่วนร่วมในขั้นต่อไป 2. ข้อเสนอแนะในการทําวิจยั ครั้งต่อไป การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณเกี่ยวกับระดับความรู้และระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ ป้องกัน และควบคุมโรคไข้เลือดออกในตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ความสัมพันธ์ต่อการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
140
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
ป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกเพียงบางส่วนเท่านั้น ยังมีประเด็นปัญหาในแง่มุมอื่นๆ ที่น่าศึกษาให้กว้างขวางและ ลึกซึ้งได้อีกในครั้งต่อไป ดังนี้ 2.1 ศึกษาเชิงคุณภาพเกี่ยวกับขั้นตอน วิธีการ รวมทั้งเหตุผลการมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วมของประชาชนใน การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาแผนงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกให้ มีประสิทธิภาพต่อไป 2.2 ศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในรูปแบบการวิจัยเชิง ปฏิบัติการ (Operational research) เพื่อหารูปแบบการดําเนินงานที่เหมาะสม 2.3 ศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในรูปแบบการวิจัยเชิง พัฒนา (Research and Development) เพื่อพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรค ไข้เลือดออกให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป 2.4 ควรศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรค ไข้เลือดออก
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 10
141
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2011
บรรณานุกรม กองระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข.2542. สถานการณ์ไข้เลือดออกในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร: องค์การ ทหารผ่านศึก เชฎฐชัย ศรีชูชาติ. 2542. การมีสว่ นร่วมของประชาชนในการกําหนดนโยบายสาธารณะ : กรณีศกึ ษาการจัดหาที่อยู่ อาศัยใหม่ให้แก่ชาวชุมชนแออัด ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นุ่มนวล อุทังบุญ. 2544. การมีสว่ นร่วมของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในจังหวัดเลย. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา สํานักงานบัณฑิตศึกษา สถาบันราช ภัฏเชย นิรุจน์ อุทธา และคณะ. 2543. รูปแบบการควบคุมโรคและการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการป้องกันและควบคุม โรคไข้เลือดออก. ขอนแก่น : สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น. บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. 2537. เทคนิคการสร้างเครื่องมื อรวบรวมข้อมูล สํา หรับการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพมหานคร: B&B Publishing. บุญเรียง ขจรศิลป์. 2542. สถิตวิ จิ ัย I. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. บุญเสริม ศรีทา. 2544. การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการศึกษาในอําเภอเมือง จังหวัดแพร่. การค้นคว้าแบบ อิสระ รัฐศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สุภควดี ธนสีลังกูร.2545.การมีส่วนร่วมของประชาชนเกี่ยวกับการจัดการมูลฝอยในเขตองค์การบริหารส่วนตําบล: ศึ ก ษาเฉพาะกรณี ใ นเขตองค์ ก ารบริ ห ารส่ ว นตํ า บลบ้ า นเป็ ด จั ง หวั ด ขอนแก่ น .วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญา สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น ศุภมิตร ชุณหสุทธิวัฒน์. 2542. แนวทางการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ปี 2542. นนทบุรี: กระทรวง สาธารณสุข สมบูรณ์ นันทวงศ์. 2542. การมีสว่ นร่วมของประชาชนในการพัฒนาคุณภาพการบริการด้านสาธารณสุข ศึกษา เฉพาะกรณีสถานีอนามัยกระทุ่มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม. วิทยานิพนธ์สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหา บัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมศักดิ์ ศรีสันติสุข. 2538. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์. ขอนแก่น: ขอนแก่นการพิมพ์ สําเนียง วงศ์วาน. 2549. การมีสว่ นร่วมของประชาชนในการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกอําเภอจังหาร จังหวัด ร้อยเอ็ด. วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิตบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์. 2540 ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 10 . กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง. อารีย์ เชื้อสาวะถี. 2546. พฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกของแกนนําสุขภาพประจําครอบครัวอําเภอพล จังหวัดขอนแก่น. วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น John M.Cohen and Norman T.Uphoff. 1980. 'Participation's Place in Rural Development: Seeking Clarity through Specificity', World Development.8 (3)
อัล-นูร
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา หลักเกณฑ์และคําชี้แจงสําหรับการเขียนบทความวิชาการ หรือ บทความวิจยั วารสาร อั ล-นู ร บัณ ฑิ ต วิท ยาลัย มหาวิทยาลั ย อิ ส ลามยะลา จั ด ทํา ขึ้น เพื่ อส่ ง เสริ มให้ค ณาจารย์ นักวิชาการ และนักศึกษาได้เผยแพร่ผลงานทางวิชาการแก่สาธารณชน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มพูนองค์ ความรู้ และแนวปฏิ บัติ อ ย่ า งมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ ทั้ ง นี้ ทางกองบรรณาธิ ก ารวารสาร อั ล -นู ร บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา จึงได้กําหนดระเบียบการตีพิมพ์บทความดังกล่าว ดังต่อไปนี้ ข้อที่ 1 บทความที่มีความประสงค์จะลงตีพิมพ์ในวารสาร อั ล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลั ย อิสลามยะลา ต้องเป็นบทความใหม่ ไม่คัดลอกจากบทความอื่นๆ และเป็นบทความที่ไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารอื่น มาก่อน ข้อที่ 2 ประเภทบทความวิชาการและบทความวิจัย ในส่วนบทความวิจัยนั้น ผู้ที่มีความประสงค์จะลง ตีพิมพ์ในวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา บทความนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจาก อาจารย์ที่ปรึกษา ข้ อ ที่ 3 บทความดั ง กล่ า วต้ อ งชี้ แ จงให้ กั บ กองบรรณาธิ ก ารวารสาร อั ล -นู ร บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา เพื่อพิจารณา สรรหาผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความ ข้อที่ 4 ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ ต้องมีสาขาชํานาญการที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อบทความที่จะลง ตีพิมพ์ในวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ข้อที่ 5 การประเมินบทความวิชาการต้องประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยหนึ่งท่าน และต้องมี คุณวุฒิในระดับปริญญาเอก หรือเทียบเท่า หรือเป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางวิชาการระดับผู้ช่วยศาสตราจารย์ขึ้นไป ในสาขาชํานาญการนั้น หรือสาขาวิชาที่สัมพันธ์กัน หรือเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในด้านวิชาการการศึกษาหรือการ ทําวิจัย ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมาการศึกษา ข้อที่ 6 ทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ที่ปรากฏในวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลาม ยะลา ถือเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่าน ทางกองบรรณาธิการเปิดเสรีด้านความคิด และไม่ถือว่า เป็นความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
การเตรี ย มต้ น ฉบับสําหรับ การเขี ย นบทความวิ ช าการ หรื อบทความวิ จัย ในวารสาร อัล -นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา 1. วารสาร อัล-นูร เป็นวารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ได้จัดพิมพ์ ปีละ 2 ฉบับ 2. บทความที่จะลงตีพิมพ์ในวารสาร อัล-นูร จะต้องจัดส่งในรูปแบบไฟล์ และสําเนา ตามที่อยู่ดังนี้ กองบรรณาธิการวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา 135/8 ม. 3 ต. เขาตูม อ. เมือง จ. ปัตตานี 94160 โทร: 073-418610-4 ต่อ 124 แฟกซ์: 073-418615-16 3. บทความวิ ช าการสามารถเขี ย นได้ ใ นภาษา มลายู (รู มี / ยาวี ) , อาหรั บ , อั ง กฤษ, หรื อ ภาษาไทย และ บทความต้องไม่เกิน 14 หน้า 4. แต่ละบทความต้องมี บทคัดย่อตามภาษาบทความที่ได้เขียน และ บทคัดย่อภาษาอังกฤษต้องมีจํานวนคํา ประมาณ 200-250 คํา
5. บทความภาษามลายู ต้องยึดหลัดตามพจนานุกรมภาษามลายู ที่ได้รับรองและยอมรับจากสถาบันศูนย์ภาษา ประเทศมาเลเซีย 6. บทความดังกล่าวต้องเป็นบทความใหม่ ไม่คัดลอกจากบทความอื่นๆ และเป็นบทความที่ไม่เคยตีพิมพ์ใน วารสารอื่นมาก่อน 7. การเขียนบทความต้องคํานึงถึงรูปแบบดังนี้ 7.1 บทความภาษาไทย พิมพ์ด้วยอักษร TH Niramit AS ขนาด 14 7.2 บทความภาษาอาหรับ พิมพ์ด้วยอักษร Arabic Traditional ขนาด 16 7.3 บทความภาษามลายูยาวี พิมพ์ด้วยอักษร Adnan Jawi Traditional ขนาด 16 7.4 บทความภาษามลายูรูมี พิมพ์ด้วยอักษร TH Niramit AS ขนาด 14 7.5 บทความภาษาอังกฤษ พิมพ์ด้วยอักษร TH Niramit AS ขนาด 14 8. ใช้ฟรอนท์ Transliterasi สําหรับชื่อและศัพท์ที่เป็นภาษาอาหรับ ที่เขียนด้วยอัขระ รูมี ตามที่บัณฑิตวิทยาลัยได้ ใช้ หากบทความนั้นได้เขียนด้วยภาษามลายูรูมี และ ภาษาอังกฤษ
รายละเอียดอื่นๆ 1. ตาราง รูปภาพ และแผนภูมิ ควรคัดเลือกเฉพาะที่สําคัญ และต้องแยกออกจากเนื้อเรื่องหน้าละรายการ 2. ในส่วนของเอกสารอ้างอิงให้ใช้คําว่า บรรณานุกรม 3. สําหรับชื่อหนังสือให้ใช้เป็นตัวหนา (B) 4. ในส่วนของอายะฮฺอัลกุรอ่านให้ใส่วงเล็บปิด-เปิด ﴾.....﴿ และสําหรับอายะฮฺอลั กุรอ่านที่มากกว่าหนึง่ บรรทัด ให้จัดอยู่ในแนวเดียวกัน 5. ในส่วนของฮาดีษให้ใส่เครื่องหมายคําพูด "......" และสําหรับอัลฮาดีษที่มากกว่าหนึ่งบรรทัดให้จัดอยู่ในแนว เดียวกัน 6. ในส่วนของคําพูดบรรดาอุลามาอฺหรือนักวิชาการไม่ต้องใส่เครื่องหมายใดๆ 7. ให้จัดลําดับบรรณานุกรมเป็นไปตามลําดับภาษาของบทความนัน้ ๆ 8. ให้ใช้อ้างอิงอายะฮฺอลั กุรอ่านดังนี้ อัลบะเกาะเราะห์, 2:200 9. ใช้คําว่าบันทึกโดย แทนคําว่ารายงานโดย ตัวอย่าง (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ เลขที่:213) 10. และการเรียงลําดับในการอ้างอิงหนังสือดังนี้ ชื่อผู้แต่ง. ปีที่พิมพ์. ชื่อหนังสือ. ชือ่ ผู้แปล. สถานทีพ่ ิมพ์. สํานักพิมพ์. 11. ให้ใส่วุฒิการศึกษาเจ้าของบทความ ที่ปรึกษาสําหรับในส่วนของบทความวิจัย ใน Foot Note ตัวอย่างเช่น อับดุลอาซิส แวนาแว∗ มุฮําหมัดซากี เจ๊ะหะ∗∗ ∗นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาชะรีอะฮฺ (กฎหมายอิสลาม) คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัย อิสลามยะลา ∗∗Ph.D. (Law) อาจารย์ประจําสาขาวิชาชะรีอะฮฺ คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
บทความทั่วไปและบทความวิจัย 1.ชื่อเรื่อง 2.ผู้แต่ง 3.บทคัดย่อ 4.คําสําคัญ 5.บทนํา 6.เนื้อหา (วิธีดําเนินการวิจัยสําหรับบทความวิจัย) 7.บทสรุป (สรุปผลและอภิปรายผลการวิจัยสําหรับบทความวิจัย) 8.บรรณานุกรม
บทวิพาทษ์หนังสือ/Book Review 1.หัวข้อที่วิพาทษ์ 2.ชื่อผู้วิพาทษ์ หรือผู้ร่วมวิพาทษ์ (ถ้ามี) 3.เนื้อหาการวิพาทษ์หนังสือ 4.ข้อมูลทางบรรณานุกรม
การอ้างอิงในบทความ มีดังนี้ 1.ตัวอย่างการอ้างอัลกุรอ่านในบทความ: zอายะฮฺ อัลกุรอ่าน…………………………….……………………………{ (อัล-บะเกาะเราะห์, 73: 20). 2.ตัวอย่างการอ้างหะดีษในบทความ: “บทหะดีษ……………………………………………………………………..” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ , หะดีษเลขที:่ 2585)
2.ตัวอย่างการเขียนบรรณานุกรม: Ibn Qudamah, cAbdullah bin Ahmad. 1994. al-Mughni. Beirut: Dar al-Fikr. Ahmad Fathy. 2001. Ulama Besar Dari Patani. Bangi: Penerbit Universiti Kebangsaan Malaysia. Mohd. Lazim Lawee. 2004. Penyelewengan Jemaah Al-Arqam dan Usaha Pemurniannya. Bangi: Penerbit Universiti Kebangsaan Malaysia. นิเลาะ แวอุเซ็ง และคณะ. 2550. การจัดการศึกษาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในสามจังหวัดชายแดน ภาคใต้. วิทยาลัยอิสลามศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี
สารบัญ /ﻓﻬﺮﺱ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﳏﻤﺪ ﺳﻴﺪ ﻃﻨﻄﺎﻭﻱ ﻭﺗﺮﺟﻴﺤﺎﺗﻪ ﰲ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﻋﻦ:ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻮﺳﻴﻂ ﻟﻠﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻟﺴﻮﺭﰐ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ﻭﺍﻟﺒﻘﺮﺓ
1-13
ﺃﲪﺪ ﳒﻴﺐ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ
(ﻓﺮﺍﻧﻦ ﺗﻮﺍﻥ ﺋﻮﺭﻭ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺷﻴﺪ )ﻭﺭﻉ ﺩﺍﻥ ﺳﻮﻣﺒﺎﻏﻨﺚ ﻛﻔﺪﺍ ﻣﺸﺎﺭﻛﺔ ﻓﻄﺎﱐ ﺩﺍﱂ ﳑﺒﻴﻨﺎ ﻓﻮﺳﺔ ﻓﻐﺎﺟﲔ ﺑﺮﺑﻨﺘﻮﻕ ﻓﻨﺪﻭﻕ
15-30
31-49
ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺯﺍﻕ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺃﲪﺪ
ﻣﻔﻬﻮﻡ ﻭﲰﺎﺕ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻌﺮﺏ ﺩﺭﺍﺳﺔ
ﺗﺎﺭﳜﻴﺔ ﻭﲢﻠﻴﻠﻴﺔ
ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺗﻘﻮﱘ ﺍﻟﻘﻠﺐ
ﺇﻟﻴﺎﺱ ﺣﺴﻦ ﺍﻟﺼﺪﻳﻘﻲ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﻛﺎﺭﻳﻨﺎ ﺍﻟﺒﻨﺪﺍﺭﻱ 51-70 ﳏﻤﺪ ﺻﻼﺡ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺇﺩﺭﻳﺲ ﺍﻟﺘﺮﻧﻨﺠﻲ
ﺃﳘﻴﺔ ﺍﻻﺣﺘﺠﺎﺝ ﺑﺄﺣﺎﺩﻳﺚ ﻧﺰﻭﻝ ﻋﻴﺴﻰ ﰲ ﺁﺧﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ﺍﳌﺴﻴﺢ
ﳏﻤﺪ ﺻﻼﺡ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺇﺩﺭﻳﺲ ﺍﻟﺘﺮﻧﻨﺠﻲ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﻛﺎﺭﻳﻨﺎ ﺍﻟﺒﻨﺪﺍﺭﻱ ﺇﻟﻴﺎﺱ ﺣﺴﻦ ﺍﻟﺼﺪﻳﻘﻲ 71-87
The Role of Muslim Pathan Leader in Southern Isan of Thailand
89-99
Farida Sulaiman
การจัดการความเสี่ยงในการให้บริการวัคซีนของ หน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดปัตตานี
101-116
ณัทพล ศรีระพันธุ์ เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย สาวิตรี ลิ้มชัยอรุณเรือง
การพัฒนารูปแบบการนําเสนอรายการวิทยุคลื่น คุ ณ ธรรมเพื่ อ พั ฒ นาวิ ถี ชี วิ ต ชาวไทยมุ ส ลิ ม บน หลักการของศาสนาอิสลาม
117-127
บรรจง โซ๊ะมณี
129-141
รอยฮาน เจ๊ะหะ สุชาดา ฐิติรวีวงศ์ ชิดชนก เชิงเชาว์
การมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้เลือดออก: กรณีศึกษาตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
E-journal http://www.tci-thaijo.org/index.php/NUR_YIU/issue/archive