January-June 2009 ذواﻟﻘﻌﺪة -ﺟﻤﺎدى اﻟﺜﺎﻧﻲ 〈 1430
اﻟﻌﺪد
7
่ีฉบับท
اﻟﺴﻨﺔ
4
่ีปท
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา Al-Nur Journal The Graduate Studies of Yala Islamic University
ประธานที่ปรึกษา
ดร.อิสมาอีลลุตฟ จะปะกียา อธิการบดี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ที่ปรึกษา
ดร.อาหมัดอูมาร จะปะเกีย อ.มัสลัน มาหะมะ อ.ซาฟอี บารู อ.อับดุรรอฮฺมาน วอเดร อ.หะยีเซ็ง โตะตาหยง ดร.อับดุลฮาลิม ไซซิง อ.สุกรี หลังปูเตะ อ.ซอและห ตาเละ อ.อิบรอเฮม หะยีสาอิ อ.มูฮําหมัดนาเซร หะบาแย
รองอธิการบดีฝายวิเทศสัมพันธและกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยอิสลายะลา รองอธิการบดีฝายวิชาการ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา รองอธิการบดีฝายบริหาร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา รองอธิการบดีฝายพัฒนาศักยภาพนักศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผูชวยอธิการบดีฝายทรัพยสินและสิทธิประโยชน มหาวิทยาลัยอิสลายะลา คณบดีคณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา คณบดีคณะศิลปศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา คณบดีคณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผูอํานวยการสํานักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผูอํานวยการสถาบันอัสสาลาม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
เจาของ
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
บรรณาธิการ ผศ.ดร.มุฮําหมัดซากี เจะหะ
กองบรรณาธิการ
คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ผศ.ดร.อิบราเฮ็ม ณรงครักษาเขต อาจารยประจําวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยา เขตปตตานี ผศ.ดร.รุสลัน อุทัย หัวหนาภาควิชาภาษาตะวันออก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขต ปตตานี อ.เจะเหลาะ แขกพงศ รักษาการในตําแหนงผูอํานวยการสถาบันอิสลามและอาหรับศึกษา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร ดร.ซาการียา หะมะ รองคณบดี คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.ซอบีเราะห การียอ รองคณบดี คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อ.ซอลีฮะห หะยีสะมะแอ รองคณบดี คณะศิลปศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อ.จารุวัจน สองเมือง ผูอํานวยการสํานักบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.อัดนัน สือแม ผูอํานวยการวิทยาลัยภาษาอาหรับซีคกอซิม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.มูฮามัสสกรี มันยูนุ หัวหนาสาขาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อ.นัศรุลลอฮ หมัดตะพงศ หัวหนาสาขาวิชาอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อ.มูฮําหมัด สะมาโระ หัวหนากองกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ผูทรงคุณวุฒพ ิ ิจารณาประเมินบทความ ผูชวยศาสตราจารย ดร.ปราโมทย เงียบประเสริฐ ดร.มะรอนิง สาแลมิง ดร.มูฮามัสสกรี มันยูนุ Prof. Dr.Ahmad Moustafa Abu al-Khait Dr.Bashir Mahdi Ali Mohamed Dr.Adama Bamba
มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี
บรรณาธิการจัดการ 1.นายมาหะมะ ดาแม็ง 2.นายอับดุลยลาเตะ สาและ 3.นายฟาริด ดอเลาะ 4.นายอาสมิง เจะอาแซ
กําหนดการเผยแพร 2 ฉบับ ตอป การเผยแพร
จัดจําหนายและมอบใหหองสมุด หนวยงานของรัฐ สถาบันการศึกษาในประเทศ และตางประเทศ
สถานที่ติดตอ
บัณฑิตวิทยาลัย ชั้น 1 อาคารคณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา 135/8 หมู 3 ตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปตตานี 94160 โทร.0-7341-8614 โทรสาร 0-7341-8615, 0-7341-8616 Email: fariddoloh@gmail.com
รูปเลม
บัณฑิตวิทยาลัย
พิมพที่
โรงพิมพมิตรภาพ ถนนเจริญประดิษฐ อําเภอเมือง โทร 0-7333-1429
เลขที่ 5/49 ตําบลรูสะมิแล จังหวัดปตตานี 94000
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา จัดทําขึ้นเพื่อสงเสริมให คณาจารย นั ก วิ ช าการ และนั ก ศึ ก ษาได เ ผยแพร ผ ลงานแก ส าธารณชน อั น จะเป น ประโยชน ต อ การเพิ่ ม พู น องค ความรู และแนวปฏิ บั ติ อย างมี ประสิ ทธิ ภาพ ทั้ งนี้ บั ณฑิ ตวิ ทยาลั ย รั บพิ มพ เผยแพร วารสารวิ ชาการใน 3-4 ภาษาดวยกัน โดยมีการกําหนดบทคัดยอเปนภาษาอังกฤษและภาษาของบทความ การเขาเลม การ เรียบ เรียงบทความ หมายเลขหนา และการอาน ไดเรียบเรียงลําดับรูปแบบตามแนวการอานจากขวาไปซาย ทัศนะและขอคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้ เปนความคิดเห็นสวนตัวของผูเขียนแตละ ทาน ทางกองบรรณาธิการเปดเสรีดานความคิด และไมถือวาเปนความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
บทบรรณาธิการ มวลการสรรเสริญทั้งหลายเปนสิทธ แดเอกองคอัลลอฮฺ ที่ทรงอนุมัติใหการรวบรวมและจัดทํา วารสารฉบับนี้สําเร็จไปดวยดี ขอความสันติสุขและความโปรดปรานของอัลลอฮฺ จงประสบแดทานนบีมุฮัมมัด ผูเปนศาสนฑูต ของพระองค วารสาร อัล-นูร เปนวารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ไดจัดตีพิมพวารสารทาง วิชาการปละ 2 ฉบับ เพื่อนําเสนอองคความรูที่หลากหลายในเชิงวิชาการ จากผลงานของนักศึกษาระดับ บัณฑิตศึกษา คณาจารย ภายในมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา และจากนักวิชาการทั่วไป เพื่อเผยแพรในสิ่งที่ เปนสาระประโยชนสูสังคม วารสาร อั ล -นู ร ฉบั บ นี้ เป น ฉบั บ ที่ 7 ประจํ า ป 2552 ที่ ไ ด ร วบรวมบทความทางวิ ช าการ ประกอบดวย 3-4 ภาษาดวยกัน ทั้งนี้เพื่อเปนเอกลักษณทางดานภาษา วัฒนธรรม และความหลากหลาย บทความวิชาการที่ไดนําเสนอในวารสารฉบับนี้ประกอบดวย 7 บทความกับ 1 บทวิพากษหนังสือ (Book Review) รวบรวมจากคณาจารยและนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาทั้งภายในและภายนอกสถาบัน ที่ไดเสียสละเวลาอันมีคา เพื่อสรางสรรคองคความรูอันทรงคุณคาและมีผลประโยชนนี้ เพื่อใหบทความทางวิชาการดัง กลา ว เปนที่ยอมรับและเผยแพรสูสังคม ทางกองบรรณาธิการ วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ไดตรวจสอบบทความทางวิชาการ โดยไดรับเกียรติและ โอกาสจากบรรดาผูทรงคุณวุฒิ ในประเทศและตางประเทศทําหนาที่ประเมิน ทายที่สุดนี้ กองบรรณาธิการวารสาร ยินดีเสมอเพื่อเปดโอกาสรับการพิจารณาผลงานวิชาการ ของทุกๆ ทานที่มีความสนใจ รวมถึงคําติชม ขอเสนอแนะตางๆ ทั้งนี้เพื่อนําสูการพัฒนาในผลงานทาง วิชาการตอไป
บรรณาธิการวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย บทความทางวิชาการ
ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﻭﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ "ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ" :ﻋﺮﺽ ﻭﲢﻠﻴﻞ ﺃﲪﺪ ﳒﻴﺐ ﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﷲ
∗
ﺍﳌﻠﺨﺺ ﻳﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺇﱃ ﺇﺑﺮﺍﺯ ﺃﺣﺪ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﻳﻦ ﺍﻟﻜﺒﺎﺭ ﰲ ﳎﺎﻝ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﻫﻮ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎ ﺳﲔ ،ﻭﻛﺎﻥ ﻟﻪ ﺟﻬﻮﺩ ﺍﻟﻜﺒﲑﺓ ﻭﺇﺳﻬﺎﻣﺎﺗﻪ ﻓﻌﺎﻟﺔ ﰲ ﺧﺪﻣـﺔ ﻛﺘـﺎﺏ ﺍﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻌﺼﺮ .ﻭﻳﻌﺘﻤﺪ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﳌﻜﺘﱯ ،ﺣﻴﺚ ﰒ ﺍﻟﺮﺟـﻮﻉ ﺇﱃ ﻣﻜﺘﺒـﺔ ﺃﻛﺎﺩﳝﻴـﺔ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﻣﻼﻳﺎ ،ﻧﻴﻠﻢ ﻓﻮﺭﻱ ،ﻭﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﺍﻟﺸﺨﺼﻴﺔ ،ﻟﻴﺘﻮﺻﻞ ﰲ ﺍﻟﻨﻬﺎﻳﺔ ﺇﱃ ﻋﺪﺓ ﻧﺘﺎﺋﺞ؛ ﺃﳘﻴﺔ؛ ﺃﻭﻻ :ﻳﻌﺪ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﻣﻦ ﺍﻟﺸﺨﺼﻴﺔ ﺍﻟﺒﺎﺭﺯﺓ ﰲ ﳎﺎﻝ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﳊﺪﻳﺚ .ﻳﺎﻧﻴﺎ :ﻟﻸﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﻛﺘﺎﺏ ﻗﻴﻢ ﻧﻔﺲ ﰲ ﻫـﺬﺍ ﺍﺎﻝ ﲰﺎﻩ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ .ﻭﻗﺪ ﺳﻠﻚ ﰲ ﺇﻋﺪﺍﺩ ﻣﻨﻬﺠﺎ ﻓﺮﻳﺪﺍ ﻭﻣﺴﻠﻜﺎ ﺭﺍﺋﻌﺎ ،ﻟﻴﺲ ﻟﻐـﲑﻩ ﻣـﻦ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﻳﻦ -ﰲ ﻋﻠﻢ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ -ﻫﺬﺍ ﺍﻻﲡﺎﻩ.
∗
ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ،ﳏﺎﺿﺮ ﺃﻛﺎﺩﳝﻴﺔ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﺟﺎﻣﻌﺔ ﻣﻼﻳﺎ ،ﻧﻴﻠﻢ ﺑﻮﺭﻱ ،ﻛﻮﺗﺎ ﺑﺎﺭﻭ ،ﻛﻠﻨﱳ ،ﻣﻠﻴﺰﻳﺎ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย Abstract This article aims to discuss the biography of a muslim scholar known as Prof. Dr. Hikmat Basyir Yasin and his contribution to the development of Quranic exegesis especially in al-Tafsir bi al-Ma’thur and al-Tafsir al-Sahih. At the same time, the article analyses the methodology of Prof. Dr. Hikmat Basyir Yasin in his important book entitled “al-Tafsir al-Sahih”.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺍﳌﻘﺪﻣﺔ ﺇﻥ ﺍﻻﺷﺘﻐﺎﻝ ﺑﻌﻠﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﺍﻟﻌﻨﺎﻳﺔ ﺑﻪ ﻣﻦ ﺃﻓﻀﻞ ﺍﻷﻋﻤﺎﻝ .ﻓﻌﻠﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﺃﺟ ﹼﻞ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﻭﺃﺷﺮﻓﻬﺎ ﻟﺘﻌﻠﻘﻪ ﺑﻜﻼﻡ ﺭﺏ ﺍﻟﻌﺎﳌﲔ .ﻟﺬﺍ ﻗﺪ ﻗﺎﻡ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﻷﺟﻼﺀ ﻋﻠﻰ ﻣ ّﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ﳋﺪﻣﺔ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺑﺘﺄﻟﻴﻒ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﻭﺗﺼﻨﻴﻔﻬﺎ ﻟﻸﻣﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﺧﺘﻼﻑ ﻣﻨﺎﻫﺠﻬﻢ ﻭﻣﺬﺍﻫﺒﻬﻢ .ﻭﻫﻨﺎﻙ ﻣﻦ ﻳﻌﺘﻤﺪ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ،ﻛﻤﺎ ﺃﻥ ﻫﻨﺎﻙ ﻓﺌﺔ ﺃﺧﺮﻯ ﺗﺘﻤﺴﻚ ﺑﺎﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﻟﺮﺃﻱ .ﻭﻟﻠﻤﺪﺭﺳﺘﲔ ﺭﺟﺎﳍﻤﺎ ﻭﻋﻠﻤﺎﺅﳘﺎ. ﻭﲟﺎ ﺃﻥ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ﻫﻮ ﺍﻷﺳﺎﺱ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ،ﻓﺈﻥ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻨﻪ ﰲ ﻏﺎﻳﺔ ﻣﻦ ﺍﻷﳘﻴﺔ .ﻓﻤﻦ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﺍﳌﺘﻘﺪﻣﲔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺍﺷﺘﻬﺮﻭﺍ ﺑﺎﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ﻛﺎﻹﻣﺎﻡ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ ﺍﻟﻄﱪﻱ )ﺕ 310ﻫـ( ،ﻭﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ )ﺕ 327ﻫـ( ،ﻭﺍﻟﺒﻐﻮﻱ )ﺕ 510ﻫـ( ،ﻭﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ )ﺕ 774ﻫـ( ﻭﲨﺎﻋﺔ ﺁﺧﺮﻭﻥ .ﻭﻣﻦ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﺍﳌﺘﺄﺧﺮﻳﻦ ﻛﺎﻟﻌﻼﻣﺔ ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻟﻘﺎﲰﻲ )ﺕ 1332ﻫـ( ﻭﺍﻟﻌﻼﻣﺔ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﳏﻤﺪ ﺍﻷﻣﲔ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﳌﺨﺘﺎﺭ ﺍﻟﺸﻨﻘﻴﻄﻲ)ﺕ 1393ﻫـ(. ﻭﻫﺬﺍ ﺍﳌﻘﺎﻝ ﺳﻴﺘﻨﺎﻭﻝ ﺃﺣﺪ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﻳﻦ ﺍﻟﺬﻱ ﻟﻪ ﺟﻬﻮﺩ ﻣﺸﻜﻮﺭﺓ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﺣﻔﻈﻪ ﺍﷲ ﻭﺭﻋﺎﻩ .ﻭﻗﺪ ﺻﻨّﻒ ﻛﺘﺎﺑﺎ ﻓﺮﻳﺪﺍ ﻣﻦ ﻧﻮﻋﻪ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ،ﻭﻫﻮ "ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ" ﺍﻟﺬﻱ ﺳﻨﺘﻨﺎﻭﻝ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﻭﻣﺰﺍﻳﺎﻩ. ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺑﺎﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ: ﻭﻟﺪ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﺳﻨﺔ 1955ﻡ ﰲ ﻣﺪﻳﻨﺔ ﺍﳌﻮﺻﻞ ﺑﺎﻟﻌﺮﺍﻕ .ﻭﺣﺼﻞ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭﺍﺓ ﰲ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ )ﻓﺮﻉ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ( ﻣﻦ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺃﻡ ﺍﻟﻘﺮﻯ ﲟﻜﺔ ﺍﳌﻜﺮﻣﺔ. ﻭﻋﻤﻞ ﺃﺳﺘﺎﺫﹰﺍ ﻣﺴﺎﻋﺪﹰﺍ ﰲ ﻛﻠﻴﺔ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻭﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﺎﳉﺎﻣﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﻭﺃﻣﻴﻨﹰﺎ ﻟﻘﺴﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﺪﺓ ﺳﻨﺘﲔ ﻭﺩﺭﺱ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﻋﺪﺓ ﻛﻠﻴﺎﺕ .ﰒ ﺭﻗﻲ ﺇﱃ ﺩﺭﺟﺔ ﺃﺳﺘﺎﺫ ﻣﺸﺎﺭﻙ ﺳﻨﺔ 1410ﻫـ .ﰒ ﻋﻤﻞ ﺃﺳﺘﺎﺫﹰﺍ ﻣﺸﺎﺭﻛﹰﺎ ﰲ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﻌﻠﻴﺎ ﻭﻣﺸﺮﻓﹰﺎ ﻋﻠﻰ ﺭﺳﺎﺋﻞ ﺍﳌﺎﺟﺴﺘﲑ ﻭﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭﺍﺓ ﺑﺎﳉﺎﻣﻌﺔ ﻧﻔﺴﻬﺎ .ﰒ ﺭﻗﻲ ﺇﱃ ﺩﺭﺟﺔ ﺃﺳﺘﺎﺫ ﻣﻦ ﺍﳉﺎﻣﻌﺔ ﻧﻔﺴﻬﺎ ﻋﺎﻡ 1415ﻫـ .ﰒ ﻋﻤﻞ ﻣﺸﺮﻓﹰﺎ ﻋﻠﻰ ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﻣﺘﻮﻥ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﺸﺮﻳﻒ ﻭﻋﻠﻰ ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﺍﻟﺴﲑﺓ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﰲ ﻣﺮﻛﺰ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﺑﺎﳉﺎﻣﻌﺔ ﻧﻔﺴﻬﺎ ﻣﻊ ﺍﻹﺷﺮﺍﻑ ﻋﻠﻰ ﺭﺳﺎﺋﻞ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﻌﻠﻴﺎ .ﰒ ﻋﻤﻞ ﻣﺪﻳﺮﹰﺍ ﳌﺮﻛﺰ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻧﻴﺔ ﲟﺠﻤﻊ ﺍﳌﻠﻚ ﻓﻬﺪ ﻟﻄﺒﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺤﻒ ﺍﻟﺸﺮﻳﻒ ﻣﺪﺓ ﺳﻨﺘﲔ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﺃﻋﲑ ﺇﱃ ﻭﺯﺍﺭﺓ ﺍﻟﺸﺆﻭﻥ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﺍﻷﻭﻗﺎﻑ .ﻭﺣﺼﻞ ﻋﻠﻰ ﺇﺟﺎﺯﺓ ﰲ ﺭﻭﺍﻳﺔ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﺴﺘﺔ ﻭﺑﻌﺾ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﰲ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﳊﻨﺒﻠﻲ ﻣﻦ ﻓﻀﻴﻠﺔ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺍﻟﻌﻼﻣﺔ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺑﻦ ﻋﻘﻴﻞ ﺭﺋﻴﺲ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻟﺪﺍﺋﻤﺔ ﻠﺲ ﺍﻟﻘﻀﺎﺀ ﺍﻷﻋﻠﻰ ﺳﺎﺑﻘﹰﺎ ﰲ ﺗﺎﺭﻳﺦ 1425/4/1ﻫـ .ﰒ ﻋﻤﻞ ﺃﺳﺘﺎﺫﹰﺍ ﰲ ﻗﺴﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﻜﻠﻴﺔ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻭﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﻌﻠﻴﺎ ﺣﱴ ﺗﺎﺭﻳﺦ 1425/7/15ﻫـ .ﻭﺣﺼﻞ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﻋﻠﻰ ﺟﺎﺋﺰﺓ ﺍﻷﻣﲑ ﻧﺎﻳﻒ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﻌﺎﳌﻴﺔ ﻟﻠﺴﻨﺔ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﻭﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﺓ ﻋﺎﻡ 1426ﻫـ ﰲ ﻣﻮﺿﻮﻉ "ﻓﻘﻪ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺍﳊﻮﺍﺭ ﻣﻊ ﺍﳌﺨﺎﻟﻒ ﰲ ﺿﻮﺀ ﺍﻟﺴﻨﺔ" .ﻭﻳﻌﻤﻞ ﺍﻵﻥ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﺔ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﻮﺳﻮﻋﺎﺕ ﻭﺑﻌﺾ ﺍﻷﲝﺎﺙ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ(htpp://www.Isboo.org/ Pages/Naief_Sonaa1426_1.Htm /). ﻣﺆﻟﻔﺎﺗﻪ: ﻣﻦ ﺍﳌﺆﻟﻔﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﻛﺘﺒﻬﺎ ﻛﻤﺎ ﻳﻠﻲ: -1ﺗﻔﺴﲑ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ )ﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ ﻭﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ( -ﲢﻘﻴﻖ . -2ﻣﺮﻭﻳﺎﺕ ﺍﻟﺼﺤﺎﰊ ﺳﻠﻤﺔ ﺑﻦ ﺍﻷﻛﻮﻉ ﰲ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﺴﺘﺔ ﻭﻣﻮﻃﺄ ﻣﺎﻟﻚ ﻭﻣﺴﻨﺪ ﺃﲪﺪ – ﲨﻊ ﻭﲢﻘﻴﻖ . -3ﻣﺮﻭﻳﺎﺕ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺣﻨﺒﻞ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ – ﺑﺎﳌﺸﺎﺭﻛﺔ . -4ﺍﻟﻘﻮﺍﻋﺪ ﺍﳌﻨﻬﺠﻴﺔ ﰲ ﺍﻟﺘﻨﻘﻴﺐ ﻋﻦ ﺍﳌﻔﻘﻮﺩ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﻭﺍﻷﺟﺰﺍﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺛﻴﺔ . -5ﻓﻘﻪ ﺍﳊﻮﺍﺭ ﻣﻊ ﺍﳌﺨﺎﻟﻒ ﰲ ﺿﻮﺀ ﺍﻟﺴﻨﺔ . -6ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ،ﺍﻟﺬﻱ ﳓﻦ ﺑﺼﺪﺩ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻨﻪ. ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺑﺎﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ: ﻋﻨﻮﺍﻥ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ :ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻋﻨﻮﺍﻧﻪ "ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ" ﻛﻤﺎ ﺃﺛﺒﺖ ﻋﻠﻰ ﻏﻼﻑ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ .ﻭﺑﻌﺪ ﺍﻟﻌﻨﻮﺍﻥ ﻋﺒﺎﺭﺓ "ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺍﳌﺴﺒﻮﺭ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ" .ﻭﻛﻠﻤﺔ ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﺗﻌﲏ ﺃﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻛﺘﺎﺏ ﻋﻈﻴﻢ ﻳﺴﺘﻮﻋﺐ ﺍﻟﻘﺪﺭ ﺍﻟﻜﺒﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ. ﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﺘﺄﻟﻴﻒ: ﲢﺪﺙ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﻦ ﺍﻷﺳﺒﺎﺏ ﻭﺍﻟﻌﻮﺍﻣﻞ ﺍﻟﱵ ﺩﻋﺘﻪ ﺇﱃ ﺗﺼﻨﻴﻒ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﻣﻦ ﺃﳘﻬﺎ ﻛﻮﻥ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ﻟﻪ ﺃﳘﻴﺔ ﻛﱪﻯ ﰲ ﻓﻬﻢ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻷﻧﻪ ﺗﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﺭﺏ ﺍﻟﻌﺎﳌﲔ ﺃﻭ ﻣﻦ ﺭﺳﻮﻟﻪ ﺍﻷﻣﲔ ﺃﻭ ﺗﻔﺴﲑ ﺻﺤﺎﰊ ﺷﻬﺪ ﺍﻟﺘﱰﻳﻞ ﻭﻋﺮﻑ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ ﺃﻭ ﺗﻔﺴﲑ ﺗﺎﺑﻌﻲ ﻞ ﻣﻦ ﻣﺪﺭﺳﺔ ﺍﻟﻨﺒﻮﺓ ﻋﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﺍﻟﻨﺎﺑﻐﲔ .ﻭﺍﻟﺴﺒﺐ ﺍﻵﺧﺮ ﻣﺎ ﺻﺪﺭ ﻣﻦ ﻧﺪﺍﺀﺍﺕ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﳌﺘﻜﺮﺭﺓ ﰲ ﻛﻞ ﺯﻣﺎﻥ ﻭﻣﻜﺎﻥ ﻭﺣﺜﻬﻢ ﺍﻷﻣﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﻮﺩﺓ ﺇﱃ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ،ﻭﻏﺎﻟﺒﺎ ﻣﺎ ﻳﻮﺍﻛﺐ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻨﺪﺍﺀﺍﺕ ﺍﻟﺪﻋﻮﺓ ﻟﺘﻨﻘﻴﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﺧﻴﻞ ﺑﺄﻧﻮﺍﻋﻪ ﺃﻭ ﺗﺼﻨﻴﻒ ﺗﻔﺴﲑ ﻧﻘﻠﻲ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺛﺒﺖ ﻓﺸﻞ ﺍﳌﺪﺭﺳﺔ ﺍﻟﻌﻘﻠﻴﺔ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ. ﻫﺬﺍ ﲜﺎﻧﺐ ﻛﻮﻥ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺗﺘﻘﺒﻠﻪ ﺍﻟﻨﻔﻮﺱ ﺑﻜﻞ ﺍﻃﻤﺌﻨﺎﻥ ﻭﺗﺄﺧﺬﻩ ﺑﻘﻮﺓ ﻭﺟﺪﻳﺔ. ﻭﺻﺮﺡ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﻣﻮﻃﻦ ﺁﺧﺮ ﻣﻦ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﺍﻟﺴﺒﺐ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭ ﻭﻟﻜﻦ ﺑﻌﺒﺎﺭﺓ ﺃﻭﺿﺢ ﺣﻴﺚ ﻳﻘﻮﻝ" :ﻭﻗﺪ ﺗﻌﺎﻟﺖ ﺻﻴﺤﺎﺕ ﻟﻜﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﻐﻴﻮﺭﻳﲔ ﰲ ﺍﻷﻭﺳﺎﻁ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ ﻟﺘﻨﻘﻴﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﺧﻴﻞ ﻭﻟﺘﻤﻴﻴﺰ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻘﻴﻢ ،ﻭﻗﺪ ﺑﺬﻟﺖ ﺟﻬﻮﺩ ﻻ ﺑﺄﺱ ﺎ ﻟﻐﺮﺑﻠﺔ ﺑﻌﺾ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﺧﻴﻞ ﺧﺼﻮﺻﺎ ﰲ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﺯﻫﺮ ﻭﻟﻜﻦ ﱂ ﻳﻘﻢ ﺃﺣﺪ ﺑﻨﻘﺪ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺑﺘﻤﻴﻴﺰ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻘﻴﻢ ﺃﻭ ﲜﻤﻊ ﻣﺎ ﺃﺛﺮ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺍﳌﺴﻨﺪ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ".
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻭﺳﺎﻋﺪﻩ ﰲ ﲢﻘﻴﻖ ﺃﻣﻠﻪ ﻹﺻﺪﺍﺭ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺧﱪﺍﺗﻪ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ ﺍﻟﻄﻮﻳﻠﺔ ﰲ ﳎﺎﻝ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﲢﻀﲑ ﺍﻟﺪﺭﻭﺱ ﻭﲢﻘﻴﻖ ﺍﳌﺨﻄﻮﻃﺎﺕ ﻭﺍﻹﺷﺮﺍﻑ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺮﺳﺎﺋﻞ ﺍﻟﻜﺜﲑﺓ ﰲ ﻣﺮﺣﻠﺔ ﺍﳌﺎﺟﺴﺘﲑ ﻭﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭﺍﺓ ﻭﻣﻨﺎﻗﺸﺘﻬﺎ. ﺃﻭﺻﺎﻑ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﳏﺘﻮﻳﺎﺗﻪ: ﻗﺪﻡ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﺃﺭﺑﻌﺔ ﳎﻠﺪﺍﺕ ﻣﺘﻮﺳﻄﺔ ﺍﳊﺠﻢ .ﻭﳏﺘﻮﻳﺎﺕ ﻛﻞ ﳎﻠﺪ ﻛﻤﺎ ﻳﺄﰐ: ﺍﻠﺪ ﺍﻷﻭﻝ :ﳛﺘﻮﻱ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻘﺪﻣﺔ ﻭﻓﻴﻬﺎ ﺑﻴﺎﻥ ﺃﳘﻴﺔ ﻋﻠﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ،ﻭﻧﺒﺬﺓ ﻋﻦ ﻧﺸﺄﺓ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ،ﻭﻧﺒﺬﺓ ﻋﻦ ﻣﺮﺍﺣﻞ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ﻭﻣﻨﻬﺞ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻓﻴﻪ ،ﻭﺃﺷﻬﺮ ﺗﻔﺎﺳﲑ ﺃﺗﺒﺎﻉ ﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻭﻣﻦ ﺑﻌﺪﻫﻢ ،ﻭﺃﺷﻬﺮ ﺗﻔﺎﺳﲑ ﺍﻟﻘﺮﻥ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ ﻭﺍﻟﺮﺍﺑﻊ ،ﻭﻣﻦ ﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﺘﺄﻟﻴﻒ ﳍﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ، ﻭﺍﳌﻨﻬﺞ ﰲ ﺍﳉﻤﻊ ﻭﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﻭﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ ،ﻭﺩﺭﺍﺳﺔ ﺃﺷﻬﺮ ﺍﻟﻄﺮﻕ ﻭﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﺍﳌﺘﻜﺮﺭﺓ ،ﻭﻛﻠﻤﺔ ﺷﻜﺮ، ﻭﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ،ﻭﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ،ﻭﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ. ﺍﻠﺪ ﺍﻟﺜﺎﱐ :ﳛﺘﻮﻱ ﻋﻠﻰ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﺴﻮﺭ ﺍﻵﺗﻴﺔ :ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﻭﺍﳌﺎﺋﺪﺓ ﻭﺍﻷﻧﻌﺎﻡ ﻭﺍﻷﻋﺮﺍﻑ ﻭﺍﻷﻧﻔﺎﻝ ﻭﺍﻟﺘﻮﺑﺔ. ﺍﻠﺪ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ :ﳛﺘﻮﻱ ﻋﻠﻰ ﺗﻔﺴﲑ ﺳﻮﺭﺓ ﻳﻮﻧﺲ ﺣﱴ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺮﻗﺎﻥ. ﺍﻠﺪ ﺍﻟﺮﺍﺑﻊ :ﳛﺘﻮﻱ ﻋﻠﻰ ﺗﻔﺴﲑ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺸﻌﺮﺍﺀ ﺣﱴ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﺎﺱ. ﻭﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻠﺪ ﺳﺠﻞ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﻔﺮﺍﻍ ﻣﻦ ﺗﺄﻟﻴﻔﻪ ﻭﻫﻮ ﺻﺒﺎﺡ ﻳﻮﻡ ﺍﻷﺭﺑﻌﺎﺀ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ ﻣﻦ ﺷﻮﺍﻝ ﻣﻦ ﻋﻴﺪ ﺍﻟﻔﻄﺮ ﺍﳌﺒﺎﺭﻙ ﺳﻨﺔ ﺗﺴﻊ ﻋﺸﺮﺓ ﻭﺃﺭﺑﻌﻤﺎﺋﺔ ﻭﺃﻟﻒ ﻟﻠﻬﺠﺮﺓhtpp://www.Isboo.org/ ). (Pages/Naief_Sonaa1426_1.Htm / ﻋﺪﺩ ﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﻭﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﳍﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ: ﺑﺎﻟﻨﻈﺮ ﺇﱃ ﻓﻬﺮﺱ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺬﻱ ﺃﺛﺒﺘﻪ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺍﻠﺪ ﺍﻟﺮﺍﺑﻊ ﻳﺘﺒﲔ ﻟﻨﺎ ﺃﻥ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻗﺪ ﺭﺟﻊ ﺇﱃ 198ﻣﺼﺪﺭﺍ ﰲ ﺇﻋﺪﺍﺩﻩ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ .ﻭﺗﺸﻤﻞ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﻛﺎﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﺍﳊﺪﻳﺚ ﻭﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﻟﻠﻐﺔ ﻭﺍﻟﺘﺮﺍﺟﻢ. ﻃﺒﺎﻋﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ: ﻭﺗﻮﱃ ﻃﺒﺎﻋﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺩﺍﺭ ﺍﳌﺂﺛﺮ ﻟﻠﻨﺸﺮ ﻭﺍﻟﺘﻮﺯﻳﻊ ﻭﺍﻟﻄﺒﺎﻋﺔ ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ ﺍﳌﻨﻮﺭﺓ ﻭﻃﺒﻊ ﺍﻟﻄﺒﻌﺔ ﺍﻷﻭﱃ ﻋﺎﻡ 1419ﻫـ .ﻭﻛﺎﻧﺖ ﻃﺒﺎﻋﺔ ﺟﻴﺪﺓ ﻭﻓﺎﺧﺮﺓ. ﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ: ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﻣﻘﺪﻣﺔ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﻣﺮﻛﺰﺍ ﻋﻠﻰ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺍﳉﻤﻊ ﻭﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﻭﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ .ﻭﻋﻨﺪ ﺍﻟﺘﺄﻣﻞ ﻳﺘﻠﺨﺺ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﻓﻴﻤﺎ ﺫﻛﺮ ﰲ ﺍﻟﻨﻘﺎﻁ ﺍﻵﺗﻴﺔ:
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﲨﻊ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ ﻣﻦ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺍﳌﺘﻨﻮﻋﺔ ﻭﺍﺧﺘﻴﺎﺭ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ: ﻭﻗﺪ ﺑﺬﻝ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺟﻬﺪﺍ ﻛﺒﲑﺍ ﰲ ﲨﻊ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ ﻣﻦ ﻣﻈﺎﺎ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ .ﻭﺃﻛﺜﺮﻫﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺍﻟﻘﺪﳝﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺍﳌﺘﺪﺍﻭﻟﺔ ﻛﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻄﱪﻱ ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ،ﻭﻣﻦ ﺍﳌﻔﻘﻮﺩﺓ ﲜﻤﻊ ﻣﺮﻭﻳﺎﺕ ﺃﺷﻬﺮ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﻣﻦ ﺃﺻﺤﺎﺏ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺍﳌﻔﻘﻮﺩﺓ ﻛﺎﻹﻣﺎﻡ ﻣﺎﻟﻚ ﻭﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻲ ﻭﺃﲪﺪ ﻭﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺳﺤﺎﻕ ﻭﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺍﳌﺒﺎﺭﻙ ﻭﻭﻛﻴﻊ ﻭﺍﺑﻦ ﺧﺰﳝﺔ ﻭﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﺔ ﻭﺍﻟﻄﱪﺍﱐ ﻭﺍﻟﻔﺮﻳﺎﰊ ﻭﻋﺒﺪ ﺑﻦ ﲪﻴﺪ ﻭﻏﲑﻫﻢ .ﻭﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻜﻢ ﺍﻟﻮﻓﲑ ،ﺍﻧﺘﺨﺐ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﻨﻪ ﺍﻟﺼﻔﻮ ﻭﺍﻟﻠﺒﺎﺏ ،ﻓﺘﺮﻙ ﺍﻟﻀﻌﻴﻒ ﻭﺍﳌﻮﺿﻮﻉ .ﻭﻫﺬﺍ ﻻ ﺷﻚ ﻋﻤﻞ ﳛﺘﺎﺝ ﺇﱃ ﺍﳉﻬﺪ ﺍﻟﻜﺒﲑ ﻭﺍﳌﺜﺎﺑﺮﺓ .ﻭﻧﺴﺘﻄﻴﻊ ﺃﻥ ﻧﺮﻯ ﻫﺬﺍ ﺍﻷﻣﺮ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺍﻻﻃﻼﻉ ﺍﻟﺸﺎﻣﻞ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ. ﺗﺮﺗﻴﺐ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ ﺣﺴﺐ ﺳﻮﺭ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺁﻳﺎﺗﻪ: ﻭﻫﺬﺍ ﺍﳌﺴﻠﻚ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻨﺘﻬﺠﻪ ﻋﺎﻣﺔ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺣﺴﺐ ﺍﻟﺴﻮﺭ ﻭﺍﻵﻳﺎﺕ ﺇﻻ ﺃﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻻ ﻳﺸﻤﻞ ﻛﻞ ﺁﻳﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ،ﻭﻫﻨﺎﻙ ﺁﻳﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﱂ ﻳﺮﺩ ﺗﻔﺴﲑﻫﺎ ﻟﻮﺿﻮﺡ ﻣﻌﺎﻧﻴﻬﺎ ﻛﻤﺎ ﺃﺷﺎﺭ ﺇﻟﻴﻪ ﺍﳌﺆﻟﻒ. ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺑﺎﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻋﺘﻤﺎﺩﺍ ﻋﻠﻰ ﻛﺘﺎﺏ ﺃﺿﻮﺍﺀ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﰒ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺎﲰﻲ: ﺇﻥ ﺃﺣﺴﻦ ﻃﺮﻕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺃﻥ ﻳﻔﺴﺮ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺑﺎﻟﻘﺮﺁﻥ ﺃﻭﻻ .ﻓﻤﺎ ﺃﲨﻞ ﰲ ﻣﻜﺎﻥ ﻓﺈﻧﻪ ﻗﺪ ﻓﺴﺮ ﰲ ﻣﻮﺿﻊ ﺁﺧﺮ ،ﻭﻣﺎ ﺍﺧﺘﺼﺮ ﰲ ﻣﻜﺎﻥ ﻓﻘﺪ ﺑﺴﻂ ﰲ ﻣﻮﺿﻊ ﺁﺧﺮ .ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻄﺮﻳﻘﺔ ﺍﻷﻭﱃ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻛﻤﺎ ﺃﺷﺎﺭ ﺇﻟﻴﻪ ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ ﻭﻏﲑﻩ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ).ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ ،1979 ،ﺹ .(93 :ﻭﻗﺪ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ :ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻳﻔﺴﺮ ﺑﻌﻀﻪ ﺑﻌﻀﺎ .ﻭﻫﺬﺍ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﺗﻀﺢ ﺟﻠﻴﺎ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ .ﻓﻘﺪ ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺭﻭﺍﻳﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﺣﻮﻝ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺑﺎﻟﻘﺮﺁﻥ .ﻭﺍﺧﺘﺎﺭ ﺃﻥ ﻳﻌﺘﻤﺪ ﻋﻠﻰ ﻛﺘﺎﺏ ﺃﺿﻮﺍﺀ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﻟﻠﻌﻼﻣﺔ ﳏﻤﺪ ﺍﻷﻣﲔ ﺍﻟﺸﻨﻘﻴﻄﻲ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ ﺃﻭﻻ .ﻓﻠﻌﻞ ﺍﻷﻣﺮ ﺭﺍﺟﻊ ﺇﱃ ﻛﻮﻥ ﺃﺿﻮﺍﺀ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﺃﻛﺜﺮ ﺑﻴﺎﻧﺎ ﻭﺗﻮﺿﻴﺤﺎ ﻟﻼﺭﺗﺒﺎﻃﺎﺕ ﺑﲔ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺑﺎﳌﻘﺎﺭﻧﺔ ﻣﻊ ﻏﲑﻩ ).ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﻓﻬﺪ ﺍﻟﺮﻭﻣﻲ ،1986 ،ﺹ (146/1 :ﻭﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺃﻋﻠﻢ. ﺗﻘﺪﱘ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﺍﺗﻔﻖ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻟﺸﻴﺨﺎﻥ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ﻭﻣﺴﻠﻢ ﰲ ﺻﺤﻴﺤﻴﻬﻤﺎ ﰒ ﻣﺎ ﺍﻧﻔﺮﺩ ﺑﻪ ﺃﺣﺪﳘﺎ ﻭﻋﺪﻡ ﲣﺮﻳﺞ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻣﻦ ﻣﺼﺎﺩﺭ ﺃﺧﺮﻯ ﻣﺎ ﺩﺍﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻣﺬﻛﻮﺭﺍ ﰲ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔ ﺃﻭ ﰲ ﺃﺣﺪﳘﺎ ﻷﻥ ﺍﳍﺪﻑ ﺍﻟﺘﻮﺻﻞ ﺇﱃ ﺻﺤﺔ ﺍﳊﺪﻳﺚ :ﻗﺪ ﺗﻘﺮﺭ ﻟﺪﻯ ﺍﻷﻣﺔ ﺃﻥ ﺃﺻﺢ ﻛﺘﺎﺏ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺻﺤﻴﺢ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ﺃﻭ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ،ﰒ ﺻﺤﻴﺢ ﻣﺴﻠﻢ .ﻓﻜﻼﳘﺎ ﻣﺮﺟﻌﺎﻥ ﺃﺳﺎﺳﻴﺎﻥ ﳍﺬﻩ ﺍﻷﻣﺔ ﺑﻌﺪ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ ،ﻭﻟﻴﺴﺎ ﻟﻠﺘﻔﺴﲑ ﻓﺤﺴﺐ ،ﺑﻞ ﳉﻤﻴﻊ ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﻭﺍﻷﺣﻜﺎﻡ .ﻓﺎﻟﺼﺤﻴﺤﺎﻥ ﻳﺴﺘﺤﻘﺎﻥ ﺍﻟﺘﻘﺪﱘ ﻭﺍﻟﻌﻨﺎﻳﺔ ﺧﺼﻮﺻﺎ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻛﻼﻡ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺫﻛﺮﻩ. ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﻋﺪﻡ ﺍﻟﻌﺜﻮﺭ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﰲ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔ ﺃﻭ ﰲ ﺃﺣﺪﳘﺎ ﳉﺄ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺇﱃ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﻋﻠﻮﻡ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﳌﺴﻨﺪﺓ ﻛﻔﻀﺎﺋﻞ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﱰﻭﻝ ﻭﺍﻟﻨﺎﺳﺦ ﻭﺍﳌﻨﺴﻮﺥ ﻭﺇﱃ ﻛﺘﺐ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺍﻟﺼﺤﺎﺡ ﻭﺍﻟﺴﻨﻦ ﻭﺍﳌﺴﺎﻧﻴﺪ ﻭﺍﳌﺼﻨﻔﺎﺕ ﻭﺍﳉﻮﺍﻣﻊ ﻭﻏﲑﻫﺎ ﻣﻦ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺴﲑﺓ ﻭﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﺍﳌﺴﻨﺪﺓ ﻣﺒﺘﺪﺋﺎ ﺑﺎﻷﻋﻠﻰ ﺳﻨﺪﺍ ﺃﻭ ﲟﺎ ﺣﻜﻢ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻷﺋﻤﺔ ﺍﻟﻨﻘﺎﺩ ﺍﳌﻌﺘﻤﺪﻭﻥ. ﻭﲨﻠﺔ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﰲ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔ ﻓﻴﻤﺎ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﺑﺎﻟﺘﻔﺴﲑ ﱂ ﺗﻜﻦ ﻛﺒﲑﺓ).ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ، ،1988ﺹ .(617 :ﻟﺬﺍ ﳛﺘﺎﺝ ﺍﻷﻣﺮ ﺇﱃ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻦ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺃﻭ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﰲ ﻛﺘﺐ ﺃﺧﺮﻯ ﻛﻤﺎ ﺻﺮﺡ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺑﺬﻟﻚ .ﻭﻣﻊ ﺻﻌﻮﺑﺔ ﺍﻟﺮﺟﻮﻉ ﺇﱃ ﺗﻠﻚ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻓﺈﻥ ﺍﺳﺘﺌﻨﺎﺱ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺑﺎﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﺍﻟﱵ ﻗﺪ ﺣﻜﻢ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﻟﻨﻘﺎﺩ ﺍﳌﻌﺘﱪﻭﻥ ﻗﺪ ﺳﺎﻋﺪﻩ ﻛﺜﲑﺍ ﰲ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺻﺤﺔ ﺍﻟﺴﻨﺪ ﺃﻭ ﻋﺪﻣﻪ .ﻭﻫﺬﻩ ﺍﻟﻄﺮﻳﻘﺔ ﰲ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﳑﺎ ﻳﻮﻓﺮ ﺍﳉﻬﺪ ﻭﺍﻟﻮﻗﺖ. ﲣﺮﻳﺞ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﲣﺮﳚﺎ ﻳﻮﺻﻞ ﺇﱃ ﺻﺤﺔ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﺃﻭ ﺣﺴﻨﻪ ﻣﺴﺘﺄﻧﺴﺎ ﲝﻜﻢ ﺍﻟﻨﻘﺎﺩ ﺍﳉﻬﺎﺑﺬﺓ: ﻫﺬﺍ ﳑﺎ ﺍﻧﺘﻬﺠﻪ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ،ﻭﳘﻪ ﺍﻟﻮﺻﻮﻝ ﺇﱃ ﺩﺭﺟﺔ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺻﺤﺔ ﻭﺿﻌﻔﺎ .ﻭﻗﺪ ﺳﺒﻖ ﺃﳘﻴﺔ ﺍﻟﺮﺟﻮﻉ ﺇﱃ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﻨﻘﺎﺩ ﺍﳌﻌﺘﻤﺪﻳﻦ ﺍﺧﺘﺼﺎﺭﺍ ﻟﻠﻄﺮﻳﻖ ﻭﺍﺳﺘﻔﺎﺩﺓ ﻣﻦ ﺃﻋﻤﺎﻝ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﲔ. ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﻋﺪﻡ ﻭﺟﻮﺩ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﳌﺮﻓﻮﻋﺔ ﳉﺄ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺇﱃ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺷﻬﺪﻭﺍ ﺍﻟﺘﱰﻳﻞ ﻭﺃﻭﺭﺩ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﺭﺿﻮﺍﻥ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺑﺄﺻﺢ ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﻋﻨﻬﻢ ،ﻭﺇﺫﺍ ﱂ ﻳﻌﺜﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﻠﻰ ﻗﻮﻝ ﺻﺤﺎﰊ ﳉﺄ ﺇﱃ ﻣﺎ ﺛﺒﺖ ﻣﻦ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ: ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ ﰲ ﻫﺬﺍ" :ﻭﺣﻴﻨﺌﺬ ﺇﺫﺍ ﱂ ﲡﺪ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﻻ ﰲ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﺭﺟﻌﺖ ﰲ ﺫﻟﻚ ﺇﱃ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ،ﻓﺈﻢ ﺃﺩﺭﻯ ﺑﺬﻟﻚ ﳌﺎ ﺷﺎﻫﺪﻭﺍ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ،ﻭﺍﻷﺣﻮﺍﻝ ﺍﻟﱵ ﺍﺧﺘﺼﻮﺍ ﺎ"... )ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ ،1979 ،ﺹ(93 : ﻗﺪﻡ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﻭﺍﻟﻄﺮﻕ ﺍﳌﺘﻜﺮﺭﺓ ﻷﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﰲ ﺍﳌﻘﺪﻣﺔ ﻭﻃﻮﻝ ﺍﻟﻨﻔﺲ ﰲ ﺫﻛﺮﻫﺎ ﻭﺫﻟﻚ ﻟﺒﻴﺎﻥ ﻣﻮﺿﻊ ﺍﳊﻜﻢ ﻋﻠﻰ ﺻﺤﺘﻬﺎ ﻭﺣﺴﻨﻬﺎ: ﻭﺗﻠﻚ ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ :ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﻋﻦ ﺃﰊ ﺑﻦ ﻛﻌﺐ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ،ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ،ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﻋﻦ ﻋﻄﺎﺀ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺭﺑﺎﺡ ،ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﻋﻦ ﻋﻜﺮﻣﺔ ،ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﻋﻦ ﻗﺘﺎﺩﺓ ،ﻭﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﻋﻦ ﳎﺎﻫﺪ .ﺇﻥ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﺍﻟﱵ ﻗﺪﻣﻬﺎ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﻧﻈﺮﻱ ﻣﻦ ﺃﻫﻢ ﻣﺰﺍﻳﺎ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ .ﻓﻜﺄﻥ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺃﺭﺍﺩ ﺃﻥ ﻳﺘﺄﺳﻰ ﲟﻦ ﺳﺒﻘﻪ ﻣﻦ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﲔ ﺃﻣﺜﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ ﻭﺍﻟﺒﻐﻮﻱ ،ﻓﻘﺪ ﺫﻛﺮ ﺃﺳﺎﻧﻴﺪﳘﺎ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﻣﻘﺪﻣﺔ ﺗﻔﺴﲑﻳﻬﻤﺎ ،ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﰲ ﺍﻟﻌﺠﺎﺏ ﰲ ﺑﻴﺎﻥ ﺍﻷﺳﺒﺎﺏ .ﻭﺃﺫﻛﺮ ﻫﻨﺎ ﺃﳘﻴﺔ ﺫﻛﺮ ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﰲ ﻣﻘﺪﻣﺔ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ" :ﻭﺇﳕﺎ ﻗﺪﻣﺖ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻘﺪﻣﺔ ﻟﻴﺴﻬﻞ ﺍﻟﻮﻗﻮﻑ ﻋﻠﻰ ﺃﻭﺻﺎﻓﻬﻢ ﳌﻦ ﺗﺼﺪﻯ ﻟﻠﺘﻔﺴﲑ ،ﻓﻴﻘﺒﻞ ﻣﻦ ﻛﺎﻥ ﺃﻫﻼ ﻟﻠﻘﺒﻮﻝ ،ﻭﻳﺮﺩ ﻣﻦ ﻋﺪﺍﻩ ،ﻭﻳﺴﺘﻔﺎﺩ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ ﲣﻔﻴﻒ ﺣﺠﻢ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻟﻘﻠﺔ ﺍﻟﺘﻜﺮﺍﺭ ﻓﻴﻪ").ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ ،ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ،1997 ،ﺹ) ،(174 :ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ، ،1997ﺹ(221 :
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻭﺃﻣﺎ ﻣﻨﻬﺞ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ ﻓﻬﻮ ﻛﻤﺎ ﻳﻠﻲ: ﺧﺘﺼﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻛﺘﻔﺎﺀ ﺑﺬﻛﺮ ﺍﲰﻪ ﻓﻘﻂ ﺩﻭﻥ ﺫﻛﺮ ﺍﻟﺼﻔﺤﺔﻭﺍﳉﺰﺀ ﺧﻮﻓﺎ ﻣﻦ ﺇﻃﺎﻟﺔ ﺍﳊﻮﺍﺷﻲ .ﻭﺃﻣﺎ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﺍﻷﺧﺮﻯ ﻓﻘﺪ ﺃﻭﺭﺩﻫﺎ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺑﺬﻛﺮ ﺃﲰﺎﺋﻬﺎ ﻣﻊ ﺍﳉﺰﺀ ﻭﺍﻟﺼﻔﺤﺔ ،ﻭﺍﻟﺒﺎﺏ ﻭﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﺇﻥ ﺗﻌﺪﺩﺕ ﺍﻟﻄﺒﻌﺎﺕ .ﻭﻫﺬﺍ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﰲ ﻛﻞ ﺳﻮﺭﺓ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺇﻻ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ﻟﻜﺜﺮﺓ ﺍﻹﺣﺎﻟﺔ ﺇﱃ ﻏﲑ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ. ﺧﺘﺼﺎﺭ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ ﺭﺟﺎﻝ ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﻭﺧﺼﻮﺻﺎ ﺇﺫﺍ ﺗﻘﺪﻡ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻨﻬﻢ ﰲ ﲢﻘﻴﻖ ﺍﳌﺆﻟﻒﻟﺘﻔﺴﲑ ﺳﻮﺭﰐ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ ﻭﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﻣﻦ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ .ﻭﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ ﺳﻨﺪ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ ﺇﱃ ﺍﻟﺴﺪﻱ ﻭﺳﻨﺪﻩ ﺇﱃ ﻣﻘﺎﺗﻞ ﺑﻦ ﺣﻴﺎﻥ. ﻻﻛﺘﻔﺎﺀ ﺑﺘﻔﺴﲑﻱ ﺍﻟﻄﱪﻱ ﺃﻭ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ ﺃﻭ ﺑﻜﻠﻴﻬﻤﺎ ﰲ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻷﺣﻴﺎﻥ ﻟﺸﻤﻮﳍﻤﺎﻭﻻﺧﺘﺼﺎﺭ ﺗﻌﺪﺩ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ. ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﺗﻜﺮﺭ ﺍﻟﻜﻠﻤﺔ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﳝﻜﻦ ﺍﻟﺮﺟﻮﻉ ﺇﱃ ﺗﻔﺴﲑﻫﺎ ﻋﻨﺪ ﺃﻭﻝ ﻭﺭﻭﺩﻫﺎ.ﻓﻤﺜﻼ ﻟﻔﻆ )ﺣﻜﻴﻢ( ﺗﻜﺮﺭﺕ ) (96ﻣﺮﺓ ﻭﻭﺭﺩ ﺗﻔﺴﲑﻫﺎ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ﻋﻨﺪ ﺍﻵﻳﺔ ﺭﻗﻢ ) (32ﻓﻼ ﺩﺍﻋﻲ ﻟﺘﻜﺮﺍﺭ ﺍﻹﺣﺎﻟﺔ ﻟﻜﺜﺮﺎ. ﺍﺳﺘﻌﻤﻞ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻃﺮﻳﻘﺔ ﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ ﰲ ﺍﻟﻜﻠﻤﺎﺕ :ﺍﻷﻣﺜﻠﺔ :ﻛﺘﺎﺏ :ﻙ ،ﺑﺎﺏ :ﺏ ،ﳐﻄﻮﻁ:ﺥ ،ﻟﻮﺣﺔ :ﻝ. ﻭﻣﻦ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ ﻋﺪﻡ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﻻ ﲢﺘﺎﺝ ﺇﱃ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻟﻮﺿﻮﺡ ﻣﻌﻨﺎﻫﺎ،ﻭﻛﺬﺍ ﺁﻳﺎﺕ ﺍﻟﺼﻔﺎﺕ ﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ. ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ ﻭﻣﻮﻗﻒ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﻨﻬﺎ: ﺳﺒﻖ ﺃﻥ ﺗﻜﻠﻤﻨﺎ ﻋﻦ ﻣﻨﻬﺞ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺍﻟﺬﻱ ﺭﲰﻪ ﻟﻨﻔﺴﻪ ﰲ ﺇﻋﺪﺍﺩ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﺍﳉﻤﻊ ﻭﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﻭﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ .ﻭﺗﺒﻘﻰ ﻣﻌﻨﺎ ﺟﻮﻟﺔ ﻋﻠﻤﻴﺔ ﻣﻊ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻟﻨﺘﻌﺮﻑ ﻋﻠﻰ ﻧﻮﻋﻴﺔ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ ﻭﻣﻮﻗﻒ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﻨﻬﺎ .ﻭﺳﻴﺪﻭﺭ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﺣﻮﻝ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﻓﻀﺎﺋﻞ ﺍﻟﺴﻮﺭ ،ﻭﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ، ﻭﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﱰﻭﻝ ،ﻭﺍﻟﻨﺎﺳﺦ ﻭﺍﳌﻨﺴﻮﺥ ،ﻭﺍﻟﻘﺮﺍﺀﺍﺕ ،ﻭﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ،ﻭﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻔﻘﻬﻴﺔ ،ﻭﺍﻟﻘﺼﺺ ﻭﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﺍﻟﺴﺎﻟﻔﺔ. -1ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﻓﻀﺎﺋﻞ ﺍﻟﺴﻮﺭ ﺍﻫﺘﻢ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺑﺴﺮﺩ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﰲ ﻓﻀﺎﺋﻞ ﺍﻟﺴﻮﺭ .ﻭﺍﻟﺴﻮﺭ ﺍﻟﱵ ﺫﻛﺮ ﻓﻀﺎﺋﻠﻬﺎ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ﻭﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ﻭﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ ﻭﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﻭﺍﻷﻧﻌﺎﻡ ﻭﺍﻷﻋﺮﺍﻑ ﻭﺍﻹﺳﺮﺍﺀ ﻭﺍﻟﻜﻬﻒ ﻭﺍﳌﻠﻚ ﻭﺍﻟﺘﻜﻮﻳﺮ ﻭﺍﻟﻜﺎﻓﺮﻭﻥ ﻭﺍﻹﺧﻼﺹ ﻭﺍﻟﻔﻠﻖ ﻭﺍﻟﻨﺎﺱ .ﻭﺇﻥ ﺍﻗﺘﺼﺎﺭ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﻠﻰ ﺫﻛﺮ ﻓﻀﺎﺋﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻮﺭ ﺩﻭﻥ ﻏﲑﻫﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻮﺭ ﺍﻷﺧﺮﻯ ﻳﺸﲑ ﺇﱃ ﺃﻣﺮ ﻣﻬﻢ ،ﻓﻜﺄﻥ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻳﺮﻯ ﺃﻥ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﰲ ﻓﻀﺎﺋﻞ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺍﻟﺴﻮﺭ ﺍﻟﱵ ﱂ ﻳﺬﻛﺮﻫﺎ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻓﻬﻲ ﱂ ﺗﺒﻠﻎ ﺩﺭﺟﺔ ﺍﻟﺼﺤﺔ ﺃﻭ ﺍﳊﺴﻦ ﻋﻨﺪﻩ .ﻟﺬﺍ ﺃﻋﺮﺽ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﻦ ﺫﻛﺮﻫﺎ .ﻭﺍﷲ ﺃﻋﻠﻢ)1.ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ ،1979 ،ﺹ.(76 : -2ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ﺑﲔ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﻮﻗﻔﻪ ﻣﻦ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ﻋﻨﺪ ﻣﺎ ﻓﺴﺮ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ { .zAﻓﻘﺎﻝ" :ﻭﻗﺪ ﺗﻮﻗﻒ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺔ ﻭﻏﲑﻫﺎ ﻣﻦ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ﲨﻊ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻛﺎﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪﻳﻦ ﺭﺿﻮﺍﻥ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﻭﻏﲑﻫﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻭﺃﺗﺒﺎﻋﻬﻢ ،ﻭﱂ ﻳﺜﺒﺖ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﺃﻧﻪ ﻓﺴﺮﻫﺎ ،ﻓﻴﺴﺘﺤﺴﻦ ﺃﻥ ﻧﻘﻮﻝ :ﺍﷲ ﺃﻋﻠﻢ ﺑﺎﳌﺮﺍﺩ ﻣﻨﻬﺎ ،ﻭﻟﻜﻦ ﺛﺒﺖ ﻋﻦ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻭﺃﺗﺒﺎﻋﻬﻢ ﺃﻢ ﺑﻴﻨﻮﺍ ﺗﻔﺴﲑﻫﺎ ﻭﺍﺧﺘﻠﻔﻮﺍ ﻓﻴﻪ "...ﰒ ﺳﺎﻕ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﺎ ﺛﺒﺖ ﻋﻨﻬﻢ ﻣﻦ ﺍﻷﻭﺟﻪ ﺍﻵﺗﻴﺔ: ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻷﻭﻝ :ﺃﺎ ﻗﺴﻢ ﺃﻗﺴﻢ ﺍﷲ ﺑﻪ ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﺃﲰﺎﺋﻪ ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻟﺜﺎﱐ :ﺃﺎ ﻓﻮﺍﺗﺢ ﻳﻔﺘﺢ ﺍﷲ ﺎ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ :ﺃﺎ ﺍﺳﻢ ﻣﻦ ﺃﲰﺎﺀ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻟﺮﺍﺑﻊ :ﺃﺎ ﺍﺳﻢ ﻣﻦ ﺃﲰﺎﺀ ﺍﷲ ﻭﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﻣﻨﻬﺠﻪ – ﺣﻔﻈﻪ ﺍﷲ – ﺃﻧﻪ ﺫﻛﺮ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﺛﺒﺘﺖ ﻋﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﰲ ﺑﻴﺎﻥ ﻣﻌﺎﱐ ﺗﻠﻚ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﻭﺟﻪ ﺍﻟﱵ ﺫﻛﺮﻫﺎ ﻛﻤﺎ ﰲ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {،2ze{ ،zA {\ ،zﻭ { zAﻭ{ .zAﻭﱂ ﻳﺒﺪ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺭﺃﻳﻪ ﲡﺎﻩ ﺗﻔﺎﺳﲑ ﻫﺆﻻﺀ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻟﻠﺤﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ﻭﱂ ﻳﻌﻠﻖ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻛﺘﻔﺎﺀ ﲟﺎ ﻗﺪ ﺻﺮﺡ ﰲ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ { zAﰲ ﺑﺪﺍﻳﺔ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ﺃﻥ ﺍﻟﺘﻮﻗﻒ ﰲ ﺫﻟﻚ ﺃﺳﻠﻢ .ﻭﺍﷲ ﺃﻋﻠﻢ ﲟﺮﺍﺩﻫﺎ .ﻭﻳﻈﻬﺮ ﻣﻦ ﺻﻨﻴﻌﻪ ﻫﺬﺍ ﺃﻥ ﺻﺤﺔ ﺍﻟﺴﻨﺪ ﺃﻭ ﺛﺒﻮﺗﻪ ﺇﱃ ﺍﻟﺼﺤﺎﰊ ﺃﻭ ﺍﻟﺘﺎﺑﻌﻲ ﰲ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻘﻀﻴﺔ ﻻ ﻳﻌﲏ ﺻﺤﺔ ﺍﳌﻌﲎ ﺃﻭ ﻗﺒﻮﻟﻪ .ﻓﻤﺎ ﺩﺍﻡ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﱂ ﻳﺒﲔ ﻣﻌﺎﱐ ﺗﻠﻚ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ﻓﻠﻴﺲ ﻷﺣﺪ ﺍﳋﻮﺽ ﻓﻴﻬﺎ ﺑﺮﺃﻳﻪ . -3ﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﱰﻭﻝ ﺇﻥ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺳﺒﺐ ﻧﺰﻭﻝ ﺍﻵﻳﺔ ﻣﻦ ﺍﻷﻣﻮﺭ ﺍﳌﻬﻤﺔ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺇﺫ ﻳﺘﻮﻗﻒ ﻓﻬﻢ ﺍﻵﻳﺔ ﻋﻠﻰ ﺳﺒﺐ ﻧﺰﻭﳍﺎ ﺇﻥ ﻛﺎﻥ ﳍﺎ ﺳﺒﺐ .ﻭﺳﺒﺐ ﺍﻟﱰﻭﻝ ﻣﺒﲏ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﻘﻞ ﻭﺍﻟﺴﻤﺎﻉ) .ﺍﻟﻮﺍﺣﺪﻱ ،ﺃﺑﻮ ﺍﳊﺴﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ،1411،ﺹ .(8 :ﻓﻘﺪ ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﺭﻭﺍﻳﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﻋﻦ ﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﱰﻭﻝ .ﻣﻨﻬﺎ ﺳﺒﺐ ﻧﺰﻭﻝ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {T S
zZ Y X W V U
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ(113 :9 ،
1ﻭﻟﻠﻌﻠﻢ ﺃﻥ ﻫﻨﺎﻙ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﻣﻮﺿﻮﻋﺔ ﰲ ﻓﻀﺎﺋﻞ ﺳﻮﺭ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺳﻮﺭﺓ ﺳﻮﺭﺓ ﻛﻤﺎ ﻳﺮﻭﻳﻪ ﺍﻟﺜﻌﻠﱯ ﻭﺍﻟﻮﺍﺣﺪﻱ ﻭﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ ﰲ ﺗﻔﺎﺳﲑﻫﻢ ،ﻭﻫﻲ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﻣﻮﺿﻮﻋﺔ ﺑﺎﺗﻔﺎﻕ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ. 2ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﺎ ﺃﺧﺮﺟﻪ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺯﺍﻕ ﺑﺴﻨﺪﻩ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﻋﻦ ﻗﺘﺎﺩﺓ ﻭﺍﳊﺴﻦ ﰲ ﻗﻮﻟﻪ )ﻃﻪ( ﻗﺎﻻ :ﻳﺎ ﺭﺟﻞ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻭﺃﻭﺭﺩ ﺣﺪﻳﺚ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﺍﳌﺴﻴﺐ ﻋﻦ ﺃﺑﻴﻪ ﰲ ﻗﺼﺔ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻣﻊ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﻭﻗﻮﻟﻪ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻟﻪ :ﻷﺳﺘﻐﻔﺮﻥ ﻟﻚ ﻣﺎ ﱂ ﺃﻧﻪ ﻋﻨﻚ .ﻓﱰﻟﺖ ﺍﻵﻳﺔ. ﻭﻣﻨﻬﺎ ﺳﺒﺐ ﻧﺰﻭﻝ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ { zB A
)ﺳﻮﺭﺓ ﻋﺒﺲ(1: 80 ، ﺣﻴﺚ ﺫﻛﺮ ﺣﺪﻳﺚ ﻋﺎﺋﺸﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ ﺃﺎ ﻗﺎﻟﺖ :ﺃﻧﺰﻝ )ﻋﺒﺲ ﻭﺗﻮﱃ( ﰲ ﺍﺑﻦ ﺃﻡ ﻣﻜﺘﻮﻡ ﺍﻷﻋﻤﻰ ،...ﻭﺳﺒﺐ ﻧﺰﻭﻝ ،ﺣﻴﺚ ﺃﻭﺭﺩ ﺣﺪﻳﺚ ﺟﻨﺪﺏ ﺑﻦ ﺳﻔﻴﺎﻥ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ. {z l k j i h ، f e d ،b
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻀﺤﻰ(3-1 :93 ،
-4ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﺎﺳﺦ ﻭﺍﳌﻨﺴﻮﺥ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺑﺎﻟﻨﺎﺳﺦ ﻭﺍﳌﻨﺴﻮﺥ ﺃﻣﺮ ﺿﺮﻭﺭﻱ ﻟﻠﻔﻘﻴﻪ ،ﻭﺍﳌﻔﱵ ﻭﺍﳌﻔﺴﺮ ﺇﺫ ﻻ ﳚﻮﺯ ﻷﺣﺪ ﺃﻥ ﻳﺘﺼﺪﻯ ﻟﺸﻲﺀ ﻣﻦ ﺍﻟﻔﺘﻴﺎ ﺃﻭ ﻳﻘﺪﻡ ﻋﻠﻰ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺇﻻ ﺑﻌﺪ ﺍﻹﺣﺎﻃﺔ ﺑﺎﻟﻨﺎﺳﺦ ﻭﺍﳌﻨﺴﻮﺥ) ،ﺧﺎﻟﺪ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﺍﻟﺴﺒﺖ،1421 ،ﺹ .(727/2 :ﻭﻗﺪ ﺳﺮﺩ ﺍﳌﻔﺴﺮ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺣﻮﻝ ﻫﺬﺍ ﺍﳉﺎﻧﺐ .ﻓﻌﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {zy x w v u t
ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺭﻭﺍﻳﺔ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﻠﺤﺔ :ﻧﺴﺦ ﺫﻟﻚ ﻛﻠﻪ ﺑﻘﻮﻟﻪ { | } ~ z
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(109 :2 :
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ(5 :9 ،
ﻭﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ { ztsrqponmﺇﱃ ﻗﻮﻟﻪ ) (ihﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ ،ﻓﻨﺴﺦ ﻫﺬﺍ. ﻭﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {) ،zÒÑÐÏÎﺳﻮﺭﺓ ﺍﻷﻧﻔﺎﻝ ،(61 :8 ،ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺭﻭﺍﻳﺔ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ :ﻧﺴﺨﺘﻬﺎ {.zqponm ﻭﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ { ،z..lkjﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺭﻭﺍﻳﺔ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ: {) zgfedcﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ znmlk{ ،(39 :9 ،ﺇﱃ ﻗﻮﻟﻪ{) zxﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ (121-120 :9 ،ﻧﺴﺨﺘﻬﺎ ﺍﻵﻳﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻠﻴﻬﺎ {¼»º¹ ½) zﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ.(122 :9 ،
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
-4ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺍﻟﻘﺮﺍﺀﺍﺕ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻛﺎﻥ ﻟﻪ ﻋﻨﺎﻳﺔ ﺑﺈﻳﺮﺍﺩ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﳌﺘﻌﻠﻘﺔ ﺑﺎﻟﻘﺮﺍﺀﺍﺕ .ﻓﻨﺮﻯ ﻣﺜﻼ ﺃﻧﻪ ﺫﻛﺮ ﺣﺪﻳﺜﺎ ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ ﻋﻦ ﻭﺟﻮﻩ ﺍﻟﻘﺮﺍﺀﺓ ﰲ )ﻣَﻠﻚ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﺪﻳﻦ( ،ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﺍﳌﺴﻴﺐ ﻗﺎﻝ :ﻛﺎﻥ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﻭﻋﻤﺮ ﻭﻋﺜﻤﺎﻥ ﻳﻘﺮﺅﻭﻥ {ﻣﻠﻚ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﺪﻳﻦ zﻭﺃﻭﻝ ﻣﻦ ﻗﺮﺃﻫﺎ {ﻣَﻠﻚ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﺪﻳﻦ zﻣﺮﻭﺍﻥ .ﻭﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {) zGFEDCBﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ،(106 :2 ،ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻗﺮﺍﺀﺓ ﺛﺎﻧﻴﺔ )ﻧﻨﺴﺄﻫﺎ( ﻛﻤﺎ ﰲ ﺣﺪﻳﺚ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺍﳋﻄﺎﺏ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ .ﻭﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {) z§¦¥¤£ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻜﻮﻳﺮ ،(24 :81 ،ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺭﻭﺍﻳﺔ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ ﺑﺴﻨﺪ ﺻﺤﻴﺢ :ﻛﺎﻥ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﻳﻘﺮﺃ {§ zﻗﺎﻝ :ﻭﺍﻟﻀﻨﲔ ﻭﺍﻟﻈﻨﲔ ﺳﻮﺍﺀ. -5ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﻭﻣﻦ ﺿﻤﻦ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﺍﺷﺘﻤﻞ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺭﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺃﻣﻮﺭ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﻭﻣﺴﺎﺋﻠﻬﺎ .ﻓﻨﺮﻯ ﻣﺜﻼ ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {) z|{zyxwvuﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ،(108 :2 ،ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﺪﺓ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﻋﻦ ﺧﺼﺎﻝ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻭﺷﻌﺒﻪ ﻭﻧﺒّﻪ ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﻫﻨﺎﻙ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﻛﺜﲑﺓ ﺟﺪﺍ ﰲ ﺧﺼﺎﻝ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻭﺷﻌﺒﻪ ،ﻭﺃﺷﺎﺭ ﺇﱃ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﺆﻟﻔﺎﺕ ،ﻭﺃﴰﻠﻬﺎ ﻛﺘﺎﺏ ﺷﻌﺐ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻟﻠﺤﻠﻴﻤﻲ ،ﻭﺷﻌﺐ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻟﻠﺒﻴﻬﻘﻲ ،ﻭﻛﺘﺎﺏ ﺷﻴﺦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ ،ﻭﻣﻦ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﳌﺴﻨﺪﺓ ﰲ ﺍﻹﳝﺎﻥ :ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﲪﺪ ﻭﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺷﻴﺒﺔ ،ﻭﺍﻟﻘﺎﺳﻢ ﺑﻦ ﺳﻼﻡ ﻭﺍﺑﻦ ﻣﻨﺪﺓ . ﻭﻣﻦ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺃﻳﻀﺎ ﻣﺎ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﺑﺎﻟﻨﻬﻲ ﻋﻦ ﻗﻮﻝ ﺍﻟﻌﺒﺪ "ﻣﺎ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ ﻭﺷﺌﺖ" ،ﺣﻴﺚ ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {«¬®¯) zﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ : (22 :2 ،ﺣﺪﻳﺚ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ﺃﻥ ﺭﺟﻼ ﻗﺎﻝ ﻟﻠﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ :ﻣﺎ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ ﻭﺷﺌﺖ .ﻓﻘﺎﻝ ﻟﻪ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ :ﺃﺟﻌﻠﺘﲏ ﻭﺍﷲ ﻋﺪﻻ ؟ ﺑﻞ ﻣﺎ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ ﻭﺣﺪﻩ. ﻭﻣﻨﻬﺎ ﺭﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺭﺅﻳﺔ ﺍﷲ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ ﻭﺍﻟﻨﻈﺮ ﺇﻟﻴﻪ .ﻓﻘﺪ ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻟﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {) zONM ، KJIﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ (23-22 :75 ،ﺣﺪﻳﺚ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﰲ ﺇﺛﺒﺎﺕ ﺭﺅﻳﺔ ﺍﷲ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ ﻟﻠﻤﺆﻣﻨﲔ .ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﻋﻘﻴﺪﺓ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﻭﺍﳉﻤﺎﻋﺔ) .ﺧﺎﻟﺪ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﺍﻟﺴﺒﺖ،1421 ،ﺹ(566/4 : -6ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻔﻘﻬﻴﺔ ﻭﻗﺪ ﻋﺎﰿ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺃﻳﻀﺎ ﺟﺎﻧﺐ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻔﻘﻬﻴﺔ .ﻓﻔﻲ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {|}~ _`) zhgfedcbaﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ،(173 :2 ،ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺣﺪﻳﺜﺎ ﰲ ﺣﻞ ﻣﻴﺘﺔ ﺍﻟﺒﺤﺮ ﻭﺣﺪﻳﺜﺎ ﺁﺧﺮ ﰲ ﲢﺮﱘ ﺑﻴﻊ ﺍﳋﻤﺮ ﻭﺍﳌﻴﺘﺔ ﻭﺍﳋﱰﻳﺮ ﻭﺍﻷﺻﻨﺎﻡ، ﻭﺃﺭﺩﻑ ﺑﺒﻴﺎﻥ ﺣﻜﻤﺔ ﺍﻟﺘﺸﺮﻳﻊ ﰲ ﺍﻟﺘﺤﺮﱘ ﻭﻫﻮ ﺇﺑﻌﺎﺩ ﻟﻸﻣﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻠﺒﺲ ﺑﺘﻠﻚ ﺍﻟﻘﺎﺫﻭﺭﺍﺕ ﺑﺄﻱ ﻭﺟﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﻮﺟﻮﻩ ﺇﻻ ﻣﺎ ﺍﺳﺘﺜﲏ ﻣﻦ ﺩﺑﺎﻍ ﺟﻠﻮﺩ ﺍﳌﻴﺘﺔ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻭﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {§¨©) z®¬«ªﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ،(196 :2 ،ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺍﺧﺘﻼﻑ ﺍﻟﻔﻘﻬﺎﺀ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﰲ ﺑﻴﺎﻥ ﻣﻌﲎ ﺍﻹﺣﺼﺎﺭ ،ﻫﻞ ﻫﻮ ﺧﺎﺹ ﺑﺎﻟﻌﺪﻭ ﺃﻡ ﺍﻹﺣﺼﺎﺭ ﻣﻦ ﻛﻞ ﺣﺎﺑﺲ ﺣﺒﺲ ﺍﳊﺎﺝ ﻣﻦ ﻋﺪﻭ ﺃﻭ ﻣﺮﺽ ﺃﻭ ﻏﲑﻩ. ﻭﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {) z_~}|{zyﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ:2 ، ،(241ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻛﻼﻡ ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ﻋﻦ ﺍﺧﺘﻼﻑ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﰲ ﻭﺟﻮﺏ ﺍﳌﺘﻌﺔ ﻟﻜﻞ ﻣﻄﻠﻘﺔ، ﺳﻮﺍﺀ ﻛﺎﻧﺖ ﻣﻔﻮﺿﺔ ﺃﻭ ﻣﻔﺮﻭﺿﺎ ﳍﺎ ﺃﻭ ﻣﻄﻠﻘﺔ ،ﻗﺒﻞ ﺍﳌﺴﻴﺲ ﺃﻭ ﻣﺪﺧﻮﻻ ﺎ ،ﻭﻫﻮ ﻗﻮﻝ ﻋﻦ ﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻲ ،ﻭﺇﻟﻴﻪ ﺫﻫﺐ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﺟﺒﲑ ﻭﻏﲑﻩ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻠﻒ ،ﻭﺍﺧﺘﺎﺭﻩ ﺍﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ ،ﻭﻣﻦ ﱂ ﻳﻮﺟﺒﻬﺎ ﻣﻄﻠﻘﺎ ﳜﺼﺺ ﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻌﻤﻮﻡ ﲟﻔﻬﻮﻡ ﻗﻮﻟﻪ )ﻻ ﺟﻨﺎﺡ ﻋﻠﻴﻜﻢ ﺇﻥ ﻃﻠﻘﺘﻢ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﻣﺎ ﱂ ﲤﺴﻮﻫﻦ ﺃﻭ ﺗﻔﺮﺿﻮﺍ ﳍﻦ ﻓﺮﻳﻀﺔ ﻭﻣﺘﻌﻮﻫﻦ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻮﺳﻊ ﻗﺪﺭﻩ ﻭﻋﻠﻰ ﺍﳌﻘﺘﺮ ﻗﺪﺭﻩ ﻣﺘﺎﻋﺎ ﺑﺎﳌﻌﺮﻭﻑ() .ﺧﺎﻟﺪ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﺍﻟﺴﺒﺖ،1421 ،ﺹ.(363 : -7ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺍﻟﻘﺼﺺ ﻭﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﺍﻟﺴﺎﻟﻔﺔ ﺳﺮﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻛﺜﲑﺍ ﻣﻦ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﻋﻦ ﻗﺼﺺ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﲔ ﻣﻦ ﺍﻷﻧﺒﻴﺎﺀ ﻭﺍﻟﺮﺳﻞ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺍﻟﺼﻼﺓ ﻭﺍﻟﺴﻼﻡ ﻭﻗﺼﺺ ﺍﻷﻣﻢ ﺍﻟﺴﺎﻟﻔﺔ .ﻓﻜﺎﻥ ﻣﻦ ﺿﻤﻦ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻘﺼﺺ ﻗﺼﺔ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ. ﻓﻘﺪ ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻗﺼﺔ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻟﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {EDCBA ) zHGFﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ،(102 :2 ،ﻓﺬﻛﺮ ﺭﻭﺍﻳﺘﲔ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ﺑﺸﺄﻥ ﻣﺎ ﻓﻌﻠﺘﻪ ﺍﻟﺸﻴﺎﻃﲔ ﺑﻌﺪ ﻣﻮﺕ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﻣﻦ ﻧﺴﺒﺔ ﺍﻟﺴﺤﺮ ﺇﻟﻴﻪ ﻭﻫﻮ ﻣﻨﻪ ﺑﺮﻱﺀ .ﻭﻋﻠﻖ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺘﲔ ﺑﺄﻤﺎ ﻣﻦ ﺃﺧﺒﺎﺭ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ،ﻭﻟﻜﻨﻬﺎ ﻻ ﺗﺘﻌﺎﺭﺽ ﻣﻊ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ﺑﻞ ﻟﺒﻌﺾ ﻓﻘﺮﺍﺎ ﺷﻮﺍﻫﺪ ،ﻓﻬﻲ ﺗﻮﺍﻓﻖ ﻋﺼﻤﺔ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﻭﺗﱪﺉ ﺳﺎﺣﺘﻪ ﳑﺎ ﺃﻟﺼﻖ ﺑﻪ ﻣﻦ ﻣﻔﺘﺮﻳﺎﺕ ﺍﻹﺳﺮﺍﺋﻴﻠﻴﺎﺕ) .ﺧﺎﻟﺪ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﺍﻟﺴﺒﺖ،1421 ،ﺹ(206 : ﻛﻤﺎ ﺃﺟﺎﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺍﻟﺮﺩ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﺳﺮﺍﺋﻴﻠﻴﺎﺕ ﺍﻟﺒﺎﻃﻠﺔ ﺣﻮﻝ ﻫ ّﻢ ﻳﻮﺳﻒ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻟﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {\]^_`) zfedcbaﺳﻮﺭﺓ ﻳﻮﺳﻒ(24 :12 ، ﻣﺴﺘﺄﻧﺴﺎ ﺑﻜﻼﻡ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﳏﻤﺪ ﺍﻷﻣﲔ ﺍﻟﺸﻨﻘﻴﻄﻲ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ. ﻭﻻ ﺷﻚ ﺃﻥ ﺍﻫﺘﻤﺎﻣﻪ ﻫﺬﺍ ﺑﺎﻟﺮﺩ ﻋﻠﻰ ﺑﻌﺾ ﺍﻹﺳﺮﺍﺋﻴﻠﻴﺎﺕ ﻭﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﺍﻟﺒﺎﻃﻠﺔ ﳑﺎ ﻳﺸﻜﺮ ﻋﻠﻴﻪ ﻷﻥ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻗﺪ ﺗﺄﺛﺮﻭﺍ ﲟﺎ ﺟﺎﺀ ﺑﻪ ﻫﺬﻩ ﺍﻹﺳﺮﺍﺋﻴﻠﻴﺎﺕ ﻭﺍﻏﺘﺮﻭﺍ ﺎ .ﻭﻣﻨﻬﺞ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﻤﻮﻣﺎ ﰲ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺭ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ ﻓﻘﻂ ﺩﻭﻥ ﻏﲑﻫﺎ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻳﻌﺘﱪ ﺇﺷﺎﺭﺓ ﻭﺍﺿﺤﺔ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﺗﺆﺧﺬ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻘﻞ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﻋﻦ ﺍﳌﻌﺼﻮﻡ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﻋﻦ ﺻﺤﺎﺑﺘﻪ ﺍﻟﻜﺮﺍﻡ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻢ، ﻻ ﻋﻦ ﺃﻓﻮﺍﻩ ﺍﻟﻜﺬﺍﺑﲔ ﻭﺍﻟﺪﺟﺎﻟﲔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﳘﻬﻢ ﺍﻷﻛﱪ ﺇﺷﺎﻋﺔ ﺍﻟﻔﺘﻨﺔ ﺑﻨﺸﺮ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﳌﻜﺬﻭﺑﺔ ﺍﻟﺒﺎﻃﻠﺔ ﻭﺍﻟﱵ ﻻ ﺃﺳﺎﺱ ﳍﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺤﺔ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺑﻌﺾ ﺍﻻﻗﺘﺮﺍﺣﺎﺕ ﺍﻟﺘﺤﺴﻴﻨﻴﺔ ﻟﻠﻜﺘﺎﺏ: ﻭﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﻃﺒﻌﺘﻪ ﺍﻷﻭﱃ )ﺳﻨﺔ 1420ﻫـ( ﳛﺘﻮﻱ ﻋﻠﻰ ﲨﻠﺔ ﻣﻦ ﺍﻷﺧﻄﺎﺀ ﻗﺪ ﻭﻗﻌﺖ ﰲ ﻛﻞ ﳎﻠﺪ ﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ،ﻓﻘﺪ ﺍﺳﺘﺪﺭﻙ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﺧﻄﺎﺀ ﺑﻌﻤﻞ ﺍﻟﺘﺼﻮﻳﺒﺎﺕ ﰲ ﺍﻠﺪ ﺍﻟﺮﺍﺑﻊ. ﻭﻫﺬﻩ ﺍﻟﺘﺼﻮﻳﺒﺎﺕ ﻣﻬﻤﺔ ﺟﺪﺍ ﻭﻳﺴﺘﻔﺎﺩ ﻣﻨﻬﺎ ﰲ ﺇﺧﺮﺍﺝ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺼﻮﺭﺓ ﺃﺣﺴﻦ ﰲ ﺍﻟﻄﺒﻌﺎﺕ ﺍﻟﻘﺎﺩﻣﺔ. ﻭﻳﻼﺣﻆ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺧﺼﻮﺻﺎ ﰲ ﺍﻠﺪﻳﻦ ﺍﻷﺧﲑﻳﻦ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ ﻭﺍﻟﺮﺍﺑﻊ ﻋﺪﻡ ﺍﻻﻟﺘﺰﺍﻡ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﺔ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻧﻴﺔ ﲟﻨﻬﺞ ﻭﺍﺣﺪ ﺣﻴﺚ ﻛﺘﺒﺖ ﺑﻌﺾ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﻣﻀﺒﻮﻃﺔ ﺑﺎﻟﺸﻜﻞ ﻭﺑﻌﻀﻬﺎ ﻏﲑ ﻣﻀﺒﻮﻃﺔ ﺑﺎﻟﺸﻜﻞ .ﻭﻳﻨﺒﻐﻲ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺃﻥ ﻳﻠﺘﺰﻡ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﲟﻨﻬﺞ ﻭﺍﺣﺪ .ﻭﺗﺴﺘﺤﺴﻦ ﻛﺘﺎﺑﺔ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻧﻴﺔ ﺑﺎﻟﺮﺳﻢ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﱐ ﻭﲞﻂ ﺃﻛﱪ ﺣﻴﺚ ﺗﺘﻤﻴﺰ ﺍﻟﻨﺼﻮﺹ ﺍﻟﻘﺮﺁﻧﻴﺔ ﻋﻦ ﻏﲑﻫﺎ ﻣﻦ ﻋﺒﺎﺭﺍﺕ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ. ﺍﳋﺎﲤﺔ ﻭﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﺄﻣﻞ ،ﺗﺒﲔ ﻟﻨﺎ ﺃﻥ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﻣﻦ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﺍﻟﺒﺎﺭﺯﻳﻦ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻌﺼﺮ ،ﻭﻟﻪ ﺟﻬﻮﺩ ﻣﺒﺎﺭﻛﺔ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ ﻭﺳﻨﺔ ﺭﺳﻮﻟﻪ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺼﻼﺓ ﻭﺍﻟﺴﻼﻡ .ﻭﺃﻛﱪ ﺩﻟﻴﻞ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺍﻟﺬﻱ ﺃﺧﺬ ﻣﻨﻪ ﺟﻬﺪﺍ ﻭﻭﻗﺘﺎ ﻏﲑ ﻗﻠﻴﻞ ﻹﻋﺪﺍﺩﻩ ﻭﺇﻇﻬﺎﺭﻩ ﻟﻸﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ .ﻫﺬﺍ ﺑﺎﻹﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﻗﻮﺓ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﻭﺣﺴﻦ ﻣﺴﻠﻜﻪ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻵﻳﺎﺕ ،ﻭﺟﺪﻳﺮ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺴﻔﺮ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ ﻣﺮﺟﻌﺎ ﻣﻬﻤﺎ ﳌﻦ ﻳﺮﻳﺪ ﺻﺤﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﺳﻼﻣﺘﻪ ﻣﻦ ﺍﻵﺭﺍﺀ ﺍﻟﻔﺎﺳﺪﺓ ﻭﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺍﳌﻨﺤﺮﻓﺔ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﻭﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ ،ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﳊﻠﻴﻢ ﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ ﺍﳊﺮﺍﱐ 1979 ) .ﻡ( .ﻣﻘﺪﻣﺔ ﰲ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ .ﻁ .3ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ.
ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﻓﻬﺪ ﺍﻟﺮﻭﻣﻲ1986) .ﻡ( .ﰲ ﺍﻟﺜﻨﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﺍﲡﺎﻫﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﻥ ﺍﻟﺮﺍﺑﻊ ﻋﺸﺮ. ﻁ .1ﺍﳌﻤﻠﻜﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩﻳﺔ. ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ ،ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ1988) .ﻡ( .ﻓﺘﺢ ﺍﻟﺒﺎﺭﻱ .ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ ﻣﺼﺮ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺮﻳﺎﻥ ﻟﻠﺘﺮﺍﺙ. ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ ،ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ1997 ) .ﻡ( .ﺍﻟﻌﺠﺎﺏ ﰲ ﺑﻴﺎﻥ ﺍﻷﺳﺒﺎﺏ .ﻁ .1ﺍﻟﺪﻣﺎﻡ :ﺩﺍﺭ ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ. ﺍﻟﻮﺍﺣﺪﻱ ،ﺃﺑﻮ ﺍﳊﺴﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ 1411) .ﻫـ( .ﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﻨـﺰﻭﻝ .ﻁ .8ﺍﻟﺪﻣﺎﻡ :ﺩﺍﺭ ﺍﻹﺻﻼﺡ. ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ ،ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ 1407) .ﻫـ( .ﺍﻹﺗﻘﺎﻥ ﰲ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺍﳌﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﻌﺼﺮﻳﺔ. ﺧﺎﻟﺪ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﺍﻟﺴﺒﺖ 1421) .ﻫـ( .ﻗﻮﺍﻋﺪ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ .ﻁ .1ﺍﳉﻴﺰﺓ :ﺩﺍﺭ ﺍﺑﻦ ﻋﻔﺎﻥ. ﺣﻜﻤﺖ ﺑﻦ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ1419) .ﻫـ( .ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ :ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺍﳌﺴﺒﻮﺭ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ
ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ .ﻁ .1ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย บทความรายงานการวิจัย
ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺧﻄﻮﺭﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ: ﺩﺭﺍﺳﺔ ﲢﻠﻴﻠﻴﺔ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻓﺎﻃﻤﺔ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺟﺎﻓﺎﻛﻴﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﻳﻮﺳﻒ ﻛﺎﺭﻳﻨﺎ ∗∗∗ ﺃﲪﺪ ﻋﻤﺮ ﺟﺎﻓﺎﻛﻴﺎ
∗
∗∗
ﺍﳌﻠﺨﺺ ﻳﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻭﻣﻌﺮﻓﺔ ﻣﺪﻯ ﺧﻄـﻮﺭﻢ ﻭﺗﺄﺛﲑﻫﻢ ﰲ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺿﻮﺀ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻮﺭﺓ ،ﻭﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻫﻮ ﲝﺚ ﻧﻈﺮﻱ ﲨﻌـﺖ ﻓﻴـﻪ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻧﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﲢﺪﺛﺖ ﻋﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺧﻄﻮﺭﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳـﻼﻣﻲ ،ﺧﺎﺻـﺔ ﰲ ﻼ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ،ﻭﺃﻇﻬﺮﺕ ﻟﻨﺎ ﺍﻟﻨﺘﺎﺋﺞ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺧﻄﻮﺭﻢ ﻓﺎﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻮ ﺇﻇﻬﺎﺭ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻋﻤ ﹰ ﻭﺇﺑﻄﺎﻥ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﺍﻋﺘﻘﺎﺩﺍﹰ ،ﻭﻫﻢ ﰲ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﻟﻴﺴﻮﺍ ﲟﺆﻣﻨﲔ ﺑﻞ ﻫﻢ ﻣﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ،ﻭﻗﺪ ﻭﺻـﻔﻬﻢ ﺍﷲ -ﻋـﺰ ﻭﺟﻞ -ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﺑﺼﻔﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﻣﻨﻬﺎ ﺍﻟﻜﺬﺏ ،ﻭﺍﻟﺼﺪ ﻋـﻦ ﺳـﺒﻴﻞ ﺍﷲ ،ﻭﺍﻟﺘﻼﻋـﺐ، ﻭﺍﻟﻌﺠﺐ ،ﻭﺍﻟﺘﻜﱪ ،ﻭﺍﻟﻔﺴﻖ ،ﻭﺍﻟﺒﺨﻞ ،ﻭﺍﻻﻋﺘﺰﺍﺯ ﺑﺎﻟﻨﻔﺲ ﻭﺳﻮﺀ ﺍﻟﻈﻦ ﺑﺎﳌﺆﻣﻨﲔ ،ﻭﺍﻟﻐﻔﻠﺔ ،ﻭﻃـﻮﻝ ﺍﻷﻣﻞ ،ﻭﺍﻟﺘﻜﺎﺳﻞ ﻋﻦ ﺍﻷﻋﻤﺎﻝ ﺍﻟﺼﺎﳊﺔ ،ﻭﻫﻢ ﻣﺬﺑﺬﺑﻮﻥ ﺑﲔ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻭﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻏﲑ ﺃـﻢ ﻳﺒﻐﻀـﻮﻥ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻭﻳﺘﻮﻟﻮﻥ ﺍﻟﻜﺎﻓﺮﻳﻦ ،ﻭﻳﺘﺠﺴﺴﻮﻥ ﳊﺴﺎﻢ ﺿﺪ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ،ﻭﻳﺴﺘﻐﻠﻮﻥ ﺍﻟﻔﺮﺹ ﺍﳌﻨﺎﺳﺒﺔ ﻟﻠﻄﻌـﻦ ﰲ ﺩﻋﺎﺓ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺗﺸﻮﻳﻪ ﲰﻌﺘﻬﻢ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﻭﺗﻐﻴﲑ ﺍﳊﻘﺎﺋﻖ ،ﻭﳛـﺎﻭﻟﻮﻥ ﺇﻓﺴـﺎﺩ ﺍﺘﻤـﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺗﻴﺴﲑ ﺳﺒﻞ ﺍﻟﻔﺴﺎﺩ ﺍﻟﱵ ﲢﻄﻢ ﺍﻷﺧﻼﻕ ﻭﺗﻘﻀﻰ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻔﻀـﺎﺋﻞ ﺍﻹﻧﺴـﺎﻧﻴﺔ، ﻭﳛﺎﺭﺑﻮﻥ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﺘﺴﺘﺮ ﻭﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﺍﻟﺪﻋﻮﺓ ﺇﻟﻴﻪ،ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﰲ ﻛﻞ ﺃﻣﺔ ﻭﰲ ﻛﻞ ﻋﺼﺮ ﻫﻢ ﻣﻦ ﲨﻠﺔ ﺍﳌﻔﺴﺪﻳﻦ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ ﺑﻞ ﻫﻢ ﺃﻋﻈﻢ ﺍﳌﻔﺴﺪﻳﻦ ،ﻭﺇﻓﺴﺎﺩﻫﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻮﻉ ﺍﻟﺬﻱ ﳛﺘﺎﺝ ﻋﻼﺟﻪ ﺇﱃ ﻣﻘﺎﻭﻣﺔ ﻗﻮﻳﺔ ﻭﺟﻬﺪ ﻣﺘﻮﺍﺻﻞ.
∗
ﻃﺎﻟﺒﺔ ﰲ ﻣﺮﺣﻠﺔ ﻣﺎﺟﺴﺘﲑ ،ﻗﺴﻢ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻛﻠﻴﺔ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﻣﲑ ﺳﻮﻧﻜﻼ ،ﺷﻄﺮ ﻓﻄﺎﱐ.
∗∗
ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﻗﺴﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﺑﺮﺗﺒﺔ ﺃﺳﺘﺎﺫ ﻣﺴﺎﻋﺪ ﺑﻜﻠﻴﺔ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﻣﲑ ﺳﻮﻧﻜﻼ ،ﺷﻄﺮ ﻓﻄﺎﱐ.
∗∗∗
ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﻗﺴﻢ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ،ﳏﺎﺿﺮ ﺑﻘﺴﻢ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺑﻜﻠﻴﺔ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย ABSTRACT The objective of the research is to study the characters of Al-Munafiqeen (Hypocrite) in Surah Al-Munafiqeen by focusing on their natures and dangers to the Muslim society. The study is based on documentary research which its data were collected from surah Al-Munafiqeen of AlQuran in which the characters of hypocrite and their danger to the Muslim society are clarified. It is apparently appeared from the study that the hypocrite has specific characters and dangers. Among of their natures is tricky and unreliable behavior as their exterior and interior behavior is inconsistent. Their speeches do not come from their thought and their faith. In reality, they are unbeliever but they are tricky. Allah has explained the characters of hypocrite in Surah Al-Munafiqun with regard to their lie, their obstruction on the Allah’ s path, their deceive, their arrogance, their overconfidence, their stingy, their elusion, their haughty, their suspicion on faith, their negligence, their strong hope and their ignorance to conduct goodness. Their characters are totally harming and effecting Muslim society. The study also shows that the hypocrite never satisfies with Islam but they do not clearly disclose such their satisfactions. Basically, they are uncertain between believer and unbeliever. Moreover, they extremely abominate Muslim but they are the server of unbeliever. They absolutely refuse providing assistance to the Muslim in fighting for the cause of Allah. Whenever they are together with Muslim, they pretend to be cordial and submissive to them. At the same time, they attempt to create disunity among Muslims. In addition, they try to find a chance for accusing Islam in any way. Whenever they receive a facts relating to Islam, they try to substitute them with artificial facts. They also secretly and deceivingly oppose Islam. The study clearly shows that the hypocrites are the group of people who create calamity to all nations of every period. Therefore, the continuous protection of believer and the remedy of the victims of the hypocrite are necessary in order to avoid them from such evil behavior.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻣﻘﺪﻣﺔ ﻭﻟﻘﺪ ﺍﻓﺘﺮﻕ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﲡﺎﻩ ﻫﺬﺍ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺇﱃ ﻃﺎﺋﻔﺘﲔ ،ﻃﺎﺋﻔﺔ ﺁﻣﻨﺖ ﺑﻪ ﻭﺍﻟﺘﺰﻣﺖ ﺑﻮﻇﻴﻔﺘﻪ، ﻭﻃﺎﺋﻔﺔ ﻛﻔﺮﺕ ﺑﻪ ﻭﻧﺎﺻﺒﺘﻪ ﺍﻟﻌﺪﺍﺀ ،ﻟﻴﺤﺪﺙ ﺍﻟﺼﺮﺍﻉ ﺑﻴﻨﻬﻤﺎ ،ﻷﻥ ﻛﻞ ﻓﺮﻳﻖ ﻳﺮﻳﺪ ﺃﻥ ﻳﻨﺘﺼﺮ ﻟﻔﻜﺮﺗﻪ ﺍﻟﱵ ﻳﺆﻣﻦ ﺎ ،ﻭﻟﻘﺪ ﻛﺎﻥ ﲪﻠﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻳﻮﺍﺟﻬﻮﻥ ﻋﺪﺍﺀ ﻗﻮﻳﺎ ﻭﺻﺮﺍﻋﺎ ﻋﻨﻴﻔﺎ ﻣﻦ ﺃﻋﺪﺍﺋﻪ ﻣﻨﺬ ﺑﺰﻭﻍ ﴰﺴﻪ ،ﻭﳌﺎ ﻫﺎﺟﺮ ﺍﻟﻨﱯ -ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ -ﺇﱃ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺩﺧﻞ ﺃﻛﺜﺮ ﺃﻫﻠﻬﺎ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ، ﻭﺃﺻﺒﺤﺖ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻓﻴﻬﺎ ﺃﻧﺼﺎﺭ ﳍﺬﺍ ﺍﻟﺪﻳﻦ ،ﻭﺷﺬﺕ ﻣﻨﻬﻢ ﻃﺎﺋﻔﺔ ﱂ ﺗﻘﺒﻠﻪ ﻧﻔﻮﺳﻬﻢ ﺍﻟﱵ ﺍﺳﺘﺴﻠﻤﺖ ﻷﻫﻮﺍﺋﻬﻢ ﺍﳌﻨﺤﺮﻓﺔ. ﻭﳌﺎﱂ ﻳﻜﻦ ﳍﺬﻩ ﺍﻟﻄﺎﺋﻔﺔ ﺍﻟﺸﺎﺫﺓ ﻗﻮﺓ ﺗﻘﺎﻭﻡ ﺑﻪ ﺩﻭﻟﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﻟﻘﻮﻳﺔ ﻓﻘﺪ ﳉﺄﺕ ﺇﱃ ﻭﺳﻴﻠﺔ ﺗﺆﻣﻦ ﳍﺎ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﻟﻌﻴﺶ ﰲ ﻇﻼﻝ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻘﻮﺓ ﺍﳌﻬﻴﻤﻨﺔ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ: { z ~ } | { zy x w v u t s
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(2 :63 ،
ﻛﺎﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﻨﱯ -ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ -ﻳﺘﻘﻠﺒﻮﻥ ﺑﲔ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻭﺍﻟﻜﻔﺮ ﻭﻳﺘﻼﻋﺒﻮﻥ ﺑﺎﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﻓﻴﺆﻣﻨﻮﻥ ﺬﺍ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﰲ ﺣﺎﻝ ﻋﺰﺗﻪ ﻭﺍﻧﺘﺼﺎﺭﻩ ،ﻓﺈﺫﺍ ﻣﺎ ﺍﺑﺘﻠﻰ ﺍﳌﺆﻣﻨﻮﻥ ﻭﺃﺣﺪﻗﺖ ﻢ ﺍﻟﺸﺪﺍﺋﺪ ﻭﺍﳌﺨﺎﻃﺮ ﺍﺭﺗﺪﻭﺍ ﻋﻦ ﺩﻳﻨﻬﻢ ،ﻭﺭﺟﻌﻮﺍ ﺇﱃ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻭﻳﻮﺟﺪ ﺃﻳﻀﹰﺎ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻻ ﻳﺆﻣﻨﻮﻥ ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ ﰲ ﺃﻱ ﺣﺎﻝ ﻣﻦ ﺍﻷﺣﻮﺍﻝ ﺇﳝﺎﻧﹰﺎ ﺣﻘﹰﺎ ﻭﺇﳕﺎ ﻳﺘﻈﺎﻫﺮﻭﻥ ﺑﺎﻹﳝﺎﻥ ﺃﻣﺎﻡ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﰲ ﺣﺎﻝ ﻋﺰﻢ ﻭﻧﺘﺼﺎﺭﻫﻢ ﺧﻮﻓﺎ ﻋﻠﻰ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﻓﺈﺫﺍ ﺍﺩﳍﻢ ﺍﳊﻄﺐ ﻭﺃﺣﺎﻁ ﻢ ﺍﻷﻋﺪﺍﺀ ﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻭﺍﻟﺘﺨﻠﻰ ﻋﻦ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻭﺣﺎﻭﻟﻮﺍ ﲣﺬﻳﻞ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﻦ ﺍﳉﻬﺎﺩ ﰲ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ. ﻣﻌﲎ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﰲ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﻧﻔﻖ – ﻭﻧﻔﻖ – ﻧﻔﻘﹰﺎ ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ :ﺧﺮﺝ ﻣﻦ ﻧﺎﻓﻘﺎﺋﻪ ﺃﻱ ﺟﺤﺮﻩ ،ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ :ﺧﺮﺝ ﻣﻦ ﻧﺎﻓﻘﺎﺋﻪ ﺩﺧﻞ ﻓﻴﻬﺎ ،ﻧﺎﻓﻖ ﻣﻨﺎﻓﻘﺔ ﻭﻧﻔﺎﻗﹰﺎ ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ :ﺩﺧﻞ ﰲ ﻧﺎﻓﻘﺎﺋﻪ ) .ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ 1409 ،ﻫـ :.ﺹ (648 ﻭﲨﻌﻪ ﻧﻮﺍﻓﻖ ﻭﺍﻟﻨﻔﻘﺔ ﻭﺍﻟﻨﻔﻘﺎﺀ :ﺇﺣﺪﻯ ﺟﺤﺮﺓ ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ ﻳﻜﺘﻤﻬﺎ ﻭﻳﻈﻬﺮ ﻏﲑﻫﺎ ).ﻛﺮﻡ ﺍﻟﺒﺴﺘﺎﱐ ﻭﺃﺻﺪﻗﺎﺀﻩ :1984 ،ﺹ .(828ﻓﺎﳌﻨﺎﻓﻖ ﻳﺪﺧﻞ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﰒ ﳜﺮﺝ ﻣﻨﻪ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻟﺬﻱ ﺩﺧﻞ ﻓﻴﻪ .ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺴﺘﺮ ﻛﻔﺮﻩ ﻭﻳﻈﻬﺮ ﺇﳝﺎﻧﻪ).ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ1410 ،ﻫـ.(359/10 :. ﻭﻗﺎﻝ ﺃﺑﻮ ﻋﺒﻴﺪﺓ ﲰﻲ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﻣﻨﺎﻓﻘﹰﺎ ﻟﻠﻨﻔﻖ ،ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺴﺮﺏ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ ،ﻭﻗﻴﻞ ﺇﳕﺎ ﲰﻲ ﻣﻨﺎﻓﻘﹰﺎ ﻷﻧﻪ ﻧﺎﻓﻖ ﻛﺎﻟﲑﺑﻮﻉ ﻭﻫﻮ ﺩﺧﻮﻟﻪ ﻧﺎﻓﻘﺎﺀﻩ) .ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ1410 ،ﻫـ.(359/10 :.ﻭﰲ ﺣﺪﻳﺚ ﺣﻨﻈﻠﺔ: )) ﻧﺎﻓﻖ ﺣﻨﻈﻠﺔ ،ﺃﺭﺍﺩ ﺃﻧﻪ ﻛﺎﻥ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﺃﺧﻠﺺ ﻭﺯﻫﺪ ﰲ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ،ﻭﺇﺫﺍ ﺧﺮﺝ ﻋﻨﻪ ﺗﺮﻙ ﻣﺎ ﻛﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺭﻏﺐ ﻓﻴﻬﺎ) ((.ﻣﺴﻠﻢ ،ﺩ.ﺕ :ﺹ .(2106 ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺍﻷﻋﺮﺍﰊ ﻗﺼﻌﺔ ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ ﺃﻥ ﳛﻔﺮ ﺣﻔﲑﺓ ﰒ ﻳﺴﺪ ﺑﺎﺎ ﺑﺘﺮﺍﺎ ﻭﻳﺴﻤﻰ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﺘﺮﺍﺏ ﺍﻟﺪﺍﻣﺎﺀ ﰒ ﳛﻔﺮ ﺁﺧﺮ ﻳﻘﺎﻝ ﻟﻪ ﺍﻟﻨﺎﻓﻘﺎﺀ ﻭﺍﻟﻨﻔﻘﺔ ﻭﺍﻟﻨﻔﻖ ﻓﻼ ﻳﻨﻔﺬﻫﺎ ﻭﻟﻜﻨﻪ ﳛﻔﺮﻫﺎ ﺣﱴ ﺗﺮﻕ ﻓﺈﺫﺍ ﺃﺧﺬ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻋﻠﻴﻪ ﺑﻘﺎﺻﻌﺎﺋﻪ ﻋﺪﺍ ﺇﱃ ﺍﻟﻨﺎﻓﻘﺎﺀ ﻓﻀﺮﺎ ﺑﺮﺃﺳﻪ ﻭﻣﺮﺕ ﻣﻨﻬﺎ ﻭﺗﺮﺍﺏ ﺍﻟﻨﻔﻘﺔ ﻳﻘﺎﻝ ﻟﻪ ﺍﻟﺮﺍﻫﻄﺎﺀ .ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺑﺮﻱ ﺟﺤﺮﺓ ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ ﺳﺒﻌﺔ ﺍﻟﻘﺼﻌﺎﺀ ﺍﻟﻨﺎﻓﻘﺎﺀ ﻭﺍﻟﺪﺍﻣﺎﺀ ﻭﺍﻟﺮﺍﻫﻄﺎﺀ ﻭﺍﻟﻌﺎﻧﻘﺎﺀ ﻭﺍﳊﺎﺛﻴﺎﺀ ﻭﺍﻟﻠﻐﻴﺰﻱ .ﻭﻗﺎﻝ ﺃﺑﻮ ﺯﻳﺪ ﺍﻟﻨﺎﻓﻘﺎﺀ ﻭﺍﻟﻨﻔﻘﺎﺀ ﻭﺍﻟﻨﻔﻘﺔ ﻭﺍﻟﺮﺍﻫﻄﺎﺀ ﻭﺍﻟﺮﻫﻄﺔ ﻭﺍﻟﻘﺼﻌﺎﺀ ﻭﺍﻟﻘﺼﻌﺔ ) .ﳏﺐ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻟﺰﺑﻴﺪﻱ ﺍﳊﺴﻴﲏ ،ﺩ.ﺕ.(79/7 : ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﻜﺮﻣﺎﱐ :ﺃﻥ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻋﻼﻣﺔ ﻋﺪﻡ ﺍﻹﳝﺎﻥ ،ﻭﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻟﻐﺔ ﳐﺎﻓﺔ ﺍﻟﺒﺎﻃﻦ ﻟﻠﻈﺎﻫﺮ. )ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ1407 ،ﻫـ.(111/1 :. ﻭﻗﺎﻝ ﺃﻛﺜﺮ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺃﺎ ﻣﺄﺧﻮﺫﺓ ﻣﻦ ﻧﺎﻓﻘﺎﺀ ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ ﻻ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻔﻖ ﻷﻥ ﺍﻟﻨﻔﻖ ﻟﻴﺲ ﻓﻴﻪ ﺇﻇﻬﺎﺭ ﺷﻲﺀ ﻭﺇﺑﻄﺎﻥ ﺷﻲﺀ ﺁﺧﺮ ﻛﻤﺎ ﻫﻮ ﺍﳊﺎﻝ ﰲ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ .ﻭﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻮ ﺇﻇﻬﺎﺭ ﺷﻲﺀ ﻭﺇﺧﻔﺎﺀ ﺷﻲﺀ ﺁﺧﺮ ﺇﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﱂ ﻳﺪﺧﻞ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺩﺧﻮﻻ ﺣﻘﻴﻘﻴﹰﺎ ﺣﱴ ﳜﺮﺝ ﻣﻨﻪ. ﻣﻌﲎ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﰲ ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺃﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﻛﺎﻟﻀﺐ ،ﻓﺎﻟﻀﺐ ﻳﺪﺧﻞ ﺟﺤﺮﻩ ﻣﻦ ﺑﺎﺏ ﻭﺍﺿﺢ ﰒ ﻳﻬﺮﺏ ﺇﺫﺍ ﺷﻌﺮ ﺑﺎﳋﻄﺮ ﻣﻦ ﺑﺎﺏ ﺧﻔﻲ ﺁﺧﺮ ﺗﺘﻌﺬﺭ ﺭﺅﻳﺘﻪ .ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﻳﺪﺧﻞ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﰒ ﳜﺮﺝ ﻣﻨﻪ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻟﺬﻱ ﺩﺧﻞ ﻓﻴﻪ ﺣﻴﺚ ﻳﻨﻄﻖ ﺑﺎﻟﺸﻬﺎﺩﺗﲔ ،ﻭﻳﺼﻠﻲ ﻣﻊ ﺍﻟﻨﺎﺱ ،ﰒ ﳜﺮﺝ ﻣﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻣﻦ ﺑﺎﺏ ﺁﺧﺮ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﻌﺐ ﻣﺸﺎﻫﺪﺗﻪ ،ﻟﻮ ﺷﺎﻫﺪﻩ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﻨﺪ ﻧﻘﻀﻪ ﻭﺧﺮﻭﺟﻪ ﻋﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻷﻗﻴﻢ ﻋﻠﻴﻪ ﺣﺪ ﺍﻟﺮﺩﺓ) .ﳏﻤﺪ ﻟﻘﻤﺎﻥ ﺍﻷﻋﻈﻤﻲ ﺍﻟﻨﺪﻭﻱ1988 ،ﻡ :.ﺹ.(438 ﻳﻘﻮﻝ ﺍﳉﺮﺟﺎﱐ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ " ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻔﺎﺕ" :ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻮ ﺇﻇﻬﺎﺭ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﺎﻟﻠﺴﺎﻥ ﻭﻛﺘﻤﺎﻥ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﺑﺎﻟﻘﻠﺐ) .ﺍﳉﺮﺟﺎﱐ :1988 ،ﺹ.(245 ﻭﻗﺪ ﺑﲔ " ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ" ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﰲ ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺣﻴﺚ ﻗﺎﻝ " :ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻮ ﺇﻇﻬﺎﺭ ﺍﳋﲑ ﻭﺇﺳﺮﺍﺭ ﺍﻟﺸﺮ ،ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺟﺮﻳﺞ :ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﳜﺎﻟﻒ ﻗﻮﻟﻪ ﻓﻌﻠﻪ ﻭﺳﺮﻩ ﻋﻼﻧﻴﺘﻪ ،ﻭﻣﺪﺧﻠﻪ ﳐﺮﺟﻪ، ﻭﻣﺸﻬﺪﺓ ﻣﻐﻴﺒﻪ" )ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ.(50/1 :1988 ، ﻭﻗﺎﻝ ﺃﺑﻮ ﺯﻳﺪ :ﻫﻮ ﺍﻟﺪﺧﻮﻝ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻣﻦ ﻭﺟﻪ ﻭﺍﳋﺮﻭﺝ ﻋﻨﻪ ﻣﻦ ﻭﺟﻪ ﺁﺧﺮ ) .ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ1410 ،ﻫـ .(359 /10 :.ﻭﻗﺎﻝ ﺃﺑﻮ ﺳﻌﻮﺩ :ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻖ :ﻣﻦ ﻳﻈﻬﺮ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﻳﺒﻄﻦ ﺍﻟﻜﻔﺮ ).ﺃﺑﻮ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩ ،ﺩ.ﺕ.(725/5 : ﻼ ﻭﺑﻌﺪ ﻋﺮﺽ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﰲ ﺗﻌﺮﻳﻒ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻧﺴﺘﺨﻠﺺ ﺃﻥ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻮ ﺇﻇﻬﺎﺭ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻋﻤ ﹰ ﻭﺇﺑﻄﺎﻥ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﺍﻋﺘﻘﺎﺩﹰﺍ. ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﻗﺪ ﺑﲔ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ﺃﻥ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻧﻮﻋﺎﻥ :ﺍﻋﺘﻘﺎﺩﻱ :ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺬﻱ ﳜﻠﺪ ﺻﺎﺣﺒﻪ ﰲ ﺍﻟﻨﺎﺭ. ﻭﻋﻤﻠﻲ :ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﺃﻛﱪ ﺍﻟﺬﻧﻮﺏ) .ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ .(50/1 :1988 ،
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺑﻮﺍﻋﺚ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﺍﻟﺒﺎﻋﺚ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻮ ﺍﻋﺘﻘﺎﺩ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻭﻛﺮﺍﻫﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ،ﻭﺃﻧﻪ ﻭﺟﺪ ﻧﻔﺴﻪ ﲢﺖ ﺳﻴﻄﺮﺓ ﺣﻜﻮﻣﺔ ﺇﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺿﻌﻔﻪ ﻋﻦ ﻣﻮﺍﺟﻬﺔ ﻫﺬﻩ ﺍﳊﻜﻮﻣﺔ ﺑﻌﻘﻴﺪﺗﻪ ﺍﻟﱵ ﻳﻀﻤﺮﻫﺎ ﰲ ﻧﻔﺴﻪ. ﻭﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎ ﺣﻴﺔ ﺍﻟﻨﻔﺴﻴﺔ ﻳﻌﺘﱪ ﻧﺘﻴﺠﺔ ﻟﻀﻌﻒ ﺍﻟﻨﻔﺲ ﻭﻋﺪﻡ ﻗﺪﺭﺎ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺘﺼﺮﻳﺢ ﲟﻌﺘﻘﺪﺍﺎ ،ﻭﻗﺪ ﻳﻮﺟﺪ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﳑﻦ ﳝﻠﻚ ﻗﻮﺓ ﻭﻫﻴﻤﻨﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻓﻴﻈﻬﺮ ﳍﻢ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻧﻔﺎﻗﹰﺎ ﻟﻴﺤﺘﻔﻆ ﲟﺮﻛﺰﻩ ﺑﻴﻨﻬﻢ ﻭﻣﻊ ﺫﻟﻚ ﻓﺈﻥ ﻫﺬﺍ ﻻ ﳜﺮﺝ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻋﻦ ﻛﻮﻧﻪ ﺿﻌﻔﺎ ﰲ ﺍﻟﻨﻔﺲ ﻷﻥ ﺻﺎﺣﺐ ﺍﻟﻨﻔﺲ ﺍﻟﻘﻮﻳﺔ ﻻ ﻳﺮﺿﻰ ﻟﻨﻔﺴﻪ ﺃﻥ ﻳﻘﻴﻢ ﺣﻜﻤﻪ ﻋﻠﻰ ﻣﺪﺍﻫﻨﺔ ﻣﻦ ﳜﺘﻠﻔﻮﻥ ﻣﻌﻪ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ) .ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﳊﻤﻴﺪﻱ ،1989 ،ﺹ(19 : ﺃﻫﺪﺍﻑ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﻣﻦ ﺃﻫﻢ ﺍﻷﻫﺪﺍﻑ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻬﺪﻑ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻣﻦ ﻧﻔﺎﻗﻬﻢ ﻫﻲ ﺍﳊﺼﻮﻝ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺼﺎﱀ ﺍﳌﺎﺩﻳﺔ ﻭﺍﳊﺼﻮﻝ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺼﺎﱀ ﺍﳌﻌﻨﻮﻳﺔ ﻭﺍﻟﻮﺻﻮﻝ ﺇﱃ ﻣﺮﺍﻛﺰ ﺍﳊﻜﻢ ﻭﺍﻟﻘﻴﺎﺩﺓ ﻭﻭﻗﺎﻳﺔ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﻭﺃﻣﻮﺍﳍﻢ ،ﻭﺫﻟﻚ ﻷﻥ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻳﻌﺼﻢ ﺩﻣﺎﺀ ﻣﻌﺘﻨﻘﻴﻪ ﻭﺃﻣﻮﺍﳍﻢ ،ﻭﳊﺮﺏ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ،ﻭﺫﻟﻚ ﺑﻨﺸﺮ ﺍﻟﺮﺫﺍﺋﻞ ﰲ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﻭﳏﺎﻭﻟﺔ ﺗﺜﺒﻴﻂ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻦ ﺍﻟﺘﻤﺴﻚ ﺑﺪﻳﻨﻬﻢ ﻭﺍﳉﻬﺎﺩ ﰲ ﺳﺒﻴﻠﻪ ﻭﺗﺸﻜﻴﻚ ﺿﻌﻔﺎﺀ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻣﻨﻬﻢ ﺑﺪﻳﻨﻬﻢ) .ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﳊﻤﻴﺪﻱ ،1989 ،ﺹ(21-20 : ﺣﻘﻴﻘﺔ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻟﻘﺪ ﻛﺎﻧﺖ ﻫﺬﻩ ﺣﻘﻴﻘﺔ ﻭﺍﻗﻌﺔ ﰲ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ،ﻓﺎﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻳﺪﻋﻮﻥ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﺎﷲ ﻭﺑﺎﻟﻴﻮﻡ ﺍﻵﺧﺮ ﻇﺎﻧﲔ ﰲ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﺍﻟﺬﻛﺎﺀ ﻭﺍﻟﺪﻫﺎﺀ ،ﻭﻫﻢ ﰲ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﻟﻴﺴﻮﺍ ﲟﺆﻣﻨﲔ ،ﺇﳕﺎ ﻫﻢ ﻣﻨﺎﻓﻔﻮﻥ ،ﻻ ﳚﺮﺀﻭﻥ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﻧﻜﺎﺭ ﻭﺍﻟﺘﺼﺮﻳﺢ ﲝﻘﻴﻘﺔ ﻧﻮﺍﻳﺎﻫﻢ ﰲ ﻣﻮﺍﺟﻬﺔ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻓﻌﻞ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ) .ﺳﻴﺪ ﻗﻄﺐ، .(37-36/1 :1986 ﻛﻤﺎ ﺃﺧﱪﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﰲ ﺑﺪﺍﻳﺔ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺃﻱ ﺇﺫﺍ ﺣﻀﺮﻭﺍ ﻋﻨﺪﻙ ﻭﺍﺟﻬﻮﻙ ﺑﺬﻟﻚ ،ﻭﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﻟﻚ ﺫﻟﻚ ﻗﺎﻟﻪ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ) .ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ .(393/4 :1988 ،ﻭﺃﺧﺮﺝ ﺍﺑﻦ ﻣﺮﺩﻭﻳﻪ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﻗﺎﻝ :ﺇﳕﺎ ﲰﺎﻫﻢ ﺍﷲ ﻣﻨﺎﻓﻘﲔ ﻷﻢ ﻛﺘﻤﻮﺍ ﺍﻟﺸﺮﻙ ﻭﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﺍﻹﳝﺎﻥ) .ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ1403 ،ﻫـ .(172/8 :ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ: {z l k j i
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(1 :63 ،
ﺃﻱ ﻗﺎﻝ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﺑﺄﻟﺴﻨﺘﻬﻢ ﻗﺎﻟﻪ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ) .ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ1408 ،ﻫـ (80/18 :ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ:
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย { zq p o n m
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(1 :63 ،
ﺃﻱ ﻓﻴﻤﺎ ﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﻣﻦ ﺷﻬﺎﺩﻢ ﻭﺣﻠﻔﻬﻢ ﺑﺄﻟﺴﻨﺘﻬﻢ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﻔﺮﺍﺀ ﰲ ﺗﻠﻚ ﺍﻵﻳﺔ ﺃﻱ ﺑﻀﻤﺎﺋﺮﻫﻢ ﻓﺎﻟﺘﻜﺬﻳﺐ ﺭﺍﺟﻊ ﺇﱃ ﺍﻟﻀﻤﺎﺋﺮ ) .ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ ،ﺩ .ﺕ .(58 /8 :ﻭﻫﺬﺍ ﻳﺪﻝ ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺗﺼﺪﻳﻖ ﺍﻟﻘﻠﺐ ،ﻭﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﺍﳊﻘﻴﻘﻲ ﻛﻼﻡ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻭﻣﻦ ﻗﺎﻝ ﺷﻴﺌﹰﺎ ﻭﺍﻋﺘﻘﺪ ﺧﻼﻓﻪ ﻓﻬﻮ ﻛﺎﺫﺏ ﻗﺎﻟﻪ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ) .ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ1408 ،ﻫـ(80/18 : ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﻀﺤﺎﻙ ) ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ1408 ،ﻫـ :(80/18 :ﺃﳝﺎﻢ ﺃﻱ ﺣﻠﻔﻬﻢ ﺑﺎﷲ ﺇﻢ ﳌﻨﻜﻢ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ ) .ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ1407 ،ﻫـ :(347/4 : .ﺟﻨﺔ ﺍﻱ ﺳﺘﺮﺓ ﻭﰲ ﺍﳊﺪﻳﺚ )) ﺍﻟﺼﻮﻡ ﺟﻨﺔ(( ﺃﻱ ﻭﻗﺎﻳﺔ ﻣﻦ ﻋﺬﺍﺏ ﺍﷲ ﻭﺍﳉﻨﺔ :ﺍﻟﻐﻄﺎﺀ ﺍﳌﺎﻧﻊ ﻣﻦ ﺍﻷﺫﻯ ) ،ﺍﻟﻔﺨﺮ ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ ،ﺩ .ﺕ (14 /30 :ﻭﺃﺧﺮﺝ ﺍﺑﻦ ﺍﳌﻨﺬ ﺭ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﰲ ﺗﻠﻚ ﺍﻵﻳﺔ ﻗﺎﻝ :ﺣﻠﻔﻬﻢ ﺑﺎﷲ ﺇﻢ ﳌﻨﻜﻢ َﺟﻨَﻮﺍ ﺑﺄﳝﺎﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺘﻞ ﻭﺍﳊﺮﺏ، )ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ1403 ،ﻫـ .(172/8 :.ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ: { zz y x w v
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(2 :63 ،
ﺃﻱ ﺍﻟﺼﺪ ﻋﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﺘﻨﻔﲑ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻋﻨﻪ ﻗﺎﻟﻪ ﺍﻟﻨﺴﻔﻲ ) ﺍﻟﻨﺴﻔﻲ1416 ،ﻫـ (388 /4 :.ﺃﻱ ﺃﻋﺮﺿﻮﺍ ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺪﻭﺩ ،ﺃﻭ ﺻﺮﻓﻮﺍ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻦ ﺇﻗﺎﻣﺔ ﺣﻜﻢ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺘﻞ ﻭﺍﻟﺴﱯ ﻭﺃﺧﺬ ﺍﻷﻣﻮﺍﻝ ﻓﻬﻮ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺪ ﺃﻭ ﻣﻨﻌﻮﺍ ﻋﻦ ﺍﳉﻬﺎﺩ ﺑﺄﻥ ﻳﺘﺨﻠﻔﻮﺍ ﻭﻳﻘﺘﺪﻱ ﻢ ﻏﲑﻫﻢ ) .ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ1408 ،ﻫـ(80 /18 : ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ: { { | } ~ z
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(2 :63 ، ﻭﻫﺬﺍ ﺇﻋﻼﻥ ﻣﻦ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺑﺄﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﻛﺎﻓﺮ ،ﺃﻱ ﺃﻗﺮﻭﺍ ﺑﺎﻟﻠﺴﺎﻥ ﰒ ﻛﻔﺮﻭﺍ ﺑﺎﻟﻘﻠﺐ ﻗﺎﻟﻪ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ) ،ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ1408 ،ﻫـ (81/18 :ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ: { § ¨ ©z
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(3 :63 ، ﺃﻱ ﺧﺘﻢ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺑﺎﻟﻜﻔﺮ ،ﻗﺎﻟﻪ ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ) ،ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ1407 ،ﻫـ .(347/4 :ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ: { z¬ « ª
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(3 :63 ،
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺃﻱ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻭﻻ ﺍﳋﲑ) .ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ1408 ،ﻫـ.(81/18 : ﻭﻗﺪ ﻭﺿﺢ ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﺍﻟﻜﺸﺎﻑ ﻣﻌﲎ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ: { zx w v u t
ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ:
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ :ﺍﻵﻳﺔ (20
{ z}| { z y
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(20 :2 ، ﻗﺎﺋﻼ :ﺣﻴﺚ ﺃﻧﻪ ﺷﺒﻪ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﰲ ﺍﻟﺘﻤﺜﻴﻞ ﺍﻷﻭﻝ ﺑﺎﳌﺴﺘﻮﻗﺪ ﻧﺎﺭﺍﹰ ،ﻭﺇﻇﻬﺎﺭﻩ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﺎﻹﺿﺎﺀﺓ، ﻭﺍﻧﻘﻄﺎﻉ ﺍﻧﺘﻔﺎﻋﻪ ﺑﺎﻧﻄﻔﺎﺀ ﺍﻟﻨﺎﺭ ﻭﺷﺒﻪ ﰲ ﺍﻟﺜﺎﱐ ﺑﺎﻟﺼﻴﺐ ﻭﺑﺎﻟﻈﻠﻤﺎﺕ ﻭﺑﺎﻟﺮﻋﺪ ﻭﺑﺎﻟﱪﻕ ﻭﺑﺎﻟﺼﻮﺍﻋﻖ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ: {h g f e d c b a ` _ ^ ] \ [ Z zm l k ji
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(19 :2 ، ﻭﺷﺒﻪ ﺩﻳﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﺎﻟﺼﻴﺐ ﻷﻥ ﺍﻟﻘﻠﻮﺏ ﲢﻴﺎ ﺑﻪ ﺣﻴﺎﺓ ﺍﻷﺭﺽ ﺑﺎﳌﻄﺮ ﻭﻣﺎ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﻣﻦ ﺷﺒﻪ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﺑﺎﻟﻈﻠﻤﺎﺕ ،ﻭﻣﺎ ﻓﻴﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﻮﻋﺪ ﻭﺍﻟﻮﻋﻴﺪ ﺑﺎﻟﺮﻋﺪ ﻭﺍﻟﱪﻕ ،ﻭﻣﺎ ﻳﺼﺐ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻣﻦ ﺍﻷﻓﺰﺍﻉ ﻭﺍﻟﺒﻼﻳﺎ ﻭﺍﻟﻔﱳ ﻣﻦ ﺟﻬﺔ ﺃﻫﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﺎﻟﺼﻮﺍﻋﻖ ﻭﺍﳌﻌﲎ :ﺃﻭ ﻛﻤﺜﻞ ﺫﻭﻯ ﺻﻴﺐ ) .ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ، ﺩ.ﺕ.(209/1 :
ﺗﺎﺭﻳﺦ ﻇﻬﻮﺭ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﺑﺪﺃ ﻇﻬﻮﺭ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﰲ ﺃﻫﻞ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﻭﻣﻦ ﺣﻮﳍﺎ ﻣﻦ ﺍﻷﻋﺮﺍﺏ) .ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ1988 ،ﻡ.(50/1 :. ﻭﻗﺪ ﻓﺴﺮ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ: { \ ] ^ _ ` zf e d c b a
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ(8 :2 ، ﻳﻌﲎ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻣﻦ ﺍﻷﻭﺱ ﻭﺍﳋﺰﺭﺝ ﻭﻣﻦ ﻛﺎﻥ ﻋﻠﻰ ﺃﻣﺮﻫﻢ) .ﺍﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ ﺍﻟﻄﱪﻱ1412 ،ﻫـ: .(116/1 ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻓﺴﺮﻩ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻌﺎﻟﻴﺔ ﻭﺍﳊﺴﻦ ﻭﻗﺘﺎﺩﺓ ﻭﺍﻟﺴﺪﻱ ﻭﳍﺬﺍ ﻧﺒﻪ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﻋﻠﻰ ﲢﺮﻛﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻟﺌﻼ ﻳﻐﺘﺮ ﺑﻈﺎﻫﺮ ﺃﻣﺮﻫﻢ ﺍﳌﺆﻣﻨﻮﻥ ﻓﻴﻘﻊ ﰲ ﺫﻟﻚ ﻓﺴﺎﺩ ﻋﺮﻳﺾ ﻣﻦ ﻋﺪﻡ ﺍﻻﺣﺘﺮﺍﺯ ﻣﻨﻬﻢ ﻭﻣﻦ ﺍﻋﺘﻘﺎﺩ ﺇﳝﺎﻢ ﻭﻫﻢ ﻛﻔﺎﺭ ﰲ ﻧﻔﺲ ﺍﻷﻣﺮ ﻭﻫﺬﺍ ﻣﻦ ﺍﶈﺬﻭﺭﺍﺕ ﺍﻟﻜﺒﺎﺭ) .ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ:1988 ، .(50/1
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻟﻘﺪ ﻛﺎﻧﺖ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺼﻮﺭﺓ ﻭﺍﻗﻌﺔ ﰲ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﰲ ﺃﻳﺎﻡ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﻟﻜﻦ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺼﻮﺭﺓ ﻻ ﲣﺘﻠﻒ ﰲ ﺃﻱ ﺯﻣﺎﻥ ﻭﰲ ﺃﻱ ﻣﻜﺎﻥ ،ﺣﻴﺚ ﳒﺪﻫﺎ ﳕﻮﺫﺟﹰﺎ ﻣﻜﺮﻭﺭﹰﺍ ﰲ ﺃﺟﻴﺎﻝ ﺍﻟﺒﺸﺮﻳﺔ ﲨﻴﻌﹰﺎ. ﺃﻫﺪﺍﻑ ﺍﻟﺒﺤﺚ .1ﻟﺘﻮﺿﻴﺢ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ. .2ﳌﻌﺮﻓﺔ ﻣﺪﻯ ﺧﻄﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻋﻠﻰ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺿﻮﺀ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻮﺭﺓ. .3ﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺁﺛﺎﺭ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺿﻮﺀ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻮﺭﺓ. ﺣﺪﻭﺩ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺣﺪﺩﺕ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺔ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﺑﻌﺾ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﻓﻘﻂ ﻣﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺧﻄﻮﺭﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﻭﺍﻫﺘﻤﺖ ﺑﺎﳊﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﺻﻔﺎﻢ ﻭﺧﻄﻮﺭﻢ ﻓﻴﻤﺎ ﺻﻮﺭﻩ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻋﻠﻤﹰﺎ ﺑﺄﻥ ﻫﻨﺎﻙ ﺍﻟﻜﺜﲑ ﻣﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺍﻟﱵ ﺗﺬﻛﺮ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻟﻜﻦ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺔ ﺗﺮﻛﺖ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻋﻨﻬﺎ ﻟﻄﻮﳍﺎ ﻭﻛﺜﺮﺎ ﻭﺍﻋﺘﻤﺪﺕ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﳌﻜﺘﺒﻴﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﻭﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﺍﻷﺳﺎﺳﻴﺔ. ﻛﻴﻔﻴﺔ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻭﲢﻠﻴﻠﻪ: -1ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﰲ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ﰒ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺑﺄﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻣﻌﺘﻤﺪﹰﺍ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﻮﺻﻔﻲ ﺍﻟﺘﺤﻠﻴﻠﻲ ﳌﻌﺮﻓﺔ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ. -2ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﰲ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺴﻨﻦ ﳌﻌﺮﻓﺔ ﻣﺪﻯ ﺧﻄﺮ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺍﳌﺴﻠﻤﲔ. -3ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﰲ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﳌﻌﺮﻓﺔ ﻣﱴ ﻇﻬﻮﺭ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ. -4ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﰲ ﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﳌﺘﻌﻠﻘﺔ ﺑﺎﳌﻮﺿﻮﻉ ﳌﻌﺮﻓﺔ ﻣﺪﻯ ﺧﻄﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺍﻟﻌﻬﺪ ﺍﻟﻨﺒﻮﻱ. ﻗﺎﻣﺖ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺔ ﰲ ﻋﺮﺽ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺑﺘﺤﻠﻴﻞ ﻣﻜﻮﻧﺎﺕ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﺗﺸﺘﻖ ﻣﻦ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ ﺫﺍﺕ ﺍﻟﻌﻼﻗﺔ ﲟﻮﺿﻮﻉ ﺍﻟﺒﺤﺚ ،ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻡ ﺑﺘﺤﻠﻴﻞ ﳏﺘﻮﻯ ﺍﻟﻨﺼﻮﺹ ﺍﻟﱵ ﺗﺘﻌﻠﻖ ﺑﺎﳌﻮﺿﻮﻉ ﰒ ﺣﺎﻭﻝ ﺑﻌﺪ ﺫﻟﻚ ﺑﻜﺘﺎﺑﺔ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﰲ ﺍﻟﻮﺭﻗﺔ ﻣﺴﺘﻌﻴﻨﹰﺎ ﺑﻘﻮﺍﻋﺪ ﺍﻟﻜﺘﺎﺑﺔ ﻭﺍﻹﻣﻼﺋﻴﺔ. ﺍﳌﻨﺎﻗﺸﺔ ﻭﺍﻻﺳﺘﻨﺘﺎﺝ ﺇﻥ ﺣﻘﻴﻘﺔ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻲ ﺇﺩﻋﺎﺀ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﺎﷲ ﻭﺍﻟﻴﻮﻡ ﺍﻵﺧﺮ ﻭﻫﻢ ﰲ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﻟﻴﺴﻮﺍ ﲟﺆﻣﻨﲔ ﻭﺇﳕﺎ ﻫﻢ ﻣﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ،ﻭﻫﻨﺎﻙ ﺻﻔﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﺗﺘﻌﻠﻖ ﺑﺎﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﻟﻜﻦ ﺃﻛﺘﻔﻲ ﻣﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﻋﻼﻣﺎﻢ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻓﻘﻂ.ﻭﻫﻲ :
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺍﻟﻜﺬﺏ:ﻛﻤﺎ ﻋﻠﻤﻨﺎ ﻓﻴﻤﺎ ﺳﺒﻖ ﺃﻥ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻲ ﳐﺎﻟﻔﺔ ﺍﻟﻈﺎﻫﺮ ﻟﻠﺒﺎﻃﻦ ﻭﻣﻦ ﺃﺑﺮﺯﺧﺼﺎﻝ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻲ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﰲ ﺍﻟﻘﻮﻝ ،ﻭﻛﻤﺎ ﺃﻥ ﺍﷲ -ﻋﺰ ﻭﺟﻞ -ﺑﺪﺃ ﰲ ﺃﻭﻝ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﺑﻔﻀﺢ ﺃﺧﻼﻕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺑﺄﻢ ﺍﲣﺬﻭﺍ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﰲ ﺍﺩﻋﺎﺀ ﺍﻷﳝﺎﻥ ﻭﺣﻠﻒ ﺍﻷﳝﺎﻥ ﺍﻟﻔﺎﺟﺮﺓ ﺍﻟﻜﺎﺫﺑﺔ ﺣﻴﺚ ﺃﻢ ﻳﻨﻄﻘﻮﻥ ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ ﺇﺫﺍ ﺟﺎﺀﻭﺍ ﺇﱃ ﺍﻟﻨﱯ -ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ -ﻭﻫﻢ ﰲ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻀﺪ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ: { ` p o n m l k j i hg f e d c b a zq
ﻳﻘﻮﻝ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺼﻼﺓ ﻭﺍﻟﺴﻼﻡ ،ﻭﰲ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔ:
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(1 :63 ،
))ﺁﻳﺔ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﺛﻼﺙ ﻭﺫﻛﺮ ﻣﻨﻬﺎ ﺇﺫﺍ ﺣﺪﺙ ﻛﺬﺏ(( )ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ.(11\1 :1315 ، ﺍﻟﺼﺪ ﻋﻦ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ:ﻭﰲ ﺍﻵﻳﺔ ﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔ ﻣﻦ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺫﻛﺮ ﺍﷲ -ﻋﺰ ﻭﺟﻞ -ﺃﻥ ﻣﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺍﻟﺼﺪ ﻋﻦ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ ﺣﻴﺚ ﺍﺳﺘﺨﺪﻣﻮﺍ ﺃﳝﺎﻢ ﻹﺛﺒﺎﺕ ﻣﺎ ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ ،ﻭﻹﻗﺎﻉ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺑﺼﺪﻗﻬﻢ ﻓﻘﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ: { z ~ } | { zy x w v u t s
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ :ﺍﻵﻳﺔ .(2 ﺃﻱ ﺻﺪﻭﺍ ﺑﺎﻹﳝﺎﻥ ﻋﻦ ﺍﳉﻬﺎﺩ ﰲ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ ﻓﻔﻴﻪ ﻭﺟﻬﺎﻥ :ﺃﺣﺪﳘﺎ ﻫﻲ ﻋﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﺘﻨﻔﲑ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻋﻨﻪ ،ﻭﺍﻟﺜﺎﱐ ﻋﻦ ﺍﳉﻬﺎﺩ ﺑﺘﺜﺒﻴﻄﻬﻢ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﺇﺭﺟﺎﻓﻬﻢ ﺑﻪ ﻋﻨﻬﻢ ﻗﺎﻝ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺍﳋﻄﺎﺏ :ﻣﺎ ﺃﺧﺎﻑ ﻋﻠﻴﻜﻢ ﺭﺟﻠﲔ :ﻣﺆﻣﻨﹰﺎ ﻗﺪ ﺍﺳﺘﺒﺎﻥ ﺇﳝﺎﻧﻪ ﻭﻛﺎﻓﺮ ﻗﺪ ﺍﺳﺘﺒﺎﻥ ﻛﻔﺮﻩ ،ﻭﻟﻜﻦ ﺃﺧﺎﻑ ﻋﻠﻴﻜﻢ ﻣﻨﺎﻓﻘﹰﺎ ﻳﺘﻌﻮﺫ ﺑﺎﻹﳝﺎﻥ ﻭﻳﻌﻤﻞ ﺑﻐﲑﻩ) .ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ ،ﺩ.ﺕ.(15/6 . ﺍﻟﺘﻼﻋﺐ:ﰲ ﺍﻵﻳﺔ ﺍﻟﺜﺎﻟﺜﺔ ﺃﺧﱪﻧﺎ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺃﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻳﺘﻼﻋﺒﻮﻥ ﺑﺎﻟﺪﻳﻦ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺣﻴﺚ ﺇﻢ ﺁ ﻣﻨﻮﺍ ﺑﺎﻟﻠﺴﺎﻥ ﰲ ﺍﻟﻈﺎﻫﺮ ﻧﻔﺎﻗﹰﺎ ﰒ ﻛﻔﺮﻭﺍ ﺑﺎﻟﻘﻠﺐ ﰲ ﺍﻟﺒﺎﻃﻦ ﺃﻱ ﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻟﻠﻤﺆﻣﻨﲔ ﻭﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻟﻠﻜﺎﻓﺮﻳﻦ ﻭﻫﺬﺍ ﺻﺮﻳﺢ ﰲ ﺗﻼﻋﺐ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﻛﻔﺮﻫﻢ ﻭﺟﻌﻠﻮﺍ ﻣﻦ ﺃﳝﺎﻢ ﺗﻘﻴﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺘﻞ ﻭﺍﻷﺳﺮ ﻟﺬﻟﻚ ﺍﻟﺴﺒﺐ ﻋﺎﻗﺒﻬﻢ ﺍﷲ ﺑﺎﻟﻄﺒﻊ ﻋﻠﻰ ﻗﻠﻮﻢ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ: { z¬ « ª © ¨ § ¦ ¥ ¤ £ ¢
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(3 :63 ،
ﺃﻱ ﺫﻟﻚ ﺗﻘﻴﺔ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﻭﺍﻟﺼﺪ ﻭﻗﺒﺢ ﺍﻷﻋﻤﺎﻝ ﺑﺴﺒﺐ ﺃﻢ ﺁﻣﻨﻮﺍ ﻧﻔﺎﻗﺎﹰ ،ﻭﻻ ﺘﺪﻱ ﺇﱃ ﺣﻖ ،ﻭﻻ ﻳﻨﻔﺬ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﺧﲑ ،ﻓﺄﺻﺒﺤﻮﺍ ﻻ ﻳﻔﻘﻬﻮﻥ ﻣﺎ ﻓﻴﻪ ﺭﺷﺪﻫﻢ ﻭﺻﻼﺣﻬﻢ ،ﻭﻻ ﻳﻌﻮﻥ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻭﻻ ﻳﺪﺭﻛﻮﻥ ﺍﻷﺩﻟﺔ ﺍﻟﺪﺍﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﺻﺪﻕ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ ) .ﻭﻫﺒﺔ ﺍﻟﺰﺣﻴﻠﻲ، 1411ﻫـ) (217-216/28 .ﺍﳋﺎﺯﻥ1399 ،ﻫـ.(324-322/8 . ﺍﻟﻌﺠﺐ:ﻭﻣﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺍﻟﻌﺠﺐ ﺑﺄﻧﻔﺴﻬﻢ ﺣﻴﺚ ﺃﺑﺎﻥ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻣﺪﻯ ﺍﻏﺘﺮﺍﺭ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺑﻈﺎﻫﺮﻫﻢ ﻭﺑﺼﻮﺭﻫﻢ ﺍﳉﺴﺪﻳﺔ ،ﻓﻘﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ: { Á À ¿ ¾ ½ ¼ » º¹ ¸ ¶ µ ´ ³ ² ± ° zÌ Ë ÊÉ È ÇÆ Å Ä ÃÂ
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(4 :63 ،
ﺃﻱ ﻭﺇﺫﺍ ﻧﻈﺮﺕ ﺇﻟﻴﻬﻢ ﺗﺮﻭﻗﻚ ﻫﻴﺌﺎﻢ ﻭﻣﻨﺎﻇﺮﻫﻢ ،ﳌﺎ ﻓﻴﻬﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻀﺎﺭﺓ ﻭﺍﻟﺮﻭﻧﻖ ﻭﲨﺎﻝ ﺍﻟﺼﻮﺭﺓ ﻭﺍﻋﺘﺪﺍﻝ ﺍﳋﻠﻘﺔ ،ﻭﺇﻥ ﺗﻜﻠﻤﻮﺍ ﺣﺴﻦ ﺍﻟﺴﻤﺎﻉ ﻟﻜﻼﻣﻬﻢ ،ﻭﻇﻦ ﺃﻥ ﻗﻮﳍﻢ ﺣﻖ ﻭﺻﺪﻕ، ﻟﻔﺼﺎﺣﺘﻬﻢ ﻭﺣﻼﻭﺓ ﻣﻨﻄﻘﻬﻢ ﻭﺫﻻﻗﺔ ﺃﻟﺴﻨﺘﻬﻢ ،ﻭﳛﺘﻤﻞ ﻹﻇﻬﺎﺭﻫﻢ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺫﻛﺮ ﻣﻮﺍﻗﻔﻬﻢ ،ﻭﳛﺘﻤﻞ ﺛﺎﻧﻴﹰﺎ ﻛﺄﻢ ﺃﺧﺸﺎﺏ ﺟﻮﻓﺎﺀ ﻣﻨﺨﻮﺭﺓ ﻣﺴﺘﻨﺪﺓ ﺇﱃ ﺍﳊﻴﻄﺎﻥ) ،ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ ،ﺩ.ﺕ .(15/6 .ﻓﻘﻮﻟﻪ°) : ( ±ﻳﻌﲏ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺃﰊ ،ﻭﻣﻐﻴﺚ ﺑﻦ ﻗﻴﺲ ،ﻭﺟﺪ ﺑﻦ ﻗﻴﺲ ،ﻛﺎﻧﺖ ﳍﻢ ﺃﺟﺴﺎﻡ ﻭﻣﻨﻈﺮ، ﺗﻌﺠﺒﻚ ﺃﺟﺴﺎﻣﻬﻢ ﳊﺴﻨﻬﺎ ﻭﲨﺎﳍﺎ ،ﻭﻗﺎﻝ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ :ﻛﺎﻥ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺟﺴﻴﻤﹰﺎ ﺻﺒﻴﺤﹰﺎ ﺫﻟﻖ ﺍﻟﻠﺴﺎﻥ ) ،ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ1407 ،ﻫـ .ﺟـ (348/4 .ﻓﻘﻮﻟﻪ (¹) :ﺃﻱ ﻳﺴﻤﻊ ﳌﺎ ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ ﻣﺸﺒﻬﲔ ﲞﺸﺐ ﻣﺴﻨﺪﺓ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﻘﺎﺋﻞ )) :ﻻ ﺑﺄﺱ ﺑﺎﻟﻘﻮﻡ ﻣﻦ ﻃﻮﻝ ﻭﻣﻦ ﻋﻈﻢ ﺟﺴﻢ ﺍﻟﺒﻐﺎﻝ ﻭﺃﺣﻼﻡ ﺍﻟﻌﺼﺎﻓﲑ) ((.ﳏﻤﺪ ﻋﻠﻲ ﺍﻟﺼﺎﺑﻮﱐ1413 ،ﻫـ .ﺟـ.(108/14 . ﺍﻻﺳﺘﻜﺒﺎﺭ :ﻟﻘﺪ ﺫﻛﺮ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﺑﻌﺾ ﻗﺒﺎﺋﺢ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺣﻴﺚ ﺃﻢ ﺍﺳﺘﻜﱪﻭﺍ ﻋﻦ ﺍﻻﻋﺘﺬﺍﺭ ﻭﺍﻻﺳﺘﻐﻔﺎﺭ ﻭﺍﻻﺳﺘﻨﻜﺎﺭ ﻫﻨﺎ ﻫﻮ ﻋﺪﻡ ﺍﺳﺘﻌﺪﺍﺩﻫﻢ ﻟﻘﺒﻮﻝ ﺍﻻﺳﺘﻐﻔﺎﺭ ﻣﻦ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ -ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ -ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ: { zN M L K J I H GF E D B A
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ :ﺍﻵﻳﺔ (5
ﺃﻱ ﺇﺫﺍ ﻗﺎﻝ ﳍﻢ ﻗﺎﺋﻞ ﻣﻦ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻗﺪ ﺃﻧﺰﻝ ﻓﻴﻜﻢ ﻣﺎ ﻧﺰﻝ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻓﺘﻮﺑﻮﺍ ﺇﱃ ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﻭﺗﻌﺎﻟﻮﺍ ﻳﺴﺘﻐﻔﺮ ﻟﻜﻢ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ) (J Iﺃﻱ ﺣﺮﻛﻮﻫﺎ ﺍﺳﺘﻬﺰﺍﺀ ﺑﺬﻟﻚ .ﻭ ) (L Kﺃﻱ ﻳﻌﺮﺿﻮﻥ ﻋﻦ ﻗﻮﻝ ﻣﻦ ﻗﺎﻝ ﳍﻢ :ﺗﻌﺎﻟﻮﺍ ﻳﺴﺘﻐﻔﺮﻟﻜﻢ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ،ﺃﻭ ﻳﻌﺮﺿﻮﻥ ﻋﻦ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ( N M ) .ﺃﻱ ﻭﺭﺃﻳﺘﻬﻢ ﺻﺎﺩﻳﻦ ﻣﺴﺘﻜﱪﻳﻦ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ :ﻓﻴﻪ ﻭﺟﻬﺎﻥ : ﺃﺣﺪﳘﺎ :ﻣﺘﻜﱪﻭﻥ .ﻭﺍﻟﺜﺎﱐ :ﳑﺘﻨﻌﻮﻥ ).ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ ،ﺩ.ﺕ.(17/6 :
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺍﻟﻔﺴﻖ:ﻟﻘﺪ ﺫﻛﺮ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﺑﻌﺾ ﻗﺒﺎﺋﺢ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﺣﻴﺚ ﺃﻢ ﻓﺴﻘﻮﺍ ﰲ ﺃﻣﺮ ﺍﷲ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ:
{ a ` _ ^ ] \[ Z Y X W V U T S R Q P zb
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(6 :63 ،
ﺃﻱ ﻣﺎﺩﺍﻣﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ،ﻭﺍﳌﻌﲎ ﺳﻮﺍﺀ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺍﻻﺳﺘﻐﻔﺎﺭ ﻭﻋﺪﻣﻪ ﻷﻧﻪ ﻻ ﻳﻠﺘﻔﺘﻮﻥ ﺇﻟﻴﻪ ﻭﻻ ﻳﻌﺘﺪﻭﻥ ﺑﻪ ﻟﻜﻔﺮﻫﻢ ،ﺃﻭ ﻷﻥ ﺍﷲ ﻻ ﻳﻐﻔﺮ ﳍﻢ. ﺇﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻫﻢ ﺍﻟﻔﺎﺳﻘﻮﻥ ﻭﻫﻢ ﺍﳋﺎﺭﺟﻮﻥ ﻋﻦ ﻃﺎﻋﺔ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻭﺍﳋﻀﻮﻉ ﻟﻪ ﻓﻼ ﻳﺴﺒﺤﻘﻮﻥ ﺍﻟﺮﲪﺔ ،ﰒ ﺑﲔ ﻣﺎ ﺍﻋﺪﻩ ﻟﻠﻤﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺳﺎﺋﺮ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﺬﺍﺏ ﺍﻷﻟﻴﻢ ﰲ ﺍﻵﺧﺮﺓ ﺑﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ: {¬ ® ¯ » º ¹ ¸ ¶ µ ´ ³ ² ± ° ¼½ ¾ ¿ zÀ
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ(68 :9، ﺃﻱ ﻫﻲ ﻛﺎﻓﻴﺘﻬﻢ ﺑﻌﺬﺍﺎ ﻷﻧﻪ ﻋﺬﺍﺎ ﻫﺎﺋﻞ ﻻ ﻣﺰﻳﺪ ﻋﻠﻴﻪ ) ﻭﻟﻌﻨﻬﻢ ﺍﷲ ( ﻃﺮﺩﻫﻢ ﻭﺃﺑﻌﺪﻫﻢ ﻣﻦ ﺭﲪﺘﻪ ﻷﻢ ﻻ ﻳﺴﺘﺤﻘﻮﺎ ) ﻭﳍﻢ ﻋﺬﺍﺏ ﻣﻘﻴﻢ( ﺃﻱ ﺩﺍﺋﻢ ﻻ ﻳﻨﻘﻄﻊ ﻭﻫﻮ ﻋﺬﺍﺏ ﺍﻟﻨﺎﺭ ﻓﻘﻴﻞ ﺇﻥ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﺑﻪ ﻋﺬﺍﺏ ﺁﺧﺮ ﰲ ﺍﻵﺧﺮﺓ ﻏﲑ ﻋﺬﺍﺏ ﺟﻬﻨﻢ ﻻ ﻳﻨﻘﻄﻊ ﺃﺑﺪﹰﺍ ﻭﺑﺬﻟﻚ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ ،ﻭﻣﻦ ﺗﺒﻌﻪ ﻭﺫﻛﺮﻭﺍ ﺍﺣﺘﻤﺎﻝ ﻛﻮﻥ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﻋﺬﺍﺏ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻭﻫﻮ ﻣﺎ ﻳﻘﺎﺳﻴﻪ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻣﻦ ﺧﻮﻑ ﻭﺍﻧﺘﻘﺎﻡ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻣﻨﻬﻢ )ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ ،ﺩ.ﺕ .(201\2 :ﻭﻟﻜﻦ ﳝﻨﻊ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ ﺃﻧﻪ ﻟﻴﺲ ﻫﻨﺎﻙ ﻣﻦ ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﻌﺬﺍﺏ ﻣﺎ ﻫﻮ ﺩﺍﺋﻢ ﻻ ﻳﻨﻘﻄﻊ ﺃﺑﺪﹰﺍ ﻏﲑ ﻋﺬﺍﺏ ﺟﻬﻨﻢ ،ﻭﻗﻴﻞ ﺇﻥ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﺍﻟﻌﺬﺍﺏ ﺍﻟﻨﻔﺴﻲ ﻭﺍﳌﻌﻨﻮﻱ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻘﺎﺳﻴﻪ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ ،ﻭﺑﺬﻟﻚ ﻗﺎﻝ ﺭﺷﻴﺪ ﺭﺿﺎ ).ﺭﺷﻴﺪ ﺭﺿﺎ ،ﺩ .ﺕ (621 \10 :ﻭﻟﻜﻦ ﺇﻥ ﻛﺎﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻌﺬﺍﺏ ﺍﻟﻨﻔﺴﻲ ﻧﺎﲡﺎ ﻋﻦ ﻋﺬﺍﻢ ﺍﳊﺴﻲ ﰲ ﺟﻬﻨﻢ ﻓﺒﲔ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ) :ﻭﳍﻢ ﻋﺬﺍﺏ ﻣﻘﻴﻢ( ﺃﻥ ﺧﻠﻮﺩﻫﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻮﻉ ﺍﻟﺬﻱ ﻻ ﻳﻨﻘﻄﻊ ﺃﺑﺪﹰﺍ. ﺍﻟﺒﺨﻞ:ﰒ ﺫﻛﺮ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﺑﻌﺾ ﻗﺒﺎﺋﺤﻬﻢ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻓﻘﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ: {s r q po n m l k j i h g f e d zx w v u t
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(7 :63 ، ﺃﻱ ﺣﱴ ﻳﺘﻔﺮﻗﻮﺍ ﻋﻨﻪ ،ﻳﻌﻨﻮﻥ ﺑﺬﻟﻚ ﻓﻘﺮﺍﺀ ﺍﳌﻬﺎﺟﺮﻳﻦ ،ﻭﻟﻪ ﺍﻷﺭﺯﺍﻕ ﻭﺍﻟﻘﺴﻢ ،ﻓﻬﻮ ﺭﺍﺯﻗﻬﻢ ﻣﻨﻬﺎ ،ﻭﺇﻥ ﺃﰉ ﺃﻫﻞ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺃﻥ ﻳﻨﻔﻘﻮﺍ ﻋﻠﻴﻬﻢ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻓﺎﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻣﻦ ﺃﲞﻞ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﰲ ﺃﻣﻮﺭ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻭﰲ ﺃﻣﻮﺭ ﺍﳋﲑ ،ﻓﺘﺮﻯ ﺃﺣﺪﻫﻢ ﻳﺬﺑﺢ ﰲ ﻭﻟﻴﻤﺔ ﺳﺘﲔ ﺫﺑﻴﺤﺔ ﺭﻳﺎﺀ ﻭﲰﻌﺔ ﻟﻜﻦ ﺇﺫﺍ ﻃﻠﺒﺘﻪ ﰲ ﺍﻧﻔﺎﻕ ﺃﻭ ﰲ ﻣﺸﺮﻭﻉ ﺑﻨﺎﺀ ﻣﺴﺠﺪ ﺃﻭ ﰲ ﺟﻬﺎﺩ ﺃﺧﺮﺥ ﻼ ﻣﻦ ﻣﺎﻟﻪ .ﻓﺈﻧﻔﺎﻗﻬﻢ ﺷﺤﻴﺢ ﻳﻘﻮﻝ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ: ﻗﻠﻴ ﹰ {~ } | { z yx w v u t ¡zª © ¨ § ¦¥ ¤ £ ¢
ﺑﺎﷲ.
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ :ﺍﻵﻳﺔ (67 ﻓﻬﻢ ﻳﻘﺒﻀﻮﻥ ﺃﻳﺪﻳﻬﻢ ﻭﻻ ﻳﺘﱪﻋﻮﻥ ﺑﺎﳋﲑ ،ﻭﻫﻢ ﻗﺎﺩﺭﻭﻥ ﻓﻬﺬﻩ ﻣﻦ ﻋﻼﻣﺔ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﺍﻟﻌﻴﺎﺫ
ﻭﻫﻜﺬﺍ ﻳﺘﻔﻖ ﰲ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻮﺳﻴﻠﺔ ﺍﳋﺴﻴﺴﺔ ﻛﻞ ﺧﺼﻮﻡ ﺍﻹﳝﺎﻥ ،ﻣﻦ ﻗﺪﱘ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ،ﺇﱃ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ...ﻧﺎﺳﲔ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﺍﻟﺒﺴﻴﻄﺔ ﺍﻟﱵ ﻳﺬﻛﺮﻫﻢ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺎ ﻗﺒﻞ ﺧﺘﺎﻡ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺔs r q) : ( x w v u tﻭﻟﻜﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﻭﺃﺿﺮﺍﺑﻪ ﺟﺎﻫﻠﻮﻥ ﻻ ﻳﻔﻘﻬﻮﻥ ﺫﻟﻚ ﻓﻴﻬﺬﻭﻥ ﲟﺎ ﻳﺰﻳﻦ ﳍﻢ ﺍﻟﺸﻴﻄﺎﻥ ،ﻷﻥ ﺧﺰﺍﺋﻦ ﺍﻟﺮﺯﻕ ﻟﻪ ﻓﻴﻌﻄﻲ ﻣﻦ ﺷﺎﺀ ﻭﳝﻨﻊ ﻣﻦ ﺷﺎﺀ ﻣﺎ ﺷﺎﺀ ،ﺫﻟﻚ ﻭﻻ ﻳﻌﻠﻤﻮﻥ ﺃﻥ ﺧﺰﺍﺋﻦ ﺍﻷﺭﺯﺍﻕ ﺑﻴﺪ ﺍﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ ﻭﺃﻧﻪ ﺍﻟﺒﺎﺳﻂ ﺍﻟﻘﺎﺑﺾ ﺍﳌﻌﻄﻲ ﺍﳌﺎﻧﻊ) .ﺍﻟﻨﺴﻔﻲ(380\4 :1416 ، ﻭ)ﺍﻟﺴﻌﺪﻱ1414 ،ﻫـ.(245\5 . ﺍﻻﻏﺘﺮﺍﺭ ﺑﺎﻟﻨﻔﺲ ﻭﺳﻮﺀ ﺍﻟﻈﻦ ﺑﺎﳌﺆﻣﻨﲔ :ﻟﻘﺪ ﺫﻛﺮ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﺑﻌﺾ ﻗﺒﺎﺋﺢ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺣﻴﺚ ﺃﻢ ﺍﻏﺘﺮﻭﺍ ﺑﺎﻟﻨﻔﺲ ﻭﺳﻮﺀ ﺍﻟﻈﻦ ﺑﺎﳌﺆﻣﻨﲔ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ: {f e d cb a ` _ ~ } | { z zk j i h g
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(8 :63 ، ﺍﻟﻘﺎﺋﻞ ﳍﺬﻩ ﺍﳌﻘﺎﻟﺔ ﻫﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺭﺃﺱ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ،ﻭﻋﲎ ﺑﺎﻷﻋﺰ ﻧﻔﺴﻪ ﻭﻣﻦ ﻣﻌﻪ ،ﻭﺑﺎﻷﺫﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﻣﻦ ﻣﻌﻪ ،ﻭﻣﺮﺍﺩﻩ ﺑﺎﻟﺮﺟﻮﻉ ﺭﺟﻮﻋﻬﻢ ﻣﻦ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻐﺰﻭﺓ ،ﻭﺇﳕﺎ ﺃﺳﻨﺪ ﺍﻟﻘﻮﻝ ﺇﱃ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻣﻊ ﻛﻮﻥ ﺍﻟﻘﺎﺋﻞ ﻫﻮ ﻓﺮﺩ ﻣﻦ ﺃﻓﺮﺍﺩﻫﻢ ،ﻭﻫﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺃﰊ ،ﻟﻜﻮﻧﻪ ﻛﺎﻥ ﺭﺋﻴﺴﻬﻢ ﻭﺻﺎﺣﺐ ﺃﻣﺮﻫﻢ ،ﻭﻫﻢ ﺭﺍﺿﻮﻥ ﲟﺎ ﻳﻘﻮﻟﻪ ﺳﺎﻣﻌﻮﻥ ﻟﻪ ﻣﻄﻴﻌﻮﻥ .ﰒ ﺭﺩ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻋﻠﻰ ﻗﺎﺋﻞ ﺗﻠﻚ ﺍﳌﻘﺎﻟﺔ ﻓﻘﺎﻝ ( g fe d) :ﺃﻱ ﺍﻟﻘﻮﺓ ﻭﺍﻟﻐﻠﺒﺔ ﷲ ﻭﺣﺪﻩ ﻭﳌﻦ ﺃﻓﺎﺿﻬﺎ ﻋﻠﻴﻪ ﻣﻦ ﺭﺳﻠﻪ ﻭﺻﺎﳊﻲ ﻋﺒﺎﺩﻩ ﻻ ﻟﻐﲑﻫﻢ .ﺍﻟﻠﻬﻢ ﻛﻤﺎ ﺟﻌﻠﺖ ﺍﻟﻌﺰﺓ ﻟﻠﻤﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻓﺎﺟﻌﻞ ﺍﻟﻌﺰﺓ ﻟﻠﻌﺎﺩﻟﲔ ﻣﻦ ﻋﺒﺎﺩﻙ ،ﻭﺃﻧﺰﻝ ﺍﻟﺬﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﳉﺎﺋﺮﻳﻦ ﺍﻟﻈﺎﳌﲔ ) ( k j i hﲟﺎ ﻓﻴﻪ ﺍﻟﻨﻔﻊ ﻓﻴﻔﻌﻠﻮﻧﻪ ،ﻭﲟﺎ ﻓﻴﻪ ﺍﻟﻀﺮ ﻓﻴﺠﺘﻨﺒﻮﻧﻪ ،ﺑﻞ ﻫﻢ ﻛﺎﻷﻧﻌﺎﻡ ﻟﻔﺮﻁ ﺟﻬﻠﻬﻢ ﻭﻣﺰﻳﺪ ﺣﲑﻢ ﻭﺍﻟﻄﺒﻊ ﻋﻠﻰ ﻗﻠﻮﻢ. ﺍﻟﻐﻔﻠﺔ :ﳌﺎ ﺫﻛﺮ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻗﺒﺎﺋﺢ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺭﺟﻊ ﺇﱃ ﺧﻄﺎﺏ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻣﺮﻏﺒﹰﺎ ﳍﻢ ﰲ ﺫﻛﺮﻩ ﻓﻘﺎﻝ:
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย { { z y xw v u t s r q p o n m | } ~z
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(9 :63 ، ﻓﺤﺬﺭﻫﻢ ﻋﻦ ﺃﺧﻼﻕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺃﳍﺘﻬﻢ ﺃﻣﻮﺍﳍﻢ ﻭﺃﻭﻻﺩﻫﻢ ﻋﻦ ﺫﻛﺮ ﺍﷲ،ﻭﰲ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ ﻋﻦ ﺃﰊ ﺍﻟﺪﺭﺩﺍﺀ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﺃﻧﻪ ﻗﺎﻝ " :ﺃﻻ ﺃﺩﻟﻜﻢ ﻋﻠﻰ ﺧﲑ ﺃﻋﻤﺎﻟﻜﻢ ،ﻭﺃﺯﻛﺎﻫﺎ ﻋﻨﺪ ﻣﻠﻴﻜﻜﻢ ﻭﺃﺭﻓﻌﻬﺎ ﰲ ﺩﺭﺟﺎﺗﻜﻢ ﻭﺧﲑ ﻟﻜﻢ ﻣﻦ ﺇﻧﻔﺎﻕ ﺍﻟﺬﻫﺐ ﻭﺍﻟﻮﺭﻕ ﻭﺧﲑ ﻟﻜﻢ ﻣﻦ ﺃﻥ ﺗﻠﻘﻮﺍ ﻋﺪﻭﻛﻢ ﻓﺘﻀﺮﺑﻮﺍ ﺃﻋﻨﺎﻗﻬﻢ ﻭﻳﻀﺮﺑﻮﺍ ﺃﻋﻨﺎﻗﻜﻢ؟ ﻗﺎﻟﻮﺍ :ﺑﻠﻰ ﻳﺎ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ :ﻗﺎﻝ :ﺫﻛﺮ ﺍﷲ" )ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ: (139\3ﰲ ﺍﻟﺪﻋﻮﺍﺕ ،ﺑﺎﺏ :ﻓﻀﻞ ﺍﻟﺬﻛﺮ).ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ (316/2ﻭ )ﺍﳊﺎﻛﻢ (496/1ﻭﻫﻮ ﰲ ﺍﳌﻮﻃﺄ ﻭﻗﻮﻑ ﻋﻠﻰ ﺃﰊ ﺍﻟﺪﺭﺩﺍﺀ ) ﻣﺎﻟﻚ ،ﺭﻗﻢ (24ﻭﻣﻌﲎ ﻻ ﺗﻠﻬﻜﻢ :ﻻﺗﺸﻐﻠﻜﻢ ،ﻭﺍﳌﺮﺍﺩ ﺑﺎﻟﺬﻛﺮ ﻓﺮﺍﺋﺾ ﺍﻹﺳﻼﻡ ،ﻗﺎﻟﻪ ﺍﳊﺴﻦ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﻀﺤﺎﻙ :ﺍﻟﺼﻠﻮﺍﺕ ﺍﳋﻤﺲ ﻭﻗﻴﻞ :ﻗﺮﺍﺀﺓ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ،ﻭﻗﻴﻞ :ﻫﻮ ﺧﻄﺎﺏ ﻟﻠﻤﻨﺎﻓﻘﲔ ،ﻭﻭﺻﻔﻬﻢ ﺑﺎﻹﳝﺎﻥ ﻟﻜﻮﻢ ﺁﻣﻨﻮﺍ ﻇﺎﻫﺮﺍﹰ ،ﻭﺍﻷﻭﻝ ﺃﻭﱃ ) ( { z yﺃﻱ ﻳﻠﺘﻬﻲ ﺑﺎﻟﺪﻧﻴﺎ ﻋﻦ ﺍﻟﺪﻳﻦ )| } ~ ( ﺃﻱ ﺍﻟﻜﺎﻣﻠﻮﻥ ﰲ ﺍﳋﺴﺮﺍﻥ )ﻳﺴﺮﻱ ﺍﻟﺴﻴﺪ ﳏﻤﺪ:1993 ، .(454\4 ﻃﻮﻝ ﺍﻷﻣﻞ:ﻟﻘﺪ ﺫﻛﺮ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﺑﻌﺾ ﻗﺒﺎﺋﺢ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺣﻴﺚ ﺃﻢ ﺗﻜﺎﺳﻠﻮﺍ ﻋﻦ ﺍﻷﻋﻤﺎﻝ ﺍﻟﺼﺎﳊﺔ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ: { zÄ Ã Â Á À¿ ¾ ½ ¼ » º ¹
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ(11 :63 ،
ﻭﻟﻦ ﻳﺆﺧﺮ ﺍﷲ ﻧﻔﺴﹰﺎ ﻋﻦ ﺍﳌﻮﺕ ﺇﺫﺍ ﺟﺎﺀ ﺃﺟﻠﻬﺎ ﺍﳌﻜﺘﻮﺏ ﰲ ﺍﻟﻠﻮﺡ ﺍﶈﻔﻮﻅ ،ﻭﺍﷲ ﺧﺒﲑ ﲟﺎ ﻳﻌﻤﻠﻮﻥ ،ﻭﺍﳌﻌﲎ ﺃﻧﻜﻢ ﺇﺫﺍ ﻋﻠﻤﺘﻢ ﺃﻥ ﺗﺄﺧﲑ ﺍﳌﻮﺕ ﻋﻦ ﻭﻗﺘﻪ ﳑﺎ ﻻ ﺳﺒﻴﻞ ﺇﻟﻴﻪ ﻭﺃﻧﻪ ﻫﺎﺟﻢ ﻻ ﳏﺎﻟﺔ، ﻭﺃﻥ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻢ ﺑﺄﻋﻤﺎﻟﻜﻢ ،ﻓﻤﺠﺎﺯ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻣﻦ ﻣﻨﻊ ﻭﺍﺟﺐ ﻭﻏﲑﻩ ﱂ ﻳﺒﻖ ﺇﻻ ﺍﳌﺴﺎﺭﻋﺔ ﺇﱃ ﺍﳋﺮﻭﺝ ﻋﻦ ﻋﻬﺪﺓ ﺍﻟﻮﺍﺟﺒﺎﺕ ﻭﺍﻻﺳﺘﻌﺪﺍﺩ ﻟﻠﻘﺎﺀ ﺍﷲ) .ﺍﻟﻨﺴﻔﻲ .(381/4 :1996 ،ﻭﳛﺘﻤﻞ ﻭﺟﻬﲔ :ﺃﺣﺪﳘﺎ :ﻟﻦ ﻳﺆﺧﺮﻫﺎ ﻋﻦ ﺍﳌﻮﺕ ﺑﻌﺪ ﺍﻧﻘﻀﺎﺀ ﺍﻷﺟﻞ ،ﻭﻫﻮ ﺃﻇﻬﺮﳘﺎ .ﺍﻟﺜﺎﱐ :ﻟﻦ ﻳﻮﺧﺮﻫﺎ ﺑﻌﺪ ﺍﳌﻮﺕ ﻭﺇﳕﺎ ﻳﻌﺠﻞ ﳍﺎ ﰲ ﺍﻟﻘﱪ.ﺃﻱ ﳚﻌﻞ ﳍﺎ ﺍﻟﺜﻮﺍﺏ ﺃﻭ ﺍﻟﻌﻘﺎﺏ ﰲ ﺍﻟﻘﱪ ﻋﻠﻰ ﺣﺴﺐ ﺍﻟﻌﻤﻞ )ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ ﺍﻟﺒﺼﺮﻱ ،ﺩ.ﺕ: .(19\6 ﻭﺃﻣﺎ ﺧﻄﻮﺭﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﻫﻢ ﳜﺪﻣﻮﻥ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻭﻳﺘﺠﺴﺴﻮﻥ ﳍﻢ ﺿﺪ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ، ﻭﳜﺬﻟﻮﻥ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻦ ﺍﳉﻬﺎﺩ ﰲ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ ،ﻭﺇﺫﺍ ﺍﺷﺘﺮﻛﻮﺍ ﻣﻌﻬﻢ ﺃﺣﺪﺛﻮﺍ ﺍﳋﻠﻞ ﻭﺍﻻﺿﻄﺮﺍﺏ ﰲ ﺻﻔﻮﻓﻬﻢ ،ﻭﻋﻤﻠﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﺗﻔﻜﻴﻚ ﻭﺣﺪﻢ ﻭﺗﻔﺘﻴﺖ ﻗﻮﻢ .ﻭﻳﺴﺘﻐﻠﻮﻥ ﺍﻟﻔﺮﺹ ﺍﳌﻨﺎﺳﺒﺔ ﻟﻠﻄﻌﻦ ﰲ ﺩﻋﺎﺓ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﳌﺨﻠﺼﲔ ﻭﺗﺸﻮﻳﻪ ﲰﻌﺘﻬﻢ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﻭﺗﻐﻴﲑ ﺍﳊﻘﺎﺋﻖ ،ﻭﻳﺴﺘﻐﻠﻮﻥ ﺍﻟﻔﺮﺹ ﻹﺛﺎﺭﺓ ﺍﻟﺸﺒﻬﺎﺕ ﺣﻮﻝ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻟﻴﺰﻋﺰﻋﻮﺍ ﺇﳝﺎﻥ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﺑﻪ ﻭﻳﺼﺪﻭﺍ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﻦ ﺍﻟﺪﺧﻮﻝ ﻓﻴﻪ.ﻭﳛﺎﻭﻟﻮﻥ ﺇﻓﺴﺎﺩ ﺍ ﺘﻤﻊ ﺍ ﻹﺳﻼ ﻣﻲ ﻋﻦ ﻃﺮ ﻳﻖ ﺗﻴﺴﲑ ﺳﺒﻞ ﺍ ﻟﻔﺴﺎ ﺩ ﺍ ﻟﱵ ﲢﻄﻢ ﺍ ﻷ ﺧﻼ ﻕ ﻭﺗﻘﻀﻰ ﻋﻠﻰ ﺍ ﻟﻔﻀﺎ ﺋﻞ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺍﻹﻧﺴﺎﻧﻴﺔ .ﻭﳛﺎﺭﺑﻮﻥ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺗﺴﺘﺮ ﻭﻧﻔﺎﻕ،ﻭﻳﺄﻣﺮﻭﻥ ﺑﺎﳌﻨﻜﺮ ﻭﻳﻨﻬﻮﻥ ﻋﻦ ﺍﳌﻌﺮﻭﻑ ،ﻭﻣﻦ ﺍﳌﻌﻠﻮﻡ ﺃﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﺩﺧﻠﻮﺍ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻛﺎﺭﻫﹰﺎ ﻣﺼﺮﹰﺍ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﺍﳊﻘﺪ ﻭﺍﻟﻌﺪﺍﻭﺓ ،ﻭﻟﺬﻟﻚ ﺃﺧﺬﻭﺍ ﰲ ﺍﻟﺼﺪ ﻋﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺗﻔﺮﻳﻖ ﲨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﻟﻜﻦ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺗﺴﺘﺮ ﻭﻧﻔﺎﻕ ،ﻭﻳﺘﺠﻠﻰ ﻣﻮﻗﻔﻬﻢ ﰲ ﺻﺪﻫﻢ ﻟﻠﺮﺳﻮﻝ -ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ -ﻋﻦ ﺍﻟﺪﻋﻮﺓ ﺇﱃ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ،ﻭﺷﻔﺎﻋﺘﻬﻢ ﻟﻴﻬﻮﺩ ﺑﲏ ﻗﻴﻨﻘﺎﻉ ﻋﻨﺪﻣﺎ ﻧﻘﻀﻮﺍ ﺍﻟﻌﻬﺪ ،ﻭﺩﻭﺭﻫﻢ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﻲ ﰲ ﻳﻮﻡ ﺃﺣﺪ ﺑﺎﳔﺬﺍﳍﻢ ﻣﻦ ﺍﳌﻌﺮﻛﺔ ﺑﺜﻠﺚ ﺍﳉﻴﺶ،ﻭﺩﻭﺭﻫﻢ ﰲ ﻏﺰﻭﺓ ﺑﲏ ﺍﳌﺼﻄﻠﻖ ﻹﺛﺎﺭﺓ ﺍﻟﻨﻌﺮﺓ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺑﲔ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭ ﻭﺍﳌﻬﺎﺟﺮﻳﻦ ،ﻭﺩﻭﺭﻫﻢ ﰲ ﺣﺪﻳﺚ ﺍﻹﻓﻚ ﻭﺧﻮﺿﻬﻢ ﰲ ﻋﺮﺽ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ -ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ -ﻭﺗﺸﻮﻳﻬﻢ ﲰﻌﺔ ﻋﺎﺋﺸﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ. ﻭﻛﺎﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻳﺘﻘﻠﺒﻮﻥ ﺑﲔ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻭﺍﻟﻜﻔﺮ ﻭﻳﺘﻈﺎﻫﺮﻭﻥ ﺑﺎﻹﳝﺎﻥ ﺃﻣﺎﻡ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﰲ ﺣﺎﻝ ﻋﺰﻢ ﻭﺍﻧﺘﺼﺎﺭﻫﻢ ،ﻓﺈﺫﺍ ﻣﺎ ﺍﺑﺘﻠﻲ ﺍﳌﺆﻣﻨﻮﻥ ﻭﺃﺣﺪ ﻗﺖ ﻢ ﺍﻟﺸﺪﺍﺋﺪ ﻭﺍﳌﺨﺎﻃﺮ ﺍﺭﺗﺪﻭﺍ ﻋﻦ ﺩﻳﻨﻬﻢ ﻭﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻭﺍﻟﺘﺨﻠﻲ ﻋﻦ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ،ﻭﻳﺘﻮﻟﻮﻥ ﺍﻟﻴﻬﻮﺩ ﻭﻳﻌﺘﻤﺪﻭﻥ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﰲ ﻭﻗﺖ ﺍﻟﺸﺪﺍﺋﺪ ،ﺣﻴﺚ ﻛﺎﻥ ﺑﲔ ﺍﻟﻴﻬﻮﺩ ﻭﺍﻷﻭﺱ ﻭﺍﳋﺰﺭﺝ ﺃﺣﻼﻑ ﻭﺻﺪﺍﻗﺎﺕ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ،ﻭﺍﺳﺘﻤﺮﺕ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻌﻼﻗﺔ ﺑﻴﻨﻬﻢ ﻭﺑﲔ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺑﻞ ﺯﺍﺩﺕ ﻣﺘﺎﻧﺔ ﻭﻗﻮﺓ ﻻﻋﺘﺒﺎﻫﻢ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻫﻮ ﺍﻟﻌﺪﻭ ﺍﳌﺸﺘﺮﻙ ﺑﺎﻟﻨﺴﺒﺔ ﳍﻢ ﲨﻴﻌﹰﺎ. ﻭﺇﻥ ﺍﳌﺸﺮﻛﲔ ﻭﺍﻟﻴﻬﻮﺩ ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻳﻘﻮﻣﻮﻥ ﲟﺆﺍﻣﺮﺍﻢ ﻭﻋﻤﻠﻴﺎﻢ ﺿﺪ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ،ﻭﻛﺎﻧﻮﺍ ﻳﺴﺘﻐﻠﻮﻥ ﲟﺠﺮﻳﺎﺕ ﺍﻷﺣﺪﺍﺙ ﺍﳉﺎﺭﻳﺔ ﺑﺎﺘﻤﻊ ،ﻭﻛﺎﻧﺖ ﺑﺪﺍﻳﺔ ﺍﺳﺘﻐﻼﳍﻢ ﰲ ﻣﻌﺮﻛﺔ ﺃﺣﺪ ،ﻭﺫﻟﻚ ﺑﺎﳔﺬﺍﳍﻢ ﺑﺜﻠﺚ ﺍﳉﻴﺶ ﻣﻦ ﺍﳌﻌﺮﻛﺔ ﻷﻥ ﺍﳍﺰﳝﺔ ﰲ ﺃﺣﺪ ﻛﺎ ﻧﺖ ﳎﺎ ﹰﻻ ﻟﺪﺳﺎﺋﺲ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺍﻟﻴﻬﻮﺩ ﻹﻇﻬﺎﺭ ﺃﺣﻘﺎﺩﻫﻢ ﻭﻧﻔﺚ ﲰﻮﻣﻬﻢ ،ﻭﻭﺟﺪﻭﺍ ﰲ ﺟﻮ ﺍﻟﻔﺠﺎﺋﻊ ﺍﻟﱵ ﺩﺧﻠﺖ ﰲ ﻛﻞ ﺑﻴﺖ ﻣﻦ ﺑﻴﻮﺕ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻣﺎ ﻳﺴﺎﻋﺪ ﻋﻠﻰ ﺗﺮﻭﻳﺞ ﺍﻟﻜﻴﺪ ﻭﺍﻟﺪﺱ ﻭﺍﻟﺒﻠﺒﻠﺔ ﰲ ﺍﻷﻓﻜﺎﺭ ،ﻭﻛﺬﻟﻚ ﰲ ﻏﺰﻭﺓ ﺍﻷﺣﺰﺍﺏ ﻓﻘﺪ ﻭﺟﺪﻭﺍ ﰲ ﺍﻟﻜﺮﺏ ﺍﳌﺰﻟﺰﻝ ﻭﺍﻟﺸﺪﺓ ﺍﻵﺧﺬﺓ ﺑﺎﳋﻨﺎﻕ ﻓﺮﺻﺔ ﻟﻠﻜﺸﻒ ﻋﻦ ﺧﺒﻴﺜﺔ ﻧﻔﻮﺳﻬﻢ ،ﻣﻦ ﲣﺬﻳﻞ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻋﻦ ﺍﳌﻌﺮﻛﺔ ﲝﺠﺔ ﺃﻥ ﺑﻴﻮﻢ ﻋﻮﺭﺓ ﻭﻣﻌﺮﺿﺔ ﻟﻠﺨﻄﺮ ﻭﺑﺚ ﺷﻚ ﻭﺍﻟﺮﻳﺒﺔ ﰲ ﻭﻋﺪ ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ،ﻭﻧﺸﻄﻮﺍ ﰲ ﻏﺰﻭﺓ ﺑﲏ ﺍﳌﺼﻄﻠﻖ ﻭﻟﻌﺒﻮﺍ ﺩﻭﺭﻳﻦ ﻣﻬﻤﲔ ﻛﺎﻥ ﳍﻤﺎ ﺃﺛﺮ ﻛﺒﲑ ﺣﻴﺚ ﻫﺰﺕ ﻫﺰﺓ ﺷﺪﻳﺪﺓ ﺷﻬﺪﺎ ﺟﻨﺒﺎﺕ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﳌﺪﱐ ﻭﺃﻭﳍﺎ ﺍﺳﺘﻐﻼﻝ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻹﺛﺎﺭﺓ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺑﲔ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭ ﻭﺍﳌﻬﺎﺟﺮﻳﻦ ﻭﺍﻟﺜﺎﱐ ﻧﺸﺎﻃﻬﻢ ﰲ ﺣﺎﺩﺛﺔ ﺍﻹﻓﻚ ﰲ ﺗﺸﻮﺑﻪ ﻋﺮﺽ ﺍﻟﻨﱯ -ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ -ﻭﺗﺸﻮﻳﻪ ﺻﻮﺭﺓ ﺯﻭﺟﺘﻪ ﻋﺎﺋﺸﺔ -ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ -ﻭﻣﻮﻗﻔﻬﻢ ﻣﻦ ﻏﺰﻭﺓ ﺗﺒﻮﻙ ﻭﺍﻧﺘﺤﺎﳍﻢ ﺍﻷﻋﺬﺍﺭ ﻭﺗﺜﺒﻴﻄﻬﻢ ﳘﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﲣﻮﻳﻔﻬﻢ ﻣﻦ ﺍﻻﻧﻄﻼﻕ ﳓﻮ ﺍﳌﻌﺮﻛﺔ ﻭﻟﻘﺪ ﻛﺎﻥ ﺃﻭﻟﺌﻚ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻳﺪﺳﻮﻥ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﰲ ﺍﺘﻤﻊ ،ﻻ ﻋﻦ ﺇﳝﺎﻥ ﻭﺍﻋﺘﻘﺎﺩ ﻭﻟﻜﻦ ﻋﻦ ﺧﻮﻑ ﻭﺗﻘﻴﺔ ﻭﻋﻦ ﻃﻤﻊ ﻭﺭﻫﺐ ،ﰒ ﳛﻠﻔﻮﻥ ﺇﻢ ﻣﻦ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ: { ` _، ] \ [ Z Y X W V U T zi hg f e d c b a
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔﻱ(57-56 :9 ، ﻼ ﻟﻠﻜﻔﺮ ﻳﻨﻔﺬﻭﻥ ﻓﻴﻪ ﳐﻄﻄﺎﺗﻪ ﺍﻟﻔﺎﺳﺪﺓ ﻭﻗﺪ ﻭﺇﻥ ﺍﳍﺪﻑ ﻣﻦ ﺑﻨﺎﺀ ﻣﺴﺠﺪ ﺍﻟﻀﺮﺍﺭ ﺍﲣﺎﺫﻩ ﻣﻌﻘ ﹰ ﺍﺧﺘﺎﺭﻭﺍ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻌﻘﻞ ﻣﺴﺠﺪﹰﺍ ﻟﻴﻜﻮﻥ ﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻉ ﻓﻴﻪ ﺃﻣﺮﹰﺍ ﻻ ﻳﻠﻔﺖ ﺍﻟﻨﻈﺮ ﻭﻻ ﻳﺜﲑ ﺍﻟﺸﺒﻬﺔ ﻭﺍﻟﺒﻮﺍﻋﺚ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻋﻠﻰ ﺑﻨﺎﺋﻪ ﻣﺎ ﻫﻲ ﺇﻻ ﺍﻹﺿﺮﺍﺭ ﺑﺎﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﻣﻜﺎﻧﹰﺎ ﻟﻠﻘﺎﺀ ﺑﲔ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺯﻋﻤﺎﺋﻬﻢ ﻟﺘﻔﺮﻳﻖ ﻛﻠﻤﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﻟﻜﻦ ﺍﷲ ﻗﺪ ﳏﻖ ﻛﻞ ﻫﺬﺍ ﺍﻹﻓﻚ ﻭﺃﻣﺮ ﺭﺳﻮﻟﻪ ﺪﻡ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﺴﺠﺪ ﻓﺄﻣﺮ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ -ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ -ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﲝﺮﻗﻪ ﻗﺒﻞ ﺭﺟﻮﻋﻪ ﻣﻦ ﻏﺰﻭﺓ ﺗﺒﻮﻙ. ﻭﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﺇﻓﺴﺎﺩ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ ﻷﻥ ﺍﻟﺘﺬﺑﺬﺏ ﺑﲔ ﺍﻟﻄﻮﺍﺋﻒ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ ﰲ ﺍﲡﺎﻩ ﳚﻌﻞ ﺍﻷﻣﻮﺭ ﺍﳉﺪﻳﺔ ﳏﻼ ﻟﻠﻌﺐ ﻭﺍﳍﺰﻝ ﻭﳛﻮﻝ ﺑﲔ ﺃﺻﺤﺎﺑﻪ ﻭﺑﲔ ﺍﻟﺘﻔﻜﲑ ﰲ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻦ ﺍﳊﻖ ﻭﺍﻻﻫﺘﺪﺍﺀ ﺇﻟﻴﻪ ،ﻷﻥ ﺍﻟﻔﻜﺮﺓ ﺍﻟﱵ ﺗﺴﺘﻮﱃ ﻋﻠﻰ ﻋﻘﻮﳍﻢ ﺩﺍﺋﻤﹰﺎ ﻫﻲ ﺇﻣﻜﺎﻥ ﻣﻘﺪﺭﻢ ﻋﻠﻰ ﻛﺴﺐ ﺭﺿﺎ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻄﻮﺍﺋﻒ ﻛﻠـﻬﺎ ﻭﺃﻥ ﻭﺟﻮﺩ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﳛﻮﻝ ﺑﲔ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻭﺑﲔ ﺍﻟﺪﺧﻮﻝ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﳏﺎﻭﻟﺔ ﻓﻬﻢ ﺩﻋﻮﺗﻪ ﻭﻳﺘﻀﺎﻋﻒ ﺍﻓﺴﺎﺩ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺇﺫﺍ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﳑﻦ ﻳﻨﺘﺴﺐ ﺇﱃ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ ﻭﻳﺘﺨﺼﺺ ﺑﺪﺭﺍﺳﺔ ﻋﻠﻮﻣﻪ ﻷﻢ ﺳﻴﺘﺨﺬﻭﻥ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻈﺎﻫﺮ ﺑﺎﻟﺪﻋﻮﺓ ﺇﱃ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﳌﺎ ﻛﺎﻥ ﻟﻠﻤﻨﺎﻓﻘﲔ ﻣﻦ ﺃﺛﺮﺳﻴﺊ ﰲ ﺍﺘﻤﻊ ﻛﺎﻥ ﺣﻜـﻢ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﰲ ﺍﳌﺮﺗﺪﻳﻦ ﺃﻥ ﻳﻘﺘﻠﻮﺍ ﺣﱴ ﻳﺘﻄﻬﺮ ﺍﺘﻤﻊ ﻣﻨﻬﻢ. ﻭﻣﻦ ﻫﻨﺎ ﻛﺎﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﺃﺧﻄﺮ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻓﻴﻤﺎ ﺇﺫﺍ ﺗﻮﻟﻮﺍ ﺍﻟﺴﻠﻄﺔ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﳑﺎ ﺗﻮﻻﻫﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ. ﻭﻟﻘﺪ ﺣﺎﻭﻝ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﺍﻟﻘﻀﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﺩﻭﻟﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﻨﱯ -ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ - ﻭﱂ ﻳﻨﺠﺢ ﰲ ﺫﻟﻚ ﺭﻏﻢ ﳏﺎﻭﻟﺘﻬﻢ ﺑﺸﱴ ﺍﻟﻮﺳﺎﺋﻞ. ﻭ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻳﻜﺮﻫﻮﻥ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﻫﻢ ﻣﺘﻈﺎﻫﺮﻭﻥ ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ ،ﻭﻫﻢ ﺃﺷﺪ ﺧﻄﺮ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻓﺈﻥ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻻ ﻳﻌﺮﻓﻮﻢ ﻷﻢ ﻳﻘﺮﻭﻥ ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ ﻭﻳﺆﺩﻭﻥ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻔﺮﺍﺋﺾ ﻭﻟﻜﻦ ﻗﻠﻮﻢ ﺗﺄﰉ ﺫﻟﻚ ﻭﻫـﻢ ﻳﻈﻬﺮﻭﻥ ﺫﻟﻚ ﻷﻢ ﳜﺎﻓﻮﻥ ﻋﻠﻰ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺘﻞ ﺇﺫ ﺃﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﺇﺫﺍ ﺃﺧﻔﻰ ﻛﻔﺮﻩ ﻛﺎﻥ ﻣﻌﺼﻮﻡ ﺍﻟﺪﻡ ﲟﺎ ﺃﻇﻬﺮ ﻣﻦ ﺍﻹﳝﺎﻥ. ﻣﻘﺘﺮﺣﺎﺕ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺑﻨﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﺘﺎﺋﺞ ﺍﻟﱵ ﺗﻮﺻﻞ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ،ﳝﻜﻦ ﺗﻘﺪﱘ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﺘﻮﺻﻴﺎﺕ ﻭﺍﻻﻗﺘﺮﺍﺟﺎﺕ ﳌﻦ ﻳﻬﻤﻪ ﺍﻷﻣﺮ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺼﺪﺩ ،ﻭﻫﻲ ﻛﻤﺎ ﻳﻠﻲ: -1ﺃﻥ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﻋﻼﻣﺔ ﻭﺍﺿﺤﺔ ﺗﺸﻬﺪ ﻋﻠﻰ ﺻﺎﺣﺒﻬﺎ ﺑﺎﻟﻨﻔﺎﻕ ،ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻣﻦ ﻛﺬﺏ ﻣﺎﺯﺣـﹰﺎ ﻓﺈﻥ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻳﺘﺴﺎﻫﻞ ﰲ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﻓﺎﻟﻴﺤﺬﺭ ﺍﳌﺆﻣﻦ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ. -2ﺃﻥ ﺍﻟﻜﺴﻞ ﻋﻼﻣﺔ ﻣﻦ ﻋﻼﻣﺎﺕ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﺗﻈﻬﺮ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻌﻼﻣﺔ ﰲ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ﻓﻠﻴﺘﻨﺒـﻪ ﺍﻟﻌﺒـﺪ ﻭﻟﻴﺤﺬﺭ ﻋﻠﻰ ﻧﻔﺴﻪ ﺍﻟﻜﺴﻞ ﻓﺈﻧﻪ – ﻭﺍﷲ -ﺩﺍﺀ ﺧﻄﲑ ﻭﺻﻒ ﺍﷲ ﺑﻪ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ. -3ﺃﻭﺻﻴﻜﻢ ﺑﻜﺜﺮﺓ ﺍﻟﺬﻛﺮ ﻓﺈﻥ ﻗﻠﻴﻞ ﺍﻟﺬﻛﺮ ﳜﺸﻰ ﻋﻠﻴﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ،ﻓﺈﻥ ﻣﻦ ﻓﻮﺍﺋﺪ ﺍﻟـﺬﻛﺮ ﻼ. ﺃﻧﻪ ﻳﻨﻔﻲ ﻋﻦ ﺻﺎﺣﺒﻪ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻷﻥ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻳﺬﻛﺮﻭﻥ ﺍﷲ ﻛﺜﲑﹰﺍ ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﻳﺬﻛﺮ ﺍﷲ ﻗﻠﻴ ﹰ -4ﺿﺮﻭﺭﺓ ﺍﳊﺬﺭ ﻣﻦ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻷﻢ ﻣﻦ ﲨﻠﺔ ﺍﳌﻔﺴﺪﻳﻦ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ ،ﺑﻞ ﻫﻢ ﻣـﻦ ﺃﻋﻈـﻢ ﺍﳌﻔﺴﺪﻳﻦ ﰲ ﻛﻞ ﺃﻣﺔ ﻭﰲ ﻛﻞ ﻋﺼﺮ ﻭﺇﻥ ﻭﺟﻮﺩﻫﻢ ﰲ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﳛﻮﻝ ﺑﲔ ﺍﻟﻨـﺎﺱ ﻭﺑـﲔ ﺍﻟﺪﺧﻮﻝ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﳏﺎﻭﻟﺔ ﻓﻬﻢ ﺩﻋﻮﺗﻪ ،ﻷﻢ ﻟﻦ ﻳﺘﻘﻴﺪﻭﺍ ﺑﺘﻌﺎﻟﻴﻤﻪ ﺍﻟﺴﺎﻣﻴﺔ ﺑﻞ ﺳﻴﺘﺼﺮﻓﻮﻥ ﻋﻠـﻰ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺿﻮﺀ ﻣﺎ ﲤﻠﻴﻪ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺃﻓﻜﺎﺭﻫﻢ ﺍﻟﺰﺍﺋﻔﺔ ﻭﺃﻫﻮﺍﺅﻫﻢ ﺍﳌﻨﺤﺮﻓﺔ ﻭﺇﻥ ﺇﻓﺴﺎﺩﻫﻢ ﻳﺘﻀﺎﻋﻒ ﺇﻥ ﻛـﺎﻧﻮﺍ ﳑـﻦ ﻳﻨﺘﺴﺐ ﺇﱃ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ ﻷﻢ ﻳﺘﻈﺎﻫﺮﻭﻥ ﺑﺎﻟﺪﻋﻮﺓ ﺇﱃ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻛﻮﺳﻴﻠﺔ ﻟﺘﻐﻄﻴﺔ ﻧﻮﺍﻳﺎﻫﻢ ﺍﻟﺴﻴﺌﺔ ﳓﻮ ﻫﺪﻡ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺗﻀﻠﻴﻞ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﻛﻮﻢ ﻳﻨﺘﺴﺒﻮﻥ ﺇﱃ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺳﻴﻬﻴﺊ ﳍﻢ ﺍﳉﻮ ﺍﳌﻼﺋﻢ ﻟﻺﻓﺴـﺎﺩ ﰲ ﺍﺘﻤﻊ ﺍﻟﺼﺎﱀ ﻷﻢ ﳜﺘﻠﻄﻮﻥ ﻣﻊ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﺍﺧﺘﻼﻃﹰﺎ ﻛﺎﻣﻼﹰ ،ﻓﻼ ﳝﻜﻦ ﺍﻟﺘﺤﺮﺯ ﻣﻨﻬﻢ ﻭﻻ ﻴﺌﺔ ﺍﳉـﻮ ﺍﻟﺼﺎﱀ ﻟﺘﺮﺑﻴﺔ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ. -5ﻭﻻ ﳝﻜﻦ ﺃﻥ ﻳﺘﺤﻘﻖ ﻗﻴﺎﻡ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻨﻔﺬ ﺷﺮﻉ ﺍﷲ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ ،ﻓﺈﺫﺍ ﻭﺟـﺪ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﰲ ﺭﻋﻴﺔ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺃﺻﺒﺤﺖ ﰲ ﺧﻄﺮ ﻋﻈﻴﻢ ﻷﻢ ﻳﺘﻈﺎﻫﺮﻭﻥ ﲟﺤﺒﺘﻬﺎ ﻭﺍﻟﺘﻔﺎﱐ ﰲ ﺧﺪﻣﺘﻬﺎ ﰒ ﳜﻮﻧﻮﺎ ﰲ ﺃﺣﺮﺝ ﺍﳌﻮﺍﻗﻒ ﻭﻳﻨﻘﻠﻮﻥ ﺃﺳﺮﺍﺭﻫﺎ ﺇﱃ ﺃﻋﺪﺍﺋﻬﺎ ،ﻓﺎﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻳﻜﺮﻫـﻮﻥ ﻗﻴـﺎﻡ ﺍﻟﺪﻭﻟـﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻷﺎ ﲢﻮﻝ ﺑﻴﻨﻬﻢ ﻭﺑﲔ ﺗﻨﻔﻴﺬ ﻣﺎ ﳛﺎﻭﻟﻮﻧﻪ ﻣﻦ ﺇﻓﺴﺎﺩ ﰲ ﳎﺎﻝ ﺍﻟﺸﺒﻬﺎﺕ ﻭﺍﻟﺸﻬﻮﺍﺕ. -6ﻭﻛﻞ ﻫﺬﺍ ﻣﻦ ﲨﻠﺔ ﺍﻹﻓﺴﺎﺩﺍﺕ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ ﻟﺬﺍ ،ﺃﻣﺮ ﺍﷲ ﺗﻌـﺎﱃ ﲜﻬـﺎﺩﻫﻢ ﺃﻥ ﻳـﱰﻉ ﺍﳌﺆﻣﻨﻮﻥ ﺛﻘﺘﻬﻢ ﻢ ﻭﺃﻥ ﻻ ﻳﺴﻨﺪﻭﺍ ﺇﻟﻴﻬﻢ ﺷﻴﺌﹰﺎ ﻣﻦ ﺃﻣﻮﺭﻫﻢ. ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ ،ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﰊ ﺍﻟﻔﺮﺝ ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺑـﻦ ﳏﻤـﺪ ﺍﳉـﻮﺯﻱ ﺍﻟﻘﺮﺷـﻲ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩﻱ .(1984) .ﺯﺍﺩ ﺍﳌﺴﲑ ﰲ ﻋﻠﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ .ﻁ .3 .ﺑﲑﻭﺕ :ﺍﳌﻜﺘﺐ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ. ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ،ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﺪﺍﺀ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺑﻦ ﻛﺜﲑ ﺍﻟﻘﺮﺷﻲ ﺍﻟﺪﻣﺸﻘﻲ1988).ﻡ( .ﺗﻔﺴـﲑ ﺍﻟﻘـﺮﺁﻥ ﺍﻟﻌﻈـﻴﻢ. ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ ،ﺃﰊ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻳﺰﻳﺪ ﺍﻟﻘﺰﻭﻳﲏ .(1395) .ﺳﻨﻦ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ .ﲢﻘﻴﻖ :ﳏﻤﺪ ﻓﺆﺍﺩ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺒﺎﻗﻲ :ﺩﺍﺭ ﺇﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ. ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ ،ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻣﻜﺮﻡ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ 1410) .ﻫــ .(.ﻟﺴـﺎﻥ ﺍﻟﻌﺮﺏ .ﻣﺎﺩﺓ )ﻧﻔﻖ( .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺻﺎﺩﺭ. ﺃﺑﻮ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩ) ،ﺩ.ﺕ( .ﺇﺭﺷﺎﺩ ﺍﻟﻌﻘﻞ ﺍﻟﺴﻠﻴﻢ ﺇﱃ ﻣﺰﺍﻳﺎ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﺍﻟﻜﺮﱘ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ. ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ ،ﺃﰊ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﺷﻬﺎﺏ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺳﻴﺪ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩﻱ1408) .ﻫـ .(.ﺭﻭﺡ ﺍﳌﻌﺎﱐ ﰲ ﺗﻔﺴـﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ ﻭﺍﻟﺴﺒﻊ ﺍﳌﺜﺎﱐ ،ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ. ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ،ﺃﺑﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ1315) .ﻫـ .(.ﺻﺤﻴﺢ .ﺍﺳـﺘﺎﻧﺒﻮﻝ .ﺗﺮﻛﻴـﺎ :ﺍﳌﻜﺘﺒـﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ. ﺍﻟﺒﺴﺘﺎﱐ ،ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﻛﺮﻡ ﻭﺃﺻﺪﻗﺎﺀﻩ1984) .ﻡ( .ﺍﳌﻨﺠﺪ ﰲ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﻭﺍﻹﻋﻼﻡ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﺸﺮﻕ. ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ ،ﺃﰊ ﳏﻤﺪ ﺍﳊﺴﲔ ﺑﻦ ﻣﺴﻌﻮﺩ ﺍﻟﻔﺮﺍﺀ ﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻲ1407) .ﻫـ .(.ﻣﻌـﺎﱂ ﺍﻟﺘﱰﻳـﻞ .ﻁ.2 . ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ ،ﺃﺑﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺍﳊﻜﻴﻢ1387) .ﻫـ .(.ﺳﻨﻦ .ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺍﳌﻨﻮﺭﺓ :ﺍﳌﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﺴﻠﻔﻴﺔ. ﺍﳉﺮﺟﺎﱐ ،ﺍﻟﺸﺮﻳﻒ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ1988) .ﻡ(.ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻔﺎﺕ،ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺍﳊﺎﻛﻢ ﺍﻟﻨﻴﺴﺎﺑﻮﺭﻱ ،ﺃﰊ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺍﳊﺎﻛﻢ) .ﺩ.ﺕ .(.ﺍﳌﺴﺘﺪﺭﻙ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺼـﺤﻴﺤﲔ .ﺑـﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺍﳊﺴﻴﲏ ،ﺍﻹﻣﺎﻡ ﳏﺐ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻟﺰﺑﻴـﺪﻱ) .ﺩ.ﺕ( .ﺷﺮﺡ ﺍﻟﻘﺎﻣﻮﺱ ﺍﳌﺴﻤﻰ ﺗﺎﺝ ﺍﻟﻌﺮﻭﺱ ﻋﻦ ﺟﻮﺍﻫﺮ ﺍﻟﻘﺎﻣﻮﺱ ،ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ. ﺍﳊﻤﻴﺪﻱ ،ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ )ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ( .(1989) .ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜـﺮﱘ .ﺟـﺪﺓ :ﺩﺍﺭ ﺍﺘﻤﻊ. ﺍﳋﺎﺯﻥ ،ﻋﻼﺀ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩﻱ .(1979) .ﺗﻔﺴﲑ ﺍﳋﺎﺯﻥ ﺍﳌﺴﻤﻰ ﻟﺒـﺎﺏ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ ﰲ ﻣﻌﺎﱐ ﺍﻟﺘﱰﻳﻞ .ﻭﺎﻣﺸﻪ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ )ﻣﻌﺎﱂ ﺍﻟﺘﱰﻳﻞ( .ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ. ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ ،ﺍﻹﻣﺎﻡ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺍﳊﲔ ﺍﻟﻘﺮﺷﻲ ﺍﻟﻄﱪﻱ ﺍﻟﻔﺨﺮ) .ﺩ.ﺕ .(.ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻜﺒﲑ .ﻁ.2 . ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺇﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ. ﺭﺷﻴﺪ ﺭﺿﺎ ،ﳏﻤﺪ) .ﺩ.ﺕ( .ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﳊﻜﻴﻢ ﺍﻟﺸﻬﲑ ﺑﺘﻔﺴﲑ ﺍﳌﻨﺎﺭ .ﺍﻟﻄﺒﻌﺔ ﺍﻷﻭﱃ .ﺑﲑﻭﺕ: ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ ،ﺟﺎﺭ ﺍﷲ ﳏﻤﻮﺩ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ) ،(1995ﺍﻟﻜﺸﺎﻑ ﻋﻦ ﺣﻘﺎﺋﻖ ﺍﻟﺘﱰﻳـﻞ ﻭﻋﻴـﻮﻥ ﺍﻷﻗﺎﻭﻳﻞ ﰲ ﻭﺟﻮﻩ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ ،ﺗﺮﺗﻴﺐ ﳏﻤﺪ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﺷﺎﻫﲔ .ﺑـﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘـﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﺍﻟﺴﻌﺪﻱ ،ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﻧﺎﺻﺮ ﺍﻟﺴﻌﺪﻱ .(1993) .ﺗﻴﺴﲑ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻛﻼﻡ ﺍﳌﻨﺎﻥ. ﺕ :ﳏﻤﺪ ﺯﻫﺮﻱ ﺍﻟﻨﺠﺎﺭ .ﻃﺒﻌﺔ ﺟﺪﻳﺪﺓ ﻣﻨﻘﺤﺔ .ﺑﲑﻭﺕ :ﻋﺎﱂ ﺍﻟﻜﺘﺐ. ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ ﻭﺍﶈﻠﻲ ،ﺟﻼﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﻭﺟﻼﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪـﺪ) .ﺩ.ﺕ.(. ﺗﻔﺴﲑ ﺍﳉﻼﻟﲔ ،ﻣﺼﻄﻔﻰ ﺍﻟﺒﺎﰊ ﺍﳊﻠﱯ. ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ ،ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺟﻼﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ1403) .ﻫـ .(.ﺍﻟﺪﺭ ﺍﳌﻨﺜﻮﺭ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ .ﻁ .1 .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ. ﺍﻟﺼﺎﺑﻮﱐ ،ﳏﻤﺪ ﻋﻠﻲ1413) .ﻫـ .(.ﻗﺒﺲ ﻣﻦ ﻧﻮﺭ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ .ﺩﻣﺸﻖ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻘﻠﻢ. ﺍﻟﻄﱪﻱ ،ﺃﺑﻮ ﺟﻌﻔﺮ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ1412) .ﻫـ .(.ﺟﺎﻣﻊ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﰲ ﺗﺄﻭﻳﻞ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ .ﺑـﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ ،ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ .ﺷﻬﺎﺏ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﳏﻤـﺪ1407).ﻫــ .(.ﻓـﺘﺢ ﺍﻟﺒﺎﺭﻱ .ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻄﺒﻌﺔ ﺍﻟﺴﻠﻔﻴﺔ. ﻋﻘﻴﻼﻥ ،ﺃﲪﺪ ﻓﺮﺡ ﻋﻘﻴﻼﻥ .(1998) .ﻣﻦ ﻟﻄﺎﺋﻒ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ .ﻁ :.1 .ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻴﻘﲔ. ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ ،ﺃﺑﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭﻱ1408) .ﻫـ .(.ﺍﳉﺎﻣﻊ ﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻘـﺮﺁﻥ .ﻁ.1 . ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﻗﻄﺐ ،ﺍﻟﺸﻬﻴﺪ ﺳﻴﺪ .(1986) .ﰲ ﻇﻼﻝ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ .ﻁ .12 .ﺟﺪﺓ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻟﻠﻄﺒﺎﻋﺔ ﻭﺍﻟﻨﺸﺮ. ﻣﺎﻟﻚ ،ﺍﺑﻦ ﺃﻧﺲ .(1985) .ﻣﻮﻃﺄ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﻣﺎﻟﻚ .ﲣﺮﻳﺞ :ﳏﻤﺪ ﻓﺆﺍﺩ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺒﺎﻗﻲ .ﺑـﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺇﺣﻴـﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ ،ﺃﰊ ﺍﳊﺴﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺣﺒﻴﺒﹰﺎ ﳌﺎﻭﺭﺩﻱ ﺍﻟﺒﺼﺮﻱ) .ﺩ.ﺕ( .ﺍﻟﻨﻜﺖ ﻭﺍﻟﻌﻴﻮﻥ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﻣﺴﻠﻢ ،ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺍﳊﺴﻦ ﺑﻦ ﺍﳊﺠﺎﺝ) .ﺩ.ﺕ( .ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ. ﺍﻟﻨﺪﻭﻱ ،ﳏﻤﺪ ﻟﻘﻤﺎﻥ ﺍﻷﻋﻈﻤﻲ )ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ(1988) .ﻡ( .ﳎﺘﻤﻊ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺍﳌﻨﻮﺭﺓ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ،ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ: ﺩﺍﺭ ﺍﻻﻋﺘﺼﺎﻡ. ﺍﻟﻨﺴﻔﻲ ،ﺃﺑﻮ ﺍﻟﱪﻛﺎﺕ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﳏﻤﻮﺩ1416) .ﻫـ .(.ﻣﺪﺍﺭﻙ ﺍﻟﺘﱰﻳﻞ ﻭﻋﻘﺎﺋﻖ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ. ﻁ .1.ﲢﻘﻴﻖ :ﻣﺮﻭﺍﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﺸﻌﺎﺭ ،ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻨﻔﺎﺋﺲ. ﻭﻫﺒﺔ ﺍﻟﺰﺣﻴﻠﻲ .(1991) .ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﳌﻨﲑ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﻭﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﻭﺍﳌﻨﻬﺞ .ﻁ .1 .ﺩﻣﺸﻖ .ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ. ﻳﺴﺮﻯ ﺍﻟﺴﻴﺪ ﳏﻤﺪ .(1993) .ﺑﺪﺍﺋﻊ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﻗـﻴﻢ ﺍﳉﻮﺯﻳـﺔ .ﻁ.1 . ﺍﳌﻤﻠﻜﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩﻳﺔ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย บทความรายงานการวิจัย
ﺩﻭﺭ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ∗
ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻟﺼﻴﲏ ﻋﺪﻧﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺯﻳﻦ ﺳﻮﻣﻲ
∗∗
ﻣﻠﺨﺺ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺍﻣﺘﺎﺯ ﺍﻟﻌﺎﱂ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﺎﻟﻔﻮﺿﻰ ﻭﺍﻟﻈﻠﻢ ﻓﺠﺎﺀ ﺭﲪﺔ ﻟﻠﻌﺎﳌﲔ ﰲ ﻣﺸﺎﺭﻕ ﺍﻷﺭﺽ ﻭﻣﻐﺎﺭﺎ، ﻭﻗﺪ ﰎ ﺫﻟﻚ ﰲ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺒﻠﺪﺍﻥ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﻔﺘﻮﺣﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻓﻜﺎﻥ ﻓﺘﺢ ﺍﻟﻘﺴﻄﻨﻄﻴﻨﻴﺔ ﺟﺰﺀﺍ ﻣﻨﻬﺎ .ﻭﻳﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺇﱃ ﺍﻟﻜﺸﻒ ﻋﻦ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ،ﻓﺎﺗﺢ ﺍﻟﻘﺴﻄﻨﻄﻴﻨﻴﺔ ﻭﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺔ ﻭﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩ ﻭﺍﻟﺘﺮﺑﻴﺔ. ﻭﺍﻋﺘﻤﺪ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﺔ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺆﻟﻔﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﻛﺘﺒﺖ ﺣﻮﻟﻪ ﰲ ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺩﻭﻟﺔ ﺍﻟﻜﻮﻳﺖ ﲜﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﰲ ﻏﲑﻫﺎ ،ﻓﻜﺎﻥ ﻣﻨﻬﺠﺎ ﻣﻜﺘﺒﻴﺎ ﻭﲢﻠﻴﻠﻴﺎ ،ﻭﺗﻮﺻﻞ ﺇﱃ ﻋﺪﺓ ﻧﺘﺎﺋﺞ ،ﺃﳘﻬﺎ؛ ﺃﻭﻻ :ﺇﻥ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺟﺎﺀ ﺭﲪﺔ ﻟﻠﻌﺎﳌﲔ ،ﺛﺎﻧﻴﺎ :ﺇﻥ ﻟﻠﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺣﻜﻤﺔ ﰲ ﺇﺩﺍﺭﺓ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ،ﻭﻫﻴﺒﺔ ﳜﺎﻑ ﻣﻨﻪ ﺍﻟﻌﺪﻭ ،ﺛﺎﻟﺜﺎ :ﺇﻥ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺭﺟﻞ ﺩﻳﻦ ﻭﺗﻘﻮﻯ ﻭﻋﻠﻢ ﻭﺛﻘﺎﻓﺔ ،ﺍﻷﻣﺮ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺴﺎﻋﺪﻩ ﻋﻠﻰ ﺇﳒﺎﺡ ﺇﺩﺍﺭﺓ ﺍﻟﺒﻼﺩ ،ﺭﺍﺑﻌﺎ :ﲤﻜﻦ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻣﻦ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻋﱪ ﺍﳊﻀﺎﺭﺍﺕ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ ﻭﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﻭﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ.
∗ ﻃﺎﻟﺐ ﲟﺮﺣﻠﺔ ﺍﳌﺎﺟﺴﺘﲑ ﻗﺴﻢ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ.
∗∗ ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ،ﳏﺎﺿﺮ ﻗﺴﻢ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ،ﻭﻋﻤﻴﺪ ﻛﻠﻴﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﺷﻴﺦ ﻗﺎﺳﻢ ﺁﻝ ﺍﻟﺜﺎﱐ ﲜﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย ABSTRACT This research is comparative study the role of Sultan Muhammad Fatih in building Islamic civilization in ottoman caliphate era on Muhammad fatih (1432-1481) Imperial Cayman seventh Sudan (1451-1481) was born in Edirne an early age to accept a strict Islamic culture and military education He attached importance to military research he is also proficient in the Arab Persian Greek and other languages After the death of his father the official successor in 1451 he establish a huge Ottoman Empire in 30 years, in May 1453, he ranks the rate of 200,000, after two months of war, captured Constantinople the Byzantine Empire out and the city as its capital was renamed Istanbul. Since then, he has launched a series of battle and expedition. Muhammad fatih in building the country have good skills, is considered the real founder of the Ottoman Empire, Ethnic and religious issues he adopted a prudent attitude towards the implementation of the policy of tolerance, To the territory being ruled nation to give a certain degree of autonomy that they be permitted in accordance with their own ways and laws of national life, can run national schools, by teaching their own language, Judaism all taught to recognize the legal existence of corporations to give them with the same rights as other churches. Muhammad fatih for the development of culture and education very seriously, he opened the school, training administrators, students of all ethnic groups equal access to language, literature, legal, military, religious, financial, administrative and other comprehensive education . His large-scale construction of the palace in Istanbul, a mosque, but also pay attention to schools, libraries creation, only in the Fatih Mosque built on both sides that the four verses of higher schools, to recruit the Muslim world renowned scholars to give lectures.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﲤﻬﻴﺪ ﺇﻥ ﺍﳊﻤﺪ ﷲ ﳓﻤﺪﻩ ﻭﻧﺴﺘﻌﻴﻨﻪ ﻭﻧﺴﺘﻐﻔﺮﻩ ﻭﻧﻌﻮﺫ ﺑﺎﷲ ﻣﻦ ﺷﺮﻭﺭ ﺃﻧﻔﺴﻨﺎ ﻭﻣﻦ ﺳﻴﺌﺎﺕ ﺃﻋﻤﺎﻟﻨﺎ ﻣﻦ ﻳﻬﺪﻩ ﺍﷲ ﻓﻼ ﻣﻀﻞ ﻟﻪ ﻭﻣﻦ ﻳﻀﻠﻞ ﻓﻼ ﻫﺎﺩﻱ ﻟﻪ .ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﻻ ﺇﻟﻪ ﺇﻻ ﺍﷲ ﻭﺣﺪﻩ ﻻ ﺷﺮﻳﻚ ﻟﻪ ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﳏﻤﺪﺍ ﻋﺒﺪﻩ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﻋﻠﻰ ﺁﻟﻪ ﻭﺃﺻﺤﺎﺑﻪ ﺃﲨﻌﲔ. ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﺑﻠﻐﺖ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺒﺎﺳﻴﺔ ﺃﻭﺝ ﺍﻟﺘﻘﺪﻡ ﻭﺍﻟﺘﻤﺪﻥ ﰲ ﺧﻼﻓﺔ ﻫﺎﺭﻭﻥ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﻭﺍﺑﻨﻪ ﺍﳌﺄﻣﻮﻥ ﺍﻟﺬﻱ ﺗﺮﲨﺖ ﰲ ﺃﻳﺎﻣﻪ ﺃﻏﻠﺐ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﻴﻮﻧﺎﻥ ﻭﺗﻘﺪﻣﺖ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﲢﺖ ﻭﺍﺭﻑ ﻃﻠﻬﺎ ﺗﻘﺪﻣﺎ ﻛﺒﲑﺍ ﻭﺃﺧﺬﺕ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﰲ ﺍﻟﺘﻘﻬﻘﺮ ﺷﻴﺌﺎ ﻓﺸﻴﺌﺎ ﺗﺒﻌﺎ ﻟﻨﺎﻣﻮﺱ ﺍﳊﻴﺎﺓ ﺍﻟﻄﺒﻴﻌﻴﺔ ﺍﻟﻘﺎﺿﻲ ﺑﺎﳍﺮﻡ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﺸﻴﺒﺔ ﺳﻨﺔ ﺍﷲ ﰲ ﺧﻠﻘﻪ ﻭﻟﻦ ﲡﺪ ﻟﺴﻨﺔ ﺍﷲ ﺗﺒﺪﻳﻼ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ: {zÛ Ú Ù Ø × ÖÕ Ô Ó Ò Ñ Ð Ï
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺘﺢ(23 :48 ،
{zÁÀ ¿¾½¼»º¹ ¸¶µ´³ ²±°
)ﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ(140 :3 ،
ﻫﻜﺬﺍ ﺍﺳﺘﻤﺮ ﺍﻻﳓﻼﻝ ﺣﱴ ﺃﻥ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺳﻘﻄﺖ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﻟﺒﺜﺖ ﺩﻭﻟﺘﻬﻢ ﺯﻳﺎﺩﺓ ﻋﻦ ﲬﺴﺔ ﻗﺮﻭﻥ ﺩﻋﺎﻣﺔ ﺍﻟﺘﻤﺪﻥ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ. ﻭﻣﻦ ﰒ ﱂ ﻳﻜﻦ ﻟﻺﺳﻼﻡ ﺑﻌﺪﻫﺎ ﺩﻭﻟﺔ ﻋﻈﻴﻤﺔ ﲢﻤﻲ ﺑﻴﻀﺘﻪ ﻭﺗﻀﻢ ﺃﺷﺘﺎﺗﻪ ﺑﻞ ﺿﺎﻋﺖ ﻭﺣﺪﺗﻪ ﺍﳌﻠﻜﻴﺔ ﻭﺍﺳﺘﻘﻞ ﻛﻞ ﺣﺎﻛﻢ ﲟﺎ ﻭﻛﻞ ﺇﻟﻴﻪ ﺃﻣﺮﻩ ﻣﻦ ﺍﻷﻗﺎﻟﻴﻢ ﻭﺍﺳﺘﻤﺮ ﺍﳊﺎﻝ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻨﻮﺍﻝ ﺇﱃ ﺃﻥ ﻗﻴﺾ ﺍﷲ ﻟﻺﺳﻼﻡ ﺗﺄﺳﻴﺲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻓﺠﻤﻌﺖ ﲢﺖ ﺭﺍﻳﺘﻬﺎ ﺃﻏﻠﺐ ﺍﻟﺒﻼﺩ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﻓﺘﺤﺖ ﻛﺜﲑﺍ ﻣﻦ ﺍﻷﻗﺎﻟﻴﻢ ﺍﻟﱵ ﱂ ﻳﺴﺒﻖ ﲢﻠﻴﻬﺎ ﲝﻠﻴﺔ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﳊﻨﻴﻒ ﻭﺃﻋﺎﺩﺕ ﻟﻺﺳﻼﻡ ﻗﻮﺗﻪ ﻭﺃﻋﻠﺖ ﺑﲔ ﺍﻷﻧﺎﻡ ﻛﻠﻤﺘﻪ. ﺧﻠﻔﻴﺎﺕ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻭﻟﺪ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﰲ ) 27ﻣﻦ ﺭﺟﺐ 835ﻫـ 30ﻣﻦ ﻣﺎﺭﺱ 1432ﻡ( ،ﻭﻧﺸﺄ ﰲ ﻛﻨﻒ ﺃﺑﻴﻪ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﻣﺮﺍﺩ ﺍﻟﺜﺎﱐ ،ﻭ ﻫﻮ ﺳﺎﺑﻊ ﺳﻼﻃﲔ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ،ﺍﻟﺬﻱ ﺗﻌﻬﺪﻩ ﺑﺎﻟﺮﻋﺎﻳﺔ ﻭﺍﻟﺘﻌﻠﻴﻢ ،ﻟﻴﻜﻮﻥ ﺟﺪﻳﺮﺍ ﺑﺎﻟﺴﻠﻄﻨﺔ ﻭﺍﻟﻨﻬﻮﺽ ﲟﺴﺌﻮﻟﻴﺎﺎ ،ﻓﺄﰎ ﺣﻔﻆ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ،ﻭﻗﺮﺃ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﻭﺗﻌﻠﻢ ﺍﻟﻔﻘﻪ ،ﻭﺩﺭﺱ ﺍﻟﺮﻳﺎﺿﻴﺎﺕ ﻭﺍﻟﻔﻠﻚ ﻭﺃﻣﻮﺭ ﺍﳊﺮﺏ ،ﻭﺇﱃ ﺟﺎﻧﺐ ﺫﻟﻚ ﺗﻌﻠﻢ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﻭﺍﻟﻔﺎﺭﺳﻴﺔ ﻭﺍﻟﻼﺗﻴﻨﻴﺔ ﻭﺍﻟﻴﻮﻧﺎﻧﻴﺔ ،ﻭﺍﺷﺘﺮﻙ ﻣﻊ ﺃﺑﻴﻪ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﻣﺮﺍﺩ ﰲ ﺣﺮﻭﺑﻪ ﻭﻏﺰﻭﺍﺗﻪ ،ﻭ ﺗﻮﱃ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺍﻟﺴﻠﻄﻨﺔ ﺑﻌﺪ ﻭﻓﺎﺓ ﺃﺑﻴﻪ ﰲ ) 5ﻣﻦ ﺍﶈﺮﻡ 855ﻫـ7ﻣﻦ ﻓﱪﺍﻳﺮ 1451ﻡ(. ﻭﺍﺷﺘﻬﺮ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺑﺄﻧﻪ ﺭﺍﻉ ﻟﻠﺤﻀﺎﺭﺓ ﻭﺍﻷﺩﺏ ،ﻭﻛﺎﻥ ﺷﺎﻋﺮﺍ ﳎﻴﺪﺍ ﻟﻪ ﺩﻳﻮﺍﻥ ﺷﻌﺮ، ﻭﻛﺎﻥ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻳﺪﺍﻭﻡ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻄﺎﻟﻌﺔ ﻭﻗﺮﺍﺀﺓ ﺍﻷﺩﺏ ﻭﺍﻟﺸﻌﺮ ،ﻭﻳﺼﺎﺣﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻭﺍﻟﺸﻌﺮﺍﺀ ،ﻭﻳﺼﻄﻔﻲ ﺑﻌﻀﻬﻢ ﻭﻳﻮﻟﻴﻬﻢ ﻣﻨﺎﺻﺐ ﺍﻟﻮﺯﺍﺭﺓ .ﻭﻋﻠﻰ ﺍﻟﺮﻏﻢ ﻣﻦ ﺍﻧﺸﻐﺎﻝ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺑﺎﳉﻬﺎﺩ ﻓﺈﻧﻪ ﻋﲏ ﺑﺎﻹﻋﻤﺎﺭ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻭﺗﺸﻴﻴﺪ ﺍﳌﺒﺎﱐ ﺍﻟﺮﺍﻗﻴﺔ ،ﻓﻌﻠﻰ ﻋﻬﺪﻩ ﺃﻧﺸﺊ ﺃﻛﺜﺮ ﻣﻦ ﺛﻼﲦﺎﺋﺔ ﻣﺴﺠﺪ ،ﻣﻨﻬﺎ ﰲ ﺍﻟﻌﺎﺻﻤﺔ ﺇﺳﺘﺎﻧﺒﻮﻝ ﻭﺣﺪﻫﺎ 192ﻣﺴﺠﺪًﺍ ﻭﺟﺎﻣﻌًﺎ ،ﺑﺎﻹﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ57ﻣﺪﺭﺳﺔ ﻭﻣﻌﻬﺪًﺍ ،ﻭ 59ﲪﺎﻣﺎ. ﺃﳘﻴﺔ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ .1ﻣﻌﻈﻢ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺣﻮﻝ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺍﻗﺘﺼﺮﺕ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻔﺘﻮﺣﺎﺕ ﻭﺍﳉﺎﻧﺐ ﺍﻟﻌﺴﻜﺮﻱ ﻓﺤﺴﺐ ،ﻭﱂ ﻳﺬﻛﺮ ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ. .2ﺇﻥ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﺆﺭﺧﲔ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻳﺄﺧﺬﻭﻥ ﻣﺼﺎﺩﺭ ﺃﻭﺭﺑﻴﺔ ﻭﻋﻠﻰ ﺭﺃﺳﻬﻢ ﻓﺮﺍﻧﺘﺸﺰ )1(Francz ﻭﻳﻌﻤﺪ ﺇﱃ ﻃﻤﺲ ﻭﺗﺸﻮﻳﻪ ﲰﻌﺔ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ،ﻭﻣﻦ ﻫﻨﺎ ﳚﺐ ﻋﻠﻲ ﺃﻥ ﺃﺩﺍﻓﻊ ﻋﻦ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﻭﺷﺨﺼﻴﺘﻪ ﻣﺒﻴﻨﺎ ﺣﻘﻴﻘﺘﻪ ﺭﺍﺩﺍ ﺩﺍﻓﻌﺎ ﺍﻟﺸﺒﻪ ﺣﻮﻟﻪ . .3ﻭﻣﻦ ﻳﻄﻠﻊ ﺑﺈﻧﺼﺎﻑ ﻋﻠﻰ ﻣﺎ ﻛﺘﺐ ﺣﻮﻟﻪ ﻣﻦ ﺇﳒﺎﺯﺍﺗﻪ ﺍﻟﺼﺤﻴﺔ ﻭﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ ﻭﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ ﻭﺍﻟﻌﺴﻜﺮﻳﺔ ﻟﻴﻌﺪ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻧﺎﺩﺭﺓ ﰲ ﺍﻟﻘﻴﺎﺩﺍﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻓﻘﺪ ﺃﻧﺸﺄ ﺍﳌﺪﺍﺭﺱ ﺍﻟﻜﺜﲑﺓ ﻭﺃﺩﺧﻞ ﻓﻴﻬﺎ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺍﻟﻌﻤﻠﻴﺔ ﲜﺎﻧﺐ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺍﻟﺪﻳﻨﻴﺔ ،ﻓﻜﺎﻥ ﺑﺬﻟﻚ ﻗﺎﺋﻤﺎ ﺑﺘﻮﺳﻴﻊ ﻓﻜﺮﺓ ﺍﳌﺪﺭﺳﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ∗ ،ﻓﻴﺤﺘﺎﺝ ﻋﺮﺽ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﺠﻤﻟﺘﻤﻊ ﺍﳌﺴﻠﻢ. ﺃﻫﺪﺍﻑ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻳﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺇﱃ ﻣﺎ ﻳﻠﻲ : .1ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ .2ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻣﻦ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ ﻭﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﻭﺍﻟﺘﺮﺑﻮﻳﺔ .3ﻣﻌﺮﻓﺔ ﻗﻮﺍﻋﺪ ﺍﳊﻜﻢ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪ ﺍﻟﱵ ﻭﺿﻌﻬﺎ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ .4ﻧﻘﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺇﱃ ﺍﺠﻤﻟﺘﻤﻊ ﻭﺧﺎﺻﺔ ﺍﺠﻤﻟﺘﻤﻊ ﺍﻟﺼﻴﲏ .5ﺩﻓﺎﻉ ﻋﻦ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻣﻦ ﺍﻟﺸﺒﻬﺎﺕ ﺣﻮﻟﻪ. ﺣﺪﻭﺩ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺃﺣﺪﺩ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻦ ﻧﺒﺬﺓ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻗﺒﻞ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻣﻦ ﺗﺄﺳﻴﺲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﺇﱃ ﺗﻮﻟﻴﻪ ﺍﻟﻌﺮﺵ ،ﻭﻋﻦ ﺳﲑﺓ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻭﺻﻔﺎﺗﻪ ﺍﳋﹶﻠﻘﻴﺔ ﻭﺍﳋﹸﻠﻘﻴﺔ ﻭﲤﻜﻨﻪ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ،ﻭﻋﻦ ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﰲ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ ﻭﺍﻟﺘﺮﺑﻮﻳﺔ ﻭ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﺧﻼﻝ ﺛﻼﺛﲔ ﺳﻨﺔ. 1ﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺭﺟﺎﻝ ﺍﻟﻘﺼﺮ ﺍﻟﺒﻴﺰﻧﻄﻲ ،ﻭﺣﺎﺭﺏ ﰲ ﺍﳉﻴﺶ ﺍﻟﺒﻴﺰﻧﻄﻲ ﺿﺪ ﺟﻴﻮﺵ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﻋﻠﻰ ﺭﺃﺳﻬﺎ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ،ﰒ ﺍﺳﺘﻄﺎﻉ ﻓﺮﺍﻧﺘﺸﺰ ﻫﺬﺍ ﺃﻥ ﻳﻬﺮﺏ ﻭﻳﻜﺘﺐ ﺗﺎﺭﳜﺎ ﻟﻠﻔﺘﺢ ﺑﻪ ﺣﻘﺪ ﻛﺒﲑ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﲔ. ∗ ﻓﻜﺮﺓ ﺍﳌﺪﺭﺳﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﺃﻱ ﺇﺩﺧﺎﻝ ﰲ ﺍﳌﺪﺭﺳﺔ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺍﻟﻌﻤﻠﻴﺔ ﲜﺎﻧﺐ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻣﻨﻬﺞ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺍﺳﺘﺨﺪﻡ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﰱ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻰ ﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻴﺔ ﳊﻴﺎﺓ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻭﻋﺼﺮﻩ ﺍﻟﺬﻯ ﻋﺎﺵ ﻓﻴﻪ ،ﰒ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘﺤﻠﻴﻠﻲ ﻟﺘﺤﻠﻴﻞ ﺍﻟﻨﺼﻮﺹ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻴﺔ ،ﰒ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘﻜﺎﻣﻠﻰ ﺍﻟﺬﻯ ﺗﺸﺘﺮﻙ ﻓﻴﻪ ﻛﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻨﺎﻫﺞ ﳎﺘﻤﻌﺔ ﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻭﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ .ﻭﻛﺎﻧﺖ ﺍﳋﻄﻮﺍﺕ ﻛﺎﻵﰐ: .1ﲨﻊ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﳌﻌﻴﻨﺔ ﻣﻦ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﰲ ﻣﻜﺘﺒﺎﺕ ﳐﺘﻠﻔﺔ. .2ﻣﺮﺍﺟﻌﺔ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﲨﻌﻬﺎ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺑﺘﺄ ٍﻥ. .3ﲢﻠﻴﻞ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﻗﺮﺃﻫﺎ ،ﻭﲨﻌﻬﺎ ﺑﺘﻨﻈﻴﻢ. ﻧﺘﺎﺋﺞ ﺍﻟﺒﺤﺚ .1ﻟﻘﺪ ﺍﻣﺘﺎﺯ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺑﺸﺨﺼﻴﺔ ﻓﺬﺓ ﲨﻌﺖ ﺑﲔ ﺍﻟﻘﻮﺓ ﻭﺍﻟﻌﺪﻝ ،ﻛﻤﺎ ﺃﻧﻪ ﻓﺎﻕ ﺃﻗﺮﺍﻧﻪ ﰲ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﻳﺘﻠﻘﺎﻫﺎ ﻣﻦ ﺷﻴﻮﺧﻪ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﲔ ﻭﺍﻧﺘﻬﺞ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺬﻱ ﺳﺎﺭ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺍﻟﺪﻩ ﻭﺃﺟﺪﺍﺩﻩ ﰲ ﺍﻟﻔﺘﻮﺣﺎﺕ ،ﻭﻟﻘﺪ ﺑﺮﺯ ﺑﻌﺪ ﺗﻮﻟﻴﻪ ﺍﻟﺴﻠﻄﺔ ﰲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﺑﻘﻴﺎﻣﻪ ﺑﺈﻋﺎﺩﺓ ﺗﻨﻈﻴﻢ ﺇﺩﺍﺭﺍﺕ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ ،ﻭﺇﻥ ﻓﺘﺢ ﺍﻟﻘﺴﻄﻨﻄﻴﻨﻴﺔ ﻫﻮ ﺍﻧﺘﺼﺎﺭ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﲔ ﺍﻟﻜﺒﲑ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﺃﻰ ﺍﻻﺳﺘﻘﻼﻝ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ ﻹﻣﱪﺍﻃﻮﺭﻳﺔ ﻋﺎﺷﺖ ﺃﻛﺜﺮ ﻣﻦ ﺃﻟﻒ ﻋﺎﻡ ،ﻭﺳﺎﻋﺪ ﺍﻟﻔﺘﺢ ﻋﻠﻰ ﺍﺳﺘﻘﺮﺍﺭ ﺍﻟﺴﻠﻄﻨﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻭﺗﻮﺳﻌﻬﺎ ﰲ ﺷﺮﻕ ﺍﳌﺘﻮﺳﻂ ﻭﺍﻟﺒﻠﻘﺎﻥ .2ﻛﺎﻥ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﳏﺒﺎ ﻟﻠﻌﻠﻢ ﻭﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ،ﻟﺬﻟﻚ ﺍﻫﺘﻢ ﺑﺒﻨﺎﺀ ﺍﳌﺪﺍﺭﺱ ﻭﺍﳌﻌﺎﻫﺪ ﰲ ﲨﻴﻊ ﺃﺭﺟﺎﺀ ﺩﻭﻟﺘﻪ ،ﻭﻗﺮﺏ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻭﺭﻓﻊ ﻗﺪﺭﻫﻢ ﻭﺷﺠﻌﻬﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﻤﻞ ﻭﺍﻹﻧﺘﺎﺝ ،ﻭﺑﺬﻝ ﳍﻢ ﺍﻷﻣﻮﺍﻝ ﻭﻭﺳﻊ ﳍﻢ ﰲ ﺍﻟﻌﻄﺎﻳﺎ ﻭﺍﳌﻨﺢ ﻭﺍﳍﺪﺍﻳﺎ ﻭﻳﻜﺮﻣﻬﻢ ﻏﺎﻳﺔ ﺍﻹﻛﺮﺍﻡ ،ﻓﻜﺎﻥ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺷﺎﻋﺮﺍ ﳎﻴﺪﺍ ﻣﻬﺘﻤﺎ ﺑﺎﻷﺩﺏ ﻋﺎﻣﺔ ﻭﺍﻟﺸﻌﺮ ﺧﺎﺻﺔ ،ﻭﻛﺎﻥ ﻳﺼﺎﺣﺐ ﺍﻟﺸﻌﺮﺍﺀ ﻭﻳﺼﻄﻔﻴﻬﻢ ،ﻭﺃﻣﺮ ﺑﻨﻘﻞ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻵﺛﺎﺭ ﺍﳌﻜﺘﻮﺑﺔ ﺑﺎﻟﻴﻮﻧﺎﻧﻴﺔ ﻭﺍﻟﻼﺗﻴﻨﻴﺔ ﻭﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﻭﺍﻟﻔﺎﺭﺳﻴﺔ ﺇﱃ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺍﻟﺘﺮﻛﻴﺔ. .3ﻭﻛﺎﻥ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻣﻐﺮﻣﺎ ﺑﺒﻨﺎﺀ ﺍﳌﺴﺎﺟﺪ ﻭﺍﳌﻌﺎﻫﺪ ﻭﺍﻟﻘﺼﻮﺭ ﻭﺍﳌﺴﺘﺸﻔﻴﺎﺕ ﻭﺍﳋﺎﻧﺎﺕ ﻭﺍﳊﻤﺎﻣﺎﺕ ﻭﺍﻷﺳﻮﺍﻕ ﺍﻟﻜﺒﲑﺓ ﻭﺍﳊﺪﺍﺋﻖ ﺍﻟﻌﺎﻣﺔ ،ﻭﺃﺩﺧﻞ ﺍﳌﻴﺎﻩ ﺇﱃ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺑﻮﺍﺳﻄﺔ ﻗﻨﺎﻃﺮ ﺧﺎﺻﺔ، ﻭﺍﻫﺘﻢ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺑﺎﻟﺘﺠﺎﺭﺓ ﻭﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﻭﻋﻤﻞ ﻋﻠﻰ ﺇﻧﻌﺎﺷﻬﻤﺎ ﲜﻤﻴﻊ ﺍﻟﻮﺳﺎﺋﻞ ﻭﺍﻟﻌﻮﺍﻣﻞ ﻭﺍﻷﺳﺒﺎﺏ ،ﻭﻗﻨﻦ ﻗﻮﺍﻧﲔ ﺣﱴ ﻳﺴﺘﻄﻴﻊ ﺃﻥ ﻳﻨﻈﻢ ﺷﺆﻭﻥ ﺍﻹﺩﺍﺭﺓ ﺍﶈﻠﻴﺔ ﰲ ﺩﻭﻟﺘﻪ ،ﻭﻛﺎﻧﺖ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻘﻮﺍﻧﲔ ﻣﺴﺘﻤﺪﺓ ﻣﻦ ﺍﻟﺸﺮﻉ ﺍﳊﻜﻴﻢ. .4ﻭﺟﺪﻧﺎ ﺃﻥ ﺍﻋﺘﺮﺍﻑ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﲝﺮﻳﺔ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﻳﺔ ﻭﺍﻟﻔﻜﺮﻳﺔ ﻛﺎﻥ ﻟﻪ ﺩﻭﺭ ﻋﻈﻴﻢ ﰲ ﺍﻟﺘﻘﺪﻡ ﺍﳊﻀﺎﺭﻱ ،ﻭﺍﻟﺘﻨﻤﻴﺔ ﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ ،ﲝﻴﺚ ﺍﺳﺘﻄﺎﻉ ﻛﻞ ﻓﺮﺩ ﰲ ﺍﺠﻤﻟﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺃﻥ ﻳﺆﺩﻱ ﺩﻭﺭﻩ ﺩﻭﻥ ﺭﻗﻴﺐ ﺃﻭ ﻋﺎﺋﻖ. .5ﻭﺟﺪﻧﺎ ﺃﳘﻴﺔ ﻭﺣﺪﺓ ﺍﻷﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻓﺈﻥ ﺃﻫﻢ ﺧﺼﺎﺋﺺ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﻣﺔ ﺃﺎ ﺃﻣﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ ،ﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ:
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย {~ ¡ z¦ ¥ ¤ £ ¢
)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﺆﻣﻨﻮﻥ(51 :23 ،
ﻭﻟﻘﺪ ﺗﻨﻮﻋﺖ ﺃﺳﺎﻟﻴﺐ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ﰲ ﺍﻟﺪﻻﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﻭﺟﻮﺏ ﺍﻟﻮﺣﺪﺓ ،ﻓﺘﺎﺭﺓ ﺗﺄﻣﺮ ﺑﺎﻟﻮﺣﺪﺓ ﺃﻣﺮﺍ ﺻﺮﳛﺎ ﻛﻤﺎ ﰲ ﻗﻮﻝ ﺍﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ: { q p o n m l k j i h gf e d c b a z d c b a ` _ ~ }| { z y x w v u t s
)ﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ.(103 :3 ،
ﻓﺈﻥ ﺍﻟﻌﺎﱂ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﻔﺮﻗﻪ ﻭﺗﻨﺎﺯﻋﻪ ﻻ ﻳﺸﻜﻞ ﺃﻱ ﻫﺎﺟﺲ ﺧﻮﻑ ﻷﺣﺪ ،ﻟﻜﻦ ﺍﻟﻌﺎﱂ ﺍﻟﻐﺮﰊ ﺍﻟﺼﻠﻴﱯ ﳜﺸﻰ ﺃﻥ ﻳﺴﺘﻴﻘﻆ ﺍﳌﺴﻠﻤﻮﻥ ﻣﻦ ﻧﻮﻣﻬﻢ ،ﻓﻴﺴﺎﺭﻋﻮﺍ ﺇﱃ ﺍﻷﺧﺬ ﺑﺄﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﻘﻮﺓ، ﻭﺍﻟﻌﻮﺩﺓ ﺇﱃ ﺍﻟﻮﺣﺪﺓ. .6ﻭﺟﺪﻧﺎ ﺃﻥ ﻗﺎﺩﺓ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﺍﶈﻘﻘﲔ ﳚﻤﻌﻮﻥ ﺑﲔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺍﻟﻌﻤﻞ ،ﻭﻳﺮﺷﺪﻭﻥ ﺇﱃ ﺍﻟﻄﺮﻳﻖ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﻭﻋﻨﺪﻫﻢ ﺍﻟﻘﺪﺭﺓ ﻋﻠﻰ ﻓﺮﺯ ﺍﻷﻭﻟﻮﻳﺎﺕ ﻭﺍﻟﺘﻌﺎﻣﻞ ﺍﻟﺬﻛﻲ ﻣﻊ ﺍﻟﻮﺍﻗﻊ ،ﻛﻤﺎ ﻋﻨﺪﻫﻢ ﺍﻟﻘﺪﺭﺓ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺘﻐﻴﲑ ﺇﱃ ﻣﺎ ﻓﻴﻪ ﺧﲑ ﺍﻷﻣﺔ ﻭﺣﺎﺟﺎﺗـﻬﺎ ﻭﺁﻣﺎﳍﺎ. ﻣﻘﺘﺮﺣﺎﻥ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﰲ ﺣﻴﺎﺓ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ،ﻭﺩﺭﺍﺳﺔ ﺗﺎﺭﳜﻪ ﻭﺇﳒﺎﺯﺍﺗﻪ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ ،ﻭﻣﺎ ﺗﻮﺻﻞ ﺇﻟﻴﻪ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﻣﻦ ﻧﺘﺎﺋﺞ ﺑﻌﺪ ﻛﻞ ﺫﻟﻚ ،ﲡﺪﺭ ﺍﻹﺷﺎﺭﺓ ﺇﱃ ﲨﻠﺔ ﻣﻦ ﺍﳌﻘﺘﺮﺣﺎﺕ ،ﻫﻲ: .1ﺇﻥ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺍﻟﺴﲑﺓ ﻭﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﺗﻌﺘﱪ ﺃﳘﻴﺔ ﻛﺒﲑﺓ ﻟﻠﻤﺴﻠﻤﲔ ،ﻭﺧﺎﺻﺔ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﱵ ﺗﺘﻌﻠﻖ ﺑﺎﻟﻔﺘﻮﺣﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﻌﻴﺪﺓ ﻋﻦ ﺍﻟﺘﻌﺼﺐ ،ﻓﻜﺎﻥ ﻳﻨﺒﻐﻲ ﻟﻨﺎ ﺍﻻﻫﺘﻤﺎﻡ ﺎ. .2ﳛﺮﺹ ﺍﻟﻄﻠﺒﺔ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﲔ ﻋﻠﻰ ﲝﺚ ﰲ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﰲ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﺍﻷﺧﺮﻯ ﺑﺸﻲﺀ ﻣﻦ ﺍﻹﳌﺎﻡ ﺣﱴ ﻳﻌﺮﻓﻮﺍ ﻋﻨﻪ ﺍﻟﻜﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﻔﺎﺕ ﺍﻟﺼﺎﳊﺔ ﻟﻘﻴﺎﺩﺓ ﺍﻟﺒﻼﺩ. .3ﺃﻥ ﻳﺒﺎﺩﺭ ﺍﻟﻄﻠﺒﺔ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﻮﻥ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﰲ ﺳﲑﺓ ﺍﻟﻘﺎﺩﺍﺕ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ. .4ﻳﺸﺠﻊ ﺍﻟﻄﻠﺒﺔ ﺍﻟﺼﻴﻨﻴﲔ ﺃﻥ ﻳﺪﺭﺳﻮﺍ ﻭﻳﺒﺤﺜﻮﺍ ﻋﻤﺎ ﻳﻔﻴﺪ ﺑﻼﺩﻫﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﺸﺨﺼﻴﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﻟﺒﺎﺭﺯﺓ ﻟﻼﻗﺘﺪﺍﺀ ﻢ ﰲ ﺣﻴﺎﻢ ﺍﻟﻴﻮﻣﻴﺔ ،ﻛﻤﺎ ﺍﻗﺘﺪﻭﺍ ﺑﺮﺳﻮﳍﻢ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﳏﻤﺪ ﺻﻠﻲ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ ﺃﺭﺳﻼﻥ ،ﺍﻷﻣﲑ ﺷﻜﻴﺐ1422 .ﻫـ .ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ .ﻁ .1ﺩﻣﺸﻖ :ﺩﺍﺭ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ. ﺃﺻﺎﻑ ،ﺣﻀﺮﺓ ﻋﺰﺗﻠﻮ ﻳﻮﺳﻒ ﺑﻚ1415 .ﻫـ .ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺳﻼﻃﲔ ﺑﲏ ﻋﺜﻤﺎﻥ .ﻁ .1ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ :ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﳌﺪﺑﻮﱄ. ﺃﻧﻴﺲ ،ﺩ .ﳏﻤﺪ1387 .ﻫـ .ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻭﺍﻟﺸﺮﻕ ﺍﻟﻌﺮﰊ .ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ) :ﺩ.ﻁ( ﺑﺮﻧﺎﺭ ﺩﻟﻮﻳﺲ1402 .ﻫـ .ﺍﺳﺘﻨﺒﻮﻝ .ﻋﻠﻲ ،ﺍﻟﺴﻴﺪ ﺭﺿﻮﺍﻥ .ﻁ .2ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩﻳﺔ. ﺣﺮﺏ ،ﺩ .ﳏﻤﺪ1419 .ﻫـ .ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﻮﻥ ﰲ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ .ﻁ .2ﺩﻣﺸﻖ .ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻘﻠﻢ. ﺣﻠﻴﻢ ،ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺑﻚ1498 .ﻫـ .ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﺍﻟﻌﻠﻴﺔ .ﻁ .1ﺑﲑﻭﺕ :ﻣﺆﺳﺴﺔ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﺜﻘﺎﻓﻴﺔ. ﺍﻟﺪﻗﻦ ،ﺩ .ﺍﻟﺴﻴﺪ ﳏﻤﺪ1400 .ﻫـ .ﺩﺭﺍﺳﺎﺕ ﰲ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ .ﻁ .1ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺸﺮﻭﻕ. ﺳﺮﻫﻨﻚ ،ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ1410.ﻫـ .ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ،ﺑﲑﻭﺕ) :ﺩ.ﻁ( ﺍﻟﻨﻬﻀﺔ ﺍﳌﺼﺮﻳﺔ. ﺍﻟﺼﻼﰊ ،ﺩ .ﻋﻠﻲ ﳏﻤﺪ 1421 .ﻫـ .ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ .ﻁ .1ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺘﻮﺯﻳﻊ ﻭﺍﻟﻨﺸﺮ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ، ﻋﻠﻲ ،ﳏﻤﺪ ﻛﺮﺩ1389 .ﻫـ .ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ .ﻁ .3ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ .ﳉﻨﺔ ﺍﻟﺘﺄﻟﻴﻒ ﻭﺍﻟﺘﺮﲨﺔ ﻭﺍﻟﻨﺸﺮ. ﻋﻠﻲ ،ﺩ .ﺳﻴﺪ ﺭﺿﻮﺍﻥ 1402 .ﻫـ .ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺑﻄﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﰲ ﺃﻭﺭﻭﺑﺎ ﺍﻟﺸﺮﻗﻴﺔ .ﻁ.1 ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩﻳﺔ. ﻗﺎﺯﺍﻥ ،ﻧﺰﺍﺭ 1413 .ﻫـ .ﺳﻼﻃﲔ ﺑﲏ ﻋﺜﻤﺎﻥ .ﻁ .1ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ ﺍﻟﻠﺒﻨﺎﱐ. ﻟﻠﻜﺘﺎﺏ.ﻁ.1 ﻳﺎﻏﻲ ،ﺩ .ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺃﲪﺪ 1415 .ﻫـ .ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﰲ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ .ﻁ .1ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﻌﺒﻴﻜﺎﻥ. ﻫﻮﺍﻧﻎ ﻭﻱ ﻣﻴﻨﻎ1421 (Huang weiming) .ﻫـ (History of the ottoman).ﻁ.SANQIN .CHINA -XIAN.1 ﱄ ﻣﲔ ،(Limin) .ﻭﻣﺎﻥ ﻳﻪ ﺑﻴﻨﻎ )1427 .(Manyebinﻫـ .(World history) .ﻁ CHINA-.6
YANSHAN.BEIJIN ﺗﺸﺎﻧﻎ ﺗﺸﻮﻧﻎ ﺷﻴﺎﻧﻎ1427 .(Zhang zhongxiang) .ﻫـHistory of the ottoman empire and modern ) . .(turkeyﻁ.RENMIN .CHINA – QINGHAI .1 ﻫﻮﺍﻧﻎ ﻟﻴﻨﻎ1425 .(Huangling) .ﻫـ .CHINA .HAINAN (Asian history) .ﻁ .1 ﻫﻮﺍﻧﻎ ﻭﻱ ﻣﻴﻨﻎ 1423.(Huang weiming) .ﻫـ (The history of middle east countries) .ﻁ-BEIJIN.1 .SHANGYE .CHINA ﺩﻭﻧﻎ ﺷﻴﻮﻯ ﻳﻮﺍﻥ1425 .(Dongxuyuan) .ﻫـ .CHINA. QINGHUA(Worldhistory) .ﻁ.1
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย บทความรายงานการวิจัย
ﺩﻭﺭ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﺯﻫﺮﻱ ﳛﲕ ﺍﻟﻜﻤﺒﻮﺩﻱ ∗∗ ﻭﻱ ﻳﻮﺳﻒ ﺳﻴﺪﺉ
∗
ﻣﺴﺘﺨﻠﺺ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻳﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺇﱃ ﺑﻴﺎﻥ ﺩﻭﺭ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﰲ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﻷﻣﻮﻱ ﺍﺑﺘﺪﺍﺀ ﻣﻦ ﺧﻼﻓﺘﻪ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺗﻮﻓﺎﻩ ﺍﷲ ،ﻭﻫﻲ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺗﺎﺭﳜﻴﺔ ﲢﻠﻴﻠﻴﺔ .ﺗﻌﺘﻤﺪ ﻋﻠﻰ ﺍ ﻟﻮﺛﺎﺋﻖ ﻭﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﳌﺘﻨﺎﺛﺮﺓ ﰲ ﺑﻄﻮﻥ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺧﺎﺻﺔ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻮﺍﺭﻳﺦ. ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺘﺎﺋﺞ ﺍﻟﱵ ﺗﻮﺻﻠﺖ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﻣﺎ ﻳﻠﻲ) :ﺃ( ﺩﻭﺭﻩ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ: ﻛﺎﻥ ﻟﻌﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺩﻭﺭ ﺳﻴﺎﺳﻲ ﳝﺜﻞ ﰲ ﺗﻨﻈﻴﻤﻴﺔ ﺍﳌﺜﺎﻟﻴﺔ ﺍﻟﺪﻗﻴﻘﺔ ﺑﺎﻟﻨﺴﺒﺔ ﻟﻠﺨﻠﻔﺎﺀ ﺍﻵﺧﺮﻳﻦ ﰲ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﻷﻣﻮﻱ .ﻭﻛﺎﻥ ﺧﻠﻴﻔﺔ ﺫﺍ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻋﻄﲑﺓ ﺑﺎﺭﺯﺓ ﻭﻋﻘﻞ ﺳﺪﻳﺪ ﰲ ﺇﺩﺍﺭﺓ ﺷﺆﻭﻥ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻭﻏﲑﻫﺎ ،ﺑﺎﻹﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﺃﻧﻪ ﺫﻭ ﻣﻜﺎﻧﺔ ﻋﻠﻤﻴﺔ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺣﻴﺚ ﺃﻗﺮﻭﺍ ﻟﻪ ﺑﺬﻟﻚ) .ﺏ( ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺇﲬﺎﺩ ﺍﳊﺮﻛﺎﺕ ﻣﻨﺎﻭﺋﻲ ﺍﳌﻌﺎﺭﺿﺔ ﻟﻠﺪﻭﻟﺔ ،ﻭﻗﺪ ﻛﺎﻥ ﻣﻨﺎﻭﺅﺍ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻗﺪ ﺃﺳﺴﻮﺍ ﺣﺮﻛﺎﺕ ﺛﻮﺭﻳﺔ ﻣﻨﺎﻫﻀﺔ ﻟﻠﺪﻭﻟﺔ ﺪﻑ ﺍﻟﻘﻀﺎﺀ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺇﺫﺍ ﺳﻨﺤﺖ ﳍﻢ ﺍﻟﻔﺮﺻﺔ ،ﻭﻣﻦ ﻫﻨﺎ ﺭﺃﻯ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻭﺿﻊ ﺳﻴﺎﺳﺎﺕ ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﲤﺎﺷﻴﺎ ﻣﻊ ﺍﻟﻈﺮﻭﻑ ﻭﺍﻷﺣﻮﺍﻝ ﺍﻟﱵ ﺭﺍﻓﻘﺘﻬﻢ ﰲ ﺗﻠﻚ ﺍﻷﻳﺎﻡ ،ﻓﻴﺒﺬﻝ ﺟﻬﻮﺩﺍ ﻋﻈﻴﻤﺔ ﰲ ﺍﻟﺘﻌﻤﲑ ﻭﺍﻹﺻﻼﺡ ﻭﻋﻠﻴﻪ ﻓﺈﻥ ﺳﻴﺎﺳﺎﺗﻪ ﻛﺎﻧﺖ ﳐﺎﻟﻔﺔ ﲤﺎﻣﺎ ﻣﻦ ﺳﻴﺎﺳﺎﺕ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﲔ. )ﺝ( ﺗﺒﻴﻦ ﻟﻨﺎ ﻣﻦ ﺳﻴﺎﺳﺎﺕ ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ،ﺃﻻ ﺣﻈﻴﺖ ﺑﺮﺿﺎﺀ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﺗﻮﺣﺪ ﻭﺧﻠﻒ ﳊﻜﻤﺔ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻭﻋﺪﻟﻪ ﰲ ﺃﻣﻮﺭ ﺍﳋﻼﻓﺔ ،ﻭﱂ ﲣﺮﺝ ﻋﻠﻴﻪ ﻃﺎﺋﻔﺔ ﳑﻦ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻣﻦ ﻣﻌﺎﺭﺿﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺳﺎﺑﻘﺎ .ﻭﻛﺎﻥ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺳﻌﺪﺍﺀ ﰲ ﲤﺎﺳﻜﻬﻢ ﻭﻭﺣﺪﻢ ﻭﺷﻌﻮﺭﻫﻢ ﺑﺄﻢ ﺃﻣﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ ﲢﺖ ﻟﻮﺍﺀ ﻭﺍﺣﺪ ﻭﰲ ﺇﻃﺎﺭﺧﻠﻴﻔﺔ ﺭﺍﺷﺪ.
∗
ﺍﻟﻄﺎﻟﺐ ﲟﺮﺣﻠﺔ ﺍﳌﺎﺟﺴﺘﲑ ﺍﻟﻘﺴﻢ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﲜﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ.
∗∗
ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ،ﻭﳏﺎﺿﺮ ﺑﻘﺴﻢ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﲜﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย ABSTRACT This research was aimed to examine the roles of Umar Ibn Abdul Aziz in verifying the solidarity of Muslim nations during his reign. It was a documentation research. The researcher collected the documentation data from various sources such as libraries and internet websites. The data were especially related with Islamic history and civilization. This research has found as the followings: (1) the role of Umar Ibn Abdul Aziz for the coherence of Muslim nations in his reign was the best example among the Islamic reigns in the Umayyad dynasty comparatively. The practices of Umar were different from others. His characteristics and techniques for making administrative rules were prominent. He was able to establish the solidarity of Muslim nations with privilege. Umar was well educated in religion and had a closer tie with ulama philosophers. (2) The role of making a good understanding towards the rebels who trying to destroy Islam in his reign was that, he successfully dissolved the conflict and many challenging problems. One of the best things he did was to get rid of conflicts by creating a harmonious atmosphere among the different communities. This harmony was exemplified as ‘solidarity’ which had been different from others in the Umayyad dynasty before his time. And, (3) In the Umar’s administration, justice and liberty were also practiced. Because of his capability, there was no resistance or very few of resistances took place. The society under his office was very happy and peaceful.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻣﻘﺪﻣﺔ ﺍﳊﻤﺪ ﷲ ﺭﺏ ﺍﻟﻌﺎﳌﲔ ،ﺍﻟﺬﻱ ﻭﻋﺪ ﻭﺭﺍﺛﺔ ﺍﻷﺭﺽ ﻟﻌﺒﺎﺩﻩ ﺍﻟﺼﺎﳊﲔ ،ﺣﻴﺚ ﻗﺎﻝ ﺟﻞ ﺛﻨﺎﺅﻩ ﻭﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ: w v u t s r q p o n m l )ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻷﻧﺒﻴﺎﺀ.(105 :21 ، ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﻻ ﺇﻟﻪ ﺇﻻ ﺍﷲ ﻭﺣﺪﻩ ﻻ ﺷﺮﻳﻚ ﻟﻪ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺼﻤﺪ ﺇﻟﻴﻪ ﺍﳋﻼﺋﻖ ،ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﳏﻤﺪﺍ ﻋﺒﺪﻩ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﺍﳌﺒﻌﻮﺙ ﺭﲪﺔ ﻟﻠﻌﺎﳌﲔ ،ﺍﻟﻠﻬﻢ ﺻﻞ ﻋﻠﻰ ﳏﻤﺪ ﻭﻋﻠﻰ ﺁﻟﻪ ﻭﺻﺤﺒﻪ ﺃﲨﻌﲔ. ﺃﻣﺎ ﺑﻌﺪ: ﻭﻣﻦ ﺇﺭﺍﺩﺓ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺃﻥ ﺟﻌﻞ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ ﻣﻬﺪﺍ ﻟﻸﻣﻦ ﻭﺍﻹﺳﺘﻘﺮﺍﺭ ﺑﻌﺪ ﻇﻬﻮﺭ ﺍﻹﻓﺘﺮﺍﻕ ﻭﻓﻮﺿﻰ ﺍﳉﻤﺎﻋﺎﺕ ﰲ ﻣﺪﺓ ﻣﻦ ﺍﻟﺰﻣﻦ ،ﻭﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺣﲔ ﺍﺧﺘﲑ ﻛﺨﻠﻴﻔﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻛﺎﻧﺖ ﻋﻨﺪﻩ ﻧﻈﺮﺓ ﺧﺎﺻﺔ ﻣﻦ ﲰﺎﺎ ﺷﺪﺓ ﺍﳊﻴﻄﺔ ﻭﺍﻻﻫﺘﻤﺎﻡ ﺑﺎﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﺭﻋﻴﺔ ﰲ ﺍﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺍﻓﺘﺮﺍﻕ ﻭﻧﺰﺍﻉ ،ﺳﻮﺍﺀ ﰲ ﺣﻘﻞ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺔ ﺍﳋﺎﺭﺟﻴﺔ ﺃﻡ ﰲ ﺣﻘﻞ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺔ ﺍﻟﺪﺍﺧﻠﻴﺔ ) .ﳏﻤﺪ ﻛﺮﺩ ﻋﻠﻲ ،ﺩ.ﺕ ،ﺹ(174 : ﻛﺎﻥ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﳛﺐ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﳎﺎﻟﺲ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﳑﺎ ﺟﻌﻠﻪ ﻳﺘﻤﺘﻊ ﺑﺮﺟﺎﺣﺔ ﺍﻟﻌﻘﻞ ﻭﻗﺪﺭﺓ ﻛﺎﻓﻴﺔ ﰲ ﺇﺩﺍﺭﺓ ﺷﺆﻭﻥ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﺩﺍﺧﻠﻴﺎ ﻭﺧﺎﺭﺟﻴﺎ ،ﻭﻛﺎﻧﺖ ﻣﺪﺓ ﺧﻼﻓﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻟﻠﻨﺎﺱ ﺳﻜﻴﻨﺔ ﻭﺃﻣﻨﺎ ،ﻭﳘﻪ ﻟﻴﻼ ﻭﺎﺭﺍ ﻛﺎﻥ ﺇﺻﻼﺡ ﺍﺘﻤﻊ ﺭﻭﺣﻴﺎ ﻭﺟﺴﻤﻴﺎ ،ﻭﻗﺪ ﺃﻋﻄﻰ ﻛﻞ ﻣﺎ ﳝﻠﻜﻪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻟﺴﺪ ﺭﻣﻘﻬﻢ ،ﻭﺍﺳﺘﻄﺎﻉ ﻫﺬﺍ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺍﻻﻫﺘﻤﺎﻡ ﲝﺎﻝ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﰲ ﻋﻬﺪﻩ ،ﺇﱃ ﺃﻥ ﺟﻌﻠﻬﻢ ﻣﻮﺣﺪﻱ ﺍﻟﻜﻠﻤﺔ ﺣﻴﺚ ﺍﺷﺘﻬﺮﺕ ﺃﻳﺎﻡ ﺧﻼﻓﺘﻪ ﺑﺄﺎ ﺍﻟﻔﺘﺮﺓ ﺍﻟﱵ ﻋﻢ ﺍﻟﻌﺪﻝ ﻭﺍﻟﺮﺧﺎﺀ ﰲ ﺃﳓﺎﺀ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ ،ﺣﱴ ﺃﻥ ﺍﻟﺮﺟﻞ ﻛﺎﻥ ﻟﻴﺘﺼﺪﻕ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻦ ﺯﻛﺎﺓ ﺃﻣﻮﺍﻟﻪ ﻓﻴﺒﺤﺚ ﻋﻦ ﺍﻟﻔﻘﺮﺍﺀ ﻻ ﳚﺪ ﻣﻦ ﻛﺎﻥ ﰲ ﺣﺎﺟﺔ ﺇﻟﻴﻬﺎ) .ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﳊﻜﻢ ﻭ ﺃﰊ ﳏﻤﺪ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ،1904 ،ﺹ.(106: ﻭﻋﺎﺵ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻃﻮﻝ ﺣﻴﺎﺗﻪ ﰲ ﺭﺿﺎﺀ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺱ ،ﻭﻓﺮﺡ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺑﻪ ﻓﺮﺣﺎ ﺷﺪﻳﺪﺍ ﻋﻠﻰ ﻣﺎ ﺟﺎﺀ ﺇﻟﻴﻬﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻌﺎﺩﺓ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﺟﻌﻠﻪ ﻳﻌﺪﻩ ﻣﻦ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪﻳﻦ ،ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺳﻔﻴﺎﻥ ﺍﻟﺜﻮﺭﻱ " :ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﲬﺴﺔ :ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ،ﻭﻋﻤﺮ ،ﻭﻋﺜﻤﺎﻥ ،ﻭﻋﻠﻲ ،ﻭﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ،ﻭﻗﺎﻝ ﺯﻳﺪ ﺑﻦ ﺃﺳﻠﻢ ﻋﻦ ﺃﻧﺲ :ﻣﺎ ﺻﻠﻴﺖ ﻭﺭﺍﺀ ﻏﻤﺎﻡ ﺃﺷﺒﻪ ﺻﻼﺓ ﺑﺮﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻔﱴ ﻳﻌﲏ :ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻭﻫﻮ ﺃﻣﲑ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ")ﺟﺎﺳﻢ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ،2003 ،ﺹ(132 : ﻭﺍﻣﺘﺎﺯﺕ ﺳﻴﺎﺳﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﰲ ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻟﻘﻠﻮﺏ ﻣﻊ ﻣﻌﺎﺭﺿﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺧﺎﺻﺔ ﻣﻊ ﺍﻟﺸﻴﻌﺔ ﺣﲔ ﺧﻠﻊ ﺍﻟﺴﺐ ﻋﻦ ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﺒﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﻳﺘﻤﻴﺰ ﺑﻪ ﻋﻦ ﺳﺎﺋﺮ ﺇﺧﻮﺍﻧﻪ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ ،ﻓﺘﻌﻠﻘﺖ ﺑﻪ ﻗﻠﻮﻢ ﻭﺃﲬﺪﺕ ﻧﲑﺍﻢ ﻭﺛﻮﺭﺍﻢ ﻃﻴﻠﺔ ﻋﺼﺮﻩ ﻓﻠﻢ ﳜﺮﺟﻮﺍ ﻋﻠﻴﻪ ،ﻓﻜﺎﻧﻮﺍ ﻣﻘﺮﻳﻦ ﺑﺄﻧﻪ ﻋﺎﺩﻝ ،ﻭﻫﻮ ﺃﻭﻝ ﻣﻦ ﺃﻋﻄﻲ ﺃﻧﺼﺒﺔ ﻟﺒﲏ ﻫﺎﺷﻢ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﺃﺧﺮﻡ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﰲ ﺑﺎﺩﺉ ﺍﻷﻣﺮ ﻓﺒﺪﺃ ﺍﻟﺸﻴﻌﺔ ﳛﺒﻮﻧﻪ ﻭﳝﺪﺣﻮﻧﻪ) .ﺍﺑﻦ ﺍﻷﺛﲑ ،ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺍﻟﻜﺮﻡ1414 ،ﻫـ ،ﺹ(314 :
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻛﻤﺎ ﻻ ﳜﻔﻰ ﻋﻠﻴﻨﺎ ﺑﺄﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﰎ ﺗﺄﺳﻴﺴﻬﺎ ﺑﻴﺪ ﻣﻌﺎﻭﻳﺔ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺳﻔﻴﺎﻥ ،ﻭﻗﺪ ﻛﺎﻧﺖ ﺑﻈﻬﻮﺭﻫﺎ ﳏﻞ ﺍﻟﺒﻐﺾ ﻣﻦ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻘﺒﺎﺋﻞ ﻛﺎﻟﻔﺮﻕ ﺍﻟﺸﻴﻌﺔ ﻭﺍﳋﻮﺍﺭﺝ ...ﻓﻜﺎﻧﻮﺍ ﻳﺮﻳﺪﻭﻥ ﺇﺯﺍﻟﺔ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺇﺫﺍ ﺳﻨﺤﺖ ﳍﻢ ﺍﻟﻔﺮﺻﺔ ﻭﺑﺎﻟﻄﺒﻊ ﻗﺪ ﺣﺪﺛﺖ ﻓﻴﻬﺎ ﻋﺪﺓ ﺛﻮﺭﺍﺕ ﺪﻑ ﺍﻟﻘﻀﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻃﻴﻠﺔ ﺃﻳﺎﻡ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ ،ﻭﻳﻜﺎﺩ ﻳﻮﺟﺪ ﰲ ﻛﻞ ﺧﻠﻴﻔﺔ ﺃﻣﻮﻱ ﺣﺮﻛﺎﺕ ﺛﻮﺭﻳﺔ ) .ﺍﻟﻄﻘﻮﺵ ،ﳏﻤﺪ ﺳﻬﻴﻞ، 1421ﻫـ ،ﺹ(136: ﻭﳍﺬﺍ ﻛﺎﻥ ﺍﺧﺘﻴﺎﺭ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﳍﺬﺍ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﻷﺟﻞ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺩﻭﺭﻩ ﺍﳌﻬﺎﻡ ﰲ ﺍﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ،ﻋﻤﺎ ﻛﺎﻧﺖ ﻋﻠﻴﻪ ﻣﻦ ﺍﻹﺿﻄﺮﺍﺑﺎﺕ ﻭﺍﻟﻐﻮﻏﺎﺋﻴﺔ ﻗﺒﻞ ﺗﺴﻠﻤﻪ ﺍﳋﻼﻓﺔ ،ﻭﻟﻴﺲ ﺳﻬﻼ ﻟﻜﻞ ﺃﺣﺪ ﺃﻥ ﳛﻞ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻘﺎﻡ ﻣﺜﻠﻪ .ﻭﻛﻤﺎ ﺃﻥ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﺃﺭﺍﺩ ﺍﻹﻇﻬﺎﺭ ﻟﻠﻨﺎﺱ ﻣﺰﺍﻳﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﻀﺨﻤﺔ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﻭﺣﺪﺓ ﺍﻷﻣﺔ ﺗﻮﺣﻴﺪﺍ ﻭﺇﺻﻼﺣﺎ ﻭﺣﺒﺎ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻣﻔﺘﺮﻗﲔ ،ﻓﻀﻼ ﻋﻤﺎ ﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺧﻄﻮﺍﺗﻪ ﺍﻟﻌﻈﻴﻤﺔ ﺍﻟﱵ ﺳﺎﺭ ﺎ ﺣﱴ ﺣﻘﻖ ﺗﻮﺣﺪ ﺍﻷﻣﺔ.
ﺃﻫﺪﺍﻑ ﺍﻟﺒﺤﺚ: ﺍﺳﺘﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺇﱃ ﲢﻘﻴﻖ ﺍﻷﻫﺪﺍﻑ ﺍﻵﺗﻴﺔ: ﺴﻴﺮ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﺻﻼﺣﺎﺕ. /1ﺍﻟ ﹶﻜﺸﻒ ﻋﻦ ﺟﻬﻮﺩﻩ ﺍﻟﻌﻈﻴﻤﺔ ﰲ ﺍﻟ /2ﺍﻟ ﹶﻜﺸﻒ ﻋﻦ ﹶﺃﺳﺎﻟﻴﺒﻪ ﻭﺃﺩﻭﺍﺭﻩ ﰲ ﺍﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ.
ﺃﳘﻴﺔ ﺍﻟﺒﺤﺚ: ﺕ ﺍﳌﺆﻟﻔﺎﺕ ﻗﺪﳝﺎ ﻭﺣﺪﻳﺜﺎ ﺣﺘﻰ ﺩﻭﻥ ﰲ ﻛﺘﺎﺏ ﻣﺴﺘﻘ ﱢﻞ ،ﰲ ﺳﻴﺎﻕ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ /1ﻛﹸﺜ ﺮ ﺾ ﺳﻴﺎﻕ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻭﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ،ﺑﻴﻨﻤﺎ ﳒﺪ ﻣﻌﻈﻤﻬﺎ ﱂ ﹸﳜ ﻼ ﻭﻧﺎﺩﺭﺍ. ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﺇ ﱠﻻ ﻗﻠﻴ ﹰ /2ﺃ ﱠﻥ ﺍﻷ ﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﻟﻴﻮﻡ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﺍﻻﻓﺘﺮﺍﻕ ﻭﺍﻟﻨﺰﺍﻉ ،ﻓﻬﺬﻩ ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ ﻣﻦ ﺿﻤﻦ ﳕﻮﺫﺝ ﺟﻴﺪ ،ﻭﺿﻊ ﻟﻠﻘﻴﺎﻡ ﺑﹶﺄ ﻋﺒﺎﺋﻬﻢ ﺇﱃ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﻛﻠﻤﺘﻬﻢ. /3ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ ﺗﻔﻴﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﲨﻴﻌﺎ ﻋﻦ ﺧﻄﹸﻮﺍﺕ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﻌﻈﻴﻤﺔ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﻠﻰ ﻛﻠﻤﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ. ﺣﺪﻭﺩ ﺍﻟﺒﺤﺚ: ﺳﻮﻑ ﻳﻘﻮﻡ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﺑﺘﺤﺪﻳﺪ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﺤﻮ ﺍﻵﰐ: ﺃﻭﻻ:ﻣﻜﺎﻧﻴﺔ :ﺍﻟ ﺪﻭﻟﺔ ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ. ﺛﺎﻧﻴﺎ :ﺯﻣﺎﻧﻴﺔ :ﺍﺑﺘﺪﺍ ًﺀ ﺑﺘﻮﻟﻴﺘﻪ ﺍﳋﻼﻓﺔ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺗﻮﻓﱠﺎﻩ ﺍﷲ ) ﻣﻊ ﻣﻼﺣﻈﺔ ﺍﳋﺮﻭﺝ ﻋﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﳊ ﺪ ﺍﻟﺰﻣﺎﱐ ﻳﺴﲑﺍ ﺟﺪﺍ ﻟﻀﺮﻭﺭﺓ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ(. ﺛﺎﻟﺜﹰﺎ :ﺣﺪﻭﺩ ﻣﻮﺿﻮﻋﻴﺔ :ﻳﺒﺤﺚ ﻋﻦ ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
َﻣﻨْﻬﺞ ﺍﻟﺒﺤﺚ:
ﺳﻮﻑ ﻳﺴﻠﻚ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﺔ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻲ ﺍﻟﺘﺤﻠﻴﻠﻲ ﺍﳌﻘﺎﺭﻥ ﻣﻌﺘﻤﺪﺍ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺍﻟﻮﺛﺎﺋﻘﻲ ،ﻋﻠﻰ ﺣﺴﺐ ﺍﳋﻄﻮﺍﺕ ﺍﻵﺗﻴﺔ: ﺃ - /ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻲ :ﻭﻫﻮ ﺗﺘﺒﱡﻊ ﺍﻷﺣﺪﺍﺙ ﻭﺍﻟﻮﻗﺎﺋﻊ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻴﺔ ،ﻭ ﺳﺮﺩﻫﺎ ﲟﺎ ﻳﻮﺿﺢ ﻣﻼﺑﺴﺎﺕ ﺣﻴﺎﺓ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ،ﻭ ﻣﺎ ﻭﻗﻊ ﻟﻪ ﺃﻭ ﻣﻨﻪ ﻣﻦ ﺗﺼﺮﱡﻓﺎﺕ. ﺏ -/ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘﺤﻠﻴﻠﻲ :ﻭﻫﻮ ﲢﻠﻴﻞ ﺍﻷﺣﺪﺍﺙ ﻭﺍﻟﻮﻗﺎﺋﻊ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻴﺔ ﻟﻠﻜﺸﻒ ﻋﻦ ﺣﻘﺎﺋﻖ ﺸﺨﺼﻴﺎﺕ ﻭﺃﻗﻮﺍﳍﺎ ،ﻭﻧﺘﺎﺋﺞ ﺗﺼﺮﱡﻓﺎﺎ. ﺍﻷﻣﻮﺭ ،ﻭ ﻣﻮﺍﻗﻒ ﺍﻟ ﺸﺨﺼﻴﺎﺕ ،ﻭ ﻣﻮﺍﻗﻒ ﺍﳌﺆﺭﺧﲔ ﺝ -/ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﳌﻘﺎﺭﻥ :ﻭﻫﻮ ﻣﻘﹶﺎﺭﻧﺔ ﺍﻻﺣﺪﺍﺙ ،ﻭ ﻣﻮﺍﻗﻒ ﺍﻟ ﺻ ﹸﻞ ﺇﱃ ﹶﺃ ﹾﻗﺮﺏ ﺍﻷﻗﻮﺍﻝ ﺇﱃ ﻭﺁﺭﺍﺋﻬﻢ ﺣﻮﻝ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ،ﻭﺍ ﹶﳍﺪﻑ ﻣﻦ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻘﺎﺭﻧﺔ ،ﺍﻟﺘﻮ ﱡ ﺍﻟﺼﻮﺍﺏ ﻭﺍﳊﻘﻴﻘﺔ.
ﻧﺘﺎﺋﺞ ﺍﻟﺒﺤﺚ: ﺕ ﺍ ﳌﺆ ﻟﱠﻔﺎ ﺕ ﻗﺪﳝﺎ ﻭ ﺣﺪﻳﺜﺎ ﰲ ﺍ ﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍ ﻟﻌﺰﻳﺰ ﻭ ﺩ ﻭ ﺭ ﻩ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﻛﺜﺮ ﺍﳊﻀﺎﺭﺍﺕ ،ﺑﻴﻨﻤﺎ ﳒﺪ ﻣﻌﻈﻤﻬﺎ ﱂ ﻳﺘﻨﺎﻭﻝ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﺇﻻ ﻗﻠﻴﻼ ﻭﻧﺎﺩﺭﺍ .ﺗﺒﲔ ﻟﻨﺎ ﺍﻟﻨﺘﺎﺋﺞ ﺍﻟﱠﱵ ﺗﻮﺻﻠﺖ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﻣﻦ ﺃﹶﺳﺎﻟﻴﺐ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﰲ ﺍﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﻣﺎ ﻳﻠﻲ: ﺃﻭﻻ( ﺩﻭﺭﻩ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳ ﻲ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﻣﻊ ﻋﻤﻮﻡ ﺍﻟﻨﺎﺱ ،ﻓﺈﺫﺍ ﺗﺄﻣﻠﻨﺎ ﻭﺍﻗﻊ ﺍﳊﻴﺎﺓ ﳍﺬﺍ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺍﻷﻣﻮﻱ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻟﻨﺠﺪ ﺃﻥ ﻟﺪﻳﻪ ﺩﻭﺭﺍ ﻣﺜﺎﻟﻴﺎ ﺩﻗﻴﻘﺎ ﺟﺪﺍ ﺑﺎﻟﻨﺴﺒﺔ ﻟﻠﺨﻠﻔﺎﺀ ﺍﻷﺧﺮﻳﻦ ﰲ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﻷﻣﻮﻱ .ﻭﻻ ﳜﻔﻰ ﻋﻠﻴﻨﺎ ﲨﻴﻌﺎ ﺑﺄﻧﻪ ﺭﺟﻞ ﻓﺬ ﻋﻤﻦ ﺳﺒﻘﻪ ﻣﻦ ﺇﺧﻮﺍﻧﻪ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ ،ﺍﺑﺘﺪﺍﺀ ﻣﻦ ﺣﻴﺎﺗﻪ ﺍﻟﺸﺨﺼﻴﺔ. ﻭﻗﺪ ﻭﺟﺪﻧﺎ ﺃﻧﻪ ﻧﺸﺄ ﰲ ﺑﻴﺌﺔ ﺻﺎﳊﺔ ﻣﻦ ﺃﺳﺮﺓ ﺻﺎﳊﺔ ،ﲜﺎﻧﺐ ﺃﻧﻪ ﺗﺮﰉ ﻋﻠﻰ ﺃﻳﺪﻱ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻭﺍﳌﺮﺑﲔ ﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﺍﳌﺆﻣﻦ ﺍﻟﺮﺑﺎﱐ ،ﻭﻗﺪ ﺃﻟﺰﻣﻪ ﻭﺍﻟﺪﻩ ﻣﻊ ﺻﻐﺮ ﺳﻨﻪ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺘﺰﺍﻡ ﺃﻭﺍﻣﺮ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻭﻣﻦ ﰒ ﺍﺭﺳﻞ ﻭﺍﻟﺪﻩ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻠﻌﺰﻳﺰ ﺍﺑﻨﻪ ﻋﻤﺮ ﺑﻌﺪ ﺇﳊﺎﺥ ﰲ ﺍﻟﻄﻠﺐ ﻣﻨﻪ ﺇﱃ ﳎﻤﻮﻋﺔ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ ﻟﻴﺘﺄﺩﺏ ﺑﺂﺩﺍﻢ ،ﻭﻓﻌﻼ ﺍﻧﻐﺮﺳﺖ ﰲ ﻧﻔﺴﻪ ﺍﻟﺘﻘﻮﻯ ﻭﻗﻮﺓ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﺎﻛﻴﺎ ﺇﺫﺍ ﺫﻛﺮ ﻟﻪ ﺍﳌﻮﺕ. )ﺍﳌﺰﻱ ،ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ1418 ،ﻫـ ،ﺹ.(368 : ﻭﻛﺎﻥ ﺑﻼ ﺷﻚ ﺭﺟﻼ ﺗﺘﻮﺍﻓﺮ ﻟﺪﻳﻪ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻋﻄﲑﺓ ﺑﺎﺭﺯﺓ ﻭﻋﻘﻞ ﺳﺪﻳﺪ ﰲ ﺇﺩﺍﺭﺓ ﺍﻷﻣﻮﺭ، ﺑﺎﻹﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﺃﻧﻪ ﺫﻭ ﻣﻜﺎﻧﺔ ﻋﻠﻤﻴﺔ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺣﻴﺚ ﺃﻗﺮﻭﺍ ﻟﻪ ﺑﺬﻟﻚ ،ﻭﻗﺪ ﺷﺎﺀ ﻋﺒﺪ ﺍﳌﻠﻚ ﻳﺰﻭﺝ ﺍﺑﻨﺘﻪ ﻭﻫﻮ ﰲ ﻃﻠﺐ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ ﰒ ﺃﻋﻄﻰ ﻟﻪ ﻧﻮﻋﺎ ﻣﻦ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻭﻫﻮ ﺗﻮﻟﻴﺘﻪ ﻋﻠﻰ ﺇﻣﺎﺭﺓ ﺻﻐﲑﺓ ﰲ ﺍﻟﺸﺎﻡ ﻫﻲ ﺧﻨﺎﺻﺮﺓ ،ﰒ ﺟﺎﺀ ﺃﻳﺎﻡ ﺧﻠﻴﻔﺔ ﺍﻟﻮﻟﻴﺪ ﻟﻴﻮﱄ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﻣﺎﺭﺓ ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ) .ﳏﻤﺪ ﺳﻬﻴﻞ1421 ،ﻫـ ،ﺹ.(136:
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻭﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻛﺎﻥ ﻣﻠﺠﺄ ﻟﻠﻨﺎﺱ ﻋﻨﺪ ﺧﺪﻭﺙ ﻛﻞ ﻣﺼﻴﺒﺔ ﺃﻭ ﺿﻐﻂ ﻣﻦ ﻗﺒﻞ ﺍﻟﺴﻼﻃﲔ ﻭﺫﻭﻱ ﺍﻟﻨﻔﻮﺫ ،ﻷﻥ ﺃﻓﻌﺎﻟﻪ ﺍﻟﻄﻴﺒﺔ ﳐﺎﻟﻔﺔ ﻟﻠﻤﻨﻬﺞ ﺍﻷﻣﻮﻱ ﺍﻟﺴﺎﺋﺪ ﰲ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﻌﻬﺪ ،ﻭﻣﺎ ﻟﺒﺚ ﻃﻮﻳﻼ ﺣﱴ ﺧﻠﻌﻪ ﺍﻟﻮﻟﻴﺪ ﻣﻦ ﺍﻹﻣﺎﺭﺓ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﻓﻬﻮ ﱂ ﳚﺪ ﺃﻱ ﻋﻤﻞ ﻭﻣﻨﺼﺐ ﻃﻴﻠﺔ ﺃﻳﺎﻡ ﺍﻟﻮﻟﻴﺪ، ﺣﱴ ﳎﺊ ﻋﻬﺪ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﳌﻠﻚ ﺍﻟﺬﻱ ﺟﺎﺀ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﻮﻟﻴﺪ ﻓﺠﻌﻠﻪ ﻣﻦ ﻛﺒﺎﺭ ﻣﺴﺘﺸﺎﺭﻳﻪ ﻭﺃﺻﺒﺢ ﺃﺷﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺛﻘﺔ ﺑﻪ ﺇﱃ ﺃﻥ ﻋﻬﺪ ﻟﻪ ﺑﺎﳋﻠﻴﻔﺔ ﺑﻌﺪ ﻭﻓﺎﺗﻪ ﺍﻟﺬﻱ ﻛﺎﻥ ﺑﺪﻭﻥ ﺳﻌﻲ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺇﻟﻴﻪ ﻭﻻ ﻃﻠﺐ ﻣﻨﻪ) .ﺍﻟﻄﱪﻱ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ 1418 ،ﻫـ ،ﺹ.(59 : ﻭﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﺭﺱ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ ﳌﻨﺼﺐ ﺧﻠﻴﻔﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺃﻧﻪ ﺟﺎﺀ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻘﺔ ﺑﻴﻌﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻣﻬﻤﺎ ﺳﺒﻖ ﺗﻌﻴﻴﻨﻪ ﻛﺨﻠﻴﻔﺔ ﺑﻌﻬﺪ ﻣﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ،ﻟﻜﻦ ﻣﻊ ﺫﻟﻚ ﺭﻓﺾ ﻛﻞ ﺍﻟﺮﻓﺾ ﻭﺭﺩ ﻋﻠﻴﻪ ﺭﺩﺍ ﺷﺪﻳﺪﺍ ﻭﻃﺮﺡ ﻫﺬﺍ ﺍﻷﻣﺮ ﻟﻠﻤﺴﻠﻤﲔ ﲨﻴﻌﺎ ﻻﺧﺘﻴﺎﺭ ﻣﻦ ﻳﺮﻭﻥ ﻣﻨﺎﺳﺒﺎ ،ﻓﻤﺎﳍﻢ ﻣﻦ ﻗﻮﻝ ﺇﻻ ﻗﺪﻣﻮﺍ ﻟﻪ ﺍﻟﺘﺮﺣﻴﺐ ﻭﺑﻴﻌﺔ ﺍﻷﻣﺔ ﺇﻳﺎﻩ ،ﻭﻛﺎﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻔﻌﻞ ﺧﻠﻒ ﻟﻨﺎ ﺩﺭﺳﺎ ﳐﺎﻟﻔﺎ ﻋﻦ ﺗﻮﻟﻴﺔ ﺍﻟﻌﻬﺪ ﺍﻟﻮﺭﺍﺛﻲ ﺍﻟﺴﺎﺋﺪ ﰲ ﺍﻷﻳﺎﻡ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ) .ﺍﺑﻦ ﺍﻷﺛﲑ ،ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺍﻟﻜﺮﻡ1414 ،ﻫـ ،ﺹ.(254 : ﻓﻠﻤﺎ ﺍﺳﺘﻘﺮﺕ ﻟﻪ ﺍﻟﺒﻴﻌﺔ ﺣﺎﻭﻝ ﺃﻥ ﻳﻔﻌﻞ ﺃﻗﺼﻰ ﺟﻬﻮﺩﻩ ﳓﻮ ﺍﻹﺻﻼﺣﺎﺕ ﻓﻜﺎﻥ ﺃﻭﻝ ﻣﺒﺎﺩﺭﺓ ﻣﻨﻪ ﻳﺘﺮﻛﻪ ﻣﺎ ﺃﻋﺪ ﻟﻠﺨﻠﻴﻔﺔ ﻣﻦ ﻣﺮﻛﺐ ﻭﻣﻠﺒﺲ ﲨﻴﻞ ﻭﻃﻌﺎﻡ ﻟﺬﻳﺬ ،ﺣﱴ ﻣﺎ ﻭﺟﺪ ﰲ ﺯﻭﺟﺘﻪ ﻣﻦ ﺣﻠﻲ ﻭﺟﻮﻫﺮ ﻓﻘﺪ ﺃﻣﺮﻫﺎ ﺑﻮﺿﻌﻪ ﰲ ﺑﻴﺖ ﻣﺎﻝ ﳌﺴﻠﻤﲔ ،ﻓﺎﺳﺘﻄﺎﻉ ﺃﻥ ﻳﻈﻬﺮ ﺣﺴﻦ ﲰﻌﺘﻪ ﻟﺪﻯ ﻋﻤﻮﻡ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻠﺤﻈﺘﻪ ﺍﻷﻭﱃ ،ﻭﺃﻳﻀﺎ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺭﺟﻊ ﻣﻦ ﺩﻓﻦ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﻭﲡﻬﻴﺰﻩ ،ﺗﻮﺍﻓﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺍﳌﻈﻠﻮﻣﲔ ﻣﻦ ﺣﻘﻮﻗﻬﻢ ﻓﺠﺎﺅﻭﺍ ﻣﻄﺎﻟﱭ ﺭﺩ ﺣﻘﻮﻗﻬﻢ ﺍﻟﱵ ﺒﺘﻬﺎ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺑﻐﲑ ﺣﻖ ،ﻓﺄﺻﺪﺭ ﺃﻣﺮ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺑﺮﺩ ﺍﳊﻘﻮﻕ ﺇﻟﻴﻬﻢ ﰲ ﺫﻟﻚ ،ﻭﻟﻜﻦ ﺳﺎﺭ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺎﺕ ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﺑﺘﺪﺭﺝ ﻭﺩﻭﻥ ﺍﺳﺘﻌﺠﺎﻝ ﺧﻮﻓﺎ ﻣﻦ ﺃﻥ ﻳﻘﻊ ﺑﻴﻨﻪ ﻭﺍﻷﺳﺮﺓ ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ ﻣﺸﺎﻛﻞ ﻟﻮ ﺩﻓﻌﻬﻢ ﺩﻓﻌﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ) .ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ،ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ
ﺑﻦ ﻛﺜﲑ1422 ،ﻫـ ،ﺹ.(249:
ﻭﻗﺪ ﻭﻗﻒ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻣﻮﻗﻔﺎ ﺣﺎﺩﺍ ﻋﻠﻰ ﺗﺴﻴﲑ ﺃﻣﻮﺭ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﰲ ﺍﻟﺘﺴﻮﻳﺔ ﺑﲔ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﰲ ﺍﳊﻘﻮﻕ ،ﻭﺭﺩ ﺍﻟﻈﺎﱂ ﺇﱃ ﺃﻫﻠﻬﺎ ﰲ ﺫﻟﻚ ﻭﻻ ﳜﺎﻑ ﻟﻮﻣﺔ ﻻﺋﻢ .ﻭﻗﺎﻡ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﰲ ﻣﺪﺓ ﺧﻼﻓﺘﻪ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﺻﻼﺣﺎﺕ ﻣﻦ ﻣﺘﻌﺪﺩﺓ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﺳﻮﺍﺀﺍ ﰲ ﺳﺪ ﺣﻮﺍﺋﺞ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻭﺇﻋﺎﻧﺔ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻮﺯ ﻭﺍﳊﺎﺟﺔ ﻭﲢﺮﻳﻚ ﺍﳊﺮﻛﺔ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ ..ﺇﱁ ،ﳑﺎ ﺟﻌﻞ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻘﻠﲔ ﻋﻠﻴﻪ ﺑﺎﻧﻀﻮﺍﺋﻬﻢ ﲢﺖ ﻟﻮﺍﺋﻪ ﻭﻃﺎﻋﺘﻬﻢ ﺇﻳﺎﻩ) .ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ ،ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﺮﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ،ﺩ.ﺕ ،ﺹ(42: ﺛﺎﻧﻴﺎ( ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺇﲬﹶﺎﺩ ﺣﺮﻛﺎﺕ ﻣﻨﺎﻭﺋﻲ ﺍﻟ ﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﱠﺜﻮﺭﻳﺔ ،ﻭﻟﻜﻲ ﻧﺮﻯ ﺍﻟﺒﻮﻥ ﺍﻟﺸﺎﺳﻊ ﻭﺍﻟﻔﺮﻕ ﺍﻟﻮﺍﺿﺢ ﺑﲔ ﺍﻟﻌﻬﺪﻳﻦ ) ﻋﻬﺪ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻭﻋﻬﺪ ﻏﲑﻩ ﻣﻦ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ( ،ﻓﻠﻨﻠﻔﺖ ﺃﻧﻈﺎﺭﻧﺎ ﺇﱃ ﻣﺎ ﺣﺪﺙ ﻣﻦ ﺍﻟﺜﻮﺭﺍﺕ ﺿﺪ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﲔ ﻗﺒﻠﻪ ،ﻭﻗﺪ ﻭﺟﺪﻧﺎﻫﺎ ﻣﺘﺴﻠﺴﻠﺔ ﺪﻑ ﺍﻟﻘﻀﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ ،ﻭﻳﻜﺎﺩ ﺃﻥ ﳒﺪ ﻟﻜﻞ ﻋﻬﺪ ﺣﺮﻛﺔ ﺛﻮﺭﻳﺔ ﲟﻌﲎ ﺃﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﱂ ﺗﻨﻌﻢ ﺑﺎﻻﺳﺘﻘﺮﺍﺭ ﺍﻟﻜﺎﻣﻞ ﻭﺍﻷﻣﻦ ﺍﻟﺘﺎﻡ. ﻭﺃﻣﺎ ﰲ ﺃﻳﺎﻡ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻓﺈﻧﻪ ﻳﻌﺮﻑ ﻛﻞ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ ﻣﺎ ﺳﺒﻘﻪ ﻣﻦ ﻋﺼﻮﺭ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﻫﻢ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﻏﲑ ﺭﺿﺎﺀ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﺎﻣﺔ ﻭﻣﻦ ﻣﻌﺎﺭﺿﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻣﻦ ﺍﳋﻮﺍﺭﺝ ﻭﺍﻟﺸﻴﻌﺔ ﺧﺎﺻﺔ ،ﻭﺃﻳﻀﺎ ﻗﺪ ﻋﻠﻢ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺑﺄﻥ ﺍﳋﻼﺀ ﻗﺒﻠﻪ ﱂ ﳚﺪﻭﺍ ﺣﺴﻦ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺔ ﺇﻻ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﻟﺴﲑ ﻣﻊ ﻣﻨﺎﻭﺋﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺑﻘﻮﺓ ﺍﻟﺴﻴﻒ ﻭﺍﻟﺴﻼﺡ ﻭﺍﻟﻌﻨﻒ ﳑﺎ ﲪﻞ ﺍﺯﺩﻳﺎﺩ ﺷﺪﺓ ﻏﻀﺒﻬﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ.
) ﳏﻤﺪ ﻛﺮﺩ ﻋﻠﻲ ،ﺩ.ﺕ ،ﺹ(173 :
ﻭﺭﺃﻳﻨﺎ ﻣﻨﺎﻭﺋﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻗﺪ ﺃﺣﺪﺛﻮﺍ ﺣﺮﻛﺎﻢ ﺍﻟﺜﻮﺭﻳﺔ ﲡﺎﻩ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺪﻑ ﺍﻟﻘﻀﺎﺀ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺇﺫﺍﺳﻨﺤﺖ ﳍﻢ ﺍﻟﻔﺮﺹ ،ﻭﻛﺎﻧﺖ ﺳﻴﺎﺳﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﲡﺎﻩ ﻫﺆﻻﺀ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺑﺄﻥ ﻭﺿﻊ ﳍﻢ ﺳﻴﺎﺳﺎﺗﻪ ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﲤﺎﺷﻴﺎ ﻣﻊ ﺍﻟﻈﺮﻭﻑ ﻭﺍﻷﺣﻮﺍﻝ ﺍﻟﱵ ﻻﻓﻘﺘﻬﻢ ﰲ ﺗﻠﻚ ﺍﻷﻳﺎﻡ ﺍﻟﺴﺎﻟﻔﺔ ،ﻭﺃﻣﺎ ﺳﻴﺎﺳﺎﺗﻪ ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﳓﻮ ﺍﻟﺸﻴﻌﺔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻣﻦ ﺿﻤﻦ ﻣﻨﺎﻭﺋﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻓﻴﻤﻜﻦ ﻣﻼﺣﻈﺘﻬﺎ ﻓﻴﻤﺎ ﻳﻠﻲ: ﺃﻭﻻ :ﺇﺻﺪﺍﺭ ﺃﻣﺮﻩ ﻭﺗﻌﻤﻴﻤﻪ ﻋﻠﻰ ﲨﻴﻊ ﻭﻻﺗﻪ ﺑﺘﺮﻙ ﺍﻟﺴﺐ ﻷﻣﲑ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ ،ﻭﻛﺎﻥ ﻫﺬﺍ ﳑﺎ ﻳﺴﺘﺄﻧﺲ ﻗﻠﻮﺏ ﺍﻟﺸﻴﻌﺔ ﻭﺑﺪﺃ ﺣﺒﻬﻢ ﺇﻳﺎﻩ ،ﻭﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺔ ﻣﺎ ﺑﺪﺃ ﺎ ﺃﺣﺪ ﻗﺒﻠﻪ ﻗﻂ ،ﻓﻜﺎﻥ ﺍﻷﻣﻮﻳﻮﻥ ﻳﺴﺒﻮﻥ ﻋﻠﻴﺎ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﻛﺎﻟﺘﻘﻠﻴﺪ ﺍﻟﻮﺭﺍﺛﻲ ،ﻭﻟﺬﻩ ﺍﺷﺘﺪ ﺍﻟﻐﻀﺐ ﻋﻠﻰ ﺃﻣﺮﺍﺀ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻣﻦ ﻗﺒﻞ ﺷﻴﻌﺔ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ. ﺛﺎﻧﻴﺎ :ﺭﺩ ﻓﺪﻙ ﺇﱃ ﻣﻄﺎﻟﺒﻴﻬﺎ ﻣﻦ ﺍﺑﻨﺎﺀ ﻓﺎﻃﻤﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ ،ﻭﺃﻥ ﻓﺪﻙ ﳍﻲ ﻗﻀﻴﺔ ﻣﻬﻤﺔ ﺑﺎﻟﻨﺴﺒﺔ ﻟﻠﺸﻴﻌﺔ ﺍﻟﱵ ﻗﺪ ﺣﺮﻣﺖ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻨﺼﻴﺐ ﻣﻨﺬ ﺯﻣﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺍﻟﺼﺪﻳﻖ ﻋﻠﻰ ﺃﺳﺎﺱ ﻣﻮﻗﻔﻪ ﺃﺎ ﻣﻦ ﻭﺭﺍﺛﺔ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ،ﻓﺎﻟﺮﺳﻮﻝ ﻻ ﻳﺮﺙ ﻭﻻ ﻳﻮﺭﺙ ﻣﺎ ﺗﺮﻛﻬﺎ ﺻﺪﻗﺔ، ﻭﻛﺎﻧﺖ ﻓﺪﻙ ﺍﻧﺘﻘﻠﺖ ﺇﱃ ﺃﻳﺪﻱ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺑﻌﺪ ﺇﻗﻄﺎﻋﻬﺎ ﻟﻪ ﻣﻦ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ ﻗﺒﻠﻪ ،ﻓﻜﺎﻥ ﻳﺮﻯ ﺣﺴﻨﺎ ﻭﻟﺰﺍﻣﺎ ﺭﺩﻫﺎ ﺇﱃ ﻣﻄﺎﻟﺒﻴﻬﺎ ﻓﺒﺪﺃﻭﺍ ﳛﺒﻮﻧﻪ ﻭﳝﺪﺣﻮﻧﻪ. ﺛﺎﻟﺜﺎ :ﺇﻋﻄﺎﺀ ﺍﻟﺮﺯﻕ ﳌﻮﺍﱄ ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺣﺮﻣﺖ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﻧﺼﺒﺔ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﻏﲑﻫﻢ ﻳﺘﻠﻘﻮﻥ ﳍﺎ ،ﺇﺫ ﻟﻮ ﻻ ﺃﻢ ﻣﻮﺍﱄ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﳊﺼﻠﻮﻫﺎ ،ﻓﻨﻈﺮ ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻧﻈﺮﺓ ﺳﻴﺎﺳﺔ ﰲ ﺣﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﺸﻜﻠﺔ ﺑﺄﻥ ﺃﻋﻄﻰ ﳍﻢ ﺍﻟﺮﺯﻕ. ﻭﺃﻣﺎ ﺠﻪ ﻣﻊ ﺍﳋﻮﺍﺭﺝ ﻓﺈﻧﻪ ﺳﺎﺭ ﻣﻌﻬﻢ ﺳﺒﻞ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﻭﻓﺘﺢ ﳍﻢ ﺳﺒﻞ ﺣﺮﻳﺔ ﺍﻟﺮﺃﻱ ﻭﺇﻗﻨﺎﻋﻬﻢ ﺑﻘﻮﺓ ﺍﻟﱪﺍﻫﲔ ﻭﺍﳊﺠﺞ ،ﻓﺤﺪﺙ ﺣﻮﺍﺭ ﻭﺗﻔﺎﻭﺽ ﺑﻴﻨﻪ ﻭﺑﲔ ﺍﳋﻮﺍﺭﺝ ﺇﱃ ﺍﳊﺪ ﺍﻟﻨﻬﺎﺋﻲ ﻓﺸﻬﺪ ﺃﺣﺪ ﺍﳋﻮﺍﺭﺝ ﺑﺄﻥ ﻋﻠﻰ ﺍﳊﻖ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺟﺮﻯ ﺑﻴﻨﻬﻢ ﻭﺑﻴﻨﻪ ﰲ ﻧﻘﺎﻁ ﻣﻨﺎﻗﺸﺎﺕ ﳍﺪﻑ ﺍﻟﺼﻼﺡ ﻭﺍﻹﺭﺿﺎﺀ، ﻭﻫﺬﻩ ﻛﺎﻧﺖ ﻣﻦ ﺿﻤﻦ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺎﺕ ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﻭﺍﻷﺳﺎﻟﻴﺐ ﺍﻟﻘﻴﻤﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﻳﺘﺒﻌﻬﺎ ﻻﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﻗﻠﻮﺏ ﻣﻨﺎﻭﺋﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ،ﻓﺘﻌﻠﻘﺖ ﺑﻪ ﻗﻠﻮﻢ ﻭﺃﺳﻜﺖ ﺃﺻﻮﺍﻢ ﺍﻟﺜﻮﺭﻳﺔ ﻃﻴﻠﺔ ﻋﺼﺮﻩ) .ﺃﲪﺪ ﺷﻠﱯ ،1996 ،ﺹ(254 : ﺛﺎﻟﺜﹰﺎ( ﺗﺒﻴﻦ ﻟﻨﺎ ﻧﺘﺎﺋﺞ ﺳﻴﺎﺳﺎﺕ ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﺍﻟﻮﺣﻴﺪﺓ ﺣﻴﺎﻝ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﲨﻴﻌﺎﺀ ،ﺑﺄﻢ ﺭﺍﺿﻮﻥ ﻋﻦ ﺣﻜﻤﻪ ﻭ ﻋﺪﻝ ﺧﻼﻓﺘﻪ ،ﻭﱂ ﲣﺮﺝ ﻋﻠﻴﻪ ﻃﺎﺋﻔﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺇ ﱠﻻ ﺳﺎﺭ ﻣﻌﻬﻢ ﲝﺴﻦ ﺍﻟﺴﲑ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺍﺎﺔ ﺑﺎﻟﺴﻴﻒ ﻭﻗﻮﺓ ﺍﻟﺴﻼﺡ ﺍﻟﺬﻱ ﺍﻋﺘﺎﺩ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﻮﻥ ،ﻭﻗﺪ ﺑﻠﻐﺖ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ ﰲ ﻋﻬﺪﻩ ﺃﻭﺝ ﺍﻟﺘﻤﺪﻥ ﻭﳕﻮ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ،ﻓﻀﻼ ﻋﻦ ﻛﻮﻢ ﻋﻠﻰ ﺃﺟﻮﺍﺀ ﺍﻹﺳﺘﻘﺮﺍﺭ ﻭﺍﻷﻣﻦ ﰲ ﻇﻞ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪ ﺍﳋﺎﻣﺲ ،ﺑﺎﻟﺮﻏﻢ ﺃﻥ ﻣﺪﺓ ﺧﻼﻓﺘﻪ ﻗﺼﲑﺓ ﺣﻮﺍﱄ ﺳﻨﺘﲔ ﻭﺑﻀﻌﺔ ﺃﺷﻬﺮ ﻭﻟﻜﻦ ﻛﺎﻧﺖ ﻛﺜﲑ ﺍﻹﺻﻼﺣﺎﺕ ،ﻭﻋﻠﻴﻪ ﻧﺴﺘﻄﻴﻊ ﺃﻥ ﻧﻨﺤﺼﺮ ﺑﻌﺾ ﻧﺘﺎﺋﺞ ﺳﻴﺎﺳﺎﺕ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻹﺻﻼﺣﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﻘﺎﻁ ﺍﻟﺘﺎﻟﻴﺔ:
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺃﻭﻻ :ﺍﻟﺘﻄﻮﺭ ﺍﻹﺩﺍﺭﻱ ﺣﻴﺚ ﺃﻧﻪ ﺃﻋﻄﻰ ﺍﻟﻌﻤﺎﻝ ﻣﺎ ﻳﻐﻨﻴﻬﻢ ﻋﻦ ﺍﳋﻴﺎﻧﺔ ﺣﱴ ﻳﺘﻔﺮﻏﻮﺍ ﰲ ﺃﻋﻤﺎﻝ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻗﺎﻧﻌﲔ ﻣﻄﻤﺌﻨﲔ ،ﻭﻻ ﻳﺮﻳﺪ ﺃﻥ ﻳﺸﻐﻠﻬﻢ ﺃﺷﻴﺎﺀ ﺃﺧﺮﻯ ) ،ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﳊﻜﻢ ،ﺃﰊ ﳏﻤﺪ ﻋﺒﺪ
ﺍﷲ ،1904 ،ﺹ(43 :
ﺛﺎﻧﻴﺎ :ﺍﻟﺮﺧﺎﺀ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻱ ﺣﻴﺚ ﺍﻧﺘﻘﻠﺖ ﺍﳊﺎﻟﺔ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺇﱃ ﻣﺴﺘﻮﻯ ﺍﻟﺪﻫﺸﺔ ،ﺇﺫ ﺃﻥ ﺣﺎﻟﺔ ﺍﻟﻔﻘﺮ ﻭﺍﳊﺎﺟﺔ ﺍﺧﺘﻔﺖ ﰲ ﻋﺼﺮﻩ ﺯﱂ ﻳﻌﺪ ﳍﺎ ﻭﺟﻮﺩ ﺗﻘﺮﻳﺒﺎ ﺣﱴ ﻛﺎﻥ ﺩﺍﻓﻊ ﺍﻟﺰﻛﺎﺓ ﻻ ﳚﺪ ﻣﻦ ﻳﺄﺧﺬﻫﺎ ﻣﻨﻪ) .ﺃﲪﺪ ﺷﻠﱯ ،1996 ،ﺹ.(89 : ﺛﺎﻟﺜﺎ :ﺍﻟﻮﺋﺎﻡ ﺍﻹﺟﺘﻤﺎﻋﻲ ،ﺣﻴﺚ ﺍﺳﺘﻄﺎﻉ ﻫﺬﺍ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺟﻠﺐ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﻭﺍﻟﺮﺿﺎﺀ ﻟﻜﻞ ﻃﺒﻘﺎﺕ ﺍﻟﺸﻌﺐ ﻭﻳﺸﻬﺪﻧﺎ ﰲ ﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﻗﺎﻝ ﺃﺣﺪ ﺳﻜﺎﻥ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺣﻴﻨﻤﺎ ﻳﺼﻒ ﺣﺎﻟﺔ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺃﻣﺎﻡ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻭﻫﻮ ﻻ ﻳﻌﺮﻓﻪ ﻗﺎﺋﻼ)) :ﻏﲏ ﺗﺮﻛﺖ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﻭﺍﻟﻈﺎﱂ ﺎ ﻣﻘﻬﻮﺭ ،ﻭﺍﳌﻈﻠﻮﻡ ﺎ ﻣﻨﺼﻮﺭ ﻭﺍﻟﻐﲏ ﺎ ﻣﻨﺼﻮﺭ ) ((...ﺃﲪﺪ ﺷﻠﱯ ،1996 ،ﺹ.(90 : ﻭﺍﻷﺧﺺ ﺑﺎﻟﺬﻛﺮ ﺃﻥ ﺳﻴﺎﺳﺎﺗﻪ ﺍﺳﺘﻄﺎﻋﺖ ﺍﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﻛﺎﻥ ﻣﻔﺘﺮﻗﺎ ،ﺣﱴ ﺍﳋﻮﺭﺝ ﺍﻧﻀﻤﻮﺍ ﲢﺖ ﻟﻮﺍﺀ ﻗﻴﺎﺩﺓ ﻫﺬﺍ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻭﱂ ﳜﺎﻟﻔﻮﻩ ﻭﻫﻢ ﺃﻛﱪ ﺍﳌﺨﺎ ﻟﻔﲔ ﻛﻤﺎ ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ )) :ﻣﺎ ﻳﻨﺒﻐﻲ ﻟﻨﺎ ﺃﻥ ﻧﻘﺎﺗﻞ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺮﺟﻞ(( ﻳﻌﲏ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ،ﻭﻛﺎﻥ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻃﻴﻠﺔ ﺃﻳﺎﻡ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺳﻌﺪﺍﺀ ﺑﺼﻨﻴﻌﻪ ﻭﻟﻴﺲ ﻋﺠﻴﺒﺎ ﺇﺫﺍ ﻛﺎﻧﺖ ﻗﺒﻮﺭ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ ﻗﺪ ﻧﺸﺒﺖ ﺑﻌﺪ ﻗﻴﺎﻡ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺒﺎﺳﻴﺔ ،ﻭﻗﱪ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻻ ﻳﺰﺍﻝ ﳏﺘﺮﻣﺎ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ .ﻭﻫﺬﻩ ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ ﺗﻜﺸﻒ ﻟﻠﺒﺎﺣﺚ ﻧﻔﺴﻪ ﻭﻟﻶﺧﺮﻳﻦ ﻋﻦ ﺩﻭﺭ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﻠﻰ ﻛﻠﻤﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ. ﺍﻟﺘﻮﺻﻴﺎﺕ: ﰲ ﺭﺃﻱ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺣﺎﻭﻝ ﺃﻥ ﲨﻊ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﳌﺘﻌﻠﻘﺔ ﺑﻌﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺧﺎﺻﺔ ﻓﻴﻤﺎ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﺑﺄﻣﻮﺭ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺍﻓﺘﺮﻗﻮﺍ ،ﺃﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﻣﻦ ﺍﳌﻮﺍﺿﻊ ﺫﺍﺕ ﺍﻷﳘﻴﺔ ﺟﺪﺍ ﻻ ﺳﻴﻤﺎ ﻇﺮﻭﻓﻨﺎ ﰲ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﳊﺎﺿﺮ ﻣﻦ ﺍﻓﺘﺮﺍﻕ ﺍﻷﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻭﻳﻜﺎﺩ ﺃﻥ ﳒﺪ ﻛﻞ ﳎﺘﻤﻊ ﺍﺳﻼﻣﻲ ﻓﻴﻪ ﺍﻟﺘﻔﺮﻗﺔ ،ﻭﰲ ﺍﳋﺘﺎﻡ ﺃﺭﺍﺩ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﺃﻥ ﻳﻮﺻﻲ ﻧﻔﺴﻪ ﻭﲨﻴﻊ ﺇﺧﻮﺍﻧﻪ ﺍﻟﻘﺎﺭﺋﲔ ﺑﻌﺪﺓ ﻭﺻﺎﻳﺎ: ﺃﻥ ﻟﺪﻳﻨﺎ ﺃﳕﻮﺫﺟﺎ ﻓﺮﻳﺪﺓ ﺫﻭ ﻗﺪﻭﺓ ﺣﺴﻨﺔ ،ﻓﻴﻨﺒﻐﻲ ﻟﻨﺎ ﺃﻥ ﻧﻘﺘﻔﻲ ﻭﻧﻠﺘﻤﺲ ﺁﺛﺎﺭ ﻟﻜﻲ ﻧﺴﺘﺮﺟﻊ ﲨﻊ ﻛﻠﻤﺔ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﰲ ﺍﻳﺎﻣﻨﺎ ﻫﺬﻩ ،ﻓﻨﻘﺘﺪﻱ ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺣﻴﺚ ﺇﻧﻪ ﻣﺜﺎﻝ ﻟﻨﺎ ﺍﻟﻔﺮﻳﺪ ﻭﻗﺪﻭﺓ ﺍﺳﺘﻄﺎﻉ ﲨﻊ ﻛﻠﻤﺔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺧﺮﺟﻮﺍ ﻋﻠﻴﻪ ،ﻭﻗﺪ ﺳﺎﺭ ﻋﻠﻰ ﻋﺪﺓ ﺍﻟﻄﺮﻕ ﻭﻣﺘﻨﻮﻉ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺎﺕ ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﺍﻟﱵ ﻏﺎﻳﺘﻬﺎ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻟﻜﻠﻤﺔ ﻭﺍﺳﻜﺎﺕ ﺍﳊﺮﻛﺎﺕ ﺍﻟﺜﻮﺭﻳﺔ ،ﻭﻛﺎﻥ ﻻ ﻳﻜﺘﻔﻲ ﺑﺴﻴﺎﺳﺘﻪ ﻓﺤﺴﺐ ﺑﻞ ﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺃﺣﺴﻦ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﻠﻤﻴﺎ ﻭﺳﻠﻮﻛﻴﺎ ﻭﻗﺪﻭﺓ ﺣﺴﻨﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻵﺭﺍﺀ ﺍﻟﻌﺎﻣﺔ ﳑﺎ ﺟﻌﻠﻪ ﻣﻌﺠﺒﺎ ﻭﳏﺒﺒﺎ ﻟﺪﻯ ﻋﺎﻣﺔ ﺍﻟﻨﺎﺱ) .ﺍﻟﻨﻮﻭﻱ ،ﳏﻲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﺷﺮﻑ ﺩ.ﺕ ،ﺹ(17 : ﻓﻨﺤﻦ ﲨﻴﻌﺎ ﻋﻠﻴﻨﺎ ﺃﻥ ﻧﻌﻤﻖ ﻏﺎﻳﺔ ﺍﻟﺘﻌﻤﻖ ﰲ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺎﺕ ﺑﻮﺟﻪ ﺧﺎﺹ ،ﻭﻻﺷﻚ ﺃﻥ ﲨﻊ ﺍﻟﻜﻠﻤﺔ ﺩﻭﺭﻧﺎ ﲨﻴﻌﺎ ﻻ ﻓﺮﻕ ﺑﲔ ﻓﻼﻥ ﻭﻓﻼﻥ ،ﻓﻼ ﻧﻜﺘﻔﻲ ﺑﺎﻹﻋﺘﻤﺎﺩ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺎﺕ ﺍﶈﻀﺔ ،ﻷﻥ ﻫﻨﺎﻙ ﻭﺳﺎﺋﻞ ﺃﺧﺮﻯ ﻧﺴﺘﻄﻴﻊ ﺃﻥ ﻧﺴﺘﻌﲔ ﺎ ﻟﻠﻮﺻﻮﻝ ﺇﱃ ﺍﳍﺪﻑ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺃﲪﺪ ﺷﻠﱯ1996) .ﻡ ( .ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ .ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ .ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﻨﻬﻀﺔ ﺍﳌﺼﺮﻳﺔ. ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ،ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺑﻦ ﻛﺜﲑ1422) .ﻫـ( .ﺍﻟﺒﺪﺍﻳﺔ ﻭﺍﻟﻨﻬﺎﻳﺔ .ﺑﲑﻭﺕ .ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﳊﻜﻢ ،ﻋﺒﺪ ﺍﷲ .(1904) .ﺳﲑﺓ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ .ﺩﻣﺸﻖ .ﻣﻜﺘﺒﺔ ﻭﻫﺒﺔ. ﺍﺑﻦ ﺍﻷﺛﲑ ،ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺍﻟﻜﺮﻡ1414) .ﻫـ( .ﺍﻟﻜﺎﻣﻞ ﰲ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ .ﺑﲑﻭﺕ ﺩﺍﺭﺇﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ ﺟﺎﺳﻢ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ2003) .ﻡ( .ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﺃﻋﻼﻡ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ .ﺍﻷﺭﺩﻥ .ﺩﺍﺭ ﺃﺳﺎﻣﺔ. ﺍﳌﺰﻱ ،ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ1418) .ﻫـ( .ﻬﺗﺬﻳﺐ ﺍﻟﻜﻤﺎﻝ ﰲ ﺃﲰﺎﺀ ﺍﻟﺮﺟﺎﻝ .ﺑﲑﻭﺕ .ﻣﺆﺳﺴﺔ ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ. ﳏﻤﺪ ﻛﺮﺩ ﻋﻠﻲ) .ﺩ.ﺕ،ﻁ( .ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ) .ﺩ.ﻁ(. ﺍﻟﻨﻮﻭﻱ ،ﳏﻲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﺷﺮﻑ) .ﺩ.ﺕ( .ﻬﺗﺬﻳﺐ ﺍﻷﲰﺎﺀ ﻭﺍﻟﻠﱡﻐﺎﺕ .ﺑﲑﻭﺕ .ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﺍﻟﻄﱪﻱ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ 1418) .ﻫـ( ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﻄﱪﻱ .ﺑﲑﻭﺕ .ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ. ﻃﻘﻮﺵ ،ﳏﻤﺪ ﺳﻬﻴﻞ 1421) .ﻫـ( .ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ .ﺑﲑﻭﺕ .ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻨﻔﺎﺋﺲ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
51
วิพากษหนังสือ / Book Review สิทธิของภริยาในการหยาและสิทธิที่พึงไดรับตามกฎหมายอิสลาม กรณีศึกษาจังหวัดปตตานี Wife’s Right on Divorce and Ancillary Claims in Islamic Law: A Case Study in Pattani Province ผูวิจัย ปที่พิมพ วิพากษโดย
: นายอับดุลเราะมัน เจาะอารง∗ : 2547 : นายมะยา ยูโซะ∗∗ : ซาการียา หะมะ∗∗∗
1. ปญหาและความเปนมาของการวิจัย สืบเนื่องจากการศึกษาของดลมนรรจนเมื่อป 2540 จะเห็นไดวาระดับการศึกษาของสตรีมุสลิมใน จังหวัดปตตานีทั้งวิชาศาสนาและวิชาสามัญยังอยูในเกณฑต่ําโดยเฉพาะความรูในเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับการใช ชีวิตคูและกฎหมายครอบครัวขาดความรูเรื่องสิทธิและหนาที่ที่อิสลามกําหนดใหแกนาง เชนสิทธิที่จะไดรับ คามะฮัร (ทรัพยสินคาสมรสที่สามีตองจายใหแกภริยาอันเนื่องจากสมรส) ที่ยังคางอยู คามุตอะฮ (ทรัพยสิน ที่สามีมีหนาที่ชําระใหแกภริยาที่ขาดจากการสมรสในขณะที่มีชีวิตอยูโดยผานการหยา) จากศาลในเขตสี่ จังหวัดชายแดนภาคใตของประเทศไทยเมื่อเกิดการหยาขาดจากการสมรส ซึ่งคามุตอะฮนั้นไดถูกละเลยใน บรรดาภริยามุสลิมสวนใหญ เพราะโดยทั่วไปแลวสามีจะเปนฝายหยาภริยา ดังนั้นในการวิจัยของอับดุลเราะ มันจึงไดนําทฤษฎีที่ศาสนาอิสลามไดบัญญัติไวในเรื่องสิทธิของภริยามุสลิมที่สามารถฟองหยาในกรณีตางๆ รวมถึงสิทธิที่พึงไดรับตามกฎหมายซึ่งเปนแนวคิดที่ยังไมมีการศึกษาวิเคราะหในกลุมสตรีมุสลิมในหลายๆ พื้นที่ทั่วโลกอยางชัดเจน ซึ่งเปนขาวดีสําหรับสตรีมุสลิมทั้งหลาย ดังนั้นเพื่อใหการศึกษามีควานชัดเจนมาก ขึ้นอับดุลเราะมันจึงเลือกศึกษาเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของมุสลิมในจังหวัดปตตานีซึ่งการศึกษาในเรื่องนี้ยังมี นอยโดยเฉพาะในเรื่องการใชสิทธิในการขาดจากการสมรสของภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานีและจังหวัด ใกลเคียงยังไมปรากฏขึ้นอยางชัดเจน อับดุลเราะมันจึงอยากศึกษาสาเหตุของการใชสิทธิในการดําเนินการ ใหขาดจากการสมรสของภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานีและสิทธิที่ภริยาไดรับจริงจากสามีหลังการหยา ซึ่ง ขณะทํ า วิ จั ย อั บ ดุ ล เราะมั น กํ า ลั ง เรี ย นในระดั บ ปริ ญ ญาโทหลั ก สู ต รศิ ล ปะศาสตร ม หาบั ณ ฑิ ต ของ มหาวิทยาลัยสงขลานคริน ทร ซึ่งผลการวิจัยที่ไ ดถูกจัดพิมพออกมาเปน รูป เลมวิทยานิ พนธมีความยาว ทั้งหมด 206 หนา ในวิทยานิพนธเลมนี้อับดุลเราะมันไดกําหนดวัตถุประสงคในการวิจัย 4 ขอดังตอไปนี้ 1. เพื่อศึกษาสาเหตุตางๆที่อิสลามอนุมัติใหภริยามุสลิมใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส 2. เพื่อศึกษาสาเหตุที่ภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานีใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส 3. เพื่อศึกษาสิทธิที่ภริยาพึงไดรับหลังการดําเนินการใหขาดจากการสมรสตามกฎหมายอิสลาม 4. เพื่อศึกษาสิทธิที่ไดรับจริงจากสามีหลังการใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสของ ภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานี ∗
นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาชะรีอะฮฺ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ∗∗∗ Ph.D. (in law) อาจารยประจําสาขาวิชาชะรีอะฮฺ และรองคณบดีฝายวิชาการ คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ∗∗
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
52
นิยามศัพทเฉพาะ 1. สิทธิในการหยา หมายถึงสิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส โดยวิธีการหยา ตัวเองหรือขอใหสามีหยานางดวยความสมัครใจ หรือโดยการจายคาตอบแทนใหแกสามีแลวใหสามีหยา หรือ โดยการฟองศาลเพื่อใหทั้งคูขาดจากการสมรสเมื่อนางมีเหตุผล 2. สาเหตุของการดําเนินการใหขาดจากการสมรส หมายถึงสาเหตุตางๆที่อิสลามอนุมัติใหภริยา ดําเนินการใหขาดจากการสมรสไดเพราะสามีมีขอบกพรองทางรางกาย หรือสติปญญา สามีมีความประพฤติ ที่ขัดตอศาสนาอิสลาม สามีไมสามารถอุปการะเลี้ยงดูภริยา สามีสาบสูญ 3. สิทธิที่พึงไดรับหลังการหยา สิทธิที่ภริยาพึงไดรับจากสามีหลังการดําเนินการใหขาดจากการ สมรสตามกฎหมายอิสลาม ซึ่งประกอบดวยคามุตอะฮ คาอุปการะเลี้ยงดูนางหากนางตั้งครรภ ที่อยูอาศัย และคาเลี้ยงดูบุตร 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ 2.1 การสมรส การสมรสเปนแนวทางการปฏิบัติของทานรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม) และการปฏิเสธการสมรสถือ วาเปนการปฏิเสธคําสอนของอิสลาม เมื่อชายและหญิงทําการสมรสกันอยางถูกตองตามบทบัญญัติของ อิสลามแลวความสัมพันธระหวางทั้งสองก็จะเกิดขึ้นทันทีในลักษณะสิทธิและหนาที่ที่พึงปฏิบัติตอกันและกัน ซึ่งสิทธิของสามีภริยานั้นปรากฏใน 3 ลักษณะคือ 1. สิทธิรวมระหวางสามีภริยาซึ่งไดแกสิทธิที่ทั้งคูสามารถเสพสุขจากกันและกันได สิทธิในการ ปฏิบัติที่ดีตอกัน สิทธิในการรับมรดกของกันและกัน และสิทธิในการเกี่ยวดองกับญาติของกันและกัน 2. สิทธิของสามี ไดแก สิทธิที่จะเปนผูนําครอบครัว สิทธิในการที่จะไดรับการรักษาศักดิ์ศรีและ ทรัพยสิน สิทธิที่จะใหภริยารับผิดชอบงานในบาน ตลอดจนสิทธิที่จะใหภริยาตามไปอยูดวยเมื่อยายที่อยู อาศัย 3. สิทธิของภริยา ภริยามีสิทธิที่จะไดรับคาตอบแทนที่เรียกวามะฮัร และคาอุปการะเลี้ยงดู และ สิทธิที่จะไดรับการคุมครองจากสามีโดยการไดรับการปกปองจากสิ่ง ตางๆที่อาจทําใหภริยาไดรับความ เดือดรอนและเสียหายทั้งทางรางกาย จิตใจ และชื่อเสียง สิทธิที่จะไดรับการตอบสนองทางเพศ และสิทธิใน การที่จะอยูรวมกันดวยดี 2.2 การหยา อิสลามอนุมัติใหมีการหยาไดในกรณีที่สามีภริยาอยูดวยกันไมไดและไมมีทางแกไข ซึ่งสามีภริยา ตางขาดความรักและการใหเกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งการหยาตามกฎหมายอิสลามไดจําแนกประเภทออกเปน 4 ลักษณะดังนี้ 2.2.1 การหยาทีจําเปนตองกระทํา เมื่อมีความขัดแยงระหวางสามีภริยาโดยที่ทั้งสองไมมีทาง ปรองดองกันได หรือเมื่อสามีไดสาบานวาจะไมรวมประเวณีกับภริยา และไมไดกลับไปรวมประเวณีกับภริยา ภายใน 4 เดือน ซึ่งสามีสามารถกระทําไดโดยการคืนดีหรือหยาขาด 2.2.2 การหยาที่ควรกระทําซึ่งมี 2 กรณีคือ เมื่อสามีไมสามารถปฏิบัติหนาที่ดวยดีหรือสมบูรณและ เมื่อภริยากลายเปนบุคคลที่ไมซื่อสัตยตอสามี 2.2.3 การหยาที่หามกระทํา คือการหยาภริยาในชวงที่มีประจําเดือน หรือหยาภริยาที่มีโอกาส ตั้งครรภในชวงที่ไมมีประจําเดือน 2.2.4 การหยาที่ไมควรกระทํา คือการหยาที่นอกเหนือจากที่ไดกลาวมาแลวขางตน
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
53
โดยอิสลามกําหนดไววาการหยาสามารถกระทําไดใน 3 รูปแบบดังนี้คือ การหยาโดยความประสงค ของสามี การหยาโดยการตกลงกันระหวางสามีภริยา และการหยาโดยคําพิพากษาจากศาล 2.3 สาเหตุของการหยา โดยทั่วไปแลวการหยานั้นมาจากการสมรสที่ลมเหลวซึ่งอาจเปนผลมาจากปญหาตางๆเชน ปญหาเศรษฐกิจ ครอบครัว ปญหาความประพฤติและสุขภาพจิตของคูสมรส ปญหายาเสพติด ปญหาดานการศึกษาของคู สมรส ปญหาความแตกตางระหวางอายุของคูสมรส ปญหาเกี่ยวกับผูรวมอาศัยในบาน ปญหาเกี่ยวกับการมี เพศสัมพันธ เปนตน 2.4 สิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส กฎหมายอิสลามมิไดกําหนดสิทธิในการหยาแกสามีเพียงฝายเดียว แตเปนกฎหมายที่ยังกําหนดให ภริยามีสิทธิในการหยาดวยเชนกันแตตองอยูในขอบเขตที่ไดกําหนดไวเทานั้น ซึ่งภริยาอาจดําเนินการใหขาด จากการสมรสไดในกรณีตางๆดังนี้ 2.4.1 สิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสโดยการตกลงระหวางสามีภริยา 2.4.2 สิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสโดยการกําหนดเงื่อนไขกอนทําสัญญาสมรส 2.4.3 สิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสโดยไดรับมอบสิทธิจากสามี 2.4.5 สิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสเพราะสามีขาดคุณสมบัติตามที่ได กําหนดไวกอนทําสัญญาสมรส 2.4.6 สิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสโดยการฟองศาลเพราะภริยาไดรับ ความเดือดรอนอาจเนื่องมาจากการกระทํารุนแรงของสามี หรือกรณีสามีหายสาบสูญ สามีเปนหมัน และ สามีตองจําคุก หรือความบกพรองของสามีทางดานรางกายและสติปญญา สามีไมสามารถอุปการะเลี้ยงดู ภริยา และสามีไมจายมะฮัรใหภริยา 2.5 สิทธิของภริยาที่พึงไดรับหลังการหยา เมื่อการสมรสสิ้นสุดลง อดีตคูสมรสยังมีขอผูกพันหลายประการโดยสามีมีหนาที่ที่จะตองรับผิดชอบดังนี้ 5.1 ชําระมุตอะฮใหแกภริยาที่ขาดจากการสมรสเมื่อภริยาไมไดเปนเหตุทําใหการสมรสสิ้นสุดไป 5.2 ใหคาอุปการะเลี้ยงดูในกรณีที่มีการหยาแบบรอจอีย (สามีมีสิทธิกลับคืนดีกับภริยาไดตราบใด ที่ภริยายังอยูในชวงอิดดะฮ โดยไมตองสมรสใหมและไมตองจายมะฮัรใหม) 5.3 ใหคาที่อยูอาศัยในชวงอิดดะฮ (ชวงเวลาที่ภริยาตองรอคอยอันเนื่องจากขาดจากการสมรสโดย การหยาหรือการเสียชีวิตของสามี) หรือจนกวาภริยาคลอดเมื่อมีการตั้งครรภ 5.4 จายคามะฮัรที่คางชําระ นอกจากนี้ทั้งสามีและภริยายังมีสิทธิไดรับสวนแบงทรัพยสินที่ไดมาหลังการสมรส และสิทธิในการ เลี้ยงและดูแลบุตร และเมื่อสามีเสียชีวิต ภริยามีสิทธิที่จะไดรับมรดกจากสามี 3. วิธีดําเนินการวิจัย 3.1 รูปแบบการวิจัย วิจัยเรื่องนี้เปนวิจัยเชิงบรรยายแบบเก็บขอมูลครั้งเดียวเพื่อศึกษาสาเหตุตางๆที่อิสลามอนุมัติให ภริยามุสลิมใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสและสาเหตุตางๆที่ทําใหภริยามุสลิมในจังหวัด ปตตานีใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสตามกฎหมายอิสลามและสิทธิที่ไดรับจริงจากสามีหลัง การดําเนินการใหขาดจากการสมรส
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
54
3.2 ประชากรและกลุมตัวอยาง 3.2.1 ประชากรที่ใชในการศึกษาไดแกกลุมภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานีที่ใชสิทธิในกาดําเนินการ ใหข าดจากการสมรสในชว งวันที่ 1 มกราคม 2544 – 30 กัน ยายน 2545 คิดเปนเวลา 1 ป 9 เดือ น ซึ่ง สํานักงานคณะกรรมการประจําจังหวัดปตตานีไดอนุมัติในการใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส ใหแกกลุมภริยาทั้งหมดเปนจํานวน 218 ราย 3.2.2 การเลือกกลุมตัวอยาง กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัยไดมาจากการสุมตามขั้นตอนดังนี้ ผูวิจัย ไดแบงจังหวัดปตตานีเปน 4 เขตโดยยึดลักษณะพื้นที่ของอําเภอที่อยูใกลเคียงกันเขตละ 3 อําเภอ หลังจาก นั้นสุมกลุมตัวอยาง 25% ของแตละอําเภอเพื่อใหไดกลุมตัวอยางครอบคลุมทุกพื้นที่ ไดกลุมตัวอยางทั้งหมด จํานวน 52 คน 3.2.3 กลุมอิหมามผูมีสวนรับผิดชอบเกี่ยวกับการหยาโดยตรง โดยแบงกลุมอิหมามในหมูบานที่มี กรณีการขอหยาเปน 2 กลุม คืออิหมามที่อาศัยอยูใกลตัวอําเภอมากที่สุด และอิหมามที่อาศัยอยูไกลตัว อําเภอมากที่สุด หลังจากนั้นใชวิธีการสุมอยางงายโดยการจับ ฉลากกลุมละ 2 คน ไดกลุมตัวอยางจาก อิหมามทั้งหมด 48 คน 3.2.4 ประธานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีผูอนุมัติการหยาใหแกบรรดาภริยา มุสลิมที่ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสจํานวน 1 คน 3.2.5 ดาโตะยุติธรรมประจําศาลจังหวัดปตตานีผูมีสวนรับผิดชอบเกี่ยวกับการหยาโดยตรงของ ภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานีจํานวน 2 คน รวมกลุมตัวอยางที่ไดมาเพื่อการเก็บขอมูลที่จะศึกษาทั้งหมด 103 คน 3.3 วิธีการเก็บขอมูล ในงานวิจัยนี้มีการเก็บรวบรวมขอมูล 2 รูปแบบคือเปนขอมูลเอกสารและขอมูลภาคสนาม การเก็บ ขอมูลเอกสารนั้นผูวิจัยไดศึกษาจากคัมภีรอัลกุรอาน หะดีษ และตําราฟกฮ ในเรื่องที่เกี่ยวของกับหัวขอการ วิจัย สวนการวิจัยภาคสนามเปนขอมูลที่เกี่ยวของกับการใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสของ ภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานี สาเหตุของการใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส อายุ อาชีพและ ระดับการศึกษาของสามีและของภริยาและขอบกพรองของสามีโดยการสัมภาษณกลุมตัวอยางภริยามุสลิม ในจังหวัดปตตานีที่ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสในระยะเวลา 1 ป 9 เดือน และไดสัมภาษณ กลุมอิหมามผูมีสวนรับผิดชอบเกี่ยวกับการสมรสในหมูบานของตน ประธานกรรมการอิสลามประจําจังหวัด ปตตานีและดาโตะยุติธรรมประจําศาลจังหวัดปตตานี 3.4 การวิเคราะหขอมูล การวิเคราะหขอมูลของการวิจัยเรื่องนี้เปนการวิเคราะหแบบทั้งเชิงปริมาณโดยใช SPSS ในการ คํานวณคาความถี่และรอยละ และเชิงคุณภาพเพื่อใชในการวิเคราะหขอมูลที่ไดจากการสัมภาษณ 4. ผลการวิจัย จากการวิเคราะหขอมูลที่ไดจากการวิจัยสามารถสรุปไดดังนี้คือ 1. ภริยาที่ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสมีอายุประมาณ 26-27 ป และอายุของสามี ประมาณ 33-34 ป 2. อาชีพของทั้งสามีและภริยาที่ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสสวนใหญประกอบ อาชีพรับจาง
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
55
3. ระดับการศึกษาของสามีภริยาที่ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสสวนใหญไมเกิน ระดับการศึกษาตอนตน 4. ขอบกพรองของสามีที่เปนสาเหตุการใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสของภริยา มุสลิมสวนใหญเกิดจากสาเหตุไมอุปการะเลี้ยงดูภริยา 5. การใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดกากการสมรสเปนการใชสิทธิในชวงที่เหมาะสมที่จะขาดจาก การสมรสคือชวง 5-6 ป ของอายุการสมรส 6. สิทธิที่ภริยาไดรับจริงหลังจากการขาดจากการสมรสต่ํากวาที่อิสลามกําหนด จากผลการวิ จั ย พบว า ป จจั ย ด า นระดับ การศึ ก ษาและอาชี พ ของคู ส มรสที่ ภ ริ ย าใช สิ ท ธิใ นการ ดําเนินการใหขาดจากการสมรสไมแตกตางกันและสิทธิที่ภริยาไดรับจริงจากสามีหลังจากการหยาในระดับ ต่ํากวาที่อิสลามกําหนด ซึ่งสอดคลองกับสมมุติฐานการวิจัย ความคิดเห็นของผูมีสวนรับผิดชอบเกี่ยวกับการหยาในเรื่องคําสอนที่เปดโอกาสใหสามีภริยาหยา กันไดของผูใหการสัมภาษณทั้งหมดไมตางกันคือทุกคนเห็นดวยกับคําสอนที่เปดโอกาสใหภริยาหยากันได พรอมกับเห็นดวยหากคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดใชมาตรการเขมงวดในเรื่องการหยา นอกจากนี้ ผูใหการสัมภาษณยังเห็นดวยกับการกําหนดขอบเขตสิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสได อยางอิสระ สวนขอเสนอแนะของภริยาแกคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีมีดังนี้ 1. เสนอแนะใหสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีใหความสําคัญกับภริยาที่ขอ ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส เพราะการมาฟองหยาที่สํานักงานคณะกรรมการอิสลาม ประจําจังหวัดปตตานีเปนปญหาที่ภริยาไมสามารถแกไขไดดวยตัวเองและไมสามารถที่จะอยูรวมกับสามี ตอไปไดอีก 2. ใหสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีใชระยะเวลาในการพิจารณาเรื่องการ ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสของภริยาใหนอยที่สุด 3. เสนอแนะใหสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีพิจารณาคํารองการใชสิทธิ ในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสของภริยาอยางจริงจัง 4. เสนอแนะใหสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีจัดอบรมแกผูสมรสบางเพื่อ เปนแนวทางในการปฏิบัติหนาที่ของคูสมรสอยางถูกตองตามคําสอนของอิสลาม 5. เสนอแนะใหสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีออกหนังสือเปนทางการวา สามีมีหนาที่อุปการะเลี้ยงดูบุตร 6. เสนอแนะใหสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีลดคาธรรมเนียมในการฟอง หยา สวนการอภิปรายขอเสนอแนะของภริยาแกบรรดาสามีสามารถสรุปไดดังนี้ 1. เสนอแนะใหสามีมีความรับผิดชอบตอครอบครัวโดยเฉพาะคาอุปการะเลี้ยงดูภริยาและบุตร หากสามีไมยอมจายในขณะที่สามีมีความพรอ ม ศาลมีอํานาจบังคับใหสามีจายคาอุปการะเลี้ยงดูจาก ทรัพยสินของสามีใหแกภริยา หากสามียากจนและไมมีทรัพยสิน แลวภริยาฟองหยา ใหผูพิพากษาดูสภาพ ของภริยา หากภริยายากจนไมมีผูอุปการะเลี้ยงดู ผูพิพากษามีอํานาจที่จะใหภริยาขาดจากการสมรสได แต ถาหากภริยาเปนคนรวยหรือมีรายได ผูพิพากษาไมควรใหนางแยกออกจากสามี ภริยาตองใชทรัพยสินของ ตนเอง และเปนหนาที่ของสามีที่จะตองชดใชใหแกภริยาภายหลัง
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
56
2. เสนอแนะใหสามีอยาเอาเปรียบภริยามากเกินไป และอยาหาความสุขใหตนเองโดยไมคํานึงถึง ความเดือดรอนของภริยาและบุตร 3. เสนอแนะใหสามีมีความสํานึกที่จะปรับตัวและเขาใจความตองการของภริยาบางอยาเห็นแกตัว มากเกินไป 4. เสนอแนะใหสามีเปนตัวอยางที่ดีใหแกบุตรและเปนผูนําครอบครัวที่มีความรับผิดชอบ ใหความ รักความอบอุนแกครอบครัว 5. เสนอแนะใหสามีมีความรูสึกพึงพอใจกับสิ่งที่มีอยูและใหเกียรติแกภริยาในฐานะที่เปนเพศที่ ออนแอกวา 6. เสนอแนะใหสามีเปนคนเสมอตนเสมอปลาย ปฏิบัติตนใหอยูในกรอบของศาสนา 7. เสนอแนะใหสามีที่รูวาตัวเองไมสามารถอุปการะเลี้ยงดูภริยามากกวา 1 คน อยารีบรอนมีภริยาใหม 8. เสนอแนะใหสามีเปนตัวของตัวเอง ไมหูเบาตอคํายุยงของบุคคลอื่นและมีการตัดสินใจที่รอบคอบ 9. เสนอแนะใหชายที่ยังไมมีความพรอมที่จะรับผิดชอบและอุปการะเลี้ยงดูภริยาอยารีบรอนในการสมรส 10. เสนอแนะใหสามีสํานึกผิดในสิ่งที่ไดกระทํา กลับเนื้อกลับตัวเปนผูนําที่ดีของครอบครัว 11. เสนอแนะใหสามีเกรงกลัวตออัลลอฮฺและละหมาดใหครบ 5 เวลา งานวิจัยชิ้นนี้เปนกุญแจสําคัญที่จะเปดโอกาสใหสตรีมุสลิมไดเรียนรูและเขาใจถึงบทบาทหนาที่ และสิทธิของตนในระหวางการสมรส เพราะโดยทั่วไปแลวมุสลิมในหลายๆประเทศขาดความรูในดานนี้และ เขาใจไมลึกซึ้ง เราอาจเคยไดยินหลายๆคนพูดวาเมื่อหญิงสตรีแตงงานชีวิตของเขาก็อยูในบังคับบัญชาของ สามีเทานั้น ตนไมสามารถออกความคิดเห็นในเรื่องใดๆ ไดตองทําตามอยางเดียว เมื่อเปนเชนนี้จะทําใหฝาย ภริยารูสึกอึดอัดโดยเฉพาะเมื่อไดสมรสกับสามีที่ไรน้ําใจ ขาดความเมตตา หาความสุขใสตนอยางเดียว ทํา ใหเกิดปญหาในครอบครัวทีหลัง ซึ่งจริงๆแลวภริยามีสิทธิที่จะปกปองตนเองหากตองประสบกับชีวิตคูที่ไม เปนไปตามเปาหมายของการสมรสโดยทั่วไป แมวาการศึกษาของอับดุลเราะมันเปนการศึกษาที่ชวยใหกลุมภริยามุสลิมในพื้นที่จังหวัดปตตานี ไดตระหนักและเห็นความสําคัญตอชีวิตการสมรสและการใชสิทธิใหขาดจากการสมรส แตก็เปนการศึกษาที่ มุงเนนเฉพาะกลุมภริยาที่ใชสิทธิในการสมรสเทานั้นแตไมไดครอบคลุมถึงการศึกษาที่เกี่ยวของกับปจจัยหรือ องคประกอบตางๆทั้งกอนและในชวงชีวิตการสมรสซึ่งอาจมีผลตอความไมมั่นคงในชีวิตสมรสดวยเชนกัน ซึ่ง ปจจัยตางๆเหลานี้อาจประกอบดวย 1. ความสมดุลระหวางรายรับและรายจายของครอบครัวขณะสมรส 2. สาเหตุที่แตงงาน การตกลงกอนแตงงานกันและสภาพความเปนอยูจริงเมื่อแตงงาน 3. ความรูเรื่องการใชชีวิตคูในรูปแบบอิสลาม 4. สาเหตุของการหยาที่เกี่ยวของกับสามีโดยศึกษาจากสามี 5. ปญหาและความตองการของบุตรของผูหยาราง การวิจัยของอับดุลเราะมันเปนการวิจัยที่ผสมผสานระหวางงานวิจัยเอกสารและงานวิจัยภาคสนาม ซึ่งหากไมมีงานวิจัยภาคสนามในการศึกษาครั้งนี้อาจทําใหงานวิจัยไมคอยเปนที่นาสนใจมากนัก และในบท ที่ 2 ผูวิจัยไดกลาวถึงเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของกับสิทธิของสตรีในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส แตในหลายๆหัวขอที่ผูวิจัยยกมากลาวนั้นไมเกี่ยวของกับประเด็นหัวขอวิจัย อยางเชนเนื้อหาเกี่ยวกับความ เปนมาของการสมรส และหัวขอเรื่องสิทธิของสามีภริยาเมื่อเนื้อหาในเรื่องดังกลาวไมเกี่ยวของกับหัวขอเรื่อง วิจัยทําใหการนําเสนอเนื้อหาขาดความตอเนื่อง ซึ่งจะเห็นไดในบางตอนของบทที่ 2
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
57
สวนเครื่องมือที่ใชในการเก็บขอมูลนั้นเหมาะสมกับวัตถุประสงคของการวิจัยมากยกเวนหัวขอที่ใช สัมภาษณผูตอบแบบสอบถามที่ถามวา “ทานเห็นดวยหรือไมกับคําสอนที่เปดโอกาสใหสามีภริยาหยากันได” ซึ่งคําถามนี้ไมใชเปนประเด็นที่จะตองถามวาเห็นดวยหรือไมเห็นดวยเพราะเมื่อพูดถึงคําสอนของศาสนา อิสลามแลวหากอิสลามไดบัญญัติไวอยางชัดเจนวาอนุญาตใหสตรีที่มีสิทธิดําเนินการขาดจากการสมรสได ไมมีใครสามารถตอบไดวาไมเห็นดวยเพราะรูอยูแลวคําตอบตองเปนเชิงบวกอยางเดียวเทานั้น ฉะนั้นคําถาม ในขอนี้ไมใชคําถามที่สรางองคความรูใหมในงานวิจัยของอับดุลเราะมัน นอกจากนี้งานวิจัยในเรื่องสิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสเปนงานวิจัยที่ ศึกษาเฉพาะปญหาและพยายามอธิบายปญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับคูสามีภริยาที่ไมประสบความสําเร็จในชีวิต การแต ง งาน แตไ มไ ดคํา นึง ถึง สภาพแวดลอ มตา งๆที่อ าจมีผลอยางมากตอ การใชชีวิต ของคูสามีภ ริยา สภาพแวดลอมในที่นี้อาจหมายถึง เชื้อสายหรือตระกูลของสามีภริยา ระดับการศึกษาทั้งวิชาสามัญและวิชา พื้นฐานทางศาสนาที่ทุกคนตองรู เขาใจ และนําไปปฏิบัติในชีวิตจริงไดอยางถูกตอง ความรับผิดชอบของคู สามีภริยาตอหนาที่ในฐานะสมาชิกครอบครัว คานิยมในการแตงงาน สภาพทางเศรษฐกิจ สวนในเรื่องการวิเคราะหขอมูลที่ไดนั้นอับดุลเราะมันไดใชขอมูลมาวิเคราะหคาความถี่และรอยละ ของคําตอบที่ไดในแตละหัวขอ หากมีการเชื่อมโยงความสัมพันธระหวางสองตัวแปรเชน ระดับการศึกษาและ การใชสิทธิใหขาดจากการสมรส ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวกับการใชสิทธิหรือการหยาราง หรือ สุขภาพจิตของอดีตสามีภริยากับการหยาราง เปนตน นาจะทําใหงานวิจัยเปนที่นาศึกษามากยิ่งขึ้น แม ว า งานวิ จั ยชิ้ น นี้ไ ด ศึก ษาสถานการณ ก ารดํา เนิน การใหข าดจากการสมรสของบรรดาสตรี มุสลิมะฮในจังหวัดปตตานีคอนขางครอบคลุมในทุกพื้นที่ แตก็เปนเพียงพื้นที่ๆมีประชากรสวนใหญนับถือ ศาสนาอิสลาม มีความเปนอยูในสภาพแวดลอมและวิธีการดําเนินชีวิตแบบสังคมอิสลาม โดยเฉพาะอยางยิ่ง มีศาลที่ดําเนินการเกี่ยวกับเรื่องการหยาในมุมมองของอิสลามดวย แตสิ่งที่นาสังเกตก็คือขอมูลที่ไดจาก การศึกษาครั้งนี้สวนใหญเปนขอมูลของสามีภริยาที่ไมคอยมีการศึกษาทั้งภาควิชาศาสนา และภาควิชา สามัญ โดยระดับการศึกษาสูงสุดในบรรดาผูตอบแบบสอบถามการวิจัยคือไมเกินชั้น มัธยมศึกษาปที่ 3 นอกจากนี้คูสมรสที่ไดศึกษาไมไดผานการอบรมเชิงปฏิบัติการในเรื่องบทบาทและหนาที่ของสามีภริยาใน การใชชีวิตคู ซึ่งถือเปนเรื่องที่จําเปนอยางยิ่งกอนที่จะใหสามีภริยาไดดําเนินการสมรสเพื่อปองกันมิใหเกิด ปญหาการหยารางในภายหลังหรือพยายามใหมีกรณีการหยารางนอยที่สุดเทาที่จะทําได สิ่งนี้เปนหนาที่ของ คณะกรรมการที่จะตองวางนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปองกันหรือลดปญหาการหยารางใหนอยที่สุดโดย อาจเริ่มตั้งแตการตรวจสอบคุณสมบัติของคูสมรสโดยเฉพาะในปจจุบันหากเปนผูชายตองตรวจสอบดูวาเมา เหล า เจ า ชู ติ ด เชื้ อ เอดส และมี คุ ณ สมบั ติ เ หมาะที่ จ ะเป น สามี ห รื อ ไม หรื อ ถ า เป น ฝ า ยหญิ ง ก็ ใ ห มี ก าร ตรวจสอบเชนเดียวกัน ซึ่งคณะกรรมการประจําจังหวัดควรเขมงวดในเรื่องการอนุมัติการแตงงานใหมากกวา เดิม เพื่อจะไดใหครอบครัวและสังคมมุสลิมอยูอยางมีความสุขและเปนที่ยกยองในสายตาของผูที่นับถือ ศาสนาอื่นๆ ฉะนั้นการวิจัยในเรื่องสิทธิภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสควรนํามาศึกษาในกลุม ครอบครัวมุสลิมในพื้นที่ๆมีประชากรมุสลิมเปนกลุมนอยเพื่อใหเห็นความแตกตางระหวางสภาพแวดลอม ทางสังคมที่แตกตางกันตอการปฏิบัติตนตอครอบครัวของชาวมุสลิมในแตละพื้นที่เพื่อจะไดหาแนวทาง แกปญหาของการจัดการชีวิตสมรสในแตละพื้นที่
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
58
ผลดีของขอมูลในหนังสือวิจัยมีดังนี้ 1. ทําใหผูวิจัยไดศึกษาหาความรูเกี่ยวกับกฎหมายอิสลามในเรื่องสิทธิของภริยาในการหยาและ สิทธิที่พึงไดรับหลังการหยาอยางละเอียด 2. เปดโอกาสใหมุสลิมะฮทุกคนไดเรียนรูในเรื่องสิทธิตางๆของสตรีที่เกี่ยวของกับการหยาและสิทธิ ที่ควรไดรับหลังการหยา 3. ทําใหไดทราบถึงปญหาครอบครัวของสังคมมุสลิมที่อาศัยอยูในจังหวัดปตตานีในสมัยนั้น 4. เมื่อทราบถึงปญหาที่พบจากการทําวิจัยเรื่องนี้ ผูที่มีสวนเกี่ยวของกับการหยารางและผูที่จะเปน สามีภริยาในอนาคตควรศึกษาและทําความเขาใจในเรื่องตางๆที่จําเปนตอการใชชีวิตสมรสเพื่อปองกันการ เกิดปญหาทีหลังหรือมีปญหานอยที่สุด ผลเสียของขอมูลในหนังสือวิจัย จริงๆแลวงานวิจัยเรื่องนี้มีขอมูลที่เปนผลดีตอบรรดามุสลิมทุกคนเพราะทําใหหลายคนที่ไมเคย ทราบเรื่องสิทธิของสตรีในการหยาเกิดความรูสึกอยากศึกษาอยากรูเรื่องนี้มากขึ้น สวนผลเสียของขอมูลที่ได นั้นอาจอยูในสวนที่ไดจากการทําวิจัยภาคสนามนั่นก็คือขอมูลเกี่ยวกับประวัติสวนตัวของสตรีหยารางและคู สมรส เพราะจะเห็นไดวาคูสมรสที่มีปญหาการหยารางทุกคูมีการศึกษาอยูในระดับต่ํามากคือไมเกินชั้น มัธยมศึกษาปที่ 3 ซึ่งจริงๆแลวศาสนาอิสลามสงเสริมใหการศึกษาและการเรียนรูตลอดชีวิตแตกลับไปเปน ในทางตรงกันขามทําใหมุสลิมโดยเฉพาะกลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ขาดความรูความเขาใจทั้ง ในเรื่องศาสนาและทักษะประสบการณชีวิตที่จําเปนจึงมีปญหาการหยารางเกิดขึ้นและนี่คือจุดออนของคู สมรสที่ไดศึกษาในครั้งนี้และผลเสียที่ตามมาก็คือทําใหผูอานตีความหมายโดยรวมวามุสลิมที่อาศัยอยูใน เขตจังหวัดปตตานีไมคอยมีการศึกษาซึ่งบงบอกถึงการขาดการพัฒนาทางดานคุณภาพชีวิตสงผลใหเกิด ปญหาตางๆทั้งระดับครอบครัวและสังคม ดังนั้นก็ไมแปลกที่จะเห็นปญหาครอบครัวแตกแยกในสังคมแบบนี้ สิ่งที่เปนผลกระทบตอสังคม งานวิจัยของอับดุลเราะมันเปรียบเสมือนกระจกเงาที่สะทอนใหเห็นสภาพความเปนอยูของมุสลิม ในจังหวัดปตตานีโดยรวมในชวงนั้น คนมุสลิมไมคอยมีการศึกษาสูงๆ ทั้งๆที่การศึกษาจําเปนมากตอการ ดํา เนิ น ชี วิต อย า งมี คุ ณ ภาพ บวกกั บ ค า นิ ย มที่ถื อ ว า การแต ง งานนั้น เปน เรื่ อ งงา ยๆที่ ทุ ก คนทํ า ไดโ ดยไม คํานึงถึงความสําคัญในเรื่องสิทธิและหนาที่ที่คูสามีภริยาตองรับผิดชอบเมื่อสมรสกันจึงกอใหเกิดปญหา ภายในครอบครัวทีหลังสุดทายสงผลกระทบตอบุตร เมื่อโตขึ้นอาจเปนเด็กที่มีปญหายาเสพติดทําใหเปน ภาระตอสังคมและชุมชนที่เด็กผูนั้นอาศัยอยู งานวิจัยในเรื่องสิทธิของภริยาในการหยาและสิทธิที่พึงไดรับหลังการหยาของอับดุลเราะมัน เปน งานวิจัยที่มีวัตถุประสงคสอดคลองกับงานวิจัยของขาพเจากลาวคือเพื่อศึกษาสิทธิของภริยามุสลิมในการ ดําเนินการใหขาดจากการสมรส สาเหตุที่อิสลามอนุมัติใหดําเนินการขาดจากการสมรส และสิทธิที่พึงไดรับ หลังการหยาตลอดจนสาเหตุของการหยาที่เกิดขึ้น อยางไรก็ตามการศึกษาของอับดุลเราะมันเปนการศึกษา สภาพการหยา รา งของสตรีมุสลิม ที่ อ าศัย อยูใ นบริ เ วณที่มีชุมชนมุสลิ มเปน สว นใหญ แตการศึก ษาของ ขาพเจานั้นศึกษาสภาพการหยารางของสตรีมุสลิมที่อาศัยอยูในจังหวัดที่มีประชากรมุสลิมไมมาก ทั้งนี้อาจ ทําใหขาพเจาสามารถมองเห็นขอแตกตางระหวางสภาพชีวิตของมุสลิมในสภาพแวดลอมที่ตางกันดวย
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
59
ผลที่ไดจากการวิจัย ผลจากการวิจัยของอับดุลเราะมันทําใหหลายฝายไดรับประโยชนดังนี้ 1. สตรีมุสลิมไดรับรูและเขาใจในสิทธิของตนในชีวิตสมรส 2. ทําใหไดรูถึงปญหาขั้นพื้นฐานที่กอใหเกิดการหยารางนั่นก็คือการขาดการศึกษาหรือมีการศึกษา ในระดับต่ํา ขาดความรูเชิงปฏิบัติการ 3. คณะกรรมการกลางอิสลามประจําจังหวัด อิหมามหรือผูเกี่ยวของควรนําผลที่ไดจากการวิจัยไป จัดเปนนโยบายเพื่อปองกันการเกิดปญหาการหยาราง 4. ทําใหมุสลิมทุกคนไดใหความสําคัญเกี่ยวกับการเรียนรูในเรื่องการใชชีวิตคู ซึ่งหากคิดวาการ แตงงานเปนเรื่องงายก็อาจทําใหครอบครัวมีปญหาภายหลังสุดทายสงผลกระทบตอบุตรทั้งทางดานสุขภาพ และสติปญญาอาจเปนภาระตอสังคมภายหลัง การวิเคราะหและพิจารณาจากหนังสือหรือที่เรียกวาวิจัยเอกสารของอับดุลเราะมันนั้นไดมีการ นําเสนอขอ มูลเปน หัว ขอ ยอยตางๆแตในบางหัวขอไมสอดคลองกับ วัตถุประสงคข องการวิจัยเชนผูวิจัย นํ า เสนอข อ มู ล ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ การสมรสเกื อ บครึ่ ง หนึ่ ง ของบทที่ ก ล า วถึ ง เอกสารที่ เ กี่ ย วข อ ง แต อ ธิ บ าย รายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิของสตรีและเหตุที่สามารถฟองหยาไดไมครอบคลุม ฉะนั้นขาพเจาจึงอยากทําให สวนนี้ชัดเจนกวาเดิมโดยเนนเรื่องสิทธิของสตรีในการหยาและเหตุหยาใหละเอียดและเขาใจไดงายเพื่อให สอดคลองกับวัตถุประสงคของการวิจัย เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ เนื่องจากวางานวิจัยของอับดุลเราะมันเปนงานวิจัยเอกสารและภาคสนามดังนั้นสําหรับงานวิจัย เอกสารอับดุลเราะมันไดใชอัลกุรอาน หะดีษ และตําราฟกฮฺที่เกี่ยวของกับการหยา และแนวทฤษฎีที่ใชในการ เก็บขอมูลนั้นอาศัยแนวคิดในเรื่องสิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส และสาเหตุของการ หยาที่เกิดขึ้นซึ่งอาจเปนสาเหตุที่เกี่ยวกับปญหาเศรษฐกิจครอบครัว ความประพฤติและสุขภาพจิตของคู สมรส ปญหายาเสพติด และปญหาดานการศึกษาของคูสมรสเปนตน
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย บทความรายงานการวิจัย
61
การชันสูตรพลิกศพตามบทบัญญัติอิสลาม อับดุรรอฮมาน บินแวยูโซะ∗ อับดุลฮาลิม ไซซิง ∗∗ ซาฟอี บารู∗∗∗ บทคัดยอ การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาการรักษาเกียรติของศพและขอกําหนดของการชันสูตรพลิกศพ ตามบทบัญญัติอิสลาม ตลอดจนทัศนะของนักวิชาการมุสลิมในพื้นที่ตอการชันสูตรพลิกศพมุสลิมในประเทศไทย การศึกษาวิจัยในครั้งนี้เปนการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพโดยแบงการศึกษาออกเปน 2 วิธี คือวิจัยเอกสารซึ่งผูวิจัยได รวบรวมขอมูลจากคัมภีรอัลกุรอานและอัลหะดีษ ตลอดจนตําราและประมวลกฎหมายไทยที่มีความเกี่ยวของกับ การชันสูตรพลิกศพ และวิจัยภาคสนาม ซึ่งผูวิจัยไดรวบรวมขอมูลดวยวิธีการสัมภาษณเชิงลึกกับนักวิชาการ มุสลิมในพื้นที่ กลุมตัวอยางนักวิชาการมุสลิมในพื้นที่ ประกอบดวยตัวแทนจากคณะกรรมการอิสลามประจํา จังหวัดปตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา และตัวแทนจากสถาบันอุดมศึกษาอิสลามในพื้นที่ ทําการเลือกกลุม ตัวอยางแบบเจาะจง จํานวน 16 ทาน โดยวิเคราะหขอมูลใชวิธีวิเคราะห เชิงพรรณนา ผลของการวิจัยพบวาตาม หลักการอิสลามนั้นทุกคนลวนมีเกียรติและสิทธิแหงความเปนมนุษยเทาเทียมกัน ทั้งขณะยังมีชีวิตและหลังจาก เสียชีวิต อิสลามถือวามนุษยทุกคนลวนสืบเชื้อสายมาจากอาดัม และสภาวะสุดวิสัยหรือมีความจําเปนจริง ตามบทบั ญ ญั ติ อิ ส ลามสามารถอนุ โ ลมให ชั น สู ต รพลิ ก ศพมุ ส ลิ ม ได โ ดยอาศั ย หลั ก นิ ติ ศ าสตร อิ ส ลามซึ่ ง ประกอบดวยหลักแหงความจําเปน และหลักแหงผลประโยชน นักวิชาการในพื้นที่สวนใหญมีทัศนะวาควรใหมี การชันสูตรพลิกศพมุสลิมในประเทศไทย หากทางรัฐมีความพรอมทั้งในดานระเบียบกฎหมายและบุคลากร ดวย เงื่อนไขกระบวนการและขั้นตอนในการชันสูตรพลิกศพมุสลิมนั้นตองไมขัดกับหลักศาสนา ผลจากการศึกษาวิจัย ครั้งนี้ทําใหเขาใจถึงบทบัญญัติอิสลามตอการชันสูตรพลิกศพมุสลิมไดชัดเจนยิ่งขึ้น และไดทราบถึงความตองการ ของนักวิชาการในพื้นที่ในการปฏิบัติตอการชันสูตรพลิกศพมุสลิมในประเทศไทยและไดขอเสนอแนะที่ดีเพื่อ พิจารณาเปนแนวทางในการปฏิบัติตอไป
∗
นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาชะรีอะฮฺ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา. Ph.D. (Law) คณบดี คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา. ∗∗∗ M.A. (Education) รองอธิการบดีฝายบริหาร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา. ∗∗
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
62 ABSTRACT
The objective of the research is conducted to study the corps’s dignity and the performance on the post- mortem inquests on the Muslims corps in accordance to Islamic Regulations. In addition, this research attempts to study the viewpoint of Muslim scholars in the area on the post- mortem inquests on the Muslim’s corpse in Thailand. This qualitative research is using two main methods; documentary research is collected data from different sources include Al-Quran, Al-Hadith as well as Thai post-mortem law reference books and field research is collected data using In depth Interview with Muslim scholars in the area. The sample group consisted of 16 Muslim scholars; representatives for Provincial Islamic Committee in the area; Pattani, Yala, Narathiwat and Songkhla and representatives for Islamic higher education institutions in the area. The data was analyzed by description analysis. The result revealed that everyone is equal in dignity, humanity right because in the Islamic concept regarded as all humanity are from Adam . The post-mortem inquests on Muslim corpses in Islamic regulation should be based on the Islamic jurisprudence principles of necessity and interest. Majority of the Muslim scholars’ view that the post-mortem inquests on Muslim corpses in Thailand should be allowed if there is the complete rule and staff for post-mortem inquests on Muslim corpses arranged by the government and conform to the Islamic concept. This research helps to distinctly understand the performance on the post-mortem inquests on the Muslims corps in accordance to Islamic Regulation and the need of the Muslim scholars and their useful suggestion be consider as new basic for the performance on the post- mortem inquests on the Muslims corps in accordance to Islamic Regulation in Thailand
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
63 บทนํา
การชันสูตรพลิกศพเปนกระบวนการที่ตองปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 148 ถึง 156 ผลของการชันสูตรพลิกศพถือเปนพยานทางการแพทยที่สําคัญ และมีบทบาทอยางยิ่งตอการ ดําเนินการทางศาลยุติธรรม เนื่องจากสามารถพิสูจนความจริงไดดวยกระบวนการทางวิทยาศาสตร ตางจาก ขอเท็จจริงที่ไดจากการสอบปากคํา เชนเดียวกับการพิสูจนหลักฐานจากสถานที่เกิดเหตุซึ่งอาจกลับคํา หรือ บิดเบือนไดโดยงาย การชันสูตรพลิกศพสามารถสรางพยานหลักฐานไดครบ 3 ประการคือ พยานบุคคล พยาน เอกสาร และพยานวัตถุ (วิรัติ พาณิชยพงษ, 2542, หนา: 1-2). นอกจากนั้น การชันสูตรพลิกศพยังชวยใหมี การศึ ก ษาค น คว า และพั ฒ นาวิ ช าทางการแพทย ใ นการเยี ย วยารั ก ษาคนป ว ยอย า งถู ก วิ ธี มี คุ ณ ภาพและมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามหลักศาสนาอิสลาม การชันสูตรพลิกศพมุสลิมที่เสียชีวิตแบบปกติยอมทําไมได เนื่องจาก หลักศาสนาที่ตั้งอยูบนพื้นฐานการใหเกียรติและคุมครองคุณคาอันสูงสงของความเปนมนุษยเทานั้น มนุษยใน สภาวะที่เปนศพไรวิญญาณศาสนาอิสลามก็ยังคงถือวาเกียรติและความประเสริฐของความเปนมนุษยยังคงมี อย า งสมบูร ณ กฎเกณฑ ตา งๆ ในการปฏิ บั ติ ต อ ผู ต ายจะต อ งคอยระมั ด ระวั ง มิ ใ ห ก ระทบกระเทื อ นหรื อ เกิ ด อันตรายตอศพ ตองใหเกียรติตอศพตามความเหมาะสมภายใตเจตนารมณแหงอัลกุรอาน ดังที่อัลลอฮฺ ตรัส วา o nmlkjihgfed cba`_ ความวา “และโดยแนนอน เราไดใหเกียรติแกลูกหลานของอาดัม และเราไดบรรทุกพวกเขาทั้ง ทางบกและทางทะเล และไดใหปจจัยยังชีพที่ดีทั้งหลายแกพวกเขา และเราไดใหพวกเขาดีเดนอยางมีเกียรติ เหนือกวาผูที่เราไดใหบังเกิดมาเปนสวนใหญ” (ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ, 17: 70) ตามหลักศาสนาอิสลามหากผูใดเสียชีวิตตองรีบจัดการฝงศพและหามมิใหเก็บศพไวนานดังคําบัญญัติ ของทานศาสนทูตมุหัมหมัด ไดกลาววา "ﻦ ﹺﺭﻗﹶﺎﹺﺑﻜﹸﻢ ﻋ ﻧﻪﻮﻀﻌ ﺗﺸﺮ ﻚ ﹶﻓ ﻟﻯ ﹶﺫﺳﻮ ﺗﻚ ﻭﹺﺇ ﹾﻥ ﻪ ﻴﺎ ﹺﺇﹶﻟﻧﻬﻮﻣﺗ ﹶﻘﺪ ﳊ ﹰﺔ َ ﺎ ﺻﺗﻚ ﺓ ﹶﻓﹺﺈ ﹾﻥ ﺯ ﺎﳉﻨ ﺍ ﺑﹺﺎ ﹶﻋﻮ ﺳ ﹺﺮ "ﹶﺍ ความวา “ทานทั้งหลายจงรีบเรงจัดการศพและถาหากเขาเปนคนดีก็ควรใหเขาไดรีบไปรับผลความดีนั้น และหากเขาเปนคนเลวก็เปนความเลวที่ทานทั้งหลายควรรีบวางจากบาวของพวกทาน” (อัลบุคอรีย, อัศเศาะหีห, เลขที่: 1252) ในกรณีที่มีความจําเปนตองมีการชันสูตรพลิกศพเพื่อพิสูจนหาบุคคลวาใครเปนใคร การฆาตกรรม การ เปดโปงความไมยุติธรรมเพื่อประโยชนตอสวนรวมและขอกังขาของญาติมิตรและสังคมสวนรวมนั้นตามกฎหมาย อิสลามจะมีทางออกอยางไร เรื่องนี้ยังคงเปนที่สงสัยไมมีคําตอบหรือแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเนื่องจากเปน ปรากฏการณใหมในสังคมมนุษยโดยเฉพาะสังคมไทย อีกทั้งไมพบวาในคัมภีรอัลกุรอานและหะดีษของศาสนทูต ระบุชัดเจนวาอนุญาตหรือไมอนุญาตใหมีการชันสูตรพลิกศพ และยังไมพบหลักฐานใด ยืนยันแนชัดวามุสลิม ยุคแรกไดกระทําการชันสูตรพลิกศพเหมือนที่กระทําอยูในปจจุบัน
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
64
ที่กลาวมานั้นคือสวนหนึ่งของเหตุผลที่ทําใหผูวิจัยสนใจที่จะศึกษาเรื่องดังกลาวเพื่อใหทราบถึงขอบัญญัติทาง ศาสนาวามีแนวทางปฏิบัติอยางไร เพื่อจะไดเปนขอมูลพื้นฐานในการกําหนดแนวทางปฏิบัติที่ถูกตองเหมาะสม และสอดคลองกับความมุงหมายของอิสลามดังที่อัลลอฮฺ ตรัสในคัมภีรอัลกุรอานวา ¢¡ ~} |{z ความวา “และพระองคมิไดทรงทําใหเปนการลําบาก แกพวกเจาในเรื่องของศาสนา” (ซูเราะฮฺ อัลฮัจญ, 22: 78) ในอายะฮฺอื่นอัลลอฮฺ ตรัสวา ¯ ®¬ « ª©¨§ ความวา “อัลลอฮฺทรงประสงคความสะดวกสําหรับสูเจา และพระองคลไมประสงคความลําบากแกสู เจา” (ซูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ, 2: 185) ดวยเหตุผลที่แสดงถึงความจําเปนและความสําคัญของการชันสูตรพลิกศพทําใหผูวิจัยสนใจที่จะศึกษา เรื่องนี้ เพราะประโยชนจากการศึกษาครั้งนี้นอกจากจะเกิดแกตัวผูวิจัยเองแลว ยังเกิดประโยชนตอสังคมสวนรวม และภาครัฐอีกดวย วัตถุประสงคของการวิจัย ในการศึกษาเรื่อง “การชันสูตรพลิกศพตามบทบัญญัติของอิสลาม” ผูศึกษาไดกําหนดวัตถุประสงค ดังตอไปนี้ 1. เพื่อศึกษาถึงการรักษาเกียรติของศพตามบทบัญญัติอิสลาม 2. เพื่อศึกษาถึงขอกําหนดการชันสูตรพลิกศพตามบทบัญญัติอิสลาม 3. เพื่อศึกษาถึงทัศนะของนักวิชาการมุสลิมในพื้นที่ตอการชันสูตรพลิกศพมุสลิม ขอบเขตของการวิจัย การศึกษาในครั้งนี้เปนการศึกษาเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยแบงการศึกษาออกเปน 2 วิธี ดวยกัน คือศึกษาเอกสารและภาคสนาม ซึ่งมีขอบเขตดังนี้ 1. ศึกษาขอกฎหมายที่เกี่ยวของกับการชันสูตรพลิกศพ 2. ศึกษาบทบัญญัติอิสลามที่มีความเกี่ยวของกับการชันสูตรพลิกศพ 3. ศึกษาทัศนะของนักวิชาการอิสลามในพื้นที่เกี่ยวกับการชันสูตรพลิกศพ 4. ศึกษาเฉพาะทัศนะนักวิชาการอิสลามในพื้นที่จังหวัดปตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
65
วิธีดําเนินการวิจัย งานวิจัยครั้งนี้เปนงานวิจัยเชิงคุณภาพโดยจัดแบงการศึกษาออกเปน 2 สวนคือ สวนที่ 1 ศึกษาเอกสารโดยคนควาขอมูลจากแหลงตางๆที่เกี่ยวของเชน คัมภีรอัลกุรอานหนังสืออัลหะ ดีษ ตําราบทบัญญัติอิสลามและนิติศาสตรอิสลามของสํานักคิดตางๆ หนังสือทั่วไปที่สามารถใชในการอางอิงได และงานวิจัยตางๆ ที่เกี่ยวของ หนังสือสารานุกรมตางๆ บทความทางอินเตอรเน็ต วารสาร และหนังสือพิมพ ฯลฯ สวนที่ 2 การสัมภาษณ โดยใชวิธีการสัมภาษณแบบเจาะลึก เลือกตัวอยางแบบเฉพาะเจาะจงโดย เลือกผูใหขอมูลทั้งหมดจํานวน 16 ทาน เปนนักวิชาการในพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต ผลของการวิจัย การศึกษาวิจัยการชันสูตรพลิกศพตามบทบัญญัติของอิสลามยังเปนประเด็นปญหาที่นักวิชาการและ นักกฎหมายอิสลามในปจจุบันมีความเห็นที่แตกตางกัน สาเหตุมาจากไมมีตัวบทกฎหมายที่ชี้ชัดถึงการหามหรือ อนุ โลมในการชัน สู ตรพลิ กศพทั้ งในอัล กุ ร อาน สุ น นะฮฺ ข องท านศาสนทูตมุ หั มมั ด และตํ าราศาสนาของ ปราชญอิสลามในยุคแรก แตเราจะพบทัศนะของบรรดานักปราชญดานนิติศาสตรอิสลามเกี่ยวกับกรณีการผาศพ หญิงมีครรภที่เสียชีวิต เพื่อเอาทารกที่อยูในครรภออกมา หากมั่นใจวาทารกดังกลาวยังมีชีวิตอยู (อัลกาสานีย, 1978, หนา: 254, อัรรอมลี, ม.ป.ป., หนา: 39, และ อัชเชากานีย, 1985, หนา: 336) และกรณีการผาทอง ศพที่ไดกลืนทรัพยสินมีคาลงในทองกอนตายเพื่อเอาออกมา ทั้งสองกรณีดังกลาวเปนตัวอยางที่ใกลเคียงกับ ประเด็นการผาศพเพื่อการชันสูตรซึ่งทั้งสองกรณีเปนการกระทําที่รุนแรงและละเมิดเกียรติเชนการผาชันสูตรศพ ในขณะที่อิสลามนั้นใหความสําคัญตอการใหเกียรติกับมนุษยทั้งขณะยังมีชีวิตและหลังจากการตายโดยยึดหลัก คําสอนที่วามนุษยทุกคนมีเกียรติที่สูงสงและการทํารายศพประหนึ่งทํารายเขาขณะยังมีชีวิตอยางคําสอนของ ทานศาสนทูตมุหัมมัด ที่วา "ّﻴﹰﺎﻩ ﺣ ﺴ ﹺﺮ ﺖ ﹶﻛ ﹶﻜ ﻴﻋ ﹶﻈ ﹺﻢ ﺍ ﹶﳌ ﺴﺮ " ﹶﻛ ความวา “การหักกระดูกศพประหนึ่งหักกระดูกขณะเขายังมีชีวิตอยู” (อิบนุ มาญะฮฺ, สุนัน, เลขที่: 1616) การกระทํ า ที่ รุ น แรงเป น การกระทํ า ที่ ไ ม อ นุ ญ าตในอิ ส ลาม แต ด ว ยเหตุ ผ ลของความจํ า เป น และ ผลประโยชนที่สําคัญกวา ทําใหการกระทําดังกลาวเปนประเด็นสําคัญที่นักวิชาการมุสลิมหลายทานไดนํามาเปน ขอพิพาทในการพิพากษาอนุโลมหรือไมในอิสลามเชนการชันสูตรพลิกศพมุสลิม ผลของการศึกษาทั้งเอกสารและสัมภาษณสามารถสรุปไดดังนี้ 1. เกียรติของศพตามบทบัญญัติอิสลาม 1.1 มนุษยทุกคนมีเกียรติและสิทธิแหงความเปนมนุษยเทาเทียมกันทั้งที่เปนมุสลิมและไมใชมุสลิมและขณะยังมี ชีวิตหรือหลังจากลวงลับไปแลว เพราะมนุษยทุกคนลวนสืบเชื้อสายมาจากอาดัม โดยที่เกียรติของมนุษยใน อิสลามนั้นเปนเกียรติที่พระองคอัลลอฮ มอบใหแกมนุษย ดังหลักฐานที่ปรากฏในอัลกุรอาน อัลลอฮ ตรัสวา
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
66
o nmlkjihgfed cba`_ ความวา “และโดยแนนอน เราไดใหเกียรติแกลูกหลานของอาดัมและเราไดบรรทุกพวกเขาทั้งทางบก และทางทะเล และไดใหปจจัยยังชีพที่ดีทั้งหลายแกพวกเขา และเราไดใหพวกเขาดีเดนอยางมีเกียรติเหนือกวาผูที่ เราไดใหบังเกิดมาเปนสวนใหญ” (ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ, 17: 70.) ในอายะฮฺอื่นอัลลอฮฺ ไดสัญญาวาจะใหมนุษยมาเปนผูปกครองบนโลกใบนี้ซึ่งเปนตําแหนงที่มีเกียรติ ยิ่งใหญ และสูงสงแกมนุษย ดังที่อัลลอฮฺ ตรัสวา JIH G FE DCBA ความวา “และจงรําลึกถึงขณะที่พระเจาของเจาไดตรัสแกมลาอิกะฮฺวาแทจริงขาจะใหมีผูแทนคนหนึ่งใน พิภพ” (ซูเราะฮฺ อัลบะกอเราะฮฺ, 2: 30) ซึ่งอายะฮฺดังกลาวใหความหมายวามนุษยคือบาวของอัลลอฮฺ ที่พระองคไดประทานเกียรติใหและยก ยองเหนือสรรพสิ่งทั้งปวงในจักรภพนี้ 1.2 ตามบทบั ญ ญั ติ อิ ส ลามมนุ ษ ย นั้ น มี เ กี ย รติ ทั้ ง ขณะยั ง มี ชี วิ ต และหลั ง จากล ว งลั บ ไปแล ว จาก ขอเท็จจริงของบทกฎหมายอิสลามที่ใหสิทธิพิเศษแกมนุษยหลังจากเสียชีวิต และดวยหะดีษที่หามทํารายศพ หามทรมานศพ แมวาศพนั้นเปนผูปฏิเสธศรัทธาก็ตาม 1.3 การละเมิดเกียรติของศพในบางกรณีเปนที่อนุโลมในอิสลาม หากกระทําดวยความจําเปนที่ไมอาจ หลีกเลี่ยงได ดังบทบัญญัติในอัลกุรอาน ความวา “ถาผูใดไดรับความคับขัน โดยมิใชเปนผูเสาะแสวงหา และมิใช เปนผูละเมิดขอบเขต แลวไซร ก็ไมมีบาปใดๆ แกเขา แทจริงอัลลอฮฺ เปนผูทรงอภัยโทษ เปนผูทรงเอ็นดูเมตตา เสมอ” (ซูเราะฮฺ อัลบะกอเราะฮฺ, 2: 173) บทบัญญัติที่ไดกลาวมานั้นเกี่ยวเนื่องถึงความจําเปนที่ไมอาจหลีกเลี่ยงได ซึ่งอิสลามอนุโลมใหกระทําใน สิ่งที่ตองหามไดในกรณีจําเปนยิ่งเพื่อปกปองชีวิตจากอันตรายที่จะเกิดขึ้น 2. ขอกําหนดของการชันสูตรพลิกศพตามวัตถุประสงคมีดังนี้ 2.1 ขอกําหนดของการชันสูตรพลิกศพเพื่อการศึกษาทางการแพทยตามทัศนะของนักวิชาการ มุสลิมรวมสมัยมีดังนี้ 2.1.1 ทัศนะที่หนึ่งเห็นวาอนุโลมใหทําการชันสูตรพลิกศพเพื่อการศึกษาไดทั้งศพที่ไมใชมุสลิม และศพที่ เ ป น มุ ส ลิ ม ในกรณี มี ค วามจํ า เป น อย า งมาก (ของสั น นิ บ าติ โ ลกอิ ส ลาม, รายงานจากมติ ที่ ป ระชุ ม สํานักงานกฎหมายอิสลาม, 17-21 ตุลาคม 1987) 2.1.2 ทัศนะที่สอง เห็นวาตามบทบัญญัติอิสลามแตเดิมนั้นไมอนุโลมใหชันสูตรพลิกศพทั้งมุสลิม และไมใชมุสลิม แตในกรณีที่มีความจําเปนหรือภาวะสุดวิสัยจะอนุโลมใหชันสูตรพลิกศพที่มิใชศพมุสลิมเพื่อ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
67
การศึกษาได และจะไมอนุโลมใหชันสูตรพลิกศพมุสลิมตราบใดที่ศพที่มิใชมุสลิมยังมีอยู ซึ่งแตกตางกับทัศนะที่ หนึ่งที่อนุโลมใหชันสูตรศพไดทั้งศพมุสลิมและศพที่ไมใชมุสลิมเทากัน (สภาสูงสมัชชา อุละมาอฺ แหงประเทศ ซาอุดิอะราเบีย, ลุจญนะฮฺ อัล อิฟตาอฺ บิ อัลมัมละกะฮฺ อัลอุรดุนิยะห อัลฮาชิมิยยะฮฺ, 18 พฤษภาคม 1977) อิสลามใหความสําคัญและคํานึงถึงความเชื่อของแตละกลุมแตละศาสนาของมวลมนุษยซึ่งในกรณีนี้ไดปรากฏ วามีผูที่มิใชมุสลิมมีความเชื่อวาการอุทิศรางกายของตนหลังจากการเสียชีวิตเพื่อการชันสูตรศพ ดวยเหตุผลเพื่อบําเพ็ญ ประโยชนใหกับเพื่อนมนุษยดัวยกันถือเปนสิ่งที่ควรและนาสงเสริมใหกระทํา ฉะนั้น จึงอนุโลมชันสูตรศพเพื่อการศึกษา ทางการแพทยได อีกทั้งการไดมาของศพที่ไมใชมุสลิมเปนสิ่งที่สามารถหาได และบางศพก็มีการซื้อขายอยูทําใหสามารถ ซื้อศพไดไมยาก “มีบางกลุมเชื่อวาการอุทิศรางของตนเพื่อการศึกษาทางการแพทยเปนการกุศลและเปนการเสียสละที่ ยิ่งใหญและไดรับผลบุญที่มีเกียรติและประเสริฐที่สุดและมีการใหเกียรติกับรางหรือศพที่ไดอุทิศใหใชเพื่อศึกษาทาง การแพทยดวยขนานนามวา “อาจารยแพทยหรืออาจารยใหญ ” (ดร.มะรอนิง สาแลมิง, ผูใหสัมภาษณ, 17 มีนาคม 2551) และในกรณีที่มีศพอื่น จะไมอนุโลมใหชันสูตรศพมุสลิม ยกเวนกรณีที่สุดวิสัยและจําเปนอยางมากจึงอนุญาตให ทําไดดวยเงื่อนไขสําคัญคือตองเลือกทําเทาที่จําเปน โดยยึดหลักเกณฑของความจําเปนที่วา ﺎﺪ ﹺﺭﻫ ﺭﹺﺑ ﹶﻘ ﺪ ﺗ ﹶﻘ ُ ﺓﻭﺭ ﺮ ﻀ ﺍﹶﻟ ความวา " ความจําเปนยอมตองประมาณการดวยขนาดปริมาณของมัน" (อัลก็อรเฏาะวีย, 2544, หนา: 60) และ คําสอนของทานศาสนทูตมุหัมมัด ไดกลาววา "ﺷﻔﹶﺎ ًﺀ ﺰ ﹶﻝ ﹶﻟﻪ ﻧﺍ ٍﺀ ﹺﺇﻟﱠﺎ ﹶﺃﻦْ ﺩﺰ ﹶﻝ ﺍﷲُ ﻣ ﻧﺎ ﹶﺃ"ﻣ ความวา “อัลลอฮฺจะไมสงโรคใดลงมา นอกจากจะประทานยารักษามาดวย” (อัลบุคอรีย, อัศเศาะหีห, เลขที่: 5678 และ อิบนุมาญะฮฺ, สุนัน, เลขที่: 3439) 2.1.3 ทัศนะที่สามเห็นวาไมอนุโลมใหชันสูตรพลิกศพของมนุษยเพื่อการศึกษา เพราะเปนการ ละเมิดบทบัญญัติ อีกทั้งยังสามารถศึกษาซากสัตวในการหาความรูทางการแพทยได โดยไมตองใชรางของมนุษย อันเนื่องมาจากระบบการทํางานอวัยวะของสัตวกับอวัยวะของมนุษยนั้นคลายคลึงกันมากโดยเฉพาะสัตวที่มี รูปรางคลายมนุษย เพราะสัตวเหลานี้จะมีอวัยวะและระบบการทํางานของอวัยวะที่คลายคลึงกันมาก อีกทั้งยัง ชวยประหยัดคาใชจายไปในตัวอีกดวย 2.2. ขอกําหนดของการชันสูตรพลิกศพเพื่อสอบสวนในคดีอาญา ตามทัศนะของนักวิชาการ มุสลิมรวมสมัย นักวิชาการสวนใหญเห็นวาอนุโลมใหชันสูตรพลิกศพมุสลิมไดในภาวะคับขัน สุดวิสัย และมีความจําเปน อยางมากเพื่อหาสาเหตุของการเสียชีวิตที่เกี่ยวของกับคดีฆาตกรรม หากไมมีวิธีอื่นที่จะคนหาสาเหตุของการ เสียชีวิตได ยกเวนดวยวิธีชันสูตรเทานั้น (วารสาร อัซฮัร, ฉ.6, เลม. 1, หนา: 472 และ วารสาร อัลบุหุษฺ อัลอิสามี ยะฮฺ) 2.3. ขอกําหนดของการชันสูตรพลิกศพเพื่อพิสูจนโรคภัยตามทัศนะของนักวิชาการมุสลิมรวม สมัย นักวิชาการสวนใหญเห็นวาการชันสูตรพลิกศพมุสลิมเพื่อใหทราบถึงบุคคลที่เสียชีวิต หรือเพื่อใหทราบ ถึงสาเหตุหรือโรคเพื่อหวังรักษาคนอื่น หรือเพื่อการอื่นที่ทราบแนชัดวา เปนประโยชนตอมนุษยชาติ เปนสิ่งที่ อนุโลมใหกระทําได
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
68
3. เงื่อนไขของการชันสูตรศพมุสลิมในอิสลาม นักวิชาการสวนใหญ มีทัศนะวาเงื่อนไขของการชันสูตรศพมุสลิมในอิสลามมีดังนี้ 3.1 ตองใหเกียรติตอศพ 3.2 ตองรักษาสิทธิและเกียรติของศพเหมือนยังมีชีวิตอยู 3.3 ตองรีบเรงทําการชันสูตร 3.4 ตองไดรับอนุญาตจากญาติ 3.5 ตองกระทําดวยความระมัดระวัง 3.6 ตองกระทําเทาที่จําเปน 3.7 ตองปกปดรางกาย 3.8 ตองรักษาความลับของศพ 3.9 ตองไมประจานศพ 3.10 ตองระมัดระวังความปลอดภัยโดยเฉพาะกับศพที่เสียชีวิตสาเหตุมาจากโรคระบาดที่รายแรง 3.11 ตองจัดการศพใหอยูในสภาพที่สมบูรณที่สุด 3.12 ไมเอาอวัยวะของศพ 3.13 ขณะทําการชันสูตรศพ อนุญาตให พนักงานชันสูตร และผูที่เกี่ยวของเทานั้น 3.14 ควรใหมีผูแทนจากคณะกรรมการกลางอิสลามแหงประเทศไทยหรือคณะกรรมการอิสลามประจํา จังหวัด เปนผูควบคุมดูแลการชันสูตรศพมุสลิม 3.15 ตองไดรับคําพิจารณาวาจําเปนตองชันสูตรศพ จากองคกรศาสนา หรือผูนําศาสนาหรือแพทยที่ เกี่ยวของ 3.16 ตองมีการรายงานการชันสูตรศพมุสลิมตอคณะกรรมการดังกลาว 4. วิธีการชันสูตรพลิกศพมุสลิมในสังคมปจจุบัน นักวิชาการสวนใหญ มีทัศนะวา หากมีความพรอม ทุกดาน เชนมีระบบ มีระเบียบ กฎหมายที่สมบูรณ สําหรับการชันสูตรศพมุสลิม มีเงื่อนไข ขั้นตอนที่ถูกตองตามหลักศาสนา มีบุคคลากรทั้งพนักงาน และแพทย ผูเชี่ยวชาญ ก็ควรอนุโลมใหมีการชันสูตรศพได หรือหากเราคิดวาการชันสูตรศพมุสลิมเปนเรื่องจําเปนเพื่อหา ขอเท็จจริง ดํารงความยุติธรรมและคุมครองสิทธิ ยอมเปนสิ่งที่สมควรอนุโลมใหมีการชันสูตรศพมุสลิมในสังคม ปจจุบันได 5.ขั้นตอนการชันสูตรพลิกศพมุสลิมในอิสลาม นักวิชาการสวนใหญ มีทัศนะเกี่ยวกับขั้นตอนการชันสูตรพลิกศพมุสลิมวา 5.1 ตอ งมีคําสั่งจากพนักงานสอบสวนหรือเจาหนา ที่เ กี่ยวของวาจํา เปนตองมีก ารชัน สูตรพลิกศพ 5.2 ตองมีแพทยผูเชี่ยวชาญพิจารณาวาจําเปนตองทําการชันสูตรพลิกศพ 5.3 ตองมีผูเชี่ยวชาญดานกฎหมายอิสลามพิจารณาวาจําเปนตองชันสูตรพลิกศพ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
69
5.4 แพทยหรือพนักงานสอบสวนตองอธิบายใหญาติผูตายเขาใจถึงรายละเอียดและความจําเปนใน การชันสูตรศพใหชัดเจน 5.5 หากเปนไปไดมติอนุโลมใหชันสูตรศพมุสลิมนั้นตองผานการพิจารณาอนุญาตจากศาลชะริอะฮฺ 5.6 เมื่อมีมติออกมาวาตองชันสูตรศพทางเจาหนาที่จะตองแจงและขออนุญาตจากทายาทกอน 5.7 ในกรณีไ มมีท ายาทใหแ จง และขออนุญ าตจากคณะกรรมการอิส ลามประจํา จัง หวัด ที่ผูต าย อาศัยอยูเปนการอนุญาตแทนทายาท 5.8 หรือขออนุญาตจากคณะกรรมการประจํามัสยิดที่ผูตายเปนสมาชิกอยูตามลําดับ 5.9 ตองชันสูตรศพหลังการเสียชีวิตทันที 5.10 ตองรายงานผลทุกครั้งการชันสูตรศพ 6.การชันสูตรพลิกศพเปนที่อนุโลมภายใตหลักนิติศาสตรอิสลามทั่วไปภายใตทฤษฎีแหงความจําเปน และทฤษฏีแหงคุณประโยชน กลาวคือ 6.1 ทฤษฏีที่หนึ่งวาดวย ﺍﺕﻮﺭ ﺤ ﹸﻈ ﺍ ﹶﳌﻴﺢ ﹺﺒﺭﺓﹸ ﺗ ﻭ ﻀﺮ ﺍﹶﻟความวา “ความจําเปนทําใหสิ่งตองหามทั้งหลายเปนที่อนุญาต” 6.2 ทฤษฏีที่สองวาดวย ﻒ ﺮ ﹺﺭ ﺍﻟﹾﺄﺧ ﻀ ﺍ ﹸﻝ ﺑﹺﺎﻟﻳﺰ ﺪ ﺷ ﺍﹾﻟﹶﺄﺮﺭ ﻀ ﺍﹶﻟความวา “อันตรายรายแรงสามารถขจัดดวยภัยที่ดอยกวา” 6.3 ทฤษฏีที่สามวาดวย ﺎﺪ ﹺﺭﻫ ﺭﹺﺑ ﹶﻘ ﺪ ﺗ ﹶﻘ ُﺓﻭﺭ ﺮ ﻀ ﺍﹶﻟความวา “ความจําเปนยอมตองประมาณการดวยปริมาณของมัน” 6.4 ทฤษฏีที่สี่วาดวย َﻤﺎﺪﻫ ﺷ ﻟﹶﺄﻳﹰﺎﺩ ﺗﻔﹶﺎ ﺎﻬﻤ ﺧ ﱡﻔ ﺐ ﹶﺃ ﺗ ﹶﻜﺭ ﻥ ﹺﺇ ﺎﺪﺗ ﺴ ِ ﻣ ﹾﻔ ﺖ ﺿ ﺭ ﺎﺗﻌ ﹺﺇﺫﹶﺍ,ﺎﻬﻤ ﻨ ﻣ ﻱﻡ ﹶﺃ ﹾﻗﻮ ﺪ ﻥ ﻗﹸ ﺎﺤﺘ ﺼ ﹶﻠ ﻣ ﺖ ﺿ ﺭ ﺎﺗﻌ ﹺﺇﺫﹶﺍ ความวา “หากสองผลประโยชนเกิดความขัดแยงกัน เมื่อนั้นใหเลือกกระทําผลประโยชนที่หนักแนนกวา และ เมื่อใดสองความเสียหายเกิดขัดแยงกัน ใหเลือกทําสิ่งที่มีความเสียหายที่ดอยกวา เพื่อหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่จะสราง ความเสียหายรายแรง” 7.แนวโนมของปญหาและอุปสรรคทางสังคมมุสลิมกับการอนุโลมใหชันสูตรศพมุสลิมในประเทศไทย นักวิชาการ สวนใหญมีทัศนะวาแนวโนมของปญหาและอุปสรรคทางสังคมที่มีความเกี่ยวของอาจจะ ลดลงแตไมใชทุกปญหา เพราะความยุติธรรมไมไดขึ้นอยูกับการชันสูตรศพเทานั้น แตจิตสํานึกของแตละคนใน การรับฟงและใหความรวมมือกับทางรัฐในการแกปญหา ก็เปนอีกวิธีหนึ่งที่ตองกระทํา สวนทางรัฐก็ตองใหการ ดูแลใหความเปนธรรมอยางเสมอภาพ และใหความเขาใจที่ดีใหกับสังคม 8. ขอเสนอแนะ 8.1 ควรจัดทําคูมือหรือระเบียบสําหรับผูที่เกี่ยวของในการชันสูตรศพและผาศพผูนับถือศาสนาอิสลาม เพื่อใหแตละฝายมีความรูและความเขาใจที่ถูกตองในบทบาทหนาที่ของตัวเองอีกทั้งสามารถนําไปปฏิบัติใชได อยางถูกตอง
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
70
8.2 ควรมีการกําหนดอํานาจหนาที่ รวมถึงอํานาจการตัดสินใจในการดําเนินการชันสูตรศพและควรใหมี ผูเชี่ยวชาญดานกฎหมายอิสลามรวมกับเจาหนาที่สอบสวนและผูรับผิดชอบที่เกี่ยวของทุกครั้งที่มีการสอบสวน 8.3 ควรตระหนักถึงความเปนจริงเกี่ยวกั บเรื่องนี้จากประเทศเพื่อนบานที่มีชนมุสลิมกลุมนอยเช น สิงคโปร กัมพูชา และศึกษาขอมูล ความจําเปนจากประเทศเพื่อนบานที่มีชนมุสลิมสวนใหญอยาง มาเลเซีย อินโดนีเซีย เพื่อเรียนรูวิธีการปฏิบัติ เงื่อนไขและรูปแบบของประเทศเหลานี้เกี่ยวกับการชันสูตรศพของผูเสียชีวิตที่ เปนมุสลิม 8.4 ควรจัดตั้งหนวยงานอิสระขึ้นมารับผิดชอบงานทางดานการชันสูตรพลิกศพที่ เกี่ยวของกับการ กระทําผิดทางอาญาเพื่อใหเปนหนวยงานหลักในเรื่องนิติเวชศาสตรและเปนกลไกในการตรวจสอบการทํางาน ของพนักงานสอบสวน 8.5 ทางรัฐบาลควรจัดสรรทุนเพื่อสรางและพัฒนาบุคคลากรใหพอเพียงกับความตองการของบานเมือง โดยเฉพาะลูกหลานมุสลิม 8.6 ควรเผยแพรความรูและความเขาใจใหกับผูนับถือศาสนาอิสลามถึงเจตนารมณและความจําเปนใน การชันสูตรศพมุสลิม และควรทําใหทุกฝายที่มีความเกี่ยวของในการชันสูตรศพและผาศพมุสลิมเขาใจที่ถูกตอง ในหลักการของอิสลาม เพื่อใหแตละฝายมีความรูและความเขาใจในบทบาทหนาที่ของตัวเองและสามารถนําไป ปฏิบัติไดอยางถูกตอง 8.7 มุสลิมควรสนับสนุนภาครัฐในการออกระเบียบกฎหมายการชันสูตรพลิกศพมุสลิมที่ถูกตองตาม หลัก เงื่อนไขและขั้นตอนของศาสนาอิสลาม 8.8 ควรทําการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ โดยศึกษาความคิดเห็นของชาวไทยมุสลิมตอเรื่องการชันสูตร พลิกศพมุสลิมในสังคมปจจุบันและสอบถามเจาหนาที่ ตํารวจ แพทย พนักงานอัยการ พนักงานฝายปกครอง ผูนําทางศาสนา ตอเรื่องการชันสูตรศพมุสลิมในประเทศไทย เพื่อประโยชนทั้งดานการศึกษาและการปฏิบัติงานที่ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตอไป บรรณานุกรม คูมือการชันสูตรพลิกศพ ตามพระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา (ฉ.ที่ 21) พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ. สํานักงานศาลยุติธรรม. 2544. ซัยยิดกุฏบ. 1992. นี่คืออิสลาม. ฮาซิม หนุนอนันท. แปล. ม.ป.ท. พระราชบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2542. ยูซุฟ ก็อรฺฎอวียฺ. 2544. หะลาลและหะรอมในอิสลาม. บรรจง บินกาซัน (ผูแ ปล). กรุงเทพฯ. ศูนยหนังสือ อิสลาม. เคาะฏีบ อัชชัรบีนีย. 1997. มุฆนีย อัลมุหตาจ. เบรุต. ดารุ อัลมะริฟะฮฺ. ญาวดะฮฺ.มุหัมมัด เฆาะริบ. ม.ป.ป. อะบากีเราะฮฺ อุละมาอฺ อัลหะฎอเราะฮฺ อัลอะเราะบียะฮฺ วะ อัลอิสลา มียะฮฺ ฟ อูลูม อัฏฏิบบียะฮฺ วา อัฏฏิบ. ม.ป.ท. นะสาอีย. อะหฺมัด บิน ชุอีบ อะบู อับดุรรอหฺมาน. 1991. สุนัน อันนะสสอีย อัลกุบรอย. พิมพครั้งที่ 1. เบรุต. ดาร อัลกุตุบ อัลอิลมียะฮฺ.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
71
ฟตวา อัชเชค อัลมุตีอียฺ. ม.ป.ป. วารสาร อัสอัซฮั. ฉบับที่ 6 เลม 1. มุหัรรอม. ป ฮ.ศ. 1354. หนา: 627-632. มุหัมมัด บิน มุหัมมัด อัลมุคตาร อัชชันกีตีย. 1994. อัหกาม อัลญีรอหะฮฺ อัฏฏิบบียะฮฺ วัลอาษาร อัล มุตะ เราะตตะบะฮฺ อะลัยฮา. พิมพครั้งที่ 2. มหาวิทยาลัยอิสลามมะดีนะฮฺ. ซาอุดิอาระเบีย ยูซุฟ อัลก็อรฺเฎาะวีย. 2547. อัลหะลาล วะ อัลหะรอมในอิสลาม. บรรจง บินกาซัน (ผูแปล).กรุงเทพฯ. ศูนย. หนังสืออิสลาม. วะฮฺบะฮฺ อัซซูหัยลี. 1985. นาเซาะรียะฮฺ อัฎเฎาะรูเราะฮฺ อัชชัรอียะฮ. เบรุต. มุอัสสาสะฮฺ อัรริสาละฮฺ. วิรัติ พาณิชยพงษ. 2542. มาตรฐานชันสูตรพลิกศพ. กรุงเทพ. งานวิจัยนี้เปนสวนหนึ่งของระบบการ อบรม หลักสูตรผูบริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) รุนที่ 4 วิทยาลัยการยุติธรรม สํานักงานศาล ยุติธรรม. อะบูดาวูด. สุไลมาน บิน บิน อัลอัชอัษ อัสสะญิสตานีย. ม.ป.ป. สุนัน อะบี ดาวุด. เบรุต. ดาร อัลกุตุบ อัลอะ เราะบียยะฮฺ. อะหฺมัด บิน หันบัล. 1999. มุสนัด อัลอิมาน อะหฺมัด บิน หันบัล. เบรุต. มุอัสสะสะฮฺ อัรริสาละฮฺ. อัชชาฏิบีย. อิบรอฮิม บิน มูซอ บิน มุหัมมัด. ม.ป.ป. อัลมุวาฟะกอต ฟย อุศูล อัลฟกฮ. มิศร. อัลมักตะบะฮฺ อัตติญาริยะฮฺ. อัชชีรอซีย. อะบีย อิสหาก อิบรอฮีม บิน อะลีย บิน ยูสุฟ อัลฟยรูซ อะบาดีย. ม.ป.ป. อัตตันบีฮฺ. เบรุต. อาลัม อัล กุตุบ. อัชเชากานีย. มุหัมมัด บิน อะลีย บิน มุหัมมัด. 1985. อัสสีล อัลญารอร อัลมุตะดัพพิก อะลา หะดาอิก อัลอัซฮาร. พิมพครั้งที่ 1. เบรุต. ดารูลกูตุบ อัลอิลมียะฮฺ. อัซเซากานีย. มุหัมมัด บิน อาลีย. ฮ.ศ. 1421. อิรซาด อัลฟุหูล. ดารอัลฟะดีละฮฺ. อัดดุสุกีย. อัหมัด บิน มุหัมมัด. ม.ป.ป. หาชียะฮฺ อัดดูสูกีย อะลา อัชชัรห อัลกะบีร. เบรุต. ดารอัลฟกร. อัดดุสุกีย. อัหมัด บิน มุหัมมัด. ม.ป.ป. หาชียะฮฺ อัดดูสูกีย อะลา อัชชัรห อัลกะบีร. เบรุต. ดารุ อัลฟกร. อันนะวะวีย. มปป. อัลมัญมุอฺ ชัรห อัลมุฮัซซับ. เบรูต. ดาร อัลฟกร. อันนะวะวีย. อัลอิมาน อะบี ซะกะริยา มะหฺย อัดดีน บิน ชัรฟ อันนะวะวีย. ม.ป.ป. อัลมัญมุอฺ. มักตะบะฮฺ อัลอิร ชาด. ุดดะฮฺ. อัลมัมละกะฮฺ อัสสะอูดียะฮฺ. อัรรอมลี. ชัมสุดดีน มุหัมมัด บิน อะบีย อัลอับบัส อะหฺมัด บิน หัมซัฮฺ อิบน ชิฮาบ อัดดีน. ม.ป.ป. นิฮายะตุล มุห ตาญ อิลา ชัรห อัลมินฮาญ. เบรุต. อัลมักตับ อัล อิสลามียะฮฺ. อัลกาสานีย. อะลาอ อัดดีน. 1982. บะดาอิอฺ อัศเศาะนาอิอฺ ฟ ตัรตีบ อัชชะรออิอฺ. พิมพครั้งที่ 2. เบรุต. ดาร อัลกุตุบ อัลอะเราะบียยะฮฺ. อัลคูรชี อัลมาลีกีย. ม.ป.ป. อัลคูรชีย อะลา มุคตะศอร สัยดี คอลิล. เบรุต. อาลัม อัลกุตุบ. อัลฆอซาลีย. อะบู หามิ มุหัมมัด บิน มัหัมมัด. ฮ.ศ. 1424. อัลมุสตัศฟาย ฟย อิลมฺ อัลอุศูล. เบรุต. ดาร อัลกุ ตุบ อัลอิลมียะฮฺ. อัลบัซดะวีย. อะลา อัดดิน บุคอรีย อับดุลอะซิซ บิน อะหมัด บิน มุหัมมัด. ค.ศ. 1997. กัซฟ อัลอัสรอร อัน อุ ศูล ฟญร อัลอิสลาม. เบรุต. ดาร อัลกุตุบ อัลอิลมียะฮฺ. อัลบานีย. มุหัมมัด นาศีร อัดดีน. 1985. อิรวาอฺ อัลเฆาะลิล ฟย ตัครีญ อะหาดีษ มะนาร อัสสะบีล.พิมพ ครั้งที่ 2. เบรุต. อัลมักตับ อัลอิสลามิย.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
72
อัลบานีย. มุหัมมัด นาศีร อัดดีน. 1986. อัหกาม อัล-ญะนาอีซ. เบรุต. อัลมักตับ อัลอิสลามีย. อัลบุคอรีย. มุหัมมัด บิน อิสมาอีล อะบู อับดุลลอฮะ. 1987. อัลญามิอฺ อัศเศาะหีห อัลมุคตะศอร. พิมพครั้งที่ 2. ดาร อิบนุ กะษีร อัลยะมามะฮฺ. อัลมัญมะอฺ อัลฟกฮีย อัลอิสลามีย ลิ เราะบิเฏาะฮฺ อัลอาลัม อัลอิสลามีย. 1978 .การชันสูตรพลิกศพคนตาย. ครั้งที่ 10 จัดขึ้นที่มักกะฮฺ ประเทศซาอุดีอะราเบีย ระหวางวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ .1987 ถึงวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ .1978. อัลมีวาก. มุหัมมัด บิน ยูซุฟ บิน อะบีย กอซิม อัลอับดะรีย อะบู อับดุลลอฮฺ.1978. อัตตาญ วะ อัลอิกลิล. เบรุต. ดาร อัลฟกร. อัลอามีดีย. อาลีย บิน มุหัมมัด. ฮ.ศ. 1424. อัลอิหกาม ฟย อูศูล อัลอัหกาม.ดาร อัศศอมีอีย. อิบนุ นุญีม. อัชเชค อัลอาบิดีน บิน อิบรอฮิม. ค.ศ. 1980. อัลอัชบาฮฺ วะ อันนะซออิร. เบรุต. ดาร อัลกุตุบ อัลอิลมียะฮฺ. อิบนุ มาญะฮฺ. มุหัมมัด บิน ยะซีด อะบู อับดุลลอฮะ. ม.ป.ป. สุนัน อิบน มาญะฮฺ. เบรุต. ดาร อัลฟกร. อิบนุกุดามะฮฺ. 1972. อัลมุฆนี. เบรูต. ดาร อัลกูตูบ อัลอะเราะบี. อีมามมาลิก. มาลิก บิน อะนัส. 2004. มุวัฏเฏาะอฺ. พิมพครั้งที่ 1. มุอัสสะสะฮฺ ซายิด บิน สุลฏอน อาล นะฮฺยาน. ฮัยอะฮฺ กิบาร อัลอุละมาอฺ บิ อัลมัมละกะฮฺ อัลอะเราะบียะฮฺ. ฮ .ศ. 1412. หุกม ตัชรีหฺ ญิษษะฮฺ อัลมุสลิม. ริยาด. ดาร อุลิลนุฮาย.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย บทความรายงานการวิจัย
73
การพัฒนาตัวบงชี้และยุทธศาสตรความเปนสากล ของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต หิรัญ ประสารการ∗ ชิรวัฒน นิจเนตร∗∗ จรัส อติวิทยาภรณ∗∗∗ อิศรัฏฐ รินไธสง∗∗∗∗ บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อพัฒนาตัวบงชี้และยุทธศาสตรความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราช ภัฏภูเก็ต โดยมีกระบวนการวิจัย 2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัย ราชภัฏภูเก็ต โดยเริ่มตนจาก การศึ ก ษาความคิ ด เห็ นผู เ ชี่ ย วชาญ 20 ท า น ด ว ยเทคนิ ค เดลฟาย รอบแรกใช วิ ธี ก ารสั ม ภาษณ โ ดยใช แบบ สัมภาษณแบบมีโครงสราง รอบที่ 2 และ 3 ใชแบบสอบถามแบบมาตรประมาณคา 5 ระดับ แลวทําการคัดเลือก ตัวบงชี้โดยผูเชี่ยวชาญ จํานวน 5 ทาน และตรวจสอบความตรงของตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ภูเก็ต จากผูใหขอมูลหลัก จํานวน 250 คน โดยใชแบบสอบถามลักษณะมาตรประมาณคา 5 ระดับ วิเคราะห ขอมูลโดยการสังเคราะหเนื้อหา และใชโปรแกรมสําเร็จรูปทางสถิติ เพื่อวิเคราะหคาสถิติบรรยาย ไดแก คามัธยฐาน คาพิสัยระหวางควอไทล คาฐานนิยม ในการพิจารณาความสอดคลองความคิดเห็นของผูเชี่ยวชาญ คาเฉลี่ย และ คาความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อนําคาเฉลี่ย
∗
ดุษฎีบัณฑิต หลักสูตรการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาสาขาภาวะผูนาํ ทางการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ รองศาสตราจารย หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขายุทธศาสตรการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
∗∗
∗∗∗
ผูชวยศาสตราจารย ภาควิชาบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยทักษิณ
∗∗∗∗
อาจารย ภาควิชาบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยทักษิณ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
74
ไปเปรียบเทียบกับเกณฑในการประเมินความเที่ยงตรงของตัวบงชี้ คาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธเพียรสัน สําหรับ พิจารณาความเหมาะสมในการนําไปวิเคราะหองคประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง โดยใชโปรแกรมลิสเรล 8.52 ผลการวิจัยการพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากล พบวา องคประกอบสําคัญของความเปนสากลของ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ประกอบดวย 3 องคประกอบ คือ การจัดการเรียนการสอน การวิจัย และการบริการ วิชาการ โดยองคประกอบมีคาน้ําหนักองคประกอบจากมากไปหานอย คือ องคประกอบดานการวิจัย (.98) องคประกอบดานการบริการวิชาการ (.97) และองคประกอบดานดานการจัดการเรียนการสอน (.94) ซึ่งทั้ง 3 องคประกอบหลักตองดําเนินการผานตัวแปรที่เปนตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต 47 ตัว บงชี้ ประกอบดวย ตัวบงชี้ดานการจัดการเรียนการสอน จํานวน 35 ตัวบงชี้ ดานการวิจัย จํานวน 6 ตัวบงชี้ และ ดานการบริการวิชาการ 6 ตัวบงชี้ และผลการทดสอบของโมเดลโครงสรางเชิงเสนตัวบงชี้ความเปนสากลของ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยใชคาไค-สแควร คาดัชนีวัดระดับความกลมกลืน และดัชนีวัดระดับความกลมกลืน ที่ปรับแกแลว พบวา โมเดลมีความสอดคลองกับขอมูลเชิงประจักษ ขั้นตอนที่ 2 การจัดทําแผนยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดย การนําตัวบงชี้ที่ไดจากการพัฒนาในขั้นตอนที่ 1 มาศึกษาสภาพความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยสัมภาษณผูเชี่ยวชาญ จํานวน 10 ทาน เกี่ยวกับแนวทาง / วิธีการพัฒนาตามตัวบงชี้ เพื่อยกรางเปนแผน ยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จัดประชุมสัมมนาคณะทํางานดานวางแผน และพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อพิจารณาแผน และประเมินแผนโดยผูเชี่ยวชาญ จํานวน 5 ทาน โดยใชแบบประเมิน วิเคราะหขอมูลโดยการสังเคราะหเนื้อหา ผลการวิจัยการจัดทําแผนยุทธศาสตรความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต พบวา มีประเด็น ยุทธศาสตรในการดําเนินงาน 5 ประเด็นยุทธศาสตร ประกอบดวย 1) การพัฒนาศักยภาพคณาจารย 2) การ พัฒนาศักยภาพนักศึกษา 3) การพัฒนาระบบการเรียนการสอน 4) การพัฒนาระบบบริหารจัดการ และ5) การ สรางเครือขายความรวมมือกับสถาบันการศึกษาและองคกรตาง ๆ ในตางประเทศ คําสําคัญ: ตัวบงชี้ความเปนสากล, แผนยุทธศาสตร, มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
75 Abstract
The purpose of this study was to develop indicators and strategies for the internationalization of Phuket Rajabhat University. The first step of the research process was to develop indicators for the internationalization of Phuket Rajabhat University by analyzing experts’ opinions using the Delphi Technique starting at the first round of structured interviews with twenty experts and following by the second and third rounds of Likert scale questionnaires. Then, the indicators were selected by five experts and the validity of the indicators was checked by 250 key informants. Content analysis was used to study the research data. The data were analyzed using SPSS descriptive statistical analyzes : median, interquartile range, and mode to determine the relationship of the experts’ opinions; mean, and standard deviations were used to identify the suitable criteria of the internationalization indicators. Pearson’s correlation coefficient was used to measure the suitability of the component analysis for second–order confirmatory factor analysis using LISREL 8.52. The research findings the factors which influenced internationalization of Phuket Rajabhat University consisted of three factors ; instruction, research and academic service. The composite indicators of internationalization of Phuket Rajabhat University consisted of three majors in order of factor loading as follow : research (.98), academic service (.97), and instruction (.94). The three factors must be implemented by 47 variables which were the indicators of internationalization. There were 35 indicators of instruction, 6 indicators of research, and 6 indicators of academic service. Results of testing the linear structural model of Phuket Rajabhat University Internationalization indicators using chi-square, goodness of fit index (GFI), and adjusted goodness of fit index (AGFI) indicated that the model had a statistical significantly fit to empirical data. The second step was to develop a strategic plan for the internationalization of Phuket Rajabhat University by using the indicators derived from the first step as key factors to analyze the present situation of Phuket Rajabhat University’s internationalization management. Ten experts were interviewed for guidelines and approaches for developing the internationalization indicators. The data derived from the interviews were used to outline a strategic plan for internationalizing Phuket Rajabhat University. Next, the drafted strategic plan was measured by Phuket Rajabhat University’s planning and development staffs; then, the plan was evaluated by five experts. Concerning the development of Phuket Rajabhat University’s internationalization strategic plan, the study results showed that there were five strategic management factors; 1) teacher upgrading, 2) students’ quality development, 3) teaching and learning system improvement, 4) administrative and management system development, and 5) international university and organization collaborative networking. Keyword : Indicators of Internationalization, strategic plan, Phuket Rajabhat University
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
76 คํานํา
ความสัมพันธขามชาติมีบทบาทมากขึ้นทามกลางกระแสโลกาภิวัตน สงผลใหกําแพงระหวางชาติ และ กําแพงภาษีลดลง การคาเสรีขามชาติมากขึ้น อันเกิดการตลาดภายใตการคาเสรีขององคการคาโลก และการคา เสรีทวิภาคีระหวางสองประเทศ ตลอดจนการคาเสรีในภูมิภาค การคาบริการเขาไปเปนสวนหนึ่งของขอตกลง นําเอาการศึกษาและอุดมศึกษาเขาไปในฐานะสินคาบริการดวย (จรัส สุวรรณเวลา, 2551: 60) ซึ่งการศึกษาเปน สิ่งที่จะตองสนองตอบตอกระบวนการของโลกาภิวัตน (Slaughter and Leslie. 1997) สถาบันอุดมศึกษาจะตอง มีการบริหารจัดการในการใหบริการและผลิตบัณฑิตรองรับ (Gumport and Sporn, 1999: 103; Bartell. 2003) ดังนั้น อุดมศึกษาจึงเปนกลไกหนึ่งในการพัฒนาขีดความสามารถการแขงขันของประเทศสูระดับสากล ความ เขาใจในวัฒนธรรมที่หลากหลายและความตระหนักวาเปนสวนหนึ่งของสังคมโลกเปนสิ่งจําเปนที่จะใหนักศึกษา เปนผูนําที่มีประสิทธิภาพ และสามารถแขงขันไดในตลาดโลก และความทาทายที่สถาบันอุดมศึกษาอาเซียน กําลังจะเผชิญ คือ ในป พ.ศ.2558 มีการเปดเสรีมากขึ้น สินคา บริการ ดานการลงทุน และเงินทุนตาง ๆ รวมทั้งผู ประกอบวิชาชีพ ผูมีความสามารถและแรงงานฝมือไหลเวียนขามประเทศ (พัชราวลัย วงศบุญสิน, 2550: ii) ดังนั้น การศึกษาตองเผชิญความเปลี่ยนแปลง คือ การศึกษาในฐานะการคาประเภทบริการขามแดน และอิทธิพล ของการรวมตัวของประเทศในภูมิภาคอาเซียน กรอบแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ป ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2551 – 2565) ของสํานักงานคณะกรรมการการ อุดมศึกษา (สกอ.) ใหความสําคัญกับความเปนสากลของอุดมศึกษา โดยมีเปาหมาย คือ “การเพิ่มขีดความสามารถ ในการแขงขันของประเทศในยุคโลกาภิวัตน” มีการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับนานาชาติ โดยมีการเปรียบเทียบ คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของมหาวิทยาลัยตาง ๆ (นงลักษณ วิรัชชัย และสุวิมล วองวานิช, 2541 : 3 ; Damme. 2000) ตลอดจนการที่สถาบันอุดมศึกษาของรัฐตองจัดทําคํารับรองการปฏิบัติราชการประจําป โดยมีตัว บงชี้หลักที่เปนตัวบงชี้ความเปนสากล คือ ระดับความสําเร็จในการพัฒนามหาวิทยาลัยสูระดับสากล ในขณะที่ตัวบงชี้ดานระดับความสําเร็จของการพัฒนาสถาบันสูระดับสากลยังคงเปนตัวบงชี้ในภาพรวม มหาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ภู เ ก็ ต ต อ งมี ก ารพั ฒ นาไปสู ร ะดั บ สากล ซึ่ ง ตั ว บ ง ชี้ ค วามเป น สากลของแต ล ะ สถาบันอุดมศึกษาจะตองตรงตามปรัชญาและรูปแบบความเปนสากลของสถาบันอุดมศึกษานั้น ๆ (จรัส สุวรรณ เวลา, 2551: 222; สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2550: 13) และจากการศึกษาของแทมบาสเซีย (Tambascia, 2005) พบวา การที่มหาวิทยาลัยสามารถกาวสูระดับสากลจะตองวางแผนยุทธศาสตรที่ชัดเจน เชนเดียวกับแนวคิดของปเตอรสันและสเปนเซอร (Peterson and Spenser, 1990) บริบทของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตแตกตางจากสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ที่ชัดเจน คือ มหาวิทยาลัย ตั้งอยุในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเปนแหลงทองเที่ยวระดับโลก มหาวิทยาลัยควรมีตัวบงชี้เฉพาะบางอยางที่สอดคลองกับ ภูมิศาสตร เชน เปนมหาวิทยาลัยที่บริการทางการศึกษากับนักทองเที่ยวชาวตางชาติที่สนใจ ซึ่งแทมบาสเซีย (Tambascia, 2005) ไดศึก ษาพบวา สภาพภู มิ ศ าสตร เป น ป จจัย หนึ่ ง ที่ มี ผลต อ ความเป น สากลของ สถาบันอุดมศึกษา ประกอบกับแผนยุทธศาสตรจังหวัดภูเก็ตมุงพัฒนาเปนเมืองนานาชาติ ดังนั้นผูวิจัยจึงศึกษา ตัวบงชี้ความเปนสากลที่สอดคลองกับบริบทที่แทจริงของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ดวยความสําคัญดังกลาว ผูวิจัยจึงไดทําการศึกษาเรื่อง “การพัฒนาตัวบงชี้และยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราช ภัฏภูเก็ต”
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
77
วัตถุประสงค ในการวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยไดกําหนดวัตถุประสงคของการวิจัยไว ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต 2. เพื่อพัฒนายุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต วิธีดําเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เปนการพัฒนาตัวบงชี้และพัฒนายุทธศาสตรความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ภูเก็ต ใชระเบียบวิธีเชิงบรรยาย (descriptive research) มีขั้นตอนการวิจัย 2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มีการดําเนินการ ดังนี้ 1. ศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยใชเทคนิคเดล ฟาย ผูใหขอมูลหลักเปนผูเชี่ยวชาญ จํานวน 20 ทาน โดยการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือในการเก็บขอมูลประกอบดวย แบบสัมภาษณแบบมีโครงสราง จํานวน 1 ฉบับ และแบบสอบถามแบบ มาตรประมาณคา 5 ระดับ จํานวน 2 ฉบับ 2. คั ด เลื อ กตั ว บ ง ชี้ ค วามเป น สากลของมหาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ภู เ ก็ ต ที่ ม าจากความคิ ด เห็ น ของ ผูเชี่ยวชาญ ผูใหขอมูลหลักเปนผูเชี่ยวชาญ จํานวน 5 ทาน โดยการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) มี คุณสมบัติ คือ มีประสบการณการบริหารสถาบันอุดมศึกษาที่รับผิดชอบงานวิเทศสัมพันธ และเปนผูเชี่ยวชาญ เกี่ยวกับการวัดและการประเมิน หรือ เปนผูที่มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาตัวบงชี้ พิจารณาความเห็นและให คะแนนความตรงตามเนื้อหา โดยใชดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา (content valid index : CVI) (สุจิตรา เทียนสวัสดิ์, 2550; อางอิงจาก Davis, 1992 ; Lynn. 2005; Waltz et al., 2005) 3. ตรวจสอบความตรงของตั วบ งชี้ ความเป นสากลของมหาวิ ทยาลั ยราชภั ฏภู เ ก็ ต ผู ใ ห ข อ มู ล หลั ก ประกอบดวย ผูบริหาร คณาจารย และบุคลากรสายสนับสนุนการสอนของมหาวิทยาลัย จํานวนทั้งสิ้น 250 คน โดยผูวิจัยใชแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของตัวบงชี้ มีลักษณะมาตราสวนประมาณคา 5 ระดับ จํานวน 1 ฉบับ ขั้นตอนที่ 2 การจัดทําแผนยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ดําเนินการ ดังนี้ 1. การนําตัวบงชี้ จํานวน 47 ตัวบงชี้ที่ไดจากการพัฒนาในขั้นตอนที่ 1 มาศึกษาสภาพการดําเนินงาน ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตในปจจุบัน โดยการศึกษาเอกสาร และรายงานตาง ๆ โดยขอความ รวมมือกับหนวยงานตาง ๆ ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เชน รายงานการประจําปของมหาวิทยาลัย รายงานผล การดําเนินงานตามคํารับรองการปฏิบัติราชการประจําป รายงานการประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัย เปนตน 2. การนํ าขอมูลสภาพการดําเนินงานความเปนสากลของมหาวิทยาลั ยราชภัฏ ภูเก็ตในปจจุบันไป สัมภาษณผูเชี่ยวชาญ จํานวน 10 ทาน โดยการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) จํานวน 10 ทาน ประกอบดวย คณะผูบริหารของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต และนักวิชาการซึ่งเปนบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัย จํานวน 3 ทาน เกี่ยวกับแนวทาง / วิธีการพัฒนาตามตัวบงชี้
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
78
3. การสังเคราะหวิธีการพัฒนา / แนวทางการพัฒนาในแตละตัวบงชี้ เพื่อทําการยกรางแผนยุทธศาสตร การพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยการยกระดับขอมูลวิธีการพัฒนา / แนวทางการ พัฒนาในแตละตัวบงชี้เปนกลยุทธ (strategies) หลังจากนั้นหลอมรวมกลยุทธที่อยูในกลุมเดียวกันมากําหนด เปนประเด็นยุทธศาสตร (strategic issues) การพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยใช กรอบแนวคิดการประเมินแบบดุลภาพ (balanced scorecard) ของแคปแลนและนอรตัน (Kapland and Norton, 1998) 4. การจัด ประชุม สัม มนาคณะทํางานดานวางแผนและพัฒ นามหาวิ ท ยาลัย เพื่อพิ จารณารางแผน ยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏ 5. การประเมินรางแผนยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัย ราชภัฏภูเก็ต โดย ผูเชี่ยวชาญซึ่งเปนคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย จํานวน 5 ทาน โดยใชกรอบแนวคิดทฤษฎีของอิสเนอร (Eisner. 1976) และนําความคิดเห็นของผูทรงคุณวุฒิมาปรับปรุงแกไข สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยสามารถสรุปได ดังนี้ 1. การพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ประกอบดวย องคประกอบหลักที่ 1 การจัดการเรียนการสอน โดยมี 7 องคประกอบยอย คือ 1) คณาจารย 2) นักศึกษา 3) การบริการและการ บริหารจัดการ 4) เครือขายนานาชาติ 5) ทรัพยากร 6) หลักสูตร และ 7) ความมีชื่อเสียง องคประกอบหลักที่ 2 การวิจัย มี 2 องคประกอบยอย คือ 1) การบริหารจัดการวิจัย และ2) คุณลักษณะเฉพาะของผลงานวิจัย และ องคประกอบหลักที่ 3 การบริการวิชาการ มี 2 องคประกอบยอย คือ 1) การบริการวิชาการแกสังคม และ2) การ ทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม ผลการทดสอบความสอดคลองของโมเดลโครงสรางความเปนสากลกับขอมูลเชิง ประจักษ เพื่อพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยการวิเคราะหองคประกอบเชิง ยืนยันอันดับที่สอง ดวยโปรแกรมลิสเรล 8.52 ดังแสดงในตารางที่ 1 และภาพประกอบ 1
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย ตารางที่ 1
ตัวบงชี้
79
ผลการวิเคราะหองคประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง เพื่อพัฒนาตัวบงชี้รวมความเปน สากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต น้ําหนัก องคประกอบ b(SE)
การวิเคราะหองคประกอบอันดับแรก องคประกอบการจัดการเรียนการสอน (TEACHING) TELE (คณาจารยผูสอน) 0.85(0.03) TEST (นักศึกษา) 0.95(0.04) TESE (การบริการและการบริหารจัดการ) 0.92(0.05) TECO (เครือขายนานาชาติ) 0.93 (0.05) TERE (ทรัพยากร) 0.88 (0.05) TECU (หลักสูตร) 0.97 (0.05) TEWE (ความมีชื่อเสียง) 0.96(0.05) องคประกอบการวิจัย (RESEARCH) READ (การบริหารจัดการวิจัย) 0.99 (0.01) RERE (คุณลักษณะงานวิจัย) 0.89(0.03) องคประกอบดานการบริการวิชาการ (ACADEMIC) ASAS (การบริการวิชาการ) 0.97 (0.01) ASAC (การทํานุบํารุง ศิลปวัฒนธรรม) 0.82(0.04) การวิเคราะหองคประกอบอันดับสอง TEACHING (การจัดการเรียนการสอน) 0.94(0.06) RESEARCH (การวิจัย) 0.98(0.05) ACADEMIC (การบริการวิชาการ) 0.97(0.05) Chi-Square = 38.27 df = 27 GFI = 0.97 AGFI = 0.93 *p < .05
สปส. การพยากรณ (R2)
คาสถิติทดสอบ t (t-value)
0.68 0.85 0.80 0.73 0.88 0.87 0.96
9.92* 26.91* 19.88* 18.29* 16.61* 19.55* 18.42*
0.96 0.78
3.06* 26.44*
0.95 0.68
3.13* 20.62*
0.95 0.98 0.95
15.23* 20.94* 19.98*
RMSEA = 0.041 RMR = 0.012
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
80
ภาพที่ 1 ผลการวิเคราะหองคประกอบเชิงยืนยันตัวบงชี้รวมความเปนสากลของ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จากตารางที่ 1 และภาพที่ 1 ผลการวิเคราะหองคประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง เพื่อพัฒนาตัวบงชี้รวม ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต พบวา โมเดลการวิจัยสอดคลองกับขอมูลเชิงประจักษ โดยมีคาไคสแควร เทากับ 38.27 ที่ชั้นแหงความเปนอิสระ 27 นั่นคือ คาไค-สแควร แตกตางจากศูนยอยางไมมีนัยสําคัญ ทางสถิติ (p = .07) และคาดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (GFI) รวมทั้งคาดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก แลว (AGFI) มีคาเขาใกล 1 (0.97 และ 0.93 ตามลําดับ) เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของโมเดล พบวา น้ําหนัก องคประกอบของตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ที่สําคัญทั้ง 3 องคประกอบ มีคาเปนบวก และมีนัยสําคัญที่ระดับ .01 ทุกคา เรียงลําดับจากคาน้ําหนักองคประกอบจากมากไปหานอย คือ การวิจัย (.98) การบริการวิชาการ (.97) และการจัดการเรียนการสอน (.94) คาน้ําหนักองคประกอบดังกลาวแสดงวา ตัวบงชี้ ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เกิดจากองคประกอบดานการวิจัยเปนอันดับแรก รองลงมาคือ การบริการวิชาการ และการจัดการเรียนการสอน 2. การจัดทําแผนยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จากการศึกษา พบวา ประเด็นยุทธศาสตรในการดําเนินงานที่ผลักดันใหมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตกาวสูความเปนสากลมี 5 ประเด็นยุทธศาสตร ซึ่งประกอบดวย 1) การพัฒนาศักยภาพคณาจารย 2) การพัฒนาศักยภาพนักศึกษา 3) การ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
81
พัฒนาระบบการเรียนการสอน 4) การพัฒนาระบบบริหารจัดการ และ5) การสรางเครือขายความรวมมือกับ สถาบันการศึกษาและองคกรตาง ๆ ในตางประเทศ อภิปรายผลการวิจัย ผลการวิจัยการพัฒนาตัวบงชี้ และยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มีประเด็นที่สําคัญในการอภิปรายผลการวิจัย ดังนี้ 1. การพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จากผลการวิจัยแสดงใหเห็ นวา ตัวบงชี้หลัก ของความเปนสากลของมหาวิทยาลั ยราชภัฏ ภูเก็ตมี 3 องคประกอบ ประกอบดวย การจัดการเรียนการสอน การวิจัย และ การบริการวิชาการ รวม 47 ตัวบงชี้ ซึ่ง ปรัชญาหลักในการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เนนการเปนสถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาทองถิ่น ตั ว บ ง ชี้ ค วามเป น สากลทั้ ง 3 องค ป ระกอบข า งต น จึ ง มี ค วามสํ า คั ญ ต อ การยกระดั บ สู ค วามเปน สากลของ มหาวิทยาลัย และเปนตัวบงชี้ที่มีลักษณะเฉพาะตามศักยภาพของมหาวิทยาลัย สอดคลองกับแนวคิดดานความ สากลของสถาบันอุดมศึกษาของ จรัส สุวรรณเวลา (2551: 222) สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (2550: 13) และบารเทล (Bartel. 2003: 5) ที่มีแนวคิดวา การที่มหาวิทยาลัยจะพัฒนาสูความเปนสากลนั้นตอง สอดคลองกับบริบทของมหาวิทยาลัยอยางแทจริง นอกจากนี้ตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยจะตองตรง ตามปรัชญาและรูปแบบความเปนสากลของมหาวิทยาลัยนั้น ๆ ผลการวิเคราะหองคประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง พบวา องคประกอบที่มีคาน้ําหนักองคประกอบสูงสุด คือ องคประกอบดานการวิจัย มีคาน้ําหนักองคประกอบเทากับ .98 รองลงมา คือ องคประกอบดานการบริการ วิ ช าการ มี ค า น้ํ า หนั ก องค ป ระกอบเท า กั บ .97 และองค ป ระกอบที่ มี ค า น้ํ า หนั ก องค ป ระกอบต่ํ า สุ ด คื อ องคประกอบดานการจัดการเรียนการสอน มีคาน้ําหนักองคประกอบเทากับ .94 แสดงใหเห็นวากลุมตัวอยางซึ่ง เปนคณาจารยเปนสวนใหญใหความสําคัญกับองคประกอบดานการวิจัย สอดคลองกับผลการศึกษาของคูสเซอร (Kouijzer. 1994) ซึ่งพบวา การพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัย จะตองใหความสําคัญกับกิจกรรม ทางดานการวิจัย จากการวิเคราะหองคประกอบอันดับแรก ตัวบงชี้ค วามเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตมี ประเด็นที่สําคัญในการอภิปรายผลการวิจัย ดังนี้ 1.1 องคประกอบดานการจัดการเรียนการสอน ประกอบดวย 7 องคประกอบยอย คือ คณาจารยผูสอน นักศึกษา การบริการและการบริหารจัดการ เครือขายนานาชาติ ทรัพยากร หลักสูตร และความมีชื่อเสียง จากการ วิเคราะห พบวา โมเดลการจัดการเรียนการสอนสอดคลองกับขอมูลเชิงประจักษ ตัวบงชี้ทุกตัวเปนตัวบงชี้ที่ สําคัญของทุกองคประกอบยอย โดยองคประกอบยอยที่มีน้ําหนักองคประกอบสูงสุด คือ องคประกอบยอยดาน หลักสูตร รองลงมา คือ องคประกอบยอยดานความมีชื่อเสียง สวนองคประกอบยอยที่มีน้ําหนักองคประกอบ ต่ําสุด คือ องคประกอบยอยดานคณาจารยผูสอน แสดงใหเห็นวากลุมตัวอยางไดใหความสําคัญกับองคประกอบ ดานหลักสูตรเปนอันดับแรก เนื่องจากหลักสูตรเปนสิ่งสําคัญของสถาบันอุดมศึกษาซึ่งจะเปนเครื่องมือสําคัญใน การยกระดับเปนสากล สอดคลองกับแนวคิดของจรัส สุวรรณเวลา (2545) และ เทลเลอร (Taylor, 2004) ซึ่งให ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดหลักสูตรใหมวา จะตองเปนหลักสูตรที่สอดคลองตามความตองการของผูเรียนและ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
82
ตลาดแรงงาน โดยเฉพาะหลักสูตรนานาชาติที่สามารถสนองตอบตลาดแรงงานไดสูงจะเปนปจจัยสําคัญในการ ดึงดูดนักศึกษาชาวตางชาติ นอกจากนี้ยังสอดคลองกับผลการวิจัยของ สมคะเน ค้ําจุน (2543) อัลเลน (Allen, 2008) และ สุณี สาธิตานันต (2546) ที่ระบุวา ตัวบงชี้ความเปนสากลสวนใหญจะเกี่ยวของกับหลักสูตรการเรียน การสอน ดังนั้น มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตจะตองพัฒนาหลัก สูตรนานาชาติ ใหสอดคลองกับตลาดแรงงาน เพราะหลักสูตรจะเปนผลิตภัณฑสําคัญในการดึงดูดนักศึกษาทั้งไทยและตางชาติเขามาศึกษา 1.2 องคประกอบดานการวิจัย ประกอบดวย 2 องคประกอบยอย คือ การบริหารจัดการงานวิจัย และ คุณลักษณะเฉพาะของงานวิจัย จากการวิเคราะห พบวา องคประกอบยอยที่มีน้ําหนักองคประกอบสูงสุด คือ องคประกอบดานการบริหารจัดการวิจัย โดยมีตัวบงชี้ที่มีน้ําหนักองคประกอบสูงสุด คือ จํานวนโครงการวิจัยของ อาจารยและนักวิจัยที่ไดรับการสนับสนุนจากตางประเทศ ซึ่งสอดคลองกับจรัส สุวรรณเวลาและคณะ (2534: 110 อางถึงในกาญจนา บุญสง, 2551: 228) ที่กลาววา การบริหารงานวิจัยจะตองเปนลักษณะพิเศษแตกตาง จากการบริหารงานทั่วไป เพราะการบริหารงานวิจัยเปนการบริหารวิชาการ ซึ่งตองอาศัยกําลังความคิดของแตละ บุคคลเปนหลัก การบริหารจะเอื้อใหผูวิจัยแตละคนสามารถใชความคิดไดโดยอิสระ มีโอกาสสรางสรรคได การ ทํางานภายในกรอบหรือกระชับมากเทาใด ก็มีผลใหความสามารถที่จะผลิตผลงานมีนอยเทานั้น ขณะเดียวกัน การวิจัยจําเปนตองมีแรงกระตุน ชักนํา และดูแลจึงจะไดผลดี โดยเฉพาะอยางยิ่งการรักษาคุณภาพของงานวิจัย และตัวบงชี้ ดังกลา ว สอดคล องกั บตั วบง ชี้ก ารประเมิน คุณ ภาพการศึก ษาของสํา นักงานคณะกรรมการการ อุดมศึกษา (สกอ.) (2550: 50) สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) (2550) และผลการวิจัย ของสมคะเน ค้ําจุน (2543: 109) นอกจากนี้องคประกอบยอยดานคุณลักษณะเฉพาะของงานวิจัย โดยตัวบงชี้ที่มี คาน้ําหนักสูงสุด คือ ตัวบงชี้ระดับความสําเร็จของการพัฒนาศูนยขอมูลผลงานวิจัยอันดามัน ซึ่งแสดงใหเห็นวา บุคลากรของมหาวิทยาลัยตองการใหมหาวิทยาลัยมีการจัดตั้งศูนยขอมูลดังกลาว ทั้งนี้เพื่อเปนขอมูลสารสนเทศ ผลงานวิจัยอันดามัน ที่มีความสําคัญตอการนําผลการวิจัยไปใชประโยชน และชวยใหนักวิจัยสามารถตอยอด ฐานความคิดจากผลการวิจัย ซึ่งสอดคลองกับสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแหงชาติ (2549: 3) ที่กลาว วา สถาบันอุดมศึกษาควรมีการพัฒนาฐานขอมูลสารสนเทศที่เกี่ยวกับการวิจัยเพื่อเปนแหลงเรียนรู เผยแพร และ ถ า ยทอดองค ค วามรู สู สั ง คม มี ก ารเผยแพร ผ ลงานวิ จั ย ตั ว บ ง ชี้ ทั้ ง สองตั ว บ ง ชี้ จ ะมี คุ ณ ลั ก ษณะเฉพาะของ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยตัวบงชี้จํานวนผลงานวิจัยดานการทองเที่ยว การจัดการทางทะเล พืช สัตวน้ํา เนื่องจากภารกิจดานการวิจัยเปนภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ซึ่งเปนสถาบันอุดมศึกษาหลักในฝง อันดามัน และเปนกลุมจังหวัดที่ใหความสําคัญกับการทองเที่ยว และปจจุบันอุตสาหกรรมการทองเที่ยวไดสราง รายไดหลักใหกับประเทศ รัฐบาลจึงมุงใหการพัฒนาการทองเที่ยวไทยในทุก ๆ ดาน 1.3 องคประกอบดานการบริการวิชาการ ประกอบดวย องคประกอบยอย 2 องคประกอบ คือ การ บริการวิชาการ และการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม จากการวิเคราะห พบวา องคประกอบยอยดานการบริการ วิชาการ มีน้ําหนักองคประกอบเปนอันดับสูงสุด และมีความสอดคลองกับขอมูลเชิงประจักษ โดยตัวบงชี้ที่มี น้ําหนักองคประกอบสูงสุด คือ ตัวบงชี้จํานวนโครงการที่ใหบริการโดยใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่ง มหาวิทยาลัยเปนแหลงรวมความรู มีบุคลากรที่มีความสามารถทางวิชาการ ในสวนขององคประกอบยอยดาน การทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม จากการวิเคราะหองคประกอบเชิงยืนยันอันดับแรก พบวา องคประกอบยอยดาน การทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม มีคาน้ําหนักองคประกอบเทากับ 0.82 และมีความสอดคลองกับขอมูลเชิงประจักษ การทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตประสบผลสําเร็จจากการดําเนินงานดานนี้เปนอยางดี
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
83
โดยผลการประเมินคุณภาพภายนอก (รอบ 2) มหาวิทยาลัยไดคะแนนในมาตรฐานการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม ในระดับดีมาก (มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต, 2549: ค) อีกทั้งมหาวิทยาลัยมีศูนยวัฒนธรรมซึ่งเปนแหลงรวบรวม ขอมูลทางดานศิลปวัฒนธรรมในฝงอันดามัน 2. การพัฒนายุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต การศึกษา พบวา การจัดทําแผนยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เปนกระบวนการหนึ่งที่จะพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยได ซึ่งสอดคลองกับแนวคิดของอายูบี (Ayoubi. 2006 : 261) อิงเบิรท และกรีน (Engbert & Green, 2002) และจรัส สุวรรณเวลา (2545) ที่ใหแนวคิดไววา การที่ จะก า วสูค วามเป น สากลนั้ น จะต อ งมี นโยบายที่ ชั ด เจน มียุ ทธศาสตร และแผนงานที่เ หมาะสม ตระหนั ก ถึ ง ความสําคัญและประโยชน มีความเขาใจความหมายและขอบเขตของความเปนสากลตรงกัน การมีสวนรวมใน การเลือกกลวิธี และแนวทางการพัฒนาของทุกฝายในมหาวิทยาลัยก็มีความสําคัญ กิจกรรมที่จะนําไปสูความ เปนสากล ทุกฝายจึงตองมีความเพียรพยายามที่จําเปน โดยเฉพาะอยางยิ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิธี ปฏิบัติ รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพ การตลาดและการประชาสัมพันธ และการเขาถึงขอมูล รวมทั้งการจัดการทาง การเงิน เนื่องจากความเปนสากลมีคาใชจายสูง และตองเกิดขึ้นภายในกรอบความจํากัด ของทรัพยากรของ มหาวิทยาลัย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตตองดําเนินการตามที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ ราชการ (ก.พ.ร.) กําหนดใหมหาวิทยาลัยจัดทําแผนพัฒนาสูสากล เพื่อนําไปสูการยอมรับทางวิชาการในระดับ ภูมิภ าคหรื อ นานาชาติ หรื อได รั บการจัด อั น ดั บสาขาวิ ช าหรื อสถาบั น อุ ด มศึ ก ษาชั้ น นํ า ของโลก (สํ านั ก งาน คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.), 2550: 30) ขอเสนอแนะ ขอเสนอแนะในการนําผลการวิจัยไปใช 1. ผลการพัฒนาตัวบงชี้ที่สําคัญของความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ประกอบดวย 3 องคประกอบสําคัญ คือ การจัดการเรียนการสอน การวิจัย และการบริการวิชาการ ซึ่งเปนตัวบงชี้ที่สามารถแสดง ใหเห็นอัตลักษณของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ดังนั้นจึงควรนําตัวบงชี้เหลานี้มาใชในการสงเสริมและสนับสนุน ใหมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตกาวสูสากล 2. มหาวิทยาลัยสามารถแผนยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัย ไปปฏิบัติได กําหนดเปาหมายการดําเนินงานโดยใชผลการดําเนินงานที่ผานมาเปนขอมูลพื้นฐาน และกําหนดเปาหมายเชิง พัฒนา การจัดสรรทรัพยากร ตลอดจนมีการประเมินโดยที่ใชเกณฑการประเมินที่ชัดเจน 3. มหาวิทยาลัยราชภัฏอื่น ๆ สามารถนําตัวบงชี้ไปประยุกตใชในการพัฒนามหาวิทยาลัยสูความเปน สากลไดอยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การวิจัยครั้งนี้ ไดดําเนินการภายใตขอบเขตที่ผูวิจัยกําหนดไว ดังนั้น ผูวิจัยจึงไดเสนอแนวทางบาง ประการที่จะเปนประโยชนสําหรับการวิจัยในครั้งตอไป ดังนี้ 1. ผลจากการวิจัย พบวา ตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มี 47 ตัวบงชี้ ดังนั้น ใน การวิจัยครั้งตอไป ควรมีการนําตัวบงชี้ทั้ง 47 ตัวบงชี้ดังกลาว ไปทดลองใชในสถานการณจริงในมหาวิทยาลัย ราชภัฏภูเก็ต แลวติดตามผลการนําตัวบงชี้เหลานี้ไปใชโดยใชรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research)
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
84
2. การวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยทดสอบความสอดคลองของโมเดลโครงสรางความเปนสากลของมหาวิทยาลัย ราชภั ฏ ภู เ ก็ ต และพั ฒนาตั ว บ ง ชี้ รวม ซึ่ ง มี ข อดี กล า วคื อ เป น ตั วบง ชี้ที่ ส ามารถอธิ บ ายความเป น สากลของ มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ตไดครอบคลุม ทั้ง 3 ดาน ซึ่งไดแกดานการจัดการเรียนการสอน ดานการวิจัย และดาน การบริการวิชาการ ดังนั้น ในการวิจัยครั้งตอไป ควรมีการศึกษาตอโดยการนําสมการตัวบงชี้รวมบทบาทความ เปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตที่ไดจากการศึกษาครั้งนี้ไปเปนแนวทางในการพัฒนาตัวบงชี้ความเปน สากลของมหาวิทยาลัยราชภัฎอื่น ๆ ตามบริบทพื้นที่ที่ไมเหมือนกัน เอกสารอางอิง กาญจนา บุญสง. 2551. การพัฒนาตัวบงชี้บทบาทความเปนมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาทองถิ่น ข อ ง มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี. ดุษฎีนิพนธ การศึกษาดุษฎีบัณฑิต (บริหารการศึกษา). กรุงเทพ ฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. จรัส สุวรรณเวลา. 2551. ความเปนอิสระของมหาวิทยาลัยไทย. กรุงเทพ ฯ : สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัย. จรัส สุวรรณเวลา. 2545. อุดมศึกษาไทย. กรุงเทพ ฯ: สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. พัชราวลัย วงศบุญสิน และคณะ. 2550. การเพิ่มผลิตภาพแรงงานอาเซียน. กรุงเทพ ฯ: สํานักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัยแหงชาติ. (อัดสําเนา). นงลักษณ วิรัชชัย และสุวิมล วองวานิช. 2541. การวิเคราะหการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของประเทศในเอเชีย. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพเซเวนพริ้นติ้งกรุฟ. มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต. 2549. รายงานการประเมินคุณภาพภายนอก (รอบ 2) มหาวิทยาลัยราชภัฏ ภูเก็ต. ภูเก็ต : มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต. สมคะเน ค้ําจุน. 2543. การศึกษาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ดุษฎีนิพนธ การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาการอุดมศึกษา กรุงเทพ ฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. สุจิตรา เทียนสวัสดิ์. (2550, ตุลาคม – ธันวาคม). “ดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา: ขอวิพากษและขอเสนอแนะวิธีการ คํานวณ,” พยาบาลสาร. 34(4), หนา 1 – 9. สุ ณี สาธิ ต านั น ต . 2546. รู ป แบบการพั ฒ นาสู ค วามเป น สากลของสถาบั น ราชภั ฏ ในภาค ตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ รายงานการศึ ก ษาอิ ส ระปริ ญ ญาดุ ษ ฎี บั ณ ฑิ ต สาขาพั ฒ นศาสตร . ขอนแกน : มหาวิทยาลัยขอนแกน. สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. 2551. คูมือการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ตามคํารับรอง การปฏิบัติราชการของสถาบันอุดมศึกษา ประจําปงบประมาณ พ.ศ.2552. กรุงเทพ ฯ: สํานักงาน คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. 2550. กรอบแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ป ฉบับที่ 2 (พ.ศ.25512565). กรุงเทพ ฯ: สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
85
Allen, C. 2008. Internationalization Indicators in Comprehensive University. retrieved September,15 2008, from http://nasulge.org/NetCommunity/Document.Doc?id=1086 Ayoubi, R. and EL-Habiabeh, A. (2006). “An Investigation into international businesscollaboration in higher education organizations : a case study of international partnerships in four UK leading university”, International Journal of Educational Management. 20(5), 380 -396. Bartell. M. 2003. Internationalization of universities : A university culture-base framework. Higher Education. 45(1), 43 – 70. Damme, D.V. 2000. Internationalization and quality assurance: Toward worldwide accreditation?. European Journal Law and Policy. 4(1), 1 – 20. Engberg, D. and Green, M. F. 2002. Promising practices: Spotlighting excellence in comprehensive internationalization. Washington, DC: American Councilon Education. Eisner, E. 1976. Education connoisseurship and criticism : Their from function in education evaluation. n.p. Gumport, P.J. and Sporn, B. 1999. “Institutionnal adaptation: Demand for management reform and university administration,” In Smart, J.C. and Tierney, W.G. (Eds.). Higher education:Handbook of theory and research Volum XIV, (pp. 103–145).New York: Agathon Press. Kaplan, R. S. and Norton, D. P. 1998. The balance scorecard-measures that drive performance. Harvard: Harvard Business Review on Measuring Corporate Performance. Kouijzer, R. 1994. “ Internationalization : Management and strategic policy development,” Higher Education Management. 12(4). 99 – 103. Peterson, M.W. and Spenser, M.G. 1990. Understanding academic culture and climate. In Tierney, W.G. (ed), Assesing Academic Climates and Culture. New Directions for Institutional Research, Volum IX. New York : Agathon press, pp.344 – 388. Slaughter, S. and Leslie, L. 1997. “Expanding and Elaborating the Concept of Academic Capitalism” Organization. 8(2). 154 – 161.retrieved April,15 2008, from http://org.sagepub.com/cgi/pdf_extract/8/2/154 Tambascia, J.A. 2005. Internationalization of Higher Education a case study of a private U.S. research university. Doctoral dissertation of philosophy (Education). University of Southern California. Retrieved April 6, 2008, from http://proquest.umi.com/dissertations/preview_all/3219855 Taylor, J. 2004, Jun. “Toward a strategy for internationalization: Lesson and practice from four universities,” Journal of Studies in International Education. 8(2), 149 – 171.
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
87
บทความรายงานการวิจัย กิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ∗
มุมีนะห บูงอตาหยง ∗∗ อิบราเฮ็ม ณรงครักษาเขต บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อ (1) ศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ในการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 (2) ศึกษาปญหา อุปสรรคและขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ของโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 กลุมตัวอยางที่ใชในการเก็บขอมูลเชิง ปริมาณ คือ ครูผูสอนสายวิชาศาสนาและสามัญ จํานวน 393 คน เครื่องมือที่ใชในการเก็บขอมูล เปนแบบสอบถาม ซึ่งผูวิจัยไดพัฒนาขึ้นเอง สวนขอมูลเชิงคุณภาพไดจากผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรม พัฒนาผูเรียน โดยผานการสัมภาษณ ผลการวิจัยพบวา (1) ระดับการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับมัธยมศึกษาใน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ตามความเห็นของครูพบวา โดยภาพรวมและตาม รายขอมี การดําเนินการอยูในระดับมาก ทั้งนี้รูปแบบในการดําเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝง คุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ตามความเห็นของ ผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ซึ่งมีความเห็นตรงกันพบวา มีการใชทุก โรงเรียนทั้งหมด 6 รูปแบบ คือ กิจกรรมกลุมศึกษาอิสลาม (ฮาลาเกาะฮฺ) กิจกรรมละหมาดกลางคืนรวมกัน (กิยามุล ลัยลฺ) กิจกรรมถือศีลอดรวมกัน เดือนละ 1-2 ครั้ง กิจกรรมตักเตือนกัน (พี่เตือนนอง/เพื่อนเตือนเพื่อน) กิจกรรมการ บรรยายใหความรูเกี่ยวกับความประเสริฐของคุณธรรมจริยธรรมในดานตางๆ และคายอบรมจริยธรรมอิสลาม (2) ปญหาและอุปสรรคในการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ของโรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 พบวา ครูผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบ กิ จกรรมพัฒนาผูเรียนมี ความเห็นที่สอดคลองกัน คื อ ป ญหาด านเวลาไม เพียงพอและงบประมาณที่มี จํากั ด นักเรียนขาดจิตสํานึก ขาดความเอาใจใสจากครอบครัว สวนขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนดังกลาว คือ ผูบริหาร บุคลากรและนักเรียนควรสรางจิตสํานึกที่ดีในการปฏิบัติคุณธรรมจริยธรรม เพื่อเปนแบบอยางที่ดี ควร มีการปรับปรุงเวลาเรียนและใหมีความพรอมดานสื่อวัสดุอุปกรณ ควรเปดโอกาสใหนักเรียนแสดงความสามารถใน การนําเสนอรูปแบบกิจกรรมและมีบทบาทในการดําเนินกิจกรรม ควรมีกิจกรรมประชุมพบปะผูปกครองเปนประจํา ควรจัดกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมอยางตอเนื่อง โดยเฉพาะกิจกรรมการทําฮาลาเกาะฮฺประจําโรงเรียนและ จัดใหมีการประชุมฮาลาเกาะฮฺทุกสัปดาห และกิจกรรมการเยี่ยมเยียนตามบานของนักเรียน คําสําคัญ: กิจกรรมพัฒนาผูเรียน, คุณธรรมจริยธรรมอิสลาม, โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม, เขตพื้นที่ การศึกษายะลา เขต1
∗
นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาอิสลามศึกษา วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี Asst. Prof. Ph.D. (การศึกษา) อาจารยประจําวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี
∗∗
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
88
Abstract The purposes of this research are to study (1) The model of student development activities to foster the Islamic moral and ethics of secondary school students in the Islamic Private Schools in Yala Educational Service Area, Region1. (2) Problems, obstacles, and suggestions relevant to student development activities which will foster the Islamic moral and ethics of secondary school students in the Islamic Private Schools in Yala Educational Service Area, Region1. Samples of the study were 393 teachers. Instrument for quantitative data was questionnaire while qualitative data gained from school administrators via the in-depth interview. Findings of the study showed that 1) With regards to the level of inculcating the Islamic moral and ethics in Islamic Private School students in the Yala Educational Service Area, Region1 in accordance with opinion of teachers, school administrators and officers from student activity affairs, it was at the high level. There were six forms of activities implementing, namely, Halaqa (Islamic study group), Qiyamullail in Jama>‘ah (Night prayer as a group), Fasting together for about 1-2 times a month, correcting mistake among friends, religious sermon about how important the Islamic moral and ethics are, and the moral and ethics training camp. Moreover, the results also showed that the level of fostering the moral and ethics were high in all aspects. 2) In terms of the problems and obstacles in the student development activities to foster the Islamic moral and ethics in the Islamic Private School in Yala Educational Service Area, Region1, school administrators, officers from the activities affairs or those responsible for student development activities, and teachers, they have similar opinions, namely, no enough time and budget, lack of responsibility from the staff themselves, students have no motivation and do not understand the values of moral and ethics, the different of financial status among students, the parents do not build enough consciousness to their children in terms of Islamic moral and ethics, and finally there are no specific activities. There are some suggestions for the student development activities, such as school administrators, staff, and students should build consciousness in practicing good Islamic moral and ethics as good examples. A study timetable and the educational media should be modified. The students should have chances to show their abilities in terms of activities. They should have an opportunity to get involved in organizing activities. There should have a regular meeting for parents. The activities which develop the moral and ethics should be organized regularly such as Halaqa and visiting houses of students. Keywords: Student Development Activities, Islamic moral and ethics, Islamic Private Schools, Yala Educational Service Area, Region1
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
89
บทนํา มุสลิมทุกคนตางใฝฝนที่จะเปนที่รักของอัลลอฮฺ และเปนที่รักของคนรอบขางและสังคมโดยรวม ทุกคนใฝฝน ที่จะเปนผูที่ไดรับการยกยองและมีเกียรติในสังคมและโลกอาคิเราะฮฺ และใฝฝน ที่จะมีชีวิตความเปนอยูที่ดีบนโลกนี้ และไดรับการตอบแทนที่ดีในโลกอาคิเราะฮฺและปลอดภัยจาก ไฟนรก...ทั้งหมดนั้นลวนเปนความดีงามของอิสลาม (al-‘Adawiy, 1997: 5-6) ผูที่จะเปนที่รักของอัลลอฮฺ เปนที่รักและนาชื่นชมจากคนรอบขาง และไดรับการตอบแทน ที่ดีงามในโลกอาคิ เราะฮฺ จําเปนตองเปนผูที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงาม และผูที่มีคุณลักษณะ ที่เพียบพรอมดานคุณธรรมจริยธรรมที่ดี งามคือทานนบีมุฮัมมัด ดังที่อัลลอฮฺ ไดยกยองทาน นบีมุฮัมมัด วาเปนผูมีคุณธรรมจริยธรรมที่ยิ่งใหญ ซึ่งพระองคไดตรัสในอัลกุรอานวา zn m l k{ ความวา “และแทจริงเจานั้นอยูบนคุณธรรมอันยิ่งใหญ”
(อัลเกาะลัม, 68: 4)
และทานนบีมุฮัมมัด ไดกลาวถึงความประเสริฐของผูที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงามวา "ﺧﹸﻠﻘﹰﺎ ﻢ ﻬﺴﻨ ﺣ ﺎ ﹶﺃﺎﻧﲔ ﹺﺇﳝ ﻣﹺﻨ ﺆ ﻤﻞﹸ ﺍﹾﻟﻤ "ﹶﺃ ﹾﻛ ความวา “บรรดาผูศรัทธาที่มีศรัทธาที่สมบูรณที่สุดคือผูที่มีจริยธรรมที่ดีงามที่สุดในหมูพวกเขา” (บันทึกโดย Abu Dawud, n.d.: 4682, al-Tirmidhiy, n.d.: 1162) ดวยการยึดปฏิบัติในคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงามของบรรดาบรรพชนรุนแรกตามที่ทานนบีมุฮัมมัด × ไดทิ้งเปน แบบอยางไว ทําใหพวกเขาเปนปูชณียบุคคลที่มีจริยธรรมที่สูงสง ประชาชนจากที่ตางๆไดทยอยเขารับอิสลามเปน ระลอกๆ เนื่องจากพวกเขาไดเห็นและสัมผัสถึงการมีปฏิสัมพันธที่ดีเยี่ยม และการมีจริยธรรมที่สูงสงยิ่งกวาที่พวกเขา เคยประสบมา (al-khaznadar, 1997: 13) โรงเรียนเปนสถาบันการศึกษาที่มีบทบาทสําคัญยิ่งในการอบรมขัดเกลาเยาวชน และบมเพาะวัฒนธรรมและ พฤติกรรมที่ถูกตอง สถาบันการศึกษาโดยรวมไดใหความสําคัญกับกิจกรรมพัฒนาผูเรียน โดยมีจุดมุงหมายเพื่อใชเวลา วางของเยาวชนใหเปนประโยชนตอพวกเขาเอง และเพื่อเปลี่ยนแปลง ปลูกฝงและพัฒนาบุคลิกภาพของผูเรียนในดาน ตางๆ โดยเฉพาะดานคุณธรรมจริยธรรม เพราะการเรียนไมไดเปนเพียงการตักตวงความรูเทานั้น แตเปนกระบวนการที่ เอื้อประโยชนในการสรางบุคลิกภาพที่ดีงามแกนักศึกษาในทุกๆดาน พรอมกับปลูกฝงจิตวิญญาณความรับผิดชอบใน ชีวิต ทั้งตอตนเอง ครอบครัว และสังคมรอบขาง (al-Kharashiy, 2004: 6) ดวยเหตุนี้ การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 จึงไดกําหนดจุดมุงหมาย ซึ่งเปนมาตรฐานการ เรียนรูใหผูเรียนเกิดคุณลักษณะอันพึงประสงค ไววา “เห็นคุณคาของตนเอง มีวินัยในตนเอง ปฏิบัติตนตามหลักธรรม หรือศาสนาที่ตนนับถือ มีคุณธรรม จริยธรรมและคานิยมที่พึงประสงค” (กระทรวงศึกษาธิการ, 2545: 4) กิจกรรมพัฒนาผูเรียน เปนกิจกรรมที่จัดขึ้นอยางเปนกระบวนการดวยรูปแบบและวิธีการที่หลากหลาย ให ไดรับประสบการณ จากการปฏิบัติจริง มีความหมายและมีคุณคาในการพัฒนาผูเรียน ทั้งดานรางกาย จิตใจ สติปญญา อารมณและสังคม มุงเสริมเจตคติ คุณคาชีวิต ปลูกฝงคุณธรรมและคานิยมที่พึงประสงค สงเสริมใหผูเรียน รูจักและเขาใจตนเอง สรางจิตสํานึกในธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ปรับตัวและปฏิบัติตนใหเปนประโยชนตอสังคม ประเทศชาติและดํารงชีวิตไดอยางมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546: 2–3)
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
90
โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเปนสถานศึกษาของเอกชนที่พัฒนามาจากการเรียนระบบ “ปอเนาะ” เปน สถาบันการศึกษาที่เปดสอนวิชาศาสนาควบคูกับวิชาสามัญ โดยไดรับการสนับสนุนจากภาครัฐในดานงบประมาณ บุคลากร และวิชาการ จังหวัดยะลา เปนจังหวัดหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใตที่มีโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามอยูอยาง หนาแนน ทุกโรงเรียนลวนมุงเนนการอบรมขัดเกลาพฤติกรรมของผูเรียนใหเปนผูที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงาม และมีคานิยมที่พึงประสงคตามหลักการอิสลาม โดยจะมีกิจกรรมการบมสอนและปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมทั้ง ทางตรงในรายวิชาจริยธรรม และทางออมในกิจกรรมพัฒนาผูเรียนนอกเวลาเรียน แตจากการสํารวจขอมูล เบื้องตนพบวา การจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนเพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา อิสลามในเขตจังหวัดยะลาไดประสบกับปญหาและอุปสรรคหลายอยาง ทั้งดานเวลา อุปกรณ งบประมาณ และ ความรวมมือของบุคลากรและผูเรียนเอง จากความเปนมาขางตน ผูวิจัยจึงสนใจที่จะศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมเพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรม ใหแกนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ศึกษาปญหาและอุปสรรคบางประการที่ทําให การจัดกิจกรรมดังกลาวไมประสบผลสําเร็จเทาที่ควร พรอมทั้งนําเสนอขอเสนอแนะและวิธีการแกปญหา เพื่อเปน แนวทางในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมใหกับสถาบันการศึกษาในทุกระดับตอไป อินชาอัลลอฮฺ วัตถุประสงคของการวิจัย 1. เพื่อศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 2. เพื่อศึกษาปญหา อุปสรรค และขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ขอบเขตของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยทําการศึกษาเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนระดับมัธยมศึกษา เพื่อปลูกฝง คุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 โดยกําหนดขอบเขตของ การวิจัย ดังนี้ (1) ประชากร คือ ครูผูสอนสายวิชาศาสนาและวิชาสามัญ (2) กลุมตัวอยาง คือ ครูผูสอนสายวิชาศาสนา และวิชาสามัญ จํานวน 400 คน จาก 6 โรงเรียน วิธีดําเนินการวิจัย ประชากร กลุมตัวอยาง วิธีสุมตัวอยาง ประชากรที่ ใช ในการศึ กษา ได แก ครู ที่ สอนสายวิ ชาศาสนาและวิ ชาสามั ญ ซึ่ งมี ส วนร วมในการดู แล รับผิดชอบเกี่ยวกับกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ประจําปการศึกษา 2550 ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม มาตรา 15 (1) จังหวัดยะลา จาก 21 โรงเรียน จํานวน 1,762 คน กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษา ไดแก ครูผูสอน ซึ่งกําหนดขนาดของกลุมตัวอยางไดมาจากการคํานวณหา ขนาดกลุมตัวอยางโดยใชสูตรของทาโร ยามาเน (Taro Yamane’, 1973: 727-728) ซึ่งประชากรครูผูสอน จํานวน 1,762 คน ไดขนาดกลุมตัวอยาง 399.77 คน ทั้งนี้ผูวิจัยไดปดเปนเลขกลมเปน 400 คน แตเมื่อดําเนินการแลวกลุมตัวอยางที่ ตอบรับ จํานวนทั้งสิ้น 393 คน
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
91
วิธีการเลือกกลุมตัวอยาง ใชวิธีการสุมกลุมตัวอยางจากประชากรเปาหมายใน 6 โรงเรียน โดยการสุมอยางงาย (Simple Random Sampling) จากสูตรการกระจายตามสัดสวน ดังนั้นไดจํานวน กลุมตัวอยาง จํานวนทั้งหมด 400 คน การเก็บรวบรวมขอมูล ผูวิจัยเก็บรวบรวมขอมูลโดยศึกษาอัลกุรอาน อัลหะดีษ เอกสารเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมอิสลามและ งานวิ จั ยต าง ๆ ที่ เกี่ ยวข อง และเก็บรวบรวมขอมูลภาคสนามเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมพั ฒนาผูเรียน ประกอบดวย แบบสอบถาม ซึ่งผูวิจัยไดจัดสงแบบสอบถามดวยตัวเองถึงครูผูสอน จํานวน 400 ฉบับ ตอบแบบสอบถามและสงคืนมา จํานวน 393 ฉบับ คิดเปนรอยละ 98.25 และแบบสัมภาษณ ซึ่งผูวิจัยขอสัมภาษณ ผูบริหารโรงเรียน จํานวน 6 คน ตอบ รับการสัมภาษณ จํานวน 5 คน คิดเปน รอยละ 83.33 ฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบฝายกิจกรรมพัฒนาผูเรียน จํานวน 6 คน ตอบรับการสัมภาษณ จํานวน 6 คน คิดเปนรอยละ 100 สรุปและอภิปรายผลการวิจัย (1) ระดับการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในโรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ตามความเห็นของครู ผลการวิจัยพบวา คุณธรรม จริยธรรมตามที่กําหนด 6 ดาน คือ ดานความยําเกรง (ตักวา) ตออัลลอฮฺ ดานความอดทน (ศ็อบรฺ) ดานการ ใหอภัย (อัฟวฺ) ดานความบริสุทธิ์ใจ (อิคลาศ) ดานความซื่อสัตยสุจริต (ศิดกฺ) และดานความยุติธรรม (อัดลฺ) โดยภาพรวมมี ก ารปลูก ฝ ง อยู ใ นระดั บ มาก และเมื่อ พิ จ ารณารายข อ พบว า อยู ใ นระดับ มากทุ ก รายการ เหมือนกันทุกดาน ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา ครูมีการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามที่มี ลัก ษณะครอบคลุมทุกดา น ทํา ใหมีร ะดับ ที่ไ มแตกต า งกัน คือ ทุกดา นอยูใ นระดับ มาก ซึ่งสอดคลอ งกั บ ผลการวิจัยของพรหมมินทร สุมาลี (2546) การศึกษาสภาพและปญหาการจัดกิจกรรมนักเรียนตามความ คิดเห็นของผูบริหารและครู ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา ทั้งนี้อาจ เปนเพราะวา ครูบางทานยังขาดประสบการณในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมแกนักเรียน ซึ่งสอดคลองกับ ผลการวิจัยของ ฐิติพร ทองมูล (2551) เกี่ยวกับปญหาสภาพการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ตามหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ของโรงเรียนในสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาตาก เขต1 ซึ่งได ขอสรุปวา ครูขาดประสบการณในการจัดกิจกรรม การจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนไมนาสนใจ การบริการ ขอมูลขาวสารใหกับผูเรียนลาชา ขาดวัสดุอุปกรณ และหนังสือมาบริการนักเรียน ไมมีการนิเทศติดตามการ จัดกิจกรรม ครูไมจริงจังในการปฏิบัติหนาที่ เปนตน (2) รูปแบบในการดําเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ในโรงเรียน เอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ตามความเห็นของผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่ รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียน มีรูปแบบที่สามารถนําไปใชทุกดานของคุณธรรมจริยธรรมอิสลามทั้ง 6 ดาน ประกอบดวย ดานความยําเกรงตออัลลอฮฺ (ตักวา) ดานความอดทน (ศ็อบรฺ) ดานการใหอภัย (อัฟวฺ) ดานความบริสุทธิ์ ใจ (อิคลาศ) ดานความซื่อสัตยสุจริต (ศิดกฺ) และดานความยุติธรรม (อัดลฺ) ซึ่งมีทั้งหมด 6 รูปแบบ คือ กิจกรรมกลุม ศึกษาอิสลาม (ฮาลาเกาะฮฺ) กิจกรรมละหมาดกลางคืนรวมกัน (กิยามุลลัยลฺ) กิจกรรมถือศีลอดรวมกัน เดือนละ 1-2 ครั้ง กิจกรรมตักเตือนกัน (พี่เตือนนอง/เพื่อนเตือนเพื่อน) กิจกรรมการบรรยายใหความรูเกี่ยวกับความประเสริฐของ คุณธรรมจริยธรรมในดานตางๆ และคายอบรมจริยธรรมอิสลาม
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
92
รูปแบบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนดังกลาว เปนกิจกรรมหลักในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ที่ มีการดําเนินในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจ เปนเพราะวา รูปแบบดังกลาวสามารถใหประโยชนอยางสูงในทุกๆดาน ทั้งนี้ ยังมีปรากฏเปนตัวอยางในสมัย ของทานนบีมุฮัมมัด เชน กิจกรรมฮาลาเกาะฮฺ (กลุมศึกษาอิสลาม) จากทานอบีวากิด อัลลัยซีย เลาวา “ครั้งหนึ่งทานนบีไดนั่งอยู ในมัสญิด และมีกลุมคนนั่งพรอมกับทาน ขณะนั้นมีชายสามคนเดินเขามา ในจํานวนนั้นมีสองคนที่เดินเขาหาทานนบี สวนอีกคนไดเดินผานไป สองคนที่เดินเขามานั้น ไดยืนหยุดตอหนาทานนบี หนึ่งในจํานวนนั้นไดเห็นชองวางในฮาลา เกาะฮฺ เขาก็รีบไปนั่งในสวนที่วางนั้นและอีกคนไดนั่งทางดานหลังของพวกเขา สวนคนที่สามไดเดินกลับไป หลังจากที่ ทานนบีไดเสร็จจากการพูด ทานนบีก็ไดกลาวความวา “ฉันจะบอกแกพวกเจาเกี่ยวกับคนสามคนหนึ่งในจํานวนพวกเขา นั้นไดเขาหาอัลลอฮฺ อัลลอฮฺก็ไดเขาหาเขา สวนอีกคนรูสึกอับอาย อัลลอฮฺก็อับอายกับเขา สวนอีกคนนั้นไมยอมรับ อัลลอฮฺก็ไมยอมรับเขา” (al-Bukhariy, 1998: 66) กิจกรรมการบรรยาย ดังหะดีษอิบนฺอับบาส ไดรายงานวา ﻡ ﺔ ﻗﹶﺎ ﻌ ﻤﻡ ﺍﹾﻟﺠ ﻮ ﻳ ﺆ ﱢﺫﻥﹸ ﺖ ﺍﹾﻟﻤ ﺳ ﹶﻜ ﹶﻓﹺﺈﺫﹶﺍ،ﺒﺮﹺﻨﻤ ﻋﻠﹶﻰ ﺍﹾﻟ ﻰﺿﺤ ﺍ َﻷ ﻭ،ﻔ ﹾﻄﺮﹺ ﻡ ﺍﹾﻟ ﻮ ﻳﻭ ،ﻌﺔ ﻤ ﺠ ﻡ ﺍﹾﻟ ﻮ ﻳ ﺨﻄﹸﺐ ﻳ ﻛﹶﺎ ﹶﻥ: ﷲ ِ ﻮ ﹶﻝ ﺍ ﺭﺳ " ﹶﺃ ﱠﻥ "ﺐ ﺨ ﹶﻄ ﹶﻓ ความวา “ทานเราะสูล ไดบรรยายคุฏบะฮฺในวันศุกร วันอีดิลฟฏรฺ วันอีดิลอัฎฮาบนมินบัร (แทนปราศรัย) เมื่อใดที่คนอะซานเสร็จในวันศุกร ทานก็จะลุกขึ้นและบรรยายคุฏบะฮฺ” (บันทึกโดย al-Tabaraniy, n.d.: 11518) กิจกรรมตักเตือนซึ่งกันและกัน (พี่เตือนนอง/เพื่อนเตือนเพื่อน) ซึ่งเปนคําสั่งของทานนบีมุฮัมมัด ดังที่ ทานไดกลาวไววา "ﻥ ﺎ ﺍ ِﻹﳝﻌﻒ ﺿ ﻚ ﹶﺃ ﻟﻭ ﹶﺫ ﻪ ﻊ ﹶﻓﹺﺒ ﹶﻘ ﹾﻠﹺﺒ ﻄ ﺘﺴ ﻳ ﻢ ﻪ ﹶﻓﹺﺈ ﹾﻥ ﹶﻟ ﺎﹺﻧﻠﺴﻊ ﹶﻓﹺﺒ ﻄ ﺘﺴ ﻳ ﻢ ﻩ ﹶﻓﹺﺈ ﹾﻥ ﹶﻟ ﺪ ﻴ ﹺﺑﺮﻩ ﻐﱢﻴ ﺍ ﹶﻓ ﹾﻠﻴﻨ ﹶﻜﺮﻣ ﻢ ﻨ ﹸﻜﻣ ﺭﺃﹶﻯ ﻦ ﻣ " ความวา “ผูใดในหมูพวกเจาเห็นสิ่งที่ไมดี เขาจงเปลี่ยนแปลงมัน (ตักเตือน) ดวยมือ หากไมมีความสามารถก็ จงตักเตือนดวยปาก และหากไมมีความสามารถอีกก็จงตักเตือนดวยใจ และนั่นคือภาวะการศรัทธาที่ออนที่สุด” (บันทึกโดย Muslim, 1998: 186) (3) ผลการวิเคราะหปญหาและอุปสรรคในการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรม อิสลาม ของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ตามความเห็นของผูบริหาร ฝายกิจกรรม หรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนและครู มีดังนี้ ดานการบริหารจัดการ ผลการวิจัยพบวา ปญหาและอุปสรรคตามความเห็นของผูบริหารและฝายกิจกรรม หรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนที่พบมากที่สุด คือ ปญหาดานเวลาในการจัดกิจกรรม มีไมเพียงพอ ซึ่ง สอดคลองกับความเห็นของครู ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา ผูบริหารไมกําหนดระยะเวลาอยางเปนระบบและ ระยะเวลาที่ทางโรงเรียนกําหนดนั้นนอยเกินไปกับความตองการของครูในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมแกนักเรียน ดานบุคลากรผูใหการอบรม ผลการวิจัยพบวา ปญหาและอุปสรรคตามความเห็นของผูบริหาร ฝายกิจกรรม หรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนและครู มีประเด็นที่สอดคลองกัน คือ บุคลากรบางสวนขาดความ รับผิดชอบตอหนาที่ที่ไดรับมอบหมายและไมใหความรวมมือเปนอยางดี ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา บุคลากรมีภาระหนาที่ที่ไดรับมอบหมายมากเกินไป ทําใหเกิดการแบงเวลาในการทํางานไมเปน ทั้งนี้อาจเปนเพราะ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
93
บุคลากรขาดความรู ความสามารถและประสบการณในการอบรมคุณธรรมจริยธรรม ดังที่ปรากฏจากขอคนพบปญหาที่ พบมากที่สุด ตามความเห็นของครู ดานนักเรียน ผลการวิจัยพบวา ปญหาและอุปสรรคตามความเห็นของผูบริหาร ฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่ รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนและครูมีประเด็นที่สอดคลองกัน คือ นักเรียนขาดจิตสํานึกและไมเห็นคุณคาของ คุณธรรมจริยธรรม ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวานักเรียนมีความแตกตางกันทั้งทางดานเพศ ฐานะของ ครอบครัว ความรูพื้นฐานเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม และการถูกอบรมบมนิสัย เปนเหตุใหมีผลตามมา คือ นักเรียนบางสวนไมใหความรวมมือเทาที่ควรและไมมีความกระตือรือรนที่จะรูและปฏิบัติจริยธรรมอิสลาม ดังที่ครูได ใหความเห็นมากที่สุดเกี่ยวกับปญหานี้ ดา นครอบครัว และสภาพแวดล อ ม ผลการวิ จั ยพบว า ป ญ หาและอุ ป สรรคตามความเห็ น ของ ผูบริหาร ฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนและครู มีประเด็นที่สอดคลองกัน คือ ความแตกตางทางดานฐานะของครอบครัว ขาดความรวมมือจากผูปกครองและพอแมไมคอยเอาใจใสเรื่อง การปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมแกบุตรหลาน ทั้งนี้ปญหาที่พบมากตามความเห็นของครู คือ สภาพแวดลอม ทางสังคมในปจจุบันไมปลอดภัยตอการจัดกิจกรรม ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา สภาพแวดลอม ทางสังคมยังขาดความรูความเขาใจที่ถูกตองในเรื่องการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรม เห็นวาเปนสิ่งที่ไมจําเปน ทั้งนี้ผูปกครองคือสวนสําคัญที่สุดในการอบรมเลี้ยงดูและปกปองรักษาลูกหลานใหรอดพนจากไฟนรก ดัง ที่อัลลอฮฺไดตรัสวา z µ ´ ³ ² ± ° ¯ ® ¬ «{ ความวา “โอบรรดาผูศรัทธาเอย จงคุมครองตัวของพวกเจาและครอบครัวของพวกเจาใหพนจากไฟนรก เพราะ เชื้อเพลิงของมันคือมนุษยและกอนหิน” (อัตตะหฺรีม, 66: 6) ดานรูปแบบของกิจกรรม ผลการวิจัยพบวา ปญหาและอุปสรรคตามความเห็นของผูบริหาร ฝาย กิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนและครูมีประเด็นที่สอดคลองกัน คือ ไมมีกิจกรรมที่ เน น เฉพาะด า น ผลการวิ จั ย เป น เช น นี้ อาจเป น เพราะว า รู ป แบบของแต ล ะกิ จ กรรมที่ ดํ า เนิ น การนั้ น มี ประโยชนในทุกดาน กลาวคือ เมื่อดําเนินการกิจกรรมใดแลว สามารถเกิดประโยชนในการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมอิสลามแกนักเรียนในทุกดาน ทั้ง 6 ดาน ไมวาจะเปนดานความเกรงกลัวตออัลลอฮฺ ดานความ อดทน ดานการใหอภัย ดานความบริสุทธิ์ใจ ดานความซื่อสัตยสุจริตและดานความยุติธรรม 4) ผลการวิเคราะหขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ของ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ตามความเห็นของผูบริหาร ฝายกิจกรรมหรือ เจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนและครู มีดังนี้ ดา นการบริห ารจั ด การ ผลการวิ จัยพบว า ผู บ ริห ารและฝา ยกิจ กรรมหรือ เจ า หน า ที่รั บ ผิด ชอบ กิจกรรมพัฒนาผูเรียนไดใหขอเสนอแนะ คือ ผูบริหารควรสรางจิตสํานึกที่ดีในการปฏิบัติคุณธรรมจริยธรรม เพื่อเปนแบบอยางที่ดีแกบุคลากรและนักเรียนตลอดจนผูปกครองและแขกผูมาเยือน ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา ผูบริหารมีวิสัยทัศนกวางไกลในการมองเห็นสภาพความเปนจริง คือ บุคลากรทุกฝาย ไมวา จะเปนครู เจาหนาที่ นักเรียนตลอดจนผูปกครองและแขกผูมาเยือนโรงเรียน มีแบบอยางที่เห็นทุกวันและเอา มาเป นสิ่งพาดพิงหรืออ างอิง คือ ตัวผูบ ริหาร กลาวคือ ไมวา ผูบริห ารจะทําอะไร กับใคร ที่ไหน เทาไหร อยางไร บุคลากรทุกฝายก็สามารถเอามาเปนแบบอยางได ดังนั้น ผูบริหารควรมีจิตสํานึกเปนแบบอยางที่ดี ในทุกดาน โดยเฉพาะการประพฤติปฏิบัติคุณธรรมจริยธรรม สวนครูไดใหขอเสนอแนะมากที่สุด คือ การ
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
94
ปรับปรุงเวลาเรียนและใหมีความพรอมดานสื่อวัสดุอุปกรณ ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา ครูมี ความตองการที่จะใหนักเรียนมีการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอยางเต็มเวลาและรูปแบบ ดานบุคลากรผูใหการอบรม ผลการวิจัยพบวา ผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบ กิจกรรมพัฒนาผูเรียนไดใหขอเสนอแนะที่สอดคลองกับครู ซึ่งครูไดใหขอเสนอแนะมากที่สุด คือ บุคลากร ตองเปนตัวอยางที่ดีแกนักเรียน ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา บุคลากรใหความสําคัญกับการเปน แบบอยางที่ดีแกนกั เรียน ซึ่งทานนบีมุฮัมมัด ไดกลาวเกี่ยวกับการเปนแบบอยางที่ดีนี้วา ﻲﺳ ﱠﻦ ﻓ ﻦ ﻣ ﻭ ٌﻲﺀ ﺷ ﻢ ﻫ ﻮ ﹺﺭﻦ ﹸﺃﺟ ﻣ ﺺ ﻨﻘﹸﻳ ﻴ ﹺﺮ ﹶﺃ ﹾﻥﻦ ﹶﻏ ﻣ ﺪﻩ ﻌ ﺑ ﺎﻤ ﹶﻞ ﹺﺑﻬ ﻋ ﻦ ﻣ ﺟﺮ ﻭﹶﺃ ﺎﺮﻫ ﺟ ﹶﺃﻨ ﹰﺔ ﹶﻓﹶﻠﻪﺴ ﺣ ﱠﻨ ﹰﺔﻼ ﹺﻡ ﺳ ﺳ ﹶ ﻲ ﺍ ِﻹﺳ ﱠﻦ ﻓ ﻦ ﻣ " "ﺀﺷﻲ ﻢ ﻫ ﺍ ﹺﺭﻭﺯ ﻦ ﹶﺃ ﻣ ﺺ ﻨﻘﹸﻳ ﻴ ﹺﺮ ﹶﺃ ﹾﻥﻦ ﹶﻏ ﻣ ﻩ ﺪ ﻌ ﺑ ﻦ ﻣ ﺎﻤ ﹶﻞ ﹺﺑﻬ ﻋ ﻦ ﻣ ﺯﺭ ﻭ ﹺﻭ ﺎﺭﻫ ﺯ ﻪ ﹺﻭ ﻴﻋﹶﻠ ﺳﱢﻴﹶﺌ ﹰﺔ ﻛﹶﺎ ﹶﻥ ﱠﻨ ﹰﺔﻼ ﹺﻡ ﺳ ﺳ ﹶ ﺍ ِﻹ ความวา “ผูใดที่ไดสรางแนวทางปฏิบัติที่ดีในอิสลาม เขาก็จะไดรับผลบุญจากสิ่งที่เขาไดสรางไว และจะ ไดรับผลบุญจากผูที่ไดปฏิบัติหลังจากเขา โดยที่ผลบุญนั้นจะไมลดหยอนไปจากพวกเขาแมแตนิดเดียว และผูใดที่ได สรางแนวทางปฏิบัติที่เลวทรามในอิสลาม เขาก็จะไดรับการตอบแทน (บาป) จากสิ่งที่เขาไดสรางไว และจะไดการตอบ แทนจากผูที่ไดปฏิบัติหลังจากเขา โดยที่บาปนั้นจะไมลดหยอนไปจากพวกเขาแมแตนิดเดียว” (บันทึกโดย Muslim, 1998: 1017) ดานนักเรียน ผลการวิจัยพบวา ผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนา ผูเรียนไดใหขอเสนอแนะที่สอดคลองกับครู ซึ่งครูไดใหขอเสนอแนะมากที่สุด คือ ควรปลุกจิตสํานึกนักเรียนให รูสึกรักที่จะกระทําความดี หรือมีคุณธรรมจริยธรรม และควรเปดโอกาสใหนักเรียนแสดงความสามารถ นําเสนอ รูปแบบกิจกรรมและมีบทบาทในการดําเนินกิจกรรมอันเปนประโยชนตอสังคม ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปน เพราะวา นักเรียนคือเยาวชนผูเปนทรัพยากรสําคัญในการพัฒนาสังคมใหเกิดสันติสุข ฉะนั้นควรปลุกจิตสํานึก และเปดโอกาสใหเยาวชนมีบทบาทในการแสดงกิจกรรมตางๆ เพราะเขาคือตัวแทนของเราใหอนาคตขางหนา ดัง คํากลาวที่วา เยาวชนในวันนี้ คือ ผูใหญในวันหนา หากเยาวชนในวันนี้ดี ผูใหญในวันหนาก็จะดี ฉะนั้น การแสดง บทบาทดังกลาว ถือเปนการสะสมเสบียงเตรียมพรอมที่จะเผชิญในภายภาคหนาตอไป ดานครอบครัวและสภาพแวดลอม ผลการวิจัยพบวา ผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรม พัฒนาผูเรียนไดใหขอเสนอแนะที่สอดคลองกับครู คือ ควรมีกิจกรรมประชุมพบปะผูปกครองเปนประจํา ผลการวิจัยเปน เชนนี้ อาจเปนเพราะวา กิจกรรมการประชุมพบปะนั้น มีผลทําใหเกิดความเขาใจกันเปนอยางดี ระหวางผูบริหาร ครูและ ผูปกครอง เพราะสามารถปรึกษาหารือ เพื่อที่จะดูแลปองกันมิใหเกิดปญหา สามารถบอกเลาปญหา นําเสนอวิธีแกปญหา และสามารถหาแนวทางในการแกปญหาไดทันทวงที ทั้งนี้ ครูไดใหขอเสนอแนะมากที่สุด คือ ใหผูปกครองมีสวนรวมในการ ติดตามความประพฤติของนักเรียน ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา หนาที่หลักในการดูแลบุตรหลาน คือ ผูปกครอง ฉะนั้นเมื่อบุตรหลานเขามาศึกษาในโรงเรียน ผูปกครองจึงไมควรทิ้งหนาที่นี้ใหทางโรงเรียนรับผิดชอบแตฝายเดียว เพราะจะ ทําใหความประพฤติของนักเรียนไมมีความสมดุลกันระหวางอยูที่บานกับที่โรงเรียน ดานรูปแบบของกิจกรรม ผลการวิจัยพบวา ผูบริหาร ฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบฝายกิจกรรม พัฒนาผูเรียนและครูมีขอเสนอแนะที่แตกตางกัน ดังนี้ ผูบริหารไดใหขอเสนอแนะ คือ ควรมีโรงเรียนที่เปนตนแบบใน การนํารูปแบบการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนที่ประสบผลสําเร็จใหแกโรงเรียนอื่นๆ และฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่ รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนไดใหขอเสนอแนะ คือ ควรจัดกิจกรรมการทําฮาลาเกาะฮฺประจําโรงเรียนและจัดใหมี การประชุมฮาลาเกาะฮฺทุกสัปดาห และกิจกรรมการเยี่ยมเยียนตามบานของนักเรียน สวนขอเสนอแนะของครูที่พบมาก ที่สุด คือ ควรจัดกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมอยางตอเนื่อง
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
95
ขอเสนอแนะ 1. ขอเสนอแนะจากการวิจัย 1.1 ควรนํารูปแบบแตละกิจกรรมดังกลาวขางตนใหสถานศึกษาอื่นๆทราบ เพื่อเปนแนวทางหนึ่งในการ ปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม 1.2 ควรมีการประเมินผลการจัดดําเนินกิจกรรมทุกครั้งที่ปฏิบัติ และประเมินผลอยางมีระบบและแบบแผน โดยจัดใหมีการอบรมบุคลากรที่เกี่ยวของในเรื่องการดําเนินกิจกรรมและวิธีการประเมินผลที่ถูกตอง อันจะเกิดความ เที่ยงตรงของการประเมินผลและเกิดความยุติธรรมตอนักเรียน 1.3 ควรมีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับรูปแบบการดําเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อ ปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียนในกลุมเครือขายโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม โดยการนําเสนอ รูปแบบกิจกรรมของแตละโรงเรียนที่ประสบผลสําเร็จและปญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อรวมกันหาแนวทางแกไข อันจะสงผล ดีตอตัวผูเรียนในการโอนยายระหวางโรงเรียน และกอใหเกิดคุณธรรมจริยธรรมที่พึงประสงคตามอิสลาม 2. ขอเสนอแนะในการจัดทําวิทยานิพนธครั้งตอไป 2.1 ควรศึกษาวิจัยในหัวขอ “การจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียน ระดับมัธยมศึกษา ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต” เพื่อศึกษาการดําเนินกิจกรรม พัฒนาผูเรียน ในระดับสามจังหวัดชายแดนภาคใต 2.2 ควรศึกษาวิจัยในหัวขอ “สภาพการดําเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรม อิสลามแกนักเรียน ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม” เพื่อศึกษาสภาพการมีสวนรวมและระดับความพึงพอใจของ ผูบริหาร ครูและนักเรียนตอกิจกรรมพัฒนาผูเรียนที่ดําเนินในสถานศึกษานั้นๆ 2.3 ควรศึกษาวิจัยในหัวขอ “ศึกษาเปรียบเทียบการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรม อิสลามแกนักเรียน ในโรงเรียนของรัฐบาลกับโรงเรียนเอกชน” เพื่อศึกษาเปรียบเทียบสภาพการดําเนินการและผลที่ได จากกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามระหวางโรงเรียนรัฐและเอกชน บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. 2545. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ: โรงพิมพคุรุ สภาลาดพราว กระทรวงศึกษาธิการ. 2546. คูมือการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ: โรงพิมพองคการรับสงสินคาและพัสดุภัณฑ (ร.ส.พ.) สมาคมนักเรียนเกาอาหรับ ประเทศไทย .มปป .พระมหาคัมภีรอัลกุรอาน พรอมความหมายภาษาไทย . มะดีนะฮฺ: ศูนยกษัตริยฟะฮัด เพื่อการพิมพอัลกุรอาน แหงนครมะดีนะฮฺ. ฐิติมา ทองมูล. 2551. การศึกษาสภาพการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนของโรงเรียนในสังกัดสํานักงาน เขตพื้นที่การศึกษาตาก เขต1. ตาก: สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาตาก เขต1 พรหมมินทร สุมาลี. 2546. การศึกษาสภาพและปญหาการจัดกิจกรรมนักเรียนตามความคิดเห็นของ ผู บ ริ ห ารและครู ใ นโรงเรี ย นมั ธ ยมศึ ก ษาสั ง กั ด กรมสามั ญ ศึ ก ษาจั ง หวั ด นครราชสี ม า. วิท ยานิ พ นธ ป ริ ญ ญาครุ ศ าสตรมหาบั ณ ฑิ ต สาขาการบริห ารการศึก ษา มหาวิ ท ยาลัย ราชภั ฏ นครราชสีมา (สําเนา)
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย
96
Abu Dawud, Sulaiman ibn al-Ash‘ath. n.d. Sunan Abi Dawud . Riyad: Maktabah Macarif. al-A‘dawiy, Mustafa. 1997. Fiqh al-Akhlak wa al-Mucamalat maca al-Muslimin. Jeddah: Dar Majid al-‘Usyairiy. al-Bukhariy, Muhammad ibn Ismacil. 1998. Sahih al-Bukhariy. Riyad: Dar Bait al-Afkar al-Dauliyah. al-Kharashiy, Walid ibn Abd al-Aziz. 2004. Daur al-Anshitah al-Tullabiyah fi Tanmiyah alMasauliyah al-Ijtimaciyah. Riyadh:al-Imam Muhammad Ibn Saud University. al-Khaznadar, Mahmud ibn Muhammad. 1997. Akhlaquna Hina Nakun Mu'minin Haqqan. Riyad: Dar Toiyibah. al-Tirmidhiy, Muhammad ibn ‘Isa. n.d. Sunan al-Tirmidhiy. Riyad: Maktabah Macarif. al-Tabaraniy, Sulaiman ibn Ahmad. n.d. al-Mucjam al-Kabir. Cairo: Maktabat Ibn Taimiyah. Muslim ibn al-Hajjaj. 1998. Sahih Muslim. Riyad: Dar Bait al-Afkar al-Dauliyah. Yamane, Taro. 1973. Statistics: An Introductory Analysis. 3rd ea. NewYork: Harper and Row Publication.
สารบัญ /ﻓﻬﺮﺱ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ :"ﻭﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ "ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﻋﺮﺽ ﻭﲢﻠﻴﻞ
1-14
ﺃﲪﺪ ﳒﻴﺐ ﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﻓﺎﻃﻤﺔ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺟﺎﻓﺎﻛﻴﺎ
ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﻳﻮﺳﻒ ﻛﺎﺭﻳﻨﺎ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺧﻄﻮﺭﻬﺗﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﺠﻤﻟﺘﻤﻊ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﲢﻠﻴﻠﻴﺔ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ :ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ 15-32 ﺃﲪﺪ ﻋﻤﺮ ﺟﺎﻓﺎﻛﻴﺎ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻟﺼﻴﲏ ﺩﻭﺭ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ
ﺩﻭﺭ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ วิพากษหนังสือ / Book Review: สิทธิของภริยาในการหยาและสิทธิที่พึง ไดรับตามกฎหมายอิสลาม กรณีศึกษา จังหวัดปตตานี
การชันสูตรพลิกศพตามบทบัญญัติอิสลาม
การพัฒนาตัวบงชี้และยุทธศาสตรความ เปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต กิจกรรมพัฒนาผูเรียนเพื่อปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา อิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1
33-39
ﻋﺪﻧﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺯﻳﻦ ﺳﻮﻣﻲ ﺯﻫﺮﻱ ﳛﲕ ﺍﻟﻜﻤﺒﻮﺩﻱ
41-49
ﻭﻱ ﻳﻮﺳﻒ ﺳﻴﺪﺉ
51-59
มะยา ยูโซะ ซาการียา หะมะ
61-72
อับดุรรอฮมาน บินแวยูโซะ อับดุลฮาลิม ไซซิง ซาฟอี บารู
73-85
หิรัญ ประสารการ ชิรวัฒน นิจเนตร จรัส อติวิทยาภรณ อิศรัฏฐ รินไธสง
87-96
มุมีนะห บูงอตาหยง อิบราเฮ็ม ณรงครักษาเขต