วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ฉบับที่ 7 (กรกฎาคม-ธันวาคม) 2009

Page 1

‫‪January-June 2009‬‬ ‫ذواﻟﻘﻌﺪة‪ -‬ﺟﻤﺎدى اﻟﺜﺎﻧﻲ ‪〈 1430‬‬

‫اﻟﻌﺪد‬

‫‪7‬‬

‫่ี‪ฉบับท‬‬

‫اﻟﺴﻨﺔ‬

‫‪4‬‬

‫่ี‪ปท‬‬



วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา Al-Nur Journal The Graduate Studies of Yala Islamic University

ประธานที่ปรึกษา

ดร.อิสมาอีลลุตฟ จะปะกียา อธิการบดี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

ที่ปรึกษา

ดร.อาหมัดอูมาร จะปะเกีย อ.มัสลัน มาหะมะ อ.ซาฟอี บารู อ.อับดุรรอฮฺมาน วอเดร อ.หะยีเซ็ง โตะตาหยง ดร.อับดุลฮาลิม ไซซิง อ.สุกรี หลังปูเตะ อ.ซอและห ตาเละ อ.อิบรอเฮม หะยีสาอิ อ.มูฮําหมัดนาเซร หะบาแย

รองอธิการบดีฝายวิเทศสัมพันธและกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยอิสลายะลา รองอธิการบดีฝายวิชาการ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา รองอธิการบดีฝายบริหาร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา รองอธิการบดีฝายพัฒนาศักยภาพนักศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผูชวยอธิการบดีฝายทรัพยสินและสิทธิประโยชน มหาวิทยาลัยอิสลายะลา คณบดีคณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา คณบดีคณะศิลปศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา คณบดีคณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผูอํานวยการสํานักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผูอํานวยการสถาบันอัสสาลาม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

เจาของ

บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

บรรณาธิการ ผศ.ดร.มุฮําหมัดซากี เจะหะ

กองบรรณาธิการ

คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

ผศ.ดร.อิบราเฮ็ม ณรงครักษาเขต อาจารยประจําวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยา เขตปตตานี ผศ.ดร.รุสลัน อุทัย หัวหนาภาควิชาภาษาตะวันออก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขต ปตตานี อ.เจะเหลาะ แขกพงศ รักษาการในตําแหนงผูอํานวยการสถาบันอิสลามและอาหรับศึกษา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร ดร.ซาการียา หะมะ รองคณบดี คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.ซอบีเราะห การียอ รองคณบดี คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อ.ซอลีฮะห หะยีสะมะแอ รองคณบดี คณะศิลปศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อ.จารุวัจน สองเมือง ผูอํานวยการสํานักบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.อัดนัน สือแม ผูอํานวยการวิทยาลัยภาษาอาหรับซีคกอซิม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.มูฮามัสสกรี มันยูนุ หัวหนาสาขาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อ.นัศรุลลอฮ หมัดตะพงศ หัวหนาสาขาวิชาอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อ.มูฮําหมัด สะมาโระ หัวหนากองกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา


ผูทรงคุณวุฒพ ิ ิจารณาประเมินบทความ ผูชวยศาสตราจารย ดร.ปราโมทย เงียบประเสริฐ ดร.มะรอนิง สาแลมิง ดร.มูฮามัสสกรี มันยูนุ Prof. Dr.Ahmad Moustafa Abu al-Khait Dr.Bashir Mahdi Ali Mohamed Dr.Adama Bamba

มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี

บรรณาธิการจัดการ 1.นายมาหะมะ ดาแม็ง 2.นายอับดุลยลาเตะ สาและ 3.นายฟาริด ดอเลาะ 4.นายอาสมิง เจะอาแซ

กําหนดการเผยแพร 2 ฉบับ ตอป การเผยแพร

จัดจําหนายและมอบใหหองสมุด หนวยงานของรัฐ สถาบันการศึกษาในประเทศ และตางประเทศ

สถานที่ติดตอ

บัณฑิตวิทยาลัย ชั้น 1 อาคารคณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา 135/8 หมู 3 ตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปตตานี 94160 โทร.0-7341-8614 โทรสาร 0-7341-8615, 0-7341-8616 Email: fariddoloh@gmail.com

รูปเลม

บัณฑิตวิทยาลัย

พิมพที่

โรงพิมพมิตรภาพ ถนนเจริญประดิษฐ อําเภอเมือง โทร 0-7333-1429

เลขที่ 5/49 ตําบลรูสะมิแล จังหวัดปตตานี 94000

วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา จัดทําขึ้นเพื่อสงเสริมให คณาจารย นั ก วิ ช าการ และนั ก ศึ ก ษาได เ ผยแพร ผ ลงานแก ส าธารณชน อั น จะเป น ประโยชน ต อ การเพิ่ ม พู น องค ความรู และแนวปฏิ บั ติ อย างมี ประสิ ทธิ ภาพ ทั้ งนี้ บั ณฑิ ตวิ ทยาลั ย รั บพิ มพ เผยแพร วารสารวิ ชาการใน 3-4 ภาษาดวยกัน โดยมีการกําหนดบทคัดยอเปนภาษาอังกฤษและภาษาของบทความ การเขาเลม การ เรียบ เรียงบทความ หมายเลขหนา และการอาน ไดเรียบเรียงลําดับรูปแบบตามแนวการอานจากขวาไปซาย ทัศนะและขอคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้ เปนความคิดเห็นสวนตัวของผูเขียนแตละ ทาน ทางกองบรรณาธิการเปดเสรีดานความคิด และไมถือวาเปนความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ


บทบรรณาธิการ มวลการสรรเสริญทั้งหลายเปนสิทธ แดเอกองคอัลลอฮฺ  ที่ทรงอนุมัติใหการรวบรวมและจัดทํา วารสารฉบับนี้สําเร็จไปดวยดี ขอความสันติสุขและความโปรดปรานของอัลลอฮฺ จงประสบแดทานนบีมุฮัมมัด  ผูเปนศาสนฑูต ของพระองค วารสาร อัล-นูร เปนวารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ไดจัดตีพิมพวารสารทาง วิชาการปละ 2 ฉบับ เพื่อนําเสนอองคความรูที่หลากหลายในเชิงวิชาการ จากผลงานของนักศึกษาระดับ บัณฑิตศึกษา คณาจารย ภายในมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา และจากนักวิชาการทั่วไป เพื่อเผยแพรในสิ่งที่ เปนสาระประโยชนสูสังคม วารสาร อั ล -นู ร ฉบั บ นี้ เป น ฉบั บ ที่ 7 ประจํ า ป 2552 ที่ ไ ด ร วบรวมบทความทางวิ ช าการ ประกอบดวย 3-4 ภาษาดวยกัน ทั้งนี้เพื่อเปนเอกลักษณทางดานภาษา วัฒนธรรม และความหลากหลาย บทความวิชาการที่ไดนําเสนอในวารสารฉบับนี้ประกอบดวย 7 บทความกับ 1 บทวิพากษหนังสือ (Book Review) รวบรวมจากคณาจารยและนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาทั้งภายในและภายนอกสถาบัน ที่ไดเสียสละเวลาอันมีคา เพื่อสรางสรรคองคความรูอันทรงคุณคาและมีผลประโยชนนี้ เพื่อใหบทความทางวิชาการดัง กลา ว เปนที่ยอมรับและเผยแพรสูสังคม ทางกองบรรณาธิการ วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ไดตรวจสอบบทความทางวิชาการ โดยไดรับเกียรติและ โอกาสจากบรรดาผูทรงคุณวุฒิ ในประเทศและตางประเทศทําหนาที่ประเมิน ทายที่สุดนี้ กองบรรณาธิการวารสาร ยินดีเสมอเพื่อเปดโอกาสรับการพิจารณาผลงานวิชาการ ของทุกๆ ทานที่มีความสนใจ รวมถึงคําติชม ขอเสนอแนะตางๆ ทั้งนี้เพื่อนําสูการพัฒนาในผลงานทาง วิชาการตอไป

บรรณาธิการวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา



‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬ ‫‪บทความทางวิชาการ‬‬

‫ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﻭﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ "ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ" ‪ :‬ﻋﺮﺽ ﻭﲢﻠﻴﻞ‬ ‫ﺃﲪﺪ ﳒﻴﺐ ﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﷲ‬

‫∗‬

‫ﺍﳌﻠﺨﺺ‬ ‫ﻳﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺇﱃ ﺇﺑﺮﺍﺯ ﺃﺣﺪ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﻳﻦ ﺍﻟﻜﺒﺎﺭ ﰲ ﳎﺎﻝ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﻫﻮ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ‬ ‫ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎ ﺳﲔ‪ ،‬ﻭﻛﺎﻥ ﻟﻪ ﺟﻬﻮﺩ ﺍﻟﻜﺒﲑﺓ ﻭﺇﺳﻬﺎﻣﺎﺗﻪ ﻓﻌﺎﻟﺔ ﰲ ﺧﺪﻣـﺔ ﻛﺘـﺎﺏ ﺍﷲ‬ ‫ﻋﺰ ﻭﺟﻞ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻌﺼﺮ‪ .‬ﻭﻳﻌﺘﻤﺪ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﳌﻜﺘﱯ‪ ،‬ﺣﻴﺚ ﰒ ﺍﻟﺮﺟـﻮﻉ ﺇﱃ ﻣﻜﺘﺒـﺔ ﺃﻛﺎﺩﳝﻴـﺔ‬ ‫ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﻣﻼﻳﺎ‪ ،‬ﻧﻴﻠﻢ ﻓﻮﺭﻱ‪ ،‬ﻭﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﺍﻟﺸﺨﺼﻴﺔ‪ ،‬ﻟﻴﺘﻮﺻﻞ ﰲ ﺍﻟﻨﻬﺎﻳﺔ ﺇﱃ‬ ‫ﻋﺪﺓ ﻧﺘﺎﺋﺞ؛ ﺃﳘﻴﺔ؛ ﺃﻭﻻ‪ :‬ﻳﻌﺪ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﻣﻦ ﺍﻟﺸﺨﺼﻴﺔ ﺍﻟﺒﺎﺭﺯﺓ ﰲ ﳎﺎﻝ‬ ‫ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﳊﺪﻳﺚ‪ .‬ﻳﺎﻧﻴﺎ‪ :‬ﻟﻸﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﻛﺘﺎﺏ ﻗﻴﻢ ﻧﻔﺲ ﰲ ﻫـﺬﺍ‬ ‫ﺍ‪‬ﺎﻝ ﲰﺎﻩ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ‪ .‬ﻭﻗﺪ ﺳﻠﻚ ﰲ ﺇﻋﺪﺍﺩ ﻣﻨﻬﺠﺎ ﻓﺮﻳﺪﺍ ﻭﻣﺴﻠﻜﺎ ﺭﺍﺋﻌﺎ‪ ،‬ﻟﻴﺲ ﻟﻐـﲑﻩ ﻣـﻦ‬ ‫ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﻳﻦ ‪-‬ﰲ ﻋﻠﻢ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ‪ -‬ﻫﺬﺍ ﺍﻻﲡﺎﻩ‪.‬‬

‫∗‬

‫ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ‪ ،‬ﳏﺎﺿﺮ ﺃﻛﺎﺩﳝﻴﺔ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪ ،‬ﺟﺎﻣﻌﺔ ﻣﻼﻳﺎ‪ ،‬ﻧﻴﻠﻢ ﺑﻮﺭﻱ‪ ،‬ﻛﻮﺗﺎ ﺑﺎﺭﻭ‪ ،‬ﻛﻠﻨﱳ‪ ،‬ﻣﻠﻴﺰﻳﺎ‪.‬‬


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย Abstract This article aims to discuss the biography of a muslim scholar known as Prof. Dr. Hikmat Basyir Yasin and his contribution to the development of Quranic exegesis especially in al-Tafsir bi al-Ma’thur and al-Tafsir al-Sahih. At the same time, the article analyses the methodology of Prof. Dr. Hikmat Basyir Yasin in his important book entitled “al-Tafsir al-Sahih”.


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺍﳌﻘﺪﻣﺔ‬ ‫ﺇﻥ ﺍﻻﺷﺘﻐﺎﻝ ﺑﻌﻠﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﺍﻟﻌﻨﺎﻳﺔ ﺑﻪ ﻣﻦ ﺃﻓﻀﻞ ﺍﻷﻋﻤﺎﻝ‪ .‬ﻓﻌﻠﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﺃﺟ ﹼﻞ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ‬ ‫ﻭﺃﺷﺮﻓﻬﺎ ﻟﺘﻌﻠﻘﻪ ﺑﻜﻼﻡ ﺭﺏ ﺍﻟﻌﺎﳌﲔ‪ .‬ﻟﺬﺍ ﻗﺪ ﻗﺎﻡ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﻷﺟﻼﺀ ﻋﻠﻰ ﻣ ّﺮ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ ﳋﺪﻣﺔ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻌﻠﻢ‬ ‫ﺑﺘﺄﻟﻴﻒ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﻭﺗﺼﻨﻴﻔﻬﺎ ﻟﻸﻣﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﺧﺘﻼﻑ ﻣﻨﺎﻫﺠﻬﻢ ﻭﻣﺬﺍﻫﺒﻬﻢ‪ .‬ﻭﻫﻨﺎﻙ ﻣﻦ ﻳﻌﺘﻤﺪ ﰲ‬ ‫ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ‪ ،‬ﻛﻤﺎ ﺃﻥ ﻫﻨﺎﻙ ﻓﺌﺔ ﺃﺧﺮﻯ ﺗﺘﻤﺴﻚ ﺑﺎﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﻟﺮﺃﻱ‪ .‬ﻭﻟﻠﻤﺪﺭﺳﺘﲔ‬ ‫ﺭﺟﺎﳍﻤﺎ ﻭﻋﻠﻤﺎﺅﳘﺎ‪.‬‬ ‫ﻭﲟﺎ ﺃﻥ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ﻫﻮ ﺍﻷﺳﺎﺱ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ‪ ،‬ﻓﺈﻥ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻨﻪ ﰲ ﻏﺎﻳﺔ ﻣﻦ ﺍﻷﳘﻴﺔ‪ .‬ﻓﻤﻦ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ‬ ‫ﺍﳌﺘﻘﺪﻣﲔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺍﺷﺘﻬﺮﻭﺍ ﺑﺎﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ﻛﺎﻹﻣﺎﻡ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ ﺍﻟﻄﱪﻱ )ﺕ ‪ 310‬ﻫـ(‪ ،‬ﻭﺍﺑﻦ‬ ‫ﺃﰊ ﺣﺎﰎ ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ )ﺕ ‪ 327‬ﻫـ(‪ ،‬ﻭﺍﻟﺒﻐﻮﻱ )ﺕ ‪ 510‬ﻫـ(‪ ،‬ﻭﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ )ﺕ ‪ 774‬ﻫـ(‬ ‫ﻭﲨﺎﻋﺔ ﺁﺧﺮﻭﻥ ‪ .‬ﻭﻣﻦ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﺍﳌﺘﺄﺧﺮﻳﻦ ﻛﺎﻟﻌﻼﻣﺔ ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻟﻘﺎﲰﻲ )ﺕ ‪ 1332‬ﻫـ( ﻭﺍﻟﻌﻼﻣﺔ‬ ‫ﺍﻟﺸﻴﺦ ﳏﻤﺪ ﺍﻷﻣﲔ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﳌﺨﺘﺎﺭ ﺍﻟﺸﻨﻘﻴﻄﻲ)ﺕ ‪ 1393‬ﻫـ(‪.‬‬ ‫ﻭﻫﺬﺍ ﺍﳌﻘﺎﻝ ﺳﻴﺘﻨﺎﻭﻝ ﺃﺣﺪ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﻳﻦ ﺍﻟﺬﻱ ﻟﻪ ﺟﻬﻮﺩ ﻣﺸﻜﻮﺭﺓ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ‬ ‫ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﺣﻔﻈﻪ ﺍﷲ ﻭﺭﻋﺎﻩ‪ .‬ﻭﻗﺪ ﺻﻨّﻒ ﻛﺘﺎﺑﺎ ﻓﺮﻳﺪﺍ ﻣﻦ‬ ‫ﻧﻮﻋﻪ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ‪ ،‬ﻭﻫﻮ "ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ" ﺍﻟﺬﻱ ﺳﻨﺘﻨﺎﻭﻝ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﻭﻣﺰﺍﻳﺎﻩ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺑﺎﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ‪:‬‬ ‫ﻭﻟﺪ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﺳﻨﺔ ‪1955‬ﻡ ﰲ ﻣﺪﻳﻨﺔ ﺍﳌﻮﺻﻞ ﺑﺎﻟﻌﺮﺍﻕ‪ .‬ﻭﺣﺼﻞ‬ ‫ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭﺍﺓ ﰲ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ )ﻓﺮﻉ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ( ﻣﻦ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺃﻡ ﺍﻟﻘﺮﻯ ﲟﻜﺔ ﺍﳌﻜﺮﻣﺔ‪.‬‬ ‫ﻭﻋﻤﻞ ﺃﺳﺘﺎﺫﹰﺍ ﻣﺴﺎﻋﺪﹰﺍ ﰲ ﻛﻠﻴﺔ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻭﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﺎﳉﺎﻣﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ‬ ‫ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﻭﺃﻣﻴﻨﹰﺎ ﻟﻘﺴﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﺪﺓ ﺳﻨﺘﲔ ﻭﺩﺭ‪‬ﺱ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﻋﺪﺓ ﻛﻠﻴﺎﺕ‪ .‬ﰒ ﺭﻗﻲ ﺇﱃ ﺩﺭﺟﺔ ﺃﺳﺘﺎﺫ‬ ‫ﻣﺸﺎﺭﻙ ﺳﻨﺔ ‪1410‬ﻫـ‪ .‬ﰒ ﻋﻤﻞ ﺃﺳﺘﺎﺫﹰﺍ ﻣﺸﺎﺭﻛﹰﺎ ﰲ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﻌﻠﻴﺎ ﻭﻣﺸﺮﻓﹰﺎ ﻋﻠﻰ ﺭﺳﺎﺋﻞ ﺍﳌﺎﺟﺴﺘﲑ‬ ‫ﻭﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭﺍﺓ ﺑﺎﳉﺎﻣﻌﺔ ﻧﻔﺴﻬﺎ‪ .‬ﰒ ﺭﻗﻲ ﺇﱃ ﺩﺭﺟﺔ ﺃﺳﺘﺎﺫ ﻣﻦ ﺍﳉﺎﻣﻌﺔ ﻧﻔﺴﻬﺎ ﻋﺎﻡ ‪1415‬ﻫـ‪ .‬ﰒ ﻋﻤﻞ‬ ‫ﻣﺸﺮﻓﹰﺎ ﻋﻠﻰ ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﻣﺘﻮﻥ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﺸﺮﻳﻒ ﻭﻋﻠﻰ ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﺍﻟﺴﲑﺓ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﰲ ﻣﺮﻛﺰ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻟﺴﻨﺔ‬ ‫ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﺑﺎﳉﺎﻣﻌﺔ ﻧﻔﺴﻬﺎ ﻣﻊ ﺍﻹﺷﺮﺍﻑ ﻋﻠﻰ ﺭﺳﺎﺋﻞ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﻌﻠﻴﺎ‪ .‬ﰒ ﻋﻤﻞ ﻣﺪﻳﺮﹰﺍ ﳌﺮﻛﺰ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ‬ ‫ﺍﻟﻘﺮﺁﻧﻴﺔ ﲟﺠﻤﻊ ﺍﳌﻠﻚ ﻓﻬﺪ ﻟﻄﺒﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺤﻒ ﺍﻟﺸﺮﻳﻒ ﻣﺪﺓ ﺳﻨﺘﲔ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﺃﻋﲑ ﺇﱃ ﻭﺯﺍﺭﺓ ﺍﻟﺸﺆﻭﻥ‬ ‫ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﺍﻷﻭﻗﺎﻑ‪ .‬ﻭﺣﺼﻞ ﻋﻠﻰ ﺇﺟﺎﺯﺓ ﰲ ﺭﻭﺍﻳﺔ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﺴﺘﺔ ﻭﺑﻌﺾ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﰲ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﳊﻨﺒﻠﻲ‬ ‫ﻣﻦ ﻓﻀﻴﻠﺔ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﺍﻟﻌﻼﻣﺔ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺑﻦ ﻋﻘﻴﻞ ﺭﺋﻴﺲ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻟﺪﺍﺋﻤﺔ ‪‬ﻠﺲ ﺍﻟﻘﻀﺎﺀ ﺍﻷﻋﻠﻰ‬ ‫ﺳﺎﺑﻘﹰﺎ ﰲ ﺗﺎﺭﻳﺦ ‪1425/4/1‬ﻫـ‪ .‬ﰒ ﻋﻤﻞ ﺃﺳﺘﺎﺫﹰﺍ ﰲ ﻗﺴﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﻜﻠﻴﺔ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻭﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ‬ ‫ﺍﻟﻌﻠﻴﺎ ﺣﱴ ﺗﺎﺭﻳﺦ ‪1425/7/15‬ﻫـ‪ .‬ﻭﺣﺼﻞ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﻋﻠﻰ ﺟﺎﺋﺰﺓ ﺍﻷﻣﲑ ﻧﺎﻳﻒ‬ ‫ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﻌﺎﳌﻴﺔ ﻟﻠﺴﻨﺔ ﺍﻟﻨﺒﻮﻳﺔ ﻭﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﺓ ﻋﺎﻡ ‪ 1426‬ﻫـ ﰲ ﻣﻮﺿﻮﻉ "ﻓﻘﻪ‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺍﳊﻮﺍﺭ ﻣﻊ ﺍﳌﺨﺎﻟﻒ ﰲ ﺿﻮﺀ ﺍﻟﺴﻨﺔ"‪ .‬ﻭﻳﻌﻤﻞ ﺍﻵﻥ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﺔ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﻮﺳﻮﻋﺎﺕ ﻭﺑﻌﺾ ﺍﻷﲝﺎﺙ ﰲ‬ ‫ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪(htpp://www.Isboo.org/ Pages/Naief_Sonaa1426_1.Htm /).‬‬ ‫ﻣﺆﻟﻔﺎﺗﻪ‪:‬‬ ‫ﻣﻦ ﺍﳌﺆﻟﻔﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﻛﺘﺒﻬﺎ ﻛﻤﺎ ﻳﻠﻲ‪:‬‬ ‫‪ -1‬ﺗﻔﺴﲑ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ )ﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ ﻭﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ(‪ -‬ﲢﻘﻴﻖ ‪ .‬‬ ‫‪ -2‬ﻣﺮﻭﻳﺎﺕ ﺍﻟﺼﺤﺎﰊ ﺳﻠﻤﺔ ﺑﻦ ﺍﻷﻛﻮﻉ ﰲ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﺴﺘﺔ ﻭﻣﻮﻃﺄ ﻣﺎﻟﻚ ﻭﻣﺴﻨﺪ ﺃﲪﺪ – ﲨﻊ‬ ‫ﻭﲢﻘﻴﻖ‪ .‬‬ ‫‪ -3‬ﻣﺮﻭﻳﺎﺕ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺣﻨﺒﻞ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ – ﺑﺎﳌﺸﺎﺭﻛﺔ‪ .‬‬ ‫‪ -4‬ﺍﻟﻘﻮﺍﻋﺪ ﺍﳌﻨﻬﺠﻴﺔ ﰲ ﺍﻟﺘﻨﻘﻴﺐ ﻋﻦ ﺍﳌﻔﻘﻮﺩ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﻭﺍﻷﺟﺰﺍﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺛﻴﺔ‪ .‬‬ ‫‪ -5‬ﻓﻘﻪ ﺍﳊﻮﺍﺭ ﻣﻊ ﺍﳌﺨﺎﻟﻒ ﰲ ﺿﻮﺀ ﺍﻟﺴﻨﺔ‪ .‬‬ ‫‪ -6‬ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ‪ ،‬ﺍﻟﺬﻱ ﳓﻦ ﺑﺼﺪﺩ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻨﻪ‪.‬‬ ‫‪ ‬‬ ‫ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻒ ﺑﺎﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ‪:‬‬ ‫ﻋﻨﻮﺍﻥ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ‪:‬ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻋﻨﻮﺍﻧﻪ "ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ" ﻛﻤﺎ ﺃﺛﺒﺖ ﻋﻠﻰ ﻏﻼﻑ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ‪ .‬ﻭﺑﻌﺪ‬ ‫ﺍﻟﻌﻨﻮﺍﻥ ﻋﺒﺎﺭﺓ "ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺍﳌﺴﺒﻮﺭ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ"‪ .‬ﻭﻛﻠﻤﺔ ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﺗﻌﲏ ﺃﻥ ﻫﺬﺍ‬ ‫ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻛﺘﺎﺏ ﻋﻈﻴﻢ ﻳﺴﺘﻮﻋﺐ ﺍﻟﻘﺪﺭ ﺍﻟﻜﺒﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ‪.‬‬ ‫ﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﺘﺄﻟﻴﻒ‪:‬‬ ‫ﲢﺪﺙ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﻦ ﺍﻷﺳﺒﺎﺏ ﻭﺍﻟﻌﻮﺍﻣﻞ ﺍﻟﱵ ﺩﻋﺘﻪ ﺇﱃ ﺗﺼﻨﻴﻒ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﻣﻦ ﺃﳘﻬﺎ ﻛﻮﻥ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‬ ‫ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ﻟﻪ ﺃﳘﻴﺔ ﻛﱪﻯ ﰲ ﻓﻬﻢ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻷﻧﻪ ﺗﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﺭﺏ ﺍﻟﻌﺎﳌﲔ ﺃﻭ ﻣﻦ ﺭﺳﻮﻟﻪ ﺍﻷﻣﲔ ﺃﻭ‬ ‫ﺗﻔﺴﲑ ﺻﺤﺎﰊ ﺷﻬﺪ ﺍﻟﺘﱰﻳﻞ ﻭﻋﺮﻑ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ ﺃﻭ ﺗﻔﺴﲑ ﺗﺎﺑﻌﻲ ‪‬ﻞ ﻣﻦ ﻣﺪﺭﺳﺔ ﺍﻟﻨﺒﻮﺓ ﻋﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ‬ ‫ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﺍﻟﻨﺎﺑﻐﲔ‪ .‬ﻭﺍﻟﺴﺒﺐ ﺍﻵﺧﺮ ﻣﺎ ﺻﺪﺭ ﻣﻦ ﻧﺪﺍﺀﺍﺕ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﳌﺘﻜﺮﺭﺓ ﰲ ﻛﻞ ﺯﻣﺎﻥ‬ ‫ﻭﻣﻜﺎﻥ ﻭﺣﺜﻬﻢ ﺍﻷﻣﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﻮﺩﺓ ﺇﱃ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ‪ ،‬ﻭﻏﺎﻟﺒﺎ ﻣﺎ ﻳﻮﺍﻛﺐ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻨﺪﺍﺀﺍﺕ ﺍﻟﺪﻋﻮﺓ ﻟﺘﻨﻘﻴﺔ‬ ‫ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﺧﻴﻞ ﺑﺄﻧﻮﺍﻋﻪ ﺃﻭ ﺗﺼﻨﻴﻒ ﺗﻔﺴﲑ ﻧﻘﻠﻲ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺛﺒﺖ ﻓﺸﻞ ﺍﳌﺪﺭﺳﺔ ﺍﻟﻌﻘﻠﻴﺔ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪.‬‬ ‫ﻫﺬﺍ ﲜﺎﻧﺐ ﻛﻮﻥ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺗﺘﻘﺒﻠﻪ ﺍﻟﻨﻔﻮﺱ ﺑﻜﻞ ﺍﻃﻤﺌﻨﺎﻥ ﻭﺗﺄﺧﺬﻩ ﺑﻘﻮﺓ ﻭﺟﺪﻳﺔ‪.‬‬ ‫ﻭﺻﺮﺡ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﻣﻮﻃﻦ ﺁﺧﺮ ﻣﻦ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﺍﻟﺴﺒﺐ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭ ﻭﻟﻜﻦ ﺑﻌﺒﺎﺭﺓ ﺃﻭﺿﺢ ﺣﻴﺚ ﻳﻘﻮﻝ‪" :‬ﻭﻗﺪ‬ ‫ﺗﻌﺎﻟﺖ ﺻﻴﺤﺎﺕ ﻟﻜﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﻐﻴﻮﺭﻳﲔ ﰲ ﺍﻷﻭﺳﺎﻁ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ ﻟﺘﻨﻘﻴﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﺧﻴﻞ ﻭﻟﺘﻤﻴﻴﺰ‬ ‫ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻘﻴﻢ‪ ،‬ﻭﻗﺪ ﺑﺬﻟﺖ ﺟﻬﻮﺩ ﻻ ﺑﺄﺱ ‪‬ﺎ ﻟﻐﺮﺑﻠﺔ ﺑﻌﺾ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﺧﻴﻞ‬ ‫ﺧﺼﻮﺻﺎ ﰲ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﺯﻫﺮ ﻭﻟﻜﻦ ﱂ ﻳﻘﻢ ﺃﺣﺪ ﺑﻨﻘﺪ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺑﺘﻤﻴﻴﺰ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻘﻴﻢ ﺃﻭ ﲜﻤﻊ ﻣﺎ‬ ‫ﺃﺛﺮ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺍﳌﺴﻨﺪ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ"‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻭﺳﺎﻋﺪﻩ ﰲ ﲢﻘﻴﻖ ﺃﻣﻠﻪ ﻹﺻﺪﺍﺭ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺧﱪﺍﺗﻪ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ ﺍﻟﻄﻮﻳﻠﺔ ﰲ ﳎﺎﻝ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﲢﻀﲑ ﺍﻟﺪﺭﻭﺱ‬ ‫ﻭﲢﻘﻴﻖ ﺍﳌﺨﻄﻮﻃﺎﺕ ﻭﺍﻹﺷﺮﺍﻑ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺮﺳﺎﺋﻞ ﺍﻟﻜﺜﲑﺓ ﰲ ﻣﺮﺣﻠﺔ ﺍﳌﺎﺟﺴﺘﲑ ﻭﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭﺍﺓ ﻭﻣﻨﺎﻗﺸﺘﻬﺎ‪.‬‬ ‫ﺃﻭﺻﺎﻑ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﳏﺘﻮﻳﺎﺗﻪ‪:‬‬ ‫ﻗﺪﻡ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﺃﺭﺑﻌﺔ ﳎﻠﺪﺍﺕ ﻣﺘﻮﺳﻄﺔ ﺍﳊﺠﻢ‪ .‬ﻭﳏﺘﻮﻳﺎﺕ ﻛﻞ ﳎﻠﺪ ﻛﻤﺎ ﻳﺄﰐ‪:‬‬ ‫ﺍ‪‬ﻠﺪ ﺍﻷﻭﻝ‪ :‬ﳛﺘﻮﻱ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻘﺪﻣﺔ ﻭﻓﻴﻬﺎ ﺑﻴﺎﻥ ﺃﳘﻴﺔ ﻋﻠﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ‪ ،‬ﻭﻧﺒﺬﺓ ﻋﻦ ﻧﺸﺄﺓ‬ ‫ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ‪ ،‬ﻭﻧﺒﺬﺓ ﻋﻦ ﻣﺮﺍﺣﻞ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ﻭﻣﻨﻬﺞ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻓﻴﻪ‪ ،‬ﻭﺃﺷﻬﺮ ﺗﻔﺎﺳﲑ‬ ‫ﺃﺗﺒﺎﻉ ﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻭﻣﻦ ﺑﻌﺪﻫﻢ‪ ،‬ﻭﺃﺷﻬﺮ ﺗﻔﺎﺳﲑ ﺍﻟﻘﺮﻥ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ ﻭﺍﻟﺮﺍﺑﻊ‪ ،‬ﻭﻣﻦ ﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﺘﺄﻟﻴﻒ ﳍﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪،‬‬ ‫ﻭﺍﳌﻨﻬﺞ ﰲ ﺍﳉﻤﻊ ﻭﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ ﻭﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ‪ ،‬ﻭﺩﺭﺍﺳﺔ ﺃﺷﻬﺮ ﺍﻟﻄﺮﻕ ﻭﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﺍﳌﺘﻜﺮﺭﺓ‪ ،‬ﻭﻛﻠﻤﺔ ﺷﻜﺮ‪،‬‬ ‫ﻭﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ‪ ،‬ﻭﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ‪ ،‬ﻭﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ‪.‬‬ ‫ﺍ‪‬ﻠﺪ ﺍﻟﺜﺎﱐ‪ :‬ﳛﺘﻮﻱ ﻋﻠﻰ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﺴﻮﺭ ﺍﻵﺗﻴﺔ‪ :‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﻭﺍﳌﺎﺋﺪﺓ ﻭﺍﻷﻧﻌﺎﻡ ﻭﺍﻷﻋﺮﺍﻑ‬ ‫ﻭﺍﻷﻧﻔﺎﻝ ﻭﺍﻟﺘﻮﺑﺔ‪.‬‬ ‫ﺍ‪‬ﻠﺪ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ‪ :‬ﳛﺘﻮﻱ ﻋﻠﻰ ﺗﻔﺴﲑ ﺳﻮﺭﺓ ﻳﻮﻧﺲ ﺣﱴ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺮﻗﺎﻥ‪.‬‬ ‫ﺍ‪‬ﻠﺪ ﺍﻟﺮﺍﺑﻊ‪ :‬ﳛﺘﻮﻱ ﻋﻠﻰ ﺗﻔﺴﲑ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺸﻌﺮﺍﺀ ﺣﱴ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻨﺎﺱ‪.‬‬ ‫ﻭﰲ ﻫﺬﺍ ﺍ‪‬ﻠﺪ ﺳﺠﻞ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﻔﺮﺍﻍ ﻣﻦ ﺗﺄﻟﻴﻔﻪ ﻭﻫﻮ ﺻﺒﺎﺡ ﻳﻮﻡ ﺍﻷﺭﺑﻌﺎﺀ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ ﻣﻦ ﺷﻮﺍﻝ ﻣﻦ‬ ‫ﻋﻴﺪ ﺍﻟﻔﻄﺮ ﺍﳌﺒﺎﺭﻙ ﺳﻨﺔ ﺗﺴﻊ ﻋﺸﺮﺓ ﻭﺃﺭﺑﻌﻤﺎﺋﺔ ﻭﺃﻟﻒ ﻟﻠﻬﺠﺮﺓ‪htpp://www.Isboo.org/ ).‬‬ ‫‪(Pages/Naief_Sonaa1426_1.Htm /‬‬ ‫ﻋﺪﺩ ﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﻭﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﳍﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪:‬‬ ‫ﺑﺎﻟﻨﻈﺮ ﺇﱃ ﻓﻬﺮﺱ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﻟﺬﻱ ﺃﺛﺒﺘﻪ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺍ‪‬ﻠﺪ ﺍﻟﺮﺍﺑﻊ ﻳﺘﺒﲔ ﻟﻨﺎ ﺃﻥ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻗﺪ ﺭﺟﻊ‬ ‫ﺇﱃ ‪ 198‬ﻣﺼﺪﺭﺍ ﰲ ﺇﻋﺪﺍﺩﻩ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪ .‬ﻭﺗﺸﻤﻞ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﻛﺎﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﺍﳊﺪﻳﺚ ﻭﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ‬ ‫ﻭﺍﻟﻠﻐﺔ ﻭﺍﻟﺘﺮﺍﺟﻢ‪.‬‬ ‫ﻃﺒﺎﻋﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪:‬‬ ‫ﻭﺗﻮﱃ ﻃﺒﺎﻋﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺩﺍﺭ ﺍﳌﺂﺛﺮ ﻟﻠﻨﺸﺮ ﻭﺍﻟﺘﻮﺯﻳﻊ ﻭﺍﻟﻄﺒﺎﻋﺔ ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ ﺍﳌﻨﻮﺭﺓ ﻭﻃﺒﻊ ﺍﻟﻄﺒﻌﺔ ﺍﻷﻭﱃ ﻋﺎﻡ‬ ‫‪ 1419‬ﻫـ‪ .‬ﻭﻛﺎﻧﺖ ﻃﺒﺎﻋﺔ ﺟﻴﺪﺓ ﻭﻓﺎﺧﺮﺓ‪.‬‬ ‫ﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪:‬‬ ‫ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﻣﻘﺪﻣﺔ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﻣﺮﻛﺰﺍ ﻋﻠﻰ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺍﳉﻤﻊ ﻭﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ‬ ‫ﻭﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ‪ .‬ﻭﻋﻨﺪ ﺍﻟﺘﺄﻣﻞ ﻳﺘﻠﺨﺺ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﻓﻴﻤﺎ ﺫﻛﺮ ﰲ ﺍﻟﻨﻘﺎﻁ ﺍﻵﺗﻴﺔ‪:‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﲨﻊ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ ﻣﻦ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺍﳌﺘﻨﻮﻋﺔ ﻭﺍﺧﺘﻴﺎﺭ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ‪:‬‬ ‫ﻭﻗﺪ ﺑﺬﻝ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺟﻬﺪﺍ ﻛﺒﲑﺍ ﰲ ﲨﻊ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ ﻣﻦ ﻣﻈﺎ‪‬ﺎ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ‪ .‬ﻭﺃﻛﺜﺮﻫﺎ ﻣﻦ‬ ‫ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺍﻟﻘﺪﳝﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺍﳌﺘﺪﺍﻭﻟﺔ ﻛﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻄﱪﻱ ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ‪ ،‬ﻭﻣﻦ‬ ‫ﺍﳌﻔﻘﻮﺩﺓ ﲜﻤﻊ ﻣﺮﻭﻳﺎﺕ ﺃﺷﻬﺮ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﻣﻦ ﺃﺻﺤﺎﺏ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺍﳌﻔﻘﻮﺩﺓ ﻛﺎﻹﻣﺎﻡ ﻣﺎﻟﻚ ﻭﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻲ‬ ‫ﻭﺃﲪﺪ ﻭﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺳﺤﺎﻕ ﻭﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺍﳌﺒﺎﺭﻙ ﻭﻭﻛﻴﻊ ﻭﺍﺑﻦ ﺧﺰﳝﺔ ﻭﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﺔ ﻭﺍﻟﻄﱪﺍﱐ ﻭﺍﻟﻔﺮﻳﺎﰊ‬ ‫ﻭﻋﺒﺪ ﺑﻦ ﲪﻴﺪ ﻭﻏﲑﻫﻢ‪ .‬ﻭﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻜﻢ ﺍﻟﻮﻓﲑ‪ ،‬ﺍﻧﺘﺨﺐ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﻨﻪ ﺍﻟﺼﻔﻮ ﻭﺍﻟﻠﺒﺎﺏ‪ ،‬ﻓﺘﺮﻙ ﺍﻟﻀﻌﻴﻒ‬ ‫ﻭﺍﳌﻮﺿﻮﻉ‪ .‬ﻭﻫﺬﺍ ﻻ ﺷﻚ ﻋﻤﻞ ﳛﺘﺎﺝ ﺇﱃ ﺍﳉﻬﺪ ﺍﻟﻜﺒﲑ ﻭﺍﳌﺜﺎﺑﺮﺓ‪ .‬ﻭﻧﺴﺘﻄﻴﻊ ﺃﻥ ﻧﺮﻯ ﻫﺬﺍ ﺍﻷﻣﺮ ﻣﻦ‬ ‫ﺧﻼﻝ ﺍﻻﻃﻼﻉ ﺍﻟﺸﺎﻣﻞ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪.‬‬ ‫ﺗﺮﺗﻴﺐ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ ﺣﺴﺐ ﺳﻮﺭ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺁﻳﺎﺗﻪ‪:‬‬ ‫ﻭﻫﺬﺍ ﺍﳌﺴﻠﻚ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻨﺘﻬﺠﻪ ﻋﺎﻣﺔ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺣﺴﺐ ﺍﻟﺴﻮﺭ ﻭﺍﻵﻳﺎﺕ ﺇﻻ ﺃﻥ‬ ‫ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻻ ﻳﺸﻤﻞ ﻛﻞ ﺁﻳﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‪ ،‬ﻭﻫﻨﺎﻙ ﺁﻳﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﱂ ﻳﺮﺩ ﺗﻔﺴﲑﻫﺎ ﻟﻮﺿﻮﺡ ﻣﻌﺎﻧﻴﻬﺎ‬ ‫ﻛﻤﺎ ﺃﺷﺎﺭ ﺇﻟﻴﻪ ﺍﳌﺆﻟﻒ‪.‬‬ ‫ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺑﺎﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻋﺘﻤﺎﺩﺍ ﻋﻠﻰ ﻛﺘﺎﺏ ﺃﺿﻮﺍﺀ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﰒ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ﻭﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺎﲰﻲ‪:‬‬ ‫ﺇﻥ ﺃﺣﺴﻦ ﻃﺮﻕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺃﻥ ﻳﻔﺴﺮ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺑﺎﻟﻘﺮﺁﻥ ﺃﻭﻻ‪ .‬ﻓﻤﺎ ﺃﲨﻞ ﰲ ﻣﻜﺎﻥ ﻓﺈﻧﻪ ﻗﺪ ﻓﺴﺮ ﰲ‬ ‫ﻣﻮﺿﻊ ﺁﺧﺮ‪ ،‬ﻭﻣﺎ ﺍﺧﺘﺼﺮ ﰲ ﻣﻜﺎﻥ ﻓﻘﺪ ﺑﺴﻂ ﰲ ﻣﻮﺿﻊ ﺁﺧﺮ‪ .‬ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻄﺮﻳﻘﺔ ﺍﻷﻭﱃ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‬ ‫ﻛﻤﺎ ﺃﺷﺎﺭ ﺇﻟﻴﻪ ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ ﻭﻏﲑﻩ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ‪).‬ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ‪ ،1979 ،‬ﺹ‪ .(93 :‬ﻭﻗﺪ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ‪ :‬ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‬ ‫ﻳﻔﺴﺮ ﺑﻌﻀﻪ ﺑﻌﻀﺎ‪ .‬ﻭﻫﺬﺍ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﺗﻀﺢ ﺟﻠﻴﺎ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪ .‬ﻓﻘﺪ ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺭﻭﺍﻳﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﺣﻮﻝ‬ ‫ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺑﺎﻟﻘﺮﺁﻥ‪ .‬ﻭﺍﺧﺘﺎﺭ ﺃﻥ ﻳﻌﺘﻤﺪ ﻋﻠﻰ ﻛﺘﺎﺏ ﺃﺿﻮﺍﺀ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﻟﻠﻌﻼﻣﺔ ﳏﻤﺪ ﺍﻷﻣﲔ ﺍﻟﺸﻨﻘﻴﻄﻲ‬ ‫ﺭﲪﻪ ﺍﷲ ﺃﻭﻻ‪ .‬ﻓﻠﻌﻞ ﺍﻷﻣﺮ ﺭﺍﺟﻊ ﺇﱃ ﻛﻮﻥ ﺃﺿﻮﺍﺀ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﺃﻛﺜﺮ ﺑﻴﺎﻧﺎ ﻭﺗﻮﺿﻴﺤﺎ ﻟﻼﺭﺗﺒﺎﻃﺎﺕ ﺑﲔ‬ ‫ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺑﺎﳌﻘﺎﺭﻧﺔ ﻣﻊ ﻏﲑﻩ ‪ ).‬ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﻓﻬﺪ ﺍﻟﺮﻭﻣﻲ‪ ،1986 ،‬ﺹ‪ (146/1 :‬ﻭﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺃﻋﻠﻢ‪.‬‬ ‫ﺗﻘﺪﱘ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﺍﺗﻔﻖ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻟﺸﻴﺨﺎﻥ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ﻭﻣﺴﻠﻢ ﰲ ﺻﺤﻴﺤﻴﻬﻤﺎ ﰒ ﻣﺎ ﺍﻧﻔﺮﺩ‬ ‫ﺑﻪ ﺃﺣﺪﳘﺎ ﻭﻋﺪﻡ ﲣﺮﻳﺞ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻣﻦ ﻣﺼﺎﺩﺭ ﺃﺧﺮﻯ ﻣﺎ ﺩﺍﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻣﺬﻛﻮﺭﺍ ﰲ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔ ﺃﻭ ﰲ‬ ‫ﺃﺣﺪﳘﺎ ﻷﻥ ﺍﳍﺪﻑ ﺍﻟﺘﻮﺻﻞ ﺇﱃ ﺻﺤﺔ ﺍﳊﺪﻳﺚ‪ :‬ﻗﺪ ﺗﻘﺮﺭ ﻟﺪﻯ ﺍﻷﻣﺔ ﺃﻥ ﺃﺻﺢ ﻛﺘﺎﺏ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‬ ‫ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺻﺤﻴﺢ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ ﺃﻭ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ‪ ،‬ﰒ ﺻﺤﻴﺢ ﻣﺴﻠﻢ‪ .‬ﻓﻜﻼﳘﺎ ﻣﺮﺟﻌﺎﻥ ﺃﺳﺎﺳﻴﺎﻥ‬ ‫ﳍﺬﻩ ﺍﻷﻣﺔ ﺑﻌﺪ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ‪ ،‬ﻭﻟﻴﺴﺎ ﻟﻠﺘﻔﺴﲑ ﻓﺤﺴﺐ‪ ،‬ﺑﻞ ﳉﻤﻴﻊ ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﻭﺍﻷﺣﻜﺎﻡ‪ .‬ﻓﺎﻟﺼﺤﻴﺤﺎﻥ‬ ‫ﻳﺴﺘﺤﻘﺎﻥ ﺍﻟﺘﻘﺪﱘ ﻭﺍﻟﻌﻨﺎﻳﺔ ﺧﺼﻮﺻﺎ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻛﻼﻡ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺫﻛﺮﻩ‪.‬‬ ‫ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﻋﺪﻡ ﺍﻟﻌﺜﻮﺭ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﰲ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔ ﺃﻭ ﰲ ﺃﺣﺪﳘﺎ ﳉﺄ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺇﱃ ﻛﺘﺐ‬ ‫ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﻋﻠﻮﻡ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﳌﺴﻨﺪﺓ ﻛﻔﻀﺎﺋﻞ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﱰﻭﻝ ﻭﺍﻟﻨﺎﺳﺦ ﻭﺍﳌﻨﺴﻮﺥ ﻭﺇﱃ ﻛﺘﺐ‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺍﻟﺼﺤﺎﺡ ﻭﺍﻟﺴﻨﻦ ﻭﺍﳌﺴﺎﻧﻴﺪ ﻭﺍﳌﺼﻨﻔﺎﺕ ﻭﺍﳉﻮﺍﻣﻊ ﻭﻏﲑﻫﺎ ﻣﻦ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺴﲑﺓ ﻭﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ‬ ‫ﺍﳌﺴﻨﺪﺓ ﻣﺒﺘﺪﺋﺎ ﺑﺎﻷﻋﻠﻰ ﺳﻨﺪﺍ ﺃﻭ ﲟﺎ ﺣﻜﻢ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻷﺋﻤﺔ ﺍﻟﻨﻘﺎﺩ ﺍﳌﻌﺘﻤﺪﻭﻥ‪.‬‬ ‫ﻭﲨﻠﺔ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﰲ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔ ﻓﻴﻤﺎ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﺑﺎﻟﺘﻔﺴﲑ ﱂ ﺗﻜﻦ ﻛﺒﲑﺓ‪).‬ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ‪،‬‬ ‫‪ ،1988‬ﺹ‪ .(617 :‬ﻟﺬﺍ ﳛﺘﺎﺝ ﺍﻷﻣﺮ ﺇﱃ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻦ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺃﻭ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﰲ ﻛﺘﺐ ﺃﺧﺮﻯ ﻛﻤﺎ‬ ‫ﺻﺮﺡ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺑﺬﻟﻚ‪ .‬ﻭﻣﻊ ﺻﻌﻮﺑﺔ ﺍﻟﺮﺟﻮﻉ ﺇﱃ ﺗﻠﻚ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻓﺈﻥ ﺍﺳﺘﺌﻨﺎﺱ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺑﺎﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﺍﻟﱵ ﻗﺪ‬ ‫ﺣﻜﻢ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺍﻟﻨﻘﺎﺩ ﺍﳌﻌﺘﱪﻭﻥ ﻗﺪ ﺳﺎﻋﺪﻩ ﻛﺜﲑﺍ ﰲ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺻﺤﺔ ﺍﻟﺴﻨﺪ ﺃﻭ ﻋﺪﻣﻪ‪ .‬ﻭﻫﺬﻩ‬ ‫ﺍﻟﻄﺮﻳﻘﺔ ﰲ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﳑﺎ ﻳﻮﻓﺮ ﺍﳉﻬﺪ ﻭﺍﻟﻮﻗﺖ‪.‬‬ ‫ﲣﺮﻳﺞ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﲣﺮﳚﺎ ﻳﻮﺻﻞ ﺇﱃ ﺻﺤﺔ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﺃﻭ ﺣﺴﻨﻪ ﻣﺴﺘﺄﻧﺴﺎ ﲝﻜﻢ ﺍﻟﻨﻘﺎﺩ ﺍﳉﻬﺎﺑﺬﺓ‪:‬‬ ‫ﻫﺬﺍ ﳑﺎ ﺍﻧﺘﻬﺠﻪ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ‪ ،‬ﻭﳘﻪ ﺍﻟﻮﺻﻮﻝ ﺇﱃ ﺩﺭﺟﺔ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺻﺤﺔ ﻭﺿﻌﻔﺎ‪ .‬ﻭﻗﺪ ﺳﺒﻖ‬ ‫ﺃﳘﻴﺔ ﺍﻟﺮﺟﻮﻉ ﺇﱃ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﻨﻘﺎﺩ ﺍﳌﻌﺘﻤﺪﻳﻦ ﺍﺧﺘﺼﺎﺭﺍ ﻟﻠﻄﺮﻳﻖ ﻭﺍﺳﺘﻔﺎﺩﺓ ﻣﻦ ﺃﻋﻤﺎﻝ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﲔ‪.‬‬ ‫ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﻋﺪﻡ ﻭﺟﻮﺩ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﳌﺮﻓﻮﻋﺔ ﳉﺄ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺇﱃ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺷﻬﺪﻭﺍ‬ ‫ﺍﻟﺘﱰﻳﻞ ﻭﺃﻭﺭﺩ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﺭﺿﻮﺍﻥ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺑﺄﺻﺢ ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﻋﻨﻬﻢ ‪ ،‬ﻭﺇﺫﺍ ﱂ ﻳﻌﺜﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ‬ ‫ﻋﻠﻰ ﻗﻮﻝ ﺻﺤﺎﰊ ﳉﺄ ﺇﱃ ﻣﺎ ﺛﺒﺖ ﻣﻦ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ‪:‬‬ ‫ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ ﰲ ﻫﺬﺍ‪" :‬ﻭﺣﻴﻨﺌﺬ ﺇﺫﺍ ﱂ ﲡﺪ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﻻ ﰲ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﺭﺟﻌﺖ ﰲ‬ ‫ﺫﻟﻚ ﺇﱃ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ‪ ،‬ﻓﺈ‪‬ﻢ ﺃﺩﺭﻯ ﺑﺬﻟﻚ ﳌﺎ ﺷﺎﻫﺪﻭﺍ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‪ ،‬ﻭﺍﻷﺣﻮﺍﻝ ﺍﻟﱵ ﺍﺧﺘﺼﻮﺍ ‪‬ﺎ‪"...‬‬ ‫)ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ‪ ،1979 ،‬ﺹ‪(93 :‬‬ ‫ﻗﺪﻡ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﻭﺍﻟﻄﺮﻕ ﺍﳌﺘﻜﺮﺭﺓ ﻷﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﰲ ﺍﳌﻘﺪﻣﺔ ﻭﻃﻮﻝ‬ ‫ﺍﻟﻨﻔﺲ ﰲ ﺫﻛﺮﻫﺎ ﻭﺫﻟﻚ ﻟﺒﻴﺎﻥ ﻣﻮﺿﻊ ﺍﳊﻜﻢ ﻋﻠﻰ ﺻﺤﺘﻬﺎ ﻭﺣﺴﻨﻬﺎ‪:‬‬ ‫ﻭﺗﻠﻚ ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ‪ :‬ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﻋﻦ ﺃﰊ ﺑﻦ ﻛﻌﺐ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ‪ ،‬ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ‪ ،‬ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﻋﻦ‬ ‫ﻋﻄﺎﺀ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺭﺑﺎﺡ‪ ،‬ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﻋﻦ ﻋﻜﺮﻣﺔ‪ ،‬ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﻋﻦ ﻗﺘﺎﺩﺓ‪ ،‬ﻭﺍﻹﺳﻨﺎﺩ ﻋﻦ ﳎﺎﻫﺪ‪ .‬ﺇﻥ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﻫﺬﻩ‬ ‫ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﺍﻟﱵ ﻗﺪﻣﻬﺎ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﻧﻈﺮﻱ ﻣﻦ ﺃﻫﻢ ﻣﺰﺍﻳﺎ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪ .‬ﻓﻜﺄﻥ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺃﺭﺍﺩ ﺃﻥ ﻳﺘﺄﺳﻰ ﲟﻦ‬ ‫ﺳﺒﻘﻪ ﻣﻦ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﲔ ﺃﻣﺜﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ ﻭﺍﻟﺒﻐﻮﻱ‪ ،‬ﻓﻘﺪ ﺫﻛﺮ ﺃﺳﺎﻧﻴﺪﳘﺎ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ‬ ‫ﻣﻘﺪﻣﺔ ﺗﻔﺴﲑﻳﻬﻤﺎ‪ ،‬ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﰲ ﺍﻟﻌﺠﺎﺏ ﰲ ﺑﻴﺎﻥ ﺍﻷﺳﺒﺎﺏ‪ .‬ﻭﺃﺫﻛﺮ ﻫﻨﺎ ﺃﳘﻴﺔ ﺫﻛﺮ‬ ‫ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﰲ ﻣﻘﺪﻣﺔ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ‪" :‬ﻭﺇﳕﺎ ﻗﺪﻣﺖ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻘﺪﻣﺔ ﻟﻴﺴﻬﻞ ﺍﻟﻮﻗﻮﻑ‬ ‫ﻋﻠﻰ ﺃﻭﺻﺎﻓﻬﻢ ﳌﻦ ﺗﺼﺪﻯ ﻟﻠﺘﻔﺴﲑ‪ ،‬ﻓﻴﻘﺒﻞ ﻣﻦ ﻛﺎﻥ ﺃﻫﻼ ﻟﻠﻘﺒﻮﻝ‪ ،‬ﻭﻳﺮﺩ ﻣﻦ ﻋﺪﺍﻩ‪ ،‬ﻭﻳﺴﺘﻔﺎﺩ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ‬ ‫ﲣﻔﻴﻒ ﺣﺠﻢ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻟﻘﻠﺔ ﺍﻟﺘﻜﺮﺍﺭ ﻓﻴﻪ"‪).‬ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ‪ ،‬ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ‪ ،1997 ،‬ﺹ‪) ،(174 :‬ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ‪،‬‬ ‫‪ ،1997‬ﺹ‪(221 :‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻭﺃﻣﺎ ﻣﻨﻬﺞ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ ﻓﻬﻮ ﻛﻤﺎ ﻳﻠﻲ‪:‬‬ ‫ﺧﺘﺼﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻛﺘﻔﺎﺀ ﺑﺬﻛﺮ ﺍﲰﻪ ﻓﻘﻂ ﺩﻭﻥ ﺫﻛﺮ ﺍﻟﺼﻔﺤﺔ‬‫ﻭﺍﳉﺰﺀ ﺧﻮﻓﺎ ﻣﻦ ﺇﻃﺎﻟﺔ ﺍﳊﻮﺍﺷﻲ‪ .‬ﻭﺃﻣﺎ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﺍﻷﺧﺮﻯ ﻓﻘﺪ ﺃﻭﺭﺩﻫﺎ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺑﺬﻛﺮ ﺃﲰﺎﺋﻬﺎ ﻣﻊ ﺍﳉﺰﺀ‬ ‫ﻭﺍﻟﺼﻔﺤﺔ‪ ،‬ﻭﺍﻟﺒﺎﺏ ﻭﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﺇﻥ ﺗﻌﺪﺩﺕ ﺍﻟﻄﺒﻌﺎﺕ‪ .‬ﻭﻫﺬﺍ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﰲ ﻛﻞ ﺳﻮﺭﺓ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺇﻻ ﺳﻮﺭﺓ‬ ‫ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ﻟﻜﺜﺮﺓ ﺍﻹﺣﺎﻟﺔ ﺇﱃ ﻏﲑ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪.‬‬ ‫ﺧﺘﺼﺎﺭ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ ﺭﺟﺎﻝ ﺍﻷﺳﺎﻧﻴﺪ ﻭﺧﺼﻮﺻﺎ ﺇﺫﺍ ﺗﻘﺪﻡ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻨﻬﻢ ﰲ ﲢﻘﻴﻖ ﺍﳌﺆﻟﻒ‬‫ﻟﺘﻔﺴﲑ ﺳﻮﺭﰐ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ ﻭﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﻣﻦ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ‪ .‬ﻭﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ ﺳﻨﺪ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ‬ ‫ﺇﱃ ﺍﻟﺴﺪﻱ ﻭﺳﻨﺪﻩ ﺇﱃ ﻣﻘﺎﺗﻞ ﺑﻦ ﺣﻴﺎﻥ‪.‬‬ ‫ﻻﻛﺘﻔﺎﺀ ﺑﺘﻔﺴﲑﻱ ﺍﻟﻄﱪﻱ ﺃﻭ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ ﺃﻭ ﺑﻜﻠﻴﻬﻤﺎ ﰲ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻷﺣﻴﺎﻥ ﻟﺸﻤﻮﳍﻤﺎ‬‫ﻭﻻﺧﺘﺼﺎﺭ ﺗﻌﺪﺩ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ‪.‬‬ ‫ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﺗﻜﺮﺭ ﺍﻟﻜﻠﻤﺔ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﳝﻜﻦ ﺍﻟﺮﺟﻮﻉ ﺇﱃ ﺗﻔﺴﲑﻫﺎ ﻋﻨﺪ ﺃﻭﻝ ﻭﺭﻭﺩﻫﺎ‪.‬‬‫ﻓﻤﺜﻼ ﻟﻔﻆ )ﺣﻜﻴﻢ( ﺗﻜﺮﺭﺕ )‪ (96‬ﻣﺮﺓ ﻭﻭﺭﺩ ﺗﻔﺴﲑﻫﺎ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ﻋﻨﺪ ﺍﻵﻳﺔ ﺭﻗﻢ )‪ (32‬ﻓﻼ‬ ‫ﺩﺍﻋﻲ ﻟﺘﻜﺮﺍﺭ ﺍﻹﺣﺎﻟﺔ ﻟﻜﺜﺮ‪‬ﺎ‪.‬‬ ‫ﺍﺳﺘﻌﻤﻞ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻃﺮﻳﻘﺔ ﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ ﰲ ﺍﻟﻜﻠﻤﺎﺕ‪ :‬ﺍﻷﻣﺜﻠﺔ‪ :‬ﻛﺘﺎﺏ‪ :‬ﻙ‪ ،‬ﺑﺎﺏ‪ :‬ﺏ‪ ،‬ﳐﻄﻮﻁ‪:‬‬‫ﺥ‪ ،‬ﻟﻮﺣﺔ‪ :‬ﻝ‪.‬‬ ‫ﻭﻣﻦ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ ﻋﺪﻡ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﻻ ﲢﺘﺎﺝ ﺇﱃ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻟﻮﺿﻮﺡ ﻣﻌﻨﺎﻫﺎ‪،‬‬‫ﻭﻛﺬﺍ ﺁﻳﺎﺕ ﺍﻟﺼﻔﺎﺕ ﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ‪.‬‬ ‫ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ ﻭﻣﻮﻗﻒ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﻨﻬﺎ‪:‬‬ ‫ﺳﺒﻖ ﺃﻥ ﺗﻜﻠﻤﻨﺎ ﻋﻦ ﻣﻨﻬﺞ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺍﻟﺬﻱ ﺭﲰﻪ ﻟﻨﻔﺴﻪ ﰲ ﺇﻋﺪﺍﺩ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻣﻦ ﺍﳉﻤﻊ ﻭﺍﻟﺘﺨﺮﻳﺞ‬ ‫ﻭﺍﻻﺧﺘﺼﺎﺭ‪ .‬ﻭﺗﺒﻘﻰ ﻣﻌﻨﺎ ﺟﻮﻟﺔ ﻋﻠﻤﻴﺔ ﻣﻊ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻟﻨﺘﻌﺮﻑ ﻋﻠﻰ ﻧﻮﻋﻴﺔ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑﻳﺔ‬ ‫ﻭﻣﻮﻗﻒ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﻨﻬﺎ‪ .‬ﻭﺳﻴﺪﻭﺭ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﺣﻮﻝ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﻓﻀﺎﺋﻞ ﺍﻟﺴﻮﺭ‪ ،‬ﻭﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ‪،‬‬ ‫ﻭﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﱰﻭﻝ‪ ،‬ﻭﺍﻟﻨﺎﺳﺦ ﻭﺍﳌﻨﺴﻮﺥ‪ ،‬ﻭﺍﻟﻘﺮﺍﺀﺍﺕ‪ ،‬ﻭﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ‪ ،‬ﻭﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻔﻘﻬﻴﺔ‪ ،‬ﻭﺍﻟﻘﺼﺺ ﻭﺍﻷﺧﺒﺎﺭ‬ ‫ﺍﻟﺴﺎﻟﻔﺔ‪.‬‬ ‫‪ -1‬ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﻓﻀﺎﺋﻞ ﺍﻟﺴﻮﺭ ‪ ‬‬ ‫ﺍﻫﺘﻢ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺑﺴﺮﺩ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﰲ ﻓﻀﺎﺋﻞ ﺍﻟﺴﻮﺭ‪ .‬ﻭﺍﻟﺴﻮﺭ ﺍﻟﱵ ﺫﻛﺮ ﻓﻀﺎﺋﻠﻬﺎ ﺳﻮﺭﺓ‬ ‫ﺍﻟﻔﺎﲢﺔ ﻭﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ﻭﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ ﻭﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﻭﺍﻷﻧﻌﺎﻡ ﻭﺍﻷﻋﺮﺍﻑ ﻭﺍﻹﺳﺮﺍﺀ ﻭﺍﻟﻜﻬﻒ ﻭﺍﳌﻠﻚ ﻭﺍﻟﺘﻜﻮﻳﺮ‬ ‫ﻭﺍﻟﻜﺎﻓﺮﻭﻥ ﻭﺍﻹﺧﻼﺹ ﻭﺍﻟﻔﻠﻖ ﻭﺍﻟﻨﺎﺱ‪ .‬ﻭﺇﻥ ﺍﻗﺘﺼﺎﺭ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﻠﻰ ﺫﻛﺮ ﻓﻀﺎﺋﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻮﺭ ﺩﻭﻥ‬ ‫ﻏﲑﻫﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻮﺭ ﺍﻷﺧﺮﻯ ﻳﺸﲑ ﺇﱃ ﺃﻣﺮ ﻣﻬﻢ‪ ،‬ﻓﻜﺄﻥ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻳﺮﻯ ﺃﻥ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﰲ ﻓﻀﺎﺋﻞ‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺍﻟﺴﻮﺭ ﺍﻟﱵ ﱂ ﻳﺬﻛﺮﻫﺎ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻓﻬﻲ ﱂ ﺗﺒﻠﻎ ﺩﺭﺟﺔ ﺍﻟﺼﺤﺔ ﺃﻭ ﺍﳊﺴﻦ ﻋﻨﺪﻩ‪ .‬ﻟﺬﺍ ﺃﻋﺮﺽ ﺍﳌﺆﻟﻒ‬ ‫ﻋﻦ ﺫﻛﺮﻫﺎ‪ .‬ﻭﺍﷲ ﺃﻋﻠﻢ‪)1.‬ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ‪ ،1979 ،‬ﺹ‪.(76 :‬‬ ‫‪ -2‬ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ‪ ‬‬ ‫ﺑﲔ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﻮﻗﻔﻪ ﻣﻦ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ﻋﻨﺪ ﻣﺎ ﻓﺴﺮ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {‪ .zA‬ﻓﻘﺎﻝ‪" :‬ﻭﻗﺪ ﺗﻮﻗﻒ ﰲ‬ ‫ﺗﻔﺴﲑ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺔ ﻭﻏﲑﻫﺎ ﻣﻦ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ﲨﻊ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻛﺎﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪﻳﻦ ﺭﺿﻮﺍﻥ ﺍﷲ‬ ‫ﻋﻠﻴﻬﻢ ﻭﻏﲑﻫﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻭﺃﺗﺒﺎﻋﻬﻢ‪ ،‬ﻭﱂ ﻳﺜﺒﺖ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﺃﻧﻪ‬ ‫ﻓﺴﺮﻫﺎ‪ ،‬ﻓﻴﺴﺘﺤﺴﻦ ﺃﻥ ﻧﻘﻮﻝ‪ :‬ﺍﷲ ﺃﻋﻠﻢ ﺑﺎﳌﺮﺍﺩ ﻣﻨﻬﺎ‪ ،‬ﻭﻟﻜﻦ ﺛﺒﺖ ﻋﻦ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ‬ ‫ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻭﺃﺗﺒﺎﻋﻬﻢ ﺃ‪‬ﻢ ﺑﻴﻨﻮﺍ ﺗﻔﺴﲑﻫﺎ ﻭﺍﺧﺘﻠﻔﻮﺍ ﻓﻴﻪ‪ "...‬ﰒ ﺳﺎﻕ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﺎ ﺛﺒﺖ ﻋﻨﻬﻢ ﻣﻦ ﺍﻷﻭﺟﻪ‬ ‫ﺍﻵﺗﻴﺔ‪:‬‬ ‫ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻷﻭﻝ‪ :‬ﺃ‪‬ﺎ ﻗﺴﻢ ﺃﻗﺴﻢ ﺍﷲ ﺑﻪ ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﺃﲰﺎﺋﻪ‬ ‫ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻟﺜﺎﱐ‪ :‬ﺃ‪‬ﺎ ﻓﻮﺍﺗﺢ ﻳﻔﺘﺢ ﺍﷲ ‪‬ﺎ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‬ ‫ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ‪ :‬ﺃ‪‬ﺎ ﺍﺳﻢ ﻣﻦ ﺃﲰﺎﺀ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‬ ‫ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻟﺮﺍﺑﻊ‪ :‬ﺃ‪‬ﺎ ﺍﺳﻢ ﻣﻦ ﺃﲰﺎﺀ ﺍﷲ‬ ‫ﻭﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﻣﻨﻬﺠﻪ – ﺣﻔﻈﻪ ﺍﷲ – ﺃﻧﻪ ﺫﻛﺮ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﺛﺒﺘﺖ ﻋﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﰲ ﺑﻴﺎﻥ‬ ‫ﻣﻌﺎﱐ ﺗﻠﻚ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﻭﺟﻪ ﺍﻟﱵ ﺫﻛﺮﻫﺎ ﻛﻤﺎ ﰲ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {‪،2ze{ ،zA‬‬ ‫{\‪ ،z‬ﻭ {‪ zA‬ﻭ{‪ .zA‬ﻭﱂ ﻳﺒﺪ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺭﺃﻳﻪ ﲡﺎﻩ ﺗﻔﺎﺳﲑ ﻫﺆﻻﺀ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻟﻠﺤﺮﻭﻑ‬ ‫ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ﻭﱂ ﻳﻌﻠﻖ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻛﺘﻔﺎﺀ ﲟﺎ ﻗﺪ ﺻﺮﺡ ﰲ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ {‪ zA‬ﰲ ﺑﺪﺍﻳﺔ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ﺃﻥ ﺍﻟﺘﻮﻗﻒ ﰲ‬ ‫ﺫﻟﻚ ﺃﺳﻠﻢ‪ .‬ﻭﺍﷲ ﺃﻋﻠﻢ ﲟﺮﺍﺩﻫﺎ‪ .‬ﻭﻳﻈﻬﺮ ﻣﻦ ﺻﻨﻴﻌﻪ ﻫﺬﺍ ﺃﻥ ﺻﺤﺔ ﺍﻟﺴﻨﺪ ﺃﻭ ﺛﺒﻮﺗﻪ ﺇﱃ ﺍﻟﺼﺤﺎﰊ ﺃﻭ‬ ‫ﺍﻟﺘﺎﺑﻌﻲ ﰲ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻘﻀﻴﺔ ﻻ ﻳﻌﲏ ﺻﺤﺔ ﺍﳌﻌﲎ ﺃﻭ ﻗﺒﻮﻟﻪ‪ .‬ﻓﻤﺎ ﺩﺍﻡ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﱂ ﻳﺒﲔ‬ ‫ﻣﻌﺎﱐ ﺗﻠﻚ ﺍﳊﺮﻭﻑ ﺍﳌﻘﻄﻌﺔ ﻓﻠﻴﺲ ﻷﺣﺪ ﺍﳋﻮﺽ ﻓﻴﻬﺎ ﺑﺮﺃﻳﻪ ‪ .‬‬ ‫‪ -3‬ﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﱰﻭﻝ ‪ ‬‬ ‫ﺇﻥ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺳﺒﺐ ﻧﺰﻭﻝ ﺍﻵﻳﺔ ﻣﻦ ﺍﻷﻣﻮﺭ ﺍﳌﻬﻤﺔ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺇﺫ ﻳﺘﻮﻗﻒ ﻓﻬﻢ ﺍﻵﻳﺔ ﻋﻠﻰ ﺳﺒﺐ ﻧﺰﻭﳍﺎ ﺇﻥ‬ ‫ﻛﺎﻥ ﳍﺎ ﺳﺒﺐ‪ .‬ﻭﺳﺒﺐ ﺍﻟﱰﻭﻝ ﻣﺒﲏ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﻘﻞ ﻭﺍﻟﺴﻤﺎﻉ‪) .‬ﺍﻟﻮﺍﺣﺪﻱ‪ ،‬ﺃﺑﻮ ﺍﳊﺴﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ‬ ‫ﺃﲪﺪ‪ ،1411،‬ﺹ‪ .(8 :‬ﻓﻘﺪ ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﺭﻭﺍﻳﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﻋﻦ ﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﱰﻭﻝ‪ .‬ﻣﻨﻬﺎ ﺳﺒﺐ ﻧﺰﻭﻝ ﻗﻮﻟﻪ‬ ‫ﺗﻌﺎﱃ‬ ‫{‪T S‬‬

‫‪zZ Y X W V U‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ‪(113 :9 ،‬‬

‫‪1‬ﻭﻟﻠﻌﻠﻢ ﺃﻥ ﻫﻨﺎﻙ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﻣﻮﺿﻮﻋﺔ ﰲ ﻓﻀﺎﺋﻞ ﺳﻮﺭ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺳﻮﺭﺓ ﺳﻮﺭﺓ ﻛﻤﺎ ﻳﺮﻭﻳﻪ ﺍﻟﺜﻌﻠﱯ ﻭﺍﻟﻮﺍﺣﺪﻱ ﻭﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ ﰲ ﺗﻔﺎﺳﲑﻫﻢ‪ ،‬ﻭﻫﻲ‬ ‫ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﻣﻮﺿﻮﻋﺔ ﺑﺎﺗﻔﺎﻕ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻠﻢ‪.‬‬ ‫‪ 2‬ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻣﺎ ﺃﺧﺮﺟﻪ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺯﺍﻕ ﺑﺴﻨﺪﻩ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﻋﻦ ﻗﺘﺎﺩﺓ ﻭﺍﳊﺴﻦ ﰲ ﻗﻮﻟﻪ )ﻃﻪ( ﻗﺎﻻ‪ :‬ﻳﺎ ﺭﺟﻞ‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻭﺃﻭﺭﺩ ﺣﺪﻳﺚ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﺍﳌﺴﻴﺐ ﻋﻦ ﺃﺑﻴﻪ ﰲ ﻗﺼﺔ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻣﻊ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ‬ ‫ﻭﻗﻮﻟﻪ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻟﻪ‪ :‬ﻷﺳﺘﻐﻔﺮﻥ ﻟﻚ ﻣﺎ ﱂ ﺃﻧﻪ ﻋﻨﻚ‪ .‬ﻓﱰﻟﺖ ﺍﻵﻳﺔ‪.‬‬ ‫ﻭﻣﻨﻬﺎ ﺳﺒﺐ ﻧﺰﻭﻝ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ‬ ‫{ ‪zB A‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﻋﺒﺲ‪(1: 80 ،‬‬ ‫ﺣﻴﺚ ﺫﻛﺮ ﺣﺪﻳﺚ ﻋﺎﺋﺸﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ ﺃ‪‬ﺎ ﻗﺎﻟﺖ‪ :‬ﺃﻧﺰﻝ )ﻋﺒﺲ ﻭﺗﻮﱃ( ﰲ ﺍﺑﻦ ﺃﻡ ﻣﻜﺘﻮﻡ‬ ‫ﺍﻷﻋﻤﻰ‪ ،...‬ﻭﺳﺒﺐ ﻧﺰﻭﻝ‪ ،‬ﺣﻴﺚ ﺃﻭﺭﺩ ﺣﺪﻳﺚ ﺟﻨﺪﺏ ﺑﻦ ﺳﻔﻴﺎﻥ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ‪.‬‬ ‫{‪z l k j i h ، f e d ،b‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻀﺤﻰ‪(3-1 :93 ،‬‬

‫‪ ‬‬ ‫‪ -4‬ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﺎﺳﺦ ﻭﺍﳌﻨﺴﻮﺥ ‪ ‬‬ ‫ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺑﺎﻟﻨﺎﺳﺦ ﻭﺍﳌﻨﺴﻮﺥ ﺃﻣﺮ ﺿﺮﻭﺭﻱ ﻟﻠﻔﻘﻴﻪ‪ ،‬ﻭﺍﳌﻔﱵ ﻭﺍﳌﻔﺴﺮ ﺇﺫ ﻻ ﳚﻮﺯ ﻷﺣﺪ ﺃﻥ ﻳﺘﺼﺪﻯ‬ ‫ﻟﺸﻲﺀ ﻣﻦ ﺍﻟﻔﺘﻴﺎ ﺃﻭ ﻳﻘﺪﻡ ﻋﻠﻰ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺇﻻ ﺑﻌﺪ ﺍﻹﺣﺎﻃﺔ ﺑﺎﻟﻨﺎﺳﺦ ﻭﺍﳌﻨﺴﻮﺥ‪) ،‬ﺧﺎﻟﺪ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ‬ ‫ﺍﻟﺴﺒﺖ‪،1421 ،‬ﺹ‪ .(727/2 :‬ﻭﻗﺪ ﺳﺮﺩ ﺍﳌﻔﺴﺮ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺣﻮﻝ ﻫﺬﺍ ﺍﳉﺎﻧﺐ‪ .‬ﻓﻌﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ‬ ‫ﺗﻌﺎﱃ‬ ‫{‪zy x w v u t‬‬

‫ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺭﻭﺍﻳﺔ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﻠﺤﺔ‪ :‬ﻧﺴﺦ ﺫﻟﻚ ﻛﻠﻪ ﺑﻘﻮﻟﻪ‬ ‫{ | } ~ ‪z‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ‪(109 :2 :‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ‪(5 :9 ،‬‬

‫ﻭﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {‪ ztsrqponm‬ﺇﱃ ﻗﻮﻟﻪ )‪ (ih‬ﰲ‬ ‫ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ‪ ،‬ﻓﻨﺴﺦ ﻫﺬﺍ‪.‬‬ ‫ﻭﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {‪) ،zÒÑÐÏÎ‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻷﻧﻔﺎﻝ‪ ،(61 :8 ،‬ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ‬ ‫ﺭﻭﺍﻳﺔ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ‪ :‬ﻧﺴﺨﺘﻬﺎ {‪.zqponm‬‬ ‫ﻭﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {‪ ،z..lkj‬ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺭﻭﺍﻳﺔ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ‪:‬‬ ‫{‪) zgfedc‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ‪ znmlk{ ،(39 :9 ،‬ﺇﱃ‬ ‫ﻗﻮﻟﻪ{‪) zx‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ‪ (121-120 :9 ،‬ﻧﺴﺨﺘﻬﺎ ﺍﻵﻳﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻠﻴﻬﺎ {‪¼»º¹‬‬ ‫½‪) z‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ‪.(122 :9 ،‬‬ ‫‪ ‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫‪ -4‬ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺍﻟﻘﺮﺍﺀﺍﺕ ‪ ‬‬ ‫ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻛﺎﻥ ﻟﻪ ﻋﻨﺎﻳﺔ ﺑﺈﻳﺮﺍﺩ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﳌﺘﻌﻠﻘﺔ ﺑﺎﻟﻘﺮﺍﺀﺍﺕ ‪ .‬ﻓﻨﺮﻯ ﻣﺜﻼ ﺃﻧﻪ ﺫﻛﺮ ﺣﺪﻳﺜﺎ‬ ‫ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ ﻋﻦ ﻭﺟﻮﻩ ﺍﻟﻘﺮﺍﺀﺓ ﰲ )ﻣَﻠﻚ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﺪﻳﻦ(‪ ،‬ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﺍﳌﺴﻴﺐ ﻗﺎﻝ‪ :‬ﻛﺎﻥ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ‬ ‫ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﻭﻋﻤﺮ ﻭﻋﺜﻤﺎﻥ ﻳﻘﺮﺅﻭﻥ {ﻣﻠﻚ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﺪﻳﻦ‪ z‬ﻭﺃﻭﻝ ﻣﻦ ﻗﺮﺃﻫﺎ {ﻣَﻠﻚ ﻳﻮﻡ‬ ‫ﺍﻟﺪﻳﻦ‪ z‬ﻣﺮﻭﺍﻥ‪ .‬ﻭﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {‪) zGFEDCB‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ‪ ،(106 :2 ،‬ﺫﻛﺮ‬ ‫ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻗﺮﺍﺀﺓ ﺛﺎﻧﻴﺔ )ﻧﻨﺴﺄﻫﺎ( ﻛﻤﺎ ﰲ ﺣﺪﻳﺚ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺍﳋﻄﺎﺏ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ‪ .‬ﻭﻋﻨﺪ‬ ‫ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {‪) z§¦¥¤£‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻜﻮﻳﺮ‪ ،(24 :81 ،‬ﺫﻛﺮ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺭﻭﺍﻳﺔ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ‬ ‫ﺣﺎﰎ ﺑﺴﻨﺪ ﺻﺤﻴﺢ ‪ :‬ﻛﺎﻥ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﻳﻘﺮﺃ {§‪ z‬ﻗﺎﻝ‪ :‬ﻭﺍﻟﻀﻨﲔ ﻭﺍﻟﻈﻨﲔ ﺳﻮﺍﺀ‪.‬‬ ‫‪ -5‬ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ‪ ‬‬ ‫ﻭﻣﻦ ﺿﻤﻦ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﺍﺷﺘﻤﻞ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺭﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺃﻣﻮﺭ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﻭﻣﺴﺎﺋﻠﻬﺎ‬ ‫‪.‬ﻓﻨﺮﻯ ﻣﺜﻼ ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {‪) z|{zyxwvu‬ﺳﻮﺭﺓ‬ ‫ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ‪ ،(108 :2 ،‬ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﺪﺓ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﻋﻦ ﺧﺼﺎﻝ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻭﺷﻌﺒﻪ ﻭﻧﺒّﻪ ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﻫﻨﺎﻙ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ‬ ‫ﻛﺜﲑﺓ ﺟﺪﺍ ﰲ ﺧﺼﺎﻝ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻭﺷﻌﺒﻪ‪ ،‬ﻭﺃﺷﺎﺭ ﺇﱃ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﺆﻟﻔﺎﺕ‪ ،‬ﻭﺃﴰﻠﻬﺎ ﻛﺘﺎﺏ ﺷﻌﺐ ﺍﻹﳝﺎﻥ‬ ‫ﻟﻠﺤﻠﻴﻤﻲ‪ ،‬ﻭﺷﻌﺐ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻟﻠﺒﻴﻬﻘﻲ‪ ،‬ﻭﻛﺘﺎﺏ ﺷﻴﺦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ‪ ،‬ﻭﻣﻦ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﳌﺴﻨﺪﺓ ﰲ‬ ‫ﺍﻹﳝﺎﻥ‪ :‬ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﲪﺪ ﻭﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺷﻴﺒﺔ ‪ ،‬ﻭﺍﻟﻘﺎﺳﻢ ﺑﻦ ﺳﻼﻡ ﻭﺍﺑﻦ ﻣﻨﺪﺓ‪ .‬‬ ‫ﻭﻣﻦ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺃﻳﻀﺎ ﻣﺎ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﺑﺎﻟﻨﻬﻲ ﻋﻦ ﻗﻮﻝ ﺍﻟﻌﺒﺪ "ﻣﺎ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ ﻭﺷﺌﺖ"‪ ،‬ﺣﻴﺚ ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ‬ ‫ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {«¬®¯‪) z‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ‪ : (22 :2 ،‬ﺣﺪﻳﺚ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺭﺿﻲ‬ ‫ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ﺃﻥ ﺭﺟﻼ ﻗﺎﻝ ﻟﻠﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‪ :‬ﻣﺎ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ ﻭﺷﺌﺖ‪ .‬ﻓﻘﺎﻝ ﻟﻪ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ‬ ‫ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‪ :‬ﺃﺟﻌﻠﺘﲏ ﻭﺍﷲ ﻋﺪﻻ ؟ ﺑﻞ ﻣﺎ ﺷﺎﺀ ﺍﷲ ﻭﺣﺪﻩ‪.‬‬ ‫ﻭﻣﻨﻬﺎ ﺭﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺭﺅﻳﺔ ﺍﷲ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ ﻭﺍﻟﻨﻈﺮ ﺇﻟﻴﻪ ‪ .‬ﻓﻘﺪ ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻟﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ‬ ‫{‪) zONM ، KJI‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ‪ (23-22 :75 ،‬ﺣﺪﻳﺚ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﰲ‬ ‫ﺇﺛﺒﺎﺕ ﺭﺅﻳﺔ ﺍﷲ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ ﻟﻠﻤﺆﻣﻨﲔ‪ .‬ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﻋﻘﻴﺪﺓ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﻭﺍﳉﻤﺎﻋﺔ‪) .‬ﺧﺎﻟﺪ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ‬ ‫ﺍﻟﺴﺒﺖ‪،1421 ،‬ﺹ‪(566/4 :‬‬ ‫‪ ‬‬ ‫‪ -6‬ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻔﻘﻬﻴﺔ ‪ ‬‬ ‫ﻭﻗﺪ ﻋﺎﰿ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺃﻳﻀﺎ ﺟﺎﻧﺐ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻔﻘﻬﻴﺔ ‪ .‬ﻓﻔﻲ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ‬ ‫{|}~ _`‪) zhgfedcba‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ‪ ،(173 :2 ،‬ﺫﻛﺮ‬ ‫ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺣﺪﻳﺜﺎ ﰲ ﺣﻞ ﻣﻴﺘﺔ ﺍﻟﺒﺤﺮ ﻭﺣﺪﻳﺜﺎ ﺁﺧﺮ ﰲ ﲢﺮﱘ ﺑﻴﻊ ﺍﳋﻤﺮ ﻭﺍﳌﻴﺘﺔ ﻭﺍﳋﱰﻳﺮ ﻭﺍﻷﺻﻨﺎﻡ‪،‬‬ ‫ﻭﺃﺭﺩﻑ ﺑﺒﻴﺎﻥ ﺣﻜﻤﺔ ﺍﻟﺘﺸﺮﻳﻊ ﰲ ﺍﻟﺘﺤﺮﱘ ﻭﻫﻮ ﺇﺑﻌﺎﺩ ﻟﻸﻣﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻠﺒﺲ ﺑﺘﻠﻚ ﺍﻟﻘﺎﺫﻭﺭﺍﺕ ﺑﺄﻱ ﻭﺟﻪ‬ ‫ﻣﻦ ﺍﻟﻮﺟﻮﻩ ﺇﻻ ﻣﺎ ﺍﺳﺘﺜﲏ ﻣﻦ ﺩﺑﺎﻍ ﺟﻠﻮﺩ ﺍﳌﻴﺘﺔ‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻭﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {§¨©‪) z®¬«ª‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ‪ ،(196 :2 ،‬ﺫﻛﺮ‬ ‫ﺍﳌﺆﻟﻒ ﺍﺧﺘﻼﻑ ﺍﻟﻔﻘﻬﺎﺀ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﰲ ﺑﻴﺎﻥ ﻣﻌﲎ ﺍﻹﺣﺼﺎﺭ‪ ،‬ﻫﻞ ﻫﻮ ﺧﺎﺹ ﺑﺎﻟﻌﺪﻭ ﺃﻡ‬ ‫ﺍﻹﺣﺼﺎﺭ ﻣﻦ ﻛﻞ ﺣﺎﺑﺲ ﺣﺒﺲ ﺍﳊﺎﺝ ﻣﻦ ﻋﺪﻭ ﺃﻭ ﻣﺮﺽ ﺃﻭ ﻏﲑﻩ‪.‬‬ ‫ﻭﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {‪) z_~}|{zy‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ‪:2 ،‬‬ ‫‪ ،(241‬ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻛﻼﻡ ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ﻋﻦ ﺍﺧﺘﻼﻑ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﰲ ﻭﺟﻮﺏ ﺍﳌﺘﻌﺔ ﻟﻜﻞ ﻣﻄﻠﻘﺔ‪،‬‬ ‫ﺳﻮﺍﺀ ﻛﺎﻧﺖ ﻣﻔﻮﺿﺔ ﺃﻭ ﻣﻔﺮﻭﺿﺎ ﳍﺎ ﺃﻭ ﻣﻄﻠﻘﺔ‪ ،‬ﻗﺒﻞ ﺍﳌﺴﻴﺲ ﺃﻭ ﻣﺪﺧﻮﻻ ‪‬ﺎ‪ ،‬ﻭﻫﻮ ﻗﻮﻝ ﻋﻦ‬ ‫ﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻲ‪ ،‬ﻭﺇﻟﻴﻪ ﺫﻫﺐ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﺟﺒﲑ ﻭﻏﲑﻩ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻠﻒ‪ ،‬ﻭﺍﺧﺘﺎﺭﻩ ﺍﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ‪ ،‬ﻭﻣﻦ ﱂ ﻳﻮﺟﺒﻬﺎ ﻣﻄﻠﻘﺎ‬ ‫ﳜﺼﺺ ﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻌﻤﻮﻡ ﲟﻔﻬﻮﻡ ﻗﻮﻟﻪ )ﻻ ﺟﻨﺎﺡ ﻋﻠﻴﻜﻢ ﺇﻥ ﻃﻠﻘﺘﻢ ﺍﻟﻨﺴﺎﺀ ﻣﺎ ﱂ ﲤﺴﻮﻫﻦ ﺃﻭ ﺗﻔﺮﺿﻮﺍ‬ ‫ﳍﻦ ﻓﺮﻳﻀﺔ ﻭﻣﺘﻌﻮﻫﻦ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻮﺳﻊ ﻗﺪﺭﻩ ﻭﻋﻠﻰ ﺍﳌﻘﺘﺮ ﻗﺪﺭﻩ ﻣﺘﺎﻋﺎ ﺑﺎﳌﻌﺮﻭﻑ(‪) .‬ﺧﺎﻟﺪ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ‬ ‫ﺍﻟﺴﺒﺖ‪،1421 ،‬ﺹ‪.(363 :‬‬ ‫‪ -7‬ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﻋﻦ ﺍﻟﻘﺼﺺ ﻭﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﺍﻟﺴﺎﻟﻔﺔ ‪ ‬‬ ‫ﺳﺮﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻛﺜﲑﺍ ﻣﻦ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﻮﺍﺭﺩﺓ ﻋﻦ ﻗﺼﺺ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﲔ ﻣﻦ ﺍﻷﻧﺒﻴﺎﺀ ﻭﺍﻟﺮﺳﻞ ﻋﻠﻴﻬﻢ‬ ‫ﺍﻟﺼﻼﺓ ﻭﺍﻟﺴﻼﻡ ﻭﻗﺼﺺ ﺍﻷﻣﻢ ﺍﻟﺴﺎﻟﻔﺔ‪ .‬ﻓﻜﺎﻥ ﻣﻦ ﺿﻤﻦ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻘﺼﺺ ﻗﺼﺔ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ‪.‬‬ ‫ﻓﻘﺪ ﺃﻭﺭﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻗﺼﺔ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﻋﻨﺪ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻟﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {‪EDCBA‬‬ ‫‪) zHGF‬ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ‪ ،(102 :2 ،‬ﻓﺬﻛﺮ ﺭﻭﺍﻳﺘﲔ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ﺑﺸﺄﻥ ﻣﺎ‬ ‫ﻓﻌﻠﺘﻪ ﺍﻟﺸﻴﺎﻃﲔ ﺑﻌﺪ ﻣﻮﺕ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﻣﻦ ﻧﺴﺒﺔ ﺍﻟﺴﺤﺮ ﺇﻟﻴﻪ ﻭﻫﻮ ﻣﻨﻪ ﺑﺮﻱﺀ ‪ .‬ﻭﻋﻠﻖ ﺍﳌﺆﻟﻒ‬ ‫ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺘﲔ ﺑﺄ‪‬ﻤﺎ ﻣﻦ ﺃﺧﺒﺎﺭ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ‪ ،‬ﻭﻟﻜﻨﻬﺎ ﻻ ﺗﺘﻌﺎﺭﺽ ﻣﻊ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ﺑﻞ ﻟﺒﻌﺾ‬ ‫ﻓﻘﺮﺍ‪‬ﺎ ﺷﻮﺍﻫﺪ‪ ،‬ﻓﻬﻲ ﺗﻮﺍﻓﻖ ﻋﺼﻤﺔ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﻭﺗﱪﺉ ﺳﺎﺣﺘﻪ ﳑﺎ ﺃﻟﺼﻖ ﺑﻪ ﻣﻦ ﻣﻔﺘﺮﻳﺎﺕ‬ ‫ﺍﻹﺳﺮﺍﺋﻴﻠﻴﺎﺕ‪) .‬ﺧﺎﻟﺪ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﺍﻟﺴﺒﺖ‪،1421 ،‬ﺹ‪(206 :‬‬ ‫ﻛﻤﺎ ﺃﺟﺎﺩ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﰲ ﺍﻟﺮﺩ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﺳﺮﺍﺋﻴﻠﻴﺎﺕ ﺍﻟﺒﺎﻃﻠﺔ ﺣﻮﻝ ﻫ ّﻢ ﻳﻮﺳﻒ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﻋﻨﺪ‬ ‫ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻟﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ {\]^_`‪) zfedcba‬ﺳﻮﺭﺓ ﻳﻮﺳﻒ‪(24 :12 ،‬‬ ‫ﻣﺴﺘﺄﻧﺴﺎ ﺑﻜﻼﻡ ﺍﻟﺸﻴﺦ ﳏﻤﺪ ﺍﻷﻣﲔ ﺍﻟﺸﻨﻘﻴﻄﻲ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ‪.‬‬ ‫ﻭﻻ ﺷﻚ ﺃﻥ ﺍﻫﺘﻤﺎﻣﻪ ﻫﺬﺍ ﺑﺎﻟﺮﺩ ﻋﻠﻰ ﺑﻌﺾ ﺍﻹﺳﺮﺍﺋﻴﻠﻴﺎﺕ ﻭﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﺍﻟﺒﺎﻃﻠﺔ ﳑﺎ ﻳﺸﻜﺮ ﻋﻠﻴﻪ‬ ‫ﻷﻥ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻗﺪ ﺗﺄﺛﺮﻭﺍ ﲟﺎ ﺟﺎﺀ ﺑﻪ ﻫﺬﻩ ﺍﻹﺳﺮﺍﺋﻴﻠﻴﺎﺕ ﻭﺍﻏﺘﺮﻭﺍ ‪‬ﺎ‪ .‬ﻭﻣﻨﻬﺞ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻋﻤﻮﻣﺎ ﰲ‬ ‫ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺭ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ ﻓﻘﻂ ﺩﻭﻥ ﻏﲑﻫﺎ ﰲ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﻳﻌﺘﱪ ﺇﺷﺎﺭﺓ ﻭﺍﺿﺤﺔ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺍﻷﺧﺒﺎﺭ‬ ‫ﺗﺆﺧﺬ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻘﻞ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﻋﻦ ﺍﳌﻌﺼﻮﻡ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﻋﻦ ﺻﺤﺎﺑﺘﻪ ﺍﻟﻜﺮﺍﻡ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻢ‪،‬‬ ‫ﻻ ﻋﻦ ﺃﻓﻮﺍﻩ ﺍﻟﻜﺬﺍﺑﲔ ﻭﺍﻟﺪﺟﺎﻟﲔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﳘﻬﻢ ﺍﻷﻛﱪ ﺇﺷﺎﻋﺔ ﺍﻟﻔﺘﻨﺔ ﺑﻨﺸﺮ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺎﺕ ﺍﳌﻜﺬﻭﺑﺔ ﺍﻟﺒﺎﻃﻠﺔ‬ ‫ﻭﺍﻟﱵ ﻻ ﺃﺳﺎﺱ ﳍﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺤﺔ‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺑﻌﺾ ﺍﻻﻗﺘﺮﺍﺣﺎﺕ ﺍﻟﺘﺤﺴﻴﻨﻴﺔ ﻟﻠﻜﺘﺎﺏ‪:‬‬ ‫ﻭﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﻃﺒﻌﺘﻪ ﺍﻷﻭﱃ )ﺳﻨﺔ ‪ 1420‬ﻫـ( ﳛﺘﻮﻱ ﻋﻠﻰ ﲨﻠﺔ ﻣﻦ ﺍﻷﺧﻄﺎﺀ ﻗﺪ ﻭﻗﻌﺖ‬ ‫ﰲ ﻛﻞ ﳎﻠﺪ ﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪ ،‬ﻓﻘﺪ ﺍﺳﺘﺪﺭﻙ ﺍﳌﺆﻟﻒ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﺧﻄﺎﺀ ﺑﻌﻤﻞ ﺍﻟﺘﺼﻮﻳﺒﺎﺕ ﰲ ﺍ‪‬ﻠﺪ ﺍﻟﺮﺍﺑﻊ‪.‬‬ ‫ﻭﻫﺬﻩ ﺍﻟﺘﺼﻮﻳﺒﺎﺕ ﻣﻬﻤﺔ ﺟﺪﺍ ﻭﻳﺴﺘﻔﺎﺩ ﻣﻨﻬﺎ ﰲ ﺇﺧﺮﺍﺝ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺼﻮﺭﺓ ﺃﺣﺴﻦ ﰲ ﺍﻟﻄﺒﻌﺎﺕ‬ ‫ﺍﻟﻘﺎﺩﻣﺔ‪.‬‬ ‫ﻭﻳﻼﺣﻆ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺧﺼﻮﺻﺎ ﰲ ﺍ‪‬ﻠﺪﻳﻦ ﺍﻷﺧﲑﻳﻦ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ ﻭﺍﻟﺮﺍﺑﻊ ﻋﺪﻡ ﺍﻻﻟﺘﺰﺍﻡ ﰲ‬ ‫ﻛﺘﺎﺑﺔ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻧﻴﺔ ﲟﻨﻬﺞ ﻭﺍﺣﺪ ﺣﻴﺚ ﻛﺘﺒﺖ ﺑﻌﺾ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﻣﻀﺒﻮﻃﺔ ﺑﺎﻟﺸﻜﻞ ﻭﺑﻌﻀﻬﺎ ﻏﲑ‬ ‫ﻣﻀﺒﻮﻃﺔ ﺑﺎﻟﺸﻜﻞ‪ .‬ﻭﻳﻨﺒﻐﻲ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺃﻥ ﻳﻠﺘﺰﻡ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﲟﻨﻬﺞ ﻭﺍﺣﺪ‪ .‬ﻭﺗﺴﺘﺤﺴﻦ ﻛﺘﺎﺑﺔ ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻧﻴﺔ‬ ‫ﺑﺎﻟﺮﺳﻢ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﱐ ﻭﲞﻂ ﺃﻛﱪ ﺣﻴﺚ ﺗﺘﻤﻴﺰ ﺍﻟﻨﺼﻮﺹ ﺍﻟﻘﺮﺁﻧﻴﺔ ﻋﻦ ﻏﲑﻫﺎ ﻣﻦ ﻋﺒﺎﺭﺍﺕ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ‪.‬‬ ‫ﺍﳋﺎﲤﺔ‬ ‫ﻭﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﺄﻣﻞ‪ ،‬ﺗﺒﲔ ﻟﻨﺎ ﺃﻥ ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ ﻣﻦ ﺍﳌﻔﺴﺮﻳﻦ‬ ‫ﺍﻟﺒﺎﺭﺯﻳﻦ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻌﺼﺮ‪ ،‬ﻭﻟﻪ ﺟﻬﻮﺩ ﻣﺒﺎﺭﻛﺔ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ ﻭﺳﻨﺔ ﺭﺳﻮﻟﻪ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺼﻼﺓ‬ ‫ﻭﺍﻟﺴﻼﻡ‪ .‬ﻭﺃﻛﱪ ﺩﻟﻴﻞ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺗﻔﺴﲑﻩ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺍﻟﺬﻱ ﺃﺧﺬ ﻣﻨﻪ ﺟﻬﺪﺍ ﻭﻭﻗﺘﺎ ﻏﲑ ﻗﻠﻴﻞ ﻹﻋﺪﺍﺩﻩ‬ ‫ﻭﺇﻇﻬﺎﺭﻩ ﻟﻸﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪ .‬ﻫﺬﺍ ﺑﺎﻹﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﻗﻮﺓ ﻣﻨﻬﺠﻪ ﻭﺣﺴﻦ ﻣﺴﻠﻜﻪ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻵﻳﺎﺕ‪ ،‬ﻭﺟﺪﻳﺮ‬ ‫ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺴﻔﺮ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ ﻣﺮﺟﻌﺎ ﻣﻬﻤﺎ ﳌﻦ ﻳﺮﻳﺪ ﺻﺤﺔ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻭﺳﻼﻣﺘﻪ ﻣﻦ ﺍﻵﺭﺍﺀ ﺍﻟﻔﺎﺳﺪﺓ‬ ‫ﻭﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺍﳌﻨﺤﺮﻓﺔ‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﻭﺍﳌﺼﺎﺩﺭ‬ ‫ﺍﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ‪ ،‬ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﳊﻠﻴﻢ ﺑﻦ ﺗﻴﻤﻴﺔ ﺍﳊﺮﺍﱐ‪ 1979 ) .‬ﻡ( ‪ .‬ﻣﻘﺪﻣﺔ ﰲ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪ .‬ﻁ ‪ .3‬ﺑﲑﻭﺕ ‪ :‬ﺩﺍﺭ‬ ‫ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‪.‬‬

‫ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﻓﻬﺪ ﺍﻟﺮﻭﻣﻲ‪1986) .‬ﻡ(‪ .‬ﰲ ﺍﻟﺜﻨﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﺍﲡﺎﻫﺎﺕ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﻥ ﺍﻟﺮﺍﺑﻊ ﻋﺸﺮ‪.‬‬ ‫ﻁ ‪ .1‬ﺍﳌﻤﻠﻜﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩﻳﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ‪ ،‬ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ‪1988) .‬ﻡ(‪ .‬ﻓﺘﺢ ﺍﻟﺒﺎﺭﻱ‪ .‬ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ ﻣﺼﺮ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺮﻳﺎﻥ ﻟﻠﺘﺮﺍﺙ‪.‬‬ ‫ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ‪ ،‬ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ‪1997 ) .‬ﻡ(‪ .‬ﺍﻟﻌﺠﺎﺏ ﰲ ﺑﻴﺎﻥ ﺍﻷﺳﺒﺎﺏ‪ .‬ﻁ ‪ .1‬ﺍﻟﺪﻣﺎﻡ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﺑﻦ‬ ‫ﺍﳉﻮﺯﻱ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﻮﺍﺣﺪﻱ‪ ،‬ﺃﺑﻮ ﺍﳊﺴﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ‪ 1411) .‬ﻫـ(‪ .‬ﺃﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﻨـﺰﻭﻝ‪ .‬ﻁ ‪ .8‬ﺍﻟﺪﻣﺎﻡ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻹﺻﻼﺡ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ‪ ،‬ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ‪ 1407) .‬ﻫـ(‪ .‬ﺍﻹﺗﻘﺎﻥ ﰲ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺍﳌﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﻌﺼﺮﻳﺔ‪.‬‬ ‫ﺧﺎﻟﺪ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﺍﻟﺴﺒﺖ‪ 1421) .‬ﻫـ(‪ .‬ﻗﻮﺍﻋﺪ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪ .‬ﻁ ‪ .1‬ﺍﳉﻴﺰﺓ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﺑﻦ ﻋﻔﺎﻥ‪.‬‬ ‫ﺣﻜﻤﺖ ﺑﻦ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ‪1419) .‬ﻫـ(‪ .‬ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ‪ :‬ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﺍﳌﺴﺒﻮﺭ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‬

‫ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ‪ .‬ﻁ ‪ .1‬ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬ ‫‪บทความรายงานการวิจัย‬‬

‫ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺧﻄﻮﺭ‪‬ﻢ ﻋﻠﻰ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ‪:‬‬ ‫ﺩﺭﺍﺳﺔ ﲢﻠﻴﻠﻴﺔ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‬ ‫ﻓﺎﻃﻤﺔ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺟﺎﻓﺎﻛﻴﺎ‬ ‫ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﻳﻮﺳﻒ ﻛﺎﺭﻳﻨﺎ‬ ‫∗∗∗‬ ‫ﺃﲪﺪ ﻋﻤﺮ ﺟﺎﻓﺎﻛﻴﺎ‬

‫∗‬

‫∗∗‬

‫ﺍﳌﻠﺨﺺ‬ ‫ﻳﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻭﻣﻌﺮﻓﺔ ﻣﺪﻯ ﺧﻄـﻮﺭ‪‬ﻢ‬ ‫ﻭﺗﺄﺛﲑﻫﻢ ﰲ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺿﻮﺀ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻮﺭﺓ‪ ،‬ﻭﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻫﻮ ﲝﺚ ﻧﻈﺮﻱ ﲨﻌـﺖ ﻓﻴـﻪ‬ ‫ﺍﻵﻳﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻧﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﲢﺪﺛﺖ ﻋﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺧﻄﻮﺭ‪‬ﻢ ﻋﻠﻰ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳـﻼﻣﻲ‪ ،‬ﺧﺎﺻـﺔ ﰲ‬ ‫ﻼ‬ ‫ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪ ،‬ﻭﺃﻇﻬﺮﺕ ﻟﻨﺎ ﺍﻟﻨﺘﺎﺋﺞ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺧﻄﻮﺭ‪‬ﻢ ﻓﺎﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻮ ﺇﻇﻬﺎﺭ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻋﻤ ﹰ‬ ‫ﻭﺇﺑﻄﺎﻥ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﺍﻋﺘﻘﺎﺩﺍﹰ‪ ،‬ﻭﻫﻢ ﰲ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﻟﻴﺴﻮﺍ ﲟﺆﻣﻨﲔ ﺑﻞ ﻫﻢ ﻣﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪ ،‬ﻭﻗﺪ ﻭﺻـﻔﻬﻢ ﺍﷲ ‪ -‬ﻋـﺰ‬ ‫ﻭﺟﻞ ‪ -‬ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﺑﺼﻔﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﻣﻨﻬﺎ ﺍﻟﻜﺬﺏ‪ ،‬ﻭﺍﻟﺼﺪ ﻋـﻦ ﺳـﺒﻴﻞ ﺍﷲ‪ ،‬ﻭﺍﻟﺘﻼﻋـﺐ‪،‬‬ ‫ﻭﺍﻟﻌﺠﺐ‪ ،‬ﻭﺍﻟﺘﻜﱪ‪ ،‬ﻭﺍﻟﻔﺴﻖ‪ ،‬ﻭﺍﻟﺒﺨﻞ‪ ،‬ﻭﺍﻻﻋﺘﺰﺍﺯ ﺑﺎﻟﻨﻔﺲ ﻭﺳﻮﺀ ﺍﻟﻈﻦ ﺑﺎﳌﺆﻣﻨﲔ‪ ،‬ﻭﺍﻟﻐﻔﻠﺔ‪ ،‬ﻭﻃـﻮﻝ‬ ‫ﺍﻷﻣﻞ‪ ،‬ﻭﺍﻟﺘﻜﺎﺳﻞ ﻋﻦ ﺍﻷﻋﻤﺎﻝ ﺍﻟﺼﺎﳊﺔ‪ ،‬ﻭﻫﻢ ﻣﺬﺑﺬﺑﻮﻥ ﺑﲔ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻭﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻏﲑ ﺃ‪‬ـﻢ ﻳﺒﻐﻀـﻮﻥ‬ ‫ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻭﻳﺘﻮﻟﻮﻥ ﺍﻟﻜﺎﻓﺮﻳﻦ‪ ،‬ﻭﻳﺘﺠﺴﺴﻮﻥ ﳊﺴﺎ‪‬ﻢ ﺿﺪ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ‪ ،‬ﻭﻳﺴﺘﻐﻠﻮﻥ ﺍﻟﻔﺮﺹ ﺍﳌﻨﺎﺳﺒﺔ ﻟﻠﻄﻌـﻦ‬ ‫ﰲ ﺩﻋﺎﺓ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺗﺸﻮﻳﻪ ﲰﻌﺘﻬﻢ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﻭﺗﻐﻴﲑ ﺍﳊﻘﺎﺋﻖ‪ ،‬ﻭﳛـﺎﻭﻟﻮﻥ ﺇﻓﺴـﺎﺩ ﺍ‪‬ﺘﻤـﻊ‬ ‫ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺗﻴﺴﲑ ﺳﺒﻞ ﺍﻟﻔﺴﺎﺩ ﺍﻟﱵ ﲢﻄﻢ ﺍﻷﺧﻼﻕ ﻭﺗﻘﻀﻰ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻔﻀـﺎﺋﻞ ﺍﻹﻧﺴـﺎﻧﻴﺔ‪،‬‬ ‫ﻭﳛﺎﺭﺑﻮﻥ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﺘﺴﺘﺮ ﻭﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﺍﻟﺪﻋﻮﺓ ﺇﻟﻴﻪ‪،‬ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﰲ ﻛﻞ ﺃﻣﺔ ﻭﰲ ﻛﻞ ﻋﺼﺮ ﻫﻢ‬ ‫ﻣﻦ ﲨﻠﺔ ﺍﳌﻔﺴﺪﻳﻦ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ ﺑﻞ ﻫﻢ ﺃﻋﻈﻢ ﺍﳌﻔﺴﺪﻳﻦ‪ ،‬ﻭﺇﻓﺴﺎﺩﻫﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻮﻉ ﺍﻟﺬﻱ ﳛﺘﺎﺝ ﻋﻼﺟﻪ ﺇﱃ‬ ‫ﻣﻘﺎﻭﻣﺔ ﻗﻮﻳﺔ ﻭﺟﻬﺪ ﻣﺘﻮﺍﺻﻞ‪.‬‬

‫∗‬

‫ﻃﺎﻟﺒﺔ ﰲ ﻣﺮﺣﻠﺔ ﻣﺎﺟﺴﺘﲑ‪ ،‬ﻗﺴﻢ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪ ،‬ﻛﻠﻴﺔ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪ ،‬ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﻣﲑ ﺳﻮﻧﻜﻼ‪ ،‬ﺷﻄﺮ ﻓﻄﺎﱐ‪.‬‬

‫∗∗‬

‫ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﻗﺴﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ‪ ،‬ﺑﺮﺗﺒﺔ ﺃﺳﺘﺎﺫ ﻣﺴﺎﻋﺪ ﺑﻜﻠﻴﺔ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪ ،‬ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺍﻷﻣﲑ ﺳﻮﻧﻜﻼ‪ ،‬ﺷﻄﺮ ﻓﻄﺎﱐ‪.‬‬

‫∗∗∗‬

‫ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﻗﺴﻢ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ‪ ،‬ﳏﺎﺿﺮ ﺑﻘﺴﻢ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺑﻜﻠﻴﺔ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪.‬‬


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย ABSTRACT The objective of the research is to study the characters of Al-Munafiqeen (Hypocrite) in Surah Al-Munafiqeen by focusing on their natures and dangers to the Muslim society. The study is based on documentary research which its data were collected from surah Al-Munafiqeen of AlQuran in which the characters of hypocrite and their danger to the Muslim society are clarified. It is apparently appeared from the study that the hypocrite has specific characters and dangers. Among of their natures is tricky and unreliable behavior as their exterior and interior behavior is inconsistent. Their speeches do not come from their thought and their faith. In reality, they are unbeliever but they are tricky. Allah has explained the characters of hypocrite in Surah Al-Munafiqun with regard to their lie, their obstruction on the Allah’ s path, their deceive, their arrogance, their overconfidence, their stingy, their elusion, their haughty, their suspicion on faith, their negligence, their strong hope and their ignorance to conduct goodness. Their characters are totally harming and effecting Muslim society. The study also shows that the hypocrite never satisfies with Islam but they do not clearly disclose such their satisfactions. Basically, they are uncertain between believer and unbeliever. Moreover, they extremely abominate Muslim but they are the server of unbeliever. They absolutely refuse providing assistance to the Muslim in fighting for the cause of Allah. Whenever they are together with Muslim, they pretend to be cordial and submissive to them. At the same time, they attempt to create disunity among Muslims. In addition, they try to find a chance for accusing Islam in any way. Whenever they receive a facts relating to Islam, they try to substitute them with artificial facts. They also secretly and deceivingly oppose Islam. The study clearly shows that the hypocrites are the group of people who create calamity to all nations of every period. Therefore, the continuous protection of believer and the remedy of the victims of the hypocrite are necessary in order to avoid them from such evil behavior.


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻣﻘﺪﻣﺔ‬ ‫ﻭﻟﻘﺪ ﺍﻓﺘﺮﻕ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﲡﺎﻩ ﻫﺬﺍ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺇﱃ ﻃﺎﺋﻔﺘﲔ‪ ،‬ﻃﺎﺋﻔﺔ ﺁﻣﻨﺖ ﺑﻪ ﻭﺍﻟﺘﺰﻣﺖ ﺑﻮﻇﻴﻔﺘﻪ‪،‬‬ ‫ﻭﻃﺎﺋﻔﺔ ﻛﻔﺮﺕ ﺑﻪ ﻭﻧﺎﺻﺒﺘﻪ ﺍﻟﻌﺪﺍﺀ‪ ،‬ﻟﻴﺤﺪﺙ ﺍﻟﺼﺮﺍﻉ ﺑﻴﻨﻬﻤﺎ‪ ،‬ﻷﻥ ﻛﻞ ﻓﺮﻳﻖ ﻳﺮﻳﺪ ﺃﻥ ﻳﻨﺘﺼﺮ ﻟﻔﻜﺮﺗﻪ‬ ‫ﺍﻟﱵ ﻳﺆﻣﻦ ‪‬ﺎ‪ ،‬ﻭﻟﻘﺪ ﻛﺎﻥ ﲪﻠﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻳﻮﺍﺟﻬﻮﻥ ﻋﺪﺍﺀ ﻗﻮﻳﺎ ﻭﺻﺮﺍﻋﺎ ﻋﻨﻴﻔﺎ ﻣﻦ ﺃﻋﺪﺍﺋﻪ ﻣﻨﺬ ﺑﺰﻭﻍ‬ ‫ﴰﺴﻪ‪ ،‬ﻭﳌﺎ ﻫﺎﺟﺮ ﺍﻟﻨﱯ ‪ -‬ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ‪ -‬ﺇﱃ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺩﺧﻞ ﺃﻛﺜﺮ ﺃﻫﻠﻬﺎ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ‪،‬‬ ‫ﻭﺃﺻﺒﺤﺖ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻓﻴﻬﺎ ﺃﻧﺼﺎﺭ ﳍﺬﺍ ﺍﻟﺪﻳﻦ‪ ،‬ﻭﺷﺬﺕ ﻣﻨﻬﻢ ﻃﺎﺋﻔﺔ ﱂ ﺗﻘﺒﻠﻪ ﻧﻔﻮﺳﻬﻢ ﺍﻟﱵ ﺍﺳﺘﺴﻠﻤﺖ‬ ‫ﻷﻫﻮﺍﺋﻬﻢ ﺍﳌﻨﺤﺮﻓﺔ‪.‬‬ ‫ﻭﳌﺎﱂ ﻳﻜﻦ ﳍﺬﻩ ﺍﻟﻄﺎﺋﻔﺔ ﺍﻟﺸﺎﺫﺓ ﻗﻮﺓ ﺗﻘﺎﻭﻡ ﺑﻪ ﺩﻭﻟﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﻟﻘﻮﻳﺔ ﻓﻘﺪ ﳉﺄﺕ ﺇﱃ ﻭﺳﻴﻠﺔ‬ ‫ﺗﺆﻣﻦ ﳍﺎ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﻟﻌﻴﺶ ﰲ ﻇﻼﻝ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻘﻮﺓ ﺍﳌﻬﻴﻤﻨﺔ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ ‪z ~ } | { zy x w v u t s‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(2 :63 ،‬‬

‫ﻛﺎﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﻨﱯ ‪ -‬ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ‪ -‬ﻳﺘﻘﻠﺒﻮﻥ ﺑﲔ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻭﺍﻟﻜﻔﺮ‬ ‫ﻭﻳﺘﻼﻋﺒﻮﻥ ﺑﺎﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﻓﻴﺆﻣﻨﻮﻥ ‪‬ﺬﺍ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﰲ ﺣﺎﻝ ﻋﺰﺗﻪ ﻭﺍﻧﺘﺼﺎﺭﻩ‪ ،‬ﻓﺈﺫﺍ ﻣﺎ ﺍﺑﺘﻠﻰ ﺍﳌﺆﻣﻨﻮﻥ ﻭﺃﺣﺪﻗﺖ‬ ‫‪‬ﻢ ﺍﻟﺸﺪﺍﺋﺪ ﻭﺍﳌﺨﺎﻃﺮ ﺍﺭﺗﺪﻭﺍ ﻋﻦ ﺩﻳﻨﻬﻢ‪ ،‬ﻭﺭﺟﻌﻮﺍ ﺇﱃ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻭﻳﻮﺟﺪ ﺃﻳﻀﹰﺎ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻻ ﻳﺆﻣﻨﻮﻥ‬ ‫ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ ﰲ ﺃﻱ ﺣﺎﻝ ﻣﻦ ﺍﻷﺣﻮﺍﻝ ﺇﳝﺎﻧﹰﺎ ﺣﻘﹰﺎ ﻭﺇﳕﺎ ﻳﺘﻈﺎﻫﺮﻭﻥ ﺑﺎﻹﳝﺎﻥ ﺃﻣﺎﻡ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﰲ ﺣﺎﻝ ﻋﺰ‪‬ﻢ‬ ‫ﻭﻧﺘﺼﺎﺭﻫﻢ ﺧﻮﻓﺎ ﻋﻠﻰ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﻓﺈﺫﺍ ﺍﺩﳍﻢ ﺍﳊﻄﺐ ﻭﺃﺣﺎﻁ ‪‬ﻢ ﺍﻷﻋﺪﺍﺀ ﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻭﺍﻟﺘﺨﻠﻰ ﻋﻦ‬ ‫ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻭﺣﺎﻭﻟﻮﺍ ﲣﺬﻳﻞ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﻦ ﺍﳉﻬﺎﺩ ﰲ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ‪.‬‬ ‫ﻣﻌﲎ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﰲ ﺍﻟﻠﻐﺔ‬ ‫ﻧﻔﻖ – ﻭﻧﻔﻖ – ﻧﻔﻘﹰﺎ ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ‪ :‬ﺧﺮﺝ ﻣﻦ ﻧﺎﻓﻘﺎﺋﻪ ﺃﻱ ﺟﺤﺮﻩ‪ ،‬ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ ‪ :‬ﺧﺮﺝ ﻣﻦ ﻧﺎﻓﻘﺎﺋﻪ‬ ‫ﺩﺧﻞ ﻓﻴﻬﺎ‪ ،‬ﻧﺎﻓﻖ ﻣﻨﺎﻓﻘﺔ ﻭﻧﻔﺎﻗﹰﺎ ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ‪ :‬ﺩﺧﻞ ﰲ ﻧﺎﻓﻘﺎﺋﻪ‪ ) .‬ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ‪ 1409 ،‬ﻫـ‪ :.‬ﺹ ‪(648‬‬ ‫ﻭﲨﻌﻪ ﻧﻮﺍﻓﻖ ﻭﺍﻟﻨﻔﻘﺔ ﻭﺍﻟﻨﻔﻘﺎﺀ‪ :‬ﺇﺣﺪﻯ ﺟﺤﺮﺓ ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ ﻳﻜﺘﻤﻬﺎ ﻭﻳﻈﻬﺮ ﻏﲑﻫﺎ‪ ).‬ﻛﺮﻡ ﺍﻟﺒﺴﺘﺎﱐ‬ ‫ﻭﺃﺻﺪﻗﺎﺀﻩ‪ :1984 ،‬ﺹ ‪ .(828‬ﻓﺎﳌﻨﺎﻓﻖ ﻳﺪﺧﻞ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﰒ ﳜﺮﺝ ﻣﻨﻪ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻟﺬﻱ ﺩﺧﻞ‬ ‫ﻓﻴﻪ‪ .‬ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺴﺘﺮ ﻛﻔﺮﻩ ﻭﻳﻈﻬﺮ ﺇﳝﺎﻧﻪ‪).‬ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ‪1410 ،‬ﻫـ‪.(359/10 :.‬‬ ‫ﻭﻗﺎﻝ ﺃﺑﻮ ﻋﺒﻴﺪﺓ ﲰﻲ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﻣﻨﺎﻓﻘﹰﺎ ﻟﻠﻨﻔﻖ‪ ،‬ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺴﺮﺏ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ‪ ،‬ﻭﻗﻴﻞ ﺇﳕﺎ ﲰﻲ ﻣﻨﺎﻓﻘﹰﺎ‬ ‫ﻷﻧﻪ ﻧﺎﻓﻖ ﻛﺎﻟﲑﺑﻮﻉ ﻭﻫﻮ ﺩﺧﻮﻟﻪ ﻧﺎﻓﻘﺎﺀﻩ‪) .‬ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ‪1410 ،‬ﻫـ‪.(359/10 :.‬ﻭﰲ ﺣﺪﻳﺚ ﺣﻨﻈﻠﺔ‪:‬‬ ‫)) ﻧﺎﻓﻖ ﺣﻨﻈﻠﺔ‪ ،‬ﺃﺭﺍﺩ ﺃﻧﻪ ﻛﺎﻥ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﺃﺧﻠﺺ ﻭﺯﻫﺪ ﰲ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ‪ ،‬ﻭﺇﺫﺍ‬ ‫ﺧﺮﺝ ﻋﻨﻪ ﺗﺮﻙ ﻣﺎ ﻛﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺭﻏﺐ ﻓﻴﻬﺎ‪) ((.‬ﻣﺴﻠﻢ‪ ،‬ﺩ‪.‬ﺕ‪ :‬ﺹ ‪.(2106‬‬ ‫ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺍﻷﻋﺮﺍﰊ ﻗﺼﻌﺔ ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ ﺃﻥ ﳛﻔﺮ ﺣﻔﲑﺓ ﰒ ﻳﺴﺪ ﺑﺎ‪‬ﺎ ﺑﺘﺮﺍ‪‬ﺎ ﻭﻳﺴﻤﻰ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﺘﺮﺍﺏ‬ ‫ﺍﻟﺪﺍﻣﺎﺀ ﰒ ﳛﻔﺮ ﺁﺧﺮ ﻳﻘﺎﻝ ﻟﻪ ﺍﻟﻨﺎﻓﻘﺎﺀ ﻭﺍﻟﻨﻔﻘﺔ ﻭﺍﻟﻨﻔﻖ ﻓﻼ ﻳﻨﻔﺬﻫﺎ ﻭﻟﻜﻨﻪ ﳛﻔﺮﻫﺎ ﺣﱴ ﺗﺮﻕ ﻓﺈﺫﺍ ﺃﺧﺬ‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻋﻠﻴﻪ ﺑﻘﺎﺻﻌﺎﺋﻪ ﻋﺪﺍ ﺇﱃ ﺍﻟﻨﺎﻓﻘﺎﺀ ﻓﻀﺮ‪‬ﺎ ﺑﺮﺃﺳﻪ ﻭﻣﺮﺕ ﻣﻨﻬﺎ ﻭﺗﺮﺍﺏ ﺍﻟﻨﻔﻘﺔ ﻳﻘﺎﻝ ﻟﻪ ﺍﻟﺮﺍﻫﻄﺎﺀ‪ .‬ﻭﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ‬ ‫ﺑﺮﻱ ﺟﺤﺮﺓ ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ ﺳﺒﻌﺔ ﺍﻟﻘﺼﻌﺎﺀ ﺍﻟﻨﺎﻓﻘﺎﺀ ﻭﺍﻟﺪﺍﻣﺎﺀ ﻭﺍﻟﺮﺍﻫﻄﺎﺀ ﻭﺍﻟﻌﺎﻧﻘﺎﺀ ﻭﺍﳊﺎﺛﻴﺎﺀ ﻭﺍﻟﻠﻐﻴﺰﻱ‪ .‬ﻭﻗﺎﻝ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﺯﻳﺪ ﺍﻟﻨﺎﻓﻘﺎﺀ ﻭﺍﻟﻨﻔﻘﺎﺀ ﻭﺍﻟﻨﻔﻘﺔ ﻭﺍﻟﺮﺍﻫﻄﺎﺀ ﻭﺍﻟﺮﻫﻄﺔ ﻭﺍﻟﻘﺼﻌﺎﺀ ﻭﺍﻟﻘﺼﻌﺔ‪ ) .‬ﳏﺐ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻟﺰﺑﻴﺪﻱ‬ ‫ﺍﳊﺴﻴﲏ‪ ،‬ﺩ‪.‬ﺕ‪.(79/7 :‬‬ ‫ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﻜﺮﻣﺎﱐ ‪ :‬ﺃﻥ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻋﻼﻣﺔ ﻋﺪﻡ ﺍﻹﳝﺎﻥ‪ ،‬ﻭﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻟﻐﺔ ﳐﺎﻓﺔ ﺍﻟﺒﺎﻃﻦ ﻟﻠﻈﺎﻫﺮ‪.‬‬ ‫)ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ‪1407 ،‬ﻫـ‪.(111/1 :.‬‬ ‫ﻭﻗﺎﻝ ﺃﻛﺜﺮ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺃ‪‬ﺎ ﻣﺄﺧﻮﺫﺓ ﻣﻦ ﻧﺎﻓﻘﺎﺀ ﺍﻟﲑﺑﻮﻉ ﻻ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻔﻖ ﻷﻥ ﺍﻟﻨﻔﻖ ﻟﻴﺲ ﻓﻴﻪ‬ ‫ﺇﻇﻬﺎﺭ ﺷﻲﺀ ﻭﺇﺑﻄﺎﻥ ﺷﻲﺀ ﺁﺧﺮ ﻛﻤﺎ ﻫﻮ ﺍﳊﺎﻝ ﰲ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ‪ .‬ﻭﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻮ ﺇﻇﻬﺎﺭ ﺷﻲﺀ ﻭﺇﺧﻔﺎﺀ ﺷﻲﺀ‬ ‫ﺁﺧﺮ ﺇﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﱂ ﻳﺪﺧﻞ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺩﺧﻮﻻ ﺣﻘﻴﻘﻴﹰﺎ ﺣﱴ ﳜﺮﺝ ﻣﻨﻪ‪.‬‬ ‫ﻣﻌﲎ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﰲ ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﻹﺳﻼﻡ‬ ‫ﺃﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﻛﺎﻟﻀﺐ‪ ،‬ﻓﺎﻟﻀﺐ ﻳﺪﺧﻞ ﺟﺤﺮﻩ ﻣﻦ ﺑﺎﺏ ﻭﺍﺿﺢ ﰒ ﻳﻬﺮﺏ ﺇﺫﺍ ﺷﻌﺮ ﺑﺎﳋﻄﺮ ﻣﻦ‬ ‫ﺑﺎﺏ ﺧﻔﻲ ﺁﺧﺮ ﺗﺘﻌﺬﺭ ﺭﺅﻳﺘﻪ‪ .‬ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﻳﺪﺧﻞ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﰒ ﳜﺮﺝ ﻣﻨﻪ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺍﻟﻮﺟﻪ ﺍﻟﺬﻱ‬ ‫ﺩﺧﻞ ﻓﻴﻪ ﺣﻴﺚ ﻳﻨﻄﻖ ﺑﺎﻟﺸﻬﺎﺩﺗﲔ‪ ،‬ﻭﻳﺼﻠﻲ ﻣﻊ ﺍﻟﻨﺎﺱ‪ ،‬ﰒ ﳜﺮﺝ ﻣﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻣﻦ ﺑﺎﺏ ﺁﺧﺮ ﻣﻦ‬ ‫ﺍﻟﺼﻌﺐ ﻣﺸﺎﻫﺪﺗﻪ‪ ،‬ﻟﻮ ﺷﺎﻫﺪﻩ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﻨﺪ ﻧﻘﻀﻪ ﻭﺧﺮﻭﺟﻪ ﻋﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻷﻗﻴﻢ ﻋﻠﻴﻪ ﺣﺪ ﺍﻟﺮﺩﺓ‪) .‬ﳏﻤﺪ‬ ‫ﻟﻘﻤﺎﻥ ﺍﻷﻋﻈﻤﻲ ﺍﻟﻨﺪﻭﻱ‪1988 ،‬ﻡ‪ :.‬ﺹ‪.(438‬‬ ‫ﻳﻘﻮﻝ ﺍﳉﺮﺟﺎﱐ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ " ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻔﺎﺕ"‪ :‬ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻮ ﺇﻇﻬﺎﺭ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﺎﻟﻠﺴﺎﻥ ﻭﻛﺘﻤﺎﻥ ﺍﻟﻜﻔﺮ‬ ‫ﺑﺎﻟﻘﻠﺐ‪) .‬ﺍﳉﺮﺟﺎﱐ‪ :1988 ،‬ﺹ‪.(245‬‬ ‫ﻭﻗﺪ ﺑﲔ " ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ" ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﰲ ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺣﻴﺚ ﻗﺎﻝ ‪ " :‬ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻮ ﺇﻇﻬﺎﺭ ﺍﳋﲑ‬ ‫ﻭﺇﺳﺮﺍﺭ ﺍﻟﺸﺮ‪ ،‬ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﺑﻦ ﺟﺮﻳﺞ‪ :‬ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﳜﺎﻟﻒ ﻗﻮﻟﻪ ﻓﻌﻠﻪ ﻭﺳﺮﻩ ﻋﻼﻧﻴﺘﻪ‪ ،‬ﻭﻣﺪﺧﻠﻪ ﳐﺮﺟﻪ‪،‬‬ ‫ﻭﻣﺸﻬﺪﺓ ﻣﻐﻴﺒﻪ" )ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ‪.(50/1 :1988 ،‬‬ ‫ﻭﻗﺎﻝ ﺃﺑﻮ ﺯﻳﺪ‪ :‬ﻫﻮ ﺍﻟﺪﺧﻮﻝ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻣﻦ ﻭﺟﻪ ﻭﺍﳋﺮﻭﺝ ﻋﻨﻪ ﻣﻦ ﻭﺟﻪ ﺁﺧﺮ‪ ) .‬ﺍﺑﻦ‬ ‫ﻣﻨﻈﻮﺭ‪1410 ،‬ﻫـ‪ .(359 /10 :.‬ﻭﻗﺎﻝ ﺃﺑﻮ ﺳﻌﻮﺩ ‪ :‬ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻖ‪ :‬ﻣﻦ ﻳﻈﻬﺮ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﻳﺒﻄﻦ ﺍﻟﻜﻔﺮ‪ ).‬ﺃﺑﻮ‬ ‫ﺍﻟﺴﻌﻮﺩ‪ ،‬ﺩ‪.‬ﺕ‪.(725/5 :‬‬ ‫ﻼ‬ ‫ﻭﺑﻌﺪ ﻋﺮﺽ ﺃﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﰲ ﺗﻌﺮﻳﻒ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻧﺴﺘﺨﻠﺺ ﺃﻥ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻮ ﺇﻇﻬﺎﺭ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻋﻤ ﹰ‬ ‫ﻭﺇﺑﻄﺎﻥ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﺍﻋﺘﻘﺎﺩﹰﺍ‪.‬‬ ‫ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ‬ ‫ﻭﻗﺪ ﺑﲔ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ﺃﻥ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻧﻮﻋﺎﻥ ‪ :‬ﺍﻋﺘﻘﺎﺩﻱ‪ :‬ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺬﻱ ﳜﻠﺪ ﺻﺎﺣﺒﻪ ﰲ ﺍﻟﻨﺎﺭ‪.‬‬ ‫ﻭﻋﻤﻠﻲ ‪ :‬ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﺃﻛﱪ ﺍﻟﺬﻧﻮﺏ‪) .‬ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ ‪.(50/1 :1988 ،‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺑﻮﺍﻋﺚ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ‬ ‫ﻭﺍﻟﺒﺎﻋﺚ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻮ ﺍﻋﺘﻘﺎﺩ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻭﻛﺮﺍﻫﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ‪ ،‬ﻭﺃﻧﻪ ﻭﺟﺪ ﻧﻔﺴﻪ ﲢﺖ ﺳﻴﻄﺮﺓ‬ ‫ﺣﻜﻮﻣﺔ ﺇﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺿﻌﻔﻪ ﻋﻦ ﻣﻮﺍﺟﻬﺔ ﻫﺬﻩ ﺍﳊﻜﻮﻣﺔ ﺑﻌﻘﻴﺪﺗﻪ ﺍﻟﱵ ﻳﻀﻤﺮﻫﺎ ﰲ ﻧﻔﺴﻪ‪.‬‬ ‫ﻭﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎ ﺣﻴﺔ ﺍﻟﻨﻔﺴﻴﺔ ﻳﻌﺘﱪ ﻧﺘﻴﺠﺔ ﻟﻀﻌﻒ ﺍﻟﻨﻔﺲ ﻭﻋﺪﻡ ﻗﺪﺭ‪‬ﺎ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺘﺼﺮﻳﺢ‬ ‫ﲟﻌﺘﻘﺪﺍ‪‬ﺎ‪ ،‬ﻭﻗﺪ ﻳﻮﺟﺪ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﳑﻦ ﳝﻠﻚ ﻗﻮﺓ ﻭﻫﻴﻤﻨﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻓﻴﻈﻬﺮ ﳍﻢ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻧﻔﺎﻗﹰﺎ ﻟﻴﺤﺘﻔﻆ‬ ‫ﲟﺮﻛﺰﻩ ﺑﻴﻨﻬﻢ ﻭﻣﻊ ﺫﻟﻚ ﻓﺈﻥ ﻫﺬﺍ ﻻ ﳜﺮﺝ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻋﻦ ﻛﻮﻧﻪ ﺿﻌﻔﺎ ﰲ ﺍﻟﻨﻔﺲ ﻷﻥ ﺻﺎﺣﺐ ﺍﻟﻨﻔﺲ‬ ‫ﺍﻟﻘﻮﻳﺔ ﻻ ﻳﺮﺿﻰ ﻟﻨﻔﺴﻪ ﺃﻥ ﻳﻘﻴﻢ ﺣﻜﻤﻪ ﻋﻠﻰ ﻣﺪﺍﻫﻨﺔ ﻣﻦ ﳜﺘﻠﻔﻮﻥ ﻣﻌﻪ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ‪ ) .‬ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ‬ ‫ﺍﳊﻤﻴﺪﻱ ‪ ،1989 ،‬ﺹ‪(19 :‬‬ ‫ﺃﻫﺪﺍﻑ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ‬ ‫ﻭﻣﻦ ﺃﻫﻢ ﺍﻷﻫﺪﺍﻑ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻬﺪﻑ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻣﻦ ﻧﻔﺎﻗﻬﻢ ﻫﻲ ﺍﳊﺼﻮﻝ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺼﺎﱀ‬ ‫ﺍﳌﺎﺩﻳﺔ ﻭﺍﳊﺼﻮﻝ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺼﺎﱀ ﺍﳌﻌﻨﻮﻳﺔ ﻭﺍﻟﻮﺻﻮﻝ ﺇﱃ ﻣﺮﺍﻛﺰ ﺍﳊﻜﻢ ﻭﺍﻟﻘﻴﺎﺩﺓ ﻭﻭﻗﺎﻳﺔ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ‬ ‫ﻭﺃﻣﻮﺍﳍﻢ‪ ،‬ﻭﺫﻟﻚ ﻷﻥ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻳﻌﺼﻢ ﺩﻣﺎﺀ ﻣﻌﺘﻨﻘﻴﻪ ﻭﺃﻣﻮﺍﳍﻢ‪ ،‬ﻭﳊﺮﺏ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺍﳌﺴﻠﻤﲔ‪ ،‬ﻭﺫﻟﻚ‬ ‫ﺑﻨﺸﺮ ﺍﻟﺮﺫﺍﺋﻞ ﰲ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﻭﳏﺎﻭﻟﺔ ﺗﺜﺒﻴﻂ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻦ ﺍﻟﺘﻤﺴﻚ ﺑﺪﻳﻨﻬﻢ ﻭﺍﳉﻬﺎﺩ ﰲ ﺳﺒﻴﻠﻪ‬ ‫ﻭﺗﺸﻜﻴﻚ ﺿﻌﻔﺎﺀ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻣﻨﻬﻢ ﺑﺪﻳﻨﻬﻢ‪) .‬ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﳊﻤﻴﺪﻱ‪ ،1989 ،‬ﺹ‪(21-20 :‬‬ ‫ﺣﻘﻴﻘﺔ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ‬ ‫ﻟﻘﺪ ﻛﺎﻧﺖ ﻫﺬﻩ ﺣﻘﻴﻘﺔ ﻭﺍﻗﻌﺔ ﰲ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ‪ ،‬ﻓﺎﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻳﺪﻋﻮﻥ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﺎﷲ ﻭﺑﺎﻟﻴﻮﻡ ﺍﻵﺧﺮ‬ ‫ﻇﺎﻧﲔ ﰲ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﺍﻟﺬﻛﺎﺀ ﻭﺍﻟﺪﻫﺎﺀ‪ ،‬ﻭﻫﻢ ﰲ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﻟﻴﺴﻮﺍ ﲟﺆﻣﻨﲔ‪ ،‬ﺇﳕﺎ ﻫﻢ ﻣﻨﺎﻓﻔﻮﻥ‪ ،‬ﻻ ﳚﺮﺀﻭﻥ‬ ‫ﻋﻠﻰ ﺍﻹﻧﻜﺎﺭ ﻭﺍﻟﺘﺼﺮﻳﺢ ﲝﻘﻴﻘﺔ ﻧﻮﺍﻳﺎﻫﻢ ﰲ ﻣﻮﺍﺟﻬﺔ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ‪ ،‬ﻭﻫﺬﺍ ﻓﻌﻞ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ‪ ) .‬ﺳﻴﺪ ﻗﻄﺐ‪،‬‬ ‫‪.(37-36/1 :1986‬‬ ‫ﻛﻤﺎ ﺃﺧﱪﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﰲ ﺑﺪﺍﻳﺔ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺃﻱ ﺇﺫﺍ ﺣﻀﺮﻭﺍ ﻋﻨﺪﻙ ﻭﺍﺟﻬﻮﻙ ﺑﺬﻟﻚ‪ ،‬ﻭﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﻟﻚ‬ ‫ﺫﻟﻚ ﻗﺎﻟﻪ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ‪) .‬ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ‪ .(393/4 :1988 ،‬ﻭﺃﺧﺮﺝ ﺍﺑﻦ ﻣﺮﺩﻭﻳﻪ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﻗﺎﻝ ‪ :‬ﺇﳕﺎ‬ ‫ﲰﺎﻫﻢ ﺍﷲ ﻣﻨﺎﻓﻘﲔ ﻷ‪‬ﻢ ﻛﺘﻤﻮﺍ ﺍﻟﺸﺮﻙ ﻭﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﺍﻹﳝﺎﻥ‪) .‬ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ‪1403 ،‬ﻫـ‪ .(172/8 :‬ﻭﻗﺎﻝ‬ ‫ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{‪z l k j i‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(1 :63 ،‬‬

‫ﺃﻱ ﻗﺎﻝ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﺑﺄﻟﺴﻨﺘﻬﻢ ﻗﺎﻟﻪ ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ‪) .‬ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ‪1408 ،‬ﻫـ‪ (80/18 :‬ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬ ‫{ ‪zq p o n m‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(1 :63 ،‬‬

‫ﺃﻱ ﻓﻴﻤﺎ ﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﻣﻦ ﺷﻬﺎﺩ‪‬ﻢ ﻭﺣﻠﻔﻬﻢ ﺑﺄﻟﺴﻨﺘﻬﻢ‪ ،‬ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﻔﺮﺍﺀ ﰲ ﺗﻠﻚ ﺍﻵﻳﺔ ﺃﻱ ﺑﻀﻤﺎﺋﺮﻫﻢ‬ ‫ﻓﺎﻟﺘﻜﺬﻳﺐ ﺭﺍﺟﻊ ﺇﱃ ﺍﻟﻀﻤﺎﺋﺮ‪ ) .‬ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ‪ ،‬ﺩ‪ .‬ﺕ‪ .(58 /8 :‬ﻭﻫﺬﺍ ﻳﺪﻝ ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺗﺼﺪﻳﻖ‬ ‫ﺍﻟﻘﻠﺐ‪ ،‬ﻭﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﺍﳊﻘﻴﻘﻲ ﻛﻼﻡ ﺍﻟﻘﻠﺐ ﻭﻣﻦ ﻗﺎﻝ ﺷﻴﺌﹰﺎ ﻭﺍﻋﺘﻘﺪ ﺧﻼﻓﻪ ﻓﻬﻮ ﻛﺎﺫﺏ ﻗﺎﻟﻪ‬ ‫ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ‪) .‬ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ‪1408 ،‬ﻫـ‪(80/18 :‬‬ ‫ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﻀﺤﺎﻙ ) ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ‪1408 ،‬ﻫـ‪ :(80/18 :‬ﺃﳝﺎ‪‬ﻢ ﺃﻱ ﺣﻠﻔﻬﻢ ﺑﺎﷲ ﺇ‪‬ﻢ ﳌﻨﻜﻢ‪ ،‬ﻭﻗﺎﻝ‬ ‫ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ‪ ) .‬ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ‪1407 ،‬ﻫـ‪ :(347/4 : .‬ﺟﻨﺔ ﺍﻱ ﺳﺘﺮﺓ ﻭﰲ ﺍﳊﺪﻳﺚ )) ﺍﻟﺼﻮﻡ ﺟﻨﺔ(( ﺃﻱ ﻭﻗﺎﻳﺔ‬ ‫ﻣﻦ ﻋﺬﺍﺏ ﺍﷲ ﻭﺍﳉﻨﺔ‪ :‬ﺍﻟﻐﻄﺎﺀ ﺍﳌﺎﻧﻊ ﻣﻦ ﺍﻷﺫﻯ‪ ) ،‬ﺍﻟﻔﺨﺮ ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ‪ ،‬ﺩ‪ .‬ﺕ ‪ (14 /30 :‬ﻭﺃﺧﺮﺝ ﺍﺑﻦ‬ ‫ﺍﳌﻨﺬ ﺭ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﰲ ﺗﻠﻚ ﺍﻵﻳﺔ ﻗﺎﻝ‪ :‬ﺣﻠﻔﻬﻢ ﺑﺎﷲ ﺇ‪‬ﻢ ﳌﻨﻜﻢ َﺟﻨَﻮﺍ ﺑﺄﳝﺎ‪‬ﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺘﻞ ﻭﺍﳊﺮﺏ‪،‬‬ ‫)ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ‪1403 ،‬ﻫـ‪ .(172/8 :.‬ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ ‪zz y x w v‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(2 :63 ،‬‬

‫ﺃﻱ ﺍﻟﺼﺪ ﻋﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﺘﻨﻔﲑ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻋﻨﻪ ﻗﺎﻟﻪ ﺍﻟﻨﺴﻔﻲ ) ﺍﻟﻨﺴﻔﻲ‪1416 ،‬ﻫـ‪ (388 /4 :.‬ﺃﻱ‬ ‫ﺃﻋﺮﺿﻮﺍ ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺪﻭﺩ‪ ،‬ﺃﻭ ﺻﺮﻓﻮﺍ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻦ ﺇﻗﺎﻣﺔ ﺣﻜﻢ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺘﻞ ﻭﺍﻟﺴﱯ ﻭﺃﺧﺬ ﺍﻷﻣﻮﺍﻝ‬ ‫ﻓﻬﻮ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﺪ ﺃﻭ ﻣﻨﻌﻮﺍ ﻋﻦ ﺍﳉﻬﺎﺩ ﺑﺄﻥ ﻳﺘﺨﻠﻔﻮﺍ ﻭﻳﻘﺘﺪﻱ ‪‬ﻢ ﻏﲑﻫﻢ‪ ) .‬ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ‪1408 ،‬ﻫـ‪(80 /18 :‬‬ ‫ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ { | } ~ ‪z‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(2 :63 ،‬‬ ‫ﻭﻫﺬﺍ ﺇﻋﻼﻥ ﻣﻦ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺑﺄﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﻛﺎﻓﺮ‪ ،‬ﺃﻱ ﺃﻗﺮﻭﺍ ﺑﺎﻟﻠﺴﺎﻥ ﰒ ﻛﻔﺮﻭﺍ ﺑﺎﻟﻘﻠﺐ ﻗﺎﻟﻪ‬ ‫ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ‪) ،‬ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ‪1408 ،‬ﻫـ‪ (81/18 :‬ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ § ¨ ©‪z‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(3 :63 ،‬‬ ‫ﺃﻱ ﺧﺘﻢ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺑﺎﻟﻜﻔﺮ‪ ،‬ﻗﺎﻟﻪ ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ‪) ،‬ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ‪1407 ،‬ﻫـ‪ .(347/4 :‬ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ ‪z¬ « ª‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(3 :63 ،‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺃﻱ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻭﻻ ﺍﳋﲑ‪) .‬ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ‪1408 ،‬ﻫـ‪.(81/18 :‬‬ ‫ﻭﻗﺪ ﻭﺿﺢ ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ ﺍﻟﻜﺸﺎﻑ ﻣﻌﲎ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ ‪zx w v u t‬‬

‫ﻭﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ ‪ :‬ﺍﻵﻳﺔ ‪(20‬‬

‫{ ‪z}| { z y‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ‪(20 :2 ،‬‬ ‫ﻗﺎﺋﻼ‪ :‬ﺣﻴﺚ ﺃﻧﻪ ﺷﺒﻪ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﰲ ﺍﻟﺘﻤﺜﻴﻞ ﺍﻷﻭﻝ ﺑﺎﳌﺴﺘﻮﻗﺪ ﻧﺎﺭﺍﹰ‪ ،‬ﻭﺇﻇﻬﺎﺭﻩ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﺎﻹﺿﺎﺀﺓ‪،‬‬ ‫ﻭﺍﻧﻘﻄﺎﻉ ﺍﻧﺘﻔﺎﻋﻪ ﺑﺎﻧﻄﻔﺎﺀ ﺍﻟﻨﺎﺭ ﻭﺷﺒﻪ ﰲ ﺍﻟﺜﺎﱐ ﺑﺎﻟﺼﻴﺐ ﻭﺑﺎﻟﻈﻠﻤﺎﺕ ﻭﺑﺎﻟﺮﻋﺪ ﻭﺑﺎﻟﱪﻕ ﻭﺑﺎﻟﺼﻮﺍﻋﻖ‬ ‫ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{‪h g f e d c b a ` _ ^ ] \ [ Z‬‬ ‫‪zm l k ji‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ‪(19 :2 ،‬‬ ‫ﻭﺷﺒﻪ ﺩﻳﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﺎﻟﺼﻴﺐ ﻷﻥ ﺍﻟﻘﻠﻮﺏ ﲢﻴﺎ ﺑﻪ ﺣﻴﺎﺓ ﺍﻷﺭﺽ ﺑﺎﳌﻄﺮ ﻭﻣﺎ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﻣﻦ ﺷﺒﻪ‬ ‫ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﺑﺎﻟﻈﻠﻤﺎﺕ‪ ،‬ﻭﻣﺎ ﻓﻴﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﻮﻋﺪ ﻭﺍﻟﻮﻋﻴﺪ ﺑﺎﻟﺮﻋﺪ ﻭﺍﻟﱪﻕ‪ ،‬ﻭﻣﺎ ﻳﺼﺐ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻣﻦ ﺍﻷﻓﺰﺍﻉ‬ ‫ﻭﺍﻟﺒﻼﻳﺎ ﻭﺍﻟﻔﱳ ﻣﻦ ﺟﻬﺔ ﺃﻫﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﺎﻟﺼﻮﺍﻋﻖ ﻭﺍﳌﻌﲎ ‪ :‬ﺃﻭ ﻛﻤﺜﻞ ﺫﻭﻯ ﺻﻴﺐ‪ ) .‬ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ‪،‬‬ ‫ﺩ‪.‬ﺕ‪.(209/1 :‬‬

‫ﺗﺎﺭﻳﺦ ﻇﻬﻮﺭ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ‬ ‫ﺑﺪﺃ ﻇﻬﻮﺭ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﰲ ﺃﻫﻞ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﻭﻣﻦ ﺣﻮﳍﺎ ﻣﻦ ﺍﻷﻋﺮﺍﺏ‪) .‬ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ‪1988 ،‬ﻡ‪.(50/1 :.‬‬ ‫ﻭﻗﺪ ﻓﺴﺮ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﻗﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ \ ] ^ _ ` ‪zf e d c b a‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺒﻘﺮﺓ‪(8 :2 ،‬‬ ‫ﻳﻌﲎ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻣﻦ ﺍﻷﻭﺱ ﻭﺍﳋﺰﺭﺝ ﻭﻣﻦ ﻛﺎﻥ ﻋﻠﻰ ﺃﻣﺮﻫﻢ‪) .‬ﺍﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ ﺍﻟﻄﱪﻱ‪1412 ،‬ﻫـ‪:‬‬ ‫‪.(116/1‬‬ ‫ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻓﺴﺮﻩ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻌﺎﻟﻴﺔ ﻭﺍﳊﺴﻦ ﻭﻗﺘﺎﺩﺓ ﻭﺍﻟﺴﺪﻱ ﻭﳍﺬﺍ ﻧﺒﻪ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﻋﻠﻰ‬ ‫ﲢﺮﻛﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻟﺌﻼ ﻳﻐﺘﺮ ﺑﻈﺎﻫﺮ ﺃﻣﺮﻫﻢ ﺍﳌﺆﻣﻨﻮﻥ ﻓﻴﻘﻊ ﰲ ﺫﻟﻚ ﻓﺴﺎﺩ ﻋﺮﻳﺾ ﻣﻦ ﻋﺪﻡ ﺍﻻﺣﺘﺮﺍﺯ‬ ‫ﻣﻨﻬﻢ ﻭﻣﻦ ﺍﻋﺘﻘﺎﺩ ﺇﳝﺎ‪‬ﻢ ﻭﻫﻢ ﻛﻔﺎﺭ ﰲ ﻧﻔﺲ ﺍﻷﻣﺮ ﻭﻫﺬﺍ ﻣﻦ ﺍﶈﺬﻭﺭﺍﺕ ﺍﻟﻜﺒﺎﺭ‪) .‬ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ‪:1988 ،‬‬ ‫‪.(50/1‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻟﻘﺪ ﻛﺎﻧﺖ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺼﻮﺭﺓ ﻭﺍﻗﻌﺔ ﰲ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﰲ ﺃﻳﺎﻡ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﻟﻜﻦ ﻫﺬﻩ‬ ‫ﺍﻟﺼﻮﺭﺓ ﻻ ﲣﺘﻠﻒ ﰲ ﺃﻱ ﺯﻣﺎﻥ ﻭﰲ ﺃﻱ ﻣﻜﺎﻥ‪ ،‬ﺣﻴﺚ ﳒﺪﻫﺎ ﳕﻮﺫﺟﹰﺎ ﻣﻜﺮﻭﺭﹰﺍ ﰲ ﺃﺟﻴﺎﻝ ﺍﻟﺒﺸﺮﻳﺔ‬ ‫ﲨﻴﻌﹰﺎ‪.‬‬ ‫ﺃﻫﺪﺍﻑ ﺍﻟﺒﺤﺚ‬ ‫‪.1‬ﻟﺘﻮﺿﻴﺢ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ‪.‬‬ ‫‪.2‬ﳌﻌﺮﻓﺔ ﻣﺪﻯ ﺧﻄﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻋﻠﻰ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺿﻮﺀ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻮﺭﺓ‪.‬‬ ‫‪.3‬ﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺁﺛﺎﺭ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺿﻮﺀ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻮﺭﺓ‪.‬‬ ‫ﺣﺪﻭﺩ ﺍﻟﺒﺤﺚ‬ ‫ﺣﺪﺩﺕ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺔ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﺑﻌﺾ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﻓﻘﻂ ﻣﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺧﻄﻮﺭ‪‬ﻢ ﻋﻠﻰ‬ ‫ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﻭﺍﻫﺘﻤﺖ ﺑﺎﳊﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﺻﻔﺎ‪‬ﻢ ﻭﺧﻄﻮﺭ‪‬ﻢ ﻓﻴﻤﺎ ﺻﻮﺭﻩ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‬ ‫ﻋﻠﻤﹰﺎ ﺑﺄﻥ ﻫﻨﺎﻙ ﺍﻟﻜﺜﲑ ﻣﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺍﻟﱵ ﺗﺬﻛﺮ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻟﻜﻦ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺔ ﺗﺮﻛﺖ ﺍﳊﺪﻳﺚ‬ ‫ﻋﻨﻬﺎ ﻟﻄﻮﳍﺎ ﻭﻛﺜﺮ‪‬ﺎ ﻭﺍﻋﺘﻤﺪﺕ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﳌﻜﺘﺒﻴﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﻭﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﺍﻷﺳﺎﺳﻴﺔ‪.‬‬ ‫ﻛﻴﻔﻴﺔ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻭﲢﻠﻴﻠﻪ‪:‬‬ ‫‪ -1‬ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﰲ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ ﰒ ﺍﻟﺘﻔﺎﺳﲑ ﺑﺄﻗﻮﺍﻝ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﻭﺍﻟﺘﺎﺑﻌﲔ ﻣﻌﺘﻤﺪﹰﺍ ﻋﻠﻰ‬ ‫ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﻮﺻﻔﻲ ﺍﻟﺘﺤﻠﻴﻠﻲ ﳌﻌﺮﻓﺔ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ‪.‬‬ ‫‪ -2‬ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﰲ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺴﻨﻦ ﳌﻌﺮﻓﺔ ﻣﺪﻯ ﺧﻄﺮ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺍﳌﺴﻠﻤﲔ‪.‬‬ ‫‪ -3‬ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﰲ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﳌﻌﺮﻓﺔ ﻣﱴ ﻇﻬﻮﺭ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ‪.‬‬ ‫‪ -4‬ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﰲ ﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﳌﺘﻌﻠﻘﺔ ﺑﺎﳌﻮﺿﻮﻉ ﳌﻌﺮﻓﺔ ﻣﺪﻯ ﺧﻄﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺍﻟﻌﻬﺪ ﺍﻟﻨﺒﻮﻱ‪.‬‬ ‫ﻗﺎﻣﺖ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺔ ﰲ ﻋﺮﺽ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺑﺘﺤﻠﻴﻞ ﻣﻜﻮﻧﺎﺕ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﺗﺸﺘﻖ ﻣﻦ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ‬ ‫ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ ﺫﺍﺕ ﺍﻟﻌﻼﻗﺔ ﲟﻮﺿﻮﻉ ﺍﻟﺒﺤﺚ‪ ،‬ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻡ ﺑﺘﺤﻠﻴﻞ ﳏﺘﻮﻯ ﺍﻟﻨﺼﻮﺹ ﺍﻟﱵ ﺗﺘﻌﻠﻖ‬ ‫ﺑﺎﳌﻮﺿﻮﻉ ﰒ ﺣﺎﻭﻝ ﺑﻌﺪ ﺫﻟﻚ ﺑﻜﺘﺎﺑﺔ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﰲ ﺍﻟﻮﺭﻗﺔ ﻣﺴﺘﻌﻴﻨﹰﺎ ﺑﻘﻮﺍﻋﺪ ﺍﻟﻜﺘﺎﺑﺔ ﻭﺍﻹﻣﻼﺋﻴﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﳌﻨﺎﻗﺸﺔ ﻭﺍﻻﺳﺘﻨﺘﺎﺝ‬ ‫ﺇﻥ ﺣﻘﻴﻘﺔ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻲ ﺇﺩﻋﺎﺀ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﺎﷲ ﻭﺍﻟﻴﻮﻡ ﺍﻵﺧﺮ ﻭﻫﻢ ﰲ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﻟﻴﺴﻮﺍ ﲟﺆﻣﻨﲔ ﻭﺇﳕﺎ ﻫﻢ‬ ‫ﻣﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪ ،‬ﻭﻫﻨﺎﻙ ﺻﻔﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﺗﺘﻌﻠﻖ ﺑﺎﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﻟﻜﻦ ﺃﻛﺘﻔﻲ ﻣﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﻋﻼﻣﺎ‪‬ﻢ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ‬ ‫ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻓﻘﻂ‪.‬ﻭﻫﻲ ‪:‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ ﺍﻟﻜﺬﺏ‪:‬‬‫ﻛﻤﺎ ﻋﻠﻤﻨﺎ ﻓﻴﻤﺎ ﺳﺒﻖ ﺃﻥ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻲ ﳐﺎﻟﻔﺔ ﺍﻟﻈﺎﻫﺮ ﻟﻠﺒﺎﻃﻦ ﻭﻣﻦ ﺃﺑﺮﺯﺧﺼﺎﻝ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻫﻲ‬ ‫ﺍﻟﻜﺬﺏ ﰲ ﺍﻟﻘﻮﻝ‪ ،‬ﻭﻛﻤﺎ ﺃﻥ ﺍﷲ ‪ -‬ﻋﺰ ﻭﺟﻞ ‪ -‬ﺑﺪﺃ ﰲ ﺃﻭﻝ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﺑﻔﻀﺢ ﺃﺧﻼﻕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ‬ ‫ﺑﺄ‪‬ﻢ ﺍﲣﺬﻭﺍ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﰲ ﺍﺩﻋﺎﺀ ﺍﻷﳝﺎﻥ ﻭﺣﻠﻒ ﺍﻷﳝﺎﻥ ﺍﻟﻔﺎﺟﺮﺓ ﺍﻟﻜﺎﺫﺑﺔ ﺣﻴﺚ ﺃ‪‬ﻢ ﻳﻨﻄﻘﻮﻥ ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ‬ ‫ﺇﺫﺍ ﺟﺎﺀﻭﺍ ﺇﱃ ﺍﻟﻨﱯ ‪ -‬ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‪ -‬ﻭﻫﻢ ﰲ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻀﺪ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ ` ‪p o n m l k j i hg f e d c b a‬‬ ‫‪zq‬‬

‫ﻳﻘﻮﻝ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺼﻼﺓ ﻭﺍﻟﺴﻼﻡ‪ ،‬ﻭﰲ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔ‪:‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(1 :63 ،‬‬

‫))ﺁﻳﺔ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﺛﻼﺙ ﻭﺫﻛﺮ ﻣﻨﻬﺎ ﺇﺫﺍ ﺣﺪﺙ ﻛﺬﺏ((‬ ‫)ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ‪.(11\1 :1315 ،‬‬ ‫ ﺍﻟﺼﺪ ﻋﻦ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ‪:‬‬‫ﻭﰲ ﺍﻵﻳﺔ ﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔ ﻣﻦ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺫﻛﺮ ﺍﷲ ‪ -‬ﻋﺰ ﻭﺟﻞ ‪ -‬ﺃﻥ ﻣﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺍﻟﺼﺪ‬ ‫ﻋﻦ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ ﺣﻴﺚ ﺍﺳﺘﺨﺪﻣﻮﺍ ﺃﳝﺎ‪‬ﻢ ﻹﺛﺒﺎﺕ ﻣﺎ ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ‪ ،‬ﻭﻹﻗﺎﻉ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺑﺼﺪﻗﻬﻢ ﻓﻘﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ ‪z ~ } | { zy x w v u t s‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ‪ :‬ﺍﻵﻳﺔ ‪.(2‬‬ ‫ﺃﻱ ﺻﺪﻭﺍ ﺑﺎﻹﳝﺎﻥ ﻋﻦ ﺍﳉﻬﺎﺩ ﰲ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ ﻓﻔﻴﻪ ﻭﺟﻬﺎﻥ‪ :‬ﺃﺣﺪﳘﺎ ﻫﻲ ﻋﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﺘﻨﻔﲑ‬ ‫ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻋﻨﻪ‪ ،‬ﻭﺍﻟﺜﺎﱐ ﻋﻦ ﺍﳉﻬﺎﺩ ﺑﺘﺜﺒﻴﻄﻬﻢ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﺇﺭﺟﺎﻓﻬﻢ ﺑﻪ ﻋﻨﻬﻢ ﻗﺎﻝ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺍﳋﻄﺎﺏ‪ :‬ﻣﺎ‬ ‫ﺃﺧﺎﻑ ﻋﻠﻴﻜﻢ ﺭﺟﻠﲔ‪ :‬ﻣﺆﻣﻨﹰﺎ ﻗﺪ ﺍﺳﺘﺒﺎﻥ ﺇﳝﺎﻧﻪ ﻭﻛﺎﻓﺮ ﻗﺪ ﺍﺳﺘﺒﺎﻥ ﻛﻔﺮﻩ‪ ،‬ﻭﻟﻜﻦ ﺃﺧﺎﻑ ﻋﻠﻴﻜﻢ ﻣﻨﺎﻓﻘﹰﺎ‬ ‫ﻳﺘﻌﻮﺫ ﺑﺎﻹﳝﺎﻥ ﻭﻳﻌﻤﻞ ﺑﻐﲑﻩ‪) .‬ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ‪ ،‬ﺩ‪.‬ﺕ‪.(15/6 .‬‬ ‫ ﺍﻟﺘﻼﻋﺐ‪:‬‬‫ﰲ ﺍﻵﻳﺔ ﺍﻟﺜﺎﻟﺜﺔ ﺃﺧﱪﻧﺎ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺃﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻳﺘﻼﻋﺒﻮﻥ ﺑﺎﻟﺪﻳﻦ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺣﻴﺚ ﺇ‪‬ﻢ ﺁ ﻣﻨﻮﺍ‬ ‫ﺑﺎﻟﻠﺴﺎﻥ ﰲ ﺍﻟﻈﺎﻫﺮ ﻧﻔﺎﻗﹰﺎ ﰒ ﻛﻔﺮﻭﺍ ﺑﺎﻟﻘﻠﺐ ﰲ ﺍﻟﺒﺎﻃﻦ ﺃﻱ ﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻟﻠﻤﺆﻣﻨﲔ ﻭﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﺍﻟﻜﻔﺮ‬ ‫ﻟﻠﻜﺎﻓﺮﻳﻦ ﻭﻫﺬﺍ ﺻﺮﻳﺢ ﰲ ﺗﻼﻋﺐ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﻛﻔﺮﻫﻢ ﻭﺟﻌﻠﻮﺍ ﻣﻦ ﺃﳝﺎ‪‬ﻢ ﺗﻘﻴﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺘﻞ ﻭﺍﻷﺳﺮ ﻟﺬﻟﻚ‬ ‫ﺍﻟﺴﺒﺐ ﻋﺎﻗﺒﻬﻢ ﺍﷲ ﺑﺎﻟﻄﺒﻊ ﻋﻠﻰ ﻗﻠﻮ‪‬ﻢ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ ‪z¬ « ª © ¨ § ¦ ¥ ¤ £ ¢‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(3 :63 ،‬‬

‫ﺃﻱ ﺫﻟﻚ ﺗﻘﻴﺔ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﻭﺍﻟﺼﺪ ﻭﻗﺒﺢ ﺍﻷﻋﻤﺎﻝ ﺑﺴﺒﺐ ﺃ‪‬ﻢ ﺁﻣﻨﻮﺍ ﻧﻔﺎﻗﺎﹰ‪ ،‬ﻭﻻ‬ ‫‪‬ﺘﺪﻱ ﺇﱃ ﺣﻖ‪ ،‬ﻭﻻ ﻳﻨﻔﺬ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﺧﲑ‪ ،‬ﻓﺄﺻﺒﺤﻮﺍ ﻻ ﻳﻔﻘﻬﻮﻥ ﻣﺎ ﻓﻴﻪ ﺭﺷﺪﻫﻢ ﻭﺻﻼﺣﻬﻢ‪ ،‬ﻭﻻ ﻳﻌﻮﻥ‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻭﻻ ﻳﺪﺭﻛﻮﻥ ﺍﻷﺩﻟﺔ ﺍﻟﺪﺍﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﺻﺪﻕ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ‪ ) .‬ﻭﻫﺒﺔ ﺍﻟﺰﺣﻴﻠﻲ‪،‬‬ ‫‪1411‬ﻫـ‪) (217-216/28 .‬ﺍﳋﺎﺯﻥ‪1399 ،‬ﻫـ‪.(324-322/8 .‬‬ ‫ ﺍﻟﻌﺠﺐ‪:‬‬‫ﻭﻣﻦ ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺍﻟﻌﺠﺐ ﺑﺄﻧﻔﺴﻬﻢ ﺣﻴﺚ ﺃﺑﺎﻥ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻣﺪﻯ ﺍﻏﺘﺮﺍﺭ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ‬ ‫ﺑﻈﺎﻫﺮﻫﻢ ﻭﺑﺼﻮﺭﻫﻢ ﺍﳉﺴﺪﻳﺔ‪ ،‬ﻓﻘﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ ‪Á À ¿ ¾ ½ ¼ » º¹ ¸ ¶ µ ´ ³ ² ± °‬‬ ‫‪zÌ Ë ÊÉ È ÇÆ Å Ä ÃÂ‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(4 :63 ،‬‬

‫ﺃﻱ ﻭﺇﺫﺍ ﻧﻈﺮﺕ ﺇﻟﻴﻬﻢ ﺗﺮﻭﻗﻚ ﻫﻴﺌﺎ‪‬ﻢ ﻭﻣﻨﺎﻇﺮﻫﻢ‪ ،‬ﳌﺎ ﻓﻴﻬﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻀﺎﺭﺓ ﻭﺍﻟﺮﻭﻧﻖ ﻭﲨﺎﻝ‬ ‫ﺍﻟﺼﻮﺭﺓ ﻭﺍﻋﺘﺪﺍﻝ ﺍﳋﻠﻘﺔ‪ ،‬ﻭﺇﻥ ﺗﻜﻠﻤﻮﺍ ﺣﺴﻦ ﺍﻟﺴﻤﺎﻉ ﻟﻜﻼﻣﻬﻢ‪ ،‬ﻭﻇﻦ ﺃﻥ ﻗﻮﳍﻢ ﺣﻖ ﻭﺻﺪﻕ‪،‬‬ ‫ﻟﻔﺼﺎﺣﺘﻬﻢ ﻭﺣﻼﻭﺓ ﻣﻨﻄﻘﻬﻢ ﻭﺫﻻﻗﺔ ﺃﻟﺴﻨﺘﻬﻢ‪ ،‬ﻭﳛﺘﻤﻞ ﻹﻇﻬﺎﺭﻫﻢ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺫﻛﺮ ﻣﻮﺍﻗﻔﻬﻢ‪ ،‬ﻭﳛﺘﻤﻞ‬ ‫ﺛﺎﻧﻴﹰﺎ ﻛﺄ‪‬ﻢ ﺃﺧﺸﺎﺏ ﺟﻮﻓﺎﺀ ﻣﻨﺨﻮﺭﺓ ﻣﺴﺘﻨﺪﺓ ﺇﱃ ﺍﳊﻴﻄﺎﻥ‪) ،‬ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ‪ ،‬ﺩ‪.‬ﺕ‪ .(15/6 .‬ﻓﻘﻮﻟﻪ‪°) :‬‬ ‫‪ ( ±‬ﻳﻌﲏ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺃﰊ‪ ،‬ﻭﻣﻐﻴﺚ ﺑﻦ ﻗﻴﺲ‪ ،‬ﻭﺟﺪ ﺑﻦ ﻗﻴﺲ‪ ،‬ﻛﺎﻧﺖ ﳍﻢ ﺃﺟﺴﺎﻡ ﻭﻣﻨﻈﺮ‪،‬‬ ‫ﺗﻌﺠﺒﻚ ﺃﺟﺴﺎﻣﻬﻢ ﳊﺴﻨﻬﺎ ﻭﲨﺎﳍﺎ‪ ،‬ﻭﻗﺎﻝ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ‪ :‬ﻛﺎﻥ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺟﺴﻴﻤﹰﺎ ﺻﺒﻴﺤﹰﺎ‬ ‫ﺫﻟﻖ ﺍﻟﻠﺴﺎﻥ‪ ) ،‬ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ‪1407 ،‬ﻫـ‪ .‬ﺟـ‪ (348/4 .‬ﻓﻘﻮﻟﻪ‪ (¹) :‬ﺃﻱ ﻳﺴﻤﻊ ﳌﺎ ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ ﻣﺸﺒﻬﲔ‬ ‫ﲞﺸﺐ ﻣﺴﻨﺪﺓ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﻘﺎﺋﻞ‪ )) :‬ﻻ ﺑﺄﺱ ﺑﺎﻟﻘﻮﻡ ﻣﻦ ﻃﻮﻝ ﻭﻣﻦ ﻋﻈﻢ ﺟﺴﻢ ﺍﻟﺒﻐﺎﻝ ﻭﺃﺣﻼﻡ‬ ‫ﺍﻟﻌﺼﺎﻓﲑ‪) ((.‬ﳏﻤﺪ ﻋﻠﻲ ﺍﻟﺼﺎﺑﻮﱐ‪1413 ،‬ﻫـ‪ .‬ﺟـ‪.(108/14 .‬‬ ‫ ﺍﻻﺳﺘﻜﺒﺎﺭ ‪:‬‬‫ﻟﻘﺪ ﺫﻛﺮ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﺑﻌﺾ ﻗﺒﺎﺋﺢ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺣﻴﺚ ﺃ‪‬ﻢ ﺍﺳﺘﻜﱪﻭﺍ ﻋﻦ ﺍﻻﻋﺘﺬﺍﺭ‬ ‫ﻭﺍﻻﺳﺘﻐﻔﺎﺭ ﻭﺍﻻﺳﺘﻨﻜﺎﺭ ﻫﻨﺎ ﻫﻮ ﻋﺪﻡ ﺍﺳﺘﻌﺪﺍﺩﻫﻢ ﻟﻘﺒﻮﻝ ﺍﻻﺳﺘﻐﻔﺎﺭ ﻣﻦ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ‪ -‬ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ‬ ‫ﻭﺳﻠﻢ ‪-‬ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ ‪zN M L K J I H GF E D B A‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ‪ :‬ﺍﻵﻳﺔ ‪(5‬‬

‫ﺃﻱ ﺇﺫﺍ ﻗﺎﻝ ﳍﻢ ﻗﺎﺋﻞ ﻣﻦ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻗﺪ ﺃﻧﺰﻝ ﻓﻴﻜﻢ ﻣﺎ ﻧﺰﻝ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻓﺘﻮﺑﻮﺍ ﺇﱃ ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ‬ ‫ﻭﺗﻌﺎﻟﻮﺍ ﻳﺴﺘﻐﻔﺮ ﻟﻜﻢ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ )‪ (J I‬ﺃﻱ ﺣﺮﻛﻮﻫﺎ ﺍﺳﺘﻬﺰﺍﺀ ﺑﺬﻟﻚ‪ .‬ﻭ )‪ (L K‬ﺃﻱ‬ ‫ﻳﻌﺮﺿﻮﻥ ﻋﻦ ﻗﻮﻝ ﻣﻦ ﻗﺎﻝ ﳍﻢ‪ :‬ﺗﻌﺎﻟﻮﺍ ﻳﺴﺘﻐﻔﺮﻟﻜﻢ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ‪ ،‬ﺃﻭ ﻳﻌﺮﺿﻮﻥ ﻋﻦ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ‬ ‫ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‪ ( N M ) .‬ﺃﻱ ﻭﺭﺃﻳﺘﻬﻢ ﺻﺎﺩﻳﻦ ﻣﺴﺘﻜﱪﻳﻦ‪ ،‬ﻭﻗﺎﻝ ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ ‪ :‬ﻓﻴﻪ ﻭﺟﻬﺎﻥ ‪:‬‬ ‫ﺃﺣﺪﳘﺎ ‪ :‬ﻣﺘﻜﱪﻭﻥ‪ .‬ﻭﺍﻟﺜﺎﱐ ‪ :‬ﳑﺘﻨﻌﻮﻥ‪ ).‬ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ‪ ،‬ﺩ‪.‬ﺕ‪.(17/6 :‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ ﺍﻟﻔﺴﻖ‪:‬‬‫ﻟﻘﺪ ﺫﻛﺮ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﺑﻌﺾ ﻗﺒﺎﺋﺢ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﺣﻴﺚ ﺃ‪‬ﻢ ﻓﺴﻘﻮﺍ ﰲ‬ ‫ﺃﻣﺮ ﺍﷲ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬

‫{ ‪a ` _ ^ ] \[ Z Y X W V U T S R Q P‬‬ ‫‪zb‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(6 :63 ،‬‬

‫ﺃﻱ ﻣﺎﺩﺍﻣﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ‪ ،‬ﻭﺍﳌﻌﲎ ﺳﻮﺍﺀ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺍﻻﺳﺘﻐﻔﺎﺭ ﻭﻋﺪﻣﻪ ﻷﻧﻪ ﻻ ﻳﻠﺘﻔﺘﻮﻥ ﺇﻟﻴﻪ ﻭﻻ‬ ‫ﻳﻌﺘﺪﻭﻥ ﺑﻪ ﻟﻜﻔﺮﻫﻢ‪ ،‬ﺃﻭ ﻷﻥ ﺍﷲ ﻻ ﻳﻐﻔﺮ ﳍﻢ‪.‬‬ ‫ﺇﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻫﻢ ﺍﻟﻔﺎﺳﻘﻮﻥ ﻭﻫﻢ ﺍﳋﺎﺭﺟﻮﻥ ﻋﻦ ﻃﺎﻋﺔ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﻭﺍﳋﻀﻮﻉ ﻟﻪ ﻓﻼ ﻳﺴﺒﺤﻘﻮﻥ‬ ‫ﺍﻟﺮﲪﺔ‪ ،‬ﰒ ﺑﲔ ﻣﺎ ﺍﻋﺪﻩ ﻟﻠﻤﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺳﺎﺋﺮ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﺬﺍﺏ ﺍﻷﻟﻴﻢ ﰲ ﺍﻵﺧﺮﺓ ﺑﻘﻮﻟﻪ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{¬ ® ¯ ‪» º ¹ ¸ ¶ µ ´ ³ ² ± °‬‬ ‫¼½ ¾ ¿ ‪zÀ‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ‪(68 :9،‬‬ ‫ﺃﻱ ﻫﻲ ﻛﺎﻓﻴﺘﻬﻢ ﺑﻌﺬﺍ‪‬ﺎ ﻷﻧﻪ ﻋﺬﺍ‪‬ﺎ ﻫﺎﺋﻞ ﻻ ﻣﺰﻳﺪ ﻋﻠﻴﻪ ) ﻭﻟﻌﻨﻬﻢ ﺍﷲ ( ﻃﺮﺩﻫﻢ ﻭﺃﺑﻌﺪﻫﻢ‬ ‫ﻣﻦ ﺭﲪﺘﻪ ﻷ‪‬ﻢ ﻻ ﻳﺴﺘﺤﻘﻮ‪‬ﺎ ) ﻭﳍﻢ ﻋﺬﺍﺏ ﻣﻘﻴﻢ( ﺃﻱ ﺩﺍﺋﻢ ﻻ ﻳﻨﻘﻄﻊ ﻭﻫﻮ ﻋﺬﺍﺏ ﺍﻟﻨﺎﺭ ﻓﻘﻴﻞ ﺇﻥ‬ ‫ﺍﳌﺮﺍﺩ ﺑﻪ ﻋﺬﺍﺏ ﺁﺧﺮ ﰲ ﺍﻵﺧﺮﺓ ﻏﲑ ﻋﺬﺍﺏ ﺟﻬﻨﻢ ﻻ ﻳﻨﻘﻄﻊ ﺃﺑﺪﹰﺍ ﻭﺑﺬﻟﻚ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ‪ ،‬ﻭﻣﻦ ﺗﺒﻌﻪ‬ ‫ﻭﺫﻛﺮﻭﺍ ﺍﺣﺘﻤﺎﻝ ﻛﻮﻥ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﻋﺬﺍﺏ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻭﻫﻮ ﻣﺎ ﻳﻘﺎﺳﻴﻪ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻣﻦ ﺧﻮﻑ ﻭﺍﻧﺘﻘﺎﻡ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻣﻨﻬﻢ‬ ‫)ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ‪ ،‬ﺩ‪.‬ﺕ‪ .(201\2 :‬ﻭﻟﻜﻦ ﳝﻨﻊ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ ﺃﻧﻪ ﻟﻴﺲ ﻫﻨﺎﻙ ﻣﻦ ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﻌﺬﺍﺏ ﻣﺎ ﻫﻮ ﺩﺍﺋﻢ ﻻ‬ ‫ﻳﻨﻘﻄﻊ ﺃﺑﺪﹰﺍ ﻏﲑ ﻋﺬﺍﺏ ﺟﻬﻨﻢ‪ ،‬ﻭﻗﻴﻞ ﺇﻥ ﺍﳌﺮﺍﺩ ﺍﻟﻌﺬﺍﺏ ﺍﻟﻨﻔﺴﻲ ﻭﺍﳌﻌﻨﻮﻱ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻘﺎﺳﻴﻪ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻳﻮﻡ‬ ‫ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ ‪ ،‬ﻭﺑﺬﻟﻚ ﻗﺎﻝ ﺭﺷﻴﺪ ﺭﺿﺎ‪ ).‬ﺭﺷﻴﺪ ﺭﺿﺎ‪ ،‬ﺩ‪ .‬ﺕ‪ (621 \10 :‬ﻭﻟﻜﻦ ﺇﻥ ﻛﺎﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻌﺬﺍﺏ‬ ‫ﺍﻟﻨﻔﺴﻲ ﻧﺎﲡﺎ ﻋﻦ ﻋﺬﺍ‪‬ﻢ ﺍﳊﺴﻲ ﰲ ﺟﻬﻨﻢ ﻓﺒﲔ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ‪ ) :‬ﻭﳍﻢ ﻋﺬﺍﺏ ﻣﻘﻴﻢ( ﺃﻥ ﺧﻠﻮﺩﻫﻢ‬ ‫ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻮﻉ ﺍﻟﺬﻱ ﻻ ﻳﻨﻘﻄﻊ ﺃﺑﺪﹰﺍ‪.‬‬ ‫ ﺍﻟﺒﺨﻞ‪:‬‬‫ﰒ ﺫﻛﺮ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﺑﻌﺾ ﻗﺒﺎﺋﺤﻬﻢ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻓﻘﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{‪s r q po n m l k j i h g f e d‬‬ ‫‪zx w v u t‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(7 :63 ،‬‬ ‫ﺃﻱ ﺣﱴ ﻳﺘﻔﺮﻗﻮﺍ ﻋﻨﻪ‪ ،‬ﻳﻌﻨﻮﻥ ﺑﺬﻟﻚ ﻓﻘﺮﺍﺀ ﺍﳌﻬﺎﺟﺮﻳﻦ‪ ،‬ﻭﻟﻪ ﺍﻷﺭﺯﺍﻕ ﻭﺍﻟﻘﺴﻢ‪ ،‬ﻓﻬﻮ ﺭﺍﺯﻗﻬﻢ‬ ‫ﻣﻨﻬﺎ‪ ،‬ﻭﺇﻥ ﺃﰉ ﺃﻫﻞ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺃﻥ ﻳﻨﻔﻘﻮﺍ ﻋﻠﻴﻬﻢ‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻓﺎﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻣﻦ ﺃﲞﻞ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﰲ ﺃﻣﻮﺭ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻭﰲ ﺃﻣﻮﺭ ﺍﳋﲑ‪ ،‬ﻓﺘﺮﻯ ﺃﺣﺪﻫﻢ ﻳﺬﺑﺢ ﰲ ﻭﻟﻴﻤﺔ‬ ‫ﺳﺘﲔ ﺫﺑﻴﺤﺔ ﺭﻳﺎﺀ ﻭﲰﻌﺔ ﻟﻜﻦ ﺇﺫﺍ ﻃﻠﺒﺘﻪ ﰲ ﺍﻧﻔﺎﻕ ﺃﻭ ﰲ ﻣﺸﺮﻭﻉ ﺑﻨﺎﺀ ﻣﺴﺠﺪ ﺃﻭ ﰲ ﺟﻬﺎﺩ ﺃﺧﺮﺥ‬ ‫ﻼ ﻣﻦ ﻣﺎﻟﻪ‪ .‬ﻓﺈﻧﻔﺎﻗﻬﻢ ﺷﺤﻴﺢ ﻳﻘﻮﻝ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫ﻗﻠﻴ ﹰ‬ ‫{‪~ } | { z yx w v u t‬‬ ‫ ¡‪zª © ¨ § ¦¥ ¤ £ ¢‬‬

‫ﺑﺎﷲ‪.‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔ‪ :‬ﺍﻵﻳﺔ ‪(67‬‬ ‫ﻓﻬﻢ ﻳﻘﺒﻀﻮﻥ ﺃﻳﺪﻳﻬﻢ ﻭﻻ ﻳﺘﱪﻋﻮﻥ ﺑﺎﳋﲑ‪ ،‬ﻭﻫﻢ ﻗﺎﺩﺭﻭﻥ ﻓﻬﺬﻩ ﻣﻦ ﻋﻼﻣﺔ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﺍﻟﻌﻴﺎﺫ‬

‫ﻭﻫﻜﺬﺍ ﻳﺘﻔﻖ ﰲ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻮﺳﻴﻠﺔ ﺍﳋﺴﻴﺴﺔ ﻛﻞ ﺧﺼﻮﻡ ﺍﻹﳝﺎﻥ‪ ،‬ﻣﻦ ﻗﺪﱘ ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ‪ ،‬ﺇﱃ ﻫﺬﺍ‬ ‫ﺍﻟﺰﻣﺎﻥ‪...‬ﻧﺎﺳﲔ ﺍﳊﻘﻴﻘﺔ ﺍﻟﺒﺴﻴﻄﺔ ﺍﻟﱵ ﻳﺬﻛﺮﻫﻢ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ‪‬ﺎ ﻗﺒﻞ ﺧﺘﺎﻡ ﻫﺬﻩ ﺍﻵﻳﺔ‪s r q) :‬‬ ‫‪ ( x w v u t‬ﻭﻟﻜﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﻭﺃﺿﺮﺍﺑﻪ ﺟﺎﻫﻠﻮﻥ ﻻ ﻳﻔﻘﻬﻮﻥ ﺫﻟﻚ ﻓﻴﻬﺬﻭﻥ ﲟﺎ‬ ‫ﻳﺰﻳﻦ ﳍﻢ ﺍﻟﺸﻴﻄﺎﻥ‪ ،‬ﻷﻥ ﺧﺰﺍﺋﻦ ﺍﻟﺮﺯﻕ ﻟﻪ ﻓﻴﻌﻄﻲ ﻣﻦ ﺷﺎﺀ ﻭﳝﻨﻊ ﻣﻦ ﺷﺎﺀ ﻣﺎ ﺷﺎﺀ‪ ،‬ﺫﻟﻚ ﻭﻻ ﻳﻌﻠﻤﻮﻥ‬ ‫ﺃﻥ ﺧﺰﺍﺋﻦ ﺍﻷﺭﺯﺍﻕ ﺑﻴﺪ ﺍﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ ﻭﺃﻧﻪ ﺍﻟﺒﺎﺳﻂ ﺍﻟﻘﺎﺑﺾ ﺍﳌﻌﻄﻲ ﺍﳌﺎﻧﻊ‪) .‬ﺍﻟﻨﺴﻔﻲ‪(380\4 :1416 ،‬‬ ‫ﻭ)ﺍﻟﺴﻌﺪﻱ‪1414 ،‬ﻫـ‪.(245\5 .‬‬ ‫ ﺍﻻﻏﺘﺮﺍﺭ ﺑﺎﻟﻨﻔﺲ ﻭﺳﻮﺀ ﺍﻟﻈﻦ ﺑﺎﳌﺆﻣﻨﲔ ‪:‬‬‫ﻟﻘﺪ ﺫﻛﺮ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﺑﻌﺾ ﻗﺒﺎﺋﺢ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺣﻴﺚ ﺃ‪‬ﻢ ﺍﻏﺘﺮﻭﺍ ﺑﺎﻟﻨﻔﺲ ﻭﺳﻮﺀ ﺍﻟﻈﻦ‬ ‫ﺑﺎﳌﺆﻣﻨﲔ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{‪f e d cb a ` _ ~ } | { z‬‬ ‫‪zk j i h g‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(8 :63 ،‬‬ ‫ﺍﻟﻘﺎﺋﻞ ﳍﺬﻩ ﺍﳌﻘﺎﻟﺔ ﻫﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺭﺃﺱ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ‪ ،‬ﻭﻋﲎ ﺑﺎﻷﻋﺰ ﻧﻔﺴﻪ ﻭﻣﻦ ﻣﻌﻪ‪ ،‬ﻭﺑﺎﻷﺫﻝ‬ ‫ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﻣﻦ ﻣﻌﻪ‪ ،‬ﻭﻣﺮﺍﺩﻩ ﺑﺎﻟﺮﺟﻮﻉ ﺭﺟﻮﻋﻬﻢ ﻣﻦ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻐﺰﻭﺓ‪ ،‬ﻭﺇﳕﺎ ﺃﺳﻨﺪ‬ ‫ﺍﻟﻘﻮﻝ ﺇﱃ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻣﻊ ﻛﻮﻥ ﺍﻟﻘﺎﺋﻞ ﻫﻮ ﻓﺮﺩ ﻣﻦ ﺃﻓﺮﺍﺩﻫﻢ‪ ،‬ﻭﻫﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺃﰊ‪ ،‬ﻟﻜﻮﻧﻪ ﻛﺎﻥ ﺭﺋﻴﺴﻬﻢ‬ ‫ﻭﺻﺎﺣﺐ ﺃﻣﺮﻫﻢ‪ ،‬ﻭﻫﻢ ﺭﺍﺿﻮﻥ ﲟﺎ ﻳﻘﻮﻟﻪ ﺳﺎﻣﻌﻮﻥ ﻟﻪ ﻣﻄﻴﻌﻮﻥ‪ .‬ﰒ ﺭﺩ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻋﻠﻰ ﻗﺎﺋﻞ ﺗﻠﻚ‬ ‫ﺍﳌﻘﺎﻟﺔ ﻓﻘﺎﻝ‪ ( g fe d) :‬ﺃﻱ ﺍﻟﻘﻮﺓ ﻭﺍﻟﻐﻠﺒﺔ ﷲ ﻭﺣﺪﻩ ﻭﳌﻦ ﺃﻓﺎﺿﻬﺎ ﻋﻠﻴﻪ ﻣﻦ‬ ‫ﺭﺳﻠﻪ ﻭﺻﺎﳊﻲ ﻋﺒﺎﺩﻩ ﻻ ﻟﻐﲑﻫﻢ‪ .‬ﺍﻟﻠﻬﻢ ﻛﻤﺎ ﺟﻌﻠﺖ ﺍﻟﻌﺰﺓ ﻟﻠﻤﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻓﺎﺟﻌﻞ ﺍﻟﻌﺰﺓ‬ ‫ﻟﻠﻌﺎﺩﻟﲔ ﻣﻦ ﻋﺒﺎﺩﻙ‪ ،‬ﻭﺃﻧﺰﻝ ﺍﻟﺬﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﳉﺎﺋﺮﻳﻦ ﺍﻟﻈﺎﳌﲔ )‪ ( k j i h‬ﲟﺎ ﻓﻴﻪ ﺍﻟﻨﻔﻊ‬ ‫ﻓﻴﻔﻌﻠﻮﻧﻪ‪ ،‬ﻭﲟﺎ ﻓﻴﻪ ﺍﻟﻀﺮ ﻓﻴﺠﺘﻨﺒﻮﻧﻪ‪ ،‬ﺑﻞ ﻫﻢ ﻛﺎﻷﻧﻌﺎﻡ ﻟﻔﺮﻁ ﺟﻬﻠﻬﻢ ﻭﻣﺰﻳﺪ ﺣﲑ‪‬ﻢ ﻭﺍﻟﻄﺒﻊ ﻋﻠﻰ‬ ‫ﻗﻠﻮ‪‬ﻢ‪.‬‬ ‫ ﺍﻟﻐﻔﻠﺔ ‪:‬‬‫ﳌﺎ ﺫﻛﺮ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻗﺒﺎﺋﺢ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺭﺟﻊ ﺇﱃ ﺧﻄﺎﺏ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻣﺮﻏﺒﹰﺎ ﳍﻢ ﰲ ﺫﻛﺮﻩ ﻓﻘﺎﻝ‪:‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬ ‫{ ‪{ z y xw v u t s r q p o n m‬‬ ‫| } ~‪z‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(9 :63 ،‬‬ ‫ﻓﺤﺬﺭﻫﻢ ﻋﻦ ﺃﺧﻼﻕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺃﳍﺘﻬﻢ ﺃﻣﻮﺍﳍﻢ ﻭﺃﻭﻻﺩﻫﻢ ﻋﻦ ﺫﻛﺮ ﺍﷲ‪،‬ﻭﰲ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ‬ ‫ﻋﻦ ﺃﰊ ﺍﻟﺪﺭﺩﺍﺀ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﺃﻧﻪ ﻗﺎﻝ‪ " :‬ﺃﻻ ﺃﺩﻟﻜﻢ ﻋﻠﻰ ﺧﲑ ﺃﻋﻤﺎﻟﻜﻢ‪ ،‬ﻭﺃﺯﻛﺎﻫﺎ‬ ‫ﻋﻨﺪ ﻣﻠﻴﻜﻜﻢ ﻭﺃﺭﻓﻌﻬﺎ ﰲ ﺩﺭﺟﺎﺗﻜﻢ ﻭﺧﲑ ﻟﻜﻢ ﻣﻦ ﺇﻧﻔﺎﻕ ﺍﻟﺬﻫﺐ ﻭﺍﻟﻮﺭﻕ ﻭﺧﲑ ﻟﻜﻢ ﻣﻦ ﺃﻥ ﺗﻠﻘﻮﺍ‬ ‫ﻋﺪﻭﻛﻢ ﻓﺘﻀﺮﺑﻮﺍ ﺃﻋﻨﺎﻗﻬﻢ ﻭﻳﻀﺮﺑﻮﺍ ﺃﻋﻨﺎﻗﻜﻢ؟ ﻗﺎﻟﻮﺍ ‪ :‬ﺑﻠﻰ ﻳﺎ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ‪ :‬ﻗﺎﻝ‪ :‬ﺫﻛﺮ ﺍﷲ" )ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ‪:‬‬ ‫‪ (139\3‬ﰲ ﺍﻟﺪﻋﻮﺍﺕ‪ ،‬ﺑﺎﺏ ‪ :‬ﻓﻀﻞ ﺍﻟﺬﻛﺮ‪).‬ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ ‪ (316/2‬ﻭ )ﺍﳊﺎﻛﻢ ‪ (496/1‬ﻭﻫﻮ ﰲ ﺍﳌﻮﻃﺄ‬ ‫ﻭﻗﻮﻑ ﻋﻠﻰ ﺃﰊ ﺍﻟﺪﺭﺩﺍﺀ ) ﻣﺎﻟﻚ‪ ،‬ﺭﻗﻢ ‪ (24‬ﻭﻣﻌﲎ ﻻ ﺗﻠﻬﻜﻢ‪ :‬ﻻﺗﺸﻐﻠﻜﻢ‪ ،‬ﻭﺍﳌﺮﺍﺩ ﺑﺎﻟﺬﻛﺮ ﻓﺮﺍﺋﺾ‬ ‫ﺍﻹﺳﻼﻡ‪ ،‬ﻗﺎﻟﻪ ﺍﳊﺴﻦ‪ ،‬ﻭﻗﺎﻝ ﺍﻟﻀﺤﺎﻙ ‪ :‬ﺍﻟﺼﻠﻮﺍﺕ ﺍﳋﻤﺲ ﻭﻗﻴﻞ ‪ :‬ﻗﺮﺍﺀﺓ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‪ ،‬ﻭﻗﻴﻞ ‪ :‬ﻫﻮ ﺧﻄﺎﺏ‬ ‫ﻟﻠﻤﻨﺎﻓﻘﲔ‪ ،‬ﻭﻭﺻﻔﻬﻢ ﺑﺎﻹﳝﺎﻥ ﻟﻜﻮ‪‬ﻢ ﺁﻣﻨﻮﺍ ﻇﺎﻫﺮﺍﹰ‪ ،‬ﻭﺍﻷﻭﻝ ﺃﻭﱃ )‪ ( { z y‬ﺃﻱ ﻳﻠﺘﻬﻲ‬ ‫ﺑﺎﻟﺪﻧﻴﺎ ﻋﻦ ﺍﻟﺪﻳﻦ )| } ~ ( ﺃﻱ ﺍﻟﻜﺎﻣﻠﻮﻥ ﰲ ﺍﳋﺴﺮﺍﻥ )ﻳﺴﺮﻱ ﺍﻟﺴﻴﺪ ﳏﻤﺪ‪:1993 ،‬‬ ‫‪.(454\4‬‬ ‫ ﻃﻮﻝ ﺍﻷﻣﻞ‪:‬‬‫ﻟﻘﺪ ﺫﻛﺮ ﺍﷲ ﺳﺒﺤﺎﻧﻪ ﻭﺗﻌﺎﱃ ﺑﻌﺾ ﻗﺒﺎﺋﺢ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺣﻴﺚ ﺃ‪‬ﻢ ﺗﻜﺎﺳﻠﻮﺍ ﻋﻦ ﺍﻷﻋﻤﺎﻝ‬ ‫ﺍﻟﺼﺎﳊﺔ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ ‪zÄ Ã Â Á À¿ ¾ ½ ¼ » º ¹‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‪(11 :63 ،‬‬

‫ﻭﻟﻦ ﻳﺆﺧﺮ ﺍﷲ ﻧﻔﺴﹰﺎ ﻋﻦ ﺍﳌﻮﺕ ﺇﺫﺍ ﺟﺎﺀ ﺃﺟﻠﻬﺎ ﺍﳌﻜﺘﻮﺏ ﰲ ﺍﻟﻠﻮﺡ ﺍﶈﻔﻮﻅ‪ ،‬ﻭﺍﷲ ﺧﺒﲑ ﲟﺎ‬ ‫ﻳﻌﻤﻠﻮﻥ‪ ،‬ﻭﺍﳌﻌﲎ ﺃﻧﻜﻢ ﺇﺫﺍ ﻋﻠﻤﺘﻢ ﺃﻥ ﺗﺄﺧﲑ ﺍﳌﻮﺕ ﻋﻦ ﻭﻗﺘﻪ ﳑﺎ ﻻ ﺳﺒﻴﻞ ﺇﻟﻴﻪ ﻭﺃﻧﻪ ﻫﺎﺟﻢ ﻻ ﳏﺎﻟﺔ‪،‬‬ ‫ﻭﺃﻥ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻢ ﺑﺄﻋﻤﺎﻟﻜﻢ‪ ،‬ﻓﻤﺠﺎﺯ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻣﻦ ﻣﻨﻊ ﻭﺍﺟﺐ ﻭﻏﲑﻩ ﱂ ﻳﺒﻖ ﺇﻻ ﺍﳌﺴﺎﺭﻋﺔ ﺇﱃ ﺍﳋﺮﻭﺝ ﻋﻦ‬ ‫ﻋﻬﺪﺓ ﺍﻟﻮﺍﺟﺒﺎﺕ ﻭﺍﻻﺳﺘﻌﺪﺍﺩ ﻟﻠﻘﺎﺀ ﺍﷲ‪) .‬ﺍﻟﻨﺴﻔﻲ‪ .(381/4 :1996 ،‬ﻭﳛﺘﻤﻞ ﻭﺟﻬﲔ ‪ :‬ﺃﺣﺪﳘﺎ ‪ :‬ﻟﻦ‬ ‫ﻳﺆﺧﺮﻫﺎ ﻋﻦ ﺍﳌﻮﺕ ﺑﻌﺪ ﺍﻧﻘﻀﺎﺀ ﺍﻷﺟﻞ‪ ،‬ﻭﻫﻮ ﺃﻇﻬﺮﳘﺎ‪ .‬ﺍﻟﺜﺎﱐ ‪ :‬ﻟﻦ ﻳﻮﺧﺮﻫﺎ ﺑﻌﺪ ﺍﳌﻮﺕ ﻭﺇﳕﺎ ﻳﻌﺠﻞ‬ ‫ﳍﺎ ﰲ ﺍﻟﻘﱪ‪.‬ﺃﻱ ﳚﻌﻞ ﳍﺎ ﺍﻟﺜﻮﺍﺏ ﺃﻭ ﺍﻟﻌﻘﺎﺏ ﰲ ﺍﻟﻘﱪ ﻋﻠﻰ ﺣﺴﺐ ﺍﻟﻌﻤﻞ )ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ ﺍﻟﺒﺼﺮﻱ‪ ،‬ﺩ‪.‬ﺕ‪:‬‬ ‫‪.(19\6‬‬ ‫ﻭﺃﻣﺎ ﺧﻄﻮﺭ‪‬ﻢ ﻋﻠﻰ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﻫﻢ ﳜﺪﻣﻮﻥ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻭﻳﺘﺠﺴﺴﻮﻥ ﳍﻢ ﺿﺪ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ‪،‬‬ ‫ﻭﳜﺬﻟﻮﻥ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻦ ﺍﳉﻬﺎﺩ ﰲ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ‪ ،‬ﻭﺇﺫﺍ ﺍﺷﺘﺮﻛﻮﺍ ﻣﻌﻬﻢ ﺃﺣﺪﺛﻮﺍ ﺍﳋﻠﻞ ﻭﺍﻻﺿﻄﺮﺍﺏ ﰲ‬ ‫ﺻﻔﻮﻓﻬﻢ‪ ،‬ﻭﻋﻤﻠﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﺗﻔﻜﻴﻚ ﻭﺣﺪ‪‬ﻢ ﻭﺗﻔﺘﻴﺖ ﻗﻮ‪‬ﻢ‪ .‬ﻭﻳﺴﺘﻐﻠﻮﻥ ﺍﻟﻔﺮﺹ ﺍﳌﻨﺎﺳﺒﺔ ﻟﻠﻄﻌﻦ ﰲ ﺩﻋﺎﺓ‬ ‫ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﳌﺨﻠﺼﲔ ﻭﺗﺸﻮﻳﻪ ﲰﻌﺘﻬﻢ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﻭﺗﻐﻴﲑ ﺍﳊﻘﺎﺋﻖ‪ ،‬ﻭﻳﺴﺘﻐﻠﻮﻥ ﺍﻟﻔﺮﺹ ﻹﺛﺎﺭﺓ‬ ‫ﺍﻟﺸﺒﻬﺎﺕ ﺣﻮﻝ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻟﻴﺰﻋﺰﻋﻮﺍ ﺇﳝﺎﻥ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﺑﻪ ﻭﻳﺼﺪﻭﺍ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﻦ ﺍﻟﺪﺧﻮﻝ ﻓﻴﻪ‪.‬ﻭﳛﺎﻭﻟﻮﻥ ﺇﻓﺴﺎﺩ‬ ‫ﺍ ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍ ﻹﺳﻼ ﻣﻲ ﻋﻦ ﻃﺮ ﻳﻖ ﺗﻴﺴﲑ ﺳﺒﻞ ﺍ ﻟﻔﺴﺎ ﺩ ﺍ ﻟﱵ ﲢﻄﻢ ﺍ ﻷ ﺧﻼ ﻕ ﻭﺗﻘﻀﻰ ﻋﻠﻰ ﺍ ﻟﻔﻀﺎ ﺋﻞ‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺍﻹﻧﺴﺎﻧﻴﺔ‪ .‬ﻭﳛﺎﺭﺑﻮﻥ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺗﺴﺘﺮ ﻭﻧﻔﺎﻕ‪،‬ﻭﻳﺄﻣﺮﻭﻥ ﺑﺎﳌﻨﻜﺮ ﻭﻳﻨﻬﻮﻥ ﻋﻦ ﺍﳌﻌﺮﻭﻑ‪ ،‬ﻭﻣﻦ‬ ‫ﺍﳌﻌﻠﻮﻡ ﺃﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﺩﺧﻠﻮﺍ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻛﺎﺭﻫﹰﺎ ﻣﺼﺮﹰﺍ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻭﺍﳊﻘﺪ ﻭﺍﻟﻌﺪﺍﻭﺓ‪ ،‬ﻭﻟﺬﻟﻚ ﺃﺧﺬﻭﺍ ﰲ‬ ‫ﺍﻟﺼﺪ ﻋﻦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺗﻔﺮﻳﻖ ﲨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﻟﻜﻦ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺗﺴﺘﺮ ﻭﻧﻔﺎﻕ‪ ،‬ﻭﻳﺘﺠﻠﻰ ﻣﻮﻗﻔﻬﻢ ﰲ‬ ‫ﺻﺪﻫﻢ ﻟﻠﺮﺳﻮﻝ ‪ -‬ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ‪ -‬ﻋﻦ ﺍﻟﺪﻋﻮﺓ ﺇﱃ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ‪ ،‬ﻭﺷﻔﺎﻋﺘﻬﻢ ﻟﻴﻬﻮﺩ ﺑﲏ ﻗﻴﻨﻘﺎﻉ‬ ‫ﻋﻨﺪﻣﺎ ﻧﻘﻀﻮﺍ ﺍﻟﻌﻬﺪ‪ ،‬ﻭﺩﻭﺭﻫﻢ ﺍﻟﺘﺨﺮﻳﻲ ﰲ ﻳﻮﻡ ﺃﺣﺪ ﺑﺎﳔﺬﺍﳍﻢ ﻣﻦ ﺍﳌﻌﺮﻛﺔ ﺑﺜﻠﺚ ﺍﳉﻴﺶ‪،‬ﻭﺩﻭﺭﻫﻢ ﰲ‬ ‫ﻏﺰﻭﺓ ﺑﲏ ﺍﳌﺼﻄﻠﻖ ﻹﺛﺎﺭﺓ ﺍﻟﻨﻌﺮﺓ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺑﲔ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭ ﻭﺍﳌﻬﺎﺟﺮﻳﻦ‪ ،‬ﻭﺩﻭﺭﻫﻢ ﰲ ﺣﺪﻳﺚ ﺍﻹﻓﻚ‬ ‫ﻭﺧﻮﺿﻬﻢ ﰲ ﻋﺮﺽ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ‪ -‬ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ‪ -‬ﻭﺗﺸﻮﻳﻬﻢ ﲰﻌﺔ ﻋﺎﺋﺸﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ‪.‬‬ ‫ﻭﻛﺎﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻳﺘﻘﻠﺒﻮﻥ ﺑﲔ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﻭﺍﻟﻜﻔﺮ ﻭﻳﺘﻈﺎﻫﺮﻭﻥ ﺑﺎﻹﳝﺎﻥ ﺃﻣﺎﻡ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﰲ ﺣﺎﻝ‬ ‫ﻋﺰ‪‬ﻢ ﻭﺍﻧﺘﺼﺎﺭﻫﻢ‪ ،‬ﻓﺈﺫﺍ ﻣﺎ ﺍﺑﺘﻠﻲ ﺍﳌﺆﻣﻨﻮﻥ ﻭﺃﺣﺪ ﻗﺖ ‪‬ﻢ ﺍﻟﺸﺪﺍﺋﺪ ﻭﺍﳌﺨﺎﻃﺮ ﺍﺭﺗﺪﻭﺍ ﻋﻦ ﺩﻳﻨﻬﻢ‬ ‫ﻭﺃﻇﻬﺮﻭﺍ ﺍﻟﻜﻔﺮ ﻭﺍﻟﺘﺨﻠﻲ ﻋﻦ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ‪ ،‬ﻭﻳﺘﻮﻟﻮﻥ ﺍﻟﻴﻬﻮﺩ ﻭﻳﻌﺘﻤﺪﻭﻥ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﰲ ﻭﻗﺖ ﺍﻟﺸﺪﺍﺋﺪ‪ ،‬ﺣﻴﺚ‬ ‫ﻛﺎﻥ ﺑﲔ ﺍﻟﻴﻬﻮﺩ ﻭﺍﻷﻭﺱ ﻭﺍﳋﺰﺭﺝ ﺃﺣﻼﻑ ﻭﺻﺪﺍﻗﺎﺕ ﰲ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ‪ ،‬ﻭﺍﺳﺘﻤﺮﺕ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻌﻼﻗﺔ ﺑﻴﻨﻬﻢ‬ ‫ﻭﺑﲔ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺑﻞ ﺯﺍﺩﺕ ﻣﺘﺎﻧﺔ ﻭﻗﻮﺓ ﻻﻋﺘﺒﺎﻫﻢ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻫﻮ ﺍﻟﻌﺪﻭ ﺍﳌﺸﺘﺮﻙ ﺑﺎﻟﻨﺴﺒﺔ ﳍﻢ ﲨﻴﻌﹰﺎ‪.‬‬ ‫ﻭﺇﻥ ﺍﳌﺸﺮﻛﲔ ﻭﺍﻟﻴﻬﻮﺩ ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻳﻘﻮﻣﻮﻥ ﲟﺆﺍﻣﺮﺍ‪‬ﻢ ﻭﻋﻤﻠﻴﺎ‪‬ﻢ ﺿﺪ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ‪ ،‬ﻭﻛﺎﻧﻮﺍ‬ ‫ﻳﺴﺘﻐﻠﻮﻥ ﲟﺠﺮﻳﺎﺕ ﺍﻷﺣﺪﺍﺙ ﺍﳉﺎﺭﻳﺔ ﺑﺎ‪‬ﺘﻤﻊ‪ ،‬ﻭﻛﺎﻧﺖ ﺑﺪﺍﻳﺔ ﺍﺳﺘﻐﻼﳍﻢ ﰲ ﻣﻌﺮﻛﺔ ﺃﺣﺪ‪ ،‬ﻭﺫﻟﻚ‬ ‫ﺑﺎﳔﺬﺍﳍﻢ ﺑﺜﻠﺚ ﺍﳉﻴﺶ ﻣﻦ ﺍﳌﻌﺮﻛﺔ ﻷﻥ ﺍﳍﺰﳝﺔ ﰲ ﺃﺣﺪ ﻛﺎ ﻧﺖ ﳎﺎ ﹰﻻ ﻟﺪﺳﺎﺋﺲ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ‬ ‫ﻭﺍﻟﻴﻬﻮﺩ ﻹﻇﻬﺎﺭ ﺃﺣﻘﺎﺩﻫﻢ ﻭﻧﻔﺚ ﲰﻮﻣﻬﻢ‪ ،‬ﻭﻭﺟﺪﻭﺍ ﰲ ﺟﻮ ﺍﻟﻔﺠﺎﺋﻊ ﺍﻟﱵ ﺩﺧﻠﺖ ﰲ ﻛﻞ ﺑﻴﺖ ﻣﻦ‬ ‫ﺑﻴﻮﺕ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻣﺎ ﻳﺴﺎﻋﺪ ﻋﻠﻰ ﺗﺮﻭﻳﺞ ﺍﻟﻜﻴﺪ ﻭﺍﻟﺪﺱ ﻭﺍﻟﺒﻠﺒﻠﺔ ﰲ ﺍﻷﻓﻜﺎﺭ‪ ،‬ﻭﻛﺬﻟﻚ ﰲ ﻏﺰﻭﺓ‬ ‫ﺍﻷﺣﺰﺍﺏ ﻓﻘﺪ ﻭﺟﺪﻭﺍ ﰲ ﺍﻟﻜﺮﺏ ﺍﳌﺰﻟﺰﻝ ﻭﺍﻟﺸﺪﺓ ﺍﻵﺧﺬﺓ ﺑﺎﳋﻨﺎﻕ ﻓﺮﺻﺔ ﻟﻠﻜﺸﻒ ﻋﻦ ﺧﺒﻴﺜﺔ‬ ‫ﻧﻔﻮﺳﻬﻢ‪ ،‬ﻣﻦ ﲣﺬﻳﻞ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻋﻦ ﺍﳌﻌﺮﻛﺔ ﲝﺠﺔ ﺃﻥ ﺑﻴﻮ‪‬ﻢ ﻋﻮﺭﺓ ﻭﻣﻌﺮﺿﺔ ﻟﻠﺨﻄﺮ ﻭﺑﺚ ﺷﻚ‬ ‫ﻭﺍﻟﺮﻳﺒﺔ ﰲ ﻭﻋﺪ ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ‪ ،‬ﻭﻧﺸﻄﻮﺍ ﰲ ﻏﺰﻭﺓ ﺑﲏ ﺍﳌﺼﻄﻠﻖ ﻭﻟﻌﺒﻮﺍ ﺩﻭﺭﻳﻦ ﻣﻬﻤﲔ ﻛﺎﻥ ﳍﻤﺎ ﺃﺛﺮ‬ ‫ﻛﺒﲑ ﺣﻴﺚ ﻫﺰﺕ ﻫﺰﺓ ﺷﺪﻳﺪﺓ ﺷﻬﺪ‪‬ﺎ ﺟﻨﺒﺎﺕ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍﳌﺪﱐ ﻭﺃﻭﳍﺎ ﺍﺳﺘﻐﻼﻝ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻹﺛﺎﺭﺓ‬ ‫ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺑﲔ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭ ﻭﺍﳌﻬﺎﺟﺮﻳﻦ ﻭﺍﻟﺜﺎﱐ ﻧﺸﺎﻃﻬﻢ ﰲ ﺣﺎﺩﺛﺔ ﺍﻹﻓﻚ ﰲ ﺗﺸﻮﺑﻪ ﻋﺮﺽ ﺍﻟﻨﱯ ‪ -‬ﺻﻠﻰ‬ ‫ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ‪ -‬ﻭﺗﺸﻮﻳﻪ ﺻﻮﺭﺓ ﺯﻭﺟﺘﻪ ﻋﺎﺋﺸﺔ ‪ -‬ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ‪ -‬ﻭﻣﻮﻗﻔﻬﻢ ﻣﻦ ﻏﺰﻭﺓ ﺗﺒﻮﻙ‬ ‫ﻭﺍﻧﺘﺤﺎﳍﻢ ﺍﻷﻋﺬﺍﺭ ﻭﺗﺜﺒﻴﻄﻬﻢ ﳘﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﲣﻮﻳﻔﻬﻢ ﻣﻦ ﺍﻻﻧﻄﻼﻕ ﳓﻮ ﺍﳌﻌﺮﻛﺔ ﻭﻟﻘﺪ ﻛﺎﻥ ﺃﻭﻟﺌﻚ‬ ‫ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻳﺪﺳﻮﻥ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﰲ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ‪ ،‬ﻻ ﻋﻦ ﺇﳝﺎﻥ ﻭﺍﻋﺘﻘﺎﺩ ﻭﻟﻜﻦ ﻋﻦ ﺧﻮﻑ ﻭﺗﻘﻴﺔ ﻭﻋﻦ ﻃﻤﻊ‬ ‫ﻭﺭﻫﺐ‪ ،‬ﰒ ﳛﻠﻔﻮﻥ ﺇ‪‬ﻢ ﻣﻦ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{ ‪` _، ] \ [ Z Y X W V U T‬‬ ‫‪zi hg f e d c b a‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﺘﻮﺑﺔﻱ‪(57-56 :9 ،‬‬ ‫ﻼ ﻟﻠﻜﻔﺮ ﻳﻨﻔﺬﻭﻥ ﻓﻴﻪ ﳐﻄﻄﺎﺗﻪ ﺍﻟﻔﺎﺳﺪﺓ ﻭﻗﺪ‬ ‫ﻭﺇﻥ ﺍﳍﺪﻑ ﻣﻦ ﺑﻨﺎﺀ ﻣﺴﺠﺪ ﺍﻟﻀﺮﺍﺭ ﺍﲣﺎﺫﻩ ﻣﻌﻘ ﹰ‬ ‫ﺍﺧﺘﺎﺭﻭﺍ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻌﻘﻞ ﻣﺴﺠﺪﹰﺍ ﻟﻴﻜﻮﻥ ﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻉ ﻓﻴﻪ ﺃﻣﺮﹰﺍ ﻻ ﻳﻠﻔﺖ ﺍﻟﻨﻈﺮ ﻭﻻ ﻳﺜﲑ ﺍﻟﺸﺒﻬﺔ ﻭﺍﻟﺒﻮﺍﻋﺚ‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻋﻠﻰ ﺑﻨﺎﺋﻪ ﻣﺎ ﻫﻲ ﺇﻻ ﺍﻹﺿﺮﺍﺭ ﺑﺎﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﻣﻜﺎﻧﹰﺎ ﻟﻠﻘﺎﺀ ﺑﲔ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺯﻋﻤﺎﺋﻬﻢ ﻟﺘﻔﺮﻳﻖ ﻛﻠﻤﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ‬ ‫ﻭﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﻟﻜﻦ ﺍﷲ ﻗﺪ ﳏﻖ ﻛﻞ ﻫﺬﺍ ﺍﻹﻓﻚ ﻭﺃﻣﺮ ﺭﺳﻮﻟﻪ ‪‬ﺪﻡ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﺴﺠﺪ ﻓﺄﻣﺮ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ‪ -‬ﺻﻠﻰ‬ ‫ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ‪ -‬ﺍﻟﺼﺤﺎﺑﺔ ﲝﺮﻗﻪ ﻗﺒﻞ ﺭﺟﻮﻋﻪ ﻣﻦ ﻏﺰﻭﺓ ﺗﺒﻮﻙ‪.‬‬ ‫ﻭﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﺇﻓﺴﺎﺩ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ ﻷﻥ ﺍﻟﺘﺬﺑﺬﺏ ﺑﲔ ﺍﻟﻄﻮﺍﺋﻒ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ ﰲ ﺍﲡﺎﻩ ﳚﻌﻞ ﺍﻷﻣﻮﺭ ﺍﳉﺪﻳﺔ‬ ‫ﳏﻼ ﻟﻠﻌﺐ ﻭﺍﳍﺰﻝ ﻭﳛﻮﻝ ﺑﲔ ﺃﺻﺤﺎﺑﻪ ﻭﺑﲔ ﺍﻟﺘﻔﻜﲑ ﰲ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻦ ﺍﳊﻖ ﻭﺍﻻﻫﺘﺪﺍﺀ ﺇﻟﻴﻪ‪ ،‬ﻷﻥ ﺍﻟﻔﻜﺮﺓ‬ ‫ﺍﻟﱵ ﺗﺴﺘﻮﱃ ﻋﻠﻰ ﻋﻘﻮﳍﻢ ﺩﺍﺋﻤﹰﺎ ﻫﻲ ﺇﻣﻜﺎﻥ ﻣﻘﺪﺭ‪‬ﻢ ﻋﻠﻰ ﻛﺴﺐ ﺭﺿﺎ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻄﻮﺍﺋﻒ ﻛﻠـﻬﺎ ﻭﺃﻥ‬ ‫ﻭﺟﻮﺩ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﰲ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﳛﻮﻝ ﺑﲔ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻭﺑﲔ ﺍﻟﺪﺧﻮﻝ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﳏﺎﻭﻟﺔ ﻓﻬﻢ ﺩﻋﻮﺗﻪ‬ ‫ﻭﻳﺘﻀﺎﻋﻒ ﺍﻓﺴﺎﺩ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﺇﺫﺍ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﳑﻦ ﻳﻨﺘﺴﺐ ﺇﱃ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ ﻭﻳﺘﺨﺼﺺ ﺑﺪﺭﺍﺳﺔ ﻋﻠﻮﻣﻪ ﻷ‪‬ﻢ‬ ‫ﺳﻴﺘﺨﺬﻭﻥ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﻈﺎﻫﺮ ﺑﺎﻟﺪﻋﻮﺓ ﺇﱃ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﳌﺎ ﻛﺎﻥ ﻟﻠﻤﻨﺎﻓﻘﲔ ﻣﻦ ﺃﺛﺮﺳﻴﺊ ﰲ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﻛﺎﻥ ﺣﻜـﻢ‬ ‫ﺍﻹﺳﻼﻡ ﰲ ﺍﳌﺮﺗﺪﻳﻦ ﺃﻥ ﻳﻘﺘﻠﻮﺍ ﺣﱴ ﻳﺘﻄﻬﺮ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﻣﻨﻬﻢ‪.‬‬ ‫ﻭﻣﻦ ﻫﻨﺎ ﻛﺎﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﺃﺧﻄﺮ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻓﻴﻤﺎ ﺇﺫﺍ ﺗﻮﻟﻮﺍ ﺍﻟﺴﻠﻄﺔ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﳑﺎ ﺗﻮﻻﻫﺎ‬ ‫ﻣﻦ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ‪.‬‬ ‫ﻭﻟﻘﺪ ﺣﺎﻭﻝ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﺍﻟﻘﻀﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﺩﻭﻟﺔ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﻨﱯ ‪ -‬ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ‪-‬‬ ‫ﻭﱂ ﻳﻨﺠﺢ ﰲ ﺫﻟﻚ ﺭﻏﻢ ﳏﺎﻭﻟﺘﻬﻢ ﺑﺸﱴ ﺍﻟﻮﺳﺎﺋﻞ‪.‬‬ ‫ﻭ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻳﻜﺮﻫﻮﻥ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﻫﻢ ﻣﺘﻈﺎﻫﺮﻭﻥ ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ‪ ،‬ﻭﻫﻢ ﺃﺷﺪ ﺧﻄﺮ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﻔﺎﺭ ﻓﺈﻥ‬ ‫ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻻ ﻳﻌﺮﻓﻮ‪‬ﻢ ﻷ‪‬ﻢ ﻳﻘﺮﻭﻥ ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ ﻭﻳﺆﺩﻭﻥ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻔﺮﺍﺋﺾ ﻭﻟﻜﻦ ﻗﻠﻮ‪‬ﻢ ﺗﺄﰉ ﺫﻟﻚ ﻭﻫـﻢ‬ ‫ﻳﻈﻬﺮﻭﻥ ﺫﻟﻚ ﻷ‪‬ﻢ ﳜﺎﻓﻮﻥ ﻋﻠﻰ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺘﻞ ﺇﺫ ﺃﻥ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﺇﺫﺍ ﺃﺧﻔﻰ ﻛﻔﺮﻩ ﻛﺎﻥ ﻣﻌﺼﻮﻡ ﺍﻟﺪﻡ‬ ‫ﲟﺎ ﺃﻇﻬﺮ ﻣﻦ ﺍﻹﳝﺎﻥ‪.‬‬ ‫ﻣﻘﺘﺮﺣﺎﺕ ﺍﻟﺒﺤﺚ‬ ‫ﺑﻨﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﺘﺎﺋﺞ ﺍﻟﱵ ﺗﻮﺻﻞ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ‪ ،‬ﳝﻜﻦ ﺗﻘﺪﱘ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﺘﻮﺻﻴﺎﺕ ﻭﺍﻻﻗﺘﺮﺍﺟﺎﺕ‬ ‫ﳌﻦ ﻳﻬﻤﻪ ﺍﻷﻣﺮ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺼﺪﺩ‪ ،‬ﻭﻫﻲ ﻛﻤﺎ ﻳﻠﻲ‪:‬‬ ‫‪ -1‬ﺃﻥ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﻋﻼﻣﺔ ﻭﺍﺿﺤﺔ ﺗﺸﻬﺪ ﻋﻠﻰ ﺻﺎﺣﺒﻬﺎ ﺑﺎﻟﻨﻔﺎﻕ‪ ،‬ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻣﻦ ﻛﺬﺏ ﻣﺎﺯﺣـﹰﺎ‬ ‫ﻓﺈﻥ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻳﺘﺴﺎﻫﻞ ﰲ ﺍﻟﻜﺬﺏ ﻓﺎﻟﻴﺤﺬﺭ ﺍﳌﺆﻣﻦ ﻣﻦ ﺫﻟﻚ‪.‬‬ ‫‪ -2‬ﺃﻥ ﺍﻟﻜﺴﻞ ﻋﻼﻣﺔ ﻣﻦ ﻋﻼﻣﺎﺕ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﺗﻈﻬﺮ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻌﻼﻣﺔ ﰲ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ﻓﻠﻴﺘﻨﺒـﻪ ﺍﻟﻌﺒـﺪ‬ ‫ﻭﻟﻴﺤﺬﺭ ﻋﻠﻰ ﻧﻔﺴﻪ ﺍﻟﻜﺴﻞ ﻓﺈﻧﻪ – ﻭﺍﷲ ‪ -‬ﺩﺍﺀ ﺧﻄﲑ ﻭﺻﻒ ﺍﷲ ﺑﻪ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ‪.‬‬ ‫‪ -3‬ﺃﻭﺻﻴﻜﻢ ﺑﻜﺜﺮﺓ ﺍﻟﺬﻛﺮ ﻓﺈﻥ ﻗﻠﻴﻞ ﺍﻟﺬﻛﺮ ﳜﺸﻰ ﻋﻠﻴﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ‪ ،‬ﻓﺈﻥ ﻣﻦ ﻓﻮﺍﺋﺪ ﺍﻟـﺬﻛﺮ‬ ‫ﻼ‪.‬‬ ‫ﺃﻧﻪ ﻳﻨﻔﻲ ﻋﻦ ﺻﺎﺣﺒﻪ ﺍﻟﻨﻔﺎﻕ ﻷﻥ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻳﺬﻛﺮﻭﻥ ﺍﷲ ﻛﺜﲑﹰﺍ ﻭﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﻳﺬﻛﺮ ﺍﷲ ﻗﻠﻴ ﹰ‬ ‫‪ -4‬ﺿﺮﻭﺭﺓ ﺍﳊﺬﺭ ﻣﻦ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻷ‪‬ﻢ ﻣﻦ ﲨﻠﺔ ﺍﳌﻔﺴﺪﻳﻦ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ‪ ،‬ﺑﻞ ﻫﻢ ﻣـﻦ ﺃﻋﻈـﻢ‬ ‫ﺍﳌﻔﺴﺪﻳﻦ ﰲ ﻛﻞ ﺃﻣﺔ ﻭﰲ ﻛﻞ ﻋﺼﺮ ﻭﺇﻥ ﻭﺟﻮﺩﻫﻢ ﰲ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﳛﻮﻝ ﺑﲔ ﺍﻟﻨـﺎﺱ ﻭﺑـﲔ‬ ‫ﺍﻟﺪﺧﻮﻝ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﳏﺎﻭﻟﺔ ﻓﻬﻢ ﺩﻋﻮﺗﻪ‪ ،‬ﻷ‪‬ﻢ ﻟﻦ ﻳﺘﻘﻴﺪﻭﺍ ﺑﺘﻌﺎﻟﻴﻤﻪ ﺍﻟﺴﺎﻣﻴﺔ ﺑﻞ ﺳﻴﺘﺼﺮﻓﻮﻥ ﻋﻠـﻰ‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺿﻮﺀ ﻣﺎ ﲤﻠﻴﻪ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﺃﻓﻜﺎﺭﻫﻢ ﺍﻟﺰﺍﺋﻔﺔ ﻭﺃﻫﻮﺍﺅﻫﻢ ﺍﳌﻨﺤﺮﻓﺔ ﻭﺇﻥ ﺇﻓﺴﺎﺩﻫﻢ ﻳﺘﻀﺎﻋﻒ ﺇﻥ ﻛـﺎﻧﻮﺍ ﳑـﻦ‬ ‫ﻳﻨﺘﺴﺐ ﺇﱃ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺑﺎﻹﺳﻼﻡ ﻷ‪‬ﻢ ﻳﺘﻈﺎﻫﺮﻭﻥ ﺑﺎﻟﺪﻋﻮﺓ ﺇﱃ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻛﻮﺳﻴﻠﺔ ﻟﺘﻐﻄﻴﺔ ﻧﻮﺍﻳﺎﻫﻢ ﺍﻟﺴﻴﺌﺔ ﳓﻮ‬ ‫ﻫﺪﻡ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺗﻀﻠﻴﻞ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﻛﻮ‪‬ﻢ ﻳﻨﺘﺴﺒﻮﻥ ﺇﱃ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺳﻴﻬﻴﺊ ﳍﻢ ﺍﳉﻮ ﺍﳌﻼﺋﻢ ﻟﻺﻓﺴـﺎﺩ ﰲ‬ ‫ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺍﻟﺼﺎﱀ ﻷ‪‬ﻢ ﳜﺘﻠﻄﻮﻥ ﻣﻊ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﺍﺧﺘﻼﻃﹰﺎ ﻛﺎﻣﻼﹰ‪ ،‬ﻓﻼ ﳝﻜﻦ ﺍﻟﺘﺤﺮﺯ ﻣﻨﻬﻢ ﻭﻻ ‪‬ﻴﺌﺔ ﺍﳉـﻮ‬ ‫ﺍﻟﺼﺎﱀ ﻟﺘﺮﺑﻴﺔ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ‪.‬‬ ‫‪ -5‬ﻭﻻ ﳝﻜﻦ ﺃﻥ ﻳﺘﺤﻘﻖ ﻗﻴﺎﻡ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻨﻔﺬ ﺷﺮﻉ ﺍﷲ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ‪ ،‬ﻓﺈﺫﺍ ﻭﺟـﺪ‬ ‫ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﰲ ﺭﻋﻴﺔ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺃﺻﺒﺤﺖ ﰲ ﺧﻄﺮ ﻋﻈﻴﻢ ﻷ‪‬ﻢ ﻳﺘﻈﺎﻫﺮﻭﻥ ﲟﺤﺒﺘﻬﺎ ﻭﺍﻟﺘﻔﺎﱐ ﰲ ﺧﺪﻣﺘﻬﺎ‬ ‫ﰒ ﳜﻮﻧﻮ‪‬ﺎ ﰲ ﺃﺣﺮﺝ ﺍﳌﻮﺍﻗﻒ ﻭﻳﻨﻘﻠﻮﻥ ﺃﺳﺮﺍﺭﻫﺎ ﺇﱃ ﺃﻋﺪﺍﺋﻬﺎ‪ ،‬ﻓﺎﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﻳﻜﺮﻫـﻮﻥ ﻗﻴـﺎﻡ ﺍﻟﺪﻭﻟـﺔ‬ ‫ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻷ‪‬ﺎ ﲢﻮﻝ ﺑﻴﻨﻬﻢ ﻭﺑﲔ ﺗﻨﻔﻴﺬ ﻣﺎ ﳛﺎﻭﻟﻮﻧﻪ ﻣﻦ ﺇﻓﺴﺎﺩ ﰲ ﳎﺎﻝ ﺍﻟﺸﺒﻬﺎﺕ ﻭﺍﻟﺸﻬﻮﺍﺕ‪.‬‬ ‫‪ -6‬ﻭﻛﻞ ﻫﺬﺍ ﻣﻦ ﲨﻠﺔ ﺍﻹﻓﺴﺎﺩﺍﺕ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ ﻟﺬﺍ‪ ،‬ﺃﻣﺮ ﺍﷲ ﺗﻌـﺎﱃ ﲜﻬـﺎﺩﻫﻢ ﺃﻥ ﻳـﱰﻉ‬ ‫ﺍﳌﺆﻣﻨﻮﻥ ﺛﻘﺘﻬﻢ ‪‬ﻢ ﻭﺃﻥ ﻻ ﻳﺴﻨﺪﻭﺍ ﺇﻟﻴﻬﻢ ﺷﻴﺌﹰﺎ ﻣﻦ ﺃﻣﻮﺭﻫﻢ‪.‬‬ ‫ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ‬ ‫ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ‪ ،‬ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﰊ ﺍﻟﻔﺮﺝ ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺑـﻦ ﳏﻤـﺪ ﺍﳉـﻮﺯﻱ ﺍﻟﻘﺮﺷـﻲ‬ ‫ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩﻱ‪ .(1984) .‬ﺯﺍﺩ ﺍﳌﺴﲑ ﰲ ﻋﻠﻢ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪ .‬ﻁ‪ .3 .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺍﳌﻜﺘﺐ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ‪.‬‬ ‫ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ‪ ،‬ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﺪﺍﺀ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺑﻦ ﻛﺜﲑ ﺍﻟﻘﺮﺷﻲ ﺍﻟﺪﻣﺸﻘﻲ‪1988).‬ﻡ(‪ .‬ﺗﻔﺴـﲑ ﺍﻟﻘـﺮﺁﻥ ﺍﻟﻌﻈـﻴﻢ‪.‬‬ ‫ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ‪ ،‬ﺃﰊ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻳﺰﻳﺪ ﺍﻟﻘﺰﻭﻳﲏ‪ .(1395) .‬ﺳﻨﻦ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ‪ .‬ﲢﻘﻴﻖ‪ :‬ﳏﻤﺪ ﻓﺆﺍﺩ ﻋﺒﺪ‬ ‫ﺍﻟﺒﺎﻗﻲ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺇﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ‪.‬‬ ‫ﺍﺑﻦ ﻣﻨﻈﻮﺭ‪ ،‬ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻣﻜﺮﻡ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ‪ 1410) .‬ﻫــ‪ .(.‬ﻟﺴـﺎﻥ‬ ‫ﺍﻟﻌﺮﺏ‪ .‬ﻣﺎﺩﺓ )ﻧﻔﻖ(‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺻﺎﺩﺭ‪.‬‬ ‫ﺃﺑﻮ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩ‪) ،‬ﺩ‪.‬ﺕ(‪ .‬ﺇﺭﺷﺎﺩ ﺍﻟﻌﻘﻞ ﺍﻟﺴﻠﻴﻢ ﺇﱃ ﻣﺰﺍﻳﺎ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﺍﻟﻜﺮﱘ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ‪.‬‬ ‫ﺍﻷﻟﻮﺳﻲ‪ ،‬ﺃﰊ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﺷﻬﺎﺏ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺳﻴﺪ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩﻱ‪1408) .‬ﻫـ‪ .(.‬ﺭﻭﺡ ﺍﳌﻌﺎﱐ ﰲ ﺗﻔﺴـﲑ‬ ‫ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ ﻭﺍﻟﺴﺒﻊ ﺍﳌﺜﺎﱐ‪ ،‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ‪ ،‬ﺃﺑﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ‪1315) .‬ﻫـ‪ .(.‬ﺻﺤﻴﺢ‪ .‬ﺍﺳـﺘﺎﻧﺒﻮﻝ‪ .‬ﺗﺮﻛﻴـﺎ‪ :‬ﺍﳌﻜﺘﺒـﺔ‬ ‫ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺒﺴﺘﺎﱐ‪ ،‬ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﻛﺮﻡ ﻭﺃﺻﺪﻗﺎﺀﻩ‪1984) .‬ﻡ(‪ .‬ﺍﳌﻨﺠﺪ ﰲ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﻭﺍﻹﻋﻼﻡ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﳌﺸﺮﻕ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ‪ ،‬ﺃﰊ ﳏﻤﺪ ﺍﳊﺴﲔ ﺑﻦ ﻣﺴﻌﻮﺩ ﺍﻟﻔﺮﺍﺀ ﺍﻟﺸﺎﻓﻌﻲ‪1407) .‬ﻫـ‪ .(.‬ﻣﻌـﺎﱂ ﺍﻟﺘﱰﻳـﻞ‪ .‬ﻁ‪.2 .‬‬ ‫ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ‪ ،‬ﺃﺑﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺍﳊﻜﻴﻢ‪1387) .‬ﻫـ‪ .(.‬ﺳﻨﻦ‪ .‬ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺍﳌﻨﻮﺭﺓ‪ :‬ﺍﳌﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﺴﻠﻔﻴﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﳉﺮﺟﺎﱐ‪ ،‬ﺍﻟﺸﺮﻳﻒ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ‪1988) .‬ﻡ(‪.‬ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻔﺎﺕ‪،‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺍﳊﺎﻛﻢ ﺍﻟﻨﻴﺴﺎﺑﻮﺭﻱ‪ ،‬ﺃﰊ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺍﳊﺎﻛﻢ‪) .‬ﺩ‪.‬ﺕ‪ .(.‬ﺍﳌﺴﺘﺪﺭﻙ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺼـﺤﻴﺤﲔ‪ .‬ﺑـﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ‬ ‫ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﳊﺴﻴﲏ‪ ،‬ﺍﻹﻣﺎﻡ ﳏﺐ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻟﺰﺑﻴـﺪﻱ‪) .‬ﺩ‪.‬ﺕ(‪ .‬ﺷﺮﺡ ﺍﻟﻘﺎﻣﻮﺱ ﺍﳌﺴﻤﻰ ﺗﺎﺝ ﺍﻟﻌﺮﻭﺱ ﻋﻦ ﺟﻮﺍﻫﺮ‬ ‫ﺍﻟﻘﺎﻣﻮﺱ‪ ،‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ‪.‬‬ ‫ﺍﳊﻤﻴﺪﻱ‪ ،‬ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ )ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ(‪ .(1989) .‬ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ ﰲ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜـﺮﱘ‪ .‬ﺟـﺪﺓ‪ :‬ﺩﺍﺭ‬ ‫ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ‪.‬‬ ‫ﺍﳋﺎﺯﻥ‪ ،‬ﻋﻼﺀ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩﻱ‪ .(1979) .‬ﺗﻔﺴﲑ ﺍﳋﺎﺯﻥ ﺍﳌﺴﻤﻰ ﻟﺒـﺎﺏ‬ ‫ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ ﰲ ﻣﻌﺎﱐ ﺍﻟﺘﱰﻳﻞ‪ .‬ﻭ‪‬ﺎﻣﺸﻪ ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﺒﻐﻮﻱ )ﻣﻌﺎﱂ ﺍﻟﺘﱰﻳﻞ(‪ .‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺮﺍﺯﻱ‪ ،‬ﺍﻹﻣﺎﻡ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺍﳊﲔ ﺍﻟﻘﺮﺷﻲ ﺍﻟﻄﱪﻱ ﺍﻟﻔﺨﺮ‪) .‬ﺩ‪.‬ﺕ‪ .(.‬ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﻜﺒﲑ‪ .‬ﻁ‪.2 .‬‬ ‫ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺇﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ‪.‬‬ ‫ﺭﺷﻴﺪ ﺭﺿﺎ‪ ،‬ﳏﻤﺪ‪) .‬ﺩ‪.‬ﺕ(‪ .‬ﺗﻔﺴﲑ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﳊﻜﻴﻢ ﺍﻟﺸﻬﲑ ﺑﺘﻔﺴﲑ ﺍﳌﻨﺎﺭ‪ .‬ﺍﻟﻄﺒﻌﺔ ﺍﻷﻭﱃ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪:‬‬ ‫ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺰﳐﺸﺮﻱ‪ ،‬ﺟﺎﺭ ﺍﷲ ﳏﻤﻮﺩ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ )‪ ،(1995‬ﺍﻟﻜﺸﺎﻑ ﻋﻦ ﺣﻘﺎﺋﻖ ﺍﻟﺘﱰﻳـﻞ ﻭﻋﻴـﻮﻥ‬ ‫ﺍﻷﻗﺎﻭﻳﻞ ﰲ ﻭﺟﻮﻩ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ‪ ،‬ﺗﺮﺗﻴﺐ ﳏﻤﺪ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﺷﺎﻫﲔ‪ .‬ﺑـﲑﻭﺕ ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘـﺐ‬ ‫ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺴﻌﺪﻱ‪ ،‬ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﻧﺎﺻﺮ ﺍﻟﺴﻌﺪﻱ‪ .(1993) .‬ﺗﻴﺴﲑ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﰲ ﺗﻔﺴﲑ ﻛﻼﻡ ﺍﳌﻨﺎﻥ‪.‬‬ ‫ﺕ‪ :‬ﳏﻤﺪ ﺯﻫﺮﻱ ﺍﻟﻨﺠﺎﺭ‪ .‬ﻃﺒﻌﺔ ﺟﺪﻳﺪﺓ ﻣﻨﻘﺤﺔ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﻋﺎﱂ ﺍﻟﻜﺘﺐ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ ﻭﺍﶈﻠﻲ‪ ،‬ﺟﻼﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﻭﺟﻼﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪـﺪ‪) .‬ﺩ‪.‬ﺕ‪.(.‬‬ ‫ﺗﻔﺴﲑ ﺍﳉﻼﻟﲔ‪ ،‬ﻣﺼﻄﻔﻰ ﺍﻟﺒﺎﰊ ﺍﳊﻠﱯ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ‪ ،‬ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺟﻼﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ‪1403) .‬ﻫـ‪ .(.‬ﺍﻟﺪﺭ ﺍﳌﻨﺜﻮﺭ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‬ ‫ﺑﺎﳌﺄﺛﻮﺭ‪ .‬ﻁ‪ .1 .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺼﺎﺑﻮﱐ‪ ،‬ﳏﻤﺪ ﻋﻠﻲ‪1413) .‬ﻫـ‪ .(.‬ﻗﺒﺲ ﻣﻦ ﻧﻮﺭ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ‪ .‬ﺩﻣﺸﻖ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻘﻠﻢ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﻄﱪﻱ‪ ،‬ﺃﺑﻮ ﺟﻌﻔﺮ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ‪1412) .‬ﻫـ‪ .(.‬ﺟﺎﻣﻊ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ﰲ ﺗﺄﻭﻳﻞ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‪ .‬ﺑـﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ‬ ‫ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ‪ ،‬ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ‪ .‬ﺷﻬﺎﺏ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﻀﻞ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﳏﻤـﺪ‪1407).‬ﻫــ‪ .(.‬ﻓـﺘﺢ‬ ‫ﺍﻟﺒﺎﺭﻱ‪ .‬ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻄﺒﻌﺔ ﺍﻟﺴﻠﻔﻴﺔ‪.‬‬ ‫ﻋﻘﻴﻼﻥ‪ ،‬ﺃﲪﺪ ﻓﺮﺡ ﻋﻘﻴﻼﻥ‪ .(1998) .‬ﻣﻦ ﻟﻄﺎﺋﻒ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ‪ .‬ﻁ‪ :.1 .‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻴﻘﲔ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﻘﺮﻃﱯ‪ ،‬ﺃﺑﻮ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭﻱ‪1408) .‬ﻫـ‪ .(.‬ﺍﳉﺎﻣﻊ ﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﻘـﺮﺁﻥ‪ .‬ﻁ‪.1 .‬‬ ‫ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ‪.‬‬ ‫ﻗﻄﺐ‪ ،‬ﺍﻟﺸﻬﻴﺪ ﺳﻴﺪ‪ .(1986) .‬ﰲ ﻇﻼﻝ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‪ .‬ﻁ‪ .12 .‬ﺟﺪﺓ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻟﻠﻄﺒﺎﻋﺔ ﻭﺍﻟﻨﺸﺮ‪.‬‬ ‫ﻣﺎﻟﻚ‪ ،‬ﺍﺑﻦ ﺃﻧﺲ‪ .(1985) .‬ﻣﻮﻃﺄ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﻣﺎﻟﻚ‪ .‬ﲣﺮﻳﺞ‪ :‬ﳏﻤﺪ ﻓﺆﺍﺩ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺒﺎﻗﻲ‪ .‬ﺑـﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺇﺣﻴـﺎﺀ‬ ‫ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ‪ ،‬ﺃﰊ ﺍﳊﺴﻦ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺣﺒﻴﺒﹰﺎ ﳌﺎﻭﺭﺩﻱ ﺍﻟﺒﺼﺮﻱ‪) .‬ﺩ‪.‬ﺕ(‪ .‬ﺍﻟﻨﻜﺖ ﻭﺍﻟﻌﻴﻮﻥ ﺗﻔﺴﲑ‬ ‫ﺍﳌﺎﻭﺭﺩﻱ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ‪.‬‬ ‫ﻣﺴﻠﻢ‪ ،‬ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺍﳊﺴﻦ ﺑﻦ ﺍﳊﺠﺎﺝ‪) .‬ﺩ‪.‬ﺕ(‪ .‬ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﻨﺪﻭﻱ‪ ،‬ﳏﻤﺪ ﻟﻘﻤﺎﻥ ﺍﻷﻋﻈﻤﻲ )ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ(‪1988) .‬ﻡ(‪ .‬ﳎﺘﻤﻊ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺍﳌﻨﻮﺭﺓ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ‪،‬ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ‪:‬‬ ‫ﺩﺍﺭ ﺍﻻﻋﺘﺼﺎﻡ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﻨﺴﻔﻲ‪ ،‬ﺃﺑﻮ ﺍﻟﱪﻛﺎﺕ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﳏﻤﻮﺩ‪1416) .‬ﻫـ‪ .(.‬ﻣﺪﺍﺭﻙ ﺍﻟﺘﱰﻳﻞ ﻭﻋﻘﺎﺋﻖ ﺍﻟﺘﺄﻭﻳﻞ‪.‬‬ ‫ﻁ‪ .1.‬ﲢﻘﻴﻖ‪ :‬ﻣﺮﻭﺍﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﺸﻌﺎﺭ‪ ،‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻨﻔﺎﺋﺲ‪.‬‬ ‫ﻭﻫﺒﺔ ﺍﻟﺰﺣﻴﻠﻲ‪ .(1991) .‬ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﳌﻨﲑ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﺓ ﻭﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﻭﺍﳌﻨﻬﺞ‪ .‬ﻁ‪ .1 .‬ﺩﻣﺸﻖ‪ .‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ‪.‬‬ ‫ﻳﺴﺮﻯ ﺍﻟﺴﻴﺪ ﳏﻤﺪ‪ .(1993) .‬ﺑﺪﺍﺋﻊ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﻗـﻴﻢ ﺍﳉﻮﺯﻳـﺔ‪ .‬ﻁ‪.1 .‬‬ ‫ﺍﳌﻤﻠﻜﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩﻳﺔ‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬ ‫‪บทความรายงานการวิจัย‬‬

‫ﺩﻭﺭ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‬ ‫ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ‬ ‫∗‬

‫ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻟﺼﻴﲏ‬ ‫ﻋﺪﻧﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺯﻳﻦ ﺳﻮﻣﻲ‬

‫∗∗‬

‫ﻣﻠﺨﺺ ﺍﻟﺒﺤﺚ‬ ‫ﺍﻣﺘﺎﺯ ﺍﻟﻌﺎﱂ ﻗﺒﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺑﺎﻟﻔﻮﺿﻰ ﻭﺍﻟﻈﻠﻢ ﻓﺠﺎﺀ ﺭﲪﺔ ﻟﻠﻌﺎﳌﲔ ﰲ ﻣﺸﺎﺭﻕ ﺍﻷﺭﺽ ﻭﻣﻐﺎﺭ‪‬ﺎ‪،‬‬ ‫ﻭﻗﺪ ﰎ ﺫﻟﻚ ﰲ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺒﻠﺪﺍﻥ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﻔﺘﻮﺣﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪ ،‬ﻓﻜﺎﻥ ﻓﺘﺢ ﺍﻟﻘﺴﻄﻨﻄﻴﻨﻴﺔ ﺟﺰﺀﺍ‬ ‫ﻣﻨﻬﺎ‪ .‬ﻭﻳﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺇﱃ ﺍﻟﻜﺸﻒ ﻋﻦ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ‪ ،‬ﻓﺎﺗﺢ ﺍﻟﻘﺴﻄﻨﻄﻴﻨﻴﺔ‬ ‫ﻭﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺔ ﻭﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩ ﻭﺍﻟﺘﺮﺑﻴﺔ‪.‬‬ ‫ﻭﺍﻋﺘﻤﺪ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﺔ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺆﻟﻔﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﻛﺘﺒﺖ ﺣﻮﻟﻪ ﰲ ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺩﻭﻟﺔ ﺍﻟﻜﻮﻳﺖ‬ ‫ﲜﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﰲ ﻏﲑﻫﺎ‪ ،‬ﻓﻜﺎﻥ ﻣﻨﻬﺠﺎ ﻣﻜﺘﺒﻴﺎ ﻭﲢﻠﻴﻠﻴﺎ‪ ،‬ﻭﺗﻮﺻﻞ ﺇﱃ ﻋﺪﺓ ﻧﺘﺎﺋﺞ‪ ،‬ﺃﳘﻬﺎ؛‬ ‫ﺃﻭﻻ‪ :‬ﺇﻥ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺟﺎﺀ ﺭﲪﺔ ﻟﻠﻌﺎﳌﲔ‪ ،‬ﺛﺎﻧﻴﺎ‪ :‬ﺇﻥ ﻟﻠﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺣﻜﻤﺔ ﰲ ﺇﺩﺍﺭﺓ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ‪ ،‬ﻭﻫﻴﺒﺔ‬ ‫ﳜﺎﻑ ﻣﻨﻪ ﺍﻟﻌﺪﻭ‪ ،‬ﺛﺎﻟﺜﺎ‪ :‬ﺇﻥ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺭﺟﻞ ﺩﻳﻦ ﻭﺗﻘﻮﻯ ﻭﻋﻠﻢ ﻭﺛﻘﺎﻓﺔ‪ ،‬ﺍﻷﻣﺮ ﺍﻟﺬﻱ‬ ‫ﻳﺴﺎﻋﺪﻩ ﻋﻠﻰ ﺇﳒﺎﺡ ﺇﺩﺍﺭﺓ ﺍﻟﺒﻼﺩ‪ ،‬ﺭﺍﺑﻌﺎ‪ :‬ﲤﻜﻦ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻣﻦ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻋﱪ‬ ‫ﺍﳊﻀﺎﺭﺍﺕ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ ﻭﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﻭﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ‪.‬‬

‫∗ ﻃﺎﻟﺐ ﲟﺮﺣﻠﺔ ﺍﳌﺎﺟﺴﺘﲑ ﻗﺴﻢ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺟﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪.‬‬

‫∗∗ ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ‪ ،‬ﳏﺎﺿﺮ ﻗﺴﻢ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ‪ ،‬ﻭﻋﻤﻴﺪ ﻛﻠﻴﺔ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﺷﻴﺦ ﻗﺎﺳﻢ ﺁﻝ ﺍﻟﺜﺎﱐ ﲜﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪.‬‬


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย ABSTRACT This research is comparative study the role of Sultan Muhammad Fatih in building Islamic civilization in ottoman caliphate era on Muhammad fatih (1432-1481) Imperial Cayman seventh Sudan (1451-1481) was born in Edirne an early age to accept a strict Islamic culture and military education He attached importance to military research he is also proficient in the Arab Persian Greek and other languages After the death of his father the official successor in 1451 he establish a huge Ottoman Empire in 30 years, in May 1453, he ranks the rate of 200,000, after two months of war, captured Constantinople the Byzantine Empire out and the city as its capital was renamed Istanbul. Since then, he has launched a series of battle and expedition. Muhammad fatih in building the country have good skills, is considered the real founder of the Ottoman Empire, Ethnic and religious issues he adopted a prudent attitude towards the implementation of the policy of tolerance, To the territory being ruled nation to give a certain degree of autonomy that they be permitted in accordance with their own ways and laws of national life, can run national schools, by teaching their own language, Judaism all taught to recognize the legal existence of corporations to give them with the same rights as other churches. Muhammad fatih for the development of culture and education very seriously, he opened the school, training administrators, students of all ethnic groups equal access to language, literature, legal, military, religious, financial, administrative and other comprehensive education . His large-scale construction of the palace in Istanbul, a mosque, but also pay attention to schools, libraries creation, only in the Fatih Mosque built on both sides that the four verses of higher schools, to recruit the Muslim world renowned scholars to give lectures.


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﲤﻬﻴﺪ‬ ‫ﺇﻥ ﺍﳊﻤﺪ ﷲ ﳓﻤﺪﻩ ﻭﻧﺴﺘﻌﻴﻨﻪ ﻭﻧﺴﺘﻐﻔﺮﻩ ﻭﻧﻌﻮﺫ ﺑﺎﷲ ﻣﻦ ﺷﺮﻭﺭ ﺃﻧﻔﺴﻨﺎ ﻭﻣﻦ ﺳﻴﺌﺎﺕ ﺃﻋﻤﺎﻟﻨﺎ‬ ‫ﻣﻦ ﻳﻬﺪﻩ ﺍﷲ ﻓﻼ ﻣﻀﻞ ﻟﻪ ﻭﻣﻦ ﻳﻀﻠﻞ ﻓﻼ ﻫﺎﺩﻱ ﻟﻪ‪ .‬ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﻻ ﺇﻟﻪ ﺇﻻ ﺍﷲ ﻭﺣﺪﻩ ﻻ ﺷﺮﻳﻚ ﻟﻪ‬ ‫ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﳏﻤﺪﺍ ﻋﺒﺪﻩ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﻋﻠﻰ ﺁﻟﻪ ﻭﺃﺻﺤﺎﺑﻪ ﺃﲨﻌﲔ‪.‬‬ ‫ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﺑﻠﻐﺖ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺒﺎﺳﻴﺔ ﺃﻭﺝ ﺍﻟﺘﻘﺪﻡ ﻭﺍﻟﺘﻤﺪﻥ ﰲ ﺧﻼﻓﺔ ﻫﺎﺭﻭﻥ ﺍﻟﺮﺷﻴﺪ ﻭﺍﺑﻨﻪ ﺍﳌﺄﻣﻮﻥ‬ ‫ﺍﻟﺬﻱ ﺗﺮﲨﺖ ﰲ ﺃﻳﺎﻣﻪ ﺃﻏﻠﺐ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﻴﻮﻧﺎﻥ ﻭﺗﻘﺪﻣﺖ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﲢﺖ ﻭﺍﺭﻑ ﻃﻠﻬﺎ ﺗﻘﺪﻣﺎ ﻛﺒﲑﺍ ﻭﺃﺧﺬﺕ‬ ‫ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﰲ ﺍﻟﺘﻘﻬﻘﺮ ﺷﻴﺌﺎ ﻓﺸﻴﺌﺎ ﺗﺒﻌﺎ ﻟﻨﺎﻣﻮﺱ ﺍﳊﻴﺎﺓ ﺍﻟﻄﺒﻴﻌﻴﺔ ﺍﻟﻘﺎﺿﻲ ﺑﺎﳍﺮﻡ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﺸﻴﺒﺔ ﺳﻨﺔ ﺍﷲ ﰲ ﺧﻠﻘﻪ‬ ‫ﻭﻟﻦ ﲡﺪ ﻟﺴﻨﺔ ﺍﷲ ﺗﺒﺪﻳﻼ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫{‪zÛ Ú Ù Ø × ÖÕ Ô Ó Ò Ñ Ð Ï‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻟﻔﺘﺢ‪(23 :48 ،‬‬

‫{‪zÁÀ ¿¾½¼»º¹ ¸¶µ´³ ²±°‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ‪(140 :3 ،‬‬

‫ﻫﻜﺬﺍ ﺍﺳﺘﻤﺮ ﺍﻻﳓﻼﻝ ﺣﱴ ﺃﻥ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺳﻘﻄﺖ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﻟﺒﺜﺖ ﺩﻭﻟﺘﻬﻢ ﺯﻳﺎﺩﺓ ﻋﻦ ﲬﺴﺔ‬ ‫ﻗﺮﻭﻥ ﺩﻋﺎﻣﺔ ﺍﻟﺘﻤﺪﻥ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ‪.‬‬ ‫ﻭﻣﻦ ﰒ ﱂ ﻳﻜﻦ ﻟﻺﺳﻼﻡ ﺑﻌﺪﻫﺎ ﺩﻭﻟﺔ ﻋﻈﻴﻤﺔ ﲢﻤﻲ ﺑﻴﻀﺘﻪ ﻭﺗﻀﻢ ﺃﺷﺘﺎﺗﻪ ﺑﻞ ﺿﺎﻋﺖ ﻭﺣﺪﺗﻪ‬ ‫ﺍﳌﻠﻜﻴﺔ ﻭﺍﺳﺘﻘﻞ ﻛﻞ ﺣﺎﻛﻢ ﲟﺎ ﻭﻛﻞ ﺇﻟﻴﻪ ﺃﻣﺮﻩ ﻣﻦ ﺍﻷﻗﺎﻟﻴﻢ ﻭﺍﺳﺘﻤﺮ ﺍﳊﺎﻝ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻨﻮﺍﻝ ﺇﱃ ﺃﻥ‬ ‫ﻗﻴﺾ ﺍﷲ ﻟﻺﺳﻼﻡ ﺗﺄﺳﻴﺲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻓﺠﻤﻌﺖ ﲢﺖ ﺭﺍﻳﺘﻬﺎ ﺃﻏﻠﺐ ﺍﻟﺒﻼﺩ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﻓﺘﺤﺖ‬ ‫ﻛﺜﲑﺍ ﻣﻦ ﺍﻷﻗﺎﻟﻴﻢ ﺍﻟﱵ ﱂ ﻳﺴﺒﻖ ﲢﻠﻴﻬﺎ ﲝﻠﻴﺔ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﳊﻨﻴﻒ ﻭﺃﻋﺎﺩﺕ ﻟﻺﺳﻼﻡ ﻗﻮﺗﻪ ﻭﺃﻋﻠﺖ ﺑﲔ ﺍﻷﻧﺎﻡ‬ ‫ﻛﻠﻤﺘﻪ‪.‬‬ ‫ﺧﻠﻔﻴﺎﺕ ﺍﻟﺒﺤﺚ‬ ‫ﻭﻟﺪ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﰲ )‪ 27‬ﻣﻦ ﺭﺟﺐ ‪ 835‬ﻫـ ‪ 30‬ﻣﻦ ﻣﺎﺭﺱ ‪1432‬ﻡ(‪ ،‬ﻭﻧﺸﺄ ﰲ‬ ‫ﻛﻨﻒ ﺃﺑﻴﻪ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﻣﺮﺍﺩ ﺍﻟﺜﺎﱐ‪ ،‬ﻭ ﻫﻮ ﺳﺎﺑﻊ ﺳﻼﻃﲔ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ‪ ،‬ﺍﻟﺬﻱ ﺗﻌﻬﺪﻩ ﺑﺎﻟﺮﻋﺎﻳﺔ‬ ‫ﻭﺍﻟﺘﻌﻠﻴﻢ‪ ،‬ﻟﻴﻜﻮﻥ ﺟﺪﻳﺮﺍ ﺑﺎﻟﺴﻠﻄﻨﺔ ﻭﺍﻟﻨﻬﻮﺽ ﲟﺴﺌﻮﻟﻴﺎ‪‬ﺎ‪ ،‬ﻓﺄﰎ ﺣﻔﻆ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ‪ ،‬ﻭﻗﺮﺃ ﺍﳊﺪﻳﺚ‪ ،‬ﻭﺗﻌﻠﻢ‬ ‫ﺍﻟﻔﻘﻪ‪ ،‬ﻭﺩﺭﺱ ﺍﻟﺮﻳﺎﺿﻴﺎﺕ ﻭﺍﻟﻔﻠﻚ ﻭﺃﻣﻮﺭ ﺍﳊﺮﺏ‪ ،‬ﻭﺇﱃ ﺟﺎﻧﺐ ﺫﻟﻚ ﺗﻌﻠﻢ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﻭﺍﻟﻔﺎﺭﺳﻴﺔ‬ ‫ﻭﺍﻟﻼﺗﻴﻨﻴﺔ ﻭﺍﻟﻴﻮﻧﺎﻧﻴﺔ‪ ،‬ﻭﺍﺷﺘﺮﻙ ﻣﻊ ﺃﺑﻴﻪ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﻣﺮﺍﺩ ﰲ ﺣﺮﻭﺑﻪ ﻭﻏﺰﻭﺍﺗﻪ‪ ،‬ﻭ ﺗﻮﱃ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ‬ ‫ﺍﻟﺴﻠﻄﻨﺔ ﺑﻌﺪ ﻭﻓﺎﺓ ﺃﺑﻴﻪ ﰲ )‪ 5‬ﻣﻦ ﺍﶈﺮﻡ ‪ 855‬ﻫـ‪7‬ﻣﻦ ﻓﱪﺍﻳﺮ ‪1451‬ﻡ(‪.‬‬ ‫ﻭﺍﺷﺘﻬﺮ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺑﺄﻧﻪ ﺭﺍﻉ ﻟﻠﺤﻀﺎﺭﺓ ﻭﺍﻷﺩﺏ‪ ،‬ﻭﻛﺎﻥ ﺷﺎﻋﺮﺍ ﳎﻴﺪﺍ ﻟﻪ ﺩﻳﻮﺍﻥ ﺷﻌﺮ‪،‬‬ ‫ﻭﻛﺎﻥ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻳﺪﺍﻭﻡ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻄﺎﻟﻌﺔ ﻭﻗﺮﺍﺀﺓ ﺍﻷﺩﺏ ﻭﺍﻟﺸﻌﺮ‪ ،‬ﻭﻳﺼﺎﺣﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻭﺍﻟﺸﻌﺮﺍﺀ‪ ،‬ﻭﻳﺼﻄﻔﻲ‬ ‫ﺑﻌﻀﻬﻢ ﻭﻳﻮﻟﻴﻬﻢ ﻣﻨﺎﺻﺐ ﺍﻟﻮﺯﺍﺭﺓ‪ .‬ﻭﻋﻠﻰ ﺍﻟﺮﻏﻢ ﻣﻦ ﺍﻧﺸﻐﺎﻝ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺑﺎﳉﻬﺎﺩ ﻓﺈﻧﻪ ﻋﲏ ﺑﺎﻹﻋﻤﺎﺭ‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻭﺗﺸﻴﻴﺪ ﺍﳌﺒﺎﱐ ﺍﻟﺮﺍﻗﻴﺔ‪ ،‬ﻓﻌﻠﻰ ﻋﻬﺪﻩ ﺃﻧﺸﺊ ﺃﻛﺜﺮ ﻣﻦ ﺛﻼﲦﺎﺋﺔ ﻣﺴﺠﺪ‪ ،‬ﻣﻨﻬﺎ ﰲ ﺍﻟﻌﺎﺻﻤﺔ ﺇﺳﺘﺎﻧﺒﻮﻝ‬ ‫ﻭﺣﺪﻫﺎ ‪ 192‬ﻣﺴﺠﺪًﺍ ﻭﺟﺎﻣﻌًﺎ‪ ،‬ﺑﺎﻹﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ‪57‬ﻣﺪﺭﺳﺔ ﻭﻣﻌﻬﺪًﺍ‪ ،‬ﻭ‪ 59‬ﲪﺎﻣﺎ‪.‬‬ ‫ﺃﳘﻴﺔ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ‬ ‫‪.1‬ﻣﻌﻈﻢ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺣﻮﻝ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺍﻗﺘﺼﺮﺕ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻔﺘﻮﺣﺎﺕ ﻭﺍﳉﺎﻧﺐ‬ ‫ﺍﻟﻌﺴﻜﺮﻱ ﻓﺤﺴﺐ‪ ،‬ﻭﱂ ﻳﺬﻛﺮ ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ‪.‬‬ ‫‪.2‬ﺇﻥ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﺆﺭﺧﲔ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻳﺄﺧﺬﻭﻥ ﻣﺼﺎﺩﺭ ﺃﻭﺭﺑﻴﺔ ﻭﻋﻠﻰ ﺭﺃﺳﻬﻢ ﻓﺮﺍﻧﺘﺸﺰ )‪1(Francz‬‬ ‫ﻭﻳﻌﻤﺪ ﺇﱃ ﻃﻤﺲ ﻭﺗﺸﻮﻳﻪ ﲰﻌﺔ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ‪ ،‬ﻭﻣﻦ ﻫﻨﺎ ﳚﺐ ﻋﻠﻲ ﺃﻥ ﺃﺩﺍﻓﻊ ﻋﻦ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ‬ ‫ﻭﺷﺨﺼﻴﺘﻪ ﻣﺒﻴﻨﺎ ﺣﻘﻴﻘﺘﻪ ﺭﺍﺩﺍ ﺩﺍﻓﻌﺎ ﺍﻟﺸﺒﻪ ﺣﻮﻟﻪ ‪.‬‬ ‫‪.3‬ﻭﻣﻦ ﻳﻄﻠﻊ ﺑﺈﻧﺼﺎﻑ ﻋﻠﻰ ﻣﺎ ﻛﺘﺐ ﺣﻮﻟﻪ ﻣﻦ ﺇﳒﺎﺯﺍﺗﻪ ﺍﻟﺼﺤﻴﺔ ﻭﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ ﻭﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ‬ ‫ﻭﺍﻟﻌﺴﻜﺮﻳﺔ ﻟﻴﻌﺪ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻧﺎﺩﺭﺓ ﰲ ﺍﻟﻘﻴﺎﺩﺍﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪ ،‬ﻓﻘﺪ ﺃﻧﺸﺄ ﺍﳌﺪﺍﺭﺱ ﺍﻟﻜﺜﲑﺓ ﻭﺃﺩﺧﻞ ﻓﻴﻬﺎ‬ ‫ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺍﻟﻌﻤﻠﻴﺔ ﲜﺎﻧﺐ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺍﻟﺪﻳﻨﻴﺔ‪ ،‬ﻓﻜﺎﻥ ﺑﺬﻟﻚ ﻗﺎﺋﻤﺎ ﺑﺘﻮﺳﻴﻊ ﻓﻜﺮﺓ ﺍﳌﺪﺭﺳﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ∗‪ ،‬ﻓﻴﺤﺘﺎﺝ‬ ‫ﻋﺮﺽ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﺠﻤﻟﺘﻤﻊ ﺍﳌﺴﻠﻢ‪.‬‬ ‫ﺃﻫﺪﺍﻑ ﺍﻟﺒﺤﺚ‬ ‫ﻳﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺇﱃ ﻣﺎ ﻳﻠﻲ ‪:‬‬ ‫‪ .1‬ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ‬ ‫‪ .2‬ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻣﻦ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ ﻭﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﻭﺍﻟﺘﺮﺑﻮﻳﺔ‬ ‫‪ .3‬ﻣﻌﺮﻓﺔ ﻗﻮﺍﻋﺪ ﺍﳊﻜﻢ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪ ﺍﻟﱵ ﻭﺿﻌﻬﺎ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ‬ ‫‪ .4‬ﻧﻘﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺇﱃ ﺍﺠﻤﻟﺘﻤﻊ ﻭﺧﺎﺻﺔ ﺍﺠﻤﻟﺘﻤﻊ ﺍﻟﺼﻴﲏ‬ ‫‪ .5‬ﺩﻓﺎﻉ ﻋﻦ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻣﻦ ﺍﻟﺸﺒﻬﺎﺕ ﺣﻮﻟﻪ‪.‬‬ ‫ﺣﺪﻭﺩ ﺍﻟﺒﺤﺚ‬ ‫ﺃﺣﺪﺩ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻦ ﻧﺒﺬﺓ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻗﺒﻞ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ‬ ‫ﻣﻦ ﺗﺄﺳﻴﺲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﺇﱃ ﺗﻮﻟﻴﻪ ﺍﻟﻌﺮﺵ‪ ،‬ﻭﻋﻦ ﺳﲑﺓ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻭﺻﻔﺎﺗﻪ ﺍﳋﹶﻠﻘﻴﺔ‬ ‫ﻭﺍﳋﹸﻠﻘﻴﺔ ﻭﲤﻜﻨﻪ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ‪ ،‬ﻭﻋﻦ ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﰲ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ‬ ‫ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ ﻭﺍﻟﺘﺮﺑﻮﻳﺔ ﻭ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﺧﻼﻝ ﺛﻼﺛﲔ ﺳﻨﺔ‪.‬‬ ‫‪ 1‬ﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺭﺟﺎﻝ ﺍﻟﻘﺼﺮ ﺍﻟﺒﻴﺰﻧﻄﻲ‪ ،‬ﻭﺣﺎﺭﺏ ﰲ ﺍﳉﻴﺶ ﺍﻟﺒﻴﺰﻧﻄﻲ ﺿﺪ ﺟﻴﻮﺵ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﻋﻠﻰ ﺭﺃﺳﻬﺎ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ‪ ،‬ﰒ ﺍﺳﺘﻄﺎﻉ ﻓﺮﺍﻧﺘﺸﺰ ﻫﺬﺍ ﺃﻥ ﻳﻬﺮﺏ‬ ‫ﻭﻳﻜﺘﺐ ﺗﺎﺭﳜﺎ ﻟﻠﻔﺘﺢ ﺑﻪ ﺣﻘﺪ ﻛﺒﲑ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﲔ‪.‬‬ ‫∗‬ ‫ﻓﻜﺮﺓ ﺍﳌﺪﺭﺳﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﺃﻱ ﺇﺩﺧﺎﻝ ﰲ ﺍﳌﺪﺭﺳﺔ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺍﻟﻌﻤﻠﻴﺔ ﲜﺎﻧﺐ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻣﻨﻬﺞ ﺍﻟﺒﺤﺚ‬ ‫ﺍﺳﺘﺨﺪﻡ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﰱ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻰ ﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻴﺔ ﳊﻴﺎﺓ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ‬ ‫ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻭﻋﺼﺮﻩ ﺍﻟﺬﻯ ﻋﺎﺵ ﻓﻴﻪ‪ ،‬ﰒ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘﺤﻠﻴﻠﻲ ﻟﺘﺤﻠﻴﻞ ﺍﻟﻨﺼﻮﺹ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻴﺔ‪ ،‬ﰒ ﺍﳌﻨﻬﺞ‬ ‫ﺍﻟﺘﻜﺎﻣﻠﻰ ﺍﻟﺬﻯ ﺗﺸﺘﺮﻙ ﻓﻴﻪ ﻛﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻨﺎﻫﺞ ﳎﺘﻤﻌﺔ ﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻭﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ‬ ‫ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ‪ .‬ﻭﻛﺎﻧﺖ ﺍﳋﻄﻮﺍﺕ ﻛﺎﻵﰐ‪:‬‬ ‫‪.1‬ﲨﻊ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﳌﻌﻴﻨﺔ ﻣﻦ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﰲ ﻣﻜﺘﺒﺎﺕ ﳐﺘﻠﻔﺔ‪.‬‬ ‫‪.2‬ﻣﺮﺍﺟﻌﺔ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﲨﻌﻬﺎ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺑﺘﺄ ٍﻥ‪.‬‬ ‫‪.3‬ﲢﻠﻴﻞ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﻗﺮﺃﻫﺎ‪ ،‬ﻭﲨﻌﻬﺎ ﺑﺘﻨﻈﻴﻢ‪.‬‬ ‫ﻧﺘﺎﺋﺞ ﺍﻟﺒﺤﺚ‬ ‫‪.1‬ﻟﻘﺪ ﺍﻣﺘﺎﺯ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺑﺸﺨﺼﻴﺔ ﻓﺬﺓ ﲨﻌﺖ ﺑﲔ ﺍﻟﻘﻮﺓ ﻭﺍﻟﻌﺪﻝ‪ ،‬ﻛﻤﺎ ﺃﻧﻪ ﻓﺎﻕ‬ ‫ﺃﻗﺮﺍﻧﻪ ﰲ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﻳﺘﻠﻘﺎﻫﺎ ﻣﻦ ﺷﻴﻮﺧﻪ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﲔ ﻭﺍﻧﺘﻬﺞ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺬﻱ ﺳﺎﺭ ﻋﻠﻴﻪ‬ ‫ﻭﺍﻟﺪﻩ ﻭﺃﺟﺪﺍﺩﻩ ﰲ ﺍﻟﻔﺘﻮﺣﺎﺕ‪ ،‬ﻭﻟﻘﺪ ﺑﺮﺯ ﺑﻌﺪ ﺗﻮﻟﻴﻪ ﺍﻟﺴﻠﻄﺔ ﰲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﺑﻘﻴﺎﻣﻪ ﺑﺈﻋﺎﺩﺓ ﺗﻨﻈﻴﻢ‬ ‫ﺇﺩﺍﺭﺍﺕ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ‪ ،‬ﻭﺇﻥ ﻓﺘﺢ ﺍﻟﻘﺴﻄﻨﻄﻴﻨﻴﺔ ﻫﻮ ﺍﻧﺘﺼﺎﺭ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﲔ ﺍﻟﻜﺒﲑ‪ ،‬ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﺃ‪‬ﻰ‬ ‫ﺍﻻﺳﺘﻘﻼﻝ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ ﻹﻣﱪﺍﻃﻮﺭﻳﺔ ﻋﺎﺷﺖ ﺃﻛﺜﺮ ﻣﻦ ﺃﻟﻒ ﻋﺎﻡ‪ ،‬ﻭﺳﺎﻋﺪ ﺍﻟﻔﺘﺢ ﻋﻠﻰ ﺍﺳﺘﻘﺮﺍﺭ ﺍﻟﺴﻠﻄﻨﺔ‬ ‫ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻭﺗﻮﺳﻌﻬﺎ ﰲ ﺷﺮﻕ ﺍﳌﺘﻮﺳﻂ ﻭﺍﻟﺒﻠﻘﺎﻥ‬ ‫‪.2‬ﻛﺎﻥ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﳏﺒﺎ ﻟﻠﻌﻠﻢ ﻭﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ‪ ،‬ﻟﺬﻟﻚ ﺍﻫﺘﻢ ﺑﺒﻨﺎﺀ ﺍﳌﺪﺍﺭﺱ ﻭﺍﳌﻌﺎﻫﺪ ﰲ‬ ‫ﲨﻴﻊ ﺃﺭﺟﺎﺀ ﺩﻭﻟﺘﻪ‪ ،‬ﻭﻗﺮﺏ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻭﺭﻓﻊ ﻗﺪﺭﻫﻢ ﻭﺷﺠﻌﻬﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﻤﻞ ﻭﺍﻹﻧﺘﺎﺝ‪ ،‬ﻭﺑﺬﻝ ﳍﻢ ﺍﻷﻣﻮﺍﻝ‬ ‫ﻭﻭﺳﻊ ﳍﻢ ﰲ ﺍﻟﻌﻄﺎﻳﺎ ﻭﺍﳌﻨﺢ ﻭﺍﳍﺪﺍﻳﺎ ﻭﻳﻜﺮﻣﻬﻢ ﻏﺎﻳﺔ ﺍﻹﻛﺮﺍﻡ‪ ،‬ﻓﻜﺎﻥ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺷﺎﻋﺮﺍ‬ ‫ﳎﻴﺪﺍ ﻣﻬﺘﻤﺎ ﺑﺎﻷﺩﺏ ﻋﺎﻣﺔ ﻭﺍﻟﺸﻌﺮ ﺧﺎﺻﺔ‪ ،‬ﻭﻛﺎﻥ ﻳﺼﺎﺣﺐ ﺍﻟﺸﻌﺮﺍﺀ ﻭﻳﺼﻄﻔﻴﻬﻢ‪ ،‬ﻭﺃﻣﺮ ﺑﻨﻘﻞ ﻛﺜﲑ‬ ‫ﻣﻦ ﺍﻵﺛﺎﺭ ﺍﳌﻜﺘﻮﺑﺔ ﺑﺎﻟﻴﻮﻧﺎﻧﻴﺔ ﻭﺍﻟﻼﺗﻴﻨﻴﺔ ﻭﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ﻭﺍﻟﻔﺎﺭﺳﻴﺔ ﺇﱃ ﺍﻟﻠﻐﺔ ﺍﻟﺘﺮﻛﻴﺔ‪.‬‬ ‫‪.3‬ﻭﻛﺎﻥ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﻣﻐﺮﻣﺎ ﺑﺒﻨﺎﺀ ﺍﳌﺴﺎﺟﺪ ﻭﺍﳌﻌﺎﻫﺪ ﻭﺍﻟﻘﺼﻮﺭ ﻭﺍﳌﺴﺘﺸﻔﻴﺎﺕ ﻭﺍﳋﺎﻧﺎﺕ‬ ‫ﻭﺍﳊﻤﺎﻣﺎﺕ ﻭﺍﻷﺳﻮﺍﻕ ﺍﻟﻜﺒﲑﺓ ﻭﺍﳊﺪﺍﺋﻖ ﺍﻟﻌﺎﻣﺔ‪ ،‬ﻭﺃﺩﺧﻞ ﺍﳌﻴﺎﻩ ﺇﱃ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺑﻮﺍﺳﻄﺔ ﻗﻨﺎﻃﺮ ﺧﺎﺻﺔ‪،‬‬ ‫ﻭﺍﻫﺘﻢ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺑﺎﻟﺘﺠﺎﺭﺓ ﻭﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﻭﻋﻤﻞ ﻋﻠﻰ ﺇﻧﻌﺎﺷﻬﻤﺎ ﲜﻤﻴﻊ ﺍﻟﻮﺳﺎﺋﻞ ﻭﺍﻟﻌﻮﺍﻣﻞ ﻭﺍﻷﺳﺒﺎﺏ‪ ،‬ﻭﻗﻨﻦ‬ ‫ﻗﻮﺍﻧﲔ ﺣﱴ ﻳﺴﺘﻄﻴﻊ ﺃﻥ ﻳﻨﻈﻢ ﺷﺆﻭﻥ ﺍﻹﺩﺍﺭﺓ ﺍﶈﻠﻴﺔ ﰲ ﺩﻭﻟﺘﻪ‪ ،‬ﻭﻛﺎﻧﺖ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﻘﻮﺍﻧﲔ ﻣﺴﺘﻤﺪﺓ ﻣﻦ‬ ‫ﺍﻟﺸﺮﻉ ﺍﳊﻜﻴﻢ‪.‬‬ ‫‪ .4‬ﻭﺟﺪﻧﺎ ﺃﻥ ﺍﻋﺘﺮﺍﻑ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﲝﺮﻳﺔ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﺍﻟﻌﻘﻴﺪﻳﺔ ﻭﺍﻟﻔﻜﺮﻳﺔ ﻛﺎﻥ ﻟﻪ ﺩﻭﺭ ﻋﻈﻴﻢ ﰲ‬ ‫ﺍﻟﺘﻘﺪﻡ ﺍﳊﻀﺎﺭﻱ‪ ،‬ﻭﺍﻟﺘﻨﻤﻴﺔ ﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ‪ ،‬ﲝﻴﺚ ﺍﺳﺘﻄﺎﻉ ﻛﻞ ﻓﺮﺩ ﰲ ﺍﺠﻤﻟﺘﻤﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺃﻥ ﻳﺆﺩﻱ ﺩﻭﺭﻩ‬ ‫ﺩﻭﻥ ﺭﻗﻴﺐ ﺃﻭ ﻋﺎﺋﻖ‪.‬‬ ‫‪ .5‬ﻭﺟﺪﻧﺎ ﺃﳘﻴﺔ ﻭﺣﺪﺓ ﺍﻷﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻓﺈﻥ ﺃﻫﻢ ﺧﺼﺎﺋﺺ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﻣﺔ ﺃ‪‬ﺎ ﺃﻣﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ‪ ،‬ﻗﺎﻝ‬ ‫ﺍﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ‪:‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬ ‫{~ ¡ ‪z¦ ¥ ¤ £ ¢‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﺆﻣﻨﻮﻥ‪(51 :23 ،‬‬

‫ﻭﻟﻘﺪ ﺗﻨﻮﻋﺖ ﺃﺳﺎﻟﻴﺐ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﻭﺍﻟﺴﻨﺔ ﰲ ﺍﻟﺪﻻﻟﺔ ﻋﻠﻰ ﻭﺟﻮﺏ ﺍﻟﻮﺣﺪﺓ‪ ،‬ﻓﺘﺎﺭﺓ ﺗﺄﻣﺮ ﺑﺎﻟﻮﺣﺪﺓ ﺃﻣﺮﺍ‬ ‫ﺻﺮﳛﺎ ﻛﻤﺎ ﰲ ﻗﻮﻝ ﺍﷲ ﻋﺰ ﻭﺟﻞ‪:‬‬ ‫{ ‪q p o n m l k j i h gf e d c b a‬‬ ‫‪z d c b a ` _ ~ }| { z y x w v u t s‬‬

‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺁﻝ ﻋﻤﺮﺍﻥ‪.(103 :3 ،‬‬

‫ﻓﺈﻥ ﺍﻟﻌﺎﱂ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﻔﺮﻗﻪ ﻭﺗﻨﺎﺯﻋﻪ ﻻ ﻳﺸﻜﻞ ﺃﻱ ﻫﺎﺟﺲ ﺧﻮﻑ ﻷﺣﺪ‪ ،‬ﻟﻜﻦ ﺍﻟﻌﺎﱂ‬ ‫ﺍﻟﻐﺮﰊ ﺍﻟﺼﻠﻴﱯ ﳜﺸﻰ ﺃﻥ ﻳﺴﺘﻴﻘﻆ ﺍﳌﺴﻠﻤﻮﻥ ﻣﻦ ﻧﻮﻣﻬﻢ‪ ،‬ﻓﻴﺴﺎﺭﻋﻮﺍ ﺇﱃ ﺍﻷﺧﺬ ﺑﺄﺳﺒﺎﺏ ﺍﻟﻘﻮﺓ‪،‬‬ ‫ﻭﺍﻟﻌﻮﺩﺓ ﺇﱃ ﺍﻟﻮﺣﺪﺓ‪.‬‬ ‫‪ .6‬ﻭﺟﺪﻧﺎ ﺃﻥ ﻗﺎﺩﺓ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﺍﶈﻘﻘﲔ ﳚﻤﻌﻮﻥ ﺑﲔ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﺍﻟﻌﻤﻞ‪ ،‬ﻭﻳﺮﺷﺪﻭﻥ ﺇﱃ ﺍﻟﻄﺮﻳﻖ‬ ‫ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ ﻭﻋﻨﺪﻫﻢ ﺍﻟﻘﺪﺭﺓ ﻋﻠﻰ ﻓﺮﺯ ﺍﻷﻭﻟﻮﻳﺎﺕ ﻭﺍﻟﺘﻌﺎﻣﻞ ﺍﻟﺬﻛﻲ ﻣﻊ ﺍﻟﻮﺍﻗﻊ‪ ،‬ﻛﻤﺎ ﻋﻨﺪﻫﻢ ﺍﻟﻘﺪﺭﺓ ﻋﻠﻰ‬ ‫ﺍﻟﺘﻐﻴﲑ ﺇﱃ ﻣﺎ ﻓﻴﻪ ﺧﲑ ﺍﻷﻣﺔ ﻭﺣﺎﺟﺎﺗـﻬﺎ ﻭﺁﻣﺎﳍﺎ‪.‬‬ ‫ﻣﻘﺘﺮﺣﺎﻥ ﺍﻟﺒﺤﺚ‬ ‫ﺑﻌﺪ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﰲ ﺣﻴﺎﺓ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ‪ ،‬ﻭﺩﺭﺍﺳﺔ ﺗﺎﺭﳜﻪ ﻭﺇﳒﺎﺯﺍﺗﻪ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ‪ ،‬ﻭﻣﺎ ﺗﻮﺻﻞ‬ ‫ﺇﻟﻴﻪ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﻣﻦ ﻧﺘﺎﺋﺞ ﺑﻌﺪ ﻛﻞ ﺫﻟﻚ‪ ،‬ﲡﺪﺭ ﺍﻹﺷﺎﺭﺓ ﺇﱃ ﲨﻠﺔ ﻣﻦ ﺍﳌﻘﺘﺮﺣﺎﺕ‪ ،‬ﻫﻲ‪:‬‬ ‫‪ .1‬ﺇﻥ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺍﻟﺴﲑﺓ ﻭﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﺗﻌﺘﱪ ﺃﳘﻴﺔ ﻛﺒﲑﺓ ﻟﻠﻤﺴﻠﻤﲔ‪ ،‬ﻭﺧﺎﺻﺔ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﱵ ﺗﺘﻌﻠﻖ‬ ‫ﺑﺎﻟﻔﺘﻮﺣﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﻌﻴﺪﺓ ﻋﻦ ﺍﻟﺘﻌﺼﺐ‪ ،‬ﻓﻜﺎﻥ ﻳﻨﺒﻐﻲ ﻟﻨﺎ ﺍﻻﻫﺘﻤﺎﻡ ‪‬ﺎ‪.‬‬ ‫‪ .2‬ﳛﺮﺹ ﺍﻟﻄﻠﺒﺔ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﲔ ﻋﻠﻰ ﲝﺚ ﰲ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﰲ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﺍﻷﺧﺮﻯ‬ ‫ﺑﺸﻲﺀ ﻣﻦ ﺍﻹﳌﺎﻡ ﺣﱴ ﻳﻌﺮﻓﻮﺍ ﻋﻨﻪ ﺍﻟﻜﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﻔﺎﺕ ﺍﻟﺼﺎﳊﺔ ﻟﻘﻴﺎﺩﺓ ﺍﻟﺒﻼﺩ‪.‬‬ ‫‪ .3‬ﺃﻥ ﻳﺒﺎﺩﺭ ﺍﻟﻄﻠﺒﺔ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﻮﻥ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﰲ ﺳﲑﺓ ﺍﻟﻘﺎﺩﺍﺕ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ‪.‬‬ ‫‪ .4‬ﻳﺸﺠﻊ ﺍﻟﻄﻠﺒﺔ ﺍﻟﺼﻴﻨﻴﲔ ﺃﻥ ﻳﺪﺭﺳﻮﺍ ﻭﻳﺒﺤﺜﻮﺍ ﻋﻤﺎ ﻳﻔﻴﺪ ﺑﻼﺩﻫﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﺸﺨﺼﻴﺎﺕ‬ ‫ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﻟﺒﺎﺭﺯﺓ ﻟﻼﻗﺘﺪﺍﺀ ‪‬ﻢ ﰲ ﺣﻴﺎ‪‬ﻢ ﺍﻟﻴﻮﻣﻴﺔ‪ ،‬ﻛﻤﺎ ﺍﻗﺘﺪﻭﺍ ﺑﺮﺳﻮﳍﻢ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﳏﻤﺪ ﺻﻠﻲ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ‬ ‫ﻭﺳﻠﻢ‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ‬ ‫ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ‬ ‫ﺃﺭﺳﻼﻥ‪ ،‬ﺍﻷﻣﲑ ﺷﻜﻴﺐ‪1422 .‬ﻫـ‪ .‬ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ‪ .‬ﻁ‪ .1‬ﺩﻣﺸﻖ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ‪.‬‬ ‫ﺃﺻﺎﻑ‪ ،‬ﺣﻀﺮﺓ ﻋﺰﺗﻠﻮ ﻳﻮﺳﻒ ﺑﻚ‪1415 .‬ﻫـ‪ .‬ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺳﻼﻃﲔ ﺑﲏ ﻋﺜﻤﺎﻥ‪ .‬ﻁ‪ .1‬ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ‪ :‬ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﳌﺪﺑﻮﱄ‪.‬‬ ‫ﺃﻧﻴﺲ‪ ،‬ﺩ‪ .‬ﳏﻤﺪ‪1387 .‬ﻫـ‪ .‬ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﻭﺍﻟﺸﺮﻕ ﺍﻟﻌﺮﰊ‪ .‬ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ‪) :‬ﺩ‪.‬ﻁ(‬ ‫ﺑﺮﻧﺎﺭ ﺩﻟﻮﻳﺲ‪1402 .‬ﻫـ‪ .‬ﺍﺳﺘﻨﺒﻮﻝ‪ .‬ﻋﻠﻲ‪ ،‬ﺍﻟﺴﻴﺪ ﺭﺿﻮﺍﻥ‪ .‬ﻁ‪ .2‬ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩﻳﺔ‪.‬‬ ‫ﺣﺮﺏ‪ ،‬ﺩ‪ .‬ﳏﻤﺪ‪1419 .‬ﻫـ‪ .‬ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﻮﻥ ﰲ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ‪ .‬ﻁ ‪ .2‬ﺩﻣﺸﻖ‪ .‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻘﻠﻢ‪.‬‬ ‫ﺣﻠﻴﻢ‪ ،‬ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺑﻚ‪1498 .‬ﻫـ‪ .‬ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﺍﻟﻌﻠﻴﺔ‪ .‬ﻁ‪ .1‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﻣﺆﺳﺴﺔ ﺍﻟﻜﺘﺐ‬ ‫ﺍﻟﺜﻘﺎﻓﻴﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺪﻗﻦ‪ ،‬ﺩ‪ .‬ﺍﻟﺴﻴﺪ ﳏﻤﺪ‪1400 .‬ﻫـ‪ .‬ﺩﺭﺍﺳﺎﺕ ﰲ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ‪ .‬ﻁ ‪ .1‬ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ‪ :‬ﺩﺍﺭ‬ ‫ﺍﻟﺸﺮﻭﻕ‪.‬‬ ‫ﺳﺮﻫﻨﻚ‪ ،‬ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ‪1410.‬ﻫـ‪ .‬ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ‪ ،‬ﺑﲑﻭﺕ‪) :‬ﺩ‪.‬ﻁ(‬ ‫ﺍﻟﻨﻬﻀﺔ ﺍﳌﺼﺮﻳﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺼﻼﰊ‪ ،‬ﺩ‪ .‬ﻋﻠﻲ ﳏﻤﺪ‪ 1421 .‬ﻫـ‪ .‬ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ‪ .‬ﻁ ‪ .1‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺘﻮﺯﻳﻊ ﻭﺍﻟﻨﺸﺮ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪،‬‬ ‫ﻋﻠﻲ‪ ،‬ﳏﻤﺪ ﻛﺮﺩ‪1389 .‬ﻫـ‪ .‬ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ‪ .‬ﻁ ‪ .3‬ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ‪ .‬ﳉﻨﺔ ﺍﻟﺘﺄﻟﻴﻒ ﻭﺍﻟﺘﺮﲨﺔ‬ ‫ﻭﺍﻟﻨﺸﺮ‪.‬‬ ‫ﻋﻠﻲ‪ ،‬ﺩ‪ .‬ﺳﻴﺪ ﺭﺿﻮﺍﻥ‪ 1402 .‬ﻫـ‪ .‬ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﺑﻄﻞ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﰲ ﺃﻭﺭﻭﺑﺎ ﺍﻟﺸﺮﻗﻴﺔ‪ .‬ﻁ‪.1‬‬ ‫ﺍﻟﺮﻳﺎﺽ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺴﻌﻮﺩﻳﺔ‪.‬‬ ‫ﻗﺎﺯﺍﻥ‪ ،‬ﻧﺰﺍﺭ‪ 1413 .‬ﻫـ‪ .‬ﺳﻼﻃﲔ ﺑﲏ ﻋﺜﻤﺎﻥ‪ .‬ﻁ‪ .1‬ﺑﲑﻭﺕ‪ :‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻔﻜﺮ ﺍﻟﻠﺒﻨﺎﱐ‪.‬‬ ‫ﻟﻠﻜﺘﺎﺏ‪.‬ﻁ‪.1‬‬ ‫ﻳﺎﻏﻲ‪ ،‬ﺩ‪ .‬ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺃﲪﺪ‪ 1415 .‬ﻫـ‪ .‬ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ ﰲ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ‪ .‬ﻁ ‪ .1‬ﻣﻜﺘﺒﺔ‬ ‫ﺍﻟﻌﺒﻴﻜﺎﻥ‪.‬‬ ‫ﻫﻮﺍﻧﻎ ﻭﻱ ﻣﻴﻨﻎ‪1421 (Huang weiming) .‬ﻫـ‪ (History of the ottoman).‬ﻁ‪.SANQIN .CHINA -XIAN.1‬‬ ‫ﱄ ﻣﲔ‪ ،(Limin) .‬ﻭﻣﺎﻥ ﻳﻪ ﺑﻴﻨﻎ )‪1427 .(Manyebin‬ﻫـ‪ .(World history) .‬ﻁ ‪CHINA-.6‬‬

‫‪YANSHAN.BEIJIN‬‬ ‫ﺗﺸﺎﻧﻎ ﺗﺸﻮﻧﻎ ﺷﻴﺎﻧﻎ‪1427 .(Zhang zhongxiang) .‬ﻫـ‪History of the ottoman empire and modern ) .‬‬ ‫‪ .(turkey‬ﻁ‪.RENMIN .CHINA – QINGHAI .1‬‬ ‫ﻫﻮﺍﻧﻎ ﻟﻴﻨﻎ‪1425 .(Huangling) .‬ﻫـ‪ .CHINA .HAINAN (Asian history) .‬ﻁ ‪.1‬‬ ‫ﻫﻮﺍﻧﻎ ﻭﻱ ﻣﻴﻨﻎ‪ 1423.(Huang weiming) .‬ﻫـ‪ (The history of middle east countries) .‬ﻁ‪-BEIJIN.1‬‬ ‫‪.SHANGYE .CHINA‬‬ ‫ﺩﻭﻧﻎ ﺷﻴﻮﻯ ﻳﻮﺍﻥ‪1425 .(Dongxuyuan) .‬ﻫـ‪ .CHINA. QINGHUA(Worldhistory) .‬ﻁ‪.1‬‬



‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬ ‫‪บทความรายงานการวิจัย‬‬

‫ﺩﻭﺭ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ‬ ‫ﺯﻫﺮﻱ ﳛﲕ ﺍﻟﻜﻤﺒﻮﺩﻱ‬ ‫∗∗‬ ‫ﻭﻱ ﻳﻮﺳﻒ ﺳﻴﺪﺉ‬

‫∗‬

‫ﻣﺴﺘﺨﻠﺺ ﺍﻟﺒﺤﺚ‬ ‫ﻳﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺇﱃ ﺑﻴﺎﻥ ﺩﻭﺭ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﰲ ﺍﻟﻌﺼﺮ‬ ‫ﺍﻷﻣﻮﻱ ﺍﺑﺘﺪﺍﺀ ﻣﻦ ﺧﻼﻓﺘﻪ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺗﻮﻓﺎﻩ ﺍﷲ ‪ ،‬ﻭﻫﻲ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺗﺎﺭﳜﻴﺔ ﲢﻠﻴﻠﻴﺔ‪ .‬ﺗﻌﺘﻤﺪ ﻋﻠﻰ ﺍ ﻟﻮﺛﺎﺋﻖ‬ ‫ﻭﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﳌﺘﻨﺎﺛﺮﺓ ﰲ ﺑﻄﻮﻥ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺧﺎﺻﺔ ﻛﺘﺐ ﺍﻟﺘﻮﺍﺭﻳﺦ‪.‬‬ ‫ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺘﺎﺋﺞ ﺍﻟﱵ ﺗﻮﺻﻠﺖ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﻣﺎ ﻳﻠﻲ‪) :‬ﺃ( ﺩﻭﺭﻩ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ‪:‬‬ ‫ﻛﺎﻥ ﻟﻌﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺩﻭﺭ ﺳﻴﺎﺳﻲ ﳝﺜﻞ ﰲ ﺗﻨﻈﻴﻤﻴﺔ ﺍﳌﺜﺎﻟﻴﺔ ﺍﻟﺪﻗﻴﻘﺔ ﺑﺎﻟﻨﺴﺒﺔ ﻟﻠﺨﻠﻔﺎﺀ ﺍﻵﺧﺮﻳﻦ ﰲ‬ ‫ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﻷﻣﻮﻱ‪ .‬ﻭﻛﺎﻥ ﺧﻠﻴﻔﺔ ﺫﺍ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻋﻄﲑﺓ ﺑﺎﺭﺯﺓ ﻭﻋﻘﻞ ﺳﺪﻳﺪ ﰲ ﺇﺩﺍﺭﺓ ﺷﺆﻭﻥ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ‬ ‫ﻭﻏﲑﻫﺎ‪ ،‬ﺑﺎﻹﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﺃﻧﻪ ﺫﻭ ﻣﻜﺎﻧﺔ ﻋﻠﻤﻴﺔ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺣﻴﺚ ﺃﻗﺮﻭﺍ ﻟﻪ ﺑﺬﻟﻚ‪) .‬ﺏ( ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺇﲬﺎﺩ‬ ‫ﺍﳊﺮﻛﺎﺕ ﻣﻨﺎﻭﺋﻲ ﺍﳌﻌﺎﺭﺿﺔ ﻟﻠﺪﻭﻟﺔ‪ ،‬ﻭﻗﺪ ﻛﺎﻥ ﻣﻨﺎﻭﺅﺍ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻗﺪ ﺃﺳﺴﻮﺍ ﺣﺮﻛﺎﺕ ﺛﻮﺭﻳﺔ ﻣﻨﺎﻫﻀﺔ‬ ‫ﻟﻠﺪﻭﻟﺔ ‪‬ﺪﻑ ﺍﻟﻘﻀﺎﺀ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺇﺫﺍ ﺳﻨﺤﺖ ﳍﻢ ﺍﻟﻔﺮﺻﺔ‪ ،‬ﻭﻣﻦ ﻫﻨﺎ ﺭﺃﻯ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻭﺿﻊ‬ ‫ﺳﻴﺎﺳﺎﺕ ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﲤﺎﺷﻴﺎ ﻣﻊ ﺍﻟﻈﺮﻭﻑ ﻭﺍﻷﺣﻮﺍﻝ ﺍﻟﱵ ﺭﺍﻓﻘﺘﻬﻢ ﰲ ﺗﻠﻚ ﺍﻷﻳﺎﻡ ‪ ،‬ﻓﻴﺒﺬﻝ ﺟﻬﻮﺩﺍ ﻋﻈﻴﻤﺔ‬ ‫ﰲ ﺍﻟﺘﻌﻤﲑ ﻭﺍﻹﺻﻼﺡ ﻭﻋﻠﻴﻪ ﻓﺈﻥ ﺳﻴﺎﺳﺎﺗﻪ ﻛﺎﻧﺖ ﳐﺎﻟﻔﺔ ﲤﺎﻣﺎ ﻣﻦ ﺳﻴﺎﺳﺎﺕ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﲔ‪.‬‬ ‫)ﺝ( ﺗﺒﻴ‪‬ﻦ ﻟﻨﺎ ﻣﻦ ﺳﻴﺎﺳﺎﺕ ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ‪ ‬ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ‪ ،‬ﺃﻻ ﺣﻈﻴﺖ ﺑﺮﺿﺎﺀ‬ ‫ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﺗﻮﺣﺪ ﻭﺧﻠﻒ ﳊﻜﻤﺔ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻭﻋﺪﻟﻪ ﰲ ﺃﻣﻮﺭ ﺍﳋﻼﻓﺔ‪ ،‬ﻭﱂ ﲣﺮﺝ ﻋﻠﻴﻪ ﻃﺎﺋﻔﺔ ﳑﻦ ﻛﺎﻧﻮﺍ‬ ‫ﻣﻦ ﻣﻌﺎﺭﺿﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺳﺎﺑﻘﺎ‪ .‬ﻭﻛﺎﻥ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺳﻌﺪﺍﺀ ﰲ ﲤﺎﺳﻜﻬﻢ ﻭﻭﺣﺪ‪‬ﻢ ﻭﺷﻌﻮﺭﻫﻢ ﺑﺄ‪‬ﻢ ﺃﻣﺔ‬ ‫ﻭﺍﺣﺪﺓ ﲢﺖ ﻟﻮﺍﺀ ﻭﺍﺣﺪ ﻭﰲ ﺇﻃﺎﺭﺧﻠﻴﻔﺔ ﺭﺍﺷﺪ‪.‬‬

‫∗‬

‫ﺍﻟﻄﺎﻟﺐ ﲟﺮﺣﻠﺔ ﺍﳌﺎﺟﺴﺘﲑ ﺍﻟﻘﺴﻢ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﲜﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪.‬‬

‫∗∗‬

‫ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ‪ ،‬ﻭﳏﺎﺿﺮ ﺑﻘﺴﻢ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﲜﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪.‬‬


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย ABSTRACT This research was aimed to examine the roles of Umar Ibn Abdul Aziz in verifying the solidarity of Muslim nations during his reign. It was a documentation research. The researcher collected the documentation data from various sources such as libraries and internet websites. The data were especially related with Islamic history and civilization. This research has found as the followings: (1) the role of Umar Ibn Abdul Aziz for the coherence of Muslim nations in his reign was the best example among the Islamic reigns in the Umayyad dynasty comparatively. The practices of Umar were different from others. His characteristics and techniques for making administrative rules were prominent. He was able to establish the solidarity of Muslim nations with privilege. Umar was well educated in religion and had a closer tie with ulama philosophers. (2) The role of making a good understanding towards the rebels who trying to destroy Islam in his reign was that, he successfully dissolved the conflict and many challenging problems. One of the best things he did was to get rid of conflicts by creating a harmonious atmosphere among the different communities. This harmony was exemplified as ‘solidarity’ which had been different from others in the Umayyad dynasty before his time. And, (3) In the Umar’s administration, justice and liberty were also practiced. Because of his capability, there was no resistance or very few of resistances took place. The society under his office was very happy and peaceful.


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻣﻘﺪﻣﺔ‬ ‫ﺍﳊﻤﺪ ﷲ ﺭﺏ ﺍﻟﻌﺎﳌﲔ ‪ ،‬ﺍﻟﺬﻱ ﻭﻋﺪ ﻭﺭﺍﺛﺔ ﺍﻷﺭﺽ ﻟﻌﺒﺎﺩﻩ ﺍﻟﺼﺎﳊﲔ‪ ،‬ﺣﻴﺚ ﻗﺎﻝ ﺟﻞ ﺛﻨﺎﺅﻩ‬ ‫ﻭﻗﺎﻝ ﺗﻌﺎﱃ‪:‬‬ ‫‪ w v u t s r q p o n m l‬‬ ‫)ﺳﻮﺭﺓ ﺍﻷﻧﺒﻴﺎﺀ‪.(105 :21 ،‬‬ ‫ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﻻ ﺇﻟﻪ ﺇﻻ ﺍﷲ ﻭﺣﺪﻩ ﻻ ﺷﺮﻳﻚ ﻟﻪ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺼﻤﺪ ﺇﻟﻴﻪ ﺍﳋﻼﺋﻖ ‪ ،‬ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﳏﻤﺪﺍ ﻋﺒﺪﻩ‬ ‫ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﺍﳌﺒﻌﻮﺙ ﺭﲪﺔ ﻟﻠﻌﺎﳌﲔ‪ ،‬ﺍﻟﻠﻬﻢ ﺻﻞ ﻋﻠﻰ ﳏﻤﺪ ﻭﻋﻠﻰ ﺁﻟﻪ ﻭﺻﺤﺒﻪ ﺃﲨﻌﲔ‪.‬‬ ‫ﺃﻣﺎ ﺑﻌﺪ‪:‬‬ ‫ﻭﻣﻦ ﺇﺭﺍﺩﺓ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ ﺃﻥ ﺟﻌﻞ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ ﻣﻬﺪﺍ ﻟﻸﻣﻦ ﻭﺍﻹﺳﺘﻘﺮﺍﺭ ﺑﻌﺪ ﻇﻬﻮﺭ ﺍﻹﻓﺘﺮﺍﻕ‬ ‫ﻭﻓﻮﺿﻰ ﺍﳉﻤﺎﻋﺎﺕ ﰲ ﻣﺪﺓ ﻣﻦ ﺍﻟﺰﻣﻦ ‪ ،‬ﻭﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺣﲔ ﺍﺧﺘﲑ ﻛﺨﻠﻴﻔﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻛﺎﻧﺖ‬ ‫ﻋﻨﺪﻩ ﻧﻈﺮﺓ ﺧﺎﺻﺔ ﻣﻦ ﲰﺎ‪‬ﺎ ﺷﺪﺓ ﺍﳊﻴﻄﺔ ﻭﺍﻻﻫﺘﻤﺎﻡ ﺑﺎﳌﺴﻠﻤﲔ ﻭﺭﻋﻴﺔ ﰲ ﺍﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﺑﻌﺪ‬ ‫ﻣﺎ ﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺍﻓﺘﺮﺍﻕ ﻭﻧﺰﺍﻉ‪ ،‬ﺳﻮﺍﺀ ﰲ ﺣﻘﻞ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺔ ﺍﳋﺎﺭﺟﻴﺔ ﺃﻡ ﰲ ﺣﻘﻞ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺔ ﺍﻟﺪﺍﺧﻠﻴﺔ‪ ) .‬ﳏﻤﺪ‬ ‫ﻛﺮﺩ ﻋﻠﻲ‪ ،‬ﺩ‪.‬ﺕ‪ ،‬ﺹ‪(174 :‬‬ ‫ﻛﺎﻥ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﳛﺐ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﻭﳎﺎﻟﺲ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﳑﺎ ﺟﻌﻠﻪ ﻳﺘﻤﺘﻊ ﺑﺮﺟﺎﺣﺔ ﺍﻟﻌﻘﻞ‬ ‫ﻭﻗﺪﺭﺓ ﻛﺎﻓﻴﺔ ﰲ ﺇﺩﺍﺭﺓ ﺷﺆﻭﻥ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﺩﺍﺧﻠﻴﺎ ﻭﺧﺎﺭﺟﻴﺎ‪ ،‬ﻭﻛﺎﻧﺖ ﻣﺪﺓ ﺧﻼﻓﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ‬ ‫ﻟﻠﻨﺎﺱ ﺳﻜﻴﻨﺔ ﻭﺃﻣﻨﺎ‪ ،‬ﻭﳘﻪ ﻟﻴﻼ ﻭ‪‬ﺎﺭﺍ ﻛﺎﻥ ﺇﺻﻼﺡ ﺍ‪‬ﺘﻤﻊ ﺭﻭﺣﻴﺎ ﻭﺟﺴﻤﻴﺎ‪ ،‬ﻭﻗﺪ ﺃﻋﻄﻰ ﻛﻞ ﻣﺎ‬ ‫ﳝﻠﻜﻪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻟﺴﺪ ﺭﻣﻘﻬﻢ‪ ،‬ﻭﺍﺳﺘﻄﺎﻉ ﻫﺬﺍ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺍﻻﻫﺘﻤﺎﻡ ﲝﺎﻝ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﰲ ﻋﻬﺪﻩ ‪ ،‬ﺇﱃ ﺃﻥ ﺟﻌﻠﻬﻢ‬ ‫ﻣﻮﺣﺪﻱ ﺍﻟﻜﻠﻤﺔ ﺣﻴﺚ ﺍﺷﺘﻬﺮﺕ ﺃﻳﺎﻡ ﺧﻼﻓﺘﻪ ﺑﺄ‪‬ﺎ ﺍﻟﻔﺘﺮﺓ ﺍﻟﱵ ﻋﻢ ﺍﻟﻌﺪﻝ ﻭﺍﻟﺮﺧﺎﺀ ﰲ ﺃﳓﺎﺀ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ‬ ‫ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ‪ ،‬ﺣﱴ ﺃﻥ ﺍﻟﺮﺟﻞ ﻛﺎﻥ ﻟﻴﺘﺼﺪﻕ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻦ ﺯﻛﺎﺓ ﺃﻣﻮﺍﻟﻪ ﻓﻴﺒﺤﺚ ﻋﻦ ﺍﻟﻔﻘﺮﺍﺀ ﻻ ﳚﺪ ﻣﻦ‬ ‫ﻛﺎﻥ ﰲ ﺣﺎﺟﺔ ﺇﻟﻴﻬﺎ‪) .‬ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﳊﻜﻢ ﻭ ﺃﰊ ﳏﻤﺪ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ‪ ،1904 ،‬ﺹ‪.(106:‬‬ ‫ﻭﻋﺎﺵ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻃﻮﻝ ﺣﻴﺎﺗﻪ ﰲ ﺭﺿﺎﺀ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺱ‪ ،‬ﻭﻓﺮﺡ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺑﻪ ﻓﺮﺣﺎ ﺷﺪﻳﺪﺍ‬ ‫ﻋﻠﻰ ﻣﺎ ﺟﺎﺀ ﺇﻟﻴﻬﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻌﺎﺩﺓ‪ ،‬ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﺟﻌﻠﻪ ﻳﻌﺪﻩ ﻣﻦ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪﻳﻦ‪ ،‬ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ ﺳﻔﻴﺎﻥ‬ ‫ﺍﻟﺜﻮﺭﻱ‪ " :‬ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﲬﺴﺔ ‪ :‬ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ‪ ،‬ﻭﻋﻤﺮ‪ ،‬ﻭﻋﺜﻤﺎﻥ‪ ،‬ﻭﻋﻠﻲ‪ ،‬ﻭﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ‪ ،‬ﻭﻗﺎﻝ ﺯﻳﺪ ﺑﻦ‬ ‫ﺃﺳﻠﻢ ﻋﻦ ﺃﻧﺲ‪ :‬ﻣﺎ ﺻﻠﻴﺖ ﻭﺭﺍﺀ ﻏﻤﺎﻡ ﺃﺷﺒﻪ ﺻﻼﺓ ﺑﺮﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻔﱴ ﻳﻌﲏ‪ :‬ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ‬ ‫ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻭﻫﻮ ﺃﻣﲑ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ")ﺟﺎﺳﻢ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ‪ ،2003 ،‬ﺹ‪(132 :‬‬ ‫ﻭﺍﻣﺘﺎﺯﺕ ﺳﻴﺎﺳﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﰲ ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻟﻘﻠﻮﺏ ﻣﻊ ﻣﻌﺎﺭﺿﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺧﺎﺻﺔ ﻣﻊ‬ ‫ﺍﻟﺸﻴﻌﺔ ﺣﲔ ﺧﻠﻊ ﺍﻟﺴﺐ ﻋﻦ ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﺒﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﻳﺘﻤﻴﺰ ﺑﻪ ﻋﻦ ﺳﺎﺋﺮ ﺇﺧﻮﺍﻧﻪ‬ ‫ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ‪ ،‬ﻓﺘﻌﻠﻘﺖ ﺑﻪ ﻗﻠﻮ‪‬ﻢ ﻭﺃﲬﺪﺕ ﻧﲑﺍ‪‬ﻢ ﻭﺛﻮﺭﺍ‪‬ﻢ ﻃﻴﻠﺔ ﻋﺼﺮﻩ ﻓﻠﻢ ﳜﺮﺟﻮﺍ ﻋﻠﻴﻪ ‪ ،‬ﻓﻜﺎﻧﻮﺍ‬ ‫ﻣﻘﺮﻳﻦ ﺑﺄﻧﻪ ﻋﺎﺩﻝ‪ ،‬ﻭﻫﻮ ﺃﻭﻝ ﻣﻦ ﺃﻋﻄﻲ ﺃﻧﺼﺒﺔ ﻟﺒﲏ ﻫﺎﺷﻢ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﺃﺧﺮﻡ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﰲ ﺑﺎﺩﺉ ﺍﻷﻣﺮ ﻓﺒﺪﺃ‬ ‫ﺍﻟﺸﻴﻌﺔ ﳛﺒﻮﻧﻪ ﻭﳝﺪﺣﻮﻧﻪ‪) .‬ﺍﺑﻦ ﺍﻷﺛﲑ‪ ،‬ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺍﻟﻜﺮﻡ‪1414 ،‬ﻫـ‪ ،‬ﺹ‪(314 :‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻛﻤﺎ ﻻ ﳜﻔﻰ ﻋﻠﻴﻨﺎ ﺑﺄﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﰎ ﺗﺄﺳﻴﺴﻬﺎ ﺑﻴﺪ ﻣﻌﺎﻭﻳﺔ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺳﻔﻴﺎﻥ‪ ،‬ﻭﻗﺪ ﻛﺎﻧﺖ‬ ‫ﺑﻈﻬﻮﺭﻫﺎ ﳏﻞ ﺍﻟﺒﻐﺾ ﻣﻦ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻘﺒﺎﺋﻞ ﻛﺎﻟﻔﺮﻕ ﺍﻟﺸﻴﻌﺔ ﻭﺍﳋﻮﺍﺭﺝ‪ ...‬ﻓﻜﺎﻧﻮﺍ ﻳﺮﻳﺪﻭﻥ ﺇﺯﺍﻟﺔ ﻫﺬﻩ‬ ‫ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺇﺫﺍ ﺳﻨﺤﺖ ﳍﻢ ﺍﻟﻔﺮﺻﺔ ﻭﺑﺎﻟﻄﺒﻊ ﻗﺪ ﺣﺪﺛﺖ ﻓﻴﻬﺎ ﻋﺪﺓ ﺛﻮﺭﺍﺕ ‪‬ﺪﻑ ﺍﻟﻘﻀﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ‬ ‫ﻃﻴﻠﺔ ﺃﻳﺎﻡ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ‪ ،‬ﻭﻳﻜﺎﺩ ﻳﻮﺟﺪ ﰲ ﻛﻞ ﺧﻠﻴﻔﺔ ﺃﻣﻮﻱ ﺣﺮﻛﺎﺕ ﺛﻮﺭﻳﺔ‪ ) .‬ﺍﻟﻄﻘﻮﺵ‪ ،‬ﳏﻤﺪ ﺳﻬﻴﻞ‪،‬‬ ‫‪1421‬ﻫـ‪ ،‬ﺹ‪(136:‬‬ ‫ﻭﳍﺬﺍ ﻛﺎﻥ ﺍﺧﺘﻴﺎﺭ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﳍﺬﺍ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﻷﺟﻞ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺩﻭﺭﻩ ﺍﳌﻬﺎﻡ ﰲ ﺍﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﺗﻮﺣﻴﺪ‬ ‫ﺍﻷﻣﺔ‪ ،‬ﻋﻤﺎ ﻛﺎﻧﺖ ﻋﻠﻴﻪ ﻣﻦ ﺍﻹﺿﻄﺮﺍﺑﺎﺕ ﻭﺍﻟﻐﻮﻏﺎﺋﻴﺔ ﻗﺒﻞ ﺗﺴﻠﻤﻪ ﺍﳋﻼﻓﺔ‪ ،‬ﻭﻟﻴﺲ ﺳﻬﻼ ﻟﻜﻞ ﺃﺣﺪ ﺃﻥ‬ ‫ﳛﻞ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻘﺎﻡ ﻣﺜﻠﻪ‪ .‬ﻭﻛﻤﺎ ﺃﻥ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﺃﺭﺍﺩ ﺍﻹﻇﻬﺎﺭ ﻟﻠﻨﺎﺱ ﻣﺰﺍﻳﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﻀﺨﻤﺔ ﰲ‬ ‫ﺑﻨﺎﺀ ﻭﺣﺪﺓ ﺍﻷﻣﺔ ﺗﻮﺣﻴﺪﺍ ﻭﺇﺻﻼﺣﺎ ﻭﺣﺒﺎ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻣﻔﺘﺮﻗﲔ ‪ ،‬ﻓﻀﻼ ﻋﻤﺎ ﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺧﻄﻮﺍﺗﻪ‬ ‫ﺍﻟﻌﻈﻴﻤﺔ ﺍﻟﱵ ﺳﺎﺭ ‪‬ﺎ ﺣﱴ ﺣﻘﻖ ﺗﻮﺣﺪ ﺍﻷﻣﺔ‪.‬‬

‫ﺃﻫﺪﺍﻑ ﺍﻟﺒﺤﺚ‪:‬‬ ‫ﺍﺳﺘﻬﺪﻑ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺇﱃ ﲢﻘﻴﻖ ﺍﻷﻫﺪﺍﻑ ﺍﻵﺗﻴﺔ‪:‬‬ ‫ﺴﻴ‪‬ﺮ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﺻﻼﺣﺎﺕ‪.‬‬ ‫‪ /1‬ﺍﻟ ﹶﻜﺸ‪‬ﻒ ﻋﻦ ﺟﻬﻮﺩﻩ ﺍﻟﻌ‪‬ﻈﻴﻤﺔ ﰲ ﺍﻟ ‪‬‬ ‫‪ /2‬ﺍﻟ ﹶﻜﺸ‪‬ﻒ ﻋﻦ ﹶﺃﺳ‪‬ﺎﻟﻴﺒﻪ ﻭﺃﺩﻭﺍﺭﻩ ﰲ ﺍﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣ‪‬ﺔ‪.‬‬

‫ﺃﳘﻴ‪‬ﺔ ﺍﻟﺒﺤﺚ‪:‬‬ ‫ﺕ ﺍﳌﺆﻟﻔﺎﺕ ﻗﺪﳝﺎ ﻭﺣﺪﻳﺜﺎ ﺣﺘ‪‬ﻰ ‪‬ﺩﻭ‪‬ﻥ ﰲ ﻛﺘﺎﺏ ﻣﺴﺘﻘ ﱢﻞ ‪ ،‬ﰲ ﺳﻴﺎﻕ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ‬ ‫‪ /1‬ﻛﹸﺜ ‪‬ﺮ ‪‬‬ ‫ﺾ ﺳﻴﺎﻕ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ‬ ‫ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻭﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀ‪‬ﺎﺭﺓ ‪ ،‬ﺑﻴﻨﻤﺎ ﳒﺪ ﻣﻌﻈﻤﻬﺎ ﱂ ﹸﳜ ‪‬‬ ‫ﻼ ﻭﻧﺎﺩﺭ‪‬ﺍ‪.‬‬ ‫ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣ‪‬ﺔ ﺇ ﱠﻻ ﻗﻠﻴ ﹰ‬ ‫‪ /2‬ﺃ ﱠﻥ ﺍﻷ ﻣ‪‬ﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴ‪‬ﺔ ﺍﻟﻴﻮﻡ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﺍﻻﻓﺘﺮﺍﻕ ﻭﺍﻟ‪‬ﻨﺰ‪‬ﺍﻉ‪ ،‬ﻓﻬﺬﻩ ﺍﻟﺮ‪‬ﺳﺎﻟﺔ ﻣﻦ ﺿﻤﻦ ﳕﻮﺫﺝ‬ ‫ﺟﻴ‪‬ﺪ‪ ،‬ﻭﺿ‪‬ﻊ ﻟﻠﻘﻴﺎﻡ ﺑﹶﺄ ‪‬ﻋﺒ‪‬ﺎﺋﻬﻢ ﺇﱃ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﻛﻠﻤﺘﻬﻢ‪.‬‬ ‫‪ /3‬ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺮ‪‬ﺳﺎﻟﺔ ﺗﻔﻴﺪ ﺍﻟﻨ‪‬ﺎﺱ ﲨﻴﻌﺎ ﻋﻦ ‪‬ﺧﻄﹸﻮﺍﺕ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﻌ‪‬ﻈﻴﻤﺔ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ‬ ‫ﺍﻟﻨ‪‬ﺎﺱ ﻋﻠﻰ ﻛﻠﻤﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ‪.‬‬ ‫ﺣﺪﻭﺩ ﺍﻟﺒﺤﺚ‪:‬‬ ‫ﺳﻮﻑ ﻳﻘﻮﻡ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﺑﺘﺤﺪﻳﺪ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻠﻰ ﺍﻟ‪‬ﻨﺤ‪‬ﻮ ﺍﻵﰐ‪:‬‬ ‫ﺃﻭ‪‬ﻻ‪:‬ﻣﻜﺎﻧ‪‬ﻴﺔ‪ :‬ﺍﻟ ‪‬ﺪﻭ‪‬ﻟﺔ ﺍﻷﻣﻮﻳ‪‬ﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ‪.‬‬ ‫ﺛﺎﻧﻴ‪‬ﺎ‪ :‬ﺯﻣﺎﻧ‪‬ﻴﺔ‪ :‬ﺍﺑﺘﺪﺍ ًﺀ ﺑﺘﻮﻟﻴ‪‬ﺘﻪ ﺍﳋﻼﻓﺔ ﺇﱃ ﺃﻥ ﺗﻮﻓﱠﺎﻩ ﺍﷲ ) ﻣﻊ ﻣﻼﺣﻈﺔ ﺍﳋﺮﻭﺝ ﻋﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﳊ ‪‬ﺪ‬ ‫ﺍﻟﺰ‪‬ﻣﺎﱐ ﻳﺴﲑ‪‬ﺍ ﺟﺪ‪‬ﺍ ﻟﻀ‪‬ﺮﻭﺭﺓ ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ(‪.‬‬ ‫ﺛﺎﻟﺜﹰﺎ‪ :‬ﺣﺪﻭﺩ ﻣﻮﺿﻮﻋ‪‬ﻴﺔ‪ :‬ﻳﺒﺤﺚ ﻋﻦ ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣ‪‬ﺔ‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫َﻣﻨْﻬﺞ ﺍﻟﺒﺤﺚ‪:‬‬

‫ﺳﻮﻑ ﻳﺴﻠﻚ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﺔ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘﺎﺭﳜﻲ ﺍﻟﺘﺤﻠﻴﻠﻲ ﺍﳌﻘﺎﺭﻥ ﻣﻌﺘﻤﺪ‪‬ﺍ‬ ‫ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺍﻟﻮﺛﺎﺋﻘﻲ ‪ ،‬ﻋﻠﻰ ﺣﺴﺐ ﺍﳋﻄﻮﺍﺕ ﺍﻵﺗﻴﺔ‪:‬‬ ‫ﺃ‪ - /‬ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘ‪‬ﺎﺭﳜﻲ‪ :‬ﻭﻫﻮ ﺗﺘﺒﱡﻊ ﺍﻷﺣﺪﺍﺙ ﻭﺍﻟﻮ‪‬ﻗﺎﺋﻊ ﺍﻟﺘ‪‬ﺎﺭﳜﻴ‪‬ﺔ‪ ،‬ﻭ ‪‬ﺳﺮ‪‬ﺩﻫﺎ ﲟﺎ ﻳﻮﺿ‪‬ﺢ ﻣﻼﺑﺴﺎﺕ‬ ‫ﺣﻴﺎﺓ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ‪ ،‬ﻭ ﻣﺎ ﻭﻗﻊ ﻟﻪ ﺃﻭ ﻣﻨﻪ ﻣﻦ ﺗﺼﺮﱡﻓﺎﺕ‪.‬‬ ‫ﺏ‪ -/‬ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟ‪‬ﺘﺤ‪‬ﻠﻴﻠﻲ‪ :‬ﻭﻫﻮ ﲢﻠﻴﻞ ﺍﻷﺣﺪﺍﺙ ﻭﺍﻟﻮﻗﺎﺋﻊ ﺍﻟﺘ‪‬ﺎﺭﳜﻴ‪‬ﺔ ﻟﻠﻜﺸﻒ ﻋﻦ ﺣ‪‬ﻘﺎﺋﻖ‬ ‫ﺸﺨ‪‬ﺼﻴ‪‬ﺎﺕ ﻭﺃﻗﻮﺍﳍﺎ‪ ،‬ﻭﻧ‪‬ﺘﺎﺋﺞ ﺗﺼﺮﱡﻓﺎ‪‬ﺎ‪.‬‬ ‫ﺍﻷﻣﻮﺭ‪ ،‬ﻭ ‪‬ﻣﻮ‪‬ﺍﻗﻒ ﺍﻟ ‪‬‬ ‫ﺸﺨ‪‬ﺼﻴ‪‬ﺎﺕ‪ ،‬ﻭ ‪‬ﻣﻮ‪‬ﺍﻗﻒ ﺍﳌﺆﺭ‪‬ﺧﲔ‬ ‫ﺝ‪ -/‬ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﳌﻘﺎﺭﻥ‪ :‬ﻭﻫﻮ ‪‬ﻣﻘﹶﺎﺭﻧﺔ ﺍﻻﺣﺪﺍﺙ‪ ،‬ﻭ ‪‬ﻣﻮ‪‬ﺍﻗﻒ ﺍﻟ ‪‬‬ ‫ﺻ ﹸﻞ ﺇﱃ ﹶﺃ ﹾﻗﺮ‪‬ﺏ ﺍﻷﻗﻮﺍﻝ ﺇﱃ‬ ‫ﻭﺁﺭﺍﺋﻬﻢ ‪‬ﺣﻮ‪‬ﻝ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ‪ ،‬ﻭﺍ ﹶﳍﺪ‪‬ﻑ ﻣﻦ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻘﺎﺭﻧﺔ‪ ،‬ﺍﻟﺘﻮ ﱡ‬ ‫ﺍﻟﺼ‪‬ﻮﺍﺏ ﻭﺍﳊﻘﻴﻘﺔ‪.‬‬

‫ﻧﺘﺎﺋﺞ ﺍﻟﺒﺤﺚ‪:‬‬ ‫ﺕ ﺍ ﳌﺆ ﻟﱠﻔﺎ ﺕ ﻗﺪﳝﺎ ﻭ ﺣﺪﻳﺜﺎ ﰲ ﺍ ﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍ ﻟﻌﺰﻳﺰ ﻭ ﺩ ﻭ ﺭ ﻩ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ‬ ‫ﻛﺜﺮ ‪‬‬ ‫ﺍﳊﻀﺎﺭﺍﺕ‪ ،‬ﺑﻴﻨﻤﺎ ﳒﺪ ﻣﻌﻈﻤﻬﺎ ﱂ ﻳﺘﻨﺎﻭﻝ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﻋﻦ ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣ‪‬ﺔ ﺇﻻ ﻗﻠﻴﻼ ﻭﻧﺎﺩﺭﺍ‪ .‬ﺗﺒﲔ ﻟﻨﺎ‬ ‫ﺍﻟﻨ‪‬ﺘﺎﺋﺞ ﺍﻟﱠﱵ ﺗﻮﺻ‪‬ﻠﺖ ﺇﻟﻴﻬﺎ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪ‪‬ﺭﺍﺳﺔ ﻣﻦ ﺃﹶﺳﺎﻟﻴﺐ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﰲ ﺍﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣ‪‬ﺔ‬ ‫ﻣﺎ ﻳﻠﻲ‪:‬‬ ‫ﺃﻭ‪‬ﻻ( ﺩﻭﺭﻩ ﺍﻟﺴ‪‬ﻴﺎﺳ ‪‬ﻲ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣ‪‬ﺔ ﻣﻊ ﻋﻤﻮﻡ ﺍﻟﻨ‪‬ﺎﺱ‪ ،‬ﻓﺈﺫﺍ ﺗﺄﻣﻠﻨﺎ ﻭﺍﻗﻊ ﺍﳊﻴﺎﺓ ﳍﺬﺍ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ‬ ‫ﺍﻷﻣﻮﻱ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻟﻨﺠﺪ ﺃﻥ ﻟﺪﻳﻪ ﺩﻭﺭﺍ ﻣﺜﺎﻟﻴﺎ ﺩﻗﻴﻘﺎ ﺟﺪﺍ ﺑﺎﻟﻨﺴﺒﺔ ﻟﻠﺨﻠﻔﺎﺀ ﺍﻷﺧﺮﻳﻦ ﰲ ﺍﻟﻌﺼﺮ‬ ‫ﺍﻷﻣﻮﻱ‪ .‬ﻭﻻ ﳜﻔﻰ ﻋﻠﻴﻨﺎ ﲨﻴﻌﺎ ﺑﺄﻧﻪ ﺭﺟﻞ ﻓﺬ ﻋﻤﻦ ﺳﺒﻘﻪ ﻣﻦ ﺇﺧﻮﺍﻧﻪ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ‪ ،‬ﺍﺑﺘﺪﺍﺀ ﻣﻦ ﺣﻴﺎﺗﻪ‬ ‫ﺍﻟﺸﺨﺼﻴﺔ‪.‬‬ ‫ﻭﻗﺪ ﻭﺟﺪﻧﺎ ﺃﻧﻪ ﻧﺸﺄ ﰲ ﺑﻴﺌﺔ ﺻﺎﳊﺔ ﻣﻦ ﺃﺳﺮﺓ ﺻﺎﳊﺔ‪ ،‬ﲜﺎﻧﺐ ﺃﻧﻪ ﺗﺮﰉ ﻋﻠﻰ ﺃﻳﺪﻱ ﺑﻌﺾ‬ ‫ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﻭﺍﳌﺮﺑﲔ ﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﺍﳌﺆﻣﻦ ﺍﻟﺮﺑﺎﱐ‪ ،‬ﻭﻗﺪ ﺃﻟﺰﻣﻪ ﻭﺍﻟﺪﻩ ﻣﻊ ﺻﻐﺮ ﺳﻨﻪ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺘﺰﺍﻡ ﺃﻭﺍﻣﺮ‬ ‫ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻭﻣﻦ ﰒ ﺍﺭﺳﻞ ﻭﺍﻟﺪﻩ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻠﻌﺰﻳﺰ ﺍﺑﻨﻪ ﻋﻤﺮ ﺑﻌﺪ ﺇﳊﺎﺥ ﰲ ﺍﻟﻄﻠﺐ ﻣﻨﻪ ﺇﱃ ﳎﻤﻮﻋﺔ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ‬ ‫ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ ﻟﻴﺘﺄﺩﺏ ﺑﺂﺩﺍ‪‬ﻢ‪ ،‬ﻭﻓﻌﻼ ﺍﻧﻐﺮﺳﺖ ﰲ ﻧﻔﺴﻪ ﺍﻟﺘﻘﻮﻯ ﻭﻗﻮﺓ ﺍﻹﳝﺎﻥ ﺑﺎﻛﻴﺎ ﺇﺫﺍ ﺫﻛﺮ ﻟﻪ ﺍﳌﻮﺕ‪.‬‬ ‫)ﺍﳌﺰﻱ‪ ،‬ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ‪1418 ،‬ﻫـ‪ ،‬ﺹ‪.(368 :‬‬ ‫ﻭﻛﺎﻥ ﺑﻼ ﺷﻚ ﺭﺟﻼ ﺗﺘﻮﺍﻓﺮ ﻟﺪﻳﻪ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻋﻄﲑﺓ ﺑﺎﺭﺯﺓ ﻭﻋﻘﻞ ﺳﺪﻳﺪ ﰲ ﺇﺩﺍﺭﺓ ﺍﻷﻣﻮﺭ‪،‬‬ ‫ﺑﺎﻹﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﺃﻧﻪ ﺫﻭ ﻣﻜﺎﻧﺔ ﻋﻠﻤﻴﺔ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻌﻠﻤﺎﺀ ﺣﻴﺚ ﺃﻗﺮﻭﺍ ﻟﻪ ﺑﺬﻟﻚ‪ ،‬ﻭﻗﺪ ﺷﺎﺀ ﻋﺒﺪ ﺍﳌﻠﻚ ﻳﺰﻭﺝ ﺍﺑﻨﺘﻪ‬ ‫ﻭﻫﻮ ﰲ ﻃﻠﺐ ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ ﰒ ﺃﻋﻄﻰ ﻟﻪ ﻧﻮﻋﺎ ﻣﻦ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻭﻫﻮ ﺗﻮﻟﻴﺘﻪ ﻋﻠﻰ ﺇﻣﺎﺭﺓ ﺻﻐﲑﺓ ﰲ‬ ‫ﺍﻟﺸﺎﻡ ﻫﻲ ﺧﻨﺎﺻﺮﺓ‪ ،‬ﰒ ﺟﺎﺀ ﺃﻳﺎﻡ ﺧﻠﻴﻔﺔ ﺍﻟﻮﻟﻴﺪ ﻟﻴﻮﱄ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﻣﺎﺭﺓ ﺑﺎﳌﺪﻳﻨﺔ‪) .‬ﳏﻤﺪ‬ ‫ﺳﻬﻴﻞ‪1421 ،‬ﻫـ‪ ،‬ﺹ‪.(136:‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻭﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻛﺎﻥ ﻣﻠﺠﺄ ﻟﻠﻨﺎﺱ ﻋﻨﺪ ﺧﺪﻭﺙ ﻛﻞ ﻣﺼﻴﺒﺔ ﺃﻭ ﺿﻐﻂ ﻣﻦ ﻗﺒﻞ‬ ‫ﺍﻟﺴﻼﻃﲔ ﻭﺫﻭﻱ ﺍﻟﻨﻔﻮﺫ‪ ،‬ﻷﻥ ﺃﻓﻌﺎﻟﻪ ﺍﻟﻄﻴﺒﺔ ﳐﺎﻟﻔﺔ ﻟﻠﻤﻨﻬﺞ ﺍﻷﻣﻮﻱ ﺍﻟﺴﺎﺋﺪ ﰲ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﻌﻬﺪ‪ ،‬ﻭﻣﺎ ﻟﺒﺚ‬ ‫ﻃﻮﻳﻼ ﺣﱴ ﺧﻠﻌﻪ ﺍﻟﻮﻟﻴﺪ ﻣﻦ ﺍﻹﻣﺎﺭﺓ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﻓﻬﻮ ﱂ ﳚﺪ ﺃﻱ ﻋﻤﻞ ﻭﻣﻨﺼﺐ ﻃﻴﻠﺔ ﺃﻳﺎﻡ ﺍﻟﻮﻟﻴﺪ‪،‬‬ ‫ﺣﱴ ﳎﺊ ﻋﻬﺪ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﳌﻠﻚ ﺍﻟﺬﻱ ﺟﺎﺀ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﻮﻟﻴﺪ ﻓﺠﻌﻠﻪ ﻣﻦ ﻛﺒﺎﺭ ﻣﺴﺘﺸﺎﺭﻳﻪ ﻭﺃﺻﺒﺢ ﺃﺷﺪ‬ ‫ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺛﻘﺔ ﺑﻪ ﺇﱃ ﺃﻥ ﻋﻬﺪ ﻟﻪ ﺑﺎﳋﻠﻴﻔﺔ ﺑﻌﺪ ﻭﻓﺎﺗﻪ ﺍﻟﺬﻱ ﻛﺎﻥ ﺑﺪﻭﻥ ﺳﻌﻲ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺇﻟﻴﻪ ﻭﻻ‬ ‫ﻃﻠﺐ ﻣﻨﻪ‪) .‬ﺍﻟﻄﱪﻱ‪ ،‬ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ‪ 1418 ،‬ﻫـ‪ ،‬ﺹ‪.(59 :‬‬ ‫ﻭﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﺭﺱ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ ﳌﻨﺼﺐ ﺧﻠﻴﻔﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺃﻧﻪ ﺟﺎﺀ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻘﺔ ﺑﻴﻌﺔ‬ ‫ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﻣﻬﻤﺎ ﺳﺒﻖ ﺗﻌﻴﻴﻨﻪ ﻛﺨﻠﻴﻔﺔ ﺑﻌﻬﺪ ﻣﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ‪ ،‬ﻟﻜﻦ ﻣﻊ ﺫﻟﻚ ﺭﻓﺾ ﻛﻞ ﺍﻟﺮﻓﺾ ﻭﺭﺩ ﻋﻠﻴﻪ‬ ‫ﺭﺩﺍ ﺷﺪﻳﺪﺍ ﻭﻃﺮﺡ ﻫﺬﺍ ﺍﻷﻣﺮ ﻟﻠﻤﺴﻠﻤﲔ ﲨﻴﻌﺎ ﻻﺧﺘﻴﺎﺭ ﻣﻦ ﻳﺮﻭﻥ ﻣﻨﺎﺳﺒﺎ‪ ،‬ﻓﻤﺎﳍﻢ ﻣﻦ ﻗﻮﻝ ﺇﻻ ﻗﺪﻣﻮﺍ‬ ‫ﻟﻪ ﺍﻟﺘﺮﺣﻴﺐ ﻭﺑﻴﻌﺔ ﺍﻷﻣﺔ ﺇﻳﺎﻩ‪ ،‬ﻭﻛﺎﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻔﻌﻞ ﺧﻠﻒ ﻟﻨﺎ ﺩﺭﺳﺎ ﳐﺎﻟﻔﺎ ﻋﻦ ﺗﻮﻟﻴﺔ ﺍﻟﻌﻬﺪ ﺍﻟﻮﺭﺍﺛﻲ‬ ‫ﺍﻟﺴﺎﺋﺪ ﰲ ﺍﻷﻳﺎﻡ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ‪) .‬ﺍﺑﻦ ﺍﻷﺛﲑ ‪ ،‬ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺍﻟﻜﺮﻡ‪1414 ،‬ﻫـ‪ ،‬ﺹ‪.(254 :‬‬ ‫ﻓﻠﻤﺎ ﺍﺳﺘﻘﺮﺕ ﻟﻪ ﺍﻟﺒﻴﻌﺔ ﺣﺎﻭﻝ ﺃﻥ ﻳﻔﻌﻞ ﺃﻗﺼﻰ ﺟﻬﻮﺩﻩ ﳓﻮ ﺍﻹﺻﻼﺣﺎﺕ ﻓﻜﺎﻥ ﺃﻭﻝ ﻣﺒﺎﺩﺭﺓ‬ ‫ﻣﻨﻪ ﻳﺘﺮﻛﻪ ﻣﺎ ﺃﻋﺪ ﻟﻠﺨﻠﻴﻔﺔ ﻣﻦ ﻣﺮﻛﺐ ﻭﻣﻠﺒﺲ ﲨﻴﻞ ﻭﻃﻌﺎﻡ ﻟﺬﻳﺬ‪ ،‬ﺣﱴ ﻣﺎ ﻭﺟﺪ ﰲ ﺯﻭﺟﺘﻪ ﻣﻦ ﺣﻠﻲ‬ ‫ﻭﺟﻮﻫﺮ ﻓﻘﺪ ﺃﻣﺮﻫﺎ ﺑﻮﺿﻌﻪ ﰲ ﺑﻴﺖ ﻣﺎﻝ ﳌﺴﻠﻤﲔ‪ ،‬ﻓﺎﺳﺘﻄﺎﻉ ﺃﻥ ﻳﻈﻬﺮ ﺣﺴﻦ ﲰﻌﺘﻪ ﻟﺪﻯ ﻋﻤﻮﻡ‬ ‫ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻠﺤﻈﺘﻪ ﺍﻷﻭﱃ‪ ،‬ﻭﺃﻳﻀﺎ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺭﺟﻊ ﻣﻦ ﺩﻓﻦ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﻭﲡﻬﻴﺰﻩ‪ ،‬ﺗﻮﺍﻓﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺍﳌﻈﻠﻮﻣﲔ‬ ‫ﻣﻦ ﺣﻘﻮﻗﻬﻢ ﻓﺠﺎﺅﻭﺍ ﻣﻄﺎﻟﱭ ﺭﺩ ﺣﻘﻮﻗﻬﻢ ﺍﻟﱵ ‪‬ﺒﺘﻬﺎ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺑﻐﲑ ﺣﻖ‪ ،‬ﻓﺄﺻﺪﺭ ﺃﻣﺮ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ‬ ‫ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺑﺮﺩ ﺍﳊﻘﻮﻕ ﺇﻟﻴﻬﻢ ﰲ ﺫﻟﻚ‪ ،‬ﻭﻟﻜﻦ ﺳﺎﺭ ﻋﻠﻰ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺎﺕ ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﺑﺘﺪﺭﺝ ﻭﺩﻭﻥ‬ ‫ﺍﺳﺘﻌﺠﺎﻝ ﺧﻮﻓﺎ ﻣﻦ ﺃﻥ ﻳﻘﻊ ﺑﻴﻨﻪ ﻭﺍﻷﺳﺮﺓ ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ ﻣﺸﺎﻛﻞ ﻟﻮ ﺩﻓﻌﻬﻢ ﺩﻓﻌﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ‪) .‬ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ‪ ،‬ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ‬

‫ﺑﻦ ﻛﺜﲑ‪1422 ،‬ﻫـ‪ ،‬ﺹ‪.(249:‬‬

‫ﻭﻗﺪ ﻭﻗﻒ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻣﻮﻗﻔﺎ ﺣﺎﺩﺍ ﻋﻠﻰ ﺗﺴﻴﲑ ﺃﻣﻮﺭ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﰲ‬ ‫ﺍﻟﺘﺴﻮﻳﺔ ﺑﲔ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﰲ ﺍﳊﻘﻮﻕ‪ ،‬ﻭﺭﺩ ﺍﻟﻈﺎﱂ ﺇﱃ ﺃﻫﻠﻬﺎ ﰲ ﺫﻟﻚ ﻭﻻ ﳜﺎﻑ ﻟﻮﻣﺔ ﻻﺋﻢ‪ .‬ﻭﻗﺎﻡ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ‬ ‫ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﰲ ﻣﺪﺓ ﺧﻼﻓﺘﻪ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﺻﻼﺣﺎﺕ ﻣﻦ ﻣﺘﻌﺪﺩﺓ ﺍﳉﻮﺍﻧﺐ ﺳﻮﺍﺀﺍ ﰲ ﺳﺪ ﺣﻮﺍﺋﺞ ﺍﻟﻨﺎﺱ‬ ‫ﻭﺇﻋﺎﻧﺔ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﻌﻮﺯ ﻭﺍﳊﺎﺟﺔ ﻭﲢﺮﻳﻚ ﺍﳊﺮﻛﺔ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ ‪ ..‬ﺇﱁ‪ ،‬ﳑﺎ ﺟﻌﻞ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻘﻠﲔ ﻋﻠﻴﻪ ﺑﺎﻧﻀﻮﺍﺋﻬﻢ‬ ‫ﲢﺖ ﻟﻮﺍﺋﻪ ﻭﻃﺎﻋﺘﻬﻢ ﺇﻳﺎﻩ‪) .‬ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ‪ ،‬ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻔﺮﺝ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﻋﻠﻲ‪ ،‬ﺩ‪.‬ﺕ‪ ،‬ﺹ‪(42:‬‬ ‫ﺛﺎﻧﻴ‪‬ﺎ( ﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺇﲬﹶﺎﺩ ﺣ‪‬ﺮﻛﺎﺕ ﻣﻨﺎﻭﺋﻲ ﺍﻟ ‪‬ﺪﻭ‪‬ﻟﺔ ﺍﻟﱠﺜﻮ‪‬ﺭﻳ‪‬ﺔ‪ ،‬ﻭﻟﻜﻲ ﻧﺮﻯ ﺍﻟﺒﻮﻥ ﺍﻟﺸﺎﺳﻊ ﻭﺍﻟﻔﺮﻕ‬ ‫ﺍﻟﻮﺍﺿﺢ ﺑﲔ ﺍﻟﻌﻬﺪﻳﻦ ) ﻋﻬﺪ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻭﻋﻬﺪ ﻏﲑﻩ ﻣﻦ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ( ‪ ،‬ﻓﻠﻨﻠﻔﺖ‬ ‫ﺃﻧﻈﺎﺭﻧﺎ ﺇﱃ ﻣﺎ ﺣﺪﺙ ﻣﻦ ﺍﻟﺜﻮﺭﺍﺕ ﺿﺪ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﲔ ﻗﺒﻠﻪ‪ ،‬ﻭﻗﺪ ﻭﺟﺪﻧﺎﻫﺎ ﻣﺘﺴﻠﺴﻠﺔ ‪‬ﺪﻑ‬ ‫ﺍﻟﻘﻀﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ‪ ،‬ﻭﻳﻜﺎﺩ ﺃﻥ ﳒﺪ ﻟﻜﻞ ﻋﻬﺪ ﺣﺮﻛﺔ ﺛﻮﺭﻳﺔ ﲟﻌﲎ ﺃﻥ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﱂ ﺗﻨﻌﻢ‬ ‫ﺑﺎﻻﺳﺘﻘﺮﺍﺭ ﺍﻟﻜﺎﻣﻞ ﻭﺍﻷﻣﻦ ﺍﻟﺘﺎﻡ‪.‬‬ ‫ﻭﺃﻣﺎ ﰲ ﺃﻳﺎﻡ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻓﺈﻧﻪ ﻳﻌﺮﻑ ﻛﻞ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ ﻣﺎ ﺳﺒﻘﻪ ﻣﻦ ﻋﺼﻮﺭ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ‬ ‫ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﻫﻢ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻋﻠﻰ ﻏﲑ ﺭﺿﺎﺀ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﺎﻣﺔ ﻭﻣﻦ ﻣﻌﺎﺭﺿﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻣﻦ ﺍﳋﻮﺍﺭﺝ‬ ‫ﻭﺍﻟﺸﻴﻌﺔ ﺧﺎﺻﺔ‪ ،‬ﻭﺃﻳﻀﺎ ﻗﺪ ﻋﻠﻢ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺑﺄﻥ ﺍﳋﻼﺀ ﻗﺒﻠﻪ ﱂ ﳚﺪﻭﺍ ﺣﺴﻦ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺔ ﺇﻻ‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﻟﺴﲑ ﻣﻊ ﻣﻨﺎﻭﺋﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺑﻘﻮﺓ ﺍﻟﺴﻴﻒ ﻭﺍﻟﺴﻼﺡ ﻭﺍﻟﻌﻨﻒ ﳑﺎ ﲪﻞ ﺍﺯﺩﻳﺎﺩ ﺷﺪﺓ ﻏﻀﺒﻬﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ‪.‬‬

‫) ﳏﻤﺪ ﻛﺮﺩ ﻋﻠﻲ‪ ،‬ﺩ‪.‬ﺕ‪ ،‬ﺹ‪(173 :‬‬

‫ﻭﺭﺃﻳﻨﺎ ﻣﻨﺎﻭﺋﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻗﺪ ﺃﺣﺪﺛﻮﺍ ﺣﺮﻛﺎ‪‬ﻢ ﺍﻟﺜﻮﺭﻳﺔ ﲡﺎﻩ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ‪‬ﺪﻑ ﺍﻟﻘﻀﺎﺀ ﻋﻠﻴﻬﺎ‬ ‫ﺇﺫﺍﺳﻨﺤﺖ ﳍﻢ ﺍﻟﻔﺮﺹ‪ ،‬ﻭﻛﺎﻧﺖ ﺳﻴﺎﺳﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﲡﺎﻩ ﻫﺆﻻﺀ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺑﺄﻥ ﻭﺿﻊ ﳍﻢ‬ ‫ﺳﻴﺎﺳﺎﺗﻪ ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﲤﺎﺷﻴﺎ ﻣﻊ ﺍﻟﻈﺮﻭﻑ ﻭﺍﻷﺣﻮﺍﻝ ﺍﻟﱵ ﻻﻓﻘﺘﻬﻢ ﰲ ﺗﻠﻚ ﺍﻷﻳﺎﻡ ﺍﻟﺴﺎﻟﻔﺔ‪ ،‬ﻭﺃﻣﺎ ﺳﻴﺎﺳﺎﺗﻪ‬ ‫ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﳓﻮ ﺍﻟﺸﻴﻌﺔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻣﻦ ﺿﻤﻦ ﻣﻨﺎﻭﺋﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻓﻴﻤﻜﻦ ﻣﻼﺣﻈﺘﻬﺎ ﻓﻴﻤﺎ ﻳﻠﻲ‪:‬‬ ‫ﺃﻭﻻ‪ :‬ﺇﺻﺪﺍﺭ ﺃﻣﺮﻩ ﻭﺗﻌﻤﻴﻤﻪ ﻋﻠﻰ ﲨﻴﻊ ﻭﻻﺗﻪ ﺑﺘﺮﻙ ﺍﻟﺴﺐ ﻷﻣﲑ ﺍﳌﺆﻣﻨﲔ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ‬ ‫ﻃﺎﻟﺐ‪ ،‬ﻭﻛﺎﻥ ﻫﺬﺍ ﳑﺎ ﻳﺴﺘﺄﻧﺲ ﻗﻠﻮﺏ ﺍﻟﺸﻴﻌﺔ ﻭﺑﺪﺃ ﺣﺒﻬﻢ ﺇﻳﺎﻩ‪ ،‬ﻭﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺔ ﻣﺎ ﺑﺪﺃ ‪‬ﺎ ﺃﺣﺪ ﻗﺒﻠﻪ‬ ‫ﻗﻂ‪ ،‬ﻓﻜﺎﻥ ﺍﻷﻣﻮﻳﻮﻥ ﻳﺴﺒﻮﻥ ﻋﻠﻴﺎ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﻛﺎﻟﺘﻘﻠﻴﺪ ﺍﻟﻮﺭﺍﺛﻲ‪ ،‬ﻭﻟﺬﻩ ﺍﺷﺘﺪ ﺍﻟﻐﻀﺐ ﻋﻠﻰ ﺃﻣﺮﺍﺀ‬ ‫ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻣﻦ ﻗﺒﻞ ﺷﻴﻌﺔ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ‪.‬‬ ‫ﺛﺎﻧﻴﺎ‪ :‬ﺭﺩ ﻓﺪﻙ ﺇﱃ ﻣﻄﺎﻟﺒﻴﻬﺎ ﻣﻦ ﺍﺑﻨﺎﺀ ﻓﺎﻃﻤﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ‪ ،‬ﻭﺃﻥ ﻓﺪﻙ ﳍﻲ ﻗﻀﻴﺔ ﻣﻬﻤﺔ‬ ‫ﺑﺎﻟﻨﺴﺒﺔ ﻟﻠﺸﻴﻌﺔ ﺍﻟﱵ ﻗﺪ ﺣﺮﻣﺖ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﻣﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻨﺼﻴﺐ ﻣﻨﺬ ﺯﻣﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺍﻟﺼﺪﻳﻖ ﻋﻠﻰ ﺃﺳﺎﺱ‬ ‫ﻣﻮﻗﻔﻪ ﺃ‪‬ﺎ ﻣﻦ ﻭﺭﺍﺛﺔ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ‪ ،‬ﻓﺎﻟﺮﺳﻮﻝ ﻻ ﻳﺮﺙ ﻭﻻ ﻳﻮﺭﺙ ﻣﺎ ﺗﺮﻛﻬﺎ ﺻﺪﻗﺔ‪،‬‬ ‫ﻭﻛﺎﻧﺖ ﻓﺪﻙ ﺍﻧﺘﻘﻠﺖ ﺇﱃ ﺃﻳﺪﻱ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺑﻌﺪ ﺇﻗﻄﺎﻋﻬﺎ ﻟﻪ ﻣﻦ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ ﻗﺒﻠﻪ‪ ،‬ﻓﻜﺎﻥ‬ ‫ﻳﺮﻯ ﺣﺴﻨﺎ ﻭﻟﺰﺍﻣﺎ ﺭﺩﻫﺎ ﺇﱃ ﻣﻄﺎﻟﺒﻴﻬﺎ ﻓﺒﺪﺃﻭﺍ ﳛﺒﻮﻧﻪ ﻭﳝﺪﺣﻮﻧﻪ‪.‬‬ ‫ﺛﺎﻟﺜﺎ‪ :‬ﺇﻋﻄﺎﺀ ﺍﻟﺮﺯﻕ ﳌﻮﺍﱄ ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺣﺮﻣﺖ ﻋﻠﻴﻬﻢ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﻧﺼﺒﺔ‬ ‫ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﻏﲑﻫﻢ ﻳﺘﻠﻘﻮﻥ ﳍﺎ‪ ،‬ﺇﺫ ﻟﻮ ﻻ ﺃ‪‬ﻢ ﻣﻮﺍﱄ ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﳊﺼﻠﻮﻫﺎ‪ ،‬ﻓﻨﻈﺮ ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ‬ ‫ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻧﻈﺮﺓ ﺳﻴﺎﺳﺔ ﰲ ﺣﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﺸﻜﻠﺔ ﺑﺄﻥ ﺃﻋﻄﻰ ﳍﻢ ﺍﻟﺮﺯﻕ‪.‬‬ ‫ﻭﺃﻣﺎ ‪‬ﺠﻪ ﻣﻊ ﺍﳋﻮﺍﺭﺝ ﻓﺈﻧﻪ ﺳﺎﺭ ﻣﻌﻬﻢ ﺳﺒﻞ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﻭﻓﺘﺢ ﳍﻢ ﺳﺒﻞ ﺣﺮﻳﺔ ﺍﻟﺮﺃﻱ ﻭﺇﻗﻨﺎﻋﻬﻢ‬ ‫ﺑﻘﻮﺓ ﺍﻟﱪﺍﻫﲔ ﻭﺍﳊﺠﺞ‪ ،‬ﻓﺤﺪﺙ ﺣﻮﺍﺭ ﻭﺗﻔﺎﻭﺽ ﺑﻴﻨﻪ ﻭﺑﲔ ﺍﳋﻮﺍﺭﺝ ﺇﱃ ﺍﳊﺪ ﺍﻟﻨﻬﺎﺋﻲ ﻓﺸﻬﺪ ﺃﺣﺪ‬ ‫ﺍﳋﻮﺍﺭﺝ ﺑﺄﻥ ﻋﻠﻰ ﺍﳊﻖ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺟﺮﻯ ﺑﻴﻨﻬﻢ ﻭﺑﻴﻨﻪ ﰲ ﻧﻘﺎﻁ ﻣﻨﺎﻗﺸﺎﺕ ﳍﺪﻑ ﺍﻟﺼﻼﺡ ﻭﺍﻹﺭﺿﺎﺀ‪،‬‬ ‫ﻭﻫﺬﻩ ﻛﺎﻧﺖ ﻣﻦ ﺿﻤﻦ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺎﺕ ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﻭﺍﻷﺳﺎﻟﻴﺐ ﺍﻟﻘﻴﻤﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ‬ ‫ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﻳﺘﺒﻌﻬﺎ ﻻﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﻗﻠﻮﺏ ﻣﻨﺎﻭﺋﻲ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ‪ ،‬ﻓﺘﻌﻠﻘﺖ ﺑﻪ ﻗﻠﻮ‪‬ﻢ ﻭﺃﺳﻜﺖ ﺃﺻﻮﺍ‪‬ﻢ‬ ‫ﺍﻟﺜﻮﺭﻳﺔ ﻃﻴﻠﺔ ﻋﺼﺮﻩ‪) .‬ﺃﲪﺪ ﺷﻠﱯ‪ ،1996 ،‬ﺹ‪(254 :‬‬ ‫ﺛﺎﻟﺜﹰﺎ( ﺗﺒﻴ‪‬ﻦ ﻟﻨﺎ ﻧﺘ‪‬ﺎﺋﺞ ﺳﻴﺎﺳﺎﺕ ﺳﻴ‪‬ﺪﻧﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ‪ ‬ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﺍﻟﻮ‪‬ﺣﻴﺪﺓ ‪‬ﺣﻴ‪‬ﺎﻝ ﺍﻟﻨ‪‬ﺎﺱ‬ ‫ﲨﻴﻌﺎﺀ‪ ،‬ﺑﺄ‪‬ﻢ ﺭﺍﺿﻮﻥ ﻋﻦ ﺣﻜﻤﻪ ﻭ ‪‬ﻋﺪ‪‬ﻝ ﺧ‪‬ﻼﻓﺘﻪ‪ ،‬ﻭﱂ ﲣﺮﺝ ﻋﻠﻴﻪ ﻃﺎﺋﻔﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﻨ‪‬ﺎﺱ ﺇ ﱠﻻ ﺳﺎﺭ ﻣﻌﻬﻢ‬ ‫ﲝﺴﻦ ﺍﻟﺴﲑ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺍ‪‬ﺎ‪‬ﺔ ﺑﺎﻟﺴﻴﻒ ﻭﻗﻮﺓ ﺍﻟﺴﻼﺡ ﺍﻟﺬﻱ ﺍﻋﺘﺎﺩ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﻮﻥ‪ ،‬ﻭﻗﺪ ﺑﻠﻐﺖ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ‬ ‫ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ ﰲ ﻋﻬﺪﻩ ﺃﻭﺝ ﺍﻟﺘﻤﺪﻥ ﻭﳕﻮ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ‪ ،‬ﻓﻀﻼ ﻋﻦ ﻛﻮ‪‬ﻢ ﻋﻠﻰ ﺃﺟﻮﺍﺀ ﺍﻹﺳﺘﻘﺮﺍﺭ ﻭﺍﻷﻣﻦ ﰲ‬ ‫ﻇﻞ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪ ﺍﳋﺎﻣﺲ‪ ،‬ﺑﺎﻟﺮﻏﻢ ﺃﻥ ﻣﺪﺓ ﺧﻼﻓﺘﻪ ﻗﺼﲑﺓ ﺣﻮﺍﱄ ﺳﻨﺘﲔ ﻭﺑﻀﻌﺔ ﺃﺷﻬﺮ ﻭﻟﻜﻦ‬ ‫ﻛﺎﻧﺖ ﻛﺜﲑ ﺍﻹﺻﻼﺣﺎﺕ‪ ،‬ﻭﻋﻠﻴﻪ ﻧﺴﺘﻄﻴﻊ ﺃﻥ ﻧﻨﺤﺼﺮ ﺑﻌﺾ ﻧﺘﺎﺋﺞ ﺳﻴﺎﺳﺎﺕ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ‬ ‫ﺍﻹﺻﻼﺣﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﻘﺎﻁ ﺍﻟﺘﺎﻟﻴﺔ‪:‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺃﻭﻻ‪ :‬ﺍﻟﺘﻄﻮﺭ ﺍﻹﺩﺍﺭﻱ ﺣﻴﺚ ﺃﻧﻪ ﺃﻋﻄﻰ ﺍﻟﻌﻤﺎﻝ ﻣﺎ ﻳﻐﻨﻴﻬﻢ ﻋﻦ ﺍﳋﻴﺎﻧﺔ ﺣﱴ ﻳﺘﻔﺮﻏﻮﺍ ﰲ‬ ‫ﺃﻋﻤﺎﻝ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﻗﺎﻧﻌﲔ ﻣﻄﻤﺌﻨﲔ‪ ،‬ﻭﻻ ﻳﺮﻳﺪ ﺃﻥ ﻳﺸﻐﻠﻬﻢ ﺃﺷﻴﺎﺀ ﺃﺧﺮﻯ‪ ) ،‬ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﳊﻜﻢ‪ ،‬ﺃﰊ ﳏﻤﺪ ﻋﺒﺪ‬

‫ﺍﷲ‪ ،1904 ،‬ﺹ‪(43 :‬‬

‫ﺛﺎﻧﻴﺎ‪ :‬ﺍﻟﺮﺧﺎﺀ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻱ ﺣﻴﺚ ﺍﻧﺘﻘﻠﺖ ﺍﳊﺎﻟﺔ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ‬ ‫ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺇﱃ ﻣﺴﺘﻮﻯ ﺍﻟﺪﻫﺸﺔ‪ ،‬ﺇﺫ ﺃﻥ ﺣﺎﻟﺔ ﺍﻟﻔﻘﺮ ﻭﺍﳊﺎﺟﺔ ﺍﺧﺘﻔﺖ ﰲ ﻋﺼﺮﻩ ﺯﱂ ﻳﻌﺪ ﳍﺎ ﻭﺟﻮﺩ ﺗﻘﺮﻳﺒﺎ‬ ‫ﺣﱴ ﻛﺎﻥ ﺩﺍﻓﻊ ﺍﻟﺰﻛﺎﺓ ﻻ ﳚﺪ ﻣﻦ ﻳﺄﺧﺬﻫﺎ ﻣﻨﻪ‪) .‬ﺃﲪﺪ ﺷﻠﱯ‪ ،1996 ،‬ﺹ‪.(89 :‬‬ ‫ﺛﺎﻟﺜﺎ‪ :‬ﺍﻟﻮﺋﺎﻡ ﺍﻹﺟﺘﻤﺎﻋﻲ‪ ،‬ﺣﻴﺚ ﺍﺳﺘﻄﺎﻉ ﻫﺬﺍ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﺟﻠﺐ ﺍﻟﺴﻼﻡ ﻭﺍﻟﺮﺿﺎﺀ ﻟﻜﻞ ﻃﺒﻘﺎﺕ‬ ‫ﺍﻟﺸﻌﺐ ﻭﻳﺸﻬﺪﻧﺎ ﰲ ﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﻗﺎﻝ ﺃﺣﺪ ﺳﻜﺎﻥ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺣﻴﻨﻤﺎ ﻳﺼﻒ ﺣﺎﻟﺔ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﺃﻣﺎﻡ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ‬ ‫ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻭﻫﻮ ﻻ ﻳﻌﺮﻓﻪ ﻗﺎﺋﻼ‪)) :‬ﻏﲏ ﺗﺮﻛﺖ ﺍﳌﺪﻳﻨﺔ ﻭﺍﻟﻈﺎﱂ ‪‬ﺎ ﻣﻘﻬﻮﺭ‪ ،‬ﻭﺍﳌﻈﻠﻮﻡ ‪‬ﺎ ﻣﻨﺼﻮﺭ ﻭﺍﻟﻐﲏ ‪‬ﺎ‬ ‫ﻣﻨﺼﻮﺭ ‪) ((...‬ﺃﲪﺪ ﺷﻠﱯ‪ ،1996 ،‬ﺹ‪.(90 :‬‬ ‫ﻭﺍﻷﺧﺺ ﺑﺎﻟﺬﻛﺮ ﺃﻥ ﺳﻴﺎﺳﺎﺗﻪ ﺍﺳﺘﻄﺎﻋﺖ ﺍﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﻛﺎﻥ ﻣﻔﺘﺮﻗﺎ‪ ،‬ﺣﱴ‬ ‫ﺍﳋﻮﺭﺝ ﺍﻧﻀﻤﻮﺍ ﲢﺖ ﻟﻮﺍﺀ ﻗﻴﺎﺩﺓ ﻫﺬﺍ ﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻭﱂ ﳜﺎﻟﻔﻮﻩ ﻭﻫﻢ ﺃﻛﱪ ﺍﳌﺨﺎ ﻟﻔﲔ ﻛﻤﺎ ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ‪ )) :‬ﻣﺎ‬ ‫ﻳﻨﺒﻐﻲ ﻟﻨﺎ ﺃﻥ ﻧﻘﺎﺗﻞ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺮﺟﻞ(( ﻳﻌﲏ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ‪ ،‬ﻭﻛﺎﻥ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻃﻴﻠﺔ ﺃﻳﺎﻡ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ‬ ‫ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺳﻌﺪﺍﺀ ﺑﺼﻨﻴﻌﻪ ﻭﻟﻴﺲ ﻋﺠﻴﺒﺎ ﺇﺫﺍ ﻛﺎﻧﺖ ﻗﺒﻮﺭ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻷﻣﻮﻳﲔ ﻗﺪ ﻧﺸﺒﺖ ﺑﻌﺪ ﻗﻴﺎﻡ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ‬ ‫ﺍﻟﻌﺒﺎﺳﻴﺔ‪ ،‬ﻭﻗﱪ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻻ ﻳﺰﺍﻝ ﳏﺘﺮﻣﺎ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ‪ .‬ﻭﻫﺬﻩ ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ ﺗﻜﺸﻒ ﻟﻠﺒﺎﺣﺚ ﻧﻔﺴﻪ‬ ‫ﻭﻟﻶﺧﺮﻳﻦ ﻋﻦ ﺩﻭﺭ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﻠﻰ ﻛﻠﻤﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﺘ‪‬ﻮﺻﻴ‪‬ﺎﺕ‪:‬‬ ‫ﰲ ﺭﺃﻱ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺣﺎﻭﻝ ﺃﻥ ﲨﻊ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﺍﳌﺘﻌﻠﻘﺔ ﺑﻌﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺧﺎﺻﺔ ﻓﻴﻤﺎ ﻳﺘﻌﻠﻖ‬ ‫ﺑﺄﻣﻮﺭ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﺑﻌﺪ ﻣﺎ ﺍﻓﺘﺮﻗﻮﺍ‪ ،‬ﺃﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﻣﻦ ﺍﳌﻮﺍﺿﻊ ﺫﺍﺕ ﺍﻷﳘﻴﺔ ﺟﺪﺍ ﻻ ﺳﻴﻤﺎ ﻇﺮﻭﻓﻨﺎ‬ ‫ﰲ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺍﳊﺎﺿﺮ ﻣﻦ ﺍﻓﺘﺮﺍﻕ ﺍﻷﻣﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ‪ ،‬ﻭﻳﻜﺎﺩ ﺃﻥ ﳒﺪ ﻛﻞ ﳎﺘﻤﻊ ﺍﺳﻼﻣﻲ ﻓﻴﻪ ﺍﻟﺘﻔﺮﻗﺔ‪ ،‬ﻭﰲ‬ ‫ﺍﳋﺘﺎﻡ ﺃﺭﺍﺩ ﺍﻟﺒﺎﺣﺚ ﺃﻥ ﻳﻮﺻﻲ ﻧﻔﺴﻪ ﻭﲨﻴﻊ ﺇﺧﻮﺍﻧﻪ ﺍﻟﻘﺎﺭﺋﲔ ﺑﻌﺪﺓ ﻭﺻﺎﻳﺎ‪:‬‬ ‫ﺃﻥ ﻟﺪﻳﻨﺎ ﺃﳕﻮﺫﺟﺎ ﻓﺮﻳﺪﺓ ﺫﻭ ﻗﺪﻭﺓ ﺣﺴﻨﺔ‪ ،‬ﻓﻴﻨﺒﻐﻲ ﻟﻨﺎ ﺃﻥ ﻧﻘﺘﻔﻲ ﻭﻧﻠﺘﻤﺲ ﺁﺛﺎﺭ ﻟﻜﻲ ﻧﺴﺘﺮﺟﻊ‬ ‫ﲨﻊ ﻛﻠﻤﺔ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ ﰲ ﺍﻳﺎﻣﻨﺎ ﻫﺬﻩ‪ ،‬ﻓﻨﻘﺘﺪﻱ ﺳﻴﺪﻧﺎ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺣﻴﺚ ﺇﻧﻪ ﻣﺜﺎﻝ ﻟﻨﺎ ﺍﻟﻔﺮﻳﺪ‬ ‫ﻭﻗﺪﻭﺓ ﺍﺳﺘﻄﺎﻉ ﲨﻊ ﻛﻠﻤﺔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺧﺮﺟﻮﺍ ﻋﻠﻴﻪ‪ ،‬ﻭﻗﺪ ﺳﺎﺭ ﻋﻠﻰ ﻋﺪﺓ ﺍﻟﻄﺮﻕ ﻭﻣﺘﻨﻮﻉ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺎﺕ‬ ‫ﺍﳊﻜﻴﻤﺔ ﺍﻟﱵ ﻏﺎﻳﺘﻬﺎ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻟﻜﻠﻤﺔ ﻭﺍﺳﻜﺎﺕ ﺍﳊﺮﻛﺎﺕ ﺍﻟﺜﻮﺭﻳﺔ‪ ،‬ﻭﻛﺎﻥ ﻻ ﻳﻜﺘﻔﻲ ﺑﺴﻴﺎﺳﺘﻪ ﻓﺤﺴﺐ‬ ‫ﺑﻞ ﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺃﺣﺴﻦ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻋﻠﻤﻴﺎ ﻭﺳﻠﻮﻛﻴﺎ ﻭﻗﺪﻭﺓ ﺣﺴﻨﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻵﺭﺍﺀ ﺍﻟﻌﺎﻣﺔ ﳑﺎ ﺟﻌﻠﻪ ﻣﻌﺠﺒﺎ ﻭﳏﺒﺒﺎ‬ ‫ﻟﺪﻯ ﻋﺎﻣﺔ ﺍﻟﻨﺎﺱ‪) .‬ﺍﻟﻨ‪‬ﻮﻭﻱ‪ ،‬ﳏﻲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﺷﺮﻑ ﺩ‪.‬ﺕ‪ ،‬ﺹ‪(17 :‬‬ ‫ﻓﻨﺤﻦ ﲨﻴﻌﺎ ﻋﻠﻴﻨﺎ ﺃﻥ ﻧﻌﻤﻖ ﻏﺎﻳﺔ ﺍﻟﺘﻌﻤﻖ ﰲ ﺗﻠﻚ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺎﺕ ﺑﻮﺟﻪ ﺧﺎﺹ‪ ،‬ﻭﻻﺷﻚ ﺃﻥ ﲨﻊ‬ ‫ﺍﻟﻜﻠﻤﺔ ﺩﻭﺭﻧﺎ ﲨﻴﻌﺎ ﻻ ﻓﺮﻕ ﺑﲔ ﻓﻼﻥ ﻭﻓﻼﻥ‪ ،‬ﻓﻼ ﻧﻜﺘﻔﻲ ﺑﺎﻹﻋﺘﻤﺎﺩ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﺎﺕ ﺍﶈﻀﺔ‪ ،‬ﻷﻥ‬ ‫ﻫﻨﺎﻙ ﻭﺳﺎﺋﻞ ﺃﺧﺮﻯ ﻧﺴﺘﻄﻴﻊ ﺃﻥ ﻧﺴﺘﻌﲔ ‪‬ﺎ ﻟﻠﻮﺻﻮﻝ ﺇﱃ ﺍﳍﺪﻑ‪.‬‬


‫‪วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย‬‬

‫ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ‬ ‫ﺃﲪﺪ ﺷﻠﱯ‪1996) .‬ﻡ (‪ .‬ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﺍﻟﺘﺎﺭﻳﺦ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ‪ .‬ﺍﻟﻘﺎﻫﺮﺓ‪ .‬ﻣﻜﺘﺒﺔ ﺍﻟﻨﻬﻀﺔ ﺍﳌﺼﺮﻳﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ‪ ،‬ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺑﻦ ﻛﺜﲑ‪1422) .‬ﻫـ(‪ .‬ﺍﻟﺒﺪﺍﻳﺔ ﻭﺍﻟﻨﻬﺎﻳﺔ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ .‬ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﳊﻜﻢ‪ ،‬ﻋﺒﺪ ﺍﷲ‪ .(1904) .‬ﺳﲑﺓ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ‪ .‬ﺩﻣﺸﻖ‪ .‬ﻣﻜﺘﺒﺔ ﻭﻫﺒﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﺑﻦ ﺍﻷﺛﲑ‪ ،‬ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺍﻟﻜﺮﻡ‪1414) .‬ﻫـ(‪ .‬ﺍﻟﻜﺎﻣﻞ ﰲ ﺍﻟﺘ‪‬ﺎﺭﻳﺦ ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ ﺩﺍﺭﺇﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ‬ ‫ﺟﺎﺳﻢ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ‪2003) .‬ﻡ(‪ .‬ﻣﻮﺳﻮﻋﺔ ﺃﻋﻼﻡ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ‪ .‬ﺍﻷﺭﺩﻥ‪ .‬ﺩﺍﺭ ﺃﺳﺎﻣﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﳌﺰﻱ‪ ،‬ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ‪1418) .‬ﻫـ(‪ .‬ﻬﺗﺬﻳﺐ ﺍﻟﻜﻤﺎﻝ ﰲ ﺃﲰﺎﺀ ﺍﻟﺮﺟﺎﻝ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ .‬ﻣﺆﺳﺴﺔ ﺍﻟﺮ‪‬ﺳﺎﻟﺔ‪.‬‬ ‫ﳏﻤﺪ ﻛﺮﺩ ﻋﻠﻲ‪) .‬ﺩ‪.‬ﺕ‪،‬ﻁ(‪ .‬ﺍﻹﺳﻼﻡ ﻭﺍﳊﻀﺎﺭﺓ ﺍﻟﻌﺮﺑﻴﺔ ‪) .‬ﺩ‪.‬ﻁ(‪.‬‬ ‫ﺍﻟﻨ‪‬ﻮﻭﻱ‪ ،‬ﳏﻲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﺷﺮﻑ‪) .‬ﺩ‪.‬ﺕ(‪ .‬ﻬﺗﺬﻳﺐ ﺍﻷﲰﺎﺀ ﻭﺍﻟﻠﱡﻐﺎﺕ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ .‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴ‪‬ﺔ‪.‬‬ ‫ﺍﻟﻄﱪﻱ‪ ،‬ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﺮﻳﺮ‪ 1418) .‬ﻫـ( ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﻄﱪﻱ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ .‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ‪.‬‬ ‫ﻃﻘﻮﺵ‪ ،‬ﳏﻤﺪ ﺳﻬﻴﻞ‪ 1421) .‬ﻫـ(‪ .‬ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻷﻣﻮﻳﺔ‪ .‬ﺑﲑﻭﺕ‪ .‬ﺩﺍﺭ ﺍﻟﻨﻔﺎﺋﺲ‪.‬‬



วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

51

วิพากษหนังสือ / Book Review สิทธิของภริยาในการหยาและสิทธิที่พึงไดรับตามกฎหมายอิสลาม กรณีศึกษาจังหวัดปตตานี Wife’s Right on Divorce and Ancillary Claims in Islamic Law: A Case Study in Pattani Province ผูวิจัย ปที่พิมพ วิพากษโดย

: นายอับดุลเราะมัน เจาะอารง∗ : 2547 : นายมะยา ยูโซะ∗∗ : ซาการียา หะมะ∗∗∗

1. ปญหาและความเปนมาของการวิจัย สืบเนื่องจากการศึกษาของดลมนรรจนเมื่อป 2540 จะเห็นไดวาระดับการศึกษาของสตรีมุสลิมใน จังหวัดปตตานีทั้งวิชาศาสนาและวิชาสามัญยังอยูในเกณฑต่ําโดยเฉพาะความรูในเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับการใช ชีวิตคูและกฎหมายครอบครัวขาดความรูเรื่องสิทธิและหนาที่ที่อิสลามกําหนดใหแกนาง เชนสิทธิที่จะไดรับ คามะฮัร (ทรัพยสินคาสมรสที่สามีตองจายใหแกภริยาอันเนื่องจากสมรส) ที่ยังคางอยู คามุตอะฮ (ทรัพยสิน ที่สามีมีหนาที่ชําระใหแกภริยาที่ขาดจากการสมรสในขณะที่มีชีวิตอยูโดยผานการหยา) จากศาลในเขตสี่ จังหวัดชายแดนภาคใตของประเทศไทยเมื่อเกิดการหยาขาดจากการสมรส ซึ่งคามุตอะฮนั้นไดถูกละเลยใน บรรดาภริยามุสลิมสวนใหญ เพราะโดยทั่วไปแลวสามีจะเปนฝายหยาภริยา ดังนั้นในการวิจัยของอับดุลเราะ มันจึงไดนําทฤษฎีที่ศาสนาอิสลามไดบัญญัติไวในเรื่องสิทธิของภริยามุสลิมที่สามารถฟองหยาในกรณีตางๆ รวมถึงสิทธิที่พึงไดรับตามกฎหมายซึ่งเปนแนวคิดที่ยังไมมีการศึกษาวิเคราะหในกลุมสตรีมุสลิมในหลายๆ พื้นที่ทั่วโลกอยางชัดเจน ซึ่งเปนขาวดีสําหรับสตรีมุสลิมทั้งหลาย ดังนั้นเพื่อใหการศึกษามีควานชัดเจนมาก ขึ้นอับดุลเราะมันจึงเลือกศึกษาเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของมุสลิมในจังหวัดปตตานีซึ่งการศึกษาในเรื่องนี้ยังมี นอยโดยเฉพาะในเรื่องการใชสิทธิในการขาดจากการสมรสของภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานีและจังหวัด ใกลเคียงยังไมปรากฏขึ้นอยางชัดเจน อับดุลเราะมันจึงอยากศึกษาสาเหตุของการใชสิทธิในการดําเนินการ ใหขาดจากการสมรสของภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานีและสิทธิที่ภริยาไดรับจริงจากสามีหลังการหยา ซึ่ง ขณะทํ า วิ จั ย อั บ ดุ ล เราะมั น กํ า ลั ง เรี ย นในระดั บ ปริ ญ ญาโทหลั ก สู ต รศิ ล ปะศาสตร ม หาบั ณ ฑิ ต ของ มหาวิทยาลัยสงขลานคริน ทร ซึ่งผลการวิจัยที่ไ ดถูกจัดพิมพออกมาเปน รูป เลมวิทยานิ พนธมีความยาว ทั้งหมด 206 หนา ในวิทยานิพนธเลมนี้อับดุลเราะมันไดกําหนดวัตถุประสงคในการวิจัย 4 ขอดังตอไปนี้ 1. เพื่อศึกษาสาเหตุตางๆที่อิสลามอนุมัติใหภริยามุสลิมใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส 2. เพื่อศึกษาสาเหตุที่ภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานีใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส 3. เพื่อศึกษาสิทธิที่ภริยาพึงไดรับหลังการดําเนินการใหขาดจากการสมรสตามกฎหมายอิสลาม 4. เพื่อศึกษาสิทธิที่ไดรับจริงจากสามีหลังการใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสของ ภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานี ∗

นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาชะรีอะฮฺ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ∗∗∗ Ph.D. (in law) อาจารยประจําสาขาวิชาชะรีอะฮฺ และรองคณบดีฝายวิชาการ คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ∗∗


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

52

นิยามศัพทเฉพาะ 1. สิทธิในการหยา หมายถึงสิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส โดยวิธีการหยา ตัวเองหรือขอใหสามีหยานางดวยความสมัครใจ หรือโดยการจายคาตอบแทนใหแกสามีแลวใหสามีหยา หรือ โดยการฟองศาลเพื่อใหทั้งคูขาดจากการสมรสเมื่อนางมีเหตุผล 2. สาเหตุของการดําเนินการใหขาดจากการสมรส หมายถึงสาเหตุตางๆที่อิสลามอนุมัติใหภริยา ดําเนินการใหขาดจากการสมรสไดเพราะสามีมีขอบกพรองทางรางกาย หรือสติปญญา สามีมีความประพฤติ ที่ขัดตอศาสนาอิสลาม สามีไมสามารถอุปการะเลี้ยงดูภริยา สามีสาบสูญ 3. สิทธิที่พึงไดรับหลังการหยา สิทธิที่ภริยาพึงไดรับจากสามีหลังการดําเนินการใหขาดจากการ สมรสตามกฎหมายอิสลาม ซึ่งประกอบดวยคามุตอะฮ คาอุปการะเลี้ยงดูนางหากนางตั้งครรภ ที่อยูอาศัย และคาเลี้ยงดูบุตร 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ 2.1 การสมรส การสมรสเปนแนวทางการปฏิบัติของทานรอซูล (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม) และการปฏิเสธการสมรสถือ วาเปนการปฏิเสธคําสอนของอิสลาม เมื่อชายและหญิงทําการสมรสกันอยางถูกตองตามบทบัญญัติของ อิสลามแลวความสัมพันธระหวางทั้งสองก็จะเกิดขึ้นทันทีในลักษณะสิทธิและหนาที่ที่พึงปฏิบัติตอกันและกัน ซึ่งสิทธิของสามีภริยานั้นปรากฏใน 3 ลักษณะคือ 1. สิทธิรวมระหวางสามีภริยาซึ่งไดแกสิทธิที่ทั้งคูสามารถเสพสุขจากกันและกันได สิทธิในการ ปฏิบัติที่ดีตอกัน สิทธิในการรับมรดกของกันและกัน และสิทธิในการเกี่ยวดองกับญาติของกันและกัน 2. สิทธิของสามี ไดแก สิทธิที่จะเปนผูนําครอบครัว สิทธิในการที่จะไดรับการรักษาศักดิ์ศรีและ ทรัพยสิน สิทธิที่จะใหภริยารับผิดชอบงานในบาน ตลอดจนสิทธิที่จะใหภริยาตามไปอยูดวยเมื่อยายที่อยู อาศัย 3. สิทธิของภริยา ภริยามีสิทธิที่จะไดรับคาตอบแทนที่เรียกวามะฮัร และคาอุปการะเลี้ยงดู และ สิทธิที่จะไดรับการคุมครองจากสามีโดยการไดรับการปกปองจากสิ่ง ตางๆที่อาจทําใหภริยาไดรับความ เดือดรอนและเสียหายทั้งทางรางกาย จิตใจ และชื่อเสียง สิทธิที่จะไดรับการตอบสนองทางเพศ และสิทธิใน การที่จะอยูรวมกันดวยดี 2.2 การหยา อิสลามอนุมัติใหมีการหยาไดในกรณีที่สามีภริยาอยูดวยกันไมไดและไมมีทางแกไข ซึ่งสามีภริยา ตางขาดความรักและการใหเกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งการหยาตามกฎหมายอิสลามไดจําแนกประเภทออกเปน 4 ลักษณะดังนี้ 2.2.1 การหยาทีจําเปนตองกระทํา เมื่อมีความขัดแยงระหวางสามีภริยาโดยที่ทั้งสองไมมีทาง ปรองดองกันได หรือเมื่อสามีไดสาบานวาจะไมรวมประเวณีกับภริยา และไมไดกลับไปรวมประเวณีกับภริยา ภายใน 4 เดือน ซึ่งสามีสามารถกระทําไดโดยการคืนดีหรือหยาขาด 2.2.2 การหยาที่ควรกระทําซึ่งมี 2 กรณีคือ เมื่อสามีไมสามารถปฏิบัติหนาที่ดวยดีหรือสมบูรณและ เมื่อภริยากลายเปนบุคคลที่ไมซื่อสัตยตอสามี 2.2.3 การหยาที่หามกระทํา คือการหยาภริยาในชวงที่มีประจําเดือน หรือหยาภริยาที่มีโอกาส ตั้งครรภในชวงที่ไมมีประจําเดือน 2.2.4 การหยาที่ไมควรกระทํา คือการหยาที่นอกเหนือจากที่ไดกลาวมาแลวขางตน


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

53

โดยอิสลามกําหนดไววาการหยาสามารถกระทําไดใน 3 รูปแบบดังนี้คือ การหยาโดยความประสงค ของสามี การหยาโดยการตกลงกันระหวางสามีภริยา และการหยาโดยคําพิพากษาจากศาล 2.3 สาเหตุของการหยา โดยทั่วไปแลวการหยานั้นมาจากการสมรสที่ลมเหลวซึ่งอาจเปนผลมาจากปญหาตางๆเชน ปญหาเศรษฐกิจ ครอบครัว ปญหาความประพฤติและสุขภาพจิตของคูสมรส ปญหายาเสพติด ปญหาดานการศึกษาของคู สมรส ปญหาความแตกตางระหวางอายุของคูสมรส ปญหาเกี่ยวกับผูรวมอาศัยในบาน ปญหาเกี่ยวกับการมี เพศสัมพันธ เปนตน 2.4 สิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส กฎหมายอิสลามมิไดกําหนดสิทธิในการหยาแกสามีเพียงฝายเดียว แตเปนกฎหมายที่ยังกําหนดให ภริยามีสิทธิในการหยาดวยเชนกันแตตองอยูในขอบเขตที่ไดกําหนดไวเทานั้น ซึ่งภริยาอาจดําเนินการใหขาด จากการสมรสไดในกรณีตางๆดังนี้ 2.4.1 สิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสโดยการตกลงระหวางสามีภริยา 2.4.2 สิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสโดยการกําหนดเงื่อนไขกอนทําสัญญาสมรส 2.4.3 สิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสโดยไดรับมอบสิทธิจากสามี 2.4.5 สิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสเพราะสามีขาดคุณสมบัติตามที่ได กําหนดไวกอนทําสัญญาสมรส 2.4.6 สิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสโดยการฟองศาลเพราะภริยาไดรับ ความเดือดรอนอาจเนื่องมาจากการกระทํารุนแรงของสามี หรือกรณีสามีหายสาบสูญ สามีเปนหมัน และ สามีตองจําคุก หรือความบกพรองของสามีทางดานรางกายและสติปญญา สามีไมสามารถอุปการะเลี้ยงดู ภริยา และสามีไมจายมะฮัรใหภริยา 2.5 สิทธิของภริยาที่พึงไดรับหลังการหยา เมื่อการสมรสสิ้นสุดลง อดีตคูสมรสยังมีขอผูกพันหลายประการโดยสามีมีหนาที่ที่จะตองรับผิดชอบดังนี้ 5.1 ชําระมุตอะฮใหแกภริยาที่ขาดจากการสมรสเมื่อภริยาไมไดเปนเหตุทําใหการสมรสสิ้นสุดไป 5.2 ใหคาอุปการะเลี้ยงดูในกรณีที่มีการหยาแบบรอจอีย (สามีมีสิทธิกลับคืนดีกับภริยาไดตราบใด ที่ภริยายังอยูในชวงอิดดะฮ โดยไมตองสมรสใหมและไมตองจายมะฮัรใหม) 5.3 ใหคาที่อยูอาศัยในชวงอิดดะฮ (ชวงเวลาที่ภริยาตองรอคอยอันเนื่องจากขาดจากการสมรสโดย การหยาหรือการเสียชีวิตของสามี) หรือจนกวาภริยาคลอดเมื่อมีการตั้งครรภ 5.4 จายคามะฮัรที่คางชําระ นอกจากนี้ทั้งสามีและภริยายังมีสิทธิไดรับสวนแบงทรัพยสินที่ไดมาหลังการสมรส และสิทธิในการ เลี้ยงและดูแลบุตร และเมื่อสามีเสียชีวิต ภริยามีสิทธิที่จะไดรับมรดกจากสามี 3. วิธีดําเนินการวิจัย 3.1 รูปแบบการวิจัย วิจัยเรื่องนี้เปนวิจัยเชิงบรรยายแบบเก็บขอมูลครั้งเดียวเพื่อศึกษาสาเหตุตางๆที่อิสลามอนุมัติให ภริยามุสลิมใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสและสาเหตุตางๆที่ทําใหภริยามุสลิมในจังหวัด ปตตานีใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสตามกฎหมายอิสลามและสิทธิที่ไดรับจริงจากสามีหลัง การดําเนินการใหขาดจากการสมรส


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

54

3.2 ประชากรและกลุมตัวอยาง 3.2.1 ประชากรที่ใชในการศึกษาไดแกกลุมภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานีที่ใชสิทธิในกาดําเนินการ ใหข าดจากการสมรสในชว งวันที่ 1 มกราคม 2544 – 30 กัน ยายน 2545 คิดเปนเวลา 1 ป 9 เดือ น ซึ่ง สํานักงานคณะกรรมการประจําจังหวัดปตตานีไดอนุมัติในการใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส ใหแกกลุมภริยาทั้งหมดเปนจํานวน 218 ราย 3.2.2 การเลือกกลุมตัวอยาง กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัยไดมาจากการสุมตามขั้นตอนดังนี้ ผูวิจัย ไดแบงจังหวัดปตตานีเปน 4 เขตโดยยึดลักษณะพื้นที่ของอําเภอที่อยูใกลเคียงกันเขตละ 3 อําเภอ หลังจาก นั้นสุมกลุมตัวอยาง 25% ของแตละอําเภอเพื่อใหไดกลุมตัวอยางครอบคลุมทุกพื้นที่ ไดกลุมตัวอยางทั้งหมด จํานวน 52 คน 3.2.3 กลุมอิหมามผูมีสวนรับผิดชอบเกี่ยวกับการหยาโดยตรง โดยแบงกลุมอิหมามในหมูบานที่มี กรณีการขอหยาเปน 2 กลุม คืออิหมามที่อาศัยอยูใกลตัวอําเภอมากที่สุด และอิหมามที่อาศัยอยูไกลตัว อําเภอมากที่สุด หลังจากนั้นใชวิธีการสุมอยางงายโดยการจับ ฉลากกลุมละ 2 คน ไดกลุมตัวอยางจาก อิหมามทั้งหมด 48 คน 3.2.4 ประธานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีผูอนุมัติการหยาใหแกบรรดาภริยา มุสลิมที่ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสจํานวน 1 คน 3.2.5 ดาโตะยุติธรรมประจําศาลจังหวัดปตตานีผูมีสวนรับผิดชอบเกี่ยวกับการหยาโดยตรงของ ภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานีจํานวน 2 คน รวมกลุมตัวอยางที่ไดมาเพื่อการเก็บขอมูลที่จะศึกษาทั้งหมด 103 คน 3.3 วิธีการเก็บขอมูล ในงานวิจัยนี้มีการเก็บรวบรวมขอมูล 2 รูปแบบคือเปนขอมูลเอกสารและขอมูลภาคสนาม การเก็บ ขอมูลเอกสารนั้นผูวิจัยไดศึกษาจากคัมภีรอัลกุรอาน หะดีษ และตําราฟกฮ ในเรื่องที่เกี่ยวของกับหัวขอการ วิจัย สวนการวิจัยภาคสนามเปนขอมูลที่เกี่ยวของกับการใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสของ ภริยามุสลิมในจังหวัดปตตานี สาเหตุของการใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส อายุ อาชีพและ ระดับการศึกษาของสามีและของภริยาและขอบกพรองของสามีโดยการสัมภาษณกลุมตัวอยางภริยามุสลิม ในจังหวัดปตตานีที่ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสในระยะเวลา 1 ป 9 เดือน และไดสัมภาษณ กลุมอิหมามผูมีสวนรับผิดชอบเกี่ยวกับการสมรสในหมูบานของตน ประธานกรรมการอิสลามประจําจังหวัด ปตตานีและดาโตะยุติธรรมประจําศาลจังหวัดปตตานี 3.4 การวิเคราะหขอมูล การวิเคราะหขอมูลของการวิจัยเรื่องนี้เปนการวิเคราะหแบบทั้งเชิงปริมาณโดยใช SPSS ในการ คํานวณคาความถี่และรอยละ และเชิงคุณภาพเพื่อใชในการวิเคราะหขอมูลที่ไดจากการสัมภาษณ 4. ผลการวิจัย จากการวิเคราะหขอมูลที่ไดจากการวิจัยสามารถสรุปไดดังนี้คือ 1. ภริยาที่ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสมีอายุประมาณ 26-27 ป และอายุของสามี ประมาณ 33-34 ป 2. อาชีพของทั้งสามีและภริยาที่ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสสวนใหญประกอบ อาชีพรับจาง


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

55

3. ระดับการศึกษาของสามีภริยาที่ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสสวนใหญไมเกิน ระดับการศึกษาตอนตน 4. ขอบกพรองของสามีที่เปนสาเหตุการใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสของภริยา มุสลิมสวนใหญเกิดจากสาเหตุไมอุปการะเลี้ยงดูภริยา 5. การใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดกากการสมรสเปนการใชสิทธิในชวงที่เหมาะสมที่จะขาดจาก การสมรสคือชวง 5-6 ป ของอายุการสมรส 6. สิทธิที่ภริยาไดรับจริงหลังจากการขาดจากการสมรสต่ํากวาที่อิสลามกําหนด จากผลการวิ จั ย พบว า ป จจั ย ด า นระดับ การศึ ก ษาและอาชี พ ของคู ส มรสที่ ภ ริ ย าใช สิ ท ธิใ นการ ดําเนินการใหขาดจากการสมรสไมแตกตางกันและสิทธิที่ภริยาไดรับจริงจากสามีหลังจากการหยาในระดับ ต่ํากวาที่อิสลามกําหนด ซึ่งสอดคลองกับสมมุติฐานการวิจัย ความคิดเห็นของผูมีสวนรับผิดชอบเกี่ยวกับการหยาในเรื่องคําสอนที่เปดโอกาสใหสามีภริยาหยา กันไดของผูใหการสัมภาษณทั้งหมดไมตางกันคือทุกคนเห็นดวยกับคําสอนที่เปดโอกาสใหภริยาหยากันได พรอมกับเห็นดวยหากคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดใชมาตรการเขมงวดในเรื่องการหยา นอกจากนี้ ผูใหการสัมภาษณยังเห็นดวยกับการกําหนดขอบเขตสิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสได อยางอิสระ สวนขอเสนอแนะของภริยาแกคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีมีดังนี้ 1. เสนอแนะใหสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีใหความสําคัญกับภริยาที่ขอ ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส เพราะการมาฟองหยาที่สํานักงานคณะกรรมการอิสลาม ประจําจังหวัดปตตานีเปนปญหาที่ภริยาไมสามารถแกไขไดดวยตัวเองและไมสามารถที่จะอยูรวมกับสามี ตอไปไดอีก 2. ใหสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีใชระยะเวลาในการพิจารณาเรื่องการ ใชสิทธิในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสของภริยาใหนอยที่สุด 3. เสนอแนะใหสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีพิจารณาคํารองการใชสิทธิ ในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสของภริยาอยางจริงจัง 4. เสนอแนะใหสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีจัดอบรมแกผูสมรสบางเพื่อ เปนแนวทางในการปฏิบัติหนาที่ของคูสมรสอยางถูกตองตามคําสอนของอิสลาม 5. เสนอแนะใหสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีออกหนังสือเปนทางการวา สามีมีหนาที่อุปการะเลี้ยงดูบุตร 6. เสนอแนะใหสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานีลดคาธรรมเนียมในการฟอง หยา สวนการอภิปรายขอเสนอแนะของภริยาแกบรรดาสามีสามารถสรุปไดดังนี้ 1. เสนอแนะใหสามีมีความรับผิดชอบตอครอบครัวโดยเฉพาะคาอุปการะเลี้ยงดูภริยาและบุตร หากสามีไมยอมจายในขณะที่สามีมีความพรอ ม ศาลมีอํานาจบังคับใหสามีจายคาอุปการะเลี้ยงดูจาก ทรัพยสินของสามีใหแกภริยา หากสามียากจนและไมมีทรัพยสิน แลวภริยาฟองหยา ใหผูพิพากษาดูสภาพ ของภริยา หากภริยายากจนไมมีผูอุปการะเลี้ยงดู ผูพิพากษามีอํานาจที่จะใหภริยาขาดจากการสมรสได แต ถาหากภริยาเปนคนรวยหรือมีรายได ผูพิพากษาไมควรใหนางแยกออกจากสามี ภริยาตองใชทรัพยสินของ ตนเอง และเปนหนาที่ของสามีที่จะตองชดใชใหแกภริยาภายหลัง


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

56

2. เสนอแนะใหสามีอยาเอาเปรียบภริยามากเกินไป และอยาหาความสุขใหตนเองโดยไมคํานึงถึง ความเดือดรอนของภริยาและบุตร 3. เสนอแนะใหสามีมีความสํานึกที่จะปรับตัวและเขาใจความตองการของภริยาบางอยาเห็นแกตัว มากเกินไป 4. เสนอแนะใหสามีเปนตัวอยางที่ดีใหแกบุตรและเปนผูนําครอบครัวที่มีความรับผิดชอบ ใหความ รักความอบอุนแกครอบครัว 5. เสนอแนะใหสามีมีความรูสึกพึงพอใจกับสิ่งที่มีอยูและใหเกียรติแกภริยาในฐานะที่เปนเพศที่ ออนแอกวา 6. เสนอแนะใหสามีเปนคนเสมอตนเสมอปลาย ปฏิบัติตนใหอยูในกรอบของศาสนา 7. เสนอแนะใหสามีที่รูวาตัวเองไมสามารถอุปการะเลี้ยงดูภริยามากกวา 1 คน อยารีบรอนมีภริยาใหม 8. เสนอแนะใหสามีเปนตัวของตัวเอง ไมหูเบาตอคํายุยงของบุคคลอื่นและมีการตัดสินใจที่รอบคอบ 9. เสนอแนะใหชายที่ยังไมมีความพรอมที่จะรับผิดชอบและอุปการะเลี้ยงดูภริยาอยารีบรอนในการสมรส 10. เสนอแนะใหสามีสํานึกผิดในสิ่งที่ไดกระทํา กลับเนื้อกลับตัวเปนผูนําที่ดีของครอบครัว 11. เสนอแนะใหสามีเกรงกลัวตออัลลอฮฺและละหมาดใหครบ 5 เวลา งานวิจัยชิ้นนี้เปนกุญแจสําคัญที่จะเปดโอกาสใหสตรีมุสลิมไดเรียนรูและเขาใจถึงบทบาทหนาที่ และสิทธิของตนในระหวางการสมรส เพราะโดยทั่วไปแลวมุสลิมในหลายๆประเทศขาดความรูในดานนี้และ เขาใจไมลึกซึ้ง เราอาจเคยไดยินหลายๆคนพูดวาเมื่อหญิงสตรีแตงงานชีวิตของเขาก็อยูในบังคับบัญชาของ สามีเทานั้น ตนไมสามารถออกความคิดเห็นในเรื่องใดๆ ไดตองทําตามอยางเดียว เมื่อเปนเชนนี้จะทําใหฝาย ภริยารูสึกอึดอัดโดยเฉพาะเมื่อไดสมรสกับสามีที่ไรน้ําใจ ขาดความเมตตา หาความสุขใสตนอยางเดียว ทํา ใหเกิดปญหาในครอบครัวทีหลัง ซึ่งจริงๆแลวภริยามีสิทธิที่จะปกปองตนเองหากตองประสบกับชีวิตคูที่ไม เปนไปตามเปาหมายของการสมรสโดยทั่วไป แมวาการศึกษาของอับดุลเราะมันเปนการศึกษาที่ชวยใหกลุมภริยามุสลิมในพื้นที่จังหวัดปตตานี ไดตระหนักและเห็นความสําคัญตอชีวิตการสมรสและการใชสิทธิใหขาดจากการสมรส แตก็เปนการศึกษาที่ มุงเนนเฉพาะกลุมภริยาที่ใชสิทธิในการสมรสเทานั้นแตไมไดครอบคลุมถึงการศึกษาที่เกี่ยวของกับปจจัยหรือ องคประกอบตางๆทั้งกอนและในชวงชีวิตการสมรสซึ่งอาจมีผลตอความไมมั่นคงในชีวิตสมรสดวยเชนกัน ซึ่ง ปจจัยตางๆเหลานี้อาจประกอบดวย 1. ความสมดุลระหวางรายรับและรายจายของครอบครัวขณะสมรส 2. สาเหตุที่แตงงาน การตกลงกอนแตงงานกันและสภาพความเปนอยูจริงเมื่อแตงงาน 3. ความรูเรื่องการใชชีวิตคูในรูปแบบอิสลาม 4. สาเหตุของการหยาที่เกี่ยวของกับสามีโดยศึกษาจากสามี 5. ปญหาและความตองการของบุตรของผูหยาราง การวิจัยของอับดุลเราะมันเปนการวิจัยที่ผสมผสานระหวางงานวิจัยเอกสารและงานวิจัยภาคสนาม ซึ่งหากไมมีงานวิจัยภาคสนามในการศึกษาครั้งนี้อาจทําใหงานวิจัยไมคอยเปนที่นาสนใจมากนัก และในบท ที่ 2 ผูวิจัยไดกลาวถึงเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของกับสิทธิของสตรีในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส แตในหลายๆหัวขอที่ผูวิจัยยกมากลาวนั้นไมเกี่ยวของกับประเด็นหัวขอวิจัย อยางเชนเนื้อหาเกี่ยวกับความ เปนมาของการสมรส และหัวขอเรื่องสิทธิของสามีภริยาเมื่อเนื้อหาในเรื่องดังกลาวไมเกี่ยวของกับหัวขอเรื่อง วิจัยทําใหการนําเสนอเนื้อหาขาดความตอเนื่อง ซึ่งจะเห็นไดในบางตอนของบทที่ 2


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

57

สวนเครื่องมือที่ใชในการเก็บขอมูลนั้นเหมาะสมกับวัตถุประสงคของการวิจัยมากยกเวนหัวขอที่ใช สัมภาษณผูตอบแบบสอบถามที่ถามวา “ทานเห็นดวยหรือไมกับคําสอนที่เปดโอกาสใหสามีภริยาหยากันได” ซึ่งคําถามนี้ไมใชเปนประเด็นที่จะตองถามวาเห็นดวยหรือไมเห็นดวยเพราะเมื่อพูดถึงคําสอนของศาสนา อิสลามแลวหากอิสลามไดบัญญัติไวอยางชัดเจนวาอนุญาตใหสตรีที่มีสิทธิดําเนินการขาดจากการสมรสได ไมมีใครสามารถตอบไดวาไมเห็นดวยเพราะรูอยูแลวคําตอบตองเปนเชิงบวกอยางเดียวเทานั้น ฉะนั้นคําถาม ในขอนี้ไมใชคําถามที่สรางองคความรูใหมในงานวิจัยของอับดุลเราะมัน นอกจากนี้งานวิจัยในเรื่องสิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสเปนงานวิจัยที่ ศึกษาเฉพาะปญหาและพยายามอธิบายปญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับคูสามีภริยาที่ไมประสบความสําเร็จในชีวิต การแต ง งาน แตไ มไ ดคํา นึง ถึง สภาพแวดลอ มตา งๆที่อ าจมีผลอยางมากตอ การใชชีวิต ของคูสามีภ ริยา สภาพแวดลอมในที่นี้อาจหมายถึง เชื้อสายหรือตระกูลของสามีภริยา ระดับการศึกษาทั้งวิชาสามัญและวิชา พื้นฐานทางศาสนาที่ทุกคนตองรู เขาใจ และนําไปปฏิบัติในชีวิตจริงไดอยางถูกตอง ความรับผิดชอบของคู สามีภริยาตอหนาที่ในฐานะสมาชิกครอบครัว คานิยมในการแตงงาน สภาพทางเศรษฐกิจ สวนในเรื่องการวิเคราะหขอมูลที่ไดนั้นอับดุลเราะมันไดใชขอมูลมาวิเคราะหคาความถี่และรอยละ ของคําตอบที่ไดในแตละหัวขอ หากมีการเชื่อมโยงความสัมพันธระหวางสองตัวแปรเชน ระดับการศึกษาและ การใชสิทธิใหขาดจากการสมรส ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวกับการใชสิทธิหรือการหยาราง หรือ สุขภาพจิตของอดีตสามีภริยากับการหยาราง เปนตน นาจะทําใหงานวิจัยเปนที่นาศึกษามากยิ่งขึ้น แม ว า งานวิ จั ยชิ้ น นี้ไ ด ศึก ษาสถานการณ ก ารดํา เนิน การใหข าดจากการสมรสของบรรดาสตรี มุสลิมะฮในจังหวัดปตตานีคอนขางครอบคลุมในทุกพื้นที่ แตก็เปนเพียงพื้นที่ๆมีประชากรสวนใหญนับถือ ศาสนาอิสลาม มีความเปนอยูในสภาพแวดลอมและวิธีการดําเนินชีวิตแบบสังคมอิสลาม โดยเฉพาะอยางยิ่ง มีศาลที่ดําเนินการเกี่ยวกับเรื่องการหยาในมุมมองของอิสลามดวย แตสิ่งที่นาสังเกตก็คือขอมูลที่ไดจาก การศึกษาครั้งนี้สวนใหญเปนขอมูลของสามีภริยาที่ไมคอยมีการศึกษาทั้งภาควิชาศาสนา และภาควิชา สามัญ โดยระดับการศึกษาสูงสุดในบรรดาผูตอบแบบสอบถามการวิจัยคือไมเกินชั้น มัธยมศึกษาปที่ 3 นอกจากนี้คูสมรสที่ไดศึกษาไมไดผานการอบรมเชิงปฏิบัติการในเรื่องบทบาทและหนาที่ของสามีภริยาใน การใชชีวิตคู ซึ่งถือเปนเรื่องที่จําเปนอยางยิ่งกอนที่จะใหสามีภริยาไดดําเนินการสมรสเพื่อปองกันมิใหเกิด ปญหาการหยารางในภายหลังหรือพยายามใหมีกรณีการหยารางนอยที่สุดเทาที่จะทําได สิ่งนี้เปนหนาที่ของ คณะกรรมการที่จะตองวางนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปองกันหรือลดปญหาการหยารางใหนอยที่สุดโดย อาจเริ่มตั้งแตการตรวจสอบคุณสมบัติของคูสมรสโดยเฉพาะในปจจุบันหากเปนผูชายตองตรวจสอบดูวาเมา เหล า เจ า ชู ติ ด เชื้ อ เอดส และมี คุ ณ สมบั ติ เ หมาะที่ จ ะเป น สามี ห รื อ ไม หรื อ ถ า เป น ฝ า ยหญิ ง ก็ ใ ห มี ก าร ตรวจสอบเชนเดียวกัน ซึ่งคณะกรรมการประจําจังหวัดควรเขมงวดในเรื่องการอนุมัติการแตงงานใหมากกวา เดิม เพื่อจะไดใหครอบครัวและสังคมมุสลิมอยูอยางมีความสุขและเปนที่ยกยองในสายตาของผูที่นับถือ ศาสนาอื่นๆ ฉะนั้นการวิจัยในเรื่องสิทธิภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรสควรนํามาศึกษาในกลุม ครอบครัวมุสลิมในพื้นที่ๆมีประชากรมุสลิมเปนกลุมนอยเพื่อใหเห็นความแตกตางระหวางสภาพแวดลอม ทางสังคมที่แตกตางกันตอการปฏิบัติตนตอครอบครัวของชาวมุสลิมในแตละพื้นที่เพื่อจะไดหาแนวทาง แกปญหาของการจัดการชีวิตสมรสในแตละพื้นที่


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

58

ผลดีของขอมูลในหนังสือวิจัยมีดังนี้ 1. ทําใหผูวิจัยไดศึกษาหาความรูเกี่ยวกับกฎหมายอิสลามในเรื่องสิทธิของภริยาในการหยาและ สิทธิที่พึงไดรับหลังการหยาอยางละเอียด 2. เปดโอกาสใหมุสลิมะฮทุกคนไดเรียนรูในเรื่องสิทธิตางๆของสตรีที่เกี่ยวของกับการหยาและสิทธิ ที่ควรไดรับหลังการหยา 3. ทําใหไดทราบถึงปญหาครอบครัวของสังคมมุสลิมที่อาศัยอยูในจังหวัดปตตานีในสมัยนั้น 4. เมื่อทราบถึงปญหาที่พบจากการทําวิจัยเรื่องนี้ ผูที่มีสวนเกี่ยวของกับการหยารางและผูที่จะเปน สามีภริยาในอนาคตควรศึกษาและทําความเขาใจในเรื่องตางๆที่จําเปนตอการใชชีวิตสมรสเพื่อปองกันการ เกิดปญหาทีหลังหรือมีปญหานอยที่สุด ผลเสียของขอมูลในหนังสือวิจัย จริงๆแลวงานวิจัยเรื่องนี้มีขอมูลที่เปนผลดีตอบรรดามุสลิมทุกคนเพราะทําใหหลายคนที่ไมเคย ทราบเรื่องสิทธิของสตรีในการหยาเกิดความรูสึกอยากศึกษาอยากรูเรื่องนี้มากขึ้น สวนผลเสียของขอมูลที่ได นั้นอาจอยูในสวนที่ไดจากการทําวิจัยภาคสนามนั่นก็คือขอมูลเกี่ยวกับประวัติสวนตัวของสตรีหยารางและคู สมรส เพราะจะเห็นไดวาคูสมรสที่มีปญหาการหยารางทุกคูมีการศึกษาอยูในระดับต่ํามากคือไมเกินชั้น มัธยมศึกษาปที่ 3 ซึ่งจริงๆแลวศาสนาอิสลามสงเสริมใหการศึกษาและการเรียนรูตลอดชีวิตแตกลับไปเปน ในทางตรงกันขามทําใหมุสลิมโดยเฉพาะกลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ขาดความรูความเขาใจทั้ง ในเรื่องศาสนาและทักษะประสบการณชีวิตที่จําเปนจึงมีปญหาการหยารางเกิดขึ้นและนี่คือจุดออนของคู สมรสที่ไดศึกษาในครั้งนี้และผลเสียที่ตามมาก็คือทําใหผูอานตีความหมายโดยรวมวามุสลิมที่อาศัยอยูใน เขตจังหวัดปตตานีไมคอยมีการศึกษาซึ่งบงบอกถึงการขาดการพัฒนาทางดานคุณภาพชีวิตสงผลใหเกิด ปญหาตางๆทั้งระดับครอบครัวและสังคม ดังนั้นก็ไมแปลกที่จะเห็นปญหาครอบครัวแตกแยกในสังคมแบบนี้ สิ่งที่เปนผลกระทบตอสังคม งานวิจัยของอับดุลเราะมันเปรียบเสมือนกระจกเงาที่สะทอนใหเห็นสภาพความเปนอยูของมุสลิม ในจังหวัดปตตานีโดยรวมในชวงนั้น คนมุสลิมไมคอยมีการศึกษาสูงๆ ทั้งๆที่การศึกษาจําเปนมากตอการ ดํา เนิ น ชี วิต อย า งมี คุ ณ ภาพ บวกกั บ ค า นิ ย มที่ถื อ ว า การแต ง งานนั้น เปน เรื่ อ งงา ยๆที่ ทุ ก คนทํ า ไดโ ดยไม คํานึงถึงความสําคัญในเรื่องสิทธิและหนาที่ที่คูสามีภริยาตองรับผิดชอบเมื่อสมรสกันจึงกอใหเกิดปญหา ภายในครอบครัวทีหลังสุดทายสงผลกระทบตอบุตร เมื่อโตขึ้นอาจเปนเด็กที่มีปญหายาเสพติดทําใหเปน ภาระตอสังคมและชุมชนที่เด็กผูนั้นอาศัยอยู งานวิจัยในเรื่องสิทธิของภริยาในการหยาและสิทธิที่พึงไดรับหลังการหยาของอับดุลเราะมัน เปน งานวิจัยที่มีวัตถุประสงคสอดคลองกับงานวิจัยของขาพเจากลาวคือเพื่อศึกษาสิทธิของภริยามุสลิมในการ ดําเนินการใหขาดจากการสมรส สาเหตุที่อิสลามอนุมัติใหดําเนินการขาดจากการสมรส และสิทธิที่พึงไดรับ หลังการหยาตลอดจนสาเหตุของการหยาที่เกิดขึ้น อยางไรก็ตามการศึกษาของอับดุลเราะมันเปนการศึกษา สภาพการหยา รา งของสตรีมุสลิม ที่ อ าศัย อยูใ นบริ เ วณที่มีชุมชนมุสลิ มเปน สว นใหญ แตการศึก ษาของ ขาพเจานั้นศึกษาสภาพการหยารางของสตรีมุสลิมที่อาศัยอยูในจังหวัดที่มีประชากรมุสลิมไมมาก ทั้งนี้อาจ ทําใหขาพเจาสามารถมองเห็นขอแตกตางระหวางสภาพชีวิตของมุสลิมในสภาพแวดลอมที่ตางกันดวย


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

59

ผลที่ไดจากการวิจัย ผลจากการวิจัยของอับดุลเราะมันทําใหหลายฝายไดรับประโยชนดังนี้ 1. สตรีมุสลิมไดรับรูและเขาใจในสิทธิของตนในชีวิตสมรส 2. ทําใหไดรูถึงปญหาขั้นพื้นฐานที่กอใหเกิดการหยารางนั่นก็คือการขาดการศึกษาหรือมีการศึกษา ในระดับต่ํา ขาดความรูเชิงปฏิบัติการ 3. คณะกรรมการกลางอิสลามประจําจังหวัด อิหมามหรือผูเกี่ยวของควรนําผลที่ไดจากการวิจัยไป จัดเปนนโยบายเพื่อปองกันการเกิดปญหาการหยาราง 4. ทําใหมุสลิมทุกคนไดใหความสําคัญเกี่ยวกับการเรียนรูในเรื่องการใชชีวิตคู ซึ่งหากคิดวาการ แตงงานเปนเรื่องงายก็อาจทําใหครอบครัวมีปญหาภายหลังสุดทายสงผลกระทบตอบุตรทั้งทางดานสุขภาพ และสติปญญาอาจเปนภาระตอสังคมภายหลัง การวิเคราะหและพิจารณาจากหนังสือหรือที่เรียกวาวิจัยเอกสารของอับดุลเราะมันนั้นไดมีการ นําเสนอขอ มูลเปน หัว ขอ ยอยตางๆแตในบางหัวขอไมสอดคลองกับ วัตถุประสงคข องการวิจัยเชนผูวิจัย นํ า เสนอข อ มู ล ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ การสมรสเกื อ บครึ่ ง หนึ่ ง ของบทที่ ก ล า วถึ ง เอกสารที่ เ กี่ ย วข อ ง แต อ ธิ บ าย รายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิของสตรีและเหตุที่สามารถฟองหยาไดไมครอบคลุม ฉะนั้นขาพเจาจึงอยากทําให สวนนี้ชัดเจนกวาเดิมโดยเนนเรื่องสิทธิของสตรีในการหยาและเหตุหยาใหละเอียดและเขาใจไดงายเพื่อให สอดคลองกับวัตถุประสงคของการวิจัย เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ เนื่องจากวางานวิจัยของอับดุลเราะมันเปนงานวิจัยเอกสารและภาคสนามดังนั้นสําหรับงานวิจัย เอกสารอับดุลเราะมันไดใชอัลกุรอาน หะดีษ และตําราฟกฮฺที่เกี่ยวของกับการหยา และแนวทฤษฎีที่ใชในการ เก็บขอมูลนั้นอาศัยแนวคิดในเรื่องสิทธิของภริยาในการดําเนินการใหขาดจากการสมรส และสาเหตุของการ หยาที่เกิดขึ้นซึ่งอาจเปนสาเหตุที่เกี่ยวกับปญหาเศรษฐกิจครอบครัว ความประพฤติและสุขภาพจิตของคู สมรส ปญหายาเสพติด และปญหาดานการศึกษาของคูสมรสเปนตน



วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย บทความรายงานการวิจัย

61

การชันสูตรพลิกศพตามบทบัญญัติอิสลาม อับดุรรอฮมาน บินแวยูโซะ∗ อับดุลฮาลิม ไซซิง ∗∗ ซาฟอี บารู∗∗∗ บทคัดยอ การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาการรักษาเกียรติของศพและขอกําหนดของการชันสูตรพลิกศพ ตามบทบัญญัติอิสลาม ตลอดจนทัศนะของนักวิชาการมุสลิมในพื้นที่ตอการชันสูตรพลิกศพมุสลิมในประเทศไทย การศึกษาวิจัยในครั้งนี้เปนการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพโดยแบงการศึกษาออกเปน 2 วิธี คือวิจัยเอกสารซึ่งผูวิจัยได รวบรวมขอมูลจากคัมภีรอัลกุรอานและอัลหะดีษ ตลอดจนตําราและประมวลกฎหมายไทยที่มีความเกี่ยวของกับ การชันสูตรพลิกศพ และวิจัยภาคสนาม ซึ่งผูวิจัยไดรวบรวมขอมูลดวยวิธีการสัมภาษณเชิงลึกกับนักวิชาการ มุสลิมในพื้นที่ กลุมตัวอยางนักวิชาการมุสลิมในพื้นที่ ประกอบดวยตัวแทนจากคณะกรรมการอิสลามประจํา จังหวัดปตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา และตัวแทนจากสถาบันอุดมศึกษาอิสลามในพื้นที่ ทําการเลือกกลุม ตัวอยางแบบเจาะจง จํานวน 16 ทาน โดยวิเคราะหขอมูลใชวิธีวิเคราะห เชิงพรรณนา ผลของการวิจัยพบวาตาม หลักการอิสลามนั้นทุกคนลวนมีเกียรติและสิทธิแหงความเปนมนุษยเทาเทียมกัน ทั้งขณะยังมีชีวิตและหลังจาก เสียชีวิต อิสลามถือวามนุษยทุกคนลวนสืบเชื้อสายมาจากอาดัม  และสภาวะสุดวิสัยหรือมีความจําเปนจริง ตามบทบั ญ ญั ติ อิ ส ลามสามารถอนุ โ ลมให ชั น สู ต รพลิ ก ศพมุ ส ลิ ม ได โ ดยอาศั ย หลั ก นิ ติ ศ าสตร อิ ส ลามซึ่ ง ประกอบดวยหลักแหงความจําเปน และหลักแหงผลประโยชน นักวิชาการในพื้นที่สวนใหญมีทัศนะวาควรใหมี การชันสูตรพลิกศพมุสลิมในประเทศไทย หากทางรัฐมีความพรอมทั้งในดานระเบียบกฎหมายและบุคลากร ดวย เงื่อนไขกระบวนการและขั้นตอนในการชันสูตรพลิกศพมุสลิมนั้นตองไมขัดกับหลักศาสนา ผลจากการศึกษาวิจัย ครั้งนี้ทําใหเขาใจถึงบทบัญญัติอิสลามตอการชันสูตรพลิกศพมุสลิมไดชัดเจนยิ่งขึ้น และไดทราบถึงความตองการ ของนักวิชาการในพื้นที่ในการปฏิบัติตอการชันสูตรพลิกศพมุสลิมในประเทศไทยและไดขอเสนอแนะที่ดีเพื่อ พิจารณาเปนแนวทางในการปฏิบัติตอไป

นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาชะรีอะฮฺ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา. Ph.D. (Law) คณบดี คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา. ∗∗∗ M.A. (Education) รองอธิการบดีฝายบริหาร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา. ∗∗


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

62 ABSTRACT

The objective of the research is conducted to study the corps’s dignity and the performance on the post- mortem inquests on the Muslims corps in accordance to Islamic Regulations. In addition, this research attempts to study the viewpoint of Muslim scholars in the area on the post- mortem inquests on the Muslim’s corpse in Thailand. This qualitative research is using two main methods; documentary research is collected data from different sources include Al-Quran, Al-Hadith as well as Thai post-mortem law reference books and field research is collected data using In depth Interview with Muslim scholars in the area. The sample group consisted of 16 Muslim scholars; representatives for Provincial Islamic Committee in the area; Pattani, Yala, Narathiwat and Songkhla and representatives for Islamic higher education institutions in the area. The data was analyzed by description analysis. The result revealed that everyone is equal in dignity, humanity right because in the Islamic concept regarded as all humanity are from Adam . The post-mortem inquests on Muslim corpses in Islamic regulation should be based on the Islamic jurisprudence principles of necessity and interest. Majority of the Muslim scholars’ view that the post-mortem inquests on Muslim corpses in Thailand should be allowed if there is the complete rule and staff for post-mortem inquests on Muslim corpses arranged by the government and conform to the Islamic concept. This research helps to distinctly understand the performance on the post-mortem inquests on the Muslims corps in accordance to Islamic Regulation and the need of the Muslim scholars and their useful suggestion be consider as new basic for the performance on the post- mortem inquests on the Muslims corps in accordance to Islamic Regulation in Thailand


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

63 บทนํา

การชันสูตรพลิกศพเปนกระบวนการที่ตองปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 148 ถึง 156 ผลของการชันสูตรพลิกศพถือเปนพยานทางการแพทยที่สําคัญ และมีบทบาทอยางยิ่งตอการ ดําเนินการทางศาลยุติธรรม เนื่องจากสามารถพิสูจนความจริงไดดวยกระบวนการทางวิทยาศาสตร ตางจาก ขอเท็จจริงที่ไดจากการสอบปากคํา เชนเดียวกับการพิสูจนหลักฐานจากสถานที่เกิดเหตุซึ่งอาจกลับคํา หรือ บิดเบือนไดโดยงาย การชันสูตรพลิกศพสามารถสรางพยานหลักฐานไดครบ 3 ประการคือ พยานบุคคล พยาน เอกสาร และพยานวัตถุ (วิรัติ พาณิชยพงษ, 2542, หนา: 1-2). นอกจากนั้น การชันสูตรพลิกศพยังชวยใหมี การศึ ก ษาค น คว า และพั ฒ นาวิ ช าทางการแพทย ใ นการเยี ย วยารั ก ษาคนป ว ยอย า งถู ก วิ ธี มี คุ ณ ภาพและมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามหลักศาสนาอิสลาม การชันสูตรพลิกศพมุสลิมที่เสียชีวิตแบบปกติยอมทําไมได เนื่องจาก หลักศาสนาที่ตั้งอยูบนพื้นฐานการใหเกียรติและคุมครองคุณคาอันสูงสงของความเปนมนุษยเทานั้น มนุษยใน สภาวะที่เปนศพไรวิญญาณศาสนาอิสลามก็ยังคงถือวาเกียรติและความประเสริฐของความเปนมนุษยยังคงมี อย า งสมบูร ณ กฎเกณฑ ตา งๆ ในการปฏิ บั ติ ต อ ผู ต ายจะต อ งคอยระมั ด ระวั ง มิ ใ ห ก ระทบกระเทื อ นหรื อ เกิ ด อันตรายตอศพ ตองใหเกียรติตอศพตามความเหมาะสมภายใตเจตนารมณแหงอัลกุรอาน ดังที่อัลลอฮฺ  ตรัส วา o nmlkjihgfed cba`_ ความวา “และโดยแนนอน เราไดใหเกียรติแกลูกหลานของอาดัม  และเราไดบรรทุกพวกเขาทั้ง ทางบกและทางทะเล และไดใหปจจัยยังชีพที่ดีทั้งหลายแกพวกเขา และเราไดใหพวกเขาดีเดนอยางมีเกียรติ เหนือกวาผูที่เราไดใหบังเกิดมาเปนสวนใหญ” (ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ, 17: 70) ตามหลักศาสนาอิสลามหากผูใดเสียชีวิตตองรีบจัดการฝงศพและหามมิใหเก็บศพไวนานดังคําบัญญัติ ของทานศาสนทูตมุหัมหมัด  ไดกลาววา "‫ﻦ ﹺﺭﻗﹶﺎﹺﺑﻜﹸﻢ‬ ‫ﻋ‬ ‫ﻧﻪ‬‫ﻮ‬‫ﻀﻌ‬  ‫ﺗ‬‫ﺸﺮ‬  ‫ﻚ ﹶﻓ‬  ‫ﻟ‬‫ﻯ ﹶﺫ‬‫ﺳﻮ‬ ‫ﺗﻚ‬ ‫ﻭﹺﺇ ﹾﻥ‬ ‫ﻪ‬ ‫ﻴ‬‫ﺎ ﹺﺇﹶﻟ‬‫ﻧﻬ‬‫ﻮ‬‫ﻣ‬‫ﺗ ﹶﻘﺪ‬ ‫ﳊ ﹰﺔ‬ َ ‫ﺎ‬‫ ﺻ‬‫ﺗﻚ‬ ‫ﺓ ﹶﻓﹺﺈ ﹾﻥ‬ ‫ﺯ‬ ‫ﺎ‬‫ﳉﻨ‬ ‫ﺍ ﺑﹺﺎ ﹶ‬‫ﻋﻮ‬ ‫ﺳ ﹺﺮ‬ ‫"ﹶﺍ‬ ความวา “ทานทั้งหลายจงรีบเรงจัดการศพและถาหากเขาเปนคนดีก็ควรใหเขาไดรีบไปรับผลความดีนั้น และหากเขาเปนคนเลวก็เปนความเลวที่ทานทั้งหลายควรรีบวางจากบาวของพวกทาน” (อัลบุคอรีย, อัศเศาะหีห, เลขที่: 1252) ในกรณีที่มีความจําเปนตองมีการชันสูตรพลิกศพเพื่อพิสูจนหาบุคคลวาใครเปนใคร การฆาตกรรม การ เปดโปงความไมยุติธรรมเพื่อประโยชนตอสวนรวมและขอกังขาของญาติมิตรและสังคมสวนรวมนั้นตามกฎหมาย อิสลามจะมีทางออกอยางไร เรื่องนี้ยังคงเปนที่สงสัยไมมีคําตอบหรือแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเนื่องจากเปน ปรากฏการณใหมในสังคมมนุษยโดยเฉพาะสังคมไทย อีกทั้งไมพบวาในคัมภีรอัลกุรอานและหะดีษของศาสนทูต  ระบุชัดเจนวาอนุญาตหรือไมอนุญาตใหมีการชันสูตรพลิกศพ และยังไมพบหลักฐานใด ยืนยันแนชัดวามุสลิม ยุคแรกไดกระทําการชันสูตรพลิกศพเหมือนที่กระทําอยูในปจจุบัน


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

64

ที่กลาวมานั้นคือสวนหนึ่งของเหตุผลที่ทําใหผูวิจัยสนใจที่จะศึกษาเรื่องดังกลาวเพื่อใหทราบถึงขอบัญญัติทาง ศาสนาวามีแนวทางปฏิบัติอยางไร เพื่อจะไดเปนขอมูลพื้นฐานในการกําหนดแนวทางปฏิบัติที่ถูกตองเหมาะสม และสอดคลองกับความมุงหมายของอิสลามดังที่อัลลอฮฺ  ตรัสในคัมภีรอัลกุรอานวา  ¢¡ ~} |{z ความวา “และพระองคมิไดทรงทําใหเปนการลําบาก แกพวกเจาในเรื่องของศาสนา” (ซูเราะฮฺ อัลฮัจญ, 22: 78) ในอายะฮฺอื่นอัลลอฮฺ  ตรัสวา ¯ ®¬ « ª©¨§ ความวา “อัลลอฮฺทรงประสงคความสะดวกสําหรับสูเจา และพระองคลไมประสงคความลําบากแกสู เจา” (ซูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ, 2: 185) ดวยเหตุผลที่แสดงถึงความจําเปนและความสําคัญของการชันสูตรพลิกศพทําใหผูวิจัยสนใจที่จะศึกษา เรื่องนี้ เพราะประโยชนจากการศึกษาครั้งนี้นอกจากจะเกิดแกตัวผูวิจัยเองแลว ยังเกิดประโยชนตอสังคมสวนรวม และภาครัฐอีกดวย วัตถุประสงคของการวิจัย ในการศึกษาเรื่อง “การชันสูตรพลิกศพตามบทบัญญัติของอิสลาม” ผูศึกษาไดกําหนดวัตถุประสงค ดังตอไปนี้ 1. เพื่อศึกษาถึงการรักษาเกียรติของศพตามบทบัญญัติอิสลาม 2. เพื่อศึกษาถึงขอกําหนดการชันสูตรพลิกศพตามบทบัญญัติอิสลาม 3. เพื่อศึกษาถึงทัศนะของนักวิชาการมุสลิมในพื้นที่ตอการชันสูตรพลิกศพมุสลิม ขอบเขตของการวิจัย การศึกษาในครั้งนี้เปนการศึกษาเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยแบงการศึกษาออกเปน 2 วิธี ดวยกัน คือศึกษาเอกสารและภาคสนาม ซึ่งมีขอบเขตดังนี้ 1. ศึกษาขอกฎหมายที่เกี่ยวของกับการชันสูตรพลิกศพ 2. ศึกษาบทบัญญัติอิสลามที่มีความเกี่ยวของกับการชันสูตรพลิกศพ 3. ศึกษาทัศนะของนักวิชาการอิสลามในพื้นที่เกี่ยวกับการชันสูตรพลิกศพ 4. ศึกษาเฉพาะทัศนะนักวิชาการอิสลามในพื้นที่จังหวัดปตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

65

วิธีดําเนินการวิจัย งานวิจัยครั้งนี้เปนงานวิจัยเชิงคุณภาพโดยจัดแบงการศึกษาออกเปน 2 สวนคือ สวนที่ 1 ศึกษาเอกสารโดยคนควาขอมูลจากแหลงตางๆที่เกี่ยวของเชน คัมภีรอัลกุรอานหนังสืออัลหะ ดีษ ตําราบทบัญญัติอิสลามและนิติศาสตรอิสลามของสํานักคิดตางๆ หนังสือทั่วไปที่สามารถใชในการอางอิงได และงานวิจัยตางๆ ที่เกี่ยวของ หนังสือสารานุกรมตางๆ บทความทางอินเตอรเน็ต วารสาร และหนังสือพิมพ ฯลฯ สวนที่ 2 การสัมภาษณ โดยใชวิธีการสัมภาษณแบบเจาะลึก เลือกตัวอยางแบบเฉพาะเจาะจงโดย เลือกผูใหขอมูลทั้งหมดจํานวน 16 ทาน เปนนักวิชาการในพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต ผลของการวิจัย การศึกษาวิจัยการชันสูตรพลิกศพตามบทบัญญัติของอิสลามยังเปนประเด็นปญหาที่นักวิชาการและ นักกฎหมายอิสลามในปจจุบันมีความเห็นที่แตกตางกัน สาเหตุมาจากไมมีตัวบทกฎหมายที่ชี้ชัดถึงการหามหรือ อนุ โลมในการชัน สู ตรพลิ กศพทั้ งในอัล กุ ร อาน สุ น นะฮฺ ข องท านศาสนทูตมุ หั มมั ด  และตํ าราศาสนาของ ปราชญอิสลามในยุคแรก แตเราจะพบทัศนะของบรรดานักปราชญดานนิติศาสตรอิสลามเกี่ยวกับกรณีการผาศพ หญิงมีครรภที่เสียชีวิต เพื่อเอาทารกที่อยูในครรภออกมา หากมั่นใจวาทารกดังกลาวยังมีชีวิตอยู (อัลกาสานีย, 1978, หนา: 254, อัรรอมลี, ม.ป.ป., หนา: 39, และ อัชเชากานีย, 1985, หนา: 336) และกรณีการผาทอง ศพที่ไดกลืนทรัพยสินมีคาลงในทองกอนตายเพื่อเอาออกมา ทั้งสองกรณีดังกลาวเปนตัวอยางที่ใกลเคียงกับ ประเด็นการผาศพเพื่อการชันสูตรซึ่งทั้งสองกรณีเปนการกระทําที่รุนแรงและละเมิดเกียรติเชนการผาชันสูตรศพ ในขณะที่อิสลามนั้นใหความสําคัญตอการใหเกียรติกับมนุษยทั้งขณะยังมีชีวิตและหลังจากการตายโดยยึดหลัก คําสอนที่วามนุษยทุกคนมีเกียรติที่สูงสงและการทํารายศพประหนึ่งทํารายเขาขณะยังมีชีวิตอยางคําสอนของ ทานศาสนทูตมุหัมมัด  ที่วา "ّ‫ﻴﹰﺎ‬‫ﻩ ﺣ‬ ‫ﺴ ﹺﺮ‬  ‫ﺖ ﹶﻛ ﹶﻜ‬  ‫ﻴ‬‫ﻋ ﹶﻈ ﹺﻢ ﺍ ﹶﳌ‬ ‫ﺴﺮ‬  ‫" ﹶﻛ‬ ความวา “การหักกระดูกศพประหนึ่งหักกระดูกขณะเขายังมีชีวิตอยู” (อิบนุ มาญะฮฺ, สุนัน, เลขที่: 1616) การกระทํ า ที่ รุ น แรงเป น การกระทํ า ที่ ไ ม อ นุ ญ าตในอิ ส ลาม แต ด ว ยเหตุ ผ ลของความจํ า เป น และ ผลประโยชนที่สําคัญกวา ทําใหการกระทําดังกลาวเปนประเด็นสําคัญที่นักวิชาการมุสลิมหลายทานไดนํามาเปน ขอพิพาทในการพิพากษาอนุโลมหรือไมในอิสลามเชนการชันสูตรพลิกศพมุสลิม ผลของการศึกษาทั้งเอกสารและสัมภาษณสามารถสรุปไดดังนี้ 1. เกียรติของศพตามบทบัญญัติอิสลาม 1.1 มนุษยทุกคนมีเกียรติและสิทธิแหงความเปนมนุษยเทาเทียมกันทั้งที่เปนมุสลิมและไมใชมุสลิมและขณะยังมี ชีวิตหรือหลังจากลวงลับไปแลว เพราะมนุษยทุกคนลวนสืบเชื้อสายมาจากอาดัม  โดยที่เกียรติของมนุษยใน อิสลามนั้นเปนเกียรติที่พระองคอัลลอฮ  มอบใหแกมนุษย ดังหลักฐานที่ปรากฏในอัลกุรอาน อัลลอฮ  ตรัสวา


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

66

o nmlkjihgfed cba`_ ความวา “และโดยแนนอน เราไดใหเกียรติแกลูกหลานของอาดัมและเราไดบรรทุกพวกเขาทั้งทางบก และทางทะเล และไดใหปจจัยยังชีพที่ดีทั้งหลายแกพวกเขา และเราไดใหพวกเขาดีเดนอยางมีเกียรติเหนือกวาผูที่ เราไดใหบังเกิดมาเปนสวนใหญ” (ซูเราะฮฺ อัลอิสรออฺ, 17: 70.) ในอายะฮฺอื่นอัลลอฮฺ  ไดสัญญาวาจะใหมนุษยมาเปนผูปกครองบนโลกใบนี้ซึ่งเปนตําแหนงที่มีเกียรติ ยิ่งใหญ และสูงสงแกมนุษย ดังที่อัลลอฮฺ  ตรัสวา JIH G FE DCBA ความวา “และจงรําลึกถึงขณะที่พระเจาของเจาไดตรัสแกมลาอิกะฮฺวาแทจริงขาจะใหมีผูแทนคนหนึ่งใน พิภพ” (ซูเราะฮฺ อัลบะกอเราะฮฺ, 2: 30) ซึ่งอายะฮฺดังกลาวใหความหมายวามนุษยคือบาวของอัลลอฮฺ  ที่พระองคไดประทานเกียรติใหและยก ยองเหนือสรรพสิ่งทั้งปวงในจักรภพนี้ 1.2 ตามบทบั ญ ญั ติ อิ ส ลามมนุ ษ ย นั้ น มี เ กี ย รติ ทั้ ง ขณะยั ง มี ชี วิ ต และหลั ง จากล ว งลั บ ไปแล ว จาก ขอเท็จจริงของบทกฎหมายอิสลามที่ใหสิทธิพิเศษแกมนุษยหลังจากเสียชีวิต และดวยหะดีษที่หามทํารายศพ หามทรมานศพ แมวาศพนั้นเปนผูปฏิเสธศรัทธาก็ตาม 1.3 การละเมิดเกียรติของศพในบางกรณีเปนที่อนุโลมในอิสลาม หากกระทําดวยความจําเปนที่ไมอาจ หลีกเลี่ยงได ดังบทบัญญัติในอัลกุรอาน ความวา “ถาผูใดไดรับความคับขัน โดยมิใชเปนผูเสาะแสวงหา และมิใช เปนผูละเมิดขอบเขต แลวไซร ก็ไมมีบาปใดๆ แกเขา แทจริงอัลลอฮฺ  เปนผูทรงอภัยโทษ เปนผูทรงเอ็นดูเมตตา เสมอ” (ซูเราะฮฺ อัลบะกอเราะฮฺ, 2: 173) บทบัญญัติที่ไดกลาวมานั้นเกี่ยวเนื่องถึงความจําเปนที่ไมอาจหลีกเลี่ยงได ซึ่งอิสลามอนุโลมใหกระทําใน สิ่งที่ตองหามไดในกรณีจําเปนยิ่งเพื่อปกปองชีวิตจากอันตรายที่จะเกิดขึ้น 2. ขอกําหนดของการชันสูตรพลิกศพตามวัตถุประสงคมีดังนี้ 2.1 ขอกําหนดของการชันสูตรพลิกศพเพื่อการศึกษาทางการแพทยตามทัศนะของนักวิชาการ มุสลิมรวมสมัยมีดังนี้ 2.1.1 ทัศนะที่หนึ่งเห็นวาอนุโลมใหทําการชันสูตรพลิกศพเพื่อการศึกษาไดทั้งศพที่ไมใชมุสลิม และศพที่ เ ป น มุ ส ลิ ม ในกรณี มี ค วามจํ า เป น อย า งมาก (ของสั น นิ บ าติ โ ลกอิ ส ลาม, รายงานจากมติ ที่ ป ระชุ ม สํานักงานกฎหมายอิสลาม, 17-21 ตุลาคม 1987) 2.1.2 ทัศนะที่สอง เห็นวาตามบทบัญญัติอิสลามแตเดิมนั้นไมอนุโลมใหชันสูตรพลิกศพทั้งมุสลิม และไมใชมุสลิม แตในกรณีที่มีความจําเปนหรือภาวะสุดวิสัยจะอนุโลมใหชันสูตรพลิกศพที่มิใชศพมุสลิมเพื่อ


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

67

การศึกษาได และจะไมอนุโลมใหชันสูตรพลิกศพมุสลิมตราบใดที่ศพที่มิใชมุสลิมยังมีอยู ซึ่งแตกตางกับทัศนะที่ หนึ่งที่อนุโลมใหชันสูตรศพไดทั้งศพมุสลิมและศพที่ไมใชมุสลิมเทากัน (สภาสูงสมัชชา อุละมาอฺ แหงประเทศ ซาอุดิอะราเบีย, ลุจญนะฮฺ อัล อิฟตาอฺ บิ อัลมัมละกะฮฺ อัลอุรดุนิยะห อัลฮาชิมิยยะฮฺ, 18 พฤษภาคม 1977) อิสลามใหความสําคัญและคํานึงถึงความเชื่อของแตละกลุมแตละศาสนาของมวลมนุษยซึ่งในกรณีนี้ไดปรากฏ วามีผูที่มิใชมุสลิมมีความเชื่อวาการอุทิศรางกายของตนหลังจากการเสียชีวิตเพื่อการชันสูตรศพ ดวยเหตุผลเพื่อบําเพ็ญ ประโยชนใหกับเพื่อนมนุษยดัวยกันถือเปนสิ่งที่ควรและนาสงเสริมใหกระทํา ฉะนั้น จึงอนุโลมชันสูตรศพเพื่อการศึกษา ทางการแพทยได อีกทั้งการไดมาของศพที่ไมใชมุสลิมเปนสิ่งที่สามารถหาได และบางศพก็มีการซื้อขายอยูทําใหสามารถ ซื้อศพไดไมยาก “มีบางกลุมเชื่อวาการอุทิศรางของตนเพื่อการศึกษาทางการแพทยเปนการกุศลและเปนการเสียสละที่ ยิ่งใหญและไดรับผลบุญที่มีเกียรติและประเสริฐที่สุดและมีการใหเกียรติกับรางหรือศพที่ไดอุทิศใหใชเพื่อศึกษาทาง การแพทยดวยขนานนามวา “อาจารยแพทยหรืออาจารยใหญ ” (ดร.มะรอนิง สาแลมิง, ผูใหสัมภาษณ, 17 มีนาคม 2551) และในกรณีที่มีศพอื่น จะไมอนุโลมใหชันสูตรศพมุสลิม ยกเวนกรณีที่สุดวิสัยและจําเปนอยางมากจึงอนุญาตให ทําไดดวยเงื่อนไขสําคัญคือตองเลือกทําเทาที่จําเปน โดยยึดหลักเกณฑของความจําเปนที่วา ‫ﺎ‬‫ﺪ ﹺﺭﻫ‬ ‫ﺭﹺﺑ ﹶﻘ‬ ‫ﺪ‬ ‫ﺗ ﹶﻘ‬ ُ ‫ﺓ‬‫ﻭﺭ‬ ‫ﺮ‬ ‫ﻀ‬  ‫ﺍﹶﻟ‬ ความวา " ความจําเปนยอมตองประมาณการดวยขนาดปริมาณของมัน" (อัลก็อรเฏาะวีย, 2544, หนา: 60) และ คําสอนของทานศาสนทูตมุหัมมัด ไดกลาววา "‫ﺷﻔﹶﺎ ًﺀ‬ ‫ﺰ ﹶﻝ ﹶﻟﻪ‬ ‫ﻧ‬‫ﺍ ٍﺀ ﹺﺇﻟﱠﺎ ﹶﺃ‬‫ﻦْ ﺩ‬‫ﺰ ﹶﻝ ﺍﷲُ ﻣ‬ ‫ﻧ‬‫ﺎ ﹶﺃ‬‫"ﻣ‬ ความวา “อัลลอฮฺจะไมสงโรคใดลงมา นอกจากจะประทานยารักษามาดวย” (อัลบุคอรีย, อัศเศาะหีห, เลขที่: 5678 และ อิบนุมาญะฮฺ, สุนัน, เลขที่: 3439) 2.1.3 ทัศนะที่สามเห็นวาไมอนุโลมใหชันสูตรพลิกศพของมนุษยเพื่อการศึกษา เพราะเปนการ ละเมิดบทบัญญัติ อีกทั้งยังสามารถศึกษาซากสัตวในการหาความรูทางการแพทยได โดยไมตองใชรางของมนุษย อันเนื่องมาจากระบบการทํางานอวัยวะของสัตวกับอวัยวะของมนุษยนั้นคลายคลึงกันมากโดยเฉพาะสัตวที่มี รูปรางคลายมนุษย เพราะสัตวเหลานี้จะมีอวัยวะและระบบการทํางานของอวัยวะที่คลายคลึงกันมาก อีกทั้งยัง ชวยประหยัดคาใชจายไปในตัวอีกดวย 2.2. ขอกําหนดของการชันสูตรพลิกศพเพื่อสอบสวนในคดีอาญา ตามทัศนะของนักวิชาการ มุสลิมรวมสมัย นักวิชาการสวนใหญเห็นวาอนุโลมใหชันสูตรพลิกศพมุสลิมไดในภาวะคับขัน สุดวิสัย และมีความจําเปน อยางมากเพื่อหาสาเหตุของการเสียชีวิตที่เกี่ยวของกับคดีฆาตกรรม หากไมมีวิธีอื่นที่จะคนหาสาเหตุของการ เสียชีวิตได ยกเวนดวยวิธีชันสูตรเทานั้น (วารสาร อัซฮัร, ฉ.6, เลม. 1, หนา: 472 และ วารสาร อัลบุหุษฺ อัลอิสามี ยะฮฺ) 2.3. ขอกําหนดของการชันสูตรพลิกศพเพื่อพิสูจนโรคภัยตามทัศนะของนักวิชาการมุสลิมรวม สมัย นักวิชาการสวนใหญเห็นวาการชันสูตรพลิกศพมุสลิมเพื่อใหทราบถึงบุคคลที่เสียชีวิต หรือเพื่อใหทราบ ถึงสาเหตุหรือโรคเพื่อหวังรักษาคนอื่น หรือเพื่อการอื่นที่ทราบแนชัดวา เปนประโยชนตอมนุษยชาติ เปนสิ่งที่ อนุโลมใหกระทําได


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

68

3. เงื่อนไขของการชันสูตรศพมุสลิมในอิสลาม นักวิชาการสวนใหญ มีทัศนะวาเงื่อนไขของการชันสูตรศพมุสลิมในอิสลามมีดังนี้ 3.1 ตองใหเกียรติตอศพ 3.2 ตองรักษาสิทธิและเกียรติของศพเหมือนยังมีชีวิตอยู 3.3 ตองรีบเรงทําการชันสูตร 3.4 ตองไดรับอนุญาตจากญาติ 3.5 ตองกระทําดวยความระมัดระวัง 3.6 ตองกระทําเทาที่จําเปน 3.7 ตองปกปดรางกาย 3.8 ตองรักษาความลับของศพ 3.9 ตองไมประจานศพ 3.10 ตองระมัดระวังความปลอดภัยโดยเฉพาะกับศพที่เสียชีวิตสาเหตุมาจากโรคระบาดที่รายแรง 3.11 ตองจัดการศพใหอยูในสภาพที่สมบูรณที่สุด 3.12 ไมเอาอวัยวะของศพ 3.13 ขณะทําการชันสูตรศพ อนุญาตให พนักงานชันสูตร และผูที่เกี่ยวของเทานั้น 3.14 ควรใหมีผูแทนจากคณะกรรมการกลางอิสลามแหงประเทศไทยหรือคณะกรรมการอิสลามประจํา จังหวัด เปนผูควบคุมดูแลการชันสูตรศพมุสลิม 3.15 ตองไดรับคําพิจารณาวาจําเปนตองชันสูตรศพ จากองคกรศาสนา หรือผูนําศาสนาหรือแพทยที่ เกี่ยวของ 3.16 ตองมีการรายงานการชันสูตรศพมุสลิมตอคณะกรรมการดังกลาว 4. วิธีการชันสูตรพลิกศพมุสลิมในสังคมปจจุบัน นักวิชาการสวนใหญ มีทัศนะวา หากมีความพรอม ทุกดาน เชนมีระบบ มีระเบียบ กฎหมายที่สมบูรณ สําหรับการชันสูตรศพมุสลิม มีเงื่อนไข ขั้นตอนที่ถูกตองตามหลักศาสนา มีบุคคลากรทั้งพนักงาน และแพทย ผูเชี่ยวชาญ ก็ควรอนุโลมใหมีการชันสูตรศพได หรือหากเราคิดวาการชันสูตรศพมุสลิมเปนเรื่องจําเปนเพื่อหา ขอเท็จจริง ดํารงความยุติธรรมและคุมครองสิทธิ ยอมเปนสิ่งที่สมควรอนุโลมใหมีการชันสูตรศพมุสลิมในสังคม ปจจุบันได 5.ขั้นตอนการชันสูตรพลิกศพมุสลิมในอิสลาม นักวิชาการสวนใหญ มีทัศนะเกี่ยวกับขั้นตอนการชันสูตรพลิกศพมุสลิมวา 5.1 ตอ งมีคําสั่งจากพนักงานสอบสวนหรือเจาหนา ที่เ กี่ยวของวาจํา เปนตองมีก ารชัน สูตรพลิกศพ 5.2 ตองมีแพทยผูเชี่ยวชาญพิจารณาวาจําเปนตองทําการชันสูตรพลิกศพ 5.3 ตองมีผูเชี่ยวชาญดานกฎหมายอิสลามพิจารณาวาจําเปนตองชันสูตรพลิกศพ


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

69

5.4 แพทยหรือพนักงานสอบสวนตองอธิบายใหญาติผูตายเขาใจถึงรายละเอียดและความจําเปนใน การชันสูตรศพใหชัดเจน 5.5 หากเปนไปไดมติอนุโลมใหชันสูตรศพมุสลิมนั้นตองผานการพิจารณาอนุญาตจากศาลชะริอะฮฺ 5.6 เมื่อมีมติออกมาวาตองชันสูตรศพทางเจาหนาที่จะตองแจงและขออนุญาตจากทายาทกอน 5.7 ในกรณีไ มมีท ายาทใหแ จง และขออนุญ าตจากคณะกรรมการอิส ลามประจํา จัง หวัด ที่ผูต าย อาศัยอยูเปนการอนุญาตแทนทายาท 5.8 หรือขออนุญาตจากคณะกรรมการประจํามัสยิดที่ผูตายเปนสมาชิกอยูตามลําดับ 5.9 ตองชันสูตรศพหลังการเสียชีวิตทันที 5.10 ตองรายงานผลทุกครั้งการชันสูตรศพ 6.การชันสูตรพลิกศพเปนที่อนุโลมภายใตหลักนิติศาสตรอิสลามทั่วไปภายใตทฤษฎีแหงความจําเปน และทฤษฏีแหงคุณประโยชน กลาวคือ 6.1 ทฤษฏีที่หนึ่งวาดวย ‫ﺍﺕ‬‫ﻮﺭ‬ ‫ﺤ ﹸﻈ‬  ‫ ﺍ ﹶﳌ‬‫ﻴﺢ‬ ‫ﹺﺒ‬‫ﺭﺓﹸ ﺗ‬ ‫ﻭ‬ ‫ﻀﺮ‬  ‫ ﺍﹶﻟ‬ความวา “ความจําเปนทําใหสิ่งตองหามทั้งหลายเปนที่อนุญาต” 6.2 ทฤษฏีที่สองวาดวย ‫ﻒ‬  ‫ﺮ ﹺﺭ ﺍﻟﹾﺄﺧ‬ ‫ﻀ‬  ‫ﺍ ﹸﻝ ﺑﹺﺎﻟ‬‫ﻳﺰ‬ ‫ﺪ‬ ‫ﺷ‬ ‫ ﺍﹾﻟﹶﺄ‬‫ﺮﺭ‬ ‫ﻀ‬  ‫ ﺍﹶﻟ‬ความวา “อันตรายรายแรงสามารถขจัดดวยภัยที่ดอยกวา” 6.3 ทฤษฏีที่สามวาดวย ‫ﺎ‬‫ﺪ ﹺﺭﻫ‬ ‫ﺭﹺﺑ ﹶﻘ‬ ‫ﺪ‬ ‫ﺗ ﹶﻘ‬ ُ‫ﺓ‬‫ﻭﺭ‬ ‫ﺮ‬ ‫ﻀ‬  ‫ ﺍﹶﻟ‬ความวา “ความจําเปนยอมตองประมาณการดวยปริมาณของมัน” 6.4 ทฤษฏีที่สี่วาดวย َ‫ﻤﺎ‬‫ﺪﻫ‬ ‫ﺷ‬ ‫ﻟﹶﺄ‬‫ﻳﹰﺎ‬‫ﺩ‬ ‫ﺗﻔﹶﺎ‬ ‫ﺎ‬‫ﻬﻤ‬ ‫ﺧ ﱡﻔ‬ ‫ﺐ ﹶﺃ‬  ‫ﺗ ﹶﻜ‬‫ﺭ‬ ‫ﻥ ﹺﺇ‬ ‫ﺎ‬‫ﺪﺗ‬ ‫ﺴ‬ ِ ‫ﻣ ﹾﻔ‬ ‫ﺖ‬  ‫ﺿ‬  ‫ﺭ‬ ‫ﺎ‬‫ﺗﻌ‬ ‫ ﹺﺇﺫﹶﺍ‬,‫ﺎ‬‫ﻬﻤ‬ ‫ﻨ‬ ‫ﻣ‬ ‫ﻱ‬‫ﻡ ﹶﺃ ﹾﻗﻮ‬ ‫ﺪ‬ ‫ﻥ ﻗﹸ‬ ‫ﺎ‬‫ﺤﺘ‬  ‫ﺼ ﹶﻠ‬  ‫ﻣ‬ ‫ﺖ‬  ‫ﺿ‬  ‫ﺭ‬ ‫ﺎ‬‫ﺗﻌ‬ ‫ﹺﺇﺫﹶﺍ‬ ความวา “หากสองผลประโยชนเกิดความขัดแยงกัน เมื่อนั้นใหเลือกกระทําผลประโยชนที่หนักแนนกวา และ เมื่อใดสองความเสียหายเกิดขัดแยงกัน ใหเลือกทําสิ่งที่มีความเสียหายที่ดอยกวา เพื่อหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่จะสราง ความเสียหายรายแรง” 7.แนวโนมของปญหาและอุปสรรคทางสังคมมุสลิมกับการอนุโลมใหชันสูตรศพมุสลิมในประเทศไทย นักวิชาการ สวนใหญมีทัศนะวาแนวโนมของปญหาและอุปสรรคทางสังคมที่มีความเกี่ยวของอาจจะ ลดลงแตไมใชทุกปญหา เพราะความยุติธรรมไมไดขึ้นอยูกับการชันสูตรศพเทานั้น แตจิตสํานึกของแตละคนใน การรับฟงและใหความรวมมือกับทางรัฐในการแกปญหา ก็เปนอีกวิธีหนึ่งที่ตองกระทํา สวนทางรัฐก็ตองใหการ ดูแลใหความเปนธรรมอยางเสมอภาพ และใหความเขาใจที่ดีใหกับสังคม 8. ขอเสนอแนะ 8.1 ควรจัดทําคูมือหรือระเบียบสําหรับผูที่เกี่ยวของในการชันสูตรศพและผาศพผูนับถือศาสนาอิสลาม เพื่อใหแตละฝายมีความรูและความเขาใจที่ถูกตองในบทบาทหนาที่ของตัวเองอีกทั้งสามารถนําไปปฏิบัติใชได อยางถูกตอง


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

70

8.2 ควรมีการกําหนดอํานาจหนาที่ รวมถึงอํานาจการตัดสินใจในการดําเนินการชันสูตรศพและควรใหมี ผูเชี่ยวชาญดานกฎหมายอิสลามรวมกับเจาหนาที่สอบสวนและผูรับผิดชอบที่เกี่ยวของทุกครั้งที่มีการสอบสวน 8.3 ควรตระหนักถึงความเปนจริงเกี่ยวกั บเรื่องนี้จากประเทศเพื่อนบานที่มีชนมุสลิมกลุมนอยเช น สิงคโปร กัมพูชา และศึกษาขอมูล ความจําเปนจากประเทศเพื่อนบานที่มีชนมุสลิมสวนใหญอยาง มาเลเซีย อินโดนีเซีย เพื่อเรียนรูวิธีการปฏิบัติ เงื่อนไขและรูปแบบของประเทศเหลานี้เกี่ยวกับการชันสูตรศพของผูเสียชีวิตที่ เปนมุสลิม 8.4 ควรจัดตั้งหนวยงานอิสระขึ้นมารับผิดชอบงานทางดานการชันสูตรพลิกศพที่ เกี่ยวของกับการ กระทําผิดทางอาญาเพื่อใหเปนหนวยงานหลักในเรื่องนิติเวชศาสตรและเปนกลไกในการตรวจสอบการทํางาน ของพนักงานสอบสวน 8.5 ทางรัฐบาลควรจัดสรรทุนเพื่อสรางและพัฒนาบุคคลากรใหพอเพียงกับความตองการของบานเมือง โดยเฉพาะลูกหลานมุสลิม 8.6 ควรเผยแพรความรูและความเขาใจใหกับผูนับถือศาสนาอิสลามถึงเจตนารมณและความจําเปนใน การชันสูตรศพมุสลิม และควรทําใหทุกฝายที่มีความเกี่ยวของในการชันสูตรศพและผาศพมุสลิมเขาใจที่ถูกตอง ในหลักการของอิสลาม เพื่อใหแตละฝายมีความรูและความเขาใจในบทบาทหนาที่ของตัวเองและสามารถนําไป ปฏิบัติไดอยางถูกตอง 8.7 มุสลิมควรสนับสนุนภาครัฐในการออกระเบียบกฎหมายการชันสูตรพลิกศพมุสลิมที่ถูกตองตาม หลัก เงื่อนไขและขั้นตอนของศาสนาอิสลาม 8.8 ควรทําการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ โดยศึกษาความคิดเห็นของชาวไทยมุสลิมตอเรื่องการชันสูตร พลิกศพมุสลิมในสังคมปจจุบันและสอบถามเจาหนาที่ ตํารวจ แพทย พนักงานอัยการ พนักงานฝายปกครอง ผูนําทางศาสนา ตอเรื่องการชันสูตรศพมุสลิมในประเทศไทย เพื่อประโยชนทั้งดานการศึกษาและการปฏิบัติงานที่ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตอไป บรรณานุกรม คูมือการชันสูตรพลิกศพ ตามพระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา (ฉ.ที่ 21) พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ. สํานักงานศาลยุติธรรม. 2544. ซัยยิดกุฏบ. 1992. นี่คืออิสลาม. ฮาซิม หนุนอนันท. แปล. ม.ป.ท. พระราชบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2542. ยูซุฟ ก็อรฺฎอวียฺ. 2544. หะลาลและหะรอมในอิสลาม. บรรจง บินกาซัน (ผูแ ปล). กรุงเทพฯ. ศูนยหนังสือ อิสลาม. เคาะฏีบ อัชชัรบีนีย. 1997. มุฆนีย อัลมุหตาจ. เบรุต. ดารุ อัลมะริฟะฮฺ. ญาวดะฮฺ.มุหัมมัด เฆาะริบ. ม.ป.ป. อะบากีเราะฮฺ อุละมาอฺ อัลหะฎอเราะฮฺ อัลอะเราะบียะฮฺ วะ อัลอิสลา มียะฮฺ ฟ อูลูม อัฏฏิบบียะฮฺ วา อัฏฏิบ. ม.ป.ท. นะสาอีย. อะหฺมัด บิน ชุอีบ อะบู อับดุรรอหฺมาน. 1991. สุนัน อันนะสสอีย อัลกุบรอย. พิมพครั้งที่ 1. เบรุต. ดาร อัลกุตุบ อัลอิลมียะฮฺ.


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

71

ฟตวา อัชเชค อัลมุตีอียฺ. ม.ป.ป. วารสาร อัสอัซฮั. ฉบับที่ 6 เลม 1. มุหัรรอม. ป ฮ.ศ. 1354. หนา: 627-632. มุหัมมัด บิน มุหัมมัด อัลมุคตาร  อัชชันกีตีย. 1994. อัหกาม อัลญีรอหะฮฺ อัฏฏิบบียะฮฺ วัลอาษาร อัล มุตะ เราะตตะบะฮฺ อะลัยฮา. พิมพครั้งที่ 2. มหาวิทยาลัยอิสลามมะดีนะฮฺ. ซาอุดิอาระเบีย ยูซุฟ อัลก็อรฺเฎาะวีย. 2547. อัลหะลาล วะ อัลหะรอมในอิสลาม. บรรจง บินกาซัน (ผูแปล).กรุงเทพฯ. ศูนย. หนังสืออิสลาม. วะฮฺบะฮฺ อัซซูหัยลี. 1985. นาเซาะรียะฮฺ อัฎเฎาะรูเราะฮฺ อัชชัรอียะฮ. เบรุต. มุอัสสาสะฮฺ อัรริสาละฮฺ. วิรัติ พาณิชยพงษ. 2542. มาตรฐานชันสูตรพลิกศพ. กรุงเทพ. งานวิจัยนี้เปนสวนหนึ่งของระบบการ อบรม หลักสูตรผูบริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) รุนที่ 4 วิทยาลัยการยุติธรรม สํานักงานศาล ยุติธรรม. อะบูดาวูด. สุไลมาน บิน บิน อัลอัชอัษ อัสสะญิสตานีย. ม.ป.ป. สุนัน อะบี ดาวุด. เบรุต. ดาร อัลกุตุบ อัลอะ เราะบียยะฮฺ. อะหฺมัด บิน หันบัล. 1999. มุสนัด อัลอิมาน อะหฺมัด บิน หันบัล. เบรุต. มุอัสสะสะฮฺ อัรริสาละฮฺ. อัชชาฏิบีย. อิบรอฮิม บิน มูซอ บิน มุหัมมัด. ม.ป.ป. อัลมุวาฟะกอต ฟย อุศูล อัลฟกฮ. มิศร. อัลมักตะบะฮฺ อัตติญาริยะฮฺ. อัชชีรอซีย. อะบีย อิสหาก อิบรอฮีม บิน อะลีย บิน ยูสุฟ อัลฟยรูซ อะบาดีย. ม.ป.ป. อัตตันบีฮฺ. เบรุต. อาลัม อัล กุตุบ. อัชเชากานีย. มุหัมมัด บิน อะลีย บิน มุหัมมัด. 1985. อัสสีล อัลญารอร อัลมุตะดัพพิก อะลา หะดาอิก อัลอัซฮาร. พิมพครั้งที่ 1. เบรุต. ดารูลกูตุบ อัลอิลมียะฮฺ. อัซเซากานีย. มุหัมมัด บิน อาลีย. ฮ.ศ. 1421. อิรซาด อัลฟุหูล. ดารอัลฟะดีละฮฺ. อัดดุสุกีย. อัหมัด บิน มุหัมมัด. ม.ป.ป. หาชียะฮฺ อัดดูสูกีย อะลา อัชชัรห อัลกะบีร. เบรุต. ดารอัลฟกร. อัดดุสุกีย. อัหมัด บิน มุหัมมัด. ม.ป.ป. หาชียะฮฺ อัดดูสูกีย อะลา อัชชัรห อัลกะบีร. เบรุต. ดารุ อัลฟกร. อันนะวะวีย. มปป. อัลมัญมุอฺ ชัรห อัลมุฮัซซับ. เบรูต. ดาร อัลฟกร. อันนะวะวีย. อัลอิมาน อะบี ซะกะริยา มะหฺย อัดดีน บิน ชัรฟ อันนะวะวีย. ม.ป.ป. อัลมัญมุอฺ. มักตะบะฮฺ อัลอิร ชาด. ุดดะฮฺ. อัลมัมละกะฮฺ อัสสะอูดียะฮฺ. อัรรอมลี. ชัมสุดดีน มุหัมมัด บิน อะบีย อัลอับบัส อะหฺมัด บิน หัมซัฮฺ อิบน ชิฮาบ อัดดีน. ม.ป.ป. นิฮายะตุล มุห ตาญ อิลา ชัรห อัลมินฮาญ. เบรุต. อัลมักตับ อัล อิสลามียะฮฺ. อัลกาสานีย. อะลาอ อัดดีน. 1982. บะดาอิอฺ อัศเศาะนาอิอฺ ฟ ตัรตีบ อัชชะรออิอฺ. พิมพครั้งที่ 2. เบรุต. ดาร อัลกุตุบ อัลอะเราะบียยะฮฺ. อัลคูรชี อัลมาลีกีย. ม.ป.ป. อัลคูรชีย อะลา มุคตะศอร สัยดี คอลิล. เบรุต. อาลัม อัลกุตุบ. อัลฆอซาลีย. อะบู หามิ มุหัมมัด บิน มัหัมมัด. ฮ.ศ. 1424. อัลมุสตัศฟาย ฟย อิลมฺ อัลอุศูล. เบรุต. ดาร อัลกุ ตุบ อัลอิลมียะฮฺ. อัลบัซดะวีย. อะลา อัดดิน บุคอรีย อับดุลอะซิซ บิน อะหมัด บิน มุหัมมัด. ค.ศ. 1997. กัซฟ อัลอัสรอร อัน อุ ศูล ฟญร อัลอิสลาม. เบรุต. ดาร อัลกุตุบ อัลอิลมียะฮฺ. อัลบานีย. มุหัมมัด นาศีร อัดดีน. 1985. อิรวาอฺ อัลเฆาะลิล ฟย ตัครีญ อะหาดีษ มะนาร อัสสะบีล.พิมพ ครั้งที่ 2. เบรุต. อัลมักตับ อัลอิสลามิย.


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

72

อัลบานีย. มุหัมมัด นาศีร อัดดีน. 1986. อัหกาม อัล-ญะนาอีซ. เบรุต. อัลมักตับ อัลอิสลามีย. อัลบุคอรีย. มุหัมมัด บิน อิสมาอีล อะบู อับดุลลอฮะ. 1987. อัลญามิอฺ อัศเศาะหีห อัลมุคตะศอร. พิมพครั้งที่ 2. ดาร อิบนุ กะษีร อัลยะมามะฮฺ. อัลมัญมะอฺ อัลฟกฮีย อัลอิสลามีย ลิ เราะบิเฏาะฮฺ อัลอาลัม อัลอิสลามีย. 1978 .การชันสูตรพลิกศพคนตาย. ครั้งที่ 10 จัดขึ้นที่มักกะฮฺ ประเทศซาอุดีอะราเบีย ระหวางวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ .1987 ถึงวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ .1978. อัลมีวาก. มุหัมมัด บิน ยูซุฟ บิน อะบีย กอซิม อัลอับดะรีย อะบู อับดุลลอฮฺ.1978. อัตตาญ วะ อัลอิกลิล. เบรุต. ดาร อัลฟกร. อัลอามีดีย. อาลีย บิน มุหัมมัด. ฮ.ศ. 1424. อัลอิหกาม ฟย อูศูล อัลอัหกาม.ดาร อัศศอมีอีย. อิบนุ นุญีม. อัชเชค อัลอาบิดีน บิน อิบรอฮิม. ค.ศ. 1980. อัลอัชบาฮฺ วะ อันนะซออิร. เบรุต. ดาร อัลกุตุบ อัลอิลมียะฮฺ. อิบนุ มาญะฮฺ. มุหัมมัด บิน ยะซีด อะบู อับดุลลอฮะ. ม.ป.ป. สุนัน อิบน มาญะฮฺ. เบรุต. ดาร อัลฟกร. อิบนุกุดามะฮฺ. 1972. อัลมุฆนี. เบรูต. ดาร อัลกูตูบ อัลอะเราะบี. อีมามมาลิก. มาลิก บิน อะนัส. 2004. มุวัฏเฏาะอฺ. พิมพครั้งที่ 1. มุอัสสะสะฮฺ ซายิด บิน สุลฏอน อาล นะฮฺยาน. ฮัยอะฮฺ กิบาร อัลอุละมาอฺ บิ อัลมัมละกะฮฺ อัลอะเราะบียะฮฺ. ฮ .ศ. 1412. หุกม ตัชรีหฺ ญิษษะฮฺ อัลมุสลิม. ริยาด. ดาร อุลิลนุฮาย.


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย บทความรายงานการวิจัย

73

การพัฒนาตัวบงชี้และยุทธศาสตรความเปนสากล ของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต หิรัญ ประสารการ∗ ชิรวัฒน นิจเนตร∗∗ จรัส อติวิทยาภรณ∗∗∗ อิศรัฏฐ รินไธสง∗∗∗∗ บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อพัฒนาตัวบงชี้และยุทธศาสตรความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราช ภัฏภูเก็ต โดยมีกระบวนการวิจัย 2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัย ราชภัฏภูเก็ต โดยเริ่มตนจาก การศึ ก ษาความคิ ด เห็ นผู เ ชี่ ย วชาญ 20 ท า น ด ว ยเทคนิ ค เดลฟาย รอบแรกใช วิ ธี ก ารสั ม ภาษณ โ ดยใช แบบ สัมภาษณแบบมีโครงสราง รอบที่ 2 และ 3 ใชแบบสอบถามแบบมาตรประมาณคา 5 ระดับ แลวทําการคัดเลือก ตัวบงชี้โดยผูเชี่ยวชาญ จํานวน 5 ทาน และตรวจสอบความตรงของตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ภูเก็ต จากผูใหขอมูลหลัก จํานวน 250 คน โดยใชแบบสอบถามลักษณะมาตรประมาณคา 5 ระดับ วิเคราะห ขอมูลโดยการสังเคราะหเนื้อหา และใชโปรแกรมสําเร็จรูปทางสถิติ เพื่อวิเคราะหคาสถิติบรรยาย ไดแก คามัธยฐาน คาพิสัยระหวางควอไทล คาฐานนิยม ในการพิจารณาความสอดคลองความคิดเห็นของผูเชี่ยวชาญ คาเฉลี่ย และ คาความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อนําคาเฉลี่ย

ดุษฎีบัณฑิต หลักสูตรการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาสาขาภาวะผูนาํ ทางการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ รองศาสตราจารย หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขายุทธศาสตรการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต

∗∗

∗∗∗

ผูชวยศาสตราจารย ภาควิชาบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยทักษิณ

∗∗∗∗

อาจารย ภาควิชาบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยทักษิณ


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

74

ไปเปรียบเทียบกับเกณฑในการประเมินความเที่ยงตรงของตัวบงชี้ คาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธเพียรสัน สําหรับ พิจารณาความเหมาะสมในการนําไปวิเคราะหองคประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง โดยใชโปรแกรมลิสเรล 8.52 ผลการวิจัยการพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากล พบวา องคประกอบสําคัญของความเปนสากลของ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ประกอบดวย 3 องคประกอบ คือ การจัดการเรียนการสอน การวิจัย และการบริการ วิชาการ โดยองคประกอบมีคาน้ําหนักองคประกอบจากมากไปหานอย คือ องคประกอบดานการวิจัย (.98) องคประกอบดานการบริการวิชาการ (.97) และองคประกอบดานดานการจัดการเรียนการสอน (.94) ซึ่งทั้ง 3 องคประกอบหลักตองดําเนินการผานตัวแปรที่เปนตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต 47 ตัว บงชี้ ประกอบดวย ตัวบงชี้ดานการจัดการเรียนการสอน จํานวน 35 ตัวบงชี้ ดานการวิจัย จํานวน 6 ตัวบงชี้ และ ดานการบริการวิชาการ 6 ตัวบงชี้ และผลการทดสอบของโมเดลโครงสรางเชิงเสนตัวบงชี้ความเปนสากลของ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยใชคาไค-สแควร คาดัชนีวัดระดับความกลมกลืน และดัชนีวัดระดับความกลมกลืน ที่ปรับแกแลว พบวา โมเดลมีความสอดคลองกับขอมูลเชิงประจักษ ขั้นตอนที่ 2 การจัดทําแผนยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดย การนําตัวบงชี้ที่ไดจากการพัฒนาในขั้นตอนที่ 1 มาศึกษาสภาพความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยสัมภาษณผูเชี่ยวชาญ จํานวน 10 ทาน เกี่ยวกับแนวทาง / วิธีการพัฒนาตามตัวบงชี้ เพื่อยกรางเปนแผน ยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จัดประชุมสัมมนาคณะทํางานดานวางแผน และพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อพิจารณาแผน และประเมินแผนโดยผูเชี่ยวชาญ จํานวน 5 ทาน โดยใชแบบประเมิน วิเคราะหขอมูลโดยการสังเคราะหเนื้อหา ผลการวิจัยการจัดทําแผนยุทธศาสตรความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต พบวา มีประเด็น ยุทธศาสตรในการดําเนินงาน 5 ประเด็นยุทธศาสตร ประกอบดวย 1) การพัฒนาศักยภาพคณาจารย 2) การ พัฒนาศักยภาพนักศึกษา 3) การพัฒนาระบบการเรียนการสอน 4) การพัฒนาระบบบริหารจัดการ และ5) การ สรางเครือขายความรวมมือกับสถาบันการศึกษาและองคกรตาง ๆ ในตางประเทศ คําสําคัญ: ตัวบงชี้ความเปนสากล, แผนยุทธศาสตร, มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

75 Abstract

The purpose of this study was to develop indicators and strategies for the internationalization of Phuket Rajabhat University. The first step of the research process was to develop indicators for the internationalization of Phuket Rajabhat University by analyzing experts’ opinions using the Delphi Technique starting at the first round of structured interviews with twenty experts and following by the second and third rounds of Likert scale questionnaires. Then, the indicators were selected by five experts and the validity of the indicators was checked by 250 key informants. Content analysis was used to study the research data. The data were analyzed using SPSS descriptive statistical analyzes : median, interquartile range, and mode to determine the relationship of the experts’ opinions; mean, and standard deviations were used to identify the suitable criteria of the internationalization indicators. Pearson’s correlation coefficient was used to measure the suitability of the component analysis for second–order confirmatory factor analysis using LISREL 8.52. The research findings the factors which influenced internationalization of Phuket Rajabhat University consisted of three factors ; instruction, research and academic service. The composite indicators of internationalization of Phuket Rajabhat University consisted of three majors in order of factor loading as follow : research (.98), academic service (.97), and instruction (.94). The three factors must be implemented by 47 variables which were the indicators of internationalization. There were 35 indicators of instruction, 6 indicators of research, and 6 indicators of academic service. Results of testing the linear structural model of Phuket Rajabhat University Internationalization indicators using chi-square, goodness of fit index (GFI), and adjusted goodness of fit index (AGFI) indicated that the model had a statistical significantly fit to empirical data. The second step was to develop a strategic plan for the internationalization of Phuket Rajabhat University by using the indicators derived from the first step as key factors to analyze the present situation of Phuket Rajabhat University’s internationalization management. Ten experts were interviewed for guidelines and approaches for developing the internationalization indicators. The data derived from the interviews were used to outline a strategic plan for internationalizing Phuket Rajabhat University. Next, the drafted strategic plan was measured by Phuket Rajabhat University’s planning and development staffs; then, the plan was evaluated by five experts. Concerning the development of Phuket Rajabhat University’s internationalization strategic plan, the study results showed that there were five strategic management factors; 1) teacher upgrading, 2) students’ quality development, 3) teaching and learning system improvement, 4) administrative and management system development, and 5) international university and organization collaborative networking. Keyword : Indicators of Internationalization, strategic plan, Phuket Rajabhat University


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

76 คํานํา

ความสัมพันธขามชาติมีบทบาทมากขึ้นทามกลางกระแสโลกาภิวัตน สงผลใหกําแพงระหวางชาติ และ กําแพงภาษีลดลง การคาเสรีขามชาติมากขึ้น อันเกิดการตลาดภายใตการคาเสรีขององคการคาโลก และการคา เสรีทวิภาคีระหวางสองประเทศ ตลอดจนการคาเสรีในภูมิภาค การคาบริการเขาไปเปนสวนหนึ่งของขอตกลง นําเอาการศึกษาและอุดมศึกษาเขาไปในฐานะสินคาบริการดวย (จรัส สุวรรณเวลา, 2551: 60) ซึ่งการศึกษาเปน สิ่งที่จะตองสนองตอบตอกระบวนการของโลกาภิวัตน (Slaughter and Leslie. 1997) สถาบันอุดมศึกษาจะตอง มีการบริหารจัดการในการใหบริการและผลิตบัณฑิตรองรับ (Gumport and Sporn, 1999: 103; Bartell. 2003) ดังนั้น อุดมศึกษาจึงเปนกลไกหนึ่งในการพัฒนาขีดความสามารถการแขงขันของประเทศสูระดับสากล ความ เขาใจในวัฒนธรรมที่หลากหลายและความตระหนักวาเปนสวนหนึ่งของสังคมโลกเปนสิ่งจําเปนที่จะใหนักศึกษา เปนผูนําที่มีประสิทธิภาพ และสามารถแขงขันไดในตลาดโลก และความทาทายที่สถาบันอุดมศึกษาอาเซียน กําลังจะเผชิญ คือ ในป พ.ศ.2558 มีการเปดเสรีมากขึ้น สินคา บริการ ดานการลงทุน และเงินทุนตาง ๆ รวมทั้งผู ประกอบวิชาชีพ ผูมีความสามารถและแรงงานฝมือไหลเวียนขามประเทศ (พัชราวลัย วงศบุญสิน, 2550: ii) ดังนั้น การศึกษาตองเผชิญความเปลี่ยนแปลง คือ การศึกษาในฐานะการคาประเภทบริการขามแดน และอิทธิพล ของการรวมตัวของประเทศในภูมิภาคอาเซียน กรอบแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ป ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2551 – 2565) ของสํานักงานคณะกรรมการการ อุดมศึกษา (สกอ.) ใหความสําคัญกับความเปนสากลของอุดมศึกษา โดยมีเปาหมาย คือ “การเพิ่มขีดความสามารถ ในการแขงขันของประเทศในยุคโลกาภิวัตน” มีการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับนานาชาติ โดยมีการเปรียบเทียบ คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของมหาวิทยาลัยตาง ๆ (นงลักษณ วิรัชชัย และสุวิมล วองวานิช, 2541 : 3 ; Damme. 2000) ตลอดจนการที่สถาบันอุดมศึกษาของรัฐตองจัดทําคํารับรองการปฏิบัติราชการประจําป โดยมีตัว บงชี้หลักที่เปนตัวบงชี้ความเปนสากล คือ ระดับความสําเร็จในการพัฒนามหาวิทยาลัยสูระดับสากล ในขณะที่ตัวบงชี้ดานระดับความสําเร็จของการพัฒนาสถาบันสูระดับสากลยังคงเปนตัวบงชี้ในภาพรวม มหาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ภู เ ก็ ต ต อ งมี ก ารพั ฒ นาไปสู ร ะดั บ สากล ซึ่ ง ตั ว บ ง ชี้ ค วามเป น สากลของแต ล ะ สถาบันอุดมศึกษาจะตองตรงตามปรัชญาและรูปแบบความเปนสากลของสถาบันอุดมศึกษานั้น ๆ (จรัส สุวรรณ เวลา, 2551: 222; สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2550: 13) และจากการศึกษาของแทมบาสเซีย (Tambascia, 2005) พบวา การที่มหาวิทยาลัยสามารถกาวสูระดับสากลจะตองวางแผนยุทธศาสตรที่ชัดเจน เชนเดียวกับแนวคิดของปเตอรสันและสเปนเซอร (Peterson and Spenser, 1990) บริบทของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตแตกตางจากสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ที่ชัดเจน คือ มหาวิทยาลัย ตั้งอยุในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเปนแหลงทองเที่ยวระดับโลก มหาวิทยาลัยควรมีตัวบงชี้เฉพาะบางอยางที่สอดคลองกับ ภูมิศาสตร เชน เปนมหาวิทยาลัยที่บริการทางการศึกษากับนักทองเที่ยวชาวตางชาติที่สนใจ ซึ่งแทมบาสเซีย (Tambascia, 2005) ไดศึก ษาพบวา สภาพภู มิ ศ าสตร เป น ป จจัย หนึ่ ง ที่ มี ผลต อ ความเป น สากลของ สถาบันอุดมศึกษา ประกอบกับแผนยุทธศาสตรจังหวัดภูเก็ตมุงพัฒนาเปนเมืองนานาชาติ ดังนั้นผูวิจัยจึงศึกษา ตัวบงชี้ความเปนสากลที่สอดคลองกับบริบทที่แทจริงของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ดวยความสําคัญดังกลาว ผูวิจัยจึงไดทําการศึกษาเรื่อง “การพัฒนาตัวบงชี้และยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราช ภัฏภูเก็ต”


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

77

วัตถุประสงค ในการวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยไดกําหนดวัตถุประสงคของการวิจัยไว ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต 2. เพื่อพัฒนายุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต วิธีดําเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เปนการพัฒนาตัวบงชี้และพัฒนายุทธศาสตรความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ภูเก็ต ใชระเบียบวิธีเชิงบรรยาย (descriptive research) มีขั้นตอนการวิจัย 2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มีการดําเนินการ ดังนี้ 1. ศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยใชเทคนิคเดล ฟาย ผูใหขอมูลหลักเปนผูเชี่ยวชาญ จํานวน 20 ทาน โดยการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือในการเก็บขอมูลประกอบดวย แบบสัมภาษณแบบมีโครงสราง จํานวน 1 ฉบับ และแบบสอบถามแบบ มาตรประมาณคา 5 ระดับ จํานวน 2 ฉบับ 2. คั ด เลื อ กตั ว บ ง ชี้ ค วามเป น สากลของมหาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ ภู เ ก็ ต ที่ ม าจากความคิ ด เห็ น ของ ผูเชี่ยวชาญ ผูใหขอมูลหลักเปนผูเชี่ยวชาญ จํานวน 5 ทาน โดยการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) มี คุณสมบัติ คือ มีประสบการณการบริหารสถาบันอุดมศึกษาที่รับผิดชอบงานวิเทศสัมพันธ และเปนผูเชี่ยวชาญ เกี่ยวกับการวัดและการประเมิน หรือ เปนผูที่มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาตัวบงชี้ พิจารณาความเห็นและให คะแนนความตรงตามเนื้อหา โดยใชดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา (content valid index : CVI) (สุจิตรา เทียนสวัสดิ์, 2550; อางอิงจาก Davis, 1992 ; Lynn. 2005; Waltz et al., 2005) 3. ตรวจสอบความตรงของตั วบ งชี้ ความเป นสากลของมหาวิ ทยาลั ยราชภั ฏภู เ ก็ ต ผู ใ ห ข อ มู ล หลั ก ประกอบดวย ผูบริหาร คณาจารย และบุคลากรสายสนับสนุนการสอนของมหาวิทยาลัย จํานวนทั้งสิ้น 250 คน โดยผูวิจัยใชแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของตัวบงชี้ มีลักษณะมาตราสวนประมาณคา 5 ระดับ จํานวน 1 ฉบับ ขั้นตอนที่ 2 การจัดทําแผนยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ดําเนินการ ดังนี้ 1. การนําตัวบงชี้ จํานวน 47 ตัวบงชี้ที่ไดจากการพัฒนาในขั้นตอนที่ 1 มาศึกษาสภาพการดําเนินงาน ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตในปจจุบัน โดยการศึกษาเอกสาร และรายงานตาง ๆ โดยขอความ รวมมือกับหนวยงานตาง ๆ ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เชน รายงานการประจําปของมหาวิทยาลัย รายงานผล การดําเนินงานตามคํารับรองการปฏิบัติราชการประจําป รายงานการประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัย เปนตน 2. การนํ าขอมูลสภาพการดําเนินงานความเปนสากลของมหาวิทยาลั ยราชภัฏ ภูเก็ตในปจจุบันไป สัมภาษณผูเชี่ยวชาญ จํานวน 10 ทาน โดยการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) จํานวน 10 ทาน ประกอบดวย คณะผูบริหารของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต และนักวิชาการซึ่งเปนบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัย จํานวน 3 ทาน เกี่ยวกับแนวทาง / วิธีการพัฒนาตามตัวบงชี้


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

78

3. การสังเคราะหวิธีการพัฒนา / แนวทางการพัฒนาในแตละตัวบงชี้ เพื่อทําการยกรางแผนยุทธศาสตร การพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยการยกระดับขอมูลวิธีการพัฒนา / แนวทางการ พัฒนาในแตละตัวบงชี้เปนกลยุทธ (strategies) หลังจากนั้นหลอมรวมกลยุทธที่อยูในกลุมเดียวกันมากําหนด เปนประเด็นยุทธศาสตร (strategic issues) การพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยใช กรอบแนวคิดการประเมินแบบดุลภาพ (balanced scorecard) ของแคปแลนและนอรตัน (Kapland and Norton, 1998) 4. การจัด ประชุม สัม มนาคณะทํางานดานวางแผนและพัฒ นามหาวิ ท ยาลัย เพื่อพิ จารณารางแผน ยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏ 5. การประเมินรางแผนยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัย ราชภัฏภูเก็ต โดย ผูเชี่ยวชาญซึ่งเปนคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย จํานวน 5 ทาน โดยใชกรอบแนวคิดทฤษฎีของอิสเนอร (Eisner. 1976) และนําความคิดเห็นของผูทรงคุณวุฒิมาปรับปรุงแกไข สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยสามารถสรุปได ดังนี้ 1. การพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ประกอบดวย องคประกอบหลักที่ 1 การจัดการเรียนการสอน โดยมี 7 องคประกอบยอย คือ 1) คณาจารย 2) นักศึกษา 3) การบริการและการ บริหารจัดการ 4) เครือขายนานาชาติ 5) ทรัพยากร 6) หลักสูตร และ 7) ความมีชื่อเสียง องคประกอบหลักที่ 2 การวิจัย มี 2 องคประกอบยอย คือ 1) การบริหารจัดการวิจัย และ2) คุณลักษณะเฉพาะของผลงานวิจัย และ องคประกอบหลักที่ 3 การบริการวิชาการ มี 2 องคประกอบยอย คือ 1) การบริการวิชาการแกสังคม และ2) การ ทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม ผลการทดสอบความสอดคลองของโมเดลโครงสรางความเปนสากลกับขอมูลเชิง ประจักษ เพื่อพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยการวิเคราะหองคประกอบเชิง ยืนยันอันดับที่สอง ดวยโปรแกรมลิสเรล 8.52 ดังแสดงในตารางที่ 1 และภาพประกอบ 1


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย ตารางที่ 1

ตัวบงชี้

79

ผลการวิเคราะหองคประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง เพื่อพัฒนาตัวบงชี้รวมความเปน สากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต น้ําหนัก องคประกอบ b(SE)

การวิเคราะหองคประกอบอันดับแรก องคประกอบการจัดการเรียนการสอน (TEACHING) TELE (คณาจารยผูสอน) 0.85(0.03) TEST (นักศึกษา) 0.95(0.04) TESE (การบริการและการบริหารจัดการ) 0.92(0.05) TECO (เครือขายนานาชาติ) 0.93 (0.05) TERE (ทรัพยากร) 0.88 (0.05) TECU (หลักสูตร) 0.97 (0.05) TEWE (ความมีชื่อเสียง) 0.96(0.05) องคประกอบการวิจัย (RESEARCH) READ (การบริหารจัดการวิจัย) 0.99 (0.01) RERE (คุณลักษณะงานวิจัย) 0.89(0.03) องคประกอบดานการบริการวิชาการ (ACADEMIC) ASAS (การบริการวิชาการ) 0.97 (0.01) ASAC (การทํานุบํารุง ศิลปวัฒนธรรม) 0.82(0.04) การวิเคราะหองคประกอบอันดับสอง TEACHING (การจัดการเรียนการสอน) 0.94(0.06) RESEARCH (การวิจัย) 0.98(0.05) ACADEMIC (การบริการวิชาการ) 0.97(0.05) Chi-Square = 38.27 df = 27 GFI = 0.97 AGFI = 0.93 *p < .05

สปส. การพยากรณ (R2)

คาสถิติทดสอบ t (t-value)

0.68 0.85 0.80 0.73 0.88 0.87 0.96

9.92* 26.91* 19.88* 18.29* 16.61* 19.55* 18.42*

0.96 0.78

3.06* 26.44*

0.95 0.68

3.13* 20.62*

0.95 0.98 0.95

15.23* 20.94* 19.98*

RMSEA = 0.041 RMR = 0.012


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

80

ภาพที่ 1 ผลการวิเคราะหองคประกอบเชิงยืนยันตัวบงชี้รวมความเปนสากลของ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จากตารางที่ 1 และภาพที่ 1 ผลการวิเคราะหองคประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง เพื่อพัฒนาตัวบงชี้รวม ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต พบวา โมเดลการวิจัยสอดคลองกับขอมูลเชิงประจักษ โดยมีคาไคสแควร เทากับ 38.27 ที่ชั้นแหงความเปนอิสระ 27 นั่นคือ คาไค-สแควร แตกตางจากศูนยอยางไมมีนัยสําคัญ ทางสถิติ (p = .07) และคาดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (GFI) รวมทั้งคาดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก แลว (AGFI) มีคาเขาใกล 1 (0.97 และ 0.93 ตามลําดับ) เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของโมเดล พบวา น้ําหนัก องคประกอบของตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ที่สําคัญทั้ง 3 องคประกอบ มีคาเปนบวก และมีนัยสําคัญที่ระดับ .01 ทุกคา เรียงลําดับจากคาน้ําหนักองคประกอบจากมากไปหานอย คือ การวิจัย (.98) การบริการวิชาการ (.97) และการจัดการเรียนการสอน (.94) คาน้ําหนักองคประกอบดังกลาวแสดงวา ตัวบงชี้ ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เกิดจากองคประกอบดานการวิจัยเปนอันดับแรก รองลงมาคือ การบริการวิชาการ และการจัดการเรียนการสอน 2. การจัดทําแผนยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จากการศึกษา พบวา ประเด็นยุทธศาสตรในการดําเนินงานที่ผลักดันใหมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตกาวสูความเปนสากลมี 5 ประเด็นยุทธศาสตร ซึ่งประกอบดวย 1) การพัฒนาศักยภาพคณาจารย 2) การพัฒนาศักยภาพนักศึกษา 3) การ


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

81

พัฒนาระบบการเรียนการสอน 4) การพัฒนาระบบบริหารจัดการ และ5) การสรางเครือขายความรวมมือกับ สถาบันการศึกษาและองคกรตาง ๆ ในตางประเทศ อภิปรายผลการวิจัย ผลการวิจัยการพัฒนาตัวบงชี้ และยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มีประเด็นที่สําคัญในการอภิปรายผลการวิจัย ดังนี้ 1. การพัฒนาตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จากผลการวิจัยแสดงใหเห็ นวา ตัวบงชี้หลัก ของความเปนสากลของมหาวิทยาลั ยราชภัฏ ภูเก็ตมี 3 องคประกอบ ประกอบดวย การจัดการเรียนการสอน การวิจัย และ การบริการวิชาการ รวม 47 ตัวบงชี้ ซึ่ง ปรัชญาหลักในการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เนนการเปนสถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาทองถิ่น ตั ว บ ง ชี้ ค วามเป น สากลทั้ ง 3 องค ป ระกอบข า งต น จึ ง มี ค วามสํ า คั ญ ต อ การยกระดั บ สู ค วามเปน สากลของ มหาวิทยาลัย และเปนตัวบงชี้ที่มีลักษณะเฉพาะตามศักยภาพของมหาวิทยาลัย สอดคลองกับแนวคิดดานความ สากลของสถาบันอุดมศึกษาของ จรัส สุวรรณเวลา (2551: 222) สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (2550: 13) และบารเทล (Bartel. 2003: 5) ที่มีแนวคิดวา การที่มหาวิทยาลัยจะพัฒนาสูความเปนสากลนั้นตอง สอดคลองกับบริบทของมหาวิทยาลัยอยางแทจริง นอกจากนี้ตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยจะตองตรง ตามปรัชญาและรูปแบบความเปนสากลของมหาวิทยาลัยนั้น ๆ ผลการวิเคราะหองคประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง พบวา องคประกอบที่มีคาน้ําหนักองคประกอบสูงสุด คือ องคประกอบดานการวิจัย มีคาน้ําหนักองคประกอบเทากับ .98 รองลงมา คือ องคประกอบดานการบริการ วิ ช าการ มี ค า น้ํ า หนั ก องค ป ระกอบเท า กั บ .97 และองค ป ระกอบที่ มี ค า น้ํ า หนั ก องค ป ระกอบต่ํ า สุ ด คื อ องคประกอบดานการจัดการเรียนการสอน มีคาน้ําหนักองคประกอบเทากับ .94 แสดงใหเห็นวากลุมตัวอยางซึ่ง เปนคณาจารยเปนสวนใหญใหความสําคัญกับองคประกอบดานการวิจัย สอดคลองกับผลการศึกษาของคูสเซอร (Kouijzer. 1994) ซึ่งพบวา การพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัย จะตองใหความสําคัญกับกิจกรรม ทางดานการวิจัย จากการวิเคราะหองคประกอบอันดับแรก ตัวบงชี้ค วามเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตมี ประเด็นที่สําคัญในการอภิปรายผลการวิจัย ดังนี้ 1.1 องคประกอบดานการจัดการเรียนการสอน ประกอบดวย 7 องคประกอบยอย คือ คณาจารยผูสอน นักศึกษา การบริการและการบริหารจัดการ เครือขายนานาชาติ ทรัพยากร หลักสูตร และความมีชื่อเสียง จากการ วิเคราะห พบวา โมเดลการจัดการเรียนการสอนสอดคลองกับขอมูลเชิงประจักษ ตัวบงชี้ทุกตัวเปนตัวบงชี้ที่ สําคัญของทุกองคประกอบยอย โดยองคประกอบยอยที่มีน้ําหนักองคประกอบสูงสุด คือ องคประกอบยอยดาน หลักสูตร รองลงมา คือ องคประกอบยอยดานความมีชื่อเสียง สวนองคประกอบยอยที่มีน้ําหนักองคประกอบ ต่ําสุด คือ องคประกอบยอยดานคณาจารยผูสอน แสดงใหเห็นวากลุมตัวอยางไดใหความสําคัญกับองคประกอบ ดานหลักสูตรเปนอันดับแรก เนื่องจากหลักสูตรเปนสิ่งสําคัญของสถาบันอุดมศึกษาซึ่งจะเปนเครื่องมือสําคัญใน การยกระดับเปนสากล สอดคลองกับแนวคิดของจรัส สุวรรณเวลา (2545) และ เทลเลอร (Taylor, 2004) ซึ่งให ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดหลักสูตรใหมวา จะตองเปนหลักสูตรที่สอดคลองตามความตองการของผูเรียนและ


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

82

ตลาดแรงงาน โดยเฉพาะหลักสูตรนานาชาติที่สามารถสนองตอบตลาดแรงงานไดสูงจะเปนปจจัยสําคัญในการ ดึงดูดนักศึกษาชาวตางชาติ นอกจากนี้ยังสอดคลองกับผลการวิจัยของ สมคะเน ค้ําจุน (2543) อัลเลน (Allen, 2008) และ สุณี สาธิตานันต (2546) ที่ระบุวา ตัวบงชี้ความเปนสากลสวนใหญจะเกี่ยวของกับหลักสูตรการเรียน การสอน ดังนั้น มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตจะตองพัฒนาหลัก สูตรนานาชาติ ใหสอดคลองกับตลาดแรงงาน เพราะหลักสูตรจะเปนผลิตภัณฑสําคัญในการดึงดูดนักศึกษาทั้งไทยและตางชาติเขามาศึกษา 1.2 องคประกอบดานการวิจัย ประกอบดวย 2 องคประกอบยอย คือ การบริหารจัดการงานวิจัย และ คุณลักษณะเฉพาะของงานวิจัย จากการวิเคราะห พบวา องคประกอบยอยที่มีน้ําหนักองคประกอบสูงสุด คือ องคประกอบดานการบริหารจัดการวิจัย โดยมีตัวบงชี้ที่มีน้ําหนักองคประกอบสูงสุด คือ จํานวนโครงการวิจัยของ อาจารยและนักวิจัยที่ไดรับการสนับสนุนจากตางประเทศ ซึ่งสอดคลองกับจรัส สุวรรณเวลาและคณะ (2534: 110 อางถึงในกาญจนา บุญสง, 2551: 228) ที่กลาววา การบริหารงานวิจัยจะตองเปนลักษณะพิเศษแตกตาง จากการบริหารงานทั่วไป เพราะการบริหารงานวิจัยเปนการบริหารวิชาการ ซึ่งตองอาศัยกําลังความคิดของแตละ บุคคลเปนหลัก การบริหารจะเอื้อใหผูวิจัยแตละคนสามารถใชความคิดไดโดยอิสระ มีโอกาสสรางสรรคได การ ทํางานภายในกรอบหรือกระชับมากเทาใด ก็มีผลใหความสามารถที่จะผลิตผลงานมีนอยเทานั้น ขณะเดียวกัน การวิจัยจําเปนตองมีแรงกระตุน ชักนํา และดูแลจึงจะไดผลดี โดยเฉพาะอยางยิ่งการรักษาคุณภาพของงานวิจัย และตัวบงชี้ ดังกลา ว สอดคล องกั บตั วบง ชี้ก ารประเมิน คุณ ภาพการศึก ษาของสํา นักงานคณะกรรมการการ อุดมศึกษา (สกอ.) (2550: 50) สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) (2550) และผลการวิจัย ของสมคะเน ค้ําจุน (2543: 109) นอกจากนี้องคประกอบยอยดานคุณลักษณะเฉพาะของงานวิจัย โดยตัวบงชี้ที่มี คาน้ําหนักสูงสุด คือ ตัวบงชี้ระดับความสําเร็จของการพัฒนาศูนยขอมูลผลงานวิจัยอันดามัน ซึ่งแสดงใหเห็นวา บุคลากรของมหาวิทยาลัยตองการใหมหาวิทยาลัยมีการจัดตั้งศูนยขอมูลดังกลาว ทั้งนี้เพื่อเปนขอมูลสารสนเทศ ผลงานวิจัยอันดามัน ที่มีความสําคัญตอการนําผลการวิจัยไปใชประโยชน และชวยใหนักวิจัยสามารถตอยอด ฐานความคิดจากผลการวิจัย ซึ่งสอดคลองกับสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแหงชาติ (2549: 3) ที่กลาว วา สถาบันอุดมศึกษาควรมีการพัฒนาฐานขอมูลสารสนเทศที่เกี่ยวกับการวิจัยเพื่อเปนแหลงเรียนรู เผยแพร และ ถ า ยทอดองค ค วามรู สู สั ง คม มี ก ารเผยแพร ผ ลงานวิ จั ย ตั ว บ ง ชี้ ทั้ ง สองตั ว บ ง ชี้ จ ะมี คุ ณ ลั ก ษณะเฉพาะของ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต โดยตัวบงชี้จํานวนผลงานวิจัยดานการทองเที่ยว การจัดการทางทะเล พืช สัตวน้ํา เนื่องจากภารกิจดานการวิจัยเปนภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ซึ่งเปนสถาบันอุดมศึกษาหลักในฝง อันดามัน และเปนกลุมจังหวัดที่ใหความสําคัญกับการทองเที่ยว และปจจุบันอุตสาหกรรมการทองเที่ยวไดสราง รายไดหลักใหกับประเทศ รัฐบาลจึงมุงใหการพัฒนาการทองเที่ยวไทยในทุก ๆ ดาน 1.3 องคประกอบดานการบริการวิชาการ ประกอบดวย องคประกอบยอย 2 องคประกอบ คือ การ บริการวิชาการ และการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม จากการวิเคราะห พบวา องคประกอบยอยดานการบริการ วิชาการ มีน้ําหนักองคประกอบเปนอันดับสูงสุด และมีความสอดคลองกับขอมูลเชิงประจักษ โดยตัวบงชี้ที่มี น้ําหนักองคประกอบสูงสุด คือ ตัวบงชี้จํานวนโครงการที่ใหบริการโดยใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่ง มหาวิทยาลัยเปนแหลงรวมความรู มีบุคลากรที่มีความสามารถทางวิชาการ ในสวนขององคประกอบยอยดาน การทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม จากการวิเคราะหองคประกอบเชิงยืนยันอันดับแรก พบวา องคประกอบยอยดาน การทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม มีคาน้ําหนักองคประกอบเทากับ 0.82 และมีความสอดคลองกับขอมูลเชิงประจักษ การทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตประสบผลสําเร็จจากการดําเนินงานดานนี้เปนอยางดี


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

83

โดยผลการประเมินคุณภาพภายนอก (รอบ 2) มหาวิทยาลัยไดคะแนนในมาตรฐานการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม ในระดับดีมาก (มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต, 2549: ค) อีกทั้งมหาวิทยาลัยมีศูนยวัฒนธรรมซึ่งเปนแหลงรวบรวม ขอมูลทางดานศิลปวัฒนธรรมในฝงอันดามัน 2. การพัฒนายุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต การศึกษา พบวา การจัดทําแผนยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เปนกระบวนการหนึ่งที่จะพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยได ซึ่งสอดคลองกับแนวคิดของอายูบี (Ayoubi. 2006 : 261) อิงเบิรท และกรีน (Engbert & Green, 2002) และจรัส สุวรรณเวลา (2545) ที่ใหแนวคิดไววา การที่ จะก า วสูค วามเป น สากลนั้ น จะต อ งมี นโยบายที่ ชั ด เจน มียุ ทธศาสตร และแผนงานที่เ หมาะสม ตระหนั ก ถึ ง ความสําคัญและประโยชน มีความเขาใจความหมายและขอบเขตของความเปนสากลตรงกัน การมีสวนรวมใน การเลือกกลวิธี และแนวทางการพัฒนาของทุกฝายในมหาวิทยาลัยก็มีความสําคัญ กิจกรรมที่จะนําไปสูความ เปนสากล ทุกฝายจึงตองมีความเพียรพยายามที่จําเปน โดยเฉพาะอยางยิ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิธี ปฏิบัติ รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพ การตลาดและการประชาสัมพันธ และการเขาถึงขอมูล รวมทั้งการจัดการทาง การเงิน เนื่องจากความเปนสากลมีคาใชจายสูง และตองเกิดขึ้นภายในกรอบความจํากัด ของทรัพยากรของ มหาวิทยาลัย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตตองดําเนินการตามที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ ราชการ (ก.พ.ร.) กําหนดใหมหาวิทยาลัยจัดทําแผนพัฒนาสูสากล เพื่อนําไปสูการยอมรับทางวิชาการในระดับ ภูมิภ าคหรื อ นานาชาติ หรื อได รั บการจัด อั น ดั บสาขาวิ ช าหรื อสถาบั น อุ ด มศึ ก ษาชั้ น นํ า ของโลก (สํ านั ก งาน คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.), 2550: 30) ขอเสนอแนะ ขอเสนอแนะในการนําผลการวิจัยไปใช 1. ผลการพัฒนาตัวบงชี้ที่สําคัญของความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ประกอบดวย 3 องคประกอบสําคัญ คือ การจัดการเรียนการสอน การวิจัย และการบริการวิชาการ ซึ่งเปนตัวบงชี้ที่สามารถแสดง ใหเห็นอัตลักษณของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ดังนั้นจึงควรนําตัวบงชี้เหลานี้มาใชในการสงเสริมและสนับสนุน ใหมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตกาวสูสากล 2. มหาวิทยาลัยสามารถแผนยุทธศาสตรการพัฒนาความเปนสากลของมหาวิทยาลัย ไปปฏิบัติได กําหนดเปาหมายการดําเนินงานโดยใชผลการดําเนินงานที่ผานมาเปนขอมูลพื้นฐาน และกําหนดเปาหมายเชิง พัฒนา การจัดสรรทรัพยากร ตลอดจนมีการประเมินโดยที่ใชเกณฑการประเมินที่ชัดเจน 3. มหาวิทยาลัยราชภัฏอื่น ๆ สามารถนําตัวบงชี้ไปประยุกตใชในการพัฒนามหาวิทยาลัยสูความเปน สากลไดอยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การวิจัยครั้งนี้ ไดดําเนินการภายใตขอบเขตที่ผูวิจัยกําหนดไว ดังนั้น ผูวิจัยจึงไดเสนอแนวทางบาง ประการที่จะเปนประโยชนสําหรับการวิจัยในครั้งตอไป ดังนี้ 1. ผลจากการวิจัย พบวา ตัวบงชี้ความเปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มี 47 ตัวบงชี้ ดังนั้น ใน การวิจัยครั้งตอไป ควรมีการนําตัวบงชี้ทั้ง 47 ตัวบงชี้ดังกลาว ไปทดลองใชในสถานการณจริงในมหาวิทยาลัย ราชภัฏภูเก็ต แลวติดตามผลการนําตัวบงชี้เหลานี้ไปใชโดยใชรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research)


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

84

2. การวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยทดสอบความสอดคลองของโมเดลโครงสรางความเปนสากลของมหาวิทยาลัย ราชภั ฏ ภู เ ก็ ต และพั ฒนาตั ว บ ง ชี้ รวม ซึ่ ง มี ข อดี กล า วคื อ เป น ตั วบง ชี้ที่ ส ามารถอธิ บ ายความเป น สากลของ มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ตไดครอบคลุม ทั้ง 3 ดาน ซึ่งไดแกดานการจัดการเรียนการสอน ดานการวิจัย และดาน การบริการวิชาการ ดังนั้น ในการวิจัยครั้งตอไป ควรมีการศึกษาตอโดยการนําสมการตัวบงชี้รวมบทบาทความ เปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตที่ไดจากการศึกษาครั้งนี้ไปเปนแนวทางในการพัฒนาตัวบงชี้ความเปน สากลของมหาวิทยาลัยราชภัฎอื่น ๆ ตามบริบทพื้นที่ที่ไมเหมือนกัน เอกสารอางอิง กาญจนา บุญสง. 2551. การพัฒนาตัวบงชี้บทบาทความเปนมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาทองถิ่น ข อ ง มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี. ดุษฎีนิพนธ การศึกษาดุษฎีบัณฑิต (บริหารการศึกษา). กรุงเทพ ฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. จรัส สุวรรณเวลา. 2551. ความเปนอิสระของมหาวิทยาลัยไทย. กรุงเทพ ฯ : สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัย. จรัส สุวรรณเวลา. 2545. อุดมศึกษาไทย. กรุงเทพ ฯ: สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. พัชราวลัย วงศบุญสิน และคณะ. 2550. การเพิ่มผลิตภาพแรงงานอาเซียน. กรุงเทพ ฯ: สํานักงานกองทุน สนับสนุนการวิจัยแหงชาติ. (อัดสําเนา). นงลักษณ วิรัชชัย และสุวิมล วองวานิช. 2541. การวิเคราะหการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของประเทศในเอเชีย. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพเซเวนพริ้นติ้งกรุฟ. มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต. 2549. รายงานการประเมินคุณภาพภายนอก (รอบ 2) มหาวิทยาลัยราชภัฏ ภูเก็ต. ภูเก็ต : มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต. สมคะเน ค้ําจุน. 2543. การศึกษาความเปนสากลของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ดุษฎีนิพนธ การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาการอุดมศึกษา กรุงเทพ ฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. สุจิตรา เทียนสวัสดิ์. (2550, ตุลาคม – ธันวาคม). “ดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา: ขอวิพากษและขอเสนอแนะวิธีการ คํานวณ,” พยาบาลสาร. 34(4), หนา 1 – 9. สุ ณี สาธิ ต านั น ต . 2546. รู ป แบบการพั ฒ นาสู ค วามเป น สากลของสถาบั น ราชภั ฏ ในภาค ตะวั น ออกเฉี ย งเหนื อ รายงานการศึ ก ษาอิ ส ระปริ ญ ญาดุ ษ ฎี บั ณ ฑิ ต สาขาพั ฒ นศาสตร . ขอนแกน : มหาวิทยาลัยขอนแกน. สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. 2551. คูมือการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ตามคํารับรอง การปฏิบัติราชการของสถาบันอุดมศึกษา ประจําปงบประมาณ พ.ศ.2552. กรุงเทพ ฯ: สํานักงาน คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. 2550. กรอบแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ป ฉบับที่ 2 (พ.ศ.25512565). กรุงเทพ ฯ: สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

85

Allen, C. 2008. Internationalization Indicators in Comprehensive University. retrieved September,15 2008, from http://nasulge.org/NetCommunity/Document.Doc?id=1086 Ayoubi, R. and EL-Habiabeh, A. (2006). “An Investigation into international businesscollaboration in higher education organizations : a case study of international partnerships in four UK leading university”, International Journal of Educational Management. 20(5), 380 -396. Bartell. M. 2003. Internationalization of universities : A university culture-base framework. Higher Education. 45(1), 43 – 70. Damme, D.V. 2000. Internationalization and quality assurance: Toward worldwide accreditation?. European Journal Law and Policy. 4(1), 1 – 20. Engberg, D. and Green, M. F. 2002. Promising practices: Spotlighting excellence in comprehensive internationalization. Washington, DC: American Councilon Education. Eisner, E. 1976. Education connoisseurship and criticism : Their from function in education evaluation. n.p. Gumport, P.J. and Sporn, B. 1999. “Institutionnal adaptation: Demand for management reform and university administration,” In Smart, J.C. and Tierney, W.G. (Eds.). Higher education:Handbook of theory and research Volum XIV, (pp. 103–145).New York: Agathon Press. Kaplan, R. S. and Norton, D. P. 1998. The balance scorecard-measures that drive performance. Harvard: Harvard Business Review on Measuring Corporate Performance. Kouijzer, R. 1994. “ Internationalization : Management and strategic policy development,” Higher Education Management. 12(4). 99 – 103. Peterson, M.W. and Spenser, M.G. 1990. Understanding academic culture and climate. In Tierney, W.G. (ed), Assesing Academic Climates and Culture. New Directions for Institutional Research, Volum IX. New York : Agathon press, pp.344 – 388. Slaughter, S. and Leslie, L. 1997. “Expanding and Elaborating the Concept of Academic Capitalism” Organization. 8(2). 154 – 161.retrieved April,15 2008, from http://org.sagepub.com/cgi/pdf_extract/8/2/154 Tambascia, J.A. 2005. Internationalization of Higher Education a case study of a private U.S. research university. Doctoral dissertation of philosophy (Education). University of Southern California. Retrieved April 6, 2008, from http://proquest.umi.com/dissertations/preview_all/3219855 Taylor, J. 2004, Jun. “Toward a strategy for internationalization: Lesson and practice from four universities,” Journal of Studies in International Education. 8(2), 149 – 171.



วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

87

บทความรายงานการวิจัย กิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ∗

มุมีนะห บูงอตาหยง ∗∗ อิบราเฮ็ม ณรงครักษาเขต บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อ (1) ศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ในการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 (2) ศึกษาปญหา อุปสรรคและขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ของโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 กลุมตัวอยางที่ใชในการเก็บขอมูลเชิง ปริมาณ คือ ครูผูสอนสายวิชาศาสนาและสามัญ จํานวน 393 คน เครื่องมือที่ใชในการเก็บขอมูล เปนแบบสอบถาม ซึ่งผูวิจัยไดพัฒนาขึ้นเอง สวนขอมูลเชิงคุณภาพไดจากผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรม พัฒนาผูเรียน โดยผานการสัมภาษณ ผลการวิจัยพบวา (1) ระดับการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับมัธยมศึกษาใน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ตามความเห็นของครูพบวา โดยภาพรวมและตาม รายขอมี การดําเนินการอยูในระดับมาก ทั้งนี้รูปแบบในการดําเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝง คุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ตามความเห็นของ ผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ซึ่งมีความเห็นตรงกันพบวา มีการใชทุก โรงเรียนทั้งหมด 6 รูปแบบ คือ กิจกรรมกลุมศึกษาอิสลาม (ฮาลาเกาะฮฺ) กิจกรรมละหมาดกลางคืนรวมกัน (กิยามุล ลัยลฺ) กิจกรรมถือศีลอดรวมกัน เดือนละ 1-2 ครั้ง กิจกรรมตักเตือนกัน (พี่เตือนนอง/เพื่อนเตือนเพื่อน) กิจกรรมการ บรรยายใหความรูเกี่ยวกับความประเสริฐของคุณธรรมจริยธรรมในดานตางๆ และคายอบรมจริยธรรมอิสลาม (2) ปญหาและอุปสรรคในการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ของโรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 พบวา ครูผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบ กิ จกรรมพัฒนาผูเรียนมี ความเห็นที่สอดคลองกัน คื อ ป ญหาด านเวลาไม เพียงพอและงบประมาณที่มี จํากั ด นักเรียนขาดจิตสํานึก ขาดความเอาใจใสจากครอบครัว สวนขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนดังกลาว คือ ผูบริหาร บุคลากรและนักเรียนควรสรางจิตสํานึกที่ดีในการปฏิบัติคุณธรรมจริยธรรม เพื่อเปนแบบอยางที่ดี ควร มีการปรับปรุงเวลาเรียนและใหมีความพรอมดานสื่อวัสดุอุปกรณ ควรเปดโอกาสใหนักเรียนแสดงความสามารถใน การนําเสนอรูปแบบกิจกรรมและมีบทบาทในการดําเนินกิจกรรม ควรมีกิจกรรมประชุมพบปะผูปกครองเปนประจํา ควรจัดกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมอยางตอเนื่อง โดยเฉพาะกิจกรรมการทําฮาลาเกาะฮฺประจําโรงเรียนและ จัดใหมีการประชุมฮาลาเกาะฮฺทุกสัปดาห และกิจกรรมการเยี่ยมเยียนตามบานของนักเรียน คําสําคัญ: กิจกรรมพัฒนาผูเรียน, คุณธรรมจริยธรรมอิสลาม, โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม, เขตพื้นที่ การศึกษายะลา เขต1

นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาอิสลามศึกษา วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี Asst. Prof. Ph.D. (การศึกษา) อาจารยประจําวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี

∗∗


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

88

Abstract The purposes of this research are to study (1) The model of student development activities to foster the Islamic moral and ethics of secondary school students in the Islamic Private Schools in Yala Educational Service Area, Region1. (2) Problems, obstacles, and suggestions relevant to student development activities which will foster the Islamic moral and ethics of secondary school students in the Islamic Private Schools in Yala Educational Service Area, Region1. Samples of the study were 393 teachers. Instrument for quantitative data was questionnaire while qualitative data gained from school administrators via the in-depth interview. Findings of the study showed that 1) With regards to the level of inculcating the Islamic moral and ethics in Islamic Private School students in the Yala Educational Service Area, Region1 in accordance with opinion of teachers, school administrators and officers from student activity affairs, it was at the high level. There were six forms of activities implementing, namely, Halaqa (Islamic study group), Qiyamullail in Jama>‘ah (Night prayer as a group), Fasting together for about 1-2 times a month, correcting mistake among friends, religious sermon about how important the Islamic moral and ethics are, and the moral and ethics training camp. Moreover, the results also showed that the level of fostering the moral and ethics were high in all aspects. 2) In terms of the problems and obstacles in the student development activities to foster the Islamic moral and ethics in the Islamic Private School in Yala Educational Service Area, Region1, school administrators, officers from the activities affairs or those responsible for student development activities, and teachers, they have similar opinions, namely, no enough time and budget, lack of responsibility from the staff themselves, students have no motivation and do not understand the values of moral and ethics, the different of financial status among students, the parents do not build enough consciousness to their children in terms of Islamic moral and ethics, and finally there are no specific activities. There are some suggestions for the student development activities, such as school administrators, staff, and students should build consciousness in practicing good Islamic moral and ethics as good examples. A study timetable and the educational media should be modified. The students should have chances to show their abilities in terms of activities. They should have an opportunity to get involved in organizing activities. There should have a regular meeting for parents. The activities which develop the moral and ethics should be organized regularly such as Halaqa and visiting houses of students. Keywords: Student Development Activities, Islamic moral and ethics, Islamic Private Schools, Yala Educational Service Area, Region1


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

89

บทนํา มุสลิมทุกคนตางใฝฝนที่จะเปนที่รักของอัลลอฮฺ และเปนที่รักของคนรอบขางและสังคมโดยรวม ทุกคนใฝฝน ที่จะเปนผูที่ไดรับการยกยองและมีเกียรติในสังคมและโลกอาคิเราะฮฺ และใฝฝน ที่จะมีชีวิตความเปนอยูที่ดีบนโลกนี้ และไดรับการตอบแทนที่ดีในโลกอาคิเราะฮฺและปลอดภัยจาก ไฟนรก...ทั้งหมดนั้นลวนเปนความดีงามของอิสลาม (al-‘Adawiy, 1997: 5-6) ผูที่จะเปนที่รักของอัลลอฮฺ เปนที่รักและนาชื่นชมจากคนรอบขาง และไดรับการตอบแทน ที่ดีงามในโลกอาคิ เราะฮฺ จําเปนตองเปนผูที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงาม และผูที่มีคุณลักษณะ ที่เพียบพรอมดานคุณธรรมจริยธรรมที่ดี งามคือทานนบีมุฮัมมัด  ดังที่อัลลอฮฺ  ไดยกยองทาน นบีมุฮัมมัด  วาเปนผูมีคุณธรรมจริยธรรมที่ยิ่งใหญ ซึ่งพระองคไดตรัสในอัลกุรอานวา zn m l k{ ความวา “และแทจริงเจานั้นอยูบนคุณธรรมอันยิ่งใหญ”

(อัลเกาะลัม, 68: 4)

และทานนบีมุฮัมมัด  ไดกลาวถึงความประเสริฐของผูที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงามวา "‫ﺧﹸﻠﻘﹰﺎ‬ ‫ﻢ‬ ‫ﻬ‬‫ﺴﻨ‬  ‫ﺣ‬ ‫ﺎ ﹶﺃ‬‫ﺎﻧ‬‫ﲔ ﹺﺇﳝ‬  ‫ﻣﹺﻨ‬ ‫ﺆ‬ ‫ﻤﻞﹸ ﺍﹾﻟﻤ‬ ‫"ﹶﺃ ﹾﻛ‬ ความวา “บรรดาผูศรัทธาที่มีศรัทธาที่สมบูรณที่สุดคือผูที่มีจริยธรรมที่ดีงามที่สุดในหมูพวกเขา” (บันทึกโดย Abu Dawud, n.d.: 4682, al-Tirmidhiy, n.d.: 1162) ดวยการยึดปฏิบัติในคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงามของบรรดาบรรพชนรุนแรกตามที่ทานนบีมุฮัมมัด × ไดทิ้งเปน แบบอยางไว ทําใหพวกเขาเปนปูชณียบุคคลที่มีจริยธรรมที่สูงสง ประชาชนจากที่ตางๆไดทยอยเขารับอิสลามเปน ระลอกๆ เนื่องจากพวกเขาไดเห็นและสัมผัสถึงการมีปฏิสัมพันธที่ดีเยี่ยม และการมีจริยธรรมที่สูงสงยิ่งกวาที่พวกเขา เคยประสบมา (al-khaznadar, 1997: 13) โรงเรียนเปนสถาบันการศึกษาที่มีบทบาทสําคัญยิ่งในการอบรมขัดเกลาเยาวชน และบมเพาะวัฒนธรรมและ พฤติกรรมที่ถูกตอง สถาบันการศึกษาโดยรวมไดใหความสําคัญกับกิจกรรมพัฒนาผูเรียน โดยมีจุดมุงหมายเพื่อใชเวลา วางของเยาวชนใหเปนประโยชนตอพวกเขาเอง และเพื่อเปลี่ยนแปลง ปลูกฝงและพัฒนาบุคลิกภาพของผูเรียนในดาน ตางๆ โดยเฉพาะดานคุณธรรมจริยธรรม เพราะการเรียนไมไดเปนเพียงการตักตวงความรูเทานั้น แตเปนกระบวนการที่ เอื้อประโยชนในการสรางบุคลิกภาพที่ดีงามแกนักศึกษาในทุกๆดาน พรอมกับปลูกฝงจิตวิญญาณความรับผิดชอบใน ชีวิต ทั้งตอตนเอง ครอบครัว และสังคมรอบขาง (al-Kharashiy, 2004: 6) ดวยเหตุนี้ การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 จึงไดกําหนดจุดมุงหมาย ซึ่งเปนมาตรฐานการ เรียนรูใหผูเรียนเกิดคุณลักษณะอันพึงประสงค ไววา “เห็นคุณคาของตนเอง มีวินัยในตนเอง ปฏิบัติตนตามหลักธรรม หรือศาสนาที่ตนนับถือ มีคุณธรรม จริยธรรมและคานิยมที่พึงประสงค” (กระทรวงศึกษาธิการ, 2545: 4) กิจกรรมพัฒนาผูเรียน เปนกิจกรรมที่จัดขึ้นอยางเปนกระบวนการดวยรูปแบบและวิธีการที่หลากหลาย ให ไดรับประสบการณ จากการปฏิบัติจริง มีความหมายและมีคุณคาในการพัฒนาผูเรียน ทั้งดานรางกาย จิตใจ สติปญญา อารมณและสังคม มุงเสริมเจตคติ คุณคาชีวิต ปลูกฝงคุณธรรมและคานิยมที่พึงประสงค สงเสริมใหผูเรียน รูจักและเขาใจตนเอง สรางจิตสํานึกในธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ปรับตัวและปฏิบัติตนใหเปนประโยชนตอสังคม ประเทศชาติและดํารงชีวิตไดอยางมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546: 2–3)


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

90

โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเปนสถานศึกษาของเอกชนที่พัฒนามาจากการเรียนระบบ “ปอเนาะ” เปน สถาบันการศึกษาที่เปดสอนวิชาศาสนาควบคูกับวิชาสามัญ โดยไดรับการสนับสนุนจากภาครัฐในดานงบประมาณ บุคลากร และวิชาการ จังหวัดยะลา เปนจังหวัดหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใตที่มีโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามอยูอยาง หนาแนน ทุกโรงเรียนลวนมุงเนนการอบรมขัดเกลาพฤติกรรมของผูเรียนใหเปนผูที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงาม และมีคานิยมที่พึงประสงคตามหลักการอิสลาม โดยจะมีกิจกรรมการบมสอนและปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมทั้ง ทางตรงในรายวิชาจริยธรรม และทางออมในกิจกรรมพัฒนาผูเรียนนอกเวลาเรียน แตจากการสํารวจขอมูล เบื้องตนพบวา การจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนเพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา อิสลามในเขตจังหวัดยะลาไดประสบกับปญหาและอุปสรรคหลายอยาง ทั้งดานเวลา อุปกรณ งบประมาณ และ ความรวมมือของบุคลากรและผูเรียนเอง จากความเปนมาขางตน ผูวิจัยจึงสนใจที่จะศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมเพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรม ใหแกนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ศึกษาปญหาและอุปสรรคบางประการที่ทําให การจัดกิจกรรมดังกลาวไมประสบผลสําเร็จเทาที่ควร พรอมทั้งนําเสนอขอเสนอแนะและวิธีการแกปญหา เพื่อเปน แนวทางในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมใหกับสถาบันการศึกษาในทุกระดับตอไป อินชาอัลลอฮฺ วัตถุประสงคของการวิจัย 1. เพื่อศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 2. เพื่อศึกษาปญหา อุปสรรค และขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ขอบเขตของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยทําการศึกษาเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนระดับมัธยมศึกษา เพื่อปลูกฝง คุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 โดยกําหนดขอบเขตของ การวิจัย ดังนี้ (1) ประชากร คือ ครูผูสอนสายวิชาศาสนาและวิชาสามัญ (2) กลุมตัวอยาง คือ ครูผูสอนสายวิชาศาสนา และวิชาสามัญ จํานวน 400 คน จาก 6 โรงเรียน วิธีดําเนินการวิจัย ประชากร กลุมตัวอยาง วิธีสุมตัวอยาง ประชากรที่ ใช ในการศึ กษา ได แก ครู ที่ สอนสายวิ ชาศาสนาและวิ ชาสามั ญ ซึ่ งมี ส วนร วมในการดู แล รับผิดชอบเกี่ยวกับกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ประจําปการศึกษา 2550 ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม มาตรา 15 (1) จังหวัดยะลา จาก 21 โรงเรียน จํานวน 1,762 คน กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษา ไดแก ครูผูสอน ซึ่งกําหนดขนาดของกลุมตัวอยางไดมาจากการคํานวณหา ขนาดกลุมตัวอยางโดยใชสูตรของทาโร ยามาเน (Taro Yamane’, 1973: 727-728) ซึ่งประชากรครูผูสอน จํานวน 1,762 คน ไดขนาดกลุมตัวอยาง 399.77 คน ทั้งนี้ผูวิจัยไดปดเปนเลขกลมเปน 400 คน แตเมื่อดําเนินการแลวกลุมตัวอยางที่ ตอบรับ จํานวนทั้งสิ้น 393 คน


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

91

วิธีการเลือกกลุมตัวอยาง ใชวิธีการสุมกลุมตัวอยางจากประชากรเปาหมายใน 6 โรงเรียน โดยการสุมอยางงาย (Simple Random Sampling) จากสูตรการกระจายตามสัดสวน ดังนั้นไดจํานวน กลุมตัวอยาง จํานวนทั้งหมด 400 คน การเก็บรวบรวมขอมูล ผูวิจัยเก็บรวบรวมขอมูลโดยศึกษาอัลกุรอาน อัลหะดีษ เอกสารเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมอิสลามและ งานวิ จั ยต าง ๆ ที่ เกี่ ยวข อง และเก็บรวบรวมขอมูลภาคสนามเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมพั ฒนาผูเรียน ประกอบดวย แบบสอบถาม ซึ่งผูวิจัยไดจัดสงแบบสอบถามดวยตัวเองถึงครูผูสอน จํานวน 400 ฉบับ ตอบแบบสอบถามและสงคืนมา จํานวน 393 ฉบับ คิดเปนรอยละ 98.25 และแบบสัมภาษณ ซึ่งผูวิจัยขอสัมภาษณ ผูบริหารโรงเรียน จํานวน 6 คน ตอบ รับการสัมภาษณ จํานวน 5 คน คิดเปน รอยละ 83.33 ฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบฝายกิจกรรมพัฒนาผูเรียน จํานวน 6 คน ตอบรับการสัมภาษณ จํานวน 6 คน คิดเปนรอยละ 100 สรุปและอภิปรายผลการวิจัย (1) ระดับการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในโรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ตามความเห็นของครู ผลการวิจัยพบวา คุณธรรม จริยธรรมตามที่กําหนด 6 ดาน คือ ดานความยําเกรง (ตักวา) ตออัลลอฮฺ ดานความอดทน (ศ็อบรฺ) ดานการ ใหอภัย (อัฟวฺ) ดานความบริสุทธิ์ใจ (อิคลาศ) ดานความซื่อสัตยสุจริต (ศิดกฺ) และดานความยุติธรรม (อัดลฺ) โดยภาพรวมมี ก ารปลูก ฝ ง อยู ใ นระดั บ มาก และเมื่อ พิ จ ารณารายข อ พบว า อยู ใ นระดับ มากทุ ก รายการ เหมือนกันทุกดาน ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา ครูมีการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามที่มี ลัก ษณะครอบคลุมทุกดา น ทํา ใหมีร ะดับ ที่ไ มแตกต า งกัน คือ ทุกดา นอยูใ นระดับ มาก ซึ่งสอดคลอ งกั บ ผลการวิจัยของพรหมมินทร สุมาลี (2546) การศึกษาสภาพและปญหาการจัดกิจกรรมนักเรียนตามความ คิดเห็นของผูบริหารและครู ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดนครราชสีมา ทั้งนี้อาจ เปนเพราะวา ครูบางทานยังขาดประสบการณในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมแกนักเรียน ซึ่งสอดคลองกับ ผลการวิจัยของ ฐิติพร ทองมูล (2551) เกี่ยวกับปญหาสภาพการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ตามหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ของโรงเรียนในสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาตาก เขต1 ซึ่งได ขอสรุปวา ครูขาดประสบการณในการจัดกิจกรรม การจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนไมนาสนใจ การบริการ ขอมูลขาวสารใหกับผูเรียนลาชา ขาดวัสดุอุปกรณ และหนังสือมาบริการนักเรียน ไมมีการนิเทศติดตามการ จัดกิจกรรม ครูไมจริงจังในการปฏิบัติหนาที่ เปนตน (2) รูปแบบในการดําเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ในโรงเรียน เอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ตามความเห็นของผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่ รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียน มีรูปแบบที่สามารถนําไปใชทุกดานของคุณธรรมจริยธรรมอิสลามทั้ง 6 ดาน ประกอบดวย ดานความยําเกรงตออัลลอฮฺ (ตักวา) ดานความอดทน (ศ็อบรฺ) ดานการใหอภัย (อัฟวฺ) ดานความบริสุทธิ์ ใจ (อิคลาศ) ดานความซื่อสัตยสุจริต (ศิดกฺ) และดานความยุติธรรม (อัดลฺ) ซึ่งมีทั้งหมด 6 รูปแบบ คือ กิจกรรมกลุม ศึกษาอิสลาม (ฮาลาเกาะฮฺ) กิจกรรมละหมาดกลางคืนรวมกัน (กิยามุลลัยลฺ) กิจกรรมถือศีลอดรวมกัน เดือนละ 1-2 ครั้ง กิจกรรมตักเตือนกัน (พี่เตือนนอง/เพื่อนเตือนเพื่อน) กิจกรรมการบรรยายใหความรูเกี่ยวกับความประเสริฐของ คุณธรรมจริยธรรมในดานตางๆ และคายอบรมจริยธรรมอิสลาม


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

92

รูปแบบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนดังกลาว เปนกิจกรรมหลักในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ที่ มีการดําเนินในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจ เปนเพราะวา รูปแบบดังกลาวสามารถใหประโยชนอยางสูงในทุกๆดาน ทั้งนี้ ยังมีปรากฏเปนตัวอยางในสมัย ของทานนบีมุฮัมมัด เชน กิจกรรมฮาลาเกาะฮฺ (กลุมศึกษาอิสลาม) จากทานอบีวากิด อัลลัยซีย เลาวา “ครั้งหนึ่งทานนบีไดนั่งอยู ในมัสญิด และมีกลุมคนนั่งพรอมกับทาน ขณะนั้นมีชายสามคนเดินเขามา ในจํานวนนั้นมีสองคนที่เดินเขาหาทานนบี สวนอีกคนไดเดินผานไป สองคนที่เดินเขามานั้น ไดยืนหยุดตอหนาทานนบี หนึ่งในจํานวนนั้นไดเห็นชองวางในฮาลา เกาะฮฺ เขาก็รีบไปนั่งในสวนที่วางนั้นและอีกคนไดนั่งทางดานหลังของพวกเขา สวนคนที่สามไดเดินกลับไป หลังจากที่ ทานนบีไดเสร็จจากการพูด ทานนบีก็ไดกลาวความวา “ฉันจะบอกแกพวกเจาเกี่ยวกับคนสามคนหนึ่งในจํานวนพวกเขา นั้นไดเขาหาอัลลอฮฺ อัลลอฮฺก็ไดเขาหาเขา สวนอีกคนรูสึกอับอาย อัลลอฮฺก็อับอายกับเขา สวนอีกคนนั้นไมยอมรับ อัลลอฮฺก็ไมยอมรับเขา” (al-Bukhariy, 1998: 66) กิจกรรมการบรรยาย ดังหะดีษอิบนฺอับบาส ไดรายงานวา ‫ﻡ‬ ‫ﺔ ﻗﹶﺎ‬ ‫ﻌ‬ ‫ﻤ‬‫ﻡ ﺍﹾﻟﺠ‬ ‫ﻮ‬ ‫ﻳ‬ ‫ﺆ ﱢﺫﻥﹸ‬ ‫ﺖ ﺍﹾﻟﻤ‬  ‫ﺳ ﹶﻜ‬ ‫ ﹶﻓﹺﺈﺫﹶﺍ‬،‫ﺒﺮﹺ‬‫ﻨ‬‫ﻤ‬ ‫ﻋﻠﹶﻰ ﺍﹾﻟ‬ ‫ﻰ‬‫ﺿﺤ‬  ‫ﺍ َﻷ‬‫ ﻭ‬،‫ﻔ ﹾﻄﺮﹺ‬ ‫ﻡ ﺍﹾﻟ‬ ‫ﻮ‬ ‫ﻳ‬‫ﻭ‬ ،‫ﻌﺔ‬ ‫ﻤ‬ ‫ﺠ‬  ‫ﻡ ﺍﹾﻟ‬ ‫ﻮ‬ ‫ﻳ‬ ‫ﺨﻄﹸﺐ‬  ‫ﻳ‬ ‫ ﻛﹶﺎ ﹶﻥ‬: ‫ﷲ‬ ِ ‫ﻮ ﹶﻝ ﺍ‬ ‫ﺭﺳ‬ ‫" ﹶﺃ ﱠﻥ‬ "‫ﺐ‬  ‫ﺨ ﹶﻄ‬  ‫ﹶﻓ‬ ความวา “ทานเราะสูล  ไดบรรยายคุฏบะฮฺในวันศุกร วันอีดิลฟฏรฺ วันอีดิลอัฎฮาบนมินบัร (แทนปราศรัย) เมื่อใดที่คนอะซานเสร็จในวันศุกร ทานก็จะลุกขึ้นและบรรยายคุฏบะฮฺ” (บันทึกโดย al-Tabaraniy, n.d.: 11518) กิจกรรมตักเตือนซึ่งกันและกัน (พี่เตือนนอง/เพื่อนเตือนเพื่อน) ซึ่งเปนคําสั่งของทานนบีมุฮัมมัด  ดังที่ ทานไดกลาวไววา "‫ﻥ‬ ‫ﺎ‬‫ ﺍ ِﻹﳝ‬‫ﻌﻒ‬ ‫ﺿ‬  ‫ﻚ ﹶﺃ‬  ‫ﻟ‬‫ﻭ ﹶﺫ‬ ‫ﻪ‬ ‫ﻊ ﹶﻓﹺﺒ ﹶﻘ ﹾﻠﹺﺒ‬ ‫ﻄ‬ ‫ﺘ‬‫ﺴ‬  ‫ﻳ‬ ‫ﻢ‬ ‫ﻪ ﹶﻓﹺﺈ ﹾﻥ ﹶﻟ‬ ‫ﺎﹺﻧ‬‫ﻠﺴ‬‫ﻊ ﹶﻓﹺﺒ‬ ‫ﻄ‬ ‫ﺘ‬‫ﺴ‬  ‫ﻳ‬ ‫ﻢ‬ ‫ﻩ ﹶﻓﹺﺈ ﹾﻥ ﹶﻟ‬ ‫ﺪ‬ ‫ﻴ‬‫ ﹺﺑ‬‫ﺮﻩ‬ ‫ﻐﱢﻴ‬ ‫ﺍ ﹶﻓ ﹾﻠﻴ‬‫ﻨ ﹶﻜﺮ‬‫ﻣ‬ ‫ﻢ‬ ‫ﻨ ﹸﻜ‬‫ﻣ‬ ‫ﺭﺃﹶﻯ‬ ‫ﻦ‬ ‫ﻣ‬ " ความวา “ผูใดในหมูพวกเจาเห็นสิ่งที่ไมดี เขาจงเปลี่ยนแปลงมัน (ตักเตือน) ดวยมือ หากไมมีความสามารถก็ จงตักเตือนดวยปาก และหากไมมีความสามารถอีกก็จงตักเตือนดวยใจ และนั่นคือภาวะการศรัทธาที่ออนที่สุด” (บันทึกโดย Muslim, 1998: 186) (3) ผลการวิเคราะหปญหาและอุปสรรคในการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรม อิสลาม ของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ตามความเห็นของผูบริหาร ฝายกิจกรรม หรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนและครู มีดังนี้ ดานการบริหารจัดการ ผลการวิจัยพบวา ปญหาและอุปสรรคตามความเห็นของผูบริหารและฝายกิจกรรม หรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนที่พบมากที่สุด คือ ปญหาดานเวลาในการจัดกิจกรรม มีไมเพียงพอ ซึ่ง สอดคลองกับความเห็นของครู ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา ผูบริหารไมกําหนดระยะเวลาอยางเปนระบบและ ระยะเวลาที่ทางโรงเรียนกําหนดนั้นนอยเกินไปกับความตองการของครูในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมแกนักเรียน ดานบุคลากรผูใหการอบรม ผลการวิจัยพบวา ปญหาและอุปสรรคตามความเห็นของผูบริหาร ฝายกิจกรรม หรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนและครู มีประเด็นที่สอดคลองกัน คือ บุคลากรบางสวนขาดความ รับผิดชอบตอหนาที่ที่ไดรับมอบหมายและไมใหความรวมมือเปนอยางดี ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา บุคลากรมีภาระหนาที่ที่ไดรับมอบหมายมากเกินไป ทําใหเกิดการแบงเวลาในการทํางานไมเปน ทั้งนี้อาจเปนเพราะ


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

93

บุคลากรขาดความรู ความสามารถและประสบการณในการอบรมคุณธรรมจริยธรรม ดังที่ปรากฏจากขอคนพบปญหาที่ พบมากที่สุด ตามความเห็นของครู ดานนักเรียน ผลการวิจัยพบวา ปญหาและอุปสรรคตามความเห็นของผูบริหาร ฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่ รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนและครูมีประเด็นที่สอดคลองกัน คือ นักเรียนขาดจิตสํานึกและไมเห็นคุณคาของ คุณธรรมจริยธรรม ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวานักเรียนมีความแตกตางกันทั้งทางดานเพศ ฐานะของ ครอบครัว ความรูพื้นฐานเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม และการถูกอบรมบมนิสัย เปนเหตุใหมีผลตามมา คือ นักเรียนบางสวนไมใหความรวมมือเทาที่ควรและไมมีความกระตือรือรนที่จะรูและปฏิบัติจริยธรรมอิสลาม ดังที่ครูได ใหความเห็นมากที่สุดเกี่ยวกับปญหานี้ ดา นครอบครัว และสภาพแวดล อ ม ผลการวิ จั ยพบว า ป ญ หาและอุ ป สรรคตามความเห็ น ของ ผูบริหาร ฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนและครู มีประเด็นที่สอดคลองกัน คือ ความแตกตางทางดานฐานะของครอบครัว ขาดความรวมมือจากผูปกครองและพอแมไมคอยเอาใจใสเรื่อง การปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมแกบุตรหลาน ทั้งนี้ปญหาที่พบมากตามความเห็นของครู คือ สภาพแวดลอม ทางสังคมในปจจุบันไมปลอดภัยตอการจัดกิจกรรม ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา สภาพแวดลอม ทางสังคมยังขาดความรูความเขาใจที่ถูกตองในเรื่องการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรม เห็นวาเปนสิ่งที่ไมจําเปน ทั้งนี้ผูปกครองคือสวนสําคัญที่สุดในการอบรมเลี้ยงดูและปกปองรักษาลูกหลานใหรอดพนจากไฟนรก ดัง ที่อัลลอฮฺไดตรัสวา z µ ´ ³ ² ± ° ¯ ® ¬ «{ ความวา “โอบรรดาผูศรัทธาเอย จงคุมครองตัวของพวกเจาและครอบครัวของพวกเจาใหพนจากไฟนรก เพราะ เชื้อเพลิงของมันคือมนุษยและกอนหิน” (อัตตะหฺรีม, 66: 6) ดานรูปแบบของกิจกรรม ผลการวิจัยพบวา ปญหาและอุปสรรคตามความเห็นของผูบริหาร ฝาย กิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนและครูมีประเด็นที่สอดคลองกัน คือ ไมมีกิจกรรมที่ เน น เฉพาะด า น ผลการวิ จั ย เป น เช น นี้ อาจเป น เพราะว า รู ป แบบของแต ล ะกิ จ กรรมที่ ดํ า เนิ น การนั้ น มี ประโยชนในทุกดาน กลาวคือ เมื่อดําเนินการกิจกรรมใดแลว สามารถเกิดประโยชนในการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมอิสลามแกนักเรียนในทุกดาน ทั้ง 6 ดาน ไมวาจะเปนดานความเกรงกลัวตออัลลอฮฺ ดานความ อดทน ดานการใหอภัย ดานความบริสุทธิ์ใจ ดานความซื่อสัตยสุจริตและดานความยุติธรรม 4) ผลการวิเคราะหขอเสนอแนะในการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม ของ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1 ตามความเห็นของผูบริหาร ฝายกิจกรรมหรือ เจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนและครู มีดังนี้ ดา นการบริห ารจั ด การ ผลการวิ จัยพบว า ผู บ ริห ารและฝา ยกิจ กรรมหรือ เจ า หน า ที่รั บ ผิด ชอบ กิจกรรมพัฒนาผูเรียนไดใหขอเสนอแนะ คือ ผูบริหารควรสรางจิตสํานึกที่ดีในการปฏิบัติคุณธรรมจริยธรรม เพื่อเปนแบบอยางที่ดีแกบุคลากรและนักเรียนตลอดจนผูปกครองและแขกผูมาเยือน ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา ผูบริหารมีวิสัยทัศนกวางไกลในการมองเห็นสภาพความเปนจริง คือ บุคลากรทุกฝาย ไมวา จะเปนครู เจาหนาที่ นักเรียนตลอดจนผูปกครองและแขกผูมาเยือนโรงเรียน มีแบบอยางที่เห็นทุกวันและเอา มาเป นสิ่งพาดพิงหรืออ างอิง คือ ตัวผูบ ริหาร กลาวคือ ไมวา ผูบริห ารจะทําอะไร กับใคร ที่ไหน เทาไหร อยางไร บุคลากรทุกฝายก็สามารถเอามาเปนแบบอยางได ดังนั้น ผูบริหารควรมีจิตสํานึกเปนแบบอยางที่ดี ในทุกดาน โดยเฉพาะการประพฤติปฏิบัติคุณธรรมจริยธรรม สวนครูไดใหขอเสนอแนะมากที่สุด คือ การ


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

94

ปรับปรุงเวลาเรียนและใหมีความพรอมดานสื่อวัสดุอุปกรณ ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา ครูมี ความตองการที่จะใหนักเรียนมีการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอยางเต็มเวลาและรูปแบบ ดานบุคลากรผูใหการอบรม ผลการวิจัยพบวา ผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบ กิจกรรมพัฒนาผูเรียนไดใหขอเสนอแนะที่สอดคลองกับครู ซึ่งครูไดใหขอเสนอแนะมากที่สุด คือ บุคลากร ตองเปนตัวอยางที่ดีแกนักเรียน ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา บุคลากรใหความสําคัญกับการเปน แบบอยางที่ดีแกนกั เรียน ซึ่งทานนบีมุฮัมมัด  ไดกลาวเกี่ยวกับการเปนแบบอยางที่ดีนี้วา ‫ﻲ‬‫ﺳ ﱠﻦ ﻓ‬ ‫ﻦ‬ ‫ﻣ‬ ‫ﻭ‬ ٌ‫ﻲﺀ‬ ‫ﺷ‬ ‫ﻢ‬ ‫ﻫ‬ ‫ﻮ ﹺﺭ‬‫ﻦ ﹸﺃﺟ‬ ‫ﻣ‬ ‫ﺺ‬  ‫ﻨﻘﹸ‬‫ﻳ‬ ‫ﻴ ﹺﺮ ﹶﺃ ﹾﻥ‬‫ﻦ ﹶﻏ‬ ‫ﻣ‬ ‫ﺪﻩ‬ ‫ﻌ‬ ‫ﺑ‬ ‫ﺎ‬‫ﻤ ﹶﻞ ﹺﺑﻬ‬ ‫ﻋ‬ ‫ﻦ‬ ‫ﻣ‬ ‫ﺟﺮ‬ ‫ﻭﹶﺃ‬ ‫ﺎ‬‫ﺮﻫ‬ ‫ﺟ‬ ‫ ﹶﺃ‬‫ﻨ ﹰﺔ ﹶﻓﹶﻠﻪ‬‫ﺴ‬  ‫ﺣ‬ ‫ﱠﻨ ﹰﺔ‬‫ﻼ ﹺﻡ ﺳ‬ ‫ﺳ ﹶ‬ ‫ﻲ ﺍ ِﻹ‬‫ﺳ ﱠﻦ ﻓ‬ ‫ﻦ‬ ‫ﻣ‬ " "‫ﺀ‬‫ﺷﻲ‬ ‫ﻢ‬ ‫ﻫ‬ ‫ﺍ ﹺﺭ‬‫ﻭﺯ‬ ‫ﻦ ﹶﺃ‬ ‫ﻣ‬ ‫ﺺ‬  ‫ﻨﻘﹸ‬‫ﻳ‬ ‫ﻴ ﹺﺮ ﹶﺃ ﹾﻥ‬‫ﻦ ﹶﻏ‬ ‫ﻣ‬ ‫ﻩ‬ ‫ﺪ‬ ‫ﻌ‬ ‫ﺑ‬ ‫ﻦ‬ ‫ﻣ‬ ‫ﺎ‬‫ﻤ ﹶﻞ ﹺﺑﻬ‬ ‫ﻋ‬ ‫ﻦ‬ ‫ﻣ‬ ‫ﺯﺭ‬ ‫ﻭ ﹺﻭ‬ ‫ﺎ‬‫ﺭﻫ‬ ‫ﺯ‬ ‫ﻪ ﹺﻭ‬ ‫ﻴ‬‫ﻋﹶﻠ‬ ‫ﺳﱢﻴﹶﺌ ﹰﺔ ﻛﹶﺎ ﹶﻥ‬ ‫ﱠﻨ ﹰﺔ‬‫ﻼ ﹺﻡ ﺳ‬ ‫ﺳ ﹶ‬ ‫ﺍ ِﻹ‬ ความวา “ผูใดที่ไดสรางแนวทางปฏิบัติที่ดีในอิสลาม เขาก็จะไดรับผลบุญจากสิ่งที่เขาไดสรางไว และจะ ไดรับผลบุญจากผูที่ไดปฏิบัติหลังจากเขา โดยที่ผลบุญนั้นจะไมลดหยอนไปจากพวกเขาแมแตนิดเดียว และผูใดที่ได สรางแนวทางปฏิบัติที่เลวทรามในอิสลาม เขาก็จะไดรับการตอบแทน (บาป) จากสิ่งที่เขาไดสรางไว และจะไดการตอบ แทนจากผูที่ไดปฏิบัติหลังจากเขา โดยที่บาปนั้นจะไมลดหยอนไปจากพวกเขาแมแตนิดเดียว” (บันทึกโดย Muslim, 1998: 1017) ดานนักเรียน ผลการวิจัยพบวา ผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนา ผูเรียนไดใหขอเสนอแนะที่สอดคลองกับครู ซึ่งครูไดใหขอเสนอแนะมากที่สุด คือ ควรปลุกจิตสํานึกนักเรียนให รูสึกรักที่จะกระทําความดี หรือมีคุณธรรมจริยธรรม และควรเปดโอกาสใหนักเรียนแสดงความสามารถ นําเสนอ รูปแบบกิจกรรมและมีบทบาทในการดําเนินกิจกรรมอันเปนประโยชนตอสังคม ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปน เพราะวา นักเรียนคือเยาวชนผูเปนทรัพยากรสําคัญในการพัฒนาสังคมใหเกิดสันติสุข ฉะนั้นควรปลุกจิตสํานึก และเปดโอกาสใหเยาวชนมีบทบาทในการแสดงกิจกรรมตางๆ เพราะเขาคือตัวแทนของเราใหอนาคตขางหนา ดัง คํากลาวที่วา เยาวชนในวันนี้ คือ ผูใหญในวันหนา หากเยาวชนในวันนี้ดี ผูใหญในวันหนาก็จะดี ฉะนั้น การแสดง บทบาทดังกลาว ถือเปนการสะสมเสบียงเตรียมพรอมที่จะเผชิญในภายภาคหนาตอไป ดานครอบครัวและสภาพแวดลอม ผลการวิจัยพบวา ผูบริหารและฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบกิจกรรม พัฒนาผูเรียนไดใหขอเสนอแนะที่สอดคลองกับครู คือ ควรมีกิจกรรมประชุมพบปะผูปกครองเปนประจํา ผลการวิจัยเปน เชนนี้ อาจเปนเพราะวา กิจกรรมการประชุมพบปะนั้น มีผลทําใหเกิดความเขาใจกันเปนอยางดี ระหวางผูบริหาร ครูและ ผูปกครอง เพราะสามารถปรึกษาหารือ เพื่อที่จะดูแลปองกันมิใหเกิดปญหา สามารถบอกเลาปญหา นําเสนอวิธีแกปญหา และสามารถหาแนวทางในการแกปญหาไดทันทวงที ทั้งนี้ ครูไดใหขอเสนอแนะมากที่สุด คือ ใหผูปกครองมีสวนรวมในการ ติดตามความประพฤติของนักเรียน ผลการวิจัยเปนเชนนี้ อาจเปนเพราะวา หนาที่หลักในการดูแลบุตรหลาน คือ ผูปกครอง ฉะนั้นเมื่อบุตรหลานเขามาศึกษาในโรงเรียน ผูปกครองจึงไมควรทิ้งหนาที่นี้ใหทางโรงเรียนรับผิดชอบแตฝายเดียว เพราะจะ ทําใหความประพฤติของนักเรียนไมมีความสมดุลกันระหวางอยูที่บานกับที่โรงเรียน ดานรูปแบบของกิจกรรม ผลการวิจัยพบวา ผูบริหาร ฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่รับผิดชอบฝายกิจกรรม พัฒนาผูเรียนและครูมีขอเสนอแนะที่แตกตางกัน ดังนี้ ผูบริหารไดใหขอเสนอแนะ คือ ควรมีโรงเรียนที่เปนตนแบบใน การนํารูปแบบการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนที่ประสบผลสําเร็จใหแกโรงเรียนอื่นๆ และฝายกิจกรรมหรือเจาหนาที่ รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนไดใหขอเสนอแนะ คือ ควรจัดกิจกรรมการทําฮาลาเกาะฮฺประจําโรงเรียนและจัดใหมี การประชุมฮาลาเกาะฮฺทุกสัปดาห และกิจกรรมการเยี่ยมเยียนตามบานของนักเรียน สวนขอเสนอแนะของครูที่พบมาก ที่สุด คือ ควรจัดกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมอยางตอเนื่อง


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

95

ขอเสนอแนะ 1. ขอเสนอแนะจากการวิจัย 1.1 ควรนํารูปแบบแตละกิจกรรมดังกลาวขางตนใหสถานศึกษาอื่นๆทราบ เพื่อเปนแนวทางหนึ่งในการ ปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม 1.2 ควรมีการประเมินผลการจัดดําเนินกิจกรรมทุกครั้งที่ปฏิบัติ และประเมินผลอยางมีระบบและแบบแผน โดยจัดใหมีการอบรมบุคลากรที่เกี่ยวของในเรื่องการดําเนินกิจกรรมและวิธีการประเมินผลที่ถูกตอง อันจะเกิดความ เที่ยงตรงของการประเมินผลและเกิดความยุติธรรมตอนักเรียน 1.3 ควรมีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับรูปแบบการดําเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อ ปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียนในกลุมเครือขายโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม โดยการนําเสนอ รูปแบบกิจกรรมของแตละโรงเรียนที่ประสบผลสําเร็จและปญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อรวมกันหาแนวทางแกไข อันจะสงผล ดีตอตัวผูเรียนในการโอนยายระหวางโรงเรียน และกอใหเกิดคุณธรรมจริยธรรมที่พึงประสงคตามอิสลาม 2. ขอเสนอแนะในการจัดทําวิทยานิพนธครั้งตอไป 2.1 ควรศึกษาวิจัยในหัวขอ “การจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียน ระดับมัธยมศึกษา ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต” เพื่อศึกษาการดําเนินกิจกรรม พัฒนาผูเรียน ในระดับสามจังหวัดชายแดนภาคใต 2.2 ควรศึกษาวิจัยในหัวขอ “สภาพการดําเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรม อิสลามแกนักเรียน ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม” เพื่อศึกษาสภาพการมีสวนรวมและระดับความพึงพอใจของ ผูบริหาร ครูและนักเรียนตอกิจกรรมพัฒนาผูเรียนที่ดําเนินในสถานศึกษานั้นๆ 2.3 ควรศึกษาวิจัยในหัวขอ “ศึกษาเปรียบเทียบการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรม อิสลามแกนักเรียน ในโรงเรียนของรัฐบาลกับโรงเรียนเอกชน” เพื่อศึกษาเปรียบเทียบสภาพการดําเนินการและผลที่ได จากกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามระหวางโรงเรียนรัฐและเอกชน บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. 2545. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ: โรงพิมพคุรุ สภาลาดพราว กระทรวงศึกษาธิการ. 2546. คูมือการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ: โรงพิมพองคการรับสงสินคาและพัสดุภัณฑ (ร.ส.พ.) สมาคมนักเรียนเกาอาหรับ ประเทศไทย .มปป .พระมหาคัมภีรอัลกุรอาน พรอมความหมายภาษาไทย . มะดีนะฮฺ: ศูนยกษัตริยฟะฮัด เพื่อการพิมพอัลกุรอาน แหงนครมะดีนะฮฺ. ฐิติมา ทองมูล. 2551. การศึกษาสภาพการจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรียนของโรงเรียนในสังกัดสํานักงาน เขตพื้นที่การศึกษาตาก เขต1. ตาก: สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาตาก เขต1 พรหมมินทร สุมาลี. 2546. การศึกษาสภาพและปญหาการจัดกิจกรรมนักเรียนตามความคิดเห็นของ ผู บ ริ ห ารและครู ใ นโรงเรี ย นมั ธ ยมศึ ก ษาสั ง กั ด กรมสามั ญ ศึ ก ษาจั ง หวั ด นครราชสี ม า. วิท ยานิ พ นธ ป ริ ญ ญาครุ ศ าสตรมหาบั ณ ฑิ ต สาขาการบริห ารการศึก ษา มหาวิ ท ยาลัย ราชภั ฏ นครราชสีมา (สําเนา)


วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย

96

Abu Dawud, Sulaiman ibn al-Ash‘ath. n.d. Sunan Abi Dawud . Riyad: Maktabah Macarif. al-A‘dawiy, Mustafa. 1997. Fiqh al-Akhlak wa al-Mucamalat maca al-Muslimin. Jeddah: Dar Majid al-‘Usyairiy. al-Bukhariy, Muhammad ibn Ismacil. 1998. Sahih al-Bukhariy. Riyad: Dar Bait al-Afkar al-Dauliyah. al-Kharashiy, Walid ibn Abd al-Aziz. 2004. Daur al-Anshitah al-Tullabiyah fi Tanmiyah alMasauliyah al-Ijtimaciyah. Riyadh:al-Imam Muhammad Ibn Saud University. al-Khaznadar, Mahmud ibn Muhammad. 1997. Akhlaquna Hina Nakun Mu'minin Haqqan. Riyad: Dar Toiyibah. al-Tirmidhiy, Muhammad ibn ‘Isa. n.d. Sunan al-Tirmidhiy. Riyad: Maktabah Macarif. al-Tabaraniy, Sulaiman ibn Ahmad. n.d. al-Mucjam al-Kabir. Cairo: Maktabat Ibn Taimiyah. Muslim ibn al-Hajjaj. 1998. Sahih Muslim. Riyad: Dar Bait al-Afkar al-Dauliyah. Yamane, Taro. 1973. Statistics: An Introductory Analysis. 3rd ea. NewYork: Harper and Row Publication.



สารบัญ /‫ﻓﻬﺮﺱ‬ ‫ﺍﻷﺳﺘﺎﺫ ﺍﻟﺪﻛﺘﻮﺭ ﺣﻜﻤﺖ ﺑﺸﲑ ﻳﺎﺳﲔ‬ :"‫ﻭﻣﻨﻬﺠﻪ ﰲ ﻛﺘﺎﺑﻪ "ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ‬ ‫ﻋﺮﺽ ﻭﲢﻠﻴﻞ‬

1-14

‫ﺃﲪﺪ ﳒﻴﺐ ﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﷲ‬ ‫ﻓﺎﻃﻤﺔ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺟﺎﻓﺎﻛﻴﺎ‬

‫ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﻳﻮﺳﻒ ﻛﺎﺭﻳﻨﺎ‬ ‫ﺻﻔﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﲔ ﻭﺧﻄﻮﺭﻬﺗﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﺠﻤﻟﺘﻤﻊ‬   ‫ﺩﺭﺍﺳﺔ ﲢﻠﻴﻠﻴﺔ ﰲ ﺳﻮﺭﺓ ﺍﳌﻨﺎﻓﻘﻮﻥ‬ :‫ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ‬ 15-32 ‫ﺃﲪﺪ ﻋﻤﺮ ﺟﺎﻓﺎﻛﻴﺎ‬  ‫ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻟﺼﻴﲏ‬ ‫ﺩﻭﺭ ﺍﻟﺴﻠﻄﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﺎﺗﺢ ﰲ ﺑﻨﺎﺀ ﺍﳊﻀﺎﺭﺓ‬ ‫ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﻋﻬﺪ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﻧﻴﺔ‬

‫ﺩﻭﺭ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻲ‬ ‫ﰲ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻣﺔ‬ วิพากษหนังสือ / Book Review: สิทธิของภริยาในการหยาและสิทธิที่พึง ไดรับตามกฎหมายอิสลาม กรณีศึกษา จังหวัดปตตานี

การชันสูตรพลิกศพตามบทบัญญัติอิสลาม

การพัฒนาตัวบงชี้และยุทธศาสตรความ เปนสากลของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต กิจกรรมพัฒนาผูเรียนเพื่อปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา อิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลา เขต1

33-39

‫ﻋﺪﻧﺎﻥ ﳏﻤﺪ ﺯﻳﻦ ﺳﻮﻣﻲ‬ ‫ﺯﻫﺮﻱ ﳛﲕ ﺍﻟﻜﻤﺒﻮﺩﻱ‬

41-49

‫ﻭﻱ ﻳﻮﺳﻒ ﺳﻴﺪﺉ‬

51-59

มะยา ยูโซะ ซาการียา หะมะ

61-72

อับดุรรอฮมาน บินแวยูโซะ อับดุลฮาลิม ไซซิง ซาฟอี บารู

73-85

หิรัญ ประสารการ ชิรวัฒน นิจเนตร จรัส อติวิทยาภรณ อิศรัฏฐ รินไธสง

87-96

มุมีนะห บูงอตาหยง อิบราเฮ็ม ณรงครักษาเขต


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.