ปที่ 5 òäÛa
July - December 2010@ /@1431@@ñ‡ÈÔÛaëˆ@@–@òîãbrÛa@ô†b»@
ฉบับสังคมศาสตรและมนุษยศาสตร
ฉบับที่ 9
†‡ÈÛa
@òîãbã⁄aë@òîÇbànuüa@âìÜÈÛa Þbª
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา Al-Nur Journal The Graduate School of Yala Islamic University ประธานทีป่ รึกษา อธิการบดี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ทีป่ รึกษา รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยอิสลายะลา รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาศักยภาพนักศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายทรัพย์สินและสิทธิประโยชน์ มหาวิทยาลัยอิสลายะลา คณบดีคณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา คณบดีคณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผู้อํานวยการสํานักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผู้อํานวยการสถาบันอัสสาลาม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
เจ้าของ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
บรรณาธิการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มุฮําหมัดซากี เจ๊ะหะ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
กองบรรณาธิการ รองศาสตราจารย์ ดร.อิบราเฮ็ม ณรงค์รักษาเขต อาจารย์ประจําวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุสลัน อุทัย หัวหน้าภาควิชาภาษาตะวันออก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี อาจารย์เจ๊ะเหล๊าะ แขกพงศ์ รักษาการผู้อํานวยการสถาบันอิสลามและอาหรับศึกษา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ดร.ซาการียา หะมะ รองคณบดี คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.ซอบีเราะห์ การียอ รองคณบดี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อาจารย์ซอลีฮะห์ หะยีสะมะแอ รองคณบดี คณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อาจารย์จารุวัจน์ สองเมือง ผู้อํานวยการสํานักบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.อัดนัน สือแม ผู้อํานวยการวิทยาลัยภาษาอาหรับซีคกอซิม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.มูฮามัสสกรี มันยูนุ หัวหน้าสาขาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อาจารย์นัศรุลลอฮ์ หมัดตะพงศ์ หัวหน้าสาขาวิชาอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อาจารย์ฆอซาลี เบ็ญหมัด หัวหน้าสาขาวิชาชะรีอะฮฺ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อาจารย์มูฮาํ หมัด สะมาโระ หัวหน้ากองกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาประเมินบทความ ศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ รองศาสตราจารย์ ดร.อิบราเฮ็ม ณรงค์รักษาเขต ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิเลาะ แวอุเซ็ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อุไรรัตน์ ยามาเร็ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ฮามีดะฮ์ อาแด ดร.มะรอนิง สาแลมิง อาจารย์นิมศั ตูรา แว
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนียะลา
บรรณาธิการจัดการ
นายมาหะมะ ดาแม็ง นายอับดุลย์ลาเต๊ะ สาและ นายฟาริด อับดุลลอฮ์หะซัน นายอาสมิง เจ๊ะอาแซ
กําหนดการเผยแพร่
2 ฉบับ ต่อปี
การเผยแพร่
จัดจําหน่ายและมอบให้ห้องสมุด หน่วยงานของรัฐ สถาบันการศึกษาใน ประเทศและต่างประเทศ
สถานทีต่ ิดต่อ
บัณฑิตวิทยาลัย ชั้น 1 อาคารคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา 135/8 หมู่ 3 ตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี 94160 โทร.0-7341-8614 โทรสาร 0-7341-8615, 0-7341-8616 Email: fariddoloh@gmail.com
รูปเล่ม
บัณฑิตวิทยาลัย
พิมพ์ที่
โรงพิมพ์มิตรภาพ ถนนเจริญประดิษฐ์ อําเภอเมือง 94000
เลขที่ 5/49 ตําบลรูสะมิแล จังหวัดปัตตานี โทร 0-7333-1429
∗ทัศนะและข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่
ละท่ า น ทางกองบรรณาธิ ก ารเปิ ด เสรี ด้ า นความคิ ด และไม่ ถื อ ว่ า เป็ น ความรั บ ผิ ด ชอบของกอง บรรณาธิการ
บทบรรณาธิการ มวลการสรรเสริญทั้งหลายเป็นสิทธิแห่งเอกองค์อัลลอฮฺ ที่ทรงอนุมัติให้การรวบรวมและ จัดทําวารสารฉบับนี้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี ขอความสันติสุขและความโปรดปรานของอัลลอฮฺ จงประสบ แด่ท่านนบีมุฮัมมัด ผู้เป็นศาสนฑูตของพระองค์ตลอดจนวงศ์วานของท่านและผู้ศรัทธาต่อท่านทั่วทุก คน วารสาร อัล-นูร เป็นวารสารทางวิชาการฉบับสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิ ท ยาลั ย อิ ส ลามยะลา ซึ่ ง ได้ จั ด ตี พิ ม พ์ ปี ล ะ 2 ฉบั บ เพื่ อ นํ า เสนอองค์ ค วามรู้ ใ นเชิ ง วิ ช าการที่ หลากหลาย จากผลงานของนักวิชาการ คณาจารย์ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาทั้งภายในและภายนอก ทั้งนี้เพื่อเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้ที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์สู่สังคม วารสาร อัล-นูร ฉบับนี้ เป็นฉบับที่ 9 ประจําปี 2553 ที่ได้รวบรวมบทความทางวิชาการที่มี ความหลากหลายทางด้านภาษาและได้รับเกียรติจากบรรดาผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทําหน้าที่ตรวจสอบและประเมินคุณภาพของบทความ กองบรรณาธิการวารสาร ยินดีรับการพิจารณาผลงานวิชาการของทุกๆ ท่านที่มีความสนใจ รวมถึงคําติชม และข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อนําสู่การพัฒนาผลงานทางวิชาการให้มีคุณภาพต่อไป
บรรณาธิการวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
1
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9 บทความวิจัย
ﲡﺮﺑﺔ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ :ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﺃﳕﻮﺫﺟﺎ ﳏﻤﺪ ﻟﻴﺒﺎ ﺯﻛﺮﻳﺎ ﻫﺎﻣﺎ ∗
**
ﻣﻠﺨﺺ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺪﻑ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺇﱃ ﺗﺴﻠﻴﻂ ﺍﻟﻀﻮﺀ ﻋﻠﻰ ﲡﺮﺑﺔ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﻣﻦ ﺣﻴﺚ ﻧﺸﺄﺎ ﻭﺗﻄﻮﺭﻫﺎ ﻭﺩﻭﺭﻫﺎ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﺘﻤﻊ ﻭﺍﻷﻗﻠﻴﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﺔ ،ﻭﺍﻟﺘﻌﺮﻑ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺍﳋﺎﺹ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﻭﻣﺪﻯ ﺗﻨﺎﺳﺒﻪ ﻣﻊ ﺍﻟﻮﺍﻗﻊ ﺍﻟﺘﻄﺒﻴﻘﻲ ،ﺑﺎﻟﺘﻄﺮﻕ ﺇﱃ ﻣﻨﺘﺞ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﺍﳌﻄﺒﻘﲔ ﰲ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻭﻣﺪﻯ ﻣﻄﺎﺑﻘﺘﻬﻤﺎﺑﺎﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﻭﻗﺮﺍﺭ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺍﻟﺪﻭﱄ ﻭﺍﳌﻌﺎﻳﲑ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ ﺍﻟﺼﺎﺩﺭﺓ ﻋﻦ ﻫﻴﺌﺔ ﺍ ﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ .ﻭ ﻗﺪ ﺍﻋﺘﻤﺪ ﺍﻟﺒﺎ ﺣﺜﺎﻥ ﰲ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻻﺳﺘﻘﺮﺍﺋﻲ ﻭﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘﺤﻠﻴﻠﻲ ﻭﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻟﺘﻄﺒﻴﻘﻲ ،ﻭﺍﻋﺘﻤﺪﺍ ﰲ ﲨﻊ ﺍﳌﺎﺩﺓ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﳎﻤﻮﻋﺔ ﻣﻦ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﻭﺍﻷﲝﺎﺙ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﺓ ،ﻓﻀﻼ ﻋﻦ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﺒﻴﺎﻧﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﰎ ﲨﻌﻬﺎ ﺧﻼﻝ ﻣﻘﺎﺑﻠﺔ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻣﻊ ﺭﺋﻴﺲ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ. ﻭﻗﺪ ﺗﻮﺻﻞ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺇﱃ ﺃﻥ ﲦﺔ ﳏﻈﻮﺭﺍﺕ ﺷﺮﻋﻴﺔ ﺗﺸﻮﺏ ﻣﻨﺘﺞ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ،ﺣﻴﺚ ﻳﺘﺪﺍﺧﻞ ﻋﻘﺪﺍ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﺩﻭﻥ ﻓﺼﻞ ،ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻣﺴﺄﻟﺔ ﻓﺮﺽ ﺍﳌﺴﺆﻭﻟﻴﺔ ﻋﻦ ﺍﻟﺼﻴﺎﻧﺔ ﻏﲑ ﺍﻟﺘﺸﻐﻴﻠﻴﺔ ﻭﺍﻟﻀﻤﺎﻥ ﻋﻠﻰ ﺍﳍﻼﻙ ﺍﳉﺰﺋﻲ ﻭﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ،ﻭﻣﺴﺄﻟﺔ ﻓﺮﺽ ﺗﻌﻮﻳﺾ ﺍﻟﻀﺮﺭﻋﻠﻰ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﺍﻟﺘﺄﺧﺮ ﻋﻦ ﺳﺪﺍﺩ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ.
∗ ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﻭﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﻔﻘﻪ ،ﺃﺳﺘﺎﺫ ﻣﺴﺎﻋﺪ ﺑﻘﺴﻢ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ،ﻛﻠﻴﺔ ﺃﲪﺪ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﻟﻠﺤﻘﻮﻕ ،ﺑﺎﳉﺎﻣﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﻟﻌﺎﳌﻴﺔ ،ﻣﺎﻟﻴﺰﻳﺎ. ** ﺩﻛﺘﻮﺭﺍﻩ ﰲ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ،ﳏﺎﺿﺮ ﺑﻘﺴﻢ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ،ﻛﻠﻴﺔ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﲜﺎﻣﻌﺔ ﺟﺎﻻ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
2
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
Abstract This study aims at highlighting the experience of Islamic Banking Industry in Thailand in terms of the history, development, and its role in serving the community as well and the Muslim minority. The study also aims at identifying the Law of the Islamic Bank in Thailand, whether it is relevant to what is being applied in the reality. Finally, some products of leasing and acquisition applied in the Islamic Bank of Thailand were focused to find out whether it conformed with the Islamic jurisprudence and the decision taken by the International Islamic Fiqh Academy as well as the legal standards issued by the Accounting and Auditing Organization for Islamic Financial Institutions. The methodology used in this research is inductive, analytic and applied methods, Moreover, the data of research were collected from various references including personal interview with the Chairman of the Advisory Board of the Islamic Bank of Thailand. The study find out that there were some prohibitions by the Shariah behind the product of leasing and acquisition. Some of these prohibitions are: the combination between the two contracts i.e. leasing and acquisition, without separating them, the imposition of responsibility for the maintenance of non-operational, warranty of partial loss and insurance on the renter. Another prohibition is the issue of the imposition of compensation for the damage to the tenant in the event of late payment of premiums rental.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
3
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﺍﳌﻘﺪّﻣﺔ ﻳﻌﺘﱪ ﺍﳌﺴﻠﻤﻮﻥ ﺃﻗﻠﻴﺔ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﻭﻳﺘﻤﺮﻛﺰ ﺃﻛﺜﺮﻫﻢ ﰲ ﺍﳉﻨﻮﺏ ﻭﺍﻟﻌﺎﺻﻤﺔ ﺑﺎﻧﻜﻮﻙ ،ﻭﺭ ﻏﻢ ﺍﻟﺘﺤﺪﻳﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﻭﺍﺟﻬﺘﻬﻢ ﰲ ﺍﳊﻔﺎﻅ ﻋﻠﻰ ﺍﳍﻮﻳﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻭﺭﻏﻢ ﺍﳌﺸﺎﻛﻞ ﺍﻻ ﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﻭﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ ﻭﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﲤﺜﻞ ﲢﺪﻳﹰﺎ ﻛﺒﲑﹰﺍ ﳍﻢ ،ﻓﺈﻥ ﺇﺻﺮﺍﺭﻫﻢ ﻋﻠﻰ ﺗﻄﺒﻴﻖ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ ﰲ ﺑﻠﺪﻫﻢ ﻗﺪ ﺁﺗﻰ ﲦﺎﺭﻩ ﰲ ﻧﻮﺍﺡ ﻋﺪﻳﺪﺓ ،ﻣﻦ ﺃﳘﻬﺎ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻌﺘﱪ ﺇﻧﺸﺎﺅﻩ ﰲ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺒﻘﻌﺔ ﻣﻦ ﺍﻷﺭﺽ ﺍﻟﱵ ﲣﻀﻊ ﳊﻜﻢ ﻏﲑ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﺇﳒﺎﺯﹰﺍ ﻛﺒﲑﹰﺍ ﺟﺎﺀ ﻧﺘﻴﺠﺔ ﺟﻬﺪ ﺩﺅﻭﺏ ﻣﻦ ﻣﺴﻠﻤﻲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ .ﻟﻘﺪ ﺑﺪﺃﺕ ﲡﺮﺑﺔ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﰲ ﻣﺴﺘﻬﻞ ﻧﺸﺄﺎ ﺑﺘﻘﺪﱘ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻋﱪ ﻧﻮﺍﻓﺬ ﺇﺳﻼﻣﻴﺔ ) (Islamic Windowsﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻟﺘﻘﻠﻴﺪﻳﺔ ﻭﺫﻟﻚ ﰲ ﺳﻨﺔ ١٩٩٧ﻡ ،ﺍﺳﺘﺠﺎﺑﺔ ﳌﻄﺎﻟﺐ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﲝﻘﻮﻗﻬﻢ ﺍﻟﱵ ﻳﻜﻔﻠﻬﺎ ﳍﻢ ﺍﻟﺪﺳﺘﻮﺭ ﻣﻨﺬ ﻋﻘﻮﺩ ﻃﻮﻳﻠﺔ ،ﰒ ﺗﻄﻮﺭﺕ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺇﱃ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﻗﺴﻢ ﺧﺎﺹ ﲢﺖ ﻣﺴﻤﻰ " ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻟﺸﺮﻋﻲ") (Shariah Bankﺍﻟﺘﺎﺑﻊ ﳌﺼﺮﻑ ﻛﺮﻭﻧﺞ ﺗﺎﻱ ) ،(Krung Thai Bankﰒ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ) ،(Islamic Bank of Thailandﻭﻫﻮ ﻣﺼﺮﻑ ﻣﺴﺘﻘﻞ ﺃﻧﺸﺄ ﲟﻮﺟﺐ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺧﺎﺹ ﺳﻨﺔ ٢٠٠٢ﻡ .ﻭﻗﺪ ﺃﺩﺕ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺩﻭﺭﺍ ﻛﺒﲑﺍ ﻭﺭﺍﺋﺪﺍ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﺘﻤﻊ ﻭﺍﻷﻗﻠﻴﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﺔ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺃﺩﻭﺍﺎ ﻭﻣﻨﺘﺠﺎﺎ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ .ﻭﻳﻘﺪﻡ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ، ﻛﻐﲑﻩ ﻣﻦ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﳌﻨﺘﺸﺮﺓ ﰲ ﺍﻟﻌﺎﱂ ،ﺧﺪﻣﺎﺕ ﻛﺜﲑﺓ ﻣﻨﻬﺎ :ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺍﳌﻨﺘﻬﻴﺔ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ،ﻭﺗﺴﻤﻰ " ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭ ﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ" ،ﻭﻛﺬﻟﻚ ﺧﺪﻣﺎﺕ ﺍﻹﻳﺪﺍﻉ ﺍﳌﺼﺮﰲ ،ﻭﺍﳌﺮﺍﲝﺔ ﻟﻶﻣﺮ ﺑﺎﻟﺸﺮﺍﺀ ،ﻭﺍﻟﺒﻴﻊ ﺑﺜﻤﻦ ﺁﺟﻞ ،ﻭﺻﺮﻑ ﺍﻟﻌﻤﻼﺕ ،ﻭﺍﳊﻮﺍﻻﺕ ﺍﻟﺪﺍﺧﻠﻴﺔ ﻭﺍﳋﺎﺭﺟﻴﺔ ،ﻭﻓﺘﺢ ﺍﻻﻋﺘﻤﺎﺩﺍﺕ ﺍﳌﺴﺘﻨﺪﻳﺔ ،ﻭﺇﺻﺪﺍﺭ ﺧﻄﺎﺑﺎﺕ ﺍﻟﻀﻤﺎﻥ ﻭﻏﲑﻫﺎ .ﻟﺬﺍ ﻓﺈﻥ ﲡﺮﺑﺔ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺧﻼﻝ ﻣﺴﲑﺓ ﺃﻛﺜﺮ ﻣﻦ ﻋﻘﺪ ﻫﻲ ﲡﺮﺑﺔ ﺟﺪﻳﺮﺓ ﺑﺎﻟﺒﺤﺚ ﻭﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﻭﺍﻟﻨﻈﺮ ﻭﺍﻟﺘﻘﻴﻴﻢ ﺑﺪﺀﹰﺍ ﻣﻦ ﻧﺸﺄﺎ،ﰒ ﺗﻄﻮﺭﻫﺎ ،ﻭﺩﻭﺭﻫﺎ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﺘﻤﻊ ﻭﺍﻷﻗﻠﻴﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﺔ ﻭﺍﻧﺘﻬﺎﺀ ﺑﺼﺪﻭﺭ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺍﳋﺎﺹ ﺑﺎﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ،ﻭﻗﺪ ﺍﺧﺘﺎﺭ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﳕﻮﺫﺟﺎ ﺗﻄﺒﻴﻘﻴﹰﺎ ﻟﻜﻮﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﻨﺘﺞ ﻣﻬ ﻤﹰﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺣﻴﺔ ﺍﻟﻌﻤﻠﻴﺔ ،ﻭﻫﻮ ﻛﺬﻟﻚ ﻣﻦ ﺃﻛﺜﺮ ﺍﳌﻨﺘﺠﺎﺕ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺗﺪﺍﻭ ﹰﻻ ﺑﲔ ﺍﻟﻨﺎﺱ. ﺃﺳﺌﻠﺔ ﺍﻟﺒﺤﺚ -١ﻛﻴﻒ ﻧﺸﺄﺕ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ؟ ﻭﻛﻴﻒ ﺗﻄﻮﺭﺕ ﺑﻌﺪ ﺫﻟﻚ؟ -٢ﻣﺎﺩﻭﺭ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﺘﻤﻊ ﻭﺍﻷﻗﻠﻴﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﺔ؟ -٣ﻣﺎ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻨﻈﻢ ﺷﺆﻭﻥ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ؟ ﻭﻣﺎ ﻣﺪﻯ ﺗﻨﺎﺳﺒﻪ ﻣﻊ ﺍﻟﻮﺍﻗﻊ ﺍﻟﺘﻄﺒﻴﻘﻲ؟ -٤ﻣﺎ ﻫﻮ ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ؟ ﻭﻣﺎ ﻣﺪﻯ ﻣﻄﺎﺑﻘﺘﻬﺎ ﻣﻊ ﺿﻮﺍﺑﻂ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ؟ ﺃﻫﺪﺍﻑ ﺍﻟﺒﺤﺚ -١ﺩﺭﺍﺳﺔ ﻧﺸﺄﺓ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﻭﺗﻄﻮﺭﻫﺎ ﻭﺩﻭﺭﻫﺎ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﺘﻤﻊ ﻭﺍﻷﻗﻠﻴﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﺔ. -٢ﺩﺭﺍﺳﺔ ﻣﺪﻯ ﺗﻨﺎﺳﺐ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺍﳋﺎﺹ ﺑﺎﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻣﻊ ﺍﻟﻮﺍﻗﻊ ﺍﻟﺘﻄﺒﻴﻘﻲ. -٣ﺩﺭﺍﺳﺔ ﻣﺪﻯ ﻣﻄﺎﺑﻘﺔ ﺗﻄﺒﻴﻘﺎﺕ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺑﺎﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
4
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﻣﻨﻬﺞ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﺗﻘﻮﻡ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻨﻬﺞ ﺍﻻﺳﺘﻘﺮﺍﺋﻲ ﻭﺍﻟﺘﺤﻠﻴﻠﻲ ﻭﺍﻟﺘﻄﺒﻴﻘﻲ ،ﻭﺫﻟﻚ ﲜﻤﻊ ﺍﳌﻌﻠﻮﻣﺎﺕ ﻭﺍﳌﻮﺍﺩ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ ﻣﻦ ﺍﳌﺼﺎﺩﺭ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﻭﺍﻷﲝﺎﺙ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﺓ ﻭﲢﻠﻴﻠﻬﺎ ،ﻓﻀﻼ ﻋﻦ ﺍﳌﻮﺍﺩ ﺍﻟﱵ ﰎ ﲨﻌﻬﺎ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﺍﳌﻘﺎﺑﻠﺔ ﺍﻟﺸﺨﺼﻴﺔ ﻣﻊ ﺭﺋﻴﺲ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ. ﺣﺪﻭﺩ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻳﻘﺘﺼﺮ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻋﻠﻰ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﲡﺮﺑﺔ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﻣﻦ ﺣﻴﺚ ﻧﺸﺄﺎ ﻭﺗﻄﻮﺭﻫﺎ، ﻭﺩﺭﺍﺳﺔ ﺩﻭﺭ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﺘﻤﻊ ﻭﺍﻷﻗﻠﻴﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﺔ ﺑﺼﻔﺘﻪ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺍﳌﺴﺘﻘﻞ ﻭﺍﻟﻮﺣﻴﺪ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﻭﺩﺭﺍﺳﺔ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺍﳋﺎﺹ ﺑﺎﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻟﺴﻨﺔ ٢٠٠٢ﻡ ،ﻣﻊ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﻣﺪﻯ ﻣﻄﺎﺑﻘﺔ ﺗﻄﺒﻴﻘﺎﺕ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭ ﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺑﺎﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼ ﻣﻲ ﻭﺧﺎﺻﺔ ﺑﺎﻟﻘﺮﺍﺭﺍﺕ ﺍﻟﺼﺎﺩﺭﺓ ﻣﻦ ﻗﺒﻞ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺍﻟﺪﻭﱄ ﻭﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ،ﻭﻳﺘﻢ ﺍﺧﺘﻴﺎﺭ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﰲ ﺍﳌﺮﻛﺒﺎﺕ ﺍﳉﺪﻳﺪﺓ ﻛﻨﻤﻮﺫﺝ ﻟﻠﺪﺭﺍﺳﺔ ،ﻟﻜﻮﻥ ﺍﳌﺮﻛﺒﺎﺕ ﻣﻦ ﺃﻛﺜﺮ ﺍﻟﺴﻠﻊ ﺍﻟﱵ ﺗﻘﻮﻡ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ. ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﺔ ﱂ ﳚﺪ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﰲ ﺣﺪﻭﺩ ﺍﻃﻼﻋﻬﻤﺎ ﻋﻠﻰ ﻣﻮﺿﻮﻉ ﻧﺸﺄﺓ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﻭﺗﻄﻮﺭﻫﺎ ﻭﺩﻭﺭﻫﺎ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﺘﻤﻊ ﻭﺍﻷﻗﻠﻴﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﺔ؛ ﺳﻮﻯ ﲝﺚ ﻭﺍﺣﺪ ﺗﻨﺎﻭﻝ ﺇﻣﻜﺎﻧﻴﺔ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﻣﺼﺮﻑ ﺇﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﻭﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻫﻮ ﻣﻦ ﺇﻋﺪﺍﺩ ﺑﺎﺣﺜﲔ ﻣﻦ ﺷﺮﻛﺔ ﺳﻴﺘﻴﻚ ) (SEATEC Southeast Asia Technologyﺍﳌﻜﻠﻔﺔ ﻣﻦ ﻗﺒﻞ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻟﻌﺎﻣﺔ ﻟﺘﻨﻤﻴﺔ ﺍﻟﺸﺆﻭﻥ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﻭﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﻟﺬﺍ ﻓﺈﻥ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﻋﻠﻰ ﳓﻮ ﻣﻮﺳﻊ ﺗﻌﺪ ﻣﻦ ﺍﻷﳘﻴﺔ ﲟﻜﺎﻥ ﻟﻜﻮﻥ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﱂ ﳛﻆ ﺑﻌﻨﺎﻳﺔ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﻟﺒﺎﺣﺜﲔ ،ﻭﻟﻜﻮﻥ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ ﺳﺘﻘﺪﻡ ﺃﳕﻮﺫﺟﹰﺎ ﺟﺪﻳﺮﹰﺍ ﺑﺎﻻﻫﺘﻤﺎﻡ ،ﺃﻻ ﻭ ﻫﻮ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﺒﻠﺪ ﺍﻟﺬﻱ ﺗﻘﻄﻨﻪ ﺃﻏﻠﺒﻴﺔ ﻏﲑ ﻣﺴﻠﻤﺔ ،ﻭﺃﻗﻠﻴﺔ ﻣﺴﻠﻤﺔ ﺗﻌﺮﺿﺖ ﰲ ﻓﺘﺮﺍﺕ ﻃﻮﻳﻠﺔ ﻣﻦ ﺗﺎﺭﳜﻬﺎ ﻟﻼﺿﻄﻬﺎﺩ ﻭﳏﺎﻭﻟﺔ ﺍﻟﺘﻬﻤﻴﺶ. ﻭﺑﺎﻟﻨﺴﺒﺔ ﺇﱃ ﻣﻮﺿﻮﻉ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﺃﻭ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺍﳌﻨﺘﻬﻴﺔ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﻓﻘﺪ ﺗﻌﺮﺽ ﻟﻪ ﺑﺎﻟﺒﺤﺚ ﻭﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺑﺎﺣﺜﻮﻥ ﻣﻌﺎﺻﺮﻭﻥ ،ﺳﻮﺍﺀ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﻣﺆﲤﺮﺍﺕ ﻋﻠﻤﻴﺔ ﺃﻭ ﻣﻦ ﺧﻼﻝ ﻣﻘﺎﻻﺕ ﳏﻜﻤﺔ ﻭﺭﺳﺎﺋﻞ ﻋﻠﻤﻴﺔ،ﻛﻤﺎ ﺗﻨﺎﻭﻟﻪ ﺑﺎﻟﻨﻘﺎﺵ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺍﻟﺪﻭﱄ ﰲ ﺩﻭﺭﺗﻴﻪ ﺍﳋﺎﻣﺴﺔ ﻭﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔ ﻋﺸﺮﺓ ،ﻣﻨﻬﺎ ﺍﻟﺘﺄﺟﲑ ﺍﳌﻨﺘﻬﻲ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﻭﺍﻟﺼﻮﺭ ﺍﳌﺸﺮﻭﻋﺔ ﻓﻴﻪ ﻟﻌﺒﺪﺍﷲ ﳏﻤﺪ ﻋﺒﺪﺍﷲ ،ﻭﺍﻹﳚﺎﺭ ﺍﳌﻨﺘﻬﻲ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﳊﺴﻦ ﻋﻠﻲ ﺍ ﻟﺸﺎﺫﱄ ،ﻭﺍﻹﳚﺎﺭ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﻨﺘﻬﻲ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﻟﻌﺒﺪﷲ ﺍﶈﻔﻮﻅ ﺑﻦ ﺑﻴﻪ ،ﻭﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺑﺸﺮﻁ ﺍﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﶈﻤﺪ ﻋﻠﻲ ﺍﻟﺘﺴﺨﲑﻱ ،ﻭﺍﻟﺘﺄﺟﲑ ﺍﳌﻨﺘﻬﻲ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﻟﻌﺒﺪﺍﷲ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ،ﻭﺍﻹﳚﺎﺭ ﺍﳌﻨﺘﻬﻲ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﻭﺻﻜﻮﻙ ﺍﻟﺘﺄﺟﲑ ﶈﻤﺪ ﺍﳌﺨﺘﺎﺭ ﺍﻟﺴﻼﻣﻲ ،ﻭﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺍﳌﻨﺘﻬﻴﺔ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﻭﺻﻜﻮﻙ ﺍﻷﻋﻴﺎﻥ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﳌﻨﺬﺭ ﻗﺤﻒ ،ﻭﺍﻹﳚﺎﺭ ﺍﳌﻨﺘﻬﻲ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﻭﺻﻜﻮﻙ ﺍﻟﺘﺄﺟﲑ ﶈﻤﺪ ﻋﻠﻲ ﺍﻟﺘﺴﺨﲑﻱ، ﻭﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺗﻄﺒﻴﻘﺎﺎ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﺓ ﻟﻌﻠﻲ ﳏﻲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻟﻘﺮﺓ ﺩﺍﻏﻲ ،ﻭﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺍﳌﻨﺘﻬﻴﺔ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﺍﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﻭﻓﻘﻬﻴﺔ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
5
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﻟﺸﻮﻗﻲ ﺃﲪﺪ ﺩﻧﻴﺎ ،ﻭﺍﻹﳚﺎﺭ ﺍﳌﻨﺘﻬﻲ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﻭﺻﻜﻮﻙ ﺍﻟﺘﺄﺟﲑ ﶈﻤﺪ ﺟﱪ ﺍﻷﻟﻔﻲ،ﻟﻜﻦ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺒﺤﻮﺙ ،ﻭﺗﻠﻚ ﺍﻟﺮﺳﺎﺋﻞ ﻭﺍﳌﻨﺎﻗﺸﺎﺕ ﱂ ﺗﺘﻄﺮﻕ ﻣﻦ ﻗﺮﻳﺐ ﺃﻭ ﺑﻌﻴﺪ ﺇﱃ ﺍﻟﺘﺠﺮﺑﺔ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻳﺔ ﺍﳌﺘﻌﻠﻘﺔ ﺑﺎﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ، ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﺳﻴﻘﻮﻡ ﺑﻪ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﰲ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ،ﻣﺴﺘﻔﻴﺪﻳﻦ ﳑﺎ ﺗﻮﺻﻠﺖ ﺇﻟﻴﻪ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺎﺕ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﺔ ﻟﻠﻤﻮﺿﻮﻉ ﺑﺼﻔﺔ ﻋﺎﻣﺔ ،ﻣﺒﺘﻐﲔ ﺗﻘﻴﻴﻢ ﺗﻄﺒﻴﻘﺎﺕ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ. ﻧﺘﺎﺋﺞ ﺍﻟﺒﺤﺚ ﻭﲢﻠﻴﻠﻬﺎ ﺍﻟﻔﻘﺮﺓ ﺍﻷﻭﱃ :ﻧﺸﺄﺓ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﻭﺗﻄﻮﺭﻩ ﻭﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﺠﻤﻟﺘﻤﻊ ﻭﺍﻷﻗﻠﻴﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﺔ: ﺃﻭ ﹰﻻ:ﺟﺬﻭﺭ ﻓﻜﺮﺓ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻭﺗﻄﻮﺭﻫﺎ: ﺃﺻﺒﺤﺖ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﻟﻴﻮﻡ ﻣﻮﺿﻊ ﺍ ﻫﺘﻤﺎﻡ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﲔ ﻭﺍﳌﺼﺮﻓﻴﲔ ﰲ ﻣﻌﻈﻢ ﺩﻭﻝ ﺍﻟﻌﺎﱂ ،ﺇﺳﻼﻣﻴﺔ ﻛﺎﻧﺖ ﺃﻭ ﻏﲑ ﺇﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻻﺳﻴﻤﺎ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﺃﺛﺒﺘﺖ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﳒﺎﺣﻬﺎ ﰲ ﺗﻘﺪﱘ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﳌﺘﻄﻮﺭﺓ ﻭﺍﳌﺒﺘﻜﺮﺓ ﺍﻟﺒﺪﻳﻠﺔ ﻋﻦ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻟﺘﻘﻠﻴﺪﻳﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﻭﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻟﺘﻘﻠﻴﺪﻳﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻘﻮﻡ ﻋﻠﻰ ﻣﺒﺪﺃ ﺍﻟﺮﺑﺎ .ﻭﺗﻌﺘﱪ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﻭﻝ ﺍﻟﱵ ﺍﻫﺘﻤﺖ ﺬﻩ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﰲ ﺍﻵﻭﻧﺔ ﺍﻷﺧﲑﺓ ،ﻭﺫﻟﻚ ﺍﺳﺘﺠﺎﺑ ﹰﺔ ﳌﻄﺎﻟﺐ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﺍﳌﺴﺘﻤﺮﺓ ﻣﻨﺬ ﺛﻼﺛﺔ ﻋﻘﻮﺩ ﺑﺘﻄﺒﻴﻖ ﺃﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﻣﻨﻬﺎ ﺍﳌﻌﺎﻣﻼﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ، ﻭﺇﺩﺭﺍﻛﹰﺎ ﻷﳘﻴﺔ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﺩﻭﺭﻫﺎ ﰲ ﺗﻨﻤﻴﺔ ﺍﻗﺘﺼﺎﺩ ﺍﻟﺪﻭﻟﺔ ،ﻭﺗﻄﻮﻳﺮ ﻋﻼﻗﺎﺎ ﻣﻊ ﺍﻟﺪﻭﻝ ﺍﳌﺴﻠﻤﺔ ﺍﺎﻭﺭﺓ ﻣﺜﻞ ﻣﺎﻟﻴﺰﻳﺎ ﻭﺃﻧﺪﻭﻧﺴﻴﺎ ﻭﺑﺮﻭﻧﺎﻱ ﻭﻏﲑﻫﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﻭﻝ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﻷﺧﺮﻯ ) ،ﺍﲢﺎﺩ ﺍﻟﻄﻠﺒﺔ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻳﲔ ﺍﳋﺮﳚﲔ ﻣﻦ ﺍﳉﺎﻣﻌﺎﺕ ﺍﻟﺒﺎﻛﺴﺘﺎﻧﻴﺔ (١ : ١٩٩٧ ،ﻭﻗﺪ ﺑﺎﺕ ﺍﻟﺪﻓﻊ ﺬﻩ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﻣﻦ ﺍﳌﺴﻠﻤﺎﺕ ﰲ ﺳﻴﺎﺳﺔ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﻛﺎﻧﺖ ﰲ ﺍﻟﻌﻬﺪ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ ﻣﻨﻌﺰﻟﺔ ﻋﻦ ﺍﻟﻌﺎﱂ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ. ﻭﻗﺪ ﺑﺪﺃﺕ ﻓﻜﺮﺓ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺼﻮﺭﺓ ﺟﺪﻳﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳊﻜﻮﻣﺔ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻳﺔ ﰲ ﺍﻟﻌﺎﻡ ١٩٩٦ﻡ ﺑﻌﺪ ﺗﻮﻗﻴﻊ ﺍﻻﺗﻔﺎﻕ ﺍﻟﺜﻼﺛﻲ ﺑﲔ ﻛﻞ ﻣﻦ ﺇﻧﺪﻭﻧﺴﻴﺎ ﻭﻣﺎﻟﻴﺰﻳﺎ ﻭﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﻟﻠﺘﻌﺎﻭﻥ ﰲ ﺗﻨﻤﻴﺔ ﺍﻗﺘﺼﺎﺩ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺒﻠﺪﺍﻥ ) ،(Indonesia-Malaysia-Thailand Triangle Development Projectﻭﻟﺘﻜﻮﻥ ﰲ ﻗﺎﺋﻤﺔ ﺍﻟﺪﻭﻝ ﺍﻟﱵ ﺗﺴﻌﻰ ﻟﻠﺨﺮﻭﺝ ﻣﻦ ﻗﺎﺋﻤﺔ ﺩﻭﻝ ﺍﻟﻌﺎﱂ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ ﻭﺍﻟﻠﺤﺎﻕ ﺑﺮﻛﺐ ﺍﻟﺘﻘﺪﻡ ،ﻭﻗﺪ ﲢﻤﻠﺖ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﲟﻮﺟﺐ ﻫﺬﺍ ﺍﻻﺗﻔﺎﻕ ،ﻣﺴﺆﻭﻟﻴﺔ ﺇﻋﺪﺍﺩ ﺧﻄﺔ ﺗﻨﻤﻮﻳﺔ ﻟﻠﻤﻨﺎﻃﻖ ﺍﳋﻤﺲ ﺍﳉﻨﻮﺑﻴﺔ ،ﻭﻫﻲ ) ﻓﻄﺎﱐ ،ﻭﻧﺎﺭﺍﺗﻴﻮﺍﺕ ،ﻭﺟﺎﻻ ،ﻭﺳﻮﻧﻜﻼ ،ﻭﺳﺎﺗﻮﻥ( ﺍﻟﻮﺍﻗﻌﺔ ﺑﲔ ﺣﺪﻭﺩ ﻣﺎﻟﻴﺰﻳﺎ ) ،ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ (٣٦ :٢٠٠٣ ،ﻭﻗﺪ ﺍﺳﺘﺠﺎﺑﺖ ﻏﺮﻑ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﺓ ﻭﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﳍﺬﻩ ﺍﻟﻔﻜﺮﺓ ،ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻣﺮﻛﺰ ﺗﺪﺑﲑ ﺍﻟﻮﻻﻳﺎﺕ ﺍﳊﺪﻭﺩﻳﺔ ﺍﳉﻨﻮﺑﻴﺔ ﺍﳋﻤﺲ ﺑﺼﻔﺘﻪ ﻣﻨﺴﻖ ﺍﻟﺘﻌﺎﻭﻥ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻱ ) ،ﺩﻳﻦ ﺗﺆﻣﻴﻨﺎ (٤ :١٩٩٨ ،ﻭﻗﺎﻣﺖ ﺍﳊﻜﻮﻣﺔ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻳﺔ ﺑﺎﲣﺎﺫ ﺍﳋﻄﻮﺍﺕ ﺍﻟﻼﺯﻣﺔ ﻟﻠﺒﺪﺀ ﰲ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ، ﺣﻴﺚ ﻛﻠﻔﺖ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻟﻌﺎﻣﺔ ﻟﺘﻨﻤﻴﺔ ﺍﻟﺸﺆﻭﻥ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﻭﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ ﻣﻊ ﻣﻜﺘﺐ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩ ﻭﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺑﻮﺯﺍﺭﺓ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ، ﺑﺪﺭﺍﺳﺔ ﺇﻣﻜﺎﻧﻴﺔ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﺼﺮﻑ)،ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻟﻌﺎﻣﺔ ﻟﺘﻨﻤﻴﺔ ﺍﻟﺸﺆﻭﻥ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﻭﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ(٢ : ١٩٩٦ ، ﺧﺎﺻﺔ ﰲ ﻇﻞ ﺍﻟﻈﺮﻭﻑ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﺍﻟﱵ ﻣﺮﺕ ﺎ ﺩﻭﻝ ﻣﻨﻄﻘﺔ ﺟﻨﻮﺏ ﺷﺮﻕ ﺁﺳﻴﺎ ،ﻓﻀﻼ ﻋﻦ ﺃﻥ ﻏﺎﻟﺒﻴﺔ ﺳﻜﺎﻥ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﻣﻦ ﺍﻟﺒﻮﺫﻳﲔ ،ﻭﺃﻥ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﻻ ﻳﺸﻜﻠﻮﻥ ﺳﻮﻯ %١٠ -٥ﻣﻦ ﺇﲨﺎﱄ ﺍﻟﺴﻜﺎﻥ .ﻭﻗﺪ ﺗﻮﺻﻠﺖ ﺍﻟﺪﺭﺍﺳﺔ ﺍﻟﱵ ﻗﺎﻣﺖ ﺎ ﺗﻠﻚ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺇﱃ ﺇﻣﻜﺎﻧﻴﺔ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﻣﺼﺮﻑ ﺇﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﻳﺘﻌﺎﻣﻞ ﻭﻓﻖ ﺃﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
6
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﻣﺜﻠﻤﺎ ﻫﻮ ﻣﻄﺒﻖ ﰲ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﻭﻝ ﻭﻣﻦ ﺑﻴﻨﻬﺎ ﻣﺎﻟﻴﺰﻳﺎ ﺍﻟﱵ ﻛﺎﻥ ﻟﻠﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺩﻭﺭ ﺑﺎﺭﺯ ﰲ ﺗﻨﻤﻴﺔ ﺍﻗﺘﺼﺎﺩﻫﺎ ،ﻓﻘﺎﻣﺖ ﺍﳊﻜﻮﻣﺔ ﺍﳌﺮﻛﺰﻳﺔ ﺑﺪﻋﻮﺓ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻳﺔ ﰲ ﺍﻟﺒﻼﺩ ﺇﱃ ﻓﺘﺢ ﻧﻮﺍﻓﺬ ﺇﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻭﰎ ﺇﻋﺪﺍﺩ ﻣﺸﺮﻭﻉ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺍﳋﺎﺹ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﻟﺘﻘﺪﳝﻪ ﺇﱃ ﺍﻠﺲ ﺍﻟﺘﺸﺮﻳﻌﻲ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ﻹﻗﺮﺍﺭﻩ).ﻗﺮﺍﺭ ﳎﻠﺲ ﻭﺯﺭﺍﺀ ﺍﳊﻜﻮﻣﺔ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻳﺔ ﺭﻗﻢ ٢,٣ﰲ ﺷﺄﻥ ﺗﻨﻤﻴﺔ ﺍﳌﻨﺎﻃﻖ ﺍﳊﺪﻭﺩﻳﺔ ﺍﳉﻨﻮﺑﻴﺔ ﺍﳋﻤﺴﺔ ) ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ( ، ﺗﺎﺭﻳﺦ ١٥ﻳﻮﻟﻴﻮ ١٩٩٧ﻡ( ﺃﻱ ﺃﻥ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﺑﺪﺃﺕ ﺑﺎﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻘﺪﻡ ﻋﱪ ﺍﻟﻨﻮﺍﻓﺬ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻳﺔ ،ﻭﻣﻦ ﺑﻴﻨﻬﺎ ﻣﺼﺮﻑ ﺳﺮﻱ ﻧﻜﻮﻥ ) ،(Srinakorn Bankﺍﻟﺬﻱ ﻗﺎﻡ ﺑﺘﻘﺪﱘ ﺑﻌﺾ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﻮﺍﻓﻘﺔ ﻟﻠﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ .ﻭﻗﺪ ﺎﻭﺕ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺃﻣﺎﻡ ﺍﻷﺯﻣﺔ ﺍﻟﱵ ﻋﺼﻔﺖ ﺑﺪﻭﻝ ﺟﻨﻮﺏ ﺷﺮﻕ ﺁﺳﻴﺎ ﻭﻣﻨﻬﺎ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﰲ ﻋﺎﻡ ١٩٩٧ﻡ ،ﻭﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺑﲔ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﻣﺼﺮﻑ ﺳﺮﻱ ﻧﻜﻮﻥ ﺍﻟﺬﻱ ﺃﻓﻠﺲ ﺟﺮﺍﺀ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﺯﻣﺔ ،ﺑﻴﺪ ﺃﻥ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻟﺘﻘﻠﻴﺪﻳﺔ ﺍﺳﺘﻄﺎﻋﺖ ﺃﻥ ﺗﺘﺨﻄﻰ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﺯﻣﺔ ،ﺑﺴﺒﺐ ﺩﻋﻢ ﺍﳊﻜﻮﻣﺔ ﺍﳌﺮﻛﺰﻳﺔ ﻭﻛﺎﻥ ﻣﻦ ﺑﲔ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﻣﺼﺮﻑ ﳔﺎﻥ ﻟﻮﺍﻧﺞ ﺗﺎﻱ ) ،(Siam City Bankﺍﻟﺬﻱ ﻗﺎﻡ ﺑﻔﺘﺢ ﻧﺎﻓﺬﺓ ﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﻟﻮﺩﺍﺋﻊ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺇﳝﺎﻧﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺎﺋﻤﲔ ﻋﻠﻴﻪ ﺑﺄﳘﻴﺔ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ .ﻭﰲ ﺍﻟﻌﺎﻡ ١٩٩٨ﻡ ﺑﺪﺃ ﻣﺼﺮﻑ ﻋﻮﻡ ﺳﲔ ) (Government Savings Bankﻛﺬﻟﻚ ﺑﺘﻘﺪﱘ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﺳﺘﺠﺎﺑﺔ ﻟﻠﺴﻴﺎﺳﺔ ﺍﳊﻜﻮﻣﻴﺔ ﺍﻟﻌﺎﻣﺔ ﻟﻠﺤﻜﻮﻣﺔ ،ﻭﺫﻟﻚ ﰲ ﲬﺲ ﻣﻨﺎﻃﻖ ﺍﳊﺪﻭﺩﻳﺔ ﺟﻨﻮﺑﻴﺔ ﺑﺪﺀﹰﺍ ﲟﻨﻄﻘﺔ )ﺳﺎﺗﻮﻥ( ﰒ ) ﻓﻄﺎﱐ ،ﻭﺟﺎﻻ، ﻭﻧﺎﺭﺍﺗﻴﻮﺍﺕ ،ﻭﺳﻮﻧﻜﻼ( ﰒ ﰲ ﺍﻟﻌﺎﺻﻤﺔ ﺑﺎﻧﻜﻮﻙ ،ﻭﰲ ﺍﻟﻌﺎﻡ ﺫﺍﺗﻪ ﺃﻧﺸﺄ ﻣﺼﺮﻑ ﻛﺎﻥ ﻛﺴﻴﺪ ﱄﺀﺳﺤﺎﻛﻮﻥ ﻛﺎﻥ ﻛﺴﻴﺪ ) (Bank for Agriculture and gricultural Cooperativesﺍﻟﺼﻨﺪﻭﻕ ﺍﳋﺎﺹ ﺑﺎﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ) ،(Islamic Banking Fundﻭﰲ ﺹ ﻣﺴﺘﻘ ﹲﻞ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﻈﺎﻡ ﺍﻟﺘﻘﻠﻴﺪﻱ ﺑﻐﻴﺔ ﺍﻟﻌﺎﻡ ٢٠٠٢ﻡ ﰎ ﻓﺘﺢ ﻓﺮﻋﺎ ﺧﺎﺻﺎ ﻟﻠﺨﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﳚﻌﻞ ﻟﻪ ﻧﻈﺎ ﻡ ﺧﺎ ﺟﺬﺏ ﺃﻛﱪ ﻗﺪ ﹴﺭ ﻣﻦ ﺍﳌﺘﻌﺎﻣﻠﲔ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﳝﺜﻠﻮﻥ ﻧﺴﺒ ﹰﺔ ﻻ ﺑﺄﺱ ﺎ ﻣﻦ ﻋﺪﺩ ﺍﻟﺴﻜﺎﻥ ) .ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ(١٥ :٢٠٠٤، ﺛﺎﻧﻴﺎ :ﺗﺄﺳﻴﺲ ﻭﺗﻄﻮﻳﺮ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻭﺩﻭﺭﻩ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﺠﻤﻟﺘﻤﻊ ﻭﺍﻷﻗﻠﻴﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﺔ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ: ﺑﻌﺪ ﺃﻥ ﳌﺴﺖ ﺍﳊﻜﻮﻣﺔ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻳﺔ ﳒﺎﺡ ﻓﻜﺮﺓ ﺍﻟﻨﻮﺍﻓﺬ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﻭﺃﺎ ﺗﺪﺭ ﻋﺎﺋﺪﹰﺍ ﺟﻴﺪﺍ ﻷﺻﺤﺎﺏ ﺭﺅﻭﺱ ﺍﻷﻣﻮﺍﻝ ﻭﺍﳊﻜﻮﻣﺔ ﺍﳌﺮﻛﺰﻳﺔ ،ﺑﺪﺃﺕ ﰲ ﺍﻟﺘﻔﻜﲑ ﰲ ﺗﻄﻮﻳﺮ ﺍﻷﻣﺮ ﻭﻋﻘﺪﺕ ﺍﻟﻌﺰﻡ ﻋﻠﻰ ﻓﺘﺢ ﺍﻟﻘﺴﻢ ﺍﻟﺸﺮﻋﻲ ﻟﻠﺨﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﲢﺖ ﻣﺴﻤﻰ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻟﺸﺮﻋﻲ ﺍﻟﺘﺎﺑﻊ ﳌﺼﺮﻑ ﻛﺮﻭﻧﺞ ﺗﺎﻱ ،ﻭﰎ ﺃﻳﻀﺎ ﰲ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻔﺘﺮﺓ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﻫﻴﺌﺔ ﺍﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭ ﻣﻜﻮﻧﺔ ﻣﻦ ﺳﺘﺔ ﺃﺷﺨﺎﺹ)،ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻟﺸﺮﻋﻲ(٢٢ :٢٠٠٤ ، ﰒ ﺗﻄﻮﺭ ﺍﻷﻣﺮ ﺑﺼﺪﻭﺭ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺧﺎﺹ ﺑﺈﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺻﺪﺭ ﻋﻦ ﺍﻠﺲ ﺍﻟﺘﺸﺮﻳﻌﻲ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ﰲ ﺃﻛﺘﻮﺑﺮ ٢٠٠٢ﻡ).ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻟﺴﻨﺔ ٢٠٠٢ﻡ( ﻭﰲ ١٢ﻳﻮﻧﻴﻮ ٢٠٠٣ﻡ ﰎ ﺗﺪﺷﲔ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻟﺬﻱ ﺍﲣﺬ ﻣﻦ ﻣﻨﻄﻘﺔ ﻛﻠﻮﻧﺞ ﺗﺎﻥ ) (Klongtanﰲ ﺍﻟﻌﺎﺻﻤﺔ ﺑﺎﻧﻜﻮﻙ ﻣﻘﺮﹰﺍ ﺭﺋﻴﺴﺎﹰ ،ﻓﻀﻼ ﻋﻦ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﲬﺴﺔ ﻓﺮﻭﻉ ﺃﺧﺮﻯ ﺗﺎﺑﻌﺔ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﻧﻔﺴﻪ ،ﻭﻫﻲ ﺗﺮﻭﻧﺞ ﻛﺮ ﻭﻙ ﻭﺳﺘﻮﻝ ﻭﻓﻄﺎﱐ ﻭﻧﺎﺭﺍﺗﻴﻮﺍﺕ ﻭﺟﺎﻻ ﰲ ﺍﻟﻌﺎﻡ ﻧﻔﺴﻪ. )ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ (٨ : ٢٠٠٥ﻭﻳﻨﺪﺭﺝ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﲢﺖ ﺭﻗﺎﺑﺔ ﻭﺯﺍﺭﺓ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ،ﺑﺮﺃﺱ ﻣﺎﻝ ﻣﺴﺠﻞ ﻗﺪﺭﻩ ﺃﻟﻒ ﻣﻠﻴﻮﻥ ﺑﺎﺕ ،ﻣﻮﺯﻉ ﺇﱃ ﻣﺌﺔ ﻣﻠﻴﻮ ﻥ ﺳﻬﻢ ،ﻛﻞ ﺳﻬﻢ ﺑﻘﻴﻤﺔ ) ١٠ﺑﺎﺕ( ،ﻭ ﻗﺪ ﺑﻠﻎ ﺭﺃﺱ ﺍﳌﺎﻝ ﺍﳌﺪﻓﻮﻉ ﺑﻌﺪ ﻣﺮﻭﺭ ﺳﻨﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﺸﻐﻴﻞ ٨٦,٦٩٦ﻣﻠﻴﻮﻥ ﺑﺎﺕ ).ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ(١٥ :٢٠٠٤ ، อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
7
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﻭﺗﺘﻠﺨﺺ ﻣﻬﺎﻡ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﰲ ﺗﻘﺪﱘ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﻭﻓﻖ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻭﺗﺸﺠﻴﻊ ﺍﳌﻮﺍﻃﻨﲔ ﻋﻠﻰ ﺍﻻﺩﺧﺎﺭ ،ﻭﲤﻮﻳﻞ ﺍﻟﺮﺍﻏﺒﲔ ﰲ ﺍﻻﺳﺘﺜﻤﺎﺭ ،ﺑﺎﻹﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﺩﻭﺭﻩ ﺍﻟﺘﻨﺴﻴﻘﻲ ﰲ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﺳﺘﺜﻤﺎﺭ ﺍﻟﺪﻭﻟﻴﲔ).ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ (٧٦ : ٢٠٠٩ ،ﻭﺗﺘﻜﻮﻥ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻣﻦ ﲬﺴﺔ ﺃﻋﻀﺎﺀ ﻳﻘﺪﻣﻮﻥ ﺍﳌﺸﻮﺭﺓ ﻭﺍﻟﻨﺼﺢ ﰲ ﺍﻷﻣﻮﺭ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ).ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ(١٣ :٢٠٠٤ ، ﻭﰲ ٩ﻧﻮﻓﻤﱪ ٢٠٠٥ﻡ ﻗﺎﻡ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺑﺸﺮﺍﺀ ﺃﺳﻬﻢ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻟﺸﺮﻋﻲ ) ﺍﻟﻘﺴﻢ ﺍﻟﺸﺮﻋﻲ( ﺍﻟﺘﺎﺑﻊ ﳌﺼﺮﻑ ﻛﺮﻭﻧﺞ ﺗﺎﻱ ﺭﻏﺒﺔ ﻣﻦ ﻭﺯﺍﺭﺓ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﰲ ﺗﻘﻮﻳﺔ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﻭﺍﻟﺜﺒﺎﺕ ﺃﻣﺎﻡ ﺍﻷﺯﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﻗﺪ ﺗﻀﺮﺏ ﻫﺬﻩ ﺍﳌﻨﺎﻃﻖ ﰲ ﺃﻱ ﻭﻗﺖ ،ﻭﻭﺻﻞ ﻋﺪﺩ ﻓﺮﻭﻉ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺇﱃ ٢٧ﻓﺮﻋﺎ ) ،ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ (٨:٢٠٠٥،ﻭﺑﻠﻎ ﺣﺠﻢ ﺍﻟﻮﺩﺍﺋﻊ ﺣﱴ ٣١ﺩﻳﺴﻤﱪ ٢٠٠٥ﻡ )ﺑﻌﺪ ﺿﻢ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻟﺸﺮﻋﻲ ﺍﻟﺘﺎﺑﻊ ﳌﺼﺮﻑ ﻛﺮﻭﻧﺞ ﺗﺎﻱ( ﺇﱃ ٤,٦٤٤,٢٨ﻣﻠﻴﻮﻥ ﺑﺎﺕ ،ﺇﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﻣﺒﺎﻟﻎ ﺍﻟﺘﻤﻮﻳﻞ ﺍﻟﱵ ﺗﺒﻠﻎ ٣,٨٢٩,٤٦ﻣﻠﻴﻮﻥ ﺑﺎﺕ ).ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ (٧ :٢٠٠٥ ،ﻭﰲ ﺃﻛﺘﻮﺑﺮ ﻭﻧﻮﻓﻤﱪ ، ٢٠٠٦ﰎ ﺯﻳﺎﺩﺓ ﺭﺃﺱ ﻣﺎﻝ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻭﲤﺖ ﺧﺼﺨﺼﺘﻪ ﲢﺖ ﺇﺷﺮﺍﻑ ﻭﺯﺍﺭﺓ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ،ﻭﻗﺪ ﺑﻠﻎ ﺭﺃﺱ ﻣﺎﻟﻪ ٣١,٣٢٠ﻣﻠﻴﻮﻥ ﺑﺎﺕ، ﲤﺘﻠﻚ ﻭﺯﺍﺭﺓ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﻧﺴﺒﺔ % ٤٨,٥٤ﻣﻦ ﺇﲨﺎﱄ ﻗﻴﻤﺔ ﺍﻷﺳﻬﻢ ،ﻭﺑﺎﻗﻲ ﺍﻟﻘﻴﻤﺔ ﻣﻮﺯﻋﺔ ﻛﺎﻟﺘﺎﱄ: ﻣﺼﺮﻑ ﻋﻮﻡ ﺳﲔ .%٣٩,٨١٣ ﻣﺼﺮﻑ ﻛﺮﻭﻧﺞ ﺗﺎﻱ .%٩,٨٣٠ ﺻﻨﺪﻭﻕ ﺍﻻﺳﺘﺜﻤﺎﺭ ﺍﳌﻔﺘﻮﺡ ﺗﻮﻱ ﺗﻮﻥ ).%٠,٣٣٥ (Thailand Prosperity Fund ﺻﻨﺪﻭﻕ ﺍﻻﺳﺘﺜﻤﺎﺭ ﻭﺧﺼﺨﺼﺔ ﺍﳌﺸﺮﻭﻋﺎﺕ ﺍﻟﺼﻐﲑﺓ ﻭﺍﳌﺘﻮﺳﻄﺔ )(SMEs Venture Capital Fund.%٠,٢٤٠ ﻣﺼﺮﻑ ﺳﻲ ﺃﻱ ﻋﻴﻢ ﰊ ﺗﺎﻱ ).%٠,١٩٢(CIMB Thai Bank ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺮﻭﱐ ﺩﺍﺭ ﺍﻟﺴﻼﻡ ).%٠,١٦٧ ( Bank Islam Brunei Darussalam ﺻﻨﺪﻭﻕ ﺍﻷﻣﺎﻧﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺮﻭﱐ ).%٠,١٦٧ (Perbadanan Tabung Amanah Islam Brunei ﺷﺮﻛﺔ ﺗﻴﻔﺎﻳﺄ ﻟﻠﺘﺄﻣﲔ ).%٠,١٦٠ (Dhipaya Insurance ﻣﺼﺮﻑ ﳔﺎﻥ ﻟﻮﺍﻧﺞ .%٠,١٢٨ ﺟﻬﺎﺕ ﺃﺧﺮﻯ ).%٠,٤٢٧ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ(١٠١ :٢٠٠٩ ،ﻭﰲ ﻋﺎﻡ ٢٠٠٩ﻡ ﲤﺮ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﲝﺎﻟﺔ ﻣﻦ ﺍﻟﺮﻛﻮﺩ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻱ ﻛﻐﲑﻫﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﺒﻠﺪﺍﻥ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﻏﲑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﺑﺴﺒﺐ ﺗﺪﱐ ﻣﺴﺘﻮﻯ ﺍﻟﻨﻤﻮ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩ ﰲ ﺍﻟﻌﺎﱂ ،ﻓﻀﻼ ﻋﻦ ﺍﳌﺸﺎﻛﻞ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻌﺼﻒ ﻭﺗﻀﺮﺏ ﺑﺎﻟﺒﻠﺪ ﺑﲔ ﺍﳊﲔ ﻭﺍﻵﺧﺮ ،ﻭﺃﺩﺕ ﺇﱃ ﺗﺪﻫﻮﺭ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻱ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ،ﻭﻣﻊ ﺫﻟﻚ ﻓﻘﺪ ﺣﺎﻭﻟﺖ ﺍﳊﻜﻮﻣﺔ ﺍﳌﺮﻛﺰﻳﺔ ﺇﻧﻌﺎﺵ ﺍﳊﺎﻟﺔ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ،ﻭﺫﻟﻚ ﺑﺎﺳﺘﺨﺪﺍﻡ ﲨﻴﻊ ﺍﻟﻄﺮﻕ ﻭﺍﻷﺩﻭﺍﺕ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ ﻣﻨﻬﺎ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﻭﺍﻟﻨﻘﺪﻳﺔ .ﻭﻳﻔﺘﺨﺮ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ -ﺑﺼﻔﺘﻪ ﻣﺆﺳﺴﺔ ﻣﺎﻟﻴﺔ ﺗﻌﲎ ﺑﺘﻘﺪﱘ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﻭﻓﻖ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻟﻠﻤﺴﻠﻤﲔ ﻭﻟﻐﲑﻫﻢ -ﲟﺴﺎﳘﺘﻪ ﰲ ﺇﻧﻌﺎﺵ ﺍﳊﺎﻟﺔ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﻟﻠﺒﻠﺪ ،ﻣﻦ ﺣﻴﺚ ﺇﻗﺎﻣﺔ ﺍﳌﺸﺎﺭﻳﻊ ﺍﳋﲑﻳﺔ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ ،ﻣﺜﻞ ﻣﺸﺮﻭﻉ ﲤﻮﻳﻞ ﺍﶈﺘﺎﺟﲔ ،ﻭﻣﺸﺮﻭﻉ ﲤﻮﻳﻞ ﺍﻹﻋﺪﺍﺩ ﺍﳌﻬﲏ ،ﻭﻣﺸﺮﻭﻉ ﺩﻋﻢ ﺍﳉﻤﻌﻴﺎﺕ ﺍﻟﺘﻌﺎﻭﻧﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼ ﻣﻴﺔ، อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
8
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﻭﻣﺸﺮﻭﻉ ﺩﻋﻢ ﺍﳌﺪﺍﺭﺱ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻭﻣﺸﺮﻭﻉ ﺩﻋﻢ ﺍﻟﺸﺮﻛﺎﺕ ﺍﻟﻌﺎﻣﻠﺔ ﰲ ﳎﺎﻝ ﺍﳊﺞ ﻭﺍﻟﻌﻤﺮﺓ ،ﻭﻏﲑﻫﺎ ،ﻭﺫﻟﻚ ﺇﳝﺎ ﻧﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺎﺋﻤﲔ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺑﺄﳘﻴﺔ ﺍﳌﺴﺎﳘﺔ ﰲ ﺗﻨﺸﻴﻂ ﺍﳊﺎﻟﺔ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﰲ ﺍﻟﺒﻠﺪ ﻭﺭﻓﻊ ﻣﺴﺘﻮﻯ ﺍﳌﻌﻴﺸﺔ ﻟﻸﻓﺮﺍﺩ ﻭﺗﻨﻤﻴﺔ ﺍﺘﻤﻊ ،ﺇﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﺍﻟﺴﻌﻲ ﳓﻮ ﺍﻟﺘﻤﻴﺰ ﺳﻮﺍﺀ ﰲ ﺇﺩﺍﺭﺓ ﺍﳌﺆﺳﺴﺔ ﺃﻭ ﰲ ﺗﻘﺪﱘ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﻟﻠﻌﻤﻼﺀ .ﻟﻘﺪ ﻭﺿﻊ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﰲ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻌﺎﻡ ﺧﻄﺔ ﻟﺘﻄﻮﻳﺮ ﺗﻘﺪﱘ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﳓﻮ ﺃﻓﻀﻞ ﻣﻦ ﺫﻱ ﻗﺒﻞ، ﻭﻓﺘﺢ ﻓﺮﻭﻋﺎ ﺟﺪﻳﺪﺓ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﰲ ﺃﳓﺎﺀ ﺍﻟﺒﻼﺩ ،ﻭﻋﻤﻞ ﻋﻠﻰ ﺗﻮﺳﻴﻊ ﻗﺎﻋﺪﺓ ﺍﻟﻌﻤﻼﺀ ﺍﻟﺼﻐﺎﺭ ﻭﲤﻮﻳﻠﻬﻢ ،ﻭﺍﺑﺘﻜﺎﺭ ﻣﻨﺘﺠﺎﺕ ﻣﺎﻟﻴﺔ ﺟﺪﻳﺪﺓ ،ﻭﺗﻄﻮﻳﺮ ﻧﻈﻢ ﺍﻟﺘﻘﻨﻴﺎﺕ ﻟﻠﻤﻌﺎﻣﻼﺕ ﺍﳌﺨﺘﻠﻔﺔ) .ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ(٥-٤ :٢٠٠٩ ، ﻭﺑﺮﻏﻢ ﺣﺎﻟﺔ ﺍﻻﻧﻜﻤﺎﺵ ﰲ ﺍﻗﺘﺼﺎﺩ ﺍﻟﺒﻠﺪ ﻓﺈﻥ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻗﺪ ﺍﺳﺘﻄﺎﻉ ﺃﻥ ﻳﺮﻓﻊ ﻣﺒﺎﻟﻎ ﺍﻟﺘﻤﻮﻳﻞ ﺇﱃ ٢١,٢٧٠,٩٧ﻣﻠﻴﻮﻥ ﺑﺎﺕ ﰲ ﺍﻟﻌﺎﻡ ٢٠٠٩ﻡ ،ﻭﻫﻲ ﺗﻘﺪﺭ ﺑﻨﺴﺒﺔ %١٢٧ﺯﻳﺎﺩﺓ ﻋﻦ ﺍﻟﻌﺎ ﻡ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ ،ﻭﺑﻠﻐﺖ ﺍﻟﻮﺩﺍﺋﻊ ﻟﺪﻳﻪ ﰲ ﺫﺍﺕ ﺍﻟﻌﺎﻡ ٢٠,٨٦١,٢٨ﻣﻠﻴﻮﻥ ﺑﺎﺕ ،ﻭﻫﻲ ﺗﻘﺪﺭ ﺑﻨﺴﺒﺔ %١٠٥ﺯﻳﺎﺩﺓ ﻋﻦ ﺍﻟﻌﺎﻡ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ، ﻭﺑﻠﻐﺖ ﳑﺘﻠﻜﺎﺕ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﻛﺬﻟﻚ ٢١,٥٠٨,٢٤ﻣﻠﻴﻮﻥ ﺑﺎﺕ ﻭﻫﻲ ﺗﻘﺪﺭ ﺑﻨﺴﺒﺔ %٩٠ﺯﻳﺎﺩﺓ ﻋﻦ ﺍﻟﻌﺎﻡ ﺍﻟﺴﺎﺑﻖ، ﻛﻤﺎ ﺗﻘﺪﺭ ﺍﻷﺭﺑﺎﺡ ﺍﻟﺼﺎﻓﻴﺔ ﻟﺪ ﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﰲ ﺍﻟﻌﺎﻡ ٢٠٠٩ﻡ ،ﺑـ ٣٥٥ﻣﻠﻴﻮﻥ ﺑﺎﺕ ﺑﻴﻨﻤﺎ ﻛﺎﻧﺖ ﰲ ﺍﻟﻌﺎﻡ ٢٠٠٨ﻡ ٢,٠٩ ،ﻣﻠﻴﻮﻥ ﺑﺎﺕ ﻓﻘﻂ ،ﻋﻠﻤﺎ ﺑﺄﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻨﻤﻮ ﻭﺍﻟﺘﻄﻮﺭ ﻛﺎﻥ ﻣﺘﻤﺎﺷﻴﺎ ﻣﻊ ﺍﻻﺳﺘﺮﺍﺗﻴﺠﻴﺎﺕ ﺍﻟﱵ ﻭﺿﻌﻬﺎ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ).ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ (٣٤ : ٢٠٠٩ ،ﻭﺑﻔﻀﻞ ﻫﺬﻩ ﺍﻻﳒﺎﺯﺍﺕ ﺍﻟﱵ ﺣﻘﻘﻬﺎ ﺍﳌﺼﺮﻑ ،ﻓﻘﺪ ﺣﺼﻞ ﻋﻠﻰ ﺟﺎﺋﺰﺓ ﺃﻓﻀﻞ ﻣﺼﺮﻑ ﺇﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺟﻨﻮﺏ ﺷﺮﻕ ﺁﺳﻴﺎ ﻟﺴﻨﺘﲔ ﻣﺘﺘﺎﻟﻴﺘﲔ ﻣﻦ ) ﺃﻟﻔﺎ( ،ﻭﺟﺎﺋﺰﺓ ﺃﻓﻀﻞ ﻣﺼﺮﻑ ﺇﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﻣﻦ ﻭﻛﺎﻟﺔ ﺍﻷﻧﺒﺎﺀ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ) .ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ(٣٥ : ٢٠٠٩ ، ﻋﻼﻭﺓ ﻋﻠﻰ ﺫﻟﻚ ﻓﻘﺪ ﻗﺎﻡ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺑﺪﻭ ﹴﺭ ﺑﺎﺭ ﹴﺯ ﰲ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻷﻗﻠﻴﺔ ﺍﳌﺴﻠﻤﺔ ،ﻭﺫﻟﻚ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺗﻮﺯﻳﻊ ﺍﻟﺰﻛﺎﺓ ﻋﻠﻰ ﺍﶈﺘﺎﺟﲔ ﻭﺧﺎﺻ ﹰﺔ ﺍﻟﻄﻠﺒﺔ ﺍﻟﺪﺍﺭﺳﲔ ﰲ ﺍﳌﺪﺍﺭﺱ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻭﻏﲑﻫﺎ ﺳﻨﻮﻳﺎﹰ ) ،ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ، (٣٢ :٢٠٠٨ﻭﻣﺴﺎﻋﺪﺓ ﺑﻌﺾ ﺍﻷﺳﺮ ﺍﻟﱵ ﺗﻌﺮﺿﺖ ﻟﻜﻮﺍﺭﺙ ﺃﻭ ﺣﻮﺍﺩﺙ )،ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ: ٢٠٠٦ ، (٢٩ﺃﺿﻒ ﺇﱃ ﺫﻟﻚ ﻣﺎ ﻳﻘﻮﻡ ﺑﻪ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﻣﻦ ﺩﻭ ﹴﺭ ﺗﻮﻋﻮ ﹴ ﻱ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﻋﻘﺪ ﺍﻟﻨﺪﻭﺍﺕ ﻭﺍﳌﺆﲤﺮﺍﺕ) ،ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ (١٣ :٢٠٠٤ ،ﺧﺎﺻ ﹰﺔ ﻓﻴﻤﺎ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﺑﺎﺳﺘﺜﻤﺎﺭ ﺍﻷﻣﻮﺍﻝ ﻭﲤﻮﻳﻞ ﺍﳌﺸﺮﻭﻋﺎﺕ ﺍﻟﺘﻨﻤﻮﻳﺔ) ،ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ، ﻼ ﻋﻦ ﻗﻴﺎﻡ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺑﺘﻘﺪﱘ ﺍﻟﻘﺮﻭﺽ ﺍﳊﺴﻨﺔ ﻟﻠﻤﺤﺘﺎﺟﲔ ﻣﻦ ﺍﻟﻄﻠﺒﺔ ﳌﻮﺍﺻﻠﺔ ﺩﺭﺍﺳﺘﻬﻢ ﻭﺑﺪﻋﻢ ﻣﻦ (٢٧ :٢٠٠٦ﻓﻀ ﹰ ﺍﳊﻜﻮﻣﺔ )،ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ (١٣ :٢٠٠٤ ،ﻭﻣﺴﺎﳘﺘﻪ ﰲ ﺟﻮﺍﺋﺰ ﻣﺴﺎﺑﻘﺎﺕ ﺍﻟﻘﺮﺁﻥ ﺍﻟﻜﺮﱘ ﻭﺑﻌﺾ ﺍﻟﱪﺍﻣﺞ ﺍﳋﲑﻳﺔ ﻛﻤﺸﺮﻭﻉ ﺇﻓﻄﺎﺭ ﺍﻟﺼﺎﺋﻤﲔ ﻭﻏﲑﻫﺎ) .ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ(٤٩ :٢٠٠٩ ، ﺃﻱ ﺃﻥ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻗﺪ ﻣﺮﺕ ﺑﺘﻄﻮﺭﺍﺕ ﻣﻠﻤﻮﺳﺔ ﺑﺪﺀًﺍ ﺑﱪﻭﺯ ﻓﻜﺮﺓ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﻣﺼﺮﻑ ﺇﺳﻼﻣﻲ ﻭﻣﺮﻭ ﺭﺍ ﺑﺎﻟﻨﻮﺍﻓﺬ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻟﺘﻘﻠﻴﺪﻳﺔ ﰒ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﳋﺎﺹ ﻟﺪﻯ ﻣﺼﺮﻑ ﻛﺮﻭﻧﺞ ﺗﺎﻱ ﰒ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﳌﺴﺘﻘﻞ ﻭﻓﻖ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ) (Islamic Bank of Thailand Actﺇﱃ ﺇﺛﺒﺎﺕ ﻭﺟﻮﺩﻩ ﻭﺗﺮﺳﻴﺦ ﻗﻮﺍﻋﺪﻩ .ﻭﳝﻜﻦ ﺗﻠﺨﻴﺺ ﻣﺮﺍﺣﻞ ﺗﻄﻮﺭ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﺘﻘﺴﻴﻤﻬﺎ ﺇﱃ ﻣﺮﺣﻠﺘﲔ ﺃﺳﺎﺳﻴﺘﲔ، ﺍﳌﺮﺣﻠﺔ ﺍﻷﻭﱃ :ﺍﻟﺴﻨﻮﺍﺕ ﺍﳋﻤﺲ ﺍﻷﻭﱃ ﻣﻦ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ) (٢٠٠٨ -٢٠٠٤ﻭﻫﻲ ﺗﻌﺘﱪ ﻣﺮﺣﻠﺔ ﺍﻟﺘﺄﺳﻴﺲ ﻭﺍﻟﺘﺜﺒﻴﺖ ﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﻭﺍﳌﺮﺣﻠﺔ ﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔ :ﻫﻲ ﺍﳌﺮﺣﻠﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻠﺖ ﺫﻟﻚ ﺣﻴﺚ ﺍﻟﺘﻄﻮﻳﺮ ﻭﺍﻻﺑﺘﻜﺎﺭ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
9
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﻭﻳﻘﺘﺮ ﺡ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺃﻥ ﻳﻘﻮﻡ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺑﺎﻻﻫﺘﻤﺎﻡ ﺑﺎﻟﻨﺎﺣﻴﺔ ﺍﻟﺘﻮﻋﻮﻳﺔ ﳌﻮﻇﻔﻴﻪ ،ﺧﺎﺻﺔ ﰲ ﺍﳉﺎﻧﺐ ﺍﻟﻔﻘﻬﻲ، ﻟﻴﻜﻮﻥ ﻟﺪﻳﻬﻢ ﺍﳊﺪ ﺍﻷﺩﱏ ﻣﻦ ﺍﻟﺪﺭﺍﻳﺔ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ ﻭﺍﻟﻔﻘﻬﻴﺔ ﲟﺎ ﻳﻘﺪﻣﻮﻧﻪ ﻣﻦ ﺧﺪﻣﺎﺕ ﻟﻌﻤﻼﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ. ﺛﺎﻟﺜﹰﺎ :ﻧﻈﺮﺍﺕ ﰲ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺳﻨﺔ ٢٠٠٢ﻡ: ﺇ ﹼﻥ ﺇﺩﺍﺭﺓ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺍﻟﻨﻮﺍﻓﺬ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻟﺘﻘﻠﻴﺪﻳﺔ ﺗﻨﻈﻤﻬﺎ ﻻﺋﺤﺔ ﺧﺎﺻﺔ ﺻﺎﺩﺭﺓ ﻣﻦ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﳌﺮﻛﺰﻱ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ،ﺑﺎﻹﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﺍﻟﻘﻮﺍﻧﲔ ﺍﳋﺎﺻﺔ ﻟﺘﻠﻚ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﻣﺜﻞ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻱ ) (Commercial Banking Actﻭﻗﺎﻧﻮﻥ ﻣﺼﺮﻑ ﻋﻮﻡ ﺳﲔ ) (Government Savings Bank Actﻭﻗﺎﻧﻮﻥ ﻣﺼﺮﻑ ﻛﺎﻥ ﻛﺴﻴﺪ ﱄﺀ ﺳﺤﺎﻛﻮﻥ ﻛﺎﻥ ﻛﺴﻴﺪ ) (Bank for agriculture and agricultural cooperatives Actﻭﻏﲑﻫﺎ ،ﻭﻳﻨﻈﻢ ﻋﻤﻞ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺧﺎﺹ ﺻﺎﺩﺭ ﻟﺴﻨﺔ ٢٠٠٢ﻡ ،ﺑﺎﻹﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﺍﻟﻠﻮﺍﺋﺢ ﺍﻟﻮﺯﺍﺭﻳﺔ ﺍﻟﺼﺎﺩﺭﺓ ﰲ ﺷﺄﻧﻪ ،ﻭﻗﺪ ﺻﺪﺭ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﰲ ١٥ﺃﻛﺘﻮﺑﺮ ٢٠٠٢ﻡ ،ﻭﺍﺣﺘﻮﻯ ﻋﻠﻰ ﲬﺲ ﻭﲬﺴﲔ ﻣﺎﺩﺓ ﻣﻮﺯﻋﺔ ﻋﻠﻰ :ﲤﻬﻴﺪ، ﻼ ﻣﻦ :ﺍﻟﺘﺄﺳﻴﺲ ،ﻭﺭﺃﺱ ﺍﳌﺎﻝ ،ﻭﺍﻷﻫﺪﺍﻑ ،ﻭﺍﻹﺩﺍﺭﺓ ،ﻭﺍﳌﺪﻳﺮ ،ﻭﺍﳍﻴﺌﺔ ﻭﺗﺴﻌﺔ ﺃﻗﺴﺎﻡ ﺗﺘﻨﺎﻭﻝ ﺑﺎﻟﺘﻨﻈﻴﻢ ﻛ ﹰ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﻭﺍﻟﺮﻋﺎﻳﺔ ﻭﺍﻟﺘﻨﻔﻴﺬ ﻭﺍﻟﺮﻗﺎﺑﺔ ،ﻭﺗﺪﻗﻴﻖ ﺍﳊﺴﺎﺑﺎﺕ ﻭﺍﻟﺘﻘﺮﻳﺮ ،ﻭﺍﻟﺘﺤﻘﻴﻖ ﰒ ﺃﺧﲑﹰﺍ ﺍﻟﻌﻘﻮﺑﺎﺕ).ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻟﺴﻨﺔ ٢٠٠٢ﻡ( ﻭﻗﺪ ﻧﺺ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﰲ ﺍﳌﺎﺩﺓ ٣٢ﻣﻨﻪ ﻋﻠﻰ ﺃﻧﻪ ﻳﺘﻮﺟﺐ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺃﻥ ﺗﻜﻮﻥ ﻟﺪﻳﻪ ﻫﻴﺌﺔ ﺍﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ،ﺗﺘﻜﻮﻥ ﻣﻦ ﺭﺋﻴﺲ ﻭﻋﺪﺩ ﻣﻦ ﺍﳌﺴﺘﺸﺎﺭﻳﻦ ﻻ ﻳﺰﻳﺪﻭﻥ ﻋﻠﻰ ﺃﺭﺑﻌﺔ ،ﻭﺗﺘﻮﱃ ﻫﺬﻩ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺗﻘﺪﱘ ﺍﳌﺸﻮﺭﺓ ﰲ ﺍﳌﻌﺎﻣﻼﺕ ﻭﺍﻷﻧﺸﻄﺔ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻳﺔ ﺍﻟﱵ ﻳﻘﻮﻡ ﺎ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﻣﻊ ﻋﻤﻼﺋﻪ ،ﺇﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﺗﻮﺟﻴﻪ ﺍﻟﻌﺎﻣﻠﲔ ﺑﺎﳌﺼﺮﻑ ﺗﻔﺎﺩﻳﹰﺎ ﻷﻱ ﺇﺟﺮﺍﺀ ﻗﺪ ﻳﺘﺨﺬ ﺑﺎﳌﺨﺎﻟﻔﺔ ﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ. ﻭﻣﻦ ﺍﳌﻼﺣﻆ ﺃﻥ ﻧﺺ ﺍﳌﺎﺩﺓ ٣٢ﻣﻦ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭ ﱂ ﻳﺮﺩ ﻓﻴﻪ ﻭﺻﻒ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ ﰲ ﺗﻮﺻﻴﻒ ﺗﻠﻚ ﺍﳍﻴﺌﺔ ،ﻭﱂ ﻳﺬﻛﺮ ﻓﻴﻪ ﻣﻮﺍﺻﻔﺎﺕ ﺃﻋﻀﺎﺋﻬﺎ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻳﻌﲏ ﺃﻥ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﱂ ﻳﺸﺘﺮﻁ ﰲ ﻫﺆﻻﺀ ﺍﻷﻋﻀﺎﺀ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻧﻮﺍ ﺷﺮﻋﻴﲔ ﺃﻭ ﻣﺘﺨﺼﺼﲔ ﰲ ﺍﳌﻌﺎﻣﻼﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﲟﻌﲎ ﺃﻧﻪ ﳝﻜﻦ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﺃﻋﻀﺎﺀ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﳑﻦ ﻟﻴﺲ ﻟﺪﻳﻬﻢ ﺧﻠﻔﻴﺔ ﺷﺮﻋﻴﺔ ﺃﻭ ﻋﻠﻢ ﺑﺎﳌﻌﺎﻣﻼﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﺇﺿﺎﻓﺔ ﺇﱃ ﺫﻟﻚ ﻓﺈﻥ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﱂ ﳝﻨﺢ ﻗﺮﺍﺭﺍﺕ ﻫﺬﻩ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺻﻔﺔ ﺍﻹﻟﺰﺍﻡ ،ﻭﻣﻦ ﰒ ﻓﺈ ﹼﻥ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺍﳊﻖ ﰲ ﺍﻷﺧﺬ ﺃﻭ ﻋﺪﻡ ﺍﻷﺧﺬ ﺑﺄﻱ ﻣﻦ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﺍﺕ ﺍﻟﱵ ﺗﺼﺪﺭﻫﺎ ﺍﳍﻴﺌﺔ؛ ﻓﻀﻼ ﻋﻦ ﺃﻥ ﺃﻋﻀﺎﺀ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ﺍﳊﺎﻟﻴﲔ ﺍﺛﻨﺎﻥ ﻣﻨﻬﻢ ﻓﻘﻂ ﻣﺘﺨﺼﺼﻮﻥ ﰲ ﺍﻟﻔﻘﻪ ،ﻭﻫﺬﺍ ﺍﻟﻮﺿﻊ ﻣﺴﺘﻤﺮ ﻣﻨﺬ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻭﺇﱃ ﻭﻗﺖ ﺇﻋﺪﺍﺩ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺒﺤﺚ. ﻭﻳﻼﺣﻆ ﻛﺬﻟﻚ ﺃﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺍﻗﺘﺼﺮ ﻋﻠﻰ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﺍﻟﻘﺎﺋﻢ ﺣﺎﻟﻴﺎﹰ ،ﻭﻣﻦ ﰒ ﻓﺈ ﹼﻥ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﻣﺼﺮﻑ ﺇﺳﻼﻣﻲ ﻣﺴﺘﻘﻞ ﺁﺧﺮ ﳛﺘﺎﺝ ﺇﱃ ﺇﺻﺪﺍﺭ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺟﺪﻳﺪ ،ﻭﻳﻘﺘﺮﺡ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺃﻥ ﻳﺼﺪﺭ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺧﺎﺹ ﺑﺎﳌﺼﺎﺭﻑ ﻋﻤﻮﻣﺎﹰ ،ﺃﻭ ﺑﺎﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﻭﺟﻪ ﺍﳋﺼﻮﺹ ،ﳛﺘﻮﻱ ﻋﻠﻰ ﺇﻣﻜﺎﻧﻴﺔ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺰﻳﺪ ﻣﻦ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺣﺴﺐ ﺍﳊﺎﺟﺔ ،ﻭﺃﻥ ﺗﻌﻄﻰ ﺻﻼﺣﻴﺔ ﻣﻨﺢ ﺍﻟﺘﺮﺧﻴﺺ ﺑﺈﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻹﺣﺪﻯ ﺍﳉﻬﺎﺕ ﺍﳌﺨﺘﺼﺔ ،ﳑﺎ ﻗﺪ ﻳﺴﺎﻋﺪ ﻋﻠﻰ ﺇﳚﺎﺩ ﻧﻮﻉ ﻣﻦ ﺍﳌﺮﻭﻧﺔ ﰲ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻣﻊ ﻓﺘﺢ ﺍﺎﻝ ﻟﻠﻤﺴﺘﺜﻤﺮﻳﻦ ﻭﺭﺟﺎﻝ ﺍﻷﻋﻤﺎﻝ ﺑﺈﻧﺸﺎﺀ ﻣﺼﺎﺭﻑ ﺇﺳﻼﻣﻴﺔ ﺃﺧﺮﻯ ﺗﺘﻨﺎﻓﺲ ﻓﻴﻤﺎ ﺑﻴﻨﻬﺎ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
10
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﻭﺑﺮﻏﻢ ﻣﺎ ﺗﻘﺪﻡ ﻓﺈﻥ ﻟﻠﻘﺎﻧﻮﻥ ﺑﻌﺾ ﺍﳌﺰﺍﻳﺎ ﻣﻨﻬﺎ ﺃﻧﻪ ﻧﺺ ﺻﺮﺍﺣﺔ ﰲ ﺍﳌﺎﺩﺓ ١٢ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﻣﻦ ﺃﻫﺪﺍﻑ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺗﻘﺪﱘ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻟﺒﻌﻴﺪﺓ ﻋﻦ ﺍﻟﺮﺑﺎ ،ﻭﺧﺼﺺ ﻋﻘﻮﺑﺔ ﰲ ﺍﳌﺎﺩﺓ ٤٧ﳌﻦ ﱂ ﻳﻠﺘﺰﻡ ﺑﺬﻟﻚ ،ﻭﻫﻲ ﺍﳊﺒﺲ ﻣﺪﺓ ﻻ ﺗﺰﻳﺪ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﺍﻟﻮﺍﺣﺪﺓ ﺃﻭ ﺍﻟﻐﺮﺍﻣﺔ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﲟﺎ ﻻ ﻳﺰﻳﺪ ﻋﻠﻰ ﻣﺌﺔ ﺃﻟﻒ ﺑﺎﺕ. ﺍﻟﻔﻘﺮﺓ ﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔ :ﳕﻮﺫﺝ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﰲ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺃﻭ ﹰﻻ :ﺗﻌﺮﻳﻒ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ: ﻳﻘﺪﻡ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻛﻐﲑﻩ ﻣﻦ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺍﳌﻨﺘﺸﺮﺓ ﰲ ﺍﻟﻌﺎﱂ ﻣﻨﺘﺠﺎﺕ ﻭﺧﺪﻣﺎﺕ ﻣﺘﻨﻮﻋﺔ،ﻣﻨﻬﺎ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ-ﺍﻟﱵ ﳓﻦ ﺑﺼﺪﺩ ﺩﺭﺍﺳﺘﻬﺎ،-ﻭﻗﺪ ﺑﺪﺃ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﰲ ﺗﻘﺪﱘ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻣﻨﺬ ﺳﻨﺘﲔ) ،ﻣﻘﺎﺑﻠﺔ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻣﻊ ﺭﺋﻴﺲ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﺗﺎﺭﻳﺦ ٢٠١٠/١٢/١٤ﻡ( ﺑﺎﻋﺘﺒﺎﺭ ﺃﺎ ﺃﺩﺍﺓ ﻣﺘﺤﺮﻛﺔ ﻭﺣﻴﻮﻳﺔ ﻭﻗﺼﲑﺓ ﺍﻷﺟﻞ ﻭﰲ ﻧﻔﺲ ﺍﻟﻮﻗﺖ ﺗﺪﺭ ﻋﺎﺋﺪﺍ ﺟﻴﺪﺍ. ﻭﻟﻘﺪ ﻋﺮﻑ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﺑﺄﺎ ﻧﻮﻉ ﻣﻦ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﻫﻲ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺍﳌﻨﺘﻬﻴﺔ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ– ﺍﳌﻌﺮﻭﻓﺔ ﺣﺪﻳﺜﹰﺎ ﰲ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ -ﰲ ﺳﻠﻌﺔ ﻣﻌﻴﻨﺔ ،ﺣﻴﺚ ﻳﻘﻮﻡ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺑﺸﺮﺍﺀ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﻟﻴﺆﺟﺮﻫﺎ ﻟﻠﻌﻤﻴﻞ ﻣﻊ ﻭﻋﺪ ﻣﻨﻪ ﺑﻨﻘﻞ ﺍﳌﻠﻜﻴﺔ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭﺓ ﻟﻠﻌﻤﻴﻞ ﻋﻨﺪ ﺎﻳﺔ ﻓﺘﺮﺓ ﺍﻟﻌﻘﺪ ﻣﻊ ﺳﺪﺍﺩ ﲨﻴﻊ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ ﺍﳌﺘﻔﻖ ﻋﻠﻴﻬﺎ) .ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﺏ ﺕ(٢٤ : ﻭﻗﺪ ﺣﺎﻭﻝ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﻟﺒﺎﺣﺜﲔ ﺍﶈﺪﺛﲔ ﺗﻌﺮﻳﻔﻬﺎ ﲟﺎ ﻳﻨﺎﺳﺐ ﺗﻄﺒﻴﻘﻬﺎ ﰲ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﳌﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ، ﻭﻣﻦ ﺑﻴﻨﻬﻢ ﳏﻤﺪ ﺭﻭﺍﺱ ﻗﻠﻌﺔ ﺟﻲ ﺍﻟﺬﻱ ﻋﺮﻓﻬﺎ ﺑﺄﺎ" :ﻋﻘﺪ ﺑﲔ ﻃﺮﻓﲔ ﻳﺆﺟﺮ ﻓﻴﻪ ﺃﺣﺪﳘﺎ ﻟﻶﺧﺮ ﺷﻴﺌﺎ ﲟﺒﻠﻎ ﻣﻌﲔ ﻣﻦ ﺍﳌﺎﻝ ﳌﺪﺓ ﻣﻌﻴﻨﺔ ،ﺑﺸﺮﻁ ﺃﻥ ﺗﺆﻭﻝ ﻣﻠﻜﻴﺔ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﺇﱃ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﰲ ﺎﻳﺔ ﺍﳌﺪﺓ ﺍﳌﺘﻔﻖ ﻋﻠﻴﻬﺎ") .ﻗﻠﻌﺔ ﺟﻲ، .(٨٦ :١٩٩٩ ﻭﻋﺮﻓﻬﺎ ﻋﻠﻲ ﳏﻲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻟﻘﺮﺓ ﺩﺍﻏﻲ ﺑﺄﺎ" :ﺍﺗﻔﺎﻕ ﺇﳚﺎﺭ ﻳﻠﺘﺰﻡ ﻓﻴﻬﺎ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺑﺸﺮﺍﺀ ﺍﻟﺸﻲﺀ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﰲ ﺍﻟﻮﻗﺖ ﺍﳌﺘﻔﻖ ﻋﻠﻴﻪ ﺧﻼﻝ ﻣﺪﺓ ﺍﻹﳚﺎﺭ ﺃﻭ ﺑﻌﺪﻫﺎ ﺑﺴﻌﺮ ﻳﺘﻔﻖ ﻋﻠﻴﻪ ﻣﺴﺒ ﹰﻘﺎ ﺃﻭ ﻓﻴﻤﺎ ﺑﻌﺪ") .ﺍﻟﻘﺮﺓ ﺩﺍﻏﻲ:٢٠٠٠ ، (٤٩٠ ﻭﻳﺮﻯ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺃﻥ ﻫﺬﻳﻦ ﺍﻟﺘﻌﺮﻳﻔﲔ ﻏﲑ ﺟﺎﻣﻌﲔ ﻭﻏﲑ ﻣﺎﻧﻌﲔ ،ﺣﻴﺚ ﺇﻤﺎ ﻳﻘﻮﻣﺎﻥ ﻋﻠﻰ ﺩﻣﺞ ﻋﻘﺪﻳﻦ ﰲ ﻋﻘﺪ ﻭﺍﺣﺪ ،ﻭﳘﺎ :ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﻋﻘﺪ ﺍﻟﺒﻴﻊ ،ﺣﻴﺚ ﺗﻨﺘﻘﻞ ﻣﻠﻜﻴﺔ ﺍﻟﻌﲔ ﻣﻦ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﺇﱃ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺗﻠﻘﺎﺋﻴﺎ ﺑﻌﺪ ﺩﻓﻊ ﺍﻟﻘﺴﻂ ﺍﻷﺧﲑ ،ﻭﻟﻌﻞ ﺳﺒﺐ ﺍﻧﺘﻬﺎﺝ ﺍﻟﻔﻘﻬﺎﺀ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﻳﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻨﻬﺞ ﰲ ﺗﻌﺮﻳﻒ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺍﳌﻨﺘﻬﻴﺔ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ )ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ( ،ﻳﻌﻮﺩ ﺇﱃ ﺃﻥ ﻣﻌﻈﻢ ﺍﳌﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺳﻮﺍﺀ ﺍﻟﺘﻘﻠﻴﺪﻳﺔ ﺃﻭﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺗﻄﺒﻖ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﻨﻬﺞ ،ﻭﺫﻟﻚ ﻟﻠﺨﺮﻭﺝ ﻣﻦ ﺍﻟﺒﻴﻊ ﺑﺎﻟﺘﻘﺴﻴﻂ ﺍﻟﺬﻱ ﻗﺪ ﻳﺆﺛﺮ ﺳﻠﺒﺎ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺒﺎﺋﻊ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﻣﺎ ﺇﺫﺍ ﱂ ﻳﻮﻑ ﺍﻟﺜﺎﱐ ﲨﻴﻊ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ.ﻭﻣﻦ ﺍﳌﻨﺎﺳﺐ ﰲ ﺭﺃﻱ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﲔ ﺃﻥ ﺗﻌﺮﻑ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﺃﺎ :ﻋﻘﺪ ﺑﲔ ﻃﺮﻓﲔ ﻳﺆﺟﺮ ﺃﺣﺪﳘﺎ ﻟﻶﺧﺮ ﺳﻠﻌﺔ ﻣﻌﻴﻨﺔ ﻣﻘﺎﺑﻞ ﺃﺟﺮﺓ ﻣﻌﻴﻨﺔ ﻳﺪﻓﻌﻬﺎ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﻋﻠﻰ ﺃﻗﺴﺎﻁ ﺧﻼﻝ ﻣﺪﺓ ﳏﺪﺩﺓ،ﺗﻨﺘﻘﻞ ﺑﻌﺪﻫﺎ ﻣﻠﻜﻴﺔ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﻟﻠﻤﺴﺘﺄﺟﺮ ﺑﻌﻘﺪ ﻣﺴﺘﻘﻞ ﻋﻨﺪ ﺳﺪﺍﺩﻩ ﻵﺧﺮ ﻗﺴﻂ ﺃﻭ ﺑﺸﺮﻭﻁ ﻣﺘﻔﻖ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻭﻓﻖ ﺃﺣﻜﺎﻡ ﺍﻟﺒﻴﻊ ﺃﻭ ﺍﳍﺒﺔ .ﻭﻗﺪ ﲢﺮﺯ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺑﻌﺒﺎﺭﺓ " ﺑﻌﻘﺪ ﻣﺴﺘﻘﻞ" ﻋﻦ ﺍﻧﺘﻘﺎﻝ ﺍﳌﻠﻜﻴﺔ ﲟﻮﺟﺐ ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺍﻷﻭﻝ ،ﳌﺎ ﰲ ﺫﻟﻚ ﻣﻦ ﺍﻟﻮﻗﻮﻉ ﰲ ﳏﻈﻮﺭ ﺷﺮﻋﻲ ﻳﺘﻤﺜﻞ ﰲ
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
11
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﺍﻟﻘﻴﺎﻡ ﺑﺼﻔﻘﺘﲔ ﰲ ﺻﻔﻘﺔ) ،ﺍﺑﻦ ﺣﻨﺒﻞ (٣٢٥-٣٢٤ :٢٠٠١،ﺃﻭﺑﻴﻌﺘﲔ ﰲ ﺑﻴﻌﺔ)،ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ ،ﺏ ﺕ (٥٣٣ ،ﻭﻫﻮ ﻣﺎ ﻭﺭﺩ ﺍﻟﻨﻬﻲ ﻋﻨﻪ ﰲ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﺍﳌﻄﻬﺮﺓ. ﺛﺎﻧﻴﺎ :ﺍﻹﺟﺮﺍﺀﺕ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻧﻴﺔ ﻟﻺﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﰲ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ: ﲢﺘﻞ ﻋﻤﻠﻴﺔ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﺍﳌﻌﺮﻭﻓﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﻟﻜﺘﺎﺏ ﻭﺍﻟﺒﺎﺣﺜﲔ -ﻛﻤﺎ ﺳﺒﻖ -ﺑﺎﻹﺟﺎﺭﺓ ﺍﳌﻨﺘﻬﻴﺔ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﻣﻜﺎﻧﺔ ﻣﻬﻤﺔ ﺿﻤﻦ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﻳﻘﺪﻣﻬﺎ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ،ﺧﺎﺻﺔ ﻭﺃﺎ ﻣﻦ ﺍﳌﻨﺘﺠﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﺓ ﺍﻟﱵ ﺗﻘﻮﻡ ﻋﻠﻰ ﺗﺪﻭﻳﺮ ﺭﺅﻭﺱ ﺍﻷﻣﻮﺍﻝ ﻭﲢﺮﻳﻜﻬﺎ ،ﻭﺗﺪﺍﻭﻝ ﺍﻟﺴﻴﻮﻟﺔ ﻭﺍﺳﺘﺜﻤﺎﺭﻫﺎ ،ﻛﻤﺎ ﺃﺎ ﺗﻌﺘﱪ ﻋﻤﻠﻴﺔ ﺑﺪﻳﻠﺔ ﻋﻦ ﺑﻴﻊ ﺍﻟﺘﻘﺴﻴﻂ ،ﺪﻑ ﺇﱃ ﺇﺷﺒﺎﻉ ﺣﺎﺟﺎﺕ ﺃﺻﺤﺎﺏ ﺍﻟﺪﺧﻞ ﺍﶈﺪﻭﺩ ﻻ ﻣﺘﻼﻙ ﺑﻌﺾ ﺍﻟﺴﻠﻊ ﺍﻟﱵ ﳛﺘﺎﺟﻮﺎ ﻣﺜﻞ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺍﺕ ،ﻭﻻ ﳝﻜﻦ ﳍﻢ ﺗﺴﺪﻳﺪ ﻗﻴﻤﺘﻬﺎ ﺩﻓﻌﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ ،ﻭﺪﻑ ﻛﺬﻟﻚ ﺇﱃ ﺗﺮﻭﻳﺞ ﺍﻟﺴﻠﻊ ﻷﺻﺤﺎﺎ ﻭﲪﺎﻳﺘﻬﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﻜﺴﺎﺩ. ﻭﺗﺘﺮﺍﻭﺡ ﻣﺪﺓ ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﰲ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻣﺎ ﺑﲔ ٨٤-١٢ﺷﻬﺮﺍ ﺣﺴﺐ ﺭﻏﺒﺔ ﺍﻟﻌﻤﻴﻞ ،ﻭﲝﺪ ﺃﺩﱏ ١٠٠,٠٠٠ﺑﺎﺕ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ،ﻭﻏﺎﻟﺒﺎ ﻣﺎ ﻳﻜﻮﻥ ﳏﻞ ﺍﻟﻌﻘﺪ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺍﺕ ﺃﻭ ﺍﳌﻜﺎﺋﻦ )ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﺏ ﺕ (٣-٢ :ﺃﻭﺍﻟﻄﺎﺋﺮﺍﺕ ) .ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪhttp://www.ibank.co.th/2010/th/news/ibank-، ،news-detail.aspx?txtPage=1&Types=1&ID=93ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺘﺼﻔﺢ ٢٠١٠/١٢/١ﻡ( .ﻭﻟﻘﺪ ﻗﺎﻡ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻣﺆﺧﺮﺍ ﻭﻋﻠﻰ ﻭﺟﻪ ﺍﻟﺘﺤﺪﻳﺪ ﰲ ٤ﺃﻏﺴﻄﺲ ٢٠١٠ﻡ ﺑﺸﺮﺍﺀ ﺃﺳﻬﻢ ﺷﺮﻛﺔ ﻧﺎﻭﺍ ﻟﻠﺘﺄﺟﲑ ﺍﳌﺘﺨﺼﺼﺔ ﰲ ﺗﻘﺪﱘ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ) ،ﺟﺮﻳﺪﺓ ﻣﺄﺗﻴﺠﻮﻥ ٥ ،ﺃﻏﺴﻄﺲ (١٩ :٢٠١٠ﻭﰎ ﺗﻐﻴﲑ ﺍﺳﻢ ﺍﻟﺸﺮﻛﺔ ﻣﻦ ﺷﺮﻛﺔ ﻧﺎﻭﺍ ﻟﻠﺘﺄﺟﲑ) (Nava Leasing Public Company Limitedﺇﱃ ﺷﺮﻛﺔ ﺃﻣﺎﻧﺔ ﻟﻠﺘﺄﺟﲑ )،(Amanah Leasing Public Company Limited )ﻗﺮﺍﺭ ﲨﻌﻴﺔ ﻋﻤﻮﻣﻴﺔ ﺍﺳﺘﺜﻨﺎﺋﻴﺔ ﻟﻠﺸﺮﻛﺔ ١٩ ،٢٥٥٣/٢ﺃﻛﺘﻮﺑﺮ ٢٠١٠ﻡ( ﻭﺗﻌﺘﱪ ﻫﺬﻩ ﺍﳋﻄﻮﺓ ﻣﻦ ﺃﻫﻢ ﺍﻹﳒﺎﺯﺍﺕ ﺍﻟﱵ ﺣﻘﻘﻬﺎ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﳎﺎﻝ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻋﻠﻰ ﻣﺴﺘﻮﻯ ﺍﻟﺒﻼﺩ ،ﺣﻴﺚ ﻓﺘﺢ ﺁﻓﺎﻗﺎ ﺟﺪﻳﺪﺓ ﰲ ﳎﺎﻝ ﺍﻻﺳﺘﺜﻤﺎﺭﺍﺕ،ﻭﻭﺳﻊ ﻣﻦ ﺗﻘﺪﱘ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ ﻟﻠﺠﻤﻬﻮﺭ ،ﺧﺎﺻﺔ ﺍﳌﺘﻌﻠﻘﺔ ﺑﺘﻮﻓﲑ ﺍﳌﻨﺘﺠﺎﺕ ﺍﻻﺳﺘﻬﻼﻛﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﳛﺘﺎﺟﻬﺎ ﺍﻷﻓﺮﺍﺩ ﻭﺍﻟﺸﺮﻛﺎﺕ ﻭﺍﳌﺼﺎﻧﻊ ،ﻓﻜﺜﲑ ﻣﻦ ﺍﻟﺸﺮﻛﺎﺕ ﻭﺍﳌﺼﺎﻧﻊ ﲢﺘﺎﺝ ﺇﱃ ﻣﻌﺪﺍﺕ ﻭﺁﻟﻴﺎﺕ ﺿﺨﻤﺔ ﻭﻻ ﲤﺘﻠﻚ ﺭﺃﺱ ﺍﳌﺎﻝ ﻟﺸﺮﺍﺋﻬﺎ ﺩﻓﻌﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ ،ﻭﰲ ﻧﻔﺲ ﺍﻟﻮﻗﺖ ﻗﺪ ﳜﺸﻰ ﺻﺎﺣﺐ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﺃﻭ ﺍﻟﺒﺎﺋﻊ ﺑﻴﻊ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﺑﺜﻤﻦ ﻣﺆﺟﻞ ﺃﻭ ﺑﺎﻟﺘﻘﺴﻴﻂ ﻓﻼ ﻳﺘﻤﻜﻦ ﺍﳌﺸﺘﺮﻱ ﻣﻦ ﺍﻟﻮﻓﺎﺀ ﺑﺎﻟﺜﻤﻦ ﻓﺘﺄﰐ ﻋﻤﻠﻴﺔ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﺍﻟﱵ ﻳﻮﻓﺮﻫﺎ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻟﺘﺤﻞ ﺍﳌﺸﻜﻠﺔ. ﺇﻥ ﺍﻟﺘﻄﺒﻴﻘﺎﺕ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﺓ ﻟﻺﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﺗﻘﻊ ﲢﺖ ﺭﻗﺎﺑﺔ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺍﳌﺪﱐ ﻭﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻱ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﻭﺫﻟﻚ ﻟﻌﺪﻡ ﻭﺟﻮﺩ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺧﺎﺹ ﳍﺬﻩ ﺍﻟﺘﻄﺒﻴﻘﺎﺕ ،ﻭﻗﺪ ﺃﻟﺰﻡ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﺍﻟﺘﻌﺎﻗﺪ ﺑﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﻭﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﻛﺘﺎﺑﻴﺎ ،ﳑﺎ ﻳﻌﲏ ﺃﻥ ﺷﺮﻁ ﺍﻟﻜﺘﺎﺑﺔ ﻳﻨﻄﺒﻖ ﻛﺬﻟﻚ ﻋﻠﻰ ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭ ﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ .ﻋﻼﻭﺓ ﻋﻠﻰ ﺫ ﻟﻚ ﻓﺈﻥ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﻳﻨﺺ ﺑﺎﻧﺘﻘﺎﻝ ﺍﳌﻠﻜﻴﺔ ﲟﺠﺮﺩ ﺳﺪﺍﺩ ﺁﺧﺮ ﻗﺴﻂ ﻣﻦ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ ) .ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺍﳌﺪﱐ ﻭﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻱ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ،ﺍﳌﺎﺩﺓ .(٥٧٤-٥٧٢ ﻭﳛﺘﻮﻱ ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻋﻠﻰ ٢٩ﺑﻨﺪﹰﺍ؛ ﺗﻨﺎﻭﻝ ﺍﻟﺒﻨﺪ ) (١ﻛﻴﻔﻴﺔ ﺣﺴﺎﺏ ﺗﻜﺎﻟﻴﻒ ﺃﻭ ﺃﺟﺮﺓ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ،ﻭﻧﺬﻛﺮ ﻋﻠﻰ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﳌﺜﺎﻝ :ﺇﺫﺍ ﺃﺭﺍﺩ ﺍﻟﻌﻤﻴﻞ ﺃﻥ ﻳﺴﺘﺄﺟﺮ ﺳﻴﺎﺭﺓ ﺑﻐﺮﺽ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
12
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ،ﻭﻛﺎﻥ ﲦﻦ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺓ ٦٠٠,٠٠٠ﺑﺎﺕ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ،ﻓﺈﻧﻪ ﻣﻠﺰﻡ ﺑﺪﻓﻊ ُﻣﻘ ﱠﺪﻡ ﺍﻟﺜﻤﻦ ﻭﻗﺪﺭﻩ ٥٠,٠٠٠ ﺑﺎﺕ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ،ﻭﻳﻜﻮﻥ ﻣﺒﻠﻎ ﺍﻟﺘﻤﻮﻳﻞ ﻟﻠﺮﺍﻏﺐ ﺑﺸﺮﺍﺀ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺓ ﺃﻭ ﺍﻟﻌﻤﻴﻞ ٥٥٠,٠٠٠ﺑﺎﺕ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ،ﻭﺇﺫﺍ ﻛﺎﻧﺖ ﻣﺪﺓ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ ٦٠ﺷﻬﺮﺍ ،ﺃﻱ ﲬﺲ ﺳﻨﻮﺍﺕ ،ﻭﻧﺴﺒﺔ ﻫﺎ ﻣﺶ ﺍﻟﺮﺑﺢ % ٢,٥ﺳﻨﻮﻳﺎ .ﻓﺴﺘﻜﻮﻥ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ ﺍﻟﺸﻬﺮﻳﺔ ﻛﺎﻵﰐ: ﺍﻟﺒﻨﺪ
ﲦﻦ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺓ ﻣﻘﺪﻡ ﺍﻟﺜﻤﻦ ﻣﻦ ﻗﺒﻞ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﻣﺒﺎﻟﻎ ﺍﻟﺘﻤﻮﻳﻞ ﻣﻦ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻣﺪﺓ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ ﻧﺴﺒﺔ ﻫﺎﻣﺶ ﺍﻟﺮﺑﺢ ﺣﺴﺎﺏ ﻫﺎﻣﺶ ﺍﻟﺮﺑﺢ ﻭﻣﻘﺪﺍﺭﻩ ﺍﻤﻮﻉ ﺍﻟﻜﻠﻲ ﻗﻴﻤﺔ ﻗﺴﻂ ﺍﻹﳚﺎﺭ ﺍﻟﺸﻬﺮﻱ
ﺍﻟﺒﻴﺎﻥ ٦٠٠,٠٠٠ﺑﺎﺕ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ٥٠,٠٠٠ﺑﺎﺕ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ٥٥٠,٠٠٠ﺑﺎﺕ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ٦٠ﺷﻬﺮﺍ ٥ﺳﻨﻮﺍﺕ % ٢,٥ ٦٨,٧٥٠ =٥ x ٢,٥x٥٥٠,٠٠٠ ١٠٠ ٦١٨,٧٥٠ = ٦٨,٧٥٠ + ٥٥٠,٠٠٠ ١٠,٣١٢ =٦١٨,٧٥٠ﺑﺎﺕ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ٦٠
ﻭﻳﻨﺺ ﺍﻟﺒﻨﺪ ) (٤ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻘﺪ ﻋﻠﻰ ﺇﻟﺰﺍﻡ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺑﺘﺤﻤﻞ ﺗﻜﺎﻟﻴﻒ ﺍﻟﺘﺴﺠﻴﻞ ﻟﺪﻯ ﺍﳉﻬﺎﺕ ﺍﻟﺮﲰﻴﺔ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺑﺎﺳﻢ ﺍﳌﺼﺮﻑ،ﻭﻫﻮ ﺷﺮﻁ ﺟﺎﺋﺰ ﳊﺪﻳﺚ" :ﺍﳌﺴﻠﻤﻮﻥ ﻋﻠﻰ ﺷﺮﻭﻃﻬﻢ") ،ﺍﻟﺪﺍﺭﻗﻄﲏ) ،(٢٧ :٣ :١٩٦٦ ،ﻣﻘﺎﺑﻠﺔ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻣﻊ ﺭﺋﻴﺲ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﺗﺎﺭﻳﺦ ٢٠١٠/١٢/١٤ﻡ( ﻭﻳﺮﻯ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺃﻧﻪ ﻣﻦ ﺍﻷﻓﻀﻞ ﺃﻥ ﻳﺘﺤﻤﻞ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﻭﻫﻮ ﺍﳌﺼﺮﻑ ،ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺘﻜﺎﻟﻴﻒ ،ﻭﳛﺴﺒﻬﺎ ﺿﻤﻦ ﺍﻷﺟﺮﺓ ،ﺣﱴ ﻻ ﻳﺘﻢ ﺍﻟﺪﺧﻮﻝ ﰲ ﺷﺒﻬﺔ ﺍﻹﺧﻼﻝ ﺑﺎﻟﺘﻮﺍﺯﻥ ﺍﳌﻔﺘﺮﺽ ﺑﲔ ﺍﻟﻌﻮﺿﲔ ،ﻭﳚﻮﺯ ﺃﻥ ﻳﺘﻮﱃ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺍﻟﺘﺴﺠﻴﻞ ﻟﺪﻯ ﺍﳉﻬﺎﺕ ﺍﻟﺮﲰﻴﺔ ﻧﻴﺎﺑﺔ ﻋﻦ ﺍﳌﺆﺟﺮ. ﻛﻤﺎ ﻳﻨﺺ ﺍﻟﺒﻨﺪ ) (٥ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﻣﺴﺆﻭﻟﻴﺔ ﺍﻟﺼﻴﺎﻧﺔ ﺍﻟﺘﺸﻐﻴﻠﻴﺔ ﻭﺍﻟﺪﻭﺭﻳﺔ ﺗﻘﻊ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ،ﻭﻫﻮ ﻣﻮﺍﻓﻖ ﳌﺎ ﻗﺮﺭﻩ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺍﻟﺪﻭﱄ ﰲ ﺩﻭﺭﺗﻪ ﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔ ﻋﺸﺮﺓ،ﺃﻣﺎ ﻧﻔﻘﺎﺕ ﺍﻟﺼﻴﺎﻧﺔ ﻏﲑ ﺍﻟﺘﺸﻐﻴﻠﻴﺔ ﻓﺘﻜﻮﻥ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﻻ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﻃﻮﺍﻝ ﻣﺪﺓ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ )ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ،٢٠٠٠ ،ﻉ (٦٩٨ : ١ ،١٢ﻭﻳﺴﺘﻨﺪ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﰲ ﺟﻮﺍﺯ ﺫﻟﻚ ﻋﻠﻰ ﺣﺪﻳﺚ ":ﺍﳌﺴﻠﻤﻮﻥ ﻋﻠﻰ ﺷﺮﻭﻃﻬﻢ" ) ،ﻣﻘﺎﺑﻠﺔ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻣﻊ ﺭﺋﻴﺲ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﺗﺎﺭﻳﺦ ٢٠١٠ /١٢ /١٤ﻡ( ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﺃﻛﺪ ﺕ ﻋﻠﻴﻪ ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺍﳌﻌﻴﺎﺭ ﺭﻗﻢ ٧/١/٥ﲢﺖ ﺃﺣﻜﺎﻡ ﺍﳌﻨﻔﻌﺔ ﻭﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﺣﻴﺚ ﻭﺭﺩ" :ﻻ ﳚﻮﺯ ﺃﻥ ﻳﺸﺘﺮ ﻁ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺍﻟﺼﻴﺎﻧﺔ ﺍﻷﺳﺎﺳﻴﺔ ﻟﻠﻌﲔ ﺍﻟﱵ ﻳﺘﻮﻗﻒ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺑﻘﺎﺀ ﺍﳌﻨﻔﻌﺔ .ﻭﳚﻮﺯ ﺗﻮﻛﻴﻞ ﺍﳌﺆﺟﺮ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
13
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﻟﻠﻤﺴﺘﺄ ﺟﺮ ﺑﺈ ﺟﺮ ﺍ ﺀ ﺍ ﺕ ﺍ ﻟﺼﻴﺎ ﻧﺔ ﻋﻠﻰ ﺣﺴﺎ ﺏ ﺍ ﳌﺆ ﺟﺮ .ﻭ ﻋﻠﻰ ﺍ ﳌﺴﺘﺄ ﺟﺮ ﺍ ﻟﺼﻴﺎ ﻧﺔ ﺍ ﻟﺘﺸﻐﻴﻠﻴﺔ ﺃ ﻭ ﺍ ﻟﺪ ﻭ ﺭ ﻳﺔ )ﺍﻟﻌﺎﺩﻳﺔ(").ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ.(١٣٨: ٢٠٠٧، ﻭﻳﻨﺺ ﺑﻨﺪ ) (٧ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﻣﺴﺆﻭﻟﻴﺔ ﺿﻤﺎﻥ ﺍﳍﻼﻙ ﺍﻟﻜﻠﻲ ﻟﻠﺴﻠﻌﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﺗﻘﺼﲑﻩ ﰲ ﺣﻔﻆ ﺍﻷﻋﻴﺎﻥ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﻭﺗﻌﺪﻳﻪ ﻭﺗﻔﺮﻳﻄﻪ ،ﻭﺃﻣﺎ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﻋﺪﻡ ﺗﻘﺼﲑﻩ ﻓﺎﻟﻀﻤﺎﻥ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺆﺟﺮ ،ﻭﻫﻮ ﻣﺘﻮﺍﻓﻖ ﻣﻊ ﻣﺎ ﻗﺮﺭﻩ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺩﻭﺭﺗﻪ ﺍﻟﺜﺎﻟﺜﺔ ،ﻭﰲ ﺍﳌﺒﺪﺃ ﺍﳋﺎﻣﺲ ﺑﺄﻥ ":ﺗﺒﻌﺔ ﺍﳍﻼﻙ ﻭﺍﻟﺘﻌﻴﺐ ﺗﻜﻮﻥ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺒﻨﻚ ﺑﺼﻔﺘﻪ ﻣﺎ ﻟﻜﺎ ﻟﻠﻤﻌﺪ ﺍ ﺕ ﻣﺎ ﱂ ﻳﻜﻦ ﺫ ﻟﻚ ﺑﺘﻌﺪ ﺃ ﻭ ﺗﻘﺼﲑ ﻣﻦ ﺍ ﳌﺴﺘﺄ ﺟﺮ ﻓﺘﻜﻮ ﻥ ﺍ ﻟﺘﺒﻌﺔ ﻋﻨﺪ ﺋﺬ ﻋﻠﻴﻪ" ) .ﳎﻤﻊ ﺍ ﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ،١٩٨٦،ﻉ (٣٠٦ : ٣،١ﻭﺃﻛﺪ ﻋﻠﻴﻪ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺩﻭﺭﺗﻪ ﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔ ﻋﺸﺮﺓ ﺑﺄﻥ":ﻳﻜﻮﻥ ﺿﻤﺎﻥ ﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺎﻟﻚ ﻻ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﻭﺑﺬﻟﻚ ﻳﺘﺤﻤﻞ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﻣﺎ ﻳﻠﺤﻖ ﺍﻟﻌﲔ ﻣﻦ ﺿﺮﺭ ﻏﲑ ﻧﺎﺷﻰﺀ ﻣﻦ ﺗﻌﺪ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺃﻭ ﺗﻔﺮﻳﻄﻪ ،ﻭﻻ ﻳﻠﺰﻡ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺑﺸﻰﺀ ﺇﺫﺍ ﻓﺎﺗﺖ ﺍﳌﻨﻔﻌﺔ" ).ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ،٢٠٠٠ ،ﻉ: ١ ،١٢ (٦٩٨ﻭﻗﺪ ﺃﺧﺬ ﺬﺍ ﺍﻟﻘﺮﺍﺭ ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺍﳌﻌﻴﺎﺭ ﺭﻗﻢ ٨ /١ /٥ﲢﺖ ﺃﺣﻜﺎﻡ ﺍﳌﻨﻔﻌﺔ ﻭﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﰲ ﻗﻮﻟﻪ":ﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﺗﻜﻮﻥ ﻋﻠﻰ ﺿﻤﺎﻥ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﻃﻴﻠﺔ ﻣﺪﺓ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻣﺎ ﱂ ﻳﻘﻊ ﻣﻦ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺗﻌﺪ ﺃﻭ ﺗﻘﺼﲑ").ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ.(١٣٩ : ٢٠٠٧ ، ﻭﺃﻣﺎ ﺍﳍﻼﻙ ﺍﳉﺰﺋﻲ ﻟﻠﺴﻠﻌﺔ ﻓﻘﺪ ﻧﺺ ﺍﻟﻌﻘﺪ ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﺍﻟﻀﻤﺎﻥ ﻳﻘﻊ ﺿﻤﻦ ﻣﺴﺆﻭﻟﻴﺔ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺑﻐﺾ ﺍﻟﻨﻈﺮ ﻋﻦ ﺣﺎﻟﺔ ﺗﻘﺼﲑﻩ ﺃﻭ ﻋﺪﻡ ﺍﻟﺘﻘﺼﲑ ،ﻭﻫﻮ ﳜﺎﻟﻒ ﺻﺮﺍﺣﺔ ﺍﻟﻘﺮﺍﺭﻳﻦ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭﻳﻦ ﺁﻧﻔﹰﺎ ،ﺑﻴﺪ ﺃﻥ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﻗﺪ ﺍﺳﺘﻨﺪ ﰲ ﺟﻮﺍﺯ ﺫﻟﻚ ﻋﻠﻰ ﺣﺪﻳﺚ " :ﺍﳌﺴﻠﻤﻮﻥ ﻋﻠﻰ ﺷﺮﻭﻃﻬﻢ" ﻭﻋﻠﻰ ﺍﳌﺼﻠﺤﺔ ﺍﻟﻌﺎﻣﺔ ﻭﺳﺪﹰﺍ ﻟﺬﺭﻳﻌﺔ ﺗﻀﻴﻴﻊ ﺃﻣﻮﺍﻝ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻭﺇﺗﻼﻓﻬﺎ ،ﺣﻴﺚ ﺇﻥ ﺍﳌﺼﻠﺤﺔ ﻭﺻﻴﺎﻧﺔ ﺃﻣﻮﺍﻝ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺃﻣﺮﺍﻥ ﻣﻌﺘﱪﺍﻥ ﺷﺮﻋﹰﺎ ﻭﺍﺳﺘﻨﺪ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﰲ ﺟﻌﻞ ﻳﺪ ﺍﻷﻣﲔ ﻳﺪ ﺿﻤﺎﻥ ﺟﱪﺍ ﻭﺑﻐﲑ ﺭﺿﺎﻩ،ﻭﺍﳌﺼﺮﻑ ﻋﻨﺪ ﺇﺑﺮﺍﻡ ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻣﻊ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﻳﻨﺺ ﺃﻭ ﻳﺸﺘﺮﻁ ﺃﻥ ﺗﻜﻮﻥ ﻳﺪﻩ ﻳﺪ ﺿﻤﺎﻥ ،ﻓﻌﻨﺪﻫﺎ ﻳﻌﺘﱪ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺿﺎﻣﻨﺎ ﺑﺮﺿﺎﻩ ﻭﺍﺧﺘﻴﺎﺭﻩ ،ﺃﺿﻒ ﺇﱃ ﺫﻟﻚ ،ﺃﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺸﺮﻁ ﳛﻘﻖ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺿﻤﺎﻥ ﺑﻘﺎﺀ ﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮﺓ ﺳﻠﻴﻤﺔ ﰲ ﻳﺪ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﻭﻋﺪﻡ ﺍﳋﻮﻑ ﻣﻦ ﺿﻴﺎﻉ ﺭﺃﲰﺎﻟﻪ ﻋﻠﻰ ﺃﻗﻞ ﺗﻘﺪﻳﺮ ،ﻭﺧﺎﺻﺔ ﰲ ﻼ ﺍﻟﻈﺮﻭﻑ ﺍﳊﺎﻟﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﻧﻌﻴﺸﻬﺎ ﺑﺴﺒﺐ ﺍﻹﺿﻄﺮﺍﺑﺎﺕ ﺍﻟﺴﻴﺎﺳﻴﺔ ﻭﺳﻮﺀ ﺣﺎﻝ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩ ﰲ ﻛﺜﲑ ﻣﻦ ﺩﻭﻝ ﺍﻟﻌﺎﱂ ،ﻓﻀ ﹰ ﻋﻦ ﺍﻧﻌﺪﺍﻡ ﺍﻟﺜﻘﺔ ﻭﳓﻮﻫﺎ ﰲ ﻫﺬﻩ ﺍﻷﻳﺎﻡ ).ﻣﻘﺎﺑﻠﺔ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻣﻊ ﺭﺋﻴﺲ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎ ﺭﻳﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﺗﺎﺭﻳﺦ ٢٠١٠ /١٢ /١٤ﻡ( ،ﻭﻳﻘﺘﺮﺡ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺃﻥ ﻳﻔﺮﻕ ﺑﲔ ﺍﳊﺎﻟﺘﲔ -ﺗﻘﺼﲑﻩ ﻭﻋﺪﻡ ﺗﻘﺼﲑﻩ -ﻣﻦ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﰲ ﺍﳍﻼﻙ ﺍﳉﺰﺋﻲ ﻛﻤﺎ ﻫﻮ ﰲ ﻣﺴﺄﻟﺔ ﺍﳍﻼﻙ ﺍﻟﻜﻠﻲ ﻟﻠﺴﻠﻌﺔ. ﺃﻣﺎ ﺍﻟﺒﻨﺪ ) (٩ﻓﻘﺪ ﺃﻟﺰﻡ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺑﺘﺄﻣﲔ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ،ﻭﻗﺪ ﺍﺳﺘﻨﺪ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺟﻮﺍﺯ ﺫﻟﻚ ﻋﻠﻰ ﺍﳊﺠﺞ ﺍﻟﱵ ﺍﺳﺘﻨﺪ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﰲ ﺑﺎﻗﻲ ﺍﻟﺒﻨﻮﺩ )،ﻣﻘﺎﺑﻠﺔ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻣﻊ ﺭﺋﻴﺲ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﺗﺎﺭﻳﺦ ٢٠١٠ /١٢ /١٤ﻡ( ﻭﱂ ﻳﺸﺘﺮﻁ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﺗﺄﻣﻴﻨﻬﺎ ﺗﺄﻣﻴﻨﹰﺎ ﺗﻜﺎﻓﻠﻴﺎ،ﻭﻳﻘﺘﺮﺡ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺃﻥ ﺗﻜﻮﻥ ﺗﻜﺎﻟﻴﻒ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﺟﺰﺀﹰﺍ ﻣﻦ ﺍﻷﺟﺮﺓ ،ﻭﻳﺆﻣﻦ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﻧﻴﺎﺑﺔ ﻋﻦ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﻷﻥ ﺍﻟﻀﻤﺎﻥ ﻣﻦ ﻣﺴﺆﻭﻟﻴﺔ ﺍﳌﺆﺟﺮ، ﺧﺎﺻﺔ ﻭﺃﻥ ﺍﳍﺪﻑ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﻫﻮ ﺿﻤﺎﻥ ﺧﺴﺎﺭﺓ ﻫﻼﻙ ﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﺳﻮﺍﺀ ﺃﻛﺎﻧﺖ ﺟﺰﺋﻴﺔ ﺃﻡ ﻛﻠﻴﺔ ،ﻟﺬﻟﻚ ﻓﻬﻮ ﺿﻤﻦ ﻣﺴﺆﻭﻟﻴﺔ ﺍﳌﺆﺟﺮ ،ﻭﻋﻠﻰ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﺃﻥ ُﻳ ﺆ ﻣﻦ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﲔ ﺍ ﹸﳌﺆ ﱠﺟﺮﺓ ﻟﺪﻯ ﺷﺮﻛﺎﺕ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ،ﻷ ﹼﻥ ﻣﻦ ﻟﺘﺄﻣﲔ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻱ ﺫﺍ ﺍﻟﻘﺴﻂ ﺍﻟﺜﺎﺑﺖ ﺍﻟﺬﻱ ﺗﺘﻌﺎﻣﻞ ﺑﻪ ﺷﺮﻛﺎﺕ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻱ ﻋﻘﺪ ﻓﻴﻪ ﻏﺮﺭ ﻛﺒﲑ ﻭ ﻫﻮ ﳏﺮﻡ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
14
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﺷﺮﻋﺎ ) ،ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ، ١٩٨٦ ،ﻉ (٧٣١ : ٢ ، ٢ﻭﻟﻴﻜﻮﻥ ﻣﺘﻮﺍﻓ ﹰﻘﺎ ﻣﻊ ﻣﺎ ﺫﻫﺐ ﺇﻟﻴﻪ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺩﻭﺭﺗﻪ ﺍﻟﺜﺎﻟﺜﺔ ﺑﺄﻥ" :ﻧﻔﻘﺎﺕ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﺗﻜﻮﻥ ﻟﺪﻯ ﺍﻟﺸﺮﻛﺎﺕ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻛﻠﻤﺎ ﺃﻣﻜﻦ ﺫﻟﻚ ،ﻭﻳﺘﺤﻤﻠﻬﺎ ﺍﻟﺒﻨﻚ" ،ﻭﻗﺪ ﻧﺺ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺃﻳﻀﺎ ﰲ ﺩﻭﺭﺗﻪ ﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔﻋﺸﺮﺓ ﺃﻳﻀﺎ ﺑﺄﻧﻪ"ﺇﺫﺍ ﺍﺷﺘﻤﻞ ﺍﻟﻌﻘﺪ ﻋﻠﻰ ﺗﺄﻣﲔ ﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﻓﻴﺠﺐ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﺗﻌﺎﻭﻧﻴﺎ ﺇﺳﻼﻣﻴﺎ ﻻ ﲡﺎﺭﻳﺎ ﻭﻳﺘﺤﻤﻠﻪ ﺍﳌﺎﻟﻚ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﻭﻟﻴﺲ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ").ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ،٢٠٠٠ ،ﻉ (٦٩٨ : ١ ،١٢ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﺃﻛﺪﺕ ﻋﻠﻴﻪ ﺃﻳﻀﺎ ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺍﳌﻌﻴﺎﺭ ﺭﻗﻢ ٨ /١ /٥ﲢﺖ ﺃﺣﻜﺎﻡ ﺍﳌﻨﻔﻌﺔ ﻭﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﰲ ﻗﻮﻟﻪ " :ﻭﳚﻮﺯ ﻟﻪ ﺃﻥ ﻳﺆﻣﻦ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﺍﳌﺸﺮﻭﻉ ﻛﻠﻤﺎ ﻛﺎﻥ ﺫﻟﻚ ﳑﻜﻨﺎﹰ ،ﻭﻧﻔﻘﺔ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺆﺟﺮ ،ﻭﳝﻜﻦ ﻟﻠﻤﺆﺟﺮ ﺃﺧﺬﻫﺎ ﰲ ﺍﻻﻋﺘﺒﺎﺭ ﺿﻤﻨﹰﺎ ﻋﻨﺪ ﲢﺪﻳﺪ ﺍﻷﺟﺮﺓ ،ﻭﻟﻜﻦ ﻻ ﳚﻮﺯ ﻟﻪ ﲢﻤﻴﻞ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﻌﻘﺪ ﺃﻱ ﺗﻜﻠﻔﺔ ﺇﺿﺎﻓﻴﺔ ﺯﺍﺩﺕ ﻋﻠﻰ ﻣﺎ ﻛﺎﻥ ﻣﺘﻮﻗﻌﹰﺎ ﻋﻨﺪ ﲢﺪﻳﺪ ﺍﻷﺟﺮﺓ .ﻛﻤﺎ ﳝﻜﻦ ﻟﻠﻤﺆﺟﺮ ﺃﻥ ﻳﻮﻛﻞ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺑﺎﻟﻘﻴﺎﻡ ﺑﺈﺟﺮﺍﺀ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﻋﻠﻰ ﺣﺴﺎﺏ ﺍﳌﺆﺟﺮ").ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ.(١٣٨ : ٢٠٠٧، ﻭﻳﻨﺺ ﺍﻟﺒﻨﺪ ) (١٦ﻋﻠﻰ ﺃﻧﻪ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﲣﻠﻒ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﻋﻦ ﺳﺪﺍﺩ ﺛﻼﺛﺔ ﺃﻗﺴﺎﻁ ﻣﺘﺘﺎﻟﻴﺔ ﻓﻠﻠﻤﺆﺟﺮ ﺍﳊﻖ ﰲ ﺇﺎﺀ ﺍﻟﻌﻘﺪ ﺑﻌﺪ ﺇﺭﺳﺎﻝ ﺧﻄﺎﺏ ﺇﻧﺬﺍﺭ ﺇﱃ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺑﻮﻓﺎﺀ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﳌﺘﺄﺧﺮﺓ ﺧﻼﻝ ﺛﻼﺛﲔ ﻳﻮﻣﺎ،ﻭﻟﻪ ﺑﻌﺪ ﺫﻟﻚ ﺍﳊﻖ ﰲ ﺍﺳﺘﺮﺟﺎﻉ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ،ﻭﻫﺬﺍ ﺍﳊﻜﻢ ﻣﺘﻮﺍﻓﻖ ﻣﻊ ﺃﺣﻜﺎﻡ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﰲ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ. ﻭﻳﻘﻀﻲ ﺍﻟﺒﻨﺪ ) (٢١ﺑﺄﻧﻪ ﺑﻌﺪ ﺍﻧﺘﻬﺎﺀ ﻓﺘﺮﺓ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺳﺪﺍﺩ ﲨﻴﻊ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ ،ﺗﻨﺘﻘﻞ ﻣﻠﻜﻴﺔ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﺗﻠﻘﺎﺋﻴﺎ ﺇﱃ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ،ﻭﺫﻟﻚ ﻭﻓﻘﺎ ﳌﺎ ﺃﻟﺰﻡ ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺍﳌﺪﱐ ﻭﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻱ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ﺑﻪ. ﻭ ﻳﺮﻯ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺃ ﹼﻥ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺇﺑﺮﺍﻡ ﻋﻘﺪ ﻳﻦ ﻣﺴﺘﻘﻠﲔ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﰒ ﺍﻟﺒﻴﻊ ﺃﻭ ﺍﳍﺒﺔ ،ﺣﻴﺚ ﻻ ﳚﻮﺯ ﺩﻣﺞ ﺍﻟﻌﻘﺪﻳﻦ ﰲ ﻋﻘﺪ ﻭﺍﺣﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭ ﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ،ﻓﻼﺑﺪ ﻣﻦ ﺍﻟﻔﺼﻞ ،ﺃﺿﻒ ﺇﱃ ﺫﻟﻚ ﺃﻧﻪ ﻻ ﳚﻮﺯ ﺍﻋﺘﺒﺎﺭ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﳌﺪﻓﻮﻋﺔ ﺟﺰﺀًﺍ ﻣﻦ ﻗﻴﻤﺔ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ،ﻭﺇﳕﺎ ﻫﻲ ﺃﺟﺮﺓ ﰲ ﻣﻘﺎﺑﻞ ﺍﻻﻧﺘﻔﺎﻉ ﺑﺎﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ، ﻟﺬﺍ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﰒ ﺍﻟﺒﻴﻊ ﺃﻭ ﺍﳍﺒﺔ ،ﳚﺐ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﻫﻨﺎﻙ ﺯﻣﻦ ﻓﺎﺻﻞ ﺑﲔ ﺍﻧﺘﻬﺎﺀ ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺑﺪﺍﻳﺔ ﻋﻘﺪ ﺍﻟﺒﻴﻊ ،ﻭﻻ ﻳﻜﻮﻥ ﺍﻻﻧﺘﻘﺎﻝ ﺑﻴﻨﻬﻤﺎ ﺗﻠﻘﺎﺋﻴﺎ ،ﻭﻟﻘﺪ ﺻﺪﺭ ﻗﺮﺍﺭ ﻣﻦ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼ ﻣﻲ ﺑﻌﺪﻡ ﺟﻮﺍﺯ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﺼﻮﺭﺓ ﻭﺍﻋﺘﱪ ﻫﺎ ﻣﻦ ﺍﻟﺼﻮﺭ ﺍﳌﻤﻨﻮﻋﺔ ﺷﺮ ﻋﺎ ،ﺣﻴﺚ ﻭﺻﻒ ﺍﻟﻘﺮﺍﺭ ﺍﻟﺼﻮﺭﺓ ﺍﳌﻤﻨﻮﻋﺔ ﺑﺄﺎ " :ﻋﻘﺪ ﺇﺟﺎﺭﺓ ﻳﻨﺘﻬﻲ ﺑﺘﻤﻠﻚ ﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﻣﻘﺎﺑﻞ ﻣﺎ ﺩﻓﻌﻪ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﻣﻦ ﺃﺟﺮﺓ ﺧﻼﻝ ﺍﳌﺪﺓ ﺍﶈﺪﺩﺓ ،ﺩﻭﻥ ﺇﺑﺮﺍﻡ ﻋﻘﺪ ﺟﺪﻳﺪ ،ﲝﻴﺚ ﺗﻨﻘﻠﺐ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﰲ ﺎﻳﺔ ﺍﳌﺪﺓ ﺑﻴﻌﺎ ﺗﻠﻘﺎﺋﻴﹰﺎ") ،ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ،٢٠٠٠ ،ﻉ(٦٩٨ : ١ ،١٢ﺃﻣﺎ ﺍﻟﺼﻮﺭﺓ ﺍﳉﺎﺋﺰﺓ ﺍﻟﱵ ﻧﺺ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺍﻤﻊ":ﻭﺟﻮﺩ ﻋﻘﺪﻳﻦ ﻣﻨﻔﺼﻠﲔ ﻳﺴﺘﻘﻞ ﻛﻞ ﻣﻨﻬﻤﺎ ﻋﻦ ﺍﻵﺧﺮ ﺯﻣﺎﻧﺎ ﲝﻴﺚ ﻳﻜﻮﻥ ﺇﺑﺮﺍﻡ ﻋﻘﺪ ﺍﻟﺒﻴﻊ ﺑﻌﺪ ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ،ﺃﻭ ﻭﺟﻮﺩ ﻭﻋﺪ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﰲ ﺎﻳﺔ ﻣﺪﺓ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ .ﻭﺍﳋﻴﺎﺭ ﻳﻮﺍﺯﻱ ﺍﻟﻮﻋﺪ ﰲ ﺍﻷﺣﻜﺎﻡ").ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ،٢٠٠٠ ،ﻉ (٦٩٩ : ١ ،١٢ﻭﻗﺪ ﻧﺺ ﺃﻳﻀﺎ ﺍﻟﻘﺮﺍﺭ ﰲ ﺍﻟﺪﻭﺭﺓ ﺍﳋﺎﻣﺴﺔ ﻋﻠﻰ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﺧﻴﺎﺭ ﺷﺮﺍﺀ ﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺄﺟﻮﺭﺓ ﺑﻌﺪ ﺍﻧﺘﻬﺎﺀ ﻣﺪﺓ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺑﺴﻌﺮ ﺍﻟﺴﻮﻕ) .ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ،١٩٨٨ ،ﻉ.(٢٧٦٤ : ٤ ،٥ ﺃﻣﺎ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﻣﺎ ﺇﺫﺍ ﻛﺎﻧﺖ ﺇﺟﺎﺭﺓ ﰒ ﻫﺒﺔ ،ﻓﺈﺎ ﺟﺎﺋﺰﺓ ﺑﺸﺮﻁ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻧﺎ ﺑﻌﻘﺪﻳﻦ ﻣﺴﺘﻘﻠﲔ ﺃﻳﻀﺎ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻣﺎ ﻧﺺ ﻋﻠﻴﻪ ﺍﻟﻘﺮﺍﺭ ﰲ ﺩﻭﺭﺗﻪ ﺍﻟﺜﺎﻟﺜﺔ " :ﺇﻥ ﺍﻟﻮﻋﺪ ﺒﺔ ﺍﳌﻌﺪﺍﺕ ﻋﻨﺪ ﺍﻧﺘﻬﺎﺀ ﺃﻣﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺟﺎﺋﺰ ﺑﻌﻘﺪ ﻣﻨﻔﺼﻞ" ).ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ، ١٩٨٦ ،ﻉ (٣٠٦ : ٣،١ﻭﻟﻘﺪ ﺃﺻﺪﺭ ﺃﻳﻀﺎ ﻗﺮﺍﺭ ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺣﻮﻝ ﻃﺮﻕ ﲤﻠﻚ ﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ،ﻭﺍﺷﺘﺮﻁ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﻫﻨﺎﻟﻚ ﻋﻘﺪ ﺑﻴﻊ ﻣﺴﺘﻘﻞ ﻋﻦ ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ،ﻭﺃﻥ อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
15
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﻻ ﻳﻨﺺ ﻋﻠﻰ ﺃﻧﻪ ﺟﺰﺀ ﻣﻦ ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﻣﺎ ﺇﺫﺍ ﻛﺎﻥ ﻋﻘﺪ ﺍﻟﺒﻴﻊ ﻗﺎﺋﻤﺎ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻮﻋﺪ ،ﻭﺫﻛﺮ ﻗﺮﺍﺭ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﻃﺮﻗﺎ ﻟﺘﻤﻠﻚ ﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﻭﻫﻲ: ﺃ-ﻭﻋﺪ ﺑﺎﻟﺒﻴﻊ ﺑﺜﻤﻦ ﺭﻣﺰﻱ،ﺃﻭ ﺑﺜﻤﻦ ﺣﻘﻴﻘﻲ ،ﺃﻭ ﺑﺘﻌﺠﻴﻞ ﺃﺟﺮﺓ ﺍﳌﺪﺓ ﺍﻟﺒﺎﻗﻴﺔ ،ﺃﻭ ﺑﺴﻌﺮ ﺍﻟﺴﻮﻕ. ﺏ-ﻭﻋﺪ ﺑﺎﳍﺒﺔ. ﺕ-ﻋﻘﺪ ﻫﺒﺔ ﻣﻌﻠﻖ ﻋﻠﻰ ﺷﺮﻁ ﺳﺪﺍﺩ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ).ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ، .(١٤١ :٢٠٠٧ ﻭﻟﻘﺪ ﺻﺪﺭ ﻗﺮﺍﺭ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺍﻟﺒﻨﺪ ﺍﻟﺜﺎﱐ ﻭﺍﻟﺜﺎﻟﺚ ،ﻳﻘﻀﻲ ﺑﺈﻟﺰﺍﻡ ﺍﻟﻮﺍﻋﺪ ﺇﺫﺍ ﻛﺎﻥ ﺩﺧﻞ ﰲ ﺳﺒﺐ ﻭﺩﺧﻞ ﺍﳌﻮﻋﻮﺩ ﻓﻴﻪ ،ﻭﻫﺬﺍ ﻧﺺ ﺍﻟﻘﺮﺍﺭ: -١ﺍﻟﻮﻋﺪ – ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺼﺪﺭ ﻣﻦ ﺍﻵﻣﺮ ﺃﻭ ﺍﳌﺄﻣﻮﺭ ﻋﻠﻰ ﻭﺟﻪ ﺍﻻﻧﻔﺮﺍﺩ – ﻳﻜﻮﻥ ﻣﻠﺰﻣﹰﺎ ﻟﻠﻮﺍﻋﺪ ﺩﻳﺎﻧﺔ ﺇﻻ ﻟﻌﺬﺭ، ﻭﻫﻮ ﻣﻠﺰﻡ ﻗﻀﺎﺀ ﺇﺫﺍ ﻛﺎﻥ ﻣﻌﻠﻘﹰﺎ ﻋﻠﻰ ﺳﺒﺐ ﻭﺩﺧﻞ ﺍﳌﻮﻋﻮﺩ ﰲ ﻛﻠﻔﺔ ﻧﺘﻴﺠﺔ ﺍﻟﻮﻋﺪ .ﻭﻳﺘﺤﺪﺩ ﺃﺛﺮ ﺍﻹﻟﺰﺍﻡ ﰲ ﻫﺬﻩ ﻼ ﺑﺴﺒﺐ ﻋﺪﻡ ﺍﻟﻮﻓﺎﺀ ﺑﺎﻟﻮﻋﺪ ﺑﻼ ﻋﺬﺭ. ﺍﳊﺎﻟﺔ ﺇﻣﺎ ﺑﺘﻨﻔﻴﺬ ﺍﻟﻮﻋﺪ ،ﻭﺇﻣﺎ ﺑﺎﻟﺘﻌﻮﻳﺾ ﻋﻦ ﺍﻟﻀﺮﺭ ﺍﻟﻮﺍﻗﻊ ﻓﻌ ﹰ -٢ﺍﳌﻮﺍﻋﺪﺓ – ﻭﻫﻲ ﺍﻟﱵ ﺗﺼﺪﺭ ﻣﻦ ﺍﻟﻄﺮﻓﲔ – ﲡﻮﺯ ﰲ ﺑﻴﻊ ﺍﳌﺮﺍﲝﺔ ﺑﺸﺮﻁ ﺍ ﳋﻴﺎﺭ ﻟﻠﻤﺘﻮﺍﻋﺪﻳﻦ ،ﻛﻠﻴﻬﻤﺎ ﺃﻭ ﺃﺣﺪﳘﺎ ،ﻓﺈﺫﺍ ﱂ ﻳﻜﻦ ﻫﻨﺎﻙ ﺧﻴﺎﺭ ﻓﺈﺎ ﻻ ﲡﻮﺯ ،ﻷﻥ ﺍﳌﻮﺍﻋﺪﺓ ﺍﳌﻠﺰﻣﺔ ﰲ ﺑﻴﻊ ﺍﳌﺮﺍﲝﺔ ﺗﺸﺒﻪ ﺍﻟﺒﻴﻊ ﻧﻔﺴﻪ ،ﺣﻴﺚ ﻳﺸﺘﺮﻁ ﻋﻨﺪﺋﺬ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﺍﻟﺒﺎﺋﻊ ﻣﺎﻟﻜﹰﺎ ﻟﻠﻤﺒﻴﻊ ﺣﱴ ﻻ ﺗﻜﻮﻥ ﻫﻨﺎﻙ ﳐﺎﻟﻔﺔ ﻟﻨﻬﻲ ﺍﻟﻨﱯ ﻋﻦ ﺑﻴﻊ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﻣﺎ ﻟﻴﺲ ﻋﻨﺪﻩ)".ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ،١٩٨٨ ،ﻉ.(١٦٠٠-١٥٩٩ : ٢ ،٥ ﻭﻳﻨﺺ ﺍﻟﺒﻨﺪﺍﻥ ) (٢٢،٢٣ﻋﻠﻰ ﺗﻌﻮﻳﺾ ﻳﺪﻓﻌﻪ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﰲ ﺣﺎﻝ ﺗﺄﺧﺮﻩ ﻋﻦ ﺳﺪﺍﺩ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ، ﻟﻴﻮﺿﻊ ﰲ ﺻﻨﺪﻭﻕ ﺧﺎﺹ ﻳﺼﺮﻑ ﻣﻨﻪ ﰲ ﺍﳌﺼﺎﱀ ﺍﻟﻌﺎﻣﺔ ،ﻭﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻌﻮﻳﺾ ﻫﻮ ﳉﱪ ﺍﻟﻀﺮﺭ ﺍﳌﺘﺄﰐ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﺄﺧﲑ، ﻭﺍﳊﻔﺎﻅ ﻋﻠﻰ ﺍﻧﺘﻈﺎﻡ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﰲ ﺳﺪﺍﺩ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ ).ﻣﻘﺎﺑﻠﺔ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻣﻊ ﺭﺋﻴﺲ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﺗﺎﺭﻳﺦ ٢٠١٠/١٢/١٤ﻡ(. ﻭ ﻳﺮﻯ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺃﻧﻪ ﻻ ﳚﻮﺯ ﺍﺷﺘﺮﺍﻁ ﻫﺬﻩ ﺍﻟﻐﺮﺍﻣﺔ ﺃﻭ ﻫﺬﺍ ﺍﻟﺘﻌﻮﻳﺾ ﳌﺸﺎﺘﻪ ﻟﺮﺑﺎ ﺍﳉﺎﻫﻠﻴﺔ ﺍﻟﺬ ﻱ ﺣﺮﻣﻪ ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ،ﻭﻋﻠﻰ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﺃﺧﺬ ﺍﻻﺣﺘﻴﺎﻃﺎﺕ ﺍﻟﻼﺯﻣﺔ ﻟﻀﻤﺎﻥ ﻋﺪﻡ ﺗﺄﺧﺮ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﰲ ﺳﺪﺍﺩ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ ،ﻭﻳﻜﻮﻥ ﺫﻟﻚ ﺑﺄﺧﺬ ﺍﻟﻀﻤﺎﻧﺎﺕ ﺍﻟﻼﺯﻣﺔ ﺍﻟﱵ ﺗﻜﻔﻞ ﻟﻪ ﺣﻘﻪ ،ﻭﺇﻥ ﻛﺎﻥ ﺻﺮﻑ ﻣﺒﻠﻎ ﺍﻟﺘﻌﻮﻳﺾ ﰲ ﻭﺟﻮﻩ ﺍﳋﲑ ﻛﻤﺎ ﻫﻮ ﻣﻨﺼﻮﺹ ﰲ ﻗﺮﺍﺭ ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻗﺪ ﻳﻌﻄﻲ ﺗﻔﺴﲑﹰﺍ ﺁﺧﺮ ﻟﻠﻤﺴﺄﻟﺔ ،ﻭﻫﻲ ﺃﻥ ﻫﺬﺍ ﺍﳌﺒﻠﻎ ﻫﻮ ﲟﺜﺎﺑﺔ ﻏﺮﺍﻣﺔ ﻻ ﺗﻌﻮﺩ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻄﺮﻑ ﺍﻵﺧﺮ ﺑﻞ ﺗﺼﺮﻑ ﰲ ﻭﺟﻮﻩ ﺍﳋﲑ ،ﻭﻫﺬﺍ ﺍﻷﻣﺮ ،ﻭﺬﺍ ﺍﻟﺘﻔﺴﲑ ﻻ ﻳﻮﺟﺪ ﻣﺎ ﳝﻨﻌﻪ ﺷﺮﻋﺎﹰ، ﻭﻫﺬﺍ ﻫﻮ ﺍﻟﻨﺺ ﺍﻟﺬﻱ ﻭﺿﻌﺘﻪ ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ":ﳚﻮﺯ ﺃﻥ ﻳﻨﺺ ﰲ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺃﻭ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺍﳌﻨﺘﻬﻴﺔ ﺑﺎﻟﺘﻤﻠﻴﻚ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺘﺰﺍﻡ ﺍﻟﻌﻤﻴﻞ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺍﳌﻤﺎﻃﻞ ﺑﺎﻟﺘﺼﺪﻕ ﲟﺒﻠﻎ ﳏﺪﺩ ﺃﻭ ﻧﺴﺒﺔ ﻣﻦ ﺍﻷﺟﺮﺓ ﰲ ﺣﺎﻟﺔ ﺗﺄﺧﺮﻩ ﻋﻦ ﺳﺪﺍﺩ ﺍﻷﺟﺮﺓ ﺍﳌﺴﺘﺤﻘﺔ ﰲ ﻣﻮﺍﻋﻴﺪﻫﺎ ﺍﳌﻘﺮﺭﺓ ،ﺑﺸﺮﻁ ﺃﻥ ﻳﺼﺮﻑ ﺫﻟﻚ ﰲ ﻭﺟﻮﻩ ﺍﳋﲑ ﺑﺎﻟﺘﻨﺴﻴﻖ ﻣﻊ ﻫﻴﺌﺔ ﺍﻟﺮﻗﺎﺑﺔ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺔ").ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ.(١٣٩ : ٢٠٠٧ ،
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
16
ﺛﺎﻟﺜﹰﺎ :ﺧﻄﻮﺍﺕ ﻋﻤﻠﻴﺔ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﰲ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ: ﻫﻨﺎﻟﻚ ﺧﻄﻮﺍﺕ ﻋﻤﻠﻴﺔﻟﻺﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻋﻨﺪ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺗﺘﻢ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻨﺤﻮ ﺍﻵﰐ: ﺍﳌﺼﺮﻑ
٦
٤
٢ ٣
٥
ﻭﻛﺎﻟﺔ
ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺍﺕ
١ ﺍﻟﻌﻤﻴﻞ
-١ﻳﺘﺼﻞ ﺍﻟﻌﻤﻴﻞ ﺑﻮﻛﺎﻟﺔ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺍﺕ ﻻﺧﺘﻴﺎﺭ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺓ ﺍﻟﱵ ﻳﺮﻳﺪ ﺍﻟﻌﻤﻴﻞ ﺍﻗﺘﻨﺎﺀﻫﺎ ﺑﻌﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﰒ ﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻣﻊ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﻣﻊ ﻣﺮﺍﻋﺎﺓ ﺍﻟﺸﺮﻭﻁ ﺍﻟﱵ ﺣﺪﺩﻫﺎ ﺍﳌﺼﺮﻑ. -٢ﻳﺘﻢ ﺇﺧﻄﺎﺭ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﻣﻦ ﻃﺮﻑ ﺍﻟﻮﻛﺎﻟﺔ ﺑﻨﻮﻉ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺓ ﻭﲦﻨﻬﺎ ﻟﻴﺤﻠﻞ ﻗﺪﺭﺓ ﺍﻟﻌﻤﻴﻞ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﺇﲤﺎﻡ ﺍﻟﺼﻔﻘﺔ ﻭﻓﻖ ﺇﺟﺮﺍﺀﺍﺕ ﻣﻄﺒﻘﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ. -٣ﺑﻌﺪ ﻣﻮﺍﻓﻘﺔ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻄﻠﺐ ،ﳜﻄﺮ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻟﻮﻛﺎﻟﺔ ﺑﺎﳌﻮﺍﻓﻘﺔ ﻋﻠﻰ ﺷﺮﺍﺀ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺓ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭﺓ ﻟﻴﺆﺟﺮﻫﺎ ﺗﺄﺟﲑﺍ ﻭﺍﻗﺘﻨﺎﺀ ﻟﻠﻌﻤﻴﻞ ﺑﻌﺪ ﺫﻟﻚ. -٤ﺑﻌﺪ ﺗﻮﻗﻴﻊ ﺍﻟﻌﻘﺪ ،ﻭﺍﺳﺘﻼﻡ ﺍﻟﻌﻤﻴﻞ ﻟﻠﺴﻴﺎﺭﺓ ،ﻳﺪﻓﻊ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﲦﻦ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺓ ﻣﻊ ﺃﺗﻌﺎﺏ ﺍﻟﻮﻛﺎﻟﺔ ﻟﻮﻛﺎﻟﺔ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺍﺕ ﺧﻼﻝ ﻣﺪﺓ ﻣﺘﻔﻖ ﻋﻠﻴﻬﺎ. -٥ﻳﺪﻓﻊ ﺍﻟﻌﻤﻴﻞ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ ﻭﻓﻖ ﺷﺮﻭﻁ ﻣﺘﻔﻖ ﻋﻠﻴﻬﺎ ،ﻭﺧﻼﻝ ﻣﺪﺓ ﺍﻻﺗﻔﺎﻕ. -٦ﻳﻨﻘﻞ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﻣﻠﻜﻴﺔ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺓ ﻟﻠﻌﻤﻴﻞ ﺑﻌﺪ ﺩﻓﻊ ﺁﺧﺮ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ) .ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﺏ ﺕ .(٢٦ : ﻭﻳﺮﻯ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺃﻧﻪ ﻣﻦ ﺍﻷﻓﻀﻞ ﺃﻻ ﻳﻮﻛﻞ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﰲ ﺷﺮﺍﺀ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﺍﻟﱵ ﺃﺭﺍﺩ ﺍﺳﺘﺌﺠﺎﺭﻫﺎ ﻭﺇﳕﺎ ﻳﺸﺘﺮﻳﻬﺎ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺑﻨﻔﺴﻪ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﳉﻨﺔ ﺍﳌﺸﺘﺮﻳﺎﺕ ﺑﺎﳌﺼﺮﻑ ،ﻟﺘﻘﻊ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﰲ ﻣﻠﻜﻴﺘﻪ ،ﰒ ﻳﺆﺟﺮﻫﺎ ﻟﻠﻤﺴﺘﺄﺟﺮ ،ﻭﺃﻻ ﺗﻨﺘﻘﻞ ﻣﻠﻜﻴﺔ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﺗﻠﻘﺎﺋﻴﺎ ﺑﻌﺪ ﺍﻧﺘﻬﺎﺀ ﻓﺘﺮﺓ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺳﺪﺍﺩ ﲨﻴﻊ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ ،ﻭﺇﳕﺎ ﺗﻨﺘﻘﻞ ﺑﻌﻘﺪ ﺁﺧﺮ ﻛﻤﺎ ﺳﻠﻒ ﺑﻴﺎﻧﻪ. ﺍﳌﻘﺘﺮﺣﺎﺕ: ُ-١ﻳﻘﺘﺮﺡ ﺃﻥ ﻳﻘﻮﻡ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﲝﻤﻠﺔ ﺗﻮﻋﻮﻳﺔ ﺃﻭ ﺩﻭﺭﺓ ﺧﺎﺻﺔ ﻟﺘﻮﻋﻴﺔ ﻣﻮﻇﻔﻴﻪ ﻓﻴﻤﺎ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﺑﺎﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺣﱴ ﻳﻜﻮﻥ ﻟﺪﻳﻬﻢ ﺍﳊﺪ ﺍﻷﺩﱏ ﻣﻦ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ ﲟﺎ ﻳﻘﺪﻣﻮﻢ ﻣﻦ ﺧﺪﻣﺎﺕ ﻟﻠﻌﻤﻼﺀ. -٢ﻳﻘﺘﺮﺡ ﺃﻥ ﻳﺴﺘﺨﺪﻡ ﺍﺳﻢ "ﻫﻴﺌﺔ ﺍﻟﻔﺘﻮﻯ ﻭﺍﻟﺮﻗﺎﺑﺔ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ" ﺑﺪﻻ ﻣﻦ "ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ" ،ﻭﺃﻥ ﻳﺸﺘﺮﻁ ﰲ ﺃﻋﻀﺎﺋﻬﺎ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻧﻮﺍ ﻣﺆﻫﻠﲔ ﰲ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ ﺃﻭ ﻣﺘﺨﺼﺼﲔ ﰲ ﺍﳌﻌﺎﻣﻼﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻓﻀﻼ ﻋﻦ ﻣﻨﺢ ﺻﻔﺔ ﺍﻹﻟﺰﺍﻡ ﻟﻘﺮﺍﺭﺍﺕ ﻫﺬﻩ ﺍﳍﻴﺌﺔ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
17
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
-٣ﻳﻘﺘﺮﺡ ﺃﻥ ﻳﺼﺪﺭ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺧﺎﺹ ﺑﺎﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻋﻠﻰ ﻭﺟﻪ ﺍﻟﻌﻤﻮﻡ ،ﳛﺘﻮﻱ ﻋﻠﻰ ﺇﻣﻜﺎﻧﻴﺔ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺰﻳﺪ ﻣﻦ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﺣﺴﺐ ﺍﳊﺎﺟﺔ ،ﻭﺃﻥ ﺗﻌﻄﻰ ﺻﻼﺣﻴﺔ ﻣﻨﺢ ﺍﻟﺘﺮﺧﻴﺺ ﺑﺈﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﻹﺣﺪﻯ ﺍﳉﻬﺎﺕ ﺍﳌﺨﺘﺼﺔ ،ﳑﺎ ﻗﺪ ﻳﺴﺎﻋﺪ ﻋﻠﻰ ﺇﳚﺎﺩ ﻧﻮﻉ ﻣﻦ ﺍﳌﺮﻭﻧﺔ ﰲ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺎﺭﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ،ﻭﻓﺘﺢ ﺍﺎﻝ ﻟﺮﺟﺎﻝ ﺍﻷﻋﻤﺎﻝ ﻹﻧﺸﺎﺀ ﻣﺼﺎﺭﻑ ﺇﺳﻼﻣﻴﺔ ﺃﺧﺮﻯ ﺗﺘﻨﺎﻓﺲ ﻓﻴﻤﺎ ﺑﻴﻨﻬﺎ. -٤ﻳﻘﺘﺮﺡ ﺃﻧﻪ ﻣﻦ ﺍﻷﻓﻀﻞ ﺃﻻ ﻳﻮﻛﻞ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﰲ ﺷﺮﺍﺀ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﺍﻟﱵ ﺃﺭﺍﺩ ﺍﺳﺘﺌﺠﺎﺭﻫﺎ ﻭﺇﳕﺎ ﻳﺸﺘﺮﻳﻬﺎ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺑﻨﻔﺴﻪ ﻋﻦ ﻃﺮﻳﻖ ﳉﻨﺔ ﺍﳌﺸﺘﺮﻳﺎﺕ ﺑﺎﳌﺼﺮﻑ ،ﻟﺘﻘﻊ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﰲ ﻣﻠﻜﻴﺘﻪ ،ﰒ ﻳﺆﺟﺮﻫﺎ ﻟﻠﻤﺴﺘﺄﺟﺮ .ﻭﺃﻻ ﺗﻨﺘﻘﻞ ﻣﻠﻜﻴﺔ ﺍﻟﺴﻠﻌﺔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﺗﻠﻘﺎﺋﻴﺎ ﺑﻌﺪ ﺍﻧﺘﻬﺎﺀ ﻓﺘﺮﺓ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺳﺪﺍﺩ ﲨﻴﻊ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ،ﻭﺇﳕﺎ ﺗﻨﺘﻘﻞ ﺑﻌﻘﺪ ﺁﺧﺮ ﺇﻣﺎ ﺑﻴﻌﹰﺎ ﺃﻭ ﻫﺒﺔ ﺣﱴ ﻻ ﻳﺘﻢ ﺍﻟﻮﻗﻮﻉ ﰲ ﺍﳌﺨﺎﻟﻔﺔ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ. -٥ﻭﻳﻮﺻﻲ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺃﻥ ﻳﻌﺎﺩ ﺍﻟﻨﻈﺮ ﰲ ﺍﻟﻌﻘﻮﺩ ﺍﻟﱵ ﺗﻨﻈﻢ ﻋﻤﻠﻴﺎﺕ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﲝﻴﺚ ﻳﻔﺼﻞ ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻋﻦ ﻋﻘﺪ ﺍﻟﺒﻴﻊ ﺃﻭ ﺍﳍﺒﺔ ﺍﻟﺬﻱ ﺗﻨﺘﻘﻞ ﲟﻮﺟﺒﻪ ﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﺇﱃ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺑﻌﺪ ﲤﺎﻡ ﺳﺪﺍﺩ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ﺍﻹﳚﺎﺭﻳﺔ ،ﺃﻱ ﻳﺘﻢ ﲣﺼﻴﺺ ﻋﻘﺪﻳﻦ ﻣﺴﺘﻘﻠﲔ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﰒ ﺍﻟﺒﻴﻊ ﺃﻭ ﺍﳍﺒﺔ .ﻭﻳﺘﻢ ﺇﺑﺮﺍﻡ ﻋﻘﺪﻳﻦ ﻣﻨﻔﺼﻠﲔ :ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﰒ ﻋﻘﺪ ﺍﻟﺒﻴﻊ،ﺃﻭ ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﰒ ﻋﻘﺪ ﺍﳍﺒﺔ ،ﻓﺘﺄﺧﺬ ﺍﳌﻌﺎﻣﻠﺔ ﺣﻜﻢ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺃﺛﻨﺎﺀ ﻓﺘﺮﺓ ﺳﺪﺍﺩ ﺍﻷﻗﺴﺎﻁ ،ﻭﻣﺎ ﻳﺘﺮﺗﺐ ﻋﻠﻰ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻣﻦ ﺿﻤﺎﻥ ﻭﺻﻴﺎﻧﺔ ﻭﺗﺄﻣﲔ ﻭﻏﲑﻫﺎ ،ﰒ ﺗﺄﺧﺬ ﺣﻜﻢ ﺍﻟﺒﻴﻊ ﺃﻭ ﺍﳍﺒﺔ ﺑﻌﺪ ﺫﻟﻚ. -٦ﻛﻤﺎ ﻳﻮﺻﻴﺎﻥ ﰲ ﻣﺎ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﺑﺎﻟﻌﻘﺪ ﺍﳌﺬﻛﻮﺭ ﰲ ﺍﻟﻔﻘﺮﺓ ﺍﻟﺴﺎﺑﻘﺔ ،ﺑﺄﻥ ﻳﺘﺤﻤﻞ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﻭﻫﻮ ﺍﳌﺼﺮﻑ، ﺗﻜﺎﻟﻴﻒ ﺍﻟﺘﺴﺠﻴﻞ ﻟﺪﻯ ﺍﳉﻬﺎﺕ ﺍﻟﺮﲰﻴﺔ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺑﺎﺳﻢ ﺍﳌﺼﺮﻑ ،ﻭﳛﺴﺒﻬﺎ ﺿﻤﻦ ﺍﻷﺟﺮﺓ ،ﺣﱴ ﻻ ﻳﺘﻢ ﺍﻟﺪﺧﻮﻝ ﰲ ﺷﺒﻬﺔ ﺍﻹﺧﻼﻝ ﺑﺎﻟﺘﻮﺍﺯﻥ ﺍﳌﻔﺘﺮﺽ ﺑﲔ ﺍﻟﻌﻮﺿﲔ ،ﻭﳚﻮﺯ ﺃﻥ ﻳﺘﻮﱃ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﺍﻟﺘﺴﺠﻴﻞ ﻟﺪﻯ ﺍﳉﻬﺎﺕ ﺍﻟﺮﲰﻴﺔ ﻧﻴﺎﺑﺔ ﻋﻦ ﺍﳌﺆﺟﺮ. -٧ﻛﻤﺎ ﻳﻮﺻﻲ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﻓﻴﻤﺎ ﻳﺘﻌﻠﻖ ﺬﺍ ﺍﻟﻌﻘﺪ ،ﺃﻥ ﺗﻜﻮﻥ ﺗﻜﺎﻟﻴﻒ ﺗﺄﻣﲔ ﺍﻟﻌﲔ ﳏﻞ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﺟﺰﺀﹰﺍ ﻣﻦ ﺍﻷﺟﺮﺓ ،ﻭﻳﺆﻣﻦ ﺍﳌﺴﺘﺄﺟﺮ ﻧﻴﺎﺑﺔ ﻋﻦ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﻷﻥ ﺍﻟﻀﻤﺎﻥ ﻣﻦ ﻣﺴﺆﻭﻟﻴﺔ ﺍﳌﺆﺟﺮ،ﻭﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﻧﻮﻉ ﻣﻦ ﺍﻟﻀﻤﺎﻥ ،ﻓﺎﳍﺪﻑ ﻣﻦ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﻫﻮ ﺿﻤﺎﻥ ﺍﳋﺴﺎﺭﺓ ﺍﻟﱵ ﺗﺘﺮﺗﺐ ﰲ ﺣﺎﻝ ﻫﻼﻙ ﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﺳﻮﺍﺀ ﺃﻛﺎﻥ ﺍﳍﻼﻙ ﺟﺰﺋﻴﺎ ﺃﻡ ﻛﻠﻴﺎ ،ﻟﺬﻟﻚ ﻓﻬﻮ ﻣﻦ ﺿﻤﻦ ﻣﺴﺆﻭﻟﻴﺔ ﺍﳌﺆﺟﺮ ،ﻭﻋﻠﻰ ﺍﳌﺆﺟﺮ ﺃﻥ ﻳﺆ ﻣﻦ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﲔ ﺍﳌﺆﺟﺮﺓ ﻟﺪﻯ ﺷﺮﻛﺎﺕ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ،ﻷﻥ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻱ ﺫﺍ ﺍﻟﻘﺴﻂ ﺍﻟﺜﺎﺑﺖ ﺍﻟﺬﻱ ﺗﺘﻌﺎﻣﻞ ﺑﻪ ﺷﺮﻛﺎﺕ ﺍﻟﺘﺄﻣﲔ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻱ ﻋﻘﺪ ﻓﻴﻪ ﻏﺮﺭ ﻛﺒﲑ ﻭ ﻫﻮ ﺣﺮﺍﻡ ﺷﺮﻋﺎ. -٨ﻭﺃﺧﲑﹰﺍ ﻳﻮﺻﻲ ﺍﻟﺒﺎﺣﺜﺎﻥ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﺑﺘﻮﺳﻴﻊ ﺧﺪﻣﺔ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﻟﺘﺸﻤﻞ ﺳﻠﻌﺎ ﺃﺧﺮىﻤﺜﻞ ﺍﻟﻌﻘﺎﺭﺍﺕ ،ﻭﺃﻥ ﲣﻀﻊ ﺑﺎﻗﻲ ﺍﳌﻨﺘﺠﺎﺕ ﻭﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﻟﺪﻳﻪ ﻟﻠﺪﺭ ﺍﺳﺔ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ ﻟﺘﻔﺎﺩﻱ ﺍﶈﺎﺫﻳﺮ ﻭﺍﻷﺧﻄﺎﺀ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ ﺍﻟﱵ ﻗﺪ ﺗﺸﻮﺏ ﻫﺬﻩ ﺍﳋﺪﻣﺎﺕ ﻭﺍﳌﻨﺘﺠﺎﺕ.
อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
18
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﺍﳌﺮﺍﺟﻊ ﺍﺑﻦ ﺣﻨﺒﻞ ،ﺃﲪﺪ .٢٠٠١ .ﻣﺴﻨﺪ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﲪﺪ .ﻁ .١ﺑﲑﻭﺕ :ﻣﺆﺳﺴﺔ ﺍﻟﺮﺳﺎﻟﺔ. ﺍﲢﺎﺩ ﺍﻟﻄﻠﺒﺔ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻳﲔ ﺍﳋﺮﳚﲔ ﻣﻦ ﺍﳉﺎﻣﻌﺎﺕ ﺍﻟﺒﺎﻛﺴﺘﺎﻧﻴﺔ " .١٩٩٧ .ﳓﻮ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ" ﻭﺭﻗﺔﻣﻘﺪﻣﺔ ﺇﱃ ﻣﺆﲤﺮ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﻭﻣﻌﺎﳉﺔ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻱ١١ﺃﻛﺘﻮﺑﺮ ٢٠٠٤ﻡ ﺑﻔﻄﺎﱐ .ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ. ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻴﺴﻰ .ﺏ ﺕ.ﺳﻨﻦ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ.ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺇﺣﻴﺎﺀ ﺍﻟﺘﺮﺍﺙ ﺍﻟﻌﺮﰊ. ﺍﻟﺪﺍﺭﻗﻄﲏ ،ﻋﻠﻲ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ.١٩٦٦ .ﺳﻨﻦ ﺍﻟﺪﺍﺭﻗﻄﲏ .ﺑﲑﻭﺕ :ﺩﺍﺭ ﺍﳌﻌﺮﻓﺔ. ﺩﻳﻦ ﺗﺆﻣﻴﻨﺎ .١٩٩٨ .ﺍﻵﻣﺎﻝ ﺍﳉﺪﻳﺪﺓ ﻣﻊ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ .ﻁ .١ﺑﺎﻧﻜﻮﻙ :ﻣﻄﺒﻌﺔ ﺃﺧﺒﺎﺭ ﻣﺴﻠﻢ. ﺷﺮﻛﺔ ﻣﺄﺗﻴﺠﻮﻥ ﺍﶈﺪﻭﺩﺓ.٢٠١٠ .ﺟﺮﻳﺪﺓ ﻣﺄﺗﻴﺠﻮﻥ ٥ .ﺃﻏﺴﻄﺲ .٢٠١٠ﻉ .١١٨٣٥ﺑﺎﻧﻜﻮﻙ :ﻣﻄﺒﻌﺔ ﻣﺄﺗﻴﺠﻮﻥ. ﺷﺮﻛﺔ ﻧﺎﻭﺍ ﻟﻠﺘﺄﺟﲑ.٢٠١٠ .ﻗﺮﺍﺭ ﲨﻌﻴﺔ ﻋﻤﻮﻣﻴﺔ ﺍﺳﺘﺜﻨﺎﺋﻴﺔ ﻟﻠﺸﺮﻛﺔ ١٩ .٢٥٥٣/٢ﺃﻛﺘﻮﺑﺮ ٢٠١٠ﻡ. ﺍﻟﻘﺎﻧﻮﻥ ﺍﳌﺪﱐ ﻭﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻱ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻟﺘﺠﺎﺭﻱ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﻣﺼﺮﻑ ﻋﻮﻡ ﺳﲔ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ﻗﺎﻧﻮﻥ ﻣﺼﺮﻑ ﻛﺎﻥ ﻛﺴﻴﺪ ﱄﺀ ﺳﺤﺎﻛﻮﻥ ﻛﺎﻥ ﻛﺴﻴﺪ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻱ ﺍﻟﻘﺮﺓ ﺩﺍﻏﻲ ،ﻋﻠﻲ ﳏﻲ ﺍﻟﺪﻳﻦ" .٢٠٠٠ .ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺗﻄﺒﻴﻘﺎﺎ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﺓ" .ﺝ .١ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ .ﻉ.١٢ ﻗﻠﻌﺔ ﺟﻲ ،ﳏﻤﺪ ﺭﻭﺍﺱ .١٩٩٩ .ﺍﳌﻌﺎﻣﻼﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﳌﻌﺎﺻﺮﺓ ﰲ ﺿﻮﺀ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﻭﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ .ﻁ .١ﺑﲑﻭﺕ: ﺩﺍﺭﺍﻟﻨﻔﺎﺋﺲ. ﳎﻠﺲ ﻭﺯﺭﺍﺀ ﺍﳊﻜﻮﻣﺔ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻳﺔ .١٩٩٧ .ﻗﺮﺍﺭ ﳎﻠﺲ ﻭﺯﺭﺍﺀ ﺍﳊﻜﻮﻣﺔ ﺍﻟﺘﺎﻳﻼﻧﺪﻳﺔ ﺭﻗﻢ ٢.٣ﰲ ﺷﺄﻥ ﺗﻨﻤﻴﺔ ﺍﳌﻨﺎﻃﻖ ﺍﳊﺪﻭﺩﻳﺔ ﺍﳉﻨﻮﺑﻴﺔ ﺍﳋﻤﺴﺔ )ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ( .ﺗﺎﺭﻳﺦ ١٥ﻳﻮﻟﻴﻮ ١٩٩٧ﻡ. ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ.١٩٨٦ .ﳎﻠﺔ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻰ .ﺝ.١ﻉ.٣ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ.١٩٨٨ .ﳎﻠﺔ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻰ .ﺝ.٤ﻉ.٥ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ.٢٠٠ .ﳎﻠﺔ ﳎﻤﻊ ﺍﻟﻔﻘﻪ ﺍﻹﺳﻼﻣﻰ .ﺝ.١ﻉ.١٢ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ.٢٠٠٣ .ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ .ﺑﺎﻧﻜﻮﻙ :ﺩﺍﺋﺮﺓ ﺍﻹﻋﻼﻡ ﺑﺎﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ .٢٠٠٤ .ﺍﻟﺘﻘﺮﻳﺮ ﺍﻟﺴﻨﻮﻱ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ٢٠٠٤ﻡ. ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ .٢٠٠٥ .ﺍﻟﺘﻘﺮﻳﺮ ﺍﻟﺴﻨﻮﻱ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ٢٠٠٥ﻡ. ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ .٢٠٠٦ .ﺍﻟﺘﻘﺮﻳﺮ ﺍﻟﺴﻨﻮﻱ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ٢٠٠٦ﻡ. ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ .٢٠٠٧ .ﺍﻟﺘﻘﺮﻳﺮ ﺍﻟﺴﻨﻮﻱ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ٢٠٠٧ﻡ. ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ .٢٠٠٨.ﺍﻟﺘﻘﺮﻳﺮ ﺍﻟﺴﻨﻮﻱ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ٢٠٠٨ﻡ. ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ .٢٠٠٩ .ﺍﻟﺘﻘﺮﻳﺮ ﺍﻟﺴﻨﻮﻱ ﻟﻠﻤﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ٢٠٠٩ﻡ. อัล-นูร
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
19
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ .ﺏ ﺕ .ﻋﻘﺪ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﺑﺎﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ. ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ .ﺏ ﺕ.ﻗﻮﺍﻋﺪ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﰲ ﲤﻮﻳﻞ ﻭﺧﺪﻣﺎﺕ ﺍﻟﺘﻤﻮﻳﻞ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ. ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ .ﺏ ﺕ.ﻻﺋﺤﺔ ﻭﺩﻟﻴﻞ ﻣﻨﺘﺠﺎﺕ ﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﰲ ﺍﻟﺴﻴﺎﺭﺓ ﺍﳉﺪﻳﺪﺓ. ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻟﺸﺮﻋﻲ " .٢٠٠٤ .ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻟﺸﺮﻋﻲ ﻟﺪﻯ ﻣﺼﺮﻑ ﻛﺮﻭﻧﺞ ﺗﺎﻱ" ﻭﺭﻗﺔ ﻣﻘﺪﻣﺔ ﺇﱃ ﻣﺆﲤﺮ ﺗﻨﻤﻴﺔ ﺍﳌﻨﺎﻃﻖ ﺍﳉﻨﻮﺑﻴﺔ ٢٥ﻣﺎﺭﺱ ٢٠٠٤ﻡ ﺑﻔﻄﺎﱐ. ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻟﻌﺎﻣﺔ ﻟﺘﻨﻤﻴﺔ ﺍﻟﺸﺆﻭﻥ ﺍﻻﻗﺘﺼﺎﺩﻳﺔ ﻭﺍﻻﺟﺘﻤﺎﻋﻴﺔ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ.١٩٩٦ .ﺗﻘﺮﻳﺮ ﺩﺭﺍﺳﺔ ﻣﺒﺪﺋﻴﺔ ﺣﻮﻝ ﺇﻣﻜﺎﻧﻴﺔ ﺇﻧﺸﺎﺀ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ .ﺑﺎﻧﻜﻮﻙ :ﺷﺮﻛﺔ ﺳﻴﺘﻴﻚ. ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ .٢٠٠٧ .ﺍﳌﻌﺎﻳﲑ ﺍﻟﺸﺮﻋﻴﺔ .ﳑﻠﻜﺔ ﺍﻟﺒﺤﺮﻳﻦ :ﻫﻴﺌﺔ ﺍﶈﺎﺳﺒﺔ ﻭﺍﳌﺮﺍﺟﻌﺔ ﻟﻠﻤﺆﺳﺴﺎﺕ ﺍﳌﺎﻟﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ. ﺍﻟﺮﺍﺑﻂ ﺍﳋﺎﺹ ﺑﺎﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ،
،http://www.ibank.co.th/٢٠١٠/th/news/ibank-news-detail.aspx?txtPage=١&Types=١&ID=٩٣ ﺗﺎﺭﻳﺦ ﺍﻟﺘﺼﻔﺢ ٢٠١٠/١٢/١ﻡ.
ﻣﻘﺎﺑﻠﺔ ﺷﺨﺼﻴﺔ ﻣﻊ ﺭﺋﻴﺲ ﺍﳍﻴﺌﺔ ﺍﻻﺳﺘﺸﺎﺭﻳﺔ ﻟﺪﻯ ﺍﳌﺼﺮﻑ ﺍﻹﺳﻼﻣﻲ ﺑﺘﺎﻳﻼﻧﺪ ،ﺗﺎﺭﻳﺦ ٢٠١٠/١٢/١٤ﻡ.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
21
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
บทความวิจัย
:ﻣﻨﻬﺞ ﺷﻴﺦ ﺯﻳﻦ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﻄﺎﱐ )ﺗﻮﺍﻥ ﻣﻴﻨﺎﻝ( ﺩﺍﱂ ﻓﻨﻮﻟﻴﺴﻦ ﻓﻘﻪ ﺳﻮﺍﺕ ﻛﺎﺟﲔ ﺗﺮﻫﺎﺩﻑ ﻛﺘﺎﺏ ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ
∗ ∗∗א ∗∗∗ ∗∗∗∗ א
אא
אא ﺷﻴﺦ אאא א ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ ﺍﻷﻧﺎﻡא א אאאאאאא :אאא אאאאא אא1 א אא אאאא 20א18אﺃﺧﲑ2 ﺍﻟﻠﺜﺎﻡא אאאאאאאאאא ﺷﻴﺦ אﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ אאאאאﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔﺍﻟﻠﺜﺎﻡ3 אא٢אא
א,א,,א ∗ א,א,, ∗∗ א,א,(linguistics)∗∗∗ א,א, (Malay language)∗∗∗∗
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
22
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
Abstract This research studies on the evolution of jurisprudence in the region of Patani particular and examines the character of Sheikh Zainul Abidin Bin Muhammad al-Fatani (Tuan Minal) and his approach in his book "Khashfullitham" Overall, this study focuses on the basis of documentary research and data analysis in the interpretation of the quality of the description. The study reveals the facts as follows: 1. The arrival of Islam in Pattani had emerged the generation of scholars that had played important role in spreading of Islam in this region. The development of jurisprudence in Pattani had been shown in several stages since the beginning of Islam to the present day. 2. In the late 1918 until mid-1920, Patani had come out many scholars and some of them was Sheikh Zainul Abidin Bin Muhammad al-Fatani (Tuan Minal).He was active and diligent in spreading Islam, and his "Khashfullitham" is one of the greatest books of fiqh in Malay. 3. The approach in his book, Sheikh exposed the Islamic principle that has a special approach in his view of legal provisions if compared with other books written by other scholars of his time in Pattani.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
23
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
א אאאאא אא א אא א אאא א ٢א אאאאא٢ א א אאאא א אאא٢א אא אאאאאאא א א א אא 395393:1993ﺯﺍﻟﻴﻼ ﺷﺮﻳﻒ ﺩﺍﻥ ﲨﻴﻠﺔ ﺣﺎﺝ ﺃﲪﺪ א א٢ אאאא אאאא٢ א (65-64 :1998 ،ﳏﻲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺣﺞ ﳛﲕא אאאא ٢ א ﻭﺍﻥ ﳏﻤﺪאאאאא 112:1994ﳏﻤﺪ ﺯﻣﱪﻱ ﻋﺒﺪﺍﳌﺎﻟﻚ25 :1990 ،ﺻﻐﲑ ﻋﺒﺪﺍﷲ א٢ א ٢ אא ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺯﻳﻦ א אא א א א א 2 :ﺕ، ﺕ،ﺍﻟﻔﻄﺎﱐ 18א ﺃﺧﲑ אﺧﺎ א א א א אאא 19א א ٢ א א א א ٢ ٢ 9538א א א א א א 108:1425אאא א א א ٢ א א א ﺳﺌﻮ אא א א א א א א א א א א א א ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ ﺍﻷﻧﺎﻡ א א อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
24
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
א א א א א א :אאא א1 ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ ﺍﻷﻧﺎﻡאאא ﺷﻴﺦ 2 אﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ ﺍﻷﻧﺎﻡ3 :אאא٢א א אאא :א א א אא ﲝﺜﻜﻦ א ٢ ٢ א ٢ אאא אאא٢אא٢ א ٢ :אא אאאאאא אא אא אאאאאא אאאא אאﺷﻴﺦ ﺷﻴﺦאא ﺷﻴﺦ אא ﺷﻴﺦא א 1א א 19ﺑﻠﻴﻮ ﺍﺩﺍﻟﻪ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﻓﻄﺎﱐאאא אאא אא אאאאאאאאא אאאאאא אאא אאאא אאﺗﺮﻟﺘﻖ ﺩﺩﺍﺋﺮﺓא 1
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
25
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
אאאאאא ﻣﻔﺘﺎﺡ ﺍﳌﺮﻳﺪ، ﻋﻘﻴﺪﺓ ﺍﻟﻨﺎﺟﲔ، ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻐﻴﺒﻴﺔ،ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ ﺍﻷﻧﺎﻡ א אא א אאא ﻓﺎﺋﺪﺓ ﺇﺭﺷﺎﺩ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩ ﺇﱃ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﻟﺮﺷﺎﺩ،ﰲ ﻋﻠﻢ ﺍﻟﺘﻮﺣﻴﺪ א78-67 :2001 ، ﺃﲪﺪ ﻓﺘﺤﻲ ﺍﻟﻔﻄﺎﱐאאא ﻛﺘﺎﺏ ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ ﺍﻷﻧﺎﻡ א ﺸﻒُ ﺍﻟِﻠّﺜﹶﺎ ﹺﻡ َﻋ ْﻦ ﹶﺃ ْﺳِﺌﹶﻠ ِﺔ ﹾﺍﻷَﻧﹶﺎ ﹺﻡ ْ ﹶﻛ אא ."ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡא אאא א ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ ﺍﻷﻧﺎﻡא 2:ﺗﻮﺍﻥ ﻣﻴﻨﺎﻝאﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ 4 ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ אאא אאא אא א א א א א א א א ﺃﺧﲑאא א אאא אאא 4 ﺍﻟﻠﺜﺎﻡאא א א : א 481 אא 1890 1307 א א 1891 1308 אא 2 4 2 א א1925 1344 אאאא 2 אא1926 1345 א ﻭﺍﻥ ﳏﻤﺪ ﺻﻔﲑאאאﺷﻴﺦאא א92-91 ، ﺍﻭﻑ ﺳﻴﺖ،ﻋﺒﺪﺍﷲ อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
26
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ﻣﻨﻬﺞ ﻓﻨﻮﻟﻴﺴﻦ ﻛﺘﺎﺏ ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ ﺍﻷﻧﺎﻡ ﺑﺮﻟﺒﻴﻪ ﺑﱪﺍﻑ א אאאא אאא ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ :א א1 אאאא אא אאא131130:1995אאאאא אאא אא ٢ אא 2אאאאא אאא ﺍﻟﻠﺜﺎﻡאא אאאא אא אאאאאא א אאאא אאא :אא אאאאאאא א אאאא אאאא א٢אאאאאאﻟﺸﻴﺦ א 2א :אאאאאא ﻕ ﻝ،)ﻓﺮﻉ( ﺗﺜﺎﺏ ﺍﳊﺎﺋﺾ ﻋﻠﻰ ﺗﺮﻙ ﺍﻟﺼﻼﺓ ﺇﻥ ﻗﺼﺪﺕ ﺍﻣﺘﺜﺎﻝ ﺍﻟﺸﺎﺭﻉ ﻭﺇﻻ ﻓﻼ 29:1420 אﺣﺎﺋﺾאא: 17אאאא "ﻭﻟﻮ ﺳﺮﻕ ﻓﺴﻘﻄﺖ ﳝﻨﺎﻩ ﻣﺜﻼ ﺑﺂﻓﺔ ﺃﻭ ﺟﻨﺎﻳﺔ ﻭﺇﻥ ﺃﻭﻫﻢ ﻛﻼﻡ ﺍﻷﺻﻞ ﺍﻟﺘﻘﻴﻴﺪ ﺑﺎﻵﻓﺔ ﺳﻘﻂ ﺍﻟﻘﻄﻊ ﻷﻧﻪ :1422 ، )ﺯﻛﺮﻳﺎ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭﻱ." ﲞﻼﻑ ﻣﺎ ﻟﻮ ﺳﻘﻄﺖ ﻳﺴﺮﺍﻩ ﻻ ﻳﺴﻘﻂ ﻗﻄﻊ ﳝﻨﺎﻩ ﻟﺒﻘﺎﺋﻬﺎ،ﺗﻌﻠﻖ ﺑﻌﻴﻨﻬﺎ ﻭﻗﺪ ﺯﺍﻟﺖ (199 อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
27
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
א אא אא אאא 377 א2 א א ﺧﻄﻴﺐאאאאאאא א٢ א אאא אאﺧﻄﻴﺐﻣﻐﲏ אאא אאא אאאא א א א ٢ אא 141140:1990א א אאאﺍﻟﻠﺜﺎﻡא אﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔאאאאﺧﺼﻮ א אﺷﻴﺦ אאא אאאאﺷﻴﺦאא ﻬﻧﺎﻳﺔ ﺍﶈﺘﺎﺝ ﺇﱃאאאא ﺍﳋﻄﻴﺐ אﺷﻴﺦ א ﺷﻴﺦ ﴰﺲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﲪﺰﺓ ﺍﻟﺮﻣﻠﻲ ﺷﺮﺡ ﺍﳌﻨﻬﺎﺝ : אאאא ﺷﻴﺦﺋﻞא אאאא 19אאאﻛﻤﺪﻳﻦ ﻣﻐﺮﺏ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﻫﻲ ﺍﻟﺼﻼﺓ ﺍﻟﻮﺳﻄﻰ ﻭﻫﻲ ﺃﻓﻀﻞ ﺍﻟﺼﻠﻮﺍﺕ ﻭﻳﻠﻴﻬﺎ ﺍﻟﺼﺒﺢ ﰒ ﺍﻟﻌﺸﺎﺀ ﰒ ﺍﻟﻈﻬﺮ ﰒ ﺍﳌﻐﺮﺏ ﻗﺎﻟﻪ ﺣﺞ א אאﻣﺸﻐﻮא אא אאאאא אאאא אא אאא אא 31
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
28
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
) ﻓﻠﻤﺄﻣﻮﻡ( ﻣﻮﺍﻓﻖ ) ﺃﻥ ﻳﺸﺘﻐﻞ ﺑﺪﻋﺎﺀ ﻭﳓﻮﻩ( ﺃﻣﺎ ﺍﳌﺴﺒﻮﻕ ﻓﺈﻥ ﻛﺎﻥ ﺟﻠﻮﺳﻪ ﻣﻊ ﺍﻻﻣﺎﻡ ﰲ ﳏﻞ ﺗﺸﻬﺪﻩ ﻓﺈﻥ ﻗﻌﺪ ﻋﺎﻣﺪﺍ ﻋﺎﳌﺎ ﺑﺎﻟﺘﺤﺮﱘ ﺑﻄﻠﺖ،ﺍﻷﻭﻝ ﻓﻜﺬﻟﻚ ﻣﻊ ﻛﺮﺍﻫﺔ ﺗﻄﻮﻳﻠﻪ ﻭﺇﻻ ﻓﻴﻘﻮﻡ ﻓﻮﺭﺍ ﺑﻌﺪ ﺍﻟﺘﺴﻠﻴﻤﺔ ﺍﻟﺜﺎﻧﻴﺔ .(379 ، ﺍﻭﻑ ﺳﻴﺖ،ﺻﻼﺗﻪ" )ﺯﻛﺮﻳﺎ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭﻱ 379אאאא .(84 ،ﺕ، ﺕ، ﺯﻳﻦ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ،)ﺍﳌﻠﺒﺎﺭﻱ."( )ﺑﻼ ﻋﻮﺽ... (")ﺍﳍﺒﺔ ﲤﻠﻴﻚ ﻋﲔ אאאאאא אא אאאאאאאא ٢ אא 364אא אא ﻭﳍﺬﺍ ﻛﺎﻥ ﺣﺪﻩ ﺃﺷﺪ،" ﻭﺍﺗﻔﻖ ﺃﻫﻞ ﺍﳌﻠﻞ ﻋﻠﻰ ﲢﺮﳝﻪ ﻭﻫﻮ ﻣﻦ ﺃﻓﺤﺶ ﺍﻟﻜﺒﺎﺋﺮ ﻭﱂ ﳛﻞ ﰲ ﻣﻠﺔ ﻗﻂ .(521 ،ﺕ، ﺕ، ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ،ﺍﳊﺪﻭﺩ ﻷﻧﻪ ﺟﻨﺎﻳﺔ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﻋﺮﺍﺽ ﻭﺍﻷﻧﺴﺎﺏ" )ﺍﻟﺸﺮﺑﻴﲏ 3 אאﺍﻟﻠﺜﺎﻡא א٢אאא א ٢ אא א א ﺩﺃﺧﲑאא אא אאאא ﻏﺮﻳﺐאא א אאאא ﺗﺮﻫﺎﺩﻑ ﺑﺮﻻﻛﻮ ﻣﺴﺄﻟﺔאאא :אאא אאאא א ﺧﻄﻴﺐאאאאא 19א אא א אא 201 אאאא אאא 385אאאא אא4 אאאאאאא אאאﺍﻟﻠﺜﺎﻡאאﺣﺪﻳﺚאא אא א อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
29
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
א אאא א ﺣﺪﻳﺚאאאאא א ﺣﺪﻳﺚאאא אאאא אאא ، ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ אא ﺣﺪﻳﺚ אאא٢א א א אא ﺣﺪﻳﺚאאאאא ﺣﺪﻳﺚ :אא אאאא zP O N M L K J {
אא:א 92:4א
אאאאאא א ﺧﱪא "ﻡ ﺏ ﹶﺃ ْﺳ ﹶﻜ َﺮ ﹶﻓﻬُ َﻮ َﺣﺮَﺍ " ﹸﻛﻞﱡ َﺷﺮَﺍ ﹴ אא ،(5263 : ﺭﻗﻢ، ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ،)ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ .(5329 : ﺭﻗﻢ، ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ،)ﻣﺴﻠﻢ א5 אאאאא ﺧﺼﻮאאא ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ א א אאאאאא ﻓﺮﻭﻉ ﺍﳌﺴﺎﺋﻞ، ﺳﻠﻢ ﺍﳌﺒﺘﺪﻱ، ﺍﳉﻮﺍﻫﺮ ﺍﻟﺴﻨﻴﺔ، ﻓﺘﺢ ﺍﳌﻨﺎﻥ،ﻫﺪﺍﻳﺔ ﺍﳌﺘﻌﻠﻢאא אא ﺷﻴﺦאאאאא ﺷﻴﺦאאא ﺷﻴﺦ אאאאא אאאא א א٢ อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
30
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
אאאאאאאא٢ א א אאאא א א אאא א ﺩ ﺃﺧﲑ ﻱאאא א אא ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ א ﺃﺧﻼﻕ א ٢ אאאא אﺩﺃﺧﲑ א אא .1 :אאאאאאא אא אאא אא א אאאא אאא א א אא אאאאאאאא אא20א18אﺃﺧﲑﺍﻥ ٢א אאאאאא א אא ﺷﻴﺦא אא 19 ﺑﻠﻴﻮ ﺍﺩﺍﻟﻪ ﻋﻠﻤﺎﺀ ﻓﻄﺎﱐאאאא אאאאאא אאאא אאא ﻣﻔﺘﺎﺡ، ﻋﻘﻴﺪﺓ ﺍﻟﻨﺎﺟﲔ، ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻐﻴﺒﻴﺔ،ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ ﺍﻷﻧﺎﻡ א א אאא ﻓﺎﺋﺪﺓ ﺇﺭﺷﺎﺩ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩ ﺇﱃ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﻟﺮﺷﺎﺩ،ﺍﳌﺮﻳﺪ ﰲ ﻋﻠﻢ ﺍﻟﺘﻮﺣﻴﺪ אאאאאאאא .ﲨﻌﺔ ﺩﺍﻥ ﲢﻘﻴﻖ ﺍﻟﻜﻼﻡ ﰲ ﺑﻴﺎﻥ ﺍﺑﺘﺪﺍﺀ ﺍﻟﺼﻴﺎﻡ אאאאﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔﺍﻟﻠﺜﺎﻡ א4 א א: 4א อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
31
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
אאא :אאא א1890 1307 א א אאאא א א א א א א אאאאאאאאא אא אאא ﺧﺮא אאאאאﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ אא ﺧﺼﻮא א אאאאאא אא ﺋﻞא אא אאא אא ٢א אאאאא ﺩﺃﺧﲑ אא ﻏﺮﻳﺐאאאאאאאא אﺗﺮﻫﺎﺩﻑ ﺑﺮﻻﻛﻮﺧﺼﻮא אא אאא ﺍﻟﻠﺜﺎﻡאאﺣﺪﻳﺚאא٢ אאאאאא٢אא אא אאאא ﺣﺪﻳﺚאאאאא ﺣﺪﻳﺚ א אאאאאאאאא אאﺣﺪﻳﺚא אאא٢אאא อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
32
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ﺣﺪﻳﺚאא אאא ﺣﺪﻳﺚא ﺣﺪﻳﺚ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ אאאא ﺧﺼﻮאא א א א א אא ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ א אאא אאאאאאאא٢ א א אאאא א א א אא א ﺩﺃﺧﲑﻱ א א א אאא ﺍﻟﻠﺜﺎﻡא ﺃﺧﻼﻕ א ٢אאאא ﺩﺃﺧﲑ א .2 א:אאאאﺷﻴﺦא :א אאﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﺧﺼﻮאאאאא א1 א אא אאאאאאא א אאאאא 2 אאאאﺳﺌﻮאאאאא אאא א ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔאאא3 אאא אא :אאאﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ4
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
33
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
אאאא411 אאאאאא אאאﺧﺮאאא412 אאאאאאא א אא413 ﺩﺃﺧﲑ א א א ٢ א אאאאאאאא א אא ٢אא ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ א א ﺣﺪﻳﺚ א א ٢414 אאאאאאא א א א א אא ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ 415 אאאא אאא אאא ﻣﺘﺄﺧﺮﻳﻦא א א.3 אאאאאא אא ﺧﺼﻮﺹאא :אאאא אאא ٢אאאאאא א1 ﺧﺼﻮ אאאאא א אאאאאאא א אאאאא2 אאאאאאאאאאא א אא3 אא ﻣﻨﺘﺨﺮﻳﺞא אאאאא อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
34
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
אאא אא4 אאאא א א אאאאאא5 אאאא . ﻓﺮﻳﺲ ﺳﻨﺪﻳﺮﻳﻦ ﺑﺮﺣﺪ א:א . .2001 .ﺃﲪﺪ ﻓﺘﺤﻲ ﺍﻟﻔﻄﺎﱐ 1419 א א אא 1419 .ﺃﲪﺪ ﻓﺘﺤﻰ ﺍﻟﻔﻄﺎﱐ 25185571999א . ﻣﻜﺘﺒﺔ ﻭﻣﻄﺒﻌﺔ ﳏﻤﺪ ﻬﻧﺪﻱ ﻭﺃﻭﻻﺩﻩ: ﺑﺎﻧﻜﻮﻙ. ﺗﺴﻬﻴﻞ ﻧﻴﻞ ﺍﻷﻣﺎﱐ. ﺕ ﺕ.ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺯﻳﻦ ﺍﻟﻔﻄﺎﱐ . ﺩﺍﺭ ﺍﺑﻦ ﻛﺜﲑ: ﺑﲑﻭﺕ. ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ.1414 . ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ،ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ . ﺑﻦ ﻫﻼﰊ: ﻓﻄﺎﱐ. ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﻋﻦ ﺃﺳﺌﻠﺔ ﺍﻷﻧﺎﻡ. ﺕ ﺕ. ﺯﻳﻦ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﻄﺎﱐ،ﺗﻮﺍﻥ ﻣﻴﻨﺎﻝ אא אא 2001 א٢א:א9067 ﺎﺱ ﺩﻳﻮﺍﻥ ﻓﺮ. . א .1993 .ﺯﺍﻟﻴﻼ ﺷﺮﻳﻒ ﺩﺍﻥ ﲨﻴﻠﺔ ﺣﺎﺝ ﺃﲪﺪ .ﺩﺍﻥ ﻓﻮﺳﺘﺎﻛﺎ . ﺩﺍﺭﺍﻟﻜﻔﺮ: ﺑﲑﻭﺕ. ﻓﺘﺢ ﺍﻟﻮﻫﺎﺏ ﺑﺸﺮﺡ ﻣﻨﻬﺞ ﺍﻟﻄﻼﺏ.1422 . ﺯﻛﺮﻳﺎ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ،ﺯﻛﺮﻳﺎ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭﻱ אא : .א .1997 .ﺳﻴﱵ ﺣﻮﺍ ﺣﺎﺝ ﺳﺎﱀ . ﻣﻄﺒﻌﺔ ﺑﻦ ﻫﻼﰊ: ﻓﻄﺎﱐ. ﺍﻹﻗﻨﺎﻉ ﰲ ﺣﻞ ﺃﻟﻔﺎﻅ ﺃﰊ ﺷﺠﺎﻉ. ﺕ ﺕ. ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ،ﺍﻟﺸﺮﺑﻴﲏ אא: אא1995 א 19 אאא אאא .1990 .ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺣﺎﺝ ﻋﺒﺪﺍﷲ .אא: ." "ﺍﻟﺪﻋﻮﺓ ﺍﻻﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺗﺎﻳﻠﻨﺪ ﻭﻣﻨﻬﺞ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﰲ ﺳﺒﻴﻠﻬﺎ ﺧﻼﻝ ﺍﻟﻘﺮﻥ ﺍﻟﻌﺸﺮﻳﻦ.1428 .ﻋﺒﺪﺍﻟﻨﺎﺻﺮ ﺃﲪﺪ ﻣﺎﻧﺎﻫﺎ אאא . ﺩﺍﺭﺍﻟﻜﺘﺐ ﺍﻟﻌﻠﻤﻴﺔ: ﺑﲑﻭﺕ. ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻔﺮﻭﻉ.1420 . ﺣﺴﲔ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ،ﺍﶈﻠﻲ .ﺎﺱ ﺩﺍﻥ ﻓﻮﺳﺘﺎﻛﺎ ﺩﻳﻮﺍﻥ: ﻛﻮﺍﻻ ﻟﻮﻣﻔﻮﺭ.א .1994 .ﳏﻤﺪ ﺯﻣﱪﻱ ﻋﺒﺪﺍﳌﺎﻟﻚ ﻛﻮﻟﻴﺞ. ﻛﻔﺪ ﺧﺰﺍﻧﺔ ﻋﻠﻤﻮ ﺍﺳﻼﻡ ﺩﻧﻮﺳﻨﺘﺎﺭﺍ אא ﺷﻴﺦ.ﺏ1425 .ﳏﻤﺪ ﻻﺯﻡ ﻻﻭﻱ . ﺟﺎﺑﱳ ﺍﺻﻮﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ. ﺍﺳﻼﻡ ﻓﺎﻛﻮﻟﱵ.ﺍﺳﻼﻡ ﺟﺎﻻ อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
35
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
.ﺎﺱ ﺩﺍﻥ ﻓﻮﺳﺘﺎﻛﺎ ﺩﻳﻮﺍﻥ: ﻛﻮﺍﻻ ﻟﻮﻣﻔﻮﺭ. ﺍﺳﻼﻡ ﺩﺩﺍﱂ ﻣﻼﻳﻮ.1998 .ﳏﻲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺣﺞ ﳛﲕ . ﺩﺍﺭ ﺍﺑﻦ ﺣﺰﻡ: ﺑﲑﻭﺕ. ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ.1416 .ﻣﺴﻠﻢ ﺑﻦ ﺍﳊﺠﺎﺝ . ﻋﻴﺴﻰ ﺍﻟﺒﺎﰊ ﺍﳊﻠﱯ ﻭﺷﺮﻛﺎﻩ: ﻣﺼﺮ. ﻓﺘﺢ ﺍﳌﻌﲔ ﺑﺸﺮﺡ ﻗﺮﺓ ﺍﻟﻌﲔ. ﺕ ﺕ. ﺯﻳﻦ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﻟﻌﺰﻳﺰ،ﺍﳌﻠﻴﺒﺎﺭﻱ א ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ ﺷﻴﺦ א " . ﺕ ﺕ ﺃ.ﻭﺍﻥ ﳏﻤﺪ ﺻﻐﲑ ﻋﺒﺪﺍﷲ א ﻛﺘﺎﺏ א ﺻﻐﲑאא " א ﺧﺰﺍﻧﺔ ﻓﻄﺎﻧﻴﺔ:ﻛﻮﺍﻻ ﻟﻮﻣﻔﻮﺭ. 100-90 ﻣﻮﻙ ﺳﻮﺭﺕ.1991-1990 א ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ אא "ﺷﻴﺦ. ﺕ ﺕ ﺏ.ﺎﺱ ﺩﻳﻮﺍﻥ אא אﺻﻐﲑאא " .95-90 ﻣﻮﻙ ﺳﻮﺭﺕ.1995-1989 א א אאא . ﺧﺰﺍﻧﺔ ﻓﻄﺎﻧﻴﺔ:ﻛﻮﺍﻻ ﻟﻮﻣﻔﻮﺭ . ﺣﺮﰊ: ﺷﺎﻩ ﻋﺎﱂ.אא אאאא ﺷﻴﺦ.1990 .ﺎﺱ ﺩﻳﻮﺍﻥ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
37
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
วิพากษ์หนังสือ / Book Review
หนังสือฟิกฮฺ อัลมันฮะญีย์ เล่มที่ 6 เรือ่ งการซื้อขาย ผู้เขียน: มุศเฏาะฟา อัลคิน และ มุศเฏาะฟา อัลบุฆอ สํานักพิมพ์: สํานักพิมพ์ ดารุลกอลัม ดิมิซฺก, 1987 ผู้วิพากษ์: อับดุลอาซิส แวนาแว∗ : มุฮําหมัดซากี เจ๊ะหะ** ข้อมูลเบื้องต้นของหนังสือเล่มนี้ ชื่อหนังสือ อัลฟิกฮฺ อัลมันฮะญีย์ เล่ม 6 เป็นหนังสือภาษาอาหรับ ผู้เขียนมี 2 ท่าน 1.มุศเฏาะฟา อัลคิน 2.มุศเฎาะฟา อัลบุฆอ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ยึดหลักนิติศาสตร์ในแนวของชาฟิอีย์ รวบรวมบทต่าง ๆ ที่มีคุณค่าจากบทบัญญัติอิสลามนําเสนอเรื่องหลัก ๆ ของแต่ละบท เช่น คํานิยาม อธิบายการ บัญญัติเคล็ดลับของการบัญญัติ องค์ประกอบสําคัญ กฎเกณฑ์ และข้อกําหนด พร้อมระบุหลักฐาน หรือเหตุผลข้อแต่ ละข้อกําหนดประกอบด้วย 10 บท บทที่ 1. เรื่องการซื้อขาย บทที่ 2. การซื้อขายล่วงหน้า บทที่ 3.ริบา บทที่ 4. การ แลกเปลี่ยนเงินตรา บทที่ 5 การกู้ยืม บทที่ 6 การยกให้ บทที่ 7 การเช่า-การจ้าง บทที่ 8 การตั้งรางวัล บทที่ 9 การ ประนีประนอม และบทที่ 10 การโอนหนี้ ในส่วนของเนื้อหาผู้เขียนได้กล่าวถึงเรื่องการซื้อขายความหมายของการซื้อขาย องค์ประกอบของการซื้อขาย การรับสินค้าและความรับผิดต่อสินค้า สิทธิ์ในการตัดสินใจจะซื้อจะขาย การซื้อขายที่ศาสนาอนุญาตและการซื้อขาย ที่ต้องห้าม ระเบียบการซื้อขายตลอดจนการยกเลิกข้อตกลง ริบา ทรัพย์ที่จะเกิดริบา สาเหตุที่ทําให้เกิดริบา ประเภท ของริบา ดอกเบี้ยเงินกู้ การแลกเปลี่ยนเงินตรา ข้อกําหนดทางศาสนบัญญัติของการซื้อขาบแลกเปลี่ยนเงินตรา เงื่อนไขการแลกเปลี่ยนเงินตรา การกูยืม คํานิยามของนักนิติศาสตร์อิสลาม การบัญญัติการกูยืม เคล็ดลับการบัญญัติ การกู้ยืม เงื่อนไขของทรัพย์สินที่จะกู้ยืม การยกให้ องค์ประกอบสําคัญและเงื่อนไขการให้ การเช่า-การจ้าง การ บัญญัติเรื่องการเช่าและการจ้าง องค์ประกอบและเงื่อนไขของการเช่าและการจ้าง การตั้งรางวัล โดยการตั้งรางวัลถูก บัญญัติอยู่ในหลักศาสนา มีหลักฐานจากหะดีษ เคล็ดลับเรื่องการตั้งรางวัล องค์ประกอบสําคัญของการตั้งรางวัล ข้อกําหนดของการตั้งรางวัล การประนีประนอม บัญญัติเรื่องการประนีประนอม เคล็ดลับในการบัญญัติเรื่องการ ประนีประนอม ประเภทของการประนีประนอม การโอนหนี้ องค์ประกอบของการโอนหนี้และเงื่อนไข ข้อกําหนดของ การโอนหนี้ สิ้นสุดการโอนหนี้ ผู้เขียนได้นําเสนอเนื้อหาหลักเกี่ยวกับมุอามะลาต โดยการกล่าวถึงบทบัญญัติการซื้อขายที่เป็นบทแรก และ ลงท้ า ยด้ ว ยการโอนหนี้ ซึ่ ง มี เ นื้ อ หาพอสั ง เขปดั ง นี้ ความหมายของการซื้ อ ขายตามหลั ก ภาษา หมายถึ ง การ แลกเปลี่ยนสิ่งหนึ่ง,โดยไม่คํานึงว่าสองสิ่งที่นํามาแลกเปลี่ยนกันนั้นจะเป็นทรัพย์สินหรือไม่ และให้ความหมายของการ ซื้อขายตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม หมายถึง ข้อตกลงแลกเปลี่ยนสิ่งที่เป็นทรัพย์สินกับสิ่งที่เป็นทรัพย์สิน เพื่อให้อีก ฝ่ายหนึ่งครอบครองตลอดไป ∗
นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาชะรีอะฮฺ คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
**
อัล-นูร
Asst. Prof. Ph.D. (law) อาจารย์ประจําสาขาวิชาชะรีอะฮฺ (กฎหมายอิสลาม) คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
38
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
บทบั ญ ญั ติ ก ารซื้ อ ขายประกอบด้ ว ยหลั ก ฐานจากอั ล กุ ร อาน อั ล -หะดี ษ และอิ จ มาอฺ ( ความเห็ น ของ นักวิชาการที่ไม่มีใครปฏิเสธ) และยังได้อธิบายเคล็ดลับที่อัลลอฮฺทรงบัญญัติการซื้อขายว่า มนุษย์มีความต้องการ ปัจจัยในการดํารงชีพ และมนุษย์ไม่สามารถผลิตปัจจัยเหล่านั้นได้ต้องมีการแลกเปลี่ยนซึ่งหมายถึงการซื้อขายนั้นเอง สัญญาซือ้ ขายเป็นข้อตกลงและข้อตกลงนัน้ ต้องมีองค์ประกอบ องค์ประกอบแรก ต้องมีคู่ทําทําสัญญาซื้อขายที่บรรลุศาสนภาวะ มีสติปัญญาที่สมบรูณ์ ต้องเป็นผู้ท่ีสมัคร ใจทําสัญญาซื้อขาย คู่ทําสัญญาซื้อขายต้องเป็นคนละคนกัน และต้องมองเห็นในทรัพย์ที่จะทําสัญญาซื้อขาย องค์ประกอบที่สอง ถ้อยคําที่ใช้ในการทําสัญญาซื้อขาย ซึ่งสัญญาการซื้อขายนั้นเป็นสัญญาที่บ่งบอกให้รู้ว่า ต้องการทําสัญญาซื้อขาย และเงื่อนไขของถ้อยคําที่ใช้ในการทําสัญญาซื้อขายต้องมีคําเสนอและคําสนองที่สอดคล้อง กัน และจะต้องไม่นําไปผูกพันกับเงื่อนไขใด ๆ หรือตั้งกําหนดเวลา องค์ประกอบที่สาม สินค้าและราคา สินค้าที่จะทําสัญญาซื้อขายต้องเป็นสินค้าที่มีอยู่ในขณะทําสัญญาซื้อ ขาย เป็นสินค้าที่มีประโยชน์ มีความสามารถที่พร้อมจะส่งมอบได้ สินค้าและราคาต้องอยู่ในอํานาจการปกครองหรือ เป็นกรรมสิทธิ์ของคู่ทําสัญญาซื้อ-ขายและต้องเป็นที่รู้กันดีสําหรับคู่ทําสัญญาซื้อขาย การรับสินค้าและความรับผิด ต่อสินค้า สิทธิ์ในการตัดสินใจจะซื้อจะขาย เมื่อสัญญาซื้อขายสมบรูณ์ และสินค้านั้นยังคงอยู่ในมือของผู้ขาย ผู้ขาย จะต้องเป็นผู้รับผิดในสินค้านั้น ถ้าหากผู้ซื้อได้รับสินค้านั้นไปแล้ว สินค้านั้นจะอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ซื้อ แต่ ศาสนาอิสลามก็ยังให้โอกาสที่จะตัดสินใจจะซื้อจะขายได้ 3 กรณี 1.สิทธิ์ในการตัดสินใจจะซื้อจะขายขณะอยู่ในสถานที่ตกลงซื้อขาย 2.สิทธิ์ในการตัดสินใจจะซื้อจะขายตามเงื่อนไข 3.สิทธิ์ในการตัดสินใจจะซื้อจะขายเพราะมีตําหนิเกิดขึ้น ผู้เขียนยังได้นําเสนอการซื้อขายที่ศาสนาอนุญาตและการซื้อขายที่ต้องห้าม การซือ้ ขายทีศาสนาอนุญาตมีดงั นี้ 1.อัตเตาลียะห์การขายสิ่งที่เขาซื้อมา และรับไว้แล้ว ด้วยราคาเดียวกับที่เขาซื้อมา โดยไม่ได้ระบุราคานี้.หรือเขากล่าว แก่ผู้ซื้อว่า : ฉันให้ท่านครอบครองข้อตกลงนี้ 2.อัลอิชรอก เหมือนกับ อัตเตาลียะห์ แต่ อัลอิฃรอกเป็นการขายสินค้าเพียงบางส่วน ไม่ใช่ ทั้งหมดเช่นกล่าวแก่ผู้ซื้อว่า ฉันให้ท่านมีส่วนร่วมในข้อตกลงนี้ ครึ่งหนึ่งด้วยราคาครึ่งหนึ่งของมันเป็นต้น 3.อัลมุรอบะฮะห์ คือ การซื้อขายสิ่งที่ตนซื้อและรับมาแล้ว ด้วยราคาเท่ากับที่ซื้อมาพร้อมบวกกําไรที่กําหนดขึ้น 4.อัลมุฮาตอเตาะห์ คือ การขายสิ่งที่ตนซื้อและรับมาแล้วด้วยราคาเท่ากับที่ซื้อมา พร้อมลดราคาลง หรือ ยอมขาดทุนเป็นจํานวนที่แน่นอน ส่วนการซื้อขายที่ต้องห้ามผู้เขียนได้นําเสนอ การซื้อขายที่ต้องห้ามตกเป็นโมฆะ และการซื้อขายที่ต้องห้าม แต่ไม่ตกเป็นโมฆะ การซือ้ ขายทีต่ อ้ งห้ามตกเป็นโมฆะ ซึง่ ได้แก่ 1.การขายน้ํานมที่ยังอยู่ในเต้านมก่อนที่จะรีด ขายขนสัตว์ที่ยังอยู่กับตัวสัตว์โดยยังไม่ได้ตัดออก และการขาย ผลไม้ที่อยู่กับต้นก่อนสุก 2.การซื้อขายที่มีความเสี่ยง 3. การซื้อขายที่มีข้อตกลงสองแบบอยู่ในการซื้อขายเดียว 4.การขายแบบมีมัดจํา
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
39
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
5.การขายหนี้ด้วยหนี้ 6.ขายสินค้าก่อนรับมันมา การซือ้ ขายทีต่ อ้ งห้ามแต่ไม่ตกเป็นโมฆะ ซึง่ ได้แก่ 1.การขายสัตว์ที่ถูกกักไว้โดยไม่รีดนม 2.ปั่นราคาสินค้าให้สูงขึ้น 3.การขายของคนเมืองให้แก่คนชนบท 4.การออกไปดักพบกองคาราวานสินค้า 5.การกักตุนสินค้า 6.การขายตัดราคาและการแย่งซื้อแย่งขาย 7.การค้าขายกับบุคคลที่รู้กันดีว่าทรัพย์สินของเขาทั้งหมดเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ผู้เขียนได้กล่าวถึงระเบียบการซื้อขายตลอดจนการยกเลิกข้อตกลง ส่วนหนึ่งของระเบียบการซื้อขาย 1.ต้องมี ความยืดหยุ่นในการซื้อขาย 2.มีสัจจะในการทําธุรกิจ 3.ไม่ต้องสาบานถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง 4.ทําทานให้มากขณะ อยู่ในตลาดและขณะทําการซื้อขาย 5.การบันทึกและอ้างอิงพยาน ในการยกเลิกข้อตกลงมีองค์ประกอบและเงื่อนไขเหมือนกับการทําข้อตกลง ต้องมีการอีญาบ(คําเสนอ)และ กอบูล(คําสนอง) ส่วนเงื่อนไขของการยกเลิกคือ 1ทั้งสองฝ่ายต้องเต็มใจ 2.ในการยกเลิกข้อตกลงจะต้องไม่มีการเกิน เลยหรือหย่อนไปกว่าข้อตกลงผู้เขียนได้ยกทัศนะของทัศนะของอิมามมาลิก ซึ่งอิมามมาลิกได้ให้ทัศนะในเรื่องนี้ว่า การ ยกเลิกข้อตกลง ถือเป็นการทําข้อตกลงซื้อขายกันใหม่ ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ยึดหลักนิติศาสตร์ในแนวของชาฟิอีย์ แต่ผู้เขียนก็ไม่ละเลยที่จะนําทัศนะ ของอิมามท่านอื่นมานําเสนอในหนังสือของตน ชี้ให้เห็นว่าผู้เขียนเป็นผู้ที่ไม่ยึดติดกับทัศนะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ผู้เขียนยังได้กล่าวถึงการซื้อขายล่วงหน้า ซึง่ เป็นการขายชนิดหนึ่งที่อยู่ในข้อยกเว้นของการขายสินค้าที่ยังไม่มี และขายสิ่งที่ผู้ขายยังไม่ได้ครอบครองไว้ เหตุที่อัลลอฮฺทรงบัญญัติการซื้อขายล่วงหน้าเพราะประชาชนมีความต้องการ ซื้อขายแบบนี้โดยได้ยกหะดีษที่รายงานโดยอับดุลเลาะห์ บุตร อับบาส (ร.ด) ได้รายงานว่า “ท่านนบีมาถึง มะดีนะฮฺ โดยพวกเขายังทําการซื้อขายผลไม้ล่วงหน้าเป็นเวลาหนึ่งปีและสองปีท่านได้กล่าวว่า: ” ผู้ใดซื้อขายล่วงหน้า ให้เขาจง ซื้อขายล่วงหน้าในเครื่องตวงที่รู้แน่นอน และในเครื่องชั่งที่รู้แน่นอน โดยมีกําหนดเวลาที่รู้แน่นอน” (รายงานโดยบุคอรี: การซื้อขายล่วงหน้า บท การซื้อขายล่วงหน้า ในเครื่องชั่งที่รู้แน่นอน เลขที่ 2125 มุสลิมในเรื่อง มุซากอห์ บท: การซื้อขายล่วงหน้า เลขที่ 1604 จะเห็นว่าในการอ้างอิงหะดีษผู้เขียนมีการอ้างอิงที่ละเอียด มีการบอกว่าหะดีษมาจากใคร บทไหนเรื่องอะไร เลขที่หะดีษ นอกจากนี้ผู้เขียนกล่าวถึง ริบา ในหลักนิติศาสตร์อิสลามริบาคือข้อตกลงที่เกิดขึ้นในทรัพย์สินที่ถูกกําหนดไว้ แล้วซึ่งไม่รู้ว่าเท่ากันตามมาตรฐานของศาสนาขณะทําข้อตกลงหรือมีคําแลกเปลี่ยนกันทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การแลกเปลี่ยนเงินตรา คือการที่แต่ละฝ่ายนําสิ่งที่มีค่าของตนที่เป็นประเภทเงินตรามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน หรือคือ การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตรากับเงินตรา การกู้ยืม คือ การให้ผอู้ ื่นครอบครองสิ่งหนึ่งที่เป็นทรัพย์ โดยจะต้องใช้คืนสิ่ง ที่ใช้คืนกันได้ โดยไม่มีส่วนเกิน การยกให้ คือ ข้อตกลงที่บอกแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้เข้าครอบครองสิ่งของเป็นกรรมสิทธิ์ โดยไม่มีค่าตอบแทน ในขณะที่ผู้ให้ยังมีชีวิตอยู่โดยสมัครใจ การเช่า-การจ้างโดยผู้เขียนได้นําเสนอความหมายจาก
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
40
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
เจ้าของหนังสือ คือ ทําการตกลงกันบนผลประโยชน์ที่มีจุดมุ่งหมายที่รู้กันดีแลกเปลี่ยนกับการใช้งานและอนุญาตให้ เอาประโยชน์โดยมีค่าตอบแทนที่รู้กัน ผู้วิพากษ์มีความเห็นว่า การให้ความหมายที่ผู้เขียนได้นําเสนอความหมายของการเช่า-การจ้าง จากหนังสือ มุฆนีมัวฮ์ตาจ ยังไม่ชัดเจนควรมีการอธิบายเพิ่มเติม การตั้งรางวัล คือการผูกพันค่าตอบแทนที่กําหนดแน่นอนให้แก่ การทํางานที่แน่นอนที่รู้กันดีห รือยัง ไม่รู้จากตัวบุคคลที่แน่น อนหรือไม่รู้ตัว บุคคลหมายความว่าชิ้นงานนี้เกิดจาก คนทํางานที่รู้ตัวแน่นอนหรือไม่รู้ชิ้นงานที่แน่นอน การประนีประนอม คือข้อตกลงที่จะทําให้เกิดการประนีประนอม และขจัดข้อพิพาทออกไป การโอนหนี้ คือข้อตกลงโอนหนี้จากความรับผิดชอบหนึ่งไปยังอีกความรับผิดชอบหนึ่ง บทสรุปจากการวิพากษ์ที่ผู้วิพากษ์ได้ทําการวิพากษ์มีดังนี้ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ใช้ ภาษาที่ง่าย นําเสนอเนื้อหาที่ประกอบด้วยคํานิยาม อธิบายการบัญญัติเคล็ดลับของการบัญญัติ องค์ประกอบสําคัญ กฎเกณฑ์ และข้อกําหนด พร้อมระบุหลักฐาน หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ยึดหลักนิติศาสตร์ในแนวของชาฟิอีย์ รวบรวมบทต่าง ๆ ที่มีคุณค่าจากบทบัญญัติ อิสลามนําเสนอเรื่อง หรือเหตุผลข้อแต่ละข้อกําหนดประกอบด้วย 10 บท ประกอบด้วย 1.การซื้อขาย 2.การซื้อขาย ล่ว งหน้ า 3.ริ บา 4. การแลกเปลี่ย นเงิ น ตรา 5.การกู้ ยื ม 6.การยกให้ 7.การเช่ า -การจ้ า ง 8.การตั้ ง รางวั ล การ ประนีประนอม และ 10 การโอนหนี้ ในภาพรวมเป็ น หนั ง สื อ ที่ มี เ นื้ อ หาที่ ค่ อ นข้ า งครอบคลุ ม มี เ นื้ อ หาที่ ก ะทั ด รั ด ไม่ ย าวจนเกิ น ไป มี ก ารยก หลักฐานจากอัลกุรอาน อัลหะดีษ และทัศนะของนักวิชาการที่น่าเชื่อถือ และมีการอ้างอิงที่ละเอียดชัดเจน เป็นหนังสือ ที่เหมาะแก่การอ่านสําหรับนักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
41
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
บทความวิจัย
Students’ Attitudes toward their Arabic Language Use at Islamic Private Secondary Schools in Yala Province, Southern Thailand Mohamed Ibrahim Dahab∗ Abstract Self-evaluation plays a key role in fostering learning in second language (L2). When students selfevaluate their performance positively, they will be encouraged to set higher goals and achievement. Based on Chomsky and Wilkins, learning of a L2 involves ‘language use’ through speaking and writing skills (productive skills). Students in private Islamic secondary schools in Yala province, study Arabic language as a core subject. However, at the end of secondary school education, most of the students cannot use Arabic for communication. The main purpose of this paper is: to identify the most effective factors that motivate the students towards their Arabic use. Questionnaire was utilized to collect the data from 304 sampled Form III-Upper students, in 5 schools, using 5-points Likert-type scale (attitude-scale). SPSS, ANOVA, Mean, frequencies (f), and percentages (%) was employed to analyze the data. The study found that; (1) 3 factors considered highly effective for motivating Arabic use, (2) 5 factors found of Moderate effects, and (3) 8 found of Low effect. The overall performance is “Low”, or “Poor”. Keywords: Arabic language, Islamic Private Secondary Schools, Southern Thailand
∗
Ph.D. in Education (Curriculum & Instruction); M. Ed ( teaching Arabic as second language - TASL); Dip. Ed. ( teaching Arabic as second language-TASL); Lecturer, Department of Arabic Language, Faculty of Liberal Arts and Social Sciences, Yala Islamic U. (YIU).
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
42
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
บทคัดย่อ การประเมินตนเองนั้น มีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งในการเรียนภาษาที่สอง (L2) ภาษาต่างประเทศ ในเมื่อมี การประเมินการปฏิบัติการที่ดีของนักเรียน พวกเขาก็จะได้รับจุดประสงค์ที่สูงทรง Chomsky (ชามสกีย์) และ Wilkins (วิลกีนส์) เห็นว่า: แท้จริงการเรียนรู้ภาษาที่สอง (L2) นั้น ได้บรรจุในการใช้ภาษาอาหรับโดยผ่านกระบวนการทักษะคือ การพูด และการเขียนทักษะการผลิต (productive skills) แท้จริงนักเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ใน จังหวัดยะลา พวกเขาได้เรียนรู้ภาษาอาหรับเป็นวิชาแกน หรือ วิชาบังคับ ในเมื่อพวกเขาได้เรียนรู้อย่างแท้จริง ใน ระดับมัธยมในชั้นสูง แต่พวกเขากลับไม่สามารถติดต่อในการใช้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงในภาษาอาหรับ เนื่องจากพวก เขาอ่อนแอจริงในการใช้ภาษา แท้จริงจุดประสงค์ของสารวิชาการนี้คือ ข้อจํากัดของกระบวนการเพื่อส่งเสริมให้ นักเรียนใช้ภาษาอาหรับ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือ แบบสอบถาม( Questionnaire) ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ต่างๆ จากกลุ่มตัวอย่าง (Sample) นักเรียน 304 คน ของชั้นปีที่ 3 ซานาวี (ชั้นสูง) จาก 5โรงเรียน 5-points Likerttype scale (attitude-scale) ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยใช้โปรแกรม SPSS วิเคราะห์ค่า ANOVA ค่าจัดลําดับ Mean ค่าเฉลี่ย frequencies (f) ค่าความถี่ปกติ และ percentages (%) ค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่าคือ 1st มี 3 สาเหตุที่เข็มแข็ง (High effect) เพื่อส่งเสริมนักเรียนในการใช้ภาษาอาหรับ 2nd มี 5 สาเหตุท่ีปานกลาง (Moderate effect) และ 3rd มี 8 สาเหตุที่ต่ํา (Low effect) แท้จริงโดยภาพรวมจะเห็นได้ว่า นักเรียนอ่อนแอในการใช้ภาษาอาหรับ (Low) or (Poor) คําสําคัญ: การใช้ภาษาอาหรับ, โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม, จังหวัดชายแดนภาคใต้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
43
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
Introduction and Statement of the Problem Quality of any language is measured based on how good it has been used. There is a difference between language usage and language use. According to Chomsky (1957) and Wilkins (1974), language usage, is referred to linguistic competence (at grammatical level), such as “the rain destroyed the crops”. Here, only the knowledge of language system is manifested, and cannot be for communicative purposes. Language use, however, is referred to linguistic performance (at communicative level), such as “please, could you tell me were the railway station is?” Here, the knowledge of language system has been used for the communicative purposes (Chomsky,1957; Wilkins, 1972; Allen, 1975; Widdowson,1985). Skills which promote the “language use” are the speaking/writing, and both are productive skills. Arabic language learners are considered good language-users when they have the command of these two skills. Widdowson (1985) had explained the “nature” of the four language skills to show the position of skills which are responsible for “language use”. According to him, the speaking & writing are considered (productive skills), while listening & reading are considered (receptive skills). On the other hand, listening/speaking are “aural mediums”, and reading/writing are “visual mediums” (see Table 1). Table 1: Nature of four language skills: Widdowson (1985) aural medium visual medium
productive/active speaking writing
receptive/passive listening reading
In the Vertical relationship, speaking & writing, are (productive/active skills), while listening & reading, are (receptive/passive skills). Only the vertical relationship among the four skills can tell the “language use” and “language usage”. In the Horizontal relationship, listening & speaking, are (aural mediums), while reading & writing, are (visual mediums). But, the horizontal relationship among the four skills, is a mixture of activities between productive and receptive (or speaking & listening). Learning a language is solely related to the attitudes of students towards target languages (Starks and Paltridge, 1996). The students’ attitudes and motivation have frequently been the most critical factors for successful language learning environment, and considered major components of first and second language (L1/L2) acquisition and learning (Gardener and MacIntyre,1992, 1993; Gardener and Lambret, 1959, 1972; Gardner, 1985; Doherty, 2002). Besides the examinations’ scores, also students could be engaged to judge their own academic work, as self-evaluation has positive effects on performance (Arter et al., 1994). To Rolheiser (1996), Self-evaluation plays a key role in fostering learning cycle. When students self-evaluate their performance positively, they will be encouraged to set higher goals and achievement. Many of researches on attitudes of students learning were carried out. Karahan (2007) conducted a study on “language attitudes of Turkish students towards the English language and its use in Turkish context”. He investigated the problem of weakness of students studying English, but cannot attain the อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
44
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
desired level of proficiency. The study examined students attitudes in relation to their English learning. The study sampled 190 grade eighth students of private secondary schools in Adana province, using a questionnaire instrument. The findings showed that, most of students had negative attitudes towards the English language. Purdie and Oliver (1997) examined “the attitudes of 58 bilingual primary school children towards their first and second languages” in relation to many variables and factors. The study found that the most effective factors that motivate children attitudes towards learning the target language were: the home (parents), classroom, playground, place of birth, and cultural groups type. Gardener (1985) hypothesized that L2 learners with positive attitudes towards the target language culture and people, will learn the target language more effectively than those who have negative attitudes towards it. Dahab (1999b) conducted a study on the student performance in Arabic language skills, through Arabic language prophecy test for Malaysian students (ALPT-MS), in National Islamic secondary schools (NISS/SMKA). The test sampled 300 students in 10 schools in 6 states. The result showed that, students performed “fail”, for speaking skill, writing skill, and communicative grammar. Dahab(1999b) had also examined the attitudes and motivation of sampled 300 students of the national Islamic secondary schools in Malaysian (NISS/SMKA) towards Arabic language curriculum. The study showed that 93% of them “agreed” that, they were interested in leaning the Arabic language, and 37% of them agreed that they speak to their teachers and classmates in Arabic language most times. Adel (2007) investigated reasons of student weakness in Arabic language. He found that the weakness affected all four language skills. Reasons for speaking weakness was lack of using suitable words, and for writing was the lack of enough writing drills. Students of private Islamic secondary schools in Yala province, study two school-programs simultaneously: Religious, and academic, and the students earn two certificates: Religious, and academic. The Religious program consists: (a) Arabic, and (b) Islamic subjects (textbooks written in Arabic). Arabic language is a compulsory and a core subject, students must have command of it. Branches of Arabic are: reading (Qiraah), grammar (Nahu), morphology (Sarf), Arabic literature (Adab-Arabi), rhetoric (Balaghah), logic (Mantiq), oral (Shafawi), and the composition & essay (Insha’ & Maqal) etc. The Arabic language branches that promote Arabic language use are: (a) oral (Shafawi), and (b) composition & essay-writing (Insha’& Maqal). This includes, the speaking and writing drills (Tadribat shafawiah & kitabiah), and co-curriculum activities in Arabic language. The students study Arabic language for period of twelve years, through: primary, lower secondary, and upper secondary. However, based on examination results, and social interaction in spoken and written Arabic, students are found poorly performing. Majority of them had low scores, poor speaking, and poor writing in all schools. Clear evidence to justify this claim is that, when students join territory education such as Yala Islamic University (YIU); College of Islamic Studies, Prince of Songkla University (PSU), middle-east Universities etc, they found to be very poor in Arabic language. They cannot use Arabic academically, and in daily-life situational communication in speaking or writing. This problem had alarmed all parents and officials in the private Islamic secondary schools, and the entire community. To make sure of this claim or problem (whether it is right), the students can be involved to evaluate their own Arabic use, through their attitudes towards the language, they
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
45
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
can judge the levels of their ability. Purposes of this research paper are: (a) to determine the detailed levels of Arabic language use by Form III-Upper students of the Islamic private secondary schools in Yala province, and (b) to identify the most effective factors that motivate the students’ attitudes towards their Arabic language use. Purposes of the Study This paper has two kinds of purposes: (a) to determine the detailed levels of Arabic language use by Form III-Upper students of Islamic secondary schools, in Yala province. (b) to identify the most effective factors that motivate the students’ attitudes towards their Arabic language use. Operational Terms 1. Arabic language: Arabic is one of the Semitic-language families (Moscati, 1980). It is one of the major world living languages, spoken worldwide. Used in the United Nation (UN) and international conferences, education, foreign relations, and the promotion of business and tourism, specially in Thailand (i.e.: Thailand and the Middle-East). 2. Language attitudes: “the feelings which speakers have towards their own language for other languages. They are also the expressions of positive or negative feelings towards a language” (Longman Dictionary of Applied Linguistics,1992: 218). 3. Language motivation: To Gardner (1985), motivation refers to the combination of efforts plus desire to achieve the goals of learning the language; plus favorable attitudes towards learning the language. Hence, “attitudes” are components of “motivation”. Conceptual Framework of the Study Language, is commonly defined by many linguists and applied linguists as: “a system of communicating with other people using sounds, symbols and words in expressing a meaning, ideas or thoughts. It can be used in many forms, primarily through oral/written communications as well as using expressions by body language. It is therefore, a system of terms used by a group of people sharing a history and culture” (Saussure,1959; Chomsky, 1957; Wilkins, 1972, 1974; Allen, 1975; Hall, 1966; Crystal, 1989). Based on this typical example of common definition, linguistic ability at performance or communicative level, is the language focus. This study investigates the role of “students’ attitudes and motivation in second language (L2)”, and will be examined based on: the Gardner’s Socio-educational Model of SLA (Gardner & MacIntyre, 1992, 1993), influenced by cognitive & affective variables. Also, the study is based on: Human communication system Models (Weaver,1949; Carroll,1953; Tuaymah, 2006). In Weaver’s (1949) Model, communication involves two parties; speaker and listener. The two parties communicate and exchange information through “massages”, in different degrees and manner. Weaver’s (1949) human communication model, is further explained by Carroll’s (1953) human communication model which involves “encoding” and “decoding” of the massages between the speaker and listener (see Figure 1). อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9 Intentive behavior of speaker
(A) Encoding behavior of speaker
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
46 Massage
(B) Decoding behavior of listener
Interpretive behavior of istener
Figure 1: Organismic Communication System Model (Carroll,1953) According to Carroll (1953), in “encoding” the speaker “composes” the massage, hence he/she is a (productive), “using” language in real-life communication. In decoding however, the listener “interprets” the massage, hence, he/she is a (receptive), “not using” the language in real-life communication. Carroll’s (1953) human communication model, which involves “encoding” and “decoding” of massages between the speaker and listener, is further explained by Tuaymah’s (2006) "human brain linguistic capacity model" (see Figure 2). /
y Listening & reading activity (for information gathering) Non-communicative y Speaking & writing activity (for language use) Communicative
Cognitive Area of Language Language Use Area
Figure 2: Cognitive and Language Use Areas in Human Brain (Tuaymah, 2006) Tuaymah in his model claims that the human-beings brain has specific unlimited linguistic capacity. According to him, the cognitive activity in "interpreting" massages (during listening & reading) is larger than// the activity in "composing" massages (during speaking & writing). The "interpreting area" in human-brain is larger than the "composing area" which is (productive). Research Methodology
Research Instruments and Samples The research used survey method to collect the primary and secondary data. There are two major sections in the questionnaire. Section I: is for collecting demographic data of students, and consists 6 items. Section II: concerns with data on students’ attitudes toward their Arabic language use; and using the 5-points Likert-type scale, agree/disagree (attitude-scale), and consists (16 items). The population of the study was 485 Form III-Upper students only. The sample size was 304 (62.7) percent of both genders (males & females), in 5 private Islamic secondary schools, both urban (3 schools), ad rural (2 schools) in Yala province (See Table 2).
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
47
Table 2: Sample Size of the Study (Schools & Students)
ﺍﻟﻌﻨﻮﺍﻥ/ ﺍﳌﺪﺭﺳﺔ Schools /Address
ﺍﻟﺪﺍﺋﺮﺓ ﺍﻟﺘﻌﻠﻴﻤﻴﺔ
ﺍﻟﺪﺍﺋﺮﺓ ﺍﳉﻐﺮﺍﻓﻴﺔ
Educational Area
Geographical Area
ﻋﺪﺩ ﺍﻟﻄﻠﺒﺔ ﺍﻟﺜﺎﻟﺚ ﺍﻟﺜﺎﻧﻮﻱ &ﺍﻟﺼﻒ ﺍﻟﺜﺎﱐ From II & From III
ﻃﻼﺏ ﻃﻼﺏ
ﻃﺎﻟﺒﺎﺕ ﻃﺎﻟﺒﺎﺕ
Male
ﲝﻲ ﺑﻨﺞ ﻣﻮﺍﻧﺞ،ﻀﺔ ﺍﻟﻌﻠﻮﻡ ﺟﺎﻻ ﻣﻌﻬﺪ Pang Muang 2, Jala ﲝﻲ ﺳﺘﻨﺞ،ﻣﺪﺭﺳﺔ ﺃﺳﺎﺱ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺟﺎﻻ Pang Muang 2, Jalaﻧﻮﻙ ﺑﻘﺮﻳﺔ،ﺍﳌﺪﺭﺳﺔ ﺍﻹﺻﻼﺣﻴﺔ ﺟﺎﻻ Pang Muang 2, Jala ﻧﺪﺗﺆﻣﻮﻧﺞ )ﺳﻴﻔﺎﺭﻳﺪﺍ( ﺑﻘﺮﻳﺔ،ﺍﳌﺪﺭﺳﺔ ﺍﶈﻤﺪﻳﺔ ﺟﺎﻻ Pang Muang 2, Jalaﻦﺭﻣ ﻦﺭﻣ ﺑﻘﺮﻳﺔ،ﻣﺪﺭﺳﺔ ﺩﺍﺭ ﺍﳍﺪﻯ ﺟﺎﻻ Pang Muang 2, Jala ﺍﳉﻤﻠﺔ Total
ﺍﳉﻤﻠﺔ Total
Female
First
Muang
8:28 (36)
21:38 (59)
95
First
Muang
4:6 (10)
9:5 (14)
24
First
Muang
8:10 (18)
14:5 (19)
37
First
Raman
8:4 (12)
28:4 (32)
44
ﺍﻷﻭﻝ
Raman
26:10 (36)
26:42 (68)
104
112
192
304
Data Collection and Analysis This research is part of research project sponsored by Yala Islamic University (YIU). Data was collected during period (Feb - July 2008). The filed-up questionnaire was collected from the respondents (n=304), then computerized and analyzed using SPSS, ANOVA, mean, ranking, normal frequencies (f), and percentages (%), to count findings in relation to the detailed levels of Arabic language use and the most effective factors of students’ attitudes towards their Arabic language use, expressed in form of “High”, “Moderate” & “Low levels” of performance, by applying the “attitudes-rating scale” (70-100% H; 50-69% M; and > 40% L).
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
48
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
Results Results are presented according to the purposes of the research, and the demographic data.
First: The Demographic Characteristics of Respondents (n=304) Findings showed that: As for sex: 112(36.8%) of students were males, and 192 (63.2%) were females. As for age: 33(10.9%) aged 16, 117(38.5%) aged 17, 124(40.8%) aged 18, 11(3.6%) aged 19, 19(6.3%) aged >19. As for place of birth: 302(99.3%) born in Thailand, 2(0.7%) born in Arab countries. As for province: 75(24.7%) were from Pattni province, 200(65.8%) from Yala province, 27(8.9%) from Narathiwat province, 1(0.3%) from Satun province, and 1(0.3%) from Songkhla province, As for tribes: 68(22.4%) were Thai, and 236(65.8%) were Malay. As for the language: 38(12.5%) speak Thai, 261(85.9%) speak Malay language, and 5(1.6%) speak other languages.
Second: The Detailed Levels of Arabic Language Use As for during school-day: Table 3 shows that, 264(86.9%) of the students agree/s.agree, and 40(13.1%) disagree/s.disagree that they like to learn Arabic in order to read and understand the Holy Quran and speak; 217(71.4%) agree/s.agree, and 87(28.6%) disagree/s. disagree that they like to speak with people in Arabic laguage; 175(57.5%) agree/s.agree, and 129(42.5%) disagree/s.disagree that they participate in Arabic dialogues; 161(52.9%) agree/s.agree, and 173(47.1%) disagree/s.disagree that they speak with their colloquies in Arabic during break times; 162(53.3%) agree/s.agree, and 142(46.7%) disagree/s.disagree that they speak with their teachers in Arabic language during free times; 92(50.3%) disagree/s.disagree, and 212(68.7%) disagree/s.disagree that they always score high marks in speaking Arabic; 92(30.3%) agree/s.agree, and 212(69.6%) disagree/s.disagree that they write letters to their friends in their schools in Arabic; 68(22.4%) agree/s.agree, and 236(77.6;%)/ disagree/s.disagree that they disagree/s.disagree that they write letters to friends in other schools in Arabic; and 74(24.4%) agree/ s.agree, and 230(75.6%) disagree/s.disagree that they some times write letters to their parents in Arabic; 118(38.8%) agree/s.agree, 186(61.2%) disagree/s. disagree that they score high marks in writing exams; 136(44.8%)agree/s.agree, and 168(55.2%) disagree/s.disagree that they do their home-work in speaking and writing drills.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
49
Table 3: The detailed levels of Arabic language use by the respondents (f :%) (n=304) U. Strongly Attitudes D. D. Decide Agree Agree d
(f :%) During school-day (12 items): like to learn Arabic in order to read Quran, and speak I like to speak with people in Arabic without fear or shay I participate in Arabic dialogues in class during lessons I speak with my colloquies in Arabic during break times I speak with the teachers in Arabic most the free times All ways I score ‘High’ marks in speaking skill exams Some times I write letters in Arabic to my teachers I write Arabic letters to my friends in my school I write Arabic letters to my friends in other schools Some times I write letters in Arabic to my parents All ways I score ‘High’ marks in writing skill exams I do all my speaking and writing homework/correct During co-curriculum activities (4 items): The school carries out many Arabic activities in/out Arabic activities carried by the school are effective All students participate in all Arabic school activities Many teachers attend Arabic activities with students
Agree
Strongly Agree
(f :%)
(f :%)
(f :%)
(f :%)
40(13.1) 11(3.6) 26(8.6) 22(7.3) 28(9.2) 37(12.2) 75(24.6) 84(27.6) 111(36.5) 115(37.8) 53(17.4) 50(16.4)
0(0.0) 76(25.0) 103(33.9) 121(39.8) 114(37.5) 175(57.5) 137(45.1) 128(42.1) 125(41.1) 115(37.8) 133(43.8) 118(38.8)
0(0) 0(0) 0(0) 0(0) 0(0) 0(0) 0(0) 0(0) 0(0) 0(0) 0(0) 0(0)
78(25.7) 116(38.2) 134(44.1) 70(23.0) 128(42.1) 73(24.0) 73(24.0) 76(25.0) 57(18.8) 58(19.1) 101(33.2) 113(37.2)
186(61.2) 101(33.2) 41(13.4) 91(29.9) 34(11.2) 19(6.3) 19(6.3) 16(5.3) 11(3.5) 16(5.3) 17(5.6) 23(7.6)
73(24.0) 28(9.2) 27(8.9) 45(14.8)
124(40.8) 141(46.4) 121(39.8) 90(29.6)
0(0) 0(0) 0(0) 0(0)
81(26.6) 96(31.6) 118(38.8) 139(45.7)
26(8.6) 39(12.8) 38(12.5) 30(9.9)
Key: S.D.Agree (Strongly Disagree); D.Agree (Disagree); Agree; S.Agree (Strongly Agree). As for during co-curriculum activities: Table 3 shows that, 107(35.2%) agree/s. agree, 197(64.8%) disagree/s. disagree that their schools curry out many Arabic activities in/out; 135(44.4%) agree/s. agree, and 169(55.6%) disagree/s. disagree that Arabic activities that curried out by the school, are effective;165(51.3%) agree/s.agree, and 148(48.7%) disagree/s. disagree that all students participate in all Arabic activities; Finally,169(55.6%) agree/s. agree, and 135(44.4%) disagree/s. disagree that their teachers attend the Arabic activities with their students.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
50
Third: The Most Effective Factors that Motivate the Students’ Attitudes Towards Their Arabic Language Use As for during school-day: Table 4 shows that, 86.9% (High level)/mean: 28.59 of students agreed with the statement n.1, and the rest had disagreed; 71.4 % (High level)/mean: 23.49 of them agreed with the statement n.2, and the rest had disagreed; 75.5% (High level)/mean: 18.91 of students agreed with the statement n.3, and the rest had disagreed; 52.9 % (Moderate level)/mean: 17.40 of students agreed with the statement n.4, and the rest had disagreed; 53.3% (Moderate level)/ mean: 17.53 of them agreed with the statement n.5, and the rest had disagreed; Table 4: The most effective factors that motivate the students’ attitudes towards their Arabic language use (High, Moderate & Low; %, Mean, Levels) (n=304)
Attitudes During school-day (12 items): I like to learn Arabic in order to read Quran, and speak I like to speak with people in Arabic without fear or shay I participate in Arabic dialogues in class during lessons I speak with my colloquies in Arabic during break times I speak with the teachers in Arabic in most the free times All ways I score ‘High’ marks in speaking skill exams Some times I write letters in Arabic language to my teachers I write Arabic letters to my friends in my school I write Arabic language letters to my friends in other schools Some times I write letters in Arabic to my parents All ways I score ‘High’ marks in Arabic writing skill exams I do all my speaking and writing homework, and corrections During co-curriculum activities (4 items): My school carries out many Arabic activities in & outside school The Arabic activities carried out by the school are good/effective All students participate in all Arabic activities in & outside school Many teachers attend all the Arabic activities with the students
Disagree
Agree*
(%)
Mean
(%)
Level
Mean
13.1 28.6 42.5 47.1 46.7 68.7 69.6 69.67 77.6 75.6 61.2 55.2
4.31 9.41 13.98 15.49 5.36 22.60 22.90 22.93 25.53 24.87 20.13 18.16
86.9 71.4 75.5 52.9 53.3 50.3 30.3 30.3 22.4 24.4 38.8 44.8
High High High Moder. Moder. Moder. Low Low Low Low Low Low
28.59 23.49 18.91 17.40 17.53 16.55 9.97 9.97 7.37 8.03 12.76 14.74
64.8 55.6 4 8.7 44.4
21. 32 18.29 16.02 14.61
35.2 44.4 51.3 55.6
Low Low Moder. Moder.
11.58 14.61 16.88 18.29
* Only the “Agree” responses are considered for reading. Rating: 70-100% High; 50-69% Moderate; > 40% Low. 50.3%(Moderate level)/mean: 16.55 of them agreed with the statement n.6, and the rest had disagreed; 30.3% (Low level)/mean: 9.97 of them agreed with the statement n.7, and the rest had
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
51
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
disagreed; 30.3% (Low level)/mean: 9.97 of them agreed with the statement n.8, and the rest had disagreed; 22.4% (Low level)/mean: 7.37 of them agreed with the statement n.9, and the rest had disagreed; 24.4% (Low level)/mean: 8.03 of them agreed with the statement n.10, and the rest had disagreed; 38.8% (Low level)/mean: 12.76 of them agreed with the statement n.11, and the rest had disagreed; 44.8% (Low level)/mean: 14.74 of them agreed with the statement n.12, and the rest had disagreed. As for during co-curriculum activities: Table 4 shows that, 35.2% (Low level)/mean: 11.58 of them agreed with the statement n.13, and the rest had disagreed; 44.4% (Low level)/mean: and 14.61 of them agreed with statement n.14, and the rest had disagreed; 44.4% (Low level)/mean: and 14.61 of them agreed with statement n.14, and the rest had disagreed; 51.3% (Moderate level)/mean: 16.88 of them agreed with statement n.15, the rest had disagreed; and statement 16, was 55.6% (Moderate). Conclusions Quality of human language is based on how good it has been used, and learning a language is solely a matter of attitudes and motivation towards learning it. Mastery of speaking and writing skills are good indicator of command of whole language. It is proved that, beside exams, students self-evaluation is an effective tool to measure language performance. The majority of the students aged 18 at the end of secondary education, and that Thai and Malay are the two widely spoken languages in southern Thailand. Following three factors are considered “Highly effective” in motivating students attitudes towards their Arabic language use: “learn Arabic to read Quran and communicate”, “like to speak with people in Arabic”, “like participate in Arabic dialogues during lessons”. Followed by 5 factors considered of “Moderate effect”, and 8 factors of “Low effects”. Discussions Importance of languages is increasing worldwide, as languages are not only for communication purposes, but for achieving objectives among individuals, groups, nations and the countries. Arabic language education is important in private Islamic schools. However, as seen from the findings of this research paper, Arabic status in terms of verbal or written communication is below average or poor. Promotion or improving of Arabic language in private Islamic schools in Yala province (and in other provinces), is a matter of motivating the students towards learning. This could be done through upgrading all aspects of curriculum in both hardware and soft hardware. The importance of Arabic language in Thailand, is not limited to private Islamic schools, but rather, it goes beyond to play a socio-economics role, (i.e.: in tourism, business, diplomatic, etc). Hence, comes the role of Arabic department, the Faculty of Liberal Arts and Social Sciences, Yala Islamic University (YIU), the importance of the Academic Conference, organized by the Faculty of 25th April, 2010, and this research paper. Recommendations Based on the findings, the following recommendations are suggested:
A. Recommendations for improving Arabic education in Islamic private secondary school อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
52
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
Based on the poor result of the research shown in findings, following are the recommendations for improvement: 1. Arabic materials are revised and renewed; 2. need more communicative-based Arabic materials (same as Malaysia system); 3. need more co-curriculum Arabic; and 4.more teacher training programs.
B. Recommendations for further researches and follow-up studies: 1. More researches are needed to upgrade Arabic education in private Islamic second schools. 2. More researches are needed in the area of new Arabic materials and teacher updating. 3. More researches are needed in area of oral Arabic among students of private Islamic schools. References Adel, B. (2007). Reasons for students weakness in Arabic language and solutions. E-language. Allen, E. D. (1975). Some basic concepts in linguistics, in The Edinburgh Course in Applied Linguistics, vol. 2, pp. 37-40. Arter et al. (1994). The impact of training students to be self-assessors of writing, paper presented at the Annual Meeting of the American Educational Association, New Orleans, April. Chomky, N. (1957). Syntactic structures. The Hague: Mouton. Crystal, D. (1989). Cambridge Encyclopedia of Language, Cambridge, Cambridge Uni. Press. Dahab, M. I. (1999b). Evaluation of the Arabic language integrated curriculum for secondary school (KBSM). Ph.D. dissertation in Education, Faculty of Ed. (NUM/UKM), Malaysia. Doherty, K. M. (2002). Students speak out. Education Week, 11(35), 19-23. Gardner, R. C., and Lambret, W. E. (1972). Attitudes and motivation in second language learning. Rowley, M.A.: Newbury house publishers. Gardner, and R. C., and Lambret, W. E. (1959). Motivational variables in second language acquisition. Canadian Journal of psychology, 13 (4), 266-272. Gardner, R. C., and MacIntyre, P. D.(1992). A student’s contribution to second language learning. Part I: Cognitive variables. Language Teaching, 25, pp. 211-220. Gardner, R. C., and MacIntyre, P. D.(1993). A student’s contribution to second language learning. Part II: Affective variables. Language Teaching, 26, pp. 1-11. Gardner, R. C. (1985). Social psychology and second language learning: The role of attitudes and motivation. London: Edward Arnold. Hall, A. (1966). New ways to learn a foreign language. New York: Bantam Books. Karahan, F. (2007). Language attitudes of Turkish students towards the English language and its use in Turkish context. Journal of Arts Sciences Sayt, 7, Mayts.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
53
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
Longman Dictionary of Applied Linguistics, (1992). Longman dictionary of language teaching and applied linguistics, Addison Wesley Publishing Company, June. Moscati, S. (1980). An introduction to the comparative grammar of the Semitic languages: Porta linguarum orientalism. Verlang: Harrassowitz Company, PLO6. Purdie, N., and Oliver, R. (1997). The attitudes bilingual to their languages, paper presented at the Annual Conference of the Australian Association for Research in Education, Brisbane. Saussure, F. (1959). Course in general linguistics. New York: Philosophical Library. Starks, D., and Paltridge, B. (1996). A note on using socio-linguistics method to study non-native attitudes towards English, World Englishers, 15(2), pp. 217-224. Tuaymah, R A., Naqah, M. K. (2006). Teaching Arabic communicatively. Morocco: ISESCO. Weaver, W. (1949). The mathematical theory of communication. Urbana III: U. of Illinois Press. Widdowson, H.G. (1985). Teaching language as communication. Oxford: Oxford Univ. Press. Wilkins, D. A. (1972). Linguistics in language teaching. Cambridge, Mass: MIT Press. Wilkins, D. A. (1974). Second language learning and teaching. London: Edwards.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
55
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
บทความวิจัย
กระบวนการดํารงอัตลักษณ์มสุ ลิมกับการสร้างชุมชนเข้มแข็งกรณีศึกษา : ชุมชนมัสยิดบ้านเหนือ วิสทุ ธิ์ บิลล่าเต๊ะ∗ ฉันทัส ทองช่วย∗∗ บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการคือ เพื่อทําความเข้าใจศักยภาพและความหมายของอัตลักษณ์ มุสลิมสามประการ ตามที่ปรากฏใน อัล กุรอาน ซูรอฮ์ : อัลฮัจญ์ อายะฮ์ 41 อันได้แก่ การละหมาด การซะกาต และ การส่งเสริมความดี ยับยั้งความชั่ว ในการสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนมัสยิดบ้านเหนือ และเพื่อศึกษากระบวนการ เพื่อให้ได้มาซึ่งอัตลักษณ์ทั้งสามของชุมชนมัสยิดบ้านเหนือ รวมทั้งผลของกระบวนการดังกล่าวในการสร้างความ เข้มแข็งแก่ชุมชน ดําเนินการวิจัยโดยใช้แนวทางการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnographic Approach) ซึ่งเป็นการ วิจัยเชิงคุณภาพรูปแบบหนึ่ง มุ่งตีความพฤติกรรมของกลุ่มคนหรือระบบสังคม โดยใช้มโนทัศน์ทางวัฒนธรรมเป็นฐาน คิด มีผู้ให้ข้อมูลคือผู้อาวุโสที่เคยเป็นแกนนําชุมชนมาก่อน 25 คน ผู้นําชุมชนปัจจุบัน จํานวน 6 คน สัปบุรุษมัสยิดบ้าน เหนือที่บรรลุศาสนภาวะแล้ว ทั้งชายและหญิง จํานวน 36 คน ทําการคัดเลือกโดยวิธีการแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) ซึ่งเป็นเครื่องมือหลัก เสริมด้วยการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา และเหตุการณ์สําคัญต่าง ๆ ของชุมชน การสนทนากลุ่ม (focus group) และการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผลการวิจัยพบว่าการละหมาดมีศักยภาพสูงในการผลิตซ้ําจักรวาลทัศน์อิสลาม ขัดเกลาจิตใจและก่อให้เกิด การรวมตัวอย่างยั่งยืนในชุมชน ที่ชุมชนมัสยิดบ้านเหนือมีผู้ละหมาดร่วมกันในแต่ละครั้งจํานวนมาก จึงช่วยให้ชุมชนมี ระบบสังคมของตัวเอง ขณะที่ซะกาตช่วยสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีลักษณะทั้งการแสวงหากําไรและเอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน ขึ้น ทําให้ชุมชนมีหลักประกันทางสังคมแก่ผู้ด้อยโอกาส ส่วนการส่งเสริมความดี ยับยั้งความชั่วก็ช่วยให้ชุมชนมีกฎ กติกาที่ใช้บังคับกันเองได้ ทําให้เกิดความสงบและเป็นระเบียบมากขึ้น และกระบวนการที่ทําให้ชุมชนสามารถดํารงอัต ลักษณ์ทั้งสามไว้ได้มี 3 ประการ ได้แก่ การจัดการความรู้ การสร้างวิถีชีวิต และการบริหารจัดการ กระบวนการทั้งสามนี้ได้ส่งผลให้ชุมชนสามารถสร้างเงื่อนไข 5 ประการในการต่อสู้กับวาทกรรมกระแสหลัก ได้ คือ ระบบการผลิตซ้ําจักรวาลทัศน์อิสลาม พลวัตวัฒนธรรม ระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ และความเป็นเอกภาพ และบูรณาการของเงื่อนไขทั้ง 4 ข้างต้น คําสําคัญ : กระบวนการดํารงอัตลักษณ์มุสลิม อัตลักษณ์มุสลิม การส่งเสริมความดี ยับยั้งความชั่ว ชุมชนเข้มแข็ง ฟิตรอฮ์
∗
นักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ Dr. (ภาษาไทย) อาจารย์ประจําสาขาวิชาภาษาตะวันออก คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
∗∗
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
56
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
Abstract This study aimed at 2 objectives: to understand the potentials and meanings of 3 Muslim identities i.e. Solat, Zakat, and promoting good and preventing evil deeds in term of strong community building; and to investigate the process that Ban Nua Mosque Community used to preserve 3 Muslim identities mentioned above and its effects on strong community building. The study was a field research, employing the ethnographic approach to investigate the way of life, social system and culture of people settling in Ban Nua Mosque Community. The participant observation was employed as the main tool of investigation, supplemented with documentary study, focus group discussion and in-depth interview. The study samples for focus group discussion and in-depth interview included 6 community leaders and 36 ordinary people drawn from both men and women who were congregational members and reached the designated age according to Islamic principles. Selection of these samples was done by means of purposive sampling. The study revealed that Solat formed the main apparatus in the reproduction of Islamic Cosmology, mind purification and sustainable unification of people in the community. In Ban Nua Mosque Community, there were many people joined in Solat each time. This state helped in creating the community social system. Zakat contributed to the creation of the community economic system, especially with respect to profit making, compassion and social security provision for underprivileged. Promoting the good and preventing the evil deeds encouraged the community to set its self-regulative system through common agreement that was enforceable in keeping law and order and building peace within the community. The processes which were used to sustain those Muslim identities included knowledge management, constructing the community’s way of life, and the community administrative system. These three processes empowered the community to maintain its Muslim Identities and created 5 conditions crucially important in resisting the mainstream culture force. They were the system of reproduction of Islamic cosmology or Fitrah values, the capacity to change, the community social system, the community economic system, and the unity and harmony of the previous four elements above. Keywords: Muslim Identities, Strong Community, Sustaining Identities
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
57
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
บทนํา การพัฒนาประเทศภายใต้อิทธิพลของปรัชญาทุนนิยม ได้ส่งผลให้ทุกอย่างในชีวิตมนุษย์ถูกแปรเป็นสินค้า จึง ทําให้เกิดการทําลายธรรมชาติอย่างรุนแรง สังคมเผชิญกับสภาวะที่กลุ่มชนชั้นปกครองรับเอาวิธีคิดแบบดูถูกตนเอง และดูถูกชาวบ้านเข้ามา พร้อม ๆ กับสมาทานวัฒนธรรมตะวันตกและพยายามส่งผ่านและครอบงําชาวบ้านด้วย วัฒนธรรมที่ตนรับเข้ามาในแทบทุกมิติของการดําเนินชีวิต (ดู ยุกติ มุกดาวิจิตร, 2548 : 31) ชุมชนมุสลิมในประเทศไทยก็หนีไม่พ้นวงจรนี้เช่นกัน และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างอิทธิพลของทุนนิยมกับ อิทธิพลของศาสนาอิสลามในชุมชนเหล่านั้น นําไปสู่ผลลัพธ์ 2 ประการที่แตกต่างกัน ชุมชนมุสลิมส่วนใหญ่ แม้จะมี การปฏิบัติศาสนกิจอยู่บ้าง แต่มักเป็นการปฏิบัติเยี่ยงประเพณีหนึ่ง ซึ่งมีพื้นที่อันจํากัดคับแคบ ไม่สามารถขยายไปสู่ การสร้างระบบสังคมและเศรษฐกิจได้ ชีวิตประจําวันของผู้คนจึงถูกช่วงชิงโดยวัฒนธรรมทุนนิยมจนแทบสิ้นเชิง แต่อีก ด้านหนึ่ง มุสลิมบางกลุ่มก็ต่อต้านกระแสทุนนิยมอย่างรุนแรง เมื่อรัฐไทยสมาทานระบบทุนนิยมและชาตินิยม คนกลุ่ม นี้จึงต่อต้านรัฐไทยด้วย เช่น กลุ่มมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการต่อสู้ของพวกเขาถูกตั้งข้อสังเกตว่า คือ ความพยายามที่จะดํารงอัตลักษณ์เฉพาะของตนเองเอาไว้ มิให้ถูกกลืนกลายไปในกระแสการพัฒนาที่รัฐต้องการ (ดู อุทัย ดุลยเกษม, 2550: 81) ท่ามกลางความเป็นไปเช่นนี้ มีชุมชนแห่งหนึ่ง เรียกกันว่าชุมชนมัสยิดบ้านเหนือ ตั้งอยู่ในตําบลคูเต่า อําเภอ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีประชากรตามที่ได้สํารวจเมื่อปี 2550 จํานวน 1,821 คนได้พยายามดํารงอัตลักษณ์มุสลิม ของตนเอง โดยใช้ภ าคปฏิบัติการต่าง ๆ ที่ศ าสนาอิ ส ลามบัญ ญัติไ ว้เ ป็น ฐาน ลักษณะเด่นของชุมชนคือการที่มี ผู้ ละหมาดร่วมกัน (ญะมาอะฮ์) ที่มัสยิดในแต่ละช่วงเวลาของวัน วันละ 5 ครั้ง เฉลี่ยครั้งละ 100 คน ซึ่งนับว่ามากเมื่อ เทียบกับชุมชนมุสลิมอื่น ๆ ที่มีประชากรจํานวนใกล้เคียงกัน ที่สําคัญการละหมาดร่วมกันเป็นประจําของผู้คนที่นี่ มิได้ มีผ ลเพี ยงการที่คนกลุ่ ม หนึ่ ง ได้ป ระกอบศาสนกิ จ ร่ ว มกั นเท่ านั้ น แต่ยั ง ได้ ส่ง ผลให้เ กิด การสร้ างระบบสัง คมและ เศรษฐกิจในชุมชนตามมาอย่างสําคัญอีกด้วย กล่าวสําหรับการสร้างระบบสังคม การละหมาดร่วมกันอย่างสม่ําเสมอนําไปสู่ความร่วมมือและการสนอง นโยบายต่าง ๆ ที่มัสยิดกําหนดขึ้นเป็นอย่างดี แม้นโยบายบางอย่างจะเป็นการเปลี่ยนแปลงประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่ อดีตอันยาวนานก็ตาม เช่น การยกเลิกพิธีทําบุญกุโบร์ การปรับรูปแบบการทําบุญอันเนื่องจากการตาย จากเดิมที่ ครอบครัวผู้ตายต้องทําอาหารเลี้ยงแขกที่เชิญมาเป็นเวลา 3 วัน เปลี่ยนเป็นเพื่อนบ้านทําอาหารไปเลี้ยงครอบครัว ผู้ตายเป็นเวลา 3 วันแทน นโยบายบางอย่างแม้ต้องอาศัยการเสียสละเป็นอย่างสูง แต่ก็มีการสนองตอบที่ดี เช่น การ รักษาสิ่งแวดล้อมในชุมชน ซึ่งมัสยิดขอร้องให้ผู้ท่ีครอบครองสิ่งปลูกสร้างรุกล้ําลําคลอง รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น แล้วปรับพื้นที่ให้เป็นสีเขียวแทน เพื่อรักษาไว้ซึ่งความอุดมสมบูรณ์และความสวยงามของลําคลอง นโยบายนี้ทําให้ เจ้าของบ้านที่มีความพร้อม 11 หลัง จากจํานวนทั้งหมด 23 หลัง ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของตนเองออกจากลํา คลอง จากนั้นก็ปรับพื้นที่ดังกล่าวเป็นสีเขียวแทน นอกจากนี้ ยังมีการตรา “ระเบียบบริหารกิจการมัสยิดบ้านเหนือ” ขึ้น เพื่อควบคุมมิให้สิ่งชั่วร้ายตามหลักศาสนา แผ่ขยายลุกลามจนอาจทําลายสังคมชุมชนให้ย่อยยับไปได้ เป็นการวาง กฎเกณฑ์ให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตในกรอบของศาสนธรรม และลงโทษทางสังคมต่อผู้ที่ฝ่าฝืนกรอบดังกล่าว ทั้งหมดนี้ดําเนินไปภายใต้บรรยากาศของการจัดการความรู้อย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การจัดตั้งศูนย์อบรมเด็ก ก่อนเกณฑ์ประจํามัสยิดบ้านเหนือ การจัดให้เด็กวัยประถมศึกษาได้เรียนศาสนาภาคฟัรฎูอัยน์ในวันเสาร์ อาทิตย์ และ พัฒนาต่อมาเป็นการจัดตั้งโรงเรียนกัลยาณชนรังสรรค์มัสยิดบ้านเหนือขึ้น ในปี 2551 เพื่อจัดการศึกษาในระดับ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
58
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
อนุบาลและประถมวัยโดยชุมชนเอง นอกจากนี้ ยังมีการเรียนการสอนสําหรับผู้ใหญ่ทุกวันพฤหัสบดี และจัดการศึกษา สําหรับสตรีโดยเฉพาะในทุกวันศุกร์ของสัปดาห์อีกด้วย สําหรับทางด้านเศรษฐกิจ มัสยิดบ้านเหนือได้จัดตั้งกองทุนซะกาตประจํามัสยิดขึ้นในปี 2542 โดยในปีแรกมี ซะกาตเข้าสู่กองทุนรวม 114,000 บาท จากนั้นจนถึงปัจจุบัน มีซะกาตเข้าสู่ระบบเฉลี่ยปีละ 170,000 บาท ซะกาต เหล่านี้ถูกนําไปใช้ใน 3 ด้านหลัก คือ ด้านการช่วยเหลือผู้มีฐานะยากจนให้มีเครื่องมือทํากินหรือมีที่อยู่อาศัยอย่าง พอเพียงแก่อัตภาพ ด้านการจัดสวัสดิการแก่ผู้ท่ีไม่สามารถทํางานเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างเต็มที่ และด้าน การสนับสนุนการศึกษา ทั้งการศึกษาที่มัสยิดดําเนินการเอง หรือในรูปของทุนการศึกษาสําหรับนักเรียน นักศึกษาที่ ยากจน การขับเคลื่อนชุมชนทั้งหมดนี้ ดําเนินการผ่านกลไกสําคัญคือ การชูรอหรือการปรึกษาหารือกันของแกนนํา ชุมชน โดยใช้มัสยิดเป็นศูนย์ปฏิบัติงาน การชูรอนี้ไม่ได้ทํากันเฉพาะในกลุ่มกรรมการอิสลามประจํามัสยิดเท่านั้น แต่ รวมถึงผู้นําท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบุคคลที่ได้รับการเคารพเชื่อถือในชุมชนด้วย รวมกันแล้วมี มากกว่า 50 คน จัดการประชุมทุกเดือน ทั้งเพื่อหาแนวทางสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ แก่สังคมชุมชน และเพื่อเยียวยาแก้ไข ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน ทั้งนี้โดยไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สะท้อนแนวทางการพัฒนาชุมชนที่ต่างไปจากการพัฒนาในวัฒนธรรมกระแสหลัก อีกทั้งยัง มีลักษณะของการต่อสู้ ต่อรองกับวัฒนธรรมกระแสหลักด้วย เป็นการต่อสู้ ต่อรองอันส่งผลให้ชุมชนมัสยิดบ้านเหนือ มิได้ถูกกลืนกลายไปในกระแสทุนนิยม แต่ยังคงธํารงอัตลักษณ์มุสลิมเอาไว้ได้ แม้จะอยู่ห่างจากตัวเมืองหาดใหญ่ ศูนย์กลางทุนนิยมของภาคใต้เพียงไม่กี่กิโลเมตรก็ตาม จึงควรแก่การสนใจศึกษาว่าชุมชนใช้กระบวนการอะไร จึง สามารถยืนหยัดต้านทานกระแสทุนนิยมได้อย่างมั่นคง วัตถุประสงค์ของการวิจัย (1) เพื่อศึกษาศักยภาพและความหมายของอัตลักษณ์มุสลิมสามประการ อันได้แก่ การละหมาด การซะกาต และการส่งเสริมความดี ยับยั้งความชั่ว ซึ่งชุมชนมัสยิดบ้านเหนือนํามาใช้เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน (2) เพื่ อ ศึ ก ษากระบวนการเพื่ อ ให้ ไ ด้ ม าซึ่ ง อั ต ลั ก ษณ์ ทั้ ง สามของชุ ม ชนมั ส ยิ ด บ้ า นเหนื อ และผลของ กระบวนการ/ปฏิบัติการดังกล่าวในการสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน นิยามศัพท์ปฏิบัติการ (1) กระบวนการดํารงอัตลักษณ์มุสลิม หมายถึง กรรมวิธี กิจกรรม การดําเนินงานต่าง ๆ ที่จัดทําขึ้นอย่าง เป็นระบบ มีความต่อเนื่อง และสอดคล้องกัน โดยมุ่งเป้าหมายไปที่การดํารงอยู่ของอัตลักษณ์มุสลิม (2) อัตลักษณ์มุสลิม หมายถึง สิ่งที่บ่งบอกความหมายของการเป็นมุสลิม ซึ่งเริ่มจากจักรวาลทัศน์ท่ีถือว่า จักรวาล โลก สรรพสิ่ง และสรรพชีวิตเกิดขึ้น ดํารงอยู่ และดับไป โดยพระประสงค์และอํานาจแห่งอัลลอฮ์พระผู้เป็น เจ้าเพียงหนึ่งเดียว และรวมถึงภาคปฏิบัติการของจักรวาลทัศน์ดังกล่าว ซึ่งปรากฏในอัลกุรอาน บทอัลฮัจญ์ โองการที่ 41 ได้แก่ การละหมาด การซะกาต และการส่งเสริมความดี ยับยั้งความชั่ว (3) การส่งเสริมความดี ยับยั้งความชั่ว หมายถึง การสร้างสํานึก และการจัดระบบเพื่อให้ปัจเจกชนและ/หรือ กลุ่มบุคคลทําหน้าที่ส่งเสริมให้สิ่งที่ศาสนาอิสลามสอนว่าดีงามเกิดขึ้น ดํารงอยู่ และขยายตัวออกไป ขณะเดียวกับที่ ยับยั้ง ลดทอน ป้องกันมิให้สิ่งที่ศาสนาอิสลามสอนว่าชั่วร้ายเกิดขึ้น ดํารงอยู่ และขยายตัว ตามสถานะและบทบาท ของตน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
59
(4) ชุมชนเข้มแข็ง หมายถึง ชุมชนที่มีอัตลักษณ์ของตนเอง ซึ่งเป็นอัตลักษณ์อันเกิดจากจักรวาลทัศน์ที่คนใน ชุมชนสมาทาน และชุมชนสามารถแปรความหมายของจักรวาลทัศน์อันดํารงอยู่ในอัตลักษณ์นั้นเป็นภาคปฏิบัติการใน ชีวิตประจําวัน ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ จนทําให้ชุมชนมีระบบสังคม การเมือง และ เศรษฐกิจเป็นของตนเอง และจัดการบริหารระบบทั้งสามดังกล่าวได้ในรูปของประชาสังคม (5) ฟิตรอฮ์ (Fitrah) หมายถึง ศักยภาพและความสําเหนียกตามธรรมชาติที่พระเจ้าทรงประทานแก่มนุษย์ เพื่อใช้ในการแสวงหาและรับเอาความรู้ และความดีงามอันแท้จริงบนโลก วิธีการวิจัย ผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลของการวิจัยในครั้งนี้ คือ สัปบุรุษของชุมชนมัสยิดบ้านเหนือ เลือกเฉพาะผู้ท่ีบรรลุศาสนภาวะแล้ว คือ เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ทําการคัดเลือกโดยวิธีการแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เน้นผู้มี คุณสมบัติที่สามารถให้ข้อมูลได้ตามวัตถุประสงค์ ใช้เกณฑ์การละหมาดร่วมกันที่มัสยิดอย่างสม่ําเสมอ การใส่ใจเรียนรู้ ศาสนา และการดํารงตําแหน่งที่ต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน เพื่อคัดเลือกและแบ่งกลุ่ม โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มผู้มีความรู้และประสบการณ์ในการบริหารจัดการชุมชนมาก่อน ได้แก่ ผู้รู้ แกนนําทางศาสนา และผู้อาวุโส จํานวน 25 คน (2) กลุ่มผู้นําทางการเมืองในชุมชนทั้งหมด ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาเทศบาลที่เป็นตัวแทนของ ชุมชน ในฐานะที่เป็นผู้สนองนโยบายของรัฐ ซึ่งมักจะมีส่วนนําความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชุมชนอย่างสําคัญ จํานวน 6 คน (3) ประชาชนทั่วไปที่จะเลือกเป็นกรณีศึกษา โดยพิจารณาจากการปฏิบัติละหมาดหรือศึกษาเรียนรู้ศาสนาที่ มัสยิดอย่างสม่ําเสมอเป็นเกณฑ์ใหญ่ จากนั้นแบ่งกลุ่มตามเพศ และกลุ่มอายุอีก 3 กลุ่ม ดังนี้ (3.1) ผู้ท่ีละหมาดหรือศึกษาเรียนรู้ศาสนาที่มัสยิดเป็นประจํา ชายและหญิงที่มีอายุ 15-30 ปี เพศ ละ 3 คน และเลือกผู้ท่ีไม่ค่อยละหมาดที่มัสยิดหรือไม่ค่อยศึกษาเรียนรู้ศาสนา ในกลุ่มอายุเดียวกันนี้ จากทั้งสองเพศ อีกเพศละ 3 คน รวมตัวอย่างในกลุ่มอายุ 15-30 ปี มีจํานวน 12 คน (3.2) ใช้เกณฑ์และจํานวนเดียวกันกับตัวอย่างข้อ 3.1 แต่เป็นกลุ่มอายุ 31-60 ปี ซึ่งจะทําให้ได้ ตัวอย่างในกลุ่มนี้อีก จํานวน 12 คน (3.3) ใช้เกณฑ์และจํานวนเดียวกันกับตัวอย่างข้อ 3.1 แต่เป็นกลุ่มอายุ 61 ปีขึ้นไป ซึ่งจะทําให้ได้ ตัวอย่างในกลุ่มนี้อีก จํานวน 12 คน ซึ่งอาจแสดงกลุ่มตัวอย่างที่เป็นประชาชนทั่วไปได้ ดังนี้ กลุ่มตัวอย่าง / จํานวน ละหมาด / ศึกษาที่มัสยิดเป็นประจํา ชาย 15- 3130 ปี 60 ปี 3
3
61 ปี ขึ้นไป
1530 ปี
หญิง 31-60 ปี
3
3
3
ไม่ละหมาด / ไม่ศึกษาที่มัสยิด 61 ปี ขึ้นไป 3
15-30 ปี
ชาย 3160 ปี
61 ปี ขึ้นไป
3
3
3
1530 ปี
หญิง 3160 ปี
61 ปี ขึ้นไป
3
3
3
ตารางที่ 1 แสดงกลุ่มตัวอย่างที่เป็นประชาชนทั่วไปในการสัมภาษณ์เชิงลึกของงานวิจัย อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
60
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
เครื่องมือและวิธีสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การรวบรวมข้อมูลภาคสนามใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) เป็นเครื่องมือหลัก โดย ใช้เครื่องมืออื่น ๆ เข้ามาประกอบ คือ (1)การรวบรวมข้อมูลจากเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา และเหตุการณ์สําคัญต่าง ๆ ของชุมชน (2)การสนทนากลุ่ม (Focus group) ซึ่งดําเนินการกับกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้รู้ ผู้นําทางศาสนา ผู้ อาวุโส และกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มผู้นาํ ทางการเมือง (3)การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับกลุ่มประชาชนทั่วไปที่เลือกเป็นกรณีศึกษา วิธีดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้วิธีการดังนี้ (1) การสืบค้นข้อมูลจากเอกสารหลักฐาน (2) การรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่ต้องสัมภาษณ์ (3) การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม ( participant observation) วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ในงานวิจัยนี้ ใช้แนวคิดฟิตรอฮ์เป็นฐาน นําเสนอผลการวิเคราะห์ในรูปแบบของกา พรรณนาความ ทําความเข้าใจกับรายละเอียด และความหมายของข้อมูลในแต่ละหัวข้อ จําแนกประเด็นและ วิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างประเด็นต่าง ๆ สรุปผลการวิจัย จากการสังเกตและการสนทนากลุ่มพบว่า ผู้ละหมาดที่มัสยิดบ้านเหนือเป็นประจําส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ ทางสังคม(social bond) ต่อผู้ร่วมละหมาดด้วยกันอย่างแนบแน่น มีส่วนช่วยขับเคลื่อนนโยบายของมัสยิด และร่วมใน กิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยสร้างสาธารณประโยชน์อย่างแข็งขันเสมอ ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ค่อยร่วมละหมาดที่มัสยิด ซึ่งมักจะปลีกตัวออกจากกิจกรรมส่วนรวม และไม่ร่วมเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนนโยบายของมัสยิดแต่ประการใด ซะกาตช่วยสร้างระบบเศรษฐกิจที่สามารถเป็นหลักประกันทางสังคมแก่คนยากจนและคนด้อยโอกาสได้ สถิติการมอบ ซะกาตแก่คนยากจนชี้ให้เห็นว่าจํานวนคนยากจนในชุมชนลดลงอย่างต่อเนื่อง จากจํานวน 53 คนในปี 2543 เหลือ 12 คนในปี 2552 และใช้ซะกาตเพื่อสนับสนุนการศึกษาจากปี 2542 – 2552 ไปถึง 896,200 บาท ส่วนการส่งเสริมความดี ยับยั้งความชั่วได้ช่วยสร้างระบบสังคมที่ชุมชนสามารถกําหนดกฎเกณฑ์กติกาเพื่อ ควบคุมดูแลกันเองได้ โดยมีมัสยิดเป็นตัวขับเคลื่อน มีการคัดเลือกบุคคลที่ละหมาดญะมาอะฮ์ประจําเป็นองค์ประชุม ของมัสยิด มีการประชุมหารือกันอย่างสม่ําเสมอ ใช้การเมืองเป็นเครื่องมื อในการบรรลุสู่เป้าหมาย มีการจัด ตั้ง คณะทํางานด้านต่าง ๆ โดยผู้ทํางานไม่ได้รับค่าตอบแทนในรูปวัตถุใด ๆ และการทํางานร่วมกันอย่างเป็นระบบนี้ได้ นําไปสู่การตรา “ระเบียบบริหารกิจการมัสยิดบ้านเหนือ” ขึ้นมาบังคับใช้ในชุมชน โดยชาวชุมชนเองร่วมกันพิจารณา เห็นชอบ และการปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว ช่วยให้เกิดรูปแบบการดําเนินชีวิตที่ผู้คนผูกพันกับมัสยิดอย่างแน่นแฟ้น และนําสู่การที่มัสยิดกลายเป็นศูนย์กลางของชุมชน ซึ่งสามารถกําหนดนโยบายต่าง ๆ โดยชุมชนตอบสนองเป็นอย่างดี ทั้งในด้านการศึกษา สันทนาการ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถบ่งชี้ได้ว่าชุมชนมัสยิดบ้านเหนือมีระบบสังคม
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
61
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ของตนเอง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้โดยชุมชนอาศัยกระบวนการสําคัญสามประการ คือ การจัดการความรู้ การสร้างวิถี ชีวิต และการบริหารจัดการที่ดี อภิปรายผล ผลการวิจัยชี้ว่า ชุมชนมัสยิดบ้านเหนือใช้วิธีเสริมสร้างจักรวาลทัศน์อิสลามแก่ประชาชนให้มีความแข็งแกร่ง และครอบคลุมมิติต่าง ๆ ในวิถีชีวิตมนุษย์ ผ่านการละหมาดซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ถือปฏิบัติเป็นชีวิตประจําวันอยู่แล้ว จึง เท่ากั บว่าชุมชนมีระบบการผลิต ซ้ําคุณค่าของจั กรวาลทั ศน์อิสลามอย่างมีประสิทธิภาพ การผลิตซ้ําคุ ณค่าของ จักรวาลทัศน์อิสลามได้อย่างต่อเนื่อง ทําให้ฟิตรอฮ์ของมนุษย์ยังคงความบริสุทธิ์ไว้ได้ ฟิตรอฮ์โดยธรรมชาติถูกสร้าง ขึ้น อย่างบริสุทธิ์ เป็ น สิ่ง ที่ทํา ให้ม นุษย์เชื่อและยึดถือว่ามีพลัง อํานาจบางประการเหนือตนเองและเหนือสรรพสิ่ง ทั้งหลาย เป็นพลังให้คนเราแสวงหาความรู้ ความดี ความงามอันเป็นสากล ฟิต รอฮ์ที่บริสุทธิ์นี้เองที่ ผลักดันให้ผู้ ละหมาดส่วนใหญ่ในชุมชนมัสยิดบ้านเหนือ ลงมือปฏิบัติการต่าง ๆ ที่ส่งผลให้ชุมชนสามารถสร้างทั้งระบบสังคมและ ระบบเศรษฐกิจของตนเองได้ แนวคิดฟิตรอฮ์ที่เห็นว่าการดํารงอยู่ การเปลี่ยนแปลง หรือการพัฒนาใด ๆ ต้องเริ่มจากฐานคิดภายในจิตใจ ของมนุษย์ก่อนนี้ มีบางส่วนสอดคล้องกับแนวคิดสารัตถะนิยมที่เห็นว่ามนุษย์ “มีคุณสมบัติอะไรบางอย่างเป็นแก่น
แกนหรื อ สารั ต ถะ เป็ น สิ่ ง ที่ ซ่ อ นแฝงอยู่ ลึ ก ๆ และกํ า หนดทิ ศ ทางของพฤติ ก รรมที่ เ ห็ น จากภายนอกอี ก ที ห นึ่ ง ” (อภิญญา เฟื่องฟูสกุล, 2546: 8) แต่ความแตกต่างอย่างสําคัญระหว่างสองแนวคิดนี้อยู่ตรงที่ สารัตถะนิยมเห็นว่ามนุษย์คือองค์อธิปัตย์ในการ เข้าถึงความรู้ ความจริง และความงามได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด แม้แต่พระผู้เป็นเจ้า ขณะที่แนวคิดฟิตรอฮ์ เห็นว่าลําพังฟิตรอฮ์ประการเดียว ไม่สามารถทําให้มนุษย์บรรลุสู่ความรู้ ความจริง และความงามอันเที่ยงแท้ไ ด้ หากแต่ต้องอาศัยปัจจัยสําคัญคือคําวิวรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าเป็นประทีปส่องทาง ผลก็คือสารัตถะนิยมไม่สามารถ สร้างปฏิบัติการอันสอดคล้องกับธรรมชาติของฟิตรอฮ์ได้ แต่กลับก่อให้เกิดมโนทัศน์การมองโลกและชีวิตแบบแยก ส่วน และสร้างปฏิบัติการที่ทําให้ฟิตรอฮ์อ่อนแอหลายประการ ขณะที่แนวคิดฟิตรอฮ์ยอมรับปฏิบัติการต่าง ๆ ที่พระผู้ เป็นเจ้าทรงกําหนด ซึ่งช่วยให้ฟิตรอฮ์เจริญงอกงาม และสามารถมองชีวิตอย่างเป็นองค์รวมได้ ในทางกลับกัน กลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มอาจมีคุณค่าทางศีลธรรมอันดีงามซึ่งสอดคล้องกับฟิตรอฮ์ของมนุษย์ แต่หากขาดระบบการผลิตซ้ําคุณค่าดังกล่าว อัตลักษณ์ที่บ่งบอกความมีศีลธรรมนั้นก็จะถูกบดทับด้วยอัตลักษณ์ของ วัฒนธรรมกระแสหลัก ซึ่งไม่ให้คุณค่ากับศาสนาในที่สุด เช่นในหลายประเทศที่มีคําสอนทางศาสนาอันดีงามอยู่ แต่ เมื่อศาสนาไม่มีพื้นที่ให้ผลิตซ้ําคุณค่าได้ เพราะพื้นที่ของสังคมถูกยึดครองโดยวัฒนธรรมการบริโภค ศาสนาก็จะค่อย ๆ หมดความสําคัญลง แม้จะมีพิธีกรรมบางอย่างเพื่อบ่งบอกความเป็นศาสนิกอยู่ แต่ก็จะไม่สามารถสร้างคุณค่าไว้ ยืนหยัดต่อสู้กับวัฒนธรรมการบริโภคได้ สถานการณ์เช่นนี้จะสร้างอัตลักษณ์สองแบบที่แปลกแยกซึ่งกันและกัน แต่ก็ ซ้อนทับกันอยู่ในปัจเจกคนเดียวกัน กล่าวคือ ในขณะที่อ้างตนเป็นคนนับถือศาสนา แต่ในเวลาเดียวกันนั้นกลับมี พฤติกรรมที่ขัดแย้งสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับคําสอนของศาสนาที่ตนนับถือ หากมองจากทฤษฎีฟิตรอฮ์ ก็สามารถกล่าว ได้ว่าการนับถือศาสนาของบุคคลดังกล่าวเป็นสํานึกเชิงฟิตรอฮ์ แต่พฤติกรรมที่แสดงออกคือผลของวาทกรรมและ ความสัมพันธ์เชิงอํานาจที่ครอบงําสังคมอยู่นั่นเอง โดยนัยนี้ จึงกล่าวได้ว่าการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ท่ามกลางการปะทะ สังสรรค์ ระหว่างวัฒนธรรม นอกเหนือจากปัจจัยด้านคุณค่าบางอย่างในตัวอัตลักษณ์เองซึ่งไม่อาจยืนหยัดต่อสู้กับข้อเท็จจริง ได้ ยังอาจเป็นเพราะขาดระบบที่จะช่วยให้อัตลักษณ์นั้นสามารถผลิตซ้ําคุณค่าของตัวเอง ทั้งนี้เพราะการผลิตซ้ํา อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
62
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
นับเป็นปัจจัยสําคัญยิ่งยวดที่จะช่วยให้ระบบคุณค่าดําเนินต่อไปได้ เช่นในระบบทุนนิยมอันเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการ คงอยู่ของวัฒนธรรมตะวันตก การผลิตซ้ําเป็นปัจจัยที่ทําให้การบริโภคกลายเป็นวัฒนธรรม และบ่งบอกอัตลักษณ์ของ ผู้คนในยุคปัจจุบัน ดังที่เกษม เพ็ญภินันท์ ระบุว่า “การบริโภคทําให้เกิดการผลิตซ้ําของความสัมพันธ์ทางการผลิต
และผลักดันระบบทุนนิยมให้ขยายตัวจากขอบเขตทางเศรษฐกิจสู่ปริมณฑลทางสังคม ที่การบริโภคได้สร้างรูปแบบใน การดําเนินชีวิตในระบบทุนนิยม และแปรเปลี่ยนสังคมทุนนิยมให้กลายเป็นสังคมบริโภค” (เกษม เพ็ญภินันท์, 2550: 6) เอกภาพของอุดมคติที่ถูกผลิตซ้ําอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการให้ความรู้อย่างสม่ําเสมอในชุมชนมัสยิดบ้าน เหนือ ค่อนข้างทรงพลังจนสามารถนําไปสู่การจัดระบบซะกาต ซึ่งนับเป็นการสร้างระบบเศรษฐกิจบนฐานคิดของ จักรวาลทัศน์อิสลามได้ ระบบเศรษฐกิจเป็นภาคปฏิบัติการที่จําเป็นสําหรับการดํารงอัตลักษณ์หนึ่ง ๆ เพราะการดํารง อยู่ของมนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงการบริโภคทรัพยากรที่มีอยู่ในธรรมชาติได้ อัตลักษณ์และวัฒนธรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ จึงผูกพันอยู่กับการบริโภคทรัพยากร และเป็นตัวสะท้อนจักรวาลทัศน์และวิธีคิดในการมองโลกและชีวิตของคนเราได้ เป็นอย่างดี สังคมจะยึดถือหรือจัดระบบเศรษฐกิจแบบใด ขึ้นอยู่กับจักรวาลทัศน์ในการมองโลกและชีวิตของผู้คนใน สังคมนั้นนั่นเอง เช่น ที่กามาล (Yusuf Kamal) กล่าวถึงระบบทุนนิยมว่าเกิดขึ้นเพราะผู้คนมองปัจเจกเหมือนพระเจ้าใน ที่ดินซึ่งเขาครอบครอง สามารถกําหนดระบบศีลธรรมและคุณค่าของตัวเองได้ตามแต่ผลประโยชน์ที่แลเห็น ดังนั้น ศาสนาจึงไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องนี้ (Kamal, 1990: 6) จักรวาลทัศน์อิสลามจึงมีระบบเศรษฐกิจของตนเอง โดยมีซะกาตเป็นเสาหลัก และดําเนินไปบนฐานการมอง โลกและชีวิตว่ามาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังที่กามาลได้กล่าวไว้ว่า “เป็นระบบที่เกิดจากความศรัทธามั่นต่ออัลลอฮ์
พระผู้เป็นเจ้าและปรโลก... ความเชื่อมั่นว่าปรโลกคือโลกแห่งการตอบแทนอันแท้จริง ช่วยปลดเปลื้อง บั่นทอน ความเห็นแก่ตัวให้ลดลง และมีความเห็นอกเห็นใจผู้อ่อนแอมากขึ้น จักรวาลทัศน์เช่นนี้เองที่กําหนดระบบซะกาตขึ้น เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยปลดปล่อยคนเราจากความอัปยศของความยากจน” (Kamal, ibid: 6) เมื่อชุมชนมัสยิดบ้านเหนือสามารถสถาปนาระบบซะกาตขึ้นได้ จึงช่วยให้ชุมชนมีระบบเศรษฐกิจของตัวเอง อันนับเป็นเสาหลักต้นหนึ่งในการค้ําจุนอัตลักษณ์มุสลิมให้ดํารงอยู่ต่อไปได้ในชุมชน โดยไม่ถูกกลืนกลายไปในกระแส การพัฒนาตามแนวทุนนิยมแต่อย่างใด นอกจากระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคมและการเมืองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่สะท้อนภาพจักรวาลทัศน์ของผู้คนใน สังคมได้เช่นเดียวกัน การตรากฎหมายเพื่อบังคับใช้ในสังคมหนึ่ง ๆ คือภาคปฏิบัติการในการดํารงไว้ซึ่งจักรวาลทัศน์ และอัตลักษณ์ของผู้ตรากฎหมายนั้นเอง ดังนั้น เมื่อมัสยิดบ้านเหนือตราสิ่งที่เรียกว่า “หุกมปากัต” ขึ้นมาบังคับใช้ใน ชุมชน จึงถือเป็นปัจจัยสําคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยดํารงอัตลักษณ์มุสลิมให้คงอยู่ในชุมชนต่อไปได้อย่างยั่งยืน ในส่วนของกระบวนการที่ชุมชนมัสยิดบ้านเหนือใช้เพื่อดํารงอัตลักษณ์ รวมถึงผลของกระบวนการ ดั งกล่าวนั้น จะเห็น ว่ า ชุ ม ชนเริ่มต้นด้วยการจั ด การความรู้ที่เ ป็นเอกภาพระหว่ างความรู้กั บความเชื่อ เอกภาพ ดังกล่าวนี้ช่วยให้เกิดความสอดคล้องระหว่างระบบวัฒนธรรมกับระบบสังคม ซึ่งนําไปสู่การใช้ชีวิตประจําวันที่เป็นตัว ของตัวเอง บนฐานของความเชื่อถือศรัทธาที่บุคคลมี ไม่ได้ถูกช่วงชิงการนําโดยวิถีอื่น ต่างจากความเชื่อทางศาสนา ของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่ถูกลดบทบาทในการกํากับวิถีชีวิตประจําวันลงไป แล้วปล่อยให้ความรู้ตามวิถีวัตถุนิยม เข้ามาช่วงชิงการนําไปแทน การแยกส่วนระหว่างความเชื่อกับความรู้ก่อให้เกิดอัตลักษณ์ที่แปลกแยกขึ้น เช่น ที่คลิฟ ฟอร์ด เกียร์ซ (Clifford Geertz, 1926-2006) ได้ยกตัวอย่างการตายของเด็กคนหนึ่งในหมู่บ้านหรือกําปง (kampong) มอดโจคูโต ซึ่งเป็นชุมชนในเมืองบนเกาะชวา คนในชุมชนนับถือศาสนาฮินดูแต่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม และ จัดพิธีศพตามแบบอิสลาม (อ้างใน อคิน รพีพัฒน์, 2551:113)
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
63
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
สิ่งที่เกียร์ซเห็นในกรณีนี้คือความล้มเหลวของพิธีศพ ซึ่งเขาคิดว่าเกิดจากความแปลกแยกระหว่าง ระบบวัฒนธรรมกับระบบสังคม แต่สิ่งที่เกียร์ซอาจมองไม่เห็นคือ ความคับแคบ อ่อนแอของระบบวัฒนธรรมหนึ่ง เป็น เหตุให้กลุ่มชาติพันธุ์ท่ีใช้ระบบวัฒนธรรมนั้นไม่สามารถบูรณาการมิติต่าง ๆ ในชีวิตเข้าด้วยกันได้ ไม่สามารถสร้าง ระบบสังคมบนฐานคิดทางวัฒนธรรมของตนเองได้ ทําให้ต้องรับเอาความเชื่ออื่นเข้ามาเป็นระบบสังคม เมื่อผสมกับ ความเชื่อเดิม จึงเกิดความแปลกแยกขึ้น กลายเป็นอัตลักษณ์ใหม่ที่ร่องรอยของความเชื่อเดิมถูกทิ้งไว้เพียงแผ่วผิวบาง เบา เพราะระบบวัฒนธรรมเหลือเพียงสัญลักษณ์ที่ล่องลอย ไร้รากฐานทางสังคมรองรับ ความเชื่อหรือระบบวัฒนธรรมที่ล่องลอยเช่นนี้ มักมีประโยชน์ในวิถีสังคมไม่มากนัก ขณะที่แนวคิดฟิตรอฮ์ เห็นว่าในการปะทะสังสรรค์เชิงจักรวาลทัศน์นั้น สิ่งที่จะดํารงอยู่คือสิ่ง ที่เ ป็นประโยชน์มากกว่า ตามที่ปรากฏใน อัลกุรอาน บท อัลเราะอ์ดุ โองการที่ 17 (Al Raadu: 17) ซึ่งมีใจความว่า
“ส่วนทีเ่ ป็นฟองฝอยก็จะสลายมลายลง แต่สว่ นทีเ่ ป็นประโยชน์กับมนุษย์ จะยังคงดํารงอยูต่ อ่ ไปในแผ่นดิน” โดยนัยนี้ จึงกล่าวได้ว่า เพราะความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ยังประโยชน์ได้มากกว่าความเชื่อทางศาสนา จึงทําให้ วิทยาศาสตร์ดํารงอยู่ ขณะที่ศาสนาก็ค่อย ๆ ลดบทบาทในการกํากับชีวิตของผู้คนลงไป การพัฒนาสังคมดําเนินไปบน ปรัชญาความรู้เชิงวิทยาศาสตร์วัตถุนิยม ที่ขัดแย้งกับความศรัทธาทางศาสนา ทําให้อัตลักษณ์เชิงศาสนาของศาสนิก ชนต่าง ๆ ค่อย ๆ ถูกกัดเซาะ และเสื่อมสลายไปในที่สุด หรือถึงแม้จะยังคงอยู่ แต่ก็เป็นอัตลักษณ์ที่มีเฉพาะรูปลักษณ์ ซึ่งถูกแช่แข็งไว้ขายเป็นสินค้า ขณะที่จิตวิญญาณและความศรัทธาได้ปลาสนาการไปสิ้นแล้ว การจัดการความรู้ในชุมชนมัสยิดบ้านเหนือได้สลายความขัดแย้งระหว่างความเชื่อทางศาสนากับระบบสังคม ลงไป โดยการเน้นให้ผู้ละหมาดนําปรัชญาและวิธีคิดของละหมาดมาใช้เป็นระบบสังคม นับเป็นวาทกรรมที่สวนทางกับ วัฒนธรรมกระแสหลักที่พยายามแยกส่วนระหว่างความเชื่อกับความรู้ และใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการแสวงหา ผลประโยชน์เชิงวัตถุ ส่วนการสร้างวิถีสังคม ก็จะเห็นการใช้วาทกรรมต่าง ๆ เช่นเดียวกับที่วัฒนธรรมกระแสหลักใช้ เมื่อวาท กรรมของวัฒนธรรมกระแสหลักสามารถสร้างวิถีสังคมได้ วาทกรรมของชุมชนมัสยิดบ้านเหนือก็ย่อมสร้างวิถีสังคมได้ เช่นกัน เพียงแต่มีทิศทางและเป้าหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ชุมชนมัสยิดบ้านเหนือสร้างวิถีความผูกพันระหว่างคนกับมัสยิดอันเป็นสถาบันศาสนา โดยให้มัสยิดเป็น ศูนย์กลางในการพัฒนา เนื่องจากมีเป้าหมายคือส่งเสริมความดี และยับยั้งความชั่ว ขณะที่วาทกรรมกระแสหลัก พยายามสลายความผูกพันระหว่างคนกับสถาบันศาสนา แล้วไปผูกพันกับสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ แทน เนื่องจาก เป้าหมายของการพัฒนาในวาทกรรมนี้คือความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ชุมชนมัสยิดบ้านเหนือสถาปนาโครงสร้างทางการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคมขึ้น เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิง อํานาจในการขัดเกลาทางสังคม (socialization) ให้ผู้คนได้ร่วมสร้างสิ่งดีงาม และใช้พลังมวลชนในการยับยั้งความชั่ว ร้าย ขณะที่วาทกรรมกระแสหลักสถาปนาโครงสร้างทางการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคมขึ้น เพื่อเป็นหนทางให้ผู้คน แสวงหาความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ การบริโภคและความบันเทิงเริงรมย์ได้อย่างเต็มที่ ชุมชนมัสยิดบ้านเหนือจัดระเบียบทางการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อให้ทุกสถาบันในชุมชนเป็นหน่วย ผลิตความดี และใช้ระเบียบนั้นป้องปรามความชั่วร้าย ขณะที่วาทกรรมกระแสหลักจัดระเบียบต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้ สถาบันที่เป็นองคาพยพของสังคมทําหน้าที่เป็นหน่วยผลิตและบริโภคเชิงเศรษฐกิจ และเพื่อป้องปรามการกระทําต่างๆ อันจะทําให้หน่วยเศรษฐกิจเสียหาย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
64
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
แม้จะใช้วาทกรรมเหมือนกัน แต่ด้วยเป้าหมายที่ต่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้จึงต่างกันด้วย ชุมชนมัสยิดบ้านเหนือมีผู้ ละหมาดญะมาอะฮ์ร่วมกันที่มัสยิด 5 ครั้งต่อวัน เฉลี่ยครั้งละ 100 คน ละหมาดช่วยสร้างบรรยากาศความรักใคร่ ปรองดอง และเติมเต็มจิตวิญญาณของผู้ปฏิบัติได้ ส่งผลให้พวกเขาเข้าร่วมการพัฒนาชุมชนได้ในทุกมิติ ขณะที่ผู้เดิน ตามวาทกรรมกระแสหลักตกอยู่ในสภาพดังที่ อดอร์โน (Theodor Adorno, 1903-1969) และฮอร์ไคเมอร์ (Max Horkheimer, 1895-1950) ว่าไว้ คือ “เป็นคนจํานวนมากที่มารวมตัวกันเป็นกลุ่ม แต่ในการรวมตัวกันนั้น คนที่อยู่ใน
กลุ่มกลับไม่มีสายสัมพันธ์ระหว่างกันแต่อย่างใด (social bonds) เช่น บรรยากาศของมวลชนที่ไปดูหนังหรือเชียร์ ฟุตบอลในสนามกีฬา ที่แม้ด้านหนึ่งจะมีคนจํานวนมากรวมอยู่ในเวลาและพื้นที่เดียวกัน แต่คนกลุ่มนี้ก็ไร้ราก ความสัมพันธ์ระหว่างกัน” (อ้างใน กาญจนา แก้วเทพ, 2551: 263) สอดคล้องกับ เฮอร์เบิร์ต มาร์คูเซอ (Herbert Marcuse, 1898-1979) ซึ่งเรียกวิถีชีวิตทํานองนี้ว่า มนุษย์/สังคม มิติเดียว (one dimensional man/society) เขาอธิบาย ว่า สังคมแบบนี้จะทําหน้าที่เพียงธํารงรักษา/สืบทอดสภาวการณ์ที่เป็นอยู่ ซึ่งจะจบลงที่การเป็น “มนุษย์ผู้ผลิต/เสพ วัฒนธรรม โดยไม่เหลือสํานึกวิพากษ์ และกลายเป็นมนุษย์มิติเดียว (one dimensional man) โดยที่สังคมที่มนุษย์เหล่านี้ ดํารงอยู่ก็จะกลายเป็นสังคมมิติเดียว (one dimensional society) อันหมายความว่ามนุษย์เราก็จะมีแต่ความเฉื่อยชา ยอมจํานนต่อระบบ ไม่เห็นแก่นสารของชีวิต และที่สําคัญไม่คิดหรือประพฤติเกินกว่าที่เป็นอยู่ (one dimensional thought/behavior) (อ้างใน กาญจนา แก้วเทพ, 2551 : 267) สําหรับในส่วนของการบริหารจัดการ มัสยิดบ้านเหนือได้ก้าวไปสู่การจัดการวิถีชุมชนในหลากหลายมิติ ซึ่งเป็น การปฏิบัติตามนัยยะแห่งพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน บท อาละ อิมรอน โองการที่ 104 (Ala Imran : 104) ใจความว่า
“จงให้มีขึ้นจากหมู่พวกเจ้า ซึ่งคณะบุคคลผู้ทําการเรียกร้อง เชิญชวนสู่ความดี สั่งการให้กระทําสิ่ง ที่ควร และยับยั้งมิให้กระทําสิ่งอันไม่พึงประสงค์ คนเหล่านี้เองที่จะเป็นผู้ประสบความสําเร็จ” โดยนัยแห่งโองการนี้ ประชาคมมุสลิมต้องรับผิดชอบในการสรรหาบุคคลผู้ซึ่งจะทําหน้าที่บริหารจัดการ สั ง คมในฐานะประมุ ข หรื อ ผู้ นํ า โดยวั ต ถุ ป ระสงค์ ห ลั ก คื อ เพื่ อ ให้ ค วามดี ไ ด้ แ พร่ ห ลายและยั บ ยั้ ง ความชั่ ว มิ ใ ห้ แพร่กระจาย เมื่อความดี ความชั่ว ต้องใช้มาตรฐานแห่งศาสนาตัดสิน อีกทั้งการสถาปนาความดีให้เป็นเสาหลักของ สังคม และการขจัดปัดเป่าความชั่วร้าย ล้วนต้องอาศัยอํานาจมาบริหารจัดการทั้งสิ้น ดังนั้น มัสยิดบ้านเหนือจึงดํารง อยู่ทั้งในฐานะศาสนสถาน และสถาบันบริหารจัดการความดี ความชั่วในสังคมด้วย เห็นได้จากการจัดตั้ง “ศูนย์บริหาร กิจการชุมชน มัสยิดบ้านเหนือ” ขึ้น ซึ่งสะท้อนว่ามัสยิดทําหน้าที่เป็นสถาบันการเมืองที่ได้ก้าวล่วงไปสู่การจัดการวิถี ชุมชนด้วย แต่การเมืองของมัสยิดเป็นการเมืองซึ่งอยู่ในฐานะเครื่องมือที่นําสู่เป้าหมายทางศาสนา ขณะที่การเมืองใน วาทกรรมกระแสหลักพยายามใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการเถลิงอํานาจของชนชั้นนํา การสร้างวาทกรรมทั้งสาม คือ การจัดการความรู้ การสร้างวิถีสังคม และการบริหารจัดการ ได้ช่วยให้ชุมชน มัสยิดบ้านเหนือมีปัจจัยสําคัญ 5 ประการในการดํารงอัตลักษณ์ของตนเอง ได้แก่ ระบบการผลิตซ้ําจักรวาลทัศน์ของ ตนเอง พลวัตทางวัฒนธรรม ระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม ซึ่งทั้งหมดวางอยู่บนฐานเดียวคือจักรวาลทัศน์อิสลาม จึง ทําให้มีเอกภาพและการบูรณาการเป็นอย่างดี ผลสรุปเช่นนี้ ทําให้เข้าใจได้ว่าการขาดเสียซึ่งปัจจัยหนึ่งใดในห้าปัจจัยที่ กล่าวถึง จะทําให้ชุมชนหนึ่ง ๆ อาจถูกกลืนกลายไปในวัฒนธรรมกระแสหลักได้อย่างง่ายดาย เป็นข้อสรุปที่สามารถ นํามาใช้อธิบายได้ว่าเหตุใดชุมชนมุสลิมส่วนใหญ่จึงให้คะแนนผู้นําศาสนาต่ํากว่าความคาดหวัง ดังผลการวิจัยของ สมาน ดือราแม (2545) และการเข้าร่วมพัฒนากับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็อยู่ในระดับต่ํา ดังผลการวิจัยของ อิบราเฮ็ม ณรงค์รักษาเขต และคณะ (2548) ได้ยืนยันไว้ กล่าวคือ การที่สถาบันมัสยิดส่วนใหญ่ในประเทศไทยไม่ สามารถสร้างระบบสังคมและระบบเศรษฐกิจตามบนฐานจักรวาลทัศน์อิสลามได้ ทําให้อัตลักษณ์มุสลิมมีความเสื่อม
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
65
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ถอย ระบบสังคมและระบบเศรษฐกิจเป็นไปตามแนวทางของทุนนิยม จนเกิดความไม่มั่นคง และชุมชนตกอยู่ในภาวะ เสี่ยงต่อการล่มสลาย ขณะเดียวกัน การมอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้กุมอํานาจในการพัฒนา ก็ไม่ได้ทํา ให้ชุมชนบรรลุถึงสิ่งที่มุ่งหวังได้ เพราะส่วนใหญ่องค์กรเหล่านั้นเน้นการพัฒนาวัตถุตามแนวทางทุนนิยม โดยไร้ราก อุดมการณ์ จึงเป็นเพียงองค์กรที่ช่วยผลิตซ้ําค่านิยมวัตถุนิยมเท่านั้น นี่เป็นเหตุหนึ่งที่องค์กรศาสนาเช่นมัสยิดไม่เข้า ร่ ว มในกระบวนการพั ฒ นาขององค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น การถอยห่ า งจากองค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น แต่ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถสร้างระบบสังคมและเศรษฐกิจของตนเองได้ ทําให้องค์กรมัสยิดกลายเป็นองค์กรชายขอบที่ ทําได้เพียงการรอรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น และปล่อยให้ประชาชนที่เป็นสัปบุรุษของมัสยิดยึดโยงกับโครงสร้าง สังคมและเศรษฐกิจของวัฒนธรรมกระแสหลัก ซึ่งนับวันจะบ่อนเซาะกัดกร่อนอัตลักษณ์มุสลิมให้ล่มสลายเร็วขึ้น ข้อเสนอแนะ 1.ข้อเสนอแนะทั่วไป 1.1 ผู้บริหารองค์กรมัสยิดควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการดํารงอัต ลักษณ์พื้นฐาน 3 ประการของมุสลิม ได้แก่ การละหมาด การซะกาต และการส่งเสริมความดี ยับยั้งความชั่ว และควร เป็นการศึกษาในเชิงมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา มากกว่าการศึกษาเพื่อรับรู้หลักปฏิบัติศาสนกิจดังที่ศึกษากันอยู่ ทั่วไป 1.2 ผู้บริหารองค์กรมัสยิดควรให้ความสําคัญกับกระบวนการจัดการความรู้เกี่ยวกับอัตลักษณ์พื้นฐาน 3 ประการ ให้กระจายสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างชุมชนเข้มแข็ง โดย ใช้สื่อสมัยใหม่ให้มากขึ้น 1.3 ผู้บริหารมัสยิดโดยเฉพาะอิหม่ามต้องให้ความสําคัญเป็นพิเศษกับการละหมาดญะมาอะฮ์ที่มัสยิด เพื่อ เป็นแบบอย่างอันดีแก่สัปบุรุษทั้งหลาย 1.4 การดําเนินการในข้อ 1.4 ผู้บริหารองค์กรมัสยิดควรดึงสัปบุรุษในชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด โดยอาจจัดตั้งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ขึ้นมาและมีศูนย์กลางการจัดการอยู่ที่มัสยิด 2.ข้อเสนอแนะในการทําวิจัยต่อไป 2.1 ควรทําการวิจัยว่าเหตุใดชุมชนมุสลิมส่วนใหญ่จึงไม่ให้ความสําคัญกับการละหมาดญะมาอะฮ์เท่าที่ควร และมีวิธีใดที่จะให้ผู้คนสนใจการละหมาดญะมาอะฮ์มากขึ้น 2.2 ควรมีการวิจัยว่าเหตุใดกลุ่ม ดะวะฮ์ตับลีฆจึงสามารถโน้มน้าวผู้เลื่อมใสในแนวทางของกลุ่มให้เห็น ความสําคัญของการละหมาดญะมาอะฮ์ และการละหมาดในแนวทางของกลุ่มดังกล่าวช่วยสร้างความเข้มแข็งแก่ ชุมชนได้หรือไม่ 2.3 ควรวิจั ย ว่ า เหตุใ ดชุม ชนมุ ส ลิ ม ส่ ว นใหญ่ จึง ไม่ส ามารถจัด ระบบซะกาตได้ และมี วิ ธี ก ารใดที่จ ะช่ ว ย สถาปนาระบบซะกาตในชุมชนนั้น ๆ 2.4 ควรมีการวิจัยว่าสาเหตุสําคัญที่ทําให้ชุมชนมุสลิมส่วนใหญ่เพิกเฉยกับภารกิจส่งเสริมความดี ยับยั้ง ความชั่ว ซึ่งเป็นภารกิจเพื่อประโยชน์สุขของสังคมส่วนรวมคืออะไร และมีวิธีใดที่จะช่วยฟื้นฟูภารกิจนี้ในแต่ละชุมชน 2.5 ควรมีการวิจัยเพื่อหาสาเหตุใหญ่ที่องค์กรมัสยิด ไม่สามารถเป็นแกนหลักในการดํารงอัตลักษณ์มุสลิม และไม่สามารถเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาชุมชนได้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
66
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
เอกสารอ้างอิง กาญจนา แก้วเทพ, สมสุข หินวิมาน. 2551. สายธารแห่งนักคิดทฤษฎี เศรษฐศาสตร์การเมืองกับสื่อสารศึกษา กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์. เกษม เพ็ญภินันท์. 2550. สู่พรมแดนความรูเ้ รื่องวัฒนธรรมบริโภค. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. นิธิ เอียวศรีวงศ์. 2551 มกราคม. “วัฒนธรรมทางการเมืองไทย” ศิลปวัฒนธรรม. 29 (3). 81-100. ภัควดี วีระภาสพงษ์ (ผู้แปล). 2549. เยียวยาแผ่นดิน. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ยศ สันตสมบัติ. 2548. มนุษย์กับวัฒนธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพ ฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. รัตนา โตสกุล. 2548. มโนทัศน์เรื่องอํานาจ. กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการ วิจัยแห่งชาติ. วัฒนา สุกัณศีล. 2541. “ชุมชนมุสลิมกับการเปลี่ยนแปลง” สงขลานครินทร์. 4(1), 11-31. สมาน ดือราแม. 2545. ภูมิหลังและบทบาทของคณะกรรมการมัสยิดในการพัฒนา ชุมชน ศึกษาเฉพาะกรณีมัสยิด ในอําเภอสิงหนคร, ภาคนิพนธ์ศิลปะศาสตร์ มหาบั ณ ฑิ ต (พั ฒ นาสั ง คม) คณะพั ฒ นาสั ง คม สถาบั น บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. ศูน ย์ อคิน รพีพัฒ น์. 2551. วัฒนธรรมคื อความหมาย ทฤษฎีและวิธีการของคลิฟฟอร์ดเกียร์ซ . กรุงเทพฯ: มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). อภิญญา เฟื่องฟูสกุล. 2546. อัตลักษณ์ การทบทวนทฤษฎีและกรอบแนวคิด กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการ วิจัยแห่งชาติ อิบราเฮ็ม ณรงค์รักษาเขตและคณะ. 2548. การมีส่วนร่วมขององค์กรมุสลิมในการ ส่งเสริมธรรมรัฐ องค์การบริหาร ส่วนตําบลในจังหวัดชายแดนภาคใต้. ปัตตานี : วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. Amini, Muhammad Takiy. 1988. Al Nizam al Ilahi li al Rukiy wa al Inhitat, (translated by Muktada Hasan Azhari). Cairo: Dar al Sahwah. Duraini, Fathi. 1988. Dirasat wa al Buhus fi al Fikri al Islami. Beirut: Dar Kutaibah. Kamal, Yusuf. 1990. Fiqh al Iktisod al cam. Cairo: Star Press. Mawardi,Abu al Hasan Ali. 1993. Adab al Dunya wa al Din. Cairo: Dar al kutub al Ilmiah.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
67
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
บทความวิจัย
การพัฒนากรอบหลักสูตรบูรณาการช่วงชั้นที่ 3 สําหรับโรงเรียน เอกชนสอนศาสนาอิสลาม จังหวัดชายแดนภาคใต้ มูหามัดรูยานี บากา∗ อิบราเฮ็ม ณรงค์รกั ษาเขต∗∗ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากรอบหลักสูตรบูรณาการช่วงชั้นที่ 3สําหรับโรงเรียนเอกชนสอน ศาสนาอิสลาม จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้วิจัยได้ดําเนินการศึกษาและเก็บข้อมูลจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ จํานวน 17 คน โดยใช้เทคนิคเดลฟาย (Delphi technique) ในการศึกษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ และมาตรฐาน ช่วงชั้นที่ 3 เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนากรอบหลักสูตรบูรณาการช่วงชั้นที่ 3 สําหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา อิสลาม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผลการวิจัยพบว่า เนื้อหาวิชาสามัญและศาสนาสามารถบูรณาการกันได้ในทุกวิชา เนื่องจากมีความเชื่อมโยงและสัมพันธ์กัน คําสําคัญ: การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการ, โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม, จังหวัดชายแดนภาคใต้
∗
นักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชาอิสลามศึกษา วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ∗∗ Assoc. Ph.D. (Education) อาจารย์ประจําภาควิชาอิสลามศึกษา วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต ปัตตานี
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
68
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
Abstract The purpose of this study was to develop an integrated curriculum framework for level 3 of Islamic private schools in the southern border provinces of Thailand. A Delphi technique by which a panel of 17 experts’ opinion on substances and learning standards for integrated subjects as well as learning standards for level 3 was examined. This collected data was used as a guideline for developing an integrated curriculum framework for level 3 of Islamic private School. The results showed that the religious and modern science can be integrated because they have relationship among them. Keywords: Development Integrated Curriculum, Islamic Private School, Southern Border Provinces of Thailand
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
69
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
บทนํา โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเป็นสถาบันการศึกษาที่มุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัด ใกล้เคียงนิยมส่งบุตรหลานไปศึกษาเล่าเรียนมาก เพราะผู้ปกครองมีความตระหนักว่าสถาบันดังกล่าวสามารถผลิต เยาวชนให้มีความรู้ทั้งด้านสามัญและศาสนาดีกว่าสถาบันอื่นๆ ปัจจุบันสถานศึกษาเหล่านี้ได้พัฒนาในหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านการบริหารและการจัดการ ด้านหลักสูตร ด้านบุคลากร เพื่อให้สอดคล้องกับการศึกษาตามยุคโลกาภิวัตน์ การดําเนินการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาดังกล่าวจะอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวคือวิชาอิสลามศึกษา จะใช้หลักสูตรอิสลามศึกษา พุทธศักราช 2546 ส่วนวิชาสามัญจะให้หลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 การดําเนินการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรดังกล่าว จะเห็นได้ว่าใช้เวลามากกว่า โรงเรียนปกติ กล่าวคือ 1. ช่วงชั้นที่ 1 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 -3 กับอิสลามศึกษาตอนต้น (อิบตีดาอียะฮฺ) ปีที่ 1-3 ใช้เวลาเรียน 1,150-1,500 ชั่วโมง/ปี โดยเฉลี่ยวันละประมาณ 6-7 ชั่วโมง 2. ช่วงชั้นที่ 2 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 -6กับอิสลามศึกษาตอนต้น (อิบตีดาอียะฮฺ) ปีที่ 1-3 ใช้เวลาเรียน 1,150-1,500 ชั่วโมง/ปี โดยเฉลี่ยวันละประมาณ 6-7 ชั่วโมง 3. ช่วงชั้นที่ 3 (ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่1- 3 กับอิสลามศึกษาตอนกลาง (มุตาวัซซีเฏาะฮฺ) ปีที่ 1-3 ใช้ เวลาเรียน 1,150-1,800 ชั่วโมง/ปีโดยเฉลี่ยวันละประมาณ 7-9 ชั่วโมง 4. ช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่ 1 – 3 กับอิสลามศึกษาตอนปลาย (ซานาวียะฮฺ) ปีที่ 1-3 ใช้ เวลาเรียน ไม่น้อยกว่า 1,850 ชั่วโมง/ปี โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่าวันละประมาณ 9 ชั่วโมง ข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สองหลักสูตรนั้น ทําให้โรงเรียนเอกชนสอน ศาสนาอิสลามในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะประสบปัญหาใน ด้านงบประมาณ การบริหารจัดการ และบุคลากร ดังนั้น การบูรณาการหลักสูตรจึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งสําหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในสามจังหวัด ชายแดนภาคใต้ เพราะจะช่วย ลดจํานวนครูผู้สอน และมีงบประมาณเพียงพอในการพัฒนาอาคารสถานที่และการ บริหารจัดการตลอดจนผู้เรียนมีเวลาในการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองมากยิ่งขึ้น การศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนากรอบหลักสูตรบูรณาการสําหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จังหวัด ชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ โรงเรียนของรัฐที่เปิดสอนควบคู่กับหลักสูตรอิสลามศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาวิเคราะห์สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และในหลักสูตรอิสลามศึกษา พุทธศักราช 2546 2. เพื่อพัฒนากรอบหลักสูตรบูรณาการ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรุ้ช่วงชั้นที่ 3 3. เพื่อเป็นแนวทางการจัดทําหลักสูตรบูรณาการและการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ สําหรับ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
70
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
การวิเคราะห์ส าระและมาตรฐานการเรียนรู้ และมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นที่ 3 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และหลักสูตรอิสลามศึกษา พุทธศักราช 2546 การวิเคราะห์สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ และมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นที่ 3 เพื่อดําเนินการวิจัยครั้งนี้ แบบบรรยายเชิงสํารวจ(Descriptive Survey Research) ซึ่งศึกษาข้อมูลโดยใช้เทคนิคเดลฟาย (DelPhi Technique) ผู้วิจัยใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแบบง่าย (Sample Random Sampling)จํานวน 17 ท่าน ตามแนวคิดของวาโร เพ็งสวัสดิ์ (2543 : 31) กล่าวว่าเมื่อใช้ผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ 17 คน ขึ้นไปความคลาดเคลื่อนจะลดลงน้อยมาก และจะลง อย่างคงที่ประมาณ 0.02 เพื่อให้ได้ผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมในการพิจารณาความสอดคล้องของข้อมูลที่ผู้วิจัยได้ ดําเนินการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนากรอบหลักสูตรบูรณาการสําหรับจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนเอกสอน ศาสนาอิสลาม ผู้วิจัยจึงได้กําหนดคุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้ 1. ผู้สําเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก มีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดทําหลักสูตรหรือรับผิดชอบงานด้าน อิสลามศึกษาไม่น้อยกว่า 4 ปี 2. ผู้สําเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท มีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดทําหลักสูตรหรือรับผิดชอบงานด้าน อิสลามศึกษาไม่น้อยกว่า 6 ปี 3. ผู้สําเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี มีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดทําหลักสูตร หรือรับผิดชอบด้านงาน อิสลามศึกษาไม่น้อยกว่า 8 ปี ผลการวิจัย ผลการศึกษาวิเคราะห์สาระและมาตรฐานการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ ช่วงชั้นที่ 3 ระหว่างหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และหลักสูตรอิสลามศึกษา พุทธศักราช 2546 เพื่อบูรณาการเข้าด้วยกันโดย ศึกษาความสัมพันธ์ของเนื้อหาทั้งสองหลักสูตรและนําทฤษฎีการแบ่งประเภทเนื้อหาวิชาของฮิลดา ทาบา (Hilda Taba) คือ เนื้อหาวิชาที่เป็นความจริงและกระบวนการ (Specific Facts and Processes) เนื้อหาวิชาที่เป็นพื้นฐานของความคิด (Basic Ideas) เนื้อหาวิชาที่เป็นมโนทัศน์ (Concepts) เนื้อหาวิชาที่เป็นระบบความคิด (Thought Systems) (Hilda Taba, 1962 :175-178) มาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของหลักสูตรทั้งสอง รายละเอียดดังนี้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต มาตรฐาน (ว1.1) เข้าใจหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ระบบต่างๆของ สิ่งมีชีวิตที่มีอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสร้าง โดยมีกระบวนการศึกษาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ นําความรู้ไปปฏิบัติในการ ดํารงชีวิตของตนเองเพื่อเป็นบ่าวที่ดียําเกรงและปราศจากการตั้งภาคีต่อพระองค์ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. สํารวจตรวจสอบ และอธิบายลักษณะและรูปร่างของเซลล์ต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสิ่งมีชีวิต หลายเซลล์ หน้าที่ของส่วนประกอบของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์รวมทั้งกระบวนการที่สารผ่านเซลล์โดยมีอัลลอฮฺเป็นผู้ ทรงสร้าง และทรงรอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง 2. สํารวจตรวจสอบ และอธิบายปัจจัยที่จําเป็นต้องใช้และผลที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสง ความสําคัญ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
71
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ของกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่อัลลอฮฺป็นผู้ทรงเสร้าง 3. สํา รวจตรวจสอบ สื บค้น ข้อมู ล อภิปรายและอธิบายโครงสร้างและการทํา งานของระบบต่ า งๆ ของ สิ่งมีชีวิต (พืช สัตว์และมนุษย์) โดยที่อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงคุ้มครองในทุกกระบวนการ 4. รู้และเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและโทษของการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง การสิ้นสภาพในการเป็นมุสลิมและการศรัทธาต่อพระองค์ 5. สืบค้นข้อมูล อภิปรายและอธิบายเกี่ยวกับสารเสพติด ผลของสารเสพติดต่อการทํางานของร่างกายและ นําเสนอแนวทางการป้องกันและต่อต้านสารเสพติดตามหลักการของศาสนาอิสลามโดยอ้างอิงหลักฐานจากอัลกุ รอานและ อัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต มาตรฐาน(ว1.2) ยึ ด มั่ น ในหลัก ศรัท ธาต่ อ อั ล ลอฮฺ อ ย่างเคร่ ง ครัด โดยการเข้า ใจพื้ น ฐานของสิ่ งมีชีวิต ที่ พระองค์ทรงสร้างและคุ้มครอง เพื่อแก้ปัญหาสังคม และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. เข้าใจและเห็นคุณค่าในการศรัทธาต่ออัลลอฮฺบนพื้นฐานของการเข้าใจที่พระองค์ทรงสร้างสิ่งมีชีวิต 2. ตระหนักในหลักศรัทธาและสามารถนําผลการศรัทธาต่ออัลลอฮฺมาวิเคราะห์ วิจารณ์กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดํารงชีวิต มาตรฐาน (ว1.3) เข้าใจกระบวนการของอัลลอฮฺในการทรงสร้างสิ่งมีชีวิตในการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่มีผลต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมซึ่งพระองค์เป็นผู้ทรงคุ้มครอง มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ประโยชน์เพื่อการศรัทธาต่อพระองค์ในการดํารงชีวิต มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. สํารวจ สืบค้นข้อมูล และอธิบายความหลากหลายทางชีวภาพที่อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสร้างให้สิ่งมีชีวิตดํารงอยู่ ได้อย่างสมดุล และสํานึกในความสามารถของอัลลอฮฺ 2. สํารวจ สืบค้นข้อมูลและวิเคราะห์หลักฐานจากอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต)เพื่อการ ศรัทธาต่อความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการทรงสร้างสิ่งมีชีวิต สาระที่ 2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม มาตรฐาน(ว 2.1) เข้าใจกระบวนการของอัลลอฮฺในการสร้างสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อม และสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ประโยชน์เป็นหลักฐานการศรัทธา ต่อพระองค์ หลีกเลี่ยงการตั้งภาคี เพื่อเป็นบ่าวที่ยําเกรง มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. สํารวจตรวจสอบหลักฐานจากอัลกุรอานและ อัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) เกี่ยวกับกระบวนการ ของอัลลอฮฺในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัว 2. เห็นคุณค่าและปฏิบัติตามอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต)ในการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และ ห่างไกลจากการตั้งภาคีกับพระองค์
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
72
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
สาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก มาตรฐาน(ว6.1) เข้าใจกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของกระบวนการ ต่างๆ ที่อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสร้างและผู้คุ้มครองต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศและสัณฐานของโลก โดยมี กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ด้านความสามารถของพระองค์จากอัลกุรอาน และ อัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. สืบค้นข้อมูล อภิปรายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศที่มีความสัมพันธ์ในการดํารงชีวิตโดยมีอัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงสร้าง 2. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ อภิปรายและอธิบายหลักฐานจากอัลกุรอานและอัลฮะดีษ(วัจนท่านศาสนฑูต) เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม 3. สืบค้นข้อมูล สํารวจ ตรวจสอบ อภิปรายและอธิบายเกี่ยวกับทรัพยากรโดยมีอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสร้างและ ทรงปกครอง 4. สืบค้นข้อมูล สํารวจ ตรวจสอบและอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือการยุบตัว การคดโค้ง โก่งงอการผุพังอยู่กับที่ การกร่อน การพัดพา การทับถม และผลของกระบวนการดังกล่าวทําให้เกิด ภูมิประเทศ แตกต่างกันโดย มีอัลลอฮฺทรงเป็นผู้กําหนดและบริหารทุกกระบวนการ 5. สํารวจตรวจสอบ อภิปราย และอธิบายเกี่ยวกับโองการอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต)ที่มี ความสัมพันธ์กับแหล่งน้ําบนพื้นโลกและแหล่งน้ําใต้ดินโดยมีอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสร้าง สาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก มาตรฐาน (ว 6.2) เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ ทั้งบนผิวโลกและภายในโลกเพื่อยึดมั่นและ ศรัทธาในอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) ด้วยการอ่าน ตีความและท่องจําโองการอัลกุรอานและอัลฮะ ดีษ(วัจนท่านศาสนฑูต) เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. รู้และเข้าใจเกี่ยวกับหลักคําสอนของอัลกุรอานและอัลฮะดีษ(วัจนท่านศาสนฑูต)ที่เกี่ยวกับการ เปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ ในโลก เพื่อวิเคราะห์เป็นหลักฐานการศรัทธาและยึดมั่นในความสามารถของอัลลอฮฺ 2. ท่ อ งจํา และตระหนัก ถึ ง หลัก คํ า สอนของอั ล กุ ร อานและอั ล ฮะดี ษ (วั จ นท่า นศาสนฑู ต )ที่ เ กี่ ย วกั บ การ เปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆในโลก เพื่อนํามาปฏิบัติเป็นแนวทางในการดํารงชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ มาตรฐาน (ว7.1) เข้าใจวิวัฒนาการของระบบสุริยะและกาแล็กซี ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะและผลต่อสิ่งมีชีวิตบน โลก ที่มีอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงคุ้มครอง โดยการสืบเสาะหาความรู้จากอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนทูต) มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. สืบค้นข้อมูล อภิปรายและอธิบายเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะและผลต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตบน โลกโดยการคุ้มครองของอัลลอฮฺผู้ทรงรอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง 2. วิเคราะห์ อภิปราย อธิบายและท่องจําโองการอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) ที่เกี่ยวข้อง กับระบบสุริยะและการให้ประโยชน์ต่อสรรพสิ่งทั้งหลาย เพื่อนําเป็นหลักฐานการศรัทธาต่อพระองค์ 3. รู้และเข้าใจหลักการอ่านอัลกุรอาน อัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) เห็นความสําคัญของบทบัญญัติทั้งสอง มีทักษะในการศึกษาค้นคว้าและท่องจํา สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
73
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
มาตรฐาน (ว 7.3) ยึดมั่นและศรัทธาต่ออัลลอฮฺผู้ทรงเกียรติและมีอํานาจในการปกครองระบบสุริยะต่างๆ ที่ สรรพสิ่งทั้งหลายไม่สามารถทําได้ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. เชื่อมั่นในหลักการสอนของอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) เพื่อเป็นแนวทางในการดํารงชีวิต 2. ตระหนักถึงความสําคัญของอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) ในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่าง มีความสุข สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาตรฐาน (ว 8.1) ใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์และอิสลามศึกษาในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหาของ ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยอัลลอฮฺทรงเป็นผู้กําหนด สามารถอธิบายด้วยการศึกษาข้อมูลจากอัลกุรอานและอัล ฮะดีษ(วัจนท่านศาสนฑูต)ในการศรัทธาและยึดมั่นต่อพระองค์ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. เข้าใจและเห็นคุณค่าในความสามารถของอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงจัดระบบโดยอนุภาพและผู้ทรงรอบรู้ในการ คุ้มครองการเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ 2. ตระหนักถึงเหตุการณ์และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และนํามาวิเคราะห์ วิจารณ์ เพื่อศรัทธาและยึดมั่น ต่ออัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สาระที่ 1 ศาสนาและวัฒนธรรม มาตรฐาน(ส1.1) เข้าใจประวัติ ความสําคัญ หลักธรรมของศาสนาอิสลามและศาสนาอื่นๆนําหลักธรรมของ ศาสนาอิสลามมาเป็นหลักปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. รู้และเข้าใจประวัติความเป็นมาของศาสนาอิสลาม หลักการของศาสนาอิสลาม องค์ประกอบของศาสนา อิสลามและศาสนาต่างๆ 2. เห็นความสําคัญและสามารถนําหลักการของศาสนาอิสลาม หลักการของศาสนาอื่นที่เกี่ยวข้องกับความดี และไม่ขัดกับหลักการของศาสนาอิสลามมาปฏิบัติในการดํารงชีวิตเพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข 3. รู้และเข้าใจหลักการปฏิบัติและหลักศรัทธาของศาสนาอิส ลาม เพื่อนํามาแก้ปัญหาด้านสังคมในการ ดํารงชีวิต สาระที่ 1 ศาสนาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ( ส 1.2) ยึดมั่นในหลักคําสอนของ อัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) ทําความดีตาม หลักการของศาสนาอิสลาม และศรัทธาในความเป็นเอกะของอัลลออฮฺ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. เชื่ อ มั่ น ในหลั ก การของศาสนาอิ ส ลาม และหลั ก จริ ย ธรรมในสิ่ ง ที่ ดี ง ามของศาสนา อื่ น ๆ ที่ ไ ม่ ขั ด กั บ หลักการศาสนาอิสลามโดยศึกษาจากอัลกุรอานและอัลฮะดีษ(วัจนท่านศาสนฑูต)ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อการอยู่ ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข 2. ตระหนักถึงหลักการของศาสนาอิสลามและการปฏิบัติข องนักปราชญ์มุสลิมและบุคคลอื่น ๆ ที่เ ป็น
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
74
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
แบบอย่างทางจริยธรรม โดยการศึกษาวิเคราะห์ ความเป็นเหตุและผลในการปฏิบัติต่อตนเอง เพื่อน ครอบครัวและ สังคมได้อย่างมีความสุข 3. ตระหนักในคุณค่าของการยึดมั่นคําสอนศาสนาอิสลาม เพื่อเป็นแนวทางในการดําเนินชีวิตในสังคมอย่าง มีความสุข สาระที่ 1 ศาสนาและวัฒนธรรม มาตรฐาน(ส1.3) ประพฤติ ปฏิบัติตามหลักการของศาสนาอิสลาม และหลักจริยธรรม พร้อมกับนําไป ประยุกต์ในการพัฒนาตน บําเพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัว สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอิสลาม และสังคมอื่นๆ ได้อย่างสันติสุข มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. รู้และปฏิบัติตนตามหลักการของศาสนาอิสลาม หลักจริยธรรม ค่านิยมด้านศาสนาอิสลาม และหลักความ ดีของศาสนาอื่นๆ ที่ไม่ขัดกับศาสนาอิสลาม โดยมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเอง สังคม สิ่งแวดล้อมในชุมชนและ ประเทศชาติ เพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข 2. ปฏิบัติตามหลักคําสอนของศาสนาอิสลามด้วยความเต็มใจและเห็นคุณค่า 3. ยึดมั่นในหลักจริยธรรมอิสลามเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนต่อครอบครัว สังคมและประเทศชาติ สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดําเนินชีวิตในสังคม มาตรฐาน(ส2.1) ปฏิบัติตนในการเป็นพลเมืองที่ดีตามหลักคําสอนของอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) ต่อ การดํารงชีวิตในสังคมที่หลากหลายแนวความเชื่อประเพณี และวัฒนธรรมอย่างสันติสุข 1. ตระหนักถึงคุณค่าของความเป็นมุสลิมที่จะต้องปฏิบัติตามหลักการของศาสนาอิสลามในการเป็นพลเมือง ที่ดีของประเทศชาติ และบุคคลอื่น ๆ ได้อย่างสันติสุข 2. ตระหนักถึงสถานภาพ บทบาท และหน้าที่ของการเป็นมุสลิม เข้าใจสิทธิมนุษยชนเพื่อคุ้มครองปกป้อง ตนเองและคนอื่นๆในการดําเนินชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข ตลอดจนปฏิบัติตนตามกฎหมายบ้านเมืองที่เกี่ยวข้องกับ กฎระเบียบต่างๆ 3. ตระหนักและยึดมั่นในหลักการของศาสนาอิสลามเพื่อนํามาปฏิบัติในการดํารงชีวิต 4. เข้าใจความแตกต่างของวัฒนธรรมในท้องถิ่นและประเทศที่หลากหลายทางด้านศาสนาและแนวความคิด เพื่อนําไปสู่ความเข้าใจในการอยู่ร่วมกัน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ( ส 3.1) เข้าใจหลักการอิสลาม สามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิต และการบริโภค การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จํากัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่าและใช้อย่างประหยัด เพื่อการดํารงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. เข้าใจความหมายของเศรษฐศาสตร์ ปัจจัยการตัดสินใจเลือกใช้ทรัพยากร เพื่อการผลิตโดยคํานึงถึงต้นทุน และผลประโยชน์ที่จะได้รับถูกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลาม 2. รู้ความหมาย ความแตกต่าง และวิธีการนําทรัพยากรตามระบบเศรษฐศาสตร์อิสลามมาใช้ในการผลิต สินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมถูกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลาม 3. เห็นคุณค่าและสามารถตัดสินใจตามหลักการของศาสนาอิสลามในฐานะผู้บริโภคโดยพิจารณาจาก ประโยชน์ที่ได้รับอย่างคุ้มค่า 4. เข้าใจและสามารถดําเนินการระบบสหกรณ์ตามหลักการของศาสนาอิสลาม
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
75
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
5. เข้าใจเกี่ยวกับระบบและวิธีการของเศรษฐกิจพอเพียงตามหลักการของศาสนาอิสลาม และสามารถนําไป ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจําวันได้ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ( ส 3.2) เข้าใจบทบัญญัติอิสลามเกี่ยวกับมุอามาลาต สถาบันการบริหารทางเศรษฐกิจต่างๆ ความสัมพันธ์ของระบบเศรษฐกิจ ความจําเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมที่หลากหลายแนวความเชื่อ ประเพณีและวัฒนธรรม มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. รู้และเข้าใจบทบัญญัติอิสลามเกี่ยวข้องกับมุอามาลาตและสามารถนําไปปฏิบัติในการดํารงชีวิตในสังคม สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ( ส 4.1) เข้าใจความหมายความสําคัญของแต่ละยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อิสลามและ ประวัติศาสตร์อื่นๆ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. รู้และเข้าใจยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อิสลามและประวัติศาสตร์อื่นๆ เพื่อให้สามารถเข้าใจเหตุการณ์ทาง ประวัติศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง 2. ศึกษารวบรวมข้อมูลและจัดระบบข้อมูลอย่างเป็นระบบด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ เพื่อใช้การศึกษา อภิปรายความเป็นมาของประวัติศาสตร์อิสลาม และประวัติศาสตร์อื่นๆ 3. เข้าใจวิธีการทางประวัติศาสตร์เพื่อนํามาใช้ศึกษาหาข้อสรุปและนําเสนอเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ อิสลามและประวัติศาสตร์อื่นๆอย่างมีวิจารณญาณ 4. ตระหนักและเห็นคุณค่าของประวัติความเป็นมาของอัลกุรอานและ อัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน(ส 4.2) เข้าใจประวัติความเป็นมาของชาติไทย ประวัติศาสตร์อิสลามในท้องถิ่นและภูมิภาค มี ความภูมิใจในการดํารงชีวิตเป็นชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. รู้และเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการของเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง สังคม ศิลปวัฒนธรรมและ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐไทยในดินแดนประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและเกิดความภาคภูมิใจใน ความเป็นมุสลิมที่อยู่ในประเทศไทย 2. วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น บุคคลสําคัญ ที่สอดคล้องกับการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม 3. วิเคราะห์และเปรียบเทียบผลงานของบุคคลที่สําคัญทั้งในและต่างประเทศที่มีผลกระทบต่อเหตุการณ์ทาง ประวัติศาสตร์อิสลามและประวัติศาสตร์อื่นๆ เพื่อเป็นแบบอย่างในการดํารงชีวิต สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน (ส 5.1) เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพ ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งที่ปรากฏใน ระวางที่ ซึ่งมีผลต่อกันและกัน ในระบบต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงปกครองและคุ้ม ครอง ใช้แผนที่เครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์ในการค้นหาข้อมูลภูมิศาสตร์ สารสนเทศ อันจะนําไปสู่การใช้ และการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1.วิเคราะห์ เปรียบเทียบพื้นที่ของโลกแต่ละแห่งที่มีความแตกต่างทางกายภาพและระบบการดําเนินชีวิตของ สรรพสิ่งที่มีอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสร้างและผู้จัดระบบโดยอนุภาพ อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
76
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษากับอิสลามศึกษา สาระที่ 1 การเจริญเติบโต และพัฒนาการของมนุษย์ มาตรฐาน (พ1.1) เข้าใจธรรมชาติของการเจริญเติบโต และพัฒนาการของมนุษย์ตามหลักคําสอนของศาสนา อิสลามและศาสนาอื่นๆ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. เข้าใจปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละช่วงและวัยโดยมี อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงกําหนด 2. เข้าใจการพัฒนาการของมนุษย์ตามหลักการศาสนาอิสลามและศาสนาอื่นๆ 3. วิเคราะห์ อภิปรายโองการอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของ มนุษย์ 4. ตระหนักและเห็นคุณค่าที่อัลลอฮฺได้ทรงสร้างมนุษย์ที่มีความแตกต่างจากสรรพสิ่งอื่นๆ สาระที่ 2 ชีวิตและครอบครัว มาตรฐาน(พ 2.1) เข้าใจบทบัญญัติอิสลามเกี่ยวกับมุนากาฮาต ญีนายาต และเห็นคุณค่าของชีวิต ครอบครัว เพศศึกษา และมีทักษะในการดําเนินชีวิตตามหลักการของศาสนาอิสลาม มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1.รู้และเข้าใจบทบัญญัติอิสลามเกี่ยวกับมุนากาฮาต ญีนายาต สามารถนําไปแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับ ครอบครัว สังคมในการดําเนินชีวิตและล่วงละเมิดทางเพศ 2. ตระหนักและเห็นคุณค่าเกี่ยวกับบทบัญญัติอิสลามในการดําเนินชีวิตของตนเอง ครอบครัวและสังคม กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีกับอิสลามศึกษา สาระที่ 2 การอาชีพ มาตรฐาน(ง 2.1) เข้ า ใจ มี ทักษะ มีป ระสบการณ์ใ นการงานอาชี พ มีคุ ณธรรมตามหลั กการของศาสนา อิสลาม มีเจตคติที่ดีต่องานอาชีพ และเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพสุจริตพร้อมกับยึดมั่นหลักจริยธรรมอิสลาม มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. มีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพตามหลักการของจริยธรรมอิสลาม 2. เห็นประโยชน์และมีเจตคติที่ดีต่อการประกอบอาชีพอย่างสุจริตและถูกต้องตามหลักการของอิสลาม 3. วิเคราะห์ อภิปรายโองการอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพ ของมนุษย์ 4. ยึดมั่นตามหลักจริยธรรมอิสลามในการประกอบอาชีพ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สาระที่ 5 เทคโนโลยีเพื่อการทํางานและอาชีพ มาตรฐาน(ง5.1) ใช้เทคโนโลยีในการทํางาน การผลิต การออกแบบ การแก้ปัญหา การสร้างงาน การสร้าง อาชีพสุจริตตามหลักจริยธรรมอิสลามอย่างมีความเข้าใจ มีการวางแผนเชิงกลยุทธ์และมีความคิดสร้างสรรค์ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. ยึดมั่นและเห็นคุณค่าในการงานอาชีพที่สุจริตตามหลักการอิสลาม เพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
77
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศกับอิสลามศึกษา สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน(ต1.1) เข้าใจกระบวนการฟัง การอ่าน สามารถตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อเกี่ยวกับบทบัญญัติอิสลาม และเรื่องอื่น ๆ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. เข้าใจภาษาท่าทาง น้ําเสียง ความรู้สึกของผู้พูด รวมทั้งเข้าใจคําสั่ง คําขอร้อง คําแนะนํา คําอธิบาย เพื่อเข้าใจบทบัญญัติอิสลาม 2. เข้าใจและตีความอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) และสื่อที่มิใช่ความเรียงในรูปแบบต่างๆ โดยถ่ายโอนเป็นข้อความที่ใช้ถ้อยคําของตนเองหรือถ่ายโอนข้อความเป็นสื่อที่มิใช่ความเรียง 3. เข้าใจ ตีความและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอัลกุรอานและอัลฮะดีษ (วัจนท่านศาสนฑูต) ข้อมูลและ ข่าวสาร จากสื่อ สิ่งตีพิมพ์ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับหลักการศาสนาอิสลามหรือเรื่องอื่นๆ 4. ใช้ภาษาต่างประเทศ (อาหรับ มลายู อังกฤษ) เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนระดับสูงขึ้น สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน(ต1.3) เข้าใจกระบวนการพูด การเขียน และสื่อสารข้อมูล ความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักการศาสนา อิสลาม เรื่องราว ต่าง ๆ จากแหล่งเรียนรู้หรือวิทยาการที่เกี่ยวข้อง มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. นําเสนอข้อมูลเกี่ยวกับหลักการศาสนาอิสลาม เรื่องราวสั้นๆ หรือกิจวัตรประจําวัน ประสบการณ์ รวมทั้ง เหตุการณ์ทั่วไป 2. นําเสนอความคิดเห็น รวบยอดเกี่ยวกับหลักการของศาสนาอิสลาม ประสบการณ์ส่วนตัวหรือเหตุการณ์ ต่างๆ 3. อ่านร้อยแก้ว ร้อยกรองและบทความเกี่ยวข้องกับหลักการของศาสนาอิสลามได้ถูกต้องตามหลักการออก เสียงของภาษา (อาหรับ มลายู อังกฤษ) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน(ท2.1) ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร ย่อความ เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับอิสลามศึกษา เขียน รายงานข้อมูลสารสนเทศ และรายงานการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอิสลามศึกษาและอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. สามารถเขียนเรียงความ ย่อความ เขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็น แสดงการโต้แย้ง เขียนรายงาน เขียนเชิงสร้างสรรค์เกี่ยวกับอิสลามศึกษาและอื่น ๆ รวมทั้งใช้กระบวนการเขียนพัฒนางานเขียน สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน (ท3.1) สามารถเลือกฟัง ดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกใน โอกาสต่างๆ เกี่ยวกับอิสลามศึกษาหรืออื่นๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
78
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
1. สามารถสรุปความ จับประเด็นสําคัญ วิเคราะห์ วินิจฉัยข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นและจุดประสงค์ของเรื่องที่ ฟังและดู สังเกตการใช้น้ําเสียงกิริยาท่าทางการใช้ถ้อยคําของผู้พูดและสามารถแสดงทรรศนะจากการฟังและดูสื่อ รูปแบบต่างๆ เกี่ยวกับอิสลามศึกษาและอื่นๆ อย่างมีวิจารณญาณ 2. สามารถพูดนําเสนอความรู้ ความคิด การวิเคราะห์และการประเมินเรื่องราวต่างๆ พูดเชิญชวน อวยพร และพูดในโอกาสต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิสลามศึกษาและอื่นๆ ได้อย่างมีเหตุผล ใช้ภาษาถูกต้องชัดเจน น่าฟังตาม หลักการพูด มีมารยาท การฟัง การดูและการพูด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์กับอิสลามศึกษา สาระที่ 2 การวัด มาตรฐาน(ค2.1) เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัดทั่วไป หลักการของศาสนาอิสลามด้านอิบาดาตและมุอา มาลาตในการดํารงชีวิต เพื่อเป็นบ่าวที่ยําเกรงต่ออัลลอฮฺ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. เข้าใจเกี่ยวกับการดูเวลาในการละหมาดโดยการวัดจากเงาของดวงอาทิตย์ในเวลาต่างๆ ตลอดจนเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องการวัด ตวงและชั่งกิโลกรัมตามหลักการของศาสนาอิสลาม 2. เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องโทษของผู้กระทําการทุจริตในการวัด ตวงและชั่งกิโลกรัมตามหลักการของอิสลาม กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะกับอิสลามศึกษา สาระที่ 1 ทัศนศิลป์ มาตรฐาน(ศ1.1) รู้และเข้าใจทัศนศิลป์ตามจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ สามารถวิเคราะห์ วิพ ากษ์ วิจารณ์ บนพื้นฐานสังเกตการใช้น้ําเสียงกิริยาท่าทางการใช้ถ้อยคําของผู้พูดและสามารถแสดงหลักการของศาสนา อิสลาม แสดงความรู้สึก ความคิด ต่องานศิลปะอย่างอิสระ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. รู้วิธีสื่อความคิด จินตนาการ ความรู้สึก ความประทับใจด้วยวัสดุ อุปกรณ์ เทคนิค วิธีการทางศิลปะที่ไม่ ขัดกับหลักการศาสนาอิสลาม 2. คิดริเริ่ม ดัดแปลงใช้ทัศนธาตุ และองค์ประกอบทางทัศนศิลป์ เทคนิค วิธีการ รูปแบบใหม่ๆ ในการสร้าง งานทัศนศิลป์ตามความถนัดที่ไม่ผิดกับหลักการของศาสนาอิสลาม 3.ใช้กระบวนการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ ประยุกต์ ใช้สื่อ วัสดุ อุปกรณ์และเทคโนโลยีได้อย่างถูกต้องตาม หลักการของศาสนาอิสลามและมีความรับผิดชอบ 4. วิเคราะห์ วิพากษ์และวิจารณ์ทัศนศิลป์ตามหลักการของศาสนาอิสลาม 5. แสดงออกถึงความรู้สึกในการรับรู้ความงามจากประสบการณ์ จินตนาการที่อยู่บนหลักการของศาสนา อิสลาม 6. นําความรู้และวิธีการ ประสบการณ์ทางทัศนศิลป์ท่ีไม่ขัดกับหลักการของศาสนาอิสลามไปใช้กับกลุ่ม สาระการเรียนรูอ้ ื่นๆ และชีวิตประจําวันได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง สาระที่ 1 ทัศนศิลป์
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
79
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
มาตรฐาน (ศ1.2) เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เห็นคุณค่างานทัศนศิลป์ ที่ไม่ขัดกับหลักการอิสลามซึ่งเป็นมรดกและภูมิปัญญาท้องถิ่น มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. เข้าใจแนวความคิดเกี่ยวกับทัศนศิลป์บนพื้นฐานของหลักการศาสนาอิสลามในการดํารงชีวิต 2. ซาบซึ้งและเห็นคุณค่าในการสร้างทัศนศิลป์ที่สะท้อนแนวคิดอิสลามและภูมิปัญญาท้องถิ่น สาระที่ 2 ดนตรี มาตรฐาน (ศ 2.1) เข้าใจและสามารถวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับดนตรีที่อิสลามอนุญาตและไม่ อนุญาตตลอดชื่นชมพร้อมประยุกต์ใช้เครื่องดนตรีที่อิสลามอนุญาตในการดํารงชีวิต มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. เข้าใจถึงหลักการอิสลามเกี่ยวกับเครื่องดนตรีที่ศาสนาอิสลามอนุญาตและไม่อนุญาตในการละเล่นและ ประยุกต์ในการดํารงชีวิตพร้อมกับชื่นชมเครื่องดนตรีที่อิสลามอนุญาต 2. วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ถึงสาเหตุท่อี ิสลามไม่อนุญาตในการละเล่นดนตรี 3. แสดงออกถึงความรู้สึกไพเราะของดนตรีที่อิสลามอนุญาต 4. วิเคราะห์ วิพากษ์และวิจารณ์เกี่ยวกับดนตรีที่อิสลามอนุญาตและไม่อนุญาต 5. แสดงความคิดเห็นและจําแนกความแตกต่างของดนตรีที่อิสลามอนุญาตและไม่อนุญาต 6. สร้างสรรค์และชื่นชอบดนตรีที่อิสลามอนุญาต สาระที่ 2 ดนตรี มาตรฐาน(ศ 2.2) เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดนตรี ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เห็นคุณค่าดนตรีที่ไม่ขัดกับ หลักการอิสลามซึ่งเป็นมรดกและภูมิปัญญาท้องถิ่น มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. เข้าใจหลักการของอิสลามเกี่ยวกับการเล่นดนตรีที่อิสลามอนุญาตและไม่อนุญาตในการดํารงชีวิต 2. มีส่วนร่วมและซาบซึ้งในกิจกรรมดนตรีที่อิสลามอนุญาตและหลีกเลี่ยงในกิจกรรมดนตรีที่อิสลามไม่ อนุญาต สาระที่ 3 นาฎศิลป์ มาตรฐาน(ศ 3.1) เข้าใจและสามารถวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์การละเล่นนาฏศิลป์ตามหลักการศาสนา อิสลาม มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 1. เข้าใจและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการละเล่นนาฏศิลป์ตามทัศนของ อิสลาม 2. วิจารณ์ประโยชน์และโทษการละเล่นนาฏศิลป์ตามหลักการของอิสลาม 3. แสดงออกถึงความรู้และความคิดเห็นเกี่ยวกับศิลปะการแสดงในรูปแบบต่างๆ บนพื้นฐานของหลักการ อิสลาม 4. วิเคราะห์ วิพากษ์ และวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ตามแนวทางศาสนาอิสลาม สาระที่ 3 นาฎศิลป์ มาตรฐาน(ศ 3.2) เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและความขัดแย้งกับ หลักการอิสลาม มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
80
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
1. เข้าใจถึงหลักการอิสลามที่ไม่อนุญาตให้แสดงนาฏศิลป์และละครในการดํารงชีวิต 2. สํารวจและทําความเข้าใจรูปแบบ วิธีการแสดงทางนาฏศิลป์ และการละครตามบริบททางสังคมและ วัฒนธรรมที่มิใช่อิสลาม 3. ซาบซึ้ง และเห็นคุณค่าของหลักการอิสลามที่ไม่อนุญาตให้มุสลิมแสดงนาฏศิลป์ในชีวิตประจําวัน สรุปและอภิปรายผล การวิจัย การพัฒนากรอบหลักสูตรบูรณาการช่วงชั้นที่ 3 สําหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จังหวัด ชายแดนภาคใต้ เป็นการบูรณาการสาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้นที่ 3 ระหว่างวิชาสามัญศึกษาและ วิชาอิสลามศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และหลักสูตรอิสลามศึกษา พุทธศักราช 2546 ซึ่งกล่าวได้ว่าวิชาสามัญศึกษาสามารถบูรณาการกับอิสลามศึกษาได้ทุกวิชา ทั้งนี้เนื่องจากวิชาสามัญศึกษา และอิสลามศึกษามีความสัมพันธ์กันหรือมิได้ขัดแย้งกัน ทั้งๆ ที่เราเห็นได้ชัดเจนว่าปัจจุบันนี้ มีการจัดการเรียนการ สอนแยกกัน ดังที่ Ghazali Basri (1991 : 15) กล่าวถึงพื้นฐานด้านปรัชญาระหว่างวิชาสามัญศึกษาและอิสลามศึกษา นั้น เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน ไม่สามารถบูรณาการกันได้ อย่างไรก็ตาม การบูรณาการระหว่างวิชาทั้งสองนั้น สามารถ กระทําได้ด้วยการประนีประนอมกัน ประเด็นนี้ได้สอดคล้องกับงานวิจัยของ Narongraksakhet (1995 : Abstract ) ได้เสนอแนวคิดว่า การบูรณาการหลักสูตรสามัญศึกษาและหลักสูตรอิสลามศึกษานั้น สามารถกระทําได้ด้วยความ ระมัดระวัง ทั้งนี้เนื่องจากการบูรณาการนั้นมิใช่ไปรวมเป็นวิชาเดียวกัน ด้วยเหตุดังกล่าว การดําเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมิได้ศึกษาวิเคราะห์เฉพาะความสัมพันธ์ของเนื้อหา ตาม แนวคิดของ Jacqueline McDenald และ Charlene Czerniak (1994 : 5 – 6 ) ซึ่งเสนอกรอบแนวคิดในการบูรณการ หลักสูตรว่ า ให้พิจ ารณาแนวคิดพื้นฐานของแต่ละวิชาที่มีความสัม พัน ธ์ แ ละสามารถเชื่อ มโยงด้ ว ยกั น ได้ และ พิจารณาเนื้อหาแต่ละวิชาที่สามารถพัฒนาและเชื่อมโยงเข้ากับเรื่อง แต่ยังได้นําทฤษฎีการแบ่งประเภท เนื้อหาวิชา ของฮิลดา ทาบา (Hilda Taba) ในการพัฒนาหลักสูตรมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของสาระการเรียนรู้และมาตรฐาน การเรียนรู้ช่วงชั้นที่ 3 ทั้งสองหลักสูตรอีกด้วย อย่าไรก็ตาม การดําเนินการบูรณาการหลักสูตรมีความจําเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา อิสลาม ทั้งนี้เนื่องจากสถานศึกษาดังกล่าวมีการใช้ทั้งสองหลักสูตรในการเรียนการสอน คือ หลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และหลักสูตรอิสลามศึกษา พุทธศักราช 2546 ซึ่งทําให้ประสบปัญหาในด้านการบริหาร จัดการมากกว่าโรงเรียนประเภทอื่นๆ เช่นด้านเวลาเรียน จํานวนครูผู้สอน และงบประมาณไม่เพียงพอในการบริหาร สอดคล้องกับงานวิจัยของนิเลาะ แวอุเซ็ง และคณะ (2550 :13) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะใช้สองหลักสูตรควบคู่กัน จึงต้องใช้เวลาในการศึกษามากกว่าหลักสูตร เดียว การบูรณาการหลักสูตรจึงถือเป็นทางออกหนึ่งที่อาจแก้ไขปัญหาความซ้ําซ้อนของเนื้อหาและเป็นการลดเวลา เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเองมากขึ้น และยังสอดคล้องกับงานวิจัยของมูฮํามัด บิลหะยีอาบูบากา (2548 : 78) กล่าวว่า เวลาและเนื้อหาในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามนั้น มากเกินไป เนื้อหา ของทั้งสองหลักสูตรมีเรื่องที่เกี่ยวข้องซ้ําซ้อนกัน ควรปรับเป็นเนื้อหาเดียวกัน เนื้อหาสามารถบูรณาการเข้าด้วยกันได้ การแยกสองหลักสูตรทําให้ต้องใช้บุคลากรมากกว่าโรงเรียนสามัญทั่วไป
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
81
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
นอกจากนี้ ศาสนาอิสลามก็ยังเน้นการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ มิได้แยกระหว่างศาสนาและ สามัญศึกษา เห็นได้จากวัจนะของท่านศาสนฑูต (ขอความจําเริญและความสันติจงมีแด่ท่าน) ที่ได้ให้ความสําคัญกับ การจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ดังที่ Shalaby,Ahmad (1954 : 48 ) กล่าวว่า “...เมื่อท่านศาสดาถึงเมืองมะ ดีนะฮ มัสยิดของท่านก็ถูกสร้างขึ้นที่ อัล มิรบัด (al Mirbad) และในมัสยิดแห่งนี้ ท่าน (มุฮัมหมัด) (ขอความจําเริญและ ความสันติจงมีแด่ท่าน) เคยสอนเศาะฮาบะของท่านเกี่ยวกับวิชาศาสนาและวิชาทางโลก” จากวัจนะของท่านศาสนฑูต (ขอความจําเริญและความสันติจงมีแด่ท่าน) จึงทําให้ อัล- บัฆดาดี เสนอให้ ผู้สอนใช้หลักสูตรบูรณาการในการจัดการเรียนการสอน เพราะท่านเชื่อว่า หลักสูตรบูรณาการจะให้ประโยชน์แก่ ผู้เรียนดีกว่า ในทางตรงกันข้าม ท่านได้ตําหนิผู้สอน นักเรียนที่มิได้ใช้หลักสูตรบูรณาการในการจัดการเรียนการสอน (Narongraksakhet,1993 : 8) กล่าวโดยสรุป การบูรณาการหลักสูตรหรือเนื้อหาระหว่างวิชาสามัญศึกษาและอิสลามศึกษานั้น จึงเป็น แนวทางในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนสําหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ซึ่งเป็นแนวทางที่ศาสนาอิสลาม ได้ส่งเสริมและสนับสนุนอีกด้วย ดังนั้นผู้บริหารและนักวิชาการอิสลามศึกษาทุกท่านที่รับผิดชอบการจัดการเรียนการ สอนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรตระหนักและผลักดันให้หลักสูตรบูรณาการ ระหว่างสามัญศึกษาและอิสลามศึกษาเกิดขึ้นในสถานศึกษาดังกล่าว ข้อเสนอแนะสําหรับการวิจัยครั้งต่อไป ผลการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยขอเสนอแนะให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องศึกษาประเด็นปัญหาเพื่อพัฒนาการจัดการ เรียนการสอนของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการนําผลการวิจัยไปศึกษาวิเคราะห์ จัดทําตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้เพื่อจัดทําหน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ต่อไป
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
82
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. ม.ป.ป. หลักสูตรอิสลามศึกษา พุทธศักราช 2546 สําหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม. กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ. 2544. หลักสูตรการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2544. นนทบุรี. ไทยร่มเกล้า. นิเลาะ แวอุเซ็ง และคณะ. 2550. การจัดการศึกษาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้. วิทยาลัยอิสลามศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี มูฮํามัด บิลหะยีอาบูบากา. 2548. ทัศนะต่อแนวคิด ทิศทางและรูปแบบการจัดหลักสูตรอิสลามศึกษาที่สอนควบคู่วิชา สามัญในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ : กรณีศึกษาโรงเรียนอาลาวียะห์วิทยา. ภาคนิพนธ์ มหาบัณฑิตพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตบริหารศาสตร์. Ghazali Basri. (1991). An Integrated Education System In A Multi-Faith And Multi-Cultural Country. Muslim Youth movement of Malaysia Narongraksakhet,Ibrahim. 1993. Islamic Education Curriculum in the Fifth Centuary of Hijrah. Presented at M.ed. Postgraduated student’s meeting, Department of Education, International Islamic University, Malaysia Narongraksakhet,Ibrahim. 1995. Towards Integrated Curriculum in Islamic Private Schools in Southern Thailand : A Study on the Relationship between Tradition and Modern Subjects. Thesis for Degree of Master of Education. International Islamic University Malaysia Shalaby,Ahmad. 1954. History of Muslim Education. Beirut: Dar al Kashshaf. Taba. H. 1962. Curriculum development : Theory and practise. New York : Harcount. Brace & World. บทความวิชาการ วาโร เพ็งสวัสดิ์. 2543. การวิจัยทางการศึกษาปฐมวัย โดยใช้วิเ คราะห์เ ทคเดลฟาย. วารสารวิทยาบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์,1(2),30 – 38. Jacqueline McDonald, Charlene Czerniak. 1994. Developing Interdisplinary Units: Strategies and Examples. Journal of School Science and Mathematic .94 (1), 5-10.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
83
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
บทความวิจัย
การส่งเสริมการออกกําลังกายตามหลักศาสนาอิสลาม ในกลุ่มแม่บ้าน จังหวัดปัตตานี การียา ยือแร∗ สาวิตรี ลิ้มชัยอรุณเรือง∗∗ เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย∗∗∗ บทคัดย่อ งานวิจัยเชิงคุณภาพนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายหลักการออกกําลังกายตามวิถีชีวิตของกลุ่มแม่บ้านมุสลิม และกระบวนการส่งเสริมการออกกําลังกายที่สอดคล้องตามหลักศาสนาอิสลาม ผู้ให้ข้อมูล 12 คน เป็นผู้นําศาสนา อิสลาม เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม. และแม่บ้านมุสลิม กลุ่มละ 3 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เจาะลึก ตรวจสอบ ความตรงด้านเนื้อหาและระเบียบวิธีวิจัยโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผล การศึกษาพบว่า การส่ง เสริม การออกกํา ลัง กายนั้น ผู้นําศาสนาส่วนใหญ่เน้นว่าต้องไม่ขัดกับชารีอะฮฺ เจ้าหน้าที่ สาธารณสุข เน้นความถูกต้องตามหลักการออกกําลังกาย ส่วนใหญ่ให้ความหมายของการออกกําลังกายว่าเป็นการ เคลื่อนไหวร่างกาย ออกแรง ออกเหงื่อ การปฏิบัติกิจวัตรประจําวันและการปฏิบัติศาสนกิจ เป็นการออกกําลังกายที่ เพียงพอแล้ว แม่บ้านเพียงส่วนน้อย และเจ้าหน้าทีสาธารณสุขที่เห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นการออกกําลังกายที่ยังไม่ เพียงพอ ผู้ให้ข้อมูลทุกคนมีความเห็นเหมือนกันว่า การออกกําลังกายมีความสําคัญต่อสุขภาพ ผู้นําศาสนาเห็นว่าการ ออกกําลังกายเป็นหน้าที่ของมุสลิม ส่วนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเห็นว่าเป็นหน้าที่ของตนในการส่งเสริมให้แม่บ้านมีการ ออกกําลังกายที่ถูกต้อง เงื่อนไขการส่งเสริมการออกกําลังกายของแม่บ้านมุสลิมคือ การบริหารจัดการเวลาเพื่อการ ออกกํ า ลัง กายที ่ส อดคล้อ งกับ วิถ ีช ีว ิต ของแม่บ ้า น ส่ ว นแนวทางการส่ ง เสริ ม การออกกํ า ลั ง กายนั้ น คื อ การให้ ความสําคัญกับการให้ความรู้เรื่องการออกกําลังกายที่ถูกต้อง เหมาะสม การเตรียมสถานที่เฉพาะสําหรับกลุ่ม แม่บ้าน การสนับสนุนสื่อ คู่มือและซีดีที่สอดคล้องกับกลุ่มแม่บ้าน การออกแบบการออกกําลังกายที่ไม่ขัดกับหลัก ศาสนา การรวมกลุ่มแม่บ้านตามวิถีชีวิตแบบหะละเกาะฮฺ การจัดให้มีการทดสอบสมรรถภาพทางกายสม่ําเสมอ และ การจัดการให้มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือ อสม. สนับสนุน และติดตามให้คําแนะนําอย่างต่อเนื่อง คําสําคัญ: การส่งเสริมการออกกําลังกาย, อิสลาม, แม่บ้าน ∗
นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต หาดใหญ่ Asst. Prof. Ed.D. (พัฒนศึกษาศาสตร์) อาจารย์ประจําสาขาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต หาดใหญ่ ∗∗∗ Assoc. Prof. Ph.D. (ประชากรศาสตร์) อาจารย์ประจําสาขาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต หาดใหญ่ ∗∗
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
84
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ABSTRACT This qualitative research aimed to explore the principles of exercise in the lifestyle of Muslim housewives, and processes of exercise promotion that are congruent with Islamic practice. Twelve key informants were selected, comprising 3 Muslim leaders, 3 responsible health providers, 3 health volunteers and 3 Muslim housewives. Data were collected by in-depth interview. The instrument was approved by five experts. Data triangulation was adopted to ensure data validity and content analysis was carried out. The results revealed that the Muslim leaders emphasized Islamic congruency and the health providers emphasized the intensity of exercise. The common perspectives of exercise were reported as physical training, physical activity, body movement, and sweaty exercise. Some particular aspects were revealed. Most of them emphasized their daily activities in routine work and religious practice but few housewives and all health providers argued that such activities were not exercise. All key informants agreed on the importance of exercise on body and mind of the housewives. In addition, the Muslim leaders proposed that exercise was one of the Muslim responsibilities and the health providers accepted that their duty was to promote exercise among the woman’s group. The conditioning factors on successful exercise promoting program for the women were time management to promote exercise that was congruent with their lifestyles. The processes on promoting a culturally congruent exercise program for the Muslim housewives were revealed , i.e. , 1) giving knowledge related to exercise, 2) preparing a private place for the women, 3) supporting equipment to guide their exercise, 4) designing exercise that was congruent with the practice : fast walking, 5) forming supportive groups that were integrated with their lifestyles, 6) providing physical examination on a regular basis, and 7) continuing advice to the housewives by health providers and volunteers. Keywords: Exercise, Promotion, Muslim, Housewives
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
85
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
บทนํา จากรายงานการสาธารณสุข ไทย 2548-2550 พบว่า ปัจจุบันโรคไม่ติดต่อที่เป็น อันตรายอันดับต้นของ สาเหตุ ก ารป่ ว ยและตายของประชาชนชาวไทย โรคหั ว ใจ มะเร็ ง และเบาหวาน มี แ นวโน้ ม เพิ่ ม ขึ้ น เนื่ อ งมาจาก พฤติกรรมบริโภคและการออกกําลังกายที่ไม่เหมาะสม ดังจะเห็นได้จากอัตราการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล พบว่า โรคหัวใจมีอัตราเพิ่มขึ้นจาก 56.5 ต่อประชากร 100,000 คน ใน พ.ศ. 2528 เพิ่มเป็น 109.4,618.15 ต่อ ประชากร 100,000 คนใน พ.ศ. 2537 และ พ.ศ. 2549 ตามลําดับ เช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคเบาหวานก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก 33.3 ต่อประชากรแสนคน ใน พ.ศ. 2528 เพิ่มเป็น 91.0 ใน พ.ศ. 2537 และเป็น 586.8 ต่อประชากร 100,000 คน ใน พ.ศ. 2549 (กระทรวงสาธารณสุข, 2551) ส่วนปัญหาสุขภาพที่สําคัญของชาวไทยมุสลิม 5 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ โรคที่ เ สี่ ย งสู ง ได้ แ ก่ โ รคเบาหวาน ความดั น โลหิ ต สู ง โรคหั ว ใจและหลอดเลื อ ด ตามลํ า ดั บ (กระทรวง สาธารณสุข, 2548) การส่งเสริม การออกกําลังกาย เป็นมาตรการสําคัญประการหนึ่งในการส่งเสริม สุขภาพที่ ประเทศไทยดําเนินการอย่างจริงจังเพื่อป้องกันหรือบรรเทาโรคเรื้อรังดังกล่าว (กองสุขศึกษา, 2547) จากการศึกษา ของอีริคเซ็น (Erikssen, 2001) พบว่าระดับการเคลื่อนไหวทางกายหรือการออกกําลังกายและระดับสมรรถภาพทาง กายมีความสัมพันธ์ในลักษณะแปรผกผันกับอัตราการตายและความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ผู้ท่ีมีการเคลื่อนไหว ทางกายหรือออกกําลังกายหรือมีสมรรถภาพทางกายน้อย มีความเสี่ยงต่อการตายก่อนวัยอันสมควรและเสี่ยงต่อการ เกิดโรคต่าง ๆ สูงกว่าผู้ที่มีระดับเคลื่อนไหวทางกายหรือออกกําลังกายและระดับสมรรถภาพทางกายที่สูงกว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมสุขภาพโดยการจัดบริการการออกกําลังกายมาโดย ตลอด นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ได้สนับสนุนงบประมาณให้ มี ก ารจั ด กิ จ กรรมส่ ง เสริ ม กี ฬ าและการออกกํา ลั ง กาย อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง (กระทรวงสาธารณสุข , 2551) แม้ว่า ในระดับ นโยบายไม่ไ ด้ร ะบุรูป แบบการออกกํา ลัง กายที่ ชัด เจน แต่ใ นระดับปฏิบัตินั้น ได้นํารูปแบบที่เป็นที่นิยมของสังคมมาใช้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรม วิถีชีวิตของ ชุมชน เช่น การเต้นแอโรบิก เนื่องจากกิจกรรมดังกล่าว ไม่สอดคล้องกับหลักคําสอนของศาสนาอิสลามในเรื่องดนตรี ประกอบ ท่าทาง และการแต่งกาย เป็นต้น โดยเฉพาะในกลุ่มสตรี ซึ่งมีข้อกําหนดที่ต้องสอดคล้องกับหลักปฏิบัติทาง ศาสนา (ยูซุฟ, และสุภัทร, 2551)รวมทั้งสถานที่ท่ีมีการปะปนกันระหว่างชายกับหญิง (Madya, 2008) ทําให้ผู้นํา ศาสนาในชุมชนซึ่งเป็นผู้ท่ีมีบทบาทสําคัญในการชี้นําทางด้านศาสนาอิสลามออกมาแสดงทรรศนะว่าไม่ถูกต้องตาม หลักศาสนาอิสลาม ผู้นําศาสนาและชุมชนไม่สนับสนุน ซึ่งการดําเนินชีวิตของมุสลิมผูกพันอยู่กับศาสนาอย่างแน่น แฟ้น ชีวิตประจําวันผูกพันอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า (มานี, 2544) จากการศึกษา ค้นคว้างานวิจัยพบว่า แม่บ้านซึ่งเป็นสตรี วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง เป็นวัยที่อยู่ในช่วงการทํางาน มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับสุขภาพร่างกายหลายอย่าง ทําให้พบว่า โรคเรื้อรังได้แก่โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงในกลุ่มสตรี สูงกว่าในกลุ่มเพศชายอย่างเห็นได้ชัด (กระทรวง สาธารณสุข, 2551) จากการสํารวจอนามัย สวัสดิการและการออกกําลังกาย 2550 พบว่ากลุ่มสตรีมีการออกกําลัง กายน้อยกว่ากลุ่มชาย มีสตรีออกกําลังกายเป็นประจําพบว่ามีเพียงร้อยละ19.2 (สํานักงานสถิติแห่งชาติ, 2551) ส่วน สตรีมุสลิมวัยผู้ใหญ่ตอนกลางนั้น ส่วนใหญ่ มีพฤติกรรมการออกกําลังกายไม่เหมาะสมคือขาดการออกกําลังกาย หรือ ออกกําลังกายนาน ๆ ครั้ง (ตามเกณฑ์ต้องออกกําลังกายประมาณครั้งละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน) สาเหตุท่ีประชาชนไม่ออกกําลังกายพบว่า ในชุมชนมุสลิมนั้นสาเหตุส่วนหนึ่งเนื่องมาจากหลักปฏิบัติตามหลักศาสนา อิสลามที่ไม่ให้มีการเปิดเผยตัวเองหรือแสดงท่าทางไม่เหมาะสมในที่สาธารณะและสตรีต้องไม่เปิดเผยร่างกาย (เอา เราะฮฺ) ให้ผู้ชายเห็น (บรรจง, 2543) จึงทําให้สตรีมุสลิมไม่กล้าออกกําลังกายโดยใช้ท่าทางที่ไม่เหมาะสม หรือออก กําลังกายในที่สาธารณะ (ฉลวย, 2548)
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
86
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่า มีการสร้างนวัตกรรมการออกกําลังกายใหม่ ๆ มีการประยุกต์ศิลปะพื้นเมืองเป็นท่าใน การออกกํ าลังกาย ก็ต าม บุคลากรด้านสาธารณสุข และสตรีมุสลิมส่วนใหญ่ ก็ยัง ไม่มีความมั่นใจเพียงพอว่าจะ สามารถนํามาใช้ในการจัดบริการหรือส่งเสริมการออกกําลังกายในสภาพพื้นที่ในจังหวัดปัตตานี ได้หรือไม่ เนื่องจาก ในปัจจุบัน มีกระแสการชี้นําของผู้นําศาสนาอิสลามออกมาแสดงทรรศนะในเรื่องการออกกําลังกายที่ไม่สอดคล้องกับ หลักศาสนาอิสลามอย่างต่อเนื่อง เช่น ฤาษีดัดตน หรือ โยคะ เป็นต้น รวมทั้งสํานักงานคณะกรรมการพิจารณาเรื่อง หลักศาสนาอิสลามของประเทศมาเลเซีย ได้ประกาศสั่งห้ามไม่ให้ผู้ท่ีนับถือศาสนาอิสลามออกกําลังกายโดยวิธีโยคะ เนื่องจากว่ามีความเป็นมา ปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอื่น (Mohd Zaki, 2008) ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามสําหรับมุสลิม ทํา ให้ประชาชนเสียโอกาสในการออกกําลังกายที่มีประโยชน์ นอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้วยังพบว่าสตรีมุสลิมนั้น มี บทบาทและหน้าที่ที่สําคัญคือ บทบาทและหน้าที่ในครอบครัว หน้าที่ความเป็นแม่และภรรยา หน้าที่ดูแลลูก ๆ ให้มี ความอบอุ่นและสร้างความผาสุกในครอบครัว ทําให้มีข้อจํากัดในการออกนอกบ้านเพื่อร่วมกิจกรรมการออกกําลัง กายอีกด้วย ผลการศึกษาในครั้งนี้ จึงสําคัญที่จะนําไปใช้กําหนดรูปแบบหรือแนวทางการส่งเสริมการออกกําลังกายที่ สอดคล้องกับวิถีชีวิตของมุสลิม เพื่อให้บุคลากรด้านสุขภาพใช้เป็นแนวทางในการจัดบริการที่ถูกต้องและเหมาะสม สอดคล้องตามหลักศาสนาที่ประชาชนยึดถือและตามหลักการออกกําลังกาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพในส่วน ของการจัดบริการสุขภาพ วัตถุประสงค์ของการวิจยั เพื่ออธิบายการส่งเสริมการออกกําลังกายที่สอดคล้องตามหลักศาสนาอิสลาม ตามหลักการออกกําลังกาย และวิถีชีวิตของแม่บ้านมุสลิม จังหวัดปัตตานี วิธดี ําเนินการวิจัย 1. รูปแบบการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้ระยะเวลาในการศึกษา ตั้งแต่เดือนกันยายน 2552 ถึง เดือน กุมภาพันธ์ 2553 2. ผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลในการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) เนื่องจากผู้วิจัยมุ่งเน้นเฉพาะผู้ท่ีสามารถให้ข้อมูลที่มากและลึกตรงประเด็นที่ต้องการศึกษา (ทวีศักดิ์, 2551) มีผู้ให้ ข้อมูลหลัก จํานวน 12 คน ได้แก่ แม่บ้านมุสลิม ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาอิสลาม เจ้าหน้าที่สาธารณสุขผู้รับผิดชอบงาน ส่งเสริมการออกกําลังกายและอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน กลุ่มละ 3 คน 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยสร้างแนวคําถาม โดยอาศัยกรอบแนวคิดการวิจัย จากการ ศึกษา ค้นคว้า ทฤษฎี หลักการ จากเอกสาร หนังสือ อัลกุรอาน อัลหะดีษ งานวิจัยเกี่ยวกับการออกกําลังกายตามหลักศาสนา อิสลามสําหรับกลุ่มแม่บ้านมุสลิมวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง การออกกําลังกายตามหลักการออกกําลังกาย การออกกําลัง กายตามวิถีชีวิตสตรีมุสลิมวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง แล้วนํามากําหนดเป็นกรอบแนวคิดการวิจัย และเป็นแนวทางในการ สร้างเป็นแนวคําถามเพื่อสัมภาษณ์เจาะลึก โดยแบ่งเป็นแนวคําถามเจาะลึกสําหรับแม่บ้านมุสลิม จํานวน 10 ข้อ แนว คําถามเจาะลึกสําหรับนักผู้นําศาสนาอิสลาม จํานวน 10 ข้อ แนวคําถามสําหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขผู้รับผิดชอบงาน ออกกําลังกาย จํานวน 10 ข้อ แนวคําถามสําหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน จํานวน 10 ข้อ ทั้งนี้ แนว คําถามได้รับการตรวจสอบคุณภาพความถูกต้องในเนื้อหาและระเบียบวิธีการวิจัย โดยผู้ทรงคุณวุฒิจํานวน 5 ท่าน ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาอิสลาม จํานวน 2 ท่าน ผู้เชี่ยวชาญด้านระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ จํานวน 1
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
87
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ท่าน ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การกีฬาและการออกกําลังกาย จํานวน 1 ท่าน ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับงานด้าน สาธารณสุขจํานวน 1 ท่าน 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยทําหนังสือจากคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ ส่งถึงหัวหน้าหน่วยงานของผู้ให้ ข้อมูลตามแหล่งกลุ่มเป้าหมาย เพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์การทําวิจัย ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล และประโยชน์ที่คาด ว่าจะได้รับและติดต่อผู้ให้ข้อมูลเจาะจงเป็นรายบุคคล แนะนําตัว สร้างสัมพันธภาพกับผู้ให้ข้อมูล โดยวิธีการแบบ ธรรมชาติ และไม่เป็นทางการ ชี้แจงวัตถุประสงค์ วิธีการศึกษาและขอความร่วมมือในการสัมภาษณ์ อีกทั้งแสดงให้ เห็นถึงการเคารพสิทธิผู้ให้ข้อมูลได้อย่างเต็มที่โดยสมัครใจ หรือการสงวนสิทธิ์ท่ีจะไม่ตอบบางคําถามหรือการยุติการ สัมภาษณ์ได้ตลอดเวลา การเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้ มีขั้นตอนการบันทึกและเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้เทคนิค คือ การสัมภาษณ์เจาะลึก โดยใช้แนวคําถามที่เตรียมไว้และคําถามเจาะลึกที่นอกเหนือจากนี้ เพื่อให้ได้คําตอบที่ยังไม่ ชัดเจน รวมทั้งผู้ให้ข้อมูลยกตัวอย่างจนเกิดความเข้าใจถึงข้อมูลเกี่ยวกับการออกกําลังกายของผู้ให้ข้อมูลเองและ ผู้วิจัยอธิบายถึงประโยชน์ของผู้เข้าร่วมวิจัยที่ได้รับ ทําให้เกิดความไว้วางใจ สามารถให้ข้อมูลได้มากขึ้น พร้อมทั้ง สังเกตร่วมด้วยในขณะสัมภาษณ์ โดยการสังเกตสีหน้า ท่าทาง พฤติกรรม ตลอดจนสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการ ออกกําลังกาย และบันทึกภาคสนามด้วยการใช้วิธีบันทึกเสียงพร้อมทั้งจดบันทึกร่วมด้วย เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว แต่ละครั้งจะนํามาถอดเทปและอ่านข้อความทั้งหมด และตรวจสอบข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจน หรือไม่ครบถ้วน เพื่อกลับไป เพิ่มเติมในการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป จากการนําข้อมูลรายวันไปซักถามย้อนกลับ เพื่อให้ผู้ให้ข้อมูลยืนยันความถูกต้อง ของข้อมูล เมื่อซักถามแล้วจนไม่สามารถค้นหาข้อมูลได้เพิ่มขึ้นหรือต่างจากข้อมูลที่มีอยู่ ถือว่าข้อมูลที่ได้มีความอิ่มตัว 5. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยแบ่งการวิเคราะห์ข้อมูลเป็น 2 ระยะ คือ 1) การวิเคราะห์ข้อมูลรายวัน เป็นการ วิเคราะห์ข้อมูลในแต่ละวัน หลังจากเก็บข้อมูลเสร็จแล้ว ผู้วิจัยนําข้อมูลที่ได้มาทําการวิเคราะห์อีกครั้ง เพื่อจัดระเบียบของ ข้อมูล จัดหมวดหมู่และตรวจสอบข้อมูลที่ได้ในแต่ละวัน โดยการนําไปให้ผู้ให้ข้อมูลตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลว่าตรง กับที่ผู้ให้ข้อมูลให้มาหรือไม่ ถ้าหากข้อมูลยังไม่มีความสมบูรณ์ ชัดเจนเพียงพอ ก็จะต้องตั้งคําถามและกลับไปถามอีกครั้ง จนมีความชัดเจน 2) การวิเคราะห์ข้อมูลเมื่อสิ้นสุดการเก็บข้อมูล เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลหลังการเก็บรวบรวมข้อมูล เรียบร้อยแล้ว โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis) โดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปมาน (inductive analysis) (เพชรน้อย, 2551) สรุปผลการวิจยั บริบทของพืน้ ที่ จัง หวัด ปัต ตานี เป็น แหล่ง อารยธรรมที่สําคัญที่มีความเป็นมาอั นยาวนาน มีวิวัฒนาการด้านสังคมและ วั ฒ นธรรม ทํ า ให้ พื้ น ที่ นี้ มี เ อกลั ก ษณ์ เ ฉพาะตั ว ซึ่ ง โดดเด่ น จากพื้ น ที่ อื่ น ๆ (ครองชั ย , 2551) โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง เอกลักษณ์ ด้านศาสนา วัฒนธรรม และความเชื่อ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับ ศาสนาอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับจังหวัด ปัตตานี มีทรัพยากรด้านศาสนาอิส ลามที่สําคัญมากมาย เช่น ผู้รู้ด้าน ศาสนา มีโรงเรียน มีสถาบันปอเนาะที่ให้ความรู้ด้านศาสนา มี ศาสนสถานสําหรับปฏิบัติศาสนกิจ ทําให้เกิดวิถีชีวิตที่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากวิถีชีวิตที่อื่น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการออก กําลังกายสําหรับแม่บ้านมุสลิม เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสตรีมุสลิมต้องปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของหลักศาสนาอิสลาม ไม่ว่าจะกระทําสิ่งใด สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกคือหลักศาสนาอิสลามได้อํานวยให้สตรีปฏิบัติอย่างไรบ้าง สตรี มุสลิมส่วนใหญ่มีหน้าที่ในการดูแลสมาชิกในครอบครัวในด้านต่าง ๆ การปฏิบัติภารกิจ การงานในฐานะแม่บ้าน ภรรยา มาก่อนเสมอ ดังนั้น หากจะให้แม่บ้านมุสลิมออกกําลังกายได้ การส่งเสริมการออกกําลังกายน่าจะหาวิธี โดย อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
88
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
นําวิธีการออกกําลังกายเข้าไปบูรณาการในการปฏิบัติภารกิจ ให้ได้อย่างมีดุลยภาพ ทั้งในด้านการงาน ท่าทาง เวลา และตามหลักศาสนาอิสลาม ข้อมูลทั่วไปของผูใ้ ห้ข้อมูล ผู้ใ ห้ข้อ มูล ส่ว นใหญ่เ ป็น คนในพื้น ที่ จัง หวัด ปั ต ตานี ส่ว นผู้ที่ม าจากนอกพื้น ที่ นั้น ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี มากกว่า 10 ปี ส่วนใหญ่จะมีอายุช่วง 31 – 50 ปี การศึกษาภาคสามัญส่วนใหญ่จบชั้นมัธยมศึกษา ส่วนการศึกษาภาคศาสนาส่วนใหญ่จบชั้นอิบตีดาอี (ระดับต้น) ยกเว้นผู้นําศาสนาอิสลามที่จบการศึกษาภาคศาสนา ระดับปริญญาตรี จํานวน 2 คน และปริญญาโท จํานวน 1 คน ผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง ยกเว้นผู้นําศาสนา เป็นผู้ชายทั้ง 3 คน จากการศึกษาในครั้งนี้ พบว่า กิจกรรมการเคลื่อนไหวทางกายหรือการออกกําลังกายของผู้ให้ ข้อมูลแต่ละคนนั้นมีบางส่วนที่เหมือนกันและบางส่วนแตกต่างกัน แม้ว่า ผู้ให้ข้อมูลจะอยู่ในโซนเดียวกันแต่ลักษณะ ของกิจกรรมทางกายบางกิจกรรมนั้นมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาชีพของผู้ให้ข้อมูล โดยพบว่าผู้ให้ข้อมูลที่มี อาชีพต่างกัน จะมีกิจกรรมทางกายในการประกอบอาชีพ ระดับการเผาผลาญพลังงานกิจกรรมทางกาย และความ หนักในกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางกายที่แตกต่างกัน เช่นแม่บ้านมุสลิมที่มีอาชีพรับจ้างขายเสื้อผ้า จะมีระดับการเผา ผลาญพลังงานกิจกรรมทางกายในระดับต่ํากว่าเกณฑ์กิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ แม้ว่าจะอยู่ในโซนใดก็ตาม ส่วน แม่บ้านมุสลิมที่มีอาชีพกรีดยางจะมีระดับการเผาผลาญพลังงานกิจกรรมทางกายผ่านเกณฑ์กิจกรรมทางกายเพื่อ สุ ข ภาพ เป็ น ไปในลั ก ษณะกิ จ กรรมทางกายระดั บ หนั ก ทํ า ให้ มี ภ าวะเสี ย สมดุ ล ของร่ า งกาย มี อ าการปวดเมื่ อ ย กล้ามเนื้อ ปวดข้อต่อต่าง ๆ ทั้งนี้กิจกรรมทางกายในการประกอบอาชีพดังกล่าวนั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณการกรีดยาง ว่ามีจํานวนมากน้อยเพียงใด หากมีการกรีดยางจํานวนหลายต้นก็จะส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้อและข้อเพิ่มมากขึ้น แม้ว่า จะอาศัยอยู่ในโซนใดก็ตาม ลักษณะของอาชีพกรีดยางก็จะเป็นไปลักษณะนี้ และอาชีพอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกันคือหากมี การประกอบอาชีพเหมือน ๆ กันก็จะมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางกายในการทํางานคล้าย ๆ กัน ความหนัก เบาของ การทํางานนั้นจะขึ้นกับปริมาณงานว่าทํามากน้อยเพียงใด สิ่งที่แตกต่างกันนั้นคือการมีกิจกรรมทางกายยามว่าง ซึ่ง กิจกรรมยามว่างนั้นแต่ละคน แต่ละอาชีพ แต่ละโซน จะมีกิจกรรมทางกายหรือการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน คือ บาง คนมีกิจกรรมเคลื่อนไหวทางกายยามว่างโดยการออกกําลังกาย บางคนเล่นกีฬา บางคนทําอาชีพเสริม บางคนใช้เวลา ในการพักผ่อน บางคนใช้เวลาในการเดินซื้อของในห้าง เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายปัจจัย เช่น สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น การศึกษาในครั้งนี้ พบว่า ผู้นําศาสนาทั้ง 3 คน รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวไม่มีการออกกําลังกายที่เป็นแบบ แผนหรือเป็นรูปแบบ แสดงให้เห็นว่าในกลุ่มผู้นําศาสนานั้นยังไม่ตระหนักหรือเห็นความสําคัญของการออกกําลังกายที่ เป็นแบบแผนมากนัก ส่วนใหญ่จะเน้นกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางกายที่เกี่ยวกับการทํากิจวัตรประจําวันและการ ปฏิบัติศาสนกิจ ทั้งนี้ผู้นําศาสนาส่วนใหญ่เห็นว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นการออกกําลังกายที่เพียงพอแล้ว อาจเป็นอีก เหตุผลหนึ่งที่ทําให้การออกกําลังกายที่เป็นแบบแผนไม่ได้รับการส่งเสริมหรือสนับสนุนจากผู้นําศาสนาเท่าที่ควร ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการออกกําลังกายที่ถูกต้องแก่ผู้นําศาสนาอย่าง ต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้นําศาสนามีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการออกกําลังกายที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องทําความ เข้าใจในประเด็นผลของการออกกําลังกายนั้น มีส่ีประเด็นที่สําคัญ ๆ คือ 1) เพื่อการเผาผลาญพลังงาน 2) เพื่อให้ ระบบไหลเวียนและระบบหายใจมีประสิทธิภาพขึ้น 3) เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น 4) เพื่อให้กล้ามเนื้อและข้อต่อมี ความยืดหยุ่นขึ้น (วิศาล, 2546) ในแต่ละคนต้องรู้จักประเมินตนเองว่ายังขาดส่วนไหนอีก หากพบว่าขาดส่วนไหนก็ จะต้องมีการออกกําลังกายเพิ่มในส่วนที่ขาดนั้น ซึ่งกิจกรรมการเคลื่อนไหวของผู้นําศาสนานั้นส่วนใหญ่แล้วจะได้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
89
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ประโยชน์ในแง่ของการเผาผลาญพลังงาน ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ ส่วนประเด็นที่สําคัญอื่น ๆ นั้น ผู้นํา ศาสนาจําเป็นต้องมีการเสริมเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั้ง 3 คน มีการออกกําลังกายที่เป็นรูปแบบ โดยพบว่าแต่ละคนมีการออกกําลังกายที่ แตกต่างกัน บางคนมีการออกกําลังกายด้วยวิธีการเดินอย่างเดียว หรือสองวิธี แต่บางคนมีการออกกําลังกายหลาย ๆ วิธี มีทั้งการออกกําลังกายในบ้านและการออกกําลังกายนอกบ้าน การออกกําลังกายที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีการ ปฏิบัติได้แก่การเดินเร็ว การเล่นกีฬากับสมาชิกในครอบครัวและการทําโยคะ โดยมีการออกกําลังกายเป็นไปตาม หลักเกณฑ์การออกกําลังกายแบบแอโรบิกซึ่งกิจกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นการออกกําลังกายที่เพียงพอแล้ว อสม.มี กิ จ กรรมการเคลื่ อ นไหวทางกายบางอย่ า งที่ เ หมื อ นกั น และบางอย่ า งแตกต่ า งกั น กิ จ กรรมการ เคลื่อนไหวทางกายที่เหมือนกันคือกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางกายที่เกี่ยวกับการการเคลื่อนไหวทางกายในการ ประกอบอาชีพและงานบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนไหวทางกายระดับเบา อสม.มีกิจกรรมทางกายยามว่างคือการ ออกกําลังกาย โดยพบว่าแต่ละคนมีวิธีการออกกําลังกายที่แตกต่างกัน มีทั้งวิธีการเดินเร็ว กระโดดเชือก ใช้ยางยืด ใช้ เครื่องออกกําลังกาย ถือว่า อสม.ทั้งสามคนนั้นมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอกับเกณฑ์สมรรถภาพทางกายและมีการ ออกกําลังกายที่เพียงพอแล้ว การให้ความหมายการออกกําลังกายและการส่งเสริมการออกกําลังกาย ผู้ให้ข้อมูลให้ความหมายการออกกําลังกาย มีทั้งประเด็นที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ประเด็นที่เหมือนกันคือ หมายถึงการฝึกฝนร่างกาย และจิตใจ วิธีการทําให้มีการออกแรง การเคลื่อนไหวร่างกาย การออกเหงื่อ ส่วนประเด็น ความเห็นที่แตกต่างกันคือแม่บ้านส่วนใหญ่ ผู้นําศาสนา อสม. เห็นว่าการปฏิบัติกิจวัตรประจําวันและการละหมาด ถือ ว่าเป็นการออกกําลังกายที่เพียงพอแล้ว ส่วนแม่บ้านส่วนน้อยและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็น การออกกําลังกายที่ยังไม่เพียงพอ ดังความเห็นของผู้ให้ข้อมูล
“หมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกาย อย่างทําขนม กรีดยาง นี่ก็เป็นการออกกําลังกาย” (แม่บ้านโซนชนบท) “การฝึ ก อาจจะเป็ น การฝึ ก มารยาท การฝึกทางด้านจิตใจ รวมทั้งร่างกาย....การละหมาดก็เป็น การออกกําลังกายอย่างหนึ่ง” (ผู้นําศาสนา คนที่ 3) “คือการออกแรงการเคลื่อนไหวร่างกาย เป็นระยะเวลาที่ติดต่อกัน แล้วเป็นการส่งเสริมหรือมีผล ต่อการเต้นของหัวใจ แล้วก็ต้องทําอย่างสม่ําเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน” (เจ้าหน้าที่สาธารณสุขโซนเมือง) ผู้ให้ข้อมูลแต่ละกลุ่มให้ความหมายการส่งเสริมการออกกําลังกาย มีทั้งประเด็นที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ในประเด็นที่เหมือนกันนั้น พบว่า หมายถึงการชักชวน การสอน การแนะนํา การช่วยเหลือ การสนับสนุน การชักจูง ด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้แม่บ้านมีการออกกําลังกายเพิ่มขึ้น ส่วนประเด็นแตกต่างกันคือแม่บ้านมุสลิมและผู้นําศาสนา เน้นว่า เพื่อให้แม่บ้านได้มีการออกกําลังกายที่ไม่ขัดกับหลักศาสนาอิสลาม กลุ่มเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ อสม. เน้น เพื่อให้แม่บ้านมีการออกกําลังกายที่ ถูกต้องตามหลักการออกกําลังกาย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
90
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ความสํา คัญ ของการส่ง เสริม การออกกํา ลัง กายตามหลัก ศาสนาอิส ลาม หลักการออกกําลังกายและ วิถีชีวิต ผู้ให้ข้อมูลให้ความสําคัญกับการส่งเสริมการออกกําลังกายที่เหมือนกันว่ามีผลดีต่อร่างกายและจิตใจ การ ออกกําลังกายสามารถรักษาและป้องกันโรคได้ การที่ผู้ให้ข้อมูลมีความเข้าใจเช่นนั้นอาจเนื่องมาจากผู้ให้ข้อมูลได้รับ ข่าวสารจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขหรือข่าวสารประชาสัมพันธ์ จากสื่อโทรทัศน์ เป็นต้น ส่วนประเด็นที่มีความ แตกต่างกันคือ ผู้นําศาสนาเห็นว่าการส่งเสริมสุขภาพโดยการออกกําลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเป็นหน้าที่ส่วน หนึ่ง ตามหลัก ศาสนาอิส ลาม เนื่อ งจากชาวมุ สลิม มีห น้าที่ ห ลายประการ การที่ จะทํ าหน้าที่ ไ ด้ อ ย่า งสมบูร ณ์ นั้ น จําเป็นต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และการออกกําลังกายนั้นเป็นการสร้างเสริมสุขภาพอย่างหนึ่งที่จะทําให้มี ร่างกายที่แข็งแรงดังที่ท่านศาสดาได้กล่าวความว่า “แท้จริงสําหรับพระเจ้าของท่านมีสิทธิเหนือตัวท่านและสําหรับภรรยาของท่านก็มีสิทธิเหนือตัวท่าน และสําหรับตัวของท่านก็มีสิทธิเหนือท่าน ดังนั้นจงให้สิทธินั้นแก่เจ้าของสิทธิทั้งหลายด้วยเถิด” (บันทึกโดย al-Bukhariy, 1987 :5788) ส่วนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเห็นว่าเป็นหน้าที่ตามบทบาทของเจ้าหน้าที่ในการส่งเสริมให้แม่บ้านมีการออก กําลังกายที่ถูกต้อง เนื่องจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขนั้นยึดถือตามบทบาทหน้าที่ของบุคลากรด้านสาธารณสุข ซึ่งต้องมี หน้าที่ตามภาระงาน ดังความเห็นของผู้ให้ข้อมูล
“ในอัลหะดีษก็บอกว่า ท่านมีหน้าที่นะ ร่างกายของท่านนี่ ท่านมีหน้าที่สําหรับร่างกายที่จะต้องทําให้ ร่างกายมีสุขภาพที่ดี” (ผู้นําศาสนา คนที่ 1) “การส่งเสริมการออกกําลังกายแก่แม่บ้านมุสลิมถือว่าเป็นหน้าที่ของเราโดยตรง” (เจ้าหน้าที่สาธารณสุขโซนชนบท) เงื่อนไขการส่งเสริมการออกกําลังกายทีส่ อดคล้องกับหลักศาสนาอิสลาม/หลักการออกกําลังกาย/ตามวิถี ชีวติ ของแม่บา้ นมุสลิม ผู้ให้ข้อมูลแต่ละกลุ่มมีการระบุเงื่อนไขการส่งเสริมการออกกําลังกายที่สอดคล้องตามหลักศาสนาอิสลาม ตามหลักการออกกําลังกาย ตามวิถีชีวิตของแม่บ้านมุสลิม มีบางประเด็นที่เหมือนกันและบางประเด็นที่แตกต่างกัน โดยพบว่าประเด็นที่เหมือนกันทุกกลุ่มคือ 1) เรื่องสถานที่ควรเป็นสถานที่มิดชิดเฉพาะสําหรับแม่บ้าน ไม่มีการปะปน ชายหญิง สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสําหรับแม่บ้านในกรณีที่ไม่สามารถหาสถานที่เฉพาะได้คือในบ้านหรือบริเวณบ้าน ของตนเอง 2) การใช้เสียงเพลงและดนตรีที่ไม่ขัดกับหลักศาสนาอิสลาม 3) การแต่งกายต้องสอดคล้องกับหลักศาสนา อิสลามคือการปกปิดทุกส่วนของร่างกาย ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ 4) วิธีการออกกําลังกายด้วยวิธีการเดินสอดคล้อง กับวิถีชีวิตแม่บ้าน 5) การจัดเวลาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต 6) การปรับท่าทางที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ส่วนประเด็นที่มี ความแตกต่างกันคือ ผู้นําศาสนาเน้น 1) การตั้งเจตนา ในการออกกําลังกายนั้นต้องตั้งเจตนาเพื่อแสวงหาความโปรด ปรานจากอัลลอฮฺ 2) ความสัมพันธ์ผู้คนแวดล้อมหรือมีการแบ่งแยกเพศในการออกกําลังกายที่ชัดเจน 3) ท่าทางใน การออกกําลังกายต้องไม่เ ลียนแบบพิธีกรรมของศาสนาอื่น ส่วนเจ้าหน้าที่สาธารณสุข พบว่า ประเด็นที่มีความ แตกต่างกันคือ ส่งเสริมให้แม่บ้านมีการออกกําลังกายแบบใช้ออกซิเจน ซึ่งหมายถึงการออกกําลังกายที่สามารถ พัฒนาการทํางานของหัวใจ ระบบหายใจ ระบบกล้ามเนื้อ และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ดังความเห็นของผู้ให้ข้อมูล
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
91
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
“ถ้ามีดนตรีด้วยก็ผิดหลักศาสนา แล้วก็ผู้หญิงนี่ก็ไม่เหมาะสมนะที่จะเต้น” (แม่บ้านโซนเมือง) “ก็ส่วนหนึ่งอาจไม่มีเวลา...ต้องออกไปนอกบ้านทําให้เสียเวลาดูแลลูก ๆ ดูแลสามี อย่างตอนเย็น ๆ ลูกกลับจากโรงเรียนลูกก็อยากเจอแม่ อยากกินข้าว กินขนม ถ้าเราไปออกกําลังกายนอกบ้านลูก กลับมาไม่เจอแม่ ไม่มีของกิน ลูกก็ต้องออกไปนอกบ้าน ไม่รู้ จ ะไปเจออะไรบ้ า ง ยิ่ ง เป็ น ลู ก ผู้ ห ญิ ง ด้ ว ยยิ่ ง ต้ อ งดู แ ล เดี๋ ย วนี้ ไ ม่ ไ ด้ ไม่ เ หมื อ นเมื่อก่อน” (แม่บ้านโซนเมือง) “สําหรับสตรีนี่บาบอขอแนะนําว่าถ้าจะออกกําลังกายนี่ต้องเป็นห้องเฉพาะสําหรับเขา คนอื่น หมายถึงผู้ชาย ไม่สามารถมองเห็นได้ ให้เป็นสถานที่เฉพาะผู้หญิง สิ่งนี้คือเป็นสิ่งที่ดีท่ีสุด นโยบายควรที่จะกําหนดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าไปทําตามท้องถนน ตามสนาม ตามที่สาธารณะนี่ ไม่ได้” (ผู้นําศาสนา คนที่ 2) “ที่เฉพาะสําหรับแม่บ้านหายาก...ทางที่ดีแล้วน่าจะส่งเสริมให้เขาทําบ้านใครบ้านมันจะดีที่สุด” (เจ้าหน้าที่สาธารณสุขโซนกึ่งเมืองกึ่งชนบท) “แม่บ้านส่วนใหญ่ในเขตรับผิดชอบขาดการออกกําลังกายแบบใช้ออกซิเจน ...ส่วนใหญ่จะเป็นแม่บ้าน ไม่ออกกําลังกายเท่าไร...” (เจ้าหน้าที่สาธารณสุข โซนเมือง) แนวทางการส่งเสริมการออกกําลังกายที่สอดคล้องตามหลักศาสนาอิสลาม ตามหลักการออกกําลังกาย และตามวิถีชีวิตในกลุ่มแม่บ้านมุสลิม กลุ่มผู้ให้ข้อมูลแต่ละกลุ่ม กล่าวถึงแนวทางการส่งเสริมการออกกําลังกายที่สอดคล้องตามหลักศาสนา อิสลาม ตามหลักการออกกําลังกายและวิถีชีวิต พบว่า มีบางประเด็นที่เหมือนกันและบางประเด็นที่แตกต่างกัน โดย ประเด็นที่เหมือนกันคือ 1) การให้ความสําคัญกับการให้ความรู้เรื่องการออกกําลังกาย 2) การให้ความสําคัญกับการ เตรียมสถานที่ออกกําลังกายเฉพาะสําหรับแม่บ้าน 3) ให้ความสําคัญกับการสนับสนุนสื่อ คู่มือ ซีดี การออกกําลัง กายที่ส อดคล้องกับแม่บ้านให้เพียงพอ ส่ว นประเด็น ที่ม ีค วามแตกต่า งกัน คือ ผู้นํา ศาสนาจะเน้น ในเรื่อ งการให้ ความสําคัญกับการออกกําลังกายที่สอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลามและให้ความสําคัญกับการรวมกลุ่มตามวิถีชีวิต แม่บ้าน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะเน้นการให้ความสําคัญกับการออกกําลังกายที่สอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลามให้ ความสําคัญกับการรวมกลุ่มตามวิถีชีวิตแม่บ้าน ให้ความสําคัญกับการตรวจสอบสมรรถภาพทางกาย ดังความเห็น ของผู้ให้ข้อมูล
“...อยากให้มีคนมาช่วยให้คําแนะนํา มาให้ความรู้บ่อย ๆ ที่บ้าน…อยากรู้ว่าออกกําลังกายแบบไหนที่ ถูก สุขภาพเราเป็นยังไง...ส่วนใหญ่แม่บ้านไม่รู้ว่าผลของการออกกําลังกายเป็นยังไง ตอนนี้อยู่สบายดี ไม่เจ็บ ไม่ไข้...” (แม่บ้านโซนกึ่งเมืองกึ่งชนบท) “ในหมู่บ้านไม่มีที่มิดชิดสําหรับแม่บ้าน ...ทางที่ดีที่สุดก็ทําในบ้าน” (แม่บ้านโซนชนบท)
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
92
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
“...วิธีการต้องไม่ขัดหลักศาสนาถึงแม้มันจะมีประโยชน์แต่ถ้าขัดหลักศาสนานี่ก็ไม่ได้…” (ผู้นําศาสนา คนที่ 3) “... ถ้าเราสามารถหาที่เฉพาะให้เขาได้ แล้วก็เขาสามารถเข้าถึงได้ก็จะดี ก็ต้องจัดเวลาให้เหมาะกับ เขานั้น...ถ้าหาสถานที่ไม่ได้ก็ให้เขาทําในบ้านของเขายิ่งดี..” (เจ้าหน้าที่สาธารณสุขโซนเมือง) “ซีดี คู่มือ ที่เป็นการออกกําลังกายสําหรับแม่บ้าน ไม่มีเลย ถ้าเป็นซีดีเต้นแอโรบิก ก็จะมีแบบแต่งโป๊ ๆ มันไม่เหมาะสําหรับมุสลิม...” (เจ้าหน้าที่สาธารณสุข โซนกึ่งเมืองกึ่งชนบท) “ที่สําคัญเป็นเรื่องสถานที่นะ เราไม่มีสถานที่เฉพาะสําหรับผู้หญิง...เราต้องเน้นให้เขาทําที่บ้านแหละ อยู่ในบ้านจะแต่งตัวยังไง ทํายังไงก็ได้” (อสม.โซนกึ่งเมืองกึ่งชนบท) การอภิปรายผลการวิจยั จากผลการวิจัยเกี่ยวกับการส่ง เสริม การออกกําลังกายตามหลักศาสนาอิสลามในกลุ่มแม่บ้าน จังหวัด ปัตตานี สามารถกําหนดเป็นแนวทางและรูปแบบการส่งเสริมการออกกําลังกายในกลุ่มแม่บ้านมุสลิมที่สอดคล้องกับ หลักศาสนาอิสลาม ตามหลักการออกกําลังกายและวิถีชีวิตแม่บ้านมุสลิมประกอบด้วย 1. การให้ความสําคัญกับการให้ความรู้เรื่องการออกกําลังกาย ควรส่งเสริม หรือจัดกิจกรรม เพื่อเพิ่ม ศักยภาพผู้เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการออกกําลัง ให้มีความรู้ ความเข้าใจ หลักการออกกําลังกายตามหลักศาสนา อิสลาม และหลักการออกกําลังกายที่ถูกต้อง อย่างต่อเนื่อง โดยให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ ความชํานาญในเรื่องที่ เกี่ยวข้องเป็นผู้ให้ความรู้ สอดคล้องกับการศึกษาของพรทิพย์ (2549) ในกลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีการออกกําลังกาย ควร ให้ความสําคัญกับการให้ความรู้ที่ถูกต้อง 2. การให้ความสําคัญกับการเตรียมสถานที่ออกกําลังกายเฉพาะสําหรับแม่บ้านควรมีการบริหารจัดการใน เรื่องของสถานที่ออกกําลังกายสําหรับแม่บ้านมุสลิมอย่างจริงจัง โดยการประสานงานนโยบายในระดับจังหวัดเพื่อให้ หน่วยงานที่มีพื้นที่หรือสถานที่ออกกกําลังกาย มีการจัดสถานที่ส่วนหนึ่งไว้สําหรับแม่บ้านมุสลิมใช้ในการออกกําลัง กาย สอดคล้องกับการศึกษาของสุกรี (2552) ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ข้อบัญญัติการกีฬาในอิสลาม พบว่าการ ปะปนระหว่างเพศเป็นที่ต้องห้ามในเกมกีฬา 3. ให้ความสําคัญกับการสนับสนุนสื่อ คู่มือ ซีดี การออกกําลังกายที่สอดคล้องกับแม่บ้านให้เพียงพอ เพื่อให้ แม่บ้านได้ศึกษาและใช้เป็นแนวทางในการออกกําลังกายด้วยตนเอง 4. การให้ความสําคัญกับการออกกําลังกายที่สอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลาม ควรนํารูปแบบการออกกําลัง กายที่มีการปรับให้สอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลามมาใช้ในการส่งเสริมการออกกําลังกายสําหรับแม่บ้าน 5. ให้ความสําคัญกับการรวมกลุ่มตามวิถีชีวิตแม่บ้านควรมีการรวมกลุ่มกันของแม่บ้านมุสลิมในการส่งเสริม การออกกําลังกาย โดยการใช้รูปแบบการรวมกลุ่มที่เรียกว่าแบบหะละเกาะฮฺ เป็นการรวมกลุ่มเล็ก ๆ จํานวนสมาชิก ประมาณ 7- 10 คน เป็นการรวมกลุ่มกันเพื่อการศึกษาด้านอิสลาม มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน (อัลบุนยาน, 2552) ทั้งนี้สามารถบูรณาการการส่งเสริมการออกกําลังกาย ให้เป็นส่วนหนึ่งของการรวมกลุ่มดังกล่าว อันจะทําให้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
93
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
เกิดความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ ฉลวย (2548) พบว่าควรกระตุ้นให้มีการรวมกลุ่มผ่านประเพณี วัฒนธรรมและหลักปฏิบัติศาสนาอิสลามในการทํากิจกรรมเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ 6. การให้ความสําคัญกับการตรวจสอบสมรรถภาพทางกายของแม่บ้านควรมีการการตรวจสอบสมรรถภาพ ทางกายอย่างง่าย เพื่อประเมิน ว่าในด้านผลของการออกกําลังกายนั้นแม่บ้านยังขาดส่วนไหนและยังต้องเสริมส่วน ไหนเพิ่มเติมซึ่งผลที่ต้องการที่สําคัญ ๆ ที่ต้องพิจารณา คือ เพื่อการเผาผลาญพลังงาน เพื่อให้ระบบไหลเวียนและ ระบบหายใจมีประสิทธิภาพขึ้น เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น เพื่อให้กล้ามเนื้อและข้อต่อมีความยืดหยุ่นขึ้น (วุฒิชัย, 2549) ซึ่งจากการวิจัยครั้งนี้พบว่า แม่บ้านมุสลิมที่มีอาชีพรับจ้างขายเสื้อผ้า ซึ่งมีกิจกรรมทางกายไม่ผ่านเกณฑ์ กิ จ กรรมทางกายเพื่ อ สมรรถภาพทางกาย นั้ น ควรส่ ง เสริ ม ให้ มี ก ารออกกํา ลั ง กายที่ มี ก ารพัฒนาการทํางาน ของระบบหัวใจ ระบบหายใจ และระบบกล้ามเนื้อ ที่เรียกว่าการออกกําลังกายแบบใช้ออกซิเจนและการยืดเหยียด กล้ามเนื้อ ส่วนแม่บ้านมุสลิมที่มีอาชีพกรีดยาง ซึ่งมีกิจกรรมทางกายผ่านเกณฑ์กิจกรรมทางกายเพื่อสมรรถภาพและ มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อตึง ปวดข้อจากการประกอบอาชีพ นั้น ควรส่งเสริมการออกกําลังกายแบบยืด เหยียดกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลของร่างกายและเสริมสร้างสุขภาพของแม่บ้านให้ดีขึ้น 7. ควรให้มีพี่เลี้ยงในการติดตามให้คําแนะนําแก่กลุ่มแม่บ้านอย่างต่ อ เนื่ อ งโดยอาสาสมัครสาธารณสุขหรือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อเป็นแรงจูงใจให้แม่บ้านมุสลิมมีการออกกําลังกายอย่างต่อเนื่อง
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
94
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
จากการศึกษาสามารถสรุปความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงของข้อมูล ดังนี้ การส่งเสริมการออกกําลังกายตามหลักศาสนาอิสลามในแม่บ้านมุสลิม 1) การให้ความรู้เรื่องการออกกําลังกายที่ถูกต้อง 2) การ เตรียมสถานที่ออกกําลังกายเฉพาะสําหรับแม่บ้าน 3) การ สนับสนุนสื่อ คู่มือ ซีดี การออกกําลังกายที่สอดคล้องกับวิถี ชีวิตแม่บ้านให้เพียงพอ 4) ออกแบบการออกกําลังกายที่ไม่ขัด กับหลักศาสนาอิสลาม 5) การรวมกลุ่มตามวิถีชีวิตแม่บ้าน 6) การตรวจสอบสมรรถภาพทางกาย 7) การติดตามให้ คําแนะนําแก่กลุ่มแม่บ้านอย่างต่ อ เนื่ อ ง
แนวทางการ ส่งเสริมการออก กําลังกายใน แม่บ้านมุสลิม
เงื่อนไขการส่งเสริม การออกกําลังกาย ในแม่บ้านมุสลิม
1) สถานที่ 2) การแต่งกาย 3) เวลา 4) เพลงและดนตรี 5) แบ่งแยก เพศ 6) ท่าทางที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต 7) ไม่เลียนแบบพิธีกรรม ศาสนาอื่น 8) การเดินสอดคล้องกับวิถีชีวิต 9) การตั้งเจตนา 10) พัฒนาการทํางานของระบบหัวใจ ระบบหายใจ และระบบกล้ามเนื้อ และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทําความเข้าใจ
ประเด็นที่เ หมือนกันคือ 1)การออกกําลังกายนั้นมี
ความสําคัญการ ส่งเสริมการออก กําลังกายใน แม่บ้านมุสลิม
ผลต่อร่างกายและจิตใจ 2) การออกกําลังกาย สามารถรักษาและป้องกันโรคได้ ประเด็นที่แตกต่างกันคือ 1) การออกกําลังกายเป็น หน้าที่ส่วนหนึ่งตามหลักศาสนาอิสลาม 2) เป็น หน้าที่ตามบทบาทของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการ ส่งเสริมให้แม่บ้านมีการออกกําลังกายที่ถูกต้อง
ประเด็นที่เหมือนกันคือ การส่งเสริมให้แม่บ้านมีการ ความหมายการ ส่งเสริมการออก กําลังกาย
ออกเหงื่อ ออกแรง มีการเคลื่อนไหวร่างกาย ที่ ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ตามหลักการออก กําลังกาย ประเด็นที่แตกต่างกันคืองานบ้าน กิจวัตรประจําวัน และการปฏิบัติศาสนกิจผู้ให้ข้อมูลบางคนเห็นว่าเป็น การออกกําลังกาย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
95
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนําผลการวิจัยไปใช้ 1. สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัด ควรเป็นแกนนํา ประสานงานนโยบายในระดับจังหวัด กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่รับผิดชอบในเรื่องของสถานที่ออกกําลังกาย ให้มีการ บริหารจัดการสถานที่ กําหนดให้มีสถานที่เฉพาะสําหรับแม่บ้านมุสลิมใช้ในการออกกําลังกาย หรือให้มีการกําหนด ช่วงเวลาที่ชัดเจน สถานบริการด้านสาธารณสุขควรเป็นต้นแบบในการจัดสถานที่ไว้ส่วนหนึ่งเป็นห้องสาธิตการออก กําลังกายหรือให้ความรู้เกี่ยวกับการออกกําลังกายที่ถูกต้องแก่แม่บ้านมุสลิม รวมทั้ง ควรมีก ารประสานงานกับ องค์ก รปกครองส่ว นท้อ งถิ่น ที่มีศัก ยภาพด้า นงบประมาณให้มีก ารจัด ตั้ง ศูน ย์อ อกกํา ลัง กาย ให้ค รอบคลุม ทุก หมู่บ้านเนื่องจากเป็นสถานที่ที่มีลักษณะมิดชิด มีความเหมาะสมกับบริบทของแม่บ้านมุสลิม 2. สํานักงานสาธารณสุจังหวัดควรจัดทําโครงการเพื่อถ่ายทอดความรู้เรื่องการส่งเสริมการออกกําลัง กายตามหลักศาสนาอิสลาม ตามหลักการออกกําลังกายและวิถีชีวิต แม่บ้านมุสลิมแก่บุคลากรในหน่วยงานและ ผลิตสื่อการออกกําลังกายที่มีการปรับให้สอดคล้องตามหลักศาสนาอิสลามตามแนวทางการวิจัยนี้เพื่อแจกจ่ายให้ หน่วยงานในสังกัดใช้ในการส่งเสริมการออกกําลังกายสําหรับแม่บ้านมุสลิม รวมทั้งสนับสนุนสื่อ เช่นแผ่นพับ แผ่น ซีด ี เพื ่อ แม่บ ้า นมีค วามสะดวกในการปฏิบ ัต ิไ ด้เ องที ่บ ้า นเพื ่อ ส่ง เสริม การเคลื ่อ นไหวร่า งกายในการดํ า เนิน ชีวิตประจําวันให้เพิ่มมากขึ้น เช่น เพิ่มระยะเวลาและระยะทางในการเดิน รวมทั้งการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และการ พัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่สามารถทําได้เองทั้งที่บ้าน หรือในระหว่างการทํางาน 3. สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และและสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดควรร่วมมือในการ พัฒนาผู้นําศาสนาอิสลาม บุคลากรในสถาบันทางศาสนาอิสลาม บุคลากรในสถาบันการศึกษาอิสลาม ให้มีองค์ ความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมการออกกําลังกายที่ถูกต้อง เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมมุสลิมและสามารถถ่ายทอด องค์ความรู้แก่ชุมชนมุสลิมได้อย่างถูกต้องและยั่งยืน รวมทั้งร่วมมือกันจัดทําแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการออก กําลังกายในสังคมมุสลิมให้ชัดเจน ข้อเสนอแนะในการทําวิจัยครัง้ ต่อไป เนื่องจากการวิจัยครั้ง นี้ เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้น การค้น หาแนวทางการส่ง เสริม การออกกํ าลั งกายในกลุ่ม แม่บ้านมุส ลิม ดังนั้น จึง ควรนํารูปแบบจากการศึกษาในครั้ง นี้ ไปดําเนินการวิจั ยเพื่อพัฒนา (Research and Development : R&D) ในชุมชนมุสลิมต่อไป
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
96
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
เอกสารอ้างอิง กองสุขศึกษา. 2547. 10 แนวทางสร้างสุขภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 3. นนทบุรี: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กระทรวงสาธารณสุข. 2548. การออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์องค์การรับส่ง สินค้าและพัสดุภัณฑ์. กระทรวงสาธารณสุข. 2551. การทดสอบสมรรถภาพทางกายและการออกกําลังกาย : สําหรับประชาชนและชมรมสร้าง สุขภาพ. นนทบุรี: สํานักกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก. ครองชัย หัตถา. 2551. ประวัติศาสตร์ปัตตานี สมัยอาณาจักรโบราณถึงการปกครอง 7 หัวเมือง. กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ฉลวย เหลาะหมาน. 2548. พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพและการรับรู้อุปสรรคของสตรีมุสลิมวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง ตําบลปากพะยูน จังหวัดพัทลุง. สารนิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลครอบครัวและ ชุมชน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. สงขลา. บรรจง บินกาซัน. 2543. จรรยามารยาทในอิสลาม. กรุงเทพมหานคร: นัตวิดาการพิมพ์จํากัด. พรทิพย์ จันทร์ทิพย์. 2549. การรับรู้ประโยชน์และอุปสรรคของการออกกําลังกายและพฤติกรรม ของสตรีในชนบท ในชนบท. วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลสตรี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ . เชียงใหม่. เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย. 2551. หลักการและการใช้วิจัยเชิงคุณภาพสําหรับทางการพยาบาลและสุขภาพ. พิมพ์ครั้ง ที่ 2. สงขลา: ชานเมืองการพิมพ์. มานี ชูไทย. 2544. หลักการอิสลามที่สัมพันธ์กับการปฏิบัติตนทางด้านสุขภาพและการสาธารณสุข. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: ม.ป.พ. ยูซุฟ นิมะ และสุภัทร ฮาสุวรรณ. 2551. การแพทย์และการดูแลผู้ป่วยที่สอดคล้องกับวิถีมุสลิม. พิมพ์ครั้งที่ 2. ม.ป.ท: ม.ป.พ. วิศาล คันธารัตนกุล. 2546. แนวทางการออกกําลังกายสําหรับศูนย์สขุ ภาพชุมชน. นนทบุรี: ม.ป.พ. วุฒิชัย เพิ่มศิริวาณิชย์. 2549. การออกกําลังกายเพื่อการบําบัดรักษาเฉพาะโรค. สงขลา: ชานเมืองการพิมพ์. สํานักงานสถิติแห่งชาติ. 2551. สรุปผลที่สําคัญ การสํารวจอนามัย สวัสดิการ และการออกกําลังกายของประชากร พ.ศ. 2550. กรุงเทพมหานคร: สํานักงานสถิติแห่งชาติ. สุกรี สาแลง. 2552. หลักเกณฑ์ข้อบัญญัติการกีฬาในอิสลาม. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาอิสลาม ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. ปัตตานี. อัล บุนยาน. 2552. มุ่งมั่นสู่การปฏิรูปตนเองและเรียกร้องเชิญชวนผู้อื่นสู่การยอมจํานนต่ออัลลอฮฺ. จากอินเตอร์เน็ต http://www.iqraforum.com/oldforum1/ www.iqraonline.org/ (ค้นเมื่อ 20 สิงหาคม 2552). Al-Bukhariy, Muhammad bin Ismail. 1987. Sahih al- Bukhariy. Beirut, Lubnan: Dar Ibn Kathir. Erikssen, G. 2001. Physical fitness and change in mortality. Sports medicine, 2001, 571-576. Madya Syed Omar Syed Agil. 2008. Islam Dan Sukan., จากอินเตอร์เน็ต http//permai1.tripod.com.html (ค้นหาเมื่อ 7 เมษายน 2552). Mohd Zaki Bin Harun. 2008. Senaman Yoga haram. จากอินเตอร์เน็ต จากhttp//zakiharun.blogspt.com/ (ค้นหาเมื่อ 7 เมษายน 2552).
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
97
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
บทความวิจัย
การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้สําหรับผู้ปกครองมุสลิมในการส่งเสริมภาวะโภชนาการของเด็กก่อน วัยเรียนในจังหวัดปัตตานี มัณฑนี แสงพุ่ม∗ เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย∗∗ สาวิตรี ลิ้มชัยอรุณเรือง∗∗∗ บทคัดย่อ การวิ จั ย และพั ฒ นานี้ เพื่ อ พั ฒ นาชุ ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู้ สํ า หรั บ ผู้ ป กครองมุ ส ลิ ม ในการส่ ง เสริ ม ภาวะ โภชนาการของเด็กก่อนวัยเรียน และทดสอบประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ประชากรเป้าหมายคือ พ่อแม่ หรือผู้ปกครองของเด็กทั้งหมดในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่นับถือศาสนาอิสลามจํานวน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดกิจกรรมซึ่งประกอบด้วยสื่อกิจกรรม 5 ส่วน ได้แก่ คู่มือการใช้ชุดกิจกรรมการส่งเสริมโภชนาการเด็กก่อนวัย เรียน โปสเตอร์ธงโภชนาการสําหรับเด็ก เมนูอาหารสําหรับเด็กมุสลิมวัยใส บัตรคําเกี่ยวกับการเลือกอาหารให้เกิด ประโยชน์ แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจ และแบบวัดความพึงพอใจ ใช้เกณฑ์การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุด กิจกรรมการเรียนรู้ กําหนดเกณฑ์ไว้ 80/80 และสถิติ paired t-test การหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.81 / 89.33 เป็นไปตามเกณฑ์ เมื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่าคะแนน ความรู้มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผู้ปกครองพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ อยู่ใน ระดับมาก ( Χ = 2.59, S.D.= 0.47) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สําหรับผู้ปกครองมุสลิมนี้ อยู่ในระยะพัฒนาแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถขยายผล การศึ ก ษาไปในศู น ย์ พั ฒ นาเด็ ก เล็ ก ที่ มี บ ริ บ ทมุ ส ลิ ม ที่ ใ กล้ เ คี ย งกั น ได้ อั น จะทํ า ให้ ผู้ ป กครองในกลุ่ ม อื่ น ๆ ได้ มี ความสามารถในการส่งเสริมภาวะโภชนาการเด็กได้มากขึ้น คําสําคัญ: ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สําหรับผู้ปกครอง, การส่งเสริมภาวะโภชนาการ, เด็กก่อนวัยเรียน
∗
นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต หาดใหญ่ Assoc. Prof. Ph.D. (ประชากรศาสตร์) อาจารย์ประจําสาขาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยา
∗∗
เขต หาดใหญ่ ∗∗∗
Asst. Prof. Ed.D. (พัฒนศึกษาศาสตร์) อาจารย์ประจําสาขาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต หาดใหญ่
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
98
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
Abstract This developmental research aimed to develop a learning activity package for Muslim caregivers in promoting the nutritional status for their preschool children, to analyze its efficiency, and to evaluate its outcome on satisfaction of the Muslim caregivers participating to the learning activities. The target population comprised of 45 parents or guardians taking the major the roles of caregivers for their Muslim preschool children. The instruments were comprising of 5 parts, i.e., 1) manual for the users, 2) flag posters on nutrition for preschool children, 3) food menus for the Muslim children, 4) word-cards for learning on the benefits of food choices for the children, and 5) evaluation forms measuring knowledge and satisfaction of the caregivers participating to the learning activities. Data were analyzed using frequency, percentage, mean, standard deviation and paired t-test. The 80/80 criterion for the percentage of pre/post implementing mean scores of knowledge (total score = 675) was used to evaluate the effectiveness of the learning activities package. The effectiveness of the learning activity package for Muslim caregivers in promoting nutritional status of their preschool children was confirmed. Comparing to the evaluating criterion for its effectiveness, the percentage of the pre-post implementing mean scores (82.81/89.33) were met the criterion and that indicating the effectiveness of the package. In addition, the comparison of the pre-post implementing means of knowledge scores revealed that the post-implementing score was significantly higher than the pre-implementing (t = 3.99, p < .05). Besides, overall mean score of the caregivers’ satisfaction on participating to the learning activity package was at a high level ( Χ = 2.59, S.D. = 0.47). The newly developed learning activity package for Muslim caregivers in promoting nutritional status of preschool children could be applied to other child development centers that have a similar context. It would be particulary beneficial in encouraging the Muslim caregivers to promote nutritional status of their preschool children. Keywords: parents nutritional education program , nutritional promotion, preschool children
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
99
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ภูมิหลังและเหตุผล ในต่างประเทศได้มีการพัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้สําหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมภาวะโภชนาการของเด็ก ค่อนข้างมาก โดยเห็นความสําคัญว่าพ่อ แม่ เปรียบเสมือนกุญแจสําคัญในการปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพด้านการกิน และการออกกําลังกายให้แก่เด็ก (Lunnemann, 2008: จากอินเตอร์เน็ต), สําหรับในประเทศไทย งานวิจัยที่เน้นการสร้าง โปรแกรมในการส่งเสริมภาวะโภชนาการของเด็ก ส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมที่ให้ความรู้ผ่านทางครู หรือผู้ดูแลเด็ก มากกว่า โดยการถ่ายทอดความรู้ผ่านทางผู้ปกครองนั้นยังมีน้อย แต่จากการสํารวจสถานการณ์เด็กในประเทศไทย พ.ศ. 2548 – 2549 ยังได้แสดงให้เห็นว่า มากกว่า 1 ใน 10 ของเด็กก่อนวัยเรียนมีภาวะเตี้ย ขณะที่ประมาณร้อยละ 9 ของเด็กวัยนี้มีน้ําหนักน้อยกว่าเกณฑ์ ข้อมูลในระบบเฝ้าระวังทางโภชนาการของกรมอนามัยก็แสดงว่าภาวะทุพ โภชนาการมีระดับทรงตัวไม่ลดลงมาตั้งแต่ พ.ศ. 2543 (อุไรพร จิตต์แจ้ง, 2008: จากอินเตอร์เน็ต), ระดับความรุนแรง ของปัญหาในระดับภาคมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัดเจน ในการสํารวจปี พ.ศ. 2549 นี้ ภาคใต้กลายเป็นภาคที่มี ภาวะทุพโภชนาการทั้งด้านขาดและเกินที่น่าเป็นห่วง ซึ่งสอดคล้องกับผลการสํารวจภาวะอาหารและโภชนาการของ ประเทศไทย ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2546 พบว่า ในภาคใต้เด็กก่อนวัยเรียนมีภาวะเตี้ย มากที่สุดถึงร้อยละ 10.4 (กอง โภชนาการฯ, 2549: การสํารวจภาวะอาหารและโภชนาการของประเทศครั้งที่ 5) จากการทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับโปรแกรมการพัฒนาชุดกิจกรรมเรียนรู้ในการส่งเสริมภาวะโภชนาการของ เด็กก่อน วัยเรียน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเน้นที่ตัวเด็ก หรือพี่เลี้ยงเด็ก ถึงแม้ว่าจะมีงานวิจัยที่เน้น ที่ตัวผู้ปกครอง แต่ก็เป็นการเน้นที่ผู้ปกครองทั่วๆไป ไม่ได้เน้นเฉพาะที่ผู้ปกครองมุสลิม แต่ในศาสนาอิสลามเป็น ศาสนาที่มีข้อกําหนดความเชื่อและการปฏิบัติในด้านต่างๆ ที่ครอบคลุมวิถีการดําเนินชีวิตของมุสลิมในทุกๆ ด้าน รวมทั้งการบริโภคอาหารที่มีข้อกําหนดที่ชัดเจน ละเอียดและเข้มงวด (สรรค์สะคราญ เชี่ยวนาวิน, 2544), รวมถึง บทบัญญัติเกี่ยวกับอาหารฮาลาล ซึ่งเป็นสิ่งที่อนุมัติตามบทบัญญัติอิสลาม (อัสมัน แตอาลี, 2552: 13), และจากบริบท พื้นที่เกี่ยวกับการบริโภคอาหารของเด็กก่อนวัยเรียนในจังหวัดปัตตานีนั้น พบว่า เด็กก่อนวัยเรียนมีรูปแบบการบริโภค อาหารที่แตกต่างจากภาคอืน่ ๆ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้พัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้สําหรับผู้ปกครองมุสลิมในการ ส่งเสริมภาวะโภชนาการของเด็กก่อนวัยเรียนขึ้น เพื่อเป็นสื่อที่มีความสอดคล้องกับวัฒนธรรมการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วยสื่อกิจกรรม 5 ส่วน ได้แก่ คู่มือการใช้ชุดกิจกรรมการส่งเสริมโภชนาการเด็กก่อน วัยเรียน โปสเตอร์ธงโภชนาการสําหรับเด็กก่อนวัยเรียน เมนูอาหารสําหรับเด็กมุสลิมวัยใส บัตรคําเกี่ยวกับการเลือก อาหารให้เกิดประโยชน์ต่อเด็ก และแบบทดสอบความรู้ความเข้าใจ ซึ่งชุดกิจกรรมการเรียนรู้นี้อาจเป็นแนวทางหนึ่งที่ จะช่วยให้ผู้ปกครองเห็นความสําคัญในเรื่องการส่งเสริมภาวะโภชนาการเด็กก่อนวัยเรียน ระเบียบวิธีศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (research and development) ประชากรเป้าหมายคือ ผู้ปกครองของเด็ก ก่อนวัยเรียนทั้งหมดที่นับถือศาสนาอิสลามในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตําบลบางตาวา อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ปี การศึกษา 2552 จํานวน 45 คน เพื่อทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สําหรับผู้ปกครองมุสลิมในการส่งเสริมภาวะ โภชนาการของเด็กก่อนวัยเรียนในจังหวัดปัตตานี เครื่องมือที่ผู้วิจัยใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของผู้ปกครอง ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ สําหรับผู้ปกครองมุสลิมในการส่งเสริมภาวะโภชนาการของเด็กก่อนวัย และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ปกครอง
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
100
โดยผู้วิจัยเป็นผู้ดําเนินการสอนด้วยตนเอง ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การทดสอบก่อนดําเนินการสอน การ ดําเนินการสอน และการทดสอบหลังดําเนินการสอน ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สําหรับผู้ปกครองมุสลิมในการส่งเสริมภาวะโภชนาการของเด็กก่อนวัยเรียน โดยนําแนวคิด เกี่ยวกับองค์ประกอบของชุดกิจกรรมมาพัฒนาเป็นชุดกิจกรรม (บุญชม ศรีสะอาด, 2537), การเรียนรู้ประกอบด้วย 1. คู่มือการใช้ชุดกิจกรรมการส่งเสริมโภชนาการเด็กก่อนวัยเรียน เป็นคู่มือและแผนการสอนสําหรับผู้ดูแล เด็ กที่ จ ะใช้ ชุ ด กิ จ กรรมนี้ ใ นการสอนผู้ปกครอง ประกอบด้ วยเนื้อหา ความรู้เรื่องโภชนาการ ปั ญหาภาวะ ทุ พ โภชนาการ และการส่งเสริมภาวะโภชนาการของเด็กก่อนวัยเรียน 2.โปสเตอร์ธงโภชนาการสําหรับเด็กก่อนวัยเรียน คือ เครื่องมือที่ช่วยอธิบายและทําความเข้าใจโภชนบัญญัติ ที่เหมาะกับเด็กก่อนวัยเรียนโดยเฉพาะ 3. เมนูอาหารสําหรับเด็กมุสลิมวัยใส เป็นตัวอย่างเมนูอาหารเพื่อโภชนาการที่ดีสําหรับเด็กก่อนวัยเรียน ซึ่ง เป็นอาหารที่เหมาะกับบริบทของมุสลิม ซึ่งผู้ปกครองโดยเฉพาะมารดาสามารถนําเมนูอาหารนี้ ไปประกอบอาหารให้ เด็กรับประทานได้ในชีวิตประจําวัน 4. บั ตรคําเกี่ยวกับการเลือกอาหารให้เกิดประโยชน์ต่อเด็ก เป็นสื่อที่ช่วยในการจดจําและสามารถสรุป ความคิดรวบยอดของผู้ปกครองจากการสอนได้ 5. แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจเป็นแบบประเมินความรู้ การวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเกณฑ์การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ กําหนดเกณฑ์ไว้ 80/80 และเปรียบเทียบคะแนนความรู้ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้สถิติ paired t-test ผลการศึกษา การนําเสนผลการศึกษาแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ ข้อมูลทั่วไปของผู้ปกครองและการทดสอบประสิทธิภาพ ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยการทดสอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพการเปรียบเทียบคะแนน ความรู้ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมและการประเมินความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ในส่วนของข้อมูลทั่วไปของผู้ปกครอง เป็นหญิงทั้งหมด, อายุ 20 – 29 ปี และ 30 – 39 ปี ร้อยละ 40, ระดับ การศึกษา ประถมศึกษาร้อยละ 55.56, สถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 91.11, ไม่ได้ประกอบอาชีพร้อยละ 44.44, รายได้ต่อ เดือน 3,001 – 5,000 บาท ร้อยละ 40, มีจํานวนบุตร 1 – 2 คน ร้อยละ 55.56, มีการประกอบอาหารให้บุตรทั้งทํา เอง และซื้อจากร้าน/ตลาด ร้อยละ 73.33 และไม่เคยผ่านการอบรมเรื่อง “โภชนาการ” ร้อยละ 57.78 ตาราง 1 ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้สําหรับผู้ปกครองมุสลิมในการส่งเสริมภาวะโภชนาการของเด็ก ก่อนวัยเรียนในจังหวัดปัตตานี (N = 45 คน)
ชุดกิจกรรม
แผนการเรียนรู้ทั้งหมด
แบบทดสอบก่อนสอน (E1) 675 คะแนน คะแนน คะแนนเฉลี่ย เฉลี่ย ร้อยละ 559
82.81
แบบทดสอบหลังสอน (E2) 675 คะแนน คะแนน คะแนนเฉลี่ย เฉลี่ย ร้อยละ 603
89.33
เกณฑ์ประ สิทธิภาพ E1/E2 80/80 82.81 / 89.33
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
101
ส่ว นที่ 2 ชุ ดกิจกรรมการเรียนรู้สํา หรับ ผู้ปกครองมุส ลิ ม ในการส่ ง เสริม ภาวะโภชนาการของเด็ก ก่อนวั ยเรี ยน มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กําหนด (E 1/ E 2) 80/80 เท่ากับ 82.81 / 89.33 (ดังตาราง 1) การเปรียบเทียบคะแนนความรู้ก่อนและหลังการใช้ชุ ดกิจกรรมการเรียนรู้สํา หรับ ผู้ปกครองมุสลิมในการส่งเสริมภาวะโภชนาการของเด็กก่อนวัยเรียน พบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนการใช้ชุดกิจกรรมการ เรียนรู้ เท่ากับ 12.42 และหลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ13.40 เมื่อทดสอบความ แตกต่างพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (ดังตาราง 2)
คะแนนความรู้
การทดสอบความรู้
S.D .84 1.36
X
คะแนนก่อนใช้ชุดกิจกรรม คะแนนหลังใช้ชุดกิจกรรม
12.42 13.40
t-value
p-value
3.99
.05
* p < .05 การประเมินความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย 2 ส่วนได้แก่ ส่วนที่ 1 การประเมินความพึงพอใจเกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่าผู้ปกครองมีการประเมินความพึงพอใจ เกี่ยวกับลักษณะทั่วไป คือ พึงพอใจชื่อหัวข้อแต่ละหัวข้อ และขนาดตัวอักษร ร้อยละ 100 พึงพอใจสีสันของสื่อและ ภาพประกอบสื่อร้อยละ 86.67 ส่วนที่ 2 การประเมินความพึงพอใจในเนื้อหาของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่า มี ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจโดยภาพรวมเท่ากับ 2.59 ( X = 2.73 , S.D. = 0.47) มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก วิจารณ์ จากผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สําหรับผู้ปกครองมุสลิมในการส่งเสริมภาวะโภชนาการของเด็ก ก่อนวัยเรียนในจังหวัดปัตตานี ที่พบว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.81 / 89.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ที่ ตั้ ง ไว้ ทั้ ง นี้ อ าจจะเนื่ อ งมาจากชุ ด กิ จ กรรมพั ฒ นาขึ้ น มาโดยการวิ เ คราะห์ ส ถานการณ์ ด้ า นการส่ ง เสริ ม ภาวะ โภชนาการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เป็นอยู่จริง และเล็งเห็นความสําคัญว่า ครอบครัวมีอิทธิพลต่อการพัฒนาบริโภค นิสัยของเด็ก โดยเฉพาะผู้ท่ีเป็นพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็ก (อบเชย วงศ์ทอง, 2542: 15) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้นี้เป็นชุด กิจกรรมที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้มีความสอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรมมุสลิมภาคใต้ ซึ่งยังไม่เคยมีการพัฒนามาก่อน ทั้งนี้ ในศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่มีข้อกําหนดความเชื่อและการปฏิบัติในด้านต่าง ๆ ที่ครอบคลุมวิถีการดําเนินชีวิต ของมุสลิมในทุกๆ ด้าน รวมทั้งการบริโภคอาหารที่มีข้อกําหนดที่ชัดเจน ละเอียดและเข้มงวด (สรรค์สะคราญ เชี่ยว นาวิน, เล่มเดียวกัน), โดยเฉพาะบทบัญญัติที่เกี่ยวกับอาหารฮาลาล ซึ่งเป็นสิ่งที่อนุมัติตามบทบัญญัติอิสลาม และ หลักในการเลี้ยงดูบุตรตามหลักศาสนาอิสลาม (อัสมัน แตอาลี, เล่มเดียวกัน), ซึ่งอิสลามถือว่าลูกๆ นั้นเป็นสิ่งทดสอบ จากอัลลอฮฺ และเป็นหน้าที่รับผิดชอบ (อามานะห์) ของพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดูลูก นอกจากนี้ลูกๆ จะต้องได้รับการ ดูแลเกี่ยวกับสุขภาพของเขาไม่ว่าสุขภาพทางกาย จิตใจ และทางสติปัญญาควบคู่ไปด้วย การให้ลูกๆ ได้รับอาหารที่ฮา ลาล (อนุมัติ) และให้คุณค่าทางโภชนาการ (ต๊อยยีบัน) อย่างครบถ้วนก็ถือว่าเป็นหน้าที่ผู้เป็นพ่อแม่ด้วยเช่นเดียวกัน (มัส ลัน มาหะมะ, 2550: 28), อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
102
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้นี้ มีลักษณะเป็นสื่อประสม ซึ่งใช้เป็นเครื่องชี้แนวทางและเครื่องมือในการสอน ให้ ผู้เรียนและผู้สอนใช้ร่วมกัน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น (รัตนา มั่นคง, 2547: วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต), (สุพรรณ บุญเฉลิม, 2547: วิทยานิพนธ์ ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต), โดยใช้หลักการชุดกิจกรรมแบบกลุ่มกิจกรรม เป็นชุดกิจกรรมสําหรับให้ผู้เรียนเรียน ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 5-7 คน โดยใช้สื่อการสอนที่บรรจุไว้ในชุดกิจกรรมแต่ละชุด โดยมุ่งที่จะฝึกทักษะใน เรื่องนั้นๆ ชุดกิจกรรมชนิดนี้มักจะใช้สอนในการสอนแบบกิจกรรมกลุ่ม (วิชัย วงษ์ใหญ่, 2525: 36) โดยใช้รูปแบบการ เรียนรู้หรือลีลาการเรียนรู้ของมนุษย์ (Learning style) มนุษย์สามารถรับข้อมูลโดยผ่านเส้นทางการรับรู้ 3 ทาง คือ การรับรู้ทางสายตาโดยการมองเห็น (Visual percepters) การรับรู้ทางโสตประสาทโดยการได้ยิน (Auditory percepters) และ การรับรู้ทางร่างกายโดยการเคลื่อนไหวและการรู้สึก (Kinesthetic percepters) (มัณฑรา ธรรมบุศย์, 2548: 3), มาเป็นหลักในการจัดลําดับเนื้อหาของชุดกิจกรรม การเปรียบเทียบคะแนนก่อนการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ และหลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นการ ทดสอบประสิทธิภาพอีกวิธีการหนึ่ง พบว่าคะแนนความรู้มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในการประกอบอาหารให้แก่เด็ก และสื่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมีการฝึกปฏิบัติ ซึ่งทําให้คะแนนเฉลี่ยความรู้หลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สูงกว่า ก่อนการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จากการพูดคุยสนทนา ผู้ปกครองชอบกิจกรรมลักษณะนี้มาก เพราะมีประโยชน์ ต่อตนเอง ในการนําความรู้ไปปฏิบัติกับเด็กที่บ้านได้ ได้ประสบการณ์ใหม่ หลักการและแนวคิดในการเลี้ยงดูเด็ก ซึ่ง ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความรู้ เกิดการตระหนักและเห็นความสําคัญของภาวะโภชนาการเด็ก การประเมินความพึงพอใจก็เป็นการประเมินประสิทธิภาพในด้านคุณภาพของกระบวนการจัดกิจกรรมและ คุณภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ในส่วนแรกเป็นการประเมินความพึงพอใจเกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของชุดกิจกรรมการ เรียนรู้ และส่วนที่ 2 เป็นการประเมินความพึงพอใจในเนื้อหาของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ของผู้ปกครองมีความพึง พอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก อาจเนื่องมาจาก ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นชุดกิจกรรมที่มีความเฉพาะเจาะจงกับ บริบทของมุสลิม ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อน และในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้น ผู้ปกครองได้มีการแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นซึ่งกันและกันเกี่ยวกับหลักในการเลี้ยงดูเด็ก ทั้งในเรื่องโภชนาการและเรื่องอื่นๆ เมื่อพิจารณารายข้อจะเห็นว่า ผู้ปกครองมีความพึงพอใจในเนื้อหาเรื่อง “มารู้จักการเจริญเติบโตของลูกรัก” อาจเนื่องมาจากผู้ปกครองได้มีการฝึก ปฏิบัติในการประเมินภาวะโภชนาการของลูกตนเอง จึงทําให้พ่อแม่ ผู้ปกครองมีความสนใจอยากรู้ภาวะโภชนาการ ของลูกตนเองเป็นอย่างไร เพื่อแลกเปลี่ยนกันและหาแนวทางในการส่งเสริมภาวะโภชนาการเด็กร่วมกัน ฉะนั้นการส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีความรู้และทักษะในการส่งเสริมภาวะโภชนาการของเด็กก่อนวัยเรียนนั้น เป็นสิ่งสําคัญ เพราะ แหล่งการเรียนรู้ท่ีสําคัญที่สุดของเด็กในวัยนี้ คือ ครอบครัว พ่อแม่และบุคคลในครอบครัว ฉะนั้นการเตรียมการศึกษาสําหรับพ่อแม่ ผู้ปกครองในฐานะเป็นครูคนแรกของลูก จึงมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง กิตติกรรมประกาศ ขอขอบพระคุ ณ กรรมการสอบและผู้ ท รงคุ ณ วุ ฒิ ทุ ก ท่ า น และศู น ย์ พั ฒ นาเด็ ก เล็ ก ตํ า บลบางตาวา อาสาสมัครสาธารณสุขตําบลบางตาวา ที่สละเวลาให้ความร่วมมืออย่างดีในการวิจัย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปีที่ 5 ฉบับที่ 9
103
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา July-December 2010
เอกสารอ้างอิง Lunnemann, M. 2008. Parents as teachers training program provides a recipe for success In fight against childhood obesity. From Internet. Availablefrom : URL: http:// www. parenting-journals.com (cited 2008 April 7: 2 screen) อุไรพร จิต ต์แ จ้ง . 2008. ทุพ โภชนาการ. From Internet. URL:http://www.hiso.or.th/hiso/picture/reportHealth/ThaiHealth. (cited2008November13:3screen) กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. 2549. รายงานการสํารวจภาวะอาหารและโภชนาการของ ประเทศไทย ครั้งที่ 5 พ.ศ.2546. กรุงเทพมหานคร : องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (รพส). สรรค์สะคราญ เชี่ยวนาวิน. 2544. หน้าที่ของวัฒนธรรมอาหารอิสลามที่มีต่อวิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิม. (วิทยานิพนธ์ ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต). สาขามนุษยวิทยา, บัณฑิตวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. อัสมัน แตอาลี. 2552. อาหารฮาลาลในบทบัญญัติอิสลาม. เอกสารประกอบการบรรยายเรื่องอาหารฮาลาลใน บทบัญญัติอิสลาม; 14 มกราคม 2552; โรงพยาบาลปัตตานี. ปัตตานี: โรงพยาบาลปัตตานี; บุญชม ศรีสะอาด. 2537. การพัฒนาการสอน. กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น. ลัดดา ศุขปรีด.ี 2523. เทคโนโลยีการสอน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์พิฆเณศ. วิชัย วงษ์ใหญ่. 2525. การพัฒนาหลักสูตรและการสอนมิตใิ หม่. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: โอเดียน สโตร์. อบเชย วงศ์ทอง. 2524. โภชนาการศาสตร์ครอบครัว. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. มัสลัน มาหะมะ. 2550. ลุกมานสอนลูก : บทเรียนและแนวปฏิบัติ. ยะลา : วิทยาลัยอิสลามยะลา. รัตนา มั่นคง. 2547. การสร้างชุดกิจกรรมการเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีท่ี 3. วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญาครุ ศ าสตรมหาบั ณ ฑิ ต . หลั ก สู ต รและการสอน, บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย .อุ ต รดิ ต ถ์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. สุพรรณ บุญเฉลิม. 2547. ชุดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความรู้เชิงปริภูมิสําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย. อุตรดิตถ์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. มัณฑรา ธรรมบุศย์. 2548. ลีลาการเรียนรู้. จากอินเตอร์เน็ต. http://edu. chandra.ac.th/teacherAll/mdra/data/learnstyle.doc. (ค้นพบเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2009)
อัล-นูร
สารบัญ /ﻓﻬﺮﺱ :ﲡﺮﺑﺔ ﺍﻟﺼﻨﺎﻋﺔ ﺍﳌﺼﺮﻓﻴﺔ ﺍﻹﺳﻼﻣﻴﺔ ﰲ ﺗﺎﻳﻼﻧﺪ ﺎﺍﻹﺟﺎﺭﺓ ﻭﺍﻻﻗﺘﻨﺎﺀ ﺃﳕﻮﺫﺟ
1-19
ﳏﻤﺪ ﻟﻴﺒﺎ ﺯﻛﺮﻳﺎ ﻫﺎﻣﺎ
א ﻣﻨﻬﺞ ﺷﻴﺦ ﺯﻳﻦ ﺍﻟﻌﺎﺑﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﻔﻄﺎﱐ :)ﺗﻮﺍﻥ ﻣﻴﻨﺎﻝ( ﺩﺍﱂ ﻓﻨﻮﻟﻴﺴﻦ ﻓﻘﻪ א ﺳﻮﺍﺕ ﻛﺎﺟﲔ ﺗﺮﻫﺎﺩﻑ ﻛﺘﺎﺏ ﻛﺸﻒ ﺍﻟﻠﺜﺎﻡ 21-35
วิพากษ์หนังสือ / Book Review หนังสือฟิกฮฺ อัลมันฮะญีย์ เล่มที่ 6 เรือ่ งการซือ้ ขาย
37-40
อับดุลอาซิส แวนาแว มุฮาํ หมัดซากี เจ๊ะหะ
Students’ Attitudes toward their Arabic Language Use at Islamic Private Secondary Schools in Yala Province, Southern Thailand
41-53
Mohamed Ibrahim Dahab
55-66
วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ ฉันทัส ทองช่วย
67-82
มูหามัดรูยานี บากา อิบราเฮ็ม ณรงค์รักษาเขต
83-96
การียา ยือแร สาวิตรี ลิ้มชัยอรุณเรือง เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย
97-103
มัณฑนี แสงพุม่ เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย สาวิตรี ลิ้มชัยอรุณเรือง
กระบวนการดํารงอัตลักษณ์มสุ ลิมกับการสร้าง ชุมชนเข้มแข็งกรณีศึกษา : ชุมชนมัสยิดบ้านเหนือ การพัฒนากรอบหลักสูตรบูรณาการช่วงชั้นที่ 3 สําหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จังหวัด ชายแดนภาคใต้
การส่งเสริมการออกกําลังกายตามหลักศาสนา อิสลามในกลุ่มแม่บ้าน จังหวัดปัตตานี การพั ฒ นาชุ ด กิ จ กรรมการเรี ย นรู้ สํ า หรั บ ผู้ปกครองมุสลิมในการส่งเสริมภาวะโภชนาการ ของเด็กก่อนวัยเรียนในจังหวัดปัตตานี