ปที่ 7 òä Ûa January - June 2012/ @ @1433@@¶ëþa@ô†b»@@–@1432òv¨aëˆ@ ฉบับสังคมศาสตรและมนุษยศาสตร ยศาสตร
ฉบับที่ 12
†‡ÈÛa
@ @òîãb ã⁄aë@òîÇbànuüa@âìÜÈÛa@Þbª
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
Al-Nur Journal The Graduate School of Yala Islamic University ประธานที่ปรึกษา อธิการบดี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ที่ปรึกษา รองอธิการบดีฝายวิเทศสัมพันธและกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยอิสลายะลา รองอธิการบดีฝายวิชาการ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา รองอธิการบดีฝายบริหาร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา รองอธิการบดีฝายพัฒนาศักยภาพนักศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผูชวยอธิการบดีฝายทรัพยสินและสิทธิประโยชน มหาวิทยาลัยอิสลายะลา คณบดีคณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา คณบดีคณะศิลปศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา คณบดีคณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา คณบดีคณะศึกษาศาสตร ผูอํานวยการสถาบันภาษานานาชาติ ผูอํานวยการสํานักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผูอํานวยการสถาบันอัสสาลาม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา เจาของ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา บรรณาธิการ ผูชวยศาสตราจารย ดร.มุฮําหมัดซากี เจะหะ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา กองบรรณาธิการ รองศาสตราจารย ดร.อิบรอฮีม ณรงครักษาเขต วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี รองศาสตราจารย ดร.นิรันดร จุลทรัพย คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยทักษิณ Assoc. Prof. Dr.Mohd Muhiden Bin Abd Rahman Fakulti Pengajian Islam, Universiti Malaya, Nilam Puri, Asst. Prof. Dr.Muhammad Laeba Islamic Law, International Islamic University Malaysia ผูชวยศาสตราจารย ดร.นิเลาะ แวอุเซ็ง วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี ผูชวยศาสตราจารย อุไรรัตน ยามาเร็ง คณะครุศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อาจารยเจะเหลาะ แขกพงศ สถาบันอิสลามและอาหรับศึกษา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร ผูชวยศาสตราจารยซอลีฮะห หะยีสะมะแอ สํานักบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผูชวยศาสตราจารยจารุวัจน สองเมือง คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.ซาการียา หะมะ คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.ซอบีเราะห การียอ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.อัดนัน สือแม สาขาวิชาภาษาอาหรับและวรรณคดี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร.มูฮามัสสกรี มันยูนุ คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ผูทรงคุณวุฒิพิจารณาประเมินบทความประจําฉบับ รองศาสตราจารย ดร.เพชรนอย สิงหชางชัย รองศาสตราจารย ดร.จรัญ มะลูลีม ผูชวยศาสตราจารย ดร.ศิริพันธุ ศิริพันธุ ผูชวยศาสตราจารย ดร.อับดุลเลาะ หนุมสุข ผูชวยศาสตราจารย อรทิพย เพ็ชรอุไร ผูชวยศาสตราจารย อุไรรัตน ยามาเร็ง ดร.นูรดินอับดุลเลาะฮ ดากอฮา ดร.มะรอนิง สาแลมิง ดร.วิสุทธิ์ บิลลาเตะ ดร.นิเลาะ แวอุเซ็ง ดร.มูฮามัสสกรี มันยูนุ ดร.อับดุลรอนิง สือแต อาจารยเจะเหลาะ แขกพงศ อาจารยนิมัศตูรา แว พิสูจนอักษร อาจารยมูฮําหมัด สะมาโระ อาจารยนัศรุลลอฮ หมัดตะพงศ อาจารยฆอซาลี เบ็ญหมัด กองจัดการ นายฟาริด อับดุลลอฮหะซัน นายมาหะมะ ดาแม็ง นายอับดุลยลาเตะ สาและ รูปแบบ นายนัสรูดิง วานิ นายอาสมิง เจะอาแซ กําหนดการเผยแพร 2 ฉบับ ตอป การเผยแพร มอบใหหองสมุดหนวยงานของรัฐและเอกชน สถาบันการศึกษาในประเทศและตางประเทศ ฉบับอิเล็กทรอนิกส
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร มหาวิทยาลัยรามคําแหง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี ศูนยประสานงาน สํานักจุฬาราชมนตรีประจําภาคใต มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนียะลา สถานที่ติดตอ บัณฑิตวิทยาลัย ชั้น 2 สํานักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา 135/8 หมู 3 ตําบลเขาตูม อําเภอยะรัง จังหวัดปตตานี 94160 โทร.0-7341-8614 โทรสาร 0-7341-8615, 0-7341-8616 Email: fariddoloh@gmail.com รูปเลม บัณฑิตวิทยาลัย พิมพที่ โรงพิมพมิตรภาพ เลขที่ 5/49 ถนนเจริญประดิษฐ ตําบลรูสะมิแล อําเภอเมือง จังหวัดปตตานี 94000 โทร 0-7333-1429
http://www.tci-thaijo.org/index.php/NUR_YIU/issue/archive
ทัศนะและขอคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้ เปนความคิดเห็นสวนตัวของผูเขียนแตละ ทาน ทางกองบรรณาธิการเปดเสรีดานความคิด และไมถือวาเปนความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
บทบรรณาธิการ มวลการสรรเสริญทั้งหลายเปนสิทธิแหง เอกองคอัลลอฮฺ ที่ทรงอนุมัติใหการรวบรวมและจัดทํา วารสารฉบั บนี้ สํ า เร็ จ ลุ ลวงไปด วยดี ขอความสั น ติสุ ข และความโปรดปรานของอัล ลอฮฺ จงประสบแด ท า น นบีมุฮัมมัด ผูเปนศาสนฑูตของพระองคตลอดจนวงศวานของทานและผูศรัทธาตอทานทั่วทุกคน วารสาร อั ล -นู ร เป น วารสารทางวิ ชาการฉบั บ สั ง คมศาสตร แ ละมนุ ษ ยศาสตร บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ซึ่งไดจัดตีพิมพปละ 2 ฉบับ เพื่อนําเสนอองคความรูในเชิงวิชาการที่หลากหลาย จาก ผลงานของนักวิชาการ คณาจารย นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาทั้งภายในและภายนอก ทั้งนี้เพื่อเปนการเผยแพร องคความรูที่สรางสรรคและเปนประโยชนสูสังคม วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ฉบับนี้ เปนฉบับที่ 12 ปที่ 7 ประจําป 2555 (ประจําฉบับมกราคม-มิถุนายน) ที่ไดจัดทําในรูปแบบเลมวารสารและระบบอิเล็กทรอนิกสเพื่อรองรับการ ประเมินคุณภาพวารสารที่อยูในฐาน พรอมกันนี้ไดมีการ Submission (Thai Journals Online) บทความในฉบับนี้ ประกอบดวย 10 บทความ และ 1 บทวิพ าทยหนังสื อ (Book Review) ซึ่งไดร วบรวมบทความทางวิชาการที่ มี ความหลากหลายทางด านภาษา สาขาวิชา และประเด็นตางๆ ที่น าสนใจ ซึ่งผูวิจัยไดทํา การศึกษา เรียบเรีย ง ประกอบไปดวยแขนงวิ ชาดานตางๆ อยางเช น ชะรี อะฮฺ (กฎหมายอิสลาม), อิส ลามศึก ษาทั่วไป, การบริหาร จัดการ, การวัดและประเมินผล, การบริหารธุรกิจ เปนตน บทความดังกลาวไดรับเกียรติจากบรรดาผูทรงคุณวุฒิ ทั้งในประเทศและตางประเทศทําหนาที่ตรวจสอบและประเมินคุณภาพของบทความ กองบรรณาธิการวารสาร ยินดีรับการพิจารณาผลงานวิชาการของทุกๆ ทานที่มีความสนใจ รวมถึง คําติชม และขอเสนอแนะตางๆ เพื่อนําสูการพัฒนาผลงานทางวิชาการใหมีคุณภาพตอไป
บรรณาธิการวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
1
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทความวิจัย
ความเปนไปไดในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย
อับดุลฮาลิม ไซซิง มุฮําหมัดซากี เจะหะ ฆอซาลี เบ็ญหมัด ดานียา เจะสนิ อาหมัด อัลฟารีตีย รอซีดะห หะนะกาแม บทคัดยอ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษารูปแบบศาลชะรีอะฮฺในกฎหมายอิสลาม ความเปนไปไดในการจัดตั้งศาล ชะรีอะฮฺในประเทศไทย และรูปแบบของศาลชะรีอะฮฺที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทยในอนาคตโดยใชระเบียบวิธีวิจัยเชิง คุณภาพเก็บรวบรวมขอมูลดวยการศึกษาเอกสารและวิจัยภาคสนาม การศึกษาเอกสารจะศึกษาขอมูลจากอัลกุรอาน ตําราอัลหะดีษ และตําราที่เขียนโดยนักวิชาการตลอดจนงานวิจัยตางๆที่เกี่ยวกับศาลชะรีอะฮฺในอิสลาม การวิจัย ภาคสนามโดยการสัมภาษณแบบเจาะลึกและการประชุมสัมมนาระดมความคิดเห็น ผลการศึกษาพบวา ศาลชะรีอะฮฺ มีความสําคัญและจําเปนอยางยิ่งสําหรับสังคมมุสลิมและตองดําเนินการ ตามหลักศาสนบัญญัติของอิสลาม การจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทยถือไดวาเปนการใหสิทธิแกประชาชนที่เปน มุสลิมในการปฏิบัติตามหลักศาสนบัญญัติของตนตามรัฐธรรมนูญโดยจะทําใหการใชกฎหมายวาดวยครอบครัวและ มรดกสามารถบังคับใชอยางสมบูรณอันจะสงผลตอภาพลักษณที่ดีแกประเทศไทยในสายตาของประชาชนที่เปนมุสลิม และในประเทศมุสลิมทั่วโลก สําหรับอุปสรรคปญหาในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทยนั้นมีสาเหตุอยู 2 สาเหตุ คือ ความไมเขาใจของรัฐ และการขาดเอกภาพของมุสลิมในการเรียกรองใหมีศาลชะรีอะฮปญหาดังกลาวสามารถแก ไดดวยการสรางความเขาใจแกรัฐและสังคมภายนอกดวยวิธีการจัดสัมมนา การทําเอกสารเผยแพร หรืองานวิจัยเปน ตน และตองสรางเอกภาพระหวางมุสลิม กระบวนการแรกในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทยควรผลักดันให กฎหมายที่เกี่ยวของผานการรับรองจากสภาและควรมีการเตรียมความพรอมในดานบุคลากรที่จะมาทําหนาที่ในศาล ชะรีอะฮฺโดยการผลิต สรางบุคลากรที่มีความรูความสามารถเกี่ยวกับกฎหมายอิสลาม รูปแบบของศาลชะรีอะฮฺที่เหมาะสมกับลักษณะประเทศไทยนั้นควรเปน เอกเทศจากศาลยุติธรรม มี 2 ชั้ น ประกอบดวย ศาลชั้นตน และศาลอุทธรณ มีอํานาจพิพากษาคดีของมุสลิมรวมถึงคดีความที่มุสลิมกับผูที่มิใชมุสลิม โดยพิจารณาที่มูลเหตุแหงคดีวามาจากใครเปนหลัก ในดานพื้นที่นั้นควรขยายทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีมุสลิมจํานวน มาก อาจยึดหลักตามคณะกรรมกอิสลามประจําจังหวัดในดานอรรถคดีควรเพิ่มเติมจากคดีอื่นๆที่นอกเหนือจากคดีที่ เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก สวนรูปแบบในการพิจารณาคดีนั้นไมจํากัดวาแบบไตสวนหรือแบบกลาวหา คําสําคัญ: ศาลชะรีอะฮฺ ความเปนไปได รูปแบบ
ดร. (กฎหมายอิสลาม) อาจารยประจําสาขาวิชาชะรีอะฮฺ (กฎหมายอิสลาม), คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร. (นิติศาสตร), ผูชวยศาสตราจารย, อาจารยประจําสาขาวิชาชะรีอะฮฺ (กฎหมายอิสลาม), คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ศศ.ม (อิสลามศึกษา) อาจารยประจําสาขาวิชาชะรีอะฮฺ (กฎหมายอิสลาม), คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ศศ.ม (อิสลามศึกษา) อาจารยประจําสาขาวิชาชะรีอะฮฺ (กฎหมายอิสลาม), คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ศศ.ม (อิสลามศึกษา) อาจารยประจําสาขาวิชาอิสลามศึกษา, คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ศศ.ม (กฎหมายอิสลาม) อาจารยประจําสาขาวิชาชะรีอะฮฺ (กฎหมายอิสลาม), คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
2
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
RESEARCH
study the form of a Shariah court in Islamic law Abdulhalim Saising Muhammadzakee Cheha Ghazali Benmad Daneeya Jeh Seni Armad Alfaritee Rasidah Hanakamae Abstract This research aim to study the form of a Shariah court in Islamic law. the possibility of establishing a Shariah court in Thailand . form a series of Shariah court which may establish in future by using qualitative research methods in gathering data by gathering from the documents and collecting field data. In documents studying will study from Qur'an al-Hadith (Prophet prophetic) books and text books written by academics and written by academics and all researchs relating Shariah court in Islam. Field research use questionnaire instruments with in-depth interview and having brain storming sample group in Semina. The study result found that the Shariah court is very important for Muslim society which must follow the principle of Islamic law. The establishment of Shariah court in Thailand showing that Thai Muslim are given right in accordance to Thai constitutional thai provides Muslim using Family law and Laws of Inheritance in full force. Which will effect on good image of Thailand in Muslims eye round the world. The obstacies in establishing Shariah court in Thailand are two reasons; one is lacking understanding of the government and lacking solidarity of Muslims. In claming for Shariah court. Such aproblem could solve by making understanding to the government and public outdider by organizing semina, publishing relating paper or doing research and create a sense of solidarity on the concerning matter among Muslim and so on.The first step in establishing the Shariah court in Thailand is pushing for relating laws to be approved by parliament and second is thai having ready preparing in producing specialist or expert in Islamic law who will be staff of the Shariah court in future to come
Ph.D. (Shariah) Lecturer, Department of Shariah, Faculty of Islamic Studies, Yala Islamic University. Asst. Prof. Ph.D. (In Law) Lecturer, Department of Shariah, Faculty of Islamic Studies, Yala Islamic University. M.A. (Islamic Studies) Lecturer, Department of Shariah, Faculty of Islamic Studies, Yala Islamic University.
M.A. (Islamic Studies) Lecturer, Department of Shariah, Faculty of Islamic Studies, Yala Islamic University. M.A. (Islamic Studies) Lecturer, Department of Islamic Studies, Faculty of Islamic Studies, Yala Islamic University. M.A. (Shariah) Lecturer, Department of Shariah, Faculty of Islamic Studies, Yala Islamic University.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
3
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
The form of Shariah court which suet to Thai figure that should separate or independence from the Court of Justice which consist of to layers these are civil Court and Appeal Court which have power to judge cases of Muslim including cases which involve Muslim and none Muslim. By considering who is the cause of action is. The matter about area where the Shariah Court should be settled it should expand to all provinces which Muslim living in large number it might count to the existing of Provincial Islamic Committee.In case of lawsuit it should add more case more than Family laws and law of Inheritance case. The form of considering case not only limit to inquiring or accusing. Keywords: Shariah court, Islamic Law
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
4
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทนํา ศาลชะรีอะฮฺเปนสวนหนึ่งของบทบัญญัติทางศาสนาอิสลามซึ่งสังคมมุสลิมทั่วไปทุกยุคทุกสมัยจะเพิกเฉย มิได ทั้งนี้เพราะศาลเปนกลไกสําคัญในอันที่จะสรางความเปนธรรมแกผูถูกละเมิดในสังคม ดวยหลักศาสนาอิ สลาม ดังกลาว มุสลิมในประเทศไทยซึ่งเปนองคาพยพหนึ่งของประชาชาติมุสลิมจึงมีการใชกฎหมายอิสลามตลอดมา โดย พระมหากษัตริยทรงแตงตั้งผูนําประชาคมมุสลิมเปนผูมีอํานาจใชกฎหมายอิสลาม โดยคํานึงถึงความเหมาะสมและ ความสอดคลองกับประเพณี การนับถือศาสนาอิสลามของประชาชนในทองถิ่นเปนสําคัญ ตามหลักฐานที่ไดมีการบันทึกไวปรากฏวาการใชกฎหมายอิสลามในประเทศไทยมีมาตั้งแตยุคสุโขทัยตราบ จนปจจุบั น (สมบู รณ พุทธจักร, 2529: 63-82) อัน สามารถกลาวได วาศาลชะรีอะฮมิ ใชสิ่งแปลกใหมสํ าหรับไทย โดยในสมัยอยุธยาไดแบงหนวยงานที่ทําหนาที่ ติดตอคาขายกับตางประเทศเปน “กรมทา” ซึ่ งประกอบดวย 3 กรม ดวยกัน ไดแก กรมทากลางสําหรับติดตอกับชาวตางประเทศทั่วไป กรมทาซายสําหรับติดตอกับจีน และกรมทาขวา มี หนาที่กํากับ ดูแลกิจ การการคาและการทูต กับ ชาวตางชาติดานฝ งทะเลตะวั นตก เชน อิน เดีย อารเ มเนี ย อาหรับ อิหราน รวมทั้งมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต คือ มลายู จาม และรัฐในหมูเกาะอินโดนีเซีย (จุฬิศพงศ จุฬารัตน, 2544: 93) ในกรณีที่ชาวตางประเทศทั่วไป ในปจจุบันคดีเกี่ยวกับครอบครัวและมรดกใน 4 จังหวัดภาคใต ไดแก ปตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล ตก อยูภายใตอํานาจของศาลชั้นตน ตามพระราชบัญญัติการใชกฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ 2489 มาตรา 4 ที่กําหนดใหดะโตะยุติธรรม มีอํานาจชี้ขาดขอพิพาทเกี่ยวกับครอบครัวและมรดกที่มี คูความมุสลิมตามกฎหมายอิสลามรวมกับผูพิพากษา โดยดะโตะยุติธรรมมีอํานาจเพียงวินิจฉัยชี้ขาดตามขอกฎหมาย อิสลามแตไมมีอํานาจพิจารณาคดี เพราะอํานาจดังกลาวเปนของผูพิพากษา (พรบ.การใชกฎหมายอิสลาม, 2489) เมื่อพิจารณาถึงการใชกฎหมายอิสลามตามพระราชบัญญัติดังกลาว จะเห็นวายังขาดรายละเอียดตางๆที่ จําเปนตอการบริหารกฎหมายอิสลามอยูเปนอันมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการใชกฎหมายอิสลามในประเทศฟลิปปนส ศรีลังกา สิงคโปร ซึ่งประเทศเหลานี้ตางก็มีชาวมุสลิมเปนชนกลุมนอยอาศัยอยูเชนกัน กลาวคือพระราชบัญญัติฉบับ นี้เ พี ยงแต กํ าหนดให นําเอากฎหมายอิ ส ลามว าด ว ยครอบครั ว และมรดกมาบั ง คั บใช แทนบทบั ญ ญัติ แห ง ประมวล กฎหมายแพง และพาณิชย วาด วยครอบครั ว และมรดกเทานั้น โดยไม ไดกํ าหนดรายละเอี ยดเกี่ยวกับ หลัก กฎหมาย อิสลามที่จ ะนํามาบัง คับใช และวิธีพิจารณาตามกฎหมายอิสลาม ตลอดจนองคกรอื่นๆที่จําเปนสําหรับ การบริหาร กฎหมายอิ ส ลาม การใช ก ฎหมายอิ ส ลามจึ ง จํ ากั ด อยู เ ฉพาะแต ใ นศาลเท านั้ น ทํ าให ก ารใช ก ฎหมายอิ ส ลามขาด ประสิทธิภาพ เปนอุปสรรคตอการที่จะสงเสริมการดําเนินชีวิตภายใตหลักศาสนาอิสลามของประชาชนชาวไทยมุสลิม (สมบูรณ พุทธจักร, 2529: ฉ) ดวยความสําคัญและปญหาเกี่ยวกับศาลชะรีอะฮฺที่เกิดขึ้น คณะผูวิจัยจึงเห็นความจําเปนที่จะตองศึกษารูปแบบ ศาลชะรีอะฮฺในกฎหมายอิสลาม และความเปนไปไดในการกําหนดใหมีขึ้นในทางกฎหมายทั้งนี้เพื่อเปนขอมูลอางอิง และนําเสนอเปนแนวทางในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทยตอไป วัตถุประสงคของการวิจัย 1.ศึกษารูปแบบศาลชะรีอะฮฺในกฎหมายอิสลาม 2.ศึกษาความเปนไปไดและอุปสรรคปญหาในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย 3.ศึกษารูปแบบของศาลชะรีอะฮฺที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
5
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
วิธีดําเนินการวิจัย การวิ จั ย เรื่ อ งความเป น ไปได แ ละรู ป แบบของศาลชะรี อ ะฮฺ ใ นประเทศไทย เป น การวิ จั ย เชิ ง คุ ณ ภาพ (Qualitative Research) โดยมีวิธีการดําเนินการดังนี้ การวิจัยเอกสาร การศึ ก ษาเอกสารโดยศึก ษาข อมู ล จากอั ล กุ ร อาน หนั งสื ออั ล หะดี ษ และหนั ง สือที่ เ ขี ยนโดยนั กวิ ช าการ ตลอดจนงานวิจัยตางๆเกี่ยวกับศาลชะรีอะฮฺในขอมูลเกี่ยวกับรูปแบบศาลชะรีอะฮฺในอิสลาม การวิจัยภาคสนาม การวิจัยภาคสนามโดยการสัมภาษณแบบเจาะลึกประกอบแบบสัมภาษณกับกลุมตัวอยางและการสัมมนา ระดมความเห็นจากผูเชี่ยวชาญ ในสวนที่เปนขอมูลเกี่ยวกับความเปนไปไดและอุปสรรคปญหาในการจัดตั้งศาลชะ รีอะฮฺและรูปแบบของศาลชะรีอะฮฺที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งมีรายละเอียดตามลําดับดังนี้ ประชากรและกลุมตัวอยาง ประชากร ประชากรที่ใชในการวิจัยในครั้งนี้ไดแก นักวิชาการมุสลิม ดะโตะยุติธรรม ทนายความมุสลิม คณะกรรมการ อิสลามประจําจังหวัด นักกฎหมายและผูดํารงตําแหนงทางการเมือง ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใตซึ่งประกอบดวย จังหวัดยะลา ปตตานี นราธิวาส และ สตูล กลุมตัวอยาง กลุ ม ตั ว อย า งที่ ใ ช ใ นการวิ จั ย ครั้ ง นี้ ไ ด ม าด ว ยการเลื อ ก แบบเจาะจงจากผู ที่ เ ป น นั ก วิ ช าการมุ ส ลิ ม ดะโตะยุติธรรม ทนายความมุสลิม คณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัด นักกฎหมายและผูดํารงตําแหนงทางการเมือง ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใตซึ่งประกอบดวย จังหวัดยะลา ปตตานี นราธิวาส และ สตูล จํานวน 18 คน เครื่องมือที่ใชในการวิจัย 1) ประเภทของเครื่องมือ เครื่องมือที่ใชในการวิจัยครั้งนี้เปนแบบสัมภาษณ มีทั้งหมด 3 ตอน คือ 1. ตอนที่ 1 ขอมูลสวนตัว จํานวน 5 ขอ 2. ตอนที่ 2 ความคิดเห็นเกี่ยวกับความเปนไปได ในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย จํานวน 8 ขอ 3. ตอนที่ 3 รูปแบบของศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย จํานวน 8 ขอ 2). การสรางและพัฒนาเครื่องมือ เครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้มีขั้นตอนในการสรางและพัฒนา ดังนี้ 1. ทบทวนเอกสารที่เกี่ยวของกับศาลชะรีอะฮฺ 2. นําขอมูล ที่ไดจากการทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข องมาวิเคราะห สังเคราะหอยางละเอียดมาเป น แนวทางในการสรางแบบสัมภาษณ 3. นํ า แบบสั มภาษณ เ สนอผู เ ชี่ ย วชาญจํ า นวน 3 ท าน เพื่ อ พิ จ ารณาความตรงเชิ ง โครงสร า ง (Construct Validity) และคัดเลือกเฉพาะขอคําถามที่มีคาความตรงตั้งแต 0.5 ขึ้น ไป เพราะถือวาคําถามนั้นมีความ สอดคลองกับโครงสรางและหัวขอที่กําหนด 4. นําแบบสัมภาษณไปปรับปรุงแกไขตามขอเสนอแนะของผูเชี่ยวชาญมาจัดพิมพ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
6
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
3) ขั้นเก็บรวมรวมขอมูล การเก็บรวบรวมขอมูลในการวิจัยในครั้งนี้มีขั้นตอนดังนี้ การวิจัยเอกสาร การวิจัยเอกสารจะศึกษาขอมูลจากอัลกุรอาน หนังสืออัลหะดีษ และหนังสือที่เขียนโดยนักวิชาการตลอดจน งานวิจัยตางๆเกี่ยวกับศาลชะรีอะฮฺในอิสลาม การวิจัยภาคสนาม การวิ จัยภาคสนามโดยการสัมภาษณเ จาะลึก ประกอบแบบสั มภาษณ กั บ กลุ มตั ว อย างดั งกล าวและการ สัมมนาระดมความเห็นจากผูเชี่ยวชาญ ตามลําดับดังนี้ ก. การสั ม ภาษณ เ จาะลึ ก ) In-depth Interview) กลุ ม ตั ว อย า งที่ เ ป น นั ก วิ ช าการมุ ส ลิ ม ดะโต ะยุ ติธ รรม ทนายความมุส ลิม คณะกรรมการอิส ลามประจํ าจั งหวัด นัก กฎหมายและผูดํ ารงตํ าแหน งทาง การเมือง ใน4 จังหวัดชายแดนภาคใตซึ่งประกอบดวย จังหวัดยะลา ปตตานี นราธิวาส และ สตูล ผูวิจัยตรวจสอบ ความสมบูรณของขอมูลที่ไดจากการสัมภาษณจากนั้นนําขอมูลไปวิเคราะห ข. การสัมมนาระดมความคิดเห็น และขอเสนอแนะจากผูทรงคุณวุฒิ พรอมอภิปรายผลที่ไดจาก การวิเคราะหขอมูลภาคสนาม ประกอบขอมูลที่ไดจากการวิจัยเอกสาร ตามวัตถุประสงคของการวิจัย 4) ขั้นวิเคราะหขอมูลและนําเสนอผลการวิจัย การวิเคราะหขอมูลในการวิจัยครั้งนี้มีวิธีการดังนี้ 1. การวิเคราะหขอมูลเอกสาร ในการวิจัยขอมูลเอกสารเกี่ยวกับศาลชะรีอะฮฺในตํารากฎหมายอิสลาม ใชวิธีการวิเคราะหขอมูลเอกสาร ทางกฎหมายอิสลามในรูปแบบการวิเคราะหเชิงพรรณนา และการวิเคราะหเชิงเปรียบเทียบ วิธีการเรียบเรียงขอมูล ผูวิจัยจะทําการรวบรวมขอมูลในหัวขอที่เกี่ยวของตามวัตถุประสงคของการวิจัยจาก เอกสารปฐมภูมิทางกฎหมายอิสลาม และเอกสารทางกฎหมายอิสลามระดับอื่นๆ โดยผูวิจัยจะอธิบาย ใหขอสังเกต หรือวิจารณตามความเหมาะสม 2 .การวิเคราะหขอมูลที่ไดจากการสัมภาษณและการสัมมนาระดมความคิดเห็น การวิเคราะหขอมูลที่ไดจากการสัมภาษณและการสัมมนาระดมความคิดเห็นผูวิจัยวิเคราะหตามขั้นตอนดังนี้ 2.1 ตรวจสอบความถูกตองสมบูรณของขอมูลที่ไดจากการสัมภาษณตามโครงสรางในแบบสัมภาษณ การ สัมมนาระดมความคิดเห็นและขอเสนอแนะจากผูท รงคุณวุฒิ 2.2 ใช วิธี ก ารวิเ คราะห ขอมู ลเชิง คุ ณภาพรูป แบบตางๆ เช น วิ ธีก ารนั บจํ านวน วิธี วิเ คราะห เชิ ง พรรณนา descriptive Analysis (การวิ เ คราะห แบบอุ ป นั ย ) Analytic Induction) โดยการจั ดกลุ มและแยกประเภทข อมู ล ๖ (Classification) การใหความหมาย (Interpretation) การเชื่อมโยงเชิงตรรกะ ) Logical Association) รวมทั้งการวิเคราะห เปรียบเทียบขอมูล (Constant Comparison) โดยนําขอมูลมาเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกตาง และสรางเปน ขอสรุป (สิน พันธุพินิจ, 2547: 59, 282, 289) ขอบเขตของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ คณะวิจยั ทําการศึกษาเฉพาะประเด็นรูปแบบศาลชะรีอะฮฺในกฎหมายอิสลาม ความเปนไป ไดในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย และรูปแบบที่เหมาะสมกับสภาพความเปนจริงในประเทศไทยตามทัศนะ ของนักวิชาการมุสลิม และผูที่มีสวนเกี่ยวของกับศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
7
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ผลการวิจัย 1. รูปแบบศาลชะรีอะฮฺในกฎหมายอิสลาม จากการวิจัยถึงรูปแบบศาลชะรีอะฮฺในกฎหมายอิสลามสามารถสรุปไดดังนี้ ความหมายของศาลหรือ อัลเกาะฎออฺ” ศาลหรือ อัลเกาะฎออฺ หมายถึง “การพิพากษาอรรถคดีระหวางคูกรณีตามวิธีการและขั้นตอนที่กําหนดไว โดยเฉพาะในบทบัญญัติแหงกฎหมายอิสลาม” ศาสนบัญญัติของศาลในอิสลาม ศาล หรือ “อัลเกาะฎออฺ” ในระบบกฎหมายอิสลามมีความสําคัญและจําเปนอยางยิ่งสําหรับสังคมมุสลิมและ ถือเปนความสําคัญที่อยูในลําดับแรก ภายหลังจากการศรัทธาตออัลลอฮฺ การจัดใหมีระบบศาลเพื่อดําเนินกระบวน พิจารณาคดีตามหลักกฎหมายอิสลามนับเปนอิบาดะฮฺและเปนหนึ่งในภารกิจหลักของบรรดาศาสนทูต การศาลจึงเปน บัญญัติทางศาสนาซึ่งสังคมมุสลิมทุกยุคทุกสมัยและทุกแหงหนจะเพิกเฉยมิได ประวัติความเปนมาของศาลในอิสลาม สังคมอาหรับยุคอารยชนกอนอิสลามการบังคับใชกฎหมายจะลงโทษอยางเขมงวดตอผูที่ออนแอและหยอน ยานสําหรับผูที่มีอํานาจและร่ํารวยคําพิพากษาก็ไมมีผลผูกพันบังคับคูกรณี และไมมีบรรทัดฐานที่แนนอน หลังจาก อิสลามไดเกิดขึ้น ณ ดินแดนอารเบีย อิสลามมิไดมีจุดยืนที่ปฏิเสธหรือตอตานวัฒนธรรมญาฮิลิยะฮฺทั้งหมด หากแตมี จุดมุงหมายเพื่อการปรับปรุง ฟนฟู โดยมีการปรับปรุงลั กษณะการพิจารณาพิพากษาคดี โดยบังคับใหคูกรณี ตอง ผูกพันและปฏิบัติตามคําพิพากษาและมีบทบัญญัติแหงกฎหมายเปนบัญทัดฐาน ในยุคของท านศาสดามุ หัมหมัดศ็อลลัลลอฮุอลั ยฮิวะสัลลัมทานศาสดาเปนผูที่ทําหนาที่พิพากษาอรรถคดี ตางๆที่เ กิด ขึ้นตามบัญญั ติแหงอั ลกุ รอานแตเพี ยงผูเดี ยวแตเ มื่ออาณาจัก รอิ สลามไดแผ ขยายออกไปในคาบสมุท ร อาหรับ ภารกิจในดานตางๆก็เพิ่มมากขึ้น ทานศาสดาจึงใหเศาะหาบะฮฺดําเนินการแทนตามความเหมาะสม ในยุคของเคาะลีฟะฮฺทั้งสี่การศาลดําเนินไปในลักษณะเดียวกับในยุคของทานศาสดาโดยอํานาจเด็ดขาดใน การตัดสินคดีความขึ้นอยูก ับเคาะลีฟะฮฺในฐานะผูปกครองสูงสุดมีการแตงตั้งผูแทนทําหนาที่พิพากษาอรรถคดีเพื่อแบง เบาภาระของเคาะลีฟะฮฺทั้งในนครมาดีนะฮฺและนอกนครมาดีนะฮฺ สมัยราชวงศอุมาวียะฮฺ มีลัก ษณะเดน คือ มี การบั นทึก การพิ จารณาคดี ความและคําตัด สิน เนื่องจากมีข อ พิพาทขัดแยงเพิ่มมากขึ้นและคูกรณีมักใหการขัดกัน จนบางครั้งมีการนําคดีที่ศาลไดพิพากษาแลวมาฟองรองใหม จึงกําหนดใหมีการบันทึกการพิจารณาคดีและคําตัดสินไวเปนหลักฐาน ในสมัยราชวงศอับบาสิยะฮฺการศาลไดวิวัฒนาการไปอยางมากเพราะวิชาการตางๆเจริญกาวหนา เกิดมัซฮับ หลายมัซฮับแตในขณะเดียวกันการศาลและการพิจารณาคดีไดรับอิทธิพลจากทางฝายการเมืองจนทําใหการตัดสิน เปนไปตามความประสงคของเคาะลีฟะฮฺ ในยุ คสมั ยราชวงศอัน ดะลู สิ ยะฮฺ มีเ คาะลี ฟ ะฮฺ สู งสุ ด เป น ผูนํ าดานตุ ลาการและไดดํ าเนิน ตามแนวทางของ บรรดาเคาะลีฟะฮฺแหงราชวงศอุมาวิยะฮฺและอับบาสิยะฮฺ ศาลในสมัยราชวงศอุษมานิยะฮฺมีการตราประมวลกฎหมายอิสลามขึ้นเรียกวา มะญัลละฮฺ อัลอะฮฺกาม อัลอะ ดะลิยะฮฺสงผลใหผูพิพากษาตองพิจารณาพิพากษาคดีตามตัวบทกฎหมายที่ตราขึ้น จะวินิจฉัยจากตัวบทอัลกุรอาน หรือสุนนะฮฺโดยตรงมิไดและมีการตรากฎหมายอื่นๆในเวลาตอมา
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
8
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
หลังจากการลมสลายของอาณาจักรอุษมานิยะฮฺประเทศมุสลิมหันไปยอมรับกฎหมายตะวันตกเขามาในการ ปกครองและการตัดสินคดีอยางไรก็ตามยังคงมีประเทศที่รอดพนจากการตกอยูภายใตการยึดครองของพวกลาอาณา นิ ค มตะวั น ตก ระบบการปกครองและการตุ ล าการจึ ง ยั ง มิ ไ ด รั บ การครอบงํ า หรื อ ทํ า ลาย เช น ในประเทศ ซาอุดีอาระเบียก็ยังคงใชระบบอิสลามเปนธรรมนูณในการปกครองและตัดสินคดีความ องคประกอบของศาลชะรีอะฮฺ ศาลชะรีอะฮฺมีองคประกอบที่สําคัญ 4 ประการคือ 1. ผูพิพากษา หรือ กอฎียฺ ผูพิพากษาจะตองมีคุณสมบัติดังนี้คือ ตองเปนผูนับถือศาสนาอิสลาม บรรลุศาสนภาวะ มีภาวะจิตใจที่ปกติ เปนอิสรชน เปนชาย เปนผูที่มีคุณ ธรรม เปน ผูที่มีความรูอยางถองแทและมีประสาทสัมผัส ที่สมบูรณ โดยมีอํานาจ หนาที่ในการยุติขอขัดแยงระหวางคูกรณีดวยการตัดสินหรือไกลเกลี่ย เปนวะลียฺใหแกหญิงที่ไมมีผูปกครอง มีอํานาจ ปกครองผู ไ ร ความสามารถ ดู แลทรั พ ย สิ น ที่ เ ป น สาธารณสมบั ติ พิ พ ากษาลงโทษแก ผู ที่ ก ระทํ าความผิ ด และ ควบคุมดูแลผูที่อยูภายใตการปกครอง 2. การฟองรอง การฟองรองคื อ คํากลาวที่เ สนอในศาลที่ มาจากบุคคลหนึ่งเพื่อเรียกรองสิท ธิที่เขาพึงไดห รือเพื่อบุคคลที ่ แตงตั้งเขาเปนตัวแทน ในการฟองรองนั้ นจะตองครบองคประกอบดังนี้ คือ ผูฟองรอง ผูถูกฟองรอง สิ่ง ที่ฟองรอง และสํานวนในการฟองรอง โดยทั้งหมดจะตองมีเงื่อนไขตามหลักศาสนาอิสลามกําหนด การฟองรองจึงจะสมบูรณ และไดรับการพิจารณา 3. พยานหลักฐาน วิธีการและหลักฐานที่ใชใ นการพิ สูจนคํ าฟองร องในระบบศาลอิส ลามคือ การรับสารภาพของฝายจําเลย พยานบุคคล การสาบานของผูถูกฟองรอง พยานบุคคล1 คน และการสาบานของผูฟองรอง การปฏิเสธการสาบาน ของผูถูกฟองรอง การเกาะสามะฮฺ พฤติการณแวดลอม และการรับรูขอมูลของผูพิพากษา 4. วิธีการพิจารณาคดี กระบวนการพิจารณาในศาลชะรีอะฮฺนั้นมีขั้นตอนดังนี้ คือ เสนอคําฟองตอศาล นําผูถูกฟองรองมาขึ้นศาล ดําเนินการฟองรองในชั้นศาลดวยการรับฟงคําฟองรองและการตัดสินของผูพิพากษา และดําเนินการตามคําพิพากษา ของศาล 2.ความเปนไปไดของการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย 2.1 ความจําเปนที่ตองมีศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย ศาลชะรีอะฮฺถือเปนองคกรหนึ่งที่มีความสําคัญตอการใชกฎหมายอิสลามในประเทศไทย นักวิชาการมุสลิม ดะโตะยุติธรรม และองคกรมุสลิมตางๆจึงเรียกรองใหมีการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺขึ้นมาในประเทศไทยเพราะถือว าการ เกิดขึ้นของศาลชะรีอะฮฺนั้นจะสงผลตอการบังคับใชกฎหมายอิสลามในประเทศไทยใหมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นดังคํา สัมภาษณจากกลุมตัวอยางถึงความจําเปนในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทยนั้นมีดังนี้ 1. เพื่อเปนการใหสิทธิแกประชาชนที่เปนมุสลิมตามรัฐธรรมนูญที่ไดบัญญัติไววาทุกคนมีสิทธิที่จะปฏิบัติตาม หลักศาสนบัญญัติของศาสนาที่ตัวเองนับถือ ดังนั้นถือไดวาหากประเทศไทยไดมีการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺขึ้นมาก็จะทําให การบังคับใชกฎหมายอิสลามที่มีอยูคือกฎหมายวาดวยครอบครัวและมรดกสามารถที่จะบังคับใชอยางสมบูรณอีกทั้ง ยังเปนการใหอํานาจแกดาโตะยุติธรรมในการตัดสินคดีที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดกของคนมุสลิมอยางเต็มที่
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
9
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
2. ศาลชะรีอะฮฺถื อเปน องค กรหนึ่ง ที่ทํ าหนาที่ ในการพิจ ารณาพิ พากษาคดี ของคนมุส ลิมดั งนั้ นหากมี การ จัดตั้งขึ้นมาก็จะทําใหระบบกฎหมายที่บังคับใชอยูนั้นสอดคลองกับวิถีชีวิตของชาวมุสลิมและสรางความพึงพอใจแก ชาวมุสลิมที่ไดปฏิบัติตามหลักศาสนาโดยมีกฎหมายและศาลรองรับอยางเปนทางการ 2.2 ประโยชนของการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย ผลตอภาพลักษณของประเทศไทย หากมีการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทยแลวก็จะสงผลตอภาพลักษณของประเทศไทยในดานตางๆ เชน ภาพลักษณของรัฐบาลในสายตาของประชาชนมุสลิมดีขึ้นเพราะการที่รัฐใหโอกาสในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺนั้นแสดง ใหเห็นวารัฐใหสิทธิแกประชาชนอยางเทาเทียมกันอันจะนําไปสูความรูสึกของการเปนประชากรหลักมากขึ้น จะเกิด ความรูสึกรั กและหวงแหนดินแดนและความเปนพลเมืองของประเทศไทย ภาพลักษณที่ดีและการยอมรับจากกลุ ม ประเทศในโลกมุสลิมโดยจะทําใหเห็นถึงความจริงใจ และการใหอิสระในการปฏิบัติตามบทบัญญัติของศาสนาของ รัฐบาลไทยแกประชากรที่เปนมุสลิมอันจะนํามาซึ่งความรวมมือในดานตางๆตอไป ประโยชนตอการบังคับใชหลักกฎหมายอิสลามในประเทศไทย หากมี การจั ดตั้ งศาลชะรีอะฮฺ ขึ้น มาในประเทศไทยนั้ นจะส งผลใหเ กิด การพั ฒนาเกี่ยวกั บการใช กฎหมาย อิสลามในประเทศไทยทั้งในดานขอบเขตของเนื้อหาที่ บังคับใช ขอบเขตในดานพื้ นที่ที่บัง คับใช และขอบเขตในดาน อํานาจหนาที่ของผูใชกฎหมายอิสลามอันจะนํามาซึง่ การเรียนรูเกี่ยวกับกฎหมายอิสลามมากยิ่งขึ้น ประโยชนที่เกิดขึ้นตอกระบวนการยุติธรรม หากมีการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺขึ้นมาในอนาคตจะเปนการลดภาระของศาลยุติธรรมโดยจะทําใหมีจํานวนคดีลด นอยลงเพราะมีศาลเฉพาะมาทําหนาที่โดยตรงตลอดจนสรางความเชื่อมั่นและยอมรับในคําพิพากษาของศาลอันจะ นํามาซึ่งการทํางานที่รวดเร็วขึ้น อีกทั้งกระบวนการในการพิพากษาคดีระหวางศาลทั่วไปกับศาลชะรีอะฮฺนั้นก็มีความ แตกตางกันในบางเรื่องหากมีการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺขึ้นมาก็จะทําใหการดําเนินการของกระบวนการยุติธรรมนั้น ตรง กับความตองการของประชาชนและสอดคลองกับขนบธรรมเนียมประเพณีมากยิ่งขึ้น ผลตอปญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต ปญหาที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใตในปจจุบันนั้นเกิดขึ้นมาจากปจจัยหลายอยางแตสวนหนึ่งก็เกิด ขึ้นมาจากการไมไดรับความเปนธรรมจากรัฐในเรื่องสิทธิที่ประชาชนพึงมีและถูกลิดรอนและเพิกเฉยจากรัฐ ดังนั้นหาก มีการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺขึ้นก็เปนโอกาสหนึ่งที่จะทําใหกลุมบุคคลที่สรางปญหาอันเนื่องมาจากปจจัยนี้กลับมาใหความ รวมมือกั บรัฐและเลิกตอตานแต อยางไรก็ตามการที่จะใหสังคมเกิดสันติ สุขขึ้นมานั้นก็ขึ้น อยูกับบทบาทของศาลชะ รีอะฮฺในการที่จะปฏิบัติตามอํานาจหนาที่ที่ไดรับมา 2.3 อุปสรรคปญหาในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย การเรียกรองใหมีการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทยนั้นมีมานานแลวศาลชะรีอะฮฺก็ยังไมสามารถจัดตั้ง ขึ้นมาไดอันเนื่องมาจากอุปสรรคตางๆทั้งที่เปนอุปสรรคจากภายนอกและอุปสรรคภายในสําหรับอุปสรรคปญหาที่เปน ปจจัยภายนอกนั้นคือความไมเขาใจจากฝายนิติบัญญัติจึงนํามาซึ่งความลาชาในกระบวนการเสนอรางกฎหมายเพื่อ จัดตั้งศาลชะรีอะฮฺ ความไมเขาใจนี้ทําใหการเรียกรองเพื่อจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺถูกมองเปนปญหาการแบงแยกดินแดน ตลอดจนการลดอํ านาจของศาลยุ ติธ รรมที่มีอยู แต เดิม อีก ทั้ง เกรงว าต องใชง บประมาณในการจั ดตั้ งสูง ดั งนั้ น นโยบายของรัฐบาลในแตละสมัยจึงไมใหความสําคัญในเรื่องนี้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
10
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ในเรื่องความไมเขาใจนี้ไมเพียงเฉพาะรัฐเทานั้นแตสังคมอื่นที่เปนคนตางศาสนิกก็ไมเขาใจโดยมองวาเปน การเรียกรองสิทธิมากเกินไปซึ่งเปนอุปสรรคปญหาที่มุสลิมตองหาทางแกไขตอไป อุปสรรคปญ หาที่มาจากปจจัยภายใน ณ ที่นี้หมายถึ งอุปสรรคที่ เกิดจากประชาชนมุสลิ มเองกลาวคือคน มุสลิมเองยังขาดความเปนเอกภาพในการดําเนินการเพื่อใหมีการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺซึ่งจะเห็นไดวาองคกรมุสลิมตางๆ ที่ดําเนินการเรียกรองในเรื่องนี้ยังเปนการกระทําที่ตางคนตางทําอีกทั้งสังคมมุสลิมเองที่เปนประชาชนทั่วไป ก็ยังขาด ความรูในเรื่องศาลชะรีอะฮฺจึงไมคอยใหความสําคัญ 2.4 แนวทางแกไข แนวทางแกไขอุปสรรคปญหาสามารถแยกประเด็นดังตอไปนี้ ในดานการสรางความเขาใจแกรัฐและสังคมภายนอก จําเปนที่มุสลิมตองสรางความเขาใจแกรัฐและสังคมอื่นที่มิใชมุสลิม ในทุกรูปแบบ เชน การจัดสัมมนา การ ทําเอกสารเผยแพร การจัดทํางานวิจัย ในดานการรางกฎหมาย ปจ จุบั นกระบวนการในการจัด ตั้ง ศาลชะรี อะฮฺ นั้น อยู ในระหว างการเสนอเพื่ อรั บเป นกฎหมายดั งนั้ นผู ที่ มี อํานาจหนาที่เชน ส.ส และ ส.ว มุสลิมจะตองทําหนาที่ในการผลักดันใหกฎหมายฉบับนี้ผานการพิจารณาโดยจะตอง แสดงความเปนเอกภาพของมุสลิมทุกคนและไมมีการแบงแยกถึงแมอาจจะมาจากตางพรรคก็ตาม ในดานการสรางความพรอม มุสลิ มควรมีก ารสร าง ผลิต บุคคลากรที่ มีความรูความสามารถเพื่ อรองรับ การจั ดตั้ง ศาลชะรี อะฮฺที่ อาจ เกิดขึ้นในอนาคต เชน การเปดหลัดสูตรชะรีอะฮฺที่สรางบุคคลากรที่เชี่ยวชาญในเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายอิสลาม 3. รูปแบบของศาลชะรีอะฮฺที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทยในอนาคต 3.1 โครงสรางของศาล รูปแบบของศาลชะรีอะฮฺที่อาจมีการจั ดตั้งขึ้น ในประเทศไทยในอนาคตนั้น ผูทรงคุ ณวุติมีความคิด เห็นแบ ง ออกเปนสองฝาย ฝ ายแรกเสนอใหเปน แผนกหนึ่ง ในศาลยุติธ รรมกอนเพื่อไมใหเ กิดความรู สึกแปลกแยกแลวคอย แยกตัวเปนเอกเทศจากศาลยุติธรรมแตถึงจะเปนแผนกหนึ่งในศาลยุติธรรมก็ควรจัดแยกใหชัดเจน ฝายที่ส องเห็ นว าศาลชะรีอะฮฺ ที่อาจมีก ารจัด ตั้ง ขึ้น ในประเทศไทยในอนาคตนั้ นควรเป นเอกเทศจากศาล ยุติธรรมเพราะศาลชะรีอะฮฺมีลักษณะพิเศษจึงควรเปนเอกเทศจากศาลยุติธรรม เกี่ยวกับโครงสรางของศาลนั้นผูทรงคุณวุฒิไดมีความคิดเห็นที่แตกตางกันออกเปนสองทัศนะ ทัศนะแรกเสนอใหศาลชะรีอะฮฺที่อาจมีการจัดตั้งขึ้นในอนาคตนั้นควรมี 2ชั้นศาลประกอบดวยศาลชั้นตน และศาลฎีกา ทัศนะที่สองศาลชะรีอะฮฺที่อาจมี การจัดตั้ งขึ้น ในอนาคตนั้นควรมี 3ชั้ นศาลประกอบดว ยศาลชั้น ตน ศาล อุทธรณ และศาลฎีกา 3.2 เขตอํานาจศาล ในดานโจทกจําเลย โจทกจําเลยควรเปนมุสลิมทั้งสองฝายแตถึงอยางไรก็ตามประเทศไทยมีประชากรหลายศาสนาและอาศัยอยู รวมกันบางครั้งคดีตางๆถึงแมจะเกี่ยวของกับครอบครัวและมรดกก็ตามก็อาจจะมีขอพิพาทกันระหวางคนมุสลิมและ ตางศาสนิก ดัง นั้ นเพื่อเป นการปองกัน จึง ควรกํ าหนดใหอํานาจของศาลชะรี อะฮฺใ นด านโจทกจํ าเลยนั้น ขึ้น อยู กั บ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
11
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
มูลเหตุเแหงคดีวามาจากฝายใด หากมาจากมุสลิมก็ควรใหใชกฎหมายอิสลามบังคับ และควรเพิ่มโอกาสใหผูที่มิใช มุสลิมมีสิทธิที่จะรองขอใหใชกฎหมายอิสลามในการตัดสินคดีฟองรองตอศาลชะรีอะฮฺดวย เขตอํานาจในดานพื้นที่ ควรขยายทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีมุสลิมอาศัยอยูเพื่ อความเสมอภาคและยุติธ รรม แตตองมีมาตรการว า จังหวัดไหนที่มีมุสลิมนอยก็อาจจะจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในจังหวัดที่เปนศูนยกลางแลวใหครอบคลุมพื้นที่หลายจังหวัดโดย เริ่ มแรกให มีใ นจัง หวั ดที่ มีป ระชากรที่ เป นมุ สลิ มเป นจํ านวนมากกอนแลว คอยขยายไปจัง หวั ดอื่ น ทั้ งนี้ ตองดู ความ เหมาะสมในดานบุคลากรและจํ านวนประชากรที่นับถือศาสนาอิ สลามเปนหลัก อาจจะยึดหลักตามคณะกรรมการ อิสลามประจําจังหวัด กลาวคือ จังหวัดใดที่มีคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดก็ใหมีศาลชะรีอะฮฺ เขตอํานาจศาลในดานอรรถคดี คดีที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดกแตใหเพิ่มคดีที่เกี่ยวกับทรัพยสินการให คดีที่เกี่ยวกับองคกรมุสลิมตางๆ เชน การถอดถอนจุฬาราชมนตรีเปนตน 3.3 รูปแบบในการพิจารณาคดี ในดานรูปแบบในการพิจารณาคดีนั้นนักวิชาการอิสลามในประเทศไทยไดมีทัศนะแบงออกเปน 2 ทัศนะคือ ทัศนะแรกเห็นวาศาลชะรีอะฮฺที่อาจมีการจัดตั้งขึ้นในอนาคตนั้นควรมีรูปแบบไตสวนเพราะจะเปดโอกาสใหมี การฟองรองงายยิ่งขึ้นไมตองมีทนายความ ทัศนะที่สองเห็นวาควรเปนแบบอิสลามไมจํากัดวาไตสวนหรือกลาวหาอาจผสมผสนาตามความเหมาะสม 3.4 อํานาจหนาที่ของศาลชะรีอะฮฺที่นอกเหนือจากกระบวนการยุติธรรม เกี่ยวกับอํานาจหนาที่ของศาลชะรีอะฮฺนั้นผูทรงคุณวุฒิไดเสนอวาศาลชะรีอะฮฺควรมีหนาที่ในการพิจารณา พิพากษาคดีเทานั้น งานดานตุลาการหรือเอกสารก็ใหเจาหนาที่ธุรการสวนดานอื่นๆควรใหกรรมการอิสลามประจํา จังหวัดรับผิดชอบ แตก็มีผูทรงคุณวุฒิบางทานมีความคิดเห็นวาศาลชะรีอะฮฺนาจะมีหนาที่ที่นอกเหนือจากการพิพากษาคดีเชน การใหการอบรมในเรื่องศาสนาแกประชาชน อภิปรายผล ผลจากการวิจัยพบวา ผูทรงคุณวุฒิทั้งจากการสัมภาษณและการสัมมนา เห็นพองกันวาจําเปนตองมีศาลที่ ใช กฎหมายอิส ลามในประเทศไทย ซึ่ง สอดคลองกับ บทบั ญญั ติ แห ง ศาลอิส ลามที่ ให ความสํ าคัญ กั บศาล หรืออั ล เกาะฎออฺ โดยถือเปนความสําคัญที่อยูในลําดับแรกๆ ภายหลังจากการศรัทธาตออัลลอฮฺ การจัดใหมีระบบศาลเพื่อ ดําเนินกระบวนพิจารณาคดีตามหลักกฎหมายอิสลามนับเปนอิบาดะฮฺและเปนหนึง่ ในภารกิจหลักของบรรดาศาสนทูต และยังสอดคลองกับแนวปฏิบัติของทานนบีมุหัมมัด เกี่ยวของกับการศาลในหลายแงมุม เชน เกี่ยวกับการวินิจฉัย ชี้ขาดของผูพิพากษา คุณสมบัติของผูพิพากษา และผลตอบแทนของผูพิพากษาในโลกหนาอันนิรันดร โดยทานนบีมุหัม มัด เปนผูทําการพิพากษาดวยตนเอง หรือบางครั้งทานไดมอบหมายใหเศาะหาบะฮฺ บางทานเปนผูตัดสินคดี ซึ่ง ปรากฏในสุนนะฮฺทั้งลักษณะของคําพูดหรือวาจา การกระทํา และการยอมรับ ผูทรงคุณวุฒิเห็นพองวา ศาลที่ใชกฎหมายอิสลามในการตัดสินคดีความนี้จะตองมีลักษณะเปนศาลที่มีความ ละเอียดเกี่ยวกับการใชก ฎหมายอิสลามทั้งในดานสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติ ซึ่งสอดคลองกับรู ปแบบของการ พิพากษาคดี ความตามกฎหมายอิสลามของประเทศไทยในยุคกรุง ศรีอยุธ ยาจนกระทั่ งถึง ยุครัตนโกสิ นทรตอนต น เนื่ องจากในสมัยกรุง ศรี อยุธ ยาสมเด็ จพระบรมไตรโลกนาถได แบ งหน วยงานที่ติ ด ต อคาขายกั บต างประเทศ เป น
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
12
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
“กรมทา” ซึ่งประกอบดวย 3 กรม ดวยกัน ไดแก กรมทากลางสําหรับติดตอคาขายกับชาวตางประเทศทั่วไป กรมทา ซายสําหรับติดตอกับจีน และกรมทาขวา สําหรับติดตอกับประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง ในกรณีที่ชาวตางประเทศ ทั่วไปเกิดขอพิพาทกับคนไทย คดีจะถูกนําขึ้นสูศาลทากลาง แตถาคนไทยมีคดีความกับคนจีน ก็ตองขึ้นศาลกรมทา ซาย และถาคนไทยเกิดคดีความกับชาวมุสลิมก็ต องขึ้นศาลกรมทาขวา ซึ่งใชก ฎหมายอิส ลามบังคั บ ข อเท็จจริ ง ขางตนแสดงใหเห็นอยางชัดเจนวา “ศาลชะรีอะฮฺ” หรือ ศาลกฎหมายอิสลามเคยไดรับการสถาปนามาแลวในสมัยกรุง ศรีอยุธยาตลอดมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร จนกระทั่งไดมีการจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 การใช กฎหมายอิสลามของกรมทาขวาก็ ถูกยกเลิ กไป (จุพิศพงศ จุฬารัต น, 2544: 130-133) และสอดคลองกั บการใช กฎหมายอิสลามตามกฎขอบังคับสําหรับปกครอง 7 หัวเมือง ร.ศ. 120 ซึ่งรับรองการใชกฎหมายวาดวยครอบครัว และมรดกอยางเปนเอกเทศ เนื่องจาก ตามความในกฎขอบังคับสําหรับปกครองบริเวณ 7 หัวเมือง ร.ศ.120 ขอที่ 32 กําหนดวา การพิพากษาคดีความในคดีครอบครัวและมรดกของมุสลิม เปนอํานาจของผูพิพากษากฎหมายอิสลามที่ เรียกว า “กอฎียฺ” นอกจากนั้นยั งสอดคลองกั บรูปแบบของศาลชะรีอะฮฺ ในประเทศที่ มีมุสลิมเปนชนสวนน อยบาง ประเทศ เชน ประเทศศรีลังกา ฟลิปปนส และสิงคโปร เปนตน ขอเสนอแนะ ขอเสนอแนะในการนําผลการวิจัยไปใช 1. ควรดําเนินการเพื่อใหมีศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย 2. ควรทําการชี้แจงใหทุกภาคสวนในประเทศไทยเขาใจถึงความจําเปนของการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย ขอเสนอแนะในการวิจัยครั้งตอไป 1. ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับกฎหมายสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติอิสลาม 2. ควรมีการศึกษาปจจัยที่เอื้อและปจจัยที่ยังขาดในการจัดตั้งศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
13
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บรรณานุกรม จุฬิศพงศ จุฬารัตน. 2544. บทบาทและหนาที่ขุนนางกรมทาขวาในสมัยอยุธยาถึงรัตนโกสินทร (พ.ศ.21532435). วิ ท ยานิ พ นธ อัก ษรศาสตรดุ ษ ฎี บั ณ ฑิ ต สาขาวิ ช าประวั ติ ศาสตร ภาควิ ช าประวั ติ ศ าสตร คณะ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. สมบูรณ พุทธจักร. 2529. การใชกฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปตตานี นราธิวาส ยะลาและสตูล. วิทยานิพนธ ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชานิติศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย Al Kasaniy, cilaudin Abi Bakr bin Mascud. 1982. Badaic al Sanaic. J 7. 2nd. Bayrut. Dar al Kitab al Arabiy Ibnu Qudamah, 1949. Al Mughni. n.p. Matbacah dar al Manar Ibnu Qayyim. n.d. Al Turuq al Hukmiyyah fi al Siyasah al Sharciyyah. Cairo. Matbacah al Madaniy. Ibnu Qayyim. 1973. Aclam al Muwaqcin. Bayrut. Dar al Jil. Al Khatib, Muhammad Ajyad. 1981. Lumhat fi al Maktabat wa Bath wa al Masodir. Bayrut. n.p. Al Kharaziy, n.d. Sharh al Kharaziy cala Mukhtasor al Khalil. Bulaq. Al Matbacah al Amiriyyah al Qubra. Ibnu Khaldun, n.d. Al Mukhtasor. Bayrut. Dar al Kitab al carabiy. Al Shartibiy, n.d. Al Muwafaqot. Misr. Al Matbacah al Salafiyyah. Al Shiraziy, 1960. Al Muhazab. Cairo. Matbacah Muhammad Mustafa al Halabiy. Al Shaukaniy, 1961. Nayl al cauta’. Cairo. Matbacah Muhammad Mustafa al Halabiy. Al Sharbiniy, 1933. Mugnni al Muhtaj ila al Macrifat al Fasil al Minhaj. Cairo. Matbacah Muhammad Mustafa al Halabiy.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
15
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทความวิจัย
พัฒนาหลักสูตรตาดีกาที่คงไวซงึ่ อัตลักษณของตาดีกาดั้งเดิม อิบรอฮีม ณรงครักษาเขต สุกรี หลังปูเตะ กาเดร สะอะ บทคัดยอ งานวิจัยเรื่องพัฒนาหลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณของตาดีกาดั้งเดิมนี้ เปนการวิจัยแบบมีสวนรวม โดย มีวัตถุประสงคเพื่อพัฒนาหลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณของตาดีกาดั้งเดิม งานวิจัยนี้ไดแบงการเก็บรวบรวม ขอมูลเป นสามขั้น ตอน ขั้น ตอนที่ 1 เปนการประชุ มเชิงปฏิ บัติการโดยกระบวนการมีสวนร วม ผูเข ารวมประชุมเชิ ง ปฏิบัติการประกอบดวยตัวแทนผูสอนตาดีกาจํานวน 60 คน และตัวแทนผูปกครอง 15 คน ขั้นตอนที่ 2 เปนการเสวนา กลุมผูทรงคุณวุฒิจากสามจังหวัดชายแดนภาคใตจํานวน 20 คน ขั้นตอนที่ 3 เปนการวิพากษหลักสูตร ผูวิพากษเปน ผูทรงคุณวุฒิจํานวน 20 คน ผลการวิจัยพบวาหลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณของตาดีกาแบบดั้งเดิม มีรูปแบบดังนี้ 1. เปนการศึกษา ที่มุงใหผูเรียนมีคุณธรรม มีความรู และความเขาใจในหลักการศาสนาอิสลามภาคบังคับ (ฟรฎอีน) 2. เปนการศึกษา เพื่อปฏิบัติศาสนกิจ และยึดมั่นในหลักศรัทธาในการดํารงชีวิตประจําวัน 3.เปนการศึกษาที่มุงใหผูเรียนมีทักษะพื้นฐาน ในการใชภาษามลายู 4. เปนการศึกษาที่มุงรักษาไวซึ่งการใชภาษามลายู อักขระญาวี 5.เปนหลักสูตรที่มีโครงสราง ยืดหยุนทั้งดานสาระ เวลา และการจัดการเรียนรู หลักการของหลักสูตรมีดังนี้ 1. เปนการศึกษาที่มุงใหผูเรียนมีคุณธรรม มีความรู และความเขาใจในหลักการ ศาสนาอิสลามภาคบังคับ (ฟรฎอีน) 2. เปนการศึกษาเพื่อปฏิบัติศาสนกิจ และยึดมั่นในหลักศรัทธาในการดํารงชีวิต ประจําวั น 3. เปน การศึกษาที่มุงให ผูเรียนมี ทักษะพื้น ฐานในการใชมลายู อาหรับ และมีทักษะพื้ นฐานในการอาน อัลกุรอาน 4. เปนการศึกษาที่สนองตอบความตองการและรักษาอัตลักษณของทองถิ่น 5. เปนการศึกษาที่มุงใหผูเรียน เปนมุสลิมที่ดี และเปนสมาชิกที่ดีของครอบครัว สังคม และประเทศชาติ 6. เปนหลักสูตรที่มีโครงสรางยืดหยุนทั้งดาน สาระ เวลา และการจัดการเรียนรู 7. เปนการศึกษาพื้นฐานที่สามารถศึกษาตอในระดับที่สูงขึ้น 8. เปนหลักสูตรที่จัด การศึกษาไดทุกรูปแบบ ครอบคลุมทุกกลุมเปาหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู และประสบการณ คําสําคัญ: หลักสูตร, ตาดีกา, อัตลักษณ
ดร. (การบริหารศึกษา) รองศาสตราจารย, อาจารยประจําภาควิชาอิสลามศึกษา วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร วิทยาเขตปตตานี
ศศ.ม.(รัฐศาสตร) ผูชวยศาสตราจารย, อาจารยประจําสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร คณะศิลปะศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร. (อิสลามศึกษา) ผูชวยศาสตราจารย, อาจารยประจําภาควิชาอิสลามศึกษา วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร วิทยาเขต
ปตตานี
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
16
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
RESEARCH
Developing Curriculum of TADIKAs for Preserving Their Traditional Identity Ibrahem Narongraksakhet Shukri Lunguteh Kader Saad ABSTRACT This study was a participatory research which aimed at developing TADIKA’s curriculum which preserved its traditional identity. Three were three steps of the study. The first step was the workshop meeting. Participants of this meeting were 60 TADIKA’s instructors and 15 student’s guardians. The second step was the focus group. Twenty experts were selected for this step. The third step was the meeting to give comments on the draft of the curriculum. Twenty experts were selected to participate in that meeting. The findings were as follows; The identities of traditional TADIKA were education which aims at 1. Inculcating moral, knowledge and understanding about basic principles of Islam (Fard ‘in). 2. Practicing ibadah and having strong faith in their daily lives. 3. Possessing skills in using of Malay language. 4. Preserving the use of Jawi script. 5. Being the curriculum which was flexible in terms of the structure, contents and educational provision. Rationales of the curriculum aimed at 1. Inculcating moral, knowledge and understanding about basic principles of Islam (Fard ‘in). 2. Practicing ibadah and having strong faith in their daily lives. 3. Possessing skills in using of Malay and Arabic languages as well as possessing skills in reciting the Holy Qur’an. 4. Fulfilling local needs and preserving local identities. 5. Being good Muslim and member of the family, community and country. 6. Being the curriculum which was flexible in terms of the structure, contents and educational provision. 7. Being able to study in the higher level of education. 8. Being able to be the curriculum for all kinds of the educational provision and all kinds of target groups, and its academic achievement can be transferred. KeyWords: Curriculum, Tadika, Identity
Assoc. Prof. Ph. D (Education) Lecturer, College of Islamic Studies, Prince of Songkla University, Pattani Campus.
Asst. Prof. (Political Sciences) Lecturer, Department of Publish Administration Faculty of Liberal Art and Social Sciences, Yala Islamic University
อัล-นูร
Asst. Prof. Ph.D (Islamic Studies) Lecturer, College of Islamic Studies, Prince of Songkla University, Pattani Campus.
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
17
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทนํา ตาดีกาเปนแหลงเรียนรูอิสลามและเปนสถาบันการศึกษาสําหรับยุวชนมุสลิมที่เกาแกที่สุดที่ถือกําเนิดในสาม จังหวัดชายแดนภาคใต เดิมทีสถาบันการศึกษาแหงนี้จะถูกเรียกวาเสอโกละฮฟรฎอีน มัดราสะฮหรือเสอโกละฮมลายู หรือบาลาเศาะที่มาจากคําวาบาลั ยเศาะลาฮสถานที่ที่ มักจะนํ ามาเป นตาดี กา เมื่ อมีการใชคําวาตาดี กาในประเทศ มาเลเซีย คําวา “ตาดีกา” ก็ถูกนํามาใชเรียกสถาบันการศึกษาแหงนี้ (อิบราเฮ็ม ณรงครักษาเขตและนุมาน หะยีมะแซ, 2553) คําวา ตาดีกา (TADIKA) มาจากคํายอภาษามลายูวา “Taman Didikan Kanak Kanak” หมายถึงสวน หรือ อุทยานหรือศูนยอบรมเด็กเล็ก ซึ่งอาจจะหมายถึงโรงเรียนอนุบาลในบางครั้ง แตตาดีกาในจังหวัดชายแดนภาคใตไมใ ช โรงเรียนอนุบาล เพราะอายุของผูเรียนสวนใหญจะอยูในวัยประถมศึกษา สวนนอยมากที่จะอยูในวัยอนุบาล ในปจจุบัน มีจํานวนตาดีกาในจังหวัดยะลา ปตตานีและนราธิวาสทั้งสิ้น 1,628 ศูนย และมีผูเรียนจํานวน 168,938 คน (สํานัก บริหารยุทธศาสตรและบูรณาการการ ศึกษาที่ 12,2551 หนา 29) แรงผลักดันที่ทําใหเกิดตาดีกาคือแรงศรัทธาที่มีตอศาสนาและความรักที่มีตออัตลักษณและชาติพันธุของชาว มลายูมุสลิมในพื้นที่ มุสลิมถือวาอิสลามคือวิถีแหงการดําเนินชีวิต การดําเนินชีวิตตามครรลองของอิสลามตองอาศัย ความรู และการปฏิบั ติที่ถูก ตองจํ าเปนต องเริ่ มตนตั้ง แตยัง เยาว วัย โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามหรือสถาบั น ศึกษาปอเนาะมิไดจัดการศึกษาระดับฟรฎอีน(ภาคบังคับ)สําหรับเด็กๆมุสลิมเหลานี้ โรงเรียนของรัฐที่ไมไดจัดการเรียน การสอนอิสลามแบบเขมก็มีการเรียนการสอนวิชาการศาสนานอยจนเกินไป ทางเลือกที่ดีที่สุดในการศึกษาวิชาศาสนา ระดับฟรฎอีนสําหรับเด็ก ๆ ก็คือตาดีกา ตาดีกาจะสอนเฉพาะวิชาศาสนาหนังสือเรียนสวนใหญเปนภาษามลายู มีหนังสือที่เปนภาษาอาหรับเฉพาะ รายวิชาภาษาอาหรับเทานั้น ภาษาที่ใชในการเรียนการสอนคือภาษามลายูถิ่นปะปนกับภาษามลายูกลางหนัง สือเรียน จะเปนภาษามลายูกลาง แตการอธิบายเนื้อหาจะเปนภาษามลายูถิ่นคลายๆ กับสําเนียงภาษามลายูของรัฐกลันตัน ใน ประเทศมาเลเซีย การจัดการเรียนการสอนของตาดีกาจะมีความหลากหลาย บางตาดีกาใชเวลาในการจัดการเรียนการสอนใน วันเสารกับวันอาทิตย หรือในตอนเย็นของวันจันทรถึงวันศุกร ทั้งนี้จะขึ้นอยูกับความพรอมของชุมชน ผูสอนสวนใหญ จะเปนผลผลิตของปอเนาะหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม บางคนอาจจะเปนผูนําศาสนาก็ได บุคคลเหลานี้จะ เปนอาสาสมัครในชุมชน ผูเรียนสวนใหญเปนนักเรียนที่เรียนในโรงเรียนประถมศึกษาของรัฐ การจัดการเรียนการสอนของตาดีกานั้นจะเปนในลักษณะของการจัดการเรียนการสอนคลายกับการจัดการ เรียนการสอนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในปจจุบันไดมีความพยายามที่จะนําโรงเรียนตาดีกาเขา มาอยูใน ระบบ เชนการจัดหลักสูตรตาดีกาใหมีโครงสรางเปนชวงชั้นโดยแบงเปน 2 ชวงชั้น มี 8 สาระการเรียนรูตามระดับ พัฒนาการของผูเรียนคือชวงชั้นที่ 1 ระดับอิสลามศึกษาตอนตน ปที1 –3 และชวงชั้นที่ 2 ระดับอิสลามศึกษาตอนตน ป ที่ 4-6 ความพยายามที่ จ ะใช โ ครงสร างของหลั ก สู ต รดั ง กล าวก็ เ พื่ อการต อยอดกั บ หลั ก สู ต รอิ ส ลามศึ ก ษา พุทธศักราช 2546 ที่ปจจุบันใชอยูในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม แตในความเปนจริงสังคมมุสลิมในจังหวัด ชายแดนภาคใตยังมีตาดีกาอีกจํานวนหนึ่งที่ไมตองการหลักสูตรที่ตอยอดกับหลักสูตรอิสลามศึกษาพุทธศักราช 2546 แตตองการจัดการเรียนการสอนที่ยังคงรักษาอัตลักษณดั้งเดิมของตาดีกา (อิบราเฮ็ม ณรงครักษาเขตและคณะ,2550) ดังนั้นการนําตาดีกาเขามาอยูในระบบเต็มรูปแบบควรปฏิบัติดวยความระมัดระวัง ในขณะเดียวกันก็ตองเปดโอกาสให ตาดีกาไดมีทางเลือกใหกับตนเองวาจะเลือกเขามาอยูในระบบหรือจะคงไวซึ่งความเปนตาดีกาดั้งเดิม สิ่งเหลานี้ควร เปนไปตามความสมัครใจของตาดีกาเอง
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
18
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ในป จจุบั นได มีความพยายามจากฝ ายรั ฐในการพัฒนาหลั กสูต รตาดีกาที่สามารถจะตอยอดกั บหลั กสูต ร อิสลามศึก ษาพุทธศัก ราช 2546 ความพยายามดังกลาวไดรับการตอบรับที่ ดีจากสว นหนึ่งของตาดีกา ด วยเหตุผ ล ดังกลาวจึงมีความพยายามจากหลายหนวยงานของรัฐในการพัฒนาหลักสูตรดังกลาว นอกจากนั้นยังมีความพยายาม ที่จะโนมนาวใหตาดีกาทั้งหมดใชหลักสูตรดังกลาวขางตน แตผลการวิจัยเรื่องวิเคราะหความตองการเพื่อพัฒนากรอบ หลักสูตรตาดีกาและสถาบันศึกษาปอเนาะ (อิบราเฮ็ม ณรงครักษาเขตและคณะ, 2550) พบวารอยละ 39.0 ของตาดี กาไม ตองการใชห ลัก สู ตรที่จ ะต อยอดกั บหลัก สู ตรอิส ลามศึ ก ษาพุท ธศั ก ราช 2546 หากไมมีการพั ฒ นาหลั กสู ต ร สําหรั บ ตาดีก าดัง กล าวซึ่ ง มีจํ านวน 400 กว าศูน ย ตาดี กาดั งกล าวจะมี ความรู สึก วาพวกตนถู กทอดทิ้ งและไม มี ความสําคัญ ซึ่งความรูสึกจะไมเปนผลดีตอความมั่นคงของรัฐ โดยเฉพาะอยางยิ่งในสถานการณที่ลอแหลมอยางเชน สถานการณในสามจังหวัดชายแดนภาคใตในปจจุบัน หากมีก ารบังคั บใหตาดีกาใช เฉพาะหลักสูต รที่จะต อยอดกั บ หลั ก สู ต รอิ ส ลามศึก ษาพุ ท ธศั ก ราช 2546 ยิ่ ง จะเพิ่ มเงื่ อนไขที่ ไ ม ดีต อความมั่ น คงของรั ฐ การพั ฒ นาหลั ก สู ต รที่ สอดคล องกั บ ความต องการของตาดี ก าจํ านวน 403 ศู น ย ดั ง กล าวมี ความจํ าเป น อย างยิ่ ง ในการทํ า วิ จั ย ครั้ ง นี้ คณะผูวิจัยไดพัฒนาหลักสูตรสําหรับตาดีกาเพื่อคงไวซึ่งอัตลักษณของตาดีกาดั้งเดิมโดยใชกระบวนการมีสวนรวมจาก ผูมีผลไดผลเสียกับตาดีกา วัตถุประสงคของการวิจัย เพื่อพัฒนาหลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณของตาดีกาดั้งเดิม โดยกระบวนการมีสวนรวม คําถามวิจัย หลัก สูตรตาดี กาที่ คงไวซึ่ งอัต ลักษณข องตาดีก าดั้ง เดิ ม ที่ พัฒนาขึ้น ดว ยกระบวนการมี สวนรวมมีรูป แบบ อยางไร ขอบเขตการวิจัย ดานประชากร ประชากรและกลุ มตัว อย างที่ใ ชใ นการศึ กษาครั้ง นี้ คือผู มีผ ลไดผ ลเสีย (Stakeholders) กับ ตาดีก าในสาม จังหวัดชายแดนภาคใต นิยามศัพทเฉพาะ 1 หลักสูตรตาดีกาดั้งเดิม หมายถึงหลักสูตรตาดีกาที่รักษาอัตลักษณของหลักสูตรตาดีกาแบบดั้งเดิมซึ่งมี ลักษณะดังนี้ 1.1 เนนภาษามลายู โดยเฉพาะอยางยิ่งภาษามลายูที่ใชหุรูฟญาวี (อักขระญาวี) 1.2 เนนความรูที่เปนฟรฎอีนที่ครอบคลุมความรูสาขาตางๆ เชนสาขาฟกฮ ตัฟสีร อัคลาก เตาฮีด ตารีค หะดีษ 1.3 การจัดการเรียนการสอนจะมีความยืดหยุน ขึ้นอยูกับแตละสถานศึกษา 1.4 ใชภาษามลายูเปนภาษาหลักในการจัดการเรียนการสอน 1.5 มีการประเมินผลเพื่อเลื่อนชั้น 1.6 มาตรฐานของหลักสูตรเปนสิ่งที่สามารถปฏิบัติไดจริง 1.7 มีการเนนเรื่องอัคลาก (คุณธรรมและจริยธรรม) และวินัยในตนเอง 1.8 มีการคงไวซึ่งอัตลักษณในเรื่องของภาษาที่เขมขน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
19
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
1.9 ผูสอนเปนที่นับถือและเชื่อฟงอยางจริงจัง 1.10 มี ก ารฟ น ฟูกิ จ กรรมเสริมหลั ก สู ต รที่ เ สริ มทั ก ษะในการใช ภาษามลายู กิ จ กรรมดั ง กล าวได แก กิจกรรมอันนาชีภาษามลายู การแขงขันอานบทรอยกรองมลายูเปนตน 1.11 ไมเนนในเรื่องการอานอัลกุรอาน เพราะผูเรียนเรียนการอานอัลกุรอานจากภูมิปญญาทองถิ่นอยูแลว 2 จังหวัดชายแดนภาคใต หมายถึงสามจังหวัดชายแดนภาคใตอันไดแก ยะลา ปตตานี และนราธิวาส 3.นักวิชาการศึกษา หมายถึง ผูทรงคุณวุฒิที่มีวุฒิทางการศึกษาที่มีความรูเกี่ยวกับตาดีกาและปอเนาะ 4.ผู ทรงคุณวุ ฒิ หมายถึง ภูมิปญ ญาท องถิ่ น ปราชญทองถิ่น หรือนัก วิชาการที่ไม มีวุฒิ ทางการศึกษาที่ มี ความรูเกี่ยวกับตาดีกาและปอเนาะ 5.ฟกฮ หมายถึง ศาสนบัญญัติ 6.เตาฮีด หมายถึง หลักศรัทธา 7.ตัฟสีร หมายถึง อรรถาธิบายอัลกุรอาน 8.ตารีค หมายถึง ศาสนประวัติ 9.ตัจญวีด หมายถึง หลักกรอานอัลกุรอาน 10.หะดีษ หมายถึง วจนะทานศาสดา 11.อัคลาก หมายถึง จริยธรรม 12.โตะฟากีร หมายถึง ผูเรียนในปอเนาะ 13.ชีริก หมายถึง การตั้งภาคีตออัลลอฮ 14.บิดอะอ หมายถึง อุตริกรรมตางๆ 15.อิบาดะอ หมายถึง การเคารพภักดีตออัลลอฮ 16.มัษฮับ หมายถึง สํานักคิดทางศาสนบัญญัติ วิธีการดําเนินการวิจัย 1.ประชากร ประชากรและกลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาครั้งนี้ คือผูมีผลไดผลเสีย (Stakeholders) กับตาดีกาในจังหวัด ชายแดนภาคใต 2.กลุมตัวอยาง 1.กลุมตัวอยางที่ใชในการประชุมเชิงปฏิบัติการ ไดแกตัวแทนผูสอนตาดีกา และตัวแทนผูปกครองของผูเรียน ตาดีกาจํานวนทั้ งสิ้น 75 คน การคัดเลือกกลุมตัว อยางดังกลาวมี ขั้นตอนและรายละเอียดดังตอไปนี้ ขั้นตอนที่หนึ่ ง คณะผูวิจัยไดใชวิธีหากลุมตัวอยางแบบบอลหิมะ (snow ball) เพื่อคนหาวาตาดีกาใดบางที่ตองการใชหลักสูต รที่จะ คงไว ซึ่ง อั ตลั กษณข องตาดี ก าดั้ งเดิม จากขั้ นตอนดั งกล าวนี้คณะผู วิจั ยไดต าดีก าจากสามจัง หวัด ชายแดนภาคใต จํานวน 60 ศูนย ขั้นตอนที่สองคณะผูวิจัยไดใชวิธีสุมแบบงายเพื่อคัดเลือกตาดีกาดังกลาวใหเหลือ 30 ศูนยแลวเลือก กลุมตัวอยาง 2 คนจาก 1 ศูนย โดยใชวิธีแบบเจาะจง (purposive sampling) โดยคัดเลือกตัวแทนผูสอนที่เปนหัวหนา ครูหรือผูที่ดูแลเรื่องวิชาการที่มีความรูเกี่ยวกับหลักสูตรตาดีกา ไดกลุมตัวอยางดังกลาวจํานวนทั้งสิ้น 60 คน ขั้นตอน ที่สาม คณะผูวิจัยไดสุมตัวอยางตัวแทนผูปกครองจากตาดีกาจํานวน 30 ศูนยที่ถูกคัดเลือกใหเหลือจํานวน 15 ศูนย โดยการสุมแบบงาย (simple sampling) จากจํานวนตาดีกา 15 ศูนยที่ถูกสุม คณะผูวิจัยไดเลือกกลุมตัวอยางที่เปน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
20
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ตัวแทนผูปกครองจํานวน 1 คนจาก 1 ศูนยโดยวิธีแบบเจาะจง (purposive sampling) โดยเลือกจากตัวแทนผูปกครองที่ มีความรูเกี่ยวกับหลักสูตรตาดีกา ไดกลุมตัวอยางดังกลาวจํานวนทั้งสิ้น 15 คน รวมกลุมตัวอยางที่เปนตัวแทนผูสอน ตาดีกาและตัวแทนผูปกครองของผูเรียนตาดีกาจํานวนทั้งสิ้น 75 คน 2.กลุมผูทรงคุณวุฒิ ไดแกตัวแทนผูทรงคุณวุฒิจากจังหวัดชายแดนภาคใต ไดมาโดยวิธีการสุ มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จํ านวน 20 คน ซึ่งประกอบดว ยตัวแทนผู ทรงคุณวุ ฒิจากเขตพื้นที่การศึกษา ตัว แทนผูทรง คุณวุ ฒิจากสํ านัก บริ หารยุทธศาสตร และบูร ณาการการศึก ษาที่ 12 ตั วแทนจากสํ านั กงานคณะกรรมการอิส ลาม ประจําจังหวัด และผูทรงคุณวุฒิจากสถาบันอุดมศึกษา 3. กลุ มตัว อย างที่ ใ ชใ นการวิ พ ากษห ลั กสู ต ร ได แกตั ว แทนผู ส อนตาดี กา ตัว แทนผูป กครองและตั วแทน ผูทรงคุณวุฒิซึ่งไดมาโดยวิธีการสุมแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จํานวน 20 คน 3.เครื่องมือ เปนเครื่องมือที่ผูวิจัยพัฒนาขึ้นเองประกอบดวย 1.รางกรอบหลักสูตรเพื่อการประชุมเชิงปฏิบัติการโดยกระบวนการมีสวนรวม 2.แบบสอบถาม 3.รางหลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณของตาดีกาดั้งเดิมของตาดีการางที่หนึ่ง 4.รางหลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณของตาดีกาดั้งเดิมของตาดีการางที่สอง 4.การเก็บรวบรวมขอมูลจะมี 3 วิธี 1.การเก็บรวบรวมขอมูลจากการประชุมเชิงปฏิบัติการโดยกระบวนการมีสวนรวมของผูมีผลไดผลเสีย (Stakeholders) กับตาดีกาซึ่งประกอบดวยตัวแทนผูสอนตาดีกา และตัวแทนผูปกครอง 2.การเก็ บรวบรวมขอมูล จากการเสวนากลุ มผู ทรงคุณ วุฒิ ซึ่ งเปน ผูทรงคุ ณวุ ฒิจ ากสามจัง หวั ดชายแดน ภาคใตซึ่งประกอบดวยผูทรงคุณวุฒิจากตาดีกา จากสถาบันศึกษาปอเนาะ จากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จากเขตพื้นที่การศึกษา จากสํานักผูตรวจราชการประจําเขตตรวจราชการที่ 12 จากสํานักงานคณะกรรมการอิสลาม ประ จําจังหวัด และจากสถาบันอุดมศึกษา 3.การเก็บรวบรวมขอมูลจากการวิพากษหลักสูตร ผูวิพากษไดแกตัวแทนผูสอนตาดีกา ตัวแทนผูปกครอง ของผูเรียนตาดีกา ตัวแทนผูทรงคุณวุฒิจากเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต ตัวแทนผูทรงคุณวุฒิจ าก สํ านั ก ผู ต รวจราชการประจํ าเขตตรวจราชการที่ 12 จากสํ านั ก งานคณะกรรมการอิ ส ลามประจํ าจั ง หวั ด และ ผูทรงคุณวุฒิจากสถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต 5.การวิเคราะหขอมูล การวิเคราะหขอมูลจะเปนรูปแบบการวิเคราะหเชิงเนื้อหา(Content Analysis) โดยจะวิเคราะหขอมูลที่ไดจาก การประชุมเชิงปฏิบัติการ การเสวนากลุมผูทรงคุณวุฒิ และการวิพากษหลักสูตร ผลการวิจัย 1.เพื่อตอบคําถามวิจัยวาหลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณของตาดีกาดั้งเดิม ที่พัฒนาขึ้นดวยกระบวนการ มีสวนรวมมีรูปแบบอยางไร 2.แนวคิด ทฤษฎี หลักการควรใชลักษณะใดเพื่อใหสอดคลองกับสภาพทองถิ่น 3.ลักษณะสําคัญของหลักสูตร
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
21
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
4.องคประกอบของหลักสูตร 5.รายละเอียดของแตละองคประกอบ ผลการวิจัยพบวา หลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณของตาดีกาดั้งเดิมที่พัฒนาขึ้นดวยกระบวนการมีสวนรวมของผูมีผลได ผลเสีย (Stakeholders) กับตาดีกามีลักษณะดังนี้ 1.อัตลักษณดั้งเดิม 1. เปนการศึกษาที่มุงใหผูเรียนมีคุณธรรม มีความรู และความเขาใจในหลักการศาสนาอิสลามภาคบังคับ (ฟรฎอีน) 2. เปนการศึกษาเพื่อปฏิบัติศาสนกิจ และยึดมั่นในหลักศรัทธาในการดํารงชีวิตประจําวัน 3. เปนการศึกษาที่มุงใหผูเรียนมีทักษะพื้นฐานในการใชภาษามลายู 4. เปนการศึกษาที่มุงรักษาไวซึ่งการใชภาษามลายูที่ใชอักขระญาวี 5. เปนหลักสูตรที่มีโครงสรางยืดหยุนทั้งดานสาระ เวลา และการจัดการเรียนรู 2.หลักการ เพื่ อให การจั ด การศึ ก ษาศาสนาอิ ส ลามของตาดีก ารั ก ษาไว ซึ่ ง อัต ลั ก ษณดั้ ง เดิ มของตาดีก า จึง กํ าหนด หลักการสําคัญของหลักสูตรตาดีกาในจังหวัดปตตานี นราธิวาสและยะลา ไวดังนี้คือ 1. เปนการศึกษาที่มุงใหผูเรียนมีคุณธรรม มีความรู และความเขาใจในหลักการศาสนาอิสลามภาคบังคับ (ฟรฎอีน) 2. เปนการศึกษาเพื่อปฏิบัติศาสนกิจ และยึดมั่นในหลักศรัทธาในการดํารงชีวิตประจําวัน 3. เป นการศึ กษาที่มุงให ผูเ รียนมีทั กษะพื้น ฐานในการใช ภาษามลายู อาหรั บ และมีทั กษะพื้น ฐานในการ อานอัลกุรอาน 4. เปนการศึกษาที่สนองตอบความตองการและรักษาอัตลักษณของทองถิ่น 5. เปนการศึกษาที่มุงใหผูเรียนเปนมุสลิมที่ดี และเปนสมาชิกที่ดีของครอบครัว สังคม และประเทศชาติ 6. เปนหลักสูตรที่มีโครงสรางยืดหยุนทั้งดานสาระ เวลา และการจัดการเรียนรู 7. เปนการศึกษาพื้นฐานที่สามารถศึกษาตอในระดับที่สูงขึ้น 8. เปนหลักสูตรที่จัดการศึกษาไดทุกรูปแบบ ครอบคลุมทุกกลุมเปาหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู และประสบการณ 3.จุดหมาย 1.มีอัคลากที่ดี มีทักษะเบื้องตนในการเขาสังคม 2. ปฏิบัติอิบาดะฮที่เปนฟรฎอีนได 3.มีทักษะพื้นฐานในการพูด อาน ฟงและเขียนใชภาษามลายูและภาษาอาหรับ 4. อานอัลกุรอานได 5. มีความรูเกี่ยวกับฟรฎอีน 6.รักษาอัตลักษณของความเปนมลายูมุสลิม 7.จําบางโองการของอัลกุรอาน และบางอัลหะดีษ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
22
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
8.มีความรูเกี่ยวกับประวัติศาสตรอิสลามเบื้องตน 9. มีความรูเกี่ยวกับหลักเตาฮีดเบื้องตน 10.มีทักษะในการเรียนรู ใฝหาความรู และปฏิบัติตามหลักคําสอนเบื้องตนของศาสนาในชีวิตประจําวัน 4.โครงสราง เพื่อใหก ารจัดการเรียนการสอนของตาดีกาสามารถดําเนิ นการอยางมีร ะบบ และมีป ระสิทธิ ภาพ จึ งได กําหนดโครงสรางของหลักสูตร ดังนี้ 4.1 ระดับชั้น กําหนดหลักสูตรเปนระดับชั้น ตามระดับพัฒนาการของผูเรียน 4.2 สาระการเรียนรู สาระการเรียนรูตามหลักสูตร ซึ่งประกอบดวยองคความรู ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู และคุณลักษณะ หรือคานิยม คุณธรรม จริยธรรมของผูเรียน ประกอบดวย 8 สาระ ดังนี้ 1. อัลกรุอาน 2. อัลหะดีษ 3. เตาฮีด (หลักศรัทธา) 4. ฟกฮ(ศาสนาบัญญัติ) 5. ตารีค (ศาสนาประวัติ) 6. อัคลาก (จริยธรรม) 7. ภาษาอาหรับ 8. ภาษามลายู ภาษามลายูกําหนดใหเรียนในทุกชั้น สวนสาระอื่น ๆ สามารถเลือกจัดการเรียนรูไดตามความเหมาะสม 4.3. กิจกรรมพัฒนาผูเรียน การจัดกิจกรรมพัฒนาผูเรี ยนเปนกิจกรรมที่จัดใหผูเ รียนไดพัฒนาความสามารถของตนเองตามศักยภาพ มุงเนนเพิ่มเติมจากกิจกรรมที่ไดจัดใหเรียนรูตามสาระการเรียนรู 8 สาระ การเขารวมปฏิบัติกิจกรรมที่เหมาะสม รวมกับผูอื่นอยางมีความสุขกับกิจกรรมที่เลือกดวยตัวเอง ตามความถนัดและความสนใจอยางแทจริง การพัฒนาที่ สําคัญของกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ไดแกการพัฒนาองครวมของความเปนมนุษยใหครบทุกดาน ทั้งรางกาย สติปญญา อารมณ และสังคมโดยอาจจัดเปนแนวทางหนึ่งที่จะสนองนโยบายในการสรางเยาวชนของชาติใหเป นผูมีศีลธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย และคุณภาพ เพื่อพัฒนาองครวมของความเปนมนุษยที่สมบูรณ ปลูกฝงและสรางจิตสํานึก ของการทําประโยชนเพื่อสังคม ซึ่งผูดําเนินการจะตองดําเนินการอยางมีเปาหมายมีรูปแบบและวิธีการที่เหมาะสม กิจกรรมพัฒนาผูเรียน แบงเปน 3 ลักษณะ คือ 4.3.1 กิจ กรรมนะศี หะฮ (การตักเตือน) เปน กิจ กรรมที่ส งเสริมและพั ฒนาความสามารถของผูเ รียนให เหมาะสมตามความแตกตางระหวางบุคคล สามารถคน พบและพัฒนาศักยภาพของตน เสริมสรางทักษะชีวิต วุ ฒิ ภาวะทางอารมณ การเรียนรูในเชิงพหุปญญา และการสรางสัมพันธภาพที่ดี ซึ่งผูสอนทุกคนตองทําหนาที่เปนผูใหนะศี หะฮแนะแนว ใหคําปรึกษาดานชีวิต การศึกษาตอ และการพัฒนาตนเอง 4.3.2 กิจกรรมนักเรียน เปนกิจกรรมที่พัฒนาผูเรียน เปนผูปฏิบัติดวยตนเองอยางครบวงจร ตั้งแตศึกษา วิเคราะห วางแผน ปฏิบัติตามแผน ประเมิน และปรับปรุงการทํางาน โดยเนนการทํางานรวมกันเปนกลุม 4.3.3 กิจกรรมสงเสริมผูเรียน ใหมีทักษะในการอาน จําอัลกุรอานและหะดีษ สนับสนุนการจัดการเรียนการ สอนโดยภูมิปญญาทองถิ่นรวมกับผูจัดการหลักสูตรใหผูเรียนไดเรียนอยางทั่วถึง 4.4 โครงสรางหลักสูตร กําหนดเวลาในการจัดการเรียนรู และกิจกรรมพัฒนาผูเรียนไว ดังนี้ แตละชั้นมีเวลาเรียนประมาณปละ 252 - 440 ชั่วโมง โดยเฉลี่ยวันละ 5 - 6 ชั่วโมง -สาระการเรียนรูตองใชเปนหลักเพื่อสรางพื้นฐานการคิด การเรียนรู และการแกปญหา
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
23
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
-กิจกรรมที่เสริมสรางการเรียนรูนอกจากสาระการเรียนรู 8 สาระแลว สามารถจัดกิจกรรมการพัฒนาตน ตามศักยภาพ 5. มาตรฐานการเรียนรู หลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณดั้งเดิมของตาดีกากําหนดมาตรฐานการเรียนรู 8 สาระ การเรียนรูที่เปน ขอกําหนดคุณภาพผูเรียนดานความรู ทักษะ กระบวนการ คุณธรรม จริยธรรมและคานิยมของแตละสาระการเรียนรู เพื่อใชเปนจุดหมายในการพัฒนาผูเรียนใหมีคุณลักษณะที่พึงประสงค สาระการเรียนรูทั้ง 8 กลุมนี้เปนพื้นฐานสําคัญที่ผูเรียนรูทุกคนตองเรียนรู โดยอาจจัดเปน 2 กลุมคือ กลุม แรกคือกลุมภาษา ประกอบดวย ภาษามลายู และภาษาอาหรับเปนสาระการเรียนรูที่สถานศึกษาตองใชเปนหลักใน การจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาเพื่อเปนเครื่องมือที่จะใชในการเรียนรูสาระอื่นๆ ตอไป กลุมที่ สองคือกลุมอิสลามศึกษา ประกอบดวย อัลกรุอาน อั ลหะดีษ เตาฮีด (หลักศรัทธา) ฟกฮ (ศาสนบัญญัติ) ตารี ค (ศาสนาประวัติ ) และอั คลาก(จริ ยธรรม) เปน สาระการเรี ยนรู ที่เ สริมสร างพื้ นฐานความเป นมนุ ษย ที่มีห ลัก ยึด มั่ น สามารถปฏิบัติอิบาดะฮที่เปนภาคบังคับ (ฟรฎ อีน) และเสริมสรางพื้ นฐานของการเปนคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม สามารถอยูในสังคมอยางสงบสุข มาตรฐานการเรียนรูในหลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณดั้งเดิมของตาดีกากําหนดไวเฉพาะมาตรฐานการ เรียนรูที่ จําเปน สําหรับ การพัฒ นาคุ ณภาพผู เรียนทุก คนเทานั้น สําหรับ มาตรฐานการเรียนรู ที่สอดคล องกับ สภาพ ปญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปญ ญาทองถิ่น คุณลั กษณะอันพึงประสงค เพื่อเปน สมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ตลอดจนมาตรฐานการเรียนรูที่เขมขนขึ้นตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจของ ผูเรียน ใหสถานศึกษาพัฒนาเพิ่มเติมได 6. การจัดหลักสูตร หลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัต ลักษณดั้ง เดิมของตาดีกาเป นหลักสูตรที่กําหนดมาตรฐานการเรียนรูในการ พัฒนาผูเรียนดานอิสลามศึกษาระดับฟรฎอีน การจัดการศึกษาดังกลาวเปนการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย ในการ จัดการเรียนการสอนนั้น กําหนดโครงสรางที่เปนสาระการเรียนรู จํานวนเวลาอยางกวางๆ ผูเรียนเมื่อเรียนจบ โดย คํานึงถึงสภาพปญหา ความพรอม เอกลักษณ และคุณลักษณอันพึงประสงค การจัดการหลักสูตรตองจัดสาระการเรียนรูใหครบทั้ง 8 สาระ ในทุกชวงชั้นใหเหมาะสมกับธรรมชาติการ เรียนรู และระดับพัฒนาการของผูเรียนโดยจัดหลักสูตรเปนรายป การศึกษาระดับนี้เ ปนชวงแรกเริ่มของการศึก ษาศาสนาอิสลาม หลักสูตรที่ จัดขึ้นมุงเนนใหผูเ รียนพัฒนา คุณภาพชีวิต กระบวนการเรียนรูทางสังคม ทักษะพื้นฐาน ดานการอาน การเขียน การคิดวิเคราะห การติดตอสื่อสาร และพื้นฐานความเปนมนุษย เนนการบูรณาการอยางสมดุลทั้งในดานรางกาย จิตวิญญาณ สติปญญา อารมณ สังคม และวัฒนธรรม 7. การจัดเวลาเรียน ใหผูจัดการหลักสูตรจัดเวลาเรียนใหยืดหยุนไดตามความเหมาะสมในแตละชั้น ป แตละทองถิ่น ทั้งการจัด เวลาเรียนสาระการเรียนรู 8 สาระ และรายวิชาที่จัดทําเพิ่มเติม รวมทั้งตองจัดใหมีเวลาสําหรับกิจกรรมพัฒนาผูเรียน ทุกภาคเรียนตามความเหมาะสม
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
24
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
8.สาระและมาตรฐานการเรียนรู หลัก สูต รตาดี กาที่คงไวซึ่ งอั ตลั กษณดั้ งเดิมของตาดี กากํ าหนดสาระการเรียนรู เป นเกณฑใ นการกําหนด คุณภาพของผูเรียน เมื่อเรียนจบหลักสูตรซึ่งกําหนดไวเฉพาะสวนที่เปนพื้นฐานในการดํารงชีวิตใหมีคุณภาพ สําหรับ สาระการเรียนรูตามที่ศาสนาบังคับ ตามความสามารถ ความถนั ด และความสนใจของผูเ รียน ผูจั ดการหลักสูต ร สามารถพัฒนาเพิ่มเติมได สาระการเรียนรูอิสลามศึกษามีรายละเอียด ดังตอไปนี้ สาระที่ 1 อัลกุรอาน 1. มีทักษะเบื้องตนในการอานอัลกุรอาน 2. เห็นคุณคาของอัลกุรอาน 3.รักและมีมารยาทในการอานและฟงอัลกุร อาน 4.สามารถทองจําอัลกุรอานบางสูเราะฮในุซอัมมา 5.มีความรูความเขาใจเกี่ยวกับความหมายของอัลกุรอานุซอัมมา 6.นําหลักคําสอนในอัลกุรอานมาปฏิบัติในชีวิตประจําวัน สาระที่ 2 อัลหะดีษ 1.สามารถทองจําบางหะดีษที่กําหนด 2.มีความรูพนื้ ฐานเกี่ยวกับกิจวัตรของทานศาสดา และรักที่จะปฏิบัติตาม 3. ตระหนักและเห็นคุณคาของอัลหะดีษ 4. มีความรูพื้นฐานเกี่ยวกับสุนนะฮบิดอะฮ สาระที่ 3 เตาฮีด (หลักศรัทธา) 1.มีความรู ความเขาใจในหลักการศรัทธาเบื้องตน 2.ยึดมั่นในหลักศรัทธาที่ถูกตองไมตั้งภาคีตออัลลอฮ 3.รูสาเหตุของสิ่งที่จะทําใหศรัทธาสั่นคลอน 4.มีความรูเบื้องตนเกี่ยวกับการกระทําที่เปนชิริก 5.ตระหนักและเห็นคุณคาความสําคัญหลักศรัทธาในอิสลาม สาระที่ 4 ฟกฮ (ศาสนบัญญัติ) 1.มีความรูเบื้องตนเกี่ยวกับบทบัญญัติในอิสลามที่เปนฟรฎอีน 2.สามารถนําศาสนบัญญัติมาใชในการประกอบอิบาดะฮที่เปนฟรฎอีนได 3. ตระหนักและเห็นคุณคาความสําคัญของศาสนบัญญัติ สาระที่ 5 ตารีค (ศาสนประวัติ) 1.มีความรู ความเขาใจเบื้องตนเกี่ยวกับสีเราะฮของทานศาสดาและประวัติอิสลาม 2.ตระหนักและเห็นคุณคาความสําคัญประวัติอิสลาม 3.สามารถนําความรูเกี่ยวกับประวัติศาสตรอิสลามมาใชในการดําเนินชีวิตได สาระที่ 6 อัคลาก (จริยธรรม) 1.มีความรูและความเขาใจเบื้องตนเกี่ยวกับจริย ธรรมอิสลาม 2.ปฏิบัติตามจริยธรรมอิสลามเบื้องตนในการดําเนินชีวิต 3.ตระหนักและเห็นคุณคาความสําคัญของจริยธรรมอิสลาม
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
25
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
สาระที่ 7 ภาษาอาหรับ 1.มีความรูเบื้องตนเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษาอาหรับ 2.มีทักษะเบื้องตนในการพูด อาน ฟงและเขียนภาษาอาหรับ 3.สามารถสื่อสารงายๆ ดวยภาษาอาหรับ 4.ตระหนักและเห็นคุณคาความสําคัญของภาษาอาหรับ 5.มีเจตคติที่ดีตอภาษาอาหรับ สาระที่ 8 ภาษามลายู 1.มีทักษะเบื้องตนในการพูด อาน ฟงและเขียนภาษามลายู 2.มีความรูเบื้องตนเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษามลายู 3.สามารถนําความรูภาษามลายูใชในการสื่อสาร 4.ตระหนักและเห็นคุณคาความสําคัญของภาษามลายู 5. มีเจตคติที่ดีตอภาษามลายู 8. การจัดการเรียนรู พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 (แกไขเพิ่มเติม ฉบับที่2) มาตรา 22 กําหนด แนวทางในการ จัดการศึกษาไววา การจัดการศึกษาตองยึดหลักวาผูเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู และพัฒนาตนเองได และถือ วาผูเรียนมีความสําคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาตองสงเสริมใหผูเรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็ม ตามศักยภาพ ฉะนั้นผูสอนและผูจัดการศึกษาจะตองมีบทบาทเปนผูชี้นํา ผูถายทอดความรู และเปนผูชวยเหลือสงเสริมและ สนับสนุนผูเรียนในการแสวงหา และใหขอมูลที่ถูกตองแกผูเรียน เพื่อนําขอมูลเหลานั้นไปใชสรางสรรคองคความรูของ ตน การจัดการเรียนรูตามหลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณดั้งเดิมของตาดีกา นอกจากจะมุงปลูกฝงดานปญญา พัฒนาการคิดของผูเรียนใหมีความสามารถในการรับรูเขาใจและคิดสรางสรรค คิดอยางมีวิจารณญาณแลว ยังมุง พัฒนาความสามารถทางอารมณ โดยการปลูกฝงใหผูเรียนเห็นคุณคาของตนเอง เขาใจตนเอง เห็นอกเห็นใจผูอื่น สามารถแกปญหา ขอขัดแยงทางอารมณไดถูกตองเหมาะสม การเรียนรูสาระการเรียนรูตาง ๆ มีกระบวนการและวิธีการที่หลากหลาย ผูสอนตองคํานึงถึงพัฒนาการ ทางดานรางกาย และสติปญญา วิธีการเรียนรู ความสนใจและความสามารถของผูเรียนเปนระยะๆ อยางตอเนื่อง ดังนั้นการจัดการเรียนรูในแตละชวงชั้น ควรใชรูปแบบและวิธีการที่หลากหลาย เนนการจัดการเรียนการสอนตาม สภาพจริง การเรียนรูดวยตนเองจากผูสอนการเรียนรูรวมกัน การเรียนรูจากธรรมชาติ การเรียนรูจากการปฏิบัติจริง และการเรียนรูบูรณาการการเรียนรูคูคุณธรรม ทั้งนี้ตองพยายามนํากระบวนการ การจัดการ กระบวนการอนุรักษ และพัฒนาสิ่งแวดลอมกระบวนการทางวิทยาศาสตรไปสอดแทรกในการเรียนการสอนทุกกลุมสาระการเรียนรู เนื้อหา และกระบวนการตาง ๆ ขามกลุมสาระการเรียนรู ซึ่งการเรียนรูในลักษณะองครวม การบูรณาการเปนการกําหนด เปาหมายการเรียนรวมกัน ยึดครูเปนหลักโดยเนนผูเรียนเปนสําคัญ พรอมนํากระบวนการเรียนรูจากสาระเดียวกัน หรือตางสาระมาบูรณาการ ในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งจัดไดหลายลักษณะ 10.แนวทางจัดการเรียนรูในแตละระดับชั้น การจัดการเรียนรูตองสนองตอบตอความจําเปนที่เหมาะสมของผูเรียน โดยคํานึงถึงหลักจิตวิทยาพัฒนาการ และจิตวิทยาการเรียนรู ทั้งนี้ในแตละคาบเรียนนั้นไมควรใชเวลานานเกินความสนใจของผูเรียน ตองจัดการเรียนรูให
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
26
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ครบทุกกลุมสาระการเรียนรูในลักษณะบูรณาการ ที่มีภาษามลายูเปนหลัก เนนการเรียนรูตามสภาพจริง มีความสุข และปฏิบัติถูกตอง เพื่อพัฒนาพื้นฐานการติดตอสื่อสาร ทักษะพื้นฐานในการคิด 11.สื่อการเรียนรู การจัดการศึกษาตามหลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่ง อัตลักษณดั้งเดิมของตาดีกานี้ มุงสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรู หลักคําสอนที่ถูกตองอยางตอเนื่องตลอดชีวิต และใชเวลาอยางสรางสรรค เพื่อสนองความตองการของผูเรียน ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ผูเรียนสามารถเรียนรูไดทุกเวลา ทุกสถานที่ เรียนรูไดจากสื่อการเรียนรู และแหลงการเรียนรู ประเทศชาติ รวมทั้งจากเครือขายการเรียนรูตางๆ ที่มีอยูในทองถิ่น ชุมชนและอื่นๆ และพัฒนาสื่อการเรียนรูขึ้นเอง หรือนําสื่อตาง ๆ ที่มีอยูรอบตัวและในระบบสารสนเทศมาใชในการเรียนรู โดยใชวิจารณญาณในการเลือกใชสื่อ และ แหลงความรู โดยเฉพาะหนังสือเรียนควรมีเนื้อหา สาระ ครอบคลุมตลอดชวงชั้น สื่อสิ่งพิมพควรจัดใหมีอยางเพียงพอ ลักษณะของสื่อการเรียนรูที่จะนํามาใช ควรมีความหลากหลาย และถูกตอง ทั้งสื่อธรรมชาติ สื่อสิ่งพิมพ สื่อ เทคโนโลยี และอื่น ๆ ซึ่งชวยสงเสริมใหการเรียนรูเปนไปอยางมีคุณคานาสนใจ ชวนคิด ชวนติดตาม และรวดเร็วขึ้น รวมทั้งกระตุนใหผูเรียนรูจักวิธีการแสวงหาความรูเกิดการเรียนรูอยางกวางขวาง ลึกซึ้ง และตอเนื่องตลอดเวลา 12.การวัด และการประเมินผลการเรียนรู เกณฑการผานชวงชั้น และการจบหลักสูตร การจัด การศึ กษาตามหลัก สูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัต ลักษณ ดั้งเดิ มของตาดีกาซึ่งใช เวลาประมาณ 4-6 ป ผูเรียนจะสามารถจบการศึกษาระดับชั้นอิสลามศึกษาตอนตน โดยผูเรียนตองผานการศึกษาแตละระดับชั้นตามเกณฑ ดังนี้ 12.1 ผูเรียนตองเรียนรูตามสาระการเรียนรูทั้ง 8 สาระ และไดรับการตัดสินผลการเรียนใหไดตามเกณฑที่ สถานศึกษากําหนด 12.2 ผูเรียนตองผานการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงคตามเกณฑที่สถานศึกษากําหนด 12.3 ผูเรียนตองเขารวมกิจกรรมพัฒนาผูเรียน และผานการประเมินตามเกณฑที่กําหนด 13. เอกสารหลักฐานการศึกษา สถานศึกษาตองพิจารณาจัดทําเอกสารการประเมินผลการเรียน เพื่อใชประกอบการดําเนินงานดานการวัด และประเมินผลการเรียน เชน เอกสารแสดงผลการเรียนรูของผูเรียน แบบบันทึกผลการพัฒนาคุณภาพผูเรียนใน รายวิชาตาง ๆ แบบรายงานการพัฒนาคุณภาพผูเรียนเปนรายบุคคล ระเบียนสะสมแสดงพัฒนาการดานตาง ๆ และ แบบแสดงผลการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค เปนตน สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผล จากผลการวิจัยที่พบวาหลักสูตรตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณของตาดีกาดั้งเดิมเปนการศึกษาที่มุงใหผูเรียนมี คุณธรรม มีความรู และความเขาใจในหลักการศาสนาอิสลามภาคบังคับ เพราะการศึกษาในระดับตาดีกาเปนการจัด การศึก ษาที่เ ปน พื้น ฐานที่ เน นการปลู กฝ งความศรัท ธาคุณธรรมจริยธรรม และให ผูเ รียนสามารถปฏิบั ติศ าสนกิ จ พื้นฐาน นอกจากนั้นหลักสูตรของตาดีกาที่คงไวซึ่งอัตลักษณของตาดีกาดั้งเดิมจะมุงใหผูเรียนมีทักษะพื้นฐานในการใช ภาษามลายู รักษาไวซึ่งการใชภาษามลายูที่ใชอักขระญาวี การมุงใหผูเรียนมีทักษะพื้นฐานในการใชภาษามลายู รักษา ไวซึ่งการใชภาษามลายูที่ใชอักขระญาวีดังกลาวก็ เปนเพราะวัตถุ ประสงคดั้งเดิมหนึ่งของตาดีกาคื อการรัก ษาไวซึ่ ง ภาษามลายู (อิบราเฮ็ม ณรงครักษาเขต และนุมาน หะยีอาแซ,2553) สวนการที่หลักสูตรที่มีโครงสรางยืดหยุนทั้งดาน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
27
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
สาระ เวลา และการจัด การเรียนรูนั้ น ก็อาจจะเป นเพราะการจัด การเรี ยนการสอนในตาดีก ามีความหลากหลาย บางครั้งการจัดตารางเรียนของแตละตาดีกาก็จะไมเหมือนกัน การจัดตารางการเรียนการสอนก็มักจะใหความยืดหยุน เปนไปตามความสะดวกของแตละตาดีกา ขอเสนอแนะสําหรับตาดีกา ใหตาดีกาที่ตองการักษาอัตลักษณดั้งเดิมของตาดีกามีอัตลักษณ หลักการ จุดหมาย มาตรฐานและสาระการ เรียนรูดังขอคนพบในงานวิจัยนี้ ขอเสนอแนะตอภาครัฐ สําหรั บหนว ยงานทางการศึก ษาเช นกระทรวงศึก ษา ธิ การเขตพื้น ที่ก ารศึก ษา สํ านั กงานคณะกรรมการ การศึกษาเอกชน เปนตน 1.เปด โอกาสใหต าดีก าที่ตองการรักษาอัตลั กษณข องตาดีกาดั้ งเดิ มสามารถเลือกใชหลั กสูตรที่ไดจ ากข อ คนพบนี้ เพราะหลักสูตรที่คนพบจากงานวิจัยนี้มีลักษณะที่คลายกับหลักสูตรอิสลามศึกษาฟรฎอีนประจํามัสยิด พ.ศ 2548 ขอแตกตางที่สําคัญคือหลักสูตรที่ไดจากขอคนพบจากงานวิจัยนี้มีความยืดหยุนสอดคลองกับอัตลักษณของตา ดีกาดั้งเดิม 2.หากทางรัฐตองการใหหลักสูตรอิสลามศึกษาฟรฎอีนประจํามัสยิดพ.ศ 2548 เปนทั้งหลักสูตรที่จะตอยอด กับหลักสูตรอิสลามศึกษา 46 และเปนหลักสูตรตาดีกาดั้งเดิมก็สามารถกระทําได แตตองพิจารณาใหมีความยืดหยุน ดังหลักการที่คนพบในงานวิจัยนี้ สําหรับหนวยงานทางความมั่นคง 1.ประสานงานหนวยงานทางความมั่นคงใหเขาใจและทราบวาหลักสูตรของตาดีกาดั้งเดิมมีลักษณะที่คลาย กับหลักสูตรอิสลามศึกษาฟรฎอีนประจํามัสยิดพ.ศ 2548 ขอแตกตางที่สําคัญคือหลักสูตรของตาดีกาดั้งเดิมมีความ ยืดหยุนกวา ขอเสนอแนะสําหรับงานวิจัยตอไป สาระการเรียนรู ทั้ง ในหลั กสู ตรอิส ลามศึก ษาฟร ฎอีน พ.ศ 2548 และหลัก สูต รตาดี กาดั้ง เดิ มยั งมี ความ ซ้ําซอน ควรมี การศึกษาเพื่อลดความซ้ําซอน โดยเฉพาะอยางยิ่งการศึ กษาที่จะนําไปสูการบูรณการบางสาระการ เรียนรูเขาดวยกันจะเปนสิ่งที่มีประโยชนมากสําหรับตาดีกา
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
28
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บรรณานุกรม สํานักบริหารยุทธศาสตรและบูรณาการการศึกษาที่ 12 ขอมูลสารสนเทศทางการศึกษาปการศึกษา 2551 เขต พัฒนาพิเศษาเฉพาะกิจ จังหวัดชายแดนภาคใต (ออนไลน) สืบคนจาก www.inspect12.moe.go.th (25 มิถุนายน 2551) สํานักผูตรวจราชการประจําเขตตรวจราชการที่ 12 .2547. แนวทางการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะในจังหวัด ชายแดนภาคใต ยะลา: สํานักผูตรวจราชการประจําเขตตรวจราชการที่ 12 อิบราเฮ็ม ณรงครัก ษาเขต, นิเลาะ แวอุ เซ็ง, อะหมัด ยี่สุ นทรง, กาเดร สะอะ, สุท ธิศักดิ์ ดือเระ, สุก รี หลังปู เตะ , เกษตรชัย และหีม, มูฮัมหมัดดาวู ด บินร าหมาน, ปรั ศนี หมั ดหมาน, ตายูดิน อุ สมาน, และตูแวคอลีเยาะ กาแบ. 2550. วิเคราะหความตองการเพื่อพัฒนากรอบหลักสูตรตาดีกาและสถาบันศึกษาปอเนาะ. วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานีคณะศิลปศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา อิบราเฮ็ม ณรงครั กษาเขต และนุมาน หะยีอาแซ. 2553. ทฤษฎี ใหมส ถาบันการศึก ษามุส ลิมจัง หวัดชายแดน ภาคใต ความจริงที่ยังไมถูกเปดเผย. ปตตานี: หาดใหญกราฟฟก
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
29
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทความวิจัย
การควบคุมแนวคิดทางศาสนาที่บดิ เบือนในรัฐกลันตัน: กรณีศึกษาการควบคุมดูแลกลุม แนวคิดอัลนักชาบันดีย อิบรอเฮม สือแม อิสมาแอ สะอิ มาหามะสอเระ ยือโระ บทคัดยอ โครงการวิจั ย การควบคุ มแนวคิด ทางศาสนาที่ บิดเบือนในรั ฐกลั นตัน : กรณีศึก ษาการควบคุ มดูแลกลุ ม แนวคิดอัลนักชาบันดีย มีวัตถุประสงค 1) เพื่อศึกษานโยบายและแนวทางการควบคุมดูแลแนวคิดตางๆของรัฐบาลรัฐ กลันตัน 2) เพื่อศึกษาบทบาทรัฐบาลรัฐกลันตันในการควบคุมดูแลแนวคิดอัลนักชาบันดีย 3) เพื่อศึกษาแนวคิดอัลนัก ชาบันดียและสิทธิในการเผยแผแนวคิดและความเชื่อ 4) เพื่อศึกษามุมมองของอัลนักชาบันดียตอบทบาทหนาที่ของ รัฐบาลรัฐกลันตันในการดูแลแนวคิดตางๆผลการวิจัยพบวา รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมดูแลแนวคิดตางๆ โดยมุงเปลี่ยนรัฐกลันตันใหเปนรัฐอิสลาม (Islamic State) ดวยการสรางความถูกตองในเรื่องอากีดะห (หลักการ ศรัทธาหรือความเชื่อ) ฟกเราะห (ความคิด) และอัคลาก (จริยธรรม) ในการควบคุมแนวคิดตางๆนั้นเปนภาระหนาที่ ของสํานักงานคณะกรรมการอิสสลามแหงรัฐกลันตัน และทางสํานักงานฯไดมอบหมายใหกรมกิจการศาสนาอิสลาม เปนผูรับผิดชอบโดยตรง ซึ่งการควบคุมแนวคิดบิดเบือนนั้นมีขั้นตอนในการกํากับดูแลอยางชัดเจน ดวยความรวมมือ จากหนวยงานตางๆที่มีอยูในสํานักงานฯ สําหรับแนวคิดอัลนักชาบันดียแลวถือเปนกลุมแนวคิดที่ทรงอิทธิพลตอสังคม ประเทศมาเลเซีย ถู กเผยแพรในรัฐกลัน ตันไมน อยกวา 40 ป หรือเกือบ 100 ป เปน กลุมแนวคิดที่มีความเชื่อและ พิธีกรรมทางศาสนาที่แตกตางกับ หลายๆกลุมแนวคิด อื่น ปจ จุบัน รั ฐบาลรั ฐกลัน ตันยังไมมีการพิจรนาและวินิจฉั ย ความบิดเบือนของแนวคิดนี้ เพราะหลักฐานที่มียังไมเพียงพอที่จะเอาผิดและดําเนินคดีกับกลุมแนวคิดนี้ได แตมีการ ติดตามและตรวจสอบการเคลื่อนไหวของบางกลุมแนวคิดนี้ เปนเหตุใหมุมมองแนวคิดนี้ตอการควบคุมดูแลของรัฐบาล แตกตางกันไป ผลการวิจัยนี้สามารถนําเปนแนวทางในการควบคุมดูแลกลุมตางๆที่มีอยูในประเทศไทย โดยเฉพาะใน สามจังหวัดชายแดนภาคใต ดวยการวางนโยบายและแนวทางการควบคุมที่ชัดเจนและเปนธรรมมากที่สุด คําสําคัญ: การควบคุมดูแล, แนวคิดบิดเบือน, แนวคิดอัลนักชาบันดีย, รัฐกลันตัน, พรรคพาส, ตอรีเกาะฮฺ, ซูฟย
ดร. (อิสลามศึกษา), อาจารยประจําสาขาวิชาอุศูลุดดีน (หลักการศาสนา) คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ศศ.ม. (อิสลามศึกษา) อาจารยประจําสาขาวิชาอุศลู ุดดีน (หลักการศาสนา) คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ศศ.ม. (อิสลามศึกษา) อาจารยประจําสาขาวิชาอุศูลุดดีน (หลักการศาสนา) คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
30
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
RESEARCH
the distorted Way of religion tendency thinking in Kelantan State: Case study of controlling the tendency thinking of Al Naqsyabandy Ibrahem Suemae Ismaie Sa-i Mahamasorreh Yueroh Abstract Project research of controlling the distorted Way of religion tendency thinking in Kelantan State: Case study of controlling the tendency thinking of Al Naqsyabandy the object of 1) to study policy and the way to controlling oversee many thinking in government of Kelantan State, 2) study about the role of Kelantan government to controlling the tendency thinking of Al Naqsyabandy, 3) study about tendency thinking of Al Naqsyabandy and the right to spread his tendency thinking and faith, 4) study about Al Naqsyabandy viewing to the role of Kelantan government in the part see over tendency thinking. The research shown that government had policy to controlling oversee many tendencies thinking to change Kelantan State become to Islamic State by the way to building the right faith, thinking, and morals. To controlling many tendencies thinking was the duty of Kelantan Islamic Committee and the office directly give to Islamic Department controlling about this by clearly step under the another office oversee of Islamic Committee Office. Al naksabandi tendency thinking, it was the influence thinking in Malaysian social. It was atlases 40 years or may be 100 year spread in Kelantan State. They were group thinking believe and do the religion criminal different from each other. The Kelantan government do not thing to punish up to the distorted way of tendency thinking. They have no basis to carry them in legal action but had to followed and checked the movement some of them. Because of this the government controlling upto this distorted way of tendency thinking difference. This research was the way can use in Thailand to controlling over the groups, especially three southern provinces by policy and the clearly way to controlling but must be fairness or justice. KeyWords: Controlling, distorted way, Al naksabandi tendency thinking,Kelantan State, Pas Party, Torigat, Sufism
Ph.D. (Islamic Studies) Lecturer, Department of Usuluddin, Faculty of Islamic Studies, Yala Islamic University. M.A. (Islamic Studies) Lecturer, Department of Usuluddin, Faculty of Islamic Studies, Yala Islamic University. M.A. (Islamic Studies) Lecturer, Department of Usuluddin, Faculty of Islamic Studies, Yala Islamic University.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
31
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทนํา การพัฒนาบานเมืองใหเกิดความสงบสุข ความเปนเอกภาพและความมั่นคงทางสังคมเปนวาระสําคัญยิ่งที่ ทุกๆรัฐบาลไดหยิบยกขึ้นมาเปนประเด็นหลักในการแกไขปญหาสังคม ซึ่งหนวยงานที่มีสวนเกี่ยวของโดยตรงจะตอง ดูแลเรื่องนี้ เ ปน การเฉพาะ สํานัก งานคณะกรรมการพั ฒนาการเศรษฐกิจ และสัง คมแห ง ชาติเ ปน หน ว ยงานหนึ่ ง ที่ รับผิดชอบในเรื่องดังกลาว และไดตั้งกรอบแนวคิดในแผนพัฒนาฯ ที่10 (2549: 8) วา มุงพัฒนาสู “สังคมที่มีความสุข อยางยั่งยืน Green Society” ประเทศไทยเปนประเทศพหุสังคม มีความหลากหลายทางศาสนา ความเชื่อ แนวคิดและวัฒนธรรม ความ หลากหลายเหลานี้หากไมไดรับการกํากับดูแลจากรัฐบาล อาจสรางความแตกแยกในสังคมพหุวัฒนธรรมและศาสนา ได ซึ่งอาจกอความไมเปนเอกภาพในประเทศชาติและบานเมืองไดทุกเมื่อ ความขัด แย งทางความเชื่อถือเป นสาเหตุ ห นึ่ง ที่จ ะก อป ญหาทางสั งคมไดทุ กเมื่อ ศาสตราจารย ฮัน ทิง ตั น (1996: ฉบับวันที่ 25) ไดชี้ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับความขัดแยงวา ขอขัดแยงที่เกิดขึ้นระหวางวัฒนธรรมเทานั้น ที่จะมี โอกาสขยายตัวและเปนอันตรายตอสันติภาพในโลกไดมากกวา แมวาผลประโยชนทางเศรษฐกิจจะยังคงมีความหมาย ตอไป แตก็จะไมใชประเด็นที่สําคัญ ที่สุด อีกตอไปแลว มนุษยจะแสวงหาเอกลักษณรวมกันจากอารยธรรมของ กลุมตน จะผนึกกําลังเขาดวยกัน และพรอมที่จะตอสูหรือยอมตายเพื่อความเชื่อตามอารยธรรมของตนมาก ขึ้น การเคลื่อนไหวของกลุมแนวคิดตางๆยอมจะทําใหเกิดประโยชนหรือกอปญหาในสังคมนั้นๆอยางแนนอน ซึ่ง ผูมีอํานาจหนาที่จําเปนที่จะตองวางนโยบายและใหการดูแลตอการเคลื่อนไหวของแนวคิดตางๆที่มีอยูในสังคมที่ตน รับผิดชอบอยู เพื่อไมใหเกิดความเสียหายกับผลประโยชนสวนรวม ซึ่งแตละประเทศจําเปนที่จะตองยอมรับในความ หลากหลายที่มีอยู เพราะความหลากหลายทางศาสนา ความเชื่อ และวัฒนธรรมเปนสิ่งคูบานคูเมืองมาตั้งแตโบราณ กาล ไมวาจะเปนประเทศที่ปกครองโดยใชกฎหมายอิสลามเปนหลัก หรือประเทศที่ปกครองดวยกฎหมายอื่น นโยบายรัฐบาลเปนสิ่งจําเปนที่จะมาควบคุม กํากับดูแลพฤติกรรมของบุคคลใหอยูภายใตกรอบและขอบเขต ที่ไดวางไว ธีโอดอร โลวี (Theodore Lowi) (ศ.ดร.ปยนาถ บุนนาค : 8) ไดแบงนโยบายออกเปน 3 ประเภทหลัก หนึ่งใน นั้นคือ นโยบายที่เ กี่ยวกั บการควบคุมพฤติกรรมของบุคคล หรือของภาคเอกชนเพื่อประโยชนของสัง คมสว นรวม (Regulatory Policies) การวางระเบียบและแนวทางบนพื้น ฐานนโยบายที่ไดว างไว เพื่อ ใหไดมาซึ่งสังคมที่มีความสุ ข อยางยั่งยืนนั้นมีความสําคัญเปนอยางมาก ผจญ คําชูสังข (2548 : 65) ไดกลาววา “กฎหมายหรือระเบียบทางสังคม จึงเปนกรอบมาตรฐานให แต ละคนในสังคมปฏิ บัติเ พื่อความเป นระเบียบของสัง คมนั้ นๆ จึง ถูกบั ญญัติ ขึ้นมาใช เป น เครื่องมือในการบริหารและการจัดการของผูมีอํานาจหนาที่ในการปกครองดูแล ซึ่งจะเปนเครื่องบงชี้ใหคนในสังคม นั้นๆไดตระหนักถึงความถูก-ผิด”. ประเทศมาเลเซียเป นอีกประเทศหนึ่งที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา มีกลุมแนวคิดตางๆ มากมายที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งทางรัฐบาลประเทศมาเลเซียใหความสําคัญ ติดตาม และกํากับดูแลกลุมเหลานี้ เพื่อให เกิดประโยชนสูงสุดแกประเทศชาติ บทบาทการกํากับ ดูแลแนวคิ ดต างๆนั้น ไม ไดเ ปน ภาระหนาที่ข องรั ฐบาลกลางเพียงฝายเดี่ยว แตเ ปน การ กระจายอํานาจการกํากับดูแลสูรัฐบาลรัฐตางๆในประเทศ เพื่อใหงายตอการควบคุมดูแล ซึ่งรัฐกลันตันเปนรัฐหนึ่งที่มี สวนรวมในการกํากับดูแลแนวคิดตางๆที่มีอยูในประเทศมาเลเซีย รั ฐ กลั น ตั น เป น รั ฐ หนึ่ ง ที่ มีความหลากหลายทางเชื้ อชาติ ศาสนา แนวคิ ด และความเชื่ อ ทั้ ง ยั ง เป น รั ฐ ที่ พยายามใชห ลัก การอิ สลามในการบริห ารและปกครอง การใช กฎหมายอิส ลามในการบริ หารรั ฐไมไ ดทํ าใหความ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
32
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
หลากหลายทางศาสนา ความเชื่อ แนวคิดและลัทธิตางๆที่มีอยูในรัฐสูญสลายไปหรือเกิดการตอตานนโยบายและการ กํากับดูแลของรัฐบาล ทั้งๆที่รัฐบาลเองมีความเชื่อและแนวคิดที่ตางกันกับแนวคิดและลัทธิเหลานั้น อยางไรก็ตาม การกํากับดูแลของแตละรัฐนั้น รวมถึงรัฐกลันตัน จําเปนที่จะตองไมขัดกับนโยบายกลาง และ หนวยงานรัฐบาลกลางที่รับผิ ดชอบการควบคุมดู แลแนวคิ ดตางๆนั้ น คือ สํานักงานพั ฒนาศาสนาอิสลามมาเลเซี ย หรือที่เรียกกันวา ยากิม (JAKIM). ฉะนั้น การกํากับดูแลแนวคิดตางๆใหอยูบนพื้นฐานนโยบายของประเทศชาติ และสามารถสรางประโยชนได นั้นเปนสิ่งที่นาศึกษายิ่ง และสามารถที่จะนํามาเปนแนวทางในการแกปญหาตางๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได ดวยเหตุที่รัฐบาลรัฐกลันตันเปนรัฐบาลที่มีแนวคิดสุนนีย บวกกับความหลากหลายของแนวคิดที่มีอยูในรัฐ ทางผูวิจัยมีความเห็นวาแนวคิดที่จะนํามาเปนกลุมเปาหมายในการทําวิจัยในครั้งนี้ควรเปนแนวคิดที่มีการวินิจฉัยโดย ยากิมวาเปนกลุมแนวคิดที่บิดเบือนที่แพรหลายอยางกวางขวางในรัฐกลันตัน จึงมีความเห็นที่จะเลือกแนวคิดอัลนักชา บันดียเปนกลุมเปาหมายในการดําเนินการวิจัยในครั้งนี้ วิธีดําเนินการวิจัย การวิจยั นี้มุงวิเคราะหนโยบายและแนวทางการทํางานของรัฐบาลรัฐกลันตันในการกํากับ ควบคุม และดูแล กลุมแนวคิดอัลนักชาบันดีย และเปนการสะทอนใหเห็นสภาพความเปนจริง บริบท และจุดยืนแนวคิดนี้ที่มีตอนโยบาย และแนวทางการกํากับดูแล หรือการควบคุ มดูแลของรัฐบาลรัฐกลันตั นตอแนวคิ ดนี้ กรอบแนวคิ ดที่กําหนดไวเป น แนวความคิดกวางๆที่ทําหนาที่นําทางใหนักวิจัยแสวงหาความจริงเกี่ยวกับการกํากับและควบคุมดูแลแนวคิดบิดเบือน ของรัฐบาล และพฤติกรรมของผูนับถือแนวคิดบิดเบือนที่มีตอแนวทางการควบคุมของภาครัฐเทานั้น ไมไดมุงที่จ ะ พิสูจนแนวคิดทฤษฎี 1. ประชากรและกลุมตัวอยาง ประชากรในการวิจัยนี้ ไดแก เจาหนาที่รัฐบาลรัฐกลันตัน และสมาชิกกลุมแนวคิดนักชาบันดีย รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีกลุมตัวอยาง 4 กลุม ดังนี้ 1) เจาหนาที่รัฐที่มีหรือเคยรับตําแหนงในหนวยงานรัฐที่มีสวนรูเห็น เกี่ยวกับนโยบายและแนวทางการควบคุมดูแลพฤติกรรมกลุมแนวคิดบิดเบือน 2) เจาหนาที่หนวยงานที่เกี่ยวของ มี ตําแหนงบริหารงานทั่วไป 3) แกนนําหรือศิษยเกาที่ถูกไววางใจใหเปนตัวแทนผูนําของกลุมแนวคิด 4) สมาชิกทั่วไปของ กลุมที่นับถือความเชื่อและปฏิบัติพิธีกรรมตางๆของกลุม 2. ขอบขายการวิจัย ผูวิจัยไดแบงขอบขายของการวิจัยออกเปน 2 สวน ดังนี้ 2.1 ขอบเขตดานเนื้อหา การวิ จัยครั้งนี้มีขอบขายของเนื้อหาการวิจัยใน 3 ประเด็นหลักคือ 1) นโยบายและแนวทางการควบคุ ม แนวคิ ด บิด เบือน 2) ความเชื่อและพิธี ก รรมทางศาสนาของกลุ มแนวคิ ด อัล นั กชาบั น ดีย 3) การกํากั บดู แลกลุ ม แนวคิดอัลนักชาบันดียในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย 2.2 ขอบเขตดานพื้นที่ ผูวิจัยไดเลือกรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย เปนพื้นที่ดําเนินการกิจกรรมหลักของการวิจัย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
33
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
3. เครื่องมือการวิจัย การวิ จั ยนี้ มีก ระบวนการดําเนิน การวิจั ยเป นไปในลัก ษณะการมีส วนร วมของภาครั ฐ และประชาชน ผ าน ตัวแทนกลุมตัวอยางที่หลากหลายตามที่ไดกําหนดไวเบื้องตน ทั้งนี้ในการเก็บขอมูลการวิจัยจากการดําเนิ นการตาม กิจกรรมตางๆ มีดังนี้ 1. การสัมภาษณแบบเจาะลึก โดยการกําหนดประเด็นหรือแนวคําถาม (scheduleguide) ไวลวงหนากอน สัมภาษณ ซึ่งมีสาระสําคัญ ดังนี้ 1) นโยบายในการควบคุมแนวคิดบิดเบือน 2) แนวทางการควบคุมดูแลแนวคิด บิดเบือน 3) ความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาของกลุมแนวคิด 4) การกํากับดูแลกลุมแนวคิดอัลนักชาบันดียและ จุดยืนของกลุมแนวคิดตอนโยบายและแนวทางการกํากับดูแล 2. การสนทนากลุ มยอย โดยที่คณะผูวิจั ยเตรียมประเด็นคําถามที่ใกลเคี ยงกับประเด็นคําถามที่ใชในการ สัมภาษณแบบเชิ งลึก เพื่อใชในการเก็บขอมูลเกี่ยวกั บประเด็น ตางๆที่ได มาขั้น ตน และเปนการถวงคําถาม ซึ่ งเป น ประโยชนอยางมากในการตรวจสอบความเที่ยงตรงของขอมูล 3. การสังเกต โดยทีมวิจัยรวมสังเกตพฤติกรรมการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและปรากฏการณตางๆที่ เกิดขึ้นจากการใชชีวิตประจําวันของกลุมแนวอัลนักชาบันดีย และนํามาวิเคราะหและเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นกับผล การศึกษาเบื้องตนเกี่ยวกับกลุมแนวคิดนี้ 4. การวิเคราะหขอมูล การวิจัยนี้เปนการวิจัยเชิงคุณภาพ เนนการเก็บขอมูลภาคสนาม ฉะนั้น การวิเคราะหขอมูลของการวิจัยนี้จึง ดําเนินการไปพรอมๆ กับการเก็บรวบรวมขอมูล เปนการวิเคราะหขอมูลแบบอุปนัย ดวยการสรางขอสรุปของขอมูล จากสิ่งที่ปรากฏขึ้นในขณะที่ดําเนินกิจกรรมตามกระบวนการวิจัย และนําเสนอผลการวิเคราะหในรูปแบบรายงานเชิง พรรณนาวิเคราะห (Descriptive Analysis) ขอคนพบในการวิจัย ในการรายงานผลการวิจัยครั้งนี้ไดรายงานเปนความ เรียงเชิงบรรยาย ประกอบกับขอความสําคัญที่ไดจากการสัมภาษณ และการสังเกต สรุปผลการวิจัย ในการวิจัยนี้ไดกําหนดกรอบการศึกษาไว 3 ประเด็นใหญ คือ 1) นโยบายและแนวทางการควบคุมแนวคิด บิดเบือน 2) ความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาของกลุมแนวคิดอัลนักชาบันดีย 3) การกํากับดูแลกลุมแนวคิดอัลนักชา บันดียในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งไดผลการศึกษาดังนี้ 1. นโยบายและแนวทางการควบคุมแนวคิดบิดเบือน จากการศึกษาถึงนโยบายและแนวทางการควบคุมแนวคิดบิดเบือนของรัฐบาลรัฐกลันตันสามารถสรุปผลได ดังนี้ 1.1 นโยบายของรัฐบาลรัฐกลันตัน จากการศึกษาพบวา รัฐบาลรัฐกลันตันไดใชนโยบาย มุงเปลี่ยนรัฐกลัน ตันใหเปนรัฐอิสลาม (Islamic State) ในการควบคุมดูแลแนวคิดที่มีอยูในรัฐ ดวยการออกกฎระเบียบและขอบังคับ ตางๆ โดยสโลแกน MBI : Membangun Bersama Islam (พัฒนาดวยวิถีอิสลาม) เปนแนวคิดสําคัญของพรรคพาสใน การปกครองและบริหารจัดการบานเมืองบนพื้นฐานหลักการอิสลาม ซึ่งรัฐบาลมีความเห็นวาตองเริ่มจากการสราง ความถูกตองในเรื่องอากีดะห (หลักการศรัทธา) ฟกเราะห (ความคิด) และ อัคลาก (จริยธรรม) บนพื้นฐานหลักการ อิสลามที่มีอยูในคัมภีรอัลกุรอานและสุนนะฮฺของทานนบี (Ucapan Daras Presiden: 62) 1.2 แนวทางการควบคุมแนวคิดบิดเบือน จากการศึกษาพบวา การควบคุมแนวคิดบิดเบือนในรัฐกลันตัน เปนภาระหนาที่ของสํานักงานคณะกรรมการอิสสลามแหงรัฐกลันตันโดยมอบหมายใหกรมกิจการศาสนาอิสลามเปน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
34
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ผูรับผิดชอบโดยตรง แตเปนการทํางานรวมกันระหวางหนวยงานและฝายตางๆที่มีอยูในสํานักงานคณะกรรมศาสนา อิสลามแหงรัฐกลันตัน ประกอบดวย 1) กรมกิจการศาสนาอิสลาม 2) แผนกอากีดะหและชาริอะฮฺ ฝายวิจัย 3) ฝาย บังคับคดี 4) ฝายรับคําฟอง 5) ฝายดะวะฮฺ 6) ศาลชาริอะฮฺ ในการควบคุมแนวคิ ดบิ ด เบื อนนั้ นมี 8 ขั้ น ตอนหลั ก ซึ่ งสามารถสรุ ปได ดัง นี้ 1)การรับเรื่องรองเรี ยน ประชาชนสามารถแจงหรือรองเรียนความผิดปรกติของกลุมแนวคิดในการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา หรือยึดหลักคํา สอนที่ขัดกับชาริอะฮฺแกเจาหนาที่ผูรับผิดชอบเพื่อดําเนินการตรวจสอบและเอาผิดกับแนวคิดนั้นๆ 2)การตรวจสอบ เบื้องตน แผนกอากีดะหและชาริอะฮฺ ฝายวิจัยจะเปนผูตรวจสอบเบื้องตน เกี่ยวกับความผิดปรกติของแนวคิดที่ถู ก รองเรี ยนมาด วยการส ง สายลั บหรื อสายสื บ เพื่อค น หาหลั ก ฐานและข อเท็ จ จริ ง 3)การสอบสวน เป น ขั้ น ตอนที่ ดําเนินการหลังจากไดรับรายงานจากฝายวิจัยเกี่ยวกับแนวคิด ซึ่งฝายบังคับคดีจะทําเรื่องสงไปยังฝายรับ คําฟองเพื่อ ออกคําสั่งสอบสวนใหกับฝายบังคับคดี จากนั้นจึงมอบหมายงานใหแผนกสอบสวนเปนผูดูแล และอาจขอความรวมมือ จากแผนกอากีดะหและชาริอะฮฺของฝายวิจัยมารวมสอบสวนดวย4)การตรวจสอบหลักฐาน ฝายรับคําฟองจะทําการ ตรวจสอบรายงานที่สงมาจากฝายบังคับคดีในฐานะพยานปากสําคัญในคดีนี้ เมื่อรายงานดังกลาวถูกตรวจสอบและ สามารถเปนหลักฐานได ฝายรับคําฟองก็จะทําเรื่องฟองสงไปยังศาลชาริอะฮฺ แตหากรายงานดังกลาวยังไมสามารถ ระบุความผิดของกลุมอยางชัดเจน ฝายรับคําฟองจะสงเรื่องใหฝายบังคับคดีดําเนินการสอบสวนใหมอีกครั้ง 5)การ ฟองศาล หลังจากการตรวจสอบรายงานและหลักฐานตางๆเปนอันเสร็จสิ้น ฝายรับคําฟองจะทําเรื่องฟองสงไปยัง ศาลชาริอะฮฺพรอมหลักฐานดังกลาว 6)การจับกุม เมื่อศาลฯพิพากษาชนะคดี ศาลฯจะออกหมายจับใหกับฝายบังคับ คดี เพื่อทําการจับกุมกลุมแนวคิดบิดเบือนใหเปนไปตามกฎหมายที่ไดบัญญัติไว ซึ่งกฎหมายไดใหอํานาจแกฝายบังคับ คดีสามารถจับกุมแนวคิดบิดเบือนไดโดยไมตองพึ่งตํารวจ แตเพื่อปองกันเหตุรายที่อาจเกิดขึ้นไดทุกเมื่อ จึงสามารถ ขอความรวมมือจากตํารวจเพื่อจับกุมผูตองหาตามหมายจับของศาล 7)การลงอาญา เปนการลงโทษผูกระทําผิดฐาน ปฏิบัติแนวคิดบิดเบือน ซึ่งกฎหมายไดบัญญัติในมาตราที่ 119 วรรคหนึ่ง ดวยบทลงโทษจําคุกระยะเวลาไมเกินสามป และโบย 8)การตักเตือน ฝายดะวะฮฺในฐานะผูทําหนาที่เผยแพรสัจธรรมและขัดเกลาจิตใจจะมีบทบาทในการสราง จิตสํานึกใหกับสมาชิกกลุม การตักเตือนดังกลาวมีสองชวง คือ การตักเตือนชวงอยูในคุก และการตักเตือนกอนปลอย ตัวออกจากคุก 8 ขั้นตอนที่ไดกลาวมานั้นจะใชในกรณีที่มีหลักฐานที่ชี้ชัดถึงความบิดเบือนของกลุมแนวคิ ด แตในกรณี ที่ ขอมูลที่ไดมายังไมสามารถชี้ขาดถึงความบิดเบือนของกลุมแนวคิดไดนั้น ทางฝายวิจัยจะทําเรื่องสงไปยังสํานักงานมุฟ ตี เพื่ อตรวจสอบและวินิ จฉั ย จากนั้น สํานัก งานมุฟ ตีก็ จะสง คําวิ นิจ ฉัยให กับ ฝายวิจั ย เพื่ อดํ าเนิ นการตามขั้ นตอน ดังกลาว (2552, ธันวาคม 24, 2553, กันยายน 22, 2553, ตุลาคม 19-20) 2. ความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาของกลุมแนวคิดอัลนักชาบันดีย จากการศึกษาถึงความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาของกลุมแนวคิดบิดเบือน โดยเฉพาะกลุมแนวคิดอัลนัก ชาบันดีย สามารถสรุปผลไดดังนี้ 2.1 แนวคิดบิดเบือนและลักษณะที่บิดเบือนของกลุม จากการศึกษาพบวา แนวคิดบิดเบือน คือ แนวคิด หรือการปฏิบัติที่นํามาโดยชาวมุสลิมหรือคนตางศาสนิกที่มีการอางถึงที่มาจากหลักคําสอนอิสลามหรืออางถึง ความ ถูกต องบนพื้ นฐานหลัก คําสอนอิส ลาม แตใ นความเป นจริง แลว แนวคิ ดหรื อการปฏิบั ติดั งกลาวขัด กับ หลัก คําสอน อิสลามที่มาจากคําภีรอัลกุ รอานและสุ นนะฮฺ ของทานนบีมูหัมหมั ด และขัดกับ คําสอนของนักวิชาการสุ นนะฮฺ (สาร ปญหารวมสมัย, 2008: 3)
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
35
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ประเทศมาเลเซียไดรับอิทธิผลจากประเพณี (World View) ของประเทศเพื่อนบาน คือประเทศอินโดนีเซีย อัน เนื่องจากรัฐที่อยูฝงตะวันตกของประเทศมีประชากรสวนหนึ่งที่มาจากประเทศเพื่อนบาน ซึ่งบุคคลเหลานี้ไดนําความ เชื่อดั้งเดิมตางๆนาๆเขามาในประเทศมาเลเซีย โดยสวนใหญแลวความเชื่อเหลานี้เปนความเชื่อดั้งเดิมของศาสนาฮินดู จากนั้นไดมีการนําความเชื่ออิสลามมาสอดแทรกในความเชื่อฮินดูดั้งเดิม ซึ่งเปนเหตุของการเกิดการบิดเบือนในหลัก ความเชื่ออิสลาม (Siti Norbaya, 2007: 5-7) รัฐบาลรัฐกลันตันไดยึดเกณฑกลางในการตัดสินความบิดเบือนของแนวคิด ซึ่งประกอบดวย 7 อยาง คือ 1) ศรัทธาตอหลั กความเชื่อที่ ขัดและไมส อดคล องกับหลั กความเชื่ อของอะหลุล สุนนะฮฺ 2) ไมยอมรับความจริ งที่มีอยู ในอัลกุรอานและหะดีษตามที่นักวิชาการอิสลามไดยอมรับ 3) มีการอางวาเปนนบีที่สงมาหลังจากทานนบีมูหัมหมัด 4) มีความเชื่อวาการรวบรวมหลายศาสนาใหเปนหนึ่งเดี่ยวเพื่อเปนทางเลือกใหแกมวลมนุษยในการนับถือและศรัทธามั่น 5) มีการอางตัวเอง หรือผูนํา หรือกลุมแนวคิดดวยขออางที่ขัดกับหลักความเชื่อของอะหลุลสุนนะฮฺ อยางเชนการอาง ตั ว เองหรื อผู นํ าเป น ชาวสวรรค เ ป น ต น 6) กระทํ าอุ ต ริ ก รรมในศาสนาและยึ ด แนวคิ ด ใหม ที่ ขั ด กั บ ความเชื่ อและ บทบัญ ญั ติข องอิ ส ลาม 7) อรรถาธิ บายอัล กุ รอานและตี ความหะดีษ ตามความประสงค ของตนเอง (สารคํ าชี้แจง เกี่ยวกับ 58 ลักษณะแนวคิดบิดเบือนในประเทศมาเลเซีย, 2008: 1-2) แนวคิดบิดเบือนมีลักษณะพิเศษที่แตกตางกับแนวคิดทั่วไปดังนี้ 1) ศรัทธาตอพระครูหรือผูนําที่เสียชีวิตและมี ความเชื่อวาผูนําสามารถใหความชวยเหลือเมื่อใดที่มีการเอยชื่อของทาน 2) สาบานที่จะปกปดแนวคิดที่นับถือและไม เปดเผยใหคนนอกแนวคิดรับรู 3) ยกยองลูกหลานชาวยิววาเปนประชาชาติที่ดีเลิศที่สมควรเปนแบบอยาง 4) ประกาศ แตงตั้งตนเองหรือผูนําเปนนบี 5) มีการอางถึงการครอบครองทรัพยสินบางอยางของทานนบี อาทิ ดาบและอื่นๆ 6) เชื่อและศรัทธาวาหลักคําสอนแตละแนวคิดเหมือนกันหมด ซึ่งสามารถนําพาผูนับถือสูสวนสวรรค 7) ประกาศตัวเอง เปนวาลีหรือผูมีความศักดิ์สิทธิ์ 8) อางตัวเองหรือผูนําเปนอิหมามมะหดีย 9) เชื่อวาผูนําสามารถใหชาฟาอัต (ความ ชวยเหลือ) ในวันอาคีรัตได 10) ละทิ้งการละหมาดวันศุกรขณะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของแนวคิด (สารปญหา รวมสมัย, 2008) สาร “คําชี้แจงเกี่ ยวกั บ 58 ลัก ษณะแนวคิด บิ ดเบือนในประเทศมาเลเซี ย” ได ชี้แจงลั กษณะของแนวคิ ด บิดเบือนและอธิบายเหตุผลของการบิดเบือนอยางละเอียด ซึ่งสามารถกลับไปดูในงานวิจัยนี้ได 58 ลักษณะแนวคิด บิด เบื อนที่ ร ะบุ โ ดยยากิ มถื อเป น กรอบทั่ ว ไปในการตั ด สิน ความบิ ด เบื อนของแต ล ะกลุ มแนวคิด ที่ มีอยู ใ นประเทศ มาเลเซีย 2.2 แนวคิดอัลนักชันบันดีย จากการศึกษาพบวา แนวคิดอัลนักชาบันดีย หรืออันนักชาบันดียะฮฺ เปนกลุม ซูฟกลุมหนึ่งที่มีการพาดพิงถึงชายที่มีชื่อวา มูฮัมมัด บาหาอุดดีน อัลบุคอรีย (เสียชีวิตเมื่อปฮิจเราะหศักราช 791) ใน การกอตั้งแนวคิดนี้ ซึ่งคําวา “อัลนักชาบันดีย” เปนคําภาษาเปอรเซียมีความหมายวาชางทาสี ชางแกะสลัก การนําคํา นี้มาใชกับกลุมอัลนักชาบันดีย เนื่องจากชาวนักชาบันดีย คิดวาพวกเขาพยายาม สลักความรักตออัลลอฮฺในจิตใจของ พวกเขาดวยรูปแบบเฉพาะ ตามแนวทางของพวกเขา (Feriduddin Aydin, 1997: 9 ) แนวคิดอัลนักชาบันดียเริ่มเปนที่รูจักนับตั้งแตแนวคิดนี้ถือกําเนิดในดินแดนประเทศตุรกี แลวคอยๆกระจาย ไปยัง เมือง มาวารออันนั ฮรฺ (Ma wara’ annahr)1 เมืองคอรอซาน (Kha rasan)2 แลว เขาสูดินแดนอิ นเดีย เมื่ อ
1 2
Ma Wara` Annahr หรือ Transoxiana เปนชื่อโบราณของภูมิภาคตัง้ อยูในเอเชียกลางระหวางแมน้ํา Amu Darya และแมน้ํา Syr Darya เปนชื่อโบราณของพื้นที่ที่กวางขวางครอบคลุมเอเชียกลางและอัฟกานิสถาน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
36
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
อาณาจักรบนีสัลจูก (Bani Saljuk)3 ลมสลาย อาณาจักรออตโตมาน4เขามามีอํานาจ แนวคิดนี้ก็แพรหลายในดินแดน ของอาณาจักรออตโตมาน (Feriduddin Aydin, 1997: 32) ในประเทศมาเลเซียมี 9 แนวคิดที่แพรกระจาย ซึ่งแนวคิดนักชาบันดียะหเปนหนึ่งในสองแนวคิดที่ทรงอิทธิผล ในประเทศมาเลเซี ย แนวคิ ด นี้ ถู ก เผยแผ ใ นประเทศมาเลเซี ยโดยบรรดาลู ก ศิ ษ ย ที่ จ บมาจากประเทศอิ น โดนี เ ซี ย แนวคิดอัลนักชาบันดียไดเขามาในรัฐกลันตันไมนอยกวา40 ป หรือเกือบ 100 ป ซึ่งเปนระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร (Nik Abdul Aziz Bin Haji Nik Hasan, 1977: 46-48. Abdul Rahman Haji Abdullah, 1997: 51-52. Himpunan Fatwa Warta Negeri Melaka: 2) แนวคิดนี้มีความเชื่อดังนี้ 1) สมาชิกและแกนนําของกลุมมีชีวิตและมีความสัมพันธอยางตอเนื่องกับแกนนํา หรือพระครูที่ไดเสียชีวิตแลว 2) กะอฺบ ะฮฺที่อยู ณ มักกะห จะออกไปเยี่ยมเยียนแกนนําแนวคิดตามสถานที่ตางๆ 3) สามารถมองเห็นอัลลอฮฺบนโลกนี้ 4) ใครที่ไมมีเชค (พระอาจารยหรือพระครู) แทจริงแลวเขาไดฝาฝนอัลลอฮฺและ ทานนบี 5) สามารถรับความรูจากอัลลอฮฺโดยตรง 6) บรรดาเชคที่เสียชีวิตยังมีชีวิตอยู 7) พระครูสามารถชุบชีวิตคน ได (Mohammad Amin al-Kurdi, 2003: 113 . Ali Bin al-Hasan al-Harawi, 1999: 139. Muhammad Bin Sulaiman: 31. Abdul Rahman Muhammad Saaid: 60) สําหรับพิธีกรรมที่สําคัญของกลุมนี้มีดังนี้ 1) การใหคําสัตยาบัน (al-Baia’h) 2) อัรรอบิเฏาะฮฺ (al-Rabitoh)5 3) อัล ค็อตมฺ อัลคูจาคานีย (al- khatm al- khuwajagani)6 ( Abdul Majid al khani,1992: 33 ) ปจจุบันแนวคิดอัลนักชาบันดียที่มีอยูในประเทศมาเลเซียนั้นมี 2 กลุม คือ นักชาบันดียะหคอลีดียะหกอดีรู นยะหยา และนักชาบันดียะหอัลอาลียะห สําหรับแนวคิดนักชาบันดียะหคอลีดียะหกอดีรูนยะหยาถูกกอตั้งโดยศ.ดร. ฮัจญี สัยยีดี เชค กอดีรูน ยะหยา ตั่งแตป 1952 ในเมืองเมดาน (Medan) ประเทศอินโดนีเซีย และเริ่มแพรหลายเขาสู ประเทศมาเลเซียประมาณป 1970 และถูกเผยแพรในกรุงโกตาบารู รั ฐกลันตัน มีหลักความเชื่อและพิ ธีกรรมทาง ศาสนาดังนี้ 1) แสงของอัลลอฮฺ (Nur Allah) ไดผสานกับแสงของทานนบี มูหัมหมั ด 2) แนวคิดนี้ถูก ประทานลงมา จากอัลลอฮฺโดยตรง 3) ศรัทธามั่นพรอมกับพระครู 4) การสูบบุหรี่ทําใหไมสามารถเขาสวนสววรค 5) ประกอบพิธี ฮัจย ณ เมืองเมดาน ประเทศอินโดนีเซีย 6) การประกอบพิธีซูลูก แนวคิดนี้ถูกวินิจฉัยโดยยากิมและสํานักงานมุฟตีรัฐ มะละกาวาเปนแนวคิดบิดเบือน (Himpunan Fatwa Warta Kerajaan Negeri Melaka 1986-2005, 2005: 1-5) สําหรับแนวคิดนักชาบันดียะหอัลอาลียะหนั้น มีการอางวาเปนแนวคิดที่สืบทอดมาจากทานนบีมูหัมหมัด และบรรดาสาวกของทานนบี โดยเฉพาะทานอะลี บินอะบีฎอลิบ และทานอะบูบักร อัลศิดดีก ปจจุบันกลุมแนวคิดนี้นํา โดยเชคนาซีม ถูกเผยแผในทวีปเอเชียในป 1986 มีหลักความเชื่อและพิธีกรรมสําคัญดังนี้ 1) พลังแหงวาลี (ผูชวย เหลือ) 2) ผูนําแนวคิดมีอํานาจเบ็ดเสร็จ 3) มีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตางๆ อาทิ เชน ซูลูก รอบีเฏาะฮฺ และ
3
อาณาจักรบนีสัลจูก หรือเปนที่รูจักในนาม จักรวรรดิเซลจุค เปนจักรวรรดิแบบเปอรเชียของยุคกลาง ของชนเซลจุคเตอรกของเทอรโค-เปอรเชีย ที่มี อํานาจครอบครองอาณาบริเวณอันกวางใหญตั้งแตเทือกเขาฮินดูกูช ไปถึงทางตะวันออกของอนาโตเลียและจากทวีปเอเชียกลางไปจนถึงอาวเปอรเชีย 4 หรือเปนที่รูจักในนาม จักรวรรดิออตโตมัน (อังกฤษ: Ottoman Empire) ถือกําเนิดขึ้นในป พ.ศ. 1996 (ค.ศ. 1453) หลังการลมสลายของจักรวรรดิไ บ แซนไทนซึ่งมีคอนสแตนติโนเปล(อิสตันบูล) เปนเมืองหลวง มีอาณาเขตที่ครอบคลุมถึง 3 ทวีป ไดแก เอเชีย แอฟริกา และยุโรป ซึ่ง ขยายไปไกลสุดถึง ชอ งแคบยิบ รอลตารทางตะวันตก นครเวียนนาทางทิศเหนือ ทะเลดําทางทิศตะวันออก และอียิปตทางทิศใต ลมสลายในป พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) 5 อัรรอบิเฏาะฮฺตามทัศนะของกลุมอัลนักชาบันดีย หมายถึงการที่ศิษยขอความชวยเหลือจากวิญญาณของอาจารยที่เสียชีวิตในอัลลอฮฺ ซึ่งสามารถจะ สนทนาติดตอกับอาจารยเหมือนกับเขาอยูขางหนาเรา 6 อัล ค็อตมฺ อัลคูจาคานีย เปนพิธีกรรมศาสนาของกลุมอัลนักชาบันดีย โดยที่พวกเขาจะจัดใหมีชุมนุมลับ ในวัน เวลา ที่กําหนดชัดเจน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
37
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
อื่นๆ 4) บูชาหลุมศพผูนําที่เสียชีวิตแลว ซึ่งแนวคิดนี้ถูกวินิจฉัยบิดเบือนโดยยากิม (เชค ตอริก บิน มูหัมหมัด อัลสะอฺ ดีย, 2005: 25-27) ทั้ง สองกลุมแนวคิ ดนั กชาบั นดี ยะห ที่ไ ดก ลาวมานั้ นมี ความเชื่ อและพิ ธีก รรมทางศาสนาที่ ขัด กับ หลั กการ อิสลามที่เที่ยงตรง ทางคณะกรรมการฟตวาแหงชาติ ประเทศมาเลเซีย จึงไดตัดสินวินิจฉัยชี้ขาดถึงความบิดเบือนของ ทั้งสองกลุม 3. การกํากับดูแลกลุมแนวคิดอัลนักชาบันดียในรัฐกลันตันประเทศมาเลเซีย จากการศึกษาถึงการกํากับดูแลของรัฐบาลรัฐตอกลุมแนวคิดอัลนักชาบันดียในรัฐกลันตันประเทศมาเลเซีย สามารถสรุปผลได ดังนี้ 3.1 การควบคุมแนวคิดอัลนัก ชาบันดียในรัฐกลั นตัน ประเทศมาเลเซีย จากการศึกษาพบวา ยากิ ม (JAKIM) ไดวินิจ ฉัยว ากลุมแนวคิดอัล นักชาบันดี ยเป นแนวคิดบิ ดเบือน และเผยแพรผลการวิ นิจฉัยเหล านั้นผ านสื่ อ ตางๆ แตคําวินิจฉัยดังกลาวนั้นไมถือวาเปนคําชี้ขาดในการตัดสินการบิดเบือนของกลุมแนวคิดอัลนักชาบันดียที่มีอยูใน รัฐตางๆของประเทศมาเลเซีย หากแตละรัฐนั้นสามารถที่จะวินิจฉัยตางจากยากิม เมื่อพบเห็นวากลุมดังกลาวที่มีอยูใน รัฐไมมีลักษณะตองหามตามที่ระบุในสารดังกลาว ฉะนั้น ในการกํากั บดูแลแนวคิด ตางๆที่มีอยูในรัฐกลันตั นนั้น หน วยงานที่รั บผิด ชอบโดยตรงไมไ ดเจาะจง แนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง สําหรับแนวคิดอัลนักชาบันดียในรัฐกลันตันนั้นกําลังอยูในการติดตามของแผนกอากีดะหและชา ริอะฮฺ ปจจุบัน ยังไมมีการพิจ รนาและวินิจฉั ยบิดเบือนตอแนวคิดนี้ เพราะหลักฐานที่มียังไมเพียงพอที่ จะเอาผิดและ ดําเนินคดีกับกลุมแนวคิดได ซึ่งกลุมแนวคิดอัลนักชาบันดียที่มีอยูในรัฐกลันตันนั้นมีอยูหลายพื้นที่ ดังนี้ 1) ปอเนาะปา เซตูโมะ 2) ตุมปะ 3) สุไงกือลาดี โกตาบารู 4) ปอเนาะสือลีกี อําเภอปาเซปูเตะ 3.2 จุดยืนแนวคิดอัลนักชาบันดียตอนโยบายและแนวทางการควบคุมแนวคิด จากการศึกษาพบวา กลุมแนวคิดอัลนักชาบันดียในรัฐกลันตันมีจุดยืนที่แตกตางกัน ซึ่งกลุมแนวนักชาบันดียะหที่นําโดยโตะครู ฮัจญี ฮาชิม บิน อาบูบักร ณ ปอเนาะปาเซตูโมะ มีจุดยืนของขางที่จะเปนมิตรกับรัฐบาล และพอใจกับนโยบายและแนวทางการ กํากับดูแลของรัฐบาลรัฐกลันตัน อาจเปนเพราะกลุมแนวคิดนี้ไมปดปด และอนุญาตใหทุกคนเขามารับอนุญาตทั่ วไป ได แถมเปนสถาบันปอเนาะที่ทางรัฐใหการชวยเหลือมาตลอด ตางกับจุดยืนของกลุมแนวคิดนักชาบันดียะหที่นําโดย มู หัมหมัด ไตบ ที่มีอยูในบานสุไงกือลาดี โกตาบารู ที่ไมเห็นดวยกับแนวทางการกํากับดูแลของกรมศาสนาอิสลาม ที่ ไมใหความเปนอิสระในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การควบคุมแนวคิ ดบิดเบือนใหอยูใ นกรอบที่ถูกตอง หางไกลจากกรอบบิดเบือนที่วางไวโดยยากิมนั้นอาจ สงผลบางตอจุดยืนทางการเมืองของรัฐบาลรัฐ แตจากประสบการณที่เลามาโดยผูใหสัมภาษณพบวา กลุมแนวคิ ดไม สนใจเทาไรกับการควบคุมของหนวยงานรับผิดชอบในการเลือกตั้งทางการเมือง เพราะกลุมแนวคิดมักจะเลือกพรรคที่ ใหประโยชนกับกลุม โดยไมเจาะจงวาตองเปนพรรคพาสหรือไม (2552, ธันวาคม 24. 2553, กันยายน 21-22. 2553, ตุลาคม 19-22) ขอเสนอแนะ ปญหาความไมสงบในประเทศไทยเกิดจากหลายปจจัย แตละพื้นที่มีปจจัยที่ตางกัน ซึ่งปญหาความไมสงบใน สามจังหวัดชายแดนภาคใตไดเกิดขึ้นมาอยางตอเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแตป 2547 หลังจากเหตุการณปลนปนคลังแสง เก็บอาวุธของกองทัพบกในคายนราธิวาสราชนคริ นทร พื้นที่อําเภอเจาะไอรอง จั งหวัดนราธิวาส ทุกๆเหตุการณ ท ี่ เกิ ด ขึ้ นในสามจั ง หวั ด ชายแดนภาคใตห ลั ง จากเหตุ ก ารณที่ เ กิ ดขึ้ น ในครั้ ง นั้น จนกระทั้ ง ปจ จุ บั นมั ก ถู กเชื่ อมโยงกั บ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
38
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
เหตุการณความไมสงบ ถูกอางวาเปนเหตุการณที่คุกคามความมั่นคงของชาติ โดยไมไดมองถึงความรูสึกของคนในพื้น ที่วาเขามีความเห็นและความรูสึกอยางไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น การเข าจั บ กุ มชาวบ านโดยไม ไ ด รั บ ฟ ง ขอเท็ จ จริ ง จากผู ต องหาไดส ร างความเคื องใจให กั บชาวบ านและ ครอบครัวผูตองหาเปนอยางมาก เปนเหตุใหชาวบานบางคนถูกชักชวนใหกอความไมสงบในพื้นที่ ฉะนั้น งานวิจัยนี้เปนอีกหนึ่งงานวิจัยที่สามารถชี้ทางใหกับภาครัฐในการจัดการและควบคุมดูแล ซึ่งควรมี การดําเนินการดังนี้ 1. รัฐควรมีนโยบายและแนวทางการกํากับดูแลแนวคิดหรือลัทธิตางๆที่มีอยูในประเทศอยางชัดเจน จะพบวา รัฐบาลรัฐกลันตันมีนโยบายที่ชัด เจนในการควบคุมดู แลแนวคิดที่ มีอยูในรัฐ ในการนํ านโยบายดังกลาวมาใชในการ กํากับดูแลแนวคิด จะพบวา รัฐบาลไดวางแนวทางการกํากับดูแลอยางชัดเจนเปนขั้นเปนตอน ซึ่งแตละขั้นตอนมีการ ดําเนินงานอยางละเอียด เพื่อรักษาสิทธิของแนวคิดใหเปนไปตามนโยบายที่รัฐไดวางไว และเพื่อใหเกิดความสงบสุข ของรัฐอยางแทจริง 2. มีหน วยงานที่รับ ผิด ชอบเฉพาะที่มีอํานาจทางกฎหมายในการดําเนิ นงาน จะพบว า ในการกํ ากับ ดูแล แนวคิดตางๆที่มีอยูในรัฐกลันตันนั้น รัฐบาลจะมอบงานนี้ใหอยูในการดูแลของสํานักงานคณะกรรมการศาสนาอิสลาม แห ง รั ฐ ภายใต สํ านั ก งานฯจะมี ห น ว ยงานอี ก หลายหน ว ยงานที่ รั บ ผิ ด ชอบร ว มกั น ซึ่ งกฎหมายรั ฐ ได ใ ห อํานาจแก หนวยงานตางๆในการดูแลงานในดานใดดานหนึ่ง 3. ไม กระทําการใดๆที่ไมผ านกระบวนการตรวจสอบและสอบสวน จะพบวา ในการเอาผิ ดกับแนวคิดใด แนวคิดหนึ่งรัฐบาลจะไมทําตามคําวินิจฉัยของยากิม แตเปนการตรวจสอบใหมอีกครั้งตามขั้นตอนที่ไดกลาวมาขั้นตน ซึ่งแตละขั้นตอนมีความละเอียดพอสมควร จากกระบวนการตรวจสอบและการสอบสวบทั้งหมดจะเห็นไดวา ไมใ ช เรื่องงายที่จะเอาผิดกับกลุมแนวคิดใดกลุมแนวคิดหนึ่งจนกวาจะมีหลักฐานที่เปนที่ประจักวาผิดจริงๆ จึงสามารถเอา ผิดได นับวาเปนการทํางานที่ยึดหลักความยุติธรรม ไมใชการใสรายปายสีที่อาจกอปญหามากมายตามมา
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
39
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บรรณานุกรม นิตยสาร Der Spiegel. 1996. ฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน. แนวคิดและยุทธศาสตรการพัฒนาประเทศในระยะแผนพัฒนาฯ. ฉบับที่ 10. พ.ศ.2550-2554. ปยนาถ บุนนาค. มปป. นโยบายการปกครองของรัฐบาลตอชาวโทยมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต พ.ศ. 2475-2516. ผจญ คํ าชู สั ง ข . 2548. บาป: ศึ ก ษาเชิ ง วิ เ คราะห ใ นมโนทั ศ น ข องพุ ท ธศาสนาฝ า ยเถรวาท. วิ ท ยาสาร เกษตรศาสตรสาขาสังคมศาสตร. ปที่ 26. ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน. พินธ ทิพยศรีนิมิต. 2554. ตัวตนทางวัฒนธรรมของคนไทยในรัฐตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย . วิทยานิพนธ. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต. สาขาวิชาไทศึกษา. Abdul Majid al khani. Al-Sacadah al-Abadiah Fima Ja Bihi al-Naqshabandiah. Turki: Al-Ikhlas. 1992. Abdul Rahman Haji Abdullah. 1997. Pemikiran Islam di Malaysia: sejarah dan aliran. Malaysia: Gema Insani. Abdul Rahman Muhammad Sacaid. 2011. Al-Tarikah Al-naqshabandiyah. จากอินเตอรเน็ต (สืบคนเมื่อวันที่ 5/8/2011). http:// www. Frqan.com Ali Bin al-Hasan al-Harawi. 1999. Rasyahat Ayin al-Hayah. Dar al-Sodir. Feriduddin Aydin. Al-Toriqah Al-Naqshabandiah Bian Madhiha Wa Hadhiriha. 1997. Jabtan Kemajuan Islam Malaysia. 2008. Risalah Isu semasa Penjelasan ciri-ciri utama ajaran sesat. FM Security Printer Sdn. Bhd. Jabatan Mufti Negeri Melaka. 2005. Himpunan Fatwa Warta Kerajaan Negeri Melaka 1986-2005. Muhammad Amin al-Kurdi. 1384. Al-Mawahib al-Sarmadiyyah Fi Manaqib al-Naqsyabandiyyah. AlSacadah. Muhammad Bin Sulaiman al-Baghdadi. 1234. Al-Hadiqah al-Nadiyyah Fi al-Tariqah alNaqsyabandiyyah. Maktabah al-Haqiqah. 1234. Nik Abd. Aziz Bin Haji Nik Hasan. 1977. Sejarah Perkembangan Ulama Kelantan. Kelantan: Pustaka Aman Press SDN. BHD. Siti Norbaya Binti Abd.Kadir. 2007. Ajaran Sesat: Sejarah Kemunculan Dan Ciri-cirinya. kuala Lumpur: Percetakan Putrajaya SDN. BHD. Torik Muhammad al-Sacadi. 2005. al-minnah al-ilahiyyah fi bayan al-toriqah al-naqsyabandiyyah al-aliyyah. Dar al-Junaid. 2005.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
41
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทความวิจัย
ตัครีจญหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยในหนังสือคุณคาของอะมาล ของ ชัยคุลหะดีษ เมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา เชาวนฤทธิ์ เรืองปราชญ อับดุลเลาะ การีนา บทคัดยอ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงคเพื่อ ศึกษาแหลงที่มาและประเมินสถานภาพของหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยใน หนังสือคุณคาของอะมาลของชัยคุลหะดีษ เมาลานา มูฮัมมัด ซะกะรียา วิธีดําเนินการวิจัย โดยใชวิธีวิทยาการวิจัยทางดาน การตัครีจญหะดีษ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ คัดลอกหะดีษจากหนังสือดังกลาว พรอมทั้งกํากับหมายเลขของหะดีษ และหมายเลข หนาหนังสือที่ปรากฏหะดีษ คนหาแหลงที่มาจากหนังสือคูมือคนหาหะดีษ หนังสือสารบัญหะดีษ ตรวจสอบสถานภาพจาก คําตัดสินของบรรดาปราชญหะดีษ โดยยึดทัศนะของปราชญหะดีษสายกลาง (มุอฺตะดิลีน) เปนหลัก ผลการวิจัยพบวา เมาลานา มูฮัมมัด ซะกะรียา มีชื่อเต็มวา มูฮัมมัด ซะกะรียา อัลกันดะฮฺละวีย เปนปราชญ ทานหนึ่งที่เชี่ยวชาญหะดีษ เกิดที่เมืองกานดะฮฺละฮฺ ประเทศอินเดีย ทานเกิดในตระกูลของผูทรงความรู และเครงครัด ในศาสนา เปนตระกูลที่มีบรรพบุรุษลวนแลวแตเปนผูมีชื่อเสียงในดานการทํางานเพื่ออิสลาม ทานใชชีวิต ในการสอน หะดีษเปนระยะเวลาอันยาวนานและมีความเชี่ยวชาญ จนไดรับการขนานนามจากกลุมญะมาอัตตับลีฆวาเปน “ชัยคุล หะดีษ” ซึ่งมีความหมายวา ปรมาจารยดานหะดีษ หะดีษที่ทําการตัครีจญทั้งหมดมีจํานวน 441 หะดีษ แบงออกเปนหะดีษเศาะเหียะหจํานวน 160 หะดีษ หรือ 36.28% หะดีษหะสันจํานวน 78 หะดีษ หรือ 17.68% หะดีษเฎาะอีฟ จํานวน 132 หะดีษ หรือ 29.93% หะดีษเฎาะ อีฟ ญิด ดัน จํ านวน 35 หะดีษ หรือ 7.93%หะดี ษเมาฎั๊ว ะ จํ านวน 25 หะดีษ หรือ 5.66% ไม พบสายรายงานและ สถานภาพของหะดีษ จํานวน 11 หะดีษ หรือ 2.49% ทั้งหมดอยูในขายหะดีษมักบูล จํานวน 238 หะดีษ หรือ 53.96% และอยูในขายมัรดูดจํานวน 203 หะดีษ หรือ 46.04% หนังสือคุณคาของอะมาลของเมาลานา มูฮัมมัด ซะกะรียา เปนหนังสือแนวรวบรวมเรื่องราวที่เกี่ยวกับคุณคา และความประเสริฐของการปฏิบัติศาสนกิจ (Fada’il) หนังสือในแนวนี้มักจะปรากฏหะดีษเฎาะอีฟ เฎาะอีฟญิดดัน และ หะดีษเมาฎั๊วะ สาเหตุเนื่องจากกฎเกณฑของนักปราชญในเรื่องของการนําหะดีษเฎาะอีฟมาใชเปนหลักฐาน แมวาเมา ลานา มูฮัมมัด ซะกะรียา เปนผูที่เชี่ยวชาญหะดีษทานหนึ่ง แตกระนั้นหนังสือของทานก็ไมปลอดจากหะดีษประเภท เหลานี้ แมวาจะปรากฏในสัดสวนที่นอยนิดก็ตาม คําสําคัญ: ตัครีจญ, หะดีษ, ชัยคุลหะดีษ, มูฮัมมัด ซะกะรียา, คุณคาของอะมาล
นักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชาอิสลามศึกษา วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี.
ดร.(อัลกุรอานและอัลหะดีษ), ผูชวยศาสตราจารย, อาจารยประจําภาควิชาอิสลามศึกษา วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขต
ปตตานี.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
42
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
RESEARCH
Prophetic traditions (Hadith) with their translation into Thai which are cited in Fada’il c Amal, a reputable religious treatise authored by Sheykh al-Hadith Mawlana Muhammad Zakariya เชาวนฤทธิ์ เรืองปราชญ อับดุลเลาะ การีนา Abstract The present research has the key objective of investigating into the sources of prophetic traditions (Hadith) with their translation into Thai which are cited in Fada’il ‘Amal, a reputable religious treatise authored by Sheykh al-Hadith Mawlana Muḥammad Zakariya, and authenticating them.The method employed in conducting the study is the authentication of prophetic traditions (Takhrij al- Hadith), which is basically composed of the following steps: (i) copying the target traditions from a particular book and numbering them along with page number in which they are cited, (ii) investigating into the sources of the traditions found by consulting one of the concordances of prophetic narrations or the Hadith indices, and (iii) authenticating and classifying the traditions based on verdicts given by Hadith scholars who are categorically regarded moderate (Mu‘tadilin). The findings are as follows: Mawlana Muhammad Zakariya, fully named Muhammad Zakariya alKandhlawi, was a prominent scholar who had notable expertise in the science of Hadith. He was born an eminent family of learned individuals who gained reputation through their activism for Islam. Mawlana Muhammad Zakariya was so strongly committed to the dedication of his life to the teaching of Hadith and had expertise in this science that he received an honorary designation from Tablighi Jamacat as “Sheykh al- Hadith,” which literally means the scholar of prophetic traditions. There were found a total of 441 prophetic traditions (Hadith) with Thai translation in the treatise to authenticate. They were categorised into six classes: (i) authentic traditions (Hadith Sahih) with a number of 160 traditions (36.28%), (ii) fine traditions (Hadith Hasan) with a number of 78 traditions (17.68%), (iii) weak traditions (Hadith Ḍacif) with a number of 132 traditions (29.93%), (iv) very weak traditions (Hadith Dacif Jiddan) with a number of 35 traditions (7.93%), (v) fabricated traditions (Hadith Mawduc) with a number of 25 traditions (5.66%), and (vi) no-source traditions with a number of 11 traditions (2.49%), all of which are placed
Ph.D. Student of Islamic Studies, College of Islamic Studies, Princes of Songkhla University, Pattani Campus.
Campus.
อัล-นูร
Asst. Prof. Ph.D. (Al-Qur’an and Al-Hadith) Lecturer, Department of Islamic Studies, College of Islamic Studies, Princes of Songkhla University, Pattani
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
43
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
in two categories, i.e. the accepted category (Maqbûl) with a number of 238 traditions (53.96%) and the rejected category (Mardud) with a number of 203 traditions (46.04%). Faḍa’il ‘Amal, authored by Mawlana Muḥammad Zakaraya, is a collection of persuasive stories in relation to the significance and merits (Fada’il) of performing good works (cAmal). Such a treatise is invariably found to be inclusive of weak, very weak, and fabricated traditions because of the authors’ lenient standards in referring to weak traditions as proof for encouragement of performing good works. Mawlana Muhammad Zakariya was celebrated as an expert in the science of Hadith. However, his work done in the purpose of enjoining good works was not absolutely free from those weak traditions, though found in a minimal proportion. Keywords: Takhrij, Hadith, Shaykh al-Islam, Muhammad Zakariya, Faḍa’il cAmal
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
44
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทนํา หะดีษ หมายถึง สิ่งที่พาดพิงถึงทานนบี ในทุกๆ ดาน ทั้งที่เปนคําพูด การกระทํา การยอมรับ คุณลักษณะทั้ง ในดานสรีระและจริยะ ตลอดจนชีวประวัติของทานทั้งกอนและหลังการไดรับการแตงตั้งใหเปนนบี (Mustafa al-Siba‘i, 1982: 47) หะดีษมีความสําคัญในสองสถานะดวยกัน กลาวคือ สถานะที่หนึ่งในฐานะเปนตัวขยายความอัลกุรอานใหมีความ กระจางชัดในแงการปฏิบัติและในแงอื่น ๆ สถานะที่สองในฐานะเปนแหลงที่มาแหงบทบัญญัติอิสลามอันดับสองรองจาก จากความสําคัญดังกลาวขางตน ทําใหหะดีษกลายเปนศาสตรที่ยิ่งใหญศาสตรหนึ่งในอิสลามศึกษา มีสาขาวิชาตาง ๆ แตก ออกมากกวาหนึ่งรอยสาขาวิชา อัลหาซิมีย (584 ฮ.ศ.) ปราชญหะดีษคนหนึ่งไดกลาววา “แมวาคนๆ หนึ่งจะใชชั่วอายุของ เขาเพื่อศึกษาวิชาหะดีษก็ไมสามารถศึกษาไดทั้งหมด” (al-Qasimi, 1987: 44) ดังนั้น การศึกษาวิชาการที่เกี่ยวของกับหะดีษ ถือวามีความสําคัญ โดยเฉพาะอยางยิ่ง ในแวดวงวิชาการอิสลามศึกษาในประเทศไทยนั้ น ศาสตรนี้ถือวาเปนศาสตร ที่ ตองการการคนควาอีกมาก การตัครีจญ เปนศาสตรแขนงหนึ่งในสาขาวิชาหะดีษ หมายถึง การชี้ถึงแหลงที่มาของตัวบทหะดีษที่เปนแหลง ปฐมภูมิ (Primary Sources) และการนําเสนอแหลงที่มาดังกลาว พรอมแจกแจงสถานภาพของหะดีษเมื่อมีความจําเปน (Bakkar, 1997 : 12) ซึ่งการตัครีจญหะดีษ และวิชาที่เกี่ยวของกับการตัครีจญหะดีษ เปนสิ่งที่เกิดขึ้นใหมในแวดวงวิชาการ อิสลามศึกษา กลาวคือ มุสลิมในยุคแรก ๆ ไมมีความจําเปนตอการตัครีจญหะดีษ เนื่องจากพวกเขามีความสัมพันธที่แนบ แนนกับแหลงที่มาเดิมของสุนนะฮฺจนกระทั่งในสมัยตอมาไดมีนักวิชาการ (อุลามาอฺ) กลุมหนึ่งเรียบเรียงหนังสือวิชาการตาง ๆ และไดระบุตัวบทของหะดีษโดยมิไดบอกถึงที่มาและสถานภาพของหะดีษ อาจเปนเพราะรูดีวาหะดีษตาง ๆ นั้นเปนที่รับรู กันในหมูคนในสมัยนั้น ๆ หรืออาจเปนเพราะมีเจตนาที่ตองการกระตุนใหผูอานไดคนควาหาแหลงที่มาของหะดีษ เมื่อเปน เชนนี้จึงมีนักปราชญ หะดีษกลุมหนึ่งเห็นความจําเปนในการตัครีจญหะดีษ ตัวอยางของนักปราชญกลุมแรก ๆ ที่ใหความ สนใจในการตัครีจญ เชน อัลบัยฮะกีย (458 ฮ.ศ.) อบูนุอัยมฺ อัลอัศบิฮานีย (430 ฮ.ศ.) อัลคอฏีบ อัลบัฆดาดีย (463 ฮ.ศ.) และ อัลหาซีมีย (584 ฮ.ศ.) เปนตน (Bakkar, 1997 : 18) กลุมญะมาอัตตับลีฆ เปนกลุมที่กําลังแพรหลายและมีอิทธิพลมากที่สุดกลุมหนึ่งในหมูมุสลิมในปจจุบัน แมวา กลุมญะมาอัตตับลีฆจะถือกําเนิดในประเทศอินเดียโดยทานเมาลานา มุฮัมมัด อิลยาส กันดะฮฺละวีย (ค.ศ.1885-1994) แต ดวยวิธีการทํางานเผยแผหลาย อยางที่โดดเดนทําใหกลุมนี้ไดแพรหลายอยางรวดเร็วยังประเทศตางๆ ในเอเชีย เอเชี ย ตะวันออกเฉียงใต ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และอัฟริกา สวนในประเทศไทยนั้น กลุมญะมาอัตตับลีฆได เขามาดําเนินงานเผยแผตั้งแตป พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) โดยเริ่มจากภาคเหนือกอน แลวตอมาก็ไดขยายตัวอยางรวดเร็วยัง ภูมิภาคตางๆ ของประเทศไทย ปจจุบันกลุมญะมาอัตตับลีฆมีศูนยกลางอยูในทุก อําเภอ และตําบลที่มีประชากรมุสลิม อาศัยอยู (มะสาการี อาแด, 2543 : 107-108) การทํ างานเผยแผ ของกลุมญะมาอั ตตั บลี ฆนั้ นไดใช หนั งสื อเลมหนึ่ งที่ ชื่ อว า คุณคาของอะมาล หรื อ "Fada’il c A’mal" ซึ่งเขียนโดยเมาลานามุฮัมมัด ซะกะรียา (ค.ศ. 1898-1982) เปนแนวทางในการอบรมสั่งสอนและปฏิบัติ จนกลาวได วาหนังสือเลมนี้ไดกลายเปนหนังสือคูมือที่สําคัญของกลุมญะมาอัตตับลีฆ จากความสําคัญดังกลาวทําใหหนังสือเลมนี้ ไดรับความนิยมและแพรหลายในประเทศตางๆ ทั่วโลก มีผูแปลเปนภาษาตาง ๆ รวมทั้งภาษาไทยซึ่งแพรหลายและเปนที่ รูจักในหมูมุสลิมโดยทั่วไป แตเนื่องจากหนังสือเลมนี้ผูเขียนไดอางอิงตัวบทหะดีษไวเปนจํานวนมาก ตัวบทหะดีษสวนใหญ แมผูเขียนจะไดอางถึงแหลงที่มา แตก็ไมสามารถใหความเขาใจที่ชัดเจนแกผูอานโดยเฉพาะผูที่ไมมีความรูในวิชาหะดีษและ ไมสามารถอานและเขาใจภาษาอาหรับได เนื่องจากผูแปลไดแปลเฉพาะสวนที่ เปนตัวบทหะดีษ สวนที่เกี่ยวของกับการ อางอิงสวนใหญมิไดแปล ซึ่งตัวบทหะดีษพรอมความหมายขางตนไดมีผูศึกษาวิจยั และทําการตัครีจญแลว แตยังคงเหลือ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
45
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ในสวนของหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยที่ไมมีตัวบทกํากับยังมิไดทําการตัครีจญ ซึ่งผูวิจัยทั้งสองไดมีขอเสนอแนะวา ควรมีการตัครีจญหะดีษที่มีเพียงคําแปลภาษาไทยในหนังสือคุณคาของอะมาลเพิ่มเติม (อับดุลเลาะ หนุมสุข และอับดุล เลาะ การีนา, 2547 : 197) จากหลักการและเหตุผลดังกลาวข างตน ผูวิจั ยจึงเห็นว ามีความจําเปนที่ จะตองทําการตัครีจญหะดีษเฉพาะ ความหมายภาษาไทยในหนังสือเลมนี้ เพื่อใหหนังสือเลมนี้เพิ่มคุณคาทางวิชาการ เพิ่มประโยชนในการนําไปใชตอไป และ ผูวิ จั ยหวั งว างานวิจั ยชิ้นนี้ จะเปนส วนหนึ่ งงานวิ จั ยที่ มีประโยชนต อวิชาการอิ สลามศึ กษาและต อสั งคมมุ สลิ มและต อ ประเทศชาติโดยรวมตอไป วัตถุประสงคของการวิจัย ในการทํ าวิ จั ยครั้ งนี้ผู วิ จั ยมี วัตถุ ประสงค เพื่ อศึ กษาแหล งที่มาและเพื่ อประเมินสถานภาพของหะดี ษเฉพาะ ความหมายภาษาไทยในหนังสือคุณคาของอะมาล ของชัยคุลหะดีษ เมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา ความสําคัญและประโยชนของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ ผูวิจัยคาดวาจะไดรับประโยชนดังตอไปนี้ 1. จะไดทราบแหลงที่มาของหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยในหนังสือคุณคาของอะมาลของชัยคุลหะดีษ เมาลา นา มุฮัมมัด ซะกะรียา 2. จะไดทราบสถานภาพของหะดีษ และสามารถแยกแยะหะดีษที่ถูกนํามาอางอิงในหนังสือคุณคาของอะมาลของ ชัยคุลหะดีษ เมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา วาหะดีษบทใดเศาะเหียะห หะดีษบทใดเฎาะอีฟ และหะดีษบทใดเมาฎั๊วะ 3. จะไดใชเปนคูมือในการเรียนการสอนวิชาหะดีษในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท และเปนความรูแกผูสนใจ ทั่วไป และเปนตําราทางวิชาการดานอิสลามศึกษาในภาคภาษาไทยเพื่อใหมุสลิมและผูสนใจทั่วไปที่ไมสามารถอานภาษา อาหรับได สามารถเขาใจศาสตรดานอิสลามศึกษา อันจะนํามาซึ่งความสมานฉันทในสังคมตอไป วิธีดําเนินการวิจัย รูปแบบการวิจัย การวิจัยเรื่อง “ตัครีจญหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยในหนังสือคุณคาของอะมาลของชัยคุลหะดีษ เมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา” มีรูปแบบการวิจัยประกอบดวยหะดีษ 3 กลุมๆ ละ 441 หะดีษ กลุมแรกเปนการนําเสนอหะดีษเฉพาะ ความหมายภาษาไทยที่ปรากฏในหนังสือคุณคาของอะมาล กลุมที่สองเปนการนําเสนอตัวบทภาษาอาหรับที่นํามาเทียบ และกลุมที่สามเปนการนําเสนอแบบแบบตัครีจญหะดีษ(ระบุผูบันทึกหรือผูรายงาน) และยืนยันสถานภาพของหะดีษ จาก รูปแบบการวิจัยจะแสดงระดับตางๆ ของหะดีษ แหลงขอมูล 1) หนังสือหรือตํารา ไดแก หนังสือหรือตําราเกี่ยวกับการตัครีจญที่เขียนเปนภาษาอาหรับ สําหรับศึกษาเรื่อง การตัครีจญ 2) เอกสารวิจัย ไดแก หนังสือคุณคาของอะมาลเรียบเรียงโดยชัยคุลหะดีษ เมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา สําหรับ ศึกษาแหลงที่มาของหะดีษและสถานภาพของหะดีษ 3) หนังสือริวายะฮฺ ไดแก หนังสือบันทึกหะดีษดวยกับสายรายงานของผูแตง สําหรับศึกษาแหลงบันทึกหะดีษและ กําหนดสถานภาพหะดีษในหนังสือคุณคาของอะมาล
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
46
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
4) หนังสืออื่นๆ ที่บันทึกหะดีษโดยการตัดสายรายงานของหะดีษ สําหรับศึกษาแหลงที่มาของหะดีษที่ไดอางไวใน เอกสารวิจัย เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ก. แบบบันทึก หมายถึง แบบบันทึกขอมูลที่ผูวิจัยสรางขึ้นมาเอง โดยใชรูปแบบเปนสี่เหลียมผืนผา แบงออกเปน 3 สวน ไดแก สวนที่บันทึกขอมูลหนังสือประกอบดวย ชื่อผูแตง ปที่พิมพ ชื่อหนังสือ เมืองที่พิมพ และโรงพิมพ ส วนการ บันทึกขอมูลสายรายงานและตัวบทหะดีษ และสวนที่บันทึกขอมูลหัวขอเรื่องที่เกี่ยวของประกอบดวยเนื้อหาของเรื่อง จะ ระบุเลมที่และเลขหนา ข. เอกสารวิจัย เอกสารวิจัย คือ หนังสือคุณคาของอะมาลของชัยคุลหะดีษเมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา สําหรับ ศึกษาสายรายงานหลักของหะดีษในหนังสือคุณคาของอะมาล ค. คอมพิวเตอรใชสําหรับรวบรวมขอมูลเกี่ยวกับหะดีษที่ตองการตัครีจญ ประกอบดวยขอมูลสายรายงาน ตัวบท หะดีษ และสถานภาพของหะดีษ โดยใชโปรแกรมสําเร็จรูป ไดแก อัลมักตะบะฮฺ อัชชามิละฮฺ (Version 3) และอัลมักตะบะฮฺ อัลอิสลามิยะฮฺ ง. เว็บไซตที่แพรหลายทางอิ นเตอร เน็ต ใชสําหรั บรวบรวมขอมู ลที่เกี่ยวของกั บการตั ครีจญ ซึ่งคนหาไดจาก เว็บไซตตางๆ ไดแก เว็บไซตอัดดุรอร อัสสุนนียะฮฺ (www.dorar.net) เว็บไซตอิบนฺ บาซ (www.binbaz.org.sa) และเว็บไซต อัลอัลบานี (www.alalbany.net) เปนตน การเก็บรวบรวมขอมูล การเก็บรวบรวมขอมูลเพื่อการวิจัยแบงออกเปน 3 สวน ดังนี้ ส วนที่ 1 รวบรวมข อมู ลเรื่ องความรู เกี่ ยวกั บ การตั ครี จญ หะดี ษภายใต หั วข อเรื่ อ งรองและหั วข อเรื่ องย อย ตามลําดับความสําคัญและที่จําเปน จากหนังสือและตําราที่เกี่ยวของกับการตัครีจญหะดีษ สวนที่ 2 รวบรวมหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยในหนังสือคุณคาของอะมาล เพื่อทําการศึกษาวิเคราะห โดย คัดเลือกหะดีษเฉพาะที่มีแตคําแปลภาษาไทยเทานั้น ซึ่งเรียบเรียงหะดีษตามบทตางๆ ของหนังสือ แตเนื่องจากหะดีษที่มีแต ความหมายไมมีการกํากับหมายเลขหะดีษ ผูวิจัยจึงเรียบเรียงตัวบทหะดีษโดยใช 2 หมายเลข หมายเลขที่ 1 เปนหมายเลข ของผูวิ จัย หมายเลขที่ 2 เปนหมายเลขหนาของหนั งสือ ตั วอยาง หะดีษที่ 1 หนาที่ 25 หมายถึ งหะดีษลําดับที่ หนึ่ งใน งานวิจัย หะดีษนี้ปรากฏในหนาที่ 25 ของหนังสือคุณคาอะมาล สวนที่ 3 รวบรวมขอมูลตัครีจญหะดีษที่ตองการศึกษาวิเคราะห โดยดําเนินการตามลําดับความสําคัญของแตละ เรื่องตามแนวทางตัครีจญ ดังนี้ 1) การตัครีจญหะดีษแตละบทใชแนวทางการตัครีจญ 2 แนวทาง ไดแก การ ตัครีจญโดยยึดคําสําคัญของตัวบท หะดีษ และการตัครีจญโดยยึดคําแรกของสํานวนหะดีษ ทั้งสองแนวทางนี้ใชหนังสือคูมือคนหาหะดีษจากหนังสือมุอฺญัม อัล มุฟะฮฺรอส ลิอัลฟาซฺ อัลหะดีษ หนังสือสารบัญหะดีษตาง ๆ โปรแกรมที่ใชคอมพิวเตอร คือ อัลมักตะบะฮฺ อัชชามิละฮฺ และอัลมักตะบะฮฺ อัลอิสลามิยะฮฺ ตลอดจนเว็บไซตที่เกี่ยวของกับการตัครีจญ 2) รวบรวมตัวบทและสายรายงานของหะดีษจากแหลงริวายะฮฺ โดยพิจารณาความเหมือนของความหมายของหะ ดีษที่ปรากฏในหนังสือคุณคาของอะมาลกับตัวบทหะดีษที่ไดจากการตัครีจญที่บันทึกในแหลงริวายะฮฺ และพิจารณาสาย รายงานของหะดีษที่มาจากผูรายงานคนเดียวกันที่เปนมุตาบิอะฮฺ หรือสายรายงานอื่นที่รายงานหะดีษเดียวกันที่เปนชาฮิด หรือชะวาฮิด 3) รวบรวมเพิ่มเติมขอมูลเกี่ยวกับทัศนะของบรรดาอุละมาอฺที่อธิบายลักษณะของตัวบทหะดีษเพื่อใชเปนขอมูล ประกอบการเปรียบเทียบระหวางตัวบทหะดีษในเอกสารวิจัยกับตัวบทที่ปรากฏในแหลงริวายะฮฺ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
47
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
การจัดกระทําขอมูล การจัดกระทําขอมูลที่ไดจากการบันทึก เอกสารวิจัย และคอมพิวเตอร ไดดําเนินการตามขั้นตอนดังตอไปนี้ 1) ข อมู ล ที่ ได จ ากแบบบั นทึ ก ได มี การตรวจสอบความถู ก ต องและความเหมาะสมของเนื้ อหาตามลํ าดั บ ความสําคัญของแตละบท กลาวคือ ขอมูลเกี่ยวกับการตัครีจญหะดีษ ผลการตัครีจญหะดีษ ตลอดจนขอมูลเกี่ยวกับทัศนะ อุละมาอฺ 2) ขอมูลที่ไดการใชคอมพิวเตอรไดแยกตามลักษณะของขอมูลออกเปน 4 สวน ไดแก ขอมูลมุตาบะอะฮฺ โดย พิจารณาการคัดเลือกบนพื้นฐานของการอางอิงในหนังสือคุณคาของอะมาล ขอมูลมุตาบะอะฮฺหรือมุตาบิอาต โดยการ พิจาณาผูรวมรายงานในรุนเดียวกันเปนหลัก ขอมูลชาฮิดหรือชะวาฮิดหะดีษ โดยพิจารณาตัวบทหะดีษเปนที่ตั้ง ซึ่งจะดูวา ตัวบทหะดีษนั้นมีความเหมือนกันทั้งประโยคหรือสวนหนึ่งของตัวบทหะดีษ ขอมูลสายรายงานและสถานะของผูรายงานหะ ดีษ โดยพิจารณาสายรายงานที่เปนมุตาบะอะฮฺเปนหลัก การวิเคราะหขอมูล การวิเคราะหขอมูลจะดําเนินการ 3 ดาน คือ ตัวบท สายรายงานและสถานภาพ 1) การวิเคราะหตัวบท ศึกษาวิเคราะหความเหมือน และความแตกตางของหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยที่ปรากฏในหนังสือคุณคา ของอะมาล กับตัวบทหะดีษจากหนังสือริวายะฮฺ ซึ่งจะยึดเอาตัวบทที่มีความหมายใกลเคียงและสอดคลองกับหะดีษเฉพาะ ความหมายภาษาไทยที่ปรากฏในเอกสารวิจัยมากที่สุด 2) การวิเคราะหสายรายงาน ก. ศึกษาวิเคราะหสายรายงานโดยยึดสายรายงานของหะดีษที่มีความใกลเคียงกับความหมายของหะดีษที่ระบุไว ในหนั งสือคุ ณคาของอะมาลเปนหลัก กลาวคือ หากหะดีษมี ระบุผู บันทึ กเพียงคนเดียวเทานั้ น จะทําการวิเคราะหสาย รายงานของหะดีษนั้น และหากระบุผูบันทึก 2 คนขึ้นไป จะยึดสายรายงานของหะดีษที่เหมือนกับตัวบทหะดีษในหนังสือริ วายะฮฺเปนที่ตงั้ ข. ศึ กษาวิ เคราะห สายรายงานของหะดี ษจะดําเนิ นการศึ กษาสถานะด านคุ ณธรรมและความบกพร องของ ผูรายงานแตละทานในสายรายงาน ยึดถือทัศนะของนักวิจารณ หะดีษที่ไดรับการยอมรับโดยยึดทัศนะของอุละมาอฺมุอฺตะดิ ลีน (ทัศนะเป นกลาง) เป นหลัก เช น ทัศนะของอัลหาฟซอิบนุ หัจญ ร อัลอัสเกาะลานี ยในหนังสือตะฮฺ ซีบ อั ตตะฮฺ ซี บ (ﺬﻳﺐ ﺍﻟﺘﻬﺬﻳﺐ )ﻛﺘﺎﺏหนังสือตักรีบ อัตตะฮฺซีบ ( )ﻛﺘﺎﺏ ﺗﻘﺮﻳﺐ ﺍﻟﺘﻬﺬﻳﺐและหนังสือลิสานอัลมิซาน ()ﻛﺘﺎﺏ ﻟﺴﺎﻥ ﺍﳌﻴﺰﺍﻥ ทัศนะของอัลหาฟซ อัลซะฮะบิยในหนังสือมีซาน อัล อิอฺติดาล ( )ﻛﺘﺎﺏ ﻣﻴﺰﺍﻥ ﺍﻹﻋﺘﺪﺍﻝทัศนะของอัลหาฟซ อัลมิซซียใน หนังสือตะฮซีบอัลกะมาล (ﺬﻳﺐ ﺍﻟﻜﻤﺎﻝ )ﻛﺘﺎﺏเปนตน 3) การวิเคราะหสถานภาพของหะดีษ การศึกษาวิเคราะหสถานภาพของหะดีษ โดยมีวิธีการวิเคราะห คือ ก. หะดีษบันทึกโดยอัลบุคอรียและมุสลิมในหนังสือเศาะเหียะห และสายรายงานซะฮับ เชน หะดีษรายงานโดยอัช ชาฟอีย จากมาลิก จากนาฟอฺ จากอิบนุ อุมัร จากทานเราะสูลลอฮฺ จะตัดสินเปนหะดีษเศาะเหียะห ข. หะดีษบันทึกโดยอิหมามทานอื่นๆ จะทําการศึกษาสถานภาพของหะดีษ และการเลื่อนฐานะของแตละหะดีษ เชน หะดีษเศาะเหียะหลิฆอยริฮฺ และหะดีษหะสันลิฆอยริฮฺ ซึ่งจะใชเทคนิคการวิเคราะห 2 ประเภท คือ การวิเคราะหเชิง ยืนยันและการวิเคราะหเชิงสํารวจ การวิเคราะหเชิงยืนยัน เปนการตรวจสอบสายรายงานที่ถูกตองในการกําหนดสถานภาพของหะดีษตามหลักการ หะดีษหรือยืนยันสถานภาพของหะดีษที่คนพบ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
48
- การวิเคราะหเชิงสํารวจ เปนการตรวจสอบสายรายงานเพื่อระบุสถานภาพของ หะดีษแตละบท โดยการยึ ด ทัศนะของอุละมาอฺเพียงอยางเดียว ไมมีการศึกษารายละเอียดของสายรายงาน ซึ่งเทคนิคการวิเคราะหเชิงสํารวจจะใชใน กรณีที่ผูวิจัยไมพบสถานะของผูรายงาน ดังภาพประกอบ สายรายงานตน
สถานภาพของผูรายงาน
(ทัศนะของอุละมาอฺ) อัลญัรหฺและอัตตะอฺดีล
ตัดสินสถานภาพของหะดีษ สายรายงานตน - ซะฮับ - เศาะเหียะห - เมาฎั๊วะ - หะสัน - เฎาะอีฟ
สายรายงานตาม หะสัน เฎาะอีฟ
สถานภาพของหะดีษ หะดีษเศาะเหียะห หะดีษเศาะเหียะห หะดีษเมาฎั๊วะ
หะดีษเศาะเหียะหลิฆอยริฮฺ หะดีษหะสันลิฆอยริฮฺ
ภาพประกอบที่ 1 โมเดลการตัดสินหะดีษเชิงยืนยัน สายรายงานตน
แหลงบันทึก
(รวบรวมหะดีษจากแหลง)
กําหนดสถานภาพของหะดีษ ทัศนะของอุละมาอฺ - เศาะเหียะห - หะสัน - เฎาะอีฟ - เฎาะอีฟญิดดัน - เมาฎั๊วะ
สถานภาพของหะดีษ -
หะดีษเศาะเหียะห (ลิซาติฮฺหรือลิฆอยริฮ)ฺ หะดีษหะสัน (ลิซาติฮฺหรือลิฆอยริฮ)ฺ หะดีษเฎาะอีฟ หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน หะดีษเมาฎั๊วะ
ภาพประกอบที่ 2 โมเดลการตัดสินหะดีษเชิงสํารวจ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
49
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
4) การตัดสินสถานภาพของหะดีษแตละตัวบทโดยการตัรญีหฺ (ใหน้ําหนัก) พรอมกับอธิบายสาเหตุของการ ตัดสินหะดีษอยางชัดเจน อนึ่ง กรณีที่ผูวิจัยไมพบตัวบทภาษาอาหรับที่จะนํามาเทียบกับหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยที่ปรากฏใน หนั ง สื อคุ ณ ค าของอะมาล ผู วิ จั ย จะระบุ ว า “ไม พ บตั ว บทหะดี ษ ” และหากพบเพี ย งแค ตั ว บท ไม พ บทั ศ นะของ นักวิชาการ ผูวิจัยจะระบุวา “ไมพบสถานภาพของหะดีษ” การนําเสนอขอมูล การนํ าเสนอผลการตัครีจ ญห ะดี ษโดยเรี ยงตามลํ าดั บความสํ าคั ญของหัว ขอประกอบดว ย หะดีษ เฉพาะ ความหมายภาษาไทยที่ปรากฏในหนังสือคุณคาของอะมาล ตัวบทหะดีษภาษาอาหรับที่นํามาเทียบ อธิบายสถานภาพ ของผู รายงานหะดี ษ วาอยู ใ นระดั บใด เชน อบู ฮุร อยเราะฮฺ : ( ﺻﺤﺎﰊ ﺟﻠﻴﻞal-‘Asqalani, 1991: 28) ชุอฺบ ะฮฺ เบ็ น อั ล หั จ ญาจ อั ล บั ศ รี ย : ( ﺛﻘﺔ ﺣﺎﻓﻆ ﻣﺘﻘﻦal-‘Asqalani, 1991: 266/2790) เป น ต น และการตั ครี จ ญ หะดี ษ โดย ดําเนินการดังนี้ 1) ระบุชื่อนักปราชญผูบันทึกหะดีษและหมายเลขกํากับหะดีษ เชน อัลบุคอรีย (45) มุสลิม (105) อบูดาวุด (150) เปนตน 2) ระบุชื่อนักปราชญและชื่อหนังสือในกรณีที่ใชหนังสือมากกวาหนึ่งเลม เชน อัลอัลบานี ในเฎาะอีฟอัตติรมี ซีย (25) 3) ระบุสถานภาพหรือระดับของหะดีษ ซึ่งสถานภาพของหะดีษประกอบดวย หะดีษเศาะเหียะหลิซาติฮฺ หะ ดีษ เศาะเหียะหลิ ฆ อยริ ฮฺ หะดี ษหะสั นลิ ซ าติ ฮฺ หะดี ษ หะสั นลิ ฆ อยริ ฮฺ หะดี ษเฎาะอี ฟ หะดี ษเฎาะอี ฟ ญิด ดั น หะดี ษ เมาฎั๊วะ หะดีษที่ไมพบตัวบท และหะดีษที่ไมพบสถานภาพ สรุปผลการวิจัย การวิจัยเรื่องตัครีจญตัวบทหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยในหนังสือคุณคาของอะมาลของชัยคุลหะดีษ เมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา ผูวิจัยขอสรุปผลการตัครีจญ หะดีษในหนังสือคุณคาของอะมาล ดังนี้ 1. จํานวนตัวบทหะดีษที่ผูวิจัยทําการตัครีจญมีจํานวนทั้งสิ้น 441 หะดีษ 2. มาตรฐานของตัวบทหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยในหนังสือคุณคาของ อะมาล สามารถแบงเปน 2 ประเภท ดังนี้ 2.1 แบงตามสถานภาพของหะดีษ ดังนี้ 2.1.1 หะดีษเศาะเหียะห มีจํานวน 160 หะดีษ คิดเปน 36.28% แบงออกเปนสองชนิด ไดแก ก. หะดีษเศาะเหียะหลิซาติฮฺ มีจํานวน 82 หะดีษ ข. หะดีษเศาะเหียะหลิฆอยริฮฺ มีจํานวน 78 หะดีษ 2.1.2 หะดีษหะสัน มีจํานวน 78 หะดีษ คิดเปน 17.68% แบงออกเปนสามชนิด ไดแก ก. หะดีษหะสันลิซาติฮฺ จํานวน 43 หะดีษ ข. หะดีษหะสันลิฆอยริฮฺ จํานวน 30 หะดีษ ค. หะดีษหะสันเศาะเหียะห จํานวน 5 หะดีษ 2.1.3 หะดีษเฎาะอีฟ มีจํานวน 132 หะดีษ คิดเปน 29.93% 2.1.4 หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน มีจํานวน 35 หะดีษ คิดเปน 7.93% 2.1.5 หะดีษเมาฎั๊วะ มีจํานวน 25 หะดีษ คิดเปน 5.66%
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
50
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
2.1.6 หะดีษที่ไมพบสายรายงานและสถานภาพของหะดีษ มีจํานวน 11 หะดีษ คิดเปน 2.49% 2.2 แบงตามประเภทหะดีษในการนําไปใชเปนหลักฐาน สามารถแบงออกไดเปน 3 ชนิด ไดแก 2.2.1 หะดีษที่สามารถนําไปใชเปนหลักฐานไดกับทุกเรื่อง มีจํานวน 238 หะดีษ คิดเปน 53.96% 2.2.2 หะดี ษที่ส ามารถนํ าไปใช เปน หลัก ฐานไดเ ฉพาะกับ บางเรื่ อง มีจํานวน 132 หะดีษ คิด เป น 29.93% 2.2.3 หะดีษที่ไมสามารถนําไปใชเปนหลักฐานในทุกกรณี มีจํานวน 71 หะดีษ คิดเปน 16.09% 3. มาตรฐานในการอางอิงหนังสือ แบงตามที่ปรากฏในหนังสือรวบรวมหะดีษไดดังนี้ 3.1 หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัลญามิอฺ มีจํานวน 66 หะดีษ คิดเปน 14.96% ประกอบดวย 3.1.1 หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัลญามิอฺของอัลบุคอรีย และอัลญามิอฺของมุสลิม มีจํานวน 20 หะ ดีษ คิดเปน 4.53% 3.1.2 หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัลญามิอฺของอัลบุคอรีย เพียงทานเดียว มีจํานวน 23 หะดีษ คิด เปน 5.21% 3.1.3 หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัลญามิอฺของมุสลิม เพียงทานเดียว มีจํานวน 23 หะดีษ คิดเปน 5.21% 3.2 หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัลศิหฺหาหฺ มีจํานวน 34 คิดเปน 7.70% ประกอบดวย 3.3 หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัสสุนัน มีจํานวน 125 คิดเปน 28.34% ประกอบดวย 3.4 หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัลมะสานีด มีจํานวน 106 หะดีษ คิดเปน 24.03% 3.5 หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัลมุศอนนัฟ มีจํานวน 6 หะดีษ คิดเปน 1.36% 3.6 หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออะมัล อัลเยามฺ วัลลัยละฮฺ มีจํานวน 2 หะดีษ คิดเปน 0.45% 3.7 หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัลฟะฎออิล มีจํานวน 1 หะดีษ คิดเปน 0.22% 3.8 หะดีษที่มีบันทึกในหนังสือนอกเหนือจากประเภทตางๆ ที่กลาวมาขางตน มีจํานวน 101 หะดีษ คิด เปน 22.90% 4. มาตรฐานการนําหะดีษมาใชเปนหลักฐานในเรื่องตางๆ สามารถจําแนกตามหัวขอในหนังสือไดดังนี้ 4.1 ความสําคัญของการละหมาด มีจํานวน 96 หะดีษ คิดเปน 21.76% แบงออกไดดังนี้ ก. หะดีษเศาะเหียะห จํานวน 50 หะดีษ แบงออกเปน ข. หะดีษหะสัน จํานวน 10 หะดีษ แบงออกเปน ค. หะดีษเฎาะอีฟ จํานวน 22 หะดีษ ง. หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน จํานวน 7 หะดีษ จ. หะดีษเมาฎั๊วะ จํานวน 4 หะดีษ ฉ. ไมพบสายรายงานและสถานภาพของหะดีษ จํานวน 3 หะดีษ 4.2 คุณคาอัลกุรอาน มีจํานวน 84 หะดีษ คิดเปน 19.04% แบงออกไดดังนี้ ก. หะดีษเศาะเหียะห จํานวน 19 หะดีษ ข. หะดีษหะสัน จํานวน 12 หะดีษ ค. หะดีษเฎาะอีฟ จํานวน 32 หะดีษ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
51
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ง. หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน จํานวน 8 หะดีษ จ. หะดีษเมาฎั๊วะ จํานวน 6 หะดีษ ฉ. ไมพบสายรายงานและสถานภาพของหะดีษ จํานวน 6 หะดีษ 4.3 คุณคารอมฎอน จํานวน 65 หะดีษ คิดเปน 14.74% แบงออกไดดังนี้ ก. หะดีษเศาะเหียะห จํานวน 23 หะดีษ ข. หะดีษหะสัน จํานวน 15 หะดีษ ค. หะดีษเฎาะอีฟ จํานวน 14 หะดีษ ง. หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน จํานวน 6 หะดีษ จ. หะดีษเมาฎั๊วะ จํานวน 7 หะดีษ 4.4 คุณคาของการตับลีฆ มีจํานวน 35 หะดีษ คิดเปน 7.93% ประกอบดวย ก. หะดีษเศาะเหียะห จํานวน 15 หะดีษ ข. หะดีษหะสัน จํานวน 10 หะดีษ ค. หะดีษเฎาะอีฟ จํานวน 8 หะดีษ ง. หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน จํานวน 2 หะดีษ 4.5 คุณคาของการซิกร มีจํานวน 161 หะดีษ คิดเปน 36.50% ประกอบดวย ก. หะดีษเศาะเหียะห จํานวน 53 หะดีษ ข. หะดีษหะสัน จํานวน 31 หะดีษ ค. หะดีษเฎาะอีฟ จํานวน 56 หะดีษ ง. หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน จํานวน 12 หะดีษ จ. หะดีษเมาฎั๊วะ จํานวน 7 หะดีษ ฉ. ไมพบสายรายงานและสถานภาพของหะดีษ จํานวน 2 หะดีษ 5. มาตรฐานสายรายงานหะดีษ สามารถแบงออกได ดังนี้ 5.1 จําแนกตามจํานวนผูรายงาน แบงออกได ดังนี้ 5.1.1 ประเภทอาลีย จํานวน 137 หะดีษ คิดเปน 31.06% 5.1.2 ประเภทนาซิล จํานวน 293 หะดีษ คิดเปน 66.44% 5.1.3 ไมพบสายรายงาน จํานวน 11 หะดีษ คิดเปน 2.50% 5.2 จําแนกตามการรายงานติดตอกัน สามารถแบงออกไดเปนสองชนิด ดังนี้ 5.2.1 ประเภทมุตตะศิล มีจํานวน 395 หะดีษ คิดเปน 89.57% 5.2.2 ประเภทมุนเกาะฏิอฺ มีจํานวน 22 หะดีษ คิดเปน 4.98% 5.2.3 ประเภทมุรสัล มีจํานวน 13 หะดีษ คิดเปน 2.95% 5.2.4 ไมพบสายรายงานจํานวน 11 หะดีษ คิดเปน 2.50% 6. มาตรฐานของตัวบทและความหมายหะดีษ สามารถแบงออกไดดังนี้ 6.1 ความหมายสอดคลองกับตัวบท จํานวน 160 หะดีษ คิดเปน 36.28% 6.2 ความหมายสอดคลองกับตัวบท (สวนหนึ่งของตัวบทหะดีษ) จํานวน 85 หะดีษ คิดเปน 19.27% 6.3 ความหมายโดยสรุป จํานวน 116 หะดีษ คิดเปน 26.30% 6.4 ความหมายโดยสรุป (สวนหนึ่งของตัวบทหะดีษ) จํานวน 81 หะดีษ คิดเปน 18.36%
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
52
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
อภิปรายผล จากการวิจัยเรื่องตัครีจญตัวบทหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยในหนังสือคุณคาของอะมาลของชัยคุลหะ ดีษ เมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา ผูวิจัยขออภิปรายผลตามผลการวิจัยดังนี้ 1. ผลการวิ จั ยพบว า มาตรฐานของหะดีษ ในหนั ง สือคุ ณค าของอะมาลจําแนกตามสถานภาพของหะดี ษ ปรากฎหะดีษเศาะเหียะห จํานวน 160 หะดีษ คิดเปน 36.28% มากที่สุด รองลงมา หะดีษเฎาะอีฟ มีจํานวน 132 หะ ดีษ คิดเปน 29.93% หะดีษหะสัน มีจํานวน 78 หะดีษ คิดเปน 17.68% หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน มีจํานวน 35 หะดีษ คิด เปน 7.93% หะดีษเมาฎั๊วะ มีจํานวน 25 หะดีษ คิดเปน 5.66% หะดีษที่ไมพบสายรายงานและสถานภาพของหะดีษ มี จํานวน 11 หะดีษ คิดเปน 2.49% ตามลําดับ จากผลการวิจัยขางตน สามารถกลาวไดวา ทานเมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา ใหความสําคัญกับการนําหะ ดีษที่มีมาตรฐานอยูในระดับเศาะเหียะหมาใชเปนหลักฐาน สอดคลองกับอับดุลเลาะ หนุมสุข และอับดุลเลาะ การีนา ที่ไ ด ทําการศึ ก ษาตั ครี จญ ตั ว บทหะดีษ ในหนั ง สื อคุ ณ ค าของอะมาลของชัยคุ ล หะดี ษ เมาลานา มุฮั มมั ด ซะกะรี ยา ผลสรุปที่ไดคือ หะดีษเศาะเหียะหมีจํานวนมากที่สุด คิดเปนรอยละ 55.45 ซึ่งถือวาเกินกวาครึ่งหนึ่งของจํานวนหะดีษ ที่ไดทําการตัครีจญทั้งหมด ชี้ใหเห็นวา ตัวบทหะดีษ และหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยที่ปรากฏในหนังสือคุ ณคา ของอะมาลฯ นั้น บรรจุหะดีษที่เปนหะดีษเศาะเหียะหมากที่สุด สิ่งดังกลาวยอมแสดงถึงความเชี่ยวชาญของทานเมาลา นา มุฮัมมัด ซะกะรียา ในดานวิชาการหะดีษในการคัดสรรหะดีษที่เศาะเหียะหมาใชเพื่อประกอบในการเปนหลักฐาน อยางไรก็ตาม ปรากฏหะดีษอีกจํานวนหนึ่ง มีจํานวนถึง 133 หะดีษ เปนผลการวิจัยลําดับรองลงมา โดยคิด เปน 29.93% ถือเปนเกือบเศษหนึ่งสวนสามของจํานวนหะดีษที่ไดทําการตัครีจญทั้งหมดที่เปนหะดีษเฎาะอีฟ ซึ่งถือ วามากพอสมควร ปรากฏในหนังสือของทานเมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา แตกระนั้นก็ตาม จะพบวาเปนเรื่องปกติที่ หนังสือในแนวนี้จะไมปลอดจากหะดีษเฎาะอีฟและเมาฎั๊วะ ผลการวิจั ยยั งปรากฏอีก วา หะดีษ เฎาะอีฟ ญิด ดัน มี จํานวน 35 หะดีษ คิ ดเปน 7.93% หะดี ษเมาฎั๊ว ะ มี จํานวน 25 หะดีษ คิดเปน 5.66% หะดีษทั้งสองสถานภาพเมื่อนํามารวมกันก็จะได 60 หะดีษ คิดเปน 13.60% ถือวา มากพอสมควร การปรากฏหะดีษทั้ งสองระดับ นี้ใ นหนั งสื อของทานเมาลานา มุ ฮัมมั ด ซะกะรี ยา มีผลทําใหความ นาเชื่อถือทางวิชาการในหนังสือของทานลดต่ําลง อันเนื่องจากวา หะดีษทั้งสองระดับนี้มีสาเหตุมาจากความบกพรอง ในดานคุณธรรมของผูรายงาน ซึ่งหะดีษที่มีสาเหตุมาจากเหตุผลดังกลาว ยอมทําใหความนาเชื่อถือลดนอยลง และหะ ดีษทั้งสองระดับนี้ยังไมสามารถที่จะนํามาใชเปนหลักฐานไดไมวาจะในกรณีใดๆ ก็ตาม ทั้งในเรื่องศาสนา และดุนยา ซึ่งบรรดาอุละมาอฺ ตางเห็นพองกันวา หะดีษจําพวกนี้ไมอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐานในทุกกรณี 2. ผลการวิ จัยพบว า มาตรฐานของหะดีษ ในหนัง สือคุณ ค าของอะมาลจําแนกตามประเภทหะดี ษในการ นําไปใชเปนหลักฐาน พบวา หะดีษที่สามารถนําไปใชเปนหลักฐานได มีจํานวน 238 หะดีษ คิดเปน 53.96% มากที่สุด รองลงมา คือ หะดีษที่สามารถนําไปใชเปนหลักฐานไดเฉพาะกับบางเรื่อง มีจํานวน 132 หะดีษ คิดเปน 29.93% และ หะดีษที่ไมสามารถนําไปใชเปนหลักฐานในทุกกรณี มีจํานวน 71 หะดีษ คิดเปน 16.09% ตามลําดับ จากผลการวิจัยขางตน สามารถกลาวไดวา ทานเมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา ใหความสําคัญกับการนําหะ ดีษที่ไดมาตรฐานมาใชเปนหลักฐานไดเกินกวาครึ่งหนึ่งของจํานวนหะดีษที่ทําการตัครีจญ ดังที่กลาวมาแลวขางตน และปรากฏหะดีษอีกจํานวนหนึ่ง มีจํานวนถึง 132 หะดีษ เปนผลการวิจัยลําดับรองลงมา โดยคิดเปน 29.93% ถือเปน เกือบเศษหนึ่งส วนสามของจํานวนหะดี ษที่ได ทําการตั ครีจญ ทั้งหมดที่ เปนหะดีษ เฎาะอีฟ ซึ่ง ถือว ามากพอสมควร อยางไรก็ตาม บรรดาปราชญมีขอคิดเห็นที่แตกตางกันในการนําหะดีษเฎาะอีฟมาใชเปนหลักฐานแบงออกไดเปนสาม กลุมคือ กลุมที่หนึ่ง อนุญาตใหนําหะดีษเฎาะอีฟไปใชเปนหลักฐานไดในทุก ๆ เรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา เชน อะกี
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
53
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ดะฮฺ อิบาดะฮฺ หุกมหะกัม เรือ่ งราวตาง ๆ คุณคาของอะมาล การสนับสนุนใหทําความดีและหามปรามทําความชั่ว อุละมาอฺกลุมนี้ไดแก อิหมามอะบูหะนีฟะฮฺ อิหมามอะหฺมัด เบ็น หันบัล อิหมามอับดุลเราะหฺมาน เบ็น มะฮฺดีย และ ทานอื่น ๆ ที่มีความเห็นเหมือนกัน ซึ่งเหตุผลของอุละมาอฺกลุมนี้ไดแก หะดีษเฎาะอีฟมีฐานะดีกวาการใชหลักการกิ ยาส (อนุมาน) และความคิดของคนใดคนหนึ่ง (al-Qasimi, 1987 : 93) กลุมที่สอง ไมอนุญาตนําหะดีษเฎาะอีฟมาใช เปนหลักฐานที่เกี่ยวกับทุก ๆ เรื่องของศาสนาโดยเด็ดขาด (al-Suyuti, 1966 : 1/196) การปฏิบัติของอุละมาอฺกลุมนี้ ตรงกันขามกับอุละมาอฺกลุมแรกโดยสิ้นเชิง ซึ่งอุละมาอฺกลุมนี้ไดแก อิหมามอัลบุคอรีย อิหมามมุสลิม ยะหฺยา เบ็น มะอีน อะบูบักรฺ อิบนุ อัลอะรอบีย (al-Suyuti, 1966 : 1/196) อิบนุหัซมฺ อะบูชาเมาะฮฺ และอัชเชาวกานีย (al-Qasimi, 1987 : 94) โดยที่เหตุผลของอุละมาอฺกลุมนี้ คือ หะดีษเศาะเหียะหและหะดีษหะซันที่กลาวถึงเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนามี มากมายเพียงพอตอการนําไปใชเปนหลักฐานได และที่สําคัญ คือ การยืนยันหุกม ของแตละเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาก็ ตองมาจากหะดีษเศาะเหียะหและหะดีษหะสัน ไมใชมาจากหะดีษเฎาะอีฟ (al-Qasimi, 1987 : 94) และกลุมสุดทาย กลุมที่ส าม อนุญาตใหนําหะดีษเฎาะอี ฟเปน หลักฐานและปฏิบัติ ตามไดเฉพาะหะดี ษเฎาะอีฟที่ เกี่ ยวของกั บคุณค า ของอะมาล การสนับสนุนใหทําความดีและหามปรามทําความชั่ว และเกีย่ วกับเรื่องที่เปนหุกมสุนัต กลุมนี้แบงออกเปน 2 ทัศนะ ทัศนะที่ 1 มีความเห็นวาอนุญาตใหนําหะดีษเฎาะอีฟใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตามไดเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่อง ดังกลาวเทานั้นโดยไมมีเงื่อนไขใด ๆ ทัศนะนี้เปนทัศนะของอิบนุ อัลมุบารอก สุฟยาน อัษเษารีย ซุฟยาน เบ็น อุยัยนะฮฺ และอัลหาฟศ อัซซะคอวีย (al-Qasimi, 1987 : 94) ทัศนะที่ 2 อนุญาตใหนําหะดีษเฎาะอีฟเปนหลักฐานและปฏิบัติ ตามที่เ กี่ยวกับ คุณคาของอะมาล การสนั บสนุน ใหทําความดี และหามปรามการทํ าความชั่ว และสิ่ง ที่ เปนหุ กมสุนั ต เทานั้นโดยมีเงื่อนไข 3 ประการดังนี้ ประการแรก หะดีษนั้นตองไมใชเปนหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน (ออนมาก) ประการที่ สอง เนื้อหาของหะดีษเฎาะอีฟที่กลาวถึงเรื่องที่เกี่ยวของนั้นตองสอด คลองกับหลักการทั่วไปของศาสนา (อัลกุรอาน และอัลหะดีษ) ประการที่สาม ไมยึดมั่ นวาเปนหะดีษที่มาจากทานนบี จริ ง แตเปนการปฏิบั ติในลักษณะเผื่อไว เทานั้น) ทัศนะนี้เปนทัศนะของอิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย จากบรรดาทัศนะตางๆ ในการนําหะดีษเฎาะอีฟมาใชเปนหลักฐานขางตน ผูวิจัยมีความเห็นวาทานเมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา ยึดทั ศนะของกลุมที่ส าม กล าวคือ อนุญาตใหนํ าหะดีษ เฎาะอีฟ มาใช เปน หลั กฐานไดใ นส วนที่ เกี่ยวของกั บการสนับ สนุนใหกระทําความดี และสั่ง หามใหละเวนความชั่ ว ดวยกับ เหตุผลที่ว า ตัวบทหะดีษที่อยูใ น ระดับเฎาะอีฟที่ปรากฏในหนังสือของทานนั้น เปนหะดีษเฎาะอีฟที่มีจํานวนมากพอสมควร โดยที่หนังสือของทานก็จัด อยูในประเภทหนังสือ “อัตตัรฆีบวัตตัรฮีบ” ซึ่งหมายถึง หนังสือในแนวการสั่งใชใหทําความดี และสั่งหามใหทําความ ชั่ว จึงไมเปนการแปลกที่หะดีษที่เฎาะอีฟจะปรากฏในหนังสือของทาน ผูวิจัยมีความเห็นอีกประการหนึ่งวา สิ่งหนึ่งที่เปนแรงผลักดันประการสําคัญสําหรับทานเมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา ในการที่จะนําเสนอตัวบทหะดีษตางๆ มาโดยทานปรารถนาในอันที่จะสนองตอบคําสั่งของทานเราะสูล และหวังถึงความประเสริฐของผูรายงานหะดีษ ดังที่ทานไดกลาววา ﻠﹶﻲ ﻋ ﻛﹶﺬﹶﺏﻦﻣ ﻭﺝﺮﻟﹶﺎ ﺣﻴﻞﹶ ﻭﺍﺋﺮﻨﹺﻲ ﺇﹺﺳ ﺑﻦﺛﹸﻮﺍ ﻋﺪﺣﺔﹰ ﻭ ﺁﻳﻟﹶﻮﻲ ﻭﻨﻮﺍ ﻋﻠﱢﻐ ﻗﹶﺎﻝﹶ "ﺑﻠﱠﻢﺳ ﻭﻪﻠﹶﻴ ﻋﻠﱠﻰ ﺍﻟﻠﱠﻪ ﺻﺒﹺﻲﺃﹶﻥﱠ ﺍﻟﻨ "ﺎﺭﹺ ﺍﻟﻨﻦ ﻣﻩﺪﻘﹾﻌﺃﹾ ﻣﻮﺒﺘﺍ ﻓﹶﻠﹾﻴﺪﻤﻌﺘﻣ ความวา “ทานทั้งหลายจงเผยแผจากฉันแมเพียงหนึ่งอายะฮฺ (เพียงนอยนิด) ก็ตาม และจงรายงานจากบนีอิส รออีล โดยมิตองวิตกกังวลใดๆ และผูใดโกหกตอฉัน เขาก็จงเตรียมที่นั่งของเขาในไฟนรก” (หะดีษบันทึกโดยอัลบุคอ รีย หะดีษหมายเลข 3461)
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
54
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ทานเราะสูลไดกลาวขอพรใหกับบรรดาผูรายงานหะดีษ โดยกลาววา
ﻪﻨ ﻣ ﺃﹶﻓﹾﻘﹶﻪﻮ ﻫﻦ ﺇﹺﻟﹶﻰ ﻣﻘﹾﻪﻞﹺ ﻓﺎﻣ ﺣﺏﺎ ﻓﹶﺮﻬﻠﱠﻐﺑﺎ ﻭﻈﹶﻬﻔﺣﺎ ﻭﺎﻫﻋﻲ ﻓﹶﻮﻘﹶﺎﻟﹶﺘ ﻣﻊﻤﺃﹰ ﺳﺮ ﺍﻣ ﺍﻟﻠﱠﻪﺮﻀﻧ ความวา “ขออัลลอฮฺทรงโปรดประทานความสดชื่นและความสวยงามใหแกบุคคลหนึ่งที่เขาไดยินคําพูดของ ฉัน มีความเขาใจ แลวเขาก็จดจํา และนํามันไปรายงานตอ (ยังผูอื่น) ซึ่งบางครั้งผูที่รายงานไดรายงานใหกับผูที่มีความ เขาใจมากกวาเขา” (หะดีษบันทึกโดยอัตติรมีซีย หะดีษหมายเลข 2656)1 ทานเราะสูลไดกลาวไวในหะดีษอีกบทหนึ่งวา
ﻠﹶﺎﺓﹰ ﺻﻠﹶﻲ ﻋﻢﻫ ﺃﹶﻛﹾﺜﹶﺮﺔﺎﻣﻴ ﺍﻟﹾﻘﻡﻮﺎﺱﹺ ﺑﹺﻲ ﻳﻟﹶﻰ ﺍﻟﻨ ﻗﹶﺎﻝﹶ ﺃﹶﻭﻠﱠﻢﺳ ﻭﻪﻠﹶﻴ ﻋﻠﱠﻰ ﺍﻟﻠﱠﻪ ﺻﻮﻝﹶ ﺍﻟﻠﱠﻪﺳﺃﹶﻥﱠ ﺭ ความวา แทจริงทานเราะสูล กลาววา “ผูที่ดีที่สุดตอขาพเจาในวันกิยามะฮฺนั้น คือผูที่กลาวเศาะลาวาตตอ ขาพเจามากที่สุด” (หะดีษบันทึกโดยอัตติรมีซีย หะดีษหมายเลข 484)2 หะดีษบทนี้ทานอบูหาติม ไดกลาวถึงหะดีษบทนี้วา “หะดีษบทนี้บอกถึงความประเสริฐของนักหะดีษเนื่องจาก ไมมีหมูชนใดในประชาชาตินี้กลาวเศาะลาวาตตอทานนบีมากกวาบรรดานักหะดีษ” (Ibn Hibban, 1993: 1/84) จากหะดีษตางๆ ที่กลาวมาขางตน จึงไมแปลกใจเลยวาเหตุผลใดที่ทานเมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา ถึงไดมี ความพยายามที่จะนําเสนอตัวบทหะดีษตางๆ มาบรรจุไวในหนังสือของทาน โดยทานมีความหวังถึงภาคผลที่จะไดรับที่ ทานเราะสูลไดสัญญาไวนั่นเอง 3. ผลการวิจัยพบวา มาตรฐานในการอางอิงหนังสือ แบงตามที่ปรากฏในหนังสือรวบรวมหะดีษ พบวา หะ ดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัสสุนัน มีจํานวน 125 คิดเปน 28.34% มากที่สุด รองลงมาคือ หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัล มะสานีด มีจํานวน 106 หะดีษ คิดเปน 24.03% หะดีษที่ มีบันทึก ในหนังสื อนอกเหนือจากประเภทตางๆ ที่ กลาวมา ขางตน มีจํานวน 101 หะดีษ คิด เป น 22.90% หะดี ษที่มีบัน ทึกในหนังสื ออั ลญามิอฺ มีจํ านวน 66 หะดีษ คิด เป น 14.96% หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัลศิหฺหาหฺ มีจํานวน 34 คิดเปน 7.70% หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัลมุศอนนัฟ มี จํานวน 6 หะดีษ คิ ดเปน 1.36% หะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออะมัล อัลเยามฺ วัลลัยละฮฺ มีจํานวน 2 หะดีษ คิดเป น 0.45% และหะดีษที่มีบันทึกในหนังสืออัลฟะฎออิล มีจํานวน 1 หะดีษ คิดเปน 0.22% ตามลําดับ จากผลการวิจัยข างตน สามารถกลาวไดว า หะดีษ เฉพาะความหมายภาษาไทยที่ปรากฏในหนั งสือคุณค า ของอะมาลนั้น สวนใหญถูกบันทึกในหนังสือสุนัน สิ่งดังกลาว สอดคลองกับสถานภาพของหะดีษที่สรุปผลมาขางตน ซึ่งจะเห็นวามาตรฐานของหะดีษสวนใหญเปนหะดีษเศาะเหียะห ซึ่งหะดีษที่ปรากฏในหนังสือสุนันสวนใหญก็จะเปนหะ ดีษที่มีมาตรฐานทั้งในระดับที่เศาะเหียะห และหะสัน อยางไรก็ตาม ตัวบทหะดีษที่ปรากฏในหนังสือของทานเมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา นั้นปรากฏในการบันทึกในหนังสือที่หลากหลายมาก ตําราที่ทานเมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา นํา หะดีษมาอางอิงนั้น บางสวนไมเปนที่รูจัก บางสวนเปนที่รูจักแตไมนิยมนํามาใชอางอิง อันเนื่องมาจากสถานภาพของ หะดีษที่ปรากฏในหนังสือเหลานั้นไมอยูในขั้นที่เศาะเหียะห ดวยกับสาเหตุนี้ จึงทําใหปรากฏหะดีษที่อยูในระดับเฎาะ 1 2
อัล-นูร
อัตติรมีซีย ระบุวาเปนหะดีษหะสันเศาะเหียะห อัตติรมีซีย ระบุวาเปนหะดีษหะสันเศาะเหียะห
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
55
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
อีฟญิดดัน และเมาฎั๊วะ อยูเปนจํานวนหลายหะดีษ ยอมสงผลทําใหหนังสือของทานไดรับการวิจารณอยางรุนแรงถึ ง การนําหะดีษที่ไมไดมาตรฐานดังกลาวมาบรรจุไวในหนังสือของทาน 4. ผลการวิ จัยพบว า มาตรฐานการนํ าหะดีษ มาใชเ ปน หลัก ฐานในเรื่ องตางๆ ที่ป รากฏในหนัง สื อ พบว า คุณ คาของการซิก ร มี จํานวน 161 หะดี ษ คิด เป น 36.50% มากที่สุ ด รองลงมา ความสํ าคั ญ ของการละหมาด มี จํานวน 96 หะดีษ คิดเปน 21.76% คุณคาอัลกุรอาน มีจํานวน 84 หะดีษ คิดเปน 19.04% คุณคารอมฎอน จํานวน 65 หะดีษ คิดเปน 14.74% และคุณคาของการตับลีฆ มีจํานวน 35 หะดีษ คิดเปน 7.93% ตามลําดับ จากผลการวิจัยขางตน สามารถกลาวไดวา ทานเมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา ใหความสําคัญกับการซิก ร มากเปนพิเศษ ดังจะเห็นไดจากผลการวิจัยขางตน และไมเปนเรื่องแปลกแตประการใด เพราะหนังสือในแนวนี้ย อมที่ จะสงเสริ มและสนั บสนุนใหผู คนทั้งหลายทําการรําลึกถึง อัลลอฮฺอยูตลอดเวลา การใหความสํ าคัญกับการหะดีษ ที่ เกี่ยวของกับการซิกรยอมเปนเรื่องที่ดีมากๆ เพราะหากผูคนรําลึกถึงอัลลอฮฺอยูตลอดเวลา ยอมทําใหเขาเกรงกลัวตอ พระองค เมื่อเขาเกรงกลัวตอพระองค ก็จะทําใหเขาไมกลาที่จะกระทําในสิ่งที่เปนความผิด และเมื่ อเขาไมกลาที่จะ กระทําความผิด จะมีผลทําใหสังคมเกิดความสงบสุขดังที่หลายฝายในสังคมตองการ 5. ผลการวิ จัยพบวา มาตรฐานสายรายงานหะดี ษจําแนกตามจํ านวนผูร ายงาน ปรากฏวา สายรายงาน ประเภทนาซิล จํานวน 293 หะดีษ คิดเปน 66.44% มากที่สุด รองลงมา ประเภทอาลีย จํานวน 137 หะดีษ คิดเปน 31.06% และไมพบสายรายงาน จํานวน 11 หะดีษ คิดเปน 2.50% ตามลําดับ จากผลการวิจัยขางตน สามารถกลาวไดวาการปรากฏสะนัดนาซิล มากกวาสะนัดอาลี ยอมเปนเรื่องปกติ ธรรมดา และสอดคล องกั บผลการวิ จั ยข างต น ที่ ร ะบุ ว าหะดี ษ จะปรากฏในหนั ง สื อที่ห ลากหลาย ย อมที่ จ ะทํ าให ผูรายงานมีหลายคน อยางไรก็ตาม ปรากฏสายรายงานที่เปนประเภทอาลี ถึง 137 หะดีษ ซึ่งการปรากฏในลักษณะ เชนนี้ไมงายนักเพราะหะดีษที่ปรากฏผูรายงานในสายรายงานนอยยอมทําใหระดับสถานภาพของหะดีษอยูในระดับ ที่ มาตรฐานไปดวย 6. ผลการวิจัยพบวา สายรายงานหะดีษจําแนกตามการรายงานติดตอกัน ปรากฏวา สายรายงานประเภท มุตตะศิล มีจํานวน 395 หะดีษ คิดเปน 89.57% มากที่สุด รองลงมาคือ ประเภทมุนเกาะฏิอฺ มีจํานวน 22 หะดีษ คิด เปน 4.98% ประเภทมุรสัล มีจํานวน 13 หะดีษ คิดเปน 2.95% ไมพบสายรายงานจํานวน 11 หะดีษ คิดเปน 2.50% ตามลําดับ จากผลการวิ จั ยข างต น สามารถกล าวได ว า การปรากฏสายรายงานที่ เ ป น มุ ต ตะศิ ล เป น จํ า นวนมาก สอดคล องกับ ผลการวิจั ยที่ กล าวมาข างต นถึ ง สถานภาพของหะดีษ แตก็ มีสายรายงานที่ เ ปน ประเภทมุ น เกาะฏิ อฺ ประเภทมุรสัล และไมพบสายรายงาน แตก็เปนจํานวนเพียงนอยนิดเทานั้น 7. ผลการวิจัยพบวา มาตรฐานของตัวบทและความหมายหะดีษ ปรากฏวา หะดีษที่ความหมายสอดคลองกับ ตัวบท จํานวน 160 หะดีษ คิดเปน 36.28% มากที่สุด รองลงมาคือ ความหมายโดยสรุป จํานวน 116 หะดีษ คิดเปน 26.30% ความหมายสอดคล องกั บ ตัว บท (ส วนหนึ่ง ของตั ว บทหะดีษ ) จํ านวน 85 หะดี ษ คิ ด เป น 19.27% และ ความหมายโดยสรุป (สวนหนึ่งของตัวบทหะดีษ) จํานวน 81 หะดีษ คิดเปน 18.36% ตามลําดับ จากผลการวิจัยขางตน สามารถกลาวไดวา หะดีษและความหมายสอดคลองกันมากที่สุด นั้นเปนเรื่องที่ดี เพราะการรายงานหะดีษโดยความหมายสามารถที่จะกระทําได แตตองยึดถึงจุดมุงหมายของตัวบทหะดีษดวย เพราะ มีบางหะดีษในสวนแรกระบุถึงขอหาม แตมีขอยกเวนหลังจากนั้น ฉะนั้น การที่จะรายงานหะดีษใดควรคํานึงถึง เรื่องนี้ ดวย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
56
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
อนึ่ง สิ่งหนึ่งที่ผูวิจัยประสบในขณะทําการศึกษาวิจัย คือ เปนการยากมากที่จะหาตัวบทหะดีษ เพราะบางครั้ง การแปลหะดี ษหรื อความหมายของหะดี ษ เป น เพี ยงส วนหนึ่ ง ของตั ว บท บางส วนเปน การแปลเฉพาะความหมาย โดยรวม ทําใหเปนการยากแกผูวิจัยที่จะคนหาตัวบทของหะดีษ ดังนั้น ผูวิจัยมีความเห็นวา การจะนําเสนอหะดีษควร ใหความสําคัญกับตัวบท หรือไมก็อางอิงตามหลักการที่ถูกตองวานํามาจากแหลงใด และควรระบุใหชัดเจน ไมเชนนั้น แลวจะมีผลทําใหหนังสือตางๆ ที่เรียบเรียงออกมามีมาตรฐานที่ไมเปนที่ยอมรับในแวดวงวิชาการ ขอเสนอแนะ ขอเสนอแนะที่ไดรับจากการวิจัย จากการวิจัยเรื่องตัครีจญตัวบทหะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยในหนังสือคุณคาของอะมาลของชัยคุลหะ ดีษ เมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา ผูวิจัยมีขอเสนอแนะ ดังนี้ 1. ควรใหความสําคัญกับหะดีษที่มีมาตรฐาน และไดรับการยอมรับจากนักปราชญเทานั้น และไมควรใชหะ ดีษที่ไมมีมาตรฐานเพื่อนํามาใชหรือเผยแพร และควรใหมีการเรียนการสอนวิชาหะดีษในทุกระดับ และควรปลุกกระแส ใหเกิดความสนใจหะดีษ ทั้งสองดานคือ ดานสถานภาพของหะดีษ และดานความหมายและการนําไปใช 2. ควรใหมีการศึกษาวิจัยตัวบทหะดีษในหนังสือตางๆ ในรูปแบบตัครีจญโดยเฉพาะหนังสือที่ใชเรียน และ หนังสือที่นักวิชาการนิยมนําไปใชอางอิง หรือใชในการบรรยาย สั่งสอนบุคคลทั่วไป ขอเสนอแนะในการทําวิจัยครั้งตอไป ควรทําการศึกษาวิจัยเรื่อง “ศึกษาวิเคราะหเรื่องเลาที่ปรากฏในหนังสือคุณคาของอะมาล ของชัยคุลหะดีษ เมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา”
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
57
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บรรณาธิการ มะสาการี อาแด. 2543. “แนวคิ ดเชิง ซูฟของกลุมดะวะฮฺ ตับลีฆ ในจัง หวัดชายแดนภาคใตของไทย”, วิทยานิพนธ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาอิสลามศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร. อับดุลเลาะ หนุมสุข และอับดุลเลาะ การีนา. 2547. “ตัครีจตัวบทหะดีษในหนังสือคุณคาของอะมาลของเชคคุลหะ ดีษ มาลานา มูฮัมมัด ซะกะรียา”,รายงานการวิจัย. ปตตานี:วิทยาลัยอิสลามศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี. c al- Asqalani, Shihab al-Din Ahmad Ibn cAli Ibn Hajar. 1964. Talkhis al-Habir. Bayrut: Dar al-Macrifah. al-cAsqalani, Shihab al-Din Ahmad Ibn cAli Ibn Hajar. 1991. Taqrib al-Tahdhib. Halab: Dar al-Rashid. Bakkar, Muhammad. 1997. cIlm Takrij al-Ahadith. 3th ed. al-Riyad: Dar Tibbiah. al-Bukhariy, Muhammad Ibn Ismacil. 1997. Sahih al-Bukhariy. al-Riyad: Dar al-Salam. Ibn Hibban Muhammad Ibn Hibban al-Basti. 1993. Sahih Ibn Hibban bi Tartib Ibn Balban. Bayrut: Mu’assasah al-Risalah. Mustafa al-Sibaci. 1982. al-Sunnah wa Makanatuha fi al-Tashric al-Islamiy. 2nded. Bayrut : Maktabah al-Islamiy. al-Qasimiy, Muhammad Jamaluddin. 1987. Qawacid al-Hadith Min Funun Mustalah al-Hadith. Bayrut: Dar al-Nafa’is. al-Suyutiy, Jalaluddin Abdulrahman Ibn Abi Bakr. 1966. Itmam al-Dirayah li Qira’al-Niqayah. Misr: Mustafa al-Halabiy. al-Tirmidhiy, Muhammad Ibn cIsa. 2003. Sunan al-Tirmiziy. al-Riyad: Maktabah al-Macarif.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
59
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทความวิจัย
วิวัฒนาการของวิจัยเชิงปฏิบัติการและประเภทของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ อิสมาแอ ราโอบ
บทคัดยอ การศึกษาครั้ งนี้ไ ดเริ่ มจากการทบทวนเกี่ยวกับ ความสํ าคัญ และประเภทของการวิจัย บทความชิ้น นี้ถู ก รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับวิวัฒนาการของวิจัยเชิงปฏิบัติการและประเภทของการวิจัยเชิงปฏิบัติการขั้นตอนในการทํา วิจัยเชิงปฏิบัติมีดวยกัน 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน การเก็บรวบรวมขอมูล การวิเคราะหขอมูล และสะทอนผลที่ได จากการศึกษา ซึ่งกระบวนการดังกลาวนี้จะตองสอดคลอดกับทฤษฎีของวิจัยเชิงปฏิบัติ เพื่อประยุกตใชตามเกณฑ คุณภาพของการตีพิมพบทความในวารสาร คําสําคัญ: วิจัยเชิงปฏิบัติการ, เกณฑคุณภาพ
นักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชาสถิติและการวิจยั วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยซัยน, มาเลเซีย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
60
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
RESEARCH
Action Research (AR): Preparation to Quality Criteria Ismail Raob1 Abstract This study started with educational research in terms of categories research and showed the importance of action research. The article is reviewed of the evolution in action research and types of action research. Moreover, the iterative action research procedures described in four steps: plan, collect data, analyze, and reflect, and relate their classroom practice to theory that were integrated into quality criteria for action research journal. Keywords: Action research, Quality Criteria
อัล-นูร
Ph.D. Candidate, statistics and research methodology, school educational studies, Universiti Sains Malaysia.
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
61
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Introduction Educational research is broadly conceived as the investigation of problems or questions concerned with the improvement of education (Gay, Milis, & Airassian, 2009). Besides, educational research is the formal, systematic application of the scientific method to the study of educational problems. All research studies fall into one of two categories: basic research and applied research. Basic research aims to explain, predict, and describe fundamental bases of behavior and applied research can be subdivided into evaluation research, research and development (R&D), and action research (Pathak, 2008). Action research methodology is an authentic research process that is regularly viewed as an instrument for helping teachers to understand and react to situations in their classrooms (Deemer, 2009). Moreover, Action research (AR) is a form of self-reflective enquiry undertaken by participants in educational situations in order to improve the rationality and justice of their own educational practices, their understanding of these practices and the situations in which the practices are carried out (Kemmis, 1988). AR is a useful tool. It allows educators to systematically and empirically address topics and issues that affect teaching and learning in the classroom (Weaver-Hightower, 2010: 335-356). While, AR process is natural for some teachers. The teachers are always exploring and testing new strategies by observing and collecting information related to the success of instructional and organizational strategies (Wang, Odell, Klecka, Spalding, & Lin, 2010: 395-402). Others need to be conscience of action research techniques while developing classroom strategies and planning activities. Whereas, AR provides a structured process for implementing data collection and analysis. It provides the information necessary for an educator to know whether or not their intervention had the anticipated results. Furthermore, this article has reviewed of the action research procedures and the quality criteria to publish a journal. The findings would greatly help teachers would be useful as a guideline for the planning and the management of doing research and to prepare the requirement of a good publishing journal. Evolution of action research The origins of action research lay in the work of social psychologist (Kemmis & McTaggart, 1988) who developed and applied it over a number of years in a series of community experiments. Zeichner (2001) has provided us with an overview of how AR developed as a research tradition. The work of Kurt Lewin (1946), who researched into social issues, is often described as a major landmark in the development of AR as a methodology. Lewin’s work was followed by that of Stephen Corey and others in the USA, who applied this methodology for researching into educational issues. In Britain, according to Hopkins (2002), the origins of AR can be traced back to the Schools Council’s Humanities Curriculum Project (1967–72) with its emphasis on an experimental curriculum and the reconceptualization of curriculum development. Following on this project, Elliot and Adelman (1976: 139-150) AR in their teaching project, examining classroom practice. More recent developments in England and Wales support the important role of AR as reflected in the number of small research grants which have been made available by the Teacher Training Agency and the
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
62
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Department for Education and Skills (DfES) in the past decade. Readers may also be interested to note that the Collaborative Action Research Network (CARN) provides a forum for those interested in AR as a methodology as well as the existence of an international journal, Educational Action Research (Zeichner, 2001). In Thailand, AR originated with an attempt to improve the teaching profession (Nunnoi, 1997). There was a need to change and improve both the teaching and learning processes. As teachers used research as a tool to improve their effectiveness in the classroom, AR simultaneously helped teachers become more professional. Types of Action Research The two main types of action research are critical action research (CAR) and practical action research (PAR). Critical Action Research In CAR, the foal is liberating individuals through knowledge gathering; for reason, it is also known as emancipator action research (Milner, 2009: 118-131). CAR is so named because it is based on a body of critical theory, not because this type of AR is critical, as in “faultfinding” or “important” although it may certainly be both (Lampert, 2009: 21-34). The value of CAR that all educational research not only should be socially responsive but also should exhibit the following characteristics. Although this critical theory-based has been challenged for lack of practical feasibility, it is nonetheless important to consider it provides a helpful heuristic, or problem-solving approach, for teachers who are committed to investigate through AR the taken of granted relationships and practices in their professional lives (Kersting, Givvin, Sotelo, & Stigler, 2009: 172-181) Practical Action Research As compared to CAR, PAR emphasizes more of a how to approach to the processes of AR ad has a less philosophical bent (Zhao, 2010: 422-431). An underlying assumption is that, to some degree, individual teachers or teams of teachers are autonomous and can determine the nature of the investigation to be undertaken. Other assumptions are that teacher researchers are committed to continued professional development and school improvement and that teachers want to reflect on their practices systematically (Croninger & Valli, 2009: 100108). Finally PAR perspective assumes that as decision maker, teacher researchers will choose their own areas of focus, determine their data collection techniques, analyze and interpret the data, and develop action plans based in their findings (Walshaw & Anthony, 2008). Action Research Procedures Panticand Wubbel (2010) explained AR can be described in four steps: plan, collect data, analyze, and reflect. Carefully thinking through each step of the process fosters a disposition for thoroughness, a heightened awareness of the thinking skills associated with action research, and an increased flexibility and control over your thought processes. These steps will serve as a basis for approaching each type of data collection described in this study.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
63
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
1 Plan: Like teaching, planning is the first phase of the action research process. When planning a lesson, teachers establish learning goals, create an assessment plan, and design their instructional activities. When planning an action research study, teachers should decide on the goals and purposes of the study, decide on a research question to guide the study, select the research participants, and determine the method of data collection. Lacking a plan, you are likely to find yourself sifting aimlessly through piles of data without any clear purpose (Omare & Iyamu, 2006: 505-510). Such an approach will most likely result in superficial findings. As you work through the book, you will be asked to develop plans for several different types of research. For some forms of data, it is helpful to know how the data is analyzed before trying to develop a plan. For these forms of data, the analysis will be presented before you are asked to create a plan (Hendricks, 2006) 2 Collect data: During the data collection phase, actions are taken to carry out your action research project. These actions include implementing new teaching strategies and collecting data on them. Data collection could include administering tests, observing students, and conducting surveys and interviews (Peters & Gray, 2007). 3 Analyze: During the analysis phase, teachers carefully examine and analyze their data. The analysis could include observations of student interactions, the analysis of student work, the analysis of surveys and interviews, the analysis of pre-and post-tests, or the analysis of standardized achievement tests. Analysis during action research consists of a two-step process (Connor, Greene, & Anderson, 2006). First, action researchers should construct an objective description of student performance. This description should be thorough, detailed, objective, and as free from judgments or inferences as possible. The more detached and objective the description, the better it lends itself to analysis and interpretation. Second, to multiply their observations action researchers should examine their data from different perspectives (Brien, 2001). Expanding your observations by shifting perspectives provides a wider basis for making interpretations in the next phase of your action research project. This can be accomplished by making comparisons and contrasts, by integrating different observations in different ways, and by viewing the data through different conceptual lenses (Wongwanich, 1999). 4 Reflect: The reflection phase consists of a three-step process. The first step is interpreting and explaining your observations. When interpreting your data, it is useful to generate as many plausible explanations as possible Teachers will find having a variety of explanations is helpful in the second step of the reflection process, which is developing new teaching strategies. Most new teaching strategies come from one of the following four sources: your past experience, data from your study, techniques shared by other teachers, or the educational literature. The third step of the reflection process is to justify your new teaching strategies by supporting them with data, best practice, educational research, or educational theory. Justification is critical because the thinking processes associated with developing a new strategy are often based on inspiration or intuitive thinking. Justification requires a more carefully reasoned rationale based on an analytical approach that links data, literature, and past experience. Throughout the book, you will be asked to engage in this three-step process of reflection when analyzing sample data (Jain, Spalding, Odell, Klecka, & Lin, 2009; Grudy, 1995: 3-15).
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
64
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Quality Criteria for Action Research Journal In combination, the following seven criteria, often called ‘choicepoints’ for quality, represent the elements of an action research project/ paper that in the AR (Bradbury, 2010: 93-109). 1. Articulation of objectives The extent to which the authors explicitly address the objectives they believe relevant to their work and the choices they have made in meeting those. 2. Partnership and participation The extent to and means by which the paper reflects or enacts participative values and concern for the relational component of research. By the extent of participation we are referring to a continuum from consultation with stakeholders to stakeholders as full co-researchers. 3. Contribution to action research theory/practice The extent to which the paper builds on (creates explicit links with) or contributes to a wider body of practice knowledge and or theory, that contributes to the action research literature. 4. Methods and Process The extent to which the action research process and related methods are articulated and clarified. 5. Action ability The extent to which the paper provides new ideas that guide action in response to need. 6. Reflexivity The extent to which self location as a change agent is acknowledged by the authors. 7. Significance The extent to which the insights in the manuscript are significant in content and process. By significant it means having meaning and relevance beyond their immediate context in support of the flourishing of persons, communities, and the wider ecology. Conclusion AR can be improved teaching and will help teachers discover what works best in classroom situation. It is a powerful integration on teaching that provides a s solid basis for instructional decisions. AR’s easily mastered techniques provide insights into teaching that result in continual improvement. In conclusion this paper has presented an overview of action research as a methodological approach to solving social problems. The principles and procedures of this type of research were described along with the evolution of the practice. Moreover, this article has reviewed the criteria which can help to ensure the quality, integrity, rigour and relevance of qualitative research. It has argued that qualitative researchers should selectively embrace criteria which are responsive both to their qualitative ideals and the specific research in hand. The ever-growing pool of research criteria offers competing ways of evaluating research, although there is also a strong measure of consensus and overlap between these.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
65
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Suggestion for future researchers on this paper as suggested earlier in this section. However, it is not complete to make recommendations about all literature reviews. It can be thought that much more use of the meta-analysis researches will contribute to science because, it is a literature method which can review and combine or compare related individual studies. And should be specific the areas of educational research because, it can be eased to summary the action research. Acknowledgements I would like to send my deepest thanks to USM Fellowship for financial support. And I wish to express my gratitude to all those who have helped to contribute to the completion of this article.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
66
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
References Adelman, C., Jenkins, D. and Kemmis, S. 1976. ‘Rethinking Case Study: Notes from the Second Cambridge Conference’, Cambridge Journal of Education, 6, 3. Bradbury, H. 2010. ‘What is good action research? Why the resurgent interest?’, Action Research 8(1). Croninger, R. G., & Valli, L. 2009. "Where Is the Action?" Challenges to Studying the Teaching of Reading in Elementary Classrooms. Educational Researcher, 38(2). Grudy, S. 1995. Action research as profession development. Murdoch University: Innovative Links Project. Hendricks, C. 2006. Improving schools through action research: A comprehensive guide for educators. New York: Pearson. Hopkins, D. 2002. A Teacher’s Guide to Classroom Research. Buckingham: Open University Press. Jian, W., Spalding, E., Odell, S. J., Klecka, C. L., & Lin, E. (2009). Bold Ideas for Improving Teacher Education and Teaching: What We See, Hear, and Think. Journal of Teacher Education, 61(1-2). Kemmis, S. & McTaggart, R. 1988. The action research planner. Deakin University Press. Victoria. Kersting, N. B., Givvin, K. B., Sotelo, F. L., & Stigler, J. W. 2009. Teachers' Analyses of Classroom Video Predict Student Learning of Mathematics: Further Explorations of a Novel Measure of Teacher Knowledge. Journal of Teacher Education, 61(1-2). Kurt Lewin, "Action Research and Minority Problems," Journal of Social, Issues 2 (1946). Lampert, M. 2009. Learning Teaching in, from, and for Practice: What Do We Mean? Journal of Teacher Education, 61(1-2). Milner, H. R. 2009. What Does Teacher Education Have to Do With Teaching? Implications for Diversity Studies. Journal of Teacher Education, 61(1-2). Nunnoi, P. 1997. A develoment of the factors used for classroom action research evaluation. M. Ed. Thesis, Graduate school. Chulalongkorn University. O’Connor, K., Greene, C., & Anderson, P. (2006, 7 April). Action research: A tool for improving teacher quality and classroom practice. Paper presented at the American Educational Research Association Annual Meeting, San Francisco, CA. O'Brien, R. 2001. An Overview of the Methodological Approach of Action Research. Online: http://www.web.net/~robrien/papers/arfinal.html#_Toc26184660 10 July 2011. Omare, C. Otote; Iyamu, Ede O. S. 2006. “Assessment of the Affective Evaluation Competencies of Social Studies Teachers in Secondary Schools in Western Nigeria” College Student Journal, Vol.40 No.3 . Peters, J., & Gray, A. 2007. Teaching and learning in a model-based action research course. Action Research, 5(3).
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
67
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Walshaw, M., & Anthony, G. 2008. The Teacher's Role in Classroom Discourse: A Review of Recent Research Into Mathematics Classrooms. Review of Educational Research, 78(3). Wang, J., Odell, S. J., Klecka, C. L., Spalding, E., & Lin, E. (2010). Understanding Teacher Education Reform. Journal of Teacher Education, 61(5). Weaver-Hightower, M. B. 2010. Using action research to challenge stereotypes: A case study of boys' education work in Australia. Action Research, 8(3). Wongwanich, S. 1999. Conceptual in classroom action research. Bangkok: Chulalongkorn University Press. Zeichner, K. 2001. ‘Educational Action Research’, in P. Reason and H. Bradbury (eds.), Handbook of Action Research: Participative Enquiry and Practice. London: Sage. Zhao, Y. 2010. Preparing Globally Competent Teachers: A New Imperative for Teacher Education. Journal of Teacher Education, 61(5).
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
69
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทความวิจัย
คุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลาม ของนักเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดปตตานี มูหัมมัดรุสลี ดามาเลาะ จิดาภา สุวรรณฤกษ บทคัดยอ การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงคเพื่อ 1) ศึกษาระดับพฤติกรรมคุณธรรมจริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคํา สอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัด ปตตานี 2) เปรียบเทียบระดับคุณ ธรรมจริยธรรมในการดําเนิ นชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิ สลามของนักเรียนที่ ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี 3) ศึกษาวิธีการปลูกฝง คุณธรรมจริยธรรมในการดําเนินชีวิต ตามหลัก คําสอนศาสนาอิสลามใหแกนั กเรียนที่ ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอน ศาสนาอิสลามระดับมัธ ยมศึ กษาตอนปลายในจังหวั ดปต ตานี 4)ศึก ษาแนวทางการปลูกฝ งการประพฤติคุณ ธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามใหแกนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี กลุมตัวอยาง คือนักเรียนจํานวน 284 คน ผูบริหารโรงเรียน ครู และ ผูปกครองของนักเรียนจํานวน 15 คน ผลการวิจัยพบวา (1) พฤติกรรมคุณธรรมจริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ศึกษาใน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี โดยรวมอยูในระดับปานกลาง (2) พฤติกรรมคุณธรรมจริยธรรม ในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ศึกษาใน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี ระหวางนักเรียนชายและนักเรียน หญิงมีความแตกตางกัน เมื่อเปรียบระหวางโรงเรียนพบวาไมแตกตางกัน และเมื่อเปรียบเทียบระหวางชั้นเรียนพบวามี ความแตกตางกัน (3) วิธีการปลูกฝง คุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามใหแกนักเรียนที่ ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี พบวา ผูบริหาร ใชนโยบาย ในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมโดยอาศัยทั้งหลักสูตรในหองเรียน กิจกรรมกลุมศึกษา(ฮัลกอฮฺ) กิจกรรมเอี้ยะติกาฟ กิจกรรมกียามุลลัยย กิจกรรมเยี่ยมบาน กิจกรรมคายอบรม กิจกรรมอภิปรายกลุม ครู ปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรม นักเรียนโดยอาศัย ทั้งหลักสูตรในหองเรียน กิจกรรมกลุมศึกษา(ฮัลกอฮฺ) กิจกรรมเอี้ยะติกาฟ กิจกรรมกียามุลลัยย การอภิปรายกลุม และการแสดงบทบาทสมมุติ และ ผูปกครองนักเรียน ปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมโดยอาศัยความรัก ความเขาใจในครอบครัว การศึกษาอิสลามรวมกัน และการปฏิบัติเปนตัวอยาง
นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาการศึกษาเพือ่ พัฒนาทรัพยากรมนุษย, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยทักษิณ ดร.(การศึกษานอกระบบโรงเรียน) อาจารยประจําบัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยทักษิณ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
70
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
(4) แนวทางการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามใหแกนักเรียนที่ ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี จากการสัมภาษณผูบริห าร โรงเรียน ครู และผูป กครองนัก เรี ยน ทราบว า 4.1 ผูบ ริ หารโรงเรี ยน มี นโยบายสอนให นัก เรี ยนตระหนัก และเห็ น ความสําคัญของคุณธรรมจริยธรรมตามแนวทางอิสลาม โดยอาศัยหลักการทั้งจากอัลกุรอาน ฮาดิษ และหลักอิฮฺซาน ความพึงพอใจตอปจจัยตางๆที่อัลลอฮฺ ทรงประทานให ขอดุอาอฺใหพระองคประทานแตในสิ่งที่ดี และหลีกเรนตอ สิ่งไมดี ขอใหประทานแตสิ่งที่เปนบารอกะฮฺ (มีสิริมงคล) 4.2 ครู สอนใหนักเรียนใหความสําคัญกับในดานคุณธรรม จริยธรรม โดยใหความรูกับนักเรียน หลักการอิสลามที่ถูกตอง ทั้ งในอัลกุรอานและฮาดิษ ใชหลักสูตรวิชาอักลาก (จริยธรรม) อรรถาธิบายอัลกุรอาน ประวัติศาสตรอิสลาม และวิชาอื่นๆ ใหดําเนินชีวิตตามแบบฉบับของทานนบี เปนแบบอย าง การอดทนต อการทําความดี การปฏิบัติ อามัล (ศาสนกิจ )ตางๆ ให ครบถ วนเพื่อแสวงหาความโปรด ปราณจากอัลลอฮฺ ใหนักเรียนเขาใจวา สิ่งตางๆรอบตัวนั้นมีทั้งที่เปนประโยชนและโทษ ใหนักเรียนมีความอดทน ตอการแยกแยะระหวางสิ่งที่ดีและไมดีและใหนักเรียนสามารถเลือกในการปฏิบัติได ใหนักเรียนไดอานและศึกษาอัลกุ รอาน รวมทั้งการเสริมในดานกิจกรรม 4.3 ผูปกครอง การปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรม ตองเริ่มจากครอบครัว โดย เริ่มสอนตั้งแตเด็กใหไดรับรู ซึมซับ และครอบครัวตองใหความสําคัญ ดูแลอยางใกลชิด แนะนําและตักเตือน จนเกิด เปนนิสัย ใหรูจั กมารยาท รูจั กการประหยัดไมฟุมเฟ อย การอดทนตอการปฏิบัติศาสนากิจ มีความรักตอบุคคลใน ครอบครัวและพี่นองในอิสลาม ขอเสนอแนะ คือ ควรศึกษาเพื่อกําหนดกรอบหรือหลักสูตรที่ชัดเจนในการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมในแต ละกิจกรรม คําสําคัญ: คุณธรรมจริยธรรม, หลักคําสอนศาสนาอิสลาม, โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม, จังหวัดปตตานี
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
71
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
RESEARCH
Moral Life in accordance with Islamic Teachings of Islamic Religious School’s Students in Pattani Province Muhamadruslee Damalo Jidapa Suwannarurk Abstract This research were aimed 1) to study the level of moral and ethical behavior, 2) to compare the level of morality, 3) to learn how to inculcate morality into students and 4) to learn about the principles on the inculcation of moral and ethical behavior in everyday life which accordance with Islamic teaching of upper secondary school students studying in Islamic private schools in Pattani province. The samples were 299; 284 were students and 15 were from school administrators, teachers and parents. The results of the study indicated as following. (1)The overall level of moral and ethical behavior in everyday life in accordance with Islamic teaching of upper secondary school students studying in Islamic private schools in Pattani province was average level. (2 )The comparison about the level of morality in everyday life in accordance with Islamic teaching of upper secondary school students between boys and girls were different. Also it showed that it was not significantly different when comparing students between schools, however, it was different when comparing through the classes. (3)The ways to inculcate morality in everyday life in accordance with Islamic teaching for upper secondary school students were found that the administrators as well as teachers used the policy of instill morality for students through the curriculum and the activities in the classroom. The activities were such as having study group (Halaqah), contemplating at mosque during the last10 days of Ramadan month (cItikaf), praying at night (Qiyamullai), having home visit, doing training camps, and having group discussion activities. As parents, they inculcated morality to their children based on love and understanding in the family, teaching and learning about Islam together and be as a good example for their children. (4)The principles on the inculcation of moral and ethical behavior in everyday life which is in accordance with Islamic teaching were based on the interview of school administrators, teachers, and parents, divided the findings as following: 4.1 The school administrators: The school administrators must apply the policy by teaching and giving the awareness about the importance of morality and ethics in accordance with Islamic
Graduate Student, Department of Education to develop human resources, Graduate School, Thaksin University. Ph.D. (Education outside the school system) Lecturer of Graduate School, Thaksin University.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
72
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
teaching which is based on the holy book- Al-Quran, Hadith and Ihsan principle, and the principles about the satisfaction of the things that Allah has given to people, and always ask the good things and the blessing from Him as well as avoid the bad things. 4.2 Teachers: Teachers must educate students to focus on morality and ethics by providing the correct Islamic knowledge that are required in both al-Quran and Al-Hadith. Moreover, they must instruct students through the ethical principles, Al-Quran interpretation, Islamic history and other subjects that are in relative with the lifestyle of the Prophet Muhammad who is the model of the tolerance in doing good deeds and practicing other ritual actions completely in order to seek respiration from Allah. Furthermore, teachers must teach students that everything around us is both helpful and harmful, instruct them to be patient to distinguish between good and bad, give them to choose in doing things, read and learn about Al-Quran including the promotion of activities. 4.3 Parents: The inculcation of morality and ethics in family is important. It must start from the child to let him or her knows, and absorbs about it. Besides, parents must give full attention to their children by closely monitor, and gradually introduce warnings. In addition, they must give the recognition of some good manners such as knowing of how to be a thrifty person, be patient on performing various religious deeds and love for their parents and brothers in Islam. Keyword: ethics, Islamic, Islamic religious schools, Pattani province
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
73
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทนํา “และแทจริงเจา (มูฮําหมัด) ตั้งอยูบนคุณธรรมอันยิ่งใหญ” (ซูเราะฮฺ อัลกอลัม. 68: 1540) อิสลามใหความสําคัญ กับคุณธรรม จริยธรรม และจรรยามารยาท อับดุลฮากีม วันแอเลาะ (ม.ป.ป.: 1 - 2) ไดกลาววา โดยธรรมชาติมนุษย นั้นอาจะแสดงออกไดทั้งในรูปที่ดีหรือที่ชั่ว แตหากจะใหเกิดเปนปกติวิสัยที่ดีอยูเสมอ ความจําเปนประการหนึ่งที่จะ ละเลยเสียมิได ก็คื อ ต องพยายามปลู กฝง ให อยูใ นกรอบแหง จริ ยธรรมโดยแทจ ริง และด วยวิ ธีดัง วานี้ เขาเหล านั้ น จะต องจะมี ความผูก พั น อยู กั บ การคิ ด คํานึ ง อยากทํ าแต ความดี จากอั ล กุ ร อาน โองการข างตน แสดงให เ ห็ น ว า จริยธรรมที่ดีงามโดยแทจริงนั้นคือจริยธรรมที่ดีงามตามแบบทานนบีมูฮําหมัด อัลกุรอานไดกลาววา “และเรามิได สงเจามาเพื่ออื่นใดนอกจากเพื่อเปนความเมตตาแกประชาชาติทั้งหลาย” (ซูเราะฮฺอัลอัมบิยาอฺ. 21: 791) นอกจากนี้ เพื่อใหการปฏิบัติตามคุณธรรม จริยธรรมที่ถูกตองอิสลามยังไดใหความสําคัญกับการศึกษาหาความรู ดังปฐมอายะฮฺ ของอัลกุรอานที่วา “จงอาน ดวยพระนามของพระเจาของเจา ผูทรงบังเกิด” (ซูเราะฮฺอัลอะลัก. 96: 1727) คําวา “จง อาน” ในที่นี้ หมายถึ งการศึกษาหาความรู อิ บรอเฮ็ ม ณรงครัก ษาเขต (2521: 2) กลาวว า อิส ลามเป นศาสนาที่ใ ห ความสํ าคั ญ มากกั บ การศึ ก ษาหาความรู อิ ส ลามไม เ พี ยงแต จ ะสอนให มนุ ษ ย มีความรั ก ในความรู แต อิส ลามยั ง เรียกรองให ทุกคนแสวงหาความรู เพราะความรู เปน พื้นฐานของการพั ฒนามนุ ษย เปน กุญแจของความเจริญ ทาง วัฒนธรรมและอารยธรรม ความรูมีความตอทุกขั้นตอนของการมีอยูของมนุษย ความรูนั้นจะทําใหมนุษยรูจักตนเอง รูจักจักรวาล และรูจักผูอภิบาลผูทรงสราง การศึ กษาหาความรู ข องมุ ส ลิ มหรื อผูที่ นั บ ถือศาสนาอิ สลาม จึ ง เปน การศึ ก ษาเพื่ อการพั ฒนาคุ ณธรรม จริยธรรมอิสลาม ซึ่งมีความจําเปนตอการนําไปใชประพฤติปฏิบัติในทุกสวนของการดํารงชีวิต เพราะการดําเนินชีวิต ตามแนวทางของอัลกุรอานและจริยวัตรของทานนบีมูฮําหมัด นั้นเปนเปาหมายสูงสุดของมุสลิมเพื่อแสวงหาความ โปรดปรานจากอัลลอฮฺ และนับเปนผูที่มีเกียรติยิ่ง ดังอัลกุรอานโองการที่วา “หาใชคุณธรรมไม การที่พวกเจาผิน หนาของพวกเจาไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกแตทวา คุณธรรมนั้นคือผูที่ศรัทธาตออัลลอฮฺ และ วันกียามะฮฺ (ปรโลก) และศรัทธาตอมลาอิกะฮฺ ตอบรรดาคัมภีรและนบีทั้งหลาย และบริจาคทรัพยทั้ง ๆ ที่มีความรักในทรัพยนั้น แกบรรดาญาติที่สนิทและบรรดาเด็กกําพรา และแกบรรดาผูยากจนและผูที่อยูในการเดินทาง และบรรดาผูที่มาขอ และบริจาคในการไถทาส และเขาไดดํารงไวซึ่งการละหมาด และชําระทานซากาต และ(คุณธรรมนั้น) คือบรรดาผูที่ รักษาสัญญาของพวกเขาโดยครบถวน เมื่อพวกเขาไดสัญญาไว และบรรดาผูที่อดทนในความทุกขยาก และในความ เดื อดร อน และขณะต อสู ในสมรภู มิ ชนเหล านี้ แหละคื อผู ที่พู ด จริง และชนเหลานี้ แหละคือผู ที่ มีความยํ าเกรง” (ซูเราะฮฺอัล-บะเกาะเราะฮฺ. 2: 53) ดังนั้นมุสลิมจึงยึดหลักสําคัญ 2 ประการเปนแนวทางในการดํารงชีวิต คือ อัลกุ รอานและ จริยวัตรหรือซุนนะฮฺของ นบีมูฮําหมัด เพราะฉะนั้นทั้งอัลกุรอานและจริยวัตรของ นบีมูฮําหมัด นั้น จึงเปนองคความรูที่มุสลิมทุกคนตองเรียนรูและยึดถือปฏิบัติอยางเครงครัด การศึก ษาคุณ ธรรม จริ ยธรรมอิ สลามของเยาวชนในสามจัง หวั ดชายแดนภาคใต ส วนใหญนั้ น อาศั ยทั้ ง ครอบครัวซึ่งเปนการสั่งสอนโดยพอแมหรือญาติผูใหญ และการศึกษาจากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ ซึ่งเปนแหลงการเรียนรูที่พัฒนากันมาอยางยาวนานตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน การศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา อิสลาม คือการบูรณาการความรูตางๆตามหลักการศาสนาอิสลามทั้งจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺทานนบีมูฮําหมัด ไปสูวิชาความรูในหองเรียน จนไปถึงลงสูการปฏิบัติในชีวิตจริง ทั้งในหองเรียน ในโรงเรียนและการดําเนินชีวิตในสังคม จึงกลาวไดวาเปนการศึกษาเพื่อนําไปสูการปฏิบัติทั้งบริบทของชีวิต ที่ผานมา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ไดประกาศใชหลักสูตรอิสลาม ศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ซึ่งสถานศึกษาตองจัดการเรียนรูดานอัคลาก (จริยธรรม)ไวใน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
74
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
สวนของหลักสูตรอิสลามศึกษา อีกทั้งยังไดกําหนดใหมีตัวชี้วัดชั้นป และตัวชี้วัดชวงชั้นในแตละระดับเพื่อการประเมิน อีกดวย มีขอสั งเกตอยูป ระการหนึ่ งวา สัง คมโลกปจ จุบันมี ความรุดหนาขององคความรู และวิ ทยาการต างๆอยาง มากมาย ความเจริ ญ ทางเทคโนโลยี ที่ มีอยู กอใหเ กิ ดความสะดวกสบายในการใช ชีวิ ต เพิ่ มขึ้น จนหลายครั้ ง ความ สะดวกสบายเหลานี้ กลายเปน เปาหมายหลักของการพัฒนาสัง คม สมาชิก ในสังคมเกิ ดความหลงลืม ละเลยที่จ ะ พัฒนาคุณธรรม หรือคุณงามความดีที่มีอยูในตนเอง(สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. 2551: 3 ; อางอิงจาก รัตนะ บัวสนธ. 2550) ประกอบกับกระแสโลกาภิวัฒน ที่ทําใหสังคมไทยประสบกับการไหลบาเขามาของกระแสคานิยม ตะวั น ตก กระแสของการบริ โ ภคนิ ยม และกระแสทุ น นิ ยม กระแสเหล านี้ ก อให เ กิ ด ป ญ หาความเสื่ อมถอย ด า น คุณธรรม จริยธรรม จนกลายเปนปญ หาสังคมตามที่เราไดพบเห็นตามหนาหนังสือพิมพและโทรทัศนอยูทุกวัน จน กลายเปนความเคยชิ นในสังคมปจจุ บัน เชนข าวการลว งละเมิดทางเพศ ฆ าชิงทรัพย การทุจริ ตในวงราชการ การ ทะเลาะและฆากันตายของนักเรียนนักศึกษาบางกลุม ปญหายาเสพติดเปนตน ในสังคมเยาวชนมุสลิมก็เช นเดียวกัน สื่อตางๆทั้งทางอินเตอรเนต โทรทัศนและหนังสือพิมพลวนแลวแต มี อิทธิพลตอพฤติกรรมและความรูสึกนึกคิดของเยาวชนมุสลิม อีกทั้งยังไมมีมาตรการในด านการในดานการรับมือที่ รัดกุม การคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ และความสํานึกของผูผลิตสื่อตอสังคม รวมทั้งปญหาสังคมที่รุมเราในปจจุบัน เชนปญหายาเสพติดในพื้นที่ ปญหาชูสาว แฟชั่นการแตงตัวที่ไมเหมาะสม พฤติกรรมเลียนแบบดารานักแสดง นัก รอง การใชจายอยางฟุมเฟอยโดยไมคํานึงถึงฐานะทางครอบครัว การทะเลาะเบาะแวงในระหวางวัยรุนดวยกัน หรือปญหา ดานมารยาท เปนตน ปญหาเหลานี้ลวนแลวแตเปนผลจากการที่เยาวชนมุสลิมไดรับการถายทอดจากสื่อขางตน แลว นํามาประพฤติปฏิบัติอยางไรกฎเกณฑ ขาดความพอดี จนเบี่ยงเบนไปจากคุณธรรม จริยธรรมอิสลามที่สืบทอดมา จากทานนบีมูฮําหมัด ที่เปนคุณธรรม จริยธรรมอิสลามที่ดีงาม ดวยเหตุนี้ ดวยเหตุนี้ผูวิจัยจึงสนใจศึกษาวิจัย เรื่อง “คุณธรรม จริยธรรมในการดําเนิน ชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา อิสลามในจังหวัดปตตานี” เพื่อศึกษาระดับคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของ เยาวชนที่ ศึก ษาในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิส ลามในจัง หวั ดป ต ตานี และสรางแนวทางการปลู กฝ ง คุ ณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของเยาวชนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในจังหวัดปตตานีตอไป วัตถุประสงคของการวิจัย เพื่อศึก ษาระดับพฤติ กรรม คุณธรรม จริ ยธรรม ในการดําเนิน ชีวิ ตตามหลัก คําสอนศาสนาอิ สลามของ นักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี เพื่อเปรียบเทียบระดับคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามใหแกนักเรียนที่ ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี เพื่อศึกษาวิธีการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี ศึก ษาแนวทางการปลู ก ฝ งการประพฤติ คุ ณ ธรรม จริ ยธรรมในการดํ าเนิ น ชีวิ ต ตามหลั ก คําสอนศาสนา อิสลามใหนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
75
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
วิธีดําเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง คุณธรรมจริยธรรมในการดํ าเนินชีวิตตามหลักคํ าสอนศาสนาอิสลามของเยาวชนในจังหวั ด ปตตานี ผูวิจัยไดกําหนดขั้นตอนการวิจัยดังนี้ 1.ประชากรและกลุมตัวอยาง 2.เครื่องมือที่ใชในการวิจัย 3.วิธีการสรางและตรวจสอบเครื่องมือ 4.การเก็บรวบรวมขอมูล 5.การวิเคราะหขอมูล 1. ประชากรและกลุมตัวอยาง ในการศึกวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยไดกําหนด ประชากรและกลุมตัวอยาง ดังนี้ 1.1 ประชากร ประชากร ไดแก นักเรียน ผูปกครอง และผูบริหารโรงเรียน ครูฝายปกครอง ของนักเรียน ที่ ศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดปตตานี 3 โรงเรียน ใชวิธีการจับ ฉลากโดยแยกโรงเรียนเปน 3 ประเภท คือ โรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลางและโรงเรียนขนาดใหญ ผลจากการจั บ ฉลากไดโรงเรียน 3 โรงเรียน ประกอบดวย โรงเรียนบํารุงอิสลาม โรงเรียนมุสลิมพัฒนศาสตร และโรงเรียนบานดอน วิทยา 1.2 กลุมตัวอยางแบงไดเปน 3 ประเภท คือ (1) กลุมนักเรียนซึ่งเปนนักเรียนที่ศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามใน จังหวัดปตตานี โดยสุมมาจากประชากร และเปรียบเทียบจากตารางสุมกลุมตัวอยางตารางของเครซี่จและมอรแกนโดย สุมตัวอยางแบบแบงชั้น (Stratified Random Sampling) โดยแบงตามจังหวัดที่ตั้งอยูในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใตแลว ทําการสุมอยางงาย (Simple Random Sampling) ตามสัดสวนไดจํานวนกลุมตัวอยางทั้งหมด 284 คน (2) กลุ มผู ปกครองนัก เรี ยน ผูบ ริหารโรงเรียน และอาจารย ที่ป ฏิบัติ หนาที่ใ นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา อิสลามในจังหวัดปตตานี ใชวิธีสัมภาษณโดยทําการสุมแบบเจาะจง จากผูปกครองจํานวน 9 คน ผูบริหารโรงเรียน และครูจํานวน 6 คน รวม 15 คน 2.เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ประกอบดวย 2.1 แบบสอบถาม ใชแบบสอบถาม เปนเครื่องมื อที่ผูวิจัยสรางขึ้นจากการศึกษาแนวคิด ทฤษฏี และแบบสอบถามงานวิจัยที่ เกี่ยวของกับพฤติกรรมเชิงจริยธรรม แบงออกเปน 2 ตอนคือ ตอนที่ 1 เป น แบบสอบถามข อมูล เกี่ ยวกั บ สถานภาพของผู ต อบแบบสอบถามมีลั ก ษณะเป น แบบสํ ารวจ รายการ (Check-List) เกี่ยวกับโรงเรียน เพศและชั้นเรียน ตอนที่ 2 เปนแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมคุณธรรมจริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนา อิสลามของเยาวชนในจังหวัดปตตานี 2.2 แบบสัมภาษณ ใชวิธีการสัมภาษณแบบไมมีโครงสราง (Formal Interview) และเตรียมแนวคําถามกวางๆ มาลวงหนา โดย สัมภาษณแบบมี จุด สนใจ หรื อสั มภาษณ แบบเจาะลึก (In-depth Interview) โดยสัมภาษณเ ปน รายบุคคลสําหรั บ ผูบริหารโรงเรียนและครูที่ปฏิบัติหนาที่ในโรงเรียน สวนการสัมภาษณผูปกครองใชวิธีสัมภาษณเปนกลุม โรงเรียนละ 3
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
76
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
คน โดยการสัมภาษณ ทีละข อ แล วนํามติของกลุมมาเป นผลสรุปของแนวทางและวิธีการปลูก ฝงนั กเรียน และเก็ บ ขอมูลดวยการจดบันทึก 3. วิธีการสรางและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ในการสรางเครื่องมือผูวิจัยดําเนินการตามขั้นตอน ดังตอไปนี้ 3.1 การสรางแบบสอบถาม (1) ศึ กษาทฤษฏี และแนวคิ ดที่ เกี่ ยวข องกับ คุณธรรม จริ ยธรรมของนัก เรี ยนมัธ ยมศึ กษารวมทั้ งหลัก สูต ร อิสลาม เอกสาร ตําราตางๆ และงานวิจัยที่เกี่ยวของ (2) ศึก ษาวิธี การสรางเครื่ องมือจากตํ าราการวัด และประเมิ นผล รวมทั้ งตั วอยางแบบสอบถามเกี่ ยวกั บ จริยธรรมของนักเรียน จากรายงานการวิจัยที่เกี่ยวของ (3) กําหนดขอบเขตของจริยธรรมตามองคประกอบทั้ง 5 ดานคือ ความสุภาพออนโยนและการออนนอมถอม ตน การรูจักการใหอภัย ความพอเพียง มารยาทตอบุคคลทั่วไป และความอดทน จากนั้นผูวิจัยสรางเครื่องมือตาม ขอบเขตที่กําหนด (4) นําแบบสอบถามที่สรางเสนอตอผูท รงคุณวุฒิต รวจทานและแกไขตามขอเสนอ3.1.5 นําแบบสอบถาม เสนอตอผูทรงคุณวุฒิเพื่อตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) กับนิยามศัพทที่ผูวิจัยไดใหความหมายไวหรือไม ไดคาดัชนีความสอดคลองเทากับ 0.77 (5) นําแบบสอบถามที่ไดไปทดลอง (Try Out) กับกลุมนักเรียนที่มิใชเปาหมาย และแกไขตามขอแนะนําไดคา ความเชื่อมั่นเทากับ 0.86 คาความเชื่อมั่นระดับสูง (เกียรติสุดา ศรีสุข. 2552: 144) (6) นําแบบสอบถามที่ผานการแกไขแลวไปใชในการเก็บขอมูล 3.2 การสรางแบบสัมภาษณ (1) ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของกับคุณธรรม จริยธรรมของเยาวชน คุณธรรมจริยธรรมอิสลาม แนวคิดการอบรมเลี้ยงดูบุตรตามหลักคําสอนของศาสนาอิสลาม แนวคิดวิถีชีวิตของศาสนาอิส ลาม และงานวิจัยที่ เกี่ยวของเพื่อนํามาเปนขอมูลในการสรางแบบสัมภาษณ (2) นําขอมูลที่ไดมาพิจารณากําหนดนิยามปฏิบัติการและสรางเปนคําถาม (3) นํ าแบบสั มภาษณ ที่ส รางเสนอคณะกรรมการควบคุมวิทยานิ พนธเพื่ อตรวจสอบความถูก ตองและให ขอเสนอแนะในการปรับปรุงแกไข (4) นํ าแบบสั มภาษณ ที่ ผ านการแก ไ ขแลว เสนอคณะกรรมการควบคุ มวิ ท ยานิ พ นธเ ป น ครั้ ง สุ ด ท ายเพื่ อ ตรวจสอบและใหคําแนะนําเกี่ยวกับการจัดทําฉบับสมบูรณสําหรับใชในการเก็บรวบรวมขอมูลตอไป 4. การเก็บรวบรวมขอมูล 4.1 การเก็บรวบรวมขอมูลจากแบบสอบถาม โดยนําไปใชกับกลุมตัวอยางที่เปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอน ปลายในโรงเรียนเปาหมาย 4.2 การเก็บรวบรวมขอมูลจากแบบสัมภาษณวิจัยดําเนินการตามขั้นตอนดังนี้ (1) ผูวิจัยใชแบบสัมภาษณแบบมีโครงสราง (Formal Interview) สัมภาษณกลุมตัวอยางดวยตนเอง จากการ จดบันทึกและบันทึกเทป (2) ดําเนินการสัมภาษณเพื่อสัมภาษณตามประเด็นที่กําหนดไว
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
77
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
5. การวิเคราะหขอมูล 5.1 การวิเคราะหขอมูลจากแบบสอบถาม ขอมูลจากแบบสอบถาม ผูวิจัยวิเคราะหโดยใชคอมพิวเตอร โปรแกรมสําเร็จรูป SPSS for Windows โดยใชคารอยละ คาเฉลี่ย และคาเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใชเกณฑในการตัดสินดังนี้ คะแนนระหวาง 1.00 - 1.99 ความหมาย นอยที่สุด คะแนนระหวาง 2.00 - 2.99 ความหมาย นอย คะแนนระหวาง 3.00 - 3.99 ความหมาย ปานกลาง คะแนนระหวาง 4.00 - 4.99 ความหมาย มาก คะแนนระหวาง 5.00 ความหมาย มากที่สุด 5.2 การวิเคราะหขอมูลจากการสัมภาษณ นํารายละเอียดที่ไดจากการจดบันทึกของผูถูกสัมภาษณแตละคนนํามาเรียบเรียงเพื่อวิเคราะหขอมูล โดยใช การวิเคราะหเนื้อหา (Content Analysis) และสรุปภาพรวมความคิดเห็นของผูบริหารโรงเรียน ครู และผูปกครอง ในแต ละดานเพื่ อสรุป เป น แนวทางและวิธี ก ารปลู กฝ ง คุณ ธรรม จริ ยธรรมตามหลั กคํ าสอนศาสนาอิ สลามของนัก เรี ยน มัธยมศึกษาตอนปลายที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดปตตานี ผลการวิจัย ผลการวิจัยพบวา ตอนที่ 1 ผลการศึกษาพฤติกรรม คุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของ นักเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี โดยจําแนกตามขนาดของ โรงเรียน วิเคราะหพฤติกรรมคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี โดยรวมและรายดา น โดย การหาคาเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับและอันดับไดดังนี้ 1.1) พฤติกรรมคุณธรรม จริยธรรมในการจริยธรรม ในการดําเนินชีวิ ตตามหลักคํ าสอนศาสนาอิสลามของนัก เรียนที่ศึกษาในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ สลามระดั บ มัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี ภาพรวมอยูในระดับปานกลาง(คาเฉลี่ย=3.64) โดยเรียงลําดับคาเฉลี่ยจาก มากไปหานอย คือ 1) ดานความอดทน 2) ดานการรูจักการใหอภัย 3) ดานความพอเพียง 4) ดานมารยาทตอบุคคล ทั่วไป และ 5) ดานความสุภาพออนโยนและการออนนอมถอมตน 1.2) พฤติกรรมคุณธรรม จริยธรรมในการจริยธรรม ในการดําเนินชีวิ ตตามหลักคํ าสอนศาสนาอิสลามของนัก เรียนที่ศึกษาในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ สลามระดั บ มัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี ดานความสุภาพออนโยนและการออนนอมถอมตน รวม อยูในระดับปาน กลาง (คาเฉลี่ย=3.29) โดยเรียงลําดับคาเฉลี่ยจากมากไปหานอย 3 อันดับแรกคือ 1)ขาพเจาพูดจาออนหวานตอบิดา มารดาและครูอย างสม่ําเสมอ 2) เมื่อขาพเจาถูก รองขอใหชวยเหลือในสิ่งไมสามารถทําได ขาพเจ าจะปฏิเสธอยาง สุภาพและขออภัย 3) เมื่ อผู อื่นทํ าความดี ขาพเจ ากล าวยกย อง ดว ยความบริ สุท ธิ์ใจ และคะแนนน อยที่สุด คือ 1) ขาพเจากลาวใหสลามแกมุสลิม และกลาวสวัสดีแกตางศาสนิกเสมอ และ 2) ขาพเจาไมพูดจาโออวดในสิ่งที่ขาพเจา เหนือกวาผูอื่น 1.3) พฤติกรรมคุณธรรม จริยธรรมในการจริยธรรม ในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลาม ของนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี ดานการรูจัก การให อภั ย อยู ในระดับปานกลาง(ค าเฉลี่ ย=3.77) โดยเรียงลํ าดั บค าเฉลี่ยจากมากไปหานอย 3 อั นดั บแรกคือ 1) ขาพเจาปฏิบัติตามหลักคําสอนของศาสนาอิสลามในเรื่องการใหอภัย 2) ขาพเจากลาวชื่นชมเมื่อเห็นผูอื่นกลาวขอโทษ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
78
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
และขออภัยอภัยซึ่งกัน 3) เมื่อมีเพื่อนมาขโมยสิ่งของ ของขาพเจา ภายหลังเขาสํานึกผิด ขาพเจาสามารถใหอภัยตอ เขาได และไดคะแนนนอยที่สุด คือ 1) เมื่อมีคนมาทํารายขาพเจา ขาพเจาจะไมแกแคนหรือตอบโต แตจะตักเตือนเขา เพื่อใหเลิกพฤติกรรมนั้น 1.4) พฤติก รรมคุณธรรม จริยธรรมในการจริยธรรม ในการดํ าเนินชีวิตตามหลักคําสอน ศาสนาอิ สลามของนัก เรี ยนที่ ศึก ษาในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ ส ลามระดั บ มัธ ยมศึ ก ษาตอนปลายในจัง หวั ด ปต ตานี ดานความพอเพี ยง อยู ในระดับ ปานกลาง (ค าเฉลี่ ย=3.65) โดยเรียงลํ าดั บค าเฉลี่ยจากมากไปหาน อย 3 อันดับแรกคือ 1) ขาพเจาปฏิบัติตามจริยวัตรของทาน นบี ในเรื่องการใชชีวิตอยางพอเพียง 2) เมื่อเห็นผูอื่นใชชีวิต อยางพอเพียงสมควรแกฐานะของตน ขาพเจายินดีจะปฏิบัติตาม 3) ขาพเจาจะใหความสําคัญตอคุณภาพของสินคา มากกวายี่หอของสินคา และ เมื่อผูปกครองไมสามารถซื้อคอมพิวเตอรใหขาพเจาใชสวนตัวได ขาพเจายินดีที่จะใช บริการของหองปฏิบัติการคอมพิวเตอรของโรงเรียน และที่ไดคะแนนนอยที่สุดคือ 1) ขาพเจามีการออมเงินเพื่อใชใน ยามจําเปน 1.5) พฤติกรรมคุณธรรม จริยธรรมในการจริยธรรม ในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของ นักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี ดานมารยาทตอ บุคคลทั่วไป อยูในระดับ ปานกลาง(คาเฉลี่ย=3.65) โดยเรี ยงลําดับคาเฉลี่ยจากมากไปหานอย 3 อัน ดับแรกคือ 1) ขาพเจาจะใหความสําคัญของการมีมารยาทที่ดี 2) ขาพเจาใหความจริงใจตอบุคคลอื่นอยางสม่ําเสมอ 3) ขาพเจาจะ ศึกษามารยาทของทานนบี และปฏิบัติตาม และไดคะแนนนอยที่สุดคือ 1) ขาพเจาจะแสดงมารยาทที่ดีเสมอแมกับ คนที่ ไม เคยรู จัก มาก อน 1.6) พฤติ กรรมคุณ ธรรม จริ ยธรรมในการจริยธรรม ในการดํ าเนิน ชีวิต ตามหลัก คําสอน ศาสนาอิ สลามของนัก เรี ยนที่ ศึก ษาในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ ส ลามระดั บ มัธ ยมศึ ก ษาตอนปลายในจัง หวั ด ปตตานี ดานความอดทน อยูในระดับ ปานกลาง(คาเฉลี่ย=3.80) โดยเรียงลําดับคาเฉลี่ยจากมากไปหานอย 3 อันดับ แรกคือ 1) ขาพเจาจะถือวาความอดทนนั้นเปนสวนหนึ่งของการศรัทธา 2) ขาพเจากลาวคําขอโทษเสมอเมื่อกระทํา ความผิดตอผูอื่น3) ขาพเจาจะถือวาความทุกขยากนั้นเปนการทดสอบจากพระเจา และที่ไดคะแนนนอยที่สุดคือ 1) ขาพเจาสามารถควบคุมอารมณไดแมอยูในภาวะโกรธเคือง 1.7) พฤติกรรมคุณธรรม จริยธรรมในการจริยธรรม ใน การดํ าเนิ น ชี วิ ตตามหลั กคํ าสอนศาสนาอิส ลามของนั ก เรียนที่ ศึ กษาในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ ส ลามระดั บ มัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี จําแนกตามขนาดของโรงเรียน ปรากฏผลดังนี้ โรงเรียนขนาดเล็ก พบวา พฤติกรรมคุณธรรม จริยธรรมในการจริยธรรม ในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ศึกษา ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี โดยรวมอยูในระดับ ปานกลาง (คาเฉลี่ย=3.59) เมื่อพิ จารณาเปน รายด าน เรียงตามลําดับจากมากไปหานอย พบวาเปนดั งนี้ 1) ดานความอดทน (คาเฉลี่ย=3.78) 2) ดานมารยาทตอบุคคลทั่วไป(คาเฉลี่ย=3.76) 3) ดานการรูจักการใหอภัย(คาเฉลี่ย=3.68) 4) ดาน ความสุภาพออนโยนและการออนนอมถอมตน(คาเฉลี่ย=3.46) และ5)ดานความพอเพียง (คาเฉลี่ย=3.29)โรงเรียน ขนาดกลาง พบวา พฤติกรรมคุณธรรม จริยธรรมในการจริยธรรม ในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลาม ของนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี โดยรวมอยูใน ระดับ ปานกลาง (คาเฉลี่ย=3.57)เมื่อพิจารณาเปนรายดาน เรียงตามลําดับจากมากไปหานอย พบวาเปนดังนี้ 1) ดาน ความอดทน (ค า เฉลี่ ย =3.84) 2) ด า นมารยาทต อ บุ ค คลทั่ ว ไป (ค า เฉลี่ ย =3.59) 3) ด า นการรู จั ก การให อ ภั ย (คาเฉลี่ย=3.55) 4) ดานความสุภาพออนโยนและการออนนอมถอมตน (คาเฉลี่ย=3.46) และ 5)ดานความ พอเพียง (คาเฉลี่ย=3.43)โรงเรียนขนาดใหญ พบวา พฤติกรรมคุณธรรม จริยธรรมในการจริยธรรม ในการดําเนินชีวิต ตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในจังหวัดปตตานี โดยรวมอยูในระดับ ปานกลาง (คาเฉลี่ย=3.66) เมื่อพิจารณาเปนรายดาน เรียงตามลําดับจากมาก ไปหานอย พบวาเปนดังนี้ 1) ดานการรูจักการใหอภัย (คาเฉลี่ย=3.89) 2) ดานความอดทน (คาเฉลี่ย=3.80) 3) ดาน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
79
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ความพอเพียง (คาเฉลี่ย=3.75) 4) ดานมารยาทตอบุคคลทั่วไป (คาเฉลี่ย=3.66) ) 5) ดานความสุภาพออนโยนและ การออนนอมถอมตน (คาเฉลี่ย=3.22) ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบพฤติ กรรม คุณ ธรรม จริ ยธรรม ในการดําเนินชี วิตตามหลั กคําสอนศาสนา อิสลามของนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี โดย จําแนกตามขนาดของโรงเรียน พบวา 2.1) นักเรียนเพศชายมีคะแนนเฉลี่ยเทากับ 3.56 คาเบี่ยงเบนมาตรฐาน เทากับ 0.62 นักเรียนเพศหญิง มีคะแนนเฉลี่ยเทากับ 3.74 คาเบี่ยงเบนมาตรฐาน เทากับ 0.13 คา t เทากับ -0.24 และคา Sig เทากับ 0.01 ดังนั้นผลการทดสอบแสดงวา เพศชายและเพศหญิง มีความแตกตางที่นับสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.14 2.2) นักเรียนชั้นม. 4 มีคะแนนเฉลี่ยเทากับ 3.49 คาเบี่ยงเบนมาตรฐาน เทากับ 0.62 ชั้นม. 5 มีคะแนนเฉลี่ย เทากับ 3.61 คาเบี่ยงเบนมาตรฐาน เทากับ 0.68 ชั้น ม. 6 มีคะแนนเฉลี่ยเทากับ 3.64 คาเบี่ยงเบนมาตรฐาน เทากับ 0.56 แตเมื่อทดสอบดวย คา F เทากับ 7.17 คา Sig เทากับ 0.001 แสดงว าชั้นเรียนตางกัน มีความแตกตางกัน ที่ นัยสําคัญทางสถิติที่ 0.05 และเมื่อทดสอบรายคู ดวยวิธีของ Scheffe พบวานักเรียนชั้น ม.4 กับนักเรียนชั้น ม.6 มี ความแตกตางกัน 2.3) โรงเรียนขนาดใหญ มีคะแนนเฉลี่ยเทากับ 3.66 คาเบี่ยงเบนมาตรฐานเทากับ 0.70 โรงเรียน ขนาดกลางมีคะแนนเฉลี่ยเทากับ 3.57 คาเบี่ยงเบนมาตรฐานเทากับ 0.46 โรงเรียนขนาดเล็กมีคะแนนเฉลี่ยเทากับ 3.59 คาเบี่ยงเบนมาตรฐานเทากับ 0.38 และเมื่อทดสอบดวยคา F เทากับ 0.552 คา Sig เทากับ 0.576 แสดงวา โรงเรียนขนาดใหญ กลางเล็ก ไมมีความแตกตางที่นัยสําคัญทางสถิติที่ 0.05 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาวิธีการปลูกฝง คุณธรรม จริยธรรม ในการดํารงชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลาม ใหแกนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี ซึ่งเปนผล จากการสัมภาษณกลุม ผูบริหารโรงเรี ยน ครู และผูปกครองนักเรียน ผูวิจัยไดแบงขอคนพบจากการวิจัยดัง นี้ 3.1) ผูบริหาร โรงเรียนมีนโยบายในการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรม โดยอาศัยทั้งหลักสูตรในหองเรียน กิจกรรมกลุมศึกษา (ฮาลากอฮฺ) กิจกรรมเอี๊ยะติกาฟ กิจกรรมกียามุลัยย กิจกรรมเยี่ยมบาน กิจกรรมคายอบรม กิจกรรมอภิปรายกลุม 3.2) ครู ปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมนักเรียนโดยอาศัย ทั้งหลักสูตรในหองเรียน กิจกรรมกลุมศึกษา (ฮาลากอฮฺ) กิจ กรรมเอี๊ยะติกาฟ กิจกรรมกียามุลัยย การอภิปรายกลุม และการแสดงบทบาทสมมุติ 3.3 ผูปกครองนักเรียน ปลูกฝง คุณธรรม จริยธรรมโดยอาศัยความรักความเขาใจในครอบครัว การศึกษาอิสลามรวมกัน และการปฏิบัติเปนตัวอยาง ตอนที่ 4 ผลการศึกษาแนวทางการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนา อิสลาม ใหแกนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี ซึ่ ง เปนผลจากการสัมภาษณกลุม ผูบริหารโรงเรียน ครู และผูปกครองนักเรียน ผูวิจัยไดแบงขอคนพบจากการวิ จัยดังนี้ 4.1) ผูบริหารโรงเรียน มีนโยบายสอนใหนักเรียนตระหนักและเห็นความสําคัญของคุณธรรม จริยธรรม ตามแนวทาง อิสลาม โดยอาศัยหลั กการทั้งจากอัล กุร อาน ฮาดิษ และอิ ฮฺซ าน ความพึ งพอใจต อปจ จัยตางๆที่อัลลอฮฺ ทรง ประทานให ขอดุอาอฺใหพระองคประทานแตในสิ่งที่ดี และหลีกเรนตอสิ่งที่ไมดี ขอใหประทานแตสิ่งที่เปนยารอกะฮฺ (สิริ มงคล) 4.2) ครู สอนใหนักเรียนใหความสําคัญกับคุณธรรม จริยธรรม โดยใหความรูกับนักเรียน หลักการอิสลามที่ ถูกตอง ทั้งในอัลกุรอานและฮาดิษ ใชหลักสูตรวิชาอักลาก(จริยธรรม) อรรถาธิบายอัลกุรอาน ประวัติศาสตรอิสลาม และวิชาอื่นๆใหดําเนินตามแบบฉบับของทานนบีมูฮําหมัด เปนแบบอยาง การอดทนตอการทําความดี การปฏิบัติอ มัล (ศาสนกิจ)ตางๆใหครบถวนเพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ ตองใหนักเรียนเขาใจวา สิ่งตางๆรอบตัว นั้น มีทั้งที่ เปนประโยชนและเปนโทษ ใหนัก เรียนมีความอดทนตอการแยกแยะสิ่ งที่ดีและไมดี และใหนักเรียนเลือก ปฏิบัติในสิ่งที่ดีได ใหนักเรียนไดอานและศึกษาอัลกุรอาน รวมทั้งเสริมในดานกิจกรรม 4.3) ผูปกครอง การปลูกฝง คุณธรรม จริยธรรม ตองเริ่มจากครอบครัวเปนสําคัญ โดยเริ่มสอนตั้งแตเด็กใหเขาไดรับรู ซึมซับ และครอบครัวตอง
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
80
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ใหความสํ าคัญ ดูแลอยางใกลชิด แนะนําและตักเตือนอยางคอยเปนคอยไป จนเกิดเปน นิสัย ให รูจักมารยาทตางๆ รูจักการประหยัด ไมฟุมเฟอย การอดทนตอการปฏิบัติศาสนกิจตางๆ มีความรักตอบุคคลในครอบครัวและพี่ นองใน อิสลาม อภิปรายผล ผลการจากการศึกษา คุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนใน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี มีประเด็นสําคัญที่จะนํามาอภิปราย ไดดังนี้ การศึ ก ษาระดั บพฤติก รรม คุ ณ ธรรม จริ ยธรรม ในการดํ าเนิ นชี วิต ตามหลัก คําสอนศาสนาอิ สลามของ นักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี โดยศึกษาระดับ พฤติก รรมในการดํ าเนิ นชี วิ ตตามหลัก คํ าสอนศาสนาอิ ส ลามของนัก เรี ยน ที่ ศึก ษาในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนา อิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี ผลจากการวิจัยพบวา ระดับพฤติกรรมคุณธรรม จริยธรรมใน การดํ าเนิ นชี วิ ตตามหลัก คํ าสอนศาสนาอิ ส ลามของนั ก เรี ยนที่ ศึก ษาในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ สลาม ระดั บ มัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี โดยศึกษาระดับพฤติกรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลาม ของนักเรียน ที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานีอยูในระดับ ปานกลางสอดคลองกับงานวิจัยของ ซูฟร ดําสําราญ (2543: 96) ที่ศึกษา คุณธรรม จริยธรรม ของนึกเรียนในระดับ มัธยมศึ กษา ในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ สลาม ในสามจั งหวัด ชายแดนภาคใต ป ตตานี ยะลา นราธิ วาส และ สอดคลองกับ บุญฤทธิ์ ปนทับทิม (2550: บทคัดยอ) ที่ศึกษา คุณธรรม จริยธรรมและแนวทางการพัฒนาคุณธรรม จริ ยธรรมอิ ส ลามนั ก เรี ยนระดั บ มั ธ ยมศึ ก ษาโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ ส ลามในภาคกลาง พบว า คุ ณ ธรรม จริยธรรมโดยรวมอยูในระดับ ปานกลาง สอดคลองกับ กัลยา ศรีปาน (2542: บทคัดยอ) ซึ่งไดศึกษาระดับคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนบุญเลิศอนุสรณ จังหวัดสงขลา พบวาโดยรวมอยูในระดับปานกลาง ซึ่งตามทฤษฎีจิต วิเคราะหของบุคคล (Psycho-analytic Theory) กลาวถึงจริยธรรมกับมโนธรรมเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน มนุ ษยกลุมใน กลุมสังคมใดก็จ ะเรียนรูความรั บผิดชอบชั่วดีจากสิ่งแวดลอมในสังคมนั้น จนมีลั กษณะพิเศษของของแตละสังคมที่ เรียกวา เอกลักษณ เปนกฎเกณฑใหประพฤติปฏิบัติตามขอกําหนดโดยอัตโนมัติ (คณะกรรมการขาราชการพลเรือน. 2542: 14) การที่เด็กนักเรียนไดรับการศึกษาและอาศัยอยูในโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนในวิชาดานศาสนาซึ่งเปน การขัดเกลาคุณธรรม จริยธรรมอยางสม่ําเสมอยอมจะเปนปจจัยที่มีผลทําใหมีพฤติกรรมที่พึงประสงค รวมทั้ง การ เปนแบบอยางที่ดีของครูในโรงเรียนก็เปนปจจัยที่สําคัญที่สงผลตอพฤติกรรมของนักเรียนสอดคลองกับมัยมุน (2548: 59) กลาววา การใชแบบอยางในการอบรมกลายเปนเรื่องสําคัญยิ่ง หากเราไมมีแบบอยางให ธรรมชาติของมนุษยจะ ลอกเลียนจากจากสิ่งที่ไมดีทดแทน แมโรงเรียนจะมีการวางระบบในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมแกนักเรียนอยาง เปนระบบแตยังมีอุปสรรคหลายประการที่ทําใหการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมในโรงเรียนดังที่ มุมีนะห บูงอตาหยง (2552: บทคัด ยอ) ได ศึก ษาป ญหาและอุป สรรคในการพัฒ นาผูเ รียนเพื่อปลู กฝ งคุ ณ ธรรม จริยธรรมอิส ลามของ โรงเรี ยนสอนศาสนาอิสลามเขตพื้ นที่ การศึ กษายะลาเขต 1 พบวา ครู ผู บริ หารและฝายกิจ กรรมหรื อเจาหน าที่ ที่ รับผิดชอบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนมีความเห็นที่สอดคลองกันคือ ปญหาดานเวลาไมเพียงพอ และงบประมาณที่มีจํากัด บุคลากรบางสวนขาดความรับผิดชอบตอหนาที่ที่ไดรับมอบหมายและไมใหความรวมมือ นักเรียนขาดจิตสํานึก และไม เห็นคุณคาของคุณธรรม จริยธรรม ความแตกตางดานฐานะของครอบครัว ขาดความรวมมือจากผูปกครอง พอแมไม
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
81
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
เอาใจใสเรื่องการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมแกบุตรหลานและไมมีกิจกรรมที่เนนเฉพาะดาน ปญหาเหลานี้สงผลให การปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนในโรงเรียนเปนไปอยางเชื่องชาและไมประสบผลสําเร็จตามที่วางไว 2. เปรียบเทียบคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ศึกษาใน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานีพบวา 2.1 ผลการเปรียบเทียบคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ ศึก ษาในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิส ลามระดั บ มัธ ยมศึ ก ษาตอนปลายในจั งหวั ดป ต ตานี โดยการเปรียบเที ยบ ระหวางนักเรียนชายและนักเรียนหญิง พบวา นักเรียนชายและนักเรียนหญิง มีความแตกตางกัน สอดคลองกับ ดนัย จารุประสิทธิ์ (2533: บทคัดยอ) ไดศึกษาระดับทัศนคติเชิงจริยธรรมของนักเรียนวิชาพลศึกษาในวิทยาลัยพลศึกษา ภาคใตพบวา นักศึกษาชายและนักศึกษาหญิงมีทัศนคติเชิงจริยธรรมอยูในระดับที่แตกตางกัน และสอดคลองกับไลลา หริ่มเพ็ง (2551: 137) ศึกษาองคประกอบทางจริยธรรมของนักศึกษามุสลิมในสถาบันอุดมศึกษาที่มีเพศตางกัน พบวา ผลตางกันและนักเรียนหญิงมีระดับจริยธรรมมากกวาเพศชาย เนื่องจากอิสลามไดปกปองสตรีมุสลิมดวยอาภรณที่ ปกป ดร างกายมิ ดชิ ด และกํ าหนดให สตรีมุสลิ มอยูใ นกรอบอิส ลามที่ เครง ครั ด รวมทั้ งการหล อหลอมของสัง คมที่ กําหนดใหสตรีมุสลิมตองเปนผูที่มีมารยามงดงามเปนผลใหนักศึกษาหญิงมุสลิมเปนบุคคลที่มีระดับจริยธรรมมากกวา นักศึกษาชาย นอกจากนี้ยังสอดคลองกับทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของนักจิตวิทยาหลายทาน ที่วาเด็กหญิงใช เกณฑตั ดสิ นเหตุ ผลทางจริ ยธรรมแตกต างกับ เด็ กชาย เพราะเด็กหญิง มีก ารตัด สินใจทางจริ ยธรรมเป นแบบแผน มากกวาเด็กชาย(สุรางค โควตระกูล. 2550: 74 ; อางอิงจาก ไลลา หริ่มเพ็ง.2551: 156) 2.2 ผลการเปรียบเทียบคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ ศึก ษาในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิส ลามระดั บ มัธ ยมศึ ก ษาตอนปลายในจั งหวั ดป ต ตานี โดยการเปรียบเที ยบ ระหวางชั้นเรียน พบวา มีความแตกตางกัน ซึ่งอธิบายไดวาคุณธรรม จริยธรรมเปนสิ่งที่ตองอาศัยระยะเวลาในการ ปลูกฝง นักเรียนที่ศึกษาในชั้นสูงกวายอมผานการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมมากกวานักเรียนที่ศึกษาอยูในชั้นที่ต่ํา กวา ดังที่ ไลลา หริ่มเพ็ง (2551: 156) ไดกวาวาการพัฒนาจริยธรรมของบุคคลตองคอยเปนคอยไป ไมสามารถเกิดขึ้น ไดอยางทันที สอดคลองกับ พลแสงสวาง กลาววา การปลูกฝงจริยธรรมเปนกระบวนการ สั่งสม ซึมซับ (พล แสง สวาง. 2544: 27; อางอิงจากไลลา หริ่มเพ็ง. 2551: 156) ทฤษฎีทางสติปญญา(Cognitive Theory) อธิบายวาจริยธรรม เกิดจากแรงจูงใจในการปฏิบัติตนสัมพันธกับสังคม การพัฒนาจริยธรรมจึงมีการพิจารณาเชิงเหตุผลจริยธรรมตาม ระดับสติปญญาของแตละบุคคลซึ่งมีวุฒิภาวะสูงขึ้น การรับรูจริยธรรมก็พัฒนาขึ้นตามลําดับ 2.3 ผลการเปรียบเทียบคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ ศึก ษาในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิส ลามระดั บ มัธ ยมศึ ก ษาตอนปลายในจั งหวั ดป ต ตานี โดยการเปรียบเที ยบ ระหวางขนาดของโรงเรียนพบวาไมมีความแตกตางกัน ทฤษฎีการเรียนรูทางสังคม (Social Leaning Theory) อธิบาย การเกิดของจริยธรรมวาเปนกระบวนการทางสังคมประกิต (Socialization) โดยการซึมซับกฎเกณฑตางๆ จากสังคมที่ เติบโต มารับเอาหลักการเรียนรูเชื่อมโยงกัน เมื่อพิจารณาจากกลุมตัวอยางที่นํามาใชในการศึกษา ซึ่งเปนนักเรียนใน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเหมือนกัน มีวิธีและแนวทางในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมที่คลายกันนักเรียนจึง ไดรับการหลอหลอมในลักษณะเดียวกัน จึงมีพฤติกรรมคุณธรรม จริยธรรมที่ไมแตกตางกัน 3. ศึกษาวิธีการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี จากการวิจัยพบวา วิธีการ ปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามของนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิ ส ลามระดั บ มัธ ยมศึ ก ษาตอนปลายในจั งหวั ด ป ต ตานี เป นดั ง นี้ ผู บริ ห ารมี ความเห็ นว า โรงเรี ยนมี
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
82
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
นโยบายในการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรม โดยอาศัยทั้งหลักสูตรในหองเรียน กิจกรรมกลุมศึกษา (ฮาลากอฮฺ) กิจ กรรมเอี๊ยะติกาฟ กิจกรรมกียามุลลัยย กิจกรรมเยี่ยมบาน กิจกรรมคายอบรม กิจกรรมอภิปรายกลุม ครูมีความเห็น วา ปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมนักเรียนโดยอาศัย ทั้งหลักสูตรในหองเรียน กิจกรรมกลุมศึกษา(ฮาลากอฮฺ) กิจกรรม เอี๊ยะติกาฟ กิจกรรมกียามุลลัยย การอภิปรายกลุม การแสดงบทบาทสมมุติ สวนผูปกครอง มีความเห็นวา ปลู กฝง คุณธรรม จริยธรรมโดยอาศัยความรัก ความเขาใจในครอบครัว การศึกษาอิสลามรวมกัน และการปฏิบัติเปนตัวอยาง สอดคลองกับงานวิจัยของมุมีนะห บูงอตาหยง (2552: บทคัดยอ) ไดศึกษาปญหาและอุปสรรคในการพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมอิสลามของโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม เขตพื้นที่การศึกษายะลาเขต1 กิจกรรมที่ไดใช ในการพั ฒนาคุณ ธรรม จริ ยธรรมในทุก โรงเรี ยนมี 6 รู ปแบบคือ กิ จ กรรมฮัล กอฮฺ (กลุ มศึ ก ษาอิส ลาม) กิจ กรรม ละหมาดกียามุลัยยญ ามาอะฮฺ กิจกรรมถือศีลอดรวมกันเดื อนละ1- 2ครั้ง กิจ กรรมพี่เตือนนอง / เพื่อนเตือนเพื่อน กิจกรรมบรรยายใหความรูเกี่ยวกับความประเสริฐของคุณธรรม จริ ยธรรมในแตล ะดาน และคายอบรมจริยธรรม ศึกษาวิธีการปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามใหแกนักเรียนที่ศึกษาใน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี จากการวิจัยพบวา วิธีการปลูกฝง คุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลามใหแกนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอน ศาสนาอิสลามระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดปตตานี เปนดังนี้ ผูบริหารมีความเห็นวา นโยบายสอนใหนักเรียน ตระหนักและเห็นความสําคัญของคุณธรรมจริยธรรมตามแนวทางของอิสลาม โดยอาศัยหลักการทั้ งจากอัลกุรอาน ฮาดิษ และหลักอิฮฺซาน ความพึงพอใจตอปจจัยตางๆที่อัลลอฮฺ ทรงประทานให ขอดุอาอฺใหพระองคประทานแตใน สิ่งที่ดี และหลีกเรนตอสิ่งไมดี ขอใหประทานแตสิ่งที่เปนบารอกะฮฺ (มีสิริมงคล) ครู มีความเห็นวา สอนใหนักเรียนให ความสําคัญกับในดานคุณธรรม จริยธรรม โดยใหความรูกับนักเรียน หลักการของศาสนาที่ถูกตอง ทั้งในอัลกุรอาน และฮาดิ ษ ใชหลักสู ตรวิชาอักลาก(จริยธรรม) อรรถาธิ บาย อัลกุรอาน ประวัติศาสตรอิสลาม และวิชาอื่ น ๆ ให ดําเนินชีวิตตามแบบฉบับของทานนบี เปนแบบอยาง การอดทนตอการทําความดี การปฏิบัติอามัลศาสนกิจตางๆ ใหครบถวนเพื่อหาความโปรดปราณจากอัลลอฮฺ ตองใหนักเรียนเขาใจวา สิ่งตางๆรอบตัวนั้นมีทั้งที่เปนประโยชน และโทษ ใหนักเรียนมีความอดทนตอการแยกแยะระหวางสิ่งที่ดีและไมดีและใหนักเรียนสามารถเลือกในการปฏิบัติได ใหนักเรียนได อานและศึกษาอัลกุร อาน รวมทั้ง การเสริมในด านกิจกรรรม โดยอาศัยทั้ง หลักสู ตรในห องเรียน และ กิจกรรมกลุม และผูปกครองมีความเห็นวา การปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรม ตองเริ่มจากครอบครัวเปนสําคัญ โดยเริ่ม สอนตั้งแตเด็กใหเขาไดรับรู ซึมซับ และครอบครัวตองใหความสําคัญ ดูแลอยางใกลชิด แนะนําและตักเตือนอยางคอย เปนคอยไป จนเกิดเปนนิสัย ใหรูจักมารยาทตางๆ รูจักการประหยัดไมฟุมเฟอย การอดทนตอการปฏิบัติศาสนากิจ ตางๆมีความรักตอบุคคลในครอบครัวและพี่นองในอิสลาม จากผลการวิจัยจะเห็นวา ทั้งผูบริหารโรงเรียนและครู ได ใหความสําคัญตอแบบอยางที่ดี คือการดําเนินชีวิตตามแนวทางของทานนบี มูฮําหมัด เปนแบบอยางใหนักเรียน นําเปน แบบอยางการปฏิบั ติ ซึ่ง สอดคลองกับ ที่ อัล กุรอานไดกล าววา “โดยแนนอน ในผู นําสาสนของอัลลอฮฺ(มูฮํ า หมัด)มีแบบอยางอันดีงามสําหรับพวกเจาแลว” (ซูเราะฮฺ อัลอะหฺซาบ.21: 1046) “เพื่อผูนําสาสนจะไดเปนพยาน(เปน แบบ)ตอพวกเจา” (ซูเ ราะฮฺ อั นนัมลฺ.78: 939) อัล กุรอานไดกล าวว า “และพวกเขามิ ไดถู กบัญ ชาใหกระทําอื่นใด นอกจากเพื่อเคารพภักดีตออัลลอฮฺ เปนผูมีเจตนาบริสุทธิ์ในการภักดีตอพระองค เปนผูอยูในแนวทางที่เที่ยงตรงและ ดํารงการละหมาด และจายซะกาต และนั่นแหละคือศาสนาอันเที่ยงธรรม” (ซูเราะฮฺ อัลบัยยินะฮฺ. 5: 1734) อัลกุ รอานไดกลาวอีกวา “ผูใดปรารถนาการมีชีวิตอยูในโลกนี้และความเพริศแพรวของมัน เราก็จะตอบแทนใหพวกเขา อยางครบถวน ซึ่งการงานของพวกเขาในโลกนี้เทานั้น และพวกเขาจะไมถูกลิดรอนในการงานนั้นแตอยางใด” (ซูเราะฮฺ ฮูด. 15: 517) มัส ลัน มาหะมะ (2551 : 87)ได กล าวใน อิส ลามกับ ระบบการศึก ษาวา การศึ กษาในอิส ลามไมไ ด
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
83
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
หมายถึง เพียงแค การถายทอดความรู ประสบการณหรื อทั กษะจากรุนหนึ่งไปยัง อีกรุ นหนึ่ง ในมุ มมองของอิส ลาม การศึกษาจะมีความหมายที่กวางและครอบคลุมหลายๆดาน กลาวคือการศึกษาในอิสลามเปนกระบวนการอบรมและ บมเพาะสติปญญา รางกายและจิตวิญญาณเพื่อผลิตมนุษยที่สมบูรณ นอกจากนี้ มัสลัน มาหะมะ (2551: 90) ยังได กลาวถึงการศึกษาในทัศนะอิสลามอีกวา ความการศึกษาในทัศนะอิสลามนั้น เปนการศึกษาแบบบูรณาการ ทั้งวิชา ศาสนาและวิชาการทางโลกเขาดวยกัน การกลับสูระบบการศึกษาในอิสลามที่แทจริง จําเปนตองสรางระบบการศึก ษา ใหมขึ้นมา ระบบการศึกษาใหมนี้ตองเปนแบบบูรณาการที่บูรณาการทั้งสองระบบการศึกษาเขาดวยกันอยางมีระบบ กฎเกณฑ และทั้งสองระบบจะแยกออกจากั นไม ได ไมควรมี การแยกวิช าศาสนาออกจากวิชาสามัญ หรือแยกวิช า สามัญออกจากวิชาศาสนาหรือวิชาศาสนบัญญัติเพียงอยางเดียว แตหมายถึงการศึกษาทุกสาขาวิชาที่สอนตามทัศนะ ของอิสลาม สวน ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2534 : 31) ไดกลาวในบทความเรื่องแนวทางใหมในการพัฒนาจิตใจและ พฤติกรรมแก นักเรียนระดั บมัธยมศึกษาตีพิมพใ นเอกสารวิช าการเพื่อพัฒ นาวิช าชีพครู สังคมศึกษาของสมาคมครู สังคมศึกษาแหงประเทศไทย วา การพัฒนานักเรียนในชั้นมัธยมตอนปลายควรปลูกฝงลักษณะ 2 ประการดังตอไปคือ 1) พัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมจากขั้น 3 ไปยังขั้น 4 คือ มองเห็นความสําคัญของกฎหมาย และขอปฏิบัติทางศาสนา หรือกฎระเบียบของสัง คม วาทําไปแลวจะช วยใหเ ราอยูร วมกันอยางสงบสุข รู จักที่จะทําตามระเบียบของโรงเรียน เพราะเห็นดวยกับกฎระเบียบเหลานี้ และเห็นวามีประโยชนแกตนเองและหมูคณะการออกกฎระเบียบจึงควรมีการ ชี้แจง และชัดจู งใหนักเรียนเห็นประโยชนข องการทําตามกฎนั้น ๆ โดยอางประโยชน ตอตนเอง ตอหมูคณะ และแก ประเทศชาติ แก โลกและจั กรวาล ขั้น ตอไปคื อขั้ นที่ 5 มี ความเป นตั ว ของตั วเอง โดยพิจ ารณารอบดานอยางสุ ขุ ม รอบคอบแลวจึงตัดสินใจกระทําการตาง ๆ 2) พัฒนาความสามารถควบคุมตน ใหมากยิ่งขึ้น โดยผูใหญลดการควบคุม บังคับนักเรียนมัธยมปลายลงอีก ถานักเรียนควบคุมตนเองไดก็ควรกลาวชมสนับสนุน แสดงความเห็นดวยและพอใจ ถานักเรียนยังควบคุมตนเองไมไดในคราวใดก็ไมดุวาใหเสียน้ําใจ แตไตถามถึงปญหาและเหตุผลแลวแนะนําวิธีการที่จะ ควบคุมตนเองใหไดมากขึ้น เพื่อนักเรียนจะไดนําไปลองใชเองตอไป นอกจากนี้ ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2534 : 33) ยัง ไดกลาววา ผลการวิจัยในป พ.ศ.2527 พบวาครูอาจารยที่ประสบผลสําเร็จในการสรางเสริมคุณธรรมจริยธรรมแก นักเรียน จะตองมีลักษณะทั้ง 3 ประการพรอมกันคือ 1) เปนครูที่รักและพอใจนักเรียน ในขณะที่นักเรียนก็รักและ พอใจครู การอบรมสั่งสอนจะทําไดงายมาก เพราะเด็กพรอมที่จะรับจากครูประเภทนี้ 2) ครูเปนคนที่มีลักษณะ 8 ประการในตนไมจริยธรรมสูง 3) ครูตองรูหลักวิชาการในการอบรมสั่งสอนเด็ก และใชวิธีการที่เหมาะสมกับอายุ จิตใจ และพัฒนาการของเด็ก จึงจะทําไดงายและไดผลดี สวนการเลี้ยงดูและแนวทางการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมจาก ครอบครัวนั้น อัลลอฮฺ. ไดกลาวใน อัลกุรอานความวา “โอบรรดาผูศรัทธา จงปกปองคุมครองตัวของสูเจาใหพน จากไฟนรกที่เชื้อเพลิงของมันคือมนุษยและหิน ซึ่งขางบนนั้นจะมีมลาอีกะฮฺที่เขมงวดดุดันเฝาอยู มลาอีกะฮฺนี้ไมเคยฝา ฝนคําบัญชาของอัลลอฮฺและจะทําตามที่ถูกบัญชา” (ซูเราะฮฺอัตตะหฺรีม. 6 : 1525)และอัลกุรอานกลาววา “และจง กําชับครอบครัวของเจาในเรื่องละหมาดและเจาเองจงปฏิบัติมันอยางเครงครัดดวย” มัยมุน (2548: 23) ไดกลาววา การอบรมลูกๆเปนสิ่งที่อยูระหวางการกําชับใหกระทําความดีและสําทับใหออกหางความชั่ว นอกจากนี้มัยมุน (2548: 57) ยังกลาวอีกวา การมีเปาหมายของการอบรมนั้นสั่งสอนนั้นยังไมเพียงพอ พอแมตองจัดหาวิธีการที่ไดผลในการทํา ใหบรรลุเปาหมายดังกลาว ที่ตองปฏิบัติมี 5 วิธีคือ 1) การสรางแบบอยาง 2) การสรางอุปนิสัยและความเคยชิน 3) การใหขอคิดเตือนใจ 4) การเปาดูแลและประเมินผล 5) การลงโทษ การเปนแบบอยางที่ดีงามไดกลายเปนตัวจักร สําคั ญในการขับ เคลื่อนการเผยแผ ในประวั ติศาสตรอิสลาม สอดคล องกั บ ผลการวิ จัยของ นาซี เราะห เจะมามะ (2554: 148) วาครอบครัวที่อยูพรอมหนากัน มีการสอนใหเยาวชนปฏิบัติตามหลักคําสอน 5 ประการ หลักศรัทธา 6 ประการ และหลักคุณธรรม ไมวาจะเปนเรื่องสัมพันธภาพในครอบครัว โดยบิดามารดาจะทํากิจกรรมรวมกัน พูดคุย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
84
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ถามไถทุกขสุขของปญหาลูก และหาแนวทางแกไข ใหคําปรึกษาที่ดี ใหความอบอุนแกลูก สงผลใหบุตรมีประพฤติดี สอดคลองกับ อามีนะ ดํารงผล (2546 : 15 - 35) ไดอธิบายวา วิธีในการเลี้ยงดูบุตรนั้นเปนภาระหนาที่รวมกันของพอ แม พอเปนครูใหญและแมเปนครูผูสอน การเลี้ยงลูกไมไดหมายความเฉพาะการใหอาหาร เพื่อใหรางกายแข็งแรงและ เจริญเติบโต หรือดูแลรักษาเมื่อเจ็บปวยเทานั้น แตหมายความรวมถึงวิธีการตางๆ ที่พอแมทําทุกอยางมีแบบแผนและ ขั้นตอน เพื่อใหลูกเจริญเติบโตและพัฒนาทั้งรางกาย สติปญญา จิตใจ และสามารถดําเนินชีวิตอยูในสังคมได อยางมี ความสุข โดยพอแมที่อยูใ นแนวทางอิสลามมีหนาที่สงเสริมใหเจริญเติบโต และพัฒนาดานตางๆ สิ่งที่จะตองอบรมสั่ง สอนมี ดั ง นี้ 1) สอนให เ ขารู จั ก อั ล ลอฮฺ พระผู เ ป น เจ า ผู ท รงสร า งทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย าง 2) สอนให เ ขารู จั ก ศาสดา มูฮําหมัด 3) สอนใหเขากลัวบาป ละเวนความชั่ว กระทําความดี 4) สอนใหเขาพูดในสิ่งที่ดี ๆ 5) เมื่อเขาอายุได 7 ป ใชใหเขาทําการละหมาด 6) และเมื่อเขาอายุไ ด 10 ป ถาเขาไมละหมาดก็อนุญาตใหเฆี่ยนตีได และใหแยกที่นอน ระหวางผูหญิงกับผูชาย ดังที่กลาวมา และใหลูกรูจักพระเจาและศรัทธาในพระองคอยางมั่นคง ใหลูกรูวาตนเกิดมาได อยางไร ใครเปนผูสราง เกิดมาทําไม ตายแลวจะไปไหน รูจุดมุงหมายในการกระทําสิ่งตางๆ มีความภาคภูมิใจในความ เปนมุสลิม กลาแสดงเอกลักษณของความเปนมุสลิม โดยปฏิบัติตนใหเปนมุสลิมที่ดี และสอดคลองกับผลการศึกษาของสุ ชิรา บุญทัน (2541: บทคัดยอ) ที่พบวาปจจัยทางครอบครัวที่สัมพันธกับจริยธรรมดานความกตัญูกตเวที ลักษณะ ครอบครัว ลักษณะการอบรมเลี้ยงดู อาชีพของผูปกครอง และประเภทของครอบครัว สามารถพยากรณจริยธรรม ดานความกตัญูกตเวทีไดทั้งหมดโดยปจจัยดานลักษณะการเลี้ยงดูสามารถพยากรณจริยธรรมดานความกตัญ ู กตเวทีไ ดดี ที่สุ ด จึง สรุ ป ได วา แนวคิด ดานการอบรมเลี้ยงดู บุต รตามหลัก คําสอนของศาสนาอิส ลาม วิถี ชีวิ ตแบบ อิสลาม สอดคลองกับเสาวนีย จิตตหมวด (2544: 89) ไดกลาววาผูที่นับถือศาสนาอิสลามจะมีวิถีในการดําเนินชีวิต หรือวัฒนธรรมอยูในครรลองของวัฒนธรรมอิสลามเปนหลัก แตนั่นมิไดหมายความวา มุสลิมจะปฏิเสธในการปฏิบัติ ตามวัฒนธรรมอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง ในทางตรงกันขามศาสนาอิสลามกลับแสดงใหเห็น และยอมรับในความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม และความหลากหลายทางชาติพันธุ ขอเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง คุณธรรมจริยธรรมในการดํ าเนินชีวิตตามหลักคํ า สอนศาสนาอิสลามของเยาวชนในจังหวั ด ปตตานี ผูวิจัยมีขอเสนอแนะแบง 2 ตอน ดังนี้ คือ 1. ขอเสนอแนะเชิงนโยบาย จากผลการวิจัยที่ไดกลาวมาขางตน การนําผลการวิจัยไปใชในแนวทาง ไดแก 1.1 ครอบครัวมีสวนสําคัญในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมแกนักเรียน การปลูกฝง คุณธรรมจริยธรรมที่ดีจากครอบครัวสงผลใหเด็กมีพฤติกรรมคุณธรรมจริยธรรมที่ดีดวย 1.2 การวางระบบและสรางแบบอยางที่ดีในโรงเรียนมีผลตอการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมของเด็กนักเรียน เพราะเด็กนักเรียนจะเลียนแบบบุคคลที่ใกลชิด 1.3 ชุ ม ชนเป น แหล ง สํ า คั ญ ในการหล อ หลอมพฤติ ก รรมคุ ณ ธรรมจริ ย ธรรมให แ ก เ ด็ ก หากชุ ม ชนดี ประกอบดวยชาวชุมชนที่มีคุณธรรมจริยธรรมสูงเด็ดในชุมชนก็จะเปนคนที่มีคุณธรรมจริยธรรมสูงไปดวย 2. ขอเสนอแนะในการทําวิจัยครั้งตอไป ควรศึกษาเพื่อกําหนดกรอบหรือหลักสูตรที่ชัดเจนในการปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมในแตละกิจกรรม คือ กิจกรรมกลุมศึกษา(ฮาลากอฮฺ) กิจกรรมเอี้ยะติกาฟ กิจกรรมกียามุลลัยย เปนตน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
85
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บรรณานุกรม กระมล ทองธรรมชาติ. 2550. หนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ม.1 ชวงชั้นที่3. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพอักษรเจริญทัศน. กัลยา ศรีปาน. 2542. คุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนระดับประถมศึกษา โรงเรียนบุญเลิศอนุสรณ. ปริญญา นิพนธ การศึกษามหาบัณฑิต. สงขลา: มหาวิทยาลัยทักษิณ. กีรติ บุญเจือ. 2534. ชุดพื้นฐานปรัชญาจริยศาสตรสําหรับผูเริ่มเรียน. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. เกียรติสุดา ศรีสุข. 2552. ระเบียบวิธีวิจัย. เชียงใหม: โรงพิมพครองชาง. คณะกรรมการขาราชการพลเรือน. 2542. รายงานการวิจัยเรื่องการศึกษารูปแบบและวิธีการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม. กรุงเทพฯ: สํานักงานขาราชการพลเรือน. คีรี บูน สุ วรรณคีรี . 2532. การวิจัยและประเมิ นผลโครงการพั ฒนาวิ ชาชี พในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนา อิสลาม. กรุงเทพฯ: มูลนิธิอาเซีย. ซูฟร ดําสําราญ. 2549. คุณธรรมและจริยธรรมอิสลามของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาในโรงเรียนเอกชน สินศาสนาอิสลามในสามจังหวัดชายแดนภาคใต ปตตานี ยะลา นราธิวาส. วิทยานิ พนธ การศึกษา มหาบัณฑิต. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา. ดนัย จารุประสิทธิ์. 2533. ศึกษาทัศนคติเชิงจริยธรรมของนักศึกษาวิชาพลศึกษาในกลุมวิทยาลัยพลศึกษา ในภาคใต. วิทยานิพนธ การศึกษามหาบัณฑิต. สงขลา: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา. ดวงเดือน พันธุมนาวิน. 2534. ชุดฝกอบรมการเสริมสรางคุณลักษณะของขาราชการพลเรือนสํานักงาน กพ. กรุงเทพฯ: สํานักงานขาราชการพลเรือน. นงลั ก ษณ วิ รั ช ชั ย ศจี มาศ ณ วิ เ ชียร และพิ ศ สมั ย อรทั ย . 2551. การสํ า รวจและสัง เคราะห ตั วบ ง ชี้คุ ณ ธรรม จริยธรรม. กรุงเทพฯ: สํานักบริหารและพัฒนาองคความรู. นาซี เราะห เจะมามะ. 2554. กระบวนการถ ายทอดการปฏิ บัติ ตามหลัก คํา สอนของศาสนาอิ สลามสํา หรั บ เยาวชนในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิ สลาม 3 จั ง หวั ด ชายแดนภาคใต . วิ ท ยานิ พนธ การศึ ก ษา มหาบัณฑิต. สงขลา: มหาวิทยาลัยทักษิณ. นิเลาะ แวอุเซ็ง. 2540. แนวโนมการบริหารของวิทยาลัยอิสลามศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทรในทศวรรษ หนา (พ.ศ.2540-2549. วิทยานิพนธ การศึกษามหาบัณฑิต.ปตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร. บุญ ฤทธิ์ ป น ทับ ทิม . 2550. คุ ณ ธรรมจริยธรรมและแนวทางการพั ฒนาคุ ณ ธรรมจริยธรรมอิ ส ลามศึก ษา นัก เรี ยนระดับมัธยมศึก ษาในโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิส ลามในพื้น ที่ภ าคกลาง. วิท ยานิพ นธ การศึกษามหาบัณฑิต. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา. ประไพ มุ ง จํ า กั ด . 2548. การศึ ก ษาพฤติ ก รรมเชิ ง จริ ย ธรรมของนั ก เรี ย นวั ด โพธิ์ ผั ก ไห .กรุ ง เทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. ประภาศรี สีหอําไพ. 2535. พื้นฐานการศึกษาทางศาสนาและจริยธรรม. กรุงเทพฯ: ม.ป.ท. ประเวศน มหารัตนสกุล. 2543. การบริหารทรัพยากรมนุษยแนวทางใหม. พิมพครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพส.ส.ท. ประวี ณ ณ นคร. 2526. บทเรียนสํ า เร็ จรู ปเรื่ องคุ ณ ธรรมจริยธรรมสํ า รั บข า ราชการเอกสารการอบรม สํานักงาน กพ. กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการขาราชการพลเรือน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. 2552. มารยาท .สืบคนเมื่อ 11 ตุลาคม 2553, จาก http://rirs3.royin.go.th /dictionary.asp พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. 2552. อภัย .สืบคนเมื่อ 11 ตุลาคม 2553, จาก http://rirs3.royin.go.th /dictionary.asp
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
86
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
พัช นี กล่ํ าเสื อ . 2537. เอกสารประกอบการอบรมนั กเรี ยนเพื่ อการสอดแทรกคุ ณธรรม จริ ยธรรม. ชลบุ รี : โรงเรียนชลบุรี “สุขบท”. มัยมุน. 2548. เลี้ยงลูกอยางไรใหไดผล. พิมพครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: ม.ป.ท. มัสลัน มาหะมะ. 2551. อิสลามวิถีแหงชีวิต. ปตตานี: สถาบันวิจัยระบบสุขภาพภาคใต. มุมีนะห บูงอตาหยง. 2552. กิจกรรมพัฒนาผูเรียน เพื่อปลูกฝงคุณธรรมจริยธรรมอิสลามแกนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาในโรงเรียน เอกชนสอนศาสนาอิส ลาม เขตพื้นที่ การศึกษายะลา เขต 1. วิ ทยานิพนธ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. ปตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร. มูลนิธิโตโยตา. 2544. คําพอสอน. พิมพครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: โรงพิมพกรุงเทพฯ. ไลลา หริ่มเพ็ง . 2551. องคประกอบทางจริยธรรมของนัก ศึกษามุส ลิมในสถาบั นอุด มศึก ษา. วิท ยานิ พนธ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. ปตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร. วศิน อินทสระ. 2529. จริยศาสตร. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพบรรณาคาร. สมาคมครูสังคมศึกษาแหงประเทศไทย. 2533. แนวทางการพัฒนาคานิยมและคุณธรรมของเยาชนในปจจุบัน . กรุงเทพฯ: บริษัทพี.เอ.ลีฟวิ่ง จํากัด. สมาคมนักเรียนเกาอาหรับ. 2542. พระมหาคัมภีรอัลกุรอาน (ฉบับแปลภาษาไทย). มาดีนะฮฺ: ศูนยกษัตริยฟะฮัต เพื่อการพิมพอัลกุรอาน. สุชิรา บุญทัน. 2541. ปจจัยบางประการของครอบครัวที่สัมพันธกับจริยธรรมดานความ กตัญู กตเวทีของ นั ก เรี ย นมั ธยมศึ ก ษาป ที่ 1 ในจั ง หวั ด ขอนแก น วิ ท ยาลั ย . วิ ท ยานิ พ นธ การศึ ก ษามหาบั ณ ฑิ ต . มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. เสาวนีย จิตตหมวด. 2544. ชาติพันธุ. สืบคนเมื่อ 11 มกราคม 2551, จาก http//www.fedmmin awardspace com/modnigt2545/document 95127.html สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. 2552. หลักสูตรอิสลามศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทยจํากัด. สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. 2553. แผนพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต (2552-2555). พิมพครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: พริกหวานการพิมพ. สํานักงานยุทธศาสตรและบูรณาการศึกษาที่ 12. 2551. หลักสูตรการศึกษาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม. ยะลา : สํานักงานยุทธศาสตรและบูรณาการศึกษาที่ 12. สํานักงานยุทธศาสตรและบูรณาการศึกษาที่ 12. 2547. การพัฒนาองคกรและบุคลากร แนวคิดใหมในการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย. พิมพครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: บริษัท21เซนจูรี่ จํากัด. อามีนะห ดํารงผล. 2546. เลี้ยงลูกใหเปนคนดีแบบอิสลาม. กรุงเทพฯ: ศูนยหนังสือนันท-นาถ. อามีนะห ดํารงผล. 2549. สาระนารูเกี่ยวกับชีวิตมุสลิม. พิมพครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: เอดิสัน เพรส โพรดักส. อับดุลฮากีม วันแอเลาะ. ม.ป.ป. จริยธรรมของอิสลาม. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ ส. วงศเสงี่ยม. อัล-อิสลาหฺสมาคม. 2544. วิธีละหมาดตามบัญญัติอิสลาม. จัดพิมพครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ: โรงพิมพอัลอิศลาหสมาคม. อิสมาอีลลุตฟ จะปะกียา. 2550. อิสลามศาสนาแหงสันติภาพ. กรุงเทพฯ: บริษัทเฟรส ออบเซ็ต 1993 จํากัด. อิบรอเฮ็ม ณรงครักษาเขต. 2551. “การศึกษาในดินแดนมลายูกับรัฐไทยในมิติประวัติศาสตรและอารยธรรมกับการ สรางความเปนธรรม,” ใน การศึกษาในดินแดนมลายู. หนา 5. 2-3 กุมภาพันธ 2551. โรงแรมเซาทเทิน วิว. ปตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร. อุสมาน อิดริส. 2548. คุณธรรม. สืบคนเมื่อ 25 เมษายน 2554, จาก www.islamhouse.com
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
87
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทความวิชาการ
ความเคลื่อนไหวการดะหวะฮฺของรอซูลุลลอฮฺ นูรดินอัลดุเลาะฮ ดากอฮา บทคัดยอ ทานรอซูลได ถูกประทานลงเพื่อเปนตัว แทนให กับประชาติ ทั้งมวลบนพื้น แผนดิน นี้ ในการที่จ ะนําสารแห ง อิสลามอยางสมบูรณ เพื่อใหเขาใจถึงดานการศรัทธา อีบาดัต ชะรีอะฮฺ และจริยธรรม การดานดะหวะฮฺของทานรอซูล โดยยึดหลักจากอัลกุรอานที่พระองคอัลลอฮฺไดทรงประทานลงมาเพื่อเปนแบบอยางในการดํารงชีวิต ทุกๆ ชาติพั นธ ภาษา และทุ กๆ เวลา สถานที่ การดะหวะฮฺข องท านรอซู ลตลอด 23 ป ซึ่งไดแบ งเป น 2 ช วง คือช วงมักกะฮฺ และ ชวงอัลมะดีนะห เพื่อผลิตประชาชาติที่เคารพภักดีตอเอกอัลลอฮฺและไดผลตอบแทนทั้งดุนยาและโลกอาคีเราะห ทาน รอซูลไดวางวิธีการ หลักเกณฑตางๆในการดะหวะฮฺ ไมวาจะเปนดานการนาวโนม คําพูด กิริยา บุคลิกสวนตัวของทาน รอซู ลต อการดะหว ะฮฺ ทุก ๆ สถานที่และเวลา ความพยายามของท านรอซูล ในการดะห ว ะฮฺนั้ น เป นความประสงค ของอัลลอฮที่ทําใหกอเกิดผลในรูปธรรมตางๆ ที่สําคัญที่สุดทําใหชาวอาหรับไดหันมาสนใจในอิสลาม แมกระทั้งวาจะ มีการตอตานการดะหวะฮฺของทานรอซูลก็ตาม
ดร. (อิสลามศึกษา) อาจารยประจําสาขาวิชาอุศูลดุ ดีน (หลักการอิสลาม) คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
88
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ARTICEL
Da’wah of Rasulullah
Noorodin Abdulloh Dagorha
Abstract Rasulullah was sent by Allah to calling people on the face of this earth become to Islam completely and including akidah, ibadat, shari’at and akhlak. Da’wah of Rasulullah used the Holy Quran that the message given by Allah to any kind of people, anywhere and anytime for complete way of their life. The da’wah of Rasulullah that was 23 year and divided to Makkah period and Madinah period. To give people faithful in Allah and got the happiness life here and hereafter, Rasulullah put in many subject of da’wah with gave the aim of da’wah and also used the way medium of da’wah toward the suitable case, period and place. Seriously Rasulullah da’wah but with assistant of Allah give him succeed and got a lot of positive trail, but the topmost that was all of Arabian change their religion to Islam however at first step of calling they were strongly resist calling of Rasulullah.
อัล-นูร
Ph.D. (Islamic Studies) Lecturer, Department of Usuluddin, Faculty of Islamic Studies, Yala Islamic University.
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
89
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Pergrakan Dakwah Rasulullah Noorodin Abdulloh Dagorha Abstrak Rasulullah diutuskan Allah untuk menyeru semua manusia yang berada di permukaan bumi ini kepada Islam secara sempurna dan menyeluruh termasuk akidah, ibadat, syariat dan akhlak. Dakwah Rasulullah bersumberkan al-Quran al-Karim yang diturunkan Allah untuk menjadi pedoman hidup bagi manusia sesuai untuk semua bangsa manusia dan sesuai juga pada setiap tempat dan masa. Dakwah Rasulullah selama 23 tahun terbahagi kepada period Mekah dan period Madinah. Demi melahirkan ummah yang tunduk patuh kepada Allah dan mendapat kebahagiaan hidup di dunia dan akhirat, Rasulullah telah menerapkan subjeksubjek dakwah serta menentukan tujuan-tujuan bagi dakwah begitu juga menggunakan uslub dan wasilah dakwah mengikut kesesuaian keadaan sasaran dan suasana tempat. Kesungguhan Rasulullah dalam menyampaikan dakwah, dengan kehendak Allah berjaya melahirkan banyak kesan posetif, yang paling kemuncak ialah semua orang Arab menukar agama kepada Islam sekalipun pada permulaan dakwah sebahagian besar mereka menentang dakwah secara keras.
Doktor falsafah dalam jurusan Pengajian Islam (Dakwah), pensyarah di Jabatan Usuluddin, Fakulti Pengajian Islam, Universiti Islam Yala.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
90
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Pendahuluan Allah T.A telah mengutus Nabi Muhammad s.a.w adalah untuk menyebarkan agama-Nya kepada seluruh manusia, memberikan peringatan kepada mereka akan azab-Nya, menyampaikan berita baik kepada mereka dan mengubah hati-hati yang tenggelam di dalam lubuk kesesatan ke arah petunjuk Allah yang benar. Di samping itu, Rasulullah juga diutuskan Allah untuk menjadi suri teladan yang baik kepada manusia dalam semua bentuk pengabdian diri kepada Allah T.A. Oleh yang demikian, Allah T.A telah membimbing Rasulullah s.a.w dengan bimbingan yang sempurna agar menjadi seorang pendakwah yang dicontohi. Al-`Adwi mengatakan bahawa: Sesungguhnya Allah telah mendidik nabi-Nya dengan didikan yang paling baik, Ia menceritakan kepadanya kisah rasul-rasul dahulu yang penuh dengan pengajaran.(Al-cAdawi:1354H:401). Pengertian Dakwah Dakwah Islam ialah merangsang manusia kepada kebaikan dan petunjuk Allah serta menyuruh mereka berbuat makruf dan melarang dari melakukan kemungkaran supaya mereka mendapat kebahagiaan di dunia dan akhirat.( cAli Mahfuz:1958:17) Dakwah Islam meliputi mengajak berbuat baik dan melarang daripada kemungkaran. Mengenai ini Ibn Taymiyyah1 ada menyatakan: (Tiap-tiap perkara yang dikasihi Allah dan rasul-Nya, baik wajib mahupun sunat, batin mahupun zahir, maka tugas dakwah kepada Allah menyuruh supaya beramal dengannya. Tiap-tiap perkara yang dimurkai Allah, baik batin mahupun zahir, maka tugas dakwah kepada Allah melarang dari melakukannya. Tidak sempurna dakwah kepada Allah kecuali dakwah itu menyeru kepada beramal dengan perkara yang dikasihi Allah dan meninggal akan perkara yang dimurkai-Nya, baik dengan ucapan kata atau amalan zahir dan batin).(Al-cAsimi: t.t:164) Sasaran Dakwah Rasulullah Sasaran dakwah Rasulullah ialah semua manusia di muka bumi, mereka terbahagi kepada dua golongan iaitu golongan muslim dan golongan kafir atau belum Islam. Adapun golongan muslim apabila dilihat mengikut kuat atau lemah dalam beriltizam dengan Islam, maka ia terbahagi kepada tiga kumpulan iaitu “kumpulan muslim yang lebih dahulu berbuat kebaikan”, “kumpulan muslim yang menganiaya diri sendiri” dan “kumpulan muslim yang pertengahan”, sebagaimana diterangkan Allah di dalam ayat berikut: [ Z
(Fatir:35:32)
1
อัล-นูร
Ialah Syeikh al-Islam Taqy al-Din Ahmad Ibn Abd al-Halim Ibn Taymiyyah al-Harani al- Dimasyqi (661H.-728H./1262M.-1327M. )
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
91
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Maksudnya: Kemudian kitab itu Kami wariskan kepada orang-orang yang Kami pilih antara hamba-hamba Kami, lalu antara mereka ada yang menganiaya diri mereka sendiri dan antara mereka ada yang pertengahan dan antara mereka ada (pula) yang lebih dahulu berbuat kebaikan dengan izin Allah. Yang demikian itu adalah kurnia yang amat besar. Manakala sasaran dakwah golongan kafir atau belum Islam dapat dibahagikan kepada empat kumpulan iaitu “kumpulan mengingkari Allah”, “kumpulan musyrik”, “kumpulan ahli kitab” dan “kumpulan munafik”. Sumber Dakwah Rasulullah Sumber dakwah Rasulullah s.a.w ialah al-Quran al-Karim. Allah T.A memerintahkan supaya Rasulullah s.a.w membaca dan menyampaikan semua isinya kepada manusia, memberi keterangan dan huraian kepada mereka.(Al-Nahwi:t.t:27) Firman Allah T.A: [ Z
(Al-Maidah, 5:67) Maksudnya: Hai rasul, sampaikanlah apa yang diturunkan kepadamu dari Tuhanmu. Dan jika tidak kamu kerjakan (apa yang diperintahkan itu, bererti) kamu tidak menyampaikan amanahNya. Allah memelihara kamu dari (gangguan) manusia. Sesungguhnya Allah tidak memberi petunjuk kepada orang-orang kafir. Al-Sacdi menafsirkan ayat ini dengan kata: (Ini adalah satu perintah Allah yang utama bagi rasul-Nya Muhammad s.a.w iaitu menyampaikan apa yang diturunkan Allah kepadanya (al-Quran), ia mengandungi segala urusan manusia yang meliputi akidah, amalan, perkataan, hukum syarak, tuntutan Ilahi dan sebagainya, kemudian Rasulullah s.a.w melaksanakan perintah ini dengan sempurna, Baginda menyeru, memberi peringatan, menyampai berita gembira dan mengajar orang jahil yang tidak pandai membaca dan menulis hingga menjadi ulama). (Al-Sa`di:1420H:239) Tujuan Dakwah Rasulullah Penulis mengklasifikasikan tumpuan dakwah Rasululah kepada enam tujuan utama iaitu: Memperkenalkan Tuhan Pencipta, hak-Nya ke atas manusia dan hak manusia ke atas-Nya. Meluruskan pemikiran salah kepada akidah sohih Memperkenalkan kebenaran dan kebatilan Mengislah dan membersihkan diri Melahirkan kebahagiaan hidup manusia di dunia dan akhirat Menerapkan sistem pemerintahan Islam
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
92
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Subjek Dakwah Rasulullah Subjek Dakwah Rasulullah s.a.w ialah Islam yang mengatur hidup semua manusia pada setiap masa dan tempat, mengatur hidup manusia untuk memperoleh kebahagiaan di dunia serta mendorong mereka ke jalan pengabdian diri kepada Allah T.A agar mendapat kesejahteraan hidup di akhirat. Begitu juga Islam ialah agama tunggal yang mampu memenuhi tuntutan dan keperluan manusia, mampu memberikan keadilan yang setimpal dan menjamin kebahagiaan mereka di dunia dan akhirat. Islam yang merupakan subjek dakwah Rasulullah s.a.w bukan satu agama yang diturunkan hanya untuk pengislahan umat buat sementara waktu dan meninggalkan sebahagian masa yang lain berada dalam kerosakan, begitu juga Islam bukan untuk petunjuk kepada sebahagian umat manusia dan membiarkan umat yang lain berada dalam kekufuran dan kesesatan. Islam ialah agama menyeluruh untuk setiap masa dan kepada semua umat manusia. Islam juga merupakan peraturan Ilahi yang sempurna, manusia tidak mampu berusaha mencari kesempurnaan yang hakiki sama ada akal, akhlak, rohani, meterial dan sebagainya tanpa Islam. (Harras:1406H:212) Period dan Tahap Dakwah Rasulullah Rasulullah s.a.w menyampaikan dakwah kepada manusia selama 23 tahun, dapat dibahagikan kepada dua period iaitu period Mekah dan period Madinah. Period Mekah Dakwah Rasulullah s.a.w pada period Mekah selama 13 tahun bermula dari kebangkitan nabi hingga hijrah ke Madinah Munawwarah, iaitu semasa Rasulullah s.a.w berada di Mekah. Pada period Mekah ini penulis membahagikan kepada 3 tahap iaitu: 1)Tahap Tertutup Tahap dakwah dalam bentuk tertutup ini mengguna masa selama 3 tahun, bemula dari tahun pertama hingga tahun ke-3 dari kebangkitan nabi. Setelah Rasulullah s.a.w diperintah menyampaikan dakwah, Baginda terus melaksanakannya secara tertutup kepada kerabat dan kawan-kawannya yang dipercayai. (Abu Zahrah: t.t:287) Ulama bersepakat mengatakan bahawa Rasulullah s.a.w memulakan dakwah setelah turun perintah Allah dalam surah al-Muddaththir (Al-Siba`i:1406H:46) berbunyi: ، ، ، ، ، [ Z ،
(Al-Muddaththir:74:1-7) Maksudnya: Hai orang yang berselimut, bangunlah, lalu berilah peringatan, dan Tuhanmu agungkanlah, dan pakaianmu bersihkanlah, dan perbuatan dosa (menyembah berhala) tinggalkanlah, dan janganlah kamu memberi (dengan maksud) memperoleh (balasan) yang lebih banyak, dan untuk (memenuhi perintah) Tuhanmu maka bersabarlah.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
93
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Subjek dakwah Rasulullah pada tahap ini ialah mengajak manusia kepada akidah yang benar dan menjauhkan daripada kekufuran dan syirik serta menerangkan kepada mereka jalan menuju kebenaran, berita gembira bagi yang taat dan berita buruk bagi yang ingkar. Pada tahap ini terdapat isteri Baginda sendiri iaitu Siti Khadījah binti Khuaylid orang pertama memeluk Islam, kemudian sepupu Baginda `Ali Ibn Abi Talib dan diikuti maula Baginda Zaid Ibn Harithah. Selain mereka, sahabat Baginda Abu Bakr al-Siddiq juga ikut menerima dakwah. Sesudah mereka tersebut memeluk Islam, dakwah semakin tersebar dengan luas sekalipun secara tertutup sehingga bertambah ramai yang memeluk Islam. Pada peringkat ini al-Arqam Ibn Abi al-Arqam juga turut memeluk Islam dan beliau menawarkan rumahnya untuk dijadikan pusat penyebaran dakwah. (Abu Syahibah:1419H:289) Manakala bilangan keseluruhan yang memeluk Islam pada tahap tertutup ini Ibn Hisyam ada menyebut di dalam bukunya akan nama-nama mereka secara terperinci iaitu seramai 54 orang.(Ibn Hisyam: t.t:258-272) Manakala al-Ghadaban juga menyebut di dalam bukunya seramai 57 orang. (Al-Ghadaban:1409H:24-27) Dalam kajian, penulis mendapati 5 orang yang disebut oleh Ibn Hisyam tetapi tidak disebut oleh al-Ghadaban mereka ialah; Asma’ binti Abi Bakr, `Aisyah binti Abi Bakr, Ramlah binti Abi `Auf,2 Abu Hudhaifah ibn `Utbah dan `Aqil ibn al-Bakir. Manakala nama-nama yang disebut oleh al-Ghadaban tetapi tidak disebut oleh Ibn Hisyam seramai 8 orang iaitu; Um al-Fadl binti al-Harith, Fatimah isteri Abu Ahmad ibn Jahsy, Yasir ibn `Amir, Sumaiyah binti Khaiyat, Bilal ibn Rabah, Hafsah binti `Umar, `Amru ibn `Abasah dan Ramlah isteri `Abdullah ibn Maz`un. Oleh yang demikian, sekiranya dihimpun semua nama yang disebutkan oleh kedua-dua ulama tersebut maka ternyata bilangan yang memeluk Islam pada tahap tertutup ini seramai 62 orang. 2.Tahap Terbuka Bagi Ahli Mekah Dakwah secara terbuka adalah tahap kedua bagi dakwah Rasulullah. Masa bagi tahap ini selama 6 tahun iaitu bermula pada tahun ke-4 hingga tahun ke-10 dari kebangkitan nabi. (Ibn al-Athir:1405H:45) Tahap ini bermula setelah Allah T.A memerintahkan supaya berterus terang dalam dakwah melalui ayat-ayat berikut: ، ، [ Z
(Al-Syu ‘ara’:26:214-216) Maksudnya: Dan berilah peringatan kepada kerabat-kerabatmu yang terdekat, dan rendahkanlah dirimu terhadap orang-orang yang mengikutimu, iaitu orang-orang yang beriman. Jika mereka mendurhakaimu maka katakanlah: “sesungguhnya aku tidak bertanggung jawab terhadap apa-apa yang kamu kerjakan”.
2
Isteri al-Muttalib Ibn Azhar
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
94
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Z [
(Al-Hijr:15:94) Maksudnya: Maka sampaikanlah olehmu secara terang-terangan segala apa yang diperintahkan (kepadamu) dan berpalinglah dari orang-orang musyrik. Setelah turunnya ayat pertama di atas, Rasulullah terus menghimpunkan kerabatnya seramai 30 orang termasuk Abu Lahab di samping menyediakan makanan dan minuman kepada mereka. (Rizqullah Ahmad:1412H:163) Kemudian Baginda menyatakan kebenaran Allah Tuhan yang berhak disembah, kerasullannya, kebangkitan dan perhitungan pada hari kiamat untuk mendapat balasan syurga atau neraka. Tetapi perhimpunan pada kali ini berakhir dengan penentangan hebat daripada kerabatnya terutama daripada Abu Lahab. (Al-Sulami:1414H:97) Namun demikian Rasulullah s.a.w masih meneruskan dakwahnya dengan terbuka kepada semua manusia dengan menyatakan kepalsuan khurafat dan syirik serta membongkarkan kelemahan berhala dan kesesatan yang nyata bagi orang yang beribadat kepadanya. Hal ini dilakukan setelah turunnya ayat kedua di atas.(Al-Mubarakfuri:t.t:91) Dakwah kebenaran pada tahap terbuka ini disampaikan kepada semua manusia dan setiap pihak yang berada di Mekah, sama ada pemimpin, hamba, kaya, miskin, lelaki, perempuan, tua, muda dan sebagainya. Dakwah pada tahap ini juga dilakukan pada setiap masa dan tempat.(Ahmad Syalabi:1984:207) Ketersebaran subjek dakwah Rasulullah dalam masyarakat Mekah menimbulkan kemarahan bagi orang-orang musyrik terhadap Rasulullah dan pengikutnya, kerana ia menjejaskan kedudukan ibadat penyembahan berhala-berhala yang merupakan pusaka nenek moyang mereka dan menjejaskan juga kedudukan serta kemaslahatan peribadi dan keturunan mereka. Oleh yang demikian, orang-orang musyrik merancang untuk memadamkan dakwah Rasulullah supaya tidak mempengaruhi masyarakat.(Al-Najar:t.t:8485) Tindakan mereka tersebut dibuat dengan berbagai-bagai alasan seperti mengatakan Rasulullah mencela Tuhan-Tuhan, mengejek agama, memperbodohkan harapan dan menyesatkan nenek moyang mereka. Alasanalasan ini pernah mereka menyatakan kepada Abu Talib ketika mengunjunginya supaya ia memberhentikan Rasulullah dari berdakwah.(Ibn al-Athir:1405H:43)Alasan-alasan ini diketarakan juga dalam perbincanganperbincangan mereka mengenai dakwah Rasulullah.(Sa`id Hawa:1399H:89) 3. Tahap Persiapan Menubuhkan Negara Tahap persiapan menubuhkan negara merupakan tahap terakhir bagi dakwah Rasulullah di Mekah, tahap ini mengambil masa selama 4 tahun, bermula pada penghujung tahun ke-10 dari kebangkitan nabi dan berakhir apabila Baginda berhijrah ke Madinah Munawwarah pada 27 Safar tahun ke-14 dari kebangkitan nabi bersamaan 13 Sebtember 622 Masihi.(Al-Mubarakfuri, t.t:142,182-183) Kematian Abu Talib dan Khadījah pada tahun ke-10 dari kebangkitan nabi (Al-Nadawi, 1400H :92) merupakan tahun dukacita bagi Rasulullah s.a.w. Hal ini kerana mereka berdua banyak memberi kemudahan dan perlindungan kepada Rasulullah s.a.w dalam menyebarkan dakwah. Dengan itu orang-orang musyrik dapat melakukan penentangan dengan bebas terhadap dakwah Rasulullah, mereka melakukan apa-apa sahaja
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
95
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
mengikut kehendak sehingga tidak berpeluang bagi Rasulullah untuk menyebarkan dakwah di Mekah. (Abu Zahrah, t.t:389) Berkata Ibn Ishak: (Apabila mati Abu Talib, orang-orang Quraisy dapat menyakiti Rasulullah dengan bebas tidak seperti semasa Abu Talib masih hidup, sehingga orang-orang bodoh dari kalangan mereka melontar tanah ke atas kepala Baginda).(Ibn Hisyam:t.t:442) Dengan itu, Rasulullah s.a.w merancang dengan memilih Ta-if untuk dijadikan pusat perkembangan dakwah di luar Mekah.(Al-Ghadaban:1409H:133) Harapan Rasulullah s.a.w semoga suku Thaqif yang berada di sana akan memeluk Islam dan berkerjasama dalam menyebarkan dakwah, tetapi sebaliknya berlaku iaitu tentangan hebat daripada mereka sehingga orang-orang bodoh dari kalangan mereka menghalau, mencela dan melontarkan batu ke atas Rasulullah.(`Abd al-Wahhab:1422H:83) Selama 10 hari Rasulullah s.a.w menyebar dakwah di Ta-if dan berakhir dengan kegagalan. Setelah tidak berjaya memilih Ta-if sebagai pusat penyebaran dakwah, Rasulullah s.a.w tidak berputus asa bahkan merancang semula untuk mencari negeri lain pula sebagai pusat penyebaran dakwah. Dengan itu, setelah pulang dari Ta-if Baginda terus menyebarkan dakwah dengan gigih kepada berbagai suku kaum daripada luar Mekah yang datang mengerjakan haji. Melalui dakwah pada kali ini terdapat beberapa orang bukan ahli Mekah yang memeluk Islam, antara mereka ialah Suwaid ibn Samit, Iyas ibn Mu`az dan Abu Dhar al-Ghifari daripada ahli Madinah, Tufail ibn `Amru al-Dausi dan Damad al-Azdi daripada ahli Yaman.(AlMubarakfuri:t.t:148-152) Kemudian pada musim haji tahun ke-11 dari kebangkitan nabi datang pula 6 orang suku al-Khazraj daripada Madinah Munawwarah, mereka terdiri daripada As`ad ibn Zararah ibn `Uds, `Auf ibn al-Harith ibn Rifa`ah, Rafi` ibn Malik ibn al-`Ajalan, Qutbah ibn `Amir ibn Hadidah, `Uqbah ibn `Amir ibn Nabi dan Jabir ibn `Abdullah ibn Ri-ab. Rasulullah menjumpai mereka di `Aqabah dan menyeru kepada Islam, kemudian semua mereka memeluk Islam.(Ibn Kathir:1413H:194-195) Setelah pulang ke Madinah, mereka berenam memperkenalkan Rasulullah s.a.w kepada kaum mereka di sana dan menyeru mereka kepada Islam, hingga tidak ada sebuah rumah pun di Madinah pada masa itu melainkan membicarakan tentang Islam.(AlMursifi:1402H:109) Pada musim haji berikut iaitu pada tahun ke-12 dari kebangkitan nabi datang pula 12 orang rombongan daripada Madinah menemui Rasulullah s.a.w, mereka terdiri daripada 5 orang selain daripada Jabir ibn `Abdullah ibn Ri-ab yang telah memeluk Islam pada tahun sebelumnya dan 7 orang yang lain iaitu 5 orang daripada suku al-Khazraj ialah Mu`adh ibn al-Harith, Zakwan ibn `Abd Qais, `Ubadah ibn al-Samit, Yazid ibn Tha`labah dan al-`Abbas ibn `Ubadah ibn Nadilah, dua orang daripada suku al-Aus iaitu Abu al-Haitham Malik ibn al-Taihan dan `Uwaim ibn Sa`idah. Rasulullah s.a.w mengadakan kepada mereka majlis angkat sumpah setia di Bukit `Aqabah. (Ibn Kathir, 1413H:110) Kemudian pada musim haji tahun ke-13 dari kebangkitan nabi datang pula rombongan daripada Madinah seramai 73 orang untuk menjemput Rasulullah s.a.w berhijrah ke Madinah dan menabalkan Baginda
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
96
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
sebagai nabi dan pemimpin mereka. (Shalabi, 1984:252) Rasulullah s.a.w mengadakan pertemuan dengan rombongan ini pada waktu malam secara tertutup di bukit `Aqabah dan mengadakan upacara angkat sumpah setia, angkat sumpah setia pada kali ini dikenali sebagai perjanjian `Aqabah kali kedua.(Al-Najar:t.t:123) Setelah selesai upacara angkat sumpah setia, Rasulullah s.a.w mengarahkan mereka supaya memilih dari kalangan mereka seramai 12 orang naqib3 sebagai pemimpin mereka dan bertanggungjawab melaksanakan isi perjanjian tersebut.(Abu Khalil, 1423H:73) Bagi penulis, perjanjian `Aqabah kali kedua dan perlantikan naqib tersebut membuktikan bahawa Rasulullah s.a.w sudah merancang untuk berhijrah ke Madinah Munawwarah dan memilih negeri ini sebagai pusat penyebaran dakwah atau pusat pemerintahan Islam. Upacara angkat sumpah setia `Aqabah ini sangat-sangat membimbangkan orang-orang musyrik, kerana ia boleh menjejaskan semua urusan terutama menghalang perniagaan mereka. Hal ini kerana kedudukan Madinah Munawwarah antara Mekah dan al-Syam yang merupakan laluan bagi para pedagang antara dua negara ini.(Syalabi, 1984:254) Dengan itu, mereka dengan sebulat suara memutuskan dalam persidangan di Dar al-Nadwah untuk membunuh Rasulullah. Hal ini adalah semata-mata bertujuan agar dakwah Rasulullah akan padam dan berakhir. (Abu Khalil, 2000:188) Pada hari pemimpin-pemimpin musyrik memutuskan untuk membunuh Rasulullah, Allah telah memerintah supaya Rasulullah s.a.w berhijrah ke Madinah. Kemudian pada malam itu juga Abū Jahal bersama pemuda-pemuda musyrik yang mewakili berbagai suku kaum mengepung rumah Baginda untuk membunuhnya. Manakala Baginda pula meminta supaya cAli Ibn Abi Talib tidur pada tempat tidurnya, setelah itu Baginda keluar di hadapan mereka dengan membaca: Z [
(Ya sin, 36:9) serta menghambur debu tanah ke atas mereka, dengan kuasa Allah mereka tidak nampak Baginda dan Baginda keluar dengan selamat.(`Abd al-Wahhab:1422H:93-94) Period Madinah Period Madinah bagi dakwah Rasulullah bermula dari hijrah Rasulullah ke Madinah Munawwarah hingga wafat Baginda iaitu selama 10 tahun. Pada period ini penulis membahagikan kepada dua tahap iaitu “tahap pembinaan negara” dan “tahap perluasan kawasan dakwah”. 1.Tahap Pembinaan Negara Tahap pembinaan negara bermula dari hijrah hingga ke Sulh Hudaibiah pada tahun ke-6 Hijrah. (AlJaza-iri:1409H:337) Aktiviti pertama yang dilakukan Rasulullah s.a.w setelah sampai ke Madinah Munawwarah ialah membina masjid sebagai lambang Islam. Masjid pertama ini dibina untuk didirikan solat yang merupakan hubungan antara makhluk dengan Penciptanya. Selain itu, ia juga sebagai pusat pergerakan Islam pada 3
อัล-นูร
Naqib ialah ketua kumpulan.
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
97
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
keseluruhannya, antaranya ialah pusat penyebaran dakwah Islam, pusat pengurusan dan penyusunan negara Islam, pusat kursus dan pembinaan, dewan mesyuarat, pusat perhimpunan mingguan bagi umat Islam, pusat pembelajaran dan pendidikan, pusat perhimpunan dan latihan ketenteraan dan lain-lain.(Rizqullah Ahmad:1412H:297) Demi melahirkan negara Islam yang kuat, Rasulullah s.a.w membina ikatan persaudaraan atau ukhuwwah sesama umat Islam, terutama antara orang muhajirin dan orang ansar. Hal ini berlaku setelah 5 bulan Rasulullah berada di Madinah Munawwarah.(Shawqi Daif, t.t:164) Menerusi aktiviti ini maka terbinalah persaudaraan yang terjalin kukuh antara peribadi yang dibina Rasulullah s.a.w.(Al-Mursifi, 1402H:207-229) Demi kekuatan dan keteguhan negara Islam Madinah, Rasulullah s.a.w menjalinkan kasih sayang dan persahabatan dengan orang-orang Yahudi yang berada di Madinah. Rasulullah dan orang-orang Yahudi mengadakan persetujuan bersama atas kerjasama supaya menjadi satu barisan dan satu benteng kekuatan di Madinah.(Al-Najar, t.t:149-150) Selain itu, Rasulullah s.a.w juga mengadakan perjanjian secara bertulis dengan menyatakan hak dan kewajipan kedua belah pihak. Perjanjian ini berasaskan persaudaraan dalam kedamaian, mempertahankan Madinah Munawwarah semasa perang dan tolong menolong ketika ditimpa kecemasan ke atas satu pihak atau kedua belah pihak.(Al-Samhudi, 1418H:616) Dapat difahami menerusi isi perjanjian di atas, Rasulullah s.a.w selaku pemimpin negara Islam yang mempunyai rakyat berlainan agama memberi kebebasan kepada orang bukan Islam dalam beragama, berakidah dan berpendapat, malahan memberi hak yang sama dengan orang Islam. Pada tahap ini juga Rasulullah s.a.w membentuk sistem ekonomi bagi meningkatkan taraf ekonomi yang bersih serta menyelesaikan beberapa masalah ekonomi yang berlaku dalam masyarakat. Pembentukan sistem ekonomi ini adalah berasaskan bimbingan dan pertunjukan Allah melalui al-Quran al-Karim. Oleh yang demikian, ia dapat menjaminkan keadilan bagi setiap lapisan masyarakat, mereka memiliki hak masing-masing dengan bersih dan tidak mencabuli hak orang lain, mengeluarkan harta yang bukan haknya kepada yang berhak, membelanjakan harta demi kepentingan Islam, orang fakir dan miskin mempunyai hak daripada harta orang kaya melalui zakat, kifarat dan sebagainya. Sistem ekonomi yang diterapkan Rasulullah s.a.w ini bukan sekadar dapat membina ekonomi yang bersih dan menyelesaikan penyakit-penyakit ekonomi dalam masyarakat, malahan melahirkan kasih sayang dan perasaan bertanggungjawab antara satu sama lain terutama antara orang kaya dan fakir begitu juga miskin.(Al-Najar, t.t:161-162,164) 2.Tahap Perluasan Kawasan Dakwah Setelah bertapaknya pusat dakwah atau negara Islam di Madinah, Rasulullah s.a.w melangkah pula ke tahap yang lain iaitu meluaskan kawasan dakwah kepada kawasan-kawasan luar Madinah. Tahap ini bermula setelah Sulh Hudaibiah pada tahun ke-6 Hijrah hingga wafat Rasulullah s.a.w pada tahun 11 Hijrah iaitu selama 4 tahun. Sasaran dakwah Rasulullah bukan terbatas kepada kawasan tertentu dan bukan juga untuk golongan tertentu, malahan ia meliputi seluruh dunia dan setiap lapisan masyarakat. Justeru, pada hari Sabtu bulan Rabi`
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
98
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
al-Awwal tahun ke-7 Hijrah(Al-cIsa, 1998:9) Rasulullah mengutuskan para sahabatnya membawa surat dakwah kepada beberapa orang raja dan pemimpin.(Al-`Umari:1418H:454) Melalui pendakwah dan surat yang diutuskan Rasulullah s.a.w ini terdapat sebahagian raja dan pemimpin tersebut menerima dakwah Rasulullah dengan memeluk Islam seperti Ashamah ibn al-Abjar raja al-Habasyah, al-Munzir ibn Sawi hakim al-Bahrain, Jaifar ibn al-Jalandi raja `Uman dan saudaranya cAbda ibn al-Jalandi. Adapun raja dan pemimpin yang lain semua menolak dan tidak menerima Islam.(Al-Mubarakfuri, t.t:392-405) Demi meluaskan kawasan dakwah supaya manusia dapat memeluk Islam, Rasulullah s.a.w mengutuskan para sahabat yang telah terdidik dan terbina dengan manhaj dakwahnya kepada beberapa kawasan mengikut strategi tertentu. Seperti mengutus Khalid ibn al-Walid kepada Bani al-Harith ibn Ka`ab di Najran.(Al-Tobari:t.t:126) Setelah Bani al-Harith ibn Ka`ab memeluk Islam, Rasulullah s.a.w mengutus pula `Amru ibn Hizam kepada mereka untuk mengajar syariat Islam.(Al-Jaza-iri, 1409H:456) Begitu juga Rasulullah s.a.w mengutuskan `Ali ibn Abi Talib kepada Yaman untuk berdakwah kepada manusia di sana. (Al-cIsa, 1998:10) Uslub Dakwah Rasulullah Uslub bererti kaedah atau cara.(Teuku Iskandar, 1993:1448) Mengenai uslub yang digunakan Rasulullah s.a.w dalam penyampaian dakwah penulis membahagikannya kepada dua bahagian iaitu uslub dakwah pada period Mekah dan uslub dakwah pada period Madinah adalah seperti berikut: 1.Uslub Dakwah pada Period Mekah Penentuan tempat bagi dakwah merupakan uslub yang penting, kerana pada period ini dakwah Rasulullah masih lemah pada segala-galanya, manakala kedudukan umum kota Mekah pada masa itu dikuasa penuh oleh orang-orang musyrik. Dengan itu Rasulullah memilih rumah al-Arqam Ibn Abī al-Arqam sebagai tempat atau markaz dakwah dan memilih bukit `Aqabah sebagai tempat pertemuan dengan orang luar Mekah yang datang dari Madinah dan digunakan juga sebagai tempat untuk mengadakan upacara angkat sumpah setia dengan mereka. Kemudian beberapa tempat yang lain disebarkan dakwah secara terbuka seperti bukit Sofa, pasar Zi al-Majaz dan sebagainya. Menghimpun manusia untuk menyampaikan dakwah salah satu uslub dakwah Rasulullah. Dengan keistimewaan keperibadian Rasulullah s.a.w seperti beramanah dan berakhlak mulia, Baginda mampu menyeru manusia untuk berhimpun di satu tempat tertentu kemudian menyampaikan subjek dakwah kepada mereka. Ibn Abbas berkata: (Apabila Allah menurunkan ayat ﻭﺃﻧﺬﺭ ﻋﺸﲑﺗﻚ ﺍﻷﻗﺮﺑﲔRasulullah datang ke Sofā dan menyeru manusia untuk berhimpun, maka berhimpunlah manusia, ada yang datang sendiri dan ada yang mengutus wakil). (Sacid Hawa, 1399H:107-108)
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
99
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Antara uslub dakwah Rasulullah juga ialah pergi ke tempat-tempat perhimpunan manusia untuk menyampaikan dakwah, seperti di Mina pada musim haji, di pasar Zi al-Majaz, di rumah-rumah Bani Kindah, Bani Kalb, Bani Hanifah, Bani cAmir dan lain-lain. (Sacid Hawa, 1399H:108-110) Rasulullah juga mengguna uslub memerintahkan dari kalangan sahabatnya supaya menyeru orang yang masih kufur kepada Islam dan mengajar orang-orang yang telah Islam tetapi masih mentah fahaman tentang Islam. Hal ini dapat dilihat menerusi Abu Bakr al-Siddiq apabila terdapat beberapa orang sahabat terkemuka memeluk Islam melalui dakwahnya.(`Abd al-Wahhab, 1422H:57) Begitu juga `Amru ibn Um Maktum dan Mus`ab ibn `Umair diutuskan oleh Rasulullah s.a.w ke Madinah untuk mengajar al-Quran dan menyeru manusia kepada Islam. (Ibn Kathir, 1413H:110) Rehlah (berkunjung) merupakan satu uslub dakwah yang banyak diguna oleh para rasul, begitu juga Nabi Muhammad s.a.w ikut memilih uslub rehlah dalam menyampaikan dakwah, sebagaimana Baginda berehlah ke Tā-if untuk menyeru penduduk di sana kepada Islam. Hijrah ke Madinah merupakan uslub dakwah Rasulullah. Ia menggambarkan kesungguhan Baginda dalam melaksanakan tugas dakwah, Baginda sanggup mengharungi kesusahan yang terpaksa meninggalkan kampung halaman tempat tumpah darah. Hal ini adalah semata-mata untuk meningkatkan perkembangan dakwah daripada satu kawasan yang sempit kepada kawasan yang lebih luas, begitu juga dari satu kedudukan di bawah penentangan dan penindasan jahiliah kepada satu kedudukan yang lebih besar dalam mangatur dan menyusun pergerakan dakwah. 2. Uslub Dakwah pada Period Madinah Pada period Madinah Rasulullah menggunakan uslub dakwah yang berlainan daripada uslub dakwah yang digunakan pada period Mekah, antaranya ialah: perdamaian, menghantar surat kepada raja dan pemimpin, mengutuskan pendakwah dan pengajar dan sebagainya. Selain itu, pada period Madinah juga disyarakkan berjihad dalam bentuk perang bersenjata. Uslub ini bukanlah menunjukkan dakwah Rasulullah menyeru manusia dengan kekerasan dan paksaan, malahan jihad yang dibentuk Rasulullah s.a.w adalah semata-mata untuk mempertahankan diri dan dakwah daripada mana-mana pencerobohan musuh yang berusaha menghancurkan dan memadamkan dakwah Islam. Berkenaan hal ini al-Najar ada berkata: (Siapa yang mempelajari ayat-ayat al-Quran mengenai perang, ia akan dapati bahawa perang dalam Islam mengandungi dua tujuan iaitu: Pertama untuk mempertahankan diri dan menyekat kezaliman dan permusuhan. Kedua untuk mempertahankan dakwah, iaitu menjaga orang yang telah beriman apabila difitnahkan, atau terdapat sekatan ke atas orang yang mahu memeluk Islam, atau terdapat larangan ke atas pendakwah dari menyampaikan dakwah).(AlNajar:t.t:165)
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
100
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Wasilah Dakwah Rasulullah Antara wasilah utama yang diguna Rasulullah dalam melancarkan dakwah adalah seperti berikut: 1. Perkataan; terdiri daripada membaca al-Quran, mengajar, berkhutbah, memberi nasihat dan memberi penerangan. 2. Perbuatan; perbuatan-perbuatan Rasulullah merupakan kudwah. 3.Tempat iaitu masjid, rumah dan bukit. 4.Alat iaitu surat kiriman. Kesan Dakwah Rasulullah Dakwah Rasulullah banyak menghasilkan kesan positif. Adapun kesan yang paling agung ialah semua orang Arab menukar agama kepada Islam. Hal ini berlaku sesudah pembukaan Mekah, ia dapat dilihat kepada firman Allah berbunyi: Z ، [
(Al-Nasr, 110:1-2) Maksudnya: Apabila telah datang pertolongan Allah dan pembukaan. Dan kamu lihat manusia masuk agama Allah dengan berpuak-puak. Berkata Ibn Kathir: (Dikehendaki pembukaan di dalam surah ini ialah pembukaan Mekah. Setelah Allah membuka Mekah manusia berpuak-puak memeluk Islam. Sesudah berlalu dua tahun, Semenanjung Tanah Arab disinari dengan iman dan setiap suku kaum Arab memeluk Islam). (Ibn Kathir, 1413H:563) Dakwah Rasulullah yang menyebar akidah benar kepada manusia. Kesan daripada akidah benar ini manusia berubah sikap hidup harian mereka dari hidup tidak ada batasan dalam pegangan dan kepercayaan kepada hidup yang mentauhidkan Allah dan mengabdikan diri hanya kepada Allah. (Sacid Hawa, 1399H:175176) Penerapan ibadat dapat melahirkan manusia yang beribadat kepada Allah dengan cara yang benar dan diterima Allah. Adapun sebelum kedatangan dakwah Rasulullah manusia beribadat kepada sesama makhluk, melakukan syirik dalam ibadat kepada Allah atau beribadat kepada Allah mengikut cara yang salah daripada nenek moyang mereka. Ibadat sohih melahirkan banyak kesan positif dalam hidup manusia terutama hubungan erat antara mereka dan Allah, mereka selalu mengingati Allah, manusia yang selalu mengingati Allah amat sukar untuk melakukan maksiat terhadap Allah. (Ibrahim Hassan, 1964:175-176) Penerapan syariat dan akhlak dapat melahirkan sebuah masyarakat yang ada batasan dalam pergaulan. Sifat kasih sayang, tolong menolong dan mengutamakan kepentingan orang lain lebih dari diri sendiri
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
101
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
masing-masing ditonjolkan. Hal ini dapat dilihat sesudah Rasulullah mengikat persaudaraan antara orang muhajirin dan orang ansar.(Al-Mursifi, 1402H:256-257) Masyarakat yang dibina Rasulullah adalah sama sahaja; semua daripada seorang manusia iaitu Adam, menjadi hamba dan akan kembali kepada satu Tuhan iaitu Allah. Adapun perbezaan jantina, warna kulit, keluarga, pangkat dan kedudukan bukanlah sesuatu yang boleh membezakan antara mereka, malahan ia adalah pembahagian tugas sebagai khalifah Allah di atas permukaan bumi sahaja.(Sacid Hawa, 1399H:172-173) Dengan itu, kedudukan manusia di sisi Allah adalah sama, sama ada hubungan dengan Allah, hubungan dengan syariat, hubungan sesama manusia dan sebagainya, tidak ada perbezaan antara kaya dan miskin, berkulit putih dan hitam, lelaki dan perempuan, begitu juga orang Yahudi dan Nasrani dengan orang Islam selama berada dalam perdamaian.(Ibrahim Hassan, 1964:186) Sebelum kedatangan dakwah Rasulullah, kedudukan wanita pada masa itu terutama dalam masyarakat Yunan dan Roman adalah seumpama barangan atau binatang, wanita tidak diberi hak milik harta dengan apa cara jua, tidak ada hak menerima harta pusaka dan tidak berpuluang untuk menuntut ilmu.(Ibrahim Hassan:1964:179) Hasil kajian tentang ini juga terdapat kedudukan wanita Arab semasa jahiliah terutama dalam masyarakat Mekah tidak ada nilai hidup di sisi mereka, dengan itu ada antara mereka yang sanggup membunuh anak perempuan sendiri kerana menjaga maruah keluarga dan sebagainya. Sistem perkahwinan jahiliah dilakukan sesudah wanita dijadikan alat pemuasan nafsu syahwat. (Al-Najar, t.t:46-49) Kedudukan wanita yang tidak bernilai ini berubah sesudah dakwah Rasulullah disebarkan, wanita kembali menjadi manusia yang bernilai dan setaraf lelaki, mempunyai hak yang sama dengan lelaki dalam pemilikan harta dan menuntut ilmu pengetahuan, persetubuhan antara lelaki dan wanita adalah mengikut sistem perkahwinan yang ditentukan Allah dan sebagainya.(Al-Mursifi, 1402H:176-177) Dakwah Rasulullah mengharamkan pertumpahan darah sesama manusia atas yang bukan hak serta menetapkan hukum bunuh balas ke atas pembunuh. Kesan daripada penerapan ini lahirlah masyarakat yang berkasih sayang dan aman dari pertumpahan darah. (Ibrahim Hassan, 1964:176-177) Sebelum kedatangan dakwah Rasulullah, manusia berusaha meraih harta dengan macam-macam sistem penindasan dan penipuan, riba berleluasa dan jual beli tidak ada batasan, orang kaya bertambah kaya manakala orang miskin bertambah miskin. Keadaan sedemikian telah ditangani oleh dakwah Rasulullah melalui syariat Islam dengan menerapkan sistem jual beli, mengharamkan riba, penipuan dan penindasan dalam berekonomi serta menyeru manusia supaya bersifat qana`ah.4 Kesan daripada penerapan ini lahirlah masyarakat yang berwaspada dalam meraih harta, jual beli berasaskan syariat Islam, menghindari dari sistem ekonomi yang bercanggah dengan syariat Islam, tidak tamak malahan berqana`ah. Ringkasnya, masyarakat memiliki harta secara halal dan membelanjakannya mengikut peraturan syariat Islam. (Ibrahim Hassan, 1964:177) Dakwah Rasulullah berusaha membasmikan segala bentuk kemungkaran seperti arak, judi, zina, sihir dan sebagainya serta melaksanakan hukuman ke atas yang melanggar. Hal ini melahirkan masyarakat yang 4
Qana`ah ialah rasa cukup dengan pemberian Allah.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
102
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
menjauhi kemungkaran kerana takwa kepada Allah hingga terbentuk masyarakat yang berlumba-lumba untuk melakukan kebaikan dan aman dari kemungkaran. (Al-Mubarakfuri, t.t:514) Masyarakat Arab terkenal sebagai salah satu masyarakat yang suka dan mengagungkan sastera, ramai dalam kalangan mereka yang terkenal sebagai sasterawan, mereka menciptakan sya`ir-sya`ir dalam bentuk tulisan, persembahan di hadapan khalayak ramai dalam majlis-majlis tertentu dan sebagainya. Apabila dakwah Rasulullah disebarkan dengan memperdengarkan bacaan ayat-ayat al-Quran menimbulkan kekaguman dalam kalangan mereka, kerana uslub al-Quran lebih bermutu kesusasteraannya daripada sya`ir-sya`ir mereka. Dengan itu, lafaz-lafaz dan istilah-istilah al-Quran dipergunakan dalam percakapan, ucapan, tulisan dan sya`ir mereka, begitu juga para sasterawan meniru uslub al-Quran di dalam sya`ir-sya`ir mereka. Hal ini dibuktikan dengan Labid Ibn Rabi`ah seorang sahabat yang terkenal sebagai penya`ir pada masa jahiliah, setelah memeluk Islam, apabila ditanya tentang sya`irnya beliau membaca al-Quran seraya berkata: Allah telah mengganti kepadaku dengan kebaikan daripada-Nya (Quran). (Ibrahim Hassan, 1964:192) Sebelum dakwah Rasulullah disebarkan, masyarakat Arab diperintahkan oleh pemimpin-pemimpin suku kaum mengikut sistem politik masing-masing, ia tidak berasaskan keadilan dan peri kemanusiaan. Pemerintahan mereka adalah semata-mata bagi kemaslahatan tertentu sama ada kemaslahatan pemimpin atau kemaslahatan suku kaum itu sendiri. Bagi menghasilkan tujuan tersebut mereka sanggup berperang dan bertumpah darah hingga berlaku perseteruan antara suku kaum. (Al-Mubarakfuri, t.t:38) Dakwah Rasulullah berjaya mendirikan negara Islam dengan menghimpunkan suku-suku kaum Arab di bawah satu panji Islam, semua mereka tunduk kepada hukum bawaan Rasulullah s.a.w dan arahan al-Quran. Permusuhan antara suku kaum terhapus malahan lahir sifat kasih sayang antara mereka, mereka sanggup mengorbankan harta dan jiwa raga adalah semata-mata demi kepentingan Islam.(Ibrahim Hassan, 1964:194)Sistem politik berasaskan al-Quran bagi negara Islam yang dipimpin Rasulullah melahirkan keadilan, kemakmuran, keamanan dan kebahagiaan di dalam masyarakat Islam pada masa itu. (Al-Mubarakfuri, t.t:514) Penutup Alhamdulillah syukur kepada Allah T.A. yang dengan kehendak-Nya tulisan ini dapat diselesaikan dengan baik. Semoga melalui tulisan ini, asas-asas dakwah Rasulullah s.a.w. akan menjadi pedoman asas kepada para pendakwah dalam usaha menyeru manusia kepada Islam dan menyebar ajaran Islam kepada umat Islam agar menghayatinya dalam hidup harian mereka. Melalui tulisan ini juga, penulis mengharapkan semoga ia dikira Allah sebagai amalan solih yang dibalas dengan ganjaran pahala.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
103
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
RUJUKAN Al-Quran al-Karim. c Abd al-Wahhab, Muhammad. 1422H. Mukhtasar Sirah al-Rasul. cet 15. al-Jamciyyah al-Islamiyyah. alMadinah al-Munawwarah. Abu Khalil, Syawqi. 2000. Atlas al-Quran. cet 1. Dar al-Fikr al-Macasir. Bayrut. Abu Khalil, Syawqi. 1423H. Atlas al-Sirah al-Nabawiyyah. cet 1. Dar al-Fikr. Dimasyq. Abu Shahibah, Muhammad Ibn Muhammad.1419H Al-Sirah al-Nabawiyyah Fi Dau-i al-Quran Wa alSunnah. cet 5. Dar al-Qalam. Dimasyq. Abu Zahrah, Muhammad Ahmad. t.t.. Khatam al-Nabiyyin. Dar al-Fikr al-cArabiy. al-Qahirah. Al-cAdawi, Muhammad Ahmad. 1354H. Dacwah al-Rasul Ila Allah Tacala. Matbacah Mustafa al-Babi alHalabi Wa Auladuhu. Misr. Ahmad, Mahdi Rizqullah. 1412H. Al-Sirah al-Nabawiyyah. cet 1. Markaz al-Malik Faisal Li al-Buhuth Wa alDirasat al-Islamiyyah. al-Riyad. c Al- Asimi, Abd. al-Rahman Ibn Muhammad Ibn Qasim. t.t.. Majmuc Fatawa Syeikh al-Islam Ahmad Ibn Taimiyyah. Maktabah Ibn Taimiyyah. Daif, Syawqi. t.t.. Muhammad Khatam al-Mursalin. Dar al-Macarif. al-Qahirah. Al-Ghadaban, Munir Muhammad. 1409H. Al-Manhaj al-Haraki Li al-Sirah al-Nabawiyyah. cet 4. Maktabah al-Mannar. al-Zarqa’. Harras, Muhammad Khalil. 1406H. Dacwah al-Tauhid. cet 1. Dar al- Kutub al- cIlmiyyah Bayrut- Lubnan. Hassan, Hassan Ibrahim. 1964. Tarikh al- Islam. cet 7. t.p. Hawa, Sacid. 1399H. Al-Rasul. cet 4. Dar al-Kutub al-cIlmiyyah. Bayrut. Ibn al-Athir, Abu al-Hassan cAli Ibn Abi al-Kiram Muhammad Ibn Muhammad Ibn cAbd al-Karim Ibn cAbd alWahid al-Shaibani. 1405H. Al-Kamil fi al-Tarikh. cet 5. Dar al-Kitab al-cArabiy. Bayrut. Ibn Hisham, Abu Muhammad. t.t.. Al-Sirah al-Nabawiyyah. Dar al-Fikr. al-Qahirah. Ibn Kathir, al-Hafiz cImad al-din Abu al-Fida’ Ismacil al-Qurashi al-Dimashqi. 1388H. Tafsir al-Quran alc Azim. Dar Ihya’ al-Turath al-cArabiy. Bayrut. Ibn Kathir, al-Hafiz cImad al-din Abu al-Fida’ Ismacil al-Qurashi al-Dimashqi. 1413H. Al-Fusul Fi Sirah alRasul . cet 6. Dar Ibn Kathir. Bayrut. c Al- Isa, Salim Sulaiman. 1998. Al-Mucjam al-Mukhtasar li al-Waqa-ic. cet 1. Dar al-Namir. Dimashq. Al-Jaza-iriy, Abu Bakr Jabir. 1409H. Hadha al-Habib Muhammad Sallallah cAlaih Wa Sallam Ya Muhib. cet 2. Dar al-Shuruq. Mekah. Al-Juyushiy, Muhammad Ibrahim. 1420H. Tarikh al-Dacwah. cet 1. Dar al-cIlmi Wa al-Thaqafah. al-Qahirah. Mahfuz, cAli. 1958. Hidayah al- Murshidin Ila Turuq al-Wacz Wa al-Khitabah. al-Matbacah alc Uthmaniyyah al-Misriyyah. al-Qahirah.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
104
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Al-Mubarakfuri, Sofy al-Rahman. t.t.. Al-Rohiq al-Makhtum. Dar al-Wafa’ Li al-Tibacah Wa al-Nasyr. alMansurah. Al-Mursifi, Sacad. 1402H. Al-Hijrah al-Nabawiyyah Wa Dauruhu Fi Bina’ al-Mujtamac al-Islamiy. cet 1. Maktabah al-Falah. al-Kuwayt. Al-Nadawi, Abu al-Hassan cAli al-Husna. 1400H. Sirah Khatam al-Nabiyyah. cet 3. Muassasah al-Risalah. Bayrut. Al-Nahwi, Adnan. t.t.. Daur al-Minhaj al-Robbani Fi al-Dacwah al-Islamiyyah. Dar al-Islah. al-Dammam. Al-Najar, Muhammad al-Tayyib. t.t.. Al-Qaul al-Mubin Fi Sirah Sayyid al-Mursalin. Dar al-Ictisam. alQahirah. c Al-Sa di , cAbd al-Rahman Ibn Nasir. 1420H. Taysir al-Karim al-Rahman fi Tafsir Kalam al-Mannan. cet 1. Muassasah al-Risalah. Bayrut. Al-Samhudi, cAli Ibn cAbdullah Ibn Ahmad al-Husayni. 1418H. Khulasah al-Wafa Bi Akhbar Dar al-Mustafa. cet 1. t.p. Al-SibacI, Mustafa. 1406H. Al-Sirah al-Nabawiyyah. cet 9. al-Maktab al-Islamiy. Bayrut. Al-Sulami, Muhammad Ibn Rizq Ibn Tarhuni. 1414H. Sohih al-Sirah al-Nabawiyyah. cet 1. Maktabah Ibn Taymiyyah. al-Qahirah. Shalabiy, Ahmad. 1984. Mausucah al-Tarikh al-Islam Wa al-Hadarah al-Islamiyyah. cet 11. Maktabah al-Nahdah al-Misriyyah. al-Qahirah. Teuku Iskandar. 1993. Kamus Dewan. Ed. Ke-4. Dewan Bahasa dan Pustaka. Kuala Lumpur. Al-Tobariy, Abu Jacfar Muhammad Ibn Jarir (224-310H). t.t.. Tarikh al-Tobariy. cet 2. Dar al-Macarif bi Misr. al-Qahirah. Al-Umariy, Akram Diya’. 1418H. Al-Sirah al-Nabawiyyah al-Sohihah. cet 3. Maktabah al-cAbaykan. alRiyad.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
105
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทความวิจัย
บริการสงตอผูปว ยของหนวยบริการปฐมภูมิบนเกาะแหงหนึ่งในจังหวัดกระบี่ ทิพวรรณ หนูทอง เพชรนอย สิงหชางชัย สาวิตรี ลิ้มชัยอรุณเรือง บทคัดยอ วิจัยเชิงคุณภาพนี้ วัตถุประสงคเพื่ออธิบายความหมายการสงตอผูปวย ขั้นตอน ปญหา แนวทางแกปญหา ของผูใชและผูใหบริการ ทั้งขอเสนอแนะเชิงนโยบาย ผูใหขอมูล 12 คน เก็บขอมูล กรกฎาคม 2552 –มีนาคม 2553 โดย การสั มภาษณ ตรวจสอบขอมูล แบบสามเสา วิ เคราะห ข อมู ลด วยเทคนิ คการวิ เคราะห เนื้ อหา ผลการวิ จัยพบว า ผูใ ช บ ริ การให ความหมายการส งต อผู ป ว ย คื อ การไปหาหมอที่ โรงพยาบาลเพื่ อรักษาอาการ ด วยการตรวจเลื อด เอ็กซเรย ตรวจรางกาย รับยาและสงตอไปที่อื่น ผูใหบริการใหความหมาย คือ ใหผูมีความสามารถมากกวาดูแลตาม ระบบสงตอ เพื่อรักษาอาการรุนแรง อาการที่ไมดีขึ้น อาการที่เกินขีดความสามารถ โดยหมอที่ชํานาญหรือมีเครื่องมือ พรอม ขั้นตอนของผูใชบริการ คือ รับรูและเขาใจอาการเจ็บปวย ดูแลสุขภาพตนเอง เลือกแหลงรักษาและตัดสินใจ ขั้น ตอนของผู ให บ ริก าร คื อ การประเมิน วินิ จ ฉัย รัก ษาพยาบาลเบื้ องต น ตั ดสิ น ใจส งต อ ประสานงาน เตรี ย ม เอกสารและนํา ส ง ผู ป ว ย และเยี ่ ย มบ า น ปญหาของผู ใชบ ริก าร คือ การเดินทางออกจากเกาะ ความตองการ รักษาพยาบาล ปญหาของผูใหบริการ คือ การเคลื่อนยายและขนสงผูปวย ขาดเครื่องมือ บุคลากรไมพอ โดยแนวทางที่ ผูใชบริการเสนอ คือ จัดหาพาหนะนําสงผูปวยตลอดเวลา มีผูที่มีความรูความสามารถในการรักษาเพิ่มขึ้น แนวทางที่ผู ใหบริการเสนอ คือ จัดหาหนวยงานที่สนับสนุนเครื่องมือ มีเรือนําสงผูปวย พัฒนาศักยภาพเจาหนาที่ สนับสนุนความรู แกประชาชนเรื่องสุขภาพและการสงตอผูปวย ขอเสนอแนะเชิง นโยบาย คือ สนับ สนุน เครื่องมือ อบรมเจาหนาที่ที่ ไมใชพยาบาล และการแพทยทางไกล. คําสําคัญ: บริการสงตอผูปวย, หนวยบริการปฐมภูมิบนเกาะ
นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ คณะพยาบาลศาสตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร
ดร. (ประชากรศาสตร) รองศาสตราจารย, อาจารยสาขาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ คณะพยาบาลศาสตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร
ดร. (พัฒนาศึกษาศาสตร) ผูชวยศาสตราจารย, อาจารยสาขาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ คณะพยาบาลศาสตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
106
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
RESEARCH
Referral Services of Primary Care Unit on Island, Krabi Province Tipawon Nootong Phechnoy Singchungchai Sawitri Limchai Arunreang ABSTRACT This qualitative research explored the meaning , processes, problems of referral services on clients and providers and suggestions. Informat 12,data were collected interview during July 2009-March 2010 triangulation and analyzed by content analysis.The results showed that the clients’meaning was seeing a doctor for investigation for blood test, x-ray, body check ,medicine and referral. The providers’ meaning was more capable providers in the referral network system, especially in cases of severe illness, uncured symptoms, or overwhelming situations that needed specialist medical technology . The clients’process of recognizing and understanding the health problem, self care, and making choices regarding treatment. The providers’ process of symptom assessment, tentative diagnosis, basic medical treatment, referral decision, coordination, document preparation & referral management, and home visitation. Problems of clients were difficulties in transportation and demand for treatment .The providers concerned referral transportation, medical supplies for emergency care, and shortage of care providers. Recommendations of the clients were to provide a supplementary referral boat and more competent care providers and providers’ recommendations were to have a referral supporting network for medical supplies, improved transportation, staff development, and self-care education for the people.Policy recommendations for the Ministry of Public Health were to support medical supplies for the referral services to all primary care units on the island, to provide a training course on emergency care for non-nurse providers, and tele-medical . Keyword: referral service, Primary Care Unit on Island
Graduate Student, Department of Health systems research and development, Faculty of Nursing, Prince of Songkla University.
Assoc. Prof. Ph.D. (Demography) Lecturer, Department of Health systems research and development, Faculty of Nursing, Prince of Songkla University.
Asst. Prof. Ph.D. (Development of Education) Lecturer, Department of Health systems research and development, Faculty of Nursing, Prince of
Songkla University.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
107
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทนํา การสงตอผูปวย เปนการเคลื่อนยายผูปวยจากสถานที่หนึ่งไปรักษาตออีกที่หนึ่งเพื่อประโยชนในการคุมครอง ผูปวยใหพนอันตรายและมีความปลอดภัย ผูปวยไดรับการดูแลรักษา ถูกตองเหมาะสมและทันตอเหตุการณ การสงตอ ผูปวยเนนบริการเปนขั้นตอนและบริการที่เชื่อมโยง รวมถึงการประสานเกื้อกูลของหนวยงานแตละระดับ (วิยะดา, 2543) เกิดบริการตอเนื่องและความรู สึกเปนอันหนึ่งอันเดี ยวกั น การสงตอที่มีประสิทธิภาพก อใหเกิดประโยชน ฝายแรกคื อ ประชาชน ไดรับการรักษาที่ถูกตอง เหมาะสม คาใชจายนอย รักษาใกลบาน อบอุนและเปนที่พอใจ ฝายหลังคือเจาหนาที่ที่ ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล ไมตองเสียเวลาใหการรักษาผูปวยที่มีอาการเล็กนอย สามารถใชเวลา ความสามารถและ ทรัพยากร เพื่อใหบริการรักษาพยาบาลแกผูปวยที่มีความจําเปนมากกวา สงผลถึงคุณภาพบริการที่จําเปนตองพิจารณาใน แง ของผูใช และผูให บริ การ จากสถิ ติ การส งต อผูป วยนอกที่ เพิ่ มขึ้นของสํ านั กพั ฒนาระบบบริ การสุขภาพ กระทรวง สาธารณสุข ป 2549-2551 เทากับ 0.230, 0.233, 0.239 และสถิติการสงตอผูปวยนอกของจังหวัดกระบี่ ระหวางเดือน มกราคม–มีนาคม 2552 เทากับ 0.046, 0.021, 0.027 ซึ่งปญหาการสงตอ คือ ระยะทาง ความปลอดภัยขณะเดินทาง ความ ไมพรอมของบุคลากร เครื่องมือ การสื่อสารและการใหบริการ ทั้งการศึกษาของ ชัยชน (2550) ถึงสาเหตุการตายของผูปวย ลมชักอาการหนักรายหนึ่ง พบวาเสียชีวิตจากระบบการสงตอผูปวยที่เขมงวดมากเกินไป โดยไมพิจารณาอาการของผูปวยที่ หนักและเรงดวน จังหวัดกระบี่ เปนจังหวัดหนึ่งมีสภาพภูมิศาสตรติดทะเลอันดามัน มีสถานบริการสาธารณสุขที่ใหบริการบนเกาะ การใหบริการดานสุขภาพแกประชาชนบนพื้นที่เกาะจําเปนตองเรียนรูวิถีชีวิต วัฒนธรรมของชุมชน (โกมาตรและ คณะ, 2547) การศึกษาสภาพทั่วไปพบมีปญหาในการเดินทางเพื่อใชบริการ เชน การเดินทางโดยเรือจากเกาะฮั่ง อําเภอเหนือคลอง เพื่อ รับบริการ ณ ศูนยสุขภาพชุมชนบานเกาะศรีบอยา เชนเดียวกับ ประชาชนบานคลองหมาก บานเกาะปู เดินทางโดยเรือเพื่อ รับบริการ ณ ศูนยแพทยชุมชนบานศาลาดาน และโรงพยาบาลเกาะลันตา อําเภอเกาะลันตา การศึกษานํารองดานการรับรู และการใชบริการสงตอผูปวยของประชาชนบนพื้นที่เกาะแหงหนึ่ง อําเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ พบวาผูใชบริการสงตอ ผูปวยประสบปญหาดานการเดินทางในเวลากลางคื นและชวงหนาฝนที่ทะเลมีคลื่ นลม ซึ่งการคมนาคมของพื้ นที่เกาะเป น ปญหาในการสงตอผูปวย (จิตติมา, 2550) ที่ผูปวยสวนใหญมีความคาดหวังตอบริการในภาวะฉุกเฉิน และจากการศึกษานํา รองยังพบวาหน วยบริการปฐมภู มิดังกล าวไมมีพยาบาลวิชาชีพปฏิบั ติงาน ทํ าใหเกิ ดปญหาด านศักยภาพของเจ าหน าที่ ผู ใหบริการ โดยหลังจากที่มีพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติงานในสถานีอนามัย สตรีชาวเลสามารถเขาถึงบริการดานอนามัยแมและ เด็ ก(จิ ตติ มา, 2550) ซึ่ งการจั ดบริ การสาธารณสุ ข เป นองคประกอบ 1 ใน 5 องค ประกอบที่สํ าคั ญของระบบสุ ขภาพ การศึ กษาการให บริการและการใช บริ การการส งต อผู ป วยบนพื้ นที่ เกาะ ยั งขาดข อมู ลการให ความหมายของการส งต อ ขั้นตอน ปญหาและแนวทางการแกปญหา เพื่อใหเกิดความเขาใจในลักษณะดังกลาว ผูวิจัยจึงศึกษาทําความเขาใจบริการสง ตอผูปวยของหนวยบริการปฐมภู มิบนพื้นที่เกาะ เพื่ อเปนพื้ นฐานในการวางแนวทางการใหบริการและรูปแบบการปฏิบัติ ที่ เหมาะสมสอดคลองกับบริบทของพื้นที่ตามวัฒนธรรมของผูใชและผูใหบริการบนพื้นที่เกาะ วัตถุประสงคของการวิจัย 1. เพื่ออธิบายความหมายและขั้นตอนบริการสงตอผูปวยของผูใชบริการและผูใหบริการในหนวยบริการปฐม ภูมิบนพื้นที่เกาะแหงหนึ่งในจังหวัดกระบี่ 2. เพื่ ออธิบายป ญหา และแนวทางการแกไ ขปญ หาบริก ารสงต อผู ปว ยของผู ใชบ ริก ารและผูใ หบริ การใน หนวยบริการปฐมภูมิบนพืน้ ที่เกาะแหงหนึ่งในจังหวัดกระบี่ 3. เพื่อเสนอแนะเชิงนโยบายดานบริการสงตอผูปวยของหนวยบริการปฐมภูมิบนพื้นที่เกาะ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
108
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ขอบเขตการวิจัย การศึกษาวิจัยนี้ศึกษาบนพื้นที่เกาะแหงหนึ่งในจังหวัดกระบี่ โดยศึ ก ษาเจ า หน า ที่ ส าธารณสุ ข ผู ป ว ย และญาติ ที่ ใ ห แ ละใช บ ริ ก ารส ง ตอของหนวยบริการปฐมภูมิบนพื้นที่เกาะ ศึกษาการใหความหมาย ขั้น ตอนการ ปฎิบัติ ปญหา แนวทางการแกปญหา ของผูใชและผูใหบริการสงตอผูปวย ของหนวยบริการปฐมภูมิบนพื้นที่เกาะแหง นี้ เก็บขอมูลระหวางเดือนกรกฏาคม พ.ศ.2552 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ.2553 รูปแบบวิจัย เปนการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) เลือกพื้นที่เกาะที่ไมไกลจากผืนแผนดินใหญ มีหนวยบริการ ปฐมภูมิอยู 1 แหง จากสถิติการใชบริการการสงตอผูปวยของหนวยบริการปฐมภูมิแหงนี้ป พ.ศ.2551 ประกอบดวย ผูปวยเด็ก จํานวน 11 ราย ผูปวยตั้งครรภและคลอด จํานวน 5 ราย ผูปวยโรคเรื้อรัง จํานวน 20 ราย ผู ป ว ยอุ บั ติ เ หตุ จํา นวน 4 ราย และผู ป ว ยที่ มี อ าการโดยไม ท ราบสาเหตุ จํานวน 11 ราย รวม 51 ราย ผูใหขอมูล ประกอบดว ย ผู ใ ห บ ริ ก ารส ง ต อ ผู ป ว ย ได แ ก เจ า หน า ที่ ส าธารณสุ ข ประจํา หน ว ยบริ ก ารปฐมภู มิ บ น พื้นที่เกาะที่ศึกษา คัดเลือกแบบเจาะจง 3 ราย และผูใชบริการสงตอผูปวย ไดแก ผูปวย/ญาติ ที่ไดรับการสงตอจาก หนวยบริการปฐมภูมิบนพื้นที่เกาะ คัดเลือกโดยการสุมแบบเจาะจง ทั้งหวงเวลาที่เก็บขอมูลผูปวยยังคงอาศัยอยูบน เกาะแหงนี้ และสามารถใหขอมูลได รวม 9 ราย ประกอบดวย ผูปวยเด็ก 2 ราย ผูปวยตั้งครรภและคลอด 1 ราย ผูปวยโรคเรื้อรัง 2 ราย ผูปวยอุบัติเหตุ 2 ราย และผูปวยที่มีอาการโดยไมทราบสาเหตุ 2 ราย เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ประกอบด ว ย แนวคํ าถามที่ ใ ช ใ นการสั มภาษณ เ ป น แบบปลายเป ด มี โ ครงสร าง จํ านวน 9 ข อ เครื่ อ ง บันทึกเสียง สมุดบันทึกและดินสอ กลองถายรูป แบบสังเกตดานกายภาพของบริบท ดานบริการสงตอผูปวยและด าน ความสัมพันธของการใชบริการ สําหรับผูใชและผูใหบริการ โดยศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของแลวสรางแนว คําถาม นํ าแนวคํ าถามที่ ได ไ ปศึ กษานํารองกับ กลุ มผูใ หข อมูล ที่ มีลั กษณะใกล เ คียงกั น และผู ทรงคุ ณ วุฒิ 5 ท าน ตรวจสอบความตรง ความสอดคลองและความครอบคลุมของเนื้อหา ทั้งใหขอคิดเห็นและขอเสนอแนะ แลวปรับปรุง ตามขอเสนอแนะ เก็บรวบรวมขอมูลและปรับเปลี่ยนแนวคําถามตามสถานการณ เพื่อใหเหมาะสมไดขอมูลเชิงลึกและ ครอบคลุม การเก็บรวบรวมขอมูล แบงเปน 2 ขั้นตอน 1.ขั้นเตรียมการ 1.1 ผูวิจัยเตรียมความรู ความเขาใจเรื่องบริการสงตอผูปวย บริบทของพื้นที่ การเขาพื้นที่ ความรูระเบียบวิ ธี วิ จั ย เชิ ง คุ ณ ภาพ การพิทักษสิทธิ์ผูใ หขอมูล กาจดบัน ทึก การวิเ คราะห ขอมูล เตรียมหนัง สือ ขอความรวมมือ พบผูเกี่ยวของ ผูนําในพื้นที่เพื่อแนะนําตัว ชี้แจงวัตถุประสงคการวิจัย และขออนุญาตเก็บรวบรวม ขอมูล
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
109
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
2. ขั้นดําเนินการรวบรวมขอมูล 2.1 เลื อ กผู ใ ห ข อ มู ล ตามคุ ณ สมบั ต ิ ศึ ก ษาข อมูล ทั่ ว ไปของผู ใ ชบ ริ การจากแฟมครอบครัว ของหน ว ย บริการปฐมภูมิ 2.2 เขาพบผูใหขอมูล แนะนําตัว สรางสัมพันธภาพ บอกวัตถุประสงค วิธีการเก็บรวบรวมขอมูล การพิทักษ สิทธิผูใหขอมูล ทั้งขอความรวมมือในการเขารวมการวิจัย และนัดหมายวัน เวลา เพื่อสัมภาษณเชิงลึกดวยแนวคําถาม ที่สรางไว การสัมภาษณผูใหขอมูล 1 ราย ใชเวลา 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เขาพบเพื่อสัมภาษณ 2-3 ครั้ง หรือจนกวา ขอมูลมีความอิ่มตัว ทั้งสังเกตพฤติกรรมของผูใหขอมูล 2.3 เก็บรวบรวมขอมูลในทุกๆ ดานใหไดขอมูลที่ตรงกับความจริงมากที่สุด และบันทึกโดยจดบันทึกประเด็น สําคัญ และบั นทึกเสียง ตรวจสอบความตรงของข อมูล โดยขอมูล ในแต ละวั นที่ได จะนํามาถอดเทป และอานขอมู ล ทั้งหมด หากตรวจสอบแลวยังไมชัดเจนหรือไมครบถวน จะสัมภาษณเพิ่มเติมในครั้งตอไป หากการสัมภาษณแตละ ครั้งไดคําตอบเหมือนเดิมหรือไมพบประเด็นใหมเพิ่มขึ้น ทั้งไดตรวจสอบความถูกตองจนไมส ามารถคนหาขอมูลได เพิ่มขึ้นกวาที่มีอยู ถือวาขอมูลมีความอิ่มตัว และนักวิจัยกับผูใหขอมูลมีความเขาใจตรงกัน การตรวจสอบขอมูล ผูวิจัยไดตรวจสอบขอมูลและวิเคราะหขอมูลทุกครั้งหลังเก็บรวบรวมขอมูล โดยถอดเทปคําตอคําเพื่อนํามา ตรวจสอบสามเสา (triangulation) โดยการตรวจสอบดานขอมูล ดานระเบียบวิธีการวิจัย ตรวจสอบความตรงของ ข อมู ล (data validity) เมื่ อไดรับขอมูลครบถวนแลว นัก วิจัยนําขอมูล ทั้ง หมดมาจัด เปน หัว ขอ (theme) และสรุป อา นทบทวนใหผู ใ หขอ มูล ตรวจสอบความถูก ตอ งอีก ครั ้ง หนึ่ง และตรวจสอบความนา เชื่อ ถื อ ของขอ มูล โดย พิจารณาถึงคุณภาพของขอมูลที่ไดและการตีความที่ถูกตอง การวิเคราะหขอมูล เมื่อรวบรวมขอมูลไดในแตละวัน นักวิจัยใชการวิเคราะหขอมูลเชิงเนื้อหา (content analysis) ตามขั้นตอนของ เพชรนอย (2550) ดวยการอานทบทวนขอมูล ที่ไ ดจ ากการสัมภาษณ นํา ประโยคหรื อ วลี ที่ เ กี่ ย วข อ งแยกออกมา แลวนํามาเรียงใหมเ ป น ภาษาเขี ยนที่ สื่ อให เ กิ ด ความเขาใจที่ตรงกันให ความหมายกั บ ประโยคหรื อ วลี ที่ ไ ด จัดเปน ขอความสําคัญ ของการสง ต อผู ปว ยบนพื้ น ที่เ กาะที่ ควรจะได รับ (theme)กลุ มเนื้อหา( theme clusters)และหัว ข อ หลัก(categories) ตามความหมายและสาระสําคัญที่สะทอนถึงบริการสงตอผูปวยของหนวยบริการปฐมภูมิบนพื้นที่ เกาะแหงนี้ รวบรวมผสมผสาน (integrate) หั ว ข อ หลั ก ที่ อ ธิ บ ายถึ ง บริ ก ารส ง ต อ เขียนโครงสรางและบรรยาย ความหมายแลวนําคําอธิบายยอนกลับใหผูใหขอมูลรับทราบ ทั้งใหความเห็นเพื่อยืนยันคําอธิบายเกี่ยวกับบริการสงตอ ผูปวยของหนวยบริการปฐมภูมิบนพื้นที่เกาะแหงนี้ (เพชรนอย, 2550) การพิทักษสิทธิผูใหขอมูล นักวิจัยไดรับมอบหมายภายใต คณะพยาบาลศาสตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร ใหดําเนินการเก็บขอมูล โดยคํานึงถึงจรรยาบรรณของนักวิจัยและการพิทักษสิทธิ์ของผูใหขอมูล ดวยการแนะนําตัวเองใหผูใหขอมูลทราบ และ ชี้แจงวัตถุประสงคของการศึกษารวมถึงขอความรวมมือในการใหขอมูล ขออนุญาตใชเครื่องบันทึกเสียง และการจด บันทึกขอมูล รวมทั้งการถายภาพ เมื่อผูใหขอมูลยินยอมใหขอมูล นักวิจัยไดอธิบายเกี่ยวกับระยะเวลาในการเก็บขอมูล ความพรอมในการใหขอมูล ทั้งการไดรับความคุมครองจากการใหขอมูล และสามารถปฏิเสธหรือออกจากการวิจัยได
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
110
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ทุกขณะโดยจะไม มีผ ลกระทบใดๆ สํ าหรั บข อมู ลที่ ไดจ ากการสัมภาษณ นัก วิจัยจะเก็ บไวเป นความลั บและนํ าไปใช ประโยชนในการศึกษาเทานั้น รวมถึงหากจําเปนตองอางถึงผูใหขอมูลจะใชวิธีการอางชื่อเปนนามสมมุติ ผลการศึกษา บริบท ชุมชนที่ศึกษามีพื้นที่ 17.58 ตารางกิโลเมตร แวดลอมด ว ยทะเลอันดามันทั้ง 4 ดาน มี 3 หมูบาน จํานวน 307 หลังคาเรือน ประชากร 1,819 คน รอยละ 98 นับถือศาสนาอิสลาม มีมัสยิด 3 แหง โรงเรียนระดับประถมศึกษา จํานวน 2 แหง อาชีพหลักของชุมชนคือ ทําสวนยางพารา อาชีพเสริมคือทําประมง สินคาแปรรูปจากอาหารทะเลที่ขึ้น ชื่อและจําหนายในพื้นที่ใกลเคียงคือ ปลาหลังเขียว เสียบไมแลวเผาไฟจนเนื้อปลาแหง กรอบ สําหรับน้ําในการอุปโภค และบริโภค ใชน้ําประปาหมูบานและน้ําจากบอน้ําตื้น ลักษณะบานเรือน เปนบานไมยก ใตถุนสูง หลังคาลาดเอียง เชนเดียวกับชุมชนทางภาคใตทั่วไป ลักษณะภูมิอากาศมี 2 ฤดู คือฤดูรอนและฤดูฝน การคมนาคม พาหนะสวนใหญใช รถจั ก ยานยนต ถนนเป น ถนนลู ก รั ง มี ถ นนลาดซี เ มนต เ พี ยง 2.5 กิ โ ลเมตร มี ท าเรื อ 2 แหง คื อ ท าเรื อด านทิ ศ ตะวันออก เปน ทาเรือหลักที่มีความคงทน มี เรือโดยสารรับ จางประจําทางใหบริ การทุก ชั่วโมง ตั้งแต เวลา 07.0017.00 น. เวลาในการเดินทางขามฝงไปแผนดินใหญ 25 นาที และทาเรือดานทิศตะวันตก เปนทาเรือขนาดเล็กอยูคน ละดานของเกาะแหงนี้ มีความคงทนนอยกวาทาเรือแรก มีเรือโดยสารรับจางประจําทางใหบริการทุกครึ่งชั่วโมง ใช เวลาขามฝงไปแผนดินใหญ 10 นาที มีกระแสไฟฟา ใชเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2552 ซึ่งเดิมใชแสงสวางจากแผงโซลา เซลล มีหนวยบริการปฐมภูมิใหบริการ ตั้งแตป 2540 ดวยลักษณะของพื้นที่ที่เงียบสงบ ประชาชนอาศัยอยูไมมากนัก ผนวกกับหาดทรายขาวสะอาด จึงมีนักทองเที่ยวตางชาติมาพักอาศัยอยูเปนเวลานาน วิถีความเปนอยูและการดูแลสุขภาพของชุมชนที่ศึกษา มีความเปนอยูแบบเครือญาติ มีการพึ่งพากันแมไมใชญาติพี่นองมีน้ําใจเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ดังคําพูดที่วา “ผักบุงลากไป ผักไหลากมา” บานเรือนสามารถเปดทิ้งไวไดโดยไมมีขโมย พิธีกรรมของชุมชน ประกอบดวย พิธีถือ ศีลอด พิธีออกบวช และการประกอบศาสนพิธีประจําวัน ดังนั้นในเวลาเที่ยงวันจนถึงเวลาบายโมงครึ่งของวันศุกรทุก วัน มัสยิดจึงเปนสถานที่ที่ผูชายในหมูบานมารวมปฏิบัติพิธีทางศาสนา สวนผูหญิงปฏิบัติพิธีทางศาสนาที่บาน ศูนย รวมใจของชุมชนนอกจากมัส ยิด ยังมีลานกีฬาชุมชน และรานคาในชุมชน วิถีการดูแลสุขภาพของชุมชนนี้ เปนแบบ ผสมผสานระหวางการดูแลสุขภาพดวยตนเอง การดูแลสุขภาพโดยแพทยพื้นบาน และการดูแลสุขภาพโดยแพทยแผน ปจจุบัน โดยพิจารณาวาอาการ หรือโรคที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมากนอยเพียงใด หรือมีประสบการณในการดูแลผูปวย ที่มีอาการเชนนั้นหรือไม หรือไดรับคําแนะนําจากเพื่อนบาน จากญาติ ก็จะดําเนินการตามความเหมาะสมของแตละ บุคคล แตละครอบครัว ซึ่งความรูที่ไดรับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษและความเชื่อในการใชสมุนไพรของแตละ ครอบครัว โดยสมุนไพรสวนใหญมาจากตนไมที่ปลูกในชุมชนนี้ เชน เมื่อมีไข ตัวรอน จะใชรากของตนหมากและ/ราก ของต น มะพร าว นํ ามาต ม กรอง ดื่ มน้ํ า 2-3 วั น หรื อเป น หวั ด เจ็ บ คอ ใช น้ํ าผึ้ ง (รวง) 1 ช อ นชาผสมน้ํ ามะนาว รับประทานวันละ 2-3 ครั้ง หรือใช “ยาเขียว” เปนสมุนไพรผงบรรจุซองมีขายที่รานคาในหมูบาน ใชแกอาการรอนใน มีไข อาการปวดเมื่อยใชน้ํามันแลน(ไขมันจากตัวตะกวด นําไปเคี่ยวจนไดเปนน้ํามัน) หากตองการดับกลิ่นเหม็นหืนจะ นําหัวไพลมาผสม หรือในรายที่มีบาดแผลเปนแผลเปดจะใชน้ํามันแลนใสแผล อาจมีสวนผสมของยาเสน (ยาฉุน) หรือ ผสมดวยน้ํามันมะพราว วิถีการดูแลสุขภาพของคนในชุมชนบนเกาะนี้จะดูแลสุขภาพดวยตนเองเปนอันดับแรก และ เมื่อเห็นวาอาการไมดีขึ้น ไมหาย จะพึ่งพา แพทยพื้นบาน “หมอบาน” ซึ่งเปนผูใหการรักษาดวยสมุนไพร “หมอบีบ” หรือหมอนวด และการดูแลสุขภาพแมและเด็กจะมี“หมอแมทาน” หรือหมอตําแย และจะเปลี่ยนไปรักษากับแพทย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
111
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
พื้นบานคนอื่นเมื่ออาการไมดีขึ้นหรือไมหาย โดยเปลี่ยนผูใหการรักษาไปเรื่อยๆจนกวาจะหายหรือไมหาย และดว ย ความเจริญ ดานวัตถุ การไดรั บขาวสารในดานการรักษาสุข ภาพเพิ่มมากขึ้น พบวาประชาชนบนเกาะหั นมารักษา สุขภาพดวยการรับบริการ ณ หนวยบริการปฐมภูมิ เพราะมีความเชื่อในการรักษาทางวิทยาศาสตร ทั้งความรูของผู ใหบริการ การประชาสัมพันธ และเห็นวาเจาหนาที่สาธารณสุข หรือแพทยผูปฏิบัติงาน ณ โรงพยาบาลสามารถชวย รักษาใหโรคหรืออาการต างๆที่เปน หายหรือมีอาการทุเลา ด านการสงตัว ผูปวยในอดีต พบวาการดูแลสุขภาพดว ย ตนเองและการดูแลสุขภาพดวยการแพทยพื้นบาน ผูปวยหรือญาติจะพิจารณาเปลี่ยนผูใหการรักษา เมื่อเห็นวาอาการ ที่เ ป น อยูไ ม ดี ขึ้ น ส ว นการดู แลด ว ยการแพทยป จ จุ บั นพบว ามีก ารส งตั ว ผู ป วยไปรั บการรั กษายั ง โรงพยาบาล แต เนื่องจากหนวยบริการปฐมภูมินี้ไมมีเรือสําหรับใหบริการสงตอผูปวย จึงจําเปนตองเหมาเรือและจัดหารถในการนําสง ผูปวยไปโรงพยาบาล ตอมามีการจัดบริการการแพทยฉุกเฉิน จึงมีบริการของ 1669 ในการนําสงผูปวยดวยรถของ โรงพยาบาลเครือขายที่มาจอดรอรับผูปวยที่ทาเรือ ขอมูลทั่วไปของผูใชบริการและผูใหบริการสงตอผูปวย พบวาสวนใหญผูใชบริการสงตอเปนเพศหญิง (6 ราย) สถานภาพคู (8 ราย) นับถือศาสนาอิสลาม (9 ราย) อายุ ระหวาง 41- 60 ปขึ้ นไป(5 ราย) จบการศึ กษาระดั บประถมศึกษา(8 ราย) รายไดของครอบครัวเฉลี่ยตอป 20,001 – 60,000 บาท(5 ราย) อาชีพทําสวนยางพารา(7 ราย) สถานะภาพทางเศรษฐกิจอยูในระดับพอกินพอใช ประสบการณการดูแลสุขภาพของตนเองและสมาชิกในครอบครัว ผูใหขอมูลทั้ง 9 ราย เริ่มตนการดูแลสุขภาพตนเอง ก อน เช น การใช ส มุ น ไพรใกล บ าน เมื่ อมี อ าการปวดเมื่ อยจะงดการยกของหนั ก ผู ป ว ยโรคกระเพาะอาหารจะ รับประทานอาหารรสจืด เชน ขาวตม มีการผสมผสานการใชการบีบนวดเพื่อรักษาอาการปวดเมื่อย จากหมอบานบน พื้นที่เกาะ ซึ่งเมื่ออาการไมทุเลาก็จะรับการรักษาจากหนวยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลเครือขาย หรือคลินิกแพทย สวนอาการที่ไดรับการสงตอพบวามีอาการ มึนศีรษะและมีความดันโลหิตสูงรวมดวย จํานวน 2 ราย เบาหวาน 1 ราย ปวดทองรุนแรง มีไข อยางละ 1 ราย และอุบัติเหตุ จํานวน 3 ราย จากถูกแมวกัด ลมรถจักรยานยนต และถูกใบเลื่อย ไมบาดบริเวณขา ตั้งครรภโดยมีอาการไขรวมดวย 1 ราย ซึ่งอาการที่ไดรับการสงตอในผูปวยที่มีอาการอยูแลว จํานวน 1 ราย คือ ผูปวยที่เปนเบาหวานแลวขาดยา ดานผู ให บ ริก าร ประกอบดว ยผูใ หบ ริ การที่ มีตํ าแหนง นัก วิ ชาการสาธารณสุ ขชํ า นาญการ (1 ราย) เจ า พนักงานสาธารณสุขชํานาญงาน (1 ราย) และเจาพนักงานสาธารณสุขชุมขน (1 ราย) การศึกษาพบวาจบการศึกษาใน ระดับผดุงครรภ การพยาบาลและผดุงครรภระดับตน และ ระดับเจาพนักงานสาธารณสุขชุมชน มีประสบการณการ ทํางานมีตั้งแต 5 ป ถึง 33 ป ผูใหบริการสวนใหญไมเคยมีประสบการณการทํางานบนพื้นที่เกาะมากอน ทุกคนไดรับ การอบรมฟนฟูความรูในการชวยเหลือผูปวยฉุกเฉิน การใหความหมายการสงตอผูปวยของผูใชบริการและผูใหบริการสงตอผูปวย ผูใหขอมูลบางคนเรียกการสงตอผูปวยวา “สงโรงบาล” และใหความหมายการสงตอผูปวยวา หมายถึง ไป หาหมอ เจาะเลือด การตรวจ เชน การเอ็กเรย การไปเช็ค ดังคําพูดของผูปวยหญิงมีอาการใจสั่น คลายจะเปนลม ที่วา “บอกวาใหไปเช็คแล วาเปนไหรๆมั่งไม” (ผูใหขอมูลคนที่ 2) การไปตรวจขณะมีอาการอื่นรวมดวย เชน ขณะ ตั้งครรภมีไขรวมดวย การไปรับยาในผูปวยเบาหวาน การไดรับการดูแลจากผูอื่นหรือใหหมอคนอื่นๆไดทําการรักษา และการจัดการใหไดรับการรักษาจากหนวยงานที่สามารถติดตอหรือประสานได เปนการไปรักษาใหอาการดีขึ้น ดานผู ใหบริการใหความหมายวา หมายถึง การดูแลผูปวยที่มีอาการรุนแรงเกินความสามารถ ผูปวยที่ไมสามารถใหการ รักษาพยาบาลไดหรือผูปวยที่ใหการรักษาแลวอาการไมดีขึ้น ตามระบบการสงตอผูปวยฉุกเฉินไปยังโรงพยาบาลแม
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
112
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ขายที่มีความสามารถ มีหมอ มีผูที่มีความชํานาญ มีเครื่องมือพรอม เพื่อใหผูปวยไดรับการรักษาที่ถูกตอง มีชีวิตรอด ไมพิ การ ไม ตาย ดัง คําพูด ของนั กวิ ชาการสาธารณสุข ชํานาญการ ที่ วา “คนไข ที่รุ นแรงแล วเราดูแลไมไ ด เกิ นขี ด ความสามารถของเรา ใหโรงบานที่มีเครื่องมือพรอม มีหมอมีคนที่ชํานาญกวา เคาจะไดรอด ไมพิการ ไมตาย” (นัก วิชาการฯ) ขั้นตอนการสงตอผูปวยของผูใชบริการและผูใหบริการ ขั้นตอนการสงตอผูปวยของผูใชบริการ มี 3 ขั้นตอน ไดแก 1)ขั้นรับรูและเขาใจอาการเจ็บปวยที่เกิดขึ้น เชน ในผูปวยตั้งครรภและมีไขรวมดวย 2)ขั้นดูแลสุขภาพตนเองเบื้องตน พบวา ผูใหขอมูลดูแลสุขภาพของตนเองกอนเปน อันดับแรกโดยการดื่มน้ําหวาน ลดอาการคลายจะเปนลม ดื่มน้ําหญาหนวดแมวเมื่อมีไข หรือบางรายไดรับความรูจาก การแพทยแผนปจจุบัน เชน ลางแผลเมื่อโดนสัตวกัด หรือการใชยาแผนปจจุบันรวมกับยาแผนโบราณ เชนใหยาน้ําลด ไข รวมกับการเช็ดตัวดายน้ํายาเขียวในผูปวยเด็กที่มีไข ทั้งการปรึกษาญาติ คนใกลชิด ผูมีความรูดานสุขภาพเชน อส ม. หรือเจาหน าที่ส าธารณสุข พบว า บุ ค คลในครอบครั ว ญาติ ผู ใ กล ชิ ด เพื่ อนบาน เปน บุคคลที่ ผูใ ห ขอมูล ขอ คําปรึกษาในการดูแลสุขภาพของตนเองเปนอันดับแรก 3)ขั้นเลือกแหลงรักษาและตัดสินใจ ซึ่งในการตัดสินใจเพื่อใช บริการสงตอพบวา เปนการตัดสินใจโดยบุตร มีจํานวน 2 ราย การตัดสินใจดวยตัวของผูใหขอมูลเอง จํานวน 3 ราย และการจัดสินใจรวมกับผูใหบริการ จํานวน 4 ราย ด า นผู ใ ห บ ริ ก าร มี 7 ขั้ น ตอน ได แ ก 1)ขั ้ น ประเมิ น อาการ 2)ขั้ น วิ นิจฉั ยอาการ 3)ขั้น รักษาพยาบาล เบื้องตน 4)ขั้นตัดสินใจสงตอ 5)ขั้นติดตอประสานงาน 6)ขั้นเตรียมเอกสารและนําสงผูปวย 7)ขั้นเยี่ยมบาน ซึ่งขั้นตอน การสงตัวของผูใหบริการเปนลําดับ มีแบบแผน และเปนไปตามมาตรฐานการสงตอผูปวยและการรักษาพยาบาล ผูปวย ซึ่งแสดงใหเห็นถึงการปฏิบัติงานที่มีคุณภาพ ปญหาการใชบริการและการใหบริการสงตอผูปวย ผูใชบริการไดกลาวถึงปญหาในการสงตอผูปวยบนพื้นที่เกาะคือ ความลําบากในการเดินทางออกจากพื้นที่ เกาะ ดวยสภาพภูมิศาสตรที่เปนเกาะ ตองใชเวลาในการเดินทางไปกลับตั้งแตเชาถึงเย็น นั่งเรือและนั่งรถ ทั้งคิดวาการ เดินทางบนพื้นที่บกสามารถใชรถจักรยานยนตซึ่งเร็วกวาเรือ นอกจากนี้ยังมีคาใชจายในการเดินทางและปญหาใน เรื่ องไม มีเ รื อโดยสารต องรอเรื อฝ ง ตรงข ามมาก อนจึ ง จะได โ ดยสารไปและความต องการการรั ก ษาพยาบาลใน โรงพยาบาล ซึ่งมีแพทย เพราะแพทยคือบุคลากรทางสาธารณสุขที่ผูปวยตองการใหทําการรักษามากที่สุด เปนผูมี ความรูมากกวาเจาหนาที่ประจําหนวยบริการปฐมภูมิแหงนี้ อีกทั้งโรงพยาบาลมียาที่ใชในการรักษาหลากหลายกวา สามารถใชในการรักษาไดดีกวา และเห็นวาหากผูปวยมีอาการรุนแรงหนวยบริการปฐมภูมิแหงนี้ก็จําเปนตองตัดสินใจ สงผูปวยไปโรงพยาบาล ปญหาของผูใหบริก ารสงตอผู ปวย คือ ความยากลําบากในเคลื่อนยายผูปว ยออกจากพื้นที่เกาะพบวาใน ชวงเวลาน้ําลด ตองใชการหามหรืออุมผูปวยจากเรือโดยสาร เดินลุยโคลนไปยังทาเรือ หากผูปวยมีภาวะฉุก เฉินมาก อาจทําใหไดรับอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นขณะเคลื่อนยายผูปวยได ขาดเครื่องมือชวยเหลือผูปวยฉุกเฉิน ซึ่งเครื่องมือ อุปกรณที่ มี ไดแก เครื่องวัดความดันโลหิต เครื่องวัดระดับน้ําตาลในเลือด เครื่องมือ ทําแผล เครื่องมือเย็บแผล ชุดชวยหายใจ แบบบีบมือ (ambu bag) ขนาดเล็กและใหญ ยารักษาโรคหัวใจเตนผิดจั งหวะ (adrenaline) ยารักษาหัว ใจเตนช า (atropine) และ น้ําเกลือสําหรับใหผูปวยชนิด N/2 (normal saline N/2) ปญหาดานบุคลากรไมเพียงพอ หนวยบริการ ปฐมภูมิแหงนี้ ไม มีพยาบาลวิช าชี พอีก ทั้งความรูใ นการปฎิ บัติง านเปน สิ่งสํ าคั ญ ในการสรางความมั่นใจให เกิด กับ ผู ใหบริการและผูใชบริการ และปญหาดานการไมมีเรือในการนําสงผูปวย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
113
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
แนวทางการแกปญหาบริการสงตอผูปวยของผูใชบริการและผูใหบริการสงตอผูปวย แนวทางในการแกไขการใชบริการสงตอ คือ การจัดการใหมีเรือสําหรับนําสงผูปวยตลอดเวลากอใหเกิดความสะดวก ในการนําสงผูปวย โดยในการจัดหานั้นใหหนวยบริการปฐมภูมิเปนผูประสานขอสนับสนุนเรือจากองคการบริหารสวน ตําบล (อบต.) ซึ่ งประชาชนส ว นใหญมองว า อบต.เป นหน ว ยงานที่ ส ามารถให ก ารสนั บ สนุ น การดํ าเนิ น งานของ หนวยงานในระดับชุมชน “คิดวาในสวนตรงนี้อนามัยนาจะเปนคนประสานเรื่องเรือของ อบต.” (ผูใหขอมูลคนที่ 7) การ จัดใหมีความรูความสามารถในการรักษาพยาบาลเพิ่มมากขึ้น เห็นวาการไดรับการรักษาจากผูมีความรู จะทําใหไดรับ การวินิจฉัยที่ถูกตอง ทําใหอาการที่เปนอยูทุเลา หรือหายจากอาการที่เปนอยู ทําใหมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และแนวทาง ของผูให บริการในการแกปญหาบริการสงตอ คือ หนวยงานที่เกี่ยวของให การสนั บสนุนเครื่องมือชวยเหลือ ผูปว ย ฉุกเฉิน การจัดการใหมีเรือในการนําสงผูปวย พัฒนาศักยภาพเจาหนาที่ในการชวยเหลือผูปวยโดยการอบรม เพื่อใหมี ความรู ความสามารถเพิ่มขึ้น ทั้งมีทักษะในการใหบริการชวยใหเกิดความมั่นใจ ใหความรูแกประชาชนในเรื่องการดูแล สุขภาพของตนเองและการสงตอผูปวย เพื่อลดอัตราการสงตอผูปวย การอภิปรายผล จากการศึ กษาการให ค วามหมายการส ง ต อ ผู ป ว ยของผู ใ ช แ ละผู ใ ห บริ การ นั้ นพบวาผูใ ช บริ การได ใ ห ความหมายว าไปเพื่ อรั ก ษาให ดี ขึ้ น ด ว ยการไปหาหมอไปใช บ ริ ก าร เป น ลั ก ษณะที่ ต องพึ่ ง พาผู อื่น ซึ่ ง ไคลน แมน (Kleinman, 1980) ชี้ใหเห็นความแตกตางของการดูแลสุขภาพไมไดแยกโดดเดี่ยว เปนการผสมผสานกัน ดังนั้นลักษณะ การดูแลสุขภาพที่พี่งผูอื่น ตามแนวคิดของไคลนแมน สามารถนํามาใชอธิบายในการดูแลตนเองของประชาชน ซึ่ ง ระบบดูแลสุขภาพนี้ประกอบดวยสวนตาง ๆ 3 สวน คือ ระบบการดูแลสุขภาพในสวนของสามัญชน ระบบการดูแล สุขภาพในสวนของวิชาชีพ และระบบการดูแลสุขภาพในสวนของการแพทยพื้นบาน ประชาชนจะรักษากลับไปกลั บมา ระหวาง 3 ระบบ หรือบางครั้งจะรักษาพรอม ๆ กันตั้งแต 2-3 ระบบ แตจากความหมายของผูใหบริการที่ใหความเห็น ไปในทางการปฏิบัติตามขั้นตอนการชวยเหลือผูปวยตามหลักวิชาการมองถึงระบบการใหบริการผูปวย เนื่องจากผู ใหบริการยังอยูในโครงสรางของระบบแบบราชการที่ตองมีระบบปฏิบัติเปนขั้นตอน จะชวยใหผูปวยไดรับบริการที่ดี ไดรับการตรวจรักษาตามหลักวิชาการ ตามขั้นตอนในการตรวจรักษาตามหลักวิทยาศาสตร ขั้นตอนการสงตอของผูปวยของผูใชบริการที่มารับบริการ ณ หนวยบริการปฐมภูมิบนเกาะ มี 3 ขั้นตอน คือ 1)ขั้นตอนรับรูและเขาใจอาการเจ็บปวยที่เกิดขึ้น 2)ขั้นดูแลสุขภาพตนเองเบื้องตน 3)ขั้นเลือกแหลงรักษาและตัดสินใจ มีความใกลเคียงกับขั้นตอนการแสวงหาแหลงบริการสุขภาพ ของโกมาตรและคณะ (2550) ที่กลาววา ขั้นตอนการ แสวงหาแหลงบริการสุขภาพ ประกอบดวย การประสบกับอาการเจ็บปวย การรักษาตนเอง การสนทนาแลกเปลี่ยน ความรูความเขาใจกับญาติที่มีความสําคัญ การประเมินอาการเจ็บปวย การแสดงบทบาทผูปวย การประเมินวิธีการ รักษาและผลการรักษา การเลือกวิธีและแหลงรักษา การรักษา และขั้นตอนสุดทายเปนการประเมินผลการรักษา ซึ่ง เปนขั้นตอนที่สามารถพบไดในชุมชนเปนการสงตอที่ไมเปนแบบแผน (สุภัทรและ สุวัฒน, 2547) โดยการตัดสินใจขอรับ บริการดังกลาวขึ้นอยูกับประสบการณของผูใชบริการเอง สวนขั้นตอนผูใหบริการสงตอผูปวยของหนวยบริการปฐม ภูมิบนเกาะ มี 7 ขั้นตอน คือ ขั้ น ประเมิ น อาการ ขั้ น วินิจฉัยอาการ ขั้นรักษาพยาบาลเบื้องตน ขั้นตัดสินใจสงตอ ขั้น ติด ต อประสานงาน ขั้ นเตรียมเอกสารและนําส งผู ป วย และขั้น เยี่ยมบาน เป นไปตามหลั ก วิช าการพยาบาลที่ ดําเนินการตามกองการพยาบาล ผนวกกับระเบียบขั้นตอนในการสงตอผูปวยของกระทรวงสาธารณสุข และมาตรฐาน การส ง ต อ ผู ป ว ยตามหลั ก การแพทย ฉุ ก เฉิ น เพื่ อ ให ง านการส ง ต อ ผู ป ว ยตามขั้ น ตอนอย า งรวดเร็ ว ทํ า ให ก าร รักษาพยาบาลมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ดวยการใชการจําแนกผูปวย (กรองได, 2552) หรือเพื่อตัดสินความเรงดวนของ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
114
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
อาการสํ าคัญที่เป นปญหาเพื่อผูปว ยที่ไดรับ การสง ตอไดรับ การดูแลอย างเรงดวนยิ่ งขึ้น ในภาวะฉุ กเฉินมาก ภาวะ รีบดวน และภาวะไมรีบดวน เทากับเปนการดูแลใหประชาชนไดรับการรักษาพยาบาลจากผูเชี่ยวชาญ ซึ่งขั้นตอนการ สงตอของผูใหบริการเปนขั้นตอนที่หนวยบริการเครือขาย (พิชัย, 2547) จะตองจัดใหตามหลักการและเหตุผลของการ สงตัวผูปวย ปญ หาในการส ง ตอของผู ใ ช บ ริ ก ารในเรื่ องความลํ าบากในการเดิ นทางออกจากพื้ น ที่เ กาะขึ้ น กั บ สภาพ ภูมิอากาศชวงฤดูมรสุม สภาพน้ําทะเลขึ้นและลง สอดคลองกับการศึกษา การเขาถึงและความตองการบริการสุขภาพ ดานอนามัยแมและเด็กในสถานีอนามัยของสตรีชาวเลบนเกาะแหงหนึ่งทางตอนใตของประเทศไทย (จิตติมา, 2550) พบวาระยะเวลาในการเดินทางจากพื้นที่เกาะที่ศึกษาไปยังโรงพยาบาลจังหวัดในสภาพภูมิอากาศปกติที่ไมใชฤดูมรสุม ใชเวลาในการเดินทาง 1- 4 ชม. และคาใชจายในการเดินทาง 2,000- 4,500 บาท ทําใหเปนอุปสรรคตอหญิงชาวเล ที่ไดรั บการสง ตอให ไปรั บบริ การในโรงพยาบาลจังหวัด และความยากงายในการเดิ นทางไปสถานบริการ ที่ คํานึ ง ลักษณะของที่ตั้ง ระยะทางและระยะเวลาจากที่พักไปยังสถานบริการ รวมถึงคาใชจายในการเดินทางไปรับบริการ เปนปจจัยสําคัญทางภูมิศาสตร (Blustein&Weitzman, 1995) ทําใหประชาชนที่อยูในภูมิศาสตรที่ตางกันสามารถเขาถึง บริการที่ตางกัน และปญหาดานความตองการเขารับการรักษาในโรงพยาบาล พบวาสาเหตุที่ผูปวยตองการไปรับการ รักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งมีแพทยประจําเพราะ แพทยคือบุคลากรทางสาธารณสุขที่ผูปวยตองการใหทําการรักษามาก ที่สุด เปนผูที่สามารถใหการรักษาเพื่อลดอาการที่เกิดขึ้น ชวยใหบรรเทาอาการฉุกเฉิน (โสภารัตน, 2548) พบวา ผูปวยที่มารับการรักษาพยาบาลดวยความเจ็บปวยฉุกเฉินของระบบหายใจ มีความตองการใหดํารงชีวิตอยู ดานผูให บริการมองว าปญหาในการสงตอผู ปวยของหน วยบริการปฐมภูมิบนพื้ นที่เกาะ คือ ความยากลํ าบากใน เคลื่อนยายผูปวยจากพื้นที่เกาะ ขาดเครื่องมือชวยเหลือผูปวยฉุกเฉิน บุคลากรไมเพียงพอ ไมมีเรือในการนําสงผูปวย พบวาปญหาที่เหมือนกันระหวางผูใหบริการและผูใชบริการ คือ เรื่องการเดินทาง ความยากลําบากในการเคลื่อนยาย ผูปวยนั้น การรวมกันหาวิธีในการเคลื่อนยายผูปวยใหเหมาะสมกันสภาพพื้นที่จึงเปนทางเลือกหนึ่งที่จะชวยชีวิตของ ผูปวยเอาไวได สวนความตางพบวา เปนเรื่องความขาดแคลนเครื่องมือ โดยเฉพาะอุปกรณชวยชีวิตขั้นพื้นฐานไมมีใน หนวยบริการแหงนี้ และ สถานีอนามัยในจังหวัดพังงา เครื่องมือ วัสดุอุปกรณมีใชอยางเพียงพอบางรายการ ยกเวน อุปกรณสําหรับใหออกซิเจนและพนยา ไมมีใช (ศิริพงศ, 2545) และ กฤษณ, สุพัตราและ Starfield (2550) พบวา ไมไดรับการจัดสรรทรัพยากรตามความจําเปนของสุขภาพประชาชนที่แตกตางกันในแตละพื้นที่ ความเพียงพอของ เครื่องมือและอุปกรณทางการแพทยยังคงเปนปญหาสําหรับผูบริการในบางภูมิภาค ซึ่งเปนสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุข ควรใหความสําคัญและพิจารณาจัดหาใหเพียงพอโดยรวมไปถึงพาหนะในการเคลื่อนยายผูปวย ในพื้นที่เกาะคือ เรือ กระทรวงสาธารณสุข (2545) และมาตรฐานศูนยสุขภาพชุมชน (กรมสนับสนุนบริการ, 2550) ที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแล ผูปวยในภาวะฉุกเฉิน ไดกําหนดไววาการจัดระบบการสงตอนั้นตองมีการเตรียมความพรอมที่รวมไปถึง ความพรอม ดานยานพาหนะ ซึ่งหนวยบริการปฐมภูมิแหงนี้ไ ม มี พ าหนะ(เรื อ )ในการนํา ส ง ผู ป ว ยเพื่ อ รั บ การรั ก ษาพยาบาล ยั ง โรงพยาบาลเครือขาย ก อใหเ กิด ปญ หาในการนําสง ผู ปว ย การขาดแคลนบุ คลากร พบวาหน ว ยบริก ารนี้ไ ม มี พยาบาลวิชาชีพ และเจาหนาที่ที่ปฏิบัติงานอยู บางคนมีประสบการณการสงตอผูปวยนอย มีความรูความสามารถไม เพียงพอกับการรักษาพยาบาลและบริการสงตอผูปวย กอใหเกิดปญหาดานศักยภาพของเจาหนาที่ผูใหบริการ(ดวง กมล, 2542) ซึ่งบทบาทความสามารถของพยาบาลวิชาชีพในการปฏิบัติงานดานการรักษาพยาบาล สามารถใหการ พยาบาลแก ผูปว ยได ครอบคลุมและครบถวน การสนั บสนุ นบุคลากรอยางเพี ยงพอเป นการบริหารจั ด การเพื่ อให สัดสวนของผูใหบริการและผูรับบริการในหนวยบริการปฐมภูมิมีความเหมาะสม เปนการสนับสนุนใหระบบสงตอผูปวย ในหนวยบริการปฐมภูมิมีคุณภาพยิ่งขึ้น
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
115
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
แนวทางการแกไขของผูใชบริการและผูใหบริการสงตอผูปวยบนพื้นที่เกาะ ผูใชบริการเห็นวา คือ การจั ดการ ใหมีเรือสําหรับนําสงผูปวยตลอดเวลาและใหมีผูที่มีความรูความสามารถในการรักษาพยาบาลเพิ่มมากขึ้นในขณะที่ แนวทางของผูใหบริการในการแกปญหาบริการสงตอ คือ หนวยงานที่เกี่ยวของใหการสนับสนุนเครื่องมือฉุกเฉิน การ จัดการใหมีเรือในการนําสงผูปวย การพัฒนาศักยภาพเจาหนาที่ในการชวยเหลือผูปวยในพื้นที่เกาะ และใหความรูแก ประชาชนในเรื่องการดูแลสุขภาพของตนเองและการสงตอปวย การจัดการสงตอผูปวยใหมีความพรอมในทุกดานจะ ชวยแกปญหาการสงตอใหมีประสิทธิภาพ (สมปอง, 2550) การจัดการโดยการขอความรวมมือจากเจาของเรือโดย เจาหนาที่ทุกคนจะมีเบอรโทรศัพทของเจาของเรือและสามารถโทรขอความชวยเหลือในการนําสงผูปวยไปรงพยาบาล ไดทั้งในเวลากลางวันและเวลากลางคืนทั้งคาใชจายในการจางเหมาเรือเพื่อนําสงผูปวยที่มีฐานะยากจน เจาหนาที่ใน หนวยบริการปฐมภูมิเปนผูรับผิดชอบซึ่งการจัดการเรื่องนี้ยังขาดความชัดเจนในการบริการจัดการของหนวยบริการ ปฐมภูมิแหงนี.้ ขอเสนอแนะ 1.จั ดใหมีพยาบาลวิ ชาชี พลงปฏิบัติ งานในหน วยบริ การปฐมภู มิ บนพื้น ที่เ กาะเพื่ อใหบริ การส งตอผูป วยมี ประสิทธิภาพและพัฒนาระบบบริการสงตอผูปวย 2.พัฒ นาความรู ความสามารถของเจ าหน าที่ส าธารณสุ ข ประจํ าหน ว ยบริก ารปฐมภู มิบ นพื้ น ที่ เ กาะให มี ความสามารถเทียบเทาและมีสิทธิในการใหการรักษาพยาบาล 3.จัดใหมี เครื่องมืออุปกรณ เวชภั ณ ฑ ต ามเกณฑ ก ารชวยเหลือผูปวยฉุกเฉินเบื้องตนสําหรับพื้นที่เกาะใหมี ความเพียงพอและเหมาะสม 4.ควรมีการบริหารจัดการใหมีพาหนะ(เรือ)ในการนํา ส ง ผู ป ว ยอย า งเหมาะสม และทันเวลา 5.พัฒนาความรูของประชาชนบนพื้นที่เกาะใหมีความรูในการดู แลสุ ข ภาพของตนเองและการปฐมพยาบาล เบื้องตนได โดยการประชาสัมพันธใหความรูทางหอกระจายขาว จัดทําแผนปายขั้นตอนการสงตอผูปวย การอบรมให ความรู ขอเสนอแนะเชิงนโยบายดานบริการสงตอผูปวย 1.กระทรวงสาธารณสุข ควรมีนโยบายในการสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณในการชวยเหลือผูปวยฉุกเฉินใหกับ หนวยบริการปฐมภูมิทุกแหงที่ตั้งอยูบนพื้นที่เกาะ 2.กระทรวงสาธารณสุข ควรมีนโยบายในการอนุมัติใหเจาหนาที่ที่ปฏิบัติงานบนพื้นที่เกาะซึ่งไมใชพยาบาล วิชาชีพ สามารถปฏิบัติการพยาบาลไดเชนเดียวกับพยาบาลวิชาชีพ 3.ควรมีระบบการใหคําปรึกษาการแพทยทางไกล เพื่อใหสามารถดูแลผูปวยไดอยางประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
116
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บรรณานุกรม กรมสนั บ สนุ น บริ ก ารสุ ข ภาพ กระทรวงสาธารณสุ ข . 2545. ประกาศกระทรวงสาธารณสุ ข ฉบั บที่ 8 เรื่ อง มาตรฐานการสงตอผูปวย. คนเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2551, จาก http://mrd-hss.moph.go.th. กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข . 2550. คูมือพัฒนาระบบงานศูนยสุขภาพชุมชนเพื่อใหไ ด มาตรฐาน กระทรวงสาธารณสุข. นนทบุรี: ชุมชนสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย จํากัด. กรองได อุ ณ หสู ต . 2552. คู มื อ ปฏิ บั ติ ก ารจั ด การทางการพยาบาลระบบสั่ ง การสถานการณ ฉุ ก เฉิ น . กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก . กฤษณ พงศพิรุฬห, สุพัตรา ศรีวณิชชากร, และ Barbara Starfield. 2550. “การประเมินบริการปฐมภูมิของประเทศ ไทยจากมุมมองของผูใหบริการ”. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข, 2, 401-408 . โกมาตร จึงเสถียรทรัพย, ชาติชาย มุกสง, นงลักษณ ตรงศีลสัตย, ราตรี ปนแกว, วรัญญา เพ็ชรคง,มธุรส ศิริสถิต กุล และคณะ. 2547. พลวัตสุขภาพกับการพึ่งตนเอง ภาคชนบท. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโกมลคีมทอง. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย, ชาติชาย มุกสง, วรัญญา เพ็ชรคง, คณิศร เต็งรัง, ปารณัฐ สุขสุทธิ์, มธุรส ศิริสถิตกุล, และคณะ. 2550. วัฒนธรรมสุขภาพกับการเยียวยา แนวคิดทางสังคมและมานุษยวิทยาการแพทย . กรุงเทพมหานคร: หางหุนสวนจํากัด สามลดา. จิตติมา อรามศรีธรรม. 2550. การเขาถึง และความตองการบริการสุขภาพด านอนามัยแมและเด็ กในสถานี อนามั ย ของสตรี ชาวเลบนเกาะแห ง หนึ่ ง ทางตอนใต ข องประเทศไทย.วิ ท ยานิ พ นธ วิ ท ยาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร, สงขลา. ชัยชน โลวเจริญกูล. 2550. “ระบบสงตอที่เอื้อสําหรับผูปวยโรคลมชักอาการหนัก”. จุฬาลงกรณเวชสาร, 51, 176-189. ดวงกมล ศิริลัภยานนท. 2542. การประเมินความสามารถของสถานีอนามัยในการควบคุมโรคความดันโลหิตสูง จั ง หวั ด ยะลา. วิ ท ยานิ พ นธ วิ ท ยาศาสตรมหาบั ณ ฑิ ต สาขาการวิ จั ย และพั ฒ นาระบบสาธารณสุ ข มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร, สงขลา. พิชัย พวงแกว. 2547. ประสบการณการดูแลสุขภาพตนเองภาคประชาชนในอําเภอสะทิงพระจังหวัดสงขลา. วิ ท ย านิ พ น ธ วิ ท ย า ศ า ส ต ร ม ห าบั ณ ฑิ ต ส า ข าวิ ช าก า ร วิ จั ย แล ะ พั ฒ น าร ะ บ บ ส าธ า ร ณ สุ ข . มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร, สงขลา. เพชรน อย สิ ง ห ชางชั ย . 2550. หลั ก การและการใช วิ จัยเชิ ง คุ ณ ภาพสํ า หรั บทางการพยาบาลและสุ ขภาพ. สงขลา: ชานเมืองการพิมพ. วิยะดา จุฑาศรี. 2543. การสรางมาตรฐานการพยาบาลการสงตอผูปวย โรงพยาบาลสหัสขันธอําเภอสหัสขันธ จังหวัดกาฬสินธุ. รายงานการศึกษาอิสระปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการ พยาบาล มหาวิทยาลัยขอนแกน, ขอนแกน. สมปอง กรุ ณ า. 2550. การพั ฒ นาระบบส ง ต อ ผู ป ว ยสถานอนามั ย ในเครื อ ข า ยโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช. คนเมื่อ 23 มีนาคม 2553, จาก http://202.28.18.232 /dcms/basic.php. สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ, และสุวัฒน วิริยพงษสุกิจ. 2547. RURAL HEALTH สาธารณสุขชนบท. นนทบุรี: มูลนิธิแพทย ชนบท.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
117
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
โสภารัตน พรมพุก. 2548. ความตองการของผูปวยขณะมารับการรักษาพยาบาลที่หองฉุกเฉินโรงพยาบาล สวรรคโลก จั ง หวั ด สุ โ ขทั ย . วิ ท ยานิ พ นธ พ ยาบาลศาสตรมหาบั ณ ฑิ ต สาขาวิ ช าการพยาบาลผู ใ หญ มหาวิทยาลัยเชียงใหม, เชียงใหม. ศิริ พ งศ ทองสกุ ล . 2545. บริ ก ารสาธารณสุ ขระดั บปฐมภู มิของสถานี อนามัย จั ง หวั ดพั ง งา. วิท ยานิ พ นธ พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลอนามัยชุมชน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร, สงขลา. Blustein, J. & Weitzman, B.C. 1995. “Access to Hospitals with High-Technology Cardiac Services: How is Race Important”. American J Public Health, 85, 345-351. Kleimen , A. 1980. Patient and healer in the context of culture. Berkley: University of California press.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
119
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทความวิจัย
กลยุทธการจัดการบริษัทฮัจยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต Developing Management Strategy for Haji Business in Southern of Thailand จิราพร เปยสินธุ อําพร วิริยะโกศล วิทวัส ดิษยะศริน สัตยารักษ บทคัดยอ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงคเพื่อ 1) ศึกษา จุดแข็ง จุดออน โอกาส และอุปสรรคของบริษัทฮัจย เพื่อกําหนดกล ยุทธเพื่อการจัดการบริษัทฮัจย 2) เพื่อเสนอแนะแนวทางการจัดการบริษัทฮัจยในสามจังหวัดชายแดนภาคใตในการ ศึกษาวิจัยครั้งนี้ใชวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งการวิจัยเชิงคุณภาพดําเนินการโดยวิธีการสัมภาษณโดยใชแบบสอบถาม กับตัวแทนผูประกอบการฮัจย จํานวน 5 ราย และคณะผูแทนฮัจยไทยป 2552 จํานวน 2 ทาน จากความคิดเห็นของ ตัวแทนบริษัทผูประกอบการ และผูแทนฮัจยไทย พบวาปจจัย ดานจุดแข็ง จุดออน โอกาส และอุปสรรคของการตลาดบริษัทฮัจย จําแนกเปน 4 ประเด็นไดแก 1) ดานภาพรวมของผูเดินทางไปประกอบ พิธีฮัจย 2) ดานภาพรวมการจัดการฮัจยไทย 3) ดานการบริหารกิจการฮัจยไทย และ 4) ดานการเขาถึงขอมูลขาวสาร จากการศึกษาไดนําจุดแข็ง จุดออน โอกาส และอุปสรรค มาพัฒนาเปนยุทธศาสตรของการตลาดบริษัทฮัจย ในสามจั ง หวั ด ชายแดนภาคใต 1) สนั บ สนุ น งบศึ ก ษา วิ จั ย และประเมิ น ผลการบริ ห ารจั ด การฮั จ ย ไ ทยผ า น สถาบันการศึกษา จัดตั้งศูนยแกปญหาฮัจยไทยจังหวัดชายแดนภาคใตโดยมีการนําผลการวิจัยและขอเสนอแนะของ นักวิชาการ และสถาบันการศึกษามาปรั บใชเพื่ อประโยชนต อการบริหารจัดการฮัจย 2) รัฐบาลวางนโยบายและ ยุท ธศาสตร ฮัจ ย ไทยที่ชั ด เจนเพื่ อเป น แนวทางในการดําเนิน งานของหนว ยงานที่เ กี่ ยวของ เป นต น 3) รัฐ บาลตั้ ง คณะทํางานที่มีประสบการณเพื่อศึกษาแกไขปรับปรุง การบริหารการจัดการฮัจยอยางจริงจังและนําไปสูการแก ไข พระราบัญญัติ กฎกระทรวงและระเบียบเกี่ยวกับกิจการ 4) รัฐบาลแตงตั้งคณะทํางานที่รับผิดชอบในเรื่อง จดทะเบียน ผูนํากลุม(แซะห), เพิ่มชองทางการใหขอมูลขาวสาร, ชวยเหลือ แกไขปญหา คนไทยมุสลิม ในทุกขั้นตอนของการประกอบ พิธีฮัจย, ดูแลและสรางศูนยเตรียมความพรอมสําหรับผูเดินทางไปประกอบพิธีฮัจยและอุมเราะห , ดําเนินกิจกรรม กระชับความสัมพันธอันดีกับรัฐบาลซาอุดิอาราเบีย
นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาการบริหารธุรกิจ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยหาดใหญ บธ.ม. (บริหารธุรกิจ) รองศาสตราจารย, อาจารยพิเศษสาขาวิชาการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน มหาวิทยาลัยหาดใหญ ดร. (บริหารการศึกษา) อาจารยประจําสาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยหาดใหญ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
120
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
RESEARCH
Developing Management Strategy for Haji Business in Southern of Thailand Jiraporn Piasintu Amporn wiriyacosol Wittwat Didyasarin Sattayarak Abstract The purposes of this qualitative research are as the following, 1) to analyze the strengths, weaknesses, opportunities and obstacles to the marketing strategies of Hajj Marketing in Three Southern Border Provinces. 2) To suggest the implementation of Hajj Marketing in Three Southern Border Provinces. The research’s data corrected by depth interviewing the representatives of five companies and representative of the Material to collect data by questionnaires divided into the representative of the five companies and two representatives Hajj Thai Association. The research found that the factors influenced strengths, weaknesses; opportunities and obstacle of the Hajj marketing were divided into four points. 1) An overview of all the Hajj pilgrims. 2) The overall Hajj management of Thailand. 3) The Hajj administration of Thailand, and 4) the access to Hajj information. The study of the strengths, weaknesses, opportunities and obstacles has come up with the development of the strategy for Hajj marketing in the three provinces 1) to support the study, research and evaluation management Hajj Thailand through education. Developing the solutions Hajj southern Thailand, with the findings and recommendations to adapt management of Hajj. 2) the Government policies and strategies that Hajj is to guide the operation of the agencies involved. 3) The government set up experiences working team to improve the Hajj management and lead to a serious change in the law and regulations on Hajj business. 4) The government should appointed a working group to responsible for the; Register all the Hajj operators, increase the channels of information, help resolving Thai-Muslims problems in all steps of Hajj pilgrimage, open a Hajj center for Hajj preparation which operate throughout the year for the the pilgrimage of Hajj and Umrah, to build a strong relationship with the government of Saudi Arabia.
Graduate Student, Department of Business administration, Hatyai University. Assoc. Prof. (Business administration), Lecturer of Departmetn public and private sectors, Hatyai University. Ed.D. (Education), Lecturer Department Education administration, Hatyai University.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
121
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทนํา การประกอบพิธีฮัจย เปนศาสนบัญญัติในศาสนาอิสลามประการที่ 5 ที่มุสลิมทุกคนตองปฏิบัติเพียงครั้งเดียวใน ชีวิ ต โดยมีเงื่ อนไขความพร อมทั้งสุ ขภาพร างกาย ทรัพย สินเงิ นทองและความปลอดภั ยในการเดินทาง ซึ่ งการเดิ นทางไป ประกอบพิธีฮัจยของชาวไทยมุสลิมมีมาชานานกอนสมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี โดยเฉพาะอยางยิ่งประชาชนที่ อาศัยอยูบริเวณตอนใตของประเทศไทยสมัยนั้นสวนใหญเปนชาวไทยเชื้อสายมลายู ที่นับถื อศาสนาอิสลาม การเดินทางไป ประกอบพิธีฮัจยของชาวไทยมุสลิมสวนใหญจะเดินทางไปกับบุคคลใกลชิด หรือญาติที่เคยผานการประกอบพิธีฮัจย หรือเคย พํานักอยูในประเทศซาอุดีอาราเบียในฐานะผูนําทาง ซึ่งนิยมเรียกกันวา “แซะห” โดยแซะหจะทําการรวบรวมบุคคลที่มีความ ประสงคจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจยนําไปจัดการทําหนังสือเดินทางและเตรียมเอกสารอื่นๆที่เกี่ยวของ และนําไปมอบใหแก ผูประกอบการฮัจยซึ่ งเปนนิติบุ คคลที่ จดทะเบียนขออนุญาตเปนผูประกอบกิจการรับจัดบริ การขนสงในกิจการฮัจย เพื่ อ ดําเนินการตามขั้นตอนอื่นๆตอไป ตั้งแตการเตรียมตัวกอนไปประกอบพิธีฮัจย จนกระทั้งเดินทางไปประกอบพิธฮี ัจย จัดหาที่ พักอาศัยตลอดจนใหบริการอื่นๆ จนเสร็จสิ้นพิธีฮัจยและเดินทางกลับมายังประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดนี้อยูในความรับผิดชอบ ของผูประกอบการจัดการบริการฮัจยทั้งสิ้น โดยความรวมมือจากแซะห และหนวยงานที่เกี่ยวของทั้งภาครัฐและเอกชน สําหรับการบริหารจัดการฮัจยของประเทศไทย มักจะไดรับการแจงตําหนิถึงความลมเหลวในการจัดการปญหาดาน ตางๆของผูแสวงบุญ การขาดการเอาใจใสของรัฐบาลไทย การขาดความสามารถคุมครองผูแสวงบุญในฐานะผูบริโภคตาม รัฐธรรมนูญ ซึ่งในกิจการ ฮั จยมีเงิ นหมุนเวียนไมต่ํากวา 3,000 ลานบาทต อป ควรมีการบริหารจัดการที่ดีเพื่อไม ใหเสี ย โอกาสในการสงคนไปประกอบพิธีฮัจย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศมาเลเซียและ อินโดนีเซีย เปนประเทศที่มีการบริหาร จัดการฮัจยอยางมีประสิทธิภาพกวา (ไทยเอ็นจีโอ ออนไลน, 2552) เทศกาลฮัจยประจําป 2552 มีผูประกอบพิธีฮัจยจากทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 2,520,000 คน และในจํานวนดังกลาวมีผู ประกอบพิธีฮจั ยจากประเทศไทยจํานวน 13,369 คน ผูประกอบการที่ไดรับอนุญาตใหดําเนินกิจการฮัจยจํานวน 93 รายและ มี 83 รายที่ นําชาวไทยมุ สลิ มเดินทางไปประกอบพิธี ฮัจย ทั้งนี้ ทางการซาอุดี อาราเบียกําหนดจํ านวน ผูแทนฮัจยไทยเพื่ อ เดินทางไปเตรียมการ ประสานงานและอํานวยความสะดวกจํ านวน 130 คน โดยมีนายอิสมาอีลลุ ตฟ จะปะกี ยา ทํ าหนาที่ หัวหน าคณะผูแทนฮัจยทางการ ซึ่ งผู แทนฮั จย ไทยทั้ง 130 คน แยกเปนกลุมๆไดแก หัวหน าคณะและคณะจํ านวน 12 คน ผูทรงคุ ณวุ ฒิ ผู เชี่ ยวชาญด านภาษาและการปฏิ บั ติ งานจํ านวน 17 คน ผู แทนกรมศาสนา จํ านวน 3 คน ผู แทนกรมการ ปกครองจํานวน 2 คน ผูแทนศูนยอํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใตจํานวน 6 คน หนวยพยาบาลไทย จํานวน 40 คน ผูประกอบการฮัจยหรือผูแทนจํานวน 50 คน การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจยของมุสลิมไทยเริ่มตนตั้งแตวันที่ 20 ตุลาคม 2552 ในปนี้บริษัทการบินไทยขนสงผู เดินทางไปประกอบพิธฮี ัจยจากทาอากาศยานหาดใหญและทาอากาศยานภูเก็ต ในลักษณะเหมาลํา ทําการบินจากสนามบิน หาดใหญและภูเก็ตไปประเทศซาอุดีอาราเบีย มีการจัดตั้งศูนยอํานวยความสะดวกแกผูเดินทางไปประกอบพิธีฮัจยประจําทา อากาศยานตางๆ เพื่ออํานวยความสะดวกใหแกผูเดินทางไปประกอบพิธีฮัจยทุกดานเชน การตรวจเอกสารการเดินทาง การ ชั่งน้ําหนักสัมภาระ การขนยาย และอื่นๆที่เกี่ยวของกับการเดินทาง การบริการของสํานักงานบริการภาคสนาม ในเทศกาล ฮัจยปนี้ ทางการซาอุดีอาราเบียไดจัดสํานักงานบริการภาคสนาม บริการผูเดินทางไปประกอบพิธีฮัจยชาวไทยจํานวน 5 ศูนย คือ ศูนยที่ 94, 95, 96, 97 และ 98 ตลอดเทศกาลฮัจยมีชาวไทยมุสลิมเสียชีวิตจํานวน 18 คน จากความเปนมาและความสําคัญขางตน กระบวนการบริหารจัดการฮัจย ของประเทศไทยจําเปนที่ตองพัฒนาเพื่อ เพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการใหกับชาวมุสลิมที่ไปประกอบพิธีฮัจยเพื่อใหไดคุณภาพมาตรฐาน ดังนั้นผูวิจัยจึงมี ความสนใจในการที่จะศึกษา การพัฒนากลยุทธของบริษัทฮัจยในสามจังหวัดชายแดนภาคใตซึ่งมีประชาการสวนใหญนับถือ ศาสนาอิสลามวาจะมีแนวทางการพัฒนาการจัดการบริษัทฮัจยอยางไรเพื่อสามารถสรางมาตรฐานทัดเทียมนานาประเทศ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
122
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
วัตถุประสงคของการวิจัย 1. วิเคราะห จุดแข็ง จุดออน โอกาส และอุปสรรค เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการตลาดบริษัทฮัจยในสาม จังหวัดชายแดนภาคใต 2. เพื่อเสนอแนะแนวทางพัฒนาการตลาดบริษัทฮัจยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต
คณะผูแทนฮัจย
การจัดการบริษัทฮัจย
ผูประกอบการฮัจย
ผูประกอบพิธีฮัจย 1) ภาพรวมของผูเดินทางไป ประกอบพิธีฮัจย 2) ภาพรวมการจัดการฮัจย ไทย 3) การบริหารกิจการฮัจยไทย 4) การเขาถึงขอมูลขาวสาร
SWOT ANALYSIS
กรอบแนวคิดการวิจัย ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย
ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มุงศึกษา ความคิดเห็นของตัวแทนผูแทนฮัจยไทยป 2552 และตัวแทนบริษัทผูประกอบการ ฮัจย เพื่อทําการวิเคราะหสภาพแวดลอม ปจจัยภายใน และปจจัยภายนอก ( SWOT Analysis) ใหทราบถึง จุดแข็ง จุด อ อน โอกาส และอุป สรรค ของการตลาดบริ ษั ท ฮั จ ยใ นสามจั งหวั ด ชายแดนภาคใต และนํ าไปกํ าหนดกลยุ ท ธ การตลาดที่เหมาะสมโดยใชเทคนิค TOWS Matrix ตอไป กลุมตัวอยางผูประกอบการฮัจยในการศึกษาครั้งนี้ไดจากการสงแบบสอบถามถึงผูประกอบการฮัจย ทั้งหมดที่ จดทะเบี ยนจํ านวน 93 รายและคัดเลือก 5 สถานประกอบการที่ตอบแบบสอบถามและยิน ดีให ขอมู ล 5 อันดับเพื่อทําการสัมภาษณในเชิงลึก กลุมตัวอยางคณะผูแทนฮัจยไทยป 2552 ประกอบดวย อะมีรุลฮัจยและ ที่ปรึกษาคณะผูแทนฮัจย จํานวน 130 คน ในการศึกษาครั้งนี้เลือกสัมภาษณจํานวน 2 ทานไดแก 1. นายมูฮําหมัดนาเซร หะบาแย ผูชวยเลขานุการคณะทํางาน 2. นายสุกรี หลังปูเตะ คณะทํางาน สรุปผลการวิจัย จากการสัมภาษณตัวแทนบริษัทผูประกอบการและตัวแทนผูแทนฮัจยไทย โดยจําแนกเปนประเด็น 4 ดาน คือ 1) ดานภาพรวมของผูเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย 2) ดานภาพรวมการจัดการฮัจยไทย 3) ดานการบริหารกิจการฮัจย ไทยและ 4) ดานการเขาถึงขอมูลขาวสาร โดยวิเคราะห ปจจัยภายในและปจจัยภายนอก แยกเปนจุดแข็ง จุดออน โอกาส และอุ ปสรรค ของบริษัทฮั จย และนําจุ ดแข็ง จุด ออน โอกาส และอุปสรรค ดังกลาวมาพัฒ นาเปนกลยุท ธ สําหรับบริษัทฮัจย ซึ่งตาราง ที่ 1 – 4 เปนตารางแสดงผลการวิเคราะห SWOT ANALYSIS ทั้ง 4 ดานตามลําดับ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
123
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ตาราง 1 ผลการพัฒนากลยุทธ การตลาดบริษัทฮัจยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต ดานภาพรวมของผูเดินทางไป ประกอบพิธีฮัจย โดยใช TOWS Matrix S: ปจจัยแวดลอม S1 ผูเดินทางไป ภายใน ประกอบพิธีฮัจยมี (IFAS) ความมุงมั่นที่จะ เดินทางไปประกอบพิธี ฮัจย
ปจจัยแวดลอม ภายนอก (EFAS)
O: O1 สามจังหวัดชายแดน ภ า ค ใ ต เ ป น พื้ น ที่ ที่ มี ประชากรส ว นใหญ นั บ ถือศาสนาอิสลาม
กลยุทธ SO S1O1 ผูประกอบการ ฮัจยพัฒนารูปแบบการ บริ ก ารอย างมื ออาชี พ เพื่อสร างความเชื่ อมั่ น และใหลูกคาเกิดความ พึงพอใจ รวมทั้ งสราง เอกลั ก ษณ ที่ โ ดดเด น ใหกั บการบริก าร เพื่ อ ดึงดูดลูกคา
T: T1 ผูเดิ นทางไปประกอบ พิธีฮัจยสวนใหญตระหนัก ถึงหลักการศาสนา ในเรื่อง ของบททดสอบ ความ อดทน ความเสี ยสละ และ การให อภั ย จึ งไม ค อยจะ เรี ยกร องสิ ทธิ เมื่ อถู ก ผูประกอบการเอาเปรียบ
กลยุทธ ST S1T1 ผู เ ดิ น ทางไประ ก อ บ พิ ธี ฮั จ ย เ ลื อ ก ผู ป ระกอบการฮั จ ย ที่ สร า งมาตรฐานการ ใหบริ การโดยคํานึงถึ ง หลั ก การศาสนาและ ผลประโยชนของลูกคา เปนหลัก
W: W1 ผูเดินทางไปประกอบพิธีฮัจยไมมีการเตรียมความพรอม ทางดานรางกายทําใหประสบปญหาการเจ็บปวยรวมทั้งขาด ทัก ษะในการใช ชี วิ ต ร ว มกั บ คนต างชาติ ต างภาษา ส ง ผล ทางดานจิตใจขณะประกอบพิธีฮัจย W2 ผูเดินทางไปประกอบพิ ธีฮัจยสวนใหญ ขาดทักษะและ องคความรูที่จําเปนในการประกอบพิธีฮัจย W3 ผู เ ดิ น ทางไปประกอบพิ ธี ฮั จ ย ตั ด สิน ใจใช บ ริ ก ารกั บ หั ว หน ากลุ ม (แซะห ) โดยขาดการศึ ก ษาในรายละเอี ยดว า บริษัทผูประกอบการจะดําเนินการอยางไร W4 ผู เ ดิ น ทางไปประกอบพิ ธี ฮั จ ย ไ มไ ด ติ ด ต อกั บ บริ ษั ท ผูประกอบการโดยตรงแตทําการติดตอผานผูนํากลุม(แซะห) และมอบหมายใหผูนํากลุมดําเนินการเองทั้งหมด กลยุทธ WO W1O1 จั ด ตั้ ง ศู น ย ดู แลและสร างความพร อมสํ าหรั บ ผู เดิ นทางไปประกอบพิธี ฮั จย และอุมเราะห เปด ดํ าเนิ นการ ตลอดป ใหบริการแกผูที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย และ ผูที่สนใจทั่วไป W2O1 ผูประกอบการฮัจยตองจัดทําขอมูลขาวสาร รายละเอียด และกําหนดการเกี่ ยวกับการประกอบพิธี ฮัจยแก ลูกคาก อนและ หลังจากการประกอบพิธีฮัจยอยางตอเนื่อง W4O1 ดําเนินการจดทะเบียนผูนํากลุม(แซะห)รวมทั้งสังกัด ผูนํากลุม(แซะห)ใหอยูในบริษัทประกอบกิจการฮัจยเปนการ ถาวร ไมอนุญาตใหผูนํากลุมที่ไมจดทะเบียนและไมมีสังกัด รับลูกคา กลยุทธ WT W1T1 จัดตั้งศูนยดูแลและสรางความพรอมสําหรับผูเดินทางไป ประกอบพิธีฮัจยและอุมเราะห เปด ใหบริการแกผูที่จะเดินทางไป ประกอบพิธีฮัจย และผูที่สนใจทัว่ ไป W2T1 เพิ่มชองทางการใหขอมูลขาวสารรวมทั้ง รายละเอียดและ กําหนดการเกี่ยวกับการประกอบพิธีฮัจยแกผูเดินทางไปประกอบ พิธีฮัจยอยางตอเนื่อง W4T1 ขึ้ นทะเบี ยนผู นํ ากลุ ม(แซะห )และให สั งกั ดอยู ในแต ละ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12 T2 ผูเดินทางไปประกอบ พิ ธี ฮั จ ย ที่ มีภู มิลํ าเนาใน สามจั ง หวั ดช ายแด น ภาคใต ส วนใหญ มีภาษา และวัฒนธรรมที่แตกตาง กับหนวยงานที่ เกี่ ยวของ เชน หนวยงานราชการใน ส ว นกลาง สายการบิ น เป น ต น จึ ง มั ก ไม ไ ด รั บ ความสะดวกในการใช บริการ
S1T2 ผู เ ดิ น ท า ง ไ ป ป ร ะ ก อ บ พิ ธี ฮั จ ย เรี ยกร องให ห น วยงาน กลางจั ด เจ าหน าที่ ที่ มี คว ามส ามาร ถ ด าน ภาษาเพื่อติดตอสื่อสาร และให บริ ก ารในช วงที่ เดินทางไปประกอบพิ ธี ฮัจย
124
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บริษัทเปนการถาวร ไมอนุญาตใหผูนํากลุมที่ไมจดทะเบียน และ ไมมีสังกัดรับลูกคา W4T2 สรางมาตรฐานการใหบริการโดยคํานึงถึงหลักการศาสนา และผลประโยชนของลูกคาเปนหลัก W4T2 มี การเข ามาดู แล หน วยงานที่ เกี่ ยวข องกั บกิ จการฮั จย เชน สายการบิ นเพื่ อใหผู เดิ นทางไปประกอบพิ ธีฮัจยไดรั บความ สะดวกในดานการติดตอสื่อสารและการบริการ
ผลการวิเคราะหSWOTโดยใช TOWS Matrix ดานภาพรวมของผูเดินทางไปประกอบพิธีฮัจยไดกลยุทธดังตอนี้ 1. ผูประกอบการฮัจยพัฒนารูปแบบการบริการอยางมืออาชีพเพื่อสรางความเชื่อมั่นและใหลูกคาเกิดความ พึงพอใจ รวมทั้งสรางเอกลักษณที่โดดเดนใหกับการบริการเพื่อดึงดูดลูกคา 2. ผู เ ดิ น ทางไประกอบพิ ธี ฮั จ ย เ ลื อ กผู ป ระกอบการฮั จ ย ที่ ส ร างมาตรฐานการให บ ริ ก ารโดยคํ านึ ง ถึ ง หลักการศาสนาและผลประโยชนของลูกคาเปนหลัก 3. ผูเดินทางไปประกอบพิธีฮัจ ยเรียกรองให หนวยงานกลางจัดเจาหนาที่ที่ มีความสามารถดานภาษา เพื่ อ ติดตอสื่อสารและใหบริการในชวงที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย 4. จั ด ตั้ ง ศู น ย ดู แ ลและสร า งความพร อ มสํ า หรั บ ผู เ ดิ น ทางไปประกอบพิ ธี ฮั จ ย แ ละอุ ม เราะห เป ด ดําเนินการตลอดป ใหบริการแกผูที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย และผูที่สนใจทั่วไป 5. ผูประกอบการฮัจยตองจัดทําขอมูลขาวสาร รายละเอียด และกําหนดการเกี่ยวกับการประกอบพิธีฮัจยแก ลูกคากอนและหลังจากการประกอบพิธีฮัจยอยางตอเนื่อง 6. ดําเนินการจดทะเบียนผูนํากลุม(แซะห)รวมทั้งสังกัดผูนํากลุม(แซะห)ใหอยูในบริษัทประกอบกิจการฮัจย เปนการถาวร ไมอนุญาตใหผูนํากลุมที่ไมจดทะเบียนและไมมีสังกัดรับลูกคา 7. เพิ่มชองทางการใหขอมูลขาวสารรวมทั้ง รายละเอียดและ กําหนดการเกี่ยวกับการประกอบพิธีฮัจยแกผู เดินทางไปประกอบพิธีฮัจยอยางตอเนื่อง 8. สรางมาตรฐานการใหบริการโดยคํานึงถึงหลักการศาสนาและผลประโยชนของลูกคาเปนหลัก 9. มีการเขามาดูแล หนวยงานที่เกี่ยวของกับกิจการฮัจย เชน สายการบินเพื่อใหผูเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย ไดรับความสะดวกในดานการติดตอสื่อสารและการบริการ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
125
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ตาราง 2 ผลการพัฒนากลยุทธการตลาดบริษัทฮัจยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต ดานภาพรวมของการจัดการฮัจย ไทย โดยใช TOWS Matrix ปจจัย S: W: แวดลอม S1 รัฐบาลไทยสนับสนุนการ W1 พ.ร.บ.สงเสริมกิจการฮัจยไมไดทําการปรับปรุงแกไขให ภายใน ประกอบพิ ธี ฮั จ ย ข องมุ ส ลิ ม สอดคลองกับการประกอบพิธีฮัจยและสถานการณปจจุบัน (IFAS) ไทย เปนเวลากวา 20 ป ปจจัยแวดลอม ภายนอก (EFAS)
O: O1 มี นั ก วิ ช าการ แ ล ะ ส ถ า บั น ท า ง การศึ ก ษาในสาม จั ง ห วั ด ช า ย แ ด น ภาคใต ที่มีศักยภาพ ที่เอื้อตอการบริหาร จัดการฮัจย
T: T1 รั ฐบาลไทยขาด ความเข า ใจงานใน กิ จการฮั จย ทั้ งระบบ ทํ าให ไม มี โครงสร าง ก า ร บ ริ ห า ร แ ล ะ บุ คลากรที่ เหมาะสม ในการบริหารจัดการ ฮั จ ย ไ ท ย ใ ห มี ประสิทธิภาพ T2 ประเทศไทยมี ความสั ม พั น ธ ที่ ไ ม แน นแฟ นกั บประเทศ ตะวันออกกลางทําให ส ง ผ ล ก ร ะท บ ต อ บริษัทฮัจย
S2 มี หน ว ยงานต างๆ ทั้ ง W2 ไมมีการบริหารจัดการกิจการฮัจยไทยอยางเปนระบบ ภาครั ฐ และเอกชนส ง เสริ ม จากรัฐบาล กิจการฮัจยในระดับปฏิบัติการ W3 ขาดการวางแผนด านกิ จ การฮั จ ย แบบองค ร วมโดย กระทรวง ทบวง กรม และหนวยงานที่เกี่ยวของ กลยุทธ SO กลยุทธ WO S1O1 รั ฐ บาลสนั บ สนุ น งบ W1O1 ปรับปรุงและแกไข พระราชบัญญัติสงเสริมกิจการฮัจย ศึ ก ษา วิ จั ย และประเมิ น ผล โดยอาศัยนักวิชการที่มีความรู สถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพ การบริ ห ารจั ด การฮั จ ย ไ ทย และการทําประชาพิจารณร วมกับผูประกอบการฮัจยและ ผานสถาบันการศึกษา มุสลิมในประเทศไทยเพื่อใหฮัจยไทยไมลาหลังเมื่อเทียบกับ S2O1 จัดตั้งศูนยแกปญหา ประเทศใกลเคียงเชน กัมพูชา ฟลิปปนสและจีน ฮัจยไทยจังหวัดชายแดน W1O1 รั ฐ บาลกํ าหนดวิสั ยทั ศ น และยุ ท ธศาสตร ฮั จ ย ไ ทย ภาคใตโดยมีการนํา เพื่อเปนแนวทางในการดําเนินงานของหนวยงานที่เกี่ยวของ ผลการวิจัยและขอเสนอแนะ W3O1 กระทรวง ทบวง กรม และหนวยงานที่เกี่ยวของ ของนักวิชาการ และ รวมวางแผนงานเพื่อกิจการฮัจยไทย สถาบันการศึกษามาปรับใช เพื่อประโยชนตอการบริหาร จัดการฮัจย กลยุทธ ST กลยุทธ WT S1T1 รัฐบาลเรงศึกษา และ W1T1 รัฐบาลตั้งคณะทํางานที่มีประสบการณเพื่อศึกษา ทําความเขาใจ ตอการจัดการ แกไขปรับปรุง การบริหารการจัดการฮัจยอยางจริงจังและ ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ กระบวนการ นําไปสูการแกไขพระราบัญญัติ กฎกระทรวงและระเบียบ ฮัจยอยางจริงจัง เกี่ยวกับกิจการฮัจย S2T2 รัฐบาลใชวาระฮัจยเปน W2T1 รัฐบาลวางนโยบายและยุทธศาสตรฮัจยไทยเพื่อ โอกาสเพื่อแสดงความจริ งใจ เปนแนวทางในการดําเนินงานของหนวยงานที่เกี่ยวของ และประสานความสัมพันธอัน W2T1 รั ฐ บาลศึ ก ษารู ป แบบการจั ด องค ก ารของ ดีกับ ประเทศตะวั นออกกลาง อารยะประเทศเช น อิ น เดี ย ปากี ส ถาน มาเลเซี ย โดยแต ง ตั้ ง เจ า หน า ที่ ร ะดั บ อินโดนีเซีย เปนตน ป ฏิ บั ติ ก า ร ติ ด ต อ W2T1 รั ฐบาลแสดงความเอาใจใส สนับสนุ นการศึ กษาวิจั ย ประสานงาน ชวยเหลือ แกไ ข เกี่ ยวกั บกิ จการฮั จย ของประเทศไทยและนํ าผลการวิ จั ยมา ป ญ หา คนไทยมุ ส ลิ ม ที่ ไ ป บริหารจัดการฮัจยไทย ประกอบพิธีฮัจย W3T2 รัฐบาลแตงตั้งเจาหนาที่หรือหนวยงานที่เกี่ยวของ ประสานงานกั บ กระทรวงกิ จการฮั จ ย ประเทศซาอุ ดิ อา ราเบียเกี่ยวกับการสงเสริมกิจการฮัจย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
126
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ผลการ วิเคราะหSWOT โดยใช TOWS Matrix ดานภาพรวมของการจัดการฮัจยไทย ไดกลยุทธดังตอนี้ 1.รัฐบาลสนับสนุนงบศึกษา วิจัยและประเมินผลการบริหารจัดการฮัจยไทยผานสถาบันการศึกษา 2.จั ด ตั้ ง ศู น ย แ ก ป ญ หาฮั จ ย ไ ทยจั ง หวั ด ชายแดนภาคใต โ ดยมี ก ารนํ า ผลการวิ จั ยและข อ เสนอแนะของ นักวิชาการ และสถาบันการศึกษามาปรับใชเพื่อประโยชนตอการบริหารจัดการฮัจย 3.รัฐบาลเรงศึกษา และทําความเขาใจ ตอการจัดการที่เกี่ยวของกับกระบวนการฮัจยอยางจริงจัง 4.รั ฐ บาลใช ว าระฮั จ ย เ ป น โอกาสเพื่ อ แสดงความจริ ง ใจและประสานความสั ม พั น ธ อั น ดี กั บ ประเทศ ตะวันออกกลางโดยแตงตั้งเจาหนาที่ระดับปฏิบัติการ ติดตอ ประสานงาน ชวยเหลือ แกไขปญหาคนไทยมุสลิม ที่ไป ประกอบพิธีฮัจย 5.ปรับปรุงและแกไข พระราชบัญญัติสงเสริมกิจการฮัจยโดยอาศัยนักวิชการที่มีความรู สถาบันการศึกษาที่ มีศักยภาพและการทําประชาพิจารณรวมกับผูประกอบการฮัจยและมุสลิมในประเทศไทยเพื่อใหฮัจยไทยไมลาหลังเมื่อ เทียบกับประเทศใกลเคียงเชน กัมพูชา ฟลิปปนสและจีน 6.รั ฐ บาลกํ าหนดวิ สั ยทั ศ น และยุ ท ธศาสตร ฮั จ ย ไ ทยเพื่ อเป น แนวทางในการดํ าเนิ น งานของหน ว ยงานที่ เกี่ยวของ 3) กระทรวง ทบวง กรม และหนวยงานที่เกี่ยวของรวมวางแผนงานเพื่อกิจการฮัจยไทย 7.รัฐบาลตั้งคณะทํางานที่มีประสบการณเพื่อศึกษาแกไขปรับปรุง การบริหารการจัดการฮัจยอยางจริงจัง และนําไปสูการแกไขพระราชบัญญัติ กฎกระทรวงและระเบียบเกี่ยวกับกิจการฮัจย 8.รั ฐ บาลวางนโยบายและยุ ท ธศาสตร ฮั จ ย ไ ทยเพื่ อ เป น แนวทางในการดํ า เนิ น งานของหน ว ยงานที่ เกี่ยวของ 9.รัฐ บาลศึ กษารู ปแบบการจัด องคก ารของอารยะประเทศเชน อิ นเดีย ปากี สถาน มาเซเซี ย อิน โดนีเ ซี ย เปนตน 10.รั ฐ บาลแสดงความเอาใจใส สนั บ สนุ น การศึ ก ษาวิ จั ย เกี่ ยวกั บ กิ จ การฮั จ ย ข องประเทศไทยและนํ า ผลการวิจัยมาบริหารจัดการฮัจยไทย 11.รัฐบาลแตงตั้งเจาหนาที่หรือหนวยงานที่เกี่ยวของ ประสานงานกับกระทรวงกิจการฮัจย ประเทศซาอุดิอา ราเบียเกี่ยวกับการสงเสริมกิจการฮัจย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
127
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ตาราง 3 ผลการพัฒนากลยุทธ การตลาดบริษัทฮัจยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต ดานการบริหารกิจการฮัจยไทย โดยใช TOWS Matrix S: ปจจัยแวดลอม S1 จํานวนผูป ระสงค จะเดิน ทางไป ภายใน ประกอบพิ ธี ฮั จ ย มี จํ า นวนมากว า (IFAS) โควตาที่ประเทศไทยไดรับการจัดสรร S2 เทศการฮัจยมีเปนประจําทุกป S3 บริษัทฮัจยมีแนวโนมเติบโตขึ้นทุก ปถึงแมเศรษฐกิจจะชะลอตัว
ปจจัยแวดลอม ภายนอก (EFAS)
O: O1 เทศกาลฮั จยเปน โอกาส ใ น ก า ร ป ร ะ ช า สั ม พั น ธ ประเทศไทยสูนานาประเทศ O2 เทศการฮัจยเป นโอกาส ในการเป ดตลาดการค าของ ไทย
T: T1 เปนธุรกิจที่ใชเงินลงทุนสูง T2 การดําเนินบริษัทฮัจยตอง ประสานงานกั บหน ว ยงานที่ เ กี่ ย ว ข อ ง ทั้ ง ใ น แ ล ะ ตางประเทศหลายหน วยงาน และมีขั้นตอนที่สลับซับซอน
กลยุทธ SO S1O1 สมควรจัดตั้งศูนยอํานวยการ กิจการฮัจยไทย ณ ประเทศซาอุดิอา ร า เ บี ย โ ด ยแ ต ง ตั้ ง เ จ าห น า ที่ ที่ เหมาะสมเพื่ อ ประสานงาน และ ปฏิ บั ติ ง านเกี่ ย กั บ กิ จ การฮั จ ย เป น การสร างมาตรฐานให ทั ด เที ย มกั บ ประเทศอื่นๆ S2S3O2 รวบรวมผูประกอบการไป จัดแสดงสินคาในเทศการฮัจยเพื่อเปน การเป ด ตลาดสิ น ค า ของไทย เช น อาหารฮาลาล ผลไม ผาไทย งานฝมือ เปนตน กลยุทธ ST S1T1 จั ด ตั้ ง กองทุ น เพื่ อ สนั บ สนุ น กิจการฮัจยไทยอยางเปนระบบ S2T2 มี ก า ร ส ร า ง เ ครื อข า ย (Network) ทั้งในและตางประเทศเพื่อ ประสานงานในดานตางๆ เชนการเชา บาน การจั ดการขนสง ผูประกอบพิ ธี ฮัจย เปนตน
W: W1 จํานวนผูเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย ถู ก จํ า กั ด โ ด ย สั ด ส ว น ข อ ง มุ ส ลิ ม ภายในประเทศและการตั ด สิ น ใจของ รัฐบาลซาอุดิอาราเบีย W2 บริ ษัท ฮั จย ตองอาศั ยบุ คคลกรที่ มี ความรู ค วามสามารถเฉพาะทาง เช น ความรู ท างด า นภาษาอาหรั บ ความรู ทางด า นศาสนพิ ธี ความรู แ ละทั ก ษะ ทางด า นการให บ ริ ก าร การประกอบพิ ธี ฮัจย รวมทั้งการมีประสบการณเคยใชชีวิต อยูในสังคมอาหรับเปนตน กลยุทธ WO W1O1 ดํ า เ นิ น กิ จ ก ร ร ม ก ร ะ ชั บ ความสั มพั น ธ อัน ดี กั บ รั ฐ บาลซาอุ ดิ อารา เบีย W1O1 เรงสรางมาตรฐานในการประกอบ พิ ธี ฮั จ ย ข อง ไทยให เ ป น ที่ ย อมรั บ แล ะ ทัดเทียมนานาประเทศ W2O1 จัดใหมีหนวยงานรับผิดชอบ ดูแล ประสานงานกั บ ผู นํ า กลุ ม (แซะห ) และมี มาตรการขึ้นทะเบียนผูนํากลุมใหถูกตอง
กลยุทธ WT W2T1 พัฒนาและปรับ ปรุง กิจ การฮัจ ย ไทยใหมีป ระสิท ธิ ภาพและคุ ณภาพ อย าง เปนระบบ W2T2 ส ร าง บุ คล าก ร ที่ มี คว าม รู ความสามารถเพื่ อทําหน าที่ ป ระสานงาน เกี่ยวกับกิจการฮัจย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
128
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ผลการ วิเคราะหSWOT โดยใช TOWS Matrix ดานการบริหารกิจการฮัจยไทย ไดกลยุทธดังตอนี้ 1.สมควรจัดตั้งศูนยอํานวยการกิจการฮัจยไทย ณ ประเทศซาอุดิอาราเบีย โดยแตงตั้งเจาหนาที่ที่เหมาะสม เพื่อประสานงาน และปฏิบัติงานเกี่ยกับกิจการฮัจย เปนการสรางมาตรฐานใหทัดเทียมกับ ประเทศอื่นๆ 2.รวบรวมผูประกอบการไปจัดแสดงสินคาในเทศการฮัจยเพื่อเปนการเปดตลาดสินคาของไทย เชน อาหาร ฮาลาล ผลไม ผาไทย งานฝมือ เปนตน 3.จัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนกิจการฮัจยไทยอยางเปนระบบ 4.มีการสรางเครือขาย (Network) ทั้งในและตางประเทศเพื่อประสานงานในดานตางๆ เชนการเชาบาน การ จัดการขนสงผูประกอบพิธีฮัจย เปนตน 5.ดําเนินกิจกรรมกระชับความสัมพันธอันดีกับรัฐบาลซาอุดิอาราเบีย 6.เรงสรางมาตรฐานในการประกอบพิธีฮัจยของไทยใหเปนที่ยอมรับและทัดเทียมนานาประเทศ 7.จัดใหมีหนวยงานรับผิดชอบ ดูแลประสานงานกับผูนํากลุม (แซะห) และมีมาตรการขึ้นทะเบียนผูนํากลุมให ถูกตอง 8.พัฒนาและปรับปรุงกิจการฮัจยไทยใหมีประสิทธิภาพและคุณภาพ อยางเปนระบบ 9.สรางบุคลากรที่มีความรูความสามารถเพื่อทําหนาที่ประสานงานเกี่ยวกับกิจการฮัจย
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
129
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ตาราง 4 ผลการพัฒนากลยุทธ การตลาดบริษัทฮัจยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต ดานการเขาถึงขอมูลขาวสาร โดย ใช TOWS Matrix
ปจจัยแวดลอม ภายใน (IFAS) ปจจัยแวดลอม ภายนอก (EFAS) O: O1 สามจังหวัดชายแดนภาคใต มีนั กวิ ชาการที่ มีความสามารถ ทางด านภาษาที่ หลากหลาย เช น ภาษาไทย ภาษาอาหรั บ ภาษามลายู เปนตน
T: T1 มีหนวยงานราชการ และ บุ ค ล าก รป ฏิ บั ติ งาน ด าน กิ จ ก า ร ฮั จ ย ป ร ะ จํ า อ ยู ประเทศซาอุ ดิ อ าราเบี ย ไม เพี ยงพอต อ ภาระงานทํ าให การติ ด ต อ สื่ อ สารระหว า ง หนวยงานภายในประเทศกับ ภายนอก(ประเทศซาอุ ดิ อ า ราเบี ย )ไม ต อ เนื่ อ งและไม มี ประสิทธิภาพ
S: S1 เทคโนโลยีที่ทันสมัยทําใหมุสลิม สามารถเข าถึ ง ข อมู ล ข าวสารด าน การประกอบพิธีฮัจยไดมากขึ้น S2 มี ศู น ย อํา นวยการบริ ห าร จั ง หวั ด ชายแดนภาคใต ( ศอบต.) เป น หน ว ยงานประชาสั มพั น ธ และ ประสานงานดานกิจการฮัจยในสาม จังหวัดชายแดนภาคใต กลยุทธ SO S1S2O1 มีการประชาสัมพันธขอมูล ขาวสารดานกิจการฮัจยอยางตอเนื่อง แล ะห ล าก ห ล า ยช อ ง ท า ง เ ช น อิ น เตอร เ น็ ต สถานี วิ ท ยุ โทรทั ศ น หนั งสื อพิ มพ ท องถิ่ นและผู นํ าชุ มชน เปนตน S1S2O1 ศอ.บต. มอบหมาย นักวิชาการ มุ สลิ มดู แลผลิต สื่ อที่ ใ ห ความรูหลากหลายภาษาเพื่อเขาถึง ทุกกลุมเปาหมาย กลยุทธ ST S1S2T1 จัดตั้งศูนยเทคโนโลยี และ สารสนเทศมุสลิมไทยภายใตศอ.บต. ใ ห มี ห น าที่ ติ ด ต อสื่ อ ส าร แล ะ ป ร ะ ส าน ง าน ด า น กิ จ ก าร ฮั จ ย ระหว า งรั ฐ บาลประเทศซาอุ ดิ อ า ราเบียและรัฐบาลไทย S2T1 จัดตั้งศูนยอาสาสมัครภายใต ศอ.บต. ใ ห มี ห น า ที่ ช ว ย เ ห ลื อ ประชาชนที่ไปประกอบพิธีฮัจย
W: W1 สวนใหญผูประกอบการ และผูนํากลุ ม (แซะห ) เท านั้ น ที่ ส ามารถรั บ ข อมู ล ข าวสาร เกี่ยวกับการประกอบพิธีฮัจยในแตละป W2 ชองทางการสื่อสารขาวสารดานการ ป ร ะ ก อ บ พิ ธี ฮั จ ย ไ ม เ ห ม า ะ ส ม กั บ กลุมเปาหมายหลัก
กลยุทธ WO W1O1 ใหคณะกรรมการสงเสริมกิจการฮัจย มอบหมายให ก รมศาสนาประชาสั ม พั น ธ ข า วสารเกี่ ย วกั บ การประกอบพิ ธี ฮั จ ย ถึ ง ประชาชนทั่วไปผานชองทางตางๆ W2O1 มอบหมายนั ก วิ ช าการควบคุ ม ดู แล วิ ท ยุ ชุ ม ชน เสี ย งตามสาย และเอกสาร ประชาสัมพันธเปนภาษาทองถิ่น เชน ภาษา มลายู เพื่ อเข าถึ ง กลุ มเป าหมายหลั ก ได แก กลุมเกษตรกร และกลุมแมบาน กลยุทธ WT W1T1 จัดตั้งสมาคมผูผานการประกอบพิธี ฮัจย เพื่อเปน ชองทางการประชาสัมพันธถึ ง ประสบการณใ นการประกอบพิธี ฮั จ ย และ ขอมูลการใหบริการของแตละผูประกอบการ เพื่ อใหผู ป ระสงค จะเดิ นทางไปประกอบพิ ธี ฮัจยสามารถนําไปเปนขอมูลในการตัดสินใจ เลือกใชบริการ W2T1 มอบหมายให ผู นํ า กลุ ม และผู ประกอบกิ จ การฮั จ ย ป ระชาสั มพั น ธ ข อมู ล ข าวสารไปยั ง กลุ มเป าหมายเนื่ องจากผู นํ า กลุมเปนผูที่พบปะกับกลุมเปาหมายโดยตรง
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
130
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ผลการ วิเคราะหSWOT โดยใช TOWS Matrix ดานการเขาถึงขอมูลขาวสาร ไดกลยุทธดังตอนี้ 1.มี ก ารประชาสั ม พั น ธ ข อ มู ล ข า วสารด า นกิ จ การฮั จ ย อ ย า งต อ เนื่ อ ง และหลากหลายช อ งทาง เช น อินเตอรเน็ต สถานีวิทยุ โทรทัศน หนังสือพิมพทองถิ่นและผูนําชุมชน เปนตน 2.ศอบต. มอบหมายนักวิชาการ มุสลิมดูแลผลิตสือ่ ที่ใหความรูหลากหลายภาษาเพื่อเขาถึงทุกกลุมเปาหมาย 3.จัดตั้งศูนยเทคโนโลยี และสารสนเทศมุสลิมไทยภายใต ศอบต. ใหมีหนาที่ติดตอสื่อสาร และประสานงาน ดานกิจการฮัจย ระหวางรัฐบาลประเทศซาอุดิอาราเบียและรัฐบาลไทย 4.จัดตั้งศูนยอาสาสมัครภายใตศอ.บต ใหมีหนาที่ชวยเหลือประชาชนที่ไปประกอบพิธีฮัจย 5.มอบหมายใหคณะกรรมการสงเสริมกิจ การฮัจย ภายใต กรมศาสนาประชาสัมพั นธขาวสารเกี่ยวกับการ ประกอบพิธีฮัจยถึงประชาชนทั่วไปผานชองทางตางๆ 6.มอบหมายนักวิชาการควบคุม ดูแลวิทยุชุมชน เสียงตามสาย และเอกสารประชาสัมพันธเปนภาษาทองถิ่น เชน ภาษามลายู เพื่อเขาถึงกลุมเปาหมายหลักไดแก กลุมเกษตรกร และกลุมแมบาน 7.จั ด ตั้ง สมาคมผู ผ านการประกอบพิ ธี ฮัจ ย เพื่ อเป นช องทางการประชาสั มพัน ธ ถึ งประสบการณใ นการ ประกอบพิ ธี ฮั จ ย และข อ มู ล การใ ห บ ริ ก ารของแต ล ะผู ป ระกอบการ เพื่ อ ให ผู ป ระสงค จะเดิ น ทางไ ป ประกอบพิธีฮัจยสามารถนําไปเปนขอมูลในการตัดสินใจเลือกใชบริการ 8.มอบหมายให ผู นํ ากลุ มและผู ป ระกอบกิ จ การฮั จ ย ป ระชาสั มพั น ธ ข อ มู ล ข า วสารไปยั ง กลุ มเป า หมาย เนื่องจากผูนํากลุมเปนผูที่พบปะกับกลุมเปาหมายโดยตรง จากผลการพัฒนากลยุทธ การจัดบริษัทฮัจยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต ทั้ง 4 ดาน โดยใช TOWS Matrix สามารถนํากลยุทธทั้ง 4 ดาน มากําหนดเปนยุทธศาสตรสําหรับบริษัทฮัจยในสามจังหวัดชายแดนภาคใตเปนกรอบ กวางๆ ดังนี้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
131
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ภาพประกอบ 2 ยุทธศาสตรสําหรับบริษัทฮัจยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต
ขอเสนอแนะสําหรับการทําวิจัยครั้งตอไป 1) การนํากลยุทธที่ไดมาเขียนเปนโครงการโดยจัดลําดับความสําคัญ โครงการใดเปนโครงการเรงดวนที่ตอง ทํ า ก อ น และลํ าดั บ ความสํ าคั ญ ของโครงการที่ ต องทํ า ต อ ไป โดยมี ร ายละเอี ย ดของกิ จ กรรมที่ ชั ด เจน รวมทั้ ง ผูรับผิดชอบ และ การประเมินผล 2) ต อ งการวิ จั ย เชิ ง คุ ณ ภาพเพื่ อ ศึ ก ษาว า ในการปฏิ บั ติ ก ลยุ ท ธ ดั ง กล า วให เ กิ ด ประสิ ท ธิ ภ าพและ ประสิทธิผลตองมีองคประกอบที่จําเปนและสําคัญใดบาง 3) ควรทําการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของผูนํากลุม (แซะห) เนื่องจากเปนผูที่มีบทบาทสําคัญตอบริษัทฮัจย 4) ควรทํ าการศึก ษาความสําคัญ ของบริ ษัท ฮัจ ยไ ทยในแต ละดาน ตอความสํ าเร็จ ของการดําเนิ นกิ จการ ฮัจยไทย วามีนัยสําคัญอยางไร
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
132
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บรรณานุกรม กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ. 2539. คูมือการประกอบพิธีฮัจย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ การศาสนา. กัน ฑิ มาลย ริ มพื ชพั น ธ . 2549. กลยุ ท ธก ารตลาดการท องเที่ ยวชายแดน: กรณีศึ ก ษาสะพานข ามแม น้ํ าโขง. ขอนแกน: วิทยานิพนธ บธ.ม. บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยขอนแกน. ถายเอกสาร. คณะผูแทนฮัจยไทยประจําป 2552. รายงานผลการดําเนินงานอมีรุลฮัจย 52. ปตตานี: มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา. คณาธิป โรจนขจร. 2549. กลยุทธทางการตลาดของบริษัทผูประกอบธุรกิจนําเที่ยวในเขตกรุงเทพมหานครตอ การเป ด เสรี ท างการค า ภาคอุ ต สาหกรรมท องเที่ ย วของประเทศไทย. บริ ห ารธุ ร กิ จ มหาบั ณ ฑิ ต . กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคําแหง. (ถายเอกสาร). จารุวัตร อุดมผล. 2550. การตลาดบริการที่มีผลตอการตัดสินใจใชบริการของลูกคาศูนยบริก ารรถยนตฟอรด สาขาแจงวัฒนะ. กรุงเทพฯ: วิทยานิพนธบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาการตลาด. มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนคร. ฉลองศรี พิมลสมพงษ. 2548. การวางแผนและพัฒนาการตลาดทองเที่ยว. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. ฉัตยาพร เสมอใจ. 2547. การจัดการและการตลาดบริการ. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น. ชัยสมพล ชาวระเสริฐ. 2546. การตลาดบริการ. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น. นาตยา พรหมนะ. 2550. สวนประสมทางการตลาดของแหลงทองเที่ยวเกษตรเกาะยอ จังหวัด สงขลา. สาร นิพนธ. บริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต สาขาบริหารธุรกิจ. สงขลา: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยหาดใหญ. ภัทรอนงค ณ เชียงใหม. 2544. แนวกลยุทธการตลาดการทองเที่ยวของศูนยอนุรักษชางไทยจังหวัดลําปาง. ศิลปะศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการอุตสาหกรรม. เชียงใหม: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม. ถายเอกสาร. มัสลัน มาหะมะ. 2551. อิสลามวิถีแหงชีวิต. ม.ป.ท. : สถาบันวิจัยระบบสุขภาพภาคใต. เมธา วาดีเจริญ. ม.ป.ป. ฮัจยและอุมเราะห. กรุงเทพฯ: สูตรไพศาล. ราณี อัมรินทรรัตน. 2546. “ปจจัยที่มีผลตอการพึงพอใจของลูกคาของโรงแรมในเขตกรุงเทพมหานคร”, จุลสารการ ทองเที่ยว. 22(3): 30-39. โรจนา โนนศรีชัย. 2548. การตลาดเพื่อพัฒนาการทองเที่ยวอุทยานแหงชาติภูกระดึง จังหวัดเลย. ขอนแกน: รายงานการศึ ก ษาอิ ส ระปริ ญ ญาบริ ห ารธุ ร กิ จ มหาบั ณ ฑิ ต สาขาวิ ช าการตลาด . บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย มหาวิทยาลัยขอนแกน. วิเชียร เกตุสิงห. (2538, กุมภาพันธ - มีนาคม). “คาเฉลี่ยกับการแปลความหมาย: เรื่องงาย ๆ ที่บางครั้งก็พลาด ได”, ขาวสารวิจัยการศึกษา. 18(3): 8-11. ศิริวรรณ เสรีรัตน และคณะ. 2546. ธุรกิจทั่วไป: ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ. กรุงเทพ: ธรรมสาร. สมาคมนักเรียนเกาอาหรับ. 2543. ฟกฮุซซุนนะฮฺ. เลม 2. กรุงเทพฯ: จิรรัชการพิมพ. สํานักงานขาวแหงชาติ กรมประชาสั มพันธ. 2552. ผู แทนฮัจญทางการแหงปท.ไทย เนน ปรับปรุงกิจการฮัจย มี คุณภาพรวดเร็วและเปนทิศทางเดียวกัน. (ออนไลน).แหลงที่มา: http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255210290210&tb=N255210&return=ok. (วั นที่ ค นข อมู ล: 17 ธันวาคม 2552).
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
133
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
สํานักงานรัฐมนตรี กระทรวงฮัจย ประเทศซาอุดิอาระเบีย. 2542. ระเบียบการจัดองคกรกิจการฮัจย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพการศาสนา. สิทธิ์ ธีรสรณ. 2551. การตลาด : จากแนวคิดสูการปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. อรุณ บุญชม. 2542. ระเบียบการจัดองคกรกิจการฮัจย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ การศาสนา. อะหมัด สมะดี . 2552. การทําฮั จญและอุมเราะฮฺตามบั ญญัติ อิสลาม. หาดใหญ : มูลนิ ธิเพื่ อการศึ กษาและ พัฒนาสังคม. อับดุลลาเตะ ยากัด. 2544. การศึก ษาปญหาและอุปสรรคของการจัดการฮัจยในประเทศไทย. ภาคนิพนธ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. ยะลา: สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร. อะมีรุลหัจยไทย. 2552. “ประวัติฮัจญ”. (ออนไลน). แหลงที่มา : http://www.amiruhajjthai.com/index.php/2009-05-21-17-10-07. (วันที่คนขอมูล: 17 ธันวาคม 2552). อําพร วิ รยโกศล และคณะ. 2543. “กลยุท ธธุรกิ จการคาและการท องเที่ ยวชายแดนภาคใต ของประเทศ”, วิทยาการจัดการ. 18 (1): 10. อิสมาอีลลุตฟ จะปะกียา. 2550. รายงานผลการดําเนินงานของอมีรุลฮัจยและผูแทนฮัจย ประจําป 2550. ปตตานี: โรงพิมพมิตรภาพ. เอกลักษณ คะดาษ. 2548. ศึกษาความสัมพันธปจจัยดานคุณภาพการใหบริการที่มีผลตอระดับความพึงพอใจ ของผู ใ ช บริ ก ารประกั น ภั ยรถยนต ป ระเภทที่ ห นึ่ ง ในกรุ ง เทพมหานคร. กรุ ง เทพฯ: วิ ท ยานิ พ นธ บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาการตลาด. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. Kotler, Philip. 2002. Marketing Management, Millenium Edition. Boston, MA: Pearson Custom Publishing. McCarthy, E. Jerome. And Perreault, William D., Jr. 1990. Applications in basic marketing. Hom-wood, IL: Irwin. Zeithaml, Valarie A. and Bitner , Mary Jo. 1996. Services marketing. McGraw-Hill College. มูฮําหมัดนาเซ หะบาแย. ผูอํานวยสถาบันอัสสลาม. 2554. จิราพร เปยสินธุ. (2554, 10 พฤษภาคม). สุกรี หลังปูเตะ. คณบดีคณะศิลปะฯ. 2544. จิราพร เปยสินธุ. (2554, 10 พฤษภาคม).
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
135
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทความวิจัย
ประเมินผลการดําเนินการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลตามเกณฑมาตรฐานโรงพยาบาล และบริการสุขภาพฉบับเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ป กรณีศึกษาโรงพยาบาลจะแนะ จังหวัดนราธิวาส นุรอาซีมะห ปะเกสาและ เรวดี กระโหมวงศ เมธี ดิสวัสดิ์ บทคัดยอ การศึ ก ษาครั้ ง นี้ มีวั ต ถุป ระสงค เพื่ อประเมิ นผลการดํ าเนิ นการพั ฒนาคุ ณ ภาพโรงพยาบาลตามเกณฑ มาตรฐานโรงพยาบาลและบริ ก ารสุ ข ภาพฉบั บ เฉลิ มพระเกี ยรติ ฉ ลองสิ ริ ร าชสมบั ติ ครบ 60 ป ทั้ ง 3 ตอน คื อ 1.ภาพรวมของการบริหารองคกร 2.ระบบงานสําคัญของโรงพยาบาลและ 3.กระบวนการดูแลผูปวย แหลงขอมูลที่ใช ในการประเมินประกอบดวย ขอมูลจากเอกสารที่เกี่ยวของกับผลการดําเนินการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล ขอมูล จากเจาหนาที่ปฏิบัติงาน ในโรงพยาบาลจะแนะ เก็บรวบรวมขอมูลจากคณะผูประเมินซึ่งประกอบดวยบุคลากรภายใน และภายนอกโรงพยาบาลจะแนะ และจากการสํารวจรายการการดําเนินการพัฒนาคุณภาพ วิเคราะหขอมูลโดยการ หาคาเฉลี่ยเทียบกับเกณฑการใหระดับคะแนนเพื่อการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล ผลการวิ จั ยพบว า ผลการประเมิ น เมื่ อ เที ย บกั บ เกณฑ ก ารให ร ะดั บ คะแนนเพื่ อการรั บ รองคุ ณ ภาพ โรงพยาบาล 1.ภาพรวมของการบริหารองคกร อยูในระดับควรปรับปรุงโดยมีคะแนนเฉลี่ยเทากับ 2.28 2.ระบบงาน สําคัญของโรงพยาบาล อยูในระดับควรปรับปรุง โดยมีคะแนนเฉลี่ยเทากับ 2.39 และ 3.กระบวนการดูแลผูปวย อยูใน ระดับควรปรับปรุงโดยมีคะแนนเฉลี่ยเทากับ 2.18 คําสําคัญ: โรงพยาบาล, เกณฑมาตรฐาน, จะแนะ, นราธิวาส
นักศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการวิจยั และประเมิน มหาวิทยาลัยทักษิณ ดร. (การทดสอบและวัดผลการศึกษา), ผูชวยศาสตราจารย อาจารย ภาควิชาการประเมินผลและวิจัย คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยทักษิณ
ดร. (วิจัยและประเมินผลการศึกษา )อาจารย, ภาควิชาการประเมินผลและวิจัย คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยทักษิณ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
136
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
RESEARCH
Evaluation of the Quality of Hospital and Health Care Standard: Sixtieth Anniversary Cerebrations of His Majesty’s Accession to the Throne Edition recommend Chanae Hospital Case Study Narathiwat Province Nurarsimah Pakesalah Rewadi Krahomwong Methi Disawat Abstract The purpose of this study is to evaluate the implementation of development of hospital quality according to Hospital and Health Care Standard: Sixtieth Anniversary Cerebrations of His Majesty’s Accession to the Throne Edition, which consist of 3 parts; 1.the overview of organization, 2.hospital important tasks system and, 3.the process of patients care. The source of information includes the information related to the implementation of development of hospital quality, information from the officers in Chanae Hospital. The data were collected from Chanae hospital internal and external staffs and the information of the implementation of development of hospital quality survey. The data were analyzed by an average value compared to standard of the implementation of development of hospital quality. The result of the study compare with the standard of hospital quality development as follow. 1. The overview of organization is in the level of should be improve with an average of 2.28.,2. hospital important tasks systemis in the level of should be improve with an average of 2.39 and, 3. the process of patients careis in the level of should be improve with an average of 2.18. Keywords: Hospital, Health care standard, Chanae, Narathiwat
Graduate Student, M.Ed. Department of Research and Evaluation, Faculty of Education, Thaksin University Asst.Prof. Ph.D. (Testing and Grading) Lecturer, Department of Research and Evaluation, Faculty of Education, Thaksin University
อัล-นูร
Ph.D. (Research and evaluation) Lecturer, Department of Research and Evaluation, Faculty of Education, Thaksin University
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
137
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บทนํา ความเปลี่ยนแปลงในกระแสโลกาภิวัฒน ที่เปน วิกฤตการณ ของประชาคมโลกในป จจุบัน นับวาเปนสาเหตุ สําคั ญที่ กอใหเ กิดการปรับ ตัว ขององคการต างๆ ทั่ วโลก โดยเฉพาะในภาคธุร กิจ เอกชน ความเจริ ญก าวหนาทาง วิท ยาศาสตรและเทคโนโลยีร ะบบสารสนเทศมีผ ลทําใหผู ผลิ ต สิน ค าและลู กค าสามารถติ ด ตอสื่ อสารกั นได อย าง รวดเร็วมากอยางที่ไมเคยปรากฏมากอน โดยผานระบบเครือขายสื่อสารที่โยงใยไปทั่วทุกมุมโลก การติดตอสื่อสารถึง กันและกันอยางรวดเร็วดังกลาวทําใหสามารถทราบความเคลื่อนไหวและความเปนไปของสถานการณตางๆที่เกิดขึ้น ในโลกอยางรวดเร็ว มีก ารเรียนรูความเปนไปซึ่ง กันและกัน มี การถายทอดแนวความคิด และเทคโนโลยีระหวางกั น เศรษฐกิจเจริญเติบโตขึ้น มีการพัฒนาสินคาและบริการในรูปแบบตางๆหลากหลายมากขึ้น มีการแขงขันมากขึ้น ใน ขณะเดียวกันลูกคาหรือประชาชนผูบริโภคก็มีมาตรฐานความเปนอยูสูงขึ้น และมีความคาดหวังและปรารถนาคุณภาพ ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งปริมาณและความหลากหลายของสินคาและบริการที่มีอยูก็เปดโอกาสใหประชาชนสามารถเลือก สิ่งที่ดีที่สุดใหแกตนเองไดมากขึ้นดวย ประชาชนจึงมีแนวโนมเลือกซื้อผลิตภัณฑและเลือกใชบริการที่ทําใหตนเองเกิด ความพึงพอใจสูงสุดเทานั้น กลาวคือ เปนตลาดของผูบริโภค องคการตางๆ จึงตองพยายามหาวิถีทางปรับกลยุทธ เพื่ อให สามารถกาวไปข างหนาเหนื อคูแขง ขั นรายอื่ น ๆ เพื่อใหบ ริ โภคหัน มาใชสิ น คาและบริก ารของตนและตอ งมี ความสามารถในการพัฒนาคุณภาพอยางตอเนื่องเพื่อรักษาลูกคาไวใหไดนานๆ ทั้งนี้เพื่อความอยูรอดและผลกําไร ขององคการ (สุวรรณี แสงมหาชัย. 2541: 3-4) และปจจุบันเราทุกคนตางใชชีวิตอยูในสังคมโลกที่ใหความสําคัญและ ตองการความมีคุณภาพ (Quality) ในดานตางๆ ซึ่งจะไมถูกจํากัดเพียงลูกคาตองการสินคา หรือบริการที่มีคุณภาพ เทานั้น แตความตองการคุณภาพจะขยายตัวครอบคลุมไปในมิติและระดับตางๆของสังคม เชน ผูบังคับบัญชาตองการ ลูกน องที่ มีคุณ ภาพ ประชาชนตองการชุมชนท องถิ่ นและรั ฐบาลที่มีคุณภาพ ผูป วยต องการการรักษาพยาบาลที่ มี คุณภาพ นักเรียน นิสิต และนักศึกษาตองการการศึกษาที่มีคุณภาพ หรือประเทศก็ตองการประชาชนที่มีคุณภาพ เปน ตน เราจะเห็นวา คุณภาพจะแทรกอยูในแทบทุ กดานของการใชชีวิต (ณัฏฐพันธ เขจรนันทน. 2546: 20) และเพื่ อ ตอบสนองความตองการของประชาชนเหลานี้องคกรตางๆที่มีหนาที่ใหบริการสังคมรวมทั้งโรงพยาบาลซึ่งเปนองคกร ที่มีหนาที่ใหบริการสาธารณสุขทุกดานแกประชาชน ทั้งทางดานสงเสริมสุขภาพ การปองกันโรค การปองกันภาวะ เสี่ ยงต อการเกิด โรคหรื อลั ก ษณะที่ จ ะเปน อั นตรายตอสุ ขภาพ การรั ก ษาพยาบาลและการฟ นฟู ภายหลั งจากการ เจ็บปวย จึงมีความจําเป นที่องคก รตองมีก ารพัฒนาระดับองคกรใหมีคุณภาพตามมาตรฐานระดั บสากลเพื่อเปน ที่ ยอมรับ และโรงพยาบาลจะแนะ จังหวัดนราธิวาส เปนโรงพยาบาลหนึ่งที่ไดดําเนินการพัฒนาอยางตอเนื่องไปเป น ลํ าดั บ และเป น โรงพยาบาลขนาด 30 เตี ยง แห ง แรกในจั ง หวั ด นราธิ ว าสที่ ส ามารถได รั บ การรั บ รองคุ ณ ภาพ สถานพยาบาล (Hospital Accreditation) ตามมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริ ราชสมบัติครบรอบ 60 ป ขั้นที่ 3 โดยสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลไดสําเร็จเมื่อเดือนมกราคม ป พ.ศ. 2553 และภายหลังการรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (Hospital Accreditation) โรงพยาบาลจะแนะยังคงตองรับ การประเมินโดยสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (สรพ.) เปนระยะเพื่อตรวจสอบดูวาโรงพยาบาลยังคง ธํารงรักษาระบบคุณภาพที่จัดตั้งขึ้น และยังมีกิจกรรมพัฒนาคุณภาพอยางตอเนื่องหรือไม เพื่อธํารงรักษาระบบคุณภาพและการพัฒนาอยางตอเนื่องจึงจําเปนที่จะตองมีการประเมิน การดําเนินการ พั ฒ นาคุ ณ ภาพโรงพยาบาลและในป จ จุ บั น การประเมิ น เข ามามี บ ทบาททุ ก ภาคส ว นของสั ง คมโดยเฉพาะสั ง คม ประชาธิปไตย เนื่องจากไดรับการยอมรับการมากขึ้นวาเปนกลไกสําคัญในการที่จะพัฒนาสิ่งที่จะประเมินได จึ งอาจ กล าวว า ไม มีบุ ค คลหรื อ องค ก รใดหลี ก เลี่ ยงการประเมิ น ได ทุ ก คนทุ ก แห ง ต องอยู ใ นที่ แจ ง พร อ มให ผู เ กี่ ยวข อ ง ตรวจสอบประเมินไดเสมอ ดังที่ทราบกันทั่วไป แมแตองคกรที่ทําหนาที่ประเมินผูอื่นซึ่งเปนองคกรอิสระหรือองคกร
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
138
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
มหาชน (พิสณุ ฟองศรี. 2551: 7) นอกจากการประเมินจะสามารถธํารงรักษาระบบคุณภาพและการพัฒนาอยาง ตอเนื่องแลว เราสามารถวิเคราะหจากประสบการณถึงแบบแผนการประเมินที่ผานมา การประเมินมีปญหาอะไรรวมกัน ปญหานั้นมีลักษณะเชนใด มีปจจัยใดบางที่เปนสาเหตุ แนวคิดที่ผิดพลาดคืออะไร แนวคิดที่เหมาะสมควรเปนเชนใด และ ระบบความสัมพันธระหวางองคประกอบสวนตางๆ ของกิจกรรมการประเมินควรเปนลักษณะใด จึงจะทําใหการประเมิน ดําเนินไปอยางมีคุณภาพและสามารถวิเคราะหในเชิงจินตนาการสรางสรรควา ถาทํากิจกรรมการประเมินในลักษณะนั้น แลว อะไรจะเกิดขึ้นตามมา ทําไมตองทําการประเมิน ประเมินอะไร ประเมินอยางไร ประเมินเพื่อใคร ใครเปนเปาหมาย หลักของการใชผลการประเมิน ผลการประเมินที่ดีเปนอยางไร ในการออกแบบการประเมิน วิธีการประเมินที่ละเอียดออน แตกตางกัน ยอมไดผลการประเมินที่มีคุณคาแตกตางกัน (ศิริชัย กาญจนวาสี. 2545: 51) ดังนั้น เพื่อมุงสูการพัฒนาคุณภาพเพื่อการรับรองคุณภาพอยางตอเนื่อง ผูวิจัยซึ่งเปนหนึ่งบุคลากรในองคกร จึงเห็นความสําคัญในการประเมินผลการดําเนินการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลตามเกณฑมาตรฐานโรงพยาบาลและ บริการสุขภาพฉบับเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปเพื่อสามารถนําผลวิจัยไปประเมินตนเอง ปรับปรุง พัฒ นาระบบงานจนเห็น วงลอ PDCA นอกจากนี้ยัง ไดเ กิ ด เครื อข ายและกิ จกรรมการแลกเปลี่ ยนเรี ยนรู ข องการ ดําเนิ นการพัฒ นาคุ ณภาพโรงพยาบาลตามเกณฑมาตรฐานโรงพยาบาลและบริก ารสุ ขภาพฉบั บเฉลิมพระเกียรติ ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ป โดยตัวแทนผูเยี่ยมสํารวจภายในจากโรงพยาบาลตางๆ ซึ่งไดสํารวจโรงพยาบาลจะแนะ ในฐานะผูเยี่ยมสํารวจภายนอก วัตถุประสงคของการวิจัย เพื่อประเมินผลการดําเนิน การพั ฒนาคุณ ภาพโรงพยาบาลตามเกณฑมาตรฐานโรงพยาบาลและบริ การ สุขภาพฉบับเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ป ทั้ง 3 ตอน ดังนี้ 1. ภาพรวมของการบริหารองคกร 2. ระบบงานสําคัญของโรงพยาบาล 3. กระบวนการดูแลผูปวย วิธีดําเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้เปนการประเมินผลการดําเนินการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลตามเกณฑมาตรฐาน โรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ป กรณีศึกษาโรงพยาบาลจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งผูวิจัยใชระเบียบวิธีวิจัยการศึกษาเฉพาะกรณี (Case Study) (ประกาย จิโรจนกุล. 2548 : 118) โดยดําเนินตามขั้นตอนโดยดําเนินการตามลําดับ ดังตอไปนี้ 1.แหลงขอมูลที่ใชในการวิจัย 2.แผนการประเมิน 3.เครื่องมือที่ใชในการวิจัย 4.การเก็บรวบรวมขอมูล 5.การวิเคราะหขอมูลและสถิตทิ ี่ใชในการวิจัย แหลงขอมูลที่ใชในการวิจัย แหลงขอมูล ผูวิจัยไดกําหนดวิธีการศึกษาตามรายละเอียด ดังนี้ 1. ข อมู ล เอกสารที่ เ กี่ยวข องกับ ผลการดํ าเนิ นการพั ฒนาคุ ณ ภาพโรงพยาบาล เช น คําสั่ ง แต งตั้ ง ต างๆ นโยบาย แผนพัฒนาตางๆ ยุทธศาสตรโรงพยาบาล ตัวชี้วัดโรงพยาบาล เปนตน 2. ขอมูลจากเจาหนาที่ปฏิบัติงานตามหนวยงานตางๆ ในโรงพยาบาลจะแนะ
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
139
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
แผนการประเมิน แบบแผนการประเมิ น การประเมิ น ผลการดํ าเนิ น การพั ฒ นาคุ ณ ภาพโรงพยาบาลตามเกณฑ มาตรฐาน โรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ป กรณีศึกษาโรงพยาบาลจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งมีรายละเอียดของการประเมิน 3 ตอน ดังนี้ 1.แบบแผนการประเมินภาพรวมการบริหารองคกร 2.แบบแผนการประเมินระบบงานสําคัญของโรงพยาบาล 3.แบบแผนการประเมินกระบวนการดูแลผูปวย เครื่องมือที่ใชในการวิจัย เครื่องมือที่ใชในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบดวย ทีมประเมินภายใน และแบบสํารวจรายการ มีรายละเอียด ดังนี้ 1.คณะผูประเมิน ซึ่งประกอบดวย 1.1 คณะผูประเมินภายใน คือ กลุมบุคคลที่ไดรับการแตงตั้งโดยผูอํานวยการโรงพยาบาลจะแนะใหเปนทีมผู เยี่ยมสํารวจภายในโรงพยาบาลจะแนะ ซึ่งประกอบดวย 1.1.1 นายแพทยอหมัดมูซูลัม เปาะจิ นายแพทยเชี่ยวชาญ 1.1.2 เภสัชกรหญิงสีหยะ กาเร็ง เภสัชกรชํานาญการ 1.1.3 นางนิมลต หะยีนิมะ ตําแหนง พยาบาลวิชาชีพชํานาญการ 1.2 คณะผูประเมินภายนอก คือ กลุมบุคคลภายนอกโรงพยาบาลที่มีบทบาทหนาที่เปนผูเยี่ยมสํารวจภายใน ของโรงพยาบาลตางๆ ซึ่งประกอบดวย 1.2.1 ทันตแพทยหญิงนาริศา หีมสุหรี ทันตแพทยเชี่ยวชาญ โรงพยาบาลยะหริ่ง อําเภอยะหริ่ง จังหวัดปตตานี 1.2.2 ทันตแพทยหญิงโนรีดา แวยูโซะ ทันตแพทยเชี่ยวชาญ โรงพพยาบาลบาเจาะ อําเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส 1.2.3 ทันตแพทยหญิงโรสนาณีย ซามะ ทันตแพทยชํานาญการพิเศษ โรงพยาบาลยะหริ่ง อําเภอยะหริ่ง จังหวัดปตตานี 1.2.4 เภสัชกรสุฟยาน ลาเตะ เภสัชกรชํานาญการ โรงพยาบาลยะหริ่ง อําเภอยะหริ่ง จังหวัดปตตานี 2.แบบสํารวจรายการ คือแบบสํารวจเพื่อตรวจสอบผลการดําเนินการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลซึ่งประยุกตจาก เกณฑการใหระดับคะแนนเพื่อการรับรองคุณภาพ วิธีการเก็บรวบรวมขอมูล 1. ขอหนังสือแนะนําผูวิจัยจากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทักษิณ เพื่อเสนอตอผูอํานวยการโรงพยาบาล จะแนะที่ใชเก็บขอมูล 2. ติดตอขออนุญาตผูอํานวยการโรงพยาบาลที่ใชเก็บขอมูล สําหรับกําหนดเวลาในการเก็บรวบรวม 3. ติ ด ต อ คณะผู สํ า รวจภายในโรงพยาบาลจะแนะและคณะสํ า รวจภายนอกโรงพยาบาลต างๆ ซึ่ ง ประกอบดวยโรงพยาบาลบาเจาะ และโรงพยาบาลยะหริ่งเพื่อใหเปนคณะผูประเมิน 4. วางแผนการเก็บรวบรวมขอมูลและเตรียมเอกสารที่ใชประกอบการเก็บรวบรวมขอมูลใหพรอม เพื่อเก็บ รวบรวมขอมูล 5. ดําเนินการเก็บรวบรวมขอมูลตามที่วางแผนไว 6. รวบรวมผลการดําเนินการเก็บรวบรวมขอมูลจากแหลงขอมูลเพื่อนําไปวิเคราะหขอมูล
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
140
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
การวิเคราะหขอมูลและสถิติที่ใช 1. การวิเคราะหขอมูลการประเมิน เปนกาประเมินผลการดําเนินการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลตามเกณฑ มาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ป กรณีศึกษาโรงพยาบาล จะแนะ จังหวัดนราธิวาส วิเคราะหตามเกณฑการใหคะแนนการพัฒนาคุณภาพเพื่อการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล ดังนี้ คะแนนเฉลี่ยตั้งแต 4.00 – 5.00 หมายถึง ผลการประเมินอยูในระดับ ดีเยี่ยม คะแนนเฉลี่ยตั้งแต 3.50 – 3.99 หมายถึง ผลการประเมินอยูในระดับ ดีมาก คะแนนเฉลี่ยตั้งแต 3.00 – 3.49 หมายถึง ผลการประเมินอยูในระดับ ดี คะแนนเฉลี่ยตั้งแต 2.50 – 2.99 หมายถึง ผลการประเมินอยูในระดับ พอผาน คะแนนเฉลีย่ ตั้งแต 0.50 - 2.49 หมายถึง ผลการประเมินอยูในระดับ ปรับปรุง 2. สถิติที่ใชในการวิจัย สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล 2.1.1 สถิติพรรณนา ใชบรรยายวิเคราะหขอมูลและบรรยายลักษณะขอมูลที่รวบรวมจากกลุมตัวอยาง 2.1.2 สถิติวัดแนวโนมเขาสูสวนกลาง (Measures of Central Tendency) คือ คาเฉลี่ย (Average) สรุปผลและอภิปรายผลการวิจัย สรุปผล จากการวิ จั ย ครั้ ง นี้ เ พื่ อ ประเมิ น ผลการดํ า เนิ น การพั ฒ นาคุ ณ ภาพโรงพยาบาลตามเกณฑ มาตรฐาน โรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ป กรณีศึกษาโรงพยาบาลจะแนะ จังหวัดนราธิวาส สรุปผลไดดังนี้ 1. ผลการประเมินภาพรวมของการบริหารองคกรตามเกณฑมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับ เฉลิ มพระเกี ยรติ ฉลองสิ ริ ร าชสมบั ติ ครบ 60 ป กรณีศึ ก ษาโรงพยาบาลจะแนะ จั ง หวัด นราธิ วาส พบวา ผลการ ดําเนินการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับเกณฑการใหคะแนนการพัฒนาคุณภาพเพื่อการรับรองคุณภาพ โรงพยาบาลสําหรับโรงพยาบาลคะแนนเฉลี่ยเทากับ 2.25 ซึ่งผลการประเมินอยูในระดับ ปรับปรุง 2. ผลการประเมินระบบงานสําคัญของโรงพยาบาลตามเกณฑมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับ เฉลิ มพระเกี ยรติ ฉลองสิ ริ ร าชสมบั ติ ครบ 60 ป กรณีศึ ก ษาโรงพยาบาลจะแนะ จั ง หวัด นราธิ วาส พบวา ผลการ ดําเนินการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับเกณฑการใหคะแนนการพัฒนาคุณภาพเพื่อการรับรองคุณภาพ โรงพยาบาลสําหรับโรงพยาบาล คะแนนเฉลี่ยเทากับ 2.39 ซึ่งผลการประเมินอยูในระดับ ปรับปรุง 3. ผลการประเมินกระบวนการดูแลผูปวยตามเกณฑมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับเฉลิมพระ เกียรติ ฉลองสิ ริร าชสมบัติครบ 60 ป กรณี ศึก ษาโรงพยาบาลจะแนะ จั งหวัดนราธิว าส พบวา ผลการดํ าเนิน การ พัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับเกณฑการใหคะแนนการพัฒนาคุณภาพเพื่อการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล สําหรับโรงพยาบาล คะแนนเฉลี่ยเทากับ 2.18 ซึ่งผลการประเมินอยูในระดับ ปรับปรุง อภิปรายผล จากการสรุ ปผลการวิ จัยเพื่ อประเมิน ผลการดําเนินการพัฒ นาคุณ ภาพโรงพยาบาลตามเกณฑมาตรฐาน โรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ป กรณีศึกษาโรงพยาบาลจะแนะ จังหวัดนราธิวาส สรุปผลได ดังนี้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
141
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
1. ผลการประเมินภาพรวมของการบริหารองคกรตามเกณฑมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับ เฉลิ มพระเกี ยรติ ฉลองสิ ริ ร าชสมบั ติ ครบ 60 ป กรณีศึ ก ษาโรงพยาบาลจะแนะ จั ง หวัด นราธิ วาส พบวา ผลการ ดําเนินการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับเกณฑการใหคะแนนการพัฒนาคุณภาพเพื่อการรับรองคุณภาพ โรงพยาบาลสําหรับ โรงพยาบาลคะแนนเฉลี่ ยเท ากั บ 2.25 ซึ่ง ผลการประเมิ นอยูใ นระดับ ปรั บปรุ ง ทั้ง นี้ อาจเป น เพราะวา การสงเสริมผลการดําเนินงานที่ดี (สิ่งแวดลอมที่เอื้อตอการพัฒนา วัฒนธรรมความปลอดภัย) การถายทอด กลยุ ทธสู การปฏิบั ติ การรั บฟง หรือเรียนรูความตองการและความคาดหวั งของผูรั บบริ การแตล ะกลุ ม การสราง ความสัมพันธ ชองทางการติดตอ การจัดการคํารองเรียน การคุมครองสิทธิผูปวยโดยทั่วไป การคุมครองสิทธิผูปวยที่ มีความตองการเฉพาะ (เด็ก ผูพิการ ผูสูงอายุ การแยกหรือผูกยึด) ระบบการวัดผลการดําเนินงาน การวิเคราะห ขอมูลและการทบทวนผลการดําเนินงาน การจัดการสารสนเทศ การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดการความรู ความผูกพันและความพึงพอใจ ระบบพัฒนาและเรียนรูสําหรับบุคลากรและผูนํา การบริหารและจัดระบบบุคลากร สุขภาพของบุคลากร การกําหนดงานที่เปนสมรรถนะหลักขององคกร และการออกแบบระบบงานโดยรวมและการ จัดการและปรับปรุงกระบวนการทํางาน ยังดําเนินการนอยอยูและความรู ความเขาใจในเปาหมายของมาตรฐานก็อาจ ไมเ ทาเทียมกั น ทัศ นคติในการนํามาตรฐานโรงพยาบาลและบริ การสุข ภาพฉบั บฉลองสิริ ราชสมบัติ 60 ป ใน เจาหนาที่ แตล ะระดับในฝายตาง ๆ ยังไมทั่ว ถึงและขอจํากั ดในเรื่องพื้น ที่ทุร กันดารและพื้น ที่เสี่ ยงในเหตุการณ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต ซึ่งสอดคลองกับแนวคิดการบริหารคุณภาพ TQM (สุเทพ เชาวลิต. 2548: 14) ไดกลาวถึง หลักการบริหารงานอยางมีคุณภาพ ตองทําทั่วทั้งองคกร สรางศักยภาพของเจาหนาที่เขาใจและใหความสําคัญกับ ลูกคา รวมทั้งตองมีกลยุทธและโครงสรางที่เหมาะสมดวย และประเด็นที่ตองใหความสําคัญอยางหนึ่งก็คือ การ เตรียมความพรอมในการพัฒนาคุณภาพใหกับเจาหนาที่ทุกระดับ ผูบริหาร ในดานความรู ความเขาใจ สนับสนุน อัตรากําลังสําหรับปฏิบัติงานและการกระตุนติดตามจากหัวหนางาน และปจจัยที่มีผลตอความสําเร็จในการพัฒนา คุณ ภาพไดแก ความรู ความเขาใจในมาตรฐาน ความมุ ง มั่น ตั้ง ใจและมีภาวะผูนํ าในทุ กระดับ ของเจ าหนาที่และ เจาหนาที่ตองพัฒนาตนเองอยูเสมอ และนงคนุช จิตภิรมยศักดิ์ (2547: บทคัดยอ) ไดทําการศึกษาการดําเนินงาน พัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลเพื่อการรับรองคุณภาพของศูนยมะเร็ง อุบลราชธานี วาการพัฒนาและรับรองคุณภาพ โรงพยาบาลเริ่มตนเมื่อ พ.ศ.2540 โดยนักวิชาการและผูประกอบวิชาชีพสาขาตางๆ ไดทบทวนมาตรฐานโรงพยาบาล ของประเทศตางๆ และสิ่งที่เปนอยูในประเทศไทย รวมกันยกรางมาตรฐานโรงพยาบาลฉบับกาญจนาภิเษกขึ้น ตอมา สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขรวมกับกองโรงพยาบาลภูมิภาค รับสมัครโรงพยาบาลเขารวมกิจกรรมดวยความสมัคร ใจ แตในปจจุบันกระทรวงสาธารณสุขไดประกาศใหการพัฒนา และรับรองคุณภาพทั้งโรงพยาบาล เปนนโยบายที่ สถานบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขตองเขารวมโครงการ ศูนยมะเร็ง อุบลราชธานี เปนสถานบริการในสังกัด กรมการแพทย กระทรวงสาธารณสุ ข กํ าลั งดํ าเนิน งานพั ฒ นาคุ ณ ภาพโรงพยาบาล เพื่ อเตรี ยมเข าสูก ารรับ รอง คุณ ภาพ จึ ง เป น จุ ด สนใจการศึ ก ษา พบว า การพัฒ นาคุ ณ ภาพโรงพยาบาลดั ง กล าวเปน อย างไร และพบป ญ หา อุปสรรคอะไรบาง ทั้งนี้เพื่อเปนแนวทางในการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลของศูนยมะเร็งอุบลราชธานีตอไป การศึก ษาครั้ง นี้มีความมุงหมายเพื่ อศึกษาความคิ ดเห็น ของบุคลากรที่ เกี่ยวข องตอการดําเนินงานพัฒนา คุณภาพโรงพยาบาล เพื่อการรับรองคุณภาพของศูนยมะเร็งอุบลราชธานี ตามวงจรการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน โรงพยาบาลฉบับกาญจนาภิเษก 2540 โดยสอบถามเจาหนาที่ระดับปฏิบัติงานทั้งหมด 129 คน ผูบริหารทั้งหมด 20 คน และมีการตรวจสอบการมีเอกสารการดําเนินงาน กิจกรรมพัฒ นาคุณภาพบริการของหนวยงานที่เกี่ยวของกั บ กระบวนการใหบริการผลการศึกษาปรากฏดังนี้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
142
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ผูปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลโดยรวมอยูในระดับมาก ทั้ง 9 ดาน มาตรฐานทั่วไป (GEN 1-9) และบุ ค ลากรระดั บ ปฏิ บั ติ ง านในหน ว ยงานศั ล ยกรรมและห องผ า ตั ด มี ก ารปฏิ บั ติ กิ จ กรรมพั ฒ นาคุ ณ ภาพด า น มาตรฐานทั่วไป GEN 3 GEN 4 GEN 5 และ GEN 9 มากกวาหนวยงานพยาธิวิทยาอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ 0.05 ผูบริหารมีการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาคุณภาพโดยรวมอยูในระดับมาก ทั้ง 9 ดาน มาตรฐานทั่วไป (GEN 1-9) และพบวาผูบริหารมีคะแนนเฉลี่ยของระดับการปฏิบัติกิจกรรมคุณภาพสูงกวาระดับผูปฏิบัติงานทุกหนวยงาน มีเพียง 1 หนวยงาน คือ รังสีวินิจฉัยที่ผูปฏิบัติมีคะแนนเฉลี่ยของระดับการปฏิบัติกิจกรรมคุณภาพสูงกวาผูบริหาร การตรวจสอบการมี เ อกสารการดํ าเนิ น กิ จ กรรมพั ฒ นาคุ ณ ภาพบริ ก ารของหน ว ยงานที่ เ กี่ ยวข อ งกั บ กระบวนการให บ ริ ก ารโดยรวมอยู ใ นระดั บ มาก ที่ พ บมากที่ สุ ด คื อ เอกสารกํ าหนดพั น ธกิ จ เป า หมายและ วัตถุประสงค เอกสารที่เกี่ยวกับกิจกรรมพัฒนาคุณภาพ และเอกสารที่เกี่ ยวกับเครื่องมือ อุปกรณและสิ่ งอํานวย ความสะดวก สว นเอกสารอีก 6 ดานคือ ก ารจัดองคกรและการบริหาร การจั ดการทรัพยากรบุคคล การพัฒนา ทรัพยากรบุคคล นโยบายและวิธีปฏิบัติ สิ่งแวดลอมอาคาร สถานที่ ระบบงานหรือกระบวนการใหบริการ มีระดับการ มีเอกสารอยูในระดับมาก โดยสรุปผลการศึกษาครั้งนี้ ใชเปนแนวทางการพัฒนาการดําเนินงาน พัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาล เพื่อ การรับรองคุณภาพของศูนยมะเร็ง อุบลราชธานี ใหผานการรับรองมาตรฐานคุณภาพโรงพยาบาลตอไป 2. ผลการประเมินระบบงานสําคัญของโรงพยาบาลตามเกณฑมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับ เฉลิ มพระเกี ยรติ ฉลองสิ ริ ร าชสมบั ติ ครบ 60 ป กรณีศึ ก ษาโรงพยาบาลจะแนะ จั ง หวัด นราธิ วาส พบวา ผลการ ดําเนินการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับเกณฑการใหคะแนนการพัฒนาคุณภาพเพื่อการรับรองคุณภาพ โรงพยาบาลสําหรั บโรงพยาบาล คะแนนเฉลี่ยเทากับ 2.39 ซึ่ง ผลการประเมิ นอยูในระดั บ ปรับ ปรุ ง ทั้ งนี้ อาจเป น เพราะวา การทํางานเปนทีม การประเมินตนเอง ระบบบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัย โครงสรางอาคารและ สิ่ง แวดลอมทางกายภาพ การกํ ากั บ ดูแลและบริ ห ารความเสี่ ยงด านสิ่ งแวดล อม การจัด การกั บวั ส ดุและของเสี ย อันตรายอยางปลอดภัย ระบบสาธารณูปโภค การวางแผนทรัพยากร และการจัดการบริการรังสีวิทยา การบริการ รังสีวิทยา และระบบคุณภาพและความปลอดภัยบริการรังสีวิทยา ยังดําเนินการนอยอยูและยังขาดบุคลากร ขาด ความตอเนื่องในการพัฒนาคุณภาพ ขาดการมีสวนรวมและประสานความรวมมือในการพัฒนาคุณภาพของเจาหนาที่ หัวหนางานขาดการกํากับ ติดตามงานอยางตอเนื่อง ซึ่งสอดคลองกับ นิตยา ประพันศิริ, อรสา สุขดี, มะลิวัสย กรีติยุ ตานนท และงามสิน วานิชพงษพันธุ (2554: 424) การใหความสําคัญของงานพัฒนามาตรฐานหัวใจหลักคือ ตองทํา อย างจริง จั งและต อเนื่ อง โดยเน นการทํ างานร ว มกั น เป นที ม เพื่ อหาชองว างและนํ าข อมูล ที่ ได มาใชใ นการพัฒ นา ปรั บ ปรุ ง ระบบและวิ ธี ก ารปฏิ บั ติ เ พื่ อ ให ไ ด ม าตรฐานที่ ส ามารถยอมรั บ ได พร อ มทั้ ง บุ คลากรในที ม ได เ กิ ด การ แลกเปลี่ยนเรียนรูอยางตอเนื่อง และมีการจัดการความรูอยางเปนระบบ นํามาสูความเขาใจที่ลึกซึ้งและไดเห็นคุณคา ในการทํางานรวมกันเปนทีมในการพัฒ นาเพื่อยกระดับมาตรฐานในการทําใหปราศจากเชื้อเพื่อความปลอดภัยของ ผูป ว ยอย างยั่ งยื น กั บ นลกฤต ศรี เ มื อง (2549: บทคัด ย อ) ได ทํ าการศึ ก ษาสถานภาพการพั ฒนาคุณ ภาพตาม มาตรฐาน (HA) ฉบับฉลองสิริราชสมบัติ 60 ป: กรณีศึกษาโรงพยาบาลเกษมราษฎร บางแค มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษา เปรียบเทียบสถานภาพการพัฒนาคุณภาพระดับที่ปฏิบัติไดในปจจุบันกับเปาหมายของมาตรฐาน(HA) ฉบับฉลองสิริ ราชสมบัติ 60 ปของบุคลากรโรงพยาบาลเกษมราษฎร บางแคและศึกษาเปรียบเทียบการพัฒนาคุณภาพของบุคลากร โรงพยาบาลเกษมราษฎร บางแคที่สังกัดฝายตางกันระดับที่ปฏิบัติในการพัฒนาคุณภาพของมาตรฐาน (HA) ฉบับ ฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปไดแตกตางกัน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
143
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ผลการศึก ษาพบวา ระดับที่ ปฏิบัติได ในการพั ฒนาคุณภาพกับเปาหมายของมาตรฐานโรงพยาบาล (HA) ฉบับฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปของบุคลากรโรงพยาบาลเกษมราษฎร บางแคอยูในระดับที่ตํากวาเกณฑมาตรฐาน และ ด านผลลั พ ธ ท างด านการเงิ น อยู ใ นระดั บ ที่ ต่ํ าสุ ด ส ว นการศึ ก ษาเปรี ยบเที ยบการพั ฒ นาคุ ณ ภาพของบุ คลากร โรงพยาบาลเกษมราษฎร บางแคไดแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญที่0.05 ทั้งหมด 16 ดานคือ 1.ดานการมุงเนนผูปวย หรือผูรับผลงาน 2.ดานการวัด วิเคราะห และการจัดการความรู 3.ดานการมุงเนนทรัพยากรบุคคล 4.ดานการ กํากับดูแลดานวิชาชีพ 5.ดานการปองกันและควบคุมการติดเชื้อ 6. ดานการทํางานกับชุมชน 7.ดานการเขารับ บริการ 8.ดานการประเมินผูปวย 9.ดานการวางแผนการดูแลผูปวย 10.ดานการดูแลผูปวย 11.ดานการใหขอมูล 12.ดานผลลั พ ธด านการดูแลผูป ว ย 13.ด านผลลั พ ธ ดานการมุ งเน นผู ป ว ยและผู รั บ ผลงาน 14.ด านผลลั พธ ด าน ประสิทธิผลองคกร 15.ดานผลลัพธดานธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบตอสังคม 16.ดานผลลัพธดานการสรางเสริม สุขภาพ จากผลการศึกษาอาจนําไปสูการปรับแผนพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาล เพื่อใหสอดคลองเปาหมายของ มาตรฐาน (HA) ฉบับฉลองสิริราชสมบัติ 60 ป นอกจากนี้อาจสงผลใหโรงพยาบาลพิจารณาใหความสําคัญในการ เตรียมความพรอมบุคลากรของโรงพยาบาลทั้งทางดานความรูสนับสนุนทรัพยากรที่จําเปน และมีแรงจูงใจในการ พัฒนาคุณภาพ รวมทั้งการกําหนดทิศทาง นโยบายที่ชัดเจนในการพัฒนาคุณภาพ 3. ผลการประเมินกระบวนการดูแลผูปวยตามเกณฑมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับเฉลิมพระ เกียรติ ฉลองสิ ริร าชสมบัติครบ 60 ป กรณี ศึก ษาโรงพยาบาลจะแนะ จั งหวัดนราธิว าส พบวา ผลการดํ าเนิน การ พัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับเกณฑการใหคะแนนการพัฒนาคุณภาพเพื่อการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล สําหรับโรงพยาบาล คะแนนเฉลี่ยเทากับ 2.18 ซึ่งผลการประเมิน อยูในระดับ ปรับปรุง ทั้ง นี้อาจเปนเพราะวา การ บําบัดอาการเจ็บปวด การฟนฟูสภาพและการใหขอมูลและเสริมพลัง ยังมีการดําเนินการไดนอยอยู ซึ่งสอดคลองกับ ธัญธร พัวพันธ (2546 : บทคัดยอ) ไดทําวิจัยเรื่อง การประเมินผลโครงการพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล สวนปรุง โดยมีวัตถุประสงคเพื่อ 1. ประเมินระดับประสิทธิผลของการดําเนินโครงการพัฒนาและรับรองคุณภาพ โรงพยาบาลสวนปรุง 2. ศึกษาปจจัยและกระบวนการที่มีผลตอความสําเร็จของโครงการพัฒนาและรับรองคุณภาพ โรงพยาบาลสวนปรุง และ 3. ศึกษาความพึงพอใจของผูปวยในตอการพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลสวน ปรุงทําการเก็บรวบรวมขอมูลโดยแบบสอบถามจากกลุมตัวอยาง ทีมพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลสวนปรุง จํานวน 52 ชุด และผู ปวยในที่ มีอาการดีแลวและพรอมกลั บไปรักษาตัวตอที่ บาน จํานวน 82 ชุด สวนปจจั ยและกระบวนการ สําคัญที่มีผลตอความสําเร็จ ในวิธีการเก็บขอมูลทั้งจากแบบสอบถามและการประชุมกลุมเพื่อสอบถามความคิดเห็น จากนั้นนําขอมูลรวบรวมไดมาวิเคระหดวยโปรแกรม SPSS และการจัดหมวดหมูตามวิธีการเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยมีดังนี้ระดับประสิทธิผลของการดําเนินการโครงการและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลสวนปรุ ง พบวาระดับประสิทธิผลในระดับมาก (คาเฉลี่ยเทากับ 3.57) หมวดสิทธิผูปวยและจริยธรรมองคกร มีประสิทธิผลใน ระดับมาก (คาเฉลี่ยเทากับ 3.86) หมวดความมุงมั่นในการพัฒนาคุณภาพ มีประสิทธิผลในระดับมาก (คาเฉลี่ยเทากับ 3.86) หมวดกระบวนการคุณภาพมีประสิทธิภาพระดับปานกลาง (คาเฉลี่ยเทากับ 3.44) หมวดการรักษามาตรฐาน และจริยธรรมวิชาชีพ มีประสิทธิภาพระดับปานกลาง (คาเฉลี่ยเทากับ 3.44) และหมวดการดูแลผูปวย ประสิทธิภาพ ระดับปานกลาง (คาเฉลี่ยเทากับ 3.29) ป จ จั ยและกระบวนการที่ มีผ ลต อความสํ า เร็ จ ของการดํ าเนิ น การโครงการพั ฒ นาและรั บ รองคุ ณ ภาพ โรงพยาบาลสวนปรุง พบวา ปจจัยภายใน มีผลตอความสําเร็จ มี 10 ประการคือ 1.มีนโยบายในการพัฒนาคุณภาพ ชัดเจน 2.ผูบริหารมีความมุงมั่นในการพัฒ นา 3.จัดตั้ งศูนยพั ฒนาคุณภาพและมีผูรับผิด ชอบโดยตรง 4.บุ คลากรมี ความเขาใจเรื่องการพัฒนาคุณภาพ 5.บุคลากรมีสวนรวมในการพัฒนา 6.บุคลากรมีขวัญและกําลังใจในการทํางาน
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
144
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
7.มี ก ารประสานงานที่ ดี 8.มี ก ารสะสางภายในองค ก รที่ ดี 9.มี ก ารเยี่ ยมสํ า รวจภายในองค ก รสม่ํ า เสมอ 10.มี ผู รั บ บริ ก ารเป น ศู น ย ก ลาง ป จ จั ย ภายนอก มี ผ ลต อความสํ าเร็ จ มี 5 ประการ คื อ 1.นโยบายพั ฒ นาคุ ณ ภาพ โรงพยาบาลที่ชัดเจนในระดับชาติ 2.ความคาดหวังประชาชนที่จะไดรับบริการที่ดี 3.ไดรับการเยี่ยมสํารวจจากสถาบัน พัฒนาและรับ รองคุณ ภาพโรงพยาบาล 4.หนว ยงานมีภาพลั กษณที่ ดี 5.ได รับการสนั บสนุน งบประมาณเพียงพอ กระบวนการที่มีผลตอความสําเร็จมี 10 ประการ คือ 1.ผูนําประกาศความมุงมั่นอยางเปนทางการใหบุคลากรทุกคน ทราบ 2.สรางความรูความเขาใจเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลแกบุคลากร 3.จัดเตรียมองคดานคุณภาพ และผูรับผิดชอบ 4.กําหนดทิศทางใหชัดเจน 5.พัฒนาระบบเพื่อประกันคุณภาพ 6.พัฒนาระบบเพื่อจัดการความเสี่ยง 7.พัฒนาระบบเพื่อรักษามาตรฐานวิชาชีพ 8.มีการประสานงานและความเชื่อมโยงของระบบ 9.มีการตรวจสอบอยาง สม่ําเสมอ 10.พัฒนาอยางตอเนื่อง ระดับความพึงพอใจของผูปวยในตอการพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลสวนปรุงของผูปวยในทั้ง 6 หมวด อยูในระดับที่พอใจมาก (คาเฉลี่ยเทากับ 4.12) ขอเสนอแนะ 1.ขอเสนอแนะในการนําผลการวิจัยไปใช 1.1 โรงพยาบาลควรมีการกําหนดคณะทํางานและผูรับผิดชอบตัวบงชี้ตามเกณฑ ระดับคะแนนการพัฒนา คุณ ภาพเพื่อการรั บรองคุ ณ ภาพโรงพยาบาล แต ล ะตั ว บง ชี้ เ พื่ อพัฒ นาตั ว บ งชี้ แต ล ะตัว ให สํ าเร็ จ ตามเกณฑ และ นอกจากนี้ควรจะมีทีมงานที่มองภาพรวมเพื่อใหเห็นความเชื่อมโยงในแตละหมวด 1.2 จากผลการประเมิ นผลการดํ าเนิ น การพั ฒนาคุ ณภาพตามเกณฑ มาตรฐานโรงพยาบาลและบริ ก าร สุขภาพเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ป ทางโรงพยาบาลควรมีการประเมินผลอยางตอเนื่อง เพื่อการ พัฒนาตอไป 1.3 โรงพยาบาลควรเนนการปรับปรุงการดําเนินการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลเพื่อการรับรองคุณภาพโดย มีการกํากับ ติดตาม อยางสม่ําเสมอ 1.4 เนื่องจากบุคคลากรเปนปจจัยที่ทําใหเกิดผลสําเร็จขององคกรและเปนกําลังสําคัญในการพัฒนาคุณภาพ เพื่อกระตุนใหเจาหนาที่มีความมุงมั่น ตั้งใจในการพัฒนาคุณภาพ เห็นควรสรางแรงจูงใจพิเศษใหกับบุคลากร ใน รูปแบบตาง ๆ เพื่อเปนขวัญกําลังใจ และสรางบรรยากาศแหงการพัฒนา 2.ขอเสนอแนะในการทําวิจัยตอไป 2.1 ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบระหวางผลการดําเนินการตามเกณฑระดับคะแนนการพัฒนาคุณภาพเพื่อ การรับรองคุณภาพโรงพยาบาล ของทีมผูเยี่ยมสํารวจจากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาลและทีมผูเยี่ยมสํารวจ ภายในโรงพยาบาลเพื่อศึกษาถึงปจจัยที่มีผลตอการประเมินผลตามตามเกณฑระดับคะแนนการพัฒนาคุณภาพเพื่อ การรับรองคุณภาพโรงพยาบาล 2.2 ควรมีการศึกษาถึงปจจัยที่มีผลตอการประเมินผลตามตามเกณฑระดับคะแนนการพัฒนาคุณภาพเพื่อ การรับรองคุณภาพโรงพยาบาลในแตละหมวดเพื่อดูความสัมพันธของผลการประเมินในแตละหมวด
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
145
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
บรรณานุกรม ณรงค ณ ลําพูน. 2546. การบริหารจัดการคุณภาพโดยรวม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ เดอะ โนเลจ เซนเตอร. ณัฏฐพันธ เขจรนันทน. 2546. TQM กลยุทธการสรางองคการคุณภาพ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพธรรกมลการพิมพ. ธิดา นิงสานนท. 2541. การรับรองคุณภาพโรงพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพ โรงพยาบาล. ธัญธร พัวพันธ. 2546. การประเมินผลโครงการพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลสวนปรุง. ปริญญานิพนธ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. เชียงใหม: มหาวิทยาลัยเชียงใหม. ผองพรรณ ธนา, ปรมินทร วีระอนันตวัฒร และมธุรส ภาสพิพัฒนกุล . 2553. “Overall scoring กับงานประจํา”, ใน การพัฒนายืดหยุนและยั่งยืน. หนา 470. วันที่ 12 มีนาคม 2553 ณ ศูนยประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี กรุงเทพฯ: สถาบันรับรองสถานพยาบาล. นิตยา ประพันศิริ, อรสา สุขดี, มะลิวัลย กรีติยุตานํา และงามสิน วานิชพงษพันธุ. 2554. “Raising the standards of sterilization”, ในความงามในความหลากหลาย. หนา 424. วันที่ 18 มีนาคม 2554 ณ ศูนยประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี กรุงเทพฯ: สถาบันรับรองสถานพยาบาล. นงคนุช จิตภิรมยศักดิ์. 2547. การศึกษาการดําเนินงานพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลเพื่อการรับรองคุณภาพ ของศูนยมะเร็ง อุบลราชธานี. วิทยานิพนธรัฐประศาสนศาสตร มหาบัณฑิต.มหาสารคาม: มหาวิทยาลั ย มหาสารคาม. นลกฤต ศรีเมือง. 2550. การศึกษาสถานภาพการพัฒนาคุณภาพตามมาตรฐานโรงพยาบาล (HA) ฉบั บฉลองสิริ ร าชสมบัติ 60 ป : กรณศึ ก ษาโรงพยาบาลเกษมราษฎร บางแค. วิ ท ยานิ พ นธ รั ฐ ประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา. บรรจง จันทมาศ. 2543. ระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9000. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ สํานักพิมพสสท. ประกาย จิโรจนกุล. 2548. การวิจัยทางการพยาบาล : แนวคิด หลักการ และวิธีปฏิบัติ. นนทบุรี: โรงพิมพ โครงการสวัสดิการวิชาการ สถาบันพระบรมราชชนก. ประจักร บัวผัน. 2545. การพัฒนาคุณภาพบริการในหนวยบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน. วิทยานิพนธ ศิลปศา สตรดุษฏีบัณฑิต. ขอนแกน: มหาวิทยาขอนแกน. ประพิณวัฒนกิจ. 2542. ระเบียบวิธีวิจัย: วิจัยสังคมศาสตร. กรุงเทพฯ. พิษณุ ฟองศรี. 2551. การประเมินทางการศึกษา: แนวคิดสูการปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพดานสุทธาการพิมพ. เพริศพักตร ศรีวุฒิพงษ. 2550. การปฏิบัติงานพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลตามการรับรูของบุคลากร โรงพยาบาลอุตรดิตถ. วิทยานิพนธ พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต. เชียงใหม: มหาวิทยาลัยเชียงใหม. รุงอําพร ปานภูมิ. 2547. การประเมินผลการดําเนินงานตามโครงการพัฒนาและรับรองคุณภาพ โรงพยาบาล ในระยะ 1 ปแรก ของโรงพยาบาลนากลาง อํ าเภอนากลาง จั งหวั ด หนองบัวลํ า ภู . วิ ท ยานิ พ นธ สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต. ขอนแกน: มหาวิทยาลัยขอนแกน. วิฑูรย สิมะโชคดี. 2541. TQM คูมือสูองคกรคุณภาพยุค 2000. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ TPA Publishing. วิฑูรย สิมะโชคดี. 2545. คุณภาพคือความยั่งยืน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพสํานักพิมพ สสท. ศิริชัย กาญจนวาสี. 2545. ทฤษฎีการประเมิน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพพิมพแหงจุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัย.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
146
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
สถาบัน พั ฒนาและรั บรองคุ ณ ภาพโรงพยาบาล. 2542. คู มือการประเมิ นและรั บรองคุ ณภาพโรงพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล. สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล. 2551. มาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพฉบับเฉลิมพระ เกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ป. กรุงเทพฯ: โรงพิมพสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล. สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล. การประเมินตนเอง. สืบคนเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554, จาก http://www.ha.or.th สิทธิศักดิ์ พฤกษปติกุล. 2543. คูมือการตรวจสอบคุณภาพโรงพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพสํานักพิมพ สสท. สิทธิศักดิ์ พฤกษปติกุล. 2546. เสนทางสู Hospital accreditation. กรุงเทพฯ: โรงพิมพสํานักพิมพ สสท. สุริยันต ชอประพันธ. 2547. การดําเนินงานในการพัฒนาและการขอรับรองคุณภาพ (Hospital Accreditation) ของโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดมหาสารคาม. วิทยานิพนธรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สุเทพ เชาวลิต. 2548. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพเสมาธรรม สุวรรณี แสงมหาชัย. 2541. การจัดการเพื่อพัฒนาคุณภาพรวมองคการ: แนวคิดและกระบวนการนําไปปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพการเอกสารและตําราสมาคมรัฐประศาสนศาสตร นิดา. อมรพรรณ พิมพใจพงศ. 2551. “ปจจัยที่สงผลตอการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล กรณีศึกษา: โรงพยาบาลที่ผาน การรับรองคุณภาพ จังหวัดอุดรธานี”. การแพทยโรงพยาบาลอุดรธานี. 16 (4), 12. Crosby, P.B. 1986. Quality is Free. New York: McGraw Hill. Deming, W.E. 1986. Out of Crisis. Boston: The Massachusetts Institute of TechnologyCenter for Advance Engineering Study. Dixon, Diane Louise. 1997. The Relationship between Chief Executive Leadership(Transactional and Transformation) and Hospital Effectiveness (Leadership, HealthCare Administration). Master’s thesis. Washington; D.C: The George Washington University. Juran, J.M. 1992. Juran on Quality by Design: The New Steps for Planning Quality intoGoods and Service. New York: Juran Institute.
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
147
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
Book Review
บทวิพาทยหนังสือ / Book Review บทบาทของอิหมามในการพัฒนาทองถิ่น: กรณีศึกษาจังหวัดปตตานี ผูเขียน ผูวิพากษ
เจะมูหามัดสัน เจะอูมา อานุวา มะแซ แวยูโซะ สิเดะ
วิทยานิพนธเลมนี้ชื่อเรื่อง บทบาทของอิหมามในการพัฒนาทองถิ่น : กรณีศึกษาจังหวัดปตตานีเปนการวิจัย เชิงปริมาณ โดยอาศัยขอมูลจากการวิจัยเชิงสํารวจและใชแบบสัมภาษณชนิดมีโครงสรางเปนเครื่องมือในการเก็บ ขอมูลจากการสัมภาษณกลุมตัวอยางเพื่อมาวิเคราะหขอมูลหาขอสรุปตามวัตถุประสงคที่ไดกําหนดดังตอไปนี้ เพื่อ ศึกษาบทบาทของอิหมามในการพัฒนาทองถิ่นดานการเมืองการปกครอง ดานเศรษฐ กิจ และดานสังคม เพื่อศึกษา ความสัมพันธ ระหวางปจ จัยสวนบุคคลและปจจัยแวดลอมกับระดับบทบาทในการพัฒนาท องถิ่นของ อิหมามทั้ง 3 ดาน เพื่อศึกษาปญหาและอุปสรรคตลอดจนการแกไขปญหาในการพัฒนาทองถิ่นของอิหมาม ความเปนมาของปญหาวิทยานิพนธนี้ ผูวิจัยพยายามสะทอนในระยะเวลาที่ผานมามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นใน สังคมชาวไทยมุสลิมอยูตลอดเวลาไมวาจะเปนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครอง การ เปลี่ยนแปลงดังกลาวมีผลสภาพความเปนอยูและการดําเนินชีวิตของชาวมุสลิมเปนอยางมาก แมแตบุคคลที่เปนผูนํา ของชุมชนเองก็มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาตัวเองไปดวย จะเห็นไดวาปจจุบันหนาที่ของอิหมามไมไดมีจํากัดขอบเขตแต เพี ยงในมัส ยิ ดเท านั้ น แต อิหม ามยั ง จะต องทํ าหน าที่เ ป นผู นํ าในกิจ ทางสั ง คมด วย และเนื่ องจากมัส ยิ ดมี ห นาที่ อีก ประการหนึ่ง คือการบริการแกสังคม ดังนั้นอิหมามจึงเปนผูมีบทบาทสําคัญยิ่งตอความรูสึกนึกคิดของประชาชนใน การขับเคลื่อนกระบวนการตางๆเพื่อใหชุมชนไดมีการพัฒนาหรือการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เรื่องบทบาทหนาที่ดานการพัฒนาทองถิ่นของอิหมามถือเปนหัวใจหลักของการพัฒนาพื้ นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต เพราะอิหมามเปนบุคคลที่อิสลามิกชนจะใหความสําคัญมาก เนื่องจากตองเขามาเกี่ยวของกับชีวิตมุสลิมตั้งแต เกิดจนถึงตาย ดังนั้นหนวยงานตางๆไมวาจะสังกัดภาครัฐหรือเอกชน เชน กรมการปกครอง ศูนยประสานงานจังหวัด ชายแดนภาคใต ตลอดจนกลุมองคกรสาธารณสุขตางๆจึงไดใหความสนใจกันมากกับผูดํารงตําแหนงอิหมามนี้ การพัฒนาทองถิ่นเพื่อใหสามารถพึ่งพาตัวเองไดนั้น เปนกระบวนการที่เนนใหทรัพยากรมนุษยในทองถิ่นได รูจักคิด วางแผน และรวมมือกัน โดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยูรวมทั้งภูมิปญญาทองถิ่น มาสรางประโยชนแก สมาชิ ก ดัง นั้ น กระบวนการพั ฒนาท องถิ่ นของชุ มชนมุ ส ลิ มจึ งได ใ ห ความสํ าคั ญ ต ออิ ห ม ามมาก เพราะถื อว าเป น ทรัพยากรบุคคลที่มีพลังมากที่สุดในการที่จะรวมความคิดรวมจิตใจของมุสลิมใหมารวมกันพัฒนา ทั้งนี้มัสยิดจะเปน ศูนยกลางที่ดีเยี่ยมเพื่อกอใหเกิดกิจกรรมตางๆที่จะทําใหกระบวนการพัฒนาทองถิ่นไดสําเร็จลุลวงตามเปาหมายที่ได วางแผนไว
นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาประวัติศาสตรและอารยธรรมอิสลาม คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร. (ประวัตศิ าสตร) อาจารยประจําสาขาวิชาประวัติศาสตรและอารยธรรมอิสลาม คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
148
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
ดว ยเหตุ นี้ ผูวิ จัยจึง ได มีความประสงค ที่จ ะศึ กษาบทบาทของอิห มามในการพั ฒนาท องถิ่น เป นอยางมาก โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดปตตานีที่มีมัสยิดและอิหมามมากที่สุดของประเทศไทย ในบทที่ 2 ผู วิ จั ยได แบ ง เอกสารงานวิจั ยที่ เ กี่ ยวข องในเรื่ อง บทบาทของอิห ม ามในการพั ฒ นาท องถิ่ น : กรณีศึ กษาจั งหวัด ปต ตานี เป น 7 ขอ ที่ เสริมความรู มากๆให กับ ผูอานและผู ที่เ กี่ยวของ เช น ดัง ตอไปนี้ เอกสาร เกี่ยวกับบทบาท เอกสารเกี่ยวกับผูนํา เอกสารเกี่ยวกับศาสนา เอกสารเกี่ยวกับผูนําศาสนาอิสลามเอกสารเกี่ยวกับ การพัฒนาชุมชน เอกสารเกี่ยวกับหนามัสยิดตอชุมชน และการวิจัยที่เกี่ยวของ ในเอกสารเกี่ยวกับบทบาท ผูวิจัยไดอางความหมายของบทบาทจากผูเชี่ยวชาญหลายๆคน เชน พิศวงธรรม พันนา ไดใหความหมายของบทบาทวาเปนการปฏิบัติหนาที่หรือการแสดงออกตามความคิดหรือความคาดหวัง เมื่ออยู ภาคใตสถานการณทางสังคมอยางหนึ่งโดยถือเอาฐานะหรือหนาที่ทางสังคมของผูดํารงตําแหนงเปนผูมูลฐาน อุทัย หิรัญโต ใหความหมายของบทบาทไววาบทบาทการปฏิบัติหนาที่หรือการแสดงออกของคน ซึ่งคนอื่น คาดคิดหรือคาดหวังวาเขาจะกระทําอยางนั้นก็คือการเอาฐานะและหนาที่ทางสังคมของเขาเปนมูลฐาน สรุปไดวาบทบาทคือสิ่งที่ผูดํารงตําแหนงใดตําแหนงหนึ่งของสังคมไดถูกกําหนดใหแสดงพฤติกรรมอยางหนึ่ง อยางใดโดยบุคคลในตําแหนงนั้นจะมีหนาที่หรือเงื่อนไขที่ตองกระทําและไดสิทธิที่กําหนดไวสําหรับตําแหนงนั้น รวมทั้ง ความคาดหวังของชุมชนในสังคมที่มุงหวังใหผูดํารงตําแหนงนั้นไดกระทํา โดยเชนกันผูวิจัยไดอางอิงความหมายของผูนําและภาวะผูนําจากผูรอบรู เชน ทวี ทิมขํา ไดใหความหมาย ของผูนํา เปนผูที่มีความรูในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอันเปนที่ตองการในการดําเนินงานของกลุมและสามารถใชความรูนั้นชวย ใหกลุมบรรลุวัตถุประสงคไดในสถานการณใดสถานการณหนึ่ง สวนภาวะผูนําเปนองคประกอบที่สําคัญอยางยิ่งของทุกองคกร ความสําเร็จขององคกรไมวาองคกรเล็กหรือ ใหญยอมตองอาศัยภาวะผูนําที่ดี บารนารด บาส อางถึงใน วัชรี ทรงประทุม ไดมารทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับภาวะ ผูนําจากเอกสารวิจัยมากกวา 15 เรื่อง พบขอสรุปเกี่ยวกับภาวะผูนําดังนี้ บุคคลที่ดํารงตําแหนงในฐานะผูนําจะมีคุณสมบัติเหนือกวาสมาชิกทั่วไปในดานตางๆดังตอไปนี้ ความฉลาด ความรอบรู มีความรับผิดชอบ มีกิจกรรมและมีสวนรวมในสังคมสูง มีฐานะทางเศรษฐกิจดีและสังคมดี สวนภาวะผูนํา ตามหลักศาสนาอิสลาม ในอัลกุรอานและอัลฮาดีษไดมีปรากฏลักษณะภาวะผูนําซึ่ง เปนคุณสมบัติพื้นฐานของผูนํ า อิสลามมีดังนี้ มีความซื่อสัตย ความกลาหาญ ความสัจจะ ความรอบรูและปฏิภาณเฉียบคมที่ส ามารถแกปญหาได อยางเฉียบพลัน มีความฉลาดหลักแหลม มีความนอบนอมถอมตนและสุภาพออนโยน มีความเอื้อเฟอเผื่อแผตอผูอื่น มีความบริสุทธิ์ใจ มีความมั่นใจในการทํางาน มีการใหอภัยไมอาฆาตแคนกับผูใดทั้งสิ้น และมีการสื่อสารกับผูอื่นไดดี หนาที่ของผูนําศาสนาอิสลามตามพระราชบัญญัติการบริหารองคกรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 37 ไดระบุอํานาจหนาที่ของอิหมามดังตอไปนี้ 1.ปฏิบัติหนาที่ใหเปนไปตามบทบัญญัติศาสนาอิสลาม 2.ปกครองดูแลและแนะนําเจาหนาที่ของมัสยิดใหปฏิบัติงานในหนาที่ใหเรียบรอย 3.ใหคําแนะนําแกบุรุษประจํามัสยิดในการปฏิบัติตนใหถูกตองตามบทบัญญัติแหงศาสนาอิสลามและกฎหมาย 4.อํานวยความสะดวกแกมุสลิมในการปฏิบัติศาสนกิจ 5.สั่งสอนและอบรมหลักธรรมทางศาสนาอิสลามแกบรรดาสัปบุรุษประจํามัสยิด ในบทนี้ ผูวิ จั ยก็ ไ ดบ อกความและความสํ าคัญ ของมั สยิ ด ในประวั ติ สาสตร อิสลามสมัยท านนบีมูฮํ าหมั ด มัสยิดอัลฮะรอมถือเปนศูนยกลางแหงการภักดีและการจัดกิจกรรมในกรอบของอิสลาม นอกจากนี้มัสยิดในอิสลามนั้น
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
149
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
เปนสภาอันบริสุทธิ์ เปนสถานที่รับขอเสนอแนะจากมวลชนมุสลิมและยังเปรียบเสมือนปอมปราการอันมั่นคงสําหรับ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติไมวาจะดานการเมืองการปกครองเศรษฐกิจและสังคมอีกดวย ในบทที่ 3 ผู วิจัยไดเ ขียนวิ ธีดําเนิน การวิจัยในวิท ยานิ พนธ นี้โดยใชก ารวิ จัยเชิงปริมาณ อาศัยข อจากการ สํ ารวจและใช แบบสั มภาษณ ที่ มาของข อมู ล จากข อมู ล ทุ ติ ยภู มิเ ป น ข อมู ล ได จ ากการค น คว า เอกสารงานวิ จั ย ที่ เกี่ยวของ และขอมูลจากปฐมภูมิ เปนขอมูลภาคสนามโดยใชแบบสัมภาษณชิดที่มีโครงสรางเปนเครื่องมือในการเก็บ ขอมูลตามวัต ถุประสงคที่ไ ดตั้งไว สวนประชากรก็คืออิหม ามในจังหวัด ปตตานี 600คนซึ่งรับผิดชอบมัสยิดที่ไดจ ด ทะเบียนตากกฎหมายแลว สวนกลุมตัวอยางผูวิจัยใชสูตรในการหาขนาดของกลุมตัวอยางโดยใชสูตร Yamane ในการ คํานวณหาขนาดของตัวอยางที่เหมาะสม ดังนั้นในการวิจัยครั้งนี้ไดกลุมตัวอยาง 240 คน วิธีการสุมตัวอยางผูวิจัยจะทําการสุมตัวอยาง 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 ใชวิธีการสุมแบบเชิงชั้นตามอัตราสวน โดยเปรียบเทียบกับจํานวนประชากรซึ่งไดถูกจําแนกตามอําเภอทั้ง 12 อําเภอในจังหวัดปตตานี ครั้งที่ 2 ใชวิธีการสุมอยางงาย โดยใหแตละหนวยมีโอกาสที่จะถูกเลือกเทากันหมดทุกหนวย ซึ่งจะใชวิธีการการหยิบ ฉลากแบบไมสงคืนตามจํานวนที่กําหนดไวแตละอําเภอ เครื่องมือที่ใชเก็บขอมูลในการวิจัยครั้งนี้คือ แบบสัมภาษณชนิดมีโครงสรางซึ่งแบงออกเปน 3 สวนคือ สวนที่ 1 เปนคําถามเกี่ยวกับขอมูลทั่วไปไดแก ปจจัยสวนบุคคลและปจจัยแวดลอมของผูตอบแบบสัมภาษณ ลักษณะคําถามเปนแบบสํารวจรายการ โดยใหเลือกตอบตามความเปนจริง สวนที่ 2 เปนคําถามเกี่ยวกับบทบาทในการพัฒนาทองถิ่นของผูตอบแบบสัมภาษณโดยแบงออกเปน3 ดานคือ 1.บทบาทดานการเมืองการปกครอง 2.บทบาทดานเศรษฐกิจ 3.บทบาทดานสังคม สวนที่ 3 เปนคําถามเกี่ยวกับปญหา อุปสรรคในการพัฒนาทองถิ่น โดยแบงออกเปน 3 ดานคือ 1.ปญหาดานตัวบุคคล 2.ปญหาดานประชาชน 3.ปญหาดานหนวยงานที่เกี่ยวของ รวมทั้งขอเสนอแนะแนวทางในการแกปญหาดังกลาว การทดสอบความเชื่อมั่นของเครื่องมือ ในการทดสอบความเที่ยงตรงของเครื่องมือเพื่อใหคําถามมีความสมบูรณหรือไม เมื่อตรวจสอบเรียบรอย แลวผูวิจัยก็จะมาวิเคราะหหาความเชื่อมั่นโดยวิธี The alpha coefficient ซึ่งเมื่อวิเคราะหแลวไดคาเทากับ 0.8 การเก็บรวบรวมขอมูลมีขั้นตอนตอไปนี้ 1.สํารวจรายชื่ออิหมาม จากสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดปตตานี 2.เก็บขอมูลภาคสนาม โดยผูวิจัยออกพบกลุมตัวอยางดวยตัวเอง 3.มีการชี้แจงวัตถุประสงคในการวิจัยและอธิบายการตอบแบบสัมภาษณ การวิเคราะหขอมูล เมื่อเก็บรวบรวมขอมูลและทําการตรวจสอบความถูกตองเรียบรอยแลว ผูวิจัยก็จะเอาขอมูลนั้นมาประมวล และวิเคราะหโดยใชโปรแกรมสําเร็จรูป Spss for windows กําหนดคาสถิติในการวิเคราะหดังนี้
อัล-นูร
วารสาร AL-NUR บัณฑิตวิทยาลัย ปที่ 7 ฉบับที่ 12
150
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา January-June 2012
1.ขอมูลทั่วไป (ปจจัยสวนบุคคลและปจจัยแวดลอม) วิเคราะหขอมูลโดยการหาคารอยละ 2.ขอมูลเกี่ยวกับบทบาทในการพัฒนาทองถิ่นทั้ง 3 ดาน วิเคราะหขอมูลโดยการหาคารอยละคามัชฌิมเลข คณิต (X) และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 3.ขอมูล เกี่ยวกั บความสั มพันธร ะหวางป จจัยสว นบุคคลและปจจั ยแวดลอม กับระดับบทบาททั้ง 3 ดาน วิเคราะหขอมูลโดยการหาคา Chi–square ที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติ 0.05 4.ขอมูลเกี่ยวกับปญหา อุปสรรคในการพัฒนาทองถิ่น วิเคราะหขอมูลโดยการหาคารอยละ ผลการวิจัย การศึกษาเรื่องนี้ผูวิจัยไดเก็บขอมูลโดยใชแบบสัมภาษณจากอิหมามทั้ง 12 อําเภอในจังหวัดปตตานีจํานวน 240 คน ซึ่งกลุมตัวอยางที่ไดเก็บรวบรวม ผูวิจัยจําแนกออกเปน 2 กลุมตามลักษณะของตัวแปรอิสระ ไดแก ปจจัยสวน บุคคล (อายุ ระดับความรูภ าคสามัญและภาคศาสนา ระยะเวลาในการดํารงตําแหนง) และปจจัยแวดลอม (ลักษณะของ ชุมชนเมืองและชุมชนชนบท)จากการทําวิจัยผูวิจัยไดพบวา ปจจัยสวนบุคคลดานอายุพบวาอิหมามที่มีอายุ 40-60 ป มี จํานวนมากที่สุด 149 คน คิดเปนรอยละ 62.1 รองลงมาอายุ 25-40 ป มีจํานวน 51 คน คิดเปนรอยละ 22.2 และอิหมาม ที่อายุ 60 ปขึ้นไปมีจํานวนนอยที่สุด 40 คน คิดเปนรอยละ 16.7 เปนที่นาสังเกตวาอิหมามสวนใหญอยูในอายุที่มีความ พรอมทั้งกาย จิตใจและพลังงานความคิดในการสรางสรรคงานพัฒนาทองถิ่นใหประสบความสําเร็จไดปจจัยสวนบุคคล ดานความรูภาคสามัญ พบวาอิหมามที่มีความรูระดับประถมศึกษามีมากที่สุด จํานวน 122 คน รองลงมามีความรูระดับ มัธยมศึกษาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ มีจํานวน 88 คน และอิหมามที่มีความรูระดับปริญญาตรีหรือสูงกวา 30 คน ปจจัยสวนบุคคลดานความรูภาคศาสนา พบวา อิหมามที่มีความรูภาคศาสนาระดับอิสลามตอนปลายมีมาก ที่สุดจํานวน 106 คน รองลงมาคือระดับอิสลามศึกษาตอนกลางจํานวน 55 คน รองลงมาคือ ระดับปริญญาตรีจํานวน 49 คน รองลงมาคือระดั บอิสลามตอนตนจํ านวน 17 คน และอิหม ามที่ มีการศึ กษาศาสนาสู งกว าปริ ญญาตรีมีนอยที่สุ ด จํานวน 13 คน ปจจั ยแวดลอมด านลั กษณะของชุ มชนพบวา อิ หม ามที่ ดํารงตําแหนงในชุ มชนเมือง มีจํานวน 84 คน และ อิหมามที่ดํารงตําแหนงในชุมชนชนบทมีจํานวน 156 คน จากการวิจัยผูวิจัยพบวาอิหมามสวนใหญดํารงตําแหนงในชนบท ซึ่งเปนชุมชนที่ความเจริญทางวัตถุมีไมมากนัก ชุมชนชนบทนั้นจะอยูกันอยางถอยที่ถอยอาศัยซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะ ชุมชนมุสลิมในชนบทนั้นสมาชิกของชุมชนจะใหเกียรติแกอิหมามของประชาชล แตอยางไรก็อิหมามที่ดํ ารงตําแหนงใน ชุมชนเมื อง ก็ ได ทําหน าที่ ไม ยิ่งหย อนไปกว าอิ หม ามที่ดํ ารงในชุ มชนชนบทแมความสั มพั นธ กับสัปบุรุ ษจะไมแนนแฟ น เหมือนในชุมชนชนบทดังนั้นการพัฒนาทองถิ่นในชนบทมุสลิมจึงตองใหอิหมามเปนผูนําเพราะจะทําใหการพัฒนาบังเกิด ผลอยางแทจริง ในบทที่ 6 ผูวิจัยไดเขียนสรุปการวิจัยคือ วัตถุประสงค 4 ขอ สมมติฐาน 3 ขอ และปญหาอุปสรรคในการพัฒนา ทองถิ่นของอิหม าม ดานตัวบุคคล ดานประชาชน ดานหนวยงานที่เกี่ยวของ สุดทายไดเขี ยนขอเสนอแนะในเรื่ องนี้เป น ขอเสนอแนะทั่วไป คือ อิหมามควรจะไดรับการฝกอบรม เพิ่มความรูและทักษะในการพัฒนาทองถิ่น ดานการเมืองการ ปกครอง ดานเศรษฐกิจและสังคม เพื่อนําไปปรับในการพัฒนาทองถิ่นของตนเอง โดยเฉพาะอยางยิ่งบทบาทดานไกลเกลี่ย เมื่อมีขอพิพาทระหวางประชาชน บทบาทในการรณรงคให ประชาชนไดรูจักประหยั ด บทบาทในการจัดกิจกรรมที่ชวย เสริมสรางความสัมพันธระหวางประชาชนในชุมชน บทบาทในการเปนที่ปรึกษาใหกับประชาชนบทบาทในการดูแลเยาวชน ไมใหยุงเกี่ยวกับยาเสพติด และบทบาทในการจัดเรียนการสอน ในฐานะผูวิพากษคิดวาวิทยานิพนธเลมนี้เปนประโยชนอยางยิ่งใหกับผูนําศาสนาเชน อิหมามและคนอื่นๆใน การพัฒนาทองถิ่นของตัวเอง และเขาเองไดรูอุปสรรคหรือปญหาในการพัฒนาทองถิ่นพรอมดวยรูวิธีในการแกปญหาของ อิหมาม
อัล-นูร
วารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา หลักเกณฑและคําชี้แจงสําหรับการเขียนบทความวิชาการ หรือ บทความวิจัย วารสาร อัล -นู ร บั ณ ฑิต วิ ท ยาลั ย มหาวิ ท ยาลั ย อิส ลามยะลา จั ดทํ า ขึ้น เพื่ อส ง เสริ ม ให คณาจารย นักวิชาการ และนักศึกษาไดเผยแพรผลงานทางวิชาการแกสาธารณชน อันจะเปนประโยชนตอการเพิ่มพูนองค ความรู และแนวปฏิ บั ติ อย า งมี ประสิ ท ธิ ภาพ ทั้ งนี้ ทางกองบรรณาธิ ก ารวารสาร อั ล -นู ร บั ณ ฑิ ตวิ ท ยาลั ย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา จึงไดกําหนดระเบียบการตีพิมพบทความดังกลาว ดังตอไปนี้ ขอ ที่ 1 บทความที่ มี ความประสงคจ ะลงตี พิม พ ในวารสาร อัล -นู ร บั ณฑิ ต วิท ยาลั ย มหาวิ ท ยาลั ย อิสลามยะลา ตองเปนบทความใหม ไมคัดลอกจากบทความอื่นๆ และเปนบทความที่ไมเคยตีพิมพในวารสารอื่น มากอน ขอที่ 2 ประเภทบทความวิชาการและบทความวิจัย ในสวนบทความวิจัยนั้น ผูที่มีความประสงคจะลง ตีพิมพในวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา บทความนั้นตองไดรับความเห็นชอบจาก อาจารยที่ปรึกษา ข อ ที่ 3 บทความดั ง กล า วต อ งชี้ แ จงให กั บ กองบรรณาธิ ก ารวารสาร อั ล -นู ร บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา เพื่อพิจารณา สรรหาผูทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความ ขอที่ 4 ผูทรงคุณวุฒิประเมินบทความ ตองมีสาขาชํานาญการที่เกี่ยวของกับหัวขอบทความที่จะลง ตีพิมพในวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ขอที่ 5 การประเมินบทความวิชาการตองประกอบไปดวยผูทรงคุณวุฒิอยางนอยหนึ่งทาน และตองมี คุณวุฒิในระดับปริญญาเอก หรือเทียบเทา หรือเปนผูดํารงตําแหนงทางวิชาการระดับผูชวยศาสตราจารยขึ้นไป ในสาขาชํานาญการนั้น หรือสาขาวิชาที่สัมพันธกัน หรือเปนผูที่มีประสบการณในดานวิชาการการศึกษาหรือการ ทําวิจัย ซึ่งเปนที่ยอมรับในสังคมาการศึกษา ขอที่ 6 ทัศนะและขอคิดเห็นใดๆ ที่ปรากฏในวารสาร อัล -นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลาม ยะลา ถือเปนความคิดเห็นสวนตัวของผูเขียนแตละทาน ทางกองบรรณาธิการเปดเสรีดานความคิด และไมถือวา เปนความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
การเตรียมตนฉบับสําหรับการเขียนบทความวิชาการ หรือบทความวิจัย ในวารสาร อัลนูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา 1. วารสาร อัล-นูร เปนวารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ไดจัดพิมพ ปละ 2 ฉบับ 2. บทความที่จะลงตีพิมพในวารสาร อัล-นูร จะตองจัดสงในรูปแบบไฟล และสําเนา ตามที่อยูดังนี้ กองบรรณาธิการวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา 135/8 ม. 3 ต. เขาตูม อ. เมือง จ. ปตตานี 94160 / ตูปณ. 142 อ.เมือง จ.ยะลา 95000 โทร: 073-418610-4 ตอ 124 แฟกซ: 073-418615-16 3. บทความวิ ช าการสามารถเขี ย นได ใ นภาษา มลายู (รู มี / ยาวี ) , อาหรั บ , อั ง กฤษ, หรื อ ภาษาไทย และ บทความตองไมเกิน 12 หนา 4. แตละบทความตองมี บทคัดยอภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทคัดยอตองมีจํานวนคํา ประมาณ 200-250 คํา
5. บทความภาษามลายู ตองยึดหลัดตามพจนานุกรมภาษามลายู ที่ไดรับรองและยอมรับจากสถาบันศูนยภาษา ประเทศมาเลเซีย 6. บทความดั งกลา วตอ งเปนบทความใหม ไมคัดลอกจากบทความอื่ นๆ และเปนบทความที่ไ มเ คยตี พิม พใ น วารสารอื่นมากอน 7. การเขียนบทความตองคํานึงถึงรูปแบบดังนี้ 7.1 บทความภาษาไทย พิมพดวยอักษร TH Niramit AS ขนาด 14 7.2 บทความภาษาอาหรับ พิมพดวยอักษร Arabic Traditional ขนาด 16 7.3 บทความภาษามลายูยาวี พิมพดวยอักษร Adnan Jawi Traditional ขนาด 16 7.4 บทความภาษามลายูรูมี พิมพดวยอักษร TH Niramit AS ขนาด 14 7.5 บทความภาษาอังกฤษ พิมพดวยอักษร TH Niramit AS ขนาด 14 8. ใชฟรอนท Arial Narrow Transliterasi สําหรับชื่อและศัพทที่เปนภาษาอาหรับ ที่เขียนดวยอัขระ รูมี ตามที่ บัณฑิตวิทยาลัยไดใช หากบทความนั้นไดเขียนดวยภาษาไทย มลายูรูมี และ ภาษาอังกฤษ
รายละเอียดอื่นๆ 1. ตาราง รูปภาพ และแผนภูมิ ควรคัดเลือกเฉพาะที่สําคัญ และตองแยกออกจากเนื้อเรื่องหนาละรายการ 2. ในสวนของเอกสารอางอิงใหใชคําวา บรรณานุกรม 3. สําหรับชื่อหนังสือใหใชเปนตัวหนา (B) 4. ในสวนของอายะฮฺอัลกุรอานใหใสวงเล็บปด-เปด ﴾.....﴿ และสําหรับอายะฮฺอัลกุรอานที่มากกวาหนึ่งบรรทัด ใหจัดอยูในแนวเดียวกัน 5. ในสวนของฮาดีษใหใสเครื่องหมายคําพูด "......" และสําหรับอัลฮาดีษที่มากกวาหนึ่งบรรทัดใหจัดอยูในแนว เดียวกัน 6. ในสวนของคําพูดบรรดาอุลามาอฺหรือนักวิชาการไมตองใสเครื่องหมายใดๆ 7. ใหจัดลําดับบรรณานุกรมเปนไปตามลําดับภาษาของบทความนั้นๆ 8. ใหใชอางอิงอายะฮฺอัลกุรอานดังนี้ อัลบะเกาะเราะห, 2: 200 9. ใชคําวาบันทึกโดย แทนคําวารายงานโดย ตัวอยาง (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย เลขที่: 213) 10. และการเรียงลําดับในการอางอิงหนังสือดังนี้ ชื่อผูแตง. ปที่พิมพ. ชื่อหนังสือ. ชื่อผูแปล. สถานที่พิมพ. สํานักพิมพ. 11. ใหใสวุฒิการศึกษาเจาของบทความ ที่ปรึกษา ที่ปรึกษารวมสําหรับในสวนของบทความวิจัย ใน Foot Note ของหนาบทยอทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มุฮําหมัดซากี เจะหะ* (สําหรับหนาภาษาไทย) Muhaammadzakee Cheha* (สําหรับหนาภาษาอังกฤษ) *ดร. (หลักนิติศาสตร) ผูชวยศาสตราจารย, อาจารยประจําสาขาวิชาชะรีอะฮฺ คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
* Asst. Prof. Ph.D. (in Law) อาจารยประจําสาขาวิชาชะรีอะฮฺ คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
บทความทั่วไปและบทความวิจัย 1.ชื่อเรื่อง 2.ผูแตง 3.บทคัดยอ 4.คําสําคัญ 5.บทนํา 6.เนื้อหา (วิธีดําเนินการวิจัยสําหรับบทความวิจัย) 7.บทสรุป (สรุปผลและอภิปรายผลการวิจัยสําหรับบทความวิจัย) 8.บรรณานุกรม
บทวิพาทษหนังสือ/Book Review 1.หัวขอที่วิพาทษ 2.ชื่อผูวิพาทษ หรือผูรวมวิพาทษ (ถามี) 3.เนื้อหาการวิพาทษหนังสือ 4.ขอมูลทางบรรณานุกรม
การอางอิงในบทความ มีดังนี้ 1.ตัวอยางการอางอัลกุรอานในบทความ: Zอายะฮฺ อัลกุรอาน…………………………….……………………………[ (อัล-บะเกาะเราะห, 73: 20). 2.ตัวอยางการอางหะดีษในบทความ: “บทหะดีษ……………………………………………………………………..” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย , หะดีษเลขที่: 2585) ตัวอยางการเขียนบรรณานุกรม: Ibn Qudamah, cAbdullah bin Ahmad. 1994. al-Mughni. Beirut: Dar al-Fikr. Ahmad Fathy. 2001. Ulama Besar Dari Patani. Bangi: Penerbit Universiti Kebangsaan Malaysia. Mohd. Lazim Lawee. 2004. Penyelewengan Jemaah Al-Arqam dan Usaha Pemurniannya. Bangi: Penerbit Universiti Kebangsaan Malaysia. นิเลาะ แวอุเ ซ็ง และคณะ. 2550. การจัด การศึ กษาโรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิส ลามในสามจังหวั ด ชายแดนภาคใต. วิทยาลัยอิสลามศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทรวิทยาเขตปตตานี
แบบเสนอตนฉบับเพื่อลงตีพิมพ ในวารสาร อัล-นูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ขาพเจา (นาย/นาง/นางสาว................................................................................................. ชื่อเรื่องตามภาษาที่เขียนบทความ....................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... ชื่อเรื่องภาษาไทย:……………….…………………………………………………………………………………………………. .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ:…………………………….………………………………………………………………………………. .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... ชื่อ-สกุลผูแ ตงหลัก: (1) ชื่อภาษาไทย…………..….……………………………..………………………………. (2) ชื่อภาษาอังกฤษ....................................................................... ที่อยู: ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………..……… เบอรโทรศัพท:……………………………………….………………………………………………………………………………. เบอรโทรสาร:…………………………………………………………………………………………………………………………. E-mail address:………………………….…………………………………………………………………………………………. ชื่อ-สกุลผูแ ตงรวม(1) ชื่อภาษาไทย..……………………………………………….……………………………………. ชื่อภาษาอังกฤษ................................................................................ (2) ชื่อภาษาไทย..……………………………………………….……………………………………. ชื่อภาษาอังกฤษ................................................................................ (3) ชื่อภาษาไทย..……………………………………………………………………….……………. ชื่อภาษาอังกฤษ................................................................................ ระบุประเภทของตนฉบับ บทความวิชาการ (Article) บทความวิจัย (Research) บทความปริทรรศน (Review Article) บทวิพาทยหนังสือ (Book Review) ลงชื่อ…………………………………………………… ( ) วันที.่ ...................................................
http://www.tci-thaijo.org/index.php/NUR_YIU/issue/archive
ความเป็นไปได้ในการจัดตัง้ ศาลชะรีอะฮฺในประเทศไทย อับดุลฮาลิม ไซซิง, มุฮําหมัดซากี เจ๊ะหะ, ฆอซาลี เบ็ญหมัด, ดานียา เจ๊ะสนิ, อาหมัด อัลฟารีตีย์, รอซีดะห์ หะนะกาแม ................................................................................ 1-13 พัฒนาหลักสูตรตาดีกาที่คงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของตาดีกาดัง้ เดิม อิบรอฮีม ณรงค์รักษาเขต, สุกรี หลังปูเต๊ะ, กาเดร์ สะอะ ................................................................................15-28 การควบคุมแนวคิดทางศาสนาที่บดิ เบือนในรัฐกลันตันกรณีศึกษา การควบคุมดูแลกลุ่มแนวคิดอัลนักชาบันดีย์ อิบรอเฮม สือแม, อิสมาแอ สะอิ, มาหะมะสอเระ ยือโร๊ะ................................................................................ 29-39 ตัครีจญ์หะดีษเฉพาะความหมายภาษาไทยในหนังสือคุณค่าของอะมาล ของ ชัยคุลหะดีษ เมาลานา มุฮัมมัด ซะกะรียา เชาวน์ฤทธิ์ เรืองปราชญ์, อับดุลเลาะ การีนา .................................................................................................. 41-57 Action Research (AR): Preparation to Quality Criteria Ismail Raob ................................................................................................................................................... 59-67 คุณธรรม จริยธรรมในการดําเนินชีวิตตามหลักคําสอนศาสนาอิสลาม ของนักเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดปัตตานี มูหัมมัดรุสลี ดามาเล๊าะ ................................................................................................................................. 69-86 Pergrakan Dakwah Rasulullah Noorodin Abdulloh Dagorha .........................................................................................................................87-104 บริการส่งต่อผูป้ ่วยของหน่วยบริการปฐมภูมิบนเกาะแห่งหนึ่งในจังหวัดกระบี่ ทิพวรรณ หนูทอง, เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย, สาวิตรี ลิ้มชัยอรุณเรือง ............................................................. 105-117 กลยุทธ์การจัดการบริษทั ฮัจย์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จิราพร เปี้ยสินธุ, อําพร วิริยะโกศล, วิทวัส ดิษยะศริน สัตยารักษ์ ............................................................... 119-133 ประเมินผลการดําเนินการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลตามเกณฑ์มาตรฐานโรงพยาบาล และบริการสุขภาพฉบับเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี กรณีศึกษาโรงพยาบาลจะแนะ จังหวัดนราธิวาส นุรอาซีมะห์ ปะกาสาแล๊ะ, เรวดี กระโหมวงศ์, เมธี ดิสวัสดิ์ ......................................................................... 135-146 Book Review / วิพากษ์หนังสือ บทบาทของอิหม่ามในการพัฒนาท้องถิ่น: กรณีศึกษาจังหวัดปัตตานี อานุวา มะแซ, แวยูโซะ สิเดะ ...................................................................................................................... 147-150