All Around Me
+ เรือ่ ง สฤณี อาชวานันทกุล
วิธแบบเท็ คี ดิ ด
ตอนที่โซเชียลมีเดียเริ่มฮิตใหม่ๆ (ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ก่ีปีมานี้เอง) หลายคนเกิดอาการ “เห่อ” เทคโนโลยี เชือ่ ว่าการทีค่ นจำ�นวนมากได้เข้าถึง และสือ่ สารกันเองผ่านเน็ตจะนำ�มาแต่สง่ิ ดีๆ ในชีวติ ใครอยากรูอ้ ะไร ก็ถามวิกพิ เี ดียกับกูเกิลได้ ไม่เห็นต้องไปค้นคว้าหาอ่านหนังสือให้เสียเวลา อย่างไรก็ดี พอของใหม่กลายเป็นของเก่า เราก็เริม่ มองเห็นสีซดี เทา ของมัน ค่อยๆ ตระหนักว่าอินเทอร์เน็ตกับโซเชียลมีเดียอาจไม่ได้ท�ำให้ เราและสังคมของเราฉลาดและใจกว้างกว่าเดิมโดยอัตโนมัติ เผลอๆ อาจ มีสว่ นท�ำให้เราโง่ลงและใจแคบกว่าเดิมด้วยซำ�้ ถ้าไม่ตงั้ สติให้ดี อูแมร์ เฮก (Umair Haque) อาจารย์และนักเขียนประจำ�วารสาร ฮาร์วาร์ด บิสซิเนส รีววิ (Harvard Business Review) แสดงทัศนะใน บทความเรือ่ ง “Let’s Save Great Ideas from the Ideas Industry” ว่า วันนีเ้ รากำ�ลังถูกครอบงำ�ด้วย “วิธคี ดิ แบบเท็ด” (TED thinking) คำ�ว่า “เท็ด” มาจากชือ่ งานถ่ายทอดความคิดชือ่ ดัง ผูพ้ ดู มีเวลาเพียง 18 นาที เท่านัน้ ทีจ่ ะสรุปความคิดของเขา (ดูออนไลน์ได้จาก www.ted.com) เฮกอธิบายว่า “วิธคี ดิ แบบเท็ด” สามารถแก้ปญั หาทีซ่ บั ซ้อนได้อย่าง รวดเร็วและราคาถูกด้วยส่วนผสมระหว่างเทคโนโลยี การศึกษา และดีไซน์ ซึง่ เชือ่ ว่าส่วนผสมนีจ้ ะแก้ปญั หาได้ทกุ อย่าง แทบไม่ให้ความสำ�คัญกับ สถาบันต่างๆ และสังคมเลย กลายเป็นว่าเรามอง “ทางออก” เหล่านีว้ า่ เป็นความคิดเพียงแบบเดียวที่ “มีคา่ ควรกระจาย” (สโลแกนของงาน TED) เฮกบอกว่าวิธคี ดิ แบบนีห้ ลงประเด็นและมองไม่เห็นพลังของความคิด เขายกตัวอย่างสมการ E=MC2 ของไอน์สไตน์วา่ ไม่ใช่ “ทางออก” แต่เป็น ทฤษฎี ซึง่ การอธิบายทฤษฎีนก้ี น็ �ำ ไปสูป่ ริศนาและคำ�ถามอืน่ ๆ ตามมา E=MC2 ไม่ได้เสนอ “วิธปี ระยุกต์ใช้” ใน “โลกจริง” ใดๆ ทีง่ า่ ยดาย เหมือนเปิดกระป๋อง แต่มนั ท้าทายให้เราจินตนาการใหม่วา่ “โลกจริง” คืออะไร ทฤษฎีนข้ี องไอน์สไตน์เข้าข่าย “ความคิดทีย่ ง่ิ ใหญ่” เพราะมัน ส่งมอบสิง่ ทีใ่ หญ่กว่า อยูย่ ง้ั ยืนยงกว่า และสำ�คัญกว่า “ทางออก” (ซึง่ อย่างหลังทำ�ให้รสู้ กึ ว่าใครๆ ก็น�ำ ไปใช้ได้ทนั ที) ในสายตาของวิธีคิดแบบเท็ด ทฤษฎีสัมพัทธภาพมีคุณค่าเพียง น้อยนิด ถ้าไอน์สไตน์คน้ พบทฤษฎีในยุคนีแ้ ละได้รบั เชิญให้ไปพูดเรือ่ ง E=MC2 ทีง่ าน TED คนฟังคงสงสัยว่า “อ้าว แล้วประเด็นอยูต่ รงไหน? เราใช้เจ้านีท่ �ำ อะไรได้บา้ ง? ปีหน้าเราจะทำ�เงินมหาศาลจากมันได้ยงั ไง?” เมื่อ ใดก็ ต ามที่เ ราลดทอนความคิ ด ลงมาเหลื อ เพี ย งความท้ า ทาย ทางวิศวกรรม จุดสนใจก็ยอ่ มย้ายมาอยูท่ ป่ี ระโยชน์ระยะสัน้ ในโลกจริง เราเน้นว่าจะใช้มนั ทำ�อะไรได้บา้ งโดยไม่เคยหยุดตัง้ คำ�ถามกับสมมติฐาน ของเรา แต่ความคิดทีย่ ง่ิ ใหญ่ไม่ได้กอ้ งกังวานเพราะมันมี “ประโยชน์” ในโลกจริง – มันยิ่งใหญ่เพราะมันท้าทายให้เรานิยามความจริงของ โลกใหม่ นิยาม “ประโยชน์” ของตัวเราใหม่ เฮกสรุปว่า ความคิดทีย่ ง่ิ ใหญ่ไม่ได้เป็นแค่ “ทางออก” แต่แท้จริง หลายความคิดเป็นปัญหาที่ท้าทายให้ขบคิด ตอนนี้เราตกกับดักทาง
กับนกแก้ววิกิ
ทุกวันนีก้ ารตืน่ มาเช็กเฟซบุก๊ อีเมล อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และ อีกสารพัดสารพันแอพได้กลายเป็น วิถีชีวิตของคนไทยหลายล้านคนไปแล้ว ผู้เขียนก็ ไม่เว้น วันไหนเข้าเน็ตไม่ได้ก็รู้สึก ตะหงิดๆ ว่ากำ�ลังตามไม่ทนั โลก ทัง้ ทีโ่ ลกก็ยงั หมุนด้วยความเร็วเท่าเดิม และรอบตัวเราก็มี เรื่องราวน่าสนใจมากมายไม่แพ้โลกในจอ
28
TRUST Magazine
ความคิดที่ว่า ทุกอย่างรวมทั้งความคิดที่ย่ิงใหญ่สามารถนำ�มาย่อย ให้งา่ ย ตัดตอนเป็นก้อน “อินโฟเทนเม้นต์” (บันเทิง+การศึกษา) ทีเ่ สพได้ อย่างสะดวกสบายพอดีค�ำ ไม่วา่ จะเป็นการพูด 18 นาที โพสต์ความยาว 800 คำ�บนบล็อก หรือคำ�คมยาว 140 ตัวอักษรในทวิตเตอร์ แต่เราทำ�อย่างนั้นกับความคิดที่ย่ิงใหญ่ได้จริงหรือ? ยกตัวอย่าง แบบไทยๆ คือ ถ้าพระพุทธเจ้าทรงทำ�แค่ยอ่ ยโอวาทปาติโมกข์มาเป็น บทความ 1,000 คำ�บนบล็อก หรือแอนิเมชัน่ ยาว 5 นาทีเพือ่ ให้เผยแพร่ กันง่ายๆ ป่านนีค้ งมีนอ้ ยคนทีจ่ ะ “เก็ต” และศาสนาพุทธอย่างมากก็คง เป็นแค่ลทั ธิการตลาดผิวเผินทีอ่ าจมีสาวกเป็นสิบๆ ล้าน แต่นพิ พานอยู่ ไกลเกินเอือ้ มไม่วา่ จะชาตินห้ี รือชาติหน้า เฮกมองว่าวิธีคิดแบบเท็ดนั้นอันตราย เพราะมันให้ความสำ�คัญ กับการสรุปและย่อยความคิดให้เข้าใจง่าย ลดทอนความสำ�คัญของ ประสบการณ์ การศึกษา และการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical thinking) ซึง่ ล้วนแต่จ�ำ เป็นต่อการผลิตสร้างความคิดใหม่ๆ โดยเฉพาะความคิดที่ ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ เขาบอกว่าเราทุกคนจะใช้ชีวิตยุคดิจิตอลไปกับการ
ฟังปัญญาสำ�เร็จรูปจากกูรแู ละ “กูร”ู้ ทัง้ หลายก็ได้ ในแง่นว้ี ธิ คี ดิ แบบ เท็ดคล้ายกับการออกเดตคืนเดียว คือสนุกเร้าใจและบางครั้งก็อาจนำ� ไปสู่ความสัมพันธ์ระยะสั้น แต่มันไม่ใช่ความรักอันสูงส่งที่จะเปลี่ยน ชีวติ เราอย่างสิน้ เชิง เฮกกังวลว่ายิง่ วิธคี ดิ แบบเท็ดแพร่หลาย เราทุกคนจะมีโอกาสสร้าง ความคิดทีเ่ จ๋งจริงๆ น้อยลง ถึงแม้วา่ การแปลงความคิดทีส่ ลับซับซ้อน ให้เข้าใจง่ายจะเป็นเรื่องสำ�คัญ การคิดเชิงวิพากษ์ก็เรียกร้องให้เราไม่ เพลิดเพลินไปกับการรับสารทางเดียว แต่ต้องใช้สมองประลองกำ�ลัง ตัง้ คำ�ถาม โต้ตอบ และท้าทายสารต่างๆ ทีเ่ ราเสพตลอดเวลา รวมทัง้ ความคิดกระป๋องย่อยง่ายทัง้ หลายด้วย อ่านบทความของเฮกจบแล้วผูเ้ ขียนก็นกึ ถึงนักศึกษาไทยสมัยนีท้ นั ที เวลาที่ผู้เขียนไปสอนหนังสือจะเห็นนักศึกษาพรีเซ้นท์งานด้วยการ ตัดตอนบทความบนวิกพิ เี ดีย หรือเว็บไซต์อะไรสักอย่างทีค่ น้ เจอในกูเกิล โดยทีไ่ ม่มคี วามเข้าใจในข้อมูลนัน้ เลย ซำ�้ ร้ายหลายครัง้ ยังเอาข้อมูลมา จับแพะชนแกะ โดยทีอ่ ธิบายความส�ำคัญและความสัมพันธ์ของข้อมูล เหล่านัน้ ไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น แสดงกราฟอัตราส่วนทางการเงินสวยงาม แต่พอถาม ว่าอัตราส่วนตัวนีค้ �ำ นวณมาอย่างไร มันแสดงฐานะทางการเงินด้านไหน ความสามารถในการทำ�กำ�ไร? เสถียรภาพทางการเงิน? สภาพคล่อง? นักศึกษาก็ตอบไม่ได้ (เพราะเว็บทีล่ อกมามันไม่ได้บอก) พูดง่ายๆ คือ “เจ๊วกิ ”ิ กับ “ป๋ากูเกิล” บอกอะไรก็เชือ่ ไปตามนัน้ ไม่ตง้ั คำ�ถามถึงความหมายของข้อมูลทีข่ ดั แย้งหรือไม่สมั พันธ์กนั ผูเ้ ขียน เรียกวิธที �ำ งานแบบนีว้ า่ “นกแก้ววิก”ิ คือสักแต่ลอกเขามาเหมือนนกแก้ว นกขุนทอง แต่ไม่สามารถคิดวิเคราะห์และเชือ่ มโยงเพือ่ แปลง “ข้อมูล” ให้กลายเป็น “ความรู”้ และ “ความเข้าใจ” ได้เลย ปรากฏการณ์ วิ ธี คิ ด แบบเท็ ด กั บ นกแก้ ว วิ กิ ช้ี ใ ห้ เ ห็ น ว่ า ถึ ง แม้ อิ นเทอร์ เน็ต จะเป็ นขุ มทรั พย์ท างปั ญญาชนิ ดที่ไม่ เคยมี ม าก่ อนใน ประวัตศิ าสตร์มนุษยชาติ ลำ�พังการเสพข้อมูลข่าวสารจากอินเทอร์เน็ต ไม่อาจทำ�ให้เราฉลาดขึน้ โดยอัตโนมัติ เพราะถึงทีส่ ดุ แล้วไม่วา่ ข้อมูลจะท่วมท้นเพียงใด เราทุกคนต้องฝึก “คิดเอง” ถึงจะ “คิดเป็น” สฤณี อาชวานันทกุล
นักเขียน นักแปล และนักวิจัยอิสระ อดีตวาณิชธนกร มีผลงานเขียนและแปล กว่า 45 เล่ม อาทิ “ทุนนิยมมีชีวิต ธุรกิจมีหัวใจ” “รอยเลือ่ นเขย่าเศรษฐกิจโลก” (แปลจาก Fault Lines โดย Raghuram Rajan) และ “ผู้หญิงกลิ้งโลก” 29
TRUST Magazine