ทฤษฎีป ฏิว ต ั ถ ิ าวร แนะนำา ทฤษฎีป ฏิว ต ั ิถ าวรของ ลีอ อน ตรอทสกี
โดย ใจ อึ๊ ง ภากรณ์ ในช ่ ว งแรกๆ ของยุ คทุ นนิ ย ม นั กปฏิ วั ติ ม าร์ ค ซ ิ ส ต์ (รวมทั ้ งมาร์ ค ซ ์ และเอง เกิ ล ส ์ เ อง) คิ ด ว่ า ชนชั ้ น นายทุ น จะเป็ นแนวร่ ว มกั บ ชนช ั ้ น กรรมาช ี พ ในการล ม ้ ระบบล า้ หลั งแบบขุ นนางที่ ยั งตกค า้ งอยู่ ในประเทศต่ างๆ ของยุ โรป เช ่ นเยอรมั น แต่ หลั ง จ า ก ค ว า ม ล ้ม เ ห ล ว ข อ ง ก า ร ป ฏิ วั ติ ทั่ ยุ โ ร ป ใ น ปี 1848 ค ว า ม ขี้ ข ล า ด แ ล ะ จุ ด ยื น ปฏิ ก ิ ร ิ ย าอนุ รั กษ์ นิ ย มของชนช ั ้ น นายทุ น ก็ ปรากฏให เ้ ห็ นช ั ด การปฏิ วั ติ ฝ รั่ งเศสในปี 1789 เป็ นการปฏิ วั ติ ค รั ้ งสุ ดท า้ ยของชนช ั ้ นนายทุ นที่ มี ความก า้ วหน ้า เพราะหลั ง จากนั ้ นชนชั ้ นนายทุ นจะกลั วชนช ั ้ นกรรมาช ี พ ซ ึ่ งเป็ นชนชั ้ นใหม่ ที่ เกิ ด ขึ้ นในระบบ ทุ น นิ ย ม มากกว่ าความเกลี ย ดช ั งที่ นายทุ น มี ต่ อ ขุ นนางเก่ า ฉะนั ้ นชนชั ้ นนายทุ นจะ ไม่ สนั บสนุ นการปฏิ วั ติ ใ ดๆที่ อาจก่ อ ให เ้ กิ ด การปลุ ก ระดมชนช ั ้ น กรรมาช ี พ อย่ างเด็ ด ขาด มาร์ ค ซ ์ จ ึ ง สรุ ปว่ าหลั งจากปี 1848 เป็ นต น ้ ไปชนชั ้ น กรรมาช ี พ จะต อ ้ งเป็ นผู ้นำา การปฏิ วั ติ เ ปลี่ ยนแปลงส ั ง คมเองโดยไม่ ห วั งอะไรจากนายทุ น แต่ การปฏิ วั ติ ใ นขั ้ นตอนแรกควรจะนำ า ไปสู ่ สั งคมแบบไหน ? ประชาธิ ป ไตย ทุ น นิ ย ม(เผด็ จการของชนชั ้ น นายทุ น ) หรื อ ประชาธิ ป ไตยสั งคมนิ ย ม(เผด็ จการของ ชนชั ้ น กรรมาช ี พ )? ม า ร์ ค ซ ์ มี ค ว า ม เ ห็ น ว่ า ใ น เ มื่ อ ช น ช ั ้ น ก ร ร ม า ช ี พ นำ า แ ล ะ ทำา ก า ร ป ฏิ วั ติ เ อ ง กรรมาช ี พ ไม่ น่ าจะหยุ ด อยู่ แค่ ขั ้ น ตอนทุ น นิ ย มประชาธิ ป ไตยที่ ตนเองยั งอยู่ ในสภาพ ที่ ถู ก กดขี่ ขู ด รี ด ต่ อ ไป แต่ ค วรจะเช ื่ อมโยงการปฏิ วั ติ ป ระชาธิ ป ไตยทุ น นิ ย มให เ้ ลยไป ถึ ง การปฏิ วั ติ สั ง คม นิ ยม “อย่ างถาวร ” ฉะ นั ้ นใน ปี 1850 มาร์ คซ ์ เ สนอว่ าช นชั ้ น ก ร ร ม า ช ี พ เ ย อ ร มั น จ ะ ต ้อ ง ไ ม่ ป ร ะ นี ป ร ะ น อ ม กั บ แ น ว ค ว า ม คิ ด ข อ ง ช น ช ั ้ น น า ย ทุ น เสรี น ิ ย มหรื อ ปั ญญาชนที่ เป็ นชนช ั ้ น นายทุ น น อ ้ ยอี ก ต่ อ ไป: “ในขณะที่ นายทุ นน ้อ ยต อ ้ งการยั บยั ้ งการปฏิ วั ติ ใ ห จ ้ บส ิ้ นโดยเร็ วที่ สุ ด ผล ประโยชน์ ของเราตรงกั นข า้ ม เราต อ ้ งการและมี ภ าระหน ้า ที่ ที่ จะเคลื่ อนไหวต่ อสู ้ เพื่ อการปฏิ วั ติ ท ี่ ทำา ลายอำา นาจปกครองของชนช ั ้ นผู ้ ถ ื อกรรมส ิ ท ธิ์ ทั ้ งหลาย และ สถาปนาอำา นาจรั ฐภายใต ช ้ นช ั ้ น กรรมาช ี พ อย่ า งถาวร สาำ หรั บเรา เราจะ ไม่ พ อใจ ในการปรั บเปลี่ ยนรู ป แบบของทรั พย์ ส ิ น เอกชน เราต อ ้ งทำา ลายมั น เราจะไม่ พ อใจใน การไกล่ เกลี่ ยความขั ดแย ง้ ทางชนช ั ้ น เราต อ ้ งทำา ลายระบบชนช ั ้ น และ เราจะไม่ หวั งปรั บปรุ ง สั ง คมที่ มี อ ยู่ แต่ ต อ ้ งสร า้ งสั ง คมใหม่ .... 1
เป็ นที่ ปรากฏอย่ างชั ดเจน อยู่ แล ว้ ว่ าใ นก าร ต่ อ สู ้ น อง เลื อ ดใ นวั น ข า้ ง หน ้า เห มื อน กร ณี ก า ร ต่ อ สู ้ ท ี่ แ ล ้ว ม า ชนชั ้ นก รร มา ช ี พจะ ต ้อ ง เป็ น ช น ชั ้ น หลั ก ที่ สู ้ เ พื่ อ ชั ยชนะด ว้ ยความกล า้ หาญ ความมั่ นใจ และความเส ี ย สละ และในการต่ อสู ้ค รั ้ งนี้ ชนชั ้ น นายทุ น น อ ้ ยจะลั งเลใจและหยุ ดนิ่ งนานที่ สุ ด ที่ จะนานได ต ้ ามเคย แต่ พ อการ ต่ อ สู ้เ กิ ด ขึ้ นอย่ างจริ ง ๆ จั งๆ เขาจะคว า้ ชั ยชนะมาเป็ นของเขาเองและเรี ย กร อ ้ งให ้ ชนชั ้ น กรรมาช ี พ รั กษาความสงบและกลั บ ไปทำา งาน เขาจะพยายามห า้ มมาตรการสุ ด ขั ้ ว และยั บยั ้ ง ไม่ ใ ห ก ้ รรมาช ี พ ได ร้ ั บผลประโยชน์ จ ากช ั ย ชนะ ... ชนชั ้ นกรรมาช ี พ เท่ านั ้ นที่ จะเป็ นผู ้ต่ อสู ้อ ย่ างถึ ง ที่ สุ ดกั บทุ นนิ ยม จนได ร้ ั บ ชั ยชนะ... และส ิ่ งนี้ จะเกิ ด ขึ้ นได ต ้ ่ อเมื่ อชนช ั ้ นกรรมาช ี พ เข า้ ใจผลประโยชน์ ของ ชนชั ้ น ตั วเองอย่ างชั ดเจน สร า้ งพรรคการเมื อ งอิ ส ระของกรรมาช ี พ เอง และไม่ ห ลง เช ื่ อคำา แนะนำ า จากพวกนายทุ นน อ ้ ยประชาธิ ป ไตยสองหน า้ ที่ เสนอว่ า กรรมาช ี พ ไม่ ตอ ้ งมี พรรคของตนเอง ... คำา ขวั ญของกรรมาช ี พ จะต อ ้ งเป็ น ‘ปฏิ ว ัต ิ ใ ห้ ถ าวรไป เลย!’ ” ‘ปฏิว ต ั ิใ ห้ ถ าวรไปเลย!’ Marx, K & Engels, F (1981) “Collected Works Vol X” pp 280-287, London. กรรมาช ี พ ไทยหลายคนเวลาอ่ า นข อ ้ เขี ย นข า้ งบนของมาร์ ค ซ ์ ค งจะนึ ก ถึ ง การ ้ องกรรมาช ี พ เมื่ อ ๑๔ ตุ ล าคม ๒๕๑๖ และ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ต่ อ สู ข ก่ อนการปฏิ วั ติ รั สเซ ี ย ในปี 1917 เลนิ น ซ ึ่ งเป็ นหนึ่ งในผู ้นำา การปฏิ วั ติ ได ้ เคยมี จุ ดยื น (ที่ เขี ย นในหนั งส ื อ “สองยุ ทธวิ ธ ี ข องส ัง คมนิ ย มประชาธิ ป ไตย ”) ว่ าการปฏิ วั ติ ท ี่ กำา ลั งจะเกิ ด ต อ ้ งนำ า โดยชนช ั ้ นกรรมาช ี พ ที่ ทำา แนวร่ วมกั บชาวนา แต่ ในขั ้ นตอนแรก เนื่ องจากความล า้ หลั งของประเทศรั สเซ ี ย ที่ มี ช าวนา 130 ล า้ นคน เมื่ อเที ยบกั บกร รม า ช ี พแ ค่ 3 ล า้ น คน กา รปฏิ วั ติ จ ะ สถ า ปน า ระ บบประ ช า ธิ ป ไ ตย ทุ น นิ ย ม ก่ อ น แ ล ้ ว ค่ อ ย ทำา ก า ร ป ฏิ วั ติ ไ ป สู่ สั ง ค ม นิ ย ม ใ น ภ า ย ห ลั ง แ ต่ ใ น “วิ ท ยานิ พ นธ์ เมษายน 1917” ของเลนิ น เลนิ นเปลี่ ยนใจเสนอว่ าการปฏิ วั ติ ท ี่ กำา ลั งจะเกิ ด ขึ้ นต อ ้ งนำ า ไปสู่ ขั ้ น ตอนของสั งคมนิ ย มทั นที ซ ึ่ ง ตรงกั บ ส ิ่ ง ที่ เกิ ด ขึ้ นจริ ง ในเดื อ นตุ ล าคม 1917 ฉะนั ้ นจะเห็ นได ว้ ่ าเลนิ น หั นมาสนั บสนุ นจุ ดยื น “การปฏิ ว ต ั ิ ถาวร” ของมาร์ ค ซ ์ ท ี่ เคยเสนอในปี 1850 ส่ ว นผู ้นำา การปฏิ วั ติ รั สเซ ี ย คนสำา คั ญ อี ก คนที่ เป็ นเพื่ อนร่ ว มงานอย่ า งสนิ ท ของ เลนิ น คื อ ลี อ อน ตรอทสกี เขามี จุ ดยื น สนั บสนุ นการปฏิ วั ติ ถ าวรของมาร์ ค ซ ์ มา ตั ้ ง แต่ ปี 1906 ดั ง ที่ จะเห็ นในบทความช ิ้ น ต่ อ ไป ค ว า ม สำา คั ญ ข อ ง ท ฤ ษ ฎี ก า ร ป ฏิ วั ติ ถ า ว ร สำา ห รั บ สั ง ค ม ไ ท ย ใ น ปั จ จุ บั น คื อ สามารถอธิ บ ายได ว้ ่ าทำา ไมกรรมาช ี พ ไทยต่ อ สู ้ใ นเหตุ ก ารณ์ ๑๔ ตุ ล า และ พฤษภา ๓๕ แต่ ไ ม่ ไ ด ร้ ั บผลประโยชน์ ต อบแทนเท่ า ใดนั ก และที่ สำา คั ญ ยิ่ งกว่ า นั ้ น ทฤษฎี นี้ ช ี้ ให ช ้ นชั ้ นกรรมาช ี พ เห็ นว่ าในการต่ อสู ้ใ นอนาคต ชนชั ้ นกรรมาช ี พ จะต อ ้ งมี อ งค์ ก ร 2
และแนวความคิ ด ที่ เป็ นอิ ส ระจากแนวของชนช ั ้ นอื่ น และท า้ ยสุ ด ชนชั ้ น กรรมาช ี พ มี ภาระที่ จะต อ ้ งต่ อ สู เ้ พื่ อการปฏิ วั ติ ถ าวรที่ นำ า ไปสู่ ระบบสั ง คมนิ ย มอย่ า งไม่ ห ยุ ด ยั ้ ง ผลของการต่ อ สู ้แ บบหยุ ดยั ้ งอยู่ แค่ ขั ้ นตอนประชาธิ ป ไตยนายทุ นไม่ ได ช ้ ่ วย ให ม ้ ี ก ารหลี ก เลี่ ยงการนองเลื อ ดแต่ อ ย่ า งใด ตรงกั น ข า้ ม นั กปฏิ วั ติ ช าวฝรั่ งเศสที่ ช ื่ อ เซนต์ จั สด์ เคยตั ้ งข อ ้ สั งเกตว่ า “ผู ้ท ี่ ทำา การปฏิ วั ติ ค รึ่ งใบเป็ นผู ้ ท ี่ ฝั งศพตั วเอง ” เหตุ ก ารณ์ ทารุ ณและนองเลื อ ดในวั นที่ ๖ ตุ ล าคม ๒๕๑๙ ในประเทศไทย หรื อ การ ขึ้ นมามี อำา นาจของฮ ิ ต เลอร์ ใ นเยอรมั นหลั งความล ม ้ เหลวของการปฏิ วั ติ ก รรมาช ี พ เป็ นเครื่ องพิ สู จ น์ ค วามจริ ง ของข อ ้ สั ง เกตนี้ หลายคนที่ เคยใกล ช ้ ิ ด กั บพรรคคอมมิ ว นิ ส ต์ ไ ทย(พ.ค.ท.)ในอดี ต จะทราบดี ว่ า พ.ค .ท . ถื อน โ ย บา ยต า ม สต า ลิ น แ ละ เ ห ม า เ จ๋ อตุ ง ที่ เ สน อว่ า กา รป ฏิ วั ติ ใ น ประเทศไทยในขั ้ นตอนแรก จะต อ ้ งเป็ นการปฏิ วั ติ เ พื่ อประชาธิ ป ไตยทุ นนิ ยม และ ชนชั ้ น กรรมาช ี พ จะต อ ้ งสร า้ งแนวร่ วมและประนี ประนอมกั บชนช ั ้ น นายทุ น น อ ้ ย และ ชนชั ้ น นายทุ น ชาติ ปั จจุ บั น นี้ ยั งมี นั กเคลื่ อนไหวไม่ น อ ้ ยที่ เช ื่ อเรื่ องนี้ อยู่ โดยเฉพาะ คนเดื อ นตุ ลาที่ เข า้ ไปในพรรค ไทยรั กไทย การพิ สู จน์ ว่ าสายสตาลิ น -พ.ค.ท.ผิ ด พลาด ตั ้ ง อยู่ บนฐานความเป็ นจริ ง ในส ั งคมไทย เพราะเราต อ ้ งถามว่ านโยบายนี้ ให ้ อะไรกั บ กรรมาช ี พ ไทย? สตาลิ น เป็ นผู ้ท ี่ ขึ้ นมามี อำา นาจในรั สเซ ี ย บนซากศพของความล ม ้ เหลวในการ ปฏิ วั ติ ช นชั ้ น กรรมาช ี พ เขาเป็ นตั วแทนของชนช ั ้ น ข า้ ราชการที่ ต อ ้ งการสร า้ งรั สเซ ี ย ให เ้ ป็ นใหญ่ โ ดยการขู ด รี ด กดขี่ แรงงานและชาวนา ฉะนั ้ นเป็ นเรื่ องธรรมดา ที่ สตาลิ นพยายามปกปิ ดความคิ ด ของตรอทสกี ท ี่ พยายามทะนุ ถนอมแนวมาร์ ค ซ ิ ส ต์ ห ลั งจาก ที่ เลนิ น เส ี ย ช ี ว ิ ต ไป สตาลิ น จำา ต อ ้ งฆ่ าตรอทสกี แ ละลบใบหน ้า ของ ตรอทสกี อ อก จ า ก รู ป ถ่ า ย ต่ า ง ๆ ที่ ถ่ า ย ใ น ส มั ย ก า ร ป ฏิ วั ติ 1917 แ ล ะ พ .ค .ท .จำา ต ้อ ง ห ้า ม ไ ม่ ใ ห ้ สมาช ิ ก พรรคอ่ า นข อ ้ เขี ย นของตรอทสกี แต่ ณ บั ดนี้ พ.ค.ท.ไม่ มี ตั วตนเป็ นองค์ ก ร อี กแ ล ว้ และข อ ้ เขี ยน ของตรอทสกี บ างส ่ วน ก็ ได ถ ้ ู กนำ า มา แ ปลเ ป็ น ภา ษา ไ ทยใ ห ้ ชนชั ้ น กรรมาช ี พ ไทยอ่ า น
3
ิ ห้า ปี หล งั คอมมู น ปารีส : จาก 1871 ถึง 1. สามส บ 1906
โดย ลีอ อน ตรอทสกี ถ า้ พิ จา รณา สภ า พ สั ง ค ม เ รา เมื่ อ ไ ม่ กี่ ปี มา ก่ อ น อา จมอง ไ ด ว้ ่ า เร า ห่ า งจา ก ประเพณี ของคอมมู น ปารี ส มากกว่ า ประเทศอื่ นๆ ในยุ โ รปทุ ก ประเทศ แต่ ห ลั ง จากที่ เราผ่ านขั ้ นตอนแรกของการปฏิ วั ติ ซ ึ่ ง เป็ นการต่ อ สู ้ข องกรรมาช ี พ เพื่ อปฏิ วั ติ ถ าวร อย่ างไม่ หยุ ดชะงั ก สั งคมเราต อ ้ งเผช ิ ญ หน า้ กั บมรดกของคอมมู น 1871 โดยตรง มากกว่ า ชาติ อ ื่ นในยุ โ รป สำา หรั บเรา ประวั ติ ศ าสตร์ ข องคอมมู นไม่ ใช ่ เพี ยงบทหนึ่ งที่ ตื่ นเต น ้ ในการ ต่ อ สู ้เ พื่ อเสรี ภ าพในระดั บสากล และไม่ ใช ่ เ พี ย งตั วอย่ างของยุ ทธวิ ธ ี ห นึ่ ง แต่ เ ป็ น บทเรี ย นที่ มี ค วามสำา คั ญ กั บ สถานการณ์ ปั จจุ บั น โดยตรง 1. 1 ร ฐ ั และการต่ อ สู ้ เ พื่ อ ยึด อำา นาจ การปฏิ วั ติ คื อ การทดสอบพลั งระหว่ างชนช ั ้ นอย่ างเปิ ดเผย เพื่ อได ม ้ าซ ึ่ ง อำา นาจ มวลชนลุ ก สู ้เ นื่ องจากแรงกดดั น และผลประโยชน์ สำา คั ญพื้ นฐาน ซ ึ่ งส่ ว น ้ ทางและจุ ดหมายปลายทางของกระบวนการ . ใหญ่ จะไม่ มี ค วามเข า้ ใจเกี่ ยวกั บเส น ฝ่ ายหนึ่ งเขี ย น “กฎหมายและความยุ ต ิ ธ รรม” บนธงของตั วเอง อี ก ฝ่ ายเขี ย น “ควา มสงบเรี ย บร อ ้ ย”. “วี ร ชน” ของการปฏิ วั ติ จ ะอาศั ยจิ ต สำา นึ ก ใน “ภาระหน า้ ที่ ” หรื อ อาจหลงตั วเอง . พฤติ ก รรมของกองทั พถู กกำา หนดโดยวิ นั ยซ ึ่ งไม่ ใช เ้ หตุ ผล แต่ ความกลั วสามารถลบล า้ งวิ นั ยได ้ หรื อ ในที่ สุ ดจิ ต สำา นึ กปฏิ วั ติ จ ะเอาชนะทั ้ งวิ นั ย และความกลั ว . ความกระตื อ รื อ ร น ้ ผลประโยชน์ ส ่ ว นตั ว ระเบี ย บงานประจำา ความ คิ ด ที่ บิ น สู ง ขึ้ นอย่ างอิ ส ระ ความคิ ด เช ื่ อในเจ า้ ในผี ความเส ี ย สละ นี่ คื อ ความรู ้ส ึ ก ความคิ ด อารมณ์ ความสามารถ และกิ เ ลสผู กพั นกั นเหมื อ นถู กผสมลงในน า้ำ วน ยั กษ์ ใหญ่ บางส ่ วนจะสู ญหายไป บางส ่ วนจะลอยขึ้ นบนผิ ว นา้ำ แต่ ในที่ สุ ดความ หมายหลั ก ของการปฏิ วั ติ ค ื อ การต่ อ สู เ้ พื่ ออำา นาจรั ฐในนามของการสร า้ ง สั ง คมใหม่ แต่ รั ฐไม่ ใช ่ จุ ดหมายปลายทางในตั วมั นเอง รั ฐเพี ย งแต่ เป็ นเครื่ องมื อ ของ พลั งชนชั ้ น ปกครอง ลั กษณะของเครื่ องมื อ หรื อ เครื่ องจั กรก็ คื อ มี จั กร มี ร ะบบถ่ า ย กำา ลั ง และมี ช ิ้ นส่ ว นต่ า งๆ พลั งในการขั บเคลื่ อนเครื่ องมื อ นี้ คื อ ผลประโยชน์ ชนช ั ้ น เครื่ องจั กรคื อ การรณรงค์ ส ื่ อมวลชน การโฆษณาชวนเช ื่ อ ของวั ดและโรงเรี ยน พรรคการเมื อ ง การประชุ ม ตามท อ ้ งถนน ฎี ก า และการปฏิ วั ติ ย ึ ด อำา นาจ ระบบถ่ าย กำา ลั งคื อ สถาบั นที่ สร า้ งกฎหมายของวรรณะ ของผลประโยชน์ ทรั พย์ ส ิ น หรื อ ของ 4
้ วามศั กดิ์ ส ิ ท ธิ์ (ระบบเผด็ จการ) หรื อ มติ ข องชาติ (ระบบรั ฐสภา) เป็ น ชนชั ้ น ที่ ใช ค กลไกหลอกลวง สุ ด ท า้ ย ช ิ้ น ส ่ ว นของจั กร คื อ ฝ่ ายบริ ห าร ตำา รวจ ศาล คุ ก และกองทั พ รั ฐไม่ ใช ่ จุ ดหมายปลายทางในตั วมั นเอง แต่ เป็ นกลไกยั กษ์ ใหญ่ ในการจั ด ระเบี ย บ ล ม ้ ระเบี ย บ และสร า้ งระเบี ย บใหม่ ข องความส ั มพั นธ์ ท างสั ง คม มั นจะเป็ น กลไกในการปฏิ รู ป สั งคมหรื อ เป็ นกลไกที่ พิ ทั กษ์ ความเฉื่ อยชาได ท ้ ั ้ งนั ้ น ขึ้ นอยู่ กั บ ว่ า อยู่ ในมื อ ใคร ทุ กพรรคการเมื อ งที่ มี ศั กดิ์ ศรี จ ะพยายามได ม ้ าซ ึ่ งอำา นาจรั ฐ เพื่ อที่ จะใช ร้ ั ฐ เป็ นเครื่ องใช ใ้ นการตอบสนองผลประโยชน์ ของชนช ั ้ นผู ้ก่ อ ตั ้ งพรรค พรรค สั งคมนิ ย มประชาธิ ป ไตย ซ ึ่ งเป็ นพรรคของชนช ั ้ นกรรมาช ี พ ก็ ย่ อมฝ่ าฟั นเพื่ อที่ จะ ให ก ้ รรมาช ี พ เป็ นผู ค ้ รองอำา นาจ ชนชั ้ น กรรมาช ี พ พั ฒนาขึ้ นและมี พ ลั งมากขึ้ นพร อ ้ มๆ กั บ การพั ฒนาของระบบ ทุ น นิ ย ม ในแง่ หนึ่ ง การพั ฒนาระบบทุ น นิ ย มก็ เป็ นการพั ฒนาไปสู่ เผด็ จการชนชั ้ น กรรม า ช ี พ แต่ เงื่ อนไขสำา ค ัญ ที่ กำา หนด ว ัน และเวลาของกา รได้ อำา น าจโ ด ย ช น ช ั้ น ก ร ร ม า ช ี พ ไ ม่ ใ ช่ ร ะ ด ั บ ก า ร พ ั ฒ น า ข อ ง ร ะ บ บ ก า ร ผ ลิ ต ใ น ข ั้ น แ ร ก ั พน เพราะเงื่ อ นไขที่ สำา ค ญ ั กว่ า น ั้ น ในระยะส ั้ น คื อ ความส ม ั ธ์ ข องความข ด ั แย้ ง ทางชนช ั้ น สถานการณ์ สากล และเงื่ อ นไขของความพร้ อ มที่ จ ะสู ้ ประเพณี และความพร้ อ มที่ จ ะนำา ต วั เองของผู ้ ก ระทำา ใน ประ เทศที่ ด อ ้ ย พั ฒน า ท า ง เ ศร ษฐ กิ จ ชน ชั ้ น กรรมา ช ี พอ า จ สา มา รถ ยึ ด อำา นาจรั ฐได ก ้ ่ อ นกรรมาช ี พ ในประเทศทุ น นิ ย มที่ พั ฒนา ในปี 1871 กรรมาช ี พ ยึ ด การบริ ห ารกิ จ ของสั งคมในมื อ ตั วเองในเมื อ งปารี ส ที่ เป็ นเมื อ งนายทุ น น อ ้ ย เราต อ ้ ง ย อ ม รั บ ว่ า ถื อ อำา น า จ ไ ด ้แ ค่ ส อ ง เ ดื อ น แ ต่ ก ร ร ม า ช ี พ ใ น ศู น ย์ ก ล า ง ทุ น นิ ย ม เ ช ่ น อั งกฤษ หรื อ สหรั ฐอเมริ ก ามิ ไ ด ถ ้ ื อ อำา นาจแม แ ้ ต่ ช ั่ วโมงเดี ย ว ฉะนั ้ นการมองว่ าถ า้ เผด็ จการชนชั ้ น กรรมาช ี พ จะเกิ ด ขึ้ นได ต ้ อ ้ งขึ้ นอยู่ กั บ เงื่ อนไข เทคนิ ค ของระบบการ ผลิ ต โดยอั ตโนมั ติ เป็ นการมองแบบกลไกเกิ น ไปและเป็ นการ มองต่ า งรู ป แบบจาก ลั ท ธิ ม าร์ ค ซ ์ การที่ กรรมาช ี พ ปารี ส ยึ ด อำา นาจในวั นที่ 26 มี น าคม 1871 ไม่ ได เ้ กิ ด ขึ้ น จากความสุ ก งอมของระบบการผลิ ต ทุ น นิ ย ม หรื อ การมองโดยกรรมาช ี พ เองว่ า ระบบ ดั งกล่ าวสุ กงอมพอแล ว้ แต่ เขาจำา ต อ ้ งยึ ด อำา นาจเนื่ องจากการทรยศของชนช ั ้ น นายทุ น ต่ อ การป้ องกั น ประเทศ มาร์ ค ซ ์ เ องเคยช ี้ แจงตรงนี้ ว่ า การป้ องกั น เมื อ งปารี ส และฝรั่ งเศสทั ้ งประเทศ ทำา ได โ้ ดยวิ ธ ี เ ดี ย ว คื อ การติ ด อาวุ ธให ก ้ รรมช ี พ ทั ้ งชนชั ้ น แ ต่ ก รร ม า ช ี พที่ ติ ด อ า วุ ธ แ ล ะ พ ร ้อ ม ที่ จ ะ ป ฏิ วั ติ เ ป็ น ภั ย อ ย่ า ง ยิ่ ง กั บ ช น ช ั ้ น น า ย ทุ น ฉะนั ้ นรั ฐบาลนายทุ น ของ ธี แ อร์ ส ไม่ ไ ด พ ้ ยายามที่ จะปลุ ก มวลชนฝรั่ งเศสเพื่ อต่ อ สู ้ กั บบิ ส มาร์ ค ที่ ล อ ้ มเมื อ งปารี ส แต่ อย่ างใด ตรงข า้ ม เขาให ค ้ วามสาำ คั ญกั บการปลุ ก 5
กระดมกระแสปฏิ ก ิ ร ิ ย าเพื่ อทำา ลายกรรมาช ี พ ปารี ส มากกว่ า รั ฐบาลจึ ง ถอนกำา ลั ง ออก จากปารี ส เพื่ อวางแผนต่ อ ไปในเมื อ งแวรซาย กรรมาช ี พ ปารี ส ที่ ต อ ้ งการอิ ส รภาพสำา หรั บประเทศและความสุ ข สำา หรั บตั วเอง และมวลประชา จึ ง เข า้ ใจดี ว่ า ถึ ง เวลาที่ เขาจะต อ ้ งกู ช ้ าติ แ ละในเวลาเดี ย วกั น ลุ ก ขึ้ น มากำา หนดอนาคตตั วเอง กรรมาช ี พ ปารี ส ปฏิ เ สธที่ จะยึ ด อำา นาจไม่ ได ้ เพราะถู กบั ง คั บ จากสถาการณ์ ก ารเมื อ ง การถื อ อำา นาจจึ ง มาโดยไม่ ไ ด ค ้ าดหมาย แต่ ห ลั ง จากที่ ยึ ด อำา น าจ เสร็ จพลั งข อง ช น ช ั ้ น กรรมา ช ี พจำา ต อ ้ งเดิ น ตา มแ น ว ทา งที่ ถู กต อ ้ ง ถึ ง แม ว้ ่ า จะไม่ มั่ นใจในตั วเอง จุ ด ยื น ทางชนชั ้ น ของกรรมาช ี พ ปารี ส ตามที่ มาร์ ค ซ ์ กั บ เองเกิ ล ส ์ เ คยอธิ บ าย บั งคั บ ให ช ้ นชั ้ น นี้ ต อ ้ งปฏิ รู ป โครงสร า้ งของรั ฐในขั ้ น แรก และ เปลี่ ยนนโยบายเศรษฐกิ จ ตามมา ถ า้ คอมมู น ปารี ส ล ม ้ เหลวในที่ สุ ด ไม่ ไ ด ล ้ ม ้ เหลว เพราะระบบการผลิ ต ยั งไม่ พั ฒนาพอ แต่ ล ม ้ เหลวเพราะ สถานการณ์ ทางการเมื อ ง เช ่ นการที่ ปารี สถู กตั ดขาดจากส ่ วนอื่ นของประเทศ บวกกั บสถานการณ์ ระหว่ าง ประเทศที่ ไม่ เ อื้ ออำา นวย และท า้ ยสุ ด ล ม ้ เหลวอี ก เพราะข อ ้ ผิ ด พลาดของคอมมู น เอง 1. 2 สาธารณร ฐ ั และ เผด็ จการชนช ั้ น กรรมาช ี พ คอมมู น ปารี ส ปี 1871 ไม่ ไ ด เ้ ป็ นคอมมู น สั ง คมนิ ย มและองค์ ก รปกครองของ มั น ไ ม่ ไ ด ้เ ป็ น อ ง ค์ ก ร ป ก ค ร อ ง ข อ ง ก า ร ป ฏิ วั ติ ส ั ง ค ม นิ ย ม ค อ ม มู น ป า รี ส เ พี ย ง แ ต่ เป็ น กา รเปิ ดฉ า กข อง เผ ด็ จ กา รช น ช ั ้ น กรรมา ช ี พ ซ ึ่ งเป็ น เงื่ อน ไ ข สำา คั ญข องกา ร ป ฏิ วั ติ สั ง ค ม นิ ย ม ป า รี ส ไ ม่ ไ ด ก ้ ล า ย เ ป็ น ร ะ บ บ เ ผ ด็ จ ก า ร ช น ช ั ้ น ก ร ร ม า ช ี พ เ พ ร า ะ ปร ะ ก า ศ ตั ว เ ป็ น ส า ธ า ร ณรั ฐ แ ต่ กา รเ ป็ น เ ผ ด็ จก า ร ช น ช ั ้ น กร รม า ช ี พ มา จา กก า ร ที่ ตั วแทนคอมมู น 72 คน จากจำา นวนตั วแทนทั ้ งหมด 90 คน เป็ นคนกรรมาช ี พ ที่ ได ้ รั บการปกป้ องจากกองกำา ลั งติ ด อาวุ ธ ของกรรมาช ี พ เอง ส่ ว นสาธารณรั ฐนั ้ นเพี ย งแต่ เ ป็ น รู ป แ บ บ ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง พ ลั ง ก ร ร ม า ช ี พ ที่ ส ถ า ป น า ขึ้ น รู ป แ บ บ ก า ร ป ก ค ร อ ง สาธารณรั ฐในโลกปั จจุ บั น ถึ ง แม ว้ ่ ามี ต น ้ กำา เนิ ดจากองค์ ก รประชาธิ ป ไตยและมติ ของมวลประชา ในความจริ ง เพี ยงแต่ เป็ นรู ปแบบหนึ่ งของรั ฐเผด็ จการชนช ั ้ นผู ้ม ี ทรั พย์ ส ิ น เท่ า นั ้ น เองเกิ ล ส ์ ในคำา นำ า บทความเรื่ อง “สงครามกลางเมื อ งในฝร ่ ั ง เศส ” เคย ตั ้ ง ข อ ้ สั งเกตว่ า “บางคนคิ ด ว่ าตั วเองก า้ วไกลไปข า้ งหน า้ เมื่ อสามารถ ปลดปล่ อ ย ตั ว เ อ ง จ า ก ค ว า ม คิ ด เ รื่ อ ง ก ษั ต ริ ย์ ที่ ป ก ค ร อ ง ต า ม ส า ย เ ลื อ ด แ ล ะ ป ร ะ ก า ศ ตั ว ว่ า สนั บสนุ นสาธารณรั ฐประชาธิ ป ไตย แต่ ใ นความจริ ง รั ฐก็ เป็ นเพี ย งเครื่ องมื อ ของ ชนชั ้ นหนึ่ งในการกดขี่ ชนช ั ้ นอื่ น ไม่ ว่ าจะเป็ นระบบกษั ตริ ย ์ ห รื อระบบสาธารณรั ฐ ประชาธิ ป ไตย” ฉะนั ้ นถึ ง แม ว้ ่ าความคิ ด ส ั งคมนิ ย มสากลจะเช ื่ อว่ าสาธารณรั ฐ เป็ น รู ปแบบเดี ย วของการปลดแอกส ั งคมนิ ย ม แต่ ในกรณี รั ฐสั งคมนิ ย มชนชั ้ นกรรมาช ี พ จะฉุ ดรู ปแบบสาธารณรั ฐจากมื อ ของชนช ั ้ นนายทุ นและแปรสภาพมั นจากเครื่ องมื อ ในการกดขี่ ทางชนช ั ้ น ไปเป็ นอาวุ ธ ในการปลดแอกมนุ ษย์ ด ว้ ยระบบ สั ง คมนิ ย มแทน 6
1. 3 การพ ฒ ั นาเศรษฐกิจ ก บ ั เผด็ จการชนช ั้ น กรรมาช ี พ เมื่ อส ื่ อสั งคมนิ ยมของเราเริ่ มเสนอความคิ ด เกี่ ยวกั บ “การปฏิ วั ติ อ ย่ างต่ อ เนื่ อง” ( ปฏิ ว ต ั ิ ถ าวร ) ที่ เช ื่ อมโยงการทำา ลายระบบเผด็ จการขุ น นางกั บ การปฏิ วั ติ สั งคม นิ ยม โ ดยผ่ า น ขั ้ น ตอน กา รต่ อสู ้ ท า งสั ง คม กา รลุ กขึ้ น ข องส ่ ว น ใ ห ญ่ ๆข อง ม ว ล ช น แ ล ะ ก า ร ต่ อ สู ้ อ ย่ า ง ไ ม่ ห ยุ ด ยั ้ ง ข อ ง ช น ช ั ้ น ก ร ร ม า ช ี พ ต่ อ อำา น า จ อ ภิ ส ิ ท ธิ์ เศรษฐกิ จ ของชนชั ้ นปกครอง ส ื่ อของฝ่ าย “ก า้ วหน า้ ” ต่ า งตะโกนแสดงความไม่ พอใจเป็ นหนึ่ ง เขาต อ ้ งทนความยากลำา บากมานาน แต่ นี้ มั นเกิ น เหตุ ! ส ื่ อของ ้ ทางที่ มี ความชอบธรรม แต่ เป็ นยุ ทธวิ ธ ี ใ นกรณี พวกนี้ ร อ ้ งว่ าการปฏิ วั ติ ไ ม่ ใช ่ เส น พิ เ ศษเท่ า นั ้ น ขบวนการปลดแอกไม่ ไ ด ม ้ ี เ ป้ าหมายให ก ้ ารปฏิ วั ติ เ กิ ด ขึ้ นตลอดกาล ! แต่ มี เ ป้ าให ก ้ ระบวนการในการเปลี่ ยนส ั งคมเข า้ มาอยู่ ในกรอบของกฎหมายให เ้ ร็ ว ที่ สุ ด เท่ า ที่ จะเร็ วได ้ ฯลฯ นี่ คื อ จุ ด ยื น ของพวก “ประชาธิ ป ไตย รั ฐธรรมนู ญ” พวกประชาธิ ป ไตยรั ฐธรรมนู ญเหล่ านี้ มี ไม่ น ้อ ยที่ เคยเป็ น “มาร์ คซ ิ ส ต์ ”ใน อดี ต แต่ บั ดนี้ เกิ ด เสรี ภ าพในด า้ นความคิ ด ชนิ ดที่ มาจากการมองอะไร แบบแคบๆ โดยไม่ ม องโลกทั ้ ง โลก พวกนี้ จะพยายามเอาข อ ้ สรุ ป ของลั ทธิ ม าร์ ค ซ ์ เกี่ ยวกั บ การ ปฏิ วั ติ ไ ปฝั งไว ภ ้ ายใต ก ้ าร “วิ จ ารณ์ ”นั กสั ง คมนิ ย มปฎิ วั ติ ด ว้ ยวิ ธ ี ท ี่ เขาอ า้ งว่ า เป็ น “วิ ธ ี การของมาร์ ค ซ ์ ” เขาจะกล่ า วหาว่ า "พวกปฏิ วั ติ ท ี่ เป็ นทาสกั บความคิ ด แบบล า้ สมั ย ที่ ตกยุ ค และทรยศกั บ ความจำา เป็ นที่ จะต อ ้ งปฏิ รู ป ความคิ ด ลั ท ธิ ม าร์ ค ซ ์ " เสมอ กา รปฏิ วั ติ ท ี่ ต่ อเนื่ อ ง ห รื อ ? กา รเปลี่ ยน แ ปลงทา งสั ง คม นิ ยม ? แ ต่ ลั ทธิ มาร์ ค ซ ์ ได ส ้ อนไว ว้ ่ า การเปลี่ ยนแปลงของส ั ง คมหนึ่ งไปสู่ อี ก สั งคมหนึ่ งย่ อ มเกิ ด ขึ้ น เมื่ อสั งคมเดิ ม หมดพลั งและความจำา เป็ นที่ จะดำา รงอยู่ ไม่ ใช ่ หรื อ? ทุ นนิ ย มรั สเซ ี ย หมดพลั ง หรื อ ยั ง? หรื อ พวกสั ง คมนิ ย มเช ื่ อเหมื อ นนั กจิ ต นิ ย มว่ า สามารถล ม ้ ระบบทุ น โดยใช ร้ ะบบความคิ ด ? ฯลฯ .....ฯลฯ บางที่ พวกเสรี น ิ ย มที่ คิ ด ว่ าพวกประชาธิ ป ไตย รั ฐธรรมนู ญรุ น แรงเกิ น ไป จะนำ า ข อ ้ โต แ ้ ย ง้ ของอดี ต “มาร์ ค ซ ิ ส ต์ ” มาใช เ้ องด ว้ ย ทุ นนิ ย มต อ ้ ง “หมดพลั งเอง” ก่ อ นที่ ชนชั ้ นกรรมาช ี พ จะยึ ด อำา นาจรั ฐได ้ คำา พู ดนี้ แปลว่ าอะไร ? แปลว่ าต อ ้ งพั ฒนาพลั งการผลิ ต และยกระดั บพลั งการผลิ ต ให ้ เข ม ้ ขน ้ ถึ ง จุ ดสู งสุ ด ? ถ า้ เป็ นเช ่ นนั ้ นจุ ดสู งสุ ดนี้ คื อ อะไร ? มี รู ปแบบองค์ ประกอบ อะไรบ า้ ง? การพั ฒนาเศรษฐกิ จ ในรอบส ิ บ ยี่ ส ิ บ สามส ิ บ ปี ที่ ผ่ า นมา แสดงให เ้ ราเห็ นว่ า ทุ น นิ ย มเป็ นระบบที่ รวบรวมการผลิ ต ในภาคต่ า งๆ ภายใต ก ้ ารควบคุ ม ของคนไม่ ก ี่ คน นอกจากนี้ แล ว้ รอบๆ ศู นย์ ก ลางการผลิ ต ขนาดใหญ่ จะมี อุ ตสาหกรรม และธุ รกิ จ ขนาดย่ อมที่ เติ บ โตเหมื อ นกาฝาก ในภาคเกษตรกรรมระบบทุ นนิ ย มย่ อมจะทำา ลาย ก า ร ผ ลิ ต ข น า ด เ ล็ ก โ ด ย แ ป ร รู ป ช า ว น า ไ ป เ ป็ น "ก ร ร ม า ช ี พ เ ก ษ ต ร " ก ร ร ม า ช ี พ อุ ต สาหกรรม พ่ อ ค า้ แม่ ค า้ ตามท อ ้ งถนน และขอทาน หรื อ ในบางกรณี ระบบทุ น นิ ย ม จะรั กษาระบบการผลิ ต ของชาวนาภายใต เ้ งื่ อนไขกรอบเหล็ กของทุ นนิ ย ม หรื อ อาจ 7
สร า้ งธุ รกิ จ เกษตรกรรม เล็ กๆ ที่ เป็ นแหล่ งแรงงาน สำา หรั บเจ า้ ของที่ ดิ น รายใหญ่ แต่ ส ิ่ งที่ ชั ดเจนที่ สุ ดที่ เห็ นจ ากกา รพั ฒนา รู ปแ บบหลากหลายทั ้ งห มดเห ล่ านี้ คื อ มู ลค่ าที่ ผลิ ต จากธุ รกิ จ ยั กษ์ ใหญ่ ที่ มี อิ ท ธิ พ ลหลั กในส ั งคมการผลิ ต มั กจะเติ บ โต เรื่ อยๆ เมื่ อเที ย บกั บ มู ล ค่ า จากธุ ร กิ จ รายย่ อ ย และการเติ บ โตของธุ ร กิ จ ยั กษ์ ใหญ่ จ ะ เพิ่ มการประสานงานระหว่ างภาคการผลิ ต ต่ างๆ ในเศรษฐกิ จ โดยรวม ซ ึ่ งจะมี ผ ล ทำา ให ก ้ ารถื อ ครองระบบการผลิ ต โดยส ่ ว นรวมง่ ายขึ้ น ฉะนั ้ นคำา ถามที่ เราจะต อ ้ งถาม ต่ อ ผู ้ท ี่ วิ จ ารณ์ ทฤษฎี ข องเราคื อ สั ดส่ ว นระหว่ างระบบการผลิ ต ภาคเกษตรรายย่ อย กั บ ภาคการผลิ ต ยั กษ์ ใหญ่ จะต อ ้ งเปลี่ ยนไปแค่ ไ หน ถึ ง จะทำา ให ท ้ ุ น นิ ย มหมดกำา ลั ง ในตั ว เอง หรื อ สุ ก งอม พร อ ้ มที่ จะให ก ้ รรมาช ี พ เด็ ดลงมาหรื อ เก็ บเกี่ ยวได ้ ? พรรคของเราไม่ ไ ด ห ้ วั งที่ จะสร า้ งระบบส ั ง คมนิ ย มจากจิ ต สำา นึ ก ทางสั ง คมนิ ย ม แต่ จ ะต อ ้ งวางรากฐานของระบบส ั งคมนิ ย มบนฐานวั ตถุ ท ี่ มาจากการพั ฒนาเศรษฐกิ จ ซ ึ่ ง เราคาดว่ า คงจะไม่ ห ยุ ด ยั ้ ง หลั ง จากที่ ชนช ั ้ น กรรมาช ี พ ได อ ้ ำา นาจ แต่ ป ระเด็ นหลั ก ที่ สำา คั ญ ที่ สุ ด ส อ ง แ ง่ ซ ึ่ ง เ ป็ น ป ร ะ เ ด็ น ที่ สำา คั ญ ยิ่ ง ใ น ก า ร พิ จ า ร ณ า ปั ญ ห า ค ว า ม สั ม พั นธ์ ร ะหว่ า งการพั ฒนาเศรษฐกิ จ กั บ เผด็ จการ ชนชั ้ น กรรมาช ี พ คื อ 1. ก า ร พั ฒ น า เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ที่ ผ่ า น ม า ถึ ง ขั ้ น ต อ น น า น ม า แ ล ้ว ที่ ทำา ใ ห ้ร ะ บ บ สั ง คมนิ ย มมี ป ระโยชน์ ม ากกว่ า ระบบการจั ดการของส ั ง คมปั จจุ บั น 2. ชนชั ้ นกรรมาช ี พ ไม่ สามารถเลื อ กวั นเวลาที่ เหมาะสมในการเข า้ ถื อ อำา นาจ รั ฐตามใจชอบ ความขั ดแย ง้ ทางชนช ั ้ น ซ ึ่ งเติ บ โตบนฐานวิ วั ฒนาการของระบบ ทุ น นิ ย ม เป็ นกระบวนการที่ ไม่ ไ ด ข ้ ึ้ น อยู่ กั บ จิ ต ใจมนุ ษย์ พวกนั กวิ ช าการฝ่ ายทุ น ซ ึ่ ง รวมถึ ง นั กวิ ช าการบางคนที่ เล่ น ทฤษฎี ม าร์ ค ซ ์ เ พื่ อ โต แ ้ ย ง้ กั บนั กสั งคมนิ ย ม ล ว้ นแต่ ไ ม่ เข า้ ใจผลของความขั ดแย ง้ ทางชนช ั ้ น พวกนี้ จะคำา นึ ง ถึ ง ระดั บการพั ฒนาเศรษฐกิ จ และส ั งคมอย่ างเดี ย ว โดยไม่ กล า้ ที่ จะคำา นึ ง ถึ ง ความขั ด แย ง้ ทางชนช ั ้ น และผลของความขั ด แย ง้ ดั ง กล่ า ว กระแสสั ง คมนิ ย มมี ภ าระและความต อ ้ งการที่ จะสะท อ ้ นความเป็ นจริ ง ในส ั งคม แต่ เมื่ อความขั ดแย ง้ ทางชนช ั ้ นที่ เป็ นจริ ง เปิ ดโอกาสให ช ้ นช ั ้ นกรรมาช ี พ ที่ ปฏิ วั ติ เลื อ กระหว่ า งการยึ ด อำา นาจรั ฐกั บ การประนี ป ระนอมทางชนช ั ้ น นั กสั ง คมนิ ย มจะต อ ้ ง เลื อ กแนวทางยึ ด อำา นาจรั ฐ ในเวลาเดี ย วกั นกระแสส ั ง คมนิ ย มจะไม่ ลื ม กระบวนการ การพั ฒนาที่ ลึ ก กว่ านั ้ นซ ึ่ งหมายถึ ง กระบวนการพั ฒนาและรวมศู นย์ ข องการผลิ ต แต่ นั กสั งคมนิ ย มจะสรุ ปว่ า ถ า้ การต่ อสู ้ท างชนชั ้ น ซ ึ่ งในที่ สุ ด เกิ ด ขึ้ นบนรากฐาน ระบบการผลิ ต ผลั กดั นให ช ้ นชั ้ น กรรมาช ี พ สร า้ ง เผด็ จการทางชนชั ้ น ก่ อ นที่ ชนชั ้ น นายทุ น จะ “หมดกำา ลั ง” ในการพั ฒนาเศรษฐกิ จ (และในเวลาที่ ชนชั ้ น นายทุ น เกื อ บ จะยั งไม่ ไ ด เ้ ริ่ มภาระทางการเมื อ ง) ประวั ติ ศ าสตร์ เ พี ย งแต่ โ ยนภาระหน า้ ที่ อั นใหญ่ ห ลว ง กั บช น ชั ้ น ก รร ม า ช ี พเ ท่ า นั ้ น กระ แ สสั งค มนิ ย มไ ม่ ส า มา รถ ห ลี ก เลี่ ยง ภา ระ หน า้ ที่ ทางประวั ติ ศ าสตร์ เ หล่ านี้ ได ้ ถึ ง แม ว้ ่ าชนชั ้ นกรรมาช ี พ อาจไม่ ประสบความ 8
สำา เ ร็ จ ใ น ค รั ้ ง นั ้ น เ พ ร า ะ ก า ร ห ลี ก เ ลี่ ย ง ก า ร ต่ อ สู ้ จ ะ นำ า ค ว า ม ห า ย น ะ ม า สู่ ช น ชั ้ น กรรมาช ี พ และความป่ าเถื่ อนมาสู่ สั ง คม 1. 4 การปฏิว ต ั ิ ชนช ั้ น นายทุ น และชนช ั้ น กรรมาช ี พ ชนชั ้ น นายทุ น ไม่ ส ามารถนำ า ประชาชนในการต่ อ สู ้โ ค่ น ล ม ้ เผด็ จการกษั ตริ ย ์ หรื อ ทหารเพื่ อสถาปนาประชาธิ ป ไตยแบบรั ฐสภาทุ นนิ ยม แต่ ในเวลาเดี ย วกั นการ ้ องชนชั ้ น กรรมาช ี พ เป็ นอุ ป สรรคในการทำา ข อ ต่ อ สู ข ้ ตกลงระหว่ า งเผด็ จการกั บชนช ั ้ น น า ย ทุ น เ พื่ อ ส ร ้า ง ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย แ บ บ รั ฐ ส ภ า ก ร ะ แ ส ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย ทุ น นิ ย ม ไ ม่ สามารถเป็ นกระแสนำ า ของชนช ั ้ นกรรมาช ี พ ได ้ เพราะชนชั ้ น กรรมช ี พ ได พ ้ ั ฒนาเลย ขั ้ น ตอนนั ้ นแล ว้ ชนชั ้ น กรรมาช ี พ ปั จจุ บั นมี ค วามต อ ้ งการที่ จะนำ า หน า้ นายทุ น กระแส ประชาธิ ป ไตยนายทุ นอ่ อนแอยิ่ งกว่ ากระแสเสรี นิ ย มและสองกระแสนี้ ห่ างเหิ น จาก ประชาชนและเกื อ บจะไม่ ม ี ค วามหมายกั บ คนส ่ ว นใหญ่ ชนชั ้ น นายทุ น มิ ไ ด ร้ ั บโอกาส ในการนำ า สั ง คมจากความคิ ด ทางการเมื อ งเขาเอง ฉะนั ้ น อิ ท ธิ พ ลของนายทุ น มาจาก ฐานะที่ ได เ้ ปรี ย บทางส ั ง คมเท่ า นั ้ น ชนชั ้ น กรรมาช ี พ เป็ นทั ้ ง กำา ลั ง นำ า และกำา ลั ง หลั ก ในการปฏิ วั ติ ชนชั ้ น อื่ นนำ า การ ปฏิ วั ติ ไ ม่ ได ้ ชนชั ้ นกรรมาช ี พ จะไม่ พอใจกั บการประนี ประนอมในรู ปแบบต่ างๆ ทุ ก ชนิ ด ถึ ง แม ว้ ่ าการต่ อสู ้เ พื่ อชั ยชนะของชนชั ้ นกรรมาช ี พ ซ ึ่ งจะจบลงด ว้ ยการยึ ด อำา นาจของชนชั ้ น นี้ จะต อ ้ งใช เ้ วลาหยุ ด พั กบ า้ งหรื อ ถอยกำา ลั ง บ า้ ง 1.5 ชนช ั้ น กรรมาช ี พ และชาวนา ภาระหน ้า ที่ แรกของชนช ั ้ นกรรมาช ี พ เมื่ อยึ ด อำา นา จรั ฐ จะเป็ นภาระหน ้า ที่ ทางการเมื อ งดั งต่ อ ไปนี้ คื อ สร า้ งฐานการปกครองที่ มั่ นคง ติ ด อาวุ ธ ให ฝ ้ ่ ายปฏิ วั ติ ปลดอาวุ ธ ฝ่ ายปฏิ ก ิ ร ิ ย า ขยายฐานสนั บสนุ นการปฏิ วั ติ และสร า้ งรั ฐในรู ป แบบใหม่ ในการทำา ง าน ดั งกล่ าว ชนช ั ้ นกรรมา ช ี พ รั สเซ ี ย จะ ต อ ้ งไม่ ลื มบทเรี ยน จา กคอมมู น ปารี ส โดยเฉพาะเรื่ องการสร า้ งรั ฐใหม่ บทเรี ย นที่ สำา คั ญจากคอมมู นปารี ส ที่ ต อ ้ ง ้ ั ้ งแ ต่ ต น นำ า มาใช ต ้ คื อการสลายกำา ลั งกองทั พและตำา รวจ การติ ด อา วุ ธ ให ม ้ วล ประชา การสลายระบบข า้ ราชการ การนำ า ระบบเลื อ กตั ้ งมาใช ใ้ นการแต่ งตั ้ งเจ า้ หน า้ ที่ ทุ ก ประเภท การลดเงิ น เดื อ นเจ า้ หน า้ ที่ รั ฐให เ้ ท่ ากั บเงิ น เดื อ นเฉลี่ ยของคน งาน และการแยกศาสนาออกจากรั ฐ แต่ ช นชั ้ น กรรมาช ี พ จะไม่ สามารถสร า้ งความมั่ นคงในการครองอำา นาจ ถ า้ ไม่ ขยายฐานของการปฏิ วั ติ มวลประชาที่ ทำา งานหลายระดั บ โดยเฉพาะในชนบท จะ ตอ ้ งถู ก ดึ ง เข า้ มาสนั บสนุ นการปฏิ วั ติ แ ละถู ก จั ดตั ้ ง แต่ ส ิ่ ง เหล่ า นี้ จะเกิ ด ขึ้ นได ้ ก็ ต่ อ เมื่ อชนชั ้ น นำ า ในการปฏิ วั ติ ซ ึ่ งคื อ ชนชั ้ นกรรมาช ี พ สามารถคุ มอำา นาจรั ฐได ้ เพราะ ้ รั พยากรของรั ฐและท า้ ยสุ ดอำา นาจในการออก การปลุ กระดมและการจั ดตั ้ งจะใช ท กฎหมายจะกลายเป็ นอาวุ ธ ที่ สำา คั ญในการปลุ ก ระดมมวลประชาให ป ้ ฎิ วั ติ นอกจาก 9
นี้ การที่ ชนชั ้ น กรรมาช ี พ ต อ ้ งรั บภาระหน า้ ที่ ในการปฏิ วั ติ ก ระฎ ุ ม พี จ ะสร า้ งทั ้ ง อุ ป สรรค และโอกาสให ก ้ ั บ ชนช ั ้ น กรรมาช ี พ ในกรณี ความสั ม พั นธ์ ร ะหว่ า งชนช ั ้ น กรรมาช ี พ กั บ ชาวนา ชนชั ้ น กรรมาช ี พ จะได เ้ ปรี ย บมหาศาล ในการปฏิ วั ติ ปี 1789 - 1793 และ 1848 อำา นาจรั ฐผ่ า นจากกษั ตริ ย ์ ไปสู่ ส่ ว นของชนชั ้ น นายทุ น ที่ อ่ อ นน อ ้ มที่ สุ ด และชนช ั ้ น นี้ ได ป ้ ลดแอกชาวนา (โดยวิ ธ ี ก าร ที่ จะไม่ ก ล่ า วถึ ง ในที่ นี้ ) ก่ อ นที่ จะเกิ ด ประชาธิ ป ไตย ฉะนั ้ นหลั งจากนั ้ นชาวนาที่ ถู ก ปลดแอกไปจากระบบทาสก็ หั นมาเลิ ก สนใจในการเมื อ งของ “ชาวกรุ ง” เลิ ก สนใจ ใ น ก า ร ป ฏิ วั ติ แ ล ะ แ ป ร ตั ว ไ ป เ ป็ น ฐ า น นิ่ ง ข อ ง “ ค ว า ม มั่ น ค ง ” ที่ ส นั บ ส นุ น ฝ่ า ย ปฏิ ก ิ ร ิ ย า การปฏิ วั ติ รั สเซ ี ย ไม่ สามารถสถาปนาการปกครองใดๆ ในรู ปแบบรั ฐธรรมนู ญ ทุ นนิ ย มที่ สามารถแก ป ้ ั ญหาเบื้ องต น ้ ของประชาธิ ป ไตยได ้ ยกตั วอย่ างเช ่ น พวก ข า้ ราชการหั วปฏิ รู ป “แบบวิ ท ” มั กจะทำา ลายความพยายามในการปฏิ รู ป ของตั วเอง ด ว้ ยการต่ อสู ้เ พื่ อเอาตั วรอด ฉะนั ้ นผลประโยชน์ พื้ นฐานของชาวนา ซ ึ่ งรวมถึ ง ผล ประโยชน์ ข องชาวนาทั ้ ง ชนช ั ้ น ผู ก พั นกั บ ชะตากรรมของการปฏิ วั ติ ช นช ั ้ น กรรมาช ี พ ชนช ั้ น กรรมาช ี พ ที่ ค รองอำา นาจจะปรากฎต ว ั ต่ อ หน้ า ชนช ั้ น ชาวนา ใน รู ป แบบชนช ั้ น ที่ ป ลดแอกชนช ั้ น ชาวนา เ ช ่ น เ ดี ย ว กั บ ก ร ณี ค อ ม มู น ป า รี ส ช น ชั ้ น ก ร ร ม า ช ี พ จ ะ มี ส ิ ท ธิ์ ป ร ะ ก า ศ ว่ า “ชั ย ชนะของเรา คื อ ชั ย ชนะของท่ า น” ก า ร ป ก ค ร อ ง ข อ ง ช น ชั ้ น ก ร ร ม า ช ี พ น อ ก จ า ก จ ะ ก่ อ ใ ห ้ เ กิ ด ก า ร ปกครองแบบประชาธิ ป ไตยที่ มี ค วามเท่ า เที ย มกั น แล ว้ ยั งจะก่ อ ให เ้ กิ ด การปกครอง ตั ว เองอย่ า งเสรี การโยกย า้ ยภาระการเส ี ย ภาษี ไปสู่ ชนชั ้ น ที่ มั่ งมี การสลายกำา ลั ง กองทั พไปสู่ มวลชนที่ ติ ด อาวุ ธ การยกเลิ ก ภาษี ที่ จ่ ายให อ ้ งค์ ก ารศาสนา และยิ่ ง กว่ านั ้ นการยอมรั บอย่ างเป็ นทางการว่ าการยึ ด ที่ ดิ น จากเจ า้ ที่ ดิ น มาเป็ นของชาวนา รายย่ อยเป็ นส ิ่ งที่ ถู กต อ ้ ง ชนชั ้ นกรรมาช ี พ จะยึ ด ถื อ การกระจายที่ ดิ น เป็ นขั ้ นตอน พื้ นฐาน ในการพั ฒนาเกษตรกรรมขั ้ น ต่ อ ไปของรั ฐ ภายใต เ้ งื่ อนไขดั งกล่ า ว ชาวนา รั สเซ ี ย จะไม่ ลดความสนใจและการสนั บสนุ นในกระบวนการปฏิ วั ติ ก รรมาช ี พ เหมื อ น กั บที่ ชาวนาฝรั่ งเศสสนั บสนุ นรั ฐบาลของนโปเลี่ ยน โบนาพาร์ ท ที่ ประกั นการยึ ด ครองที่ ดิ น ของชาวนารายย่ อยด ว้ ยกำา ลั งทหา ร ฉะนั ้ นระบบผู ้ แ ทนราษฎรภา ยใ ต ้ การนำ า ของชนชั ้ นกรรมาช ี พ ที่ ได ร้ ั บการสนั บสนุ นจากชนช ั ้ นชาวนา จะเป็ นรู ปแบบ การปกครองของประชาธิ ป ไตยแรงงานที่ เป็ นประชาธิ ป ไตยรู ป แบบหนึ่ ง แต่ ช นชั ้ น ชาวนาสามารถเข า้ มายึ ด อำา นาจแทนชนช ั ้ น กรรมาช ี พ ได ไ้ หม? เป็ น ไปไ ม่ ไ ด ้ ! บทเรี ยน และประ สบกา รณ์ ประ วั ติ ศ า สตร์ สอน ใ ห เ้ รา เข า้ ใ จว่ า ชน ชั ้ น ชาวนาไม่ ส ามารถมี บ ทบาททางการเมื อ งที่ เป็ นอิ ส ระได ้ แม แ ้ ต่ ส หภาพ ของชาวนา ก็ ไม่ ใ ช ่ ส หภาพที่ มี ค วามอิ ส ระทางชนช ั ้ น แต่ เ ป็ นแนวร่ ว มระหว่ า งพวก ประชาธิ ป ไตย ก า้ วหน ้า กั บชาวนาบางส ่ วนที่ มี จิ ต สำา นึ กเท่ านั ้ น ประวั ติ ศ าสตร์ ของระบบทุ นนิ ยม 10
สอนให เ้ ราเห็ นว่ า ชนบทต อ ้ งขึ้ นกั บ เมื อ ง สหภาพชาวนาจะเป็ นกองกำา ลั งช ่ ว ยเหลื อ การต่ อ สู ้ใ นเมื อ ง และนอกจากนี้ แล ว้ เมื่ อการต่ อสู ้พั ฒนายิ่ งขึ้ น ความขั ดแย ง้ ทาง ผลประโยชน์ เ ล็ กๆ น อ ้ ย ๆ ระหว่ า งชาวนาระดั บ ต่ า ง ๆ จะเพิ่ มทวี ข ึ้ นทุ ก วั น
1.6 วิธ ี ก ารและเป้ าหมายของเผด็ จการชนช ั้ น กรรมาช ี พ เผด็ จการชนช ั้ น กรรมาช ี พ ไม่ ใช่ ส ิ่ งเดี ย วก ัน ก ับ เผด็ จการของพรรค หรื อ องค์ก รปฏิ ว ต ั ิเ หนื อ ชนช ั้ น กรรมาช ี พ แต่ เ ผด็ จการของชนช ั ้ น กรรมาช ี พ คื อ เ ผ ด็ จ ก า ร เ ห นื อ สั ง ค ม ทั ้ ง สั ง ค ม โ ด ย ผ่ า น ช น ชั ้ น ก ร ร ม า ช ี พ ตั ว อ ย่ า ง ที่ ดี ที่ สุ คื อ คอมมู น ปารี ส ในคอมมู นปารี สทุ กส ิ่ งทุ กอย่ างสร า้ งบนรากฐานความอิ ส ระของกรรมาช ี พ กรรมการกลางของกองรั กษาการแห่ งชาติ เ ตื อนกรรมาช ี พ ไม่ ให ล ้ ื มว่ า ผู ้ แ ทนที่ ้ รรมาช ี พ ที่ แท จ เลื อ กจากกรรมาช ี พ เองเท่ า นั ้ นที่ จะเป็ นผู ้รั บใช ก ้ ริ ง “จงหลี ก เลี่ ยงผู ้ มั่ ง มี เ พ ร า ะ น ้อ ย ค รั ้ ง ที่ ผู ้ มั่ ง มี จ ะ ถื อ ก ร ร ม า ช ี พ เ ป็ น พี่ เ ป็ น น ้อ ง ” คื อ คำา เ ขี ย น ข อ ง กรรมการกลาง คอมมู นคื อ กรรมการของชนช ั ้ นกรรมาช ี พ กองรั กษาการแห่ งชาติ ้ รรมาช ี พ นี่ คื อ เผด็ จการของชนช ั ้ น กรรมาช ี พ คื อ กองทหาร เจ า้ หน า้ ที่ คื อ ผู ร้ ั บใช ก รั ฐบาลของชนชั ้ น กรรมาช ี พ จะไม่ เ ป็ นรั ฐบาลมหั ศจรรย์ การออกกฎหมายลด ชั่ วโมงการทำา งาน เพิ่ มภาษี กั บผู ้มั่ งมี ยึ ด ทรั พย์ ส ิ น และการผลิ ต มาเป็ นของส ่ วน รวม จะเป็ นส ิ่ งง่ ายดาย ส ิ่ งที่ ยากคื อ การนำ า กฎหมายเหล่ า นั ้ นมาปฏิ บั ติ เ ป็ นรู ปธรรม โดยอาศั ยการจั ดตั ้ ง ของชนช ั ้ น กรรมาช ี พ เ ห นื อ ก ว่ า นั ้ น เ มื่ อ ช น ช ั ้ น ก ร ร ม า ช ี พ รั ส เ ซ ี ย ยึ ด อำา น า จ รั ฐ ด ้ว ย วิ ธี ก า ร ป ฏิ วั ติ เรี ย บร อ ้ ยแล ว้ ชนชั ้ น นี้ จะขยั นทำา งานเพื่ อประสานเป้ าหมายและชะตากรรมของชาติ ตั วเองกั บเป้ าหมายในการสร า้ งส ั งคมนิ ยมทั่ วโลก เป้ าหมายการปฏิ วั ติ ส ากลไม่ เพี ยงแ ต่ เป็ น เป้ า หม ายที่ ตรง กั บจุ ดยื น สา กลนิ ยมข องกรรมา ช ี พ เท่ า นั ้ น แต่ เป็ น เงื่ อนไขสำา คั ญ ในการเอาตั ว รอดของชนช ั ้ น กรรมาช ี พ รั สเซ ี ย ชนชั ้ นกรรมาช ี พ รั สเซ ี ย จะ ไม่ พ่ า ยแ พ ้ และจะสามารถ ต่ อสู ้ จ น ถึ ง จุ ดห มา ย ปลายทาง ถ า้ ให ค ้ วามสำา คั ญกั บเงื่ อนไขการขยายการปฎิ วั ติ อ อกนอกกรอบและ ขอบเขตของการปฏิ วั ติ ร ะดั บ ชาติ ไ ปสู ่ การปฏิ วั ติ แ ละช ั ย ชนะของกรรมาช ี พ ทั่ วโลก จาก Leon Trotsky “on the Paris Commune” (1987) Pathfinder Press , New York เขี ย นที่ เ มือ งเซนท์พ ี เ ทอร์ส เบอร์ก ธ น ั วาคม 1905 แปลโดย ใจ อึ๊ ง ภากรณ 11
2. การปฎิว ต ั ถ ิ าวรคือ อะไร ? สรุ ป จุ ด สำา ค ญ ั
โดย ลีอ อน ตรอทสกี 1. ทฤษฎี ก ารปฎิ ว ัต ิ ถ าวร เป็ นทฤษฎี ที่ ชาวมาร์ คซ ิ ส ต์ ทุ กคนควรศ ึ ก ษา เนื่ องจากความขั ดแย ง้ ทางความคิ ด และการต่ อสู ้ท างชนชั ้ นได เ้ ปลี่ ยนเรื่ องนี้ จาก เ รื่ อ ง ข อ ง ข ้อ ขั ด แ ย ้ง ใ น ห มู่ นั ก ลั ท ธิ ม า ร์ ค ซ ์ ช า ว รั ส เ ซ ี ย ใ น อ ดี ต ไ ป เ ป็ น เ รื่ อ ง ที่ เกี่ ยวข อ ้ งกั บ ลั กษณะ ความสั ม พั นธ์ ภ ายใน และวิ ธ ี ก ารของการปฏิ วั ติ ส ากล 2. ใ น ป ร ะ เ ท ศ ที่ มี ก า ร พั ฒ น า ข อ ง ร ะ บ บ ทุ น นิ ย ม ที่ ล ้า ห ลั ง โ ด ย เ ฉ พ า ะ ประเทศเมื อ งขึ้ นหรื อ กึ่ งเมื อ งขึ้ น ทฤษฎี ก ารปฏิ ว ต ั ิถ าวร มี ค วามสำา คั ญตรงที่ ทำา ให ้ เห็ นว่ าการสร า้ งประชาธิ ป ไตยและเอกราชที่ แท จ ้ ริ ง เกิ ด ขึ้ นได ภ ้ ายใต เ้ ผด็ จการของ ชน ชั ้ น กร รม า ช ี พ เท่ า นั ้ น แ ละช น ชั ้ น นำ า จะ ต อ ้ ง เป็ น ช น ชั ้ น ก รร มา ช ี พ ไ ม่ ใ ช ่ ม ว ล ชาวนา 3. ปั ญหาของระบบเกษตรกรรม และปั ญหาของเอกราชในประเทศล า้ หลั ง มี ผลทำา ใ ห ช ้ า ว น า ซ ึ่ ง เป็ น คน ส ่ ว น ให ญ่ มี บทบา ทสำา คั ญ ถ า้ ไ ม่ มี แ น ว ร่ ว มระ ห ว่ า ง ชน ชั ้ น กรรม า ช ี พกั บช า ว น า ภา ระ ข องกา รปฏิ วั ติ ป ระ ช า ธิ ป ไ ต ยจะ ไ ม่ บร รลุ ค ว า ม สำา เร็ จ แ ต่ แ น ว ร่ ว ม นี้ จะ ต อ ้ ง สร า้ งขึ้ น ภา ยใ ต เ้ งื่ อน ไ ขข องกา รต่ อสู ้ อ ย่ า ง ไ ม่ มี วั น ประนี ป ระนอมกั บ อิ ท ธิ พ ลของนายทุ น รั กชาติ เ สรี น ิ ย ม 4. ไม่ ว่ าการปฏิ วั ติ ใ นประเทศหนึ่ งจะมี ขั ้ นตอนแตกต่ างกั นอย่ างไร การ ส ร ้า ง แ น ว ร่ ว ม ร ะ ห ว่ า ง ช น ช ั ้ น ก ร ร ม า ช ี พ กั บ ช า ว น า ต ้อ ง ส ร ้า ง ภ า ย ใ ต ้ก า ร นำ า ข อ ง กรรมาช ี พ ที่ ก า้ วหน า้ ที่ สุ ด ซ ึ่ งจั ดตั ้ งโดยพรรคคอมมิ ว นิ ส ต์ ฉะนั ้ นชั ยชนะของการ ปฏิ วั ติ ป ระชาธิ ป ไตยเกิ ด ขึ้ นได ้ ต่ อ เมื่ อมี เ ผด็ จการของชนช ั ้ นกรรมาช ี พ ที่ มี พื้ นฐาน จากแนวร่ ว มระหว่ า งกรรมาช ี พ และชาวนาเพื่ อแก ป ้ ั ญหาของการปฏิ วั ติ ป ระชาธิ ป ไตย ก่ อ นอื่ นใด 5. คำา ขวั ญเก่ าของพรรคบอลเชอร์ ว ิ ค ที่ พู ดถึ ง “เผด็ จการประชาธิ ป ไตยของ กรรมาช ี พ และชาวนา” มี ค วามหมายจริ ง ดั ง ที่ เขี ย นไว ข ้ า้ งต น ้ ประสบการณ์ ข องการ ปฏิ วั ติ เ ดื อ นตุ ลาคมยื น ยั นตรงนี้ แต่ สู ต รเก่ า ของเลนิ น ไม่ ได ก ้ ำา หนดไว ล ้ ่ วงหน า้ ว่ า 12
ความสั มพั นธุ์ ระหว่ า งกรรมาช ี พ กั บชาวนาจะเป็ นไปอย่ างไรในแนวร่ วมปฏิ วั ติ สู ต ร เก่ า ของเลนิ น เปิ ดช ่ อ งว่ างให ป ้ ระสบการณ์ ทางประวั ติ ศ าสตร์ ไ ด พ ้ ิ สู จ น์ อย่ างช ั ดเจน ว่ า ถึ ง แม ว้ ่ า ชาวนาอาจมี บ ทบาทสู ง ในการปฏิ วั ติ แต่ บ ทบาทนี้ เป็ นบทบาทอิ ส ระและ บทบาทในการนำ า ไม่ ได ้ ชนชั ้ นชาวนาจะตามกรรมาช ี พ หรื อตามนายทุ น ชนชั ้ นใด ชนชั ้ นหนึ่ ง เป็ นประจำา ฉะนั ้ น“เผด็ จการประชาธิ ป ไตยของกรรมาช ี พ และชาวนา” ตอ ้ งเป็ นเผด็ จการของชนช ั ้ น กรรมาช ี พ ที่ นำ า มวลชนชาวนา 6. เ ผ ด็ จ ก า ร ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย ข อ ง ช น ช ั ้ น ก ร ร ม า ช ี พ แ ล ะ ช า ว น า ที่ ต่ า ง จ า ก เผด็ จการของชนชั ้ นกรรมาช ี พ ในรู ปแบบทางชนช ั ้ น จะเกิ ด ขึ้ นได ต ้ ่ อเมื่ อมี พรรค ปฏิ วั ติ อ ิ ส ระของชาวนาหรื อ ชนช ั ้ น นายทุ น น อ ้ ย ที่ สามารถยึ ด อำา นาจโดยอาศั ยความ ช ่ ว ยเหลื อ ไม่ มากหรื อ น อ ้ ยจากชนช ั ้ นกรรมาช ี พ แต่ ป ระสบการณ์ จากประวั ติ ศ าสตร์ ปั จจุ บั น รวมถึ ง ประวั ติ ศ าสตร์ รั สเซ ี ย ในรอบ 25 ปี ที่ ผ่ า นมา พิ สู จ น์ ว่ า อุ ป สรรค์ ท ี่ ไม่ สามารถข า้ มได ใ้ นการสร า้ งพรรคนี้ คื อ การที่ ชนชั ้ นนายทุ นน ้อ ยไม่ มี ความอิ ส ระ ทางการเมื อ งและเศรษฐกิ จ และมี ก ารแบ่ ง แยกฐานะภายในชนช ั ้ นเดี ย วกั น ฉะนั ้ น ส่ ว นบนของชนชั ้ น นายทุ น น อ ้ ยหรื อ ชนช ั ้ น ชาวนาจะสนั บสนุ นนายทุ น โดยเฉพาะใน เรื่ องสงครามและการปฏิ วั ติ และส ่ ว นล่ า งจะตามชนชั ้ นกรรมาช ี พ ส่ ว นกลุ่ มที่ อยู่ ระหว่ างกลางจะต อ ้ งเลื อ กระหว่ างสองขั ้ ว ระหว่ างลั ทธิ ค าเรนสกี กั บ ลั ทธิ บ อล เชอร์ ว ิ ค หรื อ ระหว่ า งพรรคกั ว มิ น ตั๋ งกั บ เผด็ จการชนช ั ้ น กรรมาช ี พ เราจะไม่ พ บขั ้ น ตอ นกึ่ ง ๆ กลางๆ และจะไม่ พ บเผด็ จการประชาธิ ป ไตยของกรรมาช ี พ และชาวนาเลย 7. การที่ องค์ ก ร คอมมิ น เทอร์ น (ภายใต ส ้ ตาลิ น ) พยายามเอาคำา ขวั ญอั นล า้ สมั ยหมดยุ คของ “เผด็ จการประชาธิ ป ไตยของกรรมาช ี พ และชาวนา” มาสวมครอบ ประเทศในตะวั นออก มี ผ ลในทิ ศ ทางปฏิ ก ิ ร ิ ย าเท่ า นั ้ น เพราะเมื่ อเอาคำา ขวั ญนี้ มาขั ด แย ง้ กั บคำา ขวั ญ “เผด็ จการชนชั ้ นกรรมาช ี พ ” จะทำา ให ก ้ รรมาช ี พ สลายตั วเข า้ ไปใน มวลชนนายทุ น น อ ้ ย ซ ึ่ ง จะเอื้ ออำา นวยกั บ การครอบงำา ความคิ ด จากนายทุ น ชาติ และ ้ ำา ขวั ญนี้ โดยองค์ ก ร คอมมิ น การสลายตั ว ของการปฏิ วั ติ ป ระชาธิ ป ไตย ฉะนั ้ นการใช ค เทอร์ น เป็ นการกระทำา ที่ ทรยศต่ อลั ทธิ ม าร์ คซ ์ แ ละกั บประ เพณี บอลเชอร์ วิ ค จา ก ตุ ล าคม 1917 8. เผด็ จการของชนชั ้ น กรรมาช ี พ ที่ ขึ้ นมานำ า การปฏิ วั ติ ป ระชาธิ ป ไตย จะต อ ้ ง เผช ิ ญ หน า้ อย่ า งรวดเร็ วกั บ ปั ญหาต่ า งๆ ที่ แก ไ้ ด โ้ ดยวิ ธ ี เ ดี ย วเท่ า นั ้ นคื อ การลดทอน ส ิ ท ธิ ท รั พย์ ส ิ น เอกชนของนายทุ น ฉะนั ้ นกระบวนการประชาธิ ป ไตยจะนำ า ไปสู่ การ ปฏิ วั ติ ถ าวรเพื่ อสร า้ งส ั ง คมนิ ย มทั นที 9. การยึ ด อำา นาจของชนช ั ้ น กรรมาช ี พ ไม่ ใ ช ่ จุ ด ส ิ้ น สุ ด ของการปฏิ วั ติ เพี ย งแต่ ้ าง เป็ นจุ ดเริ่ มต น ้ เท่ า นั ้ น การสร า้ งระบบสั งคมนิ ย มทำา ได ภ ้ ายใต เ้ งื่ อนไข การต่ อ สู ท ้ บบนี้ ภายใต ้ สภาพโลกที่ ส ่ ว น ชนชั ้ น เท่ า นั ้ นในระดั บ ชาติ แ ละระดั บ สากล การต่ อ สู แ ใ ห ญ่ มี ค ว า ม สั ม พั น ธ์ แ บ บ ทุ น นิ ย ม มั ก จ ะ นำ า ไ ป สู่ ก า ร ร ะ เ บิ ด ภ า ย ใ น ใ น รู ป แ บ บ สงครามกลางเมื อ ง และการระเบิ ด ภายนอกในรู ปแบบสงครามปฏิ วั ติ สภาพเช ่ น นี้ 13
เองช ี้ ถึ ง ความ “ถาวร” ของการปฏิ วั ติ สั ง คมนิ ย ม ไม่ ว่ า จะเกิ ด ขึ้ นก่ อ นในประเทศล า้ ห ลั ง ที่ พึ่ ง จ ะ บ ร ร ลุ ก า ร ป ฏิ วั ติ ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย ห รื อ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ทุ น นิ ย ม เ ก่ า แ ก่ ที่ มี ประชาธิ ป ไตยและระบบรั ฐสภามานาน 10. ความสำา เร็ จของการปฏิ วั ติ ส ั งคมนิ ย มในขอบเขตประเทศเดี ย วเป็ นไป ไม่ ไ ด ้ สา เห ตุ ห นึ่ งข อง วิ ก ฤตปั จจุ บั น ข อง ส ั งค มทุ น นิ ยม คื อก า ร ที่ พ ลั ง กา ร ผ ลิ ต ปั จ จุ บั น ถู ก จำา กั ด ภ า ย ใ น ข อ บ เ ข ต ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ช า ติ ไ ม่ ไ ด ้ ส ิ่ ง เ ห ล่ า นี้ ทำา ใ ห ้เ กิ ด สงครามจั กรวรรดิ น ิ ยมและส ั งคมเพ อ ้ ฝั นในสหรั ฐหรื อยุ โรปพร อ ้ มๆกั น การปฏิ วั ติ สั ง คมนิ ย มจะเกิ ด ขึ้ นในเวที รั ฐชาติ แต่ จ ะแผ่ ข ยายไปในเวที ส ากล และจะสำา เร็ จใน เว ที โ ล ก ฉะ นั ้ น คว า ม “ ถ า ว ร ” ข องกา รปฏิ วั ติ สั งค มนิ ย ม มี มิ ต ิ ท ี่ กว า้ งยิ่ งขึ้ น คื อ สำา เร็ จได ต ้ ่ อ เมื่ อสั ง คมใหม่ ไ ด ร้ ั บชั ย ชนะทั่ วโลก 11. การสรุ ปการพั ฒนาของกระบวนการปฏิ วั ติ โ ลกดั งที่ เขี ย นไว ข ้ า้ งต น ้ นี้ ทำา ให เ้ ราสามารถยกเลิ ก “ปั ญหา” ของประเทศที่ “สุ ก งอม” หรื อ ประเทศที่ “ยั งไม่ พร อ ้ ม” ที่ จะปฏิ วั ติ สั งคมนิ ย ม ตามแนวคิ ด กลไกของ คอมมิ น เทอร์ น ระบบทุ นนิ ย ม ได ส ้ ร า้ งตลาดโลกและได แ ้ บ่ ง งานและการผลิ ต ในระดั บโลก ฉะนั ้ นระบบทุ น นิ ย มจึ ง ได ช ้ ่ ว ยเตรี ย มเศรษฐกิ จ ของทั ้ ง โลกเพื่ อการเปลี่ ยนแปลงส ั ง คมนิ ย ม ในประเทศต่ า งๆ การเปลี่ ยนแปลงดั งกล่ า ว จะมี อั ตราความรวดเร็ วที่ ต่ างกั น ในบางกรณี ประเทศที่ ล า้ หลั งอาจเกิ ด เผด็ จการของชนช ั ้ นกรรมาช ี พ ก่ อนประเทศ ก า้ ว ห น ้า แ ต่ กา รส ร ้า ง สั ง ค ม นิ ย มที่ สม บู รณ์ จ ะ ใ ช เ้ ว ลา ยา ว น า น ก ว่ า ถ ้า เ ที ย บ กั บ ประเทศพั ฒนา ในประเทศที่ เป็ นเมื อ งขึ้ นหรื อกึ่ งเมื องขึ้ น ชนชั ้ นกรรมาช ี พ อาจจะยั งไม่ มี คว าม พร อ ้ มที่ จะ สร า้ งแน วร่ ว มกั บชา วนา เพื่ อยึ ด อำา น า จแ ละ จะ ไ ม่ สา มา รถ นำ า กา ร ปฏิ วั ติ ป ระชาธิ ป ไตยไปสู่ จุ ดจบของมั นได ้ ในทางตรงกั นข า้ ม ถ า้ ประเทศไหนมี ก า ร ป ฏิ วั ติ ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย จ น ช น ช ั ้ น ก ร ร ม า ช ี พ เ ข ้า ม า ยึ ด อำา น า จ เ ส ถี ย ร ภ า พ ข อ ง เผด็ จการชนชั ้ นกรรมาช ี พ และสั งคมนิ ย มจะไม่ ขึ้ นอยู่ กั บระดั บการพั ฒนาของระบบ ก า ร ผ ลิ ต ใ น ป ร ะ เ ท ศ นั ้ น เ ป็ น ห ลั ก แ ต่ จ ะ ขึ้ น อ ยู่ กั บ ก า ร พั ฒ น า ข อ ง ก า ร ป ฏิ วั ติ สั ง คมนิ ย มในระดั บ สากลมากกว่ า 12. ทฤษฎี ท ี่ ว่ า ด ว้ ยสั ง คมนิ ย มในประเทศเดี ย ว ซ ึ่ งเกิ ด ขึ้ นในช ่ ว งปฏิ ก ิ ร ิ ย า ที่ ต่ อ ต า้ นประเพณี ตุ ล าคม 1917 เป็ นทฤษฎี เ ดี ย วที่ ขั ดแย ง้ อย่ า งถึ ง ที่ สุ ด กั บทฤษฎี ปฏิ วั ติ ถ าวร คว า ม พย า ย า ม ข อ ง พ ว ก สต า ลิ น ที่ เ ขี ยน ปร ะ วั ติ ศ า ต ร์ แ บ บ บิ ด เ บื อ น ใ น กา ร แก ต ้ ั วว่ าทฤษฎี ก ารสร า้ งส ั งคมนิ ย มในประเทศเดี ย วเหมาะสมกั บรั สเซ ี ย เนื่ องจาก สภาพพิ เ ศษของรั สเซ ี ย (การที่ เป็ นประเทศใหญ่ และมี ท รั พยากรมากมาย ) ไม่ ไ ด ้ ช ่ ว ยสนั บสนุ นข อ ้ เสนอของเขาแต่ อ ย่ างใด แต่ ย ิ่ งทำา ให ข ้ อ ้ เสนออ่ อ นแอลง เพราะ การตั ด ขาดจากจุ ดยื น สากลนิ ย มมั กจะนำ า ไปสู ่ จุ ดยื น ที่ ยกย่ อ งความพิ เ ศษ ดี เ ลิ ศ ของ ประเทศตั ว เอง ซ ึ่ ง ทำา ให ป ้ ระเทศตั ว เองทำา ในส ิ่ ง ที่ ประเทศอื่ นทำา ไม่ ไ ด ้ 14
การแบ่ ง งานในระดั บโลก การที่ อุ ต สาหกรรมโซเวี ย ตต อ ้ งพึ่ งเทคโนโลยี ต่ า ง ชาติ และการที่ ระบบการผลิ ต ของประเทศพั ฒนาในยุ โรปต อ ้ งพึ่ งทรั พยากรและ วั ตถุ ด ิ บ จากเอเซ ี ย ฯลฯ ทำา ให ก ้ ารสร า้ งระบบสั ง คมนิ ย มที่ มี เ อกราชในประเทศเดี ย ว เป็ นเรื่ องที่ เป็ นไปไม่ ไ ด ้ 13. ทฤษฎี ข องสตาลิ น และบู คาริ น ขั ดแย ง้ กั บประสบการณ์ ทั ้ งหมดจากการ ปฏิ วั ติ รั สเซ ี ย เพราะแยกการปฏิ วั ติ ป ระชาธิ ป ไตยออกจากการปฏิ วั ติ ส ั ง คมนิ ย ม และ การปฏิ วั ติ ร ะดั บ ชาติ อ อกจากการปฏิ วั ติ ใ นระดั บ สากลในรู ป แบบกลไก ท ฤ ษ ฎี นี้ ส ร ้า ง ภ า ร ะ อั น เ พ ้อ ฝั น กั บ ก า ร ป ฏิ วั ติ ใ น ป ร ะ ก า ศ ล ้า ห ลั ง ที่ จ ะ ต ้อ ง สถาปนาระบบเผด็ จการประชาธิ ป ไตย ซ ึ่ งต่ างกั บเผด็ จการของชนช ั ้ นกรรมาช ี พ ฉะนั ้ นทฤษฎี นี้ สร า้ งความเพ อ ้ ฝั นในระบบความคิ ด ทางการเมื อ งที่ ทำา ลายการต่ อสู ้ เพื่ อยึ ด อำา นาจของชนช ั ้ นกรรมาช ี พ ในตะวั นออก และเป็ นอุ ปสรรคในการปลดแอก ประเทศเมื อ งขึ้ น จากมุ ม มองทฤษฎี ข องพวกสตาลิ น การยึ ด อำา นาจของชนช ั ้ น กรรมาช ี พ คื อ จุ ด ส ิ้ น สุ ด ของการปฏิ วั ติ แ ละจุ ด เริ่ มต น ้ ของการปฏิ รู ป ระดั บ ชาติ ฉะนั ้ นทฤษฎี ท ี่ เสนอว่ า “ชาวนาร่าำ รวยจะวิ วั ฒนาการเข า้ สู่ ระบบสั งคมนิ ย ม” และทฤษฎี “การสร า้ งนายทุ น โลก” แยกออกจากทฤษฎี “สั ง คมนิ ย มในประเทศเดี ย ว”ไม่ ไ ด ้ ้ ฤษฎี สั งคมนิ ยมระดั บชาติ ทำา ให อ การใช ท ้ งค์ ก ร คอมมิ น เทอร์ น ไร บ ้ ทบาท น อ ก เ ห นื อ จ า ก ก า ร ร ณ ร ง ค์ เ พื่ อ ยั บ ยั ้ ง ก า ร ส ่ ง กำา ลั ง ท ห า ร ม า ป ร า บ ป ร า ม รั ส เ ซ ี ย นโยบายปั จจุ บั นขององค์ ก ร คอมมิ น เทอร์ น การคั ดเลื อ กผู ้นำา ขององค์ ก ร และวิ ธ ี การบริ ห ารองค์ ก ร ตรงกั บ การลดบทบาทของสากลคอมมิ ว นิ ส ต์ ไ ปเป็ นองค์ ก รส ำา รอง ที่ ไม่ ม ี ภ าระในการแก ป ้ ั ญหาด ว้ ยตนเอง 14. นโยบายขององค์ ก ร คอมมิ น เทอร์ น ที่ เสนอโดยบู ค าริ น สั บ สนอย่ า งยิ่ ง มั นเป็ นความพยายามที่ จะผสมทฤษฎี ส ั งคมนิ ย มในประเทศเดี ย ว กั บแนวคิ ด สากล นิ ย มของลั ทธิ ม าร์ ค ซ ์ ซ ึ่ งแยกไม่ ออกจากลั กษณะของการปฏิ วั ติ ร ะดั บโลก ฉะนั ้ น การต่ อ สู ้ข อง“ฝ่ ายค า้ นคอมมิ ว นิ ส ต์ ซ า้ ย” เพื่ อนโยบายและการ บริ ห ารที่ ถู กต อ ้ งใน สากลคอมมิ ว นิ สต์ แยกไม่ ออกจากการต่ อสู ้เ พื่ อนโยบายแบบลั ทธิ ม าร์ คซ ์ และ ปั ญหาของนโยบาย คอมมิ น เทอร์ น แยกไม่ ออกจากปั ญหาที่ เกิ ด จากทฤษฎี สอง ทฤษฎี ที่ ขั ดแย ง้ กั นนั ้ นคื อ ทฤษฎี การปฏิ วั ติ ถ าวรกั บทฤษฎี ส ั งคมนิ ยมในประเทศ เดี ย ว ปั ญหาของการปฏิ วั ติ ถ าวรได พ ้ ั ฒนาจากยุ คการถกเถี ย งระหว่ างเลนิ นกั บต รอดสกี น านแล ว้ ความขั ดแย ง้ หลั กทางความคิ ด ที่ เราพบในปั จจุ บั นเป็ นความขั ด แย ง้ ระหว่ า งฝ่ ายมาร์ ค ซ ์ - เลนิ น กั บ ฝ่ ายสายกลางที่ สั บ สน เขี ย นในปี 1928 แปลจาก Leon Trotsky (1975) “The Permanent Revolution, Results and Prospects” New Park Publications , London หน้ า 152-157 โดย ใจ อึ๊ ง ภากรณ์ 15
16