เล่ม ๑๓๓ ตอนที่ ๑๒ ก
หน้า ๑ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
พระราชบัญญัติ
องค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นปีที่ ๗๑ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็ จ พระปรมิ น ทรมหาภู มิ พ ลอดุ ล ยเดช มี พ ระบรมราชโองการโปรดเกล้ า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน จึ ง ทรงพระกรุ ณ าโปรดเกล้ า ฯ ให้ ต ราพระราชบั ญ ญั ติ ขึ้ น ไว้ โ ดยคํ า แนะนํ า และยิ น ยอมของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบั ญ ญั ติ นี้ เ รี ย กว่ า “พระราชบั ญ ญั ติ อ งค์ ก ารมหาชน (ฉบั บ ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙” มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในบทนิยามคําว่า “คณะกรรมการ” ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ องค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ““คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการของแต่ละองค์การมหาชน” มาตรา ๔ ให้ เ พิ่ ม ความต่ อ ไปนี้ เ ป็ น วรรคสามของมาตรา ๕ แห่ ง พระราชบั ญ ญั ติ องค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ “การพิจารณากิจการตามวรรคสองให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกําหนดโดยข้อเสนอแนะ ของ กพม.”
เล่ม ๑๓๓ ตอนที่ ๑๒ ก
หน้า ๒ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
มาตรา ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๕/๑ มาตรา ๕/๒ มาตรา ๕/๓ มาตรา ๕/๔ มาตรา ๕/๕ มาตรา ๕/๖ มาตรา ๕/๗ และมาตรา ๕/๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ “มาตรา ๕/๑ ให้มีคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนคณะหนึ่ง เรียกโดยย่อว่า “กพม.” ประกอบด้วย (๑) ประธานกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นประธานกรรมการ (๒) กรรมการโดยตําแหน่ง จํานวนสี่คน ได้แก่ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการ คณะกรรมการพั ฒ นาการเศรษฐกิ จ และสั ง คมแห่ ง ชาติ เลขาธิ ก ารคณะรั ฐ มนตรี และผู้ อํ า นวยการ สํานักงบประมาณ (๓) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจํานวนไม่เกินเจ็ดคน โดยในจํานวนนี้ ต้องเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ในการบริหารองค์การมหาชนอย่างน้อยสองคน ให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นกรรมการและเลขานุการ ให้สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นผู้รับผิดชอบในงานธุรการและงานวิชาการ ของ กพม. มาตรา ๕/๒ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๓) ไม่เคยได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิด ที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๔) ไม่เป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น กรรมการ หรือผู้ดํารงตําแหน่งซึ่งรับผิดชอบการบริหารพรรคการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ พรรคการเมือง (๕) ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทําการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ มาตรา ๕/๓ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะดํารงตําแหน่งกรรมการ ที่ปรึกษา หรือตําแหน่งอื่นใด ขององค์การมหาชนในเวลาเดียวกันไม่ได้ ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการ ที่ปรึกษา หรือผู้ดํารงตําแหน่งอื่นใดขององค์การมหาชนให้เป็น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้กรรมการผู้นั้นลาออกจากตําแหน่งกรรมการ ที่ปรึกษา หรือตําแหน่งอื่นใด ขององค์ ก ารมหาชนภายในสิ บ ห้ าวั น นั บ แต่ วั น ที่ ไ ด้ รั บ แต่ ง ตั้ ง แต่ ถ้ า ผู้ นั้ น มิ ไ ด้ ล าออก ให้ ถื อ ว่ า ผู้ นั้ น ไม่เคยได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมาตั้งแต่ต้น มาตรา ๕/๔ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละสี่ปี
เล่ม ๑๓๓ ตอนที่ ๑๒ ก
หน้า ๓ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
ในกรณี ที่ ก รรมการผู้ ท รงคุ ณ วุ ฒิ พ้ น จากตํ า แหน่ ง ก่ อ นวาระและมี ก ารแต่ ง ตั้ ง กรรมการแทน หรื อ ในกรณี ที่ คณะรั ฐ มนตรี แ ต่ง ตั้ ง กรรมการเพิ่ ม ขึ้ น ในระหว่ า งที่ กรรมการซึ่ ง แต่ง ตั้ ง ไว้แ ล้ ว ยั งมี ว าระ อยู่ในตําแหน่ง ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการแทนหรือเป็นกรรมการเพิ่มขึ้น อยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระ ที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว เมื่อครบกําหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ ให้ กรรมการผู้ ทรงคุ ณวุ ฒิซึ่ งพ้ นจากตํา แหน่งตามวาระนั้ น อยู่ในตํ าแหน่ งเพื่อ ดําเนิ นงานต่อ ไปจนกว่ า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตําแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่จะดํารงตําแหน่ง ติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ มาตรา ๕/๕ นอกจากการพ้นจากตําแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตําแหน่งเมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๕/๒ (๔) กระทําการอันต้องห้ามตามมาตรา ๕/๓ วรรคหนึ่ง (๕) คณะรั ฐ มนตรี ใ ห้ อ อก เพราะบกพร่ อ งต่ อ หน้ า ที่ มี ค วามประพฤติ เ สื่ อ มเสี ย หรื อ หย่อนความสามารถ มาตรา ๕/๖ ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตําแหน่งก่อนวาระ ให้แต่งตั้งกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิแทนภายในสามสิบวัน เว้นแต่วาระของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวัน จะไม่แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนก็ได้ ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตําแหน่งก่อนวาระ ให้ กพม. ประกอบด้วยกรรมการทั้งหมด ที่มีอยู่ มาตรา ๕/๗ ให้นําบทบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการที่มีอํานาจดําเนินการพิจารณาทางปกครอง ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับแก่การประชุมของ กพม. โดยอนุโลม มาตรา ๕/๘ กพม. มีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบในการจัดตั้ง การรวม หรือการยุบเลิก องค์การมหาชน (๒) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกําหนดนโยบาย แนวทาง และหลักเกณฑ์กลางที่เกี่ยวกับ การจัดตั้ง การรวม การยุบเลิก การบริหารและพัฒนา และการประเมินผลขององค์การมหาชน (๓) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกําหนดหลักเกณฑ์กลางเกี่ยวกับการสรรหาประธานกรรมการ กรรมการในคณะกรรมการ และผู้อํานวยการ (๔) เสนอแนะหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน การถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน การเข้าร่วมทุน ในกิจการของนิติบุคคลอื่น และการจําหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญตามมาตรา ๑๘ ต่อคณะรัฐมนตรี
เล่ม ๑๓๓ ตอนที่ ๑๒ ก
หน้า ๖ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
บ้านเมืองที่ดี ซึ่งต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจ ความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจ ความซื่อสัตย์สุจริต การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การกระจายอํานาจการตัดสินใจ การอํานวยความสะดวก และการตอบสนองความต้องการของประชาชน” มาตรา ๑๑ ให้ ย กเลิ ก ความในมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖ แห่ ง พระราชบั ญ ญั ติ องค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๕ คณะกรรมการมีอํานาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการได้ ตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชน และมีอํานาจแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ตามมาตรา ๒๔ (๓) (ฉ) และคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ คณะกรรมการมอบหมายได้ มาตรา ๒๖ ให้ประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา กรรมการตรวจสอบ และอนุกรรมการ ได้รับเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกําหนด” มาตรา ๑๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๒๗/๑ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ “มาตรา ๒๗/๑ ในการแต่งตั้งผู้อํานวยการต้องดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่ วันที่มีเหตุต้องแต่งตั้งผู้อํานวยการ และหากมีเหตุผลจําเป็นให้คณะกรรมการขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกิน หกสิบวัน หากดําเนินการไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าวให้คณะกรรมการรายงานผลให้ กพม. เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา” มาตรา ๑๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๘ ผู้อํานวยการนอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนดไว้ ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ด้วย (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ (๓) สามารถทํางานให้แก่องค์การมหาชนได้เต็มเวลา (๔) ไม่ เ ป็ น บุ ค คลล้ ม ละลายหรื อ ไม่ เ คยเป็ น บุ ค คลล้ ม ละลายทุ จ ริ ต คนไร้ ค วามสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๕) ไม่เคยได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิด ที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๖) ไม่เป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น กรรมการ หรือผู้ดํารงตําแหน่งซึ่งรับผิดชอบการบริหารพรรคการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ พรรคการเมือง
เล่ม ๑๓๓ ตอนที่ ๑๒ ก
หน้า ๗ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
(๗) ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทําการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (๘) ไม่เป็นผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์การมหาชนอื่น (๙) ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตําแหน่งหรือเงินเดือนประจํา พนักงานหรือลูกจ้างของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานของรัฐ หรือผู้ปฏิบัติงานขององค์การมหาชนอื่น (๑๐) ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทํากับองค์การมหาชนนั้น หรือในกิจการที่เป็นการแข่งขัน กับกิจการขององค์การมหาชนนั้น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม” มาตรา ๑๔ ให้ เ พิ่ ม ความต่ อ ไปนี้ เ ป็ น วรรคสามของมาตรา ๓๐ แห่ ง พระราชบั ญ ญั ติ องค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ “การขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๒๘ (๒) ให้ถือว่าเป็นการพ้นจากตําแหน่งตามกําหนดเวลา ในสัญญาจ้าง” มาตรา ๑๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๓๑ ผู้อํานวยการมีหน้าที่บริหารกิจการขององค์การมหาชนให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ขององค์การมหาชน ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกําหนด นโยบาย มติ และประกาศของคณะกรรมการ ภายใต้ บั งคั บมาตรา ๓๙ วรรคสอง ให้ ผู้ อํ านวยการเป็ นผู้ บั งคั บบั ญชาเจ้ าหน้ าที่ และลู กจ้ าง ขององค์การมหาชนทุกตําแหน่ง ผู้อํานวยการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการบริหารกิจการขององค์การมหาชน” มาตรา ๑๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๓๕ เจ้าหน้าที่ขององค์การมหาชนนอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ตามที่กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ด้วย (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่ต่ํากว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ และไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ (๓) สามารถทํางานให้แก่องค์การมหาชนได้เต็มเวลา (๔) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๘ (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๑๐) (๕) ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตําแหน่งหรือเงินเดือนประจํา พนักงานหรือลูกจ้างของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานของรัฐ หรือผู้ปฏิบัติงานขององค์การมหาชนอื่น เว้นแต่เป็นกรณีตามมาตรา ๓๖ ความใน (๑) มิให้ใช้บังคับแก่เจ้าหน้าที่ชาวต่างประเทศซึ่งองค์การมหาชนมีความจําเป็นต้องจ้าง ตามลักษณะงานขององค์การมหาชนนั้น”
เล่ม ๑๓๓ ตอนที่ ๑๒ ก
หน้า ๘ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
มาตรา ๑๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๓๕/๑ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ “มาตรา ๓๕/๑ การขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๓๕ (๒) ให้ถือว่าเป็นการพ้นจากตําแหน่ง ตามกําหนดเวลาในสัญญาจ้าง” มาตรา ๑๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๓๘/๑ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ “มาตรา ๓๘/๑ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนมีเสรีภาพในการรวมกลุ่ม แต่ทั้งนี้ ต้องไม่กระทบประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและความต่อเนื่องในการจัดทําบริการสาธารณะ และต้องไม่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และรายละเอียดแห่งการใช้เสรีภาพในการรวมกลุ่มตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา” มาตรา ๑๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๓๙ การบัญชีขององค์การมหาชน ให้จัดทําตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกําหนด ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี และต้องจัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการเงิน การบัญชี และการพัสดุขององค์การมหาชน ตลอดจนรายงานผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการทราบอย่างน้อย ปีละครั้ง ในการตรวจสอบภายใน ให้มีผู้ปฏิบัติงานขององค์การมหาชนทําหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบภายใน โดยเฉพาะ และให้รับผิดชอบขึ้นตรงต่อคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการตามระเบียบที่คณะกรรมการ กําหนด ในการแต่งตั้ง โยกย้าย เลื่อนเงินเดือน เลื่อนตําแหน่ง และลงโทษทางวินัยของผูต้ รวจสอบภายใน ให้ผู้อํานวยการและคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาร่วมกันแล้วเสนอให้คณะกรรมการให้ความเห็นชอบก่อน จึงดําเนินการได้” มาตรา ๒๐ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๒ และมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๔๒ เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมประสิทธิภาพการดําเนินงานขององค์การมหาชน และเพื่อให้องค์การมหาชนมีความเป็นอิสระในการดําเนินกิจการตามความเหมาะสมภายใต้การกํากับดูแล โดยมีเป้าหมายที่แน่ชัด ให้องค์การมหาชนอยู่ภายใต้ระบบการประเมินผลขององค์การมหาชนตามที่ กพม. กําหนด มาตรา ๔๓ ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนมีอํานาจหน้าที่ กํากับดูแลการดําเนินกิจการขององค์การมหาชนให้เป็นไปตามกฎหมาย และให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
เล่ม ๑๓๓ ตอนที่ ๑๒ ก
หน้า ๙ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
ของการจัดตั้งองค์การมหาชน นโยบายของรัฐบาล มติของคณะรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติราชการ ที่เกี่ยวข้องกับองค์การมหาชนนั้น เพื่อการนี้ให้รัฐมนตรีมีอํานาจสั่งให้องค์การมหาชนชี้แจง แสดงความคิดเห็น ทํารายงาน หรือยับยั้งการกระทําขององค์การมหาชนที่ขัดต่อกฎหมาย วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์การมหาชน นโยบายของรัฐบาล มติของคณะรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติราชการที่เกี่ยวข้องกับองค์การมหาชนนั้น ตลอดจนสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดําเนินการได้” มาตรา ๒๑ ให้องค์การมหาชนทุกแห่งดําเนินการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติม พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ไปยังคณะรัฐมนตรีภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับ หากไม่สามารถดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้สํานักงานคณะกรรมการ พัฒนาระบบราชการดําเนินการแทนและเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป มาตรา ๒๒ ให้คณะกรรมการขององค์การมหาชนตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชน ที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นคณะกรรมการขององค์การมหาชนนั้นจนครบวาระ การดํารงตําแหน่งตามที่กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งดังกล่าว การนับวาระการดํารงตําแหน่งของประธานกรรมการและกรรมการซึ่งมิใช่กรรมการโดยตําแหน่ง ขององค์การมหาชนตามวรรคหนึ่ง ให้นับต่อเนื่องกับการนับวาระตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชน และตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๒๓ ผู้ใดดํารงตําแหน่งกรรมการขององค์การมหาชนอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับเกินกว่าจํานวนที่กําหนดในมาตรา ๑๙/๑ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ผู้นั้นลาออกจากตําแหน่งกรรมการขององค์การมหาชนหนึ่ง องค์การมหาชนใด หรือมอบหมายให้ผู้อื่นปฏิบัติราชการแทน แล้วแต่กรณี จนเหลือไม่เกินจํานวนที่กําหนด ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ถ้ามิได้ดําเนินการดังกล่าว ในกรณีที่เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ให้ถือว่าพ้ นจากตําแหน่งกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งทั้งหมดตั้งแต่วัน ถัดจากวันครบกําหนด สามสิบวัน ในกรณีที่เป็นกรรมการโดยตําแหน่ง ห้ามมิให้ได้รับเบี้ยประชุมหรือผลประโยชน์ตอบแทนใด ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังครบกําหนดสามสิบวันจนกว่าจะได้มีการมอบหมายให้ผู้อื่นปฏิบัติราชการแทนจนเหลือ ไม่เกินจํานวนที่กําหนด มาตรา ๒๔ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัตินี้ ในวาระเริ่มแรก มิให้นํา บทบัญญัติมาตรา ๒๘ และมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาใช้บังคับกับผู้อํานวยการหรือเจ้าหน้าที่ขององค์การมหาชนซึ่งดํารงตําแหน่ง อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และมีคุณสมบัติหรือไม่มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติ
เล่ม ๑๓๓ ตอนที่ ๑๒ ก
หน้า ๑๐ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
องค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น แล้วแต่กรณี เว้นแต่การขาดคุณสมบัติหรือการมีลักษณะต้องห้ามนั้นเกิดขึ้นภายหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับ มาตรา ๒๕ ในวาระเริ่มแรก มิให้นําบทบัญญัติมาตรา ๒๘ (๒) แห่งพระราชบัญญัติ องค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่ งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาใช้บัง คับกับ ผู้อํานวยการ ซึ่งดํารงตําแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยให้ผู้นั้นดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการต่อไป จนครบระยะเวลาตามที่กําหนดในสัญญาจ้าง มาตรา ๒๖ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เล่ม ๑๓๓ ตอนที่ ๑๒ ก
หน้า ๑๑ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ในปัจจุบันการจัดตั้งองค์การมหาชน ยังขาดมาตรการส่งเสริมและการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับทรัพยากรและบุคคล จึงไม่อาจบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตามหลักการบริหารงานภาครัฐแบบใหม่ สมควรกําหนดให้มีคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน เพื่อรับผิดชอบในการเสนอแนะนโยบาย แนวทางการดําเนินงาน การพัฒนา และหลักเกณฑ์กลางที่เกี่ยวกับ การจั ด ตั้ ง การรวม และการยุ บ เลิ ก องค์ ก ารมหาชนต่ อ คณะรั ฐ มนตรี ปรั บ ปรุ ง องค์ ป ระกอบ คุ ณ สมบั ติ และลักษณะต้องห้าม และอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการขององค์การมหาชนและผู้อํานวยการขององค์การมหาชน ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ตลอดจนกําหนดแนวทางการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ บริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี อันจะทําให้การบริหารงานและการปฏิบัติภารกิจขององค์การมหาชนมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลยิ่งขึ้น จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
หนา ๑ ราชกิจจานุเบกษา
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
พระราชกฤษฎีกา
จัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ใหไว ณ วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘ เปนปที่ ๖๐ ในรัชกาลปจจุบนั พระบาทสมเด็จ พระปรมิน ทรมหาภู มิพลอดุล ยเดช มีพ ระบรมราชโองการโปรดเกล า ฯ ใหประกาศวา โดยที่เปนการสมควรจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงขึ้นเปนองคการมหาชนตามกฎหมาย วาดวยองคการมหาชน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๕ แหงพระราชบัญญัติองคการมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ ใหตราพระราชกฤษฎีกา ขึ้นไว ดังตอไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกวา “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘” มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ใหใชบังคับตั้งแตวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เปนตนไป มาตรา ๓ ในพระราชกฤษฎีกานี้
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๒ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
“การวิจัยและการพัฒนา” หมายความวา การคนควาทดลอง การสํารวจหรือศึกษาตามหลักวิชาการ เพื่อใหไดขอมูล ความรู การประดิษฐ การพัฒนาผลิตภัณฑ ตลอดจนการแลกเปลี่ยน การถายทอด การประยุกต การสงเสริมและสนับสนุน เพื่อนําองคความรูและวิทยาการไปใชในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการอนุรักษฟนฟูสิ่งแวดลอมของชุม ชนในพื้นที่สูง ทั้งนี้ ใหหมายความรวมถึงกิจกรรม ที่เกี่ยวเนื่องกับการวิจัยและพัฒนาที่คณะกรรมการกําหนด “พื้นที่สูง” หมายความวา พื้นที่ที่เปนภูเขา หรือพื้นที่ที่มีความสูงกวาระดับน้ําทะเลหารอยเมตร ขึ้นไป หรือพื้นที่ที่อยูในระหวางพื้นที่สูงตามที่คณะกรรมการกําหนด “สถาบัน” หมายความวา สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) “คณะกรรมการ” หมายความวา คณะกรรมการสถาบัน “คณะที่ปรึกษาพิเศษ” หมายความวา คณะที่ปรึกษาสถาบัน “ผูอํานวยการ” หมายความวา ผูอํานวยการสถาบัน “เจาหนาที่” หมายความวา เจาหนาที่สถาบัน “ลูกจาง” หมายความวา ลูกจางสถาบัน “รัฐมนตรี” หมายความวา รัฐมนตรีผูรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๔ ใหรัฐมนตรีวาการกระทรวงเกษตรและสหกรณรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ หมวด ๑ การจัดตั้ง วัตถุประสงค และอํานาจหนาที่ มาตรา ๕ ใหจัดตั้งองคการมหาชนขึ้นเรียกวา “สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน)” เรียกโดยยอวา “สวพส.” และใหใชชื่อภาษาอังกฤษวา “Highland Research and Development Institute (Public Organization)” เรียกโดยยอวา “HRDI” มาตรา ๖ ใหสถาบันมีที่ตั้งของสํานักงานแหงใหญอยูในจังหวัดเชียงใหมหรือจังหวัดใกลเคียง มาตรา ๗ ใหสถาบันมีวัตถุประสงค ดังตอไปนี้ (๑) สงเสริม สนับสนุนการวิจัยและการพัฒนางานโครงการหลวง (๒) สนับสนุนการวิจัย รวบรวมและเก็บรักษานวัตกรรมใหม เสริมสรางและรักษาภูมิปญญา ทองถิ่น ตลอดจนรักษาคุณคาของความหลากหลายทางชีวภาพบนพื้นที่สูง
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๓ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
(๓) สงเสริมและประสานความรวมมือกับมูลนิธิโครงการหลวง สวนราชการ รั ฐวิสาหกิ จ หนวยงานของรัฐและสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวของ และภาคเอกชนทั้งในประเทศและตางประเทศในการศึกษา คนควา วิจัย พัฒนาและการถายทอดขอมูลและเทคโนโลยีบนพื้นที่สูงที่เหมาะสมสูชุมชน (๔) จัดใหมีการศึกษา คนควา วิจัย พัฒนาและเผยแพรขอมูลและสารสนเทศเกี่ยวกับการพัฒนา พื้นที่สูงอยางครบวงจร เชน ดานการผลิต การตลาด มาตรฐานผลิตภัณฑการขนสงสินคา ตลอดจน เปนศูนยประสานงานและสงเสริมการดําเนินการดังกลาว (๕) รวมมือและแลกเปลี่ยนการพัฒนาทางวิชาการดานการวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงในระดับ นานาชาติ (๖) ใหบริการดานการใหคําปรึกษาและการใหบริการในดานตาง ๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒ นา พื้นที่สูงที่ไดจากการศึกษา คนควา วิจัย และพัฒนา (๗) สนับสนุนและดําเนินการใหมีการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑของสินคา โครงการหลวง และสินคาในโครงการของสถาบันจากหนวยงานในประเทศและตางประเทศ รวมทั้งดําเนินการใหมี การจดทะเบียนสิทธิบัตร เครื่องหมายการคาและทรัพยสินทางปญญาอื่น ๆ ทั้งในประเทศและตางประเทศ มาตรา ๘ เพื่อใหบรรลุวัตถุประสงคตามมาตรา ๗ ใหสถาบันมีอํานาจและหนาที่ดังตอไปนี้ (๑) ถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง และมีทรัพยสิทธิตาง ๆ (๒) กอตั้งสิทธิ หรือทํานิติกรรมทุกประเภทผูกพันทรัพยสิน ตลอดจนทํานิติกรรมอื่น ใด เพื่อประโยชนในการดําเนินกิจการของสถาบัน (๓) จัดหาและใหทุนเพื่อสนับสนุนการศึกษาวิจัย เพื่อการพัฒนาและการอนุรักษฟนฟูพนื้ ทีส่ งู (๔) เขารวมทุนกับนิติบุคคลอื่นในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงคของสถาบัน (๕) จําหนายสินคาหรือบริการที่ไดจากโครงการหลวงหรือโครงการของสถาบัน (๖) กูยืมเงินเพื่อประโยชนในการดําเนินงานตามวัตถุประสงคของสถาบัน (๗) ทําความตกลงและรวมมือกับองคการหรือหนวยงานในประเทศและตางประเทศในกิจการ ที่เกี่ยวกับการดําเนินงานตามวัตถุประสงคของสถาบัน (๘) เรียกเก็บคาธรรมเนียม คาบํารุง คาตอบแทน หรือคาบริการในการดําเนินกิจการ (๙) กระทําการอื่นใดซึ่งจําเปนหรือตอเนื่องเพื่อใหบรรลุวัตถุประสงคของสถาบัน
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๔ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
การเขารวมทุนกับนิติบุคคลอื่นตาม (๔) และการกูยืมเงินตาม (๖) ใหเปนไปตามหลักเกณฑ ที่คณะรัฐมนตรีกําหนด หมวด ๒ ทุน รายได และทรัพยสิน มาตรา ๙ ทุนและทรัพยสินในการดําเนินกิจการของสถาบัน ประกอบดวย (๑) เงินและทรัพยสินที่ไดรับโอนมาตามมาตรา ๔๔ (๒) เงินที่รัฐบาลจายใหเปนทุนประเดิม (๓) เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรใหตามความเหมาะสมเปนรายป (๔) เงินอุดหนุนจากภาคเอกชน องคกรปกครองสวนทองถิ่น หรือองคกรอื่น รวมทั้งจากตางประเทศ หรือองคการระหวางประเทศ และเงินหรือทรัพยสินที่มีผูอุทิศให (๕) คาธรรมเนียม คาบํารุง คาตอบแทน คาบริการ สิทธิประโยชน หรือรายไดจากการดําเนินงาน (๖) ดอกผลของเงินหรือรายไดจากทรัพยสินของสถาบัน มาตรา ๑๐ ในกรณีที่สถาบันจัดใหมีบริการใดอันอยูในวัตถุประสงคและอํานาจหนาที่ของสถาบัน ใหสถาบันมีอํานาจเรียกเก็บคาธรรมเนียม คาบํารุง คาบริการ หรือคาตอบแทนจากกิจการนั้นไดตามอัตรา ที่คณะกรรมการกําหนด มาตรา ๑๑ บรรดารายไดของสถาบันไมเปนรายไดที่ตองนําสงกระทรวงการคลังตามกฎหมาย วาดวยเงินคงคลัง และกฎหมายวาดวยวิธีการงบประมาณ ในกรณีที่มีเหตุจําเปนหรือสมควร สถาบันโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอาจนํารายได ของสถาบันในจํานวนที่เห็นสมควรสงกระทรวงการคลังเพื่อเปนรายไดของแผนดิน มาตรา ๑๒ ใหทรัพยสิน ซึ่งสถาบัน ไดมาจากการให หรือซื้อดวยเงิน รายไดของสถาบัน หรือโดยการแลกเปลี่ยน เปนกรรมสิทธิ์ของสถาบัน ใหสถาบันมีอํานาจในการปกครอง ดูแล บํารุงรักษา ใช จําหนาย และจั ด หาประโยชน จ าก ทรัพยสินของสถาบัน มาตรา ๑๓ การใชจายเงินของสถาบัน ใหใชจายไปเพื่อกิจการของสถาบันโดยเฉพาะ การเก็บรักษาและเบิกจายเงินของสถาบัน ใหเปนไปตามขอบังคับที่คณะกรรมการกําหนด
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๕ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
หมวด ๓ การบริหารและการดําเนินกิจการ มาตรา ๑๔ ใหมีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกวา “คณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนา พื้นที่สูง” ประกอบดวย (๑) ประธานกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแตงตั้งจากผูซึ่งมีความรู ความเชี่ยวชาญและประสบการณ สูงเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่สูง (๒) กรรมการโดยตําแหนง จํานวนหาคน ไดแก ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ ปลัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงาน โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ และเลขาธิการมูลนิธิโครงการหลวง (๓) กรรมการผูทรงคุณวุฒิ จํานวนไมเกินสี่คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแตงตั้งจากผูซึ่งมีความรู ความเชี่ยวชาญ และประสบการณสูงเปนที่ประจักษในดานการเกษตร การพัฒนาสังคม การอนุรักษและ ฟนฟูทรัพยากรธรรมชาติ การบริหารจัดการ หรือดานอื่น ๆ ที่เกี่ยวของและเปนประโยชนตอกิจการ ของสถาบัน โดยในจํานวนนี้จะตองเปนบุคคลซึ่งมิใชขาราชการหรือผูปฏิบัติงานในหนวยงานของรัฐ ที่มีตําแหนงหรือเงินเดือนประจํารวมอยูดวย ใหผูอํานวยการเปนกรรมการและเลขานุการโดยตําแหนง และใหผูอํานวยการแตงตั้งผูชวยเลขานุการ ไดตามความจําเปน มาตรา ๑๕ ประธานกรรมการและกรรมการผูทรงคุณวุฒิ ตองมีคุณสมบัติและไมมีลักษณะ ตองหาม ดังตอไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไมต่ํากวาสามสิบหาปบริบูรณ และไมเกินเจ็ดสิบปบริบูรณ (๓) ไมเปนบุคคลลมละลาย คนไรความสามารถ หรือคนเสมือนไรความสามารถ (๔) ไมเคยไดรับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดใหจําคุก เวนแตเปนโทษสําหรับความผิด ที่ไดกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๕) ไมเปนผูดํารงตําแหนงทางการเมือง สมาชิกสภาทองถิ่นหรือผูบริหารทองถิ่น กรรมการ ผูดํารงตําแหนงซึ่งรับผิดชอบการบริหารพรรคการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมือง หรือเจาหนาที่พรรคการเมือง
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๖ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
(๖) ไมเปนเจา หนาที่หรือลู กจางของสถาบัน หรือที่ ปรึกษาหรือ ผูเชี่ยวชาญที่มีสัญญาจา ง กับสถาบัน (๗) ไมเปนผูมีสวนไดเสียในกิจการที่กระทํากับสถาบันหรือในกิจการที่เปน การแขงขันกับ กิจการของสถาบัน ไมวาทางตรงหรือทางออม เวนแตเปนผูซึ่งคณะกรรมการมอบหมายใหเปนประธาน กรรมการ กรรมการ หรือผูแทนของสถาบันในการเขารวมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นตามมาตรา ๘ (๔) ความใน (๑) มิใหใชบังคับแกกรรมการชาวตางประเทศซึ่งสถาบันจําเปนตองแตงตั้งตามขอผูกพัน หรือตามลักษณะกิจการของสถาบัน หรือเปนบุคคลที่มีคุณสมบัติดีเดนเหมาะสมกับงานของสถาบัน มาตรา ๑๖ ประธานกรรมการและกรรมการผูทรงคุณวุฒิมีวาระการดํารงตําแหนงคราวละ สามป ในกรณีที่ประธานกรรมการหรือกรรมการผูทรงคุณวุฒิพนจากตําแหนงกอนวาระหรือในกรณี ที่คณะรัฐมนตรีแตงตั้งกรรมการผูทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้น ในระหวางที่กรรมการซึ่งแตงตั้งไวแลวยังมีวาระ อยูในตําแหนง ใหผูไดรับแตงตั้งแทนตําแหนงที่วางหรือเปนกรรมการผูทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นอยูในตําแหนง เทากับวาระที่เหลืออยูของกรรมการซึ่งไดรับแตงตั้งไวแลว เวนแตวาระที่เหลืออยูไมถึงเกาสิบวัน จะไมแตงตั้ง กรรมการผูทรงคุณวุฒิแทนก็ได เมื่อครบกําหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง หากยังไมมีการแตงตั้งประธานกรรมการหรือกรรมการ ผูทรงคุณวุฒิขึ้นใหม ใหประธานกรรมการหรือกรรมการผูทรงคุณวุฒิซึ่งพนจากตําแหนงตามวาระนั้น อยูในตําแหนงเพื่อดําเนินงานตอไปจนกวาประธานกรรมการหรือกรรมการผูทรงคุณวุฒิซึ่งไดรับแตงตั้ง ใหมเขารับหนาที่ มาตรา ๑๗ ประธานกรรมการหรือกรรมการผูทรงคุณวุฒิซึ่งพนจากตําแหนงตามวาระอาจไดรับ แตงตั้งอีกได แตจะดํารงตําแหนงติดตอกันเกินสองวาระไมได ในกรณีที่ประธานกรรมการหรือกรรมการผูทรงคุณวุฒิพนจากตําแหนงกอนวาระ ใหคณะกรรมการ ประกอบดวยกรรมการทั้งหมดเทาที่มีอยูจนกวาจะมีการแตงตั้งประธานกรรมการหรือกรรมการผูทรงคุณวุฒิ ตามมาตรา ๑๖ วรรคสอง และในกรณีที่ประธานกรรมการพนจากตําแหนงกอนวาระใหกรรมการ ที่เหลือเลือกกรรมการคนหนึ่งทําหนาที่ประธานกรรมการเปนการชั่วคราว มาตรา ๑๘ นอกจากการพ น จากตํ า แหน ง ตามวาระ ประธานกรรมการและกรรมการ ผูทรงคุณวุฒิพนจากตําแหนงเมื่อ
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๗ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
(๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) คณะรัฐมนตรีใหออก เพราะบกพรองตอหนาที่ มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือหยอนความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะตองหามอยางหนึ่งอยางใดตามมาตรา ๑๕ มาตรา ๑๙ คณะกรรมการมีอํานาจหนาที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของสถาบันใหเปนไป ตามวัตถุประสงค และโดยเฉพาะใหมีอํานาจหนาที่ดังตอไปนี้ (๑) กําหนดทิศทาง เปาหมาย และนโยบายในการบริหารงานของสถาบัน (๒) อนุมัติแผนงาน แผนการลงทุน แผนการเงิน โครงการ และงบประมาณประจําปของ สถาบัน (๓) ดูแลฐานะและความมั่นคงทางการเงิน ใหความเห็นชอบรายงานการเงินพิจารณารายงาน ของผูตรวจสอบการเงิน และวางระเบียบ กฎเกณฑ หรือขอหามทางการเงิน (๔) กําหนดหลักเกณฑ วิธีการ และเงื่อนไขการใหกูยืมเงินและการระดมเงินทุนของสถาบัน (๕) ใหคําแนะนําหรือเสนอแนะการแกไขปญหาหรืออุปสรรคอันเกิดจากการบริหารจัดการ ตลอดจนเสนอตอคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการในกรณีมีปญหาหรืออุปสรรคเกี่ยวกับ การประสานงานในการดําเนินการตามวัตถุประสงคและอํานาจหนาที่ของสถาบัน (๖) ใหความเห็นชอบการกําหนดคาธรรมเนียม คาบํารุง คาตอบแทน คาบริการ และสิทธิ ประโยชนตาง ๆ ที่เกิดจากการดําเนินงานของสถาบัน (๗) จัดตั้งและยุบเลิกสํานักงานสาขาของสถาบัน ในกรณีที่มีความจําเปนและเห็น สมควร เพื่อใหบรรลุวัตถุประสงคของสถาบัน และกําหนดวิธีการบริหารงานของสํานักงานสาขาของสถาบัน ดังกลาว (๘) สรรหา แตงตั้ง ประเมินผลการปฏิบัติงาน และถอดถอนผูอํานวยการ (๙) ออกระเบียบ ขอบังคับ ขอกําหนด หรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไปของสถาบัน การประสานระหวางสถาบันกับสํานักงานสาขา การจัดแบงสวนงานของสถาบันและขอบเขตอํานาจหนาที่ ของสวนงานดังกลาว การบริหารงานบุคคล เงินเดือ นและคาจางผูปฏิบัติงานของสถาบัน การเงิน การพัสดุและทรัพยสิน การงบประมาณ การบัญชี การจําหนายทรัพยสินจากบัญชีเปนสูญ การตรวจสอบ ภายใน การสรรหาหรือ คัด เลื อ กผู อํา นวยการ การปฏิบั ติง านของผูอํ านวยการ การมอบใหผู อื่ น
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๘ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
รักษาการแทนหรือปฏิบัติการแทนผูอํานวยการ และการจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชนอื่นแกคณะกรรมการ ที่ปรึกษาคณะกรรมการ ผูอํานวยการ คณะอนุกรรมการ คณะทํางาน ที่ปรึกษาคณะทํางาน เจาหนาที่ และลูกจางของสถาบัน (๑๐) ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อใหเปนไปตามพระราชกฤษฎีกานี้ (๑๑) กระทําการอื่นใดที่จําเปนเพื่อใหเปนไปตามวัตถุประสงคและอํานาจหนาที่ของสถาบัน หรือที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย ระเบียบเกี่ยวกับการจําหนายทรัพยสินจากบัญชีเปนสูญตาม (๙) ตองเปนไปตามหลักเกณฑ ที่คณะรัฐมนตรีกําหนด มาตรา ๒๐ การประชุมคณะกรรมการตองมีกรรมการมาประชุมไมนอยกวากึ่งหนึ่งของจํานวน กรรมการทั้งหมด จึงจะเปนองคประชุม ในการประชุมคณะกรรมการ ถาประธานกรรมการไมมาประชุมหรือไมอาจปฏิบัติหนาที่ได ใหที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเปนประธานในที่ประชุม ในการปฏิบัติหนาที่ ประธานกรรมการหรือกรรมการผูใดมีสวนไดเสียโดยตรงหรือโดยออม ในเรื่องที่คณะกรรมการพิจารณา ใหประธานกรรมการหรื อกรรมการผู นั้น แจงใหที่ ประชุมทราบ และใหที่ประชุมพิจารณาวาประธานกรรมการหรือกรรมการผูนั้นสมควรจะอยูในที่ประชุมหรือจะมีมติ ในการประชุมเรื่องนั้นไดหรือไม ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกําหนด การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมใหถือเสียงขางมาก กรรมการคนหนึ่งใหมีหนึ่งเสียงในการลงคะแนน ถาคะแนนเสียงเทากันใหประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเปนเสียงชี้ขาด มาตรา ๒๑ เพื่อประโยชนในการดําเนินงานของสถาบัน ใหมีคณะที่ปรึกษาพิเศษคณะหนึ่ง เรียกวา “คณะที่ปรึกษาสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง” ประกอบดวย (๑) ประธานมูลนิธิโครงการหลวง เปนประธานคณะที่ปรึกษาพิเศษ (๒) ที่ปรึกษาพิเศษซึ่งประธานคณะที่ปรึกษาพิเศษแตงตั้งจากผูแทนสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวของ จํานวนไมเกินหาคน (๓) ที่ปรึกษาพิเศษซึ่งประธานคณะที่ปรึกษาพิเศษแตงตั้งจากผูทรงคุณวุฒิซึ่งเปนนักวิชาการ หรือผูชํานาญการ จํานวนไมเกินหาคน
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๙ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
มาตรา ๒๒ ที่ปรึกษาพิเศษตามมาตรา ๒๑ (๒) และ (๓) มีวาระการดํารงตําแหนงคราวละ สามป ที่ปรึกษาพิเศษตามมาตรา ๒๑ (๒) และ (๓) ซึ่งพนจากตําแหนงตามวาระอาจไดรับแตงตั้ง อีกได มาตรา ๒๓ ใหคณะที่ปรึกษาพิเศษ มีหนาที่ใหความเห็น คําแนะนํา และคําปรึกษาแกคณะกรรมการ และผูอํานวยการในการปฏิบัติหนาที่ตามพระราชกฤษฎีกานี้ มาตรา ๒๔ คณะกรรมการมีอํานาจแตงตั้งผูทรงคุณวุฒิซึ่งมีความเชี่ยวชาญเปน ที่ปรึกษา คณะกรรมการ และมี อํ า นาจแต ง ตั้ ง คณะอนุ ก รรมการ คณะทํ า งาน และที่ ป รึ ก ษาคณะทํ า งาน เพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอยางใดอยางหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมายได ที่ปรึกษาคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทํางาน และที่ปรึกษาคณะทํางานจะตองไมเปน ผูมีสว นไดเสียในกิจการที่กระทํากับสถาบันหรือในกิจการที่เปนการแขงขันกับกิจการของสถาบัน ทั้งนี้ ไมวาโดยทางตรงหรือทางออม เวน แตเปนผูซึ่งคณะกรรมการมอบหมายใหเปนประธานกรรมการ กรรมการ หรือผูแทนของสถาบันในการเขารวมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นตามมาตรา ๘ (๔) การประชุมคณะอนุกรรมการและคณะทํางาน ใหนํามาตรา ๒๐ มาใชบังคับโดยอนุโลม มาตรา ๒๕ ใหประธานกรรมการ กรรมการ ประธานคณะที่ปรึกษาพิเศษ ที่ปรึกษาพิเศษ ที่ปรึกษาคณะกรรมการ ประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการไดรับเบี้ยประชุมและประโยชนตอบแทนอื่น ตามหลักเกณฑที่คณะรัฐมนตรีกําหนด ใหคณะทํางานและที่ปรึกษาคณะทํางานไดรับเบี้ยประชุมและประโยชนตอบแทนอื่นตามหลักเกณฑ ที่คณะกรรมการกําหนด มาตรา ๒๖ ใหสถาบันมีผูอํานวยการคนหนึ่ง คณะกรรมการเปนผูมีอํานาจสรรหา แตงตั้ง และถอดถอนผูอํานวยการ ในกรณีที่ไมมีผูอํานวยการหรือผูอํานวยการไมอาจปฏิบัติหนาที่ไดใหรองผูอํานวยการที่มีอาวุโส ตามลําดับปฏิบัติหนาที่แ ทน ถาไมมีรองผูอํานวยการใหคณะกรรมการแตงตั้งกรรมการคนหนึ่งเปน ผูปฏิบัติหนาที่แทน มาตรา ๒๗ ผูอํานวยการตองเปนผูสามารถทํางานใหแกสถาบันไดเต็มเวลาและตองเปนผูที่มี คุณสมบัติและไมมีลกั ษณะตองหาม ดังตอไปนี้
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๑๐ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
(๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไมเกินหกสิบหาปบริบูรณในวันที่ไดรับการแตงตั้ง (๓) เปนผูทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู ความสามารถ และประสบการณเหมาะสมกับกิจการของสถาบัน ตามที่กําหนดไวในวัตถุประสงคและอํานาจหนาที่ตามมาตรา ๗ และมาตรา ๘ (๔) ไมมีลักษณะตองหามอยางหนึ่งอยางใดตามมาตรา ๑๕ (๓) (๔) (๕) (๖) หรือ (๗) มาตรา ๒๘ ผูอํา นวยการมีวาระอยูใ นตําแหนง คราวละสี่ป และอาจไดรับ แตง ตั้งอี กได แตตองไมเกินสองวาระติดตอกัน มาตรา ๒๙ นอกจากการพนจากตําแหนงตามวาระ ผูอํานวยการพนจากตําแหนงเมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) ออกตามกรณีที่กําหนดไวในขอตกลงระหวางคณะกรรมการกับผูอํานวยการ (๔) คณะกรรมการใหออก เพราะบกพรองตอหนาที่ มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือหยอน ความสามารถ (๕) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะตองหามอยางหนึ่งอยางใดตามมาตรา ๒๗ มติของคณะกรรมการใหผูอํานวยการออกจากตําแหนงตาม (๔) ตองประกอบดวยคะแนนเสียง ไมนอยกวาสองในสามของจํานวนกรรมการเทาที่มีอยูโดยไมนับรวมผูอํานวยการ มาตรา ๓๐ ผูอํานวยการมีหนาที่บริหารกิจการของสถาบันใหเปนไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค ของสถาบัน ระเบียบ ขอบังคับ ขอกําหนด นโยบาย มติ และประกาศของคณะกรรมการ และเปน ผูบังคับบัญชาเจาหนาที่และลูกจางทุกตําแหนง เวนแตผูดํารงตําแหนงผูตรวจสอบภายใน ตามมาตรา ๓๙ วรรคสอง รวมทั้งใหมีหนาที่ดังตอไปนี้ (๑) เสนอเปาหมาย แผนงาน และโครงการตอคณะกรรมการ เพื่อใหการดําเนินงานของสถาบัน บรรลุวัตถุประสงค (๒) เสนอรายงานประจําปเกี่ยวกับผลการดําเนินงานดานตาง ๆ ของสถาบัน รวมทั้งรายงาน การเงินและการบัญชี ตลอดจนเสนอแผนการเงินและงบประมาณของปตอไปตอคณะกรรมการเพื่อพิจารณา (๓) เสนอความเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงกิจการและการดําเนินงานของสถาบันใหมีประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงคตอคณะกรรมการ
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๑๑ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
ผูอํานวยการตองรับผิดชอบตอคณะกรรมการในการบริหารกิจการของสถาบัน มาตรา ๓๑ ผูอํานวยการมีอํานาจ (๑) แตงตั้งรองผูอํานวยการหรือผูชวยผูอํานวยการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ เพื่อเปนผูชวยปฏิบัติงานของผูอํานวยการตามที่ผูอํานวยการมอบหมาย (๒) บรรจุ แตงตั้ง เลื่อน ลด ตัดเงินเดือนหรือคาจาง ลงโทษทางวินัยเจาหนาที่และลูกจาง ตลอดจนใหเจาหนาที่และลูกจางออกจากตําแหนง ทั้งนี้ ตามระเบียบหรือขอบังคับที่คณะกรรมการ กําหนด (๓) วางระเบียบเกี่ยวกับการดําเนินงานของสถาบันโดยไมขัดหรือแยงกับกฎหมาย มติของ คณะรัฐมนตรี ระเบียบ ขอบังคับ ขอกําหนด ประกาศ นโยบาย หรือมติของคณะกรรมการ มาตรา ๓๒ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ใหผูอํานวยการเปนผูแทนของสถาบัน และ เพื่อการนี้ ผูอํานวยการจะมอบอํานาจใหบุคคลใดปฏิบัติงานเฉพาะอยางแทนก็ได แตตองเปนไปตาม ระเบียบหรือขอบังคับที่คณะกรรมการกําหนด นิติกรรมใดที่ผูอํานวยการหรือผูรับมอบอํานาจจากผูอํานวยการกระทําโดยฝาฝนระเบียบหรือ ขอบังคับที่คณะกรรมการกําหนด ยอมไมผูกพันสถาบัน เวนแตคณะกรรมการใหสัตยาบัน มาตรา ๓๓ ใหคณะกรรมการเปนผูกําหนดอัตราเงินเดือนและประโยชนตอบแทนอื่นของ ผูอํานวยการ ตามหลักเกณฑที่คณะรัฐมนตรีกําหนด หมวด ๔ การประสานการปฏิบัติการ มาตรา ๓๔ เพื่อประโยชนใ นการสงเสริมและสนับสนุน การวิจัยและการพัฒนาพื้น ที่สูง อยางบูรณาการและมุงใหเกิดผลสัมฤทธิ์ ใหคณะกรรมการมีอํานาจหนาที่ประสานการปฏิบัติการกับ สวนราชการ รัฐวิสาหกิจ องคการมหาชนอื่น หรือหนวยงานอื่นของรัฐ เพื่อใหหนวยงานดังกลาว ใช ท รั พ ยากรบุค คล งบประมาณ และอํา นาจหน า ที่ ของตนให เ กิ ด ผลสํ า เร็ จ ตามแผนปฏิ บั ติ ก าร ของสถาบัน การประสานการปฏิบัติการตามวรรคหนึ่ง สถาบัน โดยความเห็น ชอบของคณะกรรมการ มีอํานาจจัดทําบัน ทึกขอตกลงฉบับหนึ่งหรือหลายฉบับระหวางสถาบัน กับสวนราชการ รัฐวิสาหกิจ
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๑๒ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
องคการมหาชนอื่น หรือหนวยงานอื่นของรัฐ เพื่อกําหนดวิธีการเงื่อนไข การใชอํานาจหนาที่ และ ความรับ ผิดชอบของหนวยงานนั้น ไดต ามที่ เห็น สมควร รวมทั้ง การมอบอํา นาจของสวนราชการ รัฐวิสาหกิจ องคการมหาชนอื่น หรือหนวยงานอื่นของรัฐใหสถาบันดําเนินการใด ๆ แทนดวย ทั้งนี้ ภายใตกฎหมายวาดวยการนั้นและตามความเหมาะสม ในกรณีที่สวนราชการ รัฐวิสาหกิจ องคการมหาชนอื่น หรือหนวยงานอื่นของรัฐตามวรรคหนึ่ง ไมยินยอมทําบันทึกขอตกลงหรือไมปฏิบัติตามบันทึกขอตกลงโดยไมมีเหตุอันสมควร ใหคณะกรรมการ รายงานตอรัฐมนตรีหรือผูมีอํานาจบังคับบัญชาหรือกํากับดูแลหนวยงานนั้น เพื่อพิจารณาสั่งการ หรือ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดและใหมีการดําเนินการตามมาตรา ๘ แหงพระราชบัญญัติองคการ มหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ในกรณีที่สวนราชการ รัฐวิสาหกิจ องคการมหาชนอื่น หรือหนวยงานอื่นของรัฐตามวรรคหนึ่ง ไดปฏิบัติตามบันทึกขอตกลงอยางมีคุณภาพหรือเกิดผลสัมฤทธิ์ตามเปาหมาย ใหคณะกรรมการรายงาน ตอ ก.พ.ร. เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีจัดสรรเงินเพิ่มพิเศษเปนบําเหน็จความชอบหรือจัดสรรเงินรางวัล การเพิ่มประสิทธิภาพใหแกสวนราชการรัฐวิสาหกิจ องคการมหาชนอื่น หรือหนวยงานอื่นของรัฐนั้น หรือใหสวนราชการ รัฐวิสาหกิจ องคการมหาชนอื่น หรือหนวยงานอื่นของรัฐนั้นใชเงินงบประมาณ เหลือจายของตนเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติงานหรือจัดสรรเปนเงินรางวัลใหแกบุคลากรในสังกัด หรือรับสิทธิ หรือประโยชนตอบแทนอื่นตามพระราชกฤษฎีกาวาดวยหลักเกณฑและวิธีการบริหารกิจการบานเมือง ที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ หมวด ๕ ผูปฏิบัติงานของสถาบัน มาตรา ๓๕ ผูปฏิบัติงานของสถาบันมีสามประเภทคือ (๑) เจาหนาที่และลูกจาง ไดแก ผูซึ่งปฏิบัติงานโดยไดรับเงินเดือนหรือคาจางจากงบประมาณ ของสถาบัน (๒) ที่ปรึกษาหรือผูเชี่ยวชาญ ไดแก ผูซึ่งสถาบันจางใหปฏิบัติงานเปนที่ปรึกษาหรือผูเชี่ยวชาญ โดยมีสัญญาจาง (๓) เจาหนาที่ของรัฐซึ่งมาปฏิบัติงานของสถาบันเปนการชั่วคราวตามมาตรา ๓๘
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๑๓ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
มาตรา ๓๖ เจาหนาที่ตองมีคุณสมบัติ และไมมีลักษณะตองหาม ดังตอไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไมต่ํากวาสิบแปดปบริบูรณ และไมเกินหกสิบปบริบูรณ (๓) สามารถทํางานใหแกสถาบันไดเต็มเวลา (๔) มีคุณวุฒิหรือประสบการณเหมาะกับวัตถุประสงคและอํานาจหนาที่ของสถาบัน (๕) ไมเปนขาราชการหรือลูกจางของสวนราชการ พนักงานหรือลูกจางของรัฐวิสาหกิจหรือ หนวยงานอื่นของรัฐ หรือพนักงานหรือลูกจางของราชการสวนทองถิ่น (๖) ไมมีลักษณะตองหามตามมาตรา ๑๕ (๓) (๔) (๕) (๖) หรือ (๗) ความใน (๑) มิใหใชบังคับแกเจาหนาที่ชาวตางประเทศซึ่งสถาบันจําเปนตองจางหรือแตงตั้ง ตามขอผูกพันหรือตามลักษณะกิจการของสถาบัน มาตรา ๓๗ เจาหนาที่พนจากตําแหนงเมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะตองหามอยางหนึ่งอยางใดตามมาตรา ๓๖ (๔) ถูกใหออก เพราะไมผานการประเมินผลงานตามหลักเกณฑและวิธีการที่คณะกรรมการ กําหนดไวในขอบังคับ (๕) ถูกใหอ อกหรือ ปลดออก เพราะผิด วินั ยตามหลักเกณฑแ ละวิ ธีก ารที่ คณะกรรมการ กําหนดไวในขอบังคับ มาตรา ๓๘ เพื่อประโยชนในการบริหารงานของสถาบัน รัฐ มนตรีอาจขอใหขาราชการ พนักงาน เจาหนาที่ หรือผูปฏิบัติงานอื่นใดในกระทรวง ทบวง กรม ราชการส วนภู มิภ าค ราชการ สวนทองถิ่น รัฐวิสาหกิจ องคการมหาชนอื่น หรือหนวยงานอื่นของรัฐ มาปฏิบัติงานเปนเจาหนาที่ ของสถาบันเปนการชั่วคราวได ทั้งนี้ เมื่อไดรับอนุมัติจากผูบังคับบัญชาหรือนายจางของผูนั้น และมี ขอตกลงที่ทําไวในการอนุมัติ ขาราชการ พนัก งาน เจา หนาที่ หรื อผูปฏิบั ติงานอื่น ใดซึ่งได รับอนุ มัติใ ห มาปฏิ บัติงาน เปนเจาหนาที่ของสถาบันเปนการชั่วคราวตามวรรคหนึ่ง ใหถือวาเปนการไดรับอนุญาตใหออกจากราชการ หรือออกจากงานไปปฏิบัติงานใด ๆ และใหนับระยะเวลาระหวางที่มาปฏิบัติงานในสถาบันสําหรับ
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๑๔ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
การคํานวณบําเหน็จบํานาญหรือประโยชนตอบแทนอยางอื่นทํานองเดียวกันเสมือนอยูปฏิบัติราชการ หรือปฏิบัติงานเต็มเวลาดังกลาว แลวแตกรณี เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่ไดรับอนุมัติใหมาปฏิบัติงานในสถาบัน ใหเจาหนาที่ของรัฐตามวรรคหนึ่ง มีสิทธิไดรับการบรรจุและแตงตั้งใหดํารงตําแหนงและรับเงินเดือนในสวนราชการหรือหนวยงานเดิม ไมต่ํากวาตําแหนงและเงินเดือนเดิมตามขอตกลงที่ทําไวในการอนุมัติ หมวด ๖ การบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผลงานของสถาบัน มาตรา ๓๙ การบั ญ ชี ข องสถาบั น ให จั ด ทํ า ตามหลั ก สากล ตามแบบและหลั ก เกณฑ ที่คณะกรรมการกําหนด และตองจัดใหมีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการเงินการบัญชี และการพัสดุ ของสถาบัน ตลอดจนรายงานผลการตรวจสอบใหคณะกรรมการทราบอยางนอยปละครั้ง ในการตรวจสอบภายใน ใหมี ผูป ฏิบั ติ งานของสถาบัน ทํา หน า ที่เ ปน ผูต รวจสอบภายใน โดยเฉพาะ และใหรับผิดชอบขึ้น ตรงตอคณะกรรมการตามระเบียบหรือขอบังคับที่คณะกรรมการ กําหนด มาตรา ๔๐ ใหส ถาบัน จัดทํ างบดุ ล งบการเงิ น และบั ญชี ทํา การสง ผูส อบบั ญชี ภายใน หนึ่งรอยยี่สิบวันนับแตวันสิ้นปบัญชีทุกป ในทุกรอบป ใหสํานักงานการตรวจเงินแผนดินหรือบุคคลภายนอกตามที่คณะกรรมการแตงตั้ง ดวยความเห็นชอบของสํานักงานการตรวจเงินแผนดินเปนผูสอบบัญชี และประเมินผลการใชจายเงินและ ทรัพยสินของสถาบัน โดยใหแสดงความคิดเห็นเปนขอวิเคราะหวาการใชจายดังกลาวเปนไปตามวัตถุประสงค ประหยัด และไดผลตามเปาหมายเพียงใด แลวบันทึกรายงานผลการสอบบัญชีเสนอตอคณะกรรมการ เพื่อการนี้ ใหผู สอบบัญชีมีอํานาจตรวจสอบสรรพสมุดบัญชีและเอกสารหลักฐานตาง ๆ ของสถาบัน สอบถามผูอํานวยการ ผูตรวจสอบภายใน เจาหนาที่และลูกจาง หรือบุคคลอื่น และ เรียกใหสงสรรพสมุดบัญชีและเอกสารหลักฐานตาง ๆ ของสถาบันเปนการเพิ่มเติมไดตามความจําเปน มาตรา ๔๑ ใหสถาบันทํารายงานประจําปเสนอรัฐมนตรีทุกสิ้นปงบประมาณ รายงานนี้ ใหกลาวถึงผลงานของสถาบันในปที่ลวงมาแลว บัญชีทําการ พรอมทั้งรายงานของผูสอบบัญชี รวมทั้ง คําชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการ โครงการ และแผนงานที่จะจัดทําในภายหนา
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๑๕ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
มาตรา ๔๒ เพื่อประโยชนในการพัฒนาและปรับปรุงระบบการปฏิบัติงานของสถาบันใหมี ประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์ สรางความรับผิดชอบและความเชื่อถือแกสาธารณชนในกิจการของสถาบัน ตลอดจนการติดตามความกาวหนาและการตรวจสอบการดําเนินงานของสถาบันใหเปนไปตามวัตถุประสงค โครงการ และแผนงานที่ไดจัดทําไว ใหสถาบันจัดใหมีการประเมินผลการดําเนินงานตามระยะเวลา ที่คณะกรรมการกําหนด แตตองไมนานกวาสามป การประเมินผลการดําเนินงานตามวรรคหนึ่ง ใหจัดทําโดยสถาบัน หน ว ยงาน องค ก ร หรื อ คณะบุคคลที่เปน กลางและมีความเชี่ยวชาญในดานการประเมิน ผลการดําเนินงานโดยมีการคัดเลือก หรือแตงตั้งตามวิธีการที่คณะกรรมการกําหนด การประเมิ น ผลการดํ าเนิ น งานของสถาบัน จะต อ งแสดงข อ เท็ จ จริ ง ให ป รากฏทั้ ง ในด า น ประสิทธิผล ในดานประสิทธิภาพ และในดานการพัฒนาองคกร และในรายละเอียดอื่นตามที่คณะกรรมการ จะไดกําหนดเพิ่มเติมขึ้น ในกรณีที่มีเหตุผลจําเปนเปนการเฉพาะกาล คณะกรรมการจะจัดใหมีการประเมินผลการดําเนินงาน เปนครั้งคราวตามมาตรานี้ดวยก็ได หมวด ๗ การกํากับดูแล มาตรา ๔๓ ใหรัฐ มนตรีมีอํ านาจหน าที่กํ ากับ ดูแลการดํ าเนิ น กิจ การของสถาบัน ใหเป น ไปตามกฎหมาย และใหสอดคลองกับวัตถุประสงคของการจัดตั้งสถาบัน นโยบายของรัฐบาล และมติ คณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับสถาบัน เพื่อการนี้ใหรัฐมนตรีมีอํานาจสั่งใหสถาบันชี้แจงแสดงความคิดเห็น ทํารายงานหรือยับยั้งการกระทําของสถาบันที่ขัดตอวัตถุประสงคของการจัดตั้งสถาบัน นโยบายของรัฐบาล หรือ มติ คณะรัฐ มนตรี ที่เ กี่ยวกับ สถาบัน ตลอดจนสั่ งสอบสวนขอ เท็ จจริงเกี่ย วกั บการดํ าเนิน การ ของสถาบันได บทเฉพาะกาล มาตรา ๔๔ เมื่อพระราชกฤษฎีกานี้ใ ชบังคับ ใหรัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีดําเนิน การ ตามมาตรา ๙ แหงพระราชบัญญัติองคการมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่ออนุมัติใหมีการโอนบรรดากิจการ
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๑๖ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
ทรัพยสิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ เฉพาะในสวนที่เกี่ยวกับการพัฒนาเกษตรที่สูงซึ่งเปนโครงการหลวงที่มีอยูในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ ใชบังคับ เวนแตงบประมาณหมวดเงินเดือนและคาจางประจําที่ยังมีผูครองอยูไปเปนของสถาบัน มาตรา ๔๕ เพื่อเปน ทุน ในการดําเนิน กิจการของสถาบัน ในระยะเริ่มแรก ใหรัฐ มนตรี เสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติใหมีการจัดสรรทุนประเดิมใหแกสถาบันภายในวงเงินที่รัฐมนตรีเห็นสมควร เพื่อใหสถาบันสามารถดําเนินการตามวัตถุประสงคได มาตรา ๔๖ ในวาระเริ่มแรก ใหคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงประกอบดวย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ เปนประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ เลขาธิการมูลนิธิ โครงการหลวง เปน กรรมการ ผูอํ านวยการสํ านักพั ฒนาเกษตรที่สูง สํานั กงาน ปลัด กระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ เปน กรรมการและเลขานุการ และประธานมู ลนิ ธิ โครงการหลวง เปนที่ปรึกษา ทั้งนี้ ใหปฏิบัติหนาที่ไปจนกวาจะมีคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ซึ่งตองไมเกินหนึ่งรอยยี่สิบวันนับแตวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใชบังคับ มาตรา ๔๗ ใหผูอํานวยการสํานักพัฒนาเกษตรที่สูง สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวง เกษตรและสหกรณ ซึ่งดํารงตําแหนงอยูในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใชบังคับ ปฏิบัติหนาที่ผูอํานวยการ เปนการชั่วคราวไปพลางกอนจนกวาจะมีการแตงตั้งผูอํานวยการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ซึ่งตองไมเกิน หนึ่งรอยแปดสิบวันนับแตวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใชบังคับ มาตรา ๔๘ ภายใตบังคับมาตรา ๔๙ และมาตรา ๕๐ ใหขาราชการและลูกจางของสํานักงาน ปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ ในสวนที่เกี่ยวขอ งกับการพัฒนาเกษตรที่สูงซึ่งเป น โครงการหลวง ซึ่งดํารงตําแหนงอยูในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใชบังคับ ยังคงเปนขาราชการและลูกจาง ของสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ และปฏิบัติหนาที่ในสถาบันตามพระราชกฤษฎีกานี้ โดยใหถือวาการปฏิบัติหนาที่ดังกลาวเปนการปฏิบัติหนาที่ราชการหรือปฏิบัติหนาที่ในฐานะลูกจาง ของสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ มาตรา ๔๙ ขาราชการและลูกจางของสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ ในสวนที่เกี่ยวของกับการพัฒนาเกษตรที่สูงซึ่งเปนโครงการหลวง ที่ดํารงตําแหนงอยูในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ ใชบังคับซึ่งสมัครใจเปลี่ยนไปเปนเจาหนาที่หรือลูกจางของสถาบัน ใหใชสิทธิแจงความจํานงเปนหนังสือ
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๑๗ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
ตอผูบังคับบัญชาตามระเบียบที่คณะกรรมการตามมาตรา ๔๖ กําหนด ภายในสามสิบวันนับแตวันที่ พระราชกฤษฎีกานี้ใ ชบังคับ และตองผานการประเมิน ตามหลักเกณฑและวิธีการที่คณะกรรมการ ตามมาตรา ๔๖ กํ า หนด ซึ่ง หลัก เกณฑแ ละวิ ธีก ารดั ง กล าวจะต อ งไมขั ด หรื อ แย งกั บ หลั ก เกณฑ ที่คณะรัฐมนตรีกําหนดตามมาตรา ๑๐ แหงพระราชบัญญัติองคการมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ การบรรจุแ ละแตงตั้งผูที่ผานการคัดเลือกและการประเมิน ตามวรรคหนึ่ง ใหมีผ ลในวัน ที่ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติใหมีการดําเนินการตามมาตรา ๔๔ มาตรา ๕๐ ใหผู ที่ไ ดรั บการบรรจุแ ละแต งตั้ งเปน เจา หน าที่ แ ละลู กจ างตามมาตรา ๔๙ ไดรับเงินเดือน คาจาง หรือคาตอบแทนตามตําแหนง อัตราเงินเดือน และคาจางตามที่คณะกรรมการ ตามมาตรา ๔๖ กําหนด รวมทั้งไดรับสวัสดิการและประโยชนอยางอื่น ซึ่งรวมกันแลวตองไมนอยกวา เงินเดือน คาจาง คาตอบแทน หรือสวัสดิการและประโยชนอยางอื่นที่ขาราชการหรือลูกจางผูนั้นเคยไดรับ จากสวนราชการ การเปลี่ยนจากขาราชการไปเปนเจาหนาที่ของสถาบัน ใหถือวาเปนการใหออกจากราชการ เพราะทางราชการเลิกหรือยุบตําแหนงตามกฎหมายวาดวยบําเหน็จบํานาญขาราชการหรือกฎหมาย วาดวยกองทุนบําเหน็จบํานาญขาราชการ การเปลี่ยนจากลูกจางของสวนราชการไปเปนลูกจางของสถาบัน ใหถือวาเปนการออกจากงาน เพราะทางราชการยุ บ ตํ าแหน งหรื อ เลิ ก จ างโดยไม มี ค วามผิ ด และให ไ ดรั บ บํ าเหน็ จตามระเบี ย บ กระทรวงการคลัง วาดวยบําเหน็จลูกจาง มาตรา ๕๑ ในระหวางที่ยังไมมีระเบียบ ขอบังคับ ประกาศ หรือขอกําหนดของสถาบัน ใหนําระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวของกับงานโครงการหลวง พ.ศ. ๒๕๔๗ ในส ว นที่ เ กี่ ย วกั บ การปฏิ บั ติ ง านตามขอบวั ต ถุ ป ระสงค ห รื อ อํ า นาจหน า ที่ ที่ จ ะเป น ของสถาบั น ตามพระราชกฤษฎีกานี้ที่ใชบังคับอยูกอนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใชบังคับ มาใชบังคับโดยอนุโลม ผูรับสนองพระบรมราชโองการ พันตํารวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
เลม ๑๒๒ ตอนที่ ๙๕ ก
หนา ๑๘ ราชกิจจานุเบกษา
๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๘
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชพระราชกฤษฎีก าฉบับนี้ คือ โดยที่เปนการสมควรสงเสริมและ สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง การพัฒนาและเสริมสรางนักวิจัย การใหบริการดานการใหคําปรึกษา การถายทอดเทคโนโลยีและการเสริมสรางความเขมแข็งของชุมชน การแลกเปลี่ยนผลงานวิชาการในระดับ นานาชาติ และการสนับสนุนงานโครงการหลวง เพื่อเปนการขยายผลงานโครงการหลวงใหเกิดประโยชน อยางกวางขวางในการปฏิบัติงานบนพื้นที่สูงที่หางไกลและทุรกันดาร โดยการจัดตั้งองคกรในรูปแบบองคการ มหาชนเพื่อทําหนาที่ดังกลาวซึ่งจะทําใหมีการบริหารจัดการที่กวางขวาง มีความคลองตัวในการดําเนินงาน และมีการประสานความรวมมือของภาคสวนตาง ๆ ที่เกี่ยวของเขาดวยกันไดดียิ่งขึ้น สมควรจัดตั้งสถาบันวิจยั และพัฒนาพื้นที่สูงขึ้นเปนองคการมหาชนเพื่อดําเนินภารกิจดังกลาว จึงจําเปนตองตราพระราชกฤษฎีกานี้
เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๑๘ ก
หน้า ๗ ราชกิจจานุเบกษา
๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
พระราชกฤษฎีกา
จัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนา พื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐” มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนา พื้นที่สูง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๔ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนา พื้นที่สูง” ประกอบด้วย
เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๑๘ ก
หน้า ๘ ราชกิจจานุเบกษา
๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
(๑) ประธานกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์สูง เกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่สูง (๒) กรรมการโดยตํ า แหน่ ง จํ า นวนสามคน ได้ แ ก่ ปลั ด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเลขาธิการมูลนิธิโครงการหลวง (๓) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวนไม่เกินหกคน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์สูงเป็นที่ประจักษ์ในด้านการเกษตร การพัฒนาสังคม การอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ การบริหารจัดการ หรือด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อกิจการ ของสถาบัน ให้ ผู้ อํ า นวยการเป็ น กรรมการและเลขานุ ก ารโดยตํ า แหน่ ง และให้ ผู้ อํ า นวยการแต่ ง ตั้ ง ผู้ช่วยเลขานุการได้ตามความจําเป็น กรรมการจํานวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ต้องไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตําแหน่งหรือเงินเดือนประจํา พนักงานหรือลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เว้นแต่เป็นผู้สอนในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ” มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๑๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัย และพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๖ ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละสี่ปี” มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๙ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนา พื้นที่สูง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๑๙ คณะกรรมการมีอํานาจหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการและการดําเนินการ ของสถาบัน เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ อํานาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (๑) กําหนดทิศทาง เป้าหมาย นโยบายการบริหารงาน และให้ความเห็นชอบแผนการดําเนินงาน ของสถาบัน (๒) อนุมัติแผนงาน แผนการลงทุน แผนการเงิน โครงการ และงบประมาณประจําปีของสถาบัน (๓) ดูแลฐานะและความมั่นคงทางการเงิน ให้ความเห็นชอบรายงานการเงิน พิจารณารายงาน ของผู้ตรวจสอบการเงิน และวางระเบียบ กฎเกณฑ์ หรือข้อห้ามทางการเงิน (๔) กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้กู้ยืมเงินและการระดมเงินทุนของสถาบัน (๕) ให้คําแนะนําหรือเสนอแนะการแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคอันเกิดจากการบริหารจัดการ ตลอดจนเสนอต่อคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการในกรณีมีปัญหาหรืออุปสรรคเกี่ยวกับ การประสานงานในการดําเนินการตามวัตถุประสงค์และอํานาจหน้าที่ของสถาบัน
เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๑๘ ก
หน้า ๙ ราชกิจจานุเบกษา
๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
(๖) ให้ ค วามเห็ น ชอบการกํา หนดค่ า ธรรมเนี ย ม ค่ าบํ ารุ ง ค่ า ตอบแทน ค่ า บริ ก าร และ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกิดจากการดําเนินงานของสถาบัน (๗) จัดตั้งและยุบเลิกสํานักงานสาขาของสถาบันในกรณีที่มีความจําเป็นและเห็นสมควรเพื่อให้ บรรลุวัตถุประสงค์ของสถาบัน และกําหนดวิธีการบริหารงานของสํานักงานสาขาของสถาบันดังกล่าว (๘) สรรหา แต่งตั้ง ประเมินผลการปฏิบัติงาน และถอดถอนผู้อํานวยการ (๙) ออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกําหนดเกี่ยวกับสถาบันในเรื่องดังต่อไปนี้ (ก) การประสานระหว่างสถาบันกับสํานักงานสาขา (ข) การจัดแบ่งส่วนงานของสถาบัน และขอบเขตหน้าที่ของส่วนงานดังกล่าว (ค) การกําหนดตําแหน่ง คุณสมบัติเฉพาะตําแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง และเงินอื่น ของเจ้าหน้าที่และลูกจ้าง (ง) การคัดเลือก การบรรจุ การแต่งตั้ง การถอดถอน วินัยและการลงโทษทางวินัย การออกจากตําแหน่ง การร้องทุกข์และการอุทธรณ์การลงโทษของเจ้าหน้าที่และลูกจ้าง รวมทั้งวิธีการ และเงื่อนไขในการจ้างลูกจ้าง (จ) การบริหารและจัดการการเงิน การพัสดุ ทรัพย์สิน และการงบประมาณของสถาบัน รวมทั้งการบัญชีและการจําหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญ (ฉ) การจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นแก่เจ้าหน้าที่และลูกจ้าง (ช) การแต่งตั้งและอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบ (ซ) การกํ า หนดขอบเขตเกี่ ย วกั บ การปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ข องคณะกรรมการตรวจสอบ และผู้ตรวจสอบภายใน (ฌ) การกําหนดเครื่องแบบผู้อํานวยการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้าง และเครื่องหมายสถาบัน (ญ) การสรรหา การแต่งตั้ง และการถอดถอนผู้อํานวยการ การปฏิบัติงานของผู้อํานวยการ และการมอบหมายให้ผู้อื่นปฏิบัติงานแทน (๑๐) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย (๑๑) กระทําการอื่นใดที่จําเป็นหรือต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของสถาบัน ระเบียบเกี่ยวกับการจําหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญตาม (๙) (จ) ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ที่คณะรัฐมนตรีกําหนด” มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๔ คณะกรรมการมีอํานาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความเชี่ยวชาญเป็นที่ปรึกษา คณะกรรมการ และมีอํานาจแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบตามมาตรา ๑๙ (๙) (ช) และคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้
เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๑๘ ก
หน้า ๑๐ ราชกิจจานุเบกษา
๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
ที่ปรึกษาคณะกรรมการ คณะกรรมการตรวจสอบ และคณะอนุกรรมการ จะต้องไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสีย ในกิจการที่กระทํากับสถาบัน หรือในกิจการที่เป็นการแข่งขันกับกิจการของสถาบัน ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อม เว้นแต่เป็นผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมายให้เป็นประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้แทน ของสถาบันในการเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นตามมาตรา ๘ (๔) การประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและคณะอนุกรรมการ ให้นํามาตรา ๒๐ มาใช้บังคับโดยอนุโลม มาตรา ๒๕ ให้ประธานกรรมการ กรรมการ ประธานคณะที่ปรึกษาพิเศษ ที่ปรึกษาพิเศษ ที่ ป รึ ก ษาคณะกรรมการ ประธานกรรมการตรวจสอบ กรรมการตรวจสอบ ประธานอนุ ก รรมการ และอนุกรรมการ ได้รับเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกําหนด” มาตรา ๗ ให้ ย กเลิ ก ความในมาตรา ๒๗ แห่ ง พระราชกฤษฎี ก าจั ด ตั้ ง สถาบั น วิ จั ย และพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๗ ผู้อํานวยการต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ เหมาะสมกับกิจการของสถาบันตามที่กําหนดไว้ในวัตถุประสงค์และอํานาจหน้าที่ของสถาบัน รวมทั้ง ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชนด้วย” มาตรา ๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของมาตรา ๒๙ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ “การขาดคุ ณ สมบั ติ เ พราะมี อ ายุ เ กิ น หกสิ บ ห้ า ปี บ ริ บู ร ณ์ ให้ ถื อ ว่ า เป็ น การพ้ น จากตํ า แหน่ ง ตามกําหนดเวลาในสัญญาจ้าง” มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๐ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนา พื้นที่สูง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๓๐ ภายใต้บังคับมาตรา ๓๙ วรรคสอง ให้ผู้อํานวยการมีหน้าที่บริหารกิจการ ของสถาบันให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ของสถาบัน ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกําหนด นโยบาย มติ และประกาศของคณะกรรมการ และให้ผู้อํานวยการเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่และลูกจ้างทุกตําแหน่ง รวมทั้งให้มีหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) เสนอเป้าหมาย แผนงาน และโครงการต่อคณะกรรมการเพื่อให้การดําเนินงานของสถาบัน บรรลุวัตถุประสงค์ (๒) เสนอรายงานประจําปีเกี่ยวกับผลการดําเนินงานด้านต่าง ๆ ของสถาบัน รวมทั้งรายงานการเงิน และการบัญชี ตลอดจนเสนอแผนการเงินและงบประมาณของปีต่อไปต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณา (๓) เสนอความเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงกิจการและการดําเนินงานของสถาบันให้มีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสถาบันต่อคณะกรรมการ ผู้อํานวยการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการบริหารกิจการของสถาบัน”
เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๑๘ ก
หน้า ๑๒ ราชกิจจานุเบกษา
๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
การดําเนินงานของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เป็นไปตามระบบการประเมินผล ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไปพลางก่อน ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๑๘ ก
หน้า ๑๓ ราชกิจจานุเบกษา
๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติต่าง ๆ ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ ให้สอดคล้องกับ บทบัญญัติในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อให้การบริหารงานและการปฏิบัติภารกิจของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น จึงจําเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
ระเบียบคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นทีส่ ูง วาดวยการลาของเจาหนาที่และลูกจาง พ.ศ. 2549 -----------------------------------โดยที่ เ ป น การสมควรให มี ก ารออกระเบี ย บเกี่ ย วกั บ การลาของเจ า หน า ที่ แ ละลู ก จ า งของ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 19 (9) แหงพระราช กฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) พ.ศ. 2548 และมติที่ประชุมคณะกรรมการ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงในการประชุมครั้งที่ 1/2549 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2549 จึงเห็นสมควรออก ระเบียบไวในวาระแรก ดังตอไปนี้ ขอ 1 ระเบียบนี้เรียกวา “ระเบียบคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง วาดวยการลา ของเจาหนาที่และลูกจาง พ.ศ. 2549” ขอ 2 ระเบียบนี้ ใหใชบังคับตั้งแตวันถัดจากวันประกาศเปนตนไป ขอ 3 ในระเบียบนี้ “สถาบัน” หมายความวา สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) “ผูอํานวยการ” หมายความวา ผูอํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง “เจ า หน า ที่ แ ละลู ก จ า ง” หมายความว า ผู ซึ่ ง ปฏิ บั ติ ง านโดยรั บ เงิ น เดื อ นหรื อ ค า จ า งจาก งบประมาณของสถาบัน และหมายรวมถึงเจาหนาที่ของรัฐซึ่งมาปฏิบัติงานในสถาบันเปนการชั่วคราวตาม มาตรา 38 แหงพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) พ.ศ. 2548 “เขารับการตรวจเลือก” หมายความวา เขารับการตรวจเลือกเพื่อรับราชการเปนทหารกอง ประจําการ “เขารับการเตรียมพล” หมายความวา เขารับการระดมพล เขารับการตรวจสอบพลเขารับการ ฝกวิชาทหารหรือเขารับการทดลองความพรั่งพรอมตามกฎหมายวาดวยการรับราชการทหาร ขอ 4 ใหผูอํานวยการเปนผูรักษาการตามระเบียบนี้ และมีอํานาจตีความและวินิจฉัยปญหา เกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ หมวด 1 บททั่วไป ขอ 5 ใหผูอํานวยการเปนผูมีอํานาจอนุญาตการลาตามระเบียบนี้ ผูอํานวยการจะมอบหมายหรือมอบอํานาจ โดยทําเปนหนังสือใหแกผูดํารงตําแหนงใดเปน ผูอนุญาตแทนก็ได
การลาของผูอํานวยการตามระเบียบนี้ ใหประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงเปนผูอนุญาต ข อ 6 เพื่ อ ควบคุ ม ให เ ป น ไปตามระเบี ย บนี้ ใ ห ส ถาบั น จั ด ทํ า บั ญ ชี ล งเวลาปฏิ บั ติ ง านของ เจาหนาที่และลูกจาง หรือจะใชเครื่องบันทึกเวลาการปฏิบัติงานแทนก็ได ในกรณีจําเปน ผูอํานวยการจะกําหนดวิธีลงเวลาปฏิบัติงาน หรือวิธีควบคุมการปฏิบัติงานของ เจาหนาที่และลูกจางที่มีการปฏิบัติงานในลักษณะพิเศษเปนอยางอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได แตทั้งนี้จะตองมี หลักฐานใหสามารถตรวจสอบวัน เวลา การปฏิบัติงานไดดวย ขอ 7 การลาใหใชใบลาตามแบบที่ผูอํานวยการกําหนด เวนแตกรณีจําเปนหรือรีบดวนจะใช ใบลาที่มีขอความไมครบถวนตามแบบหรือจะลาโดยวิธีการอยางอื่นก็ได แตทั้งนี้ตองสงใบลาตามแบบในวัน แรกที่มาปฏิบัติงานไดดวย ขอ 8 เจาหนาที่และลูกจางซึ่งประสงคจะไปตางประเทศในระหวางการลาตามระเบียบนี้ หรือใน ระหวางวันหยุดทําการ ใหเสนอขออนุญาตตอผูอํานวยการ ขอ 9 การลาทุกประเภทตามระเบียบนี้ ถามีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกําหนดเกี่ยวกับ การลาประเภทใดไวเปนพิเศษ ผูมีอํานาจพิจารณาหรืออนุญาตการลาจะตองปฏิบัติตามกฎหมายหรือมติ คณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลาประเภทนั้น หมวดที่ 2 ประเภทการลา ขอ 10 การลาแบงออกเปน 7 ประเภท คือ (1) การลาปวย (2) การลาคลอดบุตร (3) การลากิจสวนตัว (4) การลาพักผอนประจําป (5) การลาอุปสมบทหรือการลาไปประกอบพิธีฮัจย (6) การลาเขารับการตรวจเลือกหรือเขารับการเตรียมพล (7) การลาประเภทอื่นตามที่คณะอนุกรรมการบริหารงานบุคคลกําหนด สวนที่ 1 การลาปวย ขอ 11 เจาหนาที่และลูกจางซึ่งประสงคจะลาปวยเพื่อรักษาตัว ใหเสนอหรือจัดสงใบลาตอ ผูบังคับบัญชาตามลําดับจนถึงผูมีอํานาจอนุญาตกอนหรือในวันที่ลา เวนแตในกรณีจําเปนจะเสนอหรือจัดสง ใบลาในวันแรกที่มาปฏิบัติงานก็ได /ในกรณี ...
ในกรณีที่เจาหนาที่และลูกจาง ผูขอลามีอาการปวยจนไมสามารถจะลงชื่อในใบลาได จะใหผูอื่น ลาแทนก็ได แตเมื่อสามารถลงชื่อไดแลว ใหเสนอหรือจัดสงใบลาโดยเร็ว การลาปวยตั้งแต 30 วันขึ้นไปตองมีใบรับรองแพทยซึ่งเปนผูที่ไดขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต เปนผูประกอบวิชาชีพเวชกรรมแนบไปกับใบลาดวย ในกรณีจําเปนหรือเห็นสมควรผูมีอํานาจอนุญาตจะสั่งให ใชใบรับรองแพทยซึ่งผูมีอํานาจอนุญาตเห็นชอบแทนก็ได ให เ จ า หน า ที่ แ ละลู ก จ า ง ได รั บ เงิ น เดื อ นระหว า งลาได ป ห นึ่ ง ไม เ กิ น หกสิ บ วั น ทํ า การ แต ถ า ผูอํานวยการเห็นสมควรจะจายเงินเดือนตอไปอีกก็ไดแตไมเกินหกสิบวันทําการ สวนที่ 2 การลาคลอดบุตร ขอ 12 เจาหนาที่และลูกจางซึ่งประสงคจะลาคลอดบุตร ใหเสนอหรือจัดสงใบลาตอผูบังคับ บัญชาตามลําดับจนถึงผูมีอํานาจอนุญาตกอนหรือในวันที่ลา เวนแตไมสามารถจะลงชื่อในใบลาได จะใหผูอื่น ลาแทนก็ได แตเมื่อสามารถลงชื่อไดแลว ใหเสนอหรือจัดสงใบลาโดยเร็วและมีสิทธิลาคลอดบุตร โดยไดรับ เงินเดือนครั้งหนึ่งได 90 วัน โดยไมตองมีใบรับรองแพทย การลาคลอดบุตรจะลาในวันที่คลอด กอนหรือหลังวันที่คลอดก็ได แตเมื่อรวมวันลาแลวตองไม เกิน 90 วัน เจาหนาที่และลูกจางที่ไดรับอนุญาตใหลาคลอดบุตร และไดหยุดงานไปแลว แตไมไดคลอดบุตร ตามกําหนด หากประสงคจะขอถอนวันลาคลอดบุตรที่หยุดไป ใหผูมีอํานาจอนุญาตใหถอนวันลาคลอดบุตรได โดยใหถือวาวันที่ไดหยุดงานไปแลว เปนวันลากิจสวนตัว การลาคลอดบุตรคาบเกี่ยวกับการลาประเภทใด ซึ่งยังไมครบกําหนดวันลาของการลาประเภท นั้น ใหถือวาการลาประเภทนั้นสิ้นสุดลง และใหนับเปนการลาคลอดบุตรตั้งแตวันเริ่มวันลาคลอดบุตร สวนที่ 3 การลากิจสวนตัว ขอ 13 เจาหนาที่และลูกจางซึ่งประสงคจะลากิจสวนตัว ใหเสนอหรือจัดสงใบลาตอผูบังคับ บัญชาตามลําดับจนถึงผูมีอํานาจ และเมื่อไดรับอนุญาตแลวจึงจะหยุดได เวนแตมีเหตุจําเปนไมสามารถรอรับ อนุญาตไดทัน จะเสนอหรือจัดสงใบลาพรอมดวยระบุเหตุจําเปนไวแลวหยุดงานไปกอนก็ได แตตองชี้แจง เหตุผลใหผูมีอํานาจอนุญาตทราบโดยเร็ว ในกรณีมีเหตุพิเศษที่ไมอาจเสนอหรือจัดสงใบลากอนตามวรรคแรกได ใหเสนอหรือจัดสงใบลา พร อ มทั้ ง เหตุ ผ ลความจํ า เป น ต อ ผู บั ง คั บ บั ญ ชาตามลํ า ดั บ จนถึ ง ผู มี อํ า นาจอนุ ญ าตทั น ที ใ นวั น แรกที่ ม า ปฏิบัติงาน /ขอ 14 …
ขอ 14 เจาหนาที่มีสิทธิลากิจสวนตัวโดยไดรับเงินเดือนปละไมเกิน 45 วันทําการ สําหรับลูกจาง มีสิทธิลากิจสวนตัวโดยไดรบั เงินเดือนปละไมเกิน 30 วันทําการ ตามเหตุผลและความจําเปน ขอ 15 เจาหนาที่และลูกจางที่ลาคลอดบุตรตามขอ 12 แลว หากประสงคจะลากิจสวนตัวเพื่อ เลี้ยงดูบุตร ใหมีสิทธิลาตอเนื่องจากการลาคลอดบุตรไดไมเกิน 150 วันทําการ โดยไมมีสิทธิไดรับเงินเดือน ระหวางลา ขอ 16 ผูที่ไดรับอนุญาตใหลากิจสวนตัว เวนแตกรณีการลากิจสวนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตรตามขอ 15 ซึ่งไดหยุดงานไปยังไมครบกําหนด ถามีภารกิจจําเปนเกิดขึ้น ผูบังคับบัญชาหรือผูมีอํานาจอนุญาตจะเรียกตัว มาปฏิบัติงานก็ได สวนที่ 4 การลาพักผอนประจําป ขอ 17 เจาหนาที่และลูกจางมีสิทธิลาพักผอนประจําปในปหนึ่งได 10 วันทําการ ขอ 18 ถาในปใดเจาหนาที่ผูใดมิไดลาพักผอนประจําป หรือลาพักผอนประจําปแลว แตไมครบ 10 วันทําการ ใหสะสมวันที่ยังมิไดลาในปนั้นรวมเขากับปตอๆ ไปได แตวันลาพักผอนสะสมรวมกับวันลา พักผอนในปปจจุบันจะตองไมเกิน 20 วันทําการ ขอ 19 เจาหนาที่และลูกจางซึ่งประสงคจะลาพักผอน ใหเสนอหรือจัดสงใบลาตอผูบังคับบัญชา ตามลําดับจนถึงผูมีอํานาจอนุญาตและเมื่อไดรบั อนุญาตแลวจึงจะหยุดงานได ขอ 20 ผูที่ไดรับอนุญาตใหลาพักผอนซึ่งหยุดงานไปยังไมครบกําหนด ถามีงานจําเปนเกิดขึ้น ผูบังคับบัญชาหรือผูมีอํานาจอนุญาตจะเรียกตัวมาปฏิบัติงานก็ได สวนที่ 5 การลาอุปสมบทหรือการลาไปประกอบพิธีฮัจย ขอ 21 เจาหนาที่และลูกจางซึ่งยังไมเคยใชสิทธิลาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา หรือเจาหนาที่ และลู ก จ า งที่ นั บ ถื อ ศาสนาอิ ส ลามซึ่ ง ไม เ คยใช สิ ท ธิ ล าไปประกอบพิ ธี ฮั จ ย ณ เมื อ งเมกกะ ประเทศ ซาอุดิอาระเบีย หากประสงคจะใชสิทธิดังกลาว ใหเสนอหรือจัดสงใบลาตอผูบังคับบัญชาตามลําดับจนถึงผูมี อํานาจอนุญาตกอนวันอุปสมบท หรือกอนวันเดินทางไปประกอบพิธีฮัจยไมนอยกวา 60 วัน โดยไดรับเงินเดือน ระหวางลาไดไมเกิน 120 วัน แตในปแรกที่เริ่มปฏิบัติงานไมใหไดรับเงินเดือนระหวางลา ในกรณีมีเหตุพิเศษไมอาจเสนอหรือจัดสงใบลากอนตามวรรคหนึ่ง ใหชี้แจงเหตุผลความจําเปน ประกอบการลา และใหอยูในดุลยพินิจของผูมีอํานาจที่จะพิจารณาใหลาหรือไมก็ได /ขอ 22 …
ขอ 22 เจาหนาที่และลูกจางที่ไดรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตใหลาอุปสมบทหรือไดรับ อนุญาตใหลาไปประกอบพิธีฮัจยตามขอ 21 แลว จะตองอุปสมบทหรือออกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจยภายใน 10 วัน นับแตวันเริ่มลา และจะตองกลับมารายงานตัวเขาปฏิบัติงานภายใน 5 วัน นับแตวันที่ลาสิกขา หรือวันที่ เดินทางกลับถึงประเทศไทยหลังจากการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย เจาหนาที่และลูกจางที่ไดรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตใหลาอุปสมบท หรือไดรับอนุญาต ใหลาไปประกอบพิธีฮัจยและไดหยุดงานไปแลว หากปรากฏวามีปญหาอุปสรรคทําใหไมสามารถอุปสมบทหรือ ไปประกอบพิธีฮัจยตามที่ขอลาไว เมื่อไดรายงานตัวกลับเขาปฏิบัติงานตามปกติและขอถอนวันลา ใหผูมี อํานาจอนุญาตใหถอนวันลาอุปสมบทหรือไปประกอบพิธีฮัจยได โดยใหถือวาวันที่ไดหยุดงานไปแลวเปนวันลา กิจสวนตัว สวนที่ 6 การลาเขารับการตรวจเลือกหรือเขารับการเตรียมพล ขอ 23 เจาหนาที่และลูกจางที่ไดรับหมายเรียกเขารับการตรวจเลือก ใหรายงานลาตอผูบังคับ บัญชากอนวันเขารับการตรวจเลือกไมนอยกวา 48 ชั่วโมง สวนเจาหนาที่และลูกจางที่ไดรับหมายเรียกเขารับ การเตรียมพล ใหรายงานลาตอผูบังคับบัญชาภายใน 48 ชั่วโมง นับแตเวลารับหมายเรียกเปนตนไป และใหไป เขารับการตรวจเลือกหรือเขารับการเตรียมพลตามวันเวลาในหมายเรียกนั้น โดยไมตองรอคําสั่งอนุญาตและให ผูบังคับบัญชาเสนอรายงานลาไปตามลําดับจนถึงผูมีอํานาจอนุญาต การลาเขารับการตรวจเลือก ใหไดรับเงินเดือนระหวางลาไดไมเกิน 7 วัน ขอ 24 เมื่อเจาหนาที่และลูกจางที่ลาพนจากการเขารับการตรวจเลือกหรือเขารับการเตรียมพล แลวใหมารายงานตัวกลับเขาปฏิบัติงานตามปกติตอผูบังคับบัญชาภายใน 7 วัน เวนแตกรณีที่มีเหตุจําเปน ผูมีอํานาจอนุญาตอาจขยายเวลาใหได แตรวมแลวไมเกิน 15 วัน ขอ 25 ระเบียบนี้ คณะกรรมการไดออกระเบียบไวในวาระแรกที่ยังไมมีคณะอนุกรรมการพัฒนา และบริหารงานบุคคล ในวาระตอไปใหเปนไปตามที่ขอบังคับคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง วาดวยการพัฒนาและบริหารงานบุคคลกําหนดไว
ระเบียบคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นทีส่ ูง วาดวยคาใชจายในการฝกอบรมและคาตอบแทน พ.ศ. 2549 -----------------------------------------------โดยที่เปนการสมควรกําหนดคาใชจายในการฝกอบรมและคาตอบแทน อาศัยอํานาจ ตาม ความในมาตรา 19 (9) แหงพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) พ.ศ. 2548 คณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง จึงกําหนดระเบียบไว ดังตอไปนี้ ขอ 1 ระเบียบนี้เรียกวา “ระเบียบคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง วาดวย คาใชจายในการฝกอบรมและคาตอบแทน พ.ศ. 2549” ขอ 2 ใหใชระเบียบนี้ตั้งแตวันถัดจากวันประกาศเปนตนไป ขอ 3 ในระเบียบนี้ “สถาบัน” หมายความวา สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) “คณะกรรมการ” หมายความวา คณะกรรมการสถาบัน “คณะที่ปรึกษาพิเศษ” หมายความวา คณะที่ปรึกษาสถาบัน “ที่ปรึกษาหรือผูเชี่ยวชาญ” หมายความวา ที่ปรึกษา หรือผูเชี่ยวชาญ ตามมาตรา 35 (2) แหงพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) พ.ศ.2548 “ผูอํานวยการ” หมายความวา ผูอํานวยการสถาบัน “การฝกอบรม” หมายความวา การเพิ่มพูนความรู การอบรม การประชุม การสัมมนา การประชุ ม เชิ ง ปฏิ บั ติ ก าร การบรรยาย การฝ ก ภาคปฏิบั ติ หรื อ ที่ เรี ย กชื่ อ อย า งอื่ น โดยมี โ ครงการ วัตถุประสงค และชวงเวลาจัดที่แนนอน และหมายรวมถึงการไปดูงานที่เกี่ยวเนื่องกับการฝกอบรมดวย “ผูเขารับการฝกอบรม” หมายความวา ผูปฏิบัติงานของสถาบัน เจาหนาที่หนวยงาน ตางๆ เกษตรกร หรือบุคคลอื่นๆ ที่เขารับการฝกอบรมตามหลักสูตรที่สถาบันจัดขึ้น “คาอาหาร” หมายความวา คาอาหารเชา อาหารกลางวัน อาหารเย็น อาหารวางและเครื่องดื่ม “วิทยากร” หมายความวา ผูมีความรู ทักษะ ความสามารถ หรือประสบการณที่เปน ประโยชนตอการฝกอบรม เพื่อใหบรรลุวัตถุประสงคและเปาหมายอยางมีประสิทธิภาพ ตามบทบาทหนาที่ ที่สถาบันกําหนด ขอ 4 โครงการฝกอบรม การจัดฝกอบรม การเดินทางไปจัดการฝกอบรม และการเดินทางไปดู งานตามที่กําหนดในหลักสูตรตองไดรับอนุมัติจากผูอํานวยการ หรือผูที่ผูอํานวยการมอบหมาย /ขอ 5...
2
ขอ 5 คาใชจายในการฝกอบรม ไดแก (1) คาเชาสถานที่ (2) คาวิทยากร (3) คาอาหาร (4) คาเชาที่พัก (5) คาใชจายในการเดินทาง (6) คาใชจายอื่นที่เกี่ยวของกับการฝกอบรม คาใชจายตาม (1)( 2) (5) และ (6) ใหจายไดเทาที่จายจริง คาใชจายตาม (3) และ (4) ใหจายไดเทาที่จายจริงแตไมเกินอัตราที่กําหนด ขอ 6 คาอาหาร ไดแก (1) คาอาหารเชา กลางวัน เย็น ไมเกินคนละ 1,000 .- บาท/วัน (2) คาอาหารวางและเครื่องดื่ม ไมเกินคนละ 250 .- บาท/วัน ขอ 7 คาวิทยากร ใหจายไดตามที่จายจริงโดยคํานึงถึงคุณวุฒิ ความรู ประสบการณ หรือสาขา ที่ขาดแคลนของวิทยากรและประโยชนที่สถาบันไดรับ ขอ 8 คาเชาที่พักของผูเขาฝกอบรมใหจายไดเทาที่จายจริงโดยประหยัดไมเกินคนละ 1,500 บาท/คืน เวนแตคาเชาที่พักวิทยากร ผูบริหารตั้งแตระดับสํานักขึ้นไปของสถาบัน หรือผูบริหารของ หนวยงานอื่นที่เกี่ยวของใหเบิกจายไดเทาที่จายจริง สําหรับคณะกรรมการสถาบัน คณะที่ปรึกษาพิเศษ และที่ปรึกษาหรือผูเชี่ยวชาญของสถาบัน ใหเบิกจายไดตามอัตราที่ระบุไวในระเบียบสถาบันวิจัยและ พัฒนาพื้นที่สูง (องค การมหาชน) วาดวยการเบิกจายเงิน คาตอบแทนการปฏิบั ติงานลวงเวลาและ คาใชจายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน พ.ศ.2549 ขอ 9 คาใชจายในการเดินทางสําหรับการโดยสารโดยเครื่องบินตองไดรับอนุมัติ จากผูอํานวยการ กอน ทั้งนี้ ใหคํานึงถึงความจําเปนและเหมาะสม ขอ 11 ในกรณีที่มีเหตุผลอันสมควร หรือมีความจําเปนตองจายเงินนอกเหนือจากเกณฑที่ กําหนดมาแลวขางตน หรือเปนการจัดฝกอบรมในตางประเทศ ใหเสนอผูอํานวยการอนุมัติเปนกรณี ๆ ไป ประกาศ ณ
วันที่ 11 เมษายน พ. ศ. 2549
-2-
ระเบียบสถาบันวิจยั และพัฒนาพื้นทีส่ ูง (องคการมหาชน) วาดวยการเบิกจายเงินคาตอบแทนการปฏิบัติงานลวงเวลา และคาใชจา ยในการเดินทางไปปฏิบตั ิงาน พ.ศ. 2549 ----------------------------------------------โดยที่ ร ะเบี ย บคณะกรรมการสถาบั น วิ จั ย และพั ฒ นาพื้ น ที่ สู ง ว า ด ว ยการพั ฒ นา และ บริหารงานบุคคล พ.ศ. 2549 ขอ 62 ระบุวา ในระหวางที่ยังไมมีระเบียบ หลักเกณฑ เงื่อนไข หรือวิธีการที่ ตองออกตามขอบังคับนี้ ใหผูอํานวยการ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ กําหนดหลักเกณฑสําหรับ กรณีดังกลาว เพื่อใชบังคับไปพลางกอน จนกวาจะไดมีการออกระเบียบ หลักเกณฑ เงื่อนไขหรือวิธีการ สําหรับกรณีนี้ อาศัยอํานาจตามความในขอ 62 แหงขอบังคับคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่ สูง วาดวยการพัฒนา และบริหารงานบุคคล พ.ศ.2549 ประกอบกับมติที่ประชุมคณะกรรมการสถาบันวิจัย และพัฒนาพื้นที่สูง ครั้งที่ 2/2549 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ 2549 จึงเห็นสมควรออกระเบียบไวดังตอไปนี้ หมวด 1 บททั่วไป ขอ 1 ระเบียบนี้เรียกวา “ระเบียบสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องคการมหาชน) วา ดวยการเบิกจายเงินคาตอบแทนการปฏิบัติงานลวงเวลา และคาใชจายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน พ.ศ. 2549” ขอ 2 ระเบียบนี้ ใหใชบังคับตั้งแตวันที่ประกาศเปนตนไป ขอ 3 ในระเบียบนี้ “สถาบัน” หมายความวา สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) “ประธานกรรมการ” หมายความวา ประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง “ผูอํานวยการ” หมายความวา ผูอํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง “รองผูอํานวยการ” หมายความวา รองผูอํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง “ผูอํานวยการสํานัก” หมายความวา ผูอํานวยการสํานักของสถาบันวิจัยและพัฒนา พื้นที่สูง (องคการมหาชน) “เจาหนาที่ระดับบริหาร” หมายความวา ผูอํานวยการสํานัก กลุม ศูนย ผูเชี่ยวชาญ และเจาหนาที่อาวุโส “เจาหนาที่” หมายความวา บุคคลที่สถาบันอนุมัติใหทําสัญญาปฏิบัติงานและแตงตั้ง เป น เจ า หน า ที่ รวมทั้ ง ผู ที่ ไ ด รั บ การแต ง ตั้ ง เป น เจ า หน า ที่ ต ามมาตรา 35 แห ง พระราชกฤษฎี ก าจั ด ตั้ ง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) พ.ศ. 2548 / ลู ก จ า ง ...
-3-
-2“ลูกจาง” หมายความวา บุคคลที่สถาบันไดวาจางใหปฏิบัติงาน โดยมีกําหนดระยะเวลา เริ่มตนและวันสิ้นสุดที่แนนอน หมวด 2 การปฏิบัติงานลวงเวลา ขอ 4 ในกรณี ที่ มี ค วามจํ า เป น เร ง ด ว นเพื่ อ ประโยชน แ ห ง งาน สถาบั น อาจกํ า หนดให เจาหนาที่และหรือลูกจางปฏิบัติงานเกินเวลาทํางานปกติ หรือทํางานในวันหยุดไดตามความจําเปนโดยให เจาหนาที่ และหรือลูกจางที่จะปฏิบัติงานลวงเวลา ขออนุมัติตอผูอํานวยการสํานักโดยกรอกรายละเอียดลง ในใบรายงาน ตามที่ผูอํานวยการกําหนด เมื่อไดรบั การอนุมัติแลวจึงจะอยูปฏิบัติงานดังกลาวได ขอ 5 เมื่อผูอํานวยการสํานัก อนุมัติแลว ใหแจงเจาหนาที่ในบังคับบัญชาทราบและเก็บ แบบใบรายงานไว ขอ 6 ใหเจาหนาที่ระดับบริหาร ที่มีหนาที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานลวงเวลาใหบรรลุผล สําเร็จของงาน ขอ 7 ผู มี สิ ท ธิ เ บิ ก เงิ น ค า ล ว งเวลาได แ ก เจ า หน า ที่ ทุ ก ระดั บ และลู ก จ า ง ยกเว น รอง ผูอาํ นวยการสถาบัน ผูอํานวยการสํานัก และผูเชี่ยวชาญ ขอ 8 อัตราการจายคาลวงเวลา ใหใชอัตราตามบัญชีหมายเลข 1 ทั้งนี้การเบิกจายคา ลวงเวลารวมกันตองไมเกิน 3,000 บาท/เดือน/คน หรือตามที่คณะกรรมการกําหนด ขอ 9 เจ า หนา ที่และหรื อลู กจา งที่ไดรับ อนุมัติใหป ฏิบัติง านลว งเวลา จะตอ งจั ดทํา ใบ รายงานผลการปฏิบัติงาน โดยบันทึกเวลาของการทํางานลวงเวลาจริงในแตละวัน พรอมรายละเอียดของ งานที่ปฏิบัติ และเสนอเจาหนาที่ระดับบริหารตรวจสอบ ขอ 10 ให ผู อํ า นวยการสํ า นั ก อํ า นวยการ ทํ า รายงานสรุ ป รวมทั้ ง ค า ใช จ า ยของการ ปฏิบัติงานลวงเวลาของสํานัก/ศูนย เสนอผูอํานวยการเพื่อทราบทุกเดือน หมวด 3 การเดินทางไปปฏิบัติงาน ขอ 11 การเดินทางไปปฏิบัติงาน หมายความวา การเดินทางเพื่อไปปฏิบัติงานใหสถาบัน ตามที่ไดรับมอบหมาย และหมายความรวมถึง การสัมมนา การดูงาน การไปจัดนิทรรศการ การไปรวมงาน รัฐพิธี การปฏิบัติงานภาคสนาม การปฏิบัติงานวิจัย การเปนวิทยากรในหลักสูตรฝกอบรมหรือสัมมนา การ เดินทางไปประชุม และการเขารับการฝกอบรม /ขอ 12 ...
-2-
ขอ 12 การฝกอบรม หมายความวา การเขารับการฝกอบรม เขารวมประชุมหรือสัมมนา ทางวิชาการหรือเชิงปฏิบัติการ การเขารับฟงการบรรยายพิเศษ โดยมีโครงการหรือหลักสูตร และชวงเวลา จัดที่แนนอนและมีวัตถุประสงคเพื่อพัฒนาบุคคล หรือประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และหมายความ รวมถึงการไปดูงาน ฝกงาน ตามหลักสูตรการฝกอบรมดวย ขอ 13 กรรมการสถาบั น ผูอํานวยการ ที่ปรึกษาพิเศษ ที่ปรึกษาคณะกรรมการสถาบัน เจาหนาที่และหรือลูกจางผูเดินทางไปปฏิบัติงานของสถาบัน ใหเบิกคาใชจายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน ไดตามที่กําหนดไวในระเบียบนี้ หรือตามที่คณะรัฐมนตรีกําหนด ขอ 14 กรรมการสถาบัน ผูอํานวยการ ที่ปรึกษาคณะกรรมการสถาบัน เจาหนาที่และหรือ ลูกจางที่เดินทางไปปฏิบัติงาน ใหสามารถเบิกเงินยืมทดรองจายไดในสวนที่เกี่ยวของกับการเดินทางไป ปฏิ บั ติ ง านในอั ต ราที่ เ หมาะสม สํ า หรั บ ผู ที่ เ ดิ น ทางไปปฏิ บั ติ ง านในต า งประเทศจะต อ งดํ า เนิ น การ แลกเปลี่ยนเปนเงินตราตางประเทศดวยตนเอง ขอ 15 การเดินทางไปปฏิบัติงาน ใหเบิกคาเชาที่พักตามหลักเกณฑ บัญชีหมายเลข 2 ทาย ระเบียบนี้ ขอ 16 การเบิกคาเชาที่พัก ใหใชวิธีเหมาจาย หรือใหใชใบแจงรายการและใบเสร็จรับเงิน ของโรงแรมเปนหลักฐานการเบิกจาย กรณีใบแจงรายการมีขอความหรือรายการอื่นใดที่แสดงวาโรงแรมได ชํ า ระเงิ น เรี ย บรอ ยแล ว ให ใ ช ใ บแจ ง รายการนั้ น เป น หลั ก ฐานการขอเบิ ก จา ยค า เช า ที่ พั ก โดยไมต อ งมี ใบเสร็จรับเงินก็ได ตามบัญชีหมายเลข 2 ขอ 17 แบบรายงานการเดินทางเพื่อขอเบิกคาใชจายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน และ เอกสารประกอบที่ใชในการเบิกจายเงิน ตลอดจนวิธีใช ใหเปนไปตามที่สถาบันกําหนด ขอ 18 การเดินทางไปปฏิบัติงานที่เปนการฝกอบรม ใหเจาหนาที่และหรือลูกจางผูเขารับ การฝ ก อบรมจั ด ทํ า รายงานสรุ ป ผลการฝ ก อบรมตามแบบรายงานผลการฝ ก อบรมสั ม มนา เสนอต อ ผูบังคับบัญชาตามลําดับชั้น ขอ 19 คาใชจายในการฝกอบรม อาทิ คาลงทะเบียน คาธรรมเนียม หรือคาใชจายทํานอง เดียวกันที่เรียกชื่ ออยางอื่น ใหเบิ กจายไดเทาที่จายจริงในอัตราที่ผูจัดเรียกเก็บโดยความเห็นชอบของ ผูอาํ นวยการ กรณี ที่ ค า ลงทะเบี ย นตามวรรคแรกได ร วมค า ที่ พั ก และหรื อ ค า พาหนะแล ว ให ง ดเบิ ก คาใชจายในสวนนั้นๆ ขอ 20 กรณีเจาหนาที่และหรือลูกจางที่ไดรับมอบหมายใหไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ ให ไดรบั เบี้ยเลี้ยงในอัตราเหมาจายตอวัน ตามบัญชีหมายเลข 2 ทายระเบียบนี้ ขอ 21 ผูอํานวยการหรือผูที่ไดรับมอบหมาย เปนผูมีอํานาจพิจารณาอนุมัติการเดินทางไป ปฏิบัติงานในประเทศ /ขอ 22 ...
-3-
ขอ 22 ผูอาํ นวยการเปนผูมีอํานาจพิจารณาอนุมัติการเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศ สําหรับการเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศของผูอํานวยการ ใหผูอํานวยการนําเสนอ ประธานกรรมการเปนผูอนุมัติ สวนที่ 1 การเดินทางไปปฏิบัติงานในประเทศ ขอ 23 คาใชจายในการเดินทางไปปฏิบัติงานในประเทศ ประกอบดวย (1) คาเบี้ยเลี้ยงเดินทาง (2) คาเชาที่พัก (3) คาพาหนะเดินทาง ไดแก (ก) รถยนตสาธารณะ (รถยนตปรับอากาศ รถรับจาง รถประจําทาง ฯลฯ) ตามความจําเปน (ข) รถไฟ ผูอาํ นวยการ/รองผูอํานวยการ ใหเบิกอัตรานั่ง/นอนปรับอากาศชั้น 1 เจาหนาที่ระดับบริหาร ใหเบิกอัตรานั่ง/นอนปรับอากาศ ชั้น 2 เจาหนาที่และลูกจาง ใหเบิกอัตรานั่ง/นอนปรับอากาศ ชั้น 2 (ค) เครื่องบิน ผูอาํ นวยการ/รองผูอํานวยการ ใหเบิกจายชั้นธุรกิจ เจาหนาที่ระดับบริหาร ใหเบิกจายชั้นประหยัด เจาหนาที่และลูกจาง ใหเบิกจายชั้นประหยัด (สายการบินตนทุนต่ํา) การเดินทางโดยเครื่องบิน สําหรับเจาหนาที่ หรือลูกจาง อาจเบิกจายชั้นประหยัด สายการบินธรรมดาได ทั้งนี้ใหผูอํานวยการเปนผูมีอํานาจในการพิจารณาอนุมัติ ตามเหตุผลและความจําเปนของการปฏิบัติงาน (ง) คายานพาหนะสวนตัว (จ) คาใชจายอื่นๆ ไดแก คาธรรมเนียมสนามบิน คาผานทาง คาที่จอดรถ (4) คาใชจายอื่นๆ ที่เกี่ยวของกับการเดินทางไปปฏิบัติงาน ใหนําเสนอผูอํานวยการอนุมัติ ขอ 24 การเดินทางไปปฏิบัติงานในประเทศใหเบิกคาใชจายไดตามจํานวนเงินและเงื่อนไข ที่กําหนดไวในบัญชีหมายเลข 2 ทายระเบียบนี้ /การเขารับ ...
-4-
การเขารับการฝกอบรม ประชุม สัมมนา ไมวาจะจัดอาหารใหหรือไม ใหเบิกคาเบี้ยเลี้ยง เดินทางไดเต็มจํานวน กรณีบุคคลภายนอก ซึ่งไดรับการมอบหมายใหไปปฏิบัติงานตามภารกิจของสถาบันใหมสี ทิ ธิ เบิกคาใชจายในการเดินทางไปปฏิบัติงานไดเทากับเจาหนาที่พึงไดรับ หากมีสิทธิเบิกจากตนสังกัดไดใหเบิก เพิ่มเฉพาะสวนตาง ขอ 25 การนับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานในประเทศ เพื่อคํานวณคาเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ให นับตั้งแตเวลาออกจากบานพักหรือสถานที่ปฏิบัติงานตามปกติ จนกลับถึงบานพักหรือสถานที่ปฏิบัติงาน ตามปกติ แลวแตกรณี เวลาเดินทางไปปฏิบัติงานในกรณีที่มีการพักแรม ใหนับยี่สิบสี่ชั่วโมงเปนหนึ่งวัน ถาไมถึง ยี่สิบสี่ชั่วโมง หรือเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงและสวนที่ไมถึงหรือเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงนั้นถานับไดเกินสิบสองชั่วโมงใหถือ เปนหนึ่งวัน เวลาเดินทางไปปฏิบัติงานในกรณีที่มิไดมีการพักแรม หากนับไดไมถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงและสวน ที่ไมถึงนั้นนับไดเกินสิบสองชั่วโมงใหถือเปนหนึ่งวัน หากนับไดไมเกินสิบสองชั่วโมงแตเกินหกชั่วโมงขึ้นไป ใหถือเปนครึ่งวัน ขอ 26 การเบิกจายคาพาหนะรับจางใหสามารถกระทําได โดยการเดินทางไปปฏิบัติงาน จะตองไดรบั อนุมัติจากผูอํานวยการสํานักขึ้นไปใหใชพาหนะรับจาง มาประกอบการเบิกจาย ขอ 27 การใชยานพาหนะสวนตัวในการเดินทางจะกระทําไดในกรณีที่ไดรับอนุมัติจาก ผูอํานวยการหรือผูที่ไดรบั มอบหมาย ดังตอไปนี้ (1) รถสวนกลางของสถาบันไมสามารถใหบริการได โดยจะตองมีเอกสารยืนยันจากสํานัก อํานวยการมาประกอบการพิจารณา หรือ (2) การเดินทางไปปฏิบัติงานตามคําสั่งของผูอํานวยการหรือผูที่ไดรบั มอบหมาย (3) การเดินทางไปปฏิบัติงานตาม (1) หรือ (2) ที่ไดรับอนุมัติตามวรรคแรกแลวใหเจาหนาที่ หรือลูกจางเบิกเงินคาชดเชยคาน้ํามันเชื้อเพลิง และคาบํารุงรักษารถยนตในอัตรา 5 บาท ตอ 1 กิโลเมตร สวนที่ 2 การเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศ ขอ 28 คาใชจายในการเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศ ไดแก (1) คาเบี้ยเลี้ยงเดินทาง (2) คาเชาที่พัก (3) คาพาหนะเดินทาง ไดแก /(ก) ...
-5-
(ก) รถยนตสาธารณะ (รถยนตปรับอากาศ รถรับจาง รถประจําทาง ฯลฯ) เบิกไดเทาที่ จายจริงตามความจําเปน (ข) รถไฟ เบิกไดเทาที่จายจริงตามความจําเปน (ค) เครื่องบิน ผูอํานวยการ ใหเบิกจายชั้นหนึ่ง รองผูอํานวยการ ใหเบิกจายชั้นธุรกิจ เจาหนาที่ระดับบริหาร ใหเบิกจายชั้นประหยัด เจาหนาที่และลูกจาง ใหเบิกจายชั้นประหยัด การเดินทางโดยเครื่องบินใหผูอํานวยการเปนผูมีอํานาจในการพิจารณาอนุมัติ (ง) คาใชจายอื่นๆ ไดแก คาธรรมเนียมสนามบิน คาผานทาง คาที่จอดรถ (4) คารับรองสําหรับผูเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศ ในการเดินทางไปเจรจาธุรกิจ ปรึกษาหารือ หรือเขารวมการประชุมสัมมนาในฐานะผูแทนของสถาบัน โดยไดรับอนุมัติจากผูอํานวยการให เบิกตามที่จายจริงตามความจําเปนและเหมาะสม ภายในวงเงินตามบัญชีหมายเลข 5 ในกรณีที่เดินทางไปเปนคณะ ใหจายแกหัวหนาคณะในนามของคณะผูเดินทาง (5) คาใชจายอื่นๆ ที่จําเปนตองจายเพื่อประโยชนแกการปฏิบัติงาน เชน คาลงทะเบียน คาธรรมเนียมการใชหองรับรอง ฯลฯ ใหเบิกไดเทาที่จายจริง โดยความเห็นชอบของผูอํานวยการ (6) ค า เครื่ อ งแต ง ตั ว ให เ บิ ก ค า เครื่ อ งแต ง ตั ว ไปปฏิ บั ติ ง านในต า งประเทศได ต ามบั ญ ชี หมายเลข 6 และผูซึ่งเคยไดรับคาเครื่องแตงตัวในการเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศแลว จะมีสิทธิ เบิกคาเครื่องแตงตัวไดอีก จะตองมีระยะเวลาหางจากการเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศครั้งสุดทาย เกินกวา 2 ป นับแตวันเดินทางกลับถึงประเทศไทย (7) คาทําความสะอาดเสื้อผา ในการเดินทางไปเจรจาธุรกิจ ปรึกษาหารือ หรือเขารวมการ ประชุมสัมมนาในฐานะผูแทนของสํานักงาน ใหเบิกไดเทาที่จายจริงไมเกินวันละ 300 บาท และตองเปนการ เดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศตั้งแต 7 วันขึ้นไป (8) คาของขวัญสําหรับผูเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศ ในการเดินทางไปเจรจาธุรกิจ ปรึกษาหารือ หรือเขารวมการประชุมสัมมนาในฐานะผูแทนของสถาบัน เพื่อมอบใหแกบุคคลสําคัญใน ต า งประเทศตามประเพณี และเพื่ อ กระชับ สั ม พั น ธไมตรี ให เบิ ก ได ต ามที่ จ า ยจริ ง โดยคํ า นึ ง ถึ ง ความ เหมาะสม และประหยัด ภายในวงเงินตามบัญชีหมายเลข 7 ในกรณีที่ผูรับดํารงตําแหนงแตกตางไปจาก บัญชีหมายเลข 7 ใหนําเสนอคณะอนุกรรมการบริหารงานบุคคล พิจารณาเปนกรณีไป /ขอ 29 ...
-6-
ขอ 29 การนับเวลาเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศ เพื่อคํานวณคาเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ใหนับตั้งแตประทับตราหนังสือเดินทางออกจากประเทศไทย จนถึงเวลาที่ประทับตราหนังสือเดินทางเขา ประเทศไทย เวลาเดินทางไปปฏิบัติงานในกรณีที่มีการพักแรม ใหนับยี่สิบสี่ชั่วโมงเปนหนึ่งวัน ถาไมถึง ยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงและสวนที่ไมถึงหรือเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงนั้นถานับไดเกินสิบสองชั่วโมงใหถือ เปนหนึ่งวัน เวลาเดินทางไปปฏิบัติงานในกรณีที่มิไดมีการพักแรม หากนับไดไมถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง และสวน ที่ไมถึงนั้นนับไดเกินสิบสองชั่วโมงใหถือเปนหนึ่งวัน หากนับไดไมเกินสิบสองชั่วโมงแตเกินหกชั่วโมงขึ้นไป ใหถือเปนครึ่งวัน ขอ 30 การเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศ ใหเบิกคาใชจายไดตามจํานวนเงินและ เงื่อนไขที่กําหนดไวในบัญชีหมายเลข 3 และ 4 แนบทายระเบียบนี้ ขอ 31 การเบิกค าเชาที่พั กสําหรับการประชุมระหวางประเทศ ที่เจ าภาพจัดประชุมใน โรงแรมใดโรงแรมหนึ่ง ผูเดินทางหรือคณะผูเ ดินทางจะเลือกในโรงแรมที่จัดการประชุม หรือเลือกพักใน โรงแรมใกลเคียงกับโรงแรมที่จัดประชุมก็ได โดยใหเบิกคาเชาที่พักไดเทาที่จายจริง ไมเกินอัตราคาเชา หองพักคนเดียว หรืออัตราหองพักคูของโรงแรมที่จัดประชุม หรือจะเบิกตามสิทธิของตนก็ได การประชุมระหวางประเทศ ที่ประเทศเจาภาพกําหนดใหผูเขารวมประชุมพักในโรงแรมหรือ สถานที่ที่จัดเตรียมไวให โดยผูเขารวมประชุมไมอาจเลือกหรือหลีกเลี่ยงได ใหเบิกคาเชาที่พักเทาที่จายจริง ตามที่ประเทศเจาภาพเรียกเก็บ หรืออัตราคาเชาหองพักคนเดียวหรืออัตราคาเชาหองพักคูของโรงแรมนั้น แลวแตกรณี ขอ 32 ที่ปรึกษาหรือผูที่มาปฏิบัติงานใหแกสถาบัน ใหเบิกคาใชจายในการเดินทางตาม ระเบียบนี้โดยอนุโลม โดยวินิจฉัยของผูอํานวยการ ขอ 33 ใหผูอํานวยการเปนผูรักษาการตามระเบียบนี้ หรือสั่งการยืดหยุนเกณฑที่กําหนด เปนการเฉพาะคราว ตามความเหมาะสม และมีอํานาจวินิจฉัยชี้ขาด คําวินิจฉัยของผูอํานวยการใหถือวา เปนที่สุด
บัญชีหมายเลข 1
-9บัญชีหมายเลข 3
สถาบันวิจัยและพัฒนาพืน้ ที่สูง (องคการมหาชน) อัตราคาเบี้ยเลี้ยงเหมาจายในการเดินทางไปปฏิบตั ิงานในตางประเทศ
1. กรรมการ, ผูอํานวยการ,ที่ปรึกษาคณะกรรมการ 2. รองผูอํานวยการ,เจาหนาที่ระดับบริหาร 3. เจาหนาที่ระดับปฏิบัติการ,ลูกจาง
บาทตอวัน 4,500 3,500 2,800
- 10 บัญชีหมายเลข 4
สถาบันวิจัยและพัฒนาพืน้ ที่สูง (องคการมหาชน) อัตราคาเชาที่พักในการเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศ
1) กรรมการ, ที่ปรึกษา, ผูอํานวยการ 2) เจาหนาที่ระดับบริหาร, ผูเชี่ยวชาญ ,เจาหนาที่, และลูกจาง
ประเภท ก บาท/วัน
ประเภท ข บาท/วัน
ประเภท ค บาท/วัน
ไมเกิน 10,000
ไมเกิน 7,000
ไมเกิน 4,500
ไมเกิน 7,500
ไมเกิน 5,000
ไมเกิน 3,100
หมายเหตุ ประเทศทีม่ ีสทิ ธิเบิกคาเชาที่พกั จากประเภท ก. อีกไมเกินรอยละ 40 ไดแก ประเทศ รัฐ เมือง 1. สาธารณรัฐฝรั่งเศส 2. สหพันธรัฐรัสเซีย 3. ญี่ปุน ประเทศทีม่ ีสทิ ธิเบิกคาเชาที่พกั จากประเภท ก. อีกไมเกินรอยละ 25 ไดแก ประเทศ รัฐ เมือง 1. สหรัฐอเมริกา 4. สาธารณรัฐอิตาลี 2. สหราชอาณาจักรบริเตนใหญและไอรแลนดเหนือ 5. สาธารณรัฐสิงคโปร 3. ราชอาณาจักรสเปน ประเภท ก ไดแก ประเทศ รัฐ เมือง 1. เครือรัฐออสเตรเลีย 18. ราชรัฐลักเซมเบิรก 2. สาธารณรัฐออสเตรีย 19. สาธารณรัฐชิลี 3. ราชอาณาจักรเดนมารก 20. นิวซีแลนด 4. สาธารณรัฐฟนแลนด 21. ฮองกง 5. สหพันธสาธารณรัฐเยอรมัน 22. สาธารณรัฐฟลิปปนส 6. ราชอาณาจักรเนเธอรแลนด 23. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย 7. ราชอาณาจักรนอรเวย 24. สาธารณรัฐตุรกี 8. ราชอาณาจักรสวีเดน 25. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส
- 11 -
9. สมาพันธรัฐสวิส 10. ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม 11. แคนาดา 12. สาธารณรัฐเกาหลี 13. สาธารณรัฐโปรตุเกส 14. ไตหวัน 15. สหพันธสาธารณรัฐบราซิล 16. สาธารณรัฐโปแลนด 17. กัมพูชา
26. สาธารณรัฐฮังการี 27. สหพันธสาธารณรัฐยูโกสลาเวีย 28. สาธารณรัฐไอซแลนด 29. ราชอาณาจักรโมร็อกโก 30. มอริเซียส 31. สาธารณรัฐเช็ก 32. สาธารณรัฐสโลวัก 33. ราชรัฐโมนาโก
หมายเหตุ ประเทศทีม่ ีสทิ ธิเบิกคาเชาที่พกั จากประเภท ข. อีกไมเกินรอยละ 25 ไดแก ประเทศ รัฐ เมือง 1. สาธารณรัฐประชาชนจีน 4. สาธารณรัฐอินเดีย 2. รัฐอิสราเอล 5. เนการาบรูไนดารุสซาลาม (บรูไน) 3. สาธารณรัฐอารเจนตินา ประเภท ข ไดแก ประเทศ รัฐ เมือง 35. สาธารณรัฐอาหรับอียิปต 1. รัฐบาหเรน 2. สาธารณรัฐไซปรัส 36. สาธารณรัฐแกมเบีย 3. สาธารณรัฐอิสลามอิหราน 37. สาธารณรัฐกานา 4. สาธารณรัฐอิรัก 38. สาธารณรัฐเคนยา 5. ราชอาณาจักรฮัทไมดจอรแดน 39. สาธารณรัฐมาลี 40. สาธารณรัฐอิสลามนอริเตเนีย 6. รัฐคูเวต 7. สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน 41. สาธารณรัฐไนเจอร 8. รัฐสุลตานโอมาน 42. สาธารณรัฐเซเนกัล 43. สหพันธสาธารณรัฐไนจีเรีย 9. รัฐกาตาร 10. ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย 44. สาธารณรัฐราลีโอน 11. สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ 45. สาธารณรัฐแทนซาเนีย 12. สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย 46. สาธารณรัฐเบนิน 13. ราชอาณาจักรตองกา 47. เครือรัฐบาฮามาส 48. สาธารณรัฐคอสตาริกา 14. ราชรัฐดอรรา 15. สาธารณรัฐเฮลเลนิก (กรีซ) 49. สาธารณรัฐปานามา
- 12 -
16. โรมาเนีย 17. สาธารณรัฐบุรนุ ดี 18. สาธารณรัฐแคเมอรูน 19. สาธารณรัฐแอฟริกากลาง 20. สาธารณรัฐชาด 21. สาธารณรัฐโกตคิวัวร (ไฮเวอรี่โคส) 22. สาธารณรัฐจีบูตี 23. สาธารณรัฐอารเมเนีย 24. สาธารณรัฐอาเซอรไบจาน 25. สาธารณรัฐเบลารุส 26. สาธารณรัฐเอสโตเนีย 27. จอรเจีย 28. สาธารณรัฐคาซัคสถาน 29. สาธารณรัฐคีรกิซสถาน 30. สาธารณรัฐลัตเวีย 31. สาธารณรัฐลิทวั เนีย 32. สาธารณรัฐมอลโดวา 33. สาธารณรัฐทาจิกิสถาน 34. เติรกเมนิสถาน
50. สาธารณรัฐตรินิแดดและโตเบโก 51. จาเมกา 52. สาธารณรัฐโครเอเซีย 53. สาธารณรัฐสโลวีเนีย 54. สาธารณรัฐบอสเนียและเฮอรเซโกวีนา 55. สาธารณรัฐมาซิโดเนีย 56. ยูเครน 57. สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน 58. สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา 59. สหรัฐเม็กซิโก 60. มาเลเซีย 61. ราชอาณาจักรเนปาล 62. สาธารณรัฐแอฟริกาใต 63. สาธารณรัฐบัลแกเรีย 64. สาธารณรัฐยูกันดา 65. สาธารณรัฐแซมเปย 66. สาธารณรัฐซิมบับเว 67. สาธารณรัฐคูนิเซีย
ประเภท ค ไดแก ประเทศ รัฐ เมืองอืน่ ๆนอกจากที่กาํ หนดในประเภท ก และประเภท ข
- 13 บัญชีหมายเลข 5
สถาบันวิจัยและพัฒนาพืน้ ที่สูง (องคการมหาชน) อัตราคารับรองในการเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศ เดินทางไมเกิน 15 วัน ไมเกิน 5,000 บาท
1. กรรมการ,ผูอ ํานวยการ, ที่ปรึกษาคณะกรรมการ 2. รองผูอํานวยการ,เจาหนาที่ระดับบริหาร ไมเกิน 4,000 บาท 3. เจาหนาที่ระดับปฏิบัติการที่ทําหนาที่หวั หนาคณะ ไมเกิน 3,000 บาท
เดินทางเกิน 15 วัน ไมเกิน 7,500 บาท ไมเกิน 6,000 บาท ไมเกิน 4,500 บาท
- 14 บัญชีหมายเลข 6
สถาบันวิจัยและพัฒนาพืน้ ที่สูง (องคการมหาชน) อัตราคาเครื่องแตงตัวในการเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศ 1) ผูอํานวยการ ,รองผูอํานวยการ 2) เจาหนาที่ระดับบริหาร 3) เจาหนาที่และลูกจาง
15,000 บาท 12,000 บาท 9,000 บาท
บัญชีรายชื่อประเทศทีไ่ มมีสิทธิเบิกคาเครื่องแตงตัว ในการเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13.
สาธารณรัฐสังคมนิยมแหงสหภาพพมา เนกราบรูไนดารุสซาลาม (บรูไน) สาธารณรัฐอินโดนีเซีย กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย สาธารณรัฐฟลิปปนส สาธารณรัฐสิงคโปร สาธารณรัฐศรีลงั กา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ฟจิ ปาปวนิวกีนี ซามัวตะวันตก
- 15 บัญชีหมายเลข 7
สถาบันวิจัยและพัฒนาพืน้ ที่สูง (องคการมหาชน) อัตราคาของขวัญของผูเดินทางไปปฏิบัติงานในตางประเทศ เพื่อมอบใหบุคคลสําคัญในตางประเทศ ผูรับดํารงตําแหนง 1) ระดับอธิบดีหรือเทียบเทาขึ้นไป 2) ระดับผูอํานวยการสํานักหรือเทียบเทา 3) ระดับเจาหนาที่ทวั่ ไป
คนละไมเกิน/บาท 2,000 บาท 1,500 บาท 1,000 บาท
ระเบียบคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นทีส่ ูง วาดวยเบี้ยประชุมและประโยชนตอบแทนอื่นสําหรับกรรมการ อนุกรรมการ และที่ปรึกษา พ.ศ. 2549 --------------------------------------------โดยที่เปนการสมควรออกระเบียบคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง วาดวยเบี้ย ประชุม และประโยชนตอบแทนอื่นสําหรับกรรมการ อนุกรรมการ และที่ปรึกษา อาศัยอํานาจตามความใน มาตรา 19 (9) และมาตรา 25 แหงพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) พ.ศ.2548 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 เกี่ยวกับหลักเกณฑการกําหนดเบี้ยประชุม และ ประโยชนตอบแทนอื่น สําหรับกรรมการ อนุกรรมการ และที่ปรึกษา คณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่ สูง จึงออกระเบียบไวดังนี้ ขอ 1 ระเบียบนี้เรียกวา “ระเบียบคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง วาดวย เบี้ยประชุม และประโยชนตอบแทนอื่นสําหรับกรรมการ อนุกรรมการ และที่ปรึกษา พ.ศ. 2549” ขอ 2 ระเบียบนี้ ใหใชบังคับตั้งแตวันถัดจากวันประกาศเปนตนไป ขอ 3 ในระเบียบนี้ “สถาบัน” หมายความวา สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) “คณะกรรมการ” หมายความวา คณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง “คณะอนุกรรมการ” หมายความวา คณะอนุกรรมการซึ่งคณะกรรมการแตงตั้ง “ผูอํานวยการ” หมายความวา ผูอํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง ขอ 4 ให ป ระธานกรรมการ กรรมการ ประธานคณะที่ ป รึ ก ษาพิ เ ศษ ที่ ป รึ ก ษาพิ เ ศษ ประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการ และที่ปรึกษา ไดรับเบี้ยประชุม ตามที่รัฐมนตรีวาการกระทรวงเกษตร และสหกรณกําหนด สําหรับผูอํานวยการและเจาหนาที่ไมมีสิทธิไดรับเบี้ยประชุมตามระเบียบนี้ ขอ 5 ให ผู ช ว ยเลขานุ ก ารของคณะกรรมการ เลขานุ ก าร หรื อ ผู ช ว ยเลขานุ ก ารของ คณะอนุกรรมการ มีสิทธิไดรับเบี้ยประชุมไดเหมือนกรรมการ และอนุกรรมการแลวแตกรณี กรณีเลขานุการหรือผูชวยเลขานุการของคณะอนุกรรมการ เปนอนุกรรมการดวย ใหมีสิทธิ ไดรับเบี้ยประชุมในคณะนั้นเพียงตําแหนงเดียว ขอ 6 การเบิกเบี้ยประชุมตามระเบียบนี้ ผูมีสิทธิไดรับเบี้ยประชุมในเดือนใดจะตองเขารวม ประชุมในเดือนนั้นอยางนอยหนึ่งครั้ง /ขอ 7 ...
-2ขอ 7 ในกรณีที่ประธานกรรมการ กรรมการ ประธานคณะที่ปรึกษาพิเศษ ที่ปรึกษาพิเศษ ประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการ ซึ่งเปนประธานกรรมการ กรรมการ ประธานคณะที่ปรึกษาพิเศษ ที่ ปรึกษาพิเศษ ประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการโดยตําแหนง มอบหมายใหผูใดมาประชุมแทน ใหถือ เปน องคป ระชุ ม และให เบิ ก จ า ยเบี้ย ประชุ ม ให ผู ที่ ได รับ มอบหมายให ม าประชุ ม แทนได โดยมี ห นั ง สื อ มอบหมายจากประธานกรรมการ กรรมการ ประธานที่ปรึกษาพิเศษ ที่ปรึกษาพิเศษ ประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการ ขอ 8 ประธานกรรมการ กรรมการ ประธานคณะที่ปรึกษาพิเศษ ที่ปรึกษาพิเศษ กรรมการ และเลขานุการ ผูชวยเลขานุการของคณะกรรมการ ที่ปรึกษา ประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการ เลขานุการ คณะอนุกรรมการ และผูช วยเลขานุการของคณะอนุกรรมการ ใหไดรับประโยชนตอบแทนอื่น ตามที่ คณะรัฐมนตรีกําหนด กรณีที่ไดรับแตงตั้งใหปฏิบัติงานหลายคณะใหมีสิทธิไดรับประโยชนตอบแทนอืน่ ได เพียงตําแหนงเดียว ขอ 9 ใหผูอํานวยการเปนผูรักษาการตามระเบียบนี้ ในกรณี ที่ มี ป ญ หา ให ผู อํ า นวยการเสนอให ค ณะกรรมการวิ นิ จ ฉั ย และคํ า วิ นิ จ ฉั ย ของ คณะกรรมการใหถือเปนที่สุด
ระเบียบคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นทีส่ ูง วาดวยคาตอบแทนผูมาชวยปฏิบัติงานเปนครั้งคราว พ.ศ.2549 --------------------------------------------โดยที่ เ ป น การสมควรออกระเบี ย บคณะกรรมการสถาบั น วิ จั ย และพั ฒ นาพื้ น ที่ สู ง ว า ด ว ย คาตอบแทนผูมาชวยปฏิบัติงานเปนครั้งคราว อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 19 (6) และ (9) แหงพระราช กฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) พ.ศ. 2548 คณะกรรมการสถาบันวิจัยและ พัฒนาพื้นที่สูง จึงออกระเบียบไว ดังตอไปนี้ ข อ 1 ระเบี ย บนี้ เ รี ย กว า “ ระเบี ย บคณะกรรมการสถาบั น วิ จั ย และพั ฒ นาพื้ น ที่ สู ง ว า ด ว ย คาตอบแทนผูมาชวยปฏิบัติงานเปนครั้งคราว พ.ศ. 2549” ขอ 2 ระเบียบนี้ใหใชบังคับตั้งแตวันถัดจากวันประกาศเปนตนไป ขอ 3 ในระเบียบนี้ “สถาบัน” หมายความวา สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) “คณะกรรมการ” หมายความวา คณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง “ประธานกรรมการ” หมายความวา ประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง “ผูอํานวยการ” หมายความวา ผูอํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง “ผูมาชวยปฏิบัติงานเปนครั้งคราว” หมายความวา บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคลที่มา ชวยปฏิบัติงานใหกับสถาบันซึ่งมิใชผูปฏิบัติงานของสถาบันตามมาตรา 35 แหงพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องคการมหาชน) พ.ศ. 2548 ขอ 4 ใหผูมาชวยปฏิบัติงานเปนครั้งคราวใหกับสถาบันตามที่ไดรับอนุมัติจากผูอํานวยการ หรือ ประธานกรรมการ เพื่อปฏิบัติงานหรือใหบริการในดานตางๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่สูง มีสิทธิไดรับ คาตอบแทนเปนคาปวยการ คาพาหนะเดินทางและคาที่พัก ตามที่คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารงาน บุคคลที่กําหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ขอ 5 ในการเบิกคาตอบแทนตามขอ 4 ใหผูมาชวยปฏิบัติงานเปนครั้งคราวจัดทํารายงานผล การปฏิบัติงานเพื่อประกอบการเบิกจายเงินคาตอบแทน ขอ 6 ใหผูอํานวยการเสนอขออนุมัติขึ้นทะเบียนผูมาชวยปฏิบัติงานเปนครั้งคราวตอประธาน กรรมการ และการขึ้นทะเบียนดังกลาวใหถือวา เปนการอนุมัติใหปฏิบัติงานตามขอ 4 /ขอ7 ...
-2ขอ 7 ในกรณีที่มีความเรงดวนและจําเปนตองมีผูมาชวยปฏิบัติงานเปนครั้งคราวใหกับสถาบัน นอกเหนือจากขอ 6 แตมิอาจขออนุมัติไดในขณะนั้น ใหสถาบันดําเนินการขออนุมัติตอประธานกรรมการใน ภายหลังจากที่ปฏิบัติงานไปแลวก็ได และใหถือวาเปนการขออนุมัติตั้งแตแรกแลว ขอ 8 ใหผูอํานวยการรักษาการตามระเบียบนี้ ในกรณีที่มีปญหาเกี่ยวกับการดําเนินการตาม ระเบียบนี้ใหผูอํานวยการนําเรื่องเสนอคณะกรรมการเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด และคําวินิจฉัยนั้นใหถือเปนที่สุด
เล่ม ๑๓๐ ตอนพิเศษ ๘๒ ง
หน้า ๑๖ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ประกาศสถาบันวิจยั และพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เรื่อง โครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงานและ สถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของสถาบัน
เพื่อให้เป็น ไปตามมาตรา ๗ (๑) (๒) (๓) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่จะให้ประชาชนได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดําเนิน งานของทางราชการ จึงขอประกาศโครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงานของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ดังนี้ ข้อ ๑ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์การก่อตั้ง โดยสรุป ดังต่อไปนี้ (๑) ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยและพัฒนางานโครงการหลวง (๒) สนับสนุนการวิจัย รวบรวม รักษาและพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งรักษาคุณค่า และสร้างประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพบนพื้นที่สูง (๓) ส่งเสริมและประสานความร่วมมือกับมูลนิธิโครงการหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวิจัย พัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ และพัฒนากระบวนการเรีย นรู้ข องชุมชนเพื่อให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและสอดคล้องกับแนวทางของโครงการหลวง รวมทั้งการสนับสนุน กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการฟื้นฟูและรักษาสิ่งแวดล้อม (๔) จัด ให้มี ก ารศึ ก ษา ค้ น คว้ า วิ จั ย พั ฒ นาและเผยแพร่ ข้อ มู ล และสารสนเทศเกี่ย วกั บ การพัฒนาพื้นที่สูงอย่างครบวงจรตลอดจนเป็นศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการดําเนินการดังกล่าว (๕) เสริมสร้างเครือข่ายความร่ว มมือและแลกเปลี่ย นการวิจัย และพัฒ นาพื้น ที่สูงทั้งภายใน และต่างประเทศ (๖) พัฒนาอุทยานหลวงราชพฤกษ์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้พืชสวน ความหลากหลายทางชีวภาพ และแหล่งท่องเที่ยวทางการเกษตรและวัฒนธรรมที่มีคุณภาพ ข้อ ๒ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) มีการบริหารงาน ดังนี้ (๑) คณะกรรมการสถาบัน วิจัย และพัฒนาพื้น ที่สูง มีอํานาจหน้าที่ค วบคุมดูแ ลกิจการทั่ว ไป ของสถาบันให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และโดยเฉพาะให้มีอํานาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ ๑) กําหนดทิศทาง เป้าหมาย และนโยบายในการบริหารงานของสถาบัน ๒) อนุมัติแผนงาน แผนการลงทุน แผนการเงิน โครงการ และงบประมาณประจําปีของสถาบัน ๓) ดูแลฐานะและความมั่นคงทางการเงิน ให้ความเห็นชอบรายงานการเงิน พิจารณารายงาน ของผู้ตรวจสอบการเงิน และวางระเบียบ กฎเกณฑ์ หรือข้อห้ามทางการเงิน ๔) กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้กู้ยืมเงินและการระดมเงินทุนของสถาบัน
เล่ม ๑๓๐ ตอนพิเศษ ๘๒ ง
หน้า ๑๗ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖
๕) ให้คําแนะนําหรือเสนอแนะการแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคอันเกิดจากการบริหารจัดการ ตลอดจนเสนอต่อคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการในกรณีมีปัญหาหรืออุปสรรคเกี่ย วกับ การประสานงานในการดําเนินการตามวัตถุประสงค์และอํานาจหน้าที่ของสถาบัน ๖) ให้ความเห็นชอบการกําหนดค่าธรรมเนียม ค่าบํารุง ค่าตอบแทน ค่าบริการ และ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกิดจากการดําเนินงานของสถาบัน ๗) จัด ตั้งและยุบเลิกสํานักงานสาขาของสถาบันในกรณีที่มีความจําเป็นและเห็นสมควร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของสถาบัน และกําหนดวิธีการบริหารงานของสํานักงานสาขาของสถาบัน ๘) สรรหา แต่งตั้ง ประเมินผลการปฏิบัติงาน และถอดถอนผู้อํานวยการ ๙) ออกระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกําหนด หรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไปของสถาบัน การประสานระหว่างสถาบันกับสํานักงานสาขา การจัดแบ่งส่วนงานของสถาบันและขอบเขตอํานาจหน้าที่ ของส่วนงานดังกล่าว การบริหารงานบุคคล เงินเดือนและค่าจ้างผู้ปฏิบัติงานของสถาบัน การเงินการพัสดุ และทรัพย์สิน การงบประมาณ การบัญชี การจําหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญ การตรวจสอบภายใน การสรรหาหรือคัดเลือกผู้อํานวยการ การปฏิบัติงานของผู้อํานวยการ การมอบให้ผู้อื่นรักษาการแทนหรือ ปฏิบัติการแทนผู้อํานวยการ และการจัดสวัสดิการและสิท ธิประโยชน์อื่น แก่ค ณะกรรมการที่ปรึกษา คณะกรรมการ ผู้อํานวยการ คณะอนุกรรมการ คณะทํางาน ที่ปรึกษาคณะทํางาน เจ้าหน้าที่และ ลูกจ้างของสถาบัน ๑๐) ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง พ.ศ. ๒๕๔๘ ๑๑) กระทําการอื่นใดที่จําเป็นเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และอํานาจหน้าที่ของสถาบัน หรือที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย (๒) ผู้อํานวยการสถาบัน มีอํานาจ ดังต่อไปนี้ ๑) แต่งตั้งรองผู้อํานวยการหรือผู้ช่ว ยผู้อํานวยการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ เพื่อเป็นผู้ช่วยปฏิบัติงานของผู้อํานวยการตามที่ผู้อํานวยการมอบหมาย ๒) บรรจุ แต่งตั้ง เลื่อน ลด ตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าที่และลูกจ้าง ตลอดจนให้เจ้าหน้าที่และลูกจ้างออกจากตําแหน่ง ทั้งนี้ ตามระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการกําหนด ๓) วางระเบี ย บเกี่ ย วกั บ การดํ า เนิ น งานของสถาบั น โดยไม่ ขั ด หรื อ แย้ ง กั บ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกําหนด ประกาศ นโยบาย หรือมติของคณะกรรมการ ข้อ ๓ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) มีโครงสร้างและการจัดแบ่งส่วนงาน ดังต่อไปนี้ (๑) หน่วยตรวจสอบภายใน มีหน้าที่รับผิดชอบ ดังนี้ ๑.๑) ตรวจสอบการดําเนิน งานของสถาบัน ในด้านการบริหารจัด การ การงบประมาณ การเงิน การบัญชี หลักฐานเอกสารเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับ แผนงานโครงการและนโยบาย
เล่ม ๑๓๐ ตอนพิเศษ ๘๒ ง ที่เกี่ยวข้อง
หน้า ๑๘ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖
๑.๒) ให้คําปรึกษาแนะนํา การปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมาย
๑.๓) วิเคราะห์ เพื่อการประเมิ น ความเสี่ ย ง และประสิท ธิภ าพของการควบคุมภายใน รวมทั้งเพิ่มมูลค่าและปรับปรุงการดําเนินงานของสถาบันให้ดีขึ้น ๑.๔) รายงานผลการปฏิบัติงาน ปัญหา ข้อบกพร่องที่ตรวจพบและเสนอแนวทางการป้องกัน และแก้ไขต่อผู้อํานวยการโดยเร็ว (๒) สํานักอํานวยการ มีหน้าที่รับผิดชอบ ดังนี้ ๒.๑) บริหารจัด การเกี่ย วกับการเงินและบัญ ชี พัสดุ บริหารทรัพยากรมนุษย์ ธุร การ และประชาสัมพันธ์ อาคารสถานที่ และนิติการ ๒.๒) ปฏิบัติงานอื่นในส่วนที่มิได้อยู่ในอํานาจหน้าที่ของส่วนงานใดโดยเฉพาะ เพื่อให้เป็นไป ตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ของสถาบัน ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ นโยบาย และมติของคณะกรรมการ ๒.๓) ปฏิบัติง านร่ว มกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติง านของหน่วยงานอื่นที่เกี่ย วข้อง หรือ ที่ได้รับมอบหมาย (๓) สํานักยุทธศาสตร์และแผน มีหน้าที่รับผิดชอบ ดังนี้ ๓.๑) จัดทํานโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนงาน โครงการ งบประมาณ และแผนปฏิบัติงาน แผนบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาพื้นที่สูง รวมถึงการศึกษาและพัฒนาด้านการตลาด ๓.๒) ศึกษาและเสนอแนะในการปรับใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารบนพื้นทีส่ ูง ระบบฐานข้อมูล รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลและสารสนเทศเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่สูง ๓.๓) ติด ตาม รายงานผล และประเมินผลการดําเนิ น งานตามยุท ธศาสตร์ แผนงาน และโครงการ ๓.๔) ร่ว มมือ และแลกเปลี่ ย นการพั ฒ นาทางวิช าการด้ านการวิ จั ย และพัฒ นาพื้น ที่ สู ง ในระดับนานาชาติ ๓.๕) สนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสถาบัน คณะอนุกรรมการ และคณะทํางาน ที่เกี่ยวข้อง ๓.๖) ปฏิบัติง านร่ว มกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติง านของหน่วยงานอื่นที่เกี่ย วข้อง หรือ ที่ได้รับมอบหมาย (๔) สํานักวิจยั มีหน้าที่รับผิดชอบ ดังนี้ ๔.๑) จัดทํายุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติงานวิจัยบนพื้นที่สูง ๔.๒) ศึกษาวิจัย และสนับสนุนส่งเสริมการทําวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน ๔.๓) ร่ว มมือกับมูลนิธิโ ครงการหลวง หน่ว ยงานของรัฐ และสถาบัน การศึกษา และ ภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย พัฒ นาและจัด การองค์ความรู้ ที่เหมาะสมสู่ชุมชนบนพื้นที่สูง
เล่ม ๑๓๐ ตอนพิเศษ ๘๒ ง
หน้า ๑๙ ราชกิจจานุเบกษา
๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖
๔.๔) ปฏิบัติง านร่ว มกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติง านของหน่วยงานอื่นที่เกี่ย วข้อง หรือ ที่ได้รับมอบหมาย (๕) สํานักพัฒนา มีหน้าที่รับผิดชอบ ดังนี้ ๕.๑) จัดทํายุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติงานพัฒนาบนพื้นที่สูง ๕.๒) สนับสนุนการดําเนินงานในพื้นที่โครงการหลวงและส่งเสริมให้เป็นศูนย์เรียนรู้การพัฒนา พื้นที่สูงอย่างยั่งยืน ๕.๓) ขยายผลความสําเร็จของโครงการหลวงไปสู่ชุมชนบนพื้นที่สูงอื่น ๕.๔) บูรณาการการปฏิบัติงานระหว่างชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๕.๕) ส่งเสริมให้ชุมชนมีการพึ่งพาตนเอง มีการรวมกลุ่ม โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๕.๖) จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อความสมดุลของการพัฒนาที่ยั่งยืน ๕.๗) สนับสนุนและดําเนินการด้านการตลาด โดยให้มีการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของ สินค้าโครงการหลวง และสินค้าของสถาบันจากหน่วยงานในประเทศ และต่างประเทศ ๕.๘) ปฏิบัติง านร่ว มกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติง านของหน่วยงานอื่นที่เกี่ย วข้อง หรือ ที่ได้รับมอบหมาย (๖) อุทยานหลวงราชพฤกษ์ มีหน้าที่รับผิดชอบ ดังนี้ ๖.๑) ดําเนิน การให้อุท ยานหลวงราชพฤกษ์ เป็น ศูน ย์การเรีย นรู้ท างการเกษตร และ การอนุรักษ์พันธุ์พืช ๖.๒) จัดแสดงนิทรรศการด้านการเกษตร ความหลากหลายทางชีวภาพและด้านอื่น ๆ ๖.๓) ดําเนินการบริหารจัดการแหล่งท่องเทีย่ ว และพักผ่อนทางด้านการเกษตรและวัฒนธรรม ที่มีคุณค่าในระดับนานาชาติ ๖.๔) ปฏิบัติง านร่ว มกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติง านของหน่วยงานอื่นที่เกี่ย วข้อง หรือ ที่ได้รับมอบหมาย ข้อ ๔ สถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) คือ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เลขที่ ๖๕ หมู่ ๑ ถ.สุเทพ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ๕๐๒๐๐ เบอร์โทรศัพท์ ๐๕๓ – ๓๒๘๔๙๖ - ๘ เบอร์โทรสาร ๐๕๓ - ๓๒๘ - ๒๒๙ และ ๐๕๓ - ๓๒๘ - ๔๙๔ เว็บไซต์ www.hrdi.or.th ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ศิริพงศ์ หังสพฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง
เล่ม ๑๓๑ ตอนพิเศษ ๙๔ ง
หน้า ๔๑ ราชกิจจานุเบกษา
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ประกาศสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เรื่อง การดําเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สงู (องค์การมหาชน) เพื่อให้การปฏิบัติเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลเป็นไปตามมาตรา ๒๓ (๓) แห่งพระราชบัญญัติ ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งกําหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดระบบ ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล โดยจัดให้มีการนําลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา และตรวจสอบแก้ไขให้ถูกต้อง อยู่เสมอ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) จึงได้จัดทําระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ดังนี้ ๑. กลุ่มงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ สํานักอํานวยการ (ก) ประเภทของบุคคลที่มีการเก็บข้อมูลไว้ - เจ้าหน้าที่ของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (ข) ประเภทของระบบข้อมูลส่วนบุคคล - แฟ้มประวัติ (ค) ลักษณะการใช้ข้อมูลตามปกติ - ใช้ในการบริหารงานบุคคล (ง) วิธีการขอตรวจดูข้อมูลข่าวสารของเจ้าของข้อมูล - สามารถขอตรวจดูข้อมูลส่วนบุคคลได้ที่กลุ่มงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ สํานักอํานวยการ (จ) วิธีการขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล - แสดงความจํานงขอแก้ไขข้อมูลพร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้อง (ฉ) แหล่งที่มาของข้อมูล - เจ้าของข้อมูล - เอกสารราชการ ๒. กลุ่มงานพัสดุ สํานักอํานวยการ (ก) ประเภทของบุคคลที่มีการเก็บข้อมูลไว้ - เจ้าหน้าที่จ้างเหมาบริการ
เล่ม ๑๓๑ ตอนพิเศษ ๙๔ ง (ข) (ค) (ง) (จ) (ฉ)
หน้า ๔๒ ราชกิจจานุเบกษา
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗
- เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานโครงการ ประเภทของระบบข้อมูลส่วนบุคคล - แฟ้มประวัติ ลักษณะการใช้ข้อมูลตามปกติ - ใช้ในการบริหารงานบุคคล วิธีการขอตรวจดูข้อมูลข่าวสารของเจ้าของข้อมูล - สามารถขอตรวจดูข้อมูลส่วนบุคคลได้ที่กลุ่มงานพัสดุ สํานักอํานวยการ วิธีการขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล - แสดงความจํานงขอแก้ไขข้อมูลพร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้อง แหล่งที่มาของข้อมูล - เจ้าของข้อมูล - เอกสารราชการ ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ศิริพงศ์ หังสพฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง