จดหมายข่าวพุทธิกา ฉบับที่ 51

Page 1

ครสมาชิก ๒ ปีขึ้นไป รับฟรี “สุขได้ ง่ายจัง” มีจำนวนจำกัด พิเศษ สมั แ ถ ม “รักษาใจให้ไกลทุกข์” อีกเล่ม เฉพาะ ๒๐ ท่านแรกเท่านั้น

สนทนาพิเศษกับพระไพศาล วิสาโล เรื่อง ค้นความหมายศาสนา : พระสงฆ์กับบทบาททางสังคมและการเมือง


สมัครสมาชิกจดหมายข่าว ๒ ปีขึ้นไป สุขได้ ง่ายจัง

พระไพศาล วิสาโล ๖๙ บาท

เฉพาะ ๒๐ ท่านแรก แ ถ ม อี ก รักษาใจ ให้ไกลทุกข์

พระไพศาล วิสาโล ๒๐ บาท

ชีวิตจะมีคุณค่า ย่อมเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์หรือการเกี่ยวข้องกับ ผู้อื่นอย่างถูกต้อง เมื่อเราอยู่คนเดียวอาจรู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยมีคุณค่า แต่ถ้ามีคนอื่นอยู่ ด้วยและมีการเอื้อเฟื้อเกื้อกูล มีความผูกพันกัน เราจะรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า ขึ้นมาทันที ดังนั้นคุณค่าของชีวิต ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เรามีสัมพันธภาพ กับผู้อื่น มีความผูกพัน มีความเอื้ออาทรกัน มีคนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะวัยรุ่น ที่ไม่รู้ว่าชีวิตมีค่าและมีความหมาย อย่างไร จึงใช้ชีวิตแบบเคว้งคว้าง ไม่มีทิศทาง ปล่อยตัวไปตามยถากรรม เหมือนกับสวะที่ลอยไปตามน้ำ สุดแท้แต่อะไรจะพาไป บางคนใช้ชีวิต อย่างเสี่ยงอันตราย เช่น พวกขับรถซิ่ง เอาชีวิตที่มีคุณค่าไปแขวนไว้กับ เกมส์กีฬาที่อันตราย บางคนเป็นมือปืนรับจ้างเสี่ยงอันตราย ไม่กลัวตาย แต่เมื่อคนเหล่านี้มีครอบครัว มีภรรยา มีลูก ก็จะเริ่มรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้อง

รู้จักถนอม จะใช้ชีวิตแบบเสี่ยงอันตรายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว เขา

จะรู้ สึ ก ว่ า ชี วิ ต มี คุ ณ ค่ า ไม่ เ พี ย งอยากถนอมชี วิ ต เอาไว้ แต่ ยั ง อยาก เปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น หลายคนเลิกอาชีพมือปืนและหันไป ประกอบสัมมาอาชีวะ ถ้าเราได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น หรือพบว่าถ้าหากไม่มีเรา เขาอยู่

ไม่ได้ เราจะรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า มีความหมาย มีนักแสดงหญิงฮอลลีวู้ดคนหนึ่งเคยประสบความสำเร็จในอาชีพ

นักแสดง แต่หลังจากนั้นก็ตกต่ำลง เล่นหนังเรื่องไหนก็ไม่ประสบความ


สำเร็จ ซ้ำยังมีปัญหาชีวิต แฟนทิ้ง รู้สึกเสียใจ หันไปหาเหล้า จนติดเหล้า ชีวิตก็ยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า เหมือนสวะ เพื่อน พยายามช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนปกติ ให้เห็นคุณค่าของตัวเอง เธอ

ก็ทำไม่ได้ วันหนึ่งเพื่อนเอาลูกแมว ๒ ตัวมาให้เธอเลี้ยง ทีแรกก็ไม่สนใจ

ไม่ต้องการมีภาระผูกพัน แต่ว่าสงสารมันจึงรับเอาไว้ เมื่อรับมาแล้วก็ต้อง ดูแล ต้องหานมมาให้มันกิน ต้องหาผ้าห่มมาให้ เธอรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ มัน เมื่อก่อนไปเตร็ดเตร่ที่ไหน จะกลับบ้านเมื่อไรก็ได้ ไม่กลับก็ได้ แต่พอ มีลูกแมวก็ต้องคิดถึงมัน จะไปเที่ยวสำมะเลเทเมาเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ต้องกลับบ้านเป็นเวลา เพื่อมาให้นมแมว ดูแลมัน ไม่นานก็รู้สึกผูกพันกับ มันมาก ชีวิตเธอก็เริ่มเป็นระบบระเบียบมากขึ้นเพราะมีแมวที่ต้องเลี้ยงดู ทีละน้อยๆ เธอรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า อย่างน้อยก็มีคุณค่ากับลูกแมว ๒ ตัวนี้ จากจุดเล็กๆ ชีวิตเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยน เธอกินเหล้าน้อยลง จนเลิก เหล้าได้ ไม่ใช้ชีวิตแบบสำมะเลเทเมาอย่างก่อน ในที่สุดก็กลับมามีชีวิต เหมือนคนทั่วไป และตั้งอกตั้งใจทำงาน จนมีชีวิตที่ผาสุก จะเห็นว่าคุณค่าของชีวิตคนเกิดขึ้นจากความผูกพัน และการเอื้อ อาทรต่อกัน เมื่อเราเอื้ออาทรเขา เราก็รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าต่อเขา เมื่อเรามีคุณค่าต่อเขา เราก็รู้สึกว่าเรามีคุณค่าต่อตัวเองด้วย

พุ ท ธิ ก า

ฉบับที่ ๕๑ ปีที่ ๑๔ กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๖

ความมั่นคงของชีวิต ความจริงที่ต้องรู้ เมื่อปุ๋ยเคมีล้นโลก

๑ ๔ ๑๑

สนทนาค้นความหมายศาสนากับพระไพศาล วิสาโล ๑๗ น้ำมนต์ของหลวงพ่อเทียน

๒๒

๒๔

ถอยหลังจึงก้าวหน้าได้

๒๙

๓๕

๔๐

๔๒


พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ในยามที่ อ ยู่ ค นเดี ย ว ยิ่ ง เงิ น ที่ มี อ ยู่ นั้ น มิ ไ ด้ ม าด้ ว ยวิ ธี ก ารที่

ชอบธรรม ก็ย่อมเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ ในขณะที่ผู้คนพากันแสวงหาความมั่นคงของชีวิตนั้น สิ่ง ที่มักถูกมองข้ามไปก็คือ ความมั่นคงของจิตใจ แม้จะมีเงิน มากมายมหาศาล แต่ ถ้ า จิ ต ใจเต็ ม ไปด้ ว ยความวิ ต กกั ง วล หวาดกลัวรุ่มร้อน รู้สึกพร่อง ไม่รู้จักพอ ขาดความสุขสงบเย็น ก็ยากที่จะรู้สึกว่าชีวิตมีความมั่นคง เมื่ อ พู ด ถึ ง ความมั่ น คงของชี วิ ต อันเป็นยอดปรารถนาของผู้คน ส่วนใหญ่ แล้วมักนึกถึงความมั่งคั่งร่ำรวย เพราะ เมื่อมีเงินแล้ว สวัสดิภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายก็ ต ามมา ยั ง

ไม่ ต้ อ งพู ด ถึ ง บริ ษั ท บริ ว ารที่ ห้ อ มล้ อ ม แต่ทั้งหมดนี้จะมีความหมายอะไร หาก ชี วิ ต ไม่ มี ค วามสุ ข ปราศจากความรั ก และความอบอุ่นจากครอบครัวและมิตร สหาย ถึ ง จะมี พ วกแต่ ไ ร้ เ พื่ อ น จิ ต ใจ

ก็คงอ้างว้าง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโดดเดี่ยว

4

ในสมัยพุทธกาลมีพระราชาองค์หนึ่งชื่อว่าพระเจ้าภัททิยะ เป็นพระญาติกับพระพุทธเจ้า ต่อมาได้ออกบวชเพราะทนการ รบเร้าอ้อนวอนของเพื่อน (คือเจ้าชายอนุรุทธะ) ไม่ได้ เมื่อบวช แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมจนได้เป็นพระอรหันต์ ไม่ว่าท่านอยู่ที่ใด ในป่าหรือใต้ร่มไม้ ท่านมักเปล่งอุทานว่า “สุขหนอๆ” เป็น ประจำ เพื่อนภิกษุได้ยินก็เข้าใจว่าท่านไม่ยินดีในการบวช จึง กราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์จึงรับสั่งให้เรียกท่านมาแล้วถาม เหตุผล พระภัททิยะจึงตอบว่า เมื่อครั้งเป็นฆราวาสครอบครอง ราชสมบัติ แม้มีทรัพย์และบริวารมาก มีคนคอยดูแลปกป้อง รอบข้ า ง ก็ ยั ง อดสะดุ้ ง จิ ต หวาดกลั ว ไม่ ไ ด้ แต่ บั ด นี้ ไ ม่ ว่ า

ข้าพระองค์อยู่ที่ใดเพียงลำพัง ก็ไม่รู้สึกสะดุ้งกลัว มีแต่ความ สุขในทุกหนแห่ง จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น

5


สำหรับพระภัททิยะแล้ว แม้เป็นกษัตริย์ก็มิได้รู้สึกมี ความมั่ น คงในชี วิ ต เลย สาเหตุ ก็ เ พราะจิ ต ใจไม่ มี ค วาม มั่นคงอย่างแท้จริง มีหลายสิ่งที่ทำให้คนเราไม่รู้สึกมั่นคงในจิตใจ สิ่งหนึ่ง ก็คือ ความกลัว ดังกรณีของพระภัททิยะ หลายคนอาจ

ไม่ได้กลัวอันตราย แต่กลัวการสูญเสีย อาทิ การสูญเสีย ทรัพย์ เป็นธรรมดาที่ว่า ยิ่งฝากชีวิตไว้กับทรัพย์สินเงินทอง มากเท่าใด ก็ยิ่งกลัวการสูญเสียทรัพย์มากเท่านั้น นี้คือทุกข์ ข้อแรกของคนมีทรัพย์ ซึ่งนำไปสู่ทุกข์ประการต่อมา คือ ต้องเหน็ดเหนื่อยในการปกป้องรักษาทรัพย์ แม้ไม่เหนื่อย กายก็เหนื่อยใจ ยังไม่ต้องพูดถึงก่อนหน้านั้นที่ต้องดิ้นรน ขวนขวายในการหาทรัพย์ ซึ่งแม้ประสบความสำเร็จ แต่ ความสุขที่เกิดขึ้นก็ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานก็รู้สึกเฉยๆ หรืออาจถึงกับเบื่อด้วยซ้ำ ทำให้อยากได้ของใหม่ (คนที่ดีใจ เพราะได้ iPhone 4S เมื่ อ ปี ที่ แ ล้ ว ตอนนี้ ส่ ว นใหญ่ ค ง

ไม่ปลื้มกับมันแล้วเพราะเห็น iPhone 5 วางตลาด)

ดังนั้นนอกจากความกลัวแล้ว ความอยากได้ไม่รู้จบก็เป็นอีก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้จิตใจไม่มั่นคง เพราะรู้สึกพร่องอยู่เสมอ คนที่คิด ว่าคำตอบของชีวิตอยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง (รวมไปถึงอำนาจ) จะไม่เคย รู้สึกพึงพอใจในชีวิตเลย เพราะได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ ขณะเดียวกันก็ รู้สึกว่าแม้ได้อะไรมามากมาย แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปจาก ชีวิต เฟอร์ ดิ นั น ด์ มาร์ ค อส อดี ต ประธานาธิ บ ดี ฟิ ลิ ป ปิ น ส์ ซึ่ ง ทรงอำนาจอย่ า งยิ่ ง เมื่ อ ๔๐ ปี ก่ อ น ได้

เปิดเผยความในใจในบันทึกของตนเมื่อครั้งที่ถึงจุดสูงสุด ของชีวิต ว่า “ผมมีอำนาจมากที่สุดในฟิลิปปินส์ ผมมีทุกอย่าง ที่เคยใฝ่ฝัน พูดให้ถูกต้องคือ ผมมีทรัพย์สมบัติทุกอย่าง เท่าที่ชีวิตต้องการ มีภรรยา ซึ่งเป็นที่รักและมีส่วนร่วมใน ทุกอย่างที่ผมทำ มีลูกๆ ที่ฉลาดหลักแหลมและสืบทอด วงศ์ตระกูล มีชีวิตที่สุขสบาย ผมมีทุกอย่าง แต่กระนั้น ผมก็ยังรู้สึกไม่พึงพอใจในชีวิต”

6

7


สำหรับมาร์คอส ความมั่นคงของชีวิตที่ผู้คนเห็นจากภายนอก นั้น มีความหมายต่อเขาน้อยมากตราบใดที่เขายังไม่รู้สึกพึงพอใจ

ในชีวิต มาร์คอสกับพระภัททิยะนั้นเป็นภาพที่ตัดกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่ง มี ท รั พ ย์ แ ละอำนาจล้ น ฟ้ า แต่ ไ ม่ มี ค วามสุ ข อี ก คนไม่ มี อ ะไรเลย นอกจากบาตรและจีวร แต่มีความสุขอย่างยิ่ง สิ่งที่ชีวิตของคนเราต้องการอย่างแท้จริงนั้น หาใช่ทรัพย์สินเงิน ทองไม่ แต่คือความสงบเย็นในจิตใจ พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่า ทรัพย์สินไม่สำคัญ ทรัพย์สินนั้นมีประโยชน์ตราบใดที่เรารู้จักใช้มัน

ไม่ลุ่มหลงเพราะรู้ว่ามันมีข้อจำกัดอย่างไร แต่หากลุ่มหลงมันแล้ว เรา ก็กลายเป็นทาสของมันทันที อีกทั้งมันจะกลายเป็นอุปสรรคขัดขวาง

ไม่ให้เราเข้าถึงความสงบเย็นในจิตใจ อันเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดความสุข และความมั่นคงในจิตใจอย่างแท้จริง 8

ความสงบเย็นในจิตใจนั้น เกิดจากการหมั่นทำความดี เริ่ ม ด้ ว ยการแบ่ ง ปั น ทรั พ ย์ สิ น แก่ ผู้ ที่ ทุ ก ข์ ย ากหรื อ ผู้ ที่ ท ำ ประโยชน์ส่วนรวม (ทาน) จากนั้นก็รักษากายและใจไม่ให้ เบียดเบียนผู้อื่น รวมไปถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นด้วยกำลัง กายและสติปัญญา (ศีล) ตามมาด้วยการฝึกฝนอบรมจิตใจ ให้เป็นกุศล (ภาวนา) เช่น มีสติ สมาธิ และสันโดษ (ความ รู้จักพอ) ที่สำคัญคือการบ่มเพาะใจให้เกิดปัญญา คือเห็น และเข้าใจความจริงของชีวิต ความจริงของชีวิตอย่างหนึ่งที่ควรตระหนัก และจะช่วย ให้จิตใจมั่นคงอย่างยิ่ง นั่นคือความจริงที่ว่า ชีวิตนี้แท้จริง แล้วไม่มีความมั่นคงเลยแม้แต่น้อย เพราะทุกคนเมื่อเกิดมา นอกจากต้องแก่ ต้องป่วยแล้ว ยังหนีความตายไม่พ้น ชีวิตที่ มีความตายเป็นจุดหมายโดยมีความเจ็บป่วย ความแก่อยู่ ระหว่างทาง (ไม่นับความสูญเสียพลัดพรากที่ต้องเกิดขึ้น แน่นอน) จะเป็นสิ่งที่มั่นคงได้อย่างไร ไม่ว่ามีเงินมากมาย มีอำนาจล้นฟ้า ก็ไม่อาจป้องกัน ความแก่ ความเจ็บ และความตายได้ (ทำได้อย่างมากก็แค่ ชะลอเท่านั้น) ใช่แต่เท่านั้น เงินทองและอำนาจก็ล้วนเป็นสิ่ง ไม่เที่ยง ไม่จิรัง ไม่มั่นคง แปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ในเมื่อตัว มันเองยังไม่มั่นคง มันจะไปค้ำยันชีวิตเราให้มั่นคงได้อย่างไร

9


แ ด น ช า ร์ ล ส์

ใช่หรือไม่ว่า ความมั่นคงของชีวิตนั้นแท้จริงเป็นของชั่วคราว หรือพูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ มันเป็นมายาภาพ ที่เราหลงคิดว่าเป็น ความจริง ตราบใดที่เรายังหลงในมายาภาพดังกล่าว เราจะไม่มีวัน

พบกับความสุขที่แท้จริงได้เลย ต่อเมื่อเราเห็นความจริงว่าไม่มีอะไรที่ เที่ยงแท้หรือมั่นคงอย่างแท้จริงเลย เราจึงจะพบกับความสงบเย็น เพราะจิตไม่ลุ่มหลงยึดติดกับสิ่งใดๆ อีกต่อไป ไม่ว่ามีอะไร ก็รู้ว่า

สักวันหนึ่งมันย่อม “หมด” ไป ดังนั้นเมื่อวันนั้นมาถึง จึงไม่ทุกข์ ไม่ เศร้าโศก เสียใจ หรือโกรธแค้น จิตใจยังคงเป็นปกติ มั่นคง ไม่

หวั่นไหว โลกและชีวิตนี้เต็มไปด้วยความผันผวนแปรปรวน เมื่อใดเรา เปิดใจยอมรับและเห็นความจริงดังกล่าว ไม่ยึดหรืออยากให้ทุกอย่าง เที่ยงแท้มั่นคงหรือเป็นไปตามใจเรา ความผันผวนนั้นจะไม่อาจทำให้ เราทุกข์ได้ต่อไป ถ้าไม่อยากทุกข์ใจเพราะความผันผวนดังกล่าว ก็ควร พากเพียรสั่งสมความดีและฝึกใจให้เห็นความจริงดังกล่าว อย่ามัวแต่ แสวงหาเงินทองหรือสะสมวัตถุจนมองข้ามสิ่งที่สำคัญและประเสริฐ กว่าไปเลย 10

เราจะฝากความหวังไว้กับการเกษตรเพื่อเลี้ยงดู ประชากรโลกในอนาคตได้ ห รื อ ในเมื่ อ กิ จ กรรมการ

เกษตรอาจทำลายโลกเสียเอง ธาตุไนโตรเจนคือเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเกษตร เป็นกุญแจสู่ความอุดมสมบูรณ์ในโลกที่หิวกระหายและมี ประชากรล้นหลามของเรา หากปราศจากธาตุชนิดนี้ กลไกการสังเคราะห์แสงจะไม่สามารถทำงานได้ ไม่มี การก่อตัวของโปรตีน และไม่มีพืชชนิดใดเจริญเติบโตได้ 11


ข้าวโพด ข้าวสาลี และข้าวเจ้า ซึ่งล้วนแต่เป็นพืชผลเติบโต เร็วที่มนุษยชาติต้องพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด จัดอยู่ในกลุ่มพืช ที่กระหายไนโตรเจนมากที่สุด โรงงานขนาดยักษ์ดักจับก๊าซไนโตรเจนซึ่งเป็นก๊าซเฉื่อย จากชั้นบรรยากาศ แล้วบังคับให้รวมตัวทางเคมีกับไฮโดรเจน ในก๊ า ซธรรมชาติ เกิ ด เป็ น สารประกอบไวปฏิ กิ ริ ย าที่ พื ช ต้องการ ปุ๋ยไนโตรเจนที่ได้จากกระบวนการดังกล่าวใช้กัน

ทั่วโลกมากกว่า ๑๐๐ ล้านตันต่อปีและช่วยกระตุ้นให้ได้ ผลผลิตมหาศาล หากปราศจากปุ๋ยไนโตรเจน อารยธรรม มนุษย์คงไม่เป็นเช่นที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน พูดง่ายๆ ก็คือ ดิน บนโลกของเราไม่สามารถปลูกอาหารได้มากพอจะเลี้ยงมนุษย์ ทั้ง ๗,๐๐๐ ล้านคนได้ กระนั้น ไนโตรเจนกำลังทำให้สัตว์ป่า

ในทะเลสาบและปากแม่น้ำขาดอากาศหายใจ น้ำบาดาลปนเปื้อน และ แม้กระทั่งทำให้อากาศโลกร้อนขึ้น ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเรื่องไนโตรเจนปรากฏให้เห็นเด่นชัด ที่สุดในจีน เนื่องจากจีนมีที่ดินเพาะปลูกจำกัด เมื่อจำนวนประชากร ของประเทศพุ่งพรวดถึง ๓๐๐ ล้านคนระหว่างปี ๑๙๗๐ ถึง ๑๙๙๐ การเกษตรแบบดั้งเดิมของจีนจึงต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อก้าวให้ทัน การขยายตัว ดังกล่าว รัฐบาลจีนทำทุกวิถีทางเพื่อให้พืชผลได้รับปุ๋ยไนโตรเจนมากพอ ระหว่างปี ๑๙๗๕ ถึง ๑๙๙๕ มีการสร้างโรงงานผลิตไนโตรเจนขึ้น หลายร้อยแห่ง ทำให้ผลิตปุ๋ยได้มากขึ้นถึงสี่เท่า ส่งผลให้จีนกลาย

เป็นผู้ผลิตปุ๋ยรายใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบัน เกษตรกรบางคนใช้ปุ๋ย ไนโตรเจนถึง ๑๕๐-๓๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ ในจำนวนนี้มีน้อยคนนักที่ คิดว่าตนกำลังก่อผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม ทว่านักวิทยาศาสตร์กลับเห็นต่างออกไป ตามไร่นาที่บริหาร จัดการอย่างเข้มข้น “มีการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินขนาดถึงร้อยละ ๓๐-๖๐ เชียวนะครับ” จวีเสี่ยวถัง จากมหาวิทยาลัยเกษตรแห่งชาติ จีนในกรุงปักกิ่งกล่าว เมื่อโปรยลงในไร่นา สารประกอบไนโตรเจนจะ กระจายสู่สิ่งแวดล้อม ทำให้โลกเราเปลี่ยนไป ไนโตรเจนส่วนหนึ่ง

ถูกชะจากไร่นาลงสู่แม่น้ำลำธารโดยตรง หรือไม่ก็รั่วไหลสู่อากาศ

บางส่ ว นมนุ ษ ย์ ห รื อ สั ต ว์ ใ นฟาร์ ม กิ น เข้ า ไปในรู ป ของเมล็ ด พื ช แต่

12

13


หลังจากนั้นก็ถูกปล่อยกลับสู่สิ่งแวดล้อมในรูปของสิ่งปฏิกูล หรือมูลสัตว์ จากฟาร์มหมูและฟาร์มไก่ทั่วโลก การสำรวจทะเลสาบระดับชาติจำนวน ๔๐ แห่งใน ประเทศจีนเมื่อไม่นานมานี้พบว่า กว่าครึ่งได้รับผลกระทบ จากปริมาณไนโตรเจนหรือฟอสฟอรัสที่สูงเกินไป (ปุ๋ยที่มี ฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบมักเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ สาหร่ายสะพรั่ง ในทะเลสาบ) น้ำปนเปื้อนจะก่อให้เกิดเขต มรณะที่สาหร่ายและแพลงก์ตอนพืชเกิดการสะพรั่ง ตายลง และเน่าเปื่อย ทำให้ออกซิเจนถูกใช้จนหมดและส่งผลให้ปลา ขาดอากาศหายใจ

ความต้องการอาหารของเราไม่ใช่สาเหตุเพียงประการเดียวของ ปัญหานี้ การเผาไหม้ที่ขับเคลื่อนรถยนต์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าปล่อย ไนโตรเจนออกไซด์ สู่ชั้นบรรยากาศ และเมื่อสารประกอบเหล่านั้น กลับลงมาสู่โลกในรูปของน้ำฝนก็ทำหน้าที่เป็นปุ๋ย เช่นกัน ทั่วทั้งโลก ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ที่ใช้กันคิดเป็นร้อยละ ๗๐ ของปริมาณไนโตรเจนที่ เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ในแต่ละปี แบคที เ รี ย ในดิ น ที่ กิ น ไนเตรตเป็ น อาหารสามารถเปลี่ ย น ไนโตรเจนในรูปแบบที่สร้าง ปัญหานี้กลับสู่รูปแบบดั้งเดิม นั่นคือก๊าซ ไนโตรเจนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นองค์ประกอบเกือบร้อยละ ๘๐ ของบรรยากาศ อย่างไรก็ดี แบคทีเรียเหล่านี้ยังปล่อยไนตรัสออกไซด์ ซึ่ ง เป็ น ก๊ า ซเรื อ นกระจกตั ว ฉกาจออกมาด้ ว ยเล็ ก น้ อ ย ใน อนาคตอั น ใกล้ จี น และประเทศอื่ น ๆ ทั่ ว โลกมี แ นวโน้ ม ว่ า จะใช้ ไนโตรเจนมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง ประชากรโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

14

15


พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

และนับวันเนื้อสัตว์มีแต่จะยิ่งได้รับความนิยม การเลี้ยงหมู หรือวัวต้องใช้ผลผลิตทางการเกษตรปริมาณสูงกว่าการใช้ ธัญพืชเหล่านั้นมาเลี้ยงผู้คนโดยตรงหลายเท่าตัว เราพอจะมองเห็ น หนทางแก้ ปั ญ หาได้ ใ นไร่ แ ห่ ง หนึ่ ง นอกเมืองฮาร์แลน เมืองเล็กๆ ทางตะวันตกของรัฐไอโอวา

ที่นี่มีวัวและเล็มทุ่งหญ้าเขียวขจีอยู่ ๙๐ ตัว และมีหมูสอง สามร้อยตัวคุ้ยเขี่ยฟางอยู่กลางท้องทุ่งอัลฟัลฟา ข้าวโพด

ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เลย์ รอนและมาเรีย รอสมันน์ ไม่โปรยปุ๋ยไนโตรเจนลง

ในท้องทุ่งเหล่านี้ แต่เลือกเติมไนโตรเจนลงไปด้วยวิธีทาง ชีววิทยาแทน โดยอาศัยแบคทีเรียตรึงไนโตรเจนที่อาศัยอยู่ใน ปมรากของพืชวงศ์ถั่ว เช่น ถั่วเหลืองกับอัลฟัลฟา และพืช คลุมดินอย่างโคลเวอร์ ซึ่งรอน รอสมันน์ปลูกไว้ในฤดูใบไม้ ร่วง เพียงเพื่อจะไถพรวนกลับลงไปในดิน ก่อนจะปลูกข้าว โพดในฤดูใบไม้ผลิ ไนโตรเจนบางส่วนในดินจะกักเก็บอยู่ใน ข้าวโพดซึ่งเขานำไปเลี้ยงหมู สุดท้ายไนโตรเจนส่วนใหญ่ก็มา ลงเอยอยู่ในปุ๋ยคอกและย้อนกลับไปสู่ไร่ของเขา แล้ววัฏจักร ทั้งหมดนี้ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ต อ น ที่

พระสงฆ์กับบทบาท ทางสังคมและการเมือง

บทสัมภาษณ์นี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารอัพเดต ฉบั บ เดื อ นมกราคม-กุ ม ภาพั น ธ์ ๒๕๔๑.... เนื้ อ หาน่ า สนใจยั ง ใช้ ไ ด้ กั บ สั ง คมปั จ จุ บั น โดย แบ่งการนำเสนอเป็น ๔ ตอน..

สนใจอ่านฉบับเต็มได้ใน NATIONAL GEOGRAPHIC ภาษาไทย ฉบับเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ 16

17


Update

ที่บอกว่าพระไม่ควรยุ่งการเมือง ขอบข่ายของเรื่องนี้ควร จะอยู่ ต รงไหน บางคนบอกว่ า พระควรจะช่ ว ยสั ง คม เหมือนกัน พระไพศาล : มันไม่ชัด แล้วแต่ว่าเราจะตีความอย่างไร เพราะ

ทุกวันนี้พระผู้ใหญ่จำนวนมากก็ไปเล่นการเมืองอยู่แล้ว ไปหนุนรัฐบาล อย่ า งหลวงพ่ อ คู ณ ที่ บ อกว่ า อยากให้ ค นโน้ น คนนี้ เ ป็ น นายกฯ หรื อ

สมัยหนึ่งพระผู้ใหญ่ก็ไปพูดจาต่อต้านคอมมิวนิสต์ เป็นเครื่องมือให้ รัฐบาล คือไปถือหางฝ่ายรัฐบาลอยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าอยู่ ฝ่ายรัฐบาลก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่ฝ่ายตรงข้ามก็ถือว่าเล่นการเมือง

นี่คือทัศนคติ จริงๆ แล้วขึ้นอยู่กับการให้คำนิยามว่าการเมืองหมายถึง อะไร ถ้าการเมืองหมายถึงการพยายามให้ประชาชนเกิดความสำนึกว่า อะไรถูกอะไรผิด แล้วก็ร่วมมือกันที่จะผดุงรักษาความถูกไว้ ถ้าเป็น อย่างนี้พระก็จำเป็นต้องมีหน้าที่สอนให้ประชาชนได้รู้ว่าอะไรถูกอะไร ผิด แต่พระไม่ควรไปชี้นำ เหมือนกับตอนนี้พระในชนบทพยายามสอน ให้ชาวบ้านสนใจอนุรักษ์ป่า การทำเช่นนั้นก็เป็นการปะทะกับการเมือง ในท้องถิ่น ถ้าพระเป็นผู้ตระหนักในปัญหานี้ และกระตุ้นชาวบ้าน ตระหนัก เห็นความสำคัญ ชาวบ้านเขาก็จะเกิดการรวมกลุ่มขึ้นมา เพื่อรักษาป่า นี่ก็ถือเป็นหน้าที่อันหนึ่ง ซึ่งจะถือว่าเป็นการเมืองก็ใช่ แต่เป็นการเมืองในความหมายที่กว้างเหมือนที่คานธีว่า เป็นการเมือง เพื่อที่จะรักษาความถูกต้อง แต่เรื่องอิทธิพลนี่พระเราก็ต้องฉลาดด้วย 18

ว่าจะไปได้แค่ไหน มันเป็นเรื่องของการเสี่ยงดูด้วยว่าเราจะทำอะไรกับ มันได้แค่ไหน ความจริงเส้นอาจจะอยู่แค่นี้ แต่เราไม่รู้ขอบเขตที่แน่นอน ก็อาจจะต้องเสี่ยงรุกดู ถ้ามาถึงจุดหนึ่งแล้วมีเสียงปืนยิงเข้ามาก็คง ต้องหยุด (หัวเราะ) ก็คงต้องลองขยายดูว่ามันแค่ไหน ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ก็เท่ากับว่าเรายังทำไม่เต็มที่ แต่ถ้าเรารู้ขอบเขตแล้วก็น่าคิดว่าเราจะ เลยเส้นนี้มั้ย เพราะถ้าเลยเส้นนี้ไปแล้วหมายถึงชีวิตของเรามันก็ไม่คุ้ม เราอาจจะต้องถอยแล้วเปลี่ยนยุทธศาสตร์เปลี่ยนวิธีใหม่ U p d a t e

ถ้ามองมุมกลับว่า เป็นฆราวาสแล้วจะทำได้มากกว่านี้ หรือเปล่า พระไพศาล : ที่ฆราวาสทำได้มากกว่าในบางเรื่อง อย่างการ

รวมกลุ่มชาวบ้านเพื่อการอนุรักษ์ป่า เช่น เข้าไปคลุกคลี กินนอนกับ เขา แต่บางเรื่องฆราวาสทำได้น้อยกว่า แต่จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ บทบาทอันดับต้นๆ ของพระ เพราะบทบาทของพระจริงๆ ก็คือ การ ขั ด เกลาตนเองด้ ว ย ถ้ า มั ว แต่ ไ ปทำภายนอกจนไม่ มี เ วลาขั ด เกลา ตนเองก็นับว่าเสียโอกาส แล้วจริงๆ บทบาทของพระจะอยู่ที่การเทศน์ การสอนมากกว่าจะเข้าไปคลุกคลีตีโมง การเขียน การพูดก็ทำได้ แต่ ไม่ใช่ไปรวบรวมชาวบ้านให้ไปประท้วง 19


U p d a t e

แต่ก็มีความเชื่อที่ว่า พระไม่ควรยุ่งกับกิจกรรมทางโลก เลย น่าจะไปนั่งวิปัสสนาให้หลุดพ้นไป หรืออีกพวกจะ บอกว่าพระควรช่วยเหลือสังคม ท่านคิดว่าเราควรจะ

เดินเส้นไหนดี พระไพศาล : ในทางพระพุทธศาสนานี่พระต้องเกี่ยวข้องกับ

ชาวบ้านอยู่แล้ว เป็นเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้าในการบัญญัติวินัย คือพระจะไปหากินเองไม่ได้ พระจะไปอยู่ในป่าในถ้ำคนเดียวไม่ได้ พระต้องบิณฑบาตทำไม? ก็เพื่อจะได้มาเกี่ยวข้องกับชาวบ้าน นี่เป็น ประเพณี ที่ แ ตกต่ า งจากพวกฤาษี ชี ไ พรของพวกพราหมณ์ พวกนี้ ตัดขาดจากทางโลกเลย หรือแม้แต่นักบวชในศาสนาคริสต์นี่สามารถ ตัดขาดจากโลกได้ เพราะสามารถหากินเองได้ ส่วนพระมีวินัยห้าม

เก็บข้าวเก็บอาหารข้ามคืน เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวันใหม่ก็ต้องไปหา อาหารใหม่ พระห้ามเก็บผลไม้กินเอง ก็ต้องบิณฑบาต ไปหาชาวบ้าน ทุกเช้า เพื่อจะได้มีความสัมพันธ์กับชาวบ้าน ชาวบ้านอุปถัมภ์พระใน ทางวัตถุ พระก็อุปถัมภ์ชาวบ้านในทางธรรมะ เพราะฉะนั้นนอกจาก

จะต้องประพฤติปฏิบัติธรรมส่วนตัวแล้ว ยังต้องมีความสัมพันธ์กับ

ชาวบ้าน นี่เรียกประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน พระที่ตั้งใจจะทำสมาธิ ภาวนาก็ถือว่าดี แต่ต้องเอื้อเฟื้อชุมชนด้วย เอื้อเฟื้ออย่างไรก็ต้องดู

อีกที ท่านอาจจะบอกว่าเอื้อเฟื้อของท่านคือการสอนธรรมะ แต่พระ 20

บางพวกเช่น พระในเมืองก็อาจจะมีบทบาทในการสอนหนังสือ ซึ่ง

ไม่ ไ ด้ เ ป็ น ธรรมะล้ ว นๆ แต่ มี ทั้ ง ภาษาอั ง กฤษ สอนสุ ข ภาพ พระ

สมัยก่อนมีสอนการช่าง ทำว่าว ทำเครื่องดนตรี เป็นเรื่องทางโลก

ช่างดาบ ช่างมวย เป็นพระก็มี แสดงว่าโดยประเพณี พระเข้าไป

ช่วยชาวบ้านในเรื่องทางโลกด้วย พระในอีสานจำนวนมากก็ยังรักษา บทบาทนี้อยู่ มีการนำชาวบ้านพัฒนา เป็นผู้ประสานความขัดแย้ง ซึ่ง จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของพระ แต่โดยประเพณีก็ยอมรับกัน เพราะเห็นว่าท่านเป็นผู้นำของชุมชน ท่านเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ปัจจุบันสังคมมันซับซ้อน มีปัญหามากมาย บทบาทของพระในการ ช่วยเหลือสังคมจึงเปลี่ยนไป แทนที่จะนำชาวบ้านขุดบ่ออย่างเดียว หรือทำถนนอย่างเดียว ก็ยังนำชาวบ้านรักษาป่าด้วย ถือเป็นการ พัฒนากิจกรรมสงเคราะห์ชุมชนของพระ ซึ่งอาตมาคิดว่าเราควรจะ รักษาความหลากหลายของพระเอาไว้ ในแง่ว่ามีพระหลายแบบ แล้ว สมัยก่อนเราก็เป็นแบบนั้น มีพระในวัดเรียกว่าคามวาสี อรัญวาสี พระในป่า พระคันถธุระเน้นเรื่องปริยัติ พระวิปัสสนาธุระเน้นเรื่อง กรรมฐาน แม้กระทั่งสานุศิษย์ของพระพุทธเจ้าสมัยก่อนก็มีเอตทัคคะ ในด้านต่างๆ เช่น ยอดในการก่อสร้าง ยอดในการเทศน์ คือมีหลาย แบบ เพื่อที่จะรักษาหลักคือประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน แต่ก็ต้อง

ไม่ลืมว่าบทบาทหลักของพระคือขัดเกลาธรรมะภายในตนและเผยแพร่ แก่ผู้อื่น นอกนั้นเราอาจทำประโยชน์อย่างอื่นแก่สังคมได้ แต่ว่าอย่า เสียหลักการ ช่วยชาวบ้านก็ต้องมีขอบเขต 21


พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ในช่ ว งเจ็ ด ปี สุ ด ท้ า ยของหลวงพ่ อ เที ย น จิ ต ตสุ โ ภ ท่ า นต้ อ ง

เข้าโรงพยาบาลอยู่หลายครั้งเนื่องจากมีมะเร็งในลำไส้ เป็นโอกาสให้ นายแพทย์วัฒนา สุพรหมจักร ได้รู้จักท่านอย่างใกล้ชิด ในขณะที่หมอ วัฒนารักษากายของหลวงพ่อด้วยการให้ยา หลวงพ่อก็ได้รักษาใจของ หมอวัฒนาด้วยการให้ธรรม หมอวัฒนาเล่าว่าตอนที่รู้จักหลวงพ่อเทียนใหม่ๆ กำลังสนใจ พระเครื่ อ งมาก วั น หนึ่ ง ได้ เ อาพระนางพญาพิ ษ ณุ โ ลกมาให้ ท่ า นดู พร้อมกับอวดว่าพระเครื่ององค์นี้เก่าแก่มากสร้างมาตั้ง ๗๐๐ ปีแล้ว “พระองค์นี้ทำจากอะไร” ท่านถาม หมอวัฒนาอธิบายว่า “ทำจากเนื้อดินเผา แกร่งสีเนื้อมะขามเปียกมีแร่ต่างๆ ปรากฏอยู่เต็ม” ได้ยินเช่นนั้น ท่านก็พูดเรียบๆ ว่า “ดินนั้นเกิดมาพร้อมกัน

ตั้งแต่สร้างโลก พระองค์นี้ไม่ได้เก่าแกไปกว่าดินที่เราเหยียบก่อนเข้า มาในบ้านนี้หรอก” เพียงประโยคนี้ประโยคเดียว หมอวัฒนาก็ “ตาสว่าง” ตัดสินใจ ถอดพระเครื่องออกจากคออย่างไม่ลังเล 22

เคยมีคนถามท่านว่าแขวนพระดีหรือไม่ ท่านตอบว่า “ดี แต่มี สิ่งที่ดีกว่าแขวนพระจะเอาไหม” อีกคราวหนึ่งมีคนถามท่านด้วยความสงสัยว่า เครื่องรางของ ขลังของเขามีอานุภาพตามที่เล่าลือหรือไม่ ท่านไม่ตอบ แต่ถามกับว่า “คนทำตายหรือยัง” เมื่อได้คำตอบว่าคนที่ทำได้ตายแล้วเพราะเป็นของมรดกตกทอด กันมา ท่านจึงตอบว่า “คนที่ทำยังตายเลย แล้วเราจะหวังสิ่งนี้ ช่วยไม่ให้เราตายได้ อย่างไร” แม้หลวงพ่อเทียนเป็นหลวงตาที่พูดน้อย น้ำเสียงเบา แต่ถ้า

พู ด ถึ ง การสอนธรรมแล้ ว ท่ า นมั่ น คง พู ด ตรง ไม่ อ้ อ มค้ อ ม และ

ไม่ยอมประนีประนอมเลยโดยเฉพาะเมื่อต้องเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมที่ คนเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ ท่านเห็นว่านั้นกลับทำให้คนมีความหลงงมงาย

มากขึ้น และเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงธรรม ท่านเคยได้รับนิมนต์ไปสวดในงานบุญแห่งหนึ่ง เจ้าภาพอยาก ให้ท่านพรมน้ำมนต์ให้ ท่านจึงขอให้เจ้าภาพเตรียมกาละมังขนาดใหญ่ ใส่น้ำให้เต็มเพื่อทำน้ำมนต์แทนที่จะทำจากน้ำในในบาตร เมื่อทำเสร็จ แล้ว แทนที่จะประพรมน้ำมนต์ ท่านกลับเอาน้ำมนต์ในกาละมังสาดไป ทั่วบ้านแล้วบอกว่า “ช่วยกันเก็บช่วยกันถู อันนี้แหละเป็นมงคล การที่เราใช้น้ำมนต์ ประพรมตัวเรา อาจจะแพ้ลูกไม้ใบหญ้าที่ใส่ไว้ในน้ำมนต์ มีอาการ

ผื่นคันขึ้นมา ต้องเปลืองเงินทองซื้อหยูกยารักษาอีก แล้วมันจะเป็น มงคลได้อย่างไร” 23


“แต่ละคนมันก็ยังคงมีความบกพร่องอย่างใดอย่าง หนึ่งอยู่เสมอไม่มากก็น้อย ฉะนั้นมีเมตตาต่อกันและกันดีกว่า ที่จะแตกแยกกัน ว่ามึงเป็นมึง กูเป็นกู เราเป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่เจ็บตาย เราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์อยู่ในโลกอันวิปริตด้วยกัน มีเมตตา มีความสามัคคี นี่คือเมตตาจริง นี่คือสามัคคีจริง” พุทธทาสภิกขุ

ในการทำความดีนั้น พึงถือธรรมเป็นใหญ่ Nimita รักในหลวง ปุจฉา : ถ้าเราไม่แบ่ง แต่เขาแบ่ง และทำสิ่งไม่ดีต่อส่วนรวม...ต่อบ้านต่อเมือง เราจะสามัคคี ด้วยได้อย่างไรคะ มองไม่ออกจริงๆ ค่ะ ไม่อยากแบ่งฝักแบ่ง ฝ่ายหรอกนะคะ แต่จะเข้าเป็นเนื้อเดียวกันก็ฝืนใจจริงๆ ค่ะ

24

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา : คนที่ทำไม่ดีต่อส่วนรวม อย่าว่าแต่เป็นคนละพวกกับเราเลย แม้เป็นพวกเดียวกับเรา ก็ ไม่สมควรอยู่แล้วที่จะไปร่วมมือกับเขาในการทำสิ่งไม่ดีนั้น แต่ หากเขาทำดี แม้เป็นคนละพวกกับเรา ก็สมควรที่เราจะร่วม กับเขาทำความดี ในการทำความดีนั้น ไม่ควรถือเขาถือเรา แต่พึงถือ ธรรมเป็นใหญ่ ยิ่งการช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากด้วยแล้ว แม้เขาจะ มีเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา อุดมการณ์ หรือสีเสื้อต่างจากเรา ก็ ไม่ควรเอา “ยี่ห้อ” นั้นมาเป็นเครื่องกีดขวางในการช่วยเหลือ เขา เพราะเหนืออื่นใดเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา แม้แต่ สัตว์ เรายังช่วย แล้วเหตุใดเราจะเมินเฉยเขา เพียงเพราะเหตุ ดังกล่าวเท่านั้น จะว่าไปแล้วแม้กระทั่งคนที่เคยทำให้เราเดือดร้อนหรือ ขุ่นเคืองใจ ในยามที่เขาประสบทุกข์ เราก็ควรช่วยเหลือเขา การปล่อยให้เขาทุกข์ทรมานทั้งๆ ที่เราสามารถช่วยเหลือเขา ได้ ไม่เพียงส่งผลร้ายต่อเขาเท่านั้น ยังเป็นโทษต่อเราด้วย เพราะทำให้เราเป็นคนเย็นชาแข็งกระด้างมากขึ้น พูดอีกอย่าง คื อ บั่ น ทอนความเป็ น มนุ ษ ย์ ใ นตั ว เรา ยั ง ไม่ ต้ อ งพู ด ว่ า การ

ทอดทิ้งเขา อาจทำให้เราถูกกระทำอย่างเดียวกันเมื่อถึงคราว ที่เราประสบทุกข์ 25


ในความเห็นของอาตมา เขาทำกับเราอย่างไร ไม่สำคัญ เท่ากับว่า เราทำอย่างไรกับเขา ถ้าเขาทำไม่ดีกับเรา มันก็เสีย ที่เขาเอง (ภาษาพระเรียกว่า เขาก็ต้องรับกรรมของเขาเอง) แต่ก็ไม่ควรที่เราจะเอาเขาเป็นครู หรือเอาความไม่ดีของเขา เป็นเหตุผลในการที่เราจะทำไม่ดีบ้าง (แม้จะเป็นการตอบโต้ เขาก็ตาม) เวลาเราทำความดีกับใครก็ตาม เราควรทำเพราะ เราศรัทธาในความดี ไม่ใช่เพียงเพราะเขาทำดีกับเราเท่านั้น ด้วยเหตุผลเดียวกันแม้เขาจะเคยทำไม่ดีกับเรา เราก็ควรทำดี กับเขาด้วยเช่นกัน คนอื่นนั้นจะแบ่งเขาแบ่งเรา หรือทำตัวอย่างไร เป็น เรื่องของเขา เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องรับกรรมของเขาเอง สิ่งสำคัญกว่าก็คือเราควรตั้งมั่นในความดี และพยายามทำใน สิ่งที่เราเห็นว่าถูกต้อง อะไรที่ทำร่วมกันได้เพื่อประโยชน์ของ ส่วนรวม เราก็ควรร่วมทำกับเขา แต่หากว่าสิ่งทำนั้นนอกจาก ไม่ก่อประโยชน์ต่อส่วนรวม ยังกลับเป็นโทษเสียอีก เราก็

ไม่ควรไปร่วมกับเขา อย่างไรก็ตามอาตมาอยากจะย้ำว่า ควรมองเป็นเรื่องๆ ไป อย่าเหมารวมว่า เขาเลวไปหมด (โดยเฉพาะการเหมารวม โดยเอา “ยี่ห้อ” เป็นเกณฑ์ คือ ถ้ามียี่ห้อต่างจากเรา ก็ถือว่า เลวหมด) เรื่องไหนเขาทำดี ก็ควรสนับสนุนหรือร่วมมือด้วย เรื่องไหนทำไม่ดี เราก็ไม่ควรไปข้องเกี่ยว

26

ความรักในทางพุทธศาสนา

ช่างถาม ปุจฉา : ความรักของฆราวาสจะพัฒนาไปสู่ความ พ้นทุกข์ได้หรือไม่ อย่างไร พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา : การรักคนอื่นในทางพุทธศาสนานั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุหลักๆ คือ การคลายความยึดติดถือ มั่นในตัวตน ส่งผลให้ความเห็นแก่ตัวลดลง จิตใจจึงเต็มเปี่ยม

ไปด้ ว ยเมตตากรุ ณ า ใจที่ มี เ มตตากรุ ณ านั้ น ทำให้ ส ามารถรั ก

คนอื่นได้โดยบริสุทธิ์ใจ ปราศจากความอยากครอบครองหรือเอา มาสนองตัวตน เรียกว่าเป็นจิตที่ไร้เขตแดน อาตมาคิดว่าความรักแบบนี้ต่างจากความรักของฆราวาส หรือของปุถุชนทั่วไป เพราะรักของฆราวาสนั้น...เป็นความรักที่ ยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเป็นของเรา เช่น ถ้าแต่งงานกับใคร คนนั้นก็ ต้องเป็นของฉันทั้งๆ ที่เขาไม่มีทางเป็นของเราได้เลย (เพราะ แม้แต่ร่างกายที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิดยังไม่ยอมเป็นของเราเลย) ความรักแบบที่มี “ตัวกูของกูเป็นศูนย์กลาง” เป็นความ รู้สึกที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า “สิเนหะ” หรือ เสน่หา ไม่ใช่เมตตา หรือกรุณา การได้มาศึกษาและบวชในพุทธศาสนา ทำให้อาตมา เรียนรู้เรื่องนี้ ได้เห็นความแตกต่างระหว่างความรักทั้ง ๒ อย่างนี้ 27


พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

แต่การที่ปุถุชนจะมีความรู้สึกผูกพัน หรือมีความยึดมั่น ในตัวกูของกู ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นสิเนหะที่มีเฉพาะ กับเพศตรงข้าม หรือสิเนหะของแม่ที่มีต่อลูก ล้วนเป็นความรัก ที่ ม าพร้ อ มกั บ ความคาดหวั ง ที่ ยึ ด โยงกั บ ตั ว ตนทั้ ง สิ้ น เช่ น

คาดหวังว่าลูกจะต้องเชื่อฟังพ่อแม่ หรือว่าลูกจะต้องเรียนเก่ง เรียนในคณะที่แม่ชอบ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนรักจะต้องเป็นของ ฉัน ตามใจฉัน หรือรักฉันคนเดียว ปุถุชนมักมีความรู้สึกแบบนี้ แต่ก็ควรพัฒนาความรักของตนให้เป็นความรักที่บริสุทธิ์และ ขยายวงกว้าง หมายถึงไม่ว่าเราจะรักเพื่อน รักคู่ครอง หรือว่า รักพ่อแม่ก็ตาม ก็ขอให้เป็นความรักที่ไม่ใช่เพื่อปรนเปรอตัวเอง แต่เป็นรักด้วยเมตตากรุณา มีความปรารถนาดีต่อเขา โดย

ไม่ได้มุ่งประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก “วันแห่งความรัก” จึงควรเป็นวันที่เรารำลึกหรือบ่มเพาะ

ความรักที่เป็นเมตตากรุณา มากกว่าความรักที่เป็นสิเนะหะ ซึ่ง มีแต่จะนำไปสู่ความทุกข์และการเบียดเบียนกัน (ทั้งเพราะเหตุ ที่เขาไม่เป็นดั่งใจเรา หรือเพราะเขาขัดขวางไม่ให้เราสมหวัง) ถ้าหากผู้คนพากันเชิดชูความรักที่เป็นเมตตากรุณาอย่างแท้จริง ชีวิตจะผาสุกและโลกจะสงบสันติเป็นอย่างยิ่ง

28

ชีวิตคนเราเปรียบได้กับลูกธนูซึ่งจะพุ่งไปข้างหน้าได้ก็ ต้องง้างมาข้างหลังก่อน ยิ่งง้างมาข้างหลังไกลเท่าไรมันก็จะ พุ่ ง ไปข้ า งหน้ า ได้ ไ กลมากเท่ า นั้ น จะเปรี ย บกั บ ต้ น ไม้ ก็ ไ ด้ ต้นไม้จะสูงได้ก็ต้องอาศัยราก ต้นไม้ยิ่งสูงใหญ่เท่าไรก็ต้อง

ยิ่งอาศัยรากที่หยั่งลึกลงไปในดินมากเท่านั้น ถ้าหากว่าราก

ไม่แข็งแรง หยั่งลงไปในดินไม่ลึก ก็สูงได้ไม่นาน ยิ่งสูงเท่าไร

ก็ยิ่งโค่นลงมาได้ง่ายเพราะว่าเจอแรงลม ต้นไม้หลายต้นที่

ภูหลงซึ่งอาตมาอยู่ตอนนี้ไม่สามารถจะหยั่งรากลึกลงไปในดิน ได้ เพราะว่าข้างล่างเป็นหิน รากมันตื้น แต่ก็ยังพออยู่กันได้ เพราะว่ามีต้นไม้หลายๆ ต้นขึ้นมาเป็นหมู่กัน แต่ถ้าเกิดว่า

ต้นไม้รอบๆ ถูกตัด ถูกโค่น มันก็จะอยู่โด่เด่ พอลมพายุพัดมา มันก็โค่นทันทีเพราะว่ารากมันตื้น

29


คนเราทุกคนย่อมปรารถนาความเจริญ ความก้าวหน้า อยาก

จะก้าวหน้าไปได้ไกล อยากจะมีหน้าที่การงานที่สูงขึ้น ก็คงเหมือนกับ ลูกธนูที่ต้องการจะพุ่งไปไกลๆ ก็ต้องรู้จักง้างมาข้างหลัง ต้นไม้ที่อยาก จะแทงยอดสูงก็ต้องหยั่งรากลงไปในดินให้ลึก เมล็ดพันธ์ุหลายชนิดจะ งอกรากออกมาก่อนแล้วถึงค่อยมีใบโผล่มา หรือไม่ก็แตกใบออกมา พร้อมๆ กับหยั่งราก เราลองสังเกตถั่วงอก ไม่ใช่ว่ามันจะผลิใบออกมา แค่นั้น มันต้องแตกรากออกมาด้วย เพราะมันจะเติบโตได้ต้องมีรากที่ แข็งแรง เหมือนกับตึกหรืออาคารซึ่งสร้างสูงกี่ชั้นก็แล้วแต่ ก็ต้องเริ่มต้น จากการสร้างฐานก่อน แล้วก็ตอกเสาเข็มให้ลึก ยิ่งสูงเสาเข็มก็ต้อง

ยิ่งลึก ฐานต้องมั่นคง ถ้าฐานมั่นคงแล้วจะสร้างกี่ชั้นก็ได้ แต่ก็ต้องมี ข้อจำกัดเหมือนกัน คือถ้าฐานเท่าเดิมแต่ว่าสร้างสูงขึ้น ต่อเติมไป เรื่อยๆ บางทีก็พังได้ โค่นลงมาได้ อย่างเมื่อประมาณ ๒๐ ปีที่ผ่านมา เคยมีข่าวโรงแรมรอยัล พลาซ่า ที่โคราชพังลงมาเป็นข่าวใหญ่ ไม่ใช่ แค่ทั่วประเทศ ทั่วโลกเลย เพราะว่ามีคนตายเยอะมาก กู้ศพออกมา ลำบากมาก ต้องไปผ่าขากันข้างในซากตึกเลยทีเดียว ทุลักทุเลมาก อันนี้ก็เพราะว่าเจ้าของเขาต่อเติมอาคารให้สูงขึ้นๆ แต่ว่าฐานราก

เท่าเดิม ไม่ได้สมดุลกับตัวอาคารที่สูงขึ้น ก็เลยพังลงมา

ทรัพย์ อำนาจ ชื่อเสียง พวกนี้เป็นภาระทั้งนั้น ถ้าภาระ

มากขึ้นๆ แต่ฐานใจไม่เข้มแข็งก็พังลงมาได้ง่าย บางคนก็เป็น โรคประสาท บางคนถึงกับเจ็บป่วย อาจจะป่วยทางกาย แต่ ว่าเป็นเพราะใจแบกรับภาระต่างๆ ไม่ไหว เจอความผันผวน ของโลกธรรมโดยเฉพาะขาลง เจอคำตำหนิ เจอคำนินทา เจอคนเลื่อยขาเก้าอี้ เจอคนต่อต้าน เลยเครียดมากถึงกับ ป่วย ที่ผิดหวังมากจนฆ่าตัวตายก็เยอะ คนที่มีหน้าที่การงาน สูงๆ มีเงินมากๆ แต่ว่าฆ่าตัวตายก็มาก ก็เพราะว่าเขาขาด ฐานที่มั่นคง เพราะเขาคิดแต่จะพัฒนาชีวิตให้สูงขึ้นไป สูง ขึ้นไป เหมือนกับการต่อเติมอาคารให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ว่า ลืมการเสริมฐานสร้างรากให้เข้มแข็งมั่นคงไปพร้อมกัน ฐาน

ที่ว่านี้ก็คือฐานใจ

คนจำนวนไม่ น้ อ ยก็ เ ป็ น แบบนี้ คื อ พอมี ชี วิ ต ที่ เ จริ ญ ก้ า วหน้ า

มากขึ้น มีทรัพย์สมบัติมากขึ้น มีฐานะการงานสูงขึ้นๆ เรียกได้ว่า

แบกรับภาระเยอะ มันไม่ใช่แค่สบายอย่างเดียว มันเป็นภาระด้วย ยศ 30

31


ฐานใจนั้ น สำคั ญ มาก พวกเราล้ ว นมี อ นาคตและความเจริ ญ ก้าวหน้ารออยู่ บางคนก็มีแล้วแต่ว่าอาจจะละเลยเรื่องฐานใจ ฐานใจ นั้นไม่มีใครมองเห็น ก็เหมือนกับรากที่อยู่ในดิน ไม่มีใครเห็น ใครๆ ก็ เห็นแต่ลำต้นที่สูงชะลูด พูดแต่ว่าต้นไม้ต้นนี้สูงมาก แต่ไม่เคยมีใคร บอกว่าต้นไม้ต้นนี้รากลึกเพราะมองไม่เห็น คนก็ไปเชิดชูต้นไม้ที่สูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านได้เยอะ แต่ไม่ค่อยได้สังเกตว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมันมีราก ที่แข็งแรงและรากที่หยั่งลึก ฐานใจนั้นสำคัญมาก ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและความผาสุก ทั้งปวงนั้นอยู่ที่ใจ ไม่ใช่อยู่ที่สิ่งภายนอก ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่ฐานะ ชื่อเสียง สถานภาพ หรือแม้กระทั่งหมู่มิตร บริษัท บริวาร ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนภายนอก คนที่มีสิ่งภายนอกเหล่านี้ครบถ้วนแต่ว่าเป็นทุกข์ มี มากมาย ต่อเมื่อกลับมาหาฐานใจ กลับมาเอาใจใส่ดูแลจิตใจของตน จึงจะพบกับความสุขที่แท้จริง ในสมัยพุทธกาลมีพระรูปหนึ่งนามว่าพระภัททิยะ พื้นเพเดิมเป็น กษัตริย์ เป็นพระญาติกับพระพุทธเจ้า พระภัททิยะเป็นพระราชาซึ่งมี 32

บริษัท บริวาร มีอำนาจพอสมควร แต่มาบวชเพราะว่าเหตุการณ์พาไป ก็คือว่าเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อว่าอนุรุทธกุมารซึ่งเป็นรัชทายาทของอีก เมืองหนึ่ง อยากบวช แต่พ่อแม่ไม่ยอม พอทนรบเร้าไม่ได้พ่อแม่ก็ บอกว่าจะอนุญาตให้อนุรุทธกุมารบวชโดยมีเงื่อนไขว่าเพื่อนซึ่งก็คือ พระภัททิยะบวชด้วย พระภัททิยะก็เลยจำใจเพราะว่าถูกอนุรุทธกุมาร อ้อนวอนถึง ๗ วัน เมื่อบวชแล้วก็คงคิดว่าบวชชั่วคราว แต่ไปๆ มาๆ ก็บวชตลอดชีวิต แล้วก็ได้เป็นพระอรหันต์เช่นเดียวกับพระอนุรุทธะ พระภัททิยะบวชได้ไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ วันหนึ่ง ท่านนั่งอยู่คนเดียว ก็รำพึงว่าสุขหนอ สุขหนอ พอดีมีพระเดินผ่านมา ได้ยินเข้าก็คิดว่าพระภัททิยะอยากสึกเพราะรำพึงถึงแต่ราชสมบัติ จึง ไปทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเรียกพระภัททิยะมาถาม พระภัททิยะ ก็บอกว่าที่ตนรำพึงเช่นนั้นก็เพราะมีความสุขมากที่ได้ออกบวช ผิดกับ ตอนที่เป็นพระราชาแม้ว่าจะมีบริษัท บริวาร มีอำนาจมาก มีทรัพย์สิน เงินทอง มีความสะดวกสบายมากมาย แต่ก็อยู่ด้วยความหวาดกลัว สะดุ้งกลัว เพราะว่าต้องคอยระวังว่าจะมีคนมาทำร้าย ต้องมีองครักษ์ ติดตามอยู่ตลอดเวลา ที่จริงท่านคงมีทุกข์อย่างอื่นด้วย แต่ว่าพอมา บวชแล้ว ทั้งๆ ที่ต้องบิณฑบาต ฉันวันละมื้อ และอยู่โคนต้นไม้ แต่มี ความสุขมากเพราะว่ากิเลสหมดไปแล้ว ไม่มีเครื่องเศร้าหมอง ไม่มี อะไรที่ต้องห่วงกังวล ไม่มีแม้กระทั่งความกลัวว่าจะมีใครมาทำร้าย

อันนี้เป็นตัวอย่างของคนที่เมื่อกลับมาที่ใจของตัวเองแล้วจะพบว่าในใจ ของเรานี่แหละคือที่ตั้งแห่งความสุขอันประเสริฐ 33


แต่ก่อนท่านคงคิดว่าความสุขจะได้มาจากสิ่งนอกตัว ไม่ได้รู้ว่า จริงๆ แล้วในใจของตัวเราเป็นที่ตั้งของความสุข และเป็นรากฐานของ การดำเนินชีวิตที่เจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริง ใจของเรานั้นเต็มไปด้วย ขุมทรัพย์ที่คนมักจะมองข้าม แต่ในเวลาเดียวกันถ้าหากว่าเรามองข้าม ใจที่สามารถให้ความสุขแก่เราได้ ก็อาจกลับกลายเป็นตัวการแห่งความ ทุกข์ อย่างที่พูดว่าคนเราทุกข์มากก็เพราะใจ เพราะว่าใจนั้นเปิดช่องให้ ตัวร้ายเข้ามาขโมยความสุขไปจากเราและยัดเยียดความทุกข์มาให้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าศัตรูทำร้ายซึ่งกันและกันก็ไม่ก่อความวินาศ หรือความฉิบหายได้เท่ากับจิตที่ตั้งไว้ผิดหรือจิตที่ฝึกไว้ผิด ศัตรูทำร้าย กันก็คงเอากันถึงตาย แต่ก็ไม่ก่อความพินาศ ฉิบหาย หรือร้ายแรง เท่ากับจิตที่ตั้งไว้ผิด แต่ถ้าจิตตั้งไว้ถูกก็ก่ออานิสงส์มาก พ่อแม่นั้นรัก ลูกมากก็จริงแต่ไม่ว่าจะทำสิ่งดีๆ ให้แก่ลูกเพียงใดก็เทียบไม่ได้กับจิตที่ วางไว้ถูก พ่อแม่นั้นย่อมอยากที่จะให้ลูกมีความสุข แต่ความสุขที่พ่อ แม่ให้แก่ลูกหรือปรนเปรอให้กับลูกก็เทียบไม่ได้เลยกับความสุขที่เกิด จากจิตที่ตั้งไว้ถูก หรือจิตที่ฝึกไว้ถูก พวกเราก็ย่อมปรารถนาความสุข เช่นกัน แต่ถ้าไปรอหาความสุขจากข้างนอกก็จะไม่พบ หรือว่าไม่ถึงใจ จนกว่าเราจะพบความสุขที่กลางใจ จะพบได้ก็ต้องกลับมาใส่ใจ กลับ มารู้จักจิตใจของเรา และเห็นคุณค่าของใจเรา สิ่งนี้เป็นขุมทรัพย์อัน ประเสริฐมากที่ผู้คนมองข้าม

หลังจากไทยปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน นสพ.

ไทยรัฐ ได้วิเคราะห์ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน ลาวค่าแรงขั้นต่ำ อยู่ที่ ๗๐ บาทต่อวัน ต่ำกว่าไทย ๓.๗ เท่า กัมพูชาประมาณ ๖๐-๗๐ บาทต่อวัน ต่ำกว่าไทย ๔.๓ เท่า และพม่า ๕๐-๖๐ บาทต่อวัน

ต่ำกว่าไทย ๕.๒ เท่า ถ้าดูทั้งอาเซียน ค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่อันดับ ๓ โดยอันดับ ๑ คือ สิงคโปร์ ๑,๙๑๒.๗ บาทต่อวัน อันดับ ๒ คือ ฟิ ลิ ป ปิ น ส์ ๓๐๐.๗ บาทต่ อ วั น ส่ ว นรองจากไทยอั น ดั บ ๔ คื อ มาเลเซีย ๒๖๐.๔ บาทต่อวัน และอันดับ ๕ คือ อินโดนีเซีย ๑๕๕ บาทต่อวัน สำหรับข้อดีของการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น ความเป็นอยู่ของแรงงานดีขึ้น รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้นและเกิดความ เสมอภาค ส่วนข้อเสีย ได้แก่ ราคาสินค้าสูงขึ้น การจ้างงานในธุรกิจ เอสเอ็ ม อี ล ดลง เกิ ด การย้ า ยฐานการลงทุ น ไปประเทศอื่ น และมี แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานมากขึ้น

34

35


ทุกวันที่ ๓ พฤษภาคม ของทุกปี ถือเป็นวันเสรีภาพสื่อมวลชน โลก สมาคมสื่อหนังสือพิมพ์และผู้ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์โลก เผยผู้สื่อข่าว เสียชีวิตจากการทำหน้าที่ในปีที่ผ่านมา รวม ๖๘ ราย โดยประเทศใน แถบตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ รวม ๒๓ ราย ทวีปแอฟริกา

มี ๑๗ ราย ทวีปอเมริกา ๑๒ ราย ทวีปยุโรปและเอเชียกลาง ๑ ราย คือในประเทศรัสเซีย ส่วนในทวีปเอเชีย ๑๕ ราย แบ่งเป็นปากีสถาน ๗ ราย บั ง กลาเทศ ๒ ราย อิ น เดี ย ๒ ราย กั ม พู ช า ๑ ราย

อินโดนิเซีย ๑ ราย ฟิลิปินส์ ๑ ราย และประเทศไทย ๑ ราย คิด

โดยเฉลี่ยรวมทั่วโลกมีเสียชีวิตทุกเดือน รวมถึงประเทศไทยที่อยู่ใน ข่ายของผู้นำเสนอข่าวที่มีความเสี่ยงและเสียชีวิต โตโยต้าผู้ครองแชมป์ขายรถเผยยอดขายเฉพาะเดือนมีนาคม ตามนโยบายรถคันแรกพุ่ง ๑๕๗,๕๒๗ คัน เพิ่มขึ้นถึง ๔๒% และถ้า นั บ รวมจากต้ น ปี คิ ด เป็ น ไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๖ มี ย อดขาย ๔๑๓,๒๕๖ คัน เพิ่มขึ้น ๔๘.๐% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของ

ปีที่ผ่านมา ส่วนมอเตอร์ไซค์ ไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๖ จดทะเบียน 36

ถึง ๕๔๙,๐๖๗ คัน เติบโตขึ้น ๖% แนวโน้มดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง ความต้องการของตลาดโดยรวมที่ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมี ปัจจัยบวกด้านเศรษฐกิจเป็นตัวหนุน โดยเฉพาะนโยบายด้านค่าแรงที่ ส่งผลให้การซื้อขายสินค้าภายในประเทศมีความคึกคัก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของค่านิยมใหม่ๆเกิดขึ้นว่าต้องการรถรุ่น ใหม่ๆ รถสปอร์ตที่มียอดจดทะเบียนมากถึง ๑๗,๘๖๘ คัน เติบโตกว่า ไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วที่มียอดอยู่ที่ ๗,๔๑๐ คัน มากกว่าเท่าตัว ความนิยมซื้อรถยนต์ ทำให้ต้องมีการหาแหล่งพลังงาน ผู้ผลิต ก๊าซไฮโดรเจนรายใหญ่ของไทยกล่าวว่าจะต้องใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง ทางเลือกในอีก ๕ ปี เพื่อรองรับความเพียงพอกับปริมาณรถยนต์ รวมทั้งขณะนี้ประเทศสหรัฐฯ ได้นำร่องเตรียมทดลองตลาดรถยนต์ ไฮโดรเจนเชิงพาณิชย์ในอีก ๒ ปีข้างหน้าแล้ว งานวิจัยโดยศูนย์การแพทย์เด็กโคเฮน ที่นิว ไฮเด ปาร์ค รัฐ นิวยอร์ก พบว่าจำนวนการเสียชีวิตของวัยรุ่นในอเมริกาที่ใช้ มือถือส่ง ข้อความขณะขับขี่มียอดพุ่งสูงอย่างน่าตกใจถึงกว่า ๓,๐๐๐ รายต่อปี เมื่อเทียบกับการเสียชีวิตจากการเมาและขับ ๒,๗๐๐ รายต่อปี แม้มี 37


กฎหมายห้ามการส่งข้อความทางโทรศัพท์ขณะขับรถ ก็ไม่สามารถ บังคับใช้เท่าที่ควร จากการสำรวจพบว่า ๗๕% ของวัยรุ่นชายยอมรับ ว่าแชตมือถือระหว่างขับในมลรัฐที่มีกฎหมายห้าม จากสถิติบ่งชี้ว่าถ้า

ผู้ขับขี่ส่งข้อความจากโทรศัพท์มือถือขณะขับรถ ผู้ขับขี่จะมีโอกาส เสี่ยงมากกว่า ๒๓ เท่าที่จะประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน ปริมาณผลผลิตของข้าวสายพันธ์ุ ∀หย่งโย่ว ๑๒” ทำลายสถิติ ข้าวสายพันธ์ุจีน DH2525 ซึ่งครองสถิติให้ผลผลิตสูงที่สุดในโลก เมื่อ ปีกลาย (กันยายน ๒๕๕๔) โดยทำการปลูกที่เมืองหลงฮุย ได้ผลผลิต ๒,๒๒๔ กก./ไร่ จนทำให้ จี น ก้ า วขึ้ น เป็ น ผู้ น ำในการวิ จั ย พั น ธ์ุ ข้ า ว

ข้ามสายพันธ์ุชั้นนำของโลก ข้อมูลของกระทรวงเกษตรจีนระบุว่า ข้าว เป็นอาหารหลักของประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และจีนมีประชากร มากกว่า ๑,๓๐๐ ล้านคน ทำให้รัฐบาลถือเป็นภารกิจหลักในการ

ที่จะต้องพึ่งตนเองด้านการผลิตอาหารให้ได้ พร้อมกับสนับสนุนการ พัฒนาวิจัยสายพันธ์ุข้าวต่างๆ มากมาย ปัจจุบันนี้ มีข้าวสายพันธุ์ พิเศษ หรือ ซูเปอร์ไรซ์ มากกว่า ๙๖ สายพันธ์ุที่ได้รับอนุมัติให้

เพาะปลูกแล้ว ในพื้นที่นากว่า ๗.๔ ล้านเฮกตาร์ หรือเกือบ ๑ ใน ๔ ของแปลงนาข้าวในประเทศจีน ผลผลิตข้าวต่อไร่ของจีนนั้น ปัจจุบัน กำลังได้รับการพัฒนาให้สูงกว่าชาติใดๆ ในโลก ขณะที่ประเทศอื่นๆ 38

เช่น สหรัฐฯ นั้น ผลผลิตเฉลี่ยปัจจุบัน อยู่ที่ ๑,๒๗๐ กก./ไร่ สูงกว่า เกาหลีใต้ ๑,๒๑๖ กก./ไร่ ลำดับรองลงมาคือเวียดนามเฉลี่ยอยู่ที่ ๘๓๖ กก./ไร่ อินโดนีเซียเฉลี่ย ๗๙๙.๗๖ กก./ไร่ พม่าเฉลี่ย ๖๕๓ กก./ไร่ ลาวเฉลี่ย ๕๗๖ กก./ไร่ ฟิลิปปินส์เฉลี่ย ๕๗๔ กก./ไร่ ไทย เฉลี่ย ๔๕๙ กก./ไร่ กัมพูชาเฉลี่ย ๔๕๓ กก./ไร่ การพัฒนาผลผลิต ต่อไร่ของข้าวสายพันธ์ุใหม่ๆ ยังนับเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยแก้ ปัญหาต้นทุนการผลิตของชาวนาจีน และทำให้มีรายได้มากขึ้น เครื่องดื่มอย่างน้ำอัดลม พวกชูกำลัง และน้ำผลไม้ ที่มีการ

ผสมน้ ำ ตาลในปริ ม าณที่ ม าก พบว่ า มี ผ ลต่ อ คนอเมริ กั น ตายปี ล ะ ๑๘๐,๐๐๐ คน จากการเผยงานวิจัยในการประชุม American Heart Association ยังชี้ต่อว่าการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงนี้มีส่วน เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ป่วยเบาหวาน ๑๓๓,๐๐๐ ราย ผู้ป่วย โรคหัวใจ ๔๔,๐๐๐ ราย และผู้ป่วยมะเร็ง ๖,๐๐๐ ราย จำนวนผู้

เสียชีวิตเหล่านี้อยู่ในประเทศที่มีรายได้สูงมากกว่าประเทศที่มีรายได้

ต่ำกว่า แต่มียกเว้น ประเทศญี่ปุ่น อัตราผู้เสียชีวิตเพียง ๑๐ คนใน

๑ ล้านคน

39


จากการวิจัยของอีริคสันคอนซูมเมอร์แล็บ ถึงมุมมองการใช้ชีวิตของกลุ่มเจเนอเรชั่นเอ็ม (Generation M) ช่วงอายุ ๒๒-๒๙ ปี ที่เพิ่งจบการศึกษามหาวิทยาลัย และมีไฟในการทำงาน พบว่า คนกลุ่มนี้มีความกระตือรือร้นและเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับมอบหมาย ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงชีวิตส่วนตัว คนเหล่านี้มองว่าการใช้ Facebook ไปจนถึงการแชตในช่วงเวลาทำงานเป็นสิทธิที่พวกเขาควรจะได้รับ วัยรุ่นกลุ่มนี้มีความต้องการที่จะรักษาความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงาน กับชีวิตส่วนตัว พวกเขาจึงคาดหวังหัวหน้าหรือเจ้านายเพื่อยอมรับกับเรื่องนี้ พฤติกรรมของวัยรุ่น คือ สามารถทำงานใกล้ชิดกับหัวหน้างาน รวมทั้งได้รับการสะท้อนกลับอย่างสม่ำเสมอ ไม่ชอบการทำงานที่ดูคลุมเครือ และวัดผลเป็นรูปธรรมชัดเจนไม่ได้อีกด้วย กลุ่มวัยรุ่นนี้ไม่ค่อยมีความอดทน ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตขึ้นมา ในยุคที่มีการใช้ Facebook อย่างแพร่หลาย พร้อมกับความเคยชินที่ได้รับการประเมินผลต่างๆ ที่รวดเร็ว ส่งผลให้เด็กในยุคนี้จะไม่ชอบการติดต่อสื่อสารใดๆ ที่ได้รับการตอบกลับที่ช้าหรือ การทำอะไรที่ไม่ได้รับการตอบกลับมาในทันที

หมู่บ้านอินเดียตั้งกฎปลูกต้นไม้ ๑๑๑ ต้น ทุกครั้งที่ให้กำเนิดเด็กผู้หญิง

อินเดียแม้มีประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ใช่ว่าจะใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นตามด้วย มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งสืบสานประเพณีที่รักษ์ป่า ประชากรที่เพิ่มขึ้น แต่ป่ากลับไม่ลด และยังไม่ติดกรอบต้องมี “ลูกชาย” มากกว่า “ลูกสาว” คือหมู่บ้าน “พิพรานติ” ในรัฐราชสถาน โดยการเฉลิมฉลองทุกครั้งที่คนในหมู่บ้านให้กำเนิด “ลูกสาว” ชุมชนจะมอบต้นไม้จำนวน ๑๑๑ ต้น ที่คนในชุมชนจะร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อเป็นเกียรติแก่เธอ ชายาม ซันดาร์ ปาลิวาล อดีตผู้ใหญ่บ้าน ผู้ริเริ่ม เขามอบต้นไม้เพื่อให้เกียรติแก่ลูกสาวที่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ฉะนั้น การปลูกต้นไม้จึงกลายเป็นวิถีทางหนึ่งที่ชุมชนจะมั่นใจได้ว่า ลูกสาวของพวกเขาจะมีอนาคตที่สดใส ขณะนี้ ผ่านมาแล้ว ๖ ปี หมู่บ้านพิพรานติ มีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับต้นไม้รอบๆ หมู่บ้านที่เพิ่มขึ้น จากการที่ชาวบ้านได้ร่วมลงแรงปลูกขึ้นมา จนมีกว่า ๒ แสนต้นแล้ว

40

คนรุ่นใหม่กับชีวิตการทำงาน

กินกระเทียมป้องกันพิษ

มีการศึกษาพบว่า กระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันพิษจากแคดเมียม ตะกั่ว ที่มีผลต่อไต โดยปริมาณที่แนะนำทานวันละ ๗ กลีบ 41


ระลึกถึงความตายสบายนัก พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๙๑ หน้า ๔๐ บาท

เป็นไทย เป็นพุทธ และเป็นสุข พระไพศาล วิสาโล เขียน ๑๕๒ หน้า ๗๕ บาท

มองอย่างพุทธ พระไพศาล วิสาโล และคณะ ๑๒๐ หน้า ๗๕ บาท ฝ่าพ้นวิกฤตศีลธรรมด้วยทัศนะใหม่ พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๘๘ หน้า ๘๐ บาท

รักษาใจ ให้ไกลทุกข์ (ฉบับปรับปรุง) พระไพศาล วิสาโล เขียน ๒๐ บาท

แก้เงื่อน ถอดปม ความรุนแรงในสังคมไทย โดย พระไพศาล วิสาโล, ประเวศ วะสี และคณะ ๗๒ หน้า ๕๐ บาท

น้ำใส ใจเย็น พระไพศาล วิสาโล และ ภาวัน บทเรียนจากผู้จากไป ๗๙ บาท น.พ.เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี และ อโนทัย เจียรสถาวงศ์ บรรณาธิการ ๑๐๐ หน้า ๑๐๐ บาท

ฉลาดทำใจ พระไพศาล วิสาโล เรียบเรียง ๒๐๘ หน้า ๙๙ บาท

- ๓๐ วิธีทำบุญ - สอนลูกทำบุญ - ฉลาดทำใจ - สุขสวนกระแส - ใส่บาตรให้ได้บุญ - ธรรมะในงาน ธรรมะในใจ - คู่มือ การช่วยเหลือผู้ป่วย ระยะสุดท้ายด้วยวิธีแบบพุทธ - เติมเต็มชีวิตด้วยจิตอาสา - ความสุขที่ปลายจมูก - ความสุขที่แท้ - พรวันใหม่ ชีวิตใหม่ เล่มละ ๑๕ บาท (จัดส่งฟรี)

ฉลาดทำบุญ พระชาย วรธมฺโม และ พระไพศาล วิสาโล เรียบเรียง ๑๑๒ หน้า ๖๐ บาท คู่มือสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ฉบับสวนโมกขพลาราม ๘๐ หน้า ๓๕ บาท เผชิญความตายอย่างสงบ เล่ม ๑ : ข้อคิดจากประสบการณ์ พระไพศาล วิสาโล และคณะ เขียน ๒๑๖ หน้า ราคา ๑๒๐ บาท

42

เผชิญความตายอย่างสงบ เล่ม ๒ : ข้อคิดจากประสบการณ์ พระไพศาล วิสาโล และคณะ เขียน ๑๖๐ หน้า ราคา ๙๙ บาท เหนือความตาย : จากวิกฤตสู่โอกาส พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๑๗๖ หน้า ๑๒๐ บาท ความตายในทัศนะของพุทธทาสภิกขุ พระดุษฎี เมธังกุโร, สันต์ หัตถีรัตน์ และคณะ ๙๗ หน้า ๗๐ บาท ธรรมะสำหรับผู้ป่วย พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๑๒๘ หน้า ๑๐๐ บาท จิตเบิกบานงานสัมฤทธิ์ พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๘๐ หน้า ๕๙ บาท

สุขสุดท้ายที่ปลายทาง กรรณจริยา สุขรุ่ง เขียน ๒๓๖ หน้า ๑๙๐ บาท

ซีดี MP3 ชุดเผชิญความตายอย่างสงบ ชุดที่ ๑ ดีวีดี เรื่องสู่ความสงบที่ปลายทาง แผ่นละ ๕๐ บาท (มี ๖ แผ่น) แผ่นละ ๕๐ บาท

พิเศษ เฉพาะสมาชิกพุทธิกา จะได้ลด ๓๐% ยกเว้นหนังสือฉบับพกพา และซีดี / ดีวีดี (การสมัครเป็นสมาชิก ดูในหน้าใบสมัคร) สั่งซื้อโดยโอนเงินเข้าบัญชี เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย สั่งจ่ายธนาณัติในนาม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาอรุณอมรินทร์ เลขที่ ๑๕๗-๑-๑๗๐๗๔-๓ ประเภทออมทรัพย์ ส่งหลักฐานไปที่เครือข่ายพุทธิกา 43 หรือสั่งจ่ายธนาณัติในนาม น.ส.มณี ศรีเพียงจันทร์ ปณ.ศิริราช ๑๐๗๐๒


ใบสมัคร/ต่ออายุสมาชิกพุทธิกา

หรือดาวโหลดใบสมัครได้ที่ www.budnet.org ชื่อผู้สมัคร................................................................................. นามสกุล............................................................................................. เพศ................................................................. อายุ.................. อาชีพ..................................................................................................... ที่อยู่จัดส่ง.......................................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................

รหัสไปรษณีย์..........................................

โทรศัพท์....................................................... โทรสาร....................................................... อีเมล...................................................... ระยะเวลา...............ปี (ปีละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๔ เล่ม) เริ่มตั้งแต่ฉบับที่........................................ ประเภทสมาชิก

สมัครใหม่

สมาชิกเก่า (หมายเลขสมาชิก...........................)

หรือ อุปถัมภ์พระ/แม่ชี/โรงเรียน ระยะเวลา...............ปี สถานที่จัดส่ง..................................................... รหัสไปรษณีย.์ ........................................

.........................................................................................................................................................

โทรศัพท์................................................................................ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น............................................บาท โดย ธนาณัติ ตั๋วแลกเงิน เช็ค เงินสด โอนเข้าบัญชีธนาคาร สั่งจ่ายในนาม นางสาวนงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์ (ปณ.ศิริราช ๑๐๗๐๒) เช็คต่างจังหวัดเพิ่มอีก ๑๐ บาท หรือโอนเข้าบัญชี นางสาวนงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน เลขที่ ๔๖๓-๑-๒๓๑๑๒-๑ ประเภทออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาศิริราช เลขที่ ๐๑๖-๔๓๓๙๖๙-๒ ประเภทออมทรัพย์ โปรดส่งหลักฐานการโอนพร้อมใบสมัครและจ่าหน้าซอง สมาชิกพุทธิกา ๔๕/๔ ซอยอรุณอมรินทร์ ๓๙ (เหล่าลดา) ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ หรือโทรสาร ๐-๒๘๘๒-๕๐๔๓ ติดต่อโทร : ๐-๒๘๘๒-๔๓๘๗, ๐-๒๘๘๒-๔๙๕๒, ๐-๒๘๘๖-๐๘๖๓ 44

เครือข่ายพุทธิกา

เพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม การรักษาพระศาสนาให้ยั่งยืนนั้นมิใช่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่งหรือบุคคล กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ทั้งมิใช่เป็นความรับผิดชอบที่จำกัดอยู่กับพระสงฆ์หรือ รัฐบาลเท่านั้น หากเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนและเป็นความรับผิดชอบที่พระ-

พุ ท ธองค์ ท รงมอบให้ แ ก่ พุ ท ธบริ ษั ท ทั้ ง หลาย ดั ง นั้ น เมื่ อ ถึ ง คราวที่ พุ ท ธศาสนา ประสบวิกฤต จึงควรที่ชาวพุทธทุกคนจะร่วมมืออย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อ ฟื้นฟูพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามและกลับมามีความหมายต่อสังคมไทย รวมทั้ง ยังประโยชน์แก่สังคมโลก ด้วยเหตุนี้ “เครือข่ายพุทธิกา” จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการมีองค์กร ประสานงานในภาคประชาชน สำหรับการเคลื่อนไหวผลักดันให้มีการฟื้นฟูพุทธศาสนา อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เครือข่ายพุทธิกา ประกอบด้วยองค์กรสมาชิก ๙ องค์กร ได้แก่ มูลนิธิ โกมลคีมทอง, มูลนิธิเด็ก, มูลนิธิพุทธธรรม, มูลนิธิสุขภาพไทย, มูลนิธิสานแสงอรุณ, มูลนิธิสายใยแผ่นดิน, เสมสิกขาลัย, มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ และเสขิยธรรม แนวทางการดำเนินงาน ที่สำคัญคือการส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับหลักธรรมของพุทธศาสนาเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งในระดับ บุคคล และสังคม หลักธรรมสำคัญเรื่องหนึ่งคือ “บุญ” บ่อยครั้งการทำบุญใน ปัจจุบันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร ทั้งๆ ที่หลักธรรมข้อนี้นำมาใช้ในการ สร้างสรรค์ชีวิตและสังคมที่ดีงาม จึงผลิตโครงการสุขแท้ด้วยปัญญา และโครงการ เผชิญความตายอย่างสงบ จัดเป็นกิจกรรมและมีงานเผยแพร่ สถานที่ติดต่อ เครือข่ายพุทธิกา ๔๕/๔ ซอยอรุณอมรินทร์ ๓๙ (เหล่าลดา) ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๘๘๒-๔๓๘๗, ๐-๒๘๘๒-๔๙๕๒, ๐-๒๘๘๖-๐๘๖๓ โทรสาร ๐-๒๘๘๒-๕๐๔๓ อีเมล์ b_netmail@yahoo.com • http://www.budnet.org . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . ก า ร ฟื้ น ฟู พุ ท ธ ศ า ส น า ป ร ะ ช า ช น ต้ อ ง มี ส่ ว น ร่ ว ม 45


จดหมายข่าวพุทธิกา ๔๕/๔ ซ.อรุณอมรินทร์ ๓๙ (เหล่าลดา) ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๘๘๒-๔๓๘๗, ๐-๒๘๘๒-๔๙๕๒, ๐-๒๘๘๖-๐๘๖๓

จดหมายข่าวฉบับ พุทธิกา ๏ จัดทำโดย เครือข่ายพุทธิกา ๏ สาราณียกร พระไพศาล วิสาโล ๏ กองสาราณียกร นงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์, มณี ศรีเพียงจันทร์, พรทิพย์ ฝนหว่านไฟ, ณพร นัยสันทัด ๏ ปก สรรค์ภพ ตรงศีลสัตย์ : รูปเล่ม น้ำมนต์ ๏ อัตราค่าสมาชิก ปีละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๔ ฉบับ วิธีสั่งจ่ายหรือโอนเงินดูในใบสมัครภายในเล่ม

กรุณาส่ง

สิ่งตีพิมพ์

๏ บุคคลหรือองค์กรใดสนใจจัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือ “ฉลาดทำบุญ” เพื่อแจกจ่ายแก่วัด ห้องสมุด

โรงเรียน เด็กและเยาวชน หรือในงานสาธารณกุศลอื่นๆ ผู้จัดพิมพ์ยินดีดำเนินการจัดพิมพ์ให้ใน

ราคาทุน หรือกรณีสั่งซื้อจำนวนมากตั้งแต่ ๑๐๐ เล่มขึ้นไปลด ๓๐% ๒๐๐ เล่มขึ้นไปลด ๓๕%

โปรดติดต่อเครือข่ายพุทธิกา ๏ เครือข่ายพุทธิกามีโครงการที่น่าสนใจ : ฉลาดทำบุญด้วยจิตอาสา, เผชิญความตายอย่างสงบ, สายด่วน ๐๘๖-๐๐๒๒-๓๐๒ ให้คำปรึกษาทางใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย ฯลฯ ๏ สมัครสมาชิกพุทธิกา ๑๐๐ บาท ได้รับ • จดหมายข่าวพุทธิกา รายสามเดือน ๑ ปี ๔ ฉบับ • ซือ้ หนังสือเครือข่ายพุทธิกาลดทันที ๓๐ % • ซื้อหนังสือสำนักพิมพ์อื่น ลด ๑๐ % (เฉพาะที่เครือข่ายพุทธิกา) • พิเศษ สมัครสมาชิก ๒ ปี รับฟรีหนังสือ ๑ เล่ม เขียนโดยพระไพศาล


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.