จดหมายข่าวพุทธิกา ฉบับที่ 54

Page 1


๓๙ บาท ๕๙ บาท

๑๕ บาท

ด่วน พิเศษสำหรับผู้ที่สมัครหรือต่ออายุสมาชิกจดหมายข่าวพุทธิกา ตั้งแต่ ๒ ปีขึ้นไป รับฟรี ๒ เล่ม (เฉพาะ ๑๐ ท่านเท่านั้นจ้า)

มีเรื่องเล่าว่ามีหญิงชราชาวจีนคนหนึ่ง นับถือศาสนาพุทธ นิกาย

สุขาวดี ซึ่งเน้นที่การสวดหรือสาธยายพระนามของพระอมิตาภะ ซึ่งเป็น พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง สวดแต่ละทีนานนับชั่วโมง วันหนึ่งขณะที่สวดมนต์ อยู่ก็มีเพื่อนบ้านมาเรียกที่หน้าบ้าน “คุณลี คุณลี” แต่ไม่มีเสียงตอบจาก เธอ เพราะกำลังง่วนอยู่กับการสวด เพื่อนบ้านก็ส่งเสียงเรียกดังขึ้น ที่จริง เธอได้ยินแล้ว แต่ไม่สนใจ พอเพื่อนบ้านส่งเสียงดังขึ้น เธอเริ่มหงุดหงิด แต่ก็ยังสวดต่อไป เพื่อนบ้านไม่เห็นหญิงชราออกมาสักที ก็เลยตะโกน เรียกชื่อดังขึ้นอีก สุดท้ายหญิงชราคนนี้เกิดหัวเสียขึ้นมา รู้สึกโกรธที่เขา

ส่งเสียงรบกวนการสวดมนต์ จึงหยุดสวดมนต์ แล้วชะโงกไปที่หน้าต่าง ตะโกนดังลั่นว่า “คุณต้องการอะไร ไม่รู้หรือว่าฉันกำลังสวดมนต์ เอ่ย พระนามพระอมิตาภะ” เพื่อนบ้านตกใจที่เธอระบายอารมณ์ใส่ สักพัก

ก็ตั้งสติได้ และพูดกับหญิงชราว่า “คุณลีผมเรียกชื่อคุณไม่กี่ครั้ง คุณยัง โกรธขนาดนี้ แล้วที่คุณเอ่ยนามพระพุทธเจ้านับล้านครั้งตลอดสิบปีที่ผ่านมา ไม่คิดหรือว่าพระพุทธเจ้าจะต้องโกรธคุณแน่ๆ เลย” เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า การสวดมนต์นั้น ถ้าหากจิตใจไม่สงบ ก็ไม่ได้ประโยชน์ ถ้าทำไปโดยคิดว่าสวดนานๆ ยิ่งดี จะได้ไปสวรรค์ หรือ ปิดอบาย แต่ไม่ได้ฝึกใจให้สงบเลย ก็แทบจะไม่ได้บุญ อย่างมากก็ได้แค่ ความเพียร แต่ไม่ได้ช่วยให้ใจสงบ ซึ่งเป็นจุดหมายที่แท้ของการสวดมนต์ สวดมนต์ได้บุญก็อยู่ที่ตรงนี้คือใจสงบ ที่ จ ริ ง แล้ ว การฝึ ก ตนหรื อ การปฏิ บั ติ ธ รรมในพระพุ ท ธศาสนามี

จุดมุ่งหมาย ๒ ประการใหญ่ๆ คือ หนึ่ง ลดอกุศลธรรมในจิตใจ สอง เพิ่ม กุศลธรรมในจิตใจ การลดอกุศลธรรมมีอยู่ ๒ อย่าง คือ อกุศลธรรมใดที่มี


อยู่แล้วก็ทำให้เหลือน้อยลง อกุศลธรรมใดที่ยังไม่เกิดก็ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ส่วนกุศลธรรมก็มีอยู่ ๒ อย่างเช่นกัน คือ กุศลธรรมใดที่เกิดขึ้นแล้ว

ก็ทำให้มีมากขึ้น กุศลธรรมใดที่ยังไม่เกิดก็ทำให้มีขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเรา ฝึกแล้วอกุศลธรรมไม่ลดลง หรือกุศลธรรมไม่เพิ่มขึ้น ก็เรียกว่าทำไปอย่าง เปล่าประโยชน์หรือได้ผลน้อย เวลาเราทำความดี ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน การรักษาศีล การภาวนา เราต้องถามตัวเราเองว่าเป็นการฝึกตนมากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการฝึก ที่กาย ที่วาจา หรือที่ใจก็ตาม ไม่ใช่ทำแต่รูปแบบ ถ้าทำแต่รูปแบบก็เรียก ได้ว่าเป็นสีลัพพตปรามาส เป็นความหลงงมงาย เป็นอุปสรรคในการเข้าถึง ธรรมขั้นสูง บางทีนอกจากกุศลธรรมจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้อกุศลธรรม เพิ่มขึ้นด้วย ไม่ใช่ลดลง เช่น ทำบุญด้วยกิเลส ให้ทาน ๑๐ บาท แต่

อยากได้ ๑๐๐ บาท ให้ทาน ๑๐๐ บาท อยากได้ ๑,๐๐๐ บาท จะทำ อะไรก็นึกถึงประโยชน์ที่จะได้เข้าตัว เช่น ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ อย่างนี้ เรี ย กว่ า ทำด้ ว ยกิ เ ลส ถ้ า ทำบุ ญ ด้ ว ยเจตนาแบบนี้ ด้ ว ยทั ศ นคติ แ บบนี้

ก็ไม่ได้เป็นการฝึกตนแต่อย่างใด แต่กลับเป็นการเพิ่มพูนกิเลสมากกว่า การปฏิบัติธรรมนั้น เราต้องจับหลักให้ได้ว่าเราทำเพื่ออะไร ถ้าจะทำ อย่างถูกต้องก็คือทำเพื่อลดละกิเลสในใจ ลดละความเห็นแก่ตัว และ เพิ่มพูนสติ สมาธิ ปัญญาให้มากขึ้น ถ้าทำด้วยความมุ่งหมายอย่างอื่น นอกจากผลดีจะเกิดขึ้นน้อยแล้ว บางทีก็อาจจะเกิดโทษก็ได้ เช่น พอคิดว่า ทำบุญ ๙ วัดแล้วจะปิดอบายได้ ก็เลยประมาท ไม่มีความยับยั้งชั่งใจใน การทำความชั่ว เพราะคิดว่าตายไปแล้วไม่ตกนรกแน่ ฉะนั้นฉันจะทำอะไร ก็ได้ จะไปโกงใคร เอาเปรียบใครก็ได้ นี้เป็นความงมงายที่ทำให้ชีวิตถลำ

ไปสู่ทางต่ำได้มากขึ้น กลายเป็นว่าแทนที่จะได้บุญกลับได้บาป

พุ ท ธิ ก า

ฉบับที่ ๕๔ ปีที่ ๑๕ เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๗

ทำไมต้องเจรจากับโจร

๑ ๔

ความเป็นมนุษย์ที่แท้ บนวิถีแห่งความรักของแม่

๑๐

เยียวยาด้วยรัก

๒๑

บุญของยายแฟง

๒๕

๑๐ อันดับ ประเทศเลี้ยงน้องหมามากที่สุดในโลก

๒๘ ๓๓

๓๖ ๔๒


พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ย้อนหลังไปเมื่อ ๒๕ ปีที่แล้ว ประเทศแอฟริกาใต้

ตกอยู่ในภาวะวิกฤต บ้านเมืองแตกแยกอย่างหนัก มีการ ปะทะกันด้วยกำลังอาวุธปีละหลายร้อยครั้ง เป็นผลจาก นโยบายเหยี ย ดผิ ว ของรั ฐ บาลที่ สื บ เนื่ อ งมาหลายสิ บ ปี

คนดำและคนเอเชียถูกลิดรอนสิทธิเยี่ยงพลเมืองชั้นสอง ไม่ ส ามารถใช้ ส ถานที่ ส าธารณะร่ ว มกั บ คนขาวได้ เช่ น โรงเรียน โรงพยาบาล และชายหาด อีกทั้งยังถูกกีดกัน

ไม่ให้พักอาศัยในเมืองเดียวกับคนขาว คนขาวซึ่งมีไม่ถึง

๑ ใน ๕ ของประชากรกลายเป็นเจ้าของประเทศทั้งโดย พฤติ นั ย และนิ ติ นั ย เนื่ อ งจากคนผิ ว สี ทั้ ง หลายไม่ มี สิ ท ธิ 4

เลือกตั้ง การเหยียดผิวอย่างเป็นระบบดังกล่าวปลุกเร้าให้คนผิวดำ

ลุกขึ้นประท้วง และเมื่อถูกปราบปรามอย่างหนัก จึงหลบใต้ดินและ

จับอาวุธขึ้นสู้อย่างไม่ยอมลดราวาศอก ส่วนรัฐบาลคนขาวก็ยิ่งใช้ความ รุ น แรงหนั ก ขึ้ น กดขี่ ป ราบปรามประชาชนอย่ า งโหดเหี้ ย ม ซ้ ำ ยั ง สนับสนุนชนเผ่าซูลูให้บดขยี้กองกำลังของคนดำอีกทางหนึ่งด้วย การ ปะทะกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าส่งผลให้คนบริสุทธิ์ล้มตายเป็นอันมาก ปี ๒๕๓๑ แอฟริกาใต้ใกล้เกิดสงครามกลางเมือง ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจก็ย่ำแย่ เนื่องจากถูกประชาคมโลกคว่ำบาตร แทบไม่มีประเทศใด คบค้าสมาคมด้วย แม้กระทั่งในด้านกีฬาและวัฒนธรรม ตอนนั้นเนลสัน แมนเดลา ผู้นำคนดำ ถูกจำคุกมาแล้ว ๒๕ ปี เขาเห็นว่าการเจรจา เท่านั้นที่สามารถพาแอฟริกาใต้หลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองได้ จึง พยายามหาช่องทางเจรจากับรัฐบาล หลังจากใช้เวลา ๒ ปี เจรจากับ

เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงถึง ๑๒ ครั้ง ก็สามารถเข้าไปสนทนาตัวต่อตัวกับ ประธานาธิบดีโบทาและเดอเคลิร์กได้ทั้งๆ ที่ยังเป็นนักโทษอยู่

5


ผู้นำหลายคนในพรรค ANC (African National Congress)

ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวของแมนเดลา เพราะเขาเจรจากับ

ฝ่ า ยรั ฐ โดยลำพั ง ไม่ ส ามารถปรึ ก ษาพู ด คุ ย กั บ ผู้ น ำคนอื่ น ๆ ได้ เ ลย (เนื่องจากเป็นนักโทษอุกฤษฏ์ ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเกือบสิ้นเชิง) จึงย่อมอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ หลายคนกลัวว่านี้เป็นแผนของรัฐบาล

ที่ต้องการตอกลิ่มระหว่างแมนเดลากับ ANC บางคนถึงกับระแวงว่า

แมนเดลากำลังขายตัว ใช่แต่เท่านั้นเสียงค้านยังมาจากฝ่ายหัวรุนแรง

ในพรรคที่เห็นว่า มีแต่การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธเท่านั้นที่จะนำชัยชนะมาสู่ คนดำอย่า งแท้จ ริง คนเหล่านี้ มองว่ าความรุนแรงที่กำลั งเกิ ดขึ้นนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ควรหวั่นวิตก เพราะมันคือการปฏิวัติที่กำลังเคลื่อนตัว อย่างไรก็ตาม แมนเดลากลับมองว่า “ประเทศใดก็ตาม แม้ใน ยามสงคราม ก็ยังมีเวลาสำหรับการเจรจา” แมนเดลาจึงเดินหน้าต่อไป และสามารถเปลี่ยนความคิดของผู้นำส่วนใหญ่ของ ANC ได้ การริเริ่ม ของแมนเดลานอกจากจะเปิดลู่ทางให้มีการเจรจาระหว่างผู้แทนรัฐบาล กับผู้นำ ANC คนอื่นๆ (ที่อยู่นอกคุก) แล้ว ยังนำไปสู่ข้อตกลงหลาย ประการที่ผ่อนคลายความรุนแรง อาทิ การปลดปล่อยนักโทษการเมือง ทั้ ง หมด รวมทั้ ง การคื น อิ ส รภาพให้ แ ก่ เ มนเดลา ซึ่ ง เป็ น ผู้ น ำสำคั ญ

คนสุดท้ายที่ได้ออกจากคุก การเลือกตั้งทั่วประเทศในปี ๒๕๓๗ ได้ ทำให้ อ ำนาจจากคนขาวถู ก ส่ ง ผ่ า นมายั ง คนดำได้ อ ย่ า งสั น ติ โดย

ปราศจากการนองเลือด นับแต่นั้นแอฟริกาใต้ก็เริ่มมีเสถียรภาพทาง

การเมืองและมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จนได้รับความ

ไว้วางใจให้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกเมื่อ ๔ ปีที่แล้ว 6

ทั้งๆ ที่ต้องเจรจาแต่ลำพังในคุกท่ามกลางเสียงคัดค้านของมิตรสหาย และพลพรรค แต่การที่แมนเดลาสามารถผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลง อย่างขนานใหญ่ในแอฟริกาใต้ได้โดยสันติวิธี แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ อันยาวไกลของเขา รวมทั้งความมั่นคงในหลักการ ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ เฉพาะตน และความกล้าที่จะทำตามความเชื่อของตนแม้คนอื่นจะเห็นต่าง ทั้งหมดนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความเป็นรัฐบุรุษของแมนเดลา หาก ยั ง บ่ ง ชี้ ถึ ง ความความหนั ก แน่ น และถี่ ถ้ ว นรอบคอบในทางจริ ย ธรรม

ของเขา แม้จะไม่สยบยอมต่อรัฐบาลที่ชั่วร้ายโหดเหี้ยม แต่เขาพร้อม

จะเจรจาด้วยหากสามารถป้องกันสงครามกลางเมืองหรือหลีกเลี่ยงการ นองเลือดได้ น่าคิดว่า หากเขายึดติดกับความถูกต้องอย่างหัวชนฝา

ถึงขั้นชูธงว่า “ไม่เจรจากับโจร” หรือ “ต้องแตกหักกับคนชั่ว” ผู้คน

จะต้ อ งล้ ม ตายกั น อี ก มากมาย และแอฟริ ก าใต้ ค งลุ ก เป็ น ไฟอย่ า งที่

นักสังเกตการณ์ทั่วโลกเคยคาดการณ์เอาไว้

7


หรือที่จะ “แตกหักกับคนชั่ว” ถ้าทำเช่นนั้นก็ต้องไม่ยอมยื่นเงินให้เขา ตามคำขู่ แต่ต้องขัดขืนต่อสู้ ผลที่เกิดขึ้นคืออะไรก็คงเดาได้ไม่ยาก

ผู้มีสติปัญญาย่อมไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน ถ้าไม่ยอมทำตามคำขู่ ของโจร สิ่งที่ควรทำก็คือพยายามเจรจากับโจรเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา หรืออาจเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ การประกาศว่า “ไม่เจรจากับโจร” “ต้องแตกหักกับคนชั่ว” แม้ เป็นหลักการที่ดูดี บ่งชี้ถึงความยึดมั่นในความถูกต้อง ไม่ปรารถนา

ข้องแวะกับคนชั่วร้าย แต่หากยึดมั่นมากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียได้ ลองนึกถึงเหตุการณ์โจรจับผู้บริสุทธิ์เป็นตัวประกัน ขณะที่ถูกล้อมด้วย ตำรวจซึ่งมีอาวุธครบมือ โจรต้องการเจรจากับตำรวจ แต่หากตำรวจ ประกาศว่าไม่เจรจากับโจร ต้องแตกหักกับคนชั่ว อะไรจะเกิดขึ้นกับ

ตั ว ประกั น แม้ ตั ว ประกั น จะตายด้ ว ยน้ ำ มื อ ของโจร ตำรวจก็ ไ ม่ อ าจ ปฏิเสธความรับผิดชอบได้เลย การยึดมั่นในความถูกต้องนั้นจะมีประโยชน์อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อ ไม่ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนด้วย โดยเฉพาะถึงขั้นสูญเสียชีวิตและอวัยวะ หากยึดมั่นในความถูกต้องแล้ว คนอื่นที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมีอันเป็นไป มันจะเป็นความถูกต้องได้อย่างไร จะว่ า ไปแล้ ว การยึ ด มั่ น ในความถู ก ต้ อ งดั ง กล่ า ว แม้ ไ ม่ มี ใ คร

เดือดร้อนเลย มีแต่ตนเองเท่านั้นที่เดือดร้อน ในบางกรณีก็ใช่ว่าจะ สมควรทำ เช่น ถูกโจรเอาปืนจ่อหัวในซอยเปลี่ยวเพื่อปล้นทรัพย์ ควร 8

คนที่กล้าประกาศอย่างหนักแน่นว่า ไม่เจรจากับโจร ต้องแตกหัก กั บ คนชั่ ว นั้ น มั ก เป็ น เพราะคิ ด ว่ า ตนอยู่ ใ นสถานะที่ ไ ด้ เ ปรี ย บ และ สามารถมีชัยเหนือโจรและคนชั่วได้โดยไม่ต้องเจรจา ในทัศนะของเขา การเจรจาจะทำให้เขาได้รับชัยชนะไม่เด็ดขาด บรรลุเป้าหมายไม่เต็ม ร้อย หรือทำให้ชัยชนะที่สมบูรณ์ถูกชะลอออกไป อย่างไรก็ตามน่าคิด

ต่อไปว่า หากยืนกรานต่อสู้ต่อไป โดยไม่ยอมเจรจา แต่ส่งผลให้มี

ผู้บาดเจ็บล้มตายมากขึ้น (จะเป็นฝ่ายไหนก็ไม่สำคัญ เพราะทุกคน

ล้วนเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าทั้งสิ้น ยิ่งเป็นผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่สมควรตาย) การกระทำเช่นนั้นจะเรียกว่าเป็นความ

ถูกต้องได้หรือไม่ ถ้ายึดมั่นในความถูกต้องอย่างแท้จริง ก็ควรคิดถึง

ผลกระทบอันเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่นจากการกระทำของตนด้วย

ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ควรคิดถึงแต่ชัยชนะของตนเท่านั้น ถ้าคิดถึงแต่ชัยชนะของตนหรือผลได้ที่จะเกิดขึ้นกับตน ก็ชวนให้ คิดต่อไปว่า แท้จริงแล้ว ที่ทำไปทั้งหมดนั้นเป็นเพราะยึดมั่นในความ

ถูกต้องหรือยึดมั่นในชัยชนะของตนกันแน่ พูดอีกอย่าง เขาทำเพื่อธรรม หรือเพื่ออัตตาตัวตนกันแน่ นี้เป็นคำถามที่ทุกฝ่ายในความขัดแย้งควร ไตร่ตรองมองให้ลึกหากมีจิตใจใฝ่ความถูกต้องอย่างแท้จริง 9


สั ม ภ า ษ ณ์ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ภ า วิ นี อิ น เ ท พ เ รี ย บ เ รี ย ง

คนเราไม่ได้อยู่ด้วยข้าวปลาอาหารเท่านั้น เราจะต้อง อาศั ย สิ่ ง อื่ น ด้ ว ย และหนึ่ ง ในบรรดาสิ่ ง ที่ จ ำเป็ น ต่ อ ชี วิ ต

ต่อความเป็นมนุษย์ของเราก็คือ ความรัก ความรักนั้นทำให้ความเป็นมนุษย์เกิดขึ้น และเจริญ งอกงาม หากปราศจากความรักแล้ว กล่าวได้ว่า ความเป็น มนุษย์ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยซ้ำ อานุภาพของความรักจะเห็นได้ชัดก็ต่อเมื่อ เรานึกถึง ความรักของแม่ ปราศจากความรักของแม่ แม้เราจะสามารถ เกิดขึ้นมาได้ในโลกนี้ แต่ก็ไม่สามารถจะอยู่รอดได้ หลาย ชีวิตหลายคนปฏิสนธิขึ้นมา อาจจะไม่ใช่เพราะความรักของ พ่อแม่ แต่เมื่อปฏิสนธิและเมื่อได้ลืมตามาดูโลกแล้ว ความรัก ของแม่เป็นพลังสำคัญที่ทำให้อยู่รอดได้ 10

เมื่อเราได้ลืมตาดูโลก เราไม่สามารถจะรับอาหารอื่นใดได้เลย นอกจากน้ำนมของแม่ ถ้าปราศจากน้ำนมของแม่แล้ว แม้เพียงแค่จะ

มีชีวิตให้อยู่รอดก็เป็นไปได้ยาก ความรัก ไม่ได้เพียงช่วยทำให้เรามีชีวิต อยู่รอดและเติบโตเท่านั้น นอกจากกายจะเติบใหญ่แล้ว ใจของเรา งอกงามได้ ก็เพราะความรักของแม่ทำให้จิตใจของเราได้รับการเติมเต็ม ใจที่ปราศจากความรัก ใจที่ไม่ได้รับความรักซึ่งมีจุดตั้งต้นจากแม่ ย่อม เป็นใจที่พร่อง ที่ขาด และต้องการได้รับการเติมเต็ม ความรักของแม่ยังปลุกพลังบวกในใจเรา คนเราทุกคนล้วนแล้ว แต่ มี พ ลั ง บวกอยู่ ใ นใจ เช่ น คุ ณ ธรรม ความใฝ่ ดี อาตมาเชื่ อ ว่ า คุณสมบัติดังกล่าว เกิดขึ้นมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์ แต่ว่าคุณสมบัติ ดังกล่าวไม่สามารถที่จะมีพลังได้ หากปราศจากการปลุกกระตุ้นด้วย ความรัก และความรักของคนที่สามารถจะกระตุ้นพลังบวกในใจเราให้มี อานุภาพอย่างยิ่ง ก็คือ ความรักของแม่ เมื่อใดก็ตามที่เราขาดความรัก ใจเราย่อมรู้สึกขาดพร่อง โหยหา และเป็นทุกข์ มีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รับความรักจากแม่ หลายคน กำพร้าพ่อ หลายคนกำพร้าแม่ และหากไม่ได้รับความรักจากคนที่เป็น ตัวแทนของแม่แล้ว ก็เชื่อได้เลยว่า เขาจะรู้สึกโหยหา อาจจะเป็นความ โหยหาที่สืบเนื่องมาทั้งชีวิตหรือตลอดชีวิต จะคอยเรียกร้องความรัก อย่างไม่มีวันหยุดหย่อน คนเหล่านั้น ถ้าหากว่าเราสืบสาวไปจะพบว่า จุดเริ่มต้นคือ การไม่ได้รับความรักของแม่ มันทำให้เกิดบาดแผล ทำให้ จิตใจต้องการการเยียวยา และหากไม่มีบุคคลใดที่จะมาเป็นผู้แทนหรือ ตัวแทนของแม่แล้ว ก็จะนำไปสู่ความโหยหาอย่างไม่สิ้นสุด แม้กระทั่ง

ในวัยชรา 11


เมื่อขาดความรักที่มีจุดเริ่มต้นจากแม่ คนเราย่อมเป็นทุกข์ เป็น ทุกข์เพราะความโหยหา เป็นทุกข์เพราะความรู้สึกพร่องหรือเป็นทุกข์ เพราะรู้สึกตนเองไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะได้รับความรักจากแม่ ก็จะ

โบยตีซ้ำเติมตัวเอง หลายคนมีบาดแผลเมื่อพบว่าแม่ได้ทิ้งเขาไป อาจ ทิ้งเพราะเหตุจำเป็น หรือทิ้งเพราะว่าความตายได้พรากไป แต่สำหรับ เด็กที่ปราศจากความรักของแม่แล้ว จะรู้สึกเสมอว่า เป็นเพราะเขาไม่มี คุณค่าเพียงพอที่แม่จะอยู่เพื่อรักเขา คนที่รู้สึกเช่นนี้ย่อมมีความทุกข์ อย่างยิ่ง และต้องใช้เวลานานกว่าที่จะก้าวข้ามบาดแผล หรือสามารถ

ที่จะกลับมามองเห็นคุณค่าตัวเอง เมื่อปราศจากความรัก เราย่อมขาดพลังในการทำความดี ความ ใฝ่ต่ำย่อมครอบงำง่าย คนเราเมื่อเกิดมา แม้มีพลังแห่งความดีติดตัวมา แต่กำเนิด แต่พลังลบหรือพลังแห่งความใฝ่ต่ำก็มาด้วยเหมือนกัน ใครก็ตามที่ได้รับความรักแม่เป็นจุดเริ่มต้น พลังบวกหรือพลัง แห่งความดีก็จะได้รับการกระตุ้นเร้าโดยสามารถที่จะครอบงำหรือมีชัย ต่อพลังที่ใฝ่ต่ำได้ แต่หากปราศจากความรักของแม่เสียแล้ว ก็เป็นการ ยากที่พลังความดีจะได้รับการกระตุ้นเร้า มีพลังที่จะสามารถจะต้านทาน พลังแห่งความใฝ่ต่ำได้ นั่นก็หมายความว่า ในที่สุดพลังแห่งความใฝ่ต่ำก็สามารถจะ ครอบงำจิตใจได้ ทำให้มีพฤติกรรมที่เบ่งเบน หรือเป็นคนที่มองผู้คน มองโลกทั้งโลกด้วยความรู้สึกเป็นลบ และพร้อมที่จะทำร้าย

12

คนที่ เ ป็ น ฆาตกรหรื อ ผู้ ที่ ท ำร้ า ยเด็ ก ตั ว เล็ ก ๆ

ล่ ว งละเมิ ด เยาวชนที่ อ่ อ นแอกว่ า คนเหล่ า นั้ น หาก

สาวประวัติไปก็จะพบว่าเป็นเพราะเขาขาดความรักจากแม่ จากตัวอย่างคนซึ่งเป็นข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ไปล่วงละเมิด

เด็ ก หญิ ง และฆ่ า เด็ ก ตั ว เล็ ก ๆ ซึ่ ง ไม่ รู้ ว่ า กี่ ค นแล้ ว จุ ด

เริ่มต้นอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้รับความรักจากแม่ตั้งแต่ เล็ก เพราะเป็นเด็กกำพร้า ความรักของแม่ทำให้ความดีในใจของเรางอกงาม และทำให้ความเป็นมนุษย์ของเราเบ่งบาน ประดุจดอกบัว ที่เบ่งบานยามต้องแสงอรุณ เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเมื่อแม่

ได้มอบความรักกับเรา ใจเราย่อมสัมผัสได้ถึงความเมตตา เราย่ อ มรู้ ช าติ แ ห่ ง เมตตาว่ า ซาบซึ้ ง เพี ย งไร และความ ซาบซึ้งนี่แหละที่สามารถปลุกเร้าบันดาลความเมตตาในใจ ของเราให้งอกงามขึ้นด้วยเช่นกัน 13


นั่นเป็นเพราะแม่เป็นแบบอย่างของความดี ความเสียสละและ ความสุข เราจึงเห็นคุณค่าของการเสียสละ และรู้จักที่จะทำความดี ปราศจากซึ่งแบบอย่างแห่งความดีแล้ว ยากที่ปุถุชนคนเราจะเห็นความดี มากพอที่จะมอบสิ่งนั้นให้กับผู้อื่น หรือเสียสละเพื่อคนที่ไกลจากแวดวง ของเรา แม่เป็นผู้ที่สอนให้เรารู้จักผิดชอบชั่วดี เพราะแม่อยากให้เราให้เรา เป็นคนดี คำสอนของแม่ทำให้เราเกิดความรู้ผิดรู้ชอบ และความรู้ผิด

รู้ชอบนั้นแหละนำไปสู่สัมมาทิฐิ เป็นพลังขับเคลื่อนให้เกิดการทำความดี ดังที่กล่าวไว้แล้วว่า ความรักของแม่ทำให้ใจของเราได้รับการ

เติมเต็ม และเมื่อใจได้รับการเติมเต็มก็มีความสุข และความสุขนั้น

ก็คือสิ่งที่ชะโลมใจและหล่อเลี้ยงความดีให้เจริญงอกงาม ทั้งหมดนี้

เกิดขึ้นได้เพราะแม่ได้อยู่กับเรา ใกล้ชิดเรา แต่ถึงแม้ แม่จะจากไป

แต่ว่าแบบอย่างการที่ท่านได้สอนได้เป็นแบบอย่างก็สามารถเตือนใจให้ เราอยากทำความดี และมีกำลังที่จะเอาชนะความชั่วได้ ...ความรักของแม่ช่วยทำให้เรารู้จักโลก ทำให้เราเกิดพัฒนาการ ทางสติปัญญา ไม่ต้องอธิบายมากกว่า ก็เห็นชัดว่า แม่เป็นครูคนแรก ของเรา คนเราจะเติ บ โตได้ ต้ อ งมี ค วามงอกงามทั้ ง อารมณ์ แ ละสติ ปัญญา ความงอกงามทางอารมณ์นั้น ทำให้เราใฝ่ดีและมีความสุข

ขณะเดียวกันความงอกงามทางสติปัญญาทำให้เราเข้าถึงความจริงของ ชีวิตและโลก ซึ่งทำให้เราสามารถเกี่ยวข้องและอยู่กับโลกได้อย่างมี คุณค่า และมีความหมาย ผาสุก 14

ความรั ก ไม่ เ พี ย งแต่ ป ระเทื อ งอารมณ์ เ ท่ า นั้ น แต่ ส ามารถ

หล่อเลี้ยงสติปัญญาของเราให้เจริญงอกงามได้ ความรักของแม่ทำให้ลูก เกิ ด การเรี ย นรู้ แ ละพั ฒ นาตน ที่ จ ริ ง ไม่ เ พี ย งเฉพาะความรั ก ของแม่ เท่านั้น ความรักของครูก็ทำให้เราเกิดความใฝ่รู้ มีฉันทะในการเรียนรู้ และกล้ า สู้ สิ่ ง ยาก ความลำบาก ความรั ก ของแม่ แ ละครู ย่ อ มเป็ น

แรงบันดาลใจให้ลูกและศิษย์ กล้าที่จะสู้สิ่งยาก ไม่กลัวความยากลำบาก และถูกกระตุ้นเร้าให้เกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง

ความรักของแม่นั้นในฐานะของความเป็นครู ไม่เพียงแต่ให้คำ แนะนำสั่งสอน แต่ยังให้แรงบันดาลใจ มีคำกล่าวว่า ‘ครูธรรมดานั้น

แค่สอน ครูที่ดีสาธิต ส่วนครูที่ดีที่สุดให้แรงบันดาลใจ’ อาตมาเชื่อว่าหลายคนได้พบแรงบันดาลใจในการที่จะเรียนรู้จาก แม่ และจากครู แรงบันดาลใจจะเกิดขึ้นก็เพราะความรัก ทั้งต่อวิชาที่

ครูสอนและต่อตัวเด็กเองที่เป็นผู้เรียน หลายคนกลายเป็นครูที่มีความรัก ต่อศิษย์ มีความรักต่อวิชาที่ตัวเองสอนและทำให้เกิดแรงบันดาลใจใฝ่รู้ เพราะฉะนั้น ความรักและความรู้เป็นสิ่งที่คู่กันด้วย ความรักไม่เพียง เป็นแรงขับเคลื่อนให้ทำความดีเท่านั้น แต่ความรักนำมาซึ่งความใฝ่รู้ และการมีสติปัญญา 15


ความรักความเมตตาและน้ำใจของผู้คนสามารถปลุกพลังแห่ง ความดี และทำให้เรามีสติงอกงาม ไม่เฉพาะแต่วิชาความรู้ในโรงเรียน ในหนังสือเท่านั้น แต่รวมถึงความรู้เกี่ยวกับชีวิตและโลก เด็กที่หิวโหย หากได้รับน้ำใจได้รับอาหารจากคนแปลกหน้า เขาย่อมซาบซึ้งในคุณค่า ของเมตตาและย่อมมีน้ำใจต่อคนที่หิวโหยเช่นกัน ตรงกันข้ามกับคนที่

ไม่เคยได้รับความรักความเมตตาหรือใคร ก็ยากที่เขาจะมีความรักความ เมตตาต่อคนอื่น อันนี้คือพลังในการทำความดี และในเวลาเดียวกันก็ทำให้เขา เข้าใจเรื่องชีวิต ในเรื่องของมนุษย์ด้วยว่า มนุษย์ทุกคนย่อมมีความสุข เมื่อได้รับเมตตา นี่เป็นความรู้ขั้นพื้นฐานที่จำเป็นมากสำหรับการมีชีวิต อย่างมีความผาสุกและเกื้อกูลในโลก เพราะหากเราไม่ประสบสัมผัส ความสุขอันเนื่องจากความรักด้วยตัวเราเอง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความ เมตตาของเรานั้นสามารถจะก่อความสุขและความประทับใจแก่ผู้อื่นได้ ความดีของผู้คนนั้นสามารถจะทำให้เราได้เกิดการเรียนรู้หลาย อย่าง ไม่ใช่แค่เพียงความประทับใจเท่านั้น อาตมานึกถึงคนๆ หนึ่งที่

เป็นข่าวเมื่อสอง-สามเดือนก่อน แกเป็นนักปั่นจักรยานที่มีชื่อมากของ อิตาลีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ชื่อจีโน บาร์ทาลี เป็นนักปั่นจักรยาน

ที่ประสบความสำเร็จมาก ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวจำนวน

ไม่น้อยในอิตาลีในยุโรปถูกส่งไปยังค่ายนรก ๖ ล้านคนตายไปในค่าย นรก แต่ก็มีชาวยิวหลายคนที่ได้รับการช่วยเหลือให้ปลอดภัย บาร์ทาลี

ก็เป็นคนหนึ่งที่ชวยให้ชาวยิวในอิตาลีมีที่พักพิงและสามารถเดินทางออก นอกประเทศได้ เขาช่วยทำพาสปอร์ตปลอมเอกสารปลอมให้ชาวยิวที่ 16

กำลังหลบซ่อนให้สามารถเดินทางไปยังประเทศที่ปลอดภัยหลายคน

แต่เขาไม่เคยแพร่งพรายถึงวีรกรรมของเขาเลย แต่มีบางคนที่รู้ว่าเขา เคยทำอะไรไว้ บอกว่า เขาคือวีรชน แต่เขาปฏิเสธ เขาบอกว่า คนที่เป็น วีรชนที่แท้จริงคือ คนที่เจ็บปวดในจิตวิญญาณในหัวใจในดวงจิตเพื่อ

คนที่ ต นรั ก คนเหล่ า นี้ คื อ วี ร ชนอย่ า งแท้ จ ริ ง ‘ผมเป็ น เพี ย งแค่ นั ก

ปั่นจักรยาน’ วีรกรรมของบาร์ทาลี และการที่เขาไม่รู้สึกเลยว่าเขาทำอะไรที่

ยิ่งใหญ่นี้ อาตมาเชื่อว่ามันย่อมประทับใจในผู้คนมาก ไม่ใช่ประทับใจใน ความกล้าความเสียสละของเขา แต่ประทับใจในความอ่อนน้อมถ่อมตน ของเขาด้วย เรื่องราวของคนเหล่านี้สอนให้เรารู้ว่า มนุษย์ที่แท้เป็นผู้ที่มีน้ำใจ ‘หัวใจเขาใหญ่’ แต่ ‘อัตตาเขาเล็ก’ เขามีความสุขที่ได้ทำความดีแต่

ไม่คิดที่จะโอ้อวด เพราะคนเราทั่วไป เวลาทำความดีมีแต่จะโอ้อวดว่า เราทำความดีอะไรบ้าง การมี หั ว ใจใหญ่ อั ต ตาเล็ ก เป็ น สิ่ ง ที่ มี คุ ณ ค่ า มาก ทำให้ เ รามี

ความสุ ข และอยู่ ใ นโลกนี้ ไ ด้ โดยไม่ จ ำเป็ น ต้ อ งประกาศตนถึ ง ความ

ยิ่งใหญ่ของเรา นั่นคือ การที่เราได้รับความรักแล้วช่วยให้ความเป็นมนุษย์ของเรา เจริญงอกงามอย่างไรบ้าง แต่ในอีกด้านหนึ่งไม่เพียงแต่การได้รับความรัก เท่านั้น การให้ความรัก ความมีน้ำใจ การเสียสละ ก็ช่วยพัฒนาความ เป็นมนุษย์ของเราให้สมบูรณ์ได้ด้วย 17


คนที่ อั ต ตาเล็ ก หั ว ใจใหญ่ ย่ อ มเสี ย สละชนิ ด ที่ เ อาชี วิ ต เข้ า แลก

ก็ว่าได้ แต่อีกด้านหนึ่งการเสียสละเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นก็ช่วยทำให้อัตตา ของเราเล็กลง หัวใจใหญ่ขึ้น และจิตใจงอกงาม การเสียสละ การที่ทำ การช่ ว ยเหลื อ ผู้ อื่ น นั้ น ไม่ ไ ด้ เ ป็ น ประโชน์ ต่ อ คนอื่ น เท่ า นั้ น แต่ เ ป็ น ประโยชน์แก่ตัวเราด้วย มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุ ๑๔ ชื่อน้องด้าย เป็นอาสาสมัครช่วย เด็กที่บ้านปากเกร็ด ซึ่งบ้านที่มีเด็กถูกทิ้งตั้งแต่สามเดือนถึงเก้าขวบ หรือบางทีพ่อแม่ไม่ได้ทิ้งแต่ไม่มีกำลังเลี้ยงก็มามอบให้บ้านปากเกร็ด พอต้องการจิตอาสา น้องด้ายก็ไปเป็นอาสาสมัคร หลังจากน้องด้าย

ไปเป็นอาสาสมัครพักใหญ่ แม่น้องด้ายก็พบกับความเปลี่ยนแปลงคือ เธอนิ่ง สุขุม และรับฟังคนอื่นมากขึ้น รวมทั้งแม่ด้วย ความเปลี่ยนแปลง เกิดจากการที่เธอได้ไปดูแลเด็ก เช่นเดียวกับชายวัย ๓๐ ชื่อโป่ง ก็ไปเป็นจิตอาสาบ้านปากเกร็ด เช่ น เดี ย วกั น เขาก็ ค้ น พบเช่ น เดี ย วกั น ว่ า หลั ง จากไปดู แ ลเด็ ก แล้ ว

แทบไม่ กี่ เ ดื อ น พบว่ า ตั ว เองใจเย็ น ขึ้ น และยั ง ส่ ง ผลถึ ง คนอื่ น ด้ ว ย

พบว่าการพูดจารื่นหูกับลูกน้องไม่ใช่เรื่องต้องฝืนอีกต่อไป เขาอธิบาย

ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองว่า เมื่อเราดูแลใส่ใจเด็ก เราจะอ่อนโยน ไปเองโดยอัตโนมัติ ในขณะที่เราพยายามให้เขามีพัฒนาการที่ดี เขาก็ ช่วยขัดเกลาให้เราอ่อนโยนในเวลาเดียวกันด้วย ความรักที่มอบให้กับ

ผู้อื่นสามารถที่จะกลับมาขัดเกลาและพัฒนาจิตใจของเราได้... 18

...ความรั ก ที่ เ รามี ต่ อ ผู้ อื่ น ยั ง สามารถจะทำให้ เ รา เอาชนะความโกรธเกลียดได้ แม้กระทั่งเมื่อต้องสูญเสียคน ที่รัก....ความเมตตาความมีน้ำใจสามารถที่จะยกจิตยกใจ ของเราให้ออกจากความทุกข์ และความเจ็บปวด สามารถ

ที่จะขัดเกลาจิตใจเราให้เจริญงอกงามได้... ความเมตตาทำให้ ค วามเป็ น มนุ ษ ย์ ข องเราเจริ ญ งอกงามขึ้นมาได้ จะเห็นว่าความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ต้อง

มีเมตตาหรือความรักเป็นพลังขับเคลื่อน เพราะความรัก ความเมตตาทำให้มนุษย์เรายอมที่จะลำบากยอมที่จะเพียร พยายาม แม้จะต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก แต่เมื่อ ระลึกถึงประโยชน์ของสรรพสัตว์ก็สามารถก้าวข้ามความ ลำบากนั้นได้ และเมื่อใดบรรลุถึงสัจธรรมพัฒนาตนถึงที่สุด แล้ว ก็จะหมดซึ่งความเห็นแก่ตัวทำให้ความเมตตากรุณานั้น แผ่กระจายอย่างไม่มีประมาณเป็นความเมตตายิ่งกว่าเดิม เพราะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนแล้ว

19


ภ า วั น

เพราะฉะนั้นความเมตตากรุณาอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้เมื่อบุคคล เจริญปัญญาอย่างถึงที่สุด จนเห็นว่าแท้จริงแล้วว่าตัวตนไม่มีจริงแล้ว ความเห็ น แก่ ตั ว ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ก็ ห มดสิ้ น สามารถที่ จ ะเกื้ อ กู ล

แก่สรรพสัตว์ได้อย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณและไม่มีที่รักที่ชัง ดังที่ พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า พระองค์รู้สึกอย่างไรต่อพระราหุลซึ่งเป็นลูกชาย ก็รู้สึกตอบพระเทวทัตเช่นนั้น ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างพระเทวทัต

ที่มุ่งปองร้าย หรือพระราหุลซึ่งเป็นลูกชายของท่านเลย ถึงที่สุดแล้ว ความเป็ น มนุ ษ ย์ ที่ ส มบู ร ณ์ คื อ การที่ มี ค วามรั ก อย่ า งไม่ มี ป ระมาณ เพราะมีปัญหาเห็นแจ้งในสัจธรรมอันลึกซึ้ง กรุณาทำให้เราทำความดีปัญญาทำให้เราเข้าถึงความจริง ทั้ง ความดีและความจริงทำให้เราเข้าถึงความสุข แม้เมตตากรุณาต่อผู้ที่ พระพุทธองค์ทรงเมตตา มีความทุกข์อย่างไรก็ไม่สามารถทำให้พระองค์ ทุกข์ด้วย เพราะเป็นเมตตาที่ไม่ปรารถนาผล ทำเต็มที่ แต่หากว่า

ไม่สามารถจะช่วยได้ ใจก็เป็นอุเบกขา อย่างไรก็ตาม สำหรับพวกเราซึ่งเป็นปุถุชน การเป็นมนุษย์ที่ สมบูรณ์นั้น เป็นอุดมคติ แต่ในทางที่เราถึงอุดมคติ การที่เราบำเพ็ญ เพื่อความเป็นมนุษย์ที่แท้ก็เป็นสิ่งที่เราควรกระทำ การเป็นมนุษย์ที่แท้คือ การที่มีเมตตา มีปัญญา และสามารถ

เข้าถึงความสุขได้ มนุษย์ที่แท้คือ ผู้ที่จิตเป็นอิสระไม่ถูกครอบงำด้วย โลกธรรมใดๆ 20

ตอนอายุ ส ามขวบ เธอถู ก พ่ อ เลี้ ย ง

ล่วงละเมิดทางเพศ หกปีต่อมาเธอก็มีพ่อเลี้ยง คนใหม่ เป็นนักบิดรูปร่างใหญ่โต วันๆ ง่วน

อยู่ กั บ แก๊ ง มอเตอร์ ไ ซค์ ชอบเสพยาในบ้ า น ร้ายกว่านั้นก็คือ ชอบใช้กำลังกับแม่ของเธอ และตัวเธอ เธอจึงกลายเป็นคนก้าวร้าวตั้งแต่ เด็ก มีเรื่องตบตีกับเพื่อนเป็นประจำ 21


พออายุ ๑๔ เธอหนีออกจากบ้าน ไปมั่วสุมกับเพื่อน

วัยรุ่นด้วยกัน อายุ ๑๕ เธอถูกตำรวจจับ กว่าแม่จะมารับ

ตัวเธอกลับบ้านก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์ ไม่กี่ปีต่อมาเธอก็ถูกชาย สองคนข่มขืน เธอโทษตัวเองว่าเป็นความผิดของเธอเอง ที่

ไปบ้านเขาทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน เธอต้องทนอยู่กับความอับอาย ดังกล่าวเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็ต้องเข้าหายาเสพติดเพื่อ กลบความอับอายและเพื่อลืมความทรงจำอันเลวร้ายตั้งแต่

วัยเด็ก ไม่นานก็ติดยาเต็มขั้น ยังดีที่ตอนอายุ ๒๑ เธอเห็น

ผู้หญิงคนหนึ่ง อายุไล่ๆ กับเธอ แต่ดูแก่เกินวัยมากราวกับ อายุ ๔๐ เธอกลัวจะเป็นอย่างนั้น จึงตัดใจเลิกยา แล้วเธอก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ มีสามี มีลูกที่น่ารัก และ

มีงานที่ดี แต่ก็มีปัญหานอนไม่หลับและฝันร้ายเป็นประจำ จึง หันหน้าเข้าหาธรรมะ ช่วยให้ใจสงบลงได้บ้าง แต่แล้ววันหนึ่ง เธอเห็นผู้หญิงถูกตบตีกลางถนน ความรู้สึกบางอย่างกระตุก ขึ้นมาในใจทันที เธอเกือบจะวิ่งเข้าไปหาชายอันธพาลคนนั้น แต่เพื่อนฉุดเธอไว้ได้ทัน เหตุการณ์นั้นได้ปลุกกระตุ้นความ

รู้สึกเก่าๆ ให้ผุดโพลงขึ้นมาอย่างรุนแรง มันเป็นทั้งความ โกรธ ความรู้สึกไร้คุณค่า และสิ้นไร้ไม้ตอก แล้วฝันร้าย

ก็ ก ลั บ คื น มา รวมทั้ ง ความทรงจำอั น เลวร้ า ยในอดี ต เธอ

ไม่กล้าเข้าหายาเสพติด แต่หันไปพึ่งเหล้าแทน เพื่อปัดเป่า ความรู้สึกย่ำแย่ดังกล่าวออกไปจากจิตใจ 22

แน่นอนเหล้าไม่ได้ช่วยเธอเลย เมื่อตั้งสติได้เธอหันไปหาสมาธิ ภาวนา เธอฝึกสติอย่างจริงจัง เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยใจให้ หลงไปกับอดีต ขณะเดียวกันก็รู้ทันอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยไม่ผลักไส เธอได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอนั้น ไม่สำคัญเท่ากับว่า เธอรู้สึกกับมันอย่างไร เมตตาภาวนายังช่วยให้เธอรับมือกับความทรงจำ อันเจ็บปวดได้ รวมทั้งสามารถให้อภัยคนที่ทำร้ายเธอ คราวหนึ่งเธอได้ไปปฏิบัติธรรม โดยเน้นที่การเจริญเมตตาจิต คืนหนึ่งเธอฝันถึงพ่อเลี้ยงที่เป็นนักบิดติดยา ในฝันนั้นตัวเขาเล็กลง เหลือแค่หนึ่งในสาม นั่งทรุดพิงกำแพงราวกับคนหมดสภาพ ขณะที่เธอ เดินเข้าไปหาเขา เธอพบว่าเขาเป็นคนที่สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง เพราะเหตุนี้เอง เขาจึงรังควานและคุกคามคนอื่นเพื่อจะได้รู้สึกว่ามีอำนาจ ทันทีที่รู้เช่นนี้ ความโกรธเกลียดที่เคยมีต่อเขาก็หายไป เกิดความสงสารขึ้นมาแทนที่ เป็นครั้งแรกที่เธอเมตตาเขาและให้อภัยเขาได้อย่างแท้จริง

23


พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

วันรุ่งขึ้น เธอตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบาโล่ง ความทรงจำอัน

เจ็บปวดที่เธอแบกมานานกว่า ๒๐ ปี หลุดไปอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดเธอ

ก็เป็นอิสระจากอดีตอันเลวร้าย หลังจากวันนั้นฝันร้ายก็ไม่มารบกวนเธอ อีก ต่อมาไม่นานเธอได้พบกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง คำพูดบางประโยค ของเขา หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงเจ็บปวด แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึก อะไรแล้ว แทนที่จะตอบโต้ด้วยความโมโห เธอกลับพูดด้วยความสงบ จิตเปี่ยมเมตตา เธอรู้สึกว่าที่เขาพูดเช่นนั้นก็เพราะเขามีความทุกข์ มี ความเจ็บปวด จากคนที่ขาดความอบอุ่น รู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่าและไม่มีใครรัก เจ็บแค้นเพราะถูกข่มเหงรังแก เธอได้กลายมาเป็นคนใหม่ เพราะได้คิด ว่า คนที่ทำร้ายเธอนั้นแท้จริงเป็นคนน่าสงสาร ที่มีบาดแผลในจิตใจ

มาก่อน ความโกรธแค้นเปลี่ยนมาเป็นความเห็นใจและความเมตตา ขณะเดียวกันความเมตตาที่เติมเต็มจิตใจ ก็ทำให้เธอกลับมารักตัวเอง

ได้อย่างแท้จริง ไม่รู้สึกเกลียดชังตนเอง หรือรู้สึกว่าตนไร้คุณค่า ไม่ คู่ควรต่อความรักอีกต่อไป เบื้องหลังพฤติกรรมอันเลวร้ายของผู้คนนั้น มักได้แก่การขาด ความรักและรู้สึกไร้คุณค่า ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เพียงทำร้ายคนอื่นเท่านั้น หากยังนำไปสู่พฤติกรรมที่ทำร้ายตนเองอีกด้วย ต่อเมื่อจิตใจได้รับการ เติมเต็มด้วยความรัก ชีวิตจึงจะหันไปสู่ความดีงามทั้งต่อตนเองและ

ผู้ อื่ น แต่ ค วามรั ก ที่ ไ ด้ จ ากใครนั้ น มากเพี ย งใดก็ ไ ม่ ส ำคั ญ เท่ า กั บ

ความรักที่บ่มเพาะในใจตน รวมทั้งความรักที่ให้แก่ตนเอง เมื่อรักตนเอง ได้อย่างแท้จริง ความรักผู้อื่นก็จะเป็นเรื่องง่าย 24

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) หรือหลวงพ่อโตเป็นผู้ที่ มี เ มตตาสู ง มาก ใครขออะไรจากท่ า น มั ก จะไม่ ผิ ด หวั ง แม้ แ ต่ กั ณ ฑ์ เ ทศน์ ท่ า นก็ ใ ห้ ใ ครต่ อ ใครได้ อ ย่ า งง่ า ยดาย

ขณะเดียวกันท่านก็ไม่ค่อยถือตัวหรือติดในสมมุติ ผู้คนจึง มองว่าท่านจึงมีพฤติกรรมแปลกๆ ไม่เหมือนใคร จึงหาว่า ท่านเป็น “พระบ้า” ก็มี อย่างไรก็ตามหากเป็นเรื่องความถูกต้องแล้ว ท่าน เข้มแข็งมั่นคงมาก ไม่ยอมโอนอ่อนเลยแต่ก็มิใช่แข็งกระด้าง หากมีกุศโลบาย สมัยที่ท่านมีสมณศักดิ์เป็นพระเทพกวี ได้ รับนิมนต์เข้าไปเทศน์ในจวนของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งเป็นขุนนางที่มีอำนาจมาก ที่สุดในเวลานั้น แม้แต่พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ต้องเกรงใจ

25


เมื่ อ ท่ า นขึ้ น ธรรมาสน์ ให้ ศี ล เสร็ จ ก็ เ ริ่ ม แสดง

พระธรรมเทศนา ระหว่างนั้นขุนนางที่รับใช้สมเด็จเจ้าพระยาฯ รวมทั้งพวกที่มาจากหัวเมือง พากันหมอบกับพื้นฟังธรรมกัน เป็นแถว ตรงข้ามกับสมเด็จเจ้าพระยาฯ กลับนั่งเอกเขนก อยู่บนเก้าอี้ ไขว่ห้าง รินน้ำชาฟังเทศน์ หลวงพ่อโตจึงเทศน์ว่า “สัมมามัวรินกินน้ำชา มิจฉา หมอบก้มประนมมือ” สมเด็จเจ้าพระยาฯ ได้ยินก็โมโห ลุกเข้าเรือนไปทันที ส่วนหลวงพ่อโตก็ลงจากธรรมาสน์กลับวัดระฆัง ว่ากันว่า

สมเด็จเจ้าพระยาฯ ขุ่นเคืองท่านอยู่นาน อี ก คราวหนึ่ ง ท่ า นได้ รั บ นิ ม นต์ เ ทศน์ ฉ ลองวั ด ของ

ยายแฟง ยายแฟงผู้นี้เป็นแม่เล้าที่ร่ำรวยจากน้ำพักน้ำแรง ของโสเภณี เมื่ อ ยายแฟงมี อ ายุ ม ากขึ้ น อยากทำบุ ญ

ครั้งใหญ่เพื่อลบรอยบาป จึงบริจาคเงินสร้างวัด ตั้งชื่อว่า

วั ด ใหม่ ย ายแฟง เมื่ อ สร้ า งวั ด เสร็ จ ยายแฟงดี ใ จมากที่ สามารถสร้างวัดได้อย่างเศรษฐีแม้มีอาชีพเป็นแม่เล้า

26

เมื่อหลวงพ่อโตขึ้นธรรมาสน์ ท่านได้เทศน์ให้ยายแฟง ฟังต่อหน้าว่า “ยายแฟงสร้างวัดครั้งนี้ ได้ผลอานิสงส์บกพร่อง ไม่ เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเงินที่สร้างวัดเป็นเงินที่เกิดจาก

น้ำพักน้ำแรงของคนอื่น ที่ไม่ชอบด้วยธรรมเนียม ถ้าเปรียบ อานิ ส งส์ นี้ ด้ ว ยเงิ น เหรี ย ญบาท ยายแฟงก็ ไ ด้ ไ ม่ เ ต็ ม บาท

จะได้สักสลึงเฟื้องเท่านั้น นี่ว่าอย่าเกรงใจกันนะ” สลึงเฟื้องนั้นเป็นจำนวนเท่ากับค่าตัวของหญิงโสเภณี ในซ่องยายแฟง ใครฟังแล้วก็ชอบใจ หัวเราะกันใหญ่ แต่ยายแฟง

ไม่ขำด้วย มีแต่ความขุ่นเคืองใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ยายแฟง

ก็เห็นจริงตามที่ท่านว่า ว่าจึงไม่โกรธเคืองท่านต่อไป วัดใหม่ยายแฟงต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดคณิกาผล เป็นการยกย่องคณิกาอันเป็นที่มาของวัดนี้ ทุกวันนี้น้อยคน ที่จะรู้ว่ายายแฟงเป็นคนสร้างวัดนี้

27


ทำสมาธิภาวนาให้ถูกต้อง ปุ จ ฉา : นมั ส การพระอาจารย์ ที่ เ คารพอย่ า งสู ง ผมอ่ า นวิ ธี

ทำสมาธิโดยการเคลื่อนไหวจากหนังสือและนำไปปฏิบัติเองประมาณ ๒๐ นาที แล้ ว จึ ง ใช้ วิ ธี ภ าวนาพุ ท โธต่ อ อี ก ๔๐ นาที โ ดยประมาณ

ขอนมัสการถามว่า มีอะไรไม่ถูกต้องหรือไม่ และมีอะไรเป็นตัวบอก

ให้เราได้ว่า ก้าวหน้าไปบ้างแล้ว พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา : การทำสมาธิภาวนา ประเด็นสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ว่า ทำนานเท่าใด มีลำดับขั้นตอนอย่างไร หรือมีกิริยาอาการ อย่างไร แต่อยู่ที่การวางใจ หากวางใจถูกต้อง ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถใด

ก็ เ ป็ น สมาธิ ภ าวนาได้ เพราะเหตุ นี้ ก ารบรรลุ ธ รรมจึ ง เกิ ด ขึ้ น ได้ ใ น

ทุกอิริยาบถและทุกโอกาส อย่างไรก็ตาม อาตมาอยากแนะนำว่า หากคุณยังใหม่ต่อการ ปฏิบัติ หรือเพิ่งเริ่มปฏิบัติ ควรเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งเป็นหลัก แล้วทำให้ ชำนาญหรือคล่องแคล่ว หากจับหลักได้ จะทำวิธีอื่นประกอบไปด้วยก็ได้ แต่อย่าเพิ่งทำหลายวิธีพร้อมๆ กัน เพราะจะสับสน และอาจจะลงเอย ด้วยการทำไม่ได้ผลดีเลยสักอย่าง ทำให้ท้อแท้ต่อการปฏิบัติ จนเลิก

ไปเลยก็ได้ 28

มองโลกในแง่ดี ใช่หลอกตัวเองไหม?

พิมพ์กมล คูนิอาจ : กราบนมัสการค่ะพระอาจารย์ อยากถาม เรื่ อ งการมองโลกในแง่ ดี คื อ ตั ว เองรู้ สึ ก ว่ า มั น เป็ น การหลอกตั ว เอง

ซะมากกว่า หลอกตัวเองมันบาป แล้วทำอย่างไรให้มองโลกในแง่ดีแบบ เข้าถึงความเป็นจริง ...(ขออภัยที่คำถามดูงงๆ ค่ะ) พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา : การมองโลกแง่ดีนั้น ถ้าหมายถึง การมองว่าทุกอย่างจะราบรื่น ไม่เป็นปัญหา ชีวิตฉันจะมีแต่ความสุข ความเจริญ ก็คงเป็นการหลอกตัวเอง หรือเข้าข้างตนเอง ถ้ า จะมองโลกแง่ ดี ก็ ค วรมองว่ า ในสิ่ ง ที่ แ ย่ นั้ น มี ดี อ ยู่ ด้ ว ย

ยกตัวอย่าง ความเจ็บป่วย ความล้มเหลว คำตำหนิ การตกงาน ฯลฯ

ก็มีประโยชน์ เช่น ฝึกใจให้เข้มแข็ง สอนให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เตือน ให้ไม่ประมาทขาดสติ หรือเป็นบทเรียนที่ทำให้เราฉลาดขึ้น เป็นต้น

นี่เป็นการมองโลกแง่ดีที่ไม่ใช่หลอกตัวเอง แต่เป็นการมองให้เห็นความ จริงอีกแง่หนึ่งซึ่งคนไม่ค่อยมองกัน การมองเห็นสิ่งดีๆ ที่อยู่เคียงคู่กับสิ่งไม่ดี ก็เป็นการมองโลกแง่ดี ที่ควรมอง พูดเปรียบเทียบให้เห็นชัดก็คือคนบางคนมักเห็นแต่ด้านลบ หรือข้อบกพร่องของคนอื่น แต่มองไม่เห็นด้านดีของเขา การมองโลก

แง่ดีก็คือการมองเห็นด้านดีของเขาด้วย ไม่ได้ปักใจจดจ่อแต่ด้านลบ หรือข้อบกพร่องของเขา คนเราควรมองแบบนี้กันให้มากๆ จะได้ไม่รู้สึก เป็นลบต่อกันและกัน

29


วิจารณ์อย่างไร ไม่ให้ร้อนใจตน จตุภูมิ ภูมิบุญชู : กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ กระผมใคร่อยากขอคำแนะนำพระอาจารย์บางประการ หาก ไม่รบกวนเวลาพระอาจารย์เกินไปครับ กระผมเป็นครูสอน กฎหมายครับ คิดว่าหนึ่งในหน้าที่ของนักวิชาการ คือ การ

เป็นมันสมองให้สังคม คอยแนะนำสิ่งที่ถูกให้ แต่จากกระแส การเมื อ งไทยในปั จ จุ บั น ทำให้ ห ลายครั้ ง เฝ้ า มองดู ตั ว เอง

พบว่ า การดู ก ารทำงานของรั ฐ บาลและฝ่ า ยค้ า น หรื อ การ วิเคราะห์การทำงานของภาครัฐ และเอกชน หลายครั้งรู้สึก เหมื อ นตนเองกำลั ง เพ่ ง โทษผู้ อื่ น ครั บ ซึ่ ง ทำให้ จิ ต ใจร้ อ น

ซึ่งอาจจะเป็นด้วยว่า กระผมยังมีอคติอยู่สูง อยากกราบขอ แนวทางในการทำงานในฐานะนักวิชาการที่ถูกครับ เพื่อให้ได้ ทั้งประโยชน์ตนเอง แล้วสังคมครับ กราบขอบพระคุณครับ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา : หน้าที่ของนักวิชาการหรืออาจารย์ ส่วนหนึ่งก็คือ การชี้ให้เห็นความถูกความผิดตามหลักวิชา (ซึ่งแยก

ไม่ อ อกจากความถู ก ความผิ ด ตามหลั ก ธรรม) แต่ ก็ พึ ง ระวั ง อย่ า มั ว หมกมุ่นกับความผิดของคนอื่น จนเกิดความโกรธเกลียด เพราะนั่นจะ ทำให้เกิดอคติ ไม่สามารถมองเห็นเขาอย่างถูกต้องรอบด้านตามความ เป็นจริงได้ ดังนั้นในขณะที่เพ่งมองหรือวิจารณ์คนอื่นนั้น สิ่งหนึ่งที่

ไม่ควรมองข้ามคือ การย้อนกลับมาดูใจของตน ว่ามีอคติไหม หรือ

กำลังเป็นทุกข์เพราะความโกรธเกลียดเผาลนจิตใจ หาไม่แล้วจะกลาย เป็นการเพ่งโทษคนอื่นอย่างที่คุณได้ตั้งข้อสังเกตกับตัวเอง การย้อนกลับมาดูใจของตน รู้เท่าทันอารมณ์และความคิดนั้น ต้องอาศัยสติ หากไม่มีสติ จิตก็จะถูกครอบงำด้วยอารมณ์ได้ง่าย ซึ่ง ทำให้ปัญญาไม่แจ่มใส ทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือเห็นความจริงได้อย่าง

ไม่รอบด้าน เป็นอุปสรรคไม่น้อยต่อการทำงานทางวิชาการ ยังไม่ต้อง พูดถึงการไม่ยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ เพราะทนไม่ได้ที่ตัวตนถูกกระทบ กระแทก ทำให้ขาดโอกาสที่จะพัฒนาตนหรือปรับปรุงความคิดความเห็น ให้ดีขึ้น นักวิชาการที่ไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่างจากตน หรือปฏิเสธ คำวิพากษ์วิจารณ์ ย่อมเป็นนักวิชาการที่ดีได้ยาก

30

31


ด็ อ ก ไ อ ไ ล ค์ ด อ ท ค อ ม

เมื่อเจ็บป่วย จะมีสติดูความเจ็บป่วยอย่างไร ศิริวรรณ ประพันธ์ธุรกิจ : กราบเรียนถามค่ะ เวลาที่เจ็บป่วย

เล็กน้อย ปวดหัว ตัวร้อน การรักษาจิตให้เป็นปกติ ไม่เป็นไปกับเวทนา ยั ง พอทำได้ แต่ เ วลาเจ็ บ ป่ ว ยมากๆ มี เ วทนาแรงกล้ า ทำอย่ า งไรก็

แยกกายออกจากจ...ิตไม่ได้เลย เวลาเจ็บปวดมากๆ พยายามดูความ เจ็บปวดนั้นอยู่ แต่ดูยังไงก็เป็นกูเจ็บกูปวดไปหมด วางใจให้เป็นกลาง

ไม่ไหวเลย กราบเรียนถามวิธีวางจิตอย่างถูกต้องขณะที่กำลังเจ็บปวด อย่างหนักด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา : ถ้าสติยังไม่ว่องไวปราดเปรียว การ ดูหรือรู้เวทนาเฉยๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เพราะดูทีไรใจก็ปักตรึง หรือจมอยู่ในเวทนาทุกที ทำให้เกิดความรู้สึกว่ากูเจ็บกูปวด เป็นทุกข์

ยิ่งกว่าเดิม สำหรับผู้ที่สติยังไม่กล้าแข็ง ควรฝึกดูกายหรือใจก่อน คือ ดู อาการของกายขณะเจ็บปวด เช่น รู้ตัวเมื่อกล้ามเนื้อเกร็ง กัดฟันแน่น หรือไม่ก็ดูอาการของจิตขณะเกิดเวทนา เช่น เห็นจิตที่กำลังบ่น โวยวาย ตีโพยตีพาย หรือเกิดโทสะ พอเห็นอาการของกายและใจ เพียงแค่

รู้เฉยๆ ร่างกายก็จะผ่อนคลาย ใจก็จะสงบลง ทำให้ความทุกข์ลดลง

แม้ความเจ็บปวดจะยังคงอยู่ พูดง่ายๆ ก็คือ กายปวด แต่ใจไม่ปวด 32

Dogilike.com (ด็อกไอไลค์ดอทคอม) จัดอันดับประเทศที่เลี้ยงน้องหมา ๑๐ อันดับ มากที่สุดในโลก ก่อนหน้านี้เคยจัดแล้วเมื่อ

๒ ปีที่แล้ว ปีที่ผ่านมา จัดอันดับดังนี้ อันดับที่ ๑๐ ประเทศไทย - ๖.๙ ล้านตัว ไทยเคยคว้าอันดับ ๙ แต่ที่ลดลง ส่วนหนึ่งเป็น ผลการนโยบายการทำหมันของกรมปศุสัตว์ที่ทำให้ผู้เลือก ทำหมันน้องหมากันมากขึ้น อีกสาเหตุอาจเป็นเพราะ ประชาชนย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองกันมากขึ้น อาศัยอยู่ใน คอนโด อพาร์ตเม้นท์ ซึ่งไม่อนุญาตให้มีสัตว์เลี้ยง อันดับที่ ๙ ประเทศโปแลนด์ - ๗.๕๒ ล้านตัว โปแลนด์อยู่ทางยุโรปตะวันออก ขณะนี้อัตราการเกิดน้องหมา เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะในเมืองหลวงมีสุนัขจรจัดมีถึง ๖๔,๐๐๐ ตัว ยังไม่นับการขยายจำนวนของน้องหมาที่ประชาชนเลี้ยงอีก ด้วย

เหตุนี้จึงได้มีการร่างกฎหมายทำการุณยฆาตสุนัขเร่ร่อน ดูแล้วน่าสงสาร 33


อันดับที่ ๘ ประเทศอิตาลี - ๗.๖ ล้านตัว อิตาลีถิ่นนักรบโบราณและศิลปินซึ่งมีความผูกพันกับน้องหมา มาหลายร้อยปี มีภาพวาดเก่าแก่มากมายที่มีรูปน้องหมาปรากฏ ไม่ว่า จะเป็นราชนิกุล นักรบ พ่อค้า ชาวไร่ชาวนา แม้แต่จิตรกร น้องหมา จึงเป็นทั้งเพื่อนร่วมชีวิต เพื่อนร่วมงาน และเป็นทรัพย์สินประดับกาย ประชาชนเลือกที่จะอยู่เป็นโสด เลี้ยงน้องหมามากกว่ามีครอบครัว จึง ไม่น่าแปลกใจที่มีการเพิ่มจำนวนน้องหมามากขึ้นเรื่อยๆ อันดับที่ ๗ ประเทศฝรั่งเศส - ๘.๑ ล้านตัว ฝรั่งเศสครองอันดับที่ ๗ อีกสมัย ถือได้ว่าเป็น ประเทศมีสถิติความสม่ำเสมอมากที่สุดประเทศหนึ่ง อันดับที่ ๖ ประเทศแอฟริกาใต้ - ๙.๑ ล้านตัว ขยับมาจากอันดับ ๑๐ ที่มีการเพิ่มประชากรน้องหมา ของประเทศแอฟริกาใต้นั้นน่าจะเป็นเพราะมีขนาดใหญ่ หลาย พื้นที่ในเขตชนบทไม่ได้คุมกำเนิด ประกอบกับมีการย้ายเข้ามา ของชาวอังกฤษเพิ่มมากขึ้นด้วย อันดับที่ ๕ ประเทศรัสเซีย - ๙.๖ ล้านตัว จำนวนประชากรคนผกผันกับประชากรน้องหมา แต่ยังพบ หมาเร่ร่อนที่ถูกทอดทิ้งว่ามีจำนวนมาก เช่น ตามรถไฟ รถประจำทาง อาศัยหลบหนาว โชคดีที่คนรัสเซียสงสารน้องหมา ไม่มีการทำร้าย 34

อันดับที่ ๔ ประเทศญี่ปุ่น - ๙.๖๕ ล้านตัว ญี่ปุ่นเป็นประเทศนำแฟชั่นน้องหมาแห่งเอเชีย ขยับขึ้นมาจาก อันดับ ๕ แต่หากดูจำนวนประชากรน้องหมากลับน้อยลงกว่าเดิมถึง ๓,๐๐๐,๐๐๐ ตัว เนื่องมาจากที่อยู่อาศัยมีพื้นที่จำกัดมากขึ้นในเมือง ค่าครองชีพในการเลี้ยงน้องหมา ความรับผิดชอบ มาตรฐานคุณภาพ การเลี้ ย งน้ อ งหมาค่ อ นข้ า งสู ง รวมไปถึ ง นโยบายการคุ ม กำเนิ ด

น้องหมาด้วย อันดับที่ ๓ ประเทศจีน - ๒๒.๙ ล้านตัว จีนมีกฏหมายเข้มงวดมากสำหรับคนที่เลี้ยงน้องหมา จึงมีส่วนในการที่จะตัดสินใจเลี้ยงสักตัวต้องคิดนาน อันดับที่ ๒ ประเทศบราซิล - ๓๐.๑ ล้านตัว บราซิลเป็นประเทศที่มีประชากรมาก ผู้คนอารมณ์ดี วัฒนธรรม หลากหลาย และชอบเลี้ยงน้องหมา เป็นสีสัน มีชีวิตชีวา อันดับที่ ๑ ประเทศสหรัฐอเมริกา ๖๑.๑ ล้านตัว สหรัฐอเมริกา มีประชากรอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก อีกทั้ง เป็นผู้นำแฟชั่นการเลี้ยงน้องหมา การฝึกน้องหมาแบบครบวงจร คนอเมริ กั น ให้ เ กี ย รติ น้ อ งหมามากเที ย บเท่ า กั บ สมาชิ ก หนึ่ ง ใน ครอบครัว และยังทำในเชิงธุรกิจการเลี้ยงน้องหมา ส่งผลให้เกิด

ค่านิยมการเลี้ยงให้กับอีกหลายๆ ประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย 35


อธิบดีกรมป่าไม้แถลงข่าวเนื่องในวันป่าไม้โลกว่า จากการสำรวจ ครั้งล่าสุดเมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๑ พื้นที่ป่าทั่วประเทศมี ๑๐๗ ล้านไร่

แต่ปี ๒๕๕๗ เหลือเพียง ๑๐๒ ล้านไร่ เฉลี่ยป่าสูญไปปีละ ๑ ล้านไร่ ส่วนใหญ่เกิดจากการตัดไม้เพื่อการเกษตรเป็นหลัก แต่ที่น่าเป็นห่วง

ยิ่งกว่านั้นคือการมุ่งเอาไม้ใหญ่ อย่างไม้พะยูงที่ได้ราคาสูงมาก ถึงขนาด ปั่นราคาจากคิวละ ๓ แสนบาท เป็น ๑ ล้านบาท และมีการลักลอบ

ออกนอกประเทศ ร้อนถึงเจ้าอาวาสหลายวัดในพื้นที่ภาคตะวันออก

เฉียงเหนือที่มีนายทุนมาติดต่อขอซื้อไม้พะยูงที่ขึ้นอยู่ในวัด หลายวัด

มีไม้พะยูงมากกว่า ๑๐ ต้นขึ้นไป บางวัดขายในราคาต้นละ ๑ ล้านบาท ขึ้นไป หรือบางที่มาในรูปแบบติดสินบนกรรมการวัด หมู่บ้าน โดยให้ อ้างว่าจะนำเงินไปพัฒนาวัดหรือหมู่บ้าน

36

นายณัฐวัฒิ ชั้นอินทร์งาม ที่ปรึกษาเครือข่ายชาวนาไทยกล่าวว่า ขณะนี้ ราคาข้าวปรับลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนโครงการรับจำนำนาปี ๕๖/๕๗ จะสิ้นสุด วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยข้าวเปลือกเจ้า

ถูกกดราคารับซื้อจากโรงสีเหลือตันละ ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ บาท จาก

ต้นปีตันละ ๗,๐๐๐-๘,๐๐๐ บาท เพราะโรงสีและพ่อค้าอ้างว่าข้าว

ในตลาดมี เ พี ย งพอ และรั ฐ บาลระบายข้ า วต่ อ เนื่ อ ง จึ ง ทำให้ ร าคา ข้าวสารอ่อนตัวตามแต่ก็ยังเห็นว่ารัฐบาลยังต้องเร่งระบายข้าว แม้ราคา จะต่ำเพื่อหาเงินจ่ายค่าข้าวชาวนาและชะลอความเดือดร้อนที่รุนแรง

จากการเพาะปลูกข้าวนาปรังที่กำลังเจอปัญหาขาดแคลนน้ำและผลผลิต ต่อไร่ต่ำลง หากเปรี ย บเที ย บราคาขายส่ ง ข้ า วสารในพื้ น ที่ ก รุ ง เทพฯ และ

ปริมณฑล เมื่อเปรียบเทียบกับปี ๕๒ หรือในช่วง ๕ ปี ปัจจุบันข้าวขาว ๑๐๐% ชั้น ๑ ขายอยู่ที่ ๑,๔๗๕ บาท/กระสอบ (๑๐๐ กก.) ลดจาก

ปี ๕๒ ขายได้ที่ ๒,๑๒๕ บาท/กระสอบ นอกจากนี้ การส่ ง ออกของไทยปี ๕๖ มี มู ล ค่ า ๑๓๓,๘๕๒

ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน ๖.๔% จัดเป็นอันดับที่ ๓ ของโลก รองจาก อินเดียและเวียดนาม โดยปริมาณส่งออกข้าวไทย ๖.๖ ล้านตัน ไม่มี การซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี ตามที่รัฐบาลเคยประกาศว่าจะมี การซื้อขายข้าวลักษณะดังกล่าวเลย 37


กฟผ. ชี้ ๒ เขื่อนใหญ่ ภูมิพลและสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำลดลงอย่าง ต่อเนื่อง เพราะได้ระบายน้ำสำหรับการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งไปแล้วกว่า ๓,๐๐๐ ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันเหลือเพียง ๔,๔๑๗ ล้าน ลบ.ม. หรือ ๒๗% ของความจุใช้งานได้ และต้องระบายน้ำตามแผนช่วงฤดูแล้งใน ระยะเวลา ๒ เดือนข้างหน้าอีก ๑,๒๕๐ ล้าน ลบ.ม. คาดว่า จะเหลือ ปริมาณน้ำสำรองไว้ใช้ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน สำหรับการ อุปโภค-บริโภค และผลักดันน้ำเค็มประมาณ ๓,๒๐๐ ล้าน ลบ.ม. ส่วนปัญหาความเค็มรุกล้ำเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยาปีนี้เร็วกว่า ปกติ จนค่าความเค็มที่วัดได้มากกว่าหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อ การสูบน้ำดิบของการประปานครหลวงนั้น กรมชลประทานได้แก้ปัญหา ด้วยการระบายน้ำเพิ่มจากเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ และปรับเพิ่ม ปริมาณน้ำระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเป็นระยะๆ ตามจังหวะการขึ้นลง ของน้ำทะเล เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเจือจางน้ำเค็มให้ได้มาก ที่สุด พร้อมกับผันน้ำส่วนหนึ่งจากแม่น้ำแม่กลองมายังแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำไหลลงไปเจือจางน้ำเค็ม ซึ่งปัจจุบันค่าความเค็ม บริเวณสถานีสูบน้ำสำแล ของการประปานครหลวง อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ที่สามารถผลิตน้ำประปาได้

38

มาตรการจัดการน้ำจึงเกิดขึ้น โดยกรมชลประทานขอให้เกษตรกร พักการเพาะปลูก งดทำนาปรังครั้งที่ ๒ ส่วน กฟผ. ดูแลการระบายน้ำ จากทั้งสองเขื่อนให้เป็นไปตามแผน เพื่อให้ประชาชนมีน้ำใช้อย่างทั่วถึง และร่ ว มกั บ กรมชลประทานผั น น้ ำ จากลุ่ ม น้ ำ แม่ ก ลองมายั ง แม่ น้ ำ เจ้าพระยา เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำ” มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลวิเคราะห์ข้าวไทยในประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนว่าชาวนาไทยมีกำไรสุทธิที่ ๑,๕๕๕.๙๗ บาทต่อไร่ ต่ำกว่าพม่ามีกำไรสุทธิ ๓,๔๘๔.๑ และเวียดนาม ๓,๑๘๐.๗๔ บาท

ต่อไร่ เนื่องจากต้นทุนการผลิตของชาวนาไทยสูงกว่ามาก ชาวนาในประเทศไทยมีการถือครองที่ดินโดยเฉลี่ย ๒๐ ไร่ต่อ

ครัวเรือน โดยปริมาณข้าว ๑ ตันต้องใช้ที่ดิน ๒.๒๒ ไร่ และแต่ละปี

ทำนาได้ ๒ ครั้ง ส่งผลให้มีกำไรสุทธิที่ ๒๘,๐๓๕.๕ บาทต่อปี ส่วน เวียดนามจะถือครองที่ดินรายละ ๖.๒๕ ไร่มีผลผลิต ๑ ตัน ต่อนา ๑.๑๑ ไร่ ในแต่ละปีทำนาได้ ๓ ครั้ง ทำให้มีกำไรสุทธิ ๕๔,๒๑๗.๒๓ บาทต่อปี และพม่าถือครองที่ดิน ๑๐ ไร่ต่อราย ผลผลิตข้าว ๑ ตัน

ต่อนา ๒.๓๘ ไร่ แต่ละปีทำนา ๒ ครั้งทำให้มีกำไรสุทธิ ๒๙,๒๗๘.๑๑

39


บาทต่ อ ตั น เกื อ บจะพู ด ได้ ว่ า ชาวนาไทยจนที่ สุ ด ในอาเซี ย นแม้ ว่ า จะ

มีรายได้มากที่สุด แต่ปัญหาคือชาวนาไทยมีต้นทุนสูง สาเหตุมาจาก ประสิ ท ธิ ภ าพการผลิ ต ข้ า วที่ ต่ ำ กว่ า ต้ น ทุ น การผลิ ต ที่ สู ง มาก และ นโยบายการแทรกแซงตลาดของรัฐบาล นอกจากนี้ข้าวหอมจากประเทศ เพื่อนบ้าน ข้าวผกามะลิ กัมพูชา ข้าวจัสมิน เวียดนาม และข้าวเพิร์ล ปอว์ ซาน พม่า ตีตลาดข้าวหอมมะลิไทยอย่างต่อเนื่อง จนข้าวเพิร์ล ปอว์ ซาน และข้าวผกามะลิ ได้รับตำแหน่งข้าวดีที่สุดในโลกในปี ๕๕ และ ปี ๕๖ เบลเยียมเป็นประเทศที่ ๒ ถัดจากเนเธอร์แลนด์ที่ออกกฎหมาย การุณยฆาตแก่เด็กที่ป่วยหนักจนหมดทางรักษา ทว่าถือเป็นชาติแรก

ในโลกที่บังคับใช้กฎหมาย “โดยไม่จำกัดช่วงอายุ” ขณะที่เด็กป่วยที่ เนเธอร์ แ ลนด์ อ นุ ญ าตต้ อ งอายุ ๑๒ ปี ขึ้ น ไปเท่ า นั้ น กฎหมายใหม่

ของเบลเยียมอนุญาตให้คนป่วยหนัก “ทุกช่วงวัย” บอกให้แพทย์ช่วย

จบชีวิตตนเองได้ ตราบใดที่ยังมี “สติสัมปชัญญะและความสามารถใน การไตร่ตรอง” เมื่อแพทย์หมดทางรักษา ทั้งนี้จะต้องขอคำปรึกษาจาก

40

จิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาเสียก่อน รวมถึงได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง ด้วย ท่ามกลางกลุ่มที่ต่อต้านการให้สิทธิการุณยฆาตในเด็ก ระบุว่า ไม่มี ระบบที่แน่นอนที่จะพิสูจน์ได้ว่า เด็กที่ป่วยหนักและกำลังตัดสินใจใช้วิธี การุณยฆาตนั้นมีความสามารถเพียงพอใน การเข้าใจสิ่งที่ตนเองเลือก ได้อย่างแท้จริง รวมทั้งคริสตจักรคาทอลิกได้จัดกิจกรรมอดอาหารและ สวดมนต์เพื่อประท้วงร่างกฎหมายนี้ ขณะที่กุมารแพทย์ราว ๑๖๐ คน ก็ได้ยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐสภาเลื่อนการโหวตกฎหมายออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่าไม่มีการตระเตรียมที่ดีพอและไม่ใช่กฎหมายที่จำเป็น

ในเวลานี้ ก่อนหน้านี้เบลเยียมเป็น ๑ ใน ๓ ประเทศยุโรปที่จะอนุญาตการ ทำการุณยฆาตในผู้ใหญ่ และจากผลสำรวจเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว

ก็พบว่า ชาวเบลเยียมร้อยละ ๗๓ เห็นด้วยกับการให้สิทธิแก่เด็กป่วยใน การตัดสินใจยุติความทุกข์ทรมานของตนเอง

41


สุขสุดท้ายที่ปลายทาง ระลึกถึงความตายสบายนัก กรรณจริยา สุขรุ่ง เขียน พระไพศาล วิสาโล ๒๓๖ หน้า ๑๙๐ บาท เขียน/เรียบเรียง ๙๑ หน้า ๔๐ บาท รักษาใจ ให้ไกลทุกข์ (ฉบับปรับปรุง) พระไพศาล วิสาโล เขียน ๒๐ บาท บทเรียนจากผู้จากไป น.พ.เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี และ อโนทัย เจียรสถาวงศ์ บรรณาธิการ น้ำใส ใจเย็น ๑๐๐ หน้า ๑๐๐ บาท พระไพศาล วิสาโล และ ภาวัน ๗๙ บาท

เป็นไทย เป็นพุทธ และเป็นสุข พระไพศาล วิสาโล เขียน ๑๕๒ หน้า ๗๕ บาท

มองอย่างพุทธ พระไพศาล วิสาโล และคณะ ๑๒๐ หน้า ๗๕ บาท ฝ่าพ้นวิกฤตศีลธรรมด้วยทัศนะใหม่ พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๘๘ หน้า ๘๐ บาท จิตใส ใจสุข โดย พระไพศาล วิสาโล ๘๕ บาท

ฉลาดทำใจ พระไพศาล วิสาโล เรียบเรียง ๒๐๘ หน้า ๙๙ บาท

- ๓๐ วิธีทำบุญ - สอนลูกทำบุญ - ฉลาดทำใจ - สุขสวนกระแส - ใส่บาตรให้ได้บุญ - ธรรมะในงาน ธรรมะในใจ - คู่มือ การช่วยเหลือผู้ป่วย ระยะสุดท้ายด้วยวิธีแบบพุทธ - เติมเต็มชีวิตด้วยจิตอาสา - ความสุขที่ปลายจมูก - ความสุขที่แท้ - พรวันใหม่ ชีวิตใหม่ - เจอทุกข์ ใจไม่ทุกข์ - อยู่ทุกที่ก็...มีสุข - สังฆทานการเจือจานสังคม

ฉลาดทำบุญ พระชาย วรธมฺโม และ พระไพศาล วิสาโล เรียบเรียง ๑๑๒ หน้า ๖๐ บาท คู่มือสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ฉบับสวนโมกขพลาราม ๘๐ หน้า ๓๕ บาท เผชิญความตายอย่างสงบ เล่ม ๑ : ข้อคิดจากประสบการณ์ พระไพศาล วิสาโล และคณะ เขียน ๒๑๖ หน้า ราคา ๑๒๐ บาท

42

เผชิญความตายอย่างสงบ เล่ม ๒ : ข้อคิดจากประสบการณ์ พระไพศาล วิสาโล และคณะ เขียน ๑๖๐ หน้า ๙๙ บาท เหนือความตาย : จากวิกฤตสู่โอกาส พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๑๗๖ หน้า ๑๒๐ บาท ความตายในทัศนะของพุทธทาสภิกขุ พระดุษฎี เมธังกุโร, สันต์ หัตถีรัตน์ และคณะ ๙๗ หน้า ๗๐ บาท ธรรมะสำหรับผู้ป่วย พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๑๒๘ หน้า ๑๐๐ บาท จิตเบิกบานงานสัมฤทธิ์ พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๘๐ หน้า ๕๙ บาท

เล่มละ ๑๕ บาท (จัดส่งฟรี) ซีดี MP3 ชุดเผชิญความตายอย่างสงบ ชุดที่ ๑ ดีวีดี เรื่องสู่ความสงบที่ปลายทาง แผ่นละ ๕๐ บาท (มี ๖ แผ่น) แผ่นละ ๕๐ บาท

พิเศษ เฉพาะสมาชิกพุทธิกา จะได้ลด ๓๐% ยกเว้นหนังสือฉบับพกพา และซีดี / ดีวีดี (การสมัครเป็นสมาชิก ดูในหน้าใบสมัคร) สั่งซื้อโดยโอนเงินเข้าบัญชี เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาอรุณอมรินทร์ เลขที่ ๑๕๗-๑-๑๗๐๗๔-๓ ประเภทออมทรัพ43 ย์ ส่งหลักฐานไปที่เครือข่ายพุทธิกา หรือสั่งจ่ายธนาณัติในนาม น.ส.มณี ศรีเพียงจันทร์ ปณ.ศิริราช ๑๐๗๐๒


ใบสมัคร/ต่ออายุสมาชิกพุทธิกา

หรือดาวโหลดใบสมัครได้ที่ www.budnet.org

เครือข่ายพุทธิกา

สมั ครสมาชิก ๒ ปี รับฟรี สานรัก สร้างสุข ๑ เล่ม

เพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม

ชื่อผู้สมัคร................................................................................. นามสกุล.............................................................................................

การรักษาพระศาสนาให้ยั่งยืนนั้นมิใช่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่งหรือบุคคล กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ทั้งมิใช่เป็นความรับผิดชอบที่จำกัดอยู่กับพระสงฆ์หรือ รัฐบาลเท่านั้น หากเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนและเป็นความรับผิดชอบที่พระ-

พุ ท ธองค์ ท รงมอบให้ แ ก่ พุ ท ธบริ ษั ท ทั้ ง หลาย ดั ง นั้ น เมื่ อ ถึ ง คราวที่ พุ ท ธศาสนา ประสบวิกฤต จึงควรที่ชาวพุทธทุกคนจะร่วมมืออย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อ ฟื้นฟูพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามและกลับมามีความหมายต่อสังคมไทย รวมทั้ง ยังประโยชน์แก่สังคมโลก ด้วยเหตุนี้ “เครือข่ายพุทธิกา” จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการมีองค์กร ประสานงานในภาคประชาชน สำหรับการเคลื่อนไหวผลักดันให้มีการฟื้นฟูพุทธศาสนา อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เครือข่ายพุทธิกา ประกอบด้วยองค์กรสมาชิก ๙ องค์กร ได้แก่ มูลนิธิ โกมลคีมทอง, มูลนิธิเด็ก, มูลนิธิพุทธธรรม, มูลนิธิสุขภาพไทย, มูลนิธิสานแสงอรุณ, มูลนิธิสายใยแผ่นดิน, เสมสิกขาลัย, มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ และเสขิยธรรม แนวทางการดำเนินงาน ที่สำคัญคือการส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับหลักธรรมของพุทธศาสนาเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งในระดับ บุคคล และสังคม หลักธรรมสำคัญเรื่องหนึ่งคือ “บุญ” บ่อยครั้งการทำบุญใน ปัจจุบันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร ทั้งๆ ที่หลักธรรมข้อนี้นำมาใช้ในการ สร้างสรรค์ชีวิตและสังคมที่ดีงาม จึงผลิตโครงการฉลาดทำบุญ และโครงการ เผชิญความตายอย่างสงบ จัดเป็นกิจกรรมและมีงานเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง สถานที่ติดต่อ เครือข่ายพุทธิกา ๔๕/๔ ซอยอรุณอมรินทร์ ๓๙ (เหล่าลดา) ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๘๘๒-๔๓๘๗, ๐-๒๘๘๒-๔๙๕๒, ๐-๒๘๘๖-๐๘๖๓ โทรสาร ๐-๒๘๘๒-๕๐๔๓ อีเมล์ b_netmail@yahoo.com • http://www.budnet.org . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . ก า ร ฟื้ น ฟู พุ ท ธ ศ า ส น า ป ร ะ ช า ช น ต้ อ ง มี ส่ ว น ร่ ว ม

เพศ................................................................. อายุ.................. อาชีพ..................................................................................................... ที่อยู่จัดส่ง.......................................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................

รหัสไปรษณีย์..........................................

โทรศัพท์....................................................... โทรสาร....................................................... อีเมล...................................................... ระยะเวลา...............ปี (ปีละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๔ เล่ม) เริ่มตั้งแต่ฉบับที่........................................ ประเภทสมาชิก

สมัครใหม่

สมาชิกเก่า (หมายเลขสมาชิก...........................)

หรือ อุปถัมภ์พระ/แม่ชี/โรงเรียน ระยะเวลา...............ปี สถานที่จัดส่ง..................................................... รหัสไปรษณีย.์ ........................................

.........................................................................................................................................................

โทรศัพท์................................................................................ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น............................................บาท โดย ธนาณัติ ตั๋วแลกเงิน เช็ค เงินสด โอนเข้าบัญชีธนาคาร สั่งจ่ายในนาม นางสาวนงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์ (ปณ.ศิริราช ๑๐๗๐๒) เช็คต่างจังหวัดเพิ่มอีก ๑๐ บาท หรือโอนเข้าบัญชี นางสาวนงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน เลขที่ ๔๖๓-๑-๒๓๑๑๒-๑ ประเภทออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาศิริราช เลขที่ ๐๑๖-๔๓๓๙๖๙-๒ ประเภทออมทรัพย์ โปรดส่งหลักฐานการโอนพร้อมใบสมัครและจ่าหน้าซอง สมาชิกพุทธิกา ๔๕/๔ ซอยอรุณอมรินทร์ ๓๙ (เหล่าลดา) ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ หรือโทรสาร ๐-๒๘๘๒-๕๐๔๓ ติดต่อโทร : ๐-๒๘๘๒-๔๓๘๗, ๐-๒๘๘๒-๔๙๕๒, ๐-๒๘๘๖-๐๘๖๓


จดหมายข่าวพุทธิกา ๔๕/๔ ซ.อรุณอมรินทร์ ๓๙ (เหล่าลดา) ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๘๘๒-๔๓๘๗, ๐-๒๘๘๒-๔๙๕๒, ๐-๒๘๘๖-๐๘๖๓

จดหมายข่าวฉบับ พุทธิกา ๏ จัดทำโดย เครือข่ายพุทธิกา ๏ สาราณียกร พระไพศาล วิสาโล ๏ กองสาราณียกร นงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์, มณี ศรีเพียงจันทร์, พรทิพย์ ฝนหว่านไฟ, ณพร นัยสันทัด, อมรรัตน์ พุฒเจริญ ๏ ปก สรรค์ภพ ตรงศีลสัตย์ : รูปเล่ม น้ำมนต์ ๏ อัตราค่าสมาชิก ปีละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๔ ฉบับ วิธีสั่งจ่ายหรือโอนเงินดูในใบสมัครภายในเล่ม

กรุณาส่ง

สิ่งตีพิมพ์

๏ บุคคลหรือองค์กรใดสนใจจัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือ “ฉลาดทำบุญ” เพื่อแจกจ่ายแก่วัด ห้องสมุด

โรงเรียน เด็กและเยาวชน หรือในงานสาธารณกุศลอื่นๆ ผู้จัดพิมพ์ยินดีดำเนินการจัดพิมพ์ ให้ ใน

ราคาทุน หรือกรณีสั่งซื้อจำนวนมากตั้งแต่ ๑๐๐ เล่มขึ้นไปลด ๓๐% ๒๐๐ เล่มขึ้นไปลด ๓๕%

โปรดติดต่อเครือข่ายพุทธิกา ๏ เครือข่ายพุทธิกามีโครงการที่น่าสนใจ : ฉลาดทำบุญด้วยจิตอาสา, เผชิญความตายอย่างสงบ, ศิลปเพื่อชีวิตและอิสรภาพของคนรุ่นใหม่ (ป่วน), สายด่วน ๐๘๖-๐๐๒๒-๓๐๒ ให้คำปรึกษาทางใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย ฯลฯ ๏ สมัครสมาชิกพุทธิกา ๑๐๐ บาท ได้รับ • จดหมายข่าวพุทธิกา รายสามเดือน ๑ ปี ๔ ฉบับ • ซือ้ หนังสือเครือข่ายพุทธิกาลดทันที ๓๐ % • ซื้อหนังสือสำนักพิมพ์อื่น ลด ๑๐ % (เฉพาะที่เครือข่ายพุทธิกา) • พิเศษ สมัครสมาชิก ๒ ปี รับฟรีหนังสือ ๑ เล่ม เขียนโดยพระไพศาล


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.