จดหมายข่าวพุทธิกา ฉบับที่ 53

Page 1


ราคาเล่มละ ๓๙ บาท

ทุกวันนี้การปฏิบัติธรรมเป็นคำที่ได้ยินคุ้นหู หลายคนได้ยินคำนี้ก็นึกถึง การ

นุ่งขาวห่มขาว นั่งสมาธิ เดินจงกรม ที่จริงการปฏิบัติธรรมทำได้ทุกที่ทุกเวลา แล้วแต่ว่า จะปฏิบัติธรรมเรื่องอะไร เช่น ปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดสติ หรีอเพื่อให้เกิดความอดทน ความพากเพียรพยายาม หรือเพื่อให้เกิดความเมตตากรุณา การปฏิบัติธรรมแต่ละอย่าง มีวัตถุประสงค์ต่างกัน เราอาจใช้เวลากินอาหารเป็นการระลึกถึงบุญคุณของสรรพสิ่ง

ไม่ว่าคนหรือสัตว์ รวมไปถึงพืชพันธ์ุธัญญาหารด้วย ที่ทำให้เรามีอาหารกิน เดี๋ยวนี้คนเรา ไม่ค่อยกินด้วยความสำนึกรู้คุณ หรือเห็นคุณค่าของอาหารเท่าไร เพราะเราคิดแต่จะกิน เพื่อความอร่อยอย่างเดียว หรือกินด้วยความสนุกสนาน จึงกินทิ้งกินขว้างมากมาย มีตัวเลขที่เห็นแล้วน่าตกใจ คือ ๑ ใน ๓ ของอาหารที่เราซื้อ เราทิ้งไปโดยไม่ได้ ใช้ประโยชน์อะไรเลย ซื้อมา ๓ ทิ้งไป ๑ นี่คือภาพรวมของการบริโภคของคนทั้งโลก มัน เกิดขึ้นอย่างไร มีสาเหตุมากมาย เช่น เวลาไปซื้อผัก ซื้อเนื้อ ซื้อปลามาจากตลาด ก็ซื้อ มาเยอะเพราะเห็นว่ามันถูก เสร็จแล้วก็ใส่ตู้เย็นเอาไว้ แล้วก็ไม่ได้เอามาปรุง ในที่สุดมัน

ก็เสีย ต้องทิ้งขยะไป ประการต่อมาคือเมื่อเอาผักเอาเนื้อทำเป็นอาหาร แต่ว่าทำเยอะไป กินไม่หมด ที่เหลือก็ต้องทิ้ง เท่านี้ก็สูญเสียไปเยอะ เขาประมาณว่า อาหารที่ซื้อแล้วไม่ได้ เอามาปรุงหรือปรุงแล้วไม่ได้กินหรือกินไม่หมด ทั่วทั้งโลกรวมแล้วประมาณ ๓๐๐ ล้านตัน ปริมาณขนาดนี้สามารถเลี้ยงคนแอฟริกันได้ทั้งทวีป คือ ๙๐๐ ล้านคนตลอดทั้งปี

คนแอฟริกันนั้นหิวโหย ไม่มีอาหารกิน แต่ว่าคนในส่วนอื่นของโลกกลับกินทิ้งกินขว้าง เวลานี้คนแอฟริกันที่ตายเพราะขาดอาหาร มีเป็นล้านๆ คนไม่ใช่น้อยเลย นี้ยัง ไม่ได้พูดถึงผัก ผลไม้ ข้าวที่ตกหล่นกลางทางก่อนที่จะมาถึงร้าน ผลไม้ที่ปลูกตามสวน ต่างๆ หรือธัญพืชที่ปล่อยทิ้งไว้ในไร่นา ไม่ได้เก็บเอามาขายก็มีมาก เพราะว่าไม่ได้ มาตรฐานที่ตลาดกำหนด ปลูกแล้วเขาไม่รับซื้อ ก็เลยขี้เกียจเก็บ ปล่อยให้มันเน่าคาไร่นา คาสวน อันนี้ก็มีมาก หรือว่าตกหล่นระหว่างทาง ทั้งจากการขนส่ง หรือจากกระบวนการ จัดเก็บ มีอีกตัวเลขหนึ่งที่น่าตกใจ คือข้าวที่ปลูกในเอเชียอาคเนย์หรือประเทศแถวบ้านเรา ทั้งไทย เวียดนาม พม่า ลาว เขมร ประมาณ ๔๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ จะตกหล่น สูญหาย หรือเน่าเสียก่อนที่จะถึงร้านค้า คือ ตอนขนก็ขนไม่หมด ทิ้งไว้ตามไร่นา ส่วนนี้อาจจะ

ไม่สูญเปล่าทีเดียวนัก เพราะกลายเป็นอาหารของสัตว์ เช่น นก หนู ทีนี้พอขนขึ้นแล้ว ระหว่างทางก็ตกหล่นเรี่ยราด พอมาเข้ายุ้งฉางก็เก็บไว้จนเน่าเสีย ขึ้นรา แค่นี้ก็สูญหาย ไปแล้ว ๔๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ของข้าวที่ปลูก ส่วนที่เอามาขายก็ประมาณ ๒๐ เปอร์เซ็นต์


เท่านั้น แต่ซื้อไปแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็มาก เพราะอย่างที่บอก ซื้อไปแล้วก็เก็บจนเน่า หรือพอปรุงเป็นอาหารแล้วก็กินไม่หมด อันนี้เป็นเพราะไม่ได้ซื้อให้พอดีกับความต้องการ ถ้าเราซื้อให้พอดีกับความต้องการ ทำพอดี มันก็ไม่เกิดการสูญเสียมากมายขนาดนี้ เพียงแค่เราซื้อมาพอกิน ตักพอกิน หรือไม่กินทิ้งๆ ขว้างๆ จะช่วยโลกได้เยอะ เพราะว่า ช่วยลดของเสียซึ่งกลายเป็นขยะทำลายสิ่งแวดล้อม การที่เรากินอาหารด้วยความรู้ค่า รู้คุณ เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง ถ้าเรา เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรากิน เราก็จะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณของชีวิตและผู้คนที่ผลิตและนำ อาหารมาให้เรา สำนึกดังกล่าวจะกระตุ้นเตือนให้เราพยายามใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า เพื่อ ตอบแทนบุญคุณของสรรพชีวิตที่ให้อาหารเรา สิ่งนี้เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งที่เรา ควรจะทำเป็นอาจิณ ก่อนที่จะกินอาหารพระบางวัดจะสวดสวดเป็นภาษาบาลี เรียกว่าสวดปฏิสังขาโย จุดมุ่งหมายก็เพื่อเตือนสติให้เรากินอย่างรู้ค่า ให้รู้ว่าควรกินเพื่ออะไร คือ กินเพื่อให้ ร่างกายอยู่ได้ ไม่ใช่กินเพื่อความเอร็ดอร่อย เพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน เพื่อ

ความโก้เก๋ แต่กินเพื่อบรรเทาความหิว และไม่ทำให้มีความทุกข์เพิ่มขึ้น บางคนกินเข้าไป แล้วความหิวหายไป แต่ความทุกข์ใหม่เข้ามาแทนคือความจุกเสียด นี้เป็นเพราะกิน

อย่างไม่มีสติ ปัจจุบันโทษของการกินอย่างไม่มีสติมีมากมาย ไม่ใช่แค่จุกเสียดเท่านั้น สารอาหารที่สะสมมากเข้ายังกลายเป็นไขมันอุดตันตามเส้นเลือด โดยเฉพาะเส้นเลือด

ที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจ หรือเส้นเลือดสมอง สุดท้ายก็ป่วยและตายก่อนวัยอันควร ถ้ากินอย่างไม่มีสติ กินด้วยความเพลิดเพลิน ไม่มีปัญญาในการกิน กินตามใจปาก ไม่ เ ห็ น คุ ณ ค่ า และโทษของมั น ก็ ส ามารถก่ อ ผลเสี ย แก่ ตั ว เราได้ ซึ่ ง เป็ น วิ บ ากกรรม

อย่างหนึ่ง ทุกวันนี้มีผู้คนมากมายเจ็บป่วยเพราะกินอาหารอย่างไม่มีสติ ไม่ใช้ปัญญา เมื่อเจ็บป่วยแล้วก็ไม่ต้องโทษอดีตชาติ ไม่ต้องโทษกรรมในชาติที่แล้วว่าทำให้เจ็บป่วย แต่เป็นเพราะการกระทำของเราในชาตินี้ทั้งนั้น ถ้ากินอย่างไม่มีสติ กินอย่างไม่ใช้ปัญญา ผลร้ายก็สามารถจะเกิดกับเราโดยไม่ต้องรอชาติหน้า ปีที่กำลังจะผ่านไปเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่ถึงแม้บ้านเมืองจะผันผวนร้อนรุ่ม เพียงใด ใจของเราก็ยังสามารถสงบเย็นได้เสมอ ใจที่สงบเย็นนี้แหละที่จะช่วยพาสติให้ กลับมาจนเกิดปัญญา สามารถนำพาชีวิตให้พ้นวิกฤตและบรรเทาความร้อนรุ่มในบ้านเมืองได้ ปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจในการฟังฝ่าอุปสรรค สามารถสร้างประโยชน์สุข ให้เกิดขึ้นทั้งแก่ตนเองและส่วนรวม

พุ ท ธิ ก า

ฉบับที่ ๕๓ ปีที่ ๑๕ มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๗

เมื่อถูกกลายเป็นผิด

๑ ๔

ปัญหาการคอร์รัปชั่นในประเทศไทย

๑๑

ทำดีได้ ไม่ต้องใช้คำขวัญ ลมหายใจสุดท้ายของเขื่อนแม่วงก์

๑๖ ๒๒

บทพิสูจน์ของชายหนุ่ม

๒๙

๓๒ ๓๗ ๔๒


พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

วันที่สองของการอบรมซึ่งจัดในห้องสวดมนต์ วิทยากรชวนทำ กิจกรรม “สวมบทบาท” โดยให้สมาชิกสองคนรับบทเป็น “ตัวประกัน” ซึ่งถูกผู้ก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งจับตัวไป คนที่เหลือสวมบทบาทเป็นผู้เจรจา เพื่อให้สองคนนั้นได้รับอิสรภาพ ส่วนวิทยากรรับบทเป็นผู้ก่อการร้าย เมื่อชี้แจงบทเรียบร้อยแล้ว เขาก็ควักบุหรี่ออกมาสูบ หนึ่งในผู้อบรมประท้วงทันทีว่า “ขอโทษครับ ห้ามสูบบุหรี่ในห้อง สวดมนต์” แต่เขาทำทีไม่สนใจ ยังคงสูบต่อไป ครั้นถูกทักท้วงหนักเข้า เขาก็พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “กฎระเบียบอะไรของคุณ ผมไม่สนใจ หรอก คุ ณ อยากเจรจาเรื่ อ งสู บ บุ ห รี่ หรื อ อยากให้ เ พื่ อ นของคุ ณ ได้ อิสรภาพ?”

ในหนังสือเรื่อง Mindful Politics ซึ่งรวบรวมทัศนะ ชาวพุ ท ธอเมริ กั น เกี่ ย วกั บ สั ง คมและการเมื อ ง ริ ช าร์ ด

รีออค (Richard Reoch) ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในสำนัก ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งในอเมริกา ซึ่งให้แง่คิดอย่างน่าสนใจ เรื่องของเรื่องก็คือ สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนั้นเห็นว่า ควรมี ก ารอบรมให้ ส มาชิ ก มี ค วามรู้ แ ละทั ก ษะการระงั บ ความขั ด แย้ ง ด้ ว ยสั น ติ วิ ธี เพราะเห็ น ว่ า สอดคล้ อ งกั บ

คำสอนทางพุทธศาสนา จึงได้เชิญวิทยากรผู้หนึ่งมาจัด อบรมเชิงปฏิบัติการในช่วงเสาร์อาทิตย์ วิทยากรผู้นี้ไม่ใช่ ชาวพุทธ แต่ก็เข้าใจแนวคิดและอารมณ์ความรู้สึกของคน กลุ่มนี้พอสมควร 4

“เราจะไม่เจรจากับคุณจนกว่าคุณจะเคารพห้องสวดมนต์ของ เรา” อีกคนหนึ่งยืนกราน “โอเค หยุ ด สู บ ก็ ไ ด้ ” ว่ า แล้ ว ผู้ ก่ อ การร้ า ยก็ เ ดิ น ไปที่ แ ท่ น บู ช า

สูบบุหรี่เฮือกใหญ่ แล้วก็ขยี้ก้นบุหรี่บนพระเพลา (ตัก) ของพระพุทธรูป ทุกคนในห้องนิ่งอึ้งไปหมด ตอนนี้ ไม่มีใครสนใจการสวมบทบาทแล้ว ต่าง วิ่งไปดูว่าพระพุทธรูปเสียหายหรือไม่ “คุ ณ รู้ ไ หมว่ า ทำอะไรลงไป” มี

คนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “นี่พระพุทธรูปนะ”

5


“ผมไม่ ส นใจ นี่ ไ ม่ ใ ช่ พ ระพุ ท ธรู ป ของผม และนี่ ก็ ไ ม่ ใ ช่ ห้ อ ง

สวดมนต์ของผม ตอนนี้ผมหยุดสูบบุหรี่แล้ว พวกคุณอยากเจรจาเรื่อง เพื่อนของคุณหรือเปล่า ไม่งั้นผมก็จะออกจากห้องนี้ไป” ตอนนี้ทุกคนพากันเดือดดาล ไม่มีใครสนใจเรื่องการเจรจาปล่อย ตัวประกันแล้ว เพราะโกรธเคืองที่เขาดูหมิ่นพระพุทธรูป ชายคนหนึ่ง เดินไปหาเขาแล้วพูดว่า “เราเชิญคุณมาที่นี่เพื่อจัดอบรม เรารู้ว่าที่นี่ ไม่ใช่สถานที่ของคุณและคุณก็ไม่ได้นับถือพุทธ แต่นี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ของเรา เราขอให้คุณเคารพสถานที่แห่งนี้” “คุณอยากรู้ว่าผมเคารพสถานที่นี้แค่ไหนหรือ?” ว่าแล้วเขาก็เดิน ไปมุมห้องแล้วฉี่ใส่พื้น เท่านั้นแหละทุกคนอดใจไม่อยู่ กรูไปหาเขา แล้วกลุ้มรุมทำร้าย เขา บ้างก็เตะ บ้างก็ต่อย จนเขาล้มลง แต่ก็พาตัวหนีออกมาได้ พร้อม กับบอกให้ “ตัวประกัน” เป็นอิสระ ก่อนที่เขาจะออกจากห้องสวดมนต์ นั้น แล้วไม่กลับมาอีกเลย การอบรมครั้งนั้น แทนที่จะทำให้ผู้คนเชื่อมั่นและมีทักษะทางด้าน สันติวิธีมากขึ้น กลับลงเอยด้วยความรุนแรง นักปฏิบัติธรรมซึ่งรักสงบ เคร่งในศีล บางคนกินมังสวิรัตินานนับสิบปีด้วยซ้ำ แต่เหตุใดกลับลงมือ เตะต่อยทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน? อันที่จริงเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้นจากเรื่องสมมุติ พฤติกรรมของ วิทยากรผู้นั้นก็เป็นแค่การแสดง แต่ทำไมจึงกลายเป็นเรื่องจริงจังจนเกิด การทะเลาะวิวาทขึ้นมาได้ คำตอบก็คือ เป็นเพราะความลืมตัวของผู้เข้า 6

อบรม และที่พวกเขาลืมตัวก็เพราะเห็นความไม่ถูกต้องเกิดขึ้น ซ้ำร้าย เป็นความไม่ถูกต้องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตนสักการะบูชาเสียด้วย คนเหล่ า นี้ เ คารพสั ก การะพระพุ ท ธเจ้ า (และสั ญ ลั ก ษณ์ ที่ เกี่ยวข้อง)เป็นอย่างมาก จนเห็นว่าเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ ครั้นมีคนแตะ ต้องสิ่งเหล่านั้น ทั้งๆ ที่เป็นแค่การแสดง เขาก็รู้สึกถูกกระทบอย่าง รุนแรง เกิดความโกรธจนลืมตัว คนเหล่ า นี้ เ ห็ น ว่ า ความรุ น แรงไม่ ดี สวนทางกั บ คำสอนของ พระพุทธองค์ จึงเห็นความสำคัญของการฝึกฝนสันติวิธี แต่เมื่อลืมตัว เพราะถูกความโกรธครอบงำเสียแล้ว ก็ลืมไปเลยว่ากำลังอบรมเรื่อง สันติวิธีอยู่ พร้อมจะทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือขัดกับ คำสอนของพระองค์ ทั้งนี้เพื่อรักษา “ความถูกต้อง” เอาไว้ 7


ในความเป็นจริง โจทย์ดังกล่าวมิใช่เรื่องเกินเลย ข่าวคราวทำนองนี้ เกิดขึ้นเนืองๆ อันเป็นธรรมดาของยุคนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความหลากหลาย ทางความคิดความเชื่อ รวมทั้งมีการปะทะทางศาสนาและวัฒนธรรมอยู่ เสมอ ความรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเคารพเทิดทูนถูกละเมิดหรือจ้วงจาบ นับวัน จะเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี้คือโจทย์ประเภทหนึ่งที่คนทุกฝ่ายทุกความเชื่อจะ ต้องเตรียมตัวรับมือ สำหรับชาวพุทธ การตอบโต้พฤติกรรมดังกล่าว

มิอาจเป็นอื่นได้ นอกจากการใช้สันติวิธี เพราะนั่นคือสิ่งที่ยืนยันความ เป็นชาวพุทธอย่างแท้จริง ความถู ก ต้ อ งนั้ น เป็ น สิ่ ง ที่ ดี ก็ จ ริ ง แต่ ถ้ า ยึ ด ติ ด ถื อ มั่ น มาก ก็ สามารถผลักดันให้ทำสิ่งที่ผิดได้ เพราะยิ่งยึดติดถือมั่นมากเท่าไร ก็

ยิ่งโกรธเกลียดได้ง่ายจนลืมตัว เมื่อสิ่งที่ยึดติดถือมั่นถูกกระทบ หรือ

เมื่อเจอสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่ยึดติดถือมั่น และเมื่อลืมตัวเสียแล้ว ก็พร้อม จะทำสิ่งที่เลวร้ายหรือตรงข้ามกับสิ่งที่ตนเชื่อ อันที่จริงถ้ามีสติ ก็จะรู้ว่าสิ่งที่วิทยากรผู้นั้นทำก็คือ การสร้าง สถานการณ์ ยั่ ว ยุ เ พื่ อ ฝึ ก ให้ เ ขาเหล่ า นั้ น คิ ด หาทางออกอย่ า งสั น ติ วิทยากรผู้นั้นเลือกที่จะใช้โจทย์ยากๆ คือเรื่องที่กระทบกับความเชื่อหรือ ทิฐิของคนเหล่านั้น ชนิดที่กระเทือนไปถึงอัตตา แต่เป็นเพราะผู้เข้า อบรมนั้นมัวแต่ส่งจิตออกนอก จดจ่ออยู่กับการกระทำที่ “ไม่ถูกต้อง” จนลืมกลับมาดูจิตของตน จึงถูกความโกรธเล่นงาน ผลก็คือแทนที่

จะเรี ย นรู้ ก ารแก้ ปั ญ หาอย่ า งสั น ติ กลั บ ทำสิ่ ง เลวร้ า ยซึ่ ง สวนทางกั บ

หลักธรรมในพุทธศาสนา พูดอีกอย่างก็คือ สมาชิกสำนักปฏิบัติธรรม เหล่านั้นล้วนสอบตก ทั้งในฐานะชาวพุทธและผู้ใฝ่สันติวิธี 8

อย่าว่าแต่การกล่าวร้ายหรือจ้วงจาบสิ่งที่เรารักเลย แม้กระทั่ง

เมื่อมีผู้ทำร้ายเรา พระพุทธองค์ก็ได้ให้ข้อธรรมเตือนใจว่า “หากจะมี พวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า เอาเลื่อยที่มีด้ามสองข้าง เลื่อยอวัยวะ น้อยใหญ่ ผู้มีจิตคิดร้ายแม้ในโจรพวกนั้น ก็ไม่ชื่อว่าทำตามคำสั่งสอน ของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น แม้ในข้อนั้น เธอทั้งหลายควร

สำเหนียกอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรผัน เราจักไม่เปล่งวาจาชั่ว หยาบ จักหวังอนุเคราะห์สิ่งที่เป็นประโยชน์ มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะ ภายใน แผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น” การจ้วงจาบพระพุทธรูป ทำลายวัดวาอารามนั้น ไม่สามารถทำให้ พุทธศาสนาคลอนแคลนได้ ตราบใดที่ชาวพุทธยังมั่นคงในหลักธรรม แต่เมื่อใดที่ชาวพุทธประพฤติตนคลาดเคลื่อนจากหลักธรรมแล้ว แม้มี พระพุทธรูปใหญ่ที่สุดในโลก มีวัดวาอารามที่งดงามมาก สถานะของ พุทธศาสนาก็นับว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

9


ความเคารพในพระพุทธรูปหรือสัญลักษณ์ในพุทธศาสนา เป็นสิ่ง สำคัญอย่างหนึ่งของชาวพุทธ สามารถน้อมใจให้เป็นกุศล เกิดศรัทธา

ในการทำความดีได้ แต่ถ้ายึดติดถือมั่นในสิ่งนั้นจนกลายเป็น “ตัวกู ของกู” ขึ้นมา มันก็สามารถผลักดันให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้ แทนที่จะทำ เพื่อปกป้องศาสนา อาจกลายเป็นการทำเพื่อปกป้อง “ตัวกู ของกู” ก็ได้ ซึ่งลงท้ายกลายเป็นการบั่นทอนศาสนาหรือสิ่งที่ตนเทิดทูนสักการะ ดั ง ที่ ก ำลั ง เกิ ด ขึ้ น โดยพระพม่ า และศรี ลั ง กาที่ ใ ช้ ค วามรุ น แรงกั บ ชาว มุสลิมในนามของการปกป้องพุทธศาสนาในเวลานี้ ไม่ใช่แต่พุทธศาสนาเท่านั้น อุดมการณ์อันสูงส่งใดๆ หากยึดติด ถือมั่นเสียแล้ว ก็สามารถส่งผลให้ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับอุดมการณ์เหล่านั้น ก็ได้ ในทำนองเดียวกันยิ่งยึดมั่นในความดีความถูกต้องมากเท่าไร ก็ อาจลืมตัวจนทำสิ่งที่ผิดก็ได้ นี้ใช่ไหมที่ทำให้คนดีๆ เห็นด้วยกับการฆ่า ตัดตอนพ่อค้ายาเสพติด หรือเข้าไปรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหาฆ่าข่มขืน

จนตายคาที่ รวมทั้งทำให้ผู้รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ พากันกลุ้มรุมทำร้าย และทรมานนักศึกษาในเหตุการณ์ ๖ ตุลาฯ จนถึงตาย “ถึงความเห็นของเราจะถูก แต่ถ้าเรายึดเข้าไว้ มันก็ผิด” คำสอน สั้นๆ ของหลวงพ่อเฟื่อง โชติโก อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมสถิต จังหวัด ระยอง สามารถเตือนใจทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่เฉพาะกับชาวพุทธ เท่านั้น

10

ส ถ า บั น วิ จั ย เ พื่ อ ก า ร พั ฒ น า ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย

คอร์ รั ป ชั่ น เป็ น ภั ย คุ ก คามของมนุ ษ ย์ ที่ ไ ม่ เ พี ย งทำลาย

ทั้งชีวิตความเป็นอยู่และชุมชนของผู้คน ยังทำให้ประชาชนเกิด ความเจ็ บ แค้ น นำไปสู่ สั ง คมที่ ไ ม่ มี เ สถี ย รภาพและเต็ ม ไปด้ ว ย

ความขัดแย้งรุนแรง ดั ช นี ภ าพลั ก ษณ์ ก ารคอร์ รั ป ชั่ น ไม่ มี ป ระเทศใดในโลกที่

ขาวสะอาดหมดจด ๒ ใน ๓ ของประเทศในโลกมีคะแนนความ โปร่งใสน้อยกว่า ๕๐ (จากคะแนนเต็ม ๑๐๐) บ่งชี้ว่าการคอร์รัปชั่น

กำลังเป็นปัญหาร้ายแรง ประเทศไทยดูเหมือนว่าสภาพปัญหา

จะหนักหน่วงรุนแรงขึ้นทุกวัน จากการสำรวจ Global Corruption Barometer 2013 (พ.ศ.๒๕๕๖) พบว่านักลงทุนจากต่างประเทศ กังวลกับปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทยมากที่สุด ขณะที่คนไทย ๑ ใน ๖ คนยอมรับว่าเคยจ่ายสินบน 11


คอร์รัปชั่น ยังส่งผลเสียต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย มี

การคาดการณ์ว่าคอร์รัปชั่นสร้างความเสียหายให้กับประเทศราว

๑ แสนล้านบาทต่อปี และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศสูญเสีย การลงทุนจากต่างประเทศราว ๖,๐๐๐ ล้านบาทในช่วงปี ๒๕๕๐๒๕๕๕

ข้ อ สั ง เกตที่ น่ า สนใจก็ คื อ ประเทศที่ ส ามารถก้ า วขึ้ น เป็ น ประเทศกำลั ง พั ฒ นาขั้ น สู ง เช่ น เกาหลี ใ ต้ แ ละไต้ ห วั น ต่ า งก็ มี พัฒนาการด้านความโปร่งใสอย่างเห็นได้ชัด เกาหลีใต้ได้คะแนน ความโปร่งใสเพิ่มขึ้นจาก ๔.๒๙ ในปี ๒๕๓๘ เป็น ๕.๖ ในปี ๒๕๕๕ ส่วนไต้หวันได้คะแนนความโปร่งใสเพิ่มขึ้นจาก ๕.๐๘ ในปี ๒๕๓๘ เป็น ๖.๑ ในปี ๒๕๕๕

สถานการณ์การคอร์รัปชั่นในประเทศไทย

คอร์รัปชั่นเป็นปัญหาเรื้อรังในระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย แม้ จ ะมี ค วามพยายามลดความรุ น แรงของปั ญ หา แต่ ยั ง ไม่ มี มาตรการใดที่แก้ไขปัญหาได้จริง จากการจัดทำดัชนีภาพลักษณ์การ คอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index) โดยองค์กรเพื่อความ โปร่งใสระหว่างประเทศ เมื่อปี ๒๕๕๕ ประเทศไทยได้คะแนนความ โปร่งใสเพียง ๓๗ จากคะแนนเต็ม ๑๐๐ จัดอยู่ในลำดับที่ ๘๘ จาก ๑๗๔ ประเทศที่ทำการสำรวจ นั บ ตั้ ง แต่ มี ก ารจั ด ทำดั ช นี ภ าพลั ก ษณ์ ก ารคอร์ รั ป ชั่ น ในปี ๒๕๓๘ คะแนนความโปร่งใสของประเทศไทยแทบไม่ดีขึ้น ปี ๒๕๓๘ ประเทศไทยได้คะแนนความโปร่งใสเพียง ๒.๗๙ จากคะแนนเต็ม ๑๐ ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น ๓.๓๓ ในปี ๒๕๓๙ และค่อนข้างคงที่ตลอด ระยะเวลากว่า ๒๐ ปีที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศสมาชิก อาเซี ย น คะแนนความโปร่ ง ใสของไทยอยู่ ใ นระดั บ ใกล้ เ คี ย งกั บ อิ น โดนี เ ซี ย และฟิ ลิ ป ปิ น ส์ และต่ ำ กว่ า มาเลเซี ย เล็ ก น้ อ ย ขณะที่ สิงคโปร์ได้คะแนนความโปร่งใสสูงกว่าไทยมาโดยตลอด 12

คอร์รัปชั่นกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

รายงานดั ช นี เ สรี ภ าพทางเศรษฐกิ จ จั ด ทำโดย Heritage Foundation (พ.ศ.๒๕๕๖) ระบุว่าหลักนิติรัฐ มีความสำคัญต่อการ เติบโตทางเศรษฐกิจ โดยตัวชี้วัดหนึ่งที่สะท้อนหลักนิติรัฐ คือตัวชี้วัด ด้านเสรีภาพจากการคอร์รัปชั่น ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากดัชนีภาพลักษณ์

การคอร์รัปชั่น ตัวชี้วัดด้านเสรีภาพจากการคอร์รัปชั่นนี้มีความสัมพันธ์ อย่าง

มี นั ย สำคั ญ กั บ ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ม วลรวมภายในประเทศต่ อ หั ว (GDP) 13


รายงานฉบับดังกล่าวสรุปว่า ในกรณีของประเทศกำลังพัฒนา หลัก นิติรัฐเป็นเสรีภาพทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในการวางรากฐานเพื่อ สร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา ประเทศไทย

มีดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจอยู่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยรวมทั้งโลกเล็กน้อย แต่ตัวชี้วัดด้านเสรีภาพจากการคอร์รัปชั่นกลับอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

รวมทั้งโลกมาโดยตลอด การคอร์รัปชั่นจึงเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งการเติบโต ทางเศรษฐกิจของไทย

คอร์รัปชั่นกับการแข่งขันทางเศรษฐกิจ

ปัญหาการคอร์รัปชั่นส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศเช่นกัน โดย World Economic Forum ได้จัดทำ The Global Competitiveness Report 2013-2014 (พ.ศ.๒๕๕๖๒๕๕๗) จากผลสำรวจความเห็นของนักธุรกิจทั่วโลกเกี่ยวกับปัญหา ในไทยเห็นว่า การคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาสำคัญอันดับแรก รองลงมา คือความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลและความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย จัดอันดับประเทศไทยอยู่ที่ลำดับ ๓๗ จากทั้งหมด ๑๔๘ ประเทศ แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากข้อมูลปี ๒๕๕๔-๒๕๕๕ และ ๒๕๕๕๒๕๕๖ รายงานระบุว่าบริการสุขภาพและการศึกษา ซึ่งเป็นสองเสา หลักของความสามารถในการแข่งขัน จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข อย่างเร่งด่วน เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการแพร่เชื้อ เอชไอวีสูงที่สุด 14


พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการประกาศต่อสาธารณชน หลังจากนั้น หนึ่งปีได้มีการนำถนนทั้งสองสายมาเปรียบเทียบกัน ปรากฏว่าสถิติ อาชญากรรมบนถนนสายที่สะอาดและงดงามลดลงเกือบ ๕๐% ผู้เขียนไม่ได้อธิบายว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่ปรากฏการณ์

ดังกล่าวคล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้นในหลายเมืองของหลายประเทศ เช่น สหรั ฐ อเมริ ก า และเนเทอร์ แ ลนด์ เมื่ อ ชุ ม ชนมี ค วามเป็ น ระเบี ย บ เรียบร้อยอาชญากรรมก็ลดลง สิ่งที่น่าคิดก็คือทั้งสองอย่างเกี่ยวพันกัน อย่างไร คำตอบก็คือ ชุมชนที่เป็นระเบียบเรียบร้อยนั้นแสดงว่าผู้คน ใส่ใจส่วนรวม คนที่อยู่ในบรรยากาศแบบนี้ย่อมเกิดตระหนักว่าตนจะ

ทำตามอำเภอใจไม่ได้ จึงเกิดความยับยั้งชั่งใจเมื่อนึกอยากทำผิดกฎ ระเบียบ

ในหนังสือเรื่อง “ปัญญาเหนือทุกข์” ของ แจ๊ค คอร์นฟิลด์ (กำธร เก่งสกุล แปล) ผู้เขียนเล่าถึงการวิจัยที่ทำในย่านพักอาศัยของ คนจนในกรุ ง ลอนดอน ถนนสองสายถู ก เลื อ กขึ้ น มาเพื่ อ การศึ ก ษา

เปรียบเทียบ ทั้งสองสายมีสภาพคล้ายกันและอยู่ห่างกันไม่ถึง ๒ กม.

ที่สำคัญคือมีสถิติอาชญากรรมในระดับสูงพอๆ กัน แต่นักวิจัยได้เลือก ถนนสายหนึ่งให้มีการเอาใจใส่อย่างดี เช่น ทำความสะอาดทุกวันเป็น เวลาหนึ่งปี เก็บขยะถูกชิ้น ลบรอยขีดเขียนบนกำแพงในที่สาธารณะ ปลูกไม้ดอกตรงขอบทางเดินและรดน้ำต่อเนื่อง ไฟริมถนนตลอดจน

ป้ายที่แตกหักได้รับการซ่อมแซมและทาสีใหม่ 16

คำอธิบายดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากความคิดที่ว่า อาชญากรรม ตามชุมชนต่างๆ มักเริ่มจากการกระทำผิดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ปากระจก หน้าต่างแตก หรือขีดเขียนในที่สาธารณะแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้คนจึง ได้ใจและกล้าทำสิ่งที่อุกอาจมากขึ้น เช่น ลักขโมย และลุกลามไปสู่ อาชญากรรมที่รุนแรง แนวความคิดนี้มองว่า การปล่อยให้มีกระจก หน้าต่างแตกหรือสีขีดเขียนเปรอะเปื้อนในที่สาธารณะเป็นเวลานานๆ คือการส่งสัญญาณว่า ชุมชนนี้ไม่มีใครเอาเป็นธุระ อยู่อย่างตัวใคร

ตัวมัน เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้คนอื่นๆ ทำตามอำเภอใจ ไม่สนใจ

กฎเกณฑ์หรือกติกา เกิดความ รู้ สึ ก อยากทำสิ่ ง แย่ ๆ อย่ า ง เดี ย วกั น บ้ า ง หรื อ ทำยิ่ ง กว่ า (แกทำได้ ฉันก็ต้องทำได้สิ) 17


ฟิลิป ซิมบาร์โด นักจิตวิทยาชื่อดังแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เคยทดลองเอารถคันหนึ่งซึ่งไม่มีป้ายทะเบียนมาจอดโดยเปิดฝากระโปรง ทิ้งไว้ในเมืองบรองซ์ กรุงนิวยอร์ค อันเป็นย่านคนจนและเต็มไปด้วย อาชญากรรม ส่ ว นรถอี ก คั น หนึ่ ง เอาไปจอดทิ้ ง ไว้ ที่ เ มื อ งพาโลอั ล โต แคลิ ฟ อร์ เ นี ย ซึ่ ง เป็ น ย่ า นคนมี ฐ านะ สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น ก็ คื อ ในชั่ ว เวลา

ไม่กี่นาทีรถคันแรกก็ถูกถอดแบตเตอรี่และหม้อน้ำ แล้วชิ้นส่วนอื่นๆ ก็ ถูกถอดตามมา ภายในเวลา ๒๔ ชั่วโมง ก็ไม่เหลือของมีค่าอยู่เลย

ในที่สุดก็มีคนทุบกระจกเข้าไปขโมยชิ้นส่วนภายในรถ

แนวความคิ ด นี้ มี อิ ท ธิ พ ลอย่ า งมากต่ อ นโยบายของ สำนักงานตำรวจกรุงนิวยอร์คเมื่อ ๒๐-๓๐ ปีที่แล้ว มีการ ขจั ด รอยขี ด เขี ย นในที่ ส าธารณะ ดู แ ลสถานี ร ถไฟใต้ ดิ น ให้ สะอาดสะอ้าน รวมทั้งใส่ใจกับการทำผิดกฎเล็กๆ น้อยๆ เช่น ไม่จ่ายค่าตั๋วรถไฟใต้ดิน หรือทำลายทรัพย์สินสาธารณะ สิ่งที่ ตามมาก็คือ อาชญากรรมในกรุงนิวยอร์คซึ่งเคยพุ่งสูงได้ลด ลงไปมาก ความสำเร็จดังกล่าวมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง แต่

เชื่อว่าการทุ่มเทในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังก็มีส่วนอยู่ไม่น้อย

ตรงข้ า มกั บ รถคั น ที่ ส อง ไม่ มี ใ ครแตะต้ อ งรถคั น นั้ น นานเป็ น อาทิตย์ แต่เมื่อซิมบาร์โดลงมือทุบกระจกรถคันนั้นเสียเอง ไม่นาน

ก็มีคนไปรื้อถอดชิ้นส่วนรถไม่ต่างจากที่บรองซ์ ซิมบาร์โดชี้ว่าสาเหตุที่ การรื้อถอดชิ้นส่วนรถเกิดขึ้นเร็วมากในบรองซ์ ก็เพราะคนที่นั่นรู้สึกว่า จะทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครสนใจ พฤติกรรมแบบเดียวกันนี้สามารถเกิดขึ้น ได้แม้กระทั่งในถิ่นคนมีฐานะ หากมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนรู้สึก ว่า “ทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครสนใจ”

ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นตัวอย่างชี้ให้เห็นว่า สภาพ แวดล้ อ มกั บ พฤติ ก รรมของผู้ ค นนั้ น เกี่ ย วพั น กั น อย่ า งยิ่ ง

สิ่ ง แวดล้ อ มที่ ไ ด้ รั บ การดู แ ลเอาใจใส่ อ ย่ า งเป็ น ระเบี ย บนั้ น สามารถลดทอนพฤติกรรมด้านลบของผู้คน ทำให้อาชญากรรม ลดลงได้ ในทางตรงข้ามสภาพแวดล้อมที่ถูกปล่อยปละละเลย สามารถส่ ง เสริ ม ให้ ค นมี พ ฤติ ก รรมในทางลบจนกระทำ อาชญากรรมต่างๆ ได้ไม่ยาก

ในกรณีดังกล่าว สิ่งที่เป็นสัญญาณว่า “ทำอะไรก็ได้ ไม่มีใคร สนใจ” ก็ คื อ กระจกรถที่ ถู ก ทุ บ แตกนั่ น เอง นี้ เ ป็ น ที่ ม าของทฤษฎี “หน้าต่างแตก” ของเจมส์ วิลสัน และยอร์จ เคลลิ่ง ทั้งสองอธิบาย ดังนี้ว่า “สมมติว่ามีอาคารหลังหนึ่งซึ่งมีหน้าต่างแตกหลายบาน หาก หน้าต่างไม่ได้รับการซ่อม ก็มีแนวโน้มว่าอันธพาลจะทุบหน้าต่างแตก เพิ่มขึ้น ในที่สุดพวกเขาก็จะแอบเข้าไปในอาคารนั้น และหากอาคารนั้น ไม่มีคนอยู่ มันก็อาจกลายเป็นที่อาศัยของคนเหล่านั้นหรือจุดไฟข้างใน” 18

19


ทั้งหมดนี้ชี้ว่าความดีหรือศีลธรรมของผู้คนนั้น ไม่ได้อยู่ที่จิตสำนึก ล้วนๆ แต่ยังขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งแวดล้อม

มีผลต่อจิตสำนึก และนำไปสู่พฤติกรรมที่สอดคล้องกัน ดังนั้นการ พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนให้มีศีลธรรม จึงไม่ควรเน้นที่ การเทศน์การสอนหรือการรณรงค์ด้วยคำขวัญเท่านั้น แต่ควรให้ความ สำคั ญ กั บ การปรั บ ปรุ ง สภาพแวดล้ อ ม รวมถึ ง การสร้ า งเหตุ ปั จ จั ย ภายนอกที่เกื้อกูลด้วย อาทิ การกระจายโภคทรัพย์ไม่ให้เกิดความยากไร้ อันที่จริงสภาพแวดล้อมยังสามารถมีอิทธิพลในลักษณะอื่นๆ ต่อ พฤติกรรมของผู้คน ตัวอย่างที่น่าสนใจก็คือ การทดลองในสำนักงาน ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอังกฤษ พนักงานสามารถหาชาหรือกาแฟ ได้จากครัวรวม แต่ต้องชงเองและหยอดเงินใส่กล่องเองด้วย โดยมี

ป้ายบอกราคาติดไว้ที่ข้างฝา วันหนึ่งมีคนเอาภาพโปสเตอร์มาติดเหนือ ป้ายนั้น ภาพนั้นเปลี่ยนไปทุกอาทิตย์ ถ้าไม่ใช่ภาพดอกไม้ ก็เป็นภาพ

ตาที่ ก ำลั ง มองมายั ง ผู้ ดู ที่ น่ า แปลกก็ คื อ จำนวนเงิ น ในกล่ อ งจะ เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคืออาทิตย์ใดที่เป็นภาพดอกไม้ จำนวนเงินที่ได้ (ต่อนม ๑ ลิตร) จะลดลง แต่อาทิตย์ใดเป็นภาพตา จ้องมอง จำนวนเงินที่ได้จะเพิ่มขึ้น เฉลี่ยแล้วอาทิตย์ใดที่มีตาจ้องมอง พนักงานจะหยอดเงินมากกว่าอาทิตย์ที่มีดอกไม้ เกือบ ๓ เท่า กล่ า วอี ก นั ย หนึ่ ง ภาพโปสเตอร์ นั้ น มี ผ ลต่ อ ความซื่ อ สั ต ย์ ข อง

พนั ก งานด้ ว ย ภาพตานั้ น ทำให้ ผู้ ค นรู้ สึ ก ลึ ก ๆ ว่ า ถู ก จ้ อ งมอง จึ ง มี

แนวโน้มที่จะจ่ายเงินตามราคา แต่หากเป็นภาพอื่น ก็อาจจะจ่ายบ้าง ไม่จ่ายบ้าง หรือจ่ายไม่ครบ 20

เรื่องทำนองนี้อันที่จริงก็มีกล่าวในพระไตรปิฎก หนึ่งในนั้นเป็น เรื่องของพระราชาที่ต้องการปราบโจรผู้ร้ายซึ่งมีอยู่ชุกชุม ความคิดของ พระราชาก็คือ เพิ่มบทลงโทษให้หนักขึ้น แต่พราหมณ์ปุโรหิตทักท้วง เพราะเห็นว่าจะทำให้ปัญหาหนักขึ้น พราหมณ์เสนอให้มีการกระจาย ทรัพย์หรือส่งเสริมอาชีพ ไม่ว่าเกษตรกร พ่อค้า และขุนนาง พระราชา คล้อยตาม ปรากฏว่าเมื่อประชาชนอยู่ดีกินดี มีอาชีพ มีรายได้พอแก่ อัตภาพ โจรผู้ร้ายก็หายไป ชาวเมืองอยู่อย่างผาสุก “รื่นเริงบันเทิงใจ อุ้มลูกฟ้อนรำไปมา สนุกสนาน บ้านช่องไม่ต้องปิดประตูลั่นกุญแจ” น่าสังเกตว่า พราหมณ์ (ซึ่งเป็นตัวแทนความคิดของพระพุทธเจ้า) ไม่ได้เสนอให้มีการเทศนาสั่งสอนประชาชนหรือรณรงค์ให้ประชาชน

มีศีลธรรมแต่อย่างใด เพียงแค่จัดระบบเศรษฐกิจให้ดี อาชญากรรมก็ ลดลง ศีลธรรมก็กลับมา เรื่องนี้ชี้ว่าในการเสริมสร้างศีลธรรมของผู้คน สิ่งหนึ่งที่มิอาจ

มองข้ามได้เลยก็คือการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมและเหตุปัจจัยภายนอก ให้เกื้อกูลต่อจิตสำนึกและพฤติกรรมของผู้คนด้วย

21


วั ช ร ะ ส ง ว น ส ม บั ติ

เทพีแห่งโชคคงเข้าข้างผม เพราะเพียงแค่ความพยายามครั้งแรก ความสมหวั ง ก็ ป รากฏกายอยู่ ต รงโตรกหิ น ในคลองขลุ ง ข้ า งที่ ท ำการ อุทยานฯ ซึ่งเป็นจุดที่ทราบกันดีว่า นกในฝันของนักดูนกมักบินผ่าน

ไปมาเป็นประจำ เพราะลักษณะลำคลองในป่าโปร่งที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ใหญ่ คือถิ่นอาศัยหลักของนกชนิดนี้ และนั่นก็สะท้อนภาพลักษณะ

ภูมิประเทศที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งของป่าแม่วงก์

“แอ๊ก-แอ๊ก-แอ๊ก” เสียงแหบแหลมดังขึ้น พร้อมกับร่าง สีขาวดำพุ่งผ่านอากาศไปราวลูกกระสุนปืนใหญ่ และรวดเร็ว พอๆ กับเสียงร้อง จนกล้องดูนกในมือผมยังไม่ทันจะยกขึ้นมา ด้วยซ้ำ ภายในชั่วพริบตา ลำห้วยแม่กระสาก็เหลือเพียงเสียง น้ำไหลกระแทกหิน จนดังกลบสำเนียงป่าอื่นๆ ไปสิ้น ทว่าเพียงเท่านั้นก็มากพอแล้วสำหรับการย้อนรอย “นก กระเต็ น ขาวดำใหญ่ (Megaceryle lugubris) ที่ ขึ้ น ชื่ อ ว่ า

หาดู ไ ด้ ย ากเหลื อ เกิ น เพราะหลายปี ม าแล้ ว ที่ ผ มไม่ ไ ด้ เ ห็ น

นกกิ น ปลาขนาดใหญ่ ช นิ ด นี้ อารมณ์ ค วามตื่ น เต้ น ของผม

ย้อนกลับคืนมาไม่ต่างจากคราวก่อนๆ ทุกครั้งที่ได้กลับมา เยือนส่วนหนึ่งของผืนป่าตะวันตกแห่งนี้ 22

หลายคนรู้จักแม่วงก์ในฐานะอุทยานแห่งชาติลำดับที่ ๕๕ ของ ไทย มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ น้ำตกสูงสวย ตลอดจนความสูง ๑,๙๖๔ เมตรจากระดับทะเลของดอยโมโกจูอันเลื่องลือ อุทยานแห่งชาติเนื้อที่ ๘๙๔ ตารางกิ โ ลเมตรแห่ ง นี้ ค รอบคลุ ม พื้ น ที่ บ างส่ ว นของจั ง หวั ด กำแพงเพชรและนครสวรรค์ แม้แผนการของผมคราวนี้จะเป็นเพียงการเดินทางสำรวจเส้นทาง ธรรมชาติสู่น้ำตกแม่กระสาเพื่อเก็บข้อมูลให้กับหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง ทว่าพอถึงกำหนดเดินทางจริง กลับเข้าทำนอง “ใกล้ตาแต่ไกลตีน” เพราะเราต้องเดินเท้ากัน ตั้งแต่ที่ทำการอุทยานฯ กันเลยทีเดียว อีกทั้ง ยังต้องแบกหามอุปกรณ์ตั้งแคมป์ กล้องถ่ายภาพ และเครื่ อ งไม้ เ ครื่ อ งมื อ อี ก พะเรอเกวี ย นจน

พะรุงพะรังไปหมด

23


ระหว่างเส้นทางเดินไปน้ำตกแม่กระสาซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกันกับ การไปดอยโมโกจู ภาพของป่าดงดิบกลับไม่บริสุทธิ์อย่างที่หลายคน

คาดคิด เพราะบริเวณนี้เป็นป่าฟื้นสภาพจากการที่เคยถูกตัดจนเหี้ยน

มาแล้ว ทั้งจากการให้สัมปทานป่าไม้และการบุกรุกแผ้วถางอย่างหนัก

ในอดีต ไม้สักที่กุดเหลือแต่ตอเก่าผุค้างป่ายังเผยให้เห็นร่องรอยของ ซากอดี ต บางตออดทนไม่ ย อมแพ้ ก็ แ ตกหน่ อ เป็ น ต้ น คลุ ม ตอเดิ ม ไว้ รวมถึงต้นสักจากการปลูกสร้างสวนป่าที่เติบโตขึ้นมาทดแทนในบางส่วน ป่าสักบริเวณนี้คือส่วนหนึ่งของลักษณะสำคัญของผืนป่าแม่วงก์ นั่นคือ ป่าเบญจพรรณ และหากรวมกับพื้นที่ป่าเต็งรังซึ่งเชื่อมต่อกันแล้ว อาจ คิดเป็นเนื้อที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่อุทยานฯทั้งหมดด้วยซ้ำ ป่าแม่วงก์ไม่ได้สำคัญเพียงแค่การท่องเที่ยว เพราะหากพิจารณา จากที่ ตั้ ง อุ ท ยานแห่ ง ชาติ แ ม่ ว งก์ แ วดล้ อ มไปด้ ว ยพื้ น ที่ อ นุ รั ก ษ์ ส ำคั ญ อย่างเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าอุ้มผาง เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันออก และอุทยานแห่ง ชาติคลองลาน เว้นก็แต่ทางทิศตะวันออกซึ่งติดกับป่าสงวนและชุมชน ท้องถิ่น ดังนั้นผืนป่าแม่วงก์จึงเป็นเสมือนปราการปกป้อง “ไข่แดง”

24

อย่างมรดกโลกห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร รวมถึงป่าอนุรักษ์อื่นๆ ที่ ผนวกกันเป็นผืนป่าตะวันตก ป่าผืนใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ จากการรุกคืบของชุมชนและกิจกรรมอื่นๆ ของมนุษย์ กระนั้นยังนับว่าเป็นโชคดีของป่าแม่วงก์ในปัจจุบัน ผลสัมฤทธิ์ ของการอนุรักษ์และความต่อเนื่องของป่าแม่วงก์กับผืนป่าใหญ่ตะวันตก คือการที่สัตว์ป่าหลายชนิดกำลังกลับคืนมา สัตว์เหล่านี้เคลื่อนย้ายมา จากผืนป่าตะวันตกที่สมบูรณ์กว่า กลับมาสู่พื้นที่ฟื้นฟู ข้อมูลล่าสุดจาก สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า หรือดับเบิลยูซีเอส (Wildlife Conservation Society: WCS) ยืนยันว่า เสือโคร่งในป่าแม่วงก์กำลังเพิ่มจำนวนอย่าง เห็นได้ชัด โดยปรากฏหลักฐานจากร่องรอยและการสำรวจด้วยกล้อง

ดักถ่ายภาพอัตโนมัติ แม้กระทั่งเส้นทางเดินสู่ห้วยแม่กระสาที่เราย่ำเท้า กันในการเดินทางครั้งนี้ ก็เพิ่งจะบันทึกภาพเสือโคร่งแม่ลูกเอาไว้ได้

ก่อนหน้าการเดินทางของเราไม่นาน เสือโคร่งเหล่านั้นกระจายตัวมาจากเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งมีการศึกษาเสือโคร่งและอนุรักษ์ปกป้องอย่างจริงจัง จนเสือโคร่งเพิ่ม จำนวนขึ้น และตราบใดที่ป่าห้วยขาแข้งยังมีขนาดเท่าเดิม ป่าแม่วงก์จึง กลายเป็นพื้นที่รองรับประชากรเสือโคร่งที่เพิ่มขึ้นโดยปริยาย หลักฐาน ชิ้นหนึ่งคือภาพถ่ายของเสือโคร่งตัวหนึ่งที่กล้องดักถ่ายภาพเก็บภาพไว้ ได้ในป่าห้วยขาแข้ง หลังจากนั้นไม่นานกลับปรากฏภาพของมันอีกครั้ง ในป่าแม่วงก์ นั่นหมายความว่า หากเราสามารถควบคุมการล่าสัตว์ป่า ได้ อ ย่ า งต่ อ เนื่ อ งและจริ ง จั ง หลายฝ่ า ยคาดกั น ว่ า อี ก ไม่ เ กิ น ๑๐ ปี อุ ท ยานแห่ ง ชาติ แ ม่ ว งก์ จ ะกลายเป็ น อุ ท ยานแห่ ง ชาติ ที่ มี ป ระชากร

เสือโคร่งชุกชุมอีกแห่งหนึ่งของไทยและของโลก 25


ก่อนหน้านี้ได้รับการยืนยันว่า สูญพันธ์ุไปจากป่าภาคเหนือเนื่องจากการ บุกรุกป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย และแม้จะมีข่าวคราวการพบเห็นประปราย ในผืนป่าตะวันตก แต่ก็อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือหวงห้ามเกินกว่ามนุษย์

จะเข้าถึงได้ง่ายๆ เช่ น เดี ย วกั บ นกยู ง ที่ เ ชื่ อ กั น ว่ า สามารถฟื้ น ฟู ก ลั บ มาได้ ไ ม่ ย าก (ขอเพียงไม่สูญพันธ์ุไปก่อน) พื้นที่ “ลานนกยูง” ซึ่ง เป็นบริเวณที่ทาง ราชการวางแผนก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์จึงมักถูกหยิบยกขึ้นมา เป็นกรณี ศึกษาเสมอ และเมื่อโครงการนี้ได้รับการปัดฝุ่นอีกครั้ง หลักฐานที่

บ่งบอกถึงการกลับมาของนกขนาดใหญ่ที่เชื่อกันว่าสูญพันธ์ุไปจากพื้นที่นี้ นานแล้ ว ก็ ไ ด้ รั บ การเปิ ด เผยอย่ า งต่ อ เนื่ อ ง ไม่ ว่ า จะเป็ น ภาพถ่ า ย

คำบอกเล่าของคนที่พบเห็น หรือได้ยินเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ การ กลั บ มาของนกยู ง คาดกั น ว่ า เกิ ด ขึ้ น คล้ า ยคลึ ง กั บ กรณี ข องเสื อ โคร่ ง

นั่นคือพวกมันกระจายตัวมาจากป่าห้วยขาแข้ง และลานนกยูงก็เหมาะ อย่างยิ่งสำหรับนกยูงเพศผู้ซึ่งต้องการพื้นที่โล่งกว้าง เพื่อแสดงความ เป็นราชาแห่งปักษี ด้วยการรำแพนขนคลุมหางที่งดงามกว่านกใดๆ เช่นเดียวกับนกเงือกซึ่งพบในป่าแม่วงก์ถึง ๖ ชนิด และเชื่อว่า

คงไม่มีชนิดใดโดดเด่นไปกว่านกเงือกคอแดง (Aceros nipalensis)

นกเงื อ กที่ ไ ด้ ชื่ อ ว่ า สวยงามที่ สุ ด ชนิ ด หนึ่ ง เนื่ อ งจากสี สั น อั น ฉู ด ฉาด

แตกต่างไปจากนกเงือกส่วนใหญ่ที่มีเพียงสีขาวและดำเป็นหลัก ในอดีต นกเงือกชนิดนี้แทบจะสูญสิ้นไปจากป่าเมืองไทย และยังอยู่ในสถานะถูก คุกคามทั่วโลก นกเงือกคอแดงเป็นนกเงือกชนิดเดียวที่มีแหล่งอาศัย หลั ก คื อ ป่ า ดิ บ บนภู เ ขาสู ง ๖๐๐ เมตรจากระดั บ ทะเลขึ้ น ไป ซึ่ ง

26

นับเป็นข่าวดีของนักดูนกและนักธรรมชาติวิทยา เมื่อมีผู้พบเห็น นกเงือกคอแดงบริเวณ “ช่องเย็น” จุดสูงสุดที่ถนน จากที่ทำการฯ สามารถขึ้นไปถึง ซึ่งอยู่บริเวณรอยต่อกับเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าอุ้มผาง และหลังจากนั้นเป็นต้นมาช่องเย็นก็กลายเป็น “หมาย” ของการดู

นกเงือกคอแดงที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดในประเทศไทย เวลาเพียงสามคืนบริเวณลำน้ำแม่กระสา และฝนฟ้าที่ตกไม่เป็น เวลาในปีนี้ ทำให้ผมสำรวจอะไรไม่ได้มาก กระนั้น เมื่อลองย้อนนึก

ดูแล้ว ช่วงเวลาเพียงสั้นๆนี้ ผมกลับได้พบงูที่ไม่รู้จักผีเสื้อที่ไม่เคยเห็น ซึ่งจนทุกวันนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้จากคู่มือดูผีเสื้อเล่มใดๆ ยังไม่รวม ดอกไม้ ห รื อ พื ช ป่ า ที่ ผ มไม่ ช ำนาญ ในสายตาของนั ก ธรรมชาติ วิ ท ยา

ผมคิดว่าป่าแม่วงก์ยังมีความลับอีกมากให้ค้นหา สำหรับนักดูนกอย่าง ผม การได้เห็นนกกระเต็นขาวดำใหญ่สองสามครั้ง ก็ทำให้พออุ่นใจ

ได้ว่า พวกมันยังสามารถอาศัยอยู่ได้ในผืนป่าเมืองไทย

27


พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ในวั น ที่ ถ่ า นไฟความขั ด แย้ ง เรื่ อ งการพั ฒ นาพื้ น ที่ สำหรับเขื่อนถูกเขี่ยให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ต่างคนต่างเสนอ ความเห็นที่แตกต่างเพื่อชักชวนให้เข้าร่วมกับฝ่ายตนเอง คงขึ้นอยู่กับว่าข้อมูลใดน่าเชื่อถือและมีน้ำหนักกว่ากัน ทว่า ในวันที่ผมกำลังลงมือเขียนเรื่องราวนี้ ผมเพิ่งมีโอกาสได้พบ เขียด งู สัตว์ประหลาดจำพวกเดียวกับกบหรือเขียดเพียง แต่มันไม่มีขาและตัวยาวเหมือนงู ที่ตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ไม่มีใครรู้จักมันเลย แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์สะเทินน้ำ สะเทินบก ผมคงไม่สามารถรอบทสรุปครั้งนี้ได้ เพียงแต่ อาจกล่ า วได้ ว่ า สั ต ว์ ป ริ ศ นาจากป่ า แม่ ว งก์ ตั ว นั้ น คง

จุดประกายให้การเดินทางครั้งใหม่ของใครบางคนเริ่มต้นขึ้น อีกครั้งอย่างแน่นอน สนใจอ่านฉบับเต็มได้ใน NATIONAL GEOGRAPHIC เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

28

หลวงพ่ อ ปาน โสนั น โท แห่ ง วั ด บางนมโค เป็ น พระ

มหาเถระร่ ว มสมั ย เดี ย วกั บ หลวงปู่ มั่ น ภู ริ ทั ต โต แต่ ท่ า น

มีชื่อเสียงในฐานะเกจิอาจารย์แห่งภาคกลาง ในขณะที่หลวงปู่ มั่นมีกิตติศัพท์เลื่องลือทั่วภาคอีสานในด้านวิปัสสนากรรมฐาน ประวัติของท่านมีเกร็ดน่าสนใจหลายตอน ตอนที่อายุ

สัก ๓-๔ ขวบ คุณยายของท่านป่วยหนักใกล้เสียชีวิต ใคร ก็ตามที่ไปดูใจท่านล้วนพูดกรอกหูท่านว่า “แม่ แม่ อรหันนะ ภาวนาไว้ อรหัน พระอรหัน จะช่วยแม่” ทุกคนพูดเสียงดัง

จนท่านได้ยินขณะเล่นอยู่ใต้ถุนเรือน ท่านจึงขึ้นไปดูว่าเกิดอะไร ขึ้น พอผู้ใหญ่เห็นท่านก็ไล่ลงมา

29


ตอนเย็นได้เวลากินข้าว ท่านกินแกงฉู่ฉี่แล้วรู้สึกอร่อย ครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาจึงพูดดังๆ ว่า “อรหัน อรหัน” ปรากฏว่าได้เรื่องทันที มารดาของท่าน โกรธมาก ลุ ก พรวดแล้ ว จั บ ตั ว ท่ า นไปวางไว้ น อกชาน แล้ ว ตะโกนสุดเสียงว่า “เอ้า มึงจะตายโหง ตายห่าก็ตายคนเดียว มันจะมาว่าอรหังที่นี่ได้หรือ คำว่า อรหัง พุทโธ นี่คนเขาจะตาย เท่านั้นแหละเขาว่ากัน นี่ดันมาว่า อรหังที่นี่ ทำเป็นลางร้ายให้ คนอื่นเขาพลอยตายด้วย” ท่านงุนงงว่าเกิดอะไร ทำไมแม่ถึงโกรธขนาดนั้น นับแต่ นั้นท่านก็ไม่กล้าพูดคำนี้เลย ต่อเมื่อท่านได้บวชพระ จึงรู้โยม แม่เข้าใจผิด “อรหัง” นั้น เป็นคำที่ดี แสดงถึงองค์คุณของ พระพุ ท ธองค์ แ ละเป็ น อุ ด มคติ ข องชาวพุ ท ธ ท่ า นเคยพู ด ว่ า

“ถ้าใครภาวนาคำนี้ได้ ตกนรกไม่ได้” ด้วยเหตุนี้ท่านจึงชี้แจง

ให้โยมแม่เข้าใจ และแนะนำให้ท่านว่าคำนี้ทุกวัน ท่านก็ทำตาม จนกระทั่งเมื่อจะหมดลม โยมแม่ของท่านก็ยังยึดพุทโธและ อรหัง เป็นอารมณ์ภาวนา ท่านยังเล่าอีกว่าเมื่ออายุครบบวช โยมพ่อโยมแม่อยาก ให้ท่านบวช ท่านก็ยินดีทำตามความประสงค์ของท่าน แต่มี ความสงสัยอยู่ข้อหนึ่งว่า เหตุใดบุรุษเพศจึงหลงใหลใฝ่ฝันใน สตรีเพศมากนัก อะไรที่เป็นแรงดึงดูดของผู้หญิง ท่านอยากรู้ คำตอบเนื่องจากไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงมาก่อน ท่านตั้งใจว่า ถ้ า สตรี เ พศนั้ น น่ า หลงใหล บวชครบพรรษาก็ จ ะสึ ก ออกมา แต่งงาน แต่ถ้าไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจก็จะไม่สึก 30

ที่ บ้ า นของท่ า นมี ท าสคนหนึ่ ง เป็ น หญิ ง รั บ ใช้ ชื่ อ ว่ า

พี่เขียว อายุประมาณ ๒๕ ปี วันหนึ่งขณะที่อยู่ด้วยกันสอง

ต่ อ สองตอนกลางวั น ในครั ว ท่ า นเห็ น เป็ น โอกาสที่ จ ะคลาย ความสงสัย จึงบอกกับพี่เขียวว่า ตั้งแต่เกิดมานอกจากแม่กับพี่ แล้ว ไม่เคยจับเนื้อผู้หญิงคนไหนเลย อยากรู้จริงๆ ว่าเนื้อผู้หญิง มีดีที่ตรงไหน ว่าแล้วก็ยกมือไหว้และพูดต่อว่า “พี่เขียว ขออภัย เถอะ ฉันขอจับเนื้อพี่เขียวดูหน่อยได้ไหมว่า เนื้อผู้หญิงน่ะมัน

ดียังไง เขาถึงชอบกันนัก” พี่ เ ขี ย วก็ แ สนดี อนุ ญ าต แล้ ว ท่ า นก็ เ ลื อ กจั บ ตรง

“กล้ามเนื้อสองกล้ามที่หน้าอก” ของพี่เขียวท่านจับตรงนั้น เสร็จ ก็ลงมาจับที่น่อง รู้สึกแปลกใจจึงพูดขึ้นว่า “เอ๊ะ! มัน คล้ายกันนี่” พี่เขียวก็พยักหน้ารับว่า ใช่ มันก็คล้ายกัน ท่าน

จึงถามพี่เขียวต่อว่า “แล้วทำไมผู้ชายเขาถึงชอบเนื้อผู้หญิงนัก” พี่เขียวตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน แล้ ว ท่ า นก็ ย กมื อ ไหว้ พี่ เ ขี ย วพร้ อ มกั บ พู ด ว่ า “ขอโทษ

ที่ขอจับเนื้อนี่ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่น อยากจะพิสูจน์เท่านั้นว่ามันดี อย่างไร” ผลจากการพิ สู จ น์ ค รั้ ง นั้ น ทำให้ ท่ า นหมดความสงสั ย ท่านจึงก็ตกลงใจว่าเมื่อบวชแล้วก็จะไม่สึกหาลาเพศ แล้วท่าน ก็ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ หลวงพ่อปานมรณภาพในผ้าเหลืองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๑

31


ขาดสติ

Sangsa-nga Laddawan ปุจฉา : วันนี้ลูกมีสติเพียง

ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ส่งผลให้ลูกและเด็กๆ ปลอดภัยจากการถูก รถยนต์เฉี่ยว แต่ก็ได้รับบาดเจ็บที่ขาเพราะยกขากันลูกคนเล็ก ไว้ไม่ให้หล่นมากับพื้น แต่ผู้หญิงที่ขับรถยนต์กลับลดกระจก

ลงมาต่อว่า..ลูกประมาท ขี่รถมอเตอร์ไซด์กลางถนนแล้วยังไป มองหน้าเขาอีก สติที่ไม่อยู่กับตัวก็ขาดกระเจิง ต่อว่ากลับไป.. ว่าเขาขับมาเร็วและยังขับกลางถนนอีก ว่าเขาโกหกและอีก หลายอย่าง พระอาจารย์ ค ะ ลู ก อยากทราบว่ า บาปไหมที่ ต่ อ ว่ า

ด่าเขา เพราะเขาไม่ใช่คนดีเลย แล้วเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราควรนิ่งเฉยไว้หรือเปล่าคะ..ขอบพระคุณค่ะ ลูกอาจตัดสิน เขาผิดไปก็ได้ แต่เขาไร้น้ำใจเหลือเกิน จิตใจเวลานั้น..มัน

โกรธแค้น มันรู้สึกกลัวเหลือเกิน ทำให้ลูกปวดหัวทั้งวันเลย

32

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา : ความโกรธนั้นย่อมทำให้จิตใจ

เศร้าหมอง เป็นทุกข์ ยิ่งพูดหรือทำตามความโกรธ ก็ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น เพราะมักจะพลั้งเผลอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผู้หญิงคนนั้นหากเขาทำไม่ดีกับ คุณ นั่นก็เพราะความโกรธของเขา ขณะเดียวกันก็อยากให้มองกลับมา

ที่ตัวคุณด้วยว่า คุณเองก็คงเผลอทำอะไรที่ไม่ดีกับเขา ก็เพราะความ โกรธเช่นกัน อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ล่อแหลมอย่างนั้น จะห้ามใจไม่ให้ โกรธคงยาก แต่เราควรมีสติให้ทันแล้วกลับมามองใจตนเอง หาไม่ความ โกรธจะทำให้เราเผลอทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ที่ทำให้ต้องเสียใจภายหลัง

ศรัทธาอะไร ระหว่างไสย กับ พระรัตนตรัย

Budd Hanakorn ปุจฉา : หยุดเทพ หยุดไสย ต้อง ศึกษาอะไรครับ พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา : ยังไม่ชัดเจนว่า “หยุดเทพ หยุดไสย” นั้นคุณหมายถึงอะไร แต่หากคุณไม่ต้องการลุ่มหลง ในเทพหรือไสย ก็ไม่ยากอะไร เพราะอยู่ที่ใจของคุณเอง เช่น ถ้าไม่มีศรัทธาในเทพหรือไสย ความลุ่มหลงก็ไม่เกิด ยิ่งถ้า

มีศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้นแล้ว ใจก็จะไม่หวังพึ่ง เทพพึ่งไสยไปเอง โดยไม่ต้องเสียเวลาทุ่มเถียงว่าเทพหรือไสย

33


มีจริงหรือไม่ เพราะถึงจะมีจริง ก็ไม่ถือว่าเป็นสรณะอันประเสริฐ เท่าพระรัตนตรัย อย่างไรก็ตาม ศรัทธาในพระรัตนตรัยจะเกิดขึ้นได้อย่าง แท้จริง ก็ด้วยการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์

จนเห็นแจ่มแจ้งในคุณของพระรัตนตรัย ถึงตอนนั้นใจก็ไม่ถือ อะไรเป็นสรณะนอกจากพระรัตนตรัย

ความหมายของนิโรธ Normaly Dol ปุจฉา : พระอาจารย์ครับช่วยอธิบาย “นิโรธ” ให้ เข้าใจหน่อยสิครับผมยังไม่ค่อยเข้าใจ พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา : นิโรธ แปลว่าความดับทุกข์ หรือ แปลให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ ภาวะปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้น ได้ คือนิพพาน นั่นเอง เนื่องจากดับตัณหาและหมดอวิชชาอย่างสิ้นเชิง เพราะเกิดปัญญาแจ่มชัดว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่

ตัวตน จึงไม่สามารถยึดติดถือมั่นให้เป็นดั่งใจได้ เมื่อมีปัญญาเห็นแจ่มแจ้ง เช่นนี้ อวิชชาก็ดับ ตัณหาหรือความทะยานอยากก็ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือหมดความยึดติดถือมั่นในตัวตน เพราะรู้ว่า ตัวตนหรือ “ตัวกู ของกู” นั้นไม่มีจริง เป็นแค่สิ่งปรุงแต่งขึ้นมาเพราะ อวิชชาหรือความหลง 34

เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

Pongsak Thongkao ปุจฉา : นมัสการครับพระอาจารย์ ผม

ขอถามเรื่อง คนที่เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว บอกอะไร

ก็จะต่อต้านไปอีกทางตลอด เขามีวิบากกรรมอะไรครับ และจะช่วยเขา ได้อย่างไรครับ? พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา : การกระทำของคนเราล้วนเป็นผล จากการกระทำในอดีตไม่มากก็น้อย แต่อดีตที่ว่าไม่จำต้องเป็นอดีตชาติ ก็ได้ อาจเป็นอดีตในปัจจุบันชาติ (ซึ่งสำคัญกว่าอดีตชาติมากมายนัก) เช่น คนที่มีมิจฉาทิฏฐิหรือมีมานะจัด ไม่ฟังคนอื่น ก็อาจเป็นเพราะ

คบมิตรเลว รับรู้แต่สื่อที่ส่งเสริมในทางอบาย (ปาปมิตร) และขาดการ ฝึกฝนอบรมตนในทางที่ถูกต้อง จึงไม่รู้จักคิด (ขาดโยนิโสมนสิการ) เช่น มองแง่ร้าย ใช้แต่อารมณ์ เอาความถูกใจเป็นใหญ่มากกว่าความ

ถูกต้อง เป็นต้น คนเหล่านี้จะพัฒนาตนได้ก็ต้องเริ่มจากมีมิตรดีหรือกัลยาณมิตร คอยให้คำแนะนำ ชี้ทางที่ถูกต้อง รวมทั้งมีความอดทน แม้เขาจะไม่ฟัง หรือต่อต้าน ก็ไม่โกรธเคือง แต่พยายามชนะใจเขาด้วยความดี เมื่อ

เขามีความไว้วางใจหรือศรัทธา ก็จะเปิดใจฟังได้มากขึ้น และอาจเกิด สัมมาทิฏฐิหรือรู้จักคิดได้ อย่างไรก็ตามเป็นธรรมดาที่ว่า ผู้คนจะเปิดใจ 35


ฟังเราก็ต่อเมื่อเราเปิดใจฟังเขาด้วย หากเราไม่ฟังเขา ต่อต้านเขา เขา

ก็จะไม่ฟังเรา ต่อต้านเราเช่นกัน ดังนั้นจึงอยากแนะนำให้คุณรับฟังเขา ด้วย อย่าแสดงทีท่าดูถูกดูแคลนเขา หรือปักใจว่าเขาเป็นคนที่ใช้ไม่ได้

ตั้งแต่แรก

ประกันทางโลกให้ลูก Prasom Isa ปุจฉา : กราบนมัสการพระคุณเจ้า กระผม ได้ทำ “ประกันทางธรรม” ให้กับบุตรทั้งสอง โดยอบรมให้อยู่ใน ศีลในธรรมมาตลอดรวมทั้งความรู้ด้านปรมัตถ์ธรรมพอควร ตอนนี้กระผมจะทำ “ประกันทางโลก” เผื่อในอนาคตเกิดมี เรื่องไม่คาดฝันด้วยความเป็นห่วงครอบครัว ไม่ทราบว่ากระผม ฟุ้งไปกับอนาคตเกินเหตุหรือเปล่า ท่านมีความเห็นอย่างไร ครับ? พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา : อาตมาเห็นว่าไม่เสียหาย หากจะ “ประกันทางโลก” ให้แก่บุตรทั้งสอง ที่จริงควรทำ

ด้วยซ้ำ เพราะอะไรๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคต หากมี การเตรียมการรับมือไว้บ้าง จะช่วยลดความห่วงกังวลไปได้ เยอะ และหากเหตุร้ายเกิดขึ้นจริง จะได้มีปัจจัยช่วยบรรเทา

ผลเสียได้บ้างไม่มากก็น้อย แม้จะเป็นผลเสียทางวัตถุหรือทาง กายก็ตาม 36

คนไทยยังมือเติบ แห่นำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งกระฉูด สวนทาง เศรษฐกิจโลกถดถอย กรมศุลกากรเผยการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย ๑๗ ชนิด ปีงบ ๒๕๕๖ สูงถึง ๑ แสนล้านบาท เป็นน้ำหอม ๑.๕ หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า ๔ พันล้านบาท รองลงมาคือ กระเป๋า ๑.๑ หมื่นล้านบาท เพิ่ ม ขึ้ น ๓ พั น ล้ า นบาท นาฬิ ก านำเข้ า ๑ หมื่ น ล้ า นบาท เพิ่ ม ขึ้ น

๒ พั น ล้ า นบาท เสื้ อ ผ้ า นำเข้ า ๖,๐๐๐ ล้ า นบาท เพิ่ ม ขึ้ น กว่ า

๑ พันล้านบาท แว่นตานำเข้า ๒,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัว ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่เหลือเป็นการนำเข้าเบ็ดเตล็ด นอกจากนี้ยังมีเครื่องสำอาง ขยายตัว ๑๔% เครื่องประดับอัญมณี เพิ่มขึ้น ๒๒% รถยนต์นั่ง เพิ่มขึ้น ๔% นาฬิกาข้อมือ เพิ่มขึ้น ๕๖% เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้น ๑๘% รองเท้า เพิ่มขึ้น ๑๔% ขนมหวาน และช็อกโกแลต เพิ่มขึ้น ๓๐% กระเป๋าถือ เพิ่มขึ้น ๒๕% กล้องถ่ายรูป เพิ่มขึ้น ๒๘๗% และเครื่อง

เล่นเกม เพิ่มขึ้น ๔๔% เป็นต้น โดยมีการวิเคราะห์กันว่า การนำเข้า เสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก นโยบายปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน ทำให้ ต้นทุนการผลิตเสื้อผ้าในไทยปรับตัวสูงขึ้น สินค้าแข่งขันด้านราคาได้ น้อยลง ผู้ค้าจึงหันไปนำเข้าจากประเทศที่มีต้นทุนแรงงานต่ำ ขณะที่

แบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำทั้งจากยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นที่เข้ามาทำตลาด

ในไทยก็ หั น ไปสั่ ง ซื้ อ จากโรงงานผลิ ต ในกลุ่ ม ประเทศดั ง กล่ า ว เช่ น

แบรนด์ ยูนิโคล่ จากญี่ปุ่น ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยก็ใช้โรงงาน ผลิตที่จีน ๑๐๐% 37


“เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม” จัดอันดับการศึกษาไทยดิ่งเหวใน อาเซียน เด็กไทยคิดไม่เป็น อันดับคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยใน กลุ่มอาเซียนอยู่ในกลุ่มสุดท้ายอันดับที่ ๘ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีคะแนนต่ำที่สุด รองจากประเทศเวียดนาม ที่ได้อันดับ ๗ และประเทศกัมพูชา อันดับ ๖ ชี้เงินทุนไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดของการมีระบบการศึกษาที่ดี และการที่ ครูอาจารย์มีเงินเดือนสูงก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสามารถทางการ สอนสูงตามไปด้วย ทั้งที่ไทยในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมามีการผลักดันเรื่อง เงินเดือนครูสูงขึ้น แต่ขาดประสิทธิภาพในการสอน ในการจัดอันดับ

การศึกษาดีที่ ๑ คือสิงคโปร์ อันดับ ๒ มาเลเซีย อันดับ ๓ บรูไนดารุสซาลาม อันดับ ๔ ฟิลิปปินส์ อันดับ ๕ อินโดนีเซีย อันดับ ๖ กัมพูชา อันดับ ๗ เวียดนาม ส่วนอันดับ ๘ ประเทศไทย เป็นอันดับสุดท้าย สำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยจำนวนผู้มีอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีขึ้นไป ๕๕.๑๓ ล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานหรือผู้ที่พร้อมที่จะทำงาน ๓๙.๓๒ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๐๐ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๖๔ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๖.๕ หมื่นคน ส่วนผู้ที่กำลังแรงงาน หรือผู้ที่ไม่พร้อมทำงาน ๑๕.๘๑ ล้านคน ได้แก่ แม่บ้าน นักเรียน

คนชรา เป็นต้น 38

เฉพาะจำนวนผู้ว่างงานในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ มีทั้งสิ้น ๒.๖๔ แสนคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน

ผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น ๑.๗ หมื่นคน ส่วนการว่างงานตามกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่มวัยเยาวชน หรือผู้มีอายุระหว่าง ๑๕-๒๔ ปี มีอัตราการว่างงาน

ร้อยละ ๒.๗ ซึ่งปกติในกลุ่มนี้อัตราการว่างงานจะสูง ส่วนกลุ่มวัยผู้ใหญ่ (อายุ ๒๕ ปีขึ้นไป) มีอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๔ เมื่อเปรียบเทียบ

กับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ กลุ่มวัยเยาวชนมีอัตราการว่างงาน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๒.๖ เป็นร้อยละ ๒.๗ สำหรับระดับการศึกษาที่ สำเร็จของผู้ว่างงานในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ พบว่า ผู้ว่างงานที่สำเร็จ การศึกษาในระดับอุดมศึกษามากที่สุด ๑.๐๔ แสนคน (ร้อยละ ๑.๕) รองลงมาเป็นมัธยมศึกษาตอนปลาย ๕.๙ หมื่นคน (ร้อยละ ๑.๐) โพลล์เทคโนโลยีสยามชี้ ศธ. แจก “แท็บเล็ต” ใช้เพื่อการศึกษา น้อยแค่ ๑ ใน ๓ เท่านั้น เกือบครึ่งนิยมใช้เพื่อทำกิจกรรมอื่น เล่นเกม แชต ระบุกลุ่มที่ไม่เคยใช้เพื่อการศึกษากว่า ๘๐% ให้เหตุผลใช้งานยาก แม้ ๖๘% เห็นด้วยส่งเสริมใช้ประกอบการเรียน แต่ ๓๖% เห็นว่าส่งผล ปานกลางที่จะทำให้เด็กเรียนดีขึ้น พฤติกรรมวัยรุ่นในกรุงเทพฯ และ

ปริมณฑล พบว่า สำหรับสาเหตุที่นิยมใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษา 39


พบว่า ร้อยละ ๘๐.๑๑ ค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้สะดวกรวดเร็ว ร้อยละ ๗๗.๗๓ ใช้งานได้ทุกเวลา ร้อยละ ๗๖.๑๑ ใช้งานง่าย ร้อยละ ๗๔.๘๑ พกพาได้สะดวก/นำไปได้ในทุกสถานที่ และร้อยละ ๗๒.๑๑ จัดเก็บ ข้อมูลต่างๆ ได้มาก ส่วนสาเหตุที่ไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเพื่อ วัตถุประสงค์ทางการศึกษา ระบุว่า ใช้งานได้ยาก ใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ตไม่คล่อง ค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้ยาก กลัวข้อมูลต่างๆ สูญหาย และไม่มีความจำเป็นต้องใช้ มู ล นิ ธิ อ งค์ ก รเพื่ อ ความโปร่ ง ใสในประเทศไทยเผยผลการจั ด อันดับโลก ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันของไทยว่า ปีนี้ไทยร่วงลงมา อยู่อันดับที่ ๑๐๒เท่ากับเอกวาดอร์, มอลโดวา และปานามา และอยู่ใน อันดับที่ ๑๖ จาก ๒๘ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากเดิมปีที่แล้ว ซึ่งไทยเคยได้คะแนนความโปร่งใส ๓๗ และอยู่ในลำดับที่ ๘๘ ของโลก

และนิวซีแลนด์ สามารถครองแชมป์ประเทศที่โปร่งใสมากที่สุด (๙๑ คะแนน) ส่วนอันดับสุดท้ายที่ได้คะแนนต่ำที่สุด ได้แก่ อัฟกานิสถาน เกาหลีเหนือ และโซมาเลีย (๘ คะแนน) และซีเรียเป็นประเทศที่มี คะแนนลดลงจากปีที่แล้วมาก สำหรับภูมิภาคอาเซียนนั้นมีเพียง ๓ ประเทศที่ได้คะแนนเกินครึ่ง ได้แก่ สิงคโปร์ (๘๖ คะแนน, ลำดับที่ ๕) บรูไน (๖๐ คะแนน, ลำดับที่ ๓๘) และมาเลเซีย (๕๐ คะแนน, ลำดับที่ ๕๓) ส่วนประเทศอื่นๆ

รวมทั้งไทยยังคงมีคะแนนต่ำกว่าครึ่ง และเป็นที่น่าสังเกตว่า ลาว และ พม่า ซึ่งแม้จะมีคะแนนค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว อย่างเห็นได้ชัด ไทยนั้นได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ ๕ ของกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นรองฟิลิปปินส์ซึ่งทำคะแนนความโปร่งใสได้ ๓๖ คะแนน และอยู่

ในลำดับที่ ๙๔ ของโลก

ร้อยละ ๗๐ ของประเทศที่นำมาจัดอันดับนั้น “สอบตก” หรือ

มีคะแนนต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง มีเพียง ๕๔ ประเทศเท่านั้นที่สอบผ่าน หรือ

ได้คะแนนเกิน ๕๐ จากคะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน โดยเดนมาร์ก

40

41


สุขสุดท้ายที่ปลายทาง ระลึกถึงความตายสบายนัก กรรณจริยา สุขรุ่ง เขียน พระไพศาล วิสาโล ๒๓๖ หน้า ๑๙๐ บาท เขียน/เรียบเรียง ๙๑ หน้า ๔๐ บาท รักษาใจ ให้ไกลทุกข์ (ฉบับปรับปรุง) พระไพศาล วิสาโล เขียน ๒๐ บาท บทเรียนจากผู้จากไป น.พ.เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี และ อโนทัย เจียรสถาวงศ์ บรรณาธิการ น้ำใส ใจเย็น ๑๐๐ หน้า ๑๐๐ บาท พระไพศาล วิสาโล และ ภาวัน ๗๙ บาท

เป็นไทย เป็นพุทธ และเป็นสุข พระไพศาล วิสาโล เขียน ๑๕๒ หน้า ๗๕ บาท

มองอย่างพุทธ พระไพศาล วิสาโล และคณะ ๑๒๐ หน้า ๗๕ บาท ฝ่าพ้นวิกฤตศีลธรรมด้วยทัศนะใหม่ พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๘๘ หน้า ๘๐ บาท จิตใส ใจสุข โดย พระไพศาล วิสาโล ๘๕ บาท

ฉลาดทำใจ พระไพศาล วิสาโล เรียบเรียง ๒๐๘ หน้า ๙๙ บาท

- ๓๐ วิธีทำบุญ - สอนลูกทำบุญ - ฉลาดทำใจ - สุขสวนกระแส - ใส่บาตรให้ได้บุญ - ธรรมะในงาน ธรรมะในใจ - คู่มือ การช่วยเหลือผู้ป่วย ระยะสุดท้ายด้วยวิธีแบบพุทธ - เติมเต็มชีวิตด้วยจิตอาสา - ความสุขที่ปลายจมูก - ความสุขที่แท้ - พรวันใหม่ ชีวิตใหม่ - เจอทุกข์ ใจไม่ทุกข์ - อยู่ทุกที่ก็...มีสุข

ฉลาดทำบุญ พระชาย วรธมฺโม และ พระไพศาล วิสาโล เรียบเรียง ๑๑๒ หน้า ๖๐ บาท คู่มือสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ฉบับสวนโมกขพลาราม ๘๐ หน้า ๓๕ บาท เผชิญความตายอย่างสงบ เล่ม ๑ : ข้อคิดจากประสบการณ์ พระไพศาล วิสาโล และคณะ เขียน ๒๑๖ หน้า ราคา ๑๒๐ บาท

42

เผชิญความตายอย่างสงบ เล่ม ๒ : ข้อคิดจากประสบการณ์ พระไพศาล วิสาโล และคณะ เขียน ๑๖๐ หน้า ๙๙ บาท เหนือความตาย : จากวิกฤตสู่โอกาส พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๑๗๖ หน้า ๑๒๐ บาท ความตายในทัศนะของพุทธทาสภิกขุ พระดุษฎี เมธังกุโร, สันต์ หัตถีรัตน์ และคณะ ๙๗ หน้า ๗๐ บาท ธรรมะสำหรับผู้ป่วย พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๑๒๘ หน้า ๑๐๐ บาท จิตเบิกบานงานสัมฤทธิ์ พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๘๐ หน้า ๕๙ บาท

เล่มละ ๑๕ บาท (จัดส่งฟรี) ซีดี MP3 ชุดเผชิญความตายอย่างสงบ ชุดที่ ๑ ดีวีดี เรื่องสู่ความสงบที่ปลายทาง แผ่นละ ๕๐ บาท (มี ๖ แผ่น) แผ่นละ ๕๐ บาท

พิเศษ เฉพาะสมาชิกพุทธิกา จะได้ลด ๓๐% ยกเว้นหนังสือฉบับพกพา และซีดี / ดีวีดี (การสมัครเป็นสมาชิก ดูในหน้าใบสมัคร) สั่งซื้อโดยโอนเงินเข้าบัญชี เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาอรุณอมรินทร์ เลขที่ ๑๕๗-๑-๑๗๐๗๔-๓ ประเภทออมทรัพ43 ย์ ส่งหลักฐานไปที่เครือข่ายพุทธิกา หรือสั่งจ่ายธนาณัติในนาม น.ส.มณี ศรีเพียงจันทร์ ปณ.ศิริราช ๑๐๗๐๒


ใบสมัคร/ต่ออายุสมาชิกพุทธิกา

หรือดาวโหลดใบสมัครได้ที่ www.budnet.org

เครือข่ายพุทธิกา

สมัครสมาชิก ๒ ปี รับฟรี สานรัก สร้างสุข ๑ เล่ม

เพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม

ชื่อผู้สมัคร................................................................................. นามสกุล.............................................................................................

การรักษาพระศาสนาให้ยั่งยืนนั้นมิใช่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่งหรือบุคคล กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ทั้งมิใช่เป็นความรับผิดชอบที่จำกัดอยู่กับพระสงฆ์หรือ รัฐบาลเท่านั้น หากเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนและเป็นความรับผิดชอบที่พระ-

พุ ท ธองค์ ท รงมอบให้ แ ก่ พุ ท ธบริ ษั ท ทั้ ง หลาย ดั ง นั้ น เมื่ อ ถึ ง คราวที่ พุ ท ธศาสนา ประสบวิกฤต จึงควรที่ชาวพุทธทุกคนจะร่วมมืออย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อ ฟื้นฟูพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามและกลับมามีความหมายต่อสังคมไทย รวมทั้ง ยังประโยชน์แก่สังคมโลก ด้วยเหตุนี้ “เครือข่ายพุทธิกา” จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการมีองค์กร ประสานงานในภาคประชาชน สำหรับการเคลื่อนไหวผลักดันให้มีการฟื้นฟูพุทธศาสนา อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เครือข่ายพุทธิกา ประกอบด้วยองค์กรสมาชิก ๙ องค์กร ได้แก่ มูลนิธิ โกมลคีมทอง, มูลนิธิเด็ก, มูลนิธิพุทธธรรม, มูลนิธิสุขภาพไทย, มูลนิธิสานแสงอรุณ, มูลนิธิสายใยแผ่นดิน, เสมสิกขาลัย, มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ และเสขิยธรรม แนวทางการดำเนินงาน ที่สำคัญคือการส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับหลักธรรมของพุทธศาสนาเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งในระดับ บุคคล และสังคม หลักธรรมสำคัญเรื่องหนึ่งคือ “บุญ” บ่อยครั้งการทำบุญใน ปัจจุบันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร ทั้งๆ ที่หลักธรรมข้อนี้นำมาใช้ในการ สร้างสรรค์ชีวิตและสังคมที่ดีงาม จึงผลิตโครงการฉลาดทำบุญ และโครงการ เผชิญความตายอย่างสงบ จัดเป็นกิจกรรมและมีงานเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง สถานที่ติดต่อ เครือข่ายพุทธิกา ๔๕/๔ ซอยอรุณอมรินทร์ ๓๙ (เหล่าลดา) ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๘๘๒-๔๓๘๗, ๐-๒๘๘๒-๔๙๕๒, ๐-๒๘๘๖-๐๘๖๓ โทรสาร ๐-๒๘๘๒-๕๐๔๓ อีเมล์ b_netmail@yahoo.com • http://www.budnet.org . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . ก า ร ฟื้ น ฟู พุ ท ธ ศ า ส น า ป ร ะ ช า ช น ต้ อ ง มี ส่ ว น ร่ ว ม

เพศ................................................................. อายุ.................. อาชีพ..................................................................................................... ที่อยู่จัดส่ง.......................................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................

รหัสไปรษณีย์..........................................

โทรศัพท์....................................................... โทรสาร....................................................... อีเมล...................................................... ระยะเวลา...............ปี (ปีละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๔ เล่ม) เริ่มตั้งแต่ฉบับที่........................................ ประเภทสมาชิก

สมัครใหม่

สมาชิกเก่า (หมายเลขสมาชิก...........................)

หรือ อุปถัมภ์พระ/แม่ชี/โรงเรียน ระยะเวลา...............ปี สถานที่จัดส่ง..................................................... รหัสไปรษณีย.์ ........................................

.........................................................................................................................................................

โทรศัพท์................................................................................ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น............................................บาท โดย ธนาณัติ ตั๋วแลกเงิน เช็ค เงินสด โอนเข้าบัญชีธนาคาร สั่งจ่ายในนาม นางสาวนงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์ (ปณ.ศิริราช ๑๐๗๐๒) เช็คต่างจังหวัดเพิ่มอีก ๑๐ บาท หรือโอนเข้าบัญชี นางสาวนงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน เลขที่ ๔๖๓-๑-๒๓๑๑๒-๑ ประเภทออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาศิริราช เลขที่ ๐๑๖-๔๓๓๙๖๙-๒ ประเภทออมทรัพย์ โปรดส่งหลักฐานการโอนพร้อมใบสมัครและจ่าหน้าซอง สมาชิกพุทธิกา ๔๕/๔ ซอยอรุณอมรินทร์ ๓๙ (เหล่าลดา) ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ หรือโทรสาร ๐-๒๘๘๒-๕๐๔๓ ติดต่อโทร : ๐-๒๘๘๒-๔๓๘๗, ๐-๒๘๘๒-๔๙๕๒, ๐-๒๘๘๖-๐๘๖๓


จดหมายข่าวพุทธิกา ๔๕/๔ ซ.อรุณอมรินทร์ ๓๙ (เหล่าลดา) ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๘๘๒-๔๓๘๗, ๐-๒๘๘๒-๔๙๕๒, ๐-๒๘๘๖-๐๘๖๓

จดหมายข่าวฉบับ พุทธิกา ๏ จัดทำโดย เครือข่ายพุทธิกา ๏ สาราณียกร พระไพศาล วิสาโล ๏ กองสาราณียกร นงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์, มณี ศรีเพียงจันทร์, พรทิพย์ ฝนหว่านไฟ, ณพร นัยสันทัด, อมรรัตน์ พุฒเจริญ ๏ ปก สรรค์ภพ ตรงศีลสัตย์ : รูปเล่ม น้ำมนต์ ๏ อัตราค่าสมาชิก ปีละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๔ ฉบับ วิธีสั่งจ่ายหรือโอนเงินดูในใบสมัครภายในเล่ม

กรุณาส่ง

สิ่งตีพิมพ์

๏ บุคคลหรือองค์กรใดสนใจจัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือ “ฉลาดทำบุญ” เพื่อแจกจ่ายแก่วัด ห้องสมุด

โรงเรียน เด็กและเยาวชน หรือในงานสาธารณกุศลอื่นๆ ผู้จัดพิมพ์ยินดีดำเนินการจัดพิมพ์ให้ใน

ราคาทุน หรือกรณีสั่งซื้อจำนวนมากตั้งแต่ ๑๐๐ เล่มขึ้นไปลด ๓๐% ๒๐๐ เล่มขึ้นไปลด ๓๕%

โปรดติดต่อเครือข่ายพุทธิกา ๏ เครือข่ายพุทธิกามีโครงการที่น่าสนใจ : ฉลาดทำบุญด้วยจิตอาสา, เผชิญความตายอย่างสงบ, สายด่วน ๐๘๖-๐๐๒๒-๓๐๒ ให้คำปรึกษาทางใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย ฯลฯ ๏ สมัครสมาชิกพุทธิกา ๑๐๐ บาท ได้รับ • จดหมายข่าวพุทธิกา รายสามเดือน ๑ ปี ๔ ฉบับ • ซือ้ หนังสือเครือข่ายพุทธิกาลดทันที ๓๐ % • ซื้อหนังสือสำนักพิมพ์อื่น ลด ๑๐ % (เฉพาะที่เครือข่ายพุทธิกา) • พิเศษ สมัครสมาชิก ๒ ปี รับฟรีหนังสือ ๑ เล่ม เขียนโดยพระไพศาล


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.