วารสารจิตวิทยา ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2561

Page 1

Ψ

วารสารจิ ต วิ ท ยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2561

JOURNAL OF PSYCHOLOGY KASEM BUNDIT UNIVERSITY Volume 8 Number 1 January - June 2018

ISSN 2286-6663

 การคัดกรองเพื่อค้นหาเด็กที่มีความต้องการพิเศษ  การศึกษาปัญหาในการจัดการศึกษาสาหรับผู้อพยพในวัยเรียนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยและ ประเทศออสเตรีย  อิทธิพลของค่าดัชนีมวลกายที่มีต่อความพึงพอใจในรูปร่างตนเอง โดยมีตัวแปรการรับค่านิยมความผอม เป็นตัวแปรส่งผ่าน ของนักศึกษาเพศหญิงระดับปริญญาตรีในกรุงเทพมหานคร  ปัจจัยทางจิตวิทยาที่สัมพันธ์กับการประสบความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษาการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร  ผลของการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์เชิงบูรณการที่มีต่อความสามารถทางพหุปัญญาของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหนองบอน(นัยนานนท์อนุสรณ์) เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร  ผลการให้คาปรึกษาแบบกลุ่มตามทฤษฏีอัตถิภวนิยมเพื่อเสริมสร้างความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษา  ผลของการใช้โปรแกรมการอ่านสะกดคาโดยใช้ทฤษฏีการเรียนรู้อย่างมีความหมายร่วมกับการเสริมแรง ทางสังคมที่มีต่อความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3  การศึกษาพฤติกรรมผู้นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าสถานีตารวจที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความพึง พอใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตารวจประจาสถานีตารวจในเขตพื้นที่ กองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล  ผลการให้คาปรึกษาแบบกลุ่มตามแนวการรู้คิดและพฤติกรรมเพื่อลดพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ของนักศึกษาที่เป็นกลุ่มเสี่ยง  บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) : Parenting for Character Equipping Your Child for Life

KASEM BUNDIT UNIVERSITY

PSYCHOLOGY


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เจ้าของ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ที่ปรึกษา 1. ดร.วัลลภ สุวรรณดี 2. ดร.เสนีย์ สุวรรณดี 3. รองศาสตราจารย์ ดร.ประสาร มาลากุล ณ อยุธยา กองบรรณาธิการบริหาร 1. ศาสตราจารย์ ดร.ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์ 2. ศาสตราจารย์ศรียา นิยมธรรม 3. รองศาสตราจารย์ ดร.อารี พันธ์มณี 4. รองศาสตราจารย์ไพบูลย์ เทวรักษ์ กองบรรณาธิการวิชาการ 1. ศาสตราจารย์ ดร.จรรจา สุวรรณทัต 2. ศาสตราจารย์ ดร.ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์ 3. ศาสตราจารย์ศรียา นิยมธรรม 4. รองศาสตราจารย์ ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต 5. รองศาสตราจารย์ ดร.สิทธิโชค วรานุสันติกูล 6. รองศาสตราจารย์ ดร.ทัศนีย์ นนทะสร 7. รองศาสตราจารย์ ดร.วรนุช แหยมแสง 8. รองศาสตราจารย์ ดร.อรพินทร์ ชูชม 9. รองศาสตราจารย์ ดร.นันทา สู้รักษา 10. รองศาสตราจารย์ ดร.ประสาร มาลากุล ณ อยุธยา 11. รองศาสตราจารย์ ดร.อารี พันธ์มณี 12. รองศาสตราจารย์ ดร.รัญจวน คาวชิรพิทักษ์ 13. รองศาสตราจารย์มุกดา ศรียงค์ 14. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิริวัฒน์ ศรีเครือดง 15. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เย็นใจ เลาหวณิช 16. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีระวัฒน์ ปันนิตามัย

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยรามคาแหง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคาแหง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์


กองบรรณาธิการ 1. ศาสตราจารย์ศรียา นิยมธรรม 2. นางสาวรัศมีดารา ดารากร ณ อยุธยา

บรรณาธิการ ผู้ช่วยบรรณาธิการ

คณะกรรมการจัดทาวารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต 1. รองศาสตราจารย์ไพบูลย์ เทวรักษ์ 2. นางสาวรัศมีดารา ดารากร ณ อยุธยา 3. นางสาวรุณรัตน์ ภู่ดอก

ประธานกรรมการ กรรมการและเลขานุการ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ 1. ศาสตราจารย์ ดร.อารี สัณหฉวี 2. ศาสตราจารย์ ดร.ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์ 3. รองศาสตราจารย์ ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต 4. รองศาสตราจารย์ ดร.อรัญญา ตุ้ยคัมภีร์ 5. รองศาสตราจารย์ ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ 6. รองศาสตราจารย์ ดร.คมเพชร ฉัตรศุภกุล 7. รองศาสตราจารย์ ดร.ประสาร มาลากุล ณ อยุธยา 8. รองศาสตราจารย์ ดร.รัญจวน คาวชิรพิทักษ์ 9. รองศาสตราจารย์ ดร.อารี พันธ์มณี 10. รองศาสตราจารย์ ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล 11. รองศาสตราจารย์ ดร.พิศสมัย อรทัย 12. รองศาสตราจารย์ ดร.นพพร แหยมแสง 13. รองศาสตราจารย์ ดร.วรนุช แหยมแสง 14. รองศาสตราจารย์ ดร.สกล วรเจริญศรี 15. รองศาสตราจารย์ ดร.สมสรรญก์ วงษ์อยู่น้อย 16. รองศาสตราจารย์ ดร.อรพินทร์ ชูชม 17. รองศาสตราจารย์ ดร.นิธิพัฒน์ เมฆขจร 18. รองศาสตราจารย์ ดร.ลัดดาวรรณ ณ ระนอง 19. รองศาสตราจารย์ ดร.สุรัมภา รอดมณี 20. รองศาสตราจารย์ ดร.มุกดา ศรียงค์ 21. รองศาสตราจารย์ชูศรี วงศ์รัตนะ 22. รองศาสตราจารย์นิภา ศรีไพโรจน์ 23. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เรวดี วัฒทกโกศล 24. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศักดินา บุญเปี่ยม 25. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิริวัฒน์ ศรีเครือดง 26. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

นักวิชาการอิสสระ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยรามคาแหง มหาวิทยาลัยรามคาแหง มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วิทยาลัยพยาบาลตารวจ มหาวิทยาลัยรามคาแหง มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล


27. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สันทนา วิจิตรเนาวรัตน์ 28. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พาสนา จุลรัตน์ 29. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มณฑิรา จารุเพ็ง 30. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศิริพันธ์ ศรีวังยงค์ 31. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.พนม เกตุมานย์

มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ มหาวิทยาลัยมหิดล

กาหนดวันออกวารสาร ปีละ 2 ฉบับ - ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน กาหนดออกวารสาร เดือนมิถุนายน - ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม กาหนดออกวารสาร เดือนธันวาคม วัตถุประสงค์ 1. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาค้นคว้า สร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการด้านจิตวิทยาของ คณาจารย์ นักวิชาการและนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา 2. เพื่อเผยแพร่ความรู้ ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางจิตวิทยาสู่สาธารณชน 3. เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการด้านจิตวิทยา ระหว่างสถาบันการศึกษา หน่วยงานทางวิชาการ หน่วยงานปฏิบัติการและนักวิชาการอิสระทางด้านจิตวิทยา พิมพ์ที่ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เลขที่ 1761 ถนนพัฒนาการ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ 10250 โทรศัพท์ 0-2320-2777 โทรสาร 0-2720-4677 ISSN 2286-6663 สานักงาน หลักสูตรสาขาวิชาจิตวิทยา ระดับบัณฑิตศึกษา (ชั้น 3 อาคารเกษมพัฒน์) มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วิทยาเขตพัฒนาการ โทรศัพท์/โทรสาร 0-2320-2777 ต่อ 1134, 1163 e-mail: journal.psy.kbu@gmail.com http://journal.psy.kbu.ac.th ปีที่พิมพ์ 2561


คานิยม วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลั ยเกษมบั ณฑิต ได้เดินทางมาถึงฉบับครบรอบปีที่ 8 แล้ว นับเป็น ประจักษ์พยานแห่งความมุ่งมั่นตั้งใจของคณะบรรณาธิการและผู้จัดทาที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อมุ่งส่งเสริมให้ศาสตร์และวิชาชีพจิตวิทยาได้ขยายขอบข่ายของการศึกษาวิจัยและพั ฒนาองค์ความรู้ใน การวิเคราะห์ อธิบ าย ทานาย และเสริมสร้างความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงให้พร้อมเผชิญกับสภาวะความ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและหลากหลายที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน ในนามของหลักสูตรสาขาวิชาจิตวิทยา ระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ขอแสดงความ ชื่นชมและขอบพระคุณ ศาสตราจารย์ศรียา นิยมธรรม รองศาสตราจารย์ไพบูลย์ เทวรักษ์ ผู้เป็นบรรณาธิการ และประธานคณะกรรมการจัดทาวารสาร รวมทั้งท่านผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความและท่านนักวิชาการผู้ กรุณาส่งบทความที่มีคุณภาพ ขอเป็นกาลังใจให้ทุกท่านได้ผสานกาลังเป็นกัลยาณมิตรในด้ านจิตวิทยาให้ มนุษย์และสังคมได้มีพัฒนาการอย่างยั่งยืนต่อไป

ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจและใฝ่พัฒนา

(รองศาสตราจารย์ ดร.ประสาร มาลากุล ณ อยุธยา) รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ ผู้อานวยการหลักสูตรสาขาวิชาจิตวิทยา ระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต


บรรณาธิการแถลง วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ฉบับนี้ได้ตีพิมพ์เผยแพร่เป็นปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561) ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกในทศวรรษนี้ วารสารจิตวิทยา ยังคงนาเสนอ ผลงานวิจั ยและบทความวิชาการทางจิตวิทยาจากผู้ เขียนที่มีคุณภาพ ซึ่งผ่ านการรับรองจากกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ทางด้านจิตวิทยา ด้านสถิติและด้านวิจัย ทาให้ เนื้อหาของเรื่องที่นาเสนอในฉบับนี้ มีความ หลากหลายทั้งในด้านการประยุกต์องค์ความรู้ ทางจิตวิทยามาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดาเนินชีวิต และข้อ ค้นพบต่างๆจากงานวิจัย ที่ทาให้ผู้อ่านเกิดการเรียนรู้และนาไปประยุกต์ได้ อ้างอิงได้ กองบรรณาธิ ก ารขอขอบคุ ณผู้ เ ขี ย นทุ ก ท่ า นที่ กรุ ณ าส่ ง บทความมาน าเสนอเพื่ อ ตี พิ ม พ์ และ ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ที่ให้การสนับสนุนการจัดทาวารสารจิตวิทยาเสมอมา

(ศาสตราจารย์ศรียา นิยมธรรม) บรรณาธิการ


สารบัญ หน้า การคัดกรองเพื่อค้นหาเด็กที่มีความต้องการพิเศษ รองศาสตราจารย์ ดร.ดารณี ศักดิ์ศิริผล อาจารย์ ดร.บัณฑิตา ลิขสิทธิ์

1-13

การศึกษาปัญหาในการจัดการศึกษาสาหรับผู้อพยพในวัยเรียนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ในประเทศไทยและประเทศออสเตรีย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศิริพันธ์ ศรีวันยงค์ อาจารย์ ดร.ฑมลา บุญกาญจน์

14-23

อิทธิพลของค่าดัชนีมวลกายที่มีต่อความพึงพอใจในรูปร่างตนเอง โดยมีตัวแปรการรับ ค่านิยมความผอมเป็นตัวแปรส่งผ่าน ของนักศึกษาเพศหญิงระดับปริญญาตรีใน กรุงเทพมหานคร อาจารย์ธนวัต ปุณยกนก อาจารย์ศศิธร พรมโยธา ผู้ช่วยศาสตราจารย์กิดานันท์ ชานาญเวช อาจารย์ ดร.ณัฏฐ์ชุดา สุภาพจน์

24-34

ปัจจัยทางจิตวิทยาที่สัมพันธ์กับการประสบความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษาการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร นายชิงชัย หวังพิทักษ์ รองศาสตราจารย์ ดร.อารี พันธ์มณี

35-47

ผลของการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์เชิงบูรณการที่มีต่อความสามารถทางพหุปัญญาของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหนองบอน(นัยนานนท์อนุสรณ์) เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร นางสุคนธ์ทิพย์ กลิ่นหอม รองศาสตราจารย์ ดร.อารี พันธ์มณี

48-59

ผลการให้คาปรึกษาแบบกลุ่มตามทฤษฏีอัตถิภวนิยมเพื่อเสริมสร้างความผาสุกทางจิตใจ ของนักศึกษา นางสาวกมลชนก ราเต อาจารย์ ดร.อุมาภรณ์ สุขารมณ์

60-68


สารบัญ (ต่อ) หน้า ผลของการใช้โ ปรแกรมการอ่า นสะกดค าโดยใช้ทฤษฏีการเรี ย นรู้ อย่า งมี ค วามหมาย ร่ ว มกั บ การเสริ ม แรงทางสั ง คมที่ มี ต่ อ ความสามารถด้ า นการอ่ า นของนั ก เรี ย นชั้ น ประถมศึกษาปีที่ 3 นางสาวอัญชลีพร แก้วนุ่ม รองศาสตราจารย์ ดร.อารี พันธ์มณี

69-79

การศึ ก ษาพฤติ ก รรมผู้ น าการเปลี่ ย นแปลงของหั ว หน้ า สถานี ต ารวจที่ ส่ ง ผลต่ อ ประสิทธิ ภ าพและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ้า หน้า ที่ตารวจประจาสถานี ตารวจในเขตพื้นที่ กองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล พ.ต.ท.ชูชาติ คงเมือง รองศาสตราจารย์ ดร.ประสาร มาลากุล ณ อยุธยา

80-94

ผลการให้คาปรึกษาแบบกลุ่มตามแนวการรู้คิดและพฤติกรรมเพื่อลดพฤติกรรมการดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของนักศึกษาที่เป็นกลุ่มเสี่ยง นางสาวพรทิพย์ ทองสุก อาจารย์ ดร.อุมาภรณ์ สุขารมณ์

95-106

บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) : Parenting for Character Equipping Your Child for Life รองศาสตราจารย์ไพบูลย์ เทวรักษ์

107-109

คาแนะนาสาหรับผู้ส่งบทความวิชาการและบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ใน วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

110-111


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

1

การคัดกรองเพื่อค้นหาเด็กที่มีความต้องการพิเศษ Screening for Children with Special Needs ดารณี ศักดิ์ศิริผล1 บัณฑิตา ลิขสิทธิ์2

บทคัดย่อ การวิจัยเรื่อง การคัดกรองเพื่อค๎นหาเด็กที่มีความต๎องการพิเศษ มีวัตถุประสงค๑ 1) เพื่อคัด กรองด๎านพัฒนาการของเด็กปฐมวัย 2) เพื่อคัดกรองด๎านภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการ เรียนรู๎ของเด็กปฐมวัย 3) เพื่อคัดกรองด๎านการพูดของเด็กปฐมวัยและประถมศึกษา 4) เพื่อคัดกรอง ด๎านการได๎ยิ น ของเด็กระดับ ประถมศึ กษา และ 5) เพื่อ คัด กรองด๎า นการมองเห็ นของเด็กระดั บ ประถมศึกษา กลุํมเปูาหมาย เป็นเด็กปฐมวัยและประถมศึกษาที่กาลังศึกษาอยูํในระดับชั้นอนุบาลถึง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2560 จานวน 134 คน เครื่องมือที่ใช๎ในการวิ จัย คือ 1) เครื่องมือ คัดแยกเด็กแปูนหมุน 1 2) เครื่องมือคัดแยกเด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู๎ 3) แบบทดสอบการพูด 4) เครื่องตรวจวัดการได๎ยิน และ 5) แบบทดสอบสายตา Snellen Letters การวิเคราะห๑ข๎อมูลในการ วิจัยครั้งนี้ใช๎สถิติร๎อยละ และเสนอผลในรูปของตารางและภาพประกอบ โดยใช๎แผนภูมิแทํง ผลการวิจัย พบวํา 1. ด๎านพัฒนาการ เด็กที่เข๎ารับการประเมินทั้งหมดจานวน 71 คน เป็นเด็กที่มีพัฒนาการปกติ หรือสมวัย จานวน 52 คน คิดเป็นร๎อยละ 73.24 พัฒนาการสูงกวําวัย จานวน 2 คน คิดเป็นร๎อยละ 2.82 และเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการลําช๎า/ไมํสมวัย จานวน 17 คน คิดเป็นร๎อยละ 23.94 2. ด๎านภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรียนรู๎ เด็กที่เข๎ารับการทดสอบทั้งหมด จานวน 33 คน มีเด็กที่มีภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรียนรู๎ จานวน 13 คน คิดเป็นร๎อยละ 39.39 และ เด็กที่ไมํมีภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรียนรู๎ จานวน 20 คน คิดเป็นร๎อยละ 60.61 3. ด๎านการพูด เด็กที่เข๎ารับการทดสอบการพูดทั้งหมดจานวน 9 คน มีเด็กที่พูดชัดเจน จานวน 8 คน คิดเป็นร๎อยละ 88.89 และเด็กที่พูดไมํชัด จานวน 1 คน คิดเป็นร๎อยละ 11.11 4. ด๎านการได๎ยิน เด็กที่เข๎ารับการตรวจวัดการได๎ยินทั้งหมดจานวน 13 คน มีเด็กที่มีระดับ การได๎ยินปกติ จานวน 12 คน คิดเป็นร๎อยละ 92.31 และเด็กที่มีปัญหาทางการได๎ยินจานวน 1 คน คิดเป็นร๎อยละ 7.69 5. ด๎านการมองเห็น เด็กที่เข๎ารับการทดสอบการมองเห็นทั้งหมดจานวน 8 คน มีเด็ กที่มี การมองเห็นปกติ จานวน 7 คน คิดเป็นร๎อยละ 87.50 และเด็กที่มีปัญหาการมองเห็น จานวน 1 คน คิดเป็นร๎อยละ 12.50 คาสาคัญ: การคัดกรอง เด็กที่มีความต๎องการพิเศษ 1

รองศาสตราจารย๑ ดร. อาจารย๑ประจาศูนย๑พัฒนาการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อาจารย๑ ดร. อาจารย๑ประจาศูนย๑พัฒนาการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

2


2

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

Abstract This study aimed at screening children with special needs. The purpose of the screening was to 1) Identifying early childhood development, 2) Identifying children at risk with learning disability, 3) Identifying speaking of early childhood and elementary, 4) Identifying of primary hearing screening, and 5) Identifying the vision of primary school children. The sample of this study consisted of early childhood and elementary students in the 2017 academic year, 134 students. The research instruments used were 1) The Developmental Indicators for the Assessment of Learning – Revised, 2) MacCarthy Screening Test, 3) Articulation Test, 4) Audiometer and 5) Snellen Letters. Data were analyzed by using percentage with presentation by tables and illustrations using bar charts. The study results were as follows: 1. Development, there were 52 out of 71 students who were normal development (73.27%), 2 students who were high development (2.82%) and 17 students who were low development (23.94%). 2. At risk with learning disability, there were 13 out of 33 students who were at risk with learning disability (39.39 %) and 20 students who were not at risk with learning disability (60.61 %). 3. Speaking, there were 8 out of 9 students who were clearly speaking Being (88.89 %) and 1 student was not clearly specking (11.11 %). 4. Hearing, there were 12 out of 13 students who were normal hearing (92.31 %) and 1 student was not normal hearing (7.69 %) 5. Visibility, there were 7 out of 8 students who were normal vision (87.50) and 1 student was not normal vision (12.50 %) Keywords: Screening, Children with Special Needs ความสาคัญและความเป็นมา เด็กที่มีความต๎องการพิเศษเป็ นเด็กที่ต๎องการการจัดการศึกษาที่สอดคล๎องกับความต๎องการ จาเป็นพิเศษของแตํละบุคคล เพื่อการพัฒนาความสามารถในการเรียนรู๎อยํางเต็มศักยภาพที่แท๎จริง ซึ่ง การจัดแบํงประเภทของเด็กที่มีความต๎องการพิเศษนั้น กระทรวงศึกษาธิการ (2552) ซึ่งเป็นหนํวยงานหนึ่ง ที่จัดให๎บริการทางการศึกษา ได๎กาหนดประเภทคนพิการไว๎ 9 ประเภท ได๎แกํ 1) บุคคลที่มีความบกพรํอง ทางการเห็น 2) บุคคลที่มีความบกพรํองทางการได๎ยิน 3) บุคคลที่มีความบกพรํองทางรํางกาย หรือการ เคลื่อนไหว หรือสุขภาพ 4) บุคคลที่มีความบกพรํองทางสติปัญญา 5) บุคคลที่มีความบกพรํองทางการ เรียนรู๎ 6) บุคคลที่มีความบกพรํองทางการพูดและภาษา 7) บุคคลที่มีความบกพรํองทางพฤติกรรมหรือ อารมณ๑ 8) บุคคลออทิสติก และ 9) บุคคลพิการซ๎อน


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

3

เด็กที่มีความต๎องการพิเศษบางคนมีความสามารถสู ง หากพํอแมํ ครูผู๎สอน หรือผู๎ใกล๎ชิด สังเกตและค๎นพบความสามารถของเด็กแล๎วให๎การสํงเสริมสนับสนุนความสามารถนั้นก็จะสํงผลให๎เด็ก พัฒนาความสามารถให๎โดดเดํนและนาไปใช๎ประโยชน๑ตํอไปในอนาคต สํวนในด๎านที่บกพรํองก็จาเป็น จะต๎องได๎รับการพัฒนา ฟื้นฟูสมรรถภาพให๎ดียิ่งขึ้น เชํน เด็กที่มีความบกพรํองทางการเรียนรู๎ หรือที่ เรียกกันโดยทั่วไปวํา “แอลดี” (Children with Specific Learning Disability: SLD) จัดเป็นเด็กที่มี ความต๎องการพิเศษกลุํมหนึ่งที่มีความบกพรํองในด๎านการอําน การเขียน และ/หรือการคิดคานวณ ทั้งๆ ที่มีสติปัญญาอยูํในระดับปกติขึ้นไปเด็กกลุํมนี้ดูภายนอกแล๎วก็จะเห็นวําเหมือนกับเด็กปกติทั่วไป บางคนดูเฉลียวฉลาด เกํงในเรื่องที่ลงมือปฏิบัติ แตํเมื่อให๎อํานเขียนกลับไมํสามารถทาได๎เชํนเดียวกับ เด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน ครูผู๎สอนบางคนมักจะพูดวํา “เกํงทุกเรื่อง ยกเว๎นเรื่องเรียน” ทั้งนี้เพราะ ความผิดปกตินี้เกิดจากการทางานของสมองบางสํวนที่เกี่ยวข๎องกับการรับและแปลข๎อมูล อยํางไรก็ ตามถึงแม๎วําเด็กบางคนจะมีความบกพรํองด๎านการอําน การเขียน แตํอาจจะมีความสามารถในด๎าน ดนตรี กีฬา งานฝีมือ และด๎านอื่นๆ ที่เป็นการลงมือปฏิบัติ ก็ได๎ จากข๎อมูลการศึกษาพบวํา เด็กที่มี ความบกพรํองทางการเรียนรู๎มีจานวนมากที่สุดเมื่อเทียบกับความบกพรํองประเภทอื่นๆ นอกจากนี้ เด็กที่มีความต๎องการพิเศษประเภทอื่นๆ ก็เชํนเดียวกันจะมีทั้งความบกพรํองที่ต๎องการความชํวยเหลือ และด๎านที่เป็นความสามารถต๎องการได๎รับการสํงเสริมสนับสนุน การสํงเสริมในด๎านที่เด็กมีความสามารถและการชํวยเหลือหรือพัฒนาในด๎านที่เด็กมีความ บกพรํองมีความสาคัญและจาเป็นอยํางยิ่งตํอการเรียนรู๎และการดารงชีวิตอิสระ อยํางไรก็ตามการ สํงเสริมและการชํวยเหลือจะไมํสามารถดาเนินการได๎ถ๎าไมํรู๎วําเด็กคนใดเป็นเด็ กที่มีความต๎องการ พิเศษ หรือเด็กคนใดมีความสามารถพิเศษ ดังนั้นการคัดกรองเพื่อค๎นหาเด็กที่มีความต๎องการพิเศษจึง เป็นขั้นตอนกํอนดาเนินการพัฒนา และชํวยเหลือเด็ก ข๎อมูลที่ได๎จากการคัดกรองจะเป็นประโยชน๑ใน การนาไปใช๎เพื่อการวางแผนชํวยเหลือและการรํวมมือกันของทุกฝุายที่เกี่ยวข๎องกับเด็ก การคัดกรองเด็กที่มีความต๎องการพิเศษมีทั้งการคัดกรองอยํางไมํเป็นทางการและการคัดกรอง อยํางเป็นทางการ ซึ่งต๎องใช๎เครื่องมือและผู๎เชี่ยวชาญ เด็กที่มีความต๎องการพิเศษบางประเภทจะเห็นได๎ อยํางชัดเจน เชํน เด็กตาบอด เด็กหูหนวก เด็กที่มีรํางกายพิการ หรือเด็กดาวน๑ซินโดรม เป็นต๎น แตํยังมี เด็กบางคนที่ความบกพรํองไมํปรากฏอยํางเดํนชัดจาเป็นต๎องได๎รับการคัดกรองโดยใช๎เครื่องมือและ ผู๎เชี่ยวชาญ อาทิ เด็กที่มีพัฒนาการลําช๎า ไมํสมวัย เด็กที่มีความผิดปกติทางสายตา เด็กเรียนช๎า หรือ เด็กที่มีความบกพรํองทางการเรี ยนรู๎ ซึ่งเด็กกลุํมนี้มีจานวนมากเมื่อเทียบกับความบกพรํองประเภท อื่นๆ ซึ่งจากการสารวจพบวํา มีประมาณ 5 – 10 % หรือ ร๎อยละ 5 – 10 อาทิ ข๎อมูลของบุคคลที่มี ความบกพรํองทางการเรียนรู๎ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีจานวน 5 % (Melanie Adam. 2018. Online) จากข๎อมูลการศึกษาในประเทศไทยของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ไทยรัฐ. 2561. ออนไลน๑) พบคําเฉลี่ยเด็กอํานไมํออกร๎อยละ 11 และจากข๎อมูลของแพทย๑หญิงปาฏิโมกข๑ พรหม ชํวย และแพทย๑หญิงเบญจพร ตันตสูติ (2560) ระบุวํามีจานวน 6.0–7.3 % นอกจากนี้ ศาสตราจารย๑ คลินิก พญ.วินัดดา ปิยะศิลป์. (2558). ระบุวํามีจานวน 6.0–9.9 % สํวนเด็กปฐมวัยหรือเด็กอนุบาลที่ อยูํในภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรียนรู๎ (At Risk with Learning Disability) จากข๎อมูล ของรองศาสตราจารย๑ ดร.ดารณี ศักดิ์ศิริผล (2557) พบวํามีจานวน 26.88 %


4

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ดังนั้นมูลนิธิเพื่อการศึกษาพิเศษในพระราชูปถัมภ๑สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี ซึ่งเป็นหนํวยงานหนึ่งที่เกี่ยวข๎องกับเด็กที่มีความต๎องการพิเศษ มีวัตถุประสงค๑เพื่อสนับสนุน และสํงเสริมงานด๎านการศึกษาพิเศษของหนํวยงานตํางๆ ที่ทางานเกี่ยวข๎องกับบุคคลพิการและเด็กที่มี ความต๎องการพิเศษ โดยการดาเนินงานของมูลนิธิฯ มุํงมั่นในการพัฒนาศักยภาพทางการศึกษาแกํเด็ก ที่มีความต๎องการพิเศษให๎ได๎รับการพัฒนาและดารงชีวิตอยูํในสังคมได๎อยํางมีคุณคําและมีความสุข มูลนิธิฯ ได๎ตระหนักถึงความสาคัญในการชํวยเหลือให๎ผู๎ปกครองสามารถค๎นหาความผิดปกติหรือความ ต๎องการการชํวยเหลือเป็นพิเศษในเด็กแตํละคน โดยในปีที่ผํานมามูลนิธิฯ ได๎จัดทาโครงการ “ตั้งไขํ” (We believe you can shine) หรือโครงการ “คัดกรองเพื่อค๎นหาความต๎องการพิเศษทางการศึกษา แกํเด็กวัยเรียน” ขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุม ารี โดย ดาเนินการคัดกรองค๎นหาเด็กที่อยูํในภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรียนรู๎ การวัดระดับ เชาว๑ปัญญา การคัดกรองความบกพรํองทางการมองเห็น การทดสอบพัฒนาการ และการวัดแวว ความสามารถพิเศษ การดาเนินโครงการได๎รับความรํวมมือจากหนํวยงานตํางๆ ได๎แกํ มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยสวนดุสิต) มหาวิทยาลัยราชภัฏ ภูเก็ต มหาวิทยาลัยรามคาแหง มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต และมหาวิทยาลัยรามคาแหง ให๎บริการคัด กรองตั้งแตํวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ถึง 15 มีนาคม 2558 โดยผู๎เข๎ารับบริการไมํต๎องเสี ยคําใช๎จํายใดๆ ทั้งสิ้น (มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย. 2561). จากการดาเนินงานดังกลําวมีผู๎ปกครองพาบุตรหลานมารับบริการเป็นจานวนมากและผลจาก การคัดกรองพบเด็กที่มีพัฒนาการไมํสมวัย เด็กที่อยูํในภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการ เรียนรู๎ รวมถึงเด็กบางคนมีแววความสามารถพิเศษอีกด๎วย ผลจากการคัดกรองดังกลําวเป็นประโยชน๑ ส าหรั บ ผู๎ ป กครอง ครู และผู๎ ที่ เ กี่ ย วข๎ อ งในการน าไปใช๎ ว างแผนชํ ว ยเหลื อ และพั ฒ นาการศึ ก ษา โดยเฉพาะแกํเด็กที่มีความต๎องการพิเศษตํอไป มูลนิธิฯ ได๎ตระหนักถึงความสาคัญของโครงการคัด กรองฯ ที่จะชํวยสํงเสริมพัฒนาทางการศึกษาของเด็กวัยเรียน จึงได๎จัดโครงการคัดกรองเด็กที่มีความ ต๎องการพิเศษเพื่อให๎บริการวิชาการแกํสังคมตํอในปี พ.ศ.2560 โดยรํวมมือกับหนํวยงานตํางๆ ทั้ง ภาครัฐและเอกชน ซึ่งสถาบันพัฒนาการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาเป็นหนํวยงานหนึ่งที่ จัดให๎บริการทางด๎านการศึ กษาพิเศษ ทั้งการผลิตบัณฑิต และการให๎บริการการฟื้นฟูสมรรถภาพแกํ เด็กที่มีความต๎องการพิเศษ มีบุคลากรและผู๎เชี่ยวชาญด๎านการศึกษาพิเศษ และมีผู๎ปกครองที่ต๎องการ รับบริการคัดกรองในด๎านตํางๆ เพื่อการชํวยเหลือเด็กตํอไป ดังนั้นมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาจึงได๎ เข๎ารํวมโครงการคัดกรองเพื่อค๎นหาเด็กที่มีความต๎องการพิเศษกับมูลนิธิเพื่อการศึกษาพิเศษในพระ ราชูปถัมภ๑สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อคัดกรองด๎านพัฒนาการของเด็กปฐมวัย 2. เพื่อคัดกรองด๎านภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรียนรู๎ของเด็กปฐมวัย 3. เพื่อคัดกรองด๎านการพูดของเด็กปฐมวัยและประถมศึกษา 4. เพื่อคัดกรองด๎านการได๎ยินของเด็กระดับประถมศึกษา 5. เพื่อคัดกรองด๎านการมองเห็นของเด็กระดับประถมศึกษา


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

5

ความสาคัญของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้จะทาให๎ทราบวําเด็กคนใดที่มีแนวโน๎มจะเป็นเด็กที่มีความต๎องการพิเศษ และ ข๎อมูลที่ได๎จากการคัดกรองจะเป็นประโยชน๑ตํอพํอแมํ ผู๎ปกครอง ครูผู๎สอน และผู๎ใกล๎ชิดที่จะได๎นา ข๎อมูลไปใช๎ในการวางแผนเพื่อการชํวยเหลือและพัฒนาเด็กตํอไป ขอบเขตของการวิจัย กลุม่ เป้าหมาย กลุํมเปูาหมาย เป็นเด็กปฐมวัยและประถมศึกษาที่กาลังศึกษาอยูํในระดับชั้นอนุบาล ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2560 จังหวัดสงขลา ที่ผู๎ปกครองสงสัยวําจะเป็นเด็กที่มีความ ต๎องการพิเศษ จานวน 134 คน ตัวแปรที่ศึกษา 1. เด็กที่มีพัฒนาการไมํสมวัย 2. เด็กมีภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรียนรู๎ 3. เด็กที่พูดไมํชัดเจน 4. เด็กที่มีปัญหาทางการได๎ยิน 5. เด็กที่มีปัญหาทางการมองเห็น วิธีดาเนินการวิจัย การดาเนินการวิจัยในครั้งนี้มีวิธีการและขั้นตอนในการดาเนินการเพื่อเก็บรวบรวมข๎อมูล ดังนี้ 1. ประชาสัมพันธ๑การให๎บริการคั ดกรองเพื่อค๎นหาเด็กที่มีความต๎องการพิเศษแกํ ผู๎สนใจพาบุตรหลานมาสมัครเข๎ารํวมโครงการ 2. ดาเนินการประชุมผู๎ให๎บริการ นักศึกษา และเจ๎าหน๎าที่ และกาหนดบทบาท ภาระหน๎าที่ของแตํละฝุาย 3. จัดเตรียมเครื่องมือที่ใช๎ในการคัดกรอง เอกสารลงทะเบียน แบบบันทึกผลการ คัดกรอง และเอกสารความรู๎ตํางๆ 4. จัดเตรีย มห๎องประชุม เครื่องโสตทัศนูปกรณ๑ เพื่อรับลงทะเบียนและประชุม ผู๎ปกครองชี้แจงวัตถุประสงค๑ ความรู๎เกี่ยวกับเด็กที่มีความต๎องการพิเศษ การชํวยเหลือ การพัฒนา ความสามารถของเด็ก กํอนการให๎บริการคัดกรองเด็ก 5. ดาเนิ นการคัดกรองเมื่อวันพฤหั สบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ณ สถาบัน พัฒนาการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา จังหวัดสงขลา ซึ่งมีความพร๎อม เหมาะสมในการ ให๎บริการ โดยมีทั้งห๎องประชุม ห๎องสาหรับการทดสอบและประเมิน บุคลากร ผู๎เชี่ยวชาญ นิสิต และ เครื่องมือที่ใช๎ในการทดสอบ รวมทั้งสถานที่สะดวกแกํการเดินทาง 6. เก็บรวบรวมข๎อมูล ตรวจสอบความถูกต๎องของข๎อมูล และนาข๎อมูลที่ได๎จากการ คัดกรองมาวิเคราะห๑และแปลผล 7. สรุปผลการคัดกรอง สํงผลให๎กับครูผู๎สอนเพื่อรายงานผู๎ปกครองและวางแผนใน การชํวยเหลือ และพัฒนาเด็กเป็นรายบุคคลตํอไป 8. เขียนสรุปรายงานผลการวิจัยฉบับสมบูรณ๑


6

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การคัดกรองเพื่อค๎นหาเด็กที่มีความต๎องการพิเศษมีเครื่องมือที่ใช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูล ดังนี้ 1. เครื่องมือคัดแยกเด็กแป้นหมุน 1 (DIAL-R) ของศาสตราจารย๑ศรียา นิยมธรรม ภาควิชา การศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นแบบวัดพัฒนาการของเด็ก อายุ 4 -7 ปี การทดสอบใช๎เวลาประมาณ 20 – 30 นาทีโดยเฉลี่ยตํอนักเรียน 1 คน ดาเนินการ ทดสอบเป็นรายบุคคล เพื่อวัดพัฒนาการใน 3 ด๎าน คือ 1) ด๎านการเคลื่อนไหว 2) ด๎านความคิดรวบ ยอด และ 3) ด๎านภาษา 2. เครื่องมือคัดแยกเด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้ (MacCarthy Screening Test) ของ ศาสตราจารย๑ศรียา นิยมธรรม ภาควิชาการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ ที่มีเกณฑ๑การตัดสินใช๎กับเด็กได๎ทั่วประเทศ การทดสอบจะทดสอบเด็กเป็นรายบุคคล โดยใช๎กับ เด็กที่มีอายุระหวําง 4.0 – 6.6 ปี ใช๎เวลาในการทดสอบคนละ 20 – 30 นาที เครื่องมือชุดนี้มีคําความ เที่ยงตรงเชิงโครงสร๎าง เชิงเนื้อหา และความเที่ยงตรงจาแนก ความเที่ยงตรงตามเกณฑ๑เปรียบเทียบ ในระดับเปอร๑เซ็นไทล๑ที่ 10 / 20 / 30 ของแตํละชํวงอายุ มีคําความเชื่อมั่นเทํากับ .63 - .85 ทดสอบ ทั้งหมด 6 หมวด ได๎แกํ 1) ซ๎าย – ขวา 2) การจาคา 3) การวาดรูปทรง 4) การจาตัวเลข 5) การจัด หมวดหมูํ และ 6) การใช๎ขา 3. แบบทดสอบการพูด (Articulation Test) ของรองศาสตราจารย๑ ดร.ดารณี ศักดิ์ศิริผล ภาควิชาการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นแบบทดสอบการออก เสียงพูดที่ใช๎รูปภาพสาหรับเด็กชั้นอนุบาลและประถมศึกษา ประกอบด๎วย การทดสอบการออกเสียง พยัญชนะต๎น 21 เสียง พยัญชนะท๎ายหรือตัวสะกด 8 เสียง พยัญชนะควบกล้า 11 เสียง วรรณยุกต๑ 5 เสี ยง และสระ 27 เสี ยง การทดสอบใช๎เวลาประมาณ 10 - 20 นาที โ ดยเฉลี่ ยตํอนักเรียน 1 คน ดาเนินการทดสอบเป็นรายบุคคลเพื่อตรวจสอบการออกเสียงที่ไมํชัดเจนและความผิดปกติของอวัยวะ ที่ใช๎ในการออกเสียง 4. เครื่องตรวจวัดการได้ยิน (Audiometer) เป็นการทดสอบรายบุคคล ใช๎เวลาประมาณ 10 – 15 นาที โดยเฉลี่ยตํอนักเรียน 1 คน 5. แบบทดสอบสายตา Snellen Letters ทดสอบเป็นรายบุคคล การทดสอบใช๎เวลา ประมาณ 10 – 15 นาทีโดยเฉลี่ยตํอนักเรียน 1 คน รวมทั้งการตรวจหาความผิดปกติของดวงตา การวิเคราะห์ข้อมูล การวิ เ คราะห๑ ข๎ อ มู ล ในการวิ จั ย ครั้ ง นี้ ใ ช๎ ส ถิ ติ ร๎ อ ยละ และเสนอผลในรู ป ของตารางและ ภาพประกอบ โดยใช๎แผนภูมิแทํง สรุปผลการวิจัย จากการดาเนิ น การคัดกรองเพื่อค๎นหาเด็กที่มีความต๎องการพิเศษในระดับชั้นอนุบาลถึง ชั้นประถมศึกษา ณ สถาบันพัฒนาการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา จังหวัดสงขลา สรุปผล การคัดกรองได๎ ดังนี้


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

7

ด้านพัฒนาการ ผลการวิเ คราะห๑ ข๎อ มูล จากการประเมิ นด๎ านพัฒ นาการ 3 ด๎ าน ได๎ แกํ ด๎ านการ เคลื่อนไหว ด๎านความคิดรวบยอด และด๎านภาษา มีผลการคัดกรองดังนี้ ตาราง 1 จานวนและร๎อยละของเด็กที่มีพัฒนาการปกติ/สมวัย พัฒนาการสูงกวําวัย และพัฒนาการ ลําช๎า/ไมํสมวัย ที่ ผลการคัดกรอง จานวน (คน) คิดเป็นร้อยละ 1 พัฒนาการปกติ/สมวัย 52 73.24 2 พัฒนาการสูงกวําวัย 2 2.82 3 พัฒนาการลําช๎า/ไมํสมวัย 17 23.94 รวม 71 100 จากตาราง 1 เด็กที่เข๎ารับการประเมินทั้งหมดจานวน 71 คน เป็นเด็กที่มีพัฒนาการปกติหรือ สมวัย จานวน 52 คน คิดเป็นร๎อยละ 73.24 พัฒนาการสูงกวําวัย จานวน 2 คน คิดเป็นร๎อยละ 2.82 และเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการลําช๎า/ไมํสมวัย จานวน 17 คน คิดเป็นร๎อยละ 23.94 100 90 80 70 60 พัฒนาการปกติ/สมวัย

50

พัฒนาการสูงกว่าวัย พัฒนาการล่าช้/ไม่สมวัย

40 30 20 10 0

พัฒนาการปกติ/สมวัย

พัฒนาการสูงกว่าวัย

พัฒนาการล่าช้/ไม่สมวัย

ภาพประกอบ 1 จานวนร๎อยละของเด็กที่มีพัฒ นาปกติ/สมวัย พัฒนาการสู งกวําวัย และ พัฒนาการลําช๎า/ไมํสมวัย


8

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ด้านภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ผลการวิเคราะห๑ข๎อมูลจากการทดสอบภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการ เรียนรู๎ทั้ง 6 ด๎าน ได๎แกํ 1) ด๎านซ๎าย – ขวา 2) ด๎านการจาคา 3) ด๎านการวาดรูปทรง 4) ด๎านการจา ตัวเลข 5) ด๎านการจัดหมวดหมูํ และ 6) ด๎านการใช๎ขา มีผลการคัดกรองดังนี้ ตาราง 2 จานวนและร๎อยละของเด็กที่อยูํในภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรียนรู๎ ที่ 1

ผลการคัดกรอง จานวน (คน) เด็ ก ที่ มี ภ าวะเสี่ ย งตํ อ การมี ค วามบกพรํ อ ง 13 ทางการเรียนรู๎ 2 เด็กที่ไมํมีภาวะเสี่ ยงตํอการมีความบกพรํอง 20 ทางการเรียนรู๎ รวม 33

คิดเป็นร้อยละ 39.39 60.61 100

จากตาราง 2 เด็กที่เข๎ารับการทดสอบทั้งหมดจานวน 33 คน มีเด็กที่มีภาวะเสี่ยงตํอการมี ความบกพรํองทางการเรียนรู๎ จานวน 13 คน คิดเป็นร๎อยละ 39.39 และเด็กที่ไมํมีภาวะเสี่ยงตํอการมี ความบกพรํองทางการเรียนรู๎ จานวน 20 คน คิดเป็นร๎อยละ 60.61 100 90 80 70 60 50

เสี่ยง

40

ไมํเสี่ยง

30 20 10 0 เสี่ยง

ไม่เสี่ยง

ภาพประกอบ 2 จานวนร๎อยละของเด็กที่มีภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรี ยนรู๎ และเด็กที่ไมํมีภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรียนรู๎


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

9

ด้านการพูด ผลการวิ เ คราะห๑ ข๎ อ มู ล จากการทดสอบการพู ด โดยใช๎ แ บบทดสอบการพู ด ประกอบด๎วย เสียงพยัญชนะต๎น เสียงพยัญชนะท๎ายหรือตัวสะกด เสียงพยัญชนะควบกล้า เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต๑มีผลการคัดกรองดังนี้ ตาราง 3 จานวนและร๎อยละของเด็กที่พูดชัดและเด็กที่พูดไมํชัด ที่ ผลการคัดกรอง 1 เด็กที่พูดชัด 2 เด็กที่พูดไมํชดั รวม

จานวน (คน) 8 1 9

คิดเป็นร้อยละ 88.89 11.11 100

จากตาราง 3 เด็กที่เข๎ารับการทดสอบการพูดทั้งหมดจานวน 9 คน มีเด็กที่พูดชัด จานวน 8 คน คิดเป็นร๎อยละ 88.89 และเด็กที่พูดไมํชัด จานวน 1 คน คิดเป็นร๎อยละ 11.11 100 90 80 70 60

50

พูดชัด

40

พูดไมํชัด

30 20

10 0 พูดชัด

พูดไม่ชัด

ภาพประกอบ 3 จานวนร๎อยละของเด็กที่พูดชัดเจนและเด็กที่พูดไมํชัด ด้านการได้ยิน ผลการวิเคราะห๑ข๎อมูลจากการตรวจวัดการได๎ยินโดยใช๎เครื่องตรวจวัดการได๎ยิน มีผลการคัดกรองดังนี้


10

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ตาราง 4 จานวนและร๎อยละของเด็กที่มีการได๎ยินปกติและเด็กที่มีปัญหาการได๎ยิน ที่ ผลการคัดกรอง 1 เด็กที่มีการได๎ยินปกติ 2 เด็กที่มีปัญหาการได๎ยิน รวม

จานวน (คน) 12 1 13

คิดเป็นร้อยละ 92.31 7.69 100

จากตาราง 4 เด็กที่เข๎ารับการตรวจวัดการได๎ยินทั้งหมดจานวน 13 คน มีเด็กที่มี ระดับการได๎ยินปกติ จานวน 12 คน คิดเป็นร๎อยละ 92.31 และเด็กที่มีปัญหาทางการได๎ยินจานวน 1 คน คิดเป็นร๎อยละ 7.69 100 90 80 70 60 50

การได๎ยินปกติ

40

มีปัญหาการได๎ยิน

30 20 10 0 การได้ยินปกติ

มีปัญหาการได้ยิน

ภาพประกอบ 4 จานวนร๎อยละของเด็กที่มีการได๎ยินปกติและเด็กที่มีปัญหาการได๎ยิน ด้านการมองเห็น ผลการวิ เ คราะห๑ ข๎ อ มูล จากการทดสอบการมองเห็ น โดยใช๎ แ บบทดสอบสายตา Snellen Letters มีผลการคัดกรองดังนี้ ตาราง 5 จานวนและร๎อยละของเด็กที่มีการมองเห็นปกติและมีปัญหาการมองเห็น ที่ ผลการคัดกรอง จานวน (คน) คิดเป็นร้อยละ 1 เด็กที่มีการมองเห็นปกติ 7 87.50 2 เด็กที่มีปัญหาการมองเห็น 1 12.50 รวม 8 100


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

11

จากตาราง 5 เด็กที่เข๎ารับการทดสอบการมองเห็นทั้งหมดจานวน 8 คน มีเด็กที่มี การมองเห็นปกติ จานวน 7 คน คิดเป็นร๎อยละ 87.50 และเด็กที่มีปัญหาการมองเห็น จานวน 1 คน คิดเป็นร๎อยละ 12.50 100 90 80 70 60 50

การมองเห็นปกติ

40

มีปัญหาการมองเห็น

30 20 10 0 การมองเห็นปกติ

มีปัญหาการมองเห็น

ภาพประกอบ 5 จานวนร๎อยละของเด็กที่มีการมองเห็นปกติและมีปัญหาการมองเห็น อภิปรายผล จากการคัดกรองเพื่อค๎นหาเด็กที่มีความต๎องการพิเศษในครั้งนี้ โดยดาเนินการคัดกรองใน 5 ด๎าน ได๎แกํ 1) ด๎านพัฒนาการ 2) ด๎านภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรียนรู๎ของเด็กปฐมวัย 3) ด๎านการพูด 4) ด๎านการได๎ยิน และ 5) ด๎านการมองเห็น ซึ่งผลจากการคัดกรองจะมีเด็กจานวนหนึ่ง ที่จาเป็ นต๎องได๎รับการชํวยเหลือ หรือสํ งเสริม หรือสํงตํอเพื่อรับการวินิจฉัยจากผู๎เชี่ยวชาญตํอไป ได๎แกํ เด็กที่มีปั ญหาพัฒ นาการลําช๎า/ไมํส มวัย เด็กที่มีภ าวะเสี่ ยงตํอการมีความบกพรํอ งทางการ เรี ย นรู๎ เด็ กที่พู ดไมํ ชัด เด็ กที่มี ปั ญ หาทางการได๎ยิ น และเด็ก ที่มี ปัญหาการมองเห็ น ทั้ง นี้ผ ลการ ดาเนินการคัดกรองมีดังนี้ 1. ด้านพัฒนาการ จากการประเมินพัฒนาการ 3 ด๎าน ได๎แกํ ด๎านการเคลื่อนไหว ด๎านความคิดรวบยอด และด๎าน ภาษา โดยใช๎เครื่องมือคัดแยกเด็กแปูนหมุน 1 หรือ DIAL – R มีเด็กที่เข๎ารับการประเมินทั้งหมดจานวน 71 คน ผลการคัดกรองพบวํา เด็กมีพัฒนาการปกติหรือสมวัย จานวน 52 คน คิดเป็นร๎อยละ 73.24 พัฒนาการสูงกวําวัย จานวน 2 คน คิดเป็นร๎อยละ 2.82 และเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการลําช๎า/ไมํสมวัย จานวน 17 คน คิดเป็นร๎อยละ 23.94 สอดคล๎องกับข๎อมูลของสถาบันแหํงชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและ


12

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ครอบครัว (2561. ออนไลน๑) ที่ระบุวํา เด็กปฐมวัยประมาณ 1 ใน 3 ของเด็กเล็กในประเทศมีพัฒนาการ ลําช๎า ซึ่งพัฒนาการที่ลําช๎าไมํสมวัยนี้จะสํงผลตํอการเรียนรู๎ทั้งด๎านทักษะการอําน เขียน คิดคานวณ 2. ด้านภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ จากการทดสอบภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรียนรู๎ทั้ง 6 ด๎าน ได๎แกํ 1) ด๎านซ๎าย – ขวา 2) ด๎านการจาคา 3) ด๎านการวาดรูปทรง 4) ด๎านการจาตัวเลข 5) ด๎านการจัดหมวดหมูํ และ 6) ด๎านการใช๎ขา โดยใช๎แบบคัดแยกเด็กที่ มีปัญหาในการเรียนรู๎ หรือ MacCarthy Screening Test มีเด็กที่เข๎ารับการทดสอบทั้งหมดจานวน 33 คน ผลการคัดกรองพบวํา เด็กที่มีภาวะเสี่ยงตํอการ มีความบกพรํองทางการเรียนรู๎ จานวน 13 คน คิดเป็นร๎อยละ 39.39 และเด็กที่ไมํมีภาวะเสี่ยงตํอการมี ความบกพรํองทางการเรียนรู๎ จานวน 20 คน คิดเป็นร๎อยละ 60.61 ข๎อมูลดังกลําวใกล๎เคียงกับข๎อมูล รองศาสตราจารย๑ ดร.ดารณี ศักดิ์ศิริผล (2557) ที่ได๎ทาการคัดแยกเด็กที่อยูํในภาวะเสี่ยงตํอการมี ปัญหาทางการเรียนรู๎ ของโรงเรียนอนุบาลองครักษ๑ (ผดุงองครักษ๑ประชา) จังหวัดนครนายก พบวํา เด็ก ที่อยูํในภาวะเสี่ยงตํอการมีความบกพรํองทางการเรียนรู๎มีจานวนถึง 26.88 % เด็กที่อยูํในภาวะเสี่ยงนี้ หากไมํได๎รับการค๎นพบและชํวยเหลือก็จะสํงผลให๎เด็กมีปัญหาการเรียนรู๎ในอนาคตได๎ 3. ด้านการพูด จากการทดสอบการพูดคาที่มีเสียงพยัญชนะต๎น เสียงพยัญชนะท๎ายหรือตัวสะกด เสียง พยัญชนะ ควบกล้า เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต๑ โดยใช๎แบบทดสอบการพูด หรือ Articulation Test มีเด็กที่เข๎ารับการทดสอบการพูดทั้งหมดจานวน 9 คน ผลการคัดกรองพบวํา เด็กที่พูดชัดเจน จานวน 8 คน คิดเป็นร๎อยละ 88.89 และเด็กที่พูดไมํชัด จานวน 1 คน คิดเป็นร๎อยละ 11.11 ซึ่งการ พูดไมํชัดนี้เป็นการออกเสียงคาควบกล้าที่ไมํชัดเจน หากเด็กได๎รับการแก๎ไขการพูดก็จะทาให๎สามารถ พูดได๎อยํางชัดเจน 4. ด้านการได้ยิน จากการตรวจวัดการได๎ยินโดยใช๎เครื่องตรวจวัดการได๎ยิน หรือ Audiometer มีเด็กที่เข๎า รับการตรวจวัดการได๎ยินทั้งหมดจานวน 13 คน ผลการคัดกรองพบวํา เด็กมีระดับการได๎ยินปกติ จานวน 12 คน คิดเป็นร๎อยละ 92.31 และเด็กที่มีปัญหาทางการได๎ยินจานวน 1 คน คิดเป็นร๎อยละ 7.69 ซึ่งจาเป็นต๎องสํงตํอไปตรวจสอบการได๎ยินอยํางละเอียดเพื่อหาสาเหตุที่แท๎จริงตํอไป 5. ด้านการมองเห็น จากการทดสอบการมองเห็นโดยใช๎แบบทดสอบสายตา หรือ Snellen Letters มีเด็กที่ เข๎ารับการทดสอบการมองเห็นทั้งหมดจานวน 8 คน ผลการคัดกรองพบวํา มีเด็กที่มีการมองเห็นปกติ จานวน 7 คน คิดเป็นร๎อยละ 87.50 และเด็กที่มีปัญหาการมองเห็น จานวน 1 คน คิดเป็นร๎อยละ 12.50 ทั้งนี้เด็กที่มีปัญหาด๎านการมองเห็ นจะต๎องได๎รับการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุและให๎การ ชํวยเหลือตํอไป นอกจากการคัดกรองเด็กแล๎วยังได๎สัมภาษณ๑พํอแมํ ผู๎ปกครอง และผู๎ใกล๎ชิดเด็กที่พาบุตรหลาน มารับบริการคัดกรองซึ่งได๎ให๎ข๎อมูลเพิ่มเติมวําควรจะมีกิจกรรมแบบนี้อยํางตํอเนื่อง เพื่อผู๎ปกครองจะได๎ มีความรู๎เรื่องของเด็กพิเศษ การปรับพฤติกรรม และต๎องการให๎มีการสอนการผลิตสื่อที่ใช๎สาหรับเด็กที่มี ความบกพรํองด๎านตํางๆ เพื่อพํอแมํ ผู๎ปกครองจะได๎นาไปใช๎ในการสอนบุตรหลานตํอไป


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

13

ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนาไปใช้ 1. กํอนดาเนินการคัดกรองจะต๎องประชุมทีมผู๎คัดกรอง และศึกษาการใช๎เครื่องมือ ขั้นตอน และการแปลผลจากการคัดกรอง 2. จัดประชุม ชี้แจงวัตถุประสงค๑ รายละเอียดของการคัดกรอง เครื่องมือที่ใช๎ใน การคัดกรอง ผลการคัดกรอง และการนาผลการทดลองไปใช๎เพื่อพัฒนาเด็กตํอไป ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรดาเนิน การคัดกรองในด๎านอื่นๆ อาทิ พัฒนาการด๎านอารมณ๑ ด๎านสมาธิ ด๎านความคิดสร๎างสรรค๑ 2. ควรดาเนินการติดตามผลจากการคัดกรองเพื่อค๎นหาเด็กที่มีความต๎องการพิเศษ 3. ควรจัดทาคูํมือสาหรับพํอแมํ ผู๎ปกครอง และผู๎ใกล๎ชิด เพื่อนาไปใช๎เป็นแนวทาง ในการชํวยเหลือเพื่อพัฒนาเด็กตํอไป เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กาหนดประเภทและหลักเกณฑ์ ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๒. เลํม ๑๒๖ ตอนพิเศษ ๘๐ ง ราชกิจจานุเบกษา. ดารณี ศักดิ์ศิริผล. (2557). การคัดแยกเด็กที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการมีปัญหาทางการเรียนรู้ ของ โรงเรียนอนุบาลองครั กษ์ (ผดุงองครั กษ์ประชา) จังหวัดนครนายก. วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต, ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2557. กรุงเทพฯ. ไทยรั ฐ . เจาะปมร้ อนรั บวัน เด็ ก อะไรทาเยาวชนไทยอ่า นไม่ออก. (2561). สื บค๎นเมื่ อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561. จาก https://www.thairath.co.th/content/560044 นัดดา ปิยะศิลป์. (2558). ความบกพร่องทางการเรียนรู้และโรคที่พบร่วม. วารสารสมาคมจิตแพทย๑ แหํงประเทศไทย 2558; 60(4): 289. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย. (2561). คณะครุฯ-มูลนิธิฯ พระเทพฯ ชี้โครงการ “ตั้งไข่” ให้โอกาส “เด็กพิเศษ”. สืบค๎นเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2561. จาก https://www.crru.ac.th/kanbouplus/read_more.php?newsid=379 สถาบันแหํงชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว. (2561). เปิดสถานการณ์เด็กปฐมวัย พบ 1 ใน 3 พัฒนาการล่าช้า. สืบค๎นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561. จาก http://www.qlf.or.th/Mobile/Details?contentId=812 Melanie Adam. (2018). Learning Disabilities/Specific Learning Disabilities. Retrieve 15 May, 2018. From https://specialneedsprojecteec424.weebly.com/learning-disabilitiesldspecific-learning-disabilities-sld.html ……………………………………………………………………


14

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

การศึกษาปัญหาในการจัดการศึกษาสาหรับผู้อพยพในวัยเรียน ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยและประเทศออสเตรีย A Study of Educational Management Problems for School Age Immigrants in Thailand and Austria ศิริพันธ๑ ศรีวันยงค๑1 ฑมลา บุญกาญจน๑2

บทคัดย่อ ในปัจจุบันแนวโน๎มการอพยพย๎ายถิ่นฐานของประชากรโลกกาลังเปลี่ยนแปลงอยํางตํอเนื่อง การย๎ายถิ่นฐานอาจสํงผลกระทบตํอผู๎อพยพในด๎านตํางๆ สาหรับผู๎อพยพในวัยเรียนและการศึกษาเป็น ผลกระทบที่ชัดเจนด๎านหนึ่ง การวิจัยครั้งนี้มุํงสารวจการเปลี่ยนผํานทางการศึกษาของผู๎อพยพใน ระดับนานาชาติ โดยเฉพาะผู๎อพยพในวัยเรียน โดยวิธีการเก็บรวบรวมข๎อมูลใช๎การวิจัยทฤษฎีรากฐาน (Grounded Theory Study) จากการสัมภาษณ๑ผู๎อพยพวัยหนุํมสาวที่ลี้ภัยมาสูํประเทศไทยและ ประเทศออสเตรีย จานวน 10 คน เพื่อให๎เห็นสภาพของปัญหาในการได๎รับศึกษา เมื่อผู๎ อพยพเหลํานี้ เดินทางมาสูํประเทศใหมํ ผลการศึกษาพบวํา ผู๎อพยพในวัยเรียนเหลํานี้มีความยากลาบากในการเข๎าสูํ กระบวนการทางการศึกษาในประเทศที่พวกเขาย๎ายเข๎ามา รวมถึงต๎องเผชิญปัญหาอุปสรรคตํางๆ เชํน ข๎อจากัดทางด๎านภาษาและการเผชิญกับวัฒนธรรมในประเทศใหมํ เป็นต๎น คาสาคัญ: ผู๎อพยพในวัยเรียน การจัดการศึกษา การอพยพย๎ายถิ่นฐาน

1

ผู๎ชํวยศาตราจารย๑ ดร. ศูนย๑พัฒนาการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อาจารย๑ ดร. ศูนย๑พัฒนาการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

2


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

15

Abstract Nowadays, the global migration trends of the world's population are continuously changing. Immigration can affect immigrants in a number of different ways. Specially, education is one of the clearest impacts in childhood and adolescence immigrants. The purpose of this study was to explore educational transition of immigrants at the international level; especially the school age immigrants. The data collection utilized a Grounded Theory approach including 10 interviews with youth immigrants in Thailand and Austria to study the problems in receiving education when immigrants move to the destination countries. Finding of this study revealed difficulties in entering to the educational process in the destination countries. Moreover they encountered with several obstacles; such as language barriers and cultural encounters in new countries. Keywords: School Age Immigrants, Education, Management ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ฟอร๑ลองและคณะ (Furlong, et al. 2003: 2) ได๎กลําวถึงความเสี่ยงภัยของการอพยพไว๎วํา อพยพสํวนใหญํมาจากสังคมด๎อยโอกาส ที่มาจากชนชั้นลํางและผู๎ด๎อยโอกาสเหลํานี้มักประสบปัญหา และอุปสรรคในระหวํางทางการอพยพ เชํน การไมํมีงานทา การไมํมีคุณวุฒิในการศึกษา เป็นต๎น นอกจากนี้ ซามาราซิงเกิ้ล และคณะ (Samarasingle, et al. 2002) ได๎สรุปวํา ผู๎อพยพเหลํานี้ไมํวําจะ เดินทางอพยพมาด๎วยตนเอง หรือเดินทางมาพร๎อมกับครอบครัว ไมํวําจะอพยพมาจากประเทศใดก็ ตาม พวกเขาจะเผชิญกับปัญหา หรือที่เรียกวํา “สงครามชนิดใหมํ” ที่ผู๎อพยพเหลํานี้จะต๎องตํอสู๎กับ ปัญหาตํางๆ ในประเทศใหมํ เชํน การขาดแคลนสาธารณูปโภคพื้นฐาน การไมํได๎รับบริการและความ ชํวยเหลืออื่นๆ ที่เกี่ยวข๎องกับด๎านสุขภาพ ด๎านการศึกษา และด๎านการชํว ยเหลื อทางการเงิน สิ่ ง เหลํานี้กํอให๎เกิดความตึงเครียดและเป็นเรื่องที่ท๎าทายสาหรับผู๎อพยพ เนื่องด๎วยในปัจจุบันมีข๎อมูลที่แสดงให๎เห็นวํามีผู๎อพยพจากประเทศตํางๆ หนีจากภัยเป็นจานวนมาก ด๎วยปัญหาและเหตุผลที่แตกตํางกัน เชํน ภัยธรรมชาติ ภัยสงคราม และปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งการวิจัยนี้ ศึกษาการเปลี่ยนผํานทางการศึกษาของผู๎อพยพในแตํละชํวงอายุในประเทศและประเทศออสเตรีย โดยมี การศึกษาในหลากหลายประเด็นที่มีความเกี่ยวข๎องกับการได๎รับการศึกษาในประเทศใหมํ เชํน ข๎อจากัดทาง ภาษา การเตรียมตัวเพื่อเข๎าเรียนในระดับมัธยมศึกษาไปจนถึงการศึกษานอกระบบ สิ่งที่สาคัญประการหนึ่ง คือ ผู๎อพยพเหลํานี้ยังต๎องพึ่งพาการชํวยเหลือจากองค๑กรการกุศลของเอกชนตํางๆ ในรูปของการชํวยเหลือ แบบกลุํม หรือแบบปัจเจกบุคคล และผู๎อพยพที่อยูํในชํวงอายุ 10 ถึง 16 ปี หลายคนได๎ระบุในการสัมภาษณ๑ วําพวกเขาประสบปัญหากับการทาความเข๎าใจในระบบการศึกษาในประเทศใหมํ ที่ไมํเหมือนระบบการศึกษา ในประเทศเดิมและมีความซับซ๎อน โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาต๎องการที่จะศึกษาในระดับที่สูงขึ้น ที่เป็นการศึกษา ในสายวิชาชีพหรือต๎องการที่จะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด๎าน ดังนั้นการวิจัยนี้จึงมีความสนใจในการศึกษาเรื่อง การเปลี่ยนผํานทางการศึกษาของผู๎อพยพวัยหนุํมสาว เมื่อพวกเขาอพยพมายังประเทศใหมํที่ปลอดภัยกวํา


16

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

วัตถุประสงค์ของการวิจัย การศึกษาปัญหาในการจั ดการศึกษาสาหรับผู๎อพยพในวัยเรียนที่อพยพเข๎ามาตั้งถิ่นฐานใน ประเทศไทยและประเทศออสเตรีย มีวัตถุประสงค๑ ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาการเปลี่ยนผํานทางการศึกษาสาหรับผู๎อพยพในวัยเรียนในประเทศไทยและ ประเทศออสเตรีย 2. เพื่ออภิปรายถึงปัจจัยที่มีผลกระทบตํอการได๎รับบริการทางการศึกษาของผู๎อพยพในวัย เรียนในบริบทระดับนานาชาติ การดาเนินการวิจัย การวิจัยเรื่องการศึกษาปัญหาในการจัดการศึกษาสาหรับผู๎อพยพในวัยเรียนที่อพยพเข๎ามาตั้งถิ่น ฐานในประเทศไทยและประเทศออสเตรีย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่ใช๎การ วิจัยทฤษฎีรากฐาน (Grounded Theory Study) รํวมกับการวิจัยแบบมีสํวนรํวม (Participatory Research) ซึ่งเป็นรูปแบบของการวิจัยแบบใหมํทดแทนกระบวนทัศน๑ของการวิจัยแบบดั้งเดิมที่เน๎นตัว ผู๎วิจัยเป็นศูนย๑ กลาง (Researcher Centric) ของการวิจัย เพราะการวิจัยแบบใหมํนี้ เป็นการใช๎ ทรัพยากรของสังคมในการศึกษาและให๎มีสํวนรํวมในทุกขั้นตอนของกระบวนการวิจัย โดยการวิจัยทฤษฎี รากฐาน (Grounded Theory Study) ซึ่งเป็นการศึกษาปรากฏการณ๑ทางสังคมที่มีคุณลักษณะเฉพาะ เพื่อทาความเข๎าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย๑ จากนั้นนาข๎อมูลที่ได๎มาสร๎างมโนทัศน๑ และหาความ เชื่อมโยงระหวํางมโนทัศน๑ตํางๆ เพื่อให๎ ได๎ข๎อสรุปเชิงทฤษฎีปรากฏการณ๑ทางสังคม (Sheridan; & Storch. 2009) สาหรับการวิจัยแบบมีสํวนรํวม (Participatory Research) เน๎นในมิติของการเก็บข๎อมูล เป็นวิธีการที่ให๎ผู๎ถูกวิจัยหรือชาวบ๎านเข๎ามามีสํวนรํวมในการวิจัย เป็นการเรียนรู๎จากประสบการณ๑ โดย อาศัยการมีสํวนรํวมอยํางแข็งขันจากทุกฝุายที่เกี่ยวข๎องกับกิจกรรมวิจัย (Ellis, et al. 2007) การเก็บรวบรวมข๎อมูลในงานวิจัยครั้งนี้เป็นการสัมภาษณ๑ ทั้งการสัมภาษณ๑แบบกลุํม (Group Interview) และการสัมภาษณ๑แบบเจาะลึก (In-Depth Interview) โดยกลุํมตัวอยําง ได๎แกํ ผู๎อพยพวัย หนุํมสาวในประเทศไทยและประเทศออสเตรียที่ได๎มาโดยความสมัครใจ วิธีการเก็บข๎อมูล ผู๎วิจัยได๎ขอ อนุญาตครูและนักสังคมสงเคราะห๑และทาการสัมภาษณ๑แบบกลุํมและแบบเจาะลึก โดยการสัมภาษณ๑ กลุํ มใช๎เวลาประมาณ 45-60 นาที และการสั มภาษณ๑แบบเจาะลึ ก ใช๎เวลาประมาณ 20-30 นาที สาหรับกลุํมตัวอยํางที่เป็นผู๎ถูกสัมภาษณ๑ในประเทศไทย คือผู๎อพยพที่มีอายุระหวําง 15 – 25 ปี ที่อยูํ ตามชายแดนประเทศไทยและประเทศพมํา รวมถึงผู๎อพยพที่มีความพิการด๎วย จานวน 5 คน ผู๎ถูก สัมภาษณ๑ในประเทศออสเตรีย คือ ผู๎อพยพที่มีอายุระหวําง 15 – 20 ปี จานวน 5 คน การสัมภาษณ๑ใน การวิจัยครั้งนี้ ผู๎วิจัยได๎สัมภาษณ๑ผู๎อพยพชาวพมําที่เข๎ามาอยูํในประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2016 และสัมภาษณ๑ผู๎อพยพที่เข๎ามาอยูํในประเทศออสเตรียในเดือน มกราคม 2016 วิธีการสัมภาษณ๑ ผู๎ สัมภาษณ๑ใช๎วิธีการสัมภาษณ๑แบบมีโครงสร๎าง (Structured Interview) เป็นการสัมภาษณ๑ที่ผู๎วิจัยได๎ กาหนดโครงสร๎างและคาถามที่จะใช๎ในการสัมภาษณ๑ไว๎ลํวงหน๎ากํอนการไปเก็บข๎อมูล และไปสัมภาษณ๑ กับผู๎ให๎ข๎อมูลตามโครงสร๎างคาถามที่ได๎กาหนดไว๎ และให๎ผู๎ถูกสัมภาษณ๑สามารถเลําเรื่องของตนเองได๎ อยํางอิสระ ทั้งนี้ผู๎ถูกสัมภาษณ๑สามารถเลือกที่จะปฏิเสธที่จะตอบคาถาม หรือไมํเลําในเรื่องที่พวกเขาไมํ ต๎องการเลําก็ได๎ (Bortz, 1995) ผู๎ถูกสัมภาษณ๑เริ่มต๎นโดยการเลําวําได๎รับการศึกษาในปัจจุบันอยํางไร


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

17

และเลําย๎อนหลังเกี่ยวกับการได๎รับการศึกษาและชีวิตในอดีต ดังนั้นข๎อมูลที่ได๎จากการวิจัยนี้ เป็นข๎อมูล เชิงคุณภาพที่ศึกษาเกี่ยวกับชีวิต เส๎นทางการได๎รับการศึกษาของวัยหนุํมสาวที่พ๎นจากการศึกษาภาค บังคับในภูมิลาเนาประเทศบ๎านเกิดของตนเอง และการได๎รับการศึกษาของผู๎อพยพในประเทศใหมํ การวิเคราะห์ข้อมูล การวิ เ คราะห๑ ข๎ อ มู ล ในงานวิ จั ย นี้ ในเบื้ อ งต๎ น ใช๎ ส ถิ ติ เ ชิ ง พรรณนาอยํ า งงํ า ย ( Simple Descriptive Statistics) และการวิเคราะห๑เชิงพรรณนา (Descriptive Analysis) ในการอธิบายข๎อมูล รวมทั้งวิธีการวิเคราะห๑ข๎อมูลแบบแผนที่ในการเดินทาง (Journey Maps) โดยในบทความนี้ได๎แสดง แผนที่ในการเดินทางของกลุํมตัวอยําง 2 คน ที่เป็นผู๎อพยพมาสูํประเทศไทยและประเทศออสเตรีย วิเคราะห์กรณีศึกษาผ่านแผนที่เดินทาง (Journey Map) ในการวิจัยนี้ ผู๎วิจัยได๎ใช๎แผนที่เดินทาง (Journey Map) เพื่อทาการวิเคราะห๑เส๎นทางการ เปลี่ยนผํานทางการได๎รับการศึกษาจากกรณีศึกษาที่กลําวถึง การศึกษาผํานแผนที่เดินทางนี้ได๎แนวคิด มาจากฮาเวิร๑ด (Howard, 2014) แผนที่นี้จะแสดงให๎เห็นชํวงชีวิตในวัยตํางๆ การเปลี่ ยนผําน อุปสรรค ปัญหาตํางๆ ตลอดจนผู๎ที่เกี่ยวข๎องกับกรณีศึกษา กรณีศึกษาที่ 1 คือ นิยาง (Nyan) ผู๎อพยพชาวพมําที่เข๎ามาในประเทศไทย เขาได๎เลําการศึกษา ของเขากํอนที่เขาจะลี้ภัยมายังประเทศไทย รวมถึงการทางานในปัจจุบันในประเทศไทย ภาพตํอไป แสดงถึงการเดินทางและการทางานของ นิยาง (Nyan) ผู๎อพยพชาวพมําเข๎ามาในประเทศไทย

ภาพที่ 1 : แผนที่เดินทางของ นิยาง (Nyan) โดยการให๎สัมภาษณ๑ในประเทศไทย


18

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

เมื่อพิจารณาจากแผนที่การเดินทาง (Journey Map) ของนิยาง (Nyan) จะเห็นประเด็นที่ นําสนใจคือ โอกาสในการรับการศึกษา เขาอธิบายถึงการศึกษาในระดับอนุบาลวํามีลักษณะคล๎ายกับ การศึกษาในประเทศไทย จากนั้นเขาไมํได๎อธิบายเพิ่มเติมสาหรับการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา และ เขาไมํเข๎าเรียนตํอเพิ่มเติมหลังจากจบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาแล๎ว จากนั้นเขามีความตั้งใจใน การเดินทางข๎ามพรมแดนประเทศพมํ าและประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค๑หลักเพื่อเข๎ามาทางาน และตํอมาเขาได๎รั บคาแนะน าจากเพื่อนชาวพมําที่มาอาศัยอยูํกํอนในประเทศไทย ให๎ เรียนตํอใน การศึกษาผู๎ใหญํ เพื่อเพิ่มความรู๎ในวิช าภาษาไทย เพราะภาษาไทยเป็นภาษาที่จาเป็นมากในการ สื่อสารกับนายจ๎างในประเทศไทย และขณะนี้เขามีความคิดที่หาความรู๎เพิ่มเติมในระดับที่สูงขึ้น กรณีศึกษาที่ 2 คือ เรเชด (Reshed) ผู๎อพยพชาวซีเรียที่อยูํในประเทศออสเตรีย เขาได๎เลําเรื่อง การได๎รับศึกษาของเขา กํอนที่จะลี้ภัยมายังประเทศออสเตรีย รวมถึงการทางานในปัจจุบันในประเทศ ออสเตรีย เขาเข๎าเรียนในโรงเรียน ประเทศซีเรียเป็นเวลา 9 ปี เมื่อเขามาถึงประเทศออสเตรีย เขาประสบ ความยากลาบากในการเรียนตํอเนื่องจากเขาไมํมีใบประกาศนียบัตรจบการศึกษาจากโรงเรียนในประเทศ ซีเรีย รวมทั้งเรื่องของภาษาที่เป็นอุปสรรคในการเรียนรู๎ของ เรเชด (Reshed) เพราะประเทศออสเตรียใช๎ ภาษาเยอรมันเป็นภาษาหลัก ดังนั้นทาให๎เขาต๎องเริ่มต๎นเรียนวิชาภาษาเยอรมัน ดังนั้นหลังจากที่เขาจบ การเรี ยนภาษเยอรมั นหนึ่ งหลั กสู ตรแล๎ ว เขาจึ งได๎ เข๎ าเรี ยนในระบบการศึ กษาผู๎ ใหญํ เพื่ อให๎ ได๎ รั บ ประกาศนียบัตรเทียบเทํากับระดับโรงเรียนมัธยมศึกษาในประเทศออสเตรีย นอกจากนี้ปัญหาที่เขาพบคือ การไมํเข๎าใจในระบบการศึกษาของประเทศออสเตรีย แตํเขาได๎รับคาแนะนาจากครูสอนภาษาเยอรมัน ขณะนี้ เขาพยายามที่จะสอบ เพื่อให๎ผํานเข๎าศึกษาและฝึกงานเป็นผู๎ชํวยเภสั ชกร แตํขณะเดียวกันเขา พยายามที่จะเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อหวังวําวันหนึ่งชีวิตของเขาจะดีขึ้น ภาพตํอไปแสดงถึงการ เดินทางและการทางานของ เรเชด (Reshed) ผู๎อพยพชาวซีเรียที่เข๎ามาในประเทศออสเตรีย


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

19

ภาพที่ 2 : แผนที่เดินทางของเรเชด (Reshed) โดยการให๎สัมภาษณ๑ในประเทศออสเตรีย เมื่อพิจารณาจากแผนที่การเดินทาง (Journey Map) ของ เรเชด (Reshed) จะเห็นประเด็น ที่นําสนใจคือ โอกาสในการรับการศึกษา เชํนเดียวกับกรณีศึกษาแรก แตํผู๎วิจัยพบวํา จากการสัมภาษณ๑ ผู๎อพยพที่เป็นเยาวชนจากประเทศซีเรีย พวกเขาสํวนใหญํ ไมํเข๎าใจระบบการศึกษาในประเทศออสเตรีย


20

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ทาให๎ พวกเขามีความยากล าบากในการที่จะได๎รั บการศึกษาตํอในระดับที่ สู งขึ้น และยิ่งไปกวํานั้ น ผู๎ปกครองของเยาวชนเหลํานั้นไมํสามารถพูดภาษาเยอรมันได๎ ทาให๎เยาวชนจาเป็นต๎องหาหนทางที่จะ สมัครเข๎าศึกษาในสถานศึกษาด๎วยตนเอง จากกรณีศึกษาทั้งสองกรณีที่ได๎นาเสนอนั้นทาให๎ได๎เห็นถึงความหลากหลายของแผนที่การ เดินทาง ซึ่งวิธีนี้ผู๎วิจัยได๎ทดลองให๎กลุํมตัวอยําง ได๎รํางแผนที่การเดินทางของตนเอง อยํางไรก็ตาม เนื่องด๎วยวิธีการวิเคราะห๑ข๎อมูลโดยใช๎แผนที่เดินทางเป็นขั้นทดลองเริ่มต๎นเทํานั้น ยังคงต๎องปรับปรุง วิธีการนี้ เพื่อประเมินถึงความมีประสิทธิภาพของการใช๎แผนที่เดินทางในการวิจัย ผลการวิจัย ปัญหาในการเปลี่ยนผ่านทางการศึกษาของผู้อพยพลี้ภัยในประเทศไทย จากการนาเสนอรายละเอียดของแผนที่การเดินทาง (Journey Map) ทางการศึกษาของผู๎อพยพ ชาวพมํารายหนึ่ง เพศชาย อายุ 24 ปี และได๎เดินทางมาอยูํในประเทศไทยเป็นเวลา 6 ปี แล๎ว (คานวณ ตามวันที่ให๎สัมภาษณ๑จริงในเดือนสิงหาคม 2016) และได๎รับการอนุญาตให๎เผยแพรํ ดังนั้นในงานวิจัยนี้ จึงเป็นการรายงานการสัมภาษณ๑ผู๎อพยพชาวพมําที่ได๎รับอนุญาตให๎อาศัยอยูํในประเทศไทย ชายผู๎นี้ได๎ เดินทางเข๎ามาในประเทศไทย เพราะขาดโอกาสทางการศึกษาและประกอบอาชีพในประเทศพมํา ในชํวง แรกเขามีความต๎องการที่จะเข๎าศึกษาในโรงเรียนในประเทศไทย แตํความจาเป็นในการประกอบอาชีพ และการรอคอยที่ยาวนานเพื่อให๎ได๎รับอนุญาตจากทางราชการไทย เพื่อเดินทางเข๎ามาในประเทศไทยได๎ จึงทาให๎ เขาละทิ้งความตั้งใจในการเข๎าศึกษาในโรงเรียนในประเทศไทย อยํางไรก็ตามเขาได๎เรียนรู๎ ภาษาไทยจากการใช๎ชีวิตประจาวัน รํวมกับเพื่อนคนไทย เนื่องด๎วยวําเขาไมํสามารถเรียนภาษาไทยใน ระบบโรงเรียนได๎ ในชํวงที่สัมภาษณ๑นี้ เขาทางานในโรงงานผลไม๎กระป๋อง เป็นเวลา 6 วัน ตํอสัปดาห๑ จึง ทาให๎เขาไมํมีเวลาที่จะเข๎าศึกษาในโรงเรียน แตํมีเพื่อนของเขาที่แนะนาให๎เรียนตํอในระดับการศึกษา ผู๎ใหญํ ซึ่งเป็นการศึกษานอกระบบ ซึ่งเขาจะได๎เรียนภาษาไทยและการใช๎คอมพิวเตอร๑ ในขณะนี้เขากาลัง เรียนอยูํในสถาบันแหํงหนึ่งในกรุงเทพมหานคร โดยสถาบันนี้เป็นขององค๑กรที่ชํวยเหลือชาวพมํา และผู๎ อพยพอื่นๆ ที่ต๎องการเรียนภาษาไทย เพื่อการสื่อสาร และถึงแม๎วําเขาต๎องเดินทางทุกวันอาทิตย๑ เป็น เวลา 2 ชั่วโมง ทั้งไปและกลับ เพื่อมาเรียนที่สถาบันนี้ เขายังมีความตั้งใจที่จะเรียนในระดับที่สูงขึ้น และ ตั้งความหวังที่จะเข๎าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยด๎วย นอกจากนี้คณะผู๎วิจัยได๎มีโอกาสเก็บข๎อมูลเกี่ยวกับการอพยพย๎ายถิ่นฐานเพิ่มเติม คณะผู๎วิจัย ได๎เดินทางไปที่คํายผู๎ลี้ภัยแหํงหนึ่งจากจานวน 9 คําย ตามชายแดนประเทศไทยและประเทศพมํา ใน เดื อ นสิ ง หาคม 2016 คณะผู๎ วิ จั ย ได๎ เ ริ่ ม ติ ด ตํ อ กั บ องค๑ ก ารนอกภาครั ฐ ( Non-Governmental Organization -NGO) แหํงหนึ่งที่ชํวยจัดการศึกษาให๎แกํผู๎อพยพเหลํานี้ คณะผู๎วิจัยได๎มีโอกาสเข๎า สังเกตการณ๑เรียนการสอนในชั้นเรียนในคํายผู๎อพยพ โดยชํวงเช๎ามีการสอนวิชาภาษาไทย ภาษาพมํา ภาษาอังกฤษ และตอนบํายมีการสอนวิชาทักษะอาชีพ และการใช๎คอมพิวเตอร๑เบื้องต๎น แตํคณะผู๎วิจัย ไมํได๎รับอนุญาตให๎สัมภาษณ๑ผู๎อพยพในคํายผู๎ลี้ภัย ดังนั้นจะเห็นได๎วําทั้งในกรณีของชาวพมําที่อพยพมา ทางานในประเทศไทย หรือชาวพมําที่อาศัยอยูํในคํายผู๎อพยพตํางยังไมํได๎รับการศึกษาอยํางเป็นระบบ ซึ่งสอดคล๎องกับ Vungsiriphisal และคณะ (2014) ได๎กลําวมาแล๎ววํา ประเทศไทยไมํมีการรับรอง สถานภาพของผู๎อพยพลี้ภัย ดังนั้นประเทศไทยจึงไมํได๎มีการจัดระบบการศึกษาให๎แกํผู๎อพยพเหลํานั้น


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

21

เชํน ผู๎อพยพลี้ภัยจากประเทศพมําจากสถิติในปี 2013 นั้น มีจานวนผู๎อพยพในคํายมีจานวนประมาณ 109,000 คน สาหรับการรับนักเรียนที่เป็นผู๎อพยพเข๎าศึกษาในระบบโรงเรียนในประเทศไทยนั้น ขึ้นอยูํ กับการพิจารณาของผู๎บริหารของแตํละโรงเรียน ในขณะนี้ยังไมํมีการศึกษาใดๆ ในรายละเอียดเกี่ยวกับ การจัดการศึกษาในคํายอพยพในประเทศไทย และการศึกษาเกี่ยวกับการจัดการศึกษาแกํผู๎อพยพใน ประเทศไทยยังมีน๎อยมาก และสํวนใหญํจากัดอยูํแตํการจัดการศึกษาแบบไมํเป็นทางการ ปัญหาในการเปลี่ยนผ่านทางการศึกษาของผู้อพยพในประเทศออสเตรีย ผู๎อพยพที่ได๎เข๎ามาในประเทศออสเตรียแล๎ว สํวนใหญํจะยังอยูํในวัยเรียน และมักจะแสดง ความต๎องการที่จะเรียนภาษาเยอรมัน เนื่องด๎วยประเทศออสเตรีย มีภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการที่ ใช๎ในโรงเรียนและการทางาน รวมถึงการติดตํอสื่อสารในชีวิตประจาวันและในสังคม ดังนั้นมีผู๎อพยพ บางสํวนที่ยังเผชิญปัญหาที่พวกเขาไมํมีสิทธิในการเรียนภาษาเยอรมันที่จัดโดยรัฐบาลประเทศออสเตรีย ดังคาสัมภาษณ๑ของ จัสมิน (Jasmine) ที่บรรยายถึงความยากลาบากในการเข๎าศึกษาเมื่อมาถึงประทศ ออสเตรีย ไว๎วํา “การอยูํในคํายผู๎อพยพเป็นสิ่งที่นําเบื่อมาก ฉันไมํสามารถที่จะเรียนภาษาเยอรมันได๎ กวําที่ฉันจะได๎เรียนภาษาเยอรมันใช๎เวลานานมาก” ดังนั้นจะเห็นได๎วํา ปัญหานี้เกิดขึ้นกับการกรณีของ ผู๎อพยพวัยรุํนที่มีอายุเกินกวําที่จะเรียนในระบบการศึกษาภาคบังคับ ดังในกรณี ของจัสมิน (Jasmine) ที่ต๎องรอจนกวําทางรัฐบาลประเทศออสเตรียยินยอมรับให๎เข๎ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศออสเตรีย จึงจะ สามารถที่จะเรียนภาษาเยอรมันได๎ อยํางไรก็ตามยังมีโรงเรียนบางแหํงที่มีเกณฑ๑ที่แตกตํางกันในการรับ ผู๎อพยพเข๎ามาศึกษาในโรงเรียนนั้น ดังจะเห็นได๎จากการสั มภาษณ๑ เมซูด๎า (Medusas) ที่บรรยายถึง สถานการณ๑ที่เกิดขึ้นเมื่อมาเข๎าเรียนในระบบโรงเรียน (New Middle School) ในเขตสตีเรีย ใน ประเทศออสเตรีย ไว๎วํา“ฉันตั้งถิ่นฐานอยูํในเขตสตีเรีย และฉันเป็นผู๎อพยพคนเดียวในชั้นเรียนของฉัน บางครั้งครูของฉันต๎องชํวยสอนภาษาเยอรมัน ให๎กับฉันในห๎องพักครูหลังเลิกเรียน” ในการสัมภาษณ๑กลุํมนั้น นอกจากการขาดความรู๎ในภาษาเยอรมันแล๎ว ภาษาอังกฤษก็ถือเป็น ภาษาที่สาคัญในประเทศออสเตรีย มีหลายครั้งที่นักเรียนได๎กลําวถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจาก การขาดความรู๎ภาษาอังกฤษ สาหรับผู๎อพยพที่ไมํเคยเรียนภาษาอังกฤษในประเทศของเขาเองจะมี ปัญหาในการสอบผํานเลื่อนชั้นในประเทศออสเตรีย เนื่องด๎วยในประเทศออสเตรียนั้น นักเรียนต๎อง สอบผํานทั้งภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมัน เพื่อที่จะได๎สาเร็จการศึกษาภาคบังคับ ดังนั้นผู๎อพยพที่ไมํ มีความรู๎ภาษาอังกฤษ กํอนที่จะอพยพเข๎ามาในประเทศออสเตรีย ต๎องมีความพยายามอยํางมากใน การเรียนทั้งภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษในเวลาเดียว แตํในทางตรงข๎ามปัญหานี้ไมํเกิดขึ้นกับผู๎ อพยพที่ จ ะมาจากประเทศปากี ส ถานและประเทศอิ น เดี ย เพราะพวกเขาสํ ว นใหญํ ไ ด๎ เ รี ย น ภาษาอังกฤษในประเทศของพวกเขา ปัญหาทางคณิตศาสตร๑ เป็นปัญหาหนึ่งที่ผู๎อพยพมักจะพบเมื่อ ต๎องการเรียนในประเทศออสเตรีย ถึงแม๎วําพวกเขาประสบความสาเร็จกับวิชานี้ในประเทศของเขา ดัง การสัมภาษณ๑ของอลิชา อายุ 21 ปี ดังนี้ “ฉันเคยเกํงที่สุดในชั้นเรียนของฉัน แตํในประเทศออสเตรีย ฉันไมํเข๎าใจคณิตศาสตร๑เลย ทุกอยํางที่นี่แตกตํางจากที่ประเทศของฉัน”


22

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

อธิปรายผล เมื่อพิจารณาปัญหาของผู๎อพยพในบริบทนานาชาติ ขณะนี้เป็นปัญหาที่เรํงดํวน ดังเชํน ใน ทวีปยุโรป เนื่องจากประเทศทางยุโรปตอนเหนือได๎เพิ่มมาตรการที่เข๎มงวดในการจากัดจานวนผู๎อพยพ และในทวีปยุโรป มีการนาเสนอแตกตํางที่เห็นได๎ชัดเจนระหวํางผู๎อพยพที่มีทักษะทางอาชีพและผู๎ที่มี การศึกษาในสื่ อและสิ่งพิมพ๑ตํางๆ ในขณะที่ในประเทศไทย ผู๎ อพยพชาวพมํามักจะทางานในงาน แรงงาน ที่ได๎รับคําตอบแทนที่ต่า ในประเด็นของการศึกษา ปัญหาในการเข๎าศึกษาตํอในประเทศไทย คือ การขาดความรู๎ทาง ภาษาไทย ทาให๎เป็นอุปสรรคในการสื่อสาร ตลอดจนกฎหมายและระเบียบราชการตํางๆ ที่ผู๎อพยพชาว พมําไมํสามารถเข๎าใจ และไมํมีหนํวยงานของรัฐบาลหรือองค๑กรตํางๆ ที่จะให๎ความชํวยเหลือ หรือให๎ คาแนะนาที่เหมาะสม สาหรับผู๎อพยพชาวพมําในการเข๎ารับการศึกษาในประเทศไทย เพื่ อที่จะพัฒนา ทักษะทางภาษาและอาชีพ ในประเทศออสเตรี ย ปั ญหาที่พบคือ การที่ผู๎ อพยพเข๎ามาในประเทศ ออสเตรี ยเป็นผู๎ที่มีอายุ เกินกวําที่จะสามารถเข๎ารับการศึกษาในระดับการศึกษาภาคบังคับ ซึ่งเป็น ข๎อจากัดในการเข๎าศึกษาในระบบโรงเรียน และทาให๎ขาดโอกาสในการศึกษาขั้นสูงเพื่ อประกอบอาชีพ และแม๎แตํผู๎อพยพเหลํานั้นจะมีพื้นฐานการศึกษาที่ดีจากประเทศแมํของเขาก็ตาม แตํข๎อจากัดเหลํานี้ ทาให๎พวกเขาขาดโอกาสในการเข๎าศึกษาตํอในระดับมหาวิทยาลั ย อยํางไรก็ตามในการสัมภาษณ๑ผู๎ อพยพที่เข๎ามาในประเทศออสเตรียนั้น พวกเขากลําววําพวกเขาโชคดีมากที่พวกเขาไมํต๎องเสียคําใช๎จําย ในการเข๎าศึ กษาในระดั บ ผู๎ ใหญํ แตํอยํ างไรก็ ตามปั ญหาอุปสรรคตํางๆ ในการเข๎ าศึ กษาในระบบ การศึกษาของประเทศออสเตรี ยได๎ทาให๎ พวกเขาบางคนมีความรู๎สึ กหมดกาลั งใจในการที่จะไปสูํ เปูาหมายในด๎านการศึกษา นอกจากนี้พบวําประเทศแถบยุโรปมีผู๎อพยพที่มีความรู๎ที่แตกตํางกันมาก จากผู๎ที่ขาดทักษะทางด๎านการอําน เขียน และคานวณ ไปจนถึงผู๎ที่มีทักษะอาชีพขั้นสูงที่สามารถผําน การสอบตํางๆ เพื่อนาไปสูํความสาเร็จทางการศึกษาและอาชีพในประเทศใหมํ ทาให๎ปัญหาของผู๎อพยพ ที่ไมํมีการศึกษานั้ น เป็นประเด็นที่พรรคการเมืองแนวอนุรัก ษ๑นิยมในทวีปยุโรปเหนือได๎นามาเป็น เครื่องมือในการกีดกันการหลั่งไหลของผู๎อพยพเหลํานี้เข๎ามาตั้งถิ่นฐานในทวีปยุโรป จากการศึกษากรณีศึกษาทั้งสองกรณีนี้ จะเห็ นได๎วําถึงแม๎วําจะมีความแตกตําง เนื่องด๎วย ตาแหนํ งของประเทศที่ผู๎ อพยพเข๎ามาอาศัยอยูํแล๎ว แตํทั้งสองกรณีศึกษานั้นมีความคล๎ ายคลึ ง ใน ประเด็นของการที่ผู๎อพยพต๎องอาศัยการชํวยเหลือจากหนํวยงานของรัฐบาลหรือองค๑กรตํางๆ เพื่อการ เข๎าเรียนในระบบนอกโรงเรียน และผู๎อพยพมีความต๎องการที่จะเข๎ารํวมในกิจกรรมของสังคมตํางๆ ใน ประเทศใหมํ รวมถึงปัญหาที่พบรํวมกันคือ การที่แตํละประเทศไมํได๎กาหนดกฎเกณฑ๑ที่แนํนอนในการ รับผู๎อพยพเหลํานี้เข๎ามาในระบบการศึกษา ซึ่งสํงผลตํอการตัดสินใจและการวางแผนในการเปลี่ยนผําน จากการศึกษาในประเทศหนึ่งไปสูํประเทศหนึ่ง สืบเนื่องจากปัญหาดังกลําว ประเทศตํางๆ ในทวีปยุโรปได๎พยายามหาวิธีตํางๆ ในการรับมือกับ ปัญหา ในด๎านการจัดการศึกษาภาคบังคับจนถึงอายุ 18 ปี เพื่อที่จะตอบสนองกับความต๎องการในการ เข๎าศึกษาของผู๎อพยพในชํวงกลุํมอายุดังกลําว ในประเทศสวีเดนได๎กาหนด “สิทธิในการเข๎าศึกษาใน โรงเรียน” จนถึงอายุ 21 ปี โดยในประเทศสวีเดน เชํนเดียวกับประเทศเยอรมันได๎ เริ่มจัดชั้นเรียนใหมํ เพื่อรองรับผู๎อพยพในวัยเรียนเหลํานี้ ขณะเดียวกันในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ได๎เริ่มจัดโปรแกรม การศึกษาสาหรับผู๎ใหญํ และยังมีการจัดห๎องเรียนพิเศษสาหรับผู๎อพยพ ซึ่งเป็นห๎องเรียนพิเศษในระดับ


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

23

มัธยมปลาย ฟอร๑ลองและคณะ (Furlong, et al. 2003: 2-3 ) ได๎ทาการศึกษาในปัญหานี้และชี้ให๎เห็นวํา ผู๎อพยพในชํวงวัยเรียนสํวนใหญํยังคงมีความต๎องการด๎านการศึกษา เพื่อยกระดับความเป็นอยูํ และการ เข๎าสั งคมในประเทศอื่ นๆ ดังนั้ นจึ งมีความจาเป็นที่ประเทศใหมํที่ผู๎ อพยพเข๎ าไปตั้งถิ่นฐานนั้น ควร จัดระบบการศึกษาที่พอเพียงและมีคุณภาพ ตลอดจนถึงการให๎บริการ สนับสนุน ชํวยเหลือเพื่อให๎การ เปลี่ยนผํานทางการศึกษาเป็นไปอยํางราบรื่น เชํน ในกรณีประเทศไทยที่ไมํได๎จัดระบบการศึกษาอยําง เป็นรูปธรรมสาหรับผู๎อพยพ และการที่ประเทศออสเตรียยังไมํสามารถขยายการศึกษาภาคบังคับให๎แกํผู๎ อพยพได๎นั้น เป็นตัวอยํ างของข๎อจากัดและความท๎าทายในการจัดการศึกษาที่ควรได๎รับการวิจัยและ ศึกษาตํอไปโดยการศึกษาครั้งนี้เป็นเพียงก๎าวแรกในการนาไปสูํการศึกษาที่จะให๎เห็นภาพรวมในของ สถานภาพการศึกษาของผู๎อพยพในระดับนานาชาติ ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการศึกษาเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในคํายอพยพในประเทศไทย และการศึกษา เกี่ยวกับการจัดการศึกษาแกํผู๎อพยพในประเทศไทย 2. ควรมีการพัฒนารูปแบบการศึกษาที่มีความเหมาะสมสาหรับผู๎อพยพในประเทศไทย เอกสารอ้างอิง Bortz, J;& Doring, N. (1995). Forschungsmethoden und Evaluation fur Sozialwissenschaftler, Berlin: Springer. Eillis, B. H.; & et al. (2007). Ethical Research in Refugee Communities and the Use of Community Participatory Methods. In: Transculturat Psychiatry, 44 (33), 459-481. Forlong; & et al. (2003): Youth transitions: Patterns of Vulnerability and Processes of Social Inclusion. Edinburgh: Scottish Executive Social Research. Retrieved April 10, 2018, form http://217.35.77.12/srchive/scotland/papers/youth/pdfs/ell8.pdf Samarasinghe, K. ;& Arvidsson, B. (2002). ‘It is a Different War to Fight Here is Sweden’ the Impact of Involuntary Migration on the Health of Refugee Families in Transition. In: Scandinavian Journal of Caring Sciences, 16 (3), 292-301. Sheridan, V;& Storch, K. (2009). Linking the Intercultural and Grounded Theory: Methodological Issues in Migration research. In Forum Qualitative Soziaforschung/Forum: Qualitative Social Research,10 (1), n.p. Tharon Howard. (2014). Journey Mapping: A Brief Overview. Communication Design Quarterly Retrieved April 1, 2018, form http://delivery.acm.org Vungsiriphisal, P,& et al. (2014). Humanitarian Assistance for Displaced Persons from Myanmar: Royal Thai Government Policy and Donor, INGO, NGO and UN Agency Delivery (Vol.17). Springer Science & Business Media. ……………………………………………………………………


24

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

อิทธิพลของค่าดัชนีมวลกายที่มีต่อความพึงพอใจในรูปร่าง ตนเอง โดยมีตัวแปรการรับค่านิยมความผอมเป็นตัวแปร ส่ ง ผ่ า น ของนั ก ศึ ก ษาเพศหญิ ง ระดั บ ปริ ญ ญาตรี ใ น กรุงเทพมหานคร Effects of Body Mass Index on Body Image Satisfaction With Thin Ideal Internalization as a Mediator of Female Undergraduate Students in Bangkok Metropolitan ศศิธร พรมโยธา1 กิดานันท๑ ชานาญเวช2 ณัฏฐ๑ชุดา สุภาพจน๑3 ธนวัต ปุณยกนก4 บทคัดย่อ วัตถุประสงค๑ในการวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาอิทธิพลของคําดัชนีมวลกาย ที่มีตํอความพึงพอใจใน รูปรํางตนเอง โดยมีตัวแปรการรับคํานิยมความผอมเป็นตัวแปรสํงผําน ของนักศึกษาเพศหญิงระดับ ปริญญาตรีในกรุงเทพมหานคร โดยมีประชากรในการวิจัยคือนักศึกษาเพศหญิงระดับปริญญาตรีจาก มหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร กลุํมตัวอยํางในการวิจัยครั้งนี้ได๎แกํนักศึกษาระเพศหญิงดับปริญญา ตรี จ านวน 371 คน โดยใช๎ วิ ธี ก ารสุํ ม แบบเจาะจงเฉพาะเพศหญิ ง โดยกลุํ ม ตั ว อยํ า งได๎ ต อบ แบบสอบถามสามสํวนได๎แกํ แบบสอบถามข๎อมูลทั่วไป แบบสอบถามความพึงพอใจในรูปรําง และ แบบสอบถามการรับคํานิยมความผอม ข๎อมูลที่ได๎นาไปศึกษาโมเดลสมการโครงสร๎างด๎วยโปรแกรม LISREL เพื่อตรวจสอบอิทธิพลทางตรง และอิทธิพลทางอ๎อมของตัวแปรสํงผํานในโมเดล ผลการวิจัย พบวําดัช นีมวลกายมีอิทธิพลทางตรงตํอความพึงพอใจในรูปรํางตนเองในทิศทางบวกโดยมีขนาด อิทธิพลมาตรฐานอยูํในระดับต่า (β = .17) แตํมีอิทธิพลทางอ๎อมผํานตัวแปรการรับคํานิยมความผอม ในทิศทางลบ โดยมีขนาดอิทธิพลมาตรฐานอยูํในระดับปานกลางถึงสูง ( β =-.50) ซึ่งสรุปได๎วําตัวแปร การรับคํานิยมความผอม มีบทบาทเป็นตัวแปรสํงผํานที่สาคัญตํอความสัมพันธ๑ระหวํางคําดัชนีมวล กายและความพึงพอใจในรูปรํางของนักศึกษาเพศหญิงระดับปริญญาตรี คาสาคัญ: ดัชนีมวลกาย ความพึงพอใจในรูปรําง คํานิยมความผอม 1

อาจารย๑ประจา คณะศึกษาศาสตร๑ สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ผู๎ชํวยศาสตราจารย๑ คณะศึกษาศาสตร๑ สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม 3 อาจารย๑ ดร. คณะศึกษาศาสตร๑ สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม 4 อาจารย๑ประจา คณะศึกษาศาสตร๑ สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม 2


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

25

Abstract The objective of this research was to study the effects of Body Mass Index (BMI) on body image satisfaction with thin ideal internalization as a mediator of female undergraduate students in Bangkok. Population in this research was female undergraduate students in Bangkok area. Sample included 371 participants with purposive sampling. Participants answered the questionnaires about general information, body image satisfaction, and thin ideal internalization. The data were analyzed by structural equation modeling with LISREL to explore the direct and indirect effects between variables in the model. The results showed that BMI has significantly positive direct effect towards body image satisfaction with a low magnitude (β = .17). On the other hand, BMI has a negative significant indirect effect towards body image satisfaction where thin ideal internalization was a mediator. The effect was found to be moderate to high in magnitude (β -.50). In conclusion, thin ideal internalization was found to have significant mediating effect on the relationship between BMI and body image satisfaction in female undergraduate students. Keywords: Body mass index, body image satisfaction, thin ideal internalization บทนา สังคมปัจจุบันให๎ความสาคัญกับรูปรํางอยํางมาก เนื่องจากรูปรํางที่ดีจะชํวยให๎บุคคลถูกรับรู๎ วํามีสุขภาพดี ดูสวยงาม และดูนําเชื่อถือมากกวําคนที่มีรูปรํางอ๎วน โดยเฉพาะในกลุํมเพศหญิงจะยิ่ง ให๎ความสาคัญเกี่ยวกับรูปรํางมากกวําเพศชายมาก (กรรณิการ๑ ชื่นชูผล, 2549) เมื่อสังคมให๎คุณคํากับการมีรูปรํางที่ดีสมสํวนแล๎ว คนสํวนใหญํก็มีความต๎องการที่จะมีรูปรําง ที่ดีสอดคล๎องไปกับคํานิย มของสังคมด๎วย และหากบุคคลมีรูปรํางที่ดีอยูํแล๎วคนนั้นก็จะมีความพึง พอใจพึงพอใจในภาพลักษณ๑ทางรํางกาย (Body Image) สูง แตํในทางกลับกัน หากบุคคลมีรูปรํางที่ ไมํดี ก็จะทาให๎มีความพึงพอใจในภาพลักษณ๑ทางรํางกายต่าลงได๎ (ประวีณา ธาดาพรหม, 2550) หนึ่งในตัวบํงชี้ของการมีรูปรํางที่ดีที่ใช๎เป็นสากลได๎แกํดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) โดยมีการกาหนดคําดัชนีมวลกายในชํวงตํางๆวําหมายถึงการมีรูปรํางแบบสมสํวน หรือน้าหนักเกิน ทั้ ง นี้ ก ารมี คํ า ดั ช นี ม วลกายอยูํ ใ นระดั บ ที่ ดี นํ า จะมี ค วามสั ม พั น ธ๑ ท างบวกกั บ ความพึ ง พอในใน ภาพลักษณ๑ทางรํางกาย และได๎มีงานวิจัยจานวนมากที่พยายามศึกษาในประเด็นเหลํานี้ แตํผลที่ได๎ก็ พบวํามีความแตกตํางกันไปตามงานวิจัย เชํนบางงานวิจัยพบวําการมีคําดัชนีมวลกายที่ดีจะสัมพันธ๑ กับความพึงพอใจในภาพลักษณ๑ทางรํางกาย แตํบางงานวิจัยก็ไมํพบความสัมพันธ๑ดังกลําว (ประวีณา ธาดาพรหม, 2550; สุนทรี มาคะคา, 2551) ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่สามารถอธิบายความไมํสอดคล๎องของ


26

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ผลการวิจัยดังกลําวสามารถอธิบายได๎ด๎วยการรับรู๎ภาพลักษณ๑ทางรํางกายนั้นเป็นสิ่งที่ขึ้นอยูํกับคํานิยม ทางสังคมด๎วย ซึ่งสังคมในปัจจุบันเป็นสังคมที่ให๎ความสาคัญกับความผอมเป็นอยํางมาก ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได๎วําการที่บุคคลมีคําดัชนีมวลกายในระดับดีหรือไมํ จะสํงผลให๎บุคคลมี ความพึงพอใจในภาพลักษณ๑ทางรํางกายตํางกันไปหรือไมํนั้น นําจะขึ้นอยูํกับการมีคํานิยมเกี่ยวกับ ความผอม (กรรณิการ๑ ชื่นชูผล, 2549) เชํนคนที่มีคํานิยมวําความผอมเป็นสิ่งที่ดี ก็จะสํงผลให๎คําดัชนี มวลกายมีความสัมพันธ๑ทางลบอยํางมากกับความพึงพอใจในภาพลักษณ๑ทางรํางกาย กลําวคือ เมื่อมีคํา ดัชนีมวลกายสูง บุคคลก็จะมีความพึงพอใจในรูปรํางตนเองลดลง ในทางกลับกัน หากบุคคลไมํเชื่อใน เรื่ องความผอมคื อสิ่ ง ที่ ดี คํ าดั ช นี มวลกายของบุ คคลนั้ นก็ จะมี ค วามสั มพั น ธ๑ กั บความพึ งพอใจใน ภาพลักษณ๑ทางรํางกายในระดับต่า จึงเป็นไปได๎วําการมีคํานิยมหรือความเชื่อวําความผอมเป็นสิ่งที่ดีนั้น อาจมี บ ทบาทเป็ น ตั ว แปรสํ ง ผํ า นความสั ม พั น ธ๑ ร ะหวํ า งคํ า ดั ช นี ม วลกาย และความพึ ง พอใจใน ภาพลักษณ๑ทางรํางกาย จากแนวคิดข๎างต๎นจึงนาไปสูํปัญหาในการวิจัยครั้งนี้ เพื่อศึกษาบทบาทการเป็น ตัวแปรสํงผํานของความเชื่อวําความผอมเป็นสิ่งที่ดี ที่มีตํอความสัมพันธ๑ระหวํางคําดัชนีมวลกาย และ ความพึงพอใจในภาพลักษณ๑ทางรํางกาย วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 1. ดัชนีมวลกาย ดัชนีมวลกาย (BMI : Body Mass Index) เป็นเกณฑ๑มาตรฐานที่ได๎รับความนิยมสูงเพื่อใช๎ เปรียบเทียบความสมดุลระหวํางน้าหนักตัว ตํอความสูงของมนุษย๑ ซึ่งคิดค๎นโดย Adolphe Quetelet ชาวเบลเยี่ยม คําดัชนีมวลกายคานวณได๎จากการนาน้าหนักตัวหารด๎วยกาลังสองของสํวนสูง โดยปกติ ใช๎หนํวยน้าหนักตัวเป็นกิโลกรัม และหนํวยสํวนสูงเป็นเมตร จะได๎หนํวยเป็น กก./ม.2 หากอยูํในระดับ 18.50 – 22.99 ถือวําปกติ (ทัศนีย๑ เกสรศรี, 2552) BMI = น้าหนัก / สํวนสูง² การคานวณหาคําดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) เป็นวิธีงํายๆ วิธีหนึ่งที่สามารถนามาใช๎ ในการประเมินภาวะทางโภชนาการของเด็กและวั ยรุํน โดยเฉพาะอยํางยิ่งภาวะโภชนาการเกินและ โรคอ๎วน ซึ่งสํงผลกระทบตํอสุขภาพ เชํน การนอนกรน การหยุดหายใจเป็นระยะๆ ในขณะหลับระดับ ไขมันในเลือดผิดปกติ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ เป็นต๎น นอกจากนั้นยังสํงผลกระทบ ตํอภาพลักษณ๑ รูปรําง ความสวยงาม ความหลํอ ความกังวล ความไมํมั่นใจในตัวเองอีกด๎วย (ทัศนีย๑ เกสรศรี, 2552) 2. ความพึงพอใจในรูปร่างตนเอง ความพึงพอใจในรูปรํางตนเอง เป็นผลที่เกิดจากการประเมินความสอดคล๎องกันระหวํางการ รับรู๎ภาพลักษณ๑ทางรํางกายตามสถานการณ๑ที่เป็นอยูํในปัจจุบัน กับภาพลักษณ๑ทางรํางกายในอุดมคติ ซึ่งเป็นภาพลักษณ๑ทางรํางกายที่บุคคลคาดหวังหรือปรารถนา ดังนั้นหากเกิดความขัดแย๎งขึ้น ระหวํ าง ภาพลักษณ๑ทางรํางกายตามสถานการณ๑ที่เป็นอยูํในปัจจุบันกับภาพลักษณ๑ทางรํางกายในอุดมคติ อาจ นามาซึ่งความไมํพึงพอใจในภาพลักษณ๑ทางรํางกายได๎ และความขัดแย๎งยิ่งมีมากเทําใด ระดับความไมํ พึงพอใจในภาพลักษณ๑ทางรํางกายก็จะมากขึ้นด๎วย (อมรศรี โภคทรัพย๑ไพบูลย๑, 2549)


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

27

การประเมินภาพลักษณ๑ในวัยรุํน คือการรับรู๎ของวัยรุํนเกี่ยวกับรํางกายของตนเอง ซึ่งเป็นผล จากการเจริญเติบโตและพัฒนาการในชํวงวัยนี้ กํอให๎เกิดความสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ รํางกายแตกตํางกันในแตํละระยะของวัยรุํน โดยเฉพาะชํวงที่เป็นวัยรุํนตอนปลายจะให๎ความสาคัญ กับ การเปลี่ยนแปลงของรูปรํางและน้าหนักอยํางมาก และใช๎เวลาสํวนใหญํไปกับการทาให๎รํางกายตนเอง เป็นที่ดึงดูดใจเพศตรงข๎าม และเป็นที่ยอมรับในกลุํมเพื่อน นอกจากนี้ยังอาจประเมินรูปรํางของตนเอง โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ๑บรรทัดฐานที่เป็นคํานิยมของสังคมที่เป็นภาพลักษณ๑ในอุ ดมคติ ดังนั้นหาก การรับรู๎ภาพลักษณ๑ตามสถานการณ๑ที่ตนเองเป็นอยูํในปัจจุบันไมํสอดคล๎องกับภาพลักษณ๑ในอุดมคติ อาจทาให๎วัยรุํนไมํพึงพอใจในภาพลักษณ๑และนาไปสูํความพยายามลดน้าหนักด๎วยวิธีตํางๆ รวมทั้ง สํงผลกระทบทางด๎านจิตใจอีกด๎วย 3. การรับค่านิยมความผอม การรับคํานิยมจากสังคม (Value Internalization) เป็นปรากฏการณ๑ที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปใน สังคมซึ่งเป็นสิ่งที่ได๎รับความสนใจและศึกษาเป็นอยํางมากในวงการสังคมวิทยา การรับคํานิยมจาก สังคมถือเป็นสํวนหนึ่งของกระบวนการการขัดเกลาทางสังคม (socialization) ซึ่งสามารถอธิบายได๎ ด๎วยทฤษฏีการเปลี่ยนแปลงเจตคติ (Attitude Change Theroy; Kelman, 1938) โดยการรับ คํานิยมจากสังคมเกิดขึ้นได๎โดยการที่บุคคลมีการตระหนักถึงคํานิยมหลักของสังคม (Norms) และเริ่ม เรียนรู๎ทาความเข๎าใจคํานิยมเหลํานั้น ตลอดจนรับคํานิยมดังกลําวเข๎ามาเป็นความเชื่อสํวนตัวของ บุ คคลเอง และปั จ จั ย ส าคั ญที่ท าให๎ บุค คลต๎ องคล๎ อยตามและยอมรับ คํานิ ยมหลั กของสั งคมนั้น ก็ เนื่องมาจากบุคคลต๎องการอยูํอยํางกลมกลืนและสอดคล๎องกับสังคมที่คนเองอาศัยอยูํนั่นเอง (Scott, 1971; Kelman, 1938) ในสังคมไทยเองก็มีการให๎ความสาคัญกับคํานิยมด๎านรํางกายอยํางมาก กลําวคื อ บุคคลที่ถูก ประเมินวําเป็นคนที่มีรูปรํางที่ดีนั้นจะต๎องมีรูปรํางที่ผอม ไมํมีไขมันสํวนเกิน ซึ่งสะท๎อนให๎เห็นจากการที่ สื่อโฆษณาตํางๆก็พยายามให๎นักแสดงเป็นคนที่มีรูปรํางผอมหุํนดี เมื่อบุคคลรับสื่อตํางๆไปแล๎วก็จะเกิด การรับรู๎วําสังคมมีคํานิยมเกี่ยวกับความผอมอยูํ และบุคคลก็เริ่มซึมซับเอาคํานิยมเหลํานั้นเข๎าไปเป็น ความเชื่ อ ของตนเองวํ า การเป็ น คนผอมมี รู ปรํ างดี จ ะเป็ น ที่ ย อมรั บและชื่ น ชมในสั ง คมอยํ างมาก (กรรณิการ๑ ชื่นชูผล, 2549; อังคเรศ บุญทองล๎วน, 2539) การรับคํานิยมความผอม หมายถึงการที่ บุคคลเห็นวํารูปรํางผอมเป็นเรื่องที่ดี เป็นที่ยอมรับของสังคม เชื่อวําคนที่มีรูปรํางผอมเป็นบุคคลที่ดูดี และมีสุขภาพดี บุคคลจึงปรารถนาที่จะมีรูปรํางที่ผอม เพื่อให๎เป็นไปตามที่สังคมต๎องการหรือเป็นที่ ยอมรับของสังคม ซึ่งสิ่งตํางๆเหลํานี้ จึงทาให๎บุคคลเกิดการรับคํานิยมความผอมและปรารถนาที่จะเป็น จึงเกิดวิธีตํางๆ ที่ทาให๎บรรลุความปรารถนา โดยพยายามหาวิธีเพื่อจะทาให๎ตนเองผอมด๎วยวิธีตํางๆ วัตถุประสงค์ วัตถุประสงค๑ในการวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาอิทธิพลของคําดัชนีมวลกาย ที่มีตํอความพึงพอใจใน รูปรํางตนเอง โดยมีตัวแปรการรับคํานิยมความผอมเป็นตัวแปรสํงผําน ของนักศึกษาเพศหญิงระดับ ปริญญาตรีในกรุงเทพมหานคร


28

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

สมมติฐานการวิจัย การรับคํานิยมความผอมจะมีบทบาทเป็นตัวแปรสํงผํานของความสัมพันธ๑ระหวํางคําดัชนี มวลกาย และความพึงพอใจในภาพลักษณ๑ทางรํางกาย วิธีการดาเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรในการวิจัยครั้งนี้คือนักศึกษาเพศหญิงระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยใน กรุงเทพมหานคร กลุํมตัวอยํางในการวิจัยครั้งนี้ได๎แกํนักศึกษาระเพศหญิงดับปริญญาตรีจานวน 371 คน ใช๎วิธีการสุํมแบบเจาะจงเฉพาะเพศหญิง (Purposive Sampling) โดยขอความรํวมมือนักศึกษาให๎ ตอบแบบสอบถามหลั งจากเลิกชั้นเรี ยน กลุํมตัวอยํางสํว นใหญํศึกษาอยูํชั้นปีที่ 4 (คิดเป็นร๎อยละ 28.8) รองลงมาคือชั้นปีที่ 2 และ 3 เทําๆกัน (คิดเป็นร๎อยละ 23.7 และ 23.5 ตามลาดับ) สาหรับชั้น ปีที่ 1 มีร๎อยละ 18.6 และต่าสุดคือชั้นปีที่ 5 ขึ้นไป (คิดเป็นร๎อยละ 5.4) 2. นิยามศัพท์เฉพาะ (1) คําดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) หมายถึง เกณฑ๑การตัดสินภาวะความ สมดุลระหวํางน้าหนักตัวตํอความสูงของบุคคลโดยคานวณจากน้าหนักใช๎หนํวยเป็นกิโลกรัมหารด๎วย กาลังสองของสํวนสูงใช๎หนํวยเป็ นเมตร เพื่อประเมินหาสํวนไขมันในรํางกายและระดับหรือความ รุนแรงของความอ๎วน ตัดสินตามหลักเกณฑ๑ขององค๑การอนามัยโลก คํา BMI เทํากับ 18.5-24.9 ถือวํา อยูํในเกินน้าหนักปกติ (2) ความพึงพอใจในรูปรํางตนเอง (Body Image Satisfaction) หมายถึง ความรู๎สึกนึก คิดและเจตคติที่มีตํอรูปรํางของตนเองในทางที่ดีและเป็นไปตามความต๎องการของตนเอง ทาให๎รู๎สึกพึง พอใจในรูปรํางและภาพลักษณ๑ทางรํางกายของตนเอง (3) การรับคํานิยมความผอม (Thin Ideal Internalization) หมายถึง การที่บุคคลมี ความเชื่อ หรือให๎ความสาคัญกับขนาดรูปรํางที่ผอมตามความนิยมในสังคม การเห็นวําความผอมเป็น เรื่องที่ดี ความผอมคือความงามหรือความดึงดูดใจ 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แบบสอบถามข๎อมูลทั่วไป ประกอบไปด๎วยข๎อคาถามเกี่ยวกับข๎อมูลเบื้องต๎นของนักศึกษา ที่เข๎ารํวมการวิจัย ได๎แกํ อายุ มหาวิทยาลัย คณะ ชั้นปี น้าหนัก และสํวนสูง (เพื่อนาไปคานวณหาคําดัชนี มวลกายในลาดับตํอไป) 2. แบบสอบถามความพึงพอใจในรูปรําง ประกอบด๎วยข๎อคาถามทั้งหมด 29 ข๎อ โดย คณะผู๎วิจัยได๎พัฒนามาจากแบบสอบถามภาพลักษณ๑ทางรํางกายของ ประวีณา ธาดาพรหม (2550) ซึ่ง ในการวิจัยครั้งนี้พบวํามีคําความเที่ยงแบบสอดคล๎องภายในอยูํในระดับสูง (Cronbach's Alpha=.94) และมีคํา CITC อยูํระหวําง .30 ถึง .67 ซึ่งถือวํามีคุณภาพอยูํในระดับดีมาก (Nunnally & Bernstein, 1994) ตัวอยํางข๎อคาถามได๎แกํ “ฉันรู๎สึกกังวลวํารูปรํางของฉันจะไมํได๎สัดสํวนเทําที่ควร” และ “ฉัน หลีกเลี่ยงการใสํเสื้อผ๎าที่เน๎นให๎เห็นรูปรํางของฉัน ” มีรูปแบบการตอบแบบมาตรประมาณคําแบบลิ เคิร๑ต 4 ชํวงตั้งแตํ 1 (ไมํตรงเลย), 2 (ไมํคํอยตรง), 3 (ตรง), และ 4 (ตรงมาก)


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

29

3. แบบสอบถามการรับคํานิยมความผอม ประกอบด๎วยข๎อคาถามทั้งหมด 23 ข๎อ โดย คณะผู๎วิจัยได๎พัฒนามาจากแบบสอบถามการรับคํานิยมความผอมของ กรรณิการ๑ ชื่นชูผล (2549) ซึ่งใน การวิจัยครั้งนี้พบวํามีคําความเที่ยงแบบสอดคล๎องภายในอยูํในระดับสูง (Cronbach's Alpha=.91) และมีคํา CITC อยูํระหวําง .42 ถึง .65 ซึ่งถือวํามีคุณภาพอยูํในระดับดีมาก (Nunnally & Bernstein, 1994) ตัวอยํางข๎อคาถามได๎แกํ “ฉันคิดวําคนที่รูปรํางผอมเป็นคนที่สวยดูดี ” และ “ฉันคิดวํารูปรําง ผอม สามารถเป็นที่ดึงดูดใจ” มีรูปแบบการตอบแบบมาตรประมาณคําแบบลิเคิร๑ต 4 ชํวงตั้งแตํ 1 (ไมํ ตรงเลย), 2 (ไมํคํอยตรง), 3 (ตรง), และ 4 (ตรงมาก) 4. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ต๎องการศึกษาอิทธิพลของคําดัชนีมวลกาย ที่มีตํอความพึงพอใจใน รูปรํางตนเอง โดยมีตัวแปรการรับคํานิยมความผอมเป็นตัวแปรสํ งผําน โดยใช๎วิธีการสร๎างโมเดล สมการโครงสร๎าง (Structural Equation Modeling) ซึ่งถือเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดสาหรับการศึกษา อิทธิพลสํงผําน (Hair et al., 2006) โดยแบํงเป็นสองขั้นตอนหลักในการวิเคราะห๑ข๎อมูลได๎แกํผลการ วิเคราะห๑ข๎อมูลเบื้องต๎น และผลการวิเคราะห๑ข๎อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐาน มีรายละเอียดดังนี้ 1) ผลการวิเคราะห๑ข๎อมูลเบื้องต๎น คณะผู๎วิจัยได๎ทาการตรวจสอบข๎อมูลขาดหาย ข๎อมูลสุดโตํง (Outlier) และทาการทดแทนข๎อมูลขาดหายด๎วยวิธีการทางสถิติ จากนั้นผู๎วิจัยจึงทาการ คานวณหาคําสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistic) และสร๎างตัวแปรสังเกตได๎ เพื่อเตรียมข๎อมูล ให๎ มี ค วามเหมาะสมตํ อ การวิ เ คราะห๑ ข๎ อ มู ล เพื่ อ ตอบค าถามในการวิ จั ย ด๎ ว ยวิ ธี ก ารสร๎ า งสมการ โครงสร๎าง 2) ผลการวิเคราะห๑ข๎อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐาน คณะผู๎วิจัยได๎ดาเนินการสร๎างโมเดล สมการโครงสร๎างเพื่อศึกษาอิทธิพลของคําดัชนีมวลกายที่มีตํอความพึงพอใจในรูปรํางตนเอง และศึกษา อิทธิพลสํงผํานของการรับคํานิยมความผอม ด๎วยโปรแกรม LISREL (Jöreskog & Sörbom, 1996) ผลการวิจัย 1. ผลการวิเคราะห๑ข๎อมูลเบื้องต๎น พบวําจากแบบสอบถามทั้งหมด 371 ชุด มีข๎อมูลสมบูรณ๑ และเหมาะสมสาหรับการนาไปใช๎ในการวิเคราะห๑ข๎อมูล ผลการวิเคราะห๑พบวําในกลุํมตัวอยํางปัจจุ บัน มีคําเฉลี่ยดัชนีมวลกายเทํากับ 21.59 (SD=4.26, Max=40.40, Min=15.57) ซึ่งจัดวําอยูํในระดับปกติ (ทัศนีย๑ เกสรศรี. 2552: 17) ตัวแปรความพึงพอใจในรูปรํางตนเองเทํากับมีคําเฉลี่ยเทํากับ 2.61 (SD= 0.44) และการรับคํานิยมความผอมมีคําเฉลี่ยเทํากับ 2.69 (SD=0.44) 2. สาหรับการสร๎างตัวแปรสังเกตได๎ คณะผู๎วิจัยได๎ทาตามข๎อเสนอแนะของ Little และคณะ (2002) และพบวําสาหรับตัวแปรคําดัชนีมวลกายประกอบไปด๎วยตัวแปรสังเกตได๎ 1 ตัว สาหรับตัวแปร ความพึงพอใจในรูปรํางตนเอง มีตัวแปรสังเกตได๎ทั้งหมด 3 ตัวแปร และตัวแปรการรับคํานิยมความ ผอม มีตัวแปรสังเกตได๎ทั้งหมด 3 ตัวแปรเชํนกัน โดยตัวแปรสังเกตได๎เกือบทุกคูํมีความสัมพันธ๑ระหวําง กันอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ ซึ่งหมายความวําข๎อมูลนี้มีความเหมาะสมสาหรับใช๎พัฒนาโมเดลสมการ โครงสร๎างในลาดับตํอไป สาหรับคําเฉลี่ย สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ๑ระหวํางตัวแปรสังเกต ได๎แสดงดังตารางที่ 1


30

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ตารางที่ 1 คําเฉลี่ย สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ๑ระหวํางตัวแปรสังเกตได๎ (N=371) ตัวแปร 1 2 3 4 5 6 7 M SD

1 BMI -.31** -.16** -.46** .36** .34** -.14** 21.59 4.26

2 3 4 5 6 7 BodyImage_1 BodyImage_2 BodyImage_3 Value_1 Value_2 Value_3 .55** .57** -.69** -.61** -.42** 2.29 0.50

.47** .61** -.34** -.42** 2.76 0.52

-.58** -.33** .00 2.79 0.57

.58** .49** 2.50 0.52

.31** 2.75 0.45

2.83 0.66

**p < .01 3. ผลการวิเคราะห๑ข๎อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐานดวยการสร๎างโมเดลสมการโครงสร๎างพบวํา โมเดลที่ได๎มีความสอดคล๎องกับข๎อมูลเชิงประจักษ๑ (Chi-square = 9.23; df = 5; p = .10; Chisquare/df = 1.85; CFI = .99; GFI = .99; AGFI = .96; RMSEA = .05; RMR = .04) และโมเดล สามารถอธิบายความแปรปรวนของตัวแปรคํานิยมความผอม และตัวแปรความพึงพอใจในรูปรํางตนเอง เทํากับร๎อยละ 27.10 และ ร๎อยละ77.6 ตามลาดับ ซึ่งถือวําอยูํในระดับดี (Hair et al., 2006) สาหรับ การวิเคราะห๑อิทธิพลพบวําตัวแปรดัชนีมวลกายมีอิทธิพลทางตรงตํอความพึงพอใจในรูปรํางตนเองอยําง มีนั ยสาคัญทางสถิติ โดยมีขนาดอิทธิพลอยูํในระดับต่า ( β = .17) และพบวําตัวแปรดัชนีมวลกายมี อิทธิพลทางตรงตํอคํานิยมความผอมอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีขนาดอิทธิพลมาตรฐาน ทางบวกขนาดปานกลาง (β = .52) สาหรับอิทธิพลทางอ๎อมของดัชนีมวลกายที่มีตํอความพึงพอใจใน รูปรํางตนเอง โดยมีคํานิยมความผอมเป็นตัวแปรสํงผําน พบวํามีอิทธิพลทางอ๎อมอยํางมีนัยสาคัญทางสถ ติติที่ระดับ .05 โดยมีขนาดอิทธิพลทางลบขนาดปานกลาง (β = -.50) สามารถแปลความหมายได๎วํา อิทธิพลของดัชนีมวลกายนั้นไมํได๎สํงผลโดยตรงตํอความพึงพอใจในรูปรํางตนเอง แตํจะสํงอิทธิพลผําน การมีคํานิยมความผอม ซึ่งสํงผลให๎บุคคลที่มีคําดัชนีมวลกายในระดับสูง (น้าหนักเกิน) ประกอบกับการ เชื่อในคํานิยมความผอมแล๎ว ก็จะทาให๎บุคคลมีความพึงพอใจในรูปรํางตนเองลดลง 4. สาหรับอิทธิพลทางตรงของคํานิยมความผอมที่มีตํอความพึงพอใจในรูปรํางตนเองพบวํามี อิทธิพลอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีขนาดอิทธิพลทางลบขนาดสูง (β = -.96) ซึ่งแปล ความหมายได๎วํายิ่งบุคคลมีคํานิยมชื่นชมความผอมมากเทําใด ก็จะทาให๎ บุคคลมีความพึงพอใจใน รูปรํางตนเองน๎อยลง โมเดลอิทธิพลของคําดัชนีมวลกายที่มีตํอความพึงพอใจในรูปรํางตนเอง ที่มีตัว แปรการรับคํานิยมความผอมเป็นตัวแปรสํงผํานแสดงไว๎ดังภาพที่ 1 และคําอิทธิพลทางตรง อิทธิพล ทางอ๎อมระหวํางตัวแปรในโมเดลแสดงดังตารางที่ 2


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

31

Chi-square = 9.23, df = 5, p = .10, Chi-square/df = 1.85; CFI = .99; GFI = .99; AGFI = .96; RMSEA = .05; RMR = .04 ภาพที่ 1 โมเดลอิทธิพลของคําดัชนีมวลกายที่มีตํอความพึงพอใจในรูปรํางตนเอง โดยมีตัวแปรการรับ คํานิยมความผอมเป็นตัวแปรสํงผําน


32

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ตารางที่ 2 ผลการประมาณคําขนาดอิทธิพลทางตรง อิทธิพลทางอ๎อม และอิทธิพลรวมระหวํางตัวแปรแฝงใน ตัวแปรสาเหตุ ตัวแปรผล สถิติ BMI Thin Ideal DE IE TE DE IE TE R2 Thin Ideal b 0.06*** 0.06*** SE -0.01*** 27.1 0.01*** t 5.94* 5.94* SC 0.52*** 0.52*** Body Img B .02 -.05 -.03 -.75 -.75 SE 0.01 0.01 0.01 0.08 0.08 10.7 t 1.90* -4.93* -5.67* -8.92* -8.92* SC .17 -.50 -.33 -.96 -.96 Chi-square = 9.23, df = 5, p = .10, Chi-square/df = 1.85; CFI = .99; GFI = .99; AGFI = .96; RMSEA = .05; RMR = .04

โมเดลอิทธิพลของคําดัชนีมวลกายที่มีตํอความพึงพอใจในรูปรํางตนเอง โดยมีตัวแปรการรับคํานิยม ความผอมเป็นตัวแปรสํงผําน (N=371) หมายเหตุ DE = อิทธิพลทางตรง, IE = อิทธิพลทางอ๎อม, TE = อิทธิพลรวม, b = คําสัมประสิทธิ์ (b), SE = คําความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน, t = คําสถิติที, SC = คําสัมประสิทธิ์มาตรฐาน (Beta), R2 = คํา สัมประสิทธิ์การพยากรณ๑; *p < .05 สรุปผลการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาโมเดลอิทธิพลของคําดัชนีมวลกายที่มีตํอความพึงพอใจในรูปรําง ตนเอง โดยมีตัวแปรการรับคํานิยมความผอมเป็นตัวแปรสํงผําน ในกลุํมตัวอยํางที่เป็นนักศึกษาเพศ หญิง ศึกษาอยูํในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานครจานวน 371 คน ผลการวิจัยพบวําดัชนีมวลกายมี อิทธิพลทางตรงตํอความพึงพอใจในรูปรํางตนเองในระดับต่า แตํมีอิทธิพลทางอ๎อมผํานตัวแปรการรับ คํานิยมความผอมในระดับสูง ซึ่งสามารถสรุปได๎วําการที่บุคคลมีการยอมรับคํานิยมความผอม เป็น ปัจจัยสาคัญที่ทาให๎บุคคลน้าหนักเกิน มีความพึงพอใจในรูปรํางตนเองน๎อยลง การมุํงเน๎นทาความ เข๎าใจเรื่องคํานิยมเกี่ยวกับรูปรํางที่ถูกต๎องจึงเป็นสิ่งที่จาเป็นอยํางมากในการชํวยเหลือคนที่มีความพึง พอใจในรูปรํางตนเองต่า อภิปรายผลการวิจัย จากผลการวิจัยจะเห็นได๎วําอิทธิพลของคําดัชนีมวลกายโดยลาพังไมํได๎มีผลโดยตรงตํอความพึง พอใจในรูปรํางตนเองที่สูงมากนัก โดยพิจารณาได๎จากคําอิทธิพลมาตรฐานทางตรงที่เทํากับ .17 เทํานั้น แตํเมื่อพิจารณาอิทธิพลทางอ๎อม โดยมีตัวแปรการรับคํานิยมความผอมเป็นตัวแปรสํงผําน กลับพบวํา


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

33

สํงผลตํอความพึงพอใจในรูปรํางตนเองคํอนข๎างสูง กลําวคือมีคําอิทธิพลมาตรฐานทางอ๎อมเทํากับ -.50 ซึ่งหมายความวําหากบุคคลมีดัชนีมวลกายในระดับสูง และมีการรับคํานิยมความผอมในระดับสูง ก็จะ ยิ่งทาให๎บุคคลมีความพึงพอใจในรูปรํางตนเองที่น๎อยลงเทํานั้น ในทางกลับกัน หากบุคคลมีคําดัชนีมวล กายในระดับสูง แตํมีการรับคํานิยมความผอมในระดับต่า ก็จะไมํทาให๎บุคคลมีความพึงพอใจในรูปรําง ตนเองลดลง ผลการวิจัยครั้งนี้สอดคล๎องกับแนวคิดเรื่องการรับคํานิยมจากสังคม (Scott, 1971) กลําวคือเมื่อบุคคลรับรู๎วําสังคมให๎ความสาคัญกับเรื่องความผอม บุคคลก็จะรับเอาคํานิยมเหลํานั้นจาก สังคมเข๎ามาเป็นความเชื่อสํวนบุคคลที่ใช๎ ในการประเมินสิ่งตํางๆรวมไปถึงการประเมินและรับรู๎ตนเอง ด๎วย ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถนาไปเป็นแนวทางในการชํวยเหลือผู๎ที่มีความพึงพอใจในรูปรํางตนเองต่า เนื่ องจากมีคํ าดั ชนี มวลกายสู งได๎ โดยต๎ องมุํงเน๎นการให๎ ความรู๎ความเข๎าใจ หรือปลู กฝั งคํานิ ยมที่ เหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องรูปลักษณ๑ภายนอก เชํนการมีรูปรํางที่อ๎วนไมํได๎หมายถึงการมีบุคลิกไมํดีหรือจะ ถูกประเมินทางลบจากสังคมหรือคนรอบข๎างเสมอไป และผู๎ที่เกี่ยวข๎องกับเยาวชนที่มีความกังวลเรื่อง รูปรํางก็ควรให๎ความสาคัญกับการรับรู๎คํานิยมเกี่ยวกับรูปรํางจากสื่อตํางๆ เพื่อปูองกันการยอมรับ คํานิยมความผอมในระดับที่มากเกินไป เนื่องจากจะสํงผลเสียตํอความพึงพอใจในรูปรําง และความพึง พอใจในตนเองต่าได๎ ข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้แม๎วําจะได๎ผลที่คํอนข๎างชัดเจนและเป็นประโยชน๑ตํอการนาไปปรับใช๎ได๎ดี แตํก็ ยังมีข๎อจ ากัดบางประการ กลํ าวคือการวิจัย ครั้งนี้มุํงเน๎นเก็บข๎อมูลกับกลุํ มตัว อยํางเพศหญิงจาก มหาวิทยาลัยในกรุงเทพเพียงแหํงเดียวเทํานั้น การนาผลการวิจัยไปใช๎กับกลุํมประชากรอื่นๆควรใช๎ ด๎วยความระมัดระวัง และหากเป็นไปได๎ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงโมเดลอิทธิพลของคําดัชนีมวลกาย ที่มีตํอความพึงพอใจในรูปรํา งตนเองในกลุํ มตัวอยํางที่หลากหลายและมีจานวนมากขึ้น เพื่อให๎ได๎ ผลการวิจัยที่เป็นตัวแทนที่ดี นอกจากนี้การวิจัยในอนาคตควรขยายการศึกษาไปในกลุํมเพศชายด๎วย เพื่อทาความเข๎าใจวําความสัมพันธ๑ในโมเดลนี้ถูกกากับโดยเพศหรือไมํ ซึ่งสามารถทาการศึกษาโดยการ สร๎างโมเดลสมการโครงสร๎าง และทดสอบความไมํแปรเปลี่ยนของโมเดล (Model Invariance) ระหวํางเพศชายและเพศหญิงด๎วย ข๎อจากัดอีกประการหนึ่งคือการวิจัยครั้งนี้เป็นเพียงการวิจัยเชิงสารวจเพื่อหาความสัมพันธ๑ ระหวํางตัวแปรตํางๆเทํานั้น แตํไมํสามารถสรุปผลเชิงสาเหตุได๎ดีนัก กลําวคือไมํสามารถระบุได๎วําการ มีการยอมรับคํานิยมความผอมเป็นสาเหตุที่ทาให๎คนมีความพึงพอใจในรูปรํางตนเองต่า การจะตอบ คาถามในเชิงสาเหตุและผลได๎ควรมีการออกแบบการศึกษาในเชิงทดลอง เชํนการให๎ผู๎เข๎ารํวมการวิจัย ดูคลิปวีดีโอที่โน๎มน๎าวให๎บุคคลยอมรับคํานิยมความผอมเพิ่ มขึ้น และเทียบกับคนที่ไมํได๎รับการโน๎ม น๎าวให๎ยอมรับคํานิยมความผอมวําจะมีความพึงพอใจในรูปรํางตนเองตํางกันหรือไมํ หรืออาจเน๎นการ นาผลการวิจัยไปปรับใช๎ตํอได๎โดยผู๎วิจัยอาจมีการจัดโปรแกรมเพื่อเสริมสร๎างความเข๎าใจในคํานิยม เกี่ยวกับรูปรํางที่ถูกต๎อง เพื่อชํวยให๎ ผู๎ที่มีคําดัชนีมวลกายสูง หรือมีความพึงพอใจในรูปรํางตนเองต่า ได๎มีโอกาสพัฒนาระดับความพึงพอใจในรูปรํางตนเองเพิ่มมากขึ้น


34

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

เอกสารอ้างอิง กรรณิการ๑ ชื่นชูผล. (2549). อิทธิพลของการยอมรับค่านิยมความผอมในอุดมคติ และขนาดรูปร่าง ของนางแบบในงานโฆษนา ต่อการเกิดความไม่พึงพอใจในรูปร่าง ความภาคภูมิในใน รู ปร่ างตนเอง และการมีพฤติ กรรมการกิน ที่ผิดปกติ. วิทยานิพนธ๑ปริญญานิเทศศาสตร๑ มหาบัณฑิต สาขาวิชาการโฆษนา ภาควิชาการประชาสัมพันธ๑ คณะนิเทศศาสตร๑ จุฬาลงกรณ๑ มหาวิทยาลัย. ทัศนีย๑ เกษรศรี. (2552). ความสัมพันธ์ระหว่างความวิตกกังวลในรูปร่างการเห็นคุณค่าในตนเอง และดั ช นี ม วลกายของนั ก เรี ย นหญิ ง ชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาตอนปลาย อ าเภอเมื อ ง จั ง หวั ด เชียงใหม่. การค๎นคว๎าแบบอิสระ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหมํ. ประวีณา ธาดาพรหม. (2550). ภาพลักษณ์ทางร่างกาย และการเห็นคุณค่าในตนเองของวัยรุ่ นที่มี น้าหนักเกินมาตรฐาน. วิทยานิพนธ๑ปริญญาศิลปศาสตร๑มหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการ ปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. สุนทรี มาคะคา. (2551). การรับรู้ภาพลักษณ์ทางด้านร่างกายและวิถีชีวิตของผู้ที่มีภาวะน้าหนัก เกินมาตรฐาน. วิทยานิพนธ๑ปรัญญาสังคมวิทยามหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยา ภาควิชา สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร๑ จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. อมรศรี โภคทรัพย๑ไพบูลย๑. (2549). การเปรียบเทียบความไม่พึงพอใจในรูปลักษณ์และการประเมิน ตนเสมือนวัตถุของนักศึกษาปริญญาตรีเพศชายและหญิง. วิทยานิพทธ๑ปริญญาศิลปศาสตร๑ มหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. อังคเรศ บุญทองล๎วน. (2539). กระบวนการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ความงามทางสรีระของผู้หญิง ในสังคมไทย : ศึกษาเฉพาะกรณี การประกวดนางสาวไทย. วิทยานิพทธ๑ปริญญาศิล ป ศาสตร๑มหาบัณฑิต สาขาสังคมวิทยา คณะรัฐศาสตร๑ จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. Hair, J. F., Black, W. C., Babin, B. J., Anderson, R. E., & Tatham, R. L. (2006). Multivariate data analysis (6th ed.). New Jersey: Pearson. Jöreskog, K. G., & Sörbom, D. (1996). LISREL 8: User’s reference guide. Chicago: Scientific Software International. Kelman, H.C. (1938). Compliance, identification, and internalization: Three processes of attitude change. Journal of Conflict Resolution, 2, 51–60. Little, T. D., Cunningham, W. A., Shahar, G., & Widaman, K. F. (2002). To parcel or not to parcel: Exploring the question, weighing the merits. Structural Equation Modeling, 9, 151-173. Nunnally, J. C., & Bernstein, I. H. (1994). Psychometric Theory (3rd ed.). New York: McGraw-Hill. Scott, J. F. (1971). Internalization of norms: A sociological theory of moral commitment. Englewood Cliffs, N.J: Prentice-Hall. ……………………………………………………………………


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

35

ปัจจัยทางจิตวิทยาที่สัมพันธ์กับการประสบความสาเร็จในการ เรี ย นของนั ก ศึ ก ษาการศึ ก ษานอกระบบและการศึ ก ษาตาม อัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร Psychological Factors Related to Learning Success of Students of Non-Formal and Informal Education, Khlong Sam Wa District, Bangkok Metropolis ชิงชัย หวังพิทักษ๑1 อารี พันธ๑มณี2

บทคัดย่อ การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค๑เพื่อ 1) ศึกษาระดับการประสบความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษา การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาระดับของ ปัจจัยทางจิตวิทยา ได๎แกํ การกากับตนเอง การรับรู๎ความสามารถของตนเอง ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม การ เผชิญและฟันฝุาอุปสรรคของนักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 3) วิเคราะห๑ความสัมพันธ๑ระหวํางการกากับตนเอง การรับรู๎ความสามารถของตนเอง ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม การเผชิญและฟันฝุาอุปสรรคกับการประสบความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษา การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร กลุํมตัวอยําง ได๎แกํ นักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จานวน 302 คน เครื่ อ งมื อ ที่ ใ ช๎ ในการวิ จั ย เป็ นแบบสอบถามความส าเร็ จในการเรี ย น ซึ่ งมี คํ าความเที่ ย ง (Reliability) ทั้งฉบับเทํากับ 0.937 และคําความสอดคล๎อง (IOC) ระหวําง 0.66 – 1.00 สถิติที่ใช๎ใน การวิเคราะห๑ข๎อมูล ได๎แกํ คําร๎อยละ คําเฉลี่ย สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคําสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ๑ คาสาคัญ: ปัจจัยทางจิตวิทยา การประสบความสาเร็จในการเรียน การศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย

1

นักศึกษามหาบัณฑิต หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย๑ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต 2 รองศาสตราจารย๑ ดร. อาจารย๑ประจาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย๑ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต


36

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ผลการวิจัยพบวํา ปัจจัยทางจิตวิทยา ได๎แกํ การกากับตนเอง การรับรู๎ความสามารถของตนเอง ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม การเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค ของนักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ๑ทางบวกกับการประสบความสาเร็จในการ เรียน อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีคําสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ๑ระหวําง .125 – .338 ซึ่งการ กากับตนเองมีความสัมพันธ๑สูงสุดกับการประสบความสาเร็จในการเรียน ผลการกากับตนเองมีคําเฉลี่ย เทํากับ 4.010 การรับรู๎ความสามารถของตนเอง มีคําเฉลี่ยเทํากับ 3.688 ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม มีคําเฉลี่ย เทํากับ 3.627 และการเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค มีคําเฉลี่ยเทํากับ 3.533 ตามลาดับ Abstract The purposes of this study were 1) to study the level of learning success of students Non-formal and Informal Education in Khlong Sam Wa District, Bangkok Metropolis. 2) to study the level of psychological factors: self-regulation, perception of self-efficiency, social interactions and adversity quotient of Non-formal education students in Khlong Sam Wa District, Bangkok. 3) to analyze the relationship between self-regulation, perception of self-efficiency, social interactions and adversity quotient of Non-formal and Informal Education students in Khlong Sam Wa District, Bangkok Metropolis. The sample were 302 students Non-formal and Informal Education in Khlong Sam Wa, Bangkok Metropolis who enrolled in the first semester of 2017 academic year. The research instruments used were the questionnaire of the learning success of students of Non-formal and Informal Education which reliability at 0.937 and content validity at 0.66 – 1.00 .The percentage, average, standard deviation and correlation. The finding indicated that the relationship between self-regulation, perception of self-efficiency, social interactions and adversity quotient of students Non-formal and informal education in Khlong Sam Wa District, Bangkok Metropolis were positively related to the success of the students. These scores were statistically significant at .01 level and .125 – 338 correlation. For the interaction between levels were found in the highest score of self-regulation, with the average 4.010, the perception of self-efficiency at 3.688, the social interaction 3.627 and the adversity quotient at 3.533 respectively. Key words: Psychological Factors, Leaning Success, Non-formal education


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

37

บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา การศึ กษาเป็ น กระบวนการเรีย นรู๎ เพื่ อความเจริญ งอกงามของบุ คคลและสั ง คมโดยการ ถํายทอดความรู๎ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร๎างสรรค๑จรรโลง ความก๎าวหน๎า ทางวิชาการ การสร๎างองค๑ความรู๎อยํางตํอเนื่ องตลอดชีวิต ซึ่งการจัดการศึกษาในประเทศไทยมีสาม รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย โดยการศึกษานอก ระบบมีความแตกตํางกับการศึกษาในระบบด๎านความยืดหยุํนในการกาหนดจุดมุํงหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขสาคัญของการ สาเร็จการศึกษา เป็นการศึกษาที่ให๎ผู๎เรียนได๎เรียนรู๎ด๎วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร๎อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ๑ สังคม สภาพแวดล๎อม สื่อ หรือแหลํงความรู๎อื่นๆ (สานักงานคณะกรรมการการศึ ก ษาแหํ ง ชาติ , 2545: 2-10) เพื่อให๎ได๎รับความรู๎เพิ่มเติมและพัฒนา ศักยภาพตนเอง รวมถึง การประสบความสาเร็จทางการศึกษา หน๎าที่การงานและการดาเนินชีวิต การจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย แบํงเป็นการจัดการศึกษานอกระบบ และการศึ ก ษาตามอั ธ ยาศั ย ซึ่ ง มี รู ป แบบกิ จ กรรมการศึ กษาที่ มี ก ลุํ ม เปู า หมาย ผู๎ รั บ บริ ก ารและ วัตถุประสงค๑ของการเรียนรู ที่ชัดเจน มีรูปแบบ หลักสูตร วิธีการจัดและระยะเวลาเรียนหรือฝึกอบรม ที่ยืดหยุน และหลากหลายตามสภาพความต๎องการและศักยภาพในการเรียนรู ของกลุํมเปูาหมายนั้น และมีวิธีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู ที่มีมาตรฐานเพื่อรับคุณวุฒิทางการศึกษาหรือเพื่อจัด ระดับผลการเรียนรู สํวนการศึกษาตามอัธยาศัยเป็นกิจกรรมการเรียนรู ในวิถีชีวิตประจาวัน ซึ่งบุคคล สามารถเลือกที่จะเรียนรูไดอยํางตํอเนื่องตลอดชีวิตตามความสนใจ ความต๎องการ โอกาส ความพร๎อม และศักยภาพในการเรียนรูของแตํละบุคคล (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 2-6) กระทรวงศึกษาธิการ มีภารกิจหลักในการจัดการการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย ให๎แกํประชาชนนอกระบบโรงเรียน ซึ่งเป็นกลไกสาคัญในการสร๎างกระบวนการการเรียนรู๎ เปิดโอกาสให๎ประชาชนสามารถเรียนรู๎ได๎ตามความต๎องการ โดยมีรูปแบบและเนื้อหาการจัดการศึกษา ที่ตรงความสนใจของผู๎เรียน ตั้งแตํปีพุทธศักราช 2547 เป็นต๎นมา ตระหนักถึงความสาคัญของการ สํงเสริมและการพัฒนาแหลํงการเรียนรู๎ให๎เป็นแหลํงบริการการศึกษา ที่เอื้อตํอการศึกษาตลอดชีวิต และมีนักศึกษาประสบความสาเร็จการเรียนตามกาหนดระยะเวลาของหลักสูตร การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เป็นจานวนมาก ซึ่งเกิดจากผู๎เรียนมีความตั้งใจศึกษาเลําเรียน มองเห็น ประโยชน๑ของการศึกษา มีความมุํงมั่น ตั้งใจ มีวินัยในตนเอง มีจิตใจเข๎มแข็ง การรู๎จักควบคุมตนเอง ความอดทนอดกลั้น การมีสัมพันธ๑ที่ดีกับเพื่อน และการรํวมในกิจกรรมการเรียน เสมอ และมีสํวน น๎อยที่สาเร็จการศึกษาลําช๎ากวําระยะเวลาของหลักสูตร การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย ตามสภาพความเป็นจริงที่ปรากฏ การที่นักศึกษาสาเร็จการศึกษาตามระยะเวลาที่หลักสูตร กาหนด นักศึกษายํอมต๎องมีความพร๎อม มีความสามารถในการบริหารจัดการเวลา มีความสม่าเสมอ ในการเข๎ารํวมกิจกรรมตําง ๆ ที่กาหนด แตํถ๎าหากเป็นนักศึกษากลุํมที่ต๎องทางานประจา นักศึก ษาที่มี ความพิการ นักศึกษาที่มีภาระรับผิดชอบในครอบครัว นักศึกษาผู๎สูงอายุ นักศึกษาที่ขาดโอกาสใน


38

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

การศึกษา พลาดโอกาสในการศึกษาจากการรู๎เทําไมํถึงการณ๑ ด๎อยโอกาสทางการศึกษาจากสถานภาพ ทางครอบครัวขาดทุนทรัพย๑ที่จะสํงให๎เรียนตามเกณฑ๑ แตํสามารถกลับมาคิดได๎ในชํวงวัยที่ มากขึ้นวํา ต๎องมีความรู๎ เพื่อนาพาชีวิตที่ประสบความสาเร็จ นักศึกษาเหลํานี้ อาจจะสาเร็จการศึกษาช๎ากวํา ระยะเวลาที่หลักสูตรกาหนด แสดงให๎เห็นวํา ระยะเวลาที่ใช๎ในการศึกษาไมํวําจะช๎าหรือเร็วนั้นขึ้นอยูํ กับนักศึกษา ซึ่งนักศึกษาแตํละคนอาจมีปัจจัยที่เกี่ยวข๎องกับการประสบความสาเร็จในการเรียนที่ แตกตํางกัน นอกจากนี้ การประสบความสาเร็จในการเรียนยังหมายถึง การบรรลุเปูาหมายอื่น ๆ ที่ เกี่ยวข๎องกับการเรียน อาทิ เชํน การเข๎าเรียน การเข๎ารํวมกิจกรรมตามที่ผู๎สอนกาหนด การทางาน หรือชิ้นงานสํง ซึ่งเป็นสํวนหนึ่งของคะแนนเก็บ การเข๎ ารํวมกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) ให๎ ครบ 200 ชั่วโมง กํอนยื่นขอสาเร็จการศึกษา เป็นต๎น ผู๎วิจัยในฐานะ เป็นครูผู๎สอนนักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ที่มี ประสบการณ๑การสอนมากกวํา 10 ปี ได๎สังเกตเห็นถึงศักยภาพและความสามารถของนักศึกษากลุํมนี้ ที่ใช๎เวลาศึกษาจบตามหลักสูตรเป็นจานวนมาก จึงมีความสนใจปัจจัยที่ทาให๎นักศึกษาการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ประสบความสาเร็จในการเรียน จึงได๎รวบรวมข๎อมูลสถิติจากการสัมภาษณ๑ครูผู๎สอน จานวน 5 คน ผู๎อานวยการสถานศึกษา จานวน 1 คน และนั ก ศึ ก ษาการศึ ก ษานอกระบบและการศึ ก ษาตามอั ธ ยาศั ย เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร จานวน 30 คน ในวันปัจฉิมนิเทศ จากการสัมภาษณ๑ พบวํา นักศึกษาการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร จะประสบความสาเร็จใน การเรียนได๎นั้น มีปัจจัยหลายอยํางที่เกี่ยวข๎องกับการประสบความสาเร็จในการเรียน ได๎แกํ ตัวผู๎เรียน ความตั้งใจเรียน การวางแผนในการเรียน ผู๎สอน เนื้อหาสาระรายวิชา การปฏิบัติตามกฎระเบียบของ หลักสูตรการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ได๎แกํ การเช๎าชั้นเรียน การสํงงาน การ ปฏิบัติการทาโครงงาน การเข๎ารํวมกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต การสอบวัดผลระดับชาติ ปัจจัยที่จะ ทาให๎นักศึกษาประสบความสาเร็จในการเรียน การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ได๎ นั้น นักศึกษาต๎องมีความเพียรพยายาม ความอดทนอดกลั้น การตั้งเปูาหมายในการเรียน ความ อดทน รู๎จักใช๎เวลา รู๎สึกนึกคิดกับตนเองในทางที่ดี มีความเชื่อมั่นในความสามารถในการเรียนได๎ สาเร็จ การมีความสัมพันธ๑ที่ดีกับกลุํมเพื่อนที่เรียน การชํวยเหลือเกื้อกูล การยอมรับซึ่งกันและกัน การยอมรับเหตุผล หนักเอาเบาสู๎ ไมํกลัวความยากลาบาก เป็นต๎น ดังนั้น ผลจากการสัมภาษณ๑ สรุปได๎วํา ความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษาการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ควรประกอบด๎วยปัจจัยที่สาคัญ ทางจิตวิทยาในตัวผู๎เรียน ได๎แกํ การกากับตนเอง การรับรู๎ความสามารถของตนเอง ปฏิสัมพันธ๑ทาง สังคม การเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค การกากับตนเองในการเรียน (Self-Regulated Learning) ซึ่งหมายถึงการที่นักศึกษาได๎มาซึ่ง ความรู๎และทักษะตํางๆโดยการรู๎คิดของตนเองมีแรงจูงใจ และการกระทาด๎วยตนเอง (Zimmerman, 1989, p. 329) โดยสอดคล๎องกับแนวความคิดจากทฤษฎีการเรียนรู๎ปัญญาสังคม (Social Cognitive Theory) ของ Bandura ที่เสนอไว๎วํา มนุษย๑สามารถกระทาบางสิ่งบางอยํางเพื่อควบคุมความคิด ความรู๎สึก และการกระทาของตนเอง (Bandura,1986 อ๎างถึงใน สมโภชน๑ เอี่ยมสุภาษิต, 2541: 54) ซึ่งตามสภาพความเป็นจริงบุคคลต๎องติดตามกากับควบคุมพฤติกรรมของตนเองได๎ ฉะนั้น หากผู๎เรียน


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

39

มีการกากับตนเองในการเรียนก็นําจะทาให๎ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นไปในทางที่ดี การกากับตนเอง ในการเรียน จึงเป็นปัจจัยที่สํงผลตํอผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การรับรู๎ความสามารถของตนเอง (Self-Efficacy) เป็นคุณลักษณะที่มีความสาคัญอีกประการ หนึ่งในการประสบความสาเร็จในการเรียน เนื่องจากการที่บุคคลจะกระทาพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่ง ได๎สาเร็จหรือไมํ ไมํได๎ขึ้นอยูํกับความรู๎ ความสามารถและทักษะที่บุคคลมีอยูํเพียงเทํานั้น แตํยังขึ้นอยูํ กับความคิดที่บุคคลมีตํอตนเองวํา ตนเองมีความสามารถหรือไมํมีความสามารถในการกระทาดังกลําว ถ๎ าบุ คคลที่ มี ค วามสามารถ มี ทั กษะแตํ ก ลั บ คิ ด วํ า ตนไมํ มี ค วามสามารถก็ จะไมํ ส ามารถประสบ ความส าเร็ จ ในการเรี ย นได๎ ดั ง นั้ น การรั บ รู๎ ค วามสามารถของตนเอง จึ ง มี ค วามส าคั ญ เทํ า กั บ ความสามารถหรืออาจจะมีความสาคัญมากกวําความสามารถก็ได๎ การรับรู๎ความสามารถของตนเองมี อิทธิพลตํอกระบวนการคิด การกระทา และปฏิกิริยาทางอารมณ๑ บุคคลที่มีความสามารถในการกระทา กิจกรรมตํางๆสูง และมีสภาวะทางอารมณ๑ เชํน ความวิตกกังวล หรือความเครียดในระดับต่า มีแนวโน๎ม ที่จะรับรู๎ความสามารถของตนเองสูงด๎วย การรับรู๎ความสามารถของตนเองยังเป็นสิ่งสาคัญที่เชื่อมโยง ระหวํางการเลือกวําตนควรกระทาสิ่งใดและความพยายามมุํงมั่นที่จะกระทาสิ่งนั้นให๎สาเร็จจริง ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม (Social interaction) เป็นลักษณะของการที่นักศึกษามีปฏิสัมพันธ๑กับ ผู๎อื่น ทั้งด๎านการพูดสนทนา ถํายทอดความรู๎สึ กที่ดี การแสดงออกถึงการยอมรับในความถูกต๎อง เหมาะสม ทั้ งการกระท าและความคิ ดซึ่ งกั นและกั น การรู๎ จั กชํ ว ยเหลื อซึ่ งกั นและกั น และมี จิ ต สาธารณะแกํคนในสังคม โดยปฏิสัมพันธ๑ทางสังคมเป็นกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข๎องคือ แรงสนับสนุนทาง สังคม ที่กลําวถึงผลกระทบของแรงสนับสนุนทางสังคมที่มีตํอภาวะสุขภาพและสุขภาพจิต มีผู๎ที่นามา ศึกษาเป็นกลุํมแรก คือ ฮิงเคิลและโวลฟ์ ซึ่งเป็นผู๎พยายามศึกษาเกี่ยวกับเหตุผลของการเชื่อมโยง ระหวํางวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงระหวํางบุคคล ซึ่งมีการศึกษาหลายครั้งแสดงถึงทางตรงของแรง สนับสนุนทางสังคมที่มีตํอสุ ขภาพวํา ผู๎ที่แยกตัวออกจากสังคมหรือผู๎ที่เข๎าถึงการสนับสนุนทางสังคม เพียงเล็กน๎อย เป็นผู๎ที่เสี่ยงตํอความเจ็บปวดอยํางมาก และมีโอกาสพบกับสภาพตึงเครียดมากกวําผู๎ที่ เข๎ารํวมกับสังคม หรือเข๎าถึงการสนับสนุนทางสังคมอยํางแท๎จริง ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคมครอบคลุมความ จาเป็นพื้นฐานที่มนุษย๑ต๎องการ ระหวํางกลุํมเพื่อนที่มาเรียน เนื่องจากบางครั้งผู๎ที่มาเรียนก็อาจไมํ สามารถมาเรียนได๎ตามความประสงค๑ แม๎วําจะตระหนักถึงประโยชน๑และความสาคัญของการใฝุรู๎ใฝุ เรียน แตํหากขาดปฏิสัมพันธ๑กับสังคมที่เขาอาศัยอยูํ ความพยายามที่จะเอาชนะอุปสรรคใดๆ ก็จะ ลดลงจนเกิดการท๎อแท๎และหยุดพฤติกรรมการใฝุเรียนใฝุรู๎ไปในที่สุด บุคคลจึงต๎องการแรงสนับสนุนทั้ง ด๎านความผูกพันทางด๎านอารมณ๑ ด๎านการยอมรับซึ่งกันและกัน และด๎านการให๎ความชํวยเหลือในการ ที่จะทาให๎บุคคลนั้นมีสภาพจิตใจและอารมณ๑ที่มั่นคง สามารถตํอสู๎กับอุปสรรคตํางๆ ที่มาขัดขวางการ เรียนในแตํละครั้งได๎ การเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค (Adversity Quotient) เป็นความสามารถของบุคคลในการ ตอบสนองตํอเหตุการณ๑ในยามที่ต๎องเผชิญกับความทุกข๑ยากหรือความลาบาก โดยผู๎ที่มีความสามารถ ในการเผชิญฟัน ฝุาอุปสรรคสู ง จะมีจิตใจที่เข๎มแข็ง ไมํยํ อท๎อตํออุปสรรคใดๆ แม๎จะพํายแพ๎หรือ ล๎มเหลวไปก็สามารถลุกขึ้นสู๎ใหมํได๎ สํวนผู๎ที่มีความสามารถในการเผชิญฟันฝุาอุปสรรคต่า เวลาที่ต๎อง เผชิญกับความผิดหวังหรือทุกข๑ยากก็จะพํายแพ๎ บางคนอาจละทิ้งงานไปกลางคัน หรือบางคนอาจ ท๎อแท๎กับชีวิตถึงขั้นลาออกจากงานกํอนเกษียณ โดยเรื่องนี้ Stoltz (1997: 7) อธิบายโดยคาวํา


40

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

Adversity Quotient หรือ AQ เปรียบเสมือนชีวิตคนในการไตํขึ้นเขาที่บางครั้งก็เป็นไปอยํางช๎า ๆ บางครั้งก็เป็นไปอยํางยากลาบาก ฉะนั้น ปัญหาหรืออุปสรรคจึงเป็นสํวนหนึ่งของชีวิต ผู๎ที่จะสามารถ ก๎าวผํานอุปสรรคและประสบความสาเร็จได๎คือ ผู๎ที่มี AQ สูง บุคคลที่มี AQ คือผู๎ที่มีความกล๎าและ พร๎อมเผชิญปัญหาอยํางไมํหวาดหวั่น มุํงมั่นกระทาเพื่อไปให๎ถึงยังจุดหมายของตน พร๎อมที่จะปืนขึ้น สูงตลอดชีวิต โดยไมํคานึงถึงพื้นฐานชีวิต ข๎อได๎เปรียบ ข๎อเสียเปรียบความโชคร๎ายหรือความโชคดี ในทางตรงกันข๎ามผู๎ที่มี AQ ต่า เป็นพวกที่ละทิ้งความฝันของตน และเลือกเส๎นทางที่คิดวําราบรื่น งํายดายแตํกลับไมํเป็นไปดังคิด นอกจากนี้ผู๎ที่มี AQ ต่ามักจะหมกมุํนกับสิ่งที่ไมํกํอให๎เกิดประโยชน๑ กับตนเอง เชํน ติดสุรา ติดยาเสพติด หรือติดโทรทัศน๑ ส านั ก งานการศึ ก ษานอกระบบและการศึ กษาตามอั ธ ยาศั ย กรุ ง เทพมหานคร กระทรวงศึ กษาธิ การ เป็ น หนํ ว ยงานของรั ฐ ที่ รั บผิ ดชอบการด าเนิ นงานทางการศึ กษาเพื่ อบรรลุ วัตถุประสงค๑ของรัฐบาล ตามนโยบายในการมุํงเน๎นให๎ผู๎เรียน คิดเป็น ทาเป็น และแก๎ปัญหาเป็น และ มุํ งเน๎ นการพั ฒ นาบุ คคลในด๎ าน สติ ปั ญญา จิ ตใจ และสั งคม โดยเฉพาะอยํ างยิ่ งในปั จจุ บั นมี การ เปลี่ยนแปลงทางด๎านเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งความก๎าวหน๎าทางด๎านเทคโนโลยีที่เป็นไปอยํางรวดเร็ว การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให๎มีความพร๎อม ตํอการเปลี่ยนแปลงทางด๎านเศรษฐกิจ และสังคม จึงมีความสาคัญยิ่ง ได๎มีการเปิด ศูนย๑การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โดยมีการแบํง ออกเป็นโซนตํางๆ คือ กลุํมกรุงเทพกลาง กลุํมกรุงเทพใต๎ กลุํมกรุงเทพเหนือ กลุํมกรุงเทพตะวันออก กลุํมกรุงธนเหนือและกลุํมกรุงธนใต๎ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 50 เขต แตํละกลุํมจะมีการแบํงสํวนออกเป็น ตามแขวงและศูนย๑การเรียนชุมชน เพื่อให๎บริการกับประชาชนในการศึกษาตํอ ศูนย๑การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ได๎จัดการเรียนการสอนตั้งแตํระดับประถมศึกษา จนถึงมัธยมศึกษาตอน ปลาย หลักสูตรการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ผลผลิตที่ ได๎จาก การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรดังกลําว จะเห็นได๎จากการที่นักศึกษาจบการศึกษา ไมํวํา จะจบตามก าหนดเวลาของหลั กสู ตรหรื อช๎ ากวํ าที่ หลั กสู ตรก าหนดก็ ตาม นั กศึกษาสามารถน าวุ ฒิ การศึกษาที่ได๎รับไปใช๎ในการศึกษาตํอ หรือนาไปใช๎ในการประกอบอาชีพ หรือปรับตาแหนํงหน๎าที่ในการ ทางาน นับวําเป็นความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษาได๎อยํางแท๎จริง จากความสาคัญดังกลําวข๎างต๎น ผู๎วิจัยจึงมีความสนใจศึกษาปัจจัยทางจิตวิทยาที่สัมพันธ๑กับ การประสบความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร เพื่อให๎ได๎ข๎อมูลที่นาไปสูํการนาไปใช๎เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน และ เป็นแบบอยํางที่ดีสาหรับสถานศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาอัธยาศัย กรุงเทพมหานคร และสถาบันการศึกษาในระบบที่จะมีสํวนรํวมในการพัฒนาทางด๎านการศึกษาของตน เพื่อที่จะมีสํวน ชํวยเสริมสร๎างเรื่องของการใฝุรู๎ใฝุเรียนอยํางตํอเนื่องให๎แกํนักศึกษา ซึ่งจะเป็นประโยชน๑ตํอผู๎เกี่ยวข๎อง กับงานทางด๎านการศึกษา เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต สังคมและประเทศชาติตํอไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาระดับการประสบความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษาการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

41

2. เพื่อศึกษาระดับของปัจจัยทางจิตวิทยา ได๎แกํ การกากับตนเอง การรับรู๎ความสามารถของ ตนเอง ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม การเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค ของนักศึกษาการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 3. เพื่อวิเคราะห๑ความสัมพันธ๑ระหวํางการกากับตนเอง การรับรู๎ความสามารถของตนเอง ปฏิสั มพัน ธ๑ทางสั งคม การเผชิญและฟันฝุ าอุปสรรค กับการประสบความส าเร็จในการเรียนของ นักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร สมมติฐานของการวิจัย ปัจจัยทางจิตวิทยา ได๎แกํ การกากับตนเอง การรับรู๎ความสามารถของตนเอง ปฏิสัมพันธ๑ทาง สั งคม การเผชิญและฟัน ฝุ าอุป สรรค มี ความสั มพันธ๑กับการประสบความส าเร็จในการเรียนของ นักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรที่ใช๎ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จานวน 1,080 คน 2. กลุํมตัวอยําง เป็นนักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลอง สามวา กรุงเทพมหานคร ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จานวน 302 คน ซึ่ง ได๎มาโดยการคานวณจากสูตรของ Taro Yamane,(1973:125) กาหนดให๎มีความคลาดเคลื่อนได๎ 0.05 และการสุํมอยํางงําย (Simple Random Sampling) 3. ตัวแปรที่ศึกษา ในการวิจัยครั้งนี้มีตัวแปรดังนี้ 3.1 ตัวแปรวิเคราะห๑ ได๎แกํ การกากับตนเอง การรับรู๎ความสามารถของตนเอง ปฏิสัมพันธ๑ ทางสังคม และการเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค 3.2 ตัวแปรเกณฑ๑ ได๎แกํ การประสบความสาเร็จในการเรียน นิยามศัพท์ปฏิบัติการ 1. ความส าเร็ จในการเรี ยน หมายถึ ง การที่นั กศึ กษาปฏิบั ติตามข๎อกาหนดของหลั กสู ตร การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร จึงจะสาเร็จการศึกษา ได๎แกํ การเข๎า รํวมพบกลุํ มศูนย๑ การเรี ยนชุมชน (ศรช.) การมีสํวนรํวมในการทากิจกรรมการเรียนการสอนในทุก รายวิชา การสอบกลางภาคและการสอบปลายภาค การปฏิบั ติการทาโครงงาน การเข๎ารํวมกิจกรรม พัฒนาคุ ณภาพชี วิต การทดสอบทางการศึ กษาระดับชาติการศึ กษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย (N-NET) วัดได๎ด๎วยแบบวัดที่ผู๎วิจัยสร๎างขึ้น 2. ปัจจัยทางจิตวิทยาที่มีความสัมพันธ๑กับการประสบความสาเร็จในการเรียน ได๎แกํ 2.1 การกากับตนเอง หมายถึง การที่นักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กาหนดเปูาหมายมีคาดหวังเกี่ยวกับการเรียน การวางแผน จัดการ ควบคุมพฤติกรรมเกี่ยวกับการเรียน


42

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ควบคุมตนเองให๎ใฝุเรียน ใฝุหาความรู๎ฝึกปฏิบัติทักษะการเข๎ารํวมทากิจกรรมตามเปูาหมาย วัดได๎ด๎วย แบบวัดการกากับตนเองที่ผู๎วิจัยสร๎างขึ้น 2.2 การรั บรู๎ความสามารถของตนเอง หมายถึง การที่นักศึกษาการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยได๎รู๎ถึงขีดหรือความสามารถของตนเองในการเรียน การประเมินความสามารถ ของตนเองในการเรียน ทากิจกรรมการเรียนการสอน วัดได๎ด๎วยแบบวัดการรับรู๎ความสามารถของ ตนเองทีผ่ ู๎วิจัยสร๎างขึ้น 2.3 ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม หมายถึง การมีความสัมพันธ๑ตํอกันระหวํางนักศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยที่มาเข๎าเรียนและทากิจกรรม โดยมีปฏิสัมพันธ๑กับผู๎อื่น ทั้งด๎านการพูด สนทนา ถํายทอดความรู๎สึกที่ดี การแสดงออกในการยอมรับความถูกต๎องเหมาะสมทั้งการกระทาและ ความคิด การรู๎จักชํวยเหลือซึ่งกันและกันและการมีจิตสาธารณะ วัดได๎ด๎วยแบบวัดปฏิสัมพันธ๑ทาง สังคมที่ผู๎วิจัยสร๎างขึ้น 2.4 ความสามารถในการเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค หมายถึง ความสามารถของนักศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในการจัดการปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหวํางการเรียน การทา กิจกรรมให๎ราบรื่นและเพื่อชํวยให๎สถานการณ๑อันเลวร๎ายผํานด๎วยดีประสบความสาเร็จตามเปูาหมาย วัดได๎ด๎วยแบบวัดความสามารถในการเผชิญและฟันฝุาอุปสรรคที่ผู๎วิจัยปรับปรุงจาก The Adversity Response Profile (ARP) Test ของ Stoltz ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ผลของการวิจัย ความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษา การศึกษานอกระบบและการศึกษาตา อัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ได๎แกํ การกับกาตนเอง การรับรู๎ความสามารถของตนเอง ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม การเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค เพื่อชํวยให๎นักศึกษาวางแผนการเรียน วางแผน พัฒนาตนเองไปสูํความสาเร็จในการเรียนตํอไป กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรอิสระ ปัจจัยทางจิตวิทยา ได๎แกํ 1. การกากับตนเอง 2. การรับรู๎ความสามารถของตนเอง 3. ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม 4. การเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค

ตัวแปรตาม การประสบความสาเร็จในการเรียน 1. การเข๎าชั้นเรียน 2. การสํงงาน

3. การสอบเก็บคะแนน การสอบ กลางภาคและปลายภาค 4. การปฏิบัติการทาโครงงาน 5. การเข๎ารํวมกิจกรรมพัฒนา คุณภาพชีวิต 6. การสอบวัดผลระดับชาติ N-NET


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

43

วิธีดาเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ใช๎รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช๎แบบวัดมาตรประมาณคํา สาหรับการ เก็บรวบรวม ผู๎วิจัยนาข๎อมูลที่เก็บรวบรวมได๎จากกลุํมตัวอยํางมาวิเคราะห๑หาคําทางสถิติ คําร๎อยละ คํา เฉลี่ ย สํ ว นเบี่ ย งเบนมาตรฐาน และคํ า สั ม ประสิ ท ธิ์ ส หสั มพั น ธ๑ โดยใช๎ โ ปรแกรมคอมพิ ว เตอร๑ สาเร็จรูป SPSS for Windows (Statistical Package for the Social Science for Windows) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัย 1. แบบสอบถามการประสบความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษาการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีคําความสอดคล๎อง (IOC) ระหวําง 0.66 – 1.00 2. แบบสอบถามปั จ จั ย ทางจิ ต วิ ท ยา ได๎ แ กํ แบบวั ด การก ากั บ ตนเอง ซึ่ ง มี ค วามเที่ ย ง (Reliability) เทํากับ 0.945 แบบวัดการรับรู๎ความสามารถของตนเอง ซึ่งมีความเที่ยง(Reliability) เทํากับ 0.975 แบบวัดปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม ซึ่งมีความเที่ยง(Reliability) เทํากับ 0.967 แบบวัดการ เผชิญและฟันฝุาอุปสรรค ซึ่งมีความเที่ยง(Reliability) เทํากับ 0.829 ของนักศึกษาการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร คําความเที่ยง (Reliability) ของ แบบสอบถามทั้งฉบับเทํากับ 0.937 ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยทางจิตวิทยาที่สัมพันธ๑กับการประสบความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษา การศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ครั้งนี้ ผู๎วิจัยศึกษาระดับและ ความสัมพันธ๑ระหวํางปัจจัยทางจิตวิทยาด๎านการกากับตนเอง ด๎านการรับรู๎ความสามารถของตนเอง ด๎านปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม ด๎านการเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค ได๎ผลการวิเคราะห๑ข๎อมูลดังนี้ ปัจจัยทางจิตวิทยา ได๎แกํ การกากับตนเอง การรับรู๎ความสามารถของตนเอง ปฏิสัมพันธ๑ทาง สังคม การเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค กับการประสบความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษาการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ๑ทางบวกกับ การประสบความส าเร็ จ ในการเรี ยน โดยมีนั ย ส าคั ญทางสถิ ติที่ ร ะดั บ .01 และมี คํา สั มประสิ ท ธิ์ สหสัมพันธ๑ระหวําง .125 – .338 ซึ่งการกากับตนเองมีความสัมพันธ๑สูงสุดกับการประสบความสาเร็จ ในการเรียน โดยมีคําเฉลี่ยเทํากับ 4.010 การรับรู๎ความสามารถของตนเอง มีคําเฉลี่ยเทํากับ 3.688 ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม มีคําเฉลี่ยเทํากับ 3.627 และการเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค มีคําเฉลี่ยเทํากับ 3.533 ตามลาดับ 1. นักศึกษาศูนย๑การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา มีการ ก ากั บ ตนเอง สั ม พั น ธ๑ ท างบวกกั บ การประสบความส าเร็ จ ในการเรี ย น โดยรวมอยูํ ใ นระดั บ สู ง (คําเฉลี่ย= 4.010, สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = .775) 2. นักศึกษาศูนย๑การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา มีการรับรู๎ ความสามารถของตนเอง สั มพัน ธ๑ทางบวกกับการประสบความสาเร็จในการเรียน โดยรวมอยูํใน ระดับสูง (คําเฉลี่ย = 3.688, สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = .841)


44

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

3. นั กศึกษาศูน ย๑ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธ ยาศัยเขตคลองสามวา มี ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม สัมพันธ๑ทางบวกกับการประสบความสาเร็จในการเรียน โดยรวมอยูํในระดับสูง (คําเฉลี่ย = 3.627, สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = .936) 4. นักศึกษาศูนย๑การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา มีการ เผชิญและฟันฝุ าอุปสรรค สั มพันธ๑ทางบวกกับการประสบความส าเร็จในการเรียน โดยรวมอยูํใน ระดับสูง (คําเฉลี่ย = 3.533, สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 1.033) 5. นักศึกษาศูนย๑การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา ประสบ ความสาเร็จในการเรียน โดยรวมอยูํในระดับสูง (คําเฉลี่ย = 4.255, สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = .736) อภิปรายผลการวิจัย 1. นั ก ศึ ก ษาการศึ ก ษานอกระบบและการศึ ก ษาตามอั ธ ยาศั ย เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ประสบความสาเร็จในการเรียน โดยภาพรวมอยูํในระดับสูง (คําเฉลี่ย= 4.225, สํวน เบี่ยงเบนมาตรฐาน = .736) เห็นได๎วําการเรียนให๎ประสบความสาเร็จหรือการที่นักศึกษาจะมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่ดี ขึ้นอยูํกับปัจจัยหลายอยํางด๎วยกัน ซึ่งการประสบความสาเร็จในการเรียนการสาเร็จ การศึกษาที่ใช๎เวลาในการเรี ยนตามจ านวนปีหรือระยะเวลาที่หลั กสูตรกาหนดไว๎ และการสาเร็จ การศึกษาที่ใช๎เวลาในการเรียนจานวนปีหรือระยะเวลามากกวําที่หลักสูตรกาหนดไว๎ ซึ่งสอดคล๎องกับ งานวิจั ยของ ลลิ ดา สาสาย (2550: 6) กลําววํา การประสบความสาเร็จในการเรียน คือ การส าเร็จ การศึกษา โดยได๎มีการศึกษาครบจานวนชุดวิชาตามโครงสร๎างของหลักสูตร และสอดคล๎องกับงานวิจัย ของ สฤญธรณ๑ พูลสวัสดิ์ และณัฐริณีย๑ ไขํจันทร๑ (2559: 5) กลําววํา การประสบความสาเร็จในการเรียน เป็นความสาเร็จที่หมายถึง ความสามารถในการศึกษาให๎ผํานเกณฑ๑การศึกษาที่สถานศึกษากาหนดอันจะ สํงผลให๎จบการศึกษาในหลักสูตรที่ได๎ลงทะเบียนเรียน 2. ความสัมพันธ๑ระหวํางการกากับตนเอง การรับรู๎ความสามารถของตนเอง ปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม การเผชิญและฟันฝุาอุปสรรค มีความสัมพันธ๑ทางบวกกับการประสบความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษา การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร โดยมีนัยสาคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 และมีคําสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ๑ระหวําง .125 – .338 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากบุคคลเกิด ความเชื่อมั่นในการดารงชีวิตของตนเอง เคารพในตนเอง มองเห็นคําของตนเอง มีความสามารถ และมี สมรรถภาพที่จะทาสิ่งตํางๆ ให๎สาเร็จ ซึ่งสอดคล๎องกับคุณลักษณะเจตนารมณ๑ในการจัดการศึกษาตาม มาตรฐานการศึกษาของชาติ ของ สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2548: 3) การจัดการศึกษาตามแนว ทางการปฏิรูปการเรียนรู๎เพื่อให๎บรรลุความสาเร็จตามเปูาหมาย คือ ให๎ ผู๎เรียนเป็นผู๎มีสุขภาพทางกาย สุขภาพทางใจที่ดี มีมนุษย๑สัมพันธ๑ที่ดี เผชิญและแก๎ปัญหาได๎ ดารงชีวิตอยํางมีอิสระและอยูํรํวมกับผู๎อื่นได๎ อยํางมีความสุข 3. นั ก ศึ ก ษาศู น ย๑ ก ารศึ ก ษานอกระบบและการศึ ก ษาตามอั ธ ยาศั ย เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร มีการกากับตนเองสัมพันธ๑ทางบวกกับการประสบความสาเร็จในการเรียน โดยรวม อยูํในระดับสูง (คําเฉลี่ย = 4.010, สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = .775) การที่นักศึกษาการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กาหนดเปูาหมายและคาดหวังเกี่ยวกับการเรียน มีการวางแผน จัดการ ควบคุมและปรับปรุงพฤติกรรมเกี่ยวกับการเรียนของตน มีความพยายามที่จะควบคุมตนเอง


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

45

ให๎ใฝุเรียน ใฝุหาความรู๎และหมั่นฝึกปฏิบัติทักษะตํางๆ จากการเข๎าเรียน จากการเข๎ารํวมทากิจกรรม ตํางๆ ตามที่ได๎ตั้งเปูาไว๎ สอดคล๎องกับทฤษฎีของ (Zimmerma 1989: 329) ได๎ให๎ความหมายของการ กากับตนเองวํา เป็นการที่ผู๎เรียนดาเนินการกากับการเรียนให๎ได๎มาซึ่งความรู๎และทักษะตํางๆ โดยมี การรู๎คิดของตนเอง มีแรงจูงใจและกระทาด๎วยตนเอง 4. นั ก ศึ ก ษาศู น ย๑ ก ารศึ ก ษานอกระบบและการศึ ก ษาตามอั ธ ยาศั ย เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร มีการรับรู๎ความสามารถของตนเองสัมพันธ๑ทางบวกกับการประสบความสาเร็จใน การเรียน โดยรวมอยูํในระดับสูง (คําเฉลี่ย = 3.688, สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = .841) พฤติกรรมของ บุคคลในการรับรู๎วําตนเองมีขีดความสามารถวํา มีความสามารถในการกระทาสภาพการณ๑ตํางๆ ซึ่ง แสดงออกด๎วยการตัดสินใจเกี่ยวกับความสามารถของตนเองวํามีความสามารถระดับใด เป็นการรับรู๎ ความสามารถของตนเอง ซึ่งมีผลตํอการเลือกกระทา ตํอความพยายามในการดาเนินชีวิต ประเมิน ความสามารถที่ตนเองมี เพื่อสิ่งที่ตั้งเปูาหมายไว๎ได๎นั้น สอดคล๎องกับงานวิจัยของ Bandura (1986: 391) กลําววํา การรับรู๎ความสามารถของตนเองเป็นการที่บุคคลตัดสินเกี่ยวกับความสามารถของตน ในการกระทาพฤติกรรมบางอยํางในสภาพการณ๑ที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งการรับรู๎ความสามารถของตนเอง นี้ไมํได๎ขึ้นอยูํกับทักษะที่บุคคลมีอยูํในขณะนั้น แตํขึ้นอยูํกับการตัดสิน ของบุคคลวําเขาสามารถทา อะไรได๎ด๎วยทักษะที่เขามีอยูํ การรับรู๎ความสามารถนี้สามารถใช๎ทานายพฤติกรรมของบุคคลได๎ 5. นั ก ศึ ก ษาศู น ย๑ ก ารศึ ก ษานอกระบบและการศึ ก ษาตามอั ธ ยาศั ย เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร มีปฏิสั มพันธ๑ทางสังคมสัมพันธิ์ทวงบวกกับการส าเร็จในการเรียน โดยรวมอยูํ ใน ระดับสูง (คําเฉลี่ย = 3.627, สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = .936) การปฏิสัมพันธ๑ทางสังคมของกลุํมตัวอยําง ครอบคลุมความจาเป็นพื้นฐานของการเรียนหรือการศึกษา นักศึกษาจึงต๎องการแรงสนับสนุนทั้งด๎าน ความผูกทางด๎านอารมณ๑ ด๎านการยอมรับซึ่งกันและกัน และด๎านการให๎ความชํวยเหลื อในการที่จะทา ให๎นักศึกษามีความสุขกับการเรียน การมีปฏิสัมพันธ๑ระหวํางนักศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยที่มาเข๎าเรียนและทากิจกรรม ซึ่งสอดคล๎องกับคากลําวของ Schulz (1995) ที่อธิบายวํา บุคคล ที่มีความปรารถนาที่จะอยูํรํวมกับบุคคลอื่นๆ เขาจะแสดงพฤติกรรมวํา ตนเองต๎องการอยูํรํวมกับคนอื่น โดยการให๎เกียรติแกํกันและกัน สร๎างมนุษยสัมพันธ๑ สนใจที่จะให๎ความชํวยเหลือผู๎อื่นและรับความ ชํวยเหลือจากผู๎อื่นเป็นการตอบแทน เหตุผลที่แสดงพฤติกรรมเชํนนี้เพื่อที่จะได๎รับความรักและการ ยอมรับจากบุคคลอื่น 6. นั ก ศึ ก ษาศู น ย๑ ก ารศึ ก ษานอกระบบและการศึ ก ษาตามอั ธ ยาศั ย เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร การเผชิญและฟันฝุาอุปสรรคสัมพันธ๑ทางบวกกับการประสบความสาเร็จในการเรียน โดยรวมอยูํในระดับสูง (คําเฉลี่ย = 3.533, สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 1.033) ซึ่งแสดงให๎เห็นถึงความสามารถ ในการจัดการกับปัญหาและเอาชนะความทุกข๑ยากลาบากที่ต๎องเผชิญได๎ ดังที่ Stoltz (1997) ได๎กลําว ไว๎วํา ความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝุาอุปสรรค สามารถบอกถึงความอดทน ความเพียร และความสามารถในการผํานความยากลาบาก พร๎อมทั้งพยากรณ๑ได๎วําใครจะพํายแพ๎ตํออุปสรรค ใคร จะทางานได๎ และใครจะมีศักยภาพมากกวํากัน และสอดคล๎องกับงานวิจัยของ สมใจ จุฑาผาด (2549: 102-108) ที่ได๎ศึกษาความสัมพันธ๑และค๎นหาปัจจัยที่สามารถพยากรณ๑ความสามารถในการเผชิญและ ฟันฝุาอุปสรรคด๎วยวิธีการวิเคราะห๑พหุระดับ ซึ่งแรงจูงใจใฝุสัมฤทธิ์เป็นตัวแปรที่มีความสอดคล๎องและ สํงผลตํอความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝุาอุปสรรคของผู๎เรียน


46

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ข้อเสนอแนะ 1.ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ 1.1 ครูผู๎สอน และผู๎บริหาร ควรให๎คาแนะนาในการปฏิบัติตนแกํนักศึกษาในเรื่อง ปัจจัยทางจิตวิทยา ได๎แกํ ด๎านการกากับตนเอง ด๎านรับรู๎ความสามารถของตนเอง ด๎านปฏิสัมพันธ๑ทาง สั ง คม ด๎ า นการเผชิ ญและฟัน ฝุ าอุ ป สรรค ที่ สั ม พัน ธ๑ กั บการประสบความส าเร็ จ ในการเรี ยนของ นักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 1.2 ครู ผู๎ ส อน และผู๎บ ริ ห าร ควรมีการจัดกิจกรรมสํ งเสริม ลั กษณะใฝุ รู๎ ใฝุ เรียน ให๎กับนักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 2.ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการศึกษาวิจัยปัจจัยทางจิตวิทยาด๎านอื่น เชํน ด๎านแรงจูงใจใฝุสัมฤทธิ์ ด๎านเชาวน๑ปัญญา เชาวน๑อารมณ๑ กับการประสบความสาเร็จในการเรียนของนักศึกษา การศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กรุงเทพมหานคร 2.2 ควรมีการศึกษาวิจัยปัจจัยทางจิตวิทยาที่สัมพันธ๑กับการประสบความสาเร็จใน การเรียนของนักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กรุงเทพมหานคร ในเขตอื่น เชํน เขตสะพานสูง เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). พระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย พ.ศ.2551. กรุงเทพฯ : ม.ป.ท. ลลิ ด า สาสาย. (2550). ปัจ จั ย ที่ส่ ง ผลต่ อ การส าเร็ จ การศึ ก ษาของนั ก ศึ กษาระดั บ ปริ ญ ญาตรี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ปริญญานิพนธ๑การศึกษามหาบัณฑิต. สาขาการวัดผล การศึกษา. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สฤญธรณ๑ พูลสวัสดิ์ และณัฏริณีย๑ ไขํจันทร๑. (2559). ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสาเร็จในการศึกษาต่อ ระดับปริญญาเอกของบุคลากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย . งานวิจัย. กองบริหารงานบุคคล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย. สมใจ จุ ฑาผาด. (2549). ปัจ จั ยเชิงที่สัมพัน ธ์ กับความสามารถในการเผชิญปัญหาและฝ่า ฟั น อุปสรรค (AQ) ของนักเรี ยนชั้น มั ธยมศึกษาปีที่ 6 ในจังหวัดกาฬสินธุ์. วิทยานิพนธ๑ การศึกษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สมโภชน๑ เอี่ยมสุภาษิต. (2541). ทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤติกรรม. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ๑แหง จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2548 ก). มาตรฐานการศึกษาของชาติ. กรุงเทพฯ : สหาย บล็อกและการพิมพ๑. Bandura, Albert. (1986). The explanatory and predictive scope of self-efficacy theory. Journal of Clinical and Social Psychology, 4, 359-373.


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

47

Stoltz, P. G. (1997). Adversity quotient: Turning obstacles into opportunities. New York: United States of American. Yamane, Taro. (1973). Statistics: An Introductory Analysis. Third edition. Newyork : Harper and Row Publication. Zimmerman, B. J. (1989). A social cognitive view of self-regulated academic learning. Journal of Educational Psychology, 81, 329-339. Zimmerman, B. J., and M. Martinez-Pons. (1986). Development of a Structured Interview for Assessing Student Use of Self-Regulated Learning Strategic. American Educational Research Journal Winter, 1986, Vol 23, No, 4, 614-628. ……………………………………………………………………


48

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ผลของการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์เชิงบูรณการที่มีต่อความ สามารถทางพหุปัญญาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหนองบอน(นัยนานนท์อนุสรณ์) เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร The Effects of Integrated Science Activity on Multiple Intelligence Ability of Pratomsuksa 1 students of Bannongbon School, Prawet District, Bangkok Metropolis สุคนธ๑ทิพย๑ กลิ่นหอม1 อารี พันธ๑มณี2

บทคัดย่อ การวิจั ยเรื่อง ผลของการจั ดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการที่มีตํอความสามารถทางพหุ ปัญญาของนั กเรี ยนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ๎านหนองบอน(นัยนานนท๑อนุสรณ๑) เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค๑ เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการที่มีตํ อ ความสามารถทางพหุปัญญาของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ๎านหนองบอน(นัยนานนท๑ อนุสรณ๑) เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร กลุํ มตัวอยํางที่ใช๎ในการวิจัยเป็ นนักเรียน ที่กาลั งเรียนอยูํชั้น ประถมศึกษาปีที 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 ของ โรงเรียนบ๎านหนองบอน(นัยนานนท๑นุสรณ๑) ที่ ได๎มาจากการนักเรียนที่มีผลการประเมินวิชาวิทยาศาสตร๑ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในระดับปานกลาง – ต่า จานวน 10 คน เครื่องมือที่ใช๎ในการวิจัย ได๎แกํ แผนการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ และแบบ ประเมินความสามารถทางพหุปัญญา สถิติที่ใช๎ในการวิเคราะห๑ข๎อมูลคือ The Wilcoxon Matched Paris Signed – Ranks Test ผลการวิจัยพบวํา หลังใช๎กิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการความสามารถทางพหุปัญญาของกลุํมทดลองสูงขึ้น กวํากํอนใช๎กิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ.05 คาสาคัญ : วิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ ความสามารถทางพหุปัญญา 1

นักศึกษามหาบัณฑิต หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย๑ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต รองศาสตราจารย๑ ดร. อาจารย๑ประจาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย๑ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

2


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

49

Abstract The purpose of this research topic on “The effects of integrated science activity on multiple intelligence ability of Pratomsuksa 1 students of Bannongbon School, Prawet District, Bangkok Metropolis.” was to study the effects of integrated science activity on multiple intelligence ability of Pratomsuksa 1 students of Bannongbon School, Prawet District, Bangkok Metropolis. The sample of this research was 10 pratomsuksa 1 students who were moderate –low level of Science subject score,the second semester in 2017 at Ban nongbon School. The research instruments were Integrated science activity and Evaluation of multiple intelligence ability Data were analyzed by using The Wilcoxon Matched Paris Signed – Ranks Test. The results of this research were as follows. The effects of integrated science activity on multiple intelligence ability of Pratomsuksa 1 students of Bannongbon School, Prawet District, Bangkok Metropolis had higher scores on multiple intelligence ability after participated integrated science activity with a statistical significance level at .05. Key word: integrated science, multiple intelligence ability

ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแหํ งชาติ พุทธศักราช 2542 ได๎กาหนดแนวการจัดการศึกษาที่ยึด ผู๎เรียนเป็นสาคัญ ผู๎เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู๎และพัฒนาตนเองได๎ ครูผู๎สอนต๎องสํงเสริมให๎ผู๎เรียน พัฒนาตนเองเต็ มตามศักยภาพ และให๎ ความส าคั ญเกี่ ยวกับการจั ดการเรี ยนรู๎ ในทุ กสาระวิ ชาและ โดยเฉพาะในสาระวิชาวิทยาศาสตร๑ เนื่องจากเป็นเครื่องมือสาคัญในการเรียนรู๎ในระดับที่สูงขึ้นและเป็น พื้นฐานการพัฒนาประเทศ (พระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545. 2545: 13-17) จากผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) พบวํา ในปีการศึกษา2559 ที่ ผํานมา ในวิชาวิทยาศาสตร๑คะแนนเฉลี่ยระดับประเทศของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ต่ากวํา ร๎อยละ 50 และในระดับโรงเรียน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ยวิชาวิทยาศาสตร๑ไมํถึงร๎อย ละ 50 เชํนเดียวกัน กลําวคือ นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยระดับโรงเรียนร๎อยละ 48.54 ทาให๎เห็นวํา ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนวิ ชาวิทยาศาสตร๑ กาลั งประสบปั ญหาและต๎องได๎รับการปรับปรุ งแก๎ไขหรือพัฒนาอยําง เรํงดํวน จากการสัมภาษณ๑ครูผู๎สอนในระดับชั้นประถมศึกษา พบวํา นั กเรียนสํวนใหญํขาดทักษะทาง กระบวนการวิทยาศาสตร๑ และครูสํวนใหญํจัดการเรียนการสอนแบบบรรยาย กิจกรรมการเรียนรู๎ที่จัดให๎ นักเรียนไมํตรงกับความสนใจ นักเรียนไมํมีสํวนรํวมในการทากิจกรรม นักเรียนจึงเกิดความเบื่อหนําย ขาด ความสนใจใฝุรู๎ ไมํมีความกระตือรือร๎น รวมถึง ไมํได๎รับการพัฒนาศักยภาพตามความแตกตํางระหวําง บุคคล จากการประเมินผล การใช๎หลักสูตรของครูผู๎สอนกลุํมสาระวิทยาศาสตร๑ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบวํา ครู ผู๎สอนมุํงเน๎นการถํายทอดเนื้อหาวิชามากกวําการเรี ยนรู๎จากการลงมือปฏิบัติ และไมํเน๎น


50

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

กระบวนการเรียนรู๎ที่ให๎ผู๎เรียนได๎พัฒนาการคิดวิเคราะห๑ การแสดงความคิดเห็น ตลอดจนการแสวงหา ความรู๎ด๎วยตนเอง อีกทั้งยังขาดการเชื่อมโยง บูรณาการความรู๎ตํางๆ เข๎าด๎วยกัน จากประสบการณ๑ในการสอนระดับชั้นประถมศึกษาเป็นเวลา 5 ปี ผู๎ วิจัย สังเกตพบวํา นักเรียนสํวนใหญํไมํมีความกระตือรือร๎นในการเรียน ขาดความรํวมมือในการทากิจกรรม ไมํซักถามหรือ ตอบปั ญหา เป็ น เพี ย งผู๎ รั บ ฟั ง เพี ย งอยํ างเดี ยว นั กเรี ยนขาดทั กษะทางการคิ ด วิ เคราะห๑ ไมํ กล๎ า แสดงออก ทาให๎สํงผลกระทบถึงผลการเรียน ทาให๎ผลการเรียนต่า ในปีการศึกษา 2559 ผู๎วิจัยได๎ รับผิดชอบการสอนวิชาวิทยาศาสตร๑ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/1 และได๎ทาการสังเกตพฤติกรรมการเรียน ของนักเรียนก็ยังพบพฤติกรรมไมํตั้งใจเรียน ไมํสนใจฟัง ไมํรํวมกิจกรรม และจากการได๎สั มภาษณ๑ ครูผู๎สอนในวิชาวิทยาศาสตร๑ในระดับชั้นเดียวกันพบวํานักเรียนไมํชอบการเรียนแบบเป็นทางการที่เน๎น เนื้อหาทางวิชาการมากเกินไป นักเรียนชอบการเรียนแบบเรียนปนเลํน ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติและ พัฒนาการ เนื่องจาก นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อยูํในชํวงรอยตํอระหวํางระดับปฐมวัยกับระดับ ประถมศึกษา การจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ที่จัดให๎กับนักเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จึงไมํสอดคล๎อง กับบริบทและความสนใจของนักเรียนซึ่งจาเป็นจะต๎องได๎รับการแก๎ไข จากสภาพปั ญ หาดั ง กลํ า วข๎ า งต๎ น จะเห็ น ได๎ วํ า การจั ด กิ จ กรรมการเรี ย นการสอนวิ ช า วิทยาศาสตร๑ควรปลูกฝังผู๎เรียนให๎เกิดความสนใจ ใฝุรู๎ มีความรักในวิทยาศาสตร๑ตั้งแตํประถมศึกษา ตอนต๎น และควรจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ที่ท๎าทาย สนุกสนาน เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็ก ซึ่งจะชํ ว ยบํ ม เพาะความรู๎ ให๎ นั ก เรี ย นมีฐ านความรู๎ ที่พ ร๎อ มจะเรีย นรู๎ ในชั้นอื่ นๆ ตํ อไป ซึ่ง การจั ด กิจกรรมการเรียนการสอนที่สอดคล๎องกับมาตรา 6 ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติที่เน๎นความ เป็นมนุษย๑ที่สมบูรณ๑ ทั้งรํางกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู๎และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมใน ดารงชีวิต สามารถอยูํ รํ ว มกับ คนอื่น ได๎อยํ างมีค วามสุ ข ต๎องเน๎นความส าคัญทั้งความรู๎ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู๎เชิงบูรณาการ ดังนั้น วิธีการจัดการเรียนการสอนกลุํมสาระการเรียนรู๎วิทยาศาสตร๑ ควรมุํงเน๎นการจัดการเรียนการสอนที่ตอบสนองความต๎องการของนักเรียน และเน๎นการมีสํวนรํวมใน การเรียนรูรํวมกัน การสํงเสริมให๎ผู๎เรียนเกิดความสามารถทางพหุปัญญาในทุกๆด๎าน การจัดการเรียนรู๎มีหลากหลายรูปแบบ การเรียนรู๎แบบลงมือกระทา การเรียนรู๎แบบมีสํวนรํวม การเรียนรู๎แบบใช๎ปัญหาเป็นฐาน การเรียนรู๎แบบโครงงาน และการจัดการเรียนรู๎แบบบูรณาการแตํผู๎วิจัย สนใจการเรียนรู๎แบบบูรณาการก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นําสนใจ เพราะการจัดการเรียนรู๎แบบบูรณการสามารถ จัดไดหลายลักษณะ มีวิธีการสอนที่หลากหลาย เน๎นการจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริง การเรียนรู ด๎วยตนเอง การเรียนรูรํวมกัน การเรียนรูจากธรรมชาติ เป็นต๎น การบูรณาการ เปนการกาหนดเปาหมาย การ เรียนรู๎รํวมกัน ยึดผู๎เรียนเป็นสาคัญ โดยนากระบวนการเรียนรู จากกลุมสาระเดียวกัน หรือตํางกลุํม สาระการเรียนรูมาบูรณาการในการจัดการเรียนการสอน ดังที่ เสาวณี แกสมาน (2545: 5) กลําวไววา การสอนแบบบูรณาการเป็นรูปแบบการสอนเพื่อการพัฒนากระบวนการเรียนรูใหกับผูเรียนโดยใชความรู ความเขาใจ ผู เรียนไดเรียนรู หลายทักษะจากกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง เพื่อไดเรียนรู๎อยางเปนองครวม เน๎นผูเรียนเปนสาคัญ โดยใหปฏิบัติจริง แสวงหาความรูดวยตนเอง ดวยวิธีการที่หลากหลายและจัดโดย เชื่อมโยงการสอนภายในกิจกรรมและระหวางกิจกรรมอยาง เปนธรรมชาติ และปรางศรี พณิชยกุล (2547: 60) กลาวไววา หลักการในการจัดกระบวนการเรียนรู แบบบูรณาการ คือ การนาเอาเรื่องราว ตํางๆ มาสอนใหสั มพันธกัน หรือนาไปเชื่อมโยงรวมกับประเด็นที่จะสอนในคราวเดียวกัน มีการวาง


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

51

แผนการจัดกิจกรรมใหผูเรียนไดศึกษาและลงมือปฏิบัติ ทาใหไดรับความรูความเขาใจในลักษณะองครวม ซึ่งจะสงผลใหผูเรียนเกิดการเรียนรูที่ลึกซึ้งเนื่องจาก สัมพันธกับวิถีชีวิตจริงของผูเรียน ดังนั้นการจัดการเรียนรู๎แบบบูรณาการ เป็นการจัดกิจกรรมที่คานึงถึงความสนใจและความ เหมาะสมของผู๎เรียน มีวิธีการเรียนรู๎ที่หลากหลาย ทาให๎ผู๎เรียนได๎มองเห็นรูปแบบและความสัมพันธ๑ ผู๎เรียนสามารถเชื่อมโยงผสมผสานสาระความรู๎ตํางๆชํวยให๎ผู๎เรียนได๎รับความรู๎ความเข๎าใจในลักษณะ องค๑รวม มีความหมาย บรรยากาศการเรียนรู๎ผํอนคลาย ไมํกดดัน และเอื้อตํอการเรียนรู๎ของสมองทั้ง 2 ซีกได๎ดี ฝึกให๎ผู๎เรียนได๎คิดเป็น และลงมือปฏิบัติกิจกรรมด๎วยตนเอง การจัดกิจกรรมการเรียนรู๎แบบ บูรณาการสามารถตอบสนองความสามารถของผู๎เรียนได๎อยํางหลากหลาย เชํนความสามารถทาง ภาษา คณิตศาสตร๑ การเคลื่อนไหว ดนตรี สังคม การเข๎าใจตนเอง ทาให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนรู๎อยํางมี ความหมาย รู๎จักใช๎ความคิดทักษะและประสบการณ๑ตํางๆที่ได๎รับไปประยุกต๑ใช๎ในขีวิตจริงได๎ และการ ที่ผู๎เรียนจะเข๎าใจสิ่งตํางๆอยํางชัดเจน เกิดความหมายและนาไปใช๎ได๎ก็ตํอเมื่อ ความรู๎และความคิด ยํอยๆประสานสัมพันธ๑และเชื่อมโยงกัน จนทาให๎สามารถมองเห็นความสัมพันธ๑ของสิ่งนั้นกับสิ่งรอบตัว ซึ่งจะมีผลทาให๎เกิดการนาความรู๎และประสบการณ๑ที่ได๎มาจัดระบบใหมํให๎เหมาะสมกับตนเองเป็น องค๑รวมของความรู๎ของตน การจัดกิจกรรมการเรียนรู๎วิทยาศาสตร๑สาหรับเด็กควรจัดในรูปแบบกิจกรรมที่บูรณาการผําน การเลํน เพื่อให๎เด็กเรียนรู๎จากประสบการณ๑ตรง (หนํวยศึกษานิเทศก๑ สานักงานคณะกรรมการศึกษา เอกชนกระทรวงศึกษาธิการ 2546: 3) ในการพัฒนาพหุปัญญาในห๎องเรียนสามารถสํงเสริมศักยภาพ ของเด็กที่หลากหลาย (สานักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแหํงชาติ 2546: 7) การจัดกิจกรรมโดยใช๎ กระบวนการทางวิทยาศาสตร๑ เป็นกิจกรรมหนึ่งที่มุํงให๎เด็กได๎เรียนรู๎จากประสบการณ๑ตรง เพื่อพัฒนา ความสามารถทางสติปัญญาของเด็ก โดยให๎เด็กได๎ศึกษาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามความสนใจของเด็กเอง เป็นขั้นเป็นตอนตั้งแตํต๎นจนจบ เด็กจะเป็นผู๎ลงมือทากิจกรรมตํางๆเพื่อค๎นหาคาตอบด๎วยตนเอง โดย บู รณาการจากประสบการณ๑ การเรี ยนรู๎ที่ท าให๎ ผู๎ เรียนได๎เรี ยนรู๎จากการปฏิ บัติที่ เป็ นระบบและใช๎ ความคิดสร๎างสรรค๑ (เบญจมาศ อยูํเป็นแก๎ว. 2545: 23) และฮิลด๎า ทาบ๎า กลําววํา การจัดกิจกรรมเพื่อ พัฒนาความสามารถทางสติปัญญาในเด็กปฐมวัย ควรสอนให๎เกิดความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร๑ โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร๑ (Taba,1996:13 อ๎างถึงใน เยาวพา เดชะคุปต๑ 2542: 92-93) ซึ่ง สอดคล๎องกับ พิมพันธ๑ เดชะคุปต๑ (2545: 8) กลําววํา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร๑เปรียบเสมือน เครื่องมือที่จาเป็นในการใช๎แสวงหาความรู๎ และแก๎ปัญหา ซึ่งเป็นทักษะทางปัญญาหรือทักษะการคิดที่ ต๎องพัฒนาให๎เกิดกับผู๎เรียน พหุปัญญา (multiple intelligence หรือ Ml) เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู๎และสติปัญญา ผู๎ กาหนดทฤษฎีนี้คือ การ๑ดเนอร๑ (เยาวพา เดชะคุปต๑. 2544: 2-3; อ๎างอิงจาก Gardner. 1983) นักจิตวิทยา แหํงมหาวิทยาลัยฮาวาร๑ด สหรัฐอเมริกา การ๑ดเนอร๑ได๎ศึกษาศักยภาพและความถนัดของคน โดยการ ผสมผสานศาสตร๑ด๎านการศึกษา สมองและจิตวิทยาพัฒนาการ ทฤษฎีนี้เป็นพื้นฐานนาไปสูํการปฏิรูป การศึกษาทุกระดับในหลายประเทศ การ๑ดเนอร๑เชื่อวํา สติปัญญา คือความสามารถทางชีวภาพที่แตํละคน แสดงออกมาเกิดจากการผสมผสานระหวํางพันธุกรรมกับสิ่งแวดล๎อม คนเรามีสติปัญญาอยํางน๎อย 7 ด๎าน ได๎แกํ ด๎านภาษา (verbal /linguistic) ด๎านตรรกะ/ด๎านคณิตศาสตร๑ (logic/mathematical) ด๎านมิติ สั มพันธ๑ /ศิลปะ (visual/spatial) ด๎านความถนั ดทางรํ างกายและการเคลื่ อนไหว (bodily/kinesthetic)


52

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ด๎านดนตรี/จังหวะ (music /rhythmic) ด๎านมนุษยสัมพันธ๑ (interpersonal) และด๎านความเข๎าใจตนเอง (intrapersonal) สติปัญญาแตํละด๎านขึ้นอยูํกับความสามารถของแตํละคนแสดงออกมาในรูปแบบตํางๆ ตํอมาในปี ค.ศ. 1988 การ๑ ดเนอร๑ ได๎เสนอแนะปัญญาด๎ านที่ 8 คื อ ด๎านธรรมชาติและสิ่ งแวดล๎ อม (naturalist) และในปีค.ศ.1999 การ๑ ดเนอร๑ได๎เสนอแนะปัญญาด๎านที่ 9 คือ ด๎ านความเข๎าใจชี วิต (existential) ซึ่งการ๑ดเนอร๑ อธิบายลักษณะพหุปัญญาวํา ทุกคนมีปัญญาครบทุกด๎าน มากบ๎างน๎อยบ๎าง ตํางกันไป บางคนอาจมีปัญญาทุกด๎านสูงมาก แตํบางคนอาจมีเพียงหนึ่งหรือสองด๎านเทํานั้นที่สูงมาก สํวน ด๎านอื่นๆไมํสูงนัก ทุกคนสามารถพัฒนาปัญญาแตํละด๎านให๎สูงขึ้นได๎ ถ๎ามีการให๎กาลังใจและฝึกฝน มี สภาพแวดล๎อมที่เหมาะสม ปัญญาด๎านตํางๆสามารถทางานรํวมกันได๎ จากเหตุผลและความสาคัญดังกลําว ผู๎วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาผลการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑ เชิงบูรณาการมาใช๎ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อสํงเสริมและพัฒนาความสามารถทางพหุปัญญา ให๎กับนักเรียน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนากิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการที่มีตํอความสามารถทางพหุปัญญาของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที 1 2. เพื่อศึกษาระดับความสามารถทางพหุปัญญาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที 1 3. เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการที่มีตํอความสามารถทางพหุ ปัญญาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สมมติฐานของการวิจัย นักเรี ยนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได๎รับการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการจะมี ความสามารถทางพหุปัญญาสูงขึ้น ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรที่ใช๎ในการวิจัยเป็นนักเรียน ที่กาลังศึกษาอยูํชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนบ๎านหนองบอน (นัยนานนท๑นุสรณ๑) จานวน 3 ห๎องเรียน มีนักเรียน ทั้งหมด 79 คน 2. กลุํ ม ตั ว อยํ า งที่ ใ ช๎ ใ นการวิ จั ย เป็ น เด็ ก ชาย-หญิ ง อายุ 6-7 ปี ที่ ก าลั ง ศึ ก ษาอยูํ ชั้ น ประถมศึกษาปีที 1ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนบ๎านหนองบอน (นัยนานนท๑นุสรณ๑) โดย มีขั้นตอนดังนี้ สุํมอยํางงํายจากจานวนนักเรียน 3 ห๎อง มา 1 ห๎อง จากนั้นคัดเลือกกลุํมตัวอยําง จาก นักเรียนที่มีผลคะแนนการประเมินในวิชาวิทยาศาสตร๑ระดับปานกลาง – ต่า จานวน 10 คน และเป็น นักเรียนที่ผู๎ปกครองให๎ความสมัครใจเข๎ารํวมกิจกรรม นิยามศัพท์เฉพาะ 1. กิจกรรม หมายถึง การกระทา ที่ทาให๎นักเรียนได๎รับความรู๎จากการลงมือปฏิบัติ ได๎เห็น และรับรู๎ด๎วยวิธีการหลากหลายจนทาให๎เกิดการเรียนรู๎และเข๎าใจจนนาความรู๎ไปใช๎ประโยชน๑ได๎ ได๎แกํ


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

53

การเรียนรู๎ด๎วยตนเอง การทากิจกรรมเดี่ยว การทากิจกรรมกลุํม โดยการใช๎สื่อ การใช๎เทคโนโลยี การ เรียนรู๎ทั้งในและนอกห๎องเรียน 2. วิทยาศาสตร์ หมายถึง การเรียนรู๎จากประสบการณ๑ เหตุการณ๑ เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและสิ่ง ตํา งๆรอบตั ว ที่ ท าให๎ ผู๎ เ รี ย นค๎ น พบคาตอบด๎ ว ยตนเอง โดยผู๎ เรี ย นสามารถเชื่ อมโยงความรู๎ แ ละ ประสบการณ๑กับกระบวนการคิด ผํานการเรียนรู๎ เนื้อหาสาระระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยในการวิจัยครั้งนี้ใช๎หนํวยการเรียนรู๎เรื่อง เพื่อนรักของเรา 3. บูรณาการ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่มีการเชื่อมโยงสาระความรู๎เข๎าด๎วยกัน โดยผสมผสานวิธีสอนที่หลากหลาย ผํานกิจกรรม การร๎องเพลง เลํนเกม ฟังนิทาน การใช๎สื่อวิดีทัศน๑ การระดมสมอง การทางานเดี่ยว การทางานรํวมกันเป็นกลุํม การนาเสนอสาระความรู๎ด๎วยแผนผัง ความคิด (Mind Mapping) รวมถึงการสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม 4. การจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์เชิงบูรณาการ หมายถึง การจัดการเรียน การนาวิธีการเรียนรู๎ และสาระการเรียนรู๎ตํางๆ ได๎แกํ สาระการเรียนรู๎ภาษาไทย นักเรียนได๎ฝึกการพูด การอํานและการเขียน การสนทนาโต๎ตอบและสรุปประเด็น สาระการเรียนรู๎คณิตศาสตร๑ นักเรียนได๎เรียนรู๎อยํางมีระบบ การใช๎ เหตุผล การจัดหมวดหมูํ แยกประเภท สาระการเรียนรู๎ภาษาตํางประเทศ คาศัพท๑เกี่ยวกับพืชและสัตว๑ สาระการเรียนรู๎ดนตรี ได๎แกํ การร๎องเพลง การทาทําทางประกอบจังหวะ สาระการเรียนรู๎ศิลปะ วาด ภาพ ระบายสี ออกแบบงาน สาระการเรียนรู๎สังคมศึกษา การอยูํรํวมกันกับกลุํม การปฏิบัติตามกฎ ระเบียบข๎อตกลง การเป็นผู๎นาผู๎ตาม รวมถึงการเชื่อมโยงกิจกรรมตามความสนใจของเด็ก เน๎นการทางาน เป็นกลุํม และการเรียนรู๎แบบมีสํวนรํวมโดยให๎ผู๎เรียนเรียนรู๎จากการปฏิบัติที่เป็นระบบ เพื่อพัฒนา ความสามารถทางพหุปัญญาทั้ง 8 ด๎าน ดังมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมดังตํอไปนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนา เป็นขั้นการนาเข๎าสูํบทเรียน เพื่อกระตุ๎นและเตรียมความพร๎อม นักเรียนได๎ฟัง นิทาน ร๎องเพลง กิจกรรมเคลื่อนไหวเข๎าจังหวะ ปริศนาคาทาย เลํนเกม เบรนยิม ขั้นที่ 2 ขั้นดาเนินกิจกรรม เป็นขั้นที่นักเรียนทากิจกรรมรํวมกับเพื่อนและครู ได๎แกํ การดู วิดีทัศน๑และการสนทนาซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การตั้งคาถามและการตอบคาถาม การสาธิต การทางานเดี่ยวและการทางานเป็นทีม การทา Mind Mapping การนาเสนอผลงาน กิจกรรมสารวจ นอกห๎องเรียน โดยนาหัวข๎อตามสาระการเรียนรู๎วิทยาศาสตร๑มาบูรณาการใช๎ในการจัดกิจกรรม ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป นักเรียนและครูรํวมกันสรุปผลการเรียนรู๎ ได๎แกํ การสนทนา ซักถาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นรํวมกัน 5.ความสามารถทางพหุ ปัญญา หมายถึ ง การกระทาตํ างๆของนั กเรีย นที่แ สดงออกถึ ง ปัญญาทั้ง 8 ด๎าน ดังนี้ 5.1 ความสามารถด๎านภาษา (Linguistic Intelligence) หมายถึง ความสามารถใน การรับฟังคาสั่ง เข๎าใจและปฏิบัติตามคาสั่งได๎ ความสามารถในการแสดงความคิดเห็นในขณะรํวม กิจกรรม และความสามารถในสรุปประเด็นและนาเสนอผลงาน 5.2 ความสามารถด๎านตรรกะ/คณิตศาสตร๑ (Logical /Mathematic Intelligence หมายถึงความสามารถในการให๎เหตุผล จาแนก/การเปรียบเทียบ/การจัดหมวดหมูํ คิด วิเคราะห๑และ แก๎ปัญหาได๎


54

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

5.3 ความสามารถด๎านมิติสัมพันธ๑ (Spacial Intelligence) หมายถึง ความสามารถ ในการบอกรูปรําง รูปทรง ขนาดและพื้นที่ ตาแหนํงที่ตั้งและทิศทาง การวาดภาพอยํางสร๎างสรรค๑ 5.4 ความสามารถด๎านรํางกายและการเคลื่อนไหว (Bodilykinesthetic Intelligence) หมายถึง ความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวของรํางกาย ใช๎รํางกายแสดง ทําทางตําง ๆ การควบคุมกล๎ามเนื้อมือกับประสาทตา (กล๎ามเนื้อมัดเล็ก) 5.5 ความสามารถด๎านดนตรี (Musical Intelligence) หมายถึง ความสามารถใน การโต๎ตอบตํอจังหวะและเสียงเพลง การแสดงทําทางตามจังหวะ/สัญญาณ ความสามารถในการร๎อง เพลงและแสดงทํวงทําประกอบ 5.6 ความสามารถด๎านความเข๎าใจระหวํางบุคคล (Interpersonal Intelligence) หมายถึง ความสามารถในการทากิจกรรมรํวมกับผู๎อื่น ปฏิบัติตามข๎อตกลงของกลุํม การเป็นผู๎นาและ ผู๎ตาม 5.7 ความสามารถด๎านความเข๎าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) หมายถึง ความสามารถในการมี ความรับ ผิดชอบ มั่นใจในตนเองและกล๎าแสดงออก ชื่นชมและพึงพอใจใน ผลงานของตนเองและผู๎อื่น 5.8 ความสามารถด๎านธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม (Naturalistic Intelligence) หมายถึง รู๎คุณคําของสิ่งแวดล๎อม รู๎จักใช๎สิ่งแวดล๎อมอยํางคุ๎มคํา รู๎จักการดูแลรักษาสิ่งแวดล๎อม ความสามารถทางพหุ ปั ญ ญาวั ด ได๎ จ ากแบบประเมิ น ความสามารถทางพหุ ปั ญ ญาที่ ผู๎วิจัยพัฒนาขึ้น ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยมีดังนี้ 1. ตัวแปรต๎น ได๎แกํ การจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ 2. ตัวแปรตาม ได๎แกํ ความสามารถทางพหุปัญญา ได๎แกํ 2.1 ความสามารถด๎านภาษา 2.2 ความสามารถด๎านตรรกะ/คณิตศาสตร๑ 2.3 ความสามารถด๎านมิติสัมพันธ๑ 2.4 ความสามารถด๎านรํางกายและการเคลื่อนไหว 2.5 ความสามารถด๎านดนตรี 2.6 ความสามารถด๎านความเข๎าใจระหวํางบุคคล 2.7 ความสามารถด๎านความเข๎าใจตนเอง 2.8 ความสามารถด๎านธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

55

การดาเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ใช๎เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) มีกลุํมทดลอง กลุํมเดียว มีการทดลอง จานวน 12 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ 2. แบบประเมินความสามารถทางพหุปัญญา การวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติพื้นฐาน คะแนนเฉลี่ ย (Mean) มั ธ ยฐาน (Median) คํ า ความเบี่ ย งเบนมาตรฐาน ( Standard Deviation) 2. สถิติที่ใช๎ทดสอบสมมติฐาน สถิติทดสอบ The Wilcoxon Matched Paris Signed – Ranks Test ผลการวิจัย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได๎รับการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ มีความสามารถ ทางพหุปัญญาทุกด๎าน ได๎แกํ ความสามารถด๎านภาษา ความสามารถด๎านตรรกะ/คณิตศาสตร๑ ความสามารถ ด๎านมิติสัมพันธ๑ ความสามารถด๎านรํางกายและการเคลื่อนไหว ความสามารถด๎านดนตรี ความสามารถด๎าน ความเข๎ าใจระหวํ างบุ คคล ความสามารถด๎ านความเข๎ าใจตนเอง ความสามารถด๎ านธรรมชาติ และ สิ่งแวดล๎อมสูงขึ้นอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ในทุกชํวงของการเปรียบเทียบ และความสามารถ ทางพหุปัญญาทุกด๎าน มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สูงขึ้น ตลอดชํวงเวลาของการจัดกิจกรรม อภิปรายผลการวิจัย การวิจัยเรื่อง ผลของการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการที่มีตํอความสามารถทางพหุ ปัญญาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สรุปผลได๎ดังนี้ 1.ความสามารถทางพหุ ปั ญ ญาด๎ า นภาษา พบวํ า นั ก เรี ย นชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 1 มี ความสามารถทางพหุปัญญาด๎านภาษาสูงขึ้นอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ในทุกชํวงเวลาการ เปรียบเทียบ ทั้งนี้เป็นเพราะในขณะเข๎ารํวมกิจกรรม นักเรียนได๎มีปฏิสัมพันธ๑ในการสื่อสารโต๎ตอบกับ เพื่อนและครู ได๎มีสํวนรํวมในการแสดงความคิดเห็น การถาม – ตอบปัญหา การอภิปราย และการ นาเสนอผลงาน จึงทาให๎นักเรียนเกิดความมั่นใจที่จะใช๎ภาษามากขึ้น โดยไมํต๎องกังวลกับคาตอบ แสดง ให๎เห็นวําการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ สามารถพัฒนาความสามารถทางพหุปัญญาด๎าน ภาษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1ได๎ ซึ่งสอดคล๎องกับ สุนทร โคตรบรรเทา (2548: 1 – 23) ซึ่ง ได๎อธิบายลักษณะของบุคคลที่มีความสามารถในการใช๎ภาษา คือ พูดได๎ดีในกลุํมผู๎ฟังตํางๆพูดงําย พูด คลํอง หรือใช๎อารมณ๑ได๎ในเวลาที่เหมาะสม มีความสามารถในการเขียนได๎ดี มีความสามารถในการเรียน และการพูดภาษาอื่นๆ ได๎เร็ว มีความสามารถในการเลําเรื่องตลก เรื่องชวนเชื่อ และการทายปริศนาคา


56

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

เรียนรู๎ได๎เร็วจากการฟัง การอําน และการเขียน มีความสนใจในโคลง ฉันท๑ กาพย๑ กลอน คาประพันธ๑ การ พูด การเลําเรื่อง และนิทาน หนังสือพิมพ๑ และการเขียน มีความสามารถในการเลําเรื่องหรือเขียนเรื่อง 2. ความสามารถทางพหุปัญญาด๎านตรรกะและคณิตศาสตร๑ พบวําในชํวงการจัดกิจกรรม วิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีความสามารถทางพหุปัญญาด๎านตรรกะ และคณิตศาสตร๑สูงขึ้นอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ในทุกชํวงเวลาการเปรียบเทียบ ทั้งนี้เป็น เพราะกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการเปิดโอกาสให๎นักเรียนได๎มีสํวนรํวมในการปฏิบัติกิจกรรม การเรียนรู๎อยํางเป็นระบบ เป็นขั้นตอน ได๎ทาการสารวจและหาคาตอบด๎วยตนเอง มีสํวนรํวมแสดง ความคิดเห็นและได๎อธิบายสถานการณ๑ที่ได๎เรียนรู๎จากประสบการณ๑ นักเรียนได๎จาแนก/เปรียบเทียบ และจัดหมวดหมูํ พืชและสัตว๑ ชํวยให๎นักเรียนได๎พัฒนาการคิดวิเคราะห๑และแก๎ปัญหาตํางๆได๎ดี แสดง ให๎เห็นวําการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ สามารถพัฒนาความสามารถทางพหุปัญญาด๎าน ตรรกะและคณิตศาสตร๑ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได๎ ซึ่งสอดคล๎องกับ ชัยพฤกษ๑เสรีรักษ๑และ บังอร เสรีรัตน๑ (2543: 7-9) อธิบายถึงพฤติกรรมที่ปรากฏของบุคคลที่มีความสามารถเป็นคนที่มี ความสามารถด๎านตรรกะและคณิตศาสตร๑ คื อ เป็นคนที่คิ ดเป็ นระบบ มีเหตุผ ลในการคิ ด มี ความสามารถในการคิดวิเคราะห๑คือ คิดพิจาณาสํวนยํอยของประเด็นให๎เห็น ภาพชัดเจน มี ความสามารถในการคิดสังเคราะห๑คือ ประมวล เชื่อมโยงแงํมุมความคิด รวบยอดและประเด็นตํางๆให๎ เป็นเรื่องเดียวกัน มีความสามารถในการคิดอยํางมีวิจารณญาณ คือ นาเหตุผลและข๎อมูลมาใช๎ในการ ตัดสิน เชื่อหรือไมํเชื่อ ทาหรือไมํทา มีความสามารถในการคิดแก๎ปัญหา คือการประมวลสาเหตุของ ปัญหา หาวิธี แก๎ปัญหาที่หลากหลายและเลือกแนวทางที่สามารถแก๎ปัญหาได๎เกิดผล มีความสามารถ ในการใช๎จานวน เข๎าใจความเป็นนามธรรมของจานวน 3. ความสามารถทางพหุปัญญาด๎านมิติสัมพันธ๑ พบวําในชํวงการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิง บูรณาการ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีความสามารถทางพหุปัญญาด๎านมิติสัมพันธ๑ สูงขึ้นอยํางมี นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ในทุกชํวงเวลาการเปรียบเทียบ ทั้งนี้เป็นเพราะกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิง บูรณาการเป็นกิจกรรมที่สํงเสริมให๎นักเรียนได๎เรียนรู๎จากสื่อที่หลากหลาย จากสิ่งแวดล๎อมใกล๎ตัว และ จากสื่อวิดีทัศน๑ตํางๆที่มีความหลากหลายของรูปทรงและสีสัน นักเรียนได๎ถํายทอดความรู๎ ความคิด โดยการวาดภาพ การทา Mind Mapping ซึ่งชํวยให๎นักเรียนได๎พัฒนาความสามารถทางมิติสัมพันธ๑ แสดงให๎เห็นวําการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ สามารถพัฒนาความสามารถทางพหุปัญญา ด๎ า นมิ ติ สั ม พั น ธ๑ ของนั ก เรี ย นชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 1ได๎ ซึ่ ง สอดคล๎ อ งกั บ โบลตั น และแคชวู ด (Boulton-Lewis and Cather wood. 1994: 52-53) กลําววํา การเปิดโอกาสให๎เด็กได๎แสดงออกถึง ความรู๎สึกของตนเองจากประสบการณ๑ที่ได๎รับด๎วยการสื่อสารด๎านตํางๆ เชํน การพูดแสดงความ คิดเห็นการวาดภาพสิ่งที่ตนเองประทับใจเป็นต๎น ซึ่งสิ่งตํางๆ เหลํานี้เป็นการเรียนรู๎ที่เด็กจะจดจาไปได๎ ยาวนาน และได๎แสดงถึงความสามารถของตนเองได๎อยํางแท๎จริง 4. ความสามารถทางพหุปัญญาด๎านรํางกายและการเคลื่อนไหว พบวําในชํวงการจัดกิจกรรม วิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีความสามารถทางพหุ ปัญญาด๎านรํางกาย และการเคลื่อนไหว สูงขึ้นอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ในทุกชํวงเวลาการเปรียบเทียบ ทั้งนี้ เป็นเพราะกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให๎นักเรียนได๎ปฏิบัติกิจกรรม โดยใช๎อวัยวะสํวนตํางๆของรํางกายในการทากิจกรรมตํางๆอยํางอิสระ เชํนการเคลื่อนไหวรํางกายไป


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

57

ในทิศทางตํางๆ การควบคุมการเคลื่อนไหวในการใช๎รํางกายแสดงทําทางตํางๆและการใช๎กล๎ามเนื้อ เล็ กในการหยิ บ จั บวัส ดุตํางๆและการประสานสั มพันธ๑กล๎ามเนื้อมือกับประสาทตาในการปฏิบัติ กิจกรรมทาให๎นักเรียนพัฒนาความสามารถทางพหุปัญญาด๎านรํางกายและการเคลื่อนไหวสูงขึ้น แสดง ให๎เห็นวําการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ สามารถพัฒนาความสามารถทางพหุปัญญาด๎าน รํางกายและการเคลื่อนไหว ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1ได๎ ซึ่งสอดคล๎องกับแมคแคล และครีพ (McCall: & Craft. 2000. 4) ที่กลําววํา มีการศึกษาพบวํา การเคลื่อนไหวชํวยให๎ปัญญางอกงาม อารมณ๑ดี และสุขภาพกายดี ที่สาคัญการเคลื่อนไหวชํวยในการพัฒนาสมอง การเคลื่อนไหวรํางกายมี บทบาทโดยตรงตํอการพัฒนา ชํวยการทางานของเซลล๑ประสาท ซึ่งมีประโยชน๑ตํอการเรียนรู๎ เด็กมี กิจกรรมทางรํางกายมาก จะมีความสามารถเชิงวิชาการสูงกวํ าเด็กที่ไมํมีกิจกรรมทางกายหรือมีน๎อย นอกจากนี้กิจกรรมเคลื่อนไหวยังชํวยพัฒนากล๎ามเนื้อกระดูก ได๎เรียนรู๎สิ่งใหมํๆจากการเคลื่อนไหว 5. ความสามารถทางพหุ ปั ญ ญาด๎า นดนตรี จากการศึ กษาพบวํ า ในชํ ว งการจั ด กิ จ กรรม วิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มี ความสามารถทางพหุปัญญาด๎านดนตรี สูงขึ้นอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ในทุกชํวงเวลาการเปรียบเทียบ ทั้งนี้เป็นเพราะกิจกรรม วิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการเป็นกิจกรรมที่นาเอาดนตรีเข๎ามาผสมผสานในการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ๎น ความสนใจของนักเรียน โดยนักเรียนได๎ฟังเพลงที่มี ทานองตํางๆกัน ได๎รํวมกันร๎องเพลงและแสดง ทําทางตํางๆอยํางสร๎างสรรค๑ ทาให๎เกิดความสนุกสนานและมีความสุขพร๎อมที่จะเรียนรู๎ตํอไป แสดงให๎ เห็นวําการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ สามารถพัฒนาความสามารถทางพหุปัญญาด๎าน ดนตรี ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1ได๎ ซึ่งสอดคล๎องกับ กุญชรี ค๎าขาย (2544: 159-160) กลําว วํา การสํงเสริมความสามารถทางพหุปัญญาให๎ดีไมํวําจะเป็นในด๎านใดก็ตามถ๎าเด็กได๎รับการสํงเสริม ตรงตามความสามารถก็จ ะท าให๎ เ ด็กพัฒ นาไปได๎อยํ างรวดเร็ว กวําเด็กคนอื่น ดั งนั้นควรสํ ง เสริ ม ความสามารถทางพหุปัญญาให๎กับเด็กเพื่ อกาเรียนรู๎ คือ การฟังเสียงดนตรีหรือเสียงตํางๆ การเต๎นรา การละเลํนไทย การสวมบทบาทตํางๆ การใช๎ภาษาทําทาง และการบอกถึงความต๎องการของตนเอง 6. ความสามารถทางพหุปัญญาด๎านความเข๎าใจระหวํางบุคคล พบวําในชํวงการจัดกิจกรรม วิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีความสามารถทางพหุปัญญาด๎านความ เข๎าใจระหวํางบุคคลสูงขึ้นอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ในทุกชํวงเวลาการเปรียบเทียบ ทั้งนี้ เป็นเพราะในการปฏิบัติกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการนักเรียนได๎รํวมสนทนากับเพื่อนๆและครูใน หัวข๎อของการเรียนรู๎ ได๎ทางานรํว มกับเพื่อนๆเป็นกลุํม ได๎รํวมกันแก๎ปัญหาและได๎รํวมกันทางานเป็น ทีม โดยนักเรียนมีการเอื้อเฟื้อ แบํงปัน การแบํงหน๎าที่ในการทางาน การชํวยเหลือกันในกลุํม ได๎ฝึก การเป็นผู๎นาผู๎ตามที่ดี ทาให๎นักเรียนมีความสามารถทางพหุปัญญาด๎านความเข๎าใจระหวํางบุคคล สูงขึ้น แสดงให๎เห็นวําการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ สามารถพัฒนาความสามารถทางพหุ ปั ญ ญาด๎ า นความเข๎ า ใจระหวํ า งบุ ค คล ของนั ก เรี ย นชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 1ได๎ ซึ่ ง สอดคล๎ อ งกั บ พงษ๑พันธ๑ พงษ๑โสภา (2544: 65) ที่กลําววํา ครูควรสนับสนุนให๎เด็กกล๎าพูด กล๎าแสดงความคิดเห็นใน เชิงโต๎แย๎ง ซึ่งสถานการณ๑เชํนนี้จะเป็นลักษณะของการมีปฏิสัมพันธ๑ทางสังคม (Social Interaction) นอกจากนี้ยังสอดคล๎องกับศันสนีย๑ ฉัตรคุปต๑ ; และอุษา ชูชาติ (2545: 25) ที่กลําววํา การจัด สิ่งแวดล๎อมที่เหมาะสมกับให๎เด็กมีโอกาสพัฒนาศักยภาพที่จะอยูํรํวมกันในสังคมโดยทางานรํวมกัน และทางานเป็นทีมจะทาให๎เด็กได๎มีโอกาสพัฒนาความสามารถทางด๎านการเข๎าใจผู๎อื่นสูงขึ้น


58

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

7. ความสามารถทางพหุ ปั ญญาด๎านความเข๎าใจตนเอง จากการศึ กษาพบวําในชํวงการจั ด กิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีความสามารถทางพหุปัญญาด๎าน ความเข๎าใจตนเองสูงขึ้นอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ในทุกชํวงเวลาการเปรียบเทียบ แสดงให๎ เห็นวําการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ สามารถพัฒนาความสามารถทางพหุปัญญาด๎านความ เข๎ าใจตนเอง ของนั ก เรี ย นชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 1ได๎ ทั้ งนี้ อาจเป็ นเพราะในการปฏิ บั ติ กิ จ กรรม วิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ นักเรียนได๎ปฏิบัติกิจกรรมอยํางเป็นขั้นเป็นตอน ได๎ฝึกการทางานทั้งงานเดี่ยว และงานกลุํม นักเรียนได๎มีสํวนรํวมในการแสดงความคิดเห็นในการปฏิบัติกิจกรรม มีการวางแผนการ ทางาน การนาเสนองานและการสรุปรํวมกัน ในบรรยากาศที่เอื้อตํอการเรียนรู๎ ทาให๎นักเรียนได๎พัฒนา ความสามารถทางพหุปัญญาด๎านความเข๎าใจตนเองสูงขึ้น ซึ่งสอดคล๎องกับ ฉันทนา ภาคบงกช (2538: 1) ที่ได๎เสนอแนวคิดไว๎วํา บุ คคลที่ มีความภาคภู มิใจในตนเองจะเชื่อวํ าตนมีความสามารถ มีคุณคํา มี ความสาคัญ ยอมรับหรือพอใจในความเป็นตัวของตัวเอง เด็กที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง จึงเป็นเด็กที่มี ความรู๎สึกนึกคิดที่ดีตํอตนเอง จะมีความกล๎าแสดงออก กล๎าตัดสินใจและมีความเชื่อมันที่จะทาในสิ่ง ตํางๆให๎สาเร็จได๎ตามความต๎องการของตนเอง 8. ความสามารถทางพหุปัญญาด๎านธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม จากการศึกษาพบวําในชํวง การจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีความสามารถทางพหุ ปัญญาด๎านด๎านธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อมขึ้นอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ในทุกชํวงเวลาการ เปรียบเทียบ แสดงให๎เห็นวําการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ สามารถพัฒนาความสามารถ ทางด๎านธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1ได๎ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะในการ ปฏิบัติกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ สํงเสริมให๎นักเรียนได๎ศึกษาและเรียนรู๎เรื่องของธรรมชาติ จากของจริงและใช๎สื่อที่หลากหลาย พร๎อมกับสภาพแวดล๎อมรอบๆโรงเรียนที่เอื้ออานวยตํอการเรียนรู๎ เชํน สวนเศรษฐกิจพอเพียง สวนหยํอมหน๎าอาคารเรียนและสวนน้าตก นักเรียนได๎สังเกตและสารวจ ธรรมชาติโ ดยผํ า นกิจ กรรมการเรี ย นรู๎ ทั้ ง ในและนอกห๎ อ งเรี ยนอยํ างมี ความสุ ข ทาให๎ นั ก เรี ย นมี พัฒนาการความสามารถทางพหุปัญญาด๎านธรรมชาติและสิ่งแวดล๎ อมสูงขึ้นซึ่งสอดคล๎องกับ สตาไชล (ดุษฏี บริพัตร ณ อยุธยา. 2542: 23; อ๎างอิงจาก Dina Stachai) ที่กลําวถึงการพาเด็กเดินออกไป นอกสถานที่วําเป็นวิธีการหนึ่งที่ชํวยผลักดันให๎เด็กเข๎ามาเกี่ยวพันกับสิ่งแวดล๎อม โดยครูควรให๎เขาได๎มี โอกาสสัมผัสกับธรรมชาติโดยตรงทั้งในห๎ องเรียนหรือการออกไปนอกห๎องเรียน เด็กจะมีความรักและ ชื่นชมธรรมชาติสิ่งแวดล๎อมรอบตัว สรุปได๎วํานักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได๎รับการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการ เป็นกิจกรรมที่ฝึกให๎นักเรียนได๎ เรียนรู๎จากประสบการณ๑ตรงด๎วยตนเองรํวมกับเพื่อนๆ สํงเสริ มการ ทางานเป็นกลุํม และการเรียนรู๎แบบมีสํวนรํวม ฝึกให๎นักเรียนได๎คิด สังเกต การสารวจและการค๎นหา ข๎อมูลด๎วยตนเอง ผํานกิจกรรมตํางๆ โดยนาเอาหัวข๎อตามสาระการเรียนรู๎วิทยาศาสตร๑มาบูรณาการ รูปแบบการสอนและสาระการเรียนรู๎ตํางๆเข๎าด๎วยกัน ครูมีหน๎าที่ชํวยจัดบรรยากาศการเรียนรู๎และ กระตุ๎นให๎นักเรียนได๎เรียนรู๎อยํางมีความสุข สนุกกับการทากิจกรรม อยํางเต็มความสามารถของแตํละ บุคคล สํงผลให๎นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได๎พัฒนาความสามารถทางพหุปัญญาทุกด๎านสูงขึ้น


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

59

ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ 1.1ครูผู๎สอนสามารถนาแผนการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการไปใช๎พัฒนา ความสามารถทางพหุปัญญานักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได๎ 1.2 กํอนที่จะนาแผนการจัดกิจกรรมไปใช๎นั้น ควรศึกษารายละเอียดการจัดกิจกรรม การใช๎สื่อ อุปกรณ๑ให๎เข๎าใจ หรือปรับให๎สอดคล๎องเหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรศึกษาวิจัยผลการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการในระดับ ชั้นประถมศึกษาตอนปลาย 1.2 ควรศึกษาวิจัยเปรียบเทียบผลการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการที่มี่ตํอ ความสามารถทางพหุปัญญา ระหวํางกลุํมทดลองและกลุํมควบคุม 2.3 ควรศึกษาวิจัยเปรียบเทียบผลการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร๑เชิงบูรณาการที่มี่ตํอ ความสามารถทางพหุปัญญากับวิธีการสอนอื่น เอกสารอ้างอิง พิมพ๑พรรณ ทองประสิทธิ์. (2548). การศึกษาความสามารถทางพหุปัญญาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ . ปริญญานิพนธ๑การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ภพ เลาหไพบูลย. (2542). แนวการสอนวิทยาศาสตร์. (พิมพ๑ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพาณิชย๑. สันติศักดิ์ ผาผาย. (2546). การศึกษาความสามารถทางพหุปัญญาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรม ตามรูปแบบพหุปัญญาเพื่อการเรียนรู้ . ปริญญานิพนธ๑การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สุ ท ธิ์ ธ นา ขั น อาสา. (2550). ความสามารถทางพหุ ปั ญ ญาของเด็ ก ปฐมวั ย ที่ ไ ด้ รั ย การจั ด ประสบการณ์แบบโครงงาน. ปริญญานิพนธ๑การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษา ปฐมวัย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. เสาวณี แกสมาน. (2545). การสอนแบบบูรณาการ. กรุงเทพฯ : อรรถพล. อารี สัณหฉวี. (2535). พหุปัญญาและการเรียนรู้แบบร่วมมือ. กรุงเทพฯ : สมาคมเพื่อการศึกษาเด็ก. Ganrdner, H. (1993). Multiple intelligences : The theory in practice. New York: Basic Book, Harper Collins. Neuman, D.B. (1981). Experience in Science for Young Children. New York: Macmillan Publishing Co., Inc. Wu, Shu-hua; Alrabah, Sulaiman. (2553). A Cross-Cultural Study of Taiwanese and Kuwaiti EFL Students' Learning Styles and Multiple intelligences. สืบค๎นจาก http://www. eric. ed.gov/ERICWebPortal/search/basic.jsp. ……………………………………………………………………


60

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ผลการให้ ค าปรึ ก ษาแบบกลุ่ ม ตามทฤษฎี อั ต ถิ ภ วนิ ย มเพื่ อ เสริมสร้างความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษา The Effect of Existential Group Counseling Enhancing Psychological Well Being of University Student กมลชนก ราเต1 อุมาภรณ๑ สุขารมณ๑2

บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค๑เพื่อ (1)เปรียบเทียบความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษากลุํม ทดลอง กํอนการทดลอง หลังการทดลองและหลังการติดตามผล(2)ศึกษาเปรียบเทียบความผาสุกทาง จิตใจของนักศึกษากลุํมทดลองกับนักศึกษากลุํมควบคุมกํอนการทดลอง หลังการทดลอง และหลัง การ ติดตามผล กลุํมตัวอยํางที่ใช๎ในการวิจัยได๎แกํ นักศึกษาจานวน 16 คน แบํงเป็นกลุํมทดลอง 8 คนได๎ เข๎ารํวมโปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม และ กลุํมควบคุม 8 คน ไมํได๎เข๎า รํ ว มการให๎ ค าปรึ ก ษาแบบกลุํ ม ตามทฤษฎีอั ต ถิ ภ วนิ ย ม เครื่ อ งมื อ ที่ ใช๎ ใ นการวิ จั ย ประกอบด๎ ว ย แบบสอบถามข๎อมูล ทั่วไป แบบทดสอบความผาสุกทางจิตใจ และการให๎ คาปรึกษาแบบกลุํ มตาม ทฤษฎีอัตถิภวนิยม ผลการวิจัยพบวํา (1)นักศึกษาที่เข๎ากลุํมรับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎี อัตถิภวนิยม มีคะแนนความผาสุกทางจิตใจสูงกวํากลุํมนักศึกษาควบคุม อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 (2)นักศึกษาที่เข๎ากลุํมรับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม มีความผาสุก ทางจิตใจเพิ่มขึ้น อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3)นักศึกษาที่ได๎รับการปรึกษาแบบกลุํมตาม ทฤษฎีอัตถิภวนิยม มีความผาสุกทางจิตใจ ภายหลังการทดลองและระยะติดตามผลการทดลอง 2 สัปดาห๑ ไมํแตกตํางกัน คาสาคัญ: อัตถิภวนิยม ความผาสุกทางจิตใจ

1

นักศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการให๎คาปรึกษา คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยรามคาแหง 2 อาจารย๑ ดร. ประจาภาควิชาจิตวิทยาการปรึกษา มหาวิทยาลัยรามคาแหง


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

61

Abstract The purpose of this research was. (1) to compare the psychological well-being of the experimental group pre-trial and post-follow-up (2) to compare the psychological well-being of the experimental group with the control group post-trial and follow-up. The samples were the 16 students divided into 2 groups each of groups have 8 students, the control group did not participate in the group counseling program based on theories of the research instruments consisted of general information questionnaire. Mental wellbeing test and group counseling programs based on theories of the statistics used for data analysis were Cronbach’s statistic. The research found that (1) Students who receive group counseling based on Theory of Attribution There was a higher psychological wellbeing score than the control group. After receiving group counseling based on theories of Statistically significant at the .05 level (2) Students who receive group counseling based on Theory of Attribution Increased psychological well-being after group counseling. Statistically significant at the .05 level (3) Students who receive group counseling based on Theory of Attribution Have mental well-being There was no significant difference at .05 level after the experiment and follow-up period of 2 weeks. Key words: Existential, Psychological Well-being บทนา ในการด าเนิ น ชี วิ ต ของนั ก ศึ ก ษาในปั จ จุ บั น ต๎ อ งเผชิ ญ กั บ ปั ญ หาตํ า งๆทั้ ง ด๎ า นเศรษฐกิ จ ด๎านครอบครัว ด๎านการเรียน และการปรับตัวในมหาวิทยาลัยเมื่อต๎องพบเจอเพื่อนใหมํสังคมใหมํ สํงผลให๎นักศึกษาสํวนใหญํมีความเครียด ความวิตกกังวล และมีแนวโน๎มที่ทาให๎นักศึกษามีความผาสุก ทางจิตใจลดลง พระครูภาวนานุกิจ (2554) กลําววําที่มีความผาสุกทางจิต จะทาให๎มีความสมดุลใน ทุกมิติของชีวิต เป็นมนุษย๑ที่สมบูรณ๑ทั้งกายและใจ มีสติปัญญาความรู๎พอที่จะรักษาชีวิตไว๎ได๎อยําง ปกติสุข ดารงชีวิตอยํางไมํมีปัญหาและไมํ สร๎างปัญหาให๎ตนเองและผู๎อื่น ในทางตรงกันข๎าม หากไมํมี ความผาสุกทางจิตวิญญาณจะเป็นผู๎ที่ดารงชีวิตอยํางสร๎างปัญหา สร๎างความเสื่อมโทรมให๎แกํตนเอง สังคมและประเทศชาติ เชํน ปัญหาสังคมที่ปรากฎตามสื่อแขนงตํางๆที่มีอยูํอยํางมากมาย ไมํวําจะเป็น การใช๎จํ ายอยํ างฟุ​ุมเฟื่ อยตามกระแสทุนนิยม วัตถุนิยมและบริโภคนิยม การชอบลอกเลี ยนแบบ วัฒนธรรมตํางประเทศโดยขาดวิถีของความเป็นไทย เบื่อหนํายการเรียนรู๎ชอบแตํความสนุกสนานโดย ขาดสติ ปัญหายาเสพติด ปัญหาโสเภณี การมั่วสุมทางเพศ การมีเพศสัมพันธ๑กํอนวัยอันควร ปัญหา การติดเชื้อเอชไอวี เป็นต๎น (บรรพชิต โพธิ์บอน, 2557, หน๎า 4) ความผาสุกทางจิตใจเปรียบเสมือนเครื่องมือชี้วัดความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีในการดาเนิน ชีวิตของบุคคล ที่มีความเกี่ยวข๎องกับทั้ งในเรื่องอารมณ๑ทั้งทางบวกและทางลบ ความรู๎สึกพึงพอใจใน


62

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ชีวิตและความสามารถในการแก๎ปัญหาในการดาเนินชีวิต (ศิรินทร๑ ภูมิมาลา, 2553, หน๎า 16) ความ ผาสุกทางจิตใจ (psychological well-being and distress) เป็นองค๑ประกอบหนึ่งของสุขภาพจิต (mental health) ตามมุมมองของ Veit & Ware (1979) ซึ่งให๎ความหมายของสุขภาพจิตที่ ครอบคลุ มถึง ลั กษณะของความผาสุ กทางจิตใจ เชํน ความรู๎ สึ ก รื่ นเริ ง ความสนใจ การแสวงหา ความสุขในชีวิตเป็นภาวะความรู๎สึกสุขสบาย (comfort) มีความสุข (happiness) โดยอาศัยการวัด สุขภาพจิตเป็นเครื่องมือวัดความผาสุกทางจิตใจ (psychological well-being) และความกดดันใน จิตใจ (psychological distress) (กัลป์ยกร คลังสมบัติ, 2553, หน๎า 2) ซึ่งความผาสุกของนักศึกษา แตํละคนนั้นก็ยํอมมีระดับที่แตกตํางกันไป การให๎คาปรึกษาแบบกลุํมเป็นแนวทางที่สามารถชํวยเหลือนักศึกษาที่มีปัญหาคล๎ายกันให๎ สามารถยอมรับปัญหาตําง ๆ ของตนเองและพยายามแก๎ปัญหาตํางๆเหลํานี้ให๎หมดสิ้นไปตลอดจนเกิด การเรียนรู๎ที่จะนาความคิดทั้งหลายที่ได๎รับจากกลุํมไปประยุกต๑ใช๎ในชีวิตประจาวันได๎ สาหรับแนวคิด และทฤษฎีในการให๎คาปรึกษาที่มีหลากหลายทฤษฎีที่สามารถนามาเป็นแนวทางในการชํวยเหลือ นักศึกษาให๎มีความผาสุกทางจิตใจ โดยเฉพาะทฤษฎีการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมอัตถิภวนิยม ทฤษฎีอัตถิภวนิยมมีแนวคิดที่สามารถนามาชํวยเหลือบุคคลที่ประสบปัญหาในการดารงชีวิต ที่มีความรู๎โดดเดี่ยวแปลกแยกหรือไมํมีจุดมุํงหมายในชีวิตให๎รู๎จักและเข๎าใจตนเองในสภาวะปัจจุบัน เห็นคุณคําในตนเอง เข๎าใจชีวิต ค๎นหาสิ่งที่มีคุณคําและความหมายในชีวิต ตระหนักศักยภาพของ ตนเอง โดยใช๎เสรีภาพของตนเองในการเลือกแนวทางชีวิตและตั้งเปูาหมายในชีวิตของตนเองด๎าน การศึกษาและการประกอบอาชีพ รู๎จักการวางแผนอนาคต ดาเนินชีวิตในปัจจุบันตามที่ตนเลือกโดย ไมํให๎ความกลัวและความวิตกกังวลเป็นอุปสรรคในการเลือกนั้น(พรรณปพร ศรีเจริญ,2557,หน๎า22) การปรึกษาแบบกลุํมตามแนวทฤษฎีอัตถภวนิยม มาใช๎กับนักศึกษาจะทาให๎นักศึกษาสามารถ พัฒนาอิสระแหํงตนได๎มากขึ้น คือการที่สามารถยอมรับอิทธิพลจากภายนอก อยูํกับสภาพแวดล๎อมที่ ตนเองอยูํได๎ ก็จะน าไปสูํการใช๎ชีวิตในมหาวิทยาลั ย ตามระเบียบที่มีได๎อยํางมีความสุขตั้งแตํปี 1 จนกระทั่งประสบความสาเร็ จ ทางการศึกษาและก๎าวสูํ บทบาทของวิช าชีพการทางานได๎ตํอไปใน อนาคต (จิตนา เบี้ยแก๎ว,2558,ไมํปรากฏหน๎า) จากความสาคัญข๎างต๎น ผู๎วิจัยจึงพัฒนาโปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิ ภวนิ ย มเพื่อ พั ฒ นาความผาสุ ก ทางจิ ต ของนั กศึ ก ษาระดับ อุ ดมศึก ษาที่ พั ก อาศัย อยูํ ห อพั กภายใน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ศูนย๑พระนครศรีอยุธยา หันตรา โดยใช๎การปรึกษาเชิง จิตวิทยาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม เพื่อให๎นักศึกษาสามารถพัฒนาและเข๎าใจตนเองได๎อยําง แท๎จริง นาไปสูํการมีชีวิตที่ดีและมีความสุขมากขึ้น วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษากลุํมทดลอง ระยะกํอนการทดลอง หลังการทดลองและติดตามผล 2. เพื่อเปรียบเทียบความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษากลุํมทดลองกับนักศึกษากลุํมควบคุม กํอนการทดลอง หลังการทดลอง และหลังการติดตามผล


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

63

สมมุติฐานของการวิจัย 1. นักศึกษาที่ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวทฤษฎีอัตถิภวนิยม กลุํมทดลองมี ความผาสุกทางจิตใจเพิ่มขึ้นหลังเข๎ารํวมให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวทฤษฎีอัตถิภวนิยม 2. นักศึกษาที่ได๎รับการปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม กลุํมทดลองมีความผาสุ ก ทางจิตใจสูงกวํากลุํมควบคุม หลังจากได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม 3.นักศึกษาที่ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยมมีคะแนนภายหลัง การ ทดลองและระยะติดตามผลการทดลอง 2 สัปดาห๑ไมํแตกตํางกัน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.ได๎การให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยมเพื่อเสริมสร๎างความผาสุกทางจิตใจ ของนักศึกษา 2.เป็นแนวทางสาหรับครูอาจารย๑และผู๎ที่เกี่ยวข๎องนาไปประยุกต๑ใช๎ในการเสริมสร๎างความ ผาสุกทางจิตใจของนักศึกษา 3.ใช๎เป็นข๎อมูลสาหรับผู๎ที่สนใจศึกษาค๎นคว๎าสาหรับการวิจัยครั้งตํอไป กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต๎น

ตัวแปรตาม

การปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอตั ถิภวนิยม

ความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษา

วิธีดาเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร นักศึกษาที่กาลั งศึกษาในระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล สุวรรณภูมิ ศูนย๑พระนครศรีอยุธยา หันตรา กลุ่ ม ตั ว อย่ า ง นั ก ศึ ก ษาที่ ก าลั ง ศึ ก ษาในระดั บ อุ ด มศึ ก ษา พั ก ในหอพั ก ภายในของ มหาวิทยาลัยราชมงคลสุวรรณภูมิ (ศูนย๑หันตรา) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีวิธีการคัดเลือกกลุํม ตัวอยํางดังตํอไปนี้ (1) ให๎นักศึกษานักศึกษาที่พักในหอพักภายในมหาวิทยาลัยราชมงคลสุวรรณภูมิ (ศูนย๑หันตรา) ทาแบบวัดความผาสุกทางจิตใจ (2) นาผลการทาแบบวัดความผาสุกทางจิตใจมาเรียงข๎อมูลจากมากไปน๎อยจากนั้น คัดเลือกนักศึกษาที่มีคะแนนความผาสุกทางจิตต่าที่สุด เข๎ารํวมโปรแกรมการให๎คาปรึกษาจานวน 16 คน (3) สุํมนักศึกษาโดยการจับฉลากแบํงเป็นกลุํมทดลองและกลุํมควบคุม กลุํมละ 8 คนด๎วยวิธีการสุํมแบบงําย (simple random sampling)


64

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

2.ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น การให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวทฤษฎีอัตถิภวนิยม ตัวแปรตาม ความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษา 3.นิยามศัพท์ (1) ความผาสุกทางจิตใจ หมายถึง การมีสุขภาวะทางจิตใจที่ดี มีความสุข มีสุขภาพจิตที่ดี ความรู๎สึกทางบวกของจิตใจ มีความพึงพอใจกับประสบการณ๑ตํางๆ ที่ผํานเข๎ามาในชีวิต รวมถึงมี ความยินดีและเป็นสุขตามสภาพความเป็นจริงที่ตนเผชิญอยูํ ผู๎ที่มีความผาสุกทางจิตใจจึงเป็นผู๎ที่มี พัฒนาการทางจิตใจที่คํอนข๎างสมบูรณ๑ในด๎านตํางๆ ซึ่งได๎แกํ 1.1 ความเป็นตัวของตัวเอง (autonomy) หมายถึง การกากับควบคุมตนเองได๎ มี ความเป็นอิสระ สามารถทนทานตํอแรงกดดันจากสังคมในด๎านความคิดและการกระทา สามารถ ควบคุมพฤติกรรมจากภายในตนเอง และประเมินตนตามมาตรฐานของตนเองตามความเป็นจริงได๎ 1.2 ความสามารถในการจัดการสิ่งแวดล๎ อม (environment mastery) คือ ความสามารถในการจัดการสิ่งแวดล๎อมที่อยูํรอบตั ว สามารถดูแล ควบคุมกิจกรรมหรือสถานการณ๑ที่ ยุํงยากตําง ๆให๎ผํานไปได๎ด๎วยดี สามารถใช๎โอกาสที่มีอยูํอยํางมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถเลือก และสร๎างสรรค๑สิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง 1.3 การมีสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่น (positive relation with others) หมายถึง มีสัมพันธภาพที่อบอุํน พึงพอใจ และไว๎วางใจ มีความสามารถในการเข๎าใจอยํางรํวมรู๎สึก (empathy) การให๎ความรํวมมือ รวมถึงการให๎และการรับในสัมพันธภาพระหวํางบุคคล และความสามารถที่จะรัก และสร๎างสัมพันธภาพที่ใกล๎ชิด 1.4 การมีจุดมุํงหมายในชีวิต (purpose in life) หมายถึง การมีความมุํงหมายใน การมีชีวิตมีเปูาหมายในชีวิตและสามารถกาหนดทิศทางในชีวิตของตนเอง มีความเชื่อที่เป็นหลักยึด เหนี่ยวจิตใจเพื่อที่จะนาไปสูํจุดหมายในชีวิต มองเห็นคุณคําและความหมายของชีวิตที่ผํานมา 1.5 การยอมรับในตน (self-acceptance) หมายถึง การมีทัศนคติที่ดีตํอ ตนเอง เข๎าใจและยอมรับลักษณะตําง ๆของตนเองทั้งแงํที่ดีและไมํดี มีความรู๎สึกในแงํบวกตํออดีตของตนเอง 1.6 การมีความงอกงามในตน (personal growth) หมายถึง การมีความต๎องการที่ จะพัฒนาอยํางตํอเนื่องจนบรรลุถึงศักยภาพสูงสุดที่ตนมี เห็นถึงความงอกงามและเปิดกว๎างในตนเอง เปิดรับประสบการณ๑ใหมํ ตระหนักถึงศักยภาพที่ตนเองมี มองเห็นการพัฒนาในตนเองและพฤติกรรม ตลอดเวลา มีการเปลี่ยนแปลงที่สะท๎อนให๎เห็นถึงการตระหนักรู๎และมีประสิทธิภาพในตนเอง (2) การให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม หมายถึง เป็นการปรึกษาสาหรับผู๎ที่มี ความทุกข๑และความรู๎สึก โดยตั้งอยูํบนพื้นฐานความหมายของความเป็นมนุษย๑วําคืออะไร ซึ่งอาศัย หลักการที่วํามนุษย๑ทุกคนมีอิสระในการตัดสินใจในโชคชะตาของตนเอง แตํจะรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น จากการตัดสินใจ ผู๎รับคาปรึกษาทาความเข๎าใจการดาเนินชีวิตที่ผํานมา เชื่อในศักยภาพของตนเอง เลือกที่จะตัดสินใจเผชิญและเลือกวิธีแก๎ปัญหาที่เหมาะสมรับผิดชอบตํอตัวเองได๎ ไมํมีเทคนิคที่เฉพาะ ในการให๎คาปรึกษา ผู๎ให๎การปรึกษาจะต๎องทาความเข๎าใจประสบการณ๑ชีวิตของผู๎ รับการปรึกษา จากนั้นเลือกให๎เหมาะสมกับผู๎รับการปรึกษาแตํละคน


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

65

(3) นักศึกษา หมายถึง นักศึกษาที่ พักอยูํหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลสุวรรณภูมิ ศูนย๑พระนครศรีอยุธยา หันตรา 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. เครื่องมือที่ใช๎เก็บรวบรวมข๎อมูลเชิงปริมาณ คือ แบบวัดความผาสุกทางจิตใจมีทั้งหมด 47 ข๎อ 2. เครื่องมือที่ใช๎ในการทดลอง คือ โปรแกรมการให๎คาปรึ กษาแบบกลุํ มตามแนวทฤษฎี อัตถิภวนิยมเพื่อพัฒนาความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษา มีทั้งหมด 8 ครั้ง 5.การเก็บรวบรวมข้อมูล (1) ขั้นเตรียมการทดลอง (1.1) ผู๎วิจัยนาหนังสือขอความอนุเคราะห๑การเก็บรวบรวมข๎อมูลและการทดลองการวิจัย จากบัณฑิตศึกษา คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยรามคาแหง เพื่อสํงถึงคณะบดีมหาวิทยาลัยราช มงคลสุวรรณภูมิ (ศูนย๑หันตรา) (1.2) ผู๎วิจัยติดตํอประสานงานกับคณะครูอาจารย๑ ฝุายกิจการนักศึกษาเพื่อเข๎าเก็บข๎อมูล และทดลองการวิจัย (1.3) ผู๎วิจัยสารวจรายชื่อนักศึกษาที่มีความสมัครใจในการเข๎ารํวมการทดลองเพื่อให๎ได๎กลุํม ตัวอยําง จานวน 16 คน (1.4) ผู๎วิจัยนัดพบกลุํมตัวอยําง เพื่ออธิบายรายละเอียดการทดลองให๎ทราบและสอบถาม ความสมัครใจในการเข๎ารํวมโปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวทฤษฎีอัตถิภาวะนิยม (1.5) ผู๎วิจัยทาการสุํมกลุํมตัวอยํางแยกกลุํม โดยการจับฉลากเป็นกลุํมทดลอง 8 คน และ กลุํมควบคุม 8 คน ให๎กลุํมตัวอยํางทาแบบวัดผาสุกทางจิตใจ ซึ่งคะแนนที่ได๎คือ คะแนนในระยะกํอน การทดลอง (per-test) ตลอดจนนัดวัน เวลาและสถานที่การทดลองกับกลุํมทดลอง (2) ขั้นดาเนินการทดลอง (2.1) ผู๎วิจัยดาเนินการวิจัยโดยใช๎การให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวทฤษฎีอัตถิภวนิยม จานวน 8 ครั้ง ครั้งละ 60-90 นาที (2.2) กลุํมควบคุมที่ไมํได๎เข๎ารํวมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวทฤษฎีอัตถิภวนิยมจะ ได๎รับการเรียนการสอนและดาเนินชีวิตตามปกติ (2.3) เมื่อเสร็จสิ้นการดาเนินการกลุํมในครั้งสุดท๎าย กลุํมทดลองและกลุํมควบคุมทาแบบวัด ความผาสุกทางจิตใจ และคิดเป็นคะแนนในระยะหลังการทดลอง (post-test) (3) ขั้นติดตามผลการทดลองภายหลังสิ้นสุดการดาเนินกลุํมจัดให๎กลุํมทดลองทาแบบวัดความ ผาสุกทางจิตใจ และคิดเป็นคะแนนในระยะติดตามผล (4) ขั้นประเมินผล นาคะแนนที่ได๎ภายหลังการทดลอง ไปวิเคราะห๑ตามวิธีการทางสถิติ 6. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู๎วิจัยใช๎การเปรียบเทียบผลคะแนนที่ได๎จากแบบวัดความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษากํอน และหลังจากทดลองของกลุํมตัวอยํางและกลุํมควบคุม โดยใช๎โปรแกรมสาเร็จรูป สถิติ Shapiro-Wilk สถิติ Independent Sample t-test และ Dependent Sample t-test ในการวิเคราะห๑ข๎อมูล


66

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

สรุปผลการวิจัย 1.นักศึกษาที่ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม มีคะแนนความผาสุก ทางจิตใจสูงกวํากลุํมควบคุม หลังจากได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม อยํางมี นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.นักศึกษาที่ได๎รับการปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอั ตถิภวนิยม มีคะแนนความผาสุกทาง จิตใจเพิ่มขึ้นหลังเข๎ารํวมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 3.นักศึกษาที่ได๎รับการปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม มีคะแนนความผาสุกทาง จิตใจ ภายหลังการทดลองและระยะติดตามผลการทดลอง 2 สัปดาห๑ อภิปรายผล สมมติฐานข๎อที่ 1 และ 2 สมมติฐานข๎อที่ 1 นักศึกษาที่ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวทฤษฎีอัตถิภวนิยม กลุํมทดลองมีคะแนนความผาสุกทางจิตใจเพิ่มขึ้นหลังเข๎ารํวมให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวทฤษฎี อัตถิภวนิยม และ สมมติฐานข๎อที่ 2 นักศึกษาที่ได๎รั บการปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม กลุํมทดลองมีคะแนนความผาสุกทางจิตใจสูงกวํากลุํมควบคุม หลังจากได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบ กลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยมผลการวิจัยพบวํา นักศึกษาที่ได๎เข๎ารับโปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํม ตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม กลุํมทดลองมีคะแนนความผาสุ กสูงกวํากลุํมควบคุมหลังจากได๎รับการให๎ คาปรึกษาแบบกลุํ มตามทฤษฎีอัตถิภวนิ ย ม อยํางมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตาม สมมติฐานข๎อที่ 2 และกลุํมทดลองที่มีคะแนนความผาสุกเพิ่มขึ้นหลังการเข๎ารํวมการให๎คาปรึกษา แบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข๎อที่ 1 แสดงให๎เห็นวําโปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม สามารถชํวยเสริมสร๎าง ความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษาได๎ ทั้งนี้เพราะการปรึกษาแบบกลุํมทฤษฎีอัตถิภวนิยมนั้นได๎สร๎าง สัมพันธภาพที่ดีให๎เกิดขึ้นภายในกลุํ มมีความคุ๎นเคยกัน ในการเข๎ากลุํมได๎ทาให๎เกิดความเข๎าใจตนเอง ตระหนักถึงความรู๎สึกนึกคิดของตนเองและความรู๎สึกภายในมากขึ้น ให๎เกิดการเรียนรู๎และเข๎าใจ สิ่ งแวดล๎ อม สถานการณ๑ตํ างๆตระหนั กรู๎ เปู าหมายและความต๎องการของตนเอง มีความเชื่อมั่ น มองเห็นคุณคําและศักยภาพในตนเอง กล๎าที่จะเปิดใจยอมรับสิ่งใหมํๆและพัฒนาตนเอง ในระหวําง การให๎คาปรึกษากลุํม นักศึกษาที่เข๎ารํวมกลุํมมีความสนใจให๎ความรํวมมือเป็นอยํางดี มาตรงตํอเวลา สม่าเสมอ กล๎าที่จะเลําเรื่องของตนเองและยอมรับฟังความคิดเห็นข๎อเสนอแนะจากผู๎อื่น ยอมรับใน ตนเองพึ ง พอใจในตนเอง มี ก ารมองเห็ น เปู า หมายยอมรั บ และพร๎ อ มที่ จ ะพั ฒ นาตนเองให๎ ดี ขึ้ น สอดคล๎องกับงานวิจัยของ ศิรินทร๑ ภูมาลา (2553) ซึ่งศึกษาเรื่องผลของการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบ กลุํ ม ตามแนวคิ ด มนุ ษ ยนิ ย มที่ มี ตํ อ การรั บ รู๎ คุ ณ ความดี แ ละความผาสุ ก ทางจิ ต ใจของนั ก ศึ ก ษา ระดับอุดมศึกษา ผลการทดลองพบวํา หลังการทดลองนักศึกษาที่เข๎ารํวมการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบ กลุํมตามแนวคิดมนุษยนิยมมีความผาสุกทางจิตใจสูงกวํากํอนการทดลองอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 และ พบวําหลังการทดลองนักศึกษาที่เข๎ารํวมการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกลุํมตามแนวคิด มนุษยนิยมมีความผาสุกทางจิตใจสูงกวํากลุํมควบคุมอยํางมีนัยสาคัญที่ระดับ .05


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

67

สมมติฐานข๎อที่ 3 นักศึกษาที่ได๎รับการปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยมมีคะแนนความผาสุกทางจิตใจ ภายหลังการทดลองและระยะติดตามผลการทดลอง 2 สัปดาห๑ไมํแตกตํางกันที่ระดับนัยสาคัญ .05 ผลการวิจัยพบวํา นักศึกษาที่เข๎ารํวมโปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยมหลัง เข๎ารํวมโปรแกรมและติดตามผลการทดลอง 2 สัปดาห๑ไมํแตกตํางกัน ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข๎อที่ 3 ซึ่งสอดคลองกับวิจัยของ ภมรพรรณ๑ ยุระยาตร๑ (2554) ศึกษาเรื่องการศึกษาและพัฒนาความผาสุก ทางจิตใจของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ผลการวิจัยพบวํา นิสิตกลุํมทดลอง ที่ได๎เข๎ารํวมโปรแกรม การให๎คาปรึกษาเพื่อพัฒนาความผาสุกทางจิตใจในระยะหลังการทดลอง และการติดตามผล แตกตําง จากกํอนการทดลอง อยํางมีนัยสาคัญที่ระดับ .05 แสดงให๎เห็นวํากลุํมการทดลองมีการพัฒนาความ ผาสุกทางจิตใจ ที่ดีขึ้นหลังจากเข๎ารํวมโปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํม แสดงให๎เห็นวําโปรแกรม การให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยม ได๎ชํวยเสริมสร๎างความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษา ได๎อยํ างดีแล๎ ว มีความคงทนไมํเปลี่ ยนแปลงกลั บไปเหมือนเดิมอีก ทาให๎ ผู๎ ที่เข๎ารํว มโปรแกรมให๎ คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยมมีความผาสุกทางจิตใจที่ดีขึ้น สอดคล๎องกับ นาถยา คงขาว (2559) ศึ กษาเรื่ องผลการปรึ กษากลุํ ม แบบอั ตถิภ วนิยมตํอการตระหนักรู๎ ในตนเองของนัก เรีย น มัธยมศึกษาตอนต๎น ผลการวิจัยพบวํานักเรียนที่ได๎รับการปรึกษากลุํมตามแนวคิดอัตถิภวนิยมมีการ พัฒนาคะแนนการตระหนักรู๎ในตนเองสูงขึ้น เนื่องจากโปรแกรมการปรึกษากลุํมที่สร๎างขึ้นนี้จะชํวย กระตุ๎น และพั ฒ นาให๎ ผู๎ รั บ การปรึ ก ษารู๎จัก และเข๎าใจตนเองมากขึ้นโดยเฉพาะการรู๎จักความคิ ด ความรู๎สึก การกระทา อารมณ๑ และความต๎องการของตนเอง รวมทั้งรับรู๎บทบาทของตน ในด๎านการ รับรู๎อารมณ๑ที่เกิดขึ้นตามสภาพจริง และสามารถประเมินตนเองได๎ตามความเป็นจริง รู๎จุดเดํน รู๎จุด ด๎อยของตนเอง มีความมั่น ใจในคุณคําและเชื่อ มั่นในความสามารถของตนเอง และพฤติกรรมที่ เหมาะสม ข้อเสนอแนะ ข๎อเสนอแนะในการนาผลวิจัยไปใช๎ 1. จากการวิจัยครั้งนี้ทาให๎ได๎โปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมอัตถิภวนิยมเพื่อเสริมสร๎าง ความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษา ซึ่งผลการวิจัยแสดงให๎เห็นวําการใช๎โปรแกรมในรูปแบบการให๎ คาปรึกษาแบบกลุํมนั้นสามารถเสริมสร๎างความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษาได๎ ดังนั้นผู๎ที่เกี่ยวข๎อ งกับ นักศึกษาจะสามารถนาไปเป็นแนวทางหรือนาไปประยุกต๑ใช๎เพื่อเสริมสร๎างความผาสุกทางจิตใจของ นักศึกษา โดยผู๎ที่นาโปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยมเพื่อเสริมสร๎างความ ผาสุกทางจิตใจของนักศึกษาไปใช๎ควรจะมีการศึกษาเรื่องความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษาและศึกษา เกี่ยวกับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามทฤษฎีอัตถิภวนิยมด๎วย 2. เมื่อเริ่มโปรแกรมผู๎ให๎คาปรึกษาได๎ใช๎กิจกรรมสร๎างสัมพันธภาพกํอนที่จะเข๎าสูํกระบวนการ ให๎คาปรึกษาทาให๎สมาชิกมีความคุ๎นเคยกัน ผู๎ให๎คาปรึกษามีการใช๎ภาษาที่สอดคล๎องกับสมาชิกในกลุํม ทาให๎สมาชิกกล๎าที่จะพูดและแสดงความคิดเห็นออกมาได๎มากขึ้น


68

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

3. สมาชิกที่เข๎ารํวมกลุํมในครั้งนี้สํวนหนึ่งเป็นอาสาสมัครที่สนใจเข๎ารํวมกลุํมซึ่งอาจจะไมํใชํผู๎ ที่มี ค วามผาสุ ก ทางจิ ตใจต่ า ท าให๎ ทิ ศ ทางในการให๎ ข๎อ เสนอแนะสมาชิ ก ในตอนท๎ า ยกิ จ กรรมได๎ แนวความคิดทางเชิงบวกและหลากหลายมากขึ้น ข๎อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งตํอไป 3.1 ควรมีการศึกษาความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษากับกลุํมนักศึกษาที่ไมํได๎พักในหอพัก หรือกลุํมตัวอยํางอื่นๆ เชํน นักศึกษาแลกเปลี่ยน นักศึกษาอยูํในกลุํมกิจการนักศึกษา 3.2 ควรมีการศึกษาถึงปัจจัยที่สํงผลตํอความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษา 3.3 ควรมีการศึกษาถึงการเสริมสร๎างความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษา โดยใช๎วิธีการอื่นๆ เชํน การให๎ คาปรึ กษาเป็ น รายบุ คคล กิจ กรรมกลุํ ม เป็นต๎น เพื่ อให๎ มีวิธีการที่ห ลากหลายในการ เสริมสร๎างความผาสุกทางจิตใจของนักศึกษาตํอไป 4. เพื่อให๎ผลการให๎คาปรึกษามีผลได๎ดีควรมีการควมคุมในการเข๎ากลุํมให๎สม่าเสมอ เข๎าครบ ตามจานวนของโปรแกรม เอกสารอ้างอิง กัลยากร คลังสมบัติ. (2553). องค์ประกอบการทางานที่ส่งผลต่อความผาสุกทางจิตใจของพนักงาน ธนาคารออมสินภาค 8. วิทยานิพนธ๑ปริญญาศึกษาศาสตร๑มหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา การศึกษาและการให๎คาปรึกษา บัรฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแกํน. จินตนา เบี้ยแก๎ว. (2558). ผลการปรึกษากลุํมตามทฤษฎีอัตถิวภาวะนิยมตํออิสระแหํงตนของ นิสิตพยาบาลชั้นปีที่ 1.; วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาบูรพา. นาถยา คงขาว. (2559). ผลการปรึกษากลุ่มแบบอัตถิภาวะนิยมต่อการตระหนักรู้ในตนเอง ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น. วิทยานิพนธ๑ สาขาวิชาจิตวิทยาการให๎คาปรึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา. บรรพชิต โพธิ์บอน. (2557). ปัจจัยที่มีผลความสัมพันธ์กับความผาสุกทางจิตวิญญาณของวัยรุ่นที่ กาลั งศึ กษาอยู่ ใ นระดั บชั้ น มัธ ยมศึกษาโรงเรี ย นผั กไหมวิ ทยานุกู ล จังหวัด ศรี ส ะเกษ. วิท ยานิ พนธ๑ ป ริ ญ ญาศึ ก ษาศาสตรมหาบั ณ ฑิ ต สาขาวิช าจิ ต วิท ยาการศึ ก ษาและการให๎ คาปรึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาขอนแกํน. พรรณปภร ศรีเจริญ. (2556). ผลการปรึกษากลุ่มทฤษฎีอัตถิภวนิยมต่อแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของ นักกีฬาเทนนิสเยาวชนไทย. สาขาวิชาวิทยาศาสตร๑การออกกาลังกายและการกีฬา คณะวิทยาศาสตร๑การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา. ภมรพรรณ๑ ยุระยาตร๑. (2554). การศึกษาและพัฒนาความผาสุกทางจิตใจของนิสิตนักศึกษา ในมหาวิทยาลัย. ปริญญานิพนธ๑ กศ.ด. (จิตวิทยาการให๎คาปรึกษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ……………………………………………………………………


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

69

ผลของการใช้ โปรแกรมการอ่านสะกดคาโดยใช้ ทฤษฎีการ เรียนรู้อย่างมีความหมายร่วมกับการเสริมแรงทางสังคมที่มีต่อ ความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 The Effects of Using Word Spelling Reading Program based on Meaningful Learning theory in combination with Social Reinforcement on Reading Ability of Prathomsuksa3 Students อัญชลีพร แก๎วนุํม1 อารี พันธ๑มณี2

บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค๑เพื่อศึกษาผลของการใช๎โปรแกรมการอํานสะกดคาของนักเรียน ที่มีปัญหาด๎านการอํานโดยใช๎ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมายรํวมกับการเสริมแรงทางสังคม กลุํม ตัวอยํางคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในเขต พื้นที่กรุงเทพมหานครที่กาลังศึกษาอยูํในภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา 2560 ที่มีปัญหาด๎านการอําน จานวน 15 คน เครื่องมือที่ใช๎ในการวิจัยคือ โปรแกรมการอํานสะกดคาโดยใช๎ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมี ความหมายรํวมกับการเสริมแรงทางสังคม มีคําดัชนีความสอดคล๎องระหวําง .67 – 1.00 และแบบวัด ความสามารถด๎านการอําน ที่มี คําความเชื่อมั่น เทํากับ .91 สถิติที่ใช๎ในการวิเคราะห๑ข๎อมูลคือ การ ทดสอบคําที แบบไมํเป็นอิสระตํอกัน (t – test for dependent Samples) ผลการวิจัยพบวํานักเรียนที่มีปัญหาด๎านการอํานที่เข๎ารํวมโปรแกรมการอํานสะกดคาโดยใช๎ ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมายรํวมกับการเสริมแรงทางสังคมมีความสามารถในการอํานเพิ่มขึ้น อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คาสาคัญ: การอํานสะกดคา ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมาย การเสริมแรงทางสังคม

1

นักศึกษามหาบัณฑิต หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย๑ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต รองศาสตราจารย๑ ดร. อาจารย๑ประจาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย๑ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

2


70

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

Abstract The purpose of this research was to study the effects of using word spelling reading program based on meaningful learning theory in combination with social reinforcement on reading ability of Prathomsuksa 3 students. The subjects were 15 primary school students who had reading problems lower at 25 percentile in academic year 2017.under the office of the basic education commission in Bangkok metropolis.The research instruments were word spelling reading program based on meaningful learning theory with social reinforcement and reading ability test. The data were analyzed by t – test for dependent samples. The result of study was as follows: The students with reading problems who participated in using word spelling reading program based on meaningful learning theory in combination with social reinforcement was increased significantly on reading ability at 0.05 level. Key words: Word spelling reading, Theory of meaningful learning, Social reinforcement

ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ความสามารถทางด๎านภาษาจัดเป็นสิ่งสาคัญตํอการเรียนรู๎ โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 21 นักเรียน ไมํเพียงแตํอํานออกเขียนได๎ แตํจะต๎องมีความสามารถด๎านการสื่อสาร และมีการเรียนรู๎ที่ยืดหยุํน สร๎างสรรค๑ และท๎าทาย มองเห็นปัญหาเป็นโจทย๑ นักเรียนได๎เรียนรู๎วิธีการแก๎ไขปัญหา ซึ่งเป็นทักษะที่จาเป็นตํอการ เรียนรู๎ในศตวรรษที่ 21 ที่เน๎น 3 R เป็นทักษะพื้นฐานที่จาเป็นตํอผู๎เรียนทุกคน ซึ่งได๎แกํ 1) Reading หมายถึง สามารถอํานออก 2) (W) Riting หมายถึง สามารถเขียนได๎ 3) (A) Rithmaticหมายถึง มีทักษะ ในการคานวณ ดังนั้นทักษะทั้ง 3 จึงมีความสาคัญอยํางยิ่ง โดยเฉพาะการอํานออกเขียนได๎ รัฐบาลโดย กระทรวงศึกษาธิการได๎จัดทานโยบายในเรื่องการอําน และประกาศให๎ปี พ.ศ. 2558 เป็น “ปีแหํงการ ปลอดนักเรียนอํานไมํออกเขียนไมํได๎” ในการสนับสนุนผู๎เรียน เพื่อจะทาให๎นโยบายและจุดมุํงหมายสาคัญ ของกระทรวงศึกษาธิการบรรลุเปูาหมาย ผู๎เรียนสามารถคิดวิเคราะห๑ และสังเคราะห๑ เรียนรู๎ได๎ด๎วยตนเอง สาหรับประเทศไทยปัญหาการอํานไมํออกเขียนไมํได๎เป็นปัญหาที่มีอยํางตํอเนื่อง จากการ สารวจพบวํามีนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่อํานไมํออกเขียนไมํได๎ ซึ่งจากข๎อมูลของสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบวํามีจานวนประมาณ 25,000-26,000 คนทั่วประเทศ กระจาย อยูํในหลายพื้นที่ (กมล รอดคล๎าย, 2558) สาหรับในโรงเรียนการอํานไมํออกเขียนไมํได๎จึงเป็นอุปสรรค สาคัญยิ่งในการพัฒนาคุณภาพของประชากร ดังนั้นการแก๎ปัญหาการอํานไมํออกเขียนไมํได๎ จึงเป็น ปัญหาที่ต๎องได๎รับการแก๎ไขอยํางเรํงดํวน เพื่อให๎นักเรียนสามารถอํานออกเขียนได๎ ผู๎วิจัยในฐานะครูผู๎สอนในระดับประถมศึกษาเป็นเวลา 4 ปี ได๎สังเกตพฤติกรรมการอํานของ นักเรี ยน พบวํานั กเรี ยนสํ วนใหญํมีปั ญหาการอํา นไมํออกและเขียนไมํได๎ จึงได๎สั มภาษณ๑ครูผู๎ สอน จานวน 4 คน ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ใน


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

71

เขตกรุงเทพมหานคร พบวํามีนักเรียนอํานสะกดคาไมํได๎ 50 เปอร๑เซ็นต๑ของนักเรียนทั้งหมด ผู๎วิจัยได๎นา แบบประเมินการอํานสะกดคาพื้นฐานในระดับประถมศึกษาปีที่ 3 ไปทดสอบกับนักเรียน พบวํามี นักเรียนอํานสะกดคาไมํได๎เป็นจานวน 60 คน โดยนักเรียนไมํสามารถอํานสะกดคาได๎ถูกต๎อง ผสมสระ ไมํได๎ และผันเสียงวรรณยุกต๑ไมํได๎ จาพยัญชนะและสระไมํได๎ทั้งหมด สรุปผลจากการประเมินการอํ าน พบวํานักเรียนมีผลการอํานอยูํในระดับต่า ซึ่งควรได๎รับการชํวยเหลือแก๎ไข เพื่อจะได๎ไมํสํงผลเสียกับ นักเรียนตํอไปในอนาคต หรือในการเรียนชั้นสูงขึ้นไป การที่ จะพั ฒนาให๎ นั กเรี ยนอํ านออกเขี ยนได๎ นั้ น นักเรี ยนจะต๎ องสามารถอํานสะกดคาให๎ ได๎ (กมล รอดคล๎าย : หน๎า 10) โดยการฝึกหัดการอํานสะกดคา หรือการเสริมทักษะการอําน ดังที่ อาห๑เมด (Ahmed. 2000: 3032 - B) ได๎ทาการศึกษาการพัฒนาแบบแผนการสะกดคาตามหนํวยเสียงและตามอักขรวิธี ในชั้นประถมศึกษาของสหรัฐ โดยได๎ออกแบบทดสอบการรู๎จักการสะกดคาเบื้องต๎น และนาไปทดสอบ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ใน 5 โรงเรียนจานวน 390 คน แบบทดสอบนี้ประกอบด๎วยคาที่ไมํมี ความหมายพยางค๑เดียวและสองพยางค๑จานวน 35 คา และมุํงเปูาไปที่แบบแผนการสะกดคา 3 แบบแผน ถอดรหัสหนํวยเสียงอยํางเดียว ความรู๎เรื่องกฎทางอักขรวิธีอยํางเดียวและการรวมการถอดรหัสหนํวยเสียง กับความรู๎เรื่องกฎทางอักขรวิธีเข๎าอยูํในคาเดียวกัน พบวํานักเรียนสามารถอํานสะกดคาได๎เพิ่มขึ้น และนงเยาว๑ เลี่ยมขุนทด (2547: 71 - 73) ได๎ศึกษาแผนการเรียนรู๎ภาษาไทย เรื่อง การอํานและเขียนสะกด คา โดยใช๎แผนผังความคิด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เพื่อพัฒนาแผนการเรียนรู๎ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ๑ 80/80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ระหวํางคะแนนทดสอบกํอนเรียนและหลังเรียน และเพื่อศึกษาดัชนี ประสิทธิผลของแผนการเรียนรู๎ กลุํมตัวอยําง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2546 โรงเรียนบ๎านจั่นโคกรักษ๑ (รัฐประชาสรรค๑) สานักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 5 จานวน 18 คน ผลการศึกษา พบวํา แผนการเรียนรู๎มีประสิทธิภาพ เทํากับ 81.42/82.22 นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกวํากํอนเรียนอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีดัชนี ประสิทธิผลของแผนการเรียนรู๎ เทํากับ 0.62 แสดงวํา ผู๎เรียนมีความรู๎เพิ่มขึ้นร๎อยละ 62 ซึ่งสอดคล๎องกับ ผลการศึกษาของจิรญาณ๑ กุลรัตน๑ (2549: 51) ที่ได๎ศึกษาแผนการจัดการเรียนรู๎ภาษาไทย เรื่อง การแจก ลูกสะกดคาโดยใช๎ แผนผังความคิด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีจุดมุํงหมายเพื่อพัฒนาแผนการเรียนรู๎ ภาษาไทยที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ๑ 80/80 และเพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแผนการเรียนรู๎ กลุํม ตัวอยําง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จานวน 22 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2548 โรงเรียน บ๎านสัมพันธ๑ อาเภอชุมแพ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแกํน เขต 5 ผลการศึกษา พบวํานักเรียนมี ความรู๎เพิ่มขึ้นคิดเป็นร๎อยละ 80.96 ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมายเป็นทฤษฎีการเรียนรู๎หนึ่งที่นําสนใจ และจะชํวยผู๎เรียนได๎ เพราะผู๎เรียนจะเรียนรู๎จากการอธิบายของครูผู๎สอนเกี่ยวกับสิ่งที่จะต๎องเรียนรู๎ด๎วยการฟัง ผู๎เรียนรับฟัง ด๎วยความเข๎าใจ จากนั้นนาสิ่งที่ได๎เรียนรู๎ไปเก็บไว๎ในความทรงจาและสามารถนามาใช๎ได๎ในอนาคต เป็น การเรียนรู๎โดยการเชื่อมโยงสิ่งที่ต๎องเรียนรู๎ใหมํกับหลักการ หรือกฎเกณฑ๑ที่เคยเรียนมาแล๎วด๎วยการ ได๎รับข๎อมูลมาเพิ่ม การจัดเรียงข๎อมูลที่ต๎องการให๎ผู๎เรียนได๎เรียนรู๎ออกเป็นหมวดหมูํมีความสาคัญมาก เพราะเป็นวิธีการสร๎าง การเชื่อมชํองวํางระหวํางสิ่งที่ผู๎เรียนได๎เรียนรู๎แล๎ว (ความรู๎เดิม) กับสิ่งที่เป็นความคิด รวบยอดใหมํ จะชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดความเข๎าใจเนื้อหาของหนํวยการเรียนใหมํ และชํวยให๎เกิดการจดจาได๎ ดีขึ้น (Ausubel, 1963) ในวงการศึกษาได๎มีผู๎ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการใช๎แนวคิดตามทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมี


72

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ความหมายของ Ausubel ดังที่ ศรัชฌา กาญจนสิงห๑ และ สุพิมพ๑ ศรีพันธ๑วรสกุล (2557) ได๎นาแนวคิด การเรียนรู๎อยํางมีความหมาย (Meaningful learning) ที่เชื่อวํา การเรียนรู๎จะเกิดขึ้นได๎เมื่อผู๎เรียนได๎รวม หรือเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู๎ใหมํเข๎ากับสิ่งที่มีอยูํเดิม ไปใช๎ในการวิจัยเพื่อศึกษาผลของการฝึกจาคาศัพท๑ ภาษาอั ง กฤษด๎ ว ยวิ ธี ก ารเรี ย นรู๎ อ ยํ า งมี ค วามหมายรํ ว มกั บ การตอกย้ าความจ าของนั ก เรี ย นชั้ น ประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยแสดงให๎เห็นวํา การฝึกจาคาศัพท๑ภาษาอังกฤษด๎วยวิธีการเรียนรู๎อยํางมี ความหมายรํวมกับการตอกย้าความจาได๎ผลดีกวําวิธีการทํองจา และหวัง เหวิน ยี่ (2557) ได๎ศึกษาการ สอนตัวอักษรภาษาจีนตามแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมายของ Ausubel พบวํา คําเฉลี่ยของ คะแนนสอบวัดหลั งการสอน เรื่องการจาเสียงอํานของตัวอักษรภาษาจีนและการจาความหมายของ ตัวอักษรภาษาจีนของนักศึกษากลุํมทดลอง และกลุํมควบคุมแตกตํางกันอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของ จุรีพร ศรีธงชัย (2541) วิทยา แสนสุข (2541) รัจนา ภิญโญ ทรัพย๑ (2544) มุตจรินทร๑ ดีทะเล (2545) สุภาพร โนนศรีชัย (2551) ที่ได๎นาแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู๎ อยํางมีความหมายของ Ausubel ไปใช๎ในการสอนซึ่งพบวํา นักเรียนกลุํมทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนและความคงทนในการเรียนรู๎สูงกวํากลุํมควบคุม ดังนั้นการจัดกิจกรรมตามทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมี ความหมายสามารถชํวยเหลือนักเรียนที่มีปัญหาด๎านการอํานได๎ เพราะนักเรียนจะเรียนรู๎อยํางคํอยเป็น คํอยไป มีการทบทวนความรู๎เดิม เชื่อมโยงความรู๎และประสบการณ๑เดิมกับความรู๎ที่กาลังจะเรียน สัมผัส ประสบการณ๑ใหมํที่สอดคล๎องกับประสบการณ๑เดิมไปตามศักยภาพ ไมํเรํงรีบ รวบรัดจนเกินจาเป็น ซึ่ง นําจะเป็นผลดีที่จะชํวยให๎เกิดพัฒนาการทางด๎านการอําน สามารถสะกดคาได๎ โดยเริ่มจากคางํายๆ คาที่ อยูํในมาตราตัวสะกดตรงตามมาตราตัวสะกดกํอนแล๎วจึงคํอยๆ เรียนรู๎คาที่อยูํในมาตราตัวสะกดไมํตรง ตามมาตราตัวสะกด การเสริมแรงทางสังคม เป็นเทคนิควิธีหนึ่งที่สามารถนามาใช๎ในการปรับพฤติกรรมการเรียนรู๎ ของผู๎เรียนในด๎านการอํานสะกดคาได๎ การเสริมแรงทางสังคมประกอบด๎วย การแสดงออกทางวาจา ได๎แกํ คาพูดชมเชย ดีมาก เกํงมาก เยี่ยม ยอดเยี่ยม และการแสดงออกด๎วยทําทาง ได๎แกํ การสัมผัส การยิ้ ม การโอบกอด การปรบมื อ จากการวิ จั ย พบวํ า การเสริ ม แรงทางสั ง คมท าให๎ นั ก เรี ย นมี ความสามารถด๎านการอํานเพิ่มขึ้น ดังที่ จารุวรรณี เหลําดี (2550) ได๎ศึกษาผลของการเรียนรู๎แบบ บูรณาการควบคูํการเสริมแรงทางสังคมที่มีตํอทักษะการอํานภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 ผลการศึกษาพบวํา นักเรียนที่ได๎รับการเรียนรู๎แบบบูรณาการควบคูํการเสริมแรงทางสังคมมี ทักษะการอํา นภาษาไทยเพิ่มขึ้ น มากกวํานั กเรีย นที่ไมํ ได๎รับ การเรียนรู๎ แบบบู รณาการควบคูํการ เสริมแรงทางสังคมอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และลัดดาวัลย๑ วรพันธ๑ (2550) ได๎ศึกษาการ เปรียบเทียบผลของการใช๎เทคนิคการชี้แนะด๎วยวาจา การเสริมแรงทางสังคมและการชี้แนะด๎วยวาจา ควบคูํ กั บ การเสริ ม แรงทางสั ง คมที่ มี ตํ อ พฤติ ก รรมตั้ ง ใจเรี ย นวิ ช าภาษาอั ง กฤษของนั ก เรี ย นชั้ น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลการศึกษาชี้ให๎เห็นวํา ครูสามารถใช๎เทคนิคการชี้แนะด๎วยวาจา การเสริมแรงทาง สังคมและการชี้แนะด๎วยวาจาควบคูํกับการเสริมแรงทางสังคมไปใช๎ปรับพฤติกรรมเพื่อสํงเสริมให๎ สามารถเรียนรู๎ได๎อยํางเต็มความสามารถ และให๎การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนดาเนินไปอยํางมี ประสิทธิภาพ


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

73

จากสภาพปัญหา และความสาคัญดังกลําวทาให๎ผู๎วิจัยสนใจศึกษาผลของการใช๎โปรแกรมการ อํา นสะกดค าโดยใช๎ ทฤษฎีก ารเรี ยนรู๎อ ยํา งมี ความหมาย รํว มกั บการเสริ มแรงทางสั งคม ที่มี ตํ อ ความสามารถด๎านการอํานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาผลของการใช๎โปรแกรมการอํานสะกดคาของนักเรียนที่มีปัญหาด๎านการอํานโดยใช๎ ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมายรํวมกับการเสริมแรงทางสังคมที่มีตํอความสามารถด๎านการอําน สมมติฐานของการวิจัย นักเรียนที่มีปัญหาด๎านการอํานที่เข๎ารํวมโปรแกรมการอํานสะกดคาโดยใช๎ทฤษฎีการเรียนรู๎ อยํางมีความหมายรํวมกับการเสริมแรงทางสังคมมีความสามารถด๎านการอํานเพิ่มขึ้น ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรที่ใช๎ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีปัญหาด๎านการอําน โรงเรี ย นระดั บ ประถมศึ ก ษาสั ง กั ด ส านั ก งานคณะกรรมการการศึ ก ษาขั้ น พื้ น ฐาน ในเขตพื้ น ที่ กรุงเทพมหานครที่กาลังศึกษาอยูํในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จานวน 60 คน 2. กลุํมตัวอยํางที่ใช๎ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนระดับประถม ศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครที่กาลังศึกษา อยูํในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 ที่มีปัญหาด๎านการอํานที่ผํานการคัดกรองจากแบบประเมิน การอํานคาศัพท๑ขั้นพื้นฐานระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จานวน 15 คน โดยการสุํมอยํางงําย 3. ตัวแปรที่ใช๎ในการวิจัยมีดังนี้ 3.1 ตัวแปรต๎น ได๎แกํ การใช๎โปรแกรมการอํานสะกดคาโดยใช๎ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมี ความหมายรํวมกับการเสริมแรงทางสังคม 3.2 ตัวแปรตาม ได๎แกํ ความสามารถด๎านการอําน นิยามศัพท์เฉพาะ 1. นักเรียนที่มีปัญหาด๎านการอําน หมายถึง ผู๎เรียนไมํสามารถอํานคา และอํานสะกดคาได๎ ถูกต๎อง ผสมสระไมํได๎ การอํานไมํราบรื่น อํานตะกุกตะกัก อํานข๎ามคา อํานรวบคา ออกเสียงในการ อํานไมํชัดเจน 2. ความสามารถในการอํานหมายถึง ผู๎เรียนสามารถอํานคา และอํานสะกดคาได๎ถูกต๎อง อําน ไมํตะกุกตะกัก ไมํอํานข๎ามคา ไมํอํานรวบคา ออกเสียงในการอํานชัดเจน และสามารถฟังคาอําน เข๎าใจความหมาย และอํานคาได๎ ความสามารถด๎านการอําน วัดได๎จากแบบวัดความสามารถด๎านการ อํานที่ผู๎วิจัยพัฒนาและปรับปรุงมาจากแบบทดสอบการอํานออก ของสานักทดสอบทางการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3. ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมายหมายถึงผู๎เรียนเข๎าใจ และยอมรับตนเองวําเกิดการ เปลี่ยนแปลงในทางสร๎างสรรค๑ มีความหมายแกํชีวิต เป็นการเรียนรู๎ที่ผู๎เรียนได๎รับมาจากการที่ผู๎สอน


74

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

อธิบายถึงสิ่งที่จะต๎องเรียนรู๎ให๎ฟัง และผู๎เรียนรับฟังด๎วยความเข๎าใจ โดยผู๎เรียนเห็นความสัมพันธ๑กับ โครงสร๎างพุทธิปัญญาที่ได๎เก็บไว๎ในความทรงจาและสามารถนามาใช๎ได๎ในอนาคตโดยผู๎สอนให๎สาระ หลักที่ใช๎เป็นสื่อเชื่อมโยงความรู๎ใหมํและความรู๎เดิมเข๎าด๎วยกัน จากนั้นผู๎สอนเสนอเนื้อหาใหมํ และให๎ ผู๎เรียนผสมผสานความรู๎ทาให๎เกิดความคิดรวบยอด เพื่อให๎ ผู๎เรียนเกิดความเข๎าใจและสามารถอธิบาย และยกตัวอยํางได๎ 4. การเสริมแรงทางสังคมหมายถึง ผู๎เรียนได๎รับคาชมเชย โดยการใช๎วาจา ทําทางเพื่อทาให๎ ผู๎เรียนเกิดความพึงพอใจ รวมทั้งวิธีการที่ชํวยให๎อัตราการตอบสนองของผู๎เรียนแสดงพฤติกรรมที่พึง ประสงค๑คงที่ หรือเพิ่มขึ้น เมื่อผู๎เรียนเข๎าใจในบทเรียน และสามารถอธิบาย ยกตัวอยํางได๎ถูกต๎อง ผู๎สอนกลําวชมเชยด๎วยคาพูด ได๎แกํ เกํงมาก เยี่ยม ดีมาก และการแสดงออกด๎วยทําทาง ได๎แกํ การ พยักหน๎า การสัมผัสมือ การโอบกอด การแตะไหลํ การปรบมือ 5. ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมายรํวมกับการเสริมแรงทางสังคมหมายถึงผู๎เรียนสามารถ เชื่อมโยงความรู๎จากประสบการณ๑เดิมสูํประสบการณ๑ใหมํจากกิจกรรมที่ทา และสามารถอธิบายได๎ ถูกต๎อง พร๎อมยกตัวอยํางได๎ เมื่อผู๎เรียนสามารถทากิจกรรมตํางๆ ได๎ ผู๎สอนจึงให๎การเสริมแรงทาง สังคมด๎วยทําทาง ได๎แกํ การยิ้ม การพยักหน๎า การปรบมือ การให๎ความสนใจ และการชมเชยด๎วย คาพูด ได๎แกํ ดีมาก เกํงมาก ยอดเยี่ยม 6. โปรแกรมการอํานสะกดคาโดยใช๎ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมายรํวมกับการเสริมแรง ทางสังคมหมายถึง กระบวนการเรียนโดยใช๎ชุดแบบฝึกการอํานสะกดที่มีเนื้อหาในบทเรียน และมีการ เสริมแรงทางสังคม มีขั้นตอนดังนี้ ขั้นนา คือ ผู๎สอนกลําวคาทักทาย และเชิญชวนให๎ผู๎เรียนทากิจกรรมนาเข๎าสูํบทเรียน ได๎แกํ การร๎องเพลง การเลํนเกม ขั้นสอน คือ ผู๎สอนนาเข๎าสูํการเรียน โดยผู๎สอนนาเสนอเนื้อหาตามแผนการเรียน โดยใช๎เกม นิทาน และเพลง และให๎ผู๎เรียนทากิจกรรมตั้งคาถามจากสิ่งที่เรียน เมื่อผู๎เรียนเข๎าใจในเรื่องที่เรียน แล๎ว ผู๎สอนให๎ผู๎เรียนทาใบงานเกี่ยวกับเนื้อหาเรื่องที่เรียนเมื่อผู๎เรียนสามารถตอบคาถาม และทาใบ งานได๎ถูกต๎อง ผู๎สอนให๎การเสริมแรงทางสังคมด๎วยการกลําว ชื่นชมด๎วยคาพูด ได๎แกํ ยอดเยี่ยม เกํง มาก เจ๐งที่สุด หรือสัมผัสมือ โอบกอด แตะไหลํเพื่อให๎กาลังใจ ขั้นสรุป คือ ผู๎สอนและผู๎เรียนรํวมกันสรุปสาระสาคัญของเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน การดาเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ใช๎รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment Research) ซึ่งมีการวัดผล 2 ครั้ง กํอนการทดลองและหลังการทดลอง (Pretest and Posttest experimental design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แบบวั ด ความสามารถด๎ า นการอํ า นเป็ น แบบวั ด ที่ ผู๎ วิ จั ย พั ฒ นาและปรั บ ปรุ ง มาจาก แบบทดสอบการอํานออกของสานักทดสอบทางการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

75

2. โปรแกรมการอํ า นสะกดค าโดยใช๎ ท ฤษฎี ก ารเรี ย นรู๎ อ ยํ า งมี ค วามหมาย รํ ว มกั บ การ

เสริมแรงทางสังคม การวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช๎ในการวิเคราะห๑ข๎อมูล 1. สถิติพื้นฐาน 1.1 คะแนนเฉลี่ย ( ) 1.2 คําความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 2. สถิติที่ใช๎ทดสอบสมมติฐาน เปรียบเทียบคะแนนที่ได๎จากแบบวัดความสามารถด๎านการอําน กํอนและหลังการจัดกิจกรรม โดยใช๎สถิติทดสอบคําที แบบไมํเป็นอิสระตํอกัน (t – test for dependent Samples) ผลการวิจัย ตารางการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถด๎านการอํานของนักเรียนที่เป็นกลุํมทดลองกํอนและหลัง การทดลอง ( = 15 คน) SD

ระยะเวลา กํอนเข๎ารํวมโปรแกรม

15

16.93

2.19

หลังเข๎ารํวมโปรแกรม

15

36.67

2.32

t 30.323*

* P<.05 จากตาราง พบวํา กํอนการเข๎ารํวมโปรแกรมนักเรียนที่มีปัญหาด๎านการอํานสะกดคา โดยใช๎ ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมายรํวมกับการเสริมแรงทางสัง คมมีความสามารถด๎านการอํานโดยมี คําเฉลี่ยเทํากับ 16.93 และสํวนเบี่ยงเบนมาตรฐานเทํากับ 2.19 และหลังการเข๎ารํวมโปรแกรมมี คําเฉลี่ย 36.67 และสํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.32 และมีคํา t เทํากับ 30.323 ซึ่งแตกตํางกันอยํางมี นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงวําหลังเข๎ารํวมโปรแกรมนักเรียนมีความสามารถในการอํานสะกด คาเพิ่มขึ้นกวํากํอนการทดลอง อภิปรายผลการวิจัย จากผลการวิจัยพบวํา ความสามารถด๎านการอํานสะกดคาของนักเรียนที่มีปัญหาด๎านการอํานโดย ใช๎ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมายรํวมกับการเสริมแรงทางสังคม ในภาพรวมอยูํในระดับดี หรือเพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล๎องกับสมมติฐานของการวิจัย และสอดคล๎องกับผลงานวิจัยของนักวิชาการหลายๆ ทํ านที่พบวํา การสอนอํานสะกดคาชํวยพัฒนานักเรียนให๎มีผลสัมฤทธิ์ด๎านการอํานสูงขึ้น งานวิจัยภายในประเทศ ได๎แกํ ธวัช บูชาจันทรกูล (2542) นงเยาว๑ เลี่ยมขุนทด (2547) จิรญาณ๑ กุลรัตน๑ (2549) งานวิจัยในตํางประเทศ


76

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ได๎แกํ เดวิสัน (1971) ลอเรนซ๑และเฮเดน (1972) คาทาโน (1976) แบบส๑ (1983) อาห๑เมด (2000) จากการ วิจัยความสามารถด๎านการอํานโดยใช๎ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมาย งานวิจัยภายในประเทศ ได๎แกํ ศรัชฌา กาญจนสิงห๑ และ สุพิมพ๑ ศรีพันธ๑วรสกุล (2557) จุรีพร ศรีธงชัย (2541) วิทยา แสนสุข (2541) รัจนา ภิญโญทรัพย๑ (2544) มุตจรินทร๑ ดีทะเล (2545) สุภาพร โนนศรีชัย (2551) งานวิจัยในตํางประเทศ ได๎แกํ หวัง เหวิน ยี่ (2557) ทฤษฎีการเรียนรู๎อยํางมีความหมาย มีการใช๎สื่อการสอนที่หลากหลาย ที่เป็น สื่อน าสายตา ซึ่งเป็ นการชํวยให๎ นักเรี ยนได๎จดจาทางสายตา เห็ นในสิ่ งที่เป็นรูปธรรมกํอน แล๎ วจึงให๎ นักเรียนได๎ลงมือทาในกิจกรรม มีการฝึกปฏิบัติจริง วิธีการสอนที่ให๎นักเรียนได๎เรียนรู๎จากประสบการณ๑ จริง นักเรียนมีสํวนรํวมในการเรียน โดยใช๎ประสาทสัมผัสตํางๆ ทาให๎นักเรียนเกิดประสบการณ๑นาไปสูํการ จา และความเข๎าใจ สํงผลให๎นักเรียนมีความสามารถด๎านการอํานเพิ่มขึ้น ซึ่งตรงกับทฤษฎีการอํานของท ราบาสโซ (Trabasso) ซึ่งกลําวไว๎วํา การอํานเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข๎อง และมีความสัมพันธ๑กัน มีลาดับ ขั้นการอํานคือ การรับสาร โดยใช๎สายตารับรู๎ และการใช๎ประสบการณ๑เดิม ความจริง และภาพ สาหรับ ปัญหาด๎านการอําน เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข๎องกับการเข๎าใจ ความหมายของคา กลุํมคา ประโยค จึง จาเป็นต๎องสอนให๎นักเรียนรู๎จักคา ความหมาย และอํานคานั้นๆ ให๎ได๎กํอน และควรฝึกจากงํายไปหายาก จึงจะสํงผลให๎นักเรียนเกิดการจดจาในรูปคา และสามารถพัฒนาการอํานให๎อยูํในระดับดียิ่งขึ้น และการ เสริมแรงทางสังคมก็สอดคล๎องกับผลการวิจัยของ ฮาร๑ด(1968) บูลล๑ (1968) แพตเตอร๑สัน (2524) ลัดดา วัลย๑ วรพันธ๑ (2550) จารุวรรณี เหลําดี (2550) ซึ่งได๎แกํ คาพูดยกยํอง ชมเชย การโอบกอด การสัมผัส และการให๎เพื่อนปรบมือ เมื่อนักเรียนทากิจกรรมตํางๆ ได๎ จึงทาให๎นักเรียนเกิดความภาคภูมิ ใจ มั่นใจ กล๎าแสดงออก และยังทาให๎เกิดความมั่นใจในตนเอง ในการอํานคา หรือทากิจกรรมอื่นๆ ตํอไป ด๎วยเหตุผลดังกลําวข๎างต๎น จึงเป็นผลให๎นักเรียนที่มีปัญหาด๎านการอํานที่เข๎ารํวมโปรแกรม การอํ า นสะกดค าโดยใช๎ ท ฤษฎี ก ารเรี ย นรู๎ อ ยํ า งมี ค วามหมายรํ ว มกั บ การเสริ ม แรงทางสั ง คม มี ความสามารถด๎านการอํานเพิ่มขึ้นอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ จากผลการวิจัยในครั้งนี้พบวํา โปรแกรมการอํานสะกดคาโดยใช๎ทฤษฎีการเรียนรู๎อยําง มีความหมายรํวมกับการเสริมแรงทางสังคมสามารถพัฒนาความสามารถด๎านการอํานของนักเรียนได๎ ผู๎วิจัยมีความเห็นวํา โปรแกรมดังกลําวนี้นําจะเป็นเครื่องมือหนึ่งของผู๎สอนที่จะนาไปใช๎ในการพัฒนา ความสามารถด๎านการอํานของนักเรียนที่มีปัญหาด๎านการอํานสะกดคาได๎ โดยกํอนที่จะนาโปรแกรม ไปใช๎ควรศึกษาและทาความเข๎าใจเพื่อที่จะวางแผนการจัดกิจกรรม การเตรียมสื่อ / วัสดุอุปกรณ๑ ตลอดจน การจัดกิจกรรมได๎อยํางถูกต๎อง 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษาวิจัยเปรียบเทียบผลของการใช๎โปรแกรมการอํานสะกดคาโดยใช๎ทฤษฎีการ เรียนรู๎อยํางมีความหมายรํวมกับการเสริมแรงทางสังคม เพื่อพัฒนาความสามารถด๎านการอําน ของ นักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนปลาย


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

77

เอกสารอ้างอิง กมล รอดคล๎าย. (2558). ปี 2558 ปีปลอดนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้. สืบค๎นจาก http://www.moe.go.th/websm/2015/jan/015.html. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ๑ชุมนุมสหกรณ๑การเกษตรแหํงประเทศไทย. กระทรวงศึกษาธิการ. (2559). คู่มือการสอนอ่านเขียนโดยการแจกลูกสะกดคา. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ๑ ชุมนุมสหกรณ๑การเกษตรแหํงประเทศไทย. จารุวรรณณี เหลําดี. (2550). ผลของการเรียนรู้แบบบูรณาการควบคู่การเสริมแรงทางสังคมที่มีต่อ ทักษะการอ่านภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านนาดี อาเภอ คลองหาด จังหวัดสระแก้ว. ปริญญานิพนธ๑ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต . สาขาวิชาเอก จิตวิทยาการศึกษา. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. จิรญาณ๑ กุลรัตน๑. (2549). การพัฒนาแผนการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการแจกลูกสะกดคาโดยใช้ แผนผังความคิด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1.การศึกษาอิสระปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต . สาขาวิชาเอกหลักสูตรและการสอน. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. นงเยาว๑ เลี่ยมขุนทด. (2547). การพัฒนาแผนการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการอ่านและการเขียน สะกด ค าโดยใช้ แ ผนผั ง ความคิ ด ชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 1.การศึ ก ษาอิ ส ระปริ ญ ญา การศึกษามหาบัณฑิต. สาขาวิชาเอกหลักสูตรและการสอน. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ปิตินันธ๑ สุทธสาร. (2560). นักภาษาไทยชาแหละปัญหาเด็กไทยอ่านไม่ออกชี้ครูเป็นต้นเหตุสอน ผิดวิธีสอนสะกดคาแปลกทาให้เด็กไขว้เขว. สืบค๎นจาก http://www.qlf.or.th/Mobile/Details?contentId=895. ลักษณา กฤษณา. (2524). ผลของระบบการเสริมแรงด้วยเบี้ยอรรถกรต่อการถาม-ตอบคาถาม และ การทาการบ้านวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมปีที่ 5. วิทยานิพนธ๑ปริญญา ครุศา สตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชาเอกจิตวิทยาการศึกษา. จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. ลัดดาวัลย๑ วรพันธ๑. (2550). การเปรียบเทียบผลของการใช้เทคนิคการชี้แนะด้วยวาจา การ เสริ ม แรงทางสั ง คมและการชี้ แ นะด้ ว ยวาจาควบคู่ กั บ การเสริ ม แรงทางสั ง คมที่ มี ต่ อ พฤติกรรมตั้งใจเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. ปริญญานิพนธ๑ ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต. สาขาวิชาเอกจิตวิทยาการศึกษา. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ศรัชฌา กาญจนสิงห๑ และ สุพิมพ๑ ศรีพันธ๑วรสกุล. (2557). ผลของการฝึกจาด้วยวิธีการเรียนรู้อย่าง มีความหมายร่วมกับการตอกย้าความจาต่อความสามารถจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. วิทยาการวิจัยและวิทยาการปัญญา ปีที่ 11 ฉบับที่ 2, ตุลาคม 2556 – มีนาคม 2557. สมโภชน๑ เอี่ยมสุภาษิต. (2553). ทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤติกรรม. พิมพ๑ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ๑แหํงจุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย.


78

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

สุประวีณ๑ ทัดภูธร. (2548). ผลของการใช้เทคนิคการสอนโดยสร้างผังโยงความสัมพันธ์ความหมาย รูปแมงมุมควบคู่กับการใหู้อมู ข้ ลย้อนกลับที่มีต่อทักษะการอ่านภาษาไทยเพื่อความเข้าใจ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนออเงิน (อ่อน – เหม อนุสรณ์) เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ๑การศึกษามหาบั ณฑิต. สาขาวิชาเอกจิตวิทยาการศึกษา. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. เสริมพงศ๑ วงศ๑กมลาไสย. (2548). การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยเรื่องหลวงตา พวงโดยใช้กิจ กรรมกลุ่มแบบ Jigsaw และแผนผังความคิด ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5. การศึกษาอิส ระปริ ญญาการศึกษามหาบัณ ฑิต . สาขาวิช าเอกหลั กสู ตรและการสอน. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. หวัง เหวิน ยี่. (2546). การวิจัยตรวจสอบวิธีการสอนตัวอักษรภาษาจีนตามแนวคิดทฤษฎีการเรียน อย่างมีความหมายสาหรับนักศึกษาสถาบันราชภัฎเพชรบุรี .วิทยานิพนธ๑ปริญญาศิลปศาสต รมหาบัณฑิต. สาขาวิชาเอกยุทธศาสตร๑การพัฒนา. สถาบันราชภัฎเพชรบุรี. Ahmed, Sarah Tahirs. (2000). The Development of Phonetic and Orthographic Spelling Patens : A Method for Assessing Spelling Knowledge in Children in Grades Two Through Five.Dissertation Abstracts International. 42(3) : 1085-A. Ausubel, David P. (1963). The psychology of Meaningful Verbal Learning. New York. Grune& Station. Davidson, J. L. (1971). The Relationship between Questions and pupils Responses During a Directed Reading Activity.Dissertation Abstracts International.12: 6273 –A. Hart, H.L.A. and others.(1968). Prolegomenon to the Principles of Punishment. in Philosophy of Law: A Five-Volume Anthology of Scholarly Articles, Vol 4, pp. 301 – 326. Lawrance E. & Hayden B, Joll.(1972) .Patterns of Reading in the Elementary School. New York : The Macmillan Company. ……………………………………………………………………


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

79

การศึกษาพฤติกรรมผู้นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าสถานี ตารวจที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการ ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตารวจประจาสถานีตารวจในเขต พื้ น ที่ กองบั ง คั บ การต ารวจนครบาล 5 กองบั ญ ชาการ ตารวจนครบาล A Study of Transformational Leader Behavior of The Police Station Chiefs Affecting Work Efficiency and Satisfaction of The Polices In Metropolitan Police Division 5 Area. 2Metropolitan Police Bureau. 1 ชูชาติ คงเมือง ประสาร มาลากุล ณ อยุธยา

บทคัดย่อ การวิจั ยครั้ งนี้ เป็ น การวิจัยแบบพรรณนา มีวัตถุประสงค๑เพื่อ ศึกษาพฤติกรรมผู๎ นาการ เปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจที่สํงผลตํอประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของ เจ๎าหน๎าที่ตารวจประจาสถานีตารวจในเขตพื้นที่ กองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการ ตารวจนครบาล กลุํมตัวอยํางที่ใช๎ในการวิจัย ได๎แกํ ข๎าราชการตารวจ ทุกระดับของสถานีตารวจ 9 สถานีในสังกัดกองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบังคับการตารวจนครบาล จากการเลือกแบบ เจาะจง รวมทั้งสิ้น 243 คน เครื่องมือที่ใช๎ในการวิจัย ได๎แกํ แบบวัดพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลง ของหัวหน๎าสถานีตารวจที่สํงผลตํอประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการปฏิบัติ งานของเจ๎าหน๎าที่ ตารวจ วิเคราะห๑ข๎อมูลโดยการหา คําเฉลี่ย คําเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห๑สัมประสิทธิ์การ ถดถอยแบบพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) คาสาคัญ: พฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลง ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ความพึงพอใจในการ ปฏิบัติงานเจ๎าหน๎าที่ตารวจ

1

นักศึกษามหาบัณฑิต หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย๑ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต รองศาสตราจารย๑ ดร. รองอธิการบดีฝาุ ยวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ผู๎อานวยการหลักสูตรสาขาวิชาจิตวิทยา ระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

2


80

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ผลการวิจัยสรุปได๎ดังนี้ 1. ผลการวิจัยพบวําพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจอยูํในระดับมาก ทุกด๎าน เรียงลาดับจากมากไปน๎อยดังนี้ พฤติกรรมการมีอิทธิพลอยํางมีอุดมการณ๑ พฤติกรรมการกระตุ๎น ทางปัญญา พฤติกรรมการสร๎างแรงบันดาลใจ และพฤติกรรมการคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล 2. ผลการวิจัยพบวําประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ อยูํในระดับมาก เรียงลาดับจากมากไปหาน๎อยดังนี้ การคานึงถึงประโยชน๑สํวนรวม พฤติกรรมการการยึดหลักอุดมคติ ของตารวจ การทางานที่โปรํงใสตรวจสอบได๎ การประสานงานกับหนํวยงานข๎างนอก การใช๎ทรัพยากร ที่มีอยูํอยํางจากัด การปฏิบัติงานที่ได๎รับมอบหมายการทางานเสร็จทันเวลาที่กาหนด ความสามารถใน การให๎กาลังใจตนเองได๎ การทางานเป็นทีม และการได๎รับการสนับสนุนจากหนํวยงานเสมอ 3. ผลการวิจัยพบวํ าความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ อยูํในระดับมาก เรียงลาดับจาก มากไปหาน๎อยดังนี้ ความต๎องการทางสังคม ความต๎องการความสาเร็จเต็มตามศักยภาพ แหํงตน ความต๎องการ การยกยํอง ความต๎องการความมั่นคงปลอดภัย และ ความต๎องการทางกาย 4. พฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ย นแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจสํงผลตํอประสิทธิภาพในการ ปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสามารถรํวมกันพยากรณ๑ ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของเจ๎าหน๎าที่ตารวจในภาพรวมได๎ ร๎อยละ 83.0 5. พฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจสํงผลตํอความพึงพอใจในการ ปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสามารถรํวมกันพยากรณ๑ ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจในภาพรวมได๎ ร๎อยละ 68.6 Abstract The purposes of this research were to study the transformational leader behavior of the police station chiefs affecting work efficiency and satisfaction of the polices in Metropolitan Police Division 5 Area, Metropolitan Police Bureau. The subjects were 243 polices purposively selected from 9 police stations in the Metropolitan Police Division 5 Area. The research instrument was a rating scale comprising 1) general personal data of the sample, 2) work efficiency of the police officer, 3) work satisfaction of the police officer and 4) transformational leader behavior of the police station chiefs. The date were analyzed by mean, standard deviation, and multiple regression analysis The research results were as follows: 1. The transformational leader behavior of the police station chiefs were at the high level both by the total scores and the descending order of aspects namely: Ideological influence, intellectual stimulation, inspirational motivation, and individualized consideration. 2. Work efficiency of the police officer was at the high level both by the total scores and the descending order of aspects namely: consideration of the collective


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

81

benefits, take account of the collective benefits, take account of the police ideal, transparency, coordinating with external agencies, efficiency in using limited resources, finish assignments in due time, self encouragement, teamwork, and organizational support. 3. Work satisfaction of the police officers was at the high level both by the total scores and the descending order of aspects namely: social need, self actualization, esteem need, safety need, and physiological need. 4. The transformational leader behavior of the police station chiefs significantly affected work efficiency of the police officers at .05 level and could overally predict work efficiency at 83.0 percent. 5. The transformational leader behavior of the police station chiefs significantly affected work satisfaction of the police officers at .05 level and could predict work efficiency at 68.6 percent. Keywords: Transformational leader behavior, work efficiency, work satisfaction, police officers ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ความเปลี่ยนแปลงอยํางรวดเร็วของสถานการณ๑โลกที่ผํานมานับแตํอดีตจนถึงปัจจุบัน ทาให๎ สังคมไทยและประชาชนไทยจาเป็นต๎องมีการปรับตัวเพื่อให๎ทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นอยํางมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงอยํางรวดเร็วของสถานการณ๑โลกไมํวําจะเป็นด๎านการเมือง เศรษฐกิจหรือสังคม ล๎ ว นมี ผ ลกระทบกั บ ประเทศชาติ และประชาชนทุ กภาคสํ ว น การเปิ ดเสรี ทางด๎ านการค๎ า การใช๎ เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตและการบริการ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จนเกิดการรวมกลุํมกันของ ประเทศหลายประเทศกลายเป็นกลุํมภูมิภาค ทาให๎พรมแดนระหวํางประเทศลดลง การเดินทางไปมา หาสูํกัน การทาธุรกิจ การทํองเที่ยวมีความสะดวกมากขึ้น การเคลื่อนย๎ายถิ่นฐานของผู๎ คนและการ เคลื่อนย๎ายแรงงานเกิดขึ้นอยํางตํอเนื่อง การเปลี่ยนแปลงในยุคที่เรียกวําโลกาภิวัตน๑นี้ ล๎วนมีผลกระทบ ตํอความมั่นคง ปัญหาอาชญากรรม ความไร๎ระเบียบตํางๆ ทาให๎ประชาชนต๎องการได๎รับการดูแล และ รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย๑สินจากภาครัฐมากขึ้น หนํวยงานที่รั บผิดชอบจะต๎องประเมิน แนวโน๎มของปัญหาและสถานการณ๑ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อกาหนดแผนการปฏิบัติรองรับปัญหา ตํางๆ ให๎มีความชัดเจนที่สุด สานักงานตารวจแหํงชาติ เป็นหนํวยงานหลักที่รับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร๎อย ดูแล ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย๑สินให๎กับประชาชน ได๎จัดทาแผนยุทธศาสตร๑สานักงานตารวจแหํงชาติ (พ.ศ.2555-2564 ) โดยได๎น าปัญหาและปัจจัยที่เกี่ยวข๎องมาทบทวน ศึกษา วิเคราะห๑ เพื่อกาหนด ยุทธศาสตร๑ สานักงานตารวจแหํ งชาติ 4 ยุทธศาสตร๑ คือ 1) ยกระดับขีดความสามารถในการปฏิบัติ ภารกิจหลักเพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล 2) การพัฒนางานตารวจให๎โปรํงใส มีมาตรฐาน 3) การมี สํวนรํวมของประชาชนและเครือขํายการปฏิบัติงานของตารวจ และ 4) การสร๎างความเข๎มแข็งในการ บริหาร เพื่อผลักดันสานักงานตารวจแหํงชาติบรรลุเปูาหมายตามวิสัยทัศน๑ “เป็นตารวจมืออาชีพ เพื่อ


82

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ความผาสุก ของประชาชน” (แผนยุทธศาสตร๑ สานักงานตารวจแหํงชาติ, 2555-2564) อีกทั้งได๎กาหนด พันธกิจไว๎ 6 ข๎อ ดังนี้ 1) ถวายความปลอดภัยสาหรับองค๑พระมหากษัตริย๑ พระราชินี พระรัชทายาท ผู๎ ส าเร็ จราชการแทนพระองค๑ พระบรมวงศานุ วงศ๑ ผู๎ เทนพระองค๑ และพระราชอาคันตุกะให๎ บังเกิ ด ประสิทธิภาพสูงสุด 2) บังคับใช๎กฎหมาย อานวยความยุติธรรม ให๎บริการประชาชนด๎วยความเสมอภาค เป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล 3) รักษาความสงบเรียบร๎อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย๑สินของ ประชาชนและชุ มชน และรั กษาความมั่ นคงของราชอาณาจั กรให๎ เป็ นที่ เชื่ อมั่ นและศรั ทธา 4) ยึ ด ประชาชนเป็นศูนย๑กลางสร๎างเครือขํายชุมชนและองค๑การทุกภาคสํวนให๎มีสํวนรํวมในการแก๎ไขปัญหา ของสังคม 5) พัฒนาบุคลากรให๎มีความเป็นมืออาชีพเพื่อสร๎างความเข๎มแข็งขององค๑การและ 6) ปฏิบัติ ภารกิจและชํวยเหลือการพัฒนาประเทศ ตามนโยบายรัฐบาลให๎เกิดผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานให๎บรรลุ ตามพั นธกิ จ ด๎ านเปู าหมายการบั ง คั บใช๎ กฎหมายในการดู แลและรั กษาความสงบเรี ยบร๎ อย ความ ปลอดภัยในชีวิต และทรัพย๑สินของประชาชนโดยยึดประชาชนเป็นหลัก อันจะนาไปสูํความมั่นคงเข๎มแข็ง ของประเทศชาติตํอไป (แผนยุทธศาสตร๑ สานักงานตารวจแหํงชาติ, 2555-2564) กองบังคับการตารวจนครบาล 5 เป็นหนํวยงานยํอยของกองบัญชาการตารวจนครบาล ซึ่งเป็น หนึ่ งในหนํ วยงานหลั กของส านั กงานตรวจแหํ งชาติ ในสํ วนปู องกั นและปราบปรามอาชญากรรมที่ รับผิดชอบพื้นที่ใจกลางกรุงเทพมหานคร มีสถานีตารวจในความรับผิดชอบจานวน 9 สถานี ได๎แกํสถานี ตารวจนครบาลลุมพินี, สถานีตารวจนครบาลทุํงมหาเมฆ, สถานีตารวจนครบาลบางโพงพาง, สถานี ตารวจนครบาลวัดพระยาไกร, สถานีตารวจนครบาลทําเรือ, สถานีตารวจนครบาลทองหลํอ, สถานีตารวจ นครบาลพระโขนง, สถานีตารวจนครบาลคลองตัน, สถานีตารวจนครบาลบางนา แตํละสถานีมี นายตารวจชั้นสัญญาบัตรระดับผู๎กากับการเป็นหัวหน๎า แบํงงานให๎ข๎าราชการตารวจรับผิดชอบเป็น 5 สายงาน คือ 1) งานปูองกันและปราบปรามอาชญากรรม 2) งานสืบสวน 3) งานสอบสวน 4) งานจราจร และ 5) งานอานวยการ (คาสั่งสานักงานตารวจแหํงชาติ ที่ 537/2555 เรื่อง การกาหนดอานาจหน๎าที่ ของตาแหนํงในสถานีตารวจ) สถานีตารวจ เป็นหนํวยงานยํอยของสานักงานตารวจแหํงชาติ ที่ตั้งอยูํครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ ของประเทศ สถานี ต ารวจขนาดใหญํ จ ะมี หั ว หน๎ า สถานี คื อ ผู๎ ก ากั บ การ เป็ น ผู๎ บ ริ ห ารและเป็ น ผู๎บังคับบัญชา มีรองผู๎กากับการหัวหน๎าสายงานแตํละงานเป็นผู๎ชํวย และมีเจ๎าหน๎าที่ผู๎ปฏิบัติคือสารวัตร รองสารวัตร และผู๎บังคับหมูํ ทาหน๎าที่รักษาความสงบเรียบร๎อย บาบัดทุกข๑บารุงสุข รักษาความสงบ เรียบร๎อย ปูองกันปราบปรามอาชญากรรม สืบสวนจับกุมผู๎กระทาผิดกฎหมาย รวมถึงให๎การชํวยเหลือ และบริการประชาชนที่ได๎รับความเดือดร๎อน จากสถานการณ๑ตํางๆ บุคลากรในสถานีตารวจทุกระดับชั้น ยศถือเป็นกาลังหลักที่สาคัญในการขับเคลื่อนองค๑กรให๎มีความเข๎มแข็งและมีศักยภาพ โดยเฉพาะอยํางยิ่ง เจ๎าหน๎าที่ตารวจในระดับปฏิบัติงานนั้น ถือเป็นบุคลากรที่มีความสาคัญมาก เพราะเป็นผู๎ ใกล๎ ชิดกับ ประชาชนมากที่สุด และสิ่งที่สะท๎อนความสาเร็จในการทางานของตารวจได๎ คือ ผลของงานที่ทาประสบ ความส าเร็ จตามเปู าหมาย และเจ๎ าหน๎ าที่ต ารวจมี ความสุ ขในการปฏิบั ติ งาน มี ความสบายใจที่ ได๎ ชํวยเหลือประชาชน การปฏิบัติหน๎าที่ของตารวจจะดีหรือไมํดีนั้น สํวนหนึ่งมาจากนโยบายการบริหารงาน และ ความเป็นผู๎นาของหัวหน๎าสถานี เพราะหัวหน๎าสถานีจะเป็นผู๎กาหนดนโยบายและเป็นผู๎นาในการ ปฏิบัติ โดยนานโยบายของสานักงานตารวจแหํงชาติมาเป็นแนวทาง หากสถานีตารวจใดมีหัวหน๎า


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

83

สถานี ที่มีหลักการบริหารที่ดี มีภาวะผู๎นาสูง ยํอมสํงผลให๎การปฏิบัติงานของตารวจสถานีนั้นบรรลุ วัตถุประสงค๑ของสานักงานตารวจแหํงชาติในการรักษาความสงบเรียบร๎อยให๎กับสังคมและบ๎านเมือง ได๎อยํางเต็มประสิทธิภาพ เพราะการปฏิบัติงานบางครั้ง เมื่อเจ๎าหน๎าที่ผู๎ปฏิบัติพบปัญหาและอุปสรรค๑ ในการทางาน หรือข๎อขัดข๎องที่ทาให๎เกิดความท๎อแท๎หมดกาลังใจ หัวหน๎าสถานีจะต๎องเป็นผู๎แก๎ไข ปัญหาที่เกิดขึ้น หากหัวหน๎าสถานี ไมํมีภาวะความเป็นผู๎นา ไมํมีความสนใจ ใสํใจ และไมํสามารถ แก๎ปัญหาให๎ผู๎ปฏิบัติได๎ อาจทาให๎เกิดความเสียหายตํอการปฏิบัติหน๎าที่ของตารวจ ซึ่งสํงผลกระทบกับ ประชาชนผู๎รับบริการได๎เป็นอยํางมาก ทาให๎เกิดผลเสียกับหนํวยงาน ระบบงาน และชื่อเสียงของ สานักงานตารวจแหํงชาติได๎ หัวหน๎าสถานีตารวจ นับเป็นกลไกสาคัญ และมีอิทธิพลสูงตํอผลลัพธ๑ที่ได๎จากระบบการทางาน ขององค๑กรตารวจ ทั้งในด๎านประสิทธิภาพของหัวหน๎าสถานีเอง ประสิทธิภาพของเจ๎าหน๎าที่ปฏิบัติงาน ตลอดจนความพึงพอใจของเจ๎าหน๎าที่ปฏิบัติงานของแตํละสถานี นักวิชาการหลายทํานมีความคิดเห็น ตรงกันวํา ความสาเร็จและความล๎มเหลวขององค๑กรนั้น ผู๎นานับเป็นตัวแปรที่สาคัญ เฉพาะอยํางยิ่งใน สั งคมไทย คุณภาพและประสิ ทธิ ภาพในการทางานของเจ๎ าหน๎าที่ และการทางานในภาพรวมมั ก แปรปรวนไปตามผู๎นาเสมอ (รุํง แก๎วแดง, 2546: 28) ซึ่งหน๎าที่ของผู๎นาที่สาคัญนั้นจะต๎องจัดการภายใน องค๑กร เพื่ออานวยการให๎ทรัพยากรเป็นตัวคนและวัตถุประสงค๑เข๎าด๎วยกัน สามารถทางานรํวมกันได๎ อยํ า งมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ เพื่ อ น าองค๑ ก รให๎ ส ามารถด าเนิ น ไปได๎ ผู๎ น าที่ มี ค วามสามารถ จะท าให๎ ผู๎ใต๎บังคับบัญชา มีความขยันขันแข็ง สามัคคี มุํงมั่น เต็มใจทางานและมีขวัญกาลังใจในการปฏิบัติงาน สํงผลให๎เกิดความสาเร็จขึ้นในองค๑กร (วาโร เพ็งสวัสดิ์, 2549: 47) ทางด๎านความหมายของผู๎นานั้นได๎มีนักวิชาการหลายทํานเสนอแนวคิดไว๎จานวนมาก ทั้งใน และตํางประเทศ แตํมีเนื้อหาสาระคล๎ายคลึงกันคือ ผู๎นาหมายถึง ผู๎ที่มีความสามารถมีอิทธิพลเหนือ คนอื่น ได๎รับความไว๎วางใจเชื่อใจอยํางเต็ มที่จากผู๎ใต๎บังคับบัญชาอยํางจริงจัง (ปาริชาติ วลัยเสถียร, 2543: 35) ผู๎นา หมายถึง ผู๎มีอิทธิพลเหนือคนอื่น ในชุมชน และมีบทบาทสาคัญในการนาชุมชนไปสูํ ความสาเร็จตามเปูาหมาย และสามารถทาให๎จุดมุํงหมายบรรลุผลสาเร็จเร็วขึ้น (ธนพร คล๎ายกัน , 2540: 48) ผู๎น า คือ ผู๎ มีอิทธิพลเหนือผู๎อื่น และทาให๎เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสูํจุดมุํงหมายที่ตั้งไว๎ โดยเร็ว ทั้งนี้ขึ้นอยูํกับการสนับสนุนของคนในองค๑กร ซึ่งสอดคล๎องกับ Bass & Avolio (1994: 2) ที่ ได๎ให๎ความหมายของผู๎นาไว๎วํา ผู๎นา หมายถึง ผู๎ที่สามารถทาให๎ผู๎รํวมงานและผู๎ตามมองตนเอง และ มองงานในแงํมุม หรือกระบวนทัศน๑ใหมํๆ ทาให๎เกิดความตระหนักรู๎ในเรื่องวิสัยทัศน๑ และภารกิจของ ทีมและองค๑กร และอีกความหมายหนึ่งซึ่ง Bass (1999: 9-10) ได๎ให๎ความหมายของผู๎นาวํา ผู๎นา หมายถึง ผู๎ที่ทาให๎ผู๎ตามอยูํเหนือความสนใจของตนเอง ผู๎นาจะยกระดับวุฒิภาวะและอุดมการณ๑ของผู๎ตามที่ เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ (Achievement) ความต๎องการความสาเร็จเต็มตามศักยภาพแหํงตน (Self actualization) สุขภาวะ (Well-being) ของบุคคล องค๑กร และสถาบัน ดังที่ Bennis (1984:15-16) กลําววํา ผู๎นา เป็นผู๎ที่มีความสาคัญกับองค๑กร เป็นผู๎มีความรับผิดชอบตํอผลลัพธ๑ที่เกิดขึ้นกับองค๑กร เป็นผู๎ปรับปรุงและพัฒนาบริบทตํางๆให๎เหมาะสมกับความต๎องการในชุมชน และ Dubrin (Dubrin, 1993: 431) ก็กลําววํา ผู๎นา เป็นบุคคลที่สร๎างความสัมพันธ๑ของบุคคลให๎ เกิดขึ้นในองค๑กร และนา องค๑กรไปสูํความสาเร็จ ความมั่นคง โดยสรุปจึงกลําวได๎วําผู๎นา คือ ผู๎ที่มีอิทธิพลอยูํเหนือบุคคลอื่นใน กลุํ ม หรื อ ในองค๑ ก รมี ค วามสามารถในการจู ง ใจคนและเป็ น ที่ ย อมรั บ ให๎ เ ป็ น ผู๎ น าที ม งานในการ


84

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ปฏิบัติงาน หรือนาพาบุคคลอื่นให๎รํวมกันปฏิบัติงานจนกระทั่ งบรรลุเปูาหมายขององค๑กรด๎วยความ เต็มใจ และยินดีที่จะพัฒนางานให๎มีคุณภาพที่สูงขึ้นอยูํเสมอ สาหรับพฤติกรรมผู๎นานั้น Bass (1985) ได๎อธิบายไว๎วํา พฤติกรรมผู๎นา เป็นคุณลักษณะของ ผู๎นาที่แสดงออกมาเพื่อการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงานของผู๎ตามที่ต๎องให๎ได๎ผลลัพธ๑ เกิ นเปูาหมายที่ กาหนด สํวน Hersey & Blandchard (1974) ได๎แสดงความเห็นวํา เป็นลักษณะของผู๎นาที่แสดงอิทธิพล ในการปฏิบั ติงานของบุคคล หรื อกลุํ มคนที่มุํงสูํ การบรรลุ เปูาหมาย ภายใต๎สถานการณ๑ที่กาหนดให๎ สมเกียรติ บาลลา (2554: 22) ได๎กลําวถึง พฤติกรรมผู๎นาวําเป็นคุณลักษณะหรือสิ่งที่บุคคลแสดงออกใน การใช๎อานาจ อิทธิพล แรงจูงใจ การตัดสินใจ รํวมถึงการมีสํวนรํวมในกิจกรรมของกลุํม ที่เป็นการสร๎าง ขวัญกาลังใจ แรงบันดาลใจ ให๎ผู๎อื่นอยากปฏิบัติตาม ทาให๎ผู๎อื่นมีความหวังที่จะรํวมกันพัฒนาหนํวยงาน หรือองค๑กรของตน มีกระตุ๎นให๎ผู๎รํวมงานสนใจในการแก๎ไขปัญหาตํางๆ โดยใช๎แนวความคิดหรือวิธีการ ใหมํๆ และเอาใจใสํดูแล และให๎ความสาคัญกับผู๎รํวมงานทุกคน โดยผํานกระบวนการหรือวิธีการหรือ วิธีการที่ทาให๎ เกิดปฏิสั มพันธ๑ ระหวํางบุ คคลหรือกลุํ มบุคคล อันที่จะกํอให๎ เกิดการกระทากิจกรรม เพื่อให๎ปฏิบัติภารกิจที่ได๎รับมอบหมาย และนาไปสูํการบรรลุวัตถุประสงค๑ขององค๑กร จึ งสรุ ป พฤติ กรรมผู๎ น าได๎ วํ า พฤติ กรรมผู๎ น า หมายถึ ง คุ ณลั กษณะหรื อการกระท าที่ ผู๎ น า แสดงออกในการปฏิบัติงาน ในสถานที่ทางาน กับทุกๆคนที่ทางานรํวมกัน เป็นการประพฤติตนเป็น ตัวอยํางที่ดีให๎ผู๎อื่น ให๎ผู๎อื่นอยากปฏิบั ติตาม สร๎างขวัญกาลังใจ แรงบันดาลใจ ทาให๎ผู๎อื่นมีความหวัง ที่ จะรํวมกันพัฒนาหนํวยงานหรือองค๑กรของตน มีการกระตุ๎นให๎ผู๎รํวมงานมีความสนใจในการแก๎ไขปัญหา ตํางๆ โดยใช๎แนวความคิดหรือวิธีการใหมํๆ และเอาใจใสํดูแล และให๎ความสาคัญกับผู๎รํวมงานทุกคน สาหรับพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลง จะต๎องพิจารณาที่คุณลักษณะของผู๎นาและการกระทา ของผู๎นาที่แสดงถึงการมีอานาจ รวมทั้งตัวแปรสถานการณ๑ที่เกี่ยวข๎อง ซึ่งเป็นแนวทางที่กว๎างกวําแนวคิด ทฤษฎีภาวะผู๎นาอื่นๆ Bass (1999). ได๎เสนอรูปแบบภาวะผู๎นาที่มีการปฏิสัมพันธ๑ระหวํางผู๎นากับผู๎ตามที่ มี ลั กษณะเป็ น พลวั ต (Dynamic)ที่ มี ความตํ อ เนื่ อ งใน 2 รู ป แบบคื อ ภาวะผู๎ น าการเปลี่ ย นแปลง (Transformational leadership) และภาวะผู๎นาการแลกเปลี่ยน (Transactional leadership) โดยที่ รูปแบบภาวะผู๎นาการเปลี่ยนแปลงจะมีความตํอเนื่องจากภาวะผู๎นาการแลกเปลี่ยน โดยผู๎นาที่ใช๎ภาวะ ผู๎นาการเปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนาความต๎องการของผู๎ตามให๎สูงขึ้นตํอเนื่องจากการที่ผู๎นาใช๎ภาวะผู๎นาการ แลกเปลี่ยนเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต๎องการระหวํางกัน เพื่อให๎ผู๎ตามปฏิบัติตามอันเป็นความต๎องการขั้น พื้นฐาน ในระดับความต๎องการตามทฤษฎีของ Maslow สาหรับภาวะผู๎นาทั้ง 2 ประเภทนี้ ผู๎นาคน เดียวกันอาจใช๎ทั้ง 2 ประเภทในสถานการณ๑ที่แตกตํางกัน หรือในเวลาที่แตกตํางกันได๎ โดยที่ความหมาย ของภาวะผู๎ น าการเปลี่ ยนแปลง คื อ กระบวนการที่ ผู๎ น าสามารถโน๎ มน๎ าวบั นดาลใจให๎ ผู๎ ตามบรรลุ เปูาหมาย/ผลงานที่ยิ่งใหญํกวําเดิมได๎ ผู๎นาจึงนับเป็นตัวการหลักของความเปลี่ยนแปลง เป็นตัวแบบที่ดี ซึ่งสามารถสร๎างและสื่อความหมายภาพอนาคตสาหรับองค๑การและสามารถบันดาลใจให๎ผู๎ตามไว๎วางใจ ยอมรับและมุํงมั่นสูํผลสัมฤทธิ์ที่สูงสํงและมาตรฐานแหํงความเป็นเลิศ (ประสาร มาลากุล ณ อยุธยา, 2556) โดยผู๎นาการเปลี่ยนแปลงต๎องแสดงพฤติกรรม 4 ประการดังนี้ 1) พฤติกรรมการมีอิทธิพลอยํางมี อุดมการณ๑ (Charisma or Idealized Influence) 2) พฤติกรรมการสร๎างแรงบันดาลใจ (Inspirational motivation) 3) พฤติกรรมการกระตุ๎นทางปัญญา (Intellectual stimulation) และ 4) พฤติกรรมการ คานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล (Individualized consideration) (Bass & Avolio : 1990)


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

85

จากข๎อมูลที่กลําวมาข๎างต๎น จะเห็นวําพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจ นําจะมีผลตํอประสิทธิภาพในการทางานของเจ๎าหน๎าที่ผู๎ปฏิบัติงาน ซึ่ง Mager & Besch (1976) ได๎เสนอ แนวคิดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานไว๎ดังนี้ 1) ความสามารถในการจาแนกเรื่องราวที่แตกตําง กันได๎ 2) ความสามารถใน การวิเคราะห๑ ปัญหาสาเหตุเพื่อหาทางแก๎ไขปัญหา 3) ความรู๎ ความจาใน เรื่องราวที่ผํานมา และนามาประยุกต๑ใช๎ในสถานการณ๑ที่คล๎ายคลึงกัน แตํมีการจัดระเบียบความคิดให๎มี ประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น 4) ความสามารถในการคิดดัดแปลง ใช๎เครื่องมือตํางๆ เพื่อที่จะปฏิบัติงานให๎ เสร็ จสิ้ นลงไปได๎ และ 5) ความสามารถในการพู ด สื่ อสาร ให๎ ผู๎ รั บสารเข๎ าใจ และปฏิ บั ติ งานได๎ มี ประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอาจสรุปได๎วํา ประสิทธิภาพในการทางาน เป็นความสามารถในการทางานใน หน๎าที่ ที่ตนได๎รับมอบหมายตามสายงาน มีการวางแผน การประสานงาน การบริการ การตัดสินใจ การ บริหาร และกากับดูแล การปฏิบั ติตามอานาจหน๎าที่ ตลอดจนความสามารถในการปฏิบัติงานที่ได๎รับ มอบหมายให๎สาเร็จภายในระยะเวลาที่กาหนด มีการใช๎ทรัพยากรอยํางคุ๎มคําปฏิบัติงานด๎วยความขยัน กระตือรือร๎น ใฝุรู๎ในการปฏิบัติงาน ปฏิบัติงานอยํางทุํมเทและเต็มความรู๎ความสามารถ (ภัคดิษย๑ กะรัต, 2555:8) และโดยเฉพาะอยํางยิ่งในปัจจุบันเป็นยุคแหํงการปฏิรูปองค๑กรตารวจ หัวหน๎าสถานีตารวจถือ เป็ นบุ คคลที่ส าคัญยิ่ ง ที่จะเป็ นแบบอยํางผู๎ นาที่ยอมอุทิศตนเพื่อการปฏิบัติงาน ที่สํ งผลให๎ เจ๎ าหน๎าที่ ผู๎ปฏิบัติงานเกิดความรู๎สึกที่ดี และมีความพึงพอใจตํอตัวผู๎นาและองค๑กร กํอให๎เกิดความสัมพันธ๑ที่ดีใน หนํ วยงาน มี ความรู๎ สึ กมั่นคง มีความสุ ขในการทางาน ซึ่ งตรงตามทฤษฎี ความต๎ องการพื้นฐาน ของ Maslow (1970). ซึ่งแบํงความต๎องการของมนุษย๑ออกเป็น 5 ระดับ โดยพิจารณาจากความต๎องการที่จาเป็น ของมนุษย๑จากต่าสุดไปสูงสุด ไว๎ดังนี้ 1) ความต๎องการทางกายภาพ (Physiological meeds) คือ ความ ต๎องการทางด๎านรํางกาย 2) ความต๎องการความปลอดภัย (Safety or security meeds) คือ ความ ต๎องการด๎านความมั่นคงในการดารงชีวิตในการทางาน จากที่ทางาน รวมทั้งความมั่นคงของครอบครัว 3) ความต๎องการทางสังคม (Social needs) คือ ความต๎องการรู๎สึกเป็นสํวนหนึ่งของสังคม การเป็นที่ยอมรับ ในสังคม 4) ความต๎องการมีฐานะเดํนและได๎รับการยกยํองในสังคม (Status and esteem needs) ประกอบด๎วยสิ่งตํางๆหลายอยําง เชํน ความรู๎ ความสามารถ ความสาคัญในตัวเอง รวมทั้งความต๎องการให๎ คนอื่นสรรเสริญ หรือนับหน๎าถือตา และ 5) ความต๎องการความสาเร็จเต็มตามศักยภาพแหํงตน (Self – actualization needs) ความต๎องการขั้นสุดท๎ายนี้เป็นความนึกคิดอยํางสูงสุดในชีวิต มนุษย๑อยากมี ความสาเร็จสูงสุดตามที่ฝัน ไมํวําทางใดทางหนึ่ง เชํน ด๎านกีฬา ด๎านการศึกษา ด๎านการทางาน เป็นต๎น จากประสบการณ๑ที่ผู๎วิจัยได๎เคยปฏิบัติงานในเขตพื้นที่ของกองบังคับการตารวจนครบาล 5 เป็น เวลามากกวํา 15 ปี ทั้งในฐานะเจ๎าหน๎าที่ผู๎ปฏิบัติงาน และในฐานะทีมบริหารงานของสถานี ตารวจ ได๎เก็บข๎อมูลจากการสอบถามลักษณะการทางานตาแหนํงหัวหน๎าสถานี สรุปได๎วํา ต๎องทางาน ตามนโยบายของสานักงานตารวจแหํงชาติ เพื่อบาบัดทุกข๑บารุงสุขของประชาชน ภายใต๎กรอบของ กฎหมายและคาสั่งของผู๎บังคับบัญชา แตํมีข๎อขัดข๎องอยูํหลายประการ เชํน เขตพื้นที่กองบังคับการ ตารวจนครบาล 5 สํวนใหญํเป็นยํานเศรษฐกิจสาคัญของประเทศ ผู๎คนที่พักอาศัยอยูํในพื้นที่ มีความ หลากหลายตั้งแตํ มหาเศรษฐีของไทย ไปจนถึงคนไร๎บ๎าน ความต๎องการของผู๎คนมีความหลากหลาย บางคนไมํส นใจปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย การทางานภายใต๎กรอบของกฎหมาย จึงค๎นพบ ข๎อบกพรํองอยูํเสมอ อีกทั้งจานวนเจ๎าหน๎าที่ในระดับปฏิบัติงานมีไมํเพียงพอ เมื่อเทียบกับจานวน ประชากรที่พักอาศัยและจานวนคดีที่เกิด รวมทั้งปัญหาการขาดงบประมาณที่ใช๎จํายในการปฏิบัติงาน


86

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

เชํน คําน้ามันรถ คําอาหาร คําที่พักในการออกไปติดตามสืบสวนหรือจับกุมคนร๎ายนอกเขตพื้นที่ คํา สํงเอกสาร หรือคําใช๎จํายเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ทาให๎การปฏิบัติงานเกิดความอึดอัด โดยเฉพาะเมื่อได๎รับ คาสั่งที่ต๎องการผลการปฏิบัติทันทีจากผู๎บังคับบัญชา นอกจากนั้นจากการพูดคุยกับผู๎ปฏิบั ติงาน ทาให๎ ได๎ข๎อสรุปวํา นอกจากปัญหาเรื่องเครื่องมืออุปกรณ๑ หรืองบประมาณที่ไมํเพียงพอแล๎ว ยังมีปัญหาเรื่อง การบังคับใช๎กฎหมาย ที่สวนทางกับความต๎องการของประชาชน หรือผู๎มีอิทธิพล โดยเฉพาะในกรณีที่ มีคดีเกิดขึ้น ถ๎ามีการตัดสินใจให๎ฝุายใดถูก อีกฝุายที่ผิดมักจะไมํ ยอม และหาวิธีมากดดันการทางาน ของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ ไมํวําจะเป็นการฝากให๎ผู๎ใหญํหรือผู๎มีอิทธิพลมากดดัน หรือร๎องเรียนการทางาน ตํางๆ ทาให๎เจ๎าหน๎าที่ระดับปฏิบัติงานเกิดความเครียดจากการทางาน จนเกิดปัญหาตํางๆ ตามมา ตามที่เคยเห็นและได๎ยินการนาเสนอขําว เชํนการฆําตั วตาย การฆําผู๎บังคับบัญชา หรือปัญหาความ แตกแยกของครอบครัว แตํในขณะเดียวกันจากการสอบถามและเก็บข๎อมูลกับหัวหน๎าสถานีตารวจ ใน เขตกองบังคับการตารวจนครบาล 5 พบวํา วิสัยทัศน๑ในการทางานของตารวจ สรุปใจความสาคัญได๎ วํา “ต๎องการให๎ตารวจทุกคนทุกสายงาน ปฏิบัติหน๎าที่ ตามหน๎าที่ที่ได๎รับมอบหมาย ให๎ดีที่สุด ภายใต๎ กรอบของกฎหมาย และศีลธรรมอันดีงาม มีความเป็นมืออาชีพ” ด๎วยเหตุ ผลดังกลําว ในฐานะที่ผู๎วิจั ยเป็นบุคลากรที่เคยปฏิบัติงาน ในระดับสารวัตรและรอง สารวัตรมาหลายสถานีตารวจ สังกัดในกองบังคับการตารวจนครบาล 5 ได๎คานึงถึงความสาคัญของปัญหา จึงมีความสนใจที่จะศึกษาพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจที่สํงผลตํอประสิทธิภาพ และความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจสังกัดกองบังคับการตารวจนครบาล 5 โดยใช๎ หลักทฤษฎีพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลง ของ Bass และ Avolio (Bass & Avolio, 1990) 4 ด๎าน คือ 1) พฤติกรรมการมีอิทธิพลอยํางมีอุดมการณ๑ (Charisma or Idealized Influence) 2) พฤติกรรมการสร๎าง แรงบันดาลใจ (Inspiration motivation) 3) พฤติกรรมการกระตุ๎นทางปัญญา (Intellectual stimulation) และ 4) พฤติกรรมการคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล (Individualized - consideration) ที่มีผลตํอ ประสิ ทธิ ภาพในการปฏิบั ติ งานของเจ๎ าหน๎ าที่ ตารวจ ซึ่ งวัดได๎ จาก 1) การท างานในเรื่ องของการใช๎ ทรัพยากรมาดัดแปลงเข๎ากับการทางาน ให๎คุ๎มคํามากที่สุด 2) การรับผิดชอบในการปฏิบัติงานที่ได๎รับ มอบหมาย 3) การปฏิบัติงานด๎วยความเป็นธรรมของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ ความเสมอภาคในการปฏิบัติตํอผู๎ มาใช๎บริการ 4) การรํวมมือในการทางาน ความสามัคคีในหมูํคณะ 5) การประสานงานกับหนํวยงานอื่น 6) ความมุํงมั่นในการทางานที่ดีเพื่อสังคม 7) การคานึงถึงสํวนรวม 8) ความโปรํงใสในการตรวจสอบ 9) การ เข๎าปฏิบัติงานสม่าเสมอ ตรงตํอเวลา และ 10 ) ความสามารถในการให๎กาลังใจตนเองได๎ และในด๎านความ พึงพอใจของเจ๎าหน๎าที่ตารวจตามแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับความต๎องการทั้ง 5 ด๎านของ Maslow คือ 1) ความต๎องการทางกาย (physiological needs) 2) ความต๎องการความปลอดภัย (safety needs) 3) ความ ต๎องการทางสังคม (social needs) 4) ความต๎องการการยกยํอง (Status and esteem needs) และ 5) ความต๎องการให๎ตนประสบความสาเร็จเต็มตามศักยภาพแหํงตน (Self – actualization needs) ทั้งนี้เพื่อ นาผลการศึกษาที่ได๎ไปใช๎ในการพัฒนาการบริหารจัดการองค๑กรตารวจ ทาความเข๎าใจเจ๎าหน๎าที่ผู๎ปฏิบัติ ตลอดจนสะท๎อนข๎อดีเพื่อสํงเสริมการปฏิบัติให๎ดีขึ้น และสะท๎อนข๎อบกพรํองเพื่อหาทางแก๎ไขปัญหาให๎ถูก ทาง เพื่อให๎เจ๎าหน๎าที่ผู๎ปฏิบัติสามารถให๎บริการประชาชนได๎อยํางเต็มที่ และเป็นประโยชน๑กับราชการ และสังคม ประเทศชาติ อยํางสูงสุดตํอไป


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

87

วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ของกองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล 2. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ กองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ กองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล 4. เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจที่สํงผลตํอประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล 5. เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจที่สํงผลตํอความพึง พอใจในกาปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล นิยามศัพท์และศัพท์ปฏิบัติการ 1. ผู๎นา หมายถึง ผู๎ที่มีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่นในกลุํมหรือในองค๑กร มีความสามารถในการจูง ใจคน และเป็นที่ยอมรับให๎เป็นผู๎นาทีมงานในการปฏิบัติงาน หรือนาพาบุคคลอื่นให๎รํวมกันปฏิบัติงาน จนกระทั่งบรรลุ เปาหมายขององค๑กร ด๎วยความเต็มใจ และยินดีที่จะพัฒนางานให๎มีคุณภาพที่สู ง ขึ้นอยูํเสมอ 2. พฤติกรรมผู๎นา หมายถึง การกระทาที่ผู๎นาแสดงออกในการปฏิบัติงาน ในสถานที่ทางาน กับทุกๆคนที่ทางานรํวมกัน เป็น การประพฤติตนเป็นตัว อยํางที่ดีให๎ผู๎อื่น ให๎ผู๎อื่นอยากปฏิบัติตาม สร๎างขวัญกาลังใจ แรงบันดาลใจ ทาให๎ผู๎อื่นมีความหวังที่จะรํวมกันพัฒนาหนํวยงานหรือองค๑กรของ ตน มีการกระตุ๎นให๎ผู๎รํวมงานมีความสนใจในการแก๎ไขปัญหาตํางๆ โดยใช๎แนวความคิดหรือวิธีการ ใหมํๆ และเอาใจใสํดูแล และให๎ความสาคัญกับผู๎รํวมงานทุกคน 3. พฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลง หมายถึง การกระทาที่ผู๎นาแสดงออกในสถานที่ทางาน ที่ เป็นการประพฤติตนเป็นตัวอยํางที่ดีให๎ผู๎อื่น ทาให๎ผู๎อื่นมีความหวังที่จะรํวมกันพัฒนาหนํวยงานหรือ องค๑กรของตน โดยใช๎แนวความคิดหรือวิธีการใหมํๆ และเอาใจใสํดูแล ให๎ความสาคัญกับผู๎รํวมงานทุก คน โดยมีพฤติกรรมหลัก 4 ด๎านคือ 3.1 พฤติกรรมการมีอิทธิพลอยํางมีอุดมการณ๑ (Charisma or Idealized Influence) หมายถึง การกระทาของหัวหน๎าสถานีตารวจที่แสดงออก เพื่อให๎เจ๎าหน๎าที่ปฏิบัติการ มีความภูมิใจ มี ความศรัทธาและนับถือ มีความยินดีที่จะทุํมเทการปฏิบัติตามภารกิจ โดยหัวหน๎าสถานีตารวจมีความ เชื่อมั่นในตนเอง กาหนดตนเอง กาหนดแนวโน๎มการเปลี่ยนแปลง มีวิสัยทัศน๑มีความสามารถในการ เปลี่ยนแปลง และสามารถแก๎ปัญหาความขัดแย๎งเป็นแบบอยํางที่ดีที่เจ๎าหน๎าที่ยึดถือเป็นแบบอยําง บริหารงานได๎เป็นที่ประทับใจ กาหนดเปูาหมายให๎มีความชัดเจนมีมาตรฐานการปฏิบัติงานสูง 3.2 พฤติกรรมการสร๎างแรงบันดาลใจ (Inspirational motivation) หมายถึง การกระทา ของหัวหน๎าสถานีที่แสดงออกเป็นกระบวนการที่ทาให๎ในสถานีตารวจอุทิศตนเพื่อสํวนรํวม เห็นคุณคํา


88

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

ของผลการปฏิบัติงานตามภารกิจ ที่ชํวยพัฒนาสํวนรวมและสังคม เป็นผลให๎เกิดความพยายามในการ ปฏิบัติงานมากขึ้น โดยหัวหน๎าสถานีตารวจอาใช๎คาพูดเชิงสัญลักษณ๑ หรือชักชวนเพื่อให๎เห็นถึงภารกิจ สาคัญ 3.3 พฤติกรรมการกระตุ๎นทางปัญญา (Intellectual stimulation) หมายถึง การกระทา ของหั วหน๎าสถานี ตารวจที่แสดงออก เพื่อเป็นการกระตุ๎นเจ๎าหน๎าที่ปฏิบัติงานให๎ เห็นวิธีการ และ แนวทางแก๎ปัญหาแบบใหมํ โดยใช๎ภาษางํายๆ สํงเสริมให๎เจ๎าหน๎าที่เข๎าใจบทบาทและยอมรับใน บทบาท สร๎ างความมั่น ใจ เป็ น ผลให๎ เ จ๎ าหน๎าที่ เกิดความพยายามในการปฏิ บัติงานมากขึ้น และ แก๎ปัญหาในการปฏิบัติงานด๎วยความเรียบร๎อย 3.4 พฤติกรรมการคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล (Individualized consideration) หมายถึง การกระทาของหัวหน๎าสถานีตารวจ ที่แสดงออก เป็นกระบวนการวินิจฉัยและยกระดับความ ต๎องการของเจ๎าหน๎าที่ โดยคานึงถึงความแตกตํางระหวํางบุคคล มุํงพัฒนาบุคลากร เป็นพี่เลี้ยง มีการ ติดตํอให๎บุคลากรเป็นรายบุคคล เอาใจใสํในความต๎องการบุคลากร กระจายความรับผิดชอบ สํงเสริมให๎ บุคลากร มีความมั่นคง มีความรู๎สึกเป็นตัวของตัวเอง มีความรับผิดชอบ และควบคุมตัวเองได๎ 4. ประสิ ทธิ ภ าพ หมายถึ ง ผลส าเร็ จที่ เกิ ด ขึ้ นในการท างานของแตํ ล ะบุ คคลนั้ น โดยจะ พิจารณาปั จจัยนาเข๎าเกี่ยวกับ ความพยายาม ความพร๎อม ความสามารถ ความคลํองแคลํวในการ ปฏิบัติงาน โดยจะพิจารณาเปรียบเทียบจากผลที่ได๎คือ ความพึงพอใจของผู๎รับบริการหรือการบรรลุ วัตถุประสงค๑ที่ตั้งไว๎ ในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกองบังคับการ ตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล โดยพิจารณาจากข๎อตํอไปนี้ การปฏิบัติหน๎าที่ที่ได๎รับ มอบหมาย การใช๎ทรัพยากรที่มีอยูํอยํางจากัด การทางานเสร็จทันเวลาที่กาหนด การทางานเป็นทีม การประสานงานกับหนํวยงานภายนอก การยึดหลักอุดมคติของตารวจ การคานึงถึงประโยชน๑สํวนรวม การทางานที่โปรํงใส ตรวจสอบได๎ การได๎รับการสนับสนุนจากหนํวยงานเสมอ และความสามารถในการ ให๎กาลังใจตนเองได๎ 5. ความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน หมายถึง ความรู๎สึกชอบ ความจงรักภักดี ความภาคภูมิใจ ตํองานและองค๑การของบุคคลที่ปฏิบัติอยูํ ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจในเขต พื้นที่รับผิดชอบของกองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาลในด๎านตํางๆ คือ ด๎านสภาพแวดล๎อมในการทางาน ด๎านการปกครองบังคับบัญชา ด๎านการบริหาร ด๎านความสัมพันธ๑ใน หนํวยงาน ด๎านความปลอดภัยในการทางาน ด๎านความมั่นคงก๎าวหน๎าในการทางาน ด๎านคําตอบแทน และสวัสดิการในการทางาน และ ด๎านครอบครัว ตามแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับความต๎องการทั้ง 5 ด๎าน ของ Maslow (1970) ดังนี้คือ 5.1 ความต๎องการทางกาย (physiological needs) 5.2 ความต๎องการความปลอดภัย (safety needs) 5.3 ความต๎องการทางสังคม (social needs) 5.4 ความต๎องการการยกยํอง (status and esteem needs) 5.5 ความต๎องการความสาเร็จเต็มตามศักยภาพแหํงตน (self actualization needs)


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

89

6. หัวหน๎าสถานีตารวจ หมายถึง นายตารวจชั้นสัญญาบัตร ยศพันตารวจเอก ที่ได๎รับการ แตํงตั้งให๎ดารงตาแหนํงเป็นหัวหน๎าสถานีตารวจ มีหน๎าที่บริหารงานสถานีตารวจ และปกครอง บังคับ บัญชาผู๎ใต๎บังคับบั ญชา ตั้งแตํรองผู๎กากับการลงไปจนถึงผู๎บังคับหมูํ โดยต๎องควบคุมตรวจตราดูแล การปฏิบัติหน๎าที่ของผู๎ใต๎บังคับบัญชา ให๎ปฏิบัติหน๎าที่และดาเนินการตามกฎหมายและระเบียบแบบ แผนของสานักงานตารวจแหํงชาติ ตลอดจนสอดคล๎องกับนโยบายของรัฐ และตามที่ผู๎บังคับบัญชา มอบหมายเป็นกรณีพิเศษ 7. เจ๎าหน๎าที่ตารวจ หมายถึง ข๎าราชการตารวจตั้งแตํระดับ รองผู๎กากับ สารวัตร รองสารวัตร และผู๎บังคับหมูํ ที่ปฏิบัติงานในสายงานปูองกันปราบปราม, สืบสวน, จราจร, สอบสวน และ อานวยการ(ธุรการ) 8. เจ๎ า หน๎ า ที่ ต ารวจในเขตพื้ น ที่ รั บ ผิ ด ชอบของกองบั ง คั บ การต ารวจนครบา ล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล หมายถึง ข๎าราชการตารวจที่ได๎รับการแตํงตั้งให๎มาปฏิบัติหน๎าที่ ณ สถานีตารวจนครบาลในเขตกรุงเทพมหานคร จานวน 9 สถานี ได๎แกํ สถานีตารวจนครบาลลุมพินี , สถานีตารวจนครบาลทุํงมหาเมฆ, สถานีตารวจนครบาลบางโพงพาง, สถานีตารวจนครบาลวัดพระยาไกร, สถานีตารวจนครบาลทําเรือ, สถานีตารวจนครบาลทองหลํอ, สถานีตารวจนครบาลพระโขนง, สถานีตารวจนครบาลคลองตัน และสถานีตารวจนครบาลบางนา ที่มียศตั้งแตํ สิบตารวจตรี ไปจนถึง พันตารวจโท ที่ปฏิบัติหน๎าที่ในสายงานปูองกันปราบปราม, สืบสวน, จราจร, สอบสวน และ อานวยการ(ธุรการ) 9. กองบั ง คั บ การต ารวจนครบาล 5 หมายถึ ง หนํว ยงานในระดั บ กองบั งคั บ การ สั ง กั ด กองบั ญ ชาการตารวจนครบาล หนํว ยงานในสํ ว นงานปูอ งกัน และปราบปรามอาชญากรรมของ สานักงานตารวจแหํงชาติ ซึ่งมีพื้นที่ในเขตรับผิดชอบสํวนใหญํเป็นยํานเศรษฐกิจสาคัญของประเทศ ประกอบด๎วยสถานีตารวจ จานวน 9 แหํง ดังนี้ สถานีตารวจนครบาลทองหลํอ สถานีตารวจนครบาลลุ มพินี สถานีตารวจนครบาลวัดพระยาไกร สถานีตารวจนครบาลพระโขนง สถานีตารวจนครบาลบางโพงพาง สถานีตารวจนครบาลทุํงมหาเมฆ สถานีตารวจนครบาลบางนา สถานีตารวจนครบาลทําเรือ และสถานีตารวจนครบาลคลองตัน การดาเนินการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร ข๎าราชการตารวจสถานีตารวจนครบาล สังกัดกองบังคับการตารวจนครบาล 5 จาก 9 สถานีตารวจ ได๎แกํ สถานีตารวจนครบาลลุมพินี , สถานีตารวจนครบาลทุํงมหาเมฆ, สถานี ตารวจนครบาลบางโพงพาง, สถานีตารวจนครบาลวัดพระยาไกร, สถานีตารวจนครบาลทําเรือ, สถานี ตารวจนครบาลทองหลํอ, สถานีตารวจนครบาลพระโขนง, สถานีตารวจนครบาลคลองตัน และสถานี ตารวจนครบาลบางนา จานวน 1,150 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง ข๎าราชการตารวจทุกระดับของสถานีตารวจในสังกัดกองบังคับการตารวจ นครบาล 5 จาก 9 สถานี จากการเลือกแบบเจาะจงประกอบด๎วยเจ๎าหน๎าที่ตารวจฝุ ายปูองกัน ปราบปรามจานวน 55 คน, เจ๎าหน๎าที่ตารวจฝุายสืบสวนจานวน 55 คน, เจ๎าหน๎าที่ตารวจฝุายจราจร


90

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

จานวน 55 คน, เจ๎าหน๎าที่ตารวจฝุายสอบสวน หรือ พนักงานสอบสวนจานวน 55 คน และเจ๎าหน๎าที่ ตารวจฝุายอานวยการ(ธุรการ) จานวน 23 คน รวมทั้งสิ้น 243 คน ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น พฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลง ของหัวหน๎าสถานีตารวจในสังกัดกองบังคับการ ตารวจนครบาล 5 ตามแนวคิดของ Bass & Avolio (1990) ใน 4 ด๎าน ตัวแปรตาม ประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจทุกสถานี ในสังกัดกองบังคับการตารวจนครบาล 5 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่ องมือที่ใช๎ในการวิจั ย เป็ นแบบวัด พฤติกรรมผู๎ นาการเปลี่ ยนแปลงของหั ว หน๎าสถานี ตารวจที่สํงผลตํอความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกอง บังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล แบํงเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 แบบวัดเกี่ยวกับข๎อมูลทั่วไป ตอนที่ 2 แบบวัดความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความพึงพอใจ การปฏิบัติงานของ เจ๎าหน๎าที่ตารวจ ตอนที่ 3 แบบวัดเกี่ยวกับพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจลักษณะของ แบบวัดตอนที่ 2 และตอนที่ 3 มีลักษณะเป็นแบบวัดแบบมาตราสํวนประมาณคํา 5 ระดับของ ลิเคิร๑ท (Likert’s Five Rating Scales) (บุญชม ศรีสะอาด 2553: 58-60) การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข๎อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ผู๎วิจัยได๎ใช๎แบบวัดทั้งสิ้น 243 ชุด แจกจํายไปยัง สถานีตารวจนครบาลทั้ง 9 แหํง โดย 1) ติดตํอประสานงานกับหัวหน๎าสถานีตารวจนครบาลทั้ง 9 แหํง สํงแบบวัดโดยเขียนระบุจานวนผู๎ตอบแบบวัดไว๎ดังนี้ เจ๎าหน๎าที่ตารวจฝุายปูองกันปราบปราม จานวน 55 คน, เจ๎าหน๎าที่ตารวจฝุายสืบสวนจานวน 55 คน, เจ๎าหน๎าที่ตารวจฝุายจราจรจานวน 55 คน, เจ๎าหน๎าที่ตารวจฝุายสอบสวน หรือ พนักงานสอบสวนจานวน 55 คน และเจ๎าหน๎าที่ตารวจฝุาย อานวยการ(ธุรการ) จานวน 23 คน รวมทั้งสิ้น 243 คน 2) เก็บรวบรวมแบบวัดทั้งหมดมาตรวจดู ความถูกต๎อง หากพบวําแบบวัดไมํสมบูรณ๑ในสายงานใด ผู๎วิจัยจะดาเนินการแจกแบบวัดใหมํ อีกครั้ง (เป็นกรณีความลับโดยไมํเปิดเผย) การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห๑ข๎อมูลครั้งนี้ ผู๎วิจัยนาข๎อมูลที่ได๎มาประมวลผลตามวัตถุประสงค๑ของการวิจัยดังนี้ 1. วิเคราะห๑แบบวัด เกี่ยวกับพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจสํงผล ตํอประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ กองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล ผู๎วิจัยวิเคราะห๑ข๎อมูลโดยใช๎คํ าเฉลี่ย และสํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

91

2. วิเคราะห๑ความสัมพันธ๑ของพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหั วหน๎าสถานีตารวจกับ ประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกอง บังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล และวิเคราะห๑สัมประสิทธิ์ความถดถอยแบบ พหุคูณ (Multiple Regression Analysis) เพื่อพยากรณ๑ความสัมพันธ๑ระหวําง พฤติกรรมผู๎นาการ เปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจ กับประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ ตารวจ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล การสรุปผลการวิจัย 1. ผลการวิจั ยพบวําพฤติกรรมผู๎ นาการเปลี่ ยนแปลงของหั วหน๎าสถานีตารวจในเขตพื้นที่ รับผิดชอบของกองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล อยูํในระดับมากทุกด๎าน โดยเรี ยงล าดั บรายด๎ านจากคํ าเฉลี่ ยมากไปน๎ อยได๎ แกํ พฤติ กรรมการมี อิ ทธิ พลอยํ างมี อุ ดมการณ๑ (Charisma or Idealized Influence) พฤติกรรมการกระตุ๎นเชาวน๑ปัญญา (Intellectual stimulation) พฤติกรรมการสร๎างแรงบันดาลใจ (Inspiration -motivation) และ พฤติกรรมการคานึงถึงความเป็น ปัจเจกบุคคล (Individualized consideration) 2. ผลการวิ จั ย พบวํ าประสิ ท ธิ ภ าพในการปฏิ บั ติง านของเจ๎า หน๎ าที่ ต ารวจ ในเขตพื้ น ที่ รับผิดชอบ ของกองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล โดยภาพรวมอยูํใน ระดับมาก โดยเรียงลาดับรายด๎าน จากคําเฉลี่ยมากไปหาน๎อยดังนี้ พฤติกรรมการคานึงถึงประโยชน๑ สํว นรวม การยึ ดหลั กอุ ดมคติของตารวจ การทางานที่โปรํงใสตรวจสอบได๎ การประสานงานกับ หนํวยงานข๎างนอก การใช๎ทรัพยากรที่มีอยูํอยํางจากัด การปฏิบัติงานที่ได๎รับมอบหมายการทางาน เสร็จทันเวลาที่กาหนด ความสามารถในการให๎กาลังใจตนเองได๎ การทางานเป็นทีม และการได๎รับการ สนับสนุนจากหนํวยงานเสมอ 3. ผลการวิ จั ย พบวํ าความพึ งพอใจในการปฏิ บั ติ งานของเจ๎ าหน๎ าที่ ต ารวจ ในเขตพื้ น ที่ รับผิดชอบของกองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล โดยภาพรวมอยูํในระดับ มาก โดยเรียงลาดับรายด๎านจากคําเฉลี่ยมากไปหาน๎อยดังนี้ ความต๎องการทางสังคม (Social needs) ความต๎องการความสาเร็จเต็มตามศักยภาพแหํงตน (Self actualization needs) ความต๎องการการยก ยํอง (Status and esteem needs) ความต๎องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety needs) และ ความ ต๎องการทางกาย (Physiological needs ) 4. ผลการวิ จั ย พบวํ า พฤติ ก รรมผู๎ น าการเปลี่ ย นแปลงของหั ว หน๎ า สถานี ต ารวจมี ความสัมพันธ๑กันทางบวก กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ของกองบังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสามารถรํ วมกันพยากรณ๑ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจในภาพรวมได๎ ร๎อยละ 83.0 5. ผลการวิจัย พบวํา พฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจมีความสัมพันธ๑ กันทางบวก กับความพึงพอใจ ในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกอง บังคับการตารวจนครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ สามารถรํวมกันพยากรณ๑ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจในภาพรวมได๎ ร๎อยละ 68.6


92

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

การอภิปรายผลการวิจัย จากผลการศึกษาพบวํา พฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจที่สํงผลตํอ ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกองบังคับการตารวจ นครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาลอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีการแปรคําที่ในระดับ มาก ในทุกหัวข๎อ ทั้งนีอ้ าจเป็นเพราะหัวหน๎าสถานีตารวจ มีพฤติกรรมการมีอิทธิพลอยํางมีอุดมการณ๑ที่ คํอนข๎างสูง จึงสํงผลให๎เจ๎าหน๎าที่ตารวจระดับปฏิบัติการทางานอยํางอยํางเต็มความสามารถสํงผลให๎ ผลงานออกมาอยํางมีประสิทธิภาพโดยพิจารณาได๎จากการที่ผู๎ใต๎บังคับบัญชามีพฤติกรรมการยึดหลัก อุดมคติ ของต ารวจอยูํ ในระดั บ สู ง อาจเป็ นเพราะมี แบบอยํ างจากหั ว หน๎ าสถานี ที่ ดี อีกทั้ งการใช๎ พฤติกรรมกระตุ๎นทางปัญญา พฤติกรรมการสร๎างแรงบันดาลใจ และพฤติกรรมที่คานึงถึงความเป็น ปัจเจกบุคคล ที่หัวหน๎าสถานีตารวจทุกสถานีมีในระดับสูง ล๎วนสํงผลตํอประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของผู๎ใต๎บังคับบัญชาทั้งสิ้น สํวนผลการศึกษาพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานีตารวจปรากฏวําสํงผลตํอ ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ๎าหน๎าที่ตารวจ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกองบังคับการตารวจ นครบาล 5 กองบัญชาการตารวจนครบาล อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นั้นเพราะหัวหน๎า สถานีตารวจ มีพฤติกรรมการมีอิทธิพลอยํางมีอุดมการณ๑ที่คํอนข๎างสูง อีกทั้งมีพฤติกรรมการกระตุ๎น ทางปัญญา พฤติกรรมการสร๎างแรงบันดาลใจ และพฤติกรรมการคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล อยูํใน ระดับสูงด๎วยเชํนกัน จึงสํงผลให๎ผู๎บังคับบัญชาซึ่งเป็นเจ๎าหน๎าที่ ระดับปฏิบัติงานเกิดความพึงพอใจมาก เพราะได๎ รั บ การตอบสนองในด๎ านความต๎ องการทางสั ง คม ซึ่ งเป็ นความต๎ อ งการที่ มากที่ สุ ดของ ผู๎ปฏิบั ติงานเมื่อสิ่ งที่ต๎องการได๎รั บการดูแลจากหั วหน๎าสถานีเป็นอยํางดี ผู๎ใต๎บังคับบัญชาในระดับ ปฏิบัติงานจึงมีความพึงพอใจในการปฏิบัติงานในระดับมาก จึงนับได๎วําพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลง ของหัวหน๎าสถานีตารวจสํงผลตํอความพึงพอใจของผู๎ใต๎บังคับบัญชาในระดับปฏิบัติงานได๎อยํางแท๎จริง สอดคล๎องกับแนวคิดเชิงทฤษฎีและผลงานวิจัยที่ผู๎วิจัยประมวลมาใช๎ในการพัฒนางานวิจัยครั้งนี้ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ 1. การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษากลุํมตัวอยํางในภาพรวม ไมํได๎แยกตามฝุายงาน ดังนั้น การนาไปใช๎วิเคราะห๑เจ๎าหน๎าที่ระดับปฏิบัติงานควรมองในภาพรวม 2. การศึ ก ษาครั้ ง นี้ เป็ น การศึ ก ษากลุํ ม ตั ว อยํ า งในเขตเมื อ งใหญํ เ ทํ า นั้ น ดั ง นั้ น ข๎ อ มู ล ความคิดหรือภาระงานของเจ๎าหน๎าที่ระดับปฏิบัติงานอาจมีความยืดหยุํนแตกตํางกันไปตามบริบทของ สถานที่ตั้งในแตํละภูมิภาค ข้อเสนอแนะในการวิจัยต่อไป 1. การศึกษาวิจัยในครั้งตํอไป ควรศึกษาพฤติกรรมผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของหัวหน๎าสถานี ตารวจที่ สํ งผลตํ อประสิ ทธิ ภ าพและความพึ งพอใจในการปฏิ บั ติ งานของเจ๎ าหน๎ าที่ ต ารวจ ที่ ระบุ เฉพาะเจาะจงไปที่ งานในหน๎าที่ที่รับผิดชอบ ทั้ง 5 ฝุายงาน คือ ฝุายสืบสวน ผํายจราจร ฝุายสอบสวน ฝุายปูองกันปราบปราม และฝุายอานวยการ (ธุรการ)


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

93

2. การศึกษาวิจัยในครั้งตํอไป ควรเพิ่มการใช๎วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ อาทิการสัมภาษณ๑หรือ การจัดสนทนากลุํมเฉพาะ (Focus group) เพื่อให๎เจาะลึกถึงปัญหาที่แท๎จริงของกลุํมตัวอยํางได๎มากขึ้น เอกสารอ้างอิง กิตติชัย รุจิราวินิจฉัย. (2558). การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการงานสอบสวนของกองบัง ชาการตารวจนครบาล สานักงานตารวจแห่งชาติ. สานักงานตารวจแหํงชาติ. โฆษิต บุญทวี. (2542). แบบภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานีตารวจที่ผู้ใต้บังคับบัญชาพึงพอใจในการ ปฏิบัติหน้าที่: ศึกษาเฉพาะกรณีหัวหน้าสถานีตารวจในสังกัดกองบังคับการตารวจนคร บาล. วิทยานิพนธ๑มหาบัณฑิต. คณะสังคมสงเคราะห๑ศาสตร๑. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๑. จรัส ธรรมธนารักษ๑, ร.ต.อ. (2541). ความพึงพอใจในการทางานของตารวจชั้นประทวน กองบังคับ การตารวจจราจร. กรุงเทพมหานคร: วิทยานิพนธ๑มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร๑. จุฑาภรณ๑ คงรักษ๑กวิน. (2555). ความพึงพอใจของประชาชนต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตาม โครงการโรงพักเพื่อประชาชนของสถานีตารวจภูธร บางศรีเมือง จังหวัดนนทบุรี . คณะ นิติศาสตร๑ มหาวิทยาลัยราชพฤกษ๑. ประสาร มาลากุล ณ อยุธยา. (2556). บทวิจารณ๑หนังสือ Leadership:Theory and Practice,sixth edition. วารสารจิ ตวิทยา มหาวิทยาลั ยเกษมบัณฑิ ต ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม – ธันวาคม 2556). มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. ปิยฉัตร กลิ่นสุวรรณ. (2554). รูปแบบการใช้บุคคลที่มีความสามารถสูงของผู้บริหารภาครัฐ:กรณี วิเคราะห์ความสัมพัน ธ์เชิงสาเหตุ . ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลั ย เกษมบัณฑิต. พินิ จ แก๎ ว บุ ญเรื อง. (2557). ความพึงพอใจของประชาชนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หน้า ที่ ตารวจสถานีตารวจภูธรสาโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปราการ. ปริญญารัฐประศาสนศาสตร มหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. ภัคดิษย๑ กะรัต. (2555). การรับรู้พฤติกรรมผู้นาที่มีผลต่อพฤติกรรมเกี่ยวข้องกั บการปฏิบัติงาน ของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลตารวจ. วิทยานิพนธ๑ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. รั ต ติ ก รณ๑ จงวิ ศ าล. (2543). ผลการฝึ ก อบรมภาวะผู้ น าการเปลี่ ย นแปลงของผู้ น านิ สิ ต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ . ปริญญานิพนธ๑วิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิจัยพฤติกรรม ศาสตร๑ ประยุกต๑. กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. _______ (2554). มนุษยสัมพัน ธ์: พฤติกรรมมนุษย์ในองค์การ. (พิมพ๑ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : สานักพิมพ๑มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร๑. สานั กงานตารวจแหํ งชาติ. คาสั่ ง. (2555). โครงสร้ า งสถานีตารวจ. สานักงานตารวจแหํ งชาติ. กรุงเทพฯ. _______. (2555). แผนยุทธศาสตร์. สานักงานตารวจแหํงชาติ. กรุงเทพฯ.


94

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

อาคม ถึงสุขประศาสตร๑. (2553). ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการตารวจ สถานีตารวจ นครบาลทองหล่อ. ปริญญารัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. อานันท๑ ปันยารชุน. (2543). นานาทัศนะว่าด้วยการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี. นนทบุรี: สานักงานคณะกรรมการข๎าราชการพลเรือน. Bass, B.M. and Avolio, B.J. (1990). The four Is Transformational Leadership. Journal Of European Industrial Training, 15 (2). Bass, B.M. & Avolio, B.J. (1994). Improving Organization Effectiveness Trough Transformational Leadership. California. Oaks: Sage Pubbications Ins. Burns, J. M. (1978). Leadership. New York: Harper and Row. Dubrin, A. J., & Ireland, R. D. (1993). Management and organization (2nd ed.). Ohio: South Westem Publishing Company. Hersey, P. and Blanchard, H. B. (1988). Management of Organizational Behavior: Utilizing Human Resources. Englewood. Boston : PWS-Kent. Likert, R. 1967. “The Method of Constructing and Attitude Scale”, Reading in Attitude Theory and Measurement. P.90-95. Fishbeic, Matin, Ed. New York : Wiley & Son.Mager, R.F. and Beach, K.M. Developing Vocational Instruction, Belmont; Fearon Publishing, 1967. Maslow, A. H. (1970). Motivation and Personality. New York: Harper and Row. Reddin, W.J. (1970). Managerial effectiveness. New York : McGraw-Hill. ……………………………………………………………………


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

95

ผลการให้คาปรึกษาแบบกลุ่มตามแนวการรู้คิดและพฤติกรรม เพื่อลดพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของนักศึกษาที่ เป็นกลุ่มเสี่ยง The Effect of Cognitive Behavioral Group Counseling on Alcohol Drinking Behavior Reduction of At-Risk Students พรทิพย๑ ทองสุก1 อุมาภรณ๑ สุขารมณ๑2

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค๑เพื่อ (1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ของ นั ก ศึ กษาที่ เ ป็ น กลุํ ม เสี่ ย งกลุํ มทดลองที่ ได๎ รั บการให๎ ค าปรึ กษาแบบบกลุํ ม ตามแนวการรู๎ คิ ด และ พฤติกรรม กํอนการทดลอง-หลังการทดลอง และหลังการติดตามผล (2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดื่ม แอลกอฮอล๑ของนักศึกษาที่เป็นกลุํมเสี่ยง ที่ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและ พฤติ ก รรม ระหวํ า งกลุํ มทดลองและกลุํ ม ควบคุ ม กลุํ มตั ว อยํ า งที่ ใ ช๎ ใ นการวิ จั ย ได๎ แ กํ นั ก ศึ ก ษา มหาวิทยาลัยแหํงหนึ่ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 จานวน 16 คน แบํงเป็นกลุํมทดลอง 8 คน ได๎ เข๎ารํวมโปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํม และ กลุํมควบคุม 8 คน ไมํได๎เข๎ารํวมโปรแกรมการให๎ คาปรึกษาแบบกลุํม เครื่องมือที่ใช๎ในการวิจัย ประกอบด๎วย แบบสอบถามข๎อมูลทั่วไป แบบประเมิน พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ และโปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและ พฤติกรรม ผลการวิจัยพบวํา (1) นักศึกษากลุํมเสี่ยงกลุํมทดลอง ที่ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตาม แนวการรู๎คิดและพฤติกรรม หลังการทดลอง มีคะแนนพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ลดลง มากกวํากํอนการทดลอง อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) นักศึกษากลุํมเสี่ยงกลุํมทดลอง ที่ ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม มีคะแนนพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล๑ หลังการทดลองและหลังการติดตามผล 2 สัปดาห๑ ไมํแตกตํางกัน (3) นักศึกษากลุํมเสี่ยง กลุํ มทดลองที่ได๎รั บการให๎ คาปรึ กษาแบบกลุํ มตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม หลั งการทดลอง มี คะแนนพฤติ กรรมการดื่ มเครื่ องดื่ มแอลกอฮอล๑ ล ดลงมากกวํ ากลุํ มควบคุ ม หลั งจากได๎ รั บการให๎ คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คาสาคัญ: พฤติกรรม การรู๎คิด แอลกอฮอล๑ 1

นักศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการให๎คาปรึกษา คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยรามคาแหง 2 อาจารย๑ ดร. ประจาภาควิชาจิตวิทยาการปรึกษา มหาวิทยาลัยรามคาแหง


96

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

Abstract This research purpose (1) To study alcohol drinking behaviors of risky students in experimental group who received group counseling according to the concept of knowledge and behavior. Pre-trial - after trial and after follow-up (2) To study the alcohol behavior of students at risk. Received consulted in a group based on conceptual knowledge and behavior. Between experimental group and control group. The research sample use consisted of 16 university students from a university in the first semester of the academic year of 2016 academic year, divided into experimental group consisted of 8 students, join participated in a group counseling program based on cognitive and affective thinking and group control 8 persons did not join participate in group counseling programs based on cognitive and behavioral approaches. The research instruments consisted of general information questionnaire. Alcohol consumption behavior assessment. And group counseling programs based on cognition and behavior.The research found that (1) Students who receive group counseling programs based on cognition and behavior. After the experiment, there was a decrease in drinking behavior. more than pre-trial. Statistically significant at the 05 level. (2) Students who receive group counseling programs based on cognition and behavior, alcohol consumption behavior scores. After the experiment and after 2 weeks of follow-up was no different. (3) Students who receive group counseling programs based on cognition and behavior. After the experiment, had alcohol consumption behavior scores decrease more than control group. After receiving group counseling based on cognition and behavior. Statistically significant at the 05 level. Key words: behavior, Cognitive, Alcohol บทนา เครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ เป็นสิ่งเสพติดที่พบมากที่สุดในชุมชนทั่วๆ ไป เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถ เสพและครอบครองได๎โดยไมํผิดกฎหมายและหาซื้อได๎งําย การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑มีผลเสียตํอ สุขภาพซึ่งเป็นโทษตํอสมองและระบบประสาท แอลกอฮอล๑จะมีผลโดยตรงตํอระบบประสาท โดยกด การทางานของระบบประสาท ซึ่งทาหน๎ าที่สั มพันธ๑กับการตัดสิ นใจ ความจา การเรียนรู๎ และการ ควบคุมตนเอง เมื่อสมองสํวนนี้ถูกกดจะทาให๎ผู๎ที่ดื่มแอลกอฮอล๑ขาดสติ ไมํมีความยับยั้ง เพราะสูญเสีย ระบบควบคุมตนเอง แตํอยํางไรก็ตามการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ในสังคมไทยโดยทั่วไปอาจถือวําเป็น เรื่องปกติ เพราะมีการดื่มกันอยํางแพรํหลาย จะเห็นได๎จากการที่งานเลี้ยง งานสังสรรค๑ งานประเพณี ตํางๆ แทบจะทุกงานจะต๎องมีเครื่ องดื่มแอลกอฮอล๑ เป็นสํ วนประกอบด๎วยเสมอ เนื่องจากเมื่อดื่ ม


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

97

เครื่องดื่มแอลกอฮอล๑แล๎วทาให๎รู๎สึกผํอนคลาย สนุกสนาน เข๎าสังคมกับผู๎อื่นได๎ดี เกิดความกล๎าที่จะพูด และทาในสิ่งที่ปกติแล๎วไมํกล๎าทา ด๎วยเหตุนี้ จึงทาให๎มีผู๎ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ในทุกสังคม และเป็น เหตุให๎เกิดปัญหาตํางๆ ตามมามากมาย โดยพบวําการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ ไมํวําจะเป็นการดื่ม บํอยๆ หรือนานๆ ครั้ง รวมทั้งปริมาณการดื่มไมํวําจะดื่มครั้งละน๎อยๆ หรือดื่มครั้งละมากๆ ก็กํอให๎เกิด การเมาสุรา การติดสุรา และผลของพิษจากแอลกอฮอล๑ทาให๎เกิดผลหลายประการ ได๎แกํ โรคเรื้อรัง เชํน โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูงโรคหัวใจ โรคเส๎นเลือดในสมองแตก ปัญหาอุบัติเหตุ ปัญหาสังคม ระยะสั้น เชํน อาชญากรรม ปัญหาการทางาน ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และปั ญหาระยะยาว เชํน หนี้สิน สูญเสียหน๎าที่การงาน ครอบครัวแตกแยก คนจรจัดไร๎ที่อยูํ (บัณฑิต ศรไพศาล และคณะ, 2549 หน๎า 17) นอกจากนี้การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ยังเป็นต๎นเหตุของความสูญเสีย โดยมีสถิติการ ตายจากอุบัติเหตุเป็นอันดับแรก รองลงมาได๎แกํ มะเร็ง ตับแข็ง การถูกทาร๎าย โรคทางจิตเวช โรคหัวใจ และหลอดเลือดและอื่นๆ ซึ่งล๎วนสํงผลกระทบทางสังคมในระดับสูง (สานักงานกองทุนสนับสนุนการ สร๎างเสริมสุขภาพ, 2550 หน๎า 39) จะเห็ นวํา การดื่มแอลกอฮอล๑ของนักศึกษากํอให๎เกิดผลกระทบมากมาย และในปัจจุบัน นั ก เรี ย น นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษา ต๎ อ งเรี ย นและพั ก อาศั ย ทํ า มกลางร๎ า นจ าหนํ า ยเครื่ อ งดื่ ม แอลกอฮอล๑ (พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ , 2553 อ๎างอิงใน ลิขิต วงศ๑อานาจ, 2553 หน๎า 2) ซึ่งความ หนาแนํนของร๎านจาหนํายเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑รอบสถานศึกษามีผลตํอการเพิ่มแรงจูงใจในการดื่ม และสร๎างทัศนคติทางบวกตํอการดื่ม แม๎การดื่มแอลกอฮอล๑จะกํอให๎เกิดผลกระทบตํางๆ มากมายดังกลําวมาแล๎ว แตํประชาชนก็ ยังนิยมดื่มกันอยํางแพรํหลาย จึงอาจกลําวได๎วําการดื่มแอลกอฮอล๑เป็นปัญหาทางพฤติกรรมชนิดหนึ่ง จึงมีความจาเป็นที่ต๎องให๎ความสนใจเพื่อลดผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล๑ที่เกิดขึ้ น ดังนั้นบุคคล จะเลิ กดื่มแอลกอฮอล๑ ได๎ต๎องมีค วามพร๎อมที่จะปรับเปลี่ ยนพฤติ กรรมและมีวิธีป ฏิบัติเพื่อเลิ กดื่ ม แอลกอฮอล๑อยํางเหมาะสม (นฤมล อารยะพิพัฒน๑, 2544 อ๎างอิงใน สุธาสินี นพธัญญะ, 2551 หน๎า 2) ผู๎วิจัยจึงสนใจศึกษาเรื่องผลการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎ คิดและพฤติกรรม เพื่อ ลดพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ของนักศึกษาที่เป็นกลุํมเสี่ยง เนื่องจากนักศึกษาเป็นวัยที่มี การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความคิดอยํางรวดเร็วในการปรับตัวเข๎ากับสังคมและสภาพแวดล๎อม หรือการปรับตัวในการเรียน มีความอยากรู๎อยากลองสิ่งใหมํๆ โดยการชักชวนของกลุํมเพื่อนหรือจาก ตนเอง นาไปสูํพฤติกรรมเสี่ยงตํอการลองดื่มแอลกอฮอล๑ หรือลองใช๎สารเสพติดประเภทอื่นๆ จึงเป็น สิ่งสาคัญในการรํวมกันปูองกันและหาแนวทางในการแก๎ไข สามารถดารงชีวิตอยูํในสังคมได๎อยํางมี ประสิทธิภาพ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ของนักศึกษาที่เป็นกลุํมเสี่ยงกลุํมทดลอง ที่ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม กํอนการทดลอง-หลังการทดลอง และหลังการติดตามผล 2. เพื่อ ศึกษาพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล๑ ของนัก ศึกษาที่ เป็น กลุํ ม เสี่ ย ง ที่ ได๎รั บการให๎ คาปรึกษาแบบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม ระหวํางกลุํมทดลองและกลุํมควบคุม


98

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

สมมติฐานของการวิจัย 1. นักศึกษาที่เป็นกลุํมเสี่ยงที่ได๎เข๎ารํวมการปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม มีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ลดลง 2. นั ก ศึ กษากลุํ ม เสี่ ย งหลั งจากการเข๎ า รํว ม การปรึ กษาแบบกลุํ ม ตามแนวการรู๎ คิด และ พฤติกรรม และระยะติดตามผล 2 สัปดาห๑ มีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ ไมํแตกตํางกัน 3. นักศึกษาที่เป็นกลุํมเสี่ยงที่ได๎เข๎ารํวมการปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม มีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑น๎อยกวํานักศึกษากลุํมเสี่ยง ที่ไมํได๎เข๎ารํวมการให๎คาปรึกษา แบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มุํงเพื่อศึกษาผลการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม เพื่อ ลดพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ของนักศึกษาที่เป็นกลุํมเสี่ยง 1. ประชากรและกลุํมตัวอยําง ประชากรที่ใช๎ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาที่กาลังศึกษาในระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัย แหํงหนึ่ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 กลุํมตัวอยํางในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักศึกษาที่กาลังศึกษาในระดับอุดมศึกษา มหาวิ ทยาลัย แหํงหนึ่ง โดยการใช๎การสุํมตัวอยํางแบบ Snowball sampling โดยการสังเกตบุคลิกภาพและ สัมภาษณ๑บุคคลหนึ่งที่มีคุณสมบัติตามที่ต๎องการจะศึกษาแล๎วก็ขอให๎คนในกลุํมนี้ระบุถึงบุคคลอื่น ๆ ที่ มีลักษณะเดียวกันตํอไปอีกเรื่อย ๆ อยํางเป็นลูกโซํ โดยมีวิธีการคัดเลือกกลุํมตัวอยํางดังตํอไปนี้ 1.1 การสัมภาษณ๑และการบอกตํอแบบลูกโซํ โดยวิธีแบบ Snowball sampling และให๎ นักศึกษาที่สมัครใจผํานเกณฑ๑การพูดคุยทาแบบประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ 1.2 นาผลการทาแบบประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ มาจัดเรียงข๎อมูล จาก มากไปหาน๎อย จากนั้นคัดเลือกนักศึกษาที่มีระดับคะแนนจากแบบประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล๑สูง และอาสาเข๎ารํวมโปรแกรมการให๎คาปรึกษาจานวน 16 คน 1.3 การแบํงกลุํมให๎คาปรึกษาโดยการจับสลากแบํงเป็นกลุํมทดลองและกลุํมควบคุม กลุํมละ 8 คนด๎วยวิธีการสุํมแบบงําย ( Simple random sampling) 2. ตัวแปรที่ใช๎ในการวิจัย 2.1 ตัวแปรอิสระ คือ การให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม 2.2 ตัวแปรตาม คือ พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. สามารถนาข๎อมูลที่ได๎ไปใช๎ในการหาแนวทางการรณรงค๑ปูองกันหรือลดปัญหาเครื่องดื่ม แอลกอฮอล๑ในนักศึกษาตํอไป 2. ได๎โปรแกรมที่เป็นต๎นแบบในการลดปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ 3. สามารถนาโปรแกรมการให๎คาปรึกษากลุํมไปประยุกต๑ใช๎ในการลดพฤติกรรมสารเสพติด ให๎กับกลุํมเสี่ยงหรือกลุํมที่ต๎องการได๎รับการบาบัดเพื่อให๎สามารถดาเนินชีวิตได๎อยํางปกติสุข


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

99

นิยามศัพท์เฉพาะ เพื่อให๎เข๎าใจและแปลความหมายงานวิจัยได๎ถูกต๎องเหมาะสม การวิจัยครั้งนี้ได๎กาหนดนิยาม ปฏิบัติการไว๎ดังนี้ 11. การให๎คาปรึกษาแบบกลุํม (Group Counseling) หมายถึง กระบวนการที่ผู๎ให๎คาปรึกษาจัด ขึ้น เพื่อชํวยเหลือบุ คคลตั้งแตํ 6-8 คน โดยมีผู๎ ให๎คาปรึกษารํวมอยูํด๎วย สมาชิกในกลุํ มได๎แสดงออก เกี่ยวกับความคิด ความรู๎สึก และทัศนคติ นาปัญหามาอภิปรายแลกเปลี่ยนประสบการณ๑อยํางเปิดเผย เสนอความคิดเห็นอยํางอิสระ มีการรับรู๎ เข๎าใจและยอมรับตนเองและผู๎อื่นอยํางแท๎จริง ซึ่งมีกระบวนการ และเปูาหมายที่ชัดเจน 2. การรู๎คิดและพฤติกรรม ตามแนวคิดของ เบค หมายถึง การลดปฎิกิริยาทางอารมณ๑และ พฤติกรรม โดยการปรับเปลี่ยนความคิดที่บกพรํองหรือความคิดที่ไมํถูกต๎องจะชํวยให๎คนเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม จะต๎องพัฒนาให๎บุคคลสามารถใช๎ทักษะที่เกี่ยวข๎องกับความคิด และทักษะที่เกี่ยวข๎องกับ พฤติกรรม เพื่อใช๎ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ต๎องการจะปรับเปลี่ยนให๎มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย เทคนิคพื้นฐานของ CBT ประกอบด๎วย 2.1. การบอกอารมณ๑ตนเอง ( Identifying Moods) 2.2.การ ประเมินระดับอารมณ๑ (Rating Moods) 2.3.การหาความคิดอัตโนมัติ ( Automatic Thoughts) 2.4 การประเมินความคิด (Evaluating Thoughts) เป็นการผสมผสานทั้งทางด๎านความคิด อารมณ๑และ พฤติกรรม เพื่อให๎เกิดทัศนคติที่ดีตํอตนเองและปรับเปลี่ยนให๎มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 3. พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ หมายถึง การกระทาที่เกี่ยวกับปริมาณความถี่ใน การดื่มเครื่อมดื่มแอลกอฮอล๑ ซึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ ได๎แกํ ของเหลวที่มีสํวนผสมของแอลกอฮอล๑ ชนิดดื่มหรือเอทานอล ให๎เพื่อการดื่ม สํวนใหญํได๎มาจากการหมัก เชํน เบียร๑ ไวน๑ สาเก หรือได๎มาจาก หมักแล๎วกลั่น เชํน วอดก๎า วิสกี้ รัม สุรา บรั่นดี ที่ทาให๎เกิดปัญหาจากการดื่มแอลกอฮอล๑ ประเมินได๎ จากแบบประเมินภาวะติดแอลกอฮอล๑ ( The Alcohol Use Disorder Identification Test [AUDIT] ขององค๑การอนามัยโลก (WHO, 2001) แปลเป็นภาษาไทยโดยสาวิตรี อัษณางค๑กรชัย ปี 2544 ผู๎วิจัย ได๎ดัดแปลงมาจากแบบประเมินพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล๑ของ วรรณดี ทัดเทียมดาว, (2555) 4. เครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ หมายถึง เครื่องดื่มที่มีเอทิลแอลกอฮอล๑ (Ethyl Alcohol) ได๎มา จากการหมักและการกลั่น ใช๎เพื่อการดื่ม เมื่อดื่มเข๎าไปแล๎วจะกํอให๎เ กิดอาการมึนเมา ซึ่งได๎แกํ เบียร๑ เหล๎า สาโท กระแชํ วิสกี้ สปาย ไวน๑ เป็นต๎น 5. นักศึกษาที่เป็นกลุํมเสี่ยง หมายถึง กลุํมบุคคลที่มีความถี่ในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ 3-5 ครั้ ง/ตํอสั ป ดาห๑ อยูํ ในปริ มาณที่อาจเกิดผลกระทบตํอชีวิตประจาวัน ซึ่งสั มพันธ๑ตํอการเกิ ด อันตรายของสุขภาพและปัญหาครอบครัว การทบทวนวรรณกรรมและแนวคิด ในอดีตแนวความคิดด๎านพฤติกรรมนิยม (Behavior) และแนวคิดด๎านความรู๎ความเข๎าใจ (Cognitive) มักมีการแบํงแยกกันอยํางชัดเจน แตํในปัจจุบันปรากฏวําในกลุํมผู๎มีแนวคิดด๎านพฤติกรรม นิยมได๎หันเหความเชื่อมาสูํด๎านที่สะท๎อนให๎เห็นถึงความรู๎ความเข๎าใจมากขึ้น และในขณะเดียวกัน กลุํมผู๎ นิยมด๎านความรู๎ความเข๎าใจก็ได๎นาเอาเทคนิควิธีการทางด๎านพฤติกรรมนิยม เข๎ามาเป็นสํวนหนึ่งของ เทคนิคทางด๎านความรู๎ความเข๎าใจในแงํมุมกว๎างขึ้นวํา แนวคิดเชิงพฤติกรรมและการรู๎การคิดนั้นแยกมา


100

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

จากการปรับพฤติกรรมที่มีพื้นฐานจากทฤษฎีการเรียนรู๎ โดยสิ่งที่ตํางกันอยูํที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และความคิด จะเน๎นที่การเปลี่ยนแปลงความคิด เพื่อให๎เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ในขณะที่การ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น จะเน๎นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยตรง การรักษาแบบการปรับพฤติกรรม และการรู๎การคิดเป็นการบาบัดรักษาที่มีประโยชน๑ และมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคทางจิตเวชหลาย โรค แนวทางการรักษายังเป็นเรื่องใหมํที่มีการพัฒนาและประยุกต๑กันอยูํอยํางตํอเนื่อง ทาให๎มีเทคนิค และวิธีการที่หลากหลายแตกตํางกันไปมาก แตํหลักการของทุกรูปแบบมีสิ่งที่เหมือนกันอยูํ 3 ประการคือ 1) การนึกคิดมีผลตํอพฤติกรรม 2) การนึกคิดเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมและดัดแปลงได๎ 3) การเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมให๎เหมาะสมเกิดขึ้นได๎โดยการเปลี่ยน ความคิด โดยแนวคิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรู๎ การคิดนี้ ถูกพัฒนาขึ้นจากผู๎นาแนวคิดการบาบัดทางปัญญา Cognitive Therapy อาจกลําวได๎วํามี 2 คน คือ Ellis (1962) และ Beck (1976) ซึ่ง Ellis มีความเชื่อวําพฤติกรรมที่ปรับตัวไมํได๎ของคนเรานั้น เป็น เพราะเราคิดแบบไมํมีเหตุผล ไมํใชํเป็นเพราะวํามีอะไรหรือใครทาอะไรกับเรา หากแตํขึ้นอยูํกับความคิด ที่เราคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามากกวํา วิธีการบาบัดก็คือ เปลี่ยนแปลงความคิดของเราจากที่ไมํมีเหตุผล ให๎มีเหตุผล สํวน Beck กลําววํา ปัญหาทางด๎านจิตนั้น เกิดขึ้นเพราะวําบุคคลมีความคิดในลักษณะ ปรับตัวไมํได๎ เชํน ความคิดทางลบ ไมํมีเหตุผล ซึ่งเป็นการสะท๎อนให๎เห็นความเชื่อของเขาที่มีตํอตนเอง และตํอโลกที่เขาอยูํ วิธีการบาบัดก็คือ เขาจะมุํงเน๎นที่ความเชื่อพื้นฐานมากกวําที่มุํงที่การกลําวกับตนเอง (สุธาสินี นพธัญญะ, 2551, หน๎า 22) การรู๎คิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavior Therapy: CBT) สํวนใหญํปัญหาทางจิตใจและ พฤติกรรมเป็ นผลมาจากกระบวนการคิ ดที่ผิ ดปกติ โดยมี ความสั มพันธ๑ ของความคิ ด อารมณ๑ และ พฤติ กรรมในลั ก ษระที่ มี ผ ลตํ อ กั น และกั น โดยแนวคิ ด การรู๎ คิ ด และพฤติ กรรม เชื่ อ วํ า ความคิ ด (cognition) อารมณ๑ (emotion) พฤติกรรม (behavior) และสรีระ (physiology) มีความสัมพันธ๑กัน ดัง ที่เบ็ค (Beck, 1995 อ๎างอิงใน จรรยา ใจหนุน, 2551, หน๎า 27) ได๎กลําวไว๎ ซึ่งผู๎วิจัยได๎แสดงภาพตาม แนวคิดของเบ็คไว๎ดังภาพที่ 1 ความคิด (cognition)

อารมณ์ (emotion)

พฤติกรรม (behavior)

สรีระ (physiology)

ภาพที่ 1 แสดงรูปแบบการคิดตามแนวคิดของเบ็ค ที่มาจาก Cognitive therapy: Basics and beyond. (p. 33-35) by Beck, 1995, New York: Guilford.


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

101

ดังนั้นจะเห็นได๎วําความคิด (cognition) อารมณ๑ (emotion) พฤติกรรม (behavior) และ สรีระ (physiology) มีผลกระทบซึ่งกันและกัน นั่นคือ พฤติกรรมการกระทา และความรู๎สึกของ คนเราจะถู ก ก าหนดจาก ความเชื่ อ ทั ศ นคติ การรั บ รู๎ และกรอบความคิ ด ในการรั บ รู๎ โ ลก หาก กระบวนการคิดของเราบิดเบือน หรือไมํสอดคล๎องกับความเป็นจริง อารมณ๑ พฤติกรรม และสรีระที่ ตอบสนองความคิ ด นั้ น ก็ จ ะเป็ น ปั ญ หา ดั ง นั้ น การเปลี่ ย นแปลงความคิ ด ก็ จ ะสํ ง ผลให๎ เ กิ ด การ เปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมและอารมณ๑ ดังภาพที่ 2 สถานการณ์ (situation)

ความคิด (thought)

อารมณ์ (emotion)

ได้ยินเสียงดัง “ตึง!” ที่

คิดว่าเป็นขโมย

ตกใจกลัว

หลังคาบ้าน

ภาพที่ 2. แสดงการประยุกต๑รูปแบบการคิดของเบ็ค ที่มาจาก Cognitive therapy: Basics and beyond. (p. 33-35) by Beck, 1995, New York: Guilford. จะเห็นได๎วํารูปแบบของการคิด (cognitive model) เป็นองค๑ประกอบสาคัญของกระบวนการ ตามแนวความคิดและพฤติกรรม ที่ต๎องสอนให๎เข๎าใจกํอนเป็นอันดับแรก โดยรูปแบบของการคิด มี สมมติฐานวํา อารมณ๑และพฤติกรรมของบุคคลมีผลมาจากการรับรู๎ตํอเหตุการณ๑ตํางๆ ของบุคคลนั้น วิธีดาเนินการวิจัย 1.ขั้นเตรียมการทดลอง 1.1 ผู๎วิจัยนาหนังสือขอความอนุเคราะห๑การเก็บรวบรวมข๎อมูลและการทดลองการวิจัยจาก บัณฑิตศึกษา คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยรามคาแหง 1.2 ผู๎วิจัยติดตํอประสานงานกับคณะครูอาจารย๑ฝุายกิจการนักศึกษา เพื่อเข๎าเก็บข๎อมูลและ ทดลองการวิจัย 1.3 ผู๎วิจั ย สัมภาษณ๑นั กศึกษาที่มีความสมัครใจในการเข๎ารํว มการทดลอง เพื่อให๎ได๎กลุํ ม ตัวอยําง จานวน 16 คน 1.4 ผู๎วิจัยอธิบายรายละเอียดการเข๎ารํวมกลุํมการให๎คาปรึกษาให๎ทราบนักศึกษาทราบและ สอบถามความสมัครใจในการเข๎ารํว มโปรแกรมการให๎ คาปรึกษาแบบกลุํ มตามแนวการรู๎คิดและ พฤติกรรม 1.5 ผู๎วิจัยแบํงกลุํมการให๎คาปรึกษาโดยวิธี (Random assignment) โดยการจับสลาก แบํงกลุํมการให๎คาปรึกษาเป็นกลุํมทดลอง จานวน 8 คน และกลุํมควบคุม จานวน 8 คน ให๎กลุํมทา แบบประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ ซึ่งคะแนนที่ได๎คือ คะแนนในระยะกํอนการ ทดลอง (Per-test) ตลอดจนนัดวัน เวลาและสถานที่การทดลองกับกลุํมทดลอง


102

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

2. ขั้นดาเนินการทดลอง 2.1 ผู๎วิจัยดาเนินการวิจัยโดยใช๎การให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม จานวน 8 ครั้ง ครั้งละ 60-90 ชั่วโมง 2.2 กลุํมควบคุมที่ไมํได๎เข๎ารํวมการให๎คาปรึกษาจะดาเนินชีวิตตามปกติ 2.3 เมื่อเสร็จสิ้นการดาเนินการกลุํมการให๎คาปรึกษาในครั้งสุดท๎าย กลุํมทดลองและกลุํม ควบคุ มทาแบบประเมิน พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ คิดเป็นคะแนนในระยะหลั งการ ทดลอง (Post-test) 3. ขั้นติดตามผลการทดลอง ภายหลังสิ้นสุดการดาเนินกลุํมตามโปรแกรมเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห๑ จัดให๎กลุํมทดลองทา แบบประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑อีกครั้งหนึ่ง และคิดเป็นคะแนนหลังการติดตามผล 4. ขั้นประเมินผล นาคะแนนกํอนการทดลอง-หลังการทดลอง และหลังการติดตามผล ไปวิเคราะห๑ตามวิธีการ ทางสถิติตํอไป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู๎วิจัยได๎สร๎างเครื่องมือเพื่อใช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูลและเครื่องมือที่ใช๎ในการทดลอง ดังนี้ 1. แบบสอบถามข๎อมูลทั่วไป ประกอบด๎วย อายุ เพศ คณะการศึกษา 2. แบบประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ (AUDIT : Alcohol Use Disorders Identification Test) ขององค๑การอนามัยโลก (WHO) แปลเป็นภาษาไทยโดยสาวิตรี อัษณางค๑กรชัย ในปี 2544 ผู๎วิจัยได๎ดัดแปลงมาจากแบบประเมินพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล๑ของ วรรณดี ทัดเทียมดาว (2555) ซึ่งมีข๎อคาถามทั้งหมด 10 ข๎อ ลักษณะเป็นมาตราสํวนประมาณคํา (rating scale) 4 ระดับ โดยมีคําคะแนนอยูํในชํวง 0-40 คะแนน การแปลความหมายคะแนนพิจารณาตามเกณฑ๑ที่กาหนด จากการแบํงคะแนนทั้งหมดออกเป็น 4 ระดับ ได๎แกํ ระดับที่ 1 คะแนน 0-7 คะแนน หมายถึง กลุํมที่ดื่มอยํางปลอดภัย (Low risk use) ระดับที่ 2 คะแนน 8-15 คะแนน หมายถึง กลุํมที่ดื่มแบบเสี่ยง (Hazardous use) ระดับที่ 3 คะแนน 16-19 คะแนน หมายถึง กลุํมที่ดื่มแบบมีปัญหา (Harmful use) ระดับที่ 4 คะแนนตั้งแตํ 20 คะแนนขึ้นไป หมายถึง กลุํมที่ดื่มแบบติด (Dependence) 3. โปรแกรมการให๎คาปรึกษากลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐาน 1 การเปรียบเทียบคะแนนจากการทาแบบประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ ของกลุํมทดลองกํอนและหลังการทดลอง นามาประมวลผลโดยใช๎โปรแกรมสาเร็จรูปด๎วยสถิติ Dependent Sample t-test 2 การเปรียบเทียบคะแนนจากการทาแบบประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ ของกลุํมทดลองและกลุํมควบคุมหลังการทดลองโดยนามาประมวลผลโดยใช๎โปรแกรมสาเร็จรูปด๎วย สถิติ Independent Sample t-test


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

103

3 การเปรียบเทียบคะแนนจากการทาแบบประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ ของกลุํมทดลอง หลังทดลองและหลังการติดตามผล โดยนามาประมวลผลข๎อมูลโดยใช๎โปรแกรม สาเร็จรูปด๎วยสถิติ Dependent Sample t-test ผลการวิจัย 1. นักศึกษากลุํมเสี่ยง กลุํมทดลองที่ ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและ พฤติกรรม หลังการทดลอง มีคะแนนพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ลดลง มากกวํากํอนการ ทดลอง อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักศึกษากลุํมเสี่ยง กลุํมทดลองที่ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและ พฤติกรรม มีคะแนนพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ หลังการทดลองและหลังการติดตามผล 2 สัปดาห๑ ไมํแตกตํางกัน 3. นักศึกษากลุํมเสี่ยง กลุํมทดลองที่ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและ พฤติกรรม หลังการทดลอง มีคะแนนพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ลดลงมากกวํากลุํมควบคุม หลังจากได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 อภิปรายผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ สมมติฐานข้อที่ 1 และ 2 สมมติฐานข๎อที่ 1. นักศึกษาที่เป็นกลุํมเสี่ยงที่ได๎เข๎ารํวมการปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิด และพฤติกรรม มีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ลดลง และสมมติฐานข๎อที่ 2. นักศึกษากลุํมเสี่ยง หลั งจากการเข๎ารํ วม การปรึ กษาแบบกลุํ มตามแนวการรู๎คิ ดและพฤติกรรม และระยะติด ตามผล 2 สัปดาห๑ มีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ ไมํแตกตํางกัน ผลการวิจัยพบวํา นักศึกษากลุํมเสี่ยง กลุํมทดลองที่ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม หลังการทดลอง มีคะแนน พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ลดลง มากกวํากํอนการทดลอง อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข๎อที่ 1 และนักศึกษากลุํมเสี่ยง กลุํมทดลองที่ได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบ กลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม มีคะแนนพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ หลังการทดลอง และหลั งการติดตามผล 2 สั ปดาห๑ ไมํแตกตํ างกัน ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข๎อที่ 2 นี้อาจเนื่ องจาก โปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม ได๎เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการดื่ม แอลกอฮอล๑อยํางถูกต๎องเหมาะสมแล๎ว ความคิดนั้นก็คงทนไมํเปลี่ยนกับไปเหมือนเดิมอีก ทาให๎ผู๎ที่เข๎า รํวมโปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรมมีพฤติกรรมที่ถูกต๎อง เหมาะสม ในระยะติดตามด๎วย สอดคล๎องกับผลการวิจัยของ (จรรยา ใจหนุน, 2551, หน๎า 66) ที่ศึกษาผลของ โปรแกรมการบ าบั ด ทางความคิ ดและพฤติ ก รรมตํ อพฤติ ก รรมการดื่ ม แอลกอฮอล๑ ข องผู๎ ติ ด สุ ร า โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ๎าตากสินมหาราช จังหวัดตาก พบวํา ผู๎ติดสุรามีพฤติกรรมการดื่มลดลงทั้งใน ระยะหลังการบาบัดและระยะติดตามผลหลังการบาบัด ซึ่งเกิดจากโปรแกรมนี้ได๎ชํวยให๎ผู๎บาบัดได๎มีการ ปรับเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ ทาให๎ผู๎รับการบาบัดลดพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล๑อยํางคงทนตํอไป หลังการบาบัด อดคล๎องกับการศึกษาของ Black (1986 : Abstract, อ๎างถึงในกมลทิพย๑ วิจิตรสุนทรกุล,


104

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

2542, หน๎า 65) ศึกษาถึง สาเหตุปัจจัยของพฤติกรรมปูองกันการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล๑ในกลุํม วัยรุํน 17-18 ปี ศึกษาในกลุํมนักศึกษาแพทย๑ ผลการศึกษาพบวํา การศึกษาเกี่ยวกับโทษของเครื่องดื่ม แอลกอฮอล๑ทาให๎มีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑น๎อยลง สาหรับการศึกษาของ นันทิยา วิสุทธิ ภักดี (2545, หน๎า 85) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลตํอการปูองกันตนเองจากการดื่มสุราของนิสิตชายใน หอพั กมหาวิ ทยาลั ย เกษตรศาสตร๑ ผลการวิ จั ยพบวํ า กลุํ ม ตั ว อยํ า งที่ มี ความรู๎ เกี่ ยวกั บเครื่ องดื่ ม แอลกอฮอล๑ มีความสัมพันธ๑ตํอพฤติกรรมปูองกันการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ สอดคล๎องกับการศึกษาของ อนงค๑ ดิษฐสังข๑ (2550, หน๎า 93-94) ศึกษาปัจจัยที่มีผลตํอพฤติกรรมการ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต๎น โรงเรียนมัธยมประชานิเวศน๑ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร กลุํมตัวอยําง 290 คน พบวํา ความรู๎เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑มีความสัมพันธ๑ ทางบวกเกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ ของนักเรียนอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล๎องกับการศึกษาของ ประนอม กาญจนวณิชย๑ (2548, หน๎า 96) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลตํอ พฤติกรรมปู องกันการดื่มเครื่ องดื่ มที่มีแอลกอฮอล๑ ของนักศึกษามหาวิทยาลั ยเทคโนโลยีราชมงคล สุวรรณภูมิ วิทยาเขตสุพรรณบุรี กลุํมตัวอยํางที่ใช๎ในการศึกษา จานวน 330 คน พบวํา นักศึกษาที่มีเพศ ตํางกันมีพฤติกรรมปูองกันการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล๑แตกตํางกันอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยนักศึกษาเพศหญิง มีพฤติกรรมปูองกันการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล๑สูงกวํานักศึกษาเพศชาย สมมติฐานข้อที่ 2 นักศึกษาที่เป็นกลุํมเสี่ยงที่ได๎ เข๎ารํวมการปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม มี พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑น๎อยกวํานักศึกษากลุํมเสี่ยง ที่ไมํได๎เข๎ารํวมการให๎คาปรึกษาแบบ กลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม ผลการวิจัยพบวํา นักศึกษากลุํมเสี่ยง กลุํมทดลองที่ได๎รับการให๎ ค าปรึ กษาแบบกลุํ มตามแนวการรู๎ คิ ดและพฤติ กรรม หลั งการทดลอง มี คะแนนพฤติ กรรมการดื่ ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ลดลงมากกวํากลุํมควบคุม หลังจากได๎รับการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎ คิดและพฤติกรรม อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข๎อที่ 3 ผู๎วิจัยพบวําเมื่อ ผู๎เข๎ารับการปรึกษา ได๎ลองปรับเปลี่ยนความคิด หรือความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ไปในทิศทาง ที่เหมาะสม ซึ่งทาให๎ เกิ ดพฤติกรรมใหมํที่ไมํดื่มแอลกอฮอล๑ การได๎ เปลี่ ยนความคิดเกี่ ยวกับการดื่ ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ที่เหมาะสม เรียนรู๎และเลือกวิธีการจัดการแก๎ไขปัญหาของตนเองได๎ เรียนรู๎วิธีการ เปลี่ยนความคิดใหมํ การคิดทบทวนสิ่งที่เห็นกํอนการตัดสินใจ พฤติกรรมก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ ดีขึ้น ซึ่งเป็นไปตามพื้นฐานทางทฤษฎีการบาบัดความคิดพฤติกรรม ที่สนับสนุนให๎การเข๎าใจธรรมชาติ อารมณ๑ที่เกิดขึ้นในใจ ซึ่งเป็ นเรื่องที่จ าเป็ นที่จะมุํงไปที่รูปแบบการคิดของแตํละบุคคลที่เกิดขึ้นตาม ทฤษฎีของ (Beck et al., 1993 อ๎างอิงใน จรรยา ใจหนุน, 2551, หน๎า 70) สํงผลไปยังพฤติกรรมการ หยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ระยะยาว และความคิดนั้นเกิดความคงทน ไมํเปลี่ยนกลับไปเหมือนเดิมอีก Beck (1995) ได๎กลําวไว๎วําการชํวยให๎ผู๎มารับการให๎คาปรึกษาได๎เกิดการปรับเปลี่ยนความคิดที่เบี่ยงเบน และพฤติกรรมที่ผิดปกติด๎วยตนเอง ถ๎าหากแก๎ไขได๎ในระดับของความเชื่อก็ยิ่งจะทาให๎พฤติกรรมดีขึ้น อยํางคงทน จึงเป็นไปได๎วํา โปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรม เพื่อลด พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ของนักศึกษาที่เป็นกลุํมเสี่ยง ซึ่งมาลามและกอร๑ดอน (Marlatt & Gordon, 1985 อ๎างอิงใน จรรยา ใจหนุน, 2551, หน๎า 70-71) กลําวไว๎วํา สถานการณ๑ที่มีความเสี่ยงสูง


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

105

จะกระตุ๎นให๎ความเชื่อที่อนุญาตให๎มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ได๎ตอไป ทาให๎เกิดความเสี่ยงตํอการ กลับไปดื่มซ้า ประกอบด๎วย กาลเวลาที่ผํานไปอาจทาให๎ผู๎ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ตระหนักหรือหลงลืม ทั กษะตํ างๆ ที่ ได๎ รั บจากการให๎ ค าปรึ กษา จึ งท าให๎ มี โ อกาศกลั บไปดื่ มซ้ าได๎ แตํ ก็ สามารถเปลี่ ยน พฤติกรรมจากการดื่มแบบติดมาเป็นการดื่มแบบเสี่ยงน๎อย ซึ่ง ซาวเดอร๑ส (Saumders, 2004 อ๎างอิงใน จรรยา ใจหนุน, 2551, หน๎า 71) พบวํา การจากัดปริมาณการดื่มรํวมกับการให๎คาปรึกษา และสามารถ วางแผนลํ วงหน๎าถึงปริ มาณที่จะดื่มในแตํละครั้ง ทาให๎สามารถลดการดื่มของตนเองลงได๎ เทํากับวํา สามารถลดความเสี่ยงตํอการเกิดปัญหาตํางๆ ในอนาคตได๎ โปรแกรมการให๎คาปรึกษาแบบกลุํมตามแนวการรู๎คิดและพฤติกรรมที่ผู๎ศึกษาพัฒนาขึ้นใน การศึกษาครั้งนี้ จะเห็นได๎วํา มีหลายปัจจัยที่สํงผลตํอพฤติกรรม เชํน กลุํมเพื่อน ครอบครัว นอกจากนี้ ความรู๎ เกี่ยวกับเครื่ องดื่มแอลกอฮอล๑ ทัศนคติตํอการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ เป็นปัจจัยส าคัญที่ เกี่ยวข๎องกับพฤติกรรม ทาให๎นักศึกษา มีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ลดลงทั้งในระยะการ ทดลองและระยะติดตามผล การปรั บเปลี่ ยนความคิ ด ความเชื่อ เกิดการเปลี่ ยนพฤติ กรรม ทั้ งนี้ หลักการของ CBT เชื่อวํา บุคคลที่มีการปรับเปลี่ยนความคิด พฤติกรรมก็จะเปลี่ยนตามไปด๎วย รวมทั้ง ผู๎ที่เข๎ารํวมโปรแกรมการให๎คาปรึกษา สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล๑อยําง คงทนตํอไป ภายหลังการทดลองและหลังติดตามผลการทดลอง 2 สัปดาห๑ ไมํแตกตํางกัน ข้อเสนอแนะ 1. การให๎คาปรึกษาแบบกลุํมในแตํละครั้งนั้นการสร๎างสัมพันธภาพ เป็นเทคนิคและวิธีการที่จะ ทาให๎ผู๎เข๎ารํวมโปรแกรมกลุํมสามารถเปิดใจและไว๎วางใจ ในกระบวนการกลุํมเพิ่มขึ้น ในแตํละครั้งผู๎ให๎ คาปรึกษาควรคานึงถึงสิ่งนี้เป็นสาคัญเพื่อให๎การปรึกษากลุํม สามารถเป็นไปตามวัตถุประสงค๑ 2. ผู๎ให๎คาปรึกษาต๎องใช๎ภาษาในการสื่อสารที่สามารถเข๎าใจได๎งํายและไมํซับซ๎อน การใช๎ภาษา ในการสื่อสาร ควรจะปรับให๎เหมาะสม ซึ่งโปรแกรมกลุํมแตํละครั้งมีข๎อจากัดที่แตกตํางกัน 3. การเข๎ารํวมโปรแกรมกลุํมแตํละครั้ง ระยะเวลาในการเข๎ารํวมกลุํม จะต๎องสามารถยืดหยุํนได๎ และควรที่จะคานึงถึงผู๎เข๎ารํวมโปรแกรมกลุํมเป็นสาคัญ เนื่องจากข๎อจากัดของผู๎เข๎ารํวมกลุํมแตํละคนไมํ เหมือนกัน การยืดหยุํนจะทาให๎ลดความกังวนและความกดดันในขณะเข๎ารํวมกลุํมได๎ 4. หลั กเกณฑ๑ การคั ดเลื อกผู๎ เข๎ ารํ วมโปรแกรมกลุํ ม นอกจากจะคั ดเลื อกจากคะแนนความ เหมาะสมแล๎ว ผู๎ที่ระดับคะแนนไมํถึงแตํสมัครใจที่จะเข๎ารํวมโปรแกรมกลุํมก็เป็นสิ่งสาคัญที่จะทาให๎ ความคิดเห็นภายในกลุํมมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น และอาจจะทาให๎กลุํมดาเนินไปในทิศทางบวก และสามารถชี้แนะ สมาชิกในกลุํม ให๎กลุํมสามารถบรรลุวัตถุประสงค๑ได๎ 5. การหากลุํมตัวอยํางโดยวิธีการแบบ Snowball Sampling ทาให๎ได๎กลุํมตัวอยํางที่ตรงตาม วัตถุประสงค๑ และกลุํมเปูาหมาย โดยใช๎วิธีการบอกตํอเหมือนลูกโซํ ทาได๎โดยงํายและได๎กลุํมตัวอยํางที่ ชัดเจน


106

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

เอกสารอ้างอิง กมลทิพย๑ วิจิ ตรสุ นทรกุล. (2542). ปัจจั ยที่มีอิทธิ พลต่อการดื่มเครื่ องดื่มแอลกอฮอล์ของนักเรี ยน อาชีวศึกษาชายในกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ๑วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล. กองทุนสนับสนุนการสร๎างเสริมสุขภาพ. (2550). รายงานประจาปี 2550. กรุงเทพฯ: กระทรวงสาธารณสุข. จรรยา ใจหนุน. (2551). ผลของโปรแกรมการบาบัดทางความคิดและพฤติกรรมต่อพฤติกรรมการ ดื่มแอลกอฮอล์ของผู้ติดสุรา โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช. พยาบาลศาสตร มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหมํ. นันทิยา วิสุทธิภักดี. (2545). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการดื่มสุราของ นิ สิ ต ชายในหอพั ก มหาวิ ท ยาลั ย เกษตรศาสตร์ . วิ ท ยานิ พ นธ๑ วิ ท ยาศาสตรมหาบั ณ ฑิ ต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร๑ บัณฑิต ศรไพศาล และคนอื่นๆ. (2549). รายงานสถานการณ์สุราประจาปี 2549. กรุงเทพฯ: ศูนย๑วิจัยปัญหาสุรา (ศวรส.) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. ประนอม กาญจนวนณิชย๑ (2548). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมป้องกันการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ วิทยาเขตสุพรรณบุรี. วิทยานิพนธ๑ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยศิลปากร. ลิขิต วงศ๑อานาจ. (2553). พฤติกรรมการดื่มสุราของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่. มหาวิทยาลัยเชียงใหมํ. วรรณดี ทัดเทียมดาว. (2555). ผลการให้คาปรึกษาแบบสั้นต่อพฤติกรรมการดื่มแอลกฮอล์แบบเสี่ยง ของประชาชนวัยทางานในอาเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่. วิทยานิพนธ๑พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยนเรศวร. สาวิตรี อัษณางค๑กรชัย. (2544). การปูองกันการกลับไปดื่มซ้า. ในมาโนช หลํอตระกูล (บรรณาธิการ), คู่มือการดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชสาหรับแพทย์. กรุงเทพฯ: กรมสุขภาพจิต. สุธาสินี นพธัญญะ. (2551). ผลของโปรแกรมการปรึกษาแบบกลุ่มตามแนวคิดเชิงพฤติกรรมและ การรู้การคิดต่อการตระหนักรู้ตนเองกับการยอมรับตนเองของผู้ติดสุรา. การค๎นคว๎าอิสระ. วิทยาศาสตร๑มหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยเชียงใหมํ. อนงค๑ ดิษฐสังข๑. (2550). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของนักเรียน ชั้น มัธ ยมศึกษาตอนต้ น โรงเรี ยนมัธ ยมประชานิเ วศน์ เขตจตุจักร กรุ งเทพมหานคร. วิทยานิพนธ๑วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร๑. Beck. (1995). Cognitive therapy: Basics and beyond. New York: Guilford. World Health Organization. (2001). The alcohol use disorders identification test: AUDIT. Retrieved September 20, 2007, from htte://www.who.int/substancesbuse/pubs-alcohol.htm. ……………………………………………………………………


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

107

บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) Parenting for Character Equipping Your Child for Life Andrew Mullins. Finch publishing pty limited, Sydney 2008, 224 pp. ไพบูลย๑ เทวรักษ๑ นาเรื่อง หนังสือเลืมนี้ เป็นผลงานของแอนดรู มัลลีนส๑ (Andrew Mullins) ผู๎อานวยการวิทยาลัยเรดา ฟิลด๑นครซิดนีย๑ ประเทศออสเตรเลีย ผู๎เขียนได๎หลํอหลอมประสบการณ๑ที่ได๎ทางานรํวมกับพํอแมํมาประมาณ 30 ปี มาสร๎างเป็น กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดีให๎กับเด็กและเยาวชนโดยเรียงร๎อยเป็นขั้นตอนวําพํอแมํควรมี บทบาทอยํางไรในการปลูกฝังนิสัยที่ดีให๎ลูก หนังสือของเขาได๎ใช๎หลักจิตวิทยาประยุกต๑มาใช๎ในชีวิต จริง เขาให๎ความสาคัญกับการเป็นแบบอยํางที่ดีของพํอแมํโดยมีความรักนาพาไปสูํความสาเร็จของ เด็กแตํละชํวงวัย หนังสือเลํมนี้จึงเป็นประหนึ่งคูํมือในการพัฒนานิสัยและบุคลิกภาพ ให๎ลูกพร๎อมจะ เผชิญปัญหาชีวิตด๎วยตนเอง เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องของหนังสือเลํมนี้มีบทนาและแบํงเนื้อเรื่องในการนาเสนอเป็น 4 ตอนดังนี้ บทนา กลําวถึงจุดประสงค๑ของหนังสือเลํมนี้และวิธีใช๎หนังสือเลํมนี้ให๎เกิดประโยชน๑สูงสุด พร๎อมทั้ง เสนอแบบประเมินลักษณะนิสัยของลูก ในปัจจุบันในด๎านการตัดสินใจอยํางถูกต๎อง ความรับผิดชอบ ควบคุมตนเอง ความเข๎มแข็ง วําเด็กมีลักษณะนิสั ยดังกลําวหรือไมํเพียงใด และประเมินเรื่ องของ แรงจู งใจวําเป็ น ไปในลั กษณะใด เชํน ทาไปด๎ว ยความรักที่มีตํอผู๎ อื่นบางโอกาสหรือมักจะทาเพื่อ ผลประโยชน๑ของตนเอง และมีการบันทึกข๎อแก๎ไขไว๎ด๎วย

ผู๎อานวยการศูนย๑พัฒนาศักยภาพชีวิตและการทางาน มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต, อาจารย๑ประจาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย๑ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต


108

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

เนื้อเรื่องตอนที่หนึ่ง : พื้นฐานในการเลี้ยงลูก สาระสาคัญในบทนี้ กลําวถึงหลักในการเลี้ยงลูกให๎มีลักษณะนิสัยที่ดี โดยคานึงถึงการสร๎าง ความสั ม พั น ธ๑ ที่ ดี ใ นครอบครั ว การปลู ก ฝั ง ความรั ก ความเอื้ อ อาทรกั บ เด็ ก อยํ า งสม่ าเสมอ การ ตั้งเปูาหมายที่ท๎าทาย แตํตั้งความคาดหวังกับลูกอยํางเหมาะสม การทาให๎เห็นเป็นตัวอยํางเพื่อโน๎ม น๎าวให๎ลูกถือเป็นแบบอยํางพร๎อมกับการสร๎างความผูกพันระหวํางพํอแมํลูกอยํางสม่าเสมอ นอกจากนี้ ผู๎เขียนได๎เน๎นถึงการดูแลการเรียนรู๎ของลูกโดยใช๎กลยุทธ๑ที่เหมาะสม เชํน ปลํอยให๎เด็กเรียนรู๎จาก ความผิดพลาดของตนเอง และเน๎นถึงความซื่อสัตย๑เป็นสาคัญ การมีความสุขกับชีวิตครอบครัว พํอแมํ ต๎องมีความสม่าเสมอและมุํงมั่นในการสร๎างนิสัยที่ดีให๎แกํลูก ในตอนท๎ายของบทความนี้มีแบบประเมินคุณภาพในการเลี้ยงลูกและระดับความก๎าวหน๎าให๎ บันทึกไว๎ด๎วย เนื้อเรื่องตอนที่สอง : องค์ประกอบในการหล่อหลอมลักษณะนิสัยที่ดี บทนี้กลําวถึงทฤษฎีที่เป็นที่นิยมนามาใช๎ในการเลี้ยงลูกวํา มีจุดบกพรํองอยํางไรบ๎าง และได๎ กลําวถึงผลดีที่ได๎รับจากการสร๎างสมความประพฤติที่ดี และผลจากความประพฤติที่กระทาซ้าๆ จน กลายเป็นนิสัย ผู๎เขียนมีความเห็นวํา บุคคลเป็นผลผลิตจากนิสัยที่ได๎รับการปลูกฝัง ดังนั้น นิสัยที่ดี และการอบรมเลี้ยงดูจึงเป็นเรื่องจาเป็น เขากลําววํา หลักความงามความดีสี่ ประการซึ่งเป็นพื้นฐาน การสร๎างนิสัยที่ดีเพื่อความสุขในชีวิต คือ การตัดสินใจที่ถูกต๎อง ความรับผิดชอบ ความสามารถในการ ควบคุมตนเอง และความเข๎มแข็ง กํอนจบบทนี้เป็นตารางทบทวนการสร๎างนิสัยที่ดีให๎ลูกและแบบบันทึกระดับความก๎าวหน๎า เนื้อเรื่องตอนที่สาม : วิธีสร้างลักษณะนิสัยที่ดี บทนี้ผู๎เขียนกลําวถึงวิธีเลี้ยงลูกให๎สามารถดูแลชีวิตของตัวเองได๎ สาระสาคัญในบทนี้กลําวถึง การกาหนดแผนกิจวัตรประจาวันและการดาเนินตามแผนอยํางสม่าเสมอ การฝึกให๎ลูกรับผิดชอบงาน แม๎จะต๎องใช๎เวลามากก็ตาม ผู๎เขียนยังคงให๎ความสาคัญและเน๎นย้าถึงการสอนให๎ลูกทาสิ่งตํางๆด๎วย ความรั ก โดยไมํ ป ลํ อ ยให๎ นิ สั ย ไมํ ดี ส ะสมในตั ว ลู ก พํ อ แมํ จะต๎ อ งไมํ คิ ด แทนลู กและต๎ อ งท าตั ว เป็ น แบบอยํางของลักษณะนิสัยที่ดี พร๎อมกับชี้แนะให๎ชัดวําอะไรถูกอะไรผิด การสร๎างนิสัยที่ดีนั้นจะต๎อง เริ่มตั้งแตํลูกยังเล็ก เขียนเสนอแนะให๎ใช๎กีฬาเป็นเครื่ องชํวยสร๎างลักษณะนิสัยที่ดี และสอนให๎ลู ก เรียนรู๎วําความยากลาบากเป็นบทเรียนที่ดี พํอแมํจะต๎องเน๎นสร๎างนิสัยให๎ลูกเป็นคนจริงใจและเห็นใจ ผู๎อื่น มีความออบอ๎อมอารี ซึ่งเริ่มจากในบ๎านและปลูกฝังให๎เด็กมีความรักเห็นอกเห็นใจผู๎ที่ด๎อยกวํา รู๎ และเข๎าใจถึงผลของการกระทา ในตอนที่สามยังคงจบด๎วยแบบประเมินการหลํอหลอมลักษณะนิสัยที่ดีในองค๑ประกอบตํางๆ ที่กลําวไว๎ในบทนี้ และระดับความก๎าวหน๎าในการพัฒนาเด็ก


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

109

เนื้อเรื่องตอนที่ส่ี : เลี้ยงลูกวัยรุ่นให้มีจุดยืนที่เข้มแข็ง บทนี้จะกลําวถึงผลจากการเลี้ยงดูตั้งแตํเยาว๑วัยที่สํงตํอมาถึงชํวงวัยรุํน ผู๎เขียนอธิบายถึงวิธี รับมือกับความต๎องการของลูกวัยรุํน โดยดูแลความปลอดภัยเอาใจใสํความต๎องการทางอารมณ๑ของลูก ปลูกฝังสิ่งสาคัญที่มีความจาเป็นตํอชีวิต เขาให๎ข๎อคิดวํา พํอแมํไมํควรมองข๎ามศักยภาพของวัยรุํน แตํก็ ไมํควรยอมรับความคิดเห็นในทางลบ แม๎วําพํอแมํต๎องการจะเลี้ยงลูกให๎เป็นคนเข๎มแข็งแตํต๎องยืนหยัด ในความถูกต๎องด๎วยสอนให๎ลูกเรียนรู๎ในการสร๎างคุณคําที่แท๎จริงของตนเองให๎เกิดขึ้นจากภายในตน เพราะแมํจะต๎องตระหนักไว๎เสมอวําเด็กวัยรุํนเปลี่ยนแปลงความคิดจากภายใน การแสดงให๎เห็นวํา คํานิยมความเชื่อของพํอ แมํ มักจะนามาซึ่งความสุข วัยรุํนต๎องรู๎จักคิดและจะต๎องคิดกํอนทา ดังนั้น กระบวนการสอนลู กวัย รุํนให๎ พัฒนาลักษณะนิสัยที่ดีนั้น จะต๎องเกิดขึ้นจากภายในพํอแมํจะต๎องมี วิธีการสื่อสารกับลูกอยํางเหมาะสม การเข๎าใจปัญหาและหาทางออกหรือการอธิบายเหตุผลอยําง เหมาะสมล๎วนเป็นสิ่ งที่ดี ขณะเดียวกันก็ไมํควรมองข๎ามอิทธิพลจากกลุํมเพื่อนและความรํวมมือจาก ทางโรงเรียน เพื่อให๎ลูกเรียนรู๎และสามารถปรับตัวได๎อยํางเหมาะสม รวมถึงการเตรียมพร๎อมในเรื่อง ความรู๎เกี่ยวกับเพศศึกษา ผู๎เขียนยังคงให๎ความสาคัญกับเรื่องการให๎ความรักและความสนใจแกํลูก เทําๆกับการสอนให๎ลูกเห็นคุณคําของความสุข ผู๎เขียนได๎สรุปข๎อคิดดีๆสาหรับพํอแมํกํอนจะจบด๎วยตารางตรวจสอบการเลี้ยงลูกวัยรุํน และ บันทึกความกาวหน๎าของครอบครัวในประเด็นที่นาเสนอในบทนี้ สรุปเรื่อง หนังสือเลํมนี้ เป็นหนังสือที่ได๎รับความนิยมแพรํหลายโดยเฉพาะจากผู๎บริหารโรงเรียนและพํอ แมํ สาหรับในประเทศไทยหนังสือเลํมนี้ได๎รับการแปลเป็นภาษาไทย โดย สุรพงษ๑ รงควิทย๑ ในชื่อ “วิธี สร๎ างลั กษณะนิ สั ย และบุ คลิ กภาพที่ดีให๎ ลู กที่ดี ” พิมพ๑เผยแพรํโ ดย บริษัท รักลู กกรุ๏ป จากัด เมื่อ พฤษภาคม 2552 ……………………………………………………………………


110

วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

คาชี้แจงสาหรับผู้ส่งบทความวิชาการและบทความวิจัย เพื่อตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เป็นวารสารเพื่อสํงเสริมและสนับสนุน การศึกษาค๎นคว๎าสร๎างสรรค๑ผลงานทางวิชาการด๎านจิตวิทยา บทความทุกเรื่องที่ตีพิมพ๑จะต๎องได๎รับ ความเห็นชอบจากคณะกรรมการวารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต รายละเอียดมีดังนี้ 1. ลักษณะบทความที่ตีพิมพ์ 1.1 บทความทางวิชาการ/บทความทั่วไปที่เกี่ยวข๎องกับจิตวิทยา 1.2 บทความวิจัย/บทความวิทยานิพนธ๑ที่เกี่ยวข๎องกับจิตวิทยา 1.3 บทวิจารณ๑หนังสือ (Book Review) 2. ส่วนประกอบของบทความ 2.1 บทความทางวิชาการ ความยาวเรื่องละไมํเกิน 15 หน๎ากระดาษ A4 ประกอบด๎วย 2.1.1 ชื่อเรื่อง (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) 2.1.2 ชื่อผู๎แตํง 2.1.3 สถาบันที่ผู๎เขียนสังกัด 2.1.4 บทคัดยํอ (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) 2.1.5 บทนา เนื้อเรื่องและสรุปสาระสาคัญ 2.1.6 เอกสารอ๎างอิง (ตามระบบ APA) 2.2 บทความวิจัย/บทความวิทยานิพนธ๑ ความยาวเรื่องละไมํเกิน 15 หน๎ากระดาษ A4 ประกอบด๎วย 2.2.1 ชื่อเรื่อง (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) 2.2.2 ชื่อผู๎แตํง 2.2.3 สถาบันที่ผู๎เขียนสังกัด 2.2.4 บทคัดยํอ (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) 2.2.5 คาสาคัญ (Key words) 2.2.6 เนื้อเรื่อง ประกอบด๎วย 1) บทนา 2) วัตถุประสงค๑ 3) นิยามศัพท๑ 4) วรรณกรรมที่เกี่ยวข๎อง 5) ระเบียบวิธีวิจัย ประกอบด๎วย - ประชากรและกลุํมตัวอยําง - เครื่องมือที่ใช๎ในการวิจัย - การวิเคราะห๑ข๎อมูล


วารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปีที่ 8 (มกราคม-มิถุนายน 2561)

111

6) ผลการวิจัย - บทสรุป - ข๎อเสนอแนะ 7) เอกสารอ๎างอิง (ตามระบบ APA) 2.3 บทวิจารณ๑หนังสือ (Book Review) 2.3.1 ชื่อหนังสือ 2.3.2 ชื่อผู๎เขียน/ผู๎แตํง/ปีที่พิมพ๑ 2.3.3 สานักพิมพ๑/โรงพิมพ๑/จานวนหน๎า 2.3.4 การนาเสนอบทวิจารณ๑ควรมี - สํวนนา สํวนเนื้อหา สํวนสรุป 2.3.5 การนาเสนอสาระสาคัญในแตํละบท - สรุปและวิจารณ๑แยกแตํละบทหรือแตํละบทความ 2.3.6 ความเห็นโดยสรุป (Concluding remarks) 3. การจัดพิมพ์ 3.1 พิมพ๑ลงหน๎ากระดาษขนาด A4 3.2 พิมพ๑ด๎วยโปรแกรม Microsoft Office Word 2010 3.3 รูปแบบตัวอักษร TH SarabunPSK 3.4 ลักษณะและขนาดตัวอักษร 3.4.1 ชื่อเรื่อง (ภาษาไทย) ตัวหนาขนาด 26 3.4.2 ชื่อเรื่อง (ภาษาอังกฤษ) ตัวหนาขนาด 26 3.4.3 ชื่อผู๎เขียน ตัวหนาขนาด 16 3.4.4 หัวข๎อใหญํ ตัวหนาขนาด 16 3.4.5 เนื้อหา ตัวปกติขนาด 16 4. การจัดส่งบทความ 4.1 จัดสํงบทความผํานเว็บ http://journal.psy.kbu.ac.th/ 4.2 มีข๎อสงสัยกรุณาติดตํอ e-mail: journal.psy.kbu@gmail.com ศาสตราจารย๑ศรียา นิยมธรรม โทร.0-2320-2777 ตํอ 1134, 081-499-1001 รองศาสตราจารย๑ไพบูลย๑ เทวรักษ๑ โทร.0-2320-2777 ตํอ 1163, 089-929-9705 5. เงื่อนไขการตีพิมพ์บทความ 5.1 เป็นบทความที่ไมํเคยตีพิมพ๑ในวารสารอื่นมากํอน 5.2 เป็นบทความที่ผํานการพิจารณาจาก ผู้ทรงคุณวุฒิกลั่นกรองบทความ (Peer review) ของวารสาร จิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต บทความละ 2 คน เพื่อตรวจสอบความถูกต๎องเชิงวิชาการ 5.3 เป็นบทความที่ได๎ปรับปรุงตามข๎อเสนอแนะของผู๎ทรงคุณวุฒิเรียบร๎อยแล๎ว 5.4 บทความที่ ไ ด๎ รั บ การตี พิ ม พ๑ เผยแพรํ ใ นวารสารจิ ต วิ ท ยา มหาวิ ท ยาลั ย เกษมบั ณ ฑิ ต เจ๎าของบทความจะได๎รับวารสารฉบับนั้น จานวน 3 เลํม

…………………………………………………..


หลักสูตรสาขาวิชาจิตวิทยา ระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ปรัชญา: มุ่งเน้นการผลิตดุษฎีบัณฑิตที่กอร์ปด้วย พลังปัญญา คุณค่า คุณธรรม คุณประโยชน์

ปริญญาโท หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ (Master of Arts Program in Psychology for Development of Human Potentials)

ปริญญาเอก หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา (Doctor of Philosophy Program in Psychology) - กลุ่มวิชาจิตวิทยาเพื่อพัฒนาศักยภาพมนุษย์ (Psychology for Developing Human Potentials)

ตัวอย่างดุษฎีนิพนธ์ จอมขวัญ เลื่องลือ (2558). การพัฒนารูปแบบการให้การปรึกษากลุ่มเผชิญความจริงเพื่อการเสริมสร้างสมรรถนะการดาเนินชีวิตในสังคม ยุคใหม่ของนิสิตนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะศึกษาศาสตร์ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยของรัฐในเขตกรุงเทพมหานคร. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา กลุ่มวิชาจิตวิทยาการปรึกษา. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. ณฐวัฒน์ ล่องทอง. (2558). การพัฒนารูปแบบการให้การปรึกษากลุ่มที่มุ่งเน้นการรู้คิด-พฤติกรรมเพื่อเสริมสร้างความหยุ่นตัวทางอารมณ์ ของวัยรุ่นในสถานสงเคราะห์เด็ก. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา กลุ่มวิชาจิตวิทยาการปรึกษา. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. นาวาอากาศตรีหญิงสุกัญญา นิยมวัน. (2558). การพัฒนารูปแบบการให้การปรึกษารายบุคคลตามทฤษฎีการศึกษาเชิงจิตวิทยาเพื่อ เสริมสร้างบทบาทการเป็นมารดาของมารดาวัยรุ่นที่มีบุตรแรกเกิดอยู่ในภาวะความเสี่ยงสูง. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา กลุ่มวิชาจิตวิทยาการปรึกษา. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. สมคิด กอมณี. (2558). การพัฒนารูปแบบการให้การปรึกษากลุ่มที่มุ่งเน้นการกระทาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางสังคมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนสาธิตในเขตกรุงเทพมหานคร. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา กลุ่มวิชาจิตวิทยาการปรึกษา. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. พรรณวดี สมกิตติกานนท์. (2558). การพัฒนารูปแบบการให้การปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการเพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะของความสาเร็จ ในการบริหารเวลาของนักศึกษาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา กลุ่มวิชาจิตวิทยาการปรึกษา. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. บุญทริกา เอี่ยมคงศรี. (2558). การพัฒนารูปแบบการให้การปรึกษากลุม่ การรู้คิดพฤติกรรมเพื่อเสริมสร้างการเผชิญปัญหาเชิงรุก ของวัยรุ่นตั้งครรภ์ไม่พร้อม. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา กลุ่มวิชาจิตวิทยาการปรึกษา. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. ปุณณาสา โพธิพฤกษ์. (2558). การพัฒนารูปแบบการให้การปรึกษากลุม่ แบบเพื่อนช่วยเพื่อนเสริมสร้างสมรรถนะในการให้การปรึกษา แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักศึกษาสาขาจิตวิทยามหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงใหม่. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา กลุ่มวิชาจิตวิทยาการปรึกษา. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. ธนัชญา ประชาพร. (2558). การพัฒนารูปแบบการให้การปรึกษากลุ่มการรู้คิดพฤติกรรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการบริการความงาม ผิวพรรณของพนักงานบริการ. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา กลุ่มวิชาจิตวิทยาการปรึกษา. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. กิตติธัช เกื้อกูล. (2558). การพัฒนารูปแบบการบาบัดกลุ่มที่มุ่งเน้นการกระทาเพื่อลดภาวะซึมเศร้าของผู้ต้องขังเข้าใหม่. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา กลุ่มวิชาจิตวิทยาการปรึกษา. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต. วันทนา ปทุมอนันต์. (2559). การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ตามแนวคิดสุนทรียสาธกเพื่อเสริมสร้างการบริหารจัดการตนเองของผู้สูงอายุ ในเขตกรุงเทพมหานคร. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา กลุ่มวิชาจิตวิทยาเพื่อพัฒนาศักยภาพมนุษย์และองค์การ. มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต.

นั ก ศึ ก ษ า ส า ม า ร ถ จั ด เ ว ล า เ รี ย น ไ ด้ โ ด ย ไ ม่ ก ร ะ ท บ เ ว ล า ทา ง า น

www.kbu.ac.th วิทยาเขตพัฒนาการ 1761 ถนนพัฒนาการ แขวงสวนหลวง กรุงเทพฯ 10250 โทร. 0-2320-2777 โทรสาร 0-2321-4444 วิทยาเขตร่มเกล้า 60 ถนนร่มเกล้า แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ 10510 โทร. 0-2904-2222 โทรสาร 0-2904-2200


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.