เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คาอธิบายกฎหมายว่าด้วยละเมิด
(Torts Law) (1)
บทนำ
(2)
ละเมิดที่เกิดจำกกำรกระทำโดยไม่ชอบของตนเอง
(3)
ละเมิดที่เกิดจำกกำรกระทำของผู้อ่นื
(4)
ละเมิดที่เกิดจำกทรัพย์สิ่งของหรือสัตว์เลี้ยง
(5)
ข้อต่อสู้ของจำเลยในคดีละเมิด
(6)
ค่ำสินไหมทดแทน
1
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
บทที่ 1 บทนา เค้าโครงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ (Civil and Commercial Code) คือ กฎหมำยที่ บัญญัติถึงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเอกชนกับเอกชนในเรื่องทำงแพ่งและทำงพำณิชย์ ทางแพ่ง หมำยถึง บทบัญญัติที่กำหนดถึงสถำนะบุคคล (Law of person) ได้แก่ ลักษณะบุคคล ลักษณะครอบครัว ลักษณะมรดก (1) ลั ก ษณะบุ ค คล กฎหมำยได้ บั ญ ญั ติ รั บ รองสถำนภำพของบุ ค คล (บุคคลธรรมดำ และนิติบุคคล) สิทธิ หน้ำที่ และควำมสำมำรถของบุคคล ในฐำนะ ของประธำนและกรรมแห่งกฎหมำย (2) ลั ก ษณะครอบครัว กฎหมำยได้บัญ ญั ติรับรองสถำนภำพของกำร เริ่มต้นของกำรสร้ำงครอบครัว ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสำมีและภริยำ ควำมสัมพันธ์ ระหว่ำงบิดำมำรดำกับบุตร (3) ลักษณะมรดก กฎหมำยได้บัญญัติรับรองถึงสิทธิในทำงทรัพย์สินของ ทำยำทในกำรสืบต่อจำกเจ้ำมรดก ทางพาณิชย์ หมำยถึง บทบัญญัติที่กำหนดถึงทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งสิทธิ สิทธิเรียกร้อง ที่บุคคลแต่ละบุคคลพึงมีสทิ ธิและหน้ำที่ระหว่ำงกัน 1.1.1 ทรัพย์สิน 1.1.2 หนี้ 1.1.3 ทรัพย์สิทธิ 1.1.4 บุคคลสิทธิ (1)
(2)
บ่อเกิดแห่งหนี้ (มูลแห่งหนี้) 2.1 นิตก ิ รรม สัญญำ เอกเทศสัญญำ 2.2 ละเมิด จัดกำรงำนนอกสั่ง ลำภมิควรได้ (นิตเิ หตุ) 2.3 กฎหมำยบัญญัติไว้เป็นกำรเฉพำะ
2
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
2.1 นิติกรรม หมำยถึง กำรใด ๆ อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมำย และด้วย ใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อกำรผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่ำงบุคคล เพื่อจะก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ (มำตรำ 149) คำว่ำ “นิติกรรม” ย่อมมีนัยอยู่ในตัวว่ำหมำยถึง กำรกระทำ (กรรม) ที่ มีผลบังคับได้ตำมกฎหมำย (นิต)ิ และย่อมหมำยรวมถึงสัญญำด้วย เพรำะสัญญำ เป็นนิติกรรมหลำยฝ่ำย (ตั้งแต่สองฝ่ำยขึ้นไป) ที่เกิดจำกกำรแสดงเจตนำ (คำเสนอ และ คำสนองถูกต้องตรงกัน) ของคู่สัญญำ
นิติเหตุ นิติกรรม
สัญญา นิติเหตุ
ควำมหมำยของนิติ ก รรมได้ บั ญ ญั ติไ ว้ ใ นประมวลกฎหมำยแพ่ ง และ พำณิชย์ มำตรำ 149 “นิติกรรม หมายความว่า การใด ๆ อันทาลงโดยชอบด้วย กฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ” จำกบทบั ญ ญั ติ ข้ำ งต้น กำรกระท ำใดจะถือ ว่ำเป็นนิ ติก รรมต้องเข้ ำ องค์ประกอบดังต่อไปนี้ 1. ต้องเป็นกำรกระทำที่ไม่ขัดต่อกฎหมำย 2. ต้องเป็นกำรกระทำโดยสมัครใจ 3. ต้องเป็นกำรกระทำที่มคี วำมประสงค์จะสร้ำงควำมผูกพันระหว่ำง บุคคล 4. ต้องเป็นกำรกระทำที่ก่อให้เกิด “ควำมเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ” 1. ต้องเป็นการกระทาที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย หมำยควำมว่ำ นิติกรรม เป็นกำรแสดงเจตนำของบุคคล ซึ่งกฎหมำยรับรองว่ำบุคคลทุ กคนย่อมมีสิทธิแสดง
3
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เจตนำได้อย่ำงอิสระ (Free Will) ซึ่งเรียกว่ำ “ความศักดิ์สิทธิ์แห่งการแสดงเจตนา” หรื อ “สั ญ ญาต้ อ งเป็ น สั ญ ญา” แต่ เ ช่ น เดี ย วกั น กำรแสดงเจตนำของบุ ค คลที่ กฎหมำยยอมรับต้องอยู่ภำยใต้กติกำ (ไม่ขัดต่อควำมสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอัน ดีของประชำชน) เช่น นำยกิตติตกลงทำสัญญำจ้ำงนำยหมอดีให้ไปทำร้ำยนำงสำวปู จะเห็นได้ว่ำ เจตนำ (ควำมศักดิ์สิทธิ์) ของนำยกิตติต้องกำรทำร้ำยนำงสำวปู และ กำรทำร้ำยร่ำงกำยผู้อื่นนั้นย่อมถือได้ว่ำขัดต่อกฎหมำย (ประมวลกฎหมำยอำญำ) ดังนั้น แม้คู่สัญญำมีควำมประสงค์ตรงกัน (ทำร้ำย-ค่ำจ้ำง) แต่เมื่อขัดต่อกฎหมำย โดยชัดแจ้ง นิตกิ รรมนั้นตกเป็นโมฆะ (เสียเปล่ำไร้ประโยชน์) ตำมมำตรำ 150 2. ต้องเป็นการกระทาโดยสมัครใจ หมำยควำมว่ำ กำรแสดงเจตนำ ของคู่สัญญำต้องเกิดขึน้ เพรำะควำมสมัครใจโดยแท้ มิใช่ตกลงใจ (ใจสมัคร)เพรำะ ถูกข่มขู่ บังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง ขำดสติสัมปชัญญะ สำคัญผิด กรณีทั้งหลำยทั้ง ปวงเหล่ำนีก้ ฎหมำยเรียกรวม ๆ ว่ำ “แสดงเจตนาโดยวิปริต” พิจำรณำตำม มำตรำ 154-171 รู้ได้อย่างไรว่าบุคคลนั้นแสดงเจตนา รู้ได้ว่ำบุคคลนั้นแสดงเจตนำที่ กำรกระทำของบุคคลนั้น กระทำโดยกำรเคลื่อนไหวทำงกำย เช่น นำยกิตติ เขียนหนังสือถึงนำย หมอดีขอซือ้ รถยนต์ของนำยหมอดี ในรำคำ 100,000 บำท และนำยหมอดีทำ หนังสือตอบตกลงมำ หรือกำรเดินไปที่โรงอำหำรชีไ้ ปที่นำเปล่ ้ ำ เจ้ำของร้ำนหยิบ น้ำเปล่ำมำให้แล้วเรำจ่ำยเงิน เป็นต้น กระทำโดยกำรเคลื่อนไหวทำงวำจำ เช่น บอกกับคนขำยว่ำต้องกำรเป๊ป ซี่หนึ่งขวด ถือว่ำเป็นกำรแสดงเจตนำ กำรไม่กระทำ (กำรนิ่ง) เช่น นำยกิตติเดินเข้ำไปที่รำ้ นขำยเหล้ำ สั่งเหล้ำ มำดื่ม บริกรฟังเฉย ๆ ไม่ตอบอะไรกลับมำ ต่อมำบริกรนำเหล้ำมำไว้ที่โต๊ะ 1 ชุด กำร สนองรับของบริกรโดยกำรนิ่งนีเ้ ป็นกำรแสดงเจตนำสนองรับตำมปกติประเพณี ทำงกำรแล้ว (บำงตำรำใช้คำว่ำ “ธรรมเนียมประเพณีการค้า” หรือ กรณีผเู้ ช่ำเช่ำ บ้ำนของผูใ้ ห้เช่ำโดยมีกำหนดระยะเวลำเช่ำ 1 ปี พอครบกำหนดผู้เช่ำไม่ออกยังคง พักอำศัยอยู่ที่ห้องเช่ำต่อไปและผูใ้ ห้เช่ำก็ไม่แจ้งให้ผเู้ ช่ำย้ำยออก จะเห็นได้ว่ำทั้งสอง
4
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ฝ่ำยต่ำงฝ่ำยต่ำงนิ่ง กำรนิ่งเช่นนี้กฎหมำยถือว่ำเป็นกำรแสดงเจตนำว่ำจะอยู่ต่อโดย ผูใ้ ห้เช่ำก็ไม่ปฏิเสธอะไร สัญญำเช่ำมีผลโดยปริยำย 3. ต้องมีความประสงค์จะสร้างความผูกพันระหว่างบุคคล หมำยควำมว่ำ นิตกิ รรมจะต้องเป็นกำรกระทำใด ๆ ที่ผกู้ ระทำได้กระทำลงโดยมี ควำมประสงค์ที่จะก่อให้เกิดผลในทำงกฎหมำย “ผลในทางกฎหมาย” คือ ก่อให้เกิดสิทธิและหน้ำที่ระหว่ำงคู่สัญญำ อันจะมีผลทำให้สำมำรถฟ้องร้องต่อฝ่ำยที่ไม่ปฏิบัติตำมสัญญำได้ นำยกิตตินัดนำงสำวปูเป้ไปดูภำพยนตร์ ปรำกฏว่ำถึงเวลำนัดหมำยนำย กิตติเบีย้ ว นำงสำวปูเป้มีสิทธิฟ้องร้องหรือไม่ กรณีนเี้ ป็นกำรกระทำหรือไม่ คำตอบ ...เป็น กรณีนีเ้ ป็นกำรกระทำที่ขัดต่อกฎหมำยหรือไม่ คำตอบ...ไม่ กรณีนเี้ ป็นกำร กระทำโดยสมัครใจหรือไม่ คำตอบ...นำยกิตติสมัครใจชวนแต่บังเอิญวันนัดติดธุระ แต่ในกรณีเช่นนีก้ ำรกระทำของนำยกิตติมิได้มงุ่ ให้ผูกพันในทำงกฎหมำย แต่ทำไป เพื่ออัธยำศัยไมตรี มำรยำท หรือทำงศีลธรรม จึงไม่ใช่นิติกรรม เช่นเดียวกัน พำลูกไปเที่ยวห้ำงสรรพสินค้ำ เดินชอปปิ้งผ่ำนแผนกของ เล่นเด็ก ลูกงอแงร้องไห้อยำกได้ของเล่น บิดำจึงแกล้งหลอกลูกว่ำเดี๋ยวจะซือ้ ให้ เพื่อ ต้องกำรให้ลูกหยุดร้องไห้ ปรำกฏว่ำไม่ซือ้ ของเล่นให้ลูก ลูกจะบอกได้ไหมว่ำบิดำผิด สัญญำ คำตอบ...คงเช่นเดียวกับกรณีขำ้ งต้น กำรที่บิดำพูดเช่นนัน้ ไม่ได้มุ่งให้เกิด ควำมผูกพันทำงกฎหมำย “ความผูกพันระหว่างบุคคล” หมำยควำมว่ำ นิตกิ รรมต้องเป็นเรื่อง ของนิติสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลกับบุคคลเท่ำนั้น ตัวอย่ำง นำยกิตติทำพินัยกรรมยก ที่ดนิ ของตนทั้งหมดให้สุนัข พินัยกรรมดังกล่ำวไม่สมบูรณ์ 4. ต้องก่อให้เกิด “ความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ” หมำยควำมว่ำ ควำม ผูก พั นระหว่ำ งบุค คลกั บ บุค คลมี ผลก่อ ให้ เ กิด ควำมเคลื่อนไหวเรื่อ งหนึ่ งเรื่อ งใด ดังต่อไปนี้
5
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
4.1 ก่อให้เกิดสิทธิ เช่น นำงสำวปูซื้อรถยนต์จำกนำยกิตติ เป็นนิติกรรม ที่ก่อให้เกิดสิทธิระหว่ำงคู่สัญญำ กล่ำวคือ นำงสำวปูย่อมมีสิทธิที่จะได้รถยนต์ ส่วน นำยกิตติย่อมมีสิทธิที่จะได้รับเงิน 4.2 เปลี่ยนแปลงสิทธิ เช่น จำกกรณีที่ 1 กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จำกเดิม เป็นของนำยกิตติ เปลี่ยนแปลงมำเป็นของนำงสำวปูเป้ หรือนำยกิตติทำสัญญำกู้ยืม เงินจำกนำยหมอดี แต่ตอ่ มำตกลงกันว่ำนำยหมอดีจะนำสร้อยทองไปชำระแทน กำร ตกลงนี้ก็ ถือเป็นนิติก รรมเพรำะเป็นกำรเปลี่ย นแปลงสิท ธิที่จำกเดิมจะได้เ งินมำ เป็นได้สร้อยทอง 4.3 โอนสิท ธิ เช่น นำยกิตติท ำสัญ ญำกู้ยืมเงินจำกนำยหมอดี ต่อมำ นำยหมอดีทำหนังสือโอนสิทธิเ รียกร้องในหนี้เงินกู้ไปให้กับนำงสำวปู เป้ เจ้ำหนี้ของ ตน หนังสือดังกล่ำวถือเป็นนิตกิ รรมเพรำะเป็นกำรโอนสิทธิ 4.4 สงวนสิท ธิ เช่น กำรที่ลูก หนี้ไ ด้ตกลงท ำหนัง สือรับ สภำพหนี้แ ก่ เจ้ำหนี้ ตำมที่เจ้ำหนี้ประสงค์เพื่อไม่ให้สทิ ธิเรียกร้องของลูกหนี้ขำดอำยุควำม (สงวน ให้สิทธิเรียกร้องยังคงอยู่) 4.5 ระงับสิทธิ เช่น กำรที่ลูกหนี้นำเงินที่กู้ยืมเงินของเจ้ำหนี้ไปมำชำระ หนี้ครบถ้วน ถือเป็นกำรเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ เนื่องจำกกำรชำระหนี้ของลูกหนีเ้ ป็น กำรทำให้สทิ ธิเรียกร้องของเจ้ำหนี้ระงับสิ้นไป นิตกิ รรมยังแบ่งออกได้เป็นสองประเภทได้แก่ นิ ติ ก รรมฝ่ า ยเดี ย ว หมำยถึ ง นิ ติ ก รรมที่ เ กิ ด ขึ้ น และมี ผ ล สมบูรณ์โดยกำรแสดงเจตนำของบุคคลฝ่ำยเดียว เช่น พินัยกรรม ตัวอย่ำง นำย กิตติทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินและที่ดินทั้งหมดให้แก่นำยหมอดีเพียงคนเดียว จะ เห็ น ได้ ว่ ำ นำยหมอดี ไ ม่ ไ ด้ เ ข้ ำ ไปยุ่ ง เกี่ ย วหรื อ มิ ไ ด้ รู้ ถึ ง กำรท ำพิ นั ย กรรมนี้ เ ลย พินัยกรรมเกิดจำกกำรแสดงเจตนำโดยเขียนเป็นหนังสือของนำยกิตติแต่เพียงผู้เดียว เท่ำนั้น หรือ กำรปลดหนี้ หรือ กำรบอกเลิกสัญ ญำ ผู้แสดงเจตนำไม่ต้องรับคำ สนองของอีกฝ่ำยหนึ่งว่ำต้องกำรให้ปลดหนี้ หรือต้องกำรให้บอกเลิกสัญญำหรือไม่ ถ้ำได้ควำมว่ำบุคคลใดต้องกำรปลดหนี้ หรือบอกเลิกสัญญำแม้กระทำฝ่ำยเดียวก็มี ผลเป็นนิติกรรมแล้ว
6
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
นิติกรรมหลายฝ่าย (นิติกรรมสองฝ่ำย) หมำยถึง นิติกรรมที่ เกิดขึ้นจำกกำรแสดงเจตนำของบุคคลตั้งแต่สองฝ่ำยขึ้นไป หรือที่เรียกว่ำ “สัญญา” เช่น สัญญำซือ้ ขำย สัญญำเช่ำทรัพย์ สัญญำเช่ำซือ้ สัญญำยืม เป็นต้น กล่ำวโดยสรุป นิติกรรมเป็นกำรกระทำของบุคคลอัน มีเจตนำเพื่อ ก่อให้เกิดกำรเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ สั ญ ญำมี ค วำมหมำยว่ ำ อย่ ำ งไร กฎหมำยมิ ไ ด้ บั ญ ญั ติ ไ ว้ เ หมื อ นกั บ “นิตกิ รรม” แต่พออธิบำยจำกบทบัญญัติแห่งกฎหมำยได้วำ่ สัญญำ คือ นิติกรรมที่เกิดขึ้นจำกกำรตกลงกันตั้งแต่สองฝ่ำยขึ้นไป มี ควำมสัมพันธ์เป็นเจ้ำหนี้และลูกหนี้ต่อกัน (ก่อให้เกิดสิทธิและหน้ำที่) ดังนัน้ องค์ประกอบของสัญญำจึงต้องประกอบด้วย มีบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ำย ต้องมีเจตนำตรงกัน (กำรแสดงเจตนำคำเสนอและคำสนอง) วัตถุประสงค์.........ควำมมุ่งหมำย พอสรุปได้วำ่ สัญญำคือนิติกรรมหลำยฝ่ำย ที่คู่สัญญำแต่ละฝ่ำยต้อง แสดงเจตนำที่ตรงต่อควำมมุ่งหมำยของกันและกัน ที่กล่ำวถึง “เจตนา” เนื่องจำก เหตุผลทำงปรัชญำว่ำ “นิติสัมพันธ์ทางหนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของเจตนาของ บุคคล” ตรงนีบ้ ำงตำรำจะเรียกว่ำ “หลักความศักดิ์สิทธิ์ของเจตนา” (The Autonomy of the Will) เจตนำของบุคคลมีควำมสำคัญ เพรำะ 1. เจตนำทำให้เกิดสัญญำ 2. เจตนำเป็นเครื่องกำหนดเนือ้ หำของสัญญำ 3. เจตนำเป็นเครื่องกำหนดผลของสัญญำ 2.2 นิติเหตุ มีก ำรกระท ำบำงอย่ ำงที่มิไ ด้เ กิดจำกกำรแสดงเจตนำเข้ำ ผูก พันของ บุค คลเพื่อก่อหนี้ขึ้น แต่เป็นเหตุก ำรณ์ที่ก ฎหมำยก ำหนดว่ำ หำกเกิดกำรกระท ำ อย่ำงนี้ข้ึน บุคคลมีหน้ำที่/สิทธิ (หนี้) เหตุกำรณ์ดังกล่ำวอำจจะเกิดขึ้นจำกธรรมชำติ เช่ น กำรตำยโดยธรรมชำติ ของบุ คคลคนหนึ่ง ย่ อมก่อ ให้ เ กิ ดสิ ท ธิ และหน้ำ ที่แ ก่ ทำยำท ได้แก่ สิทธิในกำรรับมรดกและ/หรือหน้ำที่ในกำรชดใช้หนี้สินตำมกองมรดก
7
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
(บรรพ 4 5 และ 6 ) หรือเมื่อเกิดมำมีสภำพบุคคล กำลเวลำผ่ำนมำครบ 20 ปี ก็ เป็นเหตุกำรณ์ที่กฎหมำยกำหนดว่ำบุคคลนั้นบรรลุนิติภำวะมีหน้ำที่ เช่น รับรำชกำร ทหำร หรือมีสิทธิในกำรทำนิติกรรมสัญญำอย่ำงสมบูรณ์ เป็นต้น เรียกว่ำ “นิติ เหตุ” 2.2.1 ความหมาย นอกจำกเหตุกำรณ์ตำมธรรมชำติแล้ว เหตุกำรณ์ที่เป็นปกติธรรมดำที่ บุคคลกระทำลงไปโดยมิได้มงุ่ ให้มีผลในทำงกฎหมำยก็อำจก่อให้เกิดหนีไ้ ด้ เรียกว่ำ “นิติเหตุ” เช่น นำยกิตติได้ประมำทเลินเล่อทำให้ทรัพย์สนิ ของนำยหมอดีเสียหำย จะเห็นได้ว่ำ นำยกิตติมิได้มีกำรแสดงเจตนำ (มุ่งประสงค์) ต่อทรัพย์ของนำยหมอดี เลย แต่กำรกระทำดังกล่ำวกฎหมำยกำหนดให้เกิดควำมผูกพันตำมกฎหมำย (กฎหมำยบังคับว่ำมีหนี้) กล่ำวคือ นำยกิตติต้องชดใช้ค่ำสินไหมทดแทน โดย กฎหมำยกำหนดให้นำยหมอดีมีสทิ ธิเรียกร้อง (มีสถำนภำพเกิดควำมเป็นเจ้ำหนี้ (Debtor)-ลูกหนี้ (Creditor)) 2.2.2 ประเภท (1) ละเมิด กฎหมำยได้บัญญัติไว้เป็นกำรเฉพำะให้ ผู้ใดกระทำละเมิดต้องมีหน้ำที่ (หนี้) ต้องชดใช้ค่ำสินไหมทดแทนเพื่อกำรนั้น “หนี้” ก็คือ ควำมผูกพันระหว่ำงผู้ทำ ละเมิดกับผูเ้ สียหำยนั่นเอง หนี้ที่เกิดจากการกระทาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
Fault Liability/Wrongful Act/Obligation (2) จัดการงานนอกสั่ง มาตรา 395 บัญญัติว่ำ บุคคลใดเข้ำทำกิจกำรแทนผู้อื่นโดยเขำมิได้ว่ำ ขำนวำนใช้ให้ทำก็ดี หรือโดยมิได้มีสทิ ธิที่จะทำกำรงำนนั้นแทนผู้อ่ืนด้วยประกำรใดก็ ดี ท่ำนว่ำบุคคลนั้นจะต้องจัดกำรงำนไปในทำงที่จะให้สมประโยชน์ของตัวกำร ตำม ควำมประสงค์อันแท้จริงของตัวกำร หรือตำมที่จะพึงสันนิษฐำนได้ว่ำเป็นควำม ประสงค์ของตัวกำร
8
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ฉะนั้น กำรจัดกำรงำนนอกสั่ง คือ กำรสอดเข้ำไปทำกิจกำรที่เขำไม่ได้ว่ำ ขำนวำนใช้ แต่เมื่อผูอ้ ื่นได้รับประโยชน์ กฎหมำยบัญญัติวำ่ “สามารถเรียกให้ชดใช้ เงินได้” (มำตรำ 401 ประกอบ 816 วรรคสอง) ก็คือ ก่อให้เกิดหนีน้ ั่นเอง เช่น มีพำยุ มำอย่ำงหนักเลยในชุมชนของเรำ เผอิญวันนั้นนำยหมอดีไม่อยู่บ้ำน พำยุพัดผ่ำนทำ ให้หลังคำบ้ำนเสียหำยไปแถบหนึ่ง และทำงรำชกำรได้ประกำศเตือนให้ระวังว่ำจะมี พำยุมำอีก นำยกิตติ เกรงว่ำข้ำวของ/ทรัพย์สนิ ในบ้ำนของนำยหมอดีจะเสียหำย จึง ไปหำซือ้ หลังคำมำซ่อมแซมให้บ้ำนนำยหมอดี จะเห็นได้ว่ำนำยหมอดีย่อมได้รับ ประโยชน์จำกกำรนัน้ เมื่อกลับมำมีหน้ำที่ตอ้ งชดใช้ (3) ลาภมิควรได้ มาตรา 406 บัญญัติว่ำ บุคคลใดได้มำซึ่งทรัพย์สิ่งใดเพรำะกำรที่บุคคล อีกคนหนึ่งกระทำเพื่อชำระหนี้ก็ดี หรือได้มำด้วยประกำรอื่นก็ดี โดยปรำศจำกมูลอัน จะอ้ำงกฎหมำยได้ และเป็นทำงให้บุคคลอีกคนหนึ่งนัน้ เสียเปรียบไซร้ ท่ำนว่ำบุคคล นั้นจำต้องคืนทรัพย์ให้แก่เขำ อนึ่งกำรรับสภำพหนีส้ ินว่ำมีอยู่หรือหำไม่นั้น ท่ำนก็ให้ ถือเป็นกำรกระทำเพื่อชำระหนี้ดว้ ย หมำยควำมว่ำ กำรที่บุคคลใดได้ทรัพย์สินใดมำ เพรำะกำรที่บุคคลอีก บุคคลหนึ่งกระทำเพื่อกำรชำระหนี้ หรือได้มำด้วยประกำรอื่นโดยปรำศจำกมูลอันจะ อ้ำงกฎหมำยได้ และเป็นทำงให้บุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเสียเปรียบ บุคคลผู้ได้รับทรัพย์ นั้นไว้จำต้องคืนทรัพย์นั้นให้แก่เขำ นำยสอนำเงินมำชำระหนี้ให้กับนำยไก่ โดยเข้ำใจ ผิดว่ำนำยไก่คือนำยไข่ (เจ้ำหนี้) จะเห็นได้ว่ำกรณีนี้ นำยไก่ได้รับเงินไปโดยปรำศจำก เหตุที่จะอ้ำงได้ว่ำ นำยสอมำให้เพรำะอะไร เมื่อไม่มีเหตุที่จะรับเงินไว้ กฎหมำยจึง บัญญัติให้นำยไก่มีหน้ำที่ตอ้ งคืนเงิน และนำยสอมีสิทธิเรียกร้องเงินได้ (4) กฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ เช่น หนี้ภำษีอำกร หนี้ตำมกฎหมำยว่ำด้วยกำรเวนคืนอสังหำริมทรัพย์ สรุป นิติเหตุ จึงเป็นเหตุกำรณ์ใด ๆ เมื่อเกิดขึ้น จักมีผลทำให้เกิด หน้ำที่ (หนี้) ตำมกฎหมำย แม้ว่ำผู้ก่อให้เกิดเหตุกำรณ์นั้น ๆ จะไม่ได้สมัครใจ (Free will) ก็ตำม
9
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
(3) ความหมายของละเมิด ตำมศัพท์ภำษำอังกฤษใช้คำว่ำ “Tort” ซึ่งมีรำกศัพท์มำจำกภำษำลำตินว่ำ “Tortus” ซึ่งมีควำมหมำยว่ำ กำรกระทำควำมผิด (Wrong) หรือกำรกระทำโดยทุจริต (Crooked) (Professor Sam Blay, The nature of torts liability)
ควำมหมำยทั่วไปละเมิดจึงหมำยถึงกำรกระทำที่เป็นควำมผิด หรือกำรใช้ สิท ธิ โ ดยไม่สุ จริต ควำมหมำยทำงกฎหมำย ละเมิ ดหมำยถึง กำรกระท ำโดยผิ ด กฎหมำยทำให้บุคคลอื่นได้รับควำมเสียหำยหรือเดือดร้อน และเมื่อควำมเสียหำย เกิดขึ้น ผูท้ ี่เป็นผู้ก่อควำมเสียหำยมีหน้ำที่ตอ้ งชดใช้ควำมเสียหำยนั้น (He who breaks must pay)
(4) ละเมิดกับสัญญา (Tort and Contrast) ความเหมือน 1. อยู่ภำยใต้ขอบข่ำยกฎหมำยเอกชน ที่บุคคลทั้งสองฝ่ำยมีสถำนะเสมอกัน 2. เป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ ความแตกต่าง 1. หน้ำที่ใ นกำรปฏิบัติตำมสัญญำย่อมเกิดจำกใจสมัครของคู่สัญญำ แต่ สำหรับละเมิดหน้ำที่เกิดจำกบทบังคับทำงกฎหมำยที่มีต่อผู้สร้ำงควำมเสียหำยให้แก่ บุคคลอื่น 2. สัญญำเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ ต่อเมื่อลูกหนี้ไม่ปฏิบัติกำรชำระหนี้ และตก เป็นผู้ผิดนัด (มำตรำ 203-205) ส่วนละเมิดมำตรำ 206 บัญญัติว่ำ ในกรณีหนี้อัน เกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่ำผิดนัดมำแต่เวลำที่ทำละเมิด 3. คู่สัญญำมีหน้ำที่ต้องปฏิบัติตำมสัญญำ สิทธิและหน้ำที่ระหว่ำงคู่สัญญำ สิน้ สุดเมื่อปฏิบัติตำมสัญญำ แต่เมื่อผิดสัญญำสำมำรถเรียกร้องให้คู่สัญญำอีกฝ่ำย ปฏิบัติกำรชำระหนี้ตำมวัตถุแห่งหนี้ และเจ้ำหนี้ทรงสิทธิในกำรเรียกร้องค่ำเสียหำย สำหรับกรณีละเมิดเจ้ำหนี้มสี ิทธิแต่เพียงเรียกร้องค่ำสินไหมทดแทน 4. สั ญ ญำค ำนึ ง ถึ ง เรื่ อ งควำมสำมำรถของบุ ค คล และกำรแสดงเจตนำ สำหรับละเมิดไม่คำนึงถึงเรื่องควำมสำมำรถของบุคคล แต่มีข้อยกเว้นบำงกรณีของ กำรแสดงเจตนำ เช่น กำรให้ควำมยินยอม หรือกำรสมัครใจเข้ำเสี่ยงภัย เป็นต้น 5. หน้ำที่นำสืบในชั้นพิจำรณำคดี ตำมหลัก “ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้ นต้ อ งน าสืบ ข้อ เท็จ จริง นั้น ” กล่ ำ วคื อ คดีล ะเมิ ดผู้ เ สีย หำยมีห น้ ำที่ ต้ องสื บ
10
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
พิสูจน์ว่ำควำมเสียหำยของตนเกิดจำกกำรกระทำของจำเลย สำหรับสัญญำเจ้ำหนี้ ต้องนำสืบว่ำตนและลูกหนี้ผูกพันหรือมีนิติสัมพันธ์กันอย่ำงไร และอีกฝ่ำยหนึ่งมิได้ ปฏิบัติตำมสัญญำนั้น (5) ละเมิดกับหนี้ (Tort Liability and Obligation) มำตรำ 194 “ด้ ว ยอ านาจแห่ ง มู ล หนี้ เ จ้ า หนี้ ย่ อ มมี สิ ท ธิ เ รี ย กร้ อ งให้ ลูกหนี้ปฏิบัติการชาระหนี้” ละเมิ ด ก่ อ ให้ เ กิ ด สิ ท ธิ เ รี ย กร้ อ งที่ ผู้ ถู ก กระท ำมี ฐ ำนะเป็ น เจ้ ำ หนี้ ใ ช้ สิ ท ธิ เรียกร้องให้ผู้กระทำละเมิดที่มฐี ำนะลูกหนี้ ปฏิบัติกำรชำระหนี้ (6) ประทุษร้ายทางแพ่งกับประทุษร้ายทางอาญา ละเมิดหรืออีกนัยหนึ่งคือกำรประทุษร้ำยทำงแพ่ง ซึ่งได้แก่กำรกระทำให้เกิด ควำมเสียหำยทั้งแก่ ชีวิต ร่ำงกำย เสรีภำพ อนำมัย หรือทรัพย์สินของผู้อื่น มีควำม เหมือนและควำมแตกต่ำงจำกกำรประทุษร้ำยในทำงอำญำดังนี้ ลักษณะความเหมือน (1) กำรประทุษ ร้ำยไม่ว่ำจะเป็นทำงแพ่งหรือทำงอำญำ เป็นเรื่องที่ไ ม่ ชอบด้วยกฎหมำย (2) กำรประทุษร้ำยทำงแพ่งและกำรประทุ ษร้ำยทำงอำญำ มีบทลงโทษ ทำงกฎหมำย (3) กระทบกระเทือนต่อควำมสงบสุขของสังคม ทั้งในแง่ควำมสูญเสีย ทำงเศรษฐกิจและสังคม ลักษณะความแตกต่าง (1) ลั ก ษณะของโทษกล่ ำ วคื อ ละเมิ ด จะพิ จ ำรณำจำกระดั บ ควำม เสี ย หำยที่ มี ต่ อผู้ ถู ก กระท ำ ยิ่ง มี ค วำมเสี ย หำยมำก ค่ ำ สิน ไหมทดแทนก็ ม ำกขึ้ น ตำมล ำดั บ แต่ ก ำรประทุ ษ ร้ ำ ยทำงอำญำพิ จ ำรณำตำมฐำนควำมผิ ด และโทษที่ กฎหมำยกำหนดไว้ (2) ควำมผิด สำเร็ จกล่ำ วคื อ ละเมิ ด จะพิจ ำรณำว่ำ บุค คลนั้น กระท ำ ควำมผิดฐำนละเมิดต่อเมื่อมีควำมเสียหำยหรือควำมเดือดร้อนเกิดขึ้นแก่ผู้ถูกกระทำ แต่ในทำงอำญำจะพิจำรณำจำกองค์ประกอบควำมรับผิดในแต่ละฐำนควำมผิด
11
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
นิ ติ น โยบำย กล่ ำ วคื อ ละเมิ ด มี นิ ติ น โยบำย เพื่ อ เยี ย วยำควำม เสียหำยผู้ได้รับควำมเดือดร้อน จำกกำรกระทำของผู้ทำละเมิดโดยกำหนดเป็นค่ำ สินไหมทดแทน (ผลประโยชน์ทำงเศรษฐกิจ) แต่ทำงอำญำมีนิตินโยบำยเพื่อลงโทษมิ ให้ผู้อื่นปฏิบัติฝ่ำฝืน กฎหมำยที่มุ่งประสงค์คุ้มครองควำมสงบสุขของสำธำรณชน (ผลประโยชน์ทำงสังคม) (4) หลั ก กำรตีค วำม ทำงอำญำกำรบั งคั บ ใช้ ก ฎหมำยอำญำผู้ ใ ช้ ต้ อ ง ตีควำมโดยเคร่งครัด เช่น คดีอำญำไม่มีควำมรับ ผิดฐำนท ำให้ท รัพย์สินของผู้อื่น เสียหำยโดยประมำท เป็นต้น แต่สำหรับคดีแพ่ง กำรประทุษร้ำยทำงแพ่งกฎหมำย คลี่คลำยให้นำผู้กระทำให้เกิดควำมเสียหำยโดยมิชอบด้วยกฎหมำย “Unlawful” มำ ลงโทษ (3)
12
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
บทที่ 2 ละเมิดที่เกิดการกระทาโดยไม่ชอบของตนเอง Fault Liability 2.1
หลักทั่วไป
มาตรา 420 บัญญัติว่ำ ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทาต่อบุคคลอื่น โดยผิ ด กฎหมายให้ เ ขาเสี ย หายถึ ง แก่ ชี วิ ต ก็ ดี แก่ ร่ า งกายก็ ดี อนามั ย ก็ ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทาละเมิด จาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น มำตรำ 420 เป็นหลักกฎหมำยทั่วไปแห่งละเมิด (Torts) ซึ่งเป็นควำมรับผิดที่ ผูก้ ระทำเป็นผู้ก่อให้เกิดควำมเสียหำยขึ้นเองโดยตรง มีหลักเกณฑ์พิจำรณำดังนี้ (1) ต้องมีกำรกระทำต่อผู้อ่น ื (Fault) (2) โดยจงใจ (Intention) หรือ ประมำทเลินเล่อ (Negligence) (3) โดยผิดกฎหมำย (Unlawful) (4) เกิดควำมเสียหำย (Damage) หรือบำดเจ็บ (Injury) เมื่อพิจำรณำครบองค์ประกอบข้ำงต้น บุคคลนั้นมีหนี้ (Liability) ที่ ต้องชำระหนี้ตอ่ ผูอ้ ื่น คาอธิบาย (1) ผู้ใด/ผู้อื่น 1.1 ประธานแห่งกรรม (Subject) ตำมที่ ท่ำ นได้ศึ ก ษำ หลั ก กฎหมำยเอกชนจะพบว่ ำ บุ คคลตำม กฎหมำยได้แก่ 1. บุคคลธรรมดำ 2. นิตบ ิ ุคคล และทั้ง 2 กรณีจะมีควำมรั บ ผิดทำงละเมิดได้ต่อเมื่ อเกิดมีสภำพ บุคคลแล้ว กรณีบุคคลธรรมดำ ตำมมำตรำ 19 วรรคหนึ่ง ส่วนกรณีนิติบุคคล ตำม มำตรำ 69
13
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
บุคคลธรรมดำ/นิติบุคคลจะต้องรับผิดต่อเมื่อเป็นผู้ก่อให้เกิดควำม เสียหำย หำกไม่ปรำกฏว่ำ บุคคลธรรมดำ/นิติบุคคลนั้นเป็นผู้ก่อควำมเสียหำย ก็ไม่ จำต้องรับผิดชอบในผลนั้น คำพิพำกษำฎีกำที่ 1980/2519 กรรมกำรอำนวยกำรซึ่งได้รับมอบ ให้จัดกำรบริษัทคือผู้จัดกำรตำม มำตรำ 1164 กรรมกำรบริษัทที่ไม่ใช่ผู้จัดกำรและ ไม่มีหน้ำที่จัดกำรธุรกิจของบริษัท ไม่ต้องร่วมรับผิดกับผู้จัดกำรในกรณีจงใจหรือ ประมำทเลินเล่อทำให้บริษัทเสียหำยอันมิใช่สำเหตุโดยตรง หำกกิจกำรนั้นเป็นกำร จัดกำรธุรกิจของบริษัท ซึ่งอยู่ในควำมรับผิดชอบของผู้จัดกำร และมิได้อยู่ในข้อใด ข้อหนึ่งตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 1168 ซึ่งกรรมกำรทุกคนต้อง รับผิดร่วมกัน กรรมกำรอำนวยกำรซึ่งได้รับมอบให้จัดกำรบริ ษัทคือผู้จัดกำรตำม มำตรำ 1164 กรรมกำรบริษัทที่ไม่ใช่ผู้จัดกำรและไม่มีหน้ำที่จัดกำรธุรกิจของบริษัท ไม่ต้องร่วมรับผิดกับผู้จัดกำรในกรณีจงใจหรือประมำทเลินเล่อทำให้บริษัทเสียหำย อันมิใช่สำเหตุโดยตรง หำกกิจกำรนัน้ เป็นกำรจัดกำรธุรกิจของบริษัท ซึ่งอยู่ในควำม รับผิดชอบของผู้จัดกำร และมิได้อยู่ในข้อใดข้อหนึ่งตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและ พำณิชย์ มำตรำ 1168 ซึ่งกรรมกำรทุกคนต้องรับผิดร่วมกัน 1.2 วัตถุแห่งกรรม (Object) ได้แก่ ผู้อ่นื บุคคลธรรมดำ/นิติบุคคลเช่นเดียวกับประธำนแห่งกรรม ข้อสังเกต 1. วัตถุแห่งกรรมที่กฎหมำยบัญญัติว่ำ “ผู้อื่น” ดังนั้น กำรกระทำที่ ให้ตนเองได้รับควำมเสียหำยแก่ชีวิต ร่ำงกำย เสรีภำพ อนำมัย ทรัพย์สิน หรือสิทธิ อย่ำงหนึ่งอย่ำงใด ไม่เป็นควำมผิด เช่น กระทำอัตวินิบำตกรรมไม่เป็นละเมิด ดังนั้น คู่สมรสของผู้ทำละเมิดจะเรียกร้องค่ำสินไหมทดแทนจำกกำรพยำยำมฆ่ำตัวตำย ของคูส่ มรสของตนไม่ได้ 2. หำกกำรกระท ำละเมิ ด ต่อ สั ต ว์เ ลี้ ย ง เช่น วำงยำเบื่ อ สุ นัข ขั บ รถยนต์โดยประมำทเลินเล่อชนสุนัขซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้อื่นตำย เช่นนี้ แม้ว่ำ บำง กรณีใ นทำงอำญำจะบัญ ญัติไว้เป็นควำมผิด (ควำมผิดฐำนทำรุณกรรมสัตว์) แต่ ในทำงแพ่ง (ละเมิด) จะถือว่ำ สัตว์เลี้ยงแม้จะมีชีวิตจิตใจแต่ถือว่ำเป็นทรัพย์ที่บุคคล ที่เป็นเจ้ำของกรรมสิทธิ์เป็นผู้ทรงสิทธิ์เท่ำนั้น
14
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
แต่มีบำงกรณีในเรื่องละเมิดที่ผู้กระทำมิได้เป็นผู้ก่อภัยขึ้น แต่บุคคล นั้นมีหน้ำที่ตำมกฎหมำยที่จะต้องเข้ำมำรับผิดร่วม เช่น ละเมิดที่เกิดจำกกำรกระทำ ของผู้อื่น (Vicarious Liability) หรือละเมิดที่เกิดจำกสัตว์เลี้ยง ซึ่งจะได้กล่ำวถึงในบท ต่อ ๆ ไป แต่ที่จะกล่ำวถึงในบทนี้เป็นกำรกระทำละเมิดที่เกิดจำกตนเองและ ตนเองจะต้ อ งรั บ ผิด ชอบเยี ย วยำควำมเสีย หำยที่ ตนก่ อ ขึ้น นั้ นที่ เ รีย กว่ำ เป็น กำร กระทำละเมิดโดยแท้ (Fault Liability) การกระทาต่อผู้อื่นให้ได้รับความเสียหาย ควำมรับผิด ทำงละเมิด จำเลยจะต้องรับ ผิดเมื่อควำมเสีย หำยที่ เกิดขึ้นนัน้ เป็นกำรกระทำของจำเลย กำรกระท ำได้ แ ก่ กำรแสดงอำกั ป กริ ย ำ อิ ริ ย ำบถ หรื อ กำร เคลื่อนไหว และให้หมำยรวมถึง กำรไม่เคลื่อนไหวของร่ำงกำย เพรำะตำมประมวล กฎหมำยอำญำ มำตรำ 59 วรรคท้ำย บัญญัติว่ำ “ซึ่งกำรกระทำถือเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ผู้กล่ำวอ้ำง (โจทก์) มีหน้ำที่ต้องนำสืบ (Burden of Proof) ให้ศำลเห็นว่ำ ควำม เสียหำยที่โจทก์ได้รับเกิดขึ้นจำกกำรกระทำของจำเลย กำรรับฟังข้อเท็จจริงให้เป็นที่ ยุ ตินั้น ศำลมัก จะฟั งข้ อเท็ จจริง แห่งคดีอำญำเป็ นยุ ติ อย่ำงไร ส่ วนคดีท ำงแพ่ง ก็ เป็นไปตำมนัน้ เพรำะคดีละเมิดส่วนใหญ่จะเป็นคดีที่เป็นควำมผิดทำงอำญำ (2)
2.1 ข้อเท็จจริงต้องฟังเป็นยุติตรงกัน 2.1.1 คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา “กำรกระทำ ให้หมำยควำมรวมถึง กำรให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นกำรที่จัดต้องกระทำ เพื่อป้องกันผลนั้นด้วย” บทบัญญัติแห่งกฎหมำยอำญำ ย่อมต้องถูกนำมำใช้กับเรื่องละเมิด เนื่ อ งจำกในกำรพิ จ ำรณำคดี ข้ อ เท็ จ จริ ง ต้ อ งมี บ ทสรุ ป ปรั บ ให้ ยุ ติ ต รงกั น และ ควำมผิด ฐำนละเมิดในทำงแพ่งกับ ฐำนควำมผิดอื่น ๆ ในคดีอำญำย่อมต้องเกี่ย ว เนื่องกัน ที่เรียกว่ำ “คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ” ซึ่งประมวลวิธีพิจำรณำ ควำมอำญำ มำตรำ 46 ให้ถือว่ำ ในคดีแพ่งที่เ กี่ย วเนื่องกั บ คดีอำญำ ถ้ำศำลใน คดีอำญำพิจำรณำปัญหำข้อเท็จจริงแล้ว รับฟังเป็นยุติอย่ำงไร กฎหมำยกำหนดให้
15
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ศำลในคดี ส่ ว นแพ่ ง ต้ อ งยึ ด ถื อ ข้ อ เท็ จ จริ ง นั้ น ๆ ถื อ เป็ น ยุ ติ ต รงกั น โดยจะรั บ ฟั ง ข้อเท็จจริงเป็นอย่ำงอื่นที่นอกเหนือจำกศำลในคดีอำญำมิได้ เหตุผลเพรำะในควำม เป็นจริงหรือข้อเท็จจริงต้องมีเพียงอย่ำงเดียวเท่ำนั้น จะต้องมีควำมจริงที่เป็นสอง เรื่องที่ขัดแย้งกันมิได้ ดังนัน้ มำตรำ 46 ประมวลวิธีพิจำรณำควำมอำญำ จึงใช้กับ (1) คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอำญำ (2) คำพิพำกษำคดีอำญำต้องถึงที่สุด (3) ผูท ้ ี่จะถูกผูกพันตำมคำพิพำกษำคดีอำญำต้องเป็นหรือถือเป็น คู่ควำมในคดีอำญำ (4) ให้ผูกพันเฉพำะข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอำญำ เท่ำนั้น ค ำพิพ ำกษำฎี ก ำที่ 2637/2542 แม้ใ นกำรพิ พำกษำคดี ส่ว นแพ่ ง ศำลจำต้องถือข้อเท็จจริงตำมที่ปรำกฏในคำพิพำกษำคดีส่วนอำญำ ตำมประมวล กฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ 46 ซึ่งต้องถือว่ำโจทก์เช่ำที่ดินพิพำทจำก เจ้ำของเดิมปลูกอ้อย และกำรที่จำเลยว่ำจ้ำงคนงำนเข้ำไปเผำและตัดต้นอ้อยของ โจทก์ในที่ดินพิพำทไปขำยจำเลยกระทำไปโดยเชื่อว่ำต้นอ้อยในที่ดินพิพำทเป็นของ ผู้อื่นซึ่งมอบให้จำเลยดูแลแทนและจำเลยไม่ทรำบว่ำโจทก์เช่ำที่ดินพิพำทจำกเจ้ำ ของเดิมปลูกอ้อยและต้นอ้อยในที่ดินพิพำทเป็นของโจทก์ก็ตำม แต่จำเลยจะต้องรับ ผิดในทำงแพ่งฐำนกระทำละเมิดโจทก์หรือไม่ต้องพิจำรณำว่ำควำมเข้ำใจของจำเลย ดังกล่ำวเป็นไปโดยประมำทเลินเล่อหรือไม่ เมื่อปรากฏว่าความเข้าใจว่าตนมีสิทธิ ทาได้ของจาเลยเป็นไปด้วยความประมาทเลินเล่อ จำเลยจึงต้องรับผิดในผลแห่ง ละเมิดอันเกิดจำกกำรกระทำโดยประมำทของตน 2.1.2 คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา อุทำหรณ์ (1) นำยกิตติ ยิง นำยหมอดี ตำยในทำงอำญำ นำยกิตติ มีควำมผิดทำงอำญำฐำนฆ่ำผู้อื่น (มำตรำ 288) และในขณะเดียวกัน นำยกิตติ มี ควำมผิดฐำนละเมิดในส่วนคดีแพ่งตำมมำตรำ 420
16
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
นำยกิตติ สั่งจ่ำยเช็คเพื่อชำระหนี้จำนวน 100,000บำท ให้แก่นำย หมอดี ต่อมำนำยหมอดี เอำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนำคำร ปรำกฏว่ำ ธนำคำร ปฏิเสธกำรจ่ำยเงิน เนื่องจำกไม่มีเงินในบัญชี ดังนั้น นำยหมอดี ฟ้องคดีอำญำในมูล ฐำนควำมผิดตำมพระรำชบัญญัติเกี่ยวกับกำรใช้เช็ค และนำยหมอดี สำมำรถฟ้องให้ นำยกิตติ รับผิดชดใช้เงินตำมกฎหมำยว่ำด้วยตั๋วเงิน (ประมวลกฎหมำยแพ่งและ พำณิชย์) ควำมแตกต่ำงระหว่ำง 2 ตัวอย่ำงข้ำงต้น กล่ำวคือตัวอย่ำง ที่ (1) ข้อเท็จจริงในส่วนของกำรกระท ำเดียวกัน มู ลฐำนควำมรับ ผิดมำจำกกำร กระทำหรือมำจำกเหตุเดียวกันกับมูลฐำนควำมรับผิดในคดีอำญำ แต่ ใ นตั ว อย่ ำ งที่ (2 ) คดี แ พ่ ง ไม่ เ กี่ ย วเนื่ อ งกั บ คดี อ ำญำ เพรำะในเรื่องเช็คมูลฐำนและองค์ประกอบควำมรับผิดในทำงอำญำคือ 1. ต้องเป็นกำรออกเช็คเพื่อชำระหนี้ 2. ต้ อ งทรำบอยู่ ก่ อ นว่ ำ เงิ น ในบั ญ ชี ข องตนไม่ มี เ งิ น หรื อ มีแต่ไม่เพียงพอ 3. ธนำคำรปฏิเสธกำรจ่ำยเงิน แต่กฎหมำยในทำงแพ่ง กำหนดควำมรับผิด สำหรับ กำรใช้ เช็คว่ำ 1. คนที่จะมำเป็นโจทก์ ฟ้องคดีต้องเป็นผู้ทรงเช็ค 2. ผู้ที่ต้องรับผิดต้องเป็นคนลงลำยมือชื่อ ฉะนั้น มูลฐำน และองค์ประกอบควำมรับผิดในคดีแพ่งและคดีอำญำจึงเป็นคนละส่วนแตกต่ำงกัน ดังนัน้ คดีเช็ค ในคดีแพ่งจึงมิได้เกี่ยวเนื่องกับคดีอำญำในกำรใช้เช็ค เพรำะฉะนั้น จึง ไม่อยู่ในบังคับประมวลวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ 46 มำตรำ 46 จะเอำคำพิพำกษำคดีหนึ่งไปเกี่ยวข้องกับอีกคดี หนึ่งไม่ได้ ที่ ส ำคั ญ ที่ ใ นคดี ล ะเมิ ด จะต้ อ งถื อ ข้ อ เท็ จ จริ ง ทั้ ง สองคดี ตรงกัน เพรำะ ในส่วนใหญ่ของคดีละเมิดนั้นจะเกี่ยวเนื่องกับคดีอำญำ เช่น คดีขับ รถยนต์ชนคนบำดเจ็บสำหัสหรือถึงแก่ชีวิต กำรกระทำโดยกำรขับ รถยนต์ ชนคน บำดเจ็บหรือตำยนั้นเป็นกระกระทำอันเดียว แต่เป็นมูลฐำนในควำมรับผิดทำงแพ่ง และอำญำได้ เพรำะ ในคดีอำญำจะต้องรับผิด อย่ำงน้อยผู้นั้นต้องประมำท และคดี (2)
17
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
แพ่ง มำตรำ 420 เช่นกัน กฎหมำยบัญญัติให้ผู้กระทำควำมผิด หำกผู้นั้นประมำท เลินเล่อก็ต้องมีควำมรับผิดเช่นกัน 2.1.3 คดีอาญาต้องมีคาพิพากษาถึงที่สุด ถ้ ำ ยั ง อยู่ ใ นขั้ น ตอนของกำรอุ ท ธรณ์ เมื่ อ ศำลชั้ น ต้ น พิพำกษำ หรืออุทธรณ์ไปยังศำลฎีกำ เมื่อศำลอุทธรณ์พิพำกษำ แล้วแต่กรณียังมิ อำจรับฟังได้ ดังนั้นในทำงปฏิบัติ เมื่อมีคดีแพ่งที่เกี่ยวกับคดีอำญำเช่นนี้ ศำลใน ส่ ว นคดี แ พ่ ง มั ก จะมี ค ำสั่ ง ให้ ช ะลอกำรพิ จ ำรณำคดี ชั่ ว ครำว เพื่ อ รอผลในทำง คดีอำญำก่อน 2.1.4 ผู้ท่ีจะถูกผูกพันตามคาพิพากษาคดีอาญาต้องเป็นคู่ความ หรือถือเป็นคู่ความในคดีอาญา เหตุผล เพรำะผูท้ ี่ไม่เคยเป็นคู่ควำมในคดีอำญำ เขำไม่เคย ต่อสู้ในประเด็นในคดีอำญำมำก่อน กำรที่จะดำเนินคดีแก่ผู้นั้น โดยที่เขำมิเคยได้มี โอกำสได้ต่อสู้ (Defense) และยกข้อเท็จจริงที่เขำไม่มีโอกำสต่อสู้มำขึ้นผูกมัดเขำ จึงไม่ เป็นกำรยุติธรรม ดังนัน้ เพื่อประโยชน์แห่งควำมยุติธรรมศำลจึงต้องอนุญำตให้ผู้นั้น นำพยำนหลักฐำนเข้ำสืบใหม่ได้ ตัวอย่ำง นำยกิตติ ขับรถชนโจทก์ ได้รับบำดเจ็บสำหัส โจทก์ ฟ้องนำยกิตติ ต่อศำลเป็นคดีอำญำว่ำ ขับรถโดยประมำทเป็นเหตุให้ผู้อื่นบำดเจ็บ สำหัส ตำมมำตรำ 300 (ประมวลกฎหมำยอำญำ ) ซึ่งปรำกฏว่ำ ศำลอำญำได้ พิจำรณำมีค ำพิพ ำกษำ ลงโทษจำคุก นำยกิตติ 4 เดือน โดยโทษจำคุก ให้รอลง อำญำไว้ 2 ปี ฟังเป็นยุติได้ตำมนั้น และในคดีแพ่งโจทก์ฟ้องนำยกิตติ ฐำนละเมิด เป็นจำเลยที่ 1 และนำยหมอดีเป็นจำเลยที่ 2 เนื่องจำกนำยหมอดีเป็นนำยจ้ำงของ นำยกิตติ ตำมมำตรำ 425 จะเห็นได้ว่ำ จำเลยที่ 1 (นำยกิตติ) ศำลในคดีส่วนแพ่ง ต้องฟัง ข้อเท็จจริงเป็นยุติตรงตำมที่ศำลอำญำพิพำกษำ (ประมวลวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ 46) โดยจำเลยที่ 1 ถูกกฎหมำยปิดปำกมิให้เถียงเป็นอย่ำงอื่น ส่วนจำเลยที่ 2 (นำยหมอดี) ไม่เคยเป็นคู่ควำมในคดีอำญำไม่เคยต่อสู้มำก่อน นำยหมอดีจึงไม่ตกอยู่
18
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ในบังคับแห่งประมวลวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ 46 เพื่อประโยชน์แห่งควำม ยุติธรรม จำเลยที่ 2 จึงสำมำรถหำข้อโต้แย้งหรือพยำนหลักฐำนมำสืบหักล้ำงได้ ศำลต้องอนุญำตให้สืบพยำนใหม่ระหว่ำงโจทก์กับจำเลยที่ 2 2.1.5 ผูกพันเฉพาะข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรง ในคดีอาญาเท่านั้น อุทำหรณ์ ศำลในคดี อ ำญำ ฟั ง เป็ น ยุ ติ ว่ ำ จ ำเลยขั บ รถชนโจทก์ โ ดย ประมำท (ข้อเท็จจริ งโดยตรง) แต่โ จทก์เ องก็ มี ส่วนประมำทอยู่ ด้วยไม่น้อ ย จึ ง เห็นสมควรลงโทษสถำนเบำให้จำคุกเพียง 1 เดือน ปรับ 2,000 บำท โทษจำคุกศำล ให้รอลงอำญำ 2 ปี ภำยหลังโจทก์นำเรื่องดังกล่ำวมำฟ้องคดีแพ่ง (ฐำนละเมิด) โดยที่จำเลยให้กำรต่อสู้ว่ำ 1. จำเลยไม่ได้ขับรถโดยประมำท และ 2. โจทก์เองก็มีสว่ นผิดอยู่ด้วย จึ ง ขอให้ ศ ำลน ำส่ ว นที่ เ ป็ น ควำมผิ ด ของโจทก์ ม ำหั ก ลบ ควำมผิดของจำเลย (มำตรำ 422) กรณีเช่นว่ำนี้ จำเลยไม่สำมำรถกล่ำวอ้ำงได้ เพรำะคดีนี้เ ป็นคดีแพ่งที่ เกี่ยวเนื่องกับคดีอำญำ (ศำลในคดีอำญำ ตัดสินไว้เป็น ยุติแล้วว่ำจำเลยขับรถชน โจทก์โดยประมำท) แต่ประเด็นปัญหำอยู่ที่ว่ำ โจทก์เองก็มีส่วนผิดอยู่ด้วยนั้น ย่อมไม่ผูกพันคดีแพ่ง เพรำะไม่ใช่ข้อเท็จจริงของคดีโดยตรง จำเลยสำมำรถนำเอำ ข้ อ อ้ ำ งในส่ ว นนี้ ม ำต่ อ สู้ ใ นคดี แ พ่ ง ได้ แ ละ ศำลต้ อ งอนุ ญ ำตให้ คู่ ค วำมน ำพยำน หลักฐำนมำสืบพิสูจน์ได้ และศำลคดีแพ่งต้องตัดสินไปตำมพยำนหลักฐำนใหม่ว่ำ จริง ๆ แล้วโจทก์มสี ่วนกระทำควำมผิดด้วยหรือไม่เพียงใด ตำม มำตรำ 442
19
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
2.2 ความสัมพันธ์ระหว่างละเมิดทางแพ่งกับความรับผิดทางอาญา (ประเด็นข้อกฎหมาย) มาตรา 424 บัญญัติว่ำ “ในการพิจารณาคดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิด และกาหนดค่าสินไหมทดแทน นั้น ท่านว่าศาลไม่จาต้องดาเนินตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายลั ก ษณะอาญาอั นว่า ด้วยการที่จะต้อ งรับ โทษ และไม่ จ าต้อ ง พิเคราะห์ถงึ การที่ผู้กระทาผิดต้องคาพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่” อุทำหรณ์ คนวิกลจริตถึงขนำดไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไปเอำไม้ตีศีรษะนำยกิตติ บำดเจ็บสำหัส ซึ่งตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 297 บัญญัติให้คนวิกลจริต นั้น มีควำมรับผิดทำงอำญำฐำนทำร้ำยร่ำงกำย แต่ระงับโทษให้ (มีควำมผิดแต่ไม่มี โทษ) เนื่องจำกเป็นภำวะแห่งจิต ซึ่งในคดีแพ่งมิได้ยกเว้นโทษให้เหมือนคดีอำญำ เนื่องจำกผู้เสียหำย สำมำรถฟ้องคนวิก ลจริตผู้ท ำละเมิด เป็นจำเลยที่ 1 และฟ้องบิดำมำรดำหรือผู้ อนุบำลเป็นจำเลยที่ 2 และ3 ให้รว่ มรับผิดได้ตำม มำตรำ 429 เพรำะฉะนั้น คนวิกลจริตต้องรับผิดฐำนละเมิดต่อ นำยกิตติ ตำม มำตรำ 424 หำกพิจำรณำเข้ำองค์ประกอบตำม มำตรำ 420 ซึ่งในกำรนี้ ขอให้ พิจำรณำหลักที่ว่ำ เรื่องตำมกฎหมำยละเมิดให้พิจำรณำจำกกฎหมำยละเมิด ไม่ ต้องพิเครำะห์ถึงกฎหมำยอำญำ กำรที่กฎหมำยอำญำ ยกเว้นโทษให้ก็เป็นเรื่องของ กฎหมำยอำญำเนื่องจำกบทลงโทษทำงอำญำมีลักษณะรุนแรงแตกต่ำงกับบทลงโทษ ทำงแพ่งที่มงุ่ สูก่ ำรเยียวยำควำมเสียหำย เพื่อควำมเข้ำใจ จะขอยกตัวอย่ำงอีกสักหนึ่งตัวอย่ำงประกอบ นำย กิ ต ติ คนร้ ำ ยใช้ มีด ไล่แ ทงนำยหมอดี นำยหมอดี เห็ นนำงสำวปู อ ยู่ข้ ำ ง ๆ จึ ง ใช้ นำงสำวปูเป็นกำบัง ปรำกฏว่ำมีดแทงไปถูก นำงสำวปู กรณีเช่นนี้ นำยหมอดีจะมี ควำมผิดทำงอำญำฐำนทำร้ำยผู้อื่น แต่กระทำไปด้วยควำมจำเป็น ซึ่งตำมประมวล กฎหมำยอำญำ มำตรำ 67 เป็นบทยกเว้นโทษให้ถ้ำบุคคลนั้นกระทำควำมผิดไป เพรำะตกอยู่ในสภำพจำเป็นอันมิอำจเลี่ยงได้
20
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
แต่สำหรับควำมรับผิดในทำงแพ่ง (ละเมิด) หำเป็นเช่นนั้นไม่ นำย หมอดี ยังต้องรับผิดอยู่ เพรำะครบองค์ประกอบตำมมำตรำ 420 ประกอบมำตรำ 424 2.3 การกระทา “ผู้ ใ ดกระท าต่ อ ผู้ อื่ น ”
กำรกระท ำดัง กล่ำ วนี้จ ะเป็ นละเมิด ต้องเป็น กำร กระทำที่ผิดกฎหมำย (Fault) และก่อให้เกิดเหตุกำรณ์ร้ำย ควำมเสียหำยแก่ผู้อื่น (Damage) จึงแปลควำมได้ว่ำ หำกกระทำลงไปแล้วแต่ไม่เกิดผลร้ำยหรือควำมเสียหำย ก็ไ ม่ถือเป็นละเมิด กำรกระท ำดังกล่ำวหมำยควำมถึง กำรงดเว้นที่ก่อให้เ กิดผล อันหนึ่งอันใดขึ้นเมื่อตนมีหน้ำที่ (Duty) จะต้องป้องกันผลนั้น (ตำมประมวลกฎหมำย อำญำ มำตรำ 59 วรรคท้ำย) และกำรละเว้นด้วย ดังนัน้ กำรกระทำแบ่งออกเป็น 1. การกระทา หมำยถึง กำรแสดงอำกัปกิริยำ กำรเคลื่อนไหว และอยู่ ภำยใต้บังคับของจิตใจ 1.1 มีกำรแสดงอำกัปกิริยำ หรือกำรเคลื่อนไหว (Movement) 1.2 ต้องอยู่ภำยใต้บังคับของจิตใจ “ก า ร ก ร ะ ท า ”
ต้ อ ง พิ จ ำรณำ 1.1, 1.2 ประกอบกั น ไปใน ควำมหมำยของ “และ ” เนื่ อ งจำก กำรแสดงกำรเคลื่ อ นไหว หรื อ ไม่ เคลื่ อ นไหว ที่ เ ป็ น กำรกระท ำ เกิ ด จำกจิตใจของบุคคลนั้น ที่รู้สำนึกใน กำรกระท ำ กล่ ำ วคื อ รู้ ว่ ำ ก ำลั ง เคลื่ อ นไหวหรื อ บั ง คั บ ไม่ ใ ห้ มี ก ำร เคลื่อนไหว เช่น กำรยื่นมือไปข้ำงหน้ำ ยื่นเท้ำไปข้ำงหน้ำ ก็เกิดจำกจิตใจบังคับสั่ง กำร หรือเมื่อเห็นผู้อ่นื ตกอยู่ในภยันตรำย จิตใจบังคับให้บุคคลนั้นยืนอยู่เฉย ๆ กรณี เช่นนี้ ก็ถือได้ว่ำบุคคลนั้นมีกำรกระทำโดยกำรไม่เคลื่อนไหวแล้ว อุ ท าหรณ์ ที่ 1 แต่ ท ว่ ำ หำกเป็ น “กำรละเมอ ” ภำวะแห่ ง กำร กระทำจึงอยู่นอกเหนือกำรควบคุมของจิตใจ ย่อมไม่ถือว่ำเป็นกำรกระทำ
21
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
อุทาหรณ์ ที่ 2 กำรถูกบุคคลอื่น ใช้กำลังกำยบังคับ เช่น นำย ก. จับมือนำย ข. ไปผลัก นำย ค. ในทำงจักษุ นำย ข. เป็นผู้กระทำละเมิดต่อ นำย ค. เพรำะเป็นคนลงมือกระทำ แต่กำรกระทำดังกล่ำว มิได้อยู่ภำยใต้บังคับทำงจิตใจ ของนำย ข. เอง ในทำงกฎหมำย จึงถือว่ำเรื่องดังกล่ำวเป็น การกระทาโดยอ้อม ของนำย ก. นำย ข.เปรียบได้กับเป็นเครื่องมือ (Equipment) เช่นเดียวกับ กำรที่นำย ก. ได้ใช้ปืน/มีด/ไม้ กระทำต่อบุคคลอื่นนั่นเอง อุทาหรณ์ ที่ 3 เหตุละเมิดที่เกิดจำกบุคคลที่ไม่รู้สำนึก ซึ่งจะถือว่ำ บุคคลที่ขำดสำนึกนั้นรู้สำนึกถึงกำรกระทำของตนหรือไม่ เช่น กำรกระทำที่เกิดจำก โรคลมบ้ำหมู โรคลมชัก หรือบุคคลวิกลจริต หรือ เด็กทำรก (ไร้เดียงสำ) กรณีเช่นนี้ ศำลฝรั่งเศสได้วำงหลักดังกล่ำวว่ำกำรกระทำของบุคคล ที่ไม่รู้สำนึกไม่ถือเป็นละเมิด เข้ำข่ำยเป็นเหตุกำรณ์สุดวิสัย (เหตุสุดวิสัย: มำตรำ 8 ประเทศไทย) ประเภท force majeure ดังที่ Ulpien (นัก นิติศำสตร์ชำวโรมัน ) ได้ เปรียบเทียบว่ำ คนที่ได้รับควำมเสียหำย จำกกำรกระทำของคนบ้ำ (บุคคลที่ไม่รู้ สำนึก) เหมือนถูกกระเบือ้ งหลังคำหล่นใส่ศีรษะ จะไปเรียกร้องกับใครไม่ได้
กำรกระทำ
ผู้ก่อภัย
ผู้รับภัย (ความเสียหาย)
ขาดสานึก (Imputable)
Force Majeure
ซึ่งจะเห็นได้ว่ำบำปเครำะห์จงึ ไปตกแก่ผู้รับภัย (ผูเ้ สียหำย)
22
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
อุทาหรณ์ กำรที่ค นบ้ำถือมีด ไล่แทงคนอื่นเป็นกำรกระท ำที่อยู่ใ นบังคับของ จิตใจหรือไม่ เช่นนี้เป็นข้อเท็จจริงแห่งคดีที่ต้องพิเครำะห์ว่ำขนำดแห่งควำมบ้ำมี ควำมร้ำยแรงถึงขนำดไม่รู้สกึ ผิดชอบเลยหรือไม่ ถ้ำคนบ้ำขนำดไม่รู้ผิดชอบเลย อำจ ถือได้ว่ำไม่มกี ำรกระทำ เช่นเดียวกันกับ เด็กที่ไร้เดียงสำขนำดไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี ดังนี้ กฎหมำยจึงต้องกำหนดมำตรำ 429 ให้ผู้ปกครองหรือผู้อนุบำลเข้ำมำดูแลรับผิดถ้ำ มิได้ใช้ควำมระมัดระวังเป็นอย่ำงดี ข้อสังเกต แต่ ถึ ง อย่ ำ งไร เรื่ อ งเด็ ก กั บ คนบ้ ำ (วิ ก ลจริ ต ) เป็ น เรื่ อ งที่ ต้ อ ง พิจำรณำเป็นรำยกรณี ๆ ไป อุทาหรณ์ นำยกิ ตติ เคยเป็น ทหำรออกรบในสมรภูมิ จนได้รับ บำดเจ็บ และ ได้รับควำมกระทบกระเทือนทำงสมองทำให้กลำยเป็นคนวิกลจริต มีควำมคิดหลง ผิด (delusion) ว่ำโลกจะถึงกำลสิ้นสุด และพระเจ้ำได้กำหนดโดยเลือกให้ตนเป็นผู้ต้อง เสียสละชีวติ เพื่อปกปักษ์โลก แต่นำยกิตติ กลัวกำรฆ่ำตัวเองตำย จึงก่อคดีอุฉกรรจ์ ขึ้น เพื่ อ ให้ ต นถู ก ตั ด สิ น ประหำรชีวิ ต โดยพยำยำมฆ่ ำ ลู ก ของตนเอง แต่ ไ ม่ ส ำเร็ จ ภำยหลั ง จึ ง พยำยำมกระท ำควำมผิ ด อี ก โดยครำวนี้ ล อบปลงพระชนม์ พระมหำกษัตริย์เพื่อให้ตนถูกตัดสินประหำรชีวิตเช่นกัน เมื่อคดีควำมขึ้นสู่ศำล ใน ชั้นพิจำรณำควำมผิดของนำยกิตติ ศำลพิจำรณำแล้วไม่ถือว่ำ นำยกิตติมีควำมผิด เนื่องจำกจำเลยไม่ได้กระทำโดยกำรชักนำของเหตุผล (Guidance of reason) คดีดังกล่ำว เทียบเคียงมำจำกเหตุกำรณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ (คดี R.V. Hadfield (1800)) กรณีนี้ จะเห็นได้ว่ำ จำเลยรู้ดีว่ำกำลังฆ่ำคน และยังรู้ด้วยว่ำกำรฆ่ำคนเป็นควำมผิด แต่ด้วย ควำมหลงผิดว่ำพระเจ้ำสื่อสำรให้ตนกระทำและจะเป็นกำรช่วยเหลือชำวโลกให้พ้น ภัยพิบัติ จึงไม่อำจยับยั้งได้ กรณีเช่นนี้จะถือว่ำนำยกิตติมีควำมผิดไม่ได้
23
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ประมวลกฎหมำยแพ่ ง เยอรมั น มำตรำ 827 บั ญ ญั ติ ว่ ำ “ผู้ ใ ด ก่ อ ให้ เ กิ ด ความเสี ย หายแก่ บุ ค คลอื่ น ในขณะที่ ไ ร้ ส ติ สั ม ปชั ญ ญะก็ ดี หรื อ ในขณะที่ภาวะจิต ใจถูกรบกวนอย่างรุนแรง ไม่ อ าจใช้ความรู้สึกนึก คิดโดย อิสระได้ก็ดี ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายนั้น แต่หากผู้นั้นทาตนเองให้ตกอยู่ ในสภาวะเช่นนั้น โดยการเสพเครื่องดื่มมึนเมา หรือสิ่งอื่นซึ่งคล้ายคลึงกัน ผู้ นั้นจะต้องรับผิดในความเสียหายใด ๆ ซึ่งตนได้ก่อให้เกิด ขึ้น โดยมิชอบด้วย กฎหมาย ในขณะตกอยู่ ใ นสภาวะเช่ น นั้ น เช่ น เดี ย วกั น ได้ ก ระท าไปโดย ประมาทเลินเล่อ ความรับผิดจะไม่เกิดขึ้น ถ้าเขาถูกนาไปสู่สภาวะเช่นนั้นโดย มิใช่ความผิดของเขาเอง” หลักเกณฑ์ (1) ควำมเสียหำยเกิดขึ้นเพรำะไร้สติสัมปชัญญะหรื อ ภำวะทำง จิตใจถูกรบกวนอย่ำงรุนแรง หลงผิด (ภำพหลอน ประสำท) (2) ไม่ต้องรับผิดในกำรกระทำนั้น เว้นแต่ เหตุดังกล่ำวเกิด เพรำะ ตนเองยอมตนเข้ำไปเสี่ ย งภัย นั้ น เช่น เสพสุรำยำเมำ ยำเสพติด เป็นต้น ตำมอุทำหรณ์ข้ำงต้นศำลฎีกำไทยได้เคยมีคำพิพำกษำที่ 780/2483 วินิจฉัยให้ จำเลยซึ่งเป็นคนวิกลจริตใช้มีดพร้ำฟันภริยำของโจทก์ถึงแก่กรรม โจทก์ ฟ้องเรียกค่ำสินไหมทดแทนเพื่อกำรละเมิด ศำลล่ำงทั้งสองวินิจฉัยให้จำเลยต้องรับ ผิดแม้จะได้กระทำโดยวิกลจริตก็ตำม จำเลยอุทธรณ์ยังศำลฎีกำว่ำ กำรกระทำของ คนวิกลจริตถือไม่ได้ว่ำ กระทำโดยจงใจ หรือประมำทเลินเล่อ ซึ่งศำลฎีกำวินิจฉัยยืน ตำมศำลล่ำงโดยให้เ หตุผลว่ำ “ไม่ มีบ ทกฎหมายใดบัญ ญัติให้ถือ ตามที่จาเลย อ้าง” เนื่องจำกเป็นข้อเท็จจริงที่ศำลจะเป็นผู้หยิบยกขึน้ วินจิ ฉัยเอง การกระทา
ผลร้ าย สัมพันธ์กนั
24
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ส่วนกรณีอื่นกำรขำดสำนึกเป็นละเมิด เช่น โรคลมบ้ำหมู (ลมชัก) ย่อ มไม่ เ รี ย กว่ำ เป็ น กำรกระท ำของตน เป็ น เหตุ สุ ด วิสั ย แต่ อ ยู่ บ นเงื่ อ นไขด้ ว ยว่ ำ “บุคคลนั้นไม่อยู่ในวิสัย ที่จักป้องกันได้” เพรำะหำกรู้ตัวว่ำละเมอ หรือโรคลมชัก บ่อย ๆ และเกิดควำมเสียหำยเป็นประจำ บุคคลนั้นย่อมคำดหมำยได้ จะนำมำใช้เป็น ข้ออ้ำงแก้ตัวไม่ได้ ถือว่ำประมำทเลินเล่อ เช่น คนเมำขนำดไม่รู้ว่ำตนกระทำอะไรลงไป (ไม่รู้สำนึก) แต่ย่อม ทรำบว่ำ กำรที่เสพยำเมำทำให้ตนมิอำจครองสติได้ ก็ถือเป็นเหตุประมำทเลินเล่อได้ เช่นกัน ข้อพึงระวังว่า 1. หำกปรำกฏว่ำ จำเลยเคยป่วยเป็นโรคลมบ้ำหมูแต่อำกำรของโรค ไม่เคยปรำกฏขึ้นเลยในช่วง 14 ปีหลังมำนี้ กำรที่จำเลยไปขับรถยนต์ และเกิดอำกำร ของโรคลมบ้ำหมูขึน้ จนทำให้รถยนต์ประสบอุบัติเหตุชนโจทก์ได้รับบำดเจ็บ ก็หำเอำ ผิดกับจำเลยว่ำประมำทเลินเล่อไม่ได้ (Hammotree V. Jenner, USA) 2. ในกำรเสพยำเมำต้องไม่ปรำกฏข้อเท็จจริง ว่ำ กำรเสพนั้นเกิด ด้วยควำมไม่รู้ว่ำสิ่งนั้นเป็นของมึนเมำ หรือเสพไปเพรำะถูกอำนำจภำยนอกบังคับ จะถือว่ำผูน้ ั้นประมำทเลินเล่อมิได้ 2. การงดเว้น (Omission) พิจำรณำตำมประมวลกฎหมำยอำญำมำตรำ 59 วรรคท้ำย “การ กระทาให้หมายความรวมถึง การให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้น การที่ จักต้องกระทาเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย” หลักเกณฑ์ (1) บุคคลนั้นมีหน้ำที่ (Duty) (2) เป็นหน้ำที่ตอ ้ งทำเพื่อป้องกันมิให้เกิดผล หน้ำที่ (Duty) เกิดจำก 1. บทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง กฎหมาย หน้ ำ ที่ ที่ เ กิ ด ขึ้ น เพรำะ กฎหมำยบัญญัติไว้ เช่น
25
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
มำตรำ 1461 สำมีภริยำต้องอยู่กินด้วยกันฉันสำมีภริยำ ส ำ มี ภ ริ ย ำ ต้ อ ง ช่ ว ย เ ห ลื อ อุ ป ก ำ ร ะ เ ลี้ ย ง ดู กั น ต ำ ม ควำมสำมำรถและฐำนะของตน มำตรำ 1963 บุคคลจำต้องอุปกำระเลี้ยงดูบิดำมำรดำ มำตรำ 1964 บิดำมำรดำจำต้อ งอุป กำระเลี้ย งดูและให้ กำรศึกษำตำมสมควรแก่บุตรในระหว่ำงที่เป็นผู้เยำว์ บิด ำมำรดำจำต้องอุป กำระเลี้ย งดู บุตรซึ่ ง บรรลุนิ ติภำวะ แล้วแต่เฉพำะผูท้ ุพพลภำพและหำเลี้ยงตนเองมิได้ มำตรำ 1598/18 ในกรณีที่บิดำมำรดำเป็นผู้อนุบำลบุตร ถ้ ำบุ ตรนั้น ยั งไม่บ รรลุ นิติ ภำวะ ให้น ำบทบั ญ ญั ติ ว่ำ ด้ว ยสิท ธิแ ละหน้ำ ที่ข องผู้ใ ช้ อำนำจปกครอง มำใช้บังคับโดยอนุโลมแต่ถ้ำบุตรของผูป้ กครองมำใช้บังคับโดยอนุโลม เว้น แต่สทิ ธิตำมมำตรำ 1567 (2) และ (3) อุทาหรณ์ กำรที่มำรดำปล่อยให้บุตรทำรกร้องไห้เนื่องมำจำก ควำม หิว จนกระทั่งทำรกนั้นถึงแก่ควำมตำย มำรดำจะอ้ำงว่ำตนมิได้กระทำกำรอย่ำงใด เป็นกำรฆ่ำลูกไม่ได้เพรำะกฎหมำยถือว่ำกำรไม่กระทำตำมหน้ำที่ (อุปกำระเลี้ยงดู บุตร) นั้นเป็นกำรกระทำ เนื่องจำกมำรดำมีหน้ำที่ที่จักต้องป้องกันผลร้ำยที่ตำมมำ (ทุกข์ทรมำนเพรำะควำมหิว หรือตำย) เมื่อมีกำรกระทำจึงมีควำมรับผิดทำงอำญำ ฐำนฆ่ำคนตำยโดยเจตนำชนิดย่อมเล็งเห็นผล และในส่วนคดีแพ่งมำรดำมีควำมผิด ฐำนละเมิดด้วย หน้าที่เกิดจากผู้กระทาความผิดเป็นผู้ก่อ เนื่องจำก ผู้กระทำยอมตนเข้ำผูกพันต่อสถำนกำรณ์ใด สถำนกำรณ์หนึ่ง ซึ่งรวมถึงหน้ำที่ที่ ต้องปฏิบัติตำมสัญญำด้วย อุทาหรณ์ ที่ 1 นำย กิตติ เห็นคนชรำกำลังจะเดินข้ำมถนน ตนก็ขันอำสำพำคนชรำข้ำมถนน ปรำกฏว่ำถึงกลำงถนน นำย กิ ตติ หันหลังกลับไม่ พำข้ำมต่อเนื่องจำกนึกได้ว่ำลืมสิ่งของบำงอย่ำงไว้ ท่ำนจะเห็นว่ำนำย กิตติ ได้สร้ำง หน้ำที่ให้เกิดแก่ตน หำกไม่ทำต่อไป อำจทำให้คนชรำที่ตนพำข้ำมถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง เกิดอุบัติเหตุ ได้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับคนชรำ ย่อมต้องถือว่ำเป็นกำรกระทำของ นำยกิตติ 2.
26
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
อุ ท าหรณ์ ที่ 2 นำงสำวปู รั บ จ้ ำ งดู แ ลเด็ ก ตำมสั ญ ญำ ว่ำจ้ำง แล้วปล่อยปะละเลยไม่ดูแลจนเด็กตกระเบียงได้รับบำดเจ็บ จึงถือว่ำกำรที่ นำงสำวปู ละเลยไม่ปฏิบัติตำมหน้ำที่ย่อมเป็นกำรกระทำละเมิด อุทาหรณ์ ที่ 3 นำยกิตติจอดรถของตนบนไหล่ทำงด้ำน ซ้ำยมือ ไม่กีดขวำงกำรจรำจร แต่กำรที่ไม่ย อมเปิดไฟตำมที่กำหนดในกฎกระทรวง เพื่อให้ผู้ขับขี่มองเห็นรถที่จอดอยู่ เป็นเหตุให้นำยหมอดี ขับรถจักรยำนยนต์ชนท้ำย รถที่จอดอยู่ ถึงแก่ควำมตำยเป็นผลโดยตรงจำกควำมประมำทของนำยกิตติ ที่งด เว้นกำรที่จัก ต้องกระท ำ เพื่อป้องกั นมิใ ห้เ กิดผลร้ำยตำมมำ (คำพิพำกษำฎีก ำที่ 2210/2544) ค ำพิพำกษำนี้ จะเห็น ได้ว่ำ ศำลพิ จำรณำจำกหน้ ำที่ของ บุคคลที่อยู่ในภำวะเช่นนั้น (ภำวะรถเสีย) ที่มีกฎหมำยกำหนดว่ำต้องปฏิบัติอย่ำงไร เพื่อจักป้องกันมิให้เกิดผลร้ำยขึ้น (อุบัติเหตุ) แต่กำรที่จำเลยไม่ทำตำมก็เท่ำกับว่ำ จำเลยละเลยที่จะปฏิบัติตำม อุทาหรณ์ ที่ 4 กำรที่พนักงำนดับเพลิงไม่อยู่ประจำหน้ำที่ ควบคุมเครื่องสำหรับช่วยผู้หนีไฟเกิดเพลิงไหม้และมีคนตำยในไฟ พนักงำนนั้นไม่มี ควำมผิดในกำรที่คนตำย เพรำะมีหน้ำที่คุมเครื่อง มิใช่มีหน้ำที่คุ้มครองป้องกันมิให้ ผูใ้ ดมีอันตรำยโดยตรง (หน้ำที่จักป้องกันเพื่อมิให้เกิดผลร้ำย) อุท าหรณ์ ที่ 5 กำรที่ นำยจ้ำ งไม่ใ ห้อ ำหำรและที่ อยู่ อั น สมควรแก่ ลู ก จ้ ำงเป็น เหตุ ใ ห้ ลูก จ้ ำงตำย นำยจ้ ำงไม่มี ควำมผิ ดต่ อลูก จ้ำ งเพรำะ นำยจ้ำงไม่มหี น้ำที่จักต้องระวังมิให้เกิดผล อุทาหรณ์ ที่ 6 สำมีไล่ภรรยำออกจำกบ้ำนภรรยำถึงบ้ำน บิดำแล้วไม่เข้ำบ้ำน นอนอยู่กับพื้นดินนอกบ้ำนถึงแก่ควำมตำย เนื่องจำกอำกำศ หนำวจัด สำมีไม่ต้องรับผิด เพรำะหน้ำที่อุปกำระเลี้ยงดูตำมกฎหมำยย่อมหมดไป เมื่ออีกฝ่ำยสำมำรถเลี้ยงตนเองได้ (ภรรยำกลับไปบ้ำนบิดำแล้ว สำมำรถอยู่ในที่ที่ ปลอดภัยได้ กล่ำวคือภรรยำสำมำรถป้องกันมิให้เกิดผลร้ำยได้)
27
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ส่วนกำรละเว้น ที่ถือเป็นกำรกระทำนั้น น้ำหนักแห่งควำม รุนแรงย่อมน้อยที่สุด เนื่องจำกไม่มีกฎหมำยบัญญัติไว้เฉพำะเจำะจงให้บุคคลใดมี หน้ำที่จัก ต้องกระทำแต่เ ป็นคุณธรรมทำงสังคม (ศีลธรรม) เมื่อเห็นคนตกอยู่ใ น ภยันตรำยแห่งชีวิต ซึ่งตนอำจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรำยแก่ ตนเองหรือผู้อื่นแต่ กลั บ ไม่ช่ว ยตำมควำมจำเป็น ละเว้นจึงเป็นหน้ ำที่โ ดยทั่วไปของประชำชนทุก คน ดังนัน้ จะเห็นได้ว่ำ กำรเรียกค่ำสินไหมทดแทน กรณีละเว้นจึงไม่ค่อยนิยมใช้กัน ขอให้ พิจำรณำตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 374 ข้อสังเกต (1) กำรละเลยไม่ปฏิบัติตำมหน้ำที่ของบุ คคล บุคคลนั้นไม่ต้องรับผิด แต่อย่ำงใดหำกไม่ปรำกฏควำมเสียหำยนั้น (2) กำรละเมิดเป็นประทุษกรรมที่กระทำต่อบุคคลโดยผิดกฎหมำย ด้วยอำกำรฝ่ำฝืนต่อกฎหมำยที่ห้ำมไว้ หรือละเว้นมี่กระทำในสิ่งที่กฎหมำยบัญญัติ ให้ ก ระท ำหรื อ ที่ ต นมี ห น้ ำ ที่ ต ำมกฎหมำยจะต้ อ งกระท ำ โดยจงใจหรื อ ประมำท เลินเล่อ กำรละเว้นไม่กระทำในสิ่งที่กฎหมำยมิได้บัญญัติให้กระทำหรือตนไม่มีหน้ำที่ ตำมกฎหมำยที่จะต้องกระทำจึงไม่ถือเป็นละเมิด 2.4 จงใจหรือประมาทเลินเล่อ 2.4.1 จงใจทางแพ่งกับเจตนาทางอาญา (Intentional torts against the person)
ค ำว่ ำ “จงใจ ” ในทำงแพ่ ง กั บ ค ำว่ ำ “เจตนำ ” ในทำงอำญำ มี ควำมหมำยเหมือนกัน เพรำะ เป็นประเด็นปัญหำข้อเท็จจริง ที่ต้องฟังเป็นยุ ติตรงกัน (ประมวลวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ 46 ดังที่ได้เคยกล่ำวแล้ว) ประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 59 วรรคสอง กระทำโดยเจตนำ ได้แก่กำรกระทำโดยรู้สำนึกในกำรที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อ ผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของกำรกระทำทำนั้น เจตนา แบ่งเป็น 2 ประเภท (1) เจตนำประเภทประสงค์ตอ ่ ผล หรือ (เจตนำโดยตรง)
28
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เจตนำประเภทย่อมเล็งเห็นผล (เจตนำโดยอ้อม) อธิบำย (1) เจตนาประเภทประสงค์ต่อผล หมำยถึง ผูก้ ระทำมุ่งประสงค์ตอ่ ผลในขณะที่ลงมือกระทำ จะพิจำรณำอย่ำงไรในทำงกฎหมำยมีหลักอยู่ว่ำ “กรรมเป็นเครื่องชี้ (2)
เจตนำ” ขอให้พิจำรณำเรื่องเจตนำประสงค์ต่อผลจำกคำพิพำกษำฎีก ำที่ 360/2536 จำเลยกระทำผิดไปด้วยอำรมณ์โกรธแค้นที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดโดยมิได้ มุ่งประสงค์ต่อผลในกำรแสวงหำประโยชน์จำกทรัพย์สินดังกล่ำวโดยแท้จริงจึงเป็น กำรกระทำที่ขำดเจตนำในกำรที่จะมุ่งกระทำกำรลักเข็มขัดผู้เสียหำย กำรกระทำ ของจำเลยจึงไม่เป็นควำมผิดฐำนพยำยำมชิงทรัพย์ แต่กำรที่จำเลยขู่เข็ญผู้เสียหำย ให้ส่งเข็มขัดให้ย่อมเป็นกำรข่มขืนใจผู้เสียหำยให้กระทำตำมที่จำเลยประสงค์โดยทำ ให้กลัวว่ำจะทำให้เกิดอันตรำยต่อร่ำงกำยของผู้เสียหำย จำเลยจึงมีควำมผิดต่อ เสรีภำพ ซึ่งทำให้เห็นได้ว่ำ พฤติกำรณ์ประกอบกำรกระทำจะเป็นเครื่องชี้ ควำมมุง่ ประสงค์ของบุคคลนั้นว่ำต้องกำรเรื่องใด เช่นกันกรณีนี้กำรที่จำเลยเอำเข็ม ขัดของผู้เสียหำยไปนั้น เป็นกำรกระทำเพื่อให้ผู้เสียหำยกลัว มิใช่มีเจตนำเอำทรัพย์ นั้นไปไม่ (กรรมเป็นเครื่องชีเ้ จตนำ) เจตนาประเภทย่อมเล็งเห็นผล หมำยถึง ผู้กระทำอำจไม่มุ่งประสงค์ต่อผลในขณะที่ลงมือกระทำ แต่วิญญูชนสำมำรถย่อมเล็งเห็นผล (คำดหมำย) ได้ว่ำจะเกิดผลอย่ำงนั้น (วิญญูชน : พิจำรณำจำกระดับควำมคิดของบุคคลในสภำพเช่นเดียวกับผู้กระทำ) เช่น ยิงปืน เข้ ำ ไปในกลุ่ ม คน วิญ ญู ชนย่ อ มเล็ งเห็ น ว่ำ จะท ำให้ ค นตำยเมื่ อ เกิ ด มี คนตำยจึ ง มี ควำมผิดฐำนเจตนำฆ่ำหรือ ฉุดคร่ำผู้หญิงขับรถ ครั้นผู้หญิงจะลงจำกรถกลับเร่ง ควำมเร็ ว หญิง ตกรถเพรำะหลุ ด มื อ ย่ อ มมีค วำมผิด ฐำนฆ่ำ คนตำย โดยเจตนำ ประเภทย่อมเล็งเห็นผล (2)
29
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 327/2540 นอกจำกโจทก์จะมีมำรดำผู้ตำยเป็น ประจักษ์พยำนแล้ว ยังมีแพทย์ผรู้ ักษำผูต้ ำยเบิกควำมสนับสนุนว่ำ วันเกิดเหตุมำรดำ ผู้ตำยแจ้งว่ำ ผู้ตำยถูกจำเลยจับโยนและพนักงำนสอบสวนเบิกควำมว่ำ หลังจำก ผูต้ ำยถึงแก่ควำมตำย จำเลยได้มอบตัวและให้กำรรับสำรภำพโดยนำชี้ที่เกิดเหตุ ซึ่ง พยำนโจทก์สอดคล้องกันมีน้ำหนักน่ำเชื่อ จำเลยเองก็เบิกควำมรับว่ำวันเกิดเหตุได้ ผลักผู้ตำยเข้ำไปหำมำรดำผู้ตำยจริง จึงเจือสมกับพยำนโจทก์ และเมื่อผู้ตำยตำย เพรำะกระดูกต้นคอท่อนที่ 7 เคลื่อนที่ไปข้ำงหลังจำกกำรกระทำของจำเลยทำให้ ภำวะ กำรหำยใจล้มเหลว มิได้ตำยเพรำะโรคเลือดคั่งในสมองกำเริบอันเป็นอำกำร บำดเจ็บที่มอี ยู่เดิม ซึ่งแม้จำเลยจะไม่มเี หตุโกรธเคืองกับผู้ตำยโดยตรง แต่ก็มีสำเหตุ กับมำรดำผูต้ ำย กำรที่จำเลยจับผู้ตำยซึ่งเป็นเด็กอำยุเพียง 3 ปี โยนใส่มำรดำผู้ตำย หลำยครั้งจนศีรษะผู้ตำยกระแทกตะกร้ำ กระดูกต้นคอเคลื่อน ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ำ อำจเป็นต้นเหตุให้ผู้ตำยถึงแก่ควำมตำยได้ จำเลยจึงมีควำมผิดฐำนฆ่ำผู้อื่นโดย เจตนำ คำพิพำกษำข้ำงต้น กรรมที่เป็นเครื่องชี้เจตนำได้แก่กำรกระทำหรือ พฤติ ก รรมที่ จ ำเลยแสดงออก เช่ น โยนเด็ ก อำยุ 3 ปี หลำยครั้ ง วิ ญ ญู ช นย่ อ ม ตระหนักได้ถึงภยันตรำยแก่ชีวติ ที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก หรือ กำรที่จำเลยใช้ไขควงที่ฝนจนแหลมเป็นอำวุธแทงไปที่ร่ำงกำย ผู้เสียหำยที่ 1 เพื่อให้ผิวหนังทะลุเป็นกำรเล็งเห็นผลว่ำถึงตำยได้ แสดงให้เห็นถึง ลักษณะจิตใจที่ไม่คำนึงถึงชีวิตผู้อื่น ผู้เสียหำยที่ 1 เป็นเพศที่อ่อนแอกว่ำไม่ได้เป็น ฝ่ำยก่อเหตุข้ึนก่อน และไม่มที ำงที่จะต่อสูช้ นะได้ จำเลยไม่มคี วำมจำเป็นต้องใช้อำวุธ ประทุษร้ำยผู้หญิง กำรใช้อำวุธที่ไม่ได้ป้องกันตัวเองย่อมมุ่งต่อผลคือชีวิต ทั้งอำยุ ของจำเลยในขณะที่กระทำควำมผิดนั้นสำมำรถรู้ผิดชอบและบังคับตนเองได้ไม่ได้มี จิตใจบกพร่อง จำเลยสร้ำงภยันตรำยให้เกิดขึ้นเพรำะควำมผิดของตนเอง มิใช่เกิด จำกควำมตื่นเต้น ควำมตกใจหรือควำมกลัวอันจะทำให้เห็นว่ำจำเลยมีเพียงเจตนำ ทำร้ำยตำมที่ฎีกำ จำเลยจะแก้ตัวว่ำมิได้กระทำโดยเจตนำฆ่ำหำได้ไม่ (ย่อมเล็งเห็น ผลได้ว่ำจะถึงแก่ควำมตำย)
30
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 1748/2537 จำเลยถีบ ผู้ตำยตกลงไปในแม่น้ำ ตรงที่ลึกประมำณครึ่งตัวผู้ตำย แล้วใช้แผ่นซีเมนต์ขนำดกว้ำง 10 นิ้ว ยำว 1 ฟุต หนำ 2 นิว้ ทุ่มใส่ถูกศีรษะผู้ตำยในระยะใกล้ขณะที่ผู้ตำยกำลังจะปีนขึ้นมำบนฝั่ง เป็น เหตุให้ผู้ตำยได้รับบำดเจ็บถึงหมดสติจมน้ำตำย แม้บำดแผลภำยนอกจะเป็นแผล ถลอกที่ศีรษะและแพทย์ให้ควำมเห็นว่ำผู้ตำยจมน้ำตำย แต่กำรตำยเกิดจำกกำรทำ ร้ำยร่ำงกำยของจำเลยโดยตรง จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ำกำรทุ่มแผ่นซีเมนต์ ดังกล่ำวจะทำให้ผู้ตำยได้รับอันตรำยแก่กำยถึงบำดเจ็บและตำยได้ หำกไม่ได้รับกำร ช่วยเหลือหรือรักษำให้ทันท่วงที ถือว่ำจำเลยมีเจตนำฆ่ำผู้ตำยไม่ใช่เพียงเจตนำทำ ร้ำยร่ำงกำย เมื่ อ พิ จ ำรณำเจตนำกั บ จงใจ จะเห็ น ได้ ว่ ำ กำรกระท ำโดยจงใจ (ละเมิด) เป็นกำรกระทำที่ตอ้ งมีผลเสียหำยเกิดขึ้น (Damage) แต่ในทำงอำญำ กำรกระทำถ้ำได้ลงมือกระทำโดยเจตนำแล้วย่อมมี ควำมผิ ด ได้ ไม่ ต้ อ งรอให้ เ กิ ด ผลร้ ำ ยขึ้ น ที่ เ รี ย กว่ ำ ควำมผิ ด ส ำเร็ จ เมื่ อ ครบ องค์ประกอบควำมผิด ซึ่งศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ อธิบำยว่ำในเรื่องละเมิดนั้น กำรกระทำโดยจงใจต้องกระทำโดยประสงค์ต่อผล คือ ควำมเสียหำยแก่ผู้อื่น ถ้ำไม่ ประสงค์ต่อผล คือ ควำมเสีย หำย แม้จะเล็งเห็นผลก็ ไม่ใ ช่จงใจกระท ำเป็นเพีย ง ประมำทเลิน เล่ อได้ เ ท่ ำ นั้ น เพรำะควำมรับ ผิ ด ละเมิด พิ จำรณำจำกผลเสีย หำย (Damage) เป็นที่สำคัญ แต่ในทำงอำญำผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ควำมสำคัญ อยู่ที่กระทำและเจตนำ (ชั่ว) ต่ำงหำก เช่นตัวอย่ำงที่ ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ ยกตัวอย่ำงกรณี ก. ประทัดโยนใส่ ข. ประทัดแตกไหม้เนื้อตัวและเสื้อผ้ำของ ข. ได้รับควำมเสียหำย ประเด็นที่ 1 พิจำรณำได้วำ่ กรณีนำย ก. มีเจตนำประสงค์รำ้ ยต่อ นำย ข. ทางแพ่ง (ละเมิด) (1) จงใจ (2) ได้รับควำมเสียหำยได้แก่ ร่ำงกำย และทรัพย์สิน (เสื้อผ้ำ)
31
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ทางอาญา (1) เจตนำประสงค์ตอ ่ ผล (2) ควำมผิดฐำนทำร้ำยร่ำงกำย (3) ควำมผิดฐำนทำให้เสียทรัพย์ ประเด็นที่ 2 หำกข้อเท็จจริงปรำกฏว่ำ นำย ก. ไม่ได้มีเจตนำจะให้เกิดควำมเสียหำยแก่ ผูใ้ ด ทางแพ่ง (ละเมิด) (1) ประมำทเลินเล่อ (2) ได้รับควำมเสียหำย ได้แก่ ร่ำงกำยและทรัพย์สิน ทางอาญา (1) ควำมผิดฐำนทำร้ำยร่ำงกำยมีควำมผิดฐำนกระทำโดยประมำทให้ผู้อื่น รับอันตรำยแก่กำยหรือจิตใจ ตำมมำตรำ 390 มิใช่เป็นกำรใช้กำลังทำร้ำยผู้อื่น ตำม มำตรำ 391 (2) มิใช่ควำมผิดฐำนทำให้เสียทรัพย์ เพรำะทำให้เสียทรัพย์โดยประมำท ไม่ มีกฎหมำยบัญญัติไว้ เมื่อไม่มีกฎหมำยบัญญัติไว้จงึ ไม่มคี วำมรับผิดในส่วนนี้ จงใจ (เจตนำประสงค์ต่อผล) (2) ประมำทเลินเล่อ-เจตนำย่อมเล็งเห็น ผล -ประมำท (1)
(ควำมผิด) Fault
(ละเมิด)
(1)
เหตุสุดวิสัย
(ไม่มีควำมผิด)
- Act of Good
Without Fault
- Force majeure
อุบัติเหตุโดยแท้ (2) (Inevitable Accident)
32
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
2.4.2 ประมาทเลินเล่อ (Unintentional Torts: Negligence) คำว่ำ “ประมำทเลินเล่อ” ในทำงแพ่งตรงกับคำว่ำ “ประมำท” ในทำง อำญำ หรือไม่ 2.4.2.1 ประมาทเลินเล่อ ประมำทเลินเล่อ เป็นองค์ประกอบควำมรับผิดประกำรหนึ่งที่จะต้อง รับผิดฐำนละเมิด แต่คำว่ำ “ประมำทเลินเล่อ” ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 420 มิได้อธิบำยไว้ว่ำกำรกระทำอย่ำงไร จึงจะเรียกว่ำประมำทเลินเล่อ จึง ต้องอำศัย เทีย บเคียงกั บ ประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 59 วรรคสี่ บัญ ญั ติว่ำ “กระทาโดยประมาท ได้แก่ ก ระทาความผิดมิ ใช่โดยเจตนาแต่ก ระทา โดย ปราศจากความระมั ด ระวั ง ซึ่งบุ คคลในภาวะเช่นนั้ นจัก ต้อ งมีต ามวิสั ย และ พฤติการณ์ และผู้กระทาอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้ เพียงพอไม่” ซึ่งประมำทในคดีอำญำ คือ กำรปรำศจำกควำมระมัดระวังที่จำเลย จักต้องมี (Carelessness) และอีก ประกำรหนึ่งในเรื่องของประมวลวิธีพิจำรณำควำม อำญำ มำตรำ 46 คดี แ พ่ ง ต้ อ งฟั ง ข้ อ เท็ จ จริ ง ในคดี อ ำญำ ดั ง นั้ น ค ำว่ ำ ประมำท (ในทำงอำญำกับประมำทเลินเล่อทำงแพ่งย่อมต้องเหมือนกัน) ตัวอย่าง กำรเซ็ น ชื่ อ ในเช็ ค หรื อ เซ็ น ชื่ อ ในกระดำษเปล่ ำ ถื อ ว่ ำ ประมำท เลินเล่อ ถึงอย่ำงไรจัก ต้องพิจำรณำจำกควำมเสียหำย (Damage) เป็นหลักสำคัญ กล่ำวคือ ถ้ำควำมเสียหำยไม่ได้เกิดจำกควำมประมำทเลินเล่อของผู้ประมำทเลินเล่อ ผูท้ ี่ประมำทเลินเล่อก็ไม่มีควำมรับผิดฐำนละเมิด คำพิพำกษำฎีกำที่ 148/2538 จำเลยที่ 1 มีหน้ำที่ปิดกั้นถนนซึ่งมี ทำงรถไฟผ่ำนได้เปิดสวิตช์สัญญำณไฟ 5 ดวง และให้สัญญำณโคมไฟสีเขียวแก่ จำเลยที่ 2 ผู้ขับขบวนรถไฟเพื่อผ่ำน แต่ไม่ได้นำแผงกั้นถนนไปปิดกั้นถนนเป็นสำเหตุ ทำให้รถยนต์โดยสำรแล่นข้ำมชนตู้โดยสำรรถไฟเป็นเหตุให้คนตำย กำรกระทำของ จำเลยที่ 1 จึงเป็นกำรกระทำโดยประมำท
33
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ในกำรพิจำรณำถึงควำมประมำทเลินเล่อ ศำลในประเทศอังกฤษได้วำงหลัก เรื่องประมำทเลินเล่อไว้วำ่ ต้องครบองค์ประกอบดังนี้ (1) บุคคลนั้นมีหน้ำที่จะต้องใส่ใจระมัดระวัง (Duty of care) (2) บุคคลนั้นได้ฝ่ำฝืนไม่ปฏิบัติตำมหน้ำที่ (A Breach of that Duty) (3) กำรฝ่ำฝืนนั้นทำให้เกิดผลเสียหำย (Damage or injury) ขั้นตอน Duty of Care
Breach
Damage
Tort
อุทาหรณ์ ที่ 1 โจทก์ (Donoghue) กับเพื่อนไปเที่ยวร้ำนอำหำรแห่งหนึ่ง (Café) โดยโจทก์ สั่งเครื่องดืม่ Ginger beer มำดื่ม ภำยหลังดื่มจวนจะหมดขวดแล้ว โจทก์สังเกตเห็นซำก หอยทำก (Decomposed Snail) ที่ก้นขวดเบียร์ที่ดื่ม ซึ่งทำให้ โจทก์ อ ำเจี ย นไม่ ห ยุ ด คดี นี้ ท่ ำ นจะเห็ น ได้ ว่ ำ โจทก์ ไ ม่ สำมำรถฟ้องเรียกร้องให้ร้ำนอำหำรรับผิดได้ เนื่องจำก ร้ำนอำหำรไม่มคี วำมสัมพันธ์ที่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์(no contract) โจทก์ต้องฟ้องบริษัทที่ผลิตเบียร์ โดย The House of Lords ได้วิ นิจฉั ย ว่ ำ จ ำเลยเป็ นผู้ ผลิ ต ย่ อมมีห น้ำ ที่ (Duty) ต้ อ งใส่ ใ จระมั ด ระวั ง ผลเสี ย ที่ จ ะมี ต่ อ ผู้ บ ริ โ ภคใน ผลิตภัณฑ์ของตน (A duty of care to the consumer of their product) ซึ่งตนมิได้ใช้ควำม ระมัดระวังนั้น ทำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำยแก่ร่ำงกำย(แพ้ อำเจียน) พิพำกษำให้ จำเลย (Stevenson) ต้องชดใช้ค่ำสินไหมทดแทนเพื่อเยียวยำโจทก์ กรณีดังกล่ำว ถึงแม้ว่ำโจทก์กับจำเลยจะไม่รู้จักหรือมีนิติสัมพันธ์ กันโดยตรง (ซื้อขำยกัน) เพรำะโจทก์ซื้อเบียร์จำกร้ำนค้ำซึ่งรับมำอีกทอดหนึ่ง แต่ โจทก์จัดอยู่ในกลุ่มคนที่จำเลยสำมำรถคำดเห็นได้ (Foreseeability) คำดเห็นว่ำจะเกิด อันตรำยได้ หำกว่ำผลิตภัณฑ์ที่ตนผลิต จำหน่ำยนั้นมีสิ่งปลอมปน และจำเลยทำผิด หน้ำที่ที่ปล่อยปละละเลย ให้สิ่งปลอมปนนั้นลงไปและเกิดควำมเสียหำยขึ้น จึงเป็น
34
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ควำมประมำทเลินเล่อที่ล ะเมิดต่อผู้อื่นต้องชดใช้ค่ำสินไหมทดแทน (Donoghue V. Stevenson, 1932, AC 562, HL) นอกจำกนี้ ในคดี Donoghue V. Stevenson ยังได้สร้ำงหลัก ควำมสั ม พั น ธ์ โ ดยตรงระหว่ ำ งผู้ เ สี ย หำยกั บ ผู้ ก ระท ำละเมิ ด เป็ น หลั ก กำรเพื่ อ พิจำรณำควำมรับผิด ที่เรียกว่ำ “Neighbors” ซึ่งจะได้กล่ำวถึงอีกครั้ง อุทาหรณ์ ที่ 2 จำเลยรับ จ้ำงขุดถนนเพื่อวำงสำยเคเบิ้ล ไฟฟ้ำ ภำยหลั งลงมือขุด ถนนเสร็จเกิดหลุม แต่จำเลยใช้เชือกสีกั้น และตั้งไฟฉุกเฉินไว้เพื่อเป็นสัญญำณบอก ว่ำห้ำมเข้ำ ปรำกฏว่ำโจทก์ซึ่งตำบอดเดินตกหลุมนั้น จนได้รับบำดเจ็บสำหัส จึง ฟ้องเรียกค่ำสินไหมทดแทน โดยกล่ำวอ้ำงว่ำ จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งในชั้น พิจำรณำคดี จำเลยให้กำรปฏิเสธว่ำ จำเลยได้ใช้ควำมระมัดระวังเป็นอย่ำงดีแล้ว HL (The House of Lord) วินิจฉัยว่ำกำรที่จำเลยอ้ำงนั้นยังไม่ถือว่ำเพียงพอ เพรำะจำเลยควร คำดหมำยได้ว่ำในสั งคมไม่ได้มีเฉพำะคนที่ปกติเท่ำนั้น คนพิก ำรต่ำง ๆ ก็มีทั่วไป จำเลยควรคำดหมำยได้ จำเลยจึงต้องมีหน้ำที่ (Duty of Care) จึงเป็นประมำทเลินเล่อ ต้องรับผิดชดใช้ค่ำสินไหมทดแทน (Haley V. London Electricity Board, 1964, 3 All ER 185) อุทาหรณ์ ที่ 3 จำเลย (สถำนพินิจและคุ้มครองเด็ก) มีหน้ำที่อบรมฝึกอำชีพเด็ก หรือเยำวชนที่กระทำควำมผิด ถูกเจ้ำของทรัพย์ที่เสียหำยฟ้อ งเนื่องจำกเด็กเยำวชน ที่อยู่ในควำมดูแลของตน ได้หนีออกจำกสถำนพินิจและคุ้มครองเด็ก โดยขโมยเรือ และสร้ำงควำมเสียหำยต่อเรือลำอื่นที่อยู่ใกล้เคียง เจ้ำของเรือจึงฟ้องเรียกร้องให้ สถำนพินิจและคุ้มครองเด็กต้องรับผิดชดใช้ค่ำเสียหำยที่เด็กหรือเยำวชนนั้นก่อขึ้น คดีนี้ HL(The House of Lord) วินิจฉัยว่ำ จำเลยมีหน้ำที่ต้องระมัดระวัง (Duty of Care) มิให้ไป ก่อให้เกิดควำมเสียหำยกับเจ้ำของทรัพย์สนิ ที่อยู่บริเวณใกล้กับกับสถำนพินจิ กำรที่ จำเลยอ้ำงว่ำจำเลยทำหน้ำที่เพื่อสำธำรณะประโยชน์มิใช่ประเด็นข้ออ้ำง และมิใช่ เหตุผลที่ดีที่จะทำให้มีอภิสิทธิ์แต่ประกำรใด (Special Immunity) แต่อย่ำงไรก็ดี ควำมรับ ผิดที่สถำนพินิจพึงต้องรับผิดชอบนั้น ควรจะถูกจำกัด เฉพำะควำมเสียหำยที่เกิดขึ้น ในบริ เ วณใกล้ เ คี ย งเท่ ำ นั้ น เพรำะควำมเสี ย หำยเช่ น ว่ ำ นั้ น สำมำรถคำดเห็ น ได้ (Foreseeability) (Home Office V. Dorset Yacht, 1970, 2 All ER 294, HL)
35
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
อุทาหรณ์ ที่ 4 ผู้ ต ำยไปโรงพยำบำลเนื่ อ งจำกมี อ ำกำรปวดท้ อ งอย่ ำ งรุ น แรง (Stomach pains) และอำเจียน (Vomiting) เมื่อไปถึงโรงพยำบำลปรำกฏว่ำแพทย์ปฏิเสธที่ จะตรวจรัก ษำโดยให้ผู้ตำยกลับ บ้ำน เมื่อกลับ บ้ำนได้ประมำณ 5 ชั่วโมง ก็ถึงแก่ กรรม ผลกำรชันสูตรพลิกศพปรำกฏว่ำ ผู้ตำยตำยเพรำะพิษสำรหนู (Arsenic Poisoning) ดังนั้น ครอบครัวของผู้ตำยจึงฟ้องเรียกร้องโรงพยำบำลให้รับผิดชอบต่อควำมตำย ด้วยเพรำะปฏิเสธกำรรักษำ ในทำงพิจำรณำคดีได้ควำมว่ำมีหลักฐำนทำงกำรแพทย์ ยืนยันว่ำ แม้ว่ำแพทย์จะรักษำมีควำมเป็นไปได้สูงมำกว่ำ แต่ถึงอย่ำงไรผู้ตำยก็ต้อง ตำยอยู่ ดี เนื่ อ งจำกสภำวะพิ ษ ในร่ ำ งกำย ดั ง นั้ น ศำลจึ ง ได้ วิ นิ จ ฉั ย ว่ ำ กำรที่ โรงพยำบำลปฏิเสธกำรรักษำเป็นควำมประมำทเลินเล่อ แต่มิใช่เป็นสำเหตุทำให้ ผู้ตำยถึงแก่ควำมตำย จึงไม่เป็นละเมิด กำรที่ไม่เข้ำองค์ประกอบข้อ 3 เพรำะถึง ตน จะปฏิบัติตำมหน้ำที่ ควำมเสียหำยก็ เกิดขึ้นอยู่ดี (Barnett V. Chelsea & Kensington Hospital, 1968, 1 All ER 1068, Nield J)
คดีดังกล่ำว พิเครำะห์ได้ว่ำ แม้ตัวจำเลยจักมีหน้ำที่ (Duty of Care) แต่ หำกปรำกฏว่ำ ควำมเสียหำยมิใช่เป็นเหตุมำจำกควำมประมำทเลินเล่อของจำเลย จำเลยก็หำมีควำมผิดไม่ ดังนั้น ขอให้ระลึกเสมอว่ำจะมีควำมรับผิดฐำนละเมิดได้ ต้องมี Fault (ควำมผิด) และ Damage/Injury (ควำมเสียหำย) ประกอบกันเสมอ บุคคลจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ คดีต่อไปจะแสดงให้เห็นหลัก ในกำรวินิจฉั ยเรื่องหน้ำที่โ ดยตรงที่ บุคคลนั้นต้องปฏิบัติ กล่ำวคือ กำรจะพิจำรณำว่ำบุคคลนั้น ได้ชื่อว่ำเป็นผู้ประมำท เลิ น เล่ อ หรื อ ไม่ ไม่ ค วรสร้ ำ งภำระให้ แ ก่ บุ ค คลนั้ น จนเกิ น กว่ ำ ควำมเหมำะสม (Reasonable)
อุทาหรณ์ ที่ 5 โจทก์ เ ป็นมำรดำของผู้ตำยซึ่ง เป็นเหยื่อกำรฆำตกรรมรำยล่ำสุด ของฆำตกรฆ่ำหั่นศพที่มีชื่อเรียกว่ำ Yorkshire Ripper โจทก์จึงยื่นฟ้องกรมตำรวจ โดย กล่ำวอ้ำงว่ำในคำฟ้องว่ำ กำรปฏิบัติงำนของเจ้ำหน้ำที่ตำรวจไร้ประสิทธิภำพ และ ล้มเหลวในกำรสืบสวน ซึ่งเหตุดังกล่ำวเป็นผลให้ลูกของโจทก์ต้องถูกฆำตกรรม ซึ่ง คดีนี้ The House of Lords พิเครำะห์คำกล่ำวอ้ำง ดังกล่ำวแล้ว จึงวินิจฉัยว่ำ เจ้ำหน้ำที่
36
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ตำรวจไม่มีหน้ำที่ที่ต้องระมัดระวังหรือคุ้มครองผู้ตำย (บุคคลหนึ่งบุคคลใด) ให้พ้น จำกกำรฆำตกรรมของฆำตกร ท่ำนจะพบว่ำ ในคดีละเมิดโจทก์จะต้องเป็นฝ่ำยพิสูจน์ให้ศำลเห็นถึง หน้ำที่ที่จำเลยมีอยู่ซึ่งขึ้นอยู่กับสถำนกำรณ์ข้อเท็จจริงในแต่ ละกรณี โดยชี้ให้เห็นทั้ง ข้อกฎหมำยและข้อเท็จจริง ว่ำจำเลยมีหน้ำที่แต่ไม่ปฏิบัติตำมหน้ำที่ เป็นเหตุให้เกิด ควำมเสียหำยแก่โจทก์ อุทาหรณ์ ที่ 6 คดีนเี้ ป็นกรณีที่ลูกจ้ำงฟ้องเรียกร้องนำยจ้ำง เรื่องมีอยู่ว่ำลูกจ้ำงทำ หน้ำที่พนักงำนทำควำมสะอำด หน้ำต่ำงตำมตึกที่ นำยจ้ำงรับเหมำทำควำมสะอำด ปรำกฏข้อเท็จจริงว่ำในทำงกำรที่จ้ำง นำยจ้ำงไม่ได้มีอุป กรณ์ที่เ หมำะสมต่อกำร ปฏิบัติหน้ำที่ของลูกจ้ำง เช่น ให้ลูกจ้ำงปีนขอบหน้ำต่ำง ทำควำมสะอำด แทนที่จะมี บันไดให้ และลู ก จ้ำงได้รับ บำดเจ็บ เพรำะตกจำกขอบหน้ำต่ำงขณะปฏิบัติหน้ำ ที่ ลูกจ้ำ งจึงฟ้องนำยจ้ำงให้รับผิดชดใช้ค่ำเสียหำยประเด็นอยู่ที่ว่ำ นำยจ้ำงมีหน้ำที่ (Duty) ต่อลูกจ้ำงหรือไม่ ซึ่งศำลได้วินิจฉัย ว่ำ เป็นหน้ำที่ของนำยจ้ำงที่จะต้องจัดหำ เครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นต่อกำรทำงำนของลูกจ้ำง ซึ่งนำยจ้ำงสำมำรถคำดเห็นได้ จึงเป็นละเมิด (General Cleaning V. Christmas, 1952, 2 All ER 1110, HL) จำกกรณีดังกล่ำวภำยหลังเกิดคดี Walker V. Northum ซึ่งศำลได้มีคำ พิพำกษำให้ นำย Beeland ต้องรับผิดชดใช้ค่ำสินไหมทดแทน หำกนำยจ้ำงใช้งำน ลูกจ้ำงหนักเกินควรจนเป็นเหตุให้ลูกจ้ำงต้องเจ็บป่วยรุนแรง นำยจ้ำงพึงต้องคำด เห็นได้เช่นกัน นอกจำกนี้ขอย้อนกลับไปในคดี Donoghue ที่ศำลกำหนดหน้ำที่ของ ผู้ผลิตที่พึงมีต่อลู กค้ำ ยังมีกรณีที่ร้ำนค้ำมีหน้ำที่ต้องใช้ควำมระมั ดระวังให้ควำม ปลอดภัยกับลูกค้ำไม่เฉพำะตัวผลิตภัณฑ์ (Product) เท่ำนั้น ยังให้หมำยควำมรวมถึง สถำนที่ประกอบกำรของร้ำนค้ ำต้องมีควำมปลอดภัย (Safety) เพียงพอต่อลูกค้ำอีก ด้วย
37
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
อุทาหรณ์ ที่ 7 Ward V. Tesco, 1976 ศำลตัดสินให้ห้ำง Tesco ต้องชดใช้ค่ำสินไหมทดแทน
เพื่อกำรละเมิด ในกำรที่ลูกค้ำได้รับบำดเจ็บเพรำะลื่นขณะเดินซื้อของ ซึ่งข้อเท็จจริง แห่งคดี (Fact) ซุปเปอร์มำร์เก็ ตแห่งนี้ พนัก งำนห้ำงฯ ปล่อยปละละเลยไม่ทำควำม สะอำดพื้น เมื่อมีของตกหล่นลงพื้น (โยเกริ์ต) ซึ่งถือเป็นหน้ำที่ของผู้ประกอบกำรมี หน้ำที่ตอ้ งใช้ควำมระมัดระวัง และถือเป็นสำนึกเรื่องควำมปลอดภัยที่ผู้ประกอบกำร ต้องคำนึงถึงเป็นอย่ำงยิ่ง เช่นเดียวกับ ที่ศำลสหรัฐ อเมริกำ ได้มีกำรวำงหลักเกี่ย วกั บเรื่อง ประมำทเลินเล่อว่ำ “ไม่มีความรับผิดในการกระทาโดยประมาท ถ้าหากการ กระทานั้นไม่ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น” (ขำดขั้นตอนที่ 3) เช่น ก. ขับ รถ 25 ไมล์ในเขตห้ำมขับเกิน 15 ไมล์ ข. เด็กวิ่ งไล่ลูก บอลตัดหน้ำรถได้รับบำดเจ็บ ข้อเท็จจริงได้ควำมว่ำ แม้ว่ำจะขับเพียง 5 ไมล์ ก็ไม่ สำมำรถเบรคห้ำมรถไว้ทัน จะเห็นได้ว่ำ ควำมประมำทดังกล่ำวมิใช่ต้นเหตุแห่งควำม เสียหำย ก. จึงไม่ต้องรับผิด ถึงแม้ว่ ำ ก. จะฝ่ำฝืนกฎหมำยก็ตำม แต่จัก อย่ำงไร ควำมเสียหำยก็เกิดขึ้นอยู่ดีขอให้เปรียบเทียบเคียงกับคดี Barnett สำหรับศำลไทยได้ใช้แนวทำงตำมกำรพิจำรณำคดีตำมศำลอังกฤษ เป็นแนวทำงในกำรพิจำรณำเรื่องควำมประมำทเลินเล่อเช่นกัน กล่ำวคือใช้หลัก Duty of Care มำพิเครำะห์ถึงควำมประมำทเลินเล่อ ตัวอย่ำงเช่น รถยนต์ของโจทก์ถูกรถยนต์ของผู้อื่นชน โจทก์จึงมำฟ้องจำเลยฐำน ละเมิดว่ำ รถยนต์ของจำเลยวิ่งสวนรถยนต์ที่ชนโจทก์ แม้ว่ำรถยนต์ของจำเลยมิได้ ชนรถยนต์ของโจทก์ก็จริง แต่รถยนต์ของจำเลยมิได้เปิดไฟหน้ำรถในเวลำกลำงคืน เป็นเหตุให้ทัศนวิสัยตรงนั้นมื ดกว่ำปกติ เป็นผลทำให้รถยนต์ที่ชนโจทก์มองไม่เห็น โจทก์ ฉะนั้น กำรที่รถยนต์โจทก์ถูกชนจึงเป็นผลมำจำกกำรกระทำประมำทเลินเล่อ ของจำเลย (กำรไม่เปิดไฟหน้ำรถยนต์) กรณีเช่นนี้ ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำจำเลยไม่มี ควำมผิดเพรำะไม่ได้ประมำทเลินเล่อ คนที่จะประมำทเลินเล่อต้องมีหน้ำที่ จำเลยไม่ มีหน้ำที่ที่ตอ้ งระวังมิให้รถยนต์โจทก์ถูกชน
38
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 2205-2206/2542 ตำมสัญญำเช่ำตู้นิรภัยเป็น กำรเช่ำเพื่อเก็บทรัพย์สินซึ่งตู้นิรภัยอยู่ในควำมควบคุมดูแลของจำเลยที่ 1 ดังนั้น แม้ จำเลยที่ 1 จะไม่รู้เห็นกำรนำทรัพย์สินเข้ำเก็บหรือนำออกจำกตู้นิรภัย จำเลยที่ 1 ก็ ไม่หลุด พ้นจำกควำมรับผิด หำกทรัพย์สินที่เ ก็ บในตู้นิรภัย นั้นสูญ หำยจริง และ ข้อเท็จจริงยังปรำกฏว่ำมีลำยนิ้วมือแฝงที่ตู้นิรภัยซึ่งมิใช่ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 และ มิใช่ของเจ้ำหนี้ที่ของจำเลยที่ 1 ด้วยเป็นข้อที่ชี้ให้เห็นว่ำ มีคนร้ำยเข้ำไปเปิดตู้นิรภัย และนำเอำทรัพย์สินที่เก็บไปจริง จำเลยที่ 1 อ้ำงว่ำอำจเป็นลำยนิ้วมือแฝงของคน ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 นั้นก็เป็นกำรคำดคะเนโดยปรำศจำกข้อเท็จจริงสนับสนุน กำรที่คนร้ำยลักเอำทรัพย์สินในตู้นิรภัยไปถือเป็นควำมบกพร่องในหน้ำที่ของจำเลย ที่ 1 ในกำรดูแลป้องกันภัยแก่ทรัพย์สิน ควำมระมัดระวังของจำเลยที่ 1 จึงไม่พอ เป็น กำรละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คำพิพำกษำฎีกำที่ 769/2518 จำเลย (เทศบำล) เป็นผู้มีหน้ำที่ดูแล สะพำนให้ มีค วำมมั่น คงแข็ งแรงและเรีย บร้อ ย กำรที่จ ำเลยปล่อ ยปละละเลยให้ สะพำนยุบพัง รำวสะพำนเป็นช่องโหว่อยู่ก่อนที่ผู้เสียหำยตกลงไปประมำณ 2 เดือน ไม่รีบซ่อมแซมให้อยู่ในสภำพเรียบร้อย ปลอดภัยจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหำยตกลงไป ทำงช่องโหว่นั้น เป็นควำมประมำทเลินเล่อของจำเลยอันเป็นกำรกระทำละเมิดต่อ ผูเ้ สียหำย จำเลยต้องรับผิดในควำมเสียหำยที่เกิดขึน้ เช่นเดียวกับคำพิพำกษำฎีกำ 761/2518 และขอให้เทียบเคียงกับคำ พิพำกษำฎีกำที่ 5188/2533 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ำ สะพำนที่เกิดเหตุไม่มีป้ำยห้ำม รถยนต์บรรทุก น้ำหนักเกิน 6 ตันผ่ำน จำเลยซึ่งเป็นสุขำภิบำลมีหน้ำที่ดูแลรักษำ สะพำนให้มี ค วำมมั่ นคงแข็ ง แรงและเรี ย บร้ อ ย เพื่ อ ให้ บ ริ ก ำรสำธำรณู ป โภคแก่ ประชำชนและผูข้ ับรถยนต์บรรทุกหนักผ่ำนข้ำมสะพำนจึงเป็นควำมประมำทเลินเล่อ ของจำเลย ดังนั้น เหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นกำรกระทำโดยประมำทเลินเล่อของจำเลย แต่ เมื่อพิเครำะห์ถึงกำรที่นำย ส. ขับรถยนต์บรรทุกที่มีน้ำหนัก 9 ตัน และบรรทุกรำ หนัก 7,230 กิโลกรัม ผ่ำนสะพำนไม้ดังกล่ำว ซึ่งบุคคลทั่วไปเห็นสภำพของสะพำนที่ เกิดเหตุแล้วย่อมจะไม่แน่ใจว่ ำสะพำนดังกล่ำวจะรับน้ำหนักรถและสิ่งของที่บรรทุก รวมกันประมำณ 16 ตันได้ เช่นนี้ เหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นควำมประมำทเลินเล่ออย่ำง มำกของนำย ส. ลู กจ้ำงกระทำในทำงกำรที่จ้ำงของโจทก์อยู่ด้วย ถือได้ ว่ำควำม
39
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เสียหำยที่เกิดขึ้นทั้งหมดเพรำะควำมผิดของลูกจ้ำงโจทก์ที่ 1 มีส่ว นประกอบด้วย อย่ำงมำก ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์มำตรำ 442 ค่ำสินไหมทดแทนอัน โจทก์ ค วรจะได้รั บ มำกน้อ ยเพีย งใด จึ งต้ องอำศั ย พฤติ ก ำรณ์ แวดล้อ มแห่ง กรณี ดังกล่ำวข้ำงต้นเป็นประมำณ ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 223 และปรำกฏว่ำนำย ส. มีส่วนในควำมประมำทมำกกว่ำจำเลย โจทก์ที่ 1 จึงต้องรับ ผิดชดใช้ค่ำเสียหำยให้แก่จำเลย ตำมที่จำเลยได้ฟ้องแย้งไว้ คำพิพำกษำคดีหลังสุด เป็นกำรตรวจสอบระดับควำมระมัดระวัง ที่ ไม่ได้พิเครำะห์เฉพำะแก่จำเลยที่มหี น้ำที่ตำมกฎหมำยเท่ำนั้น ซึ่งในส่วนของโจทก์เอง ต้องได้ชื่อว่ำใช้ควำมระมัดระวังเป็นอย่ำงดีเช่นเดียวกัน ซึ่งกำรวินิจฉัยเกี่ยวกับกำรมี ส่วนร่วมในกำรกระทำควำมผิดฐำนละเมิดจะมีผลในเรื่องของกำรกำหนดค่ำสินไหม ทดแทน มิ ใ ช่ ล บล้ ำ งควำมประมำทเลิ น เล่ อ ของอี ก ฝ่ ำ ยหนึ่ ง ในคดี นี้ เ มื่ อ โจทก์ (รถบรรทุก) ฟ้องจำเลย (สุขำภิบำล) จำเลยก็ได้ ให้กำรฟ้องแย้งกลับว่ำโจทก์กระทำ ละเมิดกล่ำวคือประมำทเลินเล่อทำให้สะพำนที่อยู่ในควำมควบคุมดูแลของจำเลย ได้รับควำมเสียหำย และเมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีปรำกฏในชัน้ พิจำรณำคดีต่ำงฝ่ำยต่ำง หำพยำนหลั ก ฐำนเข้ ำ มำสนั บ สนุ น และหั ก ล้ ำ งอี ก ฝ่ ำ ยหนึ่ ง ก็ มิ ไ ด้ ล บล้ ำ งควำม ประมำทเลินเล่อของแต่ละฝ่ำยได้ คงเป็นเพียงกำรกำหนดค่ำเสียหำยที่เหมำะสมแก่ รูปคดี (ในกำรนี้จะได้อธิบำยถึงในเรื่องค่ำเสียหำยอีกครำวหนึ่ง) แต่ทว่ำ หำกเกิด กรณีรถยนต์ชนกัน และได้ควำมว่ำ ทั้งสองฝ่ำยต่ำงขับรถยนต์มำด้วยควำมประมำท เลินเล่อ และก่อให้เกิดควำมเสียหำยขึ้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ำกัน ดังนี้ ต่ำงฝ่ำยต่ำ งก็ไม่ มีสทิ ธิที่จะเรียกร้องค่ำเสียหำยต่อกัน (พิจำรณำตำมคำพิพำกษำฎีกำที่ 505 /2519) คำพิพำกษำฎีกำที่ 370/2540 จำเลยจัดอำคำรที่จอดรถให้แก่ลูกค้ำ ผู้ที่นำรถเข้ำไปจอดเป็นผู้หำที่จอดรถเองและเป็นผู้เก็บกุญแจไว้โดยไม่ต้องเสียค่ำ จอดแต่อย่ำงใด ส่วนกำรที่จำเลยจัดพนักงำนไว้คอยฉีกหรือตรวจบัตรจอดรถยนต์ ขณะที่นำรถยนต์ออกจำกอำคำรที่จอดรถของจำเลยนั้น เป็นเพียงมำตรกำรช่วย รักษำควำมปลอดภัยให้เท่ำนั้น ที่โจทก์อำ้ งว่ำลูกจ้ำงของจำเลยปล่อยให้รถยนต์ออก จำกอำคำรที่จอดรถโดยไม่รับบัตรจอดรถคืนนั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่ำลูกจ้ำง ของจำเลยได้ปล่อยรถที่โจทก์รับประกันภัยออกไปโดยประมำทเลินเล่ออย่ำงไร แต่ กลับได้ควำมจำกพยำนจำเลยว่ำวันเกิดเหตุมรี ถยนต์ออกจำกอำคำรที่จอดรถไปโดย
40
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ไม่มีบัตรจอดรถรวม 3 คัน ลูกจ้ำงของจำเลยได้บันทึกทะเบียนรถยนต์ บัตร ประจำตัวผู้ขับขี่หรือบัตรประจำตัวประชำชนไว้แล้ว ไม่ปรำกฏว่ำได้ปล่อยรถคันที่ โจทก์รับประกันออกไป แม้แต่ ว. พยำนโจทก์ก็เบิกควำมรับว่ำเคยขับรถเข้ำไปจอด ในห้ำงของจำเลยแล้วออกไปโดยไม่คืนบัตรจอดรถ ลูกจ้ำงของจำเลยไม่ยอมให้ออก จนกระทั่งต้องแสดงเอกสำรเกี่ยวกับรถให้ดูจึงจะนำรถออกไปได้ แสดงว่ำลูกจ้ำง ของจำเลยได้ตรวจสอบและปล่อยรถถูกต้องตำมระเบียบเหมือนเช่นเคยประพฤติใน กิจกำรของตนเองมิได้กระทำโดยประมำทเลินเล่อดังที่โจทก์ฟ้อง จำเลยจึงไม่ต้อง ชดใช้ค่ำเสียหำยให้แก่โจทก์ กำรพิ จ ำรณำในส่ ว นประมำทเลิ น เล่ อ นี้ นอกจำกจะพิ จ ำรณำ หลักเกณฑ์ (1) หน้ำที่ และ (2) กำรฝ่ำฝืนหน้ำที่แล้ว ผลร้ำยที่ได้รับต้องเป็นธรรมต่อผู้ ก่อภัยด้วย กล่ำวคือ ควำมเสียหำยต้องสำมำรถคำดหมำยได้ และเป็นธรรมหรือไม่ สร้ำงภำระให้แก่บุคคลนั้นเกินไป เช่ น โจทก์ ฟ้ อ งจ ำเลยที่ มี ห น้ ำ ที่ เ ป็ น ผู้ ต รวจสอบบั ญ ชี เนื่ อ งจำก จำเลยประมำทเลินเล่อในกำรเตรียมข้อมูลทำงกำรเงิน ทำให้โจทก์หลงเชื่อว่ำกิจกำร ของบริษัท A มีฐำนะทำงกำรเงินดี น่ำลงทุน จึงได้ซื้อหุ้นไปจำนวนหนึ่งแต่ควำมจริง กลับไม่เป็นเช่นนั้น หุ้นกลับมีมูลค่ำลดลงเรื่อยมำ กรณีเช่นนี้ศำลได้วินิจฉัยว่ำ ควำม เสียหำยของโจทก์เป็นหน้ำทีท่ ีโ่ จทก์ควรคำดหมำยได้ แต่มิใช่เรื่องที่จำเลยจะต้องร่วม รับผิดชอบด้วย แม้ว่ำจำเลยจะเป็นผู้ที่ทำงำนด้ำนกำรให้ขอ้ มูลเกี่ยวกับกำรลงทุน แต่ จำเลยไม่ได้มีหน้ำที่ประกันควำมเสี่ยงด้ำนกำไรขำดทุนให้แก่ผู้ใด (Caparo V. Dickman, 1990)
หำกควำมเสียหำยนั้นเป็นผลมำจำกผู้เสียหำยเอง เช่นนี้ย่อมมิอำจ เรียกร้องได้ เช่น นัก โทษฆ่ำตัวตำยในห้ องขังประจำสถำนี ตำรวจ ศำลวินิจฉัย ว่ำ ต ำรวจไม่ ไ ด้ มี ห น้ ำ ที่ โ ดยทั่ ว ไป เพื่ อ ป้ อ งกั น มิ ใ ห้ นั ก โทษคนหนึ่ ง คนใดฆ่ ำ ตั ว ตำย เว้นเสียแต่ ตำรวจจะได้ทรำบหรือควรจะทรำบอยู่ก่อนว่ำจะมีภัยเช่นว่ำนั้นเกิดขึ้น ตำรวจก็มิอำจปฏิเสธควำมรับผิดได้ เช่นกัน (Orange V. Chief Constable of West Yorkshire, 2001) และขอให้เทียบเคียงกับคดี Kirkham V. Anderton, 1920. ที่กำหนดให้ตำรวจต้อง รับผิดชอบกำรฆ่ำตัวตำยของนักโทษ เนื่องจำกเจ้ำหน้ำที่ ตำรวจทรำบว่ำนักโทษรำย นี้ มีแนวโน้มทีจ่ ะกระทำอัตวินิบำตกรรม แต่มิได้ป้องกันผลแต่อย่ำงใด
41
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 273/2487 ในกำรปฏิ บั ติ ร ำชกำรกำรที่ ข้ำรำชกำรคนหนึ่ง ใช้ ข้ำ รำชกำรอี ก คนหนึ่ง ไปรับ เงิ นหรื อสิ่ งของ แล้ว คนที่ไ ปรั บ ยักยอก เมื่อไม่ได้ควำมว่ำผูใ้ ช้ประมำทเลินเล่อหรือจงใจให้ผู้อื่นเสียหำยไม่ต้องรับผิด คณะกรรมกำรจังหวัดรับสลำกกินแบ่งรัฐบำลมำแล้วจ่ำยให้คณะกรรมกำรอำเภอ อีกต่อหนึ่ง ปลัดอำเภอเคยใช้สำรวัตรศึกษำไปรับสลำกกินแบ่งนั้น โดยไม่เคยเกิด เรื่องเพิ่งมำเกิดยักยอกครำวนี้ ไม่ต้องรับผิด คำพิพำกษำฎีกำที่ 6114/2540 จำเลยที่ 2 ทำสัญญำกับธนำคำรรับ เป็นผู้ประสำนงำนในกำรส่งข้อมูลของธนำคำรจำกเครื่องส่งสัญญำณ เอส.โอ.เอส. ไปยังสถำนีตำรวจ ฯลฯ ด้วยเครื่องมือทำงอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์เพื่อขอ ควำมช่วยเหลือที่รวดเร็วและทันต่อเหตุกำรณ์ เมื่อเครื่องส่งสัญญำ เอส.โอ.เอส. ที่ จำเลยที่ 2 ติดตั้งไว้ที่เครื่องบริกำรเงินด่วนของธนำคำรส่งสัญญำณขอควำม ช่วยเหลือไปยังศูนย์ของจำเลยที่2 เพรำะถูกคนร้ำยงัดทำลำย แต่เจ้ำหน้ำที่จำเลยที่ 2 ละเลยไม่แจ้งเหตุต่อไปยังสถำนีตำรวจเพื่อขอควำมช่วยเหลือถือว่ำจำเลยที่ 2 ผิด สัญญำแต่ไม่ถือเป็นกำรละเมิดต่อธนำคำรตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 420 สัญญำไม่มีระบุว่ำหำกจำเลยที่ 2 ผิดสัญญำจะต้องรับผิดชดใช้ ค่ำเสียหำยจำนวนเท่ ำใด จึงเป็นเพียงสัญญำให้บริกำรแก่ธนำคำรเพื่อช่วยป้องกัน กำรโจรกรรมทรัพย์สินของธนำคำรอีกทำงหนึ่ง ไม่ใช่สัญญำที่จำเลยที่ 2 ตกลงยอม ชดใช้ค่ำเสียหำยแก่ธนำคำรในกรณีทรัพย์สินถูกโจรกรรม ธนำคำรไม่มีสิทธิฟ้อง จำเลยที่ 2 เพื่อเรียกค่ำเสียหำยตำมจำนวนเงินที่ถูกคนร้ำยลัก ไป โจทก์ซึ่งใช้ ค่ำเสียหำยให้ธนำคำรเจ้ำหนี้ผู้เอำประกันไปแล้วย่อมไม่อำจรับช่วงสิทธิของธนำคำร มำฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและ พำณิชย์ มำตรำ 880 วรรคแรกได้ คำพิพำกษำฎีกำที่ 511/2542 ข้อกำหนดองค์กำรกำรบินพลเรือน ระหว่ำงประเทศเรื่อง กฎทำงอำกำศและบริกำรจรำจรทำงอำกำศ ได้ระบุถึง เครื่ องบิน ขนำดกลำงและขนำดเบำที่ บินลงตำมหลั งเครื่ องบิ นขนำดหนัก ต้อ งใช้ ระยะเวลำอย่ำงน้อยที่สุด 2 นำที และ 3 นำที ตำมลำดับ แต่ตำมพยำนหลักฐำนที่ โจทก์นำสืบ เครื่องบินลำที่ ส. ขับกับเฮลิคอปเตอร์ของกรมตำรวจ ต่ำงเป็นเครื่องบิน ขนำดเบำทั้ ง คู่ จึ ง ไม่ เ ข้ ำ ข่ ำ ยข้ อ ก ำหนดฯ ตำมที่ โ จทก์ อ้ ำ งจำกรำยงำนของ
42
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คณะกรรมกำรสอบสวนได้ควำมว่ำ ในทำงปฏิบัติหอบังคับกำรบินหัวหินอนุญำตให้ เครื่องบินทั้งสองชนิดลงพร้อมกันได้ และข้อเท็จจริงได้ควำมว่ำที่สนำมบินหัวหิน โจทก์ จัด ให้เฮลิค อปเตอร์จอดอยู่ ห่ำงจำกขอบทำงวิ่งของเครื่องบินประมำณ 30 เมตร เท่ำนั้น โดยจุดจอดของเฮลิคอปเตอร์มีมำนำนร่วม 20 ปีแล้ว จึงเป็นควำมผิด ของโจทก์ที่ทำให้จำเลยทั้งสองไม่อำจจัดให้เฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ห่ำงจำกขอบวิ่งของ เครื่ องบิน มำกกว่ ำ 90 เมตร ได้ กรณี ดัง กล่ำ วจึ งโทษจำเลยทั้ง สองไม่ไ ด้ พยำนหลักฐำนที่โจทก์นำสืบได้ควำมว่ำหลังเกิดเหตุประมำณ 1 เดือน คณะทำงำน ของคณะกรรมกำรสอบสวนได้ทำกำรทดลอง ณ สนำมบินหัวหิน เพื่อพิสูจน์ว่ำ อิทธิพลของกระแสอำกำศมวลวนที่เกิดจำกเฮลิคอปเตอร์จะก่อให้เกิดอันตรำยต่อ กำรบินของเครื่องบินที่ ส. ขับได้ถูกกระแสอำกำศมวลวนอัน เกิดจำกเฮลิคอปเตอร์ หลังเกิดคดีนโี้ จทก์ได้ตงั้ คณะกรรมกำรตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ผลสรุปเห็นว่ำ จำเลยทั้งสองปฏิบัติหน้ำที่ถูกต้อง พยำนโจทก์ก็เบิกควำมยอมรับว่ำ ขณะเกิดเหตุ จำเลยทั้งสองไม่ได้ฟังได้ว่ำจำเลยทั้งสองประมำทเลินเล่อ 2.4.2.2 ระดับของความระมัดระวัง กำรที่ จ ำเลยจะให้ ก ำรปฏิ เ สธว่ ำ ไม่ ป ระมำทเลิ น เล่ อ นั้ น ในทำง พิจำรณำคดีจะพิจำรณำถึงระดับควำมระมัดระวังว่ำบุคคลนั้นใช้เพียงพอแล้วหรือไม่ ซึ่งอำศัยตำมประมวลกฎหมำยอำญำมำตรำ 59 ที่บัญญั ติว่ำ “ปราศจากความ ระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น จักต้อ งมีตามวิสัยและพฤติก ารณ์และ ผู้กระทาอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่” ประมำทเลิ น เล่ อ จึ ง เป็ น เรื่ อ งของกำรไม่ ใ ช้ ค วำมระมั ด ระวั ง (ปรำศจำก) หรือใช้ควำมระมัดระวังอยู่ในระดับที่ไม่เพียงพอ
43
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ไม่ใช้ความระมัดระวัง
ใช้แต่ไม่เพียงพอ
ใช้เพียงพอ
ประมำทเลินเล่อ
ไม่ประมำทเลินเล่อ
ควำมเสียหำย
ควำมเสียหำย
รับผิด
ไม่รับผิด
กรณีที่ 1 บุคคลนั้นมีหน้ำที่แต่ไม่ใช้ควำมระมัดระวัง ย่อมชัดเจนอยู่ในตัวเองว่ำหำก เกิดควำมเสียหำยขึน้ ตนมีหน้ำที่ตอ้ งรับผิดชอบ กรณีที่ 2 ประเด็นอยู่ที่ว่ ำ ระดับควำมระมัดระวังที่จะถือว่ำเพียงพอ อยู่แค่ ไหน และใช้เกณฑ์อะไรเป็นเครื่องบ่งชี้ ซึ่งตำมกฎหมำยใช้คำว่ำ “บุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและ พฤติการณ์” 1. วิสัยของบุคคลในภำวะเช่นนัน ้ 2. พฤติกำรณ์ที่บุคคลนั้นประสบ มำตรฐำนที่กำหนดระดับควำมระมัดระวัง พิ จำรณำจำก “มาตรฐานวิญญู ชน” กล่ำวคือ บุคคลทั่ว ไปมำเป็นเครื่องชี้วัด มำตรฐำนควำมระมัดระวังต้องถือ เกณฑ์คนทั่วไปมำใช้ โดยปกติแล้วมำตรฐำนวิญญูชนแบ่งเป็น 2 ประกำร 1. ภำวะวิสัย (Objective Test) 2. อัตตวิสัย (Subjective Test)
44
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ภำวะวิสัย
อัตตวิสยั
ภาวะวิสัย หมำยถึง กำรพิจำรณำโดยใช้เกณฑ์วัดจำกมำตรฐำนกลำง เป็นเกณฑ์ที่ดูจำกบุคคลภำยนอกมองเข้ำมำ อัตตวิสัย หมำยถึง กำรพิจำรณำโดยใช้ เกณฑ์วัดจำกมำตรฐำนภำยใน ของคนหนึ่งคนใดออกไป โดยทั่วไปกำรพิจำรณำเรื่องประมำทเลินเล่อ จะใช้เกณฑ์พิจำรณำแบบ ภำวะวิสัยวิญญูชนเช่น นำยกิตติดื่มเหล้ำเมำแล้วขับรถยนต์กลับบ้ำน นำยกิตติมั่นใจ ว่ำคนขับรถใช้ควำมระมัดระวังอย่ำงดีเยี่ยม แต่กลับไปชนคนอื่น นำยกิตติอ้ำงว่ำ เวลำดื่มเหล้ำไปแล้ว กำรขับรถของตนจะดีเยี่ยมเป็นพิเศษ ซึ่งแม้ควำมเป็นจริงจะ เป็นอย่ำงนัน้ จริง ๆ นำยกิตติก็ไม่สำมำรถอ้ำงได้ เพรำะเป็นกำรพิจำรณำแบบอัตต วิสัยต้องพิจำรณำแบบภำวะวิสัย แต่อย่ำงไรก็ดี มีขอ้ ยกเว้นอยู่ 2 ประกำรที่มไิ ด้ใช้เกณฑ์ตำมภำวะวิสัย ได้แก่ 1. กำรที่จำเลยมีควำมบกพร่องทำงกำยภำพ เช่น ร่ำงกำยพิกำร ตำบอด แขนขำดขำขำด เป็นเด็ก คนชรำ ซึ่งเวลำที่จะพิจำรณำว่ำจำเลยใช้ควำมระมัดระวัง เพี ย งพอแล้ ว หรื อ ไม่ นั้ น ต้ อ งพิ จ ำรณำถึ ง ควำมบกพร่ อ งต่ ำ งๆ ประกอบด้ ว ย กล่ำวคือ ให้พิจำรณำจำกอัตวิสัยประกอบ ขอให้ท่ำนพิจำรณำจำกคดี R.V. Hadfield ที่ เคยยกตัวอย่ำงมำแล้วด้วย 2. ผู้ที่มีควำมเชี่ยวชำญมำกกว่ำมำตรฐำนวิญญูชน (ทั่วไป) เช่น แพทย์ ทนำยควำม วิศวกร สถำนปนิก เป็นต้น ต้องมีมำตรฐำนสูงกว่ำมำตรฐำนของวิญญู ชน ข้อ ควรสั งเกต กรณีเ ช่นว่ำนี้ ให้หมำยควำมรวมถึงผู้ที่มิได้เชี่ยวชำญ แต่ได้ไ ป
45
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
แสดงตนอวดอ้ำง จนทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อ ว่ำตนเองเป็นผู้เชี่ยวชำญ ดังนั้น จะขอให้ใช้ มำตรฐำนแบบวิญญูชนทั่วไปมิได้ เช่ น นำยกิ ต ติ เ ป็ น หมอเถื่ อ นประกอบอำชี พ อย่ ำ งแพทย์ อยู่ ต่ ำ งจั ง หวั ด ชำวบ้ำนทั่วไปเชื่อว่ำเป็นแพทย์จริง ได้รับรักษำคนไข้โดยฉีดยำเข้ำกล้ำมเนื้อที่สะโพก (มีเส้นประสำท) นำยกิตติไม่ทรำบ เพรำะไม่มีควำมรู้ ปรำกฏว่ำ เข็มฉีดยำที่แทงไป นั้นถูกเส้นประสำทเกิดเป็นฝีอักเสบตรงที่ฉีดยำ ทำให้ตอ่ มำผูป้ ่วยรำยนัน้ ขำลีบ กรณี เช่นนีน้ ำยกิตติจะมำแก้ตัวไม่ได้ว่ำ ตนไม่มีควำมรูอ้ ย่ำงหมอที่แท้จริง โปรดเทียบเคียง ตำมคำพิพำกษำฎีกำที่ 760/2506, 2593/2521, 946/247 คำพิพำกษำฎีก ำที่ 292/2542 (คดีผ่ำตั ด หน้ำอก) จำเลยที่ 2 ทำกำรผ่ำตัดหน้ำอกโจทก์ที่ มี ขนำดใหญ่ใ ห้มีขนำดเล็กลงที่โรงพยำบำลจำเลยที่ 2 อีก 3 ครั้ง แต่อำกำรไม่ดีขึ้น โจทก์จึงให้แพทย์อื่นทำ กำรรักษำต่อ แม้ตัวโจทก์และนำยแพทย์ ด. ผู้ทำกำร รักษำโจทก์ต่อจำกจำเลยที่ 2 จะไม่สำมำรถนำสืบให้ เห็นว่ำ จำเลยที่ 2 ประมำทเลินเล่อในกำรผ่ำตัดและ รักษำพยำบำลโจทก์อย่ำงไร แต่เมื่อจำเลยที่ 2 เป็น แพทย์ผู้เชี่ยวชำญด้ำนศัลยกรรมด้ำนเลเซอร์ผ่ำตัด จำเลยที่ 2 จึงมีหน้ำที่ต้องใช้ ควำมระมัดระวังตำมวิสัยและพฤติกำรณ์เป็นพิเศษ กำรที่นำยแพทย์ ด. ต้องทำกำร ผ่ำตัดแก้ไขอีก 3 ครั้ง แสดงว่ำจำเลยที่ 2 ผ่ำตัดมำมีข้อบกพร่องจึงต้องแก้ไขและ แสดงว่ำจำเลยที่ 2 ไม่ใช้ควำมระมัดระวังในกำรผ่ำตัด และไม่แจ้งให้ผู้ป่วยทรำบถึง ขั้นตอนกำรรักษำ ระยะเวลำ และกรรมวิธีในกำรดำเนินกำรรักษำ จนเป็นเหตุให้ โจทก์ได้รับควำมเสียหำย นับว่ำเป็นควำมประมำทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ถือได้ว่ำ จำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์ (เรื่องนี้จะนำไปพิเครำะห์อีกครั้งในเรื่องกำร กำหนดค่ำเสียหำย)
46
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 7452/2541 จำเลยซึ่งเป็นแพทย์ได้แจ้งโจทก์ว่ำมีเด็กตำย ในท้องโจทก์ โจทก์จึงยินยอมให้จำเลยขูดมดลูกและทำแท้งให้ แต่กำรที่จำเลยใช้ เครื่องมือแพทย์เข้ำไปขูดมดลูกของโจทก์ทำให้มดลูกทะลุ ทั้งที่มดลูกของโจทก์มี ลักษณะเป็นปกติ มิได้มลี ักษณะบำงแต่อย่ำงใด และทำให้ลำไส้เล็กทะลักออกมำ ทำงช่องคลอดยำว 5 เมตร เนื่องจำกเครื่องมือแพทย์ที่ใส่เข้ำไปในช่องคลอดได้เกี่ยว เอำลำไส้ดงึ ออกมำนั้นเอง จำเลยจึงไม่ได้ใช้ควำมระมัดระวังตำมปกติวสิ ัยของผู้มี ควำมรูค้ วำมสำมำรถในกำรประกอบวิชำชีพแพทย์ นับเป็นควำมประมำทเลินเล่อ ของจำเลย ซึ่งต่อมำแพทย์ที่ตรวจโจทก์ในภำยหลังเห็นว่ำ หำกนำลำไส้โจทก์กลับ เข้ำไปในร่ำงกำยอีกอำจมีกำรติดเชื้อในช่องท้อง จึงได้ทำกำรตัดลำไส้ที่ทะลัก ออกมำทิ้งไป จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่ำสินไหมทดแทนแก่โจทก์ หรือคดีต่อไปนีท้ ี่ศำลกำหนดให้ธนำคำรในฐำนะผูป้ ระกอบวิชำชีพเช่นนั้น ต้องใช้ควำมระมัดระวังในกำรทวงหนี้แก่ลูกหนี้ กล่ำวคือ คำพิพำกษำฎีกำที่ 976/2543 แม้โจทก์จะมีชื่อและนำมสกุลอย่ำงเดียวกัน กับลูกหนี้ของจำเลย แต่ก็มีภูมิลำเนำต่ำงกัน ทั้งลูกหนีข้ องจำเลย ไม่เคยย้ำย ภูมลิ ำเนำ อีกทั้งเมื่อโจทก์ติดต่อทนำยควำมจำเลยแจ้งว่ำมิได้เป็นหนี้ ทนำยควำม จำเลยหรือจำเลย กลับยืนยันว่ำเป็นหนี้ ถ้ำไม่ชำระหนี้จะฟ้องร้องต่อศำล ทำให้โจทก์ เกิดควำมกลัว จึงได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงำนสอบสวน เป็นเหตุให้โจทก์ถูก หนังสือพิมพ์รำยวันลงข่ำวเผยแพร่ไปทั่วรำชอำณำจักร ทำให้โจทก์ถูกผู้บังคับบัญชำ เรียกไปสอบสวนหำมูลเหตุของข่ำวกำรเป็นหนี้จำเลย และลงควำมเห็นว่ำถ้ำข่ำว ดังกล่ำวเป็นจริง โจทก์จะถูกลงโทษ โจทก์ต้องเสียค่ำใช้จ่ำยในกำรโทรศัพท์ทำงไกล ติดต่อญำติพี่น้องเพื่อแจ้งควำมจริงให้ทรำบ และได้ว่ำจ้ำงทนำยควำมให้ตรวจสอบ รำยละเอียดเกี่ยวกับหนี้ดังกล่ำว ดังนี้ กรณีถือได้ว่ำจำเลยประมำทเลินเล่อ หรือไม่ไยดีต่อผลแห่งควำม เสียหำยที่อำจเกิดขึ้นแก่โจทก์ในภำยหลัง โดยไม่ใช้ควำมระมัดระวังตำมสมควรทำ กำรตรวจสอบเกี่ยวกับตัวลูกหนี้ของจำเลยเสียใหม่ตำมที่โจทก์แจ้งให้ทนำยควำม ของจำเลย หรือจำเลยทรำบแล้วว่ำโจทก์มิใช่ลูกหนี้ของจำเลย รวมทั้งจำเลยยังได้
47
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ยืนยันที่จะฟ้องร้องโจทก์ต่อศำล จนเป็นเหตุให้โจทก์เกิดควำมกลัวและนำเรื่องไป ร้องทุกข์ต่อพนักงำนสอบสวนจนถูกหนังสือพิมพ์รำยวันบำงฉบับนำข่ำวไปเผยแพร่ ทั่วรำชอำณำจักร อันเป็นกำรกระทำต่อโจทก์โดยมิช อบด้วยกฎหมำย ทำให้โจทก์ เสียหำย พฤติกำรณ์ดังกล่ำวจึงถือได้ว่ำจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อันจำต้องใช้ ค่ำสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพื่อกำรนั้นแล้ว ครบถ้วนด้วยองค์ประกอบแห่งควำมผิด เพื่อละเมิด คำพิพำกษำฎีกำที่ 5129/2546 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นอำจำรย์สอนวิชำพลศึกษำ ได้สงั่ ให้นักเรียนชัน้ ม.1 วิ่งรอบสนำมระยะทำง 200 เมตร ต่อ 1 รอบ จำนวน 3 รอบ เป็นกำรอบอุ่นร่ำงกำยก่อนกำรเรียนวิชำพลศึกษำในภำคปฏิบัติ และได้สั่งให้นักเรียน วิ่งรอบสนำมต่ออี ก 3 รอบ เป็ นกำรท ำโทษที่วิ่ง ไม่เ ป็นระเบี ย บเรีย บร้อย ซึ่ ง เหมำะสมตำมสมควรแก่พฤติกำรณ์ แต่กำรที่สั่งให้วิ่งรอบสนำมต่อไปอีก 3 รอบ และเมื่อนักเรียนยังทำไม่ได้เรียบร้อย ก็สั่งให้วิ่งต่อไปอีก 3 รอบ ในช่วงเวลำหลัง เที่ยงวันเพียงเล็กน้อย สภำพอำกำศร้อนและมีแสงแดดแรง นับเป็นกำรใช้วิธีกำร ลงโทษนักเรียนที่ไม่เหมำะสมและไม่ชอบ เพรำะจำเลยที่ 1 น่ำจะเล็งเห็นได้ว่ำกำร ลงโทษนักเรียนซึ่งมีอำยุระหว่ำง 11 ถึง 12 ปี ด้วยวิธีกำรดังกล่ำวอำจเป็นอันตรำย ต่อสุขภำพของนักเรียนได้เป็นควำมประมำทเลินเล่อ จนทำให้เด็กชำย พ. ซึ่งเป็น โรคหัวใจอยู่ก่อนล้มลงในกำรวิ่งรอบสนำมรอบที่ 11 และถึงแก่ควำมตำยในเวลำ ต่อมำ เพรำะสำเหตุระบบหัวใจล้มเหลว กำรตำยของเด็กชำย พ. จึงเป็นผลโดยตรง จำกกำรวิ่งออกกำลังตำมคำสั่งของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ทรำบว่ำเด็กชำย พ. เป็นโรคหัวใจก็ตำม มิใช่เกิดจำกเหตุสุดวิสัย ถือได้ว่ำจำเลยที่ 1 กระทำละเมิด เป็นเหตุให้เด็กชำย พ. ถึงแก่ควำมตำย แต่ควำมไม่รู้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่ำวเป็นเหตุ ประกอบดุลพินิจในกำรกำหนดค่ำสินไหมทดแทนให้นอ้ ยลง ข้อสังเกต (1 ) กำรแสดงตนว่ ำ เชี่ ย วชำญต้ อ งถึ ง ขนำดให้ ป ระชำชน หลงเชื่อด้วย หำกแสดงตนแต่คนไม่เชื่อถือก็ไม่เข้ำข่ำย (2) หำกเป็นกรณีฉุกเฉิน (Emergency Case) ระดับของเกณฑ์นี้ ต้องพิจำรณำตำมสภำวะฉุกเฉินนั้น ด้วย ที่เรียกว่ำ Emergency Doctrine เช่น จำเลยเป็น
48
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
แพทย์สนำม อยู่ในภำวะสงครำม หรือเหตุแห่งภัยพิบัติระดับแห่งควำมระมัดระวังจะ ใช้เกณฑ์มำตรฐำนเดียวกับแพทย์ตำมโรงพยำบำลทั่วไปมิได้ คำพิพำกษำฎีกำที่ 3267/2540 รถหุ้มเกรำะของโจทก์พลิก คว่ำขณะแล่นลำดตระเวนรักษำควำมสงบเรียบร้อย เจ้ำพนักงำนตำรวจในสังกัด โจทก์ไปขอควำมร่วมมือจำกจำเลยที่ 3 ให้นำรถบรรทุกสิบล้อไปลำกจูงรถหุ้มเกรำะ กลับที่ตั้ง วิธีลำกจูงใช้ลวดสลิงผูกกับส่วนหน้ำของรถหุ้มเกรำะแล้วนำไปผูกไว้กับ ท้ำยรถบรรทุกสิบล้อ ให้ล้ำหน้ำของรถหุม้ เกรำะลอยสูงขึ้นจำกพื้นถนน แต่ลำกจูงไป ได้ไม่ไกลลวดสลิงขำด รถหุ้มเกรำะเสียหลักชนกับรถเก๋งที่แล่นสวนทำงมำ โจทก์ ชดใช้ค่ำเสียหำยแก่เจ้ำของรถเก๋งแล้วมำฟ้องไล่เบี้ยเอำจำกจำเลยทั้งสี่ เมื่อปรำกฏ ว่ำกำรผูกล้อหน้ำของรถหุม้ เกรำะให้แขวนลอยอยู่ข้ำงท้ำยรถบรรทุกสิบล้อจะช่วยให้ กระชับมั่น สะดวกรวดเร็วและง่ำยแก่กำรลำกจูงประกอบกับไฮดรอลิกเสีย ทำให้ล้อ หน้ำของรถหุม้ เกรำะไม่หมุน จึงต้องลำกจูงโดยให้ล้อหน้ำลอย จึงเป็นเหตุจำเป็นที่ไม่ อำจถือได้ว่ำเป็นควำมประมำทเลินเล่อของจำเลยที่ 1และที่ 2 ทั้งในบริเวณที่เกิดเหตุ เมื่อมืดค่ำแล้วอันตรำยเคยมีผู้ก่อกำรร้ำยลอบยิง หำกไม่ลำกรถหุ้มเกรำะออกจำกที่ เกิดเหตุผู้ก่อกำรร้ำยอำจเข้ำโจมตีเผำรถหุ้มเกรำะจะเสียหำยแก่ทำงรำชกำร กรณี จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะเลือกปฏิบัติเป็นอย่ำงอื่นนอกจำกจะต้องลำก จูงรถหุ้มเกรำะไปดีกว่ำจะปล่อยให้เสี่ยงอันตรำยและเสี่ยงต่อควำมบกพร่องในหน้ำที่ กรณียังฟังไม่ได้ว่ำจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประมำทเลินเล่อ (3)
คำว่ำ “วิสัย” หมำยถึง ลักษณะที่เป็นอยู่ของบุคคล ผูก้ ระทำ เป็นเด็ก พิกำร หรือบกพร่องในทำงกำย หรือจิตใจ ฉะนั้น กำรวินิจฉัย เรื่อง วิสัยต้องพิจำรณำแค่ระดับควำมระมัดระวัง จำเพรำะเจำะจงบุคคลในวิสัยนั้น ๆ เช่น เด็กก็ต้องถือระดับควำมระมัดระวังของเด็กทั่วไป (ศำสตรำจำรย์ จิตติ ติงศภัทิย์) โปรดพิ จ ำรณำค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำ 2101/2527 หรื อ ตำมค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 946,947/2475 721/2475 1414/2516 2593/2521 461/2536 ได้พิจำรณำ โดย พิจำรณำเรื่องวิสัยเป็นสำคัญ กล่ำวคือหำกบุค คลนั้นมีควำมชำนำญหรือมีฝีมือยิ่ง กว่ำคนธรรมดำทั่วไป ระดับของควำมระมัดระวังต้องอยู่ในวิสัย เช่น ภำวะของบุคคล ในลักษณะของผู้เชี่ยวชำญ
49
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 625/2542 แม้ต่อมำอีก 2 ปี 11 เดือน 23 วัน จำเลยได้ฟ้องโจทก์ล้มละลำย แต่วงเงินที่โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยก็ ถูก จำกัดอยู่เพียง 1,000,000 บำท ตำมสัญญำค้ำประกัน กับทั้ง ส. ก็ได้ชำระหนี้ให้ จำเลยตำมสัญญำค้ำประกันแล้วถึง 1,800,000 บำท และแม้โจทก์จะมีควำมรับผิด ตำมสัญญำจำนองประกันหนี้ของบริษัท ล. อีกในวงเงิน 200,000 บำท พร้อม ดอกเบี้ย ด้ว ยก็ ตำม ยอดหนี้ที่โจทก์ต้องรับผิดต่ อจำเลยเมื่อรวมทั้งเงินต้นและ ดอกเบี้ยแล้วก็ไม่มีทำงถึง 15,332,017.82 บำทได้ กำรที่จำเลยบรรยำยฟ้องในคดี ล้มละลำยว่ำโจทก์ยังต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมกับบริษัท ล. อีก 15,015,517.82 บำท โดยไม่บรรยำยถึงวงเงินที่โจทก์ต้องรับผิดตำมสัญญำค้ำประกัน ทั้ง ว. ผู้รับมอบ อำนำจของจำเลยยังได้เบิกควำมในชั้นพิจำรณำอีกด้วยว่ำ โจทก์ต้องร่วมรับผิดกับ บริษัท ล. ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 15,332,071.82 บำท จนศำลชั้นต้นพิทักษ์ทรัพย์โจทก์ เด็ดขำและพิพำกษำให้ล้มละลำยทำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย เป็นกำรกระทำโดย ประมำทเลินเล่อในกำรคำนวณยอดหนี้ของโจทก์ และเป็นกำรใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตัวอย่ำงคำพิพำกษำฎีกำอีกหนึ่งตัวอย่ำงที่ศำลวินิจฉัยให้ ธนำคำรจำเลยต้องรับผิด เนื่องจำกตนมีหน้ำที่ต้องใช้ควำมระมัดระวังในกำรปฏิบัติ หน้ำที่ในกำรตรวจสอบเช็คและระมัดระวังในกำรเบิกจ่ำยเงินตำมเช็ค แต่เมื่อไม่ได้ ปฏิบัติตำมหน้ำที่ให้สมกับตนมีอำชีวะเช่นนั้นแล้ว จึงต้องรับผิดชอบในควำมประมำท เลินเล่อของพนักงำนของตน คำพิพำกษำฎีกำที่ 6388/2544 ร. กับพวกรวมกันปลอม ข้อควำมในช่องผู้รับเงินในเช็ค โดยขีดฆ่ำชื่อโจทก์ในช่องผู้รับเงินแล้วปลอมลำยมือ ชื่อผู้มอี ำนำจสั่งจ่ำยของบริษัท ด. ลงกำกับโดยไม่มีตรำประทับ ทั้งๆที่เงื่อนไขกำรลง ลำยมือชื่อสั่งจ่ำยเงินในเช็คมีว่ำจะต้องกระทำโดยผู้มีอำนำจลงลำยมือชื่อสั่งจ่ำยของ บริษัท ด.ตำมที่ระบุไว้ พร้อมทั้งประทับตรำสำคัญของบริษัท เมื่อมีกำรนำเช็คมำ เรีย กเก็ บ เงินจำกธนำคำรจำเลยที่ 1 ธนำคำรจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีหน้ำที่ ร่วมกันตรวจสอบเช็คที่นำไปเรียกเก็บเงินจำกธนำคำรจำเลยที่ 1 จึงควรใช้ควำม ระมัดระวังตรวจสอบให้ดีว่ำเหตุใดจึงไม่มีกำรประทับตรำสำคัญของบริษัทกำกับกำร แก้ไขและสอบถำมผู้มีอำนำจลงลำยมือชื่อสั่งจ่ำยก่อน เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้ใ ช้
50
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ควำมระมัดระวังตรวจสอบกำรแก้ไขเป็นเหตุให้ ร.กับพวกนำเช็คที่ปลอมนั้นเข้ำฝำก ในบัญชีเพื่อเรียกเก็บ และธนำคำรจำเลยที่ 1 ได้จ่ำยเงินเข้ำบัญชีของพวก ร. รับเงิน ไป จึงเป็นกำรกระทำโดยประมำทเลินเล่อทำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำยอันเป็นกำร กระทำละเมิดต่อโจทก์ (4)
คำว่ำ “พฤติกรรม” หมำยถึง ข้อเท็จจริงประกอบกำร กระทำเช่น ในกำรขับรถ พฤติกรรมที่จะถือว่ำประมำทเลินเล่อหรือไม่ต้องพิจำรณำ จำก สภำพถนน แสงสว่ำง ควำมพลุกพล่ำนของกำรจรำจรที่จะเป็นตัวกำหนดให้ บุคคลในภำวะเช่นนัน้ จะต้องใช้ระดับควำมระมัดระวังเพียงใด คำพิพำกษำฎีกำที่ 3445/2535 รถโดยสำรที่จำเลยขับยำง ล้อหลังระเบิดจำเลยจึงจอดรถไว้ชิดไหล่ทำงด้ำนซ้ำย ล้อหน้ำอยู่ที่ไหล่ทำง ส่วนล้อ หลั ง ด้ ำ นขวำอยู่ บ นถนน แล้ ว มี พ ฤติ ก ำรณ์ ว่ ำ จ ำเลยได้ ห ำกิ่ง ไม้ ม ำวำงและเปิ ด สัญ ญำณไฟกระพริบถือได้ว่ำจำเลยใช้ควำมระมัดระวังเพียงพอแล้ว ไม่เป็นกำร กระทำโดยประมำทเลินเล่อ คำพิพำกษำฎีก ำที่ 3335/2540 รถโดยสำรคันเกิด เหตุที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้ขับได้จอดอยู่บนสะพำนด้วย เหตุรถเสียตั้งแต่เวลำประมำณ 22 นำฬิกำ โดยจำเลย ที่ 3 เปิดไฟกระพริบไว้ทำงด้ำนท้ำยรถโดยสำรและได้ นำเบำะรถมำวำงพำดไว้กับทำงด้ำนซ้ำยรถโดยสำร ทั้งนำถุงพลำสติกมำผูกติดไว้เพื่อให้สำมำรถมองเห็ น ได้เป็นเครื่องหมำยในกำรป้องกันเหตุ แต่จุดที่รถ โดยสำรจอดอยู่นั้นเลยส่วนโค้งกลำงสะพำนไปเพียง 30 เมตร และรถที่แล่นมำจะสำมำรถเห็นรถโดยสำรที่จอดเสียนั้นต่อเมื่อขึ้นโค้ง สะพำนแล้ว ไฟกระพริบที่จำเลยที่ 3 เปิดไว้ก็ดี เบำะรถตลอดจนถุงพลำสติกที่ผูกติด ไว้ก็ดี ล้วนแต่อยู่ติดกับตัวรถโดยสำรทั้งสิ้น ระยะห่ำงที่สำมำรถมองเห็นได้จึงอยู่ใน ระยะเดียวกับที่รถโดยสำรจอดเสียคือประมำณ 30 เมตร จำกส่วนโค้งกลำงสะพำน เท่ำนั้น โดยเป็นระยะที่ก ระชั้นชิดซึ่งคำดเห็นได้ว่ำอำจจะก่อให้เกิดอันตรำยแก่
51
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
รถยนต์ที่สัญจรได้ กำรกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นกำรกระทำโดยประมำทเลินเล่อ เป็นเหตุโดยตรงที่ก่อให้เกิดอันตรำย กรณีข้ำงต้นเทีย บเคียงกั บหลัก กฎหมำยอังกฤษจะพบว่ำ จำเลยได้ใช้ควำมระมัดระวังในส่วนที่ตนพึงคำดหมำยได้ (Foreseeability) และสมควรแก่ พฤติกำรณ์แล้ว (Reasonable Man Test) ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำ 383/2537 จ ำเลยขั บ รถยนต์ ด้ ว ย ควำมเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผูต้ ำยวิ่งไล่ตีวัวข้ำมถนนตัดหน้ำช่องเดินรถที่จำเลย ขับไปแล้ว แต่มีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นมำผู้ตำยจึงชะงักและถอยหลังกลับเข้ำมำทำง ช่องเดินรถของจำเลยโดยกระทันหันในระยะกระชั้นชิด จำเลยไม่อำจหยุดรถหรือ หลบไปทำงอื่นได้ ภำวะเช่นนั้นจำเลยไม่อำจคำดคิดได้ว่ำจะมีคนวิ่งข้ำมถนนตัดหน้ำ ช่องเดินรถแล้ว กลั บชะงัก และถอยหลังเข้ำมำขวำงหน้ำรถที่จำเลยขับอีก กำรที่ จำเลยขับรถชนผูต้ ำยจึงถือเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่เป็นประมำทเลินเล่อ คำพิพำกษำฎีกำที่ 491/2507 รถยนต์โดยสำร 2 คันแล่ น ตำมกันมำคันหนึ่ง ขอทำงเพื่อจะแซงขึ้นหน้ำ แต่อีกคันหนึ่งกลับไม่ยอมให้แซงเร่ง ควำมเร็วขึ้น เพื่อแกล้งรถยนต์คันที่ขอทำง รถยนต์ทั้งสองคันจึงได้แล่นแข่งกันมำ ด้วยควำมเร็วสูงเกินกว่ำที่กฎหมำยกำหนด และมีพฤติกำรณ์ประกอบว่ำ ถนนที่แข่ง เป็นถนนแคบและเป็นทำงโค้ง เป็นกำรเสี่ยงอันตรำย รถยนต์คันที่ขอทำงเฉี่ยวกับ รถบรรทุกคันหนึ่งซึ่งจอดแอบข้ำงทำงด้ำนขวำ แล้วไปปะทะกับรถยนต์คันที่แล่นแข่ง กันมำตกถนนพลิกคว่ำคนในรถได้รับบำดเจ็บสำหัส กรณีเช่นนี้ต้องถือว่ำคนขับรถ รถยนต์ทั้งสองขับรถโดยประมำท คำพิพำกษำฎีกำที่ 685/2534 จำเลย ขั บ ร ถ จั ก ร ย ำ น ย น ต์ ด้ ว ย ค ว ำ ม เ ร็ ว ประมำท 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในขณะ ที่กำรจรำจรไม่พลุกพล่ำนย่อมถือว่ำไม่ เร็ ว เกิ น ไป ขณะเกิ ด เหตุ พ นั ก งำนขั บ รถจักรยำนยนต์ตัดหน้ำรถยนต์จำเลยใน
52
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ระยะกระชั้นชิด จำเลยไม่อำจหยุดรถได้ทันจึงชนกันมิใช่ควำมประมำทของจำเลย แม้ ข ณะเกิ ด เหตุ จ ะเริ่ ม มื ด แต่ ยั ง มี แ สงสว่ ำ งจำกไฟฟ้ ำ เกำะกลำงถนนสำมำรถ มองเห็นได้ ในระยะไกลพอสมควรและในกำรที่กำรจรำจรไม่พลุกพล่ำน จำเลยไม่ เปิดไฟหน้ำรถ ก็ยังไม่ถือว่ำประมำทเช่นกัน คำพิพำกษำคดีดังกล่ำว แม้จำเลยจะขับรถเร็ว ซึ่งบำงครั้ง อำจเข้ำข้อสันนิษฐำนว่ำผิดกฎหมำยมำตรำ 422 แต่เมื่อข้อเท็จจริงสืบหักล้ำงได้ว่ำ พฤติกำรณ์ดังกล่ำวมิใช่สำเหตุของกำรก่อให้เกิดควำมเสียหำย กรณีนี้คือกำรจรำจร ไม่พลุ กพล่ำน ประกอบกับ ทัศนะวิสัยในกำรขับขี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อกำรขับ ขี่ของ จำเลย หลักเช่นเดียวกับคำพิพำกษำฎีกำต่อไปนีข้ อให้เทียบเคียงพิจำรณำ คำพิพำกษำฎีกำที่ 872/2545 แม้โครงกำรเหล็กของบริษัท อ. ผูร้ ับจ้ำงเหมำก่อสร้ำงทำงรถไฟฟ้ำ ธนำยง จะยื่นล้ำเข้ำมำในช่องเดินรถบำงส่วน แต่ก็วำงมำนำนแล้ว โจทก์ขับรถยนต์โดยสำรผ่ำนที่เกิดเหตุอย่ำงน้อยวันละ 2 ครั้ง ย่อ มทรำบดี ว่ ำ โครงเหล็ ก วำงล้ ำเข้ ำ มำในช่อ งเดิ น รถ ขณะเกิด เหตุ เ ป็ นเวลำ 17 นำฬิกำ ยังมีแสงสว่ำงเพียงพอที่จะมองเห็นโครงเหล็กได้อย่ำงชัดเจน กำรที่โจทก์ขับ รถยนต์โดยสำรเข้ำไปชนโครงเหล็กจนทำให้รถยนต์โดยสำรของจำเลยได้รับควำม เสียหำยนั้น เป็นควำมประมำทเลินเล่อของโจทก์อย่ำงร้ำยแรง จำเลยย่อมมีสิทธิ เรียกร้องให้โ จทก์ ผู้ท ำละเมิดชดใช้ค่ำเสียหำยได้ตำม ประมวลกฎหมำยแพ่งและ พำณิชย์ มำตรำ 420 ประกอบ มำตรำ 438 ศำลแรงงำนกลำงมิได้ฟังข้อเท็จจริงว่ำ บริษัท อ. เป็นผู้ทำ ละเมิด ต่อจำเลยและไม่ป รำกฏว่ำจำเลยมีระเบีย บบังคับให้จำเลยต้องฟ้องผู้ร่วม ละเมิด อีกทั้งไม่มีกฎหมำยใดกำหนดให้ผู้เสียหำยมีหน้ำที่ต้องฟ้องผู้ร่ วมละเมิดด้วย กำรที่จำเลยซึ่งเป็นผู้เ สีย หำยตัดค่ำจ้ำงโจทก์และให้โ จทก์ชดใช้ค่ำเสีย หำยให้แก่ จำเลยนั้นจึงชอบแล้ว (5)
ผู้ที่ได้ชื่อว่ำประมำทเลินเล่อ ต้องไม่ใช้ควำมระมัดระวัง หรือใช้ไม่เพียงพอ ที่ผู้นนั้ จะพึงใช้ควำมระมัดระวังได้ตำมวิสัยและพฤติกำรณ์
53
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
วิสัยที่เกี่ยวกับควำมเห็นถึงผลร้ำย ห รื อ อั น ต ร ำ ย ข อ ง บุ ค ค ล ที่ มี ค ว ำ ม เชี่ย วชำญนั้น ในประเทศอังกฤษ เคยมี กรณี Clay V. Crump, 1963 ศำลได้พิพำกษำ ลงโทษสถำปนิ ก และผู้ คุ ม งำนก่ อ สร้ ำ ง และรื้อถอนตึกอำคำร ให้ต้องรับผิดฐำน ละเมิด เพรำะกำรที่คนงำนลูก จ้ำงของ ตนได้รับบำดเจ็บ เพรำะกำรรื้ อ ถอนสิ่งปลูกสร้ำง เป็นเรื่องที่ อยู่ใ นวิสัยของผู้ที่มี อำชี พ และควำมเชี่ ย วชำญเช่ น นั้ น จะสำมำรถคำดหมำยได้ (Foreseeability) และ พฤติกำรณ์ของจำเลยก็มิได้ปรำกฏว่ำให้ควำมใส่ใจตรวจสอบถึงโครงสร้ำงตึกก่อน รื้อถอนแต่อย่ำงใด จึงเป็นเหตุให้คนงำนได้รับบำดเจ็บ เป็นควำมประมำทเลินเล่อ หรือในคดี Haley V. London Electricity Board, 1964, 3 All ER 185, HL ที่ ศำลวินิจฉัยให้บริษัทรับวำงสำยเคเบิลไฟฟ้ำ (จำเลย) ต้องใช้ควำมระมัดระวังต่อกำร กระทำของตนที่ขุดถนนเพื่อวำงสำเคเบิลโดยต้องคำดหมำยให้ได้ว่ำในสังคมมีคน หลำยกลุ่ม กำรที่คนตำบอดได้รับบำดเจ็บย่อมต้องอยู่ในวิสัยที่ผู้นนั้ พึงคำดหมำยได้ จำเลยเป็นคนขับรถมือใหม่ไปหัดขับรถยนต์โดยมีโจทก์นั่ง ควบคุมอยู่ด้วย กำรที่จำเลยขับไม่แข็งจึงไปชนกับเสำไฟฟ้ำ ทำให้จำเลยและโจทก์ ได้รับ บำดเจ็บ ดั งนั้น โจทก์ จึงเรีย กร้องให้จำเลยชดใช้ค่ำสินไหมทดแทน จำเลย อุทธรณ์ว่ำ กรณีเช่นนี้โจทก์ เองก็มีส่วนประมำทเลินเล่ออยู่ด้วย เพรำะโจทก์ควร คำดหมำยได้ถึงอุบัติเหตุ เพรำะจำเลยมือใหม่ โจทก์จึง มีส่วนประมำทเลินเล่อร่วม ด้วย ขอให้ศำลกำหนดค่ำสินไหมทดแทนลดลง ศำลพิเครำะห์แล้วเห็นว่ำอยู่ในวิสัย ที่ผู้โดยสำร (โจทก์) สำมำรถคำดเห็นได้ (Nettleship V. Weston, 1971, 3 All ER 581, CA) หรือคำพิพำกษำฎีกำต่อไปนี้ จำเลยเป็นบริษัทขนส่งทำงเรือ ต้องมี หน้ำที่ ใ ช้ค วำมระมัด ระวัง ควำมปลอดภัย ของลู ก ค้ำ ลำพัง เพีย งคนขำยตั๋ ว ลูกจ้ำงของจำเลยได้รอ้ งห้ำมคนกรูกันลงเรือย่อมไม่เพียงพอต่อหน้ำที่
54
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 608/2520 ข้ อ เท็ จจริ ง น่ ำเชื่ อ ตำม พยำนหลั ก ฐำนของโจทก์ ว่ ำท่ ำ เรื อ สี่ พ ระยำที่ เ กิ ด เหตุโ จทก์ เ ป็ น ผู้ ครอบครองใช้ ประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว เมื่อข้อเท็จจริงได้ควำมว่ำ ขณะเกิดเหตุเรือของจำเลยกำลัง เข้ำเทียบท่ำเพื่อรับผู้โดยสำร สะพำนไม้ที่ทอดสู่โป๊ะหัก เป็นเหตุให้โป๊ะคว่ำ เนื่องจำก ผู้โดยสำรลงไปที่โป๊ะจำนวนมำก จึงถือเป็นควำมประมำทเลินเล่อของจำเลยที่ไม่ใช้ ควำมระมัดระวังดูแล ให้สะพำนท่ำเทียบเรืออยู่ในสภำพที่แข็งแรงมั่นคง ปล่อยให้ สะพำนไม้ที่ทอดสู่โป๊ะแตกหัก เป็นเหตุให้โป๊ะคว่ำจมน้ำ และผู้ตำยซึ่งรอโดยสำรเรือ ของจ ำเลยที่โ ป๊ะ จมน้ำตำย กำรตำยของผู้ ตำยเป็น ผลโดยตรงของกำรประมำท เลินเล่อของจำเลย และกำรที่จำเลยได้อุทธรณ์ต่อศำลฎีกำว่ำ คนขำยตั๋วของจำเลย ได้รอ้ งห้ำมคนมิให้ลงไปพร้อมกันที่โป๊ะเพรำะเกรงว่ำจะเกิดอันตรำย แต่ผู้โดยสำรไม่ เชื่อฟัง กำรตำยจึงเป็นผลมำจำกควำมประมำทเลินเล่อของผู้ตำยและผู้ โดยสำรเอง ข้อเท็จจริงได้ควำมว่ำผูต้ ำยลงไปที่โป๊ะก่อนแล้ว อนึ่ ง กำรป้ อ งกั น อั น ตรำยเช่ น กรณี ที่ จ ำเลยอ้ ำ งนี้ ช อบที่ จำเลยจะทำเครื่องกั้นมิให้คนโดยสำรลงไปที่โป๊ะพร้อม ๆ กันจำนวนมำก จนอำจเกิด อุบัติเหตุได้ไม่ใช่ใช้คนร้องห้ำมดังที่จำเลยฎีกำ จึงพิพำกษำลงโทษจำเลย คำพิพำกษำฎีกำที่ 5520/2536 จำเลยซึ่งเป็นครูประจำชั้น ให้เด็กนักเรียนในชั้นรวมทั้งผู้ตำยซึ่งเป็นเด็กเล็ก อำยุเ พียง 11 ปี ไปช่วยทำงำน เกี่ ย วข้องกั บ บ่อน้ำใหญ่ซึ่งมี ช่วงลึก และเป็นอั นตรำยแก่เ ด็ก เมื่อเสร็จ งำนแล้ว ก็ เพิกเฉยเสียมิได้ตดิ ตำมดูแลให้เด็กรีบกลับบ้ำน หรือห้ำมปรำมมิให้ลงไปเล่นน้ำในบ่อ นั้น เมื่อผู้ตำยกับเพื่อน ๆ ลงเล่นน้ำในบ่อใหญ่แล้ว จำเลยก็มิได้ตักเตือนให้เล่นด้วย ควำมระมัดระวัง เพื่อจะได้ไม่ถลำลงไปในช่วงที่มีน้ำลึกและเป็นอันตรำย ทั้ง ๆ ที่ใน ขณะนั้นจำเลยกับพวกก็นั่งดื่มสุรำที่บริเวณใต้ต้นไม้ริมบ่อนั้น กำรที่ผู้ตำยตำยเพรำะ ลื่นลงไปในช่วงน้ำลึกและจมน้ำตำย ย่อมถือได้ว่ำจำเลยให้ผู้ตำยช่วยทำกำรงำนใน สถำนที่ที่มอี ันตรำยแล้วปล่อยไม่ดูแลให้ปลอดภัยตำมสมควรแก่วัยของผู้ตำยซึ่งเป็น เด็ก เป็นกำรกระทำโดยประมำทเลินเล่อเป็นเหตุใ ห้ผู้ตำยถึงแก่ควำมตำย จึงเป็น ละเมิด
55
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำข้ำงต้น เป็นตัวอย่ำงที่ดีที่ทำให้ท่ำนเห็นว่ำ ศำล พิเครำะห์โดยพิจำรณำ หนึ่ง ตัวผู้กระท ำ (มีหน้ำที่พิเ ศษ) สอง วิสัย ของผู้กระท ำ สำม พฤติกำรณ์ของผูก้ ระทำ ค ำพิพ ำกษำฎีก ำที่ 3266/2522 จ ำเลยมีต ำแหน่ งเป็ น นำยอำเภอและได้รับกำรแต่งตั้งเป็นประธำนอนุกรรมกำรช่วยเหลือ ชำวนำ ย่อมมี หน้ำที่ดำเนินกำรตำมโครงกำรช่วยเหลือชำวนำให้เป็นที่เรียบร้อยทุกประกำรไม่ว่ำจะ เป็นเรื่องกำรเงินหรือเรื่องอื่น ๆ กำรที่จำเลยไม่เอำใจใส่ในกำรปฏิบัติงำนตำมที่ได้รับ แต่งตัง้ ให้สมกับที่ทำงรำชกำรไว้ใจ ถือได้ว่ำจำเลยประมำทเลินเล่อ คำพิพำกษำฎีกำที่ 756/2542 มูลละเมิดคดีนี้เกิดจำกควำม ประมำทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงำนของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับ ควำมเสียหำยอันเนื่องมำจำกโจทก์ออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่บุคคลอื่น โดยเป็นเช็คขีด คร่อมและมีคำสั่งห้ำมเปลี่ยนมือ แต่เช็คดังกล่ำวถูกนำไปเรียกเก็บเงิน จำกธนำคำร จำเลยที่ 1 ในบัญชีจำเลยร่วมซึ่งมิใช่ผู้รับเงินตำมเช็คที่โจทก์สั่งจ่ำย เป็นกำรผิด ขั้นตอนไม่เป็นไปตำมระเบียบ และจำเลยร่วมเบิกจ่ำยเงินดังกล่ำวจำกบัญชีจำเลย ร่วมแล้ว ส่วนคดีที่โจทก์กับจำเลยร่วมและ น. ทำสัญญำประนีประนอมยอมควำม กันนั้น สืบเนื่องมำจำกจำเลยร่วมและ น. ร่วมกันนำเช็คของโจทก์หลำยฉบับรวมทั้ง เช็คที่เป็นมูลละเมิดในคดีนี้ไปเรียกเก็บเงินจำกธนำคำร โจทก์จึงดำเนินคดีอำญำแก่ จำเลยร่วมและ น. ฐำนฉ้อโกง แล้วมีกำรทำสัญญำประนีประนอมยอมควำมกันอัน เป็นเรื่องระงับข้อพิพำทในทำงอำญำในควำมผิดฐำนฉ้อโกงซึ่งเป็นควำมผิดอั นยอม ควำมได้และเป็นเรื่องเฉพำะตัวของจำเลยร่วมและ น. หำได้มีผลถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้ซึ่งมีมูลหนี้มำจำกกำรละเมิดเป็นคนละเรื่องกัน จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ พ้นควำมรับผิดต่อโจทก์
56
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกำได้วำงหลักในเรื่องระดับ ของ ควำมระมัดระวัง (Standard of Care) โดยใช้เกณฑ์ในกำรพิจำรณำดังนี้ (1) ควำมเสียหำยต้องสำมำรถคำดหมำยได้ (Reasonably foreseeable) (2)
หลัก BPL B = Burden of Adequate Precautions on Society
ได้ใช้ควำมระมัดระวังที่เพียงพอแล้ว P = Probability of Accident Occurring
พิจำรณำจำกโอกำสที่จะเกิดเหตุได้ L = Gravity of Resulting Injuring
ควำมรุนแรงของควำมเสียหำย อุทหรณ์คดีThe McDonald's "Hot Coffee Case” (New Mexico) ซึ่งทำงคณะลูกขุนได้มีคำ วินิจฉัยให้บริษัทแมคโดเนล (จำเลย) ต้อง รั บ ผิ ด ชดใช้ ค่ ำ สิ น ไหมทดแทนเพื่ อ กำร ละเมิดให้แก่โจทก์ เนื่องจำกควำมประมำท เลินเล่อทำให้โจทก์ที่เป็นลูกค้ำของจำเลย ได้รับบำดเจ็บ ข้อเท็จจริง แห่งคดีมีอยู่ว่ำ โจทก์สั่งกำแฟร้อนจำกพนักงำนขำยแบบ drivethrough พนัก งำนขำยของจำเลยได้ ส่ งกำแฟร้อ น ซึ่ งในชั้นพิจำรณำคดีไ ด้ค วำมว่ ำ กำแฟมี ร ะดั บ ควำมร้ อ นประมำณ 180-190 องศำฟำเรนไฮด์ ให้ แ ก่ โ จทก์ และ ปรำกฏว่ำ เมื่อโจทก์ รับ กำแฟมำก็ เ อำถ้วยกำแฟวำงไว้ระหว่ำงขำทั้ง สองข้ ำงจะ เตรี ย มเทครี ม และน้ ำตำลเพื่อ ปรุ งรส แต่ ป รำกฏว่ำ กำแฟได้ ก ระฉอกลวกต้ น ขำ สะโพก และตักของโจทก์จนได้รับบำดเจ็บ (โจทก์นั่งอยู่ที่นั่งผู้โดยสำร) คดีนี้สำเหตุที่ คณะลูกขุนวินจิ ฉัยให้จำเลยมีควำมผิดฐำนละเมิดเนื่องจำก จำเลยย่อมต้องพิจำรณำ ได้ว่ำโอกำสที่จะเกิดเหตุดังกล่ำวมีอยู่สูง แต่จำเลยก็มิได้ใช้ควำมระมัดระวังในกำร เตือนหรือให้ข้อมูลแก่โจทก์แต่อย่ำงใด คดีนี้ยังมีเรื่องน่ำสนใจในประเด็นกำรกำหนด ค่ำเสียหำยอีก ซึ่งจะได้กล่ำวถึงเมื่อถึงหัวข้อค่ำเสียหำยอีกครำวหนึ่ง
57
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ฉะนั้ น เมื่ อ เที ย บเคี ย งได้ ดั ง นี้ แ ล้ ว ศำลสหรั ฐ อเมริ ก ำจะ พิจำรณำคดีละเมิดในส่วนของควำมประมำทเลินเล่อ ว่ำจำเลยจะพึงคำดหมำยได้ หรือไม่ โดยคำนึงถึงกำรกระทำที่แสดงออกถึงควำมระมัดระวังของจำเลยช่วงเวลำ ที่ พึ ง คำดหมำยได้ หรื อ จ ำเลยได้ พิ จ ำรณำหรื อ ตระหนั ก ถึ ง สิ่ ง แวดล้ อ มต่ ำ ง ๆ อย่ำงไร เช่น ขับรถเร็วในขณะที่คนมำกหรือคนน้อย เป็นต้น 2.4.2.3 บทสันนิษฐานความประมาทเลินเล่อ มาตรา 422 บัญญัติว่า “ถ้าความเสียหายเกิดแต่การฝ่าฝืนบทบังคับ แห่งกฎหมายใดอันมีท่ีประสงค์ เพื่อจะปกป้องบุคคลอื่น ๆ ผู้ใดทาการฝ่าฝืน เช่นนั้นท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้ผิด” มำตรำ 422 นี้ถือเป็นบทสันนิษ ฐำนควำมประมำทเลินเล่อของจำเลยใน เบือ้ งต้น ใช้ประกอบกับมำตรำ 420 (1) มีกำรกระทำอันเป็นกำรฝ่ำฝืนบทบังคับแห่งกฎหมำย หมำยถึงกฎหมำย ที่มีอำนำจบังคับอย่ำงกฎหมำยบ้ำนเมือง ไม่ว่ำ รัฐธรรมนูญ พระรำชบัญญัติ พระ รำชกำหนด พระรำชกฤษฎีกำ หรือ กฎหมำยลำดับรอง อื่น ๆ (2) กฎหมำยที่มก ี ำรฝ่ำฝืนเป็นกฎหมำยที่มงุ่ ประสงค์จะปกป้องบุคคลอื่น (3) ควำมเสียหำยต้องเกิดขึน ้ จำกกำรฝ่ำฝืนกฎหมำยนั้น (4) ให้สันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำผูน ้ ั้นเป็นผูผ้ ดิ ซึ่งเป็นกำรสันนิษฐำนเบื้องต้นไว้ก่อนว่ำเป็นอย่ำงนั้น แต่ผู้ที่เสียหำยจำกกำร สั น นิ ษ ฐำนสำมำรถน ำสื บ หั ก ล้ ำ ง หำพยำนหลั ก ฐำนมำพิ สู จ น์ ค วำมจริ ง ได้ ซึ่ ง แตกต่ำงจำกมำตรำ 434 มำตรำ436 ที่กฎหมำยปิดปำกห้ำมพิสูจน์หักล้ำงต้องด้วย สันนิษฐำนเด็ดขำดให้ต้องรับผิด ประเด็นที่ 1 มีการกระทาอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย คำพิพำกษำฎีกำ 502/2497, 446/2501 วินิจฉัยสรุปว่ำระเบียบข้อบังคับ ของกระทรวงในกำรรักษำเงินของกระทรวงที่กระทรวงออกเองไม่ใช่กฎหมำยผู้ที่ฝ่ำ ฝืนระเบียบนั้นจึงไม่ถูกสันนิษฐำนว่ำเป็นผู้ผิด ตำม มำตรำ 422 ทั้งสองฎีกำนี้เป็น เรื่องที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้ำหน้ำที่ก ำรเงินปฏิบัติฝ่ำฝืนระเบียบกำรเก็บรักษำเงินเป็นเหตุ
58
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ให้เงินหำยไป กระทรวงได้รับควำมเสียหำย แต่ข้อเท็จจริงปรำกฎว่ำกำรฝ่ำฝืนไม่ ปฏิบัติตำมระเบียบนั้นเป็นทำงปฏิบัติที่เจ้ำหน้ำที่ในกระทรวงนั้นถือปฏิบัติมำตลอด (ประเพณีของหน่วยงำน) ไม่ถือว่ำประมำทเลินเล่อ คำพิพำกษำฎีกำ 383/2506, 588/2514 ระเบียบกระทรวงมหำดไทยและ ระเบียบกำรคลังของเทศบำล เป็นเพียงระเบียบภำยในมิใช่กฎหมำย ดังนั้นจะนำมำ บังคับให้เทศมนตรีและสมุห์บัญชีต้องรับผิดเมื่อเงินหำยเพรำะไม่ทำตำมระเบียบนั้น โดยทันทีตำมมำตรำ 422 ไม่ได้ ศำลต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่ำ กำรฝ่ำฝืนระเบียบ นั้นเป็นจงใจจหรือประมำทเลินเล่อหรือไม่ ประเด็ น ที่ 2 กฎหมายที่ มี ก ารฝ่ าฝื น เป็ น กฎหมายที่ มุ่ ง ประสงค์ จ ะ ปกป้องบุคคลอื่น บุ ค คลอื่ น ในที่ นี้ ไ ด้ แ ก่ ผู้ เ สี ย หำย (มิ ใ ช่ บุ ค คลใดบุ ค คลหนึ่ ง ) มุ่ ง ประสงค์ คุ้ม ครองกลุ่ ม ใดกลุ่ ม หนึ่ ง เช่ น ผู้ บ ริ โ ภค ผู้ ใ ช้ ร ถใช้ ถ นน (กฎหมำยจรำจร) และ ผูเ้ สียหำยต้องเป็นหนึ่งในกลุ่มที่กฎหมำยให้ควำมคุ้มครองเป็นพิเศษ คำพิพำกษำฎีกำ 1137/2509 เทศบัญญัติห้ำมก่อสร้ำงอำคำรชิดแนวเขต ที่ดิน จำเลยมีที่ดินแล้วสร้ำงอำหำรเต็มพื้นที่ดิน โดยที่ดินของโจทก์อยู่ติดกับที่ดิน ของจำเลย ทำให้ที่ดินของโจทก์ได้รับควำมเสียหำย โจทก์ฟ้องว่ำจำเลยทำละเมิด เพรำะสร้ำงอำหำรชิดแนวที่ดินผิดเทศบัญญัติ ทำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย (ที่ดิน รำคำตก) ขอให้โจทก์รื้อถอนอำคำร ศำลวินิจฉั ย ว่ำกำรที่จะเข้ำมำตรำ 422 ได้ต้องฝ่ำฝืนกฎหมำยพิเศษที่มุ่ง ประสงค์คุ้มครองกลุ่มบุคคล ซึ่งเทศบัญญัติที่ห้ำมก่อสร้ำงอำคำรชิดแนวเขตที่ดิน มิได้มีควำมประสงค์คุ้มครองเรื่องรำคำที่ดินจึงไม่เข้ำข้อสันนิษฐำนควำมรับผิดตำม มำตรำ 422 คำพิพำกษำฎีกำ 1169-1170/2509 วินิจฉัยว่ำ กำรที่รถยนต์จำเลยแล่นเข้ำ ไปชนรถยนต์โจทก์ทำงด้ำนขวำมือของถนน เบื้องต้นต้องสันนิษฐำนตำมกฎหมำยว่ำ จำเลยเป็นผู้ผิด จำเลยมีหน้ำที่ตอ้ งนำสืบหักล้ำงว่ำจำเลยมิใช่ผู้ผิด หรือ คำพิพำกษำ
59
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ฎีกำ 1085/2510 วินิจฉัย ว่ำ รถยนต์ของจำเลยขับมำด้วยควำมเร็วสูงเกินกว่ำที่ กฎหมำยกำหนด จึงถือได้ว่ำเป็นกำรประมำทเลินเล่อ มี ค ดี ข องประเทศอั ง กฤษอยู่ ค ดี ห นึ่ ง ศำลพิ พ ำกษำให้ จ ำเลยซึ่ ง ฝ่ ำ ฝื น กฎหมำยเกี่ยวกับกำรบรรทุกสัตว์ลงเรือ ซึ่งกฎหมำยกำหนดให้ ผู้ขนส่งต้องกั้นคอก สำหรับสัตว์เหล่ำนั้นให้เป็นสัดส่วนเพื่อป้องกันกำรแพร่กระจำยของโรคระบำดสัตว์ จำเลยรับขนแกะโดยทำงเรือแต่มิได้ทำเป็นคอกตำมที่กฎหมำยกำหนด พอเรือถูก คลื่นซัดแรงทำให้แกะที่ อยู่บนดำดฟ้ำเรือตกทะเลตำย โจทก์ (เจ้ำของ) ฟ้องเรียก ค่ำ เสี ย หำยโดยกล่ ำ วอ้ ำ งว่ ำ จำเลยประมำทเลิ น เล่ อ เพรำะไม่ท ำตำมที่ก ฎหมำย กำหนด กรณีเช่นนี้จะเห็นได้ว่ำกฎหมำยมิได้คุ้มครองในเรื่องสัตว์ตกทะเลจึงมิเข้ำ ข่ำย กฎหมำยที่เป็นกฎหมำยพิเศษที่มุ่งประสงค์คุ้มครองบุคคลอื่ น อันที่จะทำฝ่ำ ฝื น ต้ อ งอยู่ ใ นบทสั น นิ ษ ฐำน มำตรำ 422 เช่ น กฎหมำยจรำจร มุ่ ง ประสงค์ ใ ช้ คุ้ ม ครองผู้ ใ ช้ ร ถใช้ ถ นน ผู้ ใ ดฝ่ ำ ฝื น ต้ อ งถู ก สั น นิ ษ ฐำนไว้ ก่ อ นว่ ำ ผิ ด เว้ น แต่ ถู ก สันนิษฐำนจะพิสูจน์ได้วำ่ ตนไม่ประมำทเลินเล่อ (Burden of Proof) คำพิพำกษำฎีกำ 67/2539 กำรที่จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกในเวลำ กลำงคืน บรรทุกรถแทรกเตอร์ และใบมีดจำกไถของรถแทรกเตอร์ ล้ำออกมำนอก ตัวรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ 2 มีหน้ำที่ต้องติดไฟสัญญำณ ตำมพระรำชบัญญั ติ จรำจรทำงบก พ.ศ. 2522 มำตรำ 11 และ15 กฎกระทรวงและระเบียบของกรม ตำรวจ แต่จำเลยมิได้กระทำตำมหน้ำที่ จึง เป็นกำรฝ่ำฝืนบทบัญญัติที่มุ่งประสงค์ ปกป้องบุคคลอื่น จึงเข้ำข้อสันนิษฐำนว่ำมีควำมผิด ข้อยกเว้นของกฎหมำยจรำจรที่จะไม่เข้ำมำตรำ 422 คือกรณีขับขี่รถยนต์ โดยไม่มีใบอนุญำต เนื่องจำกเรื่องใบอนุญำตขับขี่มีจุดมุ่งหมำยที่จะจัดระเบียบระบบ กำรขับขี่ ควำมปลอดภัยบนท้องถนนก็จริง แต่คนที่ขับชนโดยไม่มีใบขับขี่ อำจจะไม่มี องค์ประกอบเรื่องควำมเสียหำยที่ต้องเกิดจำกกำรฝ่ำฝืนกฎหมำย เพรำะกำรที่ผู้ขับ ขี่ไม่มีใบอนุญำตขับขี่ (Drive License) แล้วชนคนบำดเจ็บ/เสียชีวิต ควำมเสียหำยมิได้เกิด จำกกำรที่ไม่มีใบขับขี่ แต่สำเหตุเกิดจำกกำรขับรถไม่ดี กำรมีหรือไม่มีใบขับขี่จึงไม่ เกี่ยวกับกำรชน จึงไม่เข้ำบทสันนิษฐำนตำมมำตรำ 422
60
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
มีกรณีศึกษำที่น่ำสนใจ Vinee V. Wilson โจทก์ได้รับบำดเจ็บสำหัสจำกกำรขับ รถยนต์ของหลำนจำเลยที่อยู่ในควำมปกครองของจำเลย โดยที่จำเลยซื้อรถยนต์ให้ หลำยขับ ข้อเท็จจริงปรำกฎว่ำหลำนจำเลยถูกปฏิเสธไม่ได้ใบขับขี่เพรำะ ติดยำเสพ ติดและสุรำ ศำลวินิจฉัยว่ำ กำรที่จำเลยทรำบแล้วยังซื้อรถยนต์ให้กับหลำนเท่ำกับ ว่ำจำเลยประมำทเลินเล่อ สองกรณีข้ำงต้น เปรียบเทียบให้เห็นว่ำ สำระสำคัญของกฎหมำยจรำจร มี สำระสำคัญที่กำรขับดีหรือขับไม่ดี มิใช่กำรมีใ่ บขับขี่หรือไม่มเี ป็นสำระสำคัญ คำพิพำกษำฎีกำที่ 1428/2515 จำเลยถ่ำยน้ำมันเบนซินลงในเรือขนถ่ำยโดย ผิดวิธีที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อโจทก์ติดเครื่องเรือทำให้เรือระเบิด จึงฟ้องให้ จำเลยต้องรับผิดโดยอำศัยมำตรำ 422 ประกอบมำตรำ 420 และกฎกระทรวงนั้น มุ่งคุ้มครองผู้ที่จะมำขนถ่ำยน้ำมันให้ปลอดภัย แต่โจทก์นำหลักฐำนพยำนมำแสดง ต่อศำลไม่ได้ว่ำเหตุที่ระเบิดเกิดจำกกำรที่จำเลยมิได้ปฏิบัติตำมกฎกระทรวงดังนั้น จึงไม่ป รำกฎว่ำควำมเสีย หำยของโจทก์ต้องเกิดมำจำกกำรกระท ำควำมผิดของ จำเลย คำพิพำกษำฎีกำที่ 1466/2517 คนขับรถยนต์ของจำเลยจอดรถไว้ริมถนนใน เวลำกลำงคืน ท้ำยรถล้ำออกไปในผิวจรำจรโดยไม่ได้มีเครื่องหมำยแสดงว่ำมีรถจอด อยู่ อั น เป็ น ควำมผิ ด ตำมพระรำชบั ญ ญั ติ จ รำจรทำงบก ซึ่ ง เป็ น บทบั ญ ญั ติ เ พื่ อ ป้องกันอันตรำยแก่บุคคลอื่น และเป็นหน้ำที่ของคนขับรถของจำเลยจะต้องปฏิบัติ ตำม เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ที่ขับมำตำมทำงแล้วชนกับรถยนต์ของจำเลย ได้รับ ควำมเสียหำย ดังนี้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่ำสินไหมทดแทนให้โจทก์ (คดีนี้โจทก์ก็มี ส่ ว นผิ ด อยู่ ด้ ว ย เพรำะขั บ รถด้ ว ยควำมเร็ ว จึ ง มิ อ ำจหยุ ด รถได้ ทั น ศำลจึ ง ลด ค่ำเสียหำยลงครึ่งหนึ่ง) คำพิพำกษำฎีกำที่ 2497-2500/2520 พนักงำนรถไฟของกำรรถไฟจำเลย ไม่ปิด ไม้กั้นถนน เมื่อรถไฟจะผ่ำนตำมพระรำชบัญญัติจัดวำงกำรรถไฟ และทำง หลวง พ.ศ. 2464 เป็นกำรฝ่ำฝืนบทกฎหมำยที่ประสงค์ปกป้องอันตรำยแก่ประชำชน รถยนต์ของโจทก์จึงไม่หยุด เพรำะไม่เห็นรถไฟ และถูกรถไฟชน จำเลยต้องรับผิด ฝ่ำยเดียว
61
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 648/2513 จำเลยสมยอมกันทำสัญญำกู้และสมยอมกัน ทำยอมควำมในศำล เป็นผลให้เกิดกำรโอนทรัพย์สินของจำเลยคนหนึ่งไปยังอีกคน หนึ่งให้พ้นจำกกำรถูกบังคับชำระหนี้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้ำหนี้ตำมคำพิพำกษำ ทำให้ โจทก์ ไ ม่ อ ำจบั ง คั บ เอำทรั พ ย์ สิ น ของจ ำเลยมำช ำระหนี้ ไ ด้ เป็ น กำรจงใจท ำผิ ด กฎหมำยอันเป็นควำมผิดฐำนโกงเจ้ำหนี้ โจทก์ย่อมเสียหำยทำงทรัพย์สินแล้ว กำร กระทำดังนี้ ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 422 ให้สันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำ จำเลยเป็นผู้ผิด คือได้ทำละเมิดต่อโจทก์ จะต้องรับผิดชดใช้ค่ำสินไหมทดแทน คำพิพำกษำฎีกำที่ 143/2498 รถที่ขับออกจำกทำงโค้งต้องให้รถที่แล่นอยู่ ในทำงเอกผ่ำนไปก่อน มิฉะนั้นเป็นควำมผิดตำมพระรำชบัญญัติจรำจรทำงบก พ.ศ. 2474 มำตรำ 12 เมื่อเกิดชนกับรถที่ขับออกจำกทำงโทจึงเป็น ควำมประมำทเลินเล่อ ย่อมเป็นผู้ผิด หมายเหตุ ในกำรที่โจทก์ได้กล่ำวอ้ำงว่ำจำเลยไม่ปฏิบัติตำมหน้ำที่ให้เป็นไป ตำมกฎหมำย ระเบียบ หรือข้อบังคับ โจทก์ต้องนำพยำนหลักฐำนเข้ำสืบ ให้เห็นว่ำ จำเลยได้ฝ่ำฝืนจริง
62
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ในขั้นแรกที่พิจารณาผ่านมานั้น ขั้นแรก บุคคลต้อง
กระทำกำร
จะโดย
จงใจ
หรือ ประมำทเลินเล่อ
โดยผิด กฎหมาย
ผู้อ่นื ฝ่ำฝืนบทกฎหมำย ไม่ฝ่ำฝืนบทกฎหมำย ความเสียหาย โดยตรงแต่เป็นกำร กระทำที่ไม่ชอบด้วย หลักกฎหมำยทั่วไป กำรใช้สิทธิปกติถือว่ำชอบ แต่กำรใช้สิทธิโดยมุ่งจะให้ เกิดควำมเสียหำยแก่บุคคลนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมำย
ความสัมพันธ์ ระหว่างเหตุกบั ผล Causation
ขั้นต่อมา Damage
การกระทา ความผิด หมายเหตุ
Causation
ความเสียหาย
ขอให้พิจำรณำคำพิพำกษำฎีกำที่ 457/2536
63
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
2.5 โดยผิดกฎหมาย (Unlawful) ข้อควรพิจารณา กำรกระทำที่ถือเป็นควำมผิด (Fault) ได้นั้นต้องเป็นกำรกระท ำโดยผิด กฎหมำย (Unlawful) ได้แก่ มำตรำ 420 ร่ำงภำษำอังกฤษใช้คำว่ำ Unlawful แปลเป็นภำษำไทยว่ำ โดยผิด กฎหมำย A person who, willfully or negligently, unlawfully injuries the life, body, health, liberty, property or any right of other persons, is said to commit wrongful act and is bound to make compensation therefore.
มำตรำ 421 ร่ำงภำษำอังกฤษใช้คำว่ำ Unlawful แปลเป็นภำษำไทยว่ำ โดยมิ ชอบด้วยกฎหมำย “The exercise of a right which only have the purpose of causing injury to another person is unlawful”
2.5.1 ฝ่าฝืนกฎหมายบทใดบทหนึ่งโดยชัดแจ้ง (Illegitimacy) กำรฝ่ำฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมำยโดยชัดแจ้งนั้นเป็นเรื่องที่มีกฎหมำย บัญ ญั ติห้ำมกำรกระท ำเช่นนั้นอยู่แล้วว่ ำ หำกผู้ใ ดกระท ำกำรฝ่ำฝืนบทบัญ ญั ติที่ กฎหมำยห้ำมไว้มีบทลงโทษ อำทิ ประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 288 ผู้ ใ ดฆ่ ำ ผู้ อื่ น ต้ อ งระวำงโทษ ประหำรชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้ำปีถึงยี่สิบปี ดังนั้นผู้ฝ่ำฝืนย่อม ถือว่ำกระทำโดยผิดกฎหมำย มำตรำ 291 ผู้ใดกระทำโดยประมำทและกำรกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่น ถึงแก่ควำมตำย ต้องระวำงโทษจำคุกไม่เกินสิบปีและปรับไม่กินสองหมื่นบำท มำตรำ 295 ผู้ใดทำร้ำยผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรำยแก่กำย หรือ จิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำควำมผิดฐำนทำร้ำยร่ำงกำย ต้องระวำงโทษ จำคุกไม่ เกินสองปี หือปรับไม่เกิน สี่พันบำท หรือทั้งจำทั้งปรับ
64
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
มำตรำ 334 ผูใ้ ดเอำทรัพย์ของผูอ้ ื่นหรือที่ผู้อ่นื เป็นเจ้ำของรวมอยู่ด้วย ไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำควำมผิดฐำนลักทรัพย์ ต้องระวำงโทษจำคุกไม่เกินสำมปี และปรับไม่เกินหกพันบำท มำตรำ 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยกำรแสดงข้อควำมอัน เป็นเท็จ หรือปกปิดข้อควำมจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยกำรหลอกลวงดังว่ำนั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจำกผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สำมหรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือ บุคคลที่สำมทำ ถอนหรือทำลำยเอกสำรสิทธิ ผู้นั้นกระทำควำมผิดฐำนฉ้อโกง ต้อง ระวำงโทษจำคุกไม่เกินสำมปี หรือปรับไม่เกินหกพันบำท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.5.2 มิได้ฝ่าฝืนบทกฎหมายโดยตรงแต่เป็นการกระทาที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมายทั่วไป อุทาหรณ์ จำเลยเป็นพนักงำนสอบสวนตำมกฎหมำยและมีอำนำจยึดรถได้ตำม ประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ เมื่อจำเลยใช้อำนำจของตนโดยสุจริต แม้ จะเกิดควำมเสียหำยขึ้นกับโจทก์จำเลยก็จำต้องรับผิดฐำนละเมิดไม่ ได้มีกำรวำงหลักไว้ว่ำ หำกบุคคลนั้นมีอำนำจตำมกฎหมำยให้กระทำ กำรใดๆเมื่อไปกระทบสิทธิในชีวิต ร่ำงกำย ทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ต้องรับผิดในทำง แพ่ง แม้ว่ำกำรกระทำนั้จะกระทำโดยจงใจก็ตำม กฎหมำยคุ้มครอง ซึ่งจะพบมำก ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของเจ้ำหน้ำที่ตำรวจน เกี่ยวกับกำรจับกุม ซึ่งกำรจับกุมต้องเป็น กำรจับกุมที่ชอบด้วยขั้นตอนและกระบวนกำรที่กฎหมำบัญญัติไว้เท่ำนั้น (Lawful Arrest) ในควำมหมำยนี้ให้หมำยควำมถึง บุคคลทั่วไปที่กฎหมำยให้มีอำนำจนอกจำกเจ้ำ พนักงำนด้วย ซึ่งสำมำรถเทียบเคียงกับกรณี Albert V. Lavin, 1981 ที่ศำลอังกฤษวำงหลัก ว่ำ เมื่อประชำชนทุกคนมีหน้ำที่รักษำควำมสงบสุขของสังคม ประชำชนก็มีอำนำจที่ จะกักตัวหรือจับกุมบุคคลที่ก่อภัยหรือสร้ำงควำมเดือดร้อนรำคำญให้แก่สังคมได้ ไม่ ถือเป็นละเมิด (ชอบด้วยกฎหมำย)
65
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ที่สำคัญก็คือ ท่ำนต้องจำแนกว่ำตำมมำตรำ 420 “โดยผิดกฎหมำย ” บุ ค คลที่ ก ระท ำนั้ น จะต้ อ งไม่ มี อ ำนำจ แต่ ห ำกบุ ค คลนั้ น มี อ ำนำจหน้ ำ ที่ ก็ มิ ไ ด้ หมำยควำมว่ำจะไม่เป็นละเมิดเสมอไป เพรำะมำตรำ 421 ได้ขยำยควำมว่ำถึงแม้ว่ำ บุคคลนั้นจะมีอำนำจตำมกฎหมำย หรือสัญญำหำกได้ใช้อำนำจเกินขอบเขตหรือเกิน ส่วนไป ย่อมถือว่ำไม่ชอบด้วยกฎหมำย (Unlawful) คำพิพำกษำฎีกำที่ 976/2543 แม้โจทก์จะมีชื่อและนำมสกุลอย่ำงเดียวกัน กับลูกหนี้ แต่ก็มีภูมิลำเนำต่ำงกัน ทั้งลูกหนี้ของจำเลยไม่เคยย้ำยภูมิลำเนำ อีกทั้ง เมื่อโจทก์ติดต่อทนำยควำมจำเลยแจ้งว่ำมิได้เป็นหนี้ ทนำยควำมจำเลยหรือจำเลย กลับยืนยันว่ำเป็นหนี้ ถ้ำไม่ชำระหนี้จะฟ้องร้องต่อศำล ทำให้โจทก์เกิดควำมกลัว จึง ได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงำนสอบสวนเป็นเหตุให้โจทก์ถูกหนังสือพิมพ์รำยวันลงข่ำว เผยแพร่ไ ปทั่ ว รำชอำณำจัก ร ท ำให้ โ จทก์ ถู ก ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชำเรีย กไปสอบสวนหำ มูลเหตุของข่ำวกำรเป็นหนี้จำเลย และลงควำมเห็นว่ำถ้ำข่ำวดังกล่ำวเป็นจริงโจทก์ จะถูกลงโทษ โจทก์ต้องเสียค่ำใช้จ่ำยในกำรโทรศัพท์ทำงไกลติดต่อญำติพี่น้องเพื่อแจ้ง ควำมจริงให้ทรำบ และได้ว่ำจ้ำงทนำยควำมได้ตรวจสอบรำยละเอียดเกี่ยวกับหนี้ ดั งกล่ ำว ดั งนี้ กรณี ถือได้ ว่ำจ ำเลยประมำทเลินเล่อหรือไม่ ไ ยดี ต่อผลแห่ง ควำม เสียหำยที่อำจเกิดขึ้นแก่โจทก์ในภำยหลังโดยไม่ใช้ควำมระมัดระวังตำมสมควรทำ กำรตรวจสอบเกี่ยวกับตัวลูกหนี้ของจำเลยเสียใหม่ตำมที่โจทก์แจ้งให้ทนำยควำม ของจำเลยหรือจำเลยทรำบแล้วว่ำโจทก์มิใช่ลูกหนี้ของจำเลย รวมทั้งจำเลยยังได้ยืนยันที่จะฟ้องร้องโจทก์ต่ อศำล จนเป็นเหตุให้โจทก์เกิด ควำมกลัวและนำเรื่องไปร้องทุกข์ต่อพนักงำนสอบสวนจนถูกหนังสือพิมพ์รำยวันนำ ข่ำวไปเผยแพร่ทั่วรำชอำณำจักร อันเป็นกำรกระทำต่อโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมำย ทำให้โจทก์เสียหำย พฤติกำรณ์จงึ ถือได้ว่ำจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อันจำต้อง ใช้คำ่ สินไหมทดแทนแก่โจทก์เพื่อกำรนั้นแล้วครบถ้วนด้วยองค์ประกอบแห่งควำมผิด เพื่อละเมิดตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 420
66
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
2.5.3 การใช้สิทธิเกินส่วน บทขยายองค์ประกอบหลักทั่วไป มาตรา 421 บัญญั ติว่ำ “การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เ กิดเสีย หายแก่ บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย” มำตรำ 421 จึงเป็นบทขยำยองค์ประกอบมำตรำ 420 เรื่อง “โดยผิด กฎหมาย” ดังนั้น ส่วนที่เกินขอบเขตของกำรใช้สิทธิจึง ถือเป็นกำรกระทำที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมำย หำไม่แล้วกำรกระทำโดยมีอำนำจ (สิทธิ) หำเป็นผิดกฎหมำยแต่ ประกำรใด ดังนั้น ขอให้สังเกตว่ำ กฎหมำยใช้คำว่ำ “อันมิชอบด้วยกฎหมำย ” แต่ กำรกระทำที่จักเป็นละเมิดนั้น มำตรำ 420 บัญญัติใช้คำว่ำ “โดยผิดกฎหมำย” ด้วย เหตุนี้ แม้วำ่ จะเป็นกำรกระทำที่ไม่ผิดกฎหมำย อยู่ภำยใต้สิทธิที่มีกฎหมำยให้อำนำจ ไว้ แต่บุคคลทุกคนต้องใช้สิทธิของตนไปในทำงที่รังแต่สร้ำงควำมเดือดร้อนเสียหำย ให้แก่ ผู้อื่น จึงเป็ นกำรใช้สิท ธิโ ดยไม่สุจริตมำตรำ 5 ประกอบ กั บ มำตรำ 421 นี้ จำเลยจึงต้องนำพยำนหลักฐำนเข้ำสืบหักล้ำงฝ่ำยโจทก์ว่ำ ตนได้ใช้สิทธิที่ตนมีอยู่ โดยชอบด้วยกฎหมำยอย่ำงสุจริต ในขณะเดีย วกั บผู้กล่ำวอ้ำงจะต้องชี้ให้ศำลเห็นได้ว่ำ กำรใช้สิท ธิของ จำเลยมี แต่จะท ำให้ผู้ก ล่ำวอ้ำงเสีย หำย ซึ่งกำรท ำให้ผู้อื่นเสีย หำยนั้นย่อมแสดง ออกเป็นนัยอยู่วำ่ เป็นกำรใช้สิทธิโดยไม่สุจริต กำรใช้ สิ ท ธิ ซึ่ ง มี แ ต่ จ ะใช้ เ กิ ด ควำมเสี ย หำยแก่ บุ ค คลอื่ น ถื อ เป็ น กำร กระทำอันมิชอบด้วยกฎหมำย กล่ำวคือ กำรใช้ สิ ท ธิ ข องตนเพื่ อ กลั่ น แกล้ ง บุ ค คลอื่ น ให้ ไ ด้ รั บ ควำมเสื่ อ มเสี ย ประโยชน์ ถือเป็นกำรใช้สิทธิโดยไม่สุจริต มำตรำ 5 บัญญัติว่ำในกำรใช้สิทธิแห่งตน ก็ดี ในกำรชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต
67
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
อุท าหรณ์ กำรที่ จ ำเลยแจ้ ง ควำมเท็ จ จนโจทก์ ถู ก จับ ไปขั ง เป็น กำร กระท ำละเมิ ด ต่ อ โจทก์ จ ำเลยมี สิ ท ธิ ต ำมกฎหมำยที่ จ ะแจ้ ง ควำมร้ อ งทุ ก ข์ หรื อ กล่ำวโทษตำมควำมจริง แต่จำเลยไม่มสี ิทธิที่จะกล่ำวถึงผูใ้ ดโดยไม่เป็นควำมจริง ทำ ให้เขำเสียหำยก็เป็นละเมิด กำรแจ้งเท็จจำเลยทำเกินขอบเขตของสิทธิจึงไม่มีสิทธิ เป็นกำรกระทำผิดกฎหมำย (คำพิพำกษำฎีกำที่ 390/2489) ตัวอย่ำงข้ำงต้น ขอให้สังเกตว่ำในกำรใช้สิทธิเกินส่วนที่มีผลทำให้กำร กระท ำนั้นเป็นผิด กฎหมำยนั้น เมื่อจำเลยได้แจ้งควำมเท็จแก่เจ้ำพนัก งำนเพื่อให้ จับกุมโจทก์ สำมำรถแยกได้ 2 ประเด็น 1. จำเลยมีสท ิ ธิหรือไม่ หรือ 2. จำเลยใช้สท ิ ธิเกินขอบเขตหรือไม่ เป็นที่น่ำสังเกตคือ กฎหมำยให้สิทธิบุคคลในกำรร้องทุกข์กล่ำวโทษผู้อื่น ที่มำโต้แย้งสิทธิหรือ รบกวนสิทธิ แต่กฎหมำยมิได้บัญ ญัติให้สิท ธิในกำรร้องทุก ข์ กล่ำวโทษผู้อื่นที่ไม่ได้โต้แย้งสิทธิหรือรบกวนสิทธิ ฉะนั้น กำรกระทำของจำเลยจึง ไม่มีสิทธิตำมกฎหมำย เมื่อไร้สิทธิจะถือว่ำเป็นกำรใช้สิทธิเกินส่วนได้อย่ำงไร ซึ่ ง ผู้เขียนเห็นว่ำ หำกบุคคลนั้นไม่สุจริตกล่ำวคือทรำบอยู่แล้วว่ำ กำรที่ไปแจ้งควำม กล่ำ วโทษผู้อื่ นนั้น เป็น ควำมเท็ จ จึ งย่อ มเท่ำกั บ ทรำบว่ ำ ตนไม่ มีสิท ธิ แต่ ใ นทำง กลั บ กั นหำกกำรไปแจ้ง ควำมร้องทุก ข์ หรื อกล่ ำวโทษบุค คลใด ถ้ ำตนกระท ำไป เพรำะสำคัญผิด ในข้อเท็จจริงเช่นนั้น และปรำกฏว่ำข้อควำมที่นำไปกล่ำวโทษเป็น เท็จจึงจะถือว่ำเข้ำมำตรำ 421 มิใช่เกิดจำกเจตนำที่ชั่วของตนตัง้ แต่เริ่มแรก คำพิพำกษำฎีกำที่ 826-827/2514 จำเลยไปแจ้งควำมต่อเจ้ำพนักงำน ให้ด ำเนินคดีอำญำแก่ โจทก์ โดยเชื่อว่ำตนมีสิท ธิและใช้สิท ธิของตนโดยชอบด้วย กฎหมำย และยังไม่ได้ควำมว่ำ จำเลยจงใจ แกล้งให้โจทก์เสียหำย ไม่ถือเป็นละเมิด คำพิพำกษำฎีกำที่ 1580/2519 ตัวแทนเครื่องหมำยกำรค้ำแจ้งต่อ ตำรวจจนโจทก์ถูกจับดำเนินคดีอำญำ เป็นกำรใช้สิทธิซึ่งยังฟังไม่ได้ว่ำตัวแทนเจตนำ กลั่นแกล้งโจทก์ เพรำะเครื่องหมำยคล้ำยคลึงกัน แม้ศำลยกฟ้อ งคดีอำญำ ก็ไม่เป็น ละเมิดต่อโจทก์
68
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 1617/2519 เจ้ำพนักงำนที่ดินสอบสวนเสนอรัฐมนตรี มหำดไทยมีคำสั่งไม่อนุมัติให้โจทก์ซึ่งอยู่กินกับหญิงต่ำงด้ำวซื้อที่ดิน โดยมีเหตุควร เชื่อได้ว่ำโจทก์ซื้อเพื่ออยู่ร่วมเป็นสิทธิแก่คนต่ำงด้ำว กำรกระทำของเจ้ำพนักงำน ชอบด้วยกฎหมำย คำสั่งรัฐมนตรีเป็นที่สุดตำม ประมวลกฎหมำยที่ดิน มำตรำ 74 เจ้ำพนักงำนกระทำโดยสุจริตมิได้เจตนำกลั่นแกล้งโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิก ถอนคำสั่งรัฐมนตรี และเรียกค่ำเสียหำยจำกเจ้ำพนักงำนและผู้จะขำยที่ดนิ คำพิพำกษำฎีกำที่ 3938/2540 กำรที่โจทก์นำเจ้ำพนักงำนตำรวจไปยึด รถยนต์พิพ ำทไว้เ ป็น ของกลำง ก็ เ ป็น เพรำะมีมู ลเหตุเ กิด จำกพฤติก ำรณ์ที่ ว. หลอกลวงซื้อรถยนต์พิพำทไปจำกโจทก์ แล้วไปขำยต่อให้บุคคลภำยนอกโดยไม่นำ เงินค่ำรถไปชำระแก่โจทก์ ซึ่งเป็นเหตุอันควรสงสัยว่ำรถยนต์พิพำทยังเป็นกรรมสิทธิ์ ของโจทก์หรือ ว. กำรร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ ว. ถือได้ว่ำเป็นสิทธิของโจทก์ในฐำนะ ประชำชนที่จะกระทำได้โดยชอบธรรมไม่เกินกว่ำกรณีแห่งกำรจำต้องกระทำเพื่อ ป้องกันมิให้มีกำรทำละเมิดกฎหมำยอันจะเกิดแก่โจทก์ และกำรที่เจ้ำพนักงำน ตำรวจไปยึดรถยนต์พิพำทมำเป็นของกลำง แม้จะทำให้จำเลยได้รับควำมเสี ยหำย แต่ก็เป็นดุลพินิจและอำนำจของเจ้ำพนักงำนตำรวจอันเป็นกำรปฏิบัติหน้ำที่ในกำร ด ำเนิ นคดี แ ก่ ว. ถื อได้ ว่ ำเป็ น กำรปฏิบั ติ ต ำมขั้ น ตอนที่ ก ฎหมำยให้ อ ำนำจไว้ พฤติกำรณ์แห่งคดียังไม่ถึงขนำดที่จะรับฟังได้ว่ำโจทก์กระทำโดยประมำทเลินเล่อ หรือมีเจตนำจงใจกลั่นแกล้งโดยมุ่งประสงค์ให้เกิดควำมเสียหำยแก่จำเลยฝ่ำยเดียว กำรกระทำดังกล่ำวของโจทก์จึงไม่เป็นกำรละเมิดต่อจำเลย คำพิพำกษำฎีกำที่ 3367/2535 เหตุที่โจทก์ถูกออกจำกงำนเนื่องจำก จำเลยที่ 1 นำหนังสือร้องเรียนต่อธนำคำรให้พิจำรณำลงโทษโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้ำงของ ธนำคำรเนื่องจำกโจทก์ถูกศำลพิพำกษำลงโทษจำคุก แต่กำรกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกำรแจ้งให้ธนำคำรทรำบเท่ำนั้นธนำคำรจะพิจำรณำแล้วมีคำสั่งลงโทษโจทก์ หรือไม่เป็นเรื่องของธนำคำร แม้กำรที่จำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงธนำคำรเป็นกำรกระทำ ให้ โ จทก์ ไ ด้ รั บ ควำมเสี ย หำย แต่ ก็ เ ป็ น กำรใช้ สิ ท ธิ ใ นฐำนะประชำชน ที่ จ ะเสนอ เรื่องรำวร้องทุกข์ได้ ส่วนกำรที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 เบิกควำมต่อศำลในคดีอำญำที่ โจทก์ฟ้องร้อง โดยกล่ำวถึงคำพิพำกษำที่โจทก์ลงโทษจำคุกก็เป็นกำรกระทำตำม หน้ำที่ในฐำนะพยำน อันเป็นกำรปฏิบัติหน้ำที่ตำมกฎหมำย มิใช่เป็นกำรใช้สิทธิของ
69
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
จำเลยโดยเจตนำ แกล้งโจทก์เสียหำยฝ่ำยเดียว ทั้งเป็นกำรไขข่ำวควำมจริง จึงไม่ เป็นกำรกระทำละเมิดต่อโจทก์ คำพิพำกษำฎีกำที่ 1233/2501 กำรที่จำเลยแจ้งให้ตำรวจจับโจทก์แต่ ปรำกฏว่ำ เมื่อสอบสวนแล้วตำรวจไม่สั่งฟ้องดำเนินคดี จำเลยจึงฟ้องโจทก์เอง และศำลได้มีคำพิพำกษำยกฟ้องโจทก์ ถือว่ำจำเลยได้ใช้สิ ทธิทำงศำลโดยสุจริต ไม่ เป็นละเมิด คำพิพำกษำฎีกำที่ 360/2477 โจทก์ฟ้องว่ำ จำเลยนำควำมเท็จไปแจ้ง ต่อพนักงำนว่ำโจทก์ซื้อแร่ผิดพระรำชบัญญัติ เจ้ำพนักงำนจับเอำแร่ของโจทก์ไป และกรมกำรอำเภอเรียกโจทก์ไปไต่สวนเห็นว่ำไม่มผี ดิ จึงให้ปล่อยตัวไปและคืนแร่ที่ จับให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องเรียกค่ำเสียหำยจำกจำเลย ศำลเดิมตัดสินให้จำเลยใช้คำ่ เสียหำยแก่โจทก์ ศำลอุทธรณ์ตัดสินกลับให้ยกฟ้อง ศำลฎีก ำเห็นว่ำจำเลยแจ้งต่อพนักงำนโดยมีเ หตุอันควรน่ำเชื่อว่ำ โจทก์ได้ทำผิดพระรำชบัญญัติกำรทำเหมืองแร่ และโจทก์สืบไม่ได้ว่ำจำเลยทำไป โดยจงใจ หรือ ประมำทโดยผิ ด กฎหมำยให้ โ จทก์ เ สี ย หำย จึ ง ตั ด สิน ยื น ตำมศำล อุทธรณ์ คำพิพ ำกษำนี้จำเลยได้แจ้งควำมต่อพนัก งำนโดยสุจริตกล่ำวคือ กำรแจ้งควำมกล่ำวหำว่ำผู้ใดกระทำควำมผิดโดยมีเหตุอันสมควรและสุจริตใจ ย่อม ได้รับควำมคุ้มครอง ฉะนั้น โจทก์จึงต้องนำสืบให้ศำลเห็นให้ได้ว่ำ กำรแจ้ งควำมของ จำเลยมีควำมจงใจหรือประมำทเลินเล่อ กลั่นแล้งโจทก์ เมื่อนำสืบไม่ได้ศำลจึงยก ฟ้องโจทก์ เพรำะฉะนั้นจึงสรุปได้ว่ำ กำรใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหำยแก่ บุคคลอื่น ต้องพิจำรณำจำกควำมมุ่งหมำยของกฎหมำยเป็นสำคัญ ซึ่งผู้ที่กล่ำวอ้ำง มีหน้ำที่นำสืบให้ศำลเห็นให้ได้ถึงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับควำมมุ่งหมำยในอัตวิสัยของ บุคคลนั้น
70
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 6301/2541 จำเลยมียศพันตำรวจตรี ตำแหน่งรอง สำรวัตรสืบสวนเป็นเพียงพนักงำนฝ่ำยปกครองหรือตำรวจตำมประมวลวิธีพิจำรณำ ควำมอำญำ มำตรำ 2 (16) มิใช่สำรวัตรตำรวจอันเป็นพนักงำนฝ่ำยปกครองหรือ ตำรวจชั้ผู้ใ หญ่ ตำมมำตรำ 2(17) จำเลยจะจับ ผู้ใ ด และค้นในที่รโหฐำนแห่งใด จะต้องมีหมำยจับและหมำยค้นด้วย เว้นแต่จะต้องด้วยข้อยกเว้นตำมประมวลวิธี พิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ 78 และ 92 ดังนั้น กำรที่จำเลยจับโจทก์และค้นบ้ำน โจทก์อันเป็นที่รโหฐำน โดยไม่ปรำกฎว่ำมีหมำยจับและหมำยค้นถูกต้อง ทั้งไม่ต้อง ด้วยข้อยกเว้นตำมตำมกฎหมำยที่จะจับและค้นได้โดยไม่ต้องมีหมำยดังกล่ำว กำร กระทำของจำเลยจึงเป็นเรื่องจงใจทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมำย ซึ่งเป็นละเมิดเมื่อ โจทก์ได้รับควำมเสียหำยอันเนื่องมำจำกกำรกระทำดังกล่ำว จำเลยจำต้องใช้ค่ำ สินไหมทดแทนเพื่อกำรนั้น ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์มำตรำ 420 ซึ่ง ได้แก่กำรคืน ทรัพย์สินอันผู้เสียหำยต้องเสียไปเพรำะละเมิด หรือใช้รำคำ ทรัพย์สิน นั้นรวมค่ำเสียหำยอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อควำมเสียหำยอย่ำงใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้น ด้วยตำมมำตรำ 438 เป็นที่ประจักษ์ได้ว่ ำ ศำลได้พิเครำะห์ว่ำจำเลยไม่มีอำนำจ เพรำะอำนำจที่จำเลยมีอยู่ตำมกฎหมำยมิใช่อำนำจที่จำเลยปฏิบัติจะถือว่ำใช้อำนำจ เกินขอบเขตไมได้ และเมื่อจำเลยกระทำไปโดยไร้สิทธิย่อมเป็นกำรกระทำโดยผิด กฎหมำย โดยจงใจ เมื่อเกิดควำมเสียหำยก็จำเลยย่อมต้องรับผิดฐำนละเมิด ส่วน มำตรำ 438 ที่ศำลยกขึ้นกล่ำวอ้ำงในคำพิพำกษำนั้น เป็นกำรกำหนดกำรเยียวยำ ค่ำสินไหมทดแทน ซึ่งกฎหมำยให้เป็นดุลพินิจของศำลที่จะกำหนดค่ำสินไหมทดแทน โดยให้ศำลวินิจฉั ยตำมควรแก่พฤติกำรณ์และควำมร้ำยแรงแห่งละเมิด (ซึ่งจะได้ อธิบำยในบทต่อ ๆ ไป) (หมำยเหตุ : รโหฐำน-ที่อยู่อำศัยส่วนตัว) เมื่อกฎหมำยได้ให้อำนำจแก่เจ้ำหน้ำที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องหำในคดีอำญำ หำกแต่ (ก) จับกุมโดยเข้ำใจว่ำ นำย
ก. คือ นำย ข. (ผู้ต้องหำ) ดังนี้ ถือเป็นกำรกระทำอันไม่มสี ิทธิ ต้องพิจำรณำตำมมำตรำ 420 แม้ว่ำตำรวจจะกระทำ ไปโดยไม่ จ งใจ แต่ ถ้ ำ พิ สู จ น์ ไ ด้ ว่ ำ ตนประมำทเลิ น เล่ อ (วิ สั ย และพฤติ ก ำรณ์ ) กล่ำวคือ ควรคำดเห็นได้ว่ำ ผูท้ ี่ถูกจับไม่ใช่นำย ข. ตำรวจต้องรับผิดทำงละเมิด (ข) หำกตำรวจจับนำย ข. โดยไม่ผิดตัวต้องพิจำรณำต่อไป อีกว่ำเข้ำข่ำยมำตรำ 421 หรือไม่ ซึ่งอำจเป็นละเมิดก็ได้ ถ้ำตำรวจเข้ำจับกุมโดยจง
71
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ใจแต่จะให้เกิดควำมเสียหำย เช่น แกล้งไปจับในเวลำที่นำย ข. กำลังอยู่ในวงสังคม แต่ต้องมีขอ้ เท็จจริงประกอบว่ำ ตำรวจสำมำรถจับกุมในที่อื่นได้แต่ก็ไม่ทำ ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 5824/2543 เมื่ อ เจ้ ำพนั ก งำนต ำรวจทั้ ง สำมเริ่ ม จับกุมโจทก์ถือได้ว่ำเจ้ำพนักงำนตำรวจทั้งสำมได้ปฏิบัติหน้ำที่แล้ว กำรควบคุมตัว โจทก์เพื่อไปส่งที่สถำนีตำรวจย่อมถือเป็นกำรปฏิบัติหน้ำที่เช่นกัน หำกข้อเท็จจริงฟัง ได้ตำมฟ้องว่ำ เจ้ำพนักงำนตำรวจทั้งสำมทำร้ำยร่ำงกำยโจทก์ขณะควบคุมโจทก์ไป ส่งที่สถำนีตำรวจ ต้องถือว่ำเจ้ำพนักงำนตำรวจทั้งสำมกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยได้ กระทำในกำรปฏิบัติหน้ำที่ ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 964/2496 จ ำเลยปิ ด กั้ น หนองน้ ำเอกชน เพื่ อ ป้องกันมิให้ผักตบชวำเข้ำไปในที่ของตน ซึ่งจะเป็นอุปสรรคในกำรจับปลำในหนอง ผัก ตบชวำ จึ ง ไหลลอยตำมนั้ น ไปในนำของโจทก์ ท ำให้ ข้ ำ วในนำเสี ย หำย ดั ง นั้ น จำเลยมีสทิ ธิปิดกั้นไม่เรียกว่ำจำเลยใช้สทิ ธิมีแต่จะเกิดเสียหำยแก่ผู้อ่นื ไม่เป็นละเมิด คำพิพำกษำฎีกำที่ 819/2518 น้ำไหลผ่ำนห้วยในที่ดินของจำเลย จำเลย จึงทำนบกักน้ำไว้ใช้ น้ำไม่อำจไหลลงสู่ห้วยเช่น ตำมปกติได้ เป็นเหตุให้น้ำท่วมนำ ผูอ้ ื่นเสียหำยจำเลยต้องใช้คำ่ เสียหำยนั้น เปรีย บเทีย บค ำพิพำกษำทั้งสองข้ำงต้น จะเห็น ได้ว่ำ กำรกระท ำของ จำเลยในทั้ง สองคดีท ำให้ โจทก์ไ ด้รั บ ควำมเสีย หำย แต่ก รณี ทั้งสองที่ท ำให้ผ ล แตกต่ำงกันคือกำรนำสืบถึงควำมมุง่ ประสงค์ในอัตวิสัยของจำเลยว่ำมุ่งประสงค์ที่จะ กลั่นแกล้งหรือไม่นั้นเอง ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 45/2496 ค ำสั่ ง ปลดข้ ำ รำชกำรออกตำมบท กฎหมำยที่ให้อำนำจไว้โดยสุจริตไม่มุ่งให้เกิดควำมเสียหำย แม้จะวินิจฉัยผิดพลำดก็ หำเป็นละเมิดไม่ คำพิพำกษำฎีกำที่ 3050/2540 กำรที่ศำลแขวงรำชบุรีพิพำกษำให้โจทก์ ชำระหนี้แก่จำเลยนั้น มิได้พิพำกษำให้โจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยโดยนำเงินมำวำงศำล ทั้งตำมคำบังคับที่ศำลแขวงรำชบุรีออกให้ตำมคำขอของจำเลยซึ่งเป็นเจ้ำหนี้ตำมคำ
72
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
พิพำกษำก็มิได้ระบุสถำนที่ใช้เงินไว้ด้วย กรณีจึงต้องบังคับตำม ประมวลกฎหมำย แพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 324 ที่กำหนดสถำนที่ส่งมอบทรัพย์เฉพำะสิ่งว่ำต้องส่ง มอบกัน ณ สถำนที่ซึ่งทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลำเมื่อก่อให้เกิดหนีน้ ั้น แต่ถ้ำเป็นกำรชำระ หนี้โดยประกำรอื่นจะต้องชำระ ณ ภูมิลำเนำของจำเลย กำรที่โจทก์ชำระหนี้ตำมคำ พิพำกษำแก่จำเลยโดยนำเงินมำวำงศำล จึงถือไม่ได้ว่ำเป็นกรณีที่จำเลยได้รับชำระ หนี้จำกโจทก์โดยถูกต้องตำมกฎหมำยแล้ว ทั้งโจทก์ก็มิได้แจ้งกำรนำเงินมำวำงศำล ให้จำเลยทรำบแต่อย่ำงใด กำรที่จำเลยขอบังคับคดีโดยนำเจ้ำพนักงำนบังคับคดียึด หุน้ ของโจทก์ จึงเป็นกำรใช้สิทธิทำงศำลตำมที่จำเลยมีอยู่เพื่อขอบังคับให้เป็นไปตำม คำพิพำกษำ เมื่อไม่ปรำกฏว่ำจำเลยกระทำโดยไม่สุจริต จงใจหรือประมำทเลินเล่อ เพื่อให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย กำรกระทำของจำเลยจึงไม่ผิดกฎหมำยและไม่เป็น กำรละเมิดต่อโจทก์ คำพิพำกษำฎีกำที่ 2817/2543 โจทก์ที่ 1 ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลที่ ประเทศสหรัฐอเมริกำ เป็นผู้ผลิตสินค้ำปัตตะเลี่ยนโดยใช้เครื่องหมำยกำรค้ำจด ทะเบียนในประเทศสหรัฐอเมริกำและประเทศไทย คำว่ำ “WAHL” โจทก์ที่ 1 ย่อมเป็น ผูม้ ีสทิ ธิแต่ผเู้ ดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมำยกำรค้ำสำหรับปัตตะเลี่ยน ทำให้โจทก์ที่ 1 มี สิ ท ธิ ห วงกั น ไม่ ใ ห้ ผู้ อื่ น น ำเครื่ อ งหมำยกำรค้ ำ ของโจทก์ ที่ 1ไปใช้ โ ดยมิ ช อบ วั ต ถุ ป ระสงค์ ข องกำรใช้ เ ครื่ อ งหมำยกำรค้ ำ กั บ สิ น ค้ ำ ก็ เ พื่ อ แยกควำมแตกต่ ำ ง ระหว่ำงสินค้ำของเจ้ำของเครื่องหมำยกำรค้ำกั บสินค้ำของผู้อื่น และเพื่อระบุว่ำ สินค้ำนั้นเป็นเจ้ำของเครื่องหมำยกำรค้ำดังกล่ำว ซึ่งเป็นประโยชน์ในกำรจำหน่ำย สินค้ำของตนกำรที่ผสู้ ินค้ำของเจ้ำของเครื่องหมำยกำรค้ำเพื่อนำไปจำหน่ำยต่อไป ก็ เป็นเรื่องปกติธรรมดำของกำรค้ำ เมื่อผู้ผลิตสินค้ำที่เป็นเจ้ำของเครื่อ งหมำยกำรค้ำ ได้จำหน่ำยสินค้ำของตนในครั้งแรก ซึ่งได้รับประโยชน์จำกกำรใช้เครื่องหมำยกำรค้ำ นั้นจำกรำคำสินค้ำที่จำหน่ำยไปเสร็จสิ้นแล้วจึงไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้ซื้อสินค้ำซึ่ง ประกอบกำรค้ำปกตินำสินค้ำออกจำหน่ำยอีกต่อไป โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้ จำเลยนำเข้ำซึ่งสินค้ำปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมำยกำรค้ำที่แท้จริงที่จำเลยซื้อจำก ตัวแทนจำหน่ำยสินค้ำของโจทก์ที่ 1 ในประเทศสำธำรณรัฐสิงคโปร์มำจำหน่ำยใน ประเทศไทยได้
73
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
แม้กล่องบรรจุสินค้ำปัตตะเลี่ยนซึ่งมีเครื่องหมำยกำรค้ำคำว่ำ “WAHL” จะมีซองกระดำษที่มีเครื่องหมำยกำรค้ำเดี ยวกันห่อหุ้มกล่องและมีใบรับประกันที่มี เครื่ อ งหมำยกำรค้ ำ เดี ย วกั น ระบุ ชื่ อ ที่ อ ยู่ ข องจ ำเลยว่ ำ เป็ น ศู น ย์ บ ริ ก ำร ก็ เ ป็ น เครื่องหมำยกำรค้ำที่แสดงว่ำสินค้ำปัตตะเลี่ยนในกล่องหรือหีบห่อนั้นเป็นสินค้ำของ โจทก์ที่ 1 จำเลยเป็นเพียงแต่ผู้ให้บริกำรรับซ่อมปัตตะเลี่ยนให้เท่ำนั้ น มิใช่แสดงว่ำ จำเลยเป็นเจ้ำของหรือผู้มีสิทธิใช้เครื่องหมำยกำรค้ำของโจทก์ที่ 1 กำรกระทำของ จำเลยไม่เป็นกำรละเมิดสิทธิในเครื่องหมำยกำรค้ำคำว่ำ “WAHL” ของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้นำเข้ำซึ่งสินค้ำปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมำยกำรค้ำคำ ว่ำ “ WAHL ” ของโจทก์ที่ 1 จำกประเทศสหรัฐอเมริกำมำจำหน่ำยในประเทศไทย โจทก์ ที่ 1 ไม่ได้ตั้งให้โจทก์ที่ 2 เป็นตัวแทนจำหน่ำยสินค้ำที่มีเ ครื่องหมำยกำรค้ำ ดังกล่ำวของโจทก์ที่ 1 ในประเทศไทยแต่ผู้เดียว โจทก์ที่ 2 จึงเป็นเพียงผู้นำเข้ำซึ่ง สิ น ค้ ำ ปั ต ตะเลี่ ย นที่ มี เ ครื่ อ งหมำยกำรค้ ำ ดั ง กล่ ำ วจำกโจทก์ ที่ 1 มำจ ำหน่ ำ ยใน ประเทศไทยผู้หนึ่งเท่ำนั้น จึงฟังไม่ได้ว่ำ กำรที่จำเลยนำเข้ำซึ่งสินค้ำปัตตะเลี่ยนที่มี เครื่องหมำยกำรค้ำคำว่ำ “ WAHL ” เข้ำมำจำหน่ำยในประเทศไทยเป็นกำรใช้สิทธิซึ่งมี แต่จะก่อให้เกิดควำมเสียหำยอันเป็นกำรละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 ตำมประมวลกฎหมำย แพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 421 2.5.4 การใช้ สิ ท ธิ ท่ี ท าให้ เ จ้ า ของอสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ เ สี ย หายหรื อ เดือดร้อนราคาญเกินสมควร (Private Nuisance) มาตรา 1337 บัญญัติวำ่ “บุคคลใดใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้เจ้าของ อสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมาย ได้ว่าเป็นไปตามปกติ และเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตาแหน่งที่อยู่แห่ง ทรัพย์สินนั้นมาคานึง ประกอบไซร้ ท่านว่าเจ้าของอสังหาริมทรัพย์มีสิทธิจะ ปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไป ทั้งนี้ไม่ลบล้างสิทธิ ที่จะเรียกเอาค่าทดแทน” มำตรำ 1337 เป็นกรณีที่ใช้สิทธิทำให้เจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ได้รับ ควำมเสียหำย หรือเดือดร้อนรำคำญจนเกินสมควร
74
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ก ฎ ห ม ำ ย บั ญ ญั ติ ใ ห้ ค ว ำ ม คุ้ ม ค ร อ ง เ ฉ พ ำ ะ เ จ้ ำ ข อ ง อสังหำริมทรัพย์ (2) ควำมเสียหำยนั้น ต้องมีระดับที่เกินสมควรแก่เหตุ (เหตุผลที่ไม่ อำจรับฟังได้ : Unreasonableness) (3) แม้จะเกิดจำกกำรกระทำโดยไม่จงใจก็มีควำมผิด ได้ หำกบุคคล ผูน้ ั้นพึงคำดเห็นได้ถึงควำมเดือดร้อนรำคำญ (Foreseeability) ดังสุภำษิตลำตินที่ว่ำ Sic utere tuo utalienum non laedas (you must use your own property so as not to damage the property of others) ซึ่งกำรกระทำดังกล่ำวแม้จะเป็นกำรใช้สิทธิ ภำยในแดนกรรมสิทธิ์แห่งตน แต่กำรสร้ำงควำมเดือดร้อนรำคำญให้แก่เพื่อนบ้ำน ถือได้ว่ำเพื่อนบ้ำนที่แย่ สมควรได้รับกำรตำหนิติเตียน (Culpably) (1)
กำรทิ้ งขยะบนที่ดินของตนเองก็เป็ นกำร สร้ำงควำมเดือดร้อนรำคำญได้
คำพิพำกษำฎีกำที่ 1719/1720-2499 โรงงำนสีครั่งและผลิตครั่ง บริสุทธิ์ใช้ยำเคมีละลำยกั บน้ำทำกำรล้ำงครั่งทั้งกลำงวันและกลำงคืนส่งกลิ่นเหม็น อันเป็นอันตรำยแก่อนำมัย และทำให้ผู้อยู่ใกล้เคียงเดือดร้อนรำคำญ เจ้ำของโรงงำน ย่อมต้องรับผิดฐำนละเมิดต่อผูท้ ีได้รับควำมเดือดร้อนรำคำญนั้น ท่ำนจะพบว่ำ สิท ธิที่เ จ้ำของโรงงำนประกอบธุ รกิจนั้น ไม่ไ ด้เ ป็น ควำมผิดกฎหมำยในตัว น้ำยำหรือสำรเคมีก็นำเข้ำและได้รับอนุญำตถูกกฎหมำย แต่ เมื่อกำกระทำเป็นอันตรำยหรือก่อพิษภัยแก่เพื่อนบ้ำน (Harmful or noxious activity) ย่อมต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมำย คำพิพำกษำฎีกำที่ 2296/2541 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ปลูกสร้ำง สะพำนกว้ำง 1 เมตร ยำว 50 เมตร ลงในคลองสำโรงผ่ำนหน้ำที่ดินของโจทก์ใน ระยะประมำณ 1 ถึง 2 เมตร สะพำนมีลักษณะมั่นคงและถำวร กำรปลูกสร้ำง สะพำนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่ำวจึงเป็นกำรเล็งเห็นได้ว่ำสะพำนนั้นน่ำจะหรือ
75
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
อำจทำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำยหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคำดหมำยในกำร ใช้ที่ดินของโจทก์เป็นทำงขึ้นหรือทำงลงคลองสำโรงดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้อำศัยและ ทำประโยชน์อยู่ในที่ดินขณะปลูกสร้ำงสะพำน และกำรปลูกสร้ำงได้กระทำลงใน คลองสำธำรณะและเพื่อประโยชน์ต่อสำธำรณชนดังข้ออ้ำงของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และ 4 โจทก์ก็มีสิทธิจะฟ้องขอให้ร้ือถอนสะพำนที่ผ่ำนหน้ำที่ดินของโจทก์เพื่อยัง ควำมเสียหำยหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปได้ ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 1337 คำพิพำกษำฎีกำที่ 9671-9675/2544 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออก จำกอสังหำริมทรัพย์อันมีค่ำเช่ำหรืออำจให้เช่ำได้ ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บำท จึงต้องห้ำมมิให้จำเลยอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริงตำม ประมวลวิธี พิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ 224วรรคสอง ที่จำเลยอุทธรณ์ว่ำที่ดินของ โจทก์มี ทำงเข้ำออกหรือสำมำรถเข้ำออกหรือใช้ประโยชน์จำกน้ำในคลองมหำสวัสดิ์ ได้ อย่ำงสะดวก กำรที่จำเลยอำศัย อยู่ใ นบริเ วณที่ดินพิพำทมิไ ด้ปิดบังหรือกีดขวำง ทำงเข้ำออกคลองมหำสวัส ดิ์นั้น เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ำมมิให้อุทธรณ์ ตำมกฎหมำย มำตรำ ดังกล่ำว เมื่อไม่ปรำกฏว่ำศำลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อ กฎหมำยหรือข้อเท็จจริงไม่พอแก่กำรวินิจฉัยข้อกฎหมำย กำรที่ศำลอุทธรณ์ หยิบ ยกข้อเท็จจริงดังกล่ำวขึ้นวินิจฉัยตำมที่จำเลยอุทธรณ์แล้ววินิจฉัยว่ำที่ดิน ของโจทก์ มีทำงเข้ำออกหรือสำมำรถเข้ำหรือใช้ประโยชน์จำกน้ำในคลองมหำสวัสดิ์ ได้อย่ำง สะดวก กำรที่ จ ำเลยอำศั ย อยู่ ใ นบริ เ วณที่ ดิ น พิ พ ำทมิ ไ ด้ ปิ ด บั ง หรื อ กี ด ขวำง ทำงเข้ำออกคลองมหำสวัสดิ์แต่อย่ำงใดนั้น เป็นกำรไม่ชอบ ต้องถือว่ำข้อเท็จจริง ได้ ยุติไปแล้วตำมคำพิพำกษำศำลชัน้ ต้น เมื่อจำเลยใช้สิทธิของตนปลูกบ้ำนในที่สำธำรณสมบัติของแผ่นดิน ปิดหน้ำที่ดินของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สำมำรถจะใช้หรือได้รับประโยชน์จำกที่สำ ธำรณสมบัติของแผ่นดินนั้นได้โดยสะดวก ทำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย หรือ เดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคำดหมำยในกำรใช้ที่ดินของโจทก์ ถือได้ว่ำโจทก์ ได้รับ ควำมเสี ย หำยเป็ น พิ เ ศษ กรณี ต้ อ งบทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง ประมวลกฎหมำยแพ่ ง และ พำณิชย์ มำตรำ 421 และ 1337 กำรที่จำเลยปลูกบ้ำนอยู่ก่อนก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ผู้
76
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
มำทีหลังต้อง เสียสิทธิดังกล่ำวไม่ โจทก์จึงมีสิทธิปฏิบัติกำรเพื่อยังควำมเสียหำย หรือควำม เดือดร้อนให้สิ้นไปโดยฟ้องจำเลยให้ร้ือถอนสิ่งปลูกสร้ำงที่จำเลยปลูก สร้ำงอยู่ใน ที่ดินของกรมชลประทำนอันเป็นกำรกีดขวำงทำงที่โจทก์เข้ำออกเพื่อใช้ ประโยชน์ ในคลองมหำสวัสดิ์อันเป็นทำงสำธำรณะได้ คำพิพำกษำฎีกำที่ 1407/2535 จำเลยตอกเสำเข็มปลูกสร้ำงอำคำร โรงแรม 16 ชั้น ทำให้โจทก์ทนทุกขเวทนำแสนสำหัส นอนไม่หลับเพรำะหนวกหู ฝุ่น ละอองจำกกำรก่อสร้ำงทำให้บ้ำนเรือนสกปรก บ้ำนสั่นสะเทือน มี หินและไม้ตกลง บนหลังคำบ้ำนโจทก์อันอำจจะก่อให้เกิดอันตรำยต่อโจทก์และบริวำรได้ ไม่ ปรำกฏ ว่ำควำมทนทุกข์ทรมำนสำหัสดังกล่ำวเป็นอันตรำยต่อร่ำงกำยหรือจิตใจของโจทก์ แต่ เ ป็ น เรื่ อ งเสี ย หำยต่ อ อนำมัย และสิ ท ธิ ที่จ ะอยู่ อ ย่ำ งสงบ (สิ ท ธิ ส่ วนตั ว) ไม่ ถู ก รบกวนเพรำะควำมทรมำนนอนไม่หลับอันเนื่องจำกฝุ่นละอองเสียงจำกกำรก่อสร้ำง อันได้แก่กำรตอกเสำเข็ม และควำมหวำดระแวงอันเกิดจำกสิ่งของตกหล่นลงมำบน หลังคำอันอำจเกิดอันตรำยแก่ผู้อยู่อำศัยในบ้ำนและตัวอำคำร รวมทั้งกำรอัดตัวของ ดินทำให้บ้ำนเรือนโจทก์เสียหำยอันอำจเป็นอันตรำยแก่ผู้อยู่อำศัยได้ ค ำพิพ ำกษำฎีก ำข้ำ งต้น ได้ น ำหลัก เพื่อ นบ้ำ นต้อ งไม่ ส ร้ำ งควำม เดือดร้อนรำคำญให้แก่เพื่อนบ้ำน มิเช่นนั้นได้ชื่อว่ำเป็น Bad Neighbors ของศำลอังกฤษ มำปรับใช้แก่กรณี ขอให้ย้อนกลับไปพิจำรณำคดี Donoghue V. Stevenson ข้ำงต้น เช่ น เดี ย วกั น หลั ก กำรดั ง กล่ ำ ว มิไ ด้ ห มำยควำมเฉพำะกำรสร้ ำ ง ควำมเดือดร้อน รำคำญด้ำนกำยภำพ หรือโสตประสำทสัมผัสต่ำง ๆ เช่น เสียง กลิ่น เท่ำนั้น แต่ท ว่ำกำรสร้ำงควำมเดือดร้อนให้กั บเจ้ำของที่ดินข้ำงเคียง (เพื่อนบ้ำน) ในทำงควำมกดดันทำงจิตใจย่อมหมำยรวมถึงเช่นเดียวกัน ขอให้ท่ำนพิจำรณำ “คดี หลุมฝังศพ” ดังต่อไปนี้
77
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
นำยหมอดีฟ้องศำลว่ำตนเป็นเจ้ำของที่ดิน อันมีแนวเขตที่ดินติดต่อ กับที่ดินของนำยกิตติ ซึ่งนำยกิตติได้ก่อสร้ำงสุสำน หรือหลุมฝังศพหรือฮวงซุ้ยแบบ ธรรมเนียมชำวจีนในบริเวณที่ดินของตนเอง ซึ่งห่ำงจำกบ้ำนของนำยหมอดีไม่เกิน 10 เมตร โดยไม่ได้รับอนุญำตจำกทำงกำร และได้ฝังศพนำงปูภรรยำของนำยกิตติไว้ กรณีเช่นนี้ เมื่อพิจำรณำตำมสภำพของหลุมฝังศพที่ มีศพฝังอยู่ย่อม ก่อให้เกิ ดควำมหวำดกลัว ในเรื่องภูตผีวิญญำณและเป็นที่รังเกียจแก่ผู้ที่มิใช่ญำติ ผูต้ ำยซึ่งอยู่บ้ำนใกล้หลุมฝังศพ นอกจำกนี้ระยะห่ำงที่ห่ำงกันเพียง 10 เมตร ย่อมทำ ให้นำยหมอดีจำต้องรับ รู้ว่ำตนอยู่ใ กล้หลุมฝังศพ และต้องได้รับ ควำมกดดันทำง จิตใจจำกกำรมีพิธีกำรเกี่ยวกับศพ ควำมเดือดร้อนดังกล่ำวจึงเป็นกำรละเมิดแก่นำย หมอดี ข้อเท็จจริงเดียวกัน หำกปรำกฏว่ำกำรก่อสร้ำงสุสำนฝังศพนี้ ได้รับ อนุญำตจำกทำงกำรปฏิบัติถูกต้องตำมพระรำชบัญญัติสุสำนและฌำปนสถำน พ.ศ. 2528 จะถือว่ำเป็นกำรกระทำที่ไม่เป็นละเมิดใช่หรือไม่ ท่ำนคงพอที่จะพิเครำะห์ได้ แล้วว่ำ กำรได้รับอนุญำตจำกทำงกำรมีผลเพียงทำให้นำยกิตติไม่ตกเป็นผู้กระทำ ควำมผิดตำมพระรำชบัญญัติสุสำนและฌำปนสถำน พ.ศ. 2528 เท่ำนั้น แต่มิไ ด้ หมำยควำมว่ำนำยกิตติจะมีอำนำจทำให้นำยหมอดีเสียหำยได้ เป็นคนละเรื่องคนละ ประเด็นกัน กำรอนุญำตเป็นเรื่อ งของกำรใช้ดุลพินิจให้มีกำรฝังศพตำมที่มีผู้มำยื่น ขอเท่ำนั้น นอกจำกนีข้ อให้พิจำรณำจำกคำพิพำกษำฎีกำที่ 3407/2535 ข้อสังเกต 1. แต่หำกปรำกฏว่ำ โจทก์ปลูกบ้ำนอยู่อำศัยเมื่อประมำณ 2 ปี ผ่ำน มำแล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงปรำกฏว่ำ มีจำเลยซึ่งเป็นโรงงำนป่นกระดูก สัตว์ ในละแวก ใกล้เคียงตั้งอยู่ก่อนแล้ว กรณีเช่นนี้ โจทก์ต้องคำดหมำยได้ว่ำ จะมีกลิ่นเหม็น สร้ำง ควำมรำคำญ ถือว่ำ โจทก์วิ่งเข้ำหำภัยนั้นเอง มิใช่ควำมเดือดร้อนวิ่งเข้ำไปหำโจทก์ โจทก์จะกล่ำวอ้ำงว่ำ เพื่อนบ้ำนสร้ำงควำมเดือดร้อนรำคำญมิได้
78
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ทั้ง นี้ ต้ อ งพิ จ ำรณำต่ อ ไปอี ก ว่ ำ เพื่ อ นบ้ ำ นดั ง กล่ ำ วได้ ป ฏิ บั ติ ต ำม ระเบียบข้อบังคั บเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ หรือไม่ ขอให้เทียบเคียงได้กับคดี Sturges V. Bridgeman, 1879
2. ควำมเดือดร้อนรำคำญนี้ แม้จะเกิดเพรำะภัยธรรมชำติ เจ้ำของ ทรัพย์ก็มีควำมรับผิดได้ หำกตนทรำบและไม่เข้ำบรรเทำควำมเดือดร้อนรำคำญนั้น (Goldman v. Hargrave ,1967 และ Leakey V. National Trust,1980)
2.5.5 การใช้สิทธิท่ีจะทาให้ส าธารณชนได้รับ ความเสีย หาย หรือเดือดร้อนราคาญเกินสมควร กรณีนี้โจทก์ต้องมี Special Damage กล่ำวคือ โจทก์ต้องได้รับควำม เสียหำยมำกเป็นพิเศษ จำกกำรใช้สิทธิเรียกชื่อว่ำ Public Nuisance ซึ่งได้แก่กำรกระทำ ใด ๆ ที่มีกฎหมำยบัญญัติคุ้มครองเป็นกำรเฉพำะโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครอง สำธำรณชน เช่น พระรำชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ พระรำชบัญญัติ ส่งเสริมและรักษำคุณภำพสิ่งแวดล้อมแห่งชำติ พ.ศ. ๒๕๓๕ พระรำชบัญญัติวัตถุที่ ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสำท พ.ศ. ๒๕๑๘ พระรำชบัญญัติวัตถุอันตรำย พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้น กฎมำยต่ำง ๆ เหล่ำนีจ้ ะบัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองสวัสดิภำพและ/หรือ สวัสดิภัยของสังคม ส ำหรับ หลั ก กฎหมำยอัง กฤษ โจทก์ต้ องพิสู จน์ ว่ำตนได้รั บ ควำม เสียหำยมำกกว่ำปกติทั่วไป เช่น จำเลยปล่อยทิ้งของเสียปฏิกูลลงในแม่น้ำ ซึ่งผิดต่อ พระรำชบัญญัติส่งเสริมและรักษำคุณภำพสิ่งแวดล้อมแห่งชำติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และ กำรปล่อยของเสียทำให้ปลำตำย ซึ่งโจทก์เองมีอำชีพจับปลำจึงไม่อำจจับปลำได้ กำรกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหำย เป็นต้น กำรใช้สิทธิในลักษณะที่ไม่เหมำะสมและก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่ ผูอ้ ื่นเกินสมควรแก่กรณี พิจำรณำจำกกฎหมำยว่ำเกินขอบเขตหรือไม่
79
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ดังนัน้ จึงสรุปได้วำ่ กำรใช้สทิ ธิตำมมำตรำนี้ในเบื้องต้นผู้กระทำต้อง มีสิทธิที่จะทำได้ มำตรำ 421 จึงเป็นบทขยำยควำมของ “โดยผิดกฎหมำย” ที่กล่ำว อ้ำงแล้ว อีกชั้นหนึ่ง กล่ำวคือ แม้แต่จะทำโดยมีสิทธิตำมกฎหมำยแต่ถ้ำใช้สิทธินั้น โดยลัก ษณะที่มีแต่จะสร้ำงควำมเสีย หำยให้แก่ผู้อื่น ถือว่ำเป็นกำรอันมิชอบด้วย กฎหมำย บทบัญญัตินี้จึงดูเหมือนจะเป็นแต่ข้อยกเว้นหรือขยำยควำมคำว่ำ โดยผิด กฎหมำย เท่ำนั้น ซึ่งหลักเกณฑ์ประกำรอื่นที่จะก่อให้เกิดควำมรับผิดทำงละเมิดคง ยังต้องพิจำรณำตำมมำตรำ 420 ให้ครบถ้วน ข้อสังเกต 1. สิทธิเสรีภาพ สิทธิในควำมหมำยของมำตรำ 421 คือสิทธิอย่ำงใดอย่ำงหนึ่งที่กฎหมำย รับรองให้โดยเฉพำะ เช่น กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง สิทธิร้องทุกข์ (แจ้งควำม) คดี อ ำญำ กำรใช้ สิ ท ธิ ท ำงศำล (ฟ้ อ งคดี ) สิ ท ธิ ต ำมสั ญ ญำ แต่ ทั้ ง นี้ ไม่ ไ ด้ หมำยควำมถึงสิทธิในเสรีภำพ กล่ำวคือ สิทธิที่จะทำอะไรก็ได้อย่ำงอิสระ (Freedom) แต่อยู่ภำยใต้ขอบเขตของกฎหมำย ดังนั้นคำว่ำ “เสรีภำพ” จึงมิใช่สิทธิตำมมำตรำ 421 เพรำะมิเช่นนั้นในกำรทำละเมิดทุกรำยจะมีและเป็นปัญหำเรื่องกำรใช้เสรีภำพ ทุกกรณี เช่น นำยกิตติ ขำยเสื้อผ้ำ ซึ่งนำยหมอดีก็ขำยเสื้อผ้ำอยู่ในละแวกเดียวกัน จึงเป็นกำรแข่งขันทำงกำรค้ำ ซึ่งหำกนำยกิตติหรือนำยหมอดี คนหนึ่งคนใดค้ำขำย ได้ ไ ม่ ดี จะอ้ ำ งว่ ำ อี ก ฝ่ ำ ยท ำละเมิ ด ไม่ ไ ด้ โปรดพิ จ ำรณำตำมค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำ 1843/2517 1367/2517 2. การใช้สิทธิต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย กำรใช้สิทธิดังกล่ำวเป็นเรื่องผูใ้ ช้สทิ ธิได้รับประโยชน์ ถ้ำไม่เกิดควำมเสียหำย แก่ บุค คลอื่น ย่อมกระท ำได้ เช่นกำรปลูก สร้ ำงตึก สูงบนพื้นดิน ที่ตนเป็นเจ้ ำของ กรรมสิทธิ์ ย่อมกระทำได้แต่ต้องไม่ก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่เพื่อนบ้ำน (บังทิศทำง ลม แสงสว่ำง) ในประเทศฝรั่งเศส ศำลได้นำหลักกำรใช้สิทธิเกินส่วนมำใช้พิจำรณำ กรณีที่เจ้ำของที่ดินผู้หนึ่งได้นำปล่องไฟหลอกบนหลังคำบ้ำนของตน โดยมีเจตนำ
80
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
กลั่ น แกล้ ง เพื่ อ นบ้ ำ น มิ ใ ห้ แ สงสว่ ำ งเข้ ำ หน้ ำ ต่ ำ งบ้ ำ นข้ ำ งเคี ย ง เช่ น เดี ย วกั น (ศำสตรำจำรย์จ๊ด ี เศรษฐบุตร, Cour de Cassation, 1874) ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 1029/2519 กำรที่ จ ำเลยเช่ ำ ที่ วั ด ท ำท่ ำ เที ย บ เรือประมง ก่อสร้ำงรัว้ และอำคำรในที่ดินที่เช่ำ มิได้ทำให้โจทก์เดือดร้อนในเรื่องแสง สว่ำง ทำงลมและสุขภำพ แม้เจตนำมิให้โจทก์แย่งค้ำน้ำแข็งดองปลำ ไม่เป็นกำร ละเมิดตำมมำตรำ 420 และ 421 คำพิพำกษำฎีกำที่ 827/2521 โจทก์เป็นเจ้ำของที่ดินและตึกแถวซึ่งอยู่ ติดกับถนนตลำดสดเทศบำลที่จำเลยที่ 1 สร้ำงเป็นที่ดนิ รำชพัสดุ ซึ่งอยู่ในควำมดูแล ของจำเลยที่ 3 กำรที่จำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 สร้ำงกำแพงสูงถึง 3 เมตรกั้นระหว่ำง ทีดินโจทก์กับที่รำชพัสดุ เป็นเหตุให้ไม่มีผู้ใดซื้อหรือเข้ำตึกแถวโจทก์ ถือเป็นกำรใช้ สิทธิของตน เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย หรือเดือดร้อนเกินที่ควรคำดหมำย ถือได้ว่ำเป็นละเมิด โจทก์มีอำนำจฟ้องตำมมำตรำ 421 และมำตรำ 1337 คำพิพำกษำฎีกำที่ 1992/2538 ผู้กระทำหรือผู้ใช้สิทธิซึ่งมีแต่ละให้เกิด ควำมเสียหำยแก่บุคคลอื่นอันเป็นกำรละเมิด ตำมมำตรำ 421 ต้องฟังได้ว่ำผู้นั้นมี เจตนำหรือจงใจกลั่นแกล้ง โดยมุ่งประสงค์ให้เกิดควำมเสียหำยแก่ผู้อื่น ฝ่ำยเดียว เมื่ อ โจทก์ ติ ด ตั้ ง ป้ ำ ยโฆษณำสิ น ค้ ำ ของโจทก์ บ นคำดฟ้ ำ ตึ ก แถวที่ โ จทก์ เ ช่ ำ เพื่ อ ประโยชน์ในทำงกำรค้ำของโจทก์ก็ได้ จำเลยก็มีย่อมมีสิทธิติดตั้งป้ำยโฆษณำงำนใน ธุรกิจของจำเลยบนคำดฟ้ำตึกแถวที่จำเลยเช่ำเพื่อประโยชน์ในกิจกำรของจำเลยได้ เช่นกัน โดยไม่คำนึงถึงว่ำผูใ้ ดเป็นฝ่ำยติดตั้งก่อ เมื่อไม่ปรำกฏว่ำจำเลยกระทำเพื่อจง ใจกลั่นแกล้งโจทก์ แม้ป้ำยโฆษณำของจำเลยจะอยู่ใกล้ และปิดบังป้ำยโฆษณำของ โจทก์บ้ำง ก็หำเป็นละเมิดต่อโจทก์ไม่ คำพิพำกษำฎีกำที่ 592/2544 ซอยพิพำทอันเป็นภำระจำยอมที่โจทก์ และจำเลยใช้ร่วมกันกว้ำงประมำณ 5 เมตร จำเลยวำงกระถำงต้นไม้บนทำงพิพำท ใกล้ประตูรั้วบ้ำนจำเลยเป็นผลให้ทำงแคบลงเหลือประมำณ 4 เมตร เป็นลักษณะ เดียวกับที่โจทก์ก่อกระถำงอิฐเป็นแนวเดียวกับตึกแถวที่อยู่ติดรั้ว บ้ำนโจทก์ และเพื่อ ป้องกันมิให้รถยนต์แล่นทับท่อระบำยน้ำตรงทำงพิพำท เมื่อโจทก์ยังคงขับรถยนต์
81
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
แล่นเข้ำออกได้เป็นปกติกำรกระทำของจำเลยในทำงพิพำทเป็นกำรใช้สิทธิโดยปกติ นิยมส่วนกำรวำงถังขยะไว้นอกบ้ำนเพื่อให้พนักงำนเก็บขยะมำเก็บไปทิ้งเช่นเดียวกับ คนทั่วไปถือปฏิบัติกันเมื่อกำรวำงถังขยะมิได้เกะกะกีดขวำงทำงเดินรถยนต์ ลักษณะ ของขยะก็มิได้น่ำรังเกียจส่งกลิ่นเหม็นรบกวนแต่อย่ำงใด กำรกระทำของจำเลยจึง เป็นกำรใช้สิทธิโดยปกตินิยม ไม่เป็นกำรละเมิดต่อโจทก์ ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 940/2501 พิ พำกษำให้จำเลยมีค วำมผิ ดละเมิ ด เพรำะสร้ำงโรงภำพยนตร์ในที่ดินของตน กำรตอกเข็มท ำให้ตึกข้ำงเคียงสะเทือน ดำดฟ้ำร้ำว ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 931/2523 เมื่ อ ส่ ว นหนึ่ ง ของสะพำนลอยที่ กรุงเทพมหำนครสร้ำงขึ้นเพื่อสำธำรณประโยชน์ แม้จะอยู่บนทำงเท้ำ แต่กีดขวำง ทำงเข้ำของโจทก์ โจทก์ ไ ด้รั บ ควำมเดื อดร้อ นเกิ นกว่ำ ปกติ และเหตุ อันควรเป็ น ละเมิด คำพิพำกษำฎีกำที่ 1982/2518 โจทก์กล่ำวอ้ำงตำมฟ้องว่ำ เหตุที่ตึก ของโจทก์ทรุดเอียงได้รับควำมเสียหำย เนื่องจำกจำเลยเก็บสินค้ำที่เป็นพื้นคอนกรีต ชั้นล่ำงของตึกจำเลย เกินกว่ำอัตรำที่พื้นคอนกรีตนั้นจะรับได้ทำให้พื้นคอนกรีตตึก จำเลยทรุดต่ำลงและเป็นเหตุให้ พื้นคอนกรีตของโจทก์ทรุดตำม ศำลฎีกำพิเครำะห์ แล้ววินิจฉัยว่ำ เหตุที่อำคำรตึกของโจทก์ทรุดแตกร้ำวและเอนเอียงเข้ำหำตึกของ จำเลย เป็นเพรำะจำเลยบรรทุกและเก็บสินค้ำที่พื้นคอนกรีตชั้นล่ำงของตึกจำเลยมี น้ำหนัก กินอัตรำ ทำให้พื้นคอนกรีตชั้นล่ำงของตึก จำเลยทรุดลง จึงท ำให้ ตึก ของ โจทก์ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกันทรุดตำมไปด้วยและด้วยเหตุน้ที ำให้พ้ืนคอนกรีต คำน และผนัง ตึกของโจทก์แตกร้ำว ตึกโจทก์เอนเอียงไปทำงตึกจำเลย กำรที่จำเลยบรรทุกและ เก็บสินค้ำในตึกของจำเลยมีน้ำหนักเกินอัตรำที่พื้นคอนกรีตชั้นล่ำงจะรับได้ เป็นกำร ใช้สทิ ธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหำยแก่โจทก์ เป็นกำรละเมิดต่อโจทก์ คำพิพำกษำฎีกำที่ 5613/2540 โจทก์ในฐำนะเจ้ำของสำมยทรัพย์ได้ใช้ ทำงพิพำทซึ่งเป็นภำรยทรัพย์ในลักษณะเกินขอบเขตปกติแห่งกำรใช้รถยนต์สัญจรไป มำเข้ำออกทำงพิพำท โดยโจทก์ใช้รถยนต์บรรทุกขนำดใหญ่จำนวนมำกบรรทุก
82
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
สินค้ำเข้ำออกผ่ำนทำงพิพ ำทอันเป็นที่เห็นได้ว่ำทำงพิพำทจะชำรุดเสียหำย ไม่ สะดวกและน่ำเป็นอันตรำยต่อผู้อื่นที่ใช้ทำง เสียงเครื่องยนต์รถบรรทุก กรรมกรบน รถยนต์บรรทุก ควันเสียจำกรถยนต์บรรทุก รบกวนสร้ำงควำมเดือดร้อนแก่ผู้อยู่ใน หมูบ่ ้ำนจนเป็นอันตรำยต่อสุขภำพ ถือได้ว่ำทำกำรเปลี่ยนแปลงในภำรยทรัพย์อันทำ ให้เกิดภำระเพิ่มขึ้นแก่ภำรยทรัพย์ ย่อมเป็นกำรกระทำโดยไม่มีสิทธิหรือไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 1388 กำรที่จำเลยที่ 1 ในฐำนะเจ้ำของ ภำรยทรัพย์ และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 15 ในฐำนะเจ้ำของสำมยทรัพย์ได้ร่วมกันตั้งเสำทำ คำนปิดกั้นทำงพิพ ำทมิให้รถยนต์บรรทุกขนำดใหญ่ผ่ำนเข้ำออก ส่วนรถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุกเล็กผ่ำนไปมำได้ ย่อมเป็นกำรกระทำของผู้มีอำนำจในทำงพิพำท ที่ จะปกป้องเยียวยำต่อกำรกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมำยของโจทก์ดังกล่ำว และเป็น กำรใช้สิทธิของเจ้ำของสำมยทรัพย์ทำกำรทุกอย่ำงอันจำเป็นเพื่อรักษำภำระจำยอม ตำม ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 1391 และกำรกระทำของจำเลยไม่ เป็นกำรประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภำระจำยอมลดไปหรือ เสื่อมควำมสะดวกตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 1390 จึงไม่เป็น กำรละเมิดต่อโจทก์ 2.5.6 คาพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง คำพิพำกษำฎีกำที1่ 971/2517 โจทก์จำเลยสมรสกันตำมประเพณี โดยตกลง ว่ำหำกจำเลยสำเร็จกำรศึกษำแล้วจำเลยจะไปจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ แต่เมื่อ จำเลยสำเร็จกำรศึกษำ จำเลยกลับไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ ดังนั้นกำรที่ โจทก์ต้องสูญเสียควำมเป็นสำว และอยู่กันฉันสำมีภริยำกับจำเลยโดยไม่จดทะเบียน สมรส เกิดจำกควำมสมัครใจของโจทก์ มิใช่เกิดจำกกำรกระทำละเมิดของจำเลย กำรที่จำเลยไม่จดทะเบียนสมรสกับโจทก์ก็มิใช่เป็นกำรกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือ เป็นกำรใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดควำมเสียหำยแก่โจทก์ไม่ จำเลยไม่ต้องใช้ค่ำสินไหม ทดแทนให้โจทก์ คำพิพำกษำฎีกำที่ 1617/2519 เจ้ำพนักงำนที่ดินสอบสวนเสนอรัฐมนตรี มหำดไทย มีคำสั่งไม่อนุมัติให้โจทก์ซึ่งอยู่กับหญิงต่ำงด้ำวซือ้ ที่ดนิ โดยมีเหตุควรเชื่อ ได้ว่ำ โจทก์ซื้อเพื่ออยู่ร่วมเป็นสิทธิแก่คนต่ำงด้ำว กำรกระทำของเจ้ำพนักงำนชอบ ด้วยกฎหมำย คำสั่งรัฐมนตรี เป็นที่สุดตำมประมวลกฎหมำยที่ดิน มำตรำ 741 เจ้ำ
83
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
พนักงำนกระทำโดยสุจริตมิได้เจตนำกลั่นแกล้งโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอน คำสั่งรัฐมนตรี และเรียกค่ำเสียหำยจำกเจ้ำพนักงำนและผู้จะขำยที่ดนิ คำพิพำกษำฎีกำที่ 1053/2521 เจ้ำหน้ำตำมคำพิพำกษำเชื่อว่ำร้ำนค้ำเป็น ลูกหนี้ จึงยืนยันให้เจ้ำพนักงำนบังคับคดียึดทรัพย์ในร้ำน เป็นกำรใช้สิทธิทำงศำล โจทก์ก็นำสืบไม่ได้ว่ำเจ้ำหนี้ไม่สุจริตจงใจให้โจทก์เสียหำย ไม่ถือเป็นละเมิด คำพิพำกษำฎีกำที่ 1590/2521 จำเลยฟ้องหย่ำสำมีระบุในฟ้องว่ำได้ส่งเสีย เลี้ยงหญิงอื่นคือโจทก์เป็นภริยำ เป็นคำกล่ำวในกระบวนพิจำรณำใช้สิทธิทำงศำล ไม่ปรำกฎว่ำจำเลยทำโดยไม่สุจริต ไม่เป็นหมิ่นประมำททั้งทำงแพ่งและทำงอำญำ นอกจำกนี้ขอให้ศึก ษำ คำพิพำกษำฎีก ำดังต่อไปนี้ป ระกอบ 7718/2538 843/2539 1695/2540 3815/2540 2296/2541 2299/2541 2.6 ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทากับผลเสียหาย บทบัญญัติมำตรำ 420 ตอนท้ำย กำรกระทำโดยผิดกฎหมำยเป็นเหตุให้ ผู้อื่นได้รับควำมเสียหำย หมำยควำมถึง กำรกระทำที่จะได้ชื่อว่ำเป็นละเมิด ผู้กล่ำว อ้ำงจะต้องนำสืบให้ศำลเห็นถึงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรกระทำกับผลเสียหำยให้ได้ ว่ำมีควำมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เพรำะมีสุภำษิตลำตินมีอยู่ว่ำ Res Ipsa Loquitur ควำม จริงย่อมปรำกฏขึ้นและเผยควำมจริงของตัวเอง ดังนั้น ผลของกำรกระทำเป็น อย่ำงไรก็ย่อมมีที่มำจำกกำรกระทำนัน้ - ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล (Causation) Fault
Damage
Causation
84
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ในกำรที่จะให้บุคคลใด ต้องรับผิดในผลของกำรกรทำของตนต้องปรำกฏว่ำ กำรกระทำ (งดเว้น ละเว้น) โดยจงใจหรือประมำทเลินเล่อ เป็นเหตุให้เ กิดควำม เสียหำย ซึ่งมีหลักวินิจฉัยโดยแบ่งเป็น 2 เรื่อง ซึ่งจะต้องพิจำรณำควำมสัมพันธ์ของ ทั้ง 2 ประกำรนี้ประกอบกันจึงจะถือว่ำละเมิด 1. ความสั ม พันธ์ของจาเลยต้องเป็ นเหตุท่ีนาไปยังผลความเสีย หาย โดยตรง (ผลธรรมดา) ของโจทก์ในความเป็นจริง (Causation in Fact) อุทาหรณ์ จำเลยนำรถที่เบรกไม่ดี (ถือว่ำผิดกฎหมำย มำตรำ 422) มำใช้ ในท้องถนน จำเลยขับรถชนรถของโจทก์เสียหำย โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยรับผิดฐำน ละเมิดตำมมำตรำ 420 จำเลยนำพยำนหลักฐำนมำสืบว่ำจำเลยมิได้มีโอกำสแตะ เบรกเลย เนื่องจำกรถโจทก์ขับฝ่ำไฟแดงตัดหน้ำรถจำเลยในระยะกระชั้นชิด ศำล เชื่อตำมที่จำเลยนำสืบ จะเห็นได้ว่ำควำมเสียหำยของโจทก์นั้นมิได้เกิดจำกกำรที่ รถยนต์ ข องจ ำเลยบกพร่ อ ง แต่ เ กิ ด เพรำะโจทก์ ขั บ รถตั ด หน้ ำ รถของจ ำเลย ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเหตุและผลในควำมเป็นจริงขำดกัน ไม่ถือว่ำเป็นละเมิด ซึ่งจะ เห็นได้ว่ำ กำรนำสืบของจำเลย เพื่อหักล้ำงข้อกล่ำวอ้ำงของโจทก์ เป็นควำมสำคัญ ยิ่งในคดีละเมิด เพื่อให้ศำลเห็นว่ำควำมเสียหำย (ผล) มิได้มีควำมเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กั น เพรำะเมื่อ พยำนหลั ก ฐำนปรำกฎชัด ในกระบวนพิจำรณำคดี ควำมจริงย่อ ม ปรำกฎขึ้นและเผยควำมจริงของตัวเอง (Res Ipsa Loquitur) กำรพิเครำะห์ถึงควำมสัมพันธ์ของจำเลยนีใ้ นประเทศอังกฤษศำลได้วำงหลัก ทดสอบว่ำมีควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเหตุกับผลหรือไม่ พิจำรณำจำก หำกจำเลยไม่ กระทำผลเสียหำยจะเกิดหรือไม่ หรือทฤษฎี เงื่อนไข (Condition Theory) เรียกว่ำ “But for test” กล่ ำ วคื อ โจทก์ ต้ อ งพิ สู จ น์ ใ ห้ ไ ด้ ว่ ำ ควำมเสี ย หำยจะไม่ เ กิ ด ขึ้ น ถ้ ำ จ ำเลยไม่ กระทำ ขอให้ย้อนกลับไปพิจำรณำคดี Barnett V. Chelsea หลัก But for test ทีศ่ ำลไทยได้นำมำปรับใช้วนิ ิจฉัยแก่คดี ยกตัวอย่ำงเช่น
85
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 1150/2498 จำเลยใช้ไม้พำยตีผู้ตำยซึ่งนั่งเรือลำเดียวกัน มำเรือล่ม ผู้ตำยจมน้ำตำย จำเลยจะต้องรับผิดเฉพำะผลที่ดีหรือผลที่ผู้ตำยจมน้ำ ตำยด้วย ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ ผู้ตำยกับจำเลยไม่มีสำเหตุกันมำก่อน ในวันนั้นเองก็ยัง ปรำกฎว่ำทั้งสองได้ร่วมวงเสพสุรำและเล่นลิ เกด้วยกัน เลิกแล้วจำเลยพำยเรือไปส่ง ผู้ตำยแต่บังเอิญ เถี ยงกั นขึ้นระหว่ำงทำง จำเลยจึงใช้พำยตีบ ำดแผลเพีย งฟกช้ำ เท่ำนั้น โดยปกติแล้วบำดแผลเท่ำนี้ไม่ถึงกับทำให้ตำยได้ จำเลยจึงไม่ควรมีควำมผิด ฐำนฆ่ำคนตำยโดยเจตนำแต่ถึงอย่ำงไร ควำมตำยของโจทก์ เกิดเพรำะเหตุที่จำเลยตี เพรำะหำกจำเลยไม่ตี เรือก็ไม่ล่ม และจำเลยก็ไม่จมน้ำตำย ดังนั้น ควำมตำยของ โจทก์จึงเป็นผลโดยตรงจำกกำรกระทำ (ตี) ของจำเลย คำพิพำกษำฎีกำที่ 1973/2477 หำกจำเลยใช้ควำมระมัดระวังพอแก่ฐำนะที่ เป็นผู้ขับรถรำงแล้ว ก็จะไม่มีทำงเป็นอันตรำยแก่โจทก์ ดังเหตุที่เกิดในคดีนี้ จำเลย จึงมีควำมผิดฐำนทำให้บำดเจ็บสำหัสโดยประมำท คำพิพำกษำฎีกำที่ 1431/2498 จำเลยขับรถยนต์โดยประมำทชนรถของ โจทก์ รถของโจทก์ไปกระแทกเสำไฟฟ้ำ ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ กำรที่รถของโจทก์ไป กระแทกกับ เสำไฟฟ้ำเป็นผลโดยตรงจำกกำลังแรงดันของกำรที่รถของจำเลยชน ไม่ใช่รถของโจทก์ไปชนเข้ำเอง จำเลยต้องรับผิด มีข้อสังเกต มำตรำ 222 วรรคสอง “แม้ควำมเสียหำยเกิดแต่พฤติกำรณ์ พิเศษ ถ้ำคำดเห็นได้ควำมรับผิดที่จะต้องใช้คำ่ เสียหำยในพฤติกำรณ์นนั้ ยังคงมีอยู่” คำพิพำกษำฎีกำที่ 1898/2518 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ำ คนขับรถของจำเลย ขับ รถโดยประมำทเป็นเหตุใ ห้ชนรถที่บ รรทุก ยำงรถยนต์ จนท ำให้ยำงรถยนต์ที่ บรรทุกตกลงไปจำกรถ จึงเห็นได้ว่ำ กำรที่ยำงรถยนต์ถูกคนร้ำนลักไปนั้นเกิดขึ้น เพรำะควำมผิดของคนขับรถของจำเลยที่ขับรถโดยประมำท เป็นเหตุให้ชนรถบรรทุก ยำง ซึ่งถ้ ำไม่ชนก็ ค งไม่ถู ก คนร้ำยลัก ในที่เ กิดเหตุ จึงนับ ว่ำกำรสูญ หำยของยำง รถยนต์เป็นผลโดยตรงจำกกำรละเมิดรำยนี้ จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่ำเสียหำยให้แก่ โจทก์ ในผลแห่งละเมิดของคนขับรถของจำเลย
86
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำข้ำงต้น ศำสตรำจำรย์จิต ติ ติงศภัทิย์ มีหมำยเหตุท้ำยฎีกำ โดยอธิบำยว่ำ กำรที่มีคนที่สำมเข้ำมำลักยำง หลักจำกที่เกิดเหตุคือรถชนกันแล้ว เป็นเหตุแทรกแซงที่เ กิ ด ขึ้นใหม่ซึ่งตำมหลัก จะต้อ งวินิจ ฉั ย ว่ำ เป็นที่ คำดหมำยได้ หรือไม่ว่ำน่ำจะเกิดเช่นนั้น อันเป็นผลจำกำกรละเมิดในครั้งแรกโดยเฉพำะกำรที่คน ภำยนอกท ำควำมเสี ย หำยขึ้น โดยจงใจ หลั ก ในเรื่ องควำมสั ม พัน ธ์ ระหว่ ำงกำร กระทำกับผลในทำงแพ่งกับทำงอำญำต่ำงกัน ทำงอำญำบุคคลจะต้องรับผิดในกำร กระทำที่บุคคลทำควำมผิดโดยเจตนำ แต่ในทำงแพ่ง แม้ผู้อื่นทำผิดโดยจงใจ ถ้ำเป็น ที่คำดหมำยได้ว่ำ เป็นผลจำกกำรทำละเมิดของผู้ใด (But for test) ผู้ทำละเมิดต้องรับผิด ในผลที่บุคคลภำยนอกกระทำโดยจงใจ (เพรำะควรคำดหมำยได้) เทียบเคียงกับคดี Stansbie V. Troman, 1948 จำเลยเป็นช่ำงตกแต่งบ้ำน มีหน้ำที่ ต้องระมัดระวัง บ้ำนที่ตนเข้ำไปรับจ้ำงตกแต่ง เมื่อมี เหตุที่คนร้ำยเข้ำไปขโมยของ เพรำะตนมิได้ปิดล๊อคบ้ำน ย่อมถือว่ำเป็นควำมประมำทเลินเล่อของจำเลย อุท าหรณ์ โจทก์ ไ ด้ รั บ บำดเจ็ บ เนื่ อ งจำกตกบั น ได ขณะไปใช้ บ ริ ก ำรใน สถำนที่ของจำเลย เนื่องมำจำกควำมประมำทเลินเล่อของจำเลยที่ ไ ม่ท ำควำม สะอำดสถำนที่ ภำยหลังโจทก์ได้ไปรักษำตัวจำกอำกำรบำดเจ็บดังกล่ำว หมอได้ฉีด ยำป้องกันโรคบำดทะยัก แต่ควำมปรำกฎว่ำ ในกำรฉีดยำกันบำดทะยักต้องฉีดยำ เป็น ระยะ ๆ ตำมขั้นตอนทำงกำรแพทย์ และได้ควำมว่ำ เมื่อให้ย ำไปจำนวนหนึ่ง จะต้องรออีกครึ่งชั่วโมงเพื่อดูอำกำรข้ำงเคียง แต่หมอกับไม่ปฏิบัติตำมขั้นตอน รอ เพียงนำทีเดียวและให้ยำเพิ่มจนครบ ขณะนั้น โจทก์ก็มิได้แสดงอำกำรข้ำงเคียงแต่ ประกำรใด ภำยหลังอีกประมำณ 1 สัปดำห์ โจทก์เกิดอำกำรแพ้ยำ มีผลข้ำงเคียงคือ ป่วยสมองอักเสบ (Brain Damage Encephalitis) กรณีเช่นนี้ ศำลวินิจฉัยให้จำเลยมีควำมรับ ผิดทำงละเมิด โดยคำพิพำกษำให้เหตุผลว่ำ กำรไม่ปฏิบัติตำมขั้นตอนกำรให้ยำ หำก มีข้อผิดพลำดอำกำรข้ำงเคียงต้องเกิดขึ้นภำยในเวลำที่ให้รอ ดังนั้น ควำมบกพร่อง ของแพทย์ จึ ง มิ ใ ช่ ส ำเหตุ ที่ ท ำให้ โ จทก์ เ จ็ บ ป่ ว ย ควำมเจ็ บ ป่ ว ยของโจทก์ เ ป็ น ผล โดยตรงมำจำกควำมประมำทเลินเล่อของจำเลย (Robinson V. Post Office, 1974, 2All ER 737)
87
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
หำกไม่ทำผลก็ไม่เกิด โจทก์ต้องนำสืบให้ให้ศำลเห็นให้ได้ว่ำ ควำมเสียหำย ของตนเกิดจำกควำมจงใจ หรือควำมประมำทเลินเล่อของจำเลย เช่น โจทก์เจ็บป่วย เนื่องจำกสำเหตุดื่มน้ำของจำเลย (เทศบำล) เพรำะน้ำดื่มมีสิ่งเจือปน (Stubbs V. City of Rochester)
คำพิพำกษำฎีกำที่ 131/2496 พิพำกษำว่ำ ในเรื่องละเมิดกฎหมำยดูผลแห่ง กำรกระทำอันเป็นผลธรรมดำ หรือผลโดยตรง หรือผลใกล้ชิดกับเหตุกำรณ์เ ท่ำนั้น จริงอยู่ ถ้ำจำเลยซึ่งเป็นเจ้ำหน้ำที่ของโจทก์เก็บรักษำสมุดเช็ค และตรำยำงบัญชีไว้ เองก็เป็นกำรป้องกันอย่ำงดี ผูร้ ้ำยจะหำโอกำสปลอมเช็คไปเบิกเงินของโจทก์ได้ยำก แต่นั่นเป็นควำมคิด เห็นของบุคคล หำมีก ฎหมำยบัญญัติว่ำ ผู้มีหน้ำที่เ ซ็นจำเลย (ผู้จัดกำรองค์กำรรถไฟสำยแม่กลอง) จะต้องใช้ควำมระมัดระวังรักษำดังที่โจทก์ ต้องกำรนั้นไม่ จึงอำจตำหนิจำเลยในทำงปกครองได้ แต่จำเลยไม่ต้องรับผิดฐำน ละเมิด เพรำะไม่ใช่ผลโดยตรงใกล้ชิดกับกำรกระทำของจำเลย คำพิพำกษำฎีกำที่ 4546/2540 ในกรณีที่บริษัทจะฟ้องร้องเรียกเอำสินไหม ทดแทนแก่กรรมกำรตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ 1169 และ 223 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่กรรมกำรทำให้เกิดควำมเสียหำยแก่บริษัท และควำมเสียหำย ดังกล่ำวจะต้องเป็นผลโดยตรงจำกกำรกระทำหรืองดเว้นในสิ่งที่ควรกระทำ โจทก์ ฎีกำว่ำจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นผู้กระทำกำรแทนจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นนิ ติบุคคล เมื่อนิติ บุ ค คลได้ รั บ ควำมเสี ย หำยย่ อ มต้ อ งเกิ ด จำกกำรกระท ำของผู้ ที่ ท ำกำรแทนนั้ น ปรำกฏว่ำควำมเสีย หำยในคดีนี้เ กิดจำกกำรที่ ส. ขับ รถบรรทุก แก๊สด้วยควำม ประมำทเลินเล่อทำให้รถพลิกคว่ำ ควำมเสียหำยที่เกิดเพรำะรถบรรทุกแก๊สมีสภำพ และอุปกรณ์ไม่ถูกต้องก็เป็นเหตุประกำรหนึ่งที่ทำให้ได้รับผลร้ำยแรงเท่ำนั้น แต่กำร ที่รถบรรทุกแก๊สมีสภำพและอุปกรณ์ไม่ถูกต้องนั้น มิใช่ผลโดยตรงของควำมเสียหำย เห็นได้จำกกำรที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์คันดังกล่ำวมำใช้งำนตั้งแต่ปี 2531 หำกจะถือ ว่ำเป็นกำรกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ในช่วงระยะเวลำที่ผ่ำนมำจนกระทั่งถึงวัน เกิดเหตุจำเลยที่ 1 ก็มิได้เสียหำย แม้จะเป็นกำรผิดกฎหมำยในส่วนของกำรที่นำ รถยนต์มำให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ชดใช้ค่ำเสียหำย ฉะนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้ำหนี้ในมูล ละเมิดจึงไม่มสี ิทธิที่จะเรียกให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ชดใช้ค่ำเสียหำยได้
88
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ตำมคำพิพำกษำฎีกำทั้งสองคดีนี้ ศำลยึดหลักผลโดยตรงเป็นหลัก แต่ต้อง คำนึงถึงควำมใกล้ชิดกับเหตุเป็นเครื่องมือในกำรวินิจฉัยให้จำเลยต้องรับผิดหรือไม่ ซึ่งเป็นกำรผ่อนปรนหลั ก กำรผลโดยตรง (ผลธรรมดำ) เพื่อ ประโยชน์แห่งควำม ยุ ติ ธ รรม ฉะนั้ น มำตรกำรประกำรที่ ส องจึ ง เข้ ำ มำใช้ พิ จ ำรณำถึ ง ควำมสั ม พั น ธ์ ระหว่ำงเหตุกับผล 2. ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลในทางหลักกฎหมาย
(Causation in
Law)
กล่ำวคือ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเหตุกับผลต้องไม่ ไกลเกินกว่ำที่จำเลยจะพึง คำดหมำยได้ (Remoteness of Damage) ผลที่จำเลยได้ทำขึ้นใน Causation in fact ต้องไม่ ห่ำงไกลเกินกว่ำเหตุ ถ้ำผลใดไกลเกินกว่ำเหตุ ถึงแม้ว่ำเป็นผลที่เกิดจำกจำเลย (But for test) จำเลยก็หำจำต้องรับผิดไม่ จำเลยจะรับผิดเฉพำะผลที่เกิดใกล้ชิดกำรกรทำ ของตนเท่ำนั้น (Proximate Cause) ขอให้ท่ำนพิจำรณำคดีต่ำง ๆ ดังต่อไปนี้ คดี Re Polemis (Polemis V. Furness, Whithy & Co, 1921 3 KB 560) จำเลยได้เช่ำเรือโจทก์ เพื่อบรรทุก น้ำมันเบนซินและ/หรือ น้ำมันปิโ ตรเลีย มบรรจุใ นถั ง ควำมปรำกฏว่ ำ ระหว่ำงเดินทำงในทะเล มีครำบน้ำมันที่รั่วออกมำจำกถังบรรจุน้ำมันไปตกค้ำงอยู่ใต้ ท้องเรือ และบำงส่วนได้ก ลำยเป็นไอน้ำมัน (Petro/Vapour) ซึ่งเมื่อเรือเข้ำจอดเทียบท่ำ คนงำนของจำเลยได้ทำไม้กระดำนสำหรับทอดเดินข้ำมตกลงไปในท้องเรือ เป็นเหตุ ทำให้เกิดประกำยไฟ (Spark) จนไฟลุกลำม และไอน้ำมันดังกล่ำวเกิดจุดระเบิดขึ้น เรือ ได้รับควำมเสียหำยทั้งหมด (Totally Destroyed) ข้อเท็จจริงในชั้นอนุญำโตตุลำกำร ได้ควำมตรงกันว่ำ สำเหตุของไฟประทุขึ้น มีสำเหตุจำกไม้กระดำนตกลงไปกระทบกับน้ำมัน/ไอน้ำมันที่ตกค้ำงอยู่ คนงำนของ จำเลยคงไม่อำจคำดหมำยได้ว่ำไม้กระดำนตกลงไปจะก่อให้เกิดควำมเสียหำยขนำด นั้น ศำลแห่ งคดี วินิ จฉั ย ว่ำ จริ ง อยู่ ตำมนั้น แต่ เ มื่ อ เป็ น ผลโดยตรงจำกควำม ประมำทเลินเล่อของคนงำนของจำเลย (All the Direct Consequences of the negligent act of their servants) จำเลยต้องรับผิด
89
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ท่ำนจะเห็นได้ว่ำ คดี Re Polemis ศำลยึดหลักผลโดยตรง ซึ่งในทำงวิชำกำรก็มี ผูค้ ัดค้ำนว่ำ จะมีใครคำดหมำยได้ถึงขนำดนั้น แต่ภำยหลังได้เกิดคดี ๆ หนึ่งที่ศำลได้กลั บมำถือหลัก Causation in Law ในคดี The Wagon Mound กล่ำวคือ Overseas Tankship เป็นโจทก์ฟ้อง Morts Dook & Engineering (1961, 1All ER 404) ข้อเท็จจริงได้ควำมว่ำ เรือเดินสมุทรชื่อ The Wagon Mound ได้บรรทุกน้ำมันเตำ ปริมำณมำก และโดยควำมประมำทเลินเล่อของคนงำนของจำเลย เป็นเหตุ ทำให้ น้ำมันเตำในเรือรั่วไหลลอยทะเลไปจนถึงอ่ำวเมืองท่ำใหญ่แห่งหนึ่ง ข้อเท็จจริงได้ ควำมว่ำ น้ ำมัน ได้ ล อยเข้ ำไปเป็น ระยะกว่ำ 600 ฟุต ในระหว่ ำงนั้น โจทก์ เ ป็ น อู่ ซ่อมแซมเรือและได้ทำกำรซ่อมแซมเรือ รวมถึงกำรเชื่อมโลหะอยู่ โดยโลหะที่ถูก หลอมเหลว (Molten Metal) ได้ตกลงไปในน้ำที่มีน้ำมันเตำลอยปนเปื้อนอยู่ ประกอบกับ อำกำศร้อนในช่วงเที่ยง ผนวกกับมีปุยฝ้ำย (Cotton) ลอยมำสำทับอีกโสตหนึ่ง จึงทำให้ ไฟลุกไหม้ และลุกลำมไปไหม้ท่ำเรือของโจทก์ ศำลแห่งคดีวินิจฉัยว่ำ ควำมเสียหำย ของโจทก์เช่นนี้ โดยปกติจำเลยมิอำจคำดหมำยได้ (Foreseeability) จำเลยจึงไม่ต้องรับ ผิดต่อควำมเสียหำยนั้น ท่ำนจะเห็นได้ว่ำ คดี Re Polemis คนงำนของจำเลย ทำไม้กระดำนหล่นกระทบ กับท้องเรือที่มีไอน้ำมัน จึงเกิดประกำยไฟและลุกลำม ทำให้เรือโจทก์เสียหำย ไม่มี เหตุแทรกซ้อนเข้ำมำ แม้ว่ำจะไกลเกินกว่ำคำดหมำยได้ แต่ควำมเสียหำยก็เป็นผล โดยตรงจำกกำรกระทำโดยประมำทเลินเล่อของจำเลย แต่ในคดี The Wagon Mound คนงำนของจำเลยกระทำโดยประมำทเลินเล่อ กล่ำวคือ ปล่อยให้น้ำมันเตำรั่วจำก เรือ แต่ลำพังนำมันเตำมำถึงท่ำเรือโจทก์ มิอำจก่อให้เกิดควำมเสียหำยได้ แต่ที่เกิด ควำมเสียหำยขึ้น เนื่องด้วยมีเหตุแทรกซ้อน โลหะหลอมเหลวที่คนงำนของโจทก์ กำลังซ่อมแซมเรืออยู่ จึงมิใช่ แต่เพียงผลที่เกิดโดยตรงจำกกำรกระทำของจำเลย และ (1) น้ำมันเตำจะลอยไปที่ใด ย่อมคำดหมำยไม่ได้ (2) เหตุแทรกแซงย่อมคำดหมำยไม่ได้เช่นกัน จำเลยจึงมิต้องรับผิด ชดใช้ค่ำเสียหำยที่เกิดขึ้น
90
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ในเหตุ เ ดี ย วกั น นี้ เจ้ ำ ของเรื อ ที่ ไ ด้ รั บ ควำมเสี ย หำยได้ ฟ้ อ งอู่ ซ่ อ มเรื อ เนื่องจำกไม่ใช้ค วำมระมัดระวัง ทำให้เรือโจทก์ที่ซ่อมแซมอยู่ได้รับควำมเสียหำย เนื่ อ งจำกจ ำเลยควรคำดหมำยได้ ว่ ำ เมื่ อ มี ค รำบน้ ำมั น ลอยมำเป็ น จ ำนวนมำก เช่นนั้น แล้วยังหลอมโลหะต่อไปจนทำให้เกิดไฟลุกไหม้ขึ้น สำมำรถคำดเห็นได้ว่ำ จะ เกิดควำมเสียหำยขึ้นกับเรือที่ซ่อมแซมอยู่ เพรำะจำเลยมีวิศวกรผู้เชี่ยวชำญประจำ สำนักงำน แม้วิศวกรจะพิจำรณำแล้วว่ำน้ำมันเตำนั้นโอกำสที่จะลุกติดไฟน้อยมำก เมื่อวิเครำะห์จำกอุณหภูมิของกำรเชื่อมโลหะ ซึ่งติดไฟได้ต้องประกอบด้วยสำเหตุ อื่นประกอบอีก แสดงว่ำจำเลยก็ทรำบแต่มิได้ปัดป้องควำมเสี่ยงนั้น จึงอยู่ในวิสัยที่ คำดหมำยได้ไม่ไกลเกินกว่ำเหตุ ต้องรับผิด (The Wagon Mound (No.2) Oversea Tankship V. Miller Steamship, 1966, 2 All 709)
อุทาหรณ์ นำยกิตติขับรถไปตำมถนนหลวง และจอดรถไว้ข้ ำงทำง (เวลำ ตอนกลำงคืน) โดยมิได้ให้อำณัติสัญญำณ นำยหมอดีขับรถมำตำมเส้นทำงนั้น และ มองไม่เห็นรถนำยกิตติในระยะไกล จะเห็นได้อีกทีในระยะกระชั้นชิด จึงมิอำจหัก หลบได้จงึ ชน พิจำรณำได้วำ่ (1) นำยกิตติจอดรถผิดกฎหมำยจรำจร จอดรถไว้ข้ำงทำงโดยมิได้ให้อำณัติ สัญญำณ (2) นำยหมอดีขับรถเร็วเกินกว่ำที่กฎหมำยกำหนด ศำลฎี ก ำวิ นิ จ ฉั ย ว่ ำ ควำมเสี ย หำยนี้ นำยกิ ต ติ ซึ่ ง ตกเป็ น จ ำเลยควร คำดหมำยได้ว่ำ อำจจะมีรถขับตำมมำแล้วเกิดภัยพิบัติขนึ้ ไม่ไกลเกินกว่ำเหตุ ความเสียหาย (Damage)
วิสยั
คาดหมายได้
ภาวะ
Foreseeability
91
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
อุทาหรณ์ โจทก์ต้องรับผิดในควำมเสียหำยหรือเจ็บป่วยของลูกจ้ำงที่ได้รับ อันตรำยจำกสภำพกำรทำงำนที่ไม่ปลอดภัย โจทก์ในฐำนะนำยจ้ำงต้องคำดหมำยได้ แม้ว่ำเริ่มแรกจะป่วยเจ็บก่อนลำมป่วยด้วยโรคร้ำยแรงในภำยหลัง แต่ต้องได้ควำม ว่ำ โรคร้ำยแรงนั้นเป็นผลสืบเนื่องมำจำกกำรป่วยเจ็บเล็กน้อยนั้น (Smith V. Leech Brain & Co., 1961)
คาดหมายได้ Foreseeability
ไม่ไกลเกินกว่าเหตุ Remoteness of Damage
Novus Actus Interveniens New Act Intervening
เหตุแทรกแซง
เหตุโดยธรรมชาติ
เหตุโดยบุคคลที่สาม
เหตุโดยผู้เสียหาย
Natural Events
Act of Third Parties
Act of the Claimant
จำกแผนผังข้ำงต้น ต้องทำควำมเข้ำใจเสียก่อนว่ำ กำรกระทำที่ก่อให้เกิดผล เสียหำยนั้น จำเลยต้องคำดหมำยได้ว่ำผลร้ำยจะต้องหรือน่ำจะเกิดขึ้นได้ สิ่งที่ จะ เกิดขึ้นหรือน่ำจะเกิดขึ้นนี้ตอ้ งอยู่ในวิสัยที่จะสันนิษฐำนได้ว่ำไม่ไกลเกินกว่ำเหตุ และ เช่นเดียวกันเพื่อหใควำมเป็นธรรมแก่ผู้กระทำ ผลเสียหำย (ผลร้ำย) ที่เกิดขึ้น หำก เกิ ด จำกเหตุ แ ทรกแซงไม่ ว่ ำ จะเกิ ด ขึ้ น โดยธรรมชำติ หรื อ บุ ค คลที่ ส ำม หรื อ
92
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ผู้ เ สี ย หำย ก็ ต้ อ งเป็ น เหตุ แ ทรกแซงที่ มี มู ล เหตุ เ หมำะสมด้ ว ย เหมื อ นอย่ ำ งค ำ พิพำกษำฎีกำที่ 1898/2518 ที่ถือว่ำระดับมำตรฐำนของวิญญูชนย่อมพึงคำดหมำย ได้ ในคดีทำงอำญำมีกำรยกตัวอย่ำงที่จำเลยผลักนำยหมอดี ล้มลงกับพื้นปรำกฏว่ำ นำยหมอดี เป็นคนที่ก ระหม่อมบำง เมื่อล้มลงหัวกระแทกพื้น จึงถึงแก่ควำมตำย เช่นนีย้ ่อมเกินควำมคำดหมำยของวิญญูชนทั่วไป เว้นเสียแต่จำเลยทรำยอยู่ก่อนแล้ว ว่ำนำยหมอดี มีสภำพร่ำงกำยเช่นนั้น ก็ต้องพิสูจน์ให้ศำลเห็นต่อไป หรือหำกเป็น หตุก ำรณ์ธ รรมชำติที่เ ข้ำมำแทรกแซงให้โ จทก์ต้องเสีย หำย ยิ่ง ขึ้ น เนื่ อ งจำกขำดรำยได้ เ พิ่ ม มำกขึ้ น เช่น เรื อ ของโจทก์ ไ ด้ รั บ ควำมเสี ย หำย เนื่องจำกถู ก เรือ จำเลยซึ่งแล่นมำโดยประมำทเลิน เล่อชน จนเสีย หำยต้ องจอด ซ่อมแซม เมื่อไม่สำมำรถนำกลับมำเพื่อใช้งำนได้เนื่องจำกช่วงเวลำนั้นมีพำยุใหญ่เข้ำ มำท ำให้ ข ำดรำยได้ ควำมเสี ย หำยที่เ พิ่ ม ขึ้น นี้ จำเลยหำมี ควำมรั บ ผิ ดไม่ (Carslogic steamship Co. V. Royal Norwegian Government, 1952) เช่นเดียวกับเหตุกำรณ์แทรกแซงที่เกิด จำกบุคคลที่สำม (Third Parties) จำเลยก็ต้องรับผิดหำกเป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยที่สำมำรถ คำดหมำยได้เช่นกัน ขอให้พิจำรณำจำกคดี Stansbie V. Troman, 1948 หรือหำกเป็นเหตุแทรกแซงที่เกิ ดขึ้นจำกผู้เ สีย หำยเอง และไม่เ กี่ย วเนื่อง สัมพันธ์กันระหว่ำงเหตุและผล จำเลยจำต้องรับบำปเครำะห์นั้นไม่ ขอให้พิจำรณำ ตำมคำพิพำกษำฎีกำที่ 13581369/2526 จำเลยได้ร้ือถอนห้องแถว เป็นเหตุให้สำมี โจทก์เสียใจเป็นอย่ำงมำกจึงไปกระโดดน้ำฆ่ำตัวตำย (Suicide, อัตวินิบำตกรรม) กำรที่ โจทก์ต้องเสียค่ำปลงศพสำมี และไม่ได้ขำยสินค้ำนั้น ควำมเสียหำยหำได้เกิดจำก กำรกระทำของจำเลยไม่ คำพิพำกษำฎีกำที่ 114/2510 จำเลยไม่ได้ขับรถเร็วและทำงลำกไม้ที่ขับมำนั้น เป็นทำงจำกัดบังคับให้ขับโดยทำงข้ำงหนึ่งเป็นคลองอีกข้ำงหนึ่งเป็นเขำ จะขับให้ห่ำง คลองไปอีกไม่ได้เพรำะติดเขำ กำรที่ลอ้ พ่วงเอียงนั้นก็เนื่องจำกที่ตรงนั้นเป็นหลุมเอำ หินกองไว้หนิ แตก เป็นเหตุให้ระดับล้อที่ผ่ำนไปทรุดต่ำลง และรถคันที่จำเลยขับไม่ได้ คว่ำ หำกผู้ตำยไม่ดว่ นตัดสินใจกระโดดจำกรถเหมือนคนอื่นก็คงไม่ได้รับอันตรำยแต่ อย่ำงใด ดังนี้หำใช่ควำมประมำทของจำเลยไม่
93
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เทียบเคียงกับคำพิพำกษำฎีกำที่ 1436/2511 เมื่อคดีฟังได้ว่ำจำเลยขับรถ ด้วยควำมประมำทแม้ผู้ตำยกระโดดลงจำกรถก่อน หำกแต่ในระยะกระชั้นชิดกั บ ภยันตรำยที่จะเกิดขึ้นและในที่สุดก็ได้เกิดขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงภยันตรำยเฉพำะหน้ำนั้น ก็ญังต้องถือว่ำ กำรกระทำของผู้ตำยเป็นผลอันเกิดใกล้ชิดและเนื่องมำจำกเหตุขับ รถประมำทของจำเลย จำเลยจึงต้งอรับผิดฐำนทำให้คนตำยโดยประมำท แต่อย่ำงไรก็ ดี เหตุแทรกแซงโดยผู้เ สีย หำยนั้น หำกอยู่ใ นวิสัย ที่ผู้ก ระท ำ ละเมิดคำดเห็นได้ ผู้กระทำย่อมได้ชื่อว่ำกระทำโดยประมำทเลินเล่อ เป็นเหตุให้เกิ ด ควำมเสียหำย (ผล) ซึ่งถือได้ว่ำไม่ไกลเกินไป (Remoteness of damage) จำเลยเป็น เจ้ำหน้ำทีต่ ำรวจที่ควบคุมผูต้ ้องหำอยู่ในโรงพัก และปรำกฏข้อเท็จจริงว่ำ ในระหว่ำง ชั้นสอบสวนผู้ต้องหำรำยนี้มีลักษณะหรือพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อกำรฆ่ำตัวตำย จะเห็น ได้ว่ำ แม้เหตุแทรกแซงดังกล่ำวเกิดขึ้น เพรำะตัวผู้เสียหำยเอง แต่เมื่อบุคคลนั้นมี หน้ำที่ (Duty) ก็ต้องมีพฤติกรรมที่แสดงโดยประจักษ์ว่ำ บุคคลนั้นได้ระมัดระวังอย่ำง เต็มที่แล้ว ในคดีนี้มิได้ปรำกฏว่ำเจ้ำหน้ำที่ตำรวจได้ปฏิบั ติกำรใด ๆ เพื่อป้องปัดภัย ควำมเสี่ย งดั งกล่ำว ศำลจึง วินิ จฉั ย ให้ จำเลยต้ องชดใช้ค่ ำสิ นไหมทดแทน ควำม เสียหำยที่เกิดขึ้นเป็นเพรำะควำมประมำทเลินเล่อของจำเลย (Reeves V. MPC, 1999, Kirkham V. Anderson ,1990, Pigney V. Pointer, 1957)
หรือ จำเลยในฐำนะนำยจ้ำงต้องรับ ผิดชอบ ในควำมเสี ย หำยที่ เ กิ ด ขึ้ น กั บ ลู ก จ้ ำ ง ตำมที่ ไ ด้ เ คย แสดงให้เ ห็นแล้ วว่ำ นำยจ้ำงต้องคำดหมำยได้ เมื่อ โจทก์ (ลูก จ้ำง) ได้รับบำดเจ็บ (Injury) ที่ขำข้ำงซ้ำย เนื่องเพรำะกำรปฏิบัติงำน กำรที่ขำข้ำงซ้ำยบำดเจ็บ จึงส่งผลท ำให้สมรรถนะกำรเดินของโจทก์ไ ม่คล่อง และมีประสิทธิภำพ ซึ่งวันหนึ่งโจทก์ต้องเดินขึ้นที่บันได และเหตุที่ตนขำเจ็บทำให้ต ก ลงมำ เหตุกำรณ์ที่สองที่ทำให้โจทก์ต้องบำดเจ็บซ้ำอีกนี้ ท่ำนจะเห็นได้ว่ำเป็นเรื่องที่ โจทก์ต้องระมัดระวังตัวเอง ควำมเสียหำย มิใช่ภำระของจำเลยที่ต้องระมัดระวังจึงมิ อำจถือได้ว่ำเหตุกำรณ์ที่หนึ่งกับเหตุกำรณ์ใหม่เกี่ยวพันกันแต่อย่ำงใด จำเลยมิต้อง รับผิด (Mckew V. Holland Hannen & Cubitts & Co, 1969, 3 ALL ER 1621)
94
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
2.7 ความเสียหาย “ให้ เ ขาเสี ย หายแก่ ชี วิ ต ก็ ดี แก่ ร่ า งกายก็ ดี อนามั ย ก็ ดี เสรี ภ าพก็ ดี ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทาละเมิด” นอกจำกองค์ประกอบต่ำง ๆ ข้ำงต้นแล้ว ผู้นั้นจะได้ชื่อ ว่ำเป็นผู้ทำละเมิด ต้องปรำกฏข้อเท็จจริงที่ฝ่ำยโจทก์ตอ้ งนำสืบให้ศำลเห็นว่ำ โจทก์ได้รับควำมเสียหำย อย่ำงไร และเพียงใด ซึ่งมำตรำ 420 ได้รับรองควำมเสียหำยไว้ตำมกรณีตำ่ ง ๆ ดังนี้ 1. ควำมเสียหำยแก่ชีวต ิ 2. ควำมเสียหำยแก่รำ่ งกำย 3. ควำมเสียหำยแก่อนำมัย 4. ควำมเสียหำยแก่เสรีภำพ 5. ควำมเสียหำยแก่ทรัพย์สน ิ 6. ควำมเสียหำยแก่สท ิ ธิอื่นใด ควำมเสียหำยที่กฎหมำยรับรองไว้นั้น สำมำรถแบ่งได้เป็น 2 กรณีกล่ำวคือ อำกำรแห่งควำมบำดเจ็บแก่ชีวิต (ตำย) ร่ำงกำย อนำมัย หรือเสรีภำพ ที่เรียกรวม ๆ ว่ำ Physical injury และควำมเสียหำยในทำงทรัพย์สิน ที่เรียกรวม ๆ ว่ำ Physical damage to the claimant’s property ซึ่งควำมเสียหำยดังกล่ำวสำมำรถพิสูจน์ได้ด้วยทำงจักษุ หรือ รูปธรรม กรณีเช่นนี้ ศำสตรำจำรย์ไพจิตร ได้ให้ควำมเห็นว่ำไม่มีควำมจำเป็นที่ต้อง บัญญัติว่ำเสียหำยต่ำง ๆ ตำมข้ำงต้น บัญญัติเพียงแค่คำว่ำ “สิทธิ” ก็ครอบคลุม เพียงพอแล้ว แต่กระนัน้ มีควำมเสียหำยบำงอย่ำงเกิดขึน้ ที่มิใช่รูปธรรม ซึ่งเป็นอันตรำยแก่ จิตใจ และ/หรือกำรขำดโอกำสทำงเศรษฐกิจ (ขำดทุน) หรือค่ำเสียหำยที่อำจจะ เกิดขึ้นในอนำคต ดังนี้จะถือได้หรือไม่ว่ำควำมเสียหำยดังกล่ำวผู้กระทำละเมิดต้อง ชดใช้ค่ำสินไหมทดแทน
95
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
2.8 หมิ่นประมาททางแพ่ง มาตรา 423 บัญญัติว่ำ “ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความ อันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น ก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทามาหาได้ หรือทางเจริญของเขาโดยประการ อื่นก็ ดีท่านว่ าผู้นั้นจะต้อ งใช้ ค่าสินไหมทดแทนให้แ ก่ เ ขาเพื่อ ความเสีย หาย อย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หาก ควรจะรู้ได้ ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับ ข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสาร เช่นนั้นหาทาให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่” หมิ่นประมำททำงแพ่งหรือกำรละเมิดบุคคลอื่นโดยกำรแสดงข้อควำมเท็จ (ฝ่ำฝืนต่อควำมจริง) ต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทำละเมิดใส่ควำมผู้อื่นต่อบุคคลที่สำม เทียบเคียงได้กับหมิ่นประมำทในคดีอำญำ มำตรำ 326 “ผู้ใดใส่ควำมผู้อื่นต่อบุคคล ที่ส ำม โดยประกำรน่ำจะท ำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสีย ง ถู กดูหมิ่น ถูก เกลียดชัง ผู้นั้น กระทำควำมผิดฐำนหมิ่นประมำท...” คำพิพำกษำฎีกำที่ 124/2487 กำรที่มีประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 423 ไว้ มิได้หมำยควำมว่ำ กำรพูดอันเป็นกำรละเมิดสิ ทธิของผู้อื่นจะมีได้ เฉพำะในกรณีดังบัญญัติไว้ในมำตรำ 423 เท่ำนั้น (หมิ่นประมำท) กำรสบประมำท ซึ่งบำงที่เรียกว่ำหมิ่นประมำทซึ่งหน้ำอันไม่อยู่ภำยใต้มำตรำ 423 (ดูหมิ่น) จะเป็น ละเมิดหรือไม่ต้องพิจำรณำแล้วแต่ว่ำต้องตำมข้อบัญญัติแห่งมำตรำ 420 หรือไม่ หำกต้องก็เป็นละเมิด จะเห็นได้ว่ำ จะเข้ำหลัก มำตรำ 423 ได้แก่ควำมผิดเรื่องหมิ่นประมำท ที่ กฎหมำยอำญำอธิ บ ำยไว้ ว่ำ คื อกำรใส่ค วำมผู้ อื่น ต่อ บุค คลที่ สำม แต่ ก รณีห มิ่ น ประมำททำงแพ่ ง นั้ น กฎหมำยมี เ งื่ อ นไขว่ ำ กำรใส่ ค วำมต่ อ บุ ค คลที่ ส ำมำรถนั้ น ข้อควำมที่ผู้นั้นไขข่ำวแพร่หลำยต้องเป็นข้อควำมที่เป็นเท็จ ซึ่งตรงกันข้ำมกับหมิ่น ประมำทในทำงอำญำที่กำรใส่ควำมกฎหมำยมิได้บัญญัติว่ำข้อควำมนั้นจะต้องเป็น
96
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ควำมเท็จเสมอไป แม้เรื่องบำงเรื่องเป็นควำมจริงแต่ทว่ำควำมจริงที่ใส่ควำมนั้นทำ ให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือแม้แต่น่ำจะเสียหำยต่อเรื่องต่ำง ๆ ดั ง กล่ ำ วผู้ นั้ น ก็ ไ ด้ ชื่ อ ว่ ำ เป็ น ผิ ด ฐำนหมิ่ น ประมำทที่ เ รี ย กว่ ำ “ยิ่ ง จริ ง ยิ่ ง หมิ่ น ประมาท” (The Greater the truth, the greater the libel) เช่น นำยกิตติทรำบว่ำนำยหมอดีมี ภรรยำน้อย และเป็นเรื่องจริง เมื่อนำยกิตติเที่ยวนำเรื่องนี้ไปเปิดเผยสู่สำธำรณะทำ ให้นำยหมอดีเสื่อมเสียก็มีควำมรับผิดฐำนหมิ่นประมำทในทำงอำญำ แต่ในมำตรำ 423 ไม่มีควำมรับผิดเนื่องจำกมิได้ฝำ่ ฝืนต่อควำมจริง ข้อสังเกต หำกบุคคลนั้นไขข่ำวแพร่หลำยซึ่งอำศัยข้อควำมจริง แต่มีผลร้ำย แก่บุคคลอื่น ย่อมไม่เข้ำด้วยเงื่อนไขมำตรำ 423 แต่มิได้หมำยควำมผู้นั้ นไม่มีควำม รับผิด หำกครบองค์ประกอบตำมมำตรำ 420 ทั้งนี้ หำกนำยกิตติได้เตือนภรรยำน้อยของนำยหมอดี ว่ำเธอไปมีอะไรกับ หมอดี หรื อ เปล่ำ ถ้ ำ มีใ ห้เ ลิ ก เสีย เพรำะหมอดีเ ค้ำ มีภ รรยำอยู่ แล้ ว ถือ ว่ ำไม่ห มิ่ น ประมำทเพรำะเป็นเพียงกำรคำดคะเน ตำมวรรคหนึ่ง หลักเกณฑ์แห่งกำรรับผิดตำมมำตรำ 423 1. ต้องมีการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ (ฝ่ำฝืนต่อควำมจริง จะทั้งหมด หรือแต่เพียงบำงส่วนก็ตำม) ไม่ว่ำโดยวิธีกล่ำวด้วยวำจำ ไขข่ำวแพร่หลำย เป็นลำย ลักษณ์อักษร หรือโดยใช้ สื่อชนิดใดก็ตำม ไม่ว่ำจะเป็น กำรวำดภำพ ปั้นรูป กิริยำ ท่ำทำงแสดงออก ทำเครื่องหมำยสัญลักษณ์ ฯลฯ อุทำหรณ์ การใช้ช่อื เครื่องหมายสัญลักษณ์ฝ่าฝืนต่อความจริง คำพิพำกษำฎีกำที่ 121/2539 ศูนย์ประสำยงำนทหำรกองหนุนแห่งชำติ ซึ่ง เป็นส่ว นรำชกำรของส ำนัก งำนนำยกรัฐ มนตรี โจทก์ยินยอมให้จำเลยนำชื่อกลุ่ม สมำชิก กนช. มัคคุเทศก์และเครื่องหมำยรำชกำรไปใช้ได้ในขณะเปิดที่ทำกำรห้ำง หุ้นส่วนจำกัดของจำเลย ขณะนั้นไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ แต่โจทก์จะยกเลิกควำม ยินยอมนั้นเสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อโจทก์ยกเลิกแล้ว จำเลยก็ไม่อำจใช้ได้อีกต่อไป กำรที่ โจทก์บอกให้จำเลยยกเลิกเพิกถอนกำรใช้ชื่อและเครื่องหมำยรำชกำรของโจทก์แล้ว แต่ จ ำเลยยั ง คงใช้ ชื่ อ “กลุ่ ม สมำชิ ก กนช.” เป็ น ชื่ อ ของจ ำเลยและยั ง คงน ำเอำ
97
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เครื่องหมำยรำชกำร ซึ่งเป็นของโจทก์ไปติดไว้ที่ป้ำยชื่อที่ทำกำรของจำเลยต่อไปอีก ย่อมเป็นกำรแอบอ้ำงอำศัยชื่อหน่วยงำนของโจทก์ไปใช้เพื่อแสวงหำผลประโยชน์ใน กิจกำรของตนและเป็นกำรไขข่ำวแพร่หลำยซึ่งข้อควำมอันฝ่ ำฝืนต่อควำมจริง เพื่อ หลอกหลวงประชำชนทั่วไปและหน่วยรำชกำรต่ำง ๆ ให้เกิดควำมเข้ำใจผิดว่ำศูนย์ ดังกล่ำวมีส่วนร่วมในกำรดำเนินกิจกำรค้ำด้ำนธุรกิจกำรท่องเที่ยวของจำเลยเป็นที่ เสียหำยแก่ชื่อเสียงและเกียติคุณของโจทก์ จึง เป็นกำรกระทำละเมิดต่อโจทก์ตำม ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 423 สำนักนำยกรัฐมนตรีโจทก์เป็นส่วนรำชกำรมิได้มีวัตถุประสงค์ในทำงกำรค้ำ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยที่ต้องขำดประโยชน์จำกกำรประกอบธุรกิจ ท่องเที่ยว อย่ำงไรก็ดี เมื่อจำเลยได้กระทำ ละเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้ชื่อเสียงและ เกียรติคุณของโจทก์ต้องเสียหำย ศำลย่อมมีอำนำจกำหนดค่ำเสียหำย ให้โจทก์ได้ ตำมควรแก่พฤติกำรณ์และควำมร้ำยแรงแห่งละเมิด ตำม ประมวลกฎหมำยแพ่ง และพำณิชย์ มำตรำ 438 หลังจำกที่โจทก์มีหนังสือบอกกล่ำวให้ห้ำงหุ้นส่วนจำกัด จำเลยยกเลิกเพิก ถอนกำรใช้ชื่อกลุ่มสมำชิก กนช. มัคคุเทศก์ เป็ นชื่อจำเลยและเครื่องหมำยรำชกำร ของโจทก์แล้ว จำเลยก็ยังคงใช้ชื่อและเครื่องหมำยรำชกำรดังกล่ำวโดยนำไปติดไว้ที่ ป้ำยชื่อที่ทำกำรของจำเลยต่อมำ โจทก์จึงถูกโต้แย้งสิทธิอยู่ตลอดเวลำ แม้ขณะยื่น คำฟ้อง คดีของโจทก์จึงไม่ขำดอำยุควำม กำรละเมิดต่อชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น บทบัญญัติมำตรำ 423 และ 447 แห่งประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ กำหนดให้ผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่ำ สินไหมทดแทนแก่เข้ำ เพื่อควำมเสียหำยอย่ำงใด ๆ อันเกิดแต่กำรนั้น และศำลอำจ สั่งให้ผู้กระทำละเมิดจัดกำรตำมควรเพื่อให้ชื่อเสียงของผูน้ ั้นกลับคืนดีเท่ำนั้น ที่โจทก์ ขอให้เพิกถอนทะเบีย นชื่อห้ำงหุ้นส่วนจำกัดจำเลย เป็นกรณีที่บ ทบัญญั ติมำตรำ ดังกล่ำวมิได้ให้ควำมคุ้มครองไว้ ศำลไม่อำจพิพำกษำให้โจทก์ตำมคำขอดังกล่ำวได้
98
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ข้อความต้องเป็นเท็จ คำพิพำกษำฎีกำที่ 6499/2540 จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใหญ่บ้ำนในท้องที่เกิดเหตุ มำนำนประมำณ 15 ปี แ ล้ว ย่ อ มทรำบควำมเป็ น มำของหมู่ บ้ำ นตลอดจนควำม เดือดร้อนของชำวบ้ำนอย่ำงแท้จริงเมื่อไม่สำมำรถขอควำมช่วยเหลือจำกหน่วย รำชกำรใด ๆ และควำมเดือดร้อนเหล่ำนั้นก็ยังคงมีอยู่จึงเป็นธรรมดำที่จำเลยทั้งหก กับพวก ซึ่งเป็นข้ำแผ่นดินจะพึงระลึกถึงพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว อันเป็นที่พึ่ง สุดท้ำยของพสกนิกรทั้งปวง หนังสือทรำบบังคมทูลของจำเลยทั้งหกกับพวกโดยหวัง ในพระเมตตำบำรมีของพระองค์ท่ำนในอันที่จะขจัดปัดเป่ำควำมเดือดร้อนที่มีอยู่ให้ ระงับสิ้นไปเท่ำนั้น หำได้มีเจตนำที่จะทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งโจทก์เป็นผู้ถือ กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่มีกำรถมดินรุกล้ำลำรำงหรือลำลำดสำธำรณประโยชน์สืบต่อ จำกผู้กระทำกำรดังกล่ำว หำได้พ้นจำกควำมรับผิดไปได้ไม่ ข้อควำมดังกล่ำวจึงไม่ เป็นเท็จแต่อย่ำงใด ดั งนั้น กำรทำหนังสือกรำบบังคมทูลต่อพระบำทสมเด็จพระ เจ้ำอยู่หัวจึงไม่เป็นกำรละเมิดต่อโจทก์ ค ำ พิ พ ำ ก ษ ำ ข้ ำ ง ต้ น พ ฤ ติ ก ำ ร ณ์ ประกอบกำรกระทำของจำเลยสำมำรถพิจำรณำได้ 2 นัย กล่ำวคือ นัยแรกเป็นเรื่อง จริง นัยสองใช้สทิ ธิโดยสุจริต คำพิพำกษำฎีกำที่ 844/2494 กำรที่จำเลยไปแจ้งต่อผู้ใหญ่บ้ำนว่ำ ก. เป็น ผูร้ ้ำยปล้นทรัพย์ฆ่ำคน ซึ่งจำเลยรู้ว่ำไม่เป็นควำมจริง ทั้งนี้เพื่อให้ ผู้ใหญ่บ้ำนคัดค้ำน ต่อพระอุปัชฌำย์ ผู้ใหญ่บ้ำนมีหนังสือถึงพระอุปัชฌำย์ จึงไม่บวชให้ ก. นั้น นับได้ว่ำ จำเลยกระท ำละเมิ ด แล้ ว พี่ชำยของ ก. เป็น เจ้ำ ภำพและออกเงิ นซื้ อของในกำร อุปสมบทย่อมมีอำนำจเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่ำเสียหำย คำพิพำกษำฎีกำที่ 5249/2542 จำเลยเป็นบรรณำธิกำรมีหน้ำที่รับผิดชอบ ในกำรจัดทำ ตรวจแก้ คัดเลือก หรือควบคุมบทประพันธ์หรือสิ่งอื่นในหนังสือพิมพ์มิ ให้ บ ทประพั นธ์ ห รื อ ข้ อ ควำมที่ ล งพิ ม พ์ ก ระทบต่ อ สิ ท ธิข องบุ ค คลอื่น หรื อ ขั ด ต่ อ จรรยำบรรณของหนังสือพิมพ์ และต้องไม่ผิดต่อกฎหมำย หำกมีข้อควำมใดละเมิด สิทธิของบุคคลอื่น หรือผิดต่อกฎหมำย จำเลยต้องรับผิดเสมือนหนึ่งจำเลยเขียน ข้อควำมนั้นด้วยตนเอง กำรที่หนังสือพิมพ์สยำมบันเทิงรำยสัปดำห์ลงข้อควำมหมิ่น ประมำทโจทก์ทำให้บุคคลอื่นเข้ำใจว่ำโจทก์มีควำมสัมพันธ์ทำงเพศกับนำยศ. อัน
99
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เป็นควำมเท็จและเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชำชนอีกทั้งข้อควำมใน กรอบข่ำวที่ลงข้อควำมหมิ่นประมำทโจทก์ยังส่อไปในทำงลำมกอนำจำร ไม่เป็นกำร สร้ำงสรรค์และขัดต่อจรรยำบรรณของหนังสือพิมพ์ แม้ศำลอุทธรณ์จะลงโทษจำคุก จำเลยเพียง 3 เดือน ไม่เกิดผลในกำรแก้ไขให้จำเลยกลับตนเป็นคนดีได้ก็ตำม แต่ กำรลงโทษจ ำคุ ก ระยะสั้ น ก็ ยั ง ท ำให้ จำเลยหลำบจำและเป็ นกำรปรำมผู้ อื่น มิ ใ ห้ กระทำผิดเช่นเดียวกับจำเลยที่ศำลอุทธรณ์ไม่รอกำรลงโทษให้จำเลยนั้น ศำลฎีกำ เห็นพ้องด้วย ฎีกำของจำเลยฟังไม่ขนึ้ ศำลฎีกำพิพำกษำยืน 1.1 ข้อควำมเท็จที่ว่ำต้องไม่รวมถึงคำด่ำทอที่เป็นไปไม่ได้ เว้นแต่ว่ำ คำด่ำทอนั้นจะแสดงข้อเท็จจริงในตัวคำด่ำได้ เช่น ด่ำว่ำเป็นสัตว์ต่ำง ๆ เช่น เหี้ย สัตว์เดรัจฉำน ชำติหมำ หมูสกปรก เป็นผีห่ำซำตำน ผีปอบ ในทำงกฎหมำยไม่ถือว่ำ เป็นกำรกล่ำวเท็จ เนื่องจำกเป็นไปไม่ได้ ถือเป็นเพียงคำหยำบคำยไม่สุภำพไม่ควร พูดในที่สำธำรณะเท่ำนั้น จึงไม่เข้ำหลักเกณฑ์มำตรำ 423 แต่อำจมีควำมรับผิดตำม มำตรำ 420 ได้ เพรำะกำรด่ำทอถือว่ำเป็นกำรกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมำย ถือว่ำ ก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่สิทธิที่จะไม่ให้ใครมำด่ำทอได้ อุทำหรณ์ นำยกิตติขึ้นกล่ำวปรำศรัยกับชำวบ้ำน พูดถึงนำยหมอดีว่ำ นำย หมอดีเป็นนักกำรเมืองท้องถิ่นที่มีคุณภำพ มี กำรศึกษำสูง จบปริญญำทั้งด้ำนกำร บัญชีและกฎหมำย ดังนัน้ จึงเป็นนักกำรเมืองที่เชี่ยวชำญหำตัวจับได้ยำก ถือเป็นโชค ดีของพ่อแม่พี่น้องที่มนี ักกำรเมืองท้องถิ่นที่มคี ุณภำพสูงขนำดนี้ ไม่ต้องห่วงเลยครับ ว่ำ นำยหมอดีสำมำรถเข้ำไปจัดสรรงบประมำณจำกโยกงบประมำณจำกเรื่องนี้ม ำ ทำเรื่องนี้ได้ง่ำยมำกเพรำะเชี่ยวชำญเรื่องตกแต่งบัญชี และหำช่องว่ำงทำงกฎหมำย กรณีนีเ้ ป็นหมิ่นประมำท ท่ำนจะเห็นได้ว่ำ เส้นแบ่งของหมิ่นประมำทกับคำกล่ำวที่ไม่ควรกล่ำวมิใช่อยู่ ที่ ค ำที่ แ สดงออกมำอย่ ำ งเดี ย ว แต่ ต้ อ งพิ จ ำรณำที่ ส ำระส ำคั ญ ของกำรพู ด ว่ ำ จุ ด มุ่ ง หมำยเพื่ อ อย่ ำ งไร กำรที่ นั ก กำรเมื อ งพู ด มี ค รั บ ทุ ก ค ำ ใช้ ค ำระรื่ น หู มิ ไ ด้ หมำยควำมว่ำจะชอบด้วยกฎหมำยเสมอไป
100
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
อุทำหรณ์ นำยกิตติ ด่ำทอนำงสำวปูว่ำ “ดอกทอง” ต่อหน้ำธำรกำนัลคำด่ำ ทอต่อนำงสำวปูเป็นทั้งดูหมิ่นซึ่งหน้ำและในขณะเดียวกันถือเป็นกำรแสดงข้อควำม เท็จต่อนำงสำวปูทำให้ชื่อเสี ยง เกียรติคุณได้รับควำมเสียหำย เพรำะวิญญูชนทั่วไป ย่อมเข้ำใจอย่ำงดีว่ำควำมหมำยของคำว่ำ “ดอกทอง” สื่อนัยควำมหมำยว่ำเป็น ผู้หญิงไม่ดี เนื่องจำกค ำว่ำดอกทองท ำให้คนทั่วไปเข้ำใจควำมหมำยเป็นหมิ่น ประมำทได้ จึงมีควำมตำมผิดมำตรำ 423 หรือค่ำทอว่ำ อีกระหรี่ เป็นต้น อุ ท ำหรณ์ นำยกิ ต ติ เห็ น พระบิ ณ ทบำตรผ่ ำ นมำร้ อ งตะโกนด่ ำ ว่ ำ ไอ้ จ้ึ ง เหลืองมำแล้วโว้ย กูไม่นับถือมัน ไม่มีควำมผิดฐำนหมิ่นประมำท ผิดฐำนดูหมิ่น ซึ่ง หน้ำ 1.2 กรณีข้ำงต้นมิให้หมำยรวมถึงคำมั่นสัญญำหรือกำรคำดกำรณ์ ในอนำคต หรือมิใช่ข้อควำมที่ยืนยัน เว้นแต่ จะมีกำรคำดหมำยมำตั้งแต่ต้นแล้วว่ำที่ กล่ำวนั้นเป็นเท็จ เช่น มีเ จตนำอยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่ำจะไม่ท ำนิติกรรมแต่เ จรจำให้ผิดไปจำก เจตนำ อุทำหรณ์นำยกิตติไปขอกู้ยืมเงินจำกนำยหมอดี 100,000 บำท นำยหมอดี ปฏิเสธ โดยบอกนำยกิตติว่ำ ถ้ำไม่มีโฉนดที่ดินมำให้ยึดถือไว้ จะไม่ให้ยืมเงิน นำย กิตติ บอกกลับไปว่ำเอำเงินมำก่อนวันนี้ แล้วพรุ่งนี้จะนำที่ดินมำให้ พอถึงกำหนด นำยกิตติไม่ยอมไปจดจำนอง กรณีดังกล่ำวหำกนำยหมอดีพิสูจน์ให้ศำลเห็นได้ว่ำ เจตนำที่แท้จริงของนำยกิตติไม่ต้องกำรไปจดจำนองจริง เช่นนี้ถือว่ำนำยกิตติไขข่ำว อันเป็นเท็จ คำพิพำกษำฎีกำที่ 6018/2541 จำเลยเป็นทนำยควำมให้ จ. ซึ่งถูกโจทก์ฟ้อง ขอแบ่งมรดกและขอดำเนินคดีอย่ำงคนอนำถำ ในกำรไต่สวนคำร้องจำเลยได้ซักค้ำน โจทก์ว่ำ “โจทก์เป็นโจรรุ่นเดียวกับเสือขำวใช่ไหม” ดังนี้ กำรที่จำเลยซักค้ำนโจทก์ ดังกล่ำวเป็นกำรถำมพยำนในเวลำพิจำรณำคดีเพื่อกำรวินิจฉัยชั่งน้ำหนั กคำพยำน ไม่ใช่ขอ้ ควำมที่ยืนยันว่ำโจทก์เป็นโจรจึงไม่เป็นกำรใส่ควำมกำรกระทำของจำเลยไม่ เป็นกำรกระทำละเมิดต่อโจทก์
101
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
2. จาเลยจะต้องจงใจ (รู้ว่าเป็นเท็จ) หรือประมาทเลินเล่อ (ควรรู้ว่ำ ข้อควำมเป็นเท็จ กฎหมำยใช้คำว่ำ แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รคู้ วำมนั้นไม่จริง แต่หำกควรจะ รู้ได้) เรื่องเจตนำนีเ้ ป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจำรณำเป็นรำยกรณีไป 3. เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียหาย 3.1 ใส่ควำมต่อบุคคลที่ 3 และ 3.2 ควำมเสียหำยดังต่อไปนีเ้ กิดขึ้นแก่ผถู้ ูกใส่ควำม 3.2.1 ชื่อเสียง 3.2.2 เกียรติคุณ 3.2.3 ทำงทำมำหำได้ 3.2.4 ทำงเจริญอย่ำงอื่น ความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 237-238/2514 กำรที่ จ ำเลยไขข่ ำ วแพร่ ห ลำยซึ่ ง ข้ อ ควำมอั น ฝ่ ำ ฝื น ต่ อ ควำมจริ ง ว่ ำ โจท ก์ เป็ น ผู้ ไ ม่ นิ ย มกำรปกครองที่ มี พระมหำกษัตริย์เป็นประมุข ย่อมทำให้โจทก์เสียหำย เนื่องจำกถูกประชำชนคนไทย ทั่วไปรังเกียจ และกำรไขข่ำวแพร่หลำยซึ่งข้อควำมอันฝ่ำฝืนต่อควำมจริงว่ำ โจทก์ เป็นคนโลภอำนำจทำงกำรเมืองหรือมักใหญ่ใฝ่สูง ยอมทิ้งตำแหน่งผู้สำเร็จรำชกำร แทนพระองค์มำรับตำแหน่งนำยกรัฐมนตรี และกลำยเป็นผู้ที่ประชำชนชิงชังจนไม่ อำจอยู่ในประเทศไทยได้ ดังนี้ ย่อมเป็นที่เสียหำยแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์ ความเสียหายแก่ทางทามาหาได้ อุทำหรณ์ นำยกิตติลงโฆษณำทำงหนังสือพิมพ์วำ่ ร้ำนตัดสูทคู่แข่งของตนปิด กิจกำรไปแล้ว เนื่องรวยแล้วเลิกกิจกำร ซึ่งเป็นข้อควำมเท็จ ข้อควำมดังกล่ำวไม่ได้ สร้ำงควำมเสียหำยให้แก่ชื่อเสียง เกียรติคุณให้แก่โจทก์ แต่เป็นควำมเสียหำยในทำง ทำมำหำได้ จึงถือว่ำผิดตำมมำตรำ 423
102
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ความเสียหายแก่ทางเจริญ (ก้าวหน้า) อย่างอื่น อุ ท ำหรณ์ ในกำรประชุ ม เลื อ กสรรอธิ ก ำรบดี ม หำวิ ท ยำลั ย แห่ ง หนึ่ ง มี ผูส้ มัครเข้ำรับกำรเลือกสรรอยู่สองคน คือ นำยกิตติ กับ นำยหมอดี นำงสำวปูซึ่งไม่ ชอบนำยกิ ต ติ เ ป็ น ทุ น เดิ ม อยู่ แ ล้ ว จึ ง แจ้ ง ต่ อ ที่ ป ระชุ ม ว่ ำ นำยกิ ต ติ เ ป็ น ผู้ ที่ มี ควำมสำมำรถสูงระดับประเทศ ซึ่งได้ขำ่ ววงในมำว่ำนำยกรัฐมนตรีกำลังเสนอแต่งตั้ง นำยกิ ต ติ ใ ห้ ด ำรงต ำแหน่ ง รั ฐ มนตรี ก ระทรวงใหญ่ ก ระทรวงหนึ่ ง พร้ อ มกั บ ควบ ตำแหน่งรองนำยกรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่เรื่องดังกล่ำวนำงสำวปูได้สร้ำงขึ้นมำเอง ด้วย เหตุนี้ ที่ประชุมกรรมกำรสรรหำเลยมีมติเลือกนำยหมอดีแทนนำยกิตติ กรณี เ ช่ นนี้ จะเห็นได้ว่ ำ นำยกิต ติซึ่ งเป็ นบุ คคลที่ สำมที่ถู ก พำดพึง ถึง โดย นำงสำวปูไขข่ำวให้แพร่หลำยซึ่งควำมเท็จเป็นเหตุทำให้เสียหำยแก่ควำมเจริญของ นำยกิตติ จึงมีควำมรับผิดตำมมำตรำ 423 อุทำหรณ์ นำยกิตติ โทรศัพท์ไปหำนำงปูภรรยำของนำยหมอดีว่ำ สำมีถูกรถ ชนนอนรักษำตัวอยู่ที่จังหวัดชลบุรี เนื่องจำกนำยหมอดีไปจังหวัดชลบุรีเพรำะไปหำ ภรรยำน้อย นำงปูจึงเดินทำงไปหำสำมีเสียค่ำใช้จ่ำยเร่งด่วนจำนวน 20,000 บำท นำยกิตติจึงอ้ำงว่ำที่กล่ำวไปเช่นนั้นเป็นกำรล้อเล่นเท่ำนั้น กรณีเช่นนี้จะเห็นได้ว่ำ นำยกิตติต้องรับผิดต่อนำยหมอดีตำมมำตรำ 423 และรับผิดต่อนำงปูตำมมำตรำ 420 คำพิพ ำกษำฎีก ำที่ 3805/2537 กำรที่โจทก์จะเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสีย งและ เกียรติคุณเป็นที่รู้จักและยอมรับแก่บุคคลทั่วไปได้โจทก์ตอ้ งสร้ำงคุณงำมควำมดีเป็น เวลำนำน กำรที่ จำเลยไขข่ ำวแพร่ห ลำยใส่ค วำมโจทก์ใ นหนัง สือ พิม พ์ร ำยวัน ว่ ำ ภรรยำโจทก์กำลังหำทนำยควำมทำเรื่องขอหย่ำขำดจำกโจทก์ เพรำะโจทก์มีควำม สนิทสนมชอบกับหญิงอื่น ซึ่งเป็นกำรฝ่ำฝืนควำมจริง ย่อมทำให้ผู้ที่รู้จักโจทก์และได้ อ่ำนข่ำวดังกล่ำวคิดว่ำโจทก์มีควำมประพฤติไปในทำงที่ไม่ดี กระทำผิดศีลธรรมและ ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงำม ครอบครัวของโจทก์เกิดควำมร้ำวฉำน ก่อให้เกิด ควำมเกลีย ดชังและดูหมิ่นโจทก์ ผู้ใต้บังคับ บัญ ชำทรำบข่ำวนี้แล้วย่อมขำดควำม เคำรพเชื่อถือ เป็นผลเสียต่อหน้ำที่กำรงำนและควำมเจริญก้ำวหน้ำกับทำให้เสื่อม
103
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เสียแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณที่เคยมีอยู่ โจทก์ย่อมได้รับควำมเสียหำย จำเลยต้อง รับผิดในมูลละเมิด คดีต่อไปนีเ้ ป็นคดีที่หนังสือพิมพ์ขำ่ วสดได้พำดหัวข่ำวในหน้ำ 1 ของฉบับวันที่ 27 มีนำคม 2535 ว่ำ “สหรัฐยันบัญชีดำ ณรงค์ป่วย “สมบุญ” อะไหล่ ถ้ำ “ดอกบัว” ไม่ไหว “ชำติไทย” แทน “จิ๋ว” จัดทัพ 200 เสียง ดึง “รำษฎร” “บิ๊กเต้-บิ๊กตุย๋ ” บินด่วนเข้ำเฝ้ำฯ ครม. สูตร “ณรงค์” อำกำรร่อแร่ โฆษกสหรัฐแถลงยืนยันสั่งงดวีซ่ำ “ว่ำที่นำยกคนที่ 19” ของเมืองไทย ตั้งแต่เดือนกค. 2534 เพรำะพัวพันยำเสพติด “ควำมหวังใหม่-ปชป.” ถล่มตำมน้ำยับเยิน “จ๊อด” เรียกเหลิมเจ้ำเก่ำเข้ำ บก.สส. เจ้ำตัว “ช๊อก” ล้มป่วยต้องเรียกหมอรักษำถึงบ้ำนด่วน เก็บตัวเงียบ...” ซึ่งในคดีนี้โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 (นำยจ้ำง) จำเลยที่ 2 (ลูกจ้ำง) เป็นทั้ง คดีแพ่งและคดีอำญำในควำมผิดฐำนหมิ่นประมำท และศำลในส่วนคดีอำญำก็ได้ มี คำพิพำกษำว่ำจำเลยที่ 2 (ลูกจ้ำง) มีควำมผิดฐำนหมิ่นประมำท ซึ่งในกำรพิพำกษำ คดีส่วนแพ่งศำลจำต้องถือข้อเท็จจริงตำมที่ปรำกฏในคำพิพำกษำคดีส่วนอำญำตำม ประมวลวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ 46 เมื่อปรำกฏว่ำคดีอำญำที่โจทก์ฟ้องได้ ถึงที่สุดโดยคำพิพำกษำว่ำจำเลยที่ 2 มีควำมผิดฐำนหมิ่นประมำท ในกำรพิพำกษำ คดีส่วนแพ่งนี้ศำลฎีกำจำต้องถือข้อเท็จจริงในคดีอำญำซึ่งฟังยุติแล้วว่ำข้อควำมหรือ เนื้อหำ รำยละเอีย ดกำรลงข่ำวดังกล่ ำวเป็นกำรใส่ค วำมโจทก์ ด้วยกำรเผยแพร่ โฆษณำทำงหนังสือพิมพ์โดยประกำรที่ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียด ชัง จำเลยที่ 2 ไม่อำจนำสืบพิสูจน์ว่ำข้อควำมหรือเนือ้ หำรำยละเอียดที่ใส่ควำมโจทก์ นั้นเป็นควำมจริงหรือเป็นกำรเสนอข่ำวสำรอันจำเลยที่ 2 มิได้รวู้ ่ำเป็นควำมจริง ศำล ฎีกำจะฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่ำงอื่นหำได้ไม่
104
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ประการที่หนึ่ง จะเห็นได้ว่ำ หลักกฎหมำยที่เข้ำมำประกอบในข้ อเท็จจริง แห่งคดีน้ี 1. คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอำญำ (หมิ่นประมำท) 2. ประเด็นปัญหำข้อเท็จจริง ศำลในส่วนคดีอำญำฟังเป็นยุติอย่ำงไร ศำลใน ส่วนคดีแพ่งต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้น 3. ข้อเท็จจริงผูกพันเฉพำะคู่ควำมในคดีอำญำ ดังนัน้ เมื่อคดีอำญำถึงที่สุดฟังเป็นยุติได้ว่ำ จำเลยที่ 2 กระทำควำมผิดฐำน หมิ่นประมำทโจทก์ จึงมีผลเท่ำกับ จำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 423 วรรคหนึ่ง ประการที่สอง เมื่อข้อเท็จจริงได้ควำมว่ำ จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้ำงของจำเลย ที่ 1 และกระทำกำรในทำงที่จ้ำงของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดในกำร กระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ด้วยตำมมำตรำ 425 ที่บัญญัติว่ำ นำยจ้ำงต้องร่วมกัน รับผิดกับลูกจ้ำงในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้ำงได้กระทำไปในทำงกำรที่จ้ำงนัน้ ประการที่สาม กำรกระทำของจำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย แก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ขำดควำมเชื่อถือทำงกำรค้ำ และสูญเสียโอกำสในกำรดำรง ตำแหน่งนำยกรัฐมนตรี 4. ผู้รับสาสน์จาต้องเชื่อในข้อความที่ฝ่าฝืนต่อความจริงหรือไม่ ในคดี อ ำญำควำมผิ ด ฐำนหมิ่ น ประมำทได้ มี ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 33973398/2516 2126/2522 2371/2522 สนับสนุนว่ำ ข้อ ควำมที่ใส่ควำมต้องเป็นหมิ่น ประมำทนั้น ควำมเสียหำยที่เกิดขึ้นเป็นเพียงพฤติกำรณ์แห่งกำรกระทำ มิใช่ผลแห่ง กำรกระทำ คดีหมิ่นประมำทจึงมิได้ต้องกำรผลถึงขนำดให้ผู้ฟังต้องเชื่อหรือไม่ ศำล จะเป็นผู้วนิ ิจฉัยเอว่ำคำกล่ำวนั้นน่ำจะทำให้เสียชื่อเสียงหรือไม่ ซึ่งผู้เขียนมีควำมเห็น ที่แตกต่ำงจำกนั้น กล่ำวคือ ควำมรับผิดเพื่อละเมิดมีปรัชญำอยู่ที่กำรเยียวยำควำม เสียหำย (Damage) ที่เกิดขึ้น ซึ่งหำกไม่มีควำมเสียหำยเกิดขึ้น กล่ำวคือ ไม่มีใคร เชื่อ ถือคำกล่ำวหรือกำรไขข่ำวของผู้ที่ไ ขข่ำวแพร่หลำยเป็นเท็จแล้ว แต่เมื่อไม่ไ ด้
105
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
สร้ำงควำมเสียหำยให้แก่ผู้นั้น ย่อมไม่ มีควำมเสียหำยที่จักด้องเยียวยำ จึงไม่เป็น ละเมิด คนที่กล่ำวนั้นสังคมก็จะประณำมว่ำเขำไม่ดเี อง คำพิพำกษำฎีกำที่ 256/2509 วินิจฉัยว่ำ ต้องเป็นกำรแสดงข้อควำมให้คน ฟังเชื่อจึงจะเกิดกำรดูหมิ่นขึ้นได้ ข้อวินิจฉัยข้อนี้อำจเคร่งครัดเกินไป เพี ยงแต่เป็น ข้อควำมที่น่ำจะทำให้ดูหมิ่นได้ ไม่ต้องเชื่อหรือดูหมิ่นขึ้นแล้วก็เป็นควำมผิดฐำนหมิ่น ประมำท ลักษณะที่น่ำจะเกิดกำรดูหมิ่นไม่เกี่ยวกับกำรเชื่อข้อควำมที่กล่ำว แม้ผู้ฟัง รู้อยู่วำ่ เป็นคำเท็จก็เป็นหมิ่นประมำทได้ ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 1479/2542 โจทก์ ฟ้ อ งจ ำเลยว่ ำ ได้ ก ล่ ำ วหรื อ ไขข่ ำ ว แพร่หลำยซึ่งข้อควำมอันฝ่ำฝืนต่อควำมจริงเป็นละเมิดมำตรำ 423 คดีนี้ได้ควำมว่ำ โจทก์เป็นพนักงำนกำรประปำนครหลวง ตำแหน่งช่ำงฝีมือ 3 ส่วนทะเบียนและซ่อม บ ำรุ ง กองบริ ก ำรภำยใน จ ำเลยเป็ น พนั ก งำนกำรประปำนครหลวง ต ำแหน่ ง ผู้อำนวยกำรบำรุงรักษำ เมื่อประมำณต้นเดือนเมษำยน 2534 จำเลยกระทำกำร ละเมิดต่อโจทก์ดว้ ยกำรกล่ำวหรือไขข่ำวแพร่หลำยซึ่งข้อควำมอันฝ่ำฝืนต่อควำมจริง โดยกล่ำวใส่ควำมโจทก์ต่อบุคคลที่สำมว่ำ “ตอนที่สมัยโจทก์ยังทำงำนอยู่ที่เขตบริกำรพระโขนง
โจทก์ได้ไปลักเจำะท่อ ประปำใหม่ให้แก่โรงน้ำแข็งในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญำตเป็นกำรผิดระเบียบของกำร ประปำนครหลวง โจทก์ถูกตั้งกรรมกำรสอบสวนมีโทษหนักถึงไล่ออกจำกงำน และ ตั ว จ ำเลยเป็ น กรรมกำรสอบสวนเอำควำมผิ ด แก่ โ จทก์ ด้ ว ย โจทก์ ไ ปขอร้ อ งให้ ช่ว ยเหลื อ มิ ฉ ะนั้น ครอบครัว จะเดื อ ดร้ อน โจทก์ ต้อ งถู ก ไล่ ออกจำกงำน จ ำเลย สงสำรเห็นแก่ครอบครัวจึงได้ช่วยเหลือให้โจทก์พ้นผิดจำกกำรถูกลงโทษ ถ้ำจำเลย ไม่ช่วยเหลือ ก็ต้องถูกไล่ออกจำกงำนไปแล้ว” ข้อควำมดังกล่ำวไม่เป็นควำมจริง จำเลยจงใจกล่ำวใส่ควำมโจทก์เพื่อให้ บุคคลอื่น ผู้บังคับบัญชำ ผู้ร่วมงำน เพื่อนบ้ำน ญำติพี่น้อง และบุคคลทั่วไปเข้ำใจว่ำ โจทก์มีพฤติกำรณ์เช่นที่จำเลยใส่ควำมทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง เสื่อมเสีย ต่อชื่อเสียง เกียรติคุณ และทำงทำมำหำได้ โจทก์เคยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้พิพำกษำ สมทบศำลแรงงำนกลำง ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมกำรมำตรฐำนควำมปลอดภัยใน
106
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
กำรทำงำนของกระทรวงมหำดไทย ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมกำรสหภำไทย ได้รับกำร เลือกตั้งเป็นกรรมกำรสหกรณ์ออมทรัพย์กำรประปำนครหลวง เป็นที่ปรึกษำเพื่อ พัฒนำแรงงำนแห่งชำติ เป็นที่ปรึกษำบริษัทเอกชนหลำยแห่ง เป็นหัวหน้ำหน่วยของ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด และดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับบ้ำนและที่ดินจัดสรร โจทก์ขอคิดค่ำเสียหำยที่ ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ควำมเชื่อถือ และทำงทำมำหำได้ ทั้ ง สิ้ น เป็ น เงิ น หนึ่ ง ล้ ำ นบำท และให้ จ ำเลยโฆษณำค ำพิ พ ำกษำของศำลใน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ เดลิมิเรอร์ บ้ำนเมือง และมติชน โดยจำเลยเป็นผู้เสีย ค่ำใช้จ่ำย ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ โจทก์เคยได้รับเลือกเป็นกรรมกำรสหภำพแรงงำนกำร ประปำแห่งประเทศไทย เคยได้รับแต่งตัง้ เป็นผูพ้ ิพำกษำสมทบฝ่ำยลูกจ้ำงศำล แรงงำน กรรมกำรสภำที่ปรึกษำเพื่อพัฒนำแรงงำนแห่งชำติ และโจทก์ยังมีอำชีพ เป็นตัวแทนหำประกันชีวติ ของบริษัท ท. แม้ตำแหน่งต่ำง ๆ ดังกล่ำวข้ำงต้น จะไม่ได้ รับกำรเลือกตั้งหรือแต่งตั้งมิใช่เนื่องจำกกำรหมิ่นประมำทของจำเลยก็ตำม แต่กำรที่ โจทก์เคยได้รับเลือกตั้งหรือแต่งตัง้ ให้ดำรงตำแหน่งต่ำง ๆ ดังกล่ำว ย่อมแสดงว่ำ โจทก์เป็นผู้ที่มชี ื่อเสียงดี ได้รับกำรยกย่องจำกเพื่อร่วมงำนอย่ำงมำก นอกจำกนั้น กำรที่โจทก์เป็นตัวแทนหำประกันชีวติ โจทก์จะต้องไม่เป็นบุคคลที่มคี วำมประพฤติ เสียหำย จึงจะมีผู้เชื่อถือซือ้ กรมธรรม์ประกันชีวติ ผ่ำนโจทก์ ฉะนั้น กำรที่จำเลย กล่ำวหำโจทก์ในเรื่องที่แสดงว่ำโจทก์ไม่ซื่อสัตย์ ย่อมต้องกระทบต่อชื่อเสียงเกียรติ คุณและทำงทำมำหำได้ของโจทก์อันทำให้โจทก์เสียหำย 5. ข้อยกเว้นมำตรำ 423 5.1 ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือ ผู้รับ ข่าวสารนั้นมี ทางได้ เ สีย โดยชอบในการนั้น ด้วยแล้ ว ท่า นว่า เพีย งที่ส่ ง ข่าวสารเช่นนั้นหาทาให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ ข้อยกเว้นที่กฎหมำยรับรองมิให้ผู้ไขข่ำวเป็นเท็จมีควำมรับผิด ได้แก่ ก. ต้องเป็นกำรกล่ำวควำมเท็จโดยประมำทเลินเล่อ (ผูใ้ ดส่งข่ำวสำสน์อันตน มิได้รวู้ ่ำเป็นควำมไม่จริง)
107
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ข. ผู้สง่ ข่ำวสำสน์หรือผู้รับข่ำวสำสน์มีทำงได้เสียโดยชอบที่จะส่งหรือรับข่ำว สำสน์นั้น ค. ไม่ตอ้ งรับผิดใช้ค่ำสินไหมทดแทน อุทำหรณ์ นำยกิตติเป็นญำติของนำงปู และได้ทรำบข่ำวว่ำนำยหมอดีสำมี ของนำงปูไปหำภรรยำน้อยที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงรีบโทรไปรำยงำนข่ำวให้แก่นำงปูรู้ ถึงแม้ว่ำควำมจริงแล้วเรื่องดังกล่ำวไม่เป็นควำมจริงเลย แต่นำยกิตติไม่รอบคอบ ตรวจสอบให้ดีก่อน เพรำะมีผู้พบเห็นแล้วแจ้งมำอีกทอดหนึ่ง กรณีเช่นนี้นำยกิตติ ย่อมได้รับควำมคุ้มครองตำมข้อยกเว้นนั้น แต่ควำมปรำกฏว่ำ นำยกิตตินำเรื่องนี้ไป แจ้งต่อเจ้ำนำยของนำยหมอดี จะเห็นได้ว่ำ ไม่เข้ำข่ำยได้รับกำรยกเว้นแต่อย่ำงใด 5.2 บุคคลที่กล่าวนั้นกระทาไปโดยสุจริต กล่ำวคือ บุคคลนั้นใช้สิทธิของตนตำมที่กฎหมำยรับรองให้กระทำได้ ขอให้ พิจำรณำตำมข้อยกเว้นควำมรับผิดฐำนหมิ่นประมำทในคดีอำญำ ประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 329 บัญญัติว่ำ ผู้ใดแสดงควำมคิดเห็น หรือข้อควำมใดโดยสุจริต (1) เพื่อควำมชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตำม คลองธรรม (2) ในฐำนะเป็นเจ้ำพนักงำนปฏิบัติกำรตำมหน้ำที่ (3) ติชมด้วยควำมเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัย ของประชำชน ย่อมกระทำ หรือ (4) ในกำรแจ้งข่ำวด้วยควำมเป็นธรรม เรื่องกำรดำเนินกำรอันเปิด เผยใน ศำลหรือในกำรประชุมผู้นนั้ ไม่มคี วำมผิดฐำนหมิ่นประมำท มำตรำ 330 ในกรณีหมิ่นประมำท ถ้ำผู้ถูกหำว่ำกระทำควำมผิด พิสูจน์ได้ ว่ำข้อที่หำว่ำเป็นหมิ่นประมำทนั้นเป็นควำมจริง ผู้นั้นไม่ต้อง รับโทษแต่ห้ำมไม่ให้ พิสูจน์ ถ้ำข้อที่หำว่ำเป็นหมิ่นประมำทนั้นเป็นกำรใส่ ควำมในเรื่องส่วนตัว และกำร พิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชำชน
108
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 273-275/2502 ศำลในส่วนคดีอำญำพิพำกษำว่ำ จำเลย โฆษณำข้อควำมไปตำมควำมจริงโดยสุจริตเพื่อป้องกันประโยชน์กำรค้ำของจำเลย ข้อ นี้ ศ ำลทำงแพ่ ง ต้ อ งถื อ ตำมคดี อ ำญำและต้ อ งฟั งว่ ำ จ ำเลยมิ ไ ด้ท ำละเมิ ด ตำม มำตรำ 423 คำพิพ ำกษำฎีก ำที่ 2373/2537 โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่ำงเป็นผู้ประกอบ กิจกำรค้ำภำพยนตร์ด้วยกันก่อนโจทก์ได้ลิ ขสิทธิ์กำรฉำยภำพยนตร์พิพำท จำเลยที่ 1 ได้โฆษณำแนะนำ ภำพยนตร์พิพำทมำก่อน ต่อมำเมื่อโจทก์ได้ลิขสิทธิ์ภำพยนตร์ พิพำทโจทก์โฆษณำในหนังสือพิมพ์รำยวันทำนองว่ำโจทก์ทุ่มเงินซือ้ ภำพยนตร์พิพำท ทำให้จำเลยที่ 1 ช้ำใจเสียหน้ำ เสียน้ำตำ เมื่อโจทก์เริ่มทำกำรฉำยภำพยนตร์พิพำท แล้วก็ยังมีกำรโฆษณำเป็นทำนองทำลำยชื่อเสียงของจำเลยที่ 1 อยู่เรื่อย ๆ ดังนี้ เป็น กรณีที่โ จทก์ มีเ จตนำทำลำยชื่อเสีย งจำเลยที่ 1 ท ำให้ไ ด้รับ ควำมเสื่อมเสีย กำรที่ จำเลยที่ 1 ออกโฆษณำโต้ตอบเพื่อป้องกันควำมเสียหำยอันจะพึงเกิดขึ้นโดยตรง และเป็นกำรกระทำโดยสุจริตเพื่อป้ องกันควำมเสียหำยอันจะเกิดแก่จำเลยที่ 1 ซึ่ง เป็นกำรกระทำโดยสุจริตเพื่อป้องกันตนตำมคลองธรรม ไม่เป็นกำรละเมิดต่อโจทก์ คำพิพำกษำฎีกำที่ 6245/2537หนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นบรรณำธิกำร ผู้พิมพ์โฆษณำ ได้ลงพิมพ์ข้อควำมที่จำเลยที่ 3 เขียนคอลั มน์สรุป ได้ว่ำ ควำมซ่ำส์มำกกว่ำแค้น ที่ตั้งรัฐสภำทั่วบริเวณถือว่ำเป็นเขตพระรำชฐำนผู้ใด จะพกอำวุธไม่ได้ โจทก์ซึ่งเป็นสมำชิกสภำผู้แทนรำษฏร ดื่มสุรำจนเกือบครองสติไม่ อยู่ใช้ฝ่ำมือตบหน้ำ ช.วุฒิสมำชิก 3 ฉำดในข้อหำฐำนใช้ปำกไม่สบอำรมณ์ในกำร ประชุมวุฒิสภำสมัยก่อน ในวันนั้นพิจำรณำกฎหมำยเลือกตั้ง ช. ได้พูดจำประหนึ่งว่ำ สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎรนั้นไม่มีควำมรู้ควำมสำมำรถอะไร อย่ำงดีก็แค่หมำน้อย เห่ำเครื่องบิน เมื่อคดีฟังได้ว่ำโจทก์ได้ตบหน้ำ ช. จริงโดยได้กระทำเขตพระรำชฐำน และโจทก์ได้เป็นสมำชิกสภำผู้แทนรำษฏรถือได้ว่ำเป็นผู้แทนของปวงชนชำวไทยไม่ น่ำจะก่อเหตุเช่นนั้น กำรที่จำเลยที่ 3 เขียนข้อควำมลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ดังกล่ำว จึงเป็นกำรแสดงควำมคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยควำมเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของ ประชำชนย่อมกระทำ ไม่เป็นกำรละเมิดต่อโจทก์
109
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
5.3 มีเอกสิทธิ์คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. 2540 มำตรำ 157 ในที่ประชุมสภำผู้แทนรำษฎร ที่ประชุมวุฒิสภำ หรือที่ประชุม ร่วมกันของรัฐสภำ สมำชิกผู้ใดจะกล่ำวถ้อยคำใดในทำงแถลงข้อเท็จจริง แสดง ควำมคิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขำด ผูใ้ ดจะนำไป เป็นเหตุฟ้องร้องว่ำกล่ำวสมำชิกผู้นั้นในทำงใดมิได้ เอกสิทธิ์ตำมวรรคหนึ่งไม่คุ้มครองสมำชิกผูก้ ล่ำวถ้อยคำในกำรประชุมที่มี กำรถ่ำยทอดทำงวิทยุกระจำยเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ หำกถ้อยคำที่กล่ำวในที่ประชุม ไปปรำกฏนอกบริเวณรัฐสภำ และกำรกล่ำวถ้อยคำนั้นมีลักษณะเป็นควำมผิดทำง อำญำหรือละเมิดสิทธิในทำงแพ่งต่อบุคคลอื่น ซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมำชิกแห่งสภำ นั้น ในกรณีตำมวรรคสอง ถ้ำสมำชิกกล่ำวถ้อยคำใดที่อำจเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมำชิกแห่งสภำนั้นได้รับควำมเสียหำย ให้ประธำนแห่งสภำนั้น จัดให้มกี ำรโฆษณำคำชีแ้ จงตำมที่บุคคลนั้นร้องขอตำมวิธีกำรและภำยในระยะเวลำ ที่กำหนดในข้อบังคับกำรประชุมของสภำนั้น ทั้งนี้ โดยไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิ ของบุคคลในกำรฟ้องคดีต่อศำล มำตรำ 158 เอกสิทธิ์ที่บญ ั ญัติไว้ในมำตรำ 157 ย่อมคุ้มครองไปถึงผู้พิมพ์ และผูโ้ ฆษณำรำยงำนกำรประชุมตำมข้อบังคับของสภำผู้แทนรำษฎร วุฒิสภำ หรือ รัฐสภำ แล้วแต่กรณี และคุม้ ครองไปถึงบุคคลซึ่งประธำนในที่ประชุมอนุญำตให้ แถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงควำมคิดเห็นในที่ประชุม ตลอดจนผูด้ ำเนินกำรถ่ำยทอด กำรประชุมสภำทำงวิทยุกระจำยเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ที่ได้รับอนุญำตจำกประธำน แห่งสภำนั้น ด้วย โดยอนุโลม
110
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
6. การเยียวยาค่าเสียหาย มำตรำ 447 บุคคลใดทำให้เขำต้องเสียหำยแก่ชื่อเสียง เมื่อผู้ต้องเสียหำย ร้องขอ ศำลจะสั่งให้บุคคลนั้นจัดกำรตำมควรเพื่อทำให้ชื่อเสียงของผู้นั้นกลับคืนดี แทนให้ใช้คำ่ เสียหำยหรือทั้งให้ใช้ค่ำเสียหำยด้วยก็ได้ กำรเยียวยำศำลอำจมีคำสั่งบรรเทำควำมเสียหำยดังนี้ 1. จัดกำรตำมควรเพื่อชื่อเสียงกลับคืนดี เช่น ให้ลงหนังสือพิมพ์ขอโทษ หรือ กำรขอขมำ เป็นต้น หรือ 2. ศำลสั่งให้ชดใช้ค่ำเสียหำย หรือ 3. ทั้งสองกรณีขำ้ งต้น คำพิพ ำกษำฎีก ำที่ 242/2515 กำรที่จำเลยด่ำบุตรโจทก์อันมีควำมหมำย ทำนองว่ำ โจทก์และบุพกำรีเป็นคนสำส่อน มีบุตรกับชำยอื่นซึ่งมิใช่สำมีของตนนั้น เป็นควำมเสียหำยเกี่ยวกับชื่อเสียงและตัวบุคคล หำเกี่ยวกับทำงกำรค้ำขำยไม่ โจทก์ เรียกค่ำเสียหำยโดยอ้ำงว่ำรำยได้จำกกำรค้ำตกต่ำลงหำได้ไม่ 2.9 ละเมิดที่เกิดจากการกระทาของผู้ว่าจ้าง มาตรา 428 บัญญัติว่ำ ผู้ว่าจ้างทาของไม่ต้องรับผิดเพื่อความ เสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทาการงานที่ ว่าจ้างเว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทา หรือในคาสั่งที่ตน ให้ไว้หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง กำรว่ำจ้ำงตำมบทบัญญัตินี้ หมำยถึง กำรว่ำจ้ำงทำของตำมประมวล กฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ เอกเทศสัญญำ มำตรำ 587 อันว่ำจ้ำงท ำของนั้น คือ สัญญำซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่ำผู้รับจ้ำง ตกลงรับจะทำงำนสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จ ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่ำผูว้ ่ำจ้ำง และผูว้ ่ำจ้ำงตกลงจะให้สินจ้ำงเพื่อผลสำเร็จ แห่งกำรที่ทำนัน้
111
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
(1) เป็นสัญญำต่ำงตอบแทน กล่ำวคือ ผู้รับจ้ำงมีหน้ำที่จัดทำงำนสิ่งใด สิ่ ง หนึ่ ง จนส ำเร็ จ ให้ แ ก่ ผู้ ว่ ำ จ้ ำ งและเมื่ อ งำนส ำเร็ จ ย่ อ มมี สิ ท ธิ ไ ด้ รั บ ค่ ำ จ้ ำ ง ใน ขณะเดียวกันผู้วำ่ จ้ำงมีสิทธิได้รับงำน และมีหน้ำที่ต้องชำระค่ำจ้ำง (2) คู่สัญญำไม่มีอำนำจบังคับบัญชำ พิจำรณำจำกผลสำเร็จของงำน ที่วำ่ จ้ำงและสินจ้ำงเมื่องำนแล้วเสร็จ 2.9.1 หลัก เมื่อพิจำรณำได้ว่ำกำรว่ำจ้ำงทำของคู่สัญญำแต่ละฝ่ำย ต่ำงมีอิสระ ของแต่ล ะฝ่ำย ดั งนั้น เมื่อผู้รับ จ้ ำงได้ก่ อให้เ กิด ควำมเสี ย หำยแก่ผู้อื่ น ก็ หำเอำผู้ ว่ำจ้ำงเข้ำไปมีสว่ นร่วมรับผิดด้วยไม่ คำพิพำกษำฎีกำที่ 1176/2510เจ้ำของรถยนต์นำรถยนต์ไปซ่อมที่อู่แล้ว เจ้ำของรถยนต์วำนให้ช่ำงซ่อมขับรถยนต์คันนั้นไปส่งที่อื่น เมื่อส่งเสร็จแล้วช่ำงซ่อม ขับรถกลับอู่เพื่อซ่อมแซมปรำกฏว่ำขณะกลับอู่เกิดขับชนกับรถจักรยำนยนต์ของ ผู้เ สีย หำย ดั งนี้ ช่ำงซ่อมรถไม่ไ ด้เ ป็นตั วแทนหรือเป็นลูก จ้ำงของเจ้ำของรถยนต์ เจ้ำของรถยนต์ไม่ตอ้ งร่วมรับผิดในกำรละเมิดนัน้ คำพิพำกษำฎีกำที่ 457/2514 ผู้ว่ำจ้ำงสั่งให้ผู้รับจ้ำงให้ทำกำรก่อสร้ำง อำคำรไปตำมแบบแปลนที่ผู้ว่ำจ้ำงได้ยื่นไว้ต่อเทศบำลและเทศบำลได้อนุญำตแล้ว เป็นคำสั่งกำชับให้ปฏิบัติตำมสัญญำจ้ำงระหว่ำงผู้ว่ำจ้ำงกับผู้รับจ้ำง ไม่เป็นคำสั่งที่ เกี่ยวกับกำรทำกำรก่อสร้ำงอำคำรของผู้รับจ้ำง เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรำกฏว่ำผู้ว่ำจ้ำง เป็นผู้สั่งให้ผู้รับจ้ำงตอกเสำเข็มด้วยเครื่องจักรอันก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่โจทก์ กำรตอกเสำเข็ ม จึ ง เป็ น กำรกระท ำของผู้ รั บ จ้ ำ งเอง ผู้ ว่ ำ จ้ ำ งไม่ ต้ อ งรั บ ผิ ด ใช้ ค่ำเสียหำยแก่โจทก์ คำพิพำกษำฎีกำที่ 2502/2523 จำเลยที่ 1 รับจ้ำงล้ำงรถและเฝ้ำรถซึ่ง จอดอยู่ริมถนนอันเป็นที่ซึ่งตนเฝ้ำยำมอยู่ด้วยโดยเจ้ำของมิไ ด้เข้ำมำเกี่ย วข้องแต่ อย่ำงใด คงต้องกำรแต่ผลสำเร็จของงำนคือควำมสะอำดและควำมคงอยู่ของรถ จึง เป็นกำรจ้ำงทำของมิใช่จ้ำงแรงงำน จำเลยที่ 1 มิใช่ลุกจ้ำงของเจ้ำของรถ เมื่อนำรถ
112
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ไปขับโดยพลกำรจนถูกรถคันอื่นขับชนด้วยควำมประมำทของจำเลยที่ 1 แล้วไปชน โจทก์ได้รับบำดเจ็บ เจ้ำของรถจึงไม่ตอ้ งรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย คำพิพำกษำฎีกำข้ำงตน อธิบำยให้เห็นสภำพของมำตรำ 428 ว่ำ 1. ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงคู่สัญญำ ได้แก่ ผูว้ ่ำจ้ำงกับผูร้ ับจ้ำง 2. ลักษณะของงำน 3. พฤติกำรณ์ประกอบกำรกระทำ ซึ่งจะมีผลแตกต่ำงจำกกรณีสัญญำจ้ำงแรงงำน ซึ่งในกรณีนั้นควำมรับ ผิดของลูกจ้ำงนำยจ้ำงจะต้องเข้ำไปร่วมรับผิด หำกควำมผิดนั้นเกิดขึ้นในทำงกำรที่ จ้ำงซึ่งจะกล่ำวถึงต่อไป 2.9.2 ข้อยกเว้น ข้อยกเว้นที่กฎหมำยให้ผวู้ ่ำจ้ำงจะเป็นผู้ผิดอยู่ 3 ประกำรคือ 1. ควำมเสียหำยเกิดเพรำะผูว้ ่ำจ้ำงสั่งให้ทำงำนที่เป็นละเมิด 2. ควำมเสียหำยเกิดเพรำะคำสั่งของตนเป็นเหตุให้ละเมิด 3. ควำมเสียหำยเกิดเพรำะกำรเลือกผูร้ ับจ้ำง ประการที่ 1 ความเสียหายเกิดเพราะผู้ว่าจ้างสั่งให้ทางานที่เป็นละเมิด กรณีนี้ ข้อเท็จจริงต้องปรำกฏว่ำ กำรงำนที่ว่ำจ้ำงนั้นเป็นเหตุใ ห้เกิด ควำมเสียหำยแก่ผู้อ่นื อันเนื่องมำจำกผู้ว่ำจ้ำงสั่งให้ทำและผู้รับจ้ำงไม่ทรำบถึงควำม เสียหำยที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น เช่น นำยกิตติว่ำจ้ำงให้นำยหมอดีซึ่งเป็นรับจ้ำง ตกแต่ ง สวนมำตั ด ต้ น ไม้ บ ริ เ วณหลั ง บ้ ำ นนำยกิ ต ติ ซึ่ ง จริ ง ๆ แล้ ว เป็ น ต้ น ไม้ ข อง นำงสำวปู กำรที่ผู้ว่ำจ้ำงรุกล้ำเข้ำไปในที่ดินของผู้อื่นย่อมเป็นควำมผิด และกำรตัด ต้นไม้ผู้อื่นทำให้ทรัพย์สินของนำงสำวปูได้รับควำมเสียหำย แต่เมื่อ ผู้รับจ้ำงสุจริต และกระท ำไปเนื่องจำกนำยกิตติสั่งให้ท ำ นำยกิตติต้องรับผิดชดใช้ค่ำสินไหมทด ทดแทนเพื่อละเมิดนั้น หำกปรำกฏว่ำนำยหมอดีซึ่งก็อำศัยอยู่ในละแวกนั้น ย่อม น่ำจะรู้ว่ำพื้นที่นั้นเป็นของนำงสำวปู นำยหมอดีก็มี ควำมผิดตำมมำตรำ 420 เพรำะ เป็นควำมประมำทเลินเล่อของนำยหมอดีดว้ ย
113
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 2474/2539 จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับจ้ำงตอกเสำเข็ม จำกจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญำตจำกทำงรำชกำรให้ก่อสร้ำงอำคำรได้ แต่ กำรตอกเสำเข็มก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่บ้ำน โจทก์จะแก้ตัวให้พ้นผิดไม่ได้ กำรที่ จำเลยที่ 1 ว่ำจ้ำงจำเลยที่ 2 ตอกเสำเข็มเพื่อสร้ำงอำคำรสูง 30 ชั้น โดยจำเลยที่ 1 เลือกให้ลงเสำเข็มโดยวิธีใช้ปั่นจั่นยกแท่งเหล็กตอก ทั้ง ๆ ที่ตระหนักดีว่ำจะทำให้ ที่ดนิ ข้ำงเคียงถูกกระทบกระเทือนอย่ำงแรง อันเป็นเหตุให้บ้ำนโจทก์เสียหำย จำเลย ที่ 1 จึงเป็นผู้ผิดในส่วนกำรงำนที่สั่งให้ทำตำม ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 428 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้ประมำทเลินเล่อ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จึง ต้องใช้คำ่ สินไหมทดแทนแก่โจทก์ตำมมำตรำ 420 ค ำพิพ ำกษำฎีก ำที่ 162/2544 โจทก์บ รรยำยฟ้อ งว่ ำ จำเลยก่ อสร้ ำ อำคำรขนำดต่ำง ๆ ลงบนที่ดินของำเลย ซึ่งมีแนวเขตติดกับที่ดินของโจทกด้ำนทศ ตะวันตกและทิศใต้ โดยว่ำจ้ำงบริษัท ค. ทำกำรขุดดินบริเวท่ดินของจำเลยด้ำนทศใต้ ซึ่งติดกับที่ดนิ ของโจทก์ แต่จำเลยในฐำนะผู้ว่ำจ้ำง เป็นผู้มีส่วนผิดในกำรงำนที่สั่งให้ ทำ หรือค ำสั่ งที่ไ ด้ให้ไว้ และเป็นผู้เ ลือกหำผู้รับ จ้ำงเพรำะบริษัท ค. มิไ ด้ใ ช้ควำม ระมัดระวังในกำรทำงำน ทำให้ดินในเขตที่ดินของโจทก์เลื่อนไหลไป เป็นเหตุให้พื้นที่ บริเวณรั้วแตกร้ำวและทรุดตัว คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภำพแห่ง ข้อหำของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้ำงที่อำศัยเป็นหลักแห่ งข้อหำเช่นว่ำนั้นตำม ประมวลวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ 172 วรรคสองแล้ว ส่วนจำเลยจะมีส่วนผิด อย่ำงไรเป็นรำยละเอียดทที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจำรณำได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบ คลุม จำเลยว่ำจ้ำงบริษัท ค. ก่อสร้ำงฐำนรำกของอำคำรโดยมีบริษัท ป. เป็น ผู้ควบคุมกำรก่อสร้ำงให้เ ป็นไปตำมแบบ จำเลยไม่ได้เข้ำไปเกี่ยวข้องหรือสั่งกำรใน กำรทำงำน เมื่อควำมเสียหำยเกิดขึ้นแก่โจทก์อันเนื่องมำจำกกำรกระทำของบริษัท ค. โจทก์จะต้องไปเรียกร้องค่ำเสียหำยจำกบริษัท ค. ซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิด ไม่ใช่ จำกจำเลย เพรำะว่ำจำเลยไม่ได้กระทำกำรอย่ำงหนึ่งอย่ำงใด อันทำให้จำเลยต้อง รับผิดตำมประมำวลกำหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 428
114
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ประการที่ 2 ความเสียหายเกิดเพราะคาสั่งของตนเป็นเหตุ กรณีนี้ แตกต่ำงกับกรณีแรก กรณีแรกเป็นเรื่องของงำนที่ว่ำจ้ำง แต่ กรณีที่ ส องลั ก ษณะของงำนมิ ไ ด้เ ป็ นกำรละเมิดบุค คลอื่น แต่ มีพฤติ ก ำรณ์ ของผู้ ว่ำจ้ำงที่ทำให้เกิดควำมเสียหำย เช่น จ้ำงคณะมหรสพมำแสดง ในขณะแสดงนำย กิตติสง่ บทพูดให้กับนักแสดงและสั่งให้พูดตำมนั้นซึ่งเป็นคำเสียดสีและหมิ่นประมำท ผู้อื่น กรณีเช่นนี้ ผู้ว่ำจ้ำงต้องรับผิด และเช่นเดียวกัน หำกผู้รับจ้ำงรู้หรือควรจะได้รู้ ว่ำกำรพู ด ดั งกล่ำวเป็นกำรเสีย ดสี หมิ่นประมำท บุคคลอื่น ย่อมมีควำมผิดตำม มำตรำ 423 ด้วย ค ำพิพ ำกษำฎีก ำที่ 851/2522 นิ ติบุ คคลจ้ ำงจ ำเลยที่ 2 ดำเนิ นกำร ก่อสร้ำงตำมแบบแปลน ถือได้ว่ำนิติบุคคลเป็นผู้เลือกหำผู้รับจ้ำง กำรก่อสร้ำงต้อง เป็นไปตำมกำรงำนที่นิติบุคคลสั่งให้ทำ นิติบุคคลต้องรับผิดในละเมิด ตำมมำตรำ 428 เช่นเดียวกับคำพิพำกษำฎีกำที่ 1009/2522 คำพิพำกษำศำลฎีกำที่ 2077/2542 จำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่ำจ้ำงให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก่อสร้ำงอำคำรตึกคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 22 ชั้น ใต้ดิน 1 ชั้น ซึ่งอยู่ติด กับอำคำรพิพำทของโจทก์และตำมสัญญำรับจ้ำงเหมำงำนก่อสร้ำ งระหว่ำงจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และสัญญำจ้ำงเหมำก่อสร้ำงระหว่ำงจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ได้ ระบุไว้ชัดแจ้งว่ำกำรก่อสร้ำงของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะต้องกระทำตำมคำสั่งของ จำเลยที่ 1 ตำมข้อบังคับดังกล่ำว หำกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ปฏิบัติตำม จำเลยที่ 1 มีสทิ ธิบอกเลิกสัญญำได้ เมื่อปรำกฏข้อเท็จจริงว่ำ ในระหว่ำงกำรก่อสร้ำง จำเลยที่ 1 ได้ไปควบคุมดูแลกำรก่อสร้ำงตลอดเวลำและมีข้อสัญญำให้จำเลยที่ 1 บอกเลิกได้ หำกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ปฏิบัติตำมคำสั่งของจำเลยที่ 1 เช่นนี้ย่อมถือได้ว่ำ จำเลย ที่ 1 เป็นผู้ผิดในส่วนกำรงำนที่สั่งให้ทำ หรือคำสั่งที่ตนให้ไว้ หรือในกำรเลือกหำผู้รับ จ้ำง ตำมที่บัญญัติไว้ในมำตรำ 428 แห่งประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ เมื่อกำร ก่อสร้ำงอำคำรของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่อำคำรของโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดในควำมเสียหำยที่เกิดขึน้
115
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพ ำกษำฎีกำที่ 2540/2539 โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้ำของ กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 986 พร้อมสิ่งปลูกสร้ำงโจทก์ที่ 2 เป็นผู้เช่ำที่ดินและสิ่ง ปลูกสร้ำงดังกล่ำว เพื่อประกอบกำรค้ำเป็นห้องพักอำศัยให้เช่ำใช้ชื่อว่ำโรงแรงมำเม โซงค์ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้ำของที่ดินโฉนดเลขที่ 915 ซึ่งมีเขตติดต่อกับที่ดนิ ของโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้ำของโครงกำรก่อสร้ำงอำคำรโรงแรมพัทยำเซ็นเตอร์ ซึ่งจะทำ กำรปลูกสร้ำงลงบนที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขออนุญำตก่อสร้ำง อำคำรต่อเทศบำล จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับเหมำก่อสร้ำงอำคำรโรงแรมพัทยำเซ็นเตอร์ จำกจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 5 หุ้นส่วนผู้จัดกำรเป็นผู้รับจ้ำงตอก เสำเข็มตำมแผนผังในแบบแปลนและคำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ว่ำจ้ำงและมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 ผู้รับเหมำทำกำรก่อสร้ำงอำคำรโรงแรมพัทยำ เซ็ น เตอร์ ตำมแบบแปลนที่ ไ ด้ รั บ อนุ ญ ำตจำกเทศบำลลงบนที่ ดิ น ของจ ำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็ นผู้สั่ ง ซื้อเสำเข็ มคอนกรีต และได้ว่ำ จ้ำงจ ำเลยที่ 4 ให้ ท ำกำรตอก เสำเข็มโดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้เลือกหำผู้รับจ้ำงเอง จำเลยที่ 4 ได้ดำเนินกำรปรับพื้นที่ และดำเนินกำรตอกเสำเข็มด้วยควำมประมำทเลินเล่อเป็นเหตุให้กำแพงคอนกรีตพื้น ปูบริเวณด้ำนหลังอำคำรห้องพัก ผนังอำคำรห้องพัก ท่อน้ำ และสระน้ำของโจทก์ที่ 1 ได้รับควำมเสียหำย และทำให้โจทก์ที่ 2 ต้องขำดรำยได้จำกกำรให้เช่ำห้องพักเป็น เวลำ 3 เดือน ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้ำร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 289,697 บำท พร้อ ม ดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ 1 ให้จำเลยทั้งห้ำร่วมกันชำระเงินจำนวน 144,281 บำท พร้อม ดอกเบีย้ แก่โจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้กำรว่ำ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้กระทำละเมิดหรือต้อง ร่ว มรับ ผิด ในเหตุล ะเมิด ต่อ โจทก์ทั้งสองเพรำะจำเลยที่ 1 เป็นเพีย งเจ้ำของที่ดิ น จำเลยที่ 2 เป็นเจ้ำของสิ่งก่อสร้ำงและเป็นผู้ขออนุญำตก่อสร้ำงและจำเลยที่ 3 เป็น นิติบุคคลตำมกฎหมำยมิใช่ผู้รับเหมำก่อสร้ำงตอกเสำเข็มจำกจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิใช่นำยจ้ำงหรือตัวกำรของจำเลยที่ 4 และที่ 5 กำรกระทำของ จ ำเลยที่ 4 และที่ 5 ก็ มิ ใ ช่ ก ำรกระท ำในทำงกำรที่ จ้ ำ งของจ ำเลยที่ 1 ถึ ง ที่ 3 ค่ำเสียหำยตำมฟ้องสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
116
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ขำดนัดยื่นคำให้กำรและจำเลยทั้งห้ำขำดนัดพิจำรณำ ศำลชั้นต้นพิจำรณำแล้วพิพำกษำให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันชำระเงิน จำนวน 289,697 บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ 7.5 ต่อปี จำกต้นเงิน 271,062 บำท นับถัดจำกวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 ธันวำคม 2533) จนกว่ำจะชำระเสร็จแก่ โจทก์ที่ 1 และให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 144,281 บำท พร้อม ดอกเบี้ ย อั ต รำร้ อ ยละ 7.5 ต่ อ ปี จำกต้ นเงิ น 135,000 บำท นั บ ถั ด จำกวั น ฟ้ อ ง จนกว่ำชำระเสร็จ แก่โจทก์ที่ 2 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศำลอุทธรณ์ภำค 1 พิพำกษำแก้เป็นว่ำ ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับ ผิดในควำมเสียหำยของโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 4 และที่ 5 ด้วย นอกจำกที่แก้ให้ เป็นไปตำมคำพิพำกษำศำลชัน้ ต้น จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกำ ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ “มีปัญหำต้องวินิจฉัยตำมฎีกำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่ำ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 หรือไม่ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้ำของที่ดินที่มีกำร ก่อสร้ำงและตอกเสำเข็ม จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขออนุญำตก่อสร้ำงบนที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยได้ รั บ ควำมยิ น ยอมจำกจ ำเลยที่ 1 และจ ำเลยที่ 3 เป็ น ผู้ จ้ ำ งให้ จ ำเลยที่ 4 ดำเนินกำรตอกเสำเข็มเพื่อกำรก่อสร้ำงบนที่ดินของจำเลยที่ 1 อีกทั้งจำเลยที่ 1 ก็ เป็นหุ้นส่ว นผู้จัด กำรของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิไ ด้นำสืบ ให้เ ห็นว่ำขณะ ก่อสร้ำงนัน้ ผู้ใดเป็นเจ้ำของและรับผิดชอบในกำรก่อสร้ำงอำคำรโรงแรมบนที่ดินของ จำเลยที่ 1 ทั้งได้ควำมจำกคำเบิกควำมของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่ำ เมื่อ ปรำกฏว่ำ เกิดควำมเสียหำยแก่อำคำรของโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ก็เคยเข้ำไปตรวจดูแล ซ่ อ มแซมให้ บ ำงส่ ว น พฤติ ก ำรณ์ ดั ง กล่ ำ วย่ อ มเห็ น ได้ ว่ ำ จ ำเลยที่ 1 ถึ ง ที่ 3 มี ผลประโยชน์ร่วมกันในกำรก่อสร้ำงอำคำรโรงแรมบนที่ดนิ ของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 3 จะเป็นผู้จ้ำงให้จำเลยที่ 4 ในกำรตอกเสำเข็มแต่ก็เพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ถือได้ว่ำจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นผู้ร่วมกันจ้ำงจำเลยที่ 4 ในกำรตอกเสำเข็มนั่นเอง กำรจ้ำงจำเลยที่ 4 ดังกล่ำวก็เพื่อควำมสำเร็จในกำรตอกเสำเข็มให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เท่ำนั้นจึงเป็นกำรรับจ้ำงทำของ ซึ่งโดยปกติผู้ว่ำจ้ำงทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อควำม
117
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เสียหำยอันผู้รับจ้ำงได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภำยนอกในระหว่ำงทำกำรงำนที่ว่ำจ้ำง เว้นแต่ผู้ว่ำจ้ำงจะเป็นผู้ผิดในส่วนกำรงำนที่สั่งให้ทำ หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้ หรือใน กำรเลือกหำผู้รับจ้ำงตำมที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 428 ซึ่งกำรที่จำเลยที่ 4 ตอกเสำเข็มตำมแผนผังแบบแปลนกำรก่อสร้ำงของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ห่ำงรั้วกำแพงของโจทก์เพียง 2 เมตร เท่ำกับจำเลยที่ 4 ดำเนินกำรตำม คำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ย่อมตระหนักดีว่ำกำรตอกเสำเข็ม ขนำดใหญ่ใกล้ที่ดินของผู้อื่นย่อมทำให้ที่ดินข้ำงเคียงถูกกระทบกระเทือนอย่ำงแรง อันเป็นเหตุให้อำคำรและทรัพย์สินของโจทก์ที่ 1 เสียหำยได้ ไม่ ปรำกฏว่ำจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้กำชับสั่งให้จำเลยที่ 4 หำวิธีป้องกันควำมเสียหำยของที่ดินข้ำงเคียงที่อำจ ได้รับดังกล่ำว ถือได้ว่ำจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ผู้ว่ำจ้ำงให้ตอกเสำเข็มเป็นผู้ผิดในส่วนกำร งำนที่สั่งให้ทำ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงต้องรับผิดในควำมเสียหำยของโจทก์ที่ 1 ส่วนที่ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกำว่ำ คำพิพำกษำศำลอุทธรณ์ภำค 1 ไม่ชอบเพรำะวินิจฉัยโดย ปรำศจำกพยำนหลักฐำนในสำนวนนั้น ศำลฎีกำตรวจสำนวนแล้ว ไม่ ปรำกฏว่ำศำล อุทธรณ์ภำค 1 จะวินิจฉัยโดยปรำศจำกพยำนหลักฐำนในสำนวนแต่อย่ำงใด ได้ใช้ ดุลพินิจฟังพยำนหลักฐำนในสำนวนโดยชอบแล้ว ทั้งได้พิพำกษำให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ที่ 1 ตำมบทบัญญัติแห่งกฎหมำยที่ศำลฎีกำยกมำกล่ำวแล้ว เพียงแต่ ศำลอุทธรณ์ภำค 1 มิได้อ้ำงบทบัญญัติมำตรำแห่งกฎหมำยเท่ำนั้น ศำลฎีกำเห็นพ้อง ด้วยกับคำพิพำกษำศำลอุทธรณ์ภำค 1 ฎีกำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังไม่ข้นึ มีปัญหำต้องวินจิ ฉัยตำมฎีกำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ประกำรสุดท้ำยว่ำ ศำล ชั้นต้นกำหนดให้รับผิดในค่ำเสียหำยของโจทก์ที่ 1 สูงเกินไปนั้นเห็นว่ำ โจทก์ที่ 1 มี นำยยวน บุอัน เบิกควำมยืนยันว่ำ ได้ไปประเมินรำคำค่ำซ่อมแซมเกี่ยวกับกำแพงรั้ว และอำคำรของโจทก์ที่ 1 ที่เสียหำยแล้วเป็นเงิน 164,862 บำท ตำมใบประเมินรำคำ เอกสำรหมำยเลข จ.8 และโจทก์ที่ 2 เบิกควำมยืนยันว่ำ โจทก์ที่ 1 ต้องซ่อมแซม สระน้ำไปเป็นเงิน 106,200 และโจทก์ที่ 1 ได้ถ่ำยภำพควำมเสียหำยของสิ่งก่อสร้ำง ต่ำง ๆ ไว้ตำมเอกสำรหมำยเลข จ.8 เมื่อพิเครำะห์ภำพถ่ำยเอกสำรหมำยเลข จ.7 ประกอบคำเบิกควำมของพยำนโจทก์ที่ 1 และใบประเมินรำคำเอกสำรหมำยเลข จ.8 แล้วเห็นว่ำ กำแพงรั้ว พื้นซีเมนต์ ตัวอำคำรและสระน้ำของโจทก์ที่ 1 เสียหำยเป็น
118
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
จำนวนมำก ค่ำเสียหำยที่ศำลชั้นต้นกำหนดมำจึงเหมำะสมแล้ว ฎีกำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ข้นึ เช่นกัน พิพ ำกษำยืน และให้ย กฎีก ำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในส่วนที่เ กี่ย วกั บ โจทก์ที่ 2 คืนค่ำขึ้นศำลชั้นฎีกำจำนวน 3607.50 บำท แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ค่ำฤชำ ธรรมเนียมชัน้ ฎีกำให้เป็นพับ 2.9.3 ข้อสังเกต 2.9.3.1 ควำมรับผิดละเมิดตำมมำตรำ 428 กฎหมำยบัญญัติให้เป็น ควำมรับผิดโดยส่วนตัว กล่ำวคือ เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นแก่ตนเอง มิใช่เป็นผลให้บุคคลอื่น เข้ำมำเป็นลูกหนีร้ ่วม เช่นกรณีควำมรับผิดละเมิดที่เกิดจำกกำรกระทำของบุคคลอื่น (Vicarious Liability) หรืออนุโลมตำมมำตรำ 426 ได้ แต่หำกปรำกฏว่ำผู้รับจ้ำงก็มีส่วนจง ใจหรือ ประมำทเลิ น เล่อ ท ำให้ บุ ค คลอื่ น เสี ย หำยด้ ว ยไซร้ ท่ ำ นว่ำ ละเมิ ด นั้น เป็ น ควำมผิดส่วนตัวของผู้กระทำละเมิดคนนั้น ๆ ดังนั้น ควำมเสียหำยที่เกิดขึ้นอำจจะ ไม่ได้ลำพังเกิดแต่บุคคลคนเดียวเท่ำนั้น อำจมีกรณีที่ผู้ทำละเมิดมีหลำยคนได้ตำม มำตรำ 432 2.9.3.2 โจทก์บรรยำยฟ้องอย่ำงไร ให้พิพำกษำตำมคำขอท้ำยฟ้อง โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำจำเลยกระทำควำมเสียหำยตำมมำตรำ 420 ซึ่ง เป็นเรื่องละเมิดหลักทั่วไป มิใช่ให้จำเลยรับผิดตำมมำตรำ 428 ซึ่งเป็นเรื่องผู้ว่ำจ้ำง ทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อควำมเสียหำยอันผู้รับจ้ำงได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภำยนอก ในระหว่ำงทำงำนที่ว่ำจ้ำง เว้น แต่ผู้ว่ำจ้ำงจะเป็นผู้ผิดในส่วนกำรสั่งกำรงำนที่สั่งให้ ทำหรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้ หรือในกำรเลือกหำผู้รับจ้ำง เพรำะตำมคำฟ้องโจทก์มิได้ บรรยำยว่ำจำเลยว่ำจ้ำงใคร และมีส่วนผิดในกำรงำนที่สั่งให้ทำอย่ำงไร ถึงแม้ว่ำ ควำมรับ ผิด ตำมมำตรำ 420 อำจซ้อนกั บ มำตรำ 428 ได้ แต่เ มื่อคำฟ้องจะต้อง แสดงให้แจ้งชัดถึงสภำพแห่งข้อหำและคำขอบังคับทั้งข้ออ้ำงที่อำศัยเป็นหลักแห่ง ข้อหำตำมประมวลวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ 172 ศำลจะไปพิพำกษำให้จำเลย รับผิดตำมมำตรำ 428 มิได้ตอ้ งพิจำรณำตำมมำตรำ 420 ที่โจทก์ขอ โปรดพิจำรณำ ตำมคำพิพำกษำฎีกำที่1882/2543
119
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
2.10 ความรับผิดกรณีผู้ทาละเมิดมีหลายคน มาตรา 432 บัญญัติว่ำ ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่ บุคคลอื่นโดยร่วมกันทาละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีท่ี ไม่ ส ามารถสื บ รู้ตั ว ได้ แน่ ว่ า ในจ าพวกที่ ท าละเมิ ด ร่ วมกั น นั้ น คนไหนเป็ น ผู้ ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย อนึ่งบุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทาละเมิด ท่านก็ให้ ถือว่าเป็นผู้กระทาละเมิดร่วมกันด้วย ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน นั้น ท่านว่าต่างต้อ งรับ ผิ ดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่โดยพฤติก ารณ์ศาลจะ วินิจฉัยเป็นประการอื่น 2.10.1 หลักกฎหมาย หลัก ควำมรับผิดในกรณีผู้ทำละเมิดมีหลำยคน ให้พิจำรณำว่ำบุคคลใด ที่ทำละเมิดเห็นเด่นชัดที่สุดบุคคลนั้นให้พิจำรณำตำมมำตรำหลักกล่ำวคือ มำตรำ 420 และผู้กระทำละเมิดคนที่เหลือให้พิ จำรณำตำมมำตรำนี้ แต่หำกในชั้นพิจำรณำ คดีได้ว่ำบุคคลหลำยคนร่วมกันทำละเมิด (ตัวกำร) ยุยงส่งเสริม (ผู้ใช้) ผู้ช่วยเหลือ (ผู้สนับสนุน) ที่วงเล็บไว้คือกำรเทียบเคียงกับกฎหมำยอำญำ ให้ถือว่ำเป็นผู้กระทำ ละเมิดร่วมกัน 2.10.1.1 ร่วมกันทำละเมิด-ร่วมกันรับผิด กำรร่วมกันทำละเมิด (Joint wrongful act) หมำยถึงกำรมีเจตนำร่วมกันในกำร กระทำกำรใดเพื่อก่อให้เกิดควำมเสียหำยต่อบุคคลอื่น คำพิพำกษำฎีกำที่ 1188/2502 สมคบกันหลอกลวงเจ้ำของรถยนต์ว่ำ ขอเช่ำรถยนต์ไปเล่นกำรพนันกันใกล้ ๆ แต่กลับนำรถยนต์ไปถึงกรุงเทพ โดยเจ้ำของ รถยนต์มิ ไ ด้ ยิน ยอม เมื่ อรถยนต์ ไ ปชนโคเกิด ควำมเสี ย หำยขึ้น ย่ อมถือ ว่ำ พวกที่ หลอกลวงเอำรถยนต์ ไ ปร่ ว มกั น ละเมิ ด ต่ อ เจ้ ำ ของรถยนต์ จึ ง ต้ อ งร่ ว มกั น ใช้ ค่ำเสียหำยแก่เจ้ำของรถยนต์
120
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
อุท ำหรณ์ นำยกิตติเ ป็นเจ้ำของรถยนต์บรรทุก นำยหมอดีเ ป็นคนขับ รถยนต์บรรทุกคันนี้ ในวันเกิดเหตุนำยหมอดีขับรถไปส่ งของที่โกดัง เมื่อขนของลง เสร็จก็จอดรถทิง้ ไว้แต่ตัวไปที่อ่นื โดยทิง้ กุญแจเสียบไว้ที่สตำร์ทรถ นำยกิตติจึงใช้ให้ นำงสำวปู ไปดู รถ แต่มิไ ด้สั่ งให้ขับ รถนั้นกลับมำ แต่นำงสำวปูขับ รถกลับ มำโดย พลกำร และโดยควำมประมำทเลินเล่อชนกับรถคันอื่น กรณีเช่นนี้ จะถือว่ำ นำย กิตติไม่จำต้องร่วมรับผิดกับนำงสำวปู และกำรกระทำของนำยหมอดีก็ไม่ถึงกับเป็น ผลให้เกิดกำรละเมิดขึน้ โดยตรงและไกลเกินกว่ำเหตุ อุ ท ำหรณ์ ครบก ำหนดสั ญ ญำเช่ ำ อำคำรพำณิ ช ย์ น ำยกิ ต ติ บ อกเลิ ก สัญญำแก่นำยหมอดี ปรำกฏว่ำนำยหมอดีผู้เช่ำไม่ส่งมอบอำคำรดังกล่ำวคืน และ นำงสำวปูได้ทำกำรค้ำอยู่ในอำคำรนั้นต่อมำ จะเห็นได้ว่ำกำรอยู่ต่อมำของนำงสำวปู เป็นกำรละเมิด จึงถือว่ำนำยหมอดีและนำงสำวปูร่วมกันทำละเมิด ต้องร่วมกันรับ ผิดต่อนำยกิตติ ผลของมำตรำ 432 กฎหมำยบัญญัติให้บุคคลเหล่ำนั้นต้องรับผิดเท่ำกัน เว้นแต่สำมำรถพิสูจน์ให้ศำลเห็นได้วำ่ ระดับควำมหนักเบำของใครมำกน้อยกว่ำกัน ก็ ต้องชดใช้ตำมที่ตนกระทำนัน้ ข้อสังเกต หำกได้ควำมบุคคลหลำยคนมิได้ร่วมกันกระทำละเมิดก็มิเข้ำ หลักเกณฑ์ตำมมำตรำ 432 ต้องพิเครำะห์ตำมมำตรำ 420 2.10.1.2 อะไรจะเป็นเครื่องแบ่งแยกว่ำร่วมกันทำละเมิดหรือไม่ ให้พิจำรณำจำกกำรมีเจตนำร่วมกั นในกำรกระทำ แต่ข้อให้พึงระลึกไว้ เสมอว่ำ กรณีร่วมกันทำละมิดนี้จะมีได้แต่เฉพำะกรณีจงใจกระทำละเมิดเท่ำนั้น กำร ร่วมกันโดยประมำท เช่น เป็นผู้ใช้ ตัวกำร ผู้สนับสนุนโดยประมำทเลินเล่อมิอำจ เป็นได้โดยสภำพของตัวมันเอง ขอให้ศึกษำตำมคำพิพำกษำฎีกำที่ 751/2498 กำร ละเมิดอำจเกิดจำกบุคคลหลำยคนทำผิด โดยหลำยคนประมำทเลินเล่อทำให้เกิด ควำมเสียหำยขึ้นก็ได้ เช่นต่ำงฝ่ำยต่ำงขับรถยนต์ชนกันโดยประมำท แต่จะเห็นได้ว่ำ
121
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เมื่อต่ำงฝ่ำยต่ำงขับรถโดยประมำทแสดงว่ำ จำเลยทั้งสองมิได้ ร่วมกันตำมมำตรำ 432 2.10.1.3 ข้อเท็จจริงที่โจทก์ตอ้ งนำสืบ โจทก์ต้องนำพยำนหลักฐำนมำสืบให้เห็นว่ำ บุคคลหลำยคนร่วมกระทำ ละเมิดกับตน เมื่อโจทก์ไม่มีพยำนมำสืบแสดงให้เห็นว่ำ กำรที่จำเลยที่ 2 ยักยอกเงิน ไปโดยมีจำเลยที่ 3 ร่วมด้วยนั้น ได้เกิดจำกกำรจงใจหรือประมำทเลินเล่อของจำเลย ที่ 1 อันเป็นผลโดยตรงให้เกิ ดมีก ำรยั กยอกเงินรำยนี้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับ ผิด ร่วมกับจำเลยอื่น (คำพิพำกษำฎีกำที่ 1389/2509) 2.10.2 ความรับผิดในกรณีผู้ทาละเมิดมีหลายคน อำจแบ่งได้เป็น 2 กรณี กรณีท่ี 1 กล่ าวคือ ร่ วมกั นทาละเมิด ยุย งส่ งเสริม ช่ วยเหลือ ให้ ผู้อื่นทาละเมิด ข้อ พิ จ ำรณำระหว่ ำ งผู้ ท ำละเมิ ด กั บ ผู้ เ สีย หำย ผู้เ สี ย หำยอยู่ ใ นฐำนะ เจ้ำหนี้ในมูลหนี้ละเมิดจะเรียกจำกผู้ทำละเมิดในฐำนะลูกหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งก็ได้ หรือสำมำรถเรียกเอำจำกลูกหนี้ร่วมทุกคนก็ย่อมได้ โปรดเทียบเคียงคำพิพำกษำ ฎีกำที่ 1472/2506 ซึ่งได้อธิบำยว่ำ คำว่ำ “ร่วมกันใช้” มีควำมหมำยว่ำ แต่ละคน จำต้องชำระหนีอ้ ย่ำงสิ้นเชิง มำตรำ 291 ถ้ำบุคคลหลำยคนจะต้องทำกำรชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่ำเจ้ำหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่ เพียงครั้งเดียว (กล่ำวคือลูกหนีร้ ่วมกัน) ก็ดี เจ้ำหนี้จะเรียกชำระหนี้จำกลูกหนี้แต่คน ใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตำมแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้อง ผูกพันกันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่ำหนี้นนั้ จะได้ชำระเสร็จสิน้ เชิง ในกำรนี้ ถึงแม้วำ่ จะไม่อำจแยกแยะได้ว่ำผู้กระทำละเมิดคนใดก่อให้เกิด ควำมเสียหำย แต่หำกว่ำพวกที่ทำให้เกิดละเมิดร่วมกันแล้ว ก็จำต้องรับผิดร่วมกัน
122
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีก ำที่ 436/2510 ศำลมีคำพิพำกษำถึงที่สุดให้จำเลยทั้ง สองร่วมกันใช้ค่ำสินไหมทดแทนในกรณีละเมิดให้โจทก์ จำเลยทั้งสองจึงเป็นลูกหนี้ ร่วมกัน มีหน้ำที่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นเชิง จำเลยจะแบ่งชำระให้โจทก์เป็น ส่วน ๆ เฉพำะของจำเลยแต่ละคนหำได้ไม่ เมื่อควำมรับผิดร่วมกันของจำเลยทั้งสอง ต่อโจทก์มีอย่ำงนี้ ผู้ร้องกับ บ. ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดชดใช้ค่ำ สินไหมทดแทนให้โจทก์เสร็จสิ้นเชิงตำมคำพิพำกษำเช่นเดียวกัน จะให้ผู้ร้องกับ บ. รับผิดใช้ค่ำสินไหมทดแทนให้โจทก์เฉพำะส่วนของจำเลยที่ 1 โดยแบ่งคนละครึ่งกับ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ ดังนั้น ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 432 วรรคสำม จึง เป็นบทบัญญัติว่ำด้วยส่วนแบ่งควำมรับผิดในเมื่อมีกำรเรียกร้องในระหว่ำงผู้ที่ต้อง รับผิดร่วมกัน กรณีท่ี 2 ข้อพิจารณาระหว่างตัวผู้กระทาละเมิดด้วยกันเอง มำตรำ 296 ในระหว่ำงลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลำยนั้น ท่ำนว่ำต่ำงคนต่ำง ต้องรับผิดเป็นส่วนเท่ำ ๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่ำงอื่น ถ้ำส่วนที่ลูกหนี้ ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้นเป็นอันจะเรียกเอำจำกคนนั้นไม่ได้ไซร้ ยังขำด จำนวนอยู่เท่ำไร ลูกหนี้คนอื่น ๆ ซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้ แต่ถ้ำลูกหนี้ ร่วมกันคนใดเจ้ำหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจำกหนี้ร่วมกันนั้นแล้ว ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะ พึงต้องชำระก็ตกเป็นพับแก่เจ้ำหนี้ไป กล่ำวคือ มำตรำ 296 ลูกหนี้ผู้ทำละเมิดร่วมต้องรับผิดชอบชดใช้ให้แก่ ผูเ้ สียหำยในส่วนเท่ำ ๆ กัน เว้นแต่จะพิสูจน์โดยมีพฤติกำรณ์แบ่งแยกกันได้ชัดเจนว่ำ ให้เ ป็นไปตำมส่ว นก็ พิจำรณำไปตำมนั้น เช่น นำยกิตติ ร่วมกั บ นำยหมอดี ไปท ำ ละเมิ ด นำงสำวปู ในชั้ น พิ จ ำรณำปรำกฏพฤติ ก ำรณ์ ว่ ำ นำยกิ ต ติ ท ำละเมิ ด 30 เปอร์เ ซ็นต์ ส่ว นนำยหมอดีทำละเมิด 70 เปอร์เซ็นต์ ในกำรนี้เมื่อนำงสำวปูเป็น โจทก์ฟ้องโดยเรียกร้องให้นำยกิตติซึ่งทำละเมิดเพียงแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ชดใช้เต็ม จำนวนได้ แต่เพื่อควำมเป็นธรรมแก่นำยกิตติ กฎหมำยจึงอนุญำตให้นำยกิตติมีสิทธิ ที่จะเรียกส่วนที่ตนจ่ำยเกินไป 70 เปอร์เซ็นต์ คืนจำกนำยหมอดีได้ กฎหมำยเรียกว่ำ
123
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
นำยกิตติรับช่วงสิทธิ ของเจ้ำหนี้ผู้เสียหำยตำมมำตรำ 229 (3) ที่กฎหมำยกำหนดให้ กำรรับช่วงสิทธิของบุคคลผู้มีควำมผูกพันร่วมกับผู้อื่น หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้ หนี้มสี ่วนได้เสียด้วยในกำรใช้หนี้นนั้ และเข้ำใช้หนีน้ ั้น ข้อสังเกต เช่นเดียวกันเมื่อเป็นละเมิดที่เกิดขึ้นจำกกำรกระทำของตนเอง สิทธิดั งกล่ ำวที่มีต่อผู้ทำละเมิดร่วมจึงมิใช่ก ำรใช้สิทธิไล่เ บี้ย เพรำะไม่มีกฎหมำย บัญญัติไว้เหมือนกับกรณี Vicarious liability แต่เป็นเรื่องของกำรรับช่วงสิทธิตำมมำตรำ 229 (3) ควำมแตกต่ำงของรับช่วงสิทธิกับสิทธิไล่เบีย้ คือ สิทธิไล่เบี้ย หมำยควำมว่ำ เป็นสิทธิของตัวบุคคลนั้นโดยเฉพำะมิได้อำศัยสิทธิของผูอ้ ื่น ไม่ได้อำศัยมูลหนี้ละเมิด อำยุควำมแยกจำกมูลหนีม้ ีอำยุถึง 10 ปี ส่วนกำรรับช่วงสิทธิ หมำยควำมว่ำ ตัวเองไม่มีสิทธิ แต่อำศัยสิทธิของ เจ้ำหนี้ผู้เสียหำยที่มีต่อลูกหนี้ผู้ทำละเมิด สิทธินั้นคือสิทธิที่มีต่อมูลหนี้ละเมิด อำยุ ควำมจึงมีเพียง 1 ปี เท่ำนั้น ตำมมำตรำ 448 กรณีท่ี 3 ข้อพิจารณาบุคคลต่างคนทาละเมิด 3.1 ควำมเสี ย หำยแบ่ ง แยกได้ ห รื อ ไม่ หำกปรำกฏว่ ำ ควำมเสี ย หำย แบ่งแยกได้ตำ่ งคนต่ำงรับผิดชอบในผลแห่งกำรกระทำนั้น 3.2 ควำมเสียหำยแบ่งแยกไม่ได้ กล่ำวคือ ควำมเสียหำยที่เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันแบ่งแยกจำกกันมิได้ ต้องร่วมกันรับผิดแต่มิใช่ตำมมำตรำ 432 เพรำะ บุคคลหลำยคนมิได้กระทำละเมิดโดยร่วมกันกระทำ ผิดมำตรำ 420 แต่เกิดควำม เสียหำยที่แบ่งมิได้ต้องไปพิจำรณำตำมมำตรำ 301 ถ้ำบุคคลหลำยคนเป็นหนี้อันจะ แบ่งกันชำระมิได้ ท่ำนว่ำบุคคลเหล่ำนั้นต้องรับผิด เช่นอย่ำงลูกหนี้ร่วม กล่ำวคือ 1. ระหว่ำงผู้ทำละเมิดกับผู้เสียหำย และ 2. ระหว่ำงผู้ทำละเมิดด้วยกัน ให้ย้อนกลับไป พิจำรณำตำมกรณีที่ 1 และ 2 ข้ำงต้น คำพิพำกษำฎีกำที่ 143-144/2521 รถยนต์ 2 คันสวนและชนกันตรงเส้น กึ่งกลำงถนน เป็นควำมประมำทเลินเล่อของรถทั้งสองไม่ยิ่ งหย่อนกว่ำกัน ควำมรับ ผิดจึงพับกันไป ทั้งสองฝ่ำยต้องร่วมกันรับผิดต่อคนที่ขี่จักรยำนอยู่ข้ำงทำงแล้วถูกรถ คันหนึ่งคว่ำทับตำย และขอให้เทียบเคียงคำพิพำกษำฎีกำที่ 615-616/2523
124
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
3.3 ข้อยกเว้นในกรณีที่มิใช่ลูกหนี้ร่วม โดยพฤติกำรณ์ศำลเห็นสมควร แยกส่วนควำมรับผิดเป็นส่ วน ๆ (กำหนดให้ศำลใช้ดุลยพินิจ) ซึ่งแตกต่ำงกับมำตรำ 432 เป็นสิทธิของผู้เสียหำยจะเรียกให้ผู้ทำละเมิดคนใดชำระเต็มจำนวนก็ได้ ศำลไม่ มีสิทธิใช้ดุลยพินิจในกำรแบ่งส่วน แต่ที่กำหนดไว้ในมำตรำ 432 ตอนท้ำยที่ว่ำ “ใน ระหว่ำงบุคคลทั้งหลำยซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่ำสินไหมทดแทนนั้น ท่ำนว่ำต่ำงต้อง รับผิดเป็นส่วนเท่ำ ๆ กัน เว้นแต่โดยพฤติกำรณ์ศำลจะวินิจฉัยเป็นประกำรอื่น ” เป็น เรื่องของส่วนของควำมรับผิด ในแต่ละบุคคลที่ทำละเมิดหำกพิสูจน์ได้เท่ำนั้น อุทำหรณ์ นำยกิตติ ขับรถยนต์โดยประมำทเลินเล่อพำนำงสำวปู แฟน สำวไปเที่ยวต่ำงจังหวัดลำพังกำรขับรถยนต์โดยประมำทของนำยกิตติไม่ได้ทำให้เกิด ควำมเสียหำย แต่บังเอิญ มีรถยนต์อีกคันหนึ่งขับโดยนำยหมอดีวิ่งออกมำจำกข้ำง ทำงมำกะทันหันโดยประมำทเลินเล่อเช่นกัน เกิดอุบัติเหตุ นำงสำวปูตำบอด จะเห็น ได้ว่ำกำรที่นำงสำวปูได้รับควำมเสียหำยเกิดจำกบุคคลสองคนได้แก่ นำยกิตติ และ นำยหมอดี คิดค่ำเสียหำยรวมแล้ว 1,000,000 บำท กรณีเช่นนี้เป็นกรณีที่ต่ำงคน ต่ำงทำละเมิด และควำมเสียหำยเป็นเรื่องที่แบ่งแยกมิได้ ดังนั้น นำงสำวปูจะเรียก เอำกับใครก็ได้ นำงสำวปูจึงไปเรียกกับนำยหมอดีจำนวน 1,000,000 บำท เพรำะนำย กิตติเป็นแฟนหนุ่ม ดังนี้ นำยหมอดีเถียงว่ำก็ทำผิดคนละครึ่งทำไมมำเรียกเอำแต่ตน ท่ำนจะเห็นได้ว่ำไม่เป็นธรรมกับนำยหมอดีที่จะถูกปิดปำกเช่นนั้น เนื่องจำกโจทก์กับ นำยกิตติมีควำมสัมพันธ์พิเศษ (Special Damage) เพรำะเหตุนี้ ศำลจึงมีอำนำจใช้ดุลย พินจิ กำหนดสัดส่วนของควำมรับผิดตำมควำมจริงได้ ศำลใช้อำนำจตำมมำตรำ 438 วรรคหนึ่งมำยกเว้นมำตรำ 301 ได้ แต่มิใช่มำตรำ 432 คำพิพ ำกษำฎีก ำที่ 1188/2509 ในคดีที่โ จทก์ฟ้องว่ำจำเลยละเมิดต่อ โจทก์ โดยจำเลยให้กำรหรือแจ้งควำมเท็จต่อเจ้ำพนักงำนทำให้โจทก์ต้องออกจำก ตำแหน่ง แต่ปรำกฏว่ำจำเลยที่ 1 ให้กำรต่อคณะกรรมกำรสอบสวนโจทก์ห่ำงกันกับ จำเลยที่ 2 ประมำณ 1 เดือน จำเลยต่ำงคนต่ำงให้กำรว่ำรู้เห็นในหน้ำที่ของตน จึงไม่ มีลั ก ษณะเป็นลู ก หนี้ ร่ว มกั น ทั้ งตำมฟ้อ งของโจทก์ก็ ไ ม่ไ ด้ บ รรยำยว่ำจ ำเลยเป็ น ลูกหนี้รว่ ม จึงไม่ควรที่จะให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ร่วมกันหรือแทนกัน
125
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
บทที่ 3 ละเมิดที่เกิดจากการกระทาผู้อื่น ควำมรับผิดฐำนละเมิดที่เกิดจำกกำรกระทำของบุคคลอื่น (Vicarious Liability) 3.1 กรณีนายจ้างกับลูกจ้าง มาตรา 425 บัญญัติวำ่ นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่ง ละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทาไปในทางการที่จ้างนั้น มาตรา 426 บั ญ ญั ติ ว่ ำ นายจ้ า งซึ่ ง ได้ ใ ช้ ค่ า สิ น ไหมทดแทนให้ แ ก่ บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทานั้นชอบที่จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น มาตรา 427 บัญญัติว่ำ บทบัญญัติในมาตราทั้งสองก่อนนั้น ท่านให้ใช้ บังคับแก่ตัวการและตัวแทนด้วยโดยอนุโลม 3.1.1 ข้อเปรียบเทียบ 3.1.1.1 สัญญำจ้ำงแรงงำน (นำยจ้ำงกับลูกจ้ำง) มำตรำ 575 บัญญัติวำ่ อันว่ำจ้ำงแรงงำนนั้น คือสัญญำซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่ำลูกจ้ำง ตกลงจะทำงำนให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่ำนำยจ้ำง และนำยจ้ำง ตกลงจะให้สินจ้ำงตลอดเวลำที่ทำงำนให้ 3.1.1.2 สัญญำจ้ำงทำของ (ผูว้ ่ำจ้ำงกับผู้รับจ้ำง) Employer-employee relationship
มำตรำ 587 บัญญัติวำ่ อันว่ำจ้ำงทำของนัน้ คือสัญญำซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่ำผูร้ ับจ้ำง ตกลงรับจะทำงำนสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่ำผูว้ ่ำจ้ำง และผูว้ ่ำจ้ำงตกลงจะให้สินจ้ำงเพื่อผลสำเร็จแห่งกำรที่ทำนั้น 3.1.1.3 กำรทำงำนในหน่วยงำนรำชกำร (ส่วนรำชกำรกับข้ำรำชกำร) มำตรำ 76 บัญญัติว่ำ ถ้ำกำรกระทำตำมหน้ำที่ของผู้แทนของนิติบุคคล หรือผู้มีอำนำจทำกำรแทนนิติบุคคล เป็นเหตุให้เกิดควำมเสียหำยแก่บุคคลอื่นนิติ บุคคลนั้นต้องรับผิดชดใช้ค่ำสินไหมทดแทนเพื่อควำมเสียหำยนั้นแต่ไม่สูญเสียสิทธิที่ จะไล่เบี้ยเอำแก่ผู้ก่อควำมเสียหำย
126
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ถ้ำควำมเสียหำยแก่บุคคลอื่นเกิดจำกกำรกระทำที่ไม่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์ หรืออำนำจหน้ำที่ของนิติบุคคล บรรดำบุคคลดังกล่ำวตำมวรรคหนึ่งที่ได้เห็นชอบ ให้กระทำกำรนั้นหรือได้เป็นผู้กระกำรทำดังกล่ำวต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่ำสินไหม ทดแทนแก่ผู้ที่ได้รับควำมเสียหำยนั้น กรณีข้ำรำชกำรในสังกัดไปกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่น เช่น พลทหำรกิตติ เป็นพลขับประจำกองทัพบก ได้ขับรถไปส่งเอกสำรตำมหน้ำที่ของตน ปรำกฏว่ำขับ รถยนต์โยประมำทชนนำยหมอดีได้รับบำดเจ็บ ข้อพิจำรณำนี้จะพบว่ำ พลทหำรกิตติ มีควำมผิดละเมิดตำมมำตรำ 420 ส่วนต้นสังกัดได้แก่ กระทรวงกลำโหม หรือ กองทัพบกต้องร่วมเข้ำมำรับผิดตำมมำตรำ 425 มิได้ เพรำะพลทหำรกิตติมิใช่เป็น นำยจ้ำงลูกจ้ำงกัน คำพิพำกษำฎีกำที่ 1133/2516 (ประชุมใหญ่) จำเลยที่ 2 เป็นพลำธิกำรกอง พลทหำรม้ำสั่งให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพลขับ ขับรถยนต์ของกองพลทหำรม้ำไปขน ปูนซีเมนต์ให้วัด ย่อมถือได้ว่ำจำเลยที่ 2 เป็นตัวกำร และจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนใน กิจกำรนัน้ โดยปริยำย เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กลับกองพลทหำรม้ำได้ชนรถโจทก์ เสียหำย จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิด แต่กิจกำรดังกล่ำวมิใช่กิจกำรของ กองทัพบก กองทัพบกจึงไม่ต้องรับผิด ต้องพิจำรณำให้ได้ก่อนว่ำ เป็นสัญญำอะไร กล่ำวคือควำมสัมพันธ์ของผู้ทำ ละเมิดกับผูท้ ี่จะต้องร่วมรับผิดมีควำมสัมพันธ์ทำงใด เช่น นำยจ้ำงลูกจ้ำง ตัวกำร ตัวแทน ผู้ใช้ผู้ถูกใช้ เป็นต้น 3.1.2 ข้อพิจารณาทั่วไป มำตรำ 425 นีเ้ ป็นกำรกำหนดเงื่อนไขในกำรดึงนำยจ้ำงที่ไม่ได้เป็นผู้ทำ ละเมิดเข้ำมำรับผิดในกำรที่ลูกจ้ำงกระทำละเมิด เพรำะ 1. กำรมอบหมำยงำนให้ปฏิบัติ 2. สภำพกำรณ์ทำงเศรษฐกิจ
127
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
3.1.3 หลักเกณฑ์ในการพิจารณาองค์ประกอบความรับผิด 3.1.3.1 ควำมสัมพันธ์ในลักษณะนำยจ้ำงกับลูกจ้ำงตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน (There must exist a relationship of employer and employee)
ควำมรับผิดของนำยจ้ำงที่ต้องร่วมรับผิดนั้น (Respondent Superior) ต้องปรำกฏนิติ สัมพันธ์ตำมสัญญำจ้ำงแรงงำน ทั้งนี้ ไม่จำต้องมีหนังสือจ้ำงงำน กำรเป็นนำยจ้ำง ลูกจ้ำงกันโดยพฤตินัยย่อมมีผลตำมกฎหมำย ( The act applies to employees) แต่นัยสำคัญที่ ต้องคำนึงถึงมำกที่สุดคือกำรนัน้ ต้องมีคำ่ จ้ำงแรงงำน ลักษณะของสัญญาจ้างแรงงาน ลูกจ้ำงจะต้องปฏิบัติงำนในควำมควบคุมหรือตำมคำสั่งของนำยจ้ำง ส่วน ค่ำใช้จ่ำยผลกำไรขำดทุนเป็นของนำยจ้ำง ลูกจ้ำงเพียงแต่รับค่ำจ้ำงไปก้อนหนึ่ง เท่ำนั้น ข้อพิจำรณำคุณลักษณะของสัญญำจ้ำงแรงงำน ก. อานาจในการควบคุม ในกำรมีอำนำจควบคุมเหนือและบังคับบัญชำเหนือลูกจ้ำงนั้น ในทำงหลัก กฎหมำยอังกฤษได้อธิบำยให้เข้ำใจอย่ำงง่ำย คือเปรียบสภำพกับเจ้ำนำย (Master) กับ คนรับใช้ (Servant) มำตรำ 583 ถ้ำลูกจ้ำงจงใจขัดคำสั่งของนำยจ้ำงอันชอบด้วยกฎหมำยก็ดี หรือละเลยไม่นำพำต่อคำสั่งเช่นว่ำนั้นเป็นอำจิณก็ดี ละทิ้งกำรงำนไปเสียก็ดี กระทำ ควำมผิดอย่ำงร้ำยแรงก็ดี หรือทำประกำรอื่นอันไม่สมแก่กำรปฏิบัติหน้ำที่ของตนให้ ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ท่ำนว่ำนำยจ้ำงจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่ำว ล่วงหน้ำหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ ขอให้ท่ำนพิจำรณำคำพิพำกษำฎีกำที่ 1885/2497 722/25245 449/2530 ที่วนิ ิจฉัยไปทำนองเดียวกันว่ำ กำรพิจำรณำว่ำเป็นกำรจ้ำงแรงงำนหรือไม่ พิจำรณำ จำกอำนำจควบคุมหรือสั่งกำรให้บุคคลนั้นปฏิบัติตำม
128
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ข. ค่าจ้างตอบแทนการทางาน คำพิพำกษำฎีกำที่ 769/2485 ผูเ้ ช่ำเรือกลไฟมำเดินรับขนส่งโดยเจ้ำของเรือ เป็นผู้ออกค่ำจ้ำงคนเรือและค่ำใช้จ่ำยในเรือ ไม่เรียกว่ำเป็นผู้แทนเจ้ำของเรือหรือ นำยจ้ำงของนำยเรือ จึงไม่มีควำมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนำยเรือ จะเห็นได้ว่ำ ผูเ้ ช่ำเรือรับขนส่งมิได้เป็นผู้จ่ำยค่ำจ้ำงตอบแทนแก่นำยเรือ จึง มิใช่นำยจ้ำงลูกจ้ำงกัน คำพิพำกษำฎีกำที่ 1176/2510 เจ้ำของรถยนต์นำรถยนต์ไปซ่อมที่อซู่ ่อมรถ แล้ว เจ้ำของรถได้วำนให้ช่ำงซ่อมรถขับรถไปส่งให้ที่อื่น เมื่อส่งเสร็จแล้วช่ำงซ่อมรถ ขับรถกลับอู่เกิดอุบัติเหตุ กรณีดังกล่ำว ช่ำงซ่อมรถยนต์ไม่ได้เป็นตัวแทนหรือเป็น ลูกจ้ำงของเจ้ำของรถยนต์ เจ้ำของรถยนต์ไม่ต้องร่วมรับผิดในละเมิดนั้น กรณีดังกล่ำวไม่มีคุณลักษณะของกำรจ้ำงแรงงำนเลย ซึ่งขอให้ท่ำน ย้อนกลับไปพิจำรณำถึงละเมิดควำมผิดโดยตนเองกรณีผวู้ ่ำจ้ำงกับผู้รับจ้ำง ซึ่งหำกเปรียบเทียบกับหลักกฎหมำยอังกฤษจะพิจำรณำว่ำเป็นนำยจ้ำง ลูกจ้ำงจำกอำนำจที่มใี นกำรเลือกบุคคลเข้ำมำเป็นลูกจ้ำง กำรจ่ำยค่ำตอบแทน และ กำรควบคุมบังคับบัญชำลูกจ้ำง กำรวำน ใช้ โดยพึ่งพำอำศัยไม่มคี ่ำจ้ำงมิใช่เป็นกำรจ้ำงแรงงำนไม่เข้ำ องค์ประกอบตำมมำตรำ 425 ผูใ้ ช้ วำน พึ่งพำไม่ต้องรับผิดตำมมำตรำนี้ ผูท้ ี่ถูกใช้ วำน พึ่งพำ จะต้องมีควำมรับตำมมำตรำ 427 แต่ต้องมีลักษณะของกำรเป็นตัวกำร ตัวแทน มำตรำ 427 บทบัญญัติในมำตรำทั้งสองก่อนนั้น ท่ำนให้ใช้บังคับแก่ตัวกำร และตัวแทนด้วยโดยอนุโลม
129
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
สัญญาตัวแทนอาศัยหลักความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน คำพิพำกษำฎีกำที่ 1049/2505 มำรดำเป็นเจ้ำของรถยนต์โดยสำร ได้ มอบหมำยให้บุตรอำยุ 28 ปี เป็นตัวแทนในกำรรับขนส่งผูโ้ ดยสำรเก็บผลประโยชน์ ให้แก่มำรดำ แม้วำ่ มำรดำจะมิใช่นำยจ้ำงของบุตรแต่เมื่อบุตรขับรถโดยประมำททำ ให้รถยนต์คว่ำเป็นเหตุให้ผโู้ ดยสำรบำดเจ็บ ก็เป็นกำรละเมิดในกำรเป็นตัวแทนของ มำรดำ มำรดำจึงต้องร่วมรับผิดตำมมำตรำ 427 คำพิพำกษำฎีกำที่ 4223/2542 จำเลยที่ 2 และบริษัท ธ. เป็นบริษัทในเครือ เดีย วกั นมีวั ตถุ ประสงค์ในกำรประกอบกิจกำรค้ำหำประโยชน์จำกกำรใช้สถำนที่ ศูนย์กำรค้ำแอร์พอร์ต พลำซ่ำ ร่วมกัน กำรที่บริษัท ธ. ทำสัญญำว่ำจ้ำงจำเลยที่ 1 ให้ส่งพนักงำนรัก ษำควำมปลอดภัยของจำเลยที่ 1 มำดูแลรักษำควำมปลอดภัยที่ ศูนย์กำรค้ำดังกล่ำว จึงเป็นกำรกระทำเพื่อประโยชน์ในกำรใช้พื้นที่ศูนย์กำรค้ำของ บริษัท ธ. และจำเลยที่ 2 ทั้งขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ยังทำหน้ำที่ส่งพนักงำนรักษำ ควำมปลอดภัยไปดูแลรักษำควำมปลอดภัยที่ศูนย์กำรค้ำแอร์ พอร์ตพลำซ่ำ ที่เกิด เหตุ พฤติกำรณ์ของบริษัท ธ. กับจำเลยที่ 2 ที่ประกอบกิจกำรค้ำร่วมกัน โดยมีชื่อ จำเลยที่ 2 และชื่อศูนย์กำรค้ำดังกล่ำวติดอยู่ในอำคำรเดียวกัน และมีพนักงำนรักษำ ควำมปลอดภัยของจำเลยที่ 1คอยดูแลรักษำควำมปลอดภัยในศูนย์กำรค้ำนั้น ย่อม เป็นที่แสดงให้ ผู้ใ ช้บ ริก ำรเข้ ำใจว่ำจำเลยที่ 2 เป็นเจ้ ำของหรือได้ร่วมกั บ เจ้ำของ ศูนย์กำรค้ำดังกล่ำวมอบหมำยให้จำเลยที่ 1 รวมทั้งพนักงำนรักษำควำมปลอดภัย ของจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนดูแลรักษำควำมปลอดภัยให้แก่ลูกค้ำผู้มำใช้บริกำรแทน จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวกำรด้วย
130
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
กำรที่พนักงำนรักษำควำมปลอดภัยของจำเลยที่ 1 ไม่ระมัดระวังตรวจบัตร จอดรถโดยเคร่งครัด อันเป็นกำรงดเว้นกำรปฏิบัติหน้ำที่เพื่อป้องกันกำรโจรกรรม รถยนต์ เป็นผลโดยตรงทำให้รถยนต์ของนำย ส. ถูก ลักไป และเป็นกำรประมำท เลินเล่อ จึงเป็นกำรกระทำละเมิดต่อนำย ส. ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 420 กำรกระทำดังกล่ำวเป็นกำรกระทำไปในทำงกำรที่จ้ำงของจำเลยที่ 1 ดังนั้น จำเลยที่1 ในฐำนะนำยจ้ำงต้องร่วมรับผิดกับพนักงำนรักษำควำมปลอดภัยซึ่งเป็น ลูกจ้ำงของตนในผลแห่งละเมิดต่อนำย ส. ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 425 ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวกำรมอบหมำยให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนดูแล รักษำควำมเรียบร้อยและปลอดภัยในบริเวณลำนจอดรถของศูนย์กำรค้ำดังกล่ำว จึง ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งตัวแทนของจำเลยที่ 2 ได้กระทำไปในทำงกำรที่ มอบหมำยให้ ท ำแทนนั้ น ตำมประมวลกฎหมำยแพ่ ง และพำณิ ช ย์ มำตรำ 427 ประกอบด้วยมำตรำ 420 จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ คำพิพำกษำฎีกำที่ 5545/2542 จำเลยที่ 1 ทำงำนเป็นแคดดี้อยู่ในสนำม กอล์ฟของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถกอล์ฟบรรทุกผู้เล่นกอล์ฟชนโจทก์ได้รับ บำดเจ็บที่เข่ำซ้ำยและหลังเท้ำซ้ำย จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ดูแลครอบครอง เพรำะกำร ใช้รถคันเกิดเหตุจะต้องผ่ำนกำรซื้อบัตรรถกอล์ฟโดยตรงจำกจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงได้รับประโยชน์สว่ นแบ่งเป็นค่ำเช่ำจำกผู้เล่นกอล์ฟ และแม้กำรที่จำเลยที่ 1 ขับรถ คันเกิดเหตุจะมิใช่หน้ำที่โดยตรงของจำเลยที่ 1 แต่ก็ถือได้ว่ำเป็นหน้ำที่ส่วนหนึ่งที่ จำเลยที่ 2 มอบหมำยให้ทำจำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในด้ำนบริกำร แก่ผู้เล่นกอล์ฟ จำเลยที่ 2 ในฐำนะตัวกำรจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด และตำมตั ว อย่ ำ งกรณี พ ลทหำรกิ ตติ ข้ำ งต้น นำยหมอดี จ ะสำมำรถฟ้ อ ง กองทัพบกให้รับผิดตำมมำตรำ 427 ก็ไม่ได้ เพรำะสัญญำตัวกำรตัวแทนเป็นเรื่อง ของควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเอกชนกับเอกชน กองทัพบกมิได้แต่งตั้งให้พลทหำรกิตติ เป็นตัวแทนของตน แต่นำยหมอดีสำมำรถฟ้องกองทัพบกได้ตำมมำตรำ 76 วรรค หนึ่ง ได้เพรำะพลทหำรกิ ตติเ ป็นผู้แทนของกองทัพบก และกำรละเมิดอยู่ภำยใต้
131
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ขอบเขตของหน้ำที่ กองทัพบกต้องชดใช้ให้นำยหมอดี และจะได้สิทธิมำไล่เบี้ยกับพล ทหำรกิตติอกี ทอดหนึ่ง มำตรำ 76 บัญญัติวำ่ ถ้ำกำรกระทำตำมหน้ำที่ของผู้แทนของนิติบุคคลหรือ ผู้มีอำนำจทำกำรแทนนิติบุคคล เป็นเหตุให้เกิดควำมเสียหำยแก่บุคคลอื่นนิติบุคคล นั้นต้องรับผิดชดใช้ค่ำสินไหมทดแทนเพื่อควำมเสียหำยนั้น แต่ไม่สูญเสียสิทธิที่จะไล่ เบีย้ เอำแก่ผู้ก่อควำมเสียหำย คำพิพำกษำฎีกำที่ 179/2495 มีผู้ลอบเอำโฉนดที่ดนิ ซึ่งเจ้ำของแจ้งหำย และ ขอใบแทนไปแล้วมำหลอกจำนองไว้กับโจทก์ ปรำกฏว่ำ ใบโฉนดฉบับหลวงได้จดแจ้ง กำรออกใบแทนโฉนดพร้อมทั้ง วัน เดือน ปี ไว้ดว้ ยหมึกสีแดงเห็นได้อย่ำงสะดุดตำ แต่เจ้ำพนักงำนที่ดนิ กระทำกำรโดยประมำทละเลยต่อกำรตรวจดูตำมสมควร จึงได้ มีกำรจำนองต่อกันเป็นที่เสียหำยแก่โจทก์ ดังนี้ เจ้ำพนักงำนที่ดนิ ต้องรับผิดในควำม เสียหำยที่เกิดขึ้น และกรมที่ดินก็ต้องรับผิดด้วยตำมนัยแห่งมำตรำ 76 คำพิพำกษำฎีกำที่ 5129/2546 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นอำจำรย์สอนวิชำพลศึกษำ ได้สั่งให้นักเรียนชัน้ ม.1 วิ่งรอบสนำมระยะทำง 200 เมตร ต่อ 1 รอบ จำนวน 3 รอบ เป็นกำรอบอุ่นร่ำงกำยก่อนกำรเรียนวิชำพลศึกษำในภำคปฏิบัติ และได้สั่งให้นักเรียน วิ่งรอบสนำมต่ออี ก 3 รอบ เป็ นกำรท ำโทษที่วิ่ง ไม่เ ป็นระเบี ย บเรีย บร้อย ซึ่ ง เหมำะสมตำมสมควรแก่ พฤติกำรณ์ แต่กำรที่สั่งให้วิ่งรอบสนำมต่อไปอีก 3 รอบ และเมื่อนักเรียนยังทำไม่ได้เรียบร้อย ก็สั่งให้วิ่งต่อไปอีก 3 รอบ ในช่วงเวลำหลัง เที่ยงวันเพียงเล็กน้อย สภำพอำกำศร้อนและมีแสงแดดแรง นับเป็นกำรใช้วิธีกำร ลงโทษนักเรียนที่ไม่เหมำะสมและไม่ชอบ เพรำะจำเลยที่ 1 น่ำจะเล็งเห็นได้ว่ำกำร ลงโทษนักเรียนซึ่งมีอำยุระหว่ำง 11 ถึง 12 ปี ด้วยวิธีกำรดังกล่ำวอำจเป็นอันตรำย ต่อสุขภำพของนักเรียนได้ เป็นควำมประมำทเลินเล่อ จนทำให้เด็กชำย พ. ซึ่งเป็น โรคหัวใจอยู่ก่อนล้มลงในกำรวิ่งรอบสนำมรอบที่ 11 และถึงแก่ควำมตำยในเวลำ ต่อมำเพรำะสำเหตุระบบหัวใจล้มเหลว กำรตำยของเด็กชำย พ. จึงเป็นผลโดยตรง จำกกำรวิ่งออกกำลังตำมคำสั่งของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ทรำบว่ำเด็กชำย พ. เป็นโรคหัวใจก็ตำม มิใช่เกิดจำกเหตุสุดวิสัย ถือได้ว่ำจำเลยที่ 1 กระทำละเมิด
132
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เป็นเหตุให้เด็กชำย พ. ถึงแก่ควำมตำย แต่ควำมไม่รู้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่ำวเป็นเหตุ ประกอบดุลพินิจในกำรกำหนดค่ำสินไหมทดแทนให้นอ้ ยลง กำรที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้ำรำชกำรครูในสังกัดของจำเลยที่ 2 ทำกำรสอน วิชำพลศึกษำในชั่วโมงวิชำ พลศึกษำของนักเรียนชั้น ม.1 ห้อง 1/4 ของโรงเรียน ว. เป็นกำรปฏิบัติหน้ำที่รำชกำรในฐำนะผูแ้ ทนของกรมสำมัญศึกษำจำเลยที่ 2 กำรออก คำสั่งให้นักเรียนวิ่งรอบสนำมเพื่ออบอุ่นร่ำงกำยและกำรลงโทษนักเรียนให้วิ่งรอบ สนำม ก็ถือเป็นกำรปฏิบัติหน้ำที่รำชกำรด้วย เมื่อกำรปฏิบัติหน้ำที่รำชกำรดังกล่ำว ของจำเลยที่ 1 ทำให้เด็กชำย พ. นักเรียนคนหนึ่งในชั้นดังกล่ำวถึงแก่ควำมตำย จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่ำสินไหมทดแทนเพื่อควำมเสียหำยแก่โจทก์ผู้เป็น มำรดำของเด็กชำย พ. ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 76 วรรค หนึ่ง 3.1.3.2 ลูกจ้ำงต้องมีควำมรับผิดฐำนละเมิด หนี้ในควำมรับผิดฐำนละเมิดของลูกจ้ำงต้องยังไม่ระงับสิน้ หรือเปลี่ยนแปลง ไป นำยจ้ำงต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้ำง เช่น ลูกจ้ำงขับรถยนต์ชนโจทก์ได้รับควำม เสียหำย แต่ข้อเท็จจริงปรำกฏว่ำได้มกี ำรตกลงเจรจำทำสัญญำประนีประนอมยอม ควำม หนี้เดิมคือหนี้ละเมิดระงับสิ้นไป เกิดหนี้ตำมสัญญำประนีประนอมยอมควำม ขึน้ นำยจ้ำงหลุดพ้นควำมรับผิด ดังนี้ หำกเป็นเช่นนั้น ผูเ้ สียหำยมีสทิ ธิแต่เพียงให้ ลูกจ้ำงชำระตำมสัญญำประนีประนอมยอมควำมที่ตกลงทำนัน้ แต่ไม่มีสทิ ธิฟ้อง นำยจ้ำงให้ร่วมรับผิดได้ คำพิพำกษำฎีกำที่ 5435/2539 โจทก์ฟ้องว่ำจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดใน ทำงกำรที่จ้ำงของจำเลยที่ 2 ทำให้รถยนต์ของ ก. เสียหำยอันเป็นกำรฟ้องจำเลยที่ 2 นำยจ้ำงให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้ำงตำมมำตรำ 425 คดี จึงไม่มปี ระเด็นว่ำ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตำมสัญญำประนีประนอมยอมควำมหรือไม่ แม้ข้อเท็จจริงได้ควำมว่ำจำเลยที่ 2 ทำสัญญำประนีประนอมยอมควำมยอมรับผิด ชดใช้ค่ำเสียหำยให้แก่ ก. ผูเ้ อำประกันภัยรถยนต์ไว้กับโจทก์ อันทำให้สิทธิเรียกร้อง ในมูลละเมิดระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ำยได้สิทธิที่แสดงไว้ในสัญญำ ศำลก็จะ
133
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
พิพำกษำให้จำเลยที 2 รับผิดตำมสัญญำประนีประนอมยอมควำมไม่ได้ เพรำะเป็น กำรพิพำกษำเกินไปกว่ำหรือนอกจำกที่ปรำกฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วย ประมวลวิธี พิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ 142 คำพิพำกษำฎีกำที่ 4223/2542 จำเลยที่ 2 และบริษัท ธ. เป็นบริษัทในเครือ เดีย วกั นมีวั ตถุ ประสงค์ในกำรประกอบกิจกำรค้ำหำประโยชน์จำกกำรใช้สถำนที่ ศูนย์กำรค้ำแอร์พอร์ต พลำซ่ำ ร่วมกัน กำรที่บริษัท ธ. ทำสัญญำว่ำจ้ำงจำเลยที่ 1 ให้ส่งพนักงำนรักษำควำมปลอดภัยของจำเลยที่ 1 มำดูแลรักษำควำมปลอดภัยที่ ศูนย์กำรค้ำดังกล่ำว จึงเป็นกำรกระทำเพื่อประโยชน์ในกำรใช้พื้นที่ศูนย์กำรค้ำของ บริษัท ธ. และจำเลยที่ 2 ทั้งขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ยังทำหน้ำที่ส่งพนักงำนรักษำ ควำมปลอดภัยไปดูแลรักษำควำมปลอดภัยที่เกิดเหตุ ควำมข้ ำ งต้ น จะเห็ น ได้ ว่ ำ พฤติ ก ำรณ์ ข องบริ ษั ท ธ. กั บ จ ำเลยที่ 2 ที่ ประกอบกิจกำรค้ำร่วมกัน โดยมีชื่อจำเลยที่ 2 และชื่อศูนย์กำรค้ำดังกล่ำวติดอยู่ใน อำคำรเดียวกันและมีพนักงำนรักษำควำมปลอดภัยของจำเลยที่ 1 คอยดูแลรักษำ ควำมปลอดภัยในศูนย์กำรค้ำนั้น ย่อมเป็น ที่แสดงให้ผู้ใช้บริกำรเข้ำใจว่ำจำเลยที่ 2 เป็ น เจ้ ำ ของหรื อ ได้ร่ ว มกั บ เจ้ ำ ของศู น ย์ก ำรค้ ำ ดั ง กล่ ำ วมอบหมำยให้ จ ำเลยที่ 1 รวมทั้งพนักงำนรัก ษำควำมปลอดภัยของจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนดูแลรักษำควำม ปลอดภัยให้แก่ลูกค้ำผูม้ ำใช้บริกำรแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวกำรด้วย กำรที่พนักงำนรักษำควำมปลอดภัยของจำเลยที่ 1 ไม่ระมัดระวังตรวจบัตร จอดรถโดยเคร่งครัด อันเป็นกำรงดเว้นกำรปฏิบัติหน้ำที่เพื่อป้องกันกำรโจรกรรม รถยนต์เ ป็นผลโดยตรงท ำให้รถยนต์ของนำย ส. ถู ก ลัก ไป และเป็นกำรประมำท เลินเล่อ จึงเป็นกำรกระทำละเมิดต่อนำย ส. ตำมมำตรำ 420 และเมื่อได้กระทำไป ในทำงกำรที่ จ้ ำ งของจ ำเลยที่ 1 จ ำเลยที่ 1 ในฐำนะนำยจ้ ำ งต้ อ งร่ ว มรั บ ผิ ด กั บ พนักงำนรักษำควำมปลอดภัยในผลแห่งละเมิดตำมมำตรำ 425 ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็ น ตั ว กำรมอบหมำยให้ จ ำเลยที่ 1 เป็ น ตั ว แทนดู แ ลรั ก ษำควำมเรี ย บร้ อ ยและ ปลอดภั ย ในบริ เ วณลำนจอดรถของศู น ย์ ก ำรค้ ำ จึ ง ต้ อ งรั บ ผิ ด ตำมมำตรำ 427 ประกอบด้วยมำตรำ 420
134
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
จำกข้ำงต้น 1. ลูกจ้ำงพิจำรณำองค์ประกอบของกำรกระทำละเมิดโดยตนเอง 2. ควำมระมัดระวังในฐำนะผูป้ ระกอบอำชีพ ต้องระมัดระวังควำมเสียหำยที่ จะเกิดแก่ผู้บริโภคที่จะเข้ำมำใช้บริกำรภำยในห้ำงร้ำนของตน ขอให้เทียบเคียงกับ Ward V. Tesco, 1976 3. พฤติกำรณ์ที่แสดงออกถึงกำรเป็นนำยจ้ำงลูกจ้ำง 4. ตัวแทนทำละเมิดตัวกำรต้องรับผิด ข้อสังเกต 1 กำรที่ลูกจ้ำงไปทำสัญญำรับสภำพในหนี้ละเมิด (แตกต่ำงจำกสัญญำ ประนีประนอมยอมควำม) เช่น ไปตกลงทำสัญญำว่ำลูกจ้ำงทำละเมิดกับผูเ้ สียหำย จริง ตกลงว่ำจะชดใช้กันอย่ำงไร ต้องถือว่ำหนี้ยังไม่ได้ระงับสิ้น คำพิพำกษำฎีกำที่ 2885/2543 จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดกำรสำขำมีหน้ำที่ดูแล งำนของธนำคำรจำเลยที่ 1 สำขำดังกล่ำวทุก ๆ ด้ำน มีอำนำจหน้ำที่ปกครองบังคับ บัญ ชำพนัก งำนทุก คนในสำขำต้องคอยควบคุมดูแลให้พนัก งำนทุก คนท ำงำนด้วย ควำมเรียบร้อยและถูกต้องมิให้เกิดควำมเสียหำยแก่ลูกค้ำและบุคคลภำยนอก ไม่อำจ ปัดควำมรับผิดชอบให้จำเลยร่วมซึ่งเป็นพนักงำนและพนักงำนคนอื่น กำรที่ปล่อยให้ จำเลยร่วมนำเช็คพิพำทที่ห้ำมเปลี่ยนมือและขีดฆ่ำคำว่ำผูถ้ ือออก ซึ่งโจทก์ออกให้เพื่อ ชำระหนี้แก่บุคคลอื่นเรียกเก็บเงินและนำเข้ำบัญชีเงินฝำกของตนโดยผิดขั้นตอนไม่ เป็นไปตำมระเบียบแล้วเป็นผู้รับเงินและเบิกจ่ำยเงินไป โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้นำสืบให้ เห็ น ว่ ำ ตนใช้ ค วำมระมั ด ระวั ง ควบคุ ม ดู แ ลกำรปฏิ บั ติ ห น้ ำ ที่ ข องจ ำเลยร่ ว มและ พนักงำนที่เ กี่ ยวข้องตำมสมควรแล้ว ต้องถือว่ำได้ป ฏิบัติงำนตำมหน้ำที่ด้ว ยควำม ประมำทเลินเล่อเป็นกำรละเมิดต่อโจทก์จำเลยที่ 1 ผู้เป็นนำยจ้ำงต้องร่วมรับผิดด้วย ส่วนกำรที่จำเลยร่วมและ น. ร่วมกันนำเช็คของโจทก์หลำยฉบับ รวมทั้งเช็ค พิพำทไปเรียกเก็บเงินจำกธนำคำรซึ่งโจทก์ได้ดำเนินคดีอำญำแก่บุคคลทั้งสองฐำน ฉ้อโกงและยั กยอก แล้วต่อมำท ำสัญญำประนีประนอมยอมควำมกันเพื่อระงับข้อ พิพำทในทำงอำญำ ก็เป็นเรื่องเฉพำะตัวของจำเลยร่วมและ น. หำมีผลถึงควำมรับผิด
135
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ของจำเลยทั้งสองซึ่งมีมูลจำกกำรละเมิดและไม่ได้ร่วมตกลงประนีประนอมยอมควำม ด้วยไม่ ฉะนั้น ต้องถือว่ำหนี้ที่ระงับต้องเป็นหนี้ละเมิด มิใช่เรื่องอื่นใด คำพิพำกษำฎีกำที่ 1060/2506 จำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นนำยจ้ำงจำเลยที่ 1 ปรำกฏว่ำโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญำประนีประนอม ยอมควำมระงับข้อพิพำทกัน และโจทก์ยอมรับเงินตำมสัญญำไปครบถ้วนแล้ว ดังนี้ เมื่อควำมรับผิดของจำเลยที่ 1 ได้ปลดเปลือ้ งไปตำมสัญญำประนีประนอมยอมควำม ก็ไม่มีควำมรับผิดที่จะให้จำเลยที่ 2 ร่วมชดใช้ค่ำเสียหำยอันใดอีกแม้โจทก์จะไม่ได้ทำ สัญญำประนีประนอมยอมควำมกับจำเลยที่ 2 ก็ตำม เมื่อโจทก์หมดสิทธิฟ้องจำเลย ที่ 1 ก็ย่อมหมดสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ด้วยดุจกัน 2 มูลหนี้ของลูกจ้ำงต้องเป็นหนี้ ละเมิดจะเป็นกำรกระทำละเมิดมำตรำใด มำตรำหนึ่งหรือหลำยมำตรำก็ตำม 3 มูลหนีอ้ ื่นที่มใิ ช่มูลหนี้ละเมิดไม่อยู่ภำยใต้บังคับมำตรำนี้ 3.1.3.3 ละเมิดต้องทำไปในทำงกำรที่จ้ำง ในทำงกำรที่จ้ำงนี้ (In the cause of employment) นั้น จะต้องอยู่ภำยใต้ขอบเขตของ งำนในทำงกำรที่จ้ำง (employer’s business, scope of employment) เช่น นำยกิตติเป็น ลูกจ้ำงประจำปั๊มน้ำมันมีหน้ำที่เติมน้ำมัน ล้ำงรถยนต์ เช็ดกระจก นำยกิตติได้ไปแก้ เครื่องยนต์ให้กับนำยหมอดีที่เครื่องยนต์ดับเพรำะน้ำท่วม แล้วนำรถออกไปลอง เครื่อง จะเห็นได้ว่ำ มิใช่อยู่ภำยใต้ขอบเขตงำนที่จ้ำง แต่ควำมดังกล่ำวขอให้ พิจำรณำว่ำ นักกฎหมำยได้พยำยำมอย่ำงยิ่งที่จะตีควำมควำมหมำยของในทำงกำร ที่จ้ำงให้มีขอบเขตที่กว้ำงขวำง ไม่เฉพำะแต่ที่ปรำกฏในภำระงำนเท่ำนั้น เพื่อเอำ นำยจ้ำงให้เข้ำมำร่วมรับผิดมำกที่สุด (ประโยชน์ทำงเศรษฐกิจ) แต่ทั้งนี้เพื่อควำมเป็น ธรรมแก่นำยจ้ำง ในกำรตีควำมก็ต้องอำศัยหลักที่วำ่ ไม่ไกลเกินกว่ำกำรคำดหมำย ของนำยจ้ำงด้วย
136
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
1. ไม่ไกลเกินกว่าการคาดหมายของนายจ้าง อุทำหรณ์ พนักงำนขับรถยนต์ลูกจ้ำงของจำเลย ยินยอมให้ผู้ตรวจตัว๋ ซึ่งไม่ มีใบอนุญำตขับขี่ขับรถยนต์คันที่ตนขับอยู่แล้วเกิดทำให้ผู้อื่นเสียหำย นำยจ้ำงของผู้ ขับรถยนต์ต้องรับผิดในควำมเสียหำยนั้น เพรำะถือว่ำอยู่ในควำมคำดหมำยของ นำยจ้ำง ขอให้เทียบเคียงกับคำพิพำกษำฎีกำที่ 147/2518 กำรที่ลูกจ้ำงขับรถยินยอม ให้ลูกจ้ำงอื่นขับรถ เมื่อเกิดเหตุละเมิด ลูกจ้ำงขับรถต้องรับผิดชอบ และกำรละเมิดนี้ ย่อมนับว่ำอยู่ในกรอบแห่งกำรจ้ำง และคำพิพำกษำฎีกำที่ 472/2524 อุทำหรณ์ นำยกิตติลูกจ้ำงลอบไขกุญแจเอำรถยนต์ของนำยจ้ำงไปขับขี่โดย พลกำร ต้องถือว่ำ นำยกิตติเป็นผู้ครอบครอง นำยจ้ำงไม่ต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้ำง อุทำหรณ์ นำยกิตติเป็นอำจำรย์สังกัดมหำวิทยำลัยขอนแก่น ได้ใช้ให้ พนักงำนขับรถยนต์ของมหำวิทยำลัยคือนำยหมอดี 1. ได้ให้นำยหมอดีไปส่งหนังสือรำชกำรไปส่งให้สำนักงำนเลขำธิกำร ผูว้ ่ำ รำชกำรจังหวัดขอนแก่น 2. ได้ให้นำยหมอดีไปรับภรรยำที่เพิ่งกลับมำจำกไปเที่ยวต่ำงประเทศที่ สนำมบิน ปรำกฏว่ำ ระหว่ำงเดินที่เพื่อทำภำรกิจทั้งสองนี้ นำยหมอดีขับรถยนต์ไปชน นำงสำวปู โดยทั้งสองกรณีนำงสำวปูเป็นโจทก์ฟ้องนำยหมอดีเป็นจำเลยที่ 1 นำย กิตติเป็นจำเลยที่ 2 และมหำวิทยำลัยขอนแก่นเป็นจำเลยที่ 3 กรณีที่ 1 จะเห็นได้ว่ำ จำเลยที่คนขับรถต้องรับผิดตำมมำตรำ 420 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเพรำะทำตำมหน้ำที่ จำเลยที่ 3 ผิดตำมมำตรำ 76 วรรคหนึ่ง เพรำะ จำเลยที่ 1 ทำหน้ำที่ตำมงำนรำชกำร เมื่อทำละเมิดจำเลยที่ 3 ต้องเข้ำร่วมรับผิด ด้วย แล้วจึงเข้ำไปสวมสิทธิของโจทก์ไปไล่เบี้ยคืนกับจำเลยที่ 1 กรณีที่ 2 จะเห็นได้ว่ำ กำรที่จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 1 ไปรับภรรยำมิใช่เป็น กำรสัง่ ให้ทำตำมหน้ำที่รำชกำร เพรำะฉะนั้นจำเลยที่ 3 หำมีสว่ นต้องรับผิดในละเมิด ของจำเลยที่ 1 ไม่ แต่จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในฐำนะตัวกำรตัวแทน ตำมมำตรำ 427
137
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ในกรณีที่สอง หำกเปลี่ยนข้อเท็จจริงเป็นกรณีสัญญำจ้ำงแรงงำนตำม กฎหมำยเอกชนมิใช่ข้ำรำชกำร กำรที่ลูกจ้ำงขับรถของนำยจ้ำงเพื่อไปปฏิบัติหน้ำที่ แล้วแวะทำธุระส่วนตัวของลูกจ้ำง แล้วนำรถยนต์ไปเก็บตำมหน้ำที่ไปชนรถผู้อื่น ได้รับควำมเสียหำยโดยประมำทเลินเล่อในระหว่ำงขับรถไปเก็บนี้ นำยจ้ำงยังคงต้อง ร่วมรับผิดชอบ อุทำหรณ์ นำยหมอดีนำยจ้ำงใช้ให้นำยกิตติซึ่งเป็นคนขับรถยนต์ของตนไป รั บ ค น ง ำ น ก่ อ ส ร้ ำ ง ที่ ถ น น ศ รี จั น ท ร์ ม ำ ป ฏิ บั ติ ง ำ น ที่ บ ริ ษั ท ตั้ ง อ ยู่ ใ ก ล้ มหำวิทยำลัยขอนแก่นริมถนนมิตรภำพ นำยกิตติขับรถออกไปแล้วได้เอำรถไปเอำ กำงเกงที่ตัดไว้ที่ห้ำงโลตัส (ขอนแก่น) ก่อน ระหว่ำงทำงขับรถยนต์ไปชนนำงปูตำย กรณีนี้ยังคงถือได้ว่ำ เป็นกำรปฏิบัติที่ลูกจ้ำงได้กระไปในทำงกำรที่จ้ำงของนำยจ้ำง นำยหมอดีจึงต้องร่วมรับผิด อุทำหรณ์ นำยกิตติพนักงำนขับรถยนต์บรรทุกข้ำวสำรของนำยจ้ำง ได้ไปรับ นำยหมอดีให้โดยสำรมำด้วย ปรำกฏว่ำ นำยกิตติขับรถยนต์โดยประมำทเลินเล่อทำ ให้รถคว่ำ และนำยหมอดีตำย ญำตินำยหมอดีเรียกร้องให้นำยจ้ำงรับผิดร่วมกั บ ลูกจ้ำง นำยจ้ำงจะอ้ำงว่ำเป็นกำรกระท ำโดยส่วนตัวของนำยกิตติไม่ได้ ถือว่ำ นำยจ้ำงควรคำดหมำยได้ ข้ อ เท็ จ จริ ง ข้ ำ งต้ น หลั ก พิ จ ำรณำอยู่ ที่ ว่ ำ ลู ก จ้ ำ งยิ น ยอมให้ น ำยหมอดี โดยสำรไปในรถยนต์ เมื่อเกิดควำมเสียหำยก็ต้องรับผลนั้น เช่นเดียวกับ กรณีที่ลูกจ้ำงเป็นคนขับรถโดยสำรและผูเ้ สียหำยขึน้ รถแม้ว่ำจะ ไม่ได้ชำระค่ำโดยสำร เมื่อมีควำมเสียหำยเกิดขึ้นนำยจ้ำงก็ยังต้องมีควำมรับผิด จะ อ้ำงว่ำผูน้ ั้นไม่ชำระค่ำโดยสำรไม่ได้ เพรำะมันเป็นคนละเรื่องละประเด็นกัน เรื่องของ กำรไม่ชำระรำคำเป็นเรื่องทำงนิตกิ รรม ส่วนเรื่องละเมิดเป็นเรื่องของนิติเหตุ อุทำหรณ์ นำยหมอดีนำยจ้ำงของนำยกิตติใช้ให้นำยกิตติไปส่งสินค้ำให้แก่ ลูกค้ำ ปรำกฏว่ำ เมื่อไปถึงสถำนที่ส่งมอบของนำยกิตติเกิดมีป ำกเสียงกั บลูกค้ำ เนื่องจำกไม่พ อใจที่ลู ก ค้ำจู้จ้ีและเรื่องมำก นำยกิตติไม่พอใจจึงชกต่อยลูกค้ำจน
138
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ได้รับบำดเจ็บ กรณีเช่นนี้ จะเห็นว่ำ นำยหมอดีนำยจ้ำงสั่งกำรให้ไปส่งสินค้ำมิใช่ให้ ไปทะเลำะเบำะแว้ง มิใช่กิจกำรที่นำยจ้ำงมอบหมำยให้กระทำ นำยจ้ำงจึงไม่ต้องรับ ผิด และโปรดเทียบเคียงกับคำพิพำกษำฎีกำที่ 1931/2518 1942/2520 คำพิพำกษำฎีกำที่ 1811-1812/2516 (ประชุมใหญ่) จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้ำง ของกรมทำงหลวงแผ่นดินจำเลยที่ 2 ท ำหน้ำที่เ กี่ย วกับ กำรวิเ ครำะห์วิจัยดิน หิน กรวด อยู่ภำยใต้กำรบังคับบัญชำของ ฉ. ช่ำงตรี กองวิเครำะห์วิจัย ฉ. นำรถยนต์ที่ เป็นรถใช้ส ำหรับ ใช้ใ นกิ จธุ ระของกองทำงไปใช้แล้วใช้ใ ห้จำเลยที่ 1 นำรถไปล้ำง จำเลยที่ 1 นำรถไปล้ำงเสร็จแล้วได้ขับกลับที่พัก ระหว่ำงทำงได้แวะไปเอำของที่บ้ำน พี่สำวจึงเกิดเหตุไปกระแทกกับรถยนต์ที่บุตรโจทก์นั่งมำ เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ ควำมตำย แม้จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้ำที่เกี่ยวกับกำรขับรถยนต์ แต่กำรนำรถไปล้ำงก็ทำ ไปโดยผู้บังคับบัญชำใช้ให้ไป และกำรล้ำงรถก็เป็นกิจกำรของจำเลยที่ 2 ย่อมถือได้ ว่ำจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดในทำงกำรที่จ้ำงของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วม รับผิดในผลแห่งกำรละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำไป 2. ลูกจ้างทาละเมิดนอกเวลาปฏิบัติงาน 2.1 กรณีลูกจ้ำงทำละเมิดในช่วงพักกลำงวัน อุทำหรณ์ นำยกิตติเป็นพนักงำนบริษัทไปทำนข้ำวนอกบริษัท โดยชวนนำย หมอดีพนักงำนขับรถยนต์ของบริษัทไป แล้วเกิดชนโจทก์ได้รับควำมเสียหำย กรณี เช่นนี้ นอกจำกนำยหมอดีจะมีควำมผิดแล้ว ศำลฎีกำไทยยังเคยวินจิ ฉัยว่ำ ยังถือว่ำ อยู่ในทำงกำรที่จ้ำง เพรำะอยู่ในระหว่ำงพักช่วงแรกกับช่วงหลังคำบเกี่ยวต่อเนื่องกัน อยู่ (ขอให้ศกึ ษำคำพิพำกษำฎีกำที่ 677/2501 1169-1170/2509 970/2512 2086/2523 6359/2539) อุทำหรณ์ นำยกิตติ ขับรถยนต์ซึ่งอยู่ในควำมครอบครองของบริษัทคิตโต ภูมิล ำเนำตั้งอยู่จังหวั ด นนทบุรี ซึ่งเป็นนำยจ้ำง และนำยกิตติไ ด้ขับ รถยนต์ไ ปส่ง พนักงำนเพื่อเข้ำอบรมสัมมนำที่จังหวัดขอนแก่น เมื่อขับรถยนต์ไปส่งเสร็จ ได้ขับรถ ออกไปรับประทำนอำหำรต่อที่จังหวัดอุดรธำนีเป็นกำรส่วนตัวกับเพื่อน หลังจำก รับประทำนอำหำรเสร็จ นำยกิตติได้ขับรถไปส่งเพื่อนแล้ว นำยกิตติก็ขับรถยนต์เพื่อ
139
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
จะไปรับพนักงำนกลับจังหวัดนนทบุรี และด้วยควำมประมำทเลินเล่อของนำยกิตติ ทำให้รถที่ขับมำพลิกคว่ำไปทับนำยหมอดีที่นั่งอยู่บริเวณริมถนนได้รับบำดเจ็บ กำร ขับรถของนำยกิตติย่อมถือว่ำเป็นเวลำที่ต่อเนื่องเกี่ยวกับงำนในหน้ำที่และยังอยู่ใน ระหว่ำงปฏิบัติงำนตำมหน้ำที่ นอกจำกนี้ ศำลขยำยผลของในทำงกำรที่จำ้ งโดยถือว่ำ กำรพักทำนอำหำรก็ เพือ่ ประโยชน์ในกำรทำงำน และแม้ว่ำจะมีระเบียบ คำสั่ง ข้อห้ำม ก็มิอำจปฏิเสธ ควำมรับผิดได้ เนื่องจำก เป็นระเบียบ คำสั่งภำยในจะมำใช้ยันบุคคลภำยนอกไม่ได้ ขอให้ศกึ ษำตำมคำพิพำกษำฎีกำต่อไปนี้ คำพิพำกษำฎีกำที่ 677/2540 ก่อนเกิดเหตุ ๑ วัน พ. ได้ขอยืมรถยนต์ กระบะคันเกิดเหตุจำกหัวหน้ำช่ำงของจำเลยที่ ๔ ออกไปข้ำงนอกเพื่อซื้อก๋วยเตี๋ยว รับประทำน กำรรับประทำนอำหำรเป็นปัจจัยสำคัญในกำรดำรงชีพให้มีชีวิตอยู่ มี กำลังในกำรทำงำน ถึงแม้จำเลยที่ ๔ มีระเบียบว่ำ เมื่อเลิกงำนแล้วคนงำนจะออกไป จำกที่ก่อสร้ำงไม่ได้ และจะนำรถไปใช้หลังจำกเลิกงำนแล้วไม่ได้ก็ตำม ก็เป็นเรื่อง ภำยในระหว่ ำ งจ ำเลยที่ ๔ กั บ พนั ก งำนจะน ำระเบี ย บดั ง กล่ ำ วไปใช้ ยั น กั บ บุคคลภำยนอกเพื่อปัดควำมรับผิดหำได้ไม่ ปรำกฏว่ำ พ. กับพวกซื้อก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ จึงออกไปรับประทำนอำหำรในเขตจังหวัดลำปำง จำกนั้นจึงพำกันไปที่บ้ำน ว. ซึ่งอยู่ ห่ำงจำกสถำนที่ก่อสร้ำง ๖๐ กิโลเมตร จึงยังเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตกำรอนุญำต ของหัวหน้ำช่ำงผู้มีสิทธิอนุญำตให้นำรถไปใช้แทนจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นนำยจ้ำง ถือได้ ว่ำจำเลยที่ ๔ ร่วมรู้เห็นในกำรให้ พ. นำรถออกไปใช้ด้วย ดังนั้น กำรที่ พ. นำรถ ออกไปใช้ดังกล่ำว เป็นกำรกระทำในทำงกำรที่ จ้ำงของจำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๔ ใน ฐำนะนำยจ้ำงและจำเลยที่ ๕ ในฐำนะหุ้นส่วนผู้จัดกำรจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่ง ละเมิดอันเกิดจำกกำรนำรถไปกระทำให้เกิดอุบัติเหตุด้วย (ขอให้เปรียบเทียบกับคำ พิพำกษำฎีกำที่ 1169-1170/2509 970/2512 879-880/2514 1631-1634/2515 501-504/2517 2115/2517 2538/2518)
140
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ข้อสังเกตในประเด็นนี้ ระเบียบ คำสั่ง หรือข้อบังคับของนำยจ้ำงโดยลำพังไม่ อำจใช้ เ ป็น ตั ว ตัด สิ นว่ ำ กำรนั้ นเป็ น ในทำงกำรที่ จ้ ำงหรือ ไม่ แม้ จะฝ่ ำ ฝืน ก็ เ ป็ น ใน ทำงกำรที่จ้ำงได้ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงว่ำนำยจ้ำงมีกำรบังคับใช้ระเบียบ คำสั่ง หรือ ข้อบังคับนั้นอย่ำงเคร่งครัดจริงหรือไม่ ซึ่งโดยทำงปฏิบัติ ศำลมักจะไม่เชื่อว่ำนำยจ้ำง ได้บังคับใช้ระเบียบ คำสั่ง หรือข้อบังคับนั้น ๆ จริง แต่ก็มีข้อสังเกตซ้อนลงไปอีกว่ำ ศำลก็ มัก จะเชื่อ ว่ำ หำกเป็ น ระเบี ย บ คำสั่ง หรื อข้ อบั ง คับ ของหน่ วยงำนรำชกำร หน่ ว ยงำนรำชกำรจะถือ ปฏิบั ติ อย่ ำ งเคร่ง ครัด ซึ่ง เวลำท่ำ นท ำงำน และอยู่ ฝ่ ำ ย นำยจ้ ำ งต้ อ งน ำประเด็ น นี้ พิ สู จน์ ใ ห้ เ ห็น ให้ ศ ำลเห็ น ให้ ไ ด้ ว่ ำ ระเบีย บ ค ำสั่ ง หรื อ ข้อบังคับดังกล่ำวถือปฏิบัติอย่ำงเคร่งครัด 2.2 กรณีลูกจ้ำงทำละเมิดในวันหยุดหรือนอกเวลำทำงำนปกติ กำรทำงำนในวันหยุดหรือนอกเวลำทำงำนตำมปกติ ต้องพิจำรณำว่ำ งำนที่ ทำอยู่นั้นเป็นงำนในเนื้องำนของกิจกำรของนำยจ้ำงหรือไม่ ถ้ำใช่ยังคงถือว่ำเป็นกำร งำนในทำงกำรที่จ้ำง แม้ว่ำเวลำที่เกิดเหตุละเมิดจะเป็นเวลำค่ำนอกรำชกำรก็ตำม (ขอให้พิจำรณำจำกคำพิพำกษำฎีกำที่ 1001/2514 574/2515) ขอให้ล องศึกษำจำกคำพิ พำกษำฎีก ำที่ 603/2510 ลูก จ้ำงซึ่งมีหน้ำที่ขับ รถยนต์บรรทุกของนำยจ้ำง ได้ขับรถยนต์บ รรทุก ของบุคคลอื่นที่นำมำฝำกไว้กั บ นำยจ้ำงเพื่อไปเที่ยวงำนวัดตอนกลำงคืน โดยที่ นำยจ้ำงรู้เห็นยินยอม เช่นนี้ ก็ไม่ถือ ว่ำเป็นเรื่องในทำงกำรที่จ้ำง คำพิพำกษำฎีกำที่ 1772/2512 ลูกจ้ำงมีหน้ำที่ขับรถยนต์ เมื่องำนเลิกแล้วได้ ขับรถยนต์ของนำยจ้ำงบรรทุกเครื่องครัวของคนงำนอีกคนเอำไปส่งยังบ้ำนพี่สำว ของคนงำนคนนั้ น อั น เป็ น กิ จ ธุ ร ะส่ ว นตั ว โดยไม่ ไ ด้ รั บ อนุ ญ ำตจำกผู้ มี ห น้ ำ ที่ ควบคุมดูแลรถยนต์ แล้วไปชนบุตรของโจทก์ตำย กำรละเมิดนี้ไม่ใช่กำรกระทำใน ทำงกำรทีจ่ ำ้ ง นำยจ้ำงจึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งกำรละเมิดด้วย
141
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 7.2/2517 กรมไปรษณีย์โทรเลขอนุญำตให้บุรุษไปรษณีย์ ขับรถยนต์ของกรมส่งข้ำรำชกำรในกรมนอกเวลำปฏิบัติรำชกำรปกติ เพื่อข้ำรำชกำร จะไม่ต้องมำปฏิบัติรำชกำรสำยและอำนวยควำมสะดวกให้แก่ข้ำรำชกำรโดยที่ บุรุษ ไปรษณี ย์ นั้ น ได้ รั บ ค่ ำ จ้ ำ งพิ เ ศษรำยเดื อ น กำรขั บ รถดั ง กล่ ำ วจึ ง อยู่ ภ ำยใต้ วัตถุประสงค์และเป็นกำรทำงำนตำมทำงกำรที่จ้ำงของกรมไปรษณีย์โทรเลข กำร ได้รับเงินค่ำจ้ำงพิเศษเป็นค่ำทำงำนล่วงเวลำไม่ทำให้งำนนั้นมิใช่งำนของทำงรำชกำร 3. ลูกจ้างรับค่าจ้างทางอื่นโดยไม่บอกนายจ้าง เช่น นำยกิตติมีหน้ำที่ขับรถยนต์บรรทุก โดยผู้จ้ำงบรรทุกจะจ้ำงกับเจ้ำของ รถหรือคนขับก็ได้ ถือว่ำรับงำน วันหนึ่งนำยกิตติรับจ้ำงบรรทุกของจำกนำยหมอดี โดยไม่คดิ จะไปบอกนำงสำวปูเจ้ำของรถบรรทุกนำยจ้ำง กรณีเช่นนี้ ยังคงถือว่ำ เป็น กำรทำละเมิดในทำงกำรที่จ้ำง นำงสำวปูต้องร่วมรับผิด กำรที่นำยกิตติลูกจ้ำงรับ งำนแล้วไม่บอกนำยจ้ำงคิดจะเอำค่ำจ้ำงไว้เองไม่ทำให้เป็นกำรนอกหน้ำที่อันจะเป็น เหตุให้นำยจ้ำงพ้นจำกควำมรับผิดไม่ คงต้องถือว่ำนำยกิตติคนขับรถยังเป็นลูกจ้ำง ของเจ้ำของรถอยู่ 4. การบรรยายฟ้อง ในคำฟ้องโจทก์ต้องบรรยำยฟ้องให้เห็นว่ำ ลูกจ้ำงได้กระทำในทำงกำรที่จ้ำง ในกำรฟ้องร้องให้นำยจ้ำงเข้ำมำร่วมรับผิดในควำมเสียหำยที่เกิดขึน้ โดยลูกจ้ำงนี้ กำรบรรยำยฟ้องโจทก์จะต้องบรรยำยฟ้องให้เห็นว่ำ ลูกจ้ำงได้กระทำละเมิดใน ทำงกำรที่จ้ำง เช่น โจทก์ฟ้องว่ำจำเลยที่ 1 เป็นนำยจ้ำง จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้ำง สมคบกันเอำเพลิงจุดเผำป่ำในสวนของจำเลยที่ 1 โดยประมำทเป็นเหตุให้เพลิงไหม้ สวนโจทก์ เช่นนี้ เมื่อไม่มีกำรบรรยำยฟ้อง นำยจ้ำงไม่ต้องรับผิด ขอให้พิจำรณำคำพิพำกษำฎีกำที่ 400/2537 กำรที่โจทก์บรรยำยฟ้องเพียง ว่ำ จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้ำงจำเลยที่ 2 มีหน้ำที่ขับรถยนต์คันเกิดเหตุซึ่งเป็นของจำเลย ที่ 2 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยควำมประมำทเลินเล่อปรำศจำกควำมระมัดระวังเป็น เหตุให้รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับเฉี่ยวชนรถยนต์โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ดังนี้ ตำมคำ ฟ้องดังกล่ำวต้องฟังว่ำ โจทก์กล่ำวหำว่ำจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่
142
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
2ซึ่งเป็นนำยจ้ำงของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิด แต่โจทก์มิได้บรรยำยฟ้องให้เห็นว่ำ จำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดในทำงกำรที่จ้ำงของจำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์จึงขำด สำระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่พึงกระทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด คดีตำมคำพิพำกษำฎีกำข้ำงต้น โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ลูกจ้ำงผูก้ ระทำ ละเมิด กล่ำวคือ ขับรถยนต์เฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์โดยควำมประมำทเลินเล่อ รถยนต์โจทก์ (ทรัพย์) ได้รับควำมเสียหำย จำเลยที่ 2 เป็นนำยจ้ำง และมีจำเลยที่ 3 คือผู้รับประกันภัยรถยนต์ ซึ่งในชั้นฎีกำจำเลยที่ 2 และ 3 อุทธรณ์ โดยนำหนังสือ รับรองของนำยทะเบียนหุน้ ส่วนบริษัทมำสืบประกอบ ซึ่งหลักฐำนดังกล่ำวก็มิได้บ่ง บอกว่ำจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปในทำงกำรที่จ้ำงในขณะเกิดเหตุละเมิดให้แก่จำเลยที่ 2 (นำยจ้ำง) และเมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดจำเลยที่ 3 ในฐำนะผูร้ ับประกันภัย รถยนต์ของจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย 3.1.3.4 สิทธิไล่เบี้ย คำพิพำกษำฎีกำที่ 2885/2543 จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดกำรสำขำมีหน้ำที่ดูแล งำนของธนำคำรจำเลยที่ 1 สำขำดังกล่ำวทุก ๆ ด้ำน มีอำนำจหน้ำที่ปกครองบังคับ บัญ ชำพนัก งำนทุก คนในสำขำต้องคอยควบคุมดูแลให้พนัก งำนทุก คนท ำงำนด้วย ควำมเรียบร้อยและถูกต้องมิให้เกิดควำมเสียหำยแก่ลูกค้ำและบุคคลภำยนอก ไม่อำจ ปัดควำมรับผิดชอบให้จำเลยร่วมซึ่งเป็นพนักงำนและพนักงำนคนอื่น กำรที่ปล่อยให้ จำเลยร่วมนำเช็คพิพำทที่ห้ำมเปลี่ยนมือและขีดฆ่ำคำว่ำผูถ้ ือออก ซึ่งโจทก์ออกให้เพื่อ ชำระหนี้แก่บุคคลอื่นเรียกเก็บเงินและนำเข้ำบัญชีเงินฝำกของตนโดยผิดขั้นตอนไม่ เป็นไปตำมระเบียบแล้วเป็นผู้รับเงินและเบิกจ่ำยเงินไป โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้นำสืบให้ เห็ น ว่ ำ ตนใช้ ค วำมระมั ด ระวั ง ควบคุ ม ดู แ ลกำรปฏิ บั ติ ห น้ ำ ที่ ข องจ ำเลยร่ ว มและ พนักงำนที่เ กี่ ยวข้องตำมสมควรแล้ว ต้องถือว่ำได้ป ฏิบัติงำนตำมหน้ำที่ด้ วยควำม ประมำทเลินเล่อเป็นกำรละเมิดต่อโจทก์จำเลยที่ 1 ผู้เป็นนำยจ้ำงต้องร่วมรับผิดด้วย ส่วนกำรที่จำเลยร่วมและ น. ร่วมกันนำเช็คของโจทก์หลำยฉบับ รวมทั้งเช็ค พิพำทไปเรียกเก็บเงินจำกธนำคำรซึ่งโจทก์ได้ดำเนินคดีอำญำแก่บุคคลทั้งสองฐำน ฉ้อโกงและยั กยอก แล้วต่อมำท ำสัญญำประนีประนอมยอมควำมกันเพื่อระงับข้อ
143
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
พิพำทในทำงอำญำ ก็เป็นเรื่องเฉพำะตัวของจำเลยร่วมและ น. หำมีผลถึงควำมรับผิด ของจำเลยทั้งสองซึ่งมีมูลจำกกำรละเมิดและไม่ได้ร่วมตกลงประนีประนอมยอมควำม ด้วยไม่ ข้อสังเกต 1. นำยจ้ำงมีสิทธิไล่เบี้ยต่อเมื่อ นำยจ้ำงได้ชำระค่ำเสียหำยแทนลูกจ้ำงแล้ว หำกนำยจ้ำงยังมิได้ชำระค่ำเสียหำยย่อมไม่มีสทิ ธิไล่เบีย้ กับลูกจ้ำง คำพิพ ำกษำฎีก ำที่ 3102/2544 มำตรำ 425 เป็นบทบัญ ญั ติ ถึงหน้ำที่และ ควำมรับผิดของนำยจ้ำงที่ตองร่วมกับลูกจ้ำรับผิดต่อควำมเสียหำยที่บุคคลภำยนอก ได้รับจำกกำกระทำละเมิดของลกจ้ำงเท่ำนั้น แต่ในระหว่ำงที่นำยจ้ำงกับลูกจ้ำงสิทธิ ของนำยจ้ำงและหน้ำที่ของลูกจ้ำงจะพึงมีต่อกันเพียงใดต้องเป็นไปตำมมำตรำ 426 เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นนำยจ้ำงยังไม่ได้ชำระค่ำเสียหำยให้แก่ผู้ที่ถูก ช. ซึ่งเป็นลูกจ้ำงกระทำ ละเมิ ด โจทก์ จึ ง ไม่ มี สิ ท ธิ ไ ล่ เ บี้ ย เงิ น จ ำนวนดั ง กล่ ำ วจำก ช. ตำมบทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง กฎหมำย เมื่อโจทก์ยังไม่ถูกโต้แย้งสิทธิหรือหน้ำที่ในทำงแพ่ง จึงไม่มสี ิทธิฟ้อง จะเห็น ได้ว่ำ นำยจ้ ำงเป็น โจทก์ฟ้ องลูก จ้ำงและผู้ค้ำประกั น ลูก จ้ำงในกำร ทำงำน เพรำะเหตุที่ลูกจ้ำงไปทำละเมิดในทำงกำรที่จ้ำง กำรที่นำยจ้ำงจะสวมสิทธิ แทนบุค คลที่ ถู ก กระท ำละเมิดได้ต้อ งให้บุคคลที่เ สีย หำยจำกกำรที่ถู ก ลูก จ้ำงกร ำ ละเมิดฟ้องร้องเอำกับตนก่อ เมื่อยังไม่ปรำกฏว่ำผู้เสียหำยใช้สิทธิฟ้องร้อง นำยจ้ำง โจทก์ จึ ง ยั ง มิ ไ ด้ ถู ก โต้ แ ย้ ง สิ ท ธิ แ ต่ ป ระกำรใด จึ ง ไม่ มี อ ำนำจฟ้ อ งตำมประมวลวิ ธี พิจำรณำควำมแพ่ง 2. โจทก์มีสิทธิเลือกฟ้ องเฉพำะนำยจ้ำง โดยมิพักต้องฟ้องลูกจ้ำงผู้กระทำ ละเมิดด้วยก็ได้ มำตรำ 291 บัญญัติว่ำ ถ้ำบุคคลหลำยคนจะต้องทำกำรชำระหนี้โดยทำนอง ซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้ส้ินเชิงไซร้ แม้ถึงว่ำเจ้ำหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้ แต่เพียงครั้งเดียว (กล่ำวคือ ลูกหนี้ร่วมกั น) ก็ดี เจ้ำหนี้จะเรียกชำระหนี้จำกลูกหนี้แต่
144
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คนใดคนหนึ่งสิน้ เชิง หรือแต่โดยส่วนก็ได้ตำมแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้อง ผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่ำหนี้นนั้ จะได้ชำระเสร็จสิน้ เชิง กฎหมำยให้สิทธิแก่เจ้ำหนี้ในกำรเลือกว่ำจะบังคับเอำแก่ลูกหนี้คนใดคนหนึ่ง หรือจะเลือกเรียกเอำกับลูกหนี้ทั้งหมดตำมส่วนก็ได้ ลูกหนี้ไม่มีสิทธิเกี่ยงให้เจ้ำหนี้ไป เรียกกับลูกหนี้อื่นหรือตำมสัดส่วนควำมเสียหำยที่ลูกหนี้คนหนึ่งคนใดกระทำไปได้ เนื่อ งจำกเป็ นกำรสร้ ำงภำระให้แ ก่เ จ้ ำหนี้ อีก เมื่อ ตนร่ วมเป็นหนี้ จึ งไม่ มีสิท ธิอ้ำ ง ดังกล่ำว ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์มำตรำ 425 ที่ไ ด้บัญ ญั ติบังคับ ให้ นำยจ้ ำงต้อ งร่ว มรั บ ผิ ด กั บ ลุก จ้ำ งในผลแห่ งกำรละเมิด ซึ่ง ลู ก จ้ ำงได้ ท ำละเมิด ต่ อ บุคคลภำยนอกเป็นเหตุให้ได้รับควำมเสียหำยนั้น เป็นกรณีที่บุคคลหลำยคนจะต้อง ชำระหนี้ โดยทำนองซึ่งแต่ละคนต้องชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่ เพียงครั้งเดียว เจ้ำหนี้ชอบ จะเรียกให้ชำระหนี้จำกลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตำมแต่จะ เลือก ขอให้พิจำรณำตำมมำตรำ 291 ตำมคำพิพำกษำฎีกำที่ 5444/2537 เมื่อจำเลย ที่ 1 เป็นนำยจ้ำงของ ส. คนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวก็ได้ ส่วนกำรที่จำเลยที่ 1 จะใช้ สิ ท ธิ ไ ล่ เ บี้ ย เอำจำก ส. ตำมมำตรำ 426 นั้ น ก็ ช อบที่ จ ะกระท ำได้ อ ยู่ แ ล้ ว ไม่ จำเป็นต้องรอให้โจทก์ฟ้อง ส. ให้รับผิดเสียชั้นหนึ่งก่อนดังนี้ กำรที่โจทก์ไม่ฟ้อง ส. ผู้ที่ ทำละเมิดต่อโจทก์โดยตรง แต่กลับมำฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนำยจ้ำงของ ส. ให้รับผิด นั้น จึงเป็นกำรกระทำที่ชอบด้วยมำตรำ 291 แล้ว 3.1.3.5 คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในกำรพิ จ ำรณำว่ ำ ลู ก จ้ ำ งละเมิ ด หรื อ ไม่ เมื่ อ ศำลในส่ ว นคดี อ ำญำได้ พิพำกษำให้ลูกจ้ำงมีควำมผิด และคดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพำกษำในคดีอำญำนั้น ก็จะ ยังไม่ผูกพันนำยจ้ำง หำกนำยจ้ำงนั้นไม่ได้ถูกฟ้องให้รั บผิดในส่วนคดีอำญำ ดังนั้น เมื่อผู้เสียหำยนำควำมมำฟ้องเป็นคดีแพ่งฐำนละเมิด นำยจ้ำงยังมีสิทธิที่จะยกข้อ ต่อสู้และนำสืบในคดีแพ่งได้ว่ำ ลูกจ้ำงมิได้เป็นผู้กระทำควำมผิด พิจำรณำจำกคำ พิพ ำกษำฎีก ำที่ 338/2516 2061/2517 และขอให้เ ทีย บเคีย งคำพิ พำกษำฎีก ำที่ 1425/2539
145
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
3.1.3.6 ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด เมื่อพิสูจน์ครบองค์ประกอบควำมผิดตำมมำตรำ 425 นำยจ้ำงต้องร่วมรับ ผิดกับลูกจ้ำงอย่ำงเด็ดขำด จะนำสืบหักล้ำงไม่ได้ 3.2 ความรับผิดทางละเมิดที่เกิดจากผู้เยาว์หรือคนวิกลจริต มาตรา 429 บัญญัติวำ่ บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็น ผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทาละเมิด บิดามารดาหรือผู้ อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทาอยู่นั้น 3.2.1 หลักเกณฑ์ในความรับผิดทางละเมิดตามมาตรา 429 1. กฎหมำยบัญญัติห้ำมนำเหตุเพรำะควำมอ่อนวัย (ผู้เยำว์ : Minors) หรือ ควำมวิกลจริตมำเป็นข้ออ้ำงเพื่อหลุดพ้นควำมผิด (แตกต่ำงจำกคดีอำญำ) 2. บิดำมำรดำ หรือผูอ้ นุบำลต้องร่วมรับผิด หำกผู้เยำว์หรือคนวิกลจริตทำ ให้บุคคลอื่นเสียหำย 3. เป็นข้อสันนิษฐำนเบือ้ งตนที่ไม่เด็ดขำด เพรำะ หำกบิดำมำรดำ หรือผู้ อนุบำลสำมำรถพิสูจน์ข้อเท็จจริงหักล้ำงได้ว่ำตนได้ใช้ควำมระมัดระวังอย่ำงดีตำม สมควรแก่หน้ำที่แล้ว 3.2.2 ผู้เยาว์-คนวิกลจริต 3.2.2.1 บทบัญญัติทำงกฎหมำยที่เกี่ยวกับผูเ้ ยำว์ มำตรำ 19 บุคคลย่อมพ้นจำกภำวะผูเ้ ยำว์และบรรลุนิติภำวะเมื่อมีอำยุยี่สิบ ปีบริบูรณ์ มำตรำ 20 ผูเ้ ยำว์ย่อมบรรลุนิตภิ ำวะเมื่อทำกำรสมรส หำกกำรสมรสนั้นได้ ทำตำมบทบัญญัติมำตรำ 1448 มำตรำ 21 ผู้เยำว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับควำมยินยอมของผู้แทน โดยชอบธรรมก่อน กำรใด ๆ ที่ผู้เยำว์ได้ทำลงปรำศจำกควำมยินยอมเช่นว่ำนั้นเป็น โมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่ำงอื่น
146
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
มำตรำ 22 ผู้เยำว์อำจทำกำรใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หำกเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่ง สิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือเป็นกำรเพื่อให้หลุดพ้นจำกหน้ำที่อันใดอันหนึ่ง มำตรำ 23 ผูเ้ ยำว์อำจทำกำรใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นกำรต้องทำเองเฉพำะตัว มำตรำ 24 ผู้เยำว์อำจทำกำรใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นกำรสมแก่ฐำนำนุรูป แห่งตน และเป็นกำรอันจำเป็นในกำรดำรงชีพตำมสมควร มำตรำ 25 ผูเ้ ยำว์อำจทำพินัยกรรมได้เมื่ออำยุสิบห้ำปีบริบูรณ์ มำตรำ 26 ถ้ำผู้แทนโดยชอบธรรมอนุญำตให้ผู้เยำว์จำหน่ำยทรัพย์สินเพื่อ กำรอันใดอันหนึ่งอันได้ระบุไว้ ผู้เยำว์จะจำหน่ำยทรัพย์สินนั้นเป็นประกำรใดภำยใน ขอบของกำรที่ร ะบุไ ว้ นั้น ก็ ท ำได้ ตำมใจสมัค ร อนึ่ ง ถ้ ำ ได้ รั บ อนุ ญ ำตให้ จ ำหน่ ำ ย ทรัพย์สินโดยมิได้ระบุว่ำเพื่อกำรอันใดผูเ้ ยำว์ก็จำหน่ำยได้ตำมใจสมัคร มำตรำ 27 ผู้แทนโดยชอบธรรมอำจให้ควำมยินยอมแก่ผู้เยำว์ในกำร ประกอบธุรกิจทำงกำรค้ำหรือธุรกิจอื่น หรือในกำรทำสัญญำเป็นลูกจ้ำงในสัญญำ จ้ำงแรงงำนได้ ในกรณีที่ผู้ แทนโดยชอบธรรมไม่ใ ห้ควำมยินยอมโดยไม่มีเ หตุ อันสมควร ผู้เยำว์อำจร้องขอต่อศำลให้สั่งอนุญำตได้ในควำมเกี่ยวพันกับกำรประกอบธุรกิจ หรือกำรจ้ำงแรงงำนตำมวรรคหนึ่งให้ผู้เยำว์มฐี ำนะเสมือนดังบุคคลซึ่งบรรลุนิติภำวะ แล้ว ถ้ ำ กำรประกอบธุ ร กิ จ หรื อ กำรท ำงำนที่ ไ ด้ รั บ ควำมยิ น ยอมหรื อ ที่ ไ ด้ รั บ อนุญ ำตตำมวรรคหนึ่ง ก่อให้เกิดควำมเสีย หำยถึงขนำดหรือเสื่อมเสียแก่ผู้เ ยำว์ ผู้แทนโดยชอบธรรมอำจบอกเลิกควำมยินยอมที่ได้ให้แก่ผู้เยำว์เสียได้หรือในกรณีที่ ศำลอนุญำตผู้แทนโดยชอบธรรมอำจร้องขอต่อศำลให้เพิก ถอนกำรอนุญ ำตที่ไ ด้ ให้แก่ผู้เยำว์นั้นเสียได้ ในกรณีที่ผู้แทนโดยชอบธรรมบอกเลิกควำมยินยอมโดยไม่มีเหตุอันสมควร ผู้เยำว์อำจร้องขอต่อศำลให้เพิกถอนกำรบอกเลิกควำมยินยอมของผู้แทนโดยชอบ ธรรมได้กำรบอกเลิกควำมยินยอมโดยผู้แ ทนโดยชอบธรรมหรือกำรเพิกถอนกำร อนุญำตโดยศำล ย่อมทำให้ฐำนะเสมือนดังบุคคลซึ่งบรรลุนิติภำวะแล้วของผู้เยำว์ สิ้นสุดลง แต่ไม่กระทบกระเทือนกำรใดๆ ที่ผู้เยำว์ได้กระทำไปแล้วก่อนมีกำรบอก เลิกควำมยินยอมหรือเพิกถอนกำรอนุญำต
147
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
3.2.2.2 บทบัญญัติทำงกฎหมำยที่เกี่ยวกับคนวิกลจริต มำตรำ 28 บุคคลวิกลจริตผู้ใด ถ้ำคู่สมรสก็ดี ผู้บุพกำรีกล่ำวคือบิดำ มำรดำ ปู่ย่ำ ตำยำย ทวดก็ดี ผู้สืบสันดำนกล่ำวคือ ลูก หลำน เหลน ลื่อก็ดี ผูป้ กครองหรือผูพ้ ิทักษ์ก็ดี ผูซ้ ึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ก็ดี หรือพนักงำนอัยกำรก็ ดี ร้องขอต่อศำลให้สั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ควำมสำมำรถ ศำลจะสั่งให้ บุคคลวิกลจริตผูน้ ั้นเป็นคนไร้ควำมสำมำรถก็ได้ บุคคลซึ่งศำลได้สั่งให้เป็นคนไร้ควำมสำมำรถตำมวรรคหนึ่ง ต้องจัดให้อยู่ใน ควำมอนุบำล กำรแต่งตั้งผู้อนุบำล อำนำจหน้ำที่ของผู้อนุบำลและกำรสิ้นสุดของ ควำมเป็นผู้อนุบำล ให้เป็นไปตำมบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมำยนี้ คำสั่งของศำลตำมมำตรำนี้ ให้ประกำศในรำชกิจจำนุเบกษำ มำตรำ 29 กำรใด ๆ อันบุคคลซึ่งศำลสั่งให้เป็นคนไร้ควำมสำมำรถได้ กระทำลง กำรนัน้ เป็นโมฆียะ มำตรำ 30 กำรใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศำลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ ควำมสำมำรถได้กระทำลง กำรนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้น จริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ำยหนึ่งได้รแู้ ล้วด้วยว่ำผูก้ ระทำเป็นคนวิกลจริต มำตรำ 31 ถ้ำเหตุที่ทำให้เป็นคนไร้ควำมสำมำรถได้สิ้นสุดไปแล้วและเมื่อ บุคคลผู้นั้นเองหรือบุคคลใด ๆ ดังกล่ำวมำในมำตรำ 28 ร้องขอต่อศำลก็ให้ศำลสั่ง เพิกถอนคำสั่งที่ให้เป็นคนไร้ควำมสำมำรถนั้น คำสั่งของศำลตำมมำตรำนี้ ให้ประกำศในรำชกิจจำนุเบกษำ 3.2.3 ความรู้สานึกในการกระทา ตำมที่ท่ำนศึกษำในเบื้องต้นแล้วว่ำ ผู้เยำว์คือผู้หย่อนควำมสำมำรถประเภท หนึ่ ง ที่ ก ฎหมำยเข้ ำ มำให้ ค วำมคุ้ ม ครองเนื่ อ งด้ ว ยเพรำะเป็ น ผู้ อ่ อ นวั ย และอ่ อ น ประสบกำรณ์ กำรปล่อยให้ผู้เยำว์ใช้ชีวิตในสังคมโดยปรำศจำกกำรดูแลจำกบุคคล ที่มีหน้ำที่ (ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้ปกครอง) ย่อมอำจทำให้ผู้เยำว์ได้รับควำม เสียหำยได้ แต่กระนั้นก็มิได้หมำยควำมว่ำผู้เยำว์ไม่มีควำมสำมำรถในกำรใช้สิท ธิใน ทุกกรณี กฎหมำยยังเปิดช่องให้ผู้เยำว์สำมำรถทำนิติกรรมสัญญำต่ำง ๆ ได้หำกแต่ อยู่ภำยใต้เงื่อนไขของกำรได้รับควำมยินยอม และผู้เยำว์ที่จะขอควำมยินยอมจำก ผูแ้ ทนโดยชอบธรรมนัน้ ต้องเป็นผู้เยำว์ที่รสู้ ึกผิดชอบชั่วดีแล้ว
148
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
สำหรับกรณีละเมิดที่เป็นนิติเหตุ มิได้พิจำรณำจำกเงื่อนไขของใจสมัครของ คู่กรณี แต่พินิจถึงควำมเสียหำยที่เกิดขึ้นว่ำ ควำมเสียหำยเกิดขึ้นเพรำะกำรกระทำ ของบุคคลใด บุคคลนั้นก็มีหน้ำที่ตอ้ งรับผิดชอบ ซึ่งกำรกระทำในที่นี้ บุคคลที่กระทำ จะต้องมีส ำนึกในกำรกระทำของตน ดังนั้น ผู้เ ยำว์ที่จะต้องรับ ผิดละเมิดต้องเป็น ผูเ้ ยำว์ที่รู้สำนึกในกำรกระทำนัน้ มิใช่เป็นเด็กทำรกไร้เดียงสำ เช่นเดียวกันกับคนวิกลจริต เพรำะกำรแบ่งระดับควำมจริตวิกลมีอยู่หลำย ระดับตั้งแต่ระดับของกำรเป็น ๆ หำย ๆ ไปจนถึงระดับหนักจนมิอำจรู้สำนึกในกำร กระทำเอำเสียเลย ขอให้สังเกตว่ำ กฎหมำยท่ำนได้บัญญัติใช้คำว่ำ “วิกลจริต” ไม่ใช้ ค ำว่ ำ “คนไร้ ค วำมสำมำรถ” ผู้ เ ขี ย นมี ค วำมเห็ น ว่ ำ เพรำะกำรตกเป็ น คนไร้ ควำมสำมำรถ ต้องร้องขอต่อศำลให้มีคำสั่ง ให้บุคคลนั้นตกเป็นคนไร้ควำมสำมำรถ โดยพิจำรณำจำกกำรวิกลจริตต้องถึงขนำด กล่ำวคือบ้ำมำกและบ้ำเป็นประจำ แต่ เหตุที่มำตรำ 429 เลือกใช้คำว่ำวิกลจริตเนื่องจำกยอมรับว่ำในควำมเป็นจริงมีบุคคล ที่วิก ลจริตประเภทเป็น ๆ หำย ๆ หรือคุ้มดีคุ้มร้ำย ซึ่งในขณะคุ้มดี หรือหำยจำก วิกลจริตบำงเวลำก็อำจกระทำควำมผิดได้
ผูเ้ ยำว์ คนวิกลจริต
บิดำมำรดำ ผูอ้ นุ บำล
มาตรา 420 หรือละเมิดอื่น
มำตรำ 429
กำรกระทำ
จงใจ หรือ ประมำทเลินเล่อ
ศำลเป็ นผูว้ ินจิ ฉัย
149
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
3.2.4 มูลเหตุทีร่ ่วมต้องรับผิด 3.2.4.1 บิดามารดา มำตรำ 1564 บิดำมำรดำจำต้องอุปกำระเลี้ยงดู และให้กำรศึกษำตำม สมควรแก่บุตรในระหว่ำงที่เป็นผู้เยำว์ บิดำมำรดำจำต้องอุปกำระเลี้ยงดูบุตรซึ่งบรรลุนิติภำวะแล้วแต่เฉพำะผู้ ทุพพลภำพและหำเลี้ยงตนเองมิได้ มำตรำ 1567 ผูใ้ ช้อำนำจปกครองมีสิทธิ (1) กำหนดที่อยู่ของบุตร (2) ทำโทษบุตรตำมสมควรเพื่อว่ำกล่ำวสั่งสอน (3) ให้บุตรทำกำรงำนตำมสมควรแก่ควำมสำมำรถและฐำนำนุรูป (4) เรียกบุตรคืนจำกบุคคลอื่นซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมำย จำกบทบัญญัติที่ยกขึ้นแสดงให้เห็นข้ำงต้น แสดงให้เห็นถึงหน้ำที่และ สิทธิของบิดำมำรดำที่มตี ่อบุตร เมื่อบิดำมำรดำมีหน้ำที่ตำมกฎหมำยตลอดจนมีสิทธิ เช่น อบรมเลี้ยงดูบุตรหำกไม่เชื่อฟังก็มีสิทธิว่ำกล่ำวสั่งสอนได้ เมื่อตนมิได้ใช้ควำม ระมัดระวังตำมสิทธิและหน้ำที่ของตน ย่อมต้องร่วมรับผิดกับบุตรผู้เยำว์ ข้อสังเกต 1. ต้องเป็นบิดำที่ชอบด้วยกฎหมำย คำพิพำกษำฎีกำที่ 9184/2539 จำเลยที่ 2เป็นบิดำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมำย ของจ ำเลยที่ 1 ซึ่ ง เป็ น ผู้ เ ยำว์ ก ำรที่ จ ำเลยที่ 1 ไปท ำละเมิ ด ผู้ อื่ น จะน ำประมวล กฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 429 มำใช้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับกำรที่จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ไม่ได้ แต่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปกครองดูแลจำเลยที่ 1 ต้ อง นำประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 430 มำใช้บังคับ ในส่วนที่เ กี่ย วกั บ จำเลยที่ 2 กำรที่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 3 นำกุญแจรถจี๊ปไปเก็บไว้ในลิน้ ชักโต๊ะเก็บเงิน ในร้ำนขำยของของจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่ได้ใส่กุญแจในขณะที่จำเลยที่ 3 ขำยของ จนเป็น เหตุให้จำเลยที่ 1 แอบหยิบเอำกุญแจไปใช้ขับรถจี๊ปโดยประมำทชนรถยนต์เก๋งที่โจทก์ รับประกันภัยไว้เสียหำย ถือได้ว่ำจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดำมำรดำไม่ได้ใช้ควำม
150
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ระมัดระวังในกำรดูแลจำเลยที่ 1 บุตรผูเ้ ยำว์ตำมสมควรแก่หน้ำที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในกำรกระทำละเมิดต่อโจทก์ 2. บุตรบุญธรรม มำตรำ 1598/27 กำรรับบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้จดทะเบียนตำม กฎหมำย แต่ถ้ำผู้จะเป็นบุตรบุญธรรมนั้นเป็นผู้เยำว์ต้องปฏิบัติตำมกฎหมำยว่ำด้วย กำรรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมก่อน มำตรำ 1598/28 บุตรบุญธรรมย่อมมีฐ ำนะอย่ำงเดียวกับ บุตรชอบด้วย กฎหมำยของผู้รับบุตรบุญธรรมนั้น แต่ไม่สูญสิทธิและหน้ำที่ในครอบครัวที่ได้กำเนิด มำในกรณีเช่นนี้ ให้บิดำมำรดำโดยกำเนิดหมดอำนำจปกครองนับแต่วันเวลำที่เด็ก เป็นบุตรบุญธรรมแล้ว กำรพิจำรณำบุตรบุญธรรมให้ผู้รับบุตรบุญธรรมเข้ำร่วมรับ ผิดหำกว่ำบุตร บุ ญ ธรรมผู้ เ ยำว์ ก ระท ำละเมิ ด เนื่ อ งจำก ผู้ รั บ บุ ต รบุ ญ ธรรมมี สิ ท ธิ แ ละหน้ ำ ที่ เช่นเดียวกับบิดำมำรดำ 3.2.4.2 ผู้อนุบาล ควำมหมำยของผูอ้ นุบำลในที่น้ี ต้องให้หมำยควำมโดยทั่วไป มิได้จำกัดเฉพำะ ควำมหมำยในทำงกฎหมำย กล่ำวคือ ผู้อนุบ ำลที่เ กิดขึ้นจำกคำสั่ งของศำลเป็น ผู้ แต่งตั้งเท่ำนั้น แต่ผู้อนุบำลในควำมหมำยนี้ให้หมำยควำมถึงผู้อนุบำลในควำมหมำย ทั่วไปคือผู้ที่ทำหน้ำที่ดูแลคนวิกลจริต แม้ว่ำบุคคลนั้นศำลจะยังไม่ได้มีคำสั่งให้เป็น คนไร้ควำมสำมำรถก็ตำม 3.2.5 บทสันนิษฐานความรับผิดไม่เด็ดขาด กำหนดให้ภำระกำรพิสูจน์ตกแก่จำเลย (ผูใ้ ดกล่ำวอ้ำงข้อเท็จจริงใด ผูน้ ั้นต้องนำสืบให้ศำลเห็นถึงข้อเท็จจริงนั้น) เบือ้ งต้นกฎหมำยสันนิษฐำนให้บิดำมำรดำ หรือผูอ้ นุบำลต้องเข้ำ มำร่วมรับผิดกับบุตรผู้เยำว์หรือคนวิกลจริตก่อน แต่สำมำรถนำพยำนหลักฐำนเข้ำสืบ หักล้ำงให้ตนพ้นจำกควำมรับผิดได้ (They or he can prove that proper care in performing their or his duty of supervision has been exercised)
151
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
“เว้นแต่จะพิสูจน์ได้วำ่ ตนได้ใช้ควำมระมัดระวังตำมสมควรแก่หน้ำที่ ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น” 3.2.6 อุทาหรณ์ 3.2.6.1 กรณีทีถ่ อื ว่าใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ ให้พิจำรณำจำกพฤติกำรณ์ของบิดำมำรดำเป็นสำคัญ คำพิพำกษำกำที่ 612/2488 ตำมปกติย่อมเป็นกำรเหลือวิสัยที่บิดำ มำรดำจะดูแลป้องกันบุตรมิให้ไปฉุดคร่ำหญิง บิดำมำรดำไม่ต้องร่วมรับผิด และเมื่อ ได้ฉุดคร่ำมำแล้ว บิดำมำรดำช่วยปิดบังเหตุกำรณ์จำกผู้มำติดตำมนั้น ก็ถือเป็นเรื่อง แก้ให้บุตรพ้นจำกควำมร้ำยมิใช่เป็นกำรปล่อยปละละเลยหรือส่งเสริบุตรให้บุตรไป ทำละเมิด ข้ อ สั ง เกต บิ ด ำมำรดำกั บ ผู้ เ ยำว์ หรื อ ผู้ อ นุ บ ำลกั บ คนวิ ก ลจริ ต กฎหมำยบัญญัติให้บิดำมำรดำหรือผูอ้ นุบำล ร่วมรับผิดเบำกว่ำกรณีนำยจ้ำงลูกจ้ำง เพรำะนำยจ้ ำ งกั บ ลู ก จ้ำ งนั้ น นำยจ้ ำงจะต้ องรับ ผิ ดเด็ด ขำด แต่ ใ นส่ว นของบิ ด ำ มำรดำและผู้อ นุบ ำลไม่ ไ ดมี ควำมรับ ผิดเด็ดขำด เพรำะกฎหมำยยกเว้ นให้ ว่ำถ้ ำ พิสูจน์ได้วำ่ ตนได้ใช้ควำมระมัดระวังตำมสมควรแก่หน้ำที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น ก็มีผลทำ ให้ บิดำมำรดำหรือผูอ้ นุบำลหลุดพ้นควำมรับผิด ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 934/2517 โจทก์ ยั ง เป็ น เด็ ก อยู่ ไ ปเล่ น ที่ บ้ ำ น จำเลย ถูกบุตรผู้เยำว์ของจำเลยยิงด้วยหนังสติ๊กนัยน์ตำบอด โจทก์มีอำนำจฟ้องให้ จำเลยรับ ผิด ได้โดยล ำพั ง ไม่จำต้องฟ้องบุตรผู้เยำว์เข้ำมำด้วย แต่ควำมเสีย หำย เกิดขึ้นโดยบังเอิญ จำเลยปล่อยให้บุตรยิงหนังสติ๊กเล่นอยู่แต่ภำยในบ้ ำน บุตรของ จำเลยยิงหนังสติ๊ก มำทำงบนเรือนเพียงครั้งเดียวก็ถูก โจทก์ ถือว่ำจำเลยใช้ควำม ระมัดระวังสมควรแก่หน้ำที่แล้ว จึงไม่ตอ้ งรับผิด คำพิพ ำกษำฎีกำที่ 62/2522 บิดำมำรดำของเด็กซึ่งหนีออกจำก บ้ำนไปตั้งแต่ 12 ปี แม้ว่ำล่ำมโซ่ไว้ก็ยังหนี จนอำยุ 18 ปี ไปรับจ้ำงขับรถยนต์ บิดำ มำรดำใช้ ค วำมระมั ด ระวั ง ดี แ ล้ ว นอกเหนื อ อ ำนำจที่ บิ ด ำมำรดำจะใช้ ค วำม
152
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ระมัด ระวั งได้ บิด ำมำรดำจึงไม่ต้อ งรับ ผิดในกำรที่บุ ตรตนขับ รถโดยประมำทให้ บุคคลอื่นเสียหำย คำพิพำกษำฎีกำที่ 2118/2540 จำเลยร่วมบุตรโจทก์นำรถยนต์ของ โจทก์ พำเพื่อน ๆ ไปเที่ย วสถำนบันเทิงโดยจำเลยร่วมให้ ฉ. เป็นผู้ขับ ไปยังสถำน บันเทิง ครั้นเลิกจำกเที่ยวเมื่อเวลำ 3 นำฬิกำของวันใหม่ เปลี่ยนให้จำเลยที่ 1 ขับ กลับจำกสถำนบันเทิงแล้วเกิดเหตุ กำรที่จำเลยที่ 1 ออกจำกบ้ำนไปเที่ย วและที่ จำเลยร่วมยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของโจทก์พำจำเลยร่วมกับเพื่อน ๆ กลั บจำก เที่ยวสถำนบันเทิงไม่มีพฤติกำรณ์ใดที่ส่อให้เห็นว่ำจำเลยที่ 1 จะต้องไปทำหน้ำที่ขับ รถยนต์ของโจทก์แทน ฉ. กำรที่จำเลยที่ 1 อำสำขับรถยนต์โจทก์ตอนขำกลับต้องถือ ว่ำเป็นกำรสุด วิสัยของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดำมำรดำจะรู้เ ห็นได้ ถือว่ำ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ใ ช้ค วำมระมัด ระวังตำมสมควรแก่หน้ำที่ดู แลซึ่งท ำอยู่ใ น ขณะนั้นแล้ว เพรำะไม่ได้ควำมว่ำจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ใช้ให้ไปกระทำหรือรู้แล้วยัง ยอมให้ก ระท ำ ดั งนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับ ผิด ในผลละเมิดของ จำเลยที่ 1 ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 429 แต่หลังเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ในฐำนะบิด ำโดยชอบธรรมของจ ำเลยที่ 1 ได้ ตกลงต่ อหน้ำพนัก งำน สอบสวนยินยอมชดใช้ค่ำเสียหำยในกำรละเมิดของจำเลยที่ 1 ข้อตกลงดังกล่ำวจึง ผูกพันเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 3 มิได้ตกลงยินยอมชดใช้ค่ำเสียหำยแต่อย่ำงใด จึงไม่ ผูกพันจำเลยที่ 3 3.2.6.2 กรณีท่ไี ม่ถือว่าใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ ให้พิจำรณำจำกพฤติกำรณ์ของบิดำมำรดำเป็นสำคัญเช่นกัน 1. บิดำมำรดำอำจจะไม่ใช้ควำมระมัดระวังเลย หรืออำจจะใช้ควำม ระมัดระวังแต่ไม่ถึงขนำดที่เพียงพอจะป้องกันผลร้ำยได้ คำพิพำกษำฎีกำที่ 847/2496 บุตรผู้เ ยำว์มี นิสัย ชอบเล่นปืนมำก เพียงแต่บิดำเก็บปืนไว้บนหลังตู้ซึ่งผู้เยำว์หยิบไม่ถึง แล้วสั่งให้ ก. ให้เก็บปืนไว้เฉย ๆ มิได้กำชับว่ำอย่ำให้บุตรผู้เยำว์เอำไป บุตรผู้เยำว์หลอกเอำปืนไปจำก ก. แล้วไปยิง
153
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
บุตรโจทก์ตำย ยังเรียกไม่ได้ว่ำบิดำได้ใช้ควำมระมัดระวังสมควรแก่หน้ำที่ดู แลตำม มำตรำ 429 แล้ว คำพิพำกษำฎีกำที่ 941/2498 บิดำได้ปล่อยปละละเลยให้บุตรผู้เยำว์ คบเพื่อนเที่ยวเตร่ และขับรถยนต์ไปในที่ต่ำง ๆ เสมอ ซึ่งบิดำย่อมรูว้ ่ำเป็นกำรกระทำ ที่ฝ่ำฝืนกฎหมำยบ้ำนเมือง และใกล้จะก่ออันตรำยให้แก่สำธำรณชน ครั้งที่เกิดเหตุนี้ บุตรผู้เยำว์ก็ได้ขับรถยนต์ไปจำกบ้ำนโดยบิดำรู้เห็นแต่ก็มิได้ห้ำมปรำมตักเตือน ดังนี้ ต้องฟังว่ำบิดำไม่ใช้ควำมระมัดระวังตำมสมควรแก่หน้ำที่ผู้ปกครองบุตรโดยปกติ คำพิพำกษำฎีกำที่ 1788/2499 บิดำมำรดำซึ่งเป็นผู้ปกครองบุตร ผู้เยำว์ รู้เห็นยินยอมให้บุตรผู้เยำว์ขับขี้รถยนต์และรถจัก รยำนยนต์มำช้ำนำน มิได้ ห้ำมปรำมตำมสมควรแก่หน้ำที่ดูแล เมื่อผู้เยำว์ขับรถจักรยำนยนต์ชนรถผู้เสียหำย เป็นกำรละเมิดจึงต้องรับผิดในผลนั้น คำพิพำกษำฎีกำที่ 620/2502 บิดำรู้เห็นยินยอมให้ผู้เยำว์ขับรถยนต์ ไปส่งน้องไปโรงเรียนแทนตน เมื่อผู้เ ยำว์ขับรถไปชนผู้อื่นโดยละเมิ ดจึงต้องรับผิด ร่วมกับบุตรผู้เยำว์ และขอให้เทียบเคียงคำพิพำกษำฎีกำที่ 1315/2520 1557/2523 คำพิพำกษำฎีกำที่ 934/2508 กำรที่มำรดำเห็นบุตรถือปืนและได้ว่ำ กล่ำวตักเตือนแล้ว แต่บุตรไม่เชื่อฟังกลับนำปืนไปซ่อนเสียพอลับหลังก็นำปืนมำเล่น อีก พฤติกำรณ์เพียงแค่น้ีไม่ถือว่ำได้ใช้ควำมระมัดระวังที่เพียงพอตำมหน้ำที่ดูแลของ ตนในฐำนะเป็นมำรดำไม่ คำพิพำกษำฎีกำที่ 528/2523 แม้วำ่ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบิดำจะได้เคย ห้ำมปรำมจำเลยที่ 1 ผู้เป็นบุตรผู้เยำว์ไม่ให้เอำรถยนต์ไปใช้และได้เก็บลูกกุญแจรถไว้ เอง โดยเก็บไว้ในที่สู งก็ตำม แต่จำเลยที่ 1 รู้ที่เ ก็บและเคยเอำรถออกไปขับ ย่อม แสดงให้เห็นว่ำจำเลยที่ 2 รูเ้ ห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถ หำได้ใช้ควำมระมัดระวัง ในเรื่ อ งนี้ ต ำมสมควรแก่ ห น้ ำ ที่ ดู แ ลไม่ ถื อ ว่ ำ จ ำเลยที่ 2 หั ก ล้ ำ งว่ ำ ตนใช้ ค วำม ระมัดระวังตำมหน้ำที่แล้วไม่ได้
154
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 4943/2536 จำเลยร่วมรู้อยู่แล้วว่ำจำเลยที่ 1 เป็น ผู้เยำว์ไม่มีใบอนุญำตขับขี่รถยนต์และมีอำกำรเมำสุรำ กำรที่จำเลยร่วมนำรถยนต์ ของโจทก์ ซึ่งเป็นมำรดำออกไปให้จำเลยที่ 1 ขับขี่ไปเที่ยวเช่นนี้ ตำมพฤติกำรณ์ต้อง เล็งเห็นว่ำจะต้องเกิดอุบัติเหตุอย่ำงแน่แท้ จึงถือได้ว่ำจำเลยร่ วมมีส่วนก่อให้เกิดเหตุ ละเมิดในคดีนี้ด้วย จำเลยร่วมจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดนั้น โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ร่วมกันกระทำละเมิดโดยร่วมกันใช้อำวุธ ปืนยิงบุตรโจทก์ถึงแก่ควำมตำย กำรที่ศำลล่ำงทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่ำจำเลยที่ 1 มิ ได้ ร่วมกับจำเลยที่ 3 ใช้อำวุธปืนยิงผู้ตำย แต่กลับพิพำกษำให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดด้วย ในผลแห่งกำรละเมิดของจำเลยที่ 3 ตำม ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 429 ในฐำนะบิดำซึ่งมิได้ใช้ควำมระมัดระวังตำมสมควรแก่หน้ำที่ดูแลปล่อยให้จำเลย ที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยำว์ห ยิบฉวยอำวุธปืนของจำเลยที่ 1 ไปใช้ยิงผู้ตำย เป็นกำรนอก ฟ้องนอกประเด็นต้องห้ำงตำม ประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ 142 และปั ญ หำดั ง กล่ ำ วเป็ น ปั ญ หำข้ อ กฎหมำยที่ เ กี่ ย วกั บ ควำมสงบเรี ย บร้ อ ยของ ประชำชน แม้คคู่ วำมมิได้ยกขึ้นอ้ำง ศำลฎีกำก็มอี ำนำจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ตอ้ งรับผิดฐำนละเมิดดังฟ้อง 2. หน้ำที่ดูแลบุตรมิได้จำกัดเฉพำะในบริเวณบ้ำน ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 356/2511 มำรดำปล่อ ยให้ บุตรผู้เ ยำว์ เล่ นไม้ กระบอกพลุที่บ้ำนและที่โรงเรียนมำก่อน จนบุตรมีควำมสำมำรถทำให้ผู้อื่นเล่นได้ และนำไปเล่นที่โรงเรียนเป็น เหตุให้เด็กนักเรียนคนหนึ่งตำบอด เช่นนี้ มำรดำต้องรับ ผิด ร่ว มกั บ บุตรในผลกำรท ำละเมิดนั้น ที่ มำรดำโต้แย้ง ว่ำ กำรท ำละเมิดของบุต ร ผู้เยำว์เกิดที่โรงเรียนลับหลังตนนั้น หำใช่ข้อแก้ตัวทำให้ตนพ้นจำกควำมระมัดระวัง ตำมหน้ำที่ไม่ 3.2.6 อานาจฟ้อง 1. กรณีผู้เยำว์ 1.1 ผูเ้ ยำว์ 1.2 บิดำมำรดำโดยชอบด้วยกฎหมำย
155
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 6380/2537 สัญญำประนีประนอมยอมควำมระหว่ำง โจทก์และจำเลยเกี่ยวกับกำรชดใช้ค่ำสินไหมทดแทน อันมีมูลเหตุจำกกำรละเมิดที่ จำเลยขับรถยนต์ชนเด็กชำย ส. ผู้เยำว์เป็นนิตกิ รรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยำว์ที่แม้ ผู้เป็นบิดำโดยชอบด้วยกฎหมำยจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศำลจะอนุญำตตำมมำตรำ 1574 (12) โจทก์ ฟ้องจำเลยในนำมของตนเอง ทั้งโจทก์เ ป็นบิดำโดยไม่ชอบด้วย กฎหมำยของเด็กชำย ส. จึงเป็นบุคคลภำยนอกไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะกระทำกำรแทน ผูเ้ ยำว์ ในคดีน้ี ผูเ้ ยำว์เป็นบุตรของโจทก์กับนำง ส. ซึ่งแต่งงำนโดยไม่ได้จดทะเบียน สมรส และโจทก์ก็มิได้จดทะเบียนรับรองว่ำผูเ้ ยำว์เป็นบุตร 3.3 ความรับผิดของผู้รับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถ มาตรา 430 บัญญัติว่ำ ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับ ดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็ นนิตย์ก็ดี ชั่วครั้งคราวก็ดี จาต้ อ งรับผิด ร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด ซึ่งเขาได้กระทาลงในระหว่างที่อยู่ใน ความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตาม สมควร 3.3.1 บุคคลที่รับดูแลผูไ้ ร้ควำมสำมำรถ ผู้เสียหำยจะต้องสืบพิสูจน์ให้ได้ว่ำบุคคลที่รับดูแลบุคคลผู้ไร้ค วำมสำมำรถ ได้แก่ ครูบำอำจำรย์ (Teacher)-นักเรียน นักศึกษำ (Student) นำยจ้ำง(Employer)-ลูกจ้ำง (Employee) หรืออื่น เช่น ลุงป้ำ-หลำน ฯลฯ มิได้ใช้ควำมระมัดระวังตำมสมควร ตำมค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 356/2511 ที่ ไ ด้ เ คยกล่ ำ วอ้ ำ งแล้ ว ในกรณี บิ ด ำ มำรดำบุตร และศำลได้พิพำกษำให้ลงโทษมำรดำให้ร่วมรับผิดในกำรกระทำละเมิด ของบุตรนั้น ในกรณีดังกล่ำวเรื่องเกิดขึ้นที่โรงเรียน ผู้เสียหำยจึงฟ้องครูประจำชั้น เป็นจำเลยอีกคนด้วย ซึ่งศำลพิเครำะห์ตำมพยำนหลัก ฐำนแล้ววินิจฉั ยว่ำ กำรที่ มำรดำปล่อยบุตรผู้เยำว์เล่นไม้กระบอกพลุที่บ้ำนและที่โรงเรียนมำก่ อน จนบุตรมี ควำมสำมำรถทำให้คนอื่นเล่นได้ และนำไปเล่นที่โรงเรียนเป็นเหตุให้นักเรียนผู้หนึ่ง
156
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ตำบอดเช่นนี้ มำรดำต้องร่วมรับผิดกับบุตรในผลของกำรทำละเมิดนั้น แต่ส่วนครู ประจำชั้นของเด็กผู้ทำละเมิดซึ่งในตอนเช้ำเห็นหน้ำเด็กนักเรียนเอำกระบอกพลุมำ เล่นกัน เกรงจะเกิดอันตรำย ให้เก็บไปทำลำยและห้ำมเด็กมิให้เล่นต่อไป แต่เด็กได้ใช้ พลุยิงกันในเวลำหยุดพักกลำงวันและนอกห้องเรียน ถือได้ว่ำครูประจำชั้นได้ใช้ควำม ระมัดระวังตำมสมควรแล้ว จึงไม่ตอ้ งรับผิดร่วมด้วย ข้อพิจำรณำ ผู้ที่ดูแลที่จะต้องเข้ำมำร่วมรับผิดกับบุคคลผู้ไร้ควำมสำมำรถ ต้องมีหน้ำที่ ซึ่งหน้ำที่นนั้ เกิดเพรำะเหตุหนึ่งเหตุใดดังต่อไปนี้ 1. หน้ ำ ที่ เ กิ ด จำกสั ญ ญำ เช่ น สั ญ ญำว่ ำ จ้ ำ งคนรั บ เลี้ ย งบุ ค คลผู้ ไ ร้ ควำมสำมำรถ หรือครูบำอำจำรย์ 2. หน้ำที่เกิดจำกธรรมจรรยำ เช่น ญำติพ่นี ้องให้กำรอุปกำระเลี้ยงดูบุคคลผู้ ไร้ควำมสำมำรถ หรือบิดำที่มชิ อบด้วยกฎหมำยให้กำรอุปกำระเลี้ยงดูบุตรผูเ้ ยำว์ ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 2076/2518 หลำนอำยุ 13 ปี ม ำพั ก อำศั ย เพื่ อ เรี ย น หนังสือกับตำยำย ตำยำยเป็นผู้ดูแลต้องรับผิดในกำรกระทำละเมิดตำมมำตรำ 430 3. หน้ำที่เกิดจำกกฎหมำยกำหนดไว้ เช่น สถำนพินิจและคุ้มครองเด็กและ เยำวชนย่อมมีหน้ำที่ดูแลเด็กและ/หรือเยำว์ที่อยู่ภำยใต้กำรควบคุมดูแลของตน โปรด พิจำรณำจำกคดี Home Office V. Dorset Yacht, 1970 ที่จำเลย (สถำนพินิจและคุ้มครองเด็ก) มีหน้ำที่อบรมฝึกอำชีพเด็กหรือเยำวชนที่กระทำควำมผิด ถูกเจ้ำของทรัพย์ที่เสียหำย ฟ้องเนื่องจำกเด็กเยำวชนที่อยู่ในควำมดูแลของตน ได้หนีออกจำกสถำนพินิจและ คุ้ ม ครองเด็ ก โดยขโมยเรื อ และสร้ ำ งควำมเสี ย หำยต่ อ เรื อ ล ำอื่ น ที่ อ ยู่ ใ กล้ เ คี ย ง เจ้ ำ ของเรื อ จึ ง ฟ้ อ งเรี ย กร้ อ งให้ ส ถำนพิ นิ จ และคุ้ ม ครองเด็ ก ต้ อ งรั บ ผิ ด ชดใช้ ค่ำเสียหำยที่เด็กหรือเยำวชนนั้นก่อขึ้น คดีนี้ HL(The House of Lord) วินิจฉัยว่ำ จำเลยมี หน้ำที่ตอ้ งระมัดระวัง (Duty of Care) มิให้ไปก่อให้เกิดควำมเสียหำยกับเจ้ำของทรัพย์สิน ที่อยู่บริเวณใกล้กับกับสถำนพินจิ กำรที่จำเลยอ้ำงว่ำจำเลยทำหน้ำที่เพื่อสำธำรณะ ประโยชน์มิใช่ประเด็นข้ออ้ำง และมิใช่เหตุผลที่ดีที่จะทำให้มีอภิสิทธิ์แต่ประกำรใด (Special Immunity) แต่อย่ำงไรก็ดี ควำมรับผิดที่สถำนพินิจพึงต้องรับผิดชอบนั้น ควรจะ ถู ก จ ำกั ด เฉพำะควำมเสี ย หำยที่เ กิด ขึ้น ในบริเ วณใกล้เ คีย งเท่ ำนั้ น เพรำะควำม เสียหำยเช่นว่ำนั้นสำมำรถคำดเห็นได้
157
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
3.3.2 บุคคลดังกล่ำวทำหน้ำที่รบั ดูแล (supervision) กฎหมำยกำหนดว่ำกำรทำหน้ ำที่รับดูแลไม่ว่ำจะเกิดเพรำะมูลเหตุอะไรก็ ตำม ให้พิจำรณำถึงกำรดู แลอย่ำงเป็นประจำ (นิตย์) หรือชั่วครำวก็ตำม ซึ่งผู้ไ ร้ ควำมสำมำรถได้กระทำละเมิดในขณะที่ตนมีหน้ำที่ดูแลนัน้ ก. ครูบำอำจำรย์ ท่ำนจะต้องจำแนกข้อเท็จจริงว่ำ ครูบำอำจำรย์นั้นมีระดับควำมใกล้ชิดดูแล บุคคลผู้ไร้ควำมสำมำรถ อยู่ในระดับใด ซึ่งหำกเป็นกรณีผู้เยำว์ยิ่งเป็นเด็กเล็กระดับ ของกำรดูแลย่อมมำกขึ้นตำมลำดับของควำมสำมำรถของผู้เยำว์นั้น ขอบเขตมิได้พิจำรณำเฉพำะในเวลำเรียน หรือภำยในห้องเรียนเท่ำนั้น แต่ ทั้งนีท้ ั้งนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเป็นรำยกรณีไป ข. นำยจ้ำง ข้อพิจำรณำ มำตรำนี้เป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกับมำตรำ 425 เพรำะ จะเข้ำมำตรำ 430 ได้ข้อเท็จจริงต้องปรำกฏว่ำ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงนำยจ้ำงกับ ลู ก จ้ ำ งต้ อ งมี ลั ก ษณะเกื้ อ กู ล พิ เ ศษยิ่ ง กว่ ำ อ ำนำจกำรบั ง คั บ บั ญ ชำของนำยจ้ ำ ง กล่ำวคือ นำยจ้ำงมีพฤติกำรณ์พิเศษในกำรรับเลี้ ยงดูแลลูกจ้ำงนั้น เช่น กำรทำงำน ในไร่/ฟำร์ม เป็นต้น 3.3.3 ผูไ้ ร้ควำมสำมำรถ ผู้ไ ร้ค วำมสำมำรถตำมมำตรำนี้ใ ห้หมำยควำมอย่ำงเดีย วกั บ มำตรำ 429 กล่ำวคือ 1. ผู้เยำว์ 2. คนวิกลจริต เหตุที่ตีควำมเช่นนี้ เนื่องจำกมำตรำ 430 เป็นมำตรำสืบเนื่องจำกมำตรำ 429 ที่กล่ำวถึงผู้ไร้ควำมสำมำรถ โดยหมำยควำมถึงผู้เยำว์หรือคนวิกลจริต ข้อสังเกต มำตรำ 430 เป็นบทสันนิษฐำนเด็ดขำด กล่ำวคือ กำหนดให้ฝ่ำยผู้เสียหำย (โจทก์ ) เป็ นฝ่ ำ ยพิสู จ น์ ซึ่ง สำมำรถพิ สูจ น์ ไ ด้ว่ ำ บุ คคลที่ มีห น้ ำ ที่ ดูแ ลบุ คคลผู้ ไ ร้ ควำมสำมำรถไม่ได้ใช้ควำมระมัดระวัง ในขณะที่อยู่ใ นระหว่ำงดูแลของบุคคลนั้น ซึ่ง
158
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
แตกต่ำงกับมำตรำ 429 กฎหมำยให้สิทธิแก่บิดำมำรดำหรือผู้อนุบำลในกำรนำสืบ พิสูจน์เพื่อพ้นควำมรับผิดหำกตนได้ใช้ควำมระมัดระวังในกำรดูแลตำมสมควรแก่ หน้ำที่ 3.4 สิทธิไล่เบี้ย มาตรา 431 บัญญัติว่ำ ในกรณีท่ีกล่าวมาในสองมาตราก่อนนั้น ท่านให้ นาบทบัญญัติแห่งมาตรา 426 มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม เมื่อบิดำ มำรดำ ผู้อนุบำลตำมมำตรำ 429 หรือผู้ รับดูแลตำมมำตรำ 430 เข้ ำ ร่ ว มรั บ ผิ ด จำกผู้ เ ยำว์ คนวิ ก ลจริ ต หรื อ บุ ค คลผู้ ไ ร้ ค วำมสำมำรถ กฎหมำย กำหนดให้บุค คลต่ำง ๆ เหล่ำนั้นทรงสิท ธิ ไ ล่เ บี้ย จำกผู้ทำละเมิด (ตัวจริ ง) คืนได้ (ผูเ้ ยำว์หรือคนวิกลจริต) อนึ่ ง ส ำหรั บ ผู้ รั บ ดู แ ลเมื่ อ ได้ ไ ล่ เ บี้ ย เอำกั บ ผู้ เ ยำว์ ห รื อ คนวิ ก ลจริ ต แล้ ว ปรำกฏว่ำผู้เยำว์หรือคนวิกลจริตไม่มีให้จะก้ำวล่วงไปเรียกร้องให้บิดำมำรดำ หรือผู้ อนุบ ำลให้ ใ ช้ หนี้ แทนบุ ค คลผู้ ท ำละเมิ ดไม่ไ ด้ เหตุ เ พรำะไม่ มีก ฎหมำยเปิด ช่อ งไว้ เช่นกัน
159
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
บทที่ 4 ละเมิดที่เกิดจากทรัพย์สิ่งของหรือสัตว์เลี้ยง 4.1 ละเมิดที่เกิดเพราะเหตุท่โี รงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ทีก่ ่อสร้างไว้ชารุด หรือบารุงรักษาไม่เพียงพอ มาตรา 434 บัญญัติว่ำ ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุท่ีโรงเรือน หรือ สิ่งปลู ก สร้า งอย่างอื่นก่ อ สร้างไว้ชารุดบกพร่อ งก็ ดี หรื อ บ ารุงรัก ษาไม่ เพี ย งพอก็ ดี ท่ า นว่ า ผู้ ค รองโรงเรื อ นหรื อ สิ่ ง ปลู ก สร้ า งนั้ น ๆ จ าต้ อ งใช้ ค่ า สินไหมทดแทน แต่ถ้าผู้ครองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อปัดป้องมิให้ เกิดเสียหายฉะนั้นแล้ว ท่านว่าผู้เป็นเจ้าของจาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน บทบั ญ ญั ติท่ีก ล่ าวมาในวรรคก่ อ นนั้น ให้ ใช้บั ง คับ ได้ต ลอดถึ งความ บกพร่องในการปลูกหรือค้าจุนต้นไม้หรือกอไผ่ด้วย ในกรณี ท่ี ก ล่ า วมาในสองวรรคข้ า งต้ น นั้ น ถ้ า ยั ง มี ผู้ อื่ น อี ก ที่ ต้ อ ง รับผิดชอบในการก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วยไซร้ ท่านว่าผู้ครองหรือเจ้าของจะ ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้นั้นก็ได้ จำกบทบัญญัติข้ำงต้น จะเห็นได้ว่ำตำมวรรคหนึ่งเป็นมำตรำหลัก ทั่วไปของ เรื่อง ละเมิดที่เกิดเพรำะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้ำงอย่ำงอื่นที่ก่อสร้ำงไว้ชำรุด หรือชำรุดบกพร่องหรือบำรุงรักษำไม่เพียงพอ ส่วนวรรคสองเป็นบทขยำยควำมใน ควำมหมำยของสิ่งปลูกสร้ำงให้กว้ำงขึ้น และวรรคสุดท้ำยเป็นเรื่องกำรกำหนดเรื่อง สิทธิไล่เบีย้ เอำแก่บุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง 4.1.1 บทบัญญัติหลัก มำตรำ 434 วรรคหนึ่ง “ถ้ำควำมเสียหำยเกิดขึ้นเพรำะเหตุที่โรงเรือนหรือ สิ่งปลูกสร้ำงอย่ำงอื่นก่อสร้ำงไว้ชำรุดบกพร่องก็ดี หรือบำรุงรักษำไม่เพียงพอก็ดี ท่ำนว่ำผู้ครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้ำงนั้น ๆ จำต้องใช้ค่ำสินไหมทดแทน แต่ถ้ำผู้ ครองได้ใช้ควำมระมัดระวังตำมสมควรเพื่อปัดป้องมิให้เกิดเสียหำยฉะนั้นแล้ว ท่ำน ว่ำผูเ้ ป็นเจ้ำของจำต้องใช้คำ่ สินไหมทดแทน”
160
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ควำมเสีย หำยเกิ ด ขึ้นเพรำะเหตุที่โ รงเรือน หรื อสิ่งปลูก สร้ำงอย่ำงอื่น ที่ ก่อสร้ำงไว้ชำรุดบกพร่อง หรือบำรุงรักษำไม่เพียงพอ กฎหมำยกำหนดให้ผู้ครองโรงเรือน (Possesser) ต้องรับผิดก่อน ซึ่งเป็นควำม รับผิดแบบไม่เด็ดขำด เนื่องจำกเปิดโอกำสให้ผู้ครองโรงเรือนพิสูจน์ได้ “เว้นแต่ผู้ ครอบครองจะพิสูจน์ได้วา่ ตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว” ถ้ำพิสูจน์ได้เช่น ว่ำนั้น เจ้ำของโรงเรือนและ/หรือสิ่งปลูกสร้ำง (Owner) ดังกล่ำวต้องรับผิดโดยเด็ดขำด (Strict liability) เจ้ำของจะพิสูจน์ว่ำตนได้ใช้ควำมระมัดระวังตำมสมควรแล้วไม่ไ ด้ เพรำะไม่มกี ฎหมำยเปิดช่องไว้ ผูค้ รองโรงเรือน
ระมัดระวังตำม สมควร
ผูค้ รองโรงเรือน
4.1.1.1 โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้ำง ท่ำนอำจำรย์เพ็ง เพ็งนิติ ได้ให้ควำมของคำว่ำ โรงเรือน และสิ่งปลูกสร้ำง ไว้ ในหนังสือคำอธิบำยประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณชย์ว่ำด้วย ละเมิด ไว้วำ่ “โรงเรือน หมำยควำมถึง สิ่งปลูก สร้ำงบนพื้นดินหรือใต้ดินเพื่อเป็นที่อยู่ อำศัยหรือประกอบกิจกำรอย่ำงหนึ่งอย่ำงใด เช่น บ้ำน ตึกแถว โรงมหรสพ และ ส่ ว น ป ร ะก อบ ขอ งโ รง เรื อ น เช่ น ป ร ะตู ห น้ ำ ต่ ำ ง บั นไ ด ลิ ฟ ต์ โ ค มไ ฟ
(Strict liability) n. The automatic responsibility for equipment, materials or possessions which are inherently dangerous (such as explosives, wild animals, poisonous snakes or assault weapons), without having to prove negligence for any damages due to possession and/or use. Strict liability is equivalent to res ipsa loquitur in which control, ownership and damages are sufficient for the
strict liability มุ่งพิจารณาเพียงแค่ผลความ เสียหายว่าเกิดจากการกระทาเท่านั้น มิต้องพิสจู น์ว่าจาเลยกระทาลงไปด้ วยความจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ. owner's liability.สรุปได้ ว่า
161
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เครื่ อ งปรั บ อำกำศ ถื อ เป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของตั ว โรงเรื อ นทั้ ง หมด ไม่ ใ ช่ ข องประดั บ ภำพถ่ ำยเอำไปแขวนที่ฝำบ้ำนไม่ใ ช่ส่วนประกอบของโรงเรือน เป็นเพีย งอุปกรณ์ โรงเรือน คำว่ำ โรงเรือนตำมมำตรำนี้มิได้จำกัดเฉพำะอสังหำริมทรัพย์ ฉะนั้นเรือน แพจึงเป็นโรงเรือนประเภทหนึ่ง สิ่งปลูกสร้ำง หมำยควำมถึง สิ่งปลูกสร้ำงอื่นที่นอกเหนือจำกโรงเรือนที่คน ทำขึ้นประเภทติดที่ดิน เช่น สะพำน เสำธง หอคอย กำแพง ถนน บ่อน้ำ สระน้ำ ท่อ น้ำ หลุมรับน้ำโสโครก เขื่อน” 4 . 1 . 1 . 2 ช ำ รุ ด บ ก พ ร่ อ ง ห รื อ บำรุงรักษำไม่เพียงพอ เหตุ ที่ ต้ อ งรั บ ผิ ด ให้ พิ จ ำรณำจำก ข้อเท็จจริง เช่น กำรก่อสร้ำงปลูกสร้ำงที่ไม่ มั่นคงแข็งแรงตำมมำตรฐำน หรือ กำรขำด กำรเอำใจใส่ในกำรบำรุงรักษำ หรือซ่อมแซม เพื่อให้อยู่ในสภำพที่ปลอดภัยต่อเพื่อนบ้ำน ข้ำงเคียง 4.1.1.3 ผูค้ รอบครอง หรือเจ้ำของทรัพย์ ผู้ครอบครองทรัพย์ หมำยถึง ผู้ที่มีสิทธิครอบครองเหนือทรัพย์ใน เวลำนั้น เช่น เจ้ำของ ผูเ้ ช่ำ ผูอ้ ำศัยตำมสิทธิอำศัย หรือผูร้ ับดูแลตำมสัญญำ ฯลฯ เจ้ำของทรัพย์ หมำยถึง ผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ก่อให้เกิดควำม เสียหำย 4.1.1.4 ข้อยกเว้นควำมรับผิด ผู้ค รอบครองสำมำรถพิสูจน์ไ ด้ว่ำตน ได้ใช้ควำมระมัดระวังแล้ว ผู้ครอบครองหลุดพ้นควำม รับผิด บำปเครำะห์ไปตกแก่เจ้ำของทรัพย์ คำพิพำกษำฎีกำที่ 1358-1359/2496 เจ้ำของซ่อมแซมห้องเช่ำไม่ได้ เพรำะผู้เช่ำไม่ยอมออก
162
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
โดยอำศัยควำมคุม้ ครองตำมกฎหมำย เจ้ำของได้รอ้ งเรียนต่อทำงกำรแล้ว แต่ผู้เช่ำก็ ไม่ยอมออก และรับว่ำถ้ำเสียหำยอย่ำงใดผูเ้ ช่ำจะรับผิดชอบเอง กำแพงห้องพังลงทำ ให้อำคำรข้ำงเคียงเสียหำย เจ้ำของไม่ตอ้ งรับผิด
จะเห็นได้ว่ำ กรณีนี้ ผู้เ ช่ ำในฐำนะผู้ครอบครองเป็นผู้มีส่วนสร้ำง ควำมเสีย หำย และพฤติก ำรณ์ ก็ ป รำกฏว่ำมิไ ด้ใ ช้ควำมระมัดระวัง จึงต้องรับ ผิด ขอให้เทียบเคียงกับคำพิพำกษำฎีกำที่ 985/2497 อำคำรของจำเลยเอนปะทะอำคำร ของโจทก์ ทำให้อำคำรโจทก์เสียหำย จำเลยต้องรับผิด เหตุที่ผเู้ ช่ำไม่ยอมออกไม่เป็น ข้อแก้ ตัว เพรำะข้อเท็จจริงคดีหลังไม่มีพฤติกำรณ์ว่ำได้ใช้ควำมพยำยำมแก้ไ ข เยียวยำแล้ว คำพิพำกษำฎีกำที่ 2140/2520 พำยุที่พัดมำแรงตำมฤดูกำล มิใช่ นอกฤดูกำลหรือแรงกว่ำปกติตำมฤดูกำลไม่ใช่เหตุสุดวิสัย จำเลยเป็นเจ้ำของอำคำร ให้เช่ำอำคำรแต่ยังใช้อำคำรอยู่ถือว่ำยังครอบครองอำคำรอยู่ ผนังหลังคำพังลงมำ เพรำะก่อสร้ำงไว้ชำรุดบกพร่องหรือบำรุงรักษำไม่เพียงพอทับหลังคำตึกและของใน ตึกของโจทก์เสียหำย จำเลยต้องรับผิด หรือในคดี Clay V. Crump, 1963 ที่เคยกล่ำวอ้ำงแล้วเมื่อครำวกล่ำวถึง เรื่องควำมประมำทเลินเล่อ ได้แก่กำรรื้อถอนทำลำยอำคำร (บริษัทรับจ้ำง) เช่นหำก มีก ำรใช้เ ครื่องมือเพื่อรื้อถอน เช่น ใช้ระเบิดและปรำกฏว่ำท ำให้ผู้อื่นได้รับ ควำม
163
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เสียหำยกรณีเช่นนี้ มิได้เข้ำข่ำยตำมมำตรำ 434 นี้ จะต้องถือว่ำเป็นกำรละเมิดตำม มำตรำ 420 หรือมำตรำ 437 แล้วแต่กรณี เนื่องจำกมำตรำ 434 นี้ เจตนำรมย์ของ กฎหมำย ซึ่งสำมำรถพิเครำะห์ได้จำกตัวบทกฎหมำยที่บัญญัติวำ่ “...เพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นก่อสร้างไว้ ชารุดบกพร่องก็ดี หรือบารุงรักษาไม่เพียงพอก็ดี...” แสดงว่ำ ควำมรับผิดตำมมำตรำ 434 มุ่งประสงค์ต่อควำมเสียหำยที่เกิด จำกโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้ำงอย่ำงอื่นที่ก่อสร้ำงไว้ชำรุดบกพร่อง หรือบำรุงรักษำ ไม่เ พี ย งพอ ซึ่ง ถือว่ ำผู้นั้ นละเลยไม่เ อำใจใส่ (Reckless) ต่อ สังคมหรือ เพื่อ นบ้ำ น ใกล้เคียงเอำเสียเลย 4.1.1.5 ข้อต่อสู้ของจำเลย ข้อแก้ตัวของเจ้ำของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้ำง (1) เหตุสุดวิสัย (2) เจ้ำของต้องสืบพิสูจน์หักล้ำงให้ได้ว่ำ ควำมเสียหำยที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดจำกควำมบกพร่องหรือกำรขำดกำรบำรุงรักษำนั้น ข้อสังเกต กรณีลิฟต์จะถือว่ ำเป็นส่วนอื่นอันประกอบเป็นโรงเรือน หรือเป็นทรัพย์อันตรำยตำมมำตรำ 437 นั้น เป็นคนละส่วนกัน เพรำะ ลิฟต์ที่ถือเป็น ส่ว นประกอบของโรงเรือน อำจสร้ำงควำมเสีย หำยได้แม้มิไ ด้ชำรุดหรือขำดกำร บำรุงรักษำแต่อำจเข้ำมำตรำ 437 ได้ (ขอให้พิจำรณำเป็นรำยกรณี) 4.1.2 บทขยายความ มำตรำ 434 วรรคสอง บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ให้ใช้บังคับ ได้ตลอดถึงความบกพร่องในการปลูกหรือค้าจุนต้นไม้หรือกอไผ่ด้วย ตำมวรรคสองเป็นบทขยำย ควำมให้นอกเหนือจำกโรงเรือนหรือ สิ่งปลูกสร้ำง ได้แก่ 1. ต้นไม้ (Tree) 2. กอไผ่ (Bamboos)
164
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ควำมบกพร่องในกำรปลูก หมำยถึง ข้อเท็จจริงแห่งกำรปลูกต้นไม้หรือก่อ ไผ่ กระทำลงโดยมีควำมบกพร่อง ควำมบกพร่องในกำรค้ำจุน หมำยถึง บำรุงรักษำหรือปล่อยให้ต้นไม้หรือกอ ไผ่ที่ตนปลูกไปสร้ำงควำมเดือดร้อนให้แก่ผู้อ่นื คำพิพำกษำฎีกำที่ 1028/2505 โจทก์จำเลยต่ำงเป็นผู้เช่ำที่ดินของวัดปลูก เรือนอำศัยอยู่ จำเลยได้ปล่อยปละละเลยให้ต้นมะม่วงที่ขึ้นอยู่ในที่ดินจำเลยเช่ำแผ่ กิ่ ง ก้ ำ นสำขำเข้ ำ มำปกคลุ ม หลั ง คำเรื อ นของโจทก์ เ ป็ น เหตุ ใ ห้ โ จทก์ ไ ด้ รั บ ควำม เสี ย หำย โจทก์ ย่อ มมีอ ำนำจฟ้ อ งจ ำเลยฐำนละเมิ ด และเรีย กค่ ำเสี ย หำยได้ ต ำม มำตรำ 434 กรณีนี้จะเห็นได้ว่ำ กำรที่จำเลยปล่อ ยปละละเลยให้ต้นมะม่วงที่ขึ้นอยู่ใน ที่ดินจำเลยเช่ำแผ่กิ่งก้ำนสำขำเข้ำมำปกคลุมหลังคำเรือนของโจทก์ ถือว่ำขำดกำร บำรุงรักษำที่ดีที่ผคู้ รองหรือเจ้ำของจะต้องมีหน้ำที่ คำพิพำกษำฎีกำที่ 3593/2528 ต้นไม้ของจำเลยล้มเอนเข้ำไปในที่ดินของ โจทก์ โจทก์บอกกล่ำวให้จำเลยตัด จำเลยก็ไม่ยอมตัดและไม่ยอมให้โจทก์ตัดแสดง ว่ำจำเลยยั ง ครอบครองและแสดงควำมหวงแหนเป็นเจ้ ำของต้นไม้ นั้นอยู่ ดังนั้ น ตรำบใดที่จำเลยยังคงปล่อยให้ตน้ ไม้ของจำเลยล้มเอนเข้ำไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่ ยอมค้ำจุน หรือตัดออกเพื่อระงับควำมเสียหำยอันจะพึงเกิดแก่โจทก์ต่อไป ย่อมถือ ได้ ว่ ำ จ ำเลยกระท ำละเมิ ด ต่ อ โจทก์ ติ ด ต่ อ กั น มำอยู่ ต รำบนั้ น โจทก์ มี สิ ท ธิ เ รี ย ก ค่ำเสียหำยส่วนที่ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี ย้อนหลังไปนับแต่วันฟ้อง 4.1.3 สิทธิไล่เบี้ย ผู้ครอบครองหรือเจ้ำของทรัพย์เมื่อรับผิดไปแล้ว สำมำรถไปไล่เบี้ยได้กับ ผูอ้ ื่นที่มสี ่วนผิดได้ เช่น วิศวกร สถำปนิก หรือ ผูร้ ับเหมำก่อสร้ำง เป็นต้น
165
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
4.1.4 การป้องกันโดยมิพักให้เกิดความเสียหายก่อน มาตรา 435 บัญญัติว่ำ บุคคลใดจะประสบความเสียหายอันพึงเกิด จากโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นของผู้อื่น บุคคลผู้นั้นชอบที่จะเรียกให้ จัดการตามที่จาเป็นเพื่อบาบัดปัดป้องภยันตรายนั้นเสียได้ มำตรำ 435 ถือ เป็นมำตรำอุปกรณ์ป ระกอบมำตรำ 434 เพื่อใช้เ ป็นกำร ป้องกันสิทธิโดยไม่ต้องรอให้เกิดควำมเสียหำยก่อน หำกบุคคลที่อำจประสบควำม เสียหำยจำกโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้ำง ซึ่งหมำยรวมถึงต้นไม้และก่อไผ่ด้วย คำพิพำกษำฎีกำที่ 1620/2492 ในคดีที่โจทก์หำว่ำจำเลยใช้ผนังตึกของโจทก์ เป็นฝำกั้นห้องของจำเลย ขอให้จำเลยรื้อห้องจำเลยถ้ำขัดข้องจะบังคับเช่นนั้นไม่ได้ ก็ขอไม่ให้ใช้ผนังตึกของโจทก์เป็นฝำกั้นห้องของจำเลยนั้น ถ้ำศำลเห็นว่ำจำเลยไม่มี อำนำจจะทำเช่นนั้น ศำลก็ต้องมีคำบังคับในเรื่องนี้ โดยให้จำเลยจัดกำรกั้นฝำห้อง เพื่อให้พ้นจำกสภำพใช้ผนังตึกของโจทก์เป็นฝำห้อง ถ้ำไม่ทำก็ให้ร้ือสิ่งปลู กสร้ำง ออกตำมที่ศำลเห็นสมควรได้ ค ำพิพ ำกษำฎีก ำที่ 231/2504 กำรปลูก สร้ำงรุก ล้ำเข้ำไปในเขตห้องของ โจทก์โดยโจทก์ยินยอม แม้จะไม่เป็นกำรละเมิด แต่ก็ไม่ทำให้เกิดมีสิทธิที่ให้สิ่ งปลูก สร้ำงรุกล้ำอยู่ได้ตลอดไป เมื่อจำเลยรับโอนห้องรุกล้ำมำและไม่มีสิทธิที่จะให้สิ่งปลู ก สร้ำงรุกล้ำเขตห้องของโจทก์ได้ จำเลยก็ต้องรื้อไป เมื่อโจทก์มีสิทธิและบอกให้ร้ือ กำรซึ่งไม่เป็นละเมิดก็กลำยเป็นละเมิดได้ 4.1.5 ข้อสังเกต ควำมเสี ย หำยเกิ ด ขึ้ น เพรำะเหตุ ที่ โ รงเรื อ นหรื อ สิ่ ง ปลู ก สร้ ำ งอย่ ำ งอื่ น ก่อสร้ำงไว้ชำรุดบกพร่อง หรือบำรุงรักษำไม่เพียงพอ มิได้หมำยรวมถึงสิ่งของตก หล่นหรือทิ้งขว้ำงจำกโรงเรือน ซึ่งมี กำหนดไว้เป็นกำรเฉพำะตำมมำตรำ 436 แต่ กำรที่มีชิ้นส่วนของโรงเรือนหลุดออกมำและตกหล่นเป็นเรื่องที่ต้องพิจำรณำตำม มำตรำ 434 นี้
166
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
4.2 ละเมิดที่เกิดจากสิ่งของตกหล่น มาตรา 436 บัญญัติว่ำ บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความ เสียหายอันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนนั้น หรือเพราะทิ้งขว้างของไป ตกในที่อันมิควร 4.2.1 หลักกฎหมาย 1. ควำมเสียหำยแก่บุคคลอื่น 2. อันเนื่องมำจำกสิ่งของตกหล่นหรือทิง้ ขว้ำงไปในที่อันมิควร สิ่ ง ของตกหล่ น กล่ ำ วคื อ สิ่ ง ของตกลงมำจำกที่ สู ง ท ำให้ บุ ค คลหรื อ ทรัพย์สินของผู้อื่นที่อยู่เบื้องล่ำงได้รับควำมเสีย หำย เช่น กระถำงต้นไม้ที่วำงอยู่ บริเวณริมระเบียงได้ตกลงมำถูกนำยกิตติศรี ษะแตก ทิ้งขว้าง กล่ำวคือ มีลักษณะอำกำรของกำรขว้ำงปำสิ่งของจำกที่สูงลงสู่ที่ ต่ำหรือจำกที่ระดับเดียวกัน ไปในที่อันมิควรจะทิง้ ขวำเพรำะตนสำมำรถคำดหมำยได้ ว่ำอำจจะเกิดควำมเสียำย เช่น ขว้ำงปำของที่ไม่ต้องกำรออกทำงหน้ำต่ำง ที่ด้ำนนั้น มีผู้คนสัญจรไปมำ ไปในที่อันมิควร หมำยควำมว่ำ ลักษณะของกำรตกหล่นของสิ่งของหรือ กำรทิ้งขวำงต้องพิจำรณำสถำนที่ที่ไม่เหมำะสมต่อกำรกระทำเช่นนั้น เช่น ทิ้งขว้ำง สิ่งของไปในที่ทีมผี คู้ นสัญจรไปมำ หรือทิง้ ขว้ำงไปในที่ของผูอ้ ื่น เป็นต้น สิ่ ง ข อ ง ต ก ห ล่ น ที่ มิ ใ ช่ ต ก ห ล่ น ม ำ จ ำ ก โ ร ง เ รื อ น เ ช่ น ไ ฟ นี อ อ น เครื่องปรับอำกำศ มิใช่ถือว่ำเป็นสิ่งของตกหล่นจำกโรงเรือน เพรำะถือว่ำสิ่งเหล่ำนี้ เป็นส่วนประกอบของโรงเรือนตำมมำตรำ 434 หรือมิใช่เกิดจำกกำรชำรุดบกพร่อง และ/หรือกำรซ่อมบำรุงไม่เพียงพอของโรงเรือนและ/หรือสิ่งปลูกสร้ำงตำมมำตรำ 434 เช่นกัน
167
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำว่ำ “ของ” หมำยถึงสิ่งของที่มีรูปร่ำง (ทรัพย์) ไม่ว่ำจะอยู่ในรู ปร่ำงแบบ ไหนก็ตำม เช่น ของแข็ง ของเหลว หรือแม้แต่เป็นสัตว์เลีย้ งก็รับผิดตำมมำตรำนีไ้ ด้ 3. ผูอ้ ยู่ในโรงเรือนต้องรับผิด ผู้อยู่ในโรงเรือน (Occupier) อำจำรย์พจน์ ปุษปำคม ได้อธิบำยไว้ว่ำ เป็นคำมำ จำกต้นร่ำงภำษำอังกฤษดั งกล่ำว มีควำมหมำยว่ำ บุคคลที่เ ป็นเจ้ำของบ้ ำนหรือ หัวหน้ำครอบครัวเท่ำนั้น ดังนั้น จึงมีควำมหมำยเฉพำะบุคคลธรรมดำเท่ำนั้น มิได้ หมำยควำมรวมถึงนิติบุคคลด้วย ทั้งนี้ เนื่องจำกบุคคลธรรมดำเท่ำนั้นที่สำมำรถ “อยู่” ในโรงเรือน และคำว่ำโรงเรือนในมำตรำนี้มุ่ง ประสงค์เฉพำะแต่ที่อยู่อำศัย แต่เช่นเดียวกัน หำกได้ควำมว่ำโรงเรือนนั้นเป็นทั้งที่อยู่อำศัยและประกอบธุรกิจก็ ต้องพิจำรณำว่ำเป็นโรงเรือนเช่นกัน นอกจำกนี้ ผู้อยู่อำศัยตำมมำตรำนี้ ศำสตรำจำรย์ดร. จิ๊ด เศรษฐบุตร มี ควำมเห็นว่ำไม่ได้หมำยควำมถึงบุคคลที่อยู่เป็นกำรชั่วครำว เช่น แขกที่เชื้อเชิญให้มำ พักเพียง 2-3 วัน เช่นเดียวกับอำจำรย์เพ็ง เพ็งนิติ อธิบำยไว้ เพรำะบุคคลดังกล่ำว ไม่มอี ำนำจควบคุมดูแลในบ้ำน แต่กระนั้น ถ้ำควำมรับผิดปรำกฏชัดแจ้งว่ำ เกิดจำกกำรกระทำของบุคคล ดังกล่ำวข้ำงต้น บุคลลเช่นนัน้ ย่อมมีควำมรับผิดตำมมำตรำ 420 อยู่ในตัวเอง หำใช่ผู้ อยู่อำศัยตำมมำตรำนีไ้ ม่ คำพิพำกษำฎีกำที่ 1689/2518 จำเลยสร้ำงแฟลตให้คนเช่ำ ซึ่งอำจทิ้งของ และน้ำลงบนที่ดินถัดไป แม้จำเลยจะครอบครองและอำศัยอยู่ แต่ได้มีผู้เช่ำซึ่งเป็น ผูท้ ำละเมิดแยกครอบครองเป็นส่วนสัด จำเลยไม่ต้องรับผิด ตำมมำตรำ 436 ไม่เป็น กำรใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือจงใจหรือประมำทเลินเล่อทำละเมิดต่อโจทก์ 4.2.2 ข้อยกเว้น กรณีมำตรำ 436 นี้เป็นเรื่องที่กฎหมำยไม่อำจหำคนกระทำตัวจริงมำรับผิด ได้ ซึ่งหำกปรำกฏข้อเท็จจริงว่ำ บุคคลใดเป็นผู้ที่ทำให้สิ่งของนั้นตกหล่นและ/หรือทิ้ง
168
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ขวำงสิ่ ง ของลงมำนั้ น บุ ค คลนั้ น ย่ อ มมี ค วำมรั บ ผิ ด ตำมมำตรำ 420 จงใจหรื อ ประมำทเลินเล่อทำให้บุคคลอื่นได้รับควำมเสียหำย 4.3 ละเมิดอันเกิดจากยานพาหนะ และทรัพย์อันตราย 4.3.1 ละเมิดอันเกิดจากยานพาหนะ มาตรา 437 วรรคหนึ่ ง บั ญ ญั ติ ว่ ำ บุ ค คลใดครอบครองหรื อ ควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใด ๆ อันเดินด้วยกาลังเครื่องจักรกล บุคคลนั้น จะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ ได้ว่ าการเสียหายนั้นเกิด แต่เ หตุสุ ดวิสัย หรือ เกิดเพราะความผิดของผู้ต้อ ง เสียหายนั้นเอง 4.3.1.1 หลักกฎหมำยทั่วไป ควำมเสียหำยอันเกิดจำกยำนพำหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล (“อันเดิน”“ด้วยกำลังเครื่องจักรกล”) กฎหมำยกำหนดให้ผคู้ วบคุมดูแล หรือผู้ ครอบครองต้องรับผิดชอบ ซึ่งเป็นบทสันนิษฐำนควำมรับผิด โดยผูร้ ับผิดไม่ตอ้ งมี ควำมผิด หรือ Fault กล่ำวคือ ควำมรับผิดตำมมำตรำนี้มิต้องพิสูจน์ถึงควำมจงใจหรือ ประมำทเลินเล่อ กฎหมำยลงโทษควำมเสียหำยที่เกิดจำกควำมบกพร่อง ละเลย หรือ ขำดควำมเอำใจใส่ของบุคคลนั้น องค์ประกอบตำมมำตรำ 437 วรรคหนึ่งมีอยู่ 2 ประกำร ได้แก่ 1. ควำมเสียหำยที่เกิดขึ้นจำก 2. ยำนพำหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล เว้นแต่ ผู้ควบคุมดูแลหรือผู้ครอบครองจะพิสูจน์ได้ว่ำเกิดจำกเหตุสุดวิสัย หรือควำมผิดนั้นเกิดจำกควำมผิดของผู้เสียหำยโดยแท้ ซึ่งเป็นกำรกลับภำระกำร พิสูจน์จำกผู้เสียหำยมำที่ผู้ถูกกล่ำวว่ำกระทำละเมิด 4.3.1.2 คำว่ำ “ยำนพำหนะ” หมำยควำมว่ำ ทรัพย์ วัตถุหรืออุปกรณ์ที่นำพำคนหรือสิ่งของจำกที่หนึ่งไป ยังอีกที่หนึ่งโดยบุคคลนั้นหรือสิ่งของมิต้องเคลื่อนไหว
169
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 627/2486 เรือกลไฟของจำเลยโยงเรือของโจทก์มำ และ ทำให้เรือที่โยงมำนั้นล่ม กรณีเข้ำตำมมำตรำ 437 ข้อสังเกต 1. ลิฟต์ บันไดเลื่อน หรือทำงเลื่อนเป็นยำนพำหนะหรือไม่ ซึ่งในต่ำงประเทศ ถือว่ำเป็นยำนพำหนะ แต่ในส่วนของประเทศไทยให้ถือว่ำเป็นทรัพย์อันตรำยประเภท โดยสภำพทรัพย์นนั้ ตำมวรรคสอง หรือตำมมำตรำ 434 แล้วแต่กรณี 2. รถยนต์ที่จอดไว้เมื่อไม่ได้ใส่ที่ห้ำมล้อ (เบรกมือ) ไม่ถือว่ำเข้ำมำตรำ 437 วรรคหนึ่ง แต่อำจผิดตำมมำตรำ 437 วรรคสอง หรือรถยนต์จอดติดเครื่องอยู่กับ ที่ขวำงในห้ำมจอด ปรำกฏว่ำมีรถจักรยำนวิ่งเข้ำมำชน ไม่มคี วำมผิดตำมมำตรำ 437 หรือรถจักรยำนที่ใช้เท้ำถีบไม่เข้ำมำตรำนี้ ในเรื่องนี้ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ ได้มีหมำยเหตุอยู่ 2 ประเด็น น่ำสนใจ กล่ำวคือ 1. มำตรำ 437 วรรคหนึ่ง กฎหมำยใช้คำว่ำ “เครื่องจักรกล” แปลควำมได้ 2 อย่ำง 1.1 เครื่องจักร (Engine) 1.2 เครื่องกล (Machine) กาลังเครื่องจักรกล จึงย่อมถือว่ำถือว่ำจักรยำนถีบเป็นเครื่องกล (แรงกลที่เกิดจำกกำรถีบปั่น) แต่แนวคำพิพำกษำศำลฎีกำไทยท่ำนมิ ได้จำแนกแยกแยะเช่นนั้น กฎหมำยใช้คำว่ำ รวมเป็นคำว่ำ “เครื่องจักรกล” ซึ่งหมำยควำมว่ำ กำรเดินด้วยเครื่องยนต์ ดังนั้น รถจักรยำนถีบจึงไม่ถือว่ำเป็นเครื่องจักรกลตำมควำมหมำยของกฎหมำย กาลังคน กาลังสัตว์ กาลังตามธรรมชาติ กำรเคลื่ อ นไหวที่ น ำไปยั ง อี ก ที่ ห นึ่ ง ได้ นั้ น แม้ ว่ ำ จะเดิ น ได้ โ ดยก ำลั ง อื่ น นอกจำกกำลังเครื่องจักรกล เช่น กำลังสัตว์ (ช้ ำง ม้ำ ลำ ล่อ) กำลังคน (ลำก จูง) กำลังทำงธรรมชำติ (ลม น้ำ) ก็มิได้หมำยควำมตำมมำตรำ 437 วรรคหนึ่งนี้
170
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
2. ถึงแม้ว่ำจะไม่เข้ำมำตรำ 437 วรรคหนึ่ง ก็ไม่ต้องใช้มำตรำ 420 แต่ให้ไป ใช้มำตรำ 437 วรรคสองแทน เพรำะอำจจัดอยู่ในประเภททรัพย์อันตรำย 4.3.1.3 ควำมเสียหำยเกิดแต่ยำนพำหนะที่เดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล คำพิพำกษำฎีกำที่ 1292/2524 จำเลยได้นำรำบรรทุกดินมีน้ำหนักมำกผ่ำน หน้ำบ้ำนโจทก์หลำยเที่ยว ปรำกฏว่ำทำให้บ้ำนของโจทก์สั่นสะเทือนร้ำว เป็นละเมิด ต้องใช้คำ่ เสียหำยแก่โจทก์ และตำมมำตรำ 437 วรรคหนึ่งนี้ ควำมเสียหำยที่เกิดจำกยำนพำหนะ มิใช่ ยำนพำหนะนั้นเองได้รับควำมเสียหำย ตัวอย่ำงคำพิพำกษำฎีกำที่ 1188/2502 หำก ยืมรถยนต์ของผู้อื่นมำแล้ว ทำให้รถยนต์นั้นได้รับ ควำมเสีย หำย กรณีเ ช่นนี้ เป็น ควำมรับผิดตำมมำตรำ 420 มิใช่ 437 4.3.1.4 ผูท้ ี่ตอ้ งรับผิด 1. ผู้ครอบครอง 2. ผู้ควบคุม มำตรำ 437 วรรคหนึ่งนี้ กฎหมำยประสงค์จะเอำเพียงบุ คคลหนึ่งบุคคลใด เท่ำนั้น ขอให้สังเกตว่ำ กฎหมำยใช้คำว่ำ “หรือ” ซึ่งโดยหลักแล้ว กฎหมำยจะเอำ ผิดแก่ผคู้ วบคุมให้ตอ้ งรับผิดก่อนผู้ครอบครอง แต่ในบำงกรณี ทั้งสองคนต้องรับผิดร่วมกัน ถ้ำผู้ครอบครองได้นั่งไปด้วย และได้นั่งไปในฐำนะผูบ้ งกำรคนขับผูค้ รอบครองจึงอยู่ในฐำนะผูค้ วบคุมดูแลนั้นด้วย ข้อสังเกต ผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแลมิจาต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 3076/2522 เจ้ำ ของเมำสุ ร ำนอนหลั บ อยู่ใ นรถยนต์ เพื่อนของเจ้ำของรถยนต์ขับรถไปธุระ แล้วชนผู้อื่นโดยละเมิด เจ้ำของรถยนต์ไม่ถือ ว่ำเป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมรถยนต์ตำมมำตรำ 437
171
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
จำกค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำนี้ ท ำให้ ท่ ำ นเห็ น ได้ ว่ ำ กฎหมำยมำตรำ 437 มิ ไ ด้ ต้องกำรเอำผิดกับตัวเจ้ำของทรัพย์ แต่ต้องกำรเอำผิดกับผู้ก่อให้เกิดควำมเสียหำย ดั ง นั้ น ผู้ ค รอบครองมิ ไ ด้ มี ค วำมหมำยเช่ น สิ ท ธิ ค รอบครองตำมกฎหมำย (เช่ น เจ้ำของกรรมสิทธิ์ หรือผูม้ ีสทิ ธิตำมกฎหมำย) ซึ่งแตกต่ำงกับกรณีตำมมำตรำ 433 และ434 ซึ่งจะได้กล่ำวถึงต่อไป ขอให้ พิจำรณำจำกคำพิพำกษำฎีกำดังต่อไปนี้ คำพิพำกษำฎีกำที่ 5679/2545 ตำมมำตรำ 437 ที่กำหนดว่ำบุคคลใด ครอบครองหรือควบคุมดูแลยำนพำหนะใดอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล บุคคลนั้น ต้องรับผิดชอบเพื่ อกำรเสียหำยอันเกิดแต่ยำนพำหนะนั้น ผู้ครอบครอง หมำยถึง ผู้ใ ช้ ย ำนพำหนะนั้น ในฐำนะเป็ นผู้ ยึด ถือ ในขณะเกิด ควำมเสีย หำย หรื อเป็น ผู้ ครอบครองยำนพำหนะนั้นในขณะเกิดเหตุ ฉะนั้นเมื่อจำเลยมิได้เ ป็นผู้ขับ หรือ โดยสำรไปในรถยนต์ด้วย แม้จะมีชื่อในทะเบียนเป็นเจ้ำของรถยนต์คันเกิ ดเหตุก็ตำม ก็ถือไม่ได้วำ่ จำเลยเป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถยนต์คันเกิดเหตุตำมควำมใน มำตรำดังกล่ำว จำเลยจึงไม่ตอ้ งรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง 4.3.1.5 มำตรำ 437 ใช้กับกรณีเรื่องรถยนต์ชนกับคนหรือสิ่งอื่น (ทรัพย์สิน อื่น) ที่มใิ ช่รถยนต์ด้วยกัน กรณีรถยนต์ชนกับรถยนต์และต่ำงฝ่ำยต่ำงเรียกร้องให้อีกฝ่ำยต้องรับผิด จะ เห็นได้ว่ำ บทสันนิษฐำนควำมรับผิด ต่ำงยันกันอยู่ ซึ่งมีผลทำให้ต่ำงฝ่ำยต่ำงได้รับ ประโยชน์ แ ละโทษจำกบทสั น นิ ษ ฐำนเดี ย วกั น กล่ ำ วคื อ บุ ค คลแต่ ล ะฝ่ ำ ยที่ ครอบครองหรือควบคุมยำนพำหนะนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อควำมเสียหำยอันเกิด จำกจำกยำนพำหนะนั้น ดั งนั้น จึงต้องกลับไปใช้บ ททั่วไปมำตรำ 420 และให้ถือ เสมือนว่ำไม่มบี ทสันนิษฐำนนัน้
172
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 828/2490 ยำนพำหนะที่เดินด้วยกำลังเครื่องจัก รกล ด้วยกันโดนกันเสียหำย ไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งมำตรำ 437 ในกรณีเช่นนี้หน้ำที่นำสืบ ตกอยู่ในหลักธรรมดำ คือฝ่ำยใดกล่ำวหำว่ำอีกฝ่ำยหนึ่งทำละเมิดฝ่ำยที่กล่ำวหำต้อง นำสืบก่อน (เทียบเคียงคำพิพำกษำฎีกำที่ 1091/2523) คำพิพำกษำฎีกำที่ 396/2544 โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหำยจะได้รับประโยชน์จำก ข้อสันนิษฐำนตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 437 ก็ต่อเมื่อโจทก์มิใช่ เป็ นผู้ ที่ค รอบครองหรือ ควบคุ มพำหนะอันเดินด้ วยก ำลังเครื่อ งจัก รกล เมื่ อเหตุ เกิดขึ้นจำกรถยนต์ของโจทก์และจำเลยซึ่งกำลังแล่นชนกัน เป็นยำนพำหนะอันเดิน ด้วยกำลังเครื่องจักรกลทั้งสองฝ่ำย จึงมิใช่กรณีตำมมำตรำ 437 คำพิพำกษำฎีกำที่ 5736/2544 โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหำยจะได้รับประโยชน์จำก ข้อสันนิษฐำนตำมมำตรำ 437 ก็ต่อเมื่อโจทก์มิใช่เป็นผู้ที่ครอบครองหรือควบคุม ยำนพำหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล เมื่อเหตุเกิดขึ้นจำกรถยนต์ของโจทก์และ จำเลยซึ่งกำลังแล่นชนกัน เป็นยำนพำหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลทั้งสอง ฝ่ำย จึงไม่ใช่กรณีตำมมำตรำ 437 โจทก์จึงมีหน้ำที่นำสืบว่ำจำเลยเป็นฝ่ำยประมำท เพรำะโจทก์เป็นผู้กล่ำวอ้ำงข้อเท็จจริง ตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ 84 อุทำหรณ์ นำยกิตติคนขับรถทัวร์ได้ขับชนกับรถสิบล้อที่มีนำยหมอดีเป็นคนขับ นำย กิตติฟ้องนำยหมอดีให้รับผิดตำมมำตรำ 437 วรรคหนึ่ งไม่ได้ นำยกิตติยังสำมำรถ ฟ้องนำยจ้ำง (ถ้ำมี) ตำมมำตรำ 425 ได้ และในทำงกลับกันนำยหมอดีก็กระทำได้ ดังนั้นดุจกั น ผู้โดยสำรที่นั่งรถทัวร์ของนำยกิตติสำมำรถฟ้องได้ทั้งนำยกิตติ นำย หมอดี ตำมมำตรำ 437 และนำยจ้ำงของทั้งสองตำมมำตรำ 425 ให้ร่วมรับผิด และ เพื่ อ ควำมเข้ ำ ใจอั น ดี ขอให้ ท่ ำ นเปรี ย บเที ย บกั บ ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 2379 2380/2532 เพรำะคำพิพำกษำฎีกำนี้ วินิจฉัยว่ำ คนโดยสำรมำในรถยนต์ของจำเลย ไม่ได้รับประโยชน์จำกข้อสันนิษฐำนตำมมำตรำ 437
173
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
อุทำหรณ์ นำยกิ ต ติ ค นขั บ รถเมล์ ไ ด้ ขั บ รถเมล์ โ ดยสำรสำย 64 พอถึ ง ป้ ำ ยรั บ ส่ ง ผู้โดยสำรกลับกระชำกรถออกไปทำให้คนตกจำกรถเสียชีวิต กรณีเช่นนี้นำยกิตติมี ควำมรับผิดตำมมำตรำ 437 และที่สำคัญต้องพิจำรณำต่อไปว่ำนำยกิตติเป็นลูกจ้ำง ของ ขสมก.หรือบริษัทรถร่วม ก็ต้องฟ้องเข้ำมำรับผิดในฐำนะนำยจ้ำงลูกจ้ำงด้วย อุทำหรณ์ นำยหมอดีโดยสำรรถยนต์คันหนึ่ง ที่วิ่งรับส่งผู้โดยสำรระหว่ำงกรุงเทพและ ขอนแก่น เมื่อรถยนต์วิ่งไปถึงปลำยทำงที่ขอนแก่น นำยกิตติคนขับรถยนต์ได้เปิด ประตูให้คนโดยสำรลงจำกรถเรียบร้อยแล้ว คนขับรถและพนักงำนเก็บค่ำโดยสำรจึง ลงจำกรถไป นำยหมอดีนึกขึ้นได้ว่ำลืมโทรศัพท์มือถือไว้ในรถ จึงกดปุ่มที่ข้ำงประตู เพื่อเปิดประตู เมื่อประตูเปิด นำยหมอดีได้เดินขึ้นไปบนรถ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือ ซึ่งลืมไว้แล้วเดินลงรถ เมื่อถึงบันไดประตูได้ปิดลงโดยอัตโนมัติ หนีบนำยหมอดีจนถึง แก่ควำมตำย กรณีเช่นนี้นำยกิตติต้องรับผิดฐำนละเมิดตำมมำตรำ 437 โดยมิต้อง พิสูจน์ว่ำจงใจหรือประมำทเลินเล่อหรือไม่ แต่ถึงอย่ำงไรเสียนำยกิตติอำจยกข้อต่อสู้ ในเรื่องต่ำง ๆ ในหัวข้อต่อไปได้ขอให้ท่ำนพิจำรณำต่อไป อุทธำหรณ์ กรณีที่ปรำกฎเป็นภำพข่ำวทำงหน้ำหนังสือพิมพ์ เช่น กรณี นักศึกษำคนหนึ่ง ของมหำวิทยำลัยอัสสัมชัญหรือเอแบค ประสบอุบัติเหตุถูกแรงเหวี่ยง ทำให้พลัดตก จำกรถร่วมขสมก. ขณะรถเลีย้ วที่แยก 4.3.1.6 ข้อยกเว้น ข้อแก้ตัว/ข้อต่อสูต้ ำมมำตรำ 437 วรรคหนึ่ง มำตรำ 437 วรรคหนึ่งตอนท้ำย “...เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ำกำรเสียหำยนั้นเกิด แต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพรำะควำมผิดของผูเ้ สียหำยนั้นเอง” 1. เหตุสุดวิสัย มาตรา 8 คำว่ำ "เหตุสุดวิสัย" หมำยควำมว่ำ เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ ผ ลพิ บัติ ก็ ดี เป็ น เหตุที่ ไ ม่อ ำจป้ องกั น ได้แ ม้ทั้ ง บุค คลผู้ ต้อ งประสบหรื อใกล้
174
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้จัดกำรระมัดระวังตำมสมควรอันพึงคำดหมำยได้จำก บุคคลในฐำนะและภำวะเช่นนัน้ 1. เป็นเหตุที่ไม่อำจป้องกันได้ และ 2. ใช้ควำมระมัดระวังตำมสมควรแล้ว (มำตรฐำนวิญญูชน) เหตุสุด วิสัย เป็นเหตุที่ทำให้บุคคลผู้มีควำมรับผิด เช่น ผู้ที่ควบคุมหรือ ครอบครองยำนพำหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลตำมที่บัญ ญัติไว้ในมำตรำ 437 แห่งประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ไม่ต้องรับผิดต่อผู้ที่ได้รับควำมเสียหำย อันเกิดจำกยำนพำหนะที่เดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล หรืออำจทำให้ลูกหนี้หลุดพ้น จำกควำมรับผิดในหนี้ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมำตรำ 219 แห่งประมวลกฎหมำยแพ่ง และพำณิชย์ว่ำ “ถ้ำกำรชำระหนี้กลำยเป็นพ้นวิสัยเพรำะพฤติกำรณ์อันใด อันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภำยหลังที่ได้ก่อหนี้และซึ่งลู กหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่ำนว่ำลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจำกหนี้นั้น” เช่น นำยหมอดีว่ำจ้ำงให้นำยกิตติขนไม้ที่กองอยู่หน้ำบ้ำนของนำยหมอดีซึ่ง อยู่ที่จังหวัดอุดรธำนีไปส่งที่จังหวัดขอนแก่น แต่ก่อนกำหนดส่งเดินทำงไม้ที่กองอยู่ หน้ำบ้ำนเกิดไฟไหม้ทั้งหมด กำรที่ไม้ ถูกไฟไหม้ถือเป็นเหตุพ้นวิสัยตำมควำมหมำย ของประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์มำตรำ 219 ดังนั้น เหตุสุดวิสัยจึงต้องเป็นเหตุกำรณ์ที่ผิดปกติสุดวิสัยที่บุคคลคำดคิดว่ำ จะเกิดมีขึ้น หำกเป็นกรณีที่อำจป้องกันผลพิบัติได้ ถ้ำได้จัดให้มีกำรระมัดระวังตำม สมควร มิใช่เหตุที่ไม่มีใครอำจจะป้องกันได้ อุทำหรณ์ นำยกิตติขับรถยนต์มำด้วยควำมระมัดระวังอย่ำงดี เผอิญมีเด็ก ข้ำ มถนน เหยีย บเบรก ปรำกฏว่ ำ เบรกแตกรถยนต์เ ลยชนเด็ ก ถึง แก่ค วำมตำย มำรดำจึงไปฟ้องมำตรำ 437 วรรคหนึ่ง ดึงผู้ควบคุมดูแลมำรับผิด นำยกิตติกล่ำว อ้ำงว่ำกรณีดังกล่ำวเป็นเหตุสุดวิสั ย กรณีดังกล่ำวจะเห็นได้ว่ำ นำยกิตติอ้ำงไม่ได้ เพรำะกฎหมำยบอกว่ำกรณีเ ช่นนี้วิญ ญู ชนทั่วไปจะต้องไม่ปล่อยให้รถยนต์อยู่ใ น สภำพเช่นนั้น (เบรกแตก) อ้ำงมิได้ แต่ถ้ำควำมปรำกฏว่ำ เพิ่งไปซื้อรถใหม่มำอำจ อ้ำงเหตุสุดวิสัยได้ เทียบเคียงคำพิพำกษำฎีกำที่ 3081/2523
175
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
คำพิพำกษำฎีกำที่ 634/2501 รถยนต์โดยสำรคว่ำท ำให้เกิดบำดเจ็บและ ตำย เป็นกำรละเมิดอันต้องรับผิดตำมมำตรำ 437 ข้ออ้ำงที่ว่ำรถคว่ำเพรำะน๊อตคัน ส่งพวงมำลัยหลุดนั้น แม้จะจริงก็เป็นเรื่องที่เกิดจำกเครื่องจักรกลของรถยนต์ ซึ่ง เป็นหน้ำที่ฝ่ำยผู้ละเมิดต้องคอยตรวจตรำดูแล จะฟังว่ำเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้ เพรำะ ไม่ใช่เกิดจำกภัยนอกอำนำจซึ่งไม่อำจรูแ้ ละป้องกันได้ ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 619/2510 จ ำเลยขั บ รถใช้ อ ำณั ติ สั ญ ญำณไฟแดง กระพริ บ และเปิด แตรไซเรนมำด้ วยควำมเร็ว 80 กิโ ลเมตรต่อ ชั่วโมง เมื่ อจะขึ้ น สะพำนลดลงเหลือ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีรถบรรทุกแล่นสวนมำบนสะพำนโดยไม่ หยุด และมีเด็กวิ่งข้ำมถนนตัดท้ำยรถบรรทุกในระยะกระชั้นชิด ซึ่งจำเลยไม่สำมำรถ หยุ ด รถยนต์ ไ ด้ทั น จึง ต้ องหั ก หลบแล้ว ไปชนผู้ตำย ถือ ได้ว่ำ ควำมเร็ว ที่จำเลยใช้ ในขณะข้ำมสะพำน ไม่เป็นควำมเร็วเกินสมควร ตำมเวลำ สถำนที่ และพฤติกำรณ์ อื่น ๆ ในขณะนั้น จึงไม่เป็นกำรประมำทเลินเล่อ กำรที่เด็กวิ่งตัดหลังรถบรรทุกข้ำม ถนนผ่ำนหน้ำรถจำเลยในระยะใกล้เป็นเหตุบังเอิญมิอำจคำดหมำยได้ และเกิดขึ้น โดยฉับพลันเป็นเหตุที่ไม่มีใครป้องกันได้ เมื่อจำเลยได้ใช้ควำมระมัดระวังตำมสมควร อันพึงคำดหมำยได้จำกบุคคลในฐำนะที่ประสบเหตุเช่นนั้นแล้ ว เหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็น เหตุสุดวิสัย ไม่ต้องรับผิดตำมมำตรำ 437 คำพิพำกษำฎีกำที่ 975/2510 กระบือของจำเลยขำดหลุดไปจำกเชือกที่ผูก แล้วไปนอนแช่นำอยู ้ ่ในคลอง โจทก์แล่นเรือมำยังห่ำงกระบือประมำณ 1 เส้น ได้เห็น กระบือนัน้ อยู่แล้ว และเห็นว่ำกระบือตัวที่อยู่ทำงขวำกับตัวที่อยู่ทำงซ้ำยห่ำงกันเพียง 1 วำเศษเท่ำนั้น เรือโจทก์ก ว้ำง 1 เมตรเศษนับ ว่ำอยู่ใ นระยะใกล้พอกั บ ที่อำจถู ก กระบือขวิด หรือชนกับ กระบือข้ำงใดข้ำงหนึ่งได้ใ นเมื่อจะแล่นเข้ำไปถึงกระบือนั้น และลำคลองในบริเวณนั้นก็กว้ำงเพียงประมำณ 3 ถึง 4 วำเท่ำนั้น ทั้งกระบือเป็น สัตว์ใหญ่ขวำงลำคออยู่และโจทก์ได้เบำเครื่องแล้ว โจทก์มีโอกำสยับยั้งไม่เข้ำใกล้ โดยหยุดเรืออยู่เพียงนัน้ ก็ทำได้ แต่โจทก์หำได้ทำเช่นนั้นไม่ กลับแล่นเรือฝ่ำเข้ำไปจน เป็นเหตุให้เกิดอันตรำยขึ้น กรณีจึงไม่เป็นเหตุอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัยที่โจทก์จะไม่ต้อง เป็นผู้รับผิดชอบได้ แม้จะถือว่ำจำเลยมีส่วนประมำทอยู่ด้วย โดยที่จำเลยไม่รีบไป ตำมเอำกระบือที่ขำดกลับมำในทันที อันเป็นกำรที่จำเลยต้องรับผิดตำมมำตรำ 433
176
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ก็ยังไม่พอที่ถือว่ำกำรเสียหำยนั้นเกิดเพรำะควำมผิดของผู้เสียหำยแต่ฝ่ำยเดียว อัน จะทำให้โจทก์พ้นควำมรับผิดไปตำมข้อยกเว้นดังที่ได้บัญญัติไว้ในมำตรำ 437 กำรที่ โจทก์แล่นเรือมำด้วยควำมเร็วสูงฝ่ำฝูงกระบือเข้ำไป ทั้ง ๆ ที่ได้เห็น และมีโอกำสที่ จะยับยั้งได้เช่นนี้ ถือเป็นควำมประมำทของโจทก์ ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 695/ 2509 ค ำว่ ำ “เหตุ สุ ด วิ สั ย ” ตำมประมวลวิ ธี พิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ 23 หมำยถึง เหตุที่ทำให้ศำลไม่สำมำรถมีคำสั่งขยำย ระยะเวลำหรือคู่ควำมมีคำขอเช่นนั้นขึ้นมำก่อนสิ้นระยะเวลำที่กฎหมำยให้ดำเนิน กระบวนพิจำรณำอย่ำงใดอย่ำงหนึ่งได้ มิได้หมำยควำมถึงว่ำ “พฤติกำรณ์ณ์พิเศษ” ที่ทำให้กำรดำเนินกระบวนพิจำรณำไม่อำจกระทำได้ภำยในกำหนดนั้นต้องเป็นเหตุ สุดวิสัย เหตุสุดวิสัยตำมมำตรำ 23 จึงไม่จำต้องเป็นเหตุอันเกิดจำกภัยธรรมชำติซึ่ง ไม่มใี ครอำจป้องกันได้ตำมควำมในประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์มำตรำ 8 หำก มีพฤติกำรณ์นอกเหนือที่ศำลไม่อำจมีคำสั่งขยำยระยะเวลำให้ก่อนสิ้นระยะเวลำที่ กฎหมำยกำหนดไว้ในกำรดำเนินกระบวนพิจำรณำ ย่อ มนับได้ว่ำเป็นเหตุสุดวิสัย กำรสั่งขยำยเวลำศำลมีอำนำจสั่งเองได้โดยคู่ควำมไม่ตอ้ งร้องขอ คำพิพำกษำฎีกำที่ 2015/2520 ผู้ตำยวิ่งตัดหน้ำรถยนต์ซึ่งจำเลยขับในระยะ กระชั้นชิดเป็นควำมประมำทของผู้ตำยเองจำเลยไม่อำจห้ำมล้อหยุดได้ทัน สุดวิสัยที่ จะป้องกันได้ ไม่ใช่เกิดจำกควำมประมำทของจำเลย กรณีต่อไปนีศ้ ำลพิพำกษำไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะอ้ำงเพื่อพ้นควำม รับผิดได้ คำพิพำกษำฎีกำที่ 634/2501 รถยนต์โดยสำรคว่ำและตำยเป็นกำรละเมิด อันจะต้องรับผิดตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์มำตรำ 437 ข้ออ้ำงที่ว่ำนอต คันส่งพวงมำลัยหลุดนั้น แม้จะจริงก็เป็นเรื่องที่เกิดจำกเครื่องจักรกลของรถยนต์ซึ่ง เป็นหน้ำที่ฝ่ำยละเมิดต้องตรวจตรำ ดูแล จะฟังว่ำเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้ เพรำะไม่ใช่ เกิดจำกภัยนอกอำนำจซึ่งไม่อำจรูแ้ ละป้องกันได้
177
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 3081/2523 ผู้ที่ น ำยำนพำหนะอั น เดิ น ด้ว ยก ำลั ง เครื่องจักรกลมำใช้ในทำง มีหน้ำที่ตอ้ งตรวจสอบ รักษำ เปลี่ยน แก้ ให้เครื่องจักรกล อยู่ในสภำพที่มั่นคงแข็งแรงใช้กำรได้โดยปลอดภัยเสมอ จำเลยไม่มีพยำนแสดงว่ำ เหตุที่เบรคแตกไม่มีใครจะอำจป้องกันได้ แม้จะได้จัดกำรระมัดระวังตำมสมควรแล้ว จึงจะอ้ำงเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้ คำพิพำกษำฎีกำที่ 2668/2524 จำเลยขับรถมำด้วยควำมเร็วสูง เมื่อเฉี่ยว ชนรถคันหนึ่งแล้วก็ไม่สำมำรถหยุดรถได้ทันท่วงที ก่อนที่จะแล่นไปชนท้ำยรถโจทก็ ซึ่งอยู่ห่ำงจุดที่รถเฉี่ยวชนประมำณ 25 เมตร กรณีนี้เป็นเรื่องที่อำจป้องกันได้ถ้ำ จำเลยไม่ขับรถจนเร็วเกินไป ไม่เป็นเหตุสุดวิสัย ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและ พำณิชย์ มำตรำ 8 จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ คำพิพำกษำฎีกำที่ 1371/2527 พนักงำนขับรถของจำเลยได้ขับรถซึ่งบรรทุก ของหนักออกนอกผิวจรำจร เป็นเหตุให้ดินที่ขอบไหล่ถนนทรุดหรือยุบทำให้รถยนต์ เสียหลักตะแคงพลิกคว่ำตกลงไปข้ำงถนน ซึ่งพนักงำนขับรถมีทำงที่จะป้องกันมิให้ เหตุนั้นเกิ ดขึ้นได้หำกใช้ควำมระมัดระวังตำมสมควร เหตุที่เ กิดขึ้นจึงเป็นควำม ประมำทเลินเล่อมิใช่เหตุสุดวิสัย คำพิพำกษำฎีกำที่ 347/2529 กำรที่ล้อรถยนต์หลุดในขณะขับขี่ หำกผู้ขับขี่ ใช้ควำมระมัดระวังตรวจตรำถึงควำมสมบูรณ์ของรถยนต์ก่อนใช้ เหตุย่อมไม่เกิดเหตุ ที่เกิดย่อมไม่ใช่เหตุสุดวิสัย คำพิพำกษำฎีกำที่ 3360/2531 กำรที่ไฟฟ้ำในรถยนต์ลัดวงจร ทำให้ไฟฟ้ำ หน้ำรถดับเป็นเรื่องที่อำจตรวจสอบได้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย 2. ความเสียหายเป็นความผิดของผู้เสียหายเองโดยแท้ กล่ำวคือ ผู้เสียหำยต้องผิดโดยสิน้ เชิง (100 เปอร์เซ็นต์) ผู้กระทำไม่ได้มีส่วน กระทำควำมผิดเลย แต่ถ้ำผูเ้ สียหำยมีส่วนผิดอยู่ด้วยเพียงบำงส่วน ก็มิเข้ำข้อยกเว้น นี้
178
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
4.3.1.7 ผูเ้ สียหำยไม่จำต้องพิสูจน์ถึงควำมเลวร้ำยที่อยู่ในจิตใจของผู้กระทำ ควำมผิดว่ำกระทำโดยจงใจหรือประมำทเลินเล่ออย่ำงไร เนื่องจำกหำกพิสูจน์ครบ องค์ประกอบข้ำงต้นกฎหมำยตั้งข้อสันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำผู้นั้นกระทำละเมิด หรือที่ เรียกว่ำ ควำมรับผิดโดยเคร่งครัด หรือ Strict liability ซึ่งแตกต่ำงจำกมำตรำ 420 หลักทั่วไปที่ควำมรับผิดจะต้องเกิด เพรำะควำมจงใจหรือประมำทเลินเล่อให้บุคคล อื่นเสียหำยหรือ liability with fault 4.3.2 ละเมิดอันเกิดจากทรัพย์อันตราย มาตรา 437 วรรคสอง บัญญัติว่ำ ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึงผู้มี ไว้ในครอบครองของตน ซึ่งทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ หรือ โดยความมุ่งหมายที่จะใช้ หรือโดยอาการกลไกของทรัพย์นั้นด้วย มำตรำ 437 วรรคสองเป็นบทขยำยควำมมำตรำ 437 วรรคหนึ่ง กล่ำวคือ บทสันนิษฐำนเด็ดขำดในวรรคหนึ่งให้มีควำมหมำยขยำยนอกเหนือจำกยำนพำหนะ ให้หมำยรวมถึงผูท้ ี่ครอบครองหรือผูด้ ูแลทรัพย์อันตรำย ดังต่อไปนีด้ ้วย 1. ทรัพย์อันตรำยได้โดยสภำพ 2. ทรัพย์อันตรำยโดยควำมมุ่งหมำยที่จะใช้ 3. ทรัพย์อันตรำยโดยอำกำรกลไกของทรัพย์นั้น ลักษณะของทรัพย์อันตรำย ควำมเสียหำยที่เกิดจำกทรัพย์อันตรำย 1. โดยสภำพของทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์อันตรำย หมำยควำมว่ำ สภำพของทรัพย์นั้นโดยตัวของมันเองทำให้เกิดอันตรำยได้ เช่น กระแสไฟฟ้ำ ระเบิด สำรเคมี เป็นต้น ขอให้สั งเกต ภำษำอังกฤษใช้ค ำอยู่ ส องคำกล่ำวคือ Ultrahazardous หรื อ Abnormally Dangerous ซึ่งแปลควำมได้ตำมมำตรำ 437 วรรคสอง ทรัพย์อันตรำย หรือ ทรัพย์ที่สำมำรถสร้ำงควำมเสียหำยได้โดยตัวเอง ตัวอย่ำง เสาไฟฟ้าแรงสูง
179
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
สารเคมี
ระเบิด
180
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
2. โดยควำมมุ่งหมำยที่จะใช้ทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์อันตรำย หมำยควำมว่ำ เมื่อพิจำรณำจำกสภำพย่อมไม่ก่อให้เกิดอันตรำย แต่ทรัพย์ นั้นอันตรำยต่อเมื่อบุคคลที่นำไปใช้ (Usage) มีควำมมุ่งหมำยให้เกิดอันตรำยขึ้น เช่น ปืน มีด พลุไฟ เป็นต้น ตัวอย่ำง พลุไฟ
ปืน
181
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ถังแก๊ส
3. โดยอำกำรกลไกของทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์อันตรำย หมำยควำมว่ ำ ขั้ น ตอน และ/หรื อ กลไกในตั ว ทรั พ ย์ นั้ น อำจก่ อ ให้ เ กิ ด อันตรำยได้ เช่น ลิฟต์ บันไดเลื่อน เป็นต้น ข้อสังเกต ผู้เขียนตัง้ ข้อสังเกตว่ำกรณีของบันไดเลื่อนและ/หรือลิฟต์ อำจเข้ำ ข่ำยควำมรับผิดละเมิดได้ทั้งมำตรำ 420 434 หรือ 437 วรรคสอง ตัวอย่างคาพิพากษาฎีกา คำพิพำกษำฎีกำที่ 762/2517 โรงงำนของจำเลยใช้เครื่องจักรเดินด้วยไฟฟ้ำ และได้เกิดไฟไหม้ขึ้น เนื่องจำกไฟฟ้ำลัดวงจร ไฟฟ้ำถือว่ำเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิด อันตรำยได้โดยสภำพ จำเลยผู้มีไว้ในครอบครองจะต้องรับผิดเพื่อกำรเสียหำยอัน เกิดจำกไฟฟ้ำนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ำกำรเสียหำยเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดจำก ควำมผิดของผู้เสียหำยเอง จำเลยนำสืบแต่เพียงว่ำ กำรตั้งโรงงำนและกำรติดตั้ง ไฟฟ้ ำ ในโรงงำนจ ำเลยได้ ป ฏิ บั ติ ต ำมระเบี ย บแบบแผนของทำงรำชกำร และมี เจ้ำหน้ำที่มำตรวจเสมอเท่ำนั้น แต่ไฟไหม้ข้นึ อย่ำงไรจำเลยไม่ทรำบ จำเลยมิได้นำสืบ
182
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ว่ำกำรที่ไ ฟฟ้ ำเดิน ลั ด วงจรเกิด แต่เ หตุสุดวิ สัย หรื อเกิดเพรำะควำมผิดของโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิด ค ำพิพ ำกษำข้ำ งต้ น ศำลวิ นิ จฉั ย ว่ ำ เครื่อ งจั ก รเดิ นด้ ว ยไฟฟ้ ำ เป็ น ทรั พ ย์ อันตรำยโดยสภำพผู้ครอบครองต้องรับผิดเมื่อเกิดควำมเสียหำยขึ้นกับผู้อื่น และ วรรคสองได้ใช้วรรคหนึ่งตอนท้ำยเป็นบทส่งว่ำ หำกเกิดเพรำะเหตุสุดวิสัยหรือเกิด จำกผู้เสียหำยโดยแท้ ถือว่ำหลุดพ้นควำมรับผิด คำพิพำกษำฎีกำที่ 179/2522 กระแสไฟฟ้ำที่กำรไฟฟ้ำผลิตจำหน่ำยเป็นของ ที่เกิดอันตรำยได้โดยสภำพเสำไฟฟ้ำหัก เพรำะไฟไหม้ซึ่งไม่ได้ถำงและเคยไหม้เสำ หัก มำแล้ว เป็ นเหตุที่ใ ช้ค วำมระมัด ระวั งป้อ งกั น ได้ ไม่เ ป็นเหตุสุ ดวิสั ย ขอให้ เทียบเคียงกับคำพิพำกษำฎีกำที่ 529/2533 ที่ว่ำหำกกำรดังกล่ำวพิสูจน์ได้วำ่ โจทก์ก็ มีสว่ นประมำทเลินเล่อด้วย ค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำข้ ำ งต้ น อธิ บ ำยถึ ง ลั ก ษณะแห่ ง ทรั พ ย์ อั น ตรำย และ พฤติกำรณ์ของกำรใช้ควำมระมัดระวังว่ำผู้ครอบครองยังไม่ได้ใช้ควำมระมัดระวังที่ ตนพึงคำดหมำยได้ ก็ไปว่ำกันตำมมำตรำ 442 คำพิพำกษำฎีกำที่ 4037/2545 แท่นไฮดรอริกสำหรับเทน้ำตำลดิบออกจำก รถยนต์บรรทุกซึ่งจอดอยู่บนแท่นไฮดรอริกนั้นลงฉำงเก็บ เป็นทรัพย์อันเป็นของเกิด อันตรำยได้โดยอำกำรกลไกของทรั พย์นั้น ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้มีไว้ครอบครองจะต้อง รับผิดชอบ เพื่อกำรเสียหำยอันเกิดขึ้นแต่ทรัพย์นนั้ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ำกำรเสียหำย นั้น เกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพรำะควำมผิดของผู้เสียหำยนั้นเองตำมวรรคหนึ่ง ตอนท้ำย โจทก์ จึงไม่ต้องนำสืบว่ำเหตุที่เกิดควำมเสีย หำย สืบ เนื่องมำจำกควำม ประมำทเลินเล่อของลูกจ้ำงจำเลยที่ 1 น้ำตำลดิบที่บรรทุกมำในรถยนต์บรรทุกมีควำมชื้นสูง จึงเกำะกันแน่นแต่มิได้ มีก ำรท ำให้ น้ำตำลดิบ แตกตัวทั้งหมดก่อนแล้ว จึงยกแท่น ไฮดรอริก ขึ้ นเท กำรที่ น้ำตำลดิบ เกำะกั น แน่นอยู่ย่อมท ำให้ น้ำหนัก เฉลี่ย ไม่สม่ ำเสมอ เมื่ อถ่ำยน้ำหนั ก
183
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ออกมำจำกรถยนต์บรรทุกในทันทีทันใด จึงทำให้แหนบรถเกิดแรงต้ำนและดีดตัวรถ ให้ลอยขึ้นข้ำมที่กั้นล้อแล้วดึงโซ่ ที่มัดคำนหน้ำไว้ขำดก่อนที่จะไหลลงมำกระโดดข้ำม ที่กั้นล้อทุกล้อ ผู้ครอบครองต้องรับผิด คำพิพำกษำฎีกำที่ 1659/2513 (ประชุมใหญ่) ได้วินิจฉัยว่ำ กำรที่ ช. เดินไป ตำมทำงเดิน มีเสำไฟฟ้ำต้นหนึ่งล้มอยู่ ช. เดินไปถูกสำยไฟฟ้ำที่หย่อนเพรำะเสำล้มนี้ เข้ำ จึงถูกกระแสไฟฟ้ำดูดถึงแก่ควำมตำย เมื่อสำยไฟฟ้ำนั้นเป็นสำยไฟฟ้ำในช่วงที่ ต่อจำกหม้อวัดไฟฟ้ำไปยังบ้ำนของ จ. ผู้ขอใช้ไฟฟ้ำ และอย่ำในเขตที่ดินของ จ. และ ทำงเดินที่ ช. เดินไปนั้นก็มิใช่ทำงสำธำรณะ เป็นแต่ทำงเดินในที่ดินที่เจ้ำของมิได้หวง ห้ำมมิให้ผู้หนึ่งผูใ้ ดเดินผ่ำน ดังนี้ ย่อมถือไม่ได้ว่ำสำยไฟฟ้ำซึ่งเป็นทรัพย์อันตรำยโดย สภำพ อยู่ในควำมรอบครองของกำรไฟฟ้ำนครหลวงจำเลยตำมมำตรำ 437 วรรค สอง กำรไฟฟ้ำนครหลวงจึงไม่ต้องรับผิด คำพิพำกษำฎีกำที่ 883/2518 ผู้ครอบครองดูแลสถำนที่เก็บรถยนต์ ย่อม รวมถึงสำยไฟฟ้ำในบริเวณสถำนที่นั้นซึ่งต่อออกมำจำกบ้ำนพักไปยังกริ่งสำหรับ บ้ำนพักด้วย เด็กปีนรั้วเก็บดอกรัก ถูกสำยไฟฟ้ำซึ่งไม่มีฉนวนหุ้มที่ตกลงมำพำดอยู่ กับรั้วถึงแก่ควำมตำย ไม่มรี ่องรอยที่เด็กในวัยนั้นจะคำดคิดว่ำจะมีสำยไฟฟ้ำซึ่งไม่มี ฉนวนหุม้ พำดอยู่ ผูค้ รอบครองต้องรับผิด ผู้ครอบครองต้องรับผิดมิได้ขยายความไปถึงผู้ดูแล คำพิพำกษำฎีกำที่ 1919/2523 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นสำมีภริยำกัน เป็นเจ้ำของบ้ำนที่เกิดเหตุซึ่งจำเลยขึงสำยทองแดงเปลือยปล่อยกระแสไฟฟ้ำไว้รอบ บ้ำนแล้วไม่ดูแลให้สำยไฟฟ้ำอยู่ในสภำพเรียบร้อย เป็นเหตุให้สำยไฟฟ้ำตกลงมำ พำดรัว้ ผู้ตำยไปยืนปัสสำวะริมรั้วจึงถูกกระแสไฟฟ้ำดูดถึงแก่ควำมตำย จำเลยเป็นผู้ ครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของเกิดอันตรำยโดยสภำพต้องรับผิดเพื่อควำมเสียหำยอัน เกิดแต่ไฟฟ้ำนั้น ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นเพียงผูด้ ูแลบ้ำนเท่ำนั้น แม้จะเป็นผู้รับจ้ำงให้ช่ำง ไฟมำเดินสำยไฟดังกล่ำว ก็ไม่ใช่ผู้ครอบครองไฟฟ้ำนั้น จึงไม่ตอ้ งรับผิด
184
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
จะเห็นได้ว่ำ มำตรำ 437 วรรคสอง มิได้เลือกไล่สำยกับผู้ครอบครองและผู้ ควบคุม แต่กำหนดให้ผู้ที่ยึดถือครอบครองทรัพย์นั้นไว้ เป็ นผู้ต้องรับผิดชอบและไม่ ขยำยควำมไปถึงผู้ที่มหี น้ำที่ควบคุมดูแลทรัพย์อันตรำยนั้น หมำยเหตุ ผูค้ รอบครองทรัพย์อันตรำยนั้น อำจเป็นคนเดียวกันกับผู้ควบคุม ได้หำกเกิดเหตุผคู้ รอบครองเป็นผู้ควบคุมทรัพย์ในขณะเดียวกัน อุธำหรณ์ จำเลยเป็นผู้คุมงำนก่อสร้ำงได้นำเอำระเบิด เพื่อนำมำใช้ในกำร ปฏิบัติงำน ซึ่งกำรติดตั้งระเบิดไดนำไมนั้น จำเลยต้องใช้ควำมระมัดระวังเป็นอย่ำง ยิ่ง หรือที่เรียกว่ำ utmost care ปรำกฏว่ำ แรงระเบิดทำให้ก้อนหินกระเด็นไปถูกโจทก์ที่ กำลังเดินอยู่บนถนน จำเลยจึงต้องรับผิดเด็ดขำดต่อควำมเสียหำยที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ 4.4 ละเมิดที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ (Liability relating to animal)
มาตรา 433 บัญญัติว่ำ ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่า เจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ จาต้องใช้ค่าสินไหม ทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อั นเกิดแต่สัตว์ นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการ รักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่น หรือพิสูจน์ได้ ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น อนึ่งบุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ย เอาแก่บุคคลผู้ท่ีเร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอัน มาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้ 4.4.1 หลักกฎหมาย 1. ควำมเสียหำยเกิดขึ้นเพรำะสัตว์ สัตว์เป็นตัวก่อให้เกิดควำมเสียหำยโดยตัวของมันเอง มิ ใช่สัตว์นั้นไปทำร้ำย หรือก่อให้เกิดควำมเสียหำยจำกกำรที่ถูกคนบังคับซึ่งจะเป็นคนละกรณีกัน 2. เจ้ำของสัตว์ หรือผูร้ ับเลีย้ งไว้แทนเจ้ำของ
185
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
มำตรำ 433 เป็นละเมิดเช่นเดียวกับมำตรำ 437 ที่ผู้ที่รับผิดในควำมเสียหำย กฎหมำยมุ่งประเด็นว่ำใครเป็นผู้ดูแล (รับเลี้ยง) ในขณะกระทำละเมิด และ/หรือเป็น เจ้ำของสัตว์ ซึ่งหำกได้ควำมว่ำ เจ้ำของสัตว์ได้มอบช้ำงให้ผู้อื่นไปดูแลเลี้ยงรักษำ ไม่ ว่ำจะเกิด ขึ้นจำกสั ญญำ หรือพฤติกำรณ์ใด ๆ ที่เจ้ำของสัตว์มิไ ด้เกี่ยวข้องในกำร เลี้ยงหรือรับ จ้ำงด้วย เมื่อสัตว์นั้นได้ไปก่อควำมเสียหำยแก่ผู้อื่น เจ้ำของก็ไม่ต้อง รั บ ผิ ด ชอบ ควำมข้ อ นี้ ข อให้ ท่ ำ นเปรี ย บเที ย บค ำพิ พ ำกษำฎี ก ำที่ 1607/2496 889/2510 อนึ่ ง เจ้ ำ ของสั ต ว์ ไ ม่ ต้ อ งพิ จ ำรณำเลยว่ ำ จะเป็ น เด็ ก ไร้ เ ดี ย งสำหรื อ ผู้ ไ ร้ ควำมสำมำรถใด เนื่องจำกกฎหมำยมิได้เขียนข้อยกเว้นเพรำะเหตุดังกล่ำวไว้ ต้อง พิจำรณำจำกข้อยกเว้นจริง ๆ ตำมหัวข้อ 4.4.2 3. ต้องรับผิดในควำมเสียหำยนั้น มำตรำ 433 เป็ น ละเมิ ด เช่ น เดี ย วกั บ มำตรำ 437 ที่ ผู้ เ สี ย หำยเพี ย งแต่ บรรยำยในฟ้องว่ำ บุคคลผูร้ ับเลีย้ ง หรือเจ้ำของสัตว์ได้ทำละเมิด โดยสัตว์ของบุคคล ดังกล่ำวทำให้ผู้เสียหำยได้รับควำมเสียหำยก็เพียงพอแล้ว มิจำเป็นต้องบรรยำยฟ้อง ว่ำ จำเลยได้กระทำโดยจงใจหรือประมำทเลินเล่อหรือไม่ ที่เรียกว่ำ Liability without Fault หรือ strict liability
186
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
4.4.2 เว้นแต่ 1. ใช้ควำมระมัดระวังอันสมควรแก่กำรเลี้ยง กำรรักษำตำมชนิดและวิสัย ของสัตว์ ควำมระมัด ระวั งในกำรเลี้ยงรักษำให้พิเ ครำะห์ถึงลักษณะของสัตว์แต่ละ ชนิด (ประเภทของสัตว์ : species) หำกได้ควำมว่ำลักษณะของสัตว์นั้นเป็นสัตว์ที่ดุร้ำย วิสัย (นิสัยตำมธรรมชำติ: Nature) ทำให้ผู้เลีย้ งหรือเจ้ำของต้องคำนึงถึงกำรเลี้ยงรักษำ ที่เหมำะสม กล่ำวคือ ต้องใช้ระดับควำมระมัดระวังที่สูงมำกกว่ำปกติ ก. สัตว์ป่ำ (Wild animal) หรือ ข. สัตว์เลี้ยง (Domesticated animal) อุธำหรณ์ นำยกิตติเลี้ยงสุนัขพันธุ์รอตไวเลอร์ พำไปเดินออกกำลังกำยที่ สวนสำธำรณะ โดยตนมีเครื่องห้ำมจูงสุนัข ขณะเดินผ่ำนผู้คนที่มำออกกำลังกำย ปรำกฏว่ำสุนัขเห็นเด็กกำลังวิ่งเล่น อยู่ในอำกำรไล่จับกัน สุนัขจึ งวิ่งเข้ำไปกัดเด็กนั้น จะเห็นได้ว่ำ นำยกิตติต้องพิเครำะห์ได้วำ่ ลักษณะของสุนัขตนเป็นเช่นใด (ดุ) และวิสัย ในกำรใช้ควำมระมัดระวังเพียงแค่มีเครื่องห้ำมจูงสุนัขนั้นย่อมไม่เพียงพอ เนื่องจำก สำมำรถพิเครำะห์ได้ถึงพละกำลังและโอกำสควำมเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น แม้ว่ำสุนัขนั้นจะ
187
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ไม่เคยทำร้ำยใครก็ตำม แต่ควำมประกำรนีม้ ิใช่หลักตำยตัวที่ท่ำนจะพึงยึดถือไว้เสมอ ไป เพรำะข้อเท็จจริงในบำงครั้ง เมื่อได้ควำมว่ำสัตว์ของเรำไม่เคยทำร้ำยบุคคลหรือ ทรัพย์สินใดเลย ก็อำจอ้ำงได้ ขอให้พิจำรณำจำกข้อเท็จจริงเป็นรำยกรณี แต่กรณี ของสุนัขพันธุ์รอตไวเลอร์ ย่อมตัง้ สมมติฐำนได้ว่ำเป็นสุนัขพันธุ์ดุรำ้ ย เป็นต้น คำพิพ ำกษำฎีกำที่ 2488/2523 สุนัขของจำเลยหลบหนีออกไปได้ขณะที่ จ ำเลยเปิ ด ประตู บ้ ำ น สุ นั ข จึ ง ออกไปกั ด โจทก์ ไ ด้ แสดงว่ ำ จ ำเลยมิ ไ ด้ ใ ช้ ค วำม ระมัดระวังอันสมควรในกำรเลี้ยงดูสุนัขจำเลยต้องชดใช้ค่ำเสียหำย คำพิพำกษำฎีกำที่ 1006/2510 โจทก์กำลังบังคับช้ำงของโจทก์ให้ทำงำนอยู่ ห่ำงแม่ช้ำงและลูกช้ำงของจำเลยประมำณ 2 เส้น ลูกช้ำงของจำเลยติดช้ำงของโจทก์ เข้ำใจว่ำโจทก์จะพำช้ำงของโจทก์ไป จึงทิ้งแม่วิ่งไปที่โจทก์และท ำร้ำยโจทก์ โดย ผู้ดูแลช้ำงและลูกช้ำงของจำเลยซึ่งขณะนั้นก็อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไร น่ำจะดูลูกช้ำง ให้ดีกลับปล่อยให้ลูกช้ำงวิ่งเข้ำไปทำร้ำยโจทก์แล้ววิ่งไปบอกให้ลูกช้ำงถอย นับว่ำผู้ เลี้ยงช้ำงมิได้ใช้ควำมระมัดระวังเท่ำที่ควร มีข้อที่ควรพิเครำะห์ตำมกฎหมำย Common law กรณีควำมเสียหำยเกิดจำก สัตว์ป่ำที่มีลักษณะดุร้ำย เช่น นำยกิตติเป็นเจ้ำของลูกสิงโตและนำมำเลี้ยงไว้ที่บ้ำน ตนซึ่งมีเนื้อที่กว้ำงใหญ่และได้กั้นบริเวณสร้ำงรั้วแข็งแรงเป็นอย่ำงดี และเช่นกัน ข้อเท็จจริงได้ควำมว่ำ เจ้ำลูกสิงโตตัวนี้ก็ไม่เคยที่จะทำร้ำยใครหรอมีแนวโน้มมำก่อน ว่ำจะทำลำยใคร แต่มีอยู่วันหนึ่ง ไม่รู้ด้วยเพรำะเหตุใดเจ้ำลูกสิงโตนี้หลุดออกไปยัง ถนนหน้ำบ้ำนของนำยกิตติ และทำร้ำยนำยหมอดีซึ่งเดินผ่ำนมำพอดี ได้รับควำม เสียหำย นำยกิตตินำพยำนหลักฐำนเข้ำสืบถึงควำมระมัดระวังเป็นอย่ำงดี แต่ไม่รู้ อะไร เป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกินที่ลูกสิงโตตัวนี้หลุดออกมำ ตนได้ใช้ควำมระมัดระวัง อันสมควรแก่กำรเลี้ยง กำรรักษำตำมชนิดและวิสัยของสัตว์ แล้ว ข้ออ้ำงเช่นนี้ ไม่ สำมำรถน ำมำยกเป็ น ข้ อ พิ สู จ น์ เ พื่ อ แก้ ตั ว ได้ เพรำะถื อ ว่ ำ สั ต ว์ ป่ ำ มี ลั ก ษณะที่ มี แนวโน้มว่ำจะก่อให้เกิดอันตรำยได้
188
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
แต่จำกตัว อย่ำงดังกล่ำว หำกกลับ กันสัตว์ชนิดนั้น เป็นสัตว์เลี้ย ง (Domestic) เช่น แมว สุ นัข วัว หรือสุก ร นำยกิตติย่อมสำมำรถยกข้ออ้ำงดังก่ำวเพื่อหลุดพ้น ควำมรับผิดได้ ในประเทศไทยเองก็ยังมิได้จำแนกแบ่งประเภทเช่นนั้น คงจะต้องปรับใช้โดย พิจำรณำจำกเจ้ำของสัตว์ หรือผู้รับ เลี้ยงไว้แทนเจ้ำของได้ใช้ควำมระมัดระวังอัน สมควรแก่ ก ำรเลี้ ย ง กำรรั ก ษำตำมชนิ ดและวิสั ย ของสั ตว์ เพรำะฉะนั้น เมื่ อต้ อ ง วินิจฉัยแก่กำรดังกล่ำวท่ำนต้องพิเครำะห์ระดับหรือมำตรฐำนของควำมระมัดระวัง ให้สู งเสมอหำกเป็น กรณีสั ตว์ ที่มีลั ก ษณะจะเป็ นอัน ตรำย และก็ น่ ำที่ จะนำหลั ก กฎหมำยดังกล่ำวเข้ำมำประยุกต์ใช้ได้ 2. เหตุสุดวิสัย อุทำหรณ์กรณีเหตุสุดวิสัย ท่ำนอำจำรย์พจน์ ปุษปำคม ได้ยกตัวย่ำงไว้เช่น นำเกวียนเทียมโคเข้ำมำในถนน โคตื่นเสียงแตรรถยนต์หรือตื่นเพรำะเห็นรถยนต์แล่น สวนมำ มิได้ถือว่ำเป็นเหตุสุ ดวิสัย เพรำะเจ้ำของสำมำรถคำดหมำยได้ว่ำ จะเกิด เหตุกำรณ์เช่นนั้น ขอยกอี ก อุ ท ำหรณ์ เ พื่ อ ให้ ท่ ำ นเข้ ำ ใจ นำยกิ ต ติ เ ป็ น เจ้ ำ ของฟำร์ ม นกกระจอกเทศ โดยเลี้ยงไว้ขำยเพื่อกำรบริโภค คืนหนึ่งมีพำยุนอกฤดูกำลเข้ำมำ อย่ำงหนักทำให้กรงพัง เป็นเหตุให้นกกระจอกเทศหลุดออกมำ และไปเหยียบย่ำและ จิกกินสวนผลไม้ของนำยหมอดีที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง กรณีเช่นนี้เมื่อเป็นเหตุภับ พิบัติที่เกิดขึน้ และผู้นั้นมิอำจป้องกันได้ย่อมถือได้วำ่ นำยกิตติหลุดพ้นควำมรับผิด 4.4.3 สิทธิไล่เบี้ย มำตรำ 433 วรรคสอง อนึ่งบุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่ำวมำในวรรคต้น นั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอำแก่บุคคลที่เร้ำหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอำแก่เจ้ำของ สัตว์อ่นื อันมำเร้ำหรือยั่วสัตว์นนั้ ๆ ก็ได้ 4.4.3.1 สิทธิไล่เบีย้ เอำแก่บุคคลผูท้ ี่เร้ำหรือยั่วสัตว์นนั้ โดยละเมิด หรือเอำแก่ เจ้ำของสัตว์อื่นอันมำเร้ำหรือยั่วสัตว์ กล่ำวคือ เมื่อข้อเท็จจริงปรำกฏว่ำ กำรที่สัตว์
189
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ได้ทำร้ำยหรือทำให้บุคคลอื่นได้รับควำมเสียหำยนั้น เกิดมำจำกสำเหตุที่มีบุคคลอื่น มำเร้ำหรือยั่วสั ตว์ทำควำมเสีย หำย กฎหมำยก ำหนดให้เมื่อบุคคลตำมวรรคหนึ่ง กล่ำวคือ เจ้ำของและ/หรือผู้รับเลี้ยงเมื่อต้องชดใช้ค่ำเสียหำยแล้ว มีสิทธิไล่เบี้ยใน ส่วนที่ตนต้องเสียไปแก่ ผู้ที่มำเร้ำหรือยั่วสัตว์ หรือเอำแก่เจ้ำของสัตว์อื่นอันมำเร้ำ หรือยั่วสัตว์ 4.4.3.2 กำรเร้ำหรือกำรยั่วสัตว์ต้องพิจำรณำข้อเท็จจริงเป็นรำยกรณีไปว่ำ อย่ำงไรเป็นกำรเร้ำหรือยั่วสัตว์ ท่ำนอำจำรย์พจน์ ปุษปำคม ได้อธิบำยไว้ว่ำ กำร กระทำที่เป็นกำรเร้ำหรือยั่วสัตว์อำจเป็นกำรกระทำที่ไม่ผิดกฎหมำย หรือมีอำนำจ กระท ำได้ เช่น มีก ำรจูงม้ำแข่งในถนนที่มีรถยนต์ แล่น ผู้ขับ รถยนต์บีบ แตรเตือ น รถยนต์ที่กำลังเคลื่อนออกจำกข้ำงถนน เสียงแตรดังทำให้ม้ำตกใจทำให้รถยนต์คัน อื่นเสียหำย จะเห็นได้ว่ำ คนขับรถยนต์ไม่ได้เร้ำสัตว์นนั้ ผู้ที่บีบแตรรถยนต์มีสิทธิที่จะ เตือนรถยนต์คันอื่น แต่หำกเป็นกรณีที่ได้ควำมว่ำ มีเจตนำ (จงใจ) บีบแตรเพื่อแกล้ง ม้ำให้ตกใจ กรณีเช่นนีถ้ ือเป็นละเมิดได้ หรือกรณียั่วสัตว์ เช่น แกล้งจุดประทัดโยนใส่ สุนัข สุนัขเลยไปสร้ำงควำมเสียหำยทรัพย์สินให้แก่ผอู้ ื่น จำกคำพิพำกษำฎีกำที่ 1006/2510 ข้ำงต้น น่ำพิเครำะห์ว่ำ กำรกระทำของ โจทก์เป็นกำรยั่วช้ำงหรือไม่ แต่ก็คงกระจ่ำงชั ดได้ว่ำ โจทก์คงมิได้มีเจตนำก่อให้เกิด กำรยั่วลูกช้ำงไม่ อันก่อให้เกิดสิทธิไล่เบีย้ ได้ 4.4.3.3 ท่ำนจะสังเกตได้ว่ำ กรณีที่จะไล่เบี้ยเอำกับบุคคลผู้ที่เร้ำหรือยั่วสัตว์ นั้น เจ้ำของสัตว์หรือผู้รับเลี้ยงจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ำ บุคคลดังกล่ำวมีเจตนำชั่วร้ำย เนื่องจำก มำตรำ 433 วรรคสองตอนท้ำย กฎหมำยใช้คำว่ำ “...บุคคลที่เร้ำหรือยั่ว สัตว์นนั้ โดยละเมิด...” จึงตีควำมได้ว่ำ ละเมิดย่อมหมำยถึงกำรเข้ำองค์ประกอบตำม มำตรำ 420 4.4.3.4 เจ้ำของสัตว์อื่นอันมำเร้ำหรือยั่วสัตว์ หมำยควำมว่ำ สัตว์ของเรำที่ ไปทำควำมเสียหำยแก่ผู้อื่น เนื่องจำกมีสัตว์อื่นมำเร้ำหรือยั่ว ตัวเจ้ำของสัตว์อื่นที่มำ เร้ำหรือยั่วนั้นต้องรับผิด เช่นเดียวกันต้องพิสูจน์ให้ได้ถึงกำรเช่นนั้น และบุคคลที่เป็น
190
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
เจ้ำของสัตว์ที่เร้ำหรือยั่วจะต้องกระทำโดยจงใจหรืออย่ำงน้อยที่สุดต้องประมำท เลินเล่อ 4.4.4 ข้อสังเกต ควำมเสียหำยที่เกิดจำกสัตว์นี้ ต้องเป็นกำรกระทำของสัตว์เอง มิใช่เกิดจำก กำรที่เรำเป็นผู้สั่งหรือบัง คับให้สัตว์นั้นกระทำ เช่น กำรขับรถเทียมม้ำ ใช้วัวลำกจูง เกวียน หรือกำรใช้สัตว์เป็นเครื่องมือเพื่อทำให้ผู้อื่นเสียหำย เช่น เลี้ยงสุนัข หรืองูพิษ กัดผู้อื่น กรณีเช่นนี้ มีควำมรับผิดตำมมำตรำ 420 หรือ 437 แล้วแต่กรณี เป็น Fault Liability แต่มิใช่มำตรำ 433
191
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
บทที่ 5 ข้อต่อสู้ของจาเลยในคดีละเมิด Defenses to intentional torts
5.1 ข้อต่อสู้ของจาเลยในคดีละเมิด 1. ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 420 มาตรา 420 บัญญัติว่ำ ผู้ใดจงใจหรือประมำทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดย ผิด กฎหมำยให้ เ ขำเสีย หำยถึงแก่ ชีวิตก็ ดี แก่ร่ำ งกำยก็ ดี อนำมัย ก็ ดี เสรี ภำพก็ ดี ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่ำงหนึ่งอย่ำงใดก็ดี ท่ำนว่ำผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่ำสินไหม ทดแทนเพื่อกำรนั้น (ขอให้กลับไปพิจำรณำหลักเกณฑ์ของละเมิด) กำรขำดองค์ประกอบ/หลัก เกณฑ์ใ นข้อหนึ่งข้อใด จะท ำให้บุคคลนั้นไม่ มี ควำมรับ ผิด ในทำงละเมิด กล่ำ วคือขำดองค์ป ระกอบข้อหนึ่งข้อ ใดหรือหลำยข้ อ รวมกัน 1. ต้องมีกำรกระทำต่อผูอ้ ื่น 2. จงใจหรือประมำทเลินเล่อ 3. โดยผิดกฎหมำย 4. ควำมเสียหำย 2. เหตุสุดวิสัย เข้ ำ ข้ อ ยกเว้ น ควำมรั บ ผิ ด ตำมที่ ก ฎหมำยบั ญ ญั ติ ไ ว้ ต ำมมำตรำ 8 เหตุสุดวิสัย “คำว่ำ เหตุสุดวิสัย หมำยควำมว่ำ เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก้ดี จะให้ผล พิบัติก็ดี เป็นเหตุที่ไม่อำจป้องกันได้แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบ เหตุนั้น จะได้จัดกำรระมัด ระวังตำมสมควรอันพึงคำดหมำยได้จำกบุคคลในฐำนะ และภำวะเช่นนัน้ ”
192
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
3. กฎหมายบัญญัติยกเว้นความรับผิดเป็นกรณีเฉพาะ ขอพิจำรณำที่สำมนี้เป็นเรื่องของกำรมีเอกสิทธิ์ที่กฎหมำยให้ควำมคุ้มครอง หรือ Immunity 3.1 เอกสิทธิ์ตำมรัฐธรรมนูญ รัฐ ธรรมนูญ แห่งรำชอำณำจัก รไทย มำตรำ 157 บัญ ญัติว่ำ ในที่ ประชุมสภำผูแ้ ทนรำษฎร ที่ประชุมวุฒิสภำ หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภำ สมำชิก ผู้ใดจะกล่ำวถ้อยคำใดในทำงแถลงข้อเท็จจริง แสดงควำมคิดเห็น หรือออกเสียง ลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขำด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ำกล่ำว สมำชิกผูน้ ั้นในทำงใดมิได้ เอกสิทธิ์ตำมวรรคหนึ่งไม่คุ้มครองสมำชิกผูก้ ล่ำวถ้อยคำในกำร ประชุมที่มีกำรถ่ำยทอดทำงวิทยุกระจำยเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ หำกถ้อยคำที่กล่ำว ในที่ประชุมไปปรำกฏนอกบริเวณรัฐสภำ และกำรกล่ำวถ้อยคำนั้นมีลักษณะเป็น ควำมผิดทำงอำญำหรือละเมิดสิทธิในทำงแพ่งต่อบุคคลอื่น ซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือ สมำชิกแห่งสภำนั้น ในกรณีตำมวรรคสอง ถ้ำสมำชิกกล่ำวถ้อยคำใดที่อำจเป็นเหตุให้ บุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมำชิกแห่งสภำนั้นได้รับควำมเสียหำย ให้ประธำนแห่ง สภำนั้นจัดให้มีกำรโฆษณำคำชี้แจงตำมที่บุคคลนั้นร้องขอตำมวิธีกำรและภำยใน ระยะเวลำที่กำหนดในข้อบังคับกำรประชุมของสภำนั้น ทั้งนี้ โดยไม่กระทบกระเทือน ถึงสิทธิของบุคคลในกำรฟ้องคดีต่อศำล มำตรำ 158 บัญญัติว่ำ เอกสิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในมำตรำ 157 ย่อม คุ้ ม ครองไปถึ ง ผู้ พิ ม พ์ แ ละผู้ โ ฆษณำรำยงำนกำรประชุ ม ตำมข้ อ บั ง คั บ ของสภำ ผู้แทนรำษฎร วุฒิสภำ หรือรัฐสภำ แล้วแต่กรณี และคุ้มครองไปถึงบุคคลซึ่ง ประธำนในที่ประชุมอนุญำตให้แถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงควำมคิดเห็นในที่ประชุม ตลอดจนผู้ ด ำเนิน กำรถ่ ำ ยทอดกำรประชุ ม สภำทำงวิ ท ยุ ก ระจำยเสี ย งหรื อ วิ ท ยุ โทรทัศน์ที่ได้รับอนุญำตจำกประธำนแห่งสภำนั้นด้วยโดยอนุโลม
193
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
สองมำตรำข้ำงต้นเป็นเอกสิ ท ธิ์ที่ใช้คุ้มครองสมำชิก รัฐสภำ และ/ หรือผู้พิมพ์และผู้โฆษณำรำยงำนกำรประชุมตำมข้อบังคับ ของสภำผู้แทนรำษฎร วุฒิสภำ หรือรัฐสภำ แล้วแต่กรณี ในกำรกล่ำวหรือไขข่ำวตำมมำตรำ 423 3.2 เอกสิทธิ์ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ เอกสิทธิ์ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ พิจำรณำได้จำกมำตรำ 329 หำกผู้กล่ำวหรือไขข่ำวได้กระทำลงโดยสุจริตย่อมได้รับควำมคุ้มครอง มำตรำ 329 ผู้ใ ดแสดงควำมคิดเห็นหรือข้อควำมใดโดยสุจริต (1) เพื่อควำมชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตน ตำมคลองธรรม (2) ในฐำนะเป็นเจ้ำพนักงำนปฏิบัติกำรตำมหน้ำที่ (3) ติชมด้วยควำมเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของ ประชำชนย่อมกระทำ หรือ (4) ในกำรแจ้งข่ำวด้วยควำมเป็นธรรมเรื่องกำรดำเนินกำรอันเปิดเผยใน ศำลหรือในกำรประชุม ผูน้ ั้นไม่มีควำมผิดฐำนหมิ่นประมำท 3.3 เอกสิทธิ์จำกเขตอำนำจรัฐ เอกสิทธิ์ตำมหัวข้อนีเ้ ป็นเรือ่ งที่สัมพันธ์กับกฎหมำยระหว่ำงประเทศ ในแผนกคดีเมืองที่ให้สทิ ธิพิเศษคุ้มกันรัฐ หรือผูแ้ ทนของรัฐ รวมควำมตลอดถึงควำม คุ้มกันขององค์กำรระหว่ำงประเทศรวมทั้งเจ้ำหน้ำที่และตัวแทนขององค์กำรระหว่ำง ประเทศ กำรคุ้มกันจำกเขตอำนำจรัฐเป็นเรื่องของกฎหมำยระหว่ำงประเทศ ที่ใ ห้ก ำรคุ้มครองบุค คลบำงประเภทหรือทรัพย์สินบำงอย่ำงไม่ตกอยู่ภำยใต้เ ขต อำนำจรัฐ อำทิ กำรใช้บังคับกฎหมำย กำรศำล และ/หรือกำรบริหำร บุคคลต่ำง ๆ ดังต่อไปนีส้ ำมำรถขอควำมคุ้มกันจำกเขตอำนำจรัฐได้
194
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
1. รัฐ ซึ่งในทำงกฎหมำยระหว่ำงประเทศนั้นให้หมำยควำมรวมถึงรัฐและ องค์กรต่ำง ๆ ของรัฐบำล หรือองค์กำรทำงกำรเมืองของรัฐซึ่งมีสิทธิที่จะใช้อำนำจ อธิ ป ไตยของรัฐ หรือ องค์ ก รและหน่วยงำนของรัฐ ภำยในขอบเขตที่องค์ก รและ หน่วยงำนนัน้ มีสิทธิที่จะกระทำกำรอันเป็นกำรใช้อำนำจอธิปไตยของรัฐ หรือ ผู้แทน ของรัฐซึ่งกระทำกำรในฐำนะเป็นผู้แทนรัฐ แต่กระนั้น กำรอ้ำงสิทธิเรื่องควำมคุ้มกันจำกเขตอำนำจทำงศำล และกำรบริหำรของรัฐอื่น แต่เฉพำะที่เป็นเรื่องประโยชน์ของรัฐโดยแท้เท่ำนั้น มิได้ ขยำยควำมไปถึงกิจกำรต่ำง ๆ ในทำงพำณิชย์ หรือกำรกระทำละเมิด ขอให้พิจำรณำจำกข้อบทที่ 13 แห่งอนุสัญญำว่ำด้วยควำมคุ้มกัน ของรัฐ ค.ศ. 1982 ในกรณีที่รั ฐ กระท ำกำรหรือ งดเว้น กระท ำกำรอันเป็ นเหตุใ ห้ บุคคลอื่นได้รับควำมเสียหำยต่อชีวิต ร่ำงกำยและทรัพย์สิน ไม่ว่ำกำรกระทำหรืองด เว้นกำรกระทำนัน้ จะเกิดขึน้ โดยจงใจหรือประมำทเลินเล่อก็ตำม หำกควำมเสียหำย เช่นว่ำนั้นเกิดขึ้นในดินแดนของรัฐผู้ใช้เขตอำนำจตุลำกำรแล้ว รัฐผู้กระทำละเมิดจะ อ้ำงควำมคุ้มกันจำกเขอำนำจทำงตุลำกำรของรัฐที่ควำมเสียหำยเกิดขึ้นมิได้ 2. ผู้แทนของรัฐ ในกฎหมำยระหว่ำงประเทศได้มกี ำรจัดระดับควำมสำคัญของผู้แทน ของรัฐเพื่อประโยชน์ในกำรจัดลำดับอำวุโสและมำรยำททำงกำรทูต ดังนี้ 1. ชั้นเอกอัครรำชทูต 2. ชั้นรัฐทูต/อัครรำชทูต 3. ชั้นอุปทูต ดังนัน้ เพื่อเป็นกำรรักษำสัมพันธ์ไมตรีระหว่ำงประเทศ จึงให้สิทธิแก่ บุคคลดังกล่ำวและคณะ ให้ได้รับควำมคุ้มกันจำกเขตอำนำจทำงอำญำ ทำงแพ่ง และทำงปกครองของรัฐผู้รับและตัวแทนทำงทูต พิจำรณำได้จำกข้อบทที่ 31 แห่ง อนุสัญญำกรุงเวียนนำว่ำด้วยควำมสัมพันธ์ทำงทูต ค.ศ. 1961
195
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ควำมคุ้มกันของเจ้ำพนักงำนกงสุลและสมำชิกในสถำนทำกำรทำง กงสุล เกี่ยวกับกำรทำละเมิดนั้น จะเห็นได้ว่ำมีข้อแตกต่ำงจำกบุคคลต่ำง ๆ ข้ำงต้น กล่ำวคือเจ้ำหน้ำที่กงสุลหรือลูกจ้ำงทำงกงสุลจะอ้ำงควำมคุ้มกันจำกเขตอำนำจของ รั ฐ ผู้ รั บ ได้ เ ฉพำะที่ ไ ด้ ก ระท ำลงในฐำนะที่ เ ป็ น ตั ว แทนของรั ฐ ผู้ ส่ ง เท่ ำ นั้ น นอกเหนือจำกนี้มิอำจอ้ำงได้เลยไม่ว่ำจะเป็นเรื่องทำงสัญญำและ/หรือละเมิด แต่ อย่ำงไรก็ตำม แม้เจ้ำหน้ำที่กงสุลหรือลูกจ้ำงกงสุลจะได้กระทำกำรละเมิดในฐำนะ ตัวแทนของรัฐ แต่มีข้อยกเว้นถ้ำเป็นกรณีละเมิดที่เกิดจำกรถยนต์ เรือ หรืออำกำศ ยำน (ทรัพย์อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลตำมมำตรำ 437) ก็มิอำจใช้เอกสิทธิ์อ้ำง ควำมคุ้มกันได้ 3. ควำมคุ้มกันขององค์กำรระหว่ำงประเทศรวมทั้งเจ้ำหน้ำที่และ ตัวแทนขององค์กำรระหว่ำงประเทศ องค์กำรระหว่ำงประเทศรวมทั้งเจ้ำหน้ำที่และตัวแทนขององค์ก ำร ระหว่ำงประเทศ เช่น องค์กำรสหประชำชำติ ซึ่งกฎหมำยระหว่ำงประเทศให้ขยำย ควำมรวมถึงทบวงชำนัญกำรพิเศษ อำทิ องค์กำรแรงงำนระหว่ำงประเทศ องค์กำร อนำมั ย โลก องค์ ก ำรกำรบิ น พลเรื อ นระหว่ ำ งประเทศ กองทุ น กำรเงิ น ระหว่ ำ ง ประเทศ เป็นต้น ข้อบทที่ 2 มำตรำ 2 แห่งอนุสัญญำว่ำด้วยเอกสิทธิและควำมคุ้มกัน ของสหประชำชำติ ค.ศ. 1946 ก ำหนดหลัก เกณฑ์ไ ว้ว่ำ สหประชำชำติตลอดทั้ง ทรัพย์สินและสินทรัพย์ของสหประชำชำติ (ทบวงชำนัญกำรพิเศษ) ไม่ว่ำจะอยู่แห่งใด และไม่ว่ำผูใ้ ดจะยึดถือครอบครองไว้ก็ตำม ย่อมได้รับควำมคุ้มกันจำกกำรดำเนินคดี ทำงกฎหมำยทุกรูปแบบ ยกเว้นแต่เฉพำะในกรณีที่สหประชำชำติสละควำมคุ้มกัน อย่ำงชัดแจ้งเท่ำนั้น แต่กำรสละควำมคุ้มกันอย่ำงชัดแจ้งขององค์กำรสหประชำชำติ ในกรณีเช่นว่ำนั้นย่อมไม่ขยำยไปถึงมำตรำกำรในกำรบังคับคดีด้วย
196
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
3.4 นิรโทษกรรม มำตรำ 449 บุคคลใดเมื่อกระทำกำรป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมำย ก็ดี กระทำตำมคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมำยก็ดี หำกก่อให้เกิดเสียหำยแก่ผู้อื่นไซร้ ท่ำนว่ำบุคคลนั้นหำต้องรับผิดใช้ค่ำสินไหมทดแทนไม่ ผู้ต้องเสียหำยอำจเรียกค่ำสินไหมทดแทนจำกผู้เป็นต้นเหตุให้ต้อง ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมำย หรือจำกบุคคลผู้ให้คำสั่งโดยละเมิดนั้นก็ได้ (1) เป็นกำรกระทำเพื่อป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมำย ขอให้ พิ จ ำรณำประมวลกฎหมำยอำญำ เรื่ อ งป้ อ งกั น ตั ว ต้ อ ง พอสมควรแก่เหตุ ขอให้พิจำรณำจำกภำพประกอบ
นำยกิตติถือขวำนหมำยจะทำร้ำยนำยหมอดี นำยหมอดีจึงหยิบปืน ยิงนำยกิตติจำนวน 1 นัดถึงแก่ควำมตำย (พอสมควรแก่เหตุ ) ป้องปัดภยันตรำยที่ ใกล้จะมำถึง 2) เป็นกำรกระทำตำมคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมำย พิจารณาจากข้อเท็จจริง เจตนา และพฤติกรรม มำตรำ 5 ในกำรใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในกำรชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคน ต้องกระทำโดยสุจริต
197
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
1. ต้องไม่กระทำเกินคำสั่งและ/หรือขอบอำนำจที่กฎหมำยให้ไว้ คำพิพำกษำฎีกำที่ 1358-1369/2506 กำรที่จำเลย (เทศบำลเมือง สระบุรี) ซึ่งเป็นเจ้ำหน้ำที่ปฏิบัติตำมคำสั่งของผู้ว่ำรำชกำรจังหวัด ซึ่งได้สั่งกำรตำม ประกำศของคณะปฏิวัตริ ้ือห้องแถวที่โจทก์เช่ำทั้งหมด มิใช่ร้ือเฉพำะส่วนที่รุกล้ำทำง สำธำรณะนั้น เป็นกำรทำเกินคำสั่ง ส่วนที่จำเลยทำเกินจะอ้ำงว่ำเป็นนิรโทษกรรม ตำมกฎหมำยไม่ได้ 2. บุคคลนั้นทรำบหรือควรทรำบว่ำข้อเท็จจริง ว่ำ ตนไม่มีสิทธิโดย ชอบ (ไม่สุจริต) อุทำหรณ์ นำยกิตติเป็นเจ้ำพนักงำนขำยทอดตลำดตำมคำสั่งของ ทำงรำชกำร ได้จัดกำรขำยทอดตลำดทรัพย์ของผู้อื่น ตนเพียงแต่มีหน้ำที่ขำย โดยไม่ ทรำบว่ำทรัพย์เป็นของผู้ใด เมื่อนำยหมอดีซึ่งเป็นเจ้ำของทรัพย์ได้ห้ำมแล้วว่ำ ทรัพย์ ที่ถูกยึดมำดังกล่ำวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมำย หรือตนได้ไปร้องคัดค้ำนไว้ เมื่อนำยกิตติ มิได้แสดงให้เห็นว่ำทำงรำชกำรมีสิทธิอย่ำงไรในกำรขำยทอดตลำดทรัพย์นั้น นำย กิตติหำอ้ำงว่ำได้จัดกำรขำยทรัพย์โดยคำสั่งของทำงรำชกำรได้ไม่ ขอให้เทียบเคียง คำพิพำกษำฎีกำที่ 1920/2506 กำรที่อธิบดีกรม ศุลกำกรสั่งขำยทอดตลำดของที่ยึดตำมที่กฎหมำยให้อำนำจไว้แม้ต่อมำศำลจะสั่งไม่ ริ บ ของที่ ยึ ด นั้ น ก็ ต ำม ค ำสั่ ง ของอธิ บ ดี ที่ สั่ ง ขำยไปนั้ น ก็ ยั ง เป็ น ค ำสั่ ง ที่ ช อบ ด้ ว ย กฎหมำย ฉะนั้น เมื่อพนักงำนเจ้ำหน้ำที่ขำยที่ยึ ดไปนั้นกระทำตำมคำสั่งของอธิบดี ศุลกำกรดังกล่ำว จึงไม่เป็นละเมิด มำตรำ 450 บัญญัติวำ่ ถ้ำบุคคลทำบุบสลำย หรือทำลำยทรัพย์สิ่ง หนึ่งสิ่งใดเพื่อจะบำบัดปัดป้องภยันตรำยซึ่งมีมำเป็นสำธำรณะโดยฉุกเฉิน ท่ำนว่ำไม่ จำต้องใช้คำ่ สินไหมทดแทน หำกควำมเสียหำยนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุภยันตรำยถ้ำ บุคคลทำบุบสลำย หรือทำลำยทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะบำบัดปัดป้องภยันตรำย อันมีแก่เ อกชนโดยฉุกเฉิน ผู้นั้นจะต้องใช้คืนทรัพย์นั้นถ้ำบุคคลท ำบุบ สลำย หรือ
198
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ทำลำยทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะป้องกันสิทธิของตน หรือของบุ คคลภำยนอกจำก ภยันตรำยอันมีมำโดยฉุกเฉิน เพรำะตัวทรัพย์นั้นเองเป็นเหตุ บุคคลเช่นว่ำนี้หำต้อง รับผิดใช้ค่ำสินไหมทดแทนไม่ หำกว่ำควำมเสียหำยนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ แต่ถ้ำภยันตรำยนั้น เกิ ด ขึ้ น เพรำะควำมผิ ด ของบุ ค คลนั้ น เองแล้ ว ท่ ำ นว่ ำ จ ำต้ อ งรั บ ผิ ด ใช้ ค่ ำ สิ น ไหม ทดแทนให้ มำตรำ 451 บัญญัติว่ำ บุคคลใช้กำลังเพื่อป้องกันสิทธิของตน ถ้ำ ตำมพฤติกำรณ์จะขอให้ศำลหรือเจ้ำหน้ำที่ช่วยเหลือให้ทันท่วงทีไม่ได้ และถ้ำมิได้ทำ ในทันใด ภัยมีอยู่ด้วยกำรที่ตนจะได้สมดังสิทธินั้นจะต้องประวิงไปมำกหรือถึงแก่ สำบสูญได้ไซร้ ท่ำนว่ำบุคคลนั้นหำต้องรับผิด ใช้ค่ำสินไหมทดแทนไม่กำรใช้กำลัง ดังกล่ำวมำในวรรคก่อนนั้น ท่ำนว่ำต้องจำกั ดครัดเคร่งแต่เฉพำะที่จำเป็นเพื่อจะ บำบัดปัดป้องภยันตรำยเท่ำนั้น ถ้ ำ บุ ค คลผู้ ใ ดกระท ำกำรดั ง กล่ ำ วมำในวรรคต้ น เพรำะหลง สันนิษฐำนพลำดไปว่ำมีเหตุอันจำเป็นที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมำยไซร้ ท่ำนว่ำผู้ นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่ำสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลอื่น แม้ทั้งกำรที่หลงพลำดไปนั้นจะ มิใช่เป็นเพรำะควำมประมำทเลินเล่อของตน มำตรำ 452 บัญญัติว่ำ ผู้ครองอสังหำริมทรัพย์ชอบที่จะจับสัตว์ ของผู้อื่นอันเข้ำมำทำควำมเสียหำยในอสังหำริมทรัพย์นั้น และยึดไว้เป็นประกันค่ำ สินไหมทดแทนอันจะพึงต้องใช้แก่ตนได้ และถ้ำเป็นกำรจำเป็นโดยพฤติกำรณ์แม้จะ ฆ่ำสัตว์นั้นเสียก็ชอบที่จะทำได้แต่ว่ำผู้นั้นต้องบอกกล่ำวแก่เจ้ำของสัตว์โดยไม่ชักช้ำ ถ้ำและหำตัวเจ้ำของสัตว์ไม่พบ ผู้ที่จับสัตว์ไว้ต้องจัดกำรตำมสมควรเพื่อสืบหำตัว เจ้ำของ 3.5 ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 1310 บัญญัติวำ่ บุคคลใดสร้ำงโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดย สุจริตไซร้ท่ำนว่ำเจ้ำของที่ดินเป็นเจ้ำของโรงเรือนนั้นๆแต่ต้องใช้ค่ำแห่งที่ดินเพียงที่ เพิ่มขึน้ เพรำะสร้ำงโรงเรือนนั้นให้แก่ผู้สร้ำง แต่ถ้ำเจ้ำของที่ดินสำมำรถแสดงได้ว่ำ มิได้มคี วำมประมำทเลินเล่อ จะบอกปัดไม่ยอมรับโรงเรือนนั้นและเรียกให้ผู้สร้ำงรื้อถอนไป และทำที่ดนิ ให้เป็น
199
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ตำมเดิมก็ได้ เว้นไว้แต่ถ้ำกำรนี้จะทำไม่ได้โดยใช้เงินพอควรไซร้ ท่ำนว่ำเจ้ำของที่ดิน จะเรียกให้ผู้สร้ำงซือ้ ที่ดนิ ทั้งหมดหรือแต่บำงส่วนตำมรำคำตลำดก็ได้ มำตรำ 1311 บัญญัติวำ่ บุคคลใดสร้ำงโรงเรือนในที่ดนิ ของผูอ้ ื่นโดย ไม่สุจริตไซร้ท่ำนว่ำบุคคลนั้นต้องทำที่ดนิ ให้เป็นตำมเดิมแล้วส่งคืนเจ้ำของ เว้นแต่ เจ้ำของจะเลือกให้ส่งคืนตำมที่เป็นอยู่ ในกรณีเช่นนี้เจ้ำของที่ดินต้องใช้รำคำโรงเรือน หรือใช้คำ่ แห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพรำะสร้ำงโรงเรือนนั้น แล้วแต่จะเลือก มำตรำ 1312 บัญญัติวำ่ บุคคลใดสร้ำงโรงเรือนรุกล้ำเข้ำไปในที่ดนิ ของผู้อ่นื โดยสุจริตไซร้ ท่ำนว่ำบุคคลนั้นเป็นเจ้ำของโรงเรือนที่สร้ำงขึ้นแต่ต้องเสีย เงินให้แก่เจ้ำของที่ดินเป็นค่ำใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภำรจำยอม ต่อ ภำยหลังถ้ำโรงเรือนนั้นสลำยไปทั้งหมด เจ้ำของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนกำรำจด ทะเบียนเสียก็ได้ ถ้ำบุคคลผูส้ ร้ำงโรงเรือนนั้นกระทำกำรโดยไม่สุจริต ท่ำนว่ำเจ้ำของ ที่ดนิ จะเรียกให้ผู้สร้ำงรื้อถอนไป และทำที่ดนิ ให้เป็นตำมเดิมโดยผู้สร้ำงเป็นผู้ออก ค่ำใช้จ่ำยก็ได้ มำตรำ 1313 บัญญัติว่ำ ถ้ำผู้เป็นเจ้ำของที่ดินโดยมีเงื่อนไขสร้ำง โรงเรือนในที่ดนิ นั้น และภำยหลังที่ดินตกเป็นของบุคคลอื่นตำมเงื่อนไขไซร้ ท่ำนให้ นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมำยนี้ว่ำด้วยลำภมิควรได้มำใช้บังคับ 4. ความยินยอมของผู้เสียหาย หลักกฎหมำยละเมิดที่ผู้กระทำละเมิดจะไม่มีควำมรั บผิดต่อเมื่อผู้ที่เสียหำย ให้ควำมยินยอม เมื่อมีควำมยินยอมของผู้เสียหำยทำให้กำรกระทำนั้น แม้จะเกิด ควำมเสียหำยก็ไม่เป็นละเมิด (Volenti non fit injuria) : That to which a man consents cannot be considered an injury
เป็นคำมำจำกภำษำลำติน (Latin): หมำยควำมถึง กำรสมัคร ใจในกำรเข้ ำ เสี่ ย งภั ย อั น อำจก่ อ ให้ เ กิ ด ควำมเสี ย หำยหรื อ บำดเจ็ บ กรณี เ ช่ น นี้ ผู้เสียหำยมิอำจเรียกร้องค่ำสินไหมทดแทนได้ กรณีเช่นนี้มักจะเกิดแก่กรณีของกำร เล่นแข่งขันกีฬำ หรือ ควำมยินยอมตำมปกติประเพณี เป็นอำทิ Volenti non fit injuria
200
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
voluntary assumption of risk. A defence in tort that means where a person engages in an event accepting and aware of the risks inherent in that event, then they can not later complain of, or seek compensation for an injury suffered during the event. This is used most often to defend against tort actions as a result of a sports injury.
อุทำหรณ์ โจทก์แจ้งแก่จำเลย (เพื่อน) ว่ำ เอำเลยเพื่อนตีที่ท้องฉันหน่อยจะ ทดสอบควำมแข็งแกร่ง กรณีเช่นนี้ ควำมยินยอมของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับควำม คุ้มครองจำกกำรฟ้องร้อง ประเด็นที่จะต้องพิจารณา 1. ผู้ทีม่ ีสิทธิให้ความยินยอม หลัก ผูเ้ สียหำยเป็นผู้ให้ควำมยินยอม ข้อยกเว้น บุค คลที่มีอำนำจให้ควำมยินยอมแทน ในกรณีที่บุคคลที่ได้รับ ควำมเสียหำยเป็นผู้ไร้ควำมสำมำรถ กรณีเช่น ผู้ใช้อำนำจปกครองหรือผู้ปกครองมีอำนำจให้ควำมยินยอมแทน ผูเ้ ยำว์ หรือ ผู้อนุบำลให้ควำมยินยอมแทนคนไร้ควำมสำมำรถ ซึ่งสำมำรถพิจำรณำ ได้จำกกรณีเจ็บป่วยต้องให้แพทย์ทำกำรรักษำพยำบำล (ผ่ำตัด) ควำมข้ำงต้น ขอให้ใช้ควำมระมัดระวังเป็นอย่ำงยิ่ง เพรำะโดยทั่วไปต้องให้ ผู้เสียหำย (ผู้ถูกกระทำ) เป็นผู้ให้ควำมยินยอมด้วยตนเองก่อน มีเพียงเหตุเฉพำะ ได้แก่ ขำดควำมสำมำรถในกำรแสดงเจตนำที่ทำให้บุคคลที่ทำหน้ำที่ดูแลมีอำนำจใน กำรตัดสินใจแทน ส่ ว นให้ ค วำมยิ น ยอมแก่ ใ ครนั้ น จะเห็ น ได้ ว่ ำ โดยปกติ แ ล้ ว กำรให้ ค วำม ยินยอมต้องให้ควำมยินยอมเป็นกำรเฉพำะเจำะจงว่ ำจะให้ผู้ใดเป็นผู้กระทำ เว้นแต่ ลักษณะงำนบำงประเภท เช่น ยินยอมให้แพทย์รักษำโดยไม่ระบุตัวแพทย์ 2. ความแตกต่างระหว่างการยอมเข้ารับภัยกับการรับรู้ภัย ผลของควำมยินยอมเป็นเหตุมำจำกผู้เสียหำยได้รับทรำบข้อมูลหรือควำม คำดหมำยถึงควำมเสียหำยทีถ่ ูกต้อง ชัดเจน ครบถ้วน จึงสมัครใจเข้ำรับภัยนั้น
201
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
3. ระยะเวลาของความยินยอม กำรให้ควำมยินยอมจะต้องมีอยู่ก่อนหรือขณะกระทำควำมผิด และต้องไม่ ปรำกฏว่ำผู้เสียหำยได้ถอนควำมยินยอมแล้วไม่ว่ำจะโดยชัดแจ้ง หรือโดยปริยำยก็ ตำม 4. ลักษณะของความยินยอม ควำมยินยอมอำจให้โดยชัดแจ้งหรือโดยปริยำยก็ ได้ แต่สำหรับกำรนิ่งโดย หลั ก แล้ว ไม่ถือว่ำเป็นกำรให้ควำมยินยอม เว้นแต่ สำมำรถเข้ำใจโดยสภำพและ พฤติกำรณ์วำ่ ให้ควำมยินยอม 5. ความยินยอมโดยสมัครใจ บุคคลนั้นต้องเข้ำใจในผลแห่งควำมยินยอม และต้องเป็นไปด้วยควำมสมัคร ใจปรำศจำกกำรข่มขู่ หลอกลวง สำคัญผิด รับรู้ข้อมูลอย่ ำงผิดพลำด หรืออยู่ใ น ฐำนะเสียเปรียบในกำรเข้ำใจข้อมูล เช่น ในต่ำงประเทศกรณีบุหรี่ กำรสมัครใจเข้ำ เสี่ยงภัยในผลร้ำยของบุหรี่อันเพรำะเกิดจำกกำรโฆษณำประชำสัมพันธ์ ชวนเชื่อ ศำลต่ำงประเทศให้ควำมคุ้มครองโจทก์ว่ำมิได้สมัครใจให้ควำมยินยอม เนื่องจำก ประชำชนอยู่ในฐำนะของผู้รับรู้ขอ้ มูลด้อยกว่ำผูป้ ระกอบธุรกิจ อุ ท ำหรณ์ กำรที่ ฝ่ ำ ยหญิ ง ยอมร่ ว มประเวณี กั บ ชำย เพรำะฝ่ ำ ยชำย หลอกลวงว่ำจะรับ เลี้ย งดู และจดทะเบีย นสมรสภำยหลัง กรณีเช่นนี้ไม่ถือว่ำเป็น ละเมิด เพรำะกำรร่วมประเวณีเกิดจำกควำมยินยอมของฝ่ำยหญิง แต่หำกฝ่ำยชำย ร่วมประเวณีกับหญิงโดยทำให้หญิงสำคัญผิดว่ำตนเป็นบุคคลอื่นที่หญิงยินยอมร่วม ประเวณี ย่อมไม่ถือว่ำหญิงให้ควำมยินยอม 6. ความยินยอมที่ขัดต่อศีลธรรม แต่เดิมหลักควำมยินยอมไม่เป็นละเมิดทำงแพ่งใช้ได้กับทุกกรณี ซึ่งแตกต่ำง กับควำมยินยอมในคดีอำญำจะยกเว้นควำมรับผิดทำงอำญำก็ต่อเมื่อควำมยิน ยอม ต้องไม่ขัดต่อสำนึกในศีลธรรมอันดี เช่น กำรท้ำให้จำเลยยิงตนเองเพื่อลองวิชำอำคม ย่อมไม่ถือเป็นกำรยกเว้นควำมรับผิดอำญำ แต่จะไปฟ้องเรียกร้องทำงแพ่งมิได้ หรือ ยินยอมให้แพทย์ผ่ำตัด หรือยินยอมให้ช่ำงตัดผม โดยสภำพเป็นกำรทำร้ำยร่ำงกำย
202
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
แต่เมื่อกำรกระทำดังกล่ำวไม่เป็นขัดต่อศีลธรรมอันดี โจทก์จะไปเรียกร้องทำงแพ่ง และ/หรือทำงอำญำมิได้ แต่ข้อให้สังเกตว่ำในปัจจุบันประเทศไทยได้มีกำรบังคับใช้ พระรำชบัญญัติวำ่ ด้วยข้อสัญญำที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ซึ่งมีผลกลับหลักเดิมซึ่ง จะได้กล่ำวถึงในหัวข้อที่ 9 ต่อไป 7. ขอบเขตของความยินยอม ขอบเขตของควำมยินยอมมีหลักอยู่ว่ำ “ยินยอมเรื่องใด ยกเว้นควำมรับผิด เฉพำะเรื่องนั้น” ตัวอย่ำง โจทก์พบจำเลยซึ่งเป็นแพทย์โสตประสำทเพื่อรักษำอำกำรบำดเจ็บ ที่หูข้ำงขวำ และให้ควำมยินยอมแพทย์เพื่อผ่ำตัดหูข้ำงขวำ ในขณะช่วงเวลำรักษำซึ่ง โจทก์ไม่รู้สึกตัว จำเลยตัดสินใจผ่ ำตัดหูข้ำงซ้ำยเนื่องจำกเห็นว่ำจะเป็นกำรรักษำที่ ได้ผลดีกว่ำ จะเห็นได้ว่ำ กำรกระทำของแพทย์เช่นนี้ย่อมไม่อยู่ในควำมคุ้มครองจำก กำรถูกฟ้องละเมิด หรือ โจทก์ยินยอมให้แพทย์ผ่ำตัดไส้ติ่ง แต่แพทย์กลับไปผ่ำตัด กระเพำะอำหำรด้วยควำมประมำทเลินเล่อ เช่นนีแ้ พทย์ตอ้ งรับผิด แต่ ห ำกเป็ น กรณี เ หตุ ฉุ ก เฉิ น มิ ไ ด้ มี ห ลัก ก ำหนดไว้ ว่ ำ ไม่ ต้ อ งอำศั ย ควำม ยินยอม แต่สำมำรถอ้ำงหลักในเรื่องของควำมประมำทเลินเล่อได้ 8. ความเสี่ยงภัยเข้าช่วยเหลือผู้ท่อี ยู่ในภยันตราย 9. คาประกาศว่าไม่รับผิดชอบต่อภัยพิบัติท่เี กิดขึ้น ตำมพระรำชบัญญัติว่ำด้วยข้อสัญญำที่ ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มำตรำ 8 ได้บัญญัติวำ่ ข้อตกลง ประกำศ หรือคำแจ้งควำมที่ได้ทำไว้ล่วงหน้ำ เพื่อยกเว้นหรือ จำกัดควำมรับผิดเพื่อละเมิดหรือผิดสัญญำในควำมเสียหำยต่อชีวิต ร่ำงกำย หรือ อนำมัยของผู้อ่นื อันเกิดจำกกำรกระทำโดยจงใจหรือประมำทเลินเล่อของผู้ตกลง ผู้ ประกำศ ผู้แจ้งควำม หรือของบุคคลอื่นซึ่งผู้ตกลง ผู้ประกำศ หรือผู้แจ้งควำมต้อง รับผิดด้วย จะนำมำอ้ำงเป็นข้อยกเว้นหรือจำกัดควำมรับผิดไม่ได้ ข้อตกลง ประกำศ หรือคำแจ้งควำมที่ได้ทำไว้ล่วงหน้ำเพื่อยกเว้นหรือ จำกัด ควำมรับผิดในกรณีอื่นนอกจำกที่กล่ำวในวรรคหนึ่ง ซึ่งไม่เป็น โมฆะ ให้มีผล บังคับ ได้เพียงเท่ำที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่ำนั้น
203
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
มำตรำ 9 ควำมตกลงหรือควำมยินยอมของผู้เสียหำยสำหรับกำรกระทำที่ ต้องห้ำมชัดแจ้งโดยกฎหมำย หรือขัดต่อควำมสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม อันดีของ ประชำชน จะนำมำอ้ำงเป็นเหตุยกเว้นหรือจำกัดควำมรับผิดเพื่อละเมิดมิได้ มำตรำ 10 ในกำรวินิจฉัยว่ำข้อสัญญำจะมีผลบังคับเพียงใดจึงจะเป็นธรรม และพอสมควรแก่กรณี ให้พิเครำะห์ถึงพฤติกำรณ์ทั้งปวง รวมทั้ง (1) ควำมสุจริต อำนำจต่อรอง ฐำนะทำงเศรษฐกิจ ควำมรู้ ควำมเข้ำใจ ควำมสันทัดจัดเจน ควำมคำดหมำย แนวทำงที่เคยปฏิบัติ ทำงเลือกอย่ำงอื่น และ ทำงได้เสียทุกอย่ำงของคู่สัญญำตำมสภำพที่เป็นจริง (2)ปกติประเพณีของสัญญำชนิดนัน้ (3)เวลำและสถำนที่ในกำรทำสัญญำหรือในกำรปฏิบัติตำมสัญญำ (4) กำรรับภำระที่หนักกว่ำมำกของคู่สัญญำฝ่ำยหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบ กับ คู่สัญญำอีกฝ่ำยหนึ่ง 5. กรณีผู้เสียหายมีส่วนผิดด้วย มำตรำ 442 บัญญัติว่ำ ถ้ำควำมเสียหำยได้เกิดขึ้นเพรำะควำมผิดอย่ำงหนึ่ง อย่ำงใดของผู้ต้องเสียหำยประกอบด้วยไซร้ ท่ำนให้นำบทบัญญัติแห่งมำตรำ 223 มำใช้บังคับ โดยอนุโลม มำตรำ 223 บัญญัติวำ่ ถ้ำฝ่ำยผู้เสียหำยได้มีส่วนทำควำมผิดอย่ำงใดอย่ำง หนึ่งก่อให้เกิดควำมเสียหำยด้วยไซร้ ท่ำนว่ำหนี้อันจะต้องใช้ค่ำสินไหมทดแทนแก่ ฝ่ำยผู้เสียหำยมำกน้อยเพียงใดนั้น ต้องอำศัยพฤติกำรณ์เป็นประมำณข้อสำคัญก็คือ ว่ำควำมเสียหำยนั้นได้เ กิด ขึ้นเพรำะฝ่ำยไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ำกันเพีย งไรวิธี เดียวกันนี้ ท่ำนให้ใช้แม้ทั้งที่ควำมผิดของฝ่ำยผู้ที่เสียหำยจะมีแต่เพียงละเลยไม่เตือน ลูกหนี้ให้รู้สกึ ถึงอันตรำยแห่งกำรเสียหำยอันเป็นอย่ำงร้ำยแรงผิดปกติ ซึ่งลูกหนี้ไม่รู้ หรือไม่อำจจะรู้ได้ หรือเพียงแต่ละเลยไม่บำบัดปัดป้อง หรือบรรเทำควำมเสียหำย นั้นด้วย อนึ่งบทบัญญัติแห่งมำตรำ 220 นั้น ท่ำนให้นำมำใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
204
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
หลักกฎหมำยมีอยู่ว่ำ ให้หักลบควำมรับผิดชอบของผู้ที่ทำละเมิดลงตำมส่วน จึงมีประเด็นปัญหำให้พิจำรณำว่ำ 1. กรณีมคี วำมผิดเสมอกัน 2. กรณีบุคคลที่สำมมีส่วนผิด 3. กรณีนำยจ้ำงมีส่วนผิด คำพิพำกษำฎีกำที่ 2129/2542 หนังสือยินยอมให้ทำกำรปลูกสร้ำงอำคำร ร่วมผนัง เป็นข้อตกลงระหว่ำงจำเลยกับ ส. เจ้ำของที่ดินในกำรก่อสร้ำงอำคำรชิด แนวเขตที่ดินของตนและใช้โครงสร้ำงคอนกรีตเสริมเหล็กกับผนังอำคำรด้ำนติดกัน นั้นร่วมกัน โจทก์เป็นเจ้ำของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยซื้อมำจำกภรรยำและทำยำทผู้รับ มรดกของ ส. เจ้ำของที่ดินเดิมฐำนรำกที่รุกล้ำและเหล็กเส้นที่งอกเงยเกิดจำกจำเลย กระทำไปตำมข้อตกลงในหนังสือยินยอมให้ปลูกสร้ำงอำคำรร่วมผนัง แม้จะมีส่วนรุก ล้ำก็ไม่เป็นกำรทำละเมิดต่อ ส. โจทก์รับโอนที่ดินของ ส. มำในสภำพที่มีกำรรุกล้ำ อยู่ก่อนแล้ว จึงไม่มสี ิทธิเรียกค่ำเสียหำยจำกจำเลยเกี่ยวกับกำรรุกล้ำ คำพิพำกษำฎีกำที่ 399/ 2546 ห้ำงจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเหมำก่อสร้ำงสะพำน มีหน้ำที่ต้องติดตั้งเครื่องหมำยแสดงให้เห็นชัดเจนเพื่อควำมปลอดภัยของผู้ใช้ถนน ตลอดเวลำ แต่กลับละเลยไม่ติดตั้งเครื่องหมำยดังกล่ำว ถือว่ำจำเลยที่ 1 ประมำท เลินเล่ออย่ำงร้ำยแรง แม้ผู้ตำยจะขับรถจัก รยำนยนต์ด้วยควำมเร็วสูง แต่หำกมี เครื่องหมำยเตือนเชื่อว่ำผู้ตำยสำมำถเห็นและชะลอควำมเร็วรถได้ทัน และจะไม่ชน ท่อ ระบำยน้ ำคอนกรีต เหตุ ที่ เ กิ ด ขึ้ น จึ ง เป็ น เพรำะควำมประมำทของจ ำเลยที่ 1 มำกกว่ำ จำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นหุ้นส่วนผู้จัดกำรของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่ว มกันรับผิดใน ผลแห่งละเมิดและชดใช้ค่ำเสียหำยแก่โจทก์ผู้เป็นทำยำทของผู้ตำย ซึ่งค่ำเสียหำยที่ โจทก์ ค วรจะได้มำกน้อยเพีย งใดนั้ นต้อ งอำศัย พฤติก ำรณ์แ ห่งกรณีดัง กล่ำ วเป็ น ประมำณตำมมำตรำ 442 ประกอบมำตรำ 223 คำพิพำกษำฎีกำที่ 880/2546 แม้ในปกหน้ำด้ำนในของสมุดเงินฝำก จะมี ข้อควำมให้ผู้ฝำกเงินเป็นผู้เก็บรักษำสมุดเงินฝำกเองก็ตำม ก้เป็นเพียงคำแนะนำมิใช่ ข้อตกลงในกำรฝำกเงิน ส่วนในคำขอเปิดบัญชีเงินฝำกนั้นก็ไม่ได้มีเงื่อนไขโดยชัดแจ้ง ว่ำผู้ฝำกหรือโจทก์จะต้องเก็บรักษำสมุดเงินฝำกไว้เอง คงมีแต่คำแนะนำว่ำควรเก็บ
205
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ไว้ในที่ปลอดภัยเท่ำนั้น กำรที่จำเลยที่ 2 ถอนเงินฝำกของโจทก์ไปได้ จึงเกิดจำก ควำมประมำทเลินเล่อของพนัก งำนของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นผลโดยตรงจำกกำรที่ โจทก์ฝำกสมุดเงินฝำกไว้กับจำเลยที่ 2 กำรกระทำของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่ำโจทก์มี ส่วนประมำทเลินเล่อในกำรกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ด้วย ข้อสังเกต ศำลมีอำนำจยกบทบัญญัติน้ขี ้นึ วินิจฉัยเองได้ คำพิพำกษำฎีกำที่ 2864/2546 กำรพิจำรณำว่ำควำมเสียหำยเกิดขึ้นเพรำะ ฝ่ำยไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ำกันเพียงไรนั้น เมื่อ ว. ผู้ขับรถโจทก์มีส่วนประมำท มำกกว่ำจำเลย โจทก์ ย่อมไม่มีสิท ธิฟ้องเรีย กค่ำเสีย หำยที่เ กิดขึ้นได้ ดั งนั้น กำร วินจิ ฉัยว่ำโจทก์และจำเลยต่ำงมีส่วนประมำทแต่โจทก์เป็นฝ่ำยประมำทมำกกว่ำและ กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่ำเสียหำยแก่โจทก์หนึ่งในสำมส่วนของค่ำเสียหำยที่โจทก์ ได้รับจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมำย ปัญหำดังกล่ำวเป็นปัญหำข้อกฎหมำย ที่เกี่ยวด้วยควำมสงบเรียบร้อยของประชำชน แม้จะไม่มีคู่ควำมฝ่ำยใดยกขึ้นฎีกำ ศำลฎีกำก็มอี ำนำจยกขึน้ วินจิ ฉัยแล้วพิพำกษำคดีไปได้
206
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
บทที่ 6 ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิด ค่ำสินไหมทดแทน (Compensatory) คือกำรเยียวยำควำมเสียหำย/บำดเจ็บที่ ผู้เสียหำยได้รับกำรจำกถูกทำละเมิด กำรเยี ยวยำควำมเสียหำยกฎหมำยให้กำหนด เป็นตัว เงินเท่ำนั้น โดยอยู่ภำยใต้ป รัชญำว่ำ “ไม่ มีผู้ ใดค้าก าไรจากการเป็ นคดี ความ” ซึ่งจะได้ค่ำสินไหมทดแทนมำกหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับควำมเสียหำยที่ เกิดขึ้นมีมำกหรือน้อย ผูท้ ี่ถูกทำละเมิดมีสทิ ธิที่จะดำเนินกำรเพื่อให้ได้รับกำรเยียวยำ ได้หลำยทำง ดังต่อไปนี้ 1. หลัก Self –Help เป็นหลักกำรเพื่อเข้ำมำเพื่อขจัดหรือป้องปัดภัยพิบัติที่เกิดหรือจะเกิดขึ้นด้วย ตัวของผู้ประสบภัยเอง (1) ตำมมำตรำ 1337 บุ ค คลใดใช้ สิ ท ธิ ข องตนเป็ น เหตุ ใ ห้ เ จ้ ำ ของ อสังหำริมทรัพย์ได้รับควำมเสียหำย หรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคำดหมำยได้ว่ำ จะเป็นไปตำมปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอำสภำพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สิน นั้นมำคำนึงประกอบไซร้ ท่ำนว่ำเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์มีสิทธิจะปฏิบัติกำรเพื่อยัง ควำมเสียหำยหรือเดือดร้อนนัน้ ให้สนิ้ ไป ทั้งนีไ้ ม่ลบล้ำงสิทธิที่จะเอำค่ำทดแทน หลักทีบ่ ุคคลที่ได้รับควำมเสียหำยหรืออำจจะได้รับควำมเสียหำยอำจใช้สิทธิ ป้องกันตัวเอง หำกปรำกฏว่ำ 1. เจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ข้ำงเคียงที่ได้รับควำมเสียหำยหรือเดือดร้อนจำก กำรกระทำของเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ข้ำงเคียง 2. ปฏิบัติกำรใด ๆ เพื่อขจัดควำมเสียหำยหรือเดือดร้อนนัน้ 3. ไม่ลบล้ำงสิทธิเรียกค่ำสินไหมทดแทน (2) กำรทำละเมิดเพื่อบำบัดปัดป้องภยันตรำย ตำมมำตรำ 450 ถ้ำบุคคลทำบุบสลำย หรือทำลำยทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อ จะบำบัดปัดป้องภยันตรำยซึ่งมีมำเป็นสำธำรณะโดยฉุกเฉิน ท่ำนว่ำไม่จำต้องใช้ค่ำ สินไหมทดแทน หำกควำมเสียหำยนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุภยันตรำย
207
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ถ้ำบุคคลทำบุบสลำย หรือทำลำยทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะบำบัดปัดป้อง ภยันตรำยอันมีแก่เอกชนโดยฉุกเฉิน ผูน้ ั้นจะต้องใช้คนื ทรัพย์นั้น ถ้ำบุคคลทำบุบสลำย หรือทำลำยทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะป้องกันสิทธิ ของตน หรือของบุคคลภำยนอกจำกภยันตรำยอันมีมำโดยฉุกเฉิน เพรำะตัวทรัพย์ นั้นเองเป็นเหตุ บุคคลเช่นว่ำนีห้ ำต้องรับผิดใช้ค่ำสินไหมทดแทนไม่ หำกว่ำควำมเสียหำยนั้นไม่เกินสมควรแก่เ หตุ แต่ถ้ำภยันตรำยนั้นเกิดขึ้น เพรำะควำมผิดของบุคคลนั้นเองแล้ว ท่ำนว่ำจำต้องรับผิดใช้ค่ำสินไหมทดแทนให้ มำตรำ 450 มีลั กษณะที่ แตกต่ำงจำกมำตรำ 449 เนื่องจำกมำตรำ 450 เป็นกำรป้องปัดภัยที่อำจเกิดจำกธรรมชำติหรือสิ่งอื่นใดที่มิใช่เกิดจำกผู้อื่น (บุคคล) ตำมมำตรำ 449 “...หำกก่อให้เกิดเสียหำยแก่ผู้อื่นไซร้...” มำตรำ 450 สำมำรถจำแนกได้ 2 กรณี (1) การทาละเมิดเพื่อบาบัดปัดป้องภยันตรายสาธารณะโดยฉุกเฉิน 1. บุคคลมีเจตนำเพื่อป้องปัดภยันตรำยโดยกระทำละเมิดแก่ทรัพย์สิ่งใดสิ่ง หนึ่ง จะสังเกตได้ว่ำ กฎหมำยกำหนดเฉพำะกำรทำควำมเสียหำยแก่ทรัพย์มิใช่ บุคคล ดังนั้น กำรป้องกันภยันตรำยแล้วไปกระทำละเมิดแก่บุคคลอื่นย่อมไม่เข้ำข่ำย กำรนิรโทษกรรม 2. บำบัดป้องกันภยันตรำยสำธำรณะโดยฉุกเฉิน ซึ่งตำมวรรคหนึ่งเป็นกำรนิรโทษกรรมให้แก่กำรกระทำเพื่อเป็นกำรป้องกัน ภยันตรำยสำธำรณะโดยฉุกเฉิน เช่น กำรพังทำนบเพื่อป้องกันน้ำท่วม กำรพังรั้ ว เพื่อเข้ำไปดับเพลิง “สาธารณะ” หมำยควำมถึง เรื่องที่เกี่ยวกับส่วนรวมมิใช่เฉพำะบุคคลหนึ่ง บุคคลใดเฉพำะเจำะจง และเงื่อนไขที่เข้ำมำบังคับอีกชั้นหนึ่ง ที่สำมำรถยกเป็นบทนิร โทษได้คือ “โดยฉุกเฉิน” หมำยควำมถึง ต้องรีบด่วนโดยพลัน เพื่อมิให้ผู้คนส่วน ใหญ่ ไ ด้ รับ ควำมเสี ย หำย เพรำะฉะนั้น ต้อ งชั่ง น้ำหนัก ผลประโยชน์ที่ ไ ด้ ว่ำควำม เสียหำยที่เกิดขึ้นต้องให้ประโยชน์แก่ส่วนรวมมำกกว่ำด้วย
208
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
3. ควำมเสียหำยต้องไม่เกินสมควรแก่เหตุภยันตรำย
(2) การทาละเมิดเพื่อบาบัดปัดป้องภยันตรายแก่เอกชน วรรคสอง ถ้ ำบุค คลท ำบุบ สลำย หรื อท ำลำยทรัพย์สิ่ง หนึ่งสิ่งใด เพื่อจะ บำบัดปัดป้องภยันตรำยอันมีแก่เอกชนโดยฉุกเฉิน ผูน้ ั้นจะต้องใช้คนื ทรัพย์นั้น มำตรำ 451 บุคคลใช้กำลังเพื่อป้องกันสิทธิของตน ถ้ำตำมพฤติกำรณ์จะ ขอให้ศำลหรือเจ้ำหน้ำที่ช่วยเหลือให้ทันท่วงทีไม่ได้ และถ้ำมิได้ทำในทันใด ภัยมีอยู่ ด้วยกำรที่ตนจะได้สมดังสิทธินั้นจะต้องประวิงไปมำกหรือถึงแก่สำบสูญได้ไซร้ ท่ำน ว่ำบุคคลนั้นหำต้องรับผิดใช้ค่ำสินไหมทดแทนไม่กำรใช้กำลังดังกล่ำวมำในวรรคก่อน นั้น ท่ำนว่ำต้องจำกัด ครัดเคร่งแต่เฉพำะที่จำเป็นเพื่อจะบ ำบัดปัดป้องภยั นตรำย เท่ำนั้น ถ้ำบุคคลผูใ้ ดกระทำกำรดังกล่ำวมำในวรรคต้น เพรำะหลงสันนิษฐำนพลำด ไปว่ำมีเหตุอันจำเป็นที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมำยไซร้ ท่ำนว่ำผูน้ ั้นจะต้องรับผิด ใช้ ค่ำสินไหมทดแทนให้แก่ บุค คลอื่น แม้ทั้งกำรที่หลงพลำดไปนั้นจะมิใช่เ ป็นเพรำะ ควำมประมำทเลินเล่อของตน มำตรำ 452 ผู้ครองอสังหำริมทรัพย์ชอบที่จะจับสัตว์ของผู้อื่นอันเข้ำมำทำ ควำมเสียหำยในอสังหำริมทรัพย์นั้น และยึดไว้เป็นประกันค่ำสินไหมทดแทนอันจะ พึงต้องใช้แก่ตนได้ และถ้ำเป็นกำรจำเป็นโดยพฤติกำรณ์แม้จะฆ่ำสัตว์นั้นเสียก็ชอบที่ จะทำได้แต่ว่ำผู้นั้นต้องบอกกล่ำวแก่เจ้ำของสัตว์โดยไม่ชักช้ำ ถ้ำและหำตัวเจ้ำของ สัตว์ไม่พบ ผู้ที่จับสัตว์ไว้ตอ้ งจัดกำรตำมสมควรเพื่อสืบหำตัวเจ้ำของ
2. ฟ้องคดีของให้ศาลมีคาสั่งห้ามบุคคลที่กระทาละเมิดยุติการกระทา (Injunction)
เช่น ลงหนังสือพิมพ์หมิ่นประมำท ขณะฟ้องร้องให้จำเลยรับผิด แล้วขอให้ ศำลมีคำสั่งห้ำมกระทำสิ่งนั้นต่อไป ซึ่งกำรร้องขอให้ศำลมีคำสั่งห้ำมมีด้วยกันอยู่ หลำยทำง เช่น คำพิพำกษำของศำลถือเป็นที่สุดของคำสั่งห้ำม (Final)
209
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
3. ฟ้องขอให้ศาลมีคาสั่งแสดงสิทธิของตน (Declaration of Right) เพื่อยืนยันว่ำตนมีสิทธิ ต้องปรำกฏข้อเท็จจริงว่ำ สิทธินั้นไม่ชัดเจน และมีคน มำล่วงสิทธินั้น และฟ้องต่อศำลให้ยืนยันสิทธิ เช่น คดีพิพำทในเรื่องกรรมสิทธิ์ใน ที่ดินไม่ชัดเจน โจทก์ว่ำที่ดินเป็นที่ดินสำธำรณะประโยชน์ จำเลยบุกรุกเข้ำมำขอให้ ศำลขับ ไล่ จำเลย จำเลยให้ ก ำรต่ อสู้ ว่ำที่ ดิน แปลงนี้เ ป็น ที่ดิน ที่ต นได้รั บ มรดกมำ จำเลยขอให้ศำลมีคำสั่งยกฟ้องและขอให้ศำลมีคำสั่งแสดงสิทธิของตนในที่ดนิ นั้น 4. ฟ้องขอให้ศาลมีคาสั่งบังคับให้กระทาการ (Mandamus Order) เช่น คดีฟ้องขับไล่ ฟ้องขอให้ร้ือถอนสิ่งปลูกสร้ำง มำตรำ 435 ละเมิดที่เ กิดจำกโรงเรือนหรือสิ่งปลูก สร้ำง ฝ่ำยผู้เ สีย หำย สำมำรถกระทำดังนี้ 1. ขอให้ศำลบังคับ ให้จำเลยรื้อถอนหรือกระท ำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ป ลอดภัย ฉะนั้นต้องขอต่อศำลให้ชัดเจนว่ำต้องกำรให้ศำลมีคำสั่งอย่ำงไร 2. หำกจำเลยไม่ปฏิบั ติตำม โจทก์สำมำรถเข้ำดำเนินกำรได้โดยค่ำใช้จ่ำย ทั้งหมดที่สมควรแก่เหตุให้ตกเป็นภำระของจำเลย มำตรำ 447 ค่ำสินไหมทดแทนเพื่อควำมเสียหำยแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ โดย ขอให้ศำลสั่งให้จำเลยจัดทำกำรตำมสมควรเพื่อทำให้ชื่อเสียงของโจทก์กลับคืนดีขนึ้ ตัวอย่ำง โจทก์ (ผูเ้ สียหำย) ได้ฟ้องจำเลยว่ำได้กล่ำวหรือไขข่ำวแพร่หลำยซึ่ง ข้อควำมอันฝ่ำฝืนต่อควำมจริงเป็นละเมิดมำตรำ 423 คดีนี้ได้ควำมว่ำ โจทก์เป็น พนักงำนกำรประปำนครหลวง ตำแหน่งช่ำงฝีมือ 3 ส่วนทะเบียนและซ่อมบำรุง กอง บริก ำรภำยใน จำเลยเป็น พนั ก งำนกำรประปำนครหลวง ต ำแหน่งผู้ อำนวยกำร บำรุงรักษำ เมื่อประมำณต้นเดือนเมษำยน 2534 จำเลยกระทำกำรละเมิดต่อโจทก์ ด้วยกำรกล่ำวหรือไขข่ำวแพร่หลำยซึ่งข้อควำมอันฝ่ำฝืนต่อควำมจริงโดยกล่ำวใส่ ควำมโจทก์ตอ่ บุคคลที่สำม ว่ำ “ตอนที่สมัยโจทก์ยังทำงำนอยู่ที่เขตบริกำรพระโขนง
โจทก์ได้ไปลักเจำะท่อ ประปำใหม่ให้แก่โรงน้ำแข็งในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญำตเป็นกำรผิดระเบียบของกำร ประปำนครหลวง โจทก์ถูกตั้งกรรมกำรสอบสวนมีโทษหนักถึงไล่ออกจำกงำน และ ตั ว จ ำเลยเป็ น กรรมกำรสอบสวนเอำควำมผิ ด แก่ โ จทก์ ด้ ว ย โจทก์ ไ ปขอร้ อ งให้
210
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ช่ว ยเหลื อ มิ ฉ ะนั้น ครอบครัว จะเดื อ ดร้ อน โจทก์ ต้อ งถู ก ไล่ ออกจำกงำน จ ำเลย สงสำรเห็นแก่ครอบครัวจึงได้ช่วยเหลือให้โจทก์พ้นผิดจำกกำรถูกลงโทษ ถ้ำจำเลย ไม่ช่วยเหลือ ก็ต้องถูกไล่ออกจำกงำนไปแล้ว” ข้อควำมดังกล่ำวไม่เป็นควำมจริง จำเลยจงใจกล่ำวใส่ควำมโจทก์เพื่อให้ บุคคลอื่น ผู้บังคับบัญชำ ผู้ร่วมงำน เพื่อนบ้ำน ญำติพี่น้อง และบุคคลทั่วไปเข้ำใจว่ำ โจทก์มีพฤติกำรณ์เช่นที่จำเลยใส่ควำมทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง เสื่อมเสีย ต่อชื่อเสียง เกียรติคุณ และทำงทำมำหำได้ โจทก์เคยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้พิพำกษำ สมทบศำลแรงงำนกลำง ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมกำรมำตรฐำนควำมปลอดภัยใน กำรทำงำนของกระทรวงมหำดไทย ได้รั บเลือกตั้งเป็นกรรมกำรสภำไทย ได้รับกำร เลือกตั้งเป็นกรรมกำรสหกรณ์ออมทรัพย์ กำรประปำนครหลวง เป็นที่ปรึกษำเพื่อ พัฒนำแรงงำนแห่งชำติ เป็นที่ปรึกษำบริษัทเอกชนหลำยแห่ง เป็นหัวหน้ำหน่วยของ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด และดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับบ้ำนและที่ดินจัดสรร โจทก์ขอคิดค่ำเสียหำยที่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ควำมเชื่อถือ และทำงทำมำหำได้ ทั้ ง สิ้ น เป็ น เงิ น หนึ่ ง ล้ ำ นบำท และให้ จ ำเลยโฆษณำค ำพิ พ ำกษำของศำลใน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ เดลิมิเรอร์ บ้ำนเมือง และมติชน โดยจำเลยเป็นผู้เสีย ค่ำใช้จ่ำย ท่ำนจะเห็นได้ว่ำ ในคดีนี้ โจทก์ถู ก จำเลยกระท ำละเมิดตำมมำตรำ 423 หมิ่นประมำท ซึ่งโจทก์เรียกค่ำสินไหมทดแทนเพื่อกำรละเมิด และโดยขอให้ศำลสั่ง ให้จำเลยจัดทำกำรตำมสมควรเพื่อทำให้ชื่อเสียงของโจทก์กลับคืนดีขึ้น กล่ำวคือ ขอให้จำเลยโฆษณำคำพิพำกษำของศำลในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ เดลิมิเรอร์ บ้ำนเมือง และมติชน โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่ำใช้จ่ำย 3. กรณี อื่ น เช่ น ให้ ศ ำลมี ค ำสั่ ง ให้ จ ำเลยส่ ง ข้ อ มู ล เอกสำรให้ โ จทก์ ต ำม รัฐธรรมนูญ
211
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
5. ค่าเสียหาย (Compensation) ค่ ำ เสี ย หำยหรื อ ค่ ำ สิ น ไหมทดแทนเพื่ อ ละเมิ ด กฎหมำยได้ ว ำงหลั ก กำร กำหนดค่ำเสียหำยไว้โดยบัญญัติไว้ตำม มาตรา 438 ว่า ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้ โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรง แห่งละเมิด อนึ่ง ค่าสินไหมทดแทนนัน้ ได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไป เพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อ ความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย
5.1 หลักชดเชยความเสียหาย (Compensatory Damage) ในกำรกำหนดค่ำเสียหำยให้ชดใช้ค่ำเสียหำยให้แก่โจทก์ผู้ถูกกระทำละเมิด ซึ่งศำลจะไม่ให้โจทก์ได้รับกำไรจำกสิ่งที่สูญเสีย ข้อยกเว้น 5.1.1 ค่าเสียหายแต่ในนาม (Nominal Damage) พิ จ ำรณำได้ ว่ ำ ค่ ำ เสี ย หำยจริ ง ๆ แล้ ว ไม่ มี ที่ จ ะต้ อ งชดใช้ ใ ห้ แต่ ถ้ ำ ไม่ ก ำหนดให้ มีค่ ำ เสีย หำยจะดู ป ระหนึ่ง ว่ ำ กฎหมำยไม่ไ ด้ ใ ห้ค วำมคุ้ ม ครอง ศำลจึ ง กำหนดค่ำเสียหำยให้ เช่น นำยกิตติ ด่ำทอนำยหมอดีตอ่ หน้ำธำรกำนัล เป็นต้น ขอยกตั ว อย่ ำ ง ในคดี ที่ จ ำเลยหนั ง สื อ พิ ม พ์ ฉ บั บ หนึ่ ง หมิ่ น ประมำท นักกำรเมืองที่ได้เคยแสดงแล้วในเรื่องของมำตรำ 423 นั้น คดีดังกล่ำวศำลใช้ดุลย พิ นิ จ ก ำหนดค่ ำ เสี ย หำย ซึ่ ง โจทก์ ไ ด้ ฎี ก ำว่ ำ ศำลล่ ำ งทั้ ง สอง (ศำลชั้ น ต้ น ศำล อุทธรณ์) ที่กำหนดค่ำเสียหำยให้แก่โจทก์ห้ำล้ำนบำท แต่โจทก์ฎีกำว่ำห้ำล้ำนบำท น้อยเกินไป ควรเป็นสิบล้ำนบำท ในขณะเดียวกันจำเลยทั้งสองฎีกำว่ำห้ำล้ำนบำท มำกเกิ นไปเช่นกั น ศำลฎีก ำได้วินิจฉั ย ดังต่อไปนี้ ขอให้ท่ำนพึงสังเกตข้อเท็จจริง แวดล้อ มที่ ศำลก ำหนดค่ ำเสีย หำย ดั งนี้ โจทก์เ ป็นนั ก กำรเมื องอำวุ โ สมีชื่ อเสีย ง เกียรติคุณเป็นที่รู้จักในหมู่ประชำชนทั่วไป เคยเป็นสมำชิก สภำผู้แทนรำษฎรจังหวัด แพร่ติดต่อกันถึง 6 สมัย เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและรองนำยกรัฐมนตรี ขณะเกิด เหตุเป็นสมำชิกสภำผู้แทนรำษฎรจังหวัดแพร่ และเป็นหัวหน้ำพรรคสำมัคคีธรรม โจทก์ เ ป็ นผู้ห นึ่งที่ ไ ด้รั บ กำรคำดหมำยว่ำจะได้ รับ กำรสนับ สนุน ให้ด ำรงตำแหน่ ง นำยกรัฐมนตรี เมื่อกำรกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ 1. เสียชื่อเสียง 2. ถูกดูหมิ่น
212
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
3. ถูกเกลียดชัง 4. ขำดควำมเชื่อถือทำงกำรค้ำ 5. สูญเสียโอกำสในกำรดำรงตำแหน่งนำยกรัฐมนตรี ดั ง นั้ น กำรที่ ศ ำลล่ ำ งทั้ ง สองก ำหนดให้ จ ำเลยร่ ว มกั น ชดใช้ ค่ ำ เสี ย หำย เหมำะสมแล้ว
law
5.1.2 ค่าเสียหายในเชิงลงโทษ (Punitive Damage) หลักค่ำเสียหำยในเชิงลงโทษนี้นิยมแพร่หลำยอย่ำงมำกในประเทศ Common กำรก ำหนดค่ ำเสีย หำยในเชิ งลงโทษเพื่อ ไม่ ต้อ งกำรให้ผู้ อื่น เอำเยี่ ย งอย่ ำ ง
(Exemplatory Damage)
กรณีเช่นว่ำนี้ ศำลจะกำหนดค่ำสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์สูงกว่ำที่เป็นจริง ศำลอังกฤษจะใช้หลักค่ำเสียหำยเชิงลงโทษ อยู่ 2 กรณี 1. กรณีละเมิดโดยเจ้ำหน้ำที่ของรัฐที่กระทำโดยจงใจ หรือประมำทเลินเล่อ หรือทุจริต เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่ำงแก่ประชำชน 2. กรณีล ะเมิ ด ที่ตั ว ผู้ก ระท ำละเมิด จงใจกระท ำละเมิ ดเพื่ อผลประโยชน์ ในทำงเศรษฐกิ จ ของตนเอง เช่ น กำรลงหนั งสื อพิ ม พ์เ ผยแพร่ ข่ ำวที่ เ ป็ นเท็ จ แต่ คำนวณรำยได้จำกกำรขำยหนังสือพิมพ์เมื่อหักกับค่ำสินไหมทดแทนแล้วเห็นว่ำได้ กำไร ศำลก็จะกำหนดค่ำเสียหำยในเชิงลงโทษให้สูงขึ้น กรอบของกำรกำหนดค่ำเสียหำยในเชิงลงโทษในประเทศสหรัฐอเมริกำ เป็น อิสระของศำลที่สำมำรถกำหนดได้ในทุกกรณีมิได้จำกัดเพียงสองประกำรเหมือน ศำลอังกฤษ สำหรับประเทศไทย ถือว่ำกฎหมำยละเมิดเป็นเครื่องมือทำงกฎหมำย เพื่อให้สังคมยุติธรรมและมีคุณภำพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้น ในกำรกำหนดค่ำเสียหำยหรือ ค่ำสินไหมทดแทน มำตรำ 438 บัญญัติว่ำ “ค่ำสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถำนใด เพียงใดนั้น ให้ศำลวินิจฉัยตำมควรแก่พฤติกำรณ์และควำมร้ำยแรงแห่งละเมิด ” เช่น คดีทำลำยสุสำนบรรพบุรุษ โจทก์นำคดีฟ้องศำลเป็นคดีละเมิด (ควำมเสียหำยต่อ ทรัพ ย์) ซึ่ งจะเห็น ได้ ว่ำ ล ำพั งเพีย งควำมเสีย หำยต่ อทรั พย์ สิน มิไ ด้มี รำคำค่ำ งวด เท่ำไหร่ แต่ควำมสูญเสียที่เกิดขึน้ ในหมู่ญำติพ่นี ้องมำกมำยเกินกว่ำรำคำทรัพย์ ศำล ฎีกำเคยตัดสินว่ำศำลสำมำรถกำหนดค่ำสินไหมทดทดแทนให้มำกกว่ำควำมเสียหำย ได้
213
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
5.2 ความเสียหายที่กฎหมายไม่คุ้มครอง ควำมเสียหำยที่กฎหมำยรับรองต้องเป็นควำมเสียหำยที่มีลักษณะแน่นอน ชัดเจนเป็นรูปธรรม 1. ควำมเสียหำยต่อจิตใจ 2. ควำมเสียหำยทำงเศรษฐกิจ 3. ควำมเสียหำยในอนำคต 5.3 ความเสียหายอย่างอื่นที่คานวณเป็นตัวเงินมิได้ มาตรา 446 บั ญ ญั ติ ว่ ำ “ในกรณี ท าให้ เ ขาเสี ย หายแก่ ร่ า งกายหรื อ อนามัยก็ดี ในกรณีทาให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่า สินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่ นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้ สิทธิ เรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้ และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับ สภาพกันไว้โดยสัญญาหรือได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว อนึ่ง หญิงที่ต้องเสียหายเพราะผู้ใดทาผิดอาญาเป็นทุรศีลธรรมแก่ตน ก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องทานองเดียวกันนี”้ หมำยควำมว่ำ ควำมเสียหำยอันไม่อำจคำนวณเป็นเงินได้ แต่ควำมเสียหำย เช่นว่ำนี้ต้องเป็นผล สืบเนื่องมำจำกกำรกระทำละเมิด จำเป็นต้องเยียวยำหรือ ทดแทนควำมเสียหำยให้ เช่นเดียวกัน ซึ่งอำจมีควำมเสียหำยมำกยิ่งกว่ำควำม เสียหำยต่อร่ำงกำยอีก ด้ว ย ควำมเสีย หำยที่มิใ ช่ตัวเงิน เช่น ควำมเจ็บปวดทน ทุกขเวทนำระหว่ำงกำรรักษำ พยำบำลหรือต้องทุพพลภำพพิกำรต่อไป ควำม เสียหำยเช่นว่ำนี้กฎหมำยให้ศำล มีอำนำจกำหนดให้ตำมพฤติกำรณ์และควำม ร้ำยแรงแห่งละเมิด เพรำะค่ำสินไหมทดแทนเพื่อควำมเสียหำยที่มิใช่ตัวเงิน ย่อมจะ นำสืบคิดเป็นจำนวนเงินเท่ำใด ไม่ได้อยู่ในตัว
214
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
การละเมิดทาให้ผู้เสียหายเครียด คดีผ่ำตัดหน้ำอกดังที่ได้กล่ำวถึงในเรื่องควำมประมำทเลินเล่อ คดีนี้โจทก์ ฟ้องว่ำควำมประมำทเลินเล่อท ำให้สภำพเต้ำนมทั้งสองข้ำงกลำยเป็นก้อนเนื้อที่ ติดกันเพียงก้อนเดียว และหมดควำมรู้สึกในกำรตอบสนองกำรสัมผัสและไม่มีหัวนม หลังจำกได้รับกำรผ่ำตัดแล้วมีอำกำรติดเชื้ออย่ำงรุนแรงเป็นเหตุให้มีน้ำเหลืองไหล ออกมำเป็นจำนวนมำก โจทก์เรียกร้องดังต่อไปนี้ 1. ค่ำใช้จ่ำยในกำรผ่ำตัด 100,000 บำท 2. ค่ำรักษำพยำบำลในกำรรักษำเต้ำนมเพิ่มขึ้น 73,135 บำท 3. ค่ำควำมทนทุกข์ทรมำนทั้งร่ำงกำยและจิตใจ ซึ่งเป็นควำมเสียหำยอันมิใช่ ตัวเงิน 1,200,000 บำท 4. ค่ำรักษำพยำบำลในอนำคต 700,000 บำท จะเห็นได้ว่ำ ประเด็นเรื่องค่ำใช้จ่ำยที่เกิดขึ้นเพรำะควำมเสียหำยกรณีที่ 1 และ2 สำมำรถพิสูจน์ได้ว่ำเสียค่ำใช้จ่ำยไปจริงเท่ำไหร่ ก็สำมำรถเรียกร้องได้ กรณีที่ 3 สำหรับกำรที่โจทก์มอี ำกำรเครียดเนื่องจำกอำกำรเจ็บปวด ต่อมำ ภำยหลังพบว่ำกำรทำศัลยกรรมไม่ได้ผลทำให้โจทก์เครียดมำก กังวลและนอนไม่ หลับรุนแรงกว่ำก่อนผ่ำตัดอำกำรมำกขึ้นกว่ำเดิม ควำมเครียดของโจทก์จึงเป็นผล โดยตรงมำจำกกำรผ่ำตัด จำเลยต้องรับผิดและแม้ไม่มีใบเสร็ จมำแสดงว่ำได้เสียเงิน ไปเป็นจำนวนเท่ำใดแน่นอน แต่น่ำเชื่อว่ำโจทก์ต้องรักษำจริง จึงเห็นสมควรกำหนด ค่ำใช้จ่ำยส่วนนีเ้ ป็นเงิน 50,000 บำท ส่วนกรณีที่ 4 ค่ำเสียหำยอื่นเมื่อปรำกฏว่ำหลังจำกแพทย์โรงพยำบำลอื่นได้ รักษำโจทก์อยู่ในสภำพปกติแล้ว จึงไม่อำจเรียกร้องเอำค่ ำสินไหมทดแทนเพื่อควำม เสียหำยอย่ำงอื่นอันมิใช่ตัวเงิน เพรำะไม่มคี วำมเสียหำยที่แน่นอน คำพิพำกษำฎีกำที่ 5751/2544 กำรรถไฟแห่งประเทศไทย จำเลยที่ 9 ไม่ สำมำรถส่งโจทก์ทั้งสอง และผู้โดยสำรอื่นต่อไปได้เพรำะมีรถไฟตกรำงอยู่ข้ำงหน้ำ จำเลยที่ 9 ย่อมมีหน้ำที่ จัดหำยำนพำหนะอื่นขนส่งโจทก์ทั้งสองและผู้โดยสำรอื่นไป ให้ถึงจุดหมำยปลำยทำง อันเป็นกำรรับขนส่งผู้โดยสำรตำม ป.พ.พ. มำตรำ 608609 และ พ.ร.บ. กำรรถไฟแห่งประเทศไทยฯ มำตรำ 9 (7) กำรขนถ่ำยผู้โดยสำร
215
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ของจำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 8 จำกขบวนรถไฟของจำเลยที่ 9 ที่ปรำกฏแก่โจทก์ทั้ง สองและบุคคล ภำยนอกซึ่งไปมำระหว่ำงสถำนีรถไฟ ล. กับสถำนีรถไฟ ค. จึงเป็น กำรทำแทนจำเลย ที่ 9 นิติสัมพันธ์ระหว่ำงจำเลยที่ 9 กับจำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 8 จึงอยู่ในฐำนะ ตัวกำรและตัวแทนตำม ป.พ.พ. มำตรำ 797 ควำมเสียหำยที่มิใช่ตัวเงินตำม ป.พ.พ. มำตรำ 446 หมำยควำมว่ำ ควำม เสียหำยอันไม่อำจคำนวณเป็นเงินได้ แต่ควำมเสียหำยเช่นว่ำนี้ต้องเป็นผล สืบ เนื่องมำจำกกำรกระทำละเมิด จำเป็นต้องเยียวยำหรือทดแทนควำมเสียหำยให้ เช่นเดียวกัน ซึ่งอำจมีควำมเสียหำยมำกยิ่งกว่ำควำมเสียหำยต่อร่ำงกำยอีกด้วย ควำมเสี ย หำยที่ มิใ ช่ตัว เงิ น เช่น ควำมเจ็บ ปวดทนทุก ขเวทนำระหว่ำ งกำรรั ก ษำ พยำบำลหรือต้องทุพพลภำพพิกำรต่อไป ควำมเสียหำยเช่นว่ำนี้กฎหมำยให้ศำล มี อำนำจกำหนดให้ตำมพฤติกำรณ์และควำมร้ำยแรงแห่งละเมิด เพรำะค่ำสินไหม ทดแทนเพื่อควำมเสียหำยที่มิใช่ตัวเงิน ย่อมจะนำสืบคิดเป็นจำนวนเงินเท่ำใด ไม่ได้ อยู่ในตัว เมื่อพิจำรณำจำกลักษณะบำดแผลกับวิธีกำรรักษำบำดแผลของ โจทก์ที่ 1 ซึ่งต้องผ่ำตัดและเข้ำเฝือกหลำยครั้ง ต้องรับกำรรักษำเป็นเวลำนำนร่วม 3 ปี ต้อง ทนทุกข์ทรมำนต่อควำมเจ็บปวดของบำดแผลในระหว่ำงกำรรั กษำ อันเป็นเวลำนำน ยิ่งกว่ำนั้นสภำพแขนซ้ำยของโจทก์ที่ 1 ต้องทุพพลภำพ ตลอดชีวิต ทั้งเสียบุคลิกภำพ เนื่องจำกผลของกำรผ่ำตัดทำให้แขนซ้ำยสั้นกว่ำ แขนขวำ ถือว่ำเป็นควำมเสียหำย อันมิใช่ตัวเงินที่โจทก์ที่ 1 ชอบจะเรียกร้องได้ โจทก์ที่ 2 ต้องออกจำกงำนมำดูแล โจทก์ที่ 1 โดยตลอด ซึ่งก็ต้อง ขวนขวำยหำเงินมำเป็นค่ำใช้จ่ำยในกำรรักษำพยำบำล โจทก์ที่ 1 รวมทั้งกำรดำรงชีพ ของโจทก์ที่ 1 ตลอดมำในระหว่ำงดำเนินคดีจนคดีถึง ที่สุดเป็นเวลำนำนกว่ำ 10 ปี นอกจำกนี้ในคดีละเมิด โจทก์ที่ 1 มีสิทธิ์เรียกดอกเบี้ย ได้นับแต่วันละเมิดเป็นต้นไป ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 206 แต่โจทก์ที่ 1 ก็มิได้เรียกร้อง ดอกเบีย้ ก่อนฟ้อง มำด้วย กำรที่ศำลล่ำงทั้งสองกำหนดให้จำเลยที่ 9 เสียดอกเบี้ยใน อัตรำร้อยละ 15 ต่อปีของค่ำเสียหำยตำม ป.วิ.พ. มำตรำ 142 (6) นั้นชอบแล้ว
216
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ค่าเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย มำตรำ 444 ในกรณีทำให้เสียหำยแก่ร่ำงกำยหรืออนำมัยนั้นผู้ตอ้ งเสียหำย ชอบที่จะได้ชดใช้ค่ำใช้จ่ำยอันตนต้องเสียไป และค่ำเสียหำยเพื่อกำรที่เสีย ควำมสำมำรถประกอบกำรงำนสิน้ เชิงหรือแต่บำงส่วน ทั้งในเวลำปัจจุบันนั้นและใน เวลำอนำคตด้วย
ถ้ำในเวลำที่พิพำกษำคดี เป็นพ้นวิสัยจะหยั่งรูไ้ ด้แน่ว่ำควำมเสียหำยนั้นได้มี แท้จริงเพียงใด ศำลจะกล่ำวในคำพิพำกษำว่ำยังสงวนไว้ซึ่งสิทธิที่จะแก้ไขคำ พิพำกษำนั้นอีกภำยในระยะเวลำไม่เกินสองปีก็ได้ ค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วน กำรศึกษำเรื่อง “ค่ำสินไหมทดแทน : ศึกษำกรณีเสียควำมสำมำรถ ประกอบกำรงำน” วัตถุประสงค์กำรศึกษำเพื่อให้ทรำบว่ำ กำรเสียควำมสำมำรถ ประกอบกำรงำนในกรณีที่เกิดจำกกำรกระทำละเมิดแก่ร่ำงกำยหรืออนำมัย ตำม ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ของไทย มำตรำ444 มีควำมหมำยและขอบเขต เพียงใด กรณีใดบ้ำงที่จะถือว่ำเป็นกำรเสียควำมสำมำรถประกอบกำร มี หลักเกณฑ์ในกำรพิจำรณำควำมเสียหำยนีอ้ ย่ำงไร ศำลไทยตีควำมและบังคับใช้ บทบัญญัติของกฎหมำยอย่ำงไร ปัญหำในทำงปฏิบัติที่อำจเกิดขึ้นมีประกำรใดบ้ำง วิธีกำรศึกษำใช้วธิ ีค้นคว้ำ รวบรวมข้อมูลจำกหนังสือ บทควำม และคำพิพำกษำ ของศำล ทั้งของไทยและต่ำงประเทศ แล้วนำมำวิเครำะห์ เปรียบเทียบ และขยำย ควำมบทบัญญัติของกฎหมำยไทยที่มอี ยู่ เพื่อให้เกิดควำมเข้ำใจที่ชัดเจนยิ่งขึน้ ใน เรื่องดังกล่ำว ผลกำรศึกษำพบว่ำ บทบัญญัติในเรื่องกำรเสียควำมสำมำรถประกอบกำร งำนตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ของไทย มำตรำn444 เป็นเรื่องรำวที่ ผู้ถูกกระทำละเมิดอำจต้องพิกำร หรือ ทุพลภำพ ทำให้เสียไปหรือเสื่อมลงของ สมรรถภำพ,ประสิ ท ธิ ภ ำพในกำรประกอบกำรงำน ,กำรที่ ต้ อ งเสี ย โอกำส
217
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ควำมก้ำวหน้ำในหน้ำที่กำรงำน เช่น กำรเลื่อนขั้น ฯลฯ ตลอดจนถึงกำรที่ต้องตกอยู่ ในฐำนะที่เ สีย เปรีย บหรือด้อยกว่ำคนอื่นในตลำดแรงงำน เช่ นเดีย วกับ ประมวล กฎหมำยลั ก ษณะหนี้ ส วิ ส มำตรำ46 ซึ่ ง เป็ น ที่ ม ำของมำตรำนี้ กำรเสี ย ควำมสำมำรถประกอบกำรงำนตำมมำตรำนี้ มิ ไ ด้ ห มำยควำมถึ ง เฉพำะแต่ ควำมสำมำรถที่ต้องเสียไปหรือเสื่อมลง ในกำรงำนของเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกำรทำ มำหำได้เท่ำนั้นหำกแต่ยังหมำยควำมรวมถึง กำรงำนที่เป็นกิจวัตรประจำวันของ ผูเ้ สียหำยด้วย กำรเรี ย กร้ อ งค่ ำ เสี ย หำยเพื่ อ กำรเสี ย ควำมสำมำรถประกอบกำรงำน โดยเฉพำะในส่ ว นของค่ ำ เสี ย หำยในอนำคตนั้ น เป็ น ไปตำมหลั ก ในเรื่ อ งควำม เสียหำยที่แน่นอนแล้ว ในทำงปฏิบัติของศำลไทย ศำลไทยยังคงยึดหลักกำหนดค่ำเสียหำยตำม ควำมเสียหำยที่ผู้เสียหำยได้รับตำมควำมเป็นจริงอยู่ โดยศำลจะกำหนดเป็นเงิน ก้อนได้เพียงครำวเดียวแก่ผู้เสีย หำย ศำลไทยยั งมุ่งถึงประโยชน์ในแง่ของควำม แน่ น อนที่ ผู้เ สี ย หำยจะได้ รั บ กำรเยี ย วยำควำมเสีย หำยและได้รั บ เงิ น ค่ำ เสีย หำย ในทันที ปัญหำในทำงปฏิบัติมักเกิดขึ้นในคดีที่มีกำรเรียกร้องค่ำเสียหำยเพื่อกำรเสีย ควำมสำมำรถประกอบกำรงำน คือกรณีที่ผู้เ สีย หำยมีสิท ธิไ ด้รับ เงินประกั นภั ย อุบัติเ หตุส่วนบุค คลไว้ ประโยชน์ท ดแทนตำมกฎหมำยประกั นสังคม กำรศึกษำ พบว่ำ เงินประกันภัย , เงินทดแทน หรือประโยชน์ทดแทน ไม่ใช่เงินหรือสิ่งที่ได้รับมำ เพื่อเป็นกำรทดแทนควำมเสียหำยในกรณีละเมิดแต่อย่ำงใด สำหรับเงินประกันภัย เป็นเพียงกรณีที่ผู้เสียหำยสร้ำงหลักประกันให้แก่ตนเพิ่มเติมเท่ำนั้น จึงไม่ใช่ส่วนเงิน ทดแทนหรื อประโยชน์ท ดแทนตำมกฎหมำยประกั น สังคม ก็ เ ป็นเพีย งกรณีที่รั ฐ บังคับให้ลูกจ้ำงต้องมีหลักประกันเพิ่มเติม จึงไม่ใช่เรื่องที่ผู้กระทำละเมิดจะอ้ำงขึ้น เพื่อให้ตนไม่ต้องชดใช้ค่ำเสียหำย หรือนำมำเป็นข้ออ้ำงเพื่อลดค่ำเสียหำยที่ตนต้อง รับผิดชอบตำมกฎหมำยแพ่งได้ไม่ ข้อเสนอแนะมี 2 แนวทำง แนวทำงแรกเสนอให้ตีควำม และบังคับใช้มำตรำ 444 ที่มอี ยู่ โดยให้ยึดถือตำมหลักในเรื่องควำมเสียหำยที่แน่นอนแล้ว และเสนอให้
218
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ใช้ควบคู่ไปกับ มำตรำ 438 โดยเสนอให้ศำลเป็นผู้มบี ทบำทในกำรใช้ดุลยพินิจ กำหนดค่ำเสียหำยเพื่อกำรเสียควำมสำมำรถประกอบกำรงำน สำหรับแนวทำงที่ สอง ได้เสนอให้แก้ไขบทบัญญัติในมำตรำ 444 ให้เหมำะสมและทันสมัยขึ้น อายุความ มำตรำ 448 สิทธิเรียกร้องค่ำเสียหำยอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้นท่ำนว่ำขำด อำยุควำมเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ตอ้ งเสียหำยรู้ถึงกำรละเมิดและรู้ตัวผูจ้ ะพึงต้อง ใช้คำ่ สินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันทำละเมิด แต่ถ้ำเรียกร้องค่ำเสียหำยในมูลอันเป็นควำมผิดมีโทษตำมกฎหมำยลักษณะ อำญำ และมีกำหนดอำยุควำมทำงอำญำยำวกว่ำที่กล่ำวมำนั้นไซร้ ท่ำนให้เอำอำยุ ควำมที่ยำวกว่ำนั้นมำบังคับ อายุความ คาพิพากษาฎีกาที่ 292/2542 จำเลยที่ 2 ทำกำรผ่ำตัดหน้ำอกโจทก์ที่มี ขนำดใหญ่ให้มีขนำดเล็กลงที่โรงพยำบำลจำเลยที่1 หลังผ่ำตัดแล้วจำเลยที่ 2 นัดให้ โจทก์ไปทำกำรผ่ำตัดแก้ไขที่คลินิกจำเลยที่ 2 อีก 3ครั้ง แต่อำกำรไม่ดีขึ้น โจทก์จึง ให้แพทย์อื่นทำกำรรักษำต่อ แม้ตัวโจทก์และนำยแพทย์ ด. ผู้ทำกำรรักษำโจทก์ต่อ จำกจำเลยที่ 2 จะไม่สำมำรถนำสืบให้เห็นว่ำ จำเลยที่ 2ประมำทเลินเล่อในกำร ผ่ำตัดและรักษำพยำบำลโจทก์อย่ำงไร แต่เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชำญด้ำน ศัลยกรรมด้ำนเลเซอร์ผ่ำตัด จำเลยที่ 2 จึงมีหน้ำที่ต้องใช้ควำมระมัดระวังตำมวิสัย และพฤติกำรณ์พิเศษ กำรที่นำยแพทย์ ด. ต้องทำกำรผ่ำตัดแก้ไขอีก 3 ครั้ง แสดงว่ำ จำเลยที่ 2 ผ่ำตัดมีข้อบกพร่องจึงต้องแก้ไข และแสดงว่ำ จำเลยที่ 2 ไม่ใช้ควำม ระมัดระวังในกำรผ่ำตัด และไม่แจ้งให้ผู้ป่วยทรำบถึงขั้นตอนกำรรักษำ ระยะเวลำ และกรรมวิธีในกำรดำเนินกำรรักษำ จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย นับว่ำ เป็นควำมประมำทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ถือได้ว่ำจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์
219
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
พฤติกำรณ์ที่โจทก์ตดิ ต่อรักษำกับจำเลยที่ 2 ที่คลินกิ และตกลงให้โจทก์เข้ำ ผ่ำตัดในโรงพยำบำลจำเลยที่ 1 โจทก์จ่ำยเงินให้จำเลยที่ 2 จำนวน 70,000 บำท ให้ จำเลยที่ 1 จำนวน 30,000 บำท ยังฟังไม่ได้ว่ำจำเลยที่ 1 เป็นนำยจ้ำงหรือตัวกำรที่ ต้องร่วมรับผิด ในส่วนของค่ำเสียหำยนอกจำกส่วนที่มีใบเสร็จ แม้โจทก์จะมีอำกำรเครียด อยู่ก่อนได้รับกำรผ่ำตัดจำกจำเลยที่ 2 แต่เมื่อหลังผ่ำตัดอำกำรมำกขึ้นกว่ำเดิม ควำมเครียดของโจทก์จึงเป็นผลโดยตรงมำจำกกำรผ่ำตัด จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด และแม้ไม่มีใบเสร็จมำแสดงว่ำได้เสียเงินได้เป็นจำนวนเท่ำใดแน่นอน แต่น่ำเชื่อว่ำ โจทก์ต้องรักษำจริง ศำลเห็นสมควรกำหนดค่ำใช้จ่ำยส่วนนี้ให้สำหรับค่ำเสียหำยอื่น นั้นเมื่อปรำกฏว่ำหลังจำกแพทย์โรงพยำบำลอื่นได้รักษำโจทก์อยู่ในสภำพปกติแล้ว โจทก์จึงไม่อำจเรียกร้องเอำค่ำสินไหมทดแทนดพื่อควำมเสียหำยอื่นอันมิใช่ตัวเงิน เหตุละเมิดเกิดวันที่ 12 เมษำยน 2537 ต้องฟ้องภำยใน 1 ปี ครบกำหนด ตรงกับวันหยุดสงกรำนต์วันที่ 12 ถึง 14 เมษำยน วันที่ 15 และวันที่ 16 เมษำยน 2538 เป็นวันเสำร์อำทิตย์ รำชกำรหยุดทำกำร โจทก์ยื่นฟ้องวันเปิดทำกำรวันที่ 17 เมษำยน 2538 คดีไม่ขำดอำยุควำม คาพิพากษาฎีกาที่ 1942/2543 แม้จำเลยที่ 1 อยู่ในฐำนะเป็นผูว้ ่ำจ้ำงจำเลย ที่ 6 และที่7 ตอกเสำเข็มในกำรก่อสร้ำงภัตตำคำร แต่ได้ควำมว่ำจำเลยที่ 1 มิได้ ปล่อยให้จำเลยที่ 6 และ ที่ 7 ตอกเสำเข็มไปตำมแบบแปลนโดยลำพังจำเลยที่ 1 ให้ ก. เป็นวิศวกรผู้ควบคุมดูแลกำรตอกเสำเข็มทั้งหมด ก.จึงอยู่ในฐำนะตัวแทนของ จำเลยที่ 1 เมื่อ ก. เห็นแล้วว่ำกำรตอกเสำเข็มของจำเลยที่ 6 และที่ 7 ก่อให้เกิดควำม เสียหำยแก่โจทก์ แต่มิได้สั่งห้ำมหรือมิให้เปลี่ยนแปลงวิธีกำรทำงำนเพื่อมิให้โจทก์ต้อง เสียหำยถือได้ว่ำจำเลยที่ 1 เป็นผู้ผิดในส่วนกำรงำนที่สั่งให้ทำด้วย อำยุควำมละเมิดตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 446 วรรค หนึ่งมี ก ำหนด 1 ปี นับ แต่ วั นที่ ผู้ต้องเสีย หำยรู้ ถึงกำรละเมิด และรู้ ตัวผู้ จะพึง ใช้ค่ ำ สินไหมทดแทนซึ่งหมำยควำมว่ำต้องรู้ครบทั้งสองประกำร ศำลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ำ โจทก์ พ บควำมเสีย หำยของรั้วและบ้ำนของโจทก์กั บ รู้ตัวผู้ จะพึงต้องใช้ค่ ำสินไหม
220
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ทดแทน เมื่อกลำงเดือนมกรำคม 2534 จำเลยที่ 1 ที่ 6และที่ 7 ฎีกำว่ำควำมเสียหำย เกิดก่อนเดือนธันวำคม 2533 แต่มิได้ฎีกำโต้เถียงเรื่องที่โจทก์รู้ตัวว่ำผู้จะพึงต้องใช้ค่ำ สินไหมทดแทน จึงต้องฟังยุติตำมคำพิพำกษำศำลอุทธรณ์ว่ำโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ ค่ำสินไหมทดแทนเมื่อกลำงเดือนมกรำคม 2534 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อเดือนธันวำคม 2534 คดีจึงไม่ขำดอำยุควำม ค าพิ พ ากษาฎี ก าที่ 212/2544 โจทก์ ฟ้ อ งบั ง คั บ เพื่ อ ให้ จ ำเลยที่ 1 ด ำเนิ น กำรระงั บ ควำมเสี ย หำยอั น จะบั ง เกิ ด แก่ โ จทก์ ต่ อ ไป ไม่ ไ ด้ ฟ้ อ งเรี ย กเอำ ค่ำเสียหำยซึ่งเกิดจำกกำรละเมิดโดยตรงจึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอำยุควำม 1 ปีตำม ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์. มำตรำ 448 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ำจำเลยที่ 1 ปฏิบัติฝ่ำฝืนประมวลกฎหมำยแพ่งและ พำณิชย์. มำตรำ 1342วรรคหนึ่งและวรรคสอง จนเป็นเหตุให้มีน้ำโสโครกซึมเข้ำไป ในที่ดินและบ้ำนของโจทก์ แ ละมีก ลิ่นเหม็นไม่อำจพัก อำศัยอยู่ใ นที่ดินและบ้ำนได้ ตำมปกติสุข อันเป็นกำรฝ่ำฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมำยซึ่งเป็นข้อห้ำมโดยเด็ดขำด จึง เป็นกำรละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองโดยตรง จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่ำสินไหมทดแทน ให้โจทก์ทั้งสองตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 420 แม้จะได้ควำม ว่ำ จำเลยที่ 1 ได้โอนอำคำรชุดที่เกิดเหตุไปให้จำเลยที่ 2 แล้วก็ตำม จำเลยที่ 1 ก็ไม่ อำจอ้ำงประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 434 มำยกเว้นควำมผิดของตน ได้ เพรำะคดีนี้ควำมเสียหำยมิได้เกิดขึ้นเพรำะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้ำงอย่ำง อื่นก่อสร้ำงไว้ชำรุดบกพร่องหรือบำรุงรักษำไม่เพียงพอ ศาลฎีกายกฟ้องเพราะเหตุขาดอายุความ ศำลฎีกำได้ตรวจสำนวน ประชุมปรึกษำหำรืออย่ำงละเอียดรอบคอบ คดีนี้มี ปัญหำจำต้องวินิจฉัยในสองประเด็นว่ำ คดีส่วนแพ่งตำมฟ้องโจทก์ ขำดอำยุควำม แล้วหรือไม่ เห็นว่ำ นำงดลพร ยื่นฎีกำว่ำได้ทำคลอด ด.ช.กฤตบุญ เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2534 ที่ รพ.พญำไท 1 โดยมีสูตินรี และกุมำรแพทย์ ดูแลแล้วเกิดกำรรักษำพยำบำล ที่ผิดพลำด ทำให้ ด.ช.กฤตบุญ มีอำกำรขำซ้ำยไม่มีแรง เนื่องจำกสำเหตุติดเชื้อที่ บริเวณสะโพก ทำให้ขำทั้งสองข้ำงยำวไม่เท่ำกัน พิกำรไปตลอดชีวิต อันเป็นเหตุ ละเมิด ตำมกฎหมำยแพ่ง ซึ่งกฎหมำยดังกล่ำวได้กำหนดเงื่อนไขให้โจทก์ยื่นฟ้อง
221
เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชากฎหมายว่าด้วยละเมิด กิตติบดี ใยพูล
ภำยใน 1 ปี นับตั้งแต่รู้ถึงเหตุแห่งละเมิด แต่ปรำกฏว่ำ โจทก์ได้มำยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2539 คดีจงึ ขำดอำยุควำม ในประเด็นที่สอง ซึ่งนำงดลพรยื่นฎีกำว่ำ คดีนี้เป็นคดีอำญำเกี่ยวเนื่องกั บคดี แพ่ง จึงต้องนำกำรนับเอำอำยุควำมแห่งคดีอำญำมำใช้บังคับ ซึ่งมีอำยุควำม 10 ปี คดีนจี้ งึ ยังไม่ขำดอำยุควำม ศำลฎีกำเห็นว่ำ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยำยถึงสภำพแห่งควำมผิดของจำเลย ในลักษณะอำญำว่ำ จำเลยได้กระทำโดยประมำท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรำย สำหัส แต่ศำลฎีกำได้ตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้ว ปรำกฏว่ำ ไม่ได้บรรยำยฟ้องให้ ครบองค์ประกอบควำมผิดดังกล่ำว แต่กลับมำบรรยำยฟ้องว่ำ แพทย์มิได้ให้กำร รักษำอย่ำงระมัดระวัง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ซึ่งเป็นสภำพควำมรับผิด ในทำงแพ่ง ดังนั้น คดีจึงมีอำยุควำมเพียง 1 ปี ตำมกฎหมำยแพ่งว่ำด้วยควำมรับผิด ในทำงละเมิด ฟ้องของโจทก์ จึงขำดอำยุควำมเช่นเดียวกัน จึงพิพำกษำยื่นตำมศำล ล่ำง *****************************************
222