ชั่ว...พริบตา Tout, tout de suite
ชั่ว...พริบตา • กรรณิกา จรรย์แสง แปล
จากเรื่อง Tout, tout de suite ของ Morgan Sportès Copyright © 2011 by Morgan Sportès. All rights reserved. Thai Language Copyright © 2014 by Matichon Publishing House. All rights reserved. Copyright arranged with : Morgan Sportès 56 Boulevard Voltaire 75011 Paris FRANCE พิมพ์ครั้งแรก : สำ�นักพิมพ์มติชน, พฤษภาคม 2557 ราคา 260 บาท ข้อมูลทางบรรณานุกรม สปอร์แตซ, มอร์กาน. ชั่ว...พริบตา. กรุงเทพฯ : มติชน, 2557. 368 หน้า. 1. นวนิยายฝรั่งเศส I. กรรณิกา จรรย์แสง, ผู้แปล II. ชื่อเรื่อง 843.5 ISBN 978 - 974 - 02 - 1285 - 0
ที่ปรึกษาส�ำนักพิมพ์ : อารักษ์ คคะนาท, สุพจน์ แจ้งเร็ว, สุชาติ ศรีสุวรรณ, ปิยชนน์ สุทวีทรัพย์, ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์, นงนุช สิงหเดชะ ผู้จัดการส�ำนักพิมพ์ : กิตติวรรณ เทิงวิเศษ • รองผู้จัดการส�ำนักพิมพ์ : รุจิรัตน์ ทิมวัฒน์ บรรณาธิการบริหาร : สุลักษณ์ บุนปาน • บรรณาธิการส�ำนักพิมพ์ : พัลลภ สามสี ผู้ช่วยบรรณาธิการ : ทิมา เนื่องอุดม • พิสูจน์อักษร : สุเทพ ชาญกิจ กราฟิกเลย์เอาต์ : อรอนงค์ อินทรอุดม • ออกแบบปก : ประภาพร ประเสริฐโสภา ศิลปกรรม : นุสรา สมบูรณ์รัตน์ • ประชาสัมพันธ์ : สุภชัย สุชาติสุธาธรรม
หากท่านต้องการสั่งซื้อหนังสือเล่มนี้จ�ำนวนมากในราคาพิเศษ เพื่อมอบให้วัด ห้องสมุด โรงเรียน หรือองค์กรการกุศลต่างๆ โปรดติดต่อโดยตรงที่ บริษัทงานดี จ�ำกัด โทรศัพท์ 0-2580-0021 ต่อ 3353 โทรสาร 0-2591-9012
www.matichonbook.com บริษัทมติชน จำ�กัด (มหาชน) : 12 ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์ 1 เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์ 0-2580-0021 ต่อ 1235 โทรสาร 0-2589-5818 แม่พิมพ์สี-ขาวดำ� : กองพิมพ์สี บริษัทมติชน จำ�กัด (มหาชน) 12 ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์ 1 เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์ 0-2580-0021 ต่อ 2400-2402 พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด 27/1 หมู่ 5 ถนนสุขาประชาสรรค์ 2 ตำ�บลบางพูด อำ�เภอปากเกร็ด นนทบุรี 11120 โทรศัพท์ 0-2584-2133, 0-2582-0596 โทรสาร 0-2582-0597 จัดจำ�หน่ายโดย : บริษัทงานดี จำ�กัด (ในเครือมติชน) 12 ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์ 1 เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์ 0-2580-0021 ต่อ 3350-3353 โทรสาร 0-2591-9012 Matichon Publishing House a division of Matichon Public Co.,Ltd. 12 Tethsabannarueman Rd, Prachanivate 1, Chatuchak, Bangkok 10900 Thailand หนังสือเล่มนี้พิมพ์ด้วยหมึกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อปกป้องธรรมชาติ ลดภาวะโลกร้อน และส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของผู้อ่าน
ชั่ว...พริบตา Tout, tout de suite Morgan Sportès เขียน กรรณิกา จรรย์แสง แปล
Le traducteur a bénéficié, pour cet ouvrage, du soutien du Centre national du livre. หนังสือเล่มนี้ ผู้แปลได้รับความสนับสนุนจากศูนย์หนังสือแห่งชาติฝรั่งเศส
กรุงเทพมหานคร สำ�นักพิมพ์มติชน 2557
เสมือนกล่าวนำ�
และแล้ววันเวลาก็น�ำพาเรามาสู่ห้วงแห่งการเปลี่ยนผ่าน ความเป็นไป ในสังคมโลดแล่นเลื่อนไหลจนตกหล่นหายไประหว่างทาง ไม่ต่างจากผู้คน ในกระแสแห่งความสับสน ดิ้นรนแข่งขันเพื่อวันนี้และวันข้างหน้าของตัวเอง จนโรยรา ล้าแรง เราซุกซ่อนความทุกข์โศกไว้ข้างเวที ก่อนจะฝืนยิ้มหัว แสดงตัวว่ายังมี ชีวิตชีวาอยู่หน้าม่าน เราต่างสวมบทบาทอย่างผสานกลมกลืน หากก็ยังรู้สึกแปลกแยกต่อ กันและกัน เราสรรค์ค�ำว่า “ชายขอบ” ขึ้นมา เพื่อบ่งบอกภาวะเข้าไม่ถึง ไม่ลงตัว และเป็นส่วนเกิน ...ชั่วพริบตาเดียว มโนส�ำนึกแห่งยุคสมัยจึงอาจพลิกเรื่องเล็กให้เป็น เรื่องใหญ่ บิดเบือนความรับรู้ เกลื่อนสีขาว-ด�ำให้แลเห็นเป็นสีเทาหลายๆ เฉด กร่อนกลืนความหยาบ-ละเอียดให้แยกขาดจากกันได้ไม่สนิท อาการป่วยไข้ในสังคมฉายชัดผ่านปรากฏการณ์นานาชนิด ความ รุนแรงที่หยิบยืมมารับสมอ้างความชอบธรรมมีให้เห็นอยู่มากมาย กระทั่ง แม้แต่เหตุผลที่เข้าใจไม่ได้และไม่อาจยอมรับก็เริ่มขยับกลายเป็นความคุ้นชิน ที่เราผู้สังเกตการณ์ ยังอ่านและบันทึกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อ เชื่อวัน
เหตุต้นผลลัพธ์ของเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ก็อยู่ในข่ายนั้น คือเป็น หนึ่งในผลงานที่ถูกจัดแสดงเพื่อบ่งชี้การมีอยู่ของสิ่งที่อาจไม่เคยคาดคิด แต่ กลับได้พบเผชิญ ข่ า วใหญ่ ส ะเทื อ นจิ ต ส� ำ นึ ก เมื่ อ ปี 2006 กลายเป็ น ฝั น ร้ า ยคุ ก คาม สวัสดิภาพทางใจและกายของชาวฝรั่งเศส ด้วยว่าแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุ ยังคล้ายจะคลุมเครือ เหยื่อเคราะห์ร้ายเป็นเพียงชายหนุ่มวัย 23 ในขณะที่ กลุ่มผู้ก่อเหตุเองก็ไม่ได้อ่อนแก่กว่ากันสักเท่าไร...หน�ำซ�้ำบางรายยังเป็นเพียง ผู้เยาว์เท่านั้น ทว่าทั้งสองฝ่ายก็ถูกจัดวางไว้ในต�ำแหน่งที่แบ่งแยกจากกันด้วย ป้ายห้อยคอระบุการสังกัดกลุ่ม ในพื้นที่ผลิตอันจ�ำกัด ชาติพันธุ์ที่แตกต่าง ยิ่งถ่างช่องว่าง ความแปลกถิ่นแปลกที่สร้างความรู้สึกแปลกแยกและเปล่า เปลี่ยว เสมือนไม่ใช่สมาชิกที่แท้ของหมู่พวก เสมือนคนนอกในที่ทางของ ตัวเอง ซึ่งความเห็นอกเห็นใจอันน่าจะช่วยถมเต็มความเว้าแหว่งนั้น พลัน ถูกบดบังด้วยอคติและความเชื่อลวงๆ ความ “ชั่ว” (?) ที่บังเกิดขึ้นใน “พริบตา” ตัวละครชีวิตจริงเหล่านี้คือภาพแทนอย่างหนึ่งของสภาพสังคมช�ำรุด ทรุดโทรม ซึ่งไม่ว่าจะเพศ วัย เชื้อชาติศาสนาใดก็หนีไม่พ้นสถานะ “เหยื่อ” ผลพวงจากโครงสร้างทางสังคมที่เน้น “ผลประโยชน์ด่วนได้” โดยไม่ยี่หระ ต่อปัญหาความขัดแย้งละเอียดอ่อนที่จะตามมา เช่นเดียวกับคราวฝากผลงาน รุกสยาม ในพระนามของพระเจ้า ชุด ความจริงที่ถ่ายทอดผ่านสายตาและคมปากกาของมอร์กาน สปอร์แตซครั้งนี้ น�ำเอาเบื้องหลังโศกนาฏกรรมร�ำลึกมาเล่าเป็น “เรื่องจริงอิงนิยาย” เชิงสืบสวน สุดเข้มข้น คว้ารางวัล Prix Interallié ปี 2011 จากกลุ่มนักหนังสือพิมพ์-นัก วิจารณ์และนักเขียน และ Les Globes de Cristal ปี 2012 สาขาวรรณกรรม รางวัลส�ำหรับศิลปินผู้ท�ำงานด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศฝรั่งเศส ณ ชายขอบของเรื่องจริงและเรื่องเล่า...มีเรื่องราว ผู้ชื่นชอบในเสน่ห์และสไตล์ที่หนักแน่น เจาะลึก เก็บรายละเอียด เสียดสี คงได้สนุกอ่านกันอีกครั้ง
ส�ำนักพิมพ์มติชน ชั่ว...พริบตา
5
ปรารภจากผู้เขียน
นักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไปปารีสอาจเคยมีประสบการณ์นั่งรถใต้ดินสาย หนึ่งไปอีกสายหนึ่ง เช่นสายจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ (ย่านหรูของปารีส) ข้ามไปสายตะวันตกเฉียงเหนือ (ย่านคนยากคนจน) แล้วคุณก็จะได้เห็นไม่ เฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมแต่เป็นทางชาติพันธุ์ด้วย ผู้โดยสารทั้งที่ หน้าตาเป็นแอฟริกันและอาหรับเพิ่มจ�ำนวนมากขึ้นๆ เช่นเดียวกับรูปแบบการ แต่งกาย มากรายสวมหมวกแก๊ปแบบนักกีฬาและชุดจ๊อกกิ้ง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่อาจยังไม่เป็นที่สังเกต นั่นคือความเชื่อและการนับถือศาสนาซึ่งไม่เหมือน เดิมอีกต่อไป คนที่นับถืออิสลามเพิ่มจ�ำนวนขึ้นเรื่อยๆ... และนี่คือโฉมหน้า “ที่ผิดแผกแตกต่าง” (หรือ unseen! ก็ว่าได้) ของ ประเทศฝรั่งเศสที่คุณๆ ผู้อ่านชาวไทยจะได้พบในหนังสือเล่มนี้ ผมเล่า(ให้) รายละเอียดข่าวรายวันชวนสยองขวัญอันมีผลสะเทือนทั่วทั้งประเทศฝรั่งเศส เรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี 2006 เป็นเหตุการณ์ลักพาตัวเรียกค่าไถ่และฆาตกรรมเอลี หนุ่มฝรั่งเศสเชื้อสายยิวอายุ 23 โดยฝีมือของแก๊งนักเลงวัยรุ่นเขตชานเมือง ทางใต้ของปารีส ผู้ลงมือทั้งหมดสัญชาติฝรั่งเศส ส่วนใหญ่เป็น “ผลพวงจาก การอพยพเข้าเมือง” ของชาติพันธุ์ที่หลากหลาย นั่นคือบุตรหลานแรงงาน อพยพมุสลิมจากประเทศคองโก ไอวอรี่โคสต์ และประเทศอิสลามในแอฟริกา
เหนือ (มาเกร็บ) หรือแม้แต่อิหร่าน ที่น่าสนใจคือ 8 คนในจ�ำนวน 25 คน เปลี่ยนจากเดิมนับถือคาทอลิกมาเป็นอิสลาม แท้จริงแล้วสังคมเราก�ำลังตกอยู่ใต้ระบบตรรกะอันไม่อาจพลิกผันของ ยุคโลกาภิวัตน์ นับวันปัญหาคนว่างงานจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการเพิ่ม ปริมาณของชุมชนชั้นล่างที่ถูกกีดกันออกนอกระบบและตกอยู่ในสภาพยาก ล�ำบาก ศาสนาอิสลามจึงกลายเป็นแหล่งพักพิง (เช่นเดียวกับการเผยแผ่ค�ำ สอนพระคัมภีร์ไบเบิล) เป็น “ที่พึ่งในจินตนาการ” ของปัจเจกผู้คับแค้น และ ยากไร้ซึ่งความมั่นคงทางจิตวิญญาณ ทางสังคม วัฒนธรรม และการสังกัด ชุมชนเมือง... “ปัญหาเรื่องยิว” ซึ่งชาวพุทธอาจไม่ค่อยได้สัมผัสรับรู้ ก็เป็นอีกประเด็น หนึ่งที่ส�ำคัญในหนังสือของผม เอลีตกเป็นเหยื่อเรียกค่าไถ่และถูกสังหาร (ด้วย การเผาทั้งเป็น) เพราะเขาเป็นคนยิว ด้วยเหตุว่าคนยิวคือคนรวย ทั้งๆ ที่แท้ จริงเขาเป็นคนจน เป็นเพียงพนักงานขายโทรศัพท์มือถือ...ภาพลักษณ์ที่ว่า คนยิวรวยเป็นปฏิกิริยาสืบเนื่องมาจากต�ำนานความขัดแย้งเก่าแก่ระหว่าง อิ ส ลาม-คริ ส ต์ ที่ พ ระเยซู ค ริ ส ต์ ถู ก ยิ ว จู ด าสทรยศ ดั ง นั้ น ในความสั บ สน อลหม่านของสังคมโลก ซึ่งเมืองไทยก็ไม่อาจหลีกพ้นได้นี้ ความคิด ความ หลง และความเกลียดชังที่ตกค้างมาแต่อดีตก็กลับหวนฟื้นคืนมาใหม่ได้ใน จิตวิญญาณที่สับสน ที่ควรแก่การต้องเอ่ยถึงไว้ คือข้อเท็จจริงที่ว่า “โลกโลกาภิวัตน์” นี้ ก่อเค้ามาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เมื่อชาติในซีกโลกตะวันตกเคลื่อนตัว อันเป็นยุคสมัยที่ผมเขียนเล่าไว้ในเรื่อง รุกสยาม ในพระนามของพระเจ้า นวนิยายว่าด้วยการปะทะขัดแย้งระหว่างสยามและรัฐชาติฝรั่งเศสในรัชสมัย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งผู้อ่านไทยให้ความสนใจ และทั้งหมดนี้...จะว่าไปแล้ว ก็เป็นคนละเรื่องเดียวกัน
มอร์กาน สปอร์แตซ ตุลาคม 2556 ชั่ว...พริบตา
7
ปรารภจากผู้แปล เมื่อพลเมืองนักอนุรักษ์ (ธรรมชาติ) คิดว่าตนได้ตั้งค�ำถามชวนท้าทาย ว่าเราจะส่งมอบโลกแบบไหนให้กับลูกหลานของเรา เขาหลีกเลี่ยงที่จะตั้งอีกค�ำถามหนึ่งซึ่งชวนให้กังวลใจอย่างแท้จริงยิ่งกว่า ว่าเราจะส่งมอบลูกหลานประเภทไหนให้กับโลกใบนี้ Jaime Semprun, L’abîme se repeuple, 1997
TOUT, TOUT DE SUITE (Fayard, 2011) นวนิยายเรื่องใหม่ของมอร์กาน สปอร์แตซ ได้รับรางวัล Prix Interallié ในปี 2011 และรางวัลด้านศิลป วัฒนธรรม Globes de Cristal ในปี 2012 จุดประกายการถกเถียงในสื่อ ฝรั่งเศสต่อประเด็นปัญหาสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของวัยรุ่นบุตร หลานแรงงานอพยพ ความขัดแย้งเมื่อเผชิญกับการจัดการของรัฐ ตลอดจน ปัญหาการเมืองเรื่องการต่อต้านขบวนการต่อต้านยิวในยุโรป เหตุฆาตกรรมอิลาม ฮาลิมิ (Ilam Halimi) หนุ่มน้อยชาวยิว พนักงาน ขายโทรศัพท์ในเขต 12 ของปารีส เหยื่อเรียกค่าไถ่โดยฝีมือของแก๊งวัยรุ่น ผิวสี เกิดขึ้นจริงในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2006 ผู้เขียนใช้เวลาสองปีเพื่อค้นคว้า ข้อมูล อ่านเอกสารทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกว่า 8,000 หน้า พบปะสัมภาษณ์ ต�ำรวจผู้รับผิดชอบคดี ผู้พิพากษา ทนายความ ก่อนที่จะท�ำ “ส�ำนวน” เรื่อง ใหม่ในเชิงสืบสวนสอบสวน ปรากฏเป็น “เรื่องจริงอิงนิยาย” ด้วยลีลารายงาน ข่าว ขณะเดียวกันก็พยายามท�ำความเข้าใจวิธีคิดและพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุ โดยสอดแทรกทัศนะมุมมองของผู้เขียนให้น้อยที่สุด
ในท่ามกลางความงามของเมืองปารีสที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จัก เพียง ขึ้นรถเมล์จากตัวเมืองไม่กี่ป้ายออกไปยังชานเมือง “ดินแดนชายขอบ” ที่พัก อาศัยของแรงงานอพยพเชื้อสายแอฟริกันและอาหรับ ที่นั่นไม่ใช่ปารีส “ศิวิไลซ์” เฉกเช่นหอไอเฟล แม่น�้ำแซน สะพานงดงามเก่าแก่ สถาปัตยกรรม อันเลื่องชื่อ พิพิธภัณฑ์ล�้ำค่า ฯลฯ ใครเลยจะหยั่งรู้ได้ว่าข้างหลังภาพปารีส ดินแดนท่องเที่ยวลือชื่อ มีปัญหาสังคมที่ก่อตัวและหยั่งรากลึกอยู่ คือปัญหา ของลูกหลานผู้อพยพจากดินแดนอาณานิคมเข้าไปเป็นแรงงานราคาถูกใน ฝรั่งเศสในช่วงทศวรรษที่ 60/70 ของศตวรรษก่อน ปัจจุบันพวกเขาเติบใหญ่ ได้สัญชาติฝรั่งเศส แต่มีวัยรุ่นบางส่วนที่กลับรู้สึก “แปลกแยก” ในบ้านเกิด เมืองนอนของตนเอง มีชีวิตอยู่วันต่อวันอย่างไร้อนาคต ไร้สถานะทางสังคม และเมื่อคิดอยากได้อะไร ก็ต้องให้ได้ทันใจ ดังชื่อภาษาฝรั่งเศสของหนังสือ TOUT, TOUT DE SUITE คนเหล่านี้คือตัวละครหลักในนวนิยายเล่มนี้ ในมุมมองของผู้เขียน พวกเขาเป็นเสมือน “le quart monde - คน จากโลกที่สี่” ความแตกแยกที่ปรากฏ คือข้อขัดแย้งแตกต่างระหว่างโลกที่สาม (อาณานิคมในอดีต) กับโลกที่พัฒนาแล้ว “ยาเซฟ” (ตัวละครในหนังสือ—ชื่อจริงคือ Youssouf Fofana) หัวหน้า ทีม เกิดในครอบครัวชาวนาไร้ที่ดินจากไอวอรี่โคสต์ เช่นเดียวกับสมุนร่วมแก๊ง 25 คน บุตรหลานของผู้อพยพคนชั้นรากหญ้า ‘คนเถื่อน’ (ตามส�ำนวนที่สื่อ ใช้เรียก) สัญชาติฝรั่งเศสส่วนใหญ่นี้เป็นคนนอกของสังคม ระบบการผลิตล้น เกินการบริโภคของทุนนิยมสมัยใหม่ไม่จ�ำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากแรงงาน ของพวกเขาอีกต่อไป ไม่แม้กระทั่งให้อยู่ในสภาพแรงงานราคาถูกเหมือนเช่น คนรุ่นพ่อแม่ เช่นแม่ที่ท�ำงานเป็น ‘ช่างเทคนิคพื้นผิว’ หรือคนท�ำความสะอาด เราดีๆ นี่เอง และพ่อเป็นพนักงานหรือไม่ก็คนว่างงาน อัตราการว่างงานใน รุ่นลูกจึงสูงมาก วิธีหาเงินใช้ง่ายๆ เพื่อให้อยู่รอด ก็ต้องหางาน ‘ใต้ดิน’ นอก ระบบท�ำ จ�ำพวกขายเสื้อผ้า ซิมโทรศัพท์ บุหรี่ น�้ำมันเถื่อน และค้ายาเสพติด ...อีกด้านหนึ่ง รัฐพยายามจะเข็นนโยบายเพื่อแก้ปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ ชั่ว...พริบตา
9
และวัฒนธรรม นายกรัฐมนตรีเดอ วิลแป็งพยายามจะจัดระบบจ�ำกัดการว่า จ้างงาน และนิโกลาส์ ซาร์โกซี (ซึ่งต่อมาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี) เจ้า กระทรวงมหาดไทย ก็เร่งให้มีการ ‘ล้างท�ำความสะอาดเขตชานเมือง’ เสมือน หนึ่งว่าการกวาดล้างแก๊งวัยรุ่นอันธพาลของต�ำรวจจะแก้ปัญหาที่หยั่งรากลึก ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่ออ่านที่มาที่ไปของเหตุฆาตกรรมที่ไม่น่าจะเกิด เราผู้อ่านอาจได้รับ ค�ำตอบบางส่วนต่อเหตุการณ์วัยรุ่นผิวด�ำและอาหรับลุกขึ้นเผาบ้านเผาเมือง ที่ชานเมืองปารีสและตามหัวเมืองในช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2005 ซึ่งยังเป็น ความขัดแย้งที่คุกรุ่นอยู่ใต้ผืนพรมตราบเท่าทุกวันนี้ ชวนให้ย้อนกลับมาดูปัญหาสังคมในบ้านเรา กับจ�ำนวนแรงงานอพยพ จากประเทศเพื่อนบ้านที่เพิ่มปริมาณ วิถีชีวิตอันจ�ำกัด ยากแค้น และนอก ระบบของพวกเขา อีกทั้งลูกหลานที่ก�ำลังเติบใหญ่เป็นคน “ชายขอบ” ในสังคม เรา ผู้แปลได้แต่ตั้งความหวังไว้ในใจว่า อาศัยบทเรียนจากประวัติศาสตร์ใน สังคมอื่น การเปลี่ยนผ่านไปสู่การอยู่ร่วมกันระหว่างคนต่างเผ่าพันธุ์ และที่ ส�ำคัญคือต่างสถานะในสังคมหลากเชื้อชาติที่ยังคงมีช่องว่างระหว่างชนชั้น จะเป็นไปได้โดยสันติ ช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2556 ผู้แปลได้รับทุนสนับสนุนจากศูนย์ หนังสือแห่งชาติฝรั่งเศส (Centre national du Livre - CnL) และสถานเอก อัครราชทูตฝรั่งเศสประจ�ำประเทศไทยให้เดินทางไปท�ำงานแปลนวนิยายเล่ม นี้ที่ศูนย์นักแปลวรรณกรรมแห่งชาติ (Collège national des traducteurs littéraires) ที่เมือง Arles เมืองมรดกโลกในแคว้นโปรว็องซ์ และที่ปารีส จึง ได้มีโอกาสท�ำงานตรวจทานแก้ไขต้นฉบับกับนักเขียน ไปดูสถานที่เกิดเหตุ ถิ่นที่พักอาศัยของวัยรุ่นผู้ก่อการในแถบชานเมืองทางใต้ ได้รับประสบการณ์ ตรงและสัมผัสบรรยากาศกลิ่นอายของปารีสที่ไม่ได้เป็นของ “คนฝรั่งเศสพันธุ์ แท้” เหมือนเช่นในอดีตอีกต่อไป… 10
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
ขอขอบคุณศูนย์หนังสือแห่งชาติฝรั่งเศส ศูนย์นักแปลวรรณกรรมแห่ง ชาติ Monsieur Jeremy Opritesco ที่ปรึกษาและหัวหน้าฝ่ายวัฒนธรรม และความร่วมมือ สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจ�ำประเทศไทย ส�ำหรับ การเดินทางและการท�ำงานแปลในฝรั่งเศส คุณมอร์กาน สปอร์แตซ ผู้เขียน ส�ำหรับค�ำเฉลยปัญหาข้อสงสัยทั้งเรื่องภาษา ข้อมูลและภูมิหลังทางสังคมใน บริบทฝรั่งเศส คุณวราภรณ์ ก ศรีสุวรรณ ผู้พิมพ์ต้นฉบับด้วยความวิริยะอดทน คุณรุจิรัตน์ ทิมวัฒน์ รองผู้จัดการส�ำนักพิมพ์มติชน ส�ำหรับแรงสนับสนุนและ ก�ำลังใจ และคุณทิมา เนื่องอุดม บรรณาธิการเล่ม ผู้อ่านตรวจทานและปรับ แก้ต้นฉบับด้วยความละเอียดประณีตและใส่ใจ
กรรณิกา จรรย์แสง มกราคม 2557
ชั่ว...พริบตา 11
ผู้เขียนขอขอบคุณ บริษัท Deltatrade international ที่ได้ให้การสนับสนุน
เมื่อพลเมืองนักอนุรักษ์ (ธรรมชาติ) คิดว่าตนได้ตั้งค�ำถามชวนท้าทาย ว่าเราจะส่งมอบโลกแบบไหนให้กับลูกหลานของเรา เขาหลีกเลี่ยงที่จะตั้งอีกค�ำถามหนึ่งซึ่งชวนให้กังวลใจอย่างแท้จริงยิ่งกว่า ว่าเราจะส่งมอบลูกหลานประเภทไหนให้กับโลกใบนี้ Jaime Semprun, L’abîme se repeuple, 1997
ผู้เชี่ยวชาญได้ประมาณการไว้แล้วว่า ในอนาคตอันใกล้นี้จะมีคนเพียง 20% ที่มีงานท�ำ ขณะที่อีก 80% จะไม่มีงานท�ำ จึงมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าในอันที่จะประคับประคอง คน 80% ที่ไม่ผลิตให้มีชีวิตในระดับพออยู่รอดได้ โดยจัดหาสิ่งบันเทิงใจแบบโง่ๆ ให้ Jacek Kuron, ตุลาคม 2002 อ้างไว้ใน La Nouvelle Alternative ฉบับที่ 57, สิงหาคม 2005
ปี 2006 (พ.ศ. 2549) เกิดกรณีพลเมืองฝรั่งเศสนับถือศาสนาอิสลาม เชื้อสายแอฟริกนั จากไอวอรี่โคสต์ลักพาตัวและสังหารพลเมืองฝรั่งเศสเชื้อสาย ยิว ผมให้ชื่อคนแรกว่ายาเซฟ และคนหลังว่าเอลี หนุ่มมุสลิมอายุ 25 หนุ่มยิว อายุ 23 อาศัยจินตนาการ ผมน�ำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงครั้งนั้นมาปรับแต่ง ใหม่สรรค์สร้างให้เป็นงานเขียน ด้วยสนใจตรรกะที่เป็นทั้งเหตุและผลของ เรื่อง และสารที่สื่ออย่างมีนัย ซึ่งบอกกล่าวให้เรารับรู้พัฒนาการของสังคมที่ ถูกกระท�ำโดยความเป็นไปแห่งยุคโลกาภิวัตน์ ทั้งยังมีประเด็นที่ว่าอะไรคือ เหตุการณ์ อะไรคือ ‘ข้อเท็จจริง’ กันแน่ ด้วยสื่อต่างประโคมข่าวนี้ แต่งเรื่อง ว่าด้วย ‘แก๊งคนเถื่อน’ เสียจนแทบเป็นนิยายสารพัดส�ำนวน ส่วนหนังสือของ ผมซึ่งนับเป็นงานเขียนประเภทนิยายย่อมผิดแผกไปจากนั้น เรียกเสียว่านี่เป็น ‘เรื่อง(เล่า)จริงแต่อิงนิยาย’ ก็แล้วกัน
ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริง มีก็แต่การตีความจากมุมมองที่แตกต่าง Nietzsche, La Volonté de puissance
…ที่ตรงนั้นเป็นลานโค้ง ม้านั่งวางอยู่เรียงราย มีต้นไม้ล้อมรอบพร้อม รั้วต้นไม้ตัดแต่ง อยู่ตรงหัวมุมบูเลอวารด์ เดส์กร็องจ์ซึ่งพาดขวางจากทิศ ตะวันออกไปตะวันตก ตัดกับกูเล แวร์ต เส้นทางสายหลังนี้มีต้นไม้ขึ้นเขียว ชอุ่ม รวมทั้งพุ่มไม้และแปลงดอกไม้ทอดยาวจากทิศใต้ขึ้นไปทางทิศเหนือ ของเมืองโซส์ (9-2) เป็นที่ให้ผู้คนในละแวกนั้นพากันออกมาจ๊อกกิ้งตอนเช้าๆ เป็นสนามให้เด็กๆ เล่นในวันอาทิตย์ พอตกเย็น ก็เป็นที่พลอดรักของบรรดา คู่รัก ลานแห่งนี้แลดูดีสบายตา ตกค�่ำ มีโคมไฟหกดวงส่องสว่างแลละม้าย คล้ายฉากในเวทีโรงละคร เวลาตีหนึ่งระหว่างคืนวันที่ 20 และเช้าวันที่ 21 มกราคม ปี 2006 รามาตู กา. นักศึกษานิติศาสตร์ก�ำลังจดจ่ออยู่กับต�ำรา กฎหมายแพ่งในห้องชั้นสามของหอพักมหาวิทยาลัยต็อคเกอวิลล์ ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงกรีดร้องดังแหวกมาในความมืด เธอให้การกับต�ำรวจในเวลา ต่อมาว่า “เป็นเสียงร้องของผู้หญิง หวีดแหลมโหยหวน ดังมาจากทางลาน หัวมุมถนนนี่ละ” “อามินา เร็วๆ เข้า เสียงเหมือนมีใครถูกเชือดคอ!” เธอร้องบอกลูกพี่ ลูกน้อง ชั่ว...พริบตา 15
อามินาผลุนผลันออกมาจากห้องน�้ำ ซึ่งเธอมักหลบไปคุยโทรศัพท์ มือถือกับแฟน เธอเองก็ได้ยินเสียงกรีดร้องนั่นเหมือนกัน สองสาวมองหน้ากันอย่าง ตื่นตระหนก ทั้งคู่ผิวคล�้ำ ผมสีด�ำหยิกหยอง เป็นนักศึกษาจากไนจีเรียอายุ ยี่สิบเท่าๆ กัน และก�ำลังเรียนกฎหมายระหว่างประเทศ “เปิดม่านสิ” อามินาบอก “ฉันว่าเสียงดังมาจากทางถนนใกล้ๆ นี่ แหละ” รามาตูเปิดผ้าม่านสีเหลือง มองออกไปเห็นลานโค้งมุมถนน ไฟโคม ส่องสว่างราวกับเครื่องฉายหนัง เห็นเงาร่างคนเคลื่อนไหวกันวูบวาบ รามาตู ให้การว่า “พวกนั้นมีกันสามหรือสี่คน แต่งตัวเหมือนพวกวัยรุ่น คนนึงใส่เสื้อ หนัง น่าจะอายุสักยี่สิบกว่าๆ ยืนล้อมตัวผู้หญิงที่นอนเหยียดอยู่บนพื้น รุม เตะเธอเข้าที่ท้อง มันโหดมาก ตัวผู้หญิงเองก็ยังสาวๆ อยู่ด้วย ไว้ผมยาว สีน�้ำตาล ฉันคิดว่าได้ยินเสียงเธอร้องว่า...” “ช่วยด้วย ได้โปรด ช่วยฉันด้วย!” รามาตูพูดขึ้นว่า “ต้องโทร.เรียกต�ำรวจ” เธอหันกลับไปที่มุมท�ำครัว รื้อตามชั้นวางของ...แล้วหันไปเร่งญาติสาว ว่า “กด 18 ฉันคิดว่าเป็นสายด่วนแจ้งเหตุร้ายนะ” อามินายังคุยกับแฟนค้างอยู่ ก็เลยบอกวางสาย “ฉันจะโทร.กลับไปนะ ที่ถนนข้างนอกมีคนก�ำลังฆ่ากันตาย ฉันต้อง รีบแจ้งต�ำรวจแล้วละ” พอกดเลขหมาย 18 กลายเป็นพนักงานดับเพลิงรับสาย เขาบอกให้ เธอกดหมายเลข 17 แทน ต�ำรวจรับสายแทบจะในทันที เธอเล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ และได้รับ ค�ำตอบว่า “คุณไปคอยดูอยู่ที่หน้าต่าง แล้วบอกผมซิว่าเห็นอะไรบ้าง!” 16
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
ที่อีกตึกหนึ่งฝั่งตรงข้ามกับลานโค้ง เมอสิเยอร์ปิแยร์ แอ็ม. เภสัชกร ที่ก�ำลังดูโทรทัศน์รายการ ‘แน่จริงยิ่งกว่าจริง’ ทางช่องหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงร้อง นี้ด้วยเหมือนกัน เขาจึงเดินมาเปิดหน้าต่างบานยาวตรงระเบียง อากาศข้าง นอกเย็นมาก เขากระชับเสื้อคลุมนอนเข้าหาตัว เสียงร้องยังดังก้องอยู่เรื่อยๆ “ช่วยด้วย ปล่อยฉันนะ หยุดทีเถอะ!” นี่เสียงผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่นะ เงาคนเคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ เขา ได้ยินเสียงข่มขู่จากหนึ่งในกลุ่มนั้นตะโกนว่า “ทีนี้แกเข้าใจแล้วสินะ ไอ้หน้าโง่” ได้ยินเสียงเตะต่อยดังลอยมาอีกสองสามครั้ง ไฟหน้ารถคันหนึ่งสว่างวาบขึ้น เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม... พยานอีกคนเป็นนักศึกษาชื่ออาเดรียน เบ. ก�ำลังเดินอยู่แถวบูเลอวารด์ เดส์กร็องจ์ตอนนั้นพอดี เธอให้การในเวลาต่อมาว่า “ฉันเพิ่งออกจากสถานีรถใต้ดินโรแบ็งซง กับแฟน เราไปสนุกกันที่บ้านเพื่อนในปารีสมา แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้อง เป็น เสียงผู้หญิง เราเห็นคนสองคนเดินจากกูเล แวร์ต มาทางบูเลอวารด์ตรงลาน หัวถนน หิ้วผู้หญิงมาด้วยคนนึง คนนึงจับแขน อีกคนจับขา ตอนนั้นตีหนึ่ง กว่าๆ เราก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่านี่เป็นเรื่องเอะอะสนุกๆ หรือเกิดเหตุรุนแรง ขึ้นมาจริงๆ แต่ก็ไม่ได้โทร.แจ้งต�ำรวจ” อามินายังคงอยู่ตรงหน้าต่างห้องในหอพักต็อคเกอวิลล์ โดยมีรามาตู ลูกพี่ลูกน้องยืนอยู่ข้างๆ เธอบรรยายให้ต�ำรวจฟังทางโทรศัพท์ว่าเห็นภาพ อะไรที่ตรงหน้า “ไอ้คนนึงจับขาผู้หญิงคนนั้นไว้ อีกคนจับแขน เธอไม่ดิ้น ไม่ร้องอีก แล้ว ท่าว่าคงจะถูกจับปิดปากมัดมือมัดขา พวกนั้นลากตัวเธอไปที่รถซึ่งจอด อยู่ช่วงกลางๆ ของบูเลอวารด์ เดส์กร็องจ์ น่าจะเป็นรถมอร์ริส คูเปอร์นะคะ ...คนนึงเปิดท้ายรถ แล้วช่วยกันจับตัวเธอโยนเข้าไป” ชั่ว...พริบตา 17
ทางต�ำรวจถามมาว่า “เจ้าพวกนั้นหน้าตาท่าทางเป็นไง เป็นชาว มาเกร็บ* หรือพวกแอฟริกัน” “ตอบไม่ได้ค่ะ แต่ไม่ใช่แอฟริกันแน่ๆ” พวกนั้นปิดฝากระโปรงท้ายอย่างแรง แล้วพากันขึ้นรถ เบนหัวรถออก แล่นไปตามบูเลอวารด์ซึ่งเป็นถนนเดินรถทางเดียว แล้วเลี้ยวซ้ายลงไปตาม ถนนฟงเตอเนย์ รถอีกคันขนาดเล็กกว่าขับตามไป แต่แทนที่จะมุ่งตรงไปทาง เหนือผ่านถนนฟงเตอเนย์เหมือนรถคันแรก กลับแล่นตรงไปเรื่อยๆ ทางทิศ ตะวันออกไปตามบูเลอวารด์... ขณะเดียวกัน มีพยานคนอื่นๆ อีก เป็นนักศึกษาห้าคนซึ่งพักอยู่ใน หอพักเดียวกันนั้น ก�ำลังกินเลี้ยงกันอยู่ในห้อง พวกเขาได้ยินเสียงร้องดังขึ้น เหมือนๆ กันว่า “อย่ามาจับตัวฉันนะ ปล่อยฉันนะ!” “เป็นเสียงผู้หญิงร้องโหยหวน” เซบาสเตียง เป. นักศึกษาคนหนึ่งใน กลุ่มให้ปากค�ำกับต�ำรวจในภายหลัง “ท่าจะไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่นสนุกๆ โดย เฉพาะถ้าฟังจากเสียงที่ร้อง” ทั้งกลุ่มรีบพากันออกไปดูบริเวณถนนฟงเตอเนย์ซึ่งเป็นด้านประตูทาง เข้าใหญ่ของหอพัก ทันได้เห็นรถคันใหญ่ของคนร้ายแล่นผ่านไปต่อหน้าต่อตา “ผมว่าเป็นรถเก๋งแบบสองตอนแน่ๆ” เซบาสเตียง เป. ยืนยัน “น่าจะ เป็นรถออดี้ สีเทาเงิน มีคนนั่งด้านหน้าสองคน ผมว่าเขาไม่ได้ใส่หน้ากาก อะไร...แล้วก็...น่าจะมีใครอีกคนนั่งข้างหลัง ผมออกวิ่งไปตามถนน ได้เห็นรถ คันเล็กกว่าสีน�้ำตาลอ่อนวิ่งสวนไปคนละทางไปตามบูเลอวารด์ เดส์กร็องจ์...” ที่เขตบาญเญอซ์ ห่างจากที่ตรงนั้นเลยขึ้นไปทางเหนือ 2 กม. ซูบีร์ หรือที่เรียกกันว่าซู เดินกลับไปกลับมาอยู่ตรงโถงแฟลตเลขที่ 1 ถนนมายา* Maghrebins หมายถึงชาวแอฟริกาเหนือ เช่น แอลจีเรีย โมร็อกโก และตูนิเซีย-บรรณา ธิการ 18
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
คอฟสกี ้ ซูเดินกลับไปกลับมาเป็นร้อยๆ ก้าวอยูอ่ ย่างนีอ้ ย่างน้อยก็หนึง่ ชัว่ โมง มาแล้ว หรือคงจะเดินได้สักหมื่นก้าวแล้วเชียว เดี๋ยวๆ ก็ช�ำเลืองไปทางบาน ประตูกระจก มองออกไปข้างนอก บนถนนซึ่งสว่างด้วยแสงจากโคมไฟโล่ง ไร้ผู้คน ไฟนีออนของซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ชื่อ ‘ซิมปลี มาร์เก็ต’ ดับสนิท ไม่มี หมาแมว หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ให้เห็นเลย... ยาเซฟ หรือเจ้านาย หรือจังโก้ บอก เขาไว้ว่า ให้มาสมทบกับ ‘พวก’ ที่นี่ตอนเที่ยงคืนตรง เพื่อ ‘คอยรับสินค้า’ เที่ยงคืนตรง ซูก็อยู่นี่แล้ว...กับเจ้านายน่ะ ท�ำเล่นๆ ไม่ได้เลย ถ้าลองได้นัด แนะกันไว้แล้ว ก็ต้องมาตามนัด พลาดไม่ได้ เจ้านายมือฉมังเคยลงมือปฏิบัติ การสุดยอดมานักต่อนัก ผ่านห้องขังที่น็องแตร์มาสองปี เป็นหัวหน้าระดับ บิ๊ก พวกท�ำมาหากินกะเขาได้คล่อง เพราะขึ้นชื่อว่าจ่ายเสมอ ไม่เคยชักดาบ และจ่ายงามๆ ด้วย... ซูเปิด MP3 ฟังฆ่าเวลา เป็นเพลงแร็พฝีมือของนักร้องเอริคกับแรมซี ซูเป็นคนรูปร่างสันทัด สูงกว่าเมตรเจ็ดสิบห้า แต่รูปร่างผอมเพรียว แม้มอง ไม่ออกนักเพราะดูซ่อนรูปอยู่ในชุดจ๊อกกิ้งสีขาวมีฮู้ดคลุมหัว เขาอายุสิบเก้า ผมตัดสั้นเกรียน หน้าตายังเด็กน่าเอ็นดู ปากกว้างอย่างคนชอบกิน เพื่อน บ้านจะพูดถึงเขาว่า “เป็นเด็กดี๊ดี น่ารักจริงๆ ใช้ง่าย มีน�้ำใจ แต่ยังไม่รู้จักโต” และ “เป็นคนสนุ้กสนุก” พี่น้องสาวๆ กล่าวเสริม “ตลกตัวจริงเลยแหละ” พี่น้องผู้หญิงทั้งสองเป็นคนรักเรียน คนหนึ่งท�ำงานหนังสือพิมพ์อยู่ที่กรุงโรม อีกคนก�ำลังเรียนมหาวิทยาลัยด้านสังคมวิทยาอยู่ที่แซ็งต์-เดอนีส์ ส่วนตัว ซูเองนั้น เรื่องเรียนเหลวไม่เป็นท่า แม้ประกาศนียบัตรฝึกงานช่างทาสีตึกก็ ยังสอบไม่ผ่าน พ่อของเขาเป็นชาวเลบานอน ท�ำงานเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือ พิมพ์ที่กรุงเบรุต แม่เป็นคนฝรั่งเศส ท�ำงานเป็นนักสถิติ ครอบครัวเขาพัก อยู่ที่ถนนตอลสตอย ใกล้ๆ กับถนนมายาคอฟสกี้ในเขตบาญเญอซ์นั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้มีฐานะดีเด่อะไร แค่พอมีพอใช้ ซูหางานท�ำพอเลี้ยงตัว เป็นคนส่ง พิซซ่าให้ร้าน ‘โดมิโน พิซซ่า’ ที่ฟงเตอเนย์-โอซ์-โรส รายได้เดือนละ 800 ยูโร วันนี้ หลังจากไปท�ำละหมาดที่สุเหร่า (ถนนอัลแบรต์-เปอติ) และไปส่งพิซซ่า โดยใช้จักรยานติดเครื่องเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขึ้นจักรยานปั่นมาที่ ‘หน้างาน’ ชั่ว...พริบตา 19
เลขที่ 1 ถนนมายาคอฟสกี้ เวลาเที่ยงคืนเป๊ะ ตามที่เจ้านายสั่งเอาไว้ เขาเดินขึ้นบันไดไปคุยกับ ‘พวก’ เป็นระยะๆ ซึ่งมีกาบาหรือก๊าบส์ หนุ่มผิวหมึกชาวกินี อายุสิบเก้า ท�ำหน้าที่อยู่โยง คอยเฝ้าระวังเหตุไม่ชอบมา พากลตามชั้นต่างๆ ในตึก คอยส่งสัญญาณเตือนภัยถ้าคนในแฟลตบังเอิญ โผล่ออกจากห้องพักในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน อีกคนคือฌ็องหรือคิด ลูกครึ่ง เชื้อสายตูนิเซีย-ฝรั่งเศส-เรอูนิยง คนนี้เฝ้าตรงระเบียงชั้นสี่ของห้องพักที่ไม่มี คนอยู่ คอยดูความเคลื่อนไหวบนท้องถนน ทั้งหมดเฝ้าคอยทั้ง ‘ของ’ และ ‘การส่ง’ เวลาส่งก็จะต้อง ‘วางของ’ ไว้ในห้องว่างๆ ห้องนี้แหละ มีกันอยู่แค่ สามคน แต่ที่จริงในแผนยังมีคนที่สี่ชื่อเฌรารด์ สมญาว่า ‘ไอ้หัวชอล์ก’ แต่ มันไม่มาตามนัด มันไม่เจียมกะลาหัว คอยดูนะ เจ้านายต้องไม่ชอบใจแน่ๆ! พวกก็ไม่ชอบเหมือนกัน “หวังว่าไอ้หัวชอล์กจะไม่เอาเรื่องเราไปปูดกับพวก หัวปิงปองนะ” พวกเขาลองโทร.เข้ามือถือนับสิบๆ ครั้งก็แล้ว แต่ก็ไม่มีใคร รับสาย ได้แต่ดูดกัญชามวนกันเป็นระยะๆ เพื่อผ่อนคลายอาการเครียด
ซูให้การว่า “พอตีหนึ่งกว่าๆ หน่อย รถคันใหญ่ แรงดี เปิดไฟสว่าง วิ่งเข้ามา ที่โดนใจผมคือเครื่องยนต์รถส่งเสียงดังมาก แสงไฟหน้ารถส่อง กราดมาที่ประตูกระจกตรงจุดที่ผมเฝ้าอยู่ รถแต่งด้านหน้าเหมือนรถสปอร์ต ด้านซ้ายติดปีก เป็นรถเก๋งขนาดใหญ่ยี่ห้อออดี้ หรือบีเอ็มดับบลิว สีเทาเงิน แล้วรถก็เลี้ยวหักมุม ถอยหลังหันกระโปรงหลังมาทางประตู มีคนใส่ชุดจ๊อกกิ้ง สีด�ำ สวมหมวกคลุมปิดหน้าเห็นแต่ลูกตาสองคนลงมาจากรถ ส่วนคนขับยัง นั่งอยู่กับที่ ไม่ดับเครื่อง มีใครอีกคนนั่งอยู่ข้างๆ สองคนนั่นท�ำท่าทางให้ผม เปิดประตูตึก ส่วนพวกเขาก็เปิดท้ายรถ แล้ว...” ดึงเอาสินค้าออกมา เจ้านายบอกไว้ว่า ค�่ำวันนี้จะไป ‘จับตัว’ ‘คิวยน’ (คนยิว) เป็นพ่อค้า ยิวท่าทางจะเงินหนา หวังใจว่าครอบครัวจะจ่ายเงินค่าไถ่ภายในสามวัน... “หนึ่งในสองคนที่คลุมหน้ายกส่วนขา” ซูบรรยายต่อ “ไอ้อีกคนก็จับ 20
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
แขน สินค้าไม่ดิ้นไม่สู้ พวกนั้นใช้แผ่นเทปกาวยี่ห้อตาร์ตันมัดตรงข้อเท้าและ ปิดที่ปาก ส่วนที่ข้อมือ ก็ถูกใส่กุญแจมือ ผมก็เลยเปิดประตูให้ พลางตะโกน บอกก๊าบส์ว่าพวกมากันแล้วนะ จะได้เฝ้าระวังทางไว้” พวกที่คลุมหน้าเข้ามาในโถงกลางของตึก ทั้งคู่ตัวสูงใหญ่บึกบึน หนึ่ง ในนั้นหุ่นเหมือนยักษ์ ซูเปิดประตูลิฟต์ ทั้งสองก้าวเข้าไปพร้อมเหยื่อ โดยจับ ตัวไว้ให้ยืนเอง ลิฟต์เคลื่อนขึ้นสูง ซูกระโดดขึ้นบันไดทีละสี่ขั้นตามขึ้นไปจน ถึงชั้นที่สี่ พบหน้าก๊าบส์ซึ่งบอกเขาว่าทุกอย่าง “โอเค ไม่มีอะไรผิดปกติ” ก็ พอดีลิฟต์จอดที่ชั้นสี่ ดูเหมือนหนึ่งในสองคนนั่นรู้จักทางดี เขายกขาเหยื่อ (อีกคนยกแขน) ออกจากลิฟต์ แล้วเลี้ยวไปทางขวา ก้าวลงไปหนึ่งขั้น แล้ว เดินต่อไปจนสุดทางเดิน ซูกับก๊าบส์เดินตามขบวนไป เจ้าคนแรกเคาะประตู สั้นๆ สองครั้ง หยุด แล้วเคาะใหม่อีกครั้ง เป็นสัญญาณ เขาร้องบอกว่า “เรามาแล้ว” ประตูแง้มเปิดออก มีเด็กหนุ่มหน้าสิวเขรอะ จมูกโตๆ สั้นๆ โผล่ออก มาดู เขาคือคิด รูปร่างผอมสูง ผิวหยาบ หมวกแก๊ปสีขาววางแปะอยู่บนหัว โดยหันหน้าหมวกไปไว้ที่ท้ายทอย ในมือถือปืนกราดไปมา... ต่อมาหนึ่งในสมาชิกแก๊งให้การว่า “ไอ้คิดเป็นหมาบ้าที่สุดในบรรดา มันอายุสิบเจ็ดพอดี ดูเหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเกมอะไรอย่างหนึ่ง ส�ำหรับมัน กับไอ้ปืนพกที่ไม่รู้เหมือนกันว่าได้มาจากไหนนี่ (จริงๆ แล้วก็น่าจะ เป็นเจ้านายแหละที่ให้ไว้ใช้) พอปืนอยู่ในมือ มันก็จะท�ำท่าเล็งไปที่คนโน้นที คนนี้ที ท�ำทีเหมือนจะลั่นไก” เจ้าหนุ่มคิดเป็นคนชอบความรุนแรง ท�ำอะไรบุ่มบ่ามตามสัญชาตญาณ และท�ำเรื่องร้อนๆ ร้ายๆ มาเยอะ...พ่อเป็นชาวเกาะเรอูนิยง แม่เป็นตูนิเซีย คิดเป็นคาทอลิกตามศาสนาของพ่อ แต่คุยว่าตัวเองเป็นมุสลิม ศาสนาข้างแม่ และท�ำตัวให้ตากับยายพอใจโดยเคยถือศีลอดช่วงเทศกาลรอมฎอนมาแล้ว คิดเปิดประตูออกกว้าง เจ้าหนุ่มคลุมหน้าเดินเข้าไปตามช่องทางเดิน ของห้องชุด ผ่านห้องรับแขก จนไปสุดที่ห้องนอนห้องหนึ่ง (ซึ่งเป็นห้องว่าง ชั่ว...พริบตา 21
เหมือนห้องอื่นๆ) แล้วปล่อยเหยื่อลงบนพื้น ห้องนอนห้องนี้ตั้งอยู่ลึกที่สุดใน ตึก จึงไม่ต้องใช้ผนังร่วมกับห้องชุดข้างๆ แถมหน้าต่างก็หันไปทางลานจอด รถ นับว่าเหมาะที่สุดที่จะใช้เป็นห้องกักตัวเหยื่อ หนึ่งเดือนให้หลัง คิดให้การกับต�ำรวจว่า “นายนั่น ที่หน้ามีเทปปิดไปทั่ว ที่ตา ที่ปาก เหลือโผล่มาแค่จมูกซึ่งมี เลือดไหล ท่าว่าจะถูกอัดมาจนน่วม...ท่าทางหนักหนาสาหัสเอาการอยู่ กลิ่น ฉุนๆ เหมือนกลิ่นในโรงพยาบาลระเหยออกมาจากตัว กลิ่นเหมือนแอลกอฮอล์ (ที่จริงคือกลิ่นอีเทอร์) เขาใส่กางเกงยีนส์สีน�้ำเงินยี่ห้อดีเซล รองเท้ากีฬาสี ขาวยี่ห้อพูม่าหรือคอนเวิร์ส ใส่เสื้อแจ๊กเก็ตหนังสีน�้ำตาลเข้ม เขาตัวสั่นด้วย ความกลัว...” นายคลุมหน้าหมายเลขหนึ่งที่เป็นคนตบประตูนั่น ก็คือตัวเจ้านาย คิดจ�ำเสียงและส�ำเนียงแอฟริกันของเขาได้ อีกคนนึงก็มีส�ำเนียงแอฟริกัน แม้ ทั้งคู่จะปิดหน้ามิดชิด แต่ก็เห็นได้อยู่ดีว่าเป็นคนผิวด�ำ เจ้านายย�้ำกับคิด (ซึ่ง เป็น ‘คนสนิท’) ให้จัดการตามที่เคยสั่งไว้เมื่อสองสามชั่วโมงก่อนหน้านี้ คือ จะต้องท�ำยังไงก็ได้ จะหว่านล้อมหรือจะใช้ก�ำลังบังคับให้ ‘นายนั่น’ บอก เบอร์โทรศัพท์ของพ่อ เพื่อที่เจ้านายจะได้รีบติดต่อเจรจาเรื่องจ่ายเงินค่าไถ่ “จ�ำไว้นะ แกต้องปิดปากเงียบ ห้ามพูดกับ ‘นายนั่น’ ต้องไม่ให้มัน ชี้ตัวได้ว่าพวกแกเป็นใคร เข้าใจไหม ไอ้หนู...ข้าจะกลับมาอีกคืนนี้ ดูว่าทุก อย่างเรียบร้อยดีไหม” เจ้านายลงมือค้นตัว ‘นายนั่น’ อย่างลวกๆ ไปแล้วตอนบุกจับตัวเขา ที่ลานโค้งบูเลอวารด์ เดส์กร็องจ์ที่เมืองโซส์ ยึดโทรศัพท์มือถือ เอาซิมและ แบตเตอรี่ในเครื่องออก เป็นการกันไว้ก่อนอย่างเบสิก ถ้าเกิดเครื่องยังเปิด อยู่ เครือข่ายสัญญาณซึ่งกระจายไปทั่วประเทศจะท�ำให้รู้ต�ำแหน่งของผู้ใช้ได้ เจ้านายยังจิ๊กกระเป๋าตังค์ของเจ้านั่น และยังทันได้อ่านชื่อเจ้าตัวแวบหนึ่ง ระบุไว้ในบัตรประชาชนว่าชื่อเอลี เพศชาย เกิดปี 1982... ตอนที่เจ้านายเดินออกจากอพาร์ตเมนต์พร้อมกับไอ้มืดคลุมหน้าร่าง ยักษ์หมายเลขสอง ก็ดันเห็นว่าประตูปิดล็อกจากด้านใน ซูเอากุญแจมา 22
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
พยายามจะไขเปิด แต่ไม่ส�ำเร็จ เจ้านายก็เลยลองเปิดดูมั่ง ทั้งส่งเสียงด่า “ไอ้ ประตูห่าๆ” นั่นอย่างหงุดหงิด แต่แล้วก็เปิดออกจนได้... ข้างล่าง เมื่อมนุษย์ปิดหน้าสองคนกลับเข้าไปในรถออดี้แล้ว เกิดการ โต้เถียงอย่างออกรสระหว่างพลขับ เจ้านาย ยักษ์ปักหลั่น และเจ้าหัวขโมยคน ที่สี่ที่คงนั่งอยู่กับคนขับ ในที่สุดทั้งสี่คนก็ถอดฮู้ดคลุมหน้าออก ยาเซฟหรือ เจ้านายของลูกน้องโกนหัวโล้น ไว้เครางามสีเดียวกับสีผิว เป็นเครื่องหมาย แห่งการเข้ารีตเป็นมุสลิม เคราสีด�ำกลมกลืนผสานไปกับผิวกาย ยาเซฟมี สัญชาติฝรั่งเศส ครอบครัวอพยพมาจากไอวอรี่โคสต์ สื่อต่างๆ ให้นิยาม คุณสมบัติของเขาไว้ว่า ‘มันสมองของแก๊งคนเถื่อน’ เจ้ายักษ์ปักหลั่นนั่นชื่อ ชาร์ลส์ เรียกกันว่าครัค เป็นคนด�ำและมีสัญชาติฝรั่งเศสเหมือนกัน ครอบครัว มีรกรากอยู่ที่เซเนกัล (หนึ่งในสมาชิกผู้ก่อการพูดถึงเขาไว้ว่า “เป็นคนตัวใหญ่ แรงดีเหมือนแรด น่าทึ่งจริงๆ”) เดิมนับถือศาสนาคริสต์ แต่เข้ารีตเป็นมุสลิม เมื่อได้คบหากับพรรคพวก เขาเฉลยเหตุผลไว้ต่อมาว่า “ผมเห็นว่าศาสนา อิสลามมีความเป็นมนุษย์มากกว่า ยุติธรรมกว่า เพราะให้ความเคารพคนอื่น และร่วมทุกข์สุขกับคนจน…” พลขับเป็นชาวมาเกร็บหุ่นนักกีฬา สวมแหวนทองเรือนใหญ่ที่นิ้วนาง และโซ่ทองหนักที่ข้อมือ ส่วนคนที่นั่งข้างๆ เป็นชาวมาเกร็บเหมือนกัน แต่ รูปร่างผอมบางกว่า พลขับเอ่ยถามยาเซฟว่า “เรอนัว แกขึ้นรถมาอีกท�ำไม” ยักษ์ปักหลั่นผิวด�ำเสริมด้วยเสียงสงบ ชัดถ้อยชัดค�ำ “เรอนัว ส�ำหรับ พวกเรา งานเสร็จแล้ว เราจะกลับบ้านที่โบบ็อช (โบบิญญี) แล้วจะกลับมารับ ‘สินค้า’ อีกครั้งตอนที่แกจ่ายส่วนแบ่งให้เราเรียบร้อย” นั่นเป็นไปตามแผนที่ยาเซฟวางไว้ คือให้แก๊งชาวโบบิญญีลงมือปฏิบัติ การลักพาตัวไอ้หนุ่มยิว ส่วนพวกที่บาญเญอซ์อยู่ยามคุมตัวไว้ แก๊งจาก บาญเญอซ์ไม่รู้จักแก๊งจากโบบิญญี เช่นเดียวกับที่ชาวโบบิญญีก็ไม่รู้จักชาว บาญเญอซ์ ทั้งทีมท�ำงานแยกส่วนจากกัน... ชั่ว...พริบตา 23
“...ต้อง...ต้อง...ต้อง...กลับไปที่โซส์...โซส์ ซูร์-...เลอ...เลอ-ช็องป์” ยาเซฟโต้กลับ ออกอาการติดอ่างทุกครั้งเวลาอารมณ์ขึ้น “ข้า...ขะ... ขะ... ข้า...ละ...ลืมของไว้ที่โน่น...เป็นขวดใส่อีเทอร์ ไม่อยากให้ต�ำรวจจับทางได้ ‘นายนั่น’ ไอ้หมาเกย์ มันกัดข้าตอนจะโปะยาสลบ...มีคราบเลือดข้าจากรอย กัดติดอยู่ที่ขวด ไอ้ตวจร�ำอาจจะหาดีเอ็นเอข้าได้....” ครัค ยักษ์ปักหลั่นวัยแค่สิบเก้า แต่ดูแก่กว่านั้นมาก ยาเซฟถึงแม้อายุ ยี่สิบห้าแล้ว ยังซูฮกเขาเป็นลูกพี่ นั่นเป็นเพราะแก๊งชาวโบบิญญีเป็นพวกพันธุ์ โหด (เป็น ‘คนจริง’ —พวกแกนึกไม่ถึงหรอกว่าพวกนั้นเคยลุยอะไรมาบ้าง — ยาเซฟบอกกล่าวกับลูกน้องไว้อย่างนั้น) ต�ำนานชาวโบบิญญีมาเหนือเมฆ ...ตรงที่นั่งด้านหลัง ครัคนั่งปักหลักอย่างสงบ ทรงอ�ำนาจอยู่ในเงามืด ที่สงบ สยบผู้คนได้นี่ต้องเป็นเหตุมาจากที่เจ้าตัวรู้สึกถึงพลังทางกายเป็นแน่ เขาเอ่ย ปากพูดกับยาเซฟด้วยเสียงต�่ำๆ ว่า “เรอนัว ข้าบอกแกแล้วไง ส�ำหรับเรา...งานของพวกเราก็คือส่งของ ไว้ที่นี่ แล้วจะกลับมารับของไปเมื่อแกได้ค่าไถ่มาแล้ว ให้กลับไปที่โซส์อีก น่ะเรอะ ไม่มีทาง มันยังสด ยังเสี่ยงเกินไป” ยาเซฟหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากรถ ปิดประตูใส่ดังปัง รถออดี้เคลื่อน ออกพร้อมผู้โดยสารสามคน เสียงเครื่องยนต์แรงสูงดังกระหึ่ม จุดหมายอยู่ ที่ 9-3 (ออกเสียงว่าเก้า/สาม) เขตแซน-แซ็งต์-เดอนีส์ ยาเซฟย้อนกลับเข้าไปในโถงตึกเลขที่หนึ่ง ถนนมายาคอฟสกี้ เหลือบ ไปเห็นจักรยานที่ซูจอดทิ้งไว้ ก็เลยจูงออกมาที่ถนน กดมือถือต่อสาย แต่ติด ต่อใครไม่ได้เลย ก็เลยควบจักรยาน ขี่แล่นออกไปในความมืด ไปตามถนน ฌ็อง-มาแร็ง-โนแด็ง เลี้ยวซ้ายถนนอ็องรี-ราเวอรา มุ่งหน้าลงไปทางเขตโซส์ ยาเซฟรู้สึกเหมือนเป็นไอ้โง่ดักดาน เป็นถึงหัวหน้า เป็นถึงเจ้านายนี่นะ ยัง ต้องขี่จักรยานอยู่อย่างนี้! ระหว่างเส้นทางก็เหลือบไปเห็นรถทวิงโกสีม่วงของ คาปุชชิโนเพื่อนเกลอคนหนึ่งในทีมจอดอยู่ตรงอัลเล เดส์ ปัวริเยร์ ยาเซฟกับ รถสองล้อพุ่งตรงไปทางนั้นเหมือนไต้ฝุ่น มองเข้าไปในรถ เห็นสาวน้อยน่ารัก 24
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
ผมสีน�้ำตาล ปอยผมไฮไลต์สีทอง เขาตบกระจกรถแรงๆ อย่างมีโทสะ “ออกมาเดี๋ยวนี้นะเซลดา ไสหัวออกมา” สาวน้อยตกใจกลัว รีบผลุนผลันออกจากรถ เจ้าหล่อนสวมเสื้อโค้ต สีเขียว กางเกงรัดรูปสีขาว รองเท้าบู๊ตหนังสีขาวทรงสูง หล่อนเพิ่งอายุครบ สิบเจ็ด แลดูเหมือนแปลงรูปอยู่ในชุดสาวเซ็กซี่สวยสังหารแบบนั้น ปากอิ่ม ได้รูปทาลิปสติกสีแดงสด เขียนหน้าเขียนตา แต่แป้งที่ลงไว้เริ่มเลอะ เพราะ เอาแต่ร้องไห้มาเกือบ 45 นาทีได้แล้วกระมัง ยาเซฟผลักเจ้าหล่อนอย่างแรง ตัวเองเข้าไปนั่งที่คนขับ กุญแจรถวาง อยู่บนแผงหน้ารถ “แล้วจะให้บอกกาเบรียลว่ายังไง” เซลดาเอ่ยปากถาม น�้ำเสียงกลัวๆ กาเบรียล คือชื่อตัวเจ้าของรถคันนี้ มีชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่าคาปุชชิโน “ก็บอกว่าไม่ตอ้ งเอะอะไป ฉันจะกลับมาภายในสิบห้านาที” ยาเซฟตอบ เขาออกรถ พลันได้ยินเสียงเหมือนเส้นเหล็กเก่าๆ ถูกบดอยู่ใต้ล้อ รถ จักรยานของซูที่จอดทิ้งไว้บนถนนนั่นเองที่ก�ำลังถูกขยี้อยู่ใต้ท้องรถ ช่างหัวมัน เถอะ เขาพุ่งรถเลี้ยวซ้ายด่วนจี๋ ไปตามถนนอ็องรี-ราเวอรา มุ่งหน้าสู่โซส์ ...เซลดาเดินไปนั่งบนโต๊ะปิงปองที่ชั้นล่างของแฟลตที่อัลเล เดส์ ปัวริเยร์ พลางแกว่งขา มองไปตรงหน้าเห็นกระบะใส่ทราย ชิงช้าหลากสีหลาย ตัว กระดานลื่นสีน�้ำเงินท�ำด้วยพลาสติก ค�่ำเดือนมกราคืนนั้นอากาศหนาว โทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปรากฏข้อความ SMS ว่า “เธออยู่ไหนเนี่ย ยาเซฟเพิ่งโทร.มา” ลงชื่อ [แหม่ม] เซลดารีบโทร.กลับไปหามาแอลหรือแหม่ม รู้ดีว่าแหม่มใช้วิธีติดต่อ ด้วยการส่ง SMS เท่านั้น เพราะไม่มีเงินเติมบัตรโทรศัพท์ “แหม่ม” เซลดาตะโกนใส่มือถือ ร้องไห้สะอึกสะอื้น “แย่แล้ว ฉันแย่ แล้ว ก�ำลังจะเป็นบ้า!” “นี่เธออยู่ที่ไหนน่ะ” “อัลเล เดส์ ปัวริเยร์” “เดี๋ยวฉันจะไปหาเธอตอนนี้เลย ฉันอยู่ใกล้ๆ ตรงนี้เอง” ชั่ว...พริบตา 25
จริ ง ๆ แล้ ว เวลานั้ น แหม่ ม อยู ่ ห ่ า งออกไปจากถนนอ็ อ งรี - ราเวอรา บริเวณซิเต ดู เซอริซิเยร์ ตรงชั้นล่างอาคารที่พักของแม่ ก�ำลังสูบบุหรี่ คุยจ้อ อยู่กับมาริอานน์และอามิดูเพื่อนๆ ของเธอ ทั้งที่ตีหนึ่งกว่าๆ แล้ว ครั้นแล้ว เธอก็รีบวิ่งไปที่อัลเล เดส์ ปัวริเยร์ ก่อนหน้าที่จะส่ง SMS ให้เซลดา ยาเซฟ เป็นฝ่ายโทร.หาเธอ เขาบอกมาว่า “ยัยเซลดาก�ำลังแตกตื่น เธอต้องรีบไปจัดการ ฉันไม่อยากให้เจ้าหล่อน เริ่มจ้อ เดี๋ยวจะท�ำให้แผนเราเสียเท่านั้นเอง...” มาแอลหรือแหม่ม อายุสิบเก้า เด็กสาวผมสีทอง ผมสั้นหยักศก ตัว ใหญ่พอควร สวมชุดจ๊อกกิ้งกับรองเท้ากีฬา มาดแบบเด็กผู้ชาย แต่แลดูเป็น ทอมมากกว่า ตาสีฟ้า ผิวขาวจัด คางได้รูป จมูกเป็นสันตรง มาจากแคว้น เบรอตาญ สายพันธุ์นมเนยขนานแท้ ไม่ค่อยมีเสน่ห์สักเท่าไรในสายตาหนุ่มๆ แต่ก็ยังมีแฟนกะเขาด้วยคนนึง คบกันมาสามปีแล้ว ชื่ออาซิซ หรือซิซ หนุ่ม จากละแวกซิเต ดู เซอริซิเยร์ สัญชาติฝรั่งเศส พื้นเพเดิมจากโกโมโรส อายุ สิบแปด สูงเมตรแปดสิบ เป็นมุสลิม กับเขานี่เป็นความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ มีสีสัน...ในแวดวงสหายที่ท�ำ ‘bizness’ กันนี่นะ (ก็แทบจะทุกคนเลยที่ท�ำ ธุรกิจ) บางทีแหม่มก็เก็บสต๊อกกัญชาไว้ที่บ้านเพื่อหาล�ำไพ่เล็กๆ น้อยๆ โดย ที่แม่ไม่รู้ ชีวิตสาวน้อยอย่างแหม่มนับว่าระหกระเหินน่าดูชมมาแต่เล็กๆ โยล็องด์ ผู้เป็นแม่ มีพื้นเพจากโก๊ต ดาร์มอร์ เธอท�ำงานเป็นกรรมกรใกล้ๆ กับ แซ็งต์-บริเออค มีลูกสาวคนนี้ และอีกสองคนกับชาวประมงในละแวกนั้นเอง แต่ฝ่ายชายปฏิเสธที่จะแต่งงานด้วย และไม่ยอมรับเด็กๆ ว่าเป็นลูก ที่จริง ตาพ่อนี่ก็มีเมียมีลูกอยู่แล้ว โยล็องด์ไปฝึกอบรมจนได้ประกาศนียบัตรผู้ช่วย พยาบาล ก็เลยเข้าเมืองหลวง ปักหลักอยู่ที่บาญเญอซ์เมื่อปี 1999 ได้งานท�ำ ที่โรงพยาบาลโกแช็งในปารีส ส่วนหนูแหม่มฝากตายายเลี้ยง ถัดมาก็ย้ายไป อยู่บ้านลุงที่แคว้นเบรอตาญ เธอเข้าพิธีทางศาสนา ท�ำพิธีรับศีลจุ่ม และพอ วันอาทิตย์ก็ไปโบสถ์ ดูเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย แต่ที่แท้ก็เป็นเพียงเปลือก 26
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
นอก เธอบอกว่า “มีความลับติดตัวมาตั้งแต่ยังเล็ก” แต่ไม่ยอมบอกว่าเรื่อง อะไร พอปี 2001 อายุสิบสี่ ก็ไปอยู่กับแม่ที่บาญเญอซ์ แล้วเริ่มท�ำตัวขบถ ต่อต้านทุกๆ เรื่อง เคยขโมยบัตรเครดิตธนาคารของแม่ หนีออกจากบ้าน ระเหเร่ร่อนอยู่ตามตึกร้างกับพวกข้างถนน ดื่มและสูบของมึนเมา...เรื่องเรียน ต่อก็แย่พอกัน (เริ่มต้นที่โรงเรียนคาทอลิก) จนถึงชั้นเรียนปีแรกที่โรงเรียน เทคนิค ฝ่ายแม่เริ่มวิตก จึงหันไปพึ่งผู้พิพากษาคดีเยาวชน ซึ่งจัดส่งเธอเข้า โรงเรียนประจ�ำเลอ อาโม เดอ กริญญง (ที่ทิแอซ เขต 9-4) จนเรียนจบชั้น สุดท้าย ที่นั่นเองแหม่มได้พบกับเซลดาซึ่งเป็นนักเรียนประจ�ำเช่นกันเมื่อปี 2005 แหม่มเคยพยายามฆ่าตัวตายมาสามครั้งแล้ว แต่ละครั้งก็ต้องเข้า รักษาตัวที่โรงพยาบาล ครั้งล่าสุดนี่ เพิ่งผ่านไปได้เดือนเดียว เพราะกินยา เกินขนาด เธอเล่าว่า “ฉันทนไม่ไหวแล้ว ทะเลาะกับแฟนก็หนัก เบื่อโลก เบื่อ ชีวิต เบื่อทุกอย่างเลยเชียว...” แหม่มเปลี่ยนไปนับถืออิสลามเมื่อห้าหรือหกปีก่อน โดยมีซิซ แฟน หนุ่ม เป็นคนชักจูง เธอสวดมนต์เป็นประจ�ำ และถือศีลอดช่วงเทศกาลรอมฎอน เธอย�้ำว่า “ฉันรู้สึกว่าครอบครัวคนมุสลิมใจกว้าง และอบอุ่นกว่าครอบ ครัวชาวคริสต์ แล้วก็ในหมู่ญาติๆ ของฉันที่เบรอตาญ บางคนยังมีทัศนะ เหยียดผิวอีกด้วย” ...แหม่มวิ่งตรงไปที่อัลเล เดส์ ปัวริเยร์ พอไปถึง เห็นสาวน้อยเซลดา นั่งอยู่คนเดียวมืดๆ ที่โต๊ะปิงปอง มีเพียงแสงจากโคมไฟส่องสลัวๆ เซลดา ก้มหัว ผมยาวสีน�้ำตาลแซมด้วยปอยผมสีทองตกระลงมาข้างหน้า ในความ ว่างเปล่า... “เป็นไง มิส” แหม่มร้องเรียก “แหม่ม!” เซลดาร้อง กระโดดลงจากโต๊ะ... ชั่ว...พริบตา 27
เธอวิ่งมาหาที่หลบภัยในอ้อมแขนของเพื่อนที่กอดกระชับแน่น สะอึก สะอื้นอย่างแรง “แหม่ม มันน่ากลัวจัง นี่พวกนั้นท�ำอะไรเขาบ้างนะ แล้วจะจัดการกับ เขายังไง” “มันเป็นยังไง ไม่เรียบร้อยหรือไง” “เปล่า ทุกอย่างเป็นไปตามแผน...แต่มันน่ากลัวจัง...เขาร้อง ร้อง ร้อง ไม่หยุดตอนที่พวกนั้นเข้าจู่โจม พวกนั้นตีเขาด้วย เขาเป็นคนอ่อนโยน น่ารัก ชื่อเอลี...ฉัน...ฉันเฝ้าดูเหตุการณ์ตลอดเหมือนถูกสะกดจิต เหมือนก�ำลังฝัน ไป...” เธอยิ่งสะอึกสะอื้นหนักขึ้น เซลดารับงานจากยาเซฟและแหม่มให้เป็นนางนกต่อล่อเอลี ก่อนหน้า นี้หนึ่งชั่วโมง เจ้าหล่อนเป็นคนขับรถพาเหยื่อมายังที่นัดพบ ตรงจุดเกิดเหตุที่ เป็นจุดตัดระหว่างบูเลอวารด์ เดส์กร็องจ์ และกูเล แวร์ตที่เขตโซส์ โดยบอก เขาว่าเธอพักอยู่แถวนั้น เซลดานั่นเองที่พวกพยานซึ่งมองเห็นเหตุการณ์จากไกลๆ เข้าใจกัน ผิดว่าเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย แท้จริงเธอเป็นแต่เพียงนางนกต่อ เซลดา ‘แม่สาวทรงเสน่ห์’ เป็นคนสูง รูปร่างระหงแต่มีเนื้อมีหนัง ผิว หยาบ ตาสีเข้มรีเหมือนเม็ดอัลมอนด์ คิ้วหนาโค้งเหมือนคันธนู เธอเป็นคน สวย...นามสกุลยาวเฟื้อย เวลาออกเสียงมีแต่พยัญชนะ ซ/ ร/ บ/ และสระ เอ เป็นชื่อของเจ้าหญิงเปอร์เซียในหนังสือ พันหนึ่งราตรี นั่นเชียว ก็เธอมี เชื้อสายอิหร่านและเป็นมุสลิม อพยพมาฝรั่งเศสกับแม่ชื่อยัสมินในภาวะปีก หักเกือบจะครบ 7 ปีแล้ว ที่อิหร่าน ครอบครัวอาศัยอยู่ที่นาตันซ์ เขตจังหวัดอิสปาฮัน ชีวิตของ สองแม่ลูกไม่อาจเทียบได้กับเรื่องราวในนิทานแห่งบูรพาเลยสักนิด ยัสมิน ผู้เป็นแม่ถูกจับ (ขาย!) แต่งงานตอนอายุสิบหกกับลูกชายตระกูลร�่ำรวยใน 28
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
ท้องถิ่น ซึ่งหน้าตาดีแต่พิการทั้งกายและใจ ฟาราห์ ลูกสาวคนแรกก็พิการ (น่าจะสืบเนื่องมาจากที่ถูกครอบครัวสามีท�ำร้าย เพราะสงสัยว่าเป็นเด็กที่เกิด จากชายชู้!) ส่วนเซลดา ลูกสาวคนที่สอง ครอบครัวเจ้าเก่าวางแผนจับแต่ง งานกับชายอายุสี่สิบกว่าตอนที่เธออายุแค่สิบปี เรื่องนี้ไม่มีทาง ยัสมิน แม่ ของเซลดาเป็นผู้หญิงหัวแข็ง เธอไม่ยอม เลยแยกทางกับสามี หางานท�ำจน ได้เป็นนางพยาบาลในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พาลูกสาวทั้งสองไปอยู่ที่กรุง เตหะราน จนเพื่อนทนายช่วยจัดการอย่างล�ำบากยากเข็ญให้หย่าได้ส�ำเร็จ แต่ยัสมินไม่อยากให้ลูกสาวพบชะตากรรมแบบเดียวกับเธออีก ในปี 1999 เธอจึงหนีมาที่ฝรั่งเศสพร้อมลูกสาว เพราะมีลูกพี่ลูกน้องอยู่ที่นี่ และท�ำเรื่อง ขอลี้ภัย เธอได้งานท�ำในโรงพยาบาลที่แซน-แซ็งต์-เดอนีส์ ได้ห้องพักในซิเต ย่านคนจนแถบชานเมืองที่เซอวร็อง (เขต 9-3) และได้สัญชาติฝรั่งเศสอีกไม่ นานหลังจากนั้น แต่การณ์ปรากฏว่ายัสมินตกอยู่ในสภาพหนีเสือปะจระเข้ ที่อิหร่าน ยัสมิน ฟาราห์ และเซลดาใส่ผ้าคลุมหน้า มาที่ฝรั่งเศส ฟาราห์อยู่รอดปลอด ภัยในโรงเรียนส�ำหรับคนพิการ แต่เซลดากลับต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว (เกิน ไป) ให้เข้ากับขนบวัฒนธรรมใหม่ เวลาออกจากบ้าน ก็แต่งตัว ‘เหมาะสม’ อย่างที่แม่คอยดูอยู่ แต่ในกระเป๋าหนังสือกลับมี ‘ชุดที่สอง’ คือกระโปรงมินิ สเกิร์ต เอาไว้เปลี่ยนที่ห้องน�้ำโรงเรียน เพื่อจะได้แลดู “เหมือนเพื่อนๆ” ท�ำ ยังไงถึงจะปกป้องเธอจากพวกวัยรุ่นกเฬวรากในซิเตที่ร่อนไปร่อนมาทั้งใน โรงเรียนและนอกโรงเรียน เซลดานั้นดูเหมือนจะไร้เดียงสา รู้สึกอย่างไร ก็ แสดงออกอย่างนั้น และชอบพูดต่อล้อต่อเถียงกับเด็กผู้ชายที่ชอบล้อเรื่อง หน้าอกหน้าใจสวยๆ ของเธอว่า “นี่มันนมปลอมนี่ แกยัดนุ่นไว้ในยกทรงหรือ ไง” ก็จะถูกโต้กลับว่า “แล้วแกล่ะ ไอ้จู๋แกก็ยัดนุ่นด้วยรึเปล่า” เซลดาอายุ สิบสาม รูปร่างหน้าตาโตเกินวัย แต่จิตใจยังเป็นเด็กอยู่ ก็ด้วยอายุเท่านั้นเอง ที่แกตกหลุมพราง กลายเป็นเหยื่อถูกรุมข่มขืนที่บ้านเพื่อนชายจากโรงเรียน ไอ้พวกรุมกินโต๊ะมีกันอยู่สามคน ยังเป็นผู้เยาว์กันทั้งนั้น ยัสมินไปแจ้งความ แต่ไม่ได้การตามระบบฝรั่งเศสจนต้องถอนเรื่องไป เพราะต�ำรวจเห็นว่าเซลดา ชั่ว...พริบตา 29
แสดงอาการยั่วยวนเอง ตอนอายุสิบสามแค่นั้นเอง1! สาวน้อยกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างบาดลึก เธอรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ ทัง้ กับแม่ตวั เองและเด็กผูช้ ายโดยทัว่ ไป หลังจากนัน้ ก็เริ่มแสดงอาการท้าทาย ยั่วยวนทางเพศครั้งแล้วครั้งเล่า คุณโกรีนน์ อิกซ์. ผู้พิพากษาสมทบบอก ผู้เขียนว่า “นี่เป็นพฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นเสมอกับเด็กผู้หญิงที่ถูกข่มขืน” เซลดาลงเรื่องตัวเองล่อไว้ในอินเตอร์เน็ต แกฝันจะเป็นนางแบบ ฝัน จะเป็นดารา ไปโพสเป็นแบบถ่ายรูปดาดๆ ที่คนถ่ายไม่ใส่ใจสักนิดว่าเธอยัง ไม่บรรลุนิติภาวะ เรามีรูปถ่ายแกตอนอายุสิบหก โพสท่าอย่างสาวน้อยโลลิตา นุง่ กระโปรงสัน้ จู ๋ นอนเหยียดตัวท�ำท่ายัว่ สวาทอยูบ่ นโซฟา หรือไม่กร็ ปู นุง่ น้อย ห่มน้อย ใส่หมวกฟาง หรือไม่ก็โพสท่าเป็นนางแบบเสื้อยืดรัดรูปคู่กับบาแบ็ต แอ็ม. สาวร่างใหญ่ ลูกครึ่งกานา-อิตาเลียน เพื่อนร่วมชั้นเรียน อยู่มาวันหนึ่ง ยัสมินเกิดเห็นรูปถ่ายลับๆ พวกนั้นเข้า ก็เสียใจใหญ่โต ทั้งลูกสาวก็เริ่มออก ไปเที่ยวไนท์คลับ ห้ามไว้ไม่อยู่ ผู้เป็นแม่ถึงกับยอมเป็นหนี้ล้นพ้นตัว ไปหา ซื้อบ้านหลังเล็กๆ น่ารักที่โอล์เนย์-ซูส์-บัวส์ ย่านที่อยู่อาศัยของคนชั้นกลาง หวังใจว่าจะกันลูกสาวออกจากไอ้หนุ่มเลวๆ ในแถบคนจนนอกเมืองได้ จาก นั้นก็ไปร้องทุกข์กับผู้พิพากษาศาลคดีเด็ก (“ชีวิตลูกสาวดิฉันก�ำลังย�่ำแย่”) จน สามารถเอาเซลดาไปเข้าโรงเรียนประจ�ำกริญญง แขวงทิแอซ แถบชานเมือง ทางใต้ได้ส�ำเร็จ ที่นี่เป็นโรงเรียนชั้นดีหรูหรา อยู่ตรงใจกลางหมู่บ้านเก่าแก่ ใกล้ๆ กับอารามสมัยศตวรรษที่ 17 ในเขตชนบทโดยแท้จริง พวกลูกหลาน ผู้ดีมีเงินที่ถูกพ่อแม่คุมประพฤติมักถูกส่งตัวมาเรียนหนังสือและให้อยู่ประจ�ำ ที่นี่ พวกเด็กๆ ที่ประพฤติเหลวไหล หาทางออกไม่ได้ก็ถูกส่งตัวมาอยู่ที่นี่ โดยอาศัยโครงการช่วยเหลือเด็ก เหมือนอย่างเซลดา ยัสมินนั้นเชื่อว่าลูกสาว อยู่รอดปลอดภัยแล้ว แต่เธอก�ำลังจะสูญเสียเซลดาไป... 1
ทนายของเธอบอกผู้เขียนว่า “ที่อิหร่าน เซลดามีชีวิตอยู่ในโลกแคบๆ คลุมหน้าคลุมตา คิดเอาว่าคนทั้งโลกพูดแต่ภาษาฟาร์ซีกัน พออพยพเข้าฝรั่งเศส ก็เหมือนมาเยือนดาว อังคาร เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจกฎกติกาชีวิตที่นี่” 30
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
ที่โรงเรียนแห่งนี้ ความสัมพันธ์อย่างพิสดารพันลึกก่อตัวขึ้นระหว่าง เซลดากับมาแอล หรือแหม่ม นักเรียนประจ�ำอีกคนหนึ่ง เป็นความรู้สึกทั้งรัก ทั้งชังระหว่างเด็กสาวทั้งสอง เซลดาเป็นคนสวย และรู้ว่าตัวเองสวย ก็เลย ท�ำตัวให้เด่นจนเกินไป (เพื่อนๆ บอกว่า “หล่อนคิดว่าหล่อนเป็นศูนย์กลาง ของโลก”) แหม่มหน้าตาน่ารักน้อยกว่า เซลดามักออกอาการคุยโวข่มถึง ชัยชนะเรื่องผู้ชาย ทั้งที่จริงและที่คิดไปเอง เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องที่จะต้อง ไป ‘ถ่ายแบบแคสติ้ง’ เรื่อง ‘อัลบั้มรูปภาพ’ ที่ ‘ช่างภาพแฟชั่นใหญ่’ ก�ำลัง เตรียมให้ ฝ่ายแหม่มก็ต้องทนฟังไป บางครั้งบางคราวทั้งคู่ก็ลุกขึ้นมาระเบิด ใส่กัน แต่ก็จะคืนดีกันอย่างรวดเร็ว เซลดาพาแหม่มไปให้แม่รู้จัก ปรากฏว่า แม่ชอบ เพราะท่าทางจะเป็นเด็กเอาจริงเอาจัง มีวุฒิภาวะ อีกทั้งที่ปรึกษาผู้ ดูแลเรื่องการเรียนของเซลดายังให้การรับรองด้วย แต่บ่อยครั้งที่คุณเธอเหล่า นั้นก็ออกอาการ ‘บ่น’ มาดามยัสมิน “นี่คุณ ที่ฝรั่งเศสนี่ ไม่เหมือนอยู่อิหร่านนะ ต้องปล่อยให้เด็กสาวๆ เขาเป็นอิสระกันบ้าง!” คนเหล่านี้เป็นที่ปรึกษาประเภท ‘หัวก้าวหน้า’ มาดามยั ส มิ นมี อ าการซึ ม เศร้ า รู ้ สึ ก ไม่ ส บายใจที่ ตั ว คิ ด มากไปเอง เซลดาเลยสบโอกาสยกแหม่มมาเป็นข้ออ้างที่จะออกไปเที่ยวกลางคืน แกโทรศัพท์บอกแม่ว่า “คืนนี้หนูจะนอนค้างที่บ้านแหม่ม” จริงๆ แล้วแกอาจจะไม่ได้นอนก็ได้... เซลดายังวางอ�ำนาจ ขอเงินแม่ใช้เดือนละ 400 ยูโร ซึ่งได้มาจากโครง การช่วยเหลือเด็ก แล้วก็น�ำเงินจ�ำนวนนี้แหละไปซื้อมือถือ พอมีมือถือ ก็หา ตัวจับได้ยากไปเลยทันที... แหม่มนี่เองที่จะเป็นสื่อกลางติดต่อระหว่างเซลดาและยาเซฟหรือเจ้า นาย แหม่มพัก (อย่างน้อยก็ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์) อยู่ที่ซิเต ดู เซอริซิเยร์ เขตบาญเญอซ์ เช่นเดียวกับยาเซฟ ทั้งสองเคยสวนทางกันบนถนน แต่ไม่ เคยพูดคุยกันมากไปกว่าเอ่ยทักสวัสดีกันตอนเช้าหรือตอนเย็น ช่วงต้นเดือน ชั่ว...พริบตา 31
เมษายน ปี 2005 ตอนที่แหม่มแวะไปหาครูผู้ปกครองที่ซิเต เดซัวโซ (‘ที่พัก สงเคราะห์ช่วยคนจน สร้างอย่างล�้ำยุค’ นับแต่ช่วงปี 1930 เป็นต้นมา) ก็ได้ เจอยาเซฟอีก ครั้งนี้ยาเซฟเป็นฝ่ายเดินเข้ามาคุยด้วย ทั้งสองหลบไปหาที่ คุยกันตรงลานจอดรถ เขามีเรื่องส�ำคัญที่จะบอกกล่าว เขาเคยติดคุกที่น็องแตร์อยู่สองปี หลังจากนั้นก็พยายามหางานท�ำ แต่ไม่ส�ำเร็จ เพราะหาทางลบ ทะเบียนประวัติหมายเลขสองในแฟ้มไม่ได้ ว่าด้วยทัศนะด้านความประพฤติ ยาเซฟหาได้แต่งานกระจอกๆ อย่างพนักงานรับโทรศัพท์ งานท�ำความสะอาด ท�ำอยู่ได้ไม่ทันไรก็เลิก พอเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาฝ่ายแรงงานที่บาญเญอซ์เสนอ ให้ไปเข้าอบรมฝึกอาชีพ ก็ถูกโต้กลับว่า “ผมไม่มีวันยอมตื่นแต่หกโมงเช้า เพื่อเงินแค่เดือนละ 300 ยูโรหรอก” เขาต้องการอะไร ต้องให้ได้ทั้งหมด ให้ได้ในทันที เดี๋ยวนั้นเลย... จริงๆ เขาได้รับเงินช่วยเหลือส�ำหรับ ‘อดีตผู้ต้อง ขัง’ แต่กลายเป็นว่าผู้เลี้ยงดูตัวจริงกลับเป็นพ่อแม่ แม่ของเขาบอกว่า “เห็น ยาเซฟเขาไม่ท�ำงาน ฉันก็เลยกลัวว่าเขาจะไปท�ำอะไรโง่ๆ เพราะไม่มีเงินติด ตัวเลยสักแดงเดียว ฉันก็เลยให้เงินใช้ เขามีสถานภาพเป็นคนฝรั่งเศส แต่ ถ้าเป็นเรื่องหางานท�ำ ก็เป็นได้แค่คนแอฟริกันคนนึงเท่านั้นเอง” ส่วนงานที่ ขนส่งมวลชนซึ่งเขาอยากสมัคร ก็ไม่ต้องการคนมีประวัติด่างพร้อย... “ยังไงก็เถอะ ท�ำงานนี่เป็นเรื่องห่วยแตกสิ้นดี ใช่ว่าแบกจ๊อบแล้วจะท�ำ มาหาแดกอะไรได้!” เขาบอกกับแหม่ม จากนั้นก็กล่าวเสริมด้วยมาดลึกลับว่า “เรื่องเงินนะ ฉันมีวิธีโกยมาได้เป็นกอบเป็นก�ำ รวดเร็วทันใจด้วย ถึง ต้องการตัวเธอไปช่วย...” ยาเซฟไม่ได้บอกเล่าเรื่องทั้งหมดทีเดียว แต่ทุกๆ ครั้งที่พบกัน ก็บน ถนนนั่นแหละ (เขาขอเบอร์มือถือไป เอาไว้โทร.ไปนัดแนะ แต่ไม่เคยให้เบอร์ ของตัวเองไว้) การพูดคุยก็จะเริ่มขยายความลงรายละเอียดทีละนิดละหน่อย แหม่มรู้จักชื่อเสีย(ง)ของยาเซฟดี เขาไม่เคยล้อเล่นกับใคร เธอยอมซูฮกให้ สุดจิตสุดใจเลยจริงๆ ก็เขาเป็นเจ้าใหญ่นายโตคนนึงนี่นา การที่เคยติดคุก ยิ่งเป็นการเพิ่มออร่าให้กับตัว แล้วท�ำไมเขาถึงไปอยู่หลังลูกกรงนั่นได้ล่ะ ทั่ว 32
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
ทั้งซิเตรู้ดี เพราะไม่มีความลับในซิเต ด้วยว่าที่นี่เป็นเหมือนชุมชนหมู่บ้าน ข่าวลือแพร่สะพัด เดี๋ยวก็มา เดี๋ยวก็ไป เหมือนลูกบอลหิมะ ถ้าจะให้แยกว่า ไหนจริง ไหนเท็จ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะต่างคนต่างคุยโวเกิน แถมโกหก พกลมอีกต่างหาก อย่างน้อยยาเซฟก็มีต�ำนานของตัวเอง นี่คือนักเลงตัว จริง คือเจ้านาย คือจ่าฝูง กับเขานี่ เราเมคมันนี่ได้จริงๆ และเขาก็เที่ยงตรง ด้วย จ่ายงามด้วย ตัวคนนั้นดูลึกลับ ไม่ช่างพูด ไม่ผูกพันกับใคร หมวกฮู้ด ชุดจ๊อกกิ้งคลุมหัวไว้ ผ้าปิดจมูกเก็บซ่อนใบหน้าไว้เป็นบางส่วน เคยเห็นหน้า กันใกล้ๆ ที่บาญเญอซ์ นี่คือหมาจิ้งจอกโดดเดี่ยวแห่งทุ่งหญ้าสเตปป์ อย่างไรก็ดี มีอยู่หลายเรื่องที่เป็นจริง เขาเคยเข้าร่วมปฏิบัติการลักรถ กอล์ฟรุ่น GTI และรถสกู๊ตเตอร์อีกหลายคันโดย ‘ใช้ความรุนแรง’ พูดว่า ใช้ ความรุนแรง เห็นจะน้อยไป เพราะบรรดาเจ้าของรถถูกเอาหมวกกันน็อกฟาด โดยไม่ยั้งมือ แล้วยังถูก ‘พ่นแก๊ส’ โดยใช้ ‘เครื่องดับเพลิง’ (ประเภทระเบิด ควัน) มีอยู่ครั้งหนึ่ง ยาเซฟพยายามจะหนี ด้วยการฉีดแก๊สใส่ต�ำรวจที่ไล่ ตามมาประชิดตัว เขากับไอ้เจ้าระเบิดน้อยนี้ตัวติดกันแทบจะเป็นปาท่องโก๋ โดยซ่อนมันไว้ที่ ‘กล้วย’ กระเป๋าทรงรียี่ห้อลากอสต์คาดเอว คืนหนึ่งเขาถึง กับฉีดแก๊สใส่หมา เพราะไม่ชอบน�้ำหน้ามัน... แม้รถกอล์ฟ GTI ที่ขโมยมาก็ถูกน�ำมาใช้ในการบุกเข้าปล้นแบบติด อาวุธอีกสามครั้ง ที่บาร์ขายเหล้า-บุหรี่ชื่อ เลอ รงด์-ปวงต์ และร้านลาริเว ตั้งอยู่เขตมงเทรยและคาช็อง และอีกที่หนึ่งคือซูเปอร์มาร์เก็ตชื่ออาตาค 2 บนถนนตูแร็ง เขตบาญเญอซ์ แต่ทั้งสามเหตุการณ์ไม่ได้ถูกเพิ่มเข้าไปในแฟ้ม คดีหนาปึ้กของเจ้าตัว ถึงจะพิสูจน์หาหลักฐานได้ว่าเขาเป็นคนขโมย แต่ก็ยัง ระบุไม่ได้ว่าเขาเข้าไปมีส่วนร่วมในการปล้นทั้งสามคดี โชคดีส�ำหรับนายคนนี้ เพราะในเหตุการณ์ปล้นร้านซูเปอร์มาร์เก็ต มีการยิงปืนใส่ท้องยามที่เข้ามา ขวางไปสองนัด คนร้ายไม่ได้อะไรไป ต�ำรวจก็คว้าน�้ำเหลว คนร้ายหลบหนีไป 2
ATAC ต่อมาเมื่อเปลี่ยนมือเจ้าของกิจการ เปลี่ยนชื่อเป็น Simply-Market ซึ่งฟังดูเรียบ ร้อย ง่ายๆ ไม่ท้าทายโดนใจ น่าจะด้วยความระวังรอบคอบของเจ้าของคนใหม่ (เข้าใจ ว่าชื่อเดิมเมื่อออกเสียง จะใกล้เคียงกับคำ�ภาษาอังกฤษว่า attack/โจมตี-ผู้แปล ชั่ว...พริบตา 33
กับรถกอล์ฟ GTI โดยยังลอยนวลอยู่ เรื่องเกิดเมื่อปี 1999 ตอนนั้นยาเซฟอายุสิบเก้า ยาเซฟให้ปากค�ำกับนักจิตวิทยาสังกัดฝ่ายการศาลในเวลาต่อมาว่า “ผมรู้ว่าตัวเองจะกลายเป็นโจรมาตั้งแต่เล็กๆ แล้ว เพียงแต่ตอนแรกๆ ก็ยัง ลังเลๆ อยู่ระหว่างอาชีพโจร กับอาชีพ ‘ลูกอีช่างพูด’ (ทนายความ)” คืออยาก จะเป็นทนายความต่อสู้เพื่อคนจน คนตัวเล็กๆ และคนที่ถูกกดขี่ในสังคม แก๊งยาเซฟมีอุดมการณ์ต่อสู้เรียกร้องทางการเมืองผสมอยู่ด้วย “แต่ละวันมี เด็กเล็กๆ นับร้อยๆ คนในแอฟริกาล้มตาย แต่ไม่เห็นมีใครแยแส” ปัญหาคือ ก่อนจะเป็นทนายได้ ก็ต้องเรียนหนังสือ แต่ส�ำหรับเขาและ เพื่อนร่วมแก๊ง เรื่องเข้าโรงเรียนนี่ แค่เริ่มก็พังแล้ว ยาเซฟอยู่นิ่งๆ ดีๆ ไม่ เป็น เขาชอบก่อกวนและหาเรื่องทะเลาะชวนตี เลยตกซ�้ำชั้นเมื่ออยู่ชั้นหก ครูเลยแนะน�ำให้ย้ายไปเรียนทางเทคนิคตอนชั้นสี่* แล้วค่อยเข้าวิทยาลัยช่าง แต่ ‘แผนกติ ด ตั้ ง อุ ป กรณ์ ส าธารณสุ ข และไฟฟ้ า ’ เป็ น วิ ช ากระจอกเกิ น ไป ส�ำหรับคนอย่างเขา! เลยหนีเรียน แล้วก็ไม่ได้ประกาศนียบัตรสักใบเดียว เขายกข้ออ้างว่า “ผมเป็นคนเถื่อน และเป็นเด็กซิเต” เหมาะไปในทางใช้ความ รุนแรง “การเกิดและเรียนหนังสือที่ปารีสเขต 16 ย่านผู้ดีหรือที่เขต 93 มัน ไม่เหมือนกัน” แถมโชคยังไม่เข้าข้าง ยังเกิดมาเป็นคนด�ำอีกต่างหาก นัก จิตวิทยาวิเคราะห์ว่า “ยาเซฟยึดเอาพื้นเพทางชาติพันธุ์และสังคมของตัวเป็น เรื่องของชะตากรรม ไม่อาจผันแปรเป็นอื่น ...” จริงๆ แล้วยาเซฟเกิดที่ปารีส ไม่ใช่ที่ย่านคนจนชานเมืองไหนสักแห่ง และใช้ชีวิตวัยเด็กในเขต 12 ซึ่งเป็นย่านคนจนในเมืองที่น่าอยู่พอควร ทั้ง ครอบครัวพักอยู่ที่ถนนเบคคาเรีย ใกล้ๆ กับปลาซ ดาลิกร์ แต่ก็เป็นความ จริงว่าที่อยู่ของเขาคือห้องชุดสองห้องนอนแคบๆ ส�ำหรับครอบครัวเจ็ดคน * ระบบการศึกษาฝรั่งเศสจะนับชั้นเรียนย้อนลงมา ยิ่งอายุมากขึ้น ตัวเลขชั้นปีจะยิ่งน้อย ลง-บรรณาธิการ 34
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
(พ่อแม่และลูกอีกห้าชีวิต) และต้องใช้ห้องน�้ำรวมนอกห้องพักในชั้นนั้น นับว่า เป็นสภาพที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาปัญญาเอาเลยทีเดียว พ่อของเขาเป็นชาว ไอวอรี่โคสต์ อายุ 64 ขณะเกิดเหตุการณ์ เขาท�ำงานใช้แรงงานในบริษัท ท�ำกระจกมานานกว่าสามสิบปี ส่วนแม่เชื้อชาติเดียวกันอายุ 54 ท�ำงาน เป็น ‘ช่างเทคนิคผิวพื้น’ หรือพนักงานท�ำความสะอาดเราดีๆ นี่เอง เธออ่าน หนังสือไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ เธอบอกว่า “เราอพยพมาฝรั่งเศสเพื่อผจญภัย... และเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ผู้เป็นพ่อกล่าวเสริมว่า “และเพื่อหาเงินใช้” ก่อนที่จะ อพยพมาฝรั่งเศสเมื่อปี 1973 เขาเป็นชาวนาอยู่ในหมู่บ้านกานิซึ่งเป็นบ้านเกิด ...ทั้งพ่อและแม่พอใจกับสภาพชีวิตที่เป็นอยู่ แต่ไม่ใช่ยาเซฟ ก็เขาไม่ใช่คน (สัญชาติ)ฝรั่งเศส(ไม่เหมือนผู้ให้ก�ำเนิด)หรอกหรือ นี่เขาไม่ได้อยู่ที่ฝรั่งเศส บ้านเกิดของตัวเองหรือ “เวลาเห็นแม่บิดผ้าขี้ริ้วถูพื้นแล้ว เจ้าความเกลียดชัง มันพุ่งขึ้นอย่างแรง” ทั้งยัง ‘อาย’ ที่เห็นพ่อแม่พี่น้องตกอยู่ในภาวะดังที่เป็น อยู่ อยากจะกระชาก ‘โซ่ตรวน’ ที่พันธนาการพวกเขาอยู่ และอยากจะเป็น ‘นายของชีวิตตัวเอง’ (นี่ยังคงเป็นการวิเคราะห์ของนักจิตวิทยา) ยาเซฟมี ชีวิตอยู่กับความโกรธแค้นเกลียดชังและความหลงตัวเอง เขาอยากจะเป็น นายเหนือคนอื่น ได้ออกค�ำสั่ง ได้ปกครองคนอื่น และไม่ตระหนักว่าทุกสิ่งทุก อย่างมีขอบเขต “ขอตายอย่างราชสีห์ ดีกว่าอยู่อย่างหมา” ปี 1994 ครอบครัวย้ายไปอยู่ในแฟลต F5 ที่บาญเญอซ์ พี่ชายคนโต เล่าว่า “ที่พักกว้างขึ้น ต่างคนต่างมีพื้นที่ของตัวเอง ดีกว่าที่เก่าที่เราเคยอยู่” แต่ปรากฏว่ายาเซฟเริ่มไปมั่วสุม ออกอาการแย่กว่าเดิม เวลามีการแข่งฟุต บอล ยาเซฟขโมยมือถือและเสื้อแจ๊กเก็ตของเพื่อนๆ จากที่รับฝากของ ขูดขีด ตัวถังรถของศัตรูคู่อาฆาต ตั้งแต่อายุได้สิบหกก็เริ่มเข้าไปพัวพันกับเรื่องขู่ กรรโชก เช่นการขโมยวิทยุวอล์คแมน แถมยังข่มขู่เหยื่อด้วยอาวุธ (คู่หูตัวร้าย ชาวมาเกร็บถึงกับชักมีดออกมาขู่) ช่วงที่เด็กชายยาเซฟเพิ่งย้ายมาเริ่มชีวิต ที่บาญเญอซ์ใหม่ๆ มีอยู่วันหนึ่งขณะก�ำลังนั่งกันอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ถนนอ็องรีราเวอรา กับยัย ‘ซูซ’ (ซูซาน) มีไอ้ตวจร�ำในชุดเครื่องแบบขี่จักรยานผ่านหน้า ไป เจ้าหัวปิงปองรายนี้เคยเรียกเด็กชาย แล้วท�ำอาการเลวๆ ใส่อยู่บ่อยๆ ด้วยความโกรธแค้น ยาเซฟพุ่งออกจากที่ แล้วร้องตะโกนใส่ว่า ชั่ว...พริบตา 35
“ไอ้ตูดต�ำรวจ แม่แกมันกะหรี่ ไอ้ห่าเหม็น!...” หน่วยตรวจเคลื่อนที่ได้รับแจ้งแทบจะในทันที และเข้าจับกุมตัวเขาไว้ โทษฐานแสดงกิริยาเลวใส่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ (ยาเซฟแก้ตัวว่า “ผมพูดเล่น น่า”) จากการแสดงอารมณ์กับเรื่องร้ายๆ เล็กๆ น้อยๆ ไปสู่เรื่องร้ายๆ บาน ปลายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นจุดเริ่มต้นการใช้ชีวิตนอกกฎหมายด้วยประการฉะนี้ “เรามีเรื่องอยากคุยด้วย!” แหม่มจ�ำเสียงยาเซฟทางโทรศัพท์มือถือได้ทันที พ่อคนนี้ไม่เคยบอก ชื่อตัวเองเพราะกลัวถูก ‘ดักฟัง’ เขาเชื่อเอาจริงๆ จังๆ ว่าตัวเองถูกตาม ดักฟังโทรศัพท์มาโดยตลอด วันนี้เป็นวันเสาร์ เดือนเมษายน ปี 2005 หนุ่มสาวนัดเจอกันในซอย เล็กๆ หลังร้าน ‘การ์แชร์’ (เป็นร้านล้างรถตั้งอยู่บนถนนอ็องรี-ราเวอรา) ร้าน ล้างรถแห่งนี้ตั้งอยู่ข้างๆ ร้านขายแซนด์วิชกรีกชื่อ ‘อะหย่อยจัง’ แล้วก็ร้าน อินเตอร์เน็ตคาเฟ่แอ็งแตร์คอม ที่ตรงนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ส�ำคัญของเรื่อง ฝั่งตรงกันข้ามกับร้านมีตู้โทรศัพท์สาธารณะสองตู้เป็นจุด ‘นัดบอด’ เป็นที่ ส�ำหรับโทรศัพท์โดยไม่ปรากฏชื่อคนโทร. หรือไม่ก็ทิ้งข้อความไว้ปลายสาย โดยไม่ทิ้งร่องรอย แล้วจุดนี้เองก็เป็นที่ที่เวลาใครๆ จะตามหายาเซฟก็มัก ได้เจอที่นี่ ถ้าโชคดีหน่อย ด้วยคุณยาเซฟเธอเตร็ดเตร่อยู่แถวๆ นี้แทบทุกวัน จะเรียกว่าเป็น ‘ส�ำนักงาน’ ที่เอาไว้พบปะผู้คนของเขาก็ได้เหมือนกัน ยาเซฟใส่เสื้อมีฮู้ดยี่ห้ออาเดดิ (เป็นยี่ห้อเสื้อผ้าที่ผลิตโดยคนหนุ่มสาว จากบาญเญอซ์) สวมหมวกผ้าขนสัตว์ ส่วนแหม่ม สาวทอมแต่งชุดจ๊อกกิ้ง ใส่รองเท้ากีฬา ซอยเล็กๆ หลังร้านล้างรถการ์แชร์นี้ อยู่ติดกับเขตสุสานเมืองบาญเญอซ์โดยมีเพียงรั้วกั้น ฝั่งซ้ายเป็นสุสานของชาวยิว ฝั่งขวาเป็นสุสานชาว คริสต์ ถัดออกไปเป็นสุสานมุสลิม มีต้นเกาลัดใหญ่ยืนสงบนิ่งให้ร่มเงาอยู่ “เราอยากได้ตัวเธอไปอ่อยคนคนนึงที่พวกเราจะลักพาตัว ก็ต้องหาวิธี ล่อเขาให้ติดกับดักเสียก่อน การจับตัวเรียกค่าไถ่นี่นับเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการ 36
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
เมคมันนี่ให้ได้เร็วที่สุด ฉันจะลองเอาดีทางนี้ดู...” ยาเซฟบอกแหม่ม “นี่นายพูดเรื่องอะไรของนาย ว่าไง สบายดีอยู่รึเปล่าเนี่ย เป็นบ้าไป แล้วรึไง ฝันเฟื่องเหมือนเรื่องในหนังเลย ของจริงมันไม่เหมือนกับฉากในหนัง ซีรีส์อเมริกันหรอกนะ” “ไม่ตอ้ งมาขัดฉัน ไอ้คนทีว่ า่ นี ่ เราอยากให้มนั คายอะไรๆ ออกมา แล้ว ใช้กล้องดิจิตอลถ่ายรูปมันไว้ตอนสารภาพ ทีนี้ก็ค่อยๆ จัดการบลั๊ฟมัน” “แล้วจะท�ำไปท�ำไมกัน” “ตาคนนี้มันมีอะไรลับลมคมในอยู่ เราน่าจะเมคมันนี่ได้” ยาเซฟดู เ หมื อ นจะคิ ด ว่ า ‘เป้ า หมาย’ ที่ เ ล็ ง ไว้ ร ายแรกชื่ อ เรย์ ม งด์ ท�ำธุรกิจอะไรสักอย่าง ก็เลยคิดจะ ‘กระชับวงล้อม’ เพื่อจะขู่เอาเงิน นี่เป็น วงจรปกติที่มักเกิดขึ้นตามแถบชานเมือง อีตาเรย์มงด์มีชื่อสกุลฟังดูเป็น ฝรั่งเศสแท้ๆ แบบคนเชื้อสายโกลส์ สายพันธุ์นมเนยของแท้ เศสฝรั่งร้อย เปอร์เซ็นต์ “นี่ ฉันน่ะเล่นบทนั้นไม่ไหวหรอก ฉันมันพวกขี้ตื่น ไม่รู้จะท�ำตัวยังไง กะผู้ชาย” แหม่มตอบกลับ “แล้วเธอพอมองเห็นใครที่จะรับจ๊อบนี้ได้มั่ง ต้องเอาสาวประเภทเซ็กซ์ บอมบ์เลยนะเว้ย แล้วจะมีค่าตอบแทนงามเลยเชียว” แหม่มแวบคิดถึงเซลดา เพื่อน ‘สุดเลิฟ’ ในทันที ยัยคนนี้แหละน่าจะ เป็นนางนกต่อในฝันแบบโชะๆ แล้วยังไม่ใช่คนขี้ตื่นขี้กลัวด้วย แถมชอบเงิน ซะไม่มี... “เซลดาไง หล่อนแจ่มสุดในบรรดาสาวๆ ที่กริญญง จะโฟนหาให้เดี๋ยว นี้เลย...” “เซลดาเป็นคนเปราะบาง โดนใจผมเอามากๆ” หนึ่งในบรรดา ‘กิ๊ก’ ของเธอที่โรงเรียนกริญญงซึ่งท่าว่าจะรักชอบเซลดาจริงๆ บอก “แต่เธอถูกยัย แหม่มคอยบงการอยู่” ยัยแหม่มเองก็มีตายาเซฟเป็นจอมบงการอยู่ ต่อเนื่อง กันไปเป็นลูกโซ่... ชั่ว...พริบตา 37
เซลดาบอกนักจิตวิทยาในเวลาต่อมาว่า “หนูเป็นเหยื่อที่ลงตัวมากเลย ส�ำหรับพวกนั้น เขามองหาสาวน้อยที่คอยแต่ก้มหน้ารับค�ำสั่ง จะบีบหรือจะ ขู่ยังไงก็ได้” เธอเป็นสาวน้อยที่เปราะบางและสั่งได้! จริงๆ แล้วเซลดาเพิ่งรอดมาจากการพยายามฆ่าตัวตาย (โดยกลืนยา แก้โรคซึมเศร้าของแม่ไปหมดทั้งสต๊อก) จากเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ชวนเวทนา เรื่องมีอยู่ว่า มาทิเยอ ไอ้หนุ่มเมืองน็องต์ที่เธอรู้จักคบหาผ่านทางอินเตอร์เน็ต พอได้อ่านสารที่เขาพร�่ำพลอดรัก เธอก็เลยไปหา ปรากฏว่าไอ้หนุ่มตูดหมึก นี่มันเที่ยวไปคุยโวกับเพื่อนๆ ของเซลดาว่าเธอมีเงิน แถมมันบอกว่าไม่ได้ แยแสอะไรเธอหรอก มันมีกิ๊กอยู่เต็มไปหมด พูดอย่างนี้ก็งานเข้ากันละซี! เช้าวันเสาร์นี้ตอนที่แหม่มโทร.หา เซลดาอยู่บ้านเม่ที่โอล์เนย์-ซูส์-บัวซ์ เป็นบ้านเดีย่ วสองชัน้ หลังเล็กๆ หลังคามุงกระเบือ้ งสีแดง มีพมุ่ ไม้และเถาวัลย์ เลื้อยเป็นรั้วล้อม แหม่มไม่ได้บอกอะไรทางโทรศัพท์ (เพราะตัวเองก็เชื่อ เหมือนกันว่าถูกดักฟังตลอดเวลา) พูดแค่ว่า “เจ้านายมีข้อเสนอน่าสนให้เธอ งานได้เงินนะจ๊ะ” เซลดาขึ้นรถด่วนใต้ดิน RER3 ข้ามเมืองปารีส จากชานเมืองทางทิศ เหนือลงไปทางใต้ (ผ่านสถานีดร็องซี, ลา กูร์ เนอฟ, การ์ ดู นอรด์, ชัตเลต์, ลุกซ็อมบูร์ก, ด็องแฟรต์-ร็อชโร, ฌ็องติญญี...) แล้วมาโผล่ที่สถานีบาญเญอซ์ วันนี้แม่สาวเจ้าเสน่ห์แต่งตัวเซ็กซี่เอามากๆ (“หล่อนน่ะชอบแต่งตัวโป๊ๆ เปลือยๆ ประจ�ำแหละ” เพื่อนๆ ผู้หญิงบอก) พอต้นบ่าย เธอก็ไปปรากฏ โฉมที่ ‘ส�ำนักงาน’ ของยาเซฟที่หน้าตู้โทรศัพท์สาธารณะ ตรงข้ามร้านล้าง รถการ์แชร์ ถนนอ็องรี-ราเวอรานั่นยังไง สาวแหม่มยืนสูบบุหรี่คอยอยู่แล้ว คนเดียว อีกสองสามนาทีต่อมา ยาเซฟก็ขับรถทวิงโก (ที่ยืมมาจากเจ้าริกส์ เพื่อนเกลอพักอยู่ที่ซิเต เดส์ แมร์ลส์) ปราดเข้ามา บีบแตรเรียก หยุดรถเทียบ 3
เป็นรถไฟฟ้าใต้ดนิ วิง่ จากศูนย์กลางเมืองปารีสออกไปแถบชานเมืองหรือเมืองรอบๆ และ จอดเฉพาะสถานีใหญ่ๆ-ผู้แปล 38
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
ตรงที่สองสาวยืนอยู่ แล้วรับขึ้นรถไป จากค�ำให้การของยัยแหม่ม ยาเซฟเกิดปิ๊งความสวยของเซลดาทันที ที่ได้เห็น เจ้าหล่อนนั่งข้างๆ เขาด้านหน้า แหม่มนั่งที่เบาะหลังอารมณ์เริ่ม บ่จอย ชักรู้สึกหึงเสียแล้วซี สาวทอมน่าจะเคยมีอะไรๆ กับยาเซฟมาบ้าง... รถเคลื่อนออกไปได้ไม่กี่สิบเมตร เจ้านายก็ชี้ให้ดูตึกสูงสิบเอ็ดชั้น ที่พักของ เรย์มงด์ ‘เป้าหมาย’ รายแรกของปฏิบัติการลักพาตัว แผนที่วางไว้ คือให้ เซลดาเข้าไปกดกริ่งภายในตรงชั้นล่าง เรียกขึ้นไปที่ห้องพัก ขอให้เขาลงมาหา แล้วค่อยให้เธอหว่านเสน่ห์ (ซึ่งมีอยู่เต็มตัว ท�ำได้สบายๆ อยู่แล้ว) บอกไอ้ หนุ่มนั่นว่าเล็งเขามานานแล้ว กรี๊ดเขาจัง อะไรประมาณนั้น ยาเซฟรับประกันว่า “ไอ้นี่น่ะมันโง่ เดี๋ยวก็ได้เรื่อง” ยัยแหม่มรีบหนุนว่า “ถ้าเจ้านายบอกว่ามันโง่ มันก็โง่จริงๆ แหละ” ต่อจากนั้น ในวันเดียวกันนั้น หรือจะเป็นวันรุ่งขึ้น ให้เซลดาชวนไอ้ หนุ่มขึ้นรถเมล์สาย 128 เป็นเพื่อนไปอีกไม่ไกลที่ฟงเตอเนย์-โอซ์-โรส ท�ำเป็น ว่าหล่อนพักอยู่แถวนั้น แล้วจะต้องขอเบอร์มือถือเจ้านั่นไว้ด้วย จะได้โทร.หา... ยาเซฟขับเจ้าทวิงโกพาสองสาวไปตามเส้นทางรถเมล์สาย 128 สอง ข้างทางมีปอปลาร์ต้นสูงขึ้นเรียงรายอยู่ รถแล่นไปจนถึงป้ายรถเมล์ฟงเตอเนย์ -อู ด็อ งที่ เ ซลดากั บ ไอ้ ห นุ ่ ม ต้ องลาจากกั น ยาเซฟจอดรถตรงจุ ด นั้ น แล้ ว พาสองสาวเดินต่อไปจนถึงแฟลตซิเต เดส์ บลาฌีส์ที่อยู่ใกล้ๆ พาไปยังจุด ทิ้งขยะรวมของแฟลตหลังหนึ่งที่เขามีกุญแจ ที่ตรงนั้นสกปรก ดูเขรอะๆ มี กลิ่นโชย แล้วเดินลึกเข้าไปจนสุด จนถึงประตูที่ใส่กุญแจ เป็นทางลงไปห้อง ใต้ดิน ยาเซฟจะคอยรับ ‘สินค้า’ อยู่ที่นี่เมื่อได้รับโทรศัพท์เรียกจากแหม่ม (ซึ่งระหว่างนี้ต้องท�ำหน้าที่เป็น ‘ยาม’ คอยดูลาดเลาให้) สินค้าที่ว่าจะถูกขัง ไว้ในห้องใต้ดินข้างล่าง ใต้จุดทิ้งขยะรวมนั่นแหละ เซลดาตอบตกลงอย่างเลือดเย็นหรือเปล่า หรือเธอคิดว่าก�ำลังเล่นบท ในหนังอยู่เหมือนที่แหม่มให้ปากค�ำ เว้นเสียแต่ว่าคุณยาเซฟเกิดนกรู้ขึ้นมาว่า จะชักใยเชือกเส้นไหนในตัวเธอได้ ชั่ว...พริบตา 39
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น (เซลดานอนค้างที่บ้านแม่ของแหม่ม) เซลดาไปกดกริ่ง ภายในเรียกเรย์มงด์...ปรากฏว่าคนตอบรับคือแม่ของเรย์มงด์ “เรย์มงด์ยังนอนหลับอยู่เลย” “งั้นฉันค่อยผ่านมาใหม่ก็ได้ค่ะ” เซลดาตอบ แต่ปรากฏว่าเซลดาไม่ยอมกลับไป แม้ยาเซฟจะออกอาการสบถสาบาน ข่มขู่เธออย่างไรก็ตาม สาวเจ้าไม่เอาด้วยแล้ว เพราะรู้สึกเหมือนก�ำลังเล่นเกมเบลอๆ น่าเบื่อ ภายหลังเธอให้เหตุผลว่า “ทีแรกฉันยอมรับท�ำก็เพื่อจะช่วยแหม่ม เพื่อนฉัน แต่สรุปแล้ว ฉันก็ไม่ได้ท�ำอะไรให้ปฏิบัติการนี้เวิร์กเลย ตรงกันข้ามด้วยซ�้ำ...” เซลดาไม่ได้ติดต่อกับยาเซฟ (ซึ่งช่วงแรกๆ ก็ส่ง SMS มาหาสองสาม ครั้งเพื่อจีบสาวแต่ก็ไร้ผล) อีกเกือบปี จนกระทั่งถึงเดือนมกราคม ปี 2006 เธอจึงได้รับการติดต่อให้เป็นนางนกต่อครั้งใหม่ คราวนี้คือการลักพาตัวเอลี แต่ยาเซฟไม่ได้ยกเลิกแผนลักพาตัวเรย์มงด์หรอก เขาอาศัยฝีมือยัย แหม่มเป็นเอเย่นต์จัดหาคน (ซึ่งได้เงินค่าตอบแทนไป 150 ยูโร) ต่อสายไปหา สาวน้อยคนใหม่จากโรงเรียนกริญญงอีกนั่นแหละ คราวนี้ได้ตัวแสบมาเลย เป็นสาวผิวด�ำเชื้อสายอังโกลา ชื่อเอสแตร์ รูปร่างสูงระหง หุ่นงาม ผมสีด�ำ ถักเปียเส้นเล็กๆ พันเป็นร่างแหติดหนังหัว แถมไฮไลต์สีทองเป็นหย่อมๆ สาวน้อยพักอยู่ใกล้ๆ ห้องของแหม่มกับเซลดา ซึ่งเป็นคนจัดแจงนัดแนะโน่นนี่ “ไม่ต้องกังวลไปน่า—เซลดาคงพูดอะไรประมาณนี้เป็นการปลอบใจ— ไอ้บทที่ว่านี่ ที่จริงฉันต้องเป็นคนลงมือ แต่เสาร์-อาทิตย์หน้าเกิดไม่ว่างขึ้นมา แม่เขาไม่อยากให้ออกจากบ้านน่ะ” ยาเซฟให้เงินเอสแตร์ล่วงหน้า 100 ยูโร เพื่อจะตกปลาตัวนี้ แผนที่วาง ไว้ก็เหมือนฉากที่เคยเกิดขึ้น สาวน้อยไปกดกริ่งอินเตอร์คอมเรียกเรย์มงด์ คราวนี้ไอ้หนุ่มลงมาหาเองที่ชั้นล่าง เขาเป็นคนฝรั่งเศสจ๋า(โดยสายพันธุ์)เลย แหละ ประเภทหนุ่มน้อยหนวดเคราไม่ค่อยได้โกน ใส่สร้อยทองเส้นยาวทับ บนเสื้อสเวตเตอร์สีเทายับๆ 40
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
“นี่ ผมไม่เห็นรู้จักคุณเลย” เขาว่า “รู้จักซี่ ก็เราเคยเจอกันกะกลุ่มเพื่อนที่มงต์รูจเมื่อเดือนก่อนไง คุณยัง ให้ที่อยู่ฉันไว้เลย” “คุณชื่ออะไรนะ” “สเตฟานี” เอสแตร์ตอบ ปลาฮุบเหยื่อเข้าให้แล้วไง เรย์มงด์พาเธอขึ้นไปที่ห้องชั้นห้า ชี้ชวนให้ ดูรูปตอนไปพักร้อนในเครื่องคอม พอสาวเจ้าออกท่าทางเฟลิร์ตใส่ เจ้าหนุ่ม ก็ให้เบอร์มือถือของเขา “แล้วจะโทร.หาใหม่นะ” เอสแตร์ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะกลับออกมา แถมบอกด้วยว่าแล้วจะพาเขาไปบ้านพักของเธอที่ฟงเตอเนย์-โอซ์-โรส “ตอนนี้พ่อแม่ฉันไม่อยู่บ้าน มีแต่เราสองคน จะได้อยู่กันเงียบๆ ไง” พอตกกลางคืน ยาเซฟก็สั่งให้เอสแตร์โทร.หาเรย์มงด์ ปรากฏว่ามีแต่ เสียงจากเครื่องตอบรับ พอวันรุ่งขึ้นเธอลองโทร.ดูอีกครั้ง ก็ยังได้ผลเหมือน เดิม อาทิตย์ต่อมาก็ไม่ต่างกัน ตกลง พ่อเรย์มงด์คนนี้ไม่ใช่ ‘ไอ้โง่’ เขาคง ได้กลิ่นไม่ค่อยจะดี เลยรู้ตัวเสียก่อน ยาเซฟบอกเอสแตร์ว่า “เป็นอันยกเลิก เจ้านั่นมันรู้แกวซะแล้ว ไป เปลี่ยนทรงผมซะ อย่าให้ใครจ�ำเธอได้จะดีกว่า...” เธอให้การกับต�ำรวจภายหลังว่า “หนูว่าหนูโชคดีน่ะ พอคิดไปว่าถ้าท�ำงานส�ำเร็จจริงๆ จะเกิดอะไร ตามมา คงต้องเสียใจแย่เลยที่เข้าไปร่วมก่อเรื่อง ตัวหนูเองก็ไม่ได้ต้องการ เงิน เรื่องนี้มันทุเรศสิ้นดี ก็เท่านั้น” กับเงินร้อยยูโรที่ได้จากยาเซฟ ซึ่งเกือบมีค่าเท่ากับการต้องติดคุกนับ เป็นปีๆ เอสแตร์เอาไปซื้อรองเท้าบู๊ตให้ตัวเองคู่หนึ่ง ตอนนั้นสาวน้อยเอสแตร์อายุ 15 ปี
ชั่ว...พริบตา 41
ถ้าข้าอยากได้อะไร ต้องได้เดี๋ยวนั้น ชีวิตข้างถนนเป็นโค้ชที่ดีเสมอ ข้าเป็นคนร้อน เฮ้ย ไอ้มืดเอ๋ย เงินข้าไม่เคยขาดมือ... เวลารถลอมบอร์กินีเลอะ ข้าก็เรียกนายซาร์โกซีมาล้างให้... เพลงของข้าท�ำให้แกเสียวฟันงั้นเหรอ ก็ไปดูดจิ๋มซะเลย ไปซี ทั้งแร็พ ทั้งยา ก็ว่ากันไป ทั้งงานค่าแรงขั้นต�่ำสุด ทั้งเงินสงเคราะห์คนตกงาน ข้าไม่มีเวลาให้หรอกนะ ตัวข้าน่ะเรอะ ถ้าอยากได้อะไร ต้องได้ดังใจ เดี๋ยวนั้นเลย Booba, Tout et tout de suite
หลังจากเข้าไปอยู่ในเรือนจ�ำคุมประพฤติน็องแตร์นาน 30 เดือน จน ได้อิสรภาพในปี 2001 เมื่ออายุ 21 ปี พอออกจากคุก ยาเซฟมองหางานท�ำไป พลาง ขณะเดียวกันก็ยังก่อคดีผิดกฎหมายอีกหลายครั้ง ก็จากการถูกคุมขัง หลังซี่ลูกกรงนี่เองที่ท�ำให้หนุ่มยาเซฟได้ค้นพบ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ได้หวน คืนสู่ศาสนาอิสลามอีกครั้งหนึ่ง แม้จะเป็นมุสลิมโดยก�ำเนิด แต่ก่อนหน้านี้ เขาไม่ใช่มุสลิมในทางปฏิบัติ ศาสนาอิสลามที่เขาหันมายึดถือในครั้งนี้ต้อง บอกว่าเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากดูท่าจะสอดคล้องอย่างยิ่งกับชีวิตแบบแก๊ง สเตอร์ ซูซ เพื่อนสาว (สายพันธุ์เนยนม) ให้การกับต�ำรวจว่า “ตอนออกจาก คุก เขาดูเปลี่ยนไป ฉันเองก็มีชีวิตของฉัน แต่ตัวเขาสิ ไปติดแหง็กอยู่สองปี กว่า พอเป็นอิสระ เขาก็พยายามจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนปกติ แต่ไม่ส�ำเร็จ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาท�ำยังไงถึงพอมีกินมีใช้ เพราะยังไงๆ ก็ดูเหมือนจะ ลอยชายไปเรื่อยๆ...” ที่จริงยาเซฟไม่ได้อยู่อย่างลอยชายไร้จุดหมาย พอออกจากคุก เขา ก็เริ่มควงขวานสงครามออกปฏิบัติการ และประกาศสงครามกับสังคม เขา อยากได้เงิน และต้องหาให้ได้ในทันที เราไม่อาจรู้ว่าคนที่ตกเป็นเหยื่อมี จ�ำนวนสักเท่าไร เพราะไม่มีใครไปแจ้งความ แถบย่านบาญเญอซ์ลือกันว่า 42
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
ยาเซฟแบล็คเมล์ผู้หญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่ง ด้วยรูปถ่ายตอนที่เธออยู่กับชายชู้ ทางการยังตั้งข้อสงสัยด้วยว่าเขาเข้าไปพัวพันกับกรณีกรรโชกทรัพย์หลายๆ ราย เช่นกรณีนายราชิด อาช. พ่อค้าผ้าชาวมาเกร็บในย่านชานเมืองใกล้ๆ ปิแยร์ ปล๊าต พ่อค้าคนนี้ วันดีคืนร้ายก็มีคนเอาซองหนาปึ้กมาวางไว้ตรง หน้าประตูร้าน ในซองมีรูปถ่ายชายสวมฮู้ดปิดหน้า โผล่แต่ตากับจมูก ถือ ปืนบาซูก้า (หรืออะไรที่หน้าตาคล้ายๆ อย่างนั้น) จดหมายที่แนบมาแจ้ง ให้เขาจ่ายเงินหลายพันยูโร เป็นภาษีที่พึงจ่ายเพื่อสนับสนุนการต่อสู้เพื่อรัฐ ปาเลสไตน์ โดยเซ็นท้ายจดหมายว่าขบวนการแนวร่วมประชาชนปลดปล่อย ปาเลสไตน์ (FPLP)1 มีการเผาพรมเช็ดเท้าหน้าร้านเป็นสัญญาณเตือน จาก นั้นมีการติดต่อทางโทรศัพท์ ให้น�ำเงินและโทรศัพท์มือถือที่บันทึกข้อมูลไป สถานีรถไฟอาร์เกย เพื่อไปรับค�ำสั่งว่าต้องท�ำอย่างไรต่อไป แต่ปรากฏว่า ที่จุดนัดพบไม่มีใครไปตามนัด ยกเว้นกองก�ำลังต�ำรวจที่ราชิด อาช. ไปแจ้ง ความร้องทุกข์ไว้ นี่พวกแก๊งฝึกหัดถอดใจกันแล้วหรืออย่างไร ไม่นานหลังจากนั้นก็มีการยกระดับเหยื่อรายอื่นๆ ของแก๊ง คราวนี้ มุ่งโจมตีพวก ‘นายทุนใหญ่’ มีการส่งจดหมายข่มขู่ในลักษณะเดียวกัน ระบุ จ�ำนวนเงินที่ต้องจ่าย พร้อมรูปถ่ายชายสวมฮู้ดปิดหน้าถืออาวุธ เป้าหมาย เรื่อยไปตั้งแต่ระดับผู้บริหารบริษัทฟิลิปส์ โรเล็กซ์, รีบอค, เวิร์ลพูล, ปิเยร์ อิมพอร์ต, บีเอ็มดับบลิว, โตชิบา, ลาการ์แดร์ รวมถึงคนดังๆ ที่ปรากฏในสื่อ เช่น โรนี เบรามัน (องค์กรแพทย์ไร้พรมแดน) หรือฌ็อง-ฟร็องซัวส์ บิโซต์ (กรรมการผู้อ�ำนวยการโนวาแพร็ส) ปฏิบัติการข่มขู่ที่ว่านี้ไม่ได้สร้างความ ตื่นตกใจให้ผู้รับส่วนใหญ่ เพราะไม่มีใครเคลื่อนไหวท�ำอะไร แม้บางคนจะได้ รับระเบิดเพลิงขว้างใส่สวนที่บ้าน ก็เลยต้องท�ำอะไรที่ขมวดเกลียวให้มากกว่า นี้...มีการน�ำรถซีตรองรุ่น AX มาจอดทิ้งไว้ ในรถมีขวดน�้ำมันอยู่สองขวด ขวดหนึ่งจงใจเปิดปากทิ้งไว้ ที่เบาะหลังมีโทรศัพท์มือถือแปะติดอยู่กับซอง บรรจุผงสีด�ำ ส�ำหรับเป็นตัวจุดชนวนเมื่อมีสัญญาณมือถือเรียกเข้า ปรากฏว่า ระเบิดจุดไม่ติด แต่ผู้ก่อการร้ายฝึกหัดนิรนามก็ยังมีชื่อเสียงอยู่ราว 15 นาที 1
Front populaire de libération de Palestine-ผู้แปล ชั่ว...พริบตา 43
จากการเป็นข่าวม้วนเดียวจบตามหน้าหนังสือพิมพ์ ในที่นี้เห็นจะต้องระบุสถานที่ที่รถซีตรองถูกน�ำมาจอดทิ้งไว้ คือที่เมือง โซส์ ตรงสี่แยกที่ถนนกูเล แวร์ต ตัดกับบูเลอวารด์ เดส์กร็องจ์ ซึ่งเป็นจุดเดียว กับที่เอลีถูกลักพาตัวอีกสองปีต่อมา... การระเบิดรถที่น�ำไปวางทิ้งไว้คันนั้นเท่ากับเป็นสัญญาณเตือน ข่มขู่ ผู้คนที่พักอาศัยอยู่ในย่านคนมีเงินละแวกนั้น ซึ่งแก๊งนิรนามต้องการจะขู่ กรรโชกรีดทรัพย์ สารพัดกิจการอาชญากรรมซึ่งเกิดขึ้นภายใต้ชื่อตราประทับจากขบวน การต่างๆ เป็นต้นว่า FPLP, อาร์มาตา คอร์ซา หรือมาเฟีย K1 Fry ด�ำเนิน อยู่ยาวนานตั้งแต่ปี 2002 จนถึงปี 2006 ส�ำนักงานทนายความมีชื่อหลายแห่ง ถูกขู่กรรโชกเรียกค่าคุ้มครองรายละ 10,000 ยูโร แต่ไม่มีสักแห่งเดียวที่ยอม จ่ายเงิน คุณหมอชาวปารีสแปดรายในย่านที่พักหรูๆ ก็ตกเป็นเป้าเช่นกัน ส่วนวิธีการส�ำหรับเป้าชุดหลังนี้มีสีสันสุดๆ เช่น กรณีนายแพทย์อิกซ์. คุณ หมอชาวยิวกับคนไข้รายหนึ่ง เหตุเกิดขึ้นตอนค�่ำ คนไข้แต่งตัวสุภาพแสน คลาสสิก แต่ซ่อนส�ำเนียงชาวบ้านอย่างคนชั้นต�่ำไว้ไม่มิด เขายังหนุ่ม เป็น พวกเศสฝรั่งพันธุ์แท้ ตัวอ้วน และแจ้งว่าเป็นพนักงานองค์การขนส่งมวลชน แสร้งท�ำเป็นว่าปวดหัวเข่าอย่างแรง “ผมท�ำงานไม่ได้แล้ว ปวดมากๆ...” คุณหมอเขียนใบรับรองแพทย์ให้พักงาน โดยไม่ได้ถูกบีบบังคับอะไร มากมาย ท�ำให้วันรุ่งขึ้นมีโทรศัพท์ขู่เอาเงินนับแสนยูโร “ถ้าแกไม่จ่าย—เสียงนักเลงจากปลายสายทางโน้นขู่—ข้าจะฟ้องแพทย สภา...ว่าแกเล่นขี้โกง ได้ยินที่พูดไหม ไอ้ตุ๊ด ข้าจะกล่าวหาว่าแกมีวิธีหาเงิน ขุนตัวเองให้อ้วนเหมือนหมู เพื่อออกใบรับรองแพทย์สั่วๆ ให้ข้า!” สองสามคื น ต่ อ มามี ค นปาระเบิ ด น้ อ ยหน่ า ลงตรงหน้ า ประตู บ ้ า น คุณหมอเพื่อตอกย�้ำค�ำขู่ คุณหมอตกใจกลัวลนลาน แต่เมื่อรู้ว่าตนก็เหมือน กับเพื่อนร่วมอาชีพอีกเจ็ดคน (ซึ่งบางคนได้รับโลงศพเล็กๆ ทางไปรษณีย์ บ้ า งก็ ไ ด้ ลู ก กระสุ น ปื น พกใส่ ซ องมา) คุ ณ หมอจึ ง ไม่ ย อมตามค� ำ ขู ่ แ ละไป 44
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
แจ้งความ2 เดือ นพฤษภาคม ปี 2005 หลั งจากแผนลักพาตัวเรย์ ม งด์ล้ ม เหลว ยาเซฟกับพวกอีกสี่คนซึ่งยังระบุตัวตนอย่างไม่เป็นทางการไม่ได้ว่าเป็นใคร ถึงจะมีลาภลอยกับเขาสักที มี ‘สาย’ คาบข่าวน่าสนใจมาบอกว่า ทุกเช้าวัน อาทิตย์ มาดามมาเกอริต แอล. เศรษฐินีเจ้าของร้านช�ำไฮโซหลายสาขาใน ปารีส จะขับรถโฟร์วีลสีน�้ำเงินคันโต ตระเวนไปตามร้านสาขาเพื่อเรียกเก็บ เงินรายได้ (หรือไม่ก็เพียงบางส่วนของกิจการ) เมื่อหยุดแวะแต่ละร้าน เธอ จะนั่งอยู่หลังพวงมาลัย คอยให้ลูกจ้างเดินออกมาที่ถนน หย่อนซองหนาปึ้ก ทางกระจกหน้าต่างที่เปิดไว้ครึ่งๆ เธอจะเก็บแต่ละซองไว้ในกระเป๋าหนัง สีแดงที่วางไว้แทบเท้า พอตระเวนเก็บเงินแล้วเสร็จประมาณเที่ยง ก็จะเอา รถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถของซ็องทร์ โบบูร์กที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สอง แล้วขึ้น ลิฟต์โดยหนีบกระเป๋าหนังเลอค่าติดไปด้วย พอขึ้นไปถึงชั้นพื้นดิน ก็จะเดิน ผ่านลานหน้าอาคารเข้าไปที่ศูนย์การค้าเลส์ อาลส์ ซึ่งเธอมีร้านขายของอยู่ เป็นร้านเล็กๆ ที่จะมีหีบใบหนึ่งอยู่ในร้านส�ำหรับเก็บของที่ถ่ายจากกระเป๋า หนังไว้อย่างปลอดภัย “แม่ง อาทิตย์นึงๆ นี่หล่อนเก็บเงินได้ตั้งไม่รู้เท่าไหร่ แถมเป็นเงินสด ทั้งแบงก์เล็กแบงก์ใหญ่ซะด้วย” ถ้อยค�ำนี้ออกมาจากปากของยาเซฟตอนเจอแหม่ม ซึ่งถูกเรียกตัวให้ มาหาที่ ‘ส�ำนักงาน’ ถนนอองรี-ราเวอรา ตรงข้ามกับร้านขายแซนด์วิชชื่อ 2
ต�ำรวจมีเหตุผลที่เชื่อได้หลายประการว่ายาเซฟเข้าไปร่วมก่อกรรมในกิจกรรมเหล่านี้ ด้วยในเวลาต่อมา ภาพวิดีโอจากกล้องที่แอบถ่ายไว้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2004 ในที่ ท�ำการไปรษณีย์เขตวิทรี-ซูร์-แซน ซึ่งเป็นสถานที่ส่งจดหมายไปถึงบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อ การข่มขู่ในวันเดียวกันนั้น ภาพยาเซฟที่เห็นในวิดีโอยืนยันได้ว่าใช่เจ้าตัวจริงๆ ส่วน จดหมายที่ว่านี่แนบข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องรถที่ถูกจอดทิ้งไว้ที่บูเลอวารด์ เดส์ กร็องจ์ นอกจากนี้ เพื่อให้ค�ำขู่ดูมีน�้ำหนักน่ากลัวจริงๆ สมาชิกในแก๊งของยาเซฟเอง ยังสารภาพกับเพื่อนลูกกระจ๊อกคนอื่นๆ ที่ต่อมาเอาเรื่องไปบอกต�ำรวจว่า ตัวเป็นคน (ลงมือ) เอาระเบิดน้อยหน่าไปวางหน้าบ้านคนคนหนึ่ง “ตรงจุดที่เขียนค�ำว่า Boum ไว้” ปรากฏว่าหนึ่งในคุณหมอที่ถูกข่มขู่เจอระเบิดน้อยหน่าลูกหนึ่งในตู้จดหมาย ซึ่งมีคน เขียนสัญลักษณ์ค�ำว่า Boum ไว้... ชั่ว...พริบตา 45
‘อะหย่อยจัง’ ยาเซฟบอกยายแหม่มให้รู้ตัวว่า “นี่ แหม่ม ฉันจะเอาเธอมาท�ำงานคราวนี้ด้วย” สองสัปดาห์ต่อเนื่อง ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม (แหม่มยังจ�ำ ได้ดี เพราะวันนั้นยาเซฟท�ำมาดเก๋จีบสาวโดยให้ช่อดอกมูเกต์กับเธอ) ส่วน วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2005 ทั้งสองไปนั่งเอ้อระเหยที่ระเบียงร้านกาแฟ เล็กๆ ที่ศูนย์การค้าเลส์ อาลส์ หันไปทางลานหน้าซ็องทร์ โบบูร์ก ตรงหน้า คือทางเข้าบูติคที่นางมาเกอริต แอล. น่าจะเอากระเป๋าแดงแรงฤทธิ์เข้ามา เก็บหลังจากแวะเวียนเก็บเงินได้ครบเรียบร้อยแล้ว ที่มาสังเกตการณ์ในวัน อาทิตย์ทั้งสองวันนี้ ก็เพื่อยืนยันว่าข้อมูลที่ได้มานั้นถูกต้อง พอได้เวลาตรง เผง สุภาพสตรีคนนั้นก็เดินออกมาจากลิฟต์ที่จอดรถทางทิศใต้ หนีบกระเป๋า ที่ว่าเดินตัดลานโบบูร์กเข้าไปในบูติค “เราจะลงมือกันวันอาทิตย์หน้า!” ยาเซฟลงความเห็น แถมวางมาด อย่างคนใจกว้าง สั่งน�้ำเขียวโซดาให้เพื่อนสาวเป็นแก้วที่สอง ความที่เป็นมุสลิมพันธุ์แท้ ทั้งสองคนจึงไม่ดื่มแอลกอฮอล์ วันที่ 15 พฤษภาคม วันอาทิตย์ถัดมา แหม่มไปยืนคอยอยู่ตรงทาง เข้าที่จอดรถพร้อมมือถือ ทันทีที่เห็นเจ้าโฟร์วีลสีน�้ำเงิน ก็ส่งสัญญาณไปให้ ยาเซฟที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดตรงชั้นใต้ดินชั้นสองของที่จอดรถ ใกล้ๆ กับ ลิฟต์ เขาซุ่มอยู่ในที่มืด หลบอยู่หลังก�ำแพง ถือหมวกกันน็อกแบบคลุมหมด ทั้งหน้าไว้ ผู้หญิงกระเป๋าแดงคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เป็นคนอายุห้าสิบปลายๆ ผมสีเทาเงินตามธรรมชาติ ใส่ชุดกระโปรงสูทท�ำด้วยผ้าขนสัตว์เข้ารูป ปึ้ก! ยาเซฟฟาดเข้าให้ที่บริเวณท้ายทอย ออกแรงหนักเสียด้วยเพราะใช้หมวก กันน็อก เธอล้มลงไปที่พื้น ส่งเสียงร้อง มือปล่อยกระเป๋าหนังสีแดง ยาเซฟ เตะซ�้ำ หยิบกระเป๋าได้ก็รีบเผ่นกระโดดขึ้นบันไดไปทีละสี่ขั้น (ไม่ใส่ใจจะขึ้น ลิฟต์...ก็แน่ละ เพราะท�ำอย่างนี้ปลอดภัยกว่า) เอาหมวกกันน็อกสวมหัว แล้ว โผล่ออกมาที่ถนนข้างนอก หยีตาสู้แสง มีลูกน้องร่วมแก๊งอีกคนสวมหมวก กันน็อกคลุมไว้ทั้งหน้า ติดเครื่องมอเตอร์ไซค์รอไว้ หันรถกลับมารับ ฮึบ! ว่า แล้วยาเซฟก็โดดขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย แล้วก็ควบรถห่างไปไกลลิบ... 46
กรรณิกา จรรย์แสง แปล
ปฏิบัติการคราวนี้น่าจะท�ำเงินให้ถึง 9,000 ยูโร ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ยาเซฟพบแหม่มที่โถงชั้นล่างตึกซิเต ดู เซอริซิเยร์ เยื้ อ งไปข้ า งหน้ า คื อ สนามบาสเกตบอล ที่ มี ทั้ ง เด็ ก เล็ ก เด็ ก โต เด็ ก ชาย เด็กหญิงสารพัดเชื้อชาติตั้งแต่ผิวด�ำ อาหรับ จีน และคนขาว ชุมนุมกันอยู่ ราวสิบกว่าคน นี่อาจจะเป็นแก๊งอันธพาลในอนาคตละมั้ง หรือไม่ก็ว่าที่ยาเซฟ ตัวน้อยในวัยละอ่อน แหม่มมีเพื่อนร่วมเดินทางเป็นสมาชิกแก๊งจากปารีสนั่ง รถเรอโนลต์ คลิโอตามไปส่งถึงที่บ้าน เจ้าหล่อนออกอาการกระสับกระส่าย เป็นกังวล แหม่มถามว่า “ไง เรียบร้อยดีไหม” “อย่ามาเซ้าซี้ถามกันน่ะ” ยาเซฟตอกกลับ หมวกยังวางแปะอยู่บนหัว ยาเซฟเหลียวซ้ายแลขวาดูว่ามีใครสนใจเฝ้าดูอยู่หรือไม่ แล้วก็ค่อยๆ ยื่นแบงก์ 20 ยูโร สีน�้ำเงิน 10 ใบ ซึ่งเป็นส่วนแบ่งของเธอให้ “ขอให้โคตรแกทั้งโคตรเป็นกะหรี่ ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป...ถ้าแก เปิดปาก แม่งเอ๊ย ฉันจะจัดการแม่แก ได้ยินไหม ฉันจะเชือดคอแม่แกด้วย ฉันจะฆ่ากะ...กะ...แก น้องชายแกด้วย น้องสาวด้วย...” เขาขู่ เวลาอารมณ์เดือดขึ้นมา ยาเซฟจะออกอาการกระตุกติดอ่างขึ้นมา ทันที แต่นั่นไม่ท�ำให้สาวแหม่มหัวเราะ เธอกลับรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา เพราะหน้าตาของ ‘เจ้านาย’ ซึ่งปกติก็ยิ้มหัวดีอยู่ จู่ๆ ก็เกิดถมึงทึงแสดง ความเกลียดชังออกมา ไอ้ลักษณะท่าทางตลกโปกฮา แล้วจู่ๆ ก็เกิดโหด เถื่อนขึ้นมาของยาเซฟนี่แหละที่น่ากลัว ภายใต้หน้ากากของไอ้ตัวตลก ที่แท้ ก็คือคนบ้า... แหม่มให้การกับผู้พิพากษาสืบสวนสอบสวนว่า “เงิน 200 ยูโรที่ได้มา หนูเอาไปซื้อรองเท้าคู่หนึ่งให้ตัวเอง เป็นรองเท้าแบบคัตชูจริงๆ ไม่ใช่รองเท้า กีฬา รองเท้ามีส้นอย่างที่พวกสาวๆ เขาใส่กันน่ะ ก็หนูเคยมีโอกาสได้ใส่กับ เขาเสียเมื่อไหร่ ตั้งแต่ตอนนั้นแหละที่หนูเริ่มแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นผู้หญิง...” อีก 4 ปีต่อมา ยาเซฟให้การถึงแหม่มต่อหน้าคณะผู้พิพากษาศาลชั้น ต้นที่ปารีสว่า “ยัยแหม่มอยากจะให้ใครๆ ในซิเตรู้จัก ก็เลยพร้อมที่จะท�ำอะไรๆ ก็ ได้ทั้งนั้น ผมก็เลยฉวยโอกาสนี้เสียเลย!” ชั่ว...พริบตา 47