วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย
ราคา ๒๖๕ บาท
วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์ • ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย พิมพ์ครั้งแรก : พฤษภาคม ๒๕๕๘ ราคา ๒๖๕ บาท ข้อมูลทางบรรณานุกรม ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๘. ๓๘๔ หน้า. ภาพประกอบ. ๑. ไทย--ประวัติศาสตร์. I. ชื่อเรื่อง. 959.3 ISBN 978 - 974 - 02 - 1404 - 5
• ที่ปรึกษาส�ำนักพิมพ์ : อารักษ์ คคะนาท, สุพจน์ แจ้งเร็ว, นงนุช สิงหเดชะ • ผู้จัดการส�ำนักพิมพ์ : กิตติวรรณ เทิงวิเศษ • รองผู้จัดการส�ำนักพิมพ์ : รุจิรัตน์ ทิมวัฒน์ • บรรณาธิการบริหาร : สุลักษณ์ บุนปาน • บรรณาธิการส�ำนักพิมพ์ : พัลลภ สามสี • หัวหน้ากองบรรณาธิการ : อพิสิทธิ์ ธีระจารุวรรณ • พิสูจน์อักษร : โชติช่วง ระวิน | พัทน์นลิน อินทรหอม • รูปเล่ม : กิตติชัย ส่งศรีแจ้ง • ศิลปกรรม, ออกแบบปก : สิริพงษ์ กิจวัตร • ประชาสัมพันธ์ : ตรีธนา น้อยสี
หากสถาบันการศึกษา หน่วยงานต่างๆ และบุคคล ต้องการสั่งซื้อจ�ำนวนมากในราคาพิเศษ โปรดติดต่อโดยตรงที่ บริษัทงานดี จ�ำกัด โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๐-๐๐๒๑ ต่อ ๓๓๕๓ โทรสาร ๐-๒๕๙๑-๙๐๑๒
หนังสือเล่มนี้พิมพ์ด้วยหมึกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อปกป้องธรรมชาติ และสุขภาพของผู้อ่าน
บริษัทมติชน จ�ำกัด (มหาชน) : ๑๒ ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์ ๑ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๐-๐๐๒๑ ต่อ ๑๒๓๕ โทรสาร ๐-๒๕๘๙-๕๘๑๘ แม่พิมพ์สี-ขาวด�ำ : กองงานเตรียมพิมพ์ บริษัทมติชน จ�ำกัด (มหาชน) ๑๒ ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์ ๑ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๐-๐๐๒๑ ต่อ ๒๔๐๐-๒๔๐๒ พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด ๒๗/๑ หมู่ ๕ ถนนสุขาประชาสรรค์ ๒ ต�ำบลบางพูด อ�ำเภอปากเกร็ด นนทบุรี ๑๑๑๒๐ โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๔-๒๑๓๓, ๐-๒๕๘๒-๐๕๙๖ โทรสาร ๐-๒๕๘๒-๐๕๙๗ จัดจ�ำหน่ายโดย : บริษัทงานดี จ�ำกัด (ในเครือมติชน) ๑๒ ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์ ๑ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๐-๐๐๒๑ ต่อ ๓๓๕๐, ๓๓๕๑ โทรสาร ๐-๒๕๙๑-๙๐๑๒ Matichon Publishing House a division of Matichon Public Co., Ltd. 12 Tethsabannarueman Rd., Prachanivate 1, Chatuchak, Bangkok 10900 Thailand
สารบัญ
วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
ค�ำน�ำ
(๙)
“--- นานไปใครไม่ใช่ลูกกู เข้ามาเป็นเจ้าของครอบครอง ขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข---”
๒
“---เสนาบดีทุกวันนี้เหมือนควายที่หีบอ้อย---”
๑๐
“---วังหน้าทุกวันนี้สิ้นความคิด เหมือนผ่าอกมาให้เขาดูหมดแล้ว---”
๑๖
“---อย่าถือว่าเกิดมามีบุญ ต้องถือว่าตัวเกิดมามีกรรม---”
๒๔
“---เป็นเรื่องยากที่จะเอาใจเธอให้เธอมีความสุข---”
๓๒
“---ความไม่เข้าใจและความไม่เอาใจใส่ของราษฎร เราเห็นได้ถนัดเมื่อวันประกาศ---”
๔๐
“---ห้ามเจ้านายมิให้เสด็จไปเมืองสุพรรณบุรี---”
๔๘
“---ชอบพัดลมไฟฟ้าหรือเปล่า---”
๕๔
“---หม่อมฉันเพียงกราบทูลขอให้ฝ่าบาทรักและซื่อสัตย์ จริงใจต่อหม่อมฉัน---”
๖๒
“---ประเพณีหลายเมียซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจมาก---”
๗๐
“---เจ้าพึงรู้เถิดว่าพ่อเชื่อในความฉลาดของเจ้ามาก---”
๗๘
ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย (5)
“---แต่ขอพระราชทานเลิกคิดขบถเสียที เพราะได้รับหน้าที่นี้มา ๑๕ ปีแล้ว เบื่อเต็มที---”
๘๖
“---คนนี้ต้องไป หมดกันที---”
๙๔
“---ฉันตายแล้ว ฉันจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าหลวงท่าน ได้อย่างไร---”
๑๐๒
“---เหลือที่จะพรรณนาถึงความทุกข์ อันต้องเป็นก�ำพร้าในอายุเพียง---”
๑๑๐
“---อย่าได้ฝันเห็นเลยว่าใครจะเปนธุระ---”
๑๑๘
“---ถ้าหากว่าพระราชินีตายแล้ว ก็ขอให้บอกให้รู้สักค�ำหนึ่งเถิด---”
๑๒๖
“---ฉันถูกตาหมอกวดขันมาก ห้ามไม่ให้คิดไม่ให้พูดด้วยรั้วงานราชการอันใดเลย---” ๑๓๔ “---สนุกอย่างล�ำบากผาดโผน ไม่ใช่สนุกอย่างส�ำรวย---”
๑๔๒
“---ใครมาก็มีแต่จะรุมดูไม่ปราณีปราไสย---”
๑๕๐
“---รู้ว่าเปนโรคลึกนั้นในสามปีมานี้---”
๑๕๘
“---ด้วยลูกอันเป็นที่รัก ซึ่งจะได้อยู่ใน ความปกครองของเจ้า---”
๑๖๖
“---คนสนใจท่านแต่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์---”
๑๗๔
“---ถ้าเห็นว่าฉันยังมิได้ท�ำอะไรพอส�ำหรับบ้านเมือง ก็เอาบ้านฉันไปซิ---”
๑๘๒
(6) วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
“---เรื่องเข้าเขตรแดนประเทศใด รู้สึกเปลี่ยนแปลงนี้ประหลาดมาก---”
๑๙๒
“---วิธีด�ำเนินการในธานีเล็กๆ ของเราเป็นเช่นไร ก็ตั้งใจไว้ว่าจะให้ประเทศสยามได้ท�ำเช่นเดียวกัน---” ๒๐๐ “---ฉันคิดว่าถึงเวลาเสียทีที่ฉันควรต้องเลิกติดต่อกับเธอ ในเมื่อเรื่องนี้รู้ไปถึงกรุงเทพฯ แล้ว---”
๒๐๘
“---ไม่มีข้าหลวงต�ำหนักใดจะสวยเก๋ทันสมัย เท่าข้าหลวงของสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์---”
๒๑๖
“---ข่าวลือว่าฉันมีเงินมากมาย เกินความจริงไปตั้งหลายร้อยเท่า---”
๒๒๔
“---ฉันมีมากก็ใช้มาก มีน้อยก็ใช้น้อย อายุถึงปูนนี้แล้ว---” ๒๓๒ “---ข้าพเจ้าก็ได้เลือกคู่เองเหมือนกัน แต่ไม่มีลูก---”
๒๔๐
“---ท�ำอะไรกับมหาดเล็กเป็นกลิ้งครกขึ้นภูเขา ขี้เกียจเหลือประมาณ---”
๒๔๘
“---เรื่องสนุกของชาววังนั้นคือ ก�ำลังคลั่งท�ำนา---”
๒๕๖
“---ไม่ได้ใช้ฬ่อใจราษฎรแต่ด้วยถ้อยค�ำเท่านั้น ยังมีฬ่อใจโดยทางอื่นๆ อีก---”
๒๖๔
“---การมีคอนสติติวชั่นนั้นไม่ใช่ของง่าย---”
๒๗๒
“---อย่าได้ถือพวกถือเหล่า เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน พูดกันเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว---”
๒๘๐
ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย (7)
“---เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสายเลือดเชื้อไขของฉันเอง---” ๒๘๘ “---เธอซีดไปทั้งร่างเหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว แล้วก็ไม่ยอมเสวยอะไร---”
๒๙๘
“---ถ้าบ้านแตกเมืองเสีย จะได้พาเอาไปด้วย---”
๓๐๖
“---ไม่ต้องกลัว ถึงคราวตายก็ต้องตาย---”
๓๑๖
“---เกือบจะรับประกันได้ว่าลูกเราคนนี้ ไม่เสียคนเลยเปนอันขาด---”
๓๒๔
“---ธรรมเนียมที่หมอบคลานนั้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืนเป็นเดิน---”
๓๓๐
“---การพูดคุยดูจะเป็นกิจกรรมหลัก ในสมเด็จพระพันปีหลวง---”
๓๓๘
“---เพราะพระองค์ท่านเป็นผู้รอบรู้กิจการช่างทุกประเภท---” ๓๔๖ “---คนดูช่างมากมายไม่หยุดหย่อน ที่น่าโฮเตลเบียดรวนกันไปมาจนถึงต่อยกันขึ้น---”
๓๕๔
“---ที่ไม่หลับนั้นเพราะนวดไม่ถูก---”
๓๖๔
(8) วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
คำ�นำ�
วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
การน�ำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มีวิธีการมากมาย หลากหลาย คุณสุจติ ต์ วงษ์เทศ ได้กรุณาให้แนวคิดในการน�ำเสนอ ด้วยวิธีการน�ำข้อความหรือค�ำพูดที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ มา เป็นหลักในการเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับข้อความหรือค�ำพูดนั้นๆ และเมื่อน�ำแนวคิดนี้มาปฏิบัติ ด้วยการคัดสรรข้อความหรือค�ำพูด ที่น่าสนใจในด้านต่างๆ ของบุคคลในประวัติศาสตร์ พร้อมกับค้น คว้าเพิ่มเติม เพื่อจะได้เล่าเรื่องราวที่มาของค�ำพูดหรือข้อความนั้น สิ่งที่ผู้อ่านจะได้รับคือ ความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ง่ายๆ และสั้นๆ ในเวลาสัน้ ๆ นัน้ นอกจากจะได้ความรูค้ วามเข้าใจในเรือ่ งราว ทางประวัติศาสตร์ตอนที่ต้องการจะน�ำเสนอแล้ว ผู้อ่านยังจะได้รับ รสชาติของอารมณ์และความรูส้ กึ ทีป่ รากฏอยูใ่ นค�ำพูดหรือข้อความ นั้นๆ อารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ในค�ำพูดของบุคคลในประวัติ ศาสตร์สามารถที่จะสะท้อนถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ สะท้อน ถึงนิสัยใจคอ ความรู้สึกนึกคิดของผู้พูด อันจะน�ำไปสู่เหตุผลหรือ ต้นสายปลายเหตุของการกระท�ำหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น โดย เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความคิดและความรู้สึกของบุคคล ที่สามารถสร้างหรือเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ อันได้แก่ผู้มีสิทธิ์ และมีส่วนในการบริหารประเทศ คือ พระมหากษัตริย์และพระบรม วงศานุวงศ์บางพระองค์
อารมณ์ดังกล่าวมีอารมณ์ โกรธ เกลียด รักชอบ หงุดหงิด และเบือ่ หน่ายท้อถอย ซึง่ ล้วนเป็นอารมณ์ของปุถชุ นคนสามัญทัว่ ไป ดั ง ปรากฏในบางวาทะบางโอกาส แต่ ว าทะในอารมณ์ ดั ง กล่ า ว ส่วนใหญ่มิได้เกิดขึ้น เหตุผลส�ำคัญมาจากคุณสมบัติพิเศษของพระ มหากษัตริย์ที่ทรงได้รับการอบรมปลูกฝังมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จนซึมซาบอยู่ในสายพระโลหิต แตกต่างจากสามัญชนคนทั่วไป ท�ำให้ทุกวาทะที่เกิดจากอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้นถูกสกัดกั้น และเปลีย่ นแปลงโดยมีเหตุผลของหน้าทีค่ วามรับผิดชอบในการทีจ่ ะ ท�ำให้บ้านเมืองมั่นคง เจริญรุ่งเรือง เป็นตัวก�ำหนด ดังนั้น นอกจากวาทะเล่าประวัติศาสตร์จะก่อให้เกิดความ เข้าใจเรื่องราวในประวัติศาสตร์ชัดเจนขึ้น พร้อมกันกับการเพิ่ม อรรถรส ชีวติ ชีวา และความน่าสนใจในการศึกษาประวัตศิ าสตร์แล้ว ยังท�ำให้ผู้อ่านได้รู้ซึ้งถึงน�้ำพระราชหฤทัยและพระราชภาระของ พระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งมีความอยู่รอดของบ้านเมือง และความ สุขสงบของราษฎรเป็นจุดหมายปลายทาง โดยการใช้พระคุณสมบัต ิ พิเศษคือ มีทงั้ พระปรีชาสามารถ ความรอบคอบ ความฉลาดเฉลียว และความกล้าหาญในการตัดสินพระทัย ตลอดจนพระวิรยิ ะอุตสาหะ ความอดทนอดกลั้นต่อเหตุการณ์ที่ท�ำให้เกิดพระอารมณ์ต่างๆ และสิ่งส�ำคัญที่สุด คือ การที่ทรงยอมสละความสุขส่วนพระองค์ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ท�ำให้พระราชภาระที่ยากยิ่งและ หนักหน่วงทั้งปวงส�ำเร็จลงได้จนสามารถที่จะรักษาบ้านเมืองให้ คงอยู่ยั่งยืนตราบเท่าทุกวันนี้ การเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ด้วยวิธีนี้จึงน่าจะเป็น ประโยชน์อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ส�ำหรับผู้ที่ต้องการจะรู้เหตุการณ์ ทีเ่ กิดขึน้ ในอดีตอย่างง่ายๆ สัน้ ๆ และเข้าใจอย่างลึกซึง้ ถึงเหตุการณ์ นั้นๆ ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย ๑ เมษายน ๒๕๕๘
(10) วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
“
---นานไปใครไม่ใช่ลูกกู เข้ามาเป็นเจ้าของ ครอบครอง
ขอผีสางเทวดา จงบันดาล อย่าให้มีความสุข---
”
พระบวรราชานุสาวรียก์ รมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ประดิษฐาน ณ วัด มหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร
4 วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
บริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ภาพถ่ายทางเครื่องบินเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ ซึ่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โรงละครแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“---ของใหญ่ของโตของกูดีๆ ของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วย เข้าทุนอุดหนุน กูสร้างขึน ้ ด้วยก�ำลังข้าเจ้าบ่าวนายของกูเอง นาน ไปใครไม่ใช่ลูกกู เข้ามาเป็นเจ้าของครอบครองขอผีสางเทวดา จงบันดาลอย่าให้มีความสุข---” เป็นพระด�ำรัสของ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ขณะประชวรเสด็จประทับบนเสลี่ยงบรรทมพิงพระเขนย ให้มหาดเล็ก เชิญเสด็จทอดพระเนตรรอบๆ พระราชวังบวรสถานมงคลซึ่งพระองค์ ทรงสร้างขึ้นด้วยความคิดและเรี่ยวแรงของพระองค์เอง กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงร่วมกับ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกู้เอกราชของชาติจากพม่า และร่วมกับ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสถาปนากรุงรัตน โกสินทร์เป็นราชธานีใหม่ ขณะนั้นบ้านเมืองก�ำลังตกอยู่ในภาวะยุ่งยาก ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย 5
และอันตราย เพราะทั้งต้องสร้างเมืองใหม่และท�ำสงครามกับพม่าซึ่ง พยายามที่จะกลับมามีอ�ำนาจเหนือไทยอีก ท่ามกลางความยากล�ำบาก นั้น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในต�ำแหน่งพระมหาอุปราช ได้โปรดสถาปนา “พระบวรราชวัง” ขึ้นในบริเวณที่เคยเป็นพระ นิเวศเดิมแต่ครั้งยังเสด็จด�ำรงพระยศเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ ทรงสร้าง พระบวรราชวังนี้อย่างยิ่งใหญ่และประณีตบรรจง ด้วยหวังจะได้ทรง อยู่อย่างเป็นสุขในบั้นปลายพระชนมชีพ แต่การณ์ก็มิได้เป็นอย่างที่ ทรงหวัง เพราะหลังจากด�ำรงพระยศกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้ ๒๑ ปี พระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ก็ประชวรพระโรคนิ่ว เล่ากัน ว่าทรงทั้งห่วงและหวงแหนพระบวรราชวังที่โปรดให้สร้าง เมื่อเวลา ประชวรหนักอยู่นั้นได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานต่อสมเด็จพระ เชษฐา ให้พระโอรสธิดาของพระองค์ได้ประทับอยู่ในวังหน้าต่อไป แต่ก็มีเรื่องเล่าลือให้ถึงพระเนตรพระกรรณว่า กรมพระราชวัง บวรฯ ได้ออกพระโอษฐ์ตรัสสาปแช่งขณะประชวร และเสด็จทอดพระ เนตรรอบๆ วังว่า “---ของเหล่ า นี้ กู อุ ต สาห์ ท� ำ ด้ ว ยความคิ ด และเรี่ ย วแรงเป็ น หนักหนา หวังจะอยู่ชมนานๆ ก็ไม่ได้ชม ของใหญ่ของโตของกูดีๆ ของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วยเข้าทุนอุดหนุน กูสร้างขึ้นด้วยก�ำลังข้าเจ้าบ่าว นายของกูเอง นานไปใครไม่ใช่ลูกกู เข้ามาเป็นเจ้าของครอบครอง ขอ ผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข---” เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ตัง้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นกรม พระราชวังบวรฯ ครั้งนั้นคุณเสือพระสนมเอกได้กราบทูลขอให้เชิญ เสด็จกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์ใหม่ไปประทับ ณ พระบวรราชวัง แทน แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ไม่ทรง เห็นด้วยเพราะทรงร�ำลึกถึงค�ำตรัสสาปแช่ง จึงมีพระราชด�ำรัสว่า “--ไปอยู่บ้านช่องของเขาท�ำไม เขารักแต่ลูกเต้าของเขาๆ แช่งเขาชักไว้ เป็นหนักเป็นหนา---” โปรดให้กรมพระราชวังบวรฯ พระองค์ใหม่ 6 วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
สมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ด�ำรงต�ำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯ
ประทับอยู่ที่ พ ระราชวั ง เดิ ม จนเสด็ จ เถลิ ง ถวั ล ยราชสมบั ติ ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรด เกล้าฯ ตั้งสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เป็นกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ พระด�ำรัสสาปแช่งยังเป็น ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย 7
สิง่ ทีท่ กุ คนเกรงกลัว พยายามหาทางเลีย่ งพระด�ำรัสสาปโดยทรงอภิเษก สมรสกับพระธิดาในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เพื่อจะให้ได้ ชื่อว่าเป็นลูกเขย เป็นการผ่อนปรนเลี่ยงพระด�ำรัสสาปอย่างแยบยล ครั้งแรกทรงตั้งพระทัยจะอภิเษกกับเจ้าฟ้าหญิงพิกุลทอง พระธิดา ซึง่ ประสูตแิ ต่เจ้าศิรริ ดจา พระขนิษฐาของพระเจ้ากาวิละเมืองเชียงใหม่ แต่เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้สิ้นพระชนม์เสียก่อน จึงทรงอภิเษกกับพระ ธิดาพระองค์อื่นขององค์เจ้าของวังแทน กรมพระราชวังบวรมหาเสนา นุ รั ก ษ์ ด� ำ รงพระยศเป็ น กรมพระราชวั ง บวรฯ ได้ เ พี ย ง ๘ ปี เสด็ จ สวรรคตเมื่อพระชนมายุเพียง ๔๔ พรรษา และในรัชสมัยนี้ก็มิได้ทรง แต่งตั้งท่านผู้ใดเป็นกรมพระราชวังบวรฯ แทนจนสิ้นรัชกาล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห ่ วั โปรดเกล้าฯ ตั้งกรมหมื่นศักดิพลเสพ (พระองค์เจ้าอรุโณทัย พระราชโอรสใน รัชกาลที ่ ๑) ซึง่ เป็นพระปิตลุ ารุ่นเล็ก มีพระชันษาใกล้เคียงกับพระองค์ ให้ เ ป็ น กรมพระราชวั ง บวรมหาศั ก ดิ พ ลเสพ กรมพระราชวั ง บวรฯ พระองค์นกี้ ท็ รงใช้วธิ ผี อ่ นปรนเลีย่ งพระด�ำรัสสาปด้วยการอภิเษกสมรส กับพระองค์เจ้าดาราวดี พระธิดากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย ทรงอยู่ในต�ำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯ ได้ ๘ ปีก็เสด็จสวรรคต เมื่อพระชนมายุเพียง ๔๗ พรรษา และมิได้ ทรงแต่งตั้งพระราชวงศ์พระองค์ใดเป็นกรมพระราชวังบวรฯ จนสิ้น รัชกาล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด เกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุน อิศเรศรังสรรค์ ด�ำรงต�ำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯ แต่โปรดให้เพิ่ม พระเกียรติยศเทียบเท่าพระมหากษัตริยอ์ กี พระองค์หนึง่ เป็นพระบาท สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีวิธีผ่อนปรนเลี่ยงพระด�ำรัส สาปด้วยการโปรดให้พราหมณ์ท�ำพิธีฝังอาถรรพ์ใหม่ทุกป้อมทุกประตู รวม ๘๐ หลัก ก่อนที่จะโปรดให้สร้างพระราชมณเฑียรพระที่นั่งและ พระต�ำหนักต่างๆ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับ ณ พระบวรราชวัง ๑๘ ปี จึงเสด็จสวรรคต 8 วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัตติ งั้ แต่พระชนมายุเพียง ๑๕ พรรษา สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสรุ ยิ วงศ์ในฐานะผูส้ ำ� เร็จราชการแผ่นดิน รวบรัดแต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ใน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวร วิชัยชาญ มีเรื่องเชื่อกันว่าเป็นอาถรรพ์ของวังหน้าอีกครั้ง เมื่อเกิด ความขัดแย้งกันระหว่างวังหลวงกับวังหน้า ซึ่งหากเหตุการณ์ยืดเยื้อ ต่อไปอาจร้ายแรงถึงเสียเอกราชให้แก่จักรวรรดินิยมตะวันตก กรม พระราชวั ง บวรวิ ชั ย ชาญอยู ่ ใ นต� ำ แหน่ ง ๑๕ ปี จึ ง ทิ ว งคต ท� ำ ให้ ยิ่ ง ตอกย�้ำความเชื่อว่า ต�ำแหน่งวังหน้านี้มีอาถรรพ์อันเกิดจากพระด�ำรัส สาปแช่งของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักพระทัย ถึงปัญหายุ่งยากที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงโปรดให้เลิกต�ำแหน่งนี้ และ โปรดสถาปนาต�ำแหน่ งรัชทายาทใหม่คือ สมเด็จพระบรมโอรสา ธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นแทน เรื่ อ งราวของความเชื่ อ เกี่ ย วกั บ พระด� ำ รั ส ที่ ว ่ า “---ของใหญ่ ของโตของกูดีๆ ของกูสร้าง---ใครไม่ใช่ลูกกู เข้ามาเป็นเจ้าของครอบ ครอง ขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข---” ก็เสื่อมคลายสูญสิ้นไปตั้งแต่ครั้งนั้น [จาก ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๒ ฉบับที่ ๓ (มกราคม ๒๕๕๔)]
ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย 9
“
---เสนาบดีทุกวันนี้
”
เหมือนควาย ที่หีบอ้อย---
สมเด็จฯ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
“---เสนาบดีทุกวันนี้เหมือนควายที่หีบอ้อย ถ้าหยุดเตือน แซ่เตือนกรตัก ก็หยุดบดเอื้องกันเสียหมด จะผลัดเปลี่ยนก็ไม่ มีคน พ่อเห็นเมืองไทยจะล้มเสียเพราะเรื่องนี้เป็นแน่แล้ว---” เป็นข้อความตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ขณะทรง ศึกษาอยู่ในทวีปยุโรป ข้อความในพระราชหัตถเลขาบ่งบอกถึงความหนักระคนท้อ พระทัยเกี่ยวกับเรื่อง “คน” ที่จะรู้เรื่องและสามารถปฏิบัติงาน 12 วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
ตามพระบรมราโชบายอันเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศชาติ ในขณะนั้น เพราะเป็นเวลาที่ประเทศไทยตกอยู่ในภยันตรายด้าน เอกราช สาเหตุจากการคุกคามของพวกจักรวรรดินิยมตะวันตก ท�ำให้ ประเทศเพื่อนบ้านรอบตัว ต้องสูญเสียเอกราชตกเป็นอาณานิคมของ ชาติทางตะวันตก เช่น พม่าและมลายูบางส่วนตกเป็นอาณานิคมของ อังกฤษ ญวน เขมร และลาวตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ประเทศ มหาอ�ำนาจทั้งสองก�ำลังพยายามจะขยายอิทธิพลเข้าครอบคลุมไทย ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้าอยู่หัวและพระ บรมวงศานุวงศ์ใกล้ชิดต่างก็ทรงตระหนักถึงภัยอันตรายใหญ่หลวง ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ และทรงพยายามอย่างยิ่งในอันที่จะหา หนทางให้รอดพ้นจากภัยคุกคามนั้นเต็มสติก�ำลัง ดังจะเห็นได้จาก พระราชด�ำริเกี่ยวกับเรื่องนี้ปรากฏในพระราชหัตถเลขาที่มีพระราชทาน พระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ราชทูตพิเศษที่โปรดให้เดินทางไปฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ ความตอนหนึ่งว่า “---ในเมื่อสยามถูกรังควานโดยฝรั่งเศสด้านหนึ่ง โดยอาณา นิคมอังกฤษอีกด้านหนึ่ง---เราต้องตัดสินใจว่าเราจะท�ำอย่างไร จะว่าย ทวนน�้ำขึ้นไปเพื่อท�ำตัวเป็นมิตรกับจรเข้ หรือว่ายออกทะเลไปเกาะ ปลาวาฬไว้---” วิธีหนึ่งที่ทรงเร่งด�ำเนินการแก้ไขวิกฤติการณ์นี้คือ การพัฒนา ประเทศให้มีความเจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศในทุกๆ ด้าน เพื่อ จะได้ไม่มีข้ออ้างในการที่จะเข้ายึดครองประเทศ และจะได้มีการเจรจา ต่อรองกันอย่างประเทศทีม่ คี วามเสมอภาคกัน ทรงเริม่ ด้วยการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงหน่วยงานต่างๆ เพื่อใช้เป็นกลไกในการพัฒนาบ้านเมือง ตามพระบรมราโชบาย ท�ำให้เกิดงานที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่าเดิม ก่อให้ เกิดความไม่พอใจกับเสนาบดีโดยเฉพาะเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งเคยชิน กับการท�ำงานแบบเดิมครั้งบ้านเมืองสงบสุข คือไม่รีบเร่งเรื่อยเฉื่อย สบายๆ ไม่มีวัตถุประสงค์ใดๆ ชัดเจน เมื่อจะต้องเปลี่ยนแปลงจึงเป็น เรื่องยากล�ำบากที่จะต้องปรับตัวเรียนรู้ท�ำความเข้าใจตลอดจนต้อง ท�ำงานหนักขึ้น ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย 13
นอกจากความไม่เข้าใจและไม่พอใจแล้ว บางคนยังเกิดความ เข้าใจผิดเมื่อมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากพระบรมราโชบาย เช่น เมื่อครั้งตั้งโรงเรียนให้การศึกษาแก่เด็กชายชาวบ้าน เพื่อจะได้มีความรู้ ความเข้าใจและความสามารถในการพัฒนาประเทศ คนส่วนใหญ่ยัง เข้าใจว่ารัฐบาลจะเกณฑ์เด็กไปเป็นทหาร เป็นต้น ด้วยเหตุดังกล่าวท�ำให้พระบรมราโชบายในการพัฒนาประเทศ ด้านต่างๆ ทีท่ รงก�ำหนดเพือ่ ต่อสูก้ บั มหาอ�ำนาจตะวันตกต้องหยุดชะงัก หรือด�ำเนินไปอย่างเชื่องช้า ซึ่งเป็นที่น่าหวั่นเกรงว่าจะไม่ทันกับภัย อันตรายทีก่ ำ� ลังคืบคลานเข้ามาไม่หยุดยัง้ ท�ำให้ทรงกังวลพระทัย และ ยิ่งกังวลพระทัยเพิ่มขึ้นเมื่อทรงประจักษ์ว่า คนเข้าใจพระบรมราโชบาย คนรู้ถึงภัยของชาวตะวันตก และคนมีความรู้ในงานที่ต้องท�ำนั้นมีน้อย มาก และยิ่งกังวลพระทัยขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อทรงพบว่าประเทศชาติ ในขณะนั้นไม่มีทั้งก�ำลังเงิน ก�ำลังอาวุธ และแม้แต่ก�ำลังคน ดังที่ทรง กล่าวไว้ในพระราชหัตถเลขาฉบับเดียวกันนี้ว่า “---ถ้าหากว่าเราพบบ่อทองในประเทศเรา---พอที่จะใช้ซื้อเรือรบ จ�ำนวนร้อยๆ ล�ำก็ตาม เราก็คงไม่สามารถจะสู้กับพวกนี้ได้ เพราะเรา จะต้องซื้อเรือรบและอาวุธจากประเทศเหล่านี้ พวกนี้จะหยุดขายให้เรา เมื่อไรก็ได้---อาวุธชนิดเดียวซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อเรา ในอนาคตก็คือวาจาและหัวใจของเราอันกอร์ปด้วยสติและปัญญา---” อาวุธในพระราชด�ำริที่ว่า “หัวใจ” นั้นน่าจะทรงหมายถึงคน ทัง้ ประเทศทีต่ อ้ งร่วมมือร่วมใจเป็นน�ำ้ หนึง่ ใจเดียวทุม่ เทแรงกาย แรงใจฟันฝ่าอุปสรรคให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ แต่หลายครั้ง ก็ทรงท้อพระทัยอันเนื่องมาแต่คนรุ่นเก่า ซึ่งก็คือเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ ที่ไม่มีความรู้ในวิทยาการสมัยใหม่ ไม่ยอมรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะนั้น ไม่ใส่ใจถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและยังไม่ใส่ใจ ที่จะหาความรู้เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง ดังที่ทรงกล่าวเปรียบ เทียบสถานการณ์ของบ้านเมืองกับการปฏิบัติงานของเสนาบดีเหล่านี ้ ไว้ว่า 14 วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์
“---ถ้าจะเปรียบด้วยเรือก็เหมือนกับเมื่อก่อนเอาขึ้นทิ้งไว้ในอู่ คงอยู่แต่รูปเรือ ท้องนั้นผุรั่วจวนจะลอยน�้ำไม่ได้ เมื่อจ�ำเป็นต้องเข็น ลงน�้ำก็เอาโคลนปะแทนชัน คนพายก็ไม่เป็น คนหนึ่งยกคนหนึ่งจ้วง ตุ๋มๆ ติ๋มๆ น�้ำก็เชี่ยวลมก็จัด เวลาว่างๆ ค่อยปะยาเปลี่ยนไม้ไปทีละ แผ่น ๒ แผ่น ตอกหมันยาชันพอเป็นรูป แต่คนที่จะพายล้วนแต่เป็น โรคไภยต่างๆ ตาบอดบ้าง หูหนวกบ้าง การที่จะหาฝีพายให้เต็มล�ำ เป็นการยากยิ่ง---” ด้วยเหตุดังกล่าว จึงต้องทรงว่าจ้างชาวต่างประเทศที่มีความรู้ ในวิทยาการสมัยใหม่ในแต่ละแขนงมาเป็นผู้วางพื้นฐานในหน่วยงาน ต่างๆ ความหวังเพียงประการเดียวของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวในเวลานั้นคือการรอคอยคนรุ่นใหม่ที่ทรงส่งเสริมให้ได้รับ การศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ น�ำวิทยาการสมัยใหม่เข้ามา พร้อมกับความรู้เท่าทันเหตุการณ์บ้านเมืองในเวลานัน้ เข้าใจในพระราช วิ เ ทโศบาย และสามารถที่ จ ะปฏิ บั ติ ง านให้ เ ป็ น ไปตามแนวพระราช วิเทโศบายที่ทรงวางไว้ได้อย่างคล่องแคล่วถูกต้อง ระหว่างการรอคอย จ�ำเป็นที่จะต้องใช้คนรุ่นเก่า ซึ่งมีแนวทางการปฏิบัติราชการตามที่เคย เป็นมาแต่โบราณ ซึ่งมีลักษณะดังที่ทรงกล่าวไว้ว่า “---คิดหาความชอบด้วยปาก พอได้เงินได้ทองในปรจุบัน แล หมายจะเป็นสมเด็จเจ้าพระยาในภายน่า---” ด้วยเหตุที่มีวัตถุประสงค์ดังกล่าว ท�ำให้การปฏิบัติราชการของ เสนาบดีผู้ใหญ่ในสมัยนั้นเป็นไปตามที่ทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “---เหมือนควายที่หีบอ้อย ถ้าหยุดเตือนแซ่เตือนกรตัก ก็หยุดบดเอื้องกันเสียหมด---” [จาก ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๒ ฉบับที่ ๔ (กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔)]
ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย 15