สัตวแพทย์แซ่บเวอร์

Page 1


สัตวแพทย์

แซ่บเวอร์

น ย ี ข เ A VETP

กรุงเทพมหานคร  ส�ำนักพิมพ์มติชน  2557


สารบัญ

ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ แรงบันดาลใจ 1. เมาท์ตัวเอง 2. แด่...อาจารย์ใหญ่ 3. ส้นสูง...ของห้าม 4. คุณหมอเด็กเสิร์ฟ 5. โตเป็นผู้ใหญ่ 6. ออกค่าย (ส่ายหน้า) 7. เบื้องหลังนางโชว์ 8. ด๊อกเตอร์ไก่ 9. รักษาพืชดีกว่า 10. หมอเหมียวกลัวแมว 11. หมออกหักช่วยรักษาที

7 9 12 24 34 44 56 70 90 106 120 134 150


12. หมอหมู (ไม่หมู) 13. เรื่องหมาหมา 14. เจ้าของดอกไม้กับคุณหมอน�้ำหอม 15. ฉันเป็นสัตวแพทย์ที่เนปาล “นมัสเต” 16. ชีวิตเขาชีวิตเรา บทเรียนแห่งความตาย 17. วิชาชีพที่ฉันรัก (มาเป็นสัตวแพทย์กันเถอะ)

164 180 192 208 224 240

ประวัติผู้เขียน

254


ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์

หลายคนกว่าจะประสบความส�ำเร็จได้ ต้องผ่านเส้นทางที่ ขรุขระ หรือผ่านขวากหนามรายทางมามากมาย ในขณะที่บางคนใช้อุปสรรคนี้เพื่อเป็น “ข้ออ้าง” ในการ “ยอมแพ้”  และกับบางคนที่ใช้ความยากล�ำบากที่พบเจอ แปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่น  และผลักดันให้ประสบความส�ำเร็จในที่สุด เช่นเดียวกันกับเขาคนนี้... “สัตวแพทย์แซ่บเวอร์” คือสารคดีชีวิตสัตวแพทย์ นามว่า “หมอป๊ะ”  ผู้คว�่ำหวอดในวงการรักษาสัตว์มานานกว่า 10 ปี ได้เรียนรู้แง่มุมอันหลาก  หลายของอาชีพสัตวแพทย์ ได้ลองผิดลองถูกกับการท�ำงานนับครั้งไม่ถ้วน   ทั้งหมดนี้กลั่นออกมาเป็นประสบการณ์สุดแซ่บ สนุก และเปี่ยมมุมคิด ที่เมื่อ  อ่านแล้วอาจท�ำให้เรายิ้มร่า พร้อมๆ กับซับน�้ำตาที่ข้างแก้มไปด้วย เรือ่ งราวในเล่มไล่เรียงตัง้ แต่ตอนตัดสินใจเรียนคณะสัตวแพทยศาสตร์,  เส้นทางระหกระเหินของการฝึกงานเพื่อก้าวเป็นหมอสัตว์, จุดพลิกผันต่างๆ  ในชีวิตเมื่อเรียนจบ, ช่วงชีวิตที่เป็น “คุณหมอ” อย่างเต็มตัว ไปจนถึงอุปสรรค  ในระหว่างการเรียน และท�ำงานรักษาสัตว์ ทั้งความยากล�ำบากทางกาย  และสภาวะต่างๆ ของจิตใจที่ต้องรับสถานการณ์ยากๆ จากเจ้าของสัตว์  สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 7


หลายรูปแบบ ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่เข้มข้นนี้เอง จึงท�ำให้หนังสือเล่มนี้มีรสชาติ  ที่หลากหลาย ทั้งรสหวานของความรักแบบหมอ-หมอ, รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดกับ  “กลุ่มเจ็ดนางฟ้า” กลุ่มกะเทยสาวสวยของคุณหมอผู้เป็นสีสันในวงการ  สัตวแพทย์ ไปจนถึงรสขมซึ่งเป็นอีกด้านตรงข้ามกับความสุข ที่มาช่วยเติม  ให้หนังสือเล่มนี้เต็มมากขึ้น!! คุณค่าส�ำคัญอีกประการหนึ่งคือการแฝงเกร็ดความรู้ด้านสัตวศาสตร์  ที่เหมาะส�ำหรับน้องๆ ที่ก�ำลังสนใจเข้าศึกษาคณะสัตวแพทยศาสตร์ ตั้งแต่  ขั้นตอนการรับเข้าศึกษา, วิชาหินโหดที่เหล่านิสิตหมอน้อยๆ ต้องพบเจอ  ระหว่างการเรียน, บรรยากาศสุดสนุกระหว่างการฝึกงาน, เกร็ดชีวิตของ  สัตวแพทย์ที่อ่านแล้วอมยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นมุมความรัก, มุมมิตรภาพของเพื่อน,  ไปจนถึงมุมแซ่บๆ ในสถานะเพศที่สามของผู้เขียนต้องพบเจอและฝ่าฟัน ส�ำนักพิมพ์มติชน

8 VETPA


แรงบันดาลใจ

บนเส้นทางชีวิตของหลายอาชีพบนโลกใบนี้ ล้วนแล้วแต่ มีความน่าสนใจในตัวเอง หนังสือเล่มนี้สร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจที่เปี่ยมล้น  ไปด้วยเจตนาและความหวังดีของผูเ้ ขียนทีอ่ ยากเล่าให้ผทู้ สี่ นใจใคร่รเู้ รือ่ งราว  ของอาชีพอาชีพนี้ งานดูคล้ายกับการปิดทองหลังพระ งานที่มีหน้าที่ดูแล  สัตว์ทั้งหลายบนโลกในทุกมิติ ตั้งแต่เกิด การเติบโต และการด�ำรงชีวิต โดย  ผสมผสานเข้ากับวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ จนเรียกชื่ออาชีพนี้อย่างมี  เกียรติว่า “นายสัตวแพทย์” ในอาณาจักรสัตว์ไม่ได้หมายถึงสุนัขหรือแมวเท่านั้น แต่ครอบคลุม  ไปถึงสัตว์ทตี่ วั เล็กทีส่ ดุ ในโลกไปจนถึงสัตว์ทตี่ วั ใหญ่อย่างปลาวาฬ  บางท่าน  อาจไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาชีพนี้ถึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับสังคมมนุษย์ ตราบใด  ที่มนุษย์ต้องตื่นขึ้นมาและยังต้องบริโภคเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนทุกวัน  ตราบเท่าที่มนุษย์ต้องการเพื่อนที่หน้าตาแปลกๆ ตราบใดที่มนุษย์ยังต้อง  อาศัยอยู่บนโลกใบเดียวกันนี้กับสัตว์ทั้งหลาย ตราบนั้นอาชีพสัตวแพทย์ก ็ จะยังคงอยู่ในสังคมนั้นต่อไป ผู้เขียนมองโลกของสัตวแพทย์เป็นเหมือนดินแดนพิศวง ที่หลายคน  ภายนอกอาจไม่รู้จักและยังไม่เคยเข้าไปถึงความรู้สึกนึกคิดของคนในอาชีพ  สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 9


นี้ แต่ด้วยธรรมชาติของผู้เขียนเป็นคนมองทุกอย่างบนโลกเป็นเรื่องสนุก จึง  อยากท�ำหน้าที่เสมือนเป็นไกด์น�ำทางให้ผู้คนได้ท่องไปในโลกแห่งอาชีพนี ้ อย่างสนุกสนาน บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ในทุกแง่มุมผ่านตัวละครที่หลาก  หลายทั้งที่ยังมีชีวิตและไม่มีชีวิต หรือบางทีอาจมีตัวตนอยู่หรือไร้ตัวตนแล้ว  ก็ได้ ทั้งหมดนี้เล่าผ่านเหตุการณ์ที่อาจไม่ใช่สาระส�ำคัญของเรื่อง เพื่อให้เกิด  ความผ่อนคลายในการอ่านและชวนให้ติดตามเรื่องราว จนสามารถรับสาระ  และแง่คิดดีๆ อันเป็นประโยชน์ หนังสือเล่มนี้ผสมผสานทัศนคติจากประสบการณ์ส่วนบุคคลของ  ผู้เขียนเอง ทุกบทและทุกตอนพยายามให้ครอบคลุมถึงทุกมิติแห่งวิชาชีพ  สัตวแพทย์ตั้งแต่การแรกเริ่มศึกษา จนถึงแขนงของการประกอบอาชีพใน  โลกของการท�ำงาน เหมาะส�ำหรับใช้แนะแนวการศึกษาของนักเรียนทีต่ อ้ งการ  เข้าสู่วงการวิชาชีพนี้ หรือชี้น�ำเส้นทางอาชีพของนิสิตนักศึกษาสัตวแพทย์  หลังการเรียนจบ และอาจท�ำให้ผู้อ่านและผู้ที่สนใจทราบเรื่องราวของสัตว  แพทย์มากยิ่งขึ้น เนื้อหาบางส่วนอาจมีภาษาอังกฤษประกอบท้ายค�ำ ด้วยเหตุผลเกรง  ว่าถ้าใช้เป็นภาษาไทยอาจให้ความหมายไม่ชัดเจน หากตัวอักษรใดที่ปรากฏ  ในหนังสือเล่มนี้ก่อให้เกิดความรู้ให้กับนักเรียน นักศึกษา และประชาชน  อันเป็นสาธารณประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนได้ ขอยกความ  ดีทั้งหลายทั้งปวงนั้นแด่บิดามารดา ครูบาอาจารย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย  จงได้รับค�ำชื่นชมยกย่องแห่งหนังสือเล่มนี้สืบไป แต่หากต้องประสบกับค�ำติ  เตียนหรือให้โทษกับใคร ผู้เขียนขอขมาและน้อมรับค�ำติเตียนนั้นไว้แต่เพียง  ผู้เดียว…

10 VETPA

VETPA


สัตวแพทย์

แซ่บเวอร์


1

์ ท า เม อง เ ว ั ต


ประโยคแรกของหนังสือเล่มนี้เริ่มต้นขึ้นตอนตี  1 กับอีก 16  นาทีของวันใหม่ หลังจากที่ผู้เขียนซึ่งขอเรียกแทนตัวเองว่า “หมอ” เสร็จจาก การเย็บแผลให้  “เจ้าแซม” สุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้  ขนสีขาวแกมเทา ตารูป ทรงอัลมอนด์สีฟ้า น�้ำหนักตัวมากกว่า 30 กิโลกรัม จากห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เจ้าแซมมาพร้อมกับบาดแผลฉกรรจ์บริเวณปลายขาหน้าซ้าย ผิว หนังด้านบนตรงข้ามกับอุ้งเท้านั้นฉีกขาดเป็นรูปโค้ง แผลยาวประมาณ 6 เซนติเมตร เลือดสีแดงสดไหลซึมออกจากทุกด้านของบาดแผล  เจ้าของ เจ้าแซมมาตะโกนเรียก “หมอๆ ช่วยหมาผมด้วย” บริเวณหน้าคลินิกใน ยามที่ปิดท�ำการไปนานแล้ว เมื่อสันนิษฐานจากบาดแผล ท�ำให้หมอรู้ว่าเจ้าแซมอาจถูกประตู รั้วอัลลอยหน้าบ้านหนีบทับขาอย่างแรง ท�ำให้ผิวหนังของมันฉีกจนเห็น กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นสีขาวของนิ้วเท้าทุกนิ้วอย่างชัดเจน  การเย็บแผลเกิดขึ้นด้วยความทุลักทุเล เพราะผู้ช่วยสัตวแพทย์ที่ปกติ จะอยู่ด้วยกันกับหมอสองคนกลับบ้านไปนอนกันหมดแล้ว  ‘ในเวลาแบบ  นี้อาชีพไหนบ้างล่ะที่ก�ำลังท�ำงาน...หมอไม่ได้ก�ำลังบ่นว่าเหนื่อยหรอก  นะ แต่ง่วงนอนต่างหาก!!’  หมอมีสัตว์ป่วยที่ต้องดูแลหลายตัว เลยต้อง สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 13


เริ่มงานตั้งแต่  6 โมงเช้านู้น...งั้นขอเมาท์ภารกิจวันนี้ให้ฟังสักนิดแล้วกันนะ... เคสแรกของวันก็คือ เจ้า “ไมโล” สุนัขตัวน้อยที่นอนอยู่ในกรงพัก สัตว์ด้วยอาการร้องโหยหวนจากภาวะความผิดปกติทางระบบประสาทของ โรคไข้หัดสุนัข (Canine Distemper Disease) หรือบางทีอาจรุนแรงถึงขั้น โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies Disease) มันมีไข้สูงเกินกว่า 106 องศาฟาเรนไฮต์ สุดที่ปรอทจะวัดได้  (อุณหภูมิร่างกายปกติของสุนัขเฉลี่ย 101-102 องศา ฟาเรนไฮต์) คงเป็นเคสหนักที่หมอต้องดูแลเป็นพิเศษ ในช่วงเช้า สัตว์ป่วยจะเข้ามารักษาเยอะท�ำให้งานของหมอยุ่งมากๆ เมื่อถึงตอนบ่ายๆ หมอจะต้องขับมอเตอร์ไซค์คันสีแดงเก่าๆ ออกไปที่ บ ้ า น ลูกค้าเพื่อตัดไหมแผลผ่าตัดจากการท�ำหมันเจ้า “น�้ำหวาน” อีก เจ้าน�้ำหวานเป็นสุนัขที่ดุเอามากๆ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าน�้ำหวานยังมี เจ้าของที่รักและเป็นห่วงยิ่งกว่าลูกสาวอีกนะ (จะอะไรเสียอีก ขนาดที่ลูก สาวแท้ๆ ของเธอได้กินไก่ปิ้งหน้าปากซอย แต่น�้ำหวานนี่สิได้กินไก่ทอด เคเอฟซี!!)

พอเข้าไปถึงตัวเจ้าน�้ำหวานกว่าจะจับบังคับให้ยอมถูกตัดไหมได้ก็ เหนื่อยกันทั้งคนทั้งสุนัข…(เขี้ยวเจ้าหล่อนยาวมากๆ จับกันครั้งหนึ่งก็กลัว ว่าเขี้ยวคมนั้นจะฝังลงที่แขน) ช่วงเย็นหลังจากกลับมาจากบ้านเจ้าน�้ำหวาน หมอก็มาวุ่นกับการ ท�ำบัญชีรายรับรายจ่าย ท�ำรายการยาและอุปกรณ์ที่ต้องซื้อใหม่ส�ำรองใช้ ในเดือนหน้าของคลินิก  แหม...ยิ่งเป็นช่วงสิ้นเดือนนี่ยิ่งยุ่งชะมัดเลยนะ 14 VETPA


หมอก�ำลังเก็บเอกสารและหันมาเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเช็กอีเมลจากเพื่อนๆ ยังไม่ทันจะได้อาบน�้ำ  เจ้าของสุนัขที่ชื่อเจ้าแซมก็มาเคาะประตูเรียก  เมื่อมา แบบฉุกเฉินแบบนี้หมอก็ต้องรับเคสนี้ไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ แต่หลังจากที่เจ้าแซมกลับบ้านไปแล้วทั้งๆ ที่ยังเมายาสลบอยู่ หมอ ก็ต้องกลับมานั่งที่โต๊ะท�ำงานอีกครั้งเพื่อทบทวนเรื่องราวของวันนี้ว่าท�ำอะไร ลงไปบ้าง ชีวติ วันนีเ้ ป็นอย่างไร ผ่านวันนีไ้ ปแบบมีความสุขหรือเปล่า สุดท้าย ก็ตอบตัวเองได้ว่า “หมอมีความสุขแบบแปลกๆ อย่างไรก็ไม่รู้” ข้าวเย็นก็ ยังไม่ได้กิน  หน้าแม่ตัวเองก็ไม่ค่อยได้เจอ น่าแปลกที่ว่า สิ่งที่ท�ำมาทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นสิง่ ทีห่ มอเลือกเอง งานทีเ่ กิดขึน้ ก็เป็นงานทีอ่ ยากท�ำเอง ภาพ ทุกภาพยังชัดอยู่ในหัวว่าหมอก�ำลังท�ำในสิ่งที่หมอถามกับตัวเองเสมอว่า “ฉันอยากเป็นสัตวแพทย์”...ไม่ใช่หรือ? ทั้งหมดนี้ไม่ใช่นิยายน�้ำเน่าที่จะมาเล่าชีวิตที่แสนรันทดของอาชีพ ใครบางคน หมอคนหนึ่งแหละที่ขอเถียงว่าชีวิตที่ผ่านมาไม่เน่าหรอก เพียง แค่อยากแนะน�ำว่าใครที่อยากเป็นสัตวแพทย์ให้ลองคิดทบทวนดูให้ดีก่อน ว่าชอบชีวิตแบบที่เล่ามาหรือเปล่า ถ้าใช่โดนใจก็เข้ามาเลย หรือถ้าไม่ใช่ อย่างน้อยจะได้ถอนตัวทัน เมื่อหัวโขนที่ใส่บนหัวน�ำหน้าว่าเป็น “หมอ” เรื่องราวชีวิตของคน วิชาชีพนี้ก็คงจะมีข้อมูลทางวิชาการเยอะๆ ใช่ไหม  แต่ไม่ละ...เบื่อ หมอขอ อนุญาตที่จะเขียนเล่าให้สนุก สุดแซ่บ ตามประสา “คนอยากเล่า” เอาเรื่อง ที่ไม่เคยรู้  และอยากให้รู้  และน่ารู้มาเล่ากันดีกว่า  และสังเกตไหมว่าคนที่เล่าเรื่องราวได้ออกรสชาติที่สุด และมี  ท่าทางประกอบอย่างดุเด็ดเผ็ดมันที่สุดมักจะเป็นกลุ่มคนพวกที่เป็น  “กะเทย” เพราะหล่ อ นจะเติ ม สี สั น ใส่ ไ ข่ เ รื่ อ งราวร้ อ ยเรี ย งได้ ดี ก ว่ า  ผู้หญิงหรือผู้ชายปกติ  ซึ่งก็บังเอิ๊ญ...บังเอิญนะว่า หมอก็เป็น!!! สถานภาพทางเพศที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กะเทย สาวประเภท สอง ตุ๊ด แต๋ว เกย์  ประเทือง เก้ง หรือกวาง สามารถพบเห็นได้ในหลาก หลายอาชี พ   เพราะปั จ จุ บั น นี้ สั ง คมไทยเปิ ด กว้ า งขึ้ น แล้ ว   คนที่ มี บุ ค ลิ ก สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 15



ลักษณะแบบเดียวกับหมอมีเยอะแยะมากมายเหมือนดอกเห็ด แม้แต่อาชีพ ทีต่ อ้ งอาศัยความเข้มแข็งบึกบึนอย่างทหารหรือนักมวยก็ยงั มีให้เห็น หมอเอง เป็นเพียงกะเทยตัวเล็กๆ ร่างบอบบางคนหนึ่งในสังคมที่มาประกอบวิชาชีพ สัตวแพทย์  เริ่มต้นด้วยใจรักและเป็นคนขี้สงสาร จึงมีความมุ่งมั่นอยาก ช่วยเหลือสัตว์ตา่ งๆ ทีเ่ จ็บป่วย และด้วยบุคลิกทีพ่ กความมัน่ ใจมาเต็มกระเป๋า จึงเลือกทางเดินชีวิตด้วยวิชาชีพสัตวแพทย์ ก่อนหน้านี้ยังอธิบายไม่จบเกี่ยวกับเรื่องสัตวแพทย์กับกะเทย ไม่ใช่ ว่าคุณอ่านกันแล้วจะไปเหมารวมกันเองนะคะว่า นายสัตวแพทย์ชายทุกคน เป็นกะเทย เพราะหมอไม่ได้ให้ความหมายแบบนั้น  อย่างไรก็ขอยืนยัน กันตรงนี้ว่า บุคคลมีสิทธิและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ใคร อยากท�ำอะไร และเป็นเพศอะไร อยู่ในกรอบของกาลเทศะ  ไม่ท�ำให้คนอื่น เดือดร้อนเสียหายเท่านี้ก็พอแล้ว  แต่...จะว่าไป นึกๆ ขึ้นมา วงการกะเทยไทยในแวดวงสัตวแพทย์ ก็เยอะขึ้นจริงๆ คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ในสมัยก่อนตอนที่หมอจะสอบเข้ามหา วิทยาลัย การสอบเข้าคณะสัตวแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ จะ ก�ำหนดให้มีอัตราส่วนนิสิตชายต่อนิสิตหญิงคือ 80 ต่อ 20 เพราะการเรียน ในคณะนี้ต้องใช้ก�ำลังร่างกายมาก ไม่ว่าจะต้องท�ำงานกับสัตว์ขนาดใหญ่ อย่างช้างม้าวัวควาย และต้องไปเรียนตามต่างจังหวัดและฝึกงานในพื้นที่ ไกลๆ ท�ำให้ผู้หญิงถูกจ�ำกัดในการรับเข้าศึกษาต่อในสายวิชาชีพนี้ค่อนข้าง มาก จึงมีนักเรียนสัตวแพทย์ชายจ�ำนวนมากในแต่ละรุ่น และการแสดงออก ทางสังคมของกลุ่มเกย์  หรือกะเทยในสมัยนั้นก็ถูกจ�ำกัดไปด้วย ไม่มีใคร กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกันนักเพราะอายและกลัวว่าจะเข้ากับเพื่อนรุ่น เดียวกันไม่ได้  จึงท�ำให้ยังมี  “อีแอบ” หรือพวกสลัวจิตมากกว่าสว่างจิต   แต่ในปัจจุบัน เรื่องสิทธิของสตรี(น้องชะนี)ก�ำลังมาแรง เพื่อให้เกิด ความเสมอภาคทางการศึก ษาอย่างเท่าเทีย มกัน   ทบวงมหาวิ ท ยาลั ยจึ ง ยกเลิกการแบ่งอัตราส่วนเพศในการรับเข้าศึกษาต่อ เปลี่ยนเป็นการสอบ วัดความรู้กันเองตามความสามารถของระบบเอ็นทรานซ์  (สมัยนี้คงเรียก ระบบแอดมิชชั่น)  ใครได้คะแนนมากกว่าไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็รับ สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 17


เข้าศึกษาไล่เรียงกันไปตามล�ำดับของคะแนน  ผลสุดท้ายจะเป็นเพราะผู้หญิงสมัยใหม่ฉลาดกว่าผู้ชาย หรือผู้ชาย เลือกเข้าคณะสัตวแพทยศาสตร์น้อยกว่าผู้หญิงอย่างไรหมอก็ไม่ทราบ แต่ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้  พบว่ารุ่นน้องสัตวแพทย์เรียนจบออกมาจะเป็นนาย สัตวแพทย์ต่อสัตวแพทย์หญิง ในอัตราส่วน 20 ต่อ 80 แทน  มองไปใน แต่ละรุ่นจะเห็นน้องผู้ชายอยู่แค่กระจุกเดียวจึงต้องรักษาไว้เหมือนไข่ในหิน ส่ ว นการแสดงออกของกลุ ่ ม เกย์ แ ละกะเทยกลั บ สวนทางกั บ ในสมั ย เก่ า หลายคนเปิดตัวกันมากขึ้น อันนี้ไม่รวมตัวหมอนะ เพราะหมอแสดงออก ตั้งแต่ออกมาจากท้องคุณแม่แล้ว พอหลุดออกมาจากช่องคลอด มือขวาถือ ลิปสติกสีแดง ส่วนมือซ้ายก็ถือดินสอเขียนคิ้วออกมาเลย พร้อมจะแต่งหน้า เป็นตั้งแต่เด็ก (หุหุ) กลับเข้ามาเรื่องนั้นต่อ สมมุติว่ามีน้องหมอผู้ชาย 20 คน จะพบว่า ไอ้ที่หน้าตาดีๆ หล่อๆ แบบเกาหลีก็จะเป็นเกย์ควีนสักประมาณ 5 คน  อีก ส่วนที่ออกสาวๆ มากหน่อยก็จะแต่งหน้าทาปากไปเลย ยังมีอีกพวกที่ยังงงๆ กับตัวเอง ท�ำตัวคล้ายเก้ง กวาง กระซู่กูปรี  ไม่รู้จะเป็นอะไรดีอีก 5 คน สุดท้ายเหลือเป็นผู้ชายแมนๆ จริงๆ อีกแค่  5 คนเท่านั้นแหละมั้ง ซึ่งแต่ ละคนก็จะด�ำๆ เซอร์ๆ ดูเถื่อนๆ จมูกแบนๆ หาความหล่อไม่ค่อยจะเจอกัน สักเท่าไร (แถมยังนิสัยเสียชอบวิ่งไล่เตะกะเทยเล่นด้วย)  แต่บางทีในจ�ำนวน นี้ก็อาจมีบางคนชอบเป็นแฟนกับกะเทยอีกด้วยซ�้ำ  อ่านมาถึงตรงนี้คุณผู้หญิงทั้งหลายอย่าเพิ่งปลงอนิจจังกัน อันนี้เป็น ค่าสถิติที่หมอเคยเก็บรวบรวมไว้เองในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น  (คล้ายๆ กับงานวิจัย)  คุณผู้อ่านก็คิดกันเอาเองก็แล้วกันว่าเรื่องจริงหรือหลอก แต่ เราท้าพิสูจน์ได้  ไม่เชื่อก็ลองโยนจิ้งจกตุ๊กแกเข้าไปในกลุ่มนิสิตสัตวแพทย์ ชายดูสิ  คงต้องได้ยินเสียงกรี๊ด วี้ดว้ายกันน่าดู...(หุหุ) ชีวิตในวัยเด็ก ไม่เคยฝันเลยว่าชีวิตนี้ต้องมาเป็นสัตวแพทย์   รู้แต่ ว่าเรียนๆ ไปตามหน้าที่ก็เท่านั้น  รูปแบบชีวิตก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป  เรียนๆ เล่นๆ แต่ดนั ทะเล้นสอบเอ็นทรานซ์ตดิ ไปกับเขา แต่กใ็ ส่ใจกับการเรียนพิเศษ 18 VETPA


บ้างนะ  แต่ดว้ ยความทีเ่ ป็นคนอ่าน “วิชาชีววิทยา” แล้วจ�ำได้และเข้าใจทีส่ ดุ ก็เลยสามารถท�ำคะแนนได้ดีในวิชานี้  อยากแนะน�ำน้องๆ มัธยมปลายไว้ เลยว่าพยายามค้นหาวิชาเรียนที่ชอบและถนัดเอาไว้ ขอให้เป็นสายวิทยา ศาสตร์ก็แล้วกัน เวลาสอบจะได้ไม่ต้องเครียดทุกวิชา เพราะถ้าตัวเราชอบ อะไร เราก็มักจะเข้าใจและใส่ใจกับสิ่งเหล่านั้นได้ดี  และสิ่งเหล่านั้นก็อาจ จะเป็นตัวชี้วัดความเป็นตัวเราเองว่าเราควรจะโตไปเป็นอะไร  หมอเองเป็นคนที่มีบุคลิกร่าเริง ยิ้มง่าย ชอบตามเพื่อน ขี้ใจน้อยมา ตั้งแต่เด็ก ที่บ้านมีพี่ชาย 3 คน ตัวเองเป็นน้องคนสุดท้องที่มีแต่คนตามใจ สุดท้ายก็เลยออกแนวตุ้งติ้ง เคยพยายามเตะฟุตบอลกับพี่ชาย สุดท้ายก็ ไปเตะโดนก้อนหินแทน นิ้วเท้าฉีกจนเห็นกระดูกต้องใส่เหล็กเย็บเกือบสิบ เข็ม เลยหันมากระโดดหนังยางแทน (แม่ด่าพี่ชายกระเจิง) จนกระทั่งตอนที่แม่ท้องหมอเธอว่ามีข้าราชการแก่ๆ เอาแหวนเพชร มาให้  เห็นว่าอยากได้มากมานาน เลยเก็บแหวนเพชรนี้ไว้อย่างชื่นชม จน ตื่นขึ้นมาก็มั่นใจว่าท้องที่สี่นี้ได้ลูกผู้หญิงมีกลีบชมพู่ติดตัวแน่นอน ใจอยาก ได้ลูกผู้หญิงถึงขั้นซื้อเสื้อผ้าเด็กผู้หญิงมาเตรียมไว้เพราะอยากจะให้ลูก เหมือนตุ๊กตาบลายธ์ แต่สุดท้ายแหวนเพชรในฝันของแม่ก็เป็นเพชรเก๊!! “ดีใจด้วยค่ะ...คุณได้ลูกชายอีกแล้วนะคะ” เป็นเสียงที่แม่ได้ยิน  จากนางพยาบาลท�ำคลอดขาประจ�ำ ก่อนที่จะสลบไป!! อ่านไปอ่านมานึกว่าอ่านชีวประวัติของคนดัง  แต่ไม่ใช่หรอก จริงๆ แค่อยากบอกเรื่องราวของชีวิตก่อนเข้ามาเรียนคณะสัตวแพทยศาสตร์ใน มหาวิทยาลัยก็เท่านั้น ว่าเป็นเด็กธรรมดาๆ  คนหนึ่งที่เรียนหนังสือไม่เก่ง แต่อาศัยว่าขยันมีความพยายาม และตามเพือ่ นกลุม่ ดีๆ ทีต่ งั้ ใจเรียนมากกว่า ชีวิตตอนเป็นวัยเฟรชชี่  ปี  1 สนุกมากในรั้วเขียวมีสิ่งที่ไม่เคยท�ำมาก มายให้คน้ หา ได้เพือ่ นใหม่  มีกจิ กรรมให้ทำ� ตลอด (เป็นเจ้าแม่กจิ กรรม)  ตอน เรียนที่คณะช่วงแรกจะต้องไปเรียนรวมกับส่วนกลาง เพื่อเรียนวิชาปรับพื้น ฐานทางวิทยาศาสตร์ก่อน 1 ปี  เรียกช่วงชั้นนี้ว่า “ชั้นเตรียมสัตวแพทย์” สถานะ “รอพินิจ” เป็นสถานะการเรียนที่เกิดขึ้นในช่วงการเรียนเพียง สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 19


เทอมแรกทันทีที่ได้เกรดเฉลี่ย 1.97 หมอเองตกใจมาก เพราะสถานะแบบนี้ หากไม่ปรับตัว ทางมหาวิทยาลัยจะให้รีไทร์  หรือ “ให้ออก” ถ้าเกรดเฉลี่ยต�่ำ กว่า 2.00 ติดต่อกัน 2 เทอม (แต่ถ้าเกรดเฉลี่ยต�่ำกว่า 1.50 จะรีไทร์ทันที)  หมอเครี ยดเลยเจอแบบนี้   ก็ กิ จ กรรมตอนเข้ ามหาวิ ท ยาลั ยใหม่ ๆ นั้นมีมากมายจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น งานไหว้ครู  ซ้อมเชียร์ลีดเดอร์  การโต้วาที งานแข่งกีฬาคณะ และโดยเฉพาะ “กิจกรรมการรับน้อง” การซ้อมร้องเพลง ประชุมเชียร์เป็นเรื่องที่คนที่เรียนมหาวิทยาลัยปี  1 ทุกคนรู้ดีว่าหนักม้าก...ก และเป็นส่วนหนึ่งของงานรับน้องใหม่ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้หากไม่จัดเวลาให้ดี ก็ท�ำให้การเรียนแย่ลงได้ เรียนแล้วต้องกลับบ้านดึกๆ ทุกวัน แถมยังต้องโดน “ว้าก” (การ ตะโกนใส่หน้าดังๆ เวลาร้องเพลงผิด) รู้สึกเหมือนพวกพี่ๆ เป็นบ้า!! ท�ำไม ต้องด่าเราด้วย เคยถามตัวเองว่าท�ำไมเราต้องทนด้วยในเมื่อเรามาเรียน ไม่ใช่มารับน้อง  แต่มองไปรอบๆ ตัวก็เห็นเพื่อนทุกคนท�ำและยอมทุกอย่าง หมอเองก็เลยไม่กล้าที่จะเถียงอะไร ก้มหน้าก้มตาร้องแต่เพลงเชียร์แทนการ อ่านหนังสือ กลับบ้านทีก็เกือบห้าทุ่ม พอมาเรียนตอนเช้าก็จะเพลียจนหลับ ในชั่วโมงเรียน  ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยสองเดือนแรก รุ่นพี่ที่คณะจะแบ่งเป็นสอง พวกคือพวกธรรมะ กับพวกพรรคมาร หลายคนจะไม่ยอมพูดคุยกับรุ่นน้อง เลย ยกเว้นรุ่นพี่ปีสองที่เป็นทีมงานสอนร้องเพลงเชียร์เท่านั้นที่จะมาคุยด้วย ภายในบรรยากาศการเข้าห้องประชุมเชียร์จะอึดอัดที่สุด  น้องใหม่ ทุกคนในคณะสัตวแพทย์จะมานั่งรวมกันที่ตึกคณะ ในห้องกายวิภาคศาสตร์ ห้องนี้ปกติใช้เป็นห้องเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์  (Anatomy) ศึกษาเกี่ยวกับ โครงสร้างร่างกายของสุนัขที่ตายแล้ว แล้วเก็บซากดองเอาไว้ในฟอร์มาลิน ห้องจะมีกลิ่นของยาดองศพตลอดเวลา  ประตูทงั้ หมดจะถูกปิด อากาศจะร้อนมาก รุน่ น้องทุกคนจะนัง่ ประจ�ำ โต๊ะเรียงไปรอบๆ ห้องเป็นวงกลม โดยมีรุ่นพี่ปี  3 และ 4 เป็นผู้คุมการร้อง เพลง หรือเรียกว่า “พี่ว้าก” หน้าตาแต่ละคนจะบึ้งๆ เหมือนขี้ไม่ออกมา 7 วัน อากาศที่ร้อนอาจท�ำให้เพื่อนบางคนทนไม่ไหวเป็นลมจนต้องถูกหาม 20 VETPA


ออกนอกห้องหลายคน กิจกรรมที่ท�ำคือการปรบมือดังๆ (ดังมากกว่าการตีมือแรงๆ) และ ร้อง(ตะโกนร้องมากกว่า)เพลงประจ�ำมหาวิทยาลัยและเพลงประจ�ำคณะ ร้องวนไปวนมาไม่รู้ว่าร้องไปกี่เที่ยว แต่ละเที่ยวไม่เคยถูกใจรุ่นพี่เลย  รุ่นพี่ จะตะโกนว่าต่างๆ นานาว่าไม่สามัคคี  บางครั้งหาว่าร้องเพลงให้พร้อมกัน แค่นี้ก็ท�ำไม่ได้  ไม่น่าจะมีปัญญาสอบเข้ามาเรียนได้เลย ฟังแล้วรู้สึกเจ็บ ปวดมากหมอโกรธรุ่นพี่ที่พูดแบบนั้นทุกครั้ง  หมอไม่เคยเข้าใจเลยว่าการซ้อมร้องเพลงแบบนี้จะให้ประโยชน์อะไร ในชีวิต ซึ่งจริงๆ พวกเราก็ร้องเพลงกันพร้อมและดีขึ้นทุกครั้งแต่ไม่เคยได้รับ ค�ำชื่นชม  แถมบางครั้งยังมีการลงโทษด้วย โดยการให้ลุกนั่งเป็นจ�ำนวน ครั้งเท่ากับล�ำดับรุ่นที่เป็นอยู่  (นึกว่าก�ำลังเป็นทหารเกณฑ์) จนมีความเครียด เกิดขึ้น ในวันสุดท้ายที่ถือได้ว่าเป็นวันรับน้องจริงๆ จัดขึ้นในช่วงกลางคืน น้องทุกคนจะต้องแบกเสื้อผ้ามานอนค้างที่คณะเพื่อร้องเพลงให้รุ่นพี่ฟังเป็น ครั้งสุดท้ายเพื่อพิสูจน์ว่าเราจะเป็นรุ่นน้องได้หรือไม่  “ห่วย!!” นั่นคือเหตุผลที่รุ่นพี่บอก “พวกคุณไม่ใช่น้องผม ผมไม่  ยอมรับรุ่นคุณเป็นน้อง” แล้วพวกรุ่นพี่ทั้งหมดก็เดินออกจากห้องไปหมด ทิ้งรุ่นน้องให้นั่งแบบงงๆ กันว่าจะท�ำยังไงต่อกันดี สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 21


แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปกว่านั้น ดวงไฟในห้องก็ถูกปิดหมดจน มองแทบไม่เห็นอะไร ประตูทางออกถูกเปิดออกพร้อมกับแสงสว่างของแสง เทียนที่ถือโดยรุ่นพี่ว้ากเดินเรียงแถวเข้ามาล้อมน้องทั้งหมดไว้อีกครั้ง  รอย ยิ้มที่ไม่เคยเห็นในหมู่รุ่นพี่มีให้เห็นจนหลายคนงงเป็นไก่ตาแตก  “ยินดีตอ้ นรับครับ น้องคือฟ้าหม่นคนดีของพวกพี”่  เสียงพีป่ ระธาน เชียร์กล่าว เพลงประจ�ำคณะสัตวแพทยศาสตร์   “ฟ้าหม่น” ถูกร้องขึน้ อีกครัง้ พร้อมการลุกขึ้นยืนตรงโดยเสียงประสานที่ไพเราะที่สุดของรุ่นพี่ท่ามกลาง แสงเทียนอุ่นจนน้องหลายคนซาบซึ้งจนกลั้นน�้ำตาเอาไว้แทบไม่ไหว “ฟ้าหม่น ของเรา นี้เอย มิเคย ละเลย รักกัน สามัคคี เรามี คงมั่น สัมพันธ์ กันชั่ว ชีวา ฟ้าหม่น ขวัญใจ แสนดี น้องพี่ นั้นมี เมตตา เกียรติศักดิ์ เรารัก หนักหนา ยอดยุพา ฟ้าหม่น คนงาม เมื่อฟ้า มีสีหม่น สวรรค์บนอร่าม หม่นฟ้าคงหน้าขาม ยามยลร�ำพึงถึงกัน ฟ้าหม่น ขวัญตา ขวัญใจ สร้างความ รักใคร่ นิรันดร์ เสียสละ มานะ เสกสรร สถาบัน ยืนยง คงนาน” ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงระดับตุ๊กตาทองของรุ่นพี่ที่พยายามใช้วิธีทาง จิตวิทยาให้เกิดความรักและความสามัคคีกันในกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่น น้องหมอ ทุกคนเข้าใจแล้วว่าเหตุผลที่เราต้องร้องเพลงให้พร้อมกันคืออะไร  เคยมีคนบอกว่า “ในคืนที่มืดมิดที่สุด แสงดาวจึงจะส่องประกาย” นั่นคืออุบายวิธีกดดันที่ท�ำให้พวกเราที่ต่างมาจากคนละที่  คนละจังหวัด ร้อย พ่อพันแม่  คนละนิสัยใจคอ มารวมตัวกัน เพื่อเรียนและรู้จักชีวิตของกัน และกัน การได้ร้องไห้ด้วยกัน ท�ำให้หลายคนกลายเป็นเพื่อนซี้กัน สัตวแพทย์ ทุกคนจะจบออกมาพร้อมกับชือ่ รุน่ เรียนแบบแปลกๆ ทีไ่ ม่ซำ�้ กัน  “รุน่ ระทวย”  คือชื่อของรุ่นหมอ 22 VETPA


หลังจากการรับน้องผ่านไป ทั้งหมอและเพื่อนต่างก็ตั้งใจแก้ไขตัวเอง อ่านหนังสือเรียนใหม่กันทุกวัน จนเกรดเฉลี่ยเกินสามกว่าๆ ทุกเทอม (บาง ครั้งได้  4.00 ด้วย) เพียงแค่เชื่อมั่นว่าตัวเองท�ำได้ก็ท�ำได้จริงๆ  พี่ว้ากหลายคนพอหมดฤดูกาลรับน้องเหมือนพวกสติแตก เป็นตัว ตลกให้นอ้ งๆ ข�ำได้ทงั้ วัน สนุกยิง่ กว่าแก๊งตลกสามช่า ไม่มใี ครท�ำหน้าเหมือน ปวดท้องเข้าห้องน�้ำ  นี่คงเป็นประสบการณ์การรับน้องเล็กๆ ที่หลายคนที่ เคยผ่านชีวิตในมหาวิทยาลัยต้องเคยเจอ ในคณะสัตวแพทย์เองก็มีเหมือน คณะอื่น จะหนักจะเบาก็ท�ำแบบหอมปากหอมคอ  อย่างไรก็ตามน้องๆ ที่อยากเข้ามหาวิทยาลัยก็อย่ากลัวการรับ  น้องเลยนะ เพราะสุดท้ายแล้วทุกๆ ปี พวกหมอๆ ที่เคยเกลียดการรับ  น้อง พวกที่เป็นลมในห้องประชุมเชียร์  พวกที่ด่ารุ่นพี่ในใจอย่างหมอ  และพวกที่เครียดจากการโดนว้าก น้องเหล่านี้ก็จะกลายมาเป็นพี่  แล้ว  ก็ใช้วิธีนี้กับรุ่นน้องรุ่นต่อไปอีกจนกลายเป็นประเพณี  (คล้ายๆ การ  ล้างแค้น) กับรุ่นน้องอีกทอดหนึ่ง แล้วทุกครั้งก็จบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง  จากรุ่นสู่รุ่นต่อๆ ไปนั่นเอง...

สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 23


2

แอ ด่... าจารย์ ใหญ่


เสี ย งรถยนต์ จ ากการจราจรภายนอกรั้ ว คณะสั ต วแพทย  ศาสตร์ในวันนี้ฟังดูเบาลง หากเทียบกับเสียงของสุนัขที่เห่าหอนภายในคอก เลี้ยงสัตว์ทดลองในคณะ ภาพของเช้าวันนี้หมอยังคงจ�ำได้ดีแม้วันเวลาจะ ผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม สุนัขกว่ายี่สิบตัวถูกจับมารวมตัวกันแบบอัดแน่น ภายในกรงสัตว์ขนาดใหญ่จ� ำนวนสามกรง หลายตัวเป็นสุนัขพันธุ์ผสมที่ เราสามารถพบเห็นได้ตามท้องถนนทั่วไป สองตัวเป็นสุนัขพันธุ์บางแก้วออก แนวผสมนิดๆ คล้ายๆ อัลเซเชี่ยนที่ต�ำรวจชอบใช้งานให้ดมกลิ่นอยู่ด้วยหนึ่ง ตัว  ทุกตัวงงได้แต่มองหน้ากันและถามกันว่า “ฉันมาท�ำอะไรที่นี่” พวกเรา เดินเข้าไปทักทายกลุ่มสุนัขกันอย่างสนุกสนาน  พวกมันเชื่องมาก ต่างเข้า มาเลียมือกันใหญ่ทั้งยังพยายามท�ำหน้าให้น่าสงสารที่สุด กระดิกหางเร็ ว เป็นใบพัดเลย  วันนี้พวกเรานิสิตหมอใหม่ปี  2 แต่งตัวคล้ายหมอกันเต็มยศ เสื้อ กาวน์สีขาวสะอาดใส่คลุมทับเสื้อนิสิตด้านใน  บางคนมีหูฟัง หรือที่เรียกว่า “สเต็ทโตสโคป” (Stethoscope) แบบที่คุณหมอใช้พกติดตัวมาด้วย  มองไปทางนั้นเห็นเพื่อนผู้หญิงก�ำลังนั่งจับกลุ่มดูต�ำราเรียนที่แสดง อวัยวะภายในของสุนัขและพากันส่งเสียงแหลมๆ เจี๊ยวจ๊าวคล้ายเสียงชะนี สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 25


กันใหญ่  (นี่เป็นที่มาของการเรียกสรรพนามแทนผู้หญิงว่า “ชะนี”) ส่วนเพื่อน ผู้ชายก็เดินไปเดินมา บางคนคุยเรื่องผลฟุตบอลที่เตะกันเมื่อคืน บางคนถาม ถึงวิชาเรียนเมื่อวานว่าเรียนอะไรบ้างเพราะตัวเองไม่ได้เข้า ส่วนกลุม่ แต๋วแหววของหมอน่ะเหรอ! ก�ำลังเปิดการแสดงแฟชัน่   โชว์ในชุดฟินาเล่  ด้วยท่าทางการเดินที่เย้ายวน ประกอบกับชุดเสื้อ  กาวน์ที่เอามาประยุกต์ให้เข้ากับเข็มขัดเส้นเล็กๆ ที่คาดเอวปล่อยชาย  เสื้อยาว คล้ายสาวมั่นชาวอังกฤษ  อีกนางหนึ่งเดินเท้าสะเอวมาในชุด  เข้ารูปของเสือ้ นิสติ และกางชุดเสือ้ กาวน์ออกคล้ายเสือ้ กันฝน จิกหน้าตา  ด้วยความมั่นใจว่าสวยมากแบบไม่เกรงใจใคร (สวยแบบคิดเข้าข้าง  ตัวเอง)  นี่มักจะเป็นกิจกรรมที่ท�ำกันในระหว่างรอเวลาเข้าห้องเรียน  เสมอ เป็นการรีแลกซ์ของพวกเราชาวนิสิตสัตวแพทย์ หลั ง จากตรากตร� ำ ล� ำ บากเรี ย นวิ ช าพื้ น ฐาน  สถิ ติ   ชี ว วิ ท ยา  และ ฟิสิกส์  (แบบสังเขป) มาอย่างกระอักกระอ่วนเมื่อปีที่แล้ว เราก็จะได้เรียน ในตึกเรียนของคณะสัตวแพทยศาสตร์กันสักที  วิชาแรกของหมอในวันนี้ คือ “วิชากายวิภาคศาสตร์” หรือที่เรียกว่าอนาโตมี  (Anatomy) อุปกรณ์ การเรียนประกอบด้วยปากกา สมุดจดหรือสมุดวาดเขียน ต�ำราเรียนภาษา อังกฤษที่มีภาพของโครงสร้างสุนัขเล่มโต ขนาดที่ว่าหากหล่นใส่ขาอาจจะ ต้องเข้าเฝือกกันเลย!!  นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือผ่าตัด 1 ชุดเล็ก และของสิ่ง สุดท้ายที่พวกเราต้องเตรียมกันมาคือ พวงมาลัย!!!

26 VETPA


เมื่ออาจารย์มาถึงก็เรียกพวกเราเข้าไปฟังบรรยายถึงวิธีการเรียน และเล่าถึงความส�ำคัญของวิชานี้  ท�ำให้เราได้รู้ว่า การเรียนรู้ถึงโครงสร้าง ร่างกายของสัตว์ทั้งภายในและภายนอกเป็นเรื่องที่ส�ำคัญมาก เพราะถ้าเรา ไม่รู้ว่าอวัยวะของสัตว์แต่ละส่วนนั้นมีชื่อว่าอะไร และอยู่ตรงส่วนไหนของ ร่างกาย ไปจนถึงความรู้ที่ละเอียดยิบย่อยอย่างเช่น กล้ามเนื้อของสัตว์มีกี่ มัด กระดูกมีกี่ชิ้น เส้นเลือดและเส้นประสาทอยู่ที่ใดบ้าง  เราจะไม่สามารถ รักษาความผิดปกติของโรคตามส่วนต่างๆ ได้เลย สุดท้ายเราก็รู้ค�ำเฉลยว่าสุนัขในกรงทั้งสามกรงนั้นอาจารย์น�ำมาเพื่อ ท�ำอะไร ค�ำตอบก็คือใช้เป็นตัวแทนในการศึกษา  ในทางสัตวแพทย์นั้น เรา จะไม่ได้เรียกสุนัขทดลองที่อุทิศร่างกายว่า “อาจารย์ใหญ่” เหมือนกับคน และสุนัขเหล่านี้ก็ไม่ได้เดินมากรอกใบสมัครเพื่ออุทิศร่างกายด้วยตัวเอง เสมือนว่าเป็นหมาใจบุญ  อีกทั้งก็คงไม่มีเจ้าของสัตว์คนไหนมาบริจาคร่าง ของเจ้าตูบไว้เพื่อการศึกษา  เรื่องจริงก็คือสุนัขเหล่านี้ถูกเลือกเป็น “ตัวตาย  ตัวแทน” ต่างหาก หมอรู้สึกอย่างนั้น  ลองนึกภาพตามกันดูนะ ภาพของเด็กอายุราวๆ 18 ปีที่มีความฝัน ว่าจะมาช่วยชีวิตสัตว์  และส่วนใหญ่จะรักสัตว์จนแทบจะไม่เคยท�ำร้ายพวก มันเลย  ทว่าในจังหวะเวลานี้  พวกเขาก�ำลังจะร่วมกันฆ่าสัตว์โดยเจตนา บริสุทธิ์ ซึ่งในที่นี้ก็คือ “สุนัข” ที่มีชีวิตจิตใจและถูกขังไว้ในกรงที่เ รานิ สิ ต ต่างก็ไปยืนเหย้าแหย่กันตอนเริ่มต้น เป็นคุณจะท�ำได้ลงคอเหรอ วันนีห้ ลายคนเครียดหนัก บางคนไม่อยาก เข้าเรียนวิชานี้  อาจารย์ได้เล่าถึงความจ�ำเป็นในการใช้ซากของสุนัขเป็น ตัวแทนในการศึกษาว่า สุนัขเหล่านี้มาจากกลุ่มของสุนัขจรจัดที่ถูกทอดทิ้ง จากคนเลี้ยงสัตว์ที่ไม่รับผิดชอบ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงจับสุนัขกลุ่มนี้ มากักขังไว้เพื่อจัดระเบียบและควบคุมเรื่องโรคระบาดจากสุนัขจรจัดที่ดุร้าย ความเป็นจริงต่อมาคือพวกสุนัขเหล่านี้ถูกทอดทิ้งแล้ว และก�ำลังจะ ถูกก�ำจัดออกด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดยาให้เสียชีวิต หรือการส่งไป สถานสงเคราะห์สัตว์ซึ่งมีงบประมาณค่าอาหารเลี้ยงดูอย่างไม่ค่อยเพียงพอ และอยู่กันแบบอดๆ อยากๆ  อาจารย์เล่าต่อว่า วันนี้เป็นการดีที่พวกเขา สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 27


เหล่านี้จะได้ท�ำประโยชน์อันสูงสุดต่อวงการการศึกษาด้านสัตวแพทยศาสตร์ และมีผลต่อสังคมของมนุษย์  ซึ่งสัตวแพทย์ในอนาคตก็จะกลับมาตอบแทน ดูแลลูกหลานเผ่าพันธุ์ของสุนัขและสัตว์อื่นๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกเหล่านี้สืบ ต่อกันไป  หลังจากสิ้นสุดการอบรมพวกเราหลายคนถึงกับซาบซึ้งจนน�้ำตาคลอ และนึกขอบคุณสุนัขจรจัดเหล่านี้  “การุณยฆาต” หรือ “ยูทานาเซีย” (Eu-  thanasia) มีความหมายว่า การท�ำให้ตายโดยปราศจากความเจ็บปวด  และความทุกข์  เป็นวิธีที่ถูกเลือกมาใช้ในปฏิบัติการครั้งนี้  พวกเราแต่ละ กลุ่มต้องเลือกสุนัขทดลองกลุ่มละ 1 ตัวต่อผู้เรียนประมาณ 5 คน ภาพที่ น่าเวทนาก็คือเมื่อเราเข้าไปใกล้สุนัขในกรง พวกมันแต่ละตัวจะเบียดตัวเอง เข้ามาหาเรา เพื่อเสนอตัวเองให้เป็นตัวที่ถูกเลือก เพราะมันคงไม่รู้ว่าจะถูก เลือกไปท�ำอะไร คงนึกได้แค่ว่าจะได้ถูกปล่อยออกจากกรงที่แสนอึดอัด เท่านั้น หมอเองก็ต้องเดินออกไปเลือกเช่นกัน สุนัขตัวสีขาวมอมแมมน�้ำหนัก ประมาณ 15  กิโลกรัมกระดิกหางไปมาเดินเข้ามาหานึกว่าหมอเป็นเจ้าของ ท�ำหน้าท�ำตาเหมือนขอร้องให้ช่วยเหลือและร้องขออิสรภาพ (มันคงนึกว่า หมอเป็นนางฟ้าแสนสวยใจดี)  หมอก็เลยออกปากถามมันว่า “แกจะให้  ฉันเลือกแกจริงๆ เหรอเจ้า ‘ขาว’” (หมอนึกตั้งชื่อเอาเอง) เจ้าขนยุ่งตัว สีขาวก็ท�ำท่าเอียงคอแบบคิกขุอาโนเนะ  หมอก็เลยตัดสินใจเลือกเจ้าขาว นี่แหละ  หลังจากเปิดกรง เจ้าขาวกระโดดดีใจ วิ่งมาหากลุ่มของหมออย่าง โลดโผน เลียหน้าเลียตากันใหญ่  “ใครหนอช่างทิ้งแกได้ลงคอ น่ารักจริงๆ เจ้าของแกอยู่ไหนนะ และเขาจะรู้ไหมว่าฉันจะท�ำอะไรกับแก” หมอนั่งคุย กับเจ้าขาว เราเริ่มท�ำความรู้จักกัน  เจ้าขาวท�ำเดินวนเป็นวงกลม และหยุด กลิ้งตัวไปมา เหมือนพยายามจะเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังบ้างว่า มันเดินทาง รอนแรมมานานจนมาเจอหมอได้อย่างไร  จากนั้นเจ้าขาวก็มานั่งแลบลิ้นใส่ แล้วกวาดตามองคนในกลุ่มอย่างใจจดใจจ่อว่า ‘จะไปไหนกั น ต่ อ ดี ล ่ ะ  28 VETPA



หรือมีอะไรให้กินไหม’ ก่อนที่เจ้าขาวจะได้รับค�ำตอบ เสียงของอาจารย์ก็ดังขึ้น “เอาละ... เริ่มการปฏิบัติได้แล้วเราต้องใช้เวลากันนานพอสมควร” หมอเดินจูงเจ้าขาว ไปที่โต๊ะผ่าตัด หลังค�ำนวณปริมาณยาซึมจนได้ขนาดยาที่ต้องการแล้ว หมอ จึงท�ำการจับเจ้าขาวนอนลงบนโต๊ะผ่าตัดอย่างเบามือ ฉีดยาเข้าไปที่กล้าม เนื้อบริเวณเอว ยาซึมคือยาที่ท�ำให้สุนัขง่วงนอน และซึมลงเท่านั้น  โดยหลัง จากที่ยาแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเจ้าขาวไม่นาน พวกเรานั่งล้อมวงดู อาการของเจ้าขาวอย่างใจจดใจจ่อด้วยความตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็นสุนัข ซึมด้วยฤทธิ์ยาแบบนี้มาก่อน  ตาที่ดูสดใสของเจ้าขาวค่อยๆ ปรือและแปรเปลี่ยนเป็นความหงอย เหงา  หมอเห็นมันแล้วอดคิดไม่ได้ว่าไม่อยากท�ำแบบนี้เลย “อย่ามองฉัน... แกอย่ามองฉันแบบนี้  ฉันก�ำลังจะฆ่าแกนะ!”  หัวใจทุกคนสั่น หมอเอา มือลูบไปที่หัวของมัน เจ้าขาวร้องครางเบาๆ ราวกับว่ารู้สึกปวดแสบปวด ร้อนจากภายใน มันค่อยๆ หมอบตัวลงด้วยผลของยาที่ท�ำให้ขาหมดแรงที่ จะยืน หมอค่อยๆ ลูบไปที่ขนของมันและปลอบใจมันว่า “ไม่เจ็บหรอกนะ... ใจเย็นๆ ฉันสัญญาว่าจะท�ำกับแกอย่างเบาๆ ไม่ท�ำให้แกเจ็บ แต่แก อย่าโกรธฉันนะ ฉันไม่อยากท�ำแบบนี้เลย แต่ด้วยหน้าที่แล้วฉันเลี่ยง ไม่ได้  ฉันรับปากนะว่าจะเป็นหมอที่ดีในอนาคต จะดูแลเพื่อนของแก จะท�ำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือพวกของแก หวังว่าแกจะยกโทษให้ฉันนะ” ช่วงเวลาสิบห้านาทีนั้นช่างทรมานจิตใจพวกเราเสียเหลือเกิน ตอนนี้ เจ้าขาวหลับตาลงและหายใจแผ่วเบาอยู่ตรงหน้าแล้ว  ขั้นตอนต่อไปคือ การฉีดยาสลบในปริมาณที่เกินขนาดเข้าสู่หลอดเลือด เพื่อให้สุนัขค่อยๆ หมดความรู้สึกอย่างช้าๆ แต่ว่ายังคงมีชีวิต! หมอรับอาสาเป็นผู้ลงมือเองเนื่องจากเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มก�ำลังนั่ง น�้ำตาซึมอยู่  เพื่อนอีกคนก็ท�ำใจท�ำไม่ได้  หมอเองตั้งสติและความคิดอย่าง มั่นคงในเจตนาเริ่มต้น เส้นเลือดที่ขาหน้าถูกเจาะจนเลือดดันตัวเองเข้ามา ในหลอดของเข็มยาสลบ หมอค่อยๆ ดันยาเข้าสู่หลอดเลือดอย่างช้าๆ พร้อม ตั้งจิตอธิษฐานและแผ่เมตตาในใจ มือของหมอสั่นเครือไปหมด เพื่อนอีกคน 30 VETPA


ท�ำตามกระบวนการต่อไปอย่างไม่รอช้า การเปิดผ่าผิวหนังบริเวณล�ำคอ คือการท�ำให้ยาเข้าถึงเส้นเลือดแดง ใหญ่ที่คอ โดยใช้ใบมีดกรีดลงบนผิวซึ่งในขั้นตอนนี้เจ้าขาวจะไม่รู้สึกเจ็บอีก แล้ว จากนั้นจะสอดท่อพลาสติกคล้ายหลอดที่ปลายของมันถูกตัดเป็นปาก ฉลาม เพื่อที่จะแทงเข้าไปยังเส้นเลือดนั้นจนเลือดทะลักพุ่งตรงออกมาจาก หัวใจไหลมายังถังใส่เลือดที่เตรียมไว้ข้างๆ เลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลออกมา อย่างรวดเร็วตามจังหวะการบีบตัวของหัวใจและค่อยๆ ช้าลงๆ พร้อมๆ กับ ความเย็นที่คืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ กับตัวของสุนัขที่นอนอยู่ตรงหน้า

เจ้าขาวได้ก้าวข้ามเส้นแห่งความตายไปเสียแล้ว! เจ้าสุนัขที่น่ารัก เจ้าเพือ่ นร่วมโลกของฉัน เราเกิดมาไม่ได้ผดิ ใจกัน แต่ตอ้ งมาเจอกันบนความ ต่างของสถานะ  ฉันเป็นมนุษย์ที่พร้อมจะสร้างและท�ำลายทุกสิ่ง ส่วนแก เป็นสุนัขที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย  แม้ว่าวันนี้แกจะอุทิศร่างกายให้ฉันอย่างไม่ได้ เต็มใจ  แต่อย่างน้อยแกก็เป็น “อาจารย์ใหญ่” ของฉันนะ แกเป็นอาจารย์ คนแรกที่มอบความรู้และส�ำนึกในคุณค่าของการมีชีวิตให้กับฉัน ฉันเองก็ เป็นคนที่ถูกเลือกเช่นกัน “ฉันต้องเป็นสัตวแพทย์ที่ดีให้ได้” ให้สมกับ ชีวิตของแกที่ให้มา ให้สมกับที่แกให้โอกาสฉัน ขอบคุณนะ...ขอบคุณจาก หัวใจ หมอกล่าวขอบคุณอีกครั้งพร้อมกับวางพวงมาลัยที่ได้เตรียม มาบนร่างที่ไร้ลมหายใจของเจ้าขาว สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 31


แม้เหตุการณ์วันนั้นจะผ่านไปนาน จวบจนถึงวันนี้  ชีวิตที่ได้เสียสละ ของเจ้าขาวยังคงสอนให้หมอรับผิดชอบต่อชีวิตของสัตว์ทุกตัวเสมอ ไม่ว่า จะเป็นร่างกายหรือซากศพที่ดองฟอร์มาลิน หมอจะน�ำมาศึกษาเปิดผ่าภาย ในอย่างละเอียดและคุ้มค่า สุนัขที่เสียสละหนึ่งตัวสามารถใช้ศึกษาได้ทั้งปี โดยใช้ศึกษาดูได้ตั้งแต่อวัยวะภายนอก ระบบผิวหนัง ระบบกล้ามเนื้อ ระบบ โครงสร้างกระดูก ระบบอวัยวะภายในช่องอก ช่องท้อง ช่องเชิงกรานอวัยวะ สืบพันธุ์ ระบบหัวใจ ระบบหลอดเลือดทั่วร่างกาย ระบบต่อมน�้ำเหลือง และ ระบบประสาท  สุดท้ายเราต้องเลาะเปิดกะโหลกเพื่อศึกษาเรื่องระบบสมอง เมื่อเสร็จสิ้นการศึกษาซากของสุนัขก็แทบจะถูกแยกออกเป็นส่วนๆ โดยไม่ เหลือโครงร่างเดิม  นอกจากเจ้าขาวแล้ว ในการเรียนของชั้นปีที่สูงขึ้น แผนกวิชาศัลย กรรม หรือการเรียนผ่าตัดต่างๆ เราจ�ำเป็นต้องใช้สุนัขอีกหลายชีวิตเพื่อน�ำ มาศึกษาฝึกฝนการผ่าตัดจริง  สุนัขบางตัวถูกน�ำมาเรียนเรื่องการตัดขา การ ท� ำ หมั น   และการผ่ า ตั ด ล� ำ ไส้ ใ นตั ว เดี ย วกั น   เพื่ อ ไม่ ใ ห้ สุ นั ข ทดลองต้ อ ง ทรมานจากภาวะพักฟื้นและความเจ็บปวดภายในจากฝีมือของหมอฝึกหัด หลังสิ้นสุดชั่วโมงเรียน สุนัขเหล่านั้นก็ต้องถูกท�ำการการุณยฆาตทุกตัวไป   เรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมดนี้อ่านแล้วคงตลกไม่ออก แต่หมอต้องการ แบ่งปันให้เกิดการรับรู้ต่อสังคมภายนอกบ้างว่า นายสัตวแพทย์ทุกคนล้วน แล้วแต่ผ่านความยากล�ำบากทั้งกายและจิตใจกันมาทั้งนั้น และทุกครั้งที่ เราต้องท�ำการุณยฆาต หมายถึงความเศร้าที่เกิดขึ้นในหัวใจของสัตวแพทย์ ทุกคน นี่คือวิชาชีพที่บางครั้งสังคมเรียกแค่ว่า หมอหมา หมอวัว หรือหมอ ควาย จนหลายครั้งคิดกันเลยเถิดไปถึงวิชาชีพที่เห็นแก่เงิน คิดค่ารักษาสัตว์ แพงๆ วันนี้คงต้องย้อนกลับมาคิดใหม่ว่าวิชาชีพสัตวแพทย์เป็นวิชาชีพที่ ต้องเสียสละ ยอมผ่านช่วงชีวิตที่ขมขื่น อดทน บากบั่น และต้องผ่านช่วง ยากล�ำบากของจิตใจมาแล้วทั้งนั้น ในปัจจุบัน การเรียนการสอนภายในคณะสัตวแพทยศาสตร์ในการ ท� ำ เมตตาฆาตเปลี่ ย นแปลงไปจากเดิ ม แล้ ว   ยุ ค สมั ย เปลี่ ย นไปแนวคิ ด ก็ เปลี่ยนตาม หมอเองสอบถามจากรุ่นน้องและอาจารย์รุ่นใหม่  ใครที่สนใจ 32 VETPA


มาเรียนในคณะนี้คงวางใจได้ว่าตนเองไม่ต้องเป็นคนที่เรียกว่าเป็นฆาตกร อีกแล้ว เพราะทางคณะจะใช้ซากของสุนัขที่เสียชีวิตแล้วจากอุบัติเหตุที่ยังมี สภาพดีหรือร่างของสุนัขที่เจ้าของอุทิศให้เป็นวิทยาทานหลังจากที่สุนัขนั้น เสียชีวิตลงด้วยโรคเรื้อรัง ซากส่วนใหญ่ได้รับมาจากทางโรงพยาบาลสัตว์ซึ่ง ทางโรงพยาบาลจะขอประชาสัมพันธ์ท�ำเรื่องขอเก็บซากเอาไว้ใช้ศึกษาให้ แก่นิสิต  ส่วนเวลาเรียนในวิชาศัลยกรรมผ่าตัดก็ใช้เทคโนโลยีมาเกี่ยวข้อง มากขึ้น อาจศึกษาดูจากวิดีโอที่สาธิตการผ่าตัดจริง การเป็นหมอฝึกหัดช่วย ปฏิบัติในห้องผ่าตัดนานนับปี  การใช้หุ่นสุนัขจ�ำลองที่ท�ำจากยางพาราโดย การคิดค้นจากงานวิจัยของอาจารย์ของพวกเรา เราสามารถฝึกฝนการใช้มีด ผ่าตัดและการเย็บแผลอย่างคล่องแคล่วได้เป็นอย่างดี น้องหมอรุ่นหลังๆ จึงสบายใจกันมากขึ้นเวลาที่ต้องเรียนวิชาที่ต้องใช้สัตว์ทดลองกัน  และที่ส�ำคัญคือ ไม่มีสัตว์ตัวใดที่ต้องเจ็บและตายอีกต่อไป...

สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 33


3

. . . ง ู ส ส้ น ของ

้หาม


“ตะล็อก ต๊อกแต๊ก ตะล็อก ต๊อกแต๊ก” ได้ยน ิ เสียงแบบนีแ ้ ล้ว อย่าถามเชียวนะว่า “มาท�ำไม” ไม่ใช่มาเล่นเกมซื้อดอกไม้กันสักหน่อยหุหุ... นึกข�ำถึงตอนเป็นเด็ก  (เคยเล่นกันไหม เกมซื้อดอกไม้  แล้ววิ่งไล่จับกัน) หมอเล่นบ่อยไม่ว่าจะเป็นตั้งเต, กระต่ายขาเดียว, อีมอญซ่อนผ้า แล้วก็ตี่จับ เด็กสมัยใหม่ไม่รู้จักหรอกเพราะเล่นเป็นแต่แคมฟร็อก (Camfrog), เฟซบุ๊ก (Facebook) และโซเชียลแคม (Socialcam) จะว่าไปโลกของอินเตอร์เน็ตเป็นโลกที่ควบคุมได้ยากมากต้องขึ้นอยู่ กับการดูแลของครอบครัวจริงๆ ถึงจะเหนี่ยวรั้งความคิดของเด็กให้รักตัวเอง และไม่หลงมัวเมาไปกับความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวเหล่านี้ได้ ที่เริ่มต้นจากเสียงแปลกๆ ตะล็อก ต๊อกแต๊ก ตะล็อก ต๊อกแต๊ก...ที่ จริงแล้วมันก็คือเสียงเดินจากรองเท้าส้นสูงของผู้หญิง อ่าว...แล้วจะเกี่ยว อะไรกับเรื่องของสัตวแพทย์?  จะให้เกี่ยวมันก็เกี่ยวนะ คิดให้ไม่เกี่ยวก็ท�ำ ได้ แต่เชื่อไหม...เสียงของรองเท้าส้นสูงนี้แหละเป็นเสียงที่ห้ามดังใน ระหว่างเรียนเด็ดขาด!! เพราะอาจารย์จะเรียกมาต่อว่าทุกราย สาเหตุน่ะ เหรอ หึหึ... (อมยิ้ม) อย่างที่เคยเล่า ในสมัยก่อนผู้หญิงเรียนคณะสัตวแพทยศาสตร์น้อย สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 35



มาก เฉลี่ยรุ่นหนึ่งไม่เกิน 15 คน  ซึ่งแต่ละคนก็อึดๆ ฮึดๆ กันทั้งนั้น เรียกได้  ว่าสามารถจับวัวล้มเป็นตัวๆ ได้ด้วยมือข้างเดียว สาวๆ สัตวแพทย์ในยุค  นั้นจะเชยกันสุดๆ แต่งตัวมาเรียนจะเฉิ่มๆ เสื้อนิสิตหญิงจะตัวใหญ่ๆ (ไม่รัด  จนหน้าอกปลิ้นกระดุมเกือบจะดีดลูกตาแตกเหมือนปัจจุบัน)  กระโปรงมักจะเป็นแบบจีบรอบตัวบานเป็นกระบุงแล้วก็ยาวเกือบถึง  ข้อเท้า กระเป๋าก็เป็นเป้ที่ใช้สะพายแบกแต่หนังสือเรียนเป็นกิโลๆ หน้าตานี้  คงไม่เคยสัมผัสเครื่องส�ำอางกันเลย (สงสัยใช้โคลนทาหน้ากัน หน้าด�๊ำด�ำ)  ถ้าเห็นเดินมาแต่ไกลเดาได้เลยว่าเป็นผู้หญิงคณะสัตวแพทย์  ชัวร์ไม่มั่วนิ่ม  ถือเป็นเอกลักษณ์ไปเลยก็ว่าได้  พาหนะส่วนตัวก็ต้องเป็นจักรยานเหมือน  ของสาวขายยาคูลท์  ส่วนผู้หญิงคณะอื่นน่ะเหรอสวยเฉี่ยวเปรี้ยวเริ่ดกัน  หมด โดยเฉพาะนิสิตสาวคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าท�ำไมสาวๆ คณะของหมอถึงชอบท�ำตัวกัน  แบบนี้  หนุ่มสัตวแพทย์ส่วนใหญ่ถึงไปมีแฟนนอกคณะกันหมด พวกแบบ  หาใครกิก๊ ไม่ได้แล้วค่อยย้อนกลับมามองเก็บตกในคณะตัวเองแทนก็ม ี เพราะ  เหตุนี้ความล�ำบากจึงต้องตกมาที่กลุ่มเพื่อนๆ แต๋วแตกของหมอที่มีกันอยู ่ ไม่มาก พวกเราจะแสดงออกกันแบบสุดๆ ทั้งต้องแบกภาระความสวยใสไร้  สติไว้ให้ชาวโลกได้ประจักษ์ “กลุ ่ ม เจ็ ด นางฟ้ า ” คือกลุ่มแก๊งของเรา ไล่เรียงชื่อมาก็มีแ ดมมี่ ,  แคธี่, เจสสิก้า, แพทตี้, พัพปี้, เวียนนา และก็นิ้งหน่อง หมอเองก็เป็น  สมาชิกหนึ่งในนั้น หมอจะเรียกตัวเองว่า “พัพปี้” เจตนาให้หมายความว่า  “ลูกหมาตัวน้อยๆ” เวอร์ซะไม่มี  (จริงๆ เราไม่ได้ตั้งแก๊งหรือกลุ่มอะไรหรอก  แต่คนอืน่ เขาเรียกๆ กัน ส่วนชือ่ ก็เรียกกันไปในวงการของเราเอง ทีต่ งั้ ชือ่ แบบ  นี้เพราะคงลื่นหูกว่า หากจะเรียกกันว่าสมศักดิ์หรือสมชายอย่างแน่นอน) “แดมมี่” เธอคือหนุ่มเมืองอยุธยาที่กลายเป็นสาวแตกร่างใหญ่ตัว  สูงที่สุดในกลุ่ม ถ้าเป็นผู้ชายจัดว่าเป็นทหารดีคนหนึ่งได้เลย นิสัยดีรักเพื่อน  ที่ส�ำคัญ เธอรวยมาก ในกลุ่มตั้งฉายาให้ว่าเป็น “แม่บุญทุ่ม” เพราะแดมมี่  จะทุม่ ทุกอย่างโดยเฉพาะเงินกับผูช้ ายทีเ่ ธอเลือกเสมอ รายไหนๆ เสร็จเธอทุก  สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 37


ราย (ที่ว่าเสร็จ หมายถึงเธอเสร็จ ผู้ชายหลอกกินข้าวฟรีตลอด) “แคธี่” หมอสาวแสนซน เธอคือคนที่สร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อนๆ ใน  คณะได้เสมอ  จุดเด่นของเธออยู่ที่สีผมและคิ้วที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ได้  เหมือนกับจิ้งจก มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอใจร้อนใช้น�้ำยากัดสีขนคิ้วเกินขนาด คิ้ว  ลอกหลุดเป็นแผล จนกลายเป็นคิ้วนางยักษ์ผีเสื้อสมุทรไปเลย แต่เธอก็ยัง  มั่นใจบอกว่านี่คือแนวแฟชั่นใหม่ทุกที  เรื่องที่ไม่น่าเชื่อคือ เธอเป็นคนกลัว  แมวมาก! “เจสสิก้า” แต๋วรุ่นน้องสุดมาจากภาคอีสาน เป็นเจ้าแม่น�ำเทรนด์ท ี่ สุดในกลุ่มไม่ว่าจะเป็น กางเกงขาม้า ขากระดิ่ง จนถึงขาระฆัง เธอมีหมด  ไม่นับรองเท้าส้นสูงที่เธอมีทุกแบบ แต่ไม่ค่อยเก็บไว้ให้ตัวเองใส่เพราะ  เพื่อนๆ จะคอยแย่งไปใส่หมด คติประจ�ำใจของเธอคือ ตราบใดไม่ท้อง น้อง  ยังซิงค่ะ (จริงหรือนี่?? ที่เธอยังบริสุทธิ์) “แพทตี้” สาวมั่นประจ�ำปี  เธอเข้าใจเอาเองว่าในกลุ่มเธอสวยที่สุด  สวยมากมาย สวยโคตรๆ (ตื่นก็สวย หลับก็ฝันไปว่าสวย) สิ่งที่การันตีความ  สวยของเธอได้ก็คือจ�ำนวนของผู้ชายที่เธอมักจะมีรายชื่อขึ้นบัญชีด�ำไว้มาก  ที่สุด ส่วนข้อเสียของเธอก็คือ ชอบโกหกตัวเอง (โดยเฉพาะเรื่องความสวย)  “เวียนนา” ประเทืองอิมพอร์ตจากดินแดนเพื่อนบ้านฝั่งลาว เห็นเธอ  มาไกลแบบนี้ไม่ใช่ว่าเธอไร้รสนิยมนะ ข้าวของทุกชิ้นล้วนมียี่ห้อ กระเป๋า  หลุยส์แท้  นาฬิกากุชชี ่ เครือ่ งส�ำอางไม่คลีนกิ ข์กล็ งั โคม เวลาเธอจ่ายค่าเทอม  ทีหนึ่งเห็นแล้วจะอึ้ง เพราะเธอจะแบกเงินสกุลกีบ มาเป็นล้านล้านเลย “นิ้งหน่อง” สาวคนนี้หุ่นไม่ให้แต่ใจรัก น�้ำหนักที่มากและรูปร่างอวบ  อั๋นของเธอไม่ใช่อุปสรรคในการด�ำรงชีวิตเป็นกะเทยของเธอเลย นิ้งหน่อง  เป็นสาวมีน�้ำใจ ยิ้มเก่ง แถมยังชอบท�ำตัวหวานๆ (ชอบกินของมันๆ หวานๆ)  ที่ส�ำคัญ เธอชอบมีความรัก...(กับคนที่ไม่รักเธอ) สุดท้ายก็คือ “พัพปี้” หรือฉายาของหมอเอง หมอเป็นคนขี้เล่น ร่าเริง  แจ่มใส หลอกล่อผูช้ ายได้ดว้ ยการนัดติวหนังสือ (พอติวเสร็จ ผูช้ ายก็หนีหาย)  ไปไหนไปกัน ชอบตามเพื่อน ข้อเสียที่คนอื่นชอบว่าคือขี้โวยวาย และจะขี้วีน  เวลามีเรื่องไม่พอใจ 38 VETPA


เล่ามาตั้งนานแล้ว ดูว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับร้องเท้าส้นสูงเลย(นั่นสิ) แต่  ก�ำลังจะเกี่ยวตอนนี้แหละ เพราะประเด็นก็คือ “ส้นสูง” คือสาเหตุที่ท�ำให้  อาจารย์คณะสัตวแพทยศาสตร์ในสมัยนั้นไม่ชอบพฤติกรรม และต่อต้าน  การเป็นนิสิตหมอกะเทย!

ความเดิมมาจากการที่นิสิตหญิงในคณะไม่ค่อยชอบแต่งตัวโอเวอร์  กันมากนัก ส่วนใหญ่จะแต่งกันถูกต้องตามระเบียบของมหาวิทยาลัย รองเท้า  ก็จะใส่เป็นแบบผ้าใบ  แต่พวกของหมอนี่สิ  จะแต่งตัวกันจัดว่าประหลาด  พอตัวอยู่  แดมมี่จะไว้ผมยาวคาดที่คาดผมอันใหญ่เท่าฝ่ามือสีม่วงจัด เจสสิ ก ้ าใส่เสื้อ นิสิต ชายเข้ารูปพร้อ มกางเกงยี นส์ ข าบานตั ว ใหญ่  แล้วยังสวมรองเท้าส้นสูงขนาดสี่นิ้วมาเรียน  แพทตี้ก็ใส่ส้นสูงสามนิ้วมาพร้อมกับกระเป๋าแฟชั่นสีชมพู  เวียนนามาเรียนพร้อมกับใบหน้าที่จัดไปด้วยเครื่องส�ำอางอย่างดี  ทุกวัน แคธี่มีสีผมสีทองบ้าง สีน�้ำตาลบ้าง นิ้งหน่องและตัวหมอชอบผูกโบว์  ที่ผม และก็ไม่พ้นใส่รองเท้าส้นสูงเช่นกัน   สมัยนั้นความคิดค่อนข้างเป็นตัวเองสูง อยากท� ำอะไรก็ท�ำไม่มีใคร  ว่าอะไรได้ เพราะในมหาวิทยาลัยคณะอื่นๆ ก็แต่งกันแบบนี้ทั้งนั้น แต่พวก  หมอหารู้กันไม่ว่า พฤติกรรมของกลุ่มเจ็ดนางฟ้าถูกจับตามองจากอาจารย์  ผู้ใหญ่  และกรรมการบริหารของคณะอยู่ตลอดเวลา เพราะความประพฤติ  แบบนี้ยังไม่เคยพบอย่างชัดเจนในอดีตจึงถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ก�ำลัง  จะถูกจัดการ พอกลุ่มแก๊งหมอเข้าไปเรียนในวิชาของคณะก็เกิดเรื่อง! สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 39


“ห้ า มนิ สิ ตชายใส่ร องเท้า ส้นสูงเดินเข้า ห้ องเรี ย น!” ประกาศ  จากอาจารย์ประจ�ำวิชาที่ติดไว้หน้าห้องท�ำให้หมอตกใจมาก ค�ำว่า “นิสิต  ชาย” ที่ระบุในค�ำประกาศคงมีเจตนาชัดเจนตรงมาถึงกลุ่มเราแน่นอน เพราะ  คงไม่มีนิสิตชายคนไหนบ้าใส่ส้นสูงมาเรียนเหมือนเรากลุ่มเจ็ดนางฟ้า สิ่ง  เหล่านี้ท�ำให้หมอเกิดค�ำถามว่า “ส้นสูง ท�ำให้เกิดปัญหาอย่างไรกับการ  เรียนวิชานี้หรือ?” เพราะเวลาเรียนเราใช้สมองนะ ไม่ใช่ส้นเท้า! ทั้งๆ ที ่ ก่อนหน้านี้ในเทอมแรก หมอเองก็ท�ำคะแนนวิชานี้เป็นที่หนึ่งของรุ่น (หรือ  อาจารย์จะกลัวว่าส้นสูงจะท�ำให้เส้นเลือดขอดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ส่ง  ผลกระทบถึงการเรียนได้) ค�ำตอบที่ได้รับจากอาจารย์ท่านหนึ่งที่ยืนรอชี้แจงอยู่หน้าห้องบอก  กับพวกเราว่า “รองเท้าส้นสูงก่อความร�ำคาญให้กับผู้เรียนคนอื่นๆ จาก  เสียงเดิน ต๊อก แต๊ก ท�ำให้นิสิตคนอื่นเสียสมาธิ  อีกทั้งการใส่รองเท้า  ส้นสูงอาจท�ำให้เกิดอันตรายได้เวลาเดินเพราะพืน้ ห้องเรียนลืน่   ดังนัน้   จึงไม่ควรใส่”  ฟังเหตุผลแล้วก็น่ามีความเป็นไปได้  หมอกลับแคลงใจคิด  อีกแง่มมุ ว่าเป็นเหตุผลเลีย่ งหรือเปล่า  นีอ่ าจเป็นสัญญาณบ่งบอกได้วา่  ทาง  คณะก�ำลังต่อต้าน และก�ำลังห้ามให้หมอท�ำตัวเป็นกะเทย!! สงครามระหว่างอาจารย์ประจ�ำคณะกับกลุ่มเจ็ดนางฟ้าได้เกิดขึ้น  แล้ว ที่ผ่านมาพวกหมอก็ท�ำตัวเป็นประโยชน์ต่อคณะตั้งหลายอย่าง ทั้งสร้าง  ชื่อเสียง แข่งขันตอบปัญหาวิชาการ แข่งกีฬา แข่งเชียร์ลีดเดอร์  ท�ำงานการ  กุศล ฉีดวัคซีนสุนัขในชุมชนหรือตามวัด จัดท�ำค่ายพัฒนาตามหมู่บ้าน จัด  งานลอยกระทง ท�ำร้านอาหารคณะ ล้วนแล้วแต่เกิดจากฝีมือการน�ำของ  พวกเรา แล้วท�ำไมเมื่อเราเรียนในชั้นปีที่สูงขึ้น ถึงต้องถูกต่อต้านแบบนี้  คิดแล้วน้อยใจ ห้องเรียนบางห้องเขียนว่า “ห้ามนิสิตชายใส่ที่คาดผม”  หรือ “ห้ามนิสิตชายแต่งหน้ามาเรียน” นึกแล้วโกรธ ท�ำไมไม่เขียนห้ามให้  มันชัดๆ ไปเลยล่ะว่า “ห้ามนิสิตชายเป็นกะเทย” หรือ “ห้ามกะเทยมีชีวิต  ในคณะนี้”  เพื่อนๆ ทั้งชายและหญิงต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ใน  เรื่องนี้ หลายคนเห็นใจ หลายคนคงแอบสมน�้ำหน้า! 40 VETPA


ที่เล่าก็เพื่ออยากจะบอกความคิดที่แท้จริงของผู้ใหญ่  ในฐานะบุคคล  ที่ต้องรับผิดชอบต่อการผลิตบุคลากรที่จะเป็นประโยชน์ในวงการสัตวแพทย์  ในอนาคต หากหมอใหม่อย่างพวกเราเดินทางเข้าไปรับใช้สังคม อาจมีหลาย  คนรับไม่ได้! ที่จะเห็นหมอชายหน้าหญิงเดินบิดก้นส่ายเอวไปมาจะน�ำพา  ให้ปวดหัวเวลามอง  อีกทั้งอาจท�ำให้ความศรัทธาและความน่าเชื่อถือลดลง  แต่ เ รื่ อ งแบบนี้ ห ากจะมาแก้ ป ั ญ หากั น แบบปั ญ ญาชนแล้ ว ใช้ วิ ธ ี ติดประกาศแบบนี้  หมอเองคนหนึ่งแหละที่ขอบอกว่ารับไม่ได้เหมือนกลาย  เป็นตัวประหลาด เมื่อความไม่เข้าใจพุ่งสูงขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง หมอจึงเป็น  ตัวแทนกลุ่มเดินเข้าไปเจรจากับอาจารย์ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้  โดยใช้  การปรับความเข้าใจกัน ซึ่งอาจารย์ท่านก็เปิดใจรับฟังด้วยความเมตตา  หมอเริ่มต้นจากความฝันที่อยากจะเป็นนายสัตวแพทย์เหมือนคน  อื่นๆ เล่าเรื่องราวถึงความอดทน อุตสาหะในการเล่าเรียนจนถึงวันนี้  ไปจน  ถึงความตั้งใจที่ว่าเมื่อโตขึ้นเราเองก็อยากกลายเป็นหมอที่ดีของสัตว์  หมอ  เองก็มีพ่อแม่ที่ฝากความหวังของครอบครัวไว้ที่ตัวหมอเช่นกัน อาจารย์ยิ้มก่อนจะให้ความเห็นว่า จริงๆ แล้วพวกเราก็น่ารัก และ  อาจารย์ทกุ ท่านก็รกั พวกเรามาก พวกเราเป็นเหมือนความสดใส ความแปลก  ใหม่ในสังคมชาวสัตวแพทย์  แต่สังคมนี่สิ  สังคมในโลกของความเป็นจริง  โหดร้ายกว่าที่เห็น สังคมมักตีตราคนที่แปลกกว่าคนอื่นว่าด้อยกว่า  กว่า  ที่สังคมจะเห็นความสามารถของคนแปลกย่อมต้องใช้เวลาพิสูจน์ สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 41


หากพวกเรายังต้องอยู่ในสังคม แต่กลับไม่สนใจหรือเห็นใจคนใน  สังคมและเพื่อนร่วมวิชาชีพเดียวกันเลย แล้วมีผลท�ำให้ภาพพจน์และภาพ  ลักษณ์ของวิชาชีพเสียหาย  เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว พวกเราเองจะมีความสุข  เหรอถ้ายืนอยู่บนความทุกข์ใจของคนอื่น   หมอได้ฟงั ดังค�ำอาจารย์สอนแล้วเกิดความรูส้ กึ คิดได้  หากเราประพฤติ  ปฏิบัติดี  สิ่งที่ดีก็จะได้กับตัวเรา ทางสายกลางของอาจารย์คงดีไม่น้อยหาก  ปฏิบัติตาม “ลดในส่วนที่เกิน เพิ่มในส่วนที่ขาด”  หลังจากนั้นกลุ่มเจ็ด  นางฟ้าก็น้อมรับและค่อยๆ ปรับใช้ให้เหมาะสม เลิกใส่รองเท้าส้นสูงเข้า  เรียนกันทันที!!  ไม่เพียงพวกเราเท่านั้นที่ไม่ใส่รองเท้าส้นสูงเข้าเรียน นักเรียนสัตว  แพทย์หญิงส่วนใหญ่ก็มักไม่ใส่รองเท้าส้นสูงเช่นกัน น่าจะเป็นคณะเรียนที ่ ค่อนข้างแตกต่างจากคณะอื่นมากๆ ในมหาวิทยาลัย ยิ่งเวลาต้องลงตรวจ  ฟาร์มหรือออกพื้นที่ในการเรียนภาคสนาม การใส่รองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้า  หนังหุ้มส้นพื้นเตี้ยๆ นับว่าคล่องตัวสุดๆ ในการเรียน  นานๆ ทีจะได้เห็น  เพื่อนผู้หญิงแต่งตัวเต็มความเป็นหญิง จะใส่ส้นสูงก็ต่อเมื่อมีงานในโอกาส  พิเศษจริงๆ เช่น พิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร พิธีไหว้ครู  หรือพิธีที่เป็น  ทางการของทางคณะ แต่ในระยะหลังการสวมรองเท้าส้นสูงก็เริ่มเป็นที่  นิยมมากขึ้นเวลาใส่คู่กับเสื้อกาวน์แบบสั้นสีขาวเวลาเป็นหมอด้านสัตว์เล็ก  เราเรียกว่า “เสื้อ Med” ท�ำให้ดูเรียบร้อยขึ้นมาก ถ้าจะใส่ก็นิยมใส่ไม่เกิน  สองนิ้ว สรุปคือคณะสัตวแพทย์กับรองเท้าส้นสูงไม่ใช่ของคู่กันเลย   การเข้าสู่คณะนี้สิ่งหนึ่งที่ต้องเตรียมพร้อมและรับมือคือองค์ความรู ้ วิชาการ ที่ต้องอาศัยความพยายามท�ำความเข้าใจในเนื้อหาและทบทวนทุก  วัน  บางครั้งการที่ต้องมาสนใจหรือใส่ใจในเรื่องรูปร่างหน้าตา ทรงผม การ  แต่งกาย หรือรองเท้าที่สวมใส่อาจไม่มีเวลามากพอที่จะให้รายละเอียด แต่  บุคลิกภาพคุณหมอและภาพลักษณ์ของบุคคลที่ควรได้รับความนับถือและ  เชื่อมั่นจ�ำเป็นต้องมีในตัวของคุณหมอทุกคน ความเคร่งขรึม ความนิ่ง การ  วางตัว และจิตวิทยาในการสื่อสารของค�ำพูด หมอทุกคนต้องเรียนรู้และ  ใส่ใจทุกขณะในเวลาปฏิบัติงาน เสื้อผ้าขาวสะอาดสีสุภาพ ทรงผมที่เข้ารูป  42 VETPA


ทรงดูเรียบร้อยและไม่รกตา รองเท้าส้นเตี้ยที่คล่องตัวยังคงเป็นรูปแบบที ่ ยึดถือปฏิบัติกันมาในตัวคุณหมอจากรุ่นสู่รุ่น ความเปรี้ยว ความเซ็กซี่  ความ  เป็นตัวของตัวเองคงต้องเก็บไว้ในเวลาส่วนตัว นีเ่ ป็นอีกเรือ่ งราวหนึง่ ทีอ่ ยากให้เข้าใจว่าการศึกษาสามารถหล่อหลอม  และขัดเกลาให้เราเป็นคนได้จริงๆ ทุกอาชีพของใครใครก็รัก การก้าวล�้ำเส้น  เป็นเรื่องที่ต้องหยุดคิด ไม่ใช่เดินต่อไปเพียงเพื่อการเอาชนะกันอย่างที่เ ห็น  ตัวอย่างที่ไม่ดีของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายคน การเป็นหมอของสัตว์นี่มีรายละเอียดและสนุกจริงๆ นอกจาก  ต้องเรียนรู้เรื่องความรู้ทางวิทยาศาสตร์แล้วยังต้องรู้เรื่องสังคมศาสตร์  อีกด้วย  วันนี้ กลุ่มเจ็ดนางฟ้าสลายตัวหายไปแล้ว แต่สิ่งที่เหลือไว้คือ  “กลุ่มคนดี” ที่ท�ำหน้าที่ของการเป็นสัตวแพทย์ต่อไป

สัตวแพทย์แซ่บเวอร์ 43


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.