สวนทางนิพพาน

Page 1


สวนทางนิพพาน

เสฐียรพงษ์  วรรณปก ราชบัณฑิต

กรุงเทพมหานคร  สำ�นักพิมพ์มติชน  ๒๕๕๗


สารบัญ ๗...........................................................................................คำ�นำ�สำ�นักพิมพ์ ๙...................................................................................................คำ�นำ�ผูเ้ ขียน ๑๓.........................................................................รู้จักมอง แล้วโลกจะน่าอยู่ ๑๗.........................................................................ความสุขหาง่ายถ้ารู้จักวิธี ๒๒............................................................................หามุมมองเพื่อแก้ปัญหา ๒๗........................................................................อย่าคิดแก้ปัญหาแบบลิงๆ ๓๐......................................................สมาธิจำ�เป็นในยุคข้าวยากหมากแพง ๓๕.................................................................ปัจจัยสำ�หรับการฝึกอบรม (๑) ๔๑.......................................................ปัจจัยสำ�หรับการฝึกอบรม (ตอนจบ) ๔๖....................................................................................................รู้จักเจรจา ๕๐..............................................................................คนโง่มากกว่าคนฉลาด ๕๖..............................................................................สาเหตุที่ทำ�ให้เป็นคนโง่ ๖๐......................................คนตัดฟืนปริญญากับลาฉลาด ในนิทานอีสป ๖๓................................................................................ความว่านอนสอนง่าย ๖๘...........................................................................นึกถึงความตายสบายนัก ๗๓............................................................................เทคนิคการสอนแบบเซน


๗๘.............................................................ฟังฝรัง่ ประยุกต์พทุ ธธรรมกับชีวติ ๘๔.............................................................................................สิง่ ทีเ่ ป็นมงคล ๘๙......................................................................คาถาศักดิส์ ทิ ธิข์ องชาวพุทธ ๙๔......................................................................................สวดมนต์ดอี ย่างไร ๙๙....................................................................................เด็กดีของสังคมไทย ๑๐๒.........................................................................................ลูกบังเกิดเกล้า ๑๐๗................................................................ทำ�ดีลบล้างความชั่วได้หรือไม่ ๑๑๒............................................................................................ดี-ชั่ว สองชั้น ๑๑๖..............................................................................นรก-สวรรค์มีจริงหรือ ๑๒๐................................................................................กรรมมิใช่สูตรสำ�เร็จ ๑๒๕..................................................................................................เศษกรรม ๑๓๑....................................................................ตัวอย่างการให้ผลของกรรม  ๑๓๖.................................................................................กรรมดุจหมาไล่เนื้อ ๑๔๐................................................................................... .ความฝันนั้นดังฤๅ ๑๔๕................................................พระพุทธศาสนากับกระแสผีกระแสเทพ ๑๕๐...............................................................................................ตำ�ราดูพระ ๑๕๕........................................................................................ธรรมะจากสัตว์ ๑๖๐................................................................บุคลาธิษฐาน ธรรมาธิษฐาน ๑๖๖.....................................................................พระพุทธองค์กับปาฏิหาริย์ ๑๗๒..........................................................เมื่อพระพุทธองค์ทรงเปิดโลก (๑) ๑๗๖..........................................................เมื่อพระพุทธองค์ทรงเปิดโลก (๒) ๑๘๐..........................................................เมื่อพระพุทธองค์ทรงเปิดโลก (๓) ๑๘๕................................................เมื่อพระพุทธองค์ทรงเปิดโลก (ตอนจบ) ๑๘๙...................................................................................................กายนคร ๑๙๕..........................................บุคคลที่น่าสนใจในประวัติของพระพุทธเจ้า


คำ�นำ�สำ�นักพิมพ์

อาจารย์เสฐียรพงษ์  วรรณปก ให้ความส�ำคัญต่อการเขียนเรื่อง  พุทธศาสนาให้เข้าถึงและเข้าใจอย่างง่ายๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น  หลักธรรมะขัน้ สูง เรือ่ งราวจากพุทธประวัต ิ วิถปี ฏิบตั ขิ องพระสงฆ์  เรียกได้  ว่าครบองค์พระรัตนตรัยอย่างสมบูรณ์ สาระความรู้ที่ผู้เขียนน� ำเสนอในเล่มนี้  ล้วนตั้งอยู่บนเส้นทางที่  มุ่งตรงไปสู่พระนิพพาน อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของพุทธศาสนา  ทว่า  ความตั้งใจของผู้เขียนที่ตั้งชื่อ “สวนทางนิพพาน” ก็เพื่อแสดงแง่มุมบาง  ประการที่สะท้อนผ่านข้อมูลและเรื่องราวต่างๆ ของคนธรรมดาบนโลก  ใบนี ้ กับชีวติ ที่ต้องพานพบปัญหาและอุปสรรค ล้วนด�ำเนินไปบนวิถที เี่ ป็น  ขัว้ ตรงข้ามจากนิพพาน และความสัมพันธ์ของคนไทยส่วนใหญ่ตอ่ ศาสนา  พุทธยังคงเกีย่ วพันกับเรือ่ งความดี-ความชัว่ , นรก-สวรรค์, คาถาศักดิส์ ทิ ธิ,์   การสวดมนต์, สิ่งที่เป็นมงคลต่อชีวิต ฯลฯ  ซึ่งอาจารย์เสฐียรพงษ์ได้ให้  ความรู้เรื่องเหล่านี้อย่างน่าสนใจ คุณค่าของงานเขียนเล่มนี้  จึงมุ่งให้ความรู้เรื่องพุทธศาสนาที่น�ำไป  ปรับใช้ในชีวิตประจ�ำวันเพื่อความสงบสุข อาจจะไม่ใช่เส้นทางสู่การบรรลุ    สวนทางนิพพาน • 7


ถึงนิพพานโดยตรง แต่เป็นพื้นฐานส�ำคัญให้ไต่ระดับขึ้นไปสู่จุดมุ่งหมาย  สูงสุด  อาจเป็นความสมบูรณ์แห่งชีวิตที่ปรารถนา หรือสร้างประโยชน์ต่อ  สังคมส่วนรวมที่คุณผู้อ่านด�ำรงอยู่ ส�ำนักพิมพ์มติชน

8  เสฐียรพงษ์  วรรณปก


คำ�นำ�ผู้เขียน

หนังสือเล่มนี้  รวมบทความที่เขียนให้  “ชีวจิต” นิตยสารรายปักษ์  พ.ศ. ๒๕๕๐ ใช้ชื่อว่า “มาอ่านพระไตรปิฎกกันดีกว่า” ท่าทางขึงขัง แต่  เนื้อหาไม่ขึงขังนักดอก มีการเขียนแบบหยิกแกมหยอก ค่อนข้างเรียบง่าย  ไม่เหมือนพระเทศน์เท่าไหร่  เขียนแบบสนุกสนาน (เข้าใจอย่างนั้นนะ คน  อื่นอาจจะไม่เข้าใจดังผู้เขียนก็ได้) เอามารวมพิ ม พ์   เพื่ อ ให้ ผู ้ อ ่ า นได้ อ ่ า นกั น อี ก ที   และเพื่ อ รั ก ษา  ต้นฉบับไว้มิให้หายไปกับสายลมและแสงแดด หวังว่าคงมีประโยชน์แก่ผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

สวนทางนิพพาน • 9


สวนทางนิพพาน


รู้จักมอง แล้วโลกจะน่าอยู่

มีภาษิตฝรั่ง (คล้ายท�ำนองนี้) Two men look out through the same bars:  One sees the mud and one the stars. ภราดา ฟ. ฮีแลร์  อาจารย์สอนภาษาไทย โรงเรียนอัสสัมชัญ (มหา  วิทยาลัยอัสสัมชัญในปัจจุบัน) ได้แปลเป็นไทยไพเราะเพราะพริ้งว่า “สองคนยลตามช่อง  คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย สมัยก่อนเรามักสอนให้ลูกหลานเอาอย่างคนดี  ให้มองเห็นความ  ดีของคนดี  แล้วพยายามน�ำมาเป็นแบบอย่างแห่งการด�ำเนินชีวิต  ส่วน  คนชั่วนั้น อย่าเข้าใกล้  หนีไกลเท่าไรยิ่งดี  คบคนชั่วมีแต่จะพาชีวิตฉิบหาย  ล่มจม  ดังค�ำกล่าวสอนว่า “คบคนดีเป็นศรีแก่ตวั  คบคนชัว่ ย่อมอัปราชัย” เมื่อผมบวชเป็นเณรน้อย ได้เรียนธรรมะ บาลี  ได้ทราบเรื่องของ  พระเทวทัต รู้สึกเกลียดกลัวเอามากๆ ทั้งที่ท่านก็ตายไปนานแล้ว คนละ  ยุคคนละสมัยกัน  แต่เพราะอาจารย์ท่านเน้นย�้ำเสมอว่า พระเทวทัตชั่วช้าสารเลว    สวนทางนิพพาน • 13


อย่างไร ท�ำร้ายได้แม้กระทั่งพระบรมศาสดา อ่านดูประวัติของท่าน ก็เลว  ร้ายจริงอย่างอาจารย์ท่านว่า ดูหัววางแผนชั่วของพระเทวทัตสิครับ แยบยลมาก จ้างนักฆ่า ๑๖  คน สั่งให้คนแรกยิงพระพุทธเจ้า พวกที่สองยิงคนแรก พวกที่สามยิงพวก  ที่สอง เป็นเช่นนี้  จนครบ ๑๖ คน  ถ้าแผนการส�ำเร็จ ก็จะหาพยานหลักฐานอะไรไม่ได้  แต่ปรากฏ  ว่าแผนการล้มเหลว  พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนายขมังธนูคนแรกให้ส�ำนึก  ผิด แล้วส่งเขาไปทางอื่น แผนการแรกล้มเหลว พระเทวทัตจึงลงมือเอง ปีนขึ้นบนเขากลิ้ง  ก้อนหินลงมา หวังให้ทับพระพุทธองค์   แต่กอ้ นหินปะทะชะง่อนผากลิ้งไป  ทางอื่น  กระนั้นก็ตาม สะเก็ดหินกระเด็นมาต้องพระบาทจนห้อพระโลหิต ต่อมาสั่งปล่อยช้างตกมันหมายให้กระทืบพระพุทธองค์  ขณะเสด็จ  ออกโปรดสัตว์ยังเมืองราชคฤห์   คราวนี้ก็ล้มเหลวอีกเช่นกัน ความชัว่ ช้าของพระเทวทัตปรากฏเป็นทีร่ กู้ นั ทัว่  อชาตศัตรูเองก็ทรง ถอนการอุปถัมภ์  ในทีส่ ดุ พระเทวทัตก็ปว่ ยหนักส�ำนึกผิด สัง่ ลูกน้องให้หาม ไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อทูลขอขมา แต่ไปไม่ถึงก็ถูกแผ่นดินสูบก่อน ว่ากัน  ว่าเธอไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในอเวจีมหานรก ป่านนี้ใกล้จะหมดเวรหมด  กรรมหรือยังไม่ทราบ คนเฒ่าคนแก่สอนเด็กให้เกลียดกลัวพระเทวทัต  ชาวพุทธไทยรวม  ทั้งผมด้วยจึงขยะแขยงพระเทวทัต บางทีก็ถึงสาปแช่งก็มี แต่มองอีกมุมหนึ่ง  ถ้าไม่มีคนอย่างพระเทวทัต พุทธจริยาของ  พระพุทธองค์ก็ไม่ปรากฏเด่น พระเทวทัตเปรียบดังจุดด�ำบนผ้าขาว ยิ่งด�ำ  มากก็ยิ่งขับความขาวของผ้าให้เด่นชัดขึ้น พูดอีกนัยหนึง่  พระเทวทัตยิง่ ชัว่ ร้ายเพียงใด เราก็ยงิ่ เห็นความดีของ พระพุทธองค์เท่านั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ของ  พระพุทธองค์ 14  เสฐียรพงษ์  วรรณปก


แม้ว่าพระเทวทัตจะจองล้างจองผลาญ วางแผนท�ำร้ายทุกอย่าง  ครั้ ง หนึ่ ง พระองค์ ถึ ง กั บ ได้ รั บ บาดเจ็ บ จากสะเก็ ด หิ น ที่ ก ระเด็ น มาต้ อ ง  พระบาทถึ ง ห้ อ พระโลหิ ต   พระพุ ท ธองค์ ก็ มิ ไ ด้ มี พ ระทั ย ขุ ่ น แค้ น โกรธ เคือง หรือโกรธตอบแม้แต่น้อย  ตรงข้ามกลับทรงมีพระมหากรุณา รัก  พระเทวทัตเช่นเดียวกับรักพระราหุล พุทธชิโนรสก็ปานกัน เมือ่ มองในมุมนี ้ เราน่าจะขอบคุณพระเทวทัตทีท่ ำ� ให้เรายิง่ เลือ่ มใส  ประทับใจในพุทธจริยวัตรอันงดงามสูงส่งของพระบรมศาสดา เราก็น่าจะน�ำมาเป็นแบบอย่างการด�ำเนินชีวิต คือแม้ว่าเราจะถูก  ใครเขาเอารัดเอาเปรียบ หรือปองร้าย หรือกระท�ำการใดๆ ไม่ดีต่อเรา  มากมาย  เราก็ไม่ควรโกรธตอบ หรือคิดท�ำร้ายตอบ คิดเสียว่า เขาคนนั้น  มาให้สติเรา ให้เราเอา “ธรรมะมาปฏิบัติ” ฝึกจิตให้เข้มแข็งขึ้น เตือนสติ  ให้เราร�ำลึกถึงพระพุทธองค์ พระพุทธองค์โดนพระเทวทัตกระท�ำหนักกว่านี้หลายเท่า  พระองค์  ยังไม่โกรธตอบเทวทัตเลย เราโดนแค่นดิ หน่อยเองจะไปหวัน่ ไหวท�ำไม  คิด  ได้อย่างนี้แล้วจิตใจก็จะสบายและเข้มแข็งยิ่งขึ้น ชาวพุทธฝ่ายมหายาน ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายจีน (ถ้าผิดก็ขออภัย)  ถือว่าพระเทวทัตเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง เพราะเห็นความดีของพระ  เทวทัต คือดีในแง่ที่เป็น “คู่บารมี” ของพระพุทธเจ้า ช่วยท�ำให้พระพุทธ  คุณเด่นชัดขึ้น ความจริงก็ไม่ผิดดอกครับ ตอนท้ายก�ำลังจะถูกแผ่นดินดูดหายไป  เหลือแต่คางนั้น พระเทวทัตได้ประกาศ “ถวาย” กระดูกคางให้เป็นพุทธ  บูชา แล้วก็จมมิดลงไป  พระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายในภายหลังว่า พระเทวทัตหลัง  จากใช้กรรมหมดแล้วก็จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธนามว่า “อัฏฐิสสระ”  (ยิ่งใหญ่เพราะถวายกระดูกคาง)   สวนทางนิพพาน • 15


เห็นไหมครับ คนที่ใครๆ ว่าชั่วช้านั้น ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็จะเห็น  ความดีของเขา ท่านจึงสอนว่า อย่าเกลียดคนชั่ว แต่จงเกลียดพฤติกรรมชั่วของ  เขาเถิด หมายความว่าคนเรานั้นไม่ว่าใครย่อมพลาดท�ำผิดท�ำชั่วได้   บาง  คนก็ทำ� เพราะความโง่เขลา  บางคนก็ทำ� เพราะความจ�ำเป็นบังคับ  บางคน  ก็ท�ำเพราะเผลอตัว  จริงๆ แล้ว ไม่มีใครอยากเป็นคนชั่ว ต่างก็อยากเป็น คนดีกันทั้งนั้น วันหนึ่งเราอาจเผลอท�ำชั่วเช่นนั้นบ้างก็ได้ คนท�ำชั่วเป็นคนที่น่าเห็นใจมากกว่าน่าเกลียดน่ากลัว เป็นคนที่  เราควรเข้าใจ และควรช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้  มากกว่าจะเหยียบย�่ำซ�้ำ  เติม หรือขจัดท�ำลาย แต่ที่เราควรเกลียดควรกลัวก็คือ “การกระท�ำชั่ว” ของเขา คือควร  น�ำเอามาเตือนสติตนเองว่า  เราต้องไม่ท�ำชั่ว ท�ำเสียหายเช่นนั้นเป็นอัน  ขาด ลองหัดมองอย่างนี้ดูสิครับ เราจะเห็นว่าโลกนี้น่าอยู่ขึ้นอีก เยอะทีเดียว

16  เสฐียรพงษ์  วรรณปก


ความสุขหาง่ายถ้ารู้จักวิธี

มีพระสูตรหนึ่งกล่าวข้อความสั้นๆ น่าสนใจดีว่า ถ้าเราจับสัตว์  ๖ ชนิดมาผูกรวมกันเข้า มันจะดิ้นรนเพื่อจะกลับไปสู่ความเคยชินของมัน  สัตว์  ๖ ชนิดที่ว่านี้คือ สุนัขป่า สุนัขบ้าน ลิง งู  นก จระเข้ สุนัขป่าก็จะดิ้นรนเพื่อไปสู่ป่า สุนัขบ้านก็จะดิ้นรนเพื่อวิ่งเข้าไปยังหมู่บ้าน ลิงก็จะดิ้นรนเพื่อขึ้นบนต้นไม้ งูก็จะดิ้นรนเพื่อเลื้อยเข้าสู่โพรงไม้หรือจอมปลวก นกก็จะดิ้นรนเพื่อบินสู่ท้องฟ้า จระเข้ก็จะดิ้นรนเพื่อลงไปสู่น�้ำ สัตว์แต่ละชนิดมี  “วิสัย” (แดนหรือถิ่นที่มันเคยชิน) ไม่เหมือนกัน  ตามธรรมชาติของมัน  คนเราก็เหมือนกัน แต่ละคนก็มีความเคยชินไม่  เหมือนกัน เพราะสั่งสมมาแตกต่างกัน ความเคยชินเป็นผลของการท�ำ  อะไรซ�้ำๆ จนกลายเป็นนิสัยที่แก้ยาก หรือไม่อยากแก้ บางคนมีความขี้โม้เป็นนิสัย คือชอบยกหางตัวเอง คุยกับใครอด  ยกเอาความเก่งของตนขึ้นมาอวดคนอื่นไม่ได้ว่าตนเก่งอย่างนั้นเก่งอย่าง    สวนทางนิพพาน • 17


นี ้ ใครได้คยุ กับคนเช่นนัน้ คงต้องใช้ขนั ติธรรมค่อนข้างสูง  คือทนฟังเขาไป  เออๆ ออๆ ไปตามเรื่อง แถมด้วยหยอดค�ำชมเป็นครั้งคราว ด้วยการ  แสดงสีหน้าท�ำท่าว่าเรา “ทึ่ง” ในความเก่งของเขา แต่ถ้าโม้มากและบ่อยเกินไป จะ “เบรก” เสียบ้างก็ได้  ปล่อยให้โม้  บ่อยเข้าเดี๋ยวจะเหลิง  เพื่อนผมคนหนึ่งมีนิสัยอย่างนี้   มีคนคนหนึ่งคุยโม้  ว่าตนเองมีความรู้มากเรียนอยู่เมืองนอก ๑๐ กว่าปี  ท�ำปริญญาเอกถึง  ๕ ปี   เพือ่ นผมแกย้อนว่า “คนอื่นเขาท�ำแค่  ๓ ปีเท่านัน้  คุณเรียนตั้ง ๕ ปี  อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเก่งดอก  โง่ต่างหาก” เล่นเอาด๊อกเตอร์ขี้คุยโกรธหัว  ฟัดหัวเหวี่ยง บางคนขี้อิจฉาตาริษยามีนิสัยไม่ชอบเห็นใครได้ดี  ทั้งๆ ที่บางทีคน  อื่นนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับตนสักนิด เป็นคนที่ตนไม่รู้จักด้วยซ�้ำ แต่อดที่จะ  อิ จ ฉาริ ษ ยาไม่ ไ ด้   เช่ น เปิ ด ที วี เ ห็ น เขาสั ม ภาษณ์ บุ ค คลที่ ป ระสบความ  ส�ำเร็จในชีวิต ได้ทราบว่าคนคนนั้นต่อสู้ชีวิตมาอย่างไรจึงประสบความ  ส�ำเร็จ เช่นร�ำ่ รวยมหาศาลดังทีเ่ ป็นอยู ่ “ร้อน” ขึน้ มาทันที  ทนดูทนฟังไม่ได้  ถึงกับปิดทีวีก็มี   คิดเอาว่ามันน่าจะเป็นกูมากกว่า อะไรท�ำนองนี้ อย่างนี้เรียกว่าอาการค่อนข้างหนัก  ใครเป็นอย่างนี้คงหาความสุข  ได้ยาก  อนาคตไม่พ้นเป็นคนไข้โรงพยาบาลประสาทหรือโรงพยาบาล  โรคจิตเป็นแม่นมั่น แต่ก็มีหลายคนที่เป็นคนใจเย็น มองอะไรเป็นอารมณ์ขันไปหมด  ไม่วา่ จะเกิดอะไรขึน้ กับตน แม้จะร้ายแรงก็ยมิ้ และยิม้ อย่างเดียว  คนอย่าง  นี้น่าสรรเสริญ  คนอย่างนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน นานมาแล้วผมไปร่วมอภิปรายในวันปฐมนิเทศอาจารย์ใหม่ของ  มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง  อยู่บนเวทีได้รู้จักคนนิสัยขี้คุย ชอบอวด  ความเก่งของตนเอง  เพราะฟังตั้งแต่ต้นจนจบแกเล่าแต่ความเก่งของตน  ให้คนอื่นฟัง 18  เสฐียรพงษ์  วรรณปก


ลงจากเวทีแล้วไปนั่งรับประทานอาหารกับผู้ด�ำเนินการอภิปราย  ก็ได้ทราบว่าท่านผู้นี้ใจดี  ใจเย็นอย่างยิ่ง  ความจริงก็ประทับใจในรอยยิ้ม  และการพูดจาสุภาพของท่านอยู่ก่อนแล้ว  ท่านเล่าว่าที่มหาวิทยาลัยของ  ท่านคนมาก รถมาก เพราะนักศึกษาส่วนมากเป็นลูกคนมีเงิน ขับรถมา  เรียนหนังสือ  บางครั้งจอดรถไว้ขึ้นไปสอนหนังสือ กลับลงมารถที่จอดอยู่  ถูกขูดขีดบ้าง ชนบุบบ้าง  ท่านก็ได้แต่ยิ้มท�ำใจให้สบาย ไม่พยายามโกรธ  “เพราะโกรธแล้วมันไม่สบาย บัน่ ทอนความสุขใจของเรา” ท่านว่าอย่างนัน้ ท่านเล่าว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน ขณะขับรถไปดีๆ มีรถคันหนึ่งถลา  เข้ามาชนบ้าง ยุบไปทั้งแถบ  ท่านลงมาดูรถตัวเองแล้วก็ยืนยิ้ม  เจ้าหนุ่ม  คนขับมาชนคงดูฟุตบอลหนักไม่ได้หลับทั้งคืน จึงวิ่งมาชนทั้งๆ ที่ไม่น่า  จะชน เมื่อต�ำรวจมาขอใบขับขี่เจ้าหนุ่มนั้นก็ได้รับค�ำตอบว่าไม่มีเพราะ  เพิ่งชนเขามาก่อนหน้านี้ไม่นาน ถูกต�ำรวจยึดใบขับขี่ไปแล้ว  ท่านผู้นั้น  บอกว่า “ผมได้ฟังแล้วก็โกรธเขาไม่ลง เห็นใจเขา ขับรถในเมืองไทยมันก็  อย่างนี้แหละ  เราเองก็อาจจะเป็นอย่างนี้บ้างในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า” ท่านผู้นี้เล่าพลางยิ้มไปพลางอย่างมีความสุข  น่าอิจฉาไหมครับ  แต่อย่าอิจฉาท่านเลย  ควรจะพลอยยินดีด้วยที่ท่านช่างรู้จักปรับใจเพื่อ  ให้เหมาะสมกับการที่จะอยู่ในสังคมปัจจุบันได้อย่างมีความสุข ยิ้ม ยิ้ม และยิ้มเข้าไว้เท่านั้นคือ “รหัส” แห่งความสุข รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แพทย์ปัจจุบันยอมรับว่าเป็น “ยารักษา  โรค” อย่างชะงัดนัก  ช่วยให้คนเจ็บป่วยฟื้นจากอาการเจ็บป่วยได้วิเศษ  นัก ถ้าถามว่าท�ำไม  ผู้รู้ให้เหตุผลว่าการยิ้มออกมาแสดงว่าจิตใจ  ปลอดความกลัว เพราะคนเราจะยิ้มและกลัวในเวลาเดียวกันไม่ได้   การ  ยิ้มจะขจัดความกลัวออกโดยอัตโนมัติ  โรคหลายโรคมีผู้ค้นพบว่าเกิดจาก    สวนทางนิพพาน • 19


ความกลัว ความกดดัน  โรคเหล่านี้จะทุเลาทันทีที่คุณยิ้ม และจะหาย  เมื่อคุณยิ้มบ่อยๆ ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม ส่วนการหัวเราะนั้นถือว่าเป็นขั้นตอนต่อจากการยิ้ม  การหัวเราะ  ช่วยท�ำให้ปอดขยายตัวได้รับออกซิเจนมากกว่าปกติ  ช่วยให้การหายใจ  ลึกขึน้ และเป็นผลให้การหมุนเวียนโลหิตไปเลีย้ งร่างกายดีขนึ้   ช่วยต้านทาน  โรคต่างๆ และยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ เขาว่ากันอย่างนั้นนะ ผมไม่รู้ดอกในแง่วิชาการวิชาเกินอะไรนี่  รู ้ อย่างเดียวว่าเสียงหัวเราะเป็นสัญญาณแห่งความสุข คนไม่มีความสุข  หัวเราะก็  “แค่นหัวเราะ” ไม่มีส�ำเนียงแห่งความสุขอยู่ด้วยหรอก บังเอิญได้อ่านหนังสือเล่ม สุขกาย สุขใจ ในสังคมที่วุ่นวาย รวบ  รวมเรียบเรียงโดยธรรมปาโมทย์  (ซึ่งก็ไม่ทราบว่าใคร) ผมได้รับเป็นธรรม  บรรณาการ (คือได้มาฟรี) นานแล้ว หนังสือเล่มนี้ได้บอกวิธี  “ฝึกยิ้ม” ส�ำหรับบรรดาพวก “เสือยิ้มยาก”  ไว้  ๔ วิธีด้วยกัน  ผมเองก็เป็นคนประเภทที่ว่านี้จึงสนใจ ก�ำลังฝึกตามอยู่  คิดว่าไม่นานก็คงจะ “จบหลักสูตร” ถ้าเศรษฐกิจส่วนตัวดีขึ้น (อ้าว เวลา  เงินหมดมันยิ้มไม่ค่อยออกนาครับ) จึงขอคัดลอกมาลงไว้ ดังนี้ครับ ส�ำหรับคนที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าอยู่เนืองนิตย์นั้น นับได้ว่าเป็น  ความโชคดี   ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าตาพวกที่ยิ้มง่ายมักจะเจริญเติบโตขึ้น  เป็นเด็กอารมณ์ดี  และเป็นผู้ใหญ่ที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอ ส่วนคนที่ยิ้มยากนั้น คงต้องหาอุบายและกลวิธีที่จะให้มีรอยยิ้ม  บนใบหน้าขึ้นมา ลองมาดูวิธีที่ดีจะเสนอต่อไปนี้ดู  บางทีอาจจะท�ำให้คุณ  ได้มีโอกาสยิ้มบ่อยขึ้นก็ได้ ๑. เวลาเจอหน้ากับเพื่อนฝูง ให้คุยถึงเรื่องสนุกๆ ที่จะท�ำให้เราได้  มีโอกาสยิม้ หรือหัวเราะ แทนทีจ่ ะมานัง่ คร�ำ่ ครวญถึงปัญหาต่างๆ ๒. ให้หาหนังสือ รูปภาพ หรือวิดีโอเทปเรื่องที่สนุกๆ เก็บไว้  แล้ว  เอาขึ้นมาดูทุกครั้งที่คุณรู้สึกยิ้มไม่ออก 20  เสฐียรพงษ์  วรรณปก


๓. ฝึกยิ้มไว้บ่อยๆ ยิ่งคุณยิ้มบ่อยเท่าไหร่  แม้จะมีปัญหาหนักสัก  แค่ไหน ร่างกายคุณจะมีพลังมากขึ้นเท่านั้น คุณจะรู้สึกว่ายิ้ม  นั้นคือพลังจริงๆ ๔. ก่อนก้าวออกจากบ้านทุกครั้งให้ยิ้มไว้ก่อน ตอนช่วงแรกอาจ  จะต้องใช้ความพยายาม แต่นานๆ ไปคุณจะรู้ว่ายิ้มของคุณจะ  กลายเป็นเรื่องธรรมชาติ ลองดูครับ ถ้าอยากมีความสุขในชีวิต วิธีหาความสุขแบบนี้ไม่ต้อง  ซื้อหาจากที่ไหนให้เปลืองเงินทอง

สวนทางนิพพาน • 21


หามุมมองเพื่อแก้ปัญหา

ผู้รู้บอกว่าปัญหาบางอย่างแก้ได้โดยการหัดมองในแง่บวกเข้าไว้  เรื่องร้ายๆ หรือที่คิดว่าร้ายอาจเบาบางหรือเป็นเรื่องเล็กไป พร้อมบอก  ว่ามันเป็นวิธีหนึ่งเท่านั้น มิใช่วิธีส�ำเร็จรูป ใช้ในบางกรณีได้ผล แต่ไม่ได้  ทุกกรณี เคยอ่านนิทานจีนสั้นๆ เรื่องหนึ่ง มีชาวนาคนหนึ่งไถนาอยู่  บังเอิญ  มีกระต่ายวิ่งเซ่อซ่ามาจากไหนไม่ทันสังเกต มาชนตอไม้ใกล้ๆ จังเบ้อเร่อ  กระต่ายน้อยดิ้นปัดๆ ถึงกาลกิริยา (แปลว่าตาย) ณ ตรงนั้นเอง ชาวนาเลยได้ลาภโดยไม่รู้ตัว จับเอากระต่ายตัวนั้นไปบ้าน ให้  ภรรยาท�ำอาหารเย็นกินอร่อยไปเลย ชาวนาแกก็ได้ข้อสรุปว่า “อยากกิน  กระต่าย ไม่ยาก เพียงแต่มารอที่จุดนั้น เดี๋ยวก็มีกระต่ายวิ่งมาชนตอ  ไม้ตาย” เมื่อคิดดังนี้  วันรุ่งขึ้นแกก็ไถนาไป สายตาคอยช�ำเลืองดูว่าจะมี  กระต่ายตัวที่สองวิ่งมาชนตอไม้เมื่อไร แต่คอยแล้วคอยเล่า สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว สี่วัน...ห้าวัน... หกวัน...สัปดาห์หนึ่งก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีกระต่ายตัวที่สองมาให้เป็นอาหาร  โอชะของแกอีกต่อไป 22  เสฐียรพงษ์  วรรณปก


เรื่องนี้เข้าหลักการที่ว่า การมองในแง่บวกไม่จ�ำเป็นจะต้องได้ผล  เสมอไป อาจได้เป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น  เพราะฉะนั้น จึงเป็นหน้าที ่ ของปัญญาพิจารณาว่าเวลาไหนควรมองแง่บวก เวลาไหนควรมองแง่ลบ ตามปกติคนมักจะคิดว่าคนมองแง่ลบบ่อยๆ จะท�ำให้เป็นคนมอง  ในแง่ร้ายไปหมด ท�ำให้จิตใจวิตกกังวล หงอยเหงาเศร้าสร้อย  ทางที่ดีไม่  ควรมองโลกในแง่ลบอะไรประมาณนั้น การมองแง่ลบไม่ครบขั้นตอนอาจเป็นเช่นนี้ได้  แต่การมองแง่ลบ  ถ้ามองครบขัน้ ตอนจะท�ำให้เป็นผูร้ อบคอบ ระมัดระวังได้ด ี และใช้ปญ ั ญา  แก้ไขปัญหาได้ดี คืออย่างไร? (๑) ประสบกับปัญหาใดก็ตามให้มองไว้ก่อน  ทุกสิ่งใช่ว่าจะมีแต่  คุณอย่างเดียว โทษก็มีเช่นกัน  การคิดเช่นนี้เป็นการ “เตรียม  ตั้งหลัก” ไว้ก่อน (๒) ถ้ามองในแง่คุณประโยชน์  สิ่งนี้มีคุณอะไรบ้าง ลอง list ออก  มา หนึ่ง สอง สาม สี่  จะเห็นว่ามีประโยชน์หรือข้อดีเยอะแยะ (๓) ถ้ามองในแง่เสีย แง่ลบล่ะ มีโทษอย่างไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม  สี่  เช่นกัน  ก็จะเห็นว่า เออ ในแง่ลบมันก็มีมิใช่น้อย (๔) ในกรณีแง่ลบ เมื่อรู้ว่าสิ่งนั้นมีโทษอย่างไรบ้าง เราไม่ควรหยุด  อยู่แค่นั้น  ควรคิดต่อไปว่าเราควร “รับรู้” สภาพความเป็นจริง  อย่างนั้นๆ แต่ไม่ควร “ยอมรับสภาพ” งอมืองอเท้า หรือยอม  แพ้  สิ้นหวัง แค่นั้น (๕) หน้ า ที่ต ่อ ไปเป็นบทบาทของสติป ัญญาจะพึงท�ำงานต่อไป  แหมเขียนยังกับบทความวิชาการ  เปล่าเลยครับ วิชาเกินทั้งนั้น  (เพราะเดาเอา) ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง สมมุติว่าคุณอกหักละกัน  ชายหนุ่ม หรือหญิงสาวที่คั่วกันมานาน ถึงขั้นมั่นใจว่ารู้ใจกัน เชื่อแน่ว่า    สวนทางนิพพาน • 23


เป็นเนื้อคู่ตุนาหงันแท้ๆ เลย  ไม่มีทางเป็นอื่นว่างั้นเถอะ อยู่ๆ เธอหรือเขาก็  “เปลี๋ยนไป๋” เป็นยังงี้ได้ไง  นั่นสิครับ ถ้ามอง  ในแง่ลบ เราก็จะเห็นได้ว่า (๑) คู่กันแล้วไม่แคล้วคลาด การที่เธอเปลี่ยนไปนี้แสดงถึงสัจธรรม  ว่าเรามิได้เป็นคู่กัน และแสดงว่าค�ำสอนของพระที่ว่าทุกสิ่งไม่  แน่นอนเป็นความจริง (๒) การอกหักท�ำให้เจ็บปวด ทุกข์ไม่นอ้ ย ไม่เกิดกับใครคงไม่รดู้ อก  แต่การทีเ่ ธอ/เขาเปลีย่ นไปเช่นนีน้ บั เป็นคุณ และควรจะขอบคุณ  เขา/เธอ ที่ไม่ปล่อยให้ผ่านไปนานจนใจเราแทบถอนไม่ขึ้นแล้ว  จึงตีจาก  ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีนี้  เราพอจะถอนตัวออกมาได้  โดยไม่เจ็บปวดมากนัก (๓) เธอ/เขา คงไม่คู่ควรกับฉันจริง  ชีวิตฉันคงไปไกลกว่านี้ถ้าไม่  มาจมอยูก่ บั ผูไ้ ม่คคู่ วรเช่นนี ้  เราจึงควรจะดีใจแทนเสียใจ (เออ  แฮะ คิดได้ไง!) (๔) ความเจ็บปวด ความเสียใจ เพราะรักวิปโยคนี้เป็นยาวิเศษ  คอยรักษาใจเราให้เข้มแข็งขึ้น และพร้อมที่จะรับกับปัญหา  อื่นที่หนักกว่านี้ได้   ขอบคุณความรักที่ไม่จริงจังนี้ช่วยสร้าง  บุคลิกภาพใหม่แก่เรา (นั่น มันต้องอย่างนั้น!) (๕) เราพร้อมจะก้าวต่อไป ด้วยสติ  ด้วยปัญญา ปัญหาทุกอย่าง  จะเป็นบทเรียนชีวิต และเป็นบทพิสูจน์ความกล้ายืนหยัดโดย  ไม่ก้มหัวให้แม้แต่น้อย โอ๊ย ยิ่งคิดไปก็ยิ่งเห็นว่าความทุกข์เพราะอกหักนี่เป็นโชคแห่งชีวิต เสียจริงๆ (นับถือๆ) ลองคิดลองมองดูสคิ รับ แล้วท่านจะโปร่ง เบาสบาย ไม่วา่ จะเผชิญ  ปัญหาหนักเพียงใดก็ตาม 24  เสฐียรพงษ์  วรรณปก


บางที ก ารมองวิกฤตเป็นโอกาสจะช่วยให้ชีวิตที่ก�ำลังคับขันให้  พลิกผันไปในทางดีก็ได้  พระท่านจึงสอนให้มองหลายทาง หลายด้าน  มองด้านนี้เจอทางตัน แต่ถ้ามองอีกด้านอาจพบแสงสว่างลอดเข้ามาก็ได้ เคยอ่านประวัติศาสตร์อินเดีย สมัยพุทธศตวรรษที่  ๒-๓ มหาโจร  จันทรคุปต์  (ซึง่ ความจริงเป็นชาวกบิลพัสดุ ์ เชือ้ สายพระพุทธเจ้า ทีห่ นีจาก  สงครามฆ่าฟันกันเอง) มหาโจรจันทรคุปต์ตั้งตนเป็นโจร มีเป้าหมายคือ  ราชสมบัติเมืองปาตลีบุตร  ซึ่งขณะนั้นอยู่ในครอบครองของกษัตริย์วงศ์  นันทะ  จันทรคุปต์ยกพวกเข้าตีเมืองปาตลีบุตรหลายครั้งไม่ประสบความ  ส�ำเร็จ  ถูกตีกลับแตกกระสานซ่านเซ็นหนีมาทุกครั้ง แต่ก็ไม่ละความ  พยายาม คราวหนึง่ แพ้สงครามและถูกตามล่า หนีรอดไปได้ผา่ นหมูบ่ า้ นเล็กๆ  แห่งหนึ่ง  ได้ยินเสียงแม่ดุด่าเด็กหญิงคนหนึ่งลอดลงมาก็สะดุ้ง  เพราะ  ขณะนั้นจันทรคุปต์ก�ำลังหลบอยู่ในมุมมืด หนีพวกทหารที่ตามล่า “อีบ้า  มึงนี่โง่เหมือนโจรจันทรคุปต์   มึงจะกินขนมเบื้องมึงต้อง  ค่อยกัดกินตั้งแต่ขอบมันมาสิ  มึงขืนกัดกร้วมตรงกลางมันก็ร้อนสิ   ไอ้โจร  โง่นั้นก็เหมือนกัน  จะตีเมืองทั้งทีเสือกยกมาตีใจกลางเมือง แทนที่จะตี  โอบเข้ามาจากวงนอก  มันไม่ตายห่...ก็บุญแล้ว...” ข้อเท็จจริงก็คือ เด็กหญิงลูกของแม่ค้าขนมเบื้อง เธอกัดขนมเบื้อง  ทีร่ อ้ นๆ ตรงกลาง จึงทิง้ ขนมร้องไห้จา้ เพราะขนมร้อนลวกปาก  แม่จงึ ดุดา่   เปรียบเทียบเหมือนความโง่ของโจรจันทรคุปต์ดังกล่าว ได้ฟังค�ำด่าวันนั้น จันทรคุปต์ก็ได้คิด ถือเอาเป็นแนวปฏิบัติต่อมา  รวบรวมก�ำลังพลใหม่   คราวนี้ค่อยๆ ตีเข้ามาจากรอบนอกแบบ “ป่า  ล้อมเมือง” จนกระทั่งยึดเมืองได้ในที่สุด  สถาปนาตนเป็นปฐมกษัตริย ์ ราชวงศ์โมริยะ ค�ำดุด่าลูกของแม่พาดพิงมาถึงตนโดยไม่ตั้งใจ จุดประกายความ    สวนทางนิพพาน • 25


คิดให้มหาโจรจันทรคุปต์ได้พบแสงสว่าง  สามารถสานต่อให้ปณิธานของ  ตนบรรลุผลส�ำเร็จในที่สุด ท่านผู้อ่านครับ บางทีในการเดินทางแห่งชีวิตอันยาวไกลนี้  เรา  อาจพบ “ครู” ผู้ชี้แนะแนวทางให้เราได้ทุกขณะ  ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือ  ไม่ก็ตาม กระทั่งถูกคนเขาด่า ผู้ฉลาดย่อมแปรให้เป็นประโยชน์ได้  ดังบทกวี ว่า “เขากล่าวผรุสวาทต่อข้า ข้าให้อภัย เดินหนีไปด้วยปราโมทย์ แต่แล้วก็อดโทษตัวเองมิได้  ที่เป็นสาเหตุให้เขาโกรธกล่าวค�ำ หยาบ เสียกิริยาสุภาพชน”

26  เสฐียรพงษ์  วรรณปก


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.