ชาติไทย,เมืองไทย,แบบเรียนและอนุสาวรีย์

Page 1


ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์

ว่าด้วยวัฒนธรรม, รัฐ และรูปการจิตส�ำนึก


ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์

ว่าด้วยวัฒนธรรม, รัฐ และรูปการจิตส�ำนึก นิธิ เอียวศรีวงศ์

ราคา ๑๘๐ บาท


ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์ ว่าด้วยวัฒนธรรม, รัฐ และรูปการจิตส�ำนึก • นิธิ เอียวศรีวงศ์ พิมพ์ครั้งแรก : กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ พิมพ์ครั้งที่ ๒ : มิถุนายน ๒๕๔๗ พิมพ์ครั้งที่ ๓ : พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ราคา ๑๘๐ บาท ข้อมูลทางบรรณานุกรม นิธิ เอียวศรีวงศ์. ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์. --พิมพ์ครั้งที่ ๓.--กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๗.  ๒๐๘ หน้า.--(ประวัติศาสตร์). ๑. ไทย--ประวัติศาสตร์ I. ชื่อเรื่อง. 959.3 ISBN 978 - 974 - 02 - 1350 - 5

• ที่ปรึกษาส�ำนักพิมพ์ : อารักษ์ คคะนาท, สุพจน์ แจ้งเร็ว, นงนุช สิงหเดชะ • ผู้จัดการส�ำนักพิมพ์ : กิตติวรรณ เทิงวิเศษ • รองผู้จัดการส�ำนักพิมพ์ : รุจิรัตน์ ทิมวัฒน์ • บรรณาธิการบริหาร : สุลักษณ์ บุนปาน • บรรณาธิการส�ำนักพิมพ์ : พัลลภ สามสี • หัวหน้ากองบรรณาธิการ : อพิสิทธิ์ ธีระจารุวรรณ • พิสูจน์อักษร : โชติช่วง ระวิน, พัทน์นลิน อินทรหอม • รูปเล่ม : อัสรี เสณีวรวงศ์ • ศิลปกรรม : นุสรา สมบูรณ์รัตน์ • ออกแบบปก : สุลักษณ์ บุนปาน • ประชาสัมพันธ์ : กานต์สินี พิพิธพัทธอาภา

หากสถาบันการศึกษา หน่วยงานต่างๆ และบุคคล  ต้องการสั่งซื้อจ�ำนวนมากในราคาพิเศษ โปรดติดต่อโดยตรงที่ บริษัทงานดี จ�ำกัด โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๐-๐๐๒๑ ต่อ ๓๓๕๓ โทรสาร ๐-๒๕๙๑-๙๐๑๒

หนังสือเล่มนี้พิมพ์ด้วยหมึกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อปกป้องธรรมชาติ และสุขภาพของผู้อ่าน

บริษัทมติชน จ�ำกัด (มหาชน) : ๑๒ ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์ ๑ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๐-๐๐๒๑ ต่อ ๑๒๓๕ โทรสาร ๐-๒๕๘๙-๕๘๑๘ แม่พิมพ์สี-ขาวด�ำ : กองงานเตรียมพิมพ์ บริษัทมติชน จ�ำกัด (มหาชน) ๑๒ ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์ ๑ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐  โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๐-๐๐๒๑ ต่อ ๒๔๐๐-๒๔๐๒ พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด ๒๗/๑ หมู่ ๕ ถนนสุขาประชาสรรค์ ๒  ต�ำบลบางพูด อ�ำเภอปากเกร็ด นนทบุรี ๑๑๑๒๐ โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๔-๒๑๓๓, ๐-๒๕๘๒-๐๕๙๖ โทรสาร ๐-๒๕๘๒-๐๕๙๗ จัดจ�ำหน่ายโดย : บริษัทงานดี จ�ำกัด (ในเครือมติชน)  ๑๒ ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์ ๑ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๐-๐๐๒๑ ต่อ ๓๓๕๐, ๓๓๕๑ โทรสาร ๐-๒๕๙๑-๙๐๑๒ Matichon Publishing House a division of Matichon Public Co., Ltd. 12 Tethsabannarueman Rd, Prachanivate 1, Chatuchak, Bangkok 10900 Thailand


สารบัญ

ค�ำน�ำจากส�ำนักพิมพ์ ชาติไทย, เมืองไทย และนิธิ เอียวศรีวงศ์

(๖) (๘)

๑. วัฒนธรรมคือระบบความสัมพันธ์ ๒. คติที่เกี่ยวกับรัฐของประชาชนไทย จากวรรณกรรมปักษ์ใต้ ๓. ชาติไทยและเมืองไทย ในแบบเรียนประถมศึกษา ๔. สงครามอนุสาวรีย์กับรัฐไทย ๕. ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไทย ๖. รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย ๗. ชาตินิยมในขบวนการประชาธิปไตย

๔๐ ๗๕ ๑๐๕ ๑๑๔ ๑๔๔

งานเขียนของศาสตราจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ดัชนี

๑๖๔ ๑๖๘

นิธิ  เอียวศรีวงศ์ (5)


ค�ำน�ำจากส�ำนักพิมพ์

นิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับแรกออกวางตลาดในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยมีสุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นเจ้าของและบรรณาธิการ.  หลังจากที่นิตยสารนี้ได้ด�ำเนินกิจการมาไม่นานนัก อาจารย์นิธิ เอียว  ศรีวงศ์ ก็ได้เริ่มเขียนบทความให้ลงตีพิมพ์. บทความชิ้นแรกนั้นคือ  “ความล�้ำลึกของน�้ำเน่าในหนังไทย” ลงตีพิมพ์ในฉบับประจ� ำเดือน  สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๓. นับแต่นั้น อาจารย์นิธิก็ได้เขียนบทความส่ง  มาให้นิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ยังไม่นับ  ส่วนที่อาจารย์เขียนเป็นเล่มต่างหาก และได้มอบหมายให้พิมพ์ในชุด  ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษอีกหลายเล่ม. งานเขียนของอาจารย์นิธิที่ทางส�ำนักพิมพ์มติชนน�ำมาจัดพิมพ์  รวมเป็นเล่มนี้ เกือบทั้งหมดเป็นบทความที่ลงตีพิมพ์ในช่วงสิบสามปี  แรกของนิตยสารฉบับนั้น. มีอยู่บางชิ้นได้ลงตีพิมพ์ในนิตยสารอื่นๆ  ซึ่งในการน�ำมารวมพิมพ์ไว้ในที่นี้ด้วย ก็เป็นความประสงค์ของท่าน  ผู้เขียนเอง โดยเหตุผลว่า เพื่อให้เนื้อหาของงานในชุดนั้นๆ สมบูรณ์  ยิ่งขึ้น. และก็มีอยู่บางชิ้น ที่มิได้น�ำมารวมพิมพ์ไว้ในที่นี้ ทั้งด้วยเหตุผล  ที่ว่าผู้เขียนเห็นว่างานชิ้นนั้นๆ มีข้อบกพร่องอยู่, และทั้งด้วยเหตุผล  ที่ว่างานชิ้นนั้นได้เคยตีพิมพ์เป็นเล่มเฉพาะมาแล้ว. อย่างไรก็ตาม ทาง  (6) ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์


ส� ำ นั ก พิ ม พ์ ม ติ ช นก็ ไ ด้ จั ด ท� ำ บรรณานุ ก รมบทความของอาจารย์ นิ ธิ  ทั้งหมดที่ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ตั้งแต่ปีที่ ๑ มาถึงปีที่  ๑๓ ไว้ด้วยในตอนท้ายของเล่ม. ส�ำหรับผู้อ่านที่ีปรารถนาจะติดตาม  หาอ่านงานที่มิได้น�ำมารวมไว้นี้ ก็จะหาได้โดยง่าย. ในการรวมพิมพ์คราวนี้ ทางส�ำนักพิมพ์มติชนได้จัดแบ่งบทความ  ทั้งหมดออกเป็นสี่เล่มตามลักษณะของบทความแต่ละชิ้น, ดังนี้. (๑) กรุงแตก, พระเจ้าตากฯ และประวัติศาสตร์ไทย (๒) ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์ (๓) โขน, คาราบาว, น�้ำเน่าและหนังไทย (๔) ผ้าขาวม้า, ผ้าซิ่น, กางเกงใน และ ฯลฯ การจัดแบ่งหมวดหมู่ดังนี้ อันที่จริงก็เป็นการจัดโดยกว้างๆ  เท่านั้น. ชื่อรองของหนังสือแต่ละเล่มดูเหมือนจะบอกไว้โดยชัดเจน  พอสมควรแล้วว่า แต่ละเล่มนั้นมีบทความในประเภทใด. นอกจากจะได้จัดแบ่งเช่นนี้แล้ว ทางส�ำนักพิมพ์มติชนยังได้  ขอให้นักวิชาการสี่ท่านเขียนค�ำน�ำเสนอ (introduction) ให้กับแต่ละ  เล่มด้วย. แน่ละ, ทรรศนะที่ปรากฏในค�ำน�ำเสนอดังกล่าวนั้น ย่อมเป็น  ข้อความเห็นส่วนตนของนักวิชาการท่านนั้นๆ เอง. ข้อปรารถนาของ  ทางส� ำ นั ก พิ ม พ์ ก็ คื อ ให้ ค� ำ น� ำ เสนอนี้ เ ป็ น ที่ เ ปิ ด ประเด็ น การวิ พ ากษ์  วิจารณ์ต่อไป-ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย. ส�ำนักพิมพ์มติชนหวังว่า งานรวมชุดนี้ของอาจารย์นิธิ เอียวศรี  วงศ์ จะได้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่วงวิชาการไทยและแก่สาธารณชน  ในวงกว้าง, ดังที่บทความแต่ละชิ้นของท่านได้เป็นมาก่อนแล้ว.  สุพจน์ แจ้งเร็ว บรรณาธิการฉบับรวมพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๘

นิธิ  เอียวศรีวงศ์ (7)


ชาติไทย, เมืองไทย และนิธิ เอียวศรีวงศ์ (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๘)

นิ ธิ  เอี ย วศรี ว งศ์ มิ ไ ด้ เ ด่ น ดั ง เป็ น ข่ า วอย่ า งที่ ช าวบ้ า นร้ า นตลาด  หรือแม้แต่ผู้คนในแวดวงการเมืองและธุรกิจจะรู้จัก แต่ในหมู่ปัญญาชน  ซึ่งคงเป็นผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ ชื่อนิธิ เอียวศรีวงศ์ ไม่จ�ำเป็นต้องมีการ  แนะน�ำ, มีหลายคนรู้จักใกล้ชิดนิธิทั้งในฐานะมิตรและศิษย์เสียยิ่งกว่า  ผู้เขียน (ค�ำน�ำ), แต่ด้วยเหตุที่ผู้เขียนไม่เคยใกล้ชิดกับนิธิไม่ว่าในฐานะ  ใดๆ, หากเป็นเพียงศิษย์ร่วมวิชาชีพและผู้นิยมผลงานของนิธิ ทั้งที่เป็น  นักประวัติศาสตร์ และเป็นปัญญาชนของสาธารณชน จึงขอถือโอกาส  วิเคราะห์นิธิ เอียวศรีวงศ์และข้อเขียนในเล่มนี้ตามสายตาของผู้ติดตาม  อยู่ห่างๆ ซึ่งมีอิสระในการอ่านและตีความข้อเขียนของนิธิมากกว่าคน  ใกล้ชิดทั้งหลาย สาระส�ำคัญของค�ำน�ำนี้คือ การวิจารณ์, ตั้งค�ำถาม  จ�ำนวนมากต่องานของนิธิ เพื่ออภิปรายเลยออกไปถึงส�ำนึกในชาติและ  ความเป็นไทยที่ก�ำลังเปลี่ยนแปลง, ผู้เขียน (ค�ำน�ำ) ขออาศัยงานของ  (8) ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์


นิธเิ ป็นตัวกลางเพือ่ สะท้อนบางแง่ทนี่ ธิ เิ องคงปฏิเสธ, สะท้อนผูอ้ า่ น, และ  สะท้อนความเป็นไปในสังคมที่ข้อเขียนในเล่มนี้ช่วยสื่อให้เห็นได้ ๑ นิธิเป็นศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์และสารพัดอย่าง; เขาเป็น  ชาวไทยจีนที่เข้าใจวัฒนธรรมไทยดีที่สุดคนหนึ่ง จึงมักจะพูด (เขียน)  ถึงอะไรต่อมิอะไรจากมุมมองแบบไทยๆ บ่อยครัง้  (ใกล้เคียงกับ “จปล.”  สุจิตต์ วงษ์เทศ และ “ไทยฝรั่ง” ไมเคิล ไรท์). คุณสมบัติข้อส�ำคัญ  ของนิธิที่ท�ำให้เขาเป็นนักคิดนักวิจารณ์ที่ดีที่สุดในเวลานี้ คือฐานความ  รู้และภูมิปัญญาเกี่ยวกับสังคมไทยที่ศึกษาสั่งสมมานับสิบปี จนหล่อ  หลอมเป็นแนวคิดมุมมองที่ไม่ค่อยเหมือนใคร. นอกจากนั้นนิธิยังมี  ความสามารถในการใช้ภาษาความเรียงที่กระชับชัดเจนอย่างมีรสชาติ,  รวมถึงความสามารถที่จะใช้และเล่นกับแนวคิดและทฤษฎีทางวิชาการ  จากตะวันตกทั้งเก่าใหม่และตามสมัยนิยม โดยไม่ลืมที่จะย่อยแนวคิด  เหล่านั้นจนกลายเป็นของเขาเองในภาษาไทยเสียก่อน. คุณสมบัติที่ขอฝากให้สังเกตดูอีกประการหนึ่งก็คือ ข้อเขียน  ในนาม “นิธิ เอียวศรีวงศ์” ยังรักษาน�้ำเสียงลีลาของผู้ชายไทยๆ ไว้  เต็มเปี่ยม และไม่ค่อยปิดบังการใช้สายตาแบบผู้ชายในการวิเคราะห์  วิจารณ์หลายครั้ง.  นิธิจึงมักจะเสนอแง่คิดที่ลึกซึ้งและผู้อ่านไม่เคยคิด  มาก่อน. แต่ข้อเขียนของเขามักแฝงด้วยลีลาขี้เล่น และพลิกพลิ้ว (ซน)  อยู่ลึกๆ  แม้กระทั่งเมื่อเขากระเซ้าเย้าแหย่กับอ�ำนาจ. ข้อเขียนของ  นิธิจึงจริงจัง แต่อ่านสนุก, ตรงไปตรงมาแต่ซับซ้อน, และทั้งคมทั้ง  “ร้าย”, เปิดหูเปิดตาผู้อ่านจนสว่างไปหมด. ๒ ข้อเขียนส่วนใหญ่ในเล่มนี้เขียนขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๒-๒๕๓๗  และชิ้ น หนึ่ ง เขี ย นเมื่ อ  พ.ศ. ๒๕๒๖. ประเด็ น เรื่ อ ง รั ฐ ไทย, ชาติ  นิธิ  เอียวศรีวงศ์ (9)


ไทย เป็นความหมกมุ่นของวงวิชาการไทยที่ผูกพันอยู่กับการเมือง  ไทยในช่วงทศวรรษ ๒๕๒๐ ท่ามกลางความผกผันเปลี่ยนแปลง  ครั้ ง ใหญ่ ข องสั งคมไทย. ในครั้ งนั้ น เชื่ อ กั น ว่ า  การวิ เ คราะห์ พั ฒ นา  การของสั ง คมได้ ถู ก ต้ อ งเป็ น ภารกิ จ ชี้ เ ป็ น ชี้ ต ายว่ า สั ง คมไทยจะไป  ทางไหนและด้ ว ยวิ ธี ใ ด. การวิ เ คราะห์ เ น้ น ไปที่ โ ครงสร้ า งอ� ำ นาจ,  พั ฒ นาการของทุ น , รั ฐ , ชนชั้ น และประวั ติ ศ าสตร์ เ ศรษฐกิ จ สั ง คม  ไทย ด้วยแนวคิดวิธีศึกษาที่เรียกอย่างกว้างๆ รวมๆ ว่า เป็นการ  ศึกษาเชิงเศรษฐศาสตร์การเมือง. ความหมกมุ่นในประเด็นดังกล่าว  ในช่วงนั้นทวีความส�ำคัญมากขึ้นเมื่อค�ำตอบส�ำเร็จรูปในแนวสังคม  นิ ย มลดความน่ า เชื่ อ ถื อ ลงเรื่ อ ยๆ, ซ�้ ำ การค้ น คว้ า ทางวิ ช าการใน  กระแสเช่ น นั้ น กลั บ มี ส ่ ว นท� ำ ให้ ค วามมั่ น ใจในค� ำ ตอบส� ำ เร็ จ รู ป ใดๆ  พังทลายลง.  เมื่อย่างเข้าสู่ปลายทศวรรษ ความผกผันและขัดแย้ง  ของสั ง คมคลี่ ค ลายลง จนการวิ เ คราะห์ รั ฐ และชาติ ไ ทยในแบบดั ง  กล่าวไม่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายอีกต่อไป. นิธิมีส่วนร่วมในการค้นคว้าในช่วงดังกล่าวด้วยผลงานทาง  ประวั ติ ศ าสตร์ ที่ ก ่ อ ให้ เ กิ ด ผลสะเทื อ นต่ อ ความรู ้ ข องเราอย่ า งน้ อ ย  ในสองปริ ม ณฑลด้ ว ยกั น . ประการแรก คื อ การตรวจสอบวิ พ ากษ์  วิ จ ารณ์ ค วามรู ้ ป ระวั ติ ศ าสตร์ ต ามมาตรฐาน ทั้ ง ในแง่ อ งค์ ค วามรู ้ ,  ปรัชญา และแนวคิดทางประวัติศาสตร์ และวิธีการศึกษา,  ประการ ที่ ส อง คื อ ข้ อ เสนอว่ า ด้ ว ยความเปลี่ ย นแปลงทางเศรษฐกิ จ สั ง คม  ขนาดใหญ่ ข องสั ง คมที่ ร าบลุ ่ ม น�้ ำ เจ้ า พระยา โดยเฉพาะกรุ ง เทพฯ  เมื่ อ แรกเป็ น ราชธานี .  ผลสะเทื อ นประการแรกปรากฏในรู ป ของ  วิชาการ ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเปลี่ยนรูปโฉมไปอย่างมากใน  ระยะ ๒๐ ปีที่ผ่านมา.  ผลสะเทือนประการหลังยังไม่มีการประเมิน  และยังไม่มีข้อวิจารณ์งานดังกล่าวของนิธิอย่างจริงจังแต่อย่างใด,  เว้นเสียแต่ในหมู่นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียง  ใต้นอกประเทศไทย ที่ก�ำลังเพ่งมองคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ และ ๑๘  (ไม่ใช่ ๑๙) ว่าเป็นจุดเปลี่ยนส�ำคัญของทั้งภูมิภาค. งานของนิธิเป็น  ส่วนหนึ่งของการถกเถียงดังกล่าว. (10) ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์


การค้ น คว้ า อภิ ป รายเรื่ อ งรั ฐ ไทย, ชาติ ไ ทย ที่ ด� ำ เนิ น ต่ อ มา  จนถึงขณะนี้ ซึ่งดูเหมือนเป็นมรดกตกทอดจากทศวรรษก่อน แท้ท ี่ จริงกลับอยู่ภายใต้ภาวการณ์ใหม่. การศึกษาค้นคว้ารัฐไทยในเชิง  “เศรษฐศาสตร์การเมือง” ยังคงด�ำเนินต่อมา แต่เปลี่ยนภารกิจไป.  สังคมไทยเร่งเป็นสังคมอุตสาหกรรมอย่างไม่คิดชีวิต และดูเหมือน  จะเป็ น หนทางอนาคตที่ ย อมรั บ กั น โดยทั่ ว ไป ยกเว้ น แต่ เ พี ย งผู ้ รั บ  เคราะห์ และกลุ่มองค์กรที่เป็นปากเสียงของเขาเท่านั้น ที่ยังพยายาม  ทัดทานให้คิดถึงชีวิตกันบ้าง. “เศรษฐกิจการเมือง” ของวงวิชาการ  ไทยดูเหมือนจะปวารณาตัวกับภารกิจทัดทานการกลายเป็นอุตสาห  กรรมแบบไม่ ดู ต าม้ า ตาเรื อ . แต่ ก ารวิ เ คราะห์ รั ฐ , ทุ น  และชนชั้ น  แม้แต่ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาคม ๒๕๓๕ ก็ไม่มีผลกระทบเชิง  ปฏิบัติการทางการเมืองของกลุ่มใดๆ อย่างที่เคยเป็นเมื่อทศวรรษ  ก่อนหน้านั้น. งานเขี ย นของนิ ธิ จ� ำ นวนมากจั ด ได้ ว ่ า อยู ่ ใ นกระแสของฝ่ า ย  ทั ด ทานอุ ต สาหกรรมแบบไม่ คิ ด ชี วิ ต . แต่ ดู เ หมื อ นนิ ธิ จ ะเป็ น นั ก  สังเกตการณ์และนักรบทางวัฒนธรรมเสียมากกว่า.  โจทย์ชุดใหม่  ในขณะนี้เป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของแบบแผนการ  ด� ำ รงชี วิ ต ทั้ ง ในกรุ ง , เมื อ ง และชนบท, ของค่ า นิ ย มและความรู ้ สึ ก  นึกคิดของคนธรรมดาสามัญ ทั้งรวยและจน. การเปลี่ยนแปลงคราว  นี้ อ าจจะทั่ ว ด้ า นลึ ก ซึ้ ง เสี ย ยิ่ ง กว่ า การสั่ น คลอนของโครงสร้ า งและ  วั ฒ นธรรมทางการเมื อ งเมื่ อ ทศวรรษก่ อ น. ชาติ ไ ทยและสั ง คมไทย  ไม่ ใ ช่ ป ระเด็ น เชิ ง เศรษฐกิ จ และการเมื อ งล้ ว นๆ แต่ เ ป็ น ส่ ว นหนึ่ ง  ของวัฒนธรรมในความหมายอย่างที่นิธิอธิบายไว้เอง ในบทแรกสุด  ของเล่ ม นี้ .  ตราบเท่ า ที่ เ ราลื ม ตามารู ้ จั ก โลกก็ มี ช าติ สั ง กั ด เสี ย แล้ ว ,  ความเป็ น ชาติ ย ่ อ มมี ค วามหมายใหญ่ ห ลวงเกี่ ย วพั น กั บ อั ต ลั ก ษณ์  (identity) หรือคุณสมบัติของคนไทย ของสังคมไทย ว่าเคยเป็นมา  อย่างไร และจะผันผวนหรือปรับตัวกันอย่างไรในภาวะที่วิ่งเร็วจนร้อน  ทุกวันนี้.

นิธิ  เอียวศรีวงศ์ (11)


๓ ผิ ว โลกที่ เ ต็ ม ไปด้ ว ยชาติ   ซึ่ ง เป็ น มรดกของคริ ส ต์ ศ ตวรรษที่   ๑๙  ก�ำลังเผชิญการท้าทายจากยุค “โลกานุวัตร” ของปลายศตวรรษที่  ๒๐.  ด้านหนึง่ เกิดการรวมตัวกันเพือ่ ลดทอนสิง่ กีดขวางทางเศรษฐกิจ  ระหว่างชาติ ซึ่งหมายถึงการลดทอนอ�ำนาจอธิปไตยของชาติในบาง  ส่วน. ในเวลาเดียวกัน ทุน, เทคโนโลยี และข่าวสาร แพร่กระจาย  อย่างไร้พรมแดน, ข้ามรั้ว ลอดรัฐเป็นว่าเล่น. อีกทั้งขณะนี้ยังจัดเป็น  ยุคที่มีผู้ลี้ภัยพลัดถิ่นอพยพหรือย้ายไปลงหลักปักฐานนอกบ้านเกิด  เมืองนอนของตนมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์; ความเป็นชาติที่มี  สมาชิกอันมีคุณลักษณะร่วมกันหรืออดีตร่วมกันกลายเป็นเพียงความ  ปรารถนาที่พ้นสมัย. แต่ในอีกด้านหนึ่งในโลกยุคเดียวกันนี้เองที่พลัง  ของลัทธิชาตินิยมยังคงเป็นรากฐานของชาติ (เก่า) ที่เกิดใหม่จ�ำนวน  มากมายที่ยังคงปรารถนาจะมีชุมชนของสมาชิกที่มีอดีตและอนาคต  ร่วมกัน. ชาติยังเป็นพลังของความรัก, เกลียดชัง, การปราบปราม  ภายในชาติและระหว่างชาติ.  ปรากฏการณ์สวนทางกันนี้เองที่ท�ำให้  ชาติและชาตินิยมในเชิงวัฒนธรรมกลายเป็นประเด็นส�ำคัญขึ้นมาอีก  ครั้งในวงวิชาการของโลกตะวันตก. ชาติสยามเพิ่งเกิดขึ้นมาได้ ๑๐๐ ปีเศษ พร้อมกับความหวาด  วิตกต่อความมั่นคงของรัฐอย่างฝังจิตฝังใจ.  ร้อยปีที่ผ่านมา ชาติ  นิยมและความรักชาติจึงมักเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ส�ำคัญเพื่อ  รักษาความมั่นคงของรัฐ เวลานี้ชาติไทยชนิดดังกล่าวก�ำลังก้าวไปสู่  ชาติไทยที่มั่นใจในความมั่นคง จึงทะเยอทะยานและเริ่มแผ่อิทธิพล.  ชาติไทยที่มั่นใจในตัวเองมีความหนักแน่นมากขึ้นต่อความแตกต่าง  หลากหลายในสังคม, ต่อความริเริ่มและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นของ  ท้องถิ่น โดยไม่ถือเป็นภัยคุกคามต่อเอกภาพของชาติ. ชาติไทยชนิด  ใหม่ก�ำลังก่อรูปก่อร่างขึ้นทั้งในทางปฏิบัติและในจิตส�ำนึกวิญญาณ  ของผู้คน.  ชาตินิยมทั้งที่เป็นแนวคิด จิตส�ำนึก และปฏิบัติการ จึง  ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น. แสดงให้เห็นว่า ผู้วิจารณ์มิได้เป็นส่วนหนึ่ง  (12) ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์


ของส�ำนึกในความเป็นชาติแบบเดิมอีกแล้ว.  ภายใต้ภาวะเช่นนี้เท่านั้น  ที่เราสามารถมีระยะห่างจากความเป็นชาติที่เคยเชื่อว่าชีวิตเราสังกัด  อยู่ เพื่อเพ่งพินิจและเปิดเผยพลังอ�ำนาจที่ผูกมัดจ�ำกัดกรอบความรู้  ส�ำนึกของผู้คนในสังคมไทยมาเป็นเวลานาน. ภายใต้ภาวะเช่นนี้แหละ  ที่เกิดค�ำถามใหม่ๆ  ที่มุ่งจะศึกษาให้เข้าใจความคิดเกี่ยวกับชาติไทย  เมืองไทยในกระแสวัฒนธรรมของชีวิตสมัยใหม่. ณ จุ ด นี้ เ องที่ ข ้ อ เขี ย นของนิ ธิ ใ นเล่ ม นี้ ต ่ า งไปจากการศึ ก ษา  ว่าด้วยรัฐและชาติในทศวรรษก่อน... ชาติไทยเมืองไทยในเชิงวัฒน  ธรรมมิใช่เรื่องของอุดมคติหรือมายา และไม่ใช่จิตส�ำนึกจอมปลอม  (ซึ่งบางคนถือว่าตรงข้ามกับสัจจะ).  แต่ชาติไทยก็มิใช่ชุมชนการเมือง  ที่เกิดขึ้นหรือมีอยู่ตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือจะคงอยู ่ คู่ฟ้าดินตราบวันสุดท้ายของโลก; ไม่ใช่สังคมที่กงล้อประวัติศาสตร์  ใดๆ ก� ำ หนดให้ ต ้ อ งเกิ ด ขึ้ น มี ขึ้ น . ความเป็ น ชาติ เ ป็ น สิ่ ง ประดิ ษ ฐ์  ทางวั ฒ นธรรม ซึ่ ง เมื่ อ ปรุ ง แต่ ง ด้ ว ยปั จ จั ย ต่ า งๆ ทางการเมื อ ง ก็  กลายเป็นความเป็นจริงขึ้นมา ทั้งบนผิวโลก, ในความรับรู้ของเรา  และในชีวิตปรกติประจ�ำวันของเราท่านทั้งหลาย. ชาติ แ ละชาติ นิ ย มในแง่ นี้ ก� ำ ลั ง เป็ น ประเด็ น ซึ่ ง วงวิ ช าการใน  โลกตะวันตกให้ความสนใจเช่นกัน เพราะภายใต้ปรากฏการณ์เกี่ยว  กับชาติที่สวนทางกันดังกล่าวก่อนหน้านี้ ความไร้สาระของชาติเป็น  เรื่องที่ตระหนักกันทั่วไป. ประเด็นของทศวรรษนี้จึงมิใช่ค�ำถามของยุค  ต้นสมัยใหม่ว่า “ความเป็นชาติที่แท้จริงอยู่ที่ไหน” อีกต่อไป, แต่กลับ  เป็นว่า ความเป็นชาติไทยได้รับการปรุงแต่งหรือถูกประดิษฐ์ขึ้นมา  อย่างไร? ยืนยงอยู่ในความรับรู้ของเช่นนั้นได้อย่างไร? มีอิทธิพลต่อ  ชีวิตของเรา, ร่างกายของเราอย่างไร? ๔ “ชาติ ไ ทย เมื อ งไทย ในแบบเรี ย นประถมศึ ก ษา” ชี้ ใ ห้ เ ห็ น ถึ ง คุ ณ  สมบั ติ ข องชาติ ไ ทยที่ ส ะท้ อ นออกและสื บ ทอดโดยต� ำ ราเรี ย น. มโน  นิธิ  เอียวศรีวงศ์ (13)


ทั ศ น์ ชุ ด นี้ ท รงอิ ท ธิ พ ลแพร่ ห ลายอยู ่ ใ นศู น ย์ อ� ำ นาจทุ ก ระดั บ  ไม่ ว ่ า  จะเป็ น  “นายธนาคาร, รั ฐ มนตรี ,  นายกรั ฐ มนตรี ,  หั ว หน้ า คณะ  รัฐประหาร, ศาสตราจารย์หรืออธิการบดีมหาวิทยาลัย...ทั้งนี้เพราะ  เมื่อได้อ่านหรือฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับสังคมของคนเหล่านี้...ไม่พบ  ว่ า มี อ ะไรเกิ น กว่ า ที่ ป รากฏอยู ่ แ ล้ ว ในแบบเรี ย นประถมศึ ก ษาเลย”  (หน้า ๘๘).  ชาติไทยในมโนทัศน์มาตรฐานนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน,  มีความแตกต่างตามธรรมชาติที่สมัครสมานเข้าเป็นชาติอย่างสมดุล  ราวกั บ อวั ย วะต่ า งๆ ของร่ า งกายที่ ส มบู ร ณ์ ดี   หรื อ ครอบครั ว และ  หมู่บ้านในอุดมคติที่มีอดีตอันงดงามมาร่วมกันและมีอนาคตสวยหรู  ด้วยกัน, ส่วนปัญหาในชาติเป็นเพียงสิ่งแปลกปลอม ผิดปรกติที่ท�ำให้  ป่วยไข้ หรือท�ำให้ความราบรื่นสะดุดกึกเป็นครั้งคราว. ในบทความนี้   นิ ธิ อ ้ า งแต่ ต ้ น ถึ ง หนั ง สื อ ที่ ท รงอิ ท ธิ พ ลมากใน  โลกวิชาการเกี่ยวกับชาตินิยม คือ Imagined Communities  ของ  Ben Anderson, โดยเฉพาะบทที่ว่าด้วยชาตินิยมของทางราชการ.  ปั ญ หาส� ำ คั ญ ๆ ของหนั ง สื อ นี้ ก็ เ ป็ น ปั ญ หาของบทความนี้ ข องนิ ธ ิ เช่นกัน.  ประการแรกคือค�ำว่าจินตนาการหรือจินตนกรรมในทั้งสอง  ภาษามีนัยยะว่า สิ่งที่ก่อขึ้นในสมองและอยู่ในสมองได้แปร (แปล)  เป็นความจริงตามที่สมองก�ำหนด.  มีค�ำกล่าวในแนวคิดท�ำนองนี้ว่า  ถ้าหากคนในวัฒนธรรมหนึ่งไม่มีความรับรู้เรื่องใด สิ่งนั้นก็ไม่ด�ำรง  อยู่หรือไม่มีความหมายใดๆ ต่อพวกเขาเลย, หรือกล่าวให้กระชับและ  ทื่อไปกว่านั้นก็ได้ว่า หากไม่มีค�ำก็ไม่มีความจริง.  ความรู้ใช่เป็นเพียง  การท�ำความเข้าใจและอธิบายสิ่งที่ด�ำรงอยู่แล้วในธรรมชาติและสังคม,  ไม่ใช่ความพยายามเข้าถึงสัจจะที่ด�ำรงอยู่เป็นเอกเทศจากความรู้นั้น,  และไม่ใช่การค้นพบ. ตรงกันข้าม, ความรู้กลับเป็น “พลังการผลิต  หรือปัจจัยการผลิต” ด้วยเช่นกัน. ความรู้เป็นเงื่อนไขของการเกิดขึ้น  ของสิ่ ง หนึ่ ง ๆ; ไม่ มี ค วามรู ้ ไ ม่ มี ค� ำ ก็ ไ ม่ ส ามารถประดิ ษ ฐ์ ค วามเป็ น  จริงใหม่ๆ ขึ้นมาได้. Anderson ได้บรรยายไว้ในรายละเอียดว่า ส�ำนึก  ในความเป็ น ชาติ มิ ไ ด้ จู ่ ๆ  ปรากฏขึ้ น เป็ น ชุ ด ในสมองของปั จ เจกชน  คนใด. แต่เป็นกระบวนการที่ก่อรูปร่างท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของ  (14) ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์


วัฒนธรรม, การสื่อสาร, การพิมพ์ และปฏิสัมพันธ์ของคนจ�ำนวนมาก,  แต่นิธิเน้นพรรณนามโนทัศน์ของความเป็นชาติไทย โดยมิได้อธิบายว่า  ก่อรูปร่างมาอย่างไร. ประการที่สอง คือปัญหาของ “ชาตินิยมของทางราชการ”. ทั้ง  Anderson และนิธิชี้ถึงกระบวนการที่รัฐปลูกฝังส�ำนึกในชาติผ่านระบบ  การศึกษาสมัยใหม่, เรียกได้ว่า รัฐแพร่กระจายส�ำนึกแบบหนึ่งจากบน  สู่ล่างส�ำเร็จอย่างราบรื่น โดยผ่านการกล่อมเกลาสมองกันตั้งแต่เด็ก  จนโต.  แต่อันที่จริงไม่มีความรู้ใดๆ ความหมายใดๆ ในเรื่องใดๆ เลย  ที่ปราศจากคู่แข่ง คู่ขัดแย้งต่อสู้, ไม่มีความรู้ใดๆ เลยที่สามารถผลิต  หรือประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาตามล�ำพังอ�ำนาจของตน, แต่กลับจะ  ต้องไปเกี่ยวข้อง, แลกเปลี่ยน, ปะทะขัดแย้ง หรือผสมผสานกับความ  รู้ใกล้เคียงที่ด�ำรงอยู่ก่อนเสมอ. อย่างน้อยที่สุด ส�ำนึกในชุมชนแบบ  เดิมต้องปะทะประสานกับส�ำนึกในความเป็นชาติ.  ในแง่นี้บทความนี ้ ของนิธิท�ำได้ดีกว่าของ Anderson เพราะนิธิเน้นชัดเจนโดยตรงว่า  มโนทัศน์ของชาติไทยมีรากฐานมาจากหมู่บ้านและครอบครัวในอุดม  คติ (ของชนชั้นปกครองไทย?).  บางคนอาจกล่าวว่าชนชั้นน�ำไทย  สร้างมโนทัศน์นี้ครอบง�ำทั้งสังคม แต่ผู้เขียน (ค�ำน�ำ) กลับคิดว่าชน  ชั้นน�ำไทยก็คงไม่สามารถจะส�ำนึกถึงความเป็นชาติได้โดยไม่คิดผ่าน  สิ่งที่ตนเองรู้จักคุ้นเคยอยู่ก่อนแล้ว. ชาติ/หมู่บ้าน/ครอบครัวใหญ่ดูจะมี  ความสัมพันธ์ที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว.๑ ปัญหายังคงมีอยู่ว่า ผู้เรียน  อย่างพวกเราได้รับการปลูกฝังมโนทัศน์ของหมู่บ้านและครอบครัว  อุดมคติมาเช่นกันหรือ?  อย่างไร? หรือเรายอมรับบทเรียนในต�ำรา  มาทั้งดุ้นทั้งรูปธรรม นามธรรม และจิตใจส�ำนึก? โรงเรียนมีความ  สามารถขนาดนั้ น เชี ย วหรื อ ?  เด็ ก ทุ ก วั น นี้ แ ละในอนาคตอั น ใกล้ มี  จ�ำนวนน้อยลงทุกทีที่เติบโตมากับครอบครัวแสนสุข, ครอบครัวขยาย  และหมู่บ้านชนบท, แต่กลับคุ้นคยกับครอบครัวกลางถนน, ครัวเดี่ยว  ๑

Eiji Muroshima, “The Origin of Modern Offfiicial State ldeology in  Thailand.” Journal of Southeast Asian Studies 19 (1988), pp. 80-96. นิธิ  เอียวศรีวงศ์ (15)


และหมู ่ บ ้ า นจั ด สรรมากกว่ า . ตั ว แบบอุ ด มคติ ข องชาติ จ ะยื น ยงคง  กระพันไปได้อีกสักเท่าไร? นิธิดูจะพยายามชี้ให้เห็นอิทธิพลของโรงเรียนในตอนท้าย ซึ่ง  ตรงกั น กั บ เราท่ า นที่ มั ก คิ ด กั น ว่ า โรงเรี ย นและแบบเรี ย นมี อิ ท ธิ พ ล  ล้นเหลือในการกล่อมเกลาความรู้และจิตส�ำนึก.  แต่เราท่านอีกนั่น  แหละที่ มั ก จะวิ จ ารณ์ ป าวๆ ว่ า การศึ ก ษาล้ ม เหลวในแง่ ที่ อ บรมศี ล  ธรรมจรรยาความประพฤติและวินัยเด็กไม่ส�ำเร็จ ทั้งๆ ที่จะหาตัวแบบ  ที่ มี ศี ล ธรรมดี สุ ด ยอดไปกว่ า แบบเรี ย นและครู ข องกระทรวงศึ ก ษาฯ  คงไม่ได้อีกแล้ว. นอกจากนี้ ยามที่เราพยายามอธิบายรากเหง้าของ  “พวกหัวรุนแรง” ในยุคประมาณยี่สิบปีก่อน เรากลับมักจะไม่ค่อยพูด  ถึงความล้มเหลวของโรงเรียนและแบบเรียนเลย. นิธิแสดงให้เห็นถึงการประสานกันของชาติ/หมู่บ้าน/ครอบครัว  ในส�ำนึกของความเป็นชาติไทย. แต่ทั้ง Anderson และนิธิก็ยังคงมิได้  ชี้ไปถึงการปะทะขัดแย้งไม่ลงรอยกับมโนทัศน์อื่นที่ด�ำรงอยู่ก่อนหรือ  แข่งขันกัน.  เรามักเข้าใจกันว่า แนวคิดชาตินิยมสมัยรัชกาลที่ ๖  และสมัยจอมพล ป. โดยหลวงวิจิตรวาทการ เผยแพร่กันอย่างราบรื่น  แต่แท้ที่จริงต้องเผชิญค�ำวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง,​การเยาะเย้ย  ถากถางเสียดสีหนักหน่วง, โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ ๖.๒ ไม่เคย  มีชาตินิยมของทางราชการจากบนสู่ล่างที่ปราศจากแรงปะทะขัดแย้ง.  ความรู้เทียบเคียงที่พร้อมจะปะทะประสานหรือแข่งขันมาจาก  ล่างสู่บนก็มีอยู่มาก.  นิธิเองชี้ให้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจนในบทความเรื่อง  “คติที่เกี่ยวกับรัฐของประชาชนไทยจากวรรณกรรมปักษ์ใต้.”  ประเด็น  ส�ำคัญโดยสรุปคือความรู้ว่าด้วยรัฐตามเอกสารราชการ, ตามสายตา  ศูนย์กลาง เป็นคนละเรื่องกันกับรัฐตามสายตาของชาวบ้าน ซึ่งมักจะ  เล็กๆ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนวิจิตรพิสดาร แต่ใกล้ชิดชาวบ้าน. บทความนี้  ๒

Matthew Copeland, “Contested Nationalism and the 1932 Overthrow  of the Absolute Monarchy in Siam,” Ph.D. Thesis, Australian National  University, 1994.

(16) ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์


เขียนขึน้ ในช่วงท้ายๆ ของการค้นคว้าถกเถียงว่าด้วยรัฐในเชิงเศรษฐกิจ  การเมื อ ง นิ ธิ จึ ง มิ ไ ด้ เ พ่ ง ความสนใจไปที่ นั ย ยะส� ำ คั ญ ของความรู ้  คู่ขนานคนละชนิดเช่นนี้, หากยังคงอาศัยมโนทัศน์รัฐขนาดเล็กที่ไม่ซับ  ซ้ อ นไปอธิ บ ายขอบข่ า ยและความเข้ ม ข้ น ของอ� ำ นาจรั ฐ ศู น ย์ ก ลาง  สมัยโบราณ ซึ่งดูเหมือนจะมีอยู่จริงจังแค่ระดับเมือง แต่กลับเจือจาง  เหนือหัวเมืองที่ห่างออกไป เช่น ทางปักษ์ใต้ และดูเหมือนแทบมิได้  แทรกแซงเข้าไปถึงหมู่บ้านภายใต้หัวเมืองเหล่านั้นสักเท่าไรนัก. รัฐ  ในสายตาของชาวบ้านจึงสะท้อนภาวะอิสระห่างไกลจากอ�ำนาจรัฐที่  แท้จริง. ชุ ม ชนในจิ น ตนาการแบบอื่ น ๆ ที่ ป ะทะประสานกั บ ส� ำ นึ ก ใน  ความเป็ น ชาติ มี อ ยู ่ ทั่ ว ไป; ชาติ นิ ย มแบบทางการไม่ มี ท างขจั ด หรื อ  แทนที่ ไ ด้ ห มด หรื อ ไม่ เ คยพยายามและไม่ จ� ำ เป็ น ต้ อ งขจั ด ให้ ห มด  เพราะเราต่ า งนิ ย ามอั ต ลั ก ษณ์ ข องตนเองกั บ ชุ ม ชนหลายระดั บ ใน  เวลาเดียวกัน (โรงเรียน, องค์กร, หมู่บ้าน, จังหวัด,​ภาค, วิชาชีพ,  ชาติ ) .  ตราบเท่ า ที่ ค วามภั ก ดี ต ่ อ สั ง กั ด ระดั บ ต่ า งๆ ไม่ สั บ สนเป็ น  อั น ตรายต่ อ ความเป็ น ชาติ   ความรู ้ ,  พิ ธี ก รรม ปรั ม ปรา และคั ม ภี ร ์ ที่ สื บ ทอดค� ำ นิ ย ามและอั ต ลั ก ษณ์ ข องชุ ม ชนระดั บ นั้ น ๆ ย่ อ มคงอยู ่ และปฏิบัติได้เป็นปรกติ.  ตัวอย่างได้แก่นิทานพื้นบ้านและพิธีกรรม  ประจ� ำ ถิ่ น ทั้ ง หลาย. ๓  และเมื่ อ เกณฑ์ วั ด ระดั บ ความขั ด แย้ ง หรื อ  อันตรายต่อความเป็นชาติผ่อนคลายลง อัตลักษณ์และประวัติศาสตร์  ของท้ อ งถิ่ น กลั บ เป็ น สิ่ ง ที่ รั ฐ ส่ ง เสริ ม อย่ า งแข็ ง ขั น .  ในระยะที่ รั ฐ  ค่ อ นข้ า ง “เส้ น ตื้ น ” ต่ อ ความหลากหลาย ความรู ้ ส� ำ นึ ก ในชุ ม ชน  ๓

Lorrain Gesick, In the Land of Lady White Blood : Southern Thailand and the Meaning of History, forth coming by Cornell Southeast Asia  Program ชี้ให้เห็นการด�ำรงอยู่ของประวัติศาสตร์คนละชนิดกับประวัติศาสตร์  ของชาติที่เรารู้จักกันทั่วไป.  อดีตคนละชนิดยังสืบทอดมาในชุมชนคนละชนิด  กับชาติ, ไม่ถูกขจัดลบเลือนโดยส�ำนึกในความเป็นชาติ และยังคงมีชีวิตชีวา  เคลื่อนไหวอยู่เป็นปรกติ. นิธิ  เอียวศรีวงศ์ (17)


จินตนาการแบบอื่นยังสามารถรักษาตัวรอดได้ด้วยการยอมรับความ  “ไม่เป็นทางการ” ของตนเพื่อท�ำให้ชาติส�ำคัญเหนือสิ่งอื่นใดตามที่รัฐ  ต้องการ.  ดังนั้นแม้จะมีอิทธิพลจ�ำกัด แต่ความส�ำนึกในชุมชนแบบ  อื่นๆ ก็สามารถรักษาตัวรอดได้. อันที่จริง เพียงแค่การด�ำรงอยู่ใน  ขอบเขตจ� ำ กั ด ก็ เ ป็ น การปะทะขั ด แย้ ง อยู ่ ใ นที ต ลอดเวลาทุ ก ครั้ ง ที่ มี  การเล่าขานนิทานปรัมปรา หรือเมื่อนิธิน�ำมาเล่าสู่กันฟัง. ความรู ้ แ ละส� ำ นึ ก ในชาติ แ บบต่ า งๆ มี ก รรมวิ ธี ก ารสื บ ทอด  ตอกย�้ ำ ไปต่ า งๆ กั น ; ต� ำ ราและการเล่ า ขานผ่ า นวรรณกรรมเป็ น  ส่วนหนึ่ง.  แต่บางครั้งการต่อสู้ระหว่างความรู้คนละชุดแฝงอยู่ใน  รู ป แบบที่ เ ราคิ ด ไม่ ถึ ง . “สงครามอนุ ส าวรี ย ์ กั บ รั ฐ ไทย” เป็ น บทที่ ดี  ที่สุดในเล่มนี้ในทัศนะของผู้เขียน (ค�ำน�ำ) และเด่นที่สุดในแง่วิธีการ  วิเคราะห์ตีความ. ในขณะที่หลายคนเริ่มพูดถึงวิธีการ Deconstruction จากแวดวงวรรณคดีวิจารณ์ นิธิไม่เอ่ยถึงหรืออธิบายวิธีวิทยา  ชนิดนี้ แต่กลับลงมือท�ำเสียเลยในการวิเคราะห์สารและความหมาย  ที่สื่อโดยอนุสาวรีย์การเมืองทั้งหลาย. นิธิจัดวางอนุสาวรีย์ลงในบริบทของประวัติศาสตร์และธรรม  เนี ย มการจั ด สร้ า งรู ป เคารพหรื อ อนุ ส าวรี ย ์ ยุ ค ต่ า งๆ กั น , จากนั้ น  จึ ง ท� ำ การจ� ำ แนกแยกแยะอนุ ส าวรี ย ์ อ อกเป็ น ส่ ว นๆ  รวมไปถึ ง  สัญลักษณ์,​ศิลปะ, ภูมิสถาปัตย์ และพิธีกรรมประกอบ เพื่ออธิบาย  (ตี ค วาม) ถึ ง  “สาร” หรื อ ความหมายที่ อ นุ ส าวรี ย ์ สื่ อ ออกมา.  สารหรื อ ความหมายที่ นิ ธิ ตี ค วามออกมานั้ น  บางส่ ว นวิ เ คราะห์  ได้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้สร้างประสงค์ หรือเป็นความมุ่งหมาย แท้จริง ของ  อนุสาวรีย์ (ซึ่งดูเหมือนนักวิจารณ์วรรณกรรมบ้านเราจ� ำนวนมาก  ยังคงหวงแหนห่วงใยเสียเหลือเกิน และยังคงให้ความส�ำคัญเหนือ  สารอื่ น ๆ).  แต่ ส ่ ว นที่ิ นิ ธิ เ องดู จ ะให้ ค วามส� ำ คั ญ มากกว่ า คื อ สาร  และความหมายที่ เ ป็ น ผลมาจากค� ำ ถาม, มุ ม มอง และแนวคิ ด ที ่ นิธิเองใช้สอดส่องเข้าไปในการตีความ. วิธีการเช่นนี้ให้ความเคารพ  ผู้สร้างเต็มเปี่ยม แต่ถือว่าผู้สร้างเองไม่สามารถบงการควบคุมความ  หมายและผลงานของตนได้เท่าไรนัก. ทันทีที่สร้างเสร็จ ผู้เสพ (อ่าน,  (18) ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์


ชม) ย่ อ มเข้ า มามี ส ่ ว นร่ ว มในการก� ำ หนดความหมายของผลงาน นั้ น ๆ.  ยิ่ ง เนิ่ น นานในประวั ติ ศ าสตร์ ความหมายหรื อ สารยิ่ ง พ้ น  จากบงการของผู ้ ส ร้ า งไปโดยสิ้ น เชิ ง . เปลี่ ย นมื อ ไปสู ่ ผู ้ เ สพรุ ่ น ต่ อ ๆ  มา (ซึ่ ง อาจอวดอ้ า งว่ า ตนเข้ า ถึ ง ความหมายดั้ ง เดิ ม ที่ แ ท้ จ ริ ง ก็ ไ ด้ ) .  ผลลั พ ธ์ ที่ นิ ธิ เ สนอ คื อ การปะทะต่ อ สู ้ กั น ของมโนทั ศ น์ ห รื อ  ส� ำ นึ ก ว่ า ด้ ว ยรั ฐ ไทยสองชุ ด สองสมั ย  หรื อ สองกระแสการเมื อ ง.  ฝ่ า ยหนึ่ ง คื อ รั ฐ สมบู ร ณาญาสิ ท ธิ์ ,  อี ก ฝ่ า ยหนึ่ ง คื อ  (ยุ ค ที่ นิ ธิ เ รี ย ก  ว่ า ) รั ฐ ชาติ ไ ทย.  หน้ า ที่ ข องอนุ ส าวรี ย ์ คื อ การสถาปนาเค้ า โครง  ประวั ติ ศ าสตร์   (“พล็ อ ตของอดี ต ”-ตามค� ำ ที่ นิ ธิ ใ ช้ )  เกี่ ย วกั บ รั ฐ  ไทยตามที่ แ ต่ ล ะฝ่ า ยคิ ด , หรื อ จะเรี ย กว่ า  เขี ย นประวั ติ ศ าสตร์ ด ้ ว ย  อนุ ส าวรี ย ์ ค งจะตรงที่ สุ ด .  ในทั ศ นะของนิ ธิ   อนุ ส าวรี ย ์ ข องรั ฐ ชาติ  ไทยพ่ายแพ้รัฐสมบูรณาญาสิทธิ์แทบทุกด้าน. ตัวแทนของความพ่าย  แพ้ยับเยินคืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ “ไม่มีพลัง...จืดสนิทเท่ากับ  ซีเมนต์กองใหญ่กลางถนน” (หน้า ๑๐๐).  นอกจากชื่อซึ่งช่วยกู้  ความหมายไว้ได้บ้างแล้ว สัญลักษณ์อื่นๆ ของซีเมนต์กองนี้ก�ำกวม  ลบเลือนและปราศจากพลังไปหมด.  เค้าโครงประวัติศาสตร์ของรัฐ  สมบู ร ณาญาสิ ท ธิ์ จึ ง ยั ง มี ชี วิ ต และทรงพลั ง ยิ่ ง กว่ า  กระทั่ ง สามารถ  ช่ ว งชิ ง ความเป็ น เจ้ า บุ ญ นายคุ ณ ของประชาธิ ป ไตยไทยไปได้ อ ย่ า ง  มหัศจรรย์, ทั้งยังรักษาสถานะผู้ให้ก�ำเนิดประเทศไทยสมัยใหม่ไว้ได้  อย่างเหนียวแน่นอีกด้วย. แต่ เ ราจะอธิ บ ายอย่ า งไรถึ ง พลั ง ของอนุ ส าวรี ย ์ แ ละประวั ติ  ศาสตร์   (“พล็ อ ตของอดี ต ”) ของยุ ค สมบู ร ณาญาสิ ท ธิ์ ที่ ป ราศจาก  รัฐสมบูรณาญาสิทธิ์มาเกินกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว?  อะไรท�ำให้ความ  หมายยั ง ทรงพลั ง สื บ เนื่ อ งมาได้ ป านนี้ ?   ในระยะกว่ า  ๓๐ ปี ห ลั ง  สมบู ร ณาญาสิ ท ธิ์ สิ้ น สุ ด ลง และรั ฐ ชาติ ( นิ ย ม)รุ ่ ง เรื อ งขึ้ น แทนที่ ซึ่ ง  เป็ น ยุ ค ทองของอนุ ส าวรี ย ์ ป ระชาธิ ป ไตย, งานฉลองวั น ชาติ แ ละ  รั ฐ ธรรมนู ญ นั้ น  อนุ ส าวรี ย ์ แ ละอดี ต ของสมบู ร ณาญาสิ ท ธิ์ ต กอั บ  หรื อ ไม่ ?  ขนาดไหน? สมมติ ว ่ า นิ ธิ ส ามารถใช้ วิ ธี ก ารเดี ย วกั น นี้  เขียนบทความเช่นนี้ในช่วงดังกล่าว นิธิจะมองเห็นฝ่ายใดทรงพลัง,  นิธิ  เอียวศรีวงศ์ (19)


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.