“ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
กรุงเทพมหานคร ส�ำนักพิมพ์มติชน ๒๕๕๗
สารบัญ
ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ ความน�ำ
๕ ๘
บทน�ำ
๑๓
๑. โครงสร้างการเมือง “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข - พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กับการสร้างระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ - การสถาปนาพระราชอ�ำนาจพระมหากษัตริย์ : พระผู้ทรงปกเกล้าฯ สังคมไทย - การเติบโตของพลเมืองภายใต้พระบรมโพธิสมภาร
๒๓ ๒๕ ๓๐ ๔๕
๒. ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคมการเมืองในทศวรรษ ๒๕๔๐ - ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจกับบทบาทของรัฐ ในสมัยพันต�ำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร - บทบาทของคนใน “ชนบท” แรงกระเพื่อมต่อความ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมการเมือง - ข้อสังเกตเกี่ยวกับการศึกษาและการอธิบาย
ความเปลี่ยนแปลงในชนบท - ชนบทกับการเมือง - “การขยายตัวของการผลิตนอกภาคเกษตรกรรม” ความเปลี่ยนแปลงอย่างส�ำคัญในชนบท
๕๗ ๕๙ ๖๗ ๖๙ ๗๓ ๗๗
๓. พัฒนาการการเคลื่อนไหวของประชาชน ภายใต้โครงสร้างอ�ำนาจที่เหลื่อมล�้ำ ๙๓ - การเคลื่อนไหวภายใต้มโนทัศน์ “วัฒนธรรมชุมชน” ๙๕ - ผลของความเปลี่ยนแปลงในชนบทกับการเกิดขึ้นของ ชนชั้นกลางใหม่ และบทบาทของผู้หญิงในสังคมไทย ๑๐๕ - ความรู้สึกนึกคิดเรื่องความยุติธรรม/อยุติธรรม ภายใต้การเมือง “ไพร่-อ�ำมาตย์” ๑๒๘ - การเมืองเรื่อง “ความหวัง” ๑๓๖ บทสรุป
๑๔๙
บรรณานุกรม ประวัติผู้เขียน
๑๕๘ ๑๖๖
ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์
โครงสร้างสังคมที่ด�ำรงภายใต้ระบอบ “ประชาธิปไตย” ที่มีความเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา หากจะนับเนื่องตั้งแต่การเปลี่ยน แปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ เหตุการณ์ยุคตุลา ๒๕๑๖ และ ๒๕๑๙ ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ (สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์) กับการสถาปนาอ�ำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปจนถึงการ เกิดขึ้นของชนชั้นกลางใหม่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรี พันต�ำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ท�ำให้ “คนในชนบท” เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมทาง การเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปัจจุบันที่ “คนเมือง” มีความตื่นตัว ทางการเมืองอย่างชัดเจน การท�ำความเข้าใจความสัมพันธ์ของ “โครงสร้างอ�ำนาจทาง การเมือง” ในสังคมย่อมมีความจ�ำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่กลุ่มคนเหล่านี้จะกลายเป็นเบ้าหลอม “ความจริง” และ “ความ “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 5
เชื่อ” ที่ท�ำให้คนในสังคมคิดและเชื่อไม่เหมือนกัน บางคนเชื่อว่า “๑ คน ๑ เสียง ไม่เหมาะกับสังคมไทย” ขณะที่บางคนบอกว่า “คนเหล่านั้นคงลืมไป หรือไม่ได้มีความ รู้เรื่องสิทธิมนุษยชน ที่ทั่วทั้งโลกบอกว่าเท่าเทียมกัน” แม้จะแตกต่างทั้งชีวิตความเป็นอยู่และระดับการศึกษา แต่ ก็มีความเชื่อว่า “เงื่อนไขทางสังคม” เหล่านี้มิได้เป็นอุปสรรคส�ำหรับ การท�ำความเข้าใจประชาธิปไตย หนังสือเล่มนี้นอกจากจะช่วยให้ผู้อ่านได้มองเห็นการสถาปนา โครงสร้างทางการเมืองที่เกิดขึ้นในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ (ทศวรรษ ๒๕๒๐) ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่กลุ่มอ�ำนาจเก่าได้ฝังรากลึกอยู่ ในเกมการเมืองของไทยทุกวันนี้ ทั้งยังฉายภาพความเปลี่ยนแปลง ทางเศรษฐกิจ-สังคมที่สั่นคลอนโครงสร้างทางการเมืองเดิม และ เผยให้เห็นถึงกลุ่มสังคมอีกกลุ่มที่เป็นตัวแปรส�ำคัญของการเมือง ยุคปัจจุบัน นั่นคือ “คนในชนบท” งานเขียนชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการวิจัยเรื่อง “โครงสร้าง อ� ำ นาจที่ ไ ม่ เ ท่ า เที ย ม” ที่ มี ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์ สุ ว รรณ ธรรมศาสตราภิ ช าน วิ ท ยาลั ย นานาชาติ ปรี ดี พนมยงค์ เป็ น หั ว หน้ า โครงการ พร้ อมด้วยคณะวิจัย-รศ.ดร.พอพัน ธุ์ อุยยานนท์, ผศ. พฤกษ์ เถาถวิล และ รศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ส�ำนักพิมพ์จึง มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเปิดมุมมองทางการเมืองของไทย อีกด้านหนึ่ง เพื่อผู้อ่านจะได้ศึกษาและต่อยอดความรู้ความเข้าใจ รวมถึงท้าทาย “ความเชื่อ” และสิ่งที่เล่าขานสืบต่อกันมา ในสภาพที่สังคมเดินมาจนถึงจุดจุดนี้ สภาพที่หลายคนเริ่ม ตั้งค�ำถาม “เราจะอยู่ร่วมกันต่อไปอย่างไร?” 6 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
แน่นอนว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่อาจคลี่คลายลงได้โดย ง่าย การเจรจาและเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายได้แสดงออกถึงความ ต้องการเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ให้เป็นธรรมก็อาจจะเป็นไปได้เมื่อ เกิดความสูญเสียรุนแรงอย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งที่จะพอเป็นพลัง เป็น ความหวังของเราทุกคน ณ เวลานี้ไม่ใช่การโยนความผิด เคียดแค้น หรือสาปแช่งอีกฝ่ายให้ตายตกไปตามกัน ไม่ต้องอ้างความเป็น “คนไทย” เพื่อให้เรารักกันก็ได้ แค่เชื่อว่า เราต่างเป็น “คน” ผู้มีคุณค่าและเลือดเนื้อจิต ใจดุจเดียวกัน ส�ำนักพิมพ์มติชน
“ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 7
ความน�ำ
ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันซึ่งปรากฏ อย่างชัดเจนในการเคลื่อนไหวของ “มวลมหาประชาชน” ที่น�ำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณและพรรคประชาธิปัตย์ กับการเคลื่อนไหว ของฝ่าย “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” พรรคเพื่อไทย และรัฐบาลที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายก รัฐมนตรี นับเป็นความขัดแย้งที่มีรากฐานมาจากปัญหาทางการ เมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม อันฝังลึกอยู่ในสังคมไทย โดยที่ บทบาทของกลุ่มชนชั้นน�ำและนักการเมืองฝ่ายต่างๆ ท�ำให้ปัญหา ความขัดแย้งขยายออกไปทั้งในเชิงลึกและเชิงกว้างอย่างที่ยากจะ หาทางออกได้ ตัวละครทั้งหลายที่มีบทบาทโลดแล่นอยู่ในพื้นที่ทางการเมือง แม้ว่ามีภูมิหลังและประสบการณ์แตกต่างกันอย่างหลากหลาย แต่ 8 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ทุกกลุ่มและทุกคนล้วนเป็นผลผลิตมาจากความเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมืองที่ซับซ้อน และการปะทะ กันระหว่างอุดมการณ์ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข” กับ “ประชาธิปไตยที่ให้ความส�ำคัญแก่เสียงข้าง มาก” ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ในสุญญากาศ หากแต่ได้รับการบ่มเพาะ หน่อเชื้อและผลิตซ�้ำสืบทอดกันมาเนิ่นนานหลายทศวรรษ การพิจารณาความ “ถูก-ผิด” ทางการเมืองอย่างแยกปรากฏ การณ์ที่เกิดขึ้นออกจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์ ย่อมจะ ท�ำให้เกิดการรับรู้ภาพ “ขาว-ด�ำ” และไม่อาจน�ำไปสู่ความเข้าใจผู้ กระท�ำการทั้งหลายบนรากฐานของความเป็นจริง ท�ำให้ขาดความ เห็นอกเห็นใจผู้คนที่ออกมาเคลื่อนไหวที่มีจุดยืนแตกต่างกัน แทนที่ จะมองเห็นว่าแต่ละฝ่ายล้วนไม่ได้เป็นอิสระอย่างแท้จริงจากเงื่อนไข เชิงโครงสร้าง กลับมองในแง่ผิดหรือถูก ดีหรือเลว และประณามอีก ฝ่ายหนึ่ง จนสร้างความเกลียดชังและความโกรธเคืองซึ่งกันและกัน อย่างรุนแรง ในระดับของประชาชนทั้งสองฝ่ายนั้น การท�ำความเข้าใจ การกระท�ำของอีกฝ่ายหนึ่งที่บางครั้งอาจจะดูโง่เขลาในสายตาของ เรา ว่าท�ำไมพวกเขาจึงท�ำเช่นนั้น และพวกเขารู้สึกอย่างไรจึงได้ แสดงออกเช่นนั้น นับเป็นเรื่องที่ส�ำคัญอย่างยิ่งส�ำหรับการหาทาง ออกจากปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพราะนอก จากจะท�ำให้เกิดความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ “ฝ่ายตรงข้าม” จน ท�ำให้โอกาสในการหาทางออกร่วมกันเปิดกว้างขึ้นแล้ว ยังท�ำให้ แต่ละคนได้ย้อนกลับมาส�ำรวจความรู้สึกนึกคิดของตนเอง เกิด ความเข้าใจตัวเองชัดเจนขึ้น และวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองได้มากขึ้น อันน�ำไปสู่การก�ำหนดท่าทีและทางเลือกทางการเมืองของตนเอง “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 9
ได้อย่าง “ถูกต้อง” มากขึ้นอีกด้วย อาจกล่าวได้ว่า “การท�ำความเข้าใจโครงสร้างทางสังคม” ที่ก�ำหนดระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวเราและคนอื่นๆ จะ ท�ำให้เราพร้อมที่จะมองหาทางออกที่ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่ เกี่ยวข้อง และอาจน�ำไปสู่การที่ตัวเราเองจะวิพากษ์วิจารณ์หลักการ หรือจุดยืนของตัวเองและปรับเปลี่ยนการตัดสินใจทางการเมืองของ ตัวเราให้แตกต่างไปจากเดิมไม่มากก็น้อย หนังสือเล่มนี้มาจากความพยายามที่จะแสดงให้เห็นกระบวน การทางประวัติศาสตร์ของโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมในอดีต ที่ส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนจ�ำนวน มากในสังคมไทย และท�ำให้คนเหล่านั้นออกมาเคลื่อนไหวทางการ เมืองในรูปแบบต่างๆ ทั้งบนท้องถนนและบนสื่อต่างๆ รวมทั้งสื่อ ออนไลน์ พร้อมกันนั้นก็พยายามแสดงให้เห็นว่าความเปลี่ยนแปลง ส�ำคัญๆ ที่เกิดขึ้นภายในโครงสร้างดังกล่าวนี้ได้ก่อให้เกิดคนกลุ่ม ใหม่หรือชนชั้นใหม่ในสังคมไทยที่ไม่ยอมรับทั้งโครงสร้างอ�ำนาจ การเมืองแบบเดิมและค�ำอธิบายแบบเดิมๆ อีกต่อไป ส่งผลให้พวก เขามีปฏิบัติการทางการเมืองในหลายลักษณะ ขอขอบคุณส�ำนักพิมพ์มติชนอย่างมากในการสนับสนุนให้ เกิดหนังสือเล่มนี้ และหากหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าอยู่บ้างในแง่ที่ช่วย ให้คนกลุ่มต่างๆ ในสังคมไทยได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ผู้เขียนขออุทิศ ให้แก่ผู้วายชนม์และผู้ได้รับบาดเจ็บทุกท่านจากปัญหาความขัดแย้ง ในสังคมไทยในช่วงเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ 10 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
“ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน
บทน�ำ
ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยทวีความซับซ้อนในทุก มิ ติ ไม่ ว ่ า จะเป็ น ทางเศรษฐกิ จ สั ง คม วั ฒ นธรรมและการเมื อ ง ความไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงในสังคมจึงได้น�ำมาสู่ความขัดแย้ง และปัญหาทางสังคมหลากหลายมากขึ้นตามไปด้วย เพราะกรอบ ความคิดที่เคยใช้ท�ำความเข้าใจสังคมไทยมาเนิ่นนานหมดพลังใน การอธิบายได้อย่างเดิม ทุกสังคมในโลกนี้ล้วนแล้วแต่ต้องเผชิญหน้ากับจังหวะของ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ส�ำคัญเช่นนี้ด้วยกันทั้งสิ้น โดยทั่วไป แล้วแต่ละสังคมก็จะต้องใช้เวลาในการปรับตัวและปรับระเบียบ สังคมให้สอดคล้องเหมาะสมไปกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งการปรับ ตัวของสังคมเพื่อให้ด�ำรงอยู่ร่วมกันต่อไปได้ในแต่ละสังคมนั้นใช้ เวลายาวนานแตกต่างกันไป บางสังคมที่เงื่อนไขหนักหน่วงเกินกว่า “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 13
จะสามารถปรับตัวได้ก็เกิดสงครามกลางเมืองนองเลือดยืดเยื้อยาว นาน ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงอันน�ำมาซึ่งความขัดแย้งหลายมิติ และหลายระดับของสังคมไทย คนหลายกลุ่มในสังคมไทยพยายาม ที่จะท�ำความเข้าใจต่อปรากฏการณ์เหล่านั้นให้มากขึ้น กล่าวได้ว่า การขยายตัวของความปรารถนาที่จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงสังคม ที่เกิดขึ้นนี้เป็นส่วนส�ำคัญในการเพิ่มศักยภาพสังคมไทย อันน่าจะ ส่งผลให้การปรับตัวของสังคมไทยเป็นไปได้เร็วและมีประสิทธิภาพ มากกว่าสังคมอื่นบางสังคม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความปรารถนาที่จะศึกษาและท�ำ ความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงเพิ่มมากขึ้น แต่การศึกษาเท่าที่ผ่าน มายังไม่เพียงพอต่อการท�ำความเข้าใจเบื้องลึกของสังคมไทยได้ ชัดเจนมากนัก การท�ำความเข้าใจเพียงแค่ทางด้านความขัด แย้งการเมืองนั้นยังไม่เพียงพอ จ�ำเป็นที่จะต้องท�ำความเข้าใจ ทั้งในส่วนโครงสร้างของสังคมที่เปลี่ยนแปลงและตัวบุคคลที่ ได้เข้ามามีส่วนผลักดันความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างด้วย เพราะการต่อสู้ทางการเมืองที่เป็นปรากฏการณ์ให้เห็นอย่างชัดเจน นั้นเป็นผลของความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายทุกมิติที่ซ่อนอยู่ หากพิจารณาทางด้านการเมืองไทย จะพบว่าไม่มีคนกลุ่มใด สามารถครอบง�ำอ�ำนาจทางการเมืองไว้ในมืออย่างเด็ดขาดอีกต่อไป คนหลากหลายกลุ่มได้เข้ามามีส่วนในการต่อสู้และต่อรองทางการ เมืองในแต่ละช่วงเวลาที่ต่อเนื่องและแสดงออกทางการเมืองหลาก หลายรูปแบบ ด้านหนึ่งมองได้ว่าเป็นภาพสะท้อนสังคมการเมือง ไทยที่มีความหลากหลายและกระจายอ�ำนาจออกไปมากขึ้น แต่ใน อีกด้านหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงของไทยในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นกระ 14 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
บวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่เต็มไปด้วยปัญหา และความขัดแย้งนานัปการ ความพยายามที่จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคม ที่สัมพันธ์กับกระบวนการไปสู่ประชาธิปไตยนั้น จ�ำเป็นต้องมี ความรู้อย่างชัดเจนว่า “ประชาธิปไตย” ของไทยได้คลี่คลาย เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะใด มีเงื่อนไขแวดล้อมหรือบริบท ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร บ้าง และบริบทเหล่านั้นส่งผลต่อการคลี่คลายและการเปลี่ยน แปลงของประชาธิปไตยอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทศวรรษ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา๑ เพื่อที่จะเข้าใจได้ว่าปัจจุบันการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของไทยมีปัญหาอย่างไร ความเข้าใจที่ชัดเจนใน เรื่องความเปลี่ยนแปลงที่สลับซับซ้อนเหล่านี้มีความส�ำคัญอย่างยิ่ง ต่อการผลักดันระบอบการเมืองของไทยให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ในอนาคต สังคมไทยต้องการแสวงหาทางออกให้แก่กระบวนการเคลือ่ น ไหวไปสู่ประชาธิปไตย ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่สลับซับซ้อน นี้จึงจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องท�ำความเข้าใจในหลายด้าน การท�ำความเข้าใจการสถาปนาโครงสร้างทางการเมือง ที่เกิดขึ้นในทศวรรษ ๒๕๒๐ อันเป็นการเริ่มต้นของระบอบการ เมืองที่กลายมาเป็นโครงสร้างทางการเมืองไทยอันด�ำเนินมาจนถึง ปัจจุบัน โครงสร้างทางการเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลมาจากความ เปลีย่ นแปลงทางสังคมการเมืองหลังจากเกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ซึ่งเป็นโครงสร้างทางการเมืองที่แตกต่างไปจากช่วงก่อน หน้า พ.ศ.๒๕๑๖ ที่กลุ่มทหารเป็นผู้ครอบครองอ�ำนาจสูงสุด การ สถาปนาโครงสร้างทางการเมืองใหม่นี้ได้น�ำเอาสถาบันพระมหา “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 15
กษัตริย์ให้เข้ามามีส่วน “ค�้ำยัน” เสถียรภาพทางการเมืองมากขึ้น ดังจะกล่าวในส่วนต่อไป ขณะเดียวกันการศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม อันส่งผลให้เกิดการสั่นคลอนโครงสร้างทางการเมืองที่ มั่ น คงมาตั้ ง แต่ ท ศวรรษ ๒๕๒๐ ก็จะท�ำให้มองเห็นพลวัตของ สังคมที่ก่อให้เกิด “คนกลุ่มใหม่” ที่มีวิธีคิดและความหวังที่แตกต่าง ออกไป อันน�ำมาซึ่งปฏิบัติการทางการเมืองในอีกลักษณะหนึ่ง การศึกษาความเปลี่ยนแปลงทั้งสองด้านของสังคมเช่นนี้จะ ท�ำให้ความเข้าใจพื้นฐานของความขัดแย้งทางการเมืองในทศวรรษ ที่ผ่านมาชัดเจนขึ้น เพราะหากอธิบายปมปัญหาโดยพิจารณาเพียง แค่ “คู่ความขัดแย้ง” ระหว่างสองขั้วอ�ำนาจ ย่อมเป็นการลดทอน ความซับซ้อนของปัญหา และโดยมากแล้วมักเป็นการอธิบายเพื่อ มุ่งบรรลุผลประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ขณะเดียวกันการลงความเห็นอย่างกว้างๆ ว่า ความขัดแย้ง เกิดจาก “โครงสร้างอันอยุติธรรม” ก็เป็นการลดทอนความแหลมคม ของปัญหาความขัดแย้งลงไป โดยไม่มีใครต้องรับผิดชอบกับความ ขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้น ดังนั้น การอธิบายความขัดแย้งและการต่อสู้ทางการเมืองใน ปัจจุบันโดยพิจารณาความสลับซับซ้อนของความเปลี่ยนแปลงใน เรื่องความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ด�ำเนินมา แต่อดีต พร้อมกับพิจารณาถึงบทบาทของกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องจึงมี ความส�ำคัญเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะช่วยให้เข้าใจปัญหาอย่าง ลึกซึ้งแล้ว ยังช่วยให้มองเห็นลู่ทางที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยสันติวิธีอีกด้วย 16 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ปัญหาส�ำคัญประการหนึ่งของสังคมไทยในวันนี้ก็คือการ ขาดความเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างเป็นประวัต ิ ศาสตร์ แต่ละฝ่ายล้วนแต่เลือกเอาเฉพาะประเด็นที่จะท� ำให้ฝ่าย ของตนได้เปรียบ และพยายามใช้ประเด็นที่กลุ่มของตนเองเลือก สรรขึ้นมาเป็นสายใยร้อยรัดมวลชนให้เข้าร่วมกันเคลื่อนไหวทาง การเมือง แน่นอนว่าประเด็นที่ถูกเลือกสรรมาใช้เพื่อเคลื่อนไหว ทางการเมืองนั้นย่อมมีส่วนสัมพันธ์อยู่กับปัญหาที่สลับซับซ้อนมาก ทีเดียวจึงสามารถที่จะ “จุดติด” หรือสามารถระดมผู้คนเข้ามาร่วม ได้อย่างมากมาย แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลก็คือ การ “จุดติด” เฉพาะ ในบางเรื่องบางประเด็นภายใต้เงื่อนไขทางสังคมที่ยุ่งเหยิง กลับจะ น�ำสังคมไทยไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงและแก้ไขได้ยากมากขึ้น การต่อสู้ทางการเมืองของฝ่ายหนึ่งในปัจจุบัน “พุ่งเป้า” ไป ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ การเกิดขึ้นของค�ำว่าปรากฏการณ์ “ตา สว่าง” มีความหมายอย่างชัดเจนว่า คนกลุ่มนี้ได้พบกับความจริง อีกชุดหนึ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากชุดความรู้เดิม๒ วารสารของ กลุ่มที่สมาทานความคิดชุดนี้ เช่น VOICE OF TAKSIN และเรด พาวเวอร์ (RED POWER)๓ ก็ได้น�ำเสนอประเด็นต่างๆ ภายใต้ กรอบคิดเช่นนี้ในบทความจ�ำนวนมาก ในการต่อสู้ทางความคิดนี้ มีความพยายามมากขึ้นจากอีก ฝ่ายหนึ่งในการเน้นระบบความคิดที่ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็น ผู้ปกป้องทุกสรรพสิ่งรวมทั้งระบอบประชาธิปไตย๔ด้วยเช่นกัน ดัง ปรากฏในรายการโทรทัศน์ต่างๆ และการรณรงค์ให้คงไว้ซึ่ง “ประ มวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒” แน่นอนว่าความขัดแย้งทั้งหลายได้สะท้อนให้เห็นโครงสร้าง สังคมไทยที่มีความอยุติธรรมด�ำรงอยู่ ดังจะเห็นจากผลการศึกษา “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 17
ของคณะกรรมการปฏิรูปชุดที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประ ธาน ที่ได้ท�ำให้สังคมมองเห็น “ภาพรวมของปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเชื่อมโยงกันและก่อให้เกิดความเหลื่อมล�้ำอย่างรุนแรงในสังคม ไทย”๕ได้ชัดเจนขึ้น แต่ปัจจุบันนี้กลับปรากฏว่า “ปัญหาเชิงโครง สร้าง” ถูกแปรเปลี่ยน/ยกระดับให้กลายมาเป็นการต่อสู้ทาง “อุดม การณ์” ไปแล้ว ดังนั้น จึงจะต้องศึกษาให้มากไปกว่าการท�ำความ เข้าใจเรื่องโครงสร้างที่เหลื่อมล�้ำกันเท่านั้นด้วย การท�ำความเข้าใจในประเด็น “ความเหลื่อมล�้ำทางสังคม และความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอ�ำนาจในสังคม” ที่สะท้อน ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย ครึ่งใบ มาสู่การต่อสู้ทางการเมืองภายใต้ความคิด “ไพร่-อ�ำมาตย์” ในที่นี้ จึงเป็นความพยายามวิเคราะห์โครงสร้างและความสัมพันธ์ ทางอ�ำนาจที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล�้ำก่อน โดยโครงสร้างและ ความสัมพันธ์ทางอ�ำนาจนี้ได้เปิดโอกาสให้แก่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในสังคมได้รับประโยชน์จากความเหลื่อมล�้ำ และคนกลุ่มนี้ด�ำรงอยู่ อย่างไรในสังคม ขณะเดียวกันก็ต้องท�ำความเข้าใจให้ได้ว่า ท�ำไม ผู้คนกลุ่มหนึ่งที่เคยทนอยู่กับความเหลื่อมล�้ำมาได้เนิ่นนาน เหตุใด และด้วยเงื่อนไขความเปลี่ยนแปลงใดจึงท�ำให้พวกเขาสามารถ แปรเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดไปจนกระทั่งไม่สามารถจะทนกับความ เหลื่อมล�้ำเหล่านั้นได้อีกต่อไป กลุ ่ ม คนที่ ต กอยู ่ ภ ายใต้ โ ครงสร้ า งและความสั ม พั น ธ์ ท าง อ�ำนาจที่เหลื่อมล�้ำและได้เปลี่ยนแปลงตนเองมาสู่ผู้ที่ไม่สามารถ ทนกั บ ความเหลื่ อ มล�้ ำ ได้ อี ก ต่ อ ไปนี้ ก็ คื อ ผู ้ ค นที่ ด� ำ รงชี วิ ต อยู ่ ใ น พื้ น ที่ “ชนบท” ดั ง นั้ น การศึ ก ษาเพื่ อ ความเข้ า ใจความเปลี่ ย น แปลงของสังคมจึงต้องศึกษาความเปลี่ยนแปลงในทุกมิติของคน 18 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ในพื้นที่ “ชนบท” ด้วย ความเข้าใจปัญหาและความขัดแย้งทางการเมืองในสังคม ไทยตามแนวทางที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ย่อมจะเป็นฐานประกอบการ พิจารณาปรากฏการณ์และความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนี้อย่างรู้ถึงเหตุและที่มาที่ไป และจะช่วยให้เห็นได้ชัด เจนว่าการแก้ไขปัญหาไม่สามารถกระท�ำได้อย่างง่ายๆ เนื่องจาก ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีรากฐานหรือความเป็นมาทาง ประวัติศาสตร์อันยาวนานและเต็มไปด้วยเงื่อนไขที่สลับซับซ้อน ซึ่งจะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างหรือระบบที่ต้องใช้ เวลาต่อไปพอสมควร ที่ ส� ำ คั ญ ความเข้ า ใจความซั บ ซ้ อ นของความเปลี่ ย น แปลงนี้ จะท�ำให้ทุกฝ่ายต้องตระหนักในเงื่อนปมของปัญหาที่ ตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น นั ก การเมื อ ง ผู ้ น� ำ กองทั พ ข้ า ราชการ นายทุนหรือ นักธุร กิ จ สื่อมวลชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นชนชั้นกลาง เดิมหรือชนชั้นกลางใหม่ก็ตาม อันจะท�ำให้สามารถด�ำรงตน หรือก�ำหนดจุดยืนทางประชาธิปไตยของตนเองได้อย่างชัดเจน และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
“ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 19
โครงสร้างการเมือง “ประชาธิป ไตยครึ่งใบ” อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การเคลื่ อ นไหวทางการเมื อ งของกลุ ่ ม “พั น ธมิ ต รประ ชาชนเพื่ อ ประชาธิ ป ไตย (พธม.)” ในช่ ว ง พ.ศ.๒๕๔๘-๒๕๕๒ และ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กปปส.” : พ.ศ.๒๕๕๖) ได้แสดงให้เห็นถึงการวางสถานะและบท บาทของพระมหากษัตริย์ไว้ในลักษณะที่เหนือกว่าอ�ำนาจทางการ เมืองอื่นๆ และการเคลื่อนไหวทางการเมืองของทั้งสองกลุ่มก็มุ่งเน้น ในการขจัดอ�ำนาจกลุ่มที่ตนเห็นว่าจะมาเบียดบังพระราชอ�ำนาจ ของพระมหากษัตริย์ การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มการเมืองทั้งสองได้รับ การสนับสนุนอย่างไพศาลจากชนชั้นกลางในเขตเมือง ประเมินกัน ว่าประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. ในวันที่ ๒๔ พฤศจิ- “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 23
กายน ๒๕๕๖ มีจ�ำนวนใกล้เคียงถึงหนึ่งล้านคน ค�ำถามที่ส�ำคัญ คือ ความปรารถนาของประชาชนที่ต้องการแสดงตนเพื่อปกป้อง พระราชอ�ำนาจของพระมหากษัตริย์เช่นนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน บทบาทของพระมหากษัตริย์ในสังคมการเมืองไทยด�ำเนิน มาสืบเนื่องยาวนาน และไม่เคยด�ำรงอยู่อย่างสถิตคงที่ หากแต่ สัมพันธ์กับเงื่อนไขทางการเมืองในประวัติศาสตร์ตลอดมา ภาย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ พระราชอ�ำนาจของ พระมหากษัตริย์ถูกลดทอนอย่างมาก คณะราษฎรได้ครองอ�ำนาจ การปกครองประเทศและพยายามที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตย ขึ้นมา จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. ๒๔๘๑ และพยายามสร้างระบอบการเมืองที่ไม่ได้ให้อ�ำนาจแก่ พระมหากษัตริย์ จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่สามารถที่จะมีอ�ำนาจอย่างเดิมได้จึงท�ำให้กลุ่ม ชนชั้นน�ำเดิมก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือเรียกกันทั่วไป ว่ากลุ่ม “รอยัลลิสต์” ได้สร้างการคืนสู่พระราชอ�ำนาจของพระมหา กษัตริย์ขึ้นมา๑ ภายหลังจากที่กลุ่ม “รอยัลลิสต์” เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น มากขึ้น และสามารถสร้างพันธมิตรกับกลุ่มทหารจนน�ำมาสู่การ รัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พระมหากษัตริย์ได้รับพระ ราชอ�ำนาจในเชิงประเพณีมากขึ้น เพราะจอมพลสฤษดิ์ได้สร้าง ความชอบธรรมในการใช้อ�ำนาจของตนด้วยการอ้างอิงพระมหา กษัตริย์๒ แต่อ�ำนาจการเมืองการปกครองทั้งหมดอยู่ในกลุ่มทหาร น�ำโดยจอมพลสฤษดิ์ เหตุการณ์ส�ำคัญที่เปลี่ยนแปลงต�ำแหน่งแห่งที่ทางอ�ำนาจใน สังคมการเมืองไทย อันท�ำให้พระมหากษัตริย์ทรงด�ำรงอยู่ในสถานะ 24 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ที่สูงเด่นและกลายเป็นเสมือนศูนย์กลางของความรู้สึกของผู้คน จ�ำนวนไม่น้อยเกิดขึ้นในภายหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่ กลุ่มทหารไม่สามารถที่จะมีบทบาททางการเมืองเช่นเดิมได้ และ จ�ำเป็นที่จะต้องแบ่งปันอ�ำนาจให้แก่คนกลุ่มอื่นมากขึ้น ขณะเดียว กันการที่สถาบันพระมหากษัตริย์ด�ำรงอยู่ในสถานะที่สูงเด่นและ เป็นศูนย์กลางทางความรู้สึกของผู้คน กลับกลายเป็นเงื่อนไขทาง การเมืองที่ท�ำให้เกิดความขัดแย้งในทศวรรษนี้ขึ้น การท�ำความเข้าใจความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันให้ ชัดเจน จึงจ�ำเป็นต้องเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐ บาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ (พ.ศ.๒๕๒๓-๒๕๓๑) เพราะเป็น รากฐานของโครงสร้างทางอ�ำนาจและกรอบความคิดทางการเมือง ที่ด�ำเนินมาจนถึงปัจจุบัน
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กับการสร้างระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ
ความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอ�ำนาจและโครงสร้างสังคม ไทยที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดขึ้นภาย ใต้เงื่อนไขความพยายามที่จะสร้างเสถียรภาพทางการเมืองหลังจาก การเคลื่อนไหวของนักศึกษา กรรมกร และชาวนา ในช่วงระหว่าง เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จนถึง ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และส่ง ผลให้การเมืองไทยไร้เสถียรภาพอย่างมาก ในที่นี้จ�ำเป็นต้องท�ำความเข้าใจถึงความหมายของค�ำว่า “เสถียรภาพทางการเมือง” ให้ตรงกันเสียก่อน “เสถียรภาพทางการเมือง” หมายถึงสภาวะที่ “การเมือง” ถูกท�ำให้เป็นระบบระเบียบ โดยกลุ่มอ�ำนาจในสังคม สามารถหมาย “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 25
รู้ได้ว่ากลุ่มของตนจะด�ำรงอยู่ ณ ต�ำแหน่งแห่งที่ใด และจะได้หรือ เสียอะไรในเงื่อนไขใด ระบบการเมืองที่ถูกสร้างให้มีเสถียรภาพ จะท�ำให้กลุ่มอ�ำนาจทุกกลุ่มยอมรับต�ำแหน่งแห่งที่และผลได้/ผล เสียต่างๆ ของตน และที่ส�ำคัญจะท�ำให้สามารถคาดการณ์และ มีปฏิบัติการทางสังคมการเมืองในอนาคตได้ยาวไกลพอสมควร “เสถียรภาพทางการเมือง” จึงเป็นเป้าหมายส�ำคัญของการ ต่อสู้เพื่อด�ำรงอยู่ของสังคมการเมืองหนึ่งๆ เพราะไม่มีสังคมการ เมืองใดจะด�ำเนินกิจกรรมใดๆ โดยปราศจากการสร้าง “ข้อตกลง ทางการเมือง” ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนต้องมี “ข้อที่ตกลงกันได้” แตก ต่างกันจนหาหลักการหรือกฎเกณฑ์กลางได้ในที่สุด ดังนั้น ในกระ บวนการทางการเมืองทั้งหลายจึงต้องสร้างเสถียรภาพทางการเมือง ขึ้นมา พร้อมๆ กับการพยายามสร้างอ�ำนาจน�ำของผู้น�ำทางการ เมืองเพื่อจะสามารถก�ำกับกลุ่มอ�ำนาจต่างๆ ในโครงสร้างอ�ำนาจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเมืองไทยประสบกับสภาวะไร้เสถียรภาพมาหลายครั้ง และการปรับตัวเข้าสู่เสถียรภาพแต่ละครั้งก็ต้องใช้เวลาในการต่อ รองต่อสู้กัน หลายครั้งก็เป็นเพียงเสถียรภาพชั่วคราว เพราะไม่ สามารถรักษาความ “เสถียร” ได้นานนัก มีบางช่วงเวลาเท่านั้นที ่ สามารถปรับตัวจนสามารถสร้างสภาวะที่มีเสถียรภาพยาวนานได้ สภาวะไร้เสถียรภาพในสังคมไทยที่รุนแรงครั้งหนึ่ง นั่น คือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เสถียรภาพทางการเมืองแบบเดิมที่เป็นระบบอุปถัมภ์ภายใต้ การน�ำของเครือข่ายจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร ได้พังทลายลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะสูญเสียหัวขบวนไป 26 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
อย่างกะทันหัน เกิดสภาวะการแตกกระจายของกลุ่มภายใต้ระบบ อุปถัมภ์เดิม ท�ำให้แต่ละกลุ่ม (Faction) ถูกลดอ�ำนาจลงจนตกอยู ่ ในสภาพที่ไม่สามารถจะก้าวขึ้นมาแทนที่ผู้อุปถัมภ์เดิมได้ ในช่ ว งที่ ก ลุ ่ ม อ� ำ นาจทั้ ง หลายตกอยู ่ ใ นสภาวะที่ ไ ม่ สามารถมีอ�ำนาจมากพอที่จะน�ำใครได้นี้ หากกลุ่มใดต้องการ ที่จะก้าวขึ้นมามีอ�ำนาจเหนือกลุ่มอื่น ก็จ�ำเป็นต้องสร้างการ เชื่อมต่อระหว่างกลุ่มของตนกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” เพราะในขณะนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์ได้กลายมาเป็น “ร่มโพธิ์- ร่มไทร” ของกลุ่มการเมืองทุกกลุ่ม กล่าวได้ว่าความจ�ำเป็นทาง ประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นได้ท�ำให้สถาบันพระมหากษัตริย์แสดงบท บาทในการชี้ขาดทางการเมือง โดยเริ่มต้นจากการพระราชทาน นายกรัฐมนตรีสัญญา ธรรมศักดิ์ และต่อมาก็ได้แก่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ การที่กลุ่มการเมืองใดที่หวังจะขึ้นมามีอ�ำนาจน�ำเหนือผู้อื่น จ�ำเป็นต้องแสดงตนแอบอิงอยู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ส่ง ผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านความสัมพันธ์ทางอ�ำนาจขึ้น ด้านหนึ่งได้ท�ำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องกลายเป็นสถาบันที่ ท�ำหน้าที่แสวงหาดุลยภาพทางการเมืองเพื่อให้สังคมด�ำเนินต่อไป ได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นศูนย์กลางที่ท�ำให้เกิดดุลยภาพในความ คิดเห็นของประชาชนทั่วไป ในอีกด้านหนึ่ง กระบวนการทางการเมืองนี้ได้ท�ำให้เกิดการ ประสานกลุ่มการเมืองเข้ากับกลุ่มอ�ำนาจเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดมาก ขึ้น เพราะกลุ่มเศรษฐกิจทุกกลุ่มต่างก็ได้รับผลกระทบจากสภาวะ ไร้เสถียรภาพในช่วง พ.ศ.๒๕๑๖-๒๕๑๙ มาแล้วอย่างหนักหน่วง “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 27
ดังนั้น หากกลุ่มอ�ำนาจใดสามารถแสดงตนได้ว่าจะน�ำมาซึ่งความ สงบเรียบร้อยและเสถียรภาพทางการเมืองก็ย่อมจะได้รับการสนับ สนุนจากกลุ่มอ�ำนาจเศรษฐกิจกลุ่มอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ดังจะเห็นว่า ในช่วง พ.ศ.๒๕๑๖-๒๕๑๙ มีการรวมกลุ่มของ นักธุรกิจขนาดใหญ่จ�ำนวนเกือบร้อยคนเพื่อที่จะผลักดันและสนับ สนุนผู้ที่สามารถขึ้นมารักษาเสถียรภาพทางการเมือง และในท้าย ที่สุดกลุ่มนักธุรกิจเกือบร้อยคนกลุ่มนี้ก็กลายมาเป็นพันธมิตรที่ใกล้ ชิดของผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้น�ำในการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง อันได้แก่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ทั้งนี้ ก่อนที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์จะเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ด�ำรงต�ำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการ ทหารบกในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ (พ.ศ.๒๕๒๒- ๒๕๒๓) และเป็นผู้ที่มีบทบาทในการเชื่อมพันธมิตรน�ำระหว่างกลุ่ม นิยมเจ้าฝ่ายทหาร และนักการเมือง๓ ดังนั้น ภายหลังจากที่พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมนะนันทน์ลาออก พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ก็ได้รับ การสนับสนุนจากหลายฝ่ายให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.๒๕๒๑ ซึ่งผู้ด�ำรงต�ำแหน่ง นายกรัฐมนตรีไม่จ�ำเป็นต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การสถาปนาอ� ำ นาจน� ำ ผ่ า น “วิ ก ฤตหลั ง พ.ศ.๒๕๑๖- ๒๕๑๙” จึงเป็นการประสานอ�ำนาจหลายฝ่ายเข้าด้วยกัน ได้แก่ ระบบราชการและกองทัพ โดยการน�ำของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รวมถึงการแบ่งปันอ�ำนาจบางส่วนให้แก่นักธุรกิจ ซึ่งเห็นได้ชัดจาก การตั้ง “คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.)” ๔ และได้ ผลักดันให้ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติได้ท�ำงานพัฒนาร่วมไปกับนักธุรกิจ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสาย 28 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
สัมพันธ์ที่ท�ำให้ข้าราชการผู้ช�ำนาญการระดับสูงกลุ่มนี้ได้เข้าไป ท�ำงานให้แก่ธุรกิจเอกชนในภายหลัง๕ ขณะเดียวกันก็จ�ำเป็นต้อง แบ่งอ�ำนาจส่วนหนึ่งให้แก่พรรคการเมืองที่อ้างอิงอยู่กับประชาชน ดังจะเห็นได้จากการยอมรับระบบเลือกตั้งและเกิดการดึงเอาพรรค การเมืองที่เกิดขึ้นจากกลุ่มนักธุรกิจหัวเมืองต่างๆ เข้าอยู่ภายใต้การ ควบคุมของตน การปรับคณะรัฐมนตรีหลายครั้งในช่วง ๘ ปีของ การเป็นนายกรัฐมนตรีได้ท�ำให้เกิดการกระจายและเวียนต�ำแหน่ง รัฐมนตรีที่มาจากกลุ่มธุรกิจต่างๆ ระบอบของอ�ำนาจที่ต้องประ สานกันระหว่างหลายฝ่าย ทั้งระบบราชการ กลุ่มทุนการเงิน (กลุ่ม หลัก) กลุ่มทุนอุตสาหกรรม และกลุ่มทุนท้องถิ่น โดยมี “คนกลาง” ที่ไม่จ�ำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นบุคคลที่สามารถก�ำกับ และใช้ระบบราชการควบคุมกลุ่มอื่นๆ ได้ จึงเรียกกันว่า “ระบอบ ประชาธิปไตยครึ่งใบ” โดยมีคนกลางหรือบุคคลที่มีศักยภาพใน การควบคุมการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงหลังทศวรรษ ๒๕๒๐ นี้ได้แก่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ด้วยเหตุที่นายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น)พลเอกเปรม ติณสูลา- นนท์ได้วางน�้ำหนักการตัดสินใจทางการเมืองบนระบบราชการเดิม ค่อนข้างมาก ท�ำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างระบบราชการกับกลุ่ม พรรค/นักการเมืองบ่อยครั้ง โดยเฉพาะ “กองทัพ” กับ “พรรคการ เมือง” เห็นได้จากการปรับคณะรัฐมนตรีหลายครั้ง และขณะเดียว กันการสร้างฐานอ�ำนาจในระบบราชการโดยเฉพาะทหารก็ก่อให้ เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกมากขึ้น จะเห็นได้ว่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ พยายามสร้างกลุ่มอุปถัมภ์เพื่อเป็นฐานอ�ำนาจ ขณะที่กลุ่มทหาร หนุ่ม (กลุ่มยังเติร์ก) ได้เลือกใช้ “รุ่น” เป็นฐานอ�ำนาจแทนการอยู่ ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ของนายทหารชั้นผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียว๖ “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 29
การสถาปนาเสถียรภาพทางการเมืองที่ต้องแบ่งสันอ�ำนาจ ให้แก่หลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอ�ำนาจทางเศรษฐกิจ พรรคการ เมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ตลอดจนการควบคุมกองทัพไม่ให้เคลื่อน ไหวท้าทายอ�ำนาจ เป็นเรื่องที่ยากล�ำบากไม่ใช่น้อย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์จึงได้สร้างและรักษาเสถียรภาพทางการเมืองด้วยการ เชื่ อ มต่ อ กั บ “สถาบั น พระมหากษั ต ริ ย ์ ” ซึ่ ง ท� ำ ให้ มี ฐ านอ� ำ นาจที ่ มั่นคงและมีความชอบธรรมไปพร้อมกัน และส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อ การสถาปนาอ�ำนาจทางวัฒนธรรมของพระมหากษัตริย์ การสร้างระบบการปกครองที่มีการเลือกตั้ง มีพรรคการ เมือง แต่นายกรัฐมนตรีไม่จ�ำเป็นต้องผ่านการเลือกตั้ง พล เอกเปรม ติณสูลานนท์จึงได้เสริมสร้างอ�ำนาจให้แก่สถาบัน พระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นฐานความชอบธรรมของระบบการ เมืองในขณะเดียวกันนั่นเอง
การสถาปนาพระราชอ�ำนาจพระมหากษัตริย์ : พระผู้ทรงปกเกล้าฯ สังคมไทย
ความจ�ำเป็นที่จะต้องเชื่อมต่อกับสถาบันพระมหากษัตริย ์ เพื่อสร้างอ�ำนาจและความชอบธรรมเช่นนี้ได้กลายเป็นเงื่อนไขที่ ท�ำให้รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ต้องส่งเสริมบทบาทของ สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเข้มข้นในหลายมิติด้วยกัน ในที่นี้ได้แก่ ๑. การเสริมสร้างบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการ พัฒนาชนบท ๒. การสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับ กลุ่มนักธุรกิจ 30 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
๓. การขยายอิทธิพลของ “เครือข่ายของชนชั้นน�ำ” เข้ามา ก�ำกับระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ๔. การสร้างฐานอ�ำนาจในระบบทหาร ๕. อุดมการณ์ความเป็นไทยกับบทบาทของพระมหากษัตริย์
๑. การเสริมสร้างบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย ์ ในการพัฒนาชนบท
การปรับเปลี่ยนแนวทางในการพัฒนา “ชนบท” จนแตกต่าง จากเดิม ท�ำให้การพัฒนาเป็นการหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของชาวนา และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กล่าวคือ แผนพัฒนาในช่วงต้นทศวรรษ ๒๕๐๐ ที่เน้นให้ ภาคเกษตรกรรมหันมาปลูกพืชเชิงพาณิชย์มากขึ้น ได้ท�ำให้ความ เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชนบท การเร่งขยายพื้นที่การเพาะปลูกได้ ท�ำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐในการดูแลพื้นที ่ กับชาวบ้านที่ขยายพื้นที่เพื่อท�ำการเพาะปลูก ความขัดแย้งนี้ได้ ผลักดันให้ชาวบ้านในหลายพื้นที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทย เช่น พื้นที่บางแห่งของนครราชสีมา สุราษฎร์ธานี และ หลายพื้นที่ในภาคเหนือตอนบน ประกอบกับการเร่งผลิตเพื่อขาย ได้ท�ำให้ชาวบ้านประสบปัญหาหนี้สินและสูญเสียที่ดิน จึงท�ำให้เกิด การเคลื่อนไหวเป็นระลอกๆ ตลอดมา การเคลื่อนไหวของชาวนาได้เพิ่มมากขึ้นภายหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ นักศึกษาร่วมกับชาวนาที่เดือดร้อนจากปัญหา ที่ดินและหนี้สิน จัดตั้งกลุ่มชาวนาเป็น “สมาพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่ง ประเทศไทย” (พ.ศ.๒๕๑๗) และเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ ไขปัญหา และบางส่วนก็ได้เข้าไปมีความสัมพันธ์กับพรรคคอม- “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 31
มิวนิสต์แห่งประเทศไทย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยขยายตัวมากขึ้นหลังเหตุ การณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เมื่อเกิดการฆาตกรรมหมู่นักศึกษาใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการรัฐประหาร นักศึกษาจ�ำนวนมาก ได้หนีเข้าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ในเขตป่าเขา การเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์ที่สามารถหาสมาชิก ชาวนามากขึ้นเมื่อประกอบกับในปี พ.ศ.๒๕๑๘ ที่พรรคคอมมิว- นิสต์อินโดจีนได้รับชัยชนะทั้ง ๓ ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา จึงท�ำให้รัฐบาลหลังการรัฐประหาร ๒๕๑๙ พยายาม ที่จะเข้าไปมีบทบาทในพื้นที่ชนบทมากขึ้นเพื่อยับยั้งการขยายตัว ของพรรคคอมมิวนิสต์ เช่น รัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ได้ ประกาศ “ปีแห่งเกษตรกรไทย” ขึ้นมา และได้พยายามสร้างโครง การประกันราคาข้าวขึ้นมาเป็นครั้งแรกแต่ก็ประสบปัญหาการคอร์- รัปชั่นจนไม่ได้เกิดผลดีต่อชาวนาแต่อย่างใด๗ ความเปลี่ยนแปลง แนวทางในการพัฒนาชนบทที่เด่นชัดได้เกิดขึ้นในเวลาต่อมาในสมัย ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ การปรับเปลี่ยนแนวทางในการพัฒนาชนบทนี้ส่งผลต่อการ ปรับตัวของชาวบ้านในชนบทอย่างไพศาล (ดังจะกล่าวต่อไปข้าง หน้า) พร้อมกันนั้นการส่งเสริมบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการพัฒนาชนบทก็ท�ำให้ระบบราชการเข้ามามีบทบาทโดยตรงใน การด�ำเนินงานตามโครงการในพระราชด�ำริ การศึกษาเรื่องโครง การอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ : การสถาปนาพระราชอ�ำนาจ (พ.ศ.๒๔๙๔-๒๕๔๖) ของชนิดา ชิตบัณฑิตย์ ได้กล่าวไว้อย่าง ชัดเจนว่า 32 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ลักษณะเฉพาะของโครงการพระราชด�ำริในยุคนี้ได้แก่ การเกิดขึ้นของ “องค์กรระดับชาติ” เพื่อท�ำหน้าที่ประสาน งานการปฏิบัติโครงการพระราชด�ำริภายใต้โครงสร้างระบบ ราชการ หรือที่ปัจจุบันรู้จักกันในนาม “คณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ (กปร.)” ๘
บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการพัฒนาชนบทได้ รับการตอกย�้ำผ่านสื่อต่างๆ เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลานับตั้งแต่รัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นต้นมา ท�ำให้สถานภาพของสถาบัน พระมหากษัตริย์สูงส่งขึ้นเรื่อยๆ ทุกฝ่ายในสังคมไทยจึงส�ำนึกว่า สังคมไทยจะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส�ำคัญ
๒. การสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ กับกลุ่มนักธุรกิจ
การเสริมสร้างบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการ พัฒนาชนบท ท�ำให้การเชื่อมต่อและขยายเครือข่ายของกลุ่มธุรกิจ การเกษตรกับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นไปอย่างแนบแน่นมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์กับ กลุ่มธุรกิจนี้เองท�ำให้เกิดการเชื่อมผ่านไปยังสถาบันพระมหากษัตริย ์ จนกลายเป็น “เครือข่ายของชนชั้นน�ำ” อย่างเห็นได้ชัด นักธุรกิจ จึงถูกรวมเข้ามาอยู่ในระบบเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วย เช่น ในปี พ.ศ.๒๕๓๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรง สถาปนา “เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณา ภรณ์”๙ ซึ่งเป็นระบบเกียรติยศที่ดึงดูดนักธุรกิจจ�ำนวนมากเข้ามา อยู่ในโครงสร้างของระบบเกียรติยศนี้ “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 33
๓. การขยายอิทธิพลของ “เครือข่ายของชนชั้นน�ำ” เข้า มาก�ำกับระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษา
๔. การสร้างฐานอ�ำนาจในระบบทหาร
มหากษัตริย์
ดังจะพบว่า นับจากสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นต้นมา ประธานและกรรมการสภามหาวิทยาลัยต่างๆ มักเป็น บุคคลที่มีความสัมพันธ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะผู้ที่ ด�ำรงต�ำแหน่งองคมนตรี๑๐ ซึ่งส่งผลให้เกิดโครงการและการสร้าง ถาวรวัตถุเพื่อเฉลิมฉลองสถาบันพระมหากษัตริย์ในวาระต่างๆ ขึ้น ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ รวมทั้งท�ำให้มหาวิทยาลัยบางแห่งมี บทบาทในโครงการตามพระราชด�ำริอย่างแข็งขันด้วย ได้แก่ การก่อตั้งกองก�ำลังทหารรักษาพระองค์ที่สัมพันธ์ใกล้ ชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ปัจจุบันมีกองทหารรักษาพระองค์กระจายในเหล่าทัพต่างๆ จ�ำนวนทั้งสิ้น ๕๙ หน่วยงาน ในบางหน่วยงานได้ถูกขนานนามที่ แสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น “กรม ทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (ร.๒๑ รอ.)” เป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์ เหล่าทหารราบ ขึ้นตรงต่อกองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ ๑ ได้รับพระราชทานสมญานามจากสมเด็จพระ นางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า “ทหารเสือนวมินทราชินี” อีกด้วย ๕. อุดมการณ์ความเป็นไทยกับบทบาทของสถาบันพระ
ดังได้กล่าวมาแล้วว่าในการรับรู้ของประชาชนนั้น สถานะ
34 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ของสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่สูงสุดในการตัดสินข้อพิพาททางการ เมือง และที่ส�ำคัญ การตัดสินใจของสถาบันพระมหากษัตริย์ย่อม อยู่เหนือการเมืองทั่วไป เพราะเป็นการตัดสินใจเพื่อปวงประชาชน ทุกหมู่เหล่า การรับรู้ที่ถูก “ฝัง” มาเช่นนี้ก็เป็นเสมือนดาบสองคม ที่จะท�ำให้ความรู้สึกนึกคิดของประชาชนแปรเปลี่ยนไปได้หากถูก ป้อนข้อมูลให้รับรู้ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์วางตัวไม่เป็นกลาง ทางการเมือง หรือไม่อยู่เหนือการเมือง ขณะเดียวกันการสร้างสถานะดังกล่าวได้ถูกน�ำไปซ้อนทับ กับการสร้างความคิดเรื่อง “ความเป็นไทย” ท�ำให้ความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นส่วนส�ำคัญของความเป็นไทย โดยมีคุณลักษณะที่ส�ำคัญ ได้แก่ การเน้นความไม่เสมอภาคระหว่าง คนในสังคม นั่นคือ “ความไม่เสมอภาค” กลายเป็นความถูกต้อง ดีงาม เพราะผู้ใหญ่จะมีความเมตตากรุณา โอบอ้อมอารีต่อผู้น้อย และผู้น้อยก็ต้อง “รู้ที่ต�่ำที่สูง” เชื่อฟัง ซื่อสัตย์ และกตัญญูกตเวที ต่อผู้ใหญ่ ท�ำให้สังคมมีระเบียบ เกิดความสงบสุข ความมั่นคง และความเจริญก้าวหน้า๑๑ ดังนั้น ความเหลื่อมล�้ำจึงได้บาดเข้า ไปสู่อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน ภาพพระมหากษัตริย์ที่คนไทยรับรู้จึงเป็นภาพของผู้ที่ด�ำรง อยู่ในสถานะ “สูงที่สุด” แต่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่จะ โน้มพระองค์ลงไปช่วยเหลือพสกนิกรที่เดือดร้อนทุกข์ยาก ดังที่มี การอ้างถึงพระราชปณิธานที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อ ประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และที่ส�ำคัญ ภาพนี้ได้ถูกฝัง (embedded) เข้าไปสู่ระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของประชาชน ผ่านสื่อต่างๆ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 35
ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที ่ เด่นชัดคือ การเทิดทูนให้ “พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย” กลายมาเป็น “พ่อแห่งชาติ” บทเพลงและการเน้นการท�ำกิจกรรม ที่ส่งเสริมการท�ำดีเพื่อ “พ่อ” ได้ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งการปราศรัยปลุกเร้าประชาชนของแกนน�ำ “แนว ร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” ในช่วงที่ม ี ความขัดแย้งสูง ก็ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของความคิดชุดนี้ว่าได้ ถูกฝังลงในการรับรู้ของผู้คนอย่างกว้างขวาง ดังความว่า “ปั ญ หาวิ ก ฤตทั้ ง หมดในประเทศนี้ มั น จะได้ รั บ การ แก้ไขเหมือนน�้ำทิพย์ชโลมใจ วันนี้ไม่มีใครแก้ได้ เชื่อผม เถอะครับ หมดครับคนเป็นกลางในประเทศนี้ เหลือพระเจ้า แผ่นดินพระองค์เดียวเท่านั้น หมดแล้วครับ ไม่มีใครที่เป็น สิ่งมีชีวิตแล้วบอกว่าเป็นกลาง เพราะฉะนั้น เสียงของคน ไทย เสียงของแผ่นดินที่ร�่ำไห้นั้น ฟากฟ้าย่อมได้ยินความ ทุกข์ยากทั้งหมด มีหนทางที่จะดับด้วยน�้ำพระทัย ด้วยพระ หัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์เท่านั้นที่จะ บ�ำบัดทุกข์สร้างความสุขให้พสกนิกรของพระองค์ท่าน”๑๒ กล่าวโดยสรุป การสร้างอุดมการณ์ที่เน้นว่าพระมหากษัตริย ์ ทรงมีพระราชอ�ำนาจสูงสุด ทรง “ปกครองแผ่นดินโดยธรรม” และ ทรงอ�ำนวยความยุติธรรมแก่พสกนิกรทุกหมู่เหล่าได้เกิดขึ้นภายใต้ บริ บ ทของปั ญ หาความไร้ เ สถี ย รภาพทางการเมื อ งในสั ง คมไทย เนื่องจากการสูญเสียอ�ำนาจของระบบราชการเดิมอย่างกะทันหัน หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ท�ำให้เกิดการปรับตัวด้วยการ 36 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
เชื่อมประสานกันระหว่างกลุ่มอ�ำนาจของข้าราชการเดิมและกลุ่ม อ�ำนาจเศรษฐกิจเดิม โดยกลุ่มราชการที่ต้องการมีอ�ำนาจเหนือกลุ่ม อื่นๆ จ�ำเป็นต้องสร้างความใกล้ชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ ต้องขยายรวมเอากลุ่มทุนเข้ามาอยู่ในระบบเกียรติยศใหม่ที่ได้สร้าง ขึ้ น นั บ เป็ น การส่ ง เสริ ม อ� ำ นาจและบารมี ข องสถาบั น พระมหา กษัตริย์ให้สูงเด่น สอดคล้องกับความหมายของ “ความเป็นไทย” ที่ได้รับการสถาปนาขึ้นมาในช่วงก่อนหน้านั้น การสร้ า งเสถี ย รภาพทางการเมื อ งนี้ ไ ด้ ขึ้ น สู ่ จุ ด เปลี่ ย น แปลงที่ ส� ำ คั ญ เมื่อ มีการเปลี่ยนภาพประเทศไทยให้เ ป็นเสมือน “พระราชสมบัติของพระราชวงศ์จักรี”๑๓ ด้ว ยการจัดงานสมโภช กรุงรัตนโกสินทร์สองร้อยปีใน พ.ศ.๒๕๒๕
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้กราบ บังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า ในปีพุทธ ศักราช ๒๕๒๕ กรุงรัตนโกสินทร์จะมีอายุได้ ๒๐๐ ปี นับ เป็นมหามงคลสมัยแสดงถึงความมั่นคงของบ้านเมือง ได้ ผ่านพ้นภัยพิบัติต่างๆ มาโดยสวัสดี มีความร่มเย็นเป็นสุข ด้วยพระบารมีของพระผู้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และด้วย พระปรีชาสามารถของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า ผู้ สืบราชสันตติวงศ์ทุกรัชกาลโดยล�ำดับ รัฐบาลและปวงชน ชาวไทยจึงมีความปีติยินดี พร้อมกันแสดงความกตเวทิตา คุณ ส�ำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระมหากษัตริย์ในพระ บรมราชจักรีวงศ์ และบรรพชนไทยที่จรรโลงชาติให้มีความ รุ่งเรืองสันติสุขสืบมาตราบเท่าทุกวันนี้ ๑๔ “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 37
การสร้างกิจกรรมในงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี เป็นผลงานของหน่วยราชการทุกหน่วยที่นอกจากจะแสดงความ ก้าวหน้าของการท�ำงานในหน่วยงานตนแล้ว ยังเน้นกิจกรรมต่างๆ ที่แสดงให้เห็น “พระราชประวัติของพระมหากษัตริย์พระราชวงศ์ จักรี”๑๕ ซึ่งการจัดกิจกรรมเหล่านี้ได้รับความส�ำเร็จอย่างมาก จะ เห็นได้ว่าผลการส�ำรวจ “ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเนื่องมาจากงานสมโภชฯ ๒๐๐ ปี” ที่จัดท�ำโดยกระทรวงมหาดไทยเพื่อตีพิมพ์ในรายงานติดตามประ เมินผลโครงการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พบว่า “ประชาชน ทั่วประเทศมีความรู้สึกที่ดีเพิ่มขึ้นต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระ มหากษัตริย์...ความรู้สึกที่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เพิ่มมาก ที่สุด” ๑๖ ในช่วงของการสร้างเสถียรภาพทางการเมืองโดยการแบ่งสัน อ�ำนาจเช่นนี้ ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองและน�ำไปสู่ความ พยายามในการท�ำรัฐประหาร ๒ ครั้งเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๒๔ (เหตุการณ์นี้เรียกว่า “เมษาฮาวาย”) และเดือนกันยายน ๒๕๒๘ ซึ่งสะท้อนว่าเสถียรภาพทางการเมืองบนฐานของการแบ่งสันอ�ำนาจ ยังมีความเปราะบางอยู่ไม่น้อย สังคมไทยจึงต้องพึ่งสถาบันพระ มหากษัตริย์ในการปัดเป่าความขัดแย้งทางการเมืองตลอดมา นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะผู้ทรงรักษาเสถียรภาพทางการเมือง ท่ามกลางความขัดแย้งภายในกองทัพในช่วงของรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ในหนังสือเรื่องพระผู้ทรงปกเกล้าฯ ประชา ธิปไตย : ๖๐ ปี สิริราชสมบัติกับการเมืองการปกครองไทย ความว่า 38 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ชัยชนะของพลเอกเปรมและการด�ำรงอยูข่ องดุลยภาพ ทางการเมืองที่ถูกคุกคามโดยคณะปฏิวัติ คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ เลยหากปราศจากการสนับสนุนของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีบทบาทส�ำคัญที่ช่วย ให้เหตุการณ์ความไม่สงบยุติลงอย่างรวดเร็วโดยปราศจาก ความรุนแรง๑๗ การรักษาเสถียรภาพทางการเมืองได้ท�ำให้เกิดกระบวนการ สร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐบาลด้วยการ “แอบอิง” และขอรับ พระราชทาน “พระมหากรุณาธิคุณ” จากสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่เนืองๆ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองได้ด ี ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ก็เป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามา สัมพันธ์กับการเมืองอย่างเด่นชัดมากขึ้น โดยเฉพาะทางด้านอุดม การณ์ รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ได้สร้างความคิด/อุดม การณ์ชุดหนึ่งที่เชิดชูบทบาทของพระมหากษัตริย์ให้สูงเด่นในทุก ด้าน ดังจะเห็นได้ในรายละเอียดการจัดงานเฉลิมฉลองรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ซึ่งท�ำให้เห็นถึงบทบาทของพระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์ จักรี แต่ก็เน้นพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงงานในทุกๆ ด้านอย่างเด่นชัดด้วย โดยเฉพาะบทบาทในการ แก้ไขปัดเป่าภัยที่เกิดกับสังคมไทย จนท�ำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดใน หมู่คนทุกกลุ่มรวมทั้งประชาชนทั่วไปว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ มีสถานะและอ�ำนาจสูงสุดในการตัดสินข้อพิพาททางการเมือง และโดยหลักการแล้ว การตัดสินใจของสถาบันพระมหากษัตริย ์ ย่อมอยู่เหนือการเมือง เพราะเป็นการกระท�ำเพื่อประชาชนทุก หมู่เหล่า “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 39
นอกจากการสร้างเสถียรภาพทางการเมืองด้วยการแบ่งสัน อ�ำนาจระหว่าง ๓ กลุ่ม อันได้แก่ ระบบราชการ นักธุรกิจ และ ทหาร การสร้างอุดมการณ์ที่เน้นบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เป็นสถาบันที่รักษาเสถียรภาพทางการเมืองดังกล่าวได้ถ่ายทอด สู่ประชาชนและสังคม ซึ่งส่งผลที่ส�ำคัญคือ ท�ำให้รัฐบาลของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เป็นเสมือนรัฐบาลที่รับใช้สถาบันพระมหากษัตริย ์ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและประเทศชาติ และด้วยกระบวน การสร้างเสถียรภาพและอุดมการณ์ทางการเมืองเช่นนี้เองที่ท�ำให้ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์สามารถด�ำรงต�ำแหน่งได้นานกว่า ๘ ปี และได้รับการยอมรับจากกลุ่มทางการเมืองและกลุ่มเศรษฐกิจต่างๆ อย่างกว้างขวาง การจั ด ความสั ม พั น ธ์ ท างอ� ำ นาจที่ ท� ำ ให้ ส ถาบั น พระมหา กษัตริย์กลายเป็นสถาบันที่ค�้ำประกันอ�ำนาจของรัฐบาลลักษณะดัง กล่าวมานี้ได้ด�ำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับการตอกย�้ำมากขึ้น เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างคณะรักษาความสงบเรียบ ร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งรัฐประหารยึดอ�ำนาจจากพลเอกชาติชาย ชุ ณ หะวั ณ กั บ กลุ ่ ม ผู ้ ชุ ม นุ ม ที่ น� ำ โดยพลตรี จ� ำ ลอง ศรี เ มื อ ง มี ผู ้ วิเคราะห์ว่า ในการนี้พ ระบาทสมเด็จ พระเจ้า อยู่หัวได้ทรงมีบท บาทในการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองอีกครั้ง โดยพระ องค์โปรดเกล้าฯ ให้พลเอกสุจินดา คราประยูร กับพลตรี จ�ำลอง ศรีเมืองเข้าเฝ้าฯ...หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีและผู้ น�ำประท้วงก็ได้ปรากฏตัวทางโทรทัศน์ ร่วมกันเรียกร้องให้ ทุกฝ่ายด�ำเนินการตามพระราชกระแส ส่งผลให้การต่อสู้ที่ ด�ำเนินมาหลายวันยุติลงได้อย่างรวดเร็ว๑๘ 40 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
การจัดสรรอ�ำนาจระหว่างระบบราชการและกลุ่มธุรกิจได้ ท�ำให้เกิดการ “พึ่งพิง” พระราชอ�ำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย ์ มากขึ้น จนท�ำให้การรักษาเสถียรภาพลักษณะดังกล่าวกลับเป็นการ ผลักภาระทั้งหลายให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องแบกรับปัญหาที ่ ไม่น่าจะต้องมาเกี่ยวข้องด้วย เพราะการสร้างอุดมการณ์เช่นนี้ท�ำ ให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็น “อ�ำนาจสูงสุด” ในการแก้ไข ปัญหาต่างๆ ของชาติ อันเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้ที่ประสงค์จะ แสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจ�ำนวนไม่ น้อย สามารถอ้างอิงตนเองในฐานะของผู้มีความใกล้ชิดกับสถาบัน พระมหากษัตริย์ได้ ในด้านกลุ่มทุนการเงินหรือธนาคารพาณิชย์และกลุ่มทุน อุตสาหกรรมการเกษตรที่เข้มแข็งมากขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ ๒๕๒๐ ก็เริ่มต้องการสลัดหลุดออกจากอ�ำนาจของระบบราชการ แต่ก็รู้ด ี ว่ายังไม่สามารถก้าวขึ้นมีอ�ำนาจโดยล�ำพังได้ จึงได้จัดสรรแบ่งปัน อ�ำนาจกันกับกลุ่มราชการต่างๆ ทั้งทหารและพลเรือนโดยให้อ�ำนาจ ทางการเมืองแก่กลุ่มราชการ ขณะเดียวกันกลุ่มทุนก็ได้โอกาสใน การขยายอ�ำนาจทางเศรษฐกิจออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะ โดยการด�ำเนินธุรกรรมทางการเงินที่ครอบคลุมไปยังภาคการผลิต อุตสาหกรรมและเกษตรกรรมทุกๆ ด้าน และโดยการแอบอิงอยู่กับ กิจกรรมการกุศลที่ด�ำเนินการโดยองค์กรในพระบรมราชูปถัมภ์และ โครงการในพระราชด�ำริต่างๆ ดังที่จะเห็นว่าในทศวรรษ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา กลุ่มทุนการเงินได้ขยายตัวออกไปในทุกปริมณฑลอย่าง กว้างขวาง ซึ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มของตนเป็นอย่างมาก กลุ่มราชการโดยเฉพาะกลุ่มทหารก็ได้เปลี่ยนอัตลักษณ์ของ “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 41
กองทัพอย่างชัดเจน ด้วยการสร้างอัตลักษณ์ให้กลายเป็นกองทัพ ของสถาบันพระมหากษัตริย์หรือ “ทหารเสือนวมินทราชินี” ส่วน ข้าราชการก็กลับไปมีฐานะเป็น “ผู้ท�ำการของพระราชา” อีกครั้ง หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงความหมายของข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและ พลเรือนเช่นนี้เอื้อให้ระบบราชการ “เป็นอิสระโดยสัมพัทธ์” จากนัก การเมืองที่เป็นรัฐบาล และมีอ�ำนาจต่อรองกับนักการเมืองมากขึ้น เช่น การโยกย้ายและการของบประมาณ เป็นต้น ภายใต้กรอบความคิดดังกล่าวนี ้ พลเอกเปรม ติณสูลานนนท์ ก็มีอ�ำนาจมากขึ้น ท�ำให้เกิดเสียงครหาในการโยกย้ายนายทหาร ประจ�ำปีว่า กลุ่มที่เป็น “ลูกป๋า” จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนต�ำแหน่งเร็ว กว่าคนอื่น๑๙ การรับรู้ปัญหาว่ามีการเล่นพรรคเล่นพวกเช่นนี้มีอยู่ ทั่วไป จนแม้แต่พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ลูกป๋า” คน หนึ่ง ก็ได้เคยแสดงความรู้สึกท�ำนองว่า การเลื่อนต�ำแหน่งที่เป็น ลักษณะของกลุ่มพรรคพวกได้ท�ำลายระบบขององค์กรไป๒๐ ในสภาวะที่อ�ำนาจทางการเมืองถูกแบ่งออกเป็นส่วน ของ “อ�ำนาจทางการเมือง” และ “อ�ำนาจทางเศรษฐกิจ” โดย มี “อ�ำนาจของระบบราชการ” ควบคุมสูงสุด นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตัวแทนของอ�ำนาจราชการต้องคอยประสานไม่ให้เกิดความ ขัดแย้งหรือคอยแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เช่น กรณีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ใช้อ�ำนาจแก้ไขปัญหา “เทเล็กซ์น�้ำมันอัปยศ” และ กรณีขาดแคลนน�้ำตาลของพรรคกิจสังคมช่วงปี พ.ศ.๒๕๒๓-๒๕๒๔ เป็นต้น ที่ส�ำคัญ ระบบราชการก็จะคอยเอื้ออ�ำนวยให้แก่กลุ่มทุน อุตสาหกรรมสามารถขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง การอาศัยพลังทางอุดมการณ์ดังกล่าวข้างต้นของรัฐบาลภาย ใต้การน�ำของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และการขยาย “เครือข่าย 42 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ของชนชั้นน�ำ” มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับการขยายอ�ำนาจ ทางเศรษฐกิจของกลุ่มทุนที่ได้สร้างความเข้มแข็งขึ้นมา โดยมีการ แบ่งสันอ�ำนาจกับระบบราชการ ซึ่งขยายงานราชการออกไปอีก จ�ำนวนมากในนามของการรับใช้ “อุดมการณ์” สูงสุด เช่น การ สร้างโครงการรับเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อด�ำเนิน “โครงการพระ ราชด�ำริ” เป็นต้น ผลที่ส�ำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ “กองทัพ” ซึ่งเป็นฐานอ�ำนาจ ที่ส�ำคัญของรัฐบาลสามารถรักษาอ�ำนาจต่อรองเอาไว้ได้แม้ว่าจะ มีรัฐมนตรีและรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งก็ตาม เพราะกองทัพมี “ความเป็นอิสระโดยสัมพัทธ์” อย่างมากภายใต้พลังของอุดมการณ์ ดังกล่าว ขณะเดียวกันอ�ำนาจทางการเมืองก็ถูกท�ำให้แยกออกจาก กัน และในความหมายของการถ่วงดุลและการตรวจสอบก็ไม่ได้ คานอ�ำนาจซึ่งกันและกัน หากแต่จะแบ่งแยกพื้นที่อ�ำนาจกันอย่าง ชัดเจนด้วยซ�้ำ โดยแต่ละฝ่ายจะต้องพยายามไม่ก้าวล่วงพื้นที่ทาง อ�ำนาจและผลประโยชน์ของกันและกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความ ขัดแย้งขึ้น ท�ำให้เกิดการแบ่งแยกอ�ำนาจทางการเมือง อ�ำนาจทาง เศรษฐกิจ และอ�ำนาจทางวัฒนธรรมอย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีส่วนที ่ เหลื่อมซ้อนกันอยู่บ้างก็ตาม จะเห็นได้ว่าถึงแม้นักธุรกิจเข้ามามีอ�ำนาจทางการเมืองเพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆ แต่การตัดสินใจที่ส�ำคัญของรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสู- ลานนท์มาจาก “ขุนนางข้าราชการ” (Technocrat) ในองค์กรที่มี ฐานะเป็นมันสมองของระบบราชการ และรับใช้นายกรัฐมนตรีที่ เป็นหัวหน้ารัฐบาลโดยตรง ส่วน “กลุ่มทุน” ทั้งในส่วนกลางและ ในท้องถิ่นต่างๆ ยังคงมีบทบาทอยู่ในพื้นที่ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ในขณะที่ “สถาบันพระมหากษัตริย์” มีอ�ำนาจทางวัฒนธรรมอย่าง “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 43
เต็มเปี่ยม โดยที่ “ส�ำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ตกอยู ่ ในมือของนักบริหารมืออาชีพและกลายเป็นองค์กรที่มีบทบาทอยู ่ ในพื้นที่ทางเศรษฐกิจในฐานะของกลุ่มทุนกลุ่มหนึ่ง คล้ายคลึงกับ กลุ่มทุนใหญ่อื่นๆ ที่อยู่ในเครือข่ายชนชั้นน�ำ กล่าวได้ว่า “ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ” ได้รับการสร้าง ให้มีความมั่นคงอย่างมากในสมัยของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยคนทุกกลุ่มในสังคมไทยรับรู้ร่วมกันว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ผู้อ�ำนวยเสถียรภาพและความมั่นคงแก่ชาติไทยเพราะทรงเป็นศูนย์ รวมจิตใจของคนทั้งชาติ เมื่อเกิดความขัดแย้งหรือวิกฤตการณ์ใดๆ ขึ้น พระองค์ก็ทรงแก้ไขด้วยพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงจนวิกฤต ทุกเรื่องคลี่คลายไปได้ด้วยดี ท่ า มกลางการสร้ า งกรอบความคิ ด หรื อ อุ ด มการณ์ ที่ เ น้ น สถาบันพระมหากษัตริย์ว่าเป็นศูนย์กลางของอ�ำนาจเช่นนี้ การ เกาะกลุ ่ มกั น เป็นเครือ ข่ายของชนชั้นสูง ระหว่า งกลุ่มข้า ราชการ ระดับสูงและกลุ่มทุนใหญ่ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มทุนธนาคาร พาณิชย์จึงแนบแน่นมากขึ้น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของกลุ่ม ทุนการเงินจึงได้รับการค�้ำประกันโดยรัฐจนสามารถกลายเป็นผู้กุม ระบบเศรษฐกิจของไทยได้เป็นส่วนใหญ่ การประสานเชิ ง แบ่ ง สั น อ� ำ นาจลั ก ษณะนี้ จึ ง เป็ น เสมื อ น “รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมของชนชั้นน�ำ” ที่ชนชั้นน�ำทั้ง ๓ กลุ่ม อ�ำนาจได้ยึดถือกันมาตั้งแต่ทศวรรษ ๒๕๒๐ จนกระทั่งในทศวรรษ ๒๕๔๐ จึงได้ถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงจากความเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจและการเมือง ดังจะได้วิเคราะห์โดยละเอียดในเนื้อหา ส่วนต่อไป 44 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
กระบวนการสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ได้รับการตอกย�้ำและเน้นความ ส�ำคัญตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาผ่านสื่อต่างๆ ทุกรูปแบบ ได้ท�ำให้ ชนชั้นกลางกลุ่มหนึ่งที่เติบโตมาในช่วงทศวรรษ ๒๕๐๐ ได้รับผล ประโยชน์ ท างด้ า นเศรษฐกิ จ จากการมี เ สถี ย รภาพทางการเมื อ ง ดังกล่าว ไม่ว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น หรือโอกาสในการเลื่อนชนชั้นและ สถานะ ชนชั้นกลางกลุ่มนี้จึงซึมซับความคิดหรืออุดมการณ์ที่เน้น พระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์กลางของอ�ำนาจมากกว่าผู้ที่ได้รับข่าว สารในภายหลัง เช่น กลุ่มชนชั้นกลางใหม่ที่เพิ่งถือโอกาสก้าวออก มาจากสังคมชาวนาในทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการรับสื่อที ่ เน้นในเรื่องนี้มาก่อนหรือสัมพันธ์กับการน�ำเสนอบทบาทพระมหา กษัตริย์ในการขจัดปัดเป่าปัญหาต่างๆ ของสังคม
การเติบโตของพลเมืองภายใต้พระบรมโพธิสมภาร
ผลส�ำคัญอีกประการหนึ่งของเสถียรภาพทางการเมืองภาย ใต้ ก ารประสานเชิง แบ่ง สันอ�ำนาจดัง กล่าวข้างต้นนี้ ก็คือความ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ท�ำให้ “คนชั้นกลาง” ขยายตัวและ เข้ามามีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างกระตือ รือร้นในช่วงปลายทศวรรษ ๒๕๔๐ เป็นต้นมา จึงจ�ำเป็นที่จะ ต้ อ งเข้ า ใจระบบอารมณ์ค วามรู้สึกนึกคิด ของกลุ่มคนชั้นกลางที ่ เติบโตมาพร้อมกับ “ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ” ให้ชัดเจนด้วย คนชั้นกลางในสังคมไทยเริ่มขยายตัวตั้งแต่ทศวรรษ ๒๔๙๐ เนื่องจากมีการขยายตัวทางการลงทุนของกลุ่มคนจีนที่ตัดสินใจ อาศัยอยู่ในเมืองไทยอย่างถาวร เพราะจีนเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นคอมมิวนิสต์ กลุ่มพ่อค้าจีนเหล่านี้ได้ดัดแปลงตนเอง “กลาย “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 45
มาเป็นไทย” ในบางด้าน พร้อมกันนั้นก็ได้เริ่มส่งลูกเข้าสู่ระบบ การศึกษาของไทยอย่างจริงจัง๒๑ การดัดแปลงตนเองให้ “กลายเป็นไทย” เป็นกระบวนการ ทางสังคมและวัฒนธรรมที่ส�ำคัญที่พ่อค้าจีนพยายามที่จะเปลี่ยน แปลงชีวิตทางสังคมให้เป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชื่อ-แซ่ การส่งลูกหลานเรียนและศึกษาในสถาบันการศึกษาของรัฐบาลไทย มีความพยายามจะสร้างชีวิตทางสังคมร่วมกับคนไทย เช่น ร่วมกัน ท�ำงานในสมาคมการกุศล เป็นต้น ที่น่าสนใจพบว่า นักเรียนที ่ สามารถเข้าสู่มหาวิทยาลัยในช่วงหลังทศวรรษ ๒๕๐๐ ส่วนใหญ่ เป็นลูกหลานคนจีนและลูกหลานข้าราชการที่อยู่ในเขตเมือง งาน วิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในช่วงทศวรรษ ๒๕๒๐ พบว่า สัดส่วนนักศึกษาที่มาจากชนบทหรือคนจนนั้นมีเพียงร้อยละ ๕-๘ เท่านั้น๒๒ ช่วงเวลาที่ลูกหลานคนจีนและลูกหลานข้าราชการ (ซึ่งเป็น คนส่วนใหญ่ของคนชั้นกลางไทยในสมัยหลัง-ผู้เขียน) เข้าสู่มหา วิทยาลัย เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลเผด็จการภายใต้การน�ำของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจรพยายามรักษาอ�ำนาจ ของตนด้วยการประนีประนอมกับกลุ่มอนุรักษนิยมโดยการเพิ่มบท บาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มากยิ่งขึ้น อัตลักษณ์ของนัก ศึกษาในขณะนั้นเป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่สามารถปิดถนนเพื่อร้องเพลง เชียร์ในงานฟุตบอลประเพณี ขณะเดียวกันก็เป็นอภิสิทธิ์ชนที่ผูก ตนเองเข้ากับสถาบันพระมหากษัตริย์มากยิ่งขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นชัด ในช่วงก่อนการเคลื่อนไหวเดือนตุลาคม ๒๕๑๖ เมื่อปรากฏข่าวลือ เรื่องจอมพลประภาส จารุเสถียรไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจในบทบาทของ “ถนอม-ประภาส-ณรงค์” 46 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
มากยิ่งขึ้น ความรู้สึกผูกพันระหว่างนักศึกษากับสถาบันพระมหากษัตริย์ แสดงออกชัดเจนในการเคลื่อนขบวนในเหตุการณ์ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่มีการอัญเชิญพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถน�ำขบวน รวมไป ถึงการเคลื่อนขบวนไปพึ่งพระบารมีในช่วงที่วิกฤต ลูกหลานคนจีนที่เติบโตในสังคมไทยราวทศวรรษ ๒๕๐๐ เป็นต้นมาได้ท�ำงานในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ บริษัทห้างร้าน หรือขยายบทบาทธุรกิจของครอบครัวตนเองในบริบทที่มีการขยาย ตัวทางเศรษฐกิจอย่างดีมาโดยตลอด คนกลุ่มนี้จึงสามารถที่จะ สร้างฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของตนได้อย่างมั่นคง และมี ความพอใจในเสถียรภาพทางการเมืองภายใต้ “ระบอบประชาธิป ไตยครึ่งใบ” โดยส�ำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหา กษัตริย์เป็นอย่างสูง เพราะรับรู้และส�ำนึกว่า เสถียรภาพทางการ เมือง ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความสงบสุขและ ความมั่นคงทั้งในเมืองและในชนบทเกิดขึ้นได้เพราะบทบาทของ สถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ “เสถียรภาพ-ความมั่นคง” ได้ถูก สร้างให้ยึดโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นตั้งแต่เกิดเหตุ การณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เริ่มจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีบทบาทยุติ การนองเลือดในปี พ.ศ.๒๕๑๖ ตลอดจนความขัดแย้งระหว่างฝ่าย ซ้ายกับฝ่ายขวาในเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ พระองค์เสด็จ ออกเยี่ยมเยียนและช่วยเหลือราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดารตลอดช่วง เวลาของการต่อสู้กับ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” ที่ส�ำคัญ เมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ได้สร้างระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 47
ซึ่งต้องการความชอบธรรมลักษณะใหม่มารองรับ ยิ่งท�ำให้เกิดการ ยึดโยงสถาบันพระมหากษัตริย์กับ “เสถียรภาพ-ความมั่นคง” มาก ขึ้ น ดั ง กล่ า วมาแล้ ว ข้ า งต้ น และการยุ ติ ก ารต่ อ สู ้ ท างการเมื อ ง ระหว่างชนชั้นน�ำในระบบราชการที่น�ำโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กับ “กลุ่มทหารหนุ่ม” และการยุติความขัดแย้งระหว่าง “กลุ่มนาย ทหารรุ่นห้า” กับบางส่วนของ “กลุ่มนายทหารรุ่นเจ็ด” ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ยิ่งท�ำให้หลักการ “เสถียรภาพ-ความมั่นคง” ถูกโยงเข้ากับ สถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น๒๓ อนึ่ง ตั้งแต่ทศวรรษ ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ได้เกิดการอธิบาย รวบยอด “ประวัติศาสตร์ของคนจีนในประเทศไทย” ภายใต้กรอบ ความคิดที่ว่า “คนไทยเชื้อสายจีนได้อพยพหนีความเดือดร้อนมาพึ่ง พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย จึงสามารถสร้างตัว กระทั่งได้มีฐานะมั่นคงจากเดิมที่มีเพียงสื่อผืนหมอนใบ” การให้ ความหมายแก่ประวัติศาสตร์เช่นนี้มีพลังอย่างมากในการผลักดัน ให้คนชั้นกลางซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีนได้ทุ่มเทเสียสละเพื่อรักษา “เสถียรภาพ-ความมั่นคง” อันมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแกน กลาง เพราะหมายถึงการทดแทนบุญคุณที่บรรพบุรุษ ตลอดจน ครอบครัวและลูกหลานของตนได้พึ่งพระบรมโพธิสมภารจนอยู่เย็น เป็นสุขและการค้ารุ่งเรืองตลอดมา ดังนั้น ค�ำขวัญที่ว่า “ลูกจีนกู้ ชาติ” จึงมีความหมายต่อคนชั้นกลางเป็นอย่างมาก จ�ำเป็นต้องกล่าวไว้ด้วยว่า คนชั้นกลางกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ก่อนคนกลุ่มอื่นในสังคมไทย เช่น มีโทรทัศน์ก่อนคนกลุ่มอื่นในสังคมไทย ดังนั้น การท�ำให้รับรู้ด้วย การเห็นภาพของพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานด้วยความเมตตาประ ชาชน ประสบความยากล�ำบากในการเสด็จพระราชด�ำเนินไปใน 48 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ถิ่นทุรกันดารอยู่เนืองๆ จึงยิ่งส่งผลให้ภาพของพระมหากษัตริย์ท ี่ ทรงท�ำทุกอย่างเพื่อความผาสุกของประชาชนฝังลึกในระบบอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ด้วยกระบวนการทางสังคมทั้งหมด จะเห็นได้ว่า “เสถียร ภาพ-ความมั่นคง” ในระบบความคิดของคนชั้นกลางไม่จ�ำเป็น ต้องมี “เสถียรภาพ-ความมั่นคง” ในระบอบประชาธิปไตยแต่ อย่างใด และตั้งแต่ทศวรรษ ๒๔๙๐ ยังมีการสร้างความคิด ความเชื่อที่ว่า นักการเมืองเป็นคนเลวที่เห็นแก่ตัว และเป็นผู้ที่ สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมืองจนกระทบต่อ “เสถียร ภาพ-ความมั่นคง” ยิ่งเป็นการลดทอนความศรัทธาในระบอบประ ชาธิปไตยที่ผู้ปกครองมาจากการเลือกตั้ง ตรงกันข้าม หากนักการ เมืองที่มาจากการเลือกตั้งสามารถแสดงตนว่ารักษา “เสถียรภาพ- ความมั่นคง” ได้ส�ำเร็จ แม้ว่าจะใช้อ�ำนาจในลักษณะเผด็จการก็ จะได้รับการยอมรับ ดังปรากฏว่าการใช้อ�ำนาจรวมทั้งการด�ำเนิน นโยบายบางอย่างของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่เป็น ไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ก็เคยได้รับความชื่นชม และชื่นชอบ เช่น นโยบายปราบปรามยาเสพติดแบบ “ฆ่าตัดตอน” ซึ่งคนชั้นกลางเห็นว่าเป็นการกระท�ำเพื่อรักษา “เสถียรภาพ-ความ มั่นคง” ของรัฐและสังคม แต่ เ มื่ อ เกิ ด ข่ า วลื อ /ข่ าวปล่ อ ยจากหลายฝ่า ยอ้ า งว่ า อดี ต นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เริ่มล�้ำเส้นเข้ามาในพื้นที่พระราช อ�ำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการสั่นคลอน “ระบบ” อ�ำนาจเดิมที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้ท�ำ จนก่อให้เกิดความ ไม่ พ อใจสู ง ขึ้ น ของกลุ ่ ม ชนชั้ น น� ำ เดิ ม และเกิ ด การพู ด คุ ย /แสดง ความคิดเห็นในเชิงว่าอดีตนายกรัฐมนตรีนั้นเหิมเกริม ไม่แยแส “ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 49
ในพระราชอ�ำนาจและพระราชฐานะของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ซึ่งข่าวลือท� ำนองนี้ได้แพร่หลายมากในช่วง พ.ศ.๒๕๔๖ เป็นต้นมา เมื่อน�ำมาพิจารณาประกอบกับข้อมูลข่าวสารที่ไหล เวียนในสังคมเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นและการด�ำเนินนโยบายประชา นิยมทีต่ อ้ งใช้เงินของแผ่นดินมหาศาล และในทัศนะของคนชัน้ กลาง แล้ว ทั้งสองกรณีนี้ล้วนแต่กระทบกระเทือนต่อ “เสถียรภาพ-ความ มัน่ คง” อย่างรุนแรง ดังนัน้ การต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรีจงึ ขยาย ตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว กล่าวได้ว่า จากข่าวลือ/ข่าวปล่อยที่เกิดขึ้น และการปราศรัย ที่เป็นเสมือนการยืนยันข้อเท็จจริงในข่าวนั้นโดย “กลุ่มพันธมิตรประ ชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ผ่านรายการโทรทัศน์และการชุมนุมที่น�ำ โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๘ ได้ท�ำให้เกิดการปะทุ ขึ้นของความกังวลในเรื่อง “เสถียรภาพ-ความมั่นคง” หลังจากนั้น การสถาปนาตนเป็น “ลูกจีนรักชาติ-ลูกจีนกู้ชาติ” ก็ก่อก�ำเนิดและ มีพลังแรงกล้าขึ้นมาทันที แม้ว่าในความเป็นจริง ปัญหาในเรื่อง “เสถียรภาพ-ความ มั่นคง” ยังมีสาเหตุมาจาก “ความไม่แน่นอน” ที่เกิดจากปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายหลายประการ เช่น ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และการเมืองในยุคโลกาภิวัตน์ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม ไทย ฯลฯ แต่คนชั้นกลางกลับมองว่าสังคมไทยต้องสูญเสีย “เสถียร ภาพ-ความมั่นคง” ก็เพราะอดีตนายกรัฐมนตรี และยังรู้สึกด้วย ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีไม่มีความจงรักภักดีและไม่เชื่อฟังพระองค์ “เสถียรภาพ-ความมั่นคงภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์” ของสังคม การเมืองไทยจะกลับคืนมาได้ก็ต่อเมื่อท�ำการรัฐประหารเพื่อขจัด อดีตนายกรัฐมนตรีออกไป 50 อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ดังนั้น เมื่อเกิดการรัฐประหารใน พ.ศ.๒๕๔๙ กระแสการ ต้ อ นรั บ การรัฐ ประหารจึง เกิด ขึ้นอย่างหนาแน่นในเขตกรุงเทพฯ และภายหลังการรัฐประหาร เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรียังไม่ยอมยุติ การต่อสู้ การเคลื่อนไหวของคนชั้นกลางเพื่อน�ำ “เสถียรภาพ-ความ มั่นคงภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์” กลับคืนจึงด�ำเนินมาอย่าง ต่อเนื่อง หากมีผู้ใดที่แตะต้องกับพระราชฐานะของพระมหากษัตริย์ ก็จะถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง๒๔ หลังการรัฐประหาร พ.ศ.๒๕๔๙ รัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ได้พยายามเน้นถึงความส�ำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ ในฐานะศูนย์รวมจิตใจของคนไทย เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการ สลายความขั ด แย้ ง ซึ่ ง ส่ ง ผลท� ำ ให้ ช นชั้ น กลางกลุ ่ ม นี้ ถั ก ทอสาย สัมพันธ์ทางอารมณ์ความรู้สึกกันอย่างเหนียวแน่นมากขึ้น ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวของ “คณะกรรมการประชา ชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)” ชนชั้นกลางกลุ่มนี้จึงสามารถเคลื่อนไหวร่วมกันได้อย่าง กว้างขวางและมีจ�ำนวนมากกว่าทุกครั้งที่เคยรวมกลุ่มเคลื่อน ไหวกันในประวัติศาสตร์ไทย
“ประชาธิปไตย” คนไทยไม่เท่ากัน 51