ดอกไม้ไร้ราก

Page 1



Thai language translation rights belong to Matichon Publishing House arranged with Sandra Dijkstra Literary Agency PMB 515, 1155 Camino Del Mar Del Mar California 92014, USA through Tuttle-Mori Agency Co., Ltd.


The Cooked Seed

ดอกไม้ไร้ราก Anchee Min  เขียน อายุรี ชีวรุโณทัย  แปล

กรุงเทพมหานคร  ส�ำนักพิมพ์มติชน  2557


ดอกไม้ไร้ราก • อายุรี ชีวรุโณทัย แปล

จากเรื่อง The Cooked Seed : A MEMOIR ของ Anchee Min Copyright © 2013 by Anchee Min. All rights reserved. Thai Language Copyright © 2014 by Matichon Publishing House. All rights reserved.

พิมพ์ครั้งแรก : สำ�นักพิมพ์มติชน, มิถุนายน 2557 ราคา  320  บาท ข้อมูลทางบรรณานุกรม อันฉี, หมิน. ดอกไม้ไร้ราก. กรุงเทพฯ : มติชน, 2557. 472 หน้า. 1. สารคดี   I. อายุรี  ชีวรุโณทัย, ผู้แปล  II. ชื่อเรื่อง 813.01 ISBN 978 - 974 - 02 - 1294 - 2

ที่ปรึกษาส�ำนักพิมพ์  : อารักษ์  ​คคะนาท, สุพจน์  แจ้งเร็ว, สุชาติ  ศรีสุวรรณ, ปิยชนน์  สุทวีทรัพย์, ไพรัตน์  พงศ์พานิชย์, นงนุช สิงหเดชะ ผู้จัดการส�ำนักพิมพ์  : กิตติวรรณ เทิงวิเศษ • รองผู้จัดการส�ำนักพิมพ์  : รุจิรัตน์  ทิมวัฒน์ บรรณาธิการบริหาร : สุลักษณ์  บุนปาน • บรรณาธิการส�ำนักพิมพ์  : พัลลภ สามสี ผู้ช่วยบรรณาธิการ : วรางคณา เหมศุกล • พิสูจน์อักษร : ปารดา นุ่มน้อย กราฟิกเลย์เอาต์  : กิตติชัย ส่งศรีแจ้ง • ออกแบบปก-ศิลปกรรม : อริญชย์  ลิ้มพานิช ประชาสัมพันธ์  : สุภชัย  สุชาติสุธาธรรม หากท่านต้องการสั่งซื้อหนังสือเล่มนี้จ�ำนวนมากในราคาพิเศษ  เพื่อมอบให้วัด ห้องสมุด โรงเรียน หรือองค์กรการกุศลต่างๆ โปรดติดต่อโดยตรงที่ บริษัทงานดี จ�ำกัด โทรศัพท์ 0-2580-0021 ต่อ 3353 โทรสาร 0-2591-9012 www.matichonbook.com บริษัทมติชน จำ�กัด (มหาชน) : 12 ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์  1 เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์  0-2580-0021 ต่อ 1235 โทรสาร 0-2589-5818 แม่พิมพ์สี-ขาวดำ� : กองพิมพ์สี  บริษัทมติชน จำ�กัด (มหาชน) 12 ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์  1  เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900  โทรศัพท์  0-2580-0021 ต่อ 2400-2402 พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด 27/1 หมู่  5 ถนนสุขาประชาสรรค์  2 ตำ�บลบางพูด อำ�เภอปากเกร็ด นนทบุรี  11120  โทรศัพท์  0-2584-2133, 0-2582-0596 โทรสาร 0-2582-0597 จัดจำ�หน่ายโดย : บริษัทงานดี  จำ�กัด (ในเครือมติชน) 12 ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์  1  เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900  โทรศัพท์  0-2580-0021 ต่อ 3350-3353 โทรสาร 0-2591-9012 Matichon Publishing House a division of Matichon Public Co., Ltd. 12 Tethsabannarueman Rd, Prachanivate 1, Chatuchak, Bangkok 10900 Thailand หนังสือเล่มนี้พิมพ์ด้วยหมึกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อปกป้องธรรมชาติ  ลดภาวะโลกร้อน  และส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของผู้อ่าน


ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์

มีงานวรรณกรรมนับไม่ถ้วนที่ศึกษาชีวิตของ “ผู้พลัดถิ่น” หรือกลุ่มผู้อพยพ  ไปตั้งรกรากในต่างแดน มีศัพท์เรียกว่า “ไดแอสพอร่า” (Diaspora)  ซึ่ง  มาจากภาษากรีก หมายถึงการหว่านหรือการกระจาย น่าสนใจว่าผู้ที่ใช้ชีวิต  อยู่ในวัฒนธรรมหนึ่งมาตลอดชีวิตจะปรับตัวให้เข้ากับวิถีที่แตกต่างจาก  ความเคยชินได้อย่างไร และจะสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองในพื้นที่ต่างถิ่น  ได้อย่างไร เมื่อปี 1994 อันฉี หมิน หญิงสาวชาวจีนผู้อพยพมาอยู่อเมริกาได้  ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง Red Azalea หรือ อะเซเลียสีแดง เพื่อตีแผ่เรื่องราว  ชีวิตของเธอสมัยอยู่ประเทศจีนภายใต้การน�ำของเหมาเจ๋อตง อย่างที่ไม่มี  ใครเคยท�ำมาก่อน กระทั่งพูดได้ว่าหนังสือของเธอเปลี่ยนความคิดของคน  อเมริกันที่มีต่อประเทศจีนในสมัยนั้น อันฉี หมินเคยโอบรับอุดมการณ์  ของประธานเหมาอย่ า งเต็ ม หั ว ใจ เธอยิ น ดี อ ยู ่ ใ นประเทศที่ ป ระชากรมี  คุณภาพชีวิตย�่ำแย่ ถูกปิดกั้นเสรีภาพในการพูด แต่งกาย อ่าน เขียน หรือ  แม้แต่ความรัก ทั้งหมดนี้ก็เพราะความสุขสูงสุดของเธอคือชาติและผู้น�ำ หากแต่สิ่งส�ำคัญที่สุดซึ่งมนุษย์ผู้หนึ่งพึงมี เพื่อด�ำรงสภาพความ  เป็นมนุษย์ได้ ก็คือ เสรีภาพ ใน ดอกไม้ไร้ราก เล่มนี้ ความสุขของเธอเปลี่ยนจากความสุขในการ  ท�ำเพื่อชาติ มาเป็นความสุขในการรักตัวเอง นี่เป็นเรื่องราวของอันฉี หมิน  ดอกไม้ไร้ราก

5


ตั้งแต่เธอเดินทางมาใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีวิถีต่างจากจีนอย่าง  สุดขั้ว อันฉี หมินพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เธอต้องเรียนหนังสือและ  ท�ำงานใช้หนี้ก้อนโตไปด้วย ถึงแม้ว่าอเมริกาจะเป็นดินแดนเสรี แต่กลับ  มี “กรงขัง” อีกชุดหนึ่งที่เธอต้องปลดออก ทุนนิยมเสรีอาจท�ำให้เธอต้อง  กระเสือกกระสนและช�้ำอกช�้ำใจได้เช่นเดียวกับคอมมิวนิสต์ คุณลักษณะส�ำคัญยิ่งของอันฉี หมิน คือความฉลาดในการเอาตัว  รอด และการกัดฟันต่อสู้ไม่ว่าจะเจออุปสรรคร้ายแรงเพียงใด แม้ว่าเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านในผืนแผ่นดินอเมริกานี้จะถูกตีตราว่า  เป็น “เมล็ดพันธุ์ที่ถูกคั่ว” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีวันงอกงาม หาก  ยังคงยึดเหนี่ยวความเชื่อมั่นว่า จะมีวันที่ดีกว่านี้ ส�ำนักพิมพ์มติชน

6

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


ค�ำน�ำผู้แปล

อันฉี หมิน นักเขียนเจ้าของรางวัล British Book Awards 2006 (จาก  เรือ่ ง Empress Orchid หรือ ซูสไี ทเฮา ราชินดี อกกล้วยไม้) เคยเล่าประสบ  การณ์ชวี ติ ในประเทศจีนช่วงปฏิวตั วิ ฒ ั นธรรมให้เราฟังเป็นครัง้ แรกเมือ่ เกือบ  ยีส่ บิ ปีกอ่ น ในหนังสือบันทึกความทรงจ�ำเล่มแรกของเธอ เรือ่ ง Red Azalea  (อะเซเลียสีแดง)  ความทุกข์ยากทีป่ ระสบท�ำให้อนั ฉี หมินดิน้ รนหนีออกจาก  ประเทศจีนมาใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกา แต่ชวี ติ ช่วงแรกในอเมริกาของอันฉี หมินก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ  เธอต้องดิ้นรนต่อสู้อีกพักใหญ่กว่าจะเห็นแสงสว่างที่ปลายทางเดิน ดอกไม้ไร้ราก คือเรื่องราวชีวิตของอันฉี หมินตั้งแต่ช่วงที่เธอดิ้นรน  หนีจากประเทศจีน จนได้ไปเหยียบแผ่นดินอเมริกา ล้มลุกคลุกคลานนับครัง้   ไม่ถ้วน จนถึงจุดที่ชีวิตประสบความส�ำเร็จในปัจจุบัน ชีวิตการต่อสู้ของอันฉี หมินในอเมริกา พิสูจน์ให้เห็นว่าถึงจะต้อง  พบอุปสรรคนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตราบใดที่เราไม่งอมืองอเท้าปล่อยให้ชะตา  กรรมเล่นงานเราฝ่ายเดียว ในที่สุดเราก็จะได้พบกับความส�ำเร็จ ดังค�ำกล่าว  ที่ว่า “ชีวิตคือการต่อสู้” และ “ล้มแล้วต้องรู้จักลุก” ซึ่งเป็นประเด็นส�ำคัญที่  อันฉี หมินอยากบอกทุกคนผ่าน ดอกไม้ไร้ราก เล่มนี้ อายุรี ชีวรุโณทัย ดอกไม้ไร้ราก

7


แด่ลอรีแอน ขอบใจที่สนับสนุนให้แม่เขียนเรื่องนี้


1



บทที่ 1

วันนั้นคือวันที่ 31 สิงหาคม 1984 เวลาเที่ยงคืนในประเทศจีนและ

เป็นตอนเช้าของอเมริกา  ฉันก�ำลังลดระดับจากฟ้าลงแตะแผ่นดินชิคาโก  ฉันประหม่าที่สุด เพราะตัวเองพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นและไม่มีเงินเลย เงิน  ห้าร้อยเหรียญที่พับสอดไว้ในกระเป๋าสตางค์เป็นเงินที่ฉันขอยืมมา แต่ฉัน  จะปล่อยให้ตัวเองกลัวไม่ได้เด็ดขาด  ฉันอายุยี่สิบเจ็ด และชีวิตในประเทศ  จีนของฉันก็จบสิ้นลงแล้ว  ฉันคือขยะของมาดามเหมา 四人帮的残渣 余孽 ซึ่งหมายความว่าตัวฉันนั้นไม่มีค่าอะไรเลย  แปดปีเต็มที่ฉันท� ำงาน  เหมือนขี้ข้าอยู่ในโรงถ่ายภาพยนตร์เซี่ยงไฮ้ฟิล์มสตูดิโอ และทุกคนก็เห็นว่า  ฉันไม่ต่างอะไรกับ ‘เมล็ดพันธุ์ที่ถูกคั่ว’...ไม่มีวันเจริญงอกงามขึ้นมาได้ ขณะนั่งเครื่องบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ฉันรู้สึกเหมือนก�ำลังอยู่ใน  ฝันทั้งที่ลืมตาตื่น  ฉันพยายามนึกวาดภาพชีวิตที่รออยู่ข้างหน้า แต่สมอง  ของฉันกลับคิดไปถึงเรื่องอื่น  ฉันเห็นภาพตัวเองเป็นเด็กอนุบาลและทุกคน  พากันเรียกฉันว่า ‘ยายตัวเหม็น’ เป็นเพราะแม่ของฉันป่วยเป็นวัณโรค จึง  ไม่มีโอกาสได้ซักผ้าห่มที่ฉันเอากลับมาบ้านทุกเดือน “อีกไม่นานหรอก” แม่บอก  แม่อายุสามสิบเอ็ดปี และท่านก็คิดว่า  ตัวเองก�ำลังจะตาย  เมื่อเห็นว่าแม่หายใจล�ำบาก ประกอบกับที่คิดว่าคุณตา  ดอกไม้ไร้ราก

11


ฉันจากไปเพราะวัณโรคตอนอายุห้าสิบห้า ขณะที่คุณยายจากไปเมื่ออายุ  สี่สิบเก้า ฉันจึงไม่ใจจืดใจด�ำพอที่จะรบเร้าให้แม่ซักผ้าห่มให้ ฉันหอบผ้าห่มกลับไปโรงเรียนทั้งที่ยังไม่ได้ซัก ครูของฉันกลอกตา  และพูดว่า “ดูสิ มีรอยเล็บสัตว์ตะกุยด้วย!” จากนั้นก็เบือนหน้าหนีอย่าง  รังเกียจ  ฉันอับอายมาก อยากบอกครูว่าฉันพยายามแล้วที่จะซ่อมแซม  ผ้าห่มผืนนี้ด้วยตัวเอง แต่สนิมจับกรรไกรจนไม่สามารถใช้ตัดอะไรได้ พ่อ  ก็ช่วยอะไรฉันไม่ได้เหมือนกัน เพราะท่านแทบไม่ได้อยู่บ้าน  ทุกวันพ่อจะ  สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง มีรอยปะตามหัวเข่าและข้อศอกออกไปเที่ยวเคาะประตู  บ้านคนอื่นเพื่อขอยืมเงิน จนใครต่อใครพากันหลบหน้าเมื่อเห็นพ่อเดินเข้า  ไปหา ในฤดูร้อนที่อากาศชื้นและอบอ้าว สิวหลายเม็ดจะเริ่มปะทุขึ้นมาบน  หน้าผากฉัน  มันบวมเป่ง อักเสบ และแตกเป็นหนองจนแมลงวันหลายตัว  บินตอมหน้าผาก  ฉันพยายามไม่เกาเม็ดสิว แต่มันคันเหลือร้ายจนไม่อาจ  หักห้ามใจได้  ฉันถูกห้ามไม่ให้ออกไปเล่นและให้อยู่ห่างจากกลุ่มเพื่อนๆ  ในชั้น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะระหว่างชั่วโมงเล่านิทาน ฉันอ้อนวอนขอให้พ่อพาไปหาหมอ เพราะสิวเม็ดหนึ่งบวมปูดขึ้นมา  เท่าลูกองุ่น แต่แม่บอกว่าไม่มีเงิน  แม่มีลูกสี่คนและฉันก็เป็นคนเดียวใน  บ้านที่ไม่เจ็บป่วย “พ่อแกเที่ยวขอยืมเงินญาติทุกคนจนเขาระอากันหมด” แม่บอก  “ไม่มีใครอยากช่วยเราอีกแล้ว”  ทุกเดือนฉันเห็นพ่อกับแม่ดิ้นรนหาเงินมา  จ่ายหนีท้ เี่ กินก�ำหนดช�ำระให้บรรดาญาติๆ เพือ่ นฝูง และเพือ่ นร่วมงาน  เรา  ไม่มีแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวใช้ หลายปีทีเดียวที่เราหกคนต้องใช้ผ้าขี้ริ้วสกปรก  หนึ่งผืนร่วมกัน  โรคตาแดงแพร่สู่สมาชิกทุกคนในครอบครัว สุดท้ายแม่ก ็ บอกว่าเป็นสิวแค่นี้ไม่ท�ำให้ฉันถึงตายได้หรอก พวกเราถูกจัดเป็นชนชั้นกลางในเซี่ยงไฮ้ ฉันอยากให้พ่อแม่ของฉัน  เป็นชนชั้นกรรมาชีพเช่นเดียวกับเพื่อนบ้าน เราจะได้มีสิทธิรับการรักษาโดย  ไม่ต้องเสียเงิน แต่โชคร้ายที่ทั้งพ่อและแม่ของฉันเป็นครู  ดังนั้น จึงจัดเป็น  ชนชั้นกลางที่จะต้องเห็นอกเห็นใจผู้อยู่ในฐานะยากไร้กว่าเรา สภาพชีวิตที่  12

อายุร ี ชีวรุโณทัย แปล


เปลี่ยนไปถือว่าเป็นเรื่องของชะตากรรม  เมื่อเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมในปี  1965 แม่ของฉันถูกส่งไปท�ำงานในโรงงานแห่งหนึ่ง แม่มีหน้าที่หยิบรองเท้า  บู๊ตยางออกจากแม่พิมพ์ในสายการผลิตของโรงงาน  แม่ต้องต่อรถเมล์ถึง  สามทอดกว่าจะไปถึงที่ท�ำงาน จึงต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ส่วนพ่อของฉัน  เป็นคนงานในโรงพิมพ์แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลกว่านั้น วันหนึ่งทางโรงเรียนอนุบาลส่งฉันกลับบ้านพร้อมจดหมายแจ้งเตือน  หนึ่งฉบับ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจากส�ำนักงานสาธารณสุขเป็นห่วงว่าฉันอาจ  จะเป็นตัวการแพร่เชื้อ จึงสั่งให้พ่อแม่ของฉัน “ท�ำอะไรสักอย่าง” หรือมิเช่น  นั้นรัฐบาลจะจัดการเอง แต่แม่ตัดสินใจไม่ท�ำอะไรทั้งสิ้น จักรยานสามล้อสีน�้ำเงินพ่นดาวแดงสองข้างมารับตัวฉันไปตอนบ่าย  วันจันทร์วันหนึ่ง พาฉันไปให้หมอผ่าสิวเป็นหนองออกที่โรงพยาบาล และ  ผลจากการผ่าก็ทิ้งรอยแผลเป็นยาวหนึ่งนิ้วไว้บนหน้าผากข้างซ้ายของฉัน แม่ดูจะตกใจไม่น้อยเมื่อเปิดผ้าปิดแผลออก และประท้วงว่าท่านไม่  เคยออกปากอนุญาตให้หมอลงมือผ่าสิวให้ฉัน  “ให้ตายเถอะ พวกคุณท�ำ  ให้ลูกสาวฉันเสียโฉม!” พวกเขาบอกแม่ว่ารูปโฉมของเด็กผู้หญิงไม่มีความหมายอะไรใน  สังคมของชนชั้นกรรมาชีพ “คุณควรส�ำนึกในบุญคุณของพรรคคอมมิวนิสต์  และระบบสังคมนิยม ในเมื่อคุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการผ่า!” ตอนจบชัน้ ประถมศึกษา ฉันก็ยงั ไม่มเี พือ่ นเหมือนเดิม เสือ้ ผ้าของฉัน  เต็มไปด้วยรอยปะ รองเท้าที่ใส่อยู่ก็ใกล้ขาดเต็มที  พวกเด็กนิสัยอันธพาล  แย่งกันตีหัวฉันด้วยร่มกับลูกคิด  เด็กเหล่านั้นดูจะสนุกสนานกันมากกับ  เสียงลูกคิดกระทบกะโหลกฉัน ยิ่งฉันก้มหลบ มันก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องน่าตื่น  เต้นมากขึ้นอีก  ฉันไม่เคยเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียน เพราะ  ฉันเชื่อว่าท่านทั้งสองรังแต่จะท�ำให้สถานการณ์เลวร้ายหนักขึ้น “ครูจะทิง้ เธอไว้กลางถนน” ครูอนุบาลขู ่ “นีม่ นั สีท่ มุ่ แล้วนะ! แม่เธอเอาเปรียบ  ครู ครูเองก็มลี กู สามคนต้องดูแลเหมือนกัน” ฉันกลัวมาก แต่ในทีส่ ดุ แม่กม็ า  ร่างของแม่ผอมโกรก แลดูเหมือนผีกลางแสงสลัวของไฟส่องถนน ดอกไม้ไร้ราก

13


วันที่แม่ได้รับเงินค่าแรง ฉันจะพาน้องๆ ออกไปรอแม่ที่ป้ายรถเมล์  สาย 24 บนถนนส่านซี  หลายวันแล้วที่พวกเราอยู่กับความหิวโหย ฉันใช้  ลิ้นเลียหม้อข้าวจนเกลี้ยง และยังแทะแกนแอปเปิล รวมทั้งดูดไม้อมยิ้มที ่ เก็บได้จากถังขยะตามถนน  พวกเราพอจะประทังความหิวได้เมื่อนึกว่าแม่  จะซื้อขนมปังมาให้ เราส่งเสียงไชโยทันทีที่แม่ก้าวลงจากรถ แต่มีอยู่ครั้ง  หนึ่งที่แม่กลับมาพร้อมข่าวร้าย...กระเป๋าสตางค์ของแม่ถูกขโมยบนรถเมล์ อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันท�ำอยู่บ่อยๆ คือนั่งรอแม่ที่โรงพยาบาล แม่อยาก  ได้ใบรับรองแพทย์ระบุว่าท่านเป็นผู้ป่วยที่ควรอนุญาตให้พักงาน จนแทบจะ  เรียกได้ว่ารู้สึกยินดีอย่างยิ่งเมื่อท่านมีอาการวิงเวียนศีรษะ เพราะรู้ว่าอาการ  เช่นนี้อาจท�ำให้แพทย์ออกใบรับรองตามที่ท่านต้องการ ฉันเห็นแม่โยนยาทิ้ง  เพื่อให้แน่ใจว่าอาการของท่านจะไม่มีวันดีขึ้น ครั้งหนึ่งแม่ของฉันเคยเป็นคนสวย แม้จะไม่เคยใส่ใจกับความสวย  ของตัวเอง แต่ใครๆ ก็มกั จะเอ่ยปากชมตาสองชัน้  “เหมือนแขก” และรูปร่าง  เพรียวระหงของแม่ตลอดเวลา แม่ชอบบทกวีและชอบร้องเพลงจีนเก่าแก่  ทั้งที่แทบจะไต่เสียงสูงไม่ได้ เพราะปอดของท่านไม่แข็งแรง อีกหนึ่งความทรงจ�ำที่ยังแจ่มชัด ก็คือเรื่องที่ฉันยืนรอแม่ในโรงรับ  จ�ำน�ำซึง่ มีประตูบานมหึมาสีดำ� และเคาน์เตอร์สงู ลิบ  แม่ของฉันยืนเขย่งขณะ  เอื้อมวางถุงเสื้อผ้าเหนือเคาน์เตอร์ แม่จัดการซ่อมแซมและเย็บกระดุมติด  เสื้อผ้าพวกนี้ในคืนก่อนหน้านั้น  ท่านเอาเสื้อผ้าส�ำหรับสวมในฤดูหนาวของ  ท่านมาจ�ำน�ำเมื่อถึงฤดูร้อน และเอาเสื้อผ้าฤดูร้อนมาจ�ำน�ำในฤดูหนาว ในที่  สุดก็ไม่มีอะไรเหลือให้ท่านเอามาจ�ำน�ำได้อีก ฉันจะไม่มีวันลืมสีหน้าผิดหวัง  ของแม่ได้เลยเมื่อของที่ท่านน�ำมาจ�ำน�ำถูกปฏิเสธ มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันเห็นแววตาของแม่สว่างวาบขึ้นมา เมื่อญาติคนหนึ่ง  ซื้อเสื้อแจ๊กเก็ตมาให้พวกเราเด็กๆ เป็นของขวัญวันปีใหม่  ฉันหวังเต็มที่ว่า  จะได้สวมเสื้อแจ๊กเก็ตตัวนั้นไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น แต่เสื้อแจ๊กเก็ตทุกตัว  หายไปหมด แม่ไม่เคยบอกเราว่าเสื้อแจ๊กเก็ตพวกนั้นหายไปอยู่ที่ไหน แต่  ฉันรู้ว่าท่านเอาเสื้อทุกตัวไปจ�ำน�ำหมดแล้ว และท่านก็คงสัญญากับตัวเองว่า  จะไปไถ่ออกมาก่อนวันที่ตั๋วหมดอายุ แต่ท่านไม่เคยมีเงินพอจะท�ำเช่นนั้น 14

อายุร ี ชีวรุโณทัย แปล


ฉันจ�ำรอยเลือดเป็นทางบนหิมะที่แม่เดินผ่านได้ดี แผลถูกหิมะกัด  ปริแตก ฝ่าเท้าแม่จึงมีเลือดไหล รองเท้าที่แม่ใส่ท�ำด้วยพลาสติก มันบาด  เท้าแม่ในฤดูหนาว แม่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อรองเท้าหรือถุงเท้าท�ำด้วยผ้า ฉันเดินตามรอยเท้าเปื้อนเลือดของแม่พลางนึกพิศวง แม่ไม่เคยปริ  ปากบ่นว่าเจ็บเลยสักครั้ง แม่ได้แต่นิ่วหน้าเป็นครั้งคราวขณะร้องครางเพียง  แผ่วเบา หลายวันก่อนออกเดินทางมาอเมริกา ฉันไปที่ร้านท�ำผมแห่งหนึ่งบนถนน  ส่านซี ชื่อร้าน ‘มะลิขาวเซี่ยงไฮ้’ คนที่ร้านถามถึง ‘วาระ’ ของงานที่ฉันจะไป “ทรงผมควรเหมาะกับวาระโอกาส” ช่างท�ำผมบอก ฉันจึงบอกไปว่า  ฉันก�ำลังจะเดินทางออกนอกประเทศไปอเมริกา ช่างท�ำผมมองฉันหัวจดเท้า  ด้วยสายตาไม่เชื่อถือ ฉันจึงหยิบหนังสือเดินทางออกมาเปิดหน้าที่มีวีซ่า  อเมริกาให้เธอดู “ไปอเมริกา!” ช่างท�ำผมคนนั้นตะโกนเสียงดังให้ทุกคนในห้องได้ยิน  คนงานในร้านจึงพากันละมือจากลูกค้าเข้ามาห้อมล้อมรอบตัวฉัน “จะไปอเมริกาทั้งที่ดูเหมือนชาวนาแบบนี้ได้ยังไง” ช่างท�ำผมคนหนึ่ง  พูด “คุณจะไปเดินท่อมๆ ตามถนนในอเมริกาด้วยทรงผมเหยียดตรง  เหมือนไม้ถูพื้นแบบนี้ไม่ได้แน่” อีกคนหนึ่งสนอง และฉันก็เห็นด้วย หลังจากหารือกันอย่างเคร่งเครียด พวกช่างท�ำผมในร้านก็เสนอทรง  ที่เรียกว่า ‘เอสเมอรัลดา’ ฉันไม่รู้ว่าทรง ‘เอสเมอรัลดา’ หมายถึงอะไร พวกเขาจึงอธิบายว่า  ‘เอสเมอรัลดา’ คือทรงผมยอดนิยมในเซี่ยงไฮ้ เลียนแบบมาจากผู้หญิงยิปซี  แสนสวยชื่อเอสเมอรัลดาในภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่อง The Hunchback of Notre-Dame (คนค่อมแห่งนอเตรอ-ดาม)* ทีเ่ พิง่ น�ำเข้ามาฉายเมือ่ เร็วๆ นี้ * ภาพยนตร์โทรทัศน์อังกฤษ-สหรัฐอเมริกาปี 1982 เรื่อง The Hunchback of Notre-Dame จากบทประพันธ์ของ Victor Hugo-ผู้แปล

ดอกไม้ไร้ราก

15


ฉันรีบรุดไปชมภาพยนตร์เรื่องที่ว่านั้น เพื่อดูให้แน่ใจว่าผมทรง ‘เอส  เมอรัลดา’ คือทรงที่ฉันต้องการจริงๆ แล้วฉันก็ตกหลุมรักเอสเมอรัลดา  ฉันกลับไปที่ร้านเสริมสวยอีกครั้ง ขอให้ช่างท�ำผมทรงนั้นให้ฉัน  อีกเจ็ด  ชัว่ โมงต่อมา ช่างก็ประกาศว่าผมทรงเอสเมอรัลดาของฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ระหว่างขัน้ ตอนการท�ำผม ฉันต้องทนกับการทีผ่ มถูกดึง ถูกม้วน และถูกเป่า  น�้ำยาดัดผมที่ใช้ส่งกลิ่นฉุนยิ่งกว่ามูลสัตว์ และโรลม้วนผมเซรามิกร้อนๆ ก็  หนักอึ้งอยู่บนศีรษะ  ในที่สุดช่างก็พาฉันกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ฉันถึงกับ  พลัดตกเก้าอี้ทันทีที่เห็นภาพตัวเองสะท้อนออกมาจากกระจก “นี่มันไม่ใช่ทรงเอสเมอรัลดานี่!” ฉันอุทาน “เหมือนเก็บเอาสาหร่าย  ทะเลมาใส่ตะกร้ามากกว่า” เสียงกัปตันผูค้ วบคุมการบินดังมาตามล�ำโพง แต่ฉนั ฟังไม่ออกว่าเขาพูดอะไร  ฉันเหลียวมองรอบตัว เห็นผู้โดยสารทางขวาและซ้ายปลดเข็มขัดนิรภัยจึง  ท�ำตาม เครื่องบินเริ่มลดระดับ ฉันมองเห็นแสงไฟแผ่กว้างสุดตา ความงาม  นัน้ ท�ำให้ฉนั ตะลึงลาน  ค�ำพูดทีบ่ อกว่า “ลัทธิทนุ นิยมเน่าเฟะ แต่ลทั ธิสงั คม  นิยมเจริญรุ่งเรือง” วาบขึ้นในสมอง ผลของสังคมเน่าเฟะเป็นเช่นนี้เองหรือ? เครื่องบินสั่นไปทั้งล�ำขณะร่อนลงแตะพื้น ผู้โดยสารพากันส่งเสียง  ไชโยเมื่อเราหยุดนิ่งอยู่กับที่ในที่สุด  ทุกคนทยอยลุกขึ้นยืนหยิบสัมภาระ  ส่วนตัวแล้วก้าวออกจากเครื่องบิน “ชิคาโกหรือ” ฉันถามแอร์โฮสเตสคนหนึ่ง “ไม่ใช่ค่ะ” เธอยิ้ม “ไม่ใช่ชคิ าโกหรือ” ฉันหยิบตั๋วออกมา “ที่นี่ซีแอตเทิลค่ะ” เธอท�ำสัญญาณบอกไม่ให้ฉันขวางทางคนอื่น สิ่ง  ที่เธอพูดนอกเหนือจากนั้นฉันไม่เข้าใจ ฉันเดินตามผู้โดยสารคนหนึ่งเข้าไปในห้องโถงขนาดใหญ่ ความตื่น  กลัวเริ่มท�ำให้ฉันหายใจไม่ออก มือที่ถือหนังสือเดินทางของฉันชุ่มไปด้วย  เหงื่อ 16

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


ฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้เดินด้วยขาของตัวเอง เสียงอึงอลในหัวดังกลบ เสียงจากภายนอก มันดังเหมือนเสียงรถแทรกเตอร์นอตหลวมแล่นอยู่บน หนทางขรุขระ ฉันกลัวเหลือเกินว่าจะถูกจับได้ ฉันไม่ใช่คนที่ตัวเองแอบอ้าง...ไม่ใช่ นักศึกษาที่พร้อมจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในอเมริกา แต่ฉันยังมีทางเลือก อื่นอีกหรือ ทางการคงไม่มีวันออกหนังสือเดินทางให้ ถ้าฉันไม่ตีหน้าซื่อ โกหก  เมื่ออ้างว่าตัวเองจงรักภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์ยิ่งชีพ และสถาน กงสุลอเมริกันในเซี่ยงไฮ้ก็คงไม่อนุมัติวีซ่า ถ้าฉันไม่ใช้วิธีขี้โกง โดยท่องค�ำ พูดแนะน�ำตัวเป็นภาษาอังกฤษราวกับบทเพลง ฉันดันทุรังพาตัวโผนทะยาน ไปข้างหน้า ดุจเดียวกับวัวกระทิงที่เลือดก�ำลังไหลโกรก ไม่มีเวลาให้ฉันรู้สึก กลัวจนถึงนาทีนี้ พ่อเสียอีกที่กลัวแทนฉันแทบตาย เพราะท่านไม่เคยคิดว่าฉันจะผ่าน พ้นทุกอย่างมาได้  ไม่ว่าใครที่มีสามัญส�ำนึกครบถ้วน หรือคนที่ยังเหลือ โอกาสดีๆ ในชีวิตคงไม่ท�ำในสิ่งที่ฉันก�ำลังท�ำอยู่เป็นแน่  ฉันคือกบที่ตกลง ไปในชามและจ�ำเป็นต้องถีบขาว่ายวนหาทางออกจนกว่าจะหมดแรง ฉันต้อง กระโดดข้ามรั้วที่เป็นอุปสรรคขวางอยู่ตรงหน้า พอลงจากเครื่องบิน ฉันก็มองหาห้องน�้ำเป็นอันดับแรก ฉันสับสนกับป้าย ทุ ก ป้ า ยที่ เ ป็ น ภาษาอั ง กฤษ จึ ง เดิ น ตามผู ้ ห ญิ ง คนหนึ่ ง เข้ า ไปในห้ อ งที่ มี สัญลักษณ์รูปผู้หญิงสวมกระโปรง ฉันดีใจเมื่อพบว่าตัวเองเข้ามาถูกที่แล้ว ในห้องน�้ำไม่มีคนต่อแถวรอคิว ฉันจึงกวาดตามองรอบตัวให้แน่ใจว่าเข้ามา อยู่ในที่ที่คิดไว้จริงๆ  ฉันก้าวเข้าไปในห้องเล็กๆ แล้วปิดประตู ฉันไม่เคย เห็นห้องส้วมที่ไหนสะอาดสะอ้านและกว้างขวางเท่านี้มาก่อน กระดาษช�ำระ ม้วนหนึ่งปรากฏในสายตา มันช่างขาวบริสุทธิ์และนุ่มมือเมื่อสัมผัส ฉันนึก สงสัยขึน้ มาว่ามันราคาเท่าไหร่ ถ้าต้องเสียสตางค์ ฉันก็จะไม่ใช้มนั   ฉันนัง่ ลง แล้วลองดึงกระดาษออกมาสองสามนิ้วก่อนหันมองรอบๆ และนิ่งฟัง แต่ไม่ ได้ยินสัญญาณเตือน  ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองสามารถใช้กระดาษนี้ได้หรือไม่ จึงดึงออกมาอีกหนึ่งฟุต...แล้วก็อีกหนึ่งฟุต ดอกไม้ไร้ราก

17


ฉันยกกระดาษขึ้นแตะที่ใต้จมูกและได้กลิ่นหอมอ่อนๆ แล้วฉันก็ ตัดสินใจว่ามันน่าจะเป็นของฟรี ฉันบรรจงเช็ดก้นด้วยกระดาษที่ดึงออกมา โดยไม่รู้สึกระคายเคืองแม้แต่น้อย มันช่างเป็นความรู้สึกที่อัศจรรย์ยิ่งนัก ฉันเติบโตขึ้นมากับกระดาษช�ำระที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากกระดาษทราย อันที่จริงฉันเตรียมสิ่งนั้นใส่กระเป๋าเดินทางมาด้วย...มันคือกระดาษช�ำระที่ ท�ำจากฟางหยาบกระด้าง ภาพของผู้คนหลากหลายสีตา สีผม และสีผิวเป็นเครื่องยืนยันว่าฉันไม่ได้ อยู่ในประเทศจีนอีกแล้ว หวังว่าคงไม่มีใครขัดหูขัดตากับผมทรงสาหร่าย ทะเลของฉัน  ฉันขยับตามแถวหน้าเคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง จนกระทั่งเสียงผู้ชายที่นั่งหลังเคาน์เตอร์ร้องบอกว่า “คนต่อไป!” นั่นเอง ฉันจึงรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นปะทุออกมานอกอก ฉันบังคับให้ตัวเองก้าวเท้าไปข้างหน้า ภาพความเป็นไปรอบตัวเริ่ม หมุนติ้ว  ฉันเดินเข้าไปเผชิญเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองนายหนึ่ง ฉันอยาก ยิม้ และพูดกับเขาว่า “สวัสดีค่ะ!” แต่ขากรรไกรกลับแข็งค้าง ฉันเห็นแต่ภาพ ภาพหนึ่งในสมอง...ภาพที่กลุ่มชาวนาพยายามล�ำเลียงพระพุทธรูปปั้นจาก ดินเหนียวองค์หนึ่งข้ามแม่น�้ำ ก่อนที่พระพุทธรูปองค์นั้นจะแตกเป็นเสี่ยง แล้วละลายไปกับสายน�้ำ ฉันตัวสั่นขณะยื่นมือขวาออกไปพร้อมหนังสือเดินทาง เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเป็นชายผิวขาววัยกลางคนและมีหนวด เขาเอ่ยค�ำพูด บางอย่างเป็นการต้อนรับพร้อมรอยยิ้มกว้างขวางบนใบหน้า ภายหลังต่อมา ฉันจึงรู้ว่าค�ำพูดประโยคนั้นก็คือ “ยินดีต้อนรับสู่อเมริกา” ฉันนึกไม่ออกว่าจะต้องพูดอะไรขณะพยายามสูดลมหายใจ ผู้ชาย คนนี้ก�ำลังถามหรือก�ำลังทักทายฉันกันแน่ สิ่งที่เขาพูดหมายถึง “คุณมาจาก ไหน” หรือ “สบายดีหรือเปล่า” ใช่ไหม ก่อนหน้านี้ฉันเคยเรียนจากหนังสือภาษาอังกฤษ 900 ประโยค ซึ่ง บอกไว้วา่ ประโยคทีค่ วรพูดเมือ่ พบหน้ากันครัง้ แรกก็คอื  “ฮาว ดู ยู ดู (สบาย ดีหรือ)” แต่เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่ประโยคที่เจ้าหน้าที่พูด  ฉันควรตอบเขา 18

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


ว่าอย่างไร  ฉันควรพูดว่า “เวรี่เวลล์ แท้งกิ้ว แอนด์ ฮาว อาร์ ยู (สบายดี ขอบคุณค่ะ แล้วคุณล่ะคะ)” หรือ “ไอ แอม ฟรอม ไชน่า (ฉันมาจากประเทศ จีน)” กันแน่ ถ้าเกิดสิ่งที่เขาพูดเป็นค�ำทักทายเฉยๆ เล่า จะท�ำอย่างไร  ฉันได้ยิน เขาพูดว่า “อเมริกา” ใช่หรือเปล่านะ  คิดว่าน่าจะใช่  “อเมริกา” หมายถึง “สหรัฐอเมริกา” ไม่ใช่หรือ เป็นไปได้ไหมว่าประโยคที่เขาพูดคือ “เพราะ อะไรคุณจึงเดินทางมาอเมริกา” ฉันรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นก�ำลังจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฉัน จึง ตัดสินใจตอบไปด้วยประโยคที่เตรียมไว้ ฉันเชิดหน้า ปั้นยิ้ม แล้วบังคับให้ประโยคนั้นหลุดออกจากปากอย่าง ชัดถ้อยชัดค�ำที่สุดว่า “แท้งกิ้ว เวรี่มัช (ขอบคุณมากค่ะ)” เจ้าหน้าที่หยิบหนังสือเดินทางของฉันไปตรวจดู “แอน...อา คิวหรือ” เขาถาม “อ่านว่าอา...คิว เอ...คี หรือเอ...คิวนะ” ชื่อต้นของฉันในหนังสือเดินทางสะกดว่า “An-Qi” ฉันไม่มีสิทธิ สะกดชื่อตัวเองตามใจชอบ รัฐบาลคอมมิวนิสต์เป็นผู้บัญญัติการถอดเสียง ตามระบบพินอิน  ดังนั้น ชื่อที่ออกเสียงเป็น ‘อันฉี’ จึงต้องสะกดเป็น “AnQi” เจ้าหน้าทีพ่ รรคคอมมิวนิสต์ทรี่ บั ผิดชอบเรือ่ งการปฏิรปู ภาษาเชือ่ ว่า เมือ่ เห็นอักษร “Qi” ชาวต่างชาติจะออกเสียงเป็น “ชี” คนจีนไม่ได้รับอนุญาต ให้สะกดชื่อตัวเองเป็นอย่างอื่นในหนังสือเดินทาง ฉันควรตอบว่า “ใช่คะ่  ฉันชือ่ อา-คิว” หรือเปล่านะ  คงไม่ดแี น่  “อาคิว” คือคนจีนที่ขึ้นชื่อว่าโง่ที่สุด ถ้าเป็น “อา-บี” หรือ “อา-ซี” ละก็ ฉันคง เต็มใจตอบรับไปแล้ว ฉันไม่ได้เดินทางมาอเมริกาเพื่อให้ใครๆ เรียกว่าคน โง่นี่นะ เจ้าหน้าที่เอ่ยค�ำพูดอีกครั้ง คราวนี้ฉันไม่เข้าใจอะไรเลยสักค�ำ เจ้า หน้าทีร่ อฟังค�ำตอบจากฉัน แล้วฉันก็ได้ยนิ เขาถามว่า “เข้าใจหรือเปล่า” ด้วย เสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม เขาก�ำลังหมดความอดทน พระพุทธรูปดินเหนียวละลายหายไปสิ้น...ถูกแม่น�้ำกลืนกินจนหมด เจ้าหน้าที่มองส�ำรวจฉันทั่วตัวด้วยแววตาสงสัย ดอกไม้ไร้ราก

19


ฉันรวบรวมความกล้าแล้วเปล่งเสียงพูดออกไปอีกครั้งว่า “แท้งกิ้ว เวรี่มัช” เจ้าหน้าที่กวักมือให้ฉันขยับเข้าไปใกล้ขึ้นแล้วเริ่มรัวค�ำพูดใส่ ฉันตะโกนตอบเสียงดังอย่างตื่นตระหนกว่า “แท้งกิ้ว เวรี่มัช” รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ชายคนนั้นเลือนหายไป เขาไม่ถามอะไรฉัน อีก แต่ยึดหนังสือเดินทางของฉันไปพลางชี้ไปยังห้องห้องหนึ่งห่างไปราว ยี่สิบฟุต ซึ่งมีประตูพร้อมช่องกระจกบานใหญ่ โลกทั้งใบกลับไร้ซึ่งสรรพส�ำเนียงพร้อมๆ กับที่เข่าของฉันอ่อนยวบ ฉันถูกพาเข้าไปในห้องสีน�้ำตาล สุภาพสตรีคนหนึ่งก้าวเข้ามา เธอแนะน�ำตัว เองว่าเป็นล่าม เธอเริ่มพูดเป็นภาษาแมนดารินส�ำเนียงแปร่งทันที “คุณพูด ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่คุณมาที่นี่เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย  คุณจะ อธิบายเรื่องนี้อย่างไร คุณหมิน” ฉันสารภาพว่าตัวเองทุจริตและยอมรับผิดทุกอย่าง “ในเอกสารของคุณระบุว่าคุณพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง” ล่ามพูดต่อ “เข้าใจว่าคุณคงไม่ได้กรอกรายละเอียดในเอกสารเองใช่ไหม เราต้องส่งคุณ กลับประเทศ คุณหมิน” ฉันใจสลายทันที “ฉันมาอเมริกาก็เพราะในประเทศจีนไม่มีอนาคต ส�ำหรับฉัน ถ้าแถวแม่น�้ำหวงผู่ตอนกลางดึกคนไม่เยอะมากขนาดนั้น ฉันคง ฆ่าตัวตายไปแล้ว คงไม่มาสร้างความเดือดร้อนให้คุณที่นี่หรอก” “เสียใจด้วยคุณหมิน” ล่ามเบนตาไปทางอื่น “อนาคตของฉันต้องไม่จบลงด้วยความตายในประเทศจีน” ฉันร้อง อุทธรณ์ “ถ้าคุณส่งฉันกลับไป ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับคนตายนั่นเอง เฉพาะ ค่าตั๋วเครื่องบินก็เท่ากับเงินเดือนของฉันสิบห้าปีเข้าไปแล้ว ครอบครัวของ ฉันต้องเป็นหนี้เป็นสินก็เพราะฉัน  ฉันขอร้อง ขอโอกาสให้ฉันสักครั้งเถอะ” “คุณหมิน คุณจะอยู่ในประเทศนี้ได้อย่างไร” ล่ามส่ายหน้า  “ถึงเรา จะปล่อยคุณไป คุณก็ไม่มีทางเอาตัวรอดในมหาวิทยาลัยอเมริกาได้หรอก คุณเข้าใจไหม คุณจะกลายเป็นภาระในสังคมของเรา” 20

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


“ฉันจะไม่เป็นภาระของใครทั้งนั้น ฉันไม่ต้องการอะไรมากในการ ด�ำรงชีวิต ฉันเป็นคนงานที่ยอดเยี่ยมมากนะ ฉันจะส่งตัวเองกลับบ้านถ้า พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ภายในสามเดือน” “คุณหมิน...” “โอ ได้โปรดเถอะ ไหนๆ ฉันก็มาเหยียบแผ่นดินอเมริกาแล้ว ฉัน อาจจะพูดจาสื่อสารกับใครไม่ได้ แต่ฉันวาดรูปเป็น ฉันจะท�ำให้ทุกคนเข้าใจ ฉันเอง  ดูนี่สิ นี่ไงรูปที่ฉันวาด ฉันจะเข้าเรียนที่สถาบันศิลปะแห่งชิคาโก...” ล่ามคนนั้นมองภาพวาดของฉันด้วยสีหน้าเย็นชา “ช่วยหน่อยเถอะ ฉันจะไม่มีวันลืมพระคุณเลย” ล่ามสาวกัดริมฝีปากพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ฉันเสียใจจริงๆ ที่ท�ำให้คุณวุ่นวาย” ฉันร้องไห้ ล่ามคนนั้นจ้องมองฉันเงียบๆ แล้วผลุนผลันออกจากห้องไป

ดอกไม้ไร้ราก

21


บทที่ 2

แมวมองของมาดามเหมาเป็นคนชี้ตัวเลือกฉันเอง ขณะที่ฉันก�ำลัง

ถางวัชพืชอยู่ในไร่ฝ้าย ปีนั้นคือปี 1976  ฉันท�ำงานอยู่ในค่ายแรงงานใกล้ ทะเลจีนตะวันออก เยาวชนจีนครึง่ ค่อนประเทศถูกส่งไปอยู่ตามค่ายแรงงาน ต่างๆ  เหมาเป็นฝ่ายมีชัยในการปฏิวัติวัฒนธรรม และประสบความส�ำเร็จ ในการขจัดศัตรูการเมืองของตนจนสิ้นซาก โดยอาศัยมือนักเรียนนักศึกษา ที่เขาเรียกว่า ‘องครักษ์แดง’ แต่เยาวชนทั้งหลายเริ่มก่อความไม่สงบตาม เมืองต่างๆ เหมาจึงส่งเยาวชนเหล่านี้ไปอยู่ในชนบท เขาบอกว่าเพื่อให้พวก เรา “ได้รับการศึกษาที่แท้จริงจากชาวนา” ไม่นานนักเราก็ตระหนักว่าพวกเราถูกส่งมาอยู่ในขุมนรก เราทุกคน คิดว่าข้าวที่เราปลูกถูกส่งไปเลี้ยงคนเวียดนาม ทั้งที่เราปลูกได้ไม่พอเลี้ยง ปากเลี้ยงท้องตัวเองด้วยซ�้ำ  ผืนดินที่ซึมซ่านไปด้วยเกลือไม่เป็นใจกับการ ปลูกข้าว พวกเราต้องท�ำงานกันวันละสิบแปดชัว่ โมงในฤดูเพาะปลูก  ในค่าย แรงงานใกล้ทะเลจีนตะวันออกมีเยาวชนอายุระหว่างสิบเจ็ดถึงยี่สิบห้าปีราว หนึ่งแสนคน และพรรคคอมมิวนิสต์ก็ควบคุมเราอย่างทารุณโหดเหี้ยม  มี บทลงโทษร้ายแรง ซึ่งอาจถึงขั้นประหารชีวิต ส�ำหรับคนที่บังอาจฝ่าฝืนกฎ ระเบียบ  ชีวิตในค่ายแรงงานไม่มีวันหยุดพักผ่อน ไม่มีเสาร์อาทิตย์ ไม่มี

22

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


การลาป่วย และไม่มีการนัดพบกันระหว่างชายหญิง เราอาศัยอยู่ในค่ายพัก แบบเดียวกับค่ายทหารที่ไม่มีห้องอาบน�ำ้ หรือห้องส้วม พวกเราท�ำงานเยี่ยง ทาส อีกทั้งยังได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กว่า พรรคคอมมิวนิสต์มี พระคุณต่อเรายิ่งชีพ ฉันถูกส่งไปโรงถ่ายภาพยนตร์เซีย่ งไฮ้ฟลิ ม์ สตูดโิ อราวกับพัสดุสงิ่ ของ เพื่อเข้ารับการฝึกฝนให้รับบทเป็นตัวแสดงน�ำในภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อ ของมาดามเหมา ทั้งๆ ที่ฉันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยเกี่ยวกับการแสดง  ที่ฉัน ถูกเลือกก็เพราะมีรูปร่างหน้าตาตรงตามภาพลักษณ์ของวีรสตรีชั้นกรรมาชีพ ที่มาดามเหมาวาดไว้ ใบหน้าของฉันกร้านแดดลมและร่างกายก็มีกล้ามเนื้อ แข็งแกร่งเหมาะกับการแบกมูลสัตว์ครั้งละหลายร้อยปอนด์ ฉันตัวแข็งทื่อ ขึน้ มาทันทีทไี่ ด้ยนิ เสียงเดินกล้อง แต่ฉนั ก็กดั ฟันพยายาม เพือ่ ชีวติ จะได้พน้ จากค่ายแรงงานเสียที ปี 1976 เป็นปีที่คนทั้งประเทศต้องพบกับเหตุการณ์น่าตื่นตระหนก ซ้อนๆ กันถึงสองครัง้  เมือ่ ประธานเหมาถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 9 กันยายน จากนั้น ระหว่างที่พวกเรายังจมอยู่กับความเศร้าหมอง มาดามเหมาก็มาถูก โค่นจากอ�ำนาจตามไปอีกคน สถานภาพของฉันเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา ฉัน ถูกมองว่าเป็น “ขยะของมาดามเหมา”...ผิดเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญา กร “ความงามตามแบบฉบับชนชั้นกรรมาชีพ” ของฉันกลายเป็น “หลักฐาน ที่แสดงถึงรสนิยมและการกระท�ำอันชั่วช้าของมาดามเหมา” ในเมื่อฉันจงรักภักดีต่อมาดามเหมาแล้วจะเรียกว่าฉันไม่ซื่อสัตย์กับ เหมาได้อย่างไร ฉันไม่เคยมีสทิ ธิออกความเห็นเรือ่ งอะไรทัง้ สิน้ ในชีวติ  ต�ำรา เรียนสอนให้ฉนั ยกย่องเทิดทูนคนทีย่ อมตายเพือ่ อุดมการณ์ของคอมมิวนิสต์ มีหลายคนถึงกับกระโดดตึก แขวนคอ ดื่มยาฆ่าแมลง กระโดดน�้ำ กินยา นอนหลับ และเชือดข้อมือตัวเอง เพียงเพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงความจงรักภักดี ที่มีต่อเหมา แต่ฉันพบว่าการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนกว่าที่คิด ฉันรู้ สึกว่าตัวเองไม่สมควรตาย เพราะฉันไม่ได้ท�ำอะไรผิด มันไม่ใช่ความผิดของ ฉันที่มาดามเหมาเลือกฉัน สิ่งที่เธอต้องการก็คือ “กระดาษขาวหนึ่งแผ่นที่ ดอกไม้ไร้ราก

23


สามารถน�ำมาระบายสีได้ตามอ�ำเภอใจ” ฉันเพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่ตามค�ำสั่ง เท่านั้นเอง  ตอนอยู่ในโรงถ่ายภาพยนตร์เซี่ยงไฮ้ฟิล์มสตูดิโอ ฉันถูกสอน แม้กระทั่งวิธีดื่มน�ำ  ้ “แบบชนชั้นกรรมาชีพ” “ไม่ใช่อย่างนั้น สหายหมิน ดื่มแบบนั้นไม่ถูก” ครูฝึกตะเบ็งเสียงใส่ ฉัน “อย่ากระดกนิ้วก้อยสิ แบบนั้นมันกิริยาของผู้หญิงมีอันจะกิน เธอต้อง คว้าถ้วยขึ้นดื่มรวดเดียว จากนั้นก็เช็ดปากกับแขนเสื้อสองข้างสิ” ฉันไม่มีความสามารถด้านการแสดงเอาเลย ผู้ช่วยตากล้องจ�ำเป็น ต้องจับชุดที่ฉันสวมตรึงไว้ เพื่อปิดบังอาการตัวสั่นของฉัน ขณะเดียวกัน แผ่นหลังของฉันก็จะชุ่มไปด้วยเหงื่อเมื่อได้ยินเสียงร้องว่า “แอ็กชั่น!”  ฉัน เห็นแต่ภาพที่ตัวเองถูกส่งกลับไปอยู่ในค่ายแรงงานตลอดเวลา ฉันไม่เคยนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม  ฉันยังจ�ำภาพที่ตัวเองตื่นมากลาง ดึกของฤดูหนาวอันแสนหนาวเหน็บ และพบว่ามีแม่หนูมาคลอดลูกอยู่ตรง ปลายเท้า  ฉันแขยงรสชาติของน�้ำเค็มกร่อยจากบ่อขุดด้วยมือมนุษย์ และ น�้ำที่ฉันใช้แปรงฟันก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ว่ายวนอยู่ก้นแก้ว  เล็บ มือและเล็บเท้าของฉันกลายเป็นคราบสีน�้ำตาลจากปุ๋ยเคมี  เชื้อราและแผล อักเสบท�ำให้ผิวหนังของฉันปริแตก แล้วอาการอักเสบก็ลามไปถึงง่ามนิ้วเท้า กระทั่งมีเลือดซึมออกมา ยิ่งไปกว่านั้นผิวหน้าของฉันยังลอกเป็นแผ่นตาม ร่องเหงื่อสองข้างจมูก บ่อปฏิกูลคือที่ที่เราท�ำธุระส่วนตัว ระหว่างท�ำธุระ ฉันต้องนั่งยองๆ บนไม้กระดานเปียกลืน่  ผ่านไปหนึง่ อาทิตย์ ฉันจึงค้นพบวิธที รงตัวแบบเดียว กับนักกายกรรมระหว่างปลดทุกข์ และฉันก็ต้องหมั่นวาดแขนโบกไปด้าน หลัง เพื่อป้องกันการโจมตีของฝูงยุงซึ่งมีปากแหลมคมดุจเข็มกระทั่งแทง ทะลุผา้ ใบเนือ้ หนาได้งา่ ยๆ ถ้าฉันเกิดพลัดตกลงไป ข้างล่างก็คอื บ่อทีม่ หี นอน ยั้วเยี้ยนับล้านตัว ฉันไม่กลัวเรื่องท�ำงานหนัก แต่กลัวที่จะต้องท�ำงานแบบนี้ไปตลอด ชีวิต  ฉันทนได้กับการแบกคานไม้ไผ่บนบ่าโดยมีถังบรรจุมูลสัตว์หนักร้อย ปอนด์สองใบแขวนเชือกอยู่ที่ปลายไม้สองข้าง  ฉันเดินลุยน�้ำลึกถึงเข่ากลาง 24

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


นาข้าวหลายแห่งนับไม่ถ้วน  ฉันท�ำงานทั้งกลางวันกลางคืน และภาคภูมิใจ ยิ่งนักกับรอยด้านที่เพิ่มพูนขึ้นตามหัวไหล่และต้นคอ  และแล้วก็เกิดอุบัติ เหตุทสี่ ่งผลให้กระดูกสันหลังบาดเจ็บ...เชือกเปื่อยๆ ทีผ่ กู ถังใบหนึ่งเกิดขาด ฉันจึงเสียหลักตกลงไปในคลอง นับแต่นั้นมาฉันก็ไม่สามารถก้มหลังได้ จึง ต้องใช้วิธีคุกเข่าในน�้ำโคลนขุ่นคลั่กเพื่อปลูกข้าว เพราะถูกตัดสินว่ามีความผิด ฉันจึงต้องไปร่วมงานชุมนุมประณามมาดาม เหมาต่อหน้าสาธารณชน กลุ่มคนที่ตกเป็นเหยื่อของสตรีหมายเลขหนึ่ง ยก ขบวนขึ้นเวทีและเล่าถึงความทุกข์ทรมานที่ตัวเองต้องทนแบกรับ ไม่มีใคร เอ่ยถึงเหมา ภรรยาของเขาคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบต่อความตายของคน นับล้านระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม แล้วเธอก็ถูกตัดสินประหารชีวิต ฉันติดตามการพิจารณาคดีทางโทรทัศน์ มาดามเหมาแสดงบทบาท ครั้งสุดท้ายของตนเช่นเดียวกับนางเอกในอุปรากรโฆษณาชวนเชื่อของเธอ เธอยกมือสองข้างขึ้นโบกไปมาในอากาศพร้อมกับตะโกนว่า “ฉันคือสุนัข รับใช้ของเหมา เหมาสั่งให้กัด ฉันก็ต้องกัด” นักแสดงสูงวัยคนหนึง่ มองฉันด้วยรอยยิม้ ของผูช้ นะ ขณะเปิดเผยว่า วิธีต่อสู้กับมาดามเหมาของเธอก็คือ ไม่พยายามสอนบทเรียนด้านการแสดง ที่มีค่าให้ฉัน “ฉันท�ำทุกอย่างเพื่อความแน่ใจว่าเวลาที่เราทั้งคู่เสียไปนั้นสูญ เปล่า  หมินไม่ใช่คนมาใหม่ที่ใสซื่อ หล่อนคือทหารเดินเท้าของมาดามเหมา ดีๆ นั่นเอง” ดวงหน้าเหี่ยวย่นของสตรีนักแสดงผู้นั้นเบ่งบานราวกับดอก เบญจมาศในฤดูใบไม้ผลิ “ดูสีหน้าอ่อนล้าแดงซ่านของหมินสิ ฉันมั่นใจว่า หล่อนก�ำลังวางแผนเจ้าเล่ห์บางอย่างแน่ๆ รอยคล�้ำรอบตาหล่อนนั่นก็แสดง ให้เห็นชัดว่าหล่อนตระหนักในบทบาทของตัวเองอยู่เต็มอก...หล่อนคือชน ชั้นกลางที่ไม่คำ� นึงถึงส่วนรวม สุดท้ายแล้วก็ต้องตกกระป๋อง” ฉันไม่ได้ตดิ ต่อกับเอีย้ น เพือ่ นสนิทของฉันในค่ายแรงงานมานานมาก เพราะ ไม่อยากท�ำร้ายเธอด้วยสถานภาพในแง่ลบของฉัน แม่บอกว่าเจ้าหน้าที่จาก ดอกไม้ไร้ราก

25


โรงถ่ายมาที่บ้านเพื่อประกาศให้รับรู้ถึงอนาคตที่ดับลงแล้วส�ำหรับฉัน พ่อ เชื่อว่าแม่ท�ำให้สถานการณ์เลวร้ายหนักขึ้นด้วยการกล่าวอ้างว่าฉันเป็นผู้ บริสุทธิ์ ที่ท�ำงานของแม่รู้กันทั่วว่าแม่เป็นคนล้าหลังในเรื่องการเมือง ไม่ใช่ แค่ท่องค�ำสอนของเหมาอย่างผิดๆ เท่านั้น แต่แม่ยังปฏิเสธไม่ยอมรับอะไร ก็ตามที่ท่านไม่อยากให้เกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แม่ไม่ติดตามเอาเรื่องผู้ชาย คนหนึ่งที่พยายามลวนลามฉันตอนที่ฉันอายุเจ็ดขวบ ตอนนั้นฉันเรียนอยู่ ชั้นประถมสอง  วันหนึ่งระหว่างเดินกลับบ้านหลังโรงเรียนเลิก ชายหนุ่ม คนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาขอให้ฉันช่วยอ่านรายชื่อของคนที่พักอยู่ในอพาร์ต เมนต์หลังหนึ่ง  หากทว่าเป็นเพราะฉันตัวเตี้ยเกินกว่าจะมองเห็นตัวอักษร บนกระดานได้ถนัด ผูช้ ายคนนัน้ จึงอุม้ ฉัน แต่หลังจากอ่านรายชือ่ บนกระดาน เสร็จแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยฉันลง “บนชั้นสองยังมีกระดานรายชื่ออีก แผ่นที่ฉันอยากให้หนูช่วยอ่าน” เขาบอก เราขึ้นไปที่ชั้นสอง แต่ไม่มีกระดานที่เขาว่า ฉันจึงขอให้เขาปล่อยฉัน ลง  ผู้ชายคนนั้นปฏิเสธ เขาอุ้มฉันไว้แล้วทรุดนั่งบนขั้นบันได ฉันบอกเขา ว่าฉันจะกลับบ้าน เขาเลยบอกว่าถ้าฉันให้เขาดูกางเกงใน เขาจะปล่อยให้ฉัน กลับบ้าน  ฉันไม่อยากขัดใจผู้ใหญ่ แต่กางเกงในของฉันทั้งขาดและสกปรก เกินกว่าจะให้ใครเห็น  ชายผู้นั้นบังคับฉัน ฉันพยายามดิ้นรนสู้ แล้วเสียง ประตูปิดปังที่ปลายทางเดินก็ทำ� ให้ฉันรอดตัวมาได้ ฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่ฟังทันทีที่กลับถึงบ้าน แต่แม่บอกว่าไม่ อยากฟังเรือ่ งนี้ มันท�ำให้ฉนั งงมาก  พอฉันพูดเรือ่ งทีเ่ ขาอยากเห็นกางเกงใน ของฉัน แม่กรีดเสียงขึ้นมาทันทีว่า “ไม่จริง! มันไม่ได้เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้!” แม่อาจจะอ่อนแอและไร้สมรรถภาพ แต่ท่านมีอิทธิพลอย่างมากกับ ชีวิตฉัน  ตอนที่อาจารย์ใหญ่โรงเรียนประถมสรรเสริญว่าฉันเป็นเด็กดี ยอมปฏิบัติตามค�ำสั่ง เพราะฉันยอมประณามครูที่ฉันรักที่สุดว่าเป็นสายลับ อเมริกา แม่ถงึ กับขูว่ า่ จะไม่นบั ฉันเป็นลูกอีก นอกจากนัน้ แม่ยงั ไม่ยอมแขวน 26

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


ใบประกาศคุณงามความดีของฉันซึ่งเขียนว่า เด็กดีของเหมา ประดับบนฝา บ้านอีกด้วย ทั้งที่พ่อแม่คนอื่นคงดีใจจนเนื้อเต้นกับค�ำชมเชยยกย่องเช่นนี้ แม่บอกว่าโรงเรียนก�ำลังท�ำให้ลูกๆ ของท่านกลายเป็นปีศาจ ท่าน ไม่เชื่อว่าเด็กๆ ควรอ่านเฉพาะหนังสือของเหมาเท่านั้น  ฉันไม่แน่ใจว่าควร รายงานให้ทางการทราบถึงพฤติกรรมของท่านหรือไม่ ฉันรูส้ กึ ว่ามันตลกมาก ที่แม่เป็นเจ้าของปริญญาด้านประถมศึกษา แต่ท่านบอกว่าไม่เคยมีโอกาสได้ สอนเด็กในชั้นเรียนจริงๆ เพราะไม่สามารถท�ำให้เด็กนักเรียนอยู่ในระเบียบ วินยั ได้  แม่ถกู ย้ายโรงเรียนครัง้ แล้วครัง้ เล่า จากโรงเรียนแย่ๆ ไปสูโ่ รงเรียน ที่แย่ยิ่งกว่า และในที่สุดแม่ก็ถูกจับยัดเข้าไปในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยเด็ก วัยรุ่นมีปัญหาและเป็นเด็กเหลือขอ ที่ท�ำงานของแม่ตั้งฉายาให้แม่ว่า ‘ครูโง่’ นามสกุลของแม่คือไต้ ซึ่ง สามารถออกเสียงเป็นไต ที่แปลว่า ‘คนปัญญาอ่อน/คนโง่’ ได้เช่นกัน  ฉัน ทะเลาะกับแม่พยายามให้ท่านท�ำตัว ‘ปกติ’ เหมือนคนอื่น  ฉันบอกว่าควร แล้วที่ใครๆ ตั้งฉายาให้ท่านว่าครูโง่ โดยไม่แคร์เลยสักนิดว่าตัวเองท�ำร้าย ความรู้สึกของท่าน  ฉันไม่เคยลดละความพยายามจนกระทั่งวันหนึ่งน้าของ ฉันซึ่งเป็นน้องชายแม่ ได้เปิดเผยความจริงให้รู้ถึงต้นตออาการป่วยทางจิต ของแม่ น้าชายบอกว่าแม่ของฉันเคยบอบช�้ำทางจิตอย่างหนักตอนอายุแปด ขวบ มันเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางในปี 1938  ครอบครัวของแม่หนีพวก ญี่ปุ่นมากับเรือที่ล่องจากมณฑลซานตงมายังเซี่ยงไฮ้ พี่น้องที่สนิทกันกับแม่ มากทีส่ ดุ ใกล้จะเสียชีวติ เพราะไข้ไทฟอยด์ เพราะความเชือ่ ในเรือ่ งไสยศาสตร์ ทุกคนจึงปักใจเชื่อว่าถ้าปล่อยให้เด็กตายบนเรือ เรือจะจม แล้วแม่ของฉัน ก็เห็นพี่น้องถูกจับโยนลงทะเลไปต่อหน้าต่อตา ทั้งที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ฉันหวนนึกถึงเรือ่ งทีแ่ ม่พะวงหลงใหลกับสายน�้ำ แม่จะนัง่ มองสายน�ำ้ ครั้งละหลายๆ ชั่วโมงไม่ว่าจะเป็นที่ริมแม่น�้ำหวงผู่หรือข้างสระน�้ำในสวน สาธารณะประชาชน  หากไม่มีน�้ำ แม่ก็จะนั่งหันหน้าเข้าหาภาพสายน�ำ  ้ เกย คางไว้บนมือทั้งสองและจ้องมองทิวทัศน์ในภาพไม่วางตา  ครั้งหนึ่งฉันเคย ดอกไม้ไร้ราก

27


ยืนอยู่ข้างหลังแม่ อยากรู้ว่าแม่จะนั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน ฉันคิดว่าแม่จะ หันมามองฉันบ้าง แต่แม่ไม่เคยหันมา กลับเป็นตัวฉันเองที่ไม่มีความอดทน มากพอ สิ่งที่น้าอธิบายให้ฟังดูมีเหตุผลมากทีเดียว แม่ไม่เคยบอกเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเราจึงต้องแบ่งซาลาเปาให้ช่าง ตัดเสื้อแก่ๆ ที่ไม่มีบ้านอยู่และยึดใต้บันไดบ้านติดกันเป็นที่อาศัย  มีก้อน เนื้องอกขนาดเท่ามันฝรั่งอยู่หลังศีรษะของผู้ชายคนนี้ ฉันอ้อนวอนแม่ ขอ ชิมซาลาเปาลูกนั้นก่อนสักค�ำ แต่แม่ปฏิเสธ “เอาของเหลือให้คนน่ะ ไม่เรียก ว่าเป็นความเอื้อเฟื้อหรอกนะ” มีอยู่วันหนึ่งแม่ไปรับเราที่โรงเรียนเร็วกว่าปกติ ท่านคาดหน้ากากผ้า สีขาวทั้งที่อากาศไม่ได้หนาวเลยสักนิด ฉันถามว่าท�ำไมแม่ถึงต้องคาดหน้า กากแบบนั้น แม่ตอบว่าอาการจากวัณโรคทรุดลง หมอจึงประกาศว่าแม่เป็น พาหะแพร่เชื้อ เพราะเหตุนี้แม่จึงได้รับอนุญาตให้พักงานเป็นเวลาสามเดือน “เรามาเลีย้ งฉลองกันเถอะ” แม่บอก “ในทีส่ ดุ แม่กไ็ ด้มโี อกาสพบหน้า ลูกๆ ก่อนตะวันตกดินแล้ว!” พอกลับถึงบ้านแม่ก็ลงมือปัดกวาดเช็ดถูด้วยอารมณ์เบิกบานเต็มที่ ฉันมีความสุขมากที่ได้อยู่กับแม่ แล้วแม่ก็เริ่มสวมใส่แต่เสื้อผ้าสีด�ำ พอฉันถามเหตุผล แม่จึงชี้แจงว่า “ถ้าพรุง่ นีแ้ ม่ไม่ตนื่ ขึน้ มาอีก แม่จะได้อยูใ่ นชุดทีเ่ หมาะกับโอกาสไงล่ะ” แม่ยมิ้ แต่ค�ำพูดของแม่กลายเป็นฝันร้ายส�ำหรับฉัน ฉันฝันเห็นแม่ก�ำลังนอนรอ ความตายและขอให้ฉันช่วยดูแลน้องๆ แทนท่าน ครั้งแรกที่ถามแม่เรื่องผู้ชายและความรัก ฉันอายุย่างสิบเจ็ดปีและก�ำลังจะ จากบ้านไปอยู่ในค่ายแรงงาน แม่ตอบค�ำเดียวว่า “หน้าไม่อาย” พร้อมกับ แสดงกิริยาขัดเขิน  ฉันไม่อยากให้เหตุการณ์นี้ติดตรึงอยู่ในความทรงจ�ำ แม้แต่น้อย และฉันก็ไม่เคยเอ่ยปากถามเรื่องแบบนี้กับแม่อีก  สมัยที่อยู่ใน โรงเรียน ฉันถูกจัดให้นั่งติดกับ ‘เด็กเลว’ มาตลอด เพื่อช่วยเหลือและเป็น ตัวอย่างส�ำหรับนักเรียนหญิงคนนั้น เธอถูกประณามว่าเป็นเด็ก ‘ไม่รักดี’ 28

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


ซึ่งหมายความว่าเธอมีความสัมพันธ์ไม่เหมาะควรกับผู้ชาย ทุกคนพากัน เหยียดหยามเธอ  เธอคือบทเรียนทีท่ ำ� ให้ฉนั หลีกเลีย่ งผูช้ ายทีส่ นใจในตัวฉัน กระนั้นฉันก็ไม่วายอยากรู้ว่าเมื่อไหร่จะได้แต่งงานเสียที แม่บอกฉันว่า “ผู้ ชายที่ฟ้าก�ำหนดมาให้เป็นสามีของลูกจะตามหาลูกเองเมื่อถึงเวลา” น่าเสียดาย ผู้ชายที่ฟ้าก�ำหนดมาให้เป็นสามีของฉันไม่เคยปรากฏตัว ฉันไม่เคยคิดว่ามันเป็นปัญหาที่จะต้องเดือดร้อนจนกระทั่งฉันอายุย่าง ยี่สิบเจ็ด หากจะมีอะไรบางอย่างที่ฉันค้นพบเกี่ยวกับตัวเอง มันก็คือเรื่องที่ ไม่มีผู้ชายคนใดสนใจฉันเลย  ฉันไม่รู้ว่าจะท�ำตัวใกล้ชิดกับผู้ชายอย่างไร ไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไร ไม่รู้ว่าควรแสดงความสนใจหรือไม่ ความเชื่อมั่น ในตัวเองของฉันสั่นคลอนอย่างแรงกระทั่งเลิกล้มความพยายามไปในที่สุด แต่กระนั้น ใจที่โหยหาความรักก็ท�ำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง ฉันไม่รู้เลยว่าแม่เองก็ร้อนใจแทนฉัน แม่ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงไม่ มีหนุ่มคนไหนมาเคาะประตูบ้าน  หลายปีต่อมา หลังจากแม่เสียชีวิตไปแล้ว พ่อจึงเล่าให้ฟังเรื่องที่แม่ทุ่มเทความพยายามมากเป็นพิเศษเพื่อฉัน แม่เทียว ไปเตร็ดเตร่แถวอาคารคณะแพทยศาสตร์ตามมหาวิทยาลัยทุกแห่งทัว่ เซีย่ งไฮ้ พอเห็นผู้ชายหน้าตาดีโผล่ออกมา แม่จะปรี่เข้าไปหาเขาทันทีพร้อมรูปถ่าย ของฉัน พลางถามว่าสนใจที่จะคบหากับฉันบ้างไหม จนกระทั่งแม่ถูกยาม ของมหาวิทยาลัยตะเพิดออกมา ฉันน�้ำตาไหลพรากเมื่อนึกถึงภาพที่แม่ต้องตกอยู่ในสภาพเสื่อมเสีย ศักดิ์ศรีขนาดนั้น แม่อยากช่วยฉันและมันก็เป็นหนทางเดียวที่แม่นึกออก เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดและความกล้าหาญของแม่ ฉันจึงตระหนักขึ้นมาใน นาทีนั้นว่าความรักที่แม่มีต่อฉัน มากมายและลึกซึ้งเพียงใด พ่อไม่ชอบที่ตัวเองถูกแม่และลูกๆ ลากออกไปเที่ยวนอกบ้าน อย่างเดียว ที่พ่อลุ่มหลงคือดาราศาสตร์ พ่อท�ำงานหนักอยู่ที่โรงพิมพ์ตลอดสัปดาห์ จึงไม่มีเวลาพอที่จะท�ำงานของตัวเอง วันอาทิตย์เป็นวันเดียวที่พ่อว่าง พ่อ จึงไม่อยากท�ำอะไรอื่นนอกจากง่วนอยู่กับการประดิษฐ์ตารางดวงดาวที่โต๊ะ ดอกไม้ไร้ราก

29


ท�ำงานตัวเล็กของท่าน  ฉันเห็นพ่อจ้องมองท้องฟ้ายามค�่ำคืน จึงถามท่าน ว่าท�ำไมท่านถึงได้สนใจเรื่องนี ้ ท่านตอบว่าเป็นเพราะดวงดาวเหล่านี้ไม่มีวัน ท�ำร้ายท่าน แม่บอกว่าพ่อไม่มี ‘น�้ำยา’ หรือความกล้าเหลืออีกแล้ว  พ่อสูญเสีย ก�ำลังใจและความกล้าหาญเป็นครั้งแรกเมื่อทหารญี่ปุ่นบุกหมู่บ้านของท่าน ในปี 1937  ลานหน้าบ้านทีค่ รอบครัวของพ่ออาศัยอยู ่ ถูกดัดแปลงเป็นทีฝ่ กึ ทหาร ทีแรกทหารวัยรุ่นญี่ปุ่นกลัวที่จะต้องปลิดชีวิตผู้อื่น แต่ทหารเหล่านั้น ถูกเคี่ยวเข็ญกระทั่งกลายเป็นเครื่องจักรส�ำหรับท�ำลายล้างชีวิตมนุษย์  พ่อ เห็นลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งของท่านถูกจับมัดติดเสาและถูกดาบปลายปืนทิ่ม แทงจนตายต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่นั้นมาพ่อก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไปรษณียบัตรที่ส่งไปรัสเซียเป็นเหตุให้ความกล้าหาญของพ่อเหือด หายไปเป็นครั้งที่สอง  ตอนนั้นพ่ออายุยี่สิบเจ็ดปี และมีการติดต่อกันอย่าง สม�่ำเสมอกับอาจารย์ชาวรัสเซียที่ยุให้พ่อไปเรียนวิชาดาราศาสตร์ต่อใน มหาวิทยาลัยมอสโก  พ่ออยากรู้ว่าทางการจะยังอนุญาตให้ท่านไปรัสเซียได้ หรือไม่ ในเมื่อขณะนั้นจีนกับรัสเซียตัดสัมพันธ์กันแล้ว  พ่อไม่อยากถูก กล่าวหาว่าท�ำอะไรลับๆ ล่อๆ ท่านจึงใช้วิธีติดต่อสื่อสารอย่างเปิดเผย ซึ่ง ท่านคิดว่าน่าจะปลอดภัยทีส่ ดุ   ท่านส่งไปรษณียบัตรให้ทกุ คนได้เห็นค�ำถาม ที่เขียนไปถามอาจารย์ท่านนั้นผ่านทางสถานทูตรัสเซียประจ�ำประเทศจีน สี่ สิ บ ปี ใ ห้ ห ลั ง  พ่ อ จึ ง รู ้ ว ่ า ไปรษณี ย บั ต รฉบั บ นั้ น ไม่ เ คยส่ ง ไปถึ ง สถานทูตรัสเซีย แต่กลับไปวางอยู่บนโต๊ะหัวหน้าหน่วยรักษาความมั่นคง ในที่ท�ำงานของพ่อเอง  พ่อถูกตราหน้าว่า ‘มีแนวโน้มเป็นกบฏ’ โดยที่ตัว ท่านเองไม่เคยรับรู้ พ่อข้องใจมาตลอดว่าเพราะเหตุใดท่านจึงไม่เคยได้เลื่อน ต�ำแหน่งไม่ว่าจะท�ำงานดีแค่ไหนก็ตาม พ่อและแม่หวังให้ฉันเป็นคนเข้มแข็งที่สามารถพึ่งพาได้ ไม่ว่าจะกลัว แค่ไหน ฉันจึงต้องสวมหน้ากากแสดงความเป็นคนกล้าไว้กอ่ น ฉันถูกก�ำหนด ให้คอยดูแลคนอื่นมาตั้งแต่เดินได้ ฉันต้องคอยปิดหน้าต่าง ป้องกันไม่ให้ เพื่อนบ้านมาต่อว่าแม่เพราะหนวกหูเสียงร้องไห้ของน้องสาว  เมื่อลูกสี่คน 30

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


ย่างเข้าสู่วยั รุ่น พวกเราทัง้ หกคนก็ยงั อาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน ไม่เคยมีคำ� ว่า ความเป็นส่วนตัว แต่ละคนคอยแต่เกะกะขวางทางกันตลอดเวลา  เราใช้ ห้องส้วมร่วมกับเพื่อนบ้านอีกยี่สิบคน ตอนเช้าๆ การชิงเข้าห้องน�้ำก่อนใคร เพื่อนจึงกลายเป็นเรื่องท้าทาย  ยิ่งไปกว่านั้น ห้องน�้ำยังถูกใช้เป็นห้องครัว ห้องซักผ้า และห้องล้างจาน อันเป็นเหตุให้เรากับเพื่อนบ้านปีนเกลียวกัน บ่อยๆ บางครั้งฉันต้องรอให้แม่ของเพื่อนบ้านถ่ายเสร็จ ขณะที่พี่สาวท�ำ อาหารเช้าอยู่บนเตา...ลูกสาวแปรงฟันที่อ่าง...และเพื่อนบ้านอีกคนก�ำลังซัก ผ้าปูที่นอนในกะละมังใกล้ๆ กัน  ฉันรู้สึกอายทุกครั้งเมื่อถึงตาที่ฉันเข้าไป ใช้ส้วม กลิ่นเหม็นโฉ่นั่นก็น่าขยะแขยงเต็มทน หากมีใครสักคนอาบน�้ำ ก็ หมายความว่าไม่มีใครอื่นสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์จากห้องนั้นได้เลย

ดอกไม้ไร้ราก

31


บทที่ 3

เงาของเด็กหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างมุ้งฉัน ตอนนั้นเป็นเวลาฟ้าสางและ

อากาศก็หนาวเหน็บยิง่ นัก  ฉันได้ยนิ เสียงเด็กคนนัน้ ปีนลงมาจากเตียง ออก ไปห้องน�้ำ แล้วก็กลับมา  เธอชื่อเฉินชง ต่อไปในวันข้างหน้า โลกฮอลลีวู้ด จะรู้จักเธอในนามโจนเฉิน สตรีผู้เปี่ยมไปด้วยความสวยสง่าและมีเสน่ห์ ชวนมอง เธอจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของสตรีชาวเอเชีย แต่ตอนนี้เธอเพิ่ง อายุเพียงสิบห้าปีและเป็นเพื่อนร่วมห้องคนเดียวของฉัน  วันที่ฉันพบเธอ เธอมากับคุณย่า เด็กผู้หญิงที่ฉันเห็นมีดวงหน้ารูปไข่ ผิวเนียนละเอียดสี งาช้าง ดวงตารูปเมล็ดอัลมอนด์ กว้างใหญ่ใสเป็นประกายดุจแก้วเจียระไน ดวงตาคู่นั้นท�ำให้ฉันนึกถึงแมลงปอ จมูกของเธอโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอิ่ม เต็มประหนึ่งกลีบดอกไม้  เธอสวมเสื้อแขนกุดซึ่งตัดเย็บเอง ฉันจึงสังเกต ว่าเธอมีช่วงไหล่ที่แข็งแรง  ตามที่คุณย่าของเธอบอก เธอเป็นนักว่ายน�้ำและ อยู่ในทีมนักกีฬายิงปืนยาวสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ก่อนที่แมวมองของ บริษัทเซี่ยงไฮ้ฟิล์มสตูดิโอจะไปพบเธอเข้า  เฉินชงเป็นเด็กขี้อายและขวย เขิน เธอยืนหลังค้อมเพื่อปิดบังหน้าอกที่เริ่มเต่งตูม คุณย่าของเธอรุนร่าง เธอเบาๆ พร้อมกับสั่งให้เธอแนะน�ำตัวเอง เฉินชงยิ้มอวด ‘เขี้ยว’ น่ารัก เธอรวบผมสองข้างเหมือนเขาควาย 32

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


เธอไม่ได้เอ่ยแนะน�ำตัวด้วยค�ำขวัญโฆษณาตัวเองที่นิยมกันในสมัยนั้น เช่น “ฉันมาที่นี่เพื่อท�ำความรู้จักกับบรรดาสหายตามเสียงเรียกร้องของพรรค คอมมิวนิสต์ และเพื่ออุทิศทั้งหัวใจตลอดจนจิตวิญญาณให้กับการรับใช้ ประชาชน”  แทนที่จะพูดเช่นนั้น เธอกลับสะกดชื่อพ่อของเธอ ทั้งชื่อตัว และนามสกุล ตามด้วยชื่อแม่ แล้วจึงบอกชื่อตัวเอง เพื่อนร่วมหอพักต่างหัวเราะกันคิกคัก “เด็กคนนี้คงถูกย่าจ�้ำจี้จ�้ำไช จนจ�ำขึ้นสมองว่าต้องท�ำอย่างไรเมื่อหลงทางในเมืองใหญ่” พอถูกถามว่าเหตุ ใดเธอจึงได้มาลงเอยอยู่ที่นี่ เฉินชงตอบว่าเพราะเธอได้รับค�ำสั่งให้มาเรียน การแสดง เธอถูกก�ำหนดให้รับบทเด็กคอมมิวนิสต์ในภาพยนตร์โฆษณา ชวนเชื่อของมาดามเหมา แต่การถ่ายท�ำภาพยนตร์ถูกยกเลิก เฉินชงจึงไม่รู้ ว่าจะท�ำอย่างไร หรือไปทีไ่ หนต่อ เธอเอาการบ้านติดตัวมาด้วย เพราะพ่อแม่ ของเธอไม่ชอบที่เธอต้องขาดเรียน พอมีคนขอให้เธอช่วยอธิบายความหมายของชื่อตัวเธอเอง เฉินชง ตอบว่า “ชง แปลว่ารุกไปข้างหน้า” ฉันรู้มาว่าพ่อของเธอเป็นนายแพทย์ ส่วนคุณย่าเป็นบรรณาธิการใหญ่หนังสือแพทย์ประจ�ำบ้าน ซึ่งเป็นหนังสือ ที่ดังมาก สุภาพสตรีชราฝากฝังให้ทุกคนช่วยหลานสาวเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในเมื่อเตียงที่ว่างอยู่มีเฉพาะชั้นบน ผู้เป็นย่าจึงเลือกเตียงตรงข้ามฉันให้ หลานสาว และเอาไม้ไผ่มาผูกติดกรอบเตียงเพื่อใช้แขวนมุ้ง พอผูกเสร็จ เรียบร้อย ผูเ้ ป็นย่าก็หยิบเชือกขดหนึง่ ออกมาท�ำแนวกัน้  เพราะเกรงว่าเฉินชง จะตกเตียงตอนกลางดึก “เด็กคนนี้ไม่เคยนอนเตียงสองชั้น แถมนอนหลับ แล้วยังชอบกลิ้งไปกลิ้งมาเสียด้วย” เฉินชงดูดบ๊วยเค็มแล้วเร่งให้ย่ากลับไปเร็วๆ ภายหลังต่อมา เฉินชง ได้เรียนศิลปะการต่อสู้ ตลอดจนขึ้นเวทีชุมนุมประณามมาดามเหมาร่วมกับ พวกเรา เซี่ยงไฮ้ฟิล์มสตูดิโอถูกเปลี่ยนมือไปภายในหนึ่งสัปดาห์ และคณะถ่ายท�ำ ภาพยนตร์กพ็ ร้อมแล้วทีจ่ ะออกกอง เราได้ยนิ ว่าผูก้ ำ� กับก�ำลังมองหานักแสดง ดอกไม้ไร้ราก

33


‘หน้าใหม่’ มาเป็นตัวเอกในภาพยนตร์เรื่องนี ้ นักแสดงหน้าใหม่ที่ว่าจะต้องมี ลักษณะตรงข้ามกับรสนิยมของมาดามเหมาโดยสิ้นเชิง ใบหน้าของนักแสดง ผูน้ จี้ ะต้องสะท้อนความงามตามแบบฉบับดัง้ เดิมของจีน แทรกความทันสมัย เล็กน้อย  การถ่ายท�ำเริม่ ต้นขึน้ แล้ว แต่ตวั ผูก้ ำ� กับยังวุน่ อยูก่ บั ค้นหาดาราน�ำ ฝ่ายหญิงที่ตนวาดภาพไว้อย่างมืดแปดด้าน ผู้ก�ำกับและลูกน้องมาที่หอพักเก่าซอมซ่อของเราแล้วก็สังเกตเห็น เฉินชง พวกเขาจับกลุ่มล้อมวงกันพินิจพิเคราะห์รูปร่างหน้าตาของเฉินชง หัวหน้าฝ่ายก�ำกับภาพตั้งข้อสังเกตว่าใบหน้าของเฉินชงอาจมองได้ทั้งสอง ทาง...ทั้งความงามตามแบบฉบับของชนชั้นล่างและความงามตามประเพณี นิยมดั้งเดิม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมุมกล้องและการแต่งหน้า พวกเขาสรุปว่าเฉินชง “เป็นเด็กสาวที่เหมาะกับงานของเรา” เด็กน้อยเฉินชงจึงถูกพาตัวไปทดสอบหน้ากล้อง พอกลับมาที่หอพัก เธอก็เอารูปถ่ายขาวด�ำปึกหนึ่งให้ฉันดู ฉันถามว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับรูปถ่าย พวกนั้น เธอส่ายหน้าและตอบว่า “พวกนั้นท�ำให้ฉันดูเหมือนเด็กเล็กๆ” ภาพถ่ายเหล่านั้นสวยงามชวนให้ตกตะลึง ทั้งแสง เงา และมิติของ ภาพท�ำให้เฉินชงดูไม่ต่างอะไรกับเทพธิดาวัยเยาว์ ฉันไม่สงสัยเลยว่าเธอจะ ต้องเป็นดาราดวงเด่นแน่นอน “ขอโทษด้วยที่รบกวนเธอ” เฉินชงกระซิบขณะยืนอยู่นอกมุ้งที่ฉันนอนอยู่ เธอชี้แจงว่าเธอปีนลงจากเตียงไปเข้าห้องน�้ำ แต่ตอนนี้ไม่สามารถปีนกลับ ขึ้นไปได้เพราะกลัวเชือกพันขา  เธอไม่อยากเปิดไฟ ด้วยเกรงว่าแสงจาก หลอดเปลือยหลอดเดียวที่มีอยู่จะรบกวนให้ทุกคนตื่นขึ้นมา แต่เมื่อไม่มี แสงสว่าง เธอก็กลับขึ้นเตียงไม่ได้ “หนาวหรือเปล่า” ฉันถามพลางลุกขึ้นนั่ง เฉินชงพยักหน้า ตัวสั่น ฉันเลิกชายมุ้งขึ้น “จะเข้ามานอนด้วยกันก็ได้นะ” เด็กหญิงพรวดพราดเข้ามาด้วยความยินดี 34

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


เตียงนอนแคบมาก ฉันให้เธอนอนชิดผนังจะได้ไม่ตอ้ งเป็นกังวลเรือ่ ง ตกเตียง  ฉันชักผ้าห่มขึ้นคลุมร่างให้เธอหลังจากเธอขยับตัวเข้าที่เรียบร้อย แล้วเฉินชงก็หลับสนิทภายในไม่กี่นาที ฉันหวนคิดถึงค่ายแรงงานและเอี้ยน ฉันคิดถึงเธอมาก ในจดหมาย ฉบับสุดท้าย เธอไม่ได้เอ่ยถึงความเศร้าหมอง ความทุกข์ยาก หรือความ ท้อแท้สิ้นหวัง เธอมักจะยิ้มได้เสมอแม้เมื่อริมฝีปากบวมช�้ำ แต่กระนั้นฉัน ก็รวู้ า่ เธอใกล้จะหมดแรงเต็มที ค่ายแรงงานนัน้ ไม่ตา่ งอะไรจากคอกสัตว์ เธอ พยายามท�ำให้ฉนั รูส้ กึ ดีขนึ้ ขณะยอมแบกความทุกข์ทรมานไว้เพียงล�ำพัง ฉัน ละอายใจยิ่งนักที่ไม่สามารถช่วยเธอได้ และรู้สึกเหมือนตัวเองก�ำลังทรยศ เพื่อน ร่างของเฉินชงเริ่มร้อนระอุ เธอถีบกางเกงวอร์มเนื้อหนาออกจากตัว ศีรษะเลื่อนหลุดจากหมอน และพลิกตัวกระเสือกกระสนหาความสบายจาก หมอนนั้น ฉันพยายามยกศีรษะเธอขึ้นมาเพื่อสอดหมอนของตัวเองเข้าไป แต่เธอคว้าแขนฉันไว้แน่นราวกับคนก�ำลังจมน�้ำ ฉันพยายามดึงแขนออก แต่เธอไม่ยอมปล่อยมือ เฉินชงกดศีรษะแนบแขนฉันทั้งที่เปลือกตาปิดสนิทราวกับว่าแขน ของฉันคือหมอน ฉันไม่สามารถท�ำอะไรได้นอกจากเงี่ยหูฟังเสียงหายใจ เป็นจังหวะสม�่ำเสมอของเฉินชง เด็กเอ๋ยเด็ก–ฉันคิด ท้องฟ้าเริ่มสว่าง เสียงการจราจรในเมืองดังลอดเข้ามาทางหน้าต่าง แขนข้างขวาของฉันชาจนหมดความรู้สึก น�้ำหนักจากตัวเฉินชงเพิ่มมากขึ้น เรือ่ ยๆ ฉันพยายามปลดแขนออก แต่เธอไม่ยอมปล่อย ฉันผลักร่างเธอเบาๆ แต่เธอเหมือนก้อนหินที่ไม่มีวันขยับเขยื้อน แสงสาดต้องเค้าหน้าของเฉินชงเป็นเงารางเลือน เธอพลิกตัวอีกครั้ง เผยให้เห็นล�ำคอเรียวยาวดุจนางหงส์ เฉินชงสวมเสื้อชั้นในคับติ้ว ฉันสงสัย ว่าเธอหายใจออกได้อย่างไร ในเมื่อเสื้อชั้นในตัวนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากผ้ารัด เท้า  อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เฉินชงจะกลายเป็นดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็น บุคคลที่ใครต่อใครคลั่งไคล้ใหลหลง เฉินชงจะเจริญก้าวหน้าขนาดได้เป็น ดาราในภาพยนตร์ของอเมริกา เธอจะได้แสดงเป็นจักรพรรดินีในภาพยนตร์ ดอกไม้ไร้ราก

35


เรื่อง The Last Emperor (จักรพรรดิโลกไม่ลืม)* ของเบอร์นาร์โด เบอร์ โตลุคชี่ที่ได้รับรางวัลออสการ์ถึงเก้าตัวรวมทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เด็กที่นอนทับแขนฉันอยู่นี้มีขนตาด�ำขลับงามระยับดุจก�ำมะหยี่ เธอ งดงามเหมือนดอกไม้แรกแย้มระหว่างนอนหลับ  ฉันสงสัยว่าต่อไปในวัน ข้างหน้าเธอจะยังจ�ำฉันได้อยู่หรือเปล่า เราอยู่บนเส้นทางที่แตกต่างและมุ่ง หน้าไปในทิศทางตรงกันข้าม แปลกมากที่เราได้มาอยู่ร่วมกันในครั้งนั้น แสงแรกจากดวงอาทิตย์สาดเข้ามาในมุง้  เฉินชงเผยอเปลือกตาพร้อม กับคลี่ยิ้ม ขนตาเธอกระพือไหวราวปีกผีเสื้อ อึดใจใหญ่เธอจึงนึกออกว่าตัว เองอยู่ที่ไหน พอรู้ตัวว่าตนได้อาศัยแขนของฉันต่างหมอน เฉินชงจึงรีบเอ่ย ปากขอโทษ เธอเดินตามฉันไปที่ลานหลังอาคารและเราก็แปรงฟันด้วยกันที่ ตรงนั้น เธอท�ำท่าเหมือนมีอะไรบางอย่างอยากพูดกับฉัน ฉันบ้วนน�ำ้ ทิ้งและถามว่า “มีอะไรหรือ” “พี่อยากไปเที่ยวที่บ้านกับฉันไหมคะ” เธอถาม ท่าทางกระดากอาย ฉันลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าเธอรู้สถานภาพของฉันหรือไม่ “ฉันจะเลี้ยงมะเขือเทศพี่” เธอท�ำมือประกอบบอกขนาดมะเขือเทศ “กับข้าวเหนียวโรยน�ำ้ ตาลด้วย” ฉันเตือนให้เธอตระหนักถึงสถานภาพของฉัน เธอบอกว่าเธอรู้เรื่อง เสื่อมเสียชื่อเสียงของฉันดีอยู่แล้ว ฉันมองหน้าเธอ “แล้วท�ำไมยังเชิญพี่ไปบ้านอีกล่ะ” เฉินชงเผยอยิ้มซุกซน ฉันเห็นว่าการที่จะไปบ้านกับเธอนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก “เราแอบออกไปด้วยกันก็ได้นคี่ ะ” เธอพูดเสียงเบา “ไม่มใี ครรู้หรอก” “ท�ำไมไม่เชิญคนอื่นล่ะ ใครก็ได้ที่มีอิทธิพลในทางดีๆ น่ะ” “ก็ฉันชอบพี่นี่คะ” * The Last Emperor หรือ จักรพรรดิโลกไม่ลืม คือภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวประวัติ ของจักรพรรดิผู่อี๋ ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน ฝีมือการก�ำกับของ Ber nardo Bertolucci จัดจ�ำหน่ายโดย Columbia Pictures ออกฉายในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1987-ผู้แปล 36

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


“ถ้าถูกจับได้จะว่าไง เธอจะเดือดร้อนนะ” “ถ้าถูกจับได้ ฉันจะแกล้งท�ำเป็นไม่รเู้ รือ่ ง ฉันจะหลอกพวกเขา ในเมือ่ ใครๆ เชื่อว่าฉันเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา ฉันก็ว่าจะใช้ประโยชน์ตรงนี้เสีย เลย” ฉันตามเฉินชงไปบ้านของเธอ คุณย่าเธอต้อนรับฉันอย่างอบอุ่น เฉินชงให้ฉนั กินมะเขือเทศลูกใหญ่หวานฉ�ำ่ กับข้าวเหนียวโรยน�ำ้ ตาล แล้วฉัน ก็พบว่าเพื่อนวัยเยาว์ของฉันชอบหัวเราะมาก ซึ่งพลอยติดต่อมาถึงฉันด้วย เธอท�ำให้ฉันลืมความทุกข์ได้ชั่วคราว พอเธอบอกว่าเธอเป็นนักอ่านตัวยง ฉันจึงถามว่าเธอชอบอ่านหนังสืออะไรมากที่สุด ฉันแปลกใจมากที่หนังสือ ของเธอไม่ใช่ภาษาจีน เธอบอกว่าเธอเรียนภาษาอังกฤษมานานแล้ว มันท�ำ ให้ฉันประทับใจมากทีเดียว เธอบอกว่าเพิ่งอ่านนวนิยายเรื่อง Love Story*  ของอเมริกาจบ ฉันจึงบอกเธอว่าฉันเคยอ่านนวนิยายเรื่องนี้ฉบับแปลเป็น ภาษาจีนเหมือนกัน “ฉันรูจ้ กั คนบางคนทีเ่ ป็นเหมือนคูร่ กั ในนิยายด้วย” เฉินชงบอก “สอง คนนั้นเป็นเพื่อนบ้านอยู่ชั้นล่างนี่เอง เราใช้ห้องครัวร่วมกัน ผู้หญิงคนนั้น รักผูช้ ายทีก่ ำ� ลังจะตายเพราะโรคร้าย ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของเธอ ก็คืออุ้มท้องลูกที่เกิดจากเขา แล้วความปรารถนาของเธอก็เป็นจริง แต่เด็ก เกิดมาพร้อมอาการป่วยและตาเข  หลังคนรักตายจากไป ผู้หญิงคนนั้นก็ ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวล�ำพัง ฉันได้ยินเสียงเด็กกรีดร้องและเสียงแม่ตะโกน สบถตลอดเวลา ฉันไม่รู้ว่าจะท�ำความเข้าใจกับเรื่องราวของความรักแบบนี้ อย่างไรดี พี่ล่ะ” ฉันถีบรถสามล้อบรรทุกถังน�้ำใส่น�้ำแข็งขนาดยักษ์สองใบไปที่โรงถ่าย ตอน นั้นคือฤดูร้อนของปี 1978  หลังกลับมาถึงหอพัก ฉันพบว่าเตียงชั้นบนเก็บ เรียบร้อย–เฉินชงออกเดินทางจากเซีย่ งไฮ้ไปปักกิง่ แล้ว ภายในเวลาไม่กเี่ ดือน * Love Story (1970) นิยายรักกินใจจากบทภาพยนตร์ของ Erich Segal ซึ่งเขียน ออกมาเป็นหนังสือในภายหลัง ออกวางจ�ำหน่ายวันที ่ 14 กุมภาพันธ์ 1970 ตรงกับ วันวาเลนไทน์พอดี-ผู้แปล

ดอกไม้ไร้ราก

37


เฉินชงกลายเป็นขวัญใจของประชาชนชาวจีนทุกครัวเรือน ทัง้ ยังได้รบั รางวัล นักแสดงหญิงยอดเยี่ยมของจีนอีกด้วย ฉันยืนอยูบ่ นคันดินริมแม่น�้ำหวงผู ่ จ้องมองสายน�ำ้ ทีไ่ หลผ่านไปเบือ้ ง ล่าง วันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันขี่จักรยานไปที่เมรุมังกรตามล�ำพัง ระหว่าง จับตามองควันพวยพุง่ จากปล่องมหึมาของเมรุแห่งนัน้  ฉันรูส้ กึ เหมือนตัวเอง ถูกความมืดมิดนิรันดร์กาลเข้าครอบง�ำ วันหนึ่งหลังเสร็จจากการท�ำความสะอาดด้านหลังเวที ฉันพบขนม ท�ำจากแป้งข้าวเหนียวห่อใบไม้หกห่อวางอยู่ในลิ้นชักส่วนตัว มีคนบอกว่า เฉินชงแวะมาพร้อมขนมแป้งข้าวเหนียวเหล่านี้ เธอเดินทางจากปักกิ่งมา ถ่ายภาพยนตร์ใกล้ๆ เซี่ยงไฮ้ พวกนักแสดงแก่ๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์ว่า “เฉินชงกลายเป็นคนหยิ่งยโสไปแล้ว หล่อนไม่สนใจแม้แต่จะมาสวัสดี ทักทายพวกเราซึ่งเป็นครูสอนหล่อนมาแท้ๆ” ฉันท�ำทุกอย่างที่สามารถท�ำได้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกส่งตัวกลับไปค่ายแรง งาน ฉันพยายามพิสูจน์ให้คณะท�ำงานที่ตกลงจ้างฉันชั่วคราวเห็นว่าฉันเป็น กรรมกรดูแลฉากทีม่ คี า่ มากขนาดไหน  เมือ่ ท�ำหน้าทีผ่ กู้ ำ� กับบท ฉันก็ทอ่ งจ�ำ รายละเอียดทุกฉากรวมทัง้ ค�ำพูดทุกค�ำในบทได้คล่องแคล่ว ฉันเป็นคนเขียน ตารางงานประจ�ำวันให้บรรดาผู้ช่วยผู้ควบคุมการผลิตและผู้ช่วยผู้ก�ำกับ ส�ำหรับในส่วนของทีมกล้อง ฉันเป็นคนแจกรายละเอียดเกี่ยวกับการถ่ายท�ำ ตลอดทั้งเรื่องของมุมกล้องที่มีความซับซ้อน  ฉันคัดลอกตารางการถ่ายท�ำ ทั้งหมดให้ทีมควบคุมแสง ทีมเครื่องแต่งกาย ทีมอุปกรณ์ประกอบฉาก ทีม ควบคุมเสียง และบรรณาธิการภาพ  เมื่อไหร่ที่มีการถ่ายท�ำนอกโรงถ่าย ฉันก็จะท�ำงานอยู่จนเที่ยงคืน ขณะที่ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว  พอค่าใช้ จ่ายของฝ่ายผลิตท�ำท่าว่าจะเกินงบประมาณ ฉันก็เข้าไปช่วยกอบกู้สถาน การณ์ไว้ได้หลายครั้ง  ทั้งเจ้านายและเพื่อนร่วมงานต่างประทับใจในตัวฉัน ท�ำให้มีเสียงร�่ำลือแพร่ออกไปปากต่อปาก เริ่มมีการ ‘ขอยืม’ ตัวฉันในหมู่ ผู้ถ่ายท�ำภาพยนตร์ เนื่องจากค่าแรงถูก และฉันสามารถท�ำงานได้เท่ากับ 38

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


คนห้าคน หัวหน้าทีมงานแต่ละฝ่ายเอ่ยปากชมเชยฉันต่อหน้าผู้น�ำบริษัทซึ่งเป็น คนของพรรค ทุกคนแจกแจงความมีประโยชน์และประสิทธิภาพในการท�ำ งานของฉัน  กระทั่งในที่สุดฉันก็ได้เป็นลูกจ้างเต็มเวลาของโรงถ่ายโดยมีข้อ แม้อยู่สองข้อ หนึ่ง ทางโรงถ่ายสงวนสิทธิที่จะส่งฉัน “กลับ” ไปเข้าค่ายแรง งานได้ตลอดเวลา และสอง ฉันจะต้องคงสถานภาพกรรมกรดูแลฉากเช่นที่ เป็นอยู่ปัจจุบันไปตลอดชีวิตการท�ำงาน แม้จะไม่เคยปริปากบ่นที่ต้องท�ำงานหนัก แต่ฉันรู้ดีว่าตัวเองป่วย ตลอดห้าปีถดั มา ฉันยอมท�ำงานทุกอย่างทีค่ นอืน่ ไม่อยากท�ำ  ช่วงทีเ่ ติง้ เสีย่ ว ผิงขึ้นเป็นผู้น�ำจีนและเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในประเทศ คือช่วงที่พบ ว่ามีรอยด�ำๆ ปรากฏที่ปอดและตับของฉัน  ฉันล้มป่วยด้วยอาการอักเสบ ในล�ำไส้ระหว่างการถ่ายท�ำภาพยนตร์นอกสถานที่ แต่แทนที่หัวหน้าทีมงาน จะอนุญาตให้ฉนั ไปพบแพทย์ เขากลับขูจ่ ะไล่ฉนั ออกหากฉันบังอาจหยุดงาน ฉันผอมโกรกเหมือนโครงกระดูกและเป็นลมหมดสติระหว่างการ ถ่ายท�ำ พอออกจากห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ฉันก็ได้รบั ค�ำสัง่ ให้ไปท�ำงาน อืน่ ทีท่ เิ บต ฉันอ่อนแรงจนลุกจากเตียงไม่ไหว คนของพรรคทีเ่ ป็นผูน้ ำ� บริษทั จึงมาพบฉันถึงบ้าน วันนัน้ เป็นช่วงกลางฤดูรอ้ น อุณหภูมพิ งุ่ สูงถึง 107 องศา ฉันนอนตัวสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ใต้ผ้าห่มหนาหลายชั้น ขณะ ที่หน้าต่างทุกบานก็ปิดสนิทเพราะฉันรู้สึกหนาว “ประวัติคุณมีต�ำหนิ” ผู้น�ำเตือน “คุณคือขยะของมาดามเหมา” ผู้น�ำของพรรคใช่จะไร้เมตตาเสียทีเดียว เขาเคยพูดถึงฉันในแง่ดี อยู่ครั้งหนึ่ง และยังเริ่มด�ำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้ฉันพ้นจากสถานภาพ ‘คนงานที่ถูกขอยืมตัว’ อีกด้วย “คุณต้องมีใบรับรองแพทย์มายืนยันว่าป่วย จริง หรือไม่ก็ต้องไปทิเบต หาไม่แล้วผมคงต้องไล่คุณออก” หลังจากตรวจร่างกายฉัน หมอที่คลินิกบอกว่า “คุณจะเสียเวลามา หาผมเพื่ออะไร คิดว่าผมเป็นผู้วิเศษรึไง ยาอะไรที่จ่ายได้ก็สั่งจ่ายไปแล้วนี่” “ฉันยินดีท�ำทุกอย่างตามที่หมอสั่งค่ะ” ดอกไม้ไร้ราก

39


“เตรียมตัวตายเถอะ” หมอพูดห้วนๆ พลางหันหน้าไปทางอื่น “โรค ท้องร่วงและอาการขาดน�้ำขั้นรุนแรงขนาดนี้ไม่มีทางรักษาหรอก แม้แต่ซูสี ไทเฮาก็ยังสิ้นพระชนม์เพราะโรคนี้เลย” “ฉันได้รับค�ำสั่งให้ไปท�ำงานในเทือกเขาทิเบตค่ะหมอ กรุณาช่วยฉัน ด้วยเถอะ” “ยอมสละชีวิตเพื่อส่วนรวมสิคุณ” ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันชนเสาข้างถนนตกจากจักรยาน ประสาท ไขสันหลังที่เคยกระทบกระเทือนมาแล้วครั้งหนึ่งจึงเกิดอาการบาดเจ็บขึ้น มาใหม่ ฉันต้องหยุดพักพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ ระหว่างเดินขึ้นบันได ฉันเริ่มมีอาการหน้ามืดและรู้ว่าตัวเองก�ำลังจะหมดสติอีกครั้ง ตามปกติ แพทย์จะไม่ค่อยเต็มใจออก ‘ใบรับรองอาการป่วย’ ให้ใครง่ายๆ แต่คราว นี้ฉันได้ใบรับรองมาอย่างรวดเร็ว ผู้น�ำของพรรคจึงตัดฉันออกจากรายชื่อ คนงานที่จะส่งไปทิเบต พรรคคอมมิวนิสต์ก�ำหนดนโยบายใหม่ ประกาศให้ประกาศนียบัตร ของโรงเรียนที่ออกให้ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ‘เป็นโมฆะ’ เพื่อรักษางาน ของตนไว้ คนท�ำงานทุกคนจ�ำเป็นต้องสอบผ่านวิชาพื้นฐานระดับมัธยมต้น เพราะท�ำงานกะกลางวันวันละสิบสี่ชั่วโมง ฉันจึงต้องไปเรียนหนังสือตอน กลางคืน และแทบสอบไม่ผ่านเกณฑ์ส�ำเร็จการศึกษา  ฉันท�ำคะแนนวิชา ภาษาจีนได้ 66 เต็ม 100 และท�ำได้ 64 คะแนน ส�ำหรับวิชาคณิตศาสตร์ ในฤดูหนาวของปี 1984 ฉันได้รับจดหมายติดแสตมป์ต่างประเทศสวยงาม หนึ่งฉบับ จดหมายฉบับนั้นมาจากเฉินชงเพื่อนของฉันซึ่งไปเรียนอยู่ใน มหาวิทยาลัยที่อเมริกาหลังจากกลายเป็นดาราโด่งดังในเมืองจีน สิ่งที่สอด มาพร้อมจดหมายคือลูกโป่งพิมพ์รูปมิกกี้เมาส์ เฉินชงบอกว่าชื่อใหม่ภาษา อังกฤษของเธอคือโจนเฉิน  ฉันตื้นตันใจยิ่งนักที่เธอยังนึกถึงฉัน ฉันอยาก ให้ตวั เองมีเรือ่ งน่าสนใจเล่าให้เธอฟังบ้าง แต่ฉนั จะบอกเธอได้อย่างไรว่าก�ำลัง คิดจะจบชีวิตตัวเอง ตอนนั้นฉันอายุยี่สิบหกปีแล้ว 40

อายุรี  ชีวรุโณทัย แปล


ฉันขอยืมกล้องมาตัวหนึ่งก่อนเขียนจดหมายตอบโจน แล้วขอให้ น้องสาวถ่ายรูปตอนที่ฉันเป่าลูกโป่งมิกกี้เมาส์ ฉันอยากให้โจนเห็นว่าตัวเอง มีความสุขมากเพียงไรกับของขวัญที่เธอส่งมาให้  พอฉันเป่าลูกโป่ง หูสีด�ำ ของมิกกี้ก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นมา แต่เป็นเพราะฉันไม่ค่อยมีแรงเป่า หูสองข้าง จึงมองเหมือนหน้าอกที่เริ่มเต่งตูม พวกน้องสาวของฉันพากันหัวเราะกลิ้ง กับพื้น รูปที่ฉันส่งไปให้โจนเฉินแสดงให้เห็นว่าฉันสนุกสนานอย่างยิ่งกับ การเป่าลูกโป่งใบนั้น โจนเฉินชี้แจงในจดหมายฉบับต่อมาว่าเธอไม่ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ แบบเจ้าหญิง และไม่มีใครใส่ใจเธอเหมือนในเมืองจีน เธอต้องท�ำงานเป็น พนักงานเสิร์ฟเพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเองและเป็นค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัย พอโจนเฉินบรรยายว่าชีวิตนักเรียนจีนส่วนใหญ่ในอเมริกามักจะเป็นเช่นนี้ สมองของฉันก็สว่างวาบขึ้นมาทันที

ดอกไม้ไร้ราก

41


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.