มหรสพยังไม่ลาโรง

Page 1


มหรสพ ยังไม่ลาโรง นทธี ศศิวิมล กรุงเทพมหานคร  ส�ำนักพิมพ์มติชน  ๒๕๕๗


สารบัญ

ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ จากใจผู้เขียน

๖ ๙

๒๕ ปีต่อมา ร้าง ดาราจ�ำเป็น ลอยมา ที่ที่หยั่งไม่ถึง ทรงจ�ำ ศพในตู้ น้อง แพร... คลินิกความทรงจ�ำ

๑๕ ๔๓ ๕๓ ๗๕ ๘๙ ๑๐๙ ๑๒๓ ๑๓๓ ๑๔๑ ๑๕๓

๑๖๕

เกี่ยวกับผู้เขียน


ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์

แรงเหวี่ยงจากความคิดค�ำนึงยังคงท�ำงานของมันอย่าง เงียบๆ สอดรับกับโลกปัจจุบันที่ก้าวผ่านอดีตไปทุกเมื่อเชื่อวัน  จนถือได้ว่าทุกนาทีที่ผันผ่านไปนั้น ย่อมหมายถึงทุกเรื่องราว  ที่เคยประสบไม่อาจหวนกลับมา เหลือก็แต่ผู้คนที่รับรู้ถึงอดีตเหล่านั้นว่า จะถ่ายทอด  เป็นความทรงจ�ำได้หรือเปล่า “นทธี  ศศิวิมล” นักเขียนสตรีผู้ยังท�ำงานอย่างมุ่งมั่น  จึงบรรจงสร้างงานวรรณกรรมทีก่ ล่าวถึงส�ำนึกของผูค้ น ถักถ้อย ร้อยความจนกลายเป็นรวมเรื่องสั้น “มหรสพยังไม่ลาโรง” เนื้อหาอันน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้  นอกจากจะเชื่อม  โยงด้วยปรากฏการณ์ทางสังคม สอดร้อยด้วยความผันแปร  ในทุ ก บริ บ ทแล้ ว  ผู ้ เ ขี ย นยั ง ผู ก โยงประเด็ น ทางจิ ต วิ ท ยาซึ่ ง  6  นทธี ศศิวิมล


เป็นเรื่องใกล้ตัวแต่น้อยนักที่จะรู้ว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิต ยกตัวอย่างเช่นเรื่องสั้น “๒๕ ปีต่อมา” ซึ่งเป็นเรื่องสั้น  ชนะเลิศรางวัลสุภาว์  เทวกุลฯ ก็ได้กล่าวถึงการก้าวข้ามมิติ  ไปสู่อนาคตในระหว่างความเป็นความตาย ด้วยตัวละครเอก  ได้พบความเปลีย่ นแปลงของสังคม ก่อนจะประจักษ์ดว้ ยสายตา  ตนเองว่า แม้ในอนาคตคนเราจะเห็นแก่ตัวมากขึ้น สังคมจะ  เปลี่ยนแปลงจนศีลธรรมถูกลบเลือน แต่อย่างน้อยคนรุ่นใหม่  ก็ยังปรับตัวอยู่รอดกันได้โดยไม่เบียดเบียนใคร จึงนับเป็นเรื่อง  สั้ น ที่ ส ะท้ อ นภาพสั ง คมในอดี ต กั บ ปั จ จุ บั น ว่ า แตกต่ า งกั น  อย่างไร ในขณะที่ เ รื่ อ งสั้ น  “ศพในตู ้ ”  กล่ า วถึ ง ชายคนหนึ่ ง ซึ่ ง  ผูกพันกับร่างคนตายในตู้เสื้อผ้า เขามีความทรงจ�ำมากมาย  จนต่อมาก็ได้จ่อมจมอยู่กับศพซึ่งอาจหมายถึงตัวเขาเอง นับ  เป็นเรื่องสั้นเชิงนามธรรมที่สามารถตีความได้ว่าไม่ว่าชายคน  นั้นจะหมายถึงศพหรือไม่  แต่การมีชีวิตอยู่และการใช้ชีวิตเป็น  สิ่งมีค่าเกินกว่าการประมาณได้ เช่ น เดี ย วกั บ เรื่ อ งสั้ น  “คลิ นิ ก ความทรงจ� ำ ” กล่ า วถึ ง  นายแพทย์คนหนึ่งที่เปิดคลินิกให้ผู้ป่วยซึ่งเป็นลูกค้าของเขา  สามารถย้ อ นกลั บ ไปในอดี ต ได้ ต ามจิ น ตนาการ แม้ แ ต่ น าย  แพทย์คนนั้นก็ยังโหยหาสิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่ต่างจากผู้ป่วย ทุกเรื่องสั้นของหนังสือเล่มนี้  จึงสอดรับกับการชวนให้  ตระหนักถึงคุณค่าและความงดงามของอดีต อันมิใช่การมอง  โลกที่ปราศจากรูปธรรม มหรสพยังไม่ลาโรง  7


หากแต่เป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้คน “ใช้ชีวิต” และ “มอง  ชีวิต” อย่างมีคุณค่านั่นเอง ส�ำนักพิมพ์มติชน

8  นทธี ศศิวิมล


จากใจผู้เขียน

เคยมีคนถามข้าพเจ้าอยู่บ่อยครั้งว่า หากย้อนเวลาและ สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้  ข้าพเจ้าอยากจะกลับไปตอนไหน  และจะแก้ไขอะไร เรือ่ งจริงน่าเศร้าคือ เราไม่อาจย้อนเวลาได้จริงด้วยวิทยา การความรู้  ณ ปัจจุบันนี้   ฉะนั้นแล้วการย้อนคิดถึงความผิด  พลาดเก่าๆ และบาดแผลในใจประเภทที่ว่า ท�ำไมตอนนั้นเรา  ไม่ท�ำอย่างนั้น มีแต่จะยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดให้ตัวเอง  ข้าพเจ้าเคยมีเพื่อนชั้นประถมคนหนึ่ง จ�ำชื่อนามสกุลได้  ชัดเจน เราเรียนห้องเดียวกันตอน ป.๔, ๕, ๖ เพื่อนคนนี้เรียน  ไม่ค่อยเก่ง เวลาถูกลงโทษให้ไปร้องเพลงในชั้นเรียน เขามักจะ  ร้องเพลงพริกขี้หนูของพี่เบิร์ด ธงไชย ร้องท่อนฮุกวนไปวนมา  อย่างนัน้ ด้วยเนือ้ เพลงผิดๆ ถูกๆ  เพือ่ นๆ จะชอบใจและหัวเราะ  ครื้นเครงกันทั้งห้อง แต่ตัวเขาจะอายจนหน้าแดงไปถึงใบหู มหรสพยังไม่ลาโรง  9


เรานั่งรถโรงเรียนคันเดียวกัน ข้าพเจ้าซึ่งเป็นเด็กเอื่อย  เฉื่อยเชื่องช้า กระต้วมกระเตี้ยมมักไปถึงรถช้า แต่เพื่อนคนนี ้ มักจะจองที่นั่งที่ดีที่สุดให้ข้าพเจ้าเสมอ เพราะเรื่องนั้นเองบาง  ครั้งเราจึงถูกเพื่อนๆ ล้อว่าเป็นแฟนกัน เพื่อนคนนี้ยังคอยช่วย  เหลือข้าพเจ้าอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะวิชาที่ต้องใช้แรงอย่าง  พละ เกษตร โดยที่ไม่เคยปริปากบ่นหรือทวงบุญคุณ เทอมสองของชั้น ป.๖ อยู่ๆ เพื่อนคนนี้ก็ไม่มาเรียนอีก  เลย โดยไม่มีใครทราบสาเหตุ  เพื่อนๆ ต่างคาดเดาไปต่างๆ  นานา เรารู้กันดีว่าเพื่อนมาจากบ้านที่มีฐานะค่อนข้างล�ำบาก  และเดาว่าคงเพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าไปพบเขาเข้าในอีกสองปีต่อมาในตลาดนัดขาย  ของแบกะดินแห่งหนึ่ง ทีแรกข้าพเจ้าไม่แน่ใจ เห็นเขาแต่งตัว  ขะมุกขะมอม นั่งขายที่ตัดเล็บ กรรไกร ไม้แคะหู-ปั่นหูอยู่ที่พื้น  ข้างทาง ข้าพเจ้าหยุดยืนนิ่งอัตโนมัติ  เขาเงยหน้าขึ้นมามอง  เมื่อเห็นข้าพเจ้า เขาดูมีท่าทางดีใจ ยิ้มออกมานิดหนึ่ง แต่แล้ว  จู่ๆ แววตาก็เปลี่ยนไป เขาก้มหน้าลง หน้าแดงถึงใบหู  รวบผ้า  ที่ปูวางสินค้าของเขาขึ้นแล้วลุกเดินหนีไป ข้าพเจ้าคิดว่าเขาคง  อาย แต่ที่เลวร้ายกว่าคือข้าพเจ้าอายเกินกว่าที่จะร้องทักเขา  อายเพื่อนๆ ที่มาด้วย กลัวว่าเพื่อนจะรังเกียจที่มีเพื่อนมอซอ  ขนาดนั้น  มาถึงวันนี้ข้าพเจ้าโกรธตัวเองที่รู้สึกแบบนั้นกับเพื่อน  ที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ข้าพเจ้าจะท�ำอะไร จะ  ร้องทักเขาไหม จะยิ้มทักทายหรือซื้อสินค้าของเขาสักชิ้น แล้ว  10  นทธี ศศิวิมล


เขาจะอับอายเหมือนในวันนั้นอีกหรือเปล่า ค�ำถามเหล่านี้ไม่มี  ค�ำตอบ แต่เรื่องนี้คอยกวนใจข้าพเจ้ามาตลอดจนถึงวันนี้ ความทรงจ�ำของมนุษย์เป็นทรัพยากรทีส่ ำ� คัญอย่างยิง่ ต่อ  พัฒนาการในทุกด้าน ความทรงจ�ำถึงความเจ็บปวดมักชัดเจน  และรุนแรง ฝังลึก มันถูกธรรมชาติสร้างมาให้เป็นเช่นนั้นเพื่อที่  มนุษย์จะได้รู้จักจดจ�ำ  และพยายามหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปใกล้สิ่งที ่ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดเช่นนั้นอีก  หลายความทรงจ�ำเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ของข้าพเจ้าทั้งดี  และไม่ดี  ทั้งสิ่งที่เกิดกับตนเองและผู้อื่น รวมทั้งข่าวสารต่างๆ  ที่เกิดในสังคม ท�ำให้ข้าพเจ้าน�ำมันมาประเมินผลและวางแผน  รับมือกับสิ่งต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ในช่วงหลังข้าพเจ้าประเมินผลความทรงจ�ำทั้งเก่าใหม่  ออกมาในรูปแบบงานเขียนโดยใช้กลวิธีที่แตกต่างกันไป เขียน  ด้ ว ยความบั น เทิ ง สุ ข  แม้ บ างสั ม ผั ส อรรถรสของบรรทั ด บาง  บรรทัดอาจมีน�้ำเสียงเศร้าสร้อย ประชดประชัน หวั่นวิตก หรือ  มองโลกในแง่ร้ายไปบ้าง ข้าพเจ้าก็ยังบันเทิงกับมันได้  และหวัง  ใจเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านจะบันเทิงกับมันได้บ้างไม่ว่าจะเป็นห้วง  อารมณ์ไหน  บางทีข้าพเจ้าก็คิดว่าความทรงจ�ำเกี่ยวกับความรู้สึก  ระหว่างเราคนอ่านและคนเขียน อาจมีบางสิ่งที่เป็นความรู้สึก  ร่วมกัน และเราจะได้สัมผัสมันไปพร้อมๆ กันได้ในหนังสือเล่มนี้ นทธี  ศศิวิมล มหรสพยังไม่ลาโรง  11


มหรสพ ยังไม่ลาโรง


๒๕ ปีต่อมา

“...ผมชือ่ ตี ๋ อายุ  ๓๘ ปี  ณ วันเสาร์ท ี่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๑” ขณะก�ำลังจัดหน้าร้านตามปกติ  ผมรู้สึกเจ็บหน้าอกด้าน  ซ้าย ปวดร้าวลามไปถึงไหล่  รู้สึกใจสั่นและหน้ามืด เท่าที่เคย  ค้นต�ำราแพทย์น้องชายมาดู  น่าจะเป็นอาการของหลอดเลือด  หัวใจตีบ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ผมยังรู้สึกว่าตัวเองยังไหวและไม่  อยากให้ใครเป็นห่วง คิดว่าถ้าท�ำลืมๆ ไปเสียมันก็คงผ่านไป  เฉยๆ เหมือนกับเรื่องร้ายอื่นๆ แต่คราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ มันเจ็บค้างอยู่นานขึ้น  และรุนแรงขึ้น  ผมเริ่มหายใจไม่สะดวก ทรุดนั่งกับเก้าอี้โต๊ะบัญชีร้าน  มองดูหวาน ลูกสาวคนเล็กวัย ๕ ขวบวิ่งถือถังพลาสติกตรงไป  ที่กองทรายหลังบ้าน เจ้าแมวสาวมะลินั่งเลียขาหน้าล้างหน้า  ๒๕ ปีต่อมา  15


ล้างตาตัวเองตามประสาแมวอยู่บนม้านั่งไม้มะค่าตัวโปรดของ  ผม  นิด ภรรยาผมก�ำลังจับไม้กวาดดอกหญ้ากวาดหน้าร้าน  อย่างขมีขมัน เสียงละครทีวีเรื่องนางอุทัยเทวีดังมาจากห้อง  ด้านหลัง พิม ลูกสาวคนโตวัย ๘ ขวบคงก�ำลังตั้งอกตั้งใจกับ  เรื่องราวในจอ ทุกอย่างรอบตัวก�ำลังด�ำเนินไปอย่างราบรื่น ใน  ขณะที่หัวใจของผมเต้นกระตุกรัวถี่เหมือนก�ำลังจะหมดแรง  ผมพยายามเก็บอาการทั้งหมดไว้  รวบรวมเรี่ยวแรงเดินไปที ่ มอเตอร์ไซค์หน้าร้าน ใจนึกถึงไอ้เหล็ง หมออายุรกรรมเพือ่ นรัก  ของผมที่เปิดคลินิกอยู่ถัดไปอีกสามซอย  ความรู ้ สึ ก ใจหายประเดประดั ง พรั่ ง พรู อ ย่ า งไม่ ท ราบ  สาเหตุ  ความกลัวตายตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเป็นครั้งแรกใน  ชีวิต ผมตายไม่ได้  ถ้าผมไม่อยู่  ลูกเมียจะอยู่ได้ยังไง ใครจะ  ดูแลพวกเขา ผมตายไม่ได้... “เฮีย! เฮียเป็นอะไรไป หน้าซีดเลย จะเป็นลมหรือเปล่า”  นิดทิ้งไม้กวาดแล้ววิ่งเข้ามาหา ท่าทางตกอกตกใจ ผมส่ายหน้า “ไม่เป็นไรมาก จะไปหาไอ้เหล็งหน่อยนะ  เดี๋ยวมา”  “เดี๋ยวนิดไปด้วยเฮีย รอเดี๋ยวเอากระเป๋าตังค์ก่อน  นุช  ฝากดูหลานหน่อย เฮียตี๋ไม่สบาย” เสียงนิดตะโกนเรียกน้อง  สาวที่พาหลานมาเล่นที่บ้านให้ออกมา ผมไม่อยากให้เธอเป็นห่วงมากเกินไป และรู้สึกเหมือน  กับอะไรบางอย่างในซี่โครงซ้ายก�ำลังบอกว่าจะทนไม่ไหวแม้แต่  วินาทีเดียว จึงรีบสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์แล้วบิดคันเร่งออกไป  16  นทธี ศศิวิมล


ที่ถนน ผมจ�ำได้เท่านั้น...เรื่องราวก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาที่นี่  ผมลืมตาขึ้น มองเห็นเพดานไม้ทาสีขาวเป็นอย่างแรก  ตามมาด้วยชั้นหนังสือขนาดเล็กวางชิดผนังอยู่ด้านปลายเท้า  ก่อนจะเห็นพืน้ กระเบือ้ งสีขาวและเก้าอีผ้ า้ ใบตัวทีผ่ มนอนทับอยู่  ได้ยินเสียงคนคุยกันดังแว่วๆ อยู่ใกล้ๆ  “นี่พ่อพิมแน่ๆ ค่ะพี่ตี๋  ไม่ใช่คนอื่นแน่  รูปร่าง หน้าตา  เสื้อผ้า ทรงผม รถฮอนด้าสีแดง C70 นั่นด้วย” “นั่นสิ  จากรูปที่พิมเคยให้พี่ดูก็เหมือนมากจริงๆ ไหนจะ  บุหรี่กรุงทอง ๘๕ ในกระเป๋าเสื้อนี่อีก เดี๋ยวนี้มันมีขายซะที่ไหน  แต่ว่า...” “แฮ่!” เสียงขู่จากล�ำคอเล็กๆ ดังขึ้นใกล้ๆ ตัว  เจ้าของ  เสียงก�ำลังปีนขึ้นมาบนตัวผมพร้อมกางมือท�ำท่าจะตะปบ เป็น  เด็กชายตัวเล็กๆ อายุราวขวบกว่า ผิวขาว ปากบาง ผมสีน�้ำ  ตาล แกใส่ชุดและหมวกหมีแพนด้าอยู่เสียด้วย “แฮ่...หมี แฮ่...”  ใบหน้าแกอยู่ติดใบหน้าผม ดวงตาโตสีน�้ำตาลกับคิ้วแบบนี้...  เหมือนลูกสาวคนโตของผมไม่มีผิด! “อุ๊ย เต้น ลงมานะลูก อย่าท�ำคุณตาเจ็บนะ” ตามหลังเสียงนั้นเด็กชายตัวลอยหวิวขึ้นไปตามแรงอุ้ม  ของหญิงสาวคนหนึ่ง แล้วก็เกือบจะร่วงลงทันทีในวินาทีต่อมา  หากชายหนุ่มอีกคนไม่รีบเข้ามารับตัวไว้  “พ่อ! พ่อตื่นแล้ว” หญิงสาวร้องขึ้นแล้วทรุดตัวลงคุกเข่า  ๒๕ ปีต่อมา  17


นั่งข้างๆ ผม  ผมจ้องใบหน้านั้นอย่างตื่นตะลึง เธออายุราว  ๒๘-๓๐ ปี  ใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นสีน�้ำตาลอ่อน รูปร่าง  อวบ ผิวขาวเหลือง ดวงตาสีน�้ำตาล และผมยาวสีน�้ำตาลมัด  รวบไว้ด้านหลัง  ให้ตายเหอะ! นี่มันนิดเมียผมหรือพิมลูกสาว  คนโตของผมกันเนี่ย เป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่าง บ้าจริง ประสาท  การรับรู้ของผมเป็นอะไรไปแล้ว! “พ่อยังเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ นี่พิมเองนะพ่อ พ่อจ�ำ  พิมได้ไหม” เธอว่าแล้วปล่อยโฮออกมา จนเด็กชายหมีแพนด้า  ที่ยืนงุนงงอยู่ข้างๆ เริ่มหน้าเสีย “พี่ตี๋พาเต้นไปเล่นข้างบนก่อนได้ไหมคะ ขอพิมคุยกับ  พ่อสักหน่อย” หญิงสาวเล่าว่าได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ล้มที่หน้าบ้าน  เลยรีบวิ่งออกไปดู  เธอและสามีพบผมนอนตะแคงหลับอยู่กับ  เจ้าฮอนด้าแดงคู่ใจจึงรีบช่วยกันพาผมเข้ามานั่งในบ้านบนเก้าอี้  ผ้ า ใบตั ว นี้   เธอยื น ยันว่าผมเป็นพ่อของเธอ เธอบอกชื่อจริง  นามสกุลและข้อมูลทุกอย่างได้ตรงหมด เธอโชว์แผลเป็นจาก  สังกะสีบาดที่หลังเท้าซ้ายที่ผมเป็นคนอุ้มเธอไปเย็บที่คลินิกไอ้  เหล็งตอนที่เธออายุ  ๖ ขวบ ลนลานหยิบอัลบั้มรูปถ่ายตั้งแต่  เธอยังเล็กๆ ที่มีผม นิด และหวานถ่ายด้วยกันที่บ้านตึกแถวใน  ตลาด และช่วงวัยที่เธอค่อยๆ เติบโตเข้าสู่วัยรุ่น วัยสาว จน  กระทั่งมีครอบครัว สามีเธอชื่อตี๋เหมือนผม เด็กชายหมีแพนด้า  ตาโตคนเมื่อสักครู่คือหลานชายของผม  ความรู้สึกอ่อนโยนที่เกิดขึ้นกับผมทุกครั้งที่คุยกับลูกๆ  18  นทธี ศศิวิมล


อย่างทีไ่ ม่เคยเกิดขึน้ เมือ่ คุยกับมนุษย์คนใดในโลก ตอนนีอ้ นุ่ วาบ  อยูก่ ลางอก ในขณะทีส่ มองพยายามปฏิเสธ แต่หวั ใจกลับยืนยัน  หนักแน่นว่าหญิงสาวคนนี้คือพิม ลูกสาวของผมแน่ๆ แล้วถ้า  เรื่องมันเป็นเช่นนั้นจริง อะไรท�ำให้ผมขี่ฮอนด้า C70 ข้ามเวลา  ทะลุมิติมาอยู่ในโลกที่ลูกโตขนาดนี้แล้ว  “ตั้ ง แต่ พ ่ อ ไม่ อ ยู ่   พิ ม กั บ หวานเฝ้ า รอทุ ก วั น  อธิ ษ ฐาน  ก่อนนอนให้พ่อกลับมา เขียนจดหมายใส่ซองหยอดตู้ไปรษณีย ์ จ่าหน้าถึงพ่อบนสวรรค์  ตอนเด็กๆ พิมเชื่อมาตลอดว่าวันนี ้ ต้องมาถึง” เธอบอกผมว่า ปีนี้คือปี  ๒๕๕๖ ผมพยักหน้า แม้จะไม่  เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เลยสักนิด “แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นผม...พ่อ...  หายไปอยู่ที่ไหนมาตั้ง ๒๕ ปี” พิมนั่งนิ่ง น�้ำตาอาบแก้ม สบตาผมจริงจัง “พ่อเสียไป  เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ปี ๒๕๓๑ ค่ะ พ่อหัวใจวายเฉียบพลัน มอ-  เตอร์ไซค์ล้มอยู่ตรงหน้าบ้าน แม่กับน้านุชพาส่งโรงพยาบาล  แล้ว แต่ก็ไม่ทัน  หมอช่วยพ่อไม่ได้”  ข้อมูลนั้นท�ำให้ผมอึ้งไป ใช่...เมื่อเช้านี้ผมแน่ใจว่าอาการ  ที่เกิดขึ้นคืออาการของโรคหัวใจ แต่ก็ไม่คาดคิดว่ามันจะรุนแรง  ปานนัน้  ผมเพิง่ ตระหนักว่าตนประมาทในชีวติ มากเพียงใด โดย  เฉพาะกับเรื่องสุขภาพร่างกายของตัวเอง หากทั้งหมดนี้เป็น  เรื่องจริง การจากไปของผมอย่ างกะทันหันย่อมส่งผลให้นิด  กลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาวและต้องเลี้ยงดูแลลูกสองคนตาม  ล�ำพัง ยังไม่รวมเรื่องของการดูแลร้านอีก ๒๕ ปีต่อมา  19


หญิงสาวตรงหน้าเมื่อเห็นผมนิ่งไป เธอยกมือผมขึ้นวาง  บนศีรษะเธอแล้วว่า “แต่คราวนี้พิมจะไม่ยอมให้พ่อเป็นอะไรไป  อีก หมอสมัยนี้เก่งมาก เทคโนโลยีการแพทย์ก็ก้าวหน้าไปมาก  แล้วค่ะพ่อ คนเป็นโรคหัวใจเยอะขึ้น แต่ก็รักษากันหายได้มาก  ขึ้น บ้านเราอยู่ใกล้โรงพยาบาล ถ้ามีอะไรฉุกเฉินพ่อรีบบอก  พิมนะคะ แป๊บเดียวก็ถึงหมอ” ข้อมูลต่อมาที่ผมได้รับทราบคือ ที่นี่เป็นบ้านของพิมและ  สามี  สามีเธออายุสี่สิบสอง แก่กว่าเธอสิบปี  ส่วนหลานชายผม  อายุได้ขวบแปดเดือนแล้ว ทั้งคู่ท�ำงานเขียนหนังสือ นิดมีสามี  ใหม่  ตอนนี้เปิดร้านขายอาหารอยู่ด้วยกันที่ตลาดน�้ำอัมพวา  หวานลู ก สาวคนเล็ ก ท� ำ งานบริ ษั ท รถยนต์ ชื่ อ ดั ง อยู ่ ย ่ า นศรี -  นครินทร์  หม่าม๊าผมเสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็งมดลูกตอนอายุ  เจ็ดสิบ หลังจากนัน้ อีกราวสองชัว่ โมง หลังจากเรานัง่ มองหน้ากัน  เงียบๆ ดูแพนด้าน้อยตาโตวิ่งไปมาอยู่ในบ้าน ปีนจักรยานบ้าง  ระบายสีบ้าง ตกเก้าอี้หัวโนบ้าง ผมก็ตัดสินใจได้ว่า ไม่ว่าอะไร  ก็ตามทีท่ ำ� ให้ผมได้มาอยูต่ รงนี ้ คงมีเหตุผลอันควรสักอย่าง และ  ผมก็ไม่ควรนั่งรากงอกอยู่อย่างนี้  แต่ควรด�ำเนินชีวิตต่อไปไม่  รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง ผมเริ่มอัพเดตข่าวสารข้อมูลปัจจุบัน ด้วยการดูรายการ  โทรทัศน์  และตั้งใจว่าต่อไปคือหนังสือพิมพ์  แต่แค่โทรทัศน์  อย่างเดียวก็ท�ำเอาเสียเวลาไปเกือบสองวันเต็ม ในการที่ลูกสาว  ต้องมาคอยอธิบายว่าสินค้าหรือบริการที่เห็นในโฆษณานั้นคือ  20  นทธี ศศิวิมล


อะไรบ้าง  ผมสังเกตว่ามีการใช้ภาษาอังกฤษมากกว่าในยุค  ของผม และคนในยุคนีเ้ ฉลียวฉลาด มัน่ ใจ คิดเร็วพูดเร็วขึน้ มาก  น่าจะเป็นผลมาจากการได้รับการศึกษาที่ดี โดยในขณะระหว่าง  นั้นลูกเขยก็เปิด ‘คอมพิวเตอร์’ ใช้งาน  พิมเล่าว่าคอมพิวเตอร์เดี๋ยวนี้มีกันทุกบ้านเหมือนทีวี  ต่างตรงที่มันสามารถรับข้อมูลจากเราผ่านแป้นพิมพ์เหมือน  พิมพ์ดีดและเมาส์  ความรู้ล่าสุดของผมเกี่ยวกับค�ำว่าคอมพิว-  เตอร์คือ สมองกลที่ช่วยประมวลผลข้อมูลขนาดมหาศาลที่มีใช้  ในหน่วยงานใหญ่ๆ เป็นเครื่องประเภทเมนเฟรมที่มีราคาแพง  แต่เดี๋ยวนี้มีอุปกรณ์หลายชนิดที่นับว่าเป็นสมองกลและมีใช้กัน  แพร่หลาย ยุคสมัยของพิมเรียกว่ายุคข้อมูลข่าวสาร เนื่องจาก  การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วฉับไว ผ่านระบบเครือข่ายทั่วโลก  สามารถคุยกันแบบเห็นหน้าสดๆ ได้ทางหน้าจอ และทุกคน  จะมีเครื่องมือสื่อสารติดตามตัวคนละอย่างน้อยหนึ่งเครื่องเพื่อ  ความสะดวก เดีย๋ วนีต้ ามบ้านแทบไม่ได้ใช้โทรศัพท์บา้ นกันแล้ว  มีแต่สถานที่ราชการหรือที่ท�ำงานเท่านั้น ช่วงบ่ายหลังจากพิมกล่อมเต้นนอนกลางวันและตัวเอง  ก็งีบเอาแรง นายตี๋ลูกเขยที่ผมจะหลุดเรียกว่าพี่อยู่เรื่อยก็พา  ผมเดินดูห้องด้านบนด้วยอารมณ์สบายๆ พวกเขาทั้งสองจัด  ด้านบนเป็นห้องสมุดเล็กๆ หน้าต่างไม้รอบด้านติดม่านลูกไม้  ขาวแบบบ้านขนมปังขิง มีเบาะรองนั่งและโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ ดู  อบอุ่น โปร่งสบาย “คุณพ่อเป็นฮีโร่ของพิมนะครับ เวลาที่พิมพูดถึงคุณพ่อ  ๒๕ ปีต่อมา  21


พิมชื่นชมเสมอ คุณพ่อเรียนเก่ง ฉลาด ใจเย็น ใจดี  เป็นที่พึ่ง  ของคนทั้งตลาด” ประโยคนั้นมาพร้อมกับจังหวะที่ผมหันไปพบภาพถ่าย  ของตัวเอง ภาพชายหนุ่มหน้าตี๋ผิวขาวใส่แว่นตาขอบกระหนา  อมยิ้มอารมณ์ดี  อยู่ในกรอบวิทยาศาสตร์แบบเดียวกับที่ผมเอา  ภาพถ่ายใบเดียวของเตี่ยไปท�ำไว้ตอนงานกงเต๊ก น่าประหลาด  ไหมเล่าที่ผมมองภาพถ่ายตัวเองแล้วรู้สึกเหมือนก�ำลังมองภาพ  ถ่ายงานศพของคนที่ตายไปนานจนรูปเก่าเหลือง นานจนแทบ  นึกไม่ออกว่าเสียงของเขาเป็นอย่างไร เขาเดิน นั่ง ด้วยท่าทาง  แบบไหน หรือเป็นคนเช่นไร ผมเดินดูหนังสือที่วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบบนชั้น  เหล็กขนาดใหญ่เหมือนในห้องสมุดจ�ำนวนหลายชั้นแล้วอดทึ่ง  ในใจไม่ได้  พวกเขาเก็บสะสมหนังสือดีๆ น่าอ่านไว้มากมาย  ไม่แปลกที่ทุกวันนี้พวกเขาเป็นนักเขียน ผมกวาดสายตาไป  พบชั้นหนังสือนิตยสาร ‘สังคมศาสตร์ปริทัศน์’ เรียงราย เห็น  หนังสือ ‘สงครามชีวิต’ เมื่อหยิบมาพลิกเปิดปีที่จัดพิมพ์แล้วก็  ต้องทึง่ อีกรอบ  ผมดึง ‘ฉันจึงมาหาความหมาย’ ออกมาจากชัน้   มองหน้าปกทีย่ งั สภาพดีแต่สเี หลืองซีดเซียว บทกวี ‘เพลงเถือ่ น แห่งสถาบัน’ ยังคงชัดเจนในความทรงจ�ำ ภาพเพือ่ นเก่าๆ ย้อน  กลับมาอีกครั้ง หากเวลาผ่านไปขนาดนี้แล้ว พวกนั้นจะเป็นยัง  ไงกันบ้างนะ  “คุณเก็บหนังสือดีจังนะ สภาพยังดีมากขนาดนี้  หนังสือ  นี้ผมอ่านตั้งแต่สมัยผมเรียนมหาวิทยาลัย” 22  นทธี ศศิวิมล


หนุ่มใหญ่ตรงหน้ายิ้มน้อยๆ “ครับคุณพ่อ ผมก็ได้อ่าน  ตอนเรียนมหาวิทยาลัยแล้วชอบมาก เลยหาซื้อฉบับพิมพ์ครั้ง  แรกเก็บไว้ หายากอยูเ่ หมือนกัน โชคดีทไี่ ด้สภาพดีขนาดนี ้ ตอน  นี้มีฉบับพิมพ์ใหม่ออกมาเรื่อยๆ เพราะยังได้รับความนิยมจาก  คนอ่านอยู่ตลอด ถ้าคุณพ่ออยากเก็บไว้อ่าน เดี๋ยวผมจะหามา  ให้ครับ” ให้ตายเหอะ ยังไงผมก็กระอักกระอ่วนใจไม่หายทุกครั้ง  ที่ได้ยินคนอายุขนาดรุ่นพี่มาเรียกผมว่าพ่อ แต่ก็นั่นแหละ จะ  ให้เขาเรียกว่าน้องก็คงไม่เหมาะในเมื่อเขาเป็นลูกเขยผม “นักศึกษาเดี๋ยวนี้ไปถึงไหนแล้ว อ่านอะไรกันบ้าง สงสัย  คงต้องขอให้คุณแนะน�ำผมแล้ว” ลู ก เขยผมยิ้ ม ๆ “นั ก ศึ ก ษาเดี๋ ย วนี้ ต ่ า งจากรุ ่ น คุ ณ พ่ อ  เยอะครับ คนที่อ่านหนังสือโดยเฉพาะแนววรรณกรรมหนักๆ  จะน้อยมาก ยิ่งหลังจากพวกสมาร์ทโฟนไอโฟนไอแพดออกมา  ยิ่งหนัก อย่าว่าแต่หนังสือเลย แค่เงยหน้ามองหน้าคุยกันยัง  ยากเลย วันๆ เอาแต่ก้มๆ จิ้มๆ” ค�ำตอบคงจะยาวมากแน่ๆ ถ้าผมจะถามอีกว่าไอโฟน  และสมาร์ทโฟนคืออะไร แต่เดาว่าคงเป็นโทรศัพท์อัจฉริยะ  อย่างหนึ่งเหมือนในนิยายวิทยาศาสตร์ชอบกล่าวถึง ไว้ผมคง  จะลองให้พิมช่วยสอนค้นหาข้อมูลเรื่องพวกนี้ในอินเตอร์เน็ต  ดูอีกครั้งก็คงได้ ขณะกวาดสายตาไปรอบห้ อง ผมก็ ส ะดุดตาเข้ ากับตู้ หนังสือเล็กๆ อีกตู้ที่ตั้งหลบมุมอยู่กับกองหนังสือกองใหญ่  ผม  ๒๕ ปีต่อมา  23


เดินเข้าไปใกล้ๆ จึงเห็นว่าในตู้แบ่งเป็นสัดส่วน มีหนังสือเรียง  อยู่ในช่องเล็กๆ และมีสติ๊กเกอร์สีขาวพิมพ์เลข พ.ศ.ติดอยู่แต่  ละช่อง “ตู้นี้ไว้เก็บหนังสือที่เป็นผลงานเขียนของผมกับพิมน่ะ  ครับ  นี่ครับ เล่มนี้เป็นผลงานล่าสุดของพิม เพิ่งออกมาเมื่อ  สองเดือนก่อนนี่เอง” รับหนังสือปกสีครามสวยหวานมาพิจารณา น�้ำตารื้น  พิมไม่ได้ใช้นามปากกา ชื่อที่ผมเป็นคนตั้งให้แกเมื่อแรกเกิดจึง  ปรากฏเป็นตัวอักษรนูนต�ำ่ สีทองโดดเด่นใต้ชอื่ นวนิยายเรื่องนั้น “พิมเขียนวรรณกรรมเยาวชนเกี่ยวกับตุ๊กตา เวทมนตร์  และสัตว์เลี้ยงได้มีชีวิตชีวาน่าติดตามมากครับคุณพ่อ แฟน  หนังสือของพิมเยอะทีเดียว ผมละยอมแพ้เลย” เมื่อเล็กๆ พิมมักรบเร้าให้อ่านนิทานและนิยายเยาวชน  ให้แกฟัง เรื่องโปรดของแกคือเรื่องยักษ์ใจดีของโรอัลด์  ดาห์ล  และเรื่องโมโม่ของมิฆาเอล เอ็นเด้  แต่ใครจะกล้าหวังไกลได้  ขนาดว่าโตขึ้นมาลูกสาวช่างฝันจะมากลายเป็นนักเขียนอาชีพ  ผมมองหนังสือเกือบ ๒๐ เล่มในตู้ใบเล็ก หมายมั่นปั้นมือว่าจะ  อ่านหนังสือที่ลูกเขียนให้หมดให้ได้ เริ่มแต่คืนนี้เลย ผมสนใจการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นพิเศษ แต่ยังไม่สามารถ  บังคับมือ ตา กับลูกศรเล็กๆ บนหน้าจอให้สัมพันธ์กันได้ดีเท่า  ไหร่นัก จึงต้องพึ่งพาพิมในช่วงวันแรกๆ สิ่งนี้ช่างน่ามหัศจรรย์  โดยเฉพาะเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันได้ไม่มีขีด  24  นทธี ศศิวิมล


จ�ำกัด เราหาทุกอย่างได้ในอินเตอร์เน็ต ผมไม่ประหลาดใจเลย  ว่าการมาของมันจะท�ำให้โลกหมุนเร็วขึน้ และเปลีย่ นแปลงตลอด  เวลา  พิมเล่าว่าคนดังเดี๋ยวนี้ไม่จ�ำเป็นต้องพึ่งดวง รอแมวมอง  หรือใช้เส้นสายฝากออกทีวีเหมือนเมื่อก่อน แค่ถ่ายวิดีโอเด็ดๆ  สักสองสามนาทีก็ดังระเบิดได้ในชั่วข้ามคืน เพลงของคนสมัยนี้  ดนตรีมีความซับซ้อนมากขึ้น และ  คุณภาพของนักร้องก็ดเี ยีย่ มจนน่าทึง่  เพลงป๊อปโป๊ะตึกๆ อย่าง  สมัยผมก็ยงั พอมีบา้ ง แต่กม็ กี ารเติมลูกเล่นลงไปมากมาย  เรือ่ ง  ที่ท�ำให้ผมทึ่งแทบไม่เชื่อสายตาคือแฟชั่น เพลง และหนังละคร  ของเกาหลี  ประเทศที่เงียบเชียบด้านนี้มาหลายทศวรรษกลับ  กลายเป็ น กระแสนิ ย มทั่ ว โลก สาวๆ ทุ ก คนอยากมี ห น้ า ตา  เหมือนดาราเกาหลี  อยากใส่เสื้อผ้า ใช้ของเหมือนคนเกาหลี  “ของเล่นเดี๋ยวนี้แพงจริง ตุ๊กตาเฟอร์บี้นี่ตัวละตั้งสี่พัน  ซื้อทองได้บาทนึงพอดี” ผมบ่นลอยๆ เมื่อเปิดเจอข่าวการจับ  ตุก๊ ตาพูดมากหน้าตาเหมือนนกแสกทีส่ นามบินสุวรรณภูม ิ หรือ  ที่ผมเคยรู้จักในชื่อโครงการสนามบินหนองงูเห่า พิมและสามีสบตากันเหมือนอยากจะพูดอะไร ผมจึงนึก  ขึ้นได้ “เอ่อ...เดี๋ยวนี้ทองบาทละเท่าไหร่แล้ว” นายตี๋ หั น มายิ้ ม น้ อ ยๆ “ประมาณสองหมื่ น สี่ พั น บาท  ครับคุณพ่อ” ผมปรับเวลาชีวิตให้เข้ากับพวกเขา ทั้งเรื่องการกินอยู่และ ดูแลไอ้ตัวเล็ก หวานจะแวะมาเยี่ยมทุกวันหยุดพร้อมท�ำผัด  ๒๕ ปีต่อมา  25


กะเพราเนือ้ ไข่ดาวไม่สกุ ของชอบของผมให้ผมกินอยูเ่ สมอๆ ใคร  จะไปรู้ว่าลูกสาวคนเล็กท่าทางทอมๆ ของผมจะท�ำกับข้าวได้  อร่อยเพียงนี้  ผมนึกเป็นห่วงเมื่อรู้ว่าเธออยู่ตัวคนเดียว ไม่มี  สามี  ไม่มีคนรัก  ผมอยากให้เธอมีใครคอยดูแลใกล้ชิดเหมือน  พิมบ้าง แต่ก็ไม่กล้าล่วงเกินความเป็นส่วนตัวของเธอ ในเมื่อ  เธอดูแลตัวเองกันมาตลอดเวลาที่ผมไม่อยู่  ผมจะเอาสิทธิอะไร  มาออกความคิดเห็นในการด�ำเนินชีวิตของเธอวันนี้เล่า สามสี่วันต่อมาหลังจากลูกสาวคนเล็กขอตัวไปท�ำงาน  พวกเรานั่งคุยกันเรื่องที่เกิดขึ้นในปีที่ผมจากมา ตอนที่พิมอายุ  ๘ ขวบ หวาน ๕ ขวบ  ที่บ้านของเรายังมีร้านขายของช�ำและ  สินค้าส่งพวกสุรา ยาสูบ พิมถามว่า “ตอนที่พ่อยังอยู่ตอนนั้น  ใครเป็นนายกฯ คนล่าสุดนะคะ”  “ชาติชาย เพิ่งรับต�ำแหน่ง หลังเปรมปฏิเสธ” “แล้วปีนั้นมีเหตุการณ์ส�ำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้างนะครับ” ตี๋  ถามบ้าง ผมนึกภาพข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์  “เท่าที่คิดออกก็  เขาทราย กาแล็คซี่  ได้แชมป์มวยโลก ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์เพิ่งได้รับ  ต�ำแหน่งนางงามจักรวาลคนที่สองของไทย ตอนนี้มีคนที่สาม  ที่สี่หรือยัง” ลูกสาวผมยิ้ม “ยังไม่มีเลยค่ะพ่อ มีแต่มิสควีนยูนิเวิร์ส  ได้มาหลายปีแล้วค่ะ จัดที่พัทยา เวทีนี้ชื่อดังระดับโลกเลย สวย  กว่าเวทีนางสาวไทยกับมิสไทยแลนด์เวิลด์อีกค่ะ” ผมพยักหน้า “อ้อ มีเวทีใหม่ด้วย จริงสินะ ยุคของลูก  26  นทธี ศศิวิมล


คนหน้าตาสวยๆ เหมือนตุ๊กตาเยอะแยะไปหมด ก็คงต้องมีเวที  ประกวดมารองรับเพิ่มขึ้น” ทั้งคู่มองหน้ากันยิ้มๆ “เวทีนี้พิเศษหน่อยน่ะค่ะพ่อ คือ  เป็นเวทีของสาวประเภทสอง” ขณะที่ผมก�ำลังพยายามท�ำความเข้าใจกับค�ำว่า ‘สาว  ประเภทสอง’ ตี๋ก็รีบเฉลยออกมาว่า “หมายถึงผู้ชายที่จิตใจ  เป็นผู้หญิงและแต่งตัวเป็นผู้หญิงไงครับพ่อ” ให้ตายเหอะ จากภาพที่ลูกเปิดให้ดู  ผมไม่สามารถบอก  ได้เลยว่าเธอเหล่านั้นไม่ใช่ผู้หญิงโดยก�ำเนิด ส่วนใหญ่สวยยิ่ง  กว่าผู้หญิงจริงๆ อย่างที่พิมว่าเสียด้วย “วิ ท ยาการด้ า นความสวยความงามก็ พั ฒ นาไปมาก  เหมื อ นกั น นะคะพ่ อ ” เอาละ ผมเห็ น ด้ ว ยร้ อ ยเปอร์ เ ซ็ น ต์ ใ น  เรื่องนั้น  “อ้อ ส่วนเขาทรายนะครับคุณพ่อ แกป้องกันแชมป์สำ� เร็จ  ติดๆ กันอีกถึง ๒๑ ครั้ง ได้เมียญี่ปุ่นแต่ก็เลิกกันไป ตอนหลังๆ  หันมาเป็นนักแสดง มักจะได้รับบทตลก บางเรื่องก็เล่นเป็น  กะเทย” โอย…หมดกันฮีโร่ของผม ผมครางในใจ นึกอยากให้เขา  เล่าถึงแค่แชมป์ ๒๑ สมัยก็พอแล้ว ส่วนเรื่องการดูแลลูกเป็นอีกเรื่องที่ผมภูมิใจในตัวพิม  ตอนที่พิมกับหวานยังเล็กผมมีผู้ช่วยมากมาย ทั้ง ย่า ยาย และ  บรรดาป้า น้า อา ของพวกเขา มาคอยแนะน�ำดูแลลูกๆ ท�ำให้  ผมค่อยๆ เรียนรู้เรื่องการดูแลเด็กไปทีละน้อย เวลามีปัญหาก็  ๒๕ ปีต่อมา  27


มีที่ปรึกษา แต่นี่ทั้งคู่เป็นพ่อและแม่ที่ดูแลลูกกันเองโดยไม่ม ี ใครช่วยดูแลเลย เวลาที่ผมมองมือของพิมวุ่นอยู่กับการเตรียม  อาหารเด็กทีไรก็อดยิ้มไม่ได้  บางทีอาจเป็นผมที่คิดมากไปว่า  พวกเขาจะอยู่กันเองไม่ได้  เป็นผมเองที่ส�ำคัญตั ว ผิ ด ไป  ผมนึกถึงตอนที่เตี่ยตายตอนผมอยู่ ม.ศ.๓ วันแรกๆ ผม  หม่าม๊า และน้องๆ ทั้งตกใจ สับสน ท�ำอะไรไม่ถูก  หม่าม๊าเอา  แต่พูดว่า แล้วอั๊วจะอยู่ยังไง ใครจะดูแลลูก ส่วนน้องๆ ก็เอาแต่  ร้องไห้  ไม่มีใครคิดท�ำอะไร แต่ต่อมาพวกเราก็จัดการอะไรๆ  ให้เข้ารูปเข้ารอยได้ในเวลาอันรวดเร็ว และอยู่กันได้เป็นอย่าง  ดีโดยไม่มีเตี่ย ผมมองการใช้ชวี ติ และมุมมองต่อสิง่ ต่างๆ ของผูค้ นในยุค  สมัยนี้ผ่านอินเตอร์เน็ตทั้งทางช่องข่าว หน้าเพจต่างๆ และทาง  ยูทูบอย่างสนุกสนาน  โลกของพวกเขาหมุนเร็วจี๋ เปลี่ยนแปลง  แทบจะนาทีต่อนาที  กว้างขึ้นแต่ก็ย่นย่อจนเล็กลงในเวลาเดียว  กัน แต่พอหลายวันเข้าผมก็เริม่ รูส้ กึ เหนือ่ ยๆ เบือ่ ๆ อยากเปลีย่ น  บรรยากาศออกไปยืดเส้นยืดสายดูอะไรข้างนอกเสียบ้าง ต่อให้  เป็นคนเอื่อยเฉื่อยอย่างผม บางทีก็เบื่อเป็นเหมือนกัน  ประจวบพอดีกบั เจ้าหน้าทีก่ ารไฟฟ้าน�ำบิลค่าไฟมาเสียบ  ที่ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้าน ผมเดินไปหยิบมาดูพลางสงสัยว่าเดี๋ยวนี ้ พนักงานเขาไม่อยู่รอเก็บเงินกันแล้วเหรอ “อย่างงี้ก็ต้องไปจ่ายที่การไฟฟ้าสินะ ยุ่งยากน่าดูเลย”  ผมพึมพ�ำ 28  นทธี ศศิวิมล


นายตี๋ยิ้ม “ไม่หรอกครับคุณพ่อ ที่จริงไปจ่ายแค่เซเว่น  ปากซอยนี่ก็พอ” “เซเว่นเหรอ” ผมทวนค�ำ เมื่อเช้าเพิ่งเห็นโฆษณาร้านนี้  ทางโทรทัศน์ เป็นร้านโชห่วยของยุคนีท้ ดี่ สู ะอาดสะอ้านทันสมัย  น่าดู  แหมดีจริง อยู่หน้าปากซอยเรานี่เอง “เดี๋ยวผมไปจ่ายให้  เอง” “เอางั้นเหรอคะพ่อ เดี๋ยวพวกหนูจัดการกันเองดีกว่าค่ะ”  พิมร้องบอก ท่าทางเธอจะเป็นห่วง “พ่ออยากไปดูข้างนอกบ้างน่ะพิม แล้วแค่ปากซอยนี่เอง  พ่อไปได้น่า” ไม่นา่ เชือ่ ว่าแค่ถนนสองเลนในซอย จากบ้านไปปากซอย  แค่ราวกิโลเมตรกว่าๆ การจราจรจะวุ่นวายถึงเพียงนี้  ผมควบ  ฮอนด้าแก่คู่ใจไปอย่างอารมณ์ดี  แต่ก็ต้องขุ่นขึ้นทีละนิด เพราะ  ถูกบีบแตรไล่ตลอดทาง ทั้งที่ขับชิดซ้ายจนแทบจะวิ่งเข้าไป  ในกอหญ้าอยู่แล้ว  เห็นนิสัยการขับรถของผู้คนที่เปลี่ยนไปใน  ทางเห็นแก่ตัวมากขึ้น บีบแตรกระแทกกันบ่อยขึ้น ตะโกนด่า  กันง่ายขึ้น ช่องว่างแม้เพียงน้อยนิดก็แย่งซุกกันแทบจะฆ่ากัน  ทั้งที่คงเร็วขึ้นหรือช้าลงเพียงไม่กี่วินาที  ผมฝ่ามาถึงปากซอยได้อย่างสะบักสะบอมทางจิตใจ หา  ที่จอดรถได้ก็เดินหาร้านเซเว่น แต่ก็หาไม่เจอ จึงแวะถามแม่ค้า  ขายกล้วยทอด เธอชี้พิกัดให้เดินไปข้างร้านขายยา  “ร้านที่มีลายคาดเขียวๆ ส้มๆ นั่นใช่ไหมครับ” แม่ค้ามองหน้าผมแปลกๆ “ถามหยั่งกะไม่เคยเห็นเซเว่น  งั้นแหละคุณนี่” ๒๕ ปีต่อมา  29


ผมเดินเข้าไปในร้าน เดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้าไป แม้  ด้านในจะเป็นร้านเล็กๆ คูหาเดียว แต่คนเข้าไปซื้อของกันมาก  ผมเดินดูทุกชั้นตามประสาพ่อค้าร้านของช�ำ นึกทึ่งในใจที่ร้าน  นีช้ า่ งสรรหาของมาวางขายได้หลากหลายเหลือเกิน มีทงั้ ของใช้  ของสด ของหวาน ของคาว เครื่องดื่ม หนังสือ แถมยังรับจ่าย  ค่าน�้ำค่าไฟอีก  ไปที่เคาน์เตอร์คิดเงินต่อแถวยาวเหยียด เมื่อถึงคิวก็ยื่น  บิลค่าไฟให้พนักงาน “จ่ายค่าไฟครับ” พนักงานสาวน้อยเงยหน้ามาสบตาผม แล้วพูดสีหน้า  เรียบๆ “เครื่องในค่ะพี่” เธอท�ำเอาผมงง ค�ำว่า ‘เครือ่ งใน’ ของเธอคืออะไร  ก�ำลัง  จะเล่นมุขถามว่าเครื่องในหมูหรือเครื่องในวัว ก็พอดีเธอผาย  มือให้ไปที่เครื่องคิดเงินด้านในสุด เลยเข้าใจขึ้นมาได้  และเดิน  ไปต่อแถวยาวเหยียดอีกรอบ พลางคิดในใจว่า ถ้าเป็นร้านผม  จะให้จ่ายได้ทุกเครื่อง ไม่ใช่เฉพาะแค่ ‘เครื่องใน’ พนักงานหนุม่ น้อยเจ้าของต�ำแหน่ง ‘เครือ่ งใน’ จัดการค่า  ไฟให้ผมเรียบร้อยเขาก็ถามขึ้นมาว่า “รับซาลาเปาด้วยไหม  ครับ”  ผมหันมองที่ตู้ด้านข้างเขา เห็นซาลาเปาหลายแบบเรียง  รายน่ารับประทาน จริงๆ การทีพ่ อ่ ค้าเชียร์ของบางอย่างให้ลกู ค้า  ซื้อเพิ่มอาจหมายถึงสินค้าชนิดนั้นขายไม่ค่อยดี  หรือไม่มีใคร  รู้จักสินค้า  ผมรู้สึกเห็นใจเขาขึ้นมาเมื่อนึกถึงตัวเองตอนขาย  30  นทธี ศศิวิมล


สบู่ยี่ห้อใหม่แล้วลูกค้าไม่มีใครกล้าลองจึงต้องเชียร์พวกอาเจ็ก  ขาประจ�ำให้ซื้อไปใช้บ้าง  “มีไส้อะไรบ้างครับ” ผมถามพลาง  นึกในใจว่าจะช่วยอุดหนุนสักสามสี่ลูก เผื่อพิมและเจ้าเต้นด้วย  พนักงานหนุ่มน้อยเงยหน้ามองผม สายตาเต็มไปด้วยเครื่อง  หมายค�ำถาม “อะไรนะครับ”  น่าประหลาดแท้  ตัวเองถามอยู่หยกๆ ว่าจะรับซาลาเปา  ไหม ลืมแล้วหรือไง “ซาลาเปาน่ะครับ มีไส้อะไรบ้าง” ตอนนี้  คนที่ต่อคิวด้านหลังผมเริ่มจิ๊ปากไม่พอใจ สงสัยจะรีบ “งั้นมีไส้  หมูสับไหมครับ” เด็กหนุ่มท�ำหน้างงๆ “อ๋อๆ ครับ มีครับ”  ตกลงผมเลยได้ซาลาเปาไส้หมูสับมาสี่ลูกก่อนจะเดิน  กลับมาที่รถ ขณะเดินผ่านร้านกล้วยทอดร้านเดิม แม่ค้าเอ่ย  ปากขึ้นว่า “ถัดไปอีกสองซอยน่ะคุณ เซเว่นนั้นใหญ่หน่อย คน  ไม่เยอะของครบดี  เซเว่นนี้แออัดของน้อย โน่น...ถ้าเซเว่นฝั่ง  ตรงข้ามนูน้ เงียบเป็นป่าช้า หมูบ่ า้ นคนรวยน่ะ แต่ดนี ะ พนักงาน  มันบริการดี” ผมเลยได้รู้เพิ่มว่าบริเวณห่างกันไม่ถึงครึ่งกิโลเมตร มี  ร้านเซเว่นอยู่ถึงสามสาขา และก็กลับมารู้เพิ่มที่บ้านอีกทีจาก  ผู้ช่วยในอินเตอร์เน็ตด้วยความตื่นตะลึงและขนลุกขนพองว่า  ทั้งประเทศรวมแล้วมีจ�ำนวนหลายพันสาขา ท�ำเอาผมเครียด  ขึ้นมาพักหนึ่งเมื่อคิดว่าหากผมยังไม่ตาย ตอนนี้ร้านของช�ำ  ของผมจะด�ำเนินอยู่ต่อไปในรูปแบบไหน หากต้องพบคู่แข่งที ่ น่าสยดสยองเช่นนี้ ๒๕ ปีต่อมา  31


“ไม่เห็นพ่อถามถึงแม่เลยนะคะ ท�ำไมเหรอคะ” พิมโพล่ง  ขึ้นมาในวันหนึ่ง ท�ำไมผมไม่ถามถึงนิดน่ะเหรอ ผมคิดถึงและอยากพบ  นิดที่สุด แต่ก็กลัวเหลือเกิน  ผมไม่คิดว่าตัวเองจะพร้อมพบนิด  ตอนอายุห้าสิบกว่า นิดที่สวย น่ารัก ช่างประจบ กลายเป็น  อาซิ้มแก่ๆ ยืนผัดข้าวหน้ากระทะคู่กับอาแปะแก่ๆ อีกคน  ผม  ว่าผมจ�ำนิดในแบบที่ผมหลงใหลน่าจะดีกว่า “ถ้าแม่รู้ว่าพ่อกลับมาแล้วไม่อยากพบแม่  แม่คงเสียใจ  มาก” พิมพูดเหมือนได้ยินเสียงความคิดของผม ท�ำเอาผมรู้สึก  ผิดขึ้นมาทันที “พ่อรู้ไหมคะ ตลอดงานศพพ่อ เราสามคนแม่ลูกนอน  เฝ้าศพพ่อที่หน้าโลงทุกคืน เพราะแม่ท�ำใจไม่ได้ที่ต้องกลับมา  นอนที่บ้านโดยทิ้งพ่อไว้คนเดียวแบบนั้น เรานอนกอดกันใต้ผ้า  นวมผืนใหญ่  เพราะตอนนั้นเป็นหน้าหนาว  เจ็ดวันในงานศพ  พ่อ แม่ไม่เอ่ยปากพูดอะไรกับใครเลยแม้แต่ค�ำเดียว หนึ่งเดือน  หลังพ่อตาย แม่ป่วยหนัก เพราะแทบไม่กินไม่นอน น�้ำหนักลด  ลงเหลือแค่  ๔๐ กิโล  ร้านของเราตามรายการลูกหนี้ได้แค่ไม่  กี่คน มีแต่เจ้าหนี้มาตามทวง แล้วแม่ก็ไม่มีกะจิตกะใจและไม่มี  แรงจะสะสางอะไรเลย พวกอากับย่าเลยแนะน�ำให้ขายบ้านไป  อยู่ที่ใหม่  เปลี่ยนที่เปลี่ยนทางบ้างเผื่อแม่จะท�ำใจได้เร็วขึ้น ซึ่ง  ก็จริง แม่มีอาการดีขึ้นมาก แต่กว่าจะท�ำใจเริ่มชีวิตใหม่กับคน  ใหม่ได้ก็อีกหลายปี” 32  นทธี ศศิวิมล


ตอนปี  ๒๕๓๑ ใครจะไปนึกภาพประเทศไทยมีรถไฟฟ้าวิ่ง  ทั้งบนฟ้าและเลื้อยไปมาอยู่ใต้ดินแบบนี้ได้  ส�ำหรับพวกเขาใน  ยุคนี้การได้รับข่าวสารล่วงหน้าและเตรียมพร้อมมานานคงท�ำ  ให้คุ้นชิน แต่กับผมที่จู่ๆ ลุกมาเจอเจ้านี่เข้า ก็ต้องตื่นเต้นดีใจ  เป็นธรรมดา  ผมละลานตาไปกับภาพและเสียงล�้ำสมัยราวกับ  ลอกมาจากหนังฝรั่ง กิริยาท่าทางเย็นชา เร่งรีบของผู้คน ทุก  อย่างดูเป็นทางการไปหมด ผมยืนเกาะราวเหล็กบนรถไฟฟ้า  พลางนึกถึงรถเมล์ตอนรุ่นผมหนุ่มๆ ที่คนเข้าไปเบียดอัดเป็น  ปลากระป๋องจนห้อยออกมาที่ประตูเป็นกระจุก  หวานบอกว่า  เดี๋ยวนี้รถเมล์แน่นๆ ก็ยังมี แต่ไม่มากเหมือนรุ่นผมแล้ว เพราะ  ทางเลือกมีมากขึ้น หากเลือกได้คนจะเลือกใช้รถไฟฟ้าเลี่ยงรถ  ติดเพราะประหยัดเวลากว่ามาก ผู้โดยสารบนรถไฟฟ้าแต่ละคนแต่งตัวสวยงาม หรูหรา  ดูเป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตดี  สะอาดสะอ้าน สุภาพเรียบร้อย สิ่ง  ที่แปลกตาคือแทบทุกคนต่างง่วนอยู่กับการก้มๆ จิ้มๆ อุปกรณ์  สื่อสารในมือตัวเองโดยไม่สนใจคนรอบข้าง  หญิงสาวคนหนึ่ง  ที่เพิ่งขึ้นมาใส่ชุดกระโปรงสีเขียว ผิวขาวเหมือนไข่ปอก ถักผม  เปียป้ายมาด้านข้าง แต่งหน้าเหมือนตุ๊กตา  ผมยิ้มให้เธอ แต่  เธอกลับสะบัดตัวหันไปอีกทางเหมือนถูกล่วงเกิน แล้วรีบหยิบ  อุปกรณ์สอื่ สารของตัวเองมากดๆ จิม้ ๆ กะเขาบ้าง  หญิงอีกคน  ดูออกว่าใส่ชุดคลุมท้อง เดินอุ้ยอ้ายขึ้นมาบนรถในสถานีถัดมา  ผมใจหาย หันมองรอบๆ ตัวดูวา่ ใครจะมีนำ�้ ใจช่วยเหลือเธอบ้าง  แต่ทุกคนต่างก็ท�ำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ ราวกับหญิงท้องแก่  ๒๕ ปีต่อมา  33


เป็นอากาศธาตุ  เธอเดินมาจับราวเหล็กอันเดียวกับผม ผมจน  ใจจะช่วยเหลือเธออย่างอื่น จึงเสนอจะช่วยถือกระเป๋าใบใหญ่ท ี่ เธอสะพายมาด้วย แต่เธอส่ายหน้ายิม้  “ไม่เป็นไรค่ะพี ่ หนูถอื ได้” ผมมองนักศึกษาชายคนที่นั่งใกล้ๆ ก้มกดๆ จิ้มๆ กล่อง  สี่เหลี่ยมในมือพลางหัวเราะแล้วร้อนวูบวาบขึ้นมาด้วยความขุ่น  เคือง “ไม่เป็นไรไม่ได้นะครับ คุณท้องแก่  ถือของมาด้วย หาก  ล้มไปจะอันตรายมาก ไม่มีใครลุกให้นั่งก็นั่งที่พื้นเลยครับ อย่า  ยืนโยกเยกอยู่อย่างงี้เลย สงสารลูกในท้อง” เสียงผมคงจะดังพอสมควร ท�ำให้หลายคนในรถหันมา  มองอยู่สามสี่วินาที  เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาก็ก้มง่วนกับ  โลกอิเล็กทรอนิกส์ของตัวเองต่อ กลายเป็นว่าคนที่ตกใจคือ  หวานที่ยืนอยู่ด้วยและหญิงสาวท้องแก่ที่ก�ำลังหน้าซีด ราวกับ  ผมท�ำอะไรผิดนักหนาอย่างงั้นแหละ “พี่คะ ขอบคุณค่ะ หนูไม่เป็นไรค่ะพี่  เดี๋ยวก็ลงแล้ว ไม่  เป็นไรค่ะ” เธอว่าพลางจะลงป้ายหน้าเอาจริงๆ และในหูผม  เหมือนได้ยินเสียงพูดแว่วมาไกลๆ “จ่ายตังค์เท่ากัน” “รู้ตัวว่า  ไม่สะดวกก็ไม่น่ามาเป็นภาระคนอื่น” เมื่อเห็นผมฮึดฮัดท�ำท่าจะพูดอะไรอีก หวานก็รีบสะกิด  ดึงแขนพูดรัวเร็ว “พ่อๆ เตรียมลงรถได้แล้ว ถึงแล้ว เดี๋ยวต่อ  แท็กซี่อีกหน่อยก็ถึงร้านแม่แล้วค่ะ” นิดเป็นคนสวย จนถึงวันนี้  อายุห้าสิบกว่าแล้วก็ยังดูสวย  ดูอ่อนกว่าวัยเกือบสิบปี  เธอรวบผมแล้วมุ่นมวยสูงแบบสาว  34  นทธี ศศิวิมล


เหนือ ปักปิ่นสีขาวเล็กๆ ทรงเดียวกับที่เธอชอบท�ำเมื่อสมัยที่  เราพบกันใหม่ๆ กิริยาอาการของเธอท�ำให้ผมอุ่นวาบในใจจน  น�้ำตารื้น  ร้านของนิดเป็นร้านเล็กๆ ในตลาดโบราณที่จัดแบบ  ย้อนยุค  วันนี้เป็นวันอาทิตย์  คนมาเดินเที่ยวซื้อของซื้อขนม  เนืองแน่น แวะถ่ายรูปมุมโน้นมุมนี้กันคึกคัก  ผมนัง่ หลบมุมอยูใ่ นร้านนวดฝ่าเท้าห่างไปราวห้าสิบเมตร  แอบมองนิดยิ้มหวาน ร้องเรียกลูกค้ามาซื้อลูกชุบ วุ้นกะทิ  และ  ข้าวเกรียบปากหม้อสมุนไพร ท่าทางสดชื่นมีชีวิตชีวา โดยมี  ชายสูงวัยรูปร่างผอมสูง ผมสีดอกเลา ท่าทางใจดีและแข็งแรง  คอยช่วยห่อขนม  เจ้าหวานลูกสาวสุดห้าวคอยช่วยแม่พลาง  โทรศัพท์ถามไถ่ความเป็นไปของผมเป็นระยะ บอกแม่ของแก  ว่าคุยกับเพื่อน ผมมาอยู่ตรงนี้  ทั้งโทรศัพท์มือถือ ทั้งมุมแอบดู  เจ้า  หวานเป็นคนวางแผน เตรียมเอาไว้ทงั้ หมด แกโทร.มาเป็นระยะ  เพื่อตรวจสอบว่าผมยังอยู่ดีไหมตลอดสองชั่วโมงของการนวด  ฝ่าเท้า “พ่อ พ่อแน่ใจแล้วเหรอว่าไม่อยากคุยกับแม่น่ะ เดี๋ยว  หวานหลอกแม่ไปที่ร้านนวดก็ได้นะ” เสียงเจ้าหวานกระซิบ  กระซาบร้อนรนมาทางสายโทรศัพท์  เราคุยกันแล้วว่าผมคงไม่  แสดงตัวกับนิด เพราะอาจเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะอธิบาย นิดคง  ตกใจมากและคงล�ำบากใจที่จะพูดกับผมที่ตายไปตั้งนานแล้ว  ไหนจะสามีใหม่ของเธออีก ทีจ่ ริงการทีผ่ มตายไปเสียตัง้ แต่ยงั หนุม่ ก็มขี อ้ ดีเหมือนกัน  ๒๕ ปีต่อมา  35


เพราะถ้าผมยังมีชีวิตอยู่และด�ำเนินชีวิตตามปกติตอนนี้ผมจะ  อายุราว ๖๓ ปี  อาจจะเป็นอาแปะๆ แก่ๆ พุงพลุ้ย ที่วันๆ นั่ง  จมอยู่หลังหนังสือพิมพ์  พ่นควันยาสูบฉุนไปทั่ว เห็นอะไรขัดหู  ขัดตาก็บ่นด่าไปตามประสา เหมือนๆ กับพวกอาเจ็กอาแปะ  ในตลาดที่เคยเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ และหากเป็นเช่นนั้นพิมกับ  หวานก็คงไม่รู้สึกว่าผมเป็นคุณพ่อสุดเท่ในความทรงจ�ำสักเท่า ไหร่  และนิด...อาจดูไม่มีชีวิตชีวาได้เท่าวันนี้  ภาพที่เห็นวันนี้  ยิ่งย�้ำให้ผมแน่ใจได้ว่า พวกเขาจะยังอยู่กันได้  และอยู่ได้ดีเมื่อ  ไม่มีผม กลับถึงบ้าน ผมนั่งใคร่ครวญกับเรื่องราวตลอดหลายวัน  นับแต่มีสติกลับคืนมา รับรู้ได้ถึงความรู้สึกแปลกแยก แตกต่าง  รับรูไ้ ด้ถงึ ความห่างไกลของผูค้ น มองเห็นความเหงาและอ้างว้าง  เจือปนอยู่ในภาพแทนตัวบนเฟซบุ๊ก ในขณะเดียวกันความ  รวดเร็ว คล่องแคล่ว เฉลียวฉลาดของทุกคนรอบข้างก็ท�ำให้  ผมรูส้ กึ เหนือ่ ย ผมคงไม่ใช่คนของเวลานี ้ ผมไม่ใช่คนของทีน่ .ี่ ..  อาการเจ็บหน้าอกซ้ายก�ำเริบถี่ขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามเก็บ  อาการนี้ไว้  ไม่ต้องการให้ลูกไม่สบายใจ  ผมรู้ดีว่าอาการเหล่า  นี้ไม่มีวันรักษาหาย มีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะตายไป  ในที่สุด ถึงแม้ลูกจะเพียรบอกว่าหมอสมัยนี้มีความเชี่ยวชาญ  และเทคโนโลยีการแพทย์ก็ก้าวหน้าไปกว่าเดิมมากแล้ว แต่บาง  อย่างบอกผมว่าหมอสมัยนี้ช่วยผมไม่ได้  เพราะตัวผม ณ เวลา  นี้ไม่เคยมีจริง...เพราะผมไม่เคยอยู่ที่นี่...เพราะผมตายไปแล้ว  36  นทธี ศศิวิมล


ตั้ง ๒๕ ปีก่อน...  ผมแน่ใจว่าในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งข้างหน้านี้  ผมจะต้อง  กลับไปอยู่ในที่ที่ผมจากมา ที่ที่คนร้องเพลงพี่แจ้  กับแหกปาก  ชูมือไปกับเพลงของอัสนี-วสันต์  ปุ๋ยพรทิพย์เพิ่งได้รับต�ำแหน่ง  นางงามจักรวาล เขาทราย กาแล็คซี่ก�ำลังเป็นฮีโร่ของคนไทย  ทั้งประเทศ และพลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ เพิ่งได้รับต�ำแหน่ง  นายกรัฐมนตรี ในเวลาและที่ทางที่ถูกที่ควรของผม แล้วเช้าวันนั้นก็มาถึง เป็นวันที่เราตกลงกันว่าจะพาเต้น  ไปเที่ยวสวนสัตว์เป็นครั้งแรก  ขณะก�ำลังช่วยแต่งตัวให้หลาน  หลังจากอาบน�้ำเสร็จ อาการเจ็บหน้าอกซ้ายรุนแรงก็เล่นงาน  ผมอีกครั้ง คราวนี้หนักหนารุนแรงไม่ต่างจากคราวนั้น  เมื่อผม  เริ่มหายใจติดขัด อัดแน่นที่ทรวงอก ผมก็รู้ได้ทันที รู้ดีว่าในที่สุดวันนี้ต้องมาถึง แต่ก็ยังอดเสียดายไม่ได้เมื่อ  นึกถึงรอยยิ้มของไอ้ตัวยุ่งในอ้อมแขนก�ำลังตื่นเต้นสนุกสนาน  กับการดูสัตว์ตัวจริงชนิดต่างๆ ที่เคยเห็นเพียงในภาพถ่ายหรือ  จอคอมพิวเตอร์ เขาคงหัวเราะเมือ่ เห็นสัตว์แสดงท่าทางชวนขัน  ผมเสียดายที่จะไม่ได้เห็นเขาใส่ชุดนักเรียนเหมือนตอนที่เห็น  แม่เขาใส่ไปโรงเรียนวันแรก เสียดายที่จะไม่ได้พบและพูดคุย  กับนิด พิม และหวานอีกตลอดไป  ผมอยากต่อรองกับใครก็ตาม  ทีท่ ำ� ให้ผมมาอยูท่ นี่ ตี่ รงนี ้ ว่าขอเวลาอีกสักครึง่ ปี เดือนหนึง่  วัน  หนึ่ง หรืออย่างน้อยก็อีกสักชั่วโมงเพื่อล�่ำลาสั่งเสีย แต่ใครคน  นั้นอยู่ที่ไหน... ๒๕ ปีต่อมา  37


ผมไม่รู้อะไรเลย ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไรก็ไม่รู ้ แต่ก็หวังว่าจะไม่อ้างว้างเกินไปนัก ผมจูบลาเจ้าชายตัวน้อยผู้แสนบอบบางที่หน้าผาก รวบ  รวมก�ำลังเดินผ่านลูกสาวที่ก�ำลังเตรียมของใช้เด็กใส่กระเป๋า  เพื่อพาลูกของเธอไปเรียนรู้โลกกว้างอีกก้าว  ฮอนด้าแดงคู่ใจจอดรออยู่หน้าบ้าน ดูราวกับว่ามันก�ำลัง  ยืนรอที่จะข้ามผ่านเรื่องราวเหล่านี้ร่วมกันกับผมเหมือนที่เรา  ข้ามผ่านหลายๆ เรื่องในชีวิตมาด้วยกัน  มันนี่แหละที่พาเตี่ย  ไปโรงพยาบาลในวันสุดท้ายของชีวิต คันนี้แหละที่พาผมไปหา  นิดที่ร้านอาหารแห่งนั้นวันที่เราเจอกันครั้งแรก เจ้าฮอนด้าแก่  นี่แหละที่ช่วยผมส่งลูกไปโรงเรียนทั้งอนุบาลและประถม  ตอน  นี้ก�ำลังจะพาผมก้าวผ่านอะไรอีกอย่างที่คงยิ่งใหญ่และธรรมดา  ไม่แพ้เรื่องเหล่านั้น ผมรู้ดีว่าจะได้ขับมันเป็นครั้งสุดท้าย การเดินออกไปเปิดประตูรั้ว กลายเป็นเวลาที่ยาวนาน  และยากเย็น ในเมื่อผมหายใจเข้าแทบไม่ได้แล้ว  เมื่อประตูเปิด  ออกและผมวาดขาขึ้นนั่งบนเบาะมอเตอร์ไซค์  สตาร์ตเครื่องรถ  อาการเจ็บร้าวก็หนักหน่วงรุนแรง ผมพยายามบิดคันเร่งออกไป  ที่ประตู  ได้ยินเสียงร้องดังมาจากข้างหลัง “พ่อจะไปไหนคะ รอ  ก่อนค่ะพ่อ ยังเตรียมของไม่เสร็จเลย”  คราวนี้ผมไม่เหลือแม้เรี่ยวแรงจะพูดอะไรอีก หันไปเห็น  เจ้าตัวเล็กและแม่ของแกวิ่งหน้าตื่นตามมาเพียงแวบเดียว ก่อน  ที่รถจะแล่นผ่านประตูออกมา... 38  นทธี ศศิวิมล


แรงกระแทกกับพื้นดินท�ำให้อาการเจ็บยิ่งจุกแน่นในอก  ในหู ผ มได้ ยิ น เสี ย งหวี ด ร้ อ ง เสี ย งของนิ ด  เธอพยายามตาม  เพื่อนบ้านที่มีรถมาช่วยพาผมไปส่งที่โรงพยาบาล แต่ผมรู้ด ี ว่ามันสายเกินไปแล้ว  หลายคนช่วยกันหามผมขึ้นนอนท้ายรถ  กระบะ ศีรษะหนุนที่ตักของนิด ตลอดทางนิดร้องตะโกนเรียก  ชื่อผม เธอคงตกใจมาก เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผมป่วยเป็น  อะไร ผมจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวที่ผมรัก ตลอดเวลาที่อยู ่ ด้วยกันมา เธอเป็นผู้หญิงที่ขยันและมีชีวิตชีวา ขี้อ้อน ขี้งอน  ตามประสาคนสวยเอาแต่ใจ ผมไม่เคยรู้เลยว่าเธอจะเข้มแข็ง  และเป็นทั้งพ่อและแม่ที่ดีได้มากขนาดนั้น  ผมอยากบอกเธอว่า  ผมเสียใจแค่ไหนที่ไม่อาจอยู่ดูแลกันไปจนแก่เฒ่าอย่างที่เคย  สัญญาไว้ได้  ภาพของนิดที่ร้องตะโกนราวกับคนบ้าท�ำให้ผมปวดใจ  เธอจะต้องทุกข์ทรมานหลังจากนี้อีกพักใหญ่โดยไม่มีผมคอย  ช่วยปลอบใจเธออีกแล้ว ผมสงสารเธอเหลือเกิน  คลื่นสะอื้นลึกกระเพื่อมจากกลางอกขึ้นมาที่คอก่อนที ่ หยาดน�้ำตาอุ่นๆ จะค่อยรินลงจากหางตาทั้งสองข้าง  ผมอยาก  จะบอกนิดว่า แล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี  อยากเล่าให้เธอฟัง  ว่าอีก ๒๕ ปีข้างหน้าลูกๆ จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่อย่างที่เธอ  จะภูมใิ จ สิง่ ต่างๆ จะเปลีย่ นแปลงไปมากมายจนเราจินตนาการ  ไม่ถึง ทุกอย่างง่ายดายและสะดวกสบาย ผู้คนจะเห็นใจกันน้อย  ลง โดดเดีย่ วมากขึน้  เหงามากขึน้  แต่พวกเขาก็อยูก่ นั ได้  อยาก  จะบอกนิดว่าผมรักและภูมิใจในตัวเธอและลูกๆ มากแค่ไหน  ๒๕ ปีต่อมา  39


แต่ก็พูดอะไรไม่ได้เสียแล้ว น่าเสียดายจริงๆ ผมบีบมือนิดไว้แน่นก่อนทีผ่ สั สะทัง้ หลายจะค่อยๆ ทยอย  ปิดการใช้งานลงทีละอย่าง ใช้ชวี ติ ในวินาทีสดุ ท้ายร่วมกับความ  ทรงจ�ำในอดีตและอนาคตทีแ่ ม้ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปทุกห้วงตอน  แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความงดงาม  ของชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น ส�ำหรับทุกชีวิตที่เคยใช้เวลาร่วมกับผม บนโลกที ่ เปี่ยมไปด้วยความมหัศจรรย์ใบนี ้

พิมพ์ครัง้ แรก : รวมเรือ่ งสัน้ รางวัลสุภาว์ เทวกุลฯ ปี ๒๕๕๖ ในชือ่ “๒๕ ปี  ต่อมา” 40  นทธี ศศิวิมล


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.