คังซี
จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 ตอน แผนกู้บัลลังก์
คังซี
จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 ตอน แผนกู้บัลลังก์
เอ้อเยว่เหอ เขียน เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
กรุงเทพมหานคร ส�ำนักพิมพ์มติชน 2557
คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 • เรืองชัย รักศรีอักษร แปล จากเรื่อง 《康熙大帝·夺宫初政》ของ 二月河 Copyright © 2009 by 二月河. All rights reserved. Thai Language Copyright © 2014 by Matichon Publishing House. All rights reserved. Published by arrangement with 长江文艺出版社 Through Tuttle-Mori Agency Co., Ltd. พิมพ์ครั้งแรก : สำ�นักพิมพ์มติชน, มิถุนายน 2557 ราคา 360 บาท ข้อมูลทางบรรณานุกรม เอ้อเยว่เหอ. คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1. กรุงเทพฯ : มติชน, 2557. 464 หน้า. 1. วรรณกรรมจีน I. เรืองชัย รักศรีอักษร, ผู้แปล II. ชื่อเรื่อง 895.1 ISBN 978 - 974 - 02 - 1288 - 1 ที่ปรึกษาส�ำนักพิมพ์ : อารักษ์ คคะนาท, สุพจน์ แจ้งเร็ว, สุชาติ ศรีสุวรรณ, ปิยชนน์ สุทวีทรัพย์, ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์, นงนุช สิงหเดชะ ผู้จัดการส�ำนักพิมพ์ : กิตติวรรณ เทิงวิเศษ • รองผู้จัดการส�ำนักพิมพ์ : รุจิรัตน์ ทิมวัฒน์ บรรณาธิการบริหาร : สุลักษณ์ บุนปาน • หัวหน้ากองบรรณาธิการ : พัลลภ สามสี บรรณาธิการเล่ม : ภาวินีย์ สังขรัตน์ • ผู้ช่วยบรรณาธิการ : อารยา เทพสถิตย์ศิลป์ พิสูจน์อักษร : บุญพา มีชนะ • กราฟิกเลย์เอาต์ : กิตติชัย ส่งศรีแจ้ง ศิลปกรรม-ออกแบบปก : อริญชย์ ลิ้มพานิช • ประชาสัมพันธ์ : ตรีธนา น้อยสี หากท่านต้องการสั่งซื้อหนังสือเล่มนี้จ�ำนวนมากในราคาพิเศษ เพื่อมอบให้วัด ห้องสมุด โรงเรียน หรือองค์กรการกุศลต่างๆ โปรดติดต่อโดยตรงที่ บริษัทงานดี จ�ำกัด โทรศัพท์ 0-2580-0021 ต่อ 3353 โทรสาร 0-2591-9012 www.matichonbook.com บริษัทมติชน จำ�กัด (มหาชน) : 12 ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์ 1 เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์ 0-2580-0021 ต่อ 1235 โทรสาร 0-2589-5818 แม่พิมพ์สี-ขาวดำ� : กองพิมพ์สี บริษัทมติชน จำ�กัด (มหาชน) 12 ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์ 1 เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์ 0-2580-0021 ต่อ 2400-2402 พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด 27/1 หมู ่ 5 ถนนสุขาประชาสรรค์ 2 ตำ�บลบางพูด อำ�เภอปากเกร็ด นนทบุรี 11120 โทรศัพท์ 0-2584-2133, 0-2582-0596 โทรสาร 0-2582-0597 จัดจำ�หน่ายโดย : บริษัทงานดี จำ�กัด (ในเครือมติชน) 12 ถนนเทศบาลนฤมาล ประชานิเวศน์ 1 เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์ 0-2580-0021 ต่อ 3350-3353 โทรสาร 0-2591-9012 Matichon Publishing House a division of Matichon Public Co., Ltd. 12 Tethsabannarueman Rd, Prachanivate 1, Chatuchak, Bangkok 10900 Thailand หนังสือเล่มนี้พิมพ์ด้วยหมึกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อปกป้องธรรมชาติ ลดภาวะโลกร้อน และส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของผู้อ่าน
สารบัญ
ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ ค�ำน�ำผู้แปล แนะน�ำตัวละครส�ำคัญ
7 8 9
ปฐมบท บทที่ 1 สละราชบัลลังก์อย่างไม่ไยดี บ่วงกรรมบ่วงรักไร้ที่สิ้นสุด บทที่ 2 พระโอรสครองราชย์ ขันทีป่าวประกาศ อ๋าวป้ายล้อมที่ดิน ปิดบังเบื้องสูง บทที่ 3 เว่ยตงถิงพบจอมยุทธ์สาว หวู่ฉื้อโหย่วร�่ำสุราวิจารณ์ต�ำแหน่งราช–การ บทที่ 4 คังซีเยือนร้านเยว่เผิง หวูเหลียงฝู่จับราชองครักษ์ บทที่ 5 โวเฮ่อและบิดาถูกประหาร คังซีมีรับสั่งให้โบยหวูเหลียงฝู่จนตาย บทที่ 6 คังซีอ่านบทวิจารณ์ด้วยความตื่นเต้น สั่วหนีป่วยหนักถวายค�ำสั่งเสีย บทที่ 7 สามขุนนางยื่นฎีกาถูกประหาร อ๋าวป้ายเหิมเกริมในท้องพระโรง บทที่ 8 หารือแผนชิงบัลลังก์ในจวนอ๋าวป้าย อ�ำมาตย์ซูขอเฝ้าสุสานหลวง บทที่ 9 อี้เจิ้งหวังยอมศิโรราบ อาจารย์หวู่ไม่คิดเป็นพระอาจารย์ บทที่ 10 อ�ำมาตย์ซูหลั่งเลือดกลางตลาด ค�ำพูดหวู่ฉื้อโหย่วปลุกเร้าคังซี บทที่ 11 สื่อหลงเปียวช่วยคนที่ร้านเยว่เผิง เว่ยตงถิงรับพระบัญชาที่พระต�ำหนักเหวินหัว บทที่ 12 ปรึกษาแผนคุ้มกันคังซี พวกกังฉินวางแผนปลงพระชนม์ บทที่ 13 พระนางเสี้ยวจวงวางแผนอยู่เบื้องหลัง หู่เฉินพบสหายระหว่างทาง บทที่ 14 สื่อหลงเปียวกลับใจสวามิภักดิ์ชิง บัณฑิตปานไขข้อสงสัยที่จวนอ๋าว บทที่ 15 เว่ยตงถิงไปเยือนขอทานเหล็ก หว่านเหนียงพูดเตือนอาจารย์ บทที่ 16 อ๋าวป้ายอวดฝีมือในอุทยานหลวง คังซีทรงมีพระบัญชาในพระต�ำหนักหย่างซิน บทที่ 17 ราชองครักษ์เล่นสนุกกับเจ้าเหนือหัว จอมยุทธ์สื่อรับศิษย์
19 27 39 49 63 70 78 92 98 105 118 128 139 150 161 174 182 188
คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 5
บทที ่ 18 หมอหูรักษาพระอาการประชวรคังซีที่พระต�ำหนักหย่างซิน ปานปู้เอ่อส้านมอบยาพิษให้อ๋าวป้ายที่ศาลาเฮ่อโส้ว บทที่ 19 เจ้ากับขุนนางเที่ยวอารามเมฆขาว นายบ่าวร�่ำสุราในศาลา บทที่ 20 ผูกสัมพันธ์ที่อารามเมฆขาว หูกงซานทายดวงชะตาที่หอซีกู่ บทที่ 21 เขียนค�ำเตือนใจบนเสาพระต�ำหนัก เตือนภัยกลางดึกใจผูกพัน บทที่ 22 ตรวจค้นจวนสั่วคว้าน�้ำเหลว เที่ยวสวนร้างพบบทกวีโบราณ บทที่ 23 หวู่ฉื้อโหย่วพ�ำนักที่อารามเมฆขาว สื่อเจี้ยนเหมยถูกอ๋าวป้ายสอบสวน บทที่ 24 เสี่ยวเหมาจื่อถูกองครักษ์ใหญ่เล่นงาน คังซีจัดเลี้ยงผู้กล้ากลางดึก บทที่ 25 หว่านเหนียงจัดวางคนในวังหลวง ชุ่ยกูซักถามหมิงจู บทที่ 26 หมิงจูถูกทรมานเผยความลับ ผู้กล้าก่นด่ากังฉินก่อนพลีชีพ บทที่ 27 เรื่องในอดีตยากแก้ไข รักเก่ารักใหม่รุมเร้าหัวใจ บทที่ 28 หวูชุ่ยกูขวางการเสด็จช่วยฮ่องเต้ มู่หลี่หม่าน�ำทหารล้อมร้านซานกู บทที่ 29 มู่หลี่หม่าถูกจับเป็นตัวประกัน สื่อหลงเปียวประสบเคราะห์กลางสระน�้ำ บทที่ 30 หู่เฉินถูกปล่อยตัวที่ประตูซีหัว หูกงซานใช้อุบายนอกอารามเมฆขาว บทที่ 31 หูกงซานใช้คารมสลายทัพ เว่ยตงถิงวางแผนรับมือ บทที่ 32 คังซีทรงเรียกกังฉินเข้าเฝ้า หว่านเหนียงไปเยี่ยมอาจารย์ บทที่ 33 รักบริสุทธิ์ไม่ต้องเอื้อนเอ่ย ผาสูงเหวลึกหัวใจสลาย บทที่ 34 หวู่ฉื้อโหย่ววิจารณ์สถานการณ์บ้านเมือง เหอจื้อหมิงเสนอแผนลับ บทที่ 35 ฮ่องเต้น้อยบุกถ�้ำเสือ ยอดขุนพลดื่มชาหนี่ว์เอ๋อ บทที่ 36 หวูลิ่วอีจัดเลี้ยงประหารขุนพล ไท่ปี้ถูถูกจับมัดที่ห้องตะวันออก บทที่ 37 เหอจื้อหมิงทูตฝีปากเอก คังซีทรงประกาศพระปณิธาน บทที่ 38 ราชองครักษ์กรีดเลือดสาบาน ใต้เท้าปานวางท่ากุมอ�ำนาจ บทที่ 39 อ๋าวป้ายตกอยู่ในเงื้อมมือกฎหมาย เสี่ยวเหมาจื่อสังหารโจรสร้างความชอบ บทที่ 40 สื่อเจี้ยนเหมยออกจากจวนอ๋าวป้าย อาจารย์หวู่เข้าเฝ้าในท้องพระโรง บทที่ 41 คังซีตรัสเป็นนัยให้ลดโทษ หมิงจูใช้เล่ห์ท�ำลายการแต่งงาน บทที่ 42 หว่านเหนียงโกนผมออกบวช คังซีตรัสล้อเล่นจนบัณฑิตผวา บทที่ 43 หวู่ฉื้อโหย่วตั้งใจกลับบ้านเกิด เว่ยตงถิงเยือนแม่ชีในวัง บทที่ 44 รับศิษย์ในงานเลี้ยงมรณะ ล�่ำลากันที่ศาลาใจอาวรณ์ บทที่ 45 หมิงจูช่วยหญิงตกยากที่ต�ำบลวูหลง ประหารขุนนางโฉดในศาลเจ้ากวนอวี่ 6 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
198 208 218 227 235 244 254 266 274 283 291 300 309 320 331 341 351 361 370 380 388 397 405 415 424 433 442 451
ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์
นวนิยายแปลชุด คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ชุดสี่เล่ม เนื้อหาเข้มข้น เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นรัชกาลจักรพรรดิอ้ายซินเจว๋หลัว เสวียนเย่ หรือฮ่องเต้ คังซี ทีค่ นไทยรูจ้ กั ชือ่ กันดีจากหนังสือประวัตศิ าสตร์ ภาพยนตร์ และละครซีรสี ท์ างโทรทัศน์ ต่างๆ เรื่องราวในตอนที่หนึ่ง แผนกู้บัลลังก์ คือเหตุการณ์ในช่วงต้นรัชสมัยคังซีซึ่งถือเป็น ยุคส�ำคัญในการวางรากฐานที่มั่นคงหลังจากชาวแมนจูได้บุกเข้าด่านและยึดเมืองหลวง ปักกิ่งก่อตั้งราชวงศ์ชิง เป็นยุคที่สถานการณ์ทางการเมืองยังคงระส�่ำระสายและมีการ แย่งชิงอ�ำนาจหลังการ “จากไป” ที่ยังมีข้อกังขาของฮ่องเต้วัยหนุ่ม ซุ่นจื้อ พระราชชนก ของฮ่องเต้คังซี ในช่วงต้นรัชกาล เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ที่มีความชอบในการบุกเข้าด่านได้เข้ามารับ ต�ำแหน่งช่วยว่าราชการในราชส�ำนักของคังซีซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุเพียงแปดพรรษา หนึ่งในนั้นคือ อ๋าวป้าย เสนาบดีช่วยว่าราชการผู้มีวรยุทธ์สูงและมีเล่ห์เหลี่ยมทางการ เมืองมากคนหนึ่ง เอ้อเยว่เหอ ได้น�ำเหตุการณ์ทางประวัตศิ าสตร์มาร้อยเรียงได้อย่างน่าตืน่ ตาตืน่ ใจ สร้างบุคลิกตัวละครอันเปี่ยมสีสันจนผู้อ่านเสมือนได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ทั้งยังสอดแทรก แนวคิดอันคมคายไว้มากมายในบทสนทนา แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของฮ่องเต้ หนุม่ น้อยทีไ่ ด้รบั การอบรมจากพระอาจารย์หวั ก้าวหน้า หวูฉ่ อื้ โหย่ว ทัง้ ยังทรงรูจ้ กั ประยุกต์ สิ่งที่ได้เรียนรู้ในต�ำรามาเป็นชั้นเชิงทางการเมืองเพื่อรักษาความมั่นคงให้แก่ราชบัลลังก์ ของตน นีจ่ งึ มิใช่เพียงหนังสือประวัตศิ าสตร์ แต่เป็นนวนิยายซึง่ ร้อยเรียงเรือ่ งราวของบุคคล ที่มีชีวิตอยู่ในกาลก่อนได้อย่างเปี่ยมอรรถรส มีทั้งความสนุกตื่นเต้นของการชิงไหวชิงพริบ ความรักที่ซาบซึ้งใจ และอุดมการณ์ทางการเมืองที่ชวนให้ฮึกเหิม เป็นหนึ่งในชุดหนังสือดี ที่มติชนขอส่งต่อถึงมือผู้อ่านด้วยความภาคภูมิใจ และหวังว่าจะได้รับการตอบรับอันดีเมื่อ นวนิยายแปลชุดนี้ได้รับการทยอยตีพิมพ์ออกสู่บรรณพิภพ ส�ำนักพิมพ์มติชน คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 7
ค�ำน�ำผู้แปล
ราชวงศ์ชิงเป็นราชวงศ์สุดท้ายของระบอบศักดินาจีนที่ยืนยาวมากว่าสองพันปี นับจากฉินสื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้) แห่งราชวงศ์ฉิน และยังเป็นราชวงศ์ของชาวแมนจูซึ่งมา จากนอกด่าน เข้ามาครอบครองดินแดนจงหยวนของชาวฮั่นเป็นเวลาสองร้อยกว่าปี มี ฮ่ อ งเต้ ร วม 12 พระองค์ และสิ้ น สุ ด ลงในปี 1912 จึ ง เป็ น ราชวงศ์ ใ นประวั ติ ศ าสตร์ ยุคใกล้ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และคังซีคือจอมจักรพรรดิของต้าชิงซึ่งขึ้นครองราชย์เมื่อมี พระชนมายุเพียง 8 พรรษา ครองราชย์ยาวนานถึง 61 ปี เป็นฮ่องเต้ที่อยู่ในบัลลังก์ยาว นานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ทรงปฏิรูปการปกครองเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างชาวฮั่น กับชาวแมนจู ท�ำสงครามรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นเอกภาพและขยายดินแดน ทั้งยึด ไต้หวันคืนจากอดีตขุนนางหมิงและท�ำสงครามปราบชนเผ่ามองโกล ประวัติของพระองค์ จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง คังซี จอมจักรพรรดิตา้ ชิง เป็นนิยายอิงประวัตศิ าสตร์ แบ่งออกเป็น 4 เล่ม ตามช่วง รัชสมัยของพระองค์ เล่มแรกคือตอน แผนกู้บัลลังก์ เป็นช่วงต้นรัชสมัยของคังซีซึ่งต้อง ต่อสู้กับอ๋าวป้ายผู้เป็นแม่ทัพใหญ่และเสนาบดีช่วยว่าราชการที่หวังชิงบัลลังก์ คังซีซึ่งยัง ทรงพระเยาว์ได้แสดงถึงความปราดเปรื่อง ฉายแววว่าจะเป็นจอมจักรพรรดิออกมาให้ เห็น ผู้แต่งคือเอ้อเยว่เหอเป็นนักเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในปัจจุบัน ของจีน เขาสามารถเรียบเรียงเรือ่ งราวประวัตศิ าสตร์เข้ากับจินตนาการและศิลปะการเขียน ได้อย่างยอดเยี่ยม ท�ำให้บุคคลจริงในประวัติศาสตร์ออกมาโลดแล่นในหนังสือได้อย่าง น่าทึ่ง จนเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่ขายดีที่สุดเล่มหนึ่งในประเทศจีน เมื่อน�ำไปสร้าง เป็นละครโทรทัศน์ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ต้องขอขอบคุณส�ำนักพิมพ์มติชนที่เล็งเห็นความส�ำคัญของจีนศึกษาและนิยายอิง ประวัติศาสตร์จีน ให้การสนับสนุนผู้แปลน�ำนิยายจีนชั้นดีมาเสนอต่อผู้อ่านชาวไทยอย่าง ต่อเนือ่ ง ขอขอบคุณกองบรรณาธิการส�ำนักพิมพ์มติชนทุกท่านทีม่ สี ว่ นส�ำคัญท�ำให้หนังสือ เล่มนี้เสร็จสมบูรณ์ เรืองชัย รักศรีอักษร 8 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
แนะน�ำตัวละครส�ำคัญ
ฮ่องเต้คังซี (ค.ศ. 1654-1722) ฮ่องเต้ซุ่นจื้อ (ค.ศ. 1638-1661) พระนางเสี้ยวจวง (ค.ศ. 1593-1688) ตัวเอ่อกุ่น สั่วหนี สั่วเอ๋อถู
พระนามเดิมว่าอ้ายซินเจว๋หลัว เสวียนเย่ ฮ่องเต้ล�ำดับ ที่ 4 แห่งราชวงศ์ชิง ขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุได้ เพียง 8 พรรษา สร้างความมัน่ คงให้อาณาจักรต้าชิงและ รวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นเอกภาพ ครองราชย์ยาวนาน ถึง 61 ปี เป็นฮ่องเต้ทคี่ รองราชย์ยาวนานทีส่ ดุ ในประวัติ ศาสตร์จีน พระนามเดิมว่าอ้ายซินเจว๋หลัว ฝูหลิน ฮ่องเต้ล�ำดับที่ 3 แห่งราชวงศ์ชิง ขึ้นครองราชย์เมื่อมีพระชนมายุได้เพียง 7 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุ 24 พรรษา ด้วย อาการประชวรเป็นโรคฝีดาษ (มีเสียงร�่ำลือว่าพระองค์ ไม่ได้สนิ้ พระชนม์ในเวลานัน้ แต่เสด็จออกบวชเป็นหลวง จีนที่เขาหวู่ไถซาน) ฮองเฮาของฮ่องเต้หวงไท่จี๋ เป็นพระราชชนนีของฮ่องเต้ ซุน่ จือ้ เดิมเป็นองค์หญิงแห่งเผ่ามองโกล ได้คำ�้ ชูบลั ลังก์ ของพระราชโอรสซุ่นจื้อ และพระราชนัดดาคังซี ต่อมา เป็นไทฮองไทเฮาในรัชสมัยคังซี เป็นสตรีเหล็กที่ค�้ำจุน ราชวงศ์ชิง พระอนุชาของฮ่องเต้หวงไท่จ ี๋ เป็นแม่ทพั ใหญ่ทนี่ �ำกองทัพ ชิงบุกเข้าด่านยึดแผ่นดินจีน ต่อมาได้เป็นเสนาบดีชว่ ยว่า ราชการ (เสนาบดีผสู้ �ำเร็จราชการแทนพระองค์) ระหว่างนัน้ กุมอ�ำนาจราชส�ำนักไว้ในมือ ถูกถอดยศหลังจากเสียชีวติ แม่ทัพใหญ่แห่งต้าชิง เป็นหัวหน้าคณะเสนาบดีช่วยว่า ราชการ ช่วยค�้ำชูบัลลังก์ของคังซี บุตรชายสัว่ หนี ช่วยคังซีกบู้ ลั ลังก์ วางแผนก�ำจัดอ๋าวป้าย เป็นขุนนางส�ำคัญในรัชสมัยคังซี คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 9
ซูเค่อซ่าฮา เอ้อปี้หลง อ๋าวป้าย ปานปู้เอ่อส้าน สุงฉื้อหลี ่ ซูหมาหล่ากู เว่ยตงถิง หวู่ฉื้อโหย่ว หมิงจู
10 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
เสนาบดีช่วยว่าราชการล�ำดับสอง ต่อมาถูกอ๋าวป้าย ใส่ร้ายจนต้องโทษประหาร เสนาบดีช่วยว่าราชการล�ำดับสาม เป็นคนอ่อนแอ ยอม สยบต่ออ๋าวป้าย เสนาบดีช่วยว่าราชการล�ำดับสี่ เป็นแม่ทัพคนส�ำคัญใน สงครามก่อตั้งราชวงศ์ชิง ถือตัวว่ามีความชอบจึงวาง อ�ำนาจคิดชิงบัลลังก์ ต่อมาถูกจับกุมและเสียชีวิตในคุก เป็นราชนิกูลทีม่ ักใหญ่ใฝ่สูง คิดชิงบัลลังก์โดยสมคบกับ อ๋าวป้าย ต่อมาถูกประหาร ราชบัณฑิตและอ�ำมาตย์ใหญ่ ช่วยคังซีวางแผนก�ำจัด อ๋าวป้าย หญิงชาวมองโกล เดิมเป็นนางก�ำนัลใกล้ชดิ ของพระนาง เสี้ยวจวง ต่อมาเป็นนางก�ำนัลและพระพี่เลี้ยงของคังซี เป็นหญิงที่ฉลาดมีไหวพริบ ราชองครักษ์คู่พระทัยของคังซี เป็นผู้ร่วมวางแผนจับกุม อ๋าวป้าย บัณฑิตชาวฮั่นที่มีชื่อเสียง เข้าเมืองหลวงเพื่อสอบรับ ราชการ ต่อมาเป็นพระอาจารย์ของคังซี บัณฑิตตกยากชาวแมนจู เข้าเมืองหลวงเพื่อสอบรับ ราชการ ต่อมาเป็นขุนนางคู่พระทัยของคังซี
หมายเหตุที่ควรทราบก่อนอ่าน ผูแ้ ปลคงการเรียกขานชือ่ ในราชส�ำนักชิง วิธนี บั เวลา และมาตราวัดตามแบบจีนไว้ ตามต้นฉบับ เพื่อให้ผู้อ่านอ่านอย่างได้อรรถรสเพิ่มขึ้น และท�ำหมายเหตุเรื่องเหล่านี้ไว้ เพื่อสะดวกในการอ่าน การเรียกขานชื่อในราชส�ำนักชิง เนื่องจากราชวงศ์ชิงเป็นชาวแมนจู มีวิธีเรียกขานชื่อต่างออกไปจากราชวงศ์อื่นซึ่ง เป็นชาวฮั่น ผู้แปลต้องการคงค�ำเรียกชื่อเหล่านี้ไว้ตามต้นฉบับเพราะเห็นว่าจะท�ำให้เข้าใจ ธรรมเนียมแบบแผนของราชวงศ์ชงิ ได้ดยี งิ่ ขึน้ ตัวอย่างเช่น ขุนนางทัว่ ไปมักเรียกสรรพนาม แทนฮ่องเต้วา่ พระหมืน่ ปี (万岁爷) หรือเรียกสรรพนามแทนตนเองว่าบ่าว (奴才) เป็นต้น ในขณะที่ยังคงใช้ค�ำว่าฝ่าพระบาทหรือเกล้ากระหม่อมเช่นกัน การนับเวลาสมัยโบราณของจีน สมัยโบราณ จีนแบ่งเวลาหนึง่ วันออกเป็นสิบสองยาม แต่ละยามเท่ากับสองชัว่ โมง และมีการใช้ชื่อสัตว์ตามปีนักษัตรก�ำกับแต่ละยามด้วย - จื่อสือหรือยามชวด เวลาระหว่างห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง - โฉ่วสือหรือยามฉลู เวลาระหว่างตีหนึ่งถึงตีสาม - หยินสือหรือยามขาล เวลาระหว่างตีสามถึงตีห้า - เหม่าสือหรือยามเถาะ เวลาระหว่างตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า - เฉินสือหรือยามมะโรง เวลาระหว่างเจ็ดโมงเช้าถึงเก้าโมงเช้า - ซื่อสือหรือยามมะเส็ง เวลาระหว่างเก้าโมงเช้าถึงสิบเอ็ดโมง - หวู่สือหรือยามมะเมีย เวลาระหว่างสิบเอ็ดโมงถึงบ่ายโมง - เว่ยสือหรือยามมะแม เวลาระหว่างบ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง - เซินสือหรือยามวอก เวลาระหว่างบ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น - โหย่วสือหรือยามระกา เวลาระหว่างห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม - ซวีสือหรือยามจอ เวลาระหว่างหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม - ไฮ่สือหรือยามกุน เวลาระหว่างสามทุ่มถึงห้าทุ่ม ยังแบ่งเวลาช่วงกลางคืนออกเป็นห้ายาม - ยามหนึ่งหรือยามสวีสือ เวลาระหว่างหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม - ยามสองหรือยามไฮ่สือ เวลาระหว่างสามทุ่มถึงห้าทุ่ม - ยามสามหรือยามจื่อสือ เวลาระหว่างห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 11
- ยามสี่หรือยามโฉ่วสือ เวลาระหว่างตีหนึ่งถึงตีสาม - ยามห้าหรือยามหยินสือ เวลาระหว่างตีสามถึงตีห้า นอกจากนี้ ชาวจีนยังแบ่งเวลาภายในหนึ่งวันออกเป็น 100 ส่วน แต่ละส่วนคือ หนึ่งเค่อ (刻) โดยใช้นาฬิกาน�้ำ หนึ่งเค่อจะเท่ากับ 14.4 นาที หรือราวสิบห้านาที (หนึ่ง ชั่วยาม หรือสองชั่วโมงจึงเท่ากับ 8 เค่อ) มาตราวัดความยาวของจีน มาตราเหล่านี้น่าจะแตกต่างจากสมัยโบราณบ้าง นี่เป็นการเทียบค่ากับมาตรา เมตริกในปัจจุบัน 1 ชุ่น เท่ากับ 3.33 เซนติเมตร 1 ฉื่อ เท่ากับ 0.33 เมตร 1 จั้ง เท่ากับ 3.33 เมตร 1 ลี้ เท่ากับ 0.5 กิโลเมตร
12 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
ทุกคนนัง่ ลงทีโ่ ต๊ะจัดเลีย้ งตามต�ำแหน่ง คังซียอ่ มต้องประทับนัง่ ในต�ำแหน่งท้ายสุด นับจาก ที่ทรงขึ้นครองราชย์ นอกจากในสถานที่ที่มีไทฮองไทเฮาและไทเฮาแล้วพระองค์ไม่เคย ต้องประทับในต�ำแหน่งถัดจากใคร สภาพในวันนี้ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่
สื่อหลงเปียวไม่หลบ ยืนเกร็งรับฝ่ามือ เน่อโหมวกลับรู้สึกเหมือนห้านิ้วกระแทกใส่ท่อน เหล็กเจ็บปวดจนเข้ากระดูก
คังซีทรงชักกระบี่ออกจากฝัก แล้วกรีดพระหัตถ์ซ้ายเบาๆ พระโลหิตหยดลงในชามทันที เว่ยตงถิงและพวกต่างกัดปลายนิ้วกลางแล้วหยดเลือดลงในชาม
ตาข่ายผืนนี้ถักขึ้นเป็นพิเศษด้วยเส้นลวดทองค�ำ เส้นผม และใยป่าน ต่อให้อ๋าวป้ายมี วรยุทธ์สูงเพียงไร เมื่อตกอยู่ในตาข่ายแล้วย่อมไม่อาจแสดงฝีมือออกมา เขาดิ้นรนไปมา แต่ยิ่งดิ้นรนตาข่ายยิ่งรัดแน่น
คังซี
จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 ตอน แผนกู้บัลลังก์
ปฐมบท
เดือนอ้าย รัชศกซุ่นจื้อปีที่สิบแปด1 ในวันอันหนาวเหน็บของเหมันต ฤดู เพิ่งผ่านวันตรุษ ขอทานเป็นกลุ่มๆ ราวกับผุดขึ้นมาจากใต้ดินเริ่มตระเวนขอทาน ตามถนน ใต้ชายคาร้านค้าด้านตะวันตกของประตูฮาเต๋อและตามวัดร้างในเมืองเป่ยจิง (ปักกิ่ง) เนืองแน่นไปด้วยขอทานเหล่านี้ แต่ละครอบครัว แต่ละกลุ่ม สร้างกระท่อมและ เพิงหญ้าทีฐ่ านก�ำแพงเมือง ตัง้ ใจจะตัง้ รกรากระยะยาว ยังดีทหี่ ลังจากหลีฉ่ ว่ งหวัง2 รบแพ้ เมืองเป่ยจิงเผชิญภัยสงครามหลายครั้ง สูญเสียประชากรไปถึงห้าหกส่วนจากสิบส่วน ด้านนอกและในของประตูตงจือ๋ มีเศษกระเบือ้ งเกลือ่ นพืน้ มีพนื้ ทีร่ กร้างหลายแห่ง ไม่เช่นนัน้ คงจะเกิดปัญหาจากจ�ำนวนคนที่แออัด คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีส�ำเนียงพูดแบบกวนตง3 และมีไม่นอ้ ยทีเ่ หมือนคนในแถบจือ๋ ลี4่ ซานตง และเหอหนาน ต่างสวมใส่เสือ้ นวมเก่าขาด ใช้เชือกฟางรัดเอวถือชามแหว่งเที่ยวเดินขอทาน “ท่านลุง ท่านป้า ท�ำบุญท�ำทานด้วยเถอะ ขอเศษข้าวสักนิด ข้าหนีตายมาจาก เร่อเหอ ยังมีพ่อแม่และลูกที่ต้องดูแล จนปัญญาจริงๆ!” ตรงกับปี 1661-ผู้แปล หลี่ฉ่วงหวังเป็นฉายาของหลี่จื้อเฉิง (ค.ศ. 1606-1645) หัวหน้ากบฏชาวนายุคปลายราชวงศ์หมิง บุกยึดเมืองเป่ยจิงได้ ต่อมาพ่ายแพ้ที่ซานไห่กวนเพราะถูกทัพของหวูซานกุ้ยและทัพชิงตีกระหนาบ จนต้องทิ้งเป่ยจิงหนีลงใต้ และถูกสังหารในปีต่อมา-ผู้แปล 3 关东 หมายถึงบริเวณภาคอีสานของจีน-ผู้แปล 4 直隶 ชื่อมณฑลหนึ่งในสมัยโบราณของจีน ปัจจุบันคือมณฑลเหอเป่ย-บรรณาธิการ 1 2
คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 19
“อมิตาภพุทธ! เวรกรรมจริงๆ หนาวอย่างนี้มีภัยอะไรถึงได้เร่ร่อนมาไกลขนาดนี้ เชียว” ชายฉกรรจ์ที่หาบเครื่องมือปะซ่อมกระทะพอได้ยินก็หันมาแล้วหยุดเดิน เขายิ้ม หยันแล้วว่า “เจ้าเป็นคนที่อยู่ใต้เบื้องพระบาท จะรู้เรื่องที่บ้านนอกได้ยังไง! เวรเอ๊ย พวกธงเหลืองขลิบแดงล้อมที่ดินข้าไป ไม่มาขอทาน จะให้กินหญ้ารึไง” พูดจบก็เอาเปีย พันรอบคอ เดินจากไปด้วยความไม่พอใจ การล้อมที่ดินคืออะไร มีผลร้ายแรงถึงขั้นนี้เชียวหรือ! ความเป็นมาก็คือ ก่อนหน้าที่ชาวแมนจูจะบุกเข้าด่าน เมื่อแปดกองธงออกท�ำ สงคราม ต้องจัดหาม้าและอาวุธเอง แต่ละกองธงจึงต้องยึดครองที่ดินจ�ำนวนมากเพื่อ สนองยุทธปัจจัย หัวหน้าแต่ละกองธงและเหล่าเชื้อพระวงศ์ต้องใช้จ่ายเงินทองจ�ำนวน มหาศาลเพื่อความจ�ำเป็นในชีวิตประจ�ำวัน จึงต้องครอบครองไร่นาขนาดใหญ่น้อยตาม ที่ต่างๆ นอกด่าน หลังจากเข้าด่าน ฉ่วงหวังบุกยึดเป่ยจิงแล้ว เหล่าเชื้อพระวงศ์ พระ ญาติ และเหล่าขุนนางของอดีตราชวงศ์หมิงมีทั้งที่เสียชีวิตและที่หนีไป ทิ้งไร่นารกร้างไว้ นับไม่ถ้วน ตัวเอ่อกุ่นมีค�ำสั่งว่า “พยายามแบ่งสันที่ดินให้บรรดาหวัง เป้ยเล่อ เป้ยจื้อ และขุ น นางที่ มี ค วามชอบที่ ม าจากตะวั น ออกให้ ม ากที่ สุ ด ” พวกขุ น ศึ ก ย่ อ มชิ ง เลื อ ก ที่ดินดีๆ คนเหล่านี้ใช้เชือกเส้นหนึ่งผูกกับม้าสองตัว ปักธงไว้บนหัวม้า ทหารที่อยู่ข้างหลัง เฆี่ยนตีม้าสุดแรงเกิด ล้อมวงได้แค่ไหนก็ได้ที่ดินเท่านั้น ที่ดินในวงจึงเป็นที่ท�ำกินของ ชาวธง นี่คือการล้อมที่ดิน “ตรงนี้เป็นของเราชาวธงเหลืองขลิบแดง” “ตรงนี้เป็นของเรา ชาวธงขาว” กระทั่งที่ใช้อ�ำนาจหนักข้อขึ้นก็จะไล่ชาวบ้านที่อยู่ในวงล้อมออกไป หรือเอา ที่ดินเค็มผืนเล็กมาแลกกับชาวบ้าน นี่ยังนับว่าเกรงใจบ้าง ที่โหดเหี้ยมกว่าก็ใช้อาวุธ ขับไล่ การล้อมที่ดินไปถึงไหน ต้องทิ้งข้าวของในบ้านไว้ เมียกับลูกสาวที่หน้าตาขี้เหร่ ก็จะได้รับ “ความเมตตา” ให้เจ้าบ้านพาไปด้วย ที่หน้าตาดีหน่อยก็ต้องทิ้งไว้ ท�ำให้ เจ็ดสิบเจ็ดเมืองและอ�ำเภอในแถบชานเมืองหลวง จื๋อลี่ ซานตง เหอหนาน และซานซี กว้างยาวราวสองพันลี้ เต็มไปด้วยที่นารกร้าง ผู้อพยพดาษดื่น ตามถนนเต็มไปด้วย ผู้คนที่หิวโหย เสียงร�่ำไห้ดังไม่ขาดสาย มีนับไม่ถ้วนที่ถูกบีบคั้นจนต้องเสี่ยงเป็นโจร ที่ถนนวัดหย่งซิงทางตะวันตกของเมืองหลวงมีโรงเตี๊ยมเล็กๆ ชื่อ เยว่เผิง น่าจะมีความหมายว่า “มีเพื่อน (朋-เผิง) มาจากแดนไกลหรือยินดีปรีดา (悦-เยว่)” ด้านหลังของโรงเตี๊ยมมีห้องพักสิบกว่าห้อง มีไว้ส�ำหรับให้จวี่เหริน5 เข้าพัก 5
ผู้ที่สอบไล่ได้เป็นบัณฑิตในระดับท้องถิ่น-ผู้แปล
20 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
เมื่อมาสอบรับราชการที่เมืองหลวง ขณะนี้ยังห่างจากช่วงการสอบ การค้าจึงซบเซา หน้าร้านขนาดสามประตูที่ริมถนนตั้งโต๊ะแปดเซียน6 ไว้สี่ตัว ด้านเหนือเป็นห้องพิเศษ ไว้ให้ลูกค้ากินอาหาร ด้านตะวันออกของประตูร้านเป็นโต๊ะยาวส�ำหรับขายสุราอาหาร และของจิปาถะ คนงานในร้านล้วนเป็นคนบ้านนอก ต่างก็กลับบ้านไปฉลองวันตรุษแล้ว ในร้านจึงมีเพียงเถ้าแก่และลูกจ้างสองสามคนที่บ้านอยู่ห่างไกลคอยดูแล เช้าตรู่วันที่ แปดเดือนอ้าย คนงานในร้านเพิ่งยกประตูไม้ออกก็มีเสียงดังผลุบ ชายผู้หนึ่งล้มเข้ามา ในร้าน เหอกุ้ยจู้เถ้าแก่ร้านได้ยินเสียงคนงานร้องเรียกก็รีบสวมกางเกง เขี่ยกระโถนไป ใต้เตียง ใส่รองเท้ายังไม่เต็มเท้าก็รีบวิ่งออกมา เห็นชายคนนั้นอายุราวยี่สิบ บนศีรษะ มีหมวกสานด้วยปอแบบที่ซิ่วไฉนิยมสวม ไว้เปียยาวกว่าสองฉื่อ ดูเหมือนจะไม่ได้โกน ผมกว่าสองเดือนแล้ว ผมขึ้นหร็อมแหร็มยาวกว่าชุ่นครึ่ง สวมเสื้อนวมมีรอยคราบ น�้ำมันแพะเป็นหย่อมๆ ราวกับถูกยิงด้วยปืนแก๊ป มีเศษฝ้ายโผล่ออกมาจากรอยขาด มองดูใบหน้า เหลืองซีดแกมสีม่วงราวกับขิงอ่อน ดวงตาปิดสนิท หนาวจนร่างแข็งทื่อ แล้ว เหอกุ้ยจู้ได้แต่ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เวรกรรม! เกิดเรื่องแบบนี้เป็นประจ�ำ เอาไปส่งที่ลานเผาศพเถอะ เฮ้อ วันนี้ซวยจริงๆ!” พวกคนงานไปหาเสื่อเก่ามาห่อศพคนตาย ขณะที่ก�ำลังจะหาแผ่นประตูมาหาม ศพออกไป เสียงม่านประตูหลังก็ดังขึ้น คนที่เดินออกมาร้องบอกว่า “ช้าก่อน!” ทุกคนหันไปมอง คนที่เดินมาอายุราวสามสิบ สวมหมวกจีนผ้าต่วนสีน�้ำเงิน ใส่เสื้อกั๊กหนังสุนัขด�ำสีน�้ำตาลเข้ม สวมทับชุดยาวขนสัตว์สีเทา ใส่รองเท้าขนสัตว์ ยืนตระหง่านอยู่หน้าประตู เถ้าแก่โรงเตี๊ยมฉีกยิ้มทันที “อรุณสวัสดิ์ท่านรอง นี่เป็น ซิ่วไฉยากจนนอนหนาวตายอยู่นอกร้าน” “ตายหรือไม่ตายต้องดูก่อน” เขาพูดพลางเดินตรงมา ก้มตัวลงใช้มือจ่อที่จมูก ชายหนุ่ม แล้วดึงมือขึ้นมาตรวจชีพจร “ยังไม่ตาย! รีบไปต้มน�้ำขิงมา ไม่ เอาเหล้าอุ่นๆ มาก่อน!” พวกคนงานมองหน้ากันเลิก่ ลัก่ ต่างยืนนิง่ เหอกุย้ จูร้ บี บอก “นายท่านสัง่ แล้ว ยังไม่รีบอีก” คนที่มาเป็นจวี่เหริน ชาวเมืองหยางโจว ชื่อหวู่ฉื้อโหย่ว เป็นบัณฑิตคนเก่งที่มี ชื่อเสียงไปทั้งแถบเหนือและใต้ของแม่น�้ำฉางเจียง (แม่น�้ำแยงซี) ครอบครัวมีฐานะ มั่งคั่ง บรรพชนหลายท่านเคยเป็นขุนนางใหญ่ ในอดีตเหอกุ้ยจู้เจ้าของโรงเตี๊ยมเคย เป็นโต๊ะขนาดใหญ่ หน้าโต๊ะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้านหนึ่งนั่งได้สองคน รวมสี่ด้านนั่งได้ แปดคน จึงเรียกโต๊ะแปดเซียน-บรรณาธิการ 6
八仙桌
คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 21
เป็นคนรับใช้ในบ้านเขา ในรัชสมัยฉงเจิน7 บ้านเมืองเกิดภัยสงคราม ปู่ของหวู่ฉื้อโหย่ว เกรงว่าไม้ใหญ่ย่อมเผชิญพายุแรง จึงให้คนในบ้านไปอาศัยอยู่กับญาติพี่น้อง พ่อของ เหอกุ้ยจู้เป็นลูกของบ่าวไพร่ในเรือน ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ข้างนอก ปู่ของหวู่ฉื้อโหย่วมี เมตตา ช่วยเขาเปิดร้านค้าเล็กๆ ในเมือง เมื่อทัพชิงบุกเข้าด่าน สื่อเข่อฝ่าต่อต้านชิง ที่เมืองหยางโจว หลังจากเมืองแตก ในเมืองเลือดไหลนองเป็นสายน�้ำ ตระกูลเหอ อยู่ต่อไปในหยางโจวไม่ได้จึงย้ายมาเป่ยจิง หวู่ฉื้อโหย่วผู้นี้เป็นศิษย์ของโหวฟางอวี้ หลังจากราชวงศ์ชิงตั้งมั่นได้แล้วก็คล้อยตามมติสวรรค์ สอบซิ่วไฉ ได้เป็นจวี่เหริน แต่เพราะหวู่ผู้ปู่ภักดีต่อหมิง สาบานว่าจะไม่รับใช้ชิง จึงอยู่กับบ้านศึกษาคัมภีร์เต้าเต๋อจิง หวู่ฉื้อโหย่วเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อสอบไล่ บังเอิญพบกับเหอกุ้ยจู้ จึงพักที่ โรงเตี๊ยมเยว่เผิง แม้บัดนี้ไม่มีฐานะนายกับบ่าวแล้ว แต่เหอกุ้ยจู้ยังให้ความเคารพ เจ้านายน้อยผู้นี้ หลายคนช่วยกันหามบัณฑิตที่เกือบหนาวตายเข้ามาในร้าน เทเหล้าอุ่นกรอก ใส่ปาก ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มจึงลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วหลับตาลงอีก หวู่ฉื้อโหย่ว ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เก็บกวาดห้องที่อยู่ข้างห้องข้า ให้เขานอนที่นั่น ดูแลสักสอง สามวันก็คงหายดี” เหอกุย้ จูล้ งั เล “คุณชายก็วนุ่ วายเกินไป ช่วยคนแล้ว ยังจะดูแลรักษา...ช่างเถอะ! อย่างไรก็ไม่ได้เปลืองเงินข้า รอให้คนทางหยางโจวมาคิดบัญชี” หวู่ฉื้อโหย่วเห็นเถ้าแก่เหอท่าทางลังเล จึงบอกว่า “ช่วยชีวิตคน ได้กุศลยิ่งกว่า สร้างเจดีย์เจ็ดชั้น อีกอย่าง ช่วยคนทั้งทีไม่ช่วยให้รอดก็คงไม่ดี” เหอกุ้ยจู้รีบพูด “ท�ำตามที่นายท่านว่าก็แล้วกัน” พอถึงพลบค�่ำในที่สุดชายหนุ่มผู้นั้นก็ฟื้นขึ้น น่าจะเป็นผลจากบะหมี่น�้ำแกงขิง ใส่เนื้อไก่ฉีกร้อนๆ สองชามใหญ่ ใบหน้าเขาจึงมีเลือดฝาดขึ้น เพียงแต่ยังเวียนหัวบ้าง พอเห็นหวู่ฉื้อโหย่วถือโคมไฟผลักประตูเข้ามาก็พยายามลุกขึ้น หวู่ฉื้อโหย่วรีบกดเขาไว้ บอกว่า “เพื่อน อย่าขยับ นอนพักผ่อนเถอะ” ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง โขกศีรษะกับหมอน “ท่านผู้มีพระคุณ ท่านช่วยชีวิตข้า! เขา สูงไม่เปลี่ยน สายน�้ำไม่หยุดไหล บุญคุณเหนือกว่าค�ำขอบคุณ ต่อให้ต้องตายข้าก็ขอ ตอบแทนบุญคุณท่าน!” พูดจบน�้ำตาก็ไหลอาบแก้ม หวู่ฉื้อโหย่วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ถามด้วยความห่วงใย “เจ้าชื่ออะไร มาเป่ยจิง ท�ำไม ท�ำไมถึงตกยากถึงขั้นนี้” ชายหนุม่ เอนนัง่ พิงหมอนถอนหายใจยาว “ท่านผูม้ พี ระคุณ ข้าเป็นชาวธงเหลือง 7
ฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์หมิง-ผู้แปล
22 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
ชื่อหมิงจู ว่าไปแล้วบรรพบุรุษก็เป็นเชื้อพระวงศ์ พ่อผู้ล่วงลับหนียาฮาเป็นนายทหาร ในสังกัดรุ่ยชินหวังตัวเอ่อกุ่น ตามทัพบุกเข้าด่านมา ตัวเอ่อกุ่นท�ำผิดพลาด ท่านพ่อ พลอยรับเคราะห์ถูกปลดออกจากต�ำแหน่ง ท่านโกรธแค้นจนล้มป่วย ฐานะครอบครัว จึงตกต�่ำลง เมื่อหมดหนทางข้าจึงตามอาไปถึงมองโกเลีย ท่านน่าเอ่อไท่สงสารเรา ให้ที่ดินท�ำกินผืนเล็กๆ ผืนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าฤดูใบไม้ร่วงปีกลาย อ๋าวป้ายหัวหน้าพวก ธงเหลืองขลิบแดงต้องการเปลี่ยนที่ดินกับพวกธงเหลือง อ้างว่าคราวที่ตัวเอ่อกุ่นล้อม ที่ดินนั้น พวกธงเหลือบขลิบแดงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ บัดนี้ต้องการทวงคืน นี่เท่ากับ ท�ำร้ายพวกเราชัดๆ เดิมทีคิดว่าไอ้โจรเฒ่าผู้นี้จะเห็นแก่หน้าบรรพชนเรา เหลือที่ท�ำกิน ผืนนีไ้ ว้ให้ ใครจะรูว้ า่ ไอ้สารเลวนีไ่ ร้น�้ำใจอย่างสิน้ เชิง ในวันหิมะตกหนักถึงกับให้มหู่ ลี-่ หม่าน้องชายของมันขับไล่ทุกคนในหมู่บ้านออกไป แล้ววางเพลิงเผาหมู่บ้าน...โหด เหี้ยมเหลือเกิน!” เขาปาดน�้ำตา สะอื้นแล้วพูดว่า “เราสองคนอาหลานตระเวนขอทาน จากเร่อเหอจนเข้ามาในด่าน เผอิญเจอโจรที่ต�ำบลไท่ผิง พวกมันบังคับให้เราเข้าเป็น พวก คิดดูสทิ า่ น พ่อเป็นตายอย่างไรก็ไม่ร ู้ ข้าจะท�ำเรือ่ งพรรค์นนั้ ได้อย่างไร เมือ่ ไม่มี ทางอื่นจึงต้องหลบหนี ผลก็คืออาข้าถูกธนูโจรเสียชีวิต ข้าจึงเข้าเมืองหลวงตามล�ำพัง ตั้งใจจะไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่าของบิดา คิดไม่ถึงว่าน�้ำใจคนจะเบาบางยิ่ง กว่ากระดาษ! พอรู้ว่าครอบครัวข้ามีเรื่องกับอ๋าวป้าย ก็ไม่มีใครกล้ารับข้าไว้ จึงต้อง ร่อนเร่อยูต่ ามถนน รับจ้างเขียนหนังสือเลีย้ งชีพ น่าสมเพช ตัวข้าซึง่ อยูใ่ นตระกูลขุนนาง กลับตกต�่ำจนถึงขั้นนี้...หลายวันนี้หิมะตกหนัก ทั้งหิวด้วย ตั้งใจจะหลบหิมะที่หน้า โรงเตี๊ยม คิดไม่ถึงว่าจะ...” หมิงจูยิ่งพูดก็ยิ่งปวดร้าวใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านผู้มีพระคุณ! ท่านเป็น เหมือนพ่อแม่ผู้ให้ชีวิตข้า เหมือนพ่อแม่บังเกิดเกล้า! ชาตินี้หมิงจูคงยากจะแทนคุณได้ ชาติหน้าขอตอบแทนบุญคุณ!” หวู่ฉื้อโหย่วฟังถึงตรงนี้ก็รู้สึกสะเทือนใจจึงรีบพูดปลอบ “หมิงจู ไม่ต้องพูดอีก แล้ว สมัยนี้ชาวบ้านคนไหนบ้างที่มีชีวิตสงบสุข ช่วงนี้ในเป่ยจิงมีขอทานมากมาย ขนาดนี้ ล้วนเป็นคนนอกด่านที่ถูกล้อมยึดที่ดิน ไม่มีบ้านให้กลับ เจ้ามีญาติในเมือง หลวงหรือไม่” หมิงจูส่ายศีรษะ “ไม่มีญาติสักคน ต่อให้มี ก็คงพบเจอได้ยาก” หวู่ฉื้อโหย่วได้ยินเช่นนั้นก็รีบถาม “จะเป็นไปได้อย่างไร” หมิงจูนึกทบทวนแล้วว่า “ได้ยินว่ามีน้าหญิงแซ่ซุนคนหนึ่ง เป็นแม่นมองค์ชายสาม ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เจ็ดปีก่อนเคยเจอหน้ากันครั้งหนึ่ง ต่อมาน้าหญิงเข้าวัง ในวังเข้ม งวดมาก สารรูปอย่างข้าจะเข้าไปได้อย่างไร” หวู่ฉื้อโหย่วหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วว่า “เจ้าพักอยู่ที่นี่ก่อน เจ้าเป็นคนมีความรู้ ทั้งยัง คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 23
เคยสอบได้ วันหน้าไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสรับราชการ ถ้าไม่ได้จริงๆ ข้าจะเขียน จดหมายให้เจ้าไปอาศัยบิดาข้า ให้ท่านช่วยหางานให้ท�ำ ข้าชื่อหวู่ฉื้อโหย่ว ชาวเมือง หยางโจว รอสอบรับราชการอยู่ที่นี่ รอให้สอบเสร็จก่อน เรากลับไปภาคใต้ด้วยกัน” หมิงจูเป็นคนฉลาดหลักแหลม เมื่อได้ยินหวู่ฉื้อโหย่วพูดเช่นนี้ ก็พยายามลุกขึ้นลง จากเตียง โขกศีรษะกับพื้นสามครั้ง บอกว่า “สวรรค์เบื้องบนเป็นพยาน ถ้าข้าหมิงจูลืม บุญคุณที่พี่หวู่ได้ช่วยชีวิตไว้ ขอให้เป็นเหมือนพู่กันด้ามนี้!” พูดจบก็ล้วงพู่กันใหญ่ด้าม หนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ หักออกเป็นสองท่อนภายใต้แสงตะเกียง ขณะที่ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างมีมิตรไมตรี ผ้าม่านก็ถูกเลิกขึ้น เหอกุ้ยจู้เดินเข้ามา พูดเบาๆ ว่า “ท่านรอง เมื่อครู่ขันทีหวังหัวหน้ากองตระเวนแห่งสิบสามส�ำนักมาดื่มเหล้า บอกว่ามีข่าวส�ำคัญ องค์ซุ่นจื้อสิ้นพระชนม์แล้ว!” “ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว!” ข่าวนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ผ่านสถานที่ที่ผู้คน มาชุมนุมกันอย่างร้านเหล้า โรงน�้ำชา และโรงงิ้ว ชั่วประเดี๋ยวก็กระจายไปทั่วเมืองเป่ยจิง แต่ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการ ชาวบ้านจะยืนหลบอยู่ข้างๆ คอยมองหา เพื่อนสนิทแล้วพูดคุยกันในลักษณะนี้ “ฝ่าพระบาทเพิ่งยี่สิบสี่ ยังทรงหนุ่มแน่น อยู่ดีๆ จะสิ้นพระชนม์ได้อย่างไร” “เฮ้อ ชะตาชีวิตคนเราสั้นนัก ใครจะบอกชัดได้ อย่างตัวเจ้า คืนนี้ถอดรองเท้า จะ ประกันได้ไหมว่าพรุ่งนี้เช้าจะได้ใส่อีก” “อย่าพูดเหลวไหล! ข้าได้ข่าวว่าเพราะการตายของพระสนมต่ง ฝ่าพระบาททรง ประชวรด้วยโรคคิดถึง! อย่าลืมสิ ช่างเขียนภาพชาวเจียงซูคนนั้น ชื่อเฉินอะไรนะ อ้อ เฉินหลัวยวิ๋น วาดภาพพระสนมต่ง โอ้โห ได้รางวัลถึงหนึ่งหมื่นต�ำลึงเชียว! ชั่วชีวิตแกเคย เห็นเงินมากขนาดนั้นไหม คนเราขอเพียงโชคดีก็ร�่ำรวยได้ง่ายๆ!” “แกนี่ พอพูดอะไรหน่อยก็ชอบออกนอกเรื่อง ข้าได้ยินว่าห้าหกวันก่อนฝ่าพระบาท ทรงเรียกใต้เท้าซูเค่อซ่าฮาเข้าเฝ้า น่าจะมีอะไรแอบแฝง” “จุ๊ๆ...เวรเอ๊ย แกต่างหากที่ชอบออกนอกเรื่อง ค�ำพูดพวกนี้แกสมควรพูดรึ ท�ำตัว ดีๆ หน่อย จะสิ้นพระชนม์หรือไม่เกี่ยวอะไรกับแกด้วย!” ไม่ว่าชาวเมืองจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่ชัดแจ้ง คนของกรมวัง ต่างเปลีย่ นเป็นสวมชุดสีขาวตัง้ แต่วนั ทีแ่ ปดเดือนอ้าย โรงม้าข้างประตูหวูเ่ หมินมีเกีย้ วจอด เรียงรายเป็นแถวยาว บรรดาขันทีน้อยที่ชอบถือกรงนกคุ่มนั่งเล่นในโรงน�้ ำชาก็หายหน้า ไปตั้งแต่หลังวันตรุษ เรื่องผิดปกติเหล่านี้ท�ำให้ชาวเป่ยจิงคาดเดาไปต่างๆ นานา ชาว เป่ยจิงเก่าแก่ส่วนหนึ่งเคยเห็นขบวนราชพิธีพระศพของฮ่องเต้ว่านลี่แห่งต้าหมิง8 เวลานี้ 8
ครองราชย์ระหว่างปี 1573-1620-ผู้แปล
24 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
พอเห็นราชวงศ์ทำ� พิธอี ย่างลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ก็อดประหลาดใจไม่ได้ เพียงแต่ไม่พดู ออกมา หวูฉ ่ อ ื้ โหย่วเป็นหนอนหนังสือ วันนีอ ้ ากาศหนาวจึงนัง่ อ่านหนังสืออยู ่ ข้างเตาไฟ ไม่ได้ออกไปข้างนอก หมิงจูมีนิสัยแบบคนหนุ่ม พอร่างกายแข็งแรงขึ้นบ้าง ก็ขวนขวายออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอก วันนี้เขาไปเที่ยวเล่นทางตะวันออกของประตู เจิ้งหยาง เห็นเกี้ยวใหญ่สีเขียวหกคันจอดเด่นอยู่ที่หน้าแถวเกี้ยวยาว หลังคาเกี้ยวมีหิมะ ปกคลุมหนาครึ่งฉื่อ พอแอบสอบถามก็ได้ความว่านับจากวันที่สามของปีนี้ เจี๋ยซูชินหวัง อ�ำมาตย์สวั่ หนี เอ้อปีห้ ลง ซูเค่อซ่าฮา อ๋าวป้าย และหงจิงเลวีย่ เข้าวังไปเข้าเฝ้าแล้วก็ไม่ได้ กลับออกมาอีก คนทีบ่ า้ นต้องน�ำอาหารสามมือ้ ใส่กล่องมาส่งให้ ขณะทีห่ มิงจูเหม่อมองอยู่ ก็รู้สึกว่ามีคนมาแตะหลังเบาๆ หันกลับไปมองก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาคมสันยืนอยู่ท่าม กลางหิมะ มือกุมด้ามดาบที่เอว มองตัวเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ท่านเป็น...อ๊ะ! น้องข้านี่เอง!” หลังจากลังเลครู่หนึ่งหมิงจูก็กางสองแขนออกโผ เข้าไปหา เขาจ�ำได้แล้ว ผูท้ ยี่ นื ตรงหน้าคือเว่ยตงถิงซึง่ เป็นญาติผนู้ อ้ ง เป็นลูกชายคนเดียว ของนางซุนผู้เป็นแม่นมขององค์ชายสาม ทั้งคู่ไม่ได้พบกันห้าปีแล้ว จากกันห้าปี เว่ยตงถิงกลายเป็นคนหนุม่ หน้าตาหล่อเหลา สวมเครือ่ งแบบนายทหาร เสื้อปักเป็นลายคลื่นทะเล ดาบเล่มใหญ่ที่เอวมีพู่สีแดงสดยาวหนึ่งฉื่อห้อยไว้ กางเกงผ้า แพรหูโจวสีด�ำใหม่เอี่ยมเข้ากับรองเท้าขี่ม้า เมื่อดูเครื่องแต่งกายและรูปลักษณ์ของญาติ ผู้น้องแล้ว หมิงจูก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ หมิงจูดงึ มือเว่ยตงถิง มองส�ำรวจทัว่ ตัว ครูห่ นึง่ จึงถามว่า “น้อง จากกันห้าปีเจ้าต่าง จากเดิมมาก ยังท�ำงานที่อุทยานหลวงในเฉิงเต๋อหรือไม่” เว่ยตงถิงยิม้ “ข้าเองเพิง่ เข้ามาเมืองหลวง ปีกลายแม่ขา้ วิง่ เต้นผ่านหลายคนจึงย้าย ข้าออกมาได้ เวลานี้ท�ำงานที่ส�ำนักรักษาการณ์แต่ในนาม แม่บอกว่าข้ายังหนุ่ม ยังต้อง ฝึกฝนอีกหลายปีจึงจะท�ำงานรับใช้ฝ่าพระบาทได้!” หมิงจูได้ฟงั ก็กม้ หน้าลง ถอนหายใจ “ตัวพีต่ กระก�ำล�ำบาก! เวลานีบ้ า้ นแตกสาแหรก ขาด อนาคตมืดมน ชะตาตกต�่ำ จะท�ำอะไรได้! เฮ้อ ชีวิตช่างไร้ความหมายสิ้นดี” เว่ยตงถิงไม่รอให้หมิงจูระบายความคับแค้นใจให้หมด ก็ดึงชายแขนเสื้อเขา บอก ว่า “ไป ไปที่ตึกเหอเซียนกัน เมื่อตกต�่ำสุดขีดก็จะพลิกกลับมาดีเอง เจ้าไม่ต้องเสียใจ อีก ไม่นานก็จะมีเรื่องใหญ่ ไม่แน่นะ อาจมีการสอบรับขุนนางเป็นกรณีพิเศษอีก!” หมิงจูว่า “เป็นไปได้อย่างไร” เว่ยตงถิงยิ้ม “อยู่ดีๆ จะเอาเรื่องแบบนี้มาหลอกให้เจ้าดีใจได้หรือ” พูดแล้วก็มอง ซ้ายมองขวา ลดเสียงลง “พี่ องค์ซุ่นจื้อสิ้นพระชนม์แล้ว!” คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 25
1
สละราชบัลลังก์อย่างไม่ไยดี บ่วงกรรมบ่วงรักไร้ที่สิ้นสุด
ฮ่องเต้ซน ุ่ จือ ้ ไม่ได้สน ิ้ พระชนม์ พระองค์ยงั ทรงมีชนม์ชพ ี ขณะนีไ้ ทเฮา (พระมารดาฮ่องเต้) และฮองเฮา (พระมเหสี) ทรงกันแสงและเสด็จกลับไปแล้ว ความ ว้าวุน่ ในพระทัยจึงค่อยๆ สงบลง พระองค์ประทับตามล�ำพังในพระต�ำหนักหย่างซิน ความ รูส้ กึ โทมนัสอย่างประหลาดพลุง่ พล่านขึน้ กลิน่ ก�ำยานในกระถางแรงเกินไป ซุน่ จือ้ ร�ำคาญ พระทัยจนต้องมีรับสั่งให้คนเอาก�ำยานออกไป แต่แล้วก็ยังคงประทับไม่ติดที่ จึงเสด็จ ออกมาจากพระต�ำหนักหย่างซิน ทรงยืนหายพระทัยเข้าลึกๆ ที่ชานนอกพระต�ำหนัก ราวกับมีพระประสงค์ให้อากาศที่เย็นบริสุทธิ์ขับไล่ความอึดอัดในพระทัยออกไป ท้องฟ้าเป็นสีเทา ชั้นเมฆหนาทึบค่อยๆ เคลื่อนไปทางทิศใต้ พระองค์ทรงแหงน พระพักตร์ทอดพระเนตรท้องฟ้าที่ดูลึกลับและผันแปรไม่หยุดอย่างเงียบๆ ลมหนาวพัด กระโชกมา ทรงแตะไหล่สองข้างอย่างไม่รู้พระองค์ ฉางห้าวมหาดเล็กเฒ่ารีบเดินมาทันที ค่อยๆ พาดฉลองพระองค์คลุมท�ำจากหนังจิ้งจอกสีเขียวปักลายมังกรให้บนพระวรกาย พระองค์ทรงขมวดพระขนง “ท�ำไมถึงเป็นตัวนี้อีกแล้ว” พอฉางห้าวได้ยินเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลง ทูลว่า “ทูลพระหมื่นปี ไทเฮาทรงมีพระ เสาวนีย์ว่าฝ่าพระบาทไม่สบายพระทัย ห้ามบ่าวเอาเสื้อหนังจิ้งจอกสีขาวตัวนั้น...” พอได้สดับว่าเป็นพระเสาวนีย์ของไทเฮา ซุ่นจื้อจึงไม่ตรัสอะไรอีก ได้แต่เงยพระ พักตร์ขึ้นอย่างเย็นชา มีพระด�ำริว่า “หิมะจะตกแล้ว โลกใบนี้ วังหลวงแห่งนี้ ล้วนจะ กลายเป็นสีขาว ทั้งกระเบื้องแก้วสีเหลือง อิฐปูพื้นสีเขียว กระเรียนสัมฤทธิ์ นาฬิกาแดด... ล้วนจะถูกย้อมเป็นสีขาว ไทเฮาจะทรงจัดการเรื่องเหล่านี้ได้หรือ” รัชศกซุ่นจื้อปีที่สิบเจ็ดเป็นปีอัปมงคลส�ำหรับพระองค์ นับจากเดือนอ้ายเป็นต้นมา คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 27
จวี่เฉิงและหนิงหยางแจ้งเรื่องทุพภิกขภัย จนถึงเดือนหก หลายแห่งทั้งจื๋อลี่ ซานตง ส่านซี ซู่โจว ต่างฝนแล้งจนพืชพรรณแห้งตาย ในฐานะที่เป็นประมุขของราษฎร สวรรค์กลับไม่ ตอบสนอง หรือว่าพระองค์ท�ำอะไรที่ผิดท�ำนองคลองธรรม! ช่วงเดือนห้าทรงมีประกาศ กล่าวโทษพระองค์เอง มหาอ�ำมาตย์หลัวปาฮาน่าก็ถวายฎีกาขอให้ฮ่องเต้ปลดตนออก จากต�ำแหน่งเพื่อคล้อยตามมติสวรรค์ เดือนหกพระองค์ก็เสด็จพระราชด�ำเนินไปถือศีล กินเจที่ชานเมืองด้านทิศใต้ และแล้วความศรัทธาอย่างแน่วแน่ของพระองค์ก็ท�ำให้สวรรค์ สะเทือนใจ ฝนตกใหญ่ต่อเนื่องกันหลายวัน พระองค์จึงคลายพระทัยลง คิดว่าปีนี้น่าจะ ราบรื่นขึ้นบ้าง แม้จะบอกว่าเป็นปีที่ประสบภัยแล้ง แต่ก็ไม่แล้งไปจนตลอดปีกระมัง คิดไม่ถึงว่าพอถึงเดือนแปด พระสนมต่งเอ้อซึ่งพระองค์ทรงรักใคร่ที่สุดจะป่วย เสียชีวิต! ซุ่นจื้อตกพระทัยจนประชวรพระวาโยทันทีราวกับทรงถูกสายฟ้าฟาด ได้แต่ทรง กันแสงอย่างไร้น�้ำพระเนตร พระองค์ทรงขึ้นครองบัลลังก์เมื่อเจ็ดพรรษา พอสิบห้าพรรษา ก็ก�ำจัดกลุ่มของตัวเอ่อกุ่น ปราบหนานหมิง1 รบชนะเจิ้งเฉิงกง2 หลังจากนั้นก็เปิดให้มีการ สอบรับราชการ ตั้งพระทัยรับชาวฮั่นที่มีความสามารถ ขณะที่บ้านเมืองเพิ่งสงบราบคาบ พระองค์ยังมีพระชนมายุไม่ถึงยี่สิบพรรษา ทุกเรื่องล้วนสมดั่งพระหฤทัยหมาย มีเพียงการ แต่งงานที่ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ ครั้งนั้นรุ่ยชินหวังตัวเอ่อกุ่นอาศัยอ� ำนาจอิทธิพล ท�ำเรื่องเลวร้าย บังคับให้พระองค์แต่งตั้งโป๋เอ่อฉีจิ่นเป็นฮองเฮา พระนางเป็นธิดาของ หวูเค่อส้านผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นเคอเอ่อชิ่นจั๋วหลี่เค่อถูชินหวัง ไทเฮาซึ่งลดพระองค์ลง อภิเษกกับตัวเอ่อกุ่นก็ช่วยบีบบังคับพระองค์ นี่ไม่ต่างกับวัวไม่อยากดื่มน�้ำก็กดหัวบังคับ! แต่พระองค์ก็จ�ำต้องทรงทนแสร้งยอมตาม ทว่าไม่ถึงสองปีก็ถอดพระนางลงเป็น “พระ สนมจิ้ง” ย้ายไปประทับวังข้าง สนมหกวังมีสาวงามสามพันนาง พระองค์กลับรักเพียง พระสนมต่งเอ้อซึ่งอายุมากกว่าพระองค์ห้าปี บางทีคงเป็นเพราะความคิดถึงสามีเก่า หลังจากพระสนมต่งเอ้อเข้าวังมาไม่เคย แย้มยิ้มแม้แต่น้อย สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านี่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ยิ่ง พระสนมต่งเอ้อเป็นเช่นนี ้ ซุน่ จือ้ ก็ยงิ่ ตัดพระทัยจากพระนางไม่ได้ ทรงแสวงหาทุกวิธที �ำให้ พระนางพอใจ แต่บัดนี้ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว ดวงวิญญาณของพระสนมต่งเอ้อลอยสูงพ้นไตร หนานหมิงหรือหมิงใต้ เป็นกลุ่มอ�ำนาจเก่าของราชวงศ์หมิงที่ถอยไปตั้งมั่นอยู่ทางภาคใต้เพื่อหวัง ฟื้นฟูราชวงศ์หมิง-ผู้แปล 2 เจิ้งเฉิงกงเป็นแม่ทัพหมิงที่ยึดเกาะไต้หวันเป็นฐานที่มั่นเพื่อต่อต้านชิง-ผู้แปล 1
28 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
ภูมไิ ปแล้วยังมีอะไรต้องคิดถึงอีก พระองค์ทรงรูส้ กึ ว่าทุกอย่างดูขดั หูขดั ตาไปหมด สกปรก โสมม มีเพียงใบหน้าหญิงที่หน้านิ่วคิ้วขมวดนั่นเท่านั้นที่สวยงาม แต่พระนางก็ถูกชะตา กรรมที่ไร้ความปรานีพัดพาไปแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าชีวิตนี้และชาตินี้จะขจัดความทุกข์ทรมาน ที่แก้ไม่ตกนี้ได้อย่างไร ซุ่นจื้อทรงยืนหน้าพระต�ำหนักครู่หนึ่ง ลมพัดโชย เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา ต้อง พระพักตร์จนรูส้ กึ เจ็บแปลบๆ พระองค์ถงึ กับหนาวสะท้านจึงเสด็จกลับเข้าไปในพระต�ำหนัก ฎีกาและหนังสือรายงานวางกองสูงอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรหลายตั้ง พระองค์ไม่ทอดพระ เนตรแม้แต่น้อย เสด็จตรงไปยังหอซีหน่วน นางก�ำนัลที่อยู่เฝ้าฯ ถวายงานหน้าประตูหอ ชื่อซูหมาหล่ากู เป็นนางก�ำนัลคนโปรดของไทเฮา พอนางเห็นซุ่นจื้อเสด็จมาก็รีบขยิบตา สี่องครักษ์ทรี่ ออยูด่ า้ นนอกและในพระต�ำหนักทัง้ โวเฮ่อ ซีจู้ เจ๋อเค่อถู และเจว๋หลัวไซ่เอ่อปี้ ต่างค้อมค�ำนับ แล้วถอยออกไปอย่างรู้สถานการณ์ ซูหมาหล่ากูยืนอยู่ใต้ชายคา จิตใจกระวนกระวาย นางเป็นลูกสาวของเก๋อเหลิงไท่ นายกองแห่งทัพธงน�้ำเงิน เข้าวังมาเมื่อรัชศกซุ่นจื้อปีที่แปด เมื่อนางหกขวบแม่เสียชีวิต พ่ออยากแต่งงานใหม่ จึงสู่ขอหลานสาวของไซ่หลัวหัวหน้าพวกธงเดียวกัน เด็กสาวผู้นี้ เป็นคนเฉียบขาด นางบอกแม่สื่อว่า “เก๋อเหลิงไท่ที่เจ้าพูดถึงก็เป็นคนดีอยู่หรอก แต่เขา มีภาระติดตัว ข้าไม่อยากเป็นแม่เลี้ยงใคร บอกเขาให้เลิกหวังลมๆ แล้งๆ เสียแต่เนิ่นๆ เถอะ!” ไซ่หลัวเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือสุดของเก๋อเหลิงไท่ ค�ำพูดนี้แพร่มาจากทาง ไซ่หลัวท�ำให้เขารู้สึกล�ำบากใจ ขณะที่ก�ำลังจนปัญญาก็พอดีตรงกับปีที่ชาวธงคัดเลือก สาวงามเข้าวัง บิดาจึงส่งนางเข้ามา และเป็นเพราะบุญพาวาสนาส่ง บังเอิญเสี้ยวจวง ไทเฮาเสด็จมายังวังเก็บตัวหญิงงาม เห็นในสนามเต็มไปด้วยสาวงามกลุ่มใหญ่ที่คุกเข่า รอการคัดเลือกจึงเสด็จเข้าไปทอดพระเนตร ก็เห็นเด็กสาวตัวน้อยจ้องมองพระนางด้วย ดวงตาโตประกายเจิดจ้า จึงทรงก้มลงดึงซูหมาหล่ากูขึ้นมา นับตั้งแต่แม่ตายยังไม่เคย มีใครเอ็นดูซูหมาหล่ากูเช่นนี้ เห็นผู้หญิงคนนี้ท่าทางมีเมตตาจึงร้องเรียกว่า “ท่านยาย” แล้วน�้ำตาก็ร่วงพรู เสียงที่สดใสของเด็กหญิงท�ำให้ไทเฮาทรงรู้สึกพระวรกายร้อนผ่าว จึงก้มลงอุ้ม ซูหมาหล่ากูขึ้นมาแนบอก พลางหันไปตรัสกับขันทีที่ดูแลอยู่ “ข้าต้องการเด็กคนนี้แล้ว เลือกหญิงสาวที่โตหน่อยมาดูแลนาง...เด็กเอ๊ย ยายมีผลไม้มากมาย ตามยายมา!” นับจากนั้นซูหมาหล่ากูก็อยู่กับเสี้ยวจวงไทเฮา เวลากลางวันเมื่อไทเฮาทรงว่าง จะทรงเล่นกับนาง สอนนางเขียนอ่าน ทรงเล่าเรื่องราวในสามก๊กให้นางฟัง หลังจากนาง โตขึน้ บ้างแล้วก็ทรงสอนระเบียบแบบแผนทัง้ ของราชวงศ์กอ่ นและราชวงศ์ปจั จุบนั ซูหมาหล่ากูเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์สูง อายุสิบขวบก็อ่านทั้งบทกวีและล�ำน�ำเพลง อ่านบทความ คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 29
ของเหล่านักปราชญ์ไม่น้อย พอถึงอายุสิบสี่ก็มีความรู้มากมาย ไทเฮาโปรดนางจึงให้ มาคอยรับใช้ฮ่องเต้ซุ่นจื้อ นางยืนเหม่อใต้ชายคาครู่หนึ่ง ลมหนาวพัดมาจนนางสั่นสะท้าน จึงหันกลับเดินไป ทางประตูเยว่ต้ง ซุ่นจื้อเสด็จเข้ามาในหอซีหน่วน ทอดพระเนตรรอบๆ ก็ยิ่งโทมนัส ที่นี่เป็นสถานที่ ที่พระองค์เสด็จมาบ่อยที่สุดในช่วงสี่เดือนนี้ ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนตอนที่พระสนมต่ง ยังมีชีวิต ผลเหวินก้วนสีเหลืองทองหลายผลในถาดหยกบนชั้นวางท�ำด้วยไม้มะกล�่ำต้น ที่มุมห้องยังคงส่งกลิ่นหอมจางๆ ออกมา กู่เจิงโบราณยังคงอยู่บนโต๊ะ สายหนึ่งที่ขาด ขดเป็นวง บนตัวกู่เจิงมีฝุ่นจับเป็นชั้นบางๆ แป้งร�่ำและเครื่องประดับศีรษะบนโต๊ะเครื่อง แป้งรวมทั้งเกลือเขียว3 และสบู่หอมที่พระนางเคยใช้ยังวางอยู่ที่เดิม มีเพียงเหนือเตียง งาช้างฝังหยกที่แขวนภาพวาดขนาดเล็กของพระสนมต่งขึ้นใหม่ นี่เป็นภาพสีน�้ำที่วาดโดยช่างเขียนภาพที่จูกั๋วจื้อผู้ตรวจการเจียงหนิงเป็นผู้แนะน�ำ หลังพระสนมต่งวายชนม์ ซุ่นจื้อไม่เสวยติดต่อกันถึงห้าวัน เอาแต่บรรทมหายพระทัย รวยรินอยู่บนพระแท่น หมอหลวงท�ำทุกวิธีก็ไม่ได้ผล เสี้ยวจวงไทเฮาโป๋เอ่อจี๋เท่อร้อน พระทัยจนท�ำอะไรไม่ถูก เคราะห์ดีที่ผู้เฒ่าหงเฉิงโฉวมีประสบการณ์มาก บอกว่า “โรค ทางใจก็ต้องรักษาทางใจ” ไทเฮาจึงมีรับสั่งแต่งตั้งพระสนมต่งเป็นฮองเฮาย้อนหลัง ให้ ระดมช่างเขียนฝีมือเยี่ยมหลายสิบคนจากทั้งเมืองหลวง จื๋อลี่ ซานตง และเจียงซูเข้า เมืองหลวงเพื่อวาดภาพเหมือนของพระสนมต่ง เป็นการปลอบประโลมพระทัยฮ่องเต้ แต่จนปัญญา เพราะไม่วา่ จะบรรยายลักษณะอย่างไรก็ไม่มใี ครวาดได้เหมือน คาดไม่ถงึ ว่า พอน�ำภาพเหมือนที่เฉินหลัวยวิ๋นวาดขึ้นถวาย ทั่ววังหลวงก็พากันตื่นเต้น ไม่ว่าคนที่เคย รับใช้พระนางหรือที่เคยพบเห็นพระนางเพียงครั้งเดียว ล้วนเห็นว่าเหมือนมาก ไม่เพียงแต่ พระสิรโิ ฉมทีเ่ หมือน กระทัง่ สีพระพักตร์กเ็ หมือน! เมือ่ ฉางห้าวถวายภาพให้ทอดพระเนตร ซุ่นจื้อซึ่งประชวรจนพระเนตรพร่าลายก็ทรงลุกพรวดขึ้นจากพระแท่น กอดภาพวาดไว้ใน อ้อมพระอุระตรัสว่า “ชิงชิง4! เจิ้นคิดว่าเจ้าจากไปแล้ว ที่จริงเจ้ายังมีชีวิตอยู่!” ไทเฮา พอพระทัยจึงประทานเงินจากคลังหลวงหนึ่งหมื่นต�ำลึงเป็นรางวัลให้เฉินหลัวยวิ๋น เรื่องนี้ แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง จูกั๋วจื้อได้เลื่อนยศสามขั้นขึ้นเป็นผู้ตรวจการเขตเจียงหนิง หลังจากนั้นซุ่นจื้อก็เริ่มเสวยพระกระยาหาร แต่พระทัยไม่อาจฟื้นคืนมา แม้ว่า จะเสด็จไปที่พระต�ำหนักฉินเจิ้ง แต่ไม่ทรงแสดงความเห็นใดต่อหนังสือรายงานของเหล่า 青盐 เกลือเขียวเป็นเกลือที่ผลิตในมณฑลชิงไห่ มีสีขาวอมเขียว ใช้ถูฟันและกลั้วปาก-ผู้แปล 卿卿 ค�ำเรียกแสดงความรักใคร่ระหว่างสามีภรรยา-บรรณาธิการ
3 4
30 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
ขุนนาง ทั้งไม่ทรงอ่านฎีกาใดๆ พระสติเลื่อนลอยเหมือนอยู่ในห้วงฝัน ทุกวันหลังจาก เข้าเฝ้าไทเฮาแล้วก็เสด็จเข้าไปอยูแ่ ต่ในหอซีหน่วน ทอดพระเนตรภาพวาดอย่างเหม่อลอย วันหนึ่งขันทีชราคนใกล้ชิดไทเฮาเข้าไปโดยไม่บอกกล่าวก่อน ซุ่นจื้อกริ้วจัด ถึงกับไม่ทรง เห็นแก่พระพักตร์ไทเฮา มีพระบัญชาให้เขาคุกเข่าหน้าบันไดตบปากตัวเองสี่สิบที นับจากนั้นในวังก็ไม่มีใครกล้ารบกวนพระองค์ที่นี่อีก ขณะนี้ซุ่นจื้อทรงยืนอยู่หน้าภาพวาดนั่น คิ้วสองข้างของพระสนมต่งขมวดเล็กน้อย ราวกับมีอารมณ์ความรูส้ กึ ทีล่ กึ ล�ำ้ ทัง้ ยังแฝงด้วยความน้อยเนือ้ ต�ำ่ ใจ ชายแขนเสือ้ โบกไหว ดูคล้ายกับจะมีชีวิตเดินออกมาจากภาพทิวทัศน์ใบไม้สีเหลืองยามฤดูศารท (ฤดูใบไม้ร่วง) ซุ่นจื้อถึงกับหลุดพระโอษฐ์ออกมาว่า “โอ้สวรรค์ ในเมื่อเจิ้น5 เป็นโอรสท่าน ท�ำไมจึงโหด ร้ายต่อเจิ้นเช่นนี้” ในเวลาเดียวกันห่างจากพระต�ำหนักหย่างซินไปไม่ไกล ในห้องรอเข้า เฝ้ า ด้ า นตะวั น ออกของวั ง เฉี ย นชิ ง มี ค นหกคนก� ำ ลั ง กลั ด กลุ ้ ม ใจอยู ่ ห น้ า แสงตะเกี ย ง ทั้งหมดถูกตะเพิดออกมาจากพระต�ำหนักหย่างซินก่อนที่ไทเฮาจะเสด็จไปที่นั่นเมื่อครู่ ขณะนี้แม้จะไม่พอใจแต่ไม่อาจกลับจวน จึงมาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ ในหกคนนี้ คนน�ำคือคังชินหวังเจี๋ยซูพระญาติผู้พี่ของฮ่องเต้ซุ่นจื้อ เขานั่งอยู่บน 6 คั่ง มองดูสั่วหนี เอ้อปี้หลง ซูเค่อซ่าฮา และอ๋าวป้าย แต่ละคนนั่งนิ่งราวกับรูปปั้นพระ โพธิสัตว์ในวัด ไม่พูดไม่จา ไม่ก็ก้มหน้าก้มตาสูบยา แม้แต่หงเฉิงโฉวซึ่งเป็นคนที่รอบรู้ และเจ้าอุบายก็ยงั นิง่ เงียบ เจีย๋ ซูรสู้ กึ กระวนกระวาย “พวกท่านพูดสิ อย่างไรก็จะปล่อยให้ ฝ่าพระบาททรงปลงพระเกศาผนวชเป็นหลวงจีนไม่ได้” ในบรรดาเสนาบดีที่ปรึกษา สั่วหนีเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดและต�ำแหน่งก็สูงสุด อายุ เฉียดเจ็ดสิบแล้ว การตรากตร�ำติดๆ กันหลายวัน ท�ำให้สภาพจิตใจแทบจะยืนหยัดไม่อยู่ แล้ว ขณะนี้นั่งเอนอยู่บนคั่งท่าทางเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง พอเห็นไม่มีใครพูดก็ถอนหายใจ แล้วว่า “ดูทา่ จะไม่ได้ผลแล้ว ใช้ทกุ วิธกี แ็ ล้ว ไม่ตอ้ งพูดถึงทีพ่ วกเรามัดตัวเองไปขอรับโทษ แม้แต่ไทเฮาทรงคุกเข่าลงก็ล้วนไม่เป็นผล ยังจะท�ำอะไรได้” อ๋าวป้ายนั่งอยู่ที่มุม สีหน้าเดือดดาล ถ่มน�้ำลายออกมาแล้วว่า “นี่มันอะไรกัน แค่ผู้หญิงคนหนึ่งตายไป พระองค์กลับเหมือนตายก็ไม่ใช่ เป็นก็ไม่ใช่...” 朕 สรรพนามบุรุษที่หนึ่งที่ฮ่องเต้ใช้เรียกแทนพระองค์-บรรณาธิการ 炕 คัง่ เป็นเตียงทีก่ อ่ ด้วยอิฐหรือดินตรงกลางกลวงไว้สำ� หรับก่อไฟให้ความอบอุน่ ในฤดูหนาว ภาค เหนือของจีนอากาศหนาวมากแทบทุกครัวเรือนจะใช้เตียงแบบนี้-ผู้แปล
5 6
คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 31
อ๋าวป้ายพูดยังไม่จบ สั่วหนีก็พูดขัดขึ้น “พูดอะไรนี่ เอาแต่โวยวายจะมีประโยชน์ อะไร พระองค์ก็ไม่ทรงเปลี่ยนพระทัย เวลานี้ควรจะคิดถึงก้าวต่อไปเถอะ!” เอ้อปี้หลงนั่งอยู่ข้างอ๋าวป้าย เห็นสีหน้าไม่พอใจของอ๋าวป้าย ก็ขยับตัวเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ตามความเห็นข้า ฝ่าพระบาทเสด็จไปอย่างนี้ก็ไม่ต่างกับ ‘สิ้นพระชนม์’ แล้ว ย่อมต้องทรงมีพระพินยั กรรม ผูส้ บื ทอดราชสมบัตติ อ้ งเป็นองค์ชายสามอย่างไม่ตอ้ งสงสัย” เป็นค�ำพูดที่ชวนให้ตื่นตะลึงโดยแท้! แต่ที่ผ่านมาข่าวของเอ้อปี้หลงแม่นย�ำ หาก ไม่คดิ ตรองอย่างรอบคอบแล้วจะไม่เปิดปากพูดเลย นีย่ อ่ มไม่ใช่การพูดพล่อยๆ ซูเค่อซ่าฮา โน้มตัวไปข้างหน้าพลางถามว่า “หมายความว่าอย่างไร” เอ้อปี้หลงตอบด้วยเสียงที่เบาลง “นี่เป็นค� ำพูดของทังรั่วว่าง องค์ชายสามเคย ประชวรเป็นไข้ทรพิษแล้ว รับประกันได้ว่าชั่วชีวิตจะไม่เป็นอีก” พอพูดถึงทังรั่วว่าง7 ทุกคนก็ไม่พูดอะไรอีก คนผู้นี้เป็นชาวเยอรมัน มาเผยแผ่ ศาสนาที่ประเทศจีนสี่สิบกว่าปีแล้ว สวีกวงฉี่ในสมัยหมิงสนับสนุนให้เขาเข้ารับต�ำแหน่ง ในส�ำนักฮั่นหลิน8 ทังรั่วว่างเชี่ยวชาญวิชาปฏิทินตะวันตก ค�ำนวณการเกิดสุริยคราส และจันทรคราสได้อย่างแม่นย�ำ ดังนั้น นับตั้งแต่ล่วงเข้าสู่สมัยราชวงศ์ชิง จึงรับหน้าที่ ดูแลด้านดาราศาสตร์และปฏิทิน ซุ่นจื้อทรงเคารพเขาราวกับเทพ ฮองเฮาถึงกับทรงละทิ้ง ศาสนาพุทธหันไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เขาพูดอย่างไรก็ทรงท�ำตาม นัน้ ! เมือ่ ทังรัว่ ว่างยืนยันเช่นนี ้ ผูส้ บื ราชสมบัตยิ อ่ มเป็นองค์ชายสามเสวียนเย่อย่างแน่นอน เจี๋ยซูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท�ำไมเราไม่ทูลขอเข้าเฝ้าฝ่าพระบาทอีกครั้ง ถามให้แน่ชัดไปเลย!” ยังไม่ทนั ขาดค�ำ อ๋าวป้ายก็แย้งว่า “เหล็กลัน่ ดาลประตูสอี่ นั เฝ้าอยูท่ นี่ นั่ ท่านเข้าไป ได้หรือ” เหล็กลั่นดาลประตูสี่อันหมายถึงโวเฮ่อกับพวก ราชองครักษ์ทั้งสี่ไม่ฟังใครทั้งสิ้น ยกเว้นองค์ซุ่นจื้อ พอพูดเช่นนี้ทุกคนก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ผ่านไปครูห่ นึง่ อ๋าวป้ายก็รอ้ ง “หึ” ออกมา แล้วว่า “อย่างนีก้ ด็ เี หมือนกัน ใครจะเป็น ฮ่องเต้ให้คนต่างชาติเป็นผู้ก�ำหนด!” ซูเค่อซ่าฮาบอกว่า “จะคนต่างชาติหรือไม่ก็ช่าง ขอเพียงพูดถูกต้องก็ท�ำอะไรเขา ไม่ได้” อ๋าวป้ายดูแคลนซูเค่อซ่าฮาที่สุด จึงตอกกลับไปว่า “เจ้าพูดพล่อยๆ!” ทังรั่วว่าง หรือ Jahann Adam Schall von Bell (ค.ศ. 1591-1666) มิชชันนารีชาวเยอรมัน เดินทางมาจีนตั้งแต่ปี 1621 มีบทบาททั้งในราชส�ำนักหมิงและชิง-ผู้แปล 8 วิทยาลัยหลวง-ผู้แปล 7
32 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
สั่วหนีเห็นทั้งคู่ก�ำลังจะทะเลาะกันจึงพูดด้วยความร�ำคาญว่า “อย่าท�ำอย่างนี้ ต่างเป็นขุนนางผู้ใหญ่ของบ้านเมือง อย่างไรก็ต้องรักษาธรรมเนียมบ้าง” ทั้งสองได้ยินก็เบือนหน้าหนี ไม่พูดอะไรอีก ในห้องมีเพียงเสียงสูบกล้องยาสูบ ดังปุดๆ บรรยากาศในห้องดูอึมครึมและน่าอึดอัด หงเฉิงโฉวนิ่งเงียบอยู่นาน เขาเงยหน้า ที่ซูบผอมขึ้น ขยับร่างกายเล็กน้อยแล้วว่า “ในเมื่อไม่อาจขัดพระราชประสงค์ เรารอดูกัน สักหน่อยเถอะ ข้าเชื่อว่าฝ่าพระบาทจะทรงเตรียมการไว้” ในหอซีหน่วน ซุน ่ จือ ้ ทรงชืน ่ ชมภาพเหมือนอยูน ่ าน แล้วจึงเสด็จออกมา นอกหอ เกล็ดหิมะเล็กๆ ปกคลุมพื้นหนาชุ่นเศษ รอบๆ เงียบสงัดราวกับวัดร้าง พระทัย พระองค์สงบลงมากแล้ว ตรงตามที่หงเฉิงโฉวคาดเดา พระองค์ทรงมีเรื่องส�ำคัญหลาย เรื่องต้องจัดการก่อนจะเสด็จไป “พระหมื่นปี ฟ่านเฉิงโหมวมาเข้าเฝ้าตามพระบัญชาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” โวเฮ่อราช องครักษ์คุกเข่าอยู่ด้านหลัง กราบทูลเบาๆ “อากาศหนาวอย่างนี้ ฝ่าพระบาทน่าจะ...” ซุน่ จือ้ ไม่ทรงรอให้เขาพูดจบก็โบกพระหัตถ์แล้วเสด็จเข้าไปในพระต�ำหนัก จึงสังเกต เห็นว่าฟ่านเฉิงโหมวคุกเข่ารออยูน่ านแล้ว ซุน่ จือ้ ประทับลงทีพ่ ระเก้าอีใ้ กล้เตียงคัง่ อากาศ ในห้องอุ่นมาก เพียงครู่เดียวก็ทรงรู้สึกพระวรกายร้อนผ่าว จึงยื่นพระหัตถ์ไปปลดกระดุม ฉลองพระองค์ชุดหนัง ซูหมาหล่ากูรีบเข้ามาช่วยถอดฉลองพระองค์ออก แล้วถอยออก ไปนอกพระต�ำหนัก ซุน่ จือ้ ทอดพระเนตรฟ่านเฉิงโหมว แม้เขาจะอายุเพียงสีส่ บิ แต่ผมหงอก ประปรายแล้ว เปียขาวห้อยลงจากขนนกยูงสองตาที่ประดับบนหมวกยศลงจดพื้น ศีรษะ ก้มลงจนเกือบแนบพื้น ซุ่นจื้อทรงกระแอมเบาๆ ฟ่านเฉิงโหมวรู้ว่าฮ่องเต้เสด็จมาแล้ว ก็โขกศีรษะหนักๆ ลงบนแผ่นกระเบื้องสามครั้ง ทูลเสียงดัง “บ่าวฟ่านเฉิงโหมวถวาย บังคมฝ่าพระบาท!” ซุ่นจื้อตรัสด้วยพระสุรเสียงราบเรียบ “อาจารย์ฟ่าน ลุกขึ้นเถอะ นั่งที่ม้านั่งตัวนั้น” ฟ่านเฉิงโหมวค่อยๆ ชันเข่าข้างซ้าย มือขวาแตะอก โน้มกายไปข้างหน้าเป็นการ ถวายบังคม แล้วถอยหลังไปที่ม้านั่งเตี้ยตัวหนึ่งทางขวามือ นั่งลงครึ่งก้นบนม้านั่งกลม ท�ำจากกระเบื้องลายครามสลักลวดลาย “ฝ่าพระบาททรงเรียกเกล้ากระหม่อมมากลางดึก ไม่ทราบว่าทรงมีพระบัญชาอะไรพ่ะย่ะค่ะ” ซุ่นจื้อทรงถอนหายใจยาว ทอดพระเนตรฟ่านเฉิงโหมวแวบหนึ่ง แล้วตรัสช้าๆ ว่า “วันนี้ที่เจิ้นเรียกเจ้ามา เพื่อให้เจ้าช่วยร่างราชโองการให้เจิ้น” ฟ่านเฉิงโหมวค่อยคลายความกังวลลง คิดในใจว่า ‘เพราะเหตุใดจึงทรงเรียกมา กลางดึกเช่นนี้ หรือว่ามีสถานการณ์ด้านการทหารทางตะวันออกเฉียงใต้’ โวเฮ่อยกจาน คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 33
หมึกมา ฝนน�้ำหมึกเรียบร้อย ฟ่านเฉิงโหมวเตรียมพร้อมเต็มที่ ถือพู่กันที่จุ่มหมึกแล้วรอ พระด�ำรัสของซุ่นจื้อ ซุ่นจื้อเสวยพระสุธารสชา สีพระพักตร์ดูขาวซีดกว่าเดิม ตรัสว่า “เจิ้นขึ้นครองราชย์ ในสภาพที่ด้อยคุณธรรมอ่อนความสามารถ จนบัดนี้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว นับตั้งแต่ ออกว่าราชการเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้คน การบริหารราชการ การใช้กฎหมาย เมื่อเทียบ กับองค์ไท่จู่และองค์ไท่จง9 แล้ว ยังห่างไกลมาก หลังจากรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นแล้ว ทุกวันถูกชาวฮั่นจูงจมูก ท�ำให้บ้านเมืองไม่รุ่งเรือง ประชาชนทุกข์ยาก นี่เป็นความผิด ข้อแรกของเจิ้น” ฟ่านเฉิงโหมวฟังถึงตรงนี้ก็ลุกพรวดขึ้นยืนด้วยความหวาดหวั่น เขาตกใจจนลืมตัว น�้ำหมึกบนพู่กันในมือเปื้อนชายแขนเสื้อ แล้วนึกขึ้นได้ว่าตนเองเสียมารยาทจึงรีบคุกเข่า ลง ทูลว่า “ฝ่าพระบาทเสด็จขึน้ ครองราชย์ตงั้ แต่ยงั ทรงพระเยาว์ ภายนอกต้องก�ำราบข้าศึก ภายในก�ำจัดกังฉิน เข้าด่านมาตั้งราชวงศ์ ครอบครองแผ่นดินจีน สร้างภารกิจที่ไม่เคย มีมาในอดีต หากจะมีขอ้ บกพร่องบ้างก็เพราะบ้านเมืองเพิง่ สงบราบคาบ ขาดเวลาทะนุบำ� รุง พระด�ำรัสของฝ่าพระบาท เกล้ากระหม่อมไม่อาจเขียนได้พ่ะย่ะค่ะ” “ลุกขึ้นเถอะ!” ซุ่นจื้อตรัสด้วยพระสุรเสียงราบเรียบ “เจ้าจงเขียน!” ความสงบนิ่งของพระองค์ท�ำให้ฟ่านเฉิงโหมวรู้สึกหวาดหวั่น เขาลุกขึ้นแล้วนั่งลง อย่างหวั่นเกรง พอตั้งสติได้จึงเขียนว่า “เจิ้นขึ้นครองราชย์ขณะที่ยังอ่อนด้อยคุณธรรม จนบัดนี้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว นับตั้งแต่ออกว่าราชการเอง ด้านการใช้กฎหมาย การใช้ คน และบริหารบ้านเมือง ไม่อาจเทียบกับพระปรีชาขององค์ไท่จู่และองค์ไท่จง เนื่องจาก ความเฉื่อยชา มุ่งแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ค่อยๆ คล้อยตามแบบแผนของชาวฮั่น ด�ำเนินตามระบบเก่าจนถดถอยลงทุกวัน บ้านเมืองไม่ก้าวหน้า ราษฎรไม่พอใจ เป็น ความผิดข้อแรกของเจิ้น” ซุ่นจื้อตรัสต่อ “เมื่ออดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ เจิ้นอายุเพียงเจ็ดปี ไม่เคยแสดงความ กตัญญูต่อพระองค์แม้แต่วันเดียว เดิมทีตั้งใจจะปรนนิบัติไทเฮาอย่างดี ชดเชยความ รู้สึกผิดนี้...” พระองค์ทรงรู้สึกพระศอตีบตัน ทรงคว้าผ้าแพรสีขาวบนเตียงขึ้นมาเช็ด พระเนตร “บัดนี้ เจิ้นต้องจากพระมารดาไป ท�ำให้ไทเฮาเสียพระทัยเพราะเจิ้น...” ตรัสถึง ตรงนี้ พระอัสสุชลสองสายก็ไหลลงมาอย่างเงียบๆ ฟ่านเฉิงโหมวยิ่งฟังก็ยิ่งตกใจ สีหน้าตื่นตระหนก ลุกจากที่นั่งลงมาหมอบกับพื้น โขกศีรษะไม่หยุด ทูลว่า “ฝ่าพระบาททรงอยู่ในวัยที่หนุ่มแน่น เหตุใดจึงตรัสเช่นนี้ ถ้า ไท่จู่คือหนู่เอ่อฮาฉื้อพระอัยยิกาของพระองค์ ไท่จงคือหวงไท่จี๋พระราชบิดาของพระองค์-ผู้แปล
9
34 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
ฝ่าพระบาทไม่ทรงอธิบายให้ชัดเจน เกล้ากระหม่อมยินดีตายแต่ไม่บังอาจร่างราชโองการ เด็ดขาด” พูดจบก็โขกศีรษะกับพื้นหนักๆ สามครั้ง ซุ่นจื้อเข้าพระทัยความรู้สึกของฟ่านเฉิงโหมวดี พระองค์เองเพิ่งยี่สิบสี่พรรษา มี พระด�ำรัสเช่นนี้ออกมา อย่าว่าแต่ฟ่านเฉิงโหมวไม่กล้าเขียนเลย ถ้าเป็นเมื่อหลายเดือน ก่อนพระองค์เองก็ไม่เคยแม้แต่จะมีพระด�ำริ แต่บัดนี้จะทรงละทิ้งโลกียวิสัย นั่นคือต้อง ตัดขาดความผูกพันทุกอย่าง พระด�ำรัสจึงต้องไม่เหลือเยื่อใยแม้แต่น้อย มิฉะนั้นจะมี ผลร้ายตามมาอย่างคาดไม่ถึง พระองค์ทรงตั้งพระสติแล้วตรัสว่า “อาจารย์ฟ่าน ถ้าคืนนี้ ยังคงยึดถือธรรมเนียมระหว่างเจ้ากับขุนนางเช่นนี้ จนถึงพรุ่งนี้ก็คงร่างราชโองการไม่เสร็จ ลุกขึ้นเถอะ! เจิ้นขอบอกตามตรง นี่คือ ‘พินัยกรรม’ ของเจิ้น เจิ้นตัดสินใจจะสละทางโลก ออกบวชแล้ว!” ฟ่านเฉิงโหมวตะลึงงัน นึกในใจว่า ‘นับจากสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ10 ยังไม่เคย เกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน! ชาวแมนจูล้วนเป็นชนชาติที่อารมณ์อ่อนไหว! ตัวเอ่อกุ่นเสด็จอา ของฮ่องเต้ ครองอ�ำนาจไว้ในก�ำมือ แต่เพราะเคยผูกพันกับไทเฮาตั้งแต่เยาว์วัยจึงไม่คิด แย่งชิงราชบัลลังก์ ผ่านไปไม่กี่ปีก็เกิดมีผู้คิดจะสละราชบัลลังก์ไปเป็นหลวงจีน!’ แม้ในใจ คิดเช่นนี้ แต่ปากกลับทูลว่า “การสละทิ้งราชสมบัติเสมือนเป็นสิ่งที่ไร้ค่า นับแต่โบราณมา เป็ น การกระท� ำ เมื่ อ สิ้ น หนทางของฮ่ อ งเต้ ที่ ท รงพระปรี ช าเพื่ อ ป้ อ งกั น การถู ก เย้ ย หยั น ทุกวันนี้แผ่นดินเป็นปึกแผ่น ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ฝ่าพระบาททรงมีเรื่องอะไรที่ทรงแก้ไข ไม่ได้ ถึงกับมีพระประสงค์จะสละราชสมบัติ อาจท�ำให้บ้านเมืองวุ่นวายพ่ะย่ะค่ะ!” ซุ่นจื้อทรงสดับที่ฟ่านเฉิงโหมวทูลเกลี้ยกล่อม ที่พูดก็ล้วนเป็นค�ำพูดเดิมๆ ที่ฟังจน เอือมระอาแล้ว ก็รู้สึกร�ำคาญพระทัย จึงทรงตะคอกว่า “เจิ้นตัดสินใจแล้ว เจ้าไม่จ�ำเป็น ต้องพูดมาก!” ฟ่านเฉิงโหมวคิดตรองแล้วทูลว่า “ฝ่าพระบาทมีพระมหากรุณาธิคุณต่อฮองเฮาต่ง อย่างล้นพ้น ตอนมีชีวิตทรงตั้งให้เป็นพระสนม หลังจากวายชนม์ยังทรงตั้งให้เป็นฮองเฮา ทรงดีต่อพระนางอย่างที่สุดแล้ว ท�ำไมยังต้อง...” “หุบปาก!” ซุ่นจื้อแย้มพระโอษฐ์อย่างขมขื่น พลางตรัสว่า “ต่างคนต่างความคิด นี่เป็นเรื่องที่เจ้าต้องยุ่งหรือ” “พระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ เกล้ากระหม่อมขอแย้ง เกล้ากระหม่อมร่างราชโองการ สามกษัตริยห์ า้ จักรพรรดิหมายถึงผูน้ ำ� ชนเผ่าโบราณตามต�ำนาน ชาวจีนถือว่าเป็นบรรพชนของตน สามกษัตริย ์ ได้แก่ ฝูซ ี เสินหนง และหวงตี ้ ห้าจักรพรรดิ ได้แก่ ส้าวหวู จวนสวี ้ ตีค้ ู่ เหยา และซุน่ ในที่นี้จึงมีความหมายว่าฮ่องเต้แต่โบราณ-ผู้แปล 10
คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 35
ฉบับนี้ ไทเฮาต้องทรงทราบแน่ ถึงเกล้ากระหม่อมตายหมื่นครั้งก็ไม่อาจลบล้างความผิด จึงขอบังอาจกราบทูลตามตรง...” ฟ่านเฉิงโหมวยังทูลไม่จบก็ได้ยินเสียงดัง “ปัง” ซุ่นจื้อทรงตบโต๊ะด้วยความกริ้ว “เจ้ากลัวไทเฮาประหาร เรื่องนี้เจิ้นรับผิดชอบเอง! เจ้าไม่ยอมร่างราชโองการ คิดหรือว่า เจิ้นจะประหารเจ้าไม่ได้! เขียน!” ที่ฟ่านเฉิงโหมวต้องการก็คือพระด�ำรัสประโยคนี้ เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่าง ตัวสั่นงันงก กลับไปนั่งที่เดิม ตัดสินใจแน่วแน่แล้วจึงเขียนต่อ “เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์ เจิ้นอายุเพียงเจ็ดขวบ ไม่อาจท�ำการไว้ทุกข์สามปี รู้สึกผิดตลอดมา ท�ำได้เพียงดูแลเอาใจ ใส่ไทเฮาตลอดพระชนม์ชีพ เป็นการท�ำหน้าที่ของลูกอย่างเต็มที่ เป็นการลดความรู้สึกผิด ในอดีต บัดนี้ลูกจะจากไปตลอดกาล ท�ำให้พระราชมารดาทุกข์พระทัย ถือเป็นความผิด อีกประการหนึ่งของเจิ้น” ต่อจากนั้นก็ค่อนข้างราบรื่น ซุ่นจื้อทรงไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว จึงตรัสอย่างไหลลื่น ซุ่นจื้อตรัสถึงตัวพระองค์เองที่ไม่สามารถวางพระทัยชนชั้นสูงแมนจูให้รับหน้าที่ส� ำคัญ แต่กลับพระราชทานรางวัลให้ขุนนางชาวฮั่นเสมอ ตรัสถึงที่พระองค์ทรงชอบเอาชนะ ไม่ ถ่อมตนรับฟังค�ำคัดค้านต่อขุนนางดี ทรงรู้ถึงคุณความดีแต่ไม่อาจสนิทสนมต่อคนต�่ำช้า ทั้งๆ ที่ทรงรู้ถึงความชั่วแต่ไม่อาจผลักไส ตรัสถึงการตั้งสิบสามส�ำนัก แต่งตั้งขันที ตรัส จนแทบจะไม่แตกต่างจากฮ่องเต้โฉดเขลาในปลายราชวงศ์หมิง พระองค์นับข้อผิดพลาด ตัง้ แต่ทที่ รงว่าราชการได้ถงึ สิบสามข้อ ตรัสด้วยพระอาการสงบนิง่ ราวกับก�ำลังทรงกล่าวถึง ความผิดพลาดของผู้อื่น ฟ่านเฉิงโหมวหูฟังไปมือก็เขียน ยังต้องคอยเรียบเรียงพระด�ำรัส จึงไม่กล้าเสียสมาธิแม้แต่น้อย จนรู้สึกศีรษะพองโตขึ้น พอตรัสถึงตรงนี้ซุ่นจื้อก็ทรงถอนพระทัยราวกับปลดภาระที่หนักอึ้งออกไป “เจิ้นรู้ดี ว่าตนเองท�ำผิดมากมาย ท�ำเสร็จแล้วมักนึกเสียใจภายหลังเสมอ แต่เป็นเพราะความ เกียจคร้าน ผ่านไปแล้วจึงไม่สามารถแก้ไขให้ดีได้ ท�ำให้ความผิดพลาดสะสมมากขึ้น เรื่อยๆ นี่ถือว่าเป็นความผิดข้อที่สิบสี่เถอะ” พระองค์ทรงเอนพระวรกายพิงกึ่งบรรทม อยู่บนเตียงอย่างหดหู่ น�้ำตาเทียนในโคมไฟหยดติ๋งๆ ลงบนกระเบื้องปูพื้นขัดเงาสีเขียว ทันใดนั้นนาฬิกาก็ตีบอกเวลาดังแกร๊งๆ สิบเอ็ดครั้ง เป็นยามจื่อสือแล้ว ฟ่านเฉิงโหมวรู้ดี ฮ่องเต้ซุ่นจื้อก�ำลังจะตรัสถึงการตัดสินใจที่ส�ำคัญที่สุดแล้ว เขา ตั้งสมาธิแน่วแน่ มือถือพู่กันนั่งตัวตรงรอฟังพระบัญชา ซุ่นจื้อทรงพักครู่หนึ่ง แล้วตรัส เรียกเบาๆ “ซูหมาหล่ากู!” ซูหมาหล่ากูยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูพระต�ำหนัก ก�ำลังเงี่ยหูฟังอย่าง เงียบๆ จู่ๆ ได้ยินเสียงเรียกก็ตกใจจนตัวสั่น รีบค้อมกายทูลขานรับว่า “บ่าวอยู่นี่เพคะ” 36 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
“ไปตามโวเฮ่อกับพวกมาฟังด้วย” ซูหมาหล่ากูขานรับ “เพคะ” แล้วออกไปถ่ายทอดพระบัญชา เพียงครู่เดียวราช องครักษ์ใกล้ชิดทั้งสี่นายก็เดินเรียงแถวเข้ามา ทยอยกันคุกเข่าลงรอฟังอยู่เงียบๆ ซูหมาหล่ากูตั้งท่าจะเดินออกไป ซุ่นจื้อกลับตรัสเรียกนางไว้ “เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยเถอะ เจ้ารับใช้ไทเฮามาหลายปี เจิ้น มองเจ้าเป็นเหมือนน้องสาว ฟังหน่อยจะได้รู้เรื่องด้วยก็ดีเหมือนกัน” ซูหมาหล่ากูจึงโขก ศีรษะถวายบังคม ไม่พูดอะไร ซุ่นจื้อทรงกระแอม แล้วตรัสด้วยพระสุรเสียงสดใสอย่างชัดถ้อยชัดค�ำ “ฮ่องเต้ องค์ใหม่...เจิ้นตั้งใจแต่งตั้งองค์ชายสามเสวียนเย่” ทรงหยุดครู่หนึ่ง “บรรดาองค์ชาย ทั้งหลายมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เด็กคนนี้แม้จะยังเล็กแต่เฉลียวฉลาดกว่าใครๆ ทั้งยัง ป่วยเป็นไข้ทรพิษแล้ว เจิ้นได้ให้พระทิเบตเอ๋อเอ่อเต๋อจี๋ลามะตรวจดูดวงชะตาให้เสวียนเย่ แล้ว จัดว่ามีดวงชะตาที่สูงส่ง...เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องจดหรอก...แม่ของเด็กคือพระสนมถง ก็เป็นคนดี จิตใจหนักแน่น อุปนิสัยอ่อนโยน คู่ควรที่จะเป็นพระมารดาของแผ่นดิน ตกลง ตามนี้แหละ” ซุ่นจื้อมีพระด�ำริพลางตรัสว่า “ฮ่องเต้ยังเยาว์เกินไป ย่อมต้องตั้งเสนาบดี ช่วยว่าราชการหลายท่าน เจิน้ คิดว่า...สัว่ หนี...ซูเค่อซ่าฮา...เอ้อปีห้ ลง และอ๋าวป้าย สีค่ นนี้ แหละเหมาะ” ฟ่านเฉิงโหมวราวกับสลักทุกถ้อยค�ำไว้ในหัวใจ ชั่วประเดี๋ยวเหมือนได้กินยาเย็น ขนานหนึ่งรู้สึกผ่อนคลายทั่วร่าง ต่อให้ไทเฮาทรงเอาผิดก็ยังมีสี่คนนี้ขวางหน้าอยู่ พอ คลายใจลงก็เขียนได้คล่องแคล่วขึน้ “แต่งตัง้ ให้สวั่ หนี ซูเค่อซ่าฮา เอ้อปีห้ ลง และอ๋าวป้าย เป็นเสนาบดีช่วยว่าราชการ ทั้งสี่ท่านเป็นขุนนางเก่า เจิ้นตั้งใจฝากฝัง ขอให้จงรักภักดี คอยค�้ำจุนฮ่องเต้ที่ยังเยาว์ ช่วยบริหารบ้านเมือง ประกาศต่อในและนอกประเทศ แจ้งต่อ เหล่าทูต” เดิมซุ่นจื้อพระวรกายอ่อนแออยู่แล้ว คืนนี้ยังทรงตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอถ่ายทอด พระพินัยกรรมฉบับนี้จบ พระพักตร์ก็แดงเรื่อฟุบลงกับคั่ง ทรงพระกรรสะ (ไอ) ไม่หยุด ซูหมาหล่ากูเห็นเช่นนั้นก็รีบยกกระโถนให้ โวเฮ่อขยับเข้ามาทุบพระขนองเบาๆ แต่พระ องค์ทรงรั้งมือโวเฮ่อไว้ “โวเฮ่อ เจ้าติดตามเจิ้นหลายปีแล้ว ฮ่องเต้ยังเยาว์นัก ขอให้เจ้า ระวังหน่อย!” ถึงตอนนีโ้ วเฮ่อก็กลัน้ ไม่อยู ่ ร้องไห้โฮออกมา ก้มหน้าทูลเสียงสะอืน้ “บ่าวจะปกป้อง เจ้านายน้อยอย่างซื่อสัตย์พ่ะย่ะค่ะ!” “ไม่ตอ้ งร้องไห้” ซุน่ จือ้ ทรงปราม แล้วหันพระพักตร์ไปตรัสถาม “อาจารย์ฟา่ น สีค่ น นี้ ท่านเห็นเป็นอย่างไร” คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 37
ฟ่านเฉิงโหมวรีบวางพู่กันลงบนชั้นวาง แล้วลุกขึ้นยืนค้อมกายพลางทูลว่า “ทูล พระหมื่นปี ทั้งสี่ท่านล้วนเป็นขุนนางคู่แผ่นดิน พระหมื่นปีทรงพระปรีชายิ่งนัก” ใครจะคาดคิดว่าซุ่นจื้อกลับสั่นพระพักตร์ แล้วตรัสว่า “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่กฎ บรรพชนห้ามขุนนางฮั่นช่วยว่าราชการ อาจารย์ฟ่านเป็นขุนนางฮั่นคงจะเข้าใจจิตใจของ เจิ้นดี ทั้งสี่คนนี้ สั่วหนีมีอาวุโสและบารมี ทั้งมีคุณธรรมและความสามารถเพียบพร้อม เสียดายทีแ่ ก่แล้ว ซูเค่อซ่าฮามีความสามารถมาก จงรักภักดี กล้ารับงาน แต่ยงั ด้อยอาวุโส และบารมี เอ้อปี้หลงไม่กล้าออกหน้าไม่ว่าเรื่องใด เป็นคนอ่อนแอแต่ไม่ใช่ผู้ที่จะก่อความ วุน่ วาย อ๋าวป้ายเป็นคนเฉียบขาด เก่งทัง้ บูแ๊ ละบุน๋ เสียดายทีน่ สิ ยั วูว่ าม สีค่ นนีถ้ า้ สามารถ ร่วมแรงร่วมใจกันค�้ำจุนเจ้านายน้อย เจิ้นก็จะจากไปได้อย่างวางใจ” ดึกมากแล้ว ฟ่านเฉิงโหมวกลับไปแล้ว ในวังต้องห้ามหิมะตกโปรยปราย สรรพสิง่ ล้วนจับตัวจนแข็งทื่อในค�่ำคืนที่หนาวเหน็บ นาฬิกาน�้ำก�ำลังจะจับแข็ง แสงไฟมืดสลัว แล้ว น�้ำตาเทียนสีแดงดุจโลหิตกองสูงบนเชิงเทียน มีเพียงเสียงตีฆ้องบอกเวลาดังวังเวง ไกลออกไป ซุ่นจื้อเงยพระพักตร์ขึ้น พระอัสสุชลสะท้อนแสงแวววาว มีรับสั่งกับฉางห้าวว่า “ถ่ายทอดค�ำสัง่ ไปทีส่ ำ� นักราชเลขาให้เปิดประตูวงั เจิน้ สัง่ คนขับรถม้าไว้แล้ว จะออกจากวัง เดี๋ยวนี้!”
38 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
2
พระโอรสครองราชย์ ขันทีป่าวประกาศ อ๋าวป้ายล้อมที่ดิน ปิดบังเบื้องสูง
มีการจัดพระราชพิธีศพของฮ่องเต้ซุ่นจื้อราวกับเป็นเรื่องจริง ห้อง พระราชพิธีศพจัดขึ้นที่พระต�ำหนักหย่างซิน ผ้าคลุมส�ำหรับพระราชพิธีพระศพจารึกคัมภีร์ ภาษาสันสกฤตบนผืนผ้าต่วนสีเหลืองเต็มไปด้วยอักษรสันสกฤตปักด้วยดิ้นทอง ห่มคลุม โลงพระศพทองค�ำทับกันหลายชั้น ธูปหอมปักลงบนกระถางทองค�ำเซวียนเต๋อที่หน้าโลง พระศพ ควันธูปสีเขียวที่เบาบางราวกับใยแมงมุมลอยอบอวลอยู่ในพระต�ำหนัก ประกาศ ว่าดวงวิญญาณของผู้เป็นเจ้าของลอยสูงไปนอกไตรภูมิแล้ว มีพระเสาวนีย์จากไทเฮา ให้ เหล่าขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นถอดพู่แดงบนหมวกยศออก ขุนนางกรมพิธีการได้เริ่มเตรียมจัด ราชพิธีต่างๆ ส�ำหรับการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่แล้ว ให้ทรงไว้ทุกข์ก่อนแล้ว ประกาศพระพินัยกรรม จากนั้นจึงจัดพิธีขึ้นครองราชย์ ต้นยามซื่อสือแล้ว เริ่มงานการสรงน�้ำและเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้พระศพฮ่องเต้ นอกวังเฉียนชิงเต็มไปด้วยชินหวัง จวิ้นหวัง เป้ยเล่อ เป้ยจื่อ1 และขุนนางกรมต่างๆ ยืนกัน สลอน หวูเหลียงฝู่หัวหน้าขันทีแห่งกรมวังยืนสีหน้าเครียดอยู่หน้าลานพระต�ำหนัก เขา เอียงคอ ริมฝีปากบนกดริมฝีปากล่าง มีรอยย่นลึกเหนือคางที่เกลี้ยงเกลา คนที่ไม่รู้คงนึก ว่าเขาก�ำลังโมโห ความจริงขณะนี้เขาก�ำลังรู้สึกล�ำพองใจอย่างยิ่ง หวูเหลียงฝู่ผู้นี้เดิมเป็นคนรับใช้ ในจวนเคอเอ่อชิ่นจั๋วหลี่เค่อถูชินหวัง หลังจากที่โป๋เอ่อฉีจิ่นถูกคัดเลือกเข้าวัง เนื่องจาก ฐานันดรของเชื้อพระวงศ์ในราชส�ำนักชิงแบ่งเป็นสี่ขั้นตามล�ำดับคือ ชินหวัง จวิ้นหวัง เป้ยเล่อ และเป้ยจื่อ หวังก็คืออ๋องนั่นเอง-ผู้แปล 1
คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 39
ไม่มคี นทีไ่ ว้ใจได้อยูข่ า้ งกาย ชินหวังจึงให้เขาช�ำระกาย2 แล้วส่งเข้าวังด้วย ตามฐานะแล้ว เดิมเขาเป็นขันทีทตี่ ดิ ตามฮองเฮาเข้ามา ดังนัน้ เพียงไม่กปี่ กี ข็ นึ้ เป็นรองหัวหน้าขันทีหกวัง เมื่อโป๋เอ่อฉีจิ่นถูกถอดพระยศลงเป็นพระสนม ฝ่าพระบาทด�ำริว่าเขาเป็นลูกบุญธรรม ของอ๋าวป้ายจึงไม่ทรงสร้างความล�ำบากต่อเขา วันนี้ก่อนการบรรจุพระศพและงานพระ ราชพิธีศพ ขณะที่บรรดาเสนาบดีช่วยว่าราชการประชุมกัน เอ้อปี้หลงเสนอให้หวูเหลียงฝู่ เป็นผู้ควบคุมพระราชพิธี โดยทูลขอพระราชทานพระอนุญาตจากไทเฮา เขาจึงรู้สึกว่า สถานการณ์ก�ำลังจะเปลี่ยนไป เวลาเดินจึงเชิดหน้าไม่มองใคร ขณะนีใ้ นใจเขารูส้ กึ ทัง้ ร้อนรุม่ และอิม่ เอิบ แปดปีแล้วนับจากทีโ่ ป๋เอ่อฉีจนิ่ ถูกส่งเข้า วังเย็น ยังไม่เคยได้หน้าเช่นวันนี้มาก่อน บรรดาเชื้อพระวงศ์และเสนาบดีใหญ่อย่างอี้เจิ้งหวังเจี๋ยซู สั่วหนีโป๋ขั้นหนึ่ง รวมทั้งซูเค่อซ่าฮาซึ่งปกติไม่มองมหาดเล็กฝ่ายในอยู่ในสายตา รวมถึงกลุ่มเป้ยเล่อ เป้ยจื่อที่ยืนแถวเป็นระเบียบใต้ชายคาที่น�้ำหยดลงมาล้วนต้องฟัง ตามที่เขาก�ำกับ ช่างน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ช่างเป็นเกียรติอะไรเช่นนี้! ยามซื่อสือสองเค่อแล้ว สั่วหนีในวัยหกสิบเศษ หัวหน้าเสนาบดีช่วย ว่าราชการตามพระราชโองการสั่งเสียไปรับพระเสาวนีย์ที่วังฉือหนิง พร้อมกับรับเสด็จองค์ ไท่จื่อ (รัชทายาท) อ้ายซินเจว๋หลัวเสวียนเย่เสด็จไปประกอบพิธีบรรจุพระศพที่วังเฉียนชิง พระนางถงกุ้ยไทเฮาพระองค์ใหม่เป็นคนที่พูดน้อยไม่ช่างเจรจา เห็นว่าจะรับมือไม่ไหว จึง มองเสี้ยวจวงไทเฮาแล้วทูลว่า “เสด็จแม่โปรดช่วยอบรมด้วยเพคะ” เสี้ยวจวงไทฮองไทเฮา (พระอัยยิกาฮ่องเต้) ทอดพระเนตรเห็นผู้เฒ่าสั่วหนีหมอบ ร�่ำไห้เงียบๆ อย่างโศกเศร้า รอฟังพระเสาวนีย์อยู่ แล้วทรงหวนนึกถึงสิ่งที่พระนางเอง ประสบมาชั่วชีวิต ทรงเข้าวังตั้งแต่ยังเล็ก สูญเสียพระสวามีตั้งแต่ในวัยสาว ผ่านความ ยากล�ำบากนานัปการ เผชิญอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ต้องวุ่นวายอยู่ระหว่างตัวเอ่อกุ่น กับจี้เอ่อฮาหล่าง กระทั่งต้องใช้ตัวพระนางเองเข้าแลก ล�ำบากแทบแย่จึงสามารถรักษา ต�ำแหน่งฮ่องเต้ของพระโอรสไว้ได้ เพิง่ มีชวี ติ อย่างสงบสุขได้ไม่นานก็มาเกิดเหตุไม่คาดฝัน นี้ขึ้น! ทรงรู้สึกสะท้อนพระทัย พระอัสสุชลไหลเป็นสาย “เจ้าเป็นขุนนางเก่าตั้งแต่รัชกาล ก่อน ต้องระงับความโศกเศร้า ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยยืนกรานจะจากไป นี่เป็นเรื่องที่จน ปัญญา องค์ชายสามเฉลียวฉลาด พวกเจ้าต้องค�้ำชูเขา พอเขาโตขึ้นย่อมตอบแทนพวก เจ้า! เจ้าจงน�ำค�ำพูดนี้ของข้าไปบอกกับทุกคนที่ได้รับการฝากฝัง บอกพวกเขาด้วยว่า หลานชายข้าคนนี ้ ข้าดูแลอย่างมัน่ เหมาะแล้ว ทีผ่ า่ นมาพวกเจ้ารูน้ สิ ยั ข้าดี ถ้าเป็นปฏิปกั ษ์ ตัดอวัยวะเพศทิ้งเป็นขันที-ผู้แปล
2
40 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
กับข้า ข้าจะท�ำให้พวกเจ้าล�ำบากแน่! ที่จะพูดก็เท่านี้แหละ ซูหมาหล่ากู เจ้าพาองค์ไท่จื่อ ไปที่พระต�ำหนักหย่างซิน” ซูหมาหล่ากูจูงเสวียนเย่ในพระชนมายุแปดพรรษาจากหลังพระต�ำหนัก ดูเหมือน องค์ชายจะรู้สึกกังวล ขณะที่ทูลลาไทฮองไทเฮาและไทเฮา ก็ทูลว่า “เสด็จแม่ ลูกอยาก ให้อาหมู่ไปด้วย” อาหมู่คือแม่นม พอนางซุนได้ยินองค์ไท่จื่อมีรับสั่งให้หาก็รีบเดินออกมา ดึงพระ หัตถ์เสวียนเย่ ทูลว่า “องค์ชายคนเก่ง ได้ยินว่านับจากวันนี้ พระองค์ก็คือฝ่าพระบาท จะเอาแต่ใจไม่ได้แล้ว อาหมู่เป็นแค่บ่าวรับใช้ ไปสถานที่แบบนั้นไม่ได้หรอกเพคะ” “ซูหมาหล่ากูบอกข้าว่า ไม่ว่าใครก็ต้องฟังฝ่าพระบาทใช่ไหม ค�ำพูดของฝ่าพระ บาทเป็นราชโองการใช่ไหม เวลานี้ข้าจะมีราชโองการ ให้อาหมู่ติดตามข้าไป!” เสวียนเย่ ยืนกราน ซูหมาหล่ากูยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ พลางเหลือบมองไทเฮา พระนางถงกุ้ยทรงพอพระทัยและยังรู้สึกสมพระทัยด้วย เหลียวมองพระมารดา พระนางเสี้ยวจวงเองก็ก�ำลังพยักพระพักตร์และแย้มพระสรวลเล็กน้อย สั่วหนีคุกเข่าอยู่ ข้างๆ ก็สะดุ้งมองดูเจ้านายน้อยซึ่งจะเป็นเจ้าครองแผ่นดินด้วยความประหลาดใจ พอเห็น ไทเฮาพยักพระพักตร์ สั่วหนีจึงรีบบอกนางซุน “ยังไม่รีบขอบพระทัยอีก!” นางซุนได้ยนิ ก็คกุ เข่าทันที โขกศีรษะให้เสวียนเย่ ทูลว่า “เกล้ากระหม่อมฉันนางซุน ขอบพระทัยในพระเมตตาเพคะ!” ทูลจบก็ลุกยืน เสวียนเย่โผเข้ามาหา มือข้างหนึ่งดึงนาง ซุน อีกข้างลากซูหมาหล่ากูเตรียมจะเสด็จไป สัว่ หนีตอ้ งรีบลุกขึน้ ใช้ความว่องไวทีพ่ บเห็น ได้ยากในคนชรา ชิงก้าวน�ำหน้าพลางตะโกนเสียงดังว่า “องค์ไท่จื่อเสด็จ เตรียมราชรถ!” เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางส�ำคัญก�ำลังรออย่างกระวนกระวายอยู่ นอกวังเฉียนชิง เอ้อปี้หลงเสนาบดีช่วยว่าราชการในอันดับสองค่อยๆ กระเถิบมาข้างๆ อ๋าวป้ายเสนาบดีช่วยว่าราชการอันดับสี่ เอ้อปี้หลงเริ่มด้วยการหรี่ตาก่อน เขาติดนิสัยที่ ต้องหรี่ตาก่อนพูดถ้าไม่หรี่ตาก็จะพูดไม่ออก ม้วนลิ้นอยู่ในปากสองรอบจึงพูด “อ๋าวกง มีข่าวจากห้องทรงพระอักษรว่าหลังจากโวเฮ่อกลับจากงานราชการที่เฉิงเต๋อได้เขียนฎีกา ฉบับหนึ่ง กล่าวโทษว่าท่านยึดครองที่หลวงแปดผืนใหญ่ ท่านว่า...” กล้ามเนื้อบนหน้าอ๋าวป้ายเกร็งเขม็ง ไม่มองสบตาเอ้อปี้หลงตรงๆ พูดตอบเสียง กร้าว “งั้นก็เชิญเอ้อกงจัดการตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาเถอะ!” เอ้อปี้หลงหรี่ตาแล้วพูด “อ๋าวกง ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฎีกานั้นข้าจัดการ แล้ว คนต�่ำช้าอย่างนั้นกุเรื่องสร้างความวุ่นวาย ไม่จ�ำเป็นต้องจริงจังกับเขา ท่านอ�ำมาตย์ สั่วหนีอายุมากแล้ว ข้าว่าเรื่องนี้คงไม่ต้องรบกวนเขา” คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 41
อ๋าวป้ายจ�ำต้องรับน�้ำใจเช่นนี้ไว้ เขาหันมามองดูเอ้อปี้หลงซึ่งดูท่าทางจริงจัง ยิ้ม แล้วว่า “ขอบคุณที่ช่วยเหลือ เอ้อกงมีน�้ำใจ วันหน้าขอตอบแทน” เอ้อปี้หลงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เรื่องแบบนี้มีได้ครั้งเดียว ไม่ควรให้มีอีก” ปากพูด แต่ตาเหลียวมองเสนาบดีชว่ ยว่าราชการซูเค่อซ่าฮาซึง่ ยืนตรงอยูบ่ นบันได อ๋าวป้ายเหลือบ มองซูเค่อซ่าฮาแวบหนึ่ง ยิ้มเยาะแล้วพยักหน้า “องค์ไท่จื่อเสด็จ!” หวูเหลียงฝู่ประกาศเสียงดัง บรรดาขุนนางรีบขยับเข้าที่ยืนก้ม หน้า เอ้อปี้หลงรีบกลับไปยืนในต�ำแหน่งของตน ทีต่ รอกซีหย่งข้างวังเฉียนชิง ซูหมาหล่ากูและนางซุนพยุงเสวียนเย่ลงจากเกีย้ วหลวง เสวียนเย่อยากรู้อยากเห็นแบบเด็ก พอเห็นผู้คนยืนออกันอยู่ในสนามหน้าพระต�ำหนักก็ ท�ำท่าจะรีบเข้าไป ซูหมาหล่ากูกระซิบข้างพระกรรณว่า “จะเป็นฝ่าพระบาทแล้ว ท�ำอย่าง เด็กไม่ได้ ต้องเดินช้าๆ ยิ่งดูเคร่งขรึมก็ยิ่งดี!” พูดจบก็คุกเข่าลงพร้อมกับนางซุนส่งเสด็จ เข้าไปข้างใน สั่วหนีเดินน�ำหน้า น�ำเสด็จเสวียนเย่เดินช้าๆ ผ่านทางเดินที่เป็นเส้นตรง โวเฮ่อ ซีจู้ เจ๋อเค่อถู และเจว๋หลัวไซ่เอ่อปี้ ทั้งสี่ราชองครักษ์สะพายดาบที่เอวเดินตามเสด็จ พอผ่าน หน้าหวูเหลียงฝู่ โวเฮ่อถลึงตาใส่เขา หวูเหลียงฝู่ตัวลีบทันที โวเฮ่อเป็นบุตรชายของเฟยหยางกู่เสนาบดีกรมวัง รัชศกซุ่นจื้อปีที่แปดได้เป็นราช องครักษ์รักษาพระองค์ ทุกวันซุ่นจื้อจะทรงมีเขาอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ เมื่อครั้งที่ฮองเฮา ถูกถอดพระยศ หวูเหลียงฝู่ฉวยโอกาสขโมยหยกหรูอี้พระราชทาน โวเฮ่อจับได้จึงทุบตี เขาอย่างหนัก หวูเหลียงฝู่ไปฟ้ององค์ซุ่นจื้อ คิดไม่ถึงว่าซุ่นจื้อกลับตรัสว่า “เขาเป็นคน มีคุณธรรม ไม่ฉวยโอกาสที่คนก�ำลังตกยากท�ำเรื่องชั่ว” เพราะสาเหตุนี้ท�ำให้หวูเหลียงฝู่ เคียดแค้นโวเฮ่อเข้ากระดูก ไท่จื่อและผู้ติดตามทั้งห้าเดินขึ้นบันไดหน้าพระต�ำหนัก สั่วหนีก้าวมาข้างหน้า รวบ ชายเสื้อขึ้นแล้วคุกเข่าลง เสนาบดีใหญ่อีกสามคนต่างคุกเข่าลง สั่วหนีกราบทูลเสียงดัง “เชิญเสด็จองค์ไท่จื่อเข้าประกอบพิธีในพระต�ำหนัก!” พูดจบพอหันกลับไปมองก็พบว่า อ๋าวป้ายฉวยโอกาสตอนคุกเข่าถึงกับขยับมาอยู่ข้างหน้าเสมอกับตนเอง รอจนเสวียนเย่ เสด็จเข้าไปในพระต�ำหนักแล้ว จึงหันมากระซิบบอกอย่างเคร่งขรึมว่า “ขอให้อ๋าวกงควบ คุมตัวเองด้วย!” ที่ผ่านมาอ๋าวป้ายย�ำเกรงสั่วหนี แม้ว่าเวลานี้สั่วหนีจะเฒ่าชราแล้ว แต่ใครๆ ก็รู้ว่า ในอดีตเขารบทัพจับศึก สร้างชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วแผ่นดิน เขาไม่เกรงกลัวแม้แต่รุ่ยชิน หวังตัวเอ่อกุ่น อาศัยบารมีเก่าข้อนี้และความเป็นขุนนางใหญ่สามรัชกาล ไม่มีใครกล้า ผิดใจด้วย ดังนั้น ต่อหน้าสั่วหนีจึงจ�ำต้องระวังตัวบ้าง อ๋าวป้ายจ�ำใจถอยหลังไปครึ่งก้าว 42 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
ขณะนั้นเหล่าขุนนางทั้งในและนอกโถงทางเดิน ทั้งในและนอกชานพระต�ำหนัก พอเห็น เหล่าเสนาบดีคุกเข่าก็รีบคุกเข่าตาม เสวียนเย่เสด็จเข้าไปในพระต�ำหนัก ภายในพระต�ำหนักซีหน่วนแขวนม่านและ แถบผ้าสีขาว ควันธูปอบอวล บรรยากาศเคร่งขรึมอย่างยิ่ง ป้ายตัวอักษรสีทองแวววาว ที่กลางห้องเป็นป้ายพระวิญญาณของฮ่องเต้สื้อจู่ซึ่งก็คือซุ่นจื้อนั่นเอง เสวียนเย่คุกพระ ชงฆ์ลงถวายบังคมสามครั้งตามที่สั่วหนีก�ำชับไว้ก่อน มหาดเล็กเตรียมยื่นจอกสุราไว้แล้ว เสวียนเย่ใช้พระหัตถ์ทั้งสองชูจอกสุราขึ้นเหนือพระเศียร แล้วค่อยๆ รินลงหน้าป้ายพระ วิญญาณจากนั้นจึงทรงลุกยืน สั่วหนีมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า หวนนึกถึงพระมหากรุณา ธิคุณของอดีตฮ่องเต้เมื่อครั้งที่ยังประทับในวัง บัดนี้ทรงจากไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ ชีวิต เหมือนไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง เขาถึงกับร�่ำไห้ออกมา บรรดาขันทีและเชื้อพระวงศ์ ในที่นั้นต่างก็รีบร้องไห้รับเสียงดัง ถือเป็นการ “ส่งพระศพ” นับจากเวลานี้ถือว่าองค์ไท่จื่อได้ส่ง “ฮ่องเต้สู่สวรรคาลัย” แล้ว เป็นการสืบทอด ราชบัลลังก์เบื้องหน้าป้ายพระวิญญาณ พอหวูเหลียงฝู่สะบัดแส้ปัดฝุ่น เหล่าพนักงาน พิธีแห่งส�ำนักหงหลูสื้อขับขานเพลงสดุดี เหล่าขุนนางยืนแถวเป็นระเบียบคุกเข่าลงถวาย บังคม เสวียนเย่ประทับบนราชบัลลังก์สเี หลือง รับการถวายบังคมในท้องพระโรง นับจากนี้ อาณาจักรจีนที่ยิ่งใหญ่ สิบแปดมณฑล ราษฎรร้อยล้าน อยู่ภายใต้การปกครองของ “คังซี” ผู้มีพระชนมายุแปดพรรษาพระองค์นี้แล้ว คังซีทรงอดทนเพื่อรับพิธีถวายพระพร ทรงลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แล้วเสด็จไปเบื้อง หน้าเสนาบดีช่วยว่าราชการทั้งสี่คน ทรงพยุงทีละคนให้ลุกขึ้นพร้อมกับตรัสถาม “เจ้า คือสั่วหนีใช่หรือไม่” “เจ้าคือซูเค่อซ่าฮาใช่หรือไม่” “เจ้าคือเอ้อปี้หลงใช่หรือไม่” “เจ้าคือ อ๋าวป้ายใช่หรือไม่” ทั้งสี่ต่างโขกศีรษะถวายบังคมพร้อมกับทูลว่า “พ่ะย่ะค่ะ” คังซีตรัสว่า “ก่อนอดีตฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ได้ตรัสว่า พวกท่านล้วนเป็นคนเก่ง ของแมนจู เป็นขุนนางตงฉิน ขอให้เจิ้นฟังค�ำพูดของพวกท่าน พวกท่านท�ำหน้าที่ให้ดี เถอะ!” ทั้งสี่ต่างตื้นตันใจอย่างยิ่งเมื่อได้ทราบถึงพระด�ำรัสเช่นนี้ของอดีตฮ่องเต้ แต่เพราะ เป็นวันมงคลทีฮ่ อ่ งเต้พระองค์ใหม่ขนึ้ ครองราชย์ตอ่ หน้าโลงพระศพ จึงไม่อาจร�ำ่ ไห้เสียงดัง ท�ำได้เพียงส่งเสียงสะอื้น สั่วหนีโขกศีรษะแล้วหันมาพูดกับอีกสามคน “อดีตฮ่องเต้ทรงมี พระเมตตาต่อพวกเราถึงเพียงนี้ จะตอบแทนพระเมตตาอย่างไรดี วันนี้องค์รัชทายาท เสด็จขึ้นครองราชย์ พวกเราสี่คนควรร่วมกันถวายสัตย์ปฏิญาณว่า เราทั้งสี่รับสนองพระ ด�ำรัสสัง่ เสียของอดีตฮ่องเต้ ช่วยกันค�ำ้ ชูเจ้าเหนือหัวองค์นอ้ ย จะทุม่ เทก�ำลังและสติปญ ั ญา คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 43
ช่วยว่าราชการอย่างสุดความสามารถ ไม่เห็นแก่หน้าญาติมติ ร ไม่ยดึ ถือความแค้นส่วนตัว ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ไม่รับสินบน ไม่หวังลาภยศที่ไม่สมควรได้ ขอเพียงได้ตอบแทนพระ เมตตาของอดีตฮ่องเต้ด้วยความซื่อสัตย์ ถ้าผู้ใดเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน ผิดต่อค�ำ สาบาน ขอให้ฟ้าดินลงทัณฑ์ ตายอย่างน่าอนาถ ทุกท่านยินดีสาบานเช่นนี้หรือไม่” ซูเค่อซ่าฮาและเอ้อปี้หลงตอบรับพร้อมกัน “ยินดี!” แม้ว่าอ๋าวป้ายจะรู้สึกว่าสั่วหนีท�ำเรื่องไร้สาระ แต่ก็จ�ำเป็นต้องตอบตามสองคน นั้น “ยินดี!” คังซีไม่เข้าพระทัยค�ำพูดกึง่ ภาษาหนังสือนีเ้ ท่าไรนัก แม้แต่ทพี่ ระองค์เองตรัสเมือ่ ครู่ ก็เป็นค�ำที่ซูหมาหล่ากูสอนให้ระหว่างทาง แต่เข้าพระทัยว่า ค�ำว่า “ไม่” ต่อเนื่องกันห้าหก ประโยคนั้นเป็นค�ำพูดที่ดีมาก จึงทรงพยักพระพักตร์อย่างหนักแน่น ตรัสว่า “ดี! พวกท่าน เชิญกลับได้แล้ว!” สี่เสนาบดีและอี้เจิ้งหวังน�ำบรรดาขุนนางถอยออกไป ฮ่องเต้คังซีทรงรู้สึกเหมือน ยกหินหนักออกไป กลายเป็นเด็กไร้เดียงสาทันที ทรงกระโดดโลดเต้นวิ่งออกไปทั้งๆ ที่ไม่ ได้บอกกับผูต้ ามเสด็จ โวเฮ่อกับพวกรีบวิง่ ตามไปแทบไม่ทนั คังซีทรงวิง่ พลางโบกพระหัตถ์ ตรัสว่า “พวกเจ้าไม่ตอ้ งตามมา!” ตรัสเสร็จก็วงิ่ อ้อมแนวก�ำแพงกัน้ ปิดด้วยกระเบือ้ งเคลือบ ไปหานางซุนแม่นมและซูหมาหล่ากูซึ่งคุกเข่าอยู่ที่ช่องทางเดิน นางซุนเห็นคังซีทรงวิ่งเร็วจี๋ก็ร้องบอกด้วยความร้อนใจ “เจ้านายน้อยของเกล้า กระหม่อมฉัน ระวังจะหกล้มนะเพคะ!” แต่คังซีท�ำเหมือนไม่ทรงได้ยินค�ำร้องเตือน ทรงวิ่งมาพร้อมกับทรงพระสรวล “ลุก ขึ้นเหอะ! ข้ากลับมาแล้ว!” ตรัสพลางซุกพระเศียรเข้าไปในอ้อมกอดนางซุน ซูหมาหล่ากูซงึ่ อยูข่ า้ งๆ ช่วยจัดฉลองพระองค์ของคังซีให้เข้าที ่ พลางทูลว่า “เวลานี้ ทรงเป็นฝ่าพระบาทแล้วนะเพคะ จะตรัสว่า ‘เจ้า’ หรือ ‘ข้า’ อีกไม่ได้แล้ว ควรตรัสว่า ‘เจิน้ ’ กลับมาแล้ว” คังซีแย้มพระโอษฐ์ “นัง่ ตัง้ ครึง่ วันอึดอัดแทบแย่ พาข้าไปเฝ้าไทฮองไทเฮากับไทเฮา เถอะ” นางซุนหยิกพระปรางคังซีเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “เจ้านายน้อยวันนี้ทรงราศีจับ เกล้ากระหม่อมฉันจะอุ้มพระองค์ไป!” ทูลจบก็อุ้มคังซีขึ้น ทั้งสามพูดคุยหัวเราะกันมุ่งไปยังวังฉือหนิง ขันทีน้อยสี่คนเห็นคังซีเสด็จไปแล้วก็ วิ่งตามหลังมา ขณะเพิ่งเลี้ยวผ่านตรอกแห่งหนึ่งก็ได้ยินคนร้องเสียงกร้าว “วางลง!” ทั้งสามสะดุ้งเฮือกพลางเงยหน้ามอง ปรากฏว่าหัวหน้าขันทีหวูเหลียงฝู่ยืนอยู่ตรง หน้า 44 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
หวูเหลียงฝู่ตีหน้ายิ้มให้คังซีก่อน แล้วตีหน้ายักษ์ใส่นางซุน ต�ำหนิว่า “อุ้มฝ่าพระ บาทอย่างนี้ไปทั่ววังหลวง ไร้แบบแผนสิ้นดี!” นางซุนปกติเป็นคนอ่อนน้อมซื่อๆ เห็นหวูเหลียงฝู่ตีหน้ายักษ์ใส่ก็รู้สึกกลัว จึงวาง คังซีลงด้วยความหวาดหวั่นพลางบอกว่า “ฝ่าพระบาทยังทรงพระเยาว์...” “ทรงพระเยาว์รึ ยังไงก็เป็นฝ่าพระบาท! เจ้าคิดว่าเป็นลูกตัวเองหรือไง” พอเห็นว่า นางซุนกล้าต่อปากต่อค�ำ หวูเหลียงฝู่ก็ยิ่งโมโหจึงร้องสั่งขันทีน้อย “ไป ไปตามตัวหลี่หมิงชุนหัวหน้าขันทีวังฉือหนิงมา” คังซียังไม่เข้าพระทัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พอทรงได้ยินเสียงขันทีน้อยตอบว่า “ขอรับ...” แล้วตัง้ ท่าจะไปก็รบี ตรัสเรียก “กลับมา!” แต่แล้วก็ไม่รวู้ า่ จะตรัสอะไรดี จึงต้อง ทรงขยิบพระเนตรไปที่ซูหมาหล่ากู ซูหมาหล่ากูคุกเข่าลงทูลถาม “ฝ่าพระบาท ทรงมอบเรื่องนี้ให้เกล้ากระหม่อมฉัน จัดการดีไหมเพคะ” คังซีพยักพระพักตร์หงึกๆ ตรัสว่า “เจิ้นขอให้เจ้าจัดการ!” ซูหมาหล่ากูจึงหันมาบอกว่า “หวูเหลียงฝู่ ใครอนุญาตให้เจ้ามาส่งเสียงโหวกเหวก ต่อหน้าพระพักตร์ อวดเบ่งอะไรนี่!” “เจ้าก็แค่นางก�ำนัลพวกธงห้าสี จะรู้ระเบียบอะไร” หวูเหลียงฝู่ตอบโต้ทันควัน “นางก�ำนัลรึ” ซูหมาหล่ากูยิ้มเยาะ “เวลานี้ข้าเป็นข้าหลวงตัวแทนพระองค์ คุกเข่า ลงซะ!” “หือ!” หวูเหลียงฝู่เอียงคอ ก�ำลังจะพูดว่า “เจ้ามันไม่...” ค�ำว่า “คู่ควร” ยังไม่ทัน หลุดจากปาก ซูหมาหล่ากูก็เงื้อฝ่ามือตบหน้าหวูเหลียงฝู่เต็มแรง “เจ้าเหนือหัวองค์ก่อน เพิง่ สิน้ พระชนม์ เจ้าก็บงั อาจลบหลูฝ่ า่ พระบาท! มีราชโองการให้เจ้าคุกเข่า! ...ฝ่าพระบาท มีพระประสงค์เช่นนี้ใช่ไหมเพคะ” คังซีเข้าพระทัยแล้ว นึกได้ว่าต้องให้เขาท�ำตามราชโองการจึงรีบตรัสว่า “คุกเข่าลง ตบปากห้าสิบที!” หวูเหลียงฝู่ได้ยินคังซีตรัสออกมาจึงจ�ำต้องคุกเข่าลง ขันทีน้อยคนหนึ่งรี่เข้ามา พับ แขนเสื้อขึ้นเงื้อแขนจะตบ ซูหมาหล่ากูตวาดว่า “ข้าสั่งให้เจ้าท�ำงั้นหรือ! ฝ่าพระบาทให้ เขาตบปากตัวเอง! เจ้ายืนที่นี่คอยนับ...ฝ่าพระบาท ไทฮองไทเฮาและไทเฮาทรงรอพระ องค์อยู่นะเพคะ เราไปกันเถอะ!” พูดจบทั้งสามก็เดินจากไป หวูเหลียงฝูโ่ ดนซูหมาหล่ากูเล่นงานอย่างไร้เหตุผลก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เห็นทัง้ สาม เดินไปไกลแล้วแต่ขันทีน้อยข้างๆ ยังยืนรอนับที่เขาจะตบปากตัวเอง จึงทั้งอับอายทั้งโมโห ลุกพรวดขึ้นตบหน้าขันทีน้อยฉาดใหญ่ “ไอ้เดรัจฉาน รนหาที่ตาย บังอาจหาเรื่องข้ารึ!” คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 45
“พี่บุญธรรม พอเถอะ อย่าไปถือสาคนพรรค์นี้เลย” หวูเหลียงฝู่หันไปมอง ก็พบว่า เน่อโหมวทหารองครักษ์หลานชายของอ๋าวป้ายยืนอยู่ เน่อโหมวยิ้มร่า “ท่านอ�ำมาตย์อ๋าว จัดเลี้ยงคืนนี้ เรียกเจ้าไปที่จวน ฝู่กั๋วกงปานปู้เอ่อส้าน ไท่ปี้ถูสื้อหลาง และใต้เท้าลั่วสื้อ ก็มา ว่าไง ไปหรือไม่ไป...อยากระบายความแค้นรึ ง่ายมาก!” หวูเหลียงฝู่พยักหน้าอย่างแรงแล้วตะคอกใส่ขันทีน้อย “ไสหัวไป!” วันที่น่ารื่นรมย์กลับถูกหวูเหลียงฝู่ท�ำเสียเรื่อง คังซีทรงรู้สึกหงุดหงิด นางซุนและซูหมาหล่ากูที่เดินตามหลังมาต่างก็มีเรื่องหนักใจ เดิมนางซุนคิดว่าฉวยโอกาส วันนี้ที่ฝ่าพระบาทดีพระทัยจากการได้เสด็จขึ้นครองราชย์ กะจะทูลขอให้ย้ายเว่ยตงถิง บุตรชายจากส�ำนักรักษาการณ์มาท�ำงานทีน่ ี่ ข้อแรกวันหน้าจะได้มโี อกาสก้าวหน้า ข้อสอง แม่ลูกจะได้พบหน้ากันบ่อยๆ นางเคยเอ่ยเรื่องนี้กับซูหมาหล่ากู นางรู้ว่าแม้เด็กสาวคนนี้ จะอายุเพียงสิบห้า แต่กลับเป็นคนโปรดอันดับหนึง่ ของทัง้ ไทฮองไทเฮาและไทเฮา หน้าตา ไม่ต้องพูดถึง หน�ำซ�้ำยังเฉลียวฉลาด พูดประโยคเดียวเทียบได้กับสิบประโยคของนาง! คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับตัวอัปมงคลอย่างหวูเหลียงฝู่ท�ำให้ไม่กล้าเอ่ยปากทูลขอ ซูหมาหล่ากู เข้าใจเรื่องนี้ดีแต่ไม่พูดอะไร ระหว่างทางเฝ้าแต่คิดว่า ‘หวูเหลียงฝู่ไปกินดีหมีมาหรือไง ถึงได้บังอาจเช่นนี้!’ คิดแล้วก็ชิงเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยิ้มให้คังซี “พระหมื่นปีอย่ากริ้ว คนต�่ำช้าอย่างนั้นเลยเพคะ วันนี้ต้องคิดแต่เรื่องที่เป็นมงคล เดี๋ยวทรงพบไทฮองไทเฮากับ ไทเฮา ต้องทรงยิ้มแย้มแจ่มใสนะเพคะ!” คังซีทรงสดับแล้วก็พยักพระพักตร์ แล้วทรง พระด�ำเนินไปยังวังฉือหนิงอย่างรวดเร็ว ไทฮองไทเฮากับไทเฮา องค์หนึง่ เอนพระวรกายอยูบ่ นเตียง อีกองค์ประทับทีโ่ ต๊ะยาว ถัดลงมา บนโต๊ะจัดวางพระสุธารสชาและเครื่องหวานสารพัด ตั้งรอท่าคังซีอยู่นานแล้ว พอเห็นคังซีทรงพระด�ำเนินอย่างหนักแน่นมา ด้านหลังซูหมาหล่ากูและนางซุนสวมเกี๊ยะ พื้นสูงถือผ้าเช็ดหน้าแพร เดินเตาะแตะตามมาติดๆ ทั้งสองพระองค์ก็สบพระเนตรกัน คิดเหมือนกันอย่างไม่ได้นัดหมาย “ช่างเหมือนโอรสสวรรค์เหลือเกิน!” คังซีตรงเข้ามาถวายบังคม ไทฮองไทเฮาทรงดึงพระนัดดาเข้ามาสวมกอด ตรัส ถามด้วยความห่วงใย “หลานย่า วันนี้อากาศหนาว เจ้าเป็นหวัดหรือเปล่า เสด็จแม่ของ หลานเตรียมของอร่อยไว้มากมาย ถ้ากินลงก็กินให้มากหน่อย!” ไทเฮาทรงได้ยินพระราชมารดาตรัสเช่นนั้นจึงมีรับสั่งกับซูหมาหล่ากู “ซูหมาหล่ากู ไปเอาเสื้อหนังเตียว3 สีม่วงตัวนั้นมาให้ฮ่องเต้สวม...ได้ยินจางว่านเฉียงบอกว่าวันนี้ลูกแม่ 貂 สัตว์เลีย้ งลูกด้วยนมกินเนือ้ ขนาดเล็ก ขนหนานุม่ หางเป็นพวง หน้าแหลม ล�ำตัวเพรียวยาว สัตว์ ในวงศ์เดียวกันที่พบในประเทศไทยเรียกว่า “หมาไม้”-บรรณาธิการ
3
46 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล
ท�ำตัวเป็นผู้ใหญ่ทั้งวัน คงล�ำบากแย่!” นางซุนพูดเสริมว่า “โอ้โห! ผูค้ นมากมาย งานพิธใี หญ่โต! เกล้ากระหม่อมฉันคุกเข่า อยู่ด้านข้าง ใจยังเต้นตึ้กๆ ดีที่เจ้านายน้อยทรงเป็นโอรสสวรรค์โดยแท้ถึงทรงรับมือได้ ทรงประกอบพิธีได้อย่างสมบูรณ์แบบ!” ซูหมาหล่ากูหยิบเสื้อหนังเตียวสีม่วงออกมา ค่อยๆ สวมให้คังซี คังซีทรงส่องดูกับ พระฉายกรอบทองบานใหญ่ เข้ากับพระวรกายได้พอดีจงึ ทรงพระด�ำเนินอาดๆ มายังเบือ้ ง พระพักตร์พระอัยยิกาและพระราชมารดา “เสื้อตัวนี้ใส่ได้พอดี ขอบพระทัยเสด็จแม่!” พระนางถงกุ้ยรีบบอก “นั่งลงเถอะ” แล้วหันไปทูลกับไทฮองไทเฮา “ช่วงนี้วุ่นวาย อยู่กับเรื่ององค์ซุ่นจื้อ ทุกคนยุ่งจนหัวหมุน ลูกคิดว่าควรจะหาพระอาจารย์ให้ฮ่องเต้ แปด พรรษาแล้ว ควรจะเรียนหนังสือได้แล้วเพคะ” ไทฮองไทเฮาพยักพระพักตร์แล้วแย้มพระโอษฐ์ “จริงสิ แม่เองก็คิดเรื่องนี้ ที่อ่าน หลายเล่มก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีก็ได้ซูหมาหล่ากูเป็นคนสอน ถึงตอนนี้ต้องหาพระอาจารย์ที่มี ความรอบรูจ้ งึ จะได้ แต่เรือ่ งนีจ้ ะรีบร้อนไม่ได้ ต้องมองหาคนทีม่ คี วามประพฤติด ี มีความรู้ กว้างขวางแล้วค่อยว่า เฉพาะหน้านี้ต้องหาคนที่ใช้งานได้ แม่ว่าจะมอบหมายให้ซูหมาหล่ากูไปคอยดูแลเขาเช้าเย็น ค่อยวางใจหน่อย...ม่านเจี่ยเอ๋อ ได้ยินไหม” ซูหมาหล่ากูรบี ย่อตัวถวายบังคม “น้อมรับพระเสาวนียไ์ ทฮองไทเฮาและไทเฮาเพคะ! แต่บ่าวมีบางอย่างจะทูล ไม่ทราบว่าสมควรหรือไม่เพคะ” ไทเฮารีบตรัสถาม “เรื่องอะไร” ซูหมาหล่ากูทูลว่า “บ่าวติดตามพระหมื่นปี เพียงสามารถดูแลเรื่องชีวิตความ เป็นอยู่ ส�ำหรับพระหมื่นปีนั้นเรื่องเร่งด่วนที่สุดคือจัดหาองครักษ์เก่งๆ ที่ไว้ใจได้หลายคน ไม่ใช่บ่าวล่วงเกิน อย่างไรพระหมื่นปีก็ยังทรงพระเยาว์ โบราณว่า ‘ใจคนสุดคาดเดา’ ยากนักที่ในหมู่ขุนนางและทหารองครักษ์มากมายจะไม่มีคนที่ประสงค์ร้ายเลย...” ค�ำพูดเหล่านี้ท�ำให้สีพระพักตร์ไทฮองไทเฮาและไทเฮาแปรเปลี่ยนไปทันที ไทเฮา รีบตรัสถาม “ที่เจ้าพูดมีความเป็นมาอย่างไร ข้างนอกมีระแคะระคายอะไรหรือ” ซูหมาหล่ากูจึงกราบทูลเรื่องที่หวูเหลียงฝู่มาขวางการเสด็จเมื่อครู่ให้ทั้งสองพระองค์ทราบอย่าง ละเอียด พอฟังจบ ไทฮองไทเฮาตรัสถามทันที “หวูเหลียงฝู่คนนี้เป็นอย่างไร ยังเป็นหัวหน้า ขันทีหกวังหรือไม่” ไทเฮาได้ฟังที่ตรัสถามก็รีบทูลตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ตามเหตุผลแล้วเรื่องนี้ม่านเจี่ยเอ๋อกับยายซุนก็ออกจะสนุกเกินเหตุ แต่หวูเหลียงฝู่คนนี้เป็นลูกบุญธรรมของเสนาบดี ช่วยว่าราชการอ๋าวป้าย เมื่อพิจารณาจากจุดนี้จึงไม่เคยท�ำให้เขาล�ำบาก คราวก่อนที่ คังซี จอมจักรพรรดิต้าชิง เล่ม 1 47
เรียกตัวสี่เสนาบดีหารือ ตกลงมอบเรื่องภายนอกให้สั่วหนี เรื่องทหารองครักษ์ภายในวัง มอบให้อ๋าวป้ายจัดการ พระแม่เจ้าไม่ต้องกังวลพระทัย เขาจะท�ำอะไรได้ ขืนก�ำเริบเสิบ สาน ยังมีโวเฮ่อกับพวกอยู่เพคะ” ไทฮองไทเฮาฟังแล้วก็ทรงนิ่งเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตรัสว่า “ม่านเจี่ยเอ๋อเป็นเด็กที่ ละเอียดรอบคอบ ที่เป็นห่วงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ฮ่องเต้คงเหนื่อยแล้ว เรื่องนี้พักไว้เท่านี้ ก่อน ม่านนีจื่อ ไปดูแลให้พระองค์พักผ่อนเถอะ” คังซีถวายบังคมลาพระอัยยิกาและพระราชมารดา ทรงลุกขึน้ เสด็จออกตามนางซุน และซูหมาหล่ากูสองสามก้าว แล้วหันขวับมาตรัสถาม “ไทฮองไทเฮา ไทเฮา ไม่ทราบว่า ถ่ายทอดพระราชโองการอภัยโทษลงไปหรือยัง” ไทเฮาอดแย้มพระสรวลไม่ได้ ตรัสตอบว่า “โอ้โห เหมือนฮ่องเต้จริงๆ เพิ่งขึ้นครอง ราชย์ก็รู้จักห่วงงานราชการ ไปเถอะ จะมีเสนาบดีช่วยว่าราชการสี่คนนั่นไว้ท�ำไม ตอนที่ สัว่ หนีกบั พวกถวายฎีกามาก็จดั การเรียบร้อยแล้ว” คังซีได้สดับแล้วก็ไม่ตรัสอะไรอีก เสด็จ ตามซูหมาหล่ากูและนางซุนออกไป
48 เรืองชัย รักศรีอักษร แปล