ความทรงจำบางอยาง
ชางรางเลือน ÃѪÈÑ¡´Ôì ¨ÔÃÇѲ¹ กรุงเทพมหานคร ส�ำนักพิมพ์มติชน ๒๕๕๖
สารบัญ ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ จากใจผู้เขียน ค�ำอุทิศ
๖ ๙ ๑๓
หน้ากาก เปลือก ศิลปินคืนชีพ การกัดเซาะของความหลัง พายุฝนบนกุฏิ ครอบครัวของผม (ในสังคมสองสี) ก่อนการมาของมวลน�้ำ เงาความจริง ตัณหา ๒๔ ชั่วโมง ความทรงจ�ำบางอย่างช่างรางเลือน
๑๗ ๒๙ ๔๗ ๖๕ ๘๑ ๑๐๑ ๑๑๕ ๑๓๑ ๑๔๕ ๑๗๓
เกี่ยวกับผู้เขียน
๒๐๕
ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์
ในมิติแห่งการใช้ชีวิตของผู้คน บริบทส�ำคัญของการก้าว ไปข้างหน้ามักจะมองไปถึง “ปัจจุบัน” และ “อนาคต” แต่กลับ เหลือพื้นที่ให้แก่ “อดีต” ไว้ศึกษาเรียนรู้เพียงเล็กน้อย พื้นที่แห่ง “ความทรงจ�ำ” จึงเป็นเสมือนช่วงเวลาที่ผัน ผ่าน ไม่อาจกลับไปแก้ไขได้ หากแต่รู้หรือไม่ว่า “อดีต” และ “ความทรงจ�ำ” นั้น คือเม็ดหน่วยที่หน่วงเหนี่ยวความก้าวหน้า ของอนาคตไว้ ตราบใดที่ยังไม่ท�ำความเข้าใจและเรียนรู้ ไม่ว่า ความทรงจ�ำเหล่านั้นจะ “ดี” หรือ “ร้าย” เพียงใดก็ตาม รวมเรื่องสั้นของนักเขียนหน้าใหม่ “รัชศักดิ์ จิรวัฒน์” จึงผูกร้อยเชื่อมโยงถึงความส�ำคัญของอดีต ขับเน้นบริบทแห่ง ความทรงจ�ำ ถ่ายทอดเป็นงานวรรณกรรมที่ผูกโยงเรื่องราวไว้ อย่างยอดเยี่ยมในชื่อ “ความทรงจ�ำบางอย่างช่างรางเลือน” 6 รัชศักดิ์ จิรวัฒน์
ด้ ว ยรวมเรื่ อ งสั้ น เล่ ม นี้ ได้ แ ฝงแง่ มุ ม ในเชิ ง จิ ต วิ ท ยา สะท้อนเบื้องหลังของผู้ที่ “ฉากหน้า” เป็นอีกแบบหนึ่ง ทว่า “ฉากหลัง” กลับเก็บง�ำเงื่อนปมบางอย่างไว้ ขณะที่กว่าครึ่ง ของเรื่องก็ได้กล่าวถึงบทบาทของระบบทุนนิยมที่ส่งผลต่อชีวิต มนุษย์อย่างแหลมคม อาทิ “ครอบครัวของผม (ในสังคมสองสี)” ซึ่งเคยคว้า รางวัลชนะเลิศพานแว่นฟ้าประจ�ำปี ๒๕๕๓ ผู้เขียนใช้ตัวละคร หลักเป็นเด็กมัธยมซึ่งมองภาพความขัดแย้งทางการเมืองใน บ้าน สะท้อนความอบอุ่นและแข็งแกร่งของ “สถาบันครอบครัว” ว่าย่อมอยู่เหนือ “อุดมการณ์ทางการเมือง” ใดๆ ส่วนเรื่องสั้น “เงาความจริง” ก็ได้สะท้อนพฤติกรรมและ ความเชื่อของมนุษย์ที่ยึดมั่นในความคิดของตน มองทุกอย่าง โดยวางตนเองเป็นศูนย์กลาง จนกระทั่ง “เชื่อ” ในค�ำโกหกและ ความรู้สึกของตัวเอง อันนับเป็นเรื่องสั้นที่อธิบายเนื้อหาผ่าน พฤติกรรมของตัวละครได้อย่างแนบเนียน ขณะที่เรื่องสั้น “ความทรงจ�ำบางอย่างช่างรางเลือน” ซึ่ง เป็นแก่นเรื่องในธีมหลักของหนังสือ ถือได้ว่าเป็นเรื่องสั้นเชิง “เหนือจริง” หากทว่าผู้เขียนได้น�ำความเหนือจริงมาเล่นกับ จิตส�ำนึกของคน มากกว่าจะเขียนแบบ “อภินิหาร” สะท้อน ความโหยหาข้อเท็จจริงในอดีตของคนรุ่นหลังได้อย่างเหมาะสม กลมกล่อม เช่นเดียวกับเรื่องสั้น “พายุฝนบนกุฏิ” ที่กล่าวถึงพลัง อ�ำนาจของ “เทคโนโลยี” ที่มีอิทธิพลในวงการสงฆ์และพุทธ ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ 7
ศาสนา โดยมีกิเลสเป็นเครื่องขับเคลื่อนเพื่อก่อร่างความเลว ร้าย ทั้งที่ภายในท้องเรื่องไม่มีใครครอบครองวัตถุเหล่านั้นแม้ สักคนเดียว นับเป็นรวมเรื่องสั้นจากนักเขียนใหม่ที่ส�ำนักพิมพ์มติชน ภูมิใจน�ำเสนอ อย่างน้อยก็เพื่อให้เราๆ ท่านๆ ได้ตระหนักถึง ความส�ำคัญของอดีตและเรื่องราวอันผ่านพ้น และตระหนักถึง การ “เข้าใจมนุษย์” มากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ส�ำนักพิมพ์มติชน
8 รัชศักดิ์ จิรวัฒน์
จากใจผู้เขียน
จ� ำ ได้ ว ่ า ผมลงมื อ เขี ย นเรื่ อ งสั้ น อย่ า งจริ ง จั ง ครั้ ง แรกใน เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๔๗ ที่จ�ำได้แม่นเพราะหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้นพ่อของผมเพิ่ง จากไปด้วยโรคมะเร็ง–จากไปหลังวันคล้ายวันเกิดครบรอบ ๕๔ ปีของท่านเพียงหนึ่งวัน ช่วงนั้นบรรยากาศแห่งความหม่น เศร้ายังเวียนวนอยู่ในบ้านและแทรกซึมเข้ามาในจิตใจของผม ความคิดถึงท�ำให้ผมไปยืนอยู่หน้าตู้หนังสือของพ่อบ่อยๆ–มัน เป็นตู้ไม้ที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือหลากหลายประเภทที่พ่ออ่าน และสะสมมาตลอดชีวิต ผมมองส�ำรวจหนังสือบนชั้นต่างๆ ไป ทีละชั้นอย่างช้าๆ แล้วหยิบหนังสือบางเล่มออกมาพลิกดู ใน หน้าแรกของหนังสือแต่ละเล่ม พ่อจะเขียนชื่อและวันที่ที่ซื้อ ลงไป เมื่อพลิกหน้าต่อๆ ไป ก็จะเห็นว่าบางประโยคมีรอยขีด จากใจผู้เขียน 9
สี เ หลื อ งจางๆ ของปากกาเน้ น ข้ อ ความ บางเล่ ม ยั ง มี ที่ คั่ น หนังสือเสียบค้างอยู่ สิ่งเหล่านี้ท�ำให้ผมรู้สึกว่าพ่อยังไม่ไปไหน ชีวิตและจิตใจของพ่อยังด�ำรงอยู่ในหนังสือเหล่านี้ และผมก็ เริ่มตระหนักได้ว่าหนังสือทั้งหมดที่พ่อเก็บไว้คือขุมสมบัติอัน ล�้ำค่าที่พ่อได้ทิ้งไว้ให้ผม ตั้งแต่จ� ำความได้ ผมพบว่าหนังสือเป็นส่วนหนึ่งของ ชีวิตมาโดยตลอด สมัยเด็กๆ พ่อมักพาผมเข้าร้านหนังสือเป็น ประจ�ำ ปล่อยให้ผมเดินดูหนังสือหนังหาตามใจชอบ หากถูก ใจเล่มไหน พ่อก็จะซื้อให้ ถ้าเป็นการซื้อหนังสือดีๆ แล้ว พ่อ ไม่เคยมีค�ำว่าฟุ่มเฟือยอยู่ในหัว ส�ำหรับพ่อ การซื้อหนังสือ ไม่ใช่การใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุนบ่มเพาะความคิดและสติ ปัญญา ดังนั้น ทั่วทั้งบ้าน ไม่ว่าจะเป็นบนโต๊ะ หัวเตียง หรือ ตู้หนังสือ ก็จะเต็มไปด้วยกองหนังสือและนิตยสารต่างๆ มาก มาย เมื่อชีวิตแวดล้อมไปด้วยหนังสือ สิ่งที่ผมมักท�ำในเวลา ว่างก็หนีไม่พ้นการหยิบหนังสือของพ่อมาอ่าน ไม่ว่าจะเป็น วรรณกรรม สารคดี บทความ หรือแม้แต่เรื่องตลกโปกฮา ยิ่ง อ่านมากขึ้น ความรู้สึกอยากเขียนก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ อยาก สร้างสรรค์เรื่องราวสนุกๆ ให้เหมือนนักเขียนที่ชื่นชอบ แต่ แล้ ว ผมก็ ไ ม่ เ คยได้ล งมือเขียนอย่า งที่ฝ ันไว้เสีย ที อาจเป็น เพราะความขี้เกียจ ความเหลาะแหละ หรือด้วยเหตุผลอะไร ก็ตาม สุดท้ายความฝันก็ยังคงเป็นเพียงความฝัน จนถึงวันที่ โรคร้ายได้พรากชีวิตของพ่อไป น่าแปลกที่อยู่ๆ ความรู้สึก 10 รัชศักดิ์ จิรวัฒน์
อยากเขียนก็กลับมาหาผมอีกครั้ง และคราวนี้ผมรู้สึกว่ามัน ช่างเข้มข้นและทรงพลังกว่าเดิมจนผมต้องหาทางปลดปล่อย มันออกมา และในที่สุดผมก็ลงมือเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรก จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมเขียนเรื่องสั้นไปแล้วกว่า ๕๐ เรื่อง เกินกว่าครึ่งหายเงียบไปในซอกหลืบของวันเวลา บางเรื่องได้ รับการตีพิมพ์ตามหน้านิตยสารต่างๆ บางเรื่องได้รับรางวัลทาง วรรณกรรมมาบ้าง หลายปีที่เคี่ยวกร�ำและฝึกฝนตัวเอง ผม พบว่าการเขียนสอนให้ผมมองโลกด้วยสายตาที่พินิจพิเคราะห์ และละเอียดถี่ถ้วนขึ้น สอนให้ผมรู้จักอดทนรอคอย (เพราะบาง ครั้งกว่าเรื่องจะผ่านการพิจารณาและได้ตีพิมพ์ก็ต้องรอกันข้าม ปี) สอนให้รู้จักความผิดหวัง (เมื่อเรื่องไม่ผ่านการพิจารณา) ประสบการณ์ทั้งหมดทั้งมวลล้วนสอนผมว่าเส้นทางนักเขียน เป็นเส้นทางที่ยาวไกลและไม่ราบเรียบเลยแม้แต่น้อย แถม บางครั้งภารกิจหลักของชีวิตก็ท�ำให้เรี่ยวแรงถดถอยไปบ้าง ถึงกระนั้นเส้นทางสายนี้ก็ยังเป็นเส้นทางที่ผมปรารถนาจะก้าว เดินต่อไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ยังมีแรงใจและไฟฝัน เมื่อรู้ว่ารวมเรื่องสั้นเล่มนี้จะได้รับการตีพิมพ์ สิ่งแรก ที่ แ วบเข้ า มาในความคิด คือภาพหนังสือในตู้หนังสือของพ่อ หนังสือเหล่านั้นคือเมล็ดพันธุ์เมล็ดแรกๆ ที่พ่อหว่านเพาะไว้ ในตัวผม โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว และตอนนี้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ได้เติบโตขึ้นและเริ่มออกดอกผลให้ชื่นใจบ้างแล้ว จากใจผู้เขียน 11
สุดท้ายนี้ ผมอยากขอบคุณพ่อและแม่ที่สนับสนุนทุก ความใฝ่ฝันของลูกชายคนนี้มาโดยตลอด ขอบคุณโอ๋-คู่ชีวิตที่ อ่านต้นฉบับเป็นคนแรกและให้ค�ำแนะน�ำที่เป็นประโยชน์เสมอ มา ขอบคุณส�ำนักพิมพ์มติชนที่มอบโอกาสในการเผยแพร่ผล งานสู่วงกว้าง และขอบคุณผู้อ่านที่หยิบจับหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา อ่าน หวังว่าเรื่องราวต่างๆ ภายในเล่มจะมอบสาระและความ บันเทิงให้บ้างตามสมควร ด้วยมิตรภาพ รัชศักดิ์ จิรวัฒน์
12 รัชศักดิ์ จิรวัฒน์
แด่... พ่อและแม่-ชัยพรและเพ็ญพันธุ์ จิรวัฒน์
ความทรงจำบางอยาง
ชางรางเลือน ÃѪÈÑ¡´Ôì ¨ÔÃÇѲ¹
หน้ากาก
ลุงชื่นเดินแบกถุงขยะสีด�ำใบโตไว้บนหลังอันโค้งงอของ แก สายตากวาดและแกว่งไปบนพื้น มองหาในสิ่งที่คนอื่นไม่ ปรารถนา สิ่งที่คนอื่นผลักไสให้ไปนอนเรี่ยราดบนถนนหน้า ร้านอาหารแห่งนี้ หลังจากที่พวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจภายใน ร้าน แต่ละคนไม่รีรอที่จะทิ้งขว้างสิ่งที่ไม่ต้องการไว้เกลื่อนกลาด โดยไม่แยแส เหมือนสิ่งเหล่านั้นเป็นเชื้อโรคที่ไม่ควรจับต้อง แต่คนที่ต้องยิ้มให้กับความมักง่ายของคนอื่นคงไม่พ้น ลุงชื่นที่หาเลี้ยงชีพจากซากที่คนอื่นเขี่ยทิ้ง แกมองหา เลือก เฟ้นในสิ่งที่แกเห็นว่ามีคุณค่า สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์หรือ ขายต่อได้ รอยยิ้มของแกผุดขึ้นชัดเจนเมื่อพบของที่พอใจ และคืนนี้ดูเหมือนรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจของแกเบ่ง บานมากกว่าครั้งไหนๆ หน้ากาก 17
พระจันทร์แหวกม่านฟ้าออกมาเปล่งแสงนวลเหมือนเช่น ทุกคืน ดวงดาวทั้งหลายมีโอกาสออกมาอวดโฉมแพรวพราว เพราะหมู่เมฆลาลับไปก่อนใคร คุณประเสริฐในคืนนี้ก็เป็น เหมือนเมฆรุ่นลายครามที่ล่าถอยให้ดวงดาวรุ่นใหม่ได้จรัสแสง หลังจากตรากตร�ำท�ำงานด้วยความทุ่มเทในงานข้าราช การมากว่า ๓๐ ปี เวลาแห่งการพักผ่อนก็เดินทางมาหาคุณ ประเสริฐจนได้ คืนนี้พวกเราทุกคนจึงจัดงานเลี้ยงเกษียณอายุ ให้แกที่ร้านอาหารแห่งนี้ “จากวันนี้ไป พวกเราคงคิดถึงพี่น่าดูเลย” “นั่นสิ ไม่มีพี่ก็ไม่รู้จะเป็นไงต่อไป หัวหน้าคนใหม่ก็ไม่รู้ ว่าเป็นคนยังไง” “แต่ผมอิจฉาพี่นะ ได้พักผ่อน ได้ท�ำอะไรที่อยากจะท�ำ” “นุ่นขอให้หัวหน้ามีความสุขกับครอบครัวและหลานๆ นะคะ แล้วพวกเราจะแวะไปเยี่ยม” เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะหยอกล้อ ค�ำอวยพร เสียงชน แก้ว ดังสะเปะสะปะคละเคล้าสลับกันไปอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน บริกรเดินเข้า-ออกน�ำอาหารมาเสิร์ฟเป็นระยะ คอยเติมเหล้าใน แก้วของพวกผู้ชายที่พร่องไปและเติมน�้ำอัดลมให้พวกผู้หญิง คุณประเสริฐนั่งอยู่หัวโต๊ะ ตามด้วยพวกเราชาย-หญิงรวมกัน เกือบยี่สิบชีวิต นั่งเรียงกันไปตามโต๊ะยาวที่น�ำโต๊ะเล็กสี่ตัวมา ต่อกัน พวกเราเป็นลูกน้องที่ท�ำงานอยู่ใต้การบังคับบัญชาของ คุณประเสริฐทั้งนั้น ผมนั่งอยู่เกือบสุดปลายโต๊ะอีกด้านหนึ่ง จึงไม่ได้คุยกับคุณประเสริฐ (หรือพี่ประเสริฐของคนอื่นๆ) เท่า 18 รัชศักดิ์ จิรวัฒน์
ไรนัก
เหตุผลที่ผมเรียกคุณประเสริฐว่าคุณประเสริฐก็เพราะ ผมเพิ่งเข้ามาท�ำงานที่นี่ไม่นานนัก จึงยังไม่อยากจู่โจมแสดง ความสนิทสนมเร็วเกินไป ริ้วรอยบนใบหน้าและเส้นผมสีด�ำ แกมเทาของแกยิ่งท�ำให้ผมลังเลใจที่จะเรียกว่าพี่ บวกกับอายุ อานามที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับพ่อ ผมเลยเห็นสมควรแล้วที่จะ เรียกแกว่าคุณประเสริฐ นอกจากจะรักษาระยะห่างแล้ว ยัง ท�ำให้น้องใหม่อย่างผมดูมีสัมมาคารวะต่อผู้หลักผู้ใหญ่ขึ้นเป็น กอง หมู, เพื่อนที่ผมสนิทที่สุดในที่ท�ำงาน นั่งอยู่ทางซ้ายมือ ผม ละเลียดเหล้าในแก้วอย่างเพลินอารมณ์ แล้วจิ้มคอหมูย่าง เข้าปาก อายุมันไล่เลี่ยกับผม เข้าท�ำงานที่นี่ก่อนผมสี่เดือน มั น เป็ น คนแรกๆ ที่ เ ข้ า มาทั ก ทายในวั น แรกที่ ผ มมาท� ำ งาน คอยช่วยเหลือและแนะน�ำผมหลายๆ อย่าง ผมกับมันเลยสนิท สนมกันมากขึ้น วันนี้เจ้าหมูดูเฮฮาร่าเริงกว่าปกติ แม้นิสัยส่วนตัวของ มันจะเป็นคนสนุกสนานและเป็นกันเองอยู่แล้ว แต่ความครื้น เครงดูจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เมื่อน�้ำเมาไหลลื่นลงคออยู่เรื่อยๆ แก้วแล้วแก้วเล่า “วันนี้ถือเป็นวันที่พวกเราทุกคนรู้สึกดีใจที่สุดและเสียใจ ที่สุดวันหนึ่ง” อยู่ๆ หมูก็ลุกขึ้นยืนพร้อมชูแก้วเหล้าในมือ หน้า ของมันแดงก�่ำ เพื่อนๆ คนอื่นหันหน้ามามองมันแทบพร้อม กัน คุณประเสริฐที่ก�ำลังคุยกับเนย (เสมียนวัยสามสิบต้นๆ หน้ากาก 19
แต่ยังสวยสะพรั่ง) อย่างออกรสก็หันมามองเจ้าหมูเหมือนกัน “เราดีใจที่พี่ประเสริฐที่เรารักจะได้พักผ่อนอยู่กับครอบ ครัวที่อบอุ่น หลังจากทุ่มเทแรงกาย แรงใจให้กับงานที่แกรัก มาอย่างยาวนาน” เสียงของเจ้าหมูดังและดูจริงจัง ไม่มีอาการ ของคนเมาแสดงออกมาอย่างที่ผมคิดไว้ ดีที่เราจองห้องพิเศษ ไว้ส�ำหรับงานนี้ ไม่อย่างนั้นเสียงด่าของโต๊ะข้างๆ คงลอยมา เพิ่มความซาบซึ้งให้แก่สุนทรพจน์ของเจ้าหมูได้ไม่น้อย หมูหยุดเว้นระยะพอเป็นพิธี ทั้งห้องเงียบกริบ รอฟัง ว่ามันจะพูดอะไรต่อไป “แกจะได้มีโอกาสใกล้ชิดและเล่นกับ หลานๆ ที่น่ารักของแก มีเวลาให้กับภรรยาที่รัก ไม่ต้องมา ล�ำบากกาย กังวลใจกับงานการที่ยุ่งเหยิง นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ พวกเราทุกคนยินดีกับพี่ด้วยใจจริง” คุณประเสริฐฟังเจ้าหมูอย่างตั้งใจ ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ผมอยากจะตักต้มย�ำกุ้งข้างหน้าขึ้นมาซดเหลือเกิน ควันก�ำลัง ฉุยร้อนๆ น่ากิน แต่กลัวว่าจะท�ำลายบรรยากาศที่เจ้าหมูเกิด คึกสร้างขึ้นมา ในเวลานี้ แค่เสียงช้อนกระทบจานนิดเดียวก็ อาจท�ำให้สายตาทุกคู่เบนมาทางผมได้ “แต่สิ่งที่พวกเรารู้สึกเสียใจและใจหายมากๆ ก็คือ เรา จะไม่ได้พบหน้าพี่ทุกๆ วันเหมือนที่เคยเป็นมาอีกแล้ว พี่เป็น เหมือนพ่อและพี่ชายของพวกเราทุกคน พี่คอยให้ค�ำแนะน�ำ ให้ค�ำปรึกษาที่ดี และช่วยเหลือพวกเราเสมอมา หากไม่มีพี่ ชีวิตก็เหมือนขาดพ่อและพี่ชายคนหนึ่งไปเลยทีเดียว” ทุกคน สามัคคีกันพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับหมู 20 รัชศักดิ์ จิรวัฒน์
“ใช่ พวกเราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากพี่ ค�ำสอน ของพี่มีค่ามากในการพัฒนาประสิทธิภาพการท�ำงานของพวก เรา จริงมั้ยทุกคน” พี่ตู้ออกความเห็น ทุกคนสามัคคีกันพยัก หน้าเห็นด้วยเป็นครั้งที่สอง “แม้ว่าพวกเราจะเคยท�ำงานผิดพลาด ไม่ได้ดังใจพี่บ้าง แต่พี่ก็ไม่ดุด่า แถมยังช่วยตักเตือนแก้ไขให้เสมอ” นุ่นเริ่มเอา บ้าง ทุกคนสามัคคีกันพยักหน้าเห็นด้วยอีกเป็นครั้งที่สาม จากนั้นแต่ละคนก็เริ่มแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา ค�ำชื่นชมพรั่งพรูออกมาเป็นน�้ำไหล ค�ำสรรเสริญล้นหลามจน ท่วมท้น ค�ำเยินยอทับถมจนมิดหัว และทุกครั้งที่แต่ละคนพูด จบ ทุกคนก็จะสามัคคีกันพยักหน้าเห็นด้วยเป็นครั้งที่เท่าไรก็ เกินจะนับ คุณประเสริฐได้แต่นั่งอมยิ้มฟังลูกน้องด้วยความ พึงใจ บางทีแกอาจจะปลื้มจนอิ่มไปอีกหลายมื้อเลยก็ได้ และเมื่อทุกคนได้พูดกันครบหมดแล้ว ผมก็รู้สึกตัวขึ้น ทันทีว่าถึงตาผมแล้วที่ต้องพูดอะไรสักอย่าง ผมอึกอัก เอ้อๆ อ้าๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรอยู่นาน เริ่มเห็นสายตาหลายคู่จับ จ้องมายังผมเหมือนกดดันให้พูดเร็วๆ เอาวะ ต้องพูดอะไรเอาตัวรอดไปก่อน “อย่างไรก็ตาม พวกเราทุกคนจะไม่มีวันลืมวันเวลาดีๆ ที่เราใช้ร่วมกัน จะไม่ลืมสิ่งที่พี่คอยพร�่ำเตือนและสั่งสอน ทุก อย่างจะประทับอยู่ในใจของพวกเราเสมอ และพี่จะอยู่ในใจของ พวกเราตราบนานเท่ า นาน” ผมพู ด สิ่ ง แรกที่ วิ่ ง เข้ า มาในหั ว พร้อมชูแก้วเหล้าในมือ น่าแปลกที่เวลานี้ผมเรียกคุณประเสริฐ หน้ากาก 21
ว่าพี่ประเสริฐได้อย่างสนิทใจขึ้น หรือว่าบรรยากาศมันพาไป “พวกเราทุกคนขอดื่มให้พี่และขอให้พี่มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียน” แล้วทุกคนก็ชนแก้ว เฮ้อ...รอดตัวไป โชคดีที่สมัยเรียนอ่านนิยายประโลม โลกมาเยอะ เลยพอมีส�ำบัดส�ำนวนให้พอซาบซึ้งกับเขาบ้าง “แด่พี่ประเสริฐ” เจ้าหมูพูด และทุกคนก็พูดอีกครั้งพร้อม กัน เกือบเที่ยงคืน ก่อนพวกเราจะแยกย้ายกันกลับ คุณประเสริฐกล่าวขอบคุณทุกคนส�ำหรับงานในวันนี้ พวกเราไปส่ง คุณประเสริฐที่รถยนต์ของแก แกวางกล่องของขวัญและช่อ ดอกไม้ที่พวกเรามอบให้ไว้ที่เบาะหลัง บางคนอาสาจะขับรถ ไปส่งแกที่บ้านเพราะเห็นว่าแกหน้าแดงก�่ ำเพราะฤทธิ์เหล้า กลัวว่านอกจากแกจะเกษียณจากงานแล้ว จะเกษียณจากชีวิต ไปด้วยในคราวเดียวกัน แต่แกก็ปฏิเสธ และบอกว่าขับกลับ ได้สบายมาก “ขอบใจมากทุกๆ คน ขอให้เจริญๆ นะ” คุณประเสริฐ กล่าวทิ้งท้ายและขับรถออกไป พวกเรามองตามรถของแกจน ลับตา “เฮ้อ...ออ” เสียงใครคนหนึ่งถอนหายใจออกมาเฮือก ใหญ่จากด้านหลังของผม เหมือนคนที่เพิ่งปลดปล่อยของเสีย 22 รัชศักดิ์ จิรวัฒน์
ออกจากท้องหลังจากอัดอั้นมานาน ผมหันกลับไปมองเพราะ อยากรู้ว่าใครกันหนอที่ท�ำเสียงได้น่าเวทนาและน่าเอ็นดูได้ ขนาดนั้น “กลับไปซะที อึดอัดฉิบหาย” เสียงพี่ตู้นั่นเอง แกถอน หายใจอีกเฮือก ดึงหน้ากากออกจากหน้าและขว้างทิ้งลงบน พื้นถนนหน้าร้าน “ในที่สุดมันก็ออกไปจากชีวิตพวกเราซะที โว้ย ไอ้หัวหน้าเฮงซวย วันๆ ดีแต่แหกปากด่าลูกน้อง กูท�ำ งานแทบตาย แม่งไม่เคยเห็นความดีกันเลย ดีใจจริงๆ โว้ย” พี่ตู้ตะโกนลั่น หน้าแกมีรอยยิ้มแปลกๆ ไม่เหมือนรอยยิ้มจริงใจ บนโต๊ะอาหารเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เลย “ใช่ ดีแต่ดุด่าลูกน้อง ทีตัวเองท�ำผิดล่ะไม่เคยยอมรับ ที่ทนอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะเห็นว่าแก่จะลงโลงแล้วนะเนี่ย” ผม แทบไม่เชื่อหูว่าค�ำพูดที่ได้ยินนี้มาจากปากนุ่น สาวหวานผู้มี มารยาทงามคนนั้น พอเธอถอดหน้ากากที่ใส่ออก เธอก็กลาย เป็นอีกคนไปซะแล้ว “ไม่มีมันคนนึง ออฟฟิศคงสงบสุขขึ้นเป็นกอง และก็จะ ได้ไม่มีเฒ่าหัวงูมาเพ่นพ่านด้วย” เนยระบายออกมาบ้างหลัง จากถอดหน้ากากของเธอออกแล้ว เธอคงอัดอั้นมานานกับ การโดนคุณประเสริฐฉวยโอกาสจับไม้จับมืออยู่เรื่อย “แล้วค�ำพูดค�ำจาแต่ละค�ำของมันนะ ก็ไม่เคยให้เกียรติ ลูกน้องเล้ย มันนึกว่าคนอื่นเป็นขี้ข้ามันหรือไงวะ งานนี้ไป แล้วก็ขอให้มันไปลับ อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย” เจ้าหมูก็ ถอดหน้ากากแล้วเหมือนกัน หน้ากาก 23
ทุกคนได้ถอดหน้ากากของตัวเองออกจนหมดและเริ่ม ระบายสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาโขมงโฉงเฉง ค�ำก่นด่าพรั่งพรู ราวน�้ำไหล ค�ำถากถางล้นหลามจนท่วมท้น ค�ำสาปแช่งทับถม จนมิดหัว และเมื่อทุกคนระบายความอัดอั้นจนอิ่มเอม ต่างก็ กล่าวค�ำอ�ำลาและแยกย้ายกันไป ก่อนกลับผมหันไปมองดูหน้ากากที่ทุกคนทิ้งไว้บนพื้น อย่างเกลื่อนกลาด ทุกคนไม่ต้องการมันอีกแล้ว และไม่อยาก ให้มันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองอีกต่อไป คงนึกรังเกียจ “กาก” จากหน้าของพวกเขาเองกระมัง ลุงชื่นหยิบหน้ากากบนพื้นขึ้นมาพิจารณา สภาพของมัน ยับเยินเล็กน้อย มีรอยฉีกขาด ๒-๓ แห่ง แต่แกก็ยิ้มให้ตัวเอง อย่างพึงใจ จากนั้นจึงยัดมันใส่ในถุงพลาสติกสีด�ำของแก เดิน ไปอีกไม่กี่ก้าว แกก็เจอหน้ากากอีกอัน สภาพดีกว่าอันที่แล้ว เล็กน้อย สีสันก็ดูเข้มกว่า แกยัดใส่ถุงด�ำของแกอีก และแกก็ พบหน้ากากอีกอันแล้วอันเล่าในทุกก้าวที่แกเดิน ถุงด�ำที่แบก มาเริ่มใหญ่และหนักขึ้นเรื่อยๆ จนแกต้องลากมันไปแทนที่จะ แบกไว้บนหลังเหมือนเคย วันศุกร์สุดสัปดาห์เช่นนี้ถือเป็นวันมหาเฮงของแก ร้าน อาหารมักจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่มากินเลี้ยง พบปะสังสรรค์ มีไม่น้อยที่สวมหน้ากากมาด้วย และเมื่อถึงเวลากลับ พวกเขา มักถอดหน้ากากทิ้งไว้เรี่ยราดไม่สนใจเอากลับบ้าน ทั้งๆ ที่มัน สามารถเอากลับมาใช้ได้อีก หากไม่เสียหายมากนัก 24 รัชศักดิ์ จิรวัฒน์
มีเพียงลุงชื่นและพวกคนเก็บขยะขายอย่างแกเท่านั้น ที่รู้ค่าของของเหลือใช้เหล่านี้ เมื่อกลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่ผมท�ำคือถอดหน้ากากของตัว เองออก ผมค่อยๆ ถอดมันอย่างนุ่มนวลที่สุด ไม่อยากให้มัน เสียหายมากนักเพราะผมอยากเก็บไว้ใช้อีกในโอกาสต่อๆ ไป สมัยนี้หน้ากากดีๆ ราคาค่อนข้างแพง ผมจึงต้องรักษาของที่มี อยู่ให้ดีที่สุด หากหน้ากากอันไหนช�ำรุดเสียหาย ผมมักจะเอา มันไปซ่อมมากกว่าโยนทิ้ง ส่วนใหญ่ผมจะซื้อหน้ากากมือสอง ไว้ใช้ เพราะราคาถูกและมีให้เลือกหลายรูปแบบ คุณภาพก็ยัง ค่อนข้างดีอยู่ ใส่แล้วมองแทบไม่ออกว่าใส่อยู่หากไม่สังเกตให้ดี และหลายอันดูดีพอๆ กับของใหม่เลยทีเดียว ผมเปิดตู้เสื้อผ้า วางหน้ากากที่ถอดออกไว้บนชั้นที่เก็บ หน้ากากชนิดต่างๆ มองไล่เรียงไปทีละอัน หน้ากากแต่ละแบบ ก็ใช้ในโอกาสต่างๆ กันไป อาทิตย์หน้าผมต้องไปงานแต่งงาน เพื่อนสมัยเรียน ผมคงต้องเลือกแบบที่เหมาะสมสักอัน ถ้า ไม่มีที่ถูกใจ คงต้องหาเวลาไปเดินซื้อที่ร้านหน้ากากมือสอง อีกตามเคย ผมเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน�้ำแล้วมองดูตัวเองใน กระจกเงา เอามือถูฝ้าที่ติดอยู่บนกระจกออก ภาพสะท้อน หน้าที่แท้จริงของตัวเองเริ่มชัดขึ้น ผมจ้องหน้านั้นอยู่นาน น่าแปลกที่ผมรู้สึกไม่คุ้นกับใบหน้านี้เลย รู้สึกเหมือนมองใครบางคนที่ผมรู้จัก แต่ไม่ได้เจอกัน หน้ากาก 25
นานแสนนานจนเริ่มจะลืมหน้าตากันไปแล้ว หรือผมจะใส่หน้ากากมากเกินไป หรือผมควรจะใส่มัน ให้น้อยลง แต่ว่า...ใครๆ ก็ใส่กันทั้งนั้นนี่นา “ลาก่อนไอ้ประเสริฐ หวังว่าคงไม่ได้เจอกันอีก” แล้วผมก็ยิ้มให้กับคนในกระจก
พิมพ์ครั้งแรก : เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๗๑๕ วันที่ ๑๐ กุมภา- พันธ์ ๒๕๔๙ 26 รัชศักดิ์ จิรวัฒน์