ปัญหาการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ในธุรกิ จที่ประสบเหตุอทุ กภัยของผูส้ อบบัญชี กรณี ศึกษา บริ ษทั ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุป๊ จํากัด
โดย นางสาวจิ นตนา นางสาวณัฐปวีณ์ นางสาวณัฐวรรณ นางสาววราภรณ์ นางสาววิ ไลรัตน์
วรรณอรุณทอง มุ่งสังเกตุ ผ่องใส กิ ตติ ธนะพันธ์ เชาวนสุภา
ปัญหาพิ เศษนี้ เป็ นส่วนหนึ่ งของการศึกษาตามหลักสูตร บริ หารธุรกิ จบัณฑิ ต สาขาการบัญชีบริ หาร คณะวิ ทยาการจัดการ มหาวิ ทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2554
ปญั หาพิเศษ ของ นางสาวจินตนา นางสาวณัฐปวีณ์ นางสาวณัฐวรรณ นางสาววราภรณ์ นางสาววิไลรัตน์
วรรณอรุณทอง มุง่ สังเกตุ ผ่องใส กิตติธนะพันธ์ เชาวนสุภา
เรือ่ ง ปญั หาการตรวจสอบบัญชีสนิ ทรัพย์ในธุรกิจทีป่ ระสบเหตุอุทกภัยของผูส้ อบบัญชี กรณีศกึ ษา บริษทั ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุป๊ จํากัด
ได้รบั การตรวจสอบและอนุมตั ิ ให้เป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร บริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการบัญชีบริหาร เมือ่ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 อาจารย์ทป่ี รึกษาปญั หาพิเศษ (อาจารย์สมบูรณ์ สาระพัด, บช.ม.) ผูป้ ระสานงานสาขาวิชา (ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์พชั นิจ เนาวพันธ์, บธ.ม.)
ปญั หาการตรวจสอบบัญชีสนิ ทรัพย์ในธุรกิจทีป่ ระสบเหตุอุทกภัยของผูส้ อบบัญชี กรณีศกึ ษา บริษทั ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุป๊ จํากัด The Auditor’s Audit Problem in Auditing Assets of Businesses Affected by Flood : A Case Study of Thong Chai Consultant Group Co.,Ltd
โดย นางสาวจินตนา นางสาวณัฐปวีณ์ นางสาวณัฐวรรณ นางสาววราภรณ์ นางสาววิไลรัตน์
วรรณอรุณทอง มุง่ สังเกต ผ่องใส กิตติธนะพันธ์ เชาวนสุภา
รหัสนิสติ รหัสนิสติ รหัสนิสติ รหัสนิสติ รหัสนิสติ
51205490 51205599 51205623 51206043 51206076
ปญั หาพิเศษฉบับนี้เป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2554
(ก)
กิตติกรรมประกาศ การศึกษาวิชาปัญหาพิเศษ หลักสูตรปริญญาตรีบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการบัญชี บริหารครั้งนี้ประสบความสาเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจาก อาจารย์ สมบูรณ์ สารพัด ซึ่งได้ให้คาแนะนาถึงประเด็นต่างๆ การค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมและชี้แนะแนวทางในการแก้ไข ปัญหาในเรื่องนี้มาโดยตลอด รวมถึงคณะอาจารย์ทุกท่านที่ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ให้ ผู้จัดทารายงานมีความรู้ความเข้าใจและสามารถนาความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ ขอขอบคุณ บริษัท ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด ที่ได้ให้ข้อมูลการตรวจสอบบัญชี และเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ขอขอบคุณ หอสมุดแห่งชาติ หอสมุดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่สาคัญในการค้นคว้าหนังสือ วิทยานิพนธ์ต่างๆ ในการศึกษาครั้งนี้ ขอขอบคุณแรงสนับสนุนและกาลังใจที่ได้รับจากครอบครัวตลอดจนเพื่อนๆ ของคณะผู้จัดทา หากรายงานปัญหาพิเศษฉบับนี้มีข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องประการใด คณะผู้จัดทา ขออภัยเป็นอย่างสูง ณ ที่นี้ คณะผู้จัดทา กุมภาพันธ์
จินตนา วรรณอรุณทอง และคณะ 2554: ปัญหาการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ในธุรกิจ ที่ประสบเหตุอุทกภัยของผู้สอบบัญชี กรณีศึกษา บริษัท ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด ปริญญาบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชีบริหาร อาจารย์ที่ปรึกษาวิชาปัญหาพิเศษ: อาจารย์สมบูรณ์ สาระพัด, บธ.บ, บช.ม. 331 หน้า
การศึกษาครั้งนี้มีจุดประสงค์ เพื่อศึกษาแนวทางในการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ และ มาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ ของธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัย และศึกษาข้อจากัดของการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ ของผู้สอบบัญชี โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิง คุณภาพ มุ่งเน้นการศึกษาภาคสนามเป็นสาคัญ สรุปผลในเชิงวิเคราะห์และพรรณนาให้ รายละเอียด การสอบบัญชีเป็นกระบวนการในการรวบรวมและประเมินเอกสารหลักฐานทางการ บัญชี เพื่อให้สามารถแสดงความเห็นได้ว่างบการเงินได้จัดทาขึ้นถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชี และงบการเงินดังกล่าวได้แสดงข้อมูลที่จาเป็นเพื่อให้ผู้อ่านงบการเงินได้ทราบอย่างเพียงพอแล้ว หรือไม่ เพื่อให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้งบการเงินทุกฝ่าย เช่น ผู้ลงทุน เจ้าหนี้หน่วยราชการ ผู้บริหาร และสาธารณชนทั่วไป การศึกษาวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาปัญหาการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ในธุรกิจที่ประสบ เหตุอุทกภัยของผู้สอบบัญชี กรณีศึกษา บริษัท ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด ผลการศึกษา พบว่า แนวทางการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ของธุ รกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ อุทกภัย ไม่มีความแตกต่างจากการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ในสถานการณ์ปกติ กรณีเกิดเหตุการณ์ อุทกภัย ผู้สอบบัญชีควรให้ความสาคัญในเรื่อง การบันทึกบัญชีเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี หรือไม่ การบันทึกบัญชีตรงตามรอบระยะเวลาบัญชี พิจารณาวันที่เกิดเหตุอุทกภัยว่าก่อนหรือ หลังวันที่สิ้นรอบระยะเวลาที่รายงาน การเปิดเผยข้อมูลในหมายเหตุประกอบงบการเงินเพียงพอ และครบถ้วนหรือไม่ ข้อควรพิจารณาในการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ คือ การซ่อมแซมและการ เปลี่ยนแทน ตรวจสอบอายุการใช้งานคงเหลือ ตรวจสอบการด้อยค่าของสินทรัพย์ มูลค่า คงเหลือของสินทรัพย์ การบันทึกเงินชดเชยจากบริษัทประกันภัย
________________________ นางสาวจินตนา วรรณอรุณทอง
__________________________ อาจารย์สมบูรณ์ สาระพัด
___/___/___
(ค)
สารบัญ หน้ า กิ ตติ กรรมประกาศ
(ก)
บทคัดย่อ
(ข)
สารบัญ
(ค)
สารบัญรูปภาพ
(ฉ)
บทที่ 1บทนํา ทีม่ าและความสําคัญ วัตถุประสงค์ของการศึกษา ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รบั จากการศึกษา วิธกี ารศึกษา ขอบเขตของการศึกษา นิยามศัพท์ บทที่ 2 ทฤษฏี และผลงานวิ จยั ที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎีการสอบบัญชี วิธกี ารตรวจสอบสินทรัพย์ มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรือ่ ง สินค้าคงเหลือ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรือ่ ง ทีด่ นิ อาคารและอุปกรณ์ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรือ่ ง การด้อยค่าของสินทรัพย์ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรือ่ ง ประมาณการหนี้สนิ หนี้สนิ ทีอ่ าจเกิดขึน้ และสินทรัพย์ทอ่ี าจเกิดขึน้
1 2 2 3 3 3
5 19 57 60 69 83
(ง)
สารบัญ (ต่อ) บทที่ 2 ทฤษฏี และผลงานวิ จยั ที่เกี่ยวข้อง (ต่อ) ผลงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้อง ผลงานวิจยั ในประเทศ ผลงานวิจยั ต่างประเทศ บทที่ 3 การบริ หารและดําเนิ นงานของบริ ษทั ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุป๊ จํากัด บริษทั ทีซจี ี กรุป๊ ประวัตคิ วามเป็ นมาของบริษทั วัตถุประสงค์ในการดําเนินงาน วิสยั ทัศน์ ความก้าวหน้าของบริษทั วิธกี ารดําเนินงานของบริษทั บทที่ 4 ผลการศึกษา ขัน้ ตอนของการวางแผนสอบบัญชี แนวการตรวจสอบบัญชีทด่ี นิ อาคาร และอุปกรณ์ ในกรณีปกติ แนวการตรวจสอบบัญชีทด่ี นิ อาคารและอุปกรณ์ เพิม่ เติม กรณีเกิดเหตุอุทกภัย แนวการตรวจสอบบัญชีสนิ ค้าคงเหลือ ในกรณีปกติ แนวการตรวจสอบบัญชีสนิ ค้าคงเหลือ เพิม่ เติม กรณีเกิดเหตุอุทกภัย แนวการตรวจสอบสินทรัพย์เพิม่ เติม ข้อจํากัดของการตรวจสอบบัญชีสนิ ทรัพย์ธุรกิจทีป่ ระสบเหตุอุทกภัย ของผูส้ อบบัญชี บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ บทสรุป ข้อเสนอแนะ
หน้ า
91 97
101 101 102 102 103 109 111 114 116 121 121 129
130 131
(จ)
สารบัญ (ต่อ) เอกสารอ้างอิ งและสิ่ งอ้างอิ ง ภาคผนวก ภาคผนวก ก ประวัตผิ ใู้ ห้สมั ภาษณ์ ภาคผนวก ข เอกสารเกีย่ วกับแนวการตรวจสอบสินทรัพย์ ภาคผนวก ค มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรือ่ ง สินค้าคงเหลือ ภาคผนวก ง มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรือ่ ง ทีด่ นิ อาคารและอุปกรณ์ ภาคผนวก จ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรือ่ ง การด้อยค่าของสินทรัพย์ ภาคผนวก ฉ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรือ่ ง ประมาณการหนี้สนิ หนี้สนิ ทีอ่ าจเกิดขึน้ และสินทรัพย์ทอ่ี าจเกิดขึน้
หน้ า 132 136 138 153 168 195 288
(ฉ)
สารบัญภาพ ภาพที่
หน้ า
1
ใบเสนอราคาค่าบริการสอบบัญชี
139
2
ใบเสนอราคาสอบทานงบการเงิน
142
3
ตัวอย่างแนวการตรวจสอบ เรือ่ ง ทีด่ นิ อาคารและอุปกรณ์
146
4
ตัวอย่างแนวการตรวจสอบ เรือ่ ง สินค้าคงเหลือ
148
บทที่ 1 บทนา ที่มาและความสาคัญ เหตุการณ์อุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในปี พ .ศ. 2554 ทาให้ประเทศไทยได้รับความ เสียหายอย่างมากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิ จ เพราะทั้งเครื่องจัก ร อุปกรณ์ และสถานประกอบการถูกน้าท่วมเสียหายจนไม่สามารถผลิตสินค้าต่อได้ วัตถุดิบที่ใช้ ในการผลิตขาดแคลน และราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น ธุรกิจต่างๆ มียอดขายลดลงจากการปิด กิจการหรือ สาขาที่อยู่ในเขตน้าท่วมหนัก เกิดปัญหาสินค้าขาดตลาด เนื่องจาก ความต้องการ ของผู้บริโภคมีมาก กว่าปริมาณสินค้า ระบบการจัดส่งสินค้า มีปัญหา และศูนย์กระจายสินค้าถูก น้าท่วม ผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลให้บริษัทที่ทานิคมอุตสาหกรรมและมีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตที่ ถูกน้าท่วมรุนแรง ได้รับความ เสียหาย อย่าง หนัก ทั้งด้านทรัพย์สินและธุรกิ จ ประเด็น ความ เสียหายด้านทรัพย์สิน มีทั้งด้านสาธารณูปโภคของนิคม เช่น ระบบไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงเครื่องปั่น ไฟที่บริษัทมักจะผลิตไฟฟ้าขายให้กับบริษัทในนิคม เครื่องทาน้าประปา ระบบบาบัดน้าเสีย โรงงานผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ที่มีโรงงานหลักอยู่ ในเขตน้าท่วม รุนแรง และอื่นๆ อีกมาก ความเสียหายส่วนนี้แม้จะมีการประกันภัยไว้ และได้รับการชดเชยบ้าง แต่ทรัพย์สินที่สาคัญก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นเดียวกัน ทั้งที่ดิน อาคารสานักงาน โรงงาน เครื่องจักรกลต่างๆ ที่ใช้ในการผลิต และสินค้าคงเหลือ นอกจากนี้แ ต่ละโรงงานก็มี ค่าใช้จ่ายที่ไม่ อาจจะขอคืนได้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรงงาน ค่าแรงคนงานที่ยังต้องจ่าย สินค้าและวัตถุดิบที่เสียหาย และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมาก ภายหลังน้าลด ทุกภาคส่วนต่างช่วยหาวิธีในการแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะสั้นเป็นความช่ วยเหลือ เยียวยา ซ่อมบารุง ซ่อมแซมเครื่องจักร ปรับปรุงสถาน ประกอบการ วางแผนการทางการเงิน เงินกู้ดอกเบี้ยต่า หรือปลอดดอกเบี้ย เพื่อให้เป็นทุน หมุนเวียนหรือซ่อมแซมเครื่องจักร อุปกรณ์ รวมทั้งใช้เป็นข้อมูลในการจัดทาแผนบริหารความ เสี่ยง (Risk Management) สาหรับอน าคต ซึ่งจะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยรวม ในระยะยาว ได้แก่ มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ขยายระยะเวลา
2 ชาระหนี้ การให้สินเชื่อลดหนี้ และมาตรการด้านภาษี เช่น ยกเว้นการชาระภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีนาเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร นามูลค่าความเสียหายหรือค่าเสื่อมที่ยังเหลืออยู่ของทรัพย์สินมา เป็นค่าใช้จ่ายในการคานวณภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงการผ่อนปรนค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค การตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ของ ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ จากเหตุการณ์อุทกภัย นั้นมี ความสัมพันธ์ต่อการวางแผนแก้ไขปัญหาของทุกธุรกิจที่ เกี่ยวข้อง เนื่องจากสินทรัพย์เป็น ทรัพย์สินที่มีการด้อยค่าและมีมูลค่าสูง อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากน้าท่วมมากที่สุด เช่น ที่ดิน อาคาร และเครื่องจักร ดังนั้นการตรวจสอบบัญชี สินทรัพย์เหล่านี้จึงต้องใช้ความ รอบคอบเป็น อย่างมาก เพื่อ ให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างถูกต้ องและป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ ผู้สอบบัญชี และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง มีความรู้ความเข้าใจในเรื่ องการ จัดทาบัญชี การตรวจสอบบัญชี และ แนวทางใน การตรวจสอบงบการเงินบริษัทที่ได้รับ ผลกระทบจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยมากขึ้นอีกด้วย วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพื่อศึกษาแนวทางในการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ของธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก เหตุการณ์อุทกภัย 2. เพื่อศึกษา มาตรฐานการบัญชี ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ของ ธุรกิ จที่ได้รับผลกระทบ จากเหตุการณ์อุทกภัย 3. เพื่อศึกษาข้อจากัดของการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ของผู้สอบบัญชี ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษา 1. ทาให้ทราบถึงมาตรฐานการบัญชีที่สามารถนามาอ้างอิงกับการตรวจสอบ สินทรัพย์ของธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัย
บัญชี
2. ทาให้ทราบถึงแนวทางในการตรวจสอบ บัญชีสินทรัพย์ ของธุรกิ จที่ได้รับผลกระทบ จากเหตุการณ์ อุทกภัย และข้อจากัดของการตรวจสอบ บัญชีสินทรัพย์ ซึ่งสามารถนามา ประยุกต์ใช้กับการทางานของผู้สอบบัญชีได้
3 วิธีการศึกษา การศึกษาเรื่อง ปัญหาการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ในธุรกิจที่ประสบเหตุอุทกภัยของ ผู้สอบบัญชี กรณีศึกษา บริษัท ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด ครั้งนีผ้ ู้ศึกษาใช้แหล่งข้อมูลดังนี้ 1. ข้อมูลปฐมภูมิ รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ความคิดเห็นของผู้สอบบัญชี บริษัท ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด เกี่ยวกับแนวทางในการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ 2. ข้อมูลทุติยภูมิ เป็นการรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ตารา งานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ขอบเขตของการศึกษา การศึกษา ปัญหาการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ในธุรกิจที่ประสบเหตุอุทกภัยของ ผู้สอบบัญชี กรณีศึกษา บริษัท ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด โดยทาการ สัมภาษณ์ ความคิดเห็นของผู้สอบบัญชี บริษัท ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด เกี่ยวกับแนวทางใน การ ตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ของธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัย นิยามศัพท์ การตรวจสอบทางการบัญชี หมายถึง การตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของ งบการเงินตามมาตรฐานการสอบบัญชี เพื่อเพิ่มระดับความเชื่อมั่นของผู้ใช้งบการเงินที่มีต่อ งบการเงิน ผู้สอบบัญชี ห มายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ปฏิบัติงานตรวจสอบ ซึ่งตามปกติคือ หุ้นส่วนผู้รับผิดชอบงานตรวจสอบหรือสมาชิกอื่นในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานตรวจสอบหรือสานักงาน (แล้วแต่กรณี ) ในกรณีที่มาตรฐานการสอบบัญชีนั้นมีความมุ่งหมายชัดเจนว่าข้อกาหนดหรือ ความรับผิดชอบนั้นต้องปฏิบัติตาม โดยหุ้นส่วนผู้รับผิดชอบงานตรวจสอบ ให้ใช้คาว่า “หุ้นส่วน ผู้รับผิดชอบงานตรวจสอบ” แทนคาว่า “ผู้สอบบัญชี ” คาว่า “หุ้นส่วนผู้รับผิดชอบงานตรวจสอบ ” และ “สานักงาน” จะใช้อ้างอิงถึงเรื่องเดียวกันในภาครัฐในกรณีที่เกี่ยวข้อง (มาตรฐานการสอบ บัญชี รหัส 200 เรื่อง วัตถุปร ะสงค์โดยรวมของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และการปฏิบัติงาน ตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชี)
4 งบการเงิน หมายถึง การนาเสนอข้อมูลทางการเงินในอดีตอย่างมีแบบแผนรวมถึง หมายเหตุที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารให้ทราบถึงทรัพยากรเชิงเศรษฐกิจหรือภาระ ผูกพันของกิจการ ณ ขณะใดขณะหนึ่ง หรือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านั้น ในช่วงเวลาหนึ่ง ตามแม่บทการบัญชีในการรายงานทางการเงิน โดยปกติแล้วหมายเหตุที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย สรุปนโยบายการบัญชีที่สาคัญและคาอธิบายอื่น คาว่า “งบการเงิน ” หมายถึง งบการเงินที่ ครบถ้วนสมบูรณ์แบบตามข้อกาหนดใน แม่บทการบัญชีในการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้อง แต่ก็อาจหมายถึงงบการเงินเพียงงบเดียวก็ได้ (มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 200 เรื่อง วัตถุประสงค์โดยรวมของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และการปฏิบัติงานตรวจสอบตามมาตรฐานการ สอบบัญชี) สินทรัพย์ หมายถึง ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ สินค้าคงเหลือ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของกิจการ สินค้าคงเหลือ หมายถึง สินทรัพย์ซึ่ งมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (มาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินค้าคงเหลือ) 1. ถือไว้เพื่อขายตามลักษณะการประกอบธุรกิจตามปกติของกิจการ 2. อยู่ในระหว่างกระบวนการผลิตเพื่อให้เป็นสินค้าสาเร็จรูปเพื่อขาย 3. อยู่ในรูปของวัตถุดิบ หรือวัสดุที่มีไว้เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าหรือ ให้บริการ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ หมายถึง สินทรัพย์ที่มีตัวตนซึ่งเข้าเงื่อนไขทุกข้อต่อไปนี้ (มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ทีด่ ิน อาคารและอุปกรณ์) 1. กิจการมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการผลิต ในการจาหน่ายสินค้าหรือให้บริการ เพื่อให้เช่าหรือใช้ในการบริหารงาน 2. กิจการคาดว่าจะใช้ประโยชน์มากกว่าหนึ่งรอบระยะเวลา อุทกภัย หมายถึง เหตุการณ์น้าท่วมครั้งใหญ่ของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2554
บทที่ 2 ทฤษฎีและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาเรื่อง ปัญหาการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ในธุรกิจที่ประสบเหตุอุทกภัยของ ผู้สอบบัญชี กรณีศึกษา บริษัท ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จํากัด เพื่อให้ทราบถึงการนํา มาตรฐานการบัญชี มาอ้างอิงในการตรวจสอบบัญชีซึ่งเกิด จาก สถานการณ์ทางธรรมชาติ ที่ประสบ ปัญหา อยู่ และแนวทางในการตรวจสอบบัญชี โดยคณะผู้จัดทําได้นําทฤษฎีและ ผลงานที่เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชี ดังนี้ 1. ทฤษฎีการสอบบัญชี 2. วิธีการตรวจสอบสินทรัพย์ 3. มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินค้าคงเหลือ 4. มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 5. มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การด้อยค่าของสินทรัพย์ 6. มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่ อาจเกิดขึ้น และสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น 7. ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎีการสอบบัญชี ความหมายของการสอบบัญชี จันทนา สาขากร, นิพันธ์ เห็นโชคชัยชนะ และ ศิลปะพร ศรีจั่นเพชร (2548) ได้ให้ ความหมา ยของการตรวจสอบภายในไว้ทั้งสิ้น 3 แนวทางดังนี้ การให้ความหมายจากการ วิเคราะห์ คําศัพท์เมื่อพิจารณาความหมายของ การตรวจสอบ ภายในตามคํา ศัพท์ที่ใช้สามารถ
6 แยกออกได้เป็น 2 คํา คือ คําว่า การตรวจสอบ หมายถึง การตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลข การบวก ลบ คูณ หาร การตรวจสอบการทํางานของเสมีย น พนักงาน หรืออาจหมายความถึง การประเมินค่าการปฏิบัติงานด้านต่างๆ ของหน่วยงานทุกระดับ แล ะคําว่า ภายใน หมายถึง ขอบเขตของกิ จกรรรมที่ตรวจสอบซึ่งเป็นกิจกรร มที่เกิดขึ้นภายในองค์กร และหรือกระทําโดย พนักงานภายในองค์กร ส่วนสมาคมผู้ตรวจสอบภายในของประเทศสหรัฐอเมริกา (The Institute of International Auditors: IIA) ให้คําจํากัดความของการตรวจสอบภายในว่า การตรวจสอบ ภายใน คือ กิจกรรมการให้หลักประกันและการให้คําปรึกษาอย่างเป็น อิสระและเที่ยงธรรม ซึ่งจัดให้มีขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่า และปรับปรุงการดําเ นินงานขององค์กรให้ดีขึ้น โดย คําว่า การบริการให้หลักประกัน หมายถึง การตรวจสอบหลักฐานต่างๆ เพื่อนํามาประ เมินอย่างเป็น อิสระและเที่ยงธรรม ในกระบวนการบริหารความเสี่ยง การควบคุมและการกํา กับดูแลองค์กร ส่วนการบริการให้คําปรึกษา หมายถึง กิจกรรมให้คําปรึกษาและคําแนะนําตลอดจนการ ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง ลักษณะและขอบเขตของงานเป็นไปตามความตกลงร่วมกัน โดยมี จุดประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าและปรับปรุงการปฏิบัติงานขององค์การ และความหมายจาก สถาบันกํากับดูแลกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้ให้ความหมายของการตรวจสอบภายใน ภาครัฐ ไว้ว่า เป็นกิจกรรมที่ให้หลักประกันอย่างเที่ยงธรรมและให้บริการปรึกษาอย่างอิสระ เพื่อ สร้างคุณค่าและปรับปรุงระบบการดําเนินงานของส่วนราชการ พยอม สิงห์เสน่ห์ (2549) ซึ่งมีความเห็นสอดคล้องกับ สุรีย์ ดารารัตน์ทวี (2542) และอัญชนา เหมวงศ์กุล (2552) ได้ให้ความหมายการสอบบัญชีไว้ว่า การสอบบัญชี คือ การ ตรวจสอบสมุดบัญชี เอกสารประกอบการลงบัญชี และหลักฐานอื่นๆ โดยผู้ประกอบวิชาชีพสอบ บัญชี ตามแนวทางปฏิบัติงานที่วิชาชีพได้กําหนดเป็นมาตรฐานไว้เพื่อที่ให้ผู้ สอบบัญชีจะ สามารถวินิจฉัย และ แสดงความคิดเห็นได้ว่างบการเงินที่กิจการจัดทําขึ้นมีความถูกต้องตาม หลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป เพียงใด หรือไม่ และงบการเงินดังกล่าวได้แสดงข้อมูลที่จําเป็น เพื่อให้ผู้อ่านงบการเงินได้ทราบอย่างเพียงพอแล้วหรือไม่ เพื่อให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้งบการเงิน ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุน เจ้าหนี้หน่วยราชการ ผู้บริหาร และสาธารณชนทั่วไป สุชาย ยังประสิทธิ์กุล (2552) ได้ให้ความหมายของการสอบบัญชีไว้ว่า การสอบบัญชี เป็นกระบวนอย่างมีระบบเพื่อทําการรวบรวมและ ประเมินหลักฐานที่เกี่ ยวข้องกับกิจกรรม เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและรายงานผลให้ผู้ใช้งบการเงินทราบ เกล็ดนที มโนสันติ์ สสิกาญจน์ (2549) และสมพงษ์ พรอุปถัมภ์ (2545) ได้ให้ ความหมายของการสอบบัญชีในทํานองเดียวกันว่า การสอบบัญชีคือการกระบวนการใน การรวบรวม และการประเมินเอกสารหลักฐานทางการบัญชี เพื่อให้สามารแสดงความเห็นได้ว่า
7 งบการเงินได้จัดทําขึ้นมาโดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสําคัญตามหลั กการบัญชีที่รับรอง โดยทั่วไป และ หมายถึงการตรวจสอบงบการเงินเพื่อให้ผู้สอบบัญชีสามารถแสดงความเห็นต่อ งบการเงินนั้นได้จัดทําในส่วนสาระ สําคัญเป็นไปตามแม่บทการบัญชีในรายงานทางการเงิน หรือไม่ ซึ่งในการแสดงความเห็นของผู้สอบบัญชีนั้นจะต้องได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชีที่ เพียงพอและเหมาะสมด้วยวิธีการตรวจสอบต่างๆ ตามลําดับ วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบ จัทนา สาขากร , นิพันธ์ เห็นโชคชัย ชนะ และ ศิลปะพร ศรีจั่นเพชร (2548) ได้ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการสอบบัญชีของ สมาคมผู้ตรวจสอบภายในของประเทศสหรัฐอเมริกา (IIA) การตรวจสอบภายในช่วยให้องค์กรบรรลุถึงเป้าหมายที่วางไว้ด้วยการประเมินและ ปรับปรุงประสิทธิผลของกระบวนการบริหารความเสี่ยง การควบคุม และกระบวนการกํากับดูแล อย่างเป็นระบบ และเป็นระเบียบ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในทํานองเดียวกับ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ที่ได้กําหนดวัตถุประสงค์ของการตรวจสอบภ ายในภาครัฐ เมื่อมกราคม พ .ศ. 2545 ไว้ว่า การตรวจสอบภายในมีส่วนช่วยให้ส่วนราชการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประ สงค์ได้ โดยการประเมินผลงานอย่างเป็นระบบและมีระเบียบแบบแผน เพื่อช่วยให้ส่วนราชการสามารถ พัฒนากระบวนการบริหารความเสี่ยง การควบคุม และการกํากับดูแลให้มีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลยิ่งขึ้นหรืออาจจะกล่าวโดยสรุปว่าคือ การตรวจสอบ ประเมิน และให้คําปรึกษา เพื่อ เพิ่มมูลค่าและปรับปรุงการดําเนินงานขององค์กรให้ดีขึ้น สุชาย ยังประสิทธิ์กุล (2552) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบไว้ว่า การ ตรวจสอบงบการเงินมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สอบบัญชีสามารถแสดงความเห็นต่องบการเงินว่า งบการเงินนั้นได้จัดทําในส่วนสาระสําคัญเป็นไปตามแม่บทการบัญชีในการรายงานทาง การเงิน หรือไม่ อัญชนา เหมวงศ์กุล (2552) และเกล็ดนที มโนสัติ์ สสิกาญจน์ (2549) ได้มีความเห็น ในทํานองเดียวกันว่า การตรวจสอบงบการเงินมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สอบบัญชีสามารถแสดง ความเห็นต่องบการเงินว่างบการเงินนั้นได้จัดทําในส่วนสาระสําคัญเป็นไปตามแม่บทการบัญชี ในการรายงานทางการเงินหรือไม่ ดังนั้นการสอบบัญชีจึงเป็นการรวบรวมหลักฐานที่เพียงพอ และเหมาะสมเพื่อให้สามารถสรุปความเห็นของผู้สอบบัญชีได้อย่างสมเหตุผลว่า สิ่งที่ผู้บริหาร รับรองไว้เกี่ยวกับงบการเงินเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 200
8 กระบวนการสอบบัญชี อัญชนา เหมวงศ์กุล (2552) ได้กล่าวถึง การสอบบัญชีเป็นกระบวนการรวบรวม หลักฐานการสอบบัญชีอย่างเพียงพอและเหมาะสม และประเมินหลักฐานข้อมูลและข้อเท็จจริง ต่างๆ จากการตรวจสอบเพื่อสรุปผลการตรวจสอบจากหลักฐานที่รวบรวมได้ กระบวนการสอบ บัญชี อาจแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนดังนี้ 1. การดําเนินการก่อนการรับงาน 1.1
การประเมินความเสี่ยงในการรับงานสอบบัญชี
1.2
การจัดทําข้อตกลงในการรับงานสอบบัญชี
1.3
การจัดเตรียมคณะทํางานตรวจสอบ
2. การวางแผนการปฏิบัติงาน 2.1
การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและสถานภาพทางกฎหมายของลูกค้า
2.2
การวิเคราะห์เปรียบเทียบเบื้องต้น
2.3 การกําหนดระดับความมีสาระสําคัญ การประเมินความเสี่ยงในการสอบบัญชี และความเสี่ยงสืบเนื่อง 2.4 การทําความเข้าใจระบบการควบคุมภายในและประเมินความเสี่ยงในการ สอบบัญชี และความเสี่ยงสืบเนื่อง 2.5
การพัฒนาแผนการสอบบัญชีโดยรวมและจัดทําแนวการสอบบัญชี
3. การปฏิบัติงานตรวจสอบตามแผนที่วางไว้ 3.1
การทดสอบการควบคุมและประเมินผลการทดสอบ
9 3.2
การตรวจสอบเนื้อหาสาระ
4. การสรุปผลและการรายงานผลการตรวจสอบ 4.1 การดําเนินการสอบทานหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น เหตุการณ์ภายหลังวันที่ในงบ ดุลและการขอหนังสือรับรองจากฝ่ายบริหารของกิจการ 4.2
การประเมินผลจากหลักฐานการสอบบัญชี
4.3
การแสดงความเห็นในรายงานของผู้สอบบัญชี
สุรีย์ ดารารัตน์ทวี (2542) ได้กล่าวถึงวิธีการตรวจสอบไว้ดังนี้ 1. การตรวจสอบระบบข้อมูล (Compliance Test) มี 2 ขั้นตอน 1.1 การทําความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจที่ตรวจสอบ เพื่อช่วยในการวางแนวการ ตรวจสอบให้รัดกุมยิ่งขึ้นในด้านที่มีความเสี่ยงสูง 1.2 การทําความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการควบคุมภายใน เพื่อประเมิน ประสิทธิภาพการควบคุมภายใน ซึ่งมีผลให้ลดปริมาณหลักฐานที่จะต้องหามาเพื่อพิสูจน์ ความถูกต้องของรายการค้าและยอดคงเหลือ 2. การตรวจสอบรายการบัญชีและยอดคงเห ลือ (Substantive Test) หมายถึง การ ตรวจสอบหลักฐานประกอบรายการที่ปรากฏในงบการเงิน ซึ่งจะกระทําภายหลังการตรวจสอบ ระบบข้อมูล โดยมีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์หลักในการตรวจสอบ ดังนี้ 2.1 ความมีอยู่หรือเกิดขึ้นจริง ผู้สอบบัญชี จะทดสอบรายการที่ปรากฏอยู่ใน งบการเงิน ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ หนี้สิน ทุน รายได้ และค่าใช้จ่าย ว่าจะต้องเป็นรายการที่มีอยู่ จริงหรือเกิดขึ้นจริงในกิจการที่รับตรวจ 2.2 ความถูกต้องครบถ้วน โดยทั่วไปรายการประเภทสินทรัพย์ และรายได้มักจะ มีแนวโน้ม ที่จะแสดงไว้สูงกว่าที่มีอยู่จริง และรายการประเภทหนี้สิน และค่าใช้จ่ายมักจะมี
10 แนวโน้มที่จะแสดงไว้ต่ํากว่าที่มีอยู่จริง ดังนั้นผู้สอบบัญชีจึงต้องพิสูจน์ว่ารายการเหล่านี้ได้ ถูกต้องและครบถ้วน (ไม่สูงหรือต่ํากว่าความจริง) 2.3 กรรมสิทธิ์และภาระหนี้สินรายการที่จะบันทึกเป็นสินทรัพย์ของกิจการ จะต้องเป็นสิ่งที่กิจการมีกรรมสิท ธิ์ และรายการที่จะบันทึกเป็นหนี้สินได้จะต้องเป็นสิ่งที่กิจการมี ภาระในการจ่ายชําระ ผู้สอบบัญชีจึงต้องหาหลักฐานเพื่อดูว่า สินทรัพย์และหนี้สินที่บันทึกใน งบการเงินมีกรรมสิทธิ์และภาระหนี้สิน 2.4 การตีราคาหรือการกระจายราคารายการที่แสดงในงบการเงิน จะต้องเป็นไ ป ตาม หลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป เช่น รายการที่เกี่ยวกับเงินตราต่างประเทศจะต้องมี การแปลงค่าเป็นเงินบาทตามอัตราที่หลักการบัญชีได้ระบุไว้ ดังนั้นผู้สอบบัญชีจะต้องตรวจสอบ ว่ารายการเหล่านี้มีการแสดงมูลค่าถูกต้อง 2.5 การแสดงรายการและการเปิดเผยข้อมูล นอกจากรายการที่ปรากฏอยู่ในงบ การเงินแล้ว ผู้สอบบัญชีจะต้องคํานึงถึงรายละเอียดที่ปรากฏอยู่ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน เช่น เรื่องการนําสินทรัพย์ไปค้ําประกันเงินกู้ยืม ผู้สอบบัญชีต้องพิจารณาว่าได้มีการเปิดเผย ข้อมูลไว้หรือไม่ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้ใช้งบการเงิน หลักฐานการตรวจสอบบัญชี วิธีการตรวจสอบหลักฐาน พยอม สิงห์เสน่ห์ (2543) ได้กล่าวว่าวิธีการตรวจสอบบัญชี เป็นการ นําเอาเทคนิค ต่างๆ มาใช้ในการรวบรวมหลักฐานเพื่อทราบความถูกต้องของรายการค้าที่บันทึกไว้ในบัญชี ตลอดจนยอดคงเหลือในบัญชี ดังนั้น เทคนิคในการสอบบัญชี จึงหมายถึงเครื่องมือที่ผู้สอบบัญชี ใช้ในการรวบรวมหลักฐาน เทคนิคในการสอบบัญชีมีอยู่หลายประเภท ผู้สอบบัญชีจะต้อง เลือกใช้เทคนิคหรือเครื่องมือนี้ให้เหมาะสมกับงานตรวจสอบแต่ละด้าน แล้วนํามาประกอบเข้า เป็นวิธีการตรวจสอบในแต่ละรายการหรือแต่ละบัญชี เช่น เทคนิคการตรวจนับอาจนํามาใช้กับ เงินสด สินค้า สินทรัพย์ถาวรต่างๆ ได้ แต่ไม่อาจนํา มาใช้กับลูกหนี้ เจ้าหนี้ และค่าใช้จ่าย ล่วงหน้าได้ การใช้เทคนิคเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ความถูกต้องของรายการ เช่น การตรวจนับเงิ นสด ช่วยให้ทราบว่า ณ วันตรวจนับมีเงินสดที่ควรมีเป็นจํานวนเท่าใด คือ ได้นํารายรับรายจ่ายมาลงบัญชีแล้วครบถ้วนหรือไม่ เป็นต้น
11 ต่อไปนี้เป็นเทคนิคต่างๆ ที่ใช้กันอยู่โ ดยทั่วไปเพื่อทดสอบรายการบัญชีและยอด คงเหลือในบัญชี 1. การตรวจดู เทคนิคข้อนี้ใช้ได้ทั้งในการตรวจดูเอกสารต่างๆ และตรวจดูสินทรัพย์ที่มีรูปร่าง การตรวจดูเอกสารหลักฐานเช่น สัญญาเช่า สัญญาซื้อขาย รายงานการประชุม และใบเสร็จ ย่อมช่วยให้ผู้สอบบัญชีได้สัมผัสกับหลักฐานโดยตรง สามารถทราบรายละเอียดต่างๆ และจด บันทึกสาระสําคัญไ ว้ในกระดาษทําการ ทราบว่ารายการบัญชีหรือยอดคงเหลือในบัญชี มีเอกสารที่เชื่อถือได้หรือไม่เป็นหลักฐานประกอบ อย่างไรก็ดี ผู้สอบบัญชีไม่จําเป็นต้องพิสูจน์ ว่าเอกสารนั้นเป็นของจริงหรือไม่ คงเพียงแต่ใช้ความระมัดระวังและความรอบคอบในฐานะ ผู้ประกอบวิชาชีพน่าจะเพียงพอ การตรวจดูทรัพย์สินช่วยให้ผู้สอบบัญชีทราบว่ามีสินทรัพย์อยู่จริง ทราบลักษณะ สภาพ และจะทราบถึงปริมาณของทรัพย์สินหากได้ใช้เทคนิคในการตรวจนับด้วย 2. การสังเกต การสังเกตเป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้สอบบัญชีได้ทราบถึงข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ เช่น สังเกตการปฏิบัติงานของเจ้า หน้าที่จ่ายเงินเดือน สังเกตการ ตรวจนับสินค้าของพนักงานบริษัท สังเกตการเก็บรักษาเงินสดและหลักทรัพย์ สังเกตการอนุมัติเอกสารและการผ่านเอกสาร เป็น ต้น การสังเกตจะให้ผู้สอบบัญชีทราบถึงความเหมาะสมของการปฏิบัติงานว่าได้ กระทําตาม วิธีการที่กําหนดไว้เพื่อให้ผลงานที่ได้รับมีความถูกต้องและเชื่อถือได้ 3. การตรวจนับ การตรวจนับสินทรัพย์ ได้แก่ การพิสูจน์ว่าสิ่งที่ต้องการตรวจสอบมีอยู่จริง โดย ตรวจดูให้เห็นด้วยตาตนเอง โดยปกติใช้ในการตรวจสอบเงินสด หลักทรัพย์ สินค้าคงเหลือ และ สินค้าถาวร การตรวจนับสินทรัพย์นี้อาจแบ่งได้เป็น 3 ส่วนด้วยกัน ขั้นแรกเป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งที่ เห็นด้วยตาอยู่นั้นใช่สิ่งที่ต้องการพิสูจน์หรือไม่ ขั้นที่สอง เป็นการตรวจนับปริมาณ เช่น ตรวจ นับ ว่ามีรถบรรทุกอยู่กี่คัน หรือมีสินค้ารายการนั้นอยู่กี่หน่วย เป็นต้น ขั้นสุดท้าย ได้แก่ การ ตรวจสอบคุณภาพหรือสภาพของสิ่งของนั้น เช่น ในการนับสินค้า เป็นการ ตรวจดูว่าสินค้า มี
12 คุณภาพเช่นไร อยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือแตกหักเสียบ้างหรือไม่ การพิจารณาถึงคุณภาพหรือ สภาพของสิ่งของที่ตรวจนับนี้ก็เพื่อประโยชน์ที่จะคํานวณราคาให้เหมาะสมนั่นเอง เกี่ยวกับคุณภาพของสิ่งที่ตรวจนับนี้ เคยมีปัญหาโต้แย้งกันว่าผู้สอบบัญชีต้อง รับผิดชอบเพียงใด ผู้สอบบัญชีย่อมมิใช่ผู้เชี่ยวชาญในสินค้าหรือสินทรัพย์ประเภทต่างๆ แต่ ก็ไม่อาจจะแก้ตัวว่าไม่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ เพราะตนมิใช่ผู้เชี่ยวชาญ ผู้สอบบัญชีจําเป็นต้อง รับผิดชอบที่จะต้องตรวจให้ทราบถึงคุณภาพที่แปลกปลอมหรือชํารุดเสียหายที่อาจเห็นได้ด้วย เหตุผลอันสมควร เช่น สินค้าที่แตกหักหรือเก่าล้าสมัย เป็นต้น เทคนิคการสอบบัญชีข้อนี้อาจปฏิบัติได้ง่ายและเป็นผลให้ได้หลักฐานที่เชื่อถือ ได้มาก อย่างไรก็ตาม มีข้อจํากัดคุณประโยชน์ที่ควรจะทราบ คือ ประการแรก เทคนิคข้อนี้ใช้ได้ เฉพาะการตรวจสอบสินทรัพย์ที่มีรูปร่าง เช่น เงินสด สินค้า และเครื่องใช้สํานักงาน หรือมี หลักฐานแสดงสภาพของสินทรัพย์นั้น เช่น ใบหุ้น และตั๋วเงินรับ เป็นต้น ข้อจํากัดคุณประโยชน์ ประการที่สองก็คือ การตรวจสอบสินทรัพย์นี้แสดงแต่เพียงว่าสินทรัพย์มีอยู่จริงเท่านั้น แต่ยัง ไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทจริง เช่น รถบรรทุกของบริษัทที่เห็นใช้งานอยู่นั้นอาจเช่า มาใช้หรือเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินก็ได้ การพิสูจน์กรรมสิทธิ์จําเป็นต้องใช้เทคนิคอย่างอื่น ด้วย ข้อจํากัดคุณประโยชน์ประการที่สาม คือ ผลการตรวจนับนี้จะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อกิจการ มีระบบการควบคุมภายในที่ดี มีการดูแลรักษาสินทรัพย์อย่างเหมาะสม และมีการควบคุม ภายในทางบัญชีด้วย มิฉะนั้นแล้วผลการตรวจนับนอกจากจะไม่มีคุณค่ายังอาจเป็นผลให้ผู้สอบ บัญชีหลงผิดในการวินิจฉัยหลักฐานที่ได้ด้วย 4. การยืนยันยอด เทคนิคการสอบบัญชีข้อนี้ ได้แก่ การที่ผู้สอบบัญชีขอร้องให้บุคคลภายนอกซึ่ง ทราบเรื่องเกี่ยวกับหลักฐานต่างๆ ให้การยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรมายังผู้สอบบัญชีโดยตรง การยืนยันนี้เมื่อปฏิบัติโดยถูกต้องย่อมเป็นหลั กฐานที่เชื่อถือได้มากที่สุด เพราะบุคคลภายนอก นั้นไม่มีส่วนได้เสียในเรื่องซึ่งผู้สอบบัญชีตรวจสอบ และไม่จําเป็นต้องปิดบังข้อเท็จจริง แต่อย่างใด เทคนิคนี้ใช้ในการยืนยันยอดลูกหนี้และเจ้าหนี้ ยอดเงินฝากธนาคาร สินค้า และ สินทรัพย์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก กรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ และหนี้สินอันอาจ เกิดขึ้นภายหน้า
13 การที่จะใช้เทคนิคข้อนี้ให้ได้ประโยชน์อย่างแท้จริ งนั้น ผู้สอบบัญชีต้องควบคุมการ ยื นยันยอดอย่างใกล้ชิด ในขั้นแรกบุคคลภายนอกที่เชื่อถือได้จะได้รับแจ้งว่าผู้สอบบัญชี ต้องการทราบรายละเอียดเรื่ องใด หลังจากนั้นผู้สอบบัญชีต้องเป็นผู้รับคําตอบโดยตรงเพื่อ ป้องกันมิให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขคําตอบซึ่งได้รับจากบุคคลภายนอกโดยเจ้าหน้าที่ของบริษัท ที่ได้รับการตรวจ ก่อนอื่นเราควรพิจารณาถึ งฐานะของผู้สอบบัญชีในเรื่องการยืนยัน เช่น การยื นยัน จํานวนเงินซึ่งลูกหนี้ เป็นหนี้อยู่ ถ้าผู้สอบบัญชีจะเขียนไปถามบรรดาลูกหนี้ต่างๆ ของบริ ษัท โดยตรงว่าเป็นหนี้อยู่เท่าใด ลูกหนี้ส่วนใหญ่จะไม่ตอบมายังผู้สอบบัญชี ทั้งนี้เพราะผู้สอบบัญชี ไม่มีอํานาจตามกฎหมายหรืออํานาจทางอื่นซึ่งจะบังคับให้ลูกหนี้เหล่านั้นเปิดเผยเรื่องเกี่ยวกับ การเงินของเขาได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษามรรยาทของผู้สอบบัญชีและเพื่อให้ได้รับผล ตามความมุ่งหมาย ก ารติดต่อขอยืนยันจากบุคคลภายนอกควรทําในนามของบริษัทมิใช่ในนาม ของผู้สอบบัญชี เช่น ถ้าบริษัทขอร้องให้ลูกหนี้ยืนยันมาว่าเป็นหนี้อยู่เท่าไร ลูกหนี้ย่อม ให้ ความร่วมมือมากกว่าที่ผู้สอบบัญชีซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสอบถามไป เมื่อเราได้พิจารณาถึงความจําเป็นที่บริษัทต้ องเป็นผู้จัดส่งคําร้องขอไปยัง บุคคลภายนอกแล้ว ปัญหาต่อไปก็คือ การที่จะควบคุมให้คําตอบยืนยันถึงมือผู้สอบบัญชี โดยตรงและไม่ผ่านมือเจ้าหน้าที่ของบริษัท วิธีการควบคุมการยืนยันโดยละเอียดมีดังต่อไปนี้ 4.1 เจ้าหน้าที่ของบริษัทเป็นผู้ทําจดหมายถึงบุคคลภายนอกเพื่อขอคํายืนยัน แล้ว ผ่านมาให้ผู้สอบบัญชีเพื่อตรวจสอบและส่งไปยังบุคคลภายนอก ผู้สอบบัญชีจะต้องตรวจดู ก่อนว่าชื่อและตําบลที่อยู่ของลูกหนี้ถูกต้อง และจํานวนเงินที่เป็นหนี้ตรงกับหลักฐานทางบัญชี ของบริษัท 4.2 หนังสือขอยื นยันยอดหนี้ ผู้สอบบัญชีต้องใส่ซองและนําไปส่งไปรษณีย์ด้วย ตนเอง เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่บริษัทแก้ไขหนังสือหรือทําลายหนังสือนั้นเสีย 4.3 ให้เขียนตําบลที่อยู่ของผู้สอบบัญชีไว้บนซองที่ส่งด้วย เพื่อว่าถ้าหนังสือนี้ไม่ มีผู้รับจะได้คืนมายังผู้สอบบัญชีเพื่อทําการสอบสวนต่อไป ถ้าไม่แจ้งตําบลที่อยู่ของบริษัทไว้บน ซอง ผู้สอบบัญชีอาจไม่ทราบเลยว่าหนังสือยืนยันนี้ฉบับใดไม่มีผู้ได้รับบ้าง
14 4.4 พร้อมกับหนังสือยืนยันหนี้ ควรสอดซองสําหรับตอบรับไปด้วย ซองตอบรับ นี้จ่าหน้าถึงสํานักงานของผู้สอบบั ญชีไว้ล่วงหน้า และปิด ไปรษณี ยากรด้วย การทําเช่นนี้ เพื่อให้ คําตอบมาถึงมือผู้สอบบัญชีโดยตรง และป้องกันการเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยเจ้าหน้าที่ของ บริษัท วิธีการข้างต้นนี้เป็นสิ่งจําเป็น หากการควบคุมไม่ดีแล้ว หนังสือขอยืนยันอาจถูก แก้ไขก่อนส่งออกไป ไม่ส่งออกเลย ส่งไปยังตําบลที่อยู่อื่น หรือแก้ไขคําตอบที่ได้รับ ถ้าปล่อยให้ เป็นเช่นนี้แล้วผลในทางหลักฐานของเทคนิคข้อนี้ก็หมดไปด้วย การยืนยันยอดหนี้จะเป็นประโยชน์แก่งานสอบบัญชีเมื่อผู้สอบบัญชีสามารถ ประเมินผลของคําตอบที่ได้รับอย่างมีหลักเกณฑ์เท่านั้น รวมทั้งติดตามสอบสวนคําต อบที่มีข้อ ทักท้วงหรือคําตอบปฏิเสธให้ถึงที่สุดด้วย ข้อจํากัดคุณประโยชน์ของเทคนิคนี้ที่เห็นได้ง่ายก็คือ บุคคลภายนอกไม่ให้ความร่วมมือตอบยื นยันมาให้ผู้สอบบัญชีทราบ หรือระบบการส่งหนังสือ ทางไปรษณีย์ยังไม่ให้ผลสมบูรณ์เต็มที่ คําตอบที่ได้รับคิดเป็นร้อยละเทียบกับคําถาม ที่ ส่งออกไปนั้น เป็นจํานวนน้อยเกินสมควรแล้วย่อมหมดความหมายไป ข้อจํากัดคุณประโยชน์ที่ สําคัญที่ควรทราบอีกก็คือ การยืนยันยอดลูกหนี้ซึ่งนิยมปฏิบัติกันมากเป็นแต่เพียงพิสูจน์ว่า ลูกหนี้มีอยู่จริงเท่านั้น รวมทั้งช่วยให้ทราบถึงการทุจริตโดยวิ ธียักยอกเงินรับชําระหนี้ แต่การ ยืนยันยอดลูกหนี้ไม่ช่วยให้ทราบว่าบริษัทจะเก็บเงินจากลูกหนี้ได้หรือไม่เพียงไร หรือต้องตั้งค่า เผื่อหนี้สงสัยจะสูญเท่าใด ซึ่งจําเป็นต้องใช้เทคนิคอย่างอื่น 5. การตรวจสอบเอกสารสําคัญ รายการที่ลงไว้ในสมุดบัญชีทุกรายย่อมมีเอกสารสําคัญเป็นหลักฐาน เอกสารเหล่ านี้ ได้แก่ ใบกํากับสินค้า ใบเสร็จรับเงิน กรมธรรม์ประกันภัย สัญญาต่างๆ และใบสําคัญจ่าย เป็นต้น ผู้สอบบัญชีจึงอาจใช้เอกสารเหล่านี้พิสูจน์ความถูกต้องของรายการที่ลง ไว้ในสมุดบัญชี เช่น การตรวจสอบใบ สําคัญจ่ายกับรายการในสมุดเงินสด หรือตรวจสอบสําเนาบิลขายกับ รายการขายในสมุดรายวันขาย เป็นต้น เทคนิคนี้มักเรียกว่า การตรวจ Vouching ซึ่งสมัยก่อน ถือเป็นเรื่องสําคัญและใช้เวลาในการตรวจสอบมาก ในการตรวจสอบเอกสารใบสําคัญผู้สอบบัญชีพึงระมัดระวังดังนี้ ประเภทแรก เอกสารใบสําคัญที่ตรวจสอบเหล่านั้นเป็นของแท้มิใช่ปลอมแปลงขึ้น ประการที่สอง ต้องพอใจว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจของกิจการจริง มิใช่เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าหน้าที่บริษัท ประการที่สาม มีการอนุมัติในเอกสารใบสําคัญโดยผู้มีอํานาจสั่งอนุมัติ ประการที่สี่ ได้มีการลงรายการในสมุด
15 บัญชีถูกต้องหรือไม่ เช่น รายจ่ายค่าซ่อมแซมไม่ได้นําไปลงไว้ในบัญชีสินทรัพย์ ประการสุดท้าย กิจการได้รับสิ่งของหรือบริการโดยถูกต้องแล้วหรือไม่ การตรวจสอบเอกสารใบสําคัญอาจทําได้สองวิธีด้วยกัน วิธีแรก ในระยะเวลาหนึ่ง ระยะเวลาใดเป็นเกณฑ์แล้วตรวจสอบเอกสารใบสําคัญทั้งสิ้น หรือประเภทหนึ่งประเภทใดของ ระยะเวลานั้น เช่น ตรวจสอบใบสําคัญจ่ายเงินทั้งสิ้นสําหรับเดือนธันวาคม หรือตรวจสอบ ใบสําคัญประกอบรายการชําระหนี้ค่าสินค้าที่จ่ายในเดือนธันวาคม เป็นต้น วิธีที่สอง ตรวจสอบ เอกสารสําคัญประกอบบัญชีหนึ่งบัญชีใดโดยเฉพาะ เช่น การตรวจใบสําคัญประกอบในรายการ บัญชีเครื่องจักร เป็นต้น การตรวจสอบเอกส ารใบสําคัญนี้มีข้อจํากัดคุณประโยชน์อยู่ที่ว่า อาจมีการปลอม แปลงหรือแก้ไขโดยเจ้าหน้าที่บริษัทผู้ทุจริตได้ และในกรณีที่การควบคุมภายในไม่รัดกุม ขาด การแบ่งแยกหน้าที่อย่างเหมาะสม เจ้าหน้าที่คนหนึ่งคนใดซึ่งควบคุมงานหลายด้านอาจจัดทํา เอกสารใบสําคัญต่างๆ เพื่อปิดบังการทุจริตของตน ทําให้ผู้สอบบัญชีหลงผิดได้ง่าย นอกจากนั้น บางครั้งเอกสารที่ตรวจสอบไม่อาจแสดงถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องโดยแท้จริง เช่น เป็นสัญญาที่ไม่มีผลใช้ บังคับ หรือทะเบียนรถยนต์ที่ไม่มีตัวรถอยู่จริง เป็นต้น การตรวจสอบเอกสารใบสําคัญเพียง อย่างเดียวจึงยังไม่เพียงพอ ต้องใช้เทคนิคอย่างอื่นประกอบด้วย 6. การคํานวณ การคํานวณเป็นการพิสูจน์ความถูกต้องของตัวเลขในบัญชี ซึ่งถือเป็นหลัก ฐานที่ เชื่อถือได้มาก เช่น บวกเลข ในสมุดขั้นต้น คํานวณยอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภท คํานวณ และรวมยอดราคาสินค้าคงเหลือ คํานวณค่าเสื่อมราคาและหนี้สงสัยจะสูญ คํานวณโบนัส คํานวณค่าใช้จ่ายล่วงหน้า เป็นต้น ผู้สอบบัญชีซึ่งขาดความชํานาญมักไม่เห็นความสําคัญของการคํานวณหรือบวกเลข ด้วยตนเองในเมื่อผู้ทําบัญชีได้บวกเลขด้วยเครื่อง บวกเลขแล้ว แต่ผู้ ที่รู้จักการใช้เครื่องบวกเลข ย่อมทราบว่ายอดรวมที่แสดงไว้ในกระดาษบวกเลขอาจไม่ใช่ยอดที่ถูกต้องก็ได้ ข้อจํากัดคุณประโยชน์ของเทคนิคนี้ก็คือ การคํานวณตัวเลขพิสูจน์แต่เพียงว่า ผลลัพธ์ที่ได้ถูกต้องหรือไม่ แต่มิได้พิสูจน์แหล่งที่มา ของตัวเลข เช่น การคํานวณหนี้สงสัย จะสูญ ไม่ใช่เป็นการพิสูจน์ว่าการวิเคราะห์อายุหนี้ถูกต้อง หรือการคํานวณค่าเสื่อมราคาจะให้ผลลัพธ์ ถูกต้องก็ต่อเมื่อได้มีการตรวจสอบยอดสินทรัพย์ถาวรได้ถูกต้องโดยใช้เทคนิคอื่นแล้วราคาทุ น
16 ของสินค้า ได้แก่ วิธีเข้าก่อน ออกก่อน วิธีเข้าหลังออกก่อน วิธีราคาเฉพาะของสินค้าแ ต่ละชิ้น วิธีต้นทุนมาตรฐาน วิธีถัวเฉลี่ย วิธีคํานวณโดยใช้ราคาขายปลีก เป็นต้น นโยบายการบัญชี สําหรับ สินค้าคงเหลือนี้จะต้องถือปฏิบัติโดยสม่ําเสมอ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการ บัญชีอันก่อให้เกิดผลกระทบต่องบการเงินเป็นจํานวนเงินมาก ให้เปิดเผยการเปลี่ยนแปลง ดังกล่าว และผลกระทบต่อกําไรสุทธิประจําปีไว้ด้วย กรณีที่ตีราคาสินค้าคงเหลือในราคาสูงกว่า ทุน เช่น โลหะ มีราคาตลาดกําหนดไว้แน่นอน เป็นต้น ให้เปิดเผยข้อเท็จจริงไว้ด้วย สินค้าคงเหลือซึ่งใช้เป็นหลักประกันหนี้สิน ต้องแจ้งภาระผูกพันดังกล่าวไว้เป็น หมายเหตุประกอบงบการเงินด้วย ในกรณีที่บริษัทมีข้อผูกพันซื้อหรือขายสินค้าในภายหน้า อันจะทําให้เกิดผลขาดทุน โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เป็นจํานวนเงินมากแล้ว ให้บันทึกผลขาดทุนดังกล่าวโดยแยกแสดงเป็น รายการหนึ่งในงบกําไรขาดทุนด้วย อัญชนา เหมวงศ์กุล (2552) กล่าวถึงวิธีการได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชีไว้ ดังนี้ การรวบรวมหลักฐานและประเมินข้อสรุปจากหลักฐานการสอบบัญชีเป็นหัวใจสําคัญ ของการตรวจสอบเนื่องจากผู้สอบบัญชีจะใช้ผลจากการประเมินหลักฐานเป็นเกณฑ์ในการแสดง ความเห็นในรายงานผู้สอบบัญชี มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 500 เรื่อง หลักฐานการสอบบัญชี กล่าวถึงวิธีการปฏิบัติ เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชีว่าอาจได้มาโดยใช้วิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีดังต่อไปนี้ 1. การตรวจ (Inspection) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1.1 การตรวจบันทึกทางการบัญชี และเอกสาร ได้แก่ การตรวจสอบใบสําคัญ เป็นการตรวจสอบรายการจากบันทึกทางการบัญชี กับเอกสารใบสําคัญ เช่น การตรวจรายการ ขายในสมุดรายวันขายกับใบกํากับสินค้า การตรวจรายการซื้อทรัพย์สินในทะเบียนคุมสินทรัพย์ กับสัญญาซื้อขายทรัพย์สินและใบเสร็จรับเงินจากผู้ขาย เป็นต้น และการติดตามรายการ เป็น การตรวจสอบเอกสา รตามรายการที่สุ่มขึ้นมาว่ามีสาระสําคัญเพื่อติดตามว่ามีการบันทึกบัญชี และผ่านรายการไปบัญชีแยกประเภททั่วไปหรือไม่
17 1.2 การตรวจสินทรัพย์ที่มีตัวตน เป็นการตรวจนับทางกายภาพให้หลักฐาน เกี่ยวกับความมีอยู่จริง แต่ไม่ได้แสดงถึงความเป็นเจ้าของ หรือมูลค่าของสินทรัพย์นั้น เช่ น การ ตรวจนับรถยนต์เป็นเพียงหลักฐานว่ารถยนต์มีอยู่จริงแต่มิได้ให้หลักฐานว่ากิจการเป็นเจ้าของ รถยนต์คันนั้น ต้องใช้วิธีการตรวจสอบอื่นเพิ่มเติมในการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ เช่น การตรวจ ทะเบียนรถยนต์ สัญญาซื้อขายหรือสัญญาเช่าซื้อ เพื่อให้ได้หลักฐานในเรื่องสิทธิแ ละภาระ ผูกพันของสินทรัพย์นั้น 2. การสังเกตการณ์ (Observation) การสังเกตการณ์ ประกอบด้วย การดูขั้นตอน หรือวิธีการปฏิบัติงานโดยบุคคลอื่น ผู้สอบบัญชีอาจใช้การสังเกตการณ์ในทุกขั้นตอนของการตรวจสอบ เช่น การสังเกตการณ์ การตรวจนับสินค้าคงเหลือของพนักงานของกิจการ การเยี่ยมชมโรงงานเพื่อดูกระบวนการผลิต การสังเกตการณ์ปฏิบัติตามระบบการควบคุมภายในของพนักงานของกิจการ เป็นต้น การสังเกตการณ์อาจไม่ให้หลักฐานที่สมบูรณ์ในตัวเอง หลักฐานที่ได้จากการสังเกตคือ การจด บันทึกของผู้สอบบัญชีในกระดาษทําการในเรื่องที่เป็นสาระสําคัญที่ได้จากการสังเกตหลักฐานที่ ได้เป็นเพียงหลักฐานประกอบ ดังนั้นผู้สอบบัญชีจึงควรหาหลักฐานอื่นเพิ่มเติม เช่น ผู้สอบบัญชี สังเกตเห็นว่ามีสินค้าคงเหลือล้าสมัยจากการสังเกตการณ์การตรวจนับสินค้าคงเหลือผู้สอบบัญชี ควรหาหลักฐานเพิ่มเติมโดยอาจสอบถามผู้บริหารเกี่ยวกับการจัดการสินค้าคงเหลือดังกล่าว 3. การสอบถาม (Inquiry) การสอบถาม ประกอบด้วย การหาข้อมูลจากบุคคลที่มีความรู้ทั้งภายในและ ภายนอกกิจการ ซึ่งอาจสอบถามด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร การสอบถามเจ้าหน้าที่ของ กิจการอาจทําให้ผู้สอบบั ญชีทราบเรื่องราวต่างๆ ได้มาก คําตอบที่ได้รับอาจทําให้ผู้สอบบัญชี พบข้อมูลที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือได้ข้อมูลประกอบหลักฐานการสอบบัญชี การสอบถามบางครั้ง อาจไม่ได้ให้หลักฐานที่สมบูรณ์ ดังนั้นผู้สอบบัญชีต้องหาหลักฐานการสอบบัญชีอื่นเพิ่มเติมเพื่อ สนับสนุนคําตอบที่ได้รับ เช่น ผู้สอบบัญชีอาจทําหนังสือสอบถามทนายเกี่ยวข้องคดีความ ฟ้องร้อง ร่วมกับการสอบถามผู้บริหารของกิจการ 4. การขอคํายืนยัน (Confirmation) การขอคํายืนยัน ประกอบด้วย การขอคําตอบข้อสอบถามเพื่อยืนยันข้อมูลที่มีอยู่ใน การบันทึกบัญชีโดยทั่วไปผู้ให้คํายืนยันมักเป็นบุคคลภายนอกที่มีความเป็นอิสระ ดังนั้น
18 การขอคํายืนยันจึงมีความน่าเชื่อถือมากกว่าหลักฐานที่มีการจัดทําขึ้นภายในกิจการ เช่น การส่งหนังสือขอคํายืนยันยอดลูกหนี้ การขอข้อมูลจากธนาคาร เป็นต้น การขอคํายืนยันยอด ควรให้ผู้บริหารของกิจการเป็นผู้จัดทําหนังสือยืนยันยอดเนื่องจากเป็นผู้รับผิดชอบต่อข้อมูลของ กิจการ โดยผู้สอบบัญชีจะเป็นผู้ส่งหนังสือยืนยันด้วยตนเอง หรือควบคุมการจัดส่ง หนังสือยืนยันยอดไปยังบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องและควรส่งซองให้ตอบกลับมายังผู้สอบบัญชี โดยตรง 5. การคํานวณ (Calculation) การคํานวณ ประกอบด้วย การตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขในเชิงคํานวณใน เอกสารเบื้องต้นและบันทึกทางการบัญชี หรือการทดสอบการคํานวณโดยอิสระ เช่น การ ทดสอบการบวกเลขในรายละเอียดสินค้าคงเหลือ การทดสอบการคํานวณค่าเสื่อมราคา การ บวกเลขในสมุดรายวัน เป็นต้น หลักฐานที่ได้จะเป็นผลพิสูจน์ความถูกต้องของการคํานวณ ตัวเลขตามบัญชี หรือตามรายละเอียดต่างๆ แต่ไม่ได้พิสูจน์แหล่งที่มาของตัวเลขนั้น 6. การวิเคราะห์เปรียบเทียบ (Analytical Procedure) การวิเคราะห์เปรียบเทียบ ประกอบด้วย การวิเคราะห์อัตราส่วนและแนวโน้มที่ สําคัญ รวมทั้งการตรวจสอบผลของการเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อมูล ที่เกี่ยวข้องอื่น หรือเบี่ยงเบนไปจากจํานวนที่คาดการณ์ไว้ เช่น การวิเคราะห์เปรียบเ ทียบ ยอดขาย ต้นทุนขาย กําไรขั้นปีปัจจุบันเปรียบเทียบกับปีก่อน เป็นต้น การวิเคราะห์เปรียบเทียบ มุ่งให้ได้หลักฐานเบื้องต้นว่ามีรายการผิดปกติ หรือข้อมูลที่ไม่สัมพันธ์กัน บ้าง ดังนั้นจึงเป็นเพียง วิธีการที่ไม่ใช่ผลลัพธ์ ผู้สอบบัญชีต้องใช้วิธีการตรวจสอบอื่นเพื่อให้ไ ด้ข้อสรุปว่าข้อมูลที่ผิดปกติ หรือไม่สัมพันธ์กันนั้นมีผลกระทบต่องบการเงินอย่างไร สุรีย์ ดารารัตน์ทวี (2542) ได้กล่าวถึงวิธีการได้มาซึ่งหลักฐานทางการควบคุม 1. สอบถามและขอคํารับรอง 2. สังเกตการณ์ 3. วิเคราะห์ความผิดปกติของรายการในงบการเงิน
19 4. การทํา Walkthrough Test 5. การทํา System Update 6. การ Test Data Techniques กรณีกิจการใช้คอมพิวเตอร์ 7. ตรวจสอบรายการบัญชี และยอดคงเหลือ เน้นที่การควบคุม เช่น ยอดรวมลูกหนี้ รายตัวตรงกับบัญชีแยกประเภทหรือไม่ ความเพียงพอของหลักฐาน อัญชนา เหมวงศ์กุล (2552) กล่าวว่า ความเพียงพอของหลักฐาน หมายถึง ปริมาณ ของหลักฐานที่รวบรวมในแต่ละกรณีว่าจะต้องให้ได้หลักฐานมากน้อยเพียงใด จึงจะเป็นไปตาม วัตถุประสงค์แล้วจึงหยุดการรวบรวมได้ ความเพียงพอของหลักฐานการสอบบัญชีกําหนดได้ จากปริมาณหลักฐานการสอบบัญชีหรือขนาดตัวอย่างที่ผู้สอบบัญชีเลือกจากประชากรเพื่อทํา การทดสอบเพื่อให้ได้หลักฐานที่เพียงพอที่จะใช้พิสูจน์ความถูกต้องของยอดคงเหลือในบัญชี วิธีการตรวจสอบสินทรัพย์ การตรวจสอบสินค้าคงเหลือ สมพงษ์ พรอุปถัมภ์ (2545) กล่าวว่า สินค้าคงเหลือเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนอีกรายการ หนึ่งในงบดุลที่กิจการมีไว้เพื่อขาย โดยทั่วไปกิจการซื้อมาขายไปจะมีสินค้าสําเร็จรูปซึ่งระบบ การควบคุมส่วนใหญ่จะอยู่ที่การเสนอซื้อ การสั่งของ การรับของ การจ่ายชําระหนี้ นอกจากนี้จะ มีการคิดต้นทุนทั้งหมดที่นําให้ สินค้านั้นพร้อมที่จะขาย การตรวจนับจํานวนและตรวจสอบ คุณภาพสินค้า รวมทั้งการตีราคาตามที่กําหนดโดยหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป โดยทั่วไปการ ตรวจสอบบัญชีสินค้าคงเหลือนั้นสามารถทําได้ดังนี้ 1. การกระทบยอดรายละเอียดสินค้าคงเหลือกับบัญชีแยกประเภท 1.1 วัตถุประสงค์
20 1.1.1 ความถูกต้อง ขอรายละเอียดสินค้าคงเหลือ ณ วันสิ้นงวดบัญชี มาทดสอบการบวกเลขและ เปรียบเทียบยอดรวมกับยอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภทสินค้ารวมทั้งบัญชีแยกประเภทย่อย เพื่อให้มั่นใจว่าบัญชีคุมยอดคงเหลือเท่ากับรายละเอียดและบัญชีแยกประเภทย่อยซึ่งเป็น การควบคุมภายในเบื้องต้นที่ดีอย่างหนึ่งของกิจการ ถ้ามีผลต่างให้ทําการกระทบยอด หาสาเหตุ และอาจทํารายการปรับปรุง 2. การประเมินการวางแผนตรวจนับสินค้าคงเหลือของกิจการ 2.1
วัตถุประสงค์ 2.1.1 ความมีอยู่จริง 2.1.2 ความครบถ้วน 2.1.3 สิทธิและภาระผูกพัน 2.1.4 การตีราคา
การตรวจนับสินค้าคงเหลือของกิจการนั้นเพื่อเป็นการตรวจสอบความมีอยู่จริงของ สินทรัพย์และสภาพของสินค้าคงเหลือเพื่อพิจารณาการล้าสมัย เสื่อมคุณภาพหรือหมดอายุ เพื่อ ประกอบการตั้งสํารองสินค้าและวางแผนทางการตลาดต่อไป ในการตรวจนับสินค้าคงเหลือ โดยทั่วไปนั้นมี 2 วิธี 1. การตรวจนับสินค้าคงเหลือเมื่อสิ้นงวด Periodic Count เป็นการตรวจนับสินค้าคงเหลือเมื่อสิ้นงวดเพียงหนึ่งครั้ง ซึ่งอาจเป็นช่วงใกล้วัน ก่อนปิดบัญชีหรือหลังปิดบัญชีก็ได้ การตรวจนับวิธีนี้เหมาะกับกิจการที่มีปริมาณสินค้าคงเหลือ ที่สามารถตรวจนับได้เสร็จภายในเวล าไม่กี่วันและสามารถหาสาเหตุของผลแตกต่างได้ทันเวลา โดยจะทําการตรวจนับสินค้าคงเหลือทุกชนิด
21 2. การตรวจนับสินค้าคงเหลือแบบต่อเนื่อง Continuous Count/Cycle Count เป็นการตรวจนับสินค้าคงเหลือที่ใช้ในกิจการที่มีสินค้าเป็นจํานวนมาก เช่น กิจการประเภทขายสินค้าอุปโภค ซึ่งอาจจะไม่สามารถตรวจนับทั้งหมดในคราวเดียวเมื่อวันสิ้น งวดและไม่อาจหาสาเหตุของผลแตกต่างได้ทันเวลา จึงทําให้ต้องมีการตรวจนับระหว่างงวด บัญชีด้วย วิธีนี้ทําได้โดยการจัดกลุ่มหรือประเภทสินค้าคงเหลือที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงกันไว้ และพิจารณาตรวจนับสินค้าแต่ละกลุ่มห รือหลายกลุ่มหมุนเวียนกันไปในแต่ละครั้งจนครบทุก ประเภท วิธีนี้จะทําให้กิจการสามารถหาสาเหตุของผลแตกต่างได้ทันเวลา ไม่ต้องรอ ถึงวันสิ้นงวดบัญชี ในการวางแผนการตรวจสอบนับสินค้าคงเหลือของกิจการนั้นมีสิ่งที่ผู้สอบบัญชีควร พิจารณาดังนี้ 1. การเลือกวัน เวลา ที่ทําการตรวจนับและวันที่ประชุมการตรวจนับ เพื่อผู้สอบ บัญชีจะได้วางแผนกําลังคนและควรเข้าร่วมประชุมกับกิจการด้วยเสมอ 2. สถานที่จัดเก็บสินค้าคงเหลือ และการจัดเก็บ โดยมีการแยกสินค้าเป็นหมวดหมู่ และสะดวกต่อการตรวจนับ รวมทั้งแยกสินค้าที่ล้าสมัย เสื่อมคุณภาพหรือหมดอายุ หรือสินค้า ฝากขายจากกิจการอื่นออกไว้ต่างหากด้วย 3. กระบวนการตรวจนับและวิธีการควบคุม กิจการควรกําหนดกระบวน การ ตรวจนับว่าจะนับอย่างไร ใช้วิธีกับสินค้าชนิดใด นับกี่ครั้ง ถ้ามีผลแตกต่างจะทําอย่างไรระดับ ของผลแตกต่างที่ยอมรับได้ ระหว่างการตรวจนับควรหยุดการเคลื่อนย้ายสินค้าคงเหลือทุกชนิด และหยุดผลิตสําหรับกิจการอุตสาหกรรม การควบคุมการตรวจนับวิธีหนึ่งที่นิยมใช้คือการใช้ ป้ายตรวจนับสินค้า โดยจะพิมพ์เลขที่ล่วงหน้าและบันทึกการเบิกใช้โดยผู้รับผิดชอบ เมื่อการ ตรวจนับเสร็จสิ้นก็จะต้องนํามาคืน ให้ครบถ้วนทั้งป้ายที่ใช้แล้วและยังไม่ได้ใช้เพื่อป้องกัน การ ไม่ได้นับหรือนับซ้ํา 4. คณะผู้รับผิดชอบและผู้เชี่ยวชาญ คณะผู้รับผิดชอบอาจมาจากแผนกต่างๆ กัน โดยแบ่งเป็นทีม อย่างน้อยทีมละสองคนเพื่อเป็นการตรวจสอบซึ่งกันและกัน (ควรมาจากคนละ แผนก) ทั้งนี้ไม่ควรให้พนักง านคลังสินค้าเป็นผู้รับผิดชอบการนับทั้งหมดเพื่อป้องกันการปิดบัง และยักยอกสินค้า แต่ควรให้เป็นผู้ให้ข้อมูลสินค้าแก่ผู้ตรวจนับเช่น รุ่น ประเภท หน่วยนับ
22 สภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ สินค้าบางชนิดอาจจําเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาสภาพ หรือมูลค่า เช่น อัญมณี แร่ธาตุต่างๆ เป็นต้น 5. รายละเอียดของสินค้าที่จะตรวจนับ ซึ่งระบุเลขรหัส ชื่อ ชนิด ปริมาณ หน่วยนับ สถานที่เก็บ ผู้รับผิดชอบในสินค้าแต่ละชนิด รายการสินค้าที่กิจการฝากไว้กับผู้อื่น และรายการ สินค้าที่กิจการอื่นฝากขายกับกิจการไว้ 6. จัดทําคู่มือหรือคําแนะนําในการตรวจนับสิน ค้าคงเหลือ และแจกจ่ายให้ผู้ที่ เกี่ยวข้องในวันประชุมวางแผนตรวจนับสินค้าคงเหลือ 3. การสังเกตการณ์การตรวจนับสินค้าคงเหลือ 3.1
วัตถุประสงค์ 3.1.1 ความมีอยู่จริง 3.1.2 ความครบถ้วน 3.1.3 สิทธิและภาระผูกพัน 3.1.4 การตีราคา
3.2 วิธีสังเกตการณ์การตรวจนับสินค้าคงเหลือ ผู้สอบบัญชีควรเข้าร่วมสัง เกตการณ์การตรวจนับสินค้าคงเหลือ การ สังเกตการณ์ ไม่ใช่การเข้าไปตรวจนับหรือควบคุมการตรวจนับแทนกิจการลูกค้า ในการ สังเกตการณ์นั้น ผู้สอบบัญชีควรสุ่มตรวจนับหรือควบคุมการตรวจนับแทนกิจการลูกค้า ในการ สังเกตการณ์นั้นผู้สอบบัญชีควรสุ่มตรวจนับสินค้าเหลือบางรายการที่มีสาระสําคัญและจดบันทึก ไว้ในกระดาษทําการเพื่อเปรียบเทียบในภายหลังกับจํานวนในรายการสรุปผลการตรวจนับสินค้า คงเหลือโดยกิจการ จดบันทึกนั้นควรจดเลขที่ป้ายตรวจนับ รหัสสินค้า ชื่อ หน่วยนับ ปริมาณ และสถานที่เก็บ ถ้าตรวจนับแล้วได้ผลแตกต่างจากการต รวจนับของกิจการ ควรมีการนับใหม่ และสาเหตุของความแตกต่างนั้น นอกจากนี้ ผู้สอบบัญชีควรจดบันทึกรายละเอียดของสินค้าที่ ล้าสมัย เสื่อมคุณภาพและหมดอายุ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาตั้ งสํารองเผื่อสินค้าดังกล่าว
23 ด้วย ในการสุ่มตรวจนับสินค้าคงเหลือนั้นผู้สอบบัญชีอาจจะใช้วิธี การเลือกตัวอย่างจาก รายละเอียดสินค้าคงเหลือ แล้วไปตรวจนับสินค้าจริงและอาจจะใช้วิธีการสุ่มเลือกจากสินค้า คงเหลือจริงกลับไปหารายละเอียดสินค้าคงเหลือจริง เพื่อให้มั่นใจในเรื่องความครบถ้วนว่าสินค้า คงเหลือที่เห็นทุกรายการได้ถูกรวมอยู่ในรายละเอียดสินค้าคงเหลือแล้ ว และให้มั่นใจในความ ความมีอยู่จริงว่ารายละเอียดสินค้าที่แสดงอยู่นั้นมีสินค้าคงเหลืออยู่จริง กรณีที่กิจการมีการฝากสินค้าไว้ที่คลังสินค้าของกิจการอื่น ผู้สอบบัญชีควร ใช้วิธีการยืนยันยอดไปยังกิจการนั้นโดยตรง นอกเหนือจากการที่ตรวจสอบเอกสารการรับฝาก สินค้าหรือสัญญาการฝากสินค้าแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าจํานวนสินค้านั้นมีสาระสําคัญหรือมีความ ผิดปกติ ผู้สอบบัญชีควรเข้าไปสังเกตการณ์ตรวจนับ ณ คลังสินค้าแห่งนั้นด้วย ผู้สอบบัญชีควรสังเกตด้วยว่าการตรวจนับสินค้าคงเหลือนั้นเป็นไปตาม กระบวนการ และการควบคุมในคําแนะนําที่ได้กําหนดในการประชุมวางแผนหรือไม่ เพื่อ พิจารณาความน่าเชื่อถือของการตรวจนับสินค้าโดยรวม เมื่อกิจการตรวจนับสินค้าเสร็จสิ้น จะต้องมีการเก็บรวบรวมป้ายตรวจนับสินค้าคืนมาทั้งหมด และสรุปผลการตรวจสอบเพื่อตรวจ นับจริงน้อยกว่าที่บันทึกบัญชีไว้ นอกจากจะต้องปรับปรุงรายการแล้ว กิจการยังต้องยื่นภาษี ขายสําหรับจํานวนสินค้าที่ขาดไปด้วยราคาตลาด ณ วันที่ตรวจนับสินค้านั้น ในกรณีที่ผู้สอบบัญชีได้รับแต่งตั้งให้ตรวจสอบกิจการในปีแรก ผู้สอบบัญชี ต้องพิจารณายอดสินค้าคงเหลือยกมาต้นงวด เนื่องจากจะกระทบต่อต้นทุน ขายและกําไรสุทธิใน งบกําไรขาดทุนสิ่งที่ผู้สอบบัญชีควรทําคือการสอบทานกระดาษทําการของผู้สอบบัญชีคนก่อน และทําการทดสอบดังนี้ (1) ศึกษาวิธีการตีราคาสินค้าคงเหลือ (2) สอบทานบัญชีสินค้าคงเหลือ (3) สอบทานกระดาษทําการตรวจนับสิ นค้าคงเหลือโดยผู้สอบบัญชีคน ก่อน (4) เปรียบเทียบยอดสินค้าคงเหลือต้นงวดและปลายงวด แยกตาม ประเภทสินค้า
24 ถ้าผู้สอบบัญชีไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากการสอบทานกระดาษแล้ว จะต้องทํา การทดสอบเพิ่มเติมดังนี้ (1) ประชุม ปรึกษาหารือกับผู้รับผิดชอบของกิจการที่กํากับดูแลการตรวจ นับสินค้าปีก่อน (2) ศึกษาคู่มือและคําแนะนําการตรวจนับสินค้าคงเหลือ (3) เปรียบเทียบยอดที่ตรวจนับในป้ายสินค้ากับรายการสรุปผลการตรวจ นับที่อนุมัติโดยผู้บริหารแล้ว (4) ทดสอบรายการรับและจ่ายสินค้าคงเหลือระหว่างงวดกับใบรับสินค้า และใบเบิกสินค้าหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง (5) วิเคราะห์เปรียบเทียบสินค้าคงเหลือต้นงวดกับยอดขาย อัตรากําไร ขั้นต้น อัตราหมุนเวียนสินค้า เพื่อความสมเหตุผล ในกรณีที่ผู้สอบบัญชีได้รับการแต่งตั้งให้ตรวจสอบบัญชีหลังวันสิ้นงวดบัญชี ทําให้ไม่สามารถเข้าร่วมสังเกตการณ์การตรวจนับสินค้าคงเหลือได้ ผู้สอบบัญชีต้องใช้ กระบวนการตรวจสอบอื่น เพื่อให้ได้หลักฐานที่น่าเชื่อถือประกอบการแสดงความเห็น ทั้งนี้ ผู้สอบบัญชีควรจะปฏิบัติดังนี้ (1) การควบคุมภายในสินค้าคงเหลือ (2) การบันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือ (3) คําแนะนําการตรวจนับและหลักฐานการตรวจนับที่แสดงว่าได้มีการ ปฏิบัติตามคําแนะนํานั้น (4) ทําการสุ่มตรวจนับสินค้าคงเหลือหลังวันสิ้นงวดบัญชีและกระทบยอด กลับไปหายอดคงเหลือ ณ วันสิ้นงวดบัญชี กับเอกสารการรับสินค้าและเบิกสินค้าที่เกี่ยวข้อง
25 3.3 การทําลายสินค้าคงเหลือ ในบางครั้งกิจการอาจจะมีการทําลายสินค้าคงเหลือเนื่องจากสินค้านั้นชํารุด เสียหาย เสื่อมคุณภาพหรือหมดอายุ กิจการก็ต้องมีการทําลายสินค้าคงเหลือนั้นไป กรณีที่ กิจการมีการทําลายสินค้าคงเหลือนั้น ผู้สอบควรปฏิบัติดังนี้ 3.3.1 ได้รับจดหมายแจ้งการทําลายสินค้าคงเหลือและรายละเอียด สินค้าที่ จะทําลายจากกิจการซึ่งต้องส่งถึงผู้สอบบัญชีและเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรไม่ต่ํากว่า 1 เดือนก่อน วันทําลายจริง 3.3.2 นัดวันเวลาและสถานที่ทําลายกับกิจการให้เรียบร้อย ศึกษา รายละเอียดสินค้าที่จะทําลายและวิธีการทําลาย ท ดสอบคูณและบวกเลขในรายละเอียดและ เปรียบเทียบยอดที่แจ้งกรมสรรพากร 3.3.3 เข้าร่วมสังเกตการณ์ทําลายสินค้าคงเหลือและสุ่มตรวจนับและจด บันทึกไว้ สุ่มตรวจจากรายละเอียดสินค้าที่จะทําลายจริง และสุ่มตรวจจากสินค้าที่จะทําลายจริง กลับไปหารายละเอียดสินค้า 3.3.4 ประเมินวิธีการทําลายสินค้าเพื่อมั่นใจว่ากิจการจะไม่สามารถนํา สินค้านั้นไปขายหรือใช้ต่อได้ ในกรณีที่มีการทําลายสินค้ามากกว่า 1 วัน ผู้สอบบัญชีอาจ พิจารณาวางแผนเพิ่มผู้ช่วยและถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานด้วย 3.3.5 ผู้สอบบัญชีควรทํารายงานสรุปถึงการทําลายสินค้า เช่น รายละเอียดสิ นค้า วิธีการทําลาย และผลการทําลาย เพื่อเป็นหลักฐานประกอบ การลงนามใน ฐานะพยานในรายงานของกิจการลูกค้าที่ส่งให้สรรพากร 3.3.6 ผู้สอบบัญชีควรทดสอบต้นทุนต่อหน่วยของสินค้าที่ทําลายด้วย เพื่อให้ ความมั่นใจในความถูกต้องของมูลค่าโดยรวม ซึ่งอาจตรวจสอบกับเอกสารกา รซื้อและ ทดสอบตามวิธีคํานวณราคาทุนของกิจการ 3.3.7 การที่กิจการแจ้งกรมสรรพากรและผู้สอบบัญชีแล้ว กิจการจะไม่ต้อง ยื่นภาษีขายสําหรับสินค้าที่ทําลายไปและสามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีและภาษีได้ แม้ว่าเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรจะไม่เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วยก็ตาม
26 4. การสอบทานการตัดยอดสินค้าคงเหลือ 4.1
วัตถุประสงค์ 4.1.1 ความมีอยู่จริง 4.1.2 ความครบถ้วน 4.1.3 สิทธิและภาระผูกพัน 4.1.4 ความถูกต้อง
ในการเข้าร่วมสังเกตการณ์การตรวจนับสินค้าคงเหลือ ผู้สอบบัญชีควรทําการจด บันทึกรายละเอียดการรับสินค้าและการเบิกสินค้าก่อนและหลังวันสิ้นงวดบัญชี รายละเอียดนั้น ได้แก่ เลขที่ใบรับสินค้าและใบส่งของใบสุดท้ายของปีที่ตรวจสอบและใบแรกของปีถัดไป เพื่อ นํามาตรวจสอบการตัดยอดซื้อและยอดขายในภายหลัง 5. การตรวจสอบมูลค่าของสินค้าคงเหลือ 5.1
วัตถุประสงค์ 5.1.1 การตีราคา
ผู้สอบบัญชีควรนํารายการสินค้าที่ได้สุ่มตรวจนับระหว่างเข้าสังเกตการณ์มา ทดสอบราคาทุนต่อหน่วยของสินค้านั้น (และอาจเลือกตัวอย่างเพิ่มเติม ) โดยต้องพิจารณา วิธีการคํานวณราคาทุนของสินค้าคงเหลือว่าใช้วิธีใด เช่น เข้าก่อนออกก่อน ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ําหนัก เป็นต้น แล้วตรวจสอบกับเอกสารประกอบการซื้อ เช่น ใบกํากับสินค้า ใบรับสินค้า สัญญาซื้อ ผู้สอบบัญชี ควรพิจารณานโยบายการบัญชีสําหรับสิ นค้าคงเหลือด้วย เช่น วิธีการ คํานวณ ราคาทุนและตีราคาสินค้าคงเหลือนั้นเป็นไปตามหลักการบัญชี และปฏิบัติเช่นเดียวกับ ปีก่อนหรือไม่ การตีราคาสินค้าคงเหลือตามมาตรฐานการบัญชีนั้นใช้หลักตีราคาทุนหรือมูลค่าที่ คาดว่าจะได้รับแล้วแต่วิธีใดจะต่ํากว่า โดยอาจจะตีราคาเป็นรายสินค้าหรือประเภทสินค้าก็ได้ แต่ถ้าเลือกอย่างใดแล้วก็ต้องปฏิบัติอย่างสม่ําเสมอ
27 6. การวิเคราะห์เปรียบเทียบ 6.1
วัตถุประสงค์ 6.1.1 ความครบถ้วน 6.1.2 การตีราคา
ผู้สอบบัญชีควรใช้การวิเคราะห์เปรียบเทียบควบคู่ไปกับการตรวจสอบวิธีอื่นด้วย การวิเคราะห์เปรียบเทียบนั้นได้แก่ การเปรียบเทียบสินค้าคงเหลือแต่ละประเภทหรือกลุ่ม ระหว่างปีที่ตรวจสอบกับปีก่อนเพื่อดูว่ารายการใดเพิ่มหรือลดอย่างผิดปกติหรือไม่ การใช้ อัตราส่ วนการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ และอัตรากําไรขั้นต้น เพื่อดูว่ามีความผันผวนจากปี ก่อนหรือไม่ ทั้งนี้จะสัมพันธ์กับต้นทุนขายจึงควรพิจารณาควบคู่ไปกับองค์ประกอบของต้นทุน ขายด้วยว่าจัดจําแนกรายการที่เป็นต้นทุนได้ถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้ อัตราส่วนการหมุนเวียน ของสินค้ าคงเหลือที่ลดลงอาจเป็นสัญญาณที่บอกถึงสินค้าล้าสมัยที่ต้องตั้งสํารองเผื่อสินค้า ล้าสมัยหรือการตีราคาสินค้าคงเหลือได้ ทั้งนี้ กิจการที่ตรวจสอบอาจมีการจัดทํางบประมาณหรือ การวิเคราะห์ตัวเลขเหล่านี้อยู่แล้ว ซึ่งผู้สอบบัญชีอาจนํามาใช้ประกอบการวิเคราะห์เพิ่มเติมได้ เช่นกัน 7. การเปิดเผยและการแสดงรายการ 7.1
วัตถุประสงค์ 7.1.1 การแสดงรายการและเปิดเผยข้อมูล
ผู้สอบบัญชีควรรวบรวมหลักฐานเพื่อให้ทราบถึงการนําสินค้าคงเหลือไปค้ําประกัน เพื่อนําไปเปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ซึ่งอาจได้จากการส่งหนังสือยืนยันยอดเงิน ฝากธนาคารถ้ากิจการนําไปค้ําประกันเงินกู้ยืม การสอบถามจากผู้บริหาร การสอบทานเอกสาร สัญญา รายงานการประชุม นอกจากนี้ผู้สอบบัญชีควรพิจารณานโยบายเกี่ยวกับสินค้าคงเหลือ ดังที่กล่าวข้างต้นประกอบกับการเปิดเผยมูลค่าสินค้าคงเหลือและสํารองต่างๆ ที่บันทึกไว้
28 สุรีย์ ดารารัตน์ทวี (2542) และ อัญชนา เหมวงศ์กุล (2552) ได้ให้ วิธีการตรวจสอบ สินค้าคงเหลือซึ่งสอดคล้องกันว่า สินค้าคงเหลือ หมายถึง ทรัพย์สินที่ซึ่งมีไว้เพื่อขายตาม ลักษณะการประกอบธุรกิจโดยปกติหรืออยู่ในระหว่างกระบวนการผลิตเพื่อให้เป็น สินค้าสําเร็จรูปเพื่อขาย หรือมีไว้เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าหรือได้บริการจากคํานิยามดังกล่าว สินค้าคงเหลือประกอบด้วยสินค้าสําเร็จรูป งานระหว่างทํา วัตถุดิบและวัสดุโรงงาน สินค้าคงเหลือเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนประเภทหนึ่ง ราคาทุนของสินค้าประกอบด้วยราคาซื้อ และค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ทําให้สินค้าอยู่ในสภาพและสถานที่ที่พร้อมจะขายได้ วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบสินค้าคงเหลือ 1. สินค้าคงเหลือในวันสิ้นปีมีอยู่จริง และเป็นกรรมสิทธิ์ของกิจการ 2. สินค้าคงเหลือตีราคาตามหลักเกณฑ์และวิธีการบัญชีที่ถูกต้องตามหลักการบัญชีที่ รับรองทั่วไปและได้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับปีก่อนหรือไม่ 3. สินค้าคงเหลือ แสดงตามราคาทุนหรือมูลค่าสุทธิที่จะได้รับแล้วแต่ราคาใดจะต่ํากว่า 4. สินค้าคงเหลือแสดงรายการและเปิดเผยข้อมูลในงบการเงินอย่างถูกต้องครบถ้วน วิธีการตรวจสอบสินค้าคงเหลือ 1. วิเคราะห์เปรียบเทียบสินค้าคงเหลือปีปัจจุบันกับปีก่อน ผู้สอบบัญชีควรวิเคราะห์ เปรียบเทียบสินค้าคงเหลือแต่ละประเภทและหาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญระหว่างงวด บัญชีปัจจุบันกับงวดก่อน การวิเคราะห์เปรียบเทียบในบัญชีสินค้าคงเหลืออาจทําให้ผู้สอบบัญชี ค้นพบสิ่งผิดปกติและจําเป็นต้องใช้วิธีการตรวจสอบอื่นหรือขยายขอบเขตของการตรวจสอบ ต่อไป เช่น การเปรียบเทียบอั ตรากําไรขั้นต้นปีปัจจุบันกับปี ก่อนเพื่อดูว่าใกล้เคียงกับกําไรที่ตั้ง ไว้หรือไม่ หากต่างกันมากผู้สอบบัญชีต้องตรวจสอบให้ทราบถึงสาเหตุของผลต่าง เพราะอาจจะ เกิดข้อผิดพลาดอันเนื่องจากการตีราคาสินค้าคงเหลือสิ้นปีสูงหรือต่ํา การวิเคราะห์อัตราส่วนการ หมุนเวียนต่ําแสดงว่ามีสินค้าเสื่อมคุณภาพและล้าสมัย ดังนั้นผู้สอบบัญชีต้องวิเคราะห์หาสาเหตุ ดังกล่าว
29 2. การสอบทานความถูกต้องของสินค้าคงเหลือต้นปี ในกรณีที่รับงานตรวจสอบปีแรก ต่อจากผู้สอบบัญชีอื่น ผู้สอบบัญชีควรสอบทานความถูกต้องของสินค้าคงเหลือต้นปี โดย พิจารณาเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการตีราคาสินค้าคงเหลือที่ใช้ สอบถามบัญชีรายละเอียด สินค้าและผลการตรวจนับสินค้าคงเหลือปีก่อน เนื่องจากสินค้าคงเหลือต้นปีมีความสําคัญต่อ การคํานวณต้นทุนขาย และกําไรสุทธิของปี 3. ตรวจสอบรายละเอียดสินค้าคงเหลือในวันสิ้นงวด ผู้สอบบัญ ชีควรขอรายละเอียด สินค้าคงเหลือ ณ วันสิ้นงวด โดยทดสอบการคํานวณ และเปรียบเทียบยอดรวมในรายละเอียด สินค้าคงเหลือให้ตรงกับยอดคงเหลือตามบัญชีแยกประเภททั่วไป ณ วันสิ้นงวด 4. สังเกตการณ์การตรวจนับสินค้าคงเหลือ การตรวจนับสินค้าคงเหลือเป็นความ รับผิดชอบโดยตรงของกิจการ กา รจัดให้มีการตรวจนับตลอดจนการรวบรวมผลการตรวจนับ สินค้าคงเหลือให้ครบถ้วนสมบูรณ์เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร ดังนั้นกิจการต้อง วางแผนในการตรวจนับโดยกําหนดพนักงานที่รับผิดชอบ ขั้นตอนและวิธีการตรวจนับ การรวบรวมผลการตรวจสอบตลอดจนเวลาที่จะดําเนินกา รตรวจนับ ผู้สอบบัญชีมีหน้าที่เพียง ผู้สังเกตการณ์การตรวจนับสินค้า ผู้สอบบัญชีควรเข้าร่วมประชุมในการวางแผนการตรวจนับที่ จัดโดยกิจการและเข้าสํารวจสถานที่ก่อนเข้าสังเกตการณ์การตรวจนับจะช่วยให้การเข้า สังเกตการณ์การตรวจนับในวันที่ตรวจนับจริงมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผู้สอบบัญชีจะต้องทดสอบ การตรวจนับสินค้าบางรายการด้วยตนเองเพื่อนําผลไปเปรียบเทียบกับรายละเอียดสินค้าที่ กิจการทําไว้นอกจากนี้จะต้องดูปริมาณ สภาพ รวมถึงคุณภาพของสินค้าด้วย หากพบว่าเป็น สินค้าที่ล้าสมัย ชํารุด เสียหาย ต้องจดบันทึกไว้เพื่อนําไปปรับลดยอดสินค้าเพื่อให้ แสดงมูลค่าที่ แท้จริง นอกจากนั้นผู้สอบบัญชีควรพิจารณาว่ามีสินค้ารับฝากขายรวมอยู่ด้วยหรือไม่ โดยดูจาก ใบรับของจากผู้รับฝาก หากมีการรับฝากขายโดยกิจการไม่ได้บันทึกรายการซื้อสินค้า กิจการ ต้องตัดยอดสินค้าออกไป 5. การตรวจสอบหลักเกณฑ์และวิธีการตีราคาสินค้าคงเหลือ ผู้ สอบบัญชีควร ตรวจสอบใบกํากับสินค้า เอกสารค่าขนส่ง ค่าประกันภัย อากรเข้า และต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า การตีราคาสินค้าคงเหลือเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการบัญชีที่รับรองทั่วไปตามที่เปิดเผยไว้ ในงบการเงินและได้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับปีก่อนหรือไม่ นอกจากนั้นควรตรวจสอบใ ห้มั่นใจว่า กิจการได้ตีราคาสินค้าในราคาทุนหรือราคาสุทธิที่คาดว่าจะได้รับแล้วแต่ราคาใดจะต่ํากว่า เพื่อ พิจารณาความเพียงพอของการตั้งค่าเผื่อหนี้มูลค่าสินค้าล้าสมัย
30 6. ตรวจสอบการตัดยอดสินค้าคงเหลือ ผู้สอบบัญชีควรตรวจการตัดยอดสินค้า คงเหลือเพื่อให้มั่นใจว่า รายการรับจ่ายสินค้าคงเหลือได้บันทึกไว้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ถูกต้อง ซึ่งจะมีผลทําให้ต้นทุนขายถูกต้องด้วย การตรวจตัดยอดสินค้านั้นเกี่ยวข้องทั้งการตรวจตัดยอด ซื้อ และการตรวจสอบรายการเหล่านี้กับเอกสารประกอบรายการ เช่น ใบส่งสินค้า ใบรับสินค้า ซึ่งสัมพันธ์กับการตัดยอดสินค้าคงเหลือ ณ วันที่ตรวจนับ เป็นต้น 7. การตรวจสอบการประกันภัยและการเก็บรักษาสินค้าคงเหลือ ผู้สอบบัญชีต้อง ประเมินว่าการดูแลรักษาสินค้าเหมาะสมหรือไม่ เช่น การประกันภัย ได้มีการประกันไว้เพียงใด หากเกิดความเสียหายขึ้นจะคุ้มกับมูลค่าที่เสียหายหรือไม่ ใครเป็นผู้รับผลประโยชน์ตาม กรมธรรม์ และกรมธรรม์ยังมีผลบังคับใช้อยู่หรือไม่ โกดัง หรือสถานที่ที่เก็บสินค้ามั่นคง ปลอดภัยเพียงใด เหมาะสมกับปริมาณและลักษณะสินค้าหรือไม่ 8. ตรวจสอบการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคงเหลือในงบการเงิน สินค้าคงเหลือจะ แสดงในงบดุลภายใต้หัวข้อสินทรัพย์หมุนเวียน กิจการที่ผลิตสินค้าการแสดงสินค้าคงเหลือนิยม แยกเป็น วัตถุดิบสินค้าระหว่างผลิตและสินค้าสําเร็จรูป นอกจากนี้ต้องมีการเปิดเผยเกี่ยวกับ เกณฑ์การตีราคาสินค้าคงเหลือว่าใช้วิธีใดและเปิดเผยเกี่ยวกับวิธีบัญชีสินค้าคงเหลือด้วย และ ควรตรวจสอบว่ามีก ารใช้สินค้าเป็นหลักประกันหนี้สินและมีการเปิดเผยภาระผูกผันดังกล่าว หรือไม่ จันทนา สาขากร (2548) ได้ให้วิธีการตรวจสอบสินค้าคงเหลือว่า ผู้ ตรวจสอบจึงควร จัดทําแผนการตรวจสอบไว้ โดยให้ความสนใจตรวจสอบในเรื่องดังนี้ 1. ตรวจสอบการรับและจ่ายสินค้า 1.1 ตรวจสอบการส่งมอบและรับมอบสินค้าว่า มีการตรวจนับจํานวน มีการ ดําเนินการโดยเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ และมีการรับสินค้าภายในกําหนดวันที่ระบุไว้ 1.2 ตรวจดูว่า เอกสารใบจ่ายสินค้ามีลายมือชื่อผู้อนุมัติ ถูกต้องตรงกับตัวอย่างที่มี อยู่และมีการตรวจสอบเอกสารใบจ่ายสินค้าก่อนจ่ายสินค้าทุกครั้ง 1.3 เอกสารใบรับหรือจ่ายสินค้า หากมีรอยขูด ลบ ขีดฆ่า และแก้ไขควรแน่ใจว่ามี ลายเซ็นชื่อผู้มีอํานาจกํากับไว้อย่างถูกต้องทุกที่
31 1.4 สังเกตการณ์การจ่ายสินค้าว่ามีการตรวจนับ ชั่ ง ตวง วัด ปริมาณสินค้าทุก ครั้ง และมีเจ้ าหน้าที่ผู้รับผิดชอบคลังสินค้าควบคุมดูแลตลอดเวลา โดยเจ้าหน้าที่ดังกล่าว มีการลงนามในเอกสารใบจ่ายสินค้า ซึ่งมีสําเนาใบจ่ายสินค้า (หรือสมุดคุมการจ่ายสินค้า ) ไว้ เป็นหลักฐาน 1.5 ตรวจสอบว่าสินค้าที่ตรวจนับไว้ในคลังสินค้าได้มีการสุ่มตัวอย่างเพื่อทดสอบ คุณภาพอย่างเหมาะสม กรณีที่สินค้าที่ไม่ผ่านเกณฑ์ทดสอบคุณภาพ แต่ยังสามารถขายได้ กิจการต้องทําเครื่องหมายกํากับไว้อย่างเด่นชัดว่าเป็นสินค้าชั้นสอง และมีการควบคุมจํานวน และราคาไว้อย่างรัดกุม โดยแยกการจัดเก็บไว้ต่างหากสินค้าที่ผ่านการทดสอบคุณภาพ 1.6 ตรวจสอบการควบคุมยา นพาหนะเข้าและ ออกบริเวณที่จ่ายสินค้าว่ามีความ รัดกุมเพียงพอและสม่ําเสมอ รวมทั้งมีการบันทึกการเข้าและ ออกของพาหนะไว้เป็นหลักฐานทุก ครั้ง 2. ตรวจสอบการควบคุมสินค้าคงคลัง ตรวจสอบว่าวิธีการควบคุมสินค้าคงคลังที่ใช้อยู่ รัดกุม เหมาะสม และมีการใช้อย่าง สม่ําเสมอโดย 2.1 กําหนดหมายเลขกํากับสินค้าเป็นหมวดหมู่ตามประเภทและชนิดของสินค้า 2.2 กําหนดชื่อและหน่วยนับที่เป็นสากล 2.3 กําหนดระดับสินค้าคงคลังไว้อย่างเหมาะสมตามความต้องการของฝ่ายตลาด 2.4 มีบัตรคุมยอดสินค้ าสํา หรับใช้บันทึก ควบคุมการรับ เปรียบเทียบยอดคงเหลือกับบัญชีหรือรายการสถานะของสินค้าในแต่ละวัน
จ่ายสินค้า และ
3. ตรวจสอบการจัดเก็บและดูแลรักษาสินค้าคงคลัง 3.1 สถานที่จัดเก็บเหมาะสมกับสภาพของสินค้า และปลอดภัยจากการสูญหาย หรือโจรกรรม
32 3.2 การจัดเก็บสินค้าได้แยกหมวดหมู่ และมีการจัดวางไว้อย่างเหมาะสมกับการ เคลื่อนย้าย 3.3 มีเครื่องมือเครื่องใช้อํานวยความสะดวกในการโยกย้ายสินค้าอย่างเพียงพอ และใช้การได้ดี 3.4 มีการประกันภัยสินค้าที่จัดเก็บด้วยวงเงินที่เหมาะสม 4. ตรวจสอบและสังเกตการณ์การตรวจนับสินค้าคงคลัง 4.1 ตรวจสอบหลักฐานที่แสดงว่า เจ้าหน้าที่คลังสินค้าได้ตรวจสอบสินค้าคงเหลือ ตามเวลาที่กําหนด และได้นําสินค้าคงเหลือที่นับได้เปรียบเทียบกับบัญชีหรือบัตรคุมสินค้า ทุกครั้ง 4.2 ตรวจสอบการปรับปรุงยอดกรณีผลแตกต่างระหว่างยอดที่ตรวจนับกับยอดใน บัตรคุมสินค้าว่ามีการอนุมัติอย่างถูกต้องและวิเคราะห์สาเหตุของความแตกต่างนั้น 4.3 เข้าสังเกตการณ์การตรวจนับสินค้าคงเหลือว่า เจ้าหน้าที่ได้ทําตามวิธีการที่ กําหนดไว้หรือไม่และให้สังเกต วิธีการจัดเก็บ ดูแลรักษา การรับและ จ่ายสินค้าไปด้วย ในขณะเดียวกันกรณีที่มีข้อสงสัยให้ผู้ตรวจสอบตรวจนับด้วยตนเอง หรือกรณีที่มี ปัญหาเกี่ยวกับ คุณภาพของสินค้า อาจขอให้ผู้ชํานาญการอ่านช่วยทดสอบคุณภาพให้ 4.4 เมื่อเข้าสังเกตการณ์หรือทดสอบตรวจนับสินค้ า หากพบว่ามีผลแตกต่างจาก บัตรคุมหรือบัญชีคุมยอดสินค้า ซึ่งมีการตรวจตัดยอดแล้ว ให้ผู้ตรวจสอบทําสรุปเฉพาะรายการ ที่แตกต่างเพื่อขอคําชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ และพิจารณาร่วมกับหน่วยงาน เพื่อหาแนวทางแก้ไขอย่างเหมาะสม 4.5 ตรวจสอบสินค้าที่ไม่ผ่านการทดสอบคุณภาพแต่สามารถขายได้ โดย ตรวจสอบการจัดเก็บดูแลรักษา เอกสารการรับสินค้า การจ่ายสินค้า ว่ามีการอนุมัติอย่างถูกต้อง ตามราคาที่กําหนด
33 5. ตรวจสอบการจัดแบ่งงานและกําหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ ตรวจสอบว่ามีการแบ่งแยกหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างแน่ชัดระหว่างคลังวัสดุ และคลังสินค้า ซึ่งหัวหน้าคลังวัสดุและหัวหน้าคลังสินค้าไม่ควรเป็นบุคคลคลเดี ยวกัน คลังวัสดุ และคลังสินค้าควรเป็นหน่วยงานที่เป็นเอกเทศแยกต่างหากจากกัน มีการกําหนดหน้าที่ความ รับผิดชอบของพนักงานแต่ละตําแหน่งในแต่ละแห่งอย่างชัดเจน และมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียน เจ้าหน้าที่ตามระยะเวลาที่กําหนดไว้ วิเชียร พันธุ์ประไพ (2547) และ พยอม สิงห์เสน่ห์ (2543) ได้ให้วิธีการตรวจสอบ สินค้าคงเหลือซึ่งสอดคล้องกันว่า วิธีการตรวจสอบการซื้อ การผลิต และสินค้าคงเหลือ 1. การสังเกตการณ์ตรวจนับสินค้าคงเหลือ การสังเกตการณ์ตรวจนับสินค้าคงเหลือ ณ วันสิ้นปี เป็นวิธีการตรวจสอบที่ได้ผลดี ที่สุดเกี่ยวกับการพิสูจน์ว่า กิจการมีสินค้าอยู่จริง โดยผู้สอบบัญชีจะต้องร่วมเข้าสังเกตการตรวจ นับ และทดสอบการตรวจนับด้วย นอกจากนั้นผู้สอบบัญชีต้องประเมินผลวิธีการควบคุมการ ตรวจนับของกิจการว่าน่าจะให้ผลที่ถูกต้องมากน้อยเพียงใด โดยเ ปรียบเทียบผลกา รทดสอบ การตรวจนับโดยผู้สอบบัญชี กับจํานวนที่เจ้าหน้าที่ของกิจการตรวจนับได้ และติดตามให้ผู้ทํา บัญชีปรับปรุงบัญชีคุมสินค้าให้เท่ากับจํานวนที่ตรวจนับได้จริง โดยปกติกิจการจะตรวจนับ สินค้าคงเหลือ ในวันสิ้นปีหรือวันอื่นที่ใกล้เคียงกับวันสิ้นปี แล ะใช้ผลการตรวจนับมาตีราคาเป็น สินค้าคงเหลือ ในกรณีเช่นนี้ ผู้สอบบัญชีจําเป็นต้องเข้าสังเกตการณ์การตรวจนับสินค้าคงเหลือ ดังกล่าว กิจการส่วนใหญ่จะจัดทําบัญชีคุมสินค้าให้ทราบยอดคงเหลือตลอดเวลา โดยมี การเปรียบเทียบกับผลการตรวจนับเป็นครั้งคราว ในกรณีเช่นนี้ ผู้ สอบบัญชีอาจทดสอบปริมาณ สินค้าคงเหลือในระหว่างปีหรือวันสิ้นปีก็ได้ ในทางปฏิบัติกิจการมักจะใช้ป้ายตรวจนับ เป็นเอกสารแสดงการตรวจนับ เมื่อตรวจ นับสินค้าใดแล้ว จะบันทึกผลการตรวจนับลงในป้ายตรวจนับและผูกติดไว้กับสินค้า เมื่อผู้สอบ บัญชีได้ทดสอบการตรวจนับเสร็จแล้ วจะปลดป้ายตรวจนับด้วยตนเองดังนั้นควรมีสําเนาป้าย ตรวจนับไว้สําหรับผู้สอบบัญชีด้วย ผู้สอบบัญชีควรจดบันทึกจํานวนที่ทดสอบการตรวจนับได้ลง ในกระดาษทําการซึ่งจะนําไปเปรียบเทียบกั บรายละเอียดสินค้าคงเหลือที่พนัก งานของกิจการ ตรวจนับได้
34 ในการตรวจนับสินค้าคงเหลือนี้ นอกจะดูปริมาณของสินค้าแล้ว ผู้สอบบัญชีจะต้อง ดูสภาพและคุณภาพของสินค้าต่างๆ ด้วย ถ้าพบว่าสินค้ารายการใดเป็นสินค้าเก่าล้าสมัย ชํารุด เสียหาย หรือจําหน่ายได้ช้า ก็ให้จดรายละเอียดสินค้านั้นไว้เพื่อประโยชน์ในการตีราคาสินค้าให้ ลดต่ําลงตามค่าอันแท้จริงของสินค้านั้น การซื้อสินค้า โดยปกติถือว่าการซื้อสมบูรณ์เมื่อได้รับสินค้า แต่ในบางกรณีอาจตก ลงกันว่าให้กรรมสิทธิ์ในสินค้าเป็นของผู้ซื้อก่อนได้รับสินค้าก็ได้ เช่น สั่งสินค้าจากต่างประเทศ ถือว่าการซื้อสมบูรณ์เมื่อผู้ซื้อรับรองหรือจ่ายเงินตามตั๋วเงินและได้รับใบตราส่งสินค้าแ ล้ว ถ้าใน วันสิ้นปีมีสินค้าที่ซื้ออยู่ระหว่างการขนส่ง ให้ถือสินค้าระหว่างทางนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสินค้า คงเหลือด้วย สินค้ารับฝากขายคงเหลือ ณ วันสิ้นปีต้องไม่รวมเป็นสินค้าคงเหลือ โดยปกติ กิจการมี บัญชีคุมสินค้ารับฝากขายและแยกเก็บรักษาสินค้ารับฝากไว้ต่างหาก ผู้ สอบบัญชีควร ตรวจสอบหลักฐานสินค้ารับฝากขาย และทดสอบนับสินค้ารับฝากขายคงเหลือด้วย เพื่อให้ทราบ ว่า สินค้ารับฝากขายมีอยู่จริง และไม่ปะปนกับสินค้าคงเหลือของกิจการ และเพื่อตรวจสอบ หนี้สิน ที่ติดค้างแก่ผู้ฝากขายด้วย ถ้ากิจการฝากสินค้าไว้กับคลังสินค้าของผู้อื่น ผู้ สอบบัญชีควร ตรวจสอบโดยขอดูใบรับของคลังสินค้าให้ทราบรายการและปริมาณสินค้า หรือขอยืนยันยอด สินค้าคงเหลือในคลังสินค้ากับผู้รับฝาก ในกรณีที่สงสัยว่าสินค้าในคลังสินค้าอาจไม่มีอยู่จริง ผู้สอบบัญชีอาจขอตรวจนับสินค้าในคลังสินค้าก็ได้ 2. ตรวจสอบหลักเกณฑ์และวิธีการตีราคาสินค้าคงเหลือ ผู้สอบบัญชีมีหน้าที่ตรวจสอบว่าเกณฑ์และวิธีการตีราคาสินค้าคงเหลือเป็นไปตาม หลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป และถือปฏิบัติเช่นเดียวกับปีก่อน หลักเกณฑ์การตีราคาสินค้า คงเหลือที่ใช้กันมีราคาทุน ราคาทุนหรือราคาตลาดที่ต่ํากว่า และราคาขาย หลักราคาทุนขอ ง สินค้ายังขึ้นอยู่กับวิธีการบัญชีต่างๆที่ให้ผลแตกต่างกันไปได้ ผู้สอบบัญชีควรเปรียบเทียบราคา สินค้าที่ตีไว้กับราคาตลาดของสินค้านั้นเพื่อมิให้ราคาสินค้าคงเหลือสูงกว่าราคาสุทธิที่จะขายได้ 3. ตรวจสอบการคํานวณราคา นอกจากการพิสูจน์ปริมาณและราคาต่อหน่วยของสินค้าคงเ หลือให้ถูกต้องแล้ว ผู้สอบบัญชีควรตรวจสอบความถูกต้องของการคํานวณราคาสินค้าแต่ละรายการและการรวม ยอดในรายละเอียดสินค้าคงเหลือ บางครั้งการตรวจโดยวิธีการตรวจสอบรายการผิดปกติก็ช่วย ให้พบข้อผิดพลาดได้ ในการบวกเลข รายละเอียดสินค้าคงเหลือควรรวมยอดของแต่ละหน้าไว้
35 ต่างหากเพื่อนําไปสรุปเป็นยอดรวมอีกชั้นหนึ่ง เพื่อว่าหากมีข้อผิดพลาดที่ตรวจพบจะได้ไม่ต้อง แก้ยอดยกไปทุกหน้า 4. ตรวจสอบตัดยอดซื้อ ความถูกต้องของสินค้าคงเหลือ มีความสัมพันธ์กับยอดซื้อโดยตรงดังนั้น ผู้สอบ บัญชีจึงต้องตรวจสอบว่ารายการซื้อซึ่งลงบัญชีไว้แล้วนั้นเป็นรายการซื้อที่ถูกต้องและครบถ้วน ของปีปัจจุบัน โดยเปรียบเทียบรายการซื้อกับบิลซื้อ ใบรับของ และบัญชีรายละเอียดสินค้า สําหรับระยะเวลาตอนสิ้นปีต่อต้นปีใหม่ 5. ตรวจตัดยอดขาย ในการตรวจสอบสินค้าคงเหลือ ผู้ สอบบัญชีย่อมสนใจสินค้าที่ขายแล้วภายในวันสิ้น ปีต้องไม่รวมอยู่เป็นสินค้าคงเหลือ ดังนั้น ผู้สอบบัญชีจึงต้องตรวจสอบว่าได้มีการลงรายการขาย ของปีอย่างถูกต้อง โดยเปรียบเทียบรายการขายกับบิลขาย ใบส่งของและบัญชีรายละเอียด สินค้า สําหรับระยะเวลาตอนสิ้นปีต่อต้นปีใหม่ 6. ตรวจสอบต้นทุนสินค้าที่ขาย ข้อผิดพลาดที่สําคัญที่อาจเกิดขึ้นกับต้นทุนสินค้าที่ขายก็คือ ตัวเลขต้นทุนขายของปี ไม่สัมพันธ์กับรายการขาย ไม่ว่ากิจการจะใช้วิธีบัญชีสินค้าวิธีใดก็ตามเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง ของต้นทุนสินค้าที่ขาย ผู้สอบบัญชีควรทดสอบความสัมพันธ์ระหว่ างรายการขายกับการส่งของ หรือการโอนต้นทุนขายในตอนสิ้นปีและต้นปีใหม่ด้วย เพื่อให้ต้นทุนขายสัมพันธ์กับยอดขายของ ปี การวิเคราะห์อัตรากําไรขั้นต้นของแต่ละเดือนหรือของปีก็ช่วยให้ทราบว่ามีข้อผิดพลาดอยู่ หรือไม่ การตรวจสอบเอกสารเป็นส่วนหนึ่งของการตัดยอดซื้อและยอดขาย จะต้องกระทําทั้งสอง ด้าน คือ จากเอกสารไปยังสมุดขั้นต้น และบัญชีแยกประเภท และจากสมุดขั้นต้นไปยัง เอกสาร หลักฐาน เพื่อที่จะทราบความผิดพลาด ทั้งในเรื่องการลงรายการผิดและลืมลงรายการให้สังเกต เลขลําดับสุดท้ายของเอกสารแต่ละชนิดของปีที่ตรวจสอบ 7. ตรวจสอบความเหมาะสมของสินค้าคงเหลือโดยทั่วไป การเปรียบเทียบปริมาณและราคาคงเหลือปีปัจจุบันกับปีก่อนๆ อาจช่วยให้ทราบว่า มีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับสินค้าคงเหลือหรือไม่ โดยหาเหตุผลประกอบรายการที่เปลี่ยนแปลงไป
36 มาก การคํานวณอัตราหมุนเวียนของสินค้าในรอบปีหนึ่ง โดยหารต้น ทุนขายด้วยสินค้าคงเหลือ ถัวเฉลี่ย แล้วใช้เปรียบเทียบกับอัตราหมุนเวียนของปีก่อนๆ จะช่วยให้ทราบว่าสินค้าหมุนเวียน ได้เร็วขึ้นหรือช้าลงในปีนั้น การวิเคราะห์อัตราหมุนเวียนของสินค้านี้ ควรแยกพิจารณาเป็น ประเภทสินค้าหรือแผนกงานหนึ่ง เพราะถ้าพิจารณาการหมุนเวีย นของสินค้ารวมทุกชนิดแล้ว อาจไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าสินค้าใดหมุนเวียนผิดปกติบ้าง สินค้ารา ยการหรือประเภทที่หมุนเวียน ช้าลงอาจเป็นเพราะกิจการมีสินค้าล้าสมัย หรือสินค้าจําหน่ายได้ช้าเพิ่มมากขึ้นหรือซื้อสินค้าไว้ เป็นปริมาณมากเกินสมควรก็ได้ ตรวจสอบสินค้าคงเหลือที่ใช้เป็นหลักประกันหนี้สินและข้อผูกพันการซื้อขายสินค้า ในภายหน้า เนื่องจากผู้สอบบัญชีต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคงเหลือที่ใช้เป็นหลักประกัน หนี้สิน ดังนั้น จึงต้องตรวจสอบให้ทราบถึงภาระผูกพันเหนือสินค้าที่มีอยู่ เช่น กรณีที่ใช้วัตถุ ดิบ เป็นประกันเงินกู้จากธนาคารหรือกู้เงินตามสัญญาท รัสต์ซีทส์ซึ่ง สินค้าที่นําเข้าเป็นหลักประกัน อาจทราบได้โดยตรวจสอบสัญญากู้ยืมเงิน และหนังสือยืนยันยอดธนาคาร การสอบถาม ผู้บริหารงานและการขอหนังสือรับรองจากลูกค้า และจากทนายความก็ทําให้ทราบถึงสินค้าที่ถูก ยึดไว้เป็นประกัน 8. ตรวจสอบการประกันภัยและการเก็บรักษาสินค้า ในการตรวจสอบการประกันภัยสินค้า ผู้สอบบัญชีควรดูว่าสินค้าที่เก็บรักษาไว้ทุก แห่งได้ที่ประกันไว้ครบถ้วนในราคาที่เพียงพอแล้ว บริษัทเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ ประกันภัย และกรมธรรม์ประกันภัยยังมีผลใช้บังคับ ใช้อยู่ นอกจากการตรวจสอบการประกันภัย แล้ว ผู้สอบบัญชีควรตรวจสอบการเก็บรักษาสินค้าว่ามีความมั่นคงปลอดภัยเพียงใด ถ้าปรากฏ ข้อบกพร่องจะได้เสนอผู้บริหารงานให้แก้ไขต่อไป 9. ขอใบรับรองสินค้าคงเหลือ เดิมผู้สอบบัญชีขอให้ผู้บริหารงานของกิจการทําคํารับรองยอดสินค้าคงเหลื อ และ ถือใบรับรองนี้เป็นหลักฐานที่สําคัญอย่างหนึ่ง ในปัจจุบันนี้ถือว่าใบรับรองยอดสินค้าคงเหลือยัง ไม่เป็นหลักฐานที่ดีเพียงพอ เพราะเมื่อผู้สอบบัญชีต้องตรวจสอบงบดุลที่ผู้บริหารจัดทําขึ้น ก็ยัง ไม่ควรพอใจในใบรับรองสินค้าคงเหลือซึ่งผู้บริหารงานจัดทําขึ้นเช่นเดียวกัน
37 10. ตรวจสอบสินค้าคงเหลือต้นปีที่รับงานตรวจสอบปีแรก สินค้าคงเหลือต้นปีมีความสําคัญต่อการคํานวณกําไรสุทธิข องปีเช่นเดียวกับสินค้า คงเหลือสิ้น ปี ในการตรวจสอบหลังจากปีแรกผู้สอบบัญชีย่อมตรวจสอบความถูกต้องของสินค้า คงเหลือต้นปีได้โดยเปรียบเทียบให้ตรงกับสินค้าคงเหลือสิ้นปีก่อนซึ่งตนได้ตรวจสอบถูกต้อง แล้ว แต่ถ้าผู้สอบบัญชีรับงานตรวจสอบต่อจากผู้สอบบัญชีอื่น ในปีแรกที่ตรวจสอบจําเป็นต้อง ตรวจสอบสินค้าคงเหลือต้ นปีว่าสมควรเชื่อถือได้เพียงไรหรือไม่ ผู้สอบบัญชีปัจจุบันอาจ สอบสวนความถูกต้องของสินค้าคงเหลือต้นปี โดยศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการตีราคา สินค้าคงเหลือที่ใช้ สอบทานบัญชีรายละเอียดสินค้า และผลการตรวจนับสินค้าคงเหลือปีก่อน และพิจารณาความเหมาะสมโดยเปรียบเทียบกับสินค้าคงเหลือสิ้นปี การตรวจสอบการด้อยค่าของทรัพย์สิน พยอม สิงห์เสน่ห์ (2543) กล่าวว่า ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ เป็น ทรัพย์สินที่ไม่ ก่อให้เกิดกระแสเงินสดรับที่เป็นอิสระจากทรัพย์สินอื่นหรือกลุ่มสินทรัพย์อื่น กิจการจึงไม่อาจ กําหนดมูลค่ าที่จะได้รับคืนของทรัพย์สินเหล่า นี้แต่ละรายการ นอกจากผู้บริหารจะได้ตกลงใจที่ จะจําหน่ายทรัพย์สินนี้ไป จึงอาจมี หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการด้อ ยค่าของทรัพย์สินหรือไม่ ในการคํานวณการด้อยค่าของทรัพย์สิน กิจการจะต้องกําหมดมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของ หน่วยทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดเงินสด ซึ่งมีที่ดินอาคารและอุปกรณ์รวมกันอยู่ด้วย และนํามูลค่านี้ไป เปรียบเทียบกับราคาตามบัญชีของทรัพย์สิน หากมูลค่าที่กําหนดต่ํากว่าราคาตามบัญชี จะต้อง รับรู้ขาดทุนจา กการด้อยค่าของทรัพย์สินในบัญชีด้วย อย่างไรก็ดี กิจการจะต้องไม่ลดราคา ตามบัญชีของทรัพย์สินลงต่ํากว่าราคาขายสุทธิของทรัพย์สิน หรือมูลค่าจากการใช้ทรัพย์สิน (ถ้า สามารถกําหนดได้) หรือลดลงเป็นศูนย์ การคํานวณและการปันส่วนขาดทุนจากการด้อยค่าของทรัพย์สิน อาจดูได้จากมาตรฐาน การบัญชีฉบับที่ 36 เรื่อง การด้อยค่าของสินทรัพย์ สินทรัพย์ตามสัญญาเช่าประกอบด้วย สิทธิตามสัญญาเช่า ค่าปรับปรุงสินทรัพย์ตาม สัญญาเช่า และสินทรัพย์ที่เช่ าตามสัญญาเช่าระยะยาว สิทธิการเช่ าเป็นค่าเช่าที่จ่ายล่วงหน้า หรือเงินกินเปล่าที่จ่ายเมื่อทําสัญญาเช่า ซึ่งจะต้องตัดบัญชีให้หมดไปตามอายุสัญญาเช่า การตัด บัญชีสิ ทธิการเช่านี้ ประมวลรัษฎากรบัญญัติไ ว้ว่า กรณีไม่มีหนังสือสัญญาเช่า หรือมีหนังสือ สัญญาเช่าที่มีข้อกําหนดให้ต่ออายุการเช่าได้ต่อ ๆ ไป ให้ตัดจ่ายได้ไม่เกินปีละ 10% ของต้นทุน ส่วนกรณีที่หนังสือสัญญาเช่าไม่มีข้อกําหนดให้ต่ออายุการเช่าได้ หรือมีข้อกําหนดให้ต่ออายุ
38 การเช่าได้เพียงระยะเวลาอันจํากัดแน่นอน ให้ตัดจ่ายได้ตามจํานวนปีอายุการเช่าและอายุที่ต่อ ได้รวมกัน ถ้าผู้เช่าต่อเติมสินทรัพย์ที่เช่า รายจ่ายในการต่อเติมเป็นค่าปรับปรุงสินทรัพย์ตาม สัญญาเช่า ซึ่งผู้เช่าจะได้รับผลประโยชน์ตลอดอายุการเช่าที่เหลืออยู่ ดังนั้น การตั ดบัญชีค่า ปรับปรุงสินทรัพย์ตามสัญญาเช่าจึงควรตัดจ่ายภายในระยะเวลาสัญญาเช่าที่ยังเหลืออยู่ หรือ ภายในระยะเวลาที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงสินทรัพย์นั้ น แล้วแต่ระยะเวลาใดจะสั้น กว่าให้สังเกตว่า ค่าปรับปรุงสินทรัพย์ตามสัญญาเช่านี้จะเป็นผลทําให้ผู้เช่านี้ได้รั บประโยชน์จาก การใช้สอยสินทรัพย์นั้นมากขึ้น แตกต่างจากรายจ่ายเพื่อซ่อมแซมและบํารุงรักษาสินทรัพย์ซึ่ง ไม่ทําให้เกิดประโยชน์เพิ่มเติมขึ้นจากเดิม สินทรัพย์ที่เช่าตามสัญญาเช่าระยะยาว ถ้าไม่มีการจ่ายค่าเช่าหรือเงินกินเปล่าล่วงหน้า ค่าเช่าที่จ่ายในแต่ละปีถือเป็นค่ าใช้จ่ายของปีนั้นๆ และต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไขของ สัญญาเช่าและค่าเช่าที่จะต้องจ่ายในภายหน้า ตามกฏหมายไทย การเช่าอสังหาริมทรัพย์อาจทํา สัญญาได้ไม่เกิน 30 ปี ในกรณีที่สัญญาเช่าระ ยะยาวโอนประโยชน์และความรับผิดชอบในการถือกรรมสิทธิ์ สินทรัพย์เกือบทั้งสิ้ นให้แก่ผู้เช่ า การเช่าดังกล่าวถือเสมือนการซื้ อสินทรัพย์ตามสัญญาผ่อน ชําระเรียกว่า Capital Lease ซึ่งจะต้ องมีการบันทึกเป็นสินทรัพย์ไว้ในบัญชีด้วย หลักเกณฑ์ใน การพิจารณาว่าการเช่าสินทรัพย์รายใดเป็นรายการที่ต้องบันทึกเป็นสินทรัพย์มีดังนี้ 1. สัญญาเช่าโอนกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ให้แก่ผู้เช่าเมื่อสิ้นสุดอายุของสัญญาเช่า 2. สัญญาเช่าให้สิทธิผู้เช่าที่จะซื้อสินทรัพย์ที่เช่านั้นได้ในราคาซึ่งต่ํากว่าราคาจําหน่าย แก่บุคคลภายนอกอันทําให้ทราบแน่นอน ณ วันทําสัญญาว่าจะมีการใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์นั้น 3. อายุสัญญาเช่าเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 75% ของอายุการใช้สินทรัพย์ที่ประมาณ ขึ้น 4. มูลค่าปัจจุบันของค่าเช่าทั้งสิ้น ณ วันทําสัญญาเช่าหลังจากหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง แล้วเป็นจํานวนเงินไม่น้อยกว่า 90% ของราคาที่อาจจําหน่ายแก่บุคคลภายนอก (หักด้วยเครดิต ภาษีที่ได้จากรายจ่ายลงทุนแล้ว)
39 ในกรณีข้างต้นนี้ กิจการผู้เช่าจะบันทึกสัญญาเช่าระยะยาวเป็นสินทรัพย์และหนี้สิน ณ วันที่ทําสัญญาเช่าตามมูลค่าปัจจุบันของค่าเช่าทั้งสิ้นหลังจากหักค่าใช้จ่ายอื่นๆ ออกแล้ว หรือ ในราคาที่อาจซื้อสินทรัพย์นั้นได้จากบุคคลภายนอกแล้วแต่ราคาใดจะต่ํากว่า และให้คิด ค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ที่เช่าตามอายุการใช้สินทรัพย์ ในกรณีทีสัญญาเช่าเป็นไปตามหลั กเกณฑ์ ข้อ 1 และข้อ 2 มิฉะนั้นให้คิดค่าเสื่อมราคาตามอายุของสัญญาเช่า ค่าเช่าที่จ่ายในแต่ละปีส่วน หนึ่งจะเป็ นดอกเบี้ยจ่าย กรณีเลิกสัญญาเช่า ให้โอนปิดทั้งบัญชีสิ นทรัพย์และหนี้สินตาม สัญญาเช่า ในหมายเหตุประกอบงบการเงินให้แจ้งเงื่อนไขของสัญญาเช่าและค่าเช่าที่จะต้องจ่าย ภายหน้าด้วย รายจ่ายที่เป็นทุนและรายจ่ายประจา (Capital and Revenue Expenditures) ในการตรวจสอบสินทรัพย์ถาวรผู้สอบบัญชีจําเป็นต้องศึกษานโยบายของกิจการ เกี่ยวกับการแยกรายจ่ายที่เป็นทุนกับรายจ่ายประจําให้แน่ชัดเสียก่อน มิฉะนั้นอาจเกิด ข้อผิดพลาดซึ่งทําให้สินทรัพย์ถาวรสูงหรือต่ํากว่าความเป็นจริงได้ รายจ่ายที่เป็นทุน หมายถึง รายจ่ายที่มีระยะเวล าการรับประโยชน์นานเกินกว่ารอบ ระยะเวลาบัญชีหนึ่ง ส่วนรายจ่ายประจํา คือ รายจ่ายที่ได้รับป ระโยชน์หมดสิ้นภายในรอบ ระยะเวลาบั ญชี นอกจากนั้น จํานวนเงินที่จ่ายจะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นข้อแตกต่างของประเภท รายจ่าย กล่าวคือ รายจ่ายที่เป็นทุนมีจํานวนตั้งแต่ 1,000 บาท ขึ้นไปจึงถือว่ามีความสําคัญ จากหลักการข้างต้นนี้ รายจ่ายที่เป็นทุนต้องลงบัญชีเป็นสินทรัพย์ถาวร ผู้สอบบัญชีต้อง ตรวจสอบรายการในบัญชีสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายบางประเภทเพื่อป้องกันมิให้กิจการแสดง รายจ่ายประจําปีเป็นสินทรัพย์ ซึ่งเป็นผลทําให้สินทรัพย์และกําไรสุทธิของกิจกา รในปีนั้นสูงกว่า ความเป็นจริง และทํานองเดียวกัน เพื่อป้องกันมิให้กิจการตัดรายจ่ายที่เป็นทุน เป็นค่าใช้จ่ายทั้ง จํานวนซึ่งเป็นผลทําให้สินทรัพย์และกําไรสุทธิของกิจการในปีนั้นต่ํากว่าความเป็นจริง กิจการ บางแห่งวางระเบียบไว้ว่า รายจ่ายที่เป็นทุนซึ่งเป็น จํานวนเงินไม่มาก เช่น ไม่ถึง 1,000 บาท แล้ว ไม่ต้องตั้งเป็นสินทรัพย์ เพราะไม่มีนัยสําคัญ และเป็นการยุ่งยากในการควบคุมสินทรัพย์ ทางการบัญชี กรณีเช่น นี้ผู้สอบบัญชีต้องตรวจสอบว่าได้มีการปฏิบัติตามระเบียบโดยถูกต้อง หรือไม่ด้วย
40 รายจ่ายต่อเติมสินทรัพย์ (Addition) เป็นผลให้ได้สินทรัพย์เพิ่มขึ้น ต้องลงรายการเพิ่ม ในบัญชีสินทรัพย์ ส่วนรายจ่ายปรับปรุงสินทรัพย์ (Improvement) นั้น บางครั้งมีปัญหาโต้แย้งว่า ควรถือเป็นสินทรัพย์หรือไม่ หลักในการวินิจฉัยก็คือ ถ้ารายจ่ายนั้นมีผลทําให้สินทรัพย์มีสภาพดี ขึ้น มีค่ามากขึ้น หรือผลิตสินค้าได้มากขึ้น ถือเป็นสินทรัพย์ได้ ค่าซ่อมแซมสินทรัพย์ถาวร (Repairs) โดยปกติเป็นเพียงการบํารุงรักษาให้สินทรัพย์ นั้น อยู่ในสภาพใช้งานได้เท่านั้น จึงถือเป็นค่าใช้จ่ายในปีที่จ่ายทั้งจํานวน แต่บางครั้งมีการซ่อมแซม และเปลี่ยนส่วนของสินทรัพย์ครั้งใหญ่ (Major Repairs) เป็นผลให้อายุการใช้สินทรัพย์ขยาย ยาวขึ้น กิจการบางแห่งบันทึกค่าซ่อมแซมครั้งใหญ่นี้เป็นสินทรัพย์หรือตัดจ่ายในระยะเวลา หลายปี การตรวจสอบที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ อัญชนา เหมวงศ์กุล (2552) และ สุรีย์ ดารารัตน์ทวี (2542) ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับ ระบบการตรวจสอบที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ไว้คล้ายคลึงกันดังนี้ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ (Property, Plant and Equipment) หมายถึง สินทรัพย์ที่มี ตัวตนซึ่งเข้าเงื่อนไขทุกข้อต่อไปนี้ 1. กิจการมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการผลิต เพื่อใช้ในการจําหน่ายสินค้าหรือให้บริการ เพื่อให้เช่าหรือใช้ในการบริหารงาน 2. กิจการคาดว่าจะใช้ประโยชน์มากกว่าหนึ่งรอบบัญชี วัตถุประสงค์ที่สาคัญของการตรวจสอบที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ 1. ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์มีอยู่จริง และเป็นกรรมสิทธิ์ของกิจการ 2. ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ได้มีการบันทึกบัญชีไว้อย่างครบถ้วนถูกต้องตาม หลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป 3. ค่าเสื่อมประจํางวด และยอดในบัญชีค่าเสื่อมราคาสะสม ณ ถูกต้องตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
วันสิ้นงวดคํานวณ
41 4. ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์แสดงรายการและการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอ เหมาะสม วิธีการตรวจสอบที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ 1. วิเคราะห์เปรียบเทียบ บัญชีที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ ผู้สอบบัญชีควรวิเคราะห์ เปรียบเทียบที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ ค่าเสื่อมราคาสะสม และค่าเสื่อมราคาของงวดปัจจุบันกับ งวดก่อน และอธิบายสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ ในกรณีที่เป็นการตรวจสอบบัญชี กิจการเป็นปีแรกผู้สอบบัญชีควรวิเคราะห์บัญชีสินทรัพย์แต่ละประเภทเริ่มตั้งแต่วันจัดตั้งกิจการ จนถึงต้นงวดปัจจุบัน เพื่อให้ทราบราคาทุน และรายละเอียดทั้งสิ้นของสินทรัพย์ 2. ตรวจสอบยอดคงเหลือต้นงวดของบัญชีสินทรัพย์ถาวร และบัญชีค่าเสื่อมราคา สะสม โดยตรวจสอบว่าตรงกับกระดาษทําการปีก่อน และตรงกับบัญชีแยกประเภทหรือไม่ 3. ตรวจนับสินทรัพย์ถาวร การตรวจนับสินทรัพย์ถาวรทําให้ทราบถึงความมีอยู่จริง ของสินทรัพย์โดยผู้สอบบัญชีจะสุ่มตรวจนับรายการสินทรัพย์ที่มีสาระสําคัญเปรียบเทียบกับยอด ตามบัญชีหรือทะเบียนคุมสินทรัพย์ของกิจการ 4. ตรวจสอบกรรมสิทธิ์ การตรวจสอบกรรมสิทธิ์เป็นการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่า กิจการเป็นเจ้ าของสินทรัพย์ถาวรเหล่านั้นจริงโดยตรวจดูเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ว่ามีชื่อของ กิจการเป็นเจ้าของระบุไว้ เช่น โฉนดที่ดิน ทะเบียนรถยนต์ สัญญาซื้อขาย เป็นต้น ในขณะที่ ตรวจสอบกรรมสิทธิ์นี้ ผู้สอบบัญชีควรตรวจสอบว่าสินทรัพย์ใดบ้างที่มีภาระผูกพันใช้เป็ น หลักประกันหนี้ไปพร้อมกันด้วย และบันทึกรายละเอียดใช้ในกระดาษทําการ 5. ตรวจสอบรายการซื้อสินทรัพย์ถาวรระหว่างงวด ผู้สอบบัญชีจะต้องศึกษานโยบาย และระเบียบของกิจการเกี่ยวกับรายจ่ายที่เป็นทุน เพื่อพิจารณาความถูกต้องของการบันทึก รายการสินทรัพย์ และจะต้องตรวจสอบรายการซื้อสินทรัพย์เพิ่มระหว่างงวดกับเอกสารหลักฐาน ประกอบรายการซื้อ และการจ่ายชําระเงิน ตลอดจนดูความเหมาะสมของการบันทึกราคาทุนของ สินทรัพย์ให้เป็นตามหลักการบัญชีที่เกี่ยวข้อง
42 6. ตรวจสอบการจําหน่ายสินทรัพย์ถาวรระหว่างงวด ผู้สอบบัญชีควรตรวจดูว่าการ จําหน่ายสินทรัพย์ทุกครั้งมีการอนุมัติอย่างถูกต้อง และมีหลักฐานประกอบการขาย และการรับ เงิน พร้อมทั้งตรวจสอบว่ามีการคิดค่าเสื่อมราคาจนถึงวันที่จําหน่ายอย่างถูกต้อง และมีการ บันทึกรายการกําไรหรือขาดทุนจากการจําหน่ายสินทรัพย์แล้ว 7. ตรวจสอบการคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ ผู้สอบบัญชีต้องตรวจสอบว่าการคิด ค่าเสื่อมราคาอาคาร และอุปกรณ์ของกิจการเป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป และอายุ การใช้งานของสินทรัพย์ใกล้เคียงความเป็นจริง กิจการมีการถือปฏิบัติวิธีการคิดค่าเสื่อมราคา ตามหลักการบัญ ชีเช่นเดียวกับปีก่อนผู้สอบบัญชีต้องสอบทานการคํานวณค่าเสื่อมราคาตาม รายละเอียดของสินทรัพย์ในกระดาษทําการ และติดตามการผ่านรายการไปยังบัญชีแยก ประเภทที่เกี่ยวข้อง 8. วิเคราะห์บัญชีค่าใช้จ่าย การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายจะช่วยให้ผู้สอบบัญชีได้ทราบว่ามี การนํารายจ่ายเพิ่มเติมของที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ ไปรวมไว้ในบัญชีค่าใช้จ่ายของงวดหรือไม่ นอกจากนั้นควรตรวจสอบรายการที่มีจํานวนมากผิดปกติโดยเฉพาะค่าซ่อมแซมที่มีจํานวนเงิน สูงซึ่งอาจเป็นรายการซื้อสินทรัพย์ก็ได้ 9. ตรวจสอบความเหมาะสมของการจัดประเภท และการเปิดเผยรายการ ผู้สอบบัญชี ควรพิจ ารณาความเหมาะสมของการจัดประเภท และการเปิดเผยข้อมูลในงบการเงินเกี่ยวกับ ราคาทุน มูลค่าตามบัญชี วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา อายุการใช้งานของสินทรัพย์ถาวร แต่ละประเภท และการนําสินทรัพย์ถาวรไปค้ําประกันหนี้สิน สมพงษ์ พรอุปถัมภ์ (2545) ได้ให้วิธีการตรวจสอบไว้ดังนี้ การตรวจสอบโดยทั่วไป 1. ตรวจสอบยอดรวมของสินทรัพย์ตามบัญชีแยกประเภทกับทะเบียนคุมสินทรัพย์ ถ้ามีผลแตกต่างจะต้องทําการกระทบยอด และหาสาเหตุรวมทั้งทํารายการปรับปรุง 2. จัดเตรียมกระดาษทําการแสดงการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์ และค่าเสื่อมราคา สะสมจากต้นงวดไปหาปลายงวด เช่น บวกรายการเพิ่ม หักรายการลด หรือจัดประเภทใหม่ใน ระหว่างปี เป็นต้น เพื่อจะได้ตรวจสอบเนื้อหาสาระในแต่ละเรื่องได้
43 3. สอบทานนโยบายการคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ว่ายังปฏิบัติเช่นเดียวกับปีก่อน หรือไม่ การตรวจสอบการซื้อสินทรัพย์ 1. เมื่อเลือกรายการสินทรัพย์ที่ซื้อระหว่างงวดมาแล้ว ให้ตรวจสอบการอนุมัติการซื้อ จากผู้มีอํานาจตามวงเงินอนุมัติ 2. ตรวจสอบสัญญาซื้อขาย หรือเอกสารหลักฐาน เช่น ใบกํากับสินค้าใบเสร็จรับเงิน โดยพิจารณาว่าเป็นสินค้าเพื่อ ขายหรือเกี่ยวข้องกับกิจการจริง รวมทั้งทดส อบการคํานวณใน เอกสารดังกล่าว 3. สอบถามหลักฐานเกี่ยวกับการสืบสอบราคาเพื่อพิจารณาความรัดกุมของขั้นตอน การจัดซื้อของกิจการ 4. ตรวจสอบกับสินทรัพย์จริงที่ซื้อมา โดยพิจารณาจากเลขที่ในทะเบียนสินทรัพย์ และ เอกสารหลักฐาน 5. ทดสอบการคํานวณค่าเสื่อมราคาระหว่างปี และการการผ่านรายการไปยังบัญชีแยก ประเภท การตรวจสอบการขายสินทรัพย์ 1. เมื่อเลือกรายการสินทรัพย์ที่ขายระหว่างงวดมาแล้ว ให้ตรวจสอบอนุมัติการขาย จากผู้มีอํานาจตามวงเงินอนุมัติ 2. ทดสอบคํานวณกําไร (ขาดทุน ) จากการจําหน่ายสินทรัพย์ ซึ่งรวมถึงการคํานวณ ค่าเสื่อมราคาจนถึงวันที่ขายด้วย 3. ตรวจสอบหลักฐานการรับเงิน เช่น สําเนาใบเสร็จรับเงิน และตรวจสอบว่ามีการนํา เงินฝากธนาคารโดยถูกต้อง
44 4. ทดสอบการผ่านรายการบัญชีไปยังแยกประเภทที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบความมีตัวตนของสินทรัพย์ 1. ในแต่ละปีที่ตรวจสอบ ผู้สอบบัญชีควรมีการสุ่มตรวจสอบความมีตัวตนของ สินทรัพย์โดยเลือกรายการจากทะเบียนคุมสินทรัพย์เพื่อไปตรวจสอบกับสินทรัพย์จริง และเลือก รายการจากสินทรัพย์จริงกลับไปหาทะเบียนคุม สินทรัพย์ (Vice Versa) เพื่อให้แน่ใจในความมี ตัวตนของสินทรัพย์ และสภาพการใช้งานว่ายังอยู่ สภาพดี และเพื่อความครบถ้วนของการ บันทึกสินทรัพย์ กรณีตรวจสอบที่ดินนั้น ผู้สอบบัญชีควรตรวจสอบกับโฉนดที่ดินฉบับจริง และดู ด้านหลังโฉนดว่ามีการนําไปค้ําประกันหรือติดจํานองหรือไม่ ถ้านําไปค้ําประกันควรมีการ เปิดเผยเรื่องดังกล่าวหรือกรณีที่เป็นที่ดินเป็นชื่อของผู้อื่น ผู้สอบบัญชีควรพิจารณาสมควร บันทึกเป็นสินทรัพย์ของกิจการหรือไม่ 2. ควรสอบทานว่ากิจการมีนโยบายในการตรวจนับสินทรัพย์ถาวรหรือไม่ ถ้ามี นโยบายต้องทําให้แน่ใจว่ากิจการมีการปฏิบัติตามนโยบายนั้น แต่ถ้าไม่มีนโยบายเลยก็ควร เสนอแนะต่อฝ่ายจัดการของกิจการ 3. ผลจากการตรวจนับสินทรัพย์ถาวร ต้องนํามาปรับปรุงบัญชีหรือทะเบียน คุมสินทรัพย์ให้ถูกต้องแต่ทั้งนี้ควรมีการติดตามหาสาเหตุของผลแตกต่างดังกล่าวด้วย กรณีที่ สินทรัพย์สูญหายกิจการต้องแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตํารวจเพื่อนําใบแจ้งความเป็นหลักฐาน ประกอบการอนุมัติจําห น่ายสินทรัพย์ออกจากบัญชี เพื่อที่จะไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีที่ สินทรัพย์เสียหาย และกิจการต้องการทําลายนั้น จะต้องแจ้งต่อกรมสรรพากร และผู้สอบบัญชี ก่อนวันทําลายจริง 1 เดือน เพื่อให้การทําลายนั้นไม่ถือเป็นการขาย และไม่ต้องเสีย ภาษีมูลค่าเพิ่ม การตรวจสอบงานระหว่างก่อสร้าง 1. จัดทําตารางคุมงานระหว่างก่อสร้างโดยแสดงยอดยกมาต้นงวด การลงทุน การตั้ง ต้นทุนกู้ยืม (การเพิ่มขึ้น ) การโอนไปเป็นสินทรัพย์ (การลดลง ) ระหว่างงวด รายการปรับปรุง (ถ้ามี) และยอดยกไปสิ้นงวด
45 2. เลือกรายการงานระหว่างก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นมาทดสอบเช่นเดียวกั ตรวจสอบการซื้อสินทรัพย์
บกรณีของการ
3. ทดสอบการคํานวณการตั้งต้นทุนกู้ยืมเป็นทุนสินทรัพย์ กรณีที่กิจการกู้ยืมเงินมา เพื่อก่อสร้าง ถ้าเป็นเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะให้นํารายได้ดอกเบี้ยจากการนําเงินกู้ไปลงทุนมาหัก ออกจากต้นทุนด้วย แต่ถ้าเป็นวัตถุประสงค์ทั่วไปให้ทดสอบการคําน วณอัตราตั้งขึ้นเป็นทุน อย่างไรก็ ตามถ้าสินทรัพย์มีการหยุดพักการก่อสร้าง กิจการจะต้ องพักการคํานวณต้นทุน ดังกล่าวด้วยจนกว่าจะมีการก่อสร้างต่อไป 4. ทดสอบการปันส่วนค่าแรงหรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ในกรณีที่กิจ การ มีการใช้แรงงานของกิจการและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าน้ํา ค่าไฟฟ้าในการ ก่อสร้าง เป็นต้น 5. สอบทานรายการที่โอนไปเป็นสินทรัพย์ถาวร โดยพิจารณาว่าสินทรัพย์ดังกล่าว ก่อสร้างเสร็จ และพร้อมที่จะใช้งาน ซึ่งไม่ควรพิจารณาการออกใบรับงานโดยวิศวกร เนื่ องจาก บางครั้งขั้นตอนดังกล่าวอาจใช้เวลาเป็นปี การสอบทานค่าใช้จ่ายการซ่อมแซม 1. เลือกรายการค่าซ่อมแซมสินทรัพย์ถาวรในงบกําไรขาดทุนมาเพื่อสอบทานลักษณะ ของรายการว่าควรเป็นรายจ่ายฝ่ายทุน (Capital Expenditure) หรือรายจ่ายฝ่ายรายได้ (Revenue Expenditure) โดยพิจารณาว่ ารายจ่ายที่จ่ายไปแล้วทําให้สินทรัพย์มีอายุการใช้งาน ยาวนานขึ้น ประสิทธิภาพดีขึ้น หรือช่วยลดต้นทุนอย่างเห็นได้ชัด ให้ถือว่าเป็นรายจ่ายฝ่ายทุนที่ ต้องบันทึกเป็นสินทรัพย์ แต่ถ้าไม่ใช่ก็บันทึกเป็นค่าใช้จ่าย 2. รายจ่ายค่าซ่อมแซมสินทรัพย์อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ประสิทธิภ สินทรัพย์ตลอดจนอายุการใช้งาน และการด้อยค่าของสินทรัพย์ได้ การตรวจสอบการคานวณค่าเสื่อมราคาและการด้อยค่าของสินทรัพย์ สมเดช โรจน์คุรีเสถียร (2544) ได้ให้วิธีการตรวจไว้ดังนี้
าพการใช้งานของ
46 ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา (Depreciation) เมื่อกิจการได้มีการซื้อสินทรัพย์เข้ามาเพื่อใช้ในกิจการไม่ว่าจะเป็น เครื่องใช้สํานักงาน เครื่องที่ใช้ในการผลิตสินค้า เมื่อสิ้นงวดบัญชีกิจการจะต้องมีการคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ เนื่องจากสินทรัพย์นั้นมีมูลค่าลดลงหรือเสื่อมลงอันเกิดจากการใช้สินทรัพย์นั้น แต่ก่อ นอื่นควร ทราบความหมายของค่าเสื่อมราคาดังนี้ ค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ หมายถึง ส่วนของสินทรัพย์ถาวรของกิจการเมื่อกิจการได้ซื้อ หรือนําเข้ามาใช้ในกิจการแล้วจะมีการเสื่อมสภาพหรือมูลค่าลดลง กิจการต้องตัดส่วนนั้นเป็น ค่าใช้จ่ายในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีเมื่อแสดงมูลค่าข องสินทรัพย์ถาวรตามสภาพที่แท้จริงใน แต่ละงวดบัญชี หรือเป็นการปันส่วนของมูลค่าที่เสื่อมสภาพในสินทรัพย์โดยโอนมาเป็น ค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานของสินทรัพย์นั้นตามระยะเวลาที่กิจการคาดหมายว่าจะได้รับ ผลประโยชน์จากการใช้สินทรัพย์ การคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์เป็นการ ตีมูลค่าของทรัพย์สินที่ เสื่อมสภาพส่วนที่ตัดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีรอบอายุการใช้งานที่ได้ประมาณ การไว้ ทรัพย์ที่มีการเสื่อมสภาพจะประกอบด้วยทรัพย์ที่ 1. คาดว่าจะได้ใช้ประโยชน์ได้มากกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี 2. มีอยู่การใช้งานจํากัด 3. กิจการมีไว้เพื่อใช้ในการผลิต ในการขายสินค้า และบริการ ให้เช่า หรือใช้ใน การ บริหารงาน การบันทึกบัญชีค่าเสื่อมราคา เมื่อมีการหักค่าสึกหรอหรือค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินจะบันทึกบัญชี เดบิต ค่าเสื่อมราคา
xxx
เครดิต ค่าเสื่อมราคาสะสม
xxx
เมื่อกิจ การได้ซื้อทรัพย์สินเข้ามาใช้ในกิ จการจะพบว่าทรัพย์สินนั้นจะมีการเสื่อมสภาพ ตามอายุการใช้งานหรืออาจจะเกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากการใช้งานก็ได้ การปันส่วนของ
47 มูลค่าของทรัพย์สินที่ใช้คิดค่าเสื่อมราคาเพื่อถือเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีตลอด อายุการใช้งาน หากกิจการได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เมื่อได้มีการซื้อทรัพย์สินในกรณีที่ ไม่สามารถแยกออกมาได้ว่าทรัพย์สินที่กิจการได้ซื้อเข้ามานั้นนําเข้ามาใช้เพื่อกิจการที่ได้รับการ ส่งเสริมการลงทุนหรือกิจการที่ไม่ได้รับส่งเสริมการลงทุน กิจการจะต้ องปันส่วนค่าเสื่อมราค า สินทรัพย์ตามอัตราส่วนของรายได้ของทั้งสองกิจการ ในการคิดค่าเสื่อม ราคาทรัพย์สินที่นิยมใช้ การมีอยูห่ ลายวิธีด้วยกันดังต่อไปนี้ 1. การคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราเปลี่ยนแปลงตามชั่วโมงการทํางาน หรือ ตามจํานวน ผลผลิต (Services Hours or Productive Output Method) จะคํานวณค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินที่มีราคาลดลงเนื่องจากการใช้งานมากกว่าจะ ลดลงตามระยะ เวลาเหมาะสําหรับเครื่องจักรหรือ รถยนต์ ซึ่งมักจะมีอายุการใช้งานตามชั่วโมง การใช้งานของสินทรัพย์นั้น มีหลักเกณฑ์คํานวณดังนี้ ค่าเสื่อมราคาต่อหน่วยการผลิต
=
ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร
=
ราคาทุน−ราคาซาก จํานวนหน่วยที่จะผลิตสินค้าได้
จํานวนหน่วยที่ผลิตได้ในปีนั้นๆ x ค่าเสื่อมราคาต่อหน่วยผลผลิต
2. การคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราคงที่ ตามวิธีเส้นตรง (Straight-Line Method) การคิดค่าเสื่อมราคาสําหรับวิธีนี้เหมาะกับสินทรัพย์ที่มีการเสื่อมสภาพไปตาม ระยะเวลามากกว่าเสื่อมสภาพ เพราะการใช้งาน แต่เป็นการเสื่อมสภาพเท่ากันทุกปีซึ่งสินทรัพย์ ที่จะเสื่อมสภาพเท่ากันทุกปีมักจะไม่เกิดขึ้นในกิจการมากนัก อย่างไรก็ดีนักบัญชีมักนําไปใช้กับ สินทรัพย์แทบทุกชนิดที่ต้องคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์เนื่องจากสะดวก ง่ายดาย และไม่ต้อง จดจําเนื่องจากมีการคิดมูลค่าเสื่อมราคาเท่ากันทุกปี ควรมีหลักเกณฑ์ที่จะต้องคํานึงถึง คือ 2.1
มีดอกเบี้ยหรือต้นทุนของเงินทุนมีค่าเท่ากับศูนย์
2.2
ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบํารุงรักษามีจํานวนเท่ากัน
2.3
ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากันตลอดอายุการใช้งาน
48 2.4 สามารถคาดคะเนประมาณการเรื่องต่างๆ รวมทั้งอายุการใช้งานได้ อย่างสม เหตุผลมีหลักเกณฑ์คํานวณดังนี้ 3. การคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราลดลง (Decreasing Charge Method) วิธีนี้จะมีผลทําให้ค่าเสื่อมราคาในปีแรกสูง ปีต่อๆ ไปจะค่อยๆ ลดลงตามลําดับ 3.1 เงื่อนไข 3.1.1 มีค่าซ่อมแซมและบํารุงรักษาเพิ่มขึ้นทุกปี 3.1.2 ประสิทธิภาพและรายได้จากการใช้ทรัพย์สินนั้นลดลงทุกปี 3.1.3 ดอกเบี้ยมีส่วนเป็นปัจจัยกับการใช้ทรัพย์สินนั้น 3.1.4 มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับรายได้ที่จะรับในอนาคต
3.2 วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา มี 3 วิธี คือ 3.2.1 วิธีผลรวมจํานวนปี (Sum of The Years Digits Method) การคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์วิธีนี้ถือว่าประโยชน์ที่ได้จากการใช้ ทรัพย์สินจะเป็นส่วนกลับกับลําดับปีที่ใช้สินทรัพย์นั้น ทําให้มูลค่าของค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ปี แรกสูง ปีต่อๆ ไปจะลดลง 3.2.2 วิธีอัตราคงที่ของราคาตามบัญชีที่ลดลง Percentage of Declining)
(The
Constant
วิธีนี้จะคํานวณหาอัตราค่าเสื่อมราคาคงที่ไว้ แล้วนําอัตรานั้นมาดูกับ ราคาตามบัญชี ณ วันต้นรอบระยะเวลาบัญชีของปีนั้นๆ เพื่อให้ได้ค่าเสื่อมราคา
49 3.2.3 วิธีลดลงทวีคูณ (Double-Declining Balance Method) วิธีนี้อัตราค่าเสื่อมราคาจะเป็น 2 เท่าของอัตราเส้นตรง และใช้อัตรา 2 เท่านี้คูณราคาตามบัญชีของทรัพย์สิน ณ วันต้นรอบระยะเวลาบัญชี 4. การคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราเพิ่มขึ้น (Increasing Charge Method) การคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์วิธีนี้เหมาะสําหรับสินทรัพย์ที่มีการจ่ายเงินประกัน การใช้สินทรัพย์เพราะต้องใช้เงินทุนในการซื้อสินทรัพย์ค่อนข้างมาก แต่มีค่าใช้จ่ายในการ ซ่อมแซมบํารุงรักษาคงที่ตลอดอายุการใช้งาน เช่น สะพาน ถนน การคิดค่าเสื่อ มราคาวิธีนี้ จะคิด ค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ได้ 2 วิธีคือ 4.1 วิธีเงินรายปี (Annuity Method) การคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์วิธี นี้จะเป็นการนํามูลค่าปัจจุบันของเงินลงทุน ในสินทรัพย์หักด้วยดอกเบี้ยของราคาสุทธิตามบัญชี 4.2 วิธีกองทุนจม (Sinking Fund Method) การคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์วิธีนี้จะคํานึงถึงการกันเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อจะ นําไปซื้อสินทรัพย์ใหม่โดยการกันเงินไว้ทุกปีเพื่อนําเงินมาทดแทนเพื่อซื้อสินทรัพย์ใหม่ได้ ทันท่วงที การคิดค่าเสื่อมราคารวมเป็นกลุ่ม (Group Depreciation) ในกรณีที่กิจการได้มีการซื้อสิ นทรัพย์จํานวนมาก และมีราคาต่ําก ารนําไปคิดค่าเสื่อม ราคาสินทรัพย์เป็นรายชิ้นอาจจะไม่สะดวกต่อการปฏิบัติงานจึงจําเป็นที่จะต้องนําสินทรัพย์ ดังกล่าวมารวมกลุ่มเข้าด้วยกันเ พื่อคิดค่าเสื่อมราคาเป็นกลุ่มในอัตราเดียวกันสําหรับสินทรัพย์ นั้น การคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์วิธีนี้ควรใช้กับสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน และมีอายุการใช้งาน เท่ากัน
50 การคิดค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาตามประมวลรัษฎากร นอกจากนี้นักบัญชีควรจะคํานึงกฎหมายภาษีอากรเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วย การหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาทรัพย์สิน ตามประมวลรัษฎากรได้ออกพระราชกฤษฎีกาว่า ด้วยการหักค่าสึกหรอ และค่ าเสื่อมราคาสินทรัพย์ ฉบับที่ 145 กําหนดให้กิจการหักค่าสึก หรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินต ามวิธีเส้นตรง (Straight Line Method) ตามระยะเวลาที่ได้ ทรัพย์สินนั้นมาในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีในอัตราไม่เกิ นร้อยละของมูลค่าต้นทุนตามประเภท ของทรัพย์สินดังต่อไปนี้ 1. อาคาร 1.1 อาคารถาวร
ร้อยละ 5
1.2 อาคารชั่วคราว ร้อยละ 100 2. ต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สูญสิ้นไปได้ ร้อยละ 5 3. ต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิการเช่า 3.1 กรณีไม่มีหนังสือสัญญาเช่า หรือมีหนังสือสัญญาเช่าที่มีข้อกําหนดให้ต่ออายุ การเช่าได้ โดยเงื่อนไขในการต่ออายุนั้นเปิดโอกาสให้ต่ออายุการเช่ากันได้ต่อๆ ไป ร้อยละ 10 3.2 กรณีมีหนังสือสัญญาเช่าที่ไม่มีข้อกําหนดให้ต่ออายุการได้ กําหนดให้ต่ออายุการเช่าได้เพียงระยะเวลาอันจํากัดแน่นอน ร้อยละ 100
หรือมีข้อ
4. ต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิในกรรมวิธี สูตรกู๊ดวิล เครื่องหมาย การค้า สิทธิประกอบ กิจการตามใบอนุญาต สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น 4.1 กรณีไม่จํากัดอายุการใช้งาน ร้อยละ 10 4.2 กรณีจํากัดอายุการใช้หารด้วยจํานวนปีอายุการใช้งาน ร้อยละ 100
51 4.3 ทรัพย์สินอื่นซึ่งโดยสภาพของทรัพย์สินนั้นสึกหรอ นอกจากที่ดินและสินค้า ร้อยละ 20
หรือเสื่อมราคาได้
4.4 เครื่องจักรและอุปกรณ์ของเครื่องจักรที่ใช้สําหรับการวิจัย และพัฒนาสําหรับ มูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลือให้หักตามเงื่อนไขและอัตราที่กําหนดไว้ในข้อ 1-5 ร้อยละ 40 4.5 เครื่องบั นทึกการเก็บเงินของผู้ประกอบการ ภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับมูลค่า ต้นทุนส่วนที่เหลือให้หักตามเงื่อนไข และอัตราที่กําหนดไว้ในข้อ 1-5 ร้อยละ 40 หลักเกณฑ์ตามประมวลรัษฎากร 1. การหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินให้คํานวณหักตามระยะเวลาที่ได้ ทรัพย์สินนั้นมาในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีเป็นรายวัน 2. ในกรณีที่กิจการได้ขออนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรขอเปลี่ยนแปลงรอบระยะเวลา บัญชีจะคํานวณ โดยการหักค่าเสื่อ มราคาจะใช้ในกรณีที่รอบระยะเวลาบั ญชีแรกหรือ รอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายน้อยกว่า 12 เดือน ในการหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินในการคํานวณกําไรสุทธิ และ ขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น ต้องคํานวณหักตามระยะเวลาที่ได้ทรั พย์สินนั้นมา ในแต่ละรอบระยะเวลาบั ญชี หากรอบระยะเวลาบัญชี ใดไม่เกิน 12 เดือน ให้เฉลี่ยตามส่วน สําหรับรอบระยะเวล าบัญชีนั้นตามความในมาตรา 4 แห่งพระรา ชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 วันที่ถือว่าได้สินทรัพย์มา หมายถึง วันที่ทรัพย์สิ นนั้นอยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งาน หรือใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นทรัพย์สินใดที่ซื้อมาหรือได้มาซึ่งโดยสภาพแห่ งทรัพย์สินนั้นสามารถ ใช้การได้ทันทีแล้ว การคํานวณค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาต้องเริ่มแต่วันดังกล่าว แต่ถ้า ทรัพย์สินนั้นโดยสภาพจะต้องทําการอย่างหนึ่งอย่างใดอีกชั่วระยะหนึ่งก่อนจึงจะใช้งานหรือใช้ ประโยชน์ได้ การคํานวณค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาต้องเริ่มตั้งแต่วันที่ทรัพย์สินนั้นพร้อมที่จะ ใช้งานหรือใช้ประโยชน์ได้
52 3. การหักค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินจะหักจนหมดมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินนั้นไม่ได้ โดย ให้คงเหลือมูลค่าของทรัพย์สินนั้นเป็นจํานวนอย่างน้อย 1 บาท เว้นแต่ทรัพย์สิน ประเภทรถยนต์ โดยสารนั่งไม่เกิน 10 คน หรือรถยนต์นั่ งที่มีมูลค่าต้นทุนเป็น 1,000,000 บาท แต่ต้องหัก ค่าเสื่อมราคาจากมูลค่าต้น ทุนเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 1,000,000 บาท ให้คงเหลือมูลค่าต้นทุนของ ทรัพย์สินเท่ากับมูลค่าต้นทุนส่วนที่เกิน 1,000,000 บาท การหักค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินไม่ว่า กรณีใดก็ตามจะหักจนหมดมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินนั้นไม่ได้ 4. ทรัพย์สินที่ได้มาโดยการเช่าซื้อหรือโดยการซื้อขายเงินผ่อน มูลค่าต้นทุนของ ทรัพย์สินนั้นให้ถือตามราคาที่ต้องชําระทั้งหมด (ราคาซื้อ+ดอกเบี้ย) และค่าเสื่อมราคาที่จะนํา มา หักในรอบระยะเวลาบัญชี จะต้องไม่เกินค่าเช่าซื้อหรือราคาที่จะต้องผ่อนชําระในรอบระยะเวลา บัญชีนั้น 5. กรณีที่กิจการหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาโดยใช้วิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไป ซึ่งมีอัตราการหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาไม่เท่ากันในแต่ละปีระหว่างอายุการใช้ทรัพย์สิน กิจการนั้นจะหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาตามวิธีนั้นในบางปีเกินอัตราที่กําหนดก็ได้ แต่จํานวนอายุการใช้งานของทรัพย์สินเพื่อการหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาต้องไม่น้อยกว่า 100 หารด้วยจํานวนร้อยละที่กําหนดตามพระราชกฤษฎีกา 6. การหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักร และอุปกรณ์ ของเครื่องจักรที่ใช้ในการวิจัย และการพัฒนาต้องมีลักษณะดังนี้ 6.1 ต้องไม่เป็นเครื่องจักร และอุปกรณ์ของเครื่องจักรที่ใช้ผลิตสินค้าหรือ ให้บริการ เว้นแต่เครื่องจักร และอุปกรณ์ของเครื่องจักรได้ใช้เพื่อการ 6.1.1 วิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบที่นํามาใช้ในการผลิต 6.1.2 การทดสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ 6.1.3 การปรับปรุงกรรมวิธีการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตหรือเพิ่มผลผลิต 6.2 ต้องเป็นเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ของเครื่องจักรที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมา ก่อน โดยมีอายุการใช้งานได้ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป และมีมูลค่าต้นทุนไม่ต่ํากว่า 100,000 บาท
53 6.3 ต้องแจ้งการใช้เครื่องจักร และอุปกรณ์ของเครื่องจักรเพื่อการวิจัย และ พัฒนาต่ออธิบดีกรมสรรพากรภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ใช้เครื่องจักร และอุปกรณ์ของ เครื่องจักร 7. ลักษณะของเครื่องบันทึกการเก็บเงินต้องมีลักษณะดังนี้ 7.1 ต้องเป็นทรัพย์สินของผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งประกอบการค้าปลี ก หรือประกอบกิจการอื่นที่มิใช่การค้าปลีกที่อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้ใช้เครื่ องบันทึก การเก็บเงินในการออกภาษีอย่างย่อ 7.2 ต้องเป็นเครื่องบันทึกการเก็บเงินมีลักษณะตามที่อธิบดีกรมสรรพากร กําหนด แต่ไม่รวมถึงส่วนระบบควบคุมกลางของเครื่องคอมพิวเตอร์ 7.3 ต้องแจ้งการใช้เครื่องเก็บเงินในการออกใบกํากับภาษีอย่างย่อต่ออธิบดี กรมสรรพากรกําหนดภายในเวลา 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เครื่องบันทึก การเก็บเงิน 8. การหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์อย่างอื่นที่มิใช่รถยนต์โดยสารที่มี ที่นั่งไม่เ กิน 10 คนหรือรถยนต์นั่ง กิจการจะใช้ วิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไป ซึ่งมีอัตราการหัก ค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาในปีแรกเป็น 2 เท่าของอัตราที่กําหนด และสําหรับปีถัดไปให้หักได้ ตามอัตรา 2 เท่าดังกล่าวโดยคํานวณจากมูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลือในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ก็ได้ แต่จํานวนปีอายุการใช้งานของทรัพย์สินเพื่อการหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาต้อง ไม่น้อยกว่า 100 หารด้วยจํานวนร้อยละที่กําหนด ทั้งนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายของอายุ การใช้งานของทรัพย์สินดังกล่าว กิจการจะหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาโดยรวมจํานวนมูลค่า ต้นทุนส่วนที่เหลืออยู่ทั้งหมดด้วยก็ได้ ทั้งนี้ตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 359 ใช้สําหรับทรัพย์ที่ ได้มาตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2542 เป็นต้นไป 9. กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาโดยใช้วิธีการ ทางบัญชีที่รับรองทั่วไป ซึ่งมีอัตราการหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาไม่เท่ากันในแต่ละปี ระหว่างอายุ การใช้ทรัพย์สินบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นจะหักค่าสึกหรอหรือ ค่าเสื่อมราคาตามวิธีนั้นในบางปีเกินอัตราที่กําหนดข้างต้นก็ได้ แต่จํานวนปีอายุการใช้ของ ทรัพย์สินเพื่อการหั กค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาต้องไม่น้อยกว่า 100 หารด้วยจํานวนร้อยละ
54 ที่กําหนดข้างต้น ในกรณีที่กิจการมีความประสงค์ที่จะหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาดังกล่าว เช่น วิธีผลรวมจํานวนปี (Sum-of-the-Years-Digits Method) 9.1 ผู้สอบบัญชีควรทดสอบการคํานวณค่าเสื่อมราคาในภาพรวมโดยการ คํานวณตามวิธีการของกิจการ (Overall Reasonableness Test) ซึ่งควรปฏิบัติดังนี้ 9.1.1 สอบทานนโยบายการคิดค่าเสื่อมราคาว่ายังเหมาะสมหรือไม่ โดย สอบถามจากฝ่ายบริหารว่ามีการเร่งการผลิตหรือเพิ่มชั่วโมงการผลิตหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงใน เทคโนโลยีซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลทําให้อายุการใช้งานโดยประมาณลดลง 9.1.2 เปรียบเทียบอัตราค่าเสื่อมราคาระหว่างปีที่ตรวจสอบกับปีก่อน ถ้ามี ความแตกต่างให้หาสาเหตุ 9.1.3 คํานวณค่าเสื่อมราคาแต่ละประเภทโดยเริ่มนํายอดสินทรัพย์ต้นงวด หักด้วยสินทรัพย์ที่คิดค่าเสื่อมราคาครบแล้ว (Fully depreciated assets) บวกด้วยสินทรัพย์ที่ ซื้อระหว่างปี (อาจถัวเฉลี่ยหรือนําจํานวนเงินมาเพียงครึ่งหนึ่ง) หักด้วยสินทรัพย์ที่ขายระหว่างปี (อาจถัวเฉลี่ยหรือ นําจํานวนเงินมาเพียงครึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ไม่รวมส่วนที่คิดค่าเสื่อมราคาครบแล้ว ) หลังจากนั้นจะได้จํานวนต้นทุนสินทรัพย์ซึ่งจะคูณด้วยอัตราค่าเสื่อมราคาและนําไปเปรียบเทียบ กับยอดค่าเสื่อมราคาในบัญชีแยกประเภท และให้สาเหตุถ้ามีผลแตกต่างที่มีสาระสําคัญ 10. พิจารณาว่ามีผลแตกต่ างระหว่างค่าเสื่อมราคาทางภาษีอากรหรือไม่ ถ้ามีต้องทํา ตารางเก็บรายละเอียดเพื่อคํานวณภาษีเงินได้ 11. ผู้สอบบัญชีควรสอบทานว่ากิจการมีการพิจารณาเรื่องการด้อยค่าของสินทรัพย์ทุก วันสิ้นงวดหรือไม่เมื่อมีข้อบ่งชี้ (Indicator) ของการด้อยค่าของสินทรัพย์ ถ้ามีควรสอบทานว่า กิจการมีการคําน วณที่ถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าไม่มี ก็ควรเสนอแนะฝ่ายจัดการให้ปฏิบัติด้วย ในกรณีที่มีข้อบ่งชี้ และกิจการทดสอบการด้อยค่านั้น ผู้สอบบัญชีควรสอบทานหลักเกณฑ์ที่ กิจการใช้ เช่น การระบุหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อใ ห้เกิดเงินสด (Cash Generating) การกําหนดราคา ขายสุทธิ (Net Selling Price) สมมติฐานการจัดทําประมาณการกระแสเงินสด ระยะเวลา และ อัตราที่คิดลดกระแสเงินสดนั้น และการปันส่วนขาดทุนจากการด้อยค่านั้นให้สินทรัพย์ที่อยู่ใน หน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด
55 การประเมินราคาที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ 1. กรณีที่ กิจการมีการประเมินราคาสินทรัพย์ ให้ผู้สอบบัญชีพิจารณาเหตุผลของการ ประเมินราคา และทําโดยผู้ประเมินราคาอิสระหรือไม่ ตลอดจนความถี่ของการประเมินราคา 2. สินทรัพย์ที่ประเมินราคาใหม่ ควรมีการประเมินราคาทุกรายการของสินทรัพย์ ประเภทนั้นๆ เพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติ 3. ห้ามนําส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ และขาดทุนจากการตีราคาสินทรัพย์มา หักลบกลบกันไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ประเภทเดียวกันหรือไม่ ให้แยกแสดงเพื่อให้สามารถติดตาม การเปลี่ยนแปลงราคาของสินทรัพย์นั้นได้เมื่อผลการประเมินราคาในครั้งใหม่เปลี่ยนไป 4. การคํานวณค่าเสื่อมราคานั้น จะต้องคํานวณจากราคาสินทรัพย์ที่ได้มีการประเมิน ขึ้นใหม่ไม่ว่าจะประเมินราคาเพิ่มขึ้นหรือประเมินราคาลดลง แต่ทางภาษีคํานวณค่าเ สื่อมราคา จากต้นทุนเดิมก่อนการตีราคาสินทรัพย์ การตรวจสอบอื่นๆ 1. การสอบทานภาระค้ําประกัน จํานํา จํานองในสินทรัพย์ โดยรวบรวมข้อมูลจากฝ่าย จัดการหนังสือยืนยันยอดธนาคาร การสอบทานเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ เช่น โฉนดที่ดิน เป็นต้น เพื่อนํามาเปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงิน 2. การสอบทานควา มเพียงพอของการประกันภัยสินทรัพย์ ให้พิจารณาวงเงินเอา ประกัน (Sum Insured) สินทรัพย์จากกรมธรรม์ประกันภัย (Insurance Policy) ว่าครอบคลุม ราคาตามบัญชีของสินทรัพย์หรือไม่ ถ้าไม่ ผู้สอบบัญชีควรเสนอแนะฝ่ายจัดการ 3. การสอบทานสินทรัพย์ตามสัญญาเช่าระยะยาว (Lease Assets) ควรสอบทานว่า สินทรัพย์ตามสัญญาเช่าระยะยาวนั้นเป็นแบบเช่าการเงิน (Finance Lease) หรือเช่าดําเนินงาน (Operating Lease) ถ้าเงื่อนไขเช่าการเงิน กิจการต้องบันทึกสินทรัพย์ และภาระหนี้สินทั้งหมด ในงบการเงิน แต่ถ้าเป็นการเช่าแบบดําเนินงาน กิจการก็บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในงบกําไรขาดทุน
56 4. การจัดทําตารางแสดงการคํานวณภาษีสําหรับค่าเสื่อมราคา สินทรัพย์ตามสัญญา เช่าระยะยาว เนื่องจากแนวปฏิบัติทางบัญชีเกี่ยวกับสัญญาเช่าระยะยาวนั้นมีแบบเช่าการเงิน และเช่าดําเนินงาน ซึ่งการเช่าแบบการเงินนั้นกิจการจะบันทึกสินทรัพย์ และค่าเสื่อมราคา แต่ เช่าแบบดําเนินงานกิจการจะบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ในการคํานวณภาษี กรมสรรพากรไม่ได้แบ่งตามแนวทางการบัญชี เนื่องจากได้กําหนดการเช่าให้เป็นค่าใช้จ่าย (ค่าเช่า) ทั้งหมด และมีอัตราไม่เกิน 36,000 ต่อเดือน
57 มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินค้าคงเหลือ วัตถุประสงค์ มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกําหนดวิธีปฏิบัติทางบัญชีสําหรับสินค้า คงเหลือ ประเด็นหลักของการบัญชีสําหรับสินค้าคงเหลือ คือ จํานวนต้นทุนที่จะรับรู้เป็น สินทรัพย์และยกยอดไปจนกว่าจะมีการรับรู้รายได้ที่ สัมพันธ์กัน มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ กําหนดแนวปฏิบัติในการคํานวณหาต้นทุนของสินค้าคงเหลือและการรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายใน ภายหลัง รวมทั้งการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ นอกจากนี้ มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ยังให้แนวทางเกี่ยวกับวิธีการคํานวณหาต้นทุนของสินค้าคงเหลือด้วย ขอบเขต 1. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ถือปฏิบัติกับสินค้าคงเหลือทุกประเภทยกเว้น 1.1 งานระหว่างก่อสร้างภายใต้สัญญาก่อสร้างซึ่งรวมถึงสัญญาการให้บริการที่ เกี่ยวข้องโดยตรง (ดูมาตรฐานการบัญชีฉบับที่11 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญาก่อสร้าง) 1.2 เครื่องมือทางการเงิน (ดูมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 32 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การแสดงรายการเครื่องมือทางการเงิน (เมื่อมีการประกาศใช้) และมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 39 เรื่อง การรับรู้และการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน (เมื่อมีการประกาศใช้)) 1.3 สินทรัพย์ชีวภาพที่เกี่ย วข้องกับกิจกรรมทางการเกษตรและผลิตผลทางการ เกษตร ณ จุดเก็บเกี่ยว (ดูมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 41 เรื่อง เกษตรกรรม (เมื่อมีการ ประกาศใช้)) 2. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ไม่ถือปฏิบัติกับการวัดมูลค่าของสินค้าคงเหลือที่ถือไว้ โดย
58 2.1 ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์จากป่า ผลิตผลทางการเกษตร ภายหลังการเก็บเกี่ยว แร่ และผลิตภัณฑ์จากแร่ เนื่องจากสินค้าคงเหลือเหล่านั้นวัดมูลค่าด้วย มูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ซึ่งเป็นวิธีที่ถือปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมเหล่านั้น เมื่อ กิจการวัดมูลค่าสินค้าคงเหลือดังกล่าวด้วยมูลค่าสุทธิที่จะได้ รับ การเปลี่ยนแปลงในมูลค่า ดังกล่าว จะรับรู้ในกําไรหรือขาดทุนในงวดที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่านั้น 2.2 นายหน้า-ผู้ค้าสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งวัดมูลค่าสินค้าคงเหลือด้วยมูลค่ายุติธรรม หักต้นทุนในการขาย เมื่อสินค้าคงเหลือดังกล่าววัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขาย โดยการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขายจะรับรู้ในกําไรหรือขาดทุนในงวดที่มี การเปลี่ยนแปลงมูลค่านั้น คานิยาม 1. สินค้าคงเหลือ หมายถึง สินทรัพย์ซึ่งมีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้ 1.1 ถือไว้เพื่อขายตามลักษณะการประกอบธุรกิจตามปกติของกิจการ 1.2 อยู่ในระหว่างกระบวนการผลิตเพื่อให้เป็นสินค้าสําเร็จรูปเพื่อขาย 1.3 อยู่ในรูปของวัตถุดิบหรือวัสดุที่มีไว้เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าหรือ ให้บริการ 2. มูลค่าสุทธิที่จะได้รับ หมายถึง ราคาโดยประมาณที่คาดว่าจะขายได้ตามลักษณะ การประกอบธุรกิจตามปกติ หักด้วยประมาณการต้นทุนในการผลิตสินค้านั้นให้เสร็จและต้นทุนที่ จําเป็นต้องจ่ายไปเพื่อให้ขายสินค้านั้นได้ 3. มูลค่ายุติธรรม หมายถึง จํานวนเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ หรือจ่ายชําระหนี้สินในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมีความรอบรู้และเต็มใจในการแลกเปลี่ยน และ สามารถ ต่อรองราคากันได้อย่างเป็นอิสระ
59 การวัดมูลค่าสินค้าคงเหลือ สินค้าคงเหลือต้องวัดมูลค่าด้วยราคาทุนหรือมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ แล้วแต่มูลค่าใดจะต่ํา กว่าต้นทุนของสินค้าคงเหลือ ต้นทุนของสินค้าคงเหลือ ต้นทุนของสินค้าคงเหลือต้องประกอบด้วยต้นทุนทั้งหมดในการซื้อ ต้นทุนแปลงสภาพ และต้นทุนอื่นๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้สินค้าคงเหลือนั้นอยู่ในสถานที่และอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน การคานวณต้นทุนสินค้าคงเหลือ 1. ต้นทุนสินค้าคงเหลือของแต่ละรายการ ซึ่งโดยปกติไม่อาจสับเปลี่ยนกันได้ หรือ เป็นสินค้าหรือบริการที่ผลิตขึ้นและแยกต่างหากไว้สําหรับโครงการหนึ่งโครงการใดโดยเฉพาะ ต้องคํานวณโดยใช้วิธีราคาเจาะจง 2. ต้นทุนสินค้าคงเหลือนอกจากที่กล่าวในข้อ 1 ต้องคํานวณมูลค่าโดยวิธีเข้าก่อนออก ก่อนหรือวิธีถัวเฉลี่ยถ่วงน้ําหนัก กิจการต้องใช้วิธีการคํานวณมูลค่าด้วยวิธีเดียวกันสําหรับสินค้า คงเหลือทุกชนิดที่มีลักษณะและการใช้คล้ายคลึงกัน สําหรับสินค้าคงเหลือที่มีลักษณะและการใช้ ต่างกันอาจใช้วิธีคํานวณต้นทุนที่ต่างกันไปได้หากเหมาะสม การรับรู้เป็นค่าใช้จ่าย เมื่อมีการขายสินค้าคงเหลือออกไป มูลค่าตามบัญชีของสินค้านั้นต้องรับรู้เป็นค่าใช้จ่าย ในงวดที่มีการรับรู้รายได้ที่เกี่ยวข้อง มูลค่าที่ลดลงของสินค้าคงเหลือเนื่องจากการปรับมูลค่าให้ เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ รวมทั้งผลขาดทุ นทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้าคงเหลือต้องบันทึกเป็น ค่าใช้จ่ายในงวดที่ปรับมูลค่าสินค้าให้ลดลงหรือมีผลขาดทุนเกิดขึ้น จํานวนที่เกิดจากการกลับ รายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสุทธิที่จะได้รับต้องรับรู้โดย นําไปหักจากมูลค่าของสินค้าคงเหลื อที่รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงวดบัญชีที่มีการกลับรายการ ดังกล่าว
60 มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ วัตถุประสงค์ มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกําหนดวิธีปฏิบัติทางบัญชีสําหรับรายการ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินจะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของ กิจการในรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการลงทุน ดังกล่าว ประเด็นหลักในทางบัญชีสําหรับรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ได้แก่ การรับรู้ รายการสินทรัพย์ การกําหนดมูลค่าตามบั ญชี การคิดค่าเสื่อมราคา และการรับรู้ผลขาดทุนจาก การด้อยค่าของสินทรัพย์ ขอบเขต มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ไม่ครอบคลุมถึง 1. ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ที่จัดเป็นประเภทถือไว้เพื่อขายตามที่กําหนดไว้ใน มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 5 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือ ไว้เพื่อขายและการดําเนินงานที่ยกเลิก 2. สินทรัพย์ชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเกษตร (ดูมาตรฐานการบัญชีฉบับ ที่ 41 เรื่อง เกษตรกรรม (เมื่อมีการประกาศใช้)) 3. การรับรู้และวัดมูลค่าสินทรัพย์ที่เกิดจากการสํารวจและการประเมินค่า (ดูมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 6 เรื่อง การสํารวจและประเมินค่าแหล่งทรัพยากรแร่ ) หรือ สัมปทานเหมืองแร่ และแหล่งทรัพยากรแร่ เช่น น้ํามัน ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรธรรมชาติ อื่นซึ่งไม่สามารถทดแทนได้
61 คานิยาม 1. มูลค่าตามบัญชี หมายถึง มูลค่าของสินทรัพย์ที่รับรู้หลังจากหักค่าเสื่อมราคาสะสม และผลขาดทุนจากการด้อยค่าสะสมของสินทรัพย์ 2. ราคาทุน หมายถึง จํานวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่กิจการจ่ายไป หรือ มูลค่ายุติธรรมของสิ่งตอบแทนอื่นที่กิจการมอบให้เพื่อให้ได้มาซึ่งสินทรัพย์ ณ เวลาที่ได้ สินทรัพย์นั้นมา หรือ ณ เวลาที่ก่อสร้างสินทรัพย์นั้น หรือหากเป็นไปได้ ให้รวมถึงจํานวนที่แบ่ง มาเป็นราคาทุนของสินทรัพย์ที่รับรู้เมื่อเริ่มแรกตามที่กําหนดไว้ในมาตรฐานการรายงานทาง การเงินฉบับอื่น เช่น มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 2 เรื่อง การจ่ายโดยใช้หุ้นเป็น เกณฑ์ 3. จํานวนที่คิดค่าเสื่อมราคา หมายถึง ราคาทุนของสินทรัพย์หรือมูลค่าอื่นที่ใช้แทน ราคาทุนหักด้วยมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ 4. ค่าเสื่อมราคา หมายถึง การปันส่วนจํานวนที่คิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์อย่างมี ระบบตลอดอายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์นั้น 5. มูลค่าเฉพาะกิ จการ หมายถึง มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดซึ่งกิจการคาดว่าจะ ได้รับจากการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และจากการจําหน่ายสินทรัพย์นั้นเมื่อสิ้น อายุการให้ประโยชน์หรือที่คาดว่าจะเกิดเมื่อมีการโอนสินทรัพย์นั้นเพื่อชําระหนี้สิน 6. มูลค่ายุติธรรม หมายถึง จํานวนเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงแลกเปลี่ยนสินทรัพย์กัน ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมีความรอบรู้และเต็มใจในการแลกเปลี่ยนและสามารถต่อรองราคากันได้ อย่างเป็นอิสระในลักษณะของผู้ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน 7. ผลขาดทุนจากการด้อยค่า หมายถึง จํานวนของมูลค่าตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่ าที่ คาดว่าจะได้รับคืนของสินทรัพย์ 8. ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ หมายถึง สินทรัพย์ที่มีตัวตนซึ่งเข้าเงื่อนไขทุกข้อต่อไปนี้ 8.1 กิจการมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการผลิต ในการจําหน่ายสินค้าหรือให้บริการ เพื่อให้เช่าหรือใช้ในการบริหารงาน
62 8.2 กิจการคาดว่าจะใช้ประโยชน์มากกว่าหนึ่งรอบระยะเวลา 9. มูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืน หมายถึง มูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขายของ สินทรัพย์หรือหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดหรือมูลค่าจากการใช้ของสินทรัพย์นั้น แล้วแต่ จํานวนใดจะสูงกว่า 10. มูลค่าคงเหลือ หมายถึง จํานวนเงิ นที่กิจการคาดว่าจะได้รับในปัจจุบันจากการ จําหน่ายสินทรัพย์หลังจากหักต้นทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการจําหน่ายสินทรัพย์นั้น หาก สินทรัพย์นั้นมีอายุและสภาพที่คาดว่าจะเป็น ณ วันสิ้นสุดอายุการให้ประโยชน์ 11. อายุการให้ประโยชน์ หมายถึง กรณีใดกรณีหนึ่งต่อไปนี้ 11.1 ระยะเวลาที่กิจการคาดว่าจะมีสินทรัพย์ไว้ใช้ 11.2 จํานวนผลผลิตหรือจํานวนหน่วยในลักษณะอื่นที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งกิจการ คาดว่าจะได้รับจากสินทรัพย์ การรับรู้รายการ 1. กิจการต้องรับรู้ต้นทุนของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เป็นสินทรัพย์เมื่อ เป็นไปตามเงื่อนไขทุกข้อ ต่อไปนี้ 1.1 มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจใน อนาคตจากรายการนั้น 1.2 กิจการสามารถวัดมูลค่าต้นทุนของรายการนั้นได้อย่างน่าเชื่อถือ 2. ต้นทุนเริ่มแรก ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ บางรายการไม่ได้เพิ่มประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคต โดยตรงต่อกิจการ แต่เป็นสินทรัพย์ที่จําเป็นเพื่อให้กิจการสามารถได้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจใน อนาคตจากสินทรัพย์หลัก ดังนั้น กิจการต้องรับรู้รายการดังกล่าวเป็นที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เช่น อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย อุปกรณ์รักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
63 3. ต้นทุนที่เกิดขึ้นในภายหลัง 3.1 ค่าซ่อมแซมและบํารุงรักษาที่เกิดขึ้นเป็นประจํา ให้ถือเป็นค่าใช้จ่าย 3.2 ต้นทุนในการเปลี่ยนแทน หากเข้าเกณฑ์การรับรู้รายการที่ดิน อาคารและ อุปกรณ์ ทั้ง 2 ข้อ (ข้อ 1.1 และ 1.2) กิจการต้องรับรู้รายการดังกล่าวเป็นต้นทุนที่ดิน อาคารและ อุปกรณ์ 3.2.1 การเปลี่ยนแทนส่วนประกอบต่างๆ เช่น เก้าอี้ในเครื่องบิน 3.2.2 ต้นทุนในการตรวจสอบครั้งใหญ่ของสินทรัพย์ การวัดมูลค่าเมื่อรับรู้รายการ 1. กิจการต้องวัดมูลค่าของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ที่เข้าเงื่อนไขการรับรู้ รายการเป็นสินทรัพย์โดยใช้ราคาทุน 2. ส่วนประกอบของราคาทุน 2.1 ราคาซื้อรวมอากรขาเข้าและภาษีซื้อที่เรียกคืนไม่ได้หลังหักส่วนลดการค้า และจํานวนที่ได้รับคืนจากผู้ขาย 2.2 ต้นทุนทางตรงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาสินทรัพย์ เพื่อให้สินทรัพย์นั้น อยู่ในสถานที่และสภาพที่พร้อมจะใช้งานได้ตามความประสงค์ของฝ่ายบริหาร 2.3 ประมาณการค่ารื้อ ขนย้าย และการบูรณะสถานที่ ภายหลังการเลิกใช้ สินทรัพย์ (ถือเป็นภาระผูกพันของกิจการที่เกิดขึ้นจากการติดตั้งสินทรัพย์) 3. การวัดมูลค่าของราคาทุน 3.1 ต้นทุนของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ วัดด้วยราคาที่เทียบเท่ากับการซื้อด้วย เงินสด ณ วันที่รับรู้รายการ หากมีการขยายกําหนดก ารชําระเงินออกไปนานกว่าปกติ กิจการ ต้องบันทึกผลต่างระหว่างจานวนเงินที่ต้องชําระจริงกับราคาที่เทียบเท่ากับการซื้อด้วยเงินสด
64 เข้าเป็นดอกเบี้ยจ่าย เว้นแต่จะเข้าเงื่อนไขการรับรู้เรื่องต้นทุนการกู้ยืม (มาตรฐานการบัญชีฉบับ ที่ 23 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ต้นทุนการกู้ยืม) 3.2 การแลกเปลี่ยนที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ต้องวัดด้วยมูลค่ายุติธรรม ยกเว้น ในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ 3.2.1 รายการแลกเปลี่ยนขาดเนื้อหาเชิงพาณิชย์ 3.2.2 กิจการไม่สามารถวัดมูลค่ายุติธรรมได้อย่างน่าเชื่อถือ จึงจะใช้ราคา ตามบัญชี การวัดมูลค่าภายหลังการรับรู้รายการ 1. วิธีราคาทุน ภายหลังจากการรับรู้รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เป็นสินทรัพย์ กิจการต้องแสดงรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์นั้นด้วยราคาทุนหักค่าเสื่อมราคาสะสม และผล ขาดทุนจากการด้อยค่าสะสมของสินทรัพย์ 2. วิธีการตีราคาใหม่ 2.1 ภายหลังจากการรับรู้รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เป็นสินทรัพย์ หาก ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์นั้นสามารถวัดมูลค่ายุติธรรมได้อย่างน่าเชื่อถือ กิจการต้องแสดง รายการดังกล่าวด้วยราคาที่ตีใหม่ ซึ่งคือมูลค่ายุติธรรม ณ วันที่มีการตีราคาใหม่หักด้วยค่าเสื่อม ราคาสะสม และผลขาดทุนจากการด้อยค่าสะสมที่เกิดขึ้ นในภายหลัง กิจการต้องตีราคา สินทรัพย์ใหม่อย่างสม่ําเสมอเพื่อให้แน่ใจว่ามูลค่าตามบัญชีจะไม่แตกต่างจากมูลค่ายุติธรรม ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาการรายงานอย่างมีสาระสําคัญ 2.2 ค่าเสื่อมราคาสะสมของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ณ วันที่ตีราคาใหม่ กิจการต้องถือปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้ 2.2.1 ปรับค่าเสื่อมราคาสะสมตามสัดส่วนกับการเปลี่ยนแปลงของมูลค่า ตามบัญชีก่อนหักค่าเสื่อมราคาสะสมและผลขาดทุนจากการด้อยค่าสะสม วิธีนี้มักใช้เมื่อ สินทรัพย์ถูกตีราคาใหม่โดยการนําดัชนีมาอ้างอิงเพื่อกําหนดต้นทุนเปลี่ยนแทนหักค่าเสื่อมราคา สะสม
65 2.2.2 นําค่าเสื่อมราคาสะสมหักมูลค่าตามบัญชีก่อนหักค่าเสื่อมราคาสะสม และผลขาดทุนจากการด้อยค่าสะสม เพื่อให้มูลค่าสุทธิที่ปรับใหม่แสดงในราคาที่ตีใหม่ของ สินทรัพย์ ซึ่งวิธีนี้มักใช้กับการตีราคาอาคาร 2.3 หากตีราคาสินทรัพย์ใหม่เพิ่มขึ้น กิจการต้องรับรู้มูลค่าตามบัญชีของ สินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (งบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ) และรับรู้จํานวนสะสม ไปยังบัญชี “ส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์” 2.4 หากตีราคาสินทรัพย์ใหม่ลดลง กิจการต้องรับรู้มูลค่าตามบั ญชีของสินทรัพย์ ที่ลดลงเป็นค่าใช้จ่าย (งบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ) 3. ค่าเสื่อมราคา 3.1 ส่วนประกอบของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ แต่ละส่วนแยกต่างหาก จากกันเมื่อส่วนประกอบแต่ละส่วนนั้นมีต้นทุนที่มีนัยสําคัญเมื่อเทียบกับต้นทุนทั้งหมดของ สินทรัพย์นั้น 3.2 กิจการต้องรับรู้ค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นในแต่ละงวดบัญชีในกําไรหรือขาดทุน ยกเว้นกรณีที่ต้องนําค่าเสื่อมราคาดังกล่าวไปรวมเป็นมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์อื่น 3.3 กิจการต้องปันส่วนจํานวนที่คิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์อย่างมีระบบ ตลอดอายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์ 3.4 กิจ การต้องทบทวนมูลค่าคงเหลือและอายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์ อย่างน้อยที่สุดทุกสิ้นรอบปีบัญชี และหากคาดว่ามูลค่าคงเหลือและอายุการให้ประโยชน์ของ สินทรัพย์แตกต่างไปจากที่ได้ประมาณไว้ กิจการต้องถือว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการ เปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชี ซึ่งต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 8 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง นโยบายการบัญชี การเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชีและข้อผิดพลาด 3.5 กิจการต้องเลือกใช้วิธีการคิดค่าเสื่อมราคาที่สะท้อนรูปแบบของประโยชน์ เชิงเศรษฐกิจในอนาคตที่กิจการคาดว่าจะได้รับจากสินทรัพย์
66 การตัดรายการ 1. กิจการต้องตัดรายการมูลค่าตามบัญชีของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ออก จากบัญชี เมื่อเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ 1.1 จําหน่ายหรือเลิกใช้อย่างถาวร 1.2 คาดว่าจะไม่ได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคต 2. กิจการต้องรับรู้ผลกําไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการตัดรายการที่ดิน อาคารและ อุปกรณ์ ในกําไรหรือขาดทุนเมื่อกิจการตัดรายการสินทรัพย์นั้นออกจากบัญชี (ยกเว้นกรณีที่ มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 17 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญาเช่า กําหนดเป็นอย่างอื่นในกรณี ของการขายและเช่ากลับคืน) ทั้งนี้กิจการต้องไม่จัดประเภทผลกําไรที่เกิดขึ้นจากการตัดรายการ เป็นรายได้ 3. ผลกําไรหรือขาดทุนที่เกิดจากการตัดรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ คือ ผลต่าง ระหว่างสิ่งตอบแทนสุทธิที่ได้รับจากการจําหน่ายสินทรัพย์กับมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์นั้น การเปิดเผยข้อมูล กิจการต้องเปิดเผยรายการต่อไปนี้ทุกข้อในงบการเงินสาหรับที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ แต่ละประเภท 1. เกณฑ์การวัดมูลค่าที่ใช้กําหนดมูลค่าตามบัญชีก่อนหักค่าเสื่อมราคาสะสมของ สินทรัพย์ 2. วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา 3. อายุการให้ประโยชน์หรืออัตราค่าเสื่อมราคาที่ใช้ 4. มูลค่าตามบัญชีก่อนหักค่าเสื่อมราคาสะสม ค่าเสื่อมราคาสะสม และผลขาดทุนจาก การด้อยค่าสะสมของสินทรัพย์ ณ วันต้นงวดและสิ้นงวด
67 5. รายการกระทบยอดของมูลค่าตามบัญชีระหว่างวันต้นงวดถึงวันสิ้นงวดที่แสดงถึง 5.1 มูลค่าของสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น 5.2 มูลค่าของสินทรัพย์ที่จัดประเภทเป็นถือไว้เพื่อขายหรือรวมไว้ในกลุ่ม สินทรัพย์ที่จัดประเภทเป็นสินทรัพย์ถือไว้เพื่อขาย ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับ ที่ 5 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้เพื่อขายและการดําเนินงานที่ยกเลิก และการจําหน่ายอื่นๆ 5.3 มูลค่าของสินทรัพย์ที่ได้มาจากการรวมกิจการ 5.4 การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสินทรัพย์ซึ่งเป็นผลมาจากการตีราคาใหม่ 5.5 ผลขาดทุนจากการด้อยค่าที่รับรู้ในกําไรหรือขาดทุนตามที่กําหนดไว้ใน มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การด้อยค่าของสินทรัพย์ 5.6 การกลับรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าในกําไรหรือขาดทุนตามที่กําหนด ไว้ในมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การด้อยค่าของสินทรัพย์ 5.7 ค่าเสื่อมราคา 5.8 ผลต่างสุทธิของอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดจากการแปลงค่างบการเงินจากสกุล เงินที่ใช้ในการดําเนินงานเป็นสกุลเงินที่กิจการใช้เ สนอรายงาน รวมถึงการแปลงค่างบการเงินใน ต่างประเทศเป็นสกุลเงินที่กิจการใช้เสนอรายงาน 5.9 การเปลี่ยนแปลงอื่น 6. กิจการต้องเปิดเผยรายการต่อไปนี้ทุกรายการในงบการเงิน 6.1 จํานวนและข้อจํากัดในกรรมสิทธิ์ของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ที่ใช้เป็น หลักประกันหนี้สิน
68 6.2 จํานวนรายจ่ายทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นในการสร้างที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 6.3 จํานวนภาระผูกพันที่ตกลงกันไว้เพื่อให้ได้มาซึ่งสินทรัพย์ 6.4 จํานวนค่าชดเชยที่ได้รับจากบุคคลภายนอก 7. หากรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์แสดงด้วยราคาที่ตีใหม่ กิจการต้องเปิดเผย รายการต่อไปนี้ ทุกรายการในงบการเงิน 7.1 วันที่มีการตีราคาสินทรัพย์ใหม่ 7.2 การตีราคาใหม่ทําโดยผู้ประเมินราคาอิสระหรือไม่ 7.3 วิธีการและข้อสมมติที่มีนัยสําคัญที่ใช้ประมาณมูลค่ายุติธรรม 7.4 มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ 7.5 มูลค่าตามบัญชีที่จะรับรู้หากใช้วิธีราคาทุน 7.6 ส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์
69 มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การด้อยค่าของสินทรัพย์ วัตถุประสงค์ มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะกําหนดวิธีปฏิบัติทางบัญชี เพื่อให้กิจการ ปฏิบัติเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ากิจการจะไม่แสดงมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สูงกว่ามูลค่าที่ คาดว่าจะได้รับคืนของสินทรัพย์นั้น มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์จะสูงกว่ามูลค่าที่คาดว่าจะ ได้รับคืนหากมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สูงกว่าจํานวนเงินที่คาดว่าจะได้ รับคืนจากการใช้หรือ ขายสินทรัพย์นั้น ในกรณีนี้ถือว่าสินทรัพย์เกิดการด้อยค่า และมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ กําหนดให้กิจการต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่า การกลับรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่า และการเปิดเผยข้อมูล ขอบเขต มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ให้ถือปฏิบัติกับการบัญชี สําหรับการด้อยค่าของสินทรัพย์ทุก ประเภท ยกเว้น 1. สินค้าคงเหลือ (มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินค้าคงเหลือ) 2. สินทรัพย์ที่เกิดจากสัญญาก่อสร้าง (มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 11 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญาก่อสร้าง) 3. ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี (มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 12 เรื่อง ภาษีเงินได้) 4. สินทรัพย์ที่เกิดจากผลประโยชน์ของพนักงาน (มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 19 เรื่อง ผลประโยชน์ของพนักงาน (เมื่อมีการประกาศใช้)) 5. สินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งรวมอยู่ในขอบเขตของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 39 เรื่อง การรับรู้และการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน (เมื่อมีการประกาศใช้))
70 6. อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม (มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 40 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน) 7. สินทรัพย์ชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับกิจก รรมทางการเกษตรที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่า ยุติธรรมหักต้นทุนในการขาย (มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 41 เรื่อง เกษตรกรรม (เมื่อมีการ ประกาศใช้)) 8. ต้นทุนการได้มารอการตัดบัญชีและสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่เกิดจากสิทธิตามสัญญา ของผู้รับประกันภายใต้สัญญาประกันภัยซึ่งรวมอยู่ในขอบเข ตของมาตรฐานการรายงานทาง การเงิน ฉบับที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย (เมื่อมีการประกาศใช้)) 9. สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้เพื่อขายและการดําเนินงานที่ยกเลิก ซึ่งถูกจัด ประเภทเป็นสินทรัพย์ที่ถือไว้เพื่อขายตามมาตรฐานการบัญชีเรื่องสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนหรือ กลุ่มสินทรัพย์ที่ยกเลิก ที่ถือไว้เพื่อขาย และการดําเนินงานที่ยกเลิก (มาตรฐานการรายงานทาง การเงิน ฉบับที่ 5 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้เพื่อขายและการ ดําเนินงานที่ยกเลิก) คานิยาม 1. ตลาดซื้อขายคล่อง หมายถึง ตลาดที่มีคุณสมบัติทุกข้อดังต่อไปนี้ 1.1 รายการที่ซื้อขายในตลาดต้องมีลักษณะเหมือนกัน 1.2 ต้องมีผู้ที่เต็มใจซื้อและขายตลอดเวลา 1.3 ราคาต้องเป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณชน 2. มูลค่าตามบัญชี หมายถึง ราคาของสินทรัพย์ที่รับรู้ในงบดุลหลังจากหักค่าเสื่อม ราคาสะสม (หรือค่าตัดจําหน่ายสะสม) และค่าเผื่อการด้อยค่าสะสม 3. หน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด หมายถึง สินทรัพย์กลุ่มที่เล็กที่สุดที่สามารถระบุ ได้ว่าการใช้กลุ่มสินทรัพย์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจะก่อให้เกิดกระแสเงินสดรับ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ เป็นอิสระจากกระแสเงินสดรับที่เกิดจากสินทรัพย์อื่นหรือกลุ่มสินทรัพย์อื่น
71 4. สินทรัพย์องค์ กร หมายถึง สินทรัพย์ที่มีส่วนทําให้หน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงิน สดที่อยู่ภายใต้การพิจารณาและหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดอื่นสามารถก่อให้เกิดกระแส เงินสดได้ในอนาคต ทั้งนี้ไม่รวมถึงค่าความนิยม 5. ต้นทุนในการขาย หมายถึง ต้นทุนส่วนเพิ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจําหน่าย สินทรัพย์หรือหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดซึ่งไม่รวมต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายภาษี เงินได้ 6. จํานวนที่คิดค่าเสื่อมราคา หมายถึง ราคาทุนของสินทรัพย์หรือราคาอื่นที่ใช้แทน ราคาทุนในงบการเงินหักด้วยมูลค่าคงเหลือ 7. ค่าเสื่อมราคา (หรือค่าตัดจําหน่าย) หมายถึง การปันส่วนจํานวนที่คิดค่าเสื่อมราคา ของสินทรัพย์อย่างมีระบบตลอดอายุการให้ประโยชน์ 8. มูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขาย หมายถึง จํานวนที่จะได้รับจากการขาย สินทรัพย์หรือหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดหักด้วยต้นทุนจากการข ายสินทรัพย์นั้น โดยที่ผู้ ซื้อกับผู้ขายสามารถต่อรองราคากันได้อย่างเป็นอิสระในลักษณะของผู้ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมีความรอบรู้และเต็มใจในการแลกเปลี่ยน 9. ผลขาดทุนจากการด้อยค่า หมายถึง จํานวนมูลค่าตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่าที่คาดว่า จะได้รับคืนของสินทรัพย์ หรือหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด 10. มูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืน หมายถึง มูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขายของ สินทรัพย์หรือหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด หรือมูลค่าจากการใช้ของสินทรัพย์นั้น แล้วแต่ จํานวนใดจะสูงกว่า 11. อายุการให้ประโยชน์ หมายถึง กรณีใดกรณีหนึ่ง ต่อไปนี้ 11.1 ระยะเวลาที่กิจการคาดว่าจะใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ 11.2 จํานวนผลผลิตหรือจํานวนหน่วยในลักษณะอื่นที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งกิจการ คาดว่าจะได้รับจากการใช้สินทรัพย์
72 12. มูลค่าจากการใช้ หมายถึง มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตที่คาดว่าจะ ได้รับจากการใช้สินทรัพย์ หรือหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด การระบุสินทรัพย์ที่อาจเกิดการด้อยค่า 1. ข้อบ่งชี้ว่าสินทรัพย์อาจเกิดการด้อยค่าหรือไม่ กิจการต้องพิจารณาถึงข้อบ่งชี้ ต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย 1.1 แหล่งข้อมูลภายนอก 1.1.1 ราคาตลาดของสินทรัพย์ลดลงอย่างมีนัยสําคัญในระหว่างงวด โดย จํานวนที่ลดลงนั้น ลดลงมากกว่าจํานวนที่คาดไว้ซึ่งเป็นผลจากเวลาที่ผ่านไปหรือจากการใช้งาน ตามปกติ 1.1.2 มีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบทางลบต่อกิจการในระหว่างงวด หรือในอนาคตอันใกล้อย่างมีนัยสําคัญ ผลกระทบดังกล่าวอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อมของกิจการหรือของตลาดของสินทรัพย์นั้นทางด้านเทคโนโลยี การตลาด เศรษฐกิจ หรือกฎหมาย 1.1.3 อัตราดอกเบี้ยในตลาดหรืออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาด อื่นมีการเพิ่มขึ้นในระหว่างงวด จนน่าจะมีผลกระทบต่ออัตราคิดลดที่ใช้ใน การคํานวณมูลค่าจาก การใช้สินทรัพย์ และทําให้มูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของสินทรัพย์นั้นลดลงอย่างมีสาระสําคัญ 1.1.4 มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิของกิจการสูงกว่ามูลค่าตลาดของ กิจการ 1.2 แหล่งข้อมูลภายใน 1.2.1 มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์ล้าสมัยหรือชํารุดเสียหาย 1.2.2 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญเกี่ยวกับลักษณะที่กิจการใช้หรือ คาดว่าจะใช้สินทรัพย์ ซึ่งส่งผลกระทบทางลบต่อกิจการในระหว่างงวด หรือคาดว่าจะเกิดขึ้นใน อนาคตอันใกล้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวรวมถึงการที่สินทรัพย์ไม่ได้ใช้งาน แผนที่จะยกเลิกหรือ
73 ปรับโครงสร้างส่วนงานที่มีสินทรัพย์นั้นรวมอยู่ด้วย หรือแผนที่จะจําหน่ายสินทรัพย์ก่อนกําหนด และการประเมินอายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์จากอายุการให้ประโยชน์ที่ไม่ทราบแน่นอน เป็นอายุการให้ประโยชน์ที่ทราบแน่นอน 1.2.3 มีหลักฐานจากรายงานภายใน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลการปฏิบัติงาน เชิงเศรษฐกิจของสินทรัพย์ได้ลดลงหรือจะลดลงกว่าที่คาดไว้ 1.3 เงินปันผลจากบริษัทย่อย กิจการที่ควบคุมร่วมกัน หรือบริษัทร่วม 1.3.1 มูลค่าตามบัญชีของเงินลงทุนในงบการเงินเฉพาะกิจการสูงกว่า มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิของผู้ถูกลงทุนในงบการเงินรวม ซึ่งรวมถึงค่าความนิยมที่ เกี่ยวข้อง 1.3.2 เงินปันผลมีจํานวนมากกว่ากําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมของบริษัท ย่อย กิจการที่ควบคุมร่วมกัน หรือบริษัทร่วมในรอบระยะเวลาที่ประกาศจ่ายเงินปันผล 2. กิจการต้องดําเนินการต่อไปนี้ โดยไม่คํานึงถึงว่าจะมีข้อบ่งชี้ของการด้อยค่าเกิดขึ้น หรือไม่ 2.1 กิจการต้องทดสอบการด้อยค่าของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่มีอายุการให้ ประโยชน์ไม่ทราบแน่นอน หรือสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่ยังไม่พร้อมใช้งานเป็นประจําทุกปี โดยทํา การเปรียบเทียบมูลค่าตามบัญชีกับมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืน การทดสอบการด้อยค่านี้กิจการ อาจจะจัดทําขึ้นในช่วงใดขอ งปีก็ได้ แต่ต้องจัดทําขึ้น ณ เวลาเดียวกันของทุกปีกิจการสามารถ ทดสอบการด้อยค่าของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่ไม่เหมือนกัน ณ ช่วงเวลาที่แตกต่างกันได้ อย่างไร ก็ตาม หากกิจการได้มาซึ่งสินทรัพย์ไม่มีตัวตนในระหว่างรอบปีปัจจุบัน กิจการต้องทําการ ทดสอบการด้อยค่าของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนดังกล่าวก่อนวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้มา 2.2 กิจการต้องทดสอบการด้อยค่าของค่าความนิยมที่เกิดจากการรวมธุรกิจเป็น ประจําทุกปี 3. หากมีข้อบ่งชี้ที่แสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์อาจเกิดการด้อยค่า สาเหตุดังกล่าวอาจ เป็นข้อบ่งชี้ให้กิจการต้องทบทวนและปรับปรุงอายุการให้ประโยชน์ที่เหลืออยู่ของสินทรัพย์ วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา (ค่าตัดจําหน่าย ) หรือมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ให้เป็นไปตาม
74 มาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าจะไม่มีการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าข องสินทรัพย์นั้น ก็ตาม การวัดมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืน 1. กิจการอาจไม่จําเป็นต้องกําหนดทั้งมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขายและมูลค่า จากการใช้สินทรัพย์เสมอไป หากมูลค่าใดมูลค่าหนึ่งในสองจํานวนนี้สูงกว่ามูลค่าตามบัญชีของ สินทรัพย์ ซึ่งแสดงว่าสินทรัพย์ไม่เกิดการด้อยค่ า โดยกิจการไม่จําเป็นต้องประเมินมูลค่าอีก จํานวนหนึ่ง 2. กิจการอาจกําหนดมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขายได้ แม้ว่าสินทรัพย์จะไม่มี การซื้อขายในตลาดซื้อขายคล่อง บางครั้งกิจการอาจไม่สามารถกําหนดมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุน ในการขายได้ เนื่องจากไม่มีเกณฑ์ใดๆ ในการประมาณจํานวนที่เชื่อถือได้จากการขายสินทรัพย์ ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้ซื้อกับผู้ขายมีความรอบรู้และเต็มใจในการแลกเปลี่ยนและสามารถต่อรอง ราคากันได้อย่างเป็นอิสระในลักษณะของผู้ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ในกรณีดังกล่าวกิจการอาจ ใช้มูลค่าจากการใช้ในการกําหนดมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของสินทรัพย์ 3. กิจการอาจใช้มูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขายเป็นมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของ สินทรัพย์หากไม่มีเหตุผลที่ทําให้เชื่อได้ว่ามูลค่าจากการใช้สินทรัพย์นั้นจะสูงกว่ามูลค่ายุติธรรม หักต้นทุนในการขายอย่างมีสาระสําคัญ กรณีดังกล่าวมักเกิดขึ้นกับสินทรัพย์ที่ถือไว้เพื่อ จําหน่าย เนื่องจากมูลค่าจากการใช้ของสินทรัพย์ที่ถือไว้เพื่อจําหน่าย มักประกอบด้วยเงินสด สุทธิที่จะได้รับจากการจําหน่ายสินทรัพย์นั้นเป็นสําคัญ ด้วยเหตุที่กระแสเงินสดที่จะได้รับใน อนาคตจากการใช้สินทรัพย์อย่างต่อเนื่ องจนถึงวันจําหน่ายสินทรัพย์นั้นน่าจะเป็นจํานวนเงินที่ น้อยมาก 4. กิจการต้องกําหนดมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนสําหรับสินทรัพย์แต่ละรายการ นอกจากสินทรัพย์เหล่านั้นไม่ก่อให้เกิดกระแสเงินสดรับจากการใช้ ซึ่งเป็นอิสระจากกระแสเงิน สดรับที่เกิดจากสินทรัพย์อื่นหรือกลุ่มสินทรัพย์อื่น ทั้งนี้ในกรณีดังกล่าวกิจการต้องกําหนดมูลค่า ที่คาดว่าจะได้รับคืนของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดซึ่งมีสินทรัพย์ที่พิจารณารวมอยู่ นอกจากจะเป็นกรณีใดกรณีหนึ่งต่อไปนี้ 4.1 มูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขายของสินทรัพย์สูงกว่ามูลค่าตามบัญชีของ สินทรัพย์นั้น
75 4.2 มูลค่าจากการใช้ของสินทรัพย์สามารถประมาณได้ใกล้เคียงกับมูลค่า ยุติธรรมหักต้นทุนในการขายของสินทรัพย์นั้น และกิจการสามารถกําหนดมูลค่ายุติธรรมหัก ต้นทุนในการขาย 5. บางกรณี การกําหนดมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขายหรือมูลค่าจากการใช้ โดย การประมาณการการหาค่าเฉลี่ยและการคํานวณแบบลัด อาจให้ผลใกล้เคียงอย่างสมเหตุสมผล กับการคํานวณอย่างละเอียด การรับรู้รายการและการวัดมูลค่าผลขาดทุนจากการด้อยค่า 1. กิจการต้องบันทึกลดมูลค่าตามบัญชีของสินทรั พย์ให้เท่ากับมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับ คืนหากมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนต่ํากว่ามูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์นั้น ส่วนที่ลดลงคือ ผล ขาดทุนจากการด้อยค่า 2. กิจการต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าในกําไรหรือขาดทุนทันที นอกจากว่า มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์เป็นราคาที่ตีใหม่ตามมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่น กิจการต้องนําผล ขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ตีราคาใหม่ไปลดส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ตาม ข้อกําหนดของมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่น 3. กิจการต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ไม่มีการตีราคาใหม่ใน กําไรหรือขาดทุนอย่างไรก็ต าม หากกิจการเคยตีราคาสินทรัพย์เพิ่ม กิจการต้องนําผลขาดทุน จากการด้อยค่านั้นไปบันทึกในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นได้ภายในขอบเขตที่ผลขาดทุนจากการ ด้อยค่านั้นไม่เกินส่วนเกินทุนที่เคยบันทึกไว้สําหรับสินทรัพย์รายการเดียวกัน ผลขาดทุนจาก การด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ตีราคาใหม่ ดังกล่าว ทําให้ส่วนเกินทุนจากการตีราคาใหม่ของ สินทรัพย์นั้นลดลง 4. หากผลขาดทุนจากการด้อยค่าที่ประมาณขึ้นมีจํานวนสูงกว่ามูลค่าตามบัญชีของ สินทรัพย์ กิจการต้องรับรู้ส่วนต่างนั้นเป็นหนี้สินหากมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่นกําหนดไว้ 5. หลังจากที่กิจการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่า กิจการต้องคํานวณค่าเสื่อมราคา (ค่าตัดจําหน่าย ) ของสินทรัพย์ โดยใช้มูลค่าตามบัญชีใหม่ของสินทรัพย์หักด้วยมูลค่าคงเหลือ (ถ้ามี )การคํานวณค่าเสื่อมราคาหรือค่าตัดจําหน่ายต้องเป็นการปันส่วนอย่างมีระบบตลอดอายุ การให้ประโยชน์ที่เหลืออยู่ของสินทรัพย์
76 หน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดและค่าความนิยม 1. การกําหนดหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด 1.1 หากมีข้อบ่งชี้ที่แสดงว่าสินทรัพย์อาจเกิดการด้อยค่า กิจการต้องประมาณมูล ค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของสินทรัพย์แต่ละรายการ หากกิจการไม่สามารถประมา ณมูลค่าที่คาด ว่าจะได้รับคืนของสินทรัพย์แต่ละรายการได้ กิจการต้องกําหนดมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของ หน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดที่มีสินทรัพย์ที่กําลังพิจารณารวมอยู่ 1.2 กิจการต้องระบุให้สินทรัพย์หรือกลุ่มสินทรัพย์เป็นหน่วยสินทรัพย์ที่ ก่อให้เกิดเงินสด หากสินทรัพย์หรือกลุ่มสินทรัพย์นั้นมีผลผลิตที่มีตลาดซื้อขายคล่องรองรับ แม้ว่าจะมีการนําผลผลิตบางส่วนหรือทั้งหมดมาใช้ภายในกิจการ หากราคาโอนภายในมีผลต่อ กระแสเงินสดรับที่ได้จากสินทรัพย์หรือหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด กิจการต้องนํา ประมาณการราคาตลาดในอนาคตที่ดีที่สุดของฝ่ายบริหารสําหรับผลผลิตนั้นมาใช้เพื่อ 1.2.1 ประมาณกระแสเงินสดที่จะได้รับในอนาคตเพื่อกําหนดมูลค่าจาก การใช้ของสินทรัพย์หรือหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดนั้น 1.2.2 ประมาณกระแสเงินสดที่จะต้องจ่ายในอนาคตเพื่อกําหนดมูลค่าจาก การใช้ของสินทรัพย์หรือหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดที่ถูกกระทบจากราคาโอนภายใน 1.3 กิจการต้องกําหนดหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดสําหรับสินทรัพย์ เดียวกันหรือสินทรัพย์ประเภทเดียวกันอย่างสม่ําเสมอในแต่ละงวด เว้นแต่กิจการสามารถ อธิบายการเปลี่ยนแปลงนั้นได้อย่างสมเหตุสมผล 2. มูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนและมูลค่าตามบัญชีของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิด เงินสด กิจการต้องกําหนดมูลค่าตามบัญชีของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดให้ สอดคล้องกับมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดนั้น
77 3. ค่าความนิยม 3.1 เพื่อวัตถุประสงค์ในการทดสอบการด้อยค่าของค่าความนิยม ตั้งแต่วันที่ซื้อ กิจการที่เป็นผู้ซื้อต้องปันส่วน ค่าความนิยมที่เกิดขึ้นจากการรวมธุรกิจให้กับหน่วยสินทรัพย์ที่ ก่อให้เกิดเงินสด หรือกลุ่มของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ที่ เพิ่ม ขึ้นจากการรวมธุรกิจไม่ว่าสินทรัพย์อื่นหรือหนี้สินอื่นของกิจการที่ถูกซื้อจะถูกปันส่วนกับ หน่วยสินทรัพย์หรือกลุ่มของหน่วยสินทรัพย์เหล่านั้นหรือไม่ก็ตาม สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด แต่ละหน่วยหรือแต่ละกลุ่มที่กิจการได้ปันส่วนค่าความนิยมต้องเป็นหน่วยในระดับที่เล็ กที่สุดที่ กิจการใช้ในการประเมินค่าความนิยมในการบริหารภายในกิจการ และไม่เกินกว่าส่วนงาน ปฏิบัติการหรือตามที่ได้กําหนดไว้ในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 8 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ส่วนงานดําเนินงาน (เมื่อมีการประกาศใช้) 3.2 หากการปันส่วนครั้งแรกของค่าความนิยมที่เกิดจากการรวมธุรกิจยังไม่เสร็จ สิ้นก่อนสิ้นรอบปีบัญชีที่มีการรวมธุรกิจเกิดขึ้น กิจการต้องดําเนินการปันส่วนครั้งแรกนั้นให้เสร็จ สิ้นก่อนสิ้นรอบปีบัญชีแรกหลังปีที่มีการรวมธุรกิจเกิดขึ้น 3.3 ถ้าค่าความนิยมถูกปันส่วนไปยังหน่วยสิ นทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด และ กิจการได้จําหน่ายการดําเนินงานที่อยู่ภายใต้หน่วยสินทรัพย์นั้นออกไป ค่าความนิยมที่ เกี่ยวเนื่องกับการดําเนินงานนั้นจะต้องรวมไว้ในมูลค่าตามบัญชีของการดําเนินงานนั้นในการ คํานวณผลกําไรหรือขาดทุนจากการจําหน่าย และวัดมูลค่าโดยใช้เกณฑ์มูลค่า เปรียบเทียบของ การดําเนินงานที่ถูกจําหน่ายและสัดส่วนของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดที่ยังคงอยู่ นอกจากกิจการจะสามารถแสดงให้เห็นว่าการคํานวณโดยใช้วิธีอื่นจะสามารถสะท้อนให้เห็นถึง มูลค่าของค่าความนิยมของการดําเนินงานที่จําหน่ายออกไปได้ดีกว่า 3.4 ถ้ากิจการปรับโครง สร้างการรายงานใหม่ โดยการปรับโครงสร้างดังกล่าว ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดหน่วยใดหน่วย หนึ่งหรือมากกว่า ซึ่งกิจการได้มีการปันส่วนค่าความนิยมให้แล้ว กิจการควรปันส่วนค่าความ นิยมใหม่ให้สอดคล้องกับหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อ ให้เกิดเงินสดที่มีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้วย โดยการปันส่วนใหม่ให้ใช้วิธีคํานวณตามสัดส่วนของมูลค่าเช่นเดียวกับที่ใช้เมื่อมีการจําหน่าย การดําเนินงานภายใต้หน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด เว้นแต่กิจการจะสามารถแสดงให้เห็น ว่าการคํานวณโดยใช้วิธีอื่นจะสามารถสะท้อนให้ เห็นถึงมูลค่าของค่าความนิยมของหน่วย สินทรัพย์ที่มีการปรับโครงสร้างใหม่ได้ดีกว่า
78 3.5 หากค่าความนิยมมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดแต่ ไม่ได้ถูกปันส่วนให้แก่หน่วยสินทรัพย์นั้น หน่วยสินทรัพย์ดังกล่าวต้องได้รับการทดสอบการด้อย ค่าเมื่อมีข้อบ่งชี้ ว่าหน่วยสินทรัพย์อาจเกิดการด้อยค่า โดยการเปรียบเทียบกับมูลค่าตามบัญชี ของหน่วยสินทรัพย์ซึ่งไม่รวมค่าความนิยมกับมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของหน่วยสินทรัพย์นั้น และให้รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าที่เกิดขึ้น 3.6 กิจการต้องทดสอบการด้อยค่าของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้ เกิดเงินสด ซึ่งมี การปันส่วนค่าความนิยมให้ปีละครั้ง และเมื่อใดก็ตามที่มีข้อบ่งชี้ว่าหน่วยสินทรัพย์เกิดการด้อย ค่า โดยการเปรียบเทียบมูลค่าตามบัญชีของหน่วยสินทรัพย์ ซึ่งรวมค่าความนิยมกับมูลค่าที่คาด ว่าจะได้รับคืนของหน่วยสินทรัพย์นั้น หากมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับ คืนของหน่วยสินทรัพย์ มากกว่ามูลค่าตามบัญชีของหน่วยสินทรัพย์ให้ถือว่าหน่วยสินทรัพย์และค่าความนิยมที่ถูกปัน ส่วนให้แก่หน่วยสินทรัพย์นั้นไม่เกิดการด้อยค่า แต่ถ้าหากมูลค่าตามบัญชีของหน่วยสินทรัพย์ มากกว่ามูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของหน่วยสินทรัพย์ กิจการต้องรับรู้ ผลขาดทุนจากการด้อย ค่า 3.7 การทดสอบการด้อยค่าประจําปีสําหรับหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดที่ ค่าความนิยมได้ถูกปันส่วนมาอาจทําได้ในช่วงใดของปีก็ได้ แต่จะต้องเป็นช่วงเวลาเดียวกันใน แต่ละปี หน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดแต่ละหน่วยอาจได้รับการทดสอบการด้อยค่าใน ช่วงเวลาต่างกันได้ อย่างไรก็ตามหากค่าความนิยมบางส่วนหรือทั้งหมดที่ปันส่วนให้แก่หน่วย สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดได้มาจากการรวมธุรกิจในระหว่างปีปัจจุบัน กิจการต้องทดสอบการ ด้อยค่าของหน่วยสินทรัพย์ดังกล่าวก่อนสิ้นปีปัจจุบันนั้น 3.8 หากกิจการทดสอบการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของหน่วย สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด ซึ่งได้รับการปันส่วนค่าความนิยมในเวลาเดียวกับการทดสอบการ ด้อยค่าของหน่วยสินทรัพย์ที่มีค่าความนิยมรวมอยู่ด้วยนั้น กิจการต้องทดสอบการด้อยค่าของ สินทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบ ก่อนที่จะทดสอบหน่วยสินทรัพย์ที่มีค่าความนิยมรวมอยู่ด้วย ใน ทํานองเดียวกัน หากกิจการทดสอบการด้อยค่าของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดที่ประกอบ เป็นกลุ่มของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดที่ได้รับการปันส่วนค่าความนิยมในเวลาเดียวกัน กับกลุ่มของหน่วยสินทรัพย์ที่ มีค่าความนิยมรวมอยู่ กิจการควรทดสอบการด้อยค่าของหน่วย สินทรัพย์แต่ละหน่วยก่อนกลุ่มของหน่วยสินทรัพย์ที่มีค่าความนิยมรวมอยู่
79 3.9 การคํานวณมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด ที่ได้รับการปันส่วนค่าความนิยมซึ่งกระทําไว้อย่างละเอียดล่าสุด ในงวดก่อน สามารถนํามาใช้ใน การทดสอบการด้อยค่าของหน่วยสินทรัพย์นั้นในงวดปัจจุบันได้ หากเข้าเงื่อนไขทุกข้อ ดังต่อไปนี้ 3.9.1 สินทรัพย์และหนี้สินที่เป็นส่วนประกอบของหน่วยสินทรัพย์ไม่ เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญ จากการคํานวณมูลค่าที่จะได้รับคืนครั้งล่าสุดนั้น 3.9.2 การคํานวณครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นว่ามูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนสูงกว่า มูลค่าตามบัญชีของหน่วยสินทรัพย์นั้นเป็นจํานวนมาก 3.9.3 จากการวิเคราะห์เหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไปหลังการคํานวณมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนครั้งล่าสุด มีความเป็นไปได้น้อยมากที่มูลค่าที่คาด ว่าจะได้รับคืนในงวดปัจจุบันจะต่ํากว่ามูลค่าตามบัญชีของหน่วยสินทรัพย์ 4. สินทรัพย์องค์กร 4.1 การทดสอบว่าหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดเกิดการด้อยค่าหรือไม่ กิจการต้องระบุสินทรัพย์องค์กรทุกรายการที่เกี่ยวข้องกับหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด ภายใต้การพิจารณา ดังนี้ 4.1.1 หากกิจการสามารถปันส่วนมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์องค์กร อย่างสมเหตุสมผลและอย่างสม่ําเสมอให้แก่หน่วยสินทรัพย์นั้น กิจการต้องเปรียบเทียบมูลค่า ตามบัญชี ของหน่วยสินทรัพย์ซึ่งรวมสัดส่วนของมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์องค์กรที่ถูกปัน ส่วนให้แก่หน่วยสินทรัพย์นั้นกับมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืน และรับรู้ผลต่างที่เกิดขึ้นเป็นผล ขาดทุนจากการด้อยค่า 4.1.2 หากกิจการไม่สามารถปันส่วนมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์องค์กร ให้แก่หน่วยสินทรัพย์นั้นได้อย่างสมเหตุสมผลและอย่างสม่ําเสมอ กิจการต้องเปรียบเทียบมูลค่า ตามบัญชีของหน่วยสินทรัพย์นั้น ซึ่งไม่รวมมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์องค์กรกับมูลค่าที่คาด ว่าจะได้รับคืน และรับรู้ผล ต่างที่เกิดขึ้นเป็นผลขาดทุนจากการด้อยค่า ระบุกลุ่มของหน่วย สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดที่เล็กที่สุดที่รวมหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดภายใต้การ พิจารณา ซึ่งกิจการสามารถปันส่วนมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์องค์กรให้หน่วยสินทรัพย์นั้น
80 ได้อย่างสมเหตุสมผลและอย่า งสม่ําเสมอ และเปรียบเทียบมูลค่าตามบัญชีของกลุ่มของหน่วย สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด ซึ่งรวมถึงสัดส่วนของมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์องค์กรที่ถูกปัน ส่วนให้กับมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของกลุ่มของหน่วยสินทรัพย์นั้น และรับรู้ผลต่างที่เกิดขึ้น เป็นผลขาดทุนจากการด้อยค่า 4.2 กิจการต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงิน สด (ซึ่งหมายถึงกลุ่มของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดที่เล็กที่สุดที่ได้รับการปันส่วนค่า ความนิยมหรือสินทรัพย์องค์กร) หากมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนต่ํากว่ามูลค่าตามบัญชีของหน่วย สินทรัพย์หรือกลุ่มของหน่วยสินทรัพย์นั้น กิจการต้องปันส่วนผลขาดทุนจากการด้อยค่า เพื่อลด มูลค่าตามบัญชีของหน่วยสินทรัพย์หรือกลุ่มของหน่วยสินทรัพย์ตามลําดับ ดังนี้ 4.2.1 ลดมูลค่าตามบัญชีของค่าความนิยมที่เคยปั สินทรัพย์ (กลุ่มของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด)
นส่วนให้กับหน่วย
4.2.2 ลดมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์อื่นๆ ที่รวมอยู่ในหน่วยสินทรัพย์ หรือกลุ่มของหน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสดดังกล่าวตามสัดส่วนของมูลค่าตามบัญชีของ สินทรัพย์แต่ละรายการนั้น 4.3 การปันส่วนผลขาดทุนจากการด้อยค่า กิจการต้องไม่ลดมูลค่าตามบัญชีของ สินทรัพย์ให้ต่ํากว่าจํานวนที่สูงที่สุดของมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์หักต้นทุนในการขาย (หาก สามารถกําหนดได้) มูลค่าจากการใช้สินทรัพย์ (หากสามารถกําหนดได้ ) และศูนย์ มูลค่าของผล ขาดทุนจากการด้อยค่าที่ต้องถูกปันส่วนให้ แก่สินทรัพย์ใดแต่ไม่สามารถทําได้ เนื่องจากติด เงื่อนไขข้างต้น ให้นําไปปันส่วนให้แก่สินทรัพย์อื่นที่อยู่ในหน่วยสินทรัพย์หรือกลุ่มของหน่วย สินทรัพย์เดียวกันตามสัดส่วน การกลับรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่า 1. ทุกสิ้นรอบระยะเวลารายงาน กิจการต้องประเมินว่ามีข้อบ่งชี้ที่แสดงให้เห็นว่าผล ขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ค่าความนิยมที่กิจการได้รับรู้ในงวดก่อนได้หมดไป หรือลดลงหรือไม่ หากมีข้อบ่งชี้ดังกล่าว กิจการต้องประมาณมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของ สินทรัพย์นั้น
81 2. กิจการต้องประเมินว่า ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ค่าความนิยม ที่กิจการรับรู้ในงวดก่อนได้หมดไปหรือลดลงหรือไม่ โดยพิจารณาถึงข้อบ่งชี้ต่อไปนี้เป็นอย่าง น้อย 2.1 แหล่งข้อมูลจากภายนอก 2.1.1 ราคาตลาดของสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญในระหว่างงวด 2.1.2 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญที่ส่งผลกระทบทางบวกต่อ กิจการในระหว่างงวดหรือในอนาคตอันใกล้ ผลกระทบดังกล่าวอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อมของกิจการ หรือของตลาดซึ่งสินทรัพย์นั้นเกี่ยวข้องอยู่ โดยการเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การตลาด เศรษฐกิจหรือกฎหมาย 2.1.3 อัตราดอกเบี้ยในตลาด หรืออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนใน ตลาดอื่นของงวดนั้นลดลงจนน่าจะมีผลกระทบต่ออัตราคิดลดที่ใช้ในการคํานวณมูลค่าจากการ ใช้ของสินทรัพย์ ซึ่งส่งผลให้มูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของสินทรัพย์นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมี สาระสําคัญ 2.2 แหล่งข้อมูลภายใน 2.2.1 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสําคัญเกี่ยวกับลักษณะการใช้หรือคาด ว่าจะใช้สินทรัพย์ ซึ่งส่งผลกระทบทางบวกต่อกิจการในระหว่างงวดหรือในอนาคตอันใกล้ การ เปลี่ยนแปลงดังกล่าวรวมถึงรายจ่ายฝ่ายทุนที่เกิดขึ้นระหว่างงวด เพื่อปรับปรุงหรือเพิ่ม ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของสินทรัพย์ หรือการปรับโครงสร้างการดําเนินงานที่กิจการนํา สินทรัพย์นั้นไปใช้ 2.2.2 มีหลักฐานจากข้อมูลที่รายงานเป็นการภายใน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผล การปฏิบัติงานเชิงเศรษฐกิจของสินทรัพย์ดีขึ้นหรือจะดีขึ้นกว่าที่คาดไว้ 3. กิจการต้องกลับรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ค่าความ นิยมที่กิจการรับรู้ในงวดก่อน หากประมาณการที่ใช้กําหนดมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนได้ เปลี่ยนแปลงไปภายหลังจากที่กิจการได้รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าครั้งล่าสุดแล้ว ในกรณีนี้ กิจการต้องบันทึกเพิ่มมูลค่าตามบัญชีให้เท่ากับมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของสินทรัพย์
82 4. มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ค่าความนิยมที่เพิ่มขึ้นจากการกลับรายการผล ขาดทุนจากการด้อยค่าต้องไม่สูงกว่ามูลค่าตามบัญชีที่ควรเป็น (สุทธิจากค่าตัดจําหน่ายหรือค่า เสื่อมราคา) หากกิจการไม่เคยรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์นั้นในงวดก่อนๆ 5. กิจการต้องไม่กลับรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าของค่าความนิยมที่ได้รับรู้ใน งวดก่อนๆ การเปิดเผยข้อมูล 1. จํานวนผลขาดทุนจากการด้อยค่าที่รับรู้ในกําไรหรือขาดทุนระหว่างงวด และ รายการแต่ละบรรทัดที่แสดงในงบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ซึ่งมีผลขาดทุนจากการด้อยค่ารวมอยู่ 2. จํานวนผลขาดทุนจากการด้อยค่าที่กลับรายการ ซึ่งรับรู้ในกําไรหรือขาดทุน ระหว่างงวดและรายการแต่ละบรรทัดที่แสดงในงบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ซึ่งมีผลขาดทุนจากการ ด้อยค่าที่กลับรายการรวมอยู่ 3. จํานวนผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ตีราคาใหม่ที่รับรู้ไปยังกําไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นในระหว่างงวด 4. จํานวนผลขาดทุนจากการด้อยค่าที่กลับรายการของสินทรัพย์ที่ตีราคาใหม่ที่รับรู้ไป ยังกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นในระหว่างงวด การเปิดเผยข้อมูล กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลทุกข้อต่อไปนี้ในงบการเงิน 1. นโยบายการบัญชีที่ใช้ในการวัดมูลค่าสินค้าคงเหลือและวิธีที่ใช้คํานวณราคาทุน 2. มูลค่าตามบัญชีรวมของสินค้าคงเหลือและมูลค่าตามบัญชีของสินค้าคงเหลือแต่ละ ประเภทจําแนกตามความเหมาะสมของแต่ละกิจการ 3. มูลค่าตามบัญชีของสินค้าคงเหลือที่แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขาย
83 4. มูลค่าของสินค้าคงเหลือที่รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงวดบัญชีนั้น 5. มูลค่าของสินค้าคงเหลือที่ปรับลดลงที่รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงวดบัญชีนั้น 6. มูลค่าการกลับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ ซึ่งกิ จการรับรู้โดยนําไปหักจาก มูลค่าของสินค้าคงเหลือที่รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงวดบัญชี 7. เหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ทําให้มีการกลับรายการปรับลดมูลค่าสินค้า 8. มูลค่าตามบัญชีของสินค้าคงเหลือที่ใช้เป็นหลักประกันหนี้สิน มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น วัตถุประสงค์ มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่ากิจการนําเกณฑ์การรับรู้รายการ และการวัดมูลค่ามาปฏิบัติกับประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพย์ที่อาจ เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม และมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับรายการดังกล่าวในหมายเหตุประกอบงบ การเงินอย่างเพียงพอ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจถึงลักษณะ จังหวะเวลา และจํานวนที่ แสดงอยู่ในงบการเงินนั้น ขอบเขต มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ให้ถือปฏิบัติกับกิจการทุกกิจการในการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับ ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น ยกเว้นรายการต่อไปนี้ 1. รายการที่เป็นผลจากสัญญาที่มีผลบังคับแล้ว ซึ่งไม่ใช่สัญญาที่สร้างภาระแก่กิจการ 2. รายการที่ครอบคลุมโดยมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่น
84 คานิยาม 1. ประมาณการหนี้สิน หมายถึง หนี้สินที่มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจังหวะเวลาหรือ จํานวนที่ต้องจ่ายชําระ 2. หนี้สิน หมายถึง ภาระผูกพันในปัจจุบันของกิจการ ซึ่งเป็นผลจากเหตุการณ์ในอดีต ที่การชําระภาระผูกพันนั้นคาดว่าจะส่งผลให้กิจการต้องสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชน์เชิง เศรษฐกิจ 3. เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดภาระ หมายถึง เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดภาระผูกพันตาม กฎหมายหรือภาระผูกผันจากการอนุมาน ซึ่งเป็นผลให้กิจการต้องจ่ายชําระภา ระผูกพันนั้นโดย ไม่มีทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้ 4. ภาระผูกพันตามกฎหมาย หมายถึง ภาระผูกพันที่เกิดจากรายการใดรายการหนึ่ง ต่อไปนี้ 4.1 สัญญา (ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้อย่างชัดแจ้งหรือโดยนัย) 4.2 กฎหมายที่ใช้บังคับ 4.3 ผลบังคับตามกฎหมายอื่น 5. ภาระผูกพันจากการอนุมาน หมายถึง ภาระผูกพันที่เกิดจากการกระทําของกิจการ เมื่อเป็นไปตามข้อกําหนดทุกข้อต่อไปนี้ 5.1 กิจการแสดงออกให้ฝ่ายอื่นๆ เห็นว่ากิจการจะยอมรับผิดชอบบางประการ โดยการปฏิบัติในอดีตจนถือเป็นแบบแผน หรือโดยนโยบายที่ประกาศใช้ หรือโดยคําแถลงการณ์ ในปัจจุบันที่มีความเฉพาะเจาะจงอย่างเพียงพอ 5.2 การกระทําตามข้อ 5.1 ของกิจการสร้างความคาดหมายที่มีมูลความจริง ให้กับฝ่ายอื่นๆ ว่ากิจการจะรับผิดชอบต่อภาระผูกพันที่เกิดขึ้น
85 6. หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น หมายถึง รายการข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ 6.1 ภาระผูกพันที่อาจมีอยู่อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ในอดีต แต่การจะทราบว่า ภาระผูกพันดังกล่าวมีอยู่หรือไม่นั้น ต้องได้รับการยืนยันจากเหตุการณ์อย่างน้อยหนึ่งเหตุการณ์ ในอนาคต ซึ่งยังไม่มีความแน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น โดยเหตุการณ์ดังกล่าวต้องไม่อยู่ ในความควบคุมทั้งหมดของกิจการ 6.2 ภาระผูกพันในปัจจุบันซึ่งเกิดขึ้ นจากเหตุการณ์ในอดีต แต่ไม่สามารถรับรู้ เป็นหนี้สินได้เนื่องจากเป็นไปตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ 6.2.1 ไม่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรที่มี ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจเพื่อจ่ายชําระภาระผูกพัน 6.2.2 จํานวนของภาระผูกพันไม่สามารถวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ เพียงพอ 7. สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น หมายถึง สินทรัพย์ที่อาจมีอยู่อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ใน อดีต แต่การจะทราบว่าสินทรัพย์ดังกล่าวมีอยู่หรือไม่นั้น ต้องได้รับการยืนยันจากเหตุการณ์ อย่างน้อยหนึ่งเหตุการณ์ในอนา คต ซึ่งยังไม่มีความแน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นโดย เหตุการณ์ดังกล่าวต้องไม่อยู่ในความควบคุมทั้งหมดของกิจการ 8. สัญญาที่สร้างภาระ หมายถึง สัญญาที่ก่อให้เกิดต้นทุนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จาก การปฏิบัติตามภาระผูกพันที่ระบุไว้ภายใต้สัญญา ซึ่งต้นทุนดังกล่าวมีจํานวนสูงกว่าประโยชน์ เชิงเศรษฐกิจที่คาดว่าจะได้รับจากสัญญานั้น 9. การปรับโครงสร้าง หมายถึง แผนงานที่อยู่ภายใต้การวางแผนและควบคุมของฝ่าย บริหารของกิจการ ซึ่งทําให้รายการใดรายการหนึ่งต่อไปนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมี สาระสําคัญ 9.1 ขอบเขตในการดําเนินธุรกิจของกิจการ 9.2 ลักษณะการดําเนินธุรกิจ
86 ประมาณการหนี้สินและหนี้สินอื่น ประมาณการหนี้สินสามารถแยกจากหนี้สินประเภทอื่นได้ เช่น เจ้าหนี้การค้าและ รายการค้างจ่าย เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจังหวะเวลาและจํานวนของรายจ่ายใน อนาคตที่ต้องจ่ายชําระ ซึ่งตามปกติกิจการจะแสดงรายการค้างจ่ายเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหนี้ การค้าหรือเจ้าหนี้อื่น ในขณะที่แสดงประมาณการหนี้สินเป็นรายการแยกต่างหาก การรับรู้รายการ 1. ประมาณการหนี้สิน จะรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขทุกข้อต่อไปนี้ 1.1 กิจการมีภาระผูกพันในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลจากเหตุการณ์ในอดีต ไม่ว่าภาระ ผูกพันนั้นจะเป็นภาระผูกพันตามกฎหมายหรือภาระผูกพันจากการอนุมาน 1.2 มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชน์เชิง เศรษฐกิจต่อกิจการ เพื่อจ่ายชําระภาระผูกพันดังกล่าว 1.3 สามารถประมาณจํานวนของภาระผูกพันได้อย่างน่าเชื่อถือ 2. หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น กิจการต้องไม่รับรู้หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น 3. สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้นมักเกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่ได้วางแผนไว้หรือไม่ได้คาดการณ์ ไว้ที่ก่อให้เกิดความน่าจะเป็นที่กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ เช่น การเรียกร้องค่า สินไหมทดแทนที่กิจการกําลังดําเนินการตามกฎหมายซึ่งผลการตัดสินยังไม่เป็นที่แน่นอน เป็น ต้น กิจการต้องไม่รับรู้สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น
87 การวัดมูลค่า 1. ประมาณการที่ดีที่สุด กิจการต้องรับรู้ประมาณการหนี้สินด้วยจํานวนประมาณการที่ดีที่สุดของรายจ่ายที่ ต้องนําไปจ่ายชําระภาระผูกพันในปัจจุบัน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน และกิจการจะต้องวัด มูลค่าประมาณการหนี้สินก่อนหักภาษีเงินได้ เพราะผลกระทบทางภาษีและการเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 12 เรื่อง ภาษีเงินได้ 2. ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน กิจการต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่อยู่ แวดล้อมเหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งประมาณการที่ดีที่สุดของประมาณการ หนี้สิน ความเสี่ยงชี้ ให้เห็นถึงความผันผวนของรายจ่าย การปรับปรุงความเสี่ยงอาจทําให้ จํานวนของหนี้สิ้นที่ถูกวัดมูลค่าสูงขึ้น ดังนั้น กิจการต้องใช้ดุลยพินิจอย่างระมัดระวังเมื่ออยู่ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน เพื่อที่จะไม่ทําให้รายได้หรือสินทรัพย์แสดงด้วยจํานวนที่สูง เกินไป และไม่ทําให้ค่าใช้จ่ายและหนี้สินแสดงด้วยจํานวนที่ต่ําเกินไป และกิจการจะต้องเปิดเผย ข้อมูลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของจํานวนรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นจากประมาณการหนี้สินด้วย 3. มูลค่าปัจจุบัน กิจการต้องกําหนดจํานวนประมาณการหนี้สินโดยใช้มูลค่าปัจจุบันของรายจ่ายที่ คาดว่าจะต้องนํามาจ่ ายชําระภาระผูกพัน หากมูลค่าของเงินตามเวลามีผลกระทบต่อจํานวน ประมาณการหนี้สินนั้นอย่างมีสาระสําคัญ 4. เหตุการณ์ในอนาคต จํานวนประมาณการหนี้สินต้องสะท้อนถึงเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งอาจมีผลกระทบ ต่อจํานวนที่กิจการต้องนํามาจ่ายชําระภาระผูกพัน หากมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมเพียงพอที่ทํา ให้เชื่อถือได้ว่าเหตุการณ์ในอนาคตนั้นจะเกิดขึ้น
88 5. การจําหน่ายสินทรัพย์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจการต้องไม่นําผลกําไรจากการจําหน่ายสินทรัพย์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมารวม พิจารณาในการวัดมูลค่าประมาณการหนี้สิน แม้ว่าการจําหน่ายที่ค าดว่าจะเกิดขึ้นจะเกี่ยวโยง อย่างใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดประมาณการหนี้สิน แต่กิจการต้องรับรู้ผลกําไรที่คาดว่าจะ เกิดขึ้นจากการจําหน่ายสินทรัพย์ ณ เวลาที่กําหนดไว้ในมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่นที่เกี่ยวข้อง กับสินทรัพย์ที่คาดว่าจะจําหน่ายนั้น รายจ่ายที่จะได้รับชดเชย หากกิจการคาดว่าจะได้รับรายจ่ายทั้งหมดหรือบางส่วนคืนจากบุคคลที่สามตามจํานวน ที่กิจการจ่ายไปเพื่อชําระประมาณการหนี้สิน เช่น กิจการมีสัญญาประกันภัย สัญญาชดเชยค่า สินไหมทดแทน หรือได้รับการประกันจากผู้ขายสินค้าหรือให้บริการ กิจการจะต้องรับรู้รายจ่ายที่ จะได้ รับชดเชยเป็นสินทรัพย์ได้ก็ต่อเมื่อกิจการคาดว่าหลังจากที่จ่ายชําระภาระผูกพันแล้ว กิจการน่าจะได้รับรายจ่ายนั้นคืนอย่างแน่นอน กิจการต้องรับรู้รายจ่ายที่จะได้รับชดเชยเป็น สินทรัพย์แยกต่างหากแต่ต้องไม่เกินจํานวนประมาณการหนี้สินที่เกี่ยวข้อง กิจการอาจแสดง ค่าใช้จ่ายที่ เกี่ยวข้องกับประมาณการหนี้สินในงบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จโดยแสดงสุทธิจาก จํานวนรายจ่ายที่จะได้รับชดเชยที่รับรู้ไว้ การเปลี่ยนแปลงประมาณการหนี้สิน กิจการต้องทบทวนประมาณการหนี้สิน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน และปรับปรุง ประมาณการหนี้สินดังกล่าว เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประมาณการที่ดีที่สุดในปัจจุบัน กิจการต้อง กลับบัญชีประมาณการหนี้สินหากไม่มีความน่าจะเป็นที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชน์ เชิงเศรษฐกิจเพื่อจ่ายชําระภาระผูกพันอีกต่อไป การนาประมาณการหนี้สินมาใช้ กิจการจะนําประมาณการหนี้สินมาใช้ได้ เฉพาะกับรายจ่ายที่กิจการรับรู้เป็นประมาณ การหนี้สินไว้แต่เดิม
89 การนาข้อกาหนดเกี่ยวกับการรับรู้และการวัดมูลค่ามาปฏิบัติ 1. กิจการต้องไม่รับรู้ประมาณการหนี้สินสําหรับขาดทุนจากการดําเนินงานในอนาคต 2. กิจการต้องรับรู้และวัดมูลค่าภาระผูกพันในปัจจุบันซึ่งเกิดจากสัญญาที่สร้างภาระ เป็นประมาณการหนี้สิน 3. กิจการจะรับรู้ต้นทุนการปรับโครงสร้างเป็นประมาณการหนี้สินได้ก็ต่อเมื่อเป็นไป ตามเกณฑ์ในการรับรู้ประมาณการหนี้สิน ซึ่งเหตุการณ์ที่อาจถือเป็นการปรับโครงสร้าง คือ 3.1 การขายหรือการยกเลิกสายงานธุรกิจ 3.2 การปิดสถานประกอบการทางธุรกิจในประเทศหรือภูมิภาคหนึ่ง หรือการ ย้ายกิจกรรมทางธุรกิจจากประเทศหรือภูมิภาคหนึ่งไปยังประเทศหรือภูมิภาคอื่น 3.3 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร เช่น การลดระดับชั้นทางการบริหาร เป็นต้น 3.4 การปรับโครงสร้างขั้นพื้นฐานขององค์กรที่มีผลกระทบอย่างเป็นสาระสําคัญ ต่อลักษณะและจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติงานของกิจการ 4. เมื่อกิจการตัดสินใจที่จะขายการดําเนินงาน และได้ประกาศถึงการตัดสินใจนั้นต่อ สาธารณชน กิจการยังไม่ถือว่าได้ผูกมัดที่จะขายการดําเนินงานนั้นจนกระทั่ งกิจการสามารถระบุ ผู้ซื้อและตกลงทําสัญญาขายที่มีผลบังคับตามกฎหมาย 5. ประมาณการหนี้สินจากการปรับโครงสร้างต้องรวมรายจ่ายโดยตรงที่เกิดขึ้นจาก การปรับโครงสร้างที่เป็นไปตามเงื่อนไขทุกข้อต่อไปนี้ 5.1 จําเป็นต้องเกิดในการปรับโครงสร้างนั้น 5.2 ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องของกิจการ
90 6. ประมาณการหนี้สินจากการปรับโครงสร้างต้องไม่รวมรายจ่ายต่อไปนี้ 6.1 ค่าอบรมหรือค่าย้ายสถานที่ของพนักงานที่ยังจ้างงานอยู่ 6.2 ค่าใช้จ่ายทางการตลาด 6.3 เงินลงทุนในระบบหรือเครือข่ายใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการจําหน่าย การเปิดเผยข้อมูล กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้สําหรับประมาณการหนี้สินแต่ละประเภท 1. จํานวนประมาณการหนี้สิน ณ วันต้นงวดและวันสิ้นงวดรายงาน 2. จํานวนประมาณการหนี้สินที่รับรู้เพิ่มเติมในระหว่างงวด ซึ่งรวมถึงจํานวนที่เพิ่มขึ้น ของประมาณการหนี้สินที่มีอยู่ 3. จํานวนที่ตัดออกจากบัญชีประมาณการหนี้สินในระหว่างงวด เกิดขึ้นและนําไปลดประมาณการหนี้สิน)
(เช่น รายจ่ายที่
4. จํานวนประมาณการหนี้สินที่ไม่ได้ใช้ที่ต้องกลับบัญชีในระหว่างงวด 5. จํานวนคิดลดที่เพิ่มขึ้นในระหว่างงวดของประมาณการหนี้สินเนื่องจากเวลาที่ผ่าน ไปและจากผลของอัตราคิดลดที่เปลี่ยนแปลง 6. คําอธิบายโดยสังเขปเกี่ยวกับลักษณะของภาระผูกพันและจังหวะเวลาที่กิจการคาด ว่าจะสูญเสียประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ 7. สิ่งที่ชี้บอกความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจํานวนหรือจังหวะเวลาของการสูญเสีย ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ กิจการต้องเปิดเผยข้อสมมติที่สําคัญที่ใช้เกี่ ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต เมื่อกิจการจําเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลให้เพียงพอ
91 8. จํานวนรายจ่ายที่คาดว่าจะได้รับชดเชย โดยระบุจํานวนสินทรัพย์ที่กิจการรับรู้ สําหรับรายจ่ายที่คาดว่าจะได้รับชดเชยนั้น ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลงานวิจัยในประเทศ สาธิต โชติสุขรัตน์ (2542) ได้ศึกษาเรื่อง การวางแผนการสอบบัญชี กรณีศึกษาธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ จากการศึกษาพบว่า การดําเนินงานของบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีการดําเนินงาน และระบบบัญชีที่ซับซ้อนแตกต่างจากธุรกิจอื่นในเรื่องการรับรู้รายได้และ ต้นทุนของธุรกิจ บริษัทมีการใช้นโยบายบั ญชีตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 26 ในการรับรู้ รายได้ และต้นทุนในเรื่องภาษีอากร บริษัทมีการจัดการด้านภาษีธุรกิจเฉพาะทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สํานักงานสอบบัญชีมีการดําเนินงานเป็นไปตามมาตรฐาน การสอบบัญชี โดยปัญหาในการตรวจสอบที่พบ คือ จะมีการสอบทานงานในขั้นตอนสุดท้ายของ การปฏิบัติงานตรวจสอบ ซึ่งอาจเกิดความเสี่ยงที่ตรวจสอบไม่พบข้อผิดพลาดได้ ดังนั้น จึงควร มีการสอบทานอย่างสม่ําเสมอในระหว่างการตรวจสอบ แบบสอบถามระบบการควบคุมภายใน และแนวการสอบบัญชีนี้สามารถนําไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานสอบบัญชีได้ โดยขึ้นอยู่กับ ดุลพินิจ ทักษะ และประสบการณ์ของผู้สอบบัญชี อังสนา พิทยุทัยวรรณ (2543) ได้ศึกษาเรื่อง การวางแผนงานสอบบัญชีสําหรับธุรกิจ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จากการศึกษาพบว่า การวางแผนงานสอบบัญชีเป็นสิ่งจําเป็น ขั้นตอน การวางแผนงานสอบบัญชี เริ่มตั้งแต่การวางแผน งาน แผนงานสอบบัญชีโดยรวม แนวการสอบ บัญชี และการเปลี่ยนแปลงแผนการสอบบัญชีโดยรวม และแนวการสอบบัญชี โดยสิ่งที่ควร พิจารณาในการพัฒนาแผนงานสอบบัญชี คือ การทําความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจที่จะทําการ ตรวจสอบในเรื่องของปัจจัยทางเศรษฐกิจ ลักษณะสําคัญของกิจการ การดําเนินธุรกิ จ ผล ประกอบการทางการเงิน โครงสร้างการบริหารงาน ระดับความสามารถของผู้บริหาร ระบบบัญชี การควบคุมภายใน ความเสี่ยง ความมีสาระสําคัญ และผลกระทบทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีต่อการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม การวางแผนงานสอบบัญชีนี้สามารถนําไปประยุกต์ใช้ใน การวางแผนงานสอบบั ญชีในธุรกิจอื่นๆ ได้ โดยควรมีการปรับปรุงแผนงานให้มีความทันสมัย และเหมาะสมต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ ทักษะ และ ประสบการณ์ของผู้สอบบัญชี
92 ทิพารัตน์ ลิ้มวัฒนะพันธ์ (2547) ได้ศึกษาเรื่อง ความคิดเห็นของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ต่อปัจจัยที่มีผลในการรับงานสอบบัญชี จากการศึกษาพบว่า ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตส่วนใหญ่ เห็นด้วยว่า ปัจจัยที่เกี่ยวกับลูกค้า ปัจจัยเกี่ยวกับผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และปัจจัยด้านอื่น มีผล ต่อการพิจารณารับงานสอบบัญชี โดยเห็ นด้วยอย่างยิ่งว่าปัจจัยลักษณะและสภาพของระบบ บัญชี และระบบควบคุมภายในของธุรกิจ ปัจจัยลักษณะ และความซับซ้อนของธุรกิจมีผลต่อการ ตอบรับงานสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และเห็นด้วยว่าปัจจัยการทุจริตของผู้บริหาร ในอดีต ปัจจัยขนาดของธุรกิจ ปัจจัยความสะดวกของระยะเ วลาที่เข้าตรวจสอบได้ ปัจจัยการ ตรวจสอบที่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ ปัจจัยกฎหมาย และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ปัจจัยค่าธรรมเนียมตรวจสอบ ปัจจัยการถอนตัวของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตคนก่อน และปัจจัย ข้อจํากัดคุณสมบัติผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่สามารถรับรองงบก ารเงินในตลาดหลักทรัพย์ มีผล ต่อการรับงานของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ส่วนปัจจัยพื้นฐานกับศักยภาพของผู้สอบบัญชี รับอนุญาตที่มีผลทําให้ระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยทั้ง 3 ด้านแตกต่างกันมากที่สุด คือ จํานวนครั้งที่เข้าร่วมอบรมหรือสัมมนาในวิชาชีพตรวจสอบ จํานวนผู้ช่วยตรวจสอบ ระดับ ตําแหน่ง จํานวนงบการเงินที่เคยลงลายมือชื่อในปีก่อน ประสบการณ์ในวิชาชีพตรวจสอบ และ อายุ ตามลําดับ รุ่งนภา แต่สุขะวัฒน์ (2547) ได้ศึกษาเรื่อง ความคิดเห็นของผู้สอบบัญชีที่มีต่อความ เสี่ยงในการสอบบัญชีกับการควบคุมภายในของธุรกิจขนาดย่อม จากการศึกษาพบว่า ในด้าน การปฏิบัติงานสอบบัญชีธุรกิจขนาดย่อม ผู้ตรวจสอบบัญชีจะทําการประเมินความเสี่ยงในการ สอบบัญชีกับการควบคุมภายในเป็นบางราย โดยสาเหตุของการไม่ประเมินความเสี่ยงในการ สอบบัญชีกับการควบคุมภายใน เนื่องจากสามารถใช้วิธีการตรวจสอบอื่นที่ดีกว่าซึ่งผู้ ตรวจสอบ บัญชีมีความคิดเห็นว่าการไม่ประเมินความเสี่ยงในการสอบบัญชีกับการควบคุมภายใน จะไม่ส่งผลกระทบต่อการตรวจสอบ เนื่องจากได้ใช้วิธีการตรวจสอบเนื้อหาสาระอย่างเดียว ส่วนความคิดเห็นที่มีต่อความเสี่ยงในการสอบบัญชีกับการควบคุมภายในของธุรกิจขนาดย่อม พบว่าในด้านความเสี่ยงสืบเนื่อง และความเสี่ยงจากการควบคุมมีมาก และความคิดเห็นต่อ ระบบการควบคุมภายในว่ามีปานกลาง ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ผู้บริหารธุรกิจขนาดย่อม ควรทําการออกแบบระบบบัญชี และระบบการควบคุมภายในให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ผู้ตรวจสอบบัญชีควรพิ จารณาถึงลักษณะ ระยะเวลา และขอบเขตของวิธีการตรวจสอบ เนื้อหาสาระที่มากขึ้น ตลอดจนสมาคมนักบัญชี และผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย (ส.บช.) ควรทําการกําหนดแนวทางในการตรวจสอบบัญชีเฉพาะของธุรกิจขนาดย่อม และ รัฐบาลควรให้การสนับสนุนทางด้านการเงินในรูปแบบต่างๆ เ พื่อให้ธุรกิจขนาดย่อมมีเงินทุนใน การดําเนินการออกแบบระบบบัญชี และระบบการควบคุมภายในให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
93 สุเมธ หาญเทพินทร์ (2548) ได้ศึกษาเรื่อง ปัญหาของผู้สอบบัญชีในการสอบบัญชี ธุรกิจขนาดย่อมที่จัดทําบัญชี โดยใช้บริการสํานักงานรับทําบัญชีใ นจังหวัดเชียงใหม่ จาก การศึกษาพบว่า ผู้สอบบัญชีส่วนใหญ่คิดว่าการปฏิบัติงานตรวจสอบบัญชีธุรกิจขนาดย่อม ที่จัดทําบัญชีโดยใช้บริการสํานักงานบัญชีมีความแตกต่างจากการตรวจสอบบัญชีปกติในเรื่อง การไม่สามารถติดต่อขอข้อมูลจากผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการได้โดยตรงแต่ต้อ งติดต่อผ่าน สํานักงานบัญชี ซึ่งบางครั้งผู้สอบบัญชีอาจได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องครบถ้วน นอกจากนี้ในการ ปฏิบัติงานตรวจสอบธุรกิจขนาดย่อม ผู้สอบบัญชีส่วนใหญ่อาจได้หลักฐานการสอบบัญชีจาก การตรวจสอบเนื้อหาสาระเพียงอย่างเดียว และผู้สอบบัญชีต้องทดสอบความถูกต้องของรายการ และยอดคงเหลือเป็นจํานวนมาก ทั้งนี้เนื่องมาจากธุรกิจขนาดย่อมส่วนใหญ่จะมีข้อจํากัดในเรื่อง การควบคุมภายในทางด้านการบัญชีมีไม่เพียงพอและเหมาะสม ในการปฏิบัติงานตรวจสอบ ธุรกิจขนาดย่อม ผู้สอบบัญชีส่วนใหญ่จะมีปัญหาเกี่ยวกับการไม่สามารถปฏิบัติงานตรวจสอบได้ ตามมาตรฐานการสอ บบัญชี โดยเรื่องที่มีปัญหามาก คือ การไม่สามารถร่วมสังเกตการณ์ ตรวจนับสินค้าคงเหลือ ทั้งนี้เนื่องมาจากผู้สอบบัญชีได้รับแต่งตั้งภายหลังวันที่ทําการตรวจนับ หรืออาจเนื่องมาจากกิจการไม่ได้มีการจัดทําบัญชีรายละเอียดสินค้าคงเหลือรายตัว หรือไม่ได้มี การจัดเก็บสินค้ าคงเหลืออย่างเป็นระเบียบง่ายต่อการตรวจนับ รองลงมา คือ การที่ผู้สอบบัญชี ไม่สามารถส่งหนังสือยืนยันยอดลูกหนี้ และเจ้าหนี้การค้า รวมทั้งการขอข้อมูลจากธนาคาร ทั้งนี้เนื่องจากกิจการขนาดย่อมไม่ได้จัดทําบัญชีลูกหนี้ และเจ้าหนี้การค้ารายตัว ทําให้ผู้สอบ บัญชีไม่มีขอ้ มูลเกี่ยวกับลูกหนี้ และเจ้าหนี้การค้าที่เพียงพอให้ส่งหนังสือยืนยันยอด และบางครั้ง อาจเนื่องมาจากผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการไม่เห็นความสําคัญเกี่ยวกับการงานสอบบัญชีทําให้ ไม่ให้ความร่วมมือในการส่งหนังสือยืนยันยอด และการขอข้อมูลจากธนาคารดังกล่าว ซึ่งต้อง ได้รับอ นุมัติจากผู้มีอํานาจในกิจการก่อน ดังนั้นจึงทําให้ผู้สอบบัญชีที่ปฏิบัติงานตรวจสอบ ธุรกิจขนาดย่อมส่วนใหญ่ไม่สามารถแสดงความเห็นอย่างไม่มีเงื่อนไขในรายงานของผู้สอบบัญชี ได้ โดยจะต้องแสดงความเห็นอย่างมีเงื่อนไขในเรื่องที่มีสาระสําคัญที่ผู้สอบบัญชีไม่สามารถ ตรวจสอบได้ หรือบางครั้งอาจจะถึงต้องไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน ถ้ารายการที่ไม่สามารถ ตรวจสอบได้ดังกล่าวนั้นมีสาระสําคัญอย่างมากต่องบการเงินโดยรวม กรทิพย์ วาณิชวิเศษกุล (2549 ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การวิเคราะห์ และประเมิน ความเสี่ยงทางธุรกิจในการตรวจสอบบัญชี กรณีศึกษา : บริษัทในอุตสาหกรรมกระดาษคราฟท์ ผลจากการศึกษาพบว่า บริษัทตัวอย่างในอุตสาหกรรมกระดาษคราฟท์ที่ใช้ในการศึกษานั้น อาจมีความเสี่ยงในเรื่องของรายได้ อันเนื่องมาจากผลกระทบของยอดขายรวมของทั้ง อุตสาหกรรมอาจลดลง อันเนื่องมาจากเกิดภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมา กขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจาก การลดภาษีนําเข้ากระดาษคราฟท์ รวมทั้งผลกระทบจากการขยายกําลังการผลิตของผู้ผลิต กระดาษคราฟท์จากประเทศจีน ทั้งนี้ความเสี่ยงดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อผู้ผลิต
94 ภายในประเทศรวมทั้งบริษัทด้วย สําหรับประเด็นความเสี่ยงในด้านอื่น เช่น ความเสี่ยงทางด้าน ต้น ทุน และความเสี่ยงทางด้านการเงิน พบว่าบริษัทมีความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าวค่อนข้างต่ํา เนื่องจากบริษัทมีบริษัทแม่ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และบริษัทในเครือซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้าน อุตสาหกรรมกระดาษเป็นอย่างดีคอยให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ กับบริษัท ทั้งในเรื่องข อง การสั่งซื้อวัตถุดิบ การแนะนําการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเป็นการประหยัดต้นทุน รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินและการบริหารงานต่างๆ กับบริษัท ทําให้บริษัท สามารถดําเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้บริษัทมี ผลประกอบการกําไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้การนําเอาวิธีการตรวจสอบบัญชีแนวใหม่มาใช้นั้น จะช่วยให้ผู้สอบบัญชีใช้เวลาในการตรวจสอบได้เร็วขึ้น และช่วยให้งานตรวจสอบเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ เนื่องจากได้มีการตรวจสอบตามความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นครบทุกประเด็นแล้ว ทํา ให้ผู้สอบบัญชีสามารถมั่นใจได้ว่า งบการเงินที่ตรวจสอบนั้นได้แสดงฐานะการเงิน และ ผลการดําเนินงานโดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสําคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ และความคุ้มค่าแก่ผู้ใช้งบการเงินในที่สุด พรรณภา แจ้งสุวรรณ (2549) ได้ศึกษาเรื่อง การศึกษาการใช้ปัจจัย และองค์ประกอบ ความเสี่ยงในการประเมินความเสี่ยงในการตรวจสอบของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ผลการวิจัย พบว่า ความเสี่ยงที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตควรให้ความสําคัญ และระมัดระวังความเสี่ยง ได้แก่ ปัญหาการได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชีที่ เพียงพอ และเหมาะสม รายการที่ผิดปกติ เช่น รายการหรือวิธีปฏิบัติที่ซ้ําซ้อน เป็นต้น ความซื่อสัตย์ จริยธรรมของผู้บริหาร และยอดคงเหลือ ในบัญชีแยกประเภทรายการ ความกดดันที่ผิดปกติต่อกิจการ เช่น สภาพเศรษฐกิจตกต่ํา เป็นต้น แรงกดดันที่ผิดปกติ เช่น ความเชื่อถือได้ ของรายงานทางการเงิน เป็นต้น ลักษณะ ทางธุรกิจของกิจการ ปัจจัยที่กระทบต่อสถานการณ์ที่ดําเนินอยู่ ปัจจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ของระบบสารสนเทศ ความเชื่อมั่น และจริยธรรม ประสบการณ์ และความรู้ของผู้บริหาร ส่วน อายุของผู้สอบบัญชี ประสบการณ์ทํางาน ปริมาณการรับงาน จํา นวนของผู้ช่วยผู้สอบบัญชี เชื้อชาติของผู้สอบบัญชีสังกัดที่มีต่อระดับความเสี่ยงสืบเนื่อง และความเสี่ยงจากการควบคุม พบว่า ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตให้ความเห็นที่มีต่อระดับความเสี่ยงในด้านต่างๆ ไม่แตกต่างกัน ภาวิณี อรุณคีรีวัฒน์ (2550) ได้ศึกษาเรื่อง ความคิดเห็ นของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตใน เขตกรุงเทพมหานครที่มีต่อมูลค่ายุติธรรม จากการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็น เพศหญิงมีอายุตั้งแต่ 46 ปีขึ้นไป ระดับการศึกษาปริญญาโท ไม่มีใบประกอบวิชาชีพอื่น นอกจากใบประกอบวิชาชีพสอบบัญชี ดํารงตําแหน่งเป็นหุ้นส่วนของสํานักงาน สอบบัญชีอื่นที่ ไม่ใช่ Big-Four และไม่ใช่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน กํากับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ มีประสบการณ์ในการสอบบัญชีตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป
95 ผลการศึกษาระดับความคิดเห็นพบว่า ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเห็นด้วยอย่างมากต่อ มูลค่ายุติธรรมด้านมุมมองทางการบัญชี ด้านหลักการตรวจสอบการวัดมูลค่า และเปิดเผย มูลค่ายุติธรรม ด้านการประเมินสมมติฐาน ด้านการใช้ผู้เชี่ยวชาญ ด้านหลักฐานในการ ตรวจสอบ และด้านการเปิดเผยข้อมูลในการรายงานการเงิน แต่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเห็นด้วย ปานกลางใน ด้านความรับผิดชอบ และการทดสอบสมมติฐานพบว่า ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพอื่น ตําแหน่งงาน การเป็นผู้สอบบัญชี รับอนุญาตที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานกํากับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ประสบการณ์ในการสอบบัญชี รูปแบบกิจ การที่ตรวจสอบ และหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการตรวจสอบ ที่แตกต่างกันจะทําให้ระดับความคิดเห็นที่มีต่อมูลค่ายุติธรรมแตกต่างกัน วชิรพล อินสุวรรณ (2551) ได้ศึกษาเรื่อง ปัจจัยเสี่ยงของการทุจริต และผลกระทบต่อ การวางแผนการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชี จากการศึกษาพบว่า ในการตรวจ สอบนั้นผู้สอบบัญชี ต้องใช้ประสบการณ์การตรวจสอบในการประเมินโอกาสการเกิดปัจจัยเสี่ยงของการทุจริต โดยพบว่าธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริตมากที่สุด คือ ธุรกิจประเภทอุตสาหกรรม และรูปแบบ การทุจริตส่วนใหญ่ที่ตรวจพบ คือ การทุจริตเงินสด ทั้งนี้หุ้นส่วนของสํานักงานสอบบัญชีเป็นผู้ที่ มีหน้าที่สอบทานเกี่ยวกับการวางแผนการสอบบัญชีเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงของการทุจริต โดยในการ ปฏิบัติงานตรวจสอบบัญชี ผู้สอบบัญชีจะมีการปรึกษากับผู้บริหารของบริษัท และมีการ ปรับเปลี่ยนแผนการตรวจสอบ เมื่อตรวจพบปัจจัยเสี่ยงของการทุจริต ปัจจัยเสี่ยงขอ งการทุจริต ที่มีสาระสําคัญต่อการวางแผนการสอบบัญชีมากที่สุด คือ ปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือและ ความสามารถของฝ่ายบริหาร นอกจากนี้หากมีปัจจัยเสี่ยงของการทุจริตที่มีสาระสําคัญ ผู้สอบบัญชีจะไม่รับงานตรวจสอบบัญชีของบริษัทดังกล่าวในปีต่อไป เอื้อมอุรา พรมจันทร์ (2551) ได้ศึกษาเรื่อง สภาพ และปัญหาในการปฏิบัติงานของ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในประเทศไทย ผลการศึกษาพบว่า ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็น เพศหญิงอายุมากกว่า 50 ปี สถานภาพสมรส ระดับการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี มีประสบการณ์ในการประกอบวิชาชีพสอบบัญชีมากกว่า 15 ปี มีลักษณะการบริการสอบบัญชี เป็นการสอบบัญชีอย่างเดียว ที่อยู่ของลูกค้าที่ให้บริการเป็นกรุงเทพมหานคร จํานวนงบการเงิน ที่ลงลายมือชื่อรับรองในปี พ.ศ. 2550 จํานวน 51 - 100 งบการเงิน รายได้สุทธิเฉลี่ยต่อเดือน 50,000 - 100,000 บาท มีผู้ช่วยในการสอบบัญชี จํานวน 3 - 5 คน และระดับการศึกษาของ ผู้ช่วยในการสอบบัญชี คือ ปริญญาตรี ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในประเทศไทย มีความคิดเห็น ด้วยเกี่ยวกับสภาพในการปฏิบัติงานโดยรวม และเป็นรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ด้านการทํางานแบบ มืออาชีพ ด้านการบริการ ด้านการติดต่อสื่อสาร ด้านการตัดสินใจ และการแก้ปัญหา และด้านการทํางานเป็นทีม มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาในการปฏิบัติงาน
96 โดยรวมเป็นรายด้านอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านการทุจริตและข้อผิดพลาด และวัตถุประสงค์ และหลักการพื้นฐานของการสอบบัญชี อยู่ ในระดับปานกลาง ได้แก่ ด้านการพิจารณาถึง กฎหมาย และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับกิจการที่ตรวจสอบ ด้านข้อตกลงในการรับงานสอบบัญชี ด้านการควบคุมคุณภาพงานสอบบัญชี และด้านกระดาษทําการของผู้สอบบัญชี ผู้สอบบัญชีรับ อนุญาตในประเทศไทยที่มีอายุ สถานภาพ และระดับการศึกษาแตกต่างกัน ให้ความคิดเห็น เกี่ยวกับการมีสภาพในการปฏิบัติงาน ด้านการตัดสินใจ และการแก้ปัญหา และด้านการบริการ แตกต่างกัน ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในประเทศไทยที่มีอายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ การสอบบัญชี และรายได้สุทธิเฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกัน ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีปัญหาใน การปฏิบัติงาน ด้านการพิจารณาถึงกฎหมาย และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับกิจการที่ตรวจสอบ ด้านข้อตกลงในการรับงานสอบบัญชี กระดาษทําการของผู้สอบบัญชี และด้านการควบคุม คุณภาพงานสอบบัญชี แตกต่างกัน โดยสรุป ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในประเทศไทยเห็นว่า การมี สภาพในการปฏิบัติงานมีความสําคัญต่อการปฏิบัติงานตรวจสอบบัญชี อยู่ในระดับมาก และการมีปัญหาในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งข้อสนเทศที่ได้สามารถนําไปใช้ใน การพัฒนา และปรับปรุงเพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานสอบบัญชีเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ ให้ เป็นที่ยอมรับ และน่าเชื่อถือแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป ธิดารัตน์ ตรีโรจน์พร (2552) ได้ศึกษาเรื่อง ความคิดเห็นของผู้ทําบัญชี และผู้สอบบัญชี บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเท ศไทยที่มีต่อมาตรฐานการบัญชี (ฉบับปรับปรุง ปี 2550 ) จากการศึกษาพบว่า ทั้งผู้ทําบัญชี และผู้สอบบัญชีส่วนใหญ่ไม่มีส่วนร่วมใน การสัมมนาพิจารณ์ร่างมาตรฐานฯ ผู้ทําบัญชีส่วนใหญ่เห็นด้วยต่อทุกกลุ่มมาตรฐานฯ ยกเว้น มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 33 เรื่อง ต้นทุนการกู้ ยืม ที่ผู้ทําบัญชีมีความไม่แน่ใจ ขณะที่ผู้สอบ บัญชีส่วนใหญ่เห็นด้วยต่อทุกกลุ่มมาตรฐานฯ และผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ผู้สอบบัญชี เห็นด้วยในทุกประเด็นของการเปลี่ยนแปลงในมาตรฐานฯ มากกว่าผู้ทําบัญชี จึงกล่าวได้ว่า ในภาพรวมการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้เอื้อประโยชน์ต่อ การปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีมากขึ้น เช่น การลดทางเลือกในการปฏิบัติทางการบัญชี และการกําหนดให้เปิดเผยข้อมูลมากขึ้น นอกจากนี้ผู้ทําบัญชีที่มีประสบการณ์ทํางาน และระดับการมีส่วนร่วมในการสัมมนาพิจารณ์ ร่างมาตรฐานฯ แตกต่างกัน ผู้สอบบัญชีที่ทํางานในสํานักงานสอบบัญชีแ ตกต่างกันจะมีระดับ ความคิดเห็นต่อมาตรฐานฯ แตกต่างกัน อนุศักดิ์ เตชะสืบ (2553) ได้ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ผู้สอบบัญชีใช้พิจาร ณารับตรวจสอบ บัญชี สหกรณ์ภาคเกษตร จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านสหกรณ์ส่วนใหญ่ให้ความสําคัญใน ระดับมากกับผู้บริหารของสหกรณ์ภาคเกษตรให้ความสํา คัญกับการสอบบัญชีและให้ความ ร่วมมือในการตรวจสอบบัญชีปัจจัยด้านข้อมูลในงบการเงินให้ความสําคัญใน ระดับมากกับความ
97 น่าเชื่อถือของรา ยการใ นงบการเงินของสหกรณ์ภาคเกษตรที่ตรวจสอบ ปัจจัยด้านการ ปฏิบัติงานให้ความสําคัญในระดับมากกับเอกสารประกอบการบั นทึกบัญชีของสหกรณ์ไม่ เรีย บร้อย ไม่ครบถ้วน ขาดความน่าเชื่อถือ และการถูกจํากัดขอบเขตการตรวจสอบบัญชีในปี ก่อน โดยเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ภาคเกษตร และปัจจัยทางด้านอื่นๆ ให้ความสําคัญในระดับมาก กับ ความเป็นอิสระ และความเป็นกลางในการตรวจสอบ ผลการศึกษาพบว่า สหกรณ์ภาค เกษตรมีความยุ่งยาก และซับซ้อนมากกว่าสหกรณ์อื่นๆ เนื่องจากมีธุรกิจหลายด้าน อาจส่งผล ต่อให้ค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบบัญชีสหกรณ์สูงกว่าสหกรณ์ประเภทอื่นๆ แต่ผู้สอบบัญชี ประสบปัญหาการตัดราคากันเองระหว่างผู้สอบบัญชี ทําให้ไม่สามารถรับงานตรวจสอบบัญชีได้ และการจัดทํากระดาษทําการของผู้สอบบัญชีที่ต้องจัดทําควรลดลงเท่าที่จําเป็น หากผู้สอบบัญชี รับงานตรวจสอบโดยพิจารณาจากอัตราค่าธรรมเนียมในการสอบบัญชีอาจจะส่งผลต่อคุณภาพ ในการสอบบัญชี ซึ่งประเด็นเหล่านี้ส่งผลต่อ การพิจารณานับตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ สุวรรณา มรรคจินดา (2549) ได้ศึกษาเรื่อง ปัญหาของผู้สอบบัญชีภาคเอกชนในการ ตรวจบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์ในภาคเหนือ จากการศึกษาพบว่า ผู้สอบบัญชีภาคเอกชนมีปัญหา ในระดับมากในเรื่องการเสนอราคาตัดสินกันเองระหว่างผู้สอบบัญชี ค่าเฉลี่ยของปัญหาเท่ากับ 4.45 และในเรื่องการกําหนดค่าธรรมเนียมการสอบบัญชีค่าเฉลี่ยของปัญหาเท่า กับ 3.64 เจ้าหน้าที่สํานักมาตรฐานการสอบบัญชีภาคเอกชนมีปัญหาระดับมากด้านผู้สอบบัญชี ภาคเอกชนในการรับงาน และปฏิบัติงาน ในเรื่องผู้ช่วยผู้สอบบัญชีขาดความรู้ด้านสหกรณ์ และ วิธีการจัดทํากระดาษทําการตามรูปแบบที่กรมตรวจบัญชีสหกรณ์กําหนด ค่าเฉลี่ยของปัญหา เท่ากับ 4.33 และสหกรณ์ใช้ค่าธรรมเนียมการสอบบัญชีสําคัญในการคัดเลือกผู้สอบบัญชี ทําให้ คุณภาพงานสอบบัญชีอาจลดลงตามค่าธรรมเนียมการตรวจสอบ ค่าเฉลี่ยของปัญหาเท่ากับ 4.25 งานวิจัยต่างประเทศ Meyer (2007) ได้ศึกษาเรื่อง Continuing Professional Education and Its Impact on the Practices and Careers of Certified Public Accountants ผลจากการสํารวจพบว่า ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เชื่อว่า การศึกษาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพ (CPE) นั้นมีประโยชน์ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต มีทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับ การศึกษาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพ (CPE) นอกจากนี้ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต มีการพิจารณาถึงความเชี่ยวชาญหรือการมีสถานที่เฉพาะ ทางการบัญชีของตนเอง โดย 2 วิธีในการถ่ายทอดการรับรู้ขึ้นอยู่กับ 2 มิติ คือ ประสิทธิผล และความพึงพอใจ ซึ่งทั้ง 2 วิธี มีดังนี้ ในทางปฏิบัติจะมีการเรียนรู้โดยลงมือปฏิบัติจริง และใน การสอนก ลุ่มเล็กๆ จะมีการโต้ตอบกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญกับผู้ฟัง ซึ่งมีการจัดลําดับชั้นเป็น
98 5 ชั้น ได้แก่ ไม่มีประสิทธิภาพเลยหรือไม่มีความชอบเลย มีประสิทธิภาพไม่มากหรือ มีความชอบไม่มาก ไม่รู้หรือเป็นกลาง ค่อนข้างมีประสิทธิภาพหรือค่อนข้างชอบ มีประสิทธิ ภาพ มากหรือมีความชอบมาก แม้ว่าอายุ และปีในการทํางานจะเป็น 2 ปัจจัยที่มีนัยสําคัญระหว่าง ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ที่รับจ้างทําบัญชีสาธารณะ และ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ที่ไม่ได้รับจ้าง ทําบัญชีสาธารณะ จากการศึกษาไม่พบว่ามีปัจจัยอื่นที่มีนัยสําคัญ นอกจากนี้ไม่มีความแตกต่ าง ในการรับรู้เกี่ยวกับ การศึกษาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพ (CPE) ที่มีอยู่ระหว่าง ผู้สอบบัญชีรับ อนุญาตที่มีการพิจารณาถึงความเชี่ยวชาญหรือการมีสถานที่เฉพาะของตนเอง และ ผู้สอบบัญชี รับอนุญาตที่ไม่มีสถานที่เฉพาะทางการบัญชี Yu (2007) ได้ศึกษาเรื่อง The Effect of Big Four Office Size on Audit Quality จาก การศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างจํานวน 6,568 บริษัทต่อปี โดยสังเกตในระหว่างปี 2003 ถึง 2005 ซึ่งได้รับการตรวจสอบจากสํานักงานที่ไม่ซ้ํากันของบริษัทใน Big Four จํานวน 285 สํานักงาน ในประเทศสหรัฐอเมริกา ผลการศึกษาพบว่า สํานักงาน ขนาดใหญ่มีคุณภาพการตรวจสอบที่สูง กว่าสํานักงานที่มีขนาดเล็ก โดยเฉพาะลูกค้าของสํานักงานขนาดใหญ่มีหลักฐานว่ามีการจัดการ รายได้ที่ลดลง (ยอดคงค้างผิดปกติน้อยกว่า และมีมาตรฐานของรายได้ลดลง ) ผู้ตรวจสอบบัญชี ในสํานักงานขนาดใหญ่มีโอกาสมากในเรื่อง การดําเนินงานต่อเนื่อง ของรายงานการตรวจสอบ โดยที่ ปัจจัยอื่นๆ คงที่ ผลการศึกษานี้ยึดถือหลังจากมีการควบคุมจากผู้นําอุตสาหกรรมโดย บริษัทการบัญชีที่เป็น เอกเทศ และสํานักงานเฉพาะ และผลคือขนาดลูกค้ามีความสัมพันธ์กับ ขนาดของสํานักงาน ที่สําคัญคือ ผลที่เกิดขึ้นเกิดจากการแบ่งแยกตัวอย่างเป็นชั้น บนกับชั้นล่าง อย่างละครึ่งของขนาดลูกค้า ซึ่งบ่งชี้ว่าผลที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้ถูกผลักดันโดยลูกค้าขนาดใหญ่ ขณะที่บริษัทบัญชีมีแรงจูงใจที่จะจัดหาบริการที่มีคุณภาพเหมือนกันในทุกสํานักงาน โดยเฉพาะ post-SOX era กับการตรวจสอบคณะกรรมการกํากับดูแลด้านบัญชีของบริษัท มหาชน จํากัด (PCAOB) ผลการศึกษาของผู้วิจัยบ่งชี้ว่ามีความขัดแย้งกันในความสามารถของบริษัทในการ บรรลุเป้าหมายผ่านการแบ่งปันความรู้ที่มีอยู่ และกระบวนการควบคุมคุณภาพ Crook (2009) ได้ศึกษาเรื่อง The Influence of Internal Control Structure on Auditor Risk Assessments จากการศึกษาพบว่า ลักษณะงานการตรวจสอบ (โครงสร้างงาน ) มี ผลกระทบกับลักษณะของผู้ทําการตัดสินใจ (โครงสร้างการดูแลเอาใจใส่ และโครงสร้างความรู้ ) จากการทดสอบโครงสร้างงานการประเมินผลการควบคุมภายในของมาตรฐานการตรวจสอบ ฉบับที่ 5 ฉบับใหม่ ส่งผลกระทบกับกระบวนก ารควบคุมภายในของผู้ตรวจสอบบัญชีใน 3 งาน การตรวจสอบ ดังนี้ การประเมินความสี่ยงของการควบคุม การประเมินความเสี่ยงในการ วิเคราะห์ และการระบุแผนการตรวจสอบ ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตรวจสอบบัญชีสามารถแยก ประเภทการควบคุมภายในตามรูปแบบงานการควบคุมภายในเดิมได้ดีกว่าเมื่อเทีย บกับรูปแบบ
99 งานของมาตรฐานการตรวจสอบฉบับที่ 5 ฉบับใหม่ รูปแบบ งานของมาตรฐานการตรวจสอบ ฉบับที่ 5 ส่งผลกระทบต่อการชี้น้ําหนักของความสามารถของผู้ตรวจสอบบัญชี เช่น การเก็บ รวบรวมหลักฐานโดยการประเมินความเสี่ยงของการควบคุม และการประเมินความน่าจะเป็น ของข้อผิดพลาด เช่น การประเมินความเสี่ยงในการปฏิบัติตามมาตรฐานการตรวจสอบฉบับที่ 5 มากกว่าโครงสร้างงานแบบไม่มีเงื่อนไขของผู้ตรวจสอบบัญชีที่ใช้อยู่ Hell and Wang (2009) ได้ศึกษาเรื่อง Cultural impact on the audit planning phase : An empirical study in China and France จากการศึกษาพบว่า วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ภายในบริษัท Big Four นั้นไม่มีความแน่ชัด ผู้วิจัยไม่ได้หานัยสําคัญของความแตกต่างเกี่ยวกับ วัฒนธรรมของผู้ตรวจสอบบัญชีชาวจีนและชาวฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจสอบบัญชีชาวจีนมี ความเต็มใจที่จะปฏิเสธการกล่าวข้อความอันเป็นเท็จ ในงบการเงินของลูกค้าสูงกว่าผู้ตรวจสอบ บัญชีชาวฝรั่งเศส ผู้ตรวจสอบบัญชีทั้งสองประเทศประเมินผลโดยใช้วิธีการตรวจสอบหลักฐานที่ คล้ายกัน แต่ไม่ได้พิจารณาถึงองค์ประกอบสําคัญที่เหมือนกันของสภาพแวดล้อม การควบคุมภายใน ผู้ตรวจสอบบัญชีชาวฝรั่งเศสเห็นว่าองค์ ประกอบที่สําคัญจะต้องสามารถมี อิทธิพลโดยตรงต่อความถูกต้องของกระบวนการรายงานทางการบัญชี เพราะสังคม ปัจเจกนิยม ของชาวฝรั่งเศสมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการบัญชี และป้องกันข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นภายใน องค์กร Chia-Ah and Karlsson (2010) ได้ศึกษาเรื่อง The impact of extended audit tenure on auditor independence จากการศึกษาพบว่า ปัญหาของความเป็นอิสระและการเลื่อน ตําแหน่งในการตรวจสอบอาจไม่เกี่ยวข้องกับผู้ตรวจสอบบัญชีบางคน และบางคนอาจจะ เกี่ยวข้อง ในกรณีนี้ ความเป็นอิสระจะเป็นประโยชน์กับผู้ตรวจสอบบัญชี เช่น ชื่อเสียงของ ผู้ตรวจสอบบัญชีที่เพิ่มขึ้น ทําให้หน่วยงานที่ผู้ตรวจสอบบัญชีนั้นสังกัดอยู่มีชื่อเสียงตามไปด้วย ผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย อาจได้รับประโยชน์เช่นกันจากคุณภาพการตรวจสอบจากวัตถุประสงค์ของ ผู้ตรวจสอบบัญชีที่เกิดขึ้นจากความอิสระ โดยนัยการที่ชื่อเสียงของผู้ตรวจสอบบัญชีอิส ระ เพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อชื่อเสียงขององค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด นอกจากนั้น การสูญเสียความอิสระของผู้ตรวจสอบบัญชีอิสระอาจส่งผลกระทบแบบบูมเมอแรงกับ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ตรวจสอบบัญชี ซึ่งเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของผู้ตรวจสอบบัญชี หน่ วยงานของผู้ตรวจสอบบัญชี ตลอดจนหน่วยงานที่บัญญัติกฎระเบียบจะต้องรับประกัน ผู้ตรวจสอบบัญชีว่ายังคงมีความอิสระอยู่กับลูกค้าของพวกเขา เมื่อพวกเขามีการเลื่อนตําแหน่ง การสูญเสียความเป็นอิสระจะส่งผลกระทบกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั่วไป
100 Kalkin Hall (2010) ได้ศึกษาเรื่อง The influence of litigation risk and internal audit source on reliance decisions จากการศึกษาพบว่า ความเชื่อมั่นของผู้สอบบัญชีภายนอกต่อ การทํางานของผู้ตรวจสอบภายในในการตรวจสอบรวมของงบการเงินและการควบคุมภายใน มี การตรวจสอบขั้นตอนที่สําคัญการวางแผน ที่สามารถส่งผลกระทบอย่างมีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผลของการตรวจสอบ วัตถุประสงค์ของการศึกษา คือ การตรวจสอบวิธีการตรวจสอบ ความเสี่ยงที่จะรับรู้การดําเนินคดี และแหล่งที่มาของการตรวจสอบภายในผลต่อการตัดสินใจ ของผู้สอบบัญชีภายนอกในการตรวจสอบสภาพแวดล้อมแบบบูรณาการภายใต้ระดับที่แตกต่าง จากความเสี่ยงของการแสดงในการศึกษาทดลอง โดยใช้การฝึก 89 Big 4 ผู้ตรวจสอบบัญชี จากการศึกษาครั้งนี้พบว่า ผู้สอบบัญชีที่เห็นว่ามีความเสี่ย งต่ําในการดําเนินคดีจากการวาง ความเชื่อมั่นในการทํางานของผู้ตรวจสอบภายในจะต้องอาศัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ตรวจสอบ ภายในภายนอกกว่าผู้ตรวจสอบภายในในบ้าน ผลยังแสดงให้เห็นว่าผู้สอบบัญชีในการตัดสินใจ การพึ่งพามีความไวต่อระดับความเสี่ยงของบัญชีที่สอดคล้องกับวิธีการตามคว ามเสี่ยงเพื่อการ ตรวจสอบแบบบูรณาการการสนับสนุนจาก PCAOB
บทที่ 3 การบริหารและการดาเนินงานของบริษัท ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด บริษัท ทีซีจี กรุ๊ป สานักงานตั้งอยู่เลขที่ 2572-2574 ซอยลาดพร้าว 128/2 ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240 โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ (662)733-9005-8 โทรสาร: (662)733-9009 และอีเมล์ account@tcg.co.th ประวัติความเป็นมาของบริษัท ปี 2535 คุณธงชัย ปิติเศรษฐ ได้เริ่มก่อตั้งกิจการตรวจสอบบัญชีขึ้น โดยตั้ง เป็น สานักงานชื่อ “ที แอนด์ พี แ อสโซซิเอทส์ ” (OFFICE OF T&P ASSOCIATE) ตั้งอยู่เลขที่ 50/208 ถนนนวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร ปี 2542 กิจการเริ่มเจริญเติบโตจึงได้มีการก่อตั้งบริษัท ธงชัย คอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด ขึ้นเพื่อรองรับการเจริญเติบโต และปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ปี 2545 เพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้นบริษัทจึงได้มีการขยายงาน ด้านวางระบบบัญชีด้วยคอมพิวเตอร์ และระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อตอบสนองความต้องการ ของลูกค้าปัจจุบัน ทางบริษัทมีลูกค้าอยู่ในความดูแลประมาณ 450 บริษัท มีพนักงานรองรับการ ทางานทั้งหมดประมาณ 30 ท่าน มีการนา ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการจั ดทาบัญชี เพื่อความถูกต้อง รวดเร็ว ทันกับความต้องการของลูกค้า วัตถุประสงค์ในการดาเนินงาน บริษัท มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการจัดทาบัญชีให้เป็น ไปตามมาตรฐานที่รับรองทั่วไป ให้ด้านคาปรึกษาทางด้านภาษีอากร ให้คาปรึกษาแก้ไขปัญหาธุรกิจจดทะเบียนธุรกิจ รวมถึงวาง ระบบบัญชี บริษัทได้ พัฒนาการบริการอย่างต่อเนื่อ งตลอดรวมถึงการจัดอบรมพนักงานเพื่อ พัฒนาขีดความสามารถ ทาให้ บริษัท มีทีมงาน และบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และ มีประสบการณ์สูงในการปฏิบัติงานเป็นจานวนมาก โดยยึดมั่นในวิสัยทัศน์ของกิจการเสมอมา
102 วิสัยทัศน์ 1. ซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ ให้บริการลูกค้าอย่างเต็มความสามารถ 2. มุ่งเน้นให้ลูกค้ามีระบบบัญชีที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพในการทางาน และเป็น สากล 3. ให้คาปรึกษา และเอาใจใส่ลูกค้า 4. ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 อย่างเคร่งครัด 5. ปฏิบัติงานตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป 6. สนับสนุนนโยบายของรัฐ ความก้าวหน้าของบริษัท ด้วยการยึดมั่นแนวนโยบาย การให้บริการที่เป็นเลิศ ส่งผลให้บริษัทฯมีการขยายตัวเป็น อย่างมากโดยมีจานวนลูกค้าเพิ่มขึ้นจานวนมาก และหลากหลายประเภทธุรกิจ และให้บริการ แก่ธุรกิจเกือบทุกประเภท ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ บริษัท ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด (Thongchai Consultant Group Co.,Ltd) มีประสบการณ์ในวิชาชีพบัญชีมานาน ได้มีบริการให้คาปรึกษาด้านการนาระบบคอมพิวเตอร์ มาช่วยในการจัดทาบัญชี และจัดหาโปรแกรมบัญชีที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า บริษัทฯ จึงเป็นตัวแทนจาหน่าย โปรแกรมบัญชี Mac4 และซอฟต์แวร์อื่นๆที่เหมาะสมสาหรับ ธุรกิจของลูกค้ า เพื่อช่วยให้การดาเนินธุรกิจดาเนินไปได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง เป็นไปตาม มาตรฐานการบัญชี และสะดวกต่อการใช้งานมากยิ่ง ขึ้น โดยบริษัทยินดีให้คาปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง พัฒนาระบบ ส่งมอบ และบารุงรักษาระบบต่างๆ จดหมดอายุการใช้งาน บริษัท ทีซีจี กรุ๊ป เป็นกลุ่มบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการบัญชี ภาษีอากร และ งานบริการด้านทะเบียนธุรกิจครบวงจรซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ในการให้บริการ
103 แก่ธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ซึ่งมีกลุ่มธุรกิจใน บริษัท ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด ดังนี้ 1. บริษัท ทีซีจี การบัญชี จากัด 2. บริษัท ธงชัย คอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด 3. บริษัท สานักงานสอบบัญชี ทีแอนด์พี จากัด วิธีการดาเนินงานของบริษัท สานักงานมีบริการและศักยภาพด้านต่างๆ ให้กับธุรกิจแบบครบวงจร ซึ่งมีรายละเอียด การให้บริการด้านต่างๆ ดังนี้ 1. จัดทาบัญชี (Bookkeeping) 1.1 รับจัดทาบัญชีรายเดือน รายปี ยื่นแบบภาษีประจาเดือน 1.2 บริการด้านบัญชีการเงิน 1.2.1 ให้คาปรึกษา และคาแนะนาในระบบเอกสาร การควบคุมภายใน และงานด้านระบบบัญชีของกิจการ 1.2.2
ยื่นเรื่องเป็นผู้ทาบัญชีของบริษัทตามระเบียบที่กฎหมายกาหนด
1.2.3 วิเคราะห์รายการเอกสารสาหรับการจัดทาบัญชีรายได้ บัญชีรายจ่าย รวมถึงการปรับปรุงบัญชี เช่น ใบส่งของใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน เอกสารรับชาระหนี้ เอกสาร นาฝากธนาคาร การบันทึกค่าเสื่อมราคา ฯลฯ 1.2.4 จัดทาบัญชีด้วย software สาเร็จรูปที่กรมสรรพากรรับรองล่าสุด จัดทาบัญชีตามมาตรฐานการบัญชี
104 1.2.5 จัดทาสมุดบัญชีต่างๆ ตามที่กฎหมายกาหนดให้ครบถ้วน ได้แก่ สมุดเงินฝาก ธนาคาร สมุดรายวันซื้อ และ ขาย สมุดรายวันรับ และ จ่าย สมุดรายวันทั่วไป สมุดบัญชีแยกประเภท สมุดเงินสด 1.2.6 ปิดงบการเงิน อัพเดตข้อมูลทุกเดือน เพื่อให้ผู้ประกอบการมี ข้อมูล ในการตัดสินใจทางธุรกิจ และวางแผนภาษีได้ทันท่วงที 1.2.7
จัดเตรียมงบการเงินและรายละเอียดประกอบงบการเงินประจาปี
ได้แก่ (1) งบกระทบยอดเงินฝากทุกบัญชี (Bank Reconcile) (2) ทะเบียนทรัพย์สิน และทะเบียนค่าเสื่อมราคา (Fixed Assets Register) (3) ข้อมูลลูกหนี้ และเจ้าหนี้รายตัวคงเหลือ ณ วันสิ้นปี 2. บริการด้านภาษี และบริการด้านประกันสังคม 2.1 จัดเตรียมแบบภาษีเพื่อนาส่งกรมสรรพากรรายเดือน พร้อมยื่นชาระภาษี (ถ้ามี) ได้แก่ 2.1.1
แบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายจากเงินเดือนค่าจ้าง
2.1.2
แบบภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจากบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
2.1.3
แบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภพ.30) และรายงานภาษีซื้อ และภาษีขาย
(ภงด.1)
(ภงด.3 ภงด.53)
2.2 จัดเตรียม และคานวณแบบนาส่งสมทบประกันสังคมประจาเดือน พร้อม บริการยื่นนาส่ง
105 2.3 จัดเตรียมแบบภาษีที่ต้องยื่นนาส่งสรรพากรรายปี พร้อมบริการยื่นชาระภาษี ได้แก่ 2.3.1
สอบทานการคานวณภาษีครึ่งปี และจัดเตรียมแบบนาส่งภาษีเงินได้
ครึ่งปี (ภงด.51) 2.3.2 คานวณภาษีเงินได้นิติบุคคลประจาปี และจัดเตรียมแบบนาส่งภาษี เงินได้ฯ ประจาปี ( ภงด.50) 2.3.3 จัดเตรียมแบบนาส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจฯ ได้แก่ สบช .3 แบบรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) พร้อมยื่นนาส่งกระทรวงพาณิชย์ 3. บริการตรวจสอบบัญชี และจัดทางบการเงิน 3.1 ตรวจสอบบัญชี- งบการเงินโดยทีมงานผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่ได้ มาตรฐาน โดยจะปฏิบัติงานตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไป โดยใช้วิธีการ ทดสอบรายการบัญชี ระบบควบคุมภายใน และการเปิดเผยข้อมูลงบการเงิน ประเมินความ เหมาะสมของหลักการบัญชีที่กิจการใช้ รวมทั้งประมาณการเกี่ยวกับรายการทางการเงินที่เป็น สาระสาคัญ 3.2 เสนอข้อสังเกตต่อผู้ บริหาร การตรวจสอบมิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะหา ข้อผิดพลาดทางการบัญชีหรือการทุจริตในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามผลการ ตรวจสอบอาจจะชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาด หรือการทุจริตในบางเรื่องได้ ทั้งนี้สานักงานจะเสนอ ข้อสังเกตต่อผู้บริหาร เพื่อให้ทราบถึงข้อบกพร่ องในการควบคุมภายในทางบัญชีที่สาคัญ ซึ่งได้ พบในระหว่างปฏิบัติงานตรวจสอบบัญชี 3.3 วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบก็เพื่อให้สามารถแสดงความเห็น ในรายงาน การสอบบัญชีว่า งบการเงินแสดงฐานะผลการดาเนินงาน โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสาคัญ ตามนโยบายการบัญชีที่รับรองทั่วไปหรือไม่ เพียงใด ความเห็นของผู้สอบบัญชีจึงขึ้นอยู่กับ ผลของการตรวจสอบ หากต้องเสนอรายงานเป็นอย่างอื่น สานักงานจะเรียนชี้แจงถึงเหตุผล ข้อเท็จจริงก่อนเสนอรายงานการสอบบัญชี
106 3.4 บริการยื่นงบการเงิน พร้อมจัดเตรียมรายละเอียดประกอบการยื่นงบการเงิน ตามกาหนด ได้แก่ สปช.3 สาเนารายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) นาส่งต่อกระทรวงพาณิชย์ 3.4.1
จดทะเบียนบริษัท (Registration)
3.4.2
บริการจดทะเบียนจัดตั้ง เปลี่ยนแปลง เลิกกิจการ บุคคลธรรมดา
3.4.3
บริการจดทะเบียนที่ให้บริการ
นิติบุคคลต่าง
3.4.4 จดทะเบียนบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนจากัด จดทะเบียนห้างร้านต่างๆ
จดทะเบียนคณะบุคคล
3.4.5 จดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลง เช่น แก้ไขเปลี่ยนแปลงกรรมการ เปลี่ยนที่ตั้งสานักงาน เพิ่มทุนหรือลดทุน ฯลฯ 3.4.6
จดทะเบียนเลิกทั้งห้างหุ้นส่วนหรือเลิกบริษัท และชาระบัญชี
3.4.7
ขอเลขประจาตัวผู้เสียภาษีฯ ของคณะบุคคลหรือนิติบุคคล
3.4.8 จดทะเบียนเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ดาเนินการ ขอ user id password เพื่อยื่นแบบทาง internet ฯลฯ 3.4.9 แจ้งการเปลี่ยนแปลงภาษีต่าง ๆ ต่อกรมสรรพากร เช่น แจ้งย้ายเข้า แจ้งย้ายออก ย้ายที่อยู่ แจ้งเปลี่ยนชื่อหรือเปลี่ยนลักษณะการประกอบธุรกิจ ฯลฯ 3.4.10 ขึ้นทะเบียนประกันสังคม นายจ้าง และลูกจ้าง แจ้งการเปลี่ยนแปลง ต่าง ๆ ต่อสานักงานประกันสังคม ยื่นเรื่องขอ username password เพื่อดาเนินการต่า งๆ กับ สานักงานประกันสังคม ฯลฯ 3.4.11 จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
107 4. จดทะเบียนบริษัท (Registration) โดยให้ บริการจดทะเบียนจัดตั้ง เปลี่ยนแปลง เลิกกิจการ บุคคลธรรมดา นิติบุคคลต่างๆ 4.1 ให้คาแนะนาปรึกษาด้าน บัญชี ภาษี และการจัดเก็บระบบเอกสารบัญชีที่ จาเป็นในการบันทึกบัญชี 4.2 ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทาบัญชีของบริษัทตามที่กฎหมายกาหนด 4.3 จัดทาสมุดบัญชีรายวัน สมุดบัญชี แยกประเภท และรายงานทางบัญชีต่าง ๆ ครบถ้วนตามกฎหมายบัญชี และกรมสรรพากรกาหนด 4.4 บันทึกบัญชีด้วยระบบโปรแกรมบัญชีที่กรมสรรพากรยอมรับล่าสุด 4.5 คานวณ และจัดเตรียมแบบภาษีที่ต้องยื่นในแต่ละเดือน ได้แก่ ภงด .1 ภงด.3 ภงด.53 ภพ.30 รายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย พร้อมบริการนาส่งสรรพากร 4.6 จัดเตรียมแบบนาส่งเงินสมทบประกันสังคม พร้อมนาส่งสานักงาน ประกันสังคม 4.7 จัดทา และยื่นแบบงบประมาณการภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีครึ่งปี (ภงด.51) 4.8 จัดทา และยื่นแบบงบประมาณการภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีสิ้นปี (ภงด.50) 4.9 จัดทาบัญชี และปิดงบการเงินด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถรายงานผล การดาเนินงานได้เป็นปัจจุบันทุกเดือน 4.10 ปิดงบการเงินรายปีก่อนตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชี พร้อมรายละเอียด ประกอบงบการเงินครบถ้วน ได้แก่ งบกระทบยอดเงินฝากธนาคาร รายละเอียดลูกหนี้ และ เจ้าหนี้คงเหลือ ทะเบียนทรัพย์สิน และค่าเสื่อมราคา 4.11 จัดหาผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่ได้มาตรฐาน ในราคาพิเศษสาหรับสมาชิก
108 4.12 เข้าพบ และให้คาชี้แจง กรณีสรรพากรต้องการข้อมูลเพิ่มเติมทา งบัญชี TCG Group เน้นการทางานอย่างมีระบบ สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา พร้อมให้คา ปรึกษา และ ชี้แจงประเด็น และ ปัญหาต่าง ๆ ทางบัญชี ภาษีอากร เพื่อแก้ไข และเสริมสร้างระบบ และการบันทึกบัญชีของลูกค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
บทที่ 4 ผลการศึกษา ผู้ศึกษาได้ทาการสัมภาษณ์ผู้สอบบัญชีถึงแนวทางการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ในธุรกิจ ที่ประสบเหตุอุทกภัย โดยจากการสัมภาษณ์คุณนพรัตน์ บุญเกษม ได้ให้ข้อมูลว่างานสอบบัญชี ที่ได้รับผิดชอบไม่มีบริษัทใดได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในปี พ.ศ. 2554 เนื่องจากกิจการมีการ ป้องกันเป็นอย่างดี อาทิ บริษัท สามัคคี จากัด ตั้งอยู่บริเวณคลองประปา เป็นต้น ผู้สอบบัญชีได้ กรุณาให้ข้อมูลขั้นตอนของการวางแผนงานสอบบัญชีซึ่งอ้างอิงตามหลักของมาตรฐาน การสอบบัญชี รหัส 210 เรื่องข้อตกลงในการรับงานสอบบัญชี แนวการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ และยกตัวอย่างแนวการตรวจสอบสินทรัพย์ของธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ซึ่งมี รายละเอียด ดังนี้ ขั้นตอนของการวางแผนงานสอบบัญชี 1. การพิจารณางานสอบบัญชี 2. การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่ตรวจสอบ 3. การวิเคราะห์เปรียบเทียบในเบื้องต้น 4. การสอบบัญชีแต่ละหมวด การพิจารณางานสอบบัญชี ก่อนการรับงานผู้สอบบัญชีจะต้องเข้าใจลักษณะธุรกิจของลูกค้าก่อนว่าธุรกิจมี ความยากง่าย และปริมาณเอกสารมีมากน้อยเพียงไร เพื่อที่จะได้ทราบว่าผู้สอบบัญชีมี ความสามารถเพียงพอหรือไม่ รวมไปถึงการกาหนดค่าธรรมเนียม การสอบบัญชี ส่งหนังสือ ตอบรับงานสอบบัญชี (Engagement Letter) 2 ฉบับ ก่อนที่จะเริ่มงานสอบบัญชี เพื่อให้กิจการ ยืนยันยอมรับเงื่อนไข และข้อตกลงระหว่างกัน โดยประกอบด้วย ใบเสนอราคาค่าบริการสอบ บัญชี ใบเสนอราค่าค่าบริการวิชาชีพ และใบเสนอราคาสอบทานงบการเงิน ซึ่งนา เสนอ ค่าธรรมเนียมต่างๆ โดยหัวหน้าแผนก จากนั้นจะทาการเสนอให้เจ้าของกิจการลงนามอนุมัติ
110 และส่งเรื่องที่ทาการอนุมัติแล้วไปยังแผนกบัญชีสานักงานออกเอกสาร เพื่อที่ให้กิจการรับทราบ การแจ้งหนี้เก็บเงิน การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่ตรวจสอบ เมื่อผู้สอบบัญชีรับ งานแล้วจะทาการรวบรวมข้อมูลของธุรกิจที่จะเข้าทาการตรวจสอบ เพื่อให้เข้าใจในระบบบัญชี และวิธีการปฏิบัติทางการบัญชีของกิจการที่ตรวจสอบ ซึ่งจะทาให้ ผู้สอบบัญชีระบุปัญหา และการประเมินความเสี่ยงสืบเนื่องของกิจการที่ตรวจสอบ อีกทั้ง ผู้สอบบัญชีควรหาความรู้เบื้องต้ นเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่กิจการดาเนินงานอยู่ เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในเรื่องของสภาวการณ์ที่สาคัญ ซึ่งมีผลกระทบต่อลูกค้า เช่น วิกฤตการณ์น้าท่วม ลักษณะความเป็น เจ้าของ การบริหารงาน รวมทั้งรายละเอียดเพิ่มเติม ที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์เปรียบเทียบเบื้องต้น ผู้สอบบัญชีจะติดต่อให้ลูกค้าส่งแฟกซ์งบทดลองมายังกิจการก่อน โดยผู้สอบบัญชีจะ นามาร่างเป็นงบการเงิ นเปรียบเทียบกับงบการเงินปีก่อน เพื่อจะดูแนวโน้ม การทดสอบ ความสมเหตุสมผล ตลอดจนการสอบสวนการเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ต่างๆ ที่สอดคล้อง กับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การสอบบัญชีแต่ละหมวด ผู้สอบบัญชีจะทาการเข้าตรวจสอบเนื้อหาสาระ (Substantive Procedure) เพื่อให้ได้ หลักฐานการสอบบัญชีที่ทาให้ตรวจพบการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสาคัญใน งบการเงิน ประกอบด้วย การทดสอบรายละเอียดของรายการ และยอดคงเหลือ ตลอดจน วิเคราะห์เปรียบเทียบ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของรายการบัญชีและตรวจสอบความถูกต้อง ของยอดคงเหลือตามบัญชี ณ วันที่ในงบการเงินโดย 1. เงินสด และเงินฝากธนาคาร ผู้สอบบัญชีจะทาหนังสือส่งยืนยันยอดก่อนการเข้า ตรวจกับธนาคาร
111 2. ลูกหนี้การค้า เจ้าหนี้การค้า เงินยืม และเงินกู้ จะทาหนังสือขอคายืนยันยอดไปยัง บุคคลที่เกี่ยวข้อง 3. สินค้าคงเหลือ จะเช็คจากการ์ดสินค้า (Stock Card) รวมถึงการดูเอกสารการซื้อ การเบิกวัตถุดิบออกจากคลัง ปริมาณหรือัตราส่วนในกระบวนการผลิต 4. การรับชาระเงิน และ การจ่ายชาระเงิน จ ะตรวจสอบเหตุการณ์หลังวันสิ้นงวด เพื่อดู ความมีตัวตน 5. ค่าเบี้ยประกันจะทาการปันส่วน โดยดูจากการตรวจสอบเอกสารใบสาคัญจ่าย 6. ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย จะทาการ Subsequent แนวการตรวจสอบบัญชีที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ ในกรณีปกติ วัตถุประสงค์ในการตรวจสอบ 1. เพื่อให้ทราบว่าที่ดิน อาคาร และทราบถึงภาระการประกันหนี้ต่างๆ
และอุปกรณ์มีอยู่จริง และกรรมสิทธิ์ของกิจการ
2. เพื่อให้ทราบว่าที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ของกิจการที่เพิ่มขึ้นระหว่างปีได้นามา ลงบัญชีโดยครบถ้วน และถูกต้องตามหลักการบัญชี 3. เพื่อให้กิจการแสดงสินทรัพย์ที่เลิกใช้งานแล้วโดยถูกต้อง รวมทั้งบันทึกกาไรหรือ ขาดทุนจากการเลิกใช้ทรัพย์สิน 4. เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของค่าเสื่อมราคาและค่าเสื่อมราคาสะสม โดยใช้วิธีการ บัญชีที่ถูกต้องตามหลักการบัญชี และอัตราที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร
112 วิธีการตรวจสอบ 1. ทดสอบยอดคงเหลือ ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ 1.1 จัดทาตารางแสดงราคาทุนของที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์โดยแสดงยอดยกมา ซื้อ ขายระหว่างปี และยอดยกไป พร้อมทั้งค่าเสื่อมราคาสะสม โดยตารางดังกล่าวจะแยกแสดง ตามประเภทของทรัพย์สิน และทาการทดสอบต่อไปนี้ 1.1.1 ทดสอบการคานวณยอดรวมตามตาราง 1.1.2 ตรวจสอบยอดยกมา และยอดยกไปในรายละเอียดที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ตามทะเบียนสินทรัพย์กับบัญชีแยกประเภท และการทดสอบการบวกเลข 1.1.3 ตรวจสอบรายการซื้อ และขายระหว่างปีกับเอกสารประกอบ 1.1.4 ตรวจสอบหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ และการจานอง (ถ้ามี) (1) ตรวจสอบโฉนดที่ดิน (2) ตรวจสอบทะเบียนรถยนต์ 2. ทดสอบมูลค่าของที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ 2.1 พิจารณานโยบายการบัญชี และวิธีการคานวณ และบันทึกค่าเสื่อมราคาว่ามี ความเหมาะสม และสม่าเสมอ 2.2 ทดสอบยอดรวมของค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินแต่ละประเภท 2.3 สอบทานบัญชีค่าซ่อมแซม และค่าบารุงรักษาสาหรับงวด ทาการพิจารณาว่า มีรายการใดเป็นรายจ่ายฝ่ายทุน 3. ทดสอบการเปิดเผยยอดคงเหลือของที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์
113 3.1 ยอดคงเหลือของสินทรัพย์หลักแต่ละตัว เช่น ที่ดิน อาคาร 3.2 วิธีการคิดค่าเสื่อมราคาที่ถือเป็นค่าใช้จ่าย 3.3 ภาระผูกพันจากการซื้อสินทรัพย์ 3.4 การนาสินทรัพย์ไปค้าประกัน จานอง 3.5 รายการกับบริษัทที่เกี่ยวข้อง 4. ทดสอบการเช่าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินโดยแสดงยอดยกมา ยอดยกไป การเพิ่มขึ้น และลดลงระหว่างงวด 4.1 จัดทาตารางสินทรัพย์ทางการเงินโดยแสดงยอดยกมา ยอดยกไป การเพิ่มขึ้น และลดลงระหว่างงวด 4.1.1 ทดสอบการคานวณยอดรวมตามตาราง 4.1.2 ตรวจสอบยอดยกไปกับบัญชีแยกประเภท 4.1.3 พิจารณาความเหมาะสมของราคาทุน และวิธีการคิดค่าเสื่อมราคา 4.2 เลือกรายการที่ยังคงเหลือ ณ วันสิ้นปีจากยอดยกมา และเพิ่มขึ้นระหว่างงวด ปฏิบัติดังนี้ 4.2.1 ตรวจการจ่ายค่าเช่า และงวดของการจ่ายกับเอกสารประกอบ เช่น สัญญาเช่าทางการเงิน ใบเสร็จรับเงิน 4.2.2 ทดสอบคานวณค่าเสื่อมราคาของงวด
114 แนวการตรวจสอบบัญชีที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เพิ่มเติม กรณีเกิดเหตุอุทกภัย 1. การซ่อมแซมสินทรัพย์เพื่อให้สินทรัพย์มีสภาพพร้อมใช้งานได้ดังเดิม อาทิ การที่ เกิดเหตุอุทกภัยทาให้อาคารเกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมรอยร้าวที่เกิดขึ้น บนผิวปูน การทาสีใหม่ การที่พื้นปูนของโรงงานเสียหายกระทั่งต้องปูหรือเทพื้นใหม่ กิจการจะ คิดคานวณค่าซ่อมแซมที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการดังนี้ เดบิต ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสินทรัพย์ เครดิต เงินสดและเงินฝากธนาคาร
xx xx
2. หากอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งเสียหายจนมิสามารถทาการซ่อมแซมได้ กิจการจะต้อง ทาการตัดจาหน่ายอุปกรณ์นั้น โดยการขายเศษซากอุปกรณ์ ตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่องที่ดิ น อาคารและอุปกรณ์ ย่อหน้าที่ 67 ซึ่งกล่าวไว้ว่า “กิจการต้องตัด รายการมูลค่าตามบัญชีของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ออกจากบัญชี เมื่อเข้าเงื่อนไขข้อใด ข้อหนึ่ ง ดังต่อไปนี้ (ย่อหน้าที่ 67.1) กิจการจาหน่ายสินทรัพย์ (ย่อหน้าที่ 67.2) กิจการคาดว่า จะไม่ได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากการใช้สินทรัพย์หรือจากการ จาหน่ายสินทรัพย์ ” และย่อหน้าที่ 68 ซึ่งกล่าวไว้ว่า “กิจการต้องรับรู้ผลกาไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการตัด รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ในกาไรหรือขาดทุนเมื่อกิจการตัดรายการสินทรัพย์นั้นออก จากบัญชี (ยกเว้นกรณีที่มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 17 (ปรับปรุง 2552) เรื่อ ง สัญญาเช่า กาหนดเป็นอย่างอื่นในกรณีของการขายและเช่ากลับคืน ) ทั้งนี้ กิจการต้องไม่จัดประเภทผล กาไรที่เกิดขึ้นจากการตัดรายการเป็นรายได้” 3. กิจการจะต้องตัดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ตามสัดส่วนเวลารอบระยะเวลาบัญชี หากว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดระหว่างงวด แม้จะเกิดเห ตุอุทกภัย กิจการก็ไม่สามารถหยุดคิด ค่าเสื่อมราคาได้ แต่จะหยุดคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ที่เสียหายจากเหตุอุทกภัยได้ในกรณี ตัดจาหน่ายออกจากบัญชี และเมื่อมีการพิจารณาเป็นสินทรัพย์รอการขาย ตามมาตรฐานการ บัญชีฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่องที่ดิน อาคารแ ละอุปกรณ์ ย่อหน้าที่ 55 ซึ่งกล่าวไว้ว่า “การคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์จะเริ่มต้นเมื่อสินทรัพย์นั้นพร้อมใช้งาน เช่น เมื่อสินทรัพย์ อยู่ในสถานที่ และสภาพที่พร้อมจะใช้งานได้ตามความประสงค์ของฝ่ายบริหาร การคิดค่าเสื่อม ราคาจะสิ้นสุดเมื่อกิจการตัดรายการสินทรัพ ย์นั้น หรือจัดประเภทสินทรัพย์นั้นเป็น สินทรัพย์ถือไว้เพื่อขาย (หรือรวมไว้ในกลุ่มสินทรัพย์ที่จะจาหน่ายซึ่งจัดประเภทเป็น
115 สินทรัพย์ถือไว้เพื่อขาย ) แล้วแต่วันใดจะเกิดขึ้นก่อน ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 5 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้เพื่อขายและการดาเนินงาน ที่ยกเลิก ดังนั้น กิจการไม่อาจหยุดคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์เมื่อกิจการไม่ได้ใช้งาน สินทรัพย์นั้น หรือปลดจากการใช้งานประจา เว้นแต่สินทรัพย์นั้นได้คิดค่าเสื่อมราคาหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม หากกิจการใช้วิ ธีการคิดค่าเสื่อมราคาตามปริมาณการใช้ ค่าเสื่อมราคาอาจมีค่า เท่ากับศูนย์ได้เมื่อไม่มีการผลิต” 4. หากสินทรัพย์นั้นกิจการได้มีการทาประกันภัยไว้ กิจการควรพิจารณาเรื่อง เงินชดเชยจากการประกันภัยด้วย คือ ถ้าเหตุการณ์ที่กิจการได้ทาการประกันภัยไว้แล้วนั้น เกิดขึ้นหลังวันที่ในงบการเงิน กิจการไม่สามารถรับรู้ค่าชดเชยจากบริษัทประกันภัย ณ วันที่ใน งบการเงินได้ แต่กิจการควรเปิดเผยข้อมูลอย่างเหมาะสมในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ถ้าเหตุการณ์ที่ได้ทาการประกันภัยไว้แล้วนั้นเกิดขึ้นในรอบระยะเวลารายงาน ขึ้นอยู่กับลักษณะ ของเหตุการณ์ คือ เมื่อกิจการได้รับจดหมายยืนยันว่าจะได้รับเงินชดเชยภายหลังวันที่สิ้นรอบ ระยะเวลาที่รายงาน แต่ก่อนวันที่งบการเงินได้รับการอนุมัติ และลงนามโดยผู้สอบบัญชี การรับรู้มูลค่าชดเชยจากการประกันภัยนั้น ณ วันที่ในงบการเงินถือว่าเหมาะสม แต่รับรู้ไม่ เกิน มูลค่าความเสียหาย เมื่อบริษัทประกันภัยจ่ายเงินให้กิจการ ให้รับรู้มูลค่าที่เกินความเสียหาย เป็น “รายได้อื่น ” ในงวดบัญชีถัดไป เมื่อกิจการได้รับจดหมายยืนยันว่าจะได้รับเงินชดเชย ภายหลังวันที่งบการเงินได้รับการอนุมัติ และลงนามโดยผู้สอบบัญชี กิจการไม่สามารถรับ รู้ มูลค่าชดเชยจากการประกันภัย ณ วันที่ในงบการเงินได้ แต่ให้รับรู้เป็น “รายได้เงินชดเชย ค่าเสียหาย ” ในงวดบัญชีถัดไปเต็มจานวน กรณีที่ได้รับเงินชดเชยล่วงหน้าบางส่วนจาก บริษัทประกันภัยก่อนที่จะได้รับจดหมายยืนยันการจ่ายเงินชดเชย ให้บันทึกบัญชีเป็น “รายได้ รับล่วงหน้า ” ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรั พย์ที่อาจเกิดขึ้น ย่อหน้าที่ 31 กล่าวไว้ว่า “กิจการต้องไม่รับรู้ สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น” ย่อหน้าที่ 32 กล่าวไว้ว่า “สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้นมักเกิดจากเหตุการณ์ที่ ไม่ได้วางแผนไว้หรือไม่ได้คาดการณ์ไว้ที่ก่อให้เกิดความน่าจะเป็นที่กิจการจะได้รับประโยชน์ เชิงเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่กิจการกาลังดาเนินการตาม กฎหมายซึ่งผลการตัดสินยังไม่เป็นที่แน่นอน ” ย่อ หน้าที่ 33 กล่าวไว้ว่า “กิจการต้องไม่รับรู้ สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้นในงบการเงิน เนื่องจากการรับรู้ดังกล่าวอาจทาให้กิจการบันทึกรายได้ที่ อาจจะไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม หากมีความแน่นอนมากว่ารายได้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน รายการดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่อาจเกิ ดขึ้น และการรับรู้รายการดังกล่าวถือว่า เหมาะสม” ย่อหน้าที่ 34 กล่าวไว้ว่า “กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น ตามที่กาหนดไว้ในย่อหน้าที่ 89 หากมีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับประโยชน์เชิง เศรษฐกิจ ” และย่อหน้าที่ 35 กล่าวไว้ว่า “กิจการต้องประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับสินทรัพย์ที่
116 อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่างบการเงินจะสะท้อนภาพที่เหมาะสมเกี่ยวกับสินทรัพย์ ดังกล่าว หากมีความแน่นอนว่าประโยชน์เชิงเศรษฐกิจที่ได้รับจะเพิ่มขึ้น กิจการต้องรับรู้ สินทรัพย์ และรายได้ที่เกี่ยวข้อง ในงบการเงินในงวดที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ในกรณีที่มี ความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจกิจการต้องเปิดเผยข้อมูล เกี่ยวกับสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น” แนวการตรวจสอบบัญชีสินค้าคงเหลือ ในกรณีปกติ วัตถุประสงค์ในการตรวจสอบ 1. สินค้าคงเหลือ สินค้าระหว่างทาง และสินค้าฝากขาย มีอยู่จริง และเป็นกรรมสิทธิ์ ของกิจการ 2. สินค้าคงเหลือได้แสดงมูลค่า และบันทึกบัญชีอย่างถูกต้องครบถ้วนตามหลักการ บัญชีที่รับรองทั่วไป และถือปฏิบัติโดยสม่าเสมอ 3. สินค้าเคลื่อนไหวช้า สินค้าล้าสมัย สินค้าเสื่อมสภาพ และสินค้าที่ชารุดเสียหาย ซึ่ง รวมอยู่ในสินค้าคงเหลือ ได้มีการสารองการลดราคา และได้แสดงมูลค่าของสินค้าเท่ากับมูลค่า สุทธิที่คาดว่าจะได้รับ 4. การจัดประเภทบัญชี และเปิดเผยรายละเอียดในหมายเหตุประกอบงบการเงิน เกี่ยวกับสินค้าคงเหลือ และการนาสินค้าคงเหลือไปเป็นหลักประกัน รวมทั้งเงื่อนไขที่สาคัญ อย่างเพียงพอและเหมาะสม วิธีการตรวจสอบ 1. การสังเกตการณ์การตรวจนับสินค้าคงเหลือ 1.1 ขอและสอบทานแผนการตรวจนับของกิจการ โดยพิจารณาว่ามีความรัดกุม เหมาะสมหรือไม่ก่อนวันตรวจนับ
117 1.2 วางแผนการตรวจนับร่วมกับกิจการ เพื่อจะได้ทราบถึงวิธีการตรวจนับ ปริมาณสินค้า และจานวนคนที่จะใช้ตรวจนับ 1.3 สอบถามเจ้าหน้าที่ของกิจการเกี่ยวกับเรื่องดังต่อไปนี้ 1.3.1 สินค้าเคลื่อนไหวช้า สินค้าล้าสมัย สินค้าเสื่อมสภาพ สินค้าชารุด เสียหาย และสินค้ารับฝากขายว่ารวมอยู่หรื อไม่ หากมีให้แยกรายการเหล่านี้ไว้ต่างหากจาก สินค้าคงเหลือของกิจการ 1.3.2 สินค้าที่นาไปฝากขายหรือสินค้าที่ฝากเก็บไว้สถานที่อื่นว่ามีหรือไม่ เพื่อพิจารณาการเข้าสังเกตการณ์การตรวจนับหรือขอหนังสือยืนยันยอด 1.4 ขอรายละเอียดสินค้าคงเหลือที่จะตรวจนับ พิจารณาปริมาณ สินค้าที่จะสุ่มสังเกตการณ์การตรวจนับ
และชนิดของ
1.5 บันทึกเลขที่ใบส่งของ ใบรับของ และใบรับคืนสินค้า ใบสุดท้ายก่อนตรวจนับ และพิจารณาว่าใบส่งของ ใบรับของ และใบรับคืนสินค้า ทุกใบที่ออกในงวดนี้จนถึงใบสุดท้ายได้ นามาบันทึกในบัตรสินค้าคงเหลือของฝ่ายคลังสินค้าครบถ้วน 1.6 เมื่อสังเกตการณ์การตรวจนับหรือทาการทดสอบการตรวจนับให้กระทาดังนี้ 1.6.1 ให้พิจารณาว่าเจ้าหน้าที่ผู้ทาการตรวจนับปฏิบัติตามแผนการ ตรวจนับของกิจการที่ได้กาหนดไว้หรือไม่ 1.6.2 ให้สังเกตว่าสินค้าคงเหลือได้มีการจัดวางไว้เป็นระเบียบเพื่อให้ สะดวกต่อการตรวจนับ และมีการเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัยทั้งจากการทุจริต และภัยธรรมชาติ 1.6.3 ให้สังเกตสภาพ และพิจารณาการจาแนกสินค้าเคลื่อนไหวช้า สินค้า ล้าสมัย สินค้าเสื่อมสภาพ สินค้าชารุดเสียหาย และสินค้ารับฝากขาย ว่าเหมาะสมหรือไม่ 1.6.4 สุ่มทดสอบตรวจนับสินค้าบางรายการ และเปรียบเทียบกับผลการ ตรวจนับของทางเจ้าหน้าที่ของกิจการ
118 1.6.5 เปรียบเทียบผลการตรวจนับกับบัตรสินค้าคงเหลือของฝ่ายคลังสินค้า 1.6.6 สอบถามเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับผลต่างที่เกิดจากการ เปรียบเทียบ ตามข้อ 1.6.4 และข้อ 1.6.5 และพิจารณาความสมเหตุสมผลตามข้อเท็จจริง ดังกล่าวและพิจารณาถึงรายการปรับปรุงที่อาจมีขึ้น 1.7 สรุปผลการสังเกตการณ์การตรวจนับสินค้าคงเหลือ 2. ความถูกต้องของการบันทึกบัญชี 2.1 วิเคราะห์เปรียบเทียบบัญชีสินค้าคงเหลือ และบัญชีต้นทุนขายของงวดบัญชี ปัจจุบันกับงวดก่อนพร้อมทั้งสอบถาม และขอคาชี้แจงถึงผลต่างที่มีสาระสาคัญที่เกิดขึ้น หรือรายการผิดปกติที่เกิดขึ้น โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบอัตราส่วนที่สาคัญดังนี้ 2.1.1 อัตราส่วนต้นทุนขายต่อยอดขาย 2.1.2 อัตราการหมุนของสินค้าคงเหลือ 2.1.3 ระยะเวลาการเก็บสินค้าคงเหลือ 2.2 ขอรายละเอียดสินค้าคงเหลือ ณ วันสิ้นงวดจากกิจการ 2.2.1 ทดสอบการบวกเลข 2.2.2 ทดสอบการคานวณ 2.2.3 เปรียบเทียบยอดคงเหลือตามรายละเอียดที่ได้มากับยอดคงเหลือ ตามบัตรสินค้าคงเหลือของกิจการ และให้สอบถามถึงสาเหตุของผลต่างที่เกิดขึ้น หรือรายการที่ ผิดปกติ 2.2.4 เปรียบเทียบยอดรวมตามรายละเอียดสินค้าคงเหลือกับบัญชีแยก ประเภท
119 2.3 ในกรณีทาการตรวจนับไม่ตรงกับวันปิดบัญชี ให้สุ่มตรวจสอบกระทบยอด สินค้าคงเหลือตั้งแต่วันที่ตรวจนับจนถึงวันสิ้นงวดบัญชีโดยตรวจสอบกับเอกสารใบส่งของและ ใบรับของ ระหว่างใบสุดท้ายก่อนการตรวจนับ ตามข้อ 1.5 จนถึงใบสุดท้ายของวันสิ้นงวดบัญชี 2.4 เปรียบเทียบยอดคงเหลือตามรายละเอียด ข้อ 2.2 กับยอดคงเหลือ ณ วันที่ เข้าสังเกตการณ์การตรวจนับตามข้อ 1.4 หรือยอดที่กระทบยอดได้ตามข้อ 2.3 และให้สอบถาม ถึงสาเหตุของผลต่างที่เกิดขึ้น หรือรายการผิดปกติ 2.5 จากข้อ 2.4 ตรวจสอบว่าได้มี การปรับปรุงบัญชีสินค้าคงเหลือ ในกรณีที่ยอด ตามบัญชีไม่ตรงกับจานวนที่นับได้ (กรณีที่มีสาระสาคัญ) 2.6 ตรวจสอบเอกสารประกอบรายการซื้อและขาย โดยการตรวจตัดยอดซื้ อ ยอดขาย และรายการรับคืน ส่งคืน วันก่อนและหลังวันสิ้นงวดบัญชี เพื่อพิจารณาถึงรายการซื้อ และขายสินค้าคงเหลือ และการผ่านบัญชีไปยังบัญชีย่อยสินค้าคงเหลือว่าถูกต้องครบถ้วนตาม งวดเวลาบัญชีที่ตรวจสอบ 2.7 ขอรายละเอียดสินค้าระหว่างทาง ณ วันสิ้นงวดบัญชี 2.7.1 ทดสอบการบวกเลข 2.7.2 ทดสอบการคานวณ 2.7.3 เปรียบเทียบยอดรวมกับบัญชีแยกประเภท 2.7.4 ตรวจสอบความถูกต้องของสินค้าระหว่างทางโดยตรวจสอบเอกสาร ส่งสินค้าของผู้ขาย 3. การตีราคาสินค้าคงเหลือ 3.1 สอบทานนโยบายการคานวณราคาสินค้าคงเหลือของกิจการ โดยตรวจสอบ ให้แน่ใจว่ากิจการคานวณราคาทุนของสินค้าโดยวิธีใด และได้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับปีก่อน หรือไม่ โดยการสุ่มทด สอบการคานวณราคาทุนของสินค้าแต่ละประเภท กรณีที่
120 มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีให้พิจารณาถึงหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ความสมเหตุสมผลของการเปลี่ยนแปลง และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3.2 ตรวจสอบการคานวณราคาต่อหน่วยของสินค้ากับเอกสารใบส่งของ และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือเอกสารรายงานการคานวณต้นทุนสินค้าต่อหน่วยโดย 3.2.1 ทดสอบการรวบรวมต้นทุนการผลิต และการปันส่วนต้นทุนการผลิต ในรายงานการคานวณสินค้าต่อหน่วยว่าเหมาะสม และปฏิบัติเช่นเดียวกับปีก่อนหรือไม่ 3.2.2 ทดสอบปริมาณสินค้าที่ผลิตได้ประจางวดในรายงานการคานวณ ต้นทุนสินค้าต่อหน่วยกับรายงานการผลิตประจางวดจากฝ่ายโรงงาน 3.3 ทดสอบการคานวณสาหรับสินค้าระหว่างผลิตที่เสร็จแล้วบางส่วน และได้มี การโอนต้นทุนส่วนที่เสร็จแล้วออก และพิจารณาว่า ต้นทุนส่วนที่เหลือ สามารถกระจายให้แก่ สินค้าระหว่างผลิตที่เหลืออยู่ได้ 3.4 เปรียบเทียบราคาทุนของสินค้ากับมูลค่าสุทธิคาดว่าจะได้รับของสินค้า ว่ากิจการได้มีการปฏิบัติเป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปหรือไม่ เพื่อพิจารณาบัญชี ค่าเผื่อมูลค่าสินค้าลดลงว่าเพียงพอหรือไม่ 4. อื่นๆ 4.1 ตรวจสอบว่าได้มีการประกันภัยสินค้าคงเหลือไว้อย่างเพียงพอ โดยเปรียบเทียบกับทุนประกัน 4.2 ในกรณีที่กิจการมีการทาลายสินค้าคงเหลือ ให้ตรวจสอบการขออนุมัติจาก หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาผลกระทบทางภาษี 4.3 ขอหนังสือรับรองจากลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าคงเหลือ 4.4 สอบทานรายงานการประชุม สัญญาเงินกู้ และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ แน่ใจว่าได้มีการนาสินค้าเป็นหลักทรัพย์ค้าประกันการกู้ยืม หรือมีข้อจากัดเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ หรือไม่ และได้เปิดเผยไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินอย่างเพียงพอ
121 4.5 พิจารณาจัดประเภทบัญชีตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป และกฎหมายที่ เกี่ยวข้อง 4.6 สรุปผลการตรวจสอบสินค้าคงเหลือ แนวการตรวจสอบบัญชีสินค้าคงเหลือ เพิ่มเติม กรณีเกิดเหตุอุทกภัย เมื่อสินค้าจมน้าทาให้สินค้าเสียหายจนไม่สามารถนาสินค้านั้นกลับมาขายได้อีก ให้ตัด จาหน่ายมูลค่าตามบัญชีของสินค้านั้น แนวการตรวจสอบสินทรัพย์เพิ่มเติม ผู้ศึกษาได้ศึกษาค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความรู้ทางการบัญชี และแนวการ ตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ของธุรกิจที่ ประสบเหตุอุทกภัย ซึ่งนักบัญชี ผู้สอบบัญชี หรือผู้บริหาร อาจเกิดความสับสนหรือเข้าใจผิดได้เกี่ยวกับการบันทึกบัญชีสินทรัพย์ของกิจการที่ได้รับ ผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ การสอบบัญชีซึ่งมีผลกระทบกับนักบัญชีในการจัดท้างบการเงินภายหลังวิกฤตน้้าท่ วม (สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์, 2554. www.fap.or.th., 27 มกราคม 2555) 1. เอกสารของกิจการบางส่วนสูญหายหรือสูญหายทั้งหมด 1.1 ให้กิจการขอเอกสารสาเนาอื่นจากบุคคลภายนอกมาทดแทนเพื่อใช้ในการ ตรวจสอบ 1.2 ถ้ากิจการหาไม่ได้หรือไม่มีเอกสาร ผู้สอบบัญชีต้องหาวิธีการตรวจสอบอื่น ทดแทน 1.3 ถ้าไม่มีทั้งเอกสาร และวิธีการตรวจสอบอื่นทดแทน จะกระทบต่อความเห็นใน รายงานผู้สอบบัญชีเพราะถูกจากัดขอบเขตโดยสถานการณ์
122 2. กรณีสินทรัพย์ของกิจการได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยทั้งทางตรง และทางอ้อมทาให้มีข้อบ่งชี้ว่าสินทรัพย์อาจเกิดการด้อยค่า 2.1 กลุ่มทางตรง ได้แก่ ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ สินค้าคงเหลือ และเงินลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ 2.2 กลุ่มทางอ้อม ได้แก่ ลูกหนี้การค้าหรือเงินลงทุนในบริษัทที่ได้รับผลกระทบ จากน้าท่วม สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ค่าความนิยม และสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี เป็นต้น 2.3 กิจการต้องจัดเตรียมเอกสารเพื่อประเมิน และบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์ อย่างเหมาะสมและครบถ้วนตามมาตรฐานการบัญชี (ถ้าอยู่ในวิสัยที่ทาได้) 2.4 ผู้สอบบัญชีต้องตรวจสอบว่าการประเมิน และบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์ นั้นเหมาะสมและครบถ้วนแล้ว 2.5 ผู้สอบบัญชีต้องติดต่อและแนะนากิจการเพื่อเตรียมข้อมูลสาคัญ เช่น การทา รายงานแยกสินทรัพย์สภาพดี เสียแต่ซ่อมได้เสีย และจะทาลายหรือสูญหาย เป็นต้น เพื่อความ สะดวกต่อการประเมินและการตรวจสอบ 3. การบันทึกเงินชดเชยจากบริษัทประกันภัย 3.1 ตามหลักการบัญชีต้องมีความแน่นอน (Virtually certain) ในเงินที่จะได้รับ ชดเชยและบริษัทรับประกันภัย (รวมถึงบริษัทรับประกันภัยต่อ ) มีความสามารถในการจ่ายเงิน ชดเชยอย่างแน่นอน 3.2 ผู้สอบบัญชีควรแนะนาให้กิจการบันทึกรายได้เงินชดเชยเมื่อได้รับหลักฐาน ยืนยันการจ่ายเงินชดเชยจากบริษัทประกันภัย 4. กิจการไม่สามารถบันทึกประมาณการหนี้สิน ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูและปรับสภาพ เพื่อให้สามารถเริ่มดาเนินงานได้ใหม่ หรือค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสินทรัพย์ให้กลับเข้าสู่ สภาพเดิม โดยกิจการยังไม่ได้รับบริการใดๆ ณ สิ้นปี เพราะยังไม่มีภาระผูกพันอีกทั้ง จะรับบริการในอนาคตด้วย
123 5. การพิจารณาว่ากิจการมีภาระผูกพันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งเกิดขึ้นจากสัญญาที่มีอยู่ ณ สิ้นปีหรือไม่ (onerous contact) เช่น ค่าปรับสาหรับความล่าช้าในการส่งสินค้าหรือให้บริการ แล้วกิจการบันทึกประมาณการหนี้สินเหล่านี้ครบหรือไม่ แนวการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ของธุรกิจที่ประสบเหตุอุทกภัย (บริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิ ไชย สอบบัญชี จากัด, 2554. www.kpmg.co.th., 25 มกราคม 2555) 1. การบันทึกบัญชีค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการป้องกันเหตุอุทกภัยของบริษัท ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นขึ้นอยู่กับบริษัทว่ามีการดาเนินการอย่างไร ถ้าบริษัทใช้กาแพง กระสอบทรายและกาแพงอิฐนี้เฉพาะกิจเพื่อป้องกันเหตุอุทกภัยครั้งนี้เท่านั้นแล้วมิได้ใช้อีก อาจจะทาลายกาแพงอิฐทิ้งเสีย ทิ้งกระสอบทรายที่ไม่ได้ใช้ กรณีเช่นนี้ให้ถือเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถ้า บริษัทสร้างกาแพงเป็นการถาวรเพื่อป้องกันเหตุอุทกภัยครั้งต่อไป ต้องพิจารณาว่าอายุการให้ ประโยชน์นั้นเกินกว่าหนึ่งปีหรือไม่ ถ้าใช่ควรถือเป็นที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ และตั ดค่าเสื่อม ราคาตามอายุการให้ประโยชน์ ตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่องที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ย่อหน้าที่ 7 ซึ่งกล่าวไว้ว่า “กิจการต้องรับรู้ต้นทุนของรายการที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ เป็นสินทรัพย์เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขทุกข้อ ต่อไปนี้ (ย่อหน้าที่ 7.1) มีความเป็นไป ได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากรายการนั้น (ย่อหน้าที่ 7.2) กิจการสามารถวัดมูลค่าต้นทุนของรายการนั้นได้อย่างน่าเชื่อถือ ” และย่อหน้าที่ 11 ซึ่งกล่าวไว้ ว่า “กิจการอาจได้รับรายการที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์มาเพื่อปร ะโยชน์ในการรักษาความ ปลอดภัยหรือสภาพแวดล้อม การได้มาซึ่งที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ดังกล่าว แม้จะไม่ได้เป็นการ เพิ่มประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตโดยตรงให้กับที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ใดๆ ที่มีอยู่ใน ปัจจุบันของกิจการ แต่อาจเป็นสินทรัพย์ที่กิจการจาเป็นต้องมีเพื่อให้กิจ การสามารถได้รับ ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากสินทรัพย์อื่นของกิจการได้ ดังนั้น การได้มาซึ่งรายการ ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ดังกล่าวจึงเข้าเกณฑ์การรับรู้รายการเป็นสินทรัพย์เพราะทาให้กิจการ ได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากสินทรัพย์อื่นที่เกี่ยวข้องมากกว่ากรณี ที่กิจการไม่มี สินทรัพย์ดังกล่าว ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตเคมีภัณฑ์จาเป็นต้องติดตั้งเครื่องควบคุมระบบ การผลิตสารเคมีใหม่เพื่อให้เป็นไปตามข้อกาหนดด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมในการผลิต และการเก็บรักษาสารเคมีที่เป็นอันตราย กิจการต้องรับรู้รายการติดตั้งอุปกร ณ์เข้ากับโรงงาน ครั้งนี้เป็นสินทรัพย์ เนื่องจากกิจการไม่สามารถผลิต และขายเคมีภัณฑ์ได้โดยปราศจากอุปกรณ์ ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กิจการต้องสอบทานมูลค่าตามบัญชีของทั้งสินทรัพย์ที่ติดตั้งใหม่ และสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องถึงการด้อยค่าที่อาจเกิดขึ้นตามข้อกาหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การด้อยค่าของสินทรัพย์ ด้วย”
124 2. การคิดค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรสาหรับโรงงานที่จมน้า และบริษัทหยุดดาเนินการ ชั่วคราวเนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัย ในกรณีที่บริษัทตัดค่าเสื่อมราคาโดยวิธีอื่นๆ ที่ไม่ใช่วิธีคิดค่าเสื่อมราคาตามจานวน หน่วยที่ผลิตได้ กรณีนี้บริษัทยังคงคิดค่าเสื่อมราคาต่อไป แต่ในกรณีที่ใช้วิธีคิดค่าเสื่อมราคาตาม จานวนหน่วยที่ผลิตได้นั้น หน่วยที่ผลิตเป็นศูนย์ จึงไม่มีค่าเสื่อมราคาเกิดขึ้น โดยบ ริษัทจะหยุด คิดค่าเสื่อมราคาได้ก็ต่อเมื่อตัดจาหน่ายออกจากบัญชี เช่น ขาย ทิ้ง หรือทาลาย แต่กรณีที่ บริษัทสามารถหาผู้ซื้อได้ มีการตกลงราคา และจะทาการขายภายใน 1 ปี กรณีนี้จะถือเป็น สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้เพื่อขาย แม้ว่าจะยังไม่ได้ส่งมอบก็สามารถหยุดการคิดค่ าเสื่อม ราคาได้ และต้องจัดประเภทใหม่แสดงเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้เพื่อขายแยกออกมา จากที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ และวัดมูลค่าโดยใช้มูลค่าที่ต่า กว่าระหว่างมูลค่าตามบัญชีกับ มูลค่ายุติธรรมหักต้นทุนในการขาย ตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ย่อหน้าที่ 55 ซึ่งกล่าวไว้ว่า “การคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์จะ เริ่มต้นเมื่อสินทรัพย์นั้นพร้อมใช้งาน เช่น เมื่อสินทรัพย์อยู่ในสถานที่และสภาพที่พร้อมจะใช้งาน ได้ตามความประสงค์ของฝ่ายบริหาร การคิดค่าเสื่อมราคาจะสิ้นสุดเมื่อกิจการตัดร ายการ สินทรัพย์นั้น หรือจัดประเภทสินทรัพย์นั้นเป็นสินทรัพย์ถือไว้เพื่อขาย (หรือรวมไว้ในกลุ่ม สินทรัพย์ที่จะจาหน่ายซึ่งจัดประเภทเป็นสินทรัพย์ถือไว้เพื่อขาย ) แล้วแต่วันใดจะเกิดขึ้นก่อน ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 5 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ ถือไว้เพื่อขาย และการดาเนินงานที่ยกเลิก ดังนั้น กิจการไม่อาจหยุดคิดค่าเสื่อมราคาของ สินทรัพย์เมื่อกิจการไม่ได้ใช้งานสินทรัพย์นั้น หรือปลดจากการใช้งานประจา เว้นแต่สินทรัพย์ นั้นได้คิดค่าเสื่อมราคาหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม หากกิจการใช้วิธีกา รคิดค่าเสื่อมราคาตาม ปริมาณการใช้ ค่าเสื่อมราคาอาจมีค่าเท่ากับศูนย์ได้เมื่อไม่มีการผลิต” 3. การบันทึกบัญชีอาคารและเครื่องจักรที่จมน้า ในกรณีโครงสร้างอาคารที่ยั งไม่เสร็จ และเครื่องจักรที่จมน้า นานมีการผุพัง และเสียหายไปบางส่วน ต้องนามาซ่อมแซมและทาความสะอาด กรณีที่มีการผุพังหรือพิจารณา ว่าการซ่อมแซมจะคุ้ม ค่า หรือไม่นั้น ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการพิจารณา เช่น วิศวกรของบริษัทหรือของโครงการนั้นๆ บริษัทที่ผลิตเครื่องจักร เป็นต้น สาหรับส่วนที่ได้รับ ความเสียหายและใช้ไม่ได้อีก เช่น มอเตอร์ ระบบวงจรไฟฟ้า ต้องพิจารณาว่าเคยบันทึกในบัญชี ไว้เท่าไรให้ตัดมูลค่าที่คงเหลือในบัญชีนั้นเป็นค่าใช้จ่าย ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การด้อยค่าของสินทรัพย์ ย่อหน้าที่ 12 ซึ่งกล่าวไว้ว่า “ในการประเมินว่า มีข้อบ่งชี้ว่าสินทรัพย์ อาจเกิดการด้อยค่าหรือไม่ กิจการต้องพิจารณาถึงข้อบ่งชี้ต่อไปนี้
125 เป็นอย่างน้อย แหล่งข้อมูลภายนอก (ย่อหน้าที่ 12.1) ราคาตลาดของสินทรัพย์ลดลง อย่างมีนัยสาคัญในระหว่างงวด โดยจานวนที่ลดลงนั้น ลดลงมากกว่าจานวนที่คาดไว้ซึ่งเป็นผล จากเวลาที่ผ่า นไปหรือจากก ารใช้งานตามปกติ (ย่อหน้าที่ 12.2) มีการเปลี่ยนแปลงที่ส่ง ผลกระทบทางลบต่อกิจการในระหว่างงวดหรือในอนาคตอันใกล้อย่างมีนัยสาคัญ ผลกระทบ ดังกล่าวอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมของกิจการหรือของตลาดของสินทรัพย์ นั้นทางด้านเทคโนโลยี การตลาด เศรษฐกิ จ หรือกฎหมาย (ย่อหน้าที่ 12.3) อัตราดอกเบี้ยใน ตลาดหรืออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดอื่นมีการเพิ่มขึ้นในระหว่างงวด จนน่าจะมี ผลกระทบต่ออัตราคิดลดที่ใช้ในการคานวณมูลค่าจากการใช้สินทรัพย์ และทาให้มูลค่าที่คาดว่า จะได้รับคืนของสินทรัพย์นั้นลดลงอย่างมีสาระสาคัญ (ย่อหน้าที่ 12.4) มูลค่าตามบัญชีของ สินทรัพย์สุทธิของกิจการสูงกว่ามูลค่าตลาดของกิจการ แหล่งข้อมูลภายใน (ย่อหน้าที่ 12.5) มี หลักฐานแสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์ล้าสมัยหรือชารุดเสียหาย (ย่อหน้าที่ 12.6) มีการเปลี่ยนแปลง อย่างมีนัยสาคัญเกี่ยวกับลักษณะที่กิจการใช้หรื อคาดว่าจะใช้สินทรัพย์ ซึ่งส่งผล กระทบทางลบ ต่อกิจการในระหว่างงวดหรือคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวรวมถึง การที่สินทรัพย์ไม่ได้ใช้งาน แผนที่จะยกเลิกหรือปรับโครงสร้างส่วนงานที่มีสินทรัพย์นั้น รวมอยู่ด้วย หรือแผนที่จะจาหน่ายสินทรัพย์ก่อนกา หนด และการประเมินอายุการให้ประโยชน์ ของสินทรัพย์จากอายุการให้ประโยชน์ที่ไม่ทราบแน่นอนเป็นอายุการให้ประโยช น์ที่ทราบ แน่นอน (ย่อหน้าที่ 12.7) มีหลักฐานจากรายงานภายในซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลการปฏิบัติงาน เชิงเศรษฐกิจของสินทรัพย์ได้ลดลงหรือจะลดลงกว่าที่คาดไว้ เงิน ปันผลจากบริษัทย่อย กิจการที่ ควบคุมร่วมกัน หรือบริษัทร่วม (ย่อหน้าที่ 12.8) สาหรับการลงทุนในบริษัทย่อย กิจการที่ ควบคุมร่วมกัน หรือบริษัทร่วม ผู้ลงทุนรับรู้เงินปันผลจากการลงทุน และมีหลักฐานแสดงให้เห็น ดังต่อไปนี้ (ย่อหน้าที่ 12.8.1) มูลค่าตามบัญชีของเงินลงทุนในงบการเงินเฉพาะกิจการสูงกว่า มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิของผู้ถูกลงทุนในงบการเงินรวม ซึ่งรวมถึงค่าความนิยมที่ เกี่ยวข้อง หรือ (ย่อหน้าที่ 12.8.2) เงินปันผลมีจานวนมากกว่ากาไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมของ บริษัทย่อย กิจการที่ควบคุมร่วมกัน หรือบริษัทร่วมในรอบระยะเวลาที่ประกาศจ่ายเงินปันผล ” ส่วนที่ซื้อมาเพื่อเปลี่ยนแทนนั้นให้บันทึกเป็นสินทรัพย์แทนที่ ตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่องที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ย่อหน้าที่ 13 ซึ่งกล่าวไว้ว่า “กิจการอาจ จาเป็นต้องเปลี่ยนแทนส่วนประกอ บของรายการที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์บางรายการตาม ระยะเวลาที่กาหนด ตัวอย่างเช่น กิจการจาเป็นต้องก่ออิฐบุรอบภายในเตาเผาใหม่หลังจากใช้ งานไประยะหนึ่ง หรืออาจจาเป็นต้องเปลี่ยนแทนเครื่องตกแต่งภายในเครื่องบิน เช่น เก้าอี้และ ห้องครัว หลายครั้งตลอดอายุของลาตัวเครื่องบิ น กิจการอาจได้รับรายการที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์บางรายการมาเพื่อลดความถี่ของการเปลี่ยนแทนที่จะเกิดขึ้น เช่น การเปลี่ยนแทน ผนังภายในอาคาร หรือการเปลี่ยนไปใช้ผนังชนิดที่ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแทนเกิดขึ้นอีก ภายใต้ หลักการรับรู้รายการในย่อหน้าที่ 7 กิจการต้องรั บรู้ต้นทุนในการเปลี่ยนแทนส่วนประกอบ
126 ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมูลค่าตามบัญชีของรายการที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเมื่อ ต้นทุนนั้นเกิดขึ้นและเป็นไปตามเกณฑ์การรับรู้รายการ กิจการต้องตัดมูลค่าตามบัญชีของ ชิ้นส่วนที่ถูกเปลี่ยนแทนตามหลักการของการตัดรายการที่ กาหนดไว้ในมาตรฐานการบัญชีฉบับ นี้” และย่อหน้าที่ 70 ซึ่งกล่าวไว้ว่า “ภายใต้เงื่อนไขการรับรู้รายการที่กาหนดในย่อหน้าที่ 7 หากกิจการรับรู้ต้นทุนในการเปลี่ยนแทนส่วนประกอบของสินทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของ มูลค่าตามบัญชี กิจการต้องตัดมูลค่าตามบัญชีของส่วนประ กอบที่ถูกเปลี่ยนแทน โดยไม่คานึง ว่าส่วนประกอบที่ถูกเปลี่ยนแทนนั้นได้มีการคิดค่าเสื่อมราคาแยกต่างหากจากสินทรัพย์นั้น หรือไม่ หากกิจการไม่สามารถกาหนดมูลค่าตามบัญชีของส่วนประกอบที่ถูกเปลี่ยนแทนได้ ในทางปฏิบัติ กิจการอาจใช้ต้นทุนในการเปลี่ยนแทนเป็นตัวบ่งชี้ ถึงต้ นทุนของส่วนประกอบที่ ถูกเปลี่ยนแทนในขณะที่กิจการได้มาหรือก่อสร้างส่วนประกอบที่ถูกเปลี่ยนแทนนั้น ” กรณีที่ บริษัทไม่เคยแยกมอเตอร์หรือวงจรไฟฟ้าเป็นรายการแยกต่างหากหรือเป็นส่วนประกอบแยก ต่างหากตามที่กาหนดในมาตรฐานการบัญชีที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ในปี 2554 นั้น ไม่เป็ นปัญหาใน การบันทึกบัญชี ปัญหามีเพียงต้องแยกมูลค่าส่วนที่เสียหายให้ได้ ในทางปฏิบัติอาจเทียบเคียง มูลค่ามอเตอร์หรือวงจรไฟฟ้ากับมูลค่าเครื่องจักรใหม่ที่รุ่นเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เพื่อเทียบเคียงสัดส่วนมูลค่าของส่วนประกอบมอเตอร์หรือวงจรไฟฟ้าในเครื่ องจักรใหม่ เพื่อตัด ออกจากบัญชี กรณีที่เป็นการซ่อมเล็กๆ น้อยๆ หรือค่าทาความสะอาดนั้นให้ถือเป็นค่าใช้จ่าย เช่นกัน 4. การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับเงินชดเชยที่คาดว่าจะได้รับจากบริษัทประกันภัย การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับเงินชดเชยนั้นมีรายละเอียดปลีกย่อยหลายเรื่องที่บริษัท ควรให้ความสนใจ โดยบริษัทควรพิจารณาดังนี้ 4.1 กรมธรรม์คุ้มครองความเสียหายจากอุทกภัยหรือไม่และคุ้มครองไว้เท่าไร 4.2 มีการแจ้งให้บริษัทประกันภัยทราบ และมาสารวจความเสียหายแล้วหรือไม่ 4.3 เมื่อบริษัทประกันภัยสารวจความเสียหายแล้ ว ได้มีการแจ้งเป็นลายลักษณ์ อักษรเกี่ยวกับการชดเชยที่จะจ่ายแล้วหรือไม่ 4.4 เงินที่บริษัทประกันภัยจ่ายเบื้องต้นนั้น บริษัทจาเป็นต้องจ่ายคืนในส่วนที่เกิน กว่าที่มูลค่าความเสียหายหรือไม่
127 ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยส่วนใหญ่เห็นว่า บริษัททาประกันภัยไว้วงเงิน เท่าไร ก็ควรได้รับจานวนเงินตามวงเงินนั้น รวมถึงคิดว่าค่าใช้จ่ายในการป้องกันเหตุอุทกภัย เช่น ค่ากระสอบทราย ค่ากาแพง ค่าแรงพนักงานที่ดูแลเพื่อการป้องกันอุทกภัย ควรได้รับการ ชดเชยจากบริ ษัทประกันภัยเช่นกัน แท้จริงแล้วการจะได้รับการชดเชยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ เงื่อนไขความคุ้มครองที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ กรณีที่กรมธรรม์ระบุว่าคุ้มครองความเสียหายจาก อุทกภัย แต่เนื่องจากบริษัทท่านได้มีการป้องกันอย่างดี ทาให้ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุ อุทกภัย กรณีนี้บริ ษัทประกันภัยอาจจะโต้แย้งได้ว่าไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นจึงไม่จาเป็นต้อง ชดเชย สาหรับการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักนั้นเป็นกรมธรรม์ประเภทที่บริษัทต้องให้ความ สนใจ โดยเงื่อนไขในการประกันภัยมีความคุ้มครองนั้นครอบคลุมธุรกิจหยุดชะงักทางอ้อม หรือไม่ เช่น กรณี นิคมอุ ตสาหกรรมถูกน้า ท่วมบริเวณทางเข้า แต่โรงงานไม่ท่วม กรณีนี้ กรมธรรม์คุ้มครองหรือไม่ รวมถึงการที่โรงงานอยู่นอกเขตน้า ท่วม แต่ไม่สามารถผลิตได้ เนื่องจากผู้ผลิตวัต ถุดิบของบริษัทนั้นประสบปัญหาน้า ท่วม ทาให้ กิจการ ได้รับผลกระทบ ทางอ้อม จึงจาเป็นต้องหยุดการผลิตชั่วคราว โดยทั่วไปกรมธรรม์ส่วนใหญ่คุ้มครองความ เสียหายทางตรงมากกว่า เช่น การที่ธุรกิจหยุดชะงักเนื่องจากน้าท่วมบริษัทหรือบริเวณด้านหน้า บริษัท ทาให้บริษัทเปิดทาการไม่ได้ กรณีที่มีน้าท่วมบริเวณใกล้เคียงทาให้การเดินทางไปยัง บริษัทลาบาก แม้ว่าบริษัทน้ายังไม่ท่วมถึง กรณีนี้บริษัทประกันภัยอาจโต้แย้งได้เช่นกันว่าไม่ได้ เป็นเหตุทางตรงให้ธุรกิจหยุดชะงักได้เช่นกัน นอกจากนี้มูลค่าการชดเชยนั้นมิได้หมายความว่า บริษัทประกันภัยจะชดเชยความเสียหายเต็มจานวนตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ความคุ้มครองที่ ระบุไว้ในกรมธรรม์เป็นเพียงมูลค่าสูงสุดที่บริ ษัทประกันภัยจะจ่ายชาระเท่านั้น บริษัทประกันภัย จึงต้องสารวจความเสียหายก่อน จึงสรุปความเสียหายที่จะชดเชยให้บริษัท กรณีที่สินค้าสูญหาย โดยไม่มีหลักฐานว่ามีสินค้าสูญหายเท่าไร หากบริษัทไม่สามารถระบุความเสียหายได้ บริษัท ประกันภัยก็ไม่สามารถระบุ ความเสียหายให้บริษั ทได้เช่นกัน ดังนั้นบริษัทควรเตรียมความ พร้อมเกี่ยวกับจานวน และมูลค่าสินค้าคงเหลือที่เสียหายว่าเป็นเท่าไร ในระหว่างที่บริษัทติดต่อประสานงานกับบริษัทประกันภัยนั้น ฝ่ายบัญชีควรบันทึก มูลค่าการชดเชยเมื่อได้รับยืนยันอย่างแน่ชัดว่าจะได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประ กันภัยเป็น จานวนเงินเท่าไร ซึ่งเป็นไปได้ว่าการยืนยันจากบริษัทประกันภัยนั้นอาจจะเกิดขึ้นภายหลังวันที่ ในงบการเงิน หากได้รับการยืนยันภายหลังวันที่ในงบการเงินนั้น รายการเงินชดเชยสามารถ นามาหักความเสียหายในงบกาไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ และบันทึกลูกหนี้บริษัทประกันภัยได้ ซึ่ง สามารถบันทึกได้เพียงไม่เกินมูลค่าความเสียหายนั้น ส่วนที่เกินความเสียหายสามารถบันทึกได้ เมื่อได้รับการยืนยันการชดเชยอย่างชัดเจน ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรั พย์ที่อาจเกิดขึ้น ย่อหน้าที่ 31 กล่าวไว้ ว่า “กิจการต้องไม่รับรู้สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น ” ย่อหน้าที่ 32 กล่าวไว้ว่า “สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น
128 มักเกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่ได้วางแผนไว้หรือไม่ได้คาดการณ์ไว้ที่ก่อให้เกิดความน่าจะเป็นที่ กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศร ษฐกิจ ตัวอย่างเช่น การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่กิจการ กาลังดาเนินการตามกฎหมายซึ่งผลการตัดสินยังไม่เป็นที่แน่นอน ” ย่อหน้าที่ 33 กล่าวไว้ว่า “กิจการต้องไม่รับรู้สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้นในงบการเงิน เนื่องจากการรับรู้ดังกล่าวอาจทาให้ กิจการบันทึกรายได้ที่อาจจะไม่ เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม หากมีความแน่นอนมากว่ารายได้จะ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน รายการดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น และการรับรู้รายการ ดังกล่าวถือว่าเหมาะสม” ย่อหน้าที่ 34 กล่าวไว้ว่า “กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ อาจเกิดขึ้นตามที่กาหน ดไว้ในย่อหน้าที่ 89 หากมีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับ ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ ” และย่อหน้าที่ 35 กล่าวไว้ว่า “กิจการต้องประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับ สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่างบการเงินจะสะท้อนภาพที่เหมาะสม เกี่ยวกับสินทรัพย์ ดังกล่าว หากมีความแน่นอนว่าประโยชน์เชิงเศรษฐกิจที่ได้รับจะเพิ่มขึ้น กิจการต้องรับรู้สินทรัพย์ และรายได้ที่เกี่ยวข้องในงบการเงินในงวดที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ในกรณีที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจกิจการต้อง เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น” 5. การพิจารณาสินค้าคงเหลือที่จมน้า เมื่อสินค้าเกิดความเสียหายจากเหตุอุทกภัยจนไม่สามารถนาสินค้านั้นมาจาหน่าย ได้อีก ควรตัดจาหน่ายสินค้าที่ชารุดหรือเสียหายนั้นออกจากบัญชี ซึ่ งต้องมีหลักฐาน ประกอบการลงบัญชี ที่ชัดเจนที่แสดงถึงข้อมูลยืนยันการชารุดหรือเสียหาย โดยตัดจาหน่าย มูลค่าตามบัญชีของสินค้านั้น รวมทั้งโอนบัญชีที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ชารุดนั้นออกทั้งห มด ส่วน ผลต่างที่เกิดขึ้นถือเป็นกาไร (ขาดทุน) จากการตัดจาหน่ายสินค้า ตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินค้าคงเหลือ ย่อหน้าที่ 28 ซึ่งกล่าวไว้ว่า “ต้นทุนของสินค้าคงเหลือ อาจจะไม่ได้รับคืนถ้าสินค้าคงเหลือเหล่านั้นเกิดความเสียหาย หรือเกิดความล้าสมัยบางส่วน หรือทั้งหมด หรือราคาขายลดลง ต้นทุนของสินค้าคงเหลืออาจจะไม่ได้รับคืนหากประมาณการ ต้นทุนในการทาต่อให้เสร็จหรือประมาณการต้นทุนที่เกิดขึ้นเพื่อทาให้สินค้าขายได้เพิ่มขึ้น การตี ราคาสินค้าคงเหลือลดลงจากราคาทุนให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับสอดคล้องกับแนวความคิด ที่ว่าสินทรัพย์ ไม่ควรแสดงมูลค่าตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่าที่คาดว่าจะได้รับจากการขายหรือ ประโยชน์ที่ จะได้รับจากการใช้ ” และย่อหน้าที่ 34 ซึ่งกล่าวไว้ว่า “เมื่อมีการขายสินค้าคงเหลือ ออกไป มูลค่าตามบัญชีของสินค้านั้นต้องรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงวดที่มีการรับรู้รายได้ที่เกี่ยวข้อง มูลค่าที่ลดลงของสินค้าคงเหลือเนื่องจากการปรับมูลค่าให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้ รับ รวมทั้งผล ขาดทุนทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้าคงเหลือต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในงวดที่ปรับมูลค่าสินค้าให้ ลดลงหรือ มีผลขาดทุนเกิดขึ้น จานวนที่เกิดจากการกลับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือที่
129 เกิดจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสุทธิที่จะได้รับต้องรับรู้โดยนาไปหักจากมู ลค่าของสินค้าคงเหลือที่ รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงวดบัญชีที่มีการกลับรายการดังกล่าว” ข้อจ้ากัดของการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ธุรกิจที่ประสบเหตุอุทกภัยของผู้สอบบัญชี 1. เอกสารของ กิจการบางส่วนสูญหายหรือสูญหายทั้งหมด การแสดงความเห็นของ ผู้สอบบัญชีในรายงานผู้สอบบัญชี ให้พิจารณาถึงความมีสาระสาคัญ กรณีไม่มีสาระสาคัญ จะ ไม่กระทบต่อความเห็นของผู้สอบบัญชี แต่ในกรณีที่มีสาระสาคัญ ให้พิจารณาในการหาหลักฐาน จากบุคคลภายนอก หรือใช้วิธีการตรวจสอบอื่นทดแทน แต่ในกรณีที่ไม่สามารถหาหลักฐานได้ หรือไม่มีวิธีการตรวจสอบอื่นทดแทน ให้พิจารณาอ อกหน้ารายงานแบบมีเงื่อนไขถูกจากัด ขอบเขตโดยสถานการณ์หรือไม่แสดงความเห็น 2. ผู้ทาบัญชีไม่ปฏิบัติตามคาแนะนาของผู้สอบบัญชี เช่น ผู้สอบบัญชีทาการพิจารณา และประเมินสินทรัพย์ของกิจการแล้วพบว่า สินทรัพย์ของกิจการมีการด้อยค่า ซึ่งผู้สอบบัญชีได้ แนะนาแนวทางการบันทึกบัญชีที่ถูกต้องและเหมาะสมให้กับกิจการแล้ว แต่กิจการไม่บันทึกการ ด้อยค่า ให้พิจารณาออกหน้ารายงานแบบมีเงื่อนไขหรืองบการเงินไม่ถูกต้อง
บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ การศึกษาเรื่อง ปัญหาการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ในธุรกิจที่ประสบเหตุอุทกภัยของ ผู้สอบบัญชี กรณีศึกษา บริษัท ธงชัยคอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา แนวทางการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ของธุ รกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุ อุทกภัย โดยผู้ศึกษา ได้ทาการศึกษาแนวการตรวจสอบ บัญชีที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ และแนวการตรวจสอบบัญชี สินค้าคงเหลือ ผลการศึกษา ที่ได้ สามารถนามาประยุกต์ใช้กับการ ปฏิบัติงาน ของผู้สอบบัญชี ผู้ทาบัญชี และผู้ประกอบการได้ บทสรุป ผลการศึกษา พบว่า แนวทางการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ของธุ รกิจที่ได้รับผลกระทบ จากเหตุ การณ์ อุทกภัย ไม่มีความแตกต่างจากการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ในสถานการณ์ปกติ กรณีเกิด เหตุ การณ์อุทกภัย ประเด็นที่ผู้สอบบัญชีจะให้ความสาคัญ คือ การบันทึกบัญชีเป็นไป ตามมาตรฐานการบัญชีหรือไม่ การบันทึกบัญ ชีตรงตามรอบระยะเวลาบัญชี พิจารณาวันที่เกิด เหตุอุทกภัยว่าก่อนหรือหลังวันที่สิ้นรอบระยะเวลาที่รายงาน การเปิดเผยข้อมูลในหมายเหตุ ประกอบงบการเงินเพียงพอและครบถ้วนหรือไม่ เช่น เครื่องจักรจมน้า ชิ้นส่วนบางส่วนของ เครื่องจักร เสียหาย จะต้อง ตัดชิ้นส่วนที่เสียหาย นั้น เป็น ค่าใช้จ่าย แต่หากเครื่องจักรนั้นไม่ สามารถใช้งานต่อหรือซ่อมแซมได้ ควรตัดจาหน่าย ออกทันที เป็นต้น ข้อควรพิจารณาในการ ตรวจสอบบัญชี สินทรัพย์ คือ การซ่อมแซมและการเปลี่ยนแทน ตรวจสอบอายุการใช้งาน คงเหลือ ตรวจสอบการด้อยค่าของสินทรัพย์ มูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ การบันทึกเงินชดเชย จากบริษัทประกันภัย มาตรฐานการรายงานทางการเงินของไทย (PAEs และ NPAEs) ยังไม่มีมาตรฐานการ บัญชีที่เฉพาะเจาะจงที่กา หนดเกี่ยวกับภัยธรรมชาติ โดยจะอ้างอิงมาตรฐานการรายงานทาง การเงินที่เกี่ยวข้อง แทน ในการศึกษาครั้งนี้ มาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง คือ มาตรฐานการ บัญชีฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่องที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การด้อยค่าของสินทรัพย์ มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552 เรื่อง สินค้าคงเหลือ และมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการ หนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น
131 สาหรับ ข้อจากัดของผู้สอบบัญชี ในการตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ธุรกิจที่ประสบเหตุ อุทกภัย คือ เอกสารของ กิจการบางส่วนสูญหายหรือสูญหายทั้งหมด ซึ่งจะกระทบต่อการ ตรวจสอบของผู้สอบบัญชี กิจการไม่บันทึกบัญชีตามคาแนะนาของผู้สอบบัญชี ทาให้กระทบต่อ งบการเงินของกิจการและการแสดงความเห็นของผู้สอบบัญชีในรายงานผู้สอบบัญชี ข้อเสนอแนะ จากเหตุการณ์มหาอุทกภัยซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน ทาให้ยังไม่มี มาตรฐานการบัญชีที่เฉพาะเจาะจงที่กาหนดเกี่ยวกับภัยธรรมชาติ จึงทาให้นักบัญชี ผู้สอบบัญชี ผู้ประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เกิดความไม่เข้าใจและสับสน หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องอย่างสภา วิชาชีพบัญชี ควรจะจัดทาการอบรมสัมมนาและประชาสัมพันธ์เกี่ ยวกับความรู้ ทางการบัญชีจาก เหตุการณ์อุทกภัย อย่างทั่วถึง ให้บุคคลที่ เกี่ยวข้อง เข้าใจและสามารถนาไปปฏิบัติได้อย่าง ถูกต้อง
132
เอกสารอ้างอิงและสิ่งอ้างอิง กรทิพย์ วาณิชวิเศษกุล. 2549. การวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงทางธุรกิจในการ ตรวจสอบบัญชี กรณีศึกษา : บริษัทในอุตสาหกรรมกระดาษคราฟท์ . เศรษฐศาสตร์ มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กิตติ บุนนาค. ม.ป.ป. ปัญหาการสอบบัญชี. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคาแหง. เกล็ดนที มโนสันติ์ สสิกาญจน์. 2549. การสอบบัญชี. กรุงเทพมหานคร: พัฒนาวิชาการ(2535). จันทนา สาขากร, นิพันธ์ เห็นโชคชัยชนะ และ ศิลปะพร ศรีจั่นเพชร. 2548. การควบคุม ภายในและการตรวจสอบภายใน. กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจากัด ทีพีเอ็น เพรส. ทิพารัตน์ ลิ้มวัฒนะพันธ์. 2547. ความคิดเห็นของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต่อปัจจัยที่มีผลใน การรับงานสอบบัญชี . บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาบริหารธุรกิจ , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ธิดารัตน์ ตรีโรจน์พร. 2552. ความคิดเห็นของผู้ทาบัญชีและผู้สอบบัญชีบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีต่อมาตรฐานการบัญชี (ฉบับปรับปรุงปี 2550). บัญชีมหาบัณฑิต สาขาวิชาบัญชี, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. นพรัตน์ บุญเกษม. 2555. หัวหน้าแผนกบัญชี 3. สัมภาษณ์, 18 มกราคม 2555. บริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย สอบบัญชี จากัด . 2554. บัญชีน่าคิดจากน้าท่วม (online). www.kpmg.co.th., 25 มกราคม 2555. พยอม สิงห์เสน่ห์. 2543. การสอบบัญชี. กรุงเทพมหานคร: ชวนพิมพ์.
133
เอกสารอ้างอิงและสิ่งอ้างอิง (ต่อ) พรรณภา แจ้งสุวรรณ. 2547. การศึกษาการใช้ปัจจัยและองค์ประกอบความเสี่ยงในการ ประเมินความเสี่ยงในการตรวจสอบของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต. มหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑิตย์. ภาวิณี อรุณคีรีวัฒน์. 2550. ความคิดเห็นของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในเขต กรุงเทพมหานครที่มีต่อมูลค่ายุติธรรม. การศึกษาค้นคว้าอิสระ หลักสูตรปริญญา บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาบริหารธุรกิจ , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. รุ่งนภา แต่สุขะวัฒน์. 2547. ความคิดเห็นของผู้สอบบัญชีที่มีต่อความเสี่ยงในการสอบบัญชี กับการควบคุมภายในของธุรกิจขนาดย่อม. การศึกษาค้นคว้าอิสระ หลักสูตรปริญญา บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาบริหารธุรกิจ , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. วชิรพล อินสุวรรณ. 2551. ปัจจัยเสี่ยงของการทุจริตและผลกระทบต่อการวางแผนการสอบ บัญชีของผู้สอบบัญชี. บัญชีมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ . 2552. มาตรฐานการบัญชี (online). www.fap.or.th., 8 ธันวาคม 2554. . 2554. ก้าวทันข่าวชาวออดิท ฉบับที่ 8 (online). www.fap.or.th., 27 มกราคม 2555. สมเดช โรจน์คุรีเสถียร. 2544. การบัญชีสาหรับที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ . พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: ธรรมนิติ. สมบูรณ์ ศุภศิริภิญโญ. 2554. การบัญชีภายหลังวิกฤตน้าาท่วม (online). www.kpmg.co.th., 25 มกราคม 2555. สมพงษ์ พรอุปถัมภ์. 2545. การสอบบัญชี. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: ธรรมนิติ.
134
เอกสารอ้างอิงและสิ่งอ้างอิง (ต่อ) สาธิต โชติสุขรัตน์. 2542. การวางแผนการสอบบัญชี กรณีศึกษาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ . การศึกษาค้นคว้าอิสระ หลักสูตรปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาบริหารธุรกิจ , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สุรีย์ ดารารัตน์ทวี. 2542. การสอบบัญชี. กรุงเทพมหานคร: ราชภัฏสวนดุสิต. สุเมธ หาญเทพินทร์. 2548. ปัญหาของผู้สอบบัญชีในการสอบบัญชีธุรกิจขนาดย่อมที่จัดทา บัญชี โดยใช้บริการสานักงานรับทาบัญชี ในจังหวัดเชียงใหม่ . บัญชีมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ . อังสนา พิทยุทัยวรรณ. 2543. การวางแผนงานสอบบัญชีสาหรับธุรกิจพัฒนา อสังหาริมทรัพย์. การศึกษาค้นคว้าอิสระ หลักสูตรปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขา บริหารธุรกิจ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. อัญชนา เหมวงศ์กุล. 2552. การสอบบัญชี. กรุงเทพมหานคร: ส่งเสริมวิชาการ. เอื้อมอุรา พรมจันทร์. 2551. สภาพและปัญหาในการปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ในประเทศไทย. บัญชีมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. Etienne, C. A. and Joel, K. 2010. The impact of extended audit tenure on auditor independence : Auditors perspective. UMEA Universitet. Jean, A. M. 2007. Continuing Professional Education and Its Impact on the Practices and Careers of Certified Public Accountants. Doctor of Philosophy A Dissertation in The School of Human Resource Education & Workforce Development, Louisiana State University.
135
เอกสารอ้างอิงและสิ่งอ้างอิง (ต่อ) Michael, D. Y. 2007. The Effect of Big Four Office Size on Audit Quality. Doctor of Philosophy, University of Missouri – Columbia. Regis, E. H. and Danni, W. 2009. Cultural impact on the audit planning phase : An empirical study in China and France. UMEA Universitet. Tamara, A. C. 2009. The Influence of Internal Control Structure on Auditor Risk Assessments. Doctor of Philosophy, Florida State University.
ภาคผนวก ก ประวัติผู้ให้สัมภาษณ์
ประวัติผู้ให้สัมภาษณ์
ชื่อ: นพรัตน์ บุญเกษม การศึกษา: จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการบัญชี มหาวิทยาลัยรามคาแหง ตาแหน่งงาน: หัวหน้าแผนกบัญชี (Head of Audit Dept.) 3 บริษัท ธงชัย คอนซัลแท้นท์ กรุ๊ป จากัด คุณวุฒิ: เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร รุ่นที่ 6 ทะเบียนเลขที่ TA 001400 และได้ผ่านการ อบรมผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชีตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร หน้าที่และประสบการณ์ทางาน: คุณนพรัตน์ ดูแลด้านการตรวจสอบบัญชีและวางระบบบัญชีโดยมีประสบการณ์ ในด้านการตรวจสอบบัญชีและวางระบบบัญชีให้กับธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดย่อม เป็นเวลากว่า 19 ปี โดยคุณนพรัตน์ เมื่อปี พ.ศ. 2535 ได้ปฏิบัติงานด้านการจัดทาบัญชีที่ ห้างหุ้นส่วนจากัด ผลสิริ ธุรกิจ เป็นเวลา 2 ปี และป ฏิบัติงานด้านตรวจสอบบัญชีและวางระบบบัญชีที่บริษัท สหการบัญชี พี เค เอฟ จากัดเป็นเวลากว่า 5 ปี โดยได้มีส่วนร่วมในโครงการจัดทาคู่มือ ตรวจสอบระบบงานของสานักงานตรวจเงินแผ่นดินและโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการ แปรรูปรัฐวิสาหกิจของการท่าเรือแห่งประเทศไทย งานวางระบบบัญชีของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และร้านค้าปลีก เช่น บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพร์ส จากัด และบริษัท เอเพ็กซ์ เฮลท์ แคร์ จากัด
ภาคผนวก ข เอกสารเกี่ยวกับแนวการตรวจสอบสินทรัพย์
ภาพที่ 1 ใบเสนอราคาค่าบริการสอบบัญชี
ภาพที่ 1 (ต่อ) ใบเสนอราคาค่าบริการสอบบัญชี
ภาพที่ 1 (ต่อ) ใบเสนอราคาค่าบริการสอบบัญชี
ภาพที่ 2 ใบเสนอราคาสอบทานงบการเงิน
ภาพที่ 2 (ต่อ) ใบเสนอราคาสอบทานงบการเงิน
ภาพที่ 2 (ต่อ) ใบเสนอราคาสอบทานงบการเงิน
ภาพที่ 2 (ต่อ) ใบเสนอราคาสอบทานงบการเงิน
ภาพที่ 3 ตัวอย่างแนวการตรวจสอบ เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์
ภาพที่ 3 (ต่อ) ตัวอย่างแนวการตรวจสอบ เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์
ภาพที่ 4 ตัวอย่างแนวการตรวจสอบ เรื่อง สินค้าคงเหลือ
ภาพที่ 4 (ต่อ) ตัวอย่างแนวการตรวจสอบ เรื่อง สินค้าคงเหลือ
ภาพที่ 4 (ต่อ) ตัวอย่างแนวการตรวจสอบ เรื่อง สินค้าคงเหลือ
ภาพที่ 4 (ต่อ) ตัวอย่างแนวการตรวจสอบ เรื่อง สินค้าคงเหลือ
ภาพที่ 4 (ต่อ) ตัวอย่างแนวการตรวจสอบ เรื่อง สินค้าคงเหลือ
ภาคผนวก ค มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินค้าคงเหลือ
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินคาคงเหลือ คําแถลงการณ มาตรฐานการบัญ ชีฉบั บนี้ ได ปรั บปรุง ใหเ ปน ไปตามเกณฑที่กํ าหนดขึ้น โดย มาตรฐานการบัญชี ระหวางประเทศ เรื่อง สินคาคงเหลือ พ.ศ. 2552 ซึ่งเปน การแกไขของคณะกรรมการมาตรฐานการบัญชี ระหวางประเทศที่สิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 (IAS 2 Inventories (Bound volume 2009))
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 1/14
สารบัญ ยอหนาที่
บทนํา วัตถุประสงค ขอบเขต คํานิยาม การวัดมูลคาสินคาคงเหลือ
บทนํา 1-บทนํา 17 1 2-5 6-8 9-33
ตนทุนของสินคาคงเหลือ ตนทุนในการซื้อ ตนทุนแปลงสภาพ ตนทุนอื่นๆ ตนทุนของสินคาคงเหลือของผูใ หบริการ ตนทุนของผลิตผลทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวจากสินทรัพยชีวภาพ เทคนิคสําหรับการวัดมูลคาของตนทุนสินคาคงเหลือ การคํานวณตนทุน มูลคาสุทธิที่จะไดรับ
การรับรูเปนคาใชจาย การเปดเผยขอมูล วันถือปฏิบัติ การยกเลิกมาตรฐานการบัญชีฉบับเดิม
10-22 11 12-14 15-18 19 20 21-22 23-27 28-33
34-35 36-39 40 41-42
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 2/14
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ประกอบดวยยอหนาที่ 1 ถึง 42 ทุกยอหนามีความสําคัญเทากัน และมาตรฐาน การบัญชีฉบับนี้ตองอานโดยคํานึงถึงขอกําหนดของแมบทการบัญชี ในกรณีที่ไมไดใหแนวปฏิบัติในการ เลือกและการใชนโยบายการบัญชี ใหกิจ การถือปฏิบัติตามขอ กําหนดของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 8 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง นโยบายการบัญชี การเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชีและขอผิดพลาด
บทนํา บทนํา 1.
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินคาคงเหลือ ใชแทนมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ฉบับที่ 31 เดิม) เรื่อง สินคาคงเหลือ โดยใหถือปฏิบัติสําหรับรอบระยะเวลาบัญชี ที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2554 เปนตนไป ทั้งนี้ สนับสนุนใหนําไปใชกอนวันถือปฏิบัติ
เหตุผลในการปรับปรุงมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ฉบับที่ 31 เดิม) เรื่อง สินคาคงเหลือ บทนํา 2.
คณะกรรมการกําหนดมาตรฐานการบัญชีไดเห็นสมควรใหปรับปรุงมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ฉบับที่ 31 เดิม) เรื่อง สินคาคงเหลือ ซึ่งบังคับใชมาตั้งแตวันที่ 1 มกราคม 2540 นั้น ดังนั้น คณะกรรมการกําหนดมาตรฐานการบัญชีจึงเห็นสมควรใหปรับปรุงมาตรฐานการบัญชีฉบับใหม เพื่อลดจํานวนทางเลือก ความซ้ําซอน และความไมสอดคลองที่เกิดขึ้นภายในมาตรฐานการบัญชี
บทนํา 3.
วัตถุประสงคหลักในการปรับ ปรุงมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 2 (ฉบับที่ 31 เดิม) เรื่อง สินคา คงเหลือนี้ ถือเป นการปรั บปรุงภายใตขอบเขตจํากั ดดังกล าวเพื่อลดทางเลือกในการใชวิ ธี วัดมูลคาสินคาคงเหลือ คณะกรรมการไมไดพิจารณาแกไขถึงหลักการพื้นฐานทางการบัญชีใน เรื่องสินคาคงเหลือที่กลาวถึงในมาตรฐานการบัญชี (ฉบับเดิม)
การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ บทนํา 4.
การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญจากมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ฉบับที่ 31 เดิม) สรุปได ดังนี้
วัตถุประสงคและขอบเขต บทนํา 5.
มี ก ารปรั บ ปรุ ง วั ต ถุ ป ระสงค แ ละขอบเขตของมาตรฐานการบั ญ ชี โดยได ย กเลิ ก คํ า ว า “ตามระบบวิธี ตนทุนเดิม” เพื่อใหมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้สามารถใชกับสินคาคงเหลือทุกประเภท ที่ไมไดระบุเปนขอยกเวนในขอบเขตของมาตรฐานการบัญชี
ความชัดเจนของขอบเขต บทนํา 6.
มาตรฐานการบั ญชี ฉบับนี้ กํ าหนดใหสิ นค าคงเหลื อบางประเภทอยูนอกขอบเขตของมาตรฐาน การบัญชีฉบับนี้ ในขณะที่สิ นคาคงเหลือบางประเภทไดรับยกเวนเฉพาะสวนที่เกี่ยวกับขอกําหนดใน การวัดมูลคาตามมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 3/14
บทนํา 7.
ยอหนาที่ 3 มีการแบงแยกที่ชัดเจนระหวางประเภทของสินคาคงเหลือที่อยูนอกขอบเขตทั้งหมด ของมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ (ตามที่กลาวไวในยอหนาที่ 2) และประเภทของสินคา คงเหลือ ที่ อ ยู น อกขอบเขตของข อ กํ า หนดในการวั ด มู ล ค า สิ น ค า คงเหลื อ แต อ ยู ใ นขอบเขตของ ขอกําหนดอื่นในมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้
ขอยกเวนของขอบเขต ผูผ ลิตสินคาทางการเกษตรและผลิ ตภั ณฑจากปา การเก็บเกี่ยว แรและผลิตภัณฑจากแร บทนํา 8.
ผลิ ตผลทางการเกษตรภายหลั ง
มาตรฐานการบัญชีฉบั บนี้ไมถื อปฏิบั ติกับการวัดมู ลค าของสิ นค าคงเหลื อของผู ผลิต สิน คา ทางการเกษตรและผลิตภัณ ฑจากป า ผลิตผลทางการเกษตรภายหลัง การเก็บ เกี่ ยว แรแ ละ ผลิ ต ภั ณ ฑ จ ากแร เ นื่ อ งจากถู ก วั ด มู ล ค า ด ว ยมู ล ค า สุ ท ธิ ที่ จ ะได รั บ ตามวิ ธี ที่ ถื อ ปฏิ บั ติ ในอุตสาหกรรมนั้น มาตรฐานการบัญชีฉบับเดิมไดมีการแกไขโดยยกเลิกคําวา “สินแร” และ ใชคํา วา “แรและผลิต ภัณฑ จากแร ” แทน เพื่อใหมีความชัดเจนว าขอบเขตการยกเวนไมได จํากัดอยูเฉพาะชวงแรกของการสกัดสินแร สินคาคงเหลือของนายหนา - ผูคาสินคาโภคภัณฑ
บทนํา 9.
มาตรฐานการบัญชี ฉบับ นี้ไมถือปฏิบัติกับการวัด มูลคาของสินค าคงเหลือของนายหนา-ผูคา สินคาโภคภัณฑ ตราบเทาที่สินคาคงเหลือเหลานั้นถูกวัดมูลคาโดยใชมูลคายุติธรรมหักตนทุน ในการขาย
ตนทุนของสินคาคงเหลือ ตนทุนในการซื้อ บทนํา 10. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ไมอนุญาตใหนําผลตางของอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นโดยตรงจาก การซื้อสินคาดวยสกุลเงินตราตางประเทศไปรวมเปนตนทุนในการซื้อสินคานั้น ซึ่งเปนการเปลี่ยนแปลง จากมาตรฐานฉบั บเดิ ม เพื่ อใหสอดคลองกั บมาตรฐานการบั ญชี ฉบั บที่ 21 (ปรั บปรุ ง 2552) เรื่ อง ผลกระทบจากการเปลี่ ย นแปลงของอั ต ราแลกเปลี่ ย นเงิ น ตราต า งประเทศ (เมื่ อ มี ก าร ประกาศใช) ซึ่งยกเลิกการใชแนวทางที่อาจเลือกปฏิบัติของการนําผลตางของอัตราแลกเปลี่ยน มาบันทึกเปนตนทุน ตนทุนอื่น บทนํา 11. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้กําหนดยอหนาที่ 18 เพิ่มเติมเพื่อความชัดเจนในกรณีที่มีการซื้อสินคา โดยมีเงื่อนไขการจา ยชําระเงินนานเกินกวาระยะเวลาการไดสินเชื่อ ตามปกติ ผลตางระหวาง จํ านวนเงิ น ที่ จ า ยจริ งกั บราคาซื้ อที่ ต อ งจ า ยภายใต เ งื่ อนไขการให สิ นเชื่ อ ตามปกติ ให รั บ รู เปนดอกเบี้ยจายตลอดระยะเวลาการจัดหาเงิน
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 4/14
การคํานวณตนทุน ความสม่ําเสมอ บทนํา 12. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้กํ าหนดใหกิจการใชวิธีการคํานวณตนทุนวิธีเดียวกันสําหรับสินคา คงเหลือทุกประเภทซึ่งมีลักษณะและการใชที่คลายคลึงกัน การยกเลิกวิธีเขาหลัง ออกกอนในการคํานวณตนทุน บทนํา 13. มาตรฐานการบัญชี ฉบับ นี้ไมอนุญ าตใหใชวิธี เขาหลังออกกอ นในการวัดมูล คาต นทุนสิน คา คงเหลือ
การรับรูคาใชจาย บทนํา 14. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ยกเลิกการอางอิงถึงหลักการจับคูรายไดกับคาใชจาย บทนํา 15. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้อธิบายถึ งสถานการณที่ทํ าใหกิ จการตองกลับ รายการของมู ลค า สินคาที่ปรับลดลงที่รับรูในงวดกอน
การเปดเผยขอมูล
สินคาคงเหลือที่แสดงดวยมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย บทนํา 16. มาตรฐานการบัญ ชีฉ บับ นี้กํ าหนดใหเป ดเผยมูลคาตามบั ญชี ของสินค าคงเหลือที่แ สดงดวย มูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย การปรับลดมูลคาของสินคาคงเหลือ บทนํา 17. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้กําหนดใหมีการเปดเผยมูลคาสินคาคงเหลือที่ปรับลดลงซึ่งกิจการ ไดรับรูเปนคาใชจายในงวดบัญชีนั้น และยกเลิกขอกําหนดในการเปดเผยมูลคาของสินคาคงเหลือ ที่แสดงดวยมูลคาสุทธิที่จะไดรับ
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 5/14
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินคาคงเหลือ วัตถุประสงค 1.
มาตรฐานการบัญ ชีฉบับนี้ มีวัตถุ ประสงคเ พื่ อกํ าหนดวิ ธีปฏิบัติทางบั ญชีสํา หรับ สินคาคงเหลือ ประเด็นหลักของการบัญชีสําหรับสินคาคงเหลือ คือ จํานวนตนทุนที่จะรับรูเปนสินทรัพยและยกยอดไปจนกวา จะมีการรับรูร ายได ที่สัมพันธ กัน มาตรฐานการบัญ ชีฉบับ นี้กํ าหนดแนวปฏิบัติในการคํ านวณหา ตนทุนของสินคาคงเหลือและการรับรูเปนคาใชจายในภายหลัง รวมทั้งการปรับลดมูลคาสินคาคงเหลือ ใหเทากับมูลคาสุทธิที่จะไดรับ นอกจากนี้มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ยังใหแนวทางเกี่ ยวกับวิธีการ คํานวณหาตนทุนของสินคาคงเหลืออีกดวย
ขอบเขต 2.
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ถือปฏิบัติกับสินคาคงเหลือทุกประเภทยกเวน 2.1 งานระหวางก อสรางภายใตสัญ ญากอสรางซึ่งรวมถึง สัญญาการใหบริก ารที่เกี่ยวของ โดยตรง (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 11 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญากอสราง) 2.2 เครื่อ งมือ ทางการเงิน (ดูมาตรฐานการบัญ ชี ฉบับที่ 32 (ปรับปรุง 2552) เรื่อ ง การแสดงรายการเครื่อ งมือทางการเงิน (เมื่อ มีการประกาศใช) และมาตรฐานการ บัญ ชี ฉบับ ที่ 39 เรื่อง การรับ รูและการวัด มูล คาเครื่องมือ ทางการเงิน (เมื่อ มีก าร ประกาศใช)) 2.3 สินทรัพยชีวภาพที่เกี่ยวของกับกิจกรรมทางการเกษตรและผลิตผลทางการเกษตร ณ จุด เก็บเกี่ยว (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 41 เรื่อง เกษตรกรรม (เมื่อมีการประกาศใช))
3.
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ไมถือปฏิบัติกับการวัดมูลคาของสินคาคงเหลือที่ถือไวโดย 3.1 ผูผลิ ตผลิตภัณฑ ทางการเกษตร ผลิตภัณ ฑจากปา ผลิตผลทางการเกษตรภายหลั ง การเก็บเกี่ยว แร และผลิตภัณฑจากแร เนื่องจากสินคาคงเหลือเหลานั้นวัดมูลคาดวย มูลคาสุทธิที่จะไดรับซึ่งเปนวิธีที่ถือปฏิบัติกันอยางแพรหลายในอุตสาหกรรมเหลานั้น เมื่อกิจการวัดมูลคาสินคาคงเหลือดังกลาวดวยมูลคาสุท ธิที่จะไดรับ การเปลี่ยนแปลง ในมูลคาดังกลาว จะรับรูในกําไรหรือขาดทุนในงวดที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลคานั้น 3.2 นายหนา-ผูคาสินคาโภคภัณฑ ซึ่งวัดมูลคาสินคาคงเหลือดวยมูลคายุติธรรมหักตนทุน ในการขาย เมื่อสินคาคงเหลือดังกลาววัดมูลคาดวยมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย โดยการเปลี่ยนแปลงในมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขายจะรับรูในกําไรหรือขาดทุน ในงวดที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลคานั้น
4.
สินคาคงเหลือตามที่กลาวไวในขอ 3.1 ซึ่งวัดมูลคาดวยมูลคาสุทธิที่จะไดรับ ณ ขั้นตอนของการ ผลิตที่กําหนดไวแนนอน เชน เมื่อเก็บเกี่ยวผลิตผลทางการเกษตร หรือเมื่อมีการสกัดแรไดแลว และมีความแนนอนวากิจการจะสามารถขายสินคาคงเหลือนั้นไดเนื่องดวยมี การทํา สัญญาซื้อขาย ลวงหนาไวแลว หรือมีการประกันราคาโดยรัฐบาล หรือสินคานั้นมีตลาดซื้อขายคลองรองรับ และมี มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 6/14
ความเสี่ยงนอยมากที่จะขายสินคาคงเหลือนั้นไมได สินคา คงเหลือดังกลาวอยูน อกเหนือขอบเขต ของมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ เฉพาะในเรื่องขอกําหนดเกี่ยวกับการวัดมูลคา 5.
นายหนา-ผูคา คือ ผูซึ่งซื้อหรือขายสินคาโภคภัณฑเพื่อบุ คคลอื่นหรือเพื่อตนเอง สินคาคงเหลือ ที่กลาวถึงในขอ 3.2 โดยสวนใหญเปนสินคาคงเหลือที่ไดมาโดยมีวัตถุประสงคเพื่อขายในอนาคต อัน ใกลเพื่อที่จะไดรับกําไรจากการผันผวนของราคาหรือจากสวนตางของราคาซื้อขายของนายหนา-ผูค า ในกรณีที่สินคาคงเหลือเหลานั้นถูกวัดมูลคาดวยมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย สินคาคงเหลือดังกลาว จะอยูนอกเหนือขอบเขตของมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้เฉพาะในเรื่องขอกําหนดเกี่ยวกับการวัดมูลคา
คํานิยาม 6.
7.
คําศัพทที่ใชในมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีความหมายโดยเฉพาะดังนี้ สินคาคงเหลือ
หมายถึง สินทรัพยซึ่ง มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังตอไปนี้ 1) ถื อ ไว เ พื่ อ ขายตามลั ก ษณะการประกอบธุ ร กิ จ ตามปกติของกิจการ 2) อยูในระหวางกระบวนการผลิตเพื่อใหเปนสินคา สําเร็จรูปเพื่อขาย 3) อยู ในรูปของวัตถุ ดิบ หรือ วัส ดุที่ มีไ วเ พื่อ ใช ใน กระบวนการผลิตสินคาหรือใหบริการ
มูลคาสุทธิที่จะไดรับ
หมายถึง ราคาโดยประมาณที่คาดวาจะขายไดตามลักษณะการ ประกอบธุร กิจ ตามปกติ หักด วยประมาณการตน ทุน ในการผลิตสิ นค านั้ นใหเสร็จ และต นทุน ที่จํา เป นต อง จายไปเพื่อใหขายสินคานั้นได
มูลคายุติธรรม
หมายถึง จํ า นวนเงิ น ที่ ผู ซื้ อ และผู ข ายตกลงแลกเปลี่ ย น สินทรัพย หรือ จา ยชํ า ระหนี้สิ นในขณะที่ ทั้ งสองฝ า ย มี ค วามรอบรู แ ละเต็ ม ใจในการแลกเปลี่ ย น และ สามารถตอรองราคากันไดอยางเปนอิสระ
มูลคาสุทธิที่จะไดรับ หมายถึง จํานวนเงินสุทธิที่กิจการคาดวาจะไดรับจากการขายสินคาตามลักษณะ การประกอบธุรกิจตามปกติของกิจการ มูลคายุติธรรมสะทอนใหเห็นถึงจํานวนเงินซึ่งจะไดรับจาก การแลกเปลี่ยนของสินคาคงเหลือชนิดเดียวกันระหวางผูซื้อและผูขายที่มีความรอบรู และเต็มใจใน การแลกเปลี่ยนในตลาด มูลคาสุทธิที่ จะไดรับสะทอนถึงมูลคาเฉพาะของกิจการ ในขณะที่มูลคา ยุติธรรมไมไ ดสะทอนถึงมูล คา ดังกลาว มูลค าสุ ทธิที่จ ะไดรั บของสิ นค าคงเหลื ออาจจะไมเทากับ มูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 7/14
8.
สินคาคงเหลือรวมถึงสินคาที่ซื้อและถือไวเพื่อขาย เชน สินคาที่ผูคาปลีกซื้อและถือไวเพื่อขาย หรือที่ดิน และอสังหาริมทรัพยอื่นที่ถือไวเพื่อขาย สินคาคงเหลือรวมถึงสินคาสําเร็จรูปที่ผลิต หรือสินคาระหวาง ผลิ ต วั ต ถุ ดิ บ หรื อ วั ส ดุ ที่ ถื อ ไว เ พื่ อ รอที่ จ ะใช ใ นกระบวนการผลิ ต และในกรณี ที่ เ ป น กิ จ การ ผูใหบริการ สินคาคงเหลือจะรวมถึงตนทุนงานใหบริการ (ตามที่กลาวไวในยอหนาที่ 19) ซึ่งกิจการ ยังไมไดมีการรับรูรายไดที่เกี่ยวของ (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 18 (ปรับ ปรุง 2552) เรื่อง รายได (เมื่อมีการประกาศใช))
การวัดมูลคาสินคาคงเหลือ 9.
สินคาคงเหลือตองวัดมูลคาดวยราคาทุนหรือมูลคาสุทธิที่จะไดรับ แลวแตมูลคาใดจะต่ํากวา
ตนทุนของสินคาคงเหลือ 10.
ตนทุนของสินคาคงเหลือต องประกอบดวยตนทุนทั้งหมดในการซื้อ ตนทุนแปลงสภาพ และ ตนทุนอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อใหสินคาคงเหลือนั้นอยูในสถานที่และอยูในสภาพที่เปนอยูในปจจุบัน
ตนทุนในการซื้อ 11.
ตนทุนในการซื้อของสินคาคงเหลือประกอบดวย ราคาซื้อ อากรขาเขา และภาษีอื่น (สุทธิจากจํานวน ที่กิจการจะไดรับคืนในภายหลังจากหนวยงานที่มีหนาที่จัดเก็บภาษี) รวมทั้งคาขนสง คาขนถาย และตนทุนอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวของโดยตรงกับการไดมาซึ่งสินคา สําเร็จรูป วัตถุดิบ และบริการ ในการ คํานวณหาตนทุนในการซื้อสินคาใหนําสวนลดการคา เงินที่ไดรับคืนและรายการอื่นๆ ที่คลายคลึง กันมาหักออกดวย
ตนทุนแปลงสภาพ 12.
ตนทุนแปลงสภาพของสินคาคงเหลือ ประกอบดวย ตนทุนที่เกี่ยวของโดยตรงกับสินคาที่ผลิต เชน คาแรงงานทางตรง รวมถึงคาใชจายการผลิตทั้งสวนที่คงที่ที่ปนสวนอยางเปนระบบ และคาใชจายการผลิต ผันแปรซึ่งเกิดขึ้นเพื่อแปลงสภาพวัตถุดิบใหเปนสินคาสําเร็จรูป คาใชจายการผลิตคงที่ คือ ตนทุนการผลิต ทางออมที่เกิดขึ้นในการผลิตโดยไมสัมพันธกับปริมาณการผลิต เชน คาเสื่อมราคา และคาบํารุงรักษา อาคารโรงงานและอุปกรณ โรงงาน และต นทุนเกี่ ยวกับฝายจั ดการโรงงานและการบริ หารโรงงาน คาใชจ ายการผลิตผันแปร คือ ตนทุนการผลิตทางออมที่ผันแปรโดยตรงหรือคอนขางจะผันแปรโดยตรง กับปริมาณการผลิต เชน วัตถุดิบทางออม และคาแรงงานทางออม
13.
การปนสวนคาใชจายการผลิตคงที่เขาสูตนทุนแปลงสภาพอางอิงจากฐานกําลังการผลิตปกติ กําลังการผลิต ปกติ คือ การผลิตที่คาดวาจะผลิตไดโดยเฉลี่ยในหลายชวงเวลาหรือในหลายฤดูกาลภายใตสภาวการณ ปกติ โดยคํานึงถึงกําลังการผลิตที่สูญเสียอันเกิดจากการบํารุงรักษาตามแผนที่วางไว ระดับการผลิตที่ เกิดขึ้นจริงอาจนํามาใชไดหากใกลเคียงกับกําลังการผลิตปกติ จํานวนคาใชจ ายคงที่ที่ ปนส วนเขา แตละหนวยการผลิตจะตองไมเพิ่มขึ้นแมวาการผลิตจะลดต่ําลงหรือไมมีการผลิต คาใชจายในการผลิต ที่ไมไดถูกปนสวนใหรับรูเปนคาใชจายในงวดที่เกิดคาใชจายนั้น ในชวงเวลาที่มีการผลิตสูงผิดปกติ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 8/14
จํานวนคาใชจ ายคงที่ตอหนวยก็จะถูกปนสวนเขาสินคาแตละหนวยที่ผลิตนอยลง เพื่อไมใหสินคา คงเหลือมีมูลคาสูงกวาตนทุน คาใชจายการผลิตผันแปรจะปนสวนเขาสินคาแตละหนวยที่ผลิตตาม ตนทุนการผลิตที่ใชจริง 14.
ในกระบวนการผลิ ตหนึ่ง อาจมี การผลิ ตผลิต ภัณ ฑพ รอ มกั นมากกว าหนึ่ งชนิด เชน กรณี ที่มี การ ผลิ ตผลิต ภัณฑร วมหรือ กรณี ที่มี ผลิต ภัณฑ หลั กและผลิ ตภั ณฑพ ลอยได หากตน ทุน แปลงสภาพ ของแตล ะผลิตภัณฑ ไมอาจระบุแ ยกกัน ไดอ ยางชั ดเจน ก็ใหใชเกณฑ การปน สว นที่สมเหตุสมผล และสม่ําเสมอ ตัวอยางของเกณฑที่ใชในการปนสวน เชน การใชมูลคาขายของแตละผลิตภัณฑ ณ ขั้นตอนการผลิตที่ส ามารถแยกผลิตภัณ ฑไดอยา งชั ดเจน หรื อเมื่อ การผลิต เสร็ จสิ้น เปน เกณฑ สําหรับผลิตภัณฑพลอยได ซึ่งโดยสวนใหญมีลักษณะที่ไมเปน สาระสําคัญ มักจะวัด มูลคาโดยใช มูลคาสุทธิที่จะไดรับและนํามูลคาดังกลาวไปหักจากตนทุนของผลิตภัณฑหลัก ดังนั้น มูลคาตามบัญชี ของผลิตภัณฑหลักจึงไมแตกตางอยางเปนสาระสําคัญจากตนทุนของผลิตภัณฑหลัก ตนทุนอื่นๆ
15.
ตนทุนอื่นที่จะนําไปรวมในตนทุนสินคาคงเหลือได หากเปนตนทุนที่เกิดขึ้นเพื่อทําใหสินคาคงเหลือ อยูในสถานที่และสภาพที่เปนอยูในปจจุบัน เชน อาจเปนการเหมาะสมที่จะนําคาใชจายที่ไมไดเกิดขึ้นจาก การผลิตหรือตนทุนในการออกแบบผลิตภัณฑสํ าหรับลูกคา รายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะไปรวมเปน ตนทุนของสินคาคงเหลือนั้น
16.
ตั ว อย า งของต น ทุ น ที่ ไ ม นํ า มารวมเป น ต น ทุ น สิ น ค า คงเหลื อ และให รั บ รู เ ป น ค า ใช จ า ยในงวด ที่เกิดขึ้น เชน 16.1 วัตถุดิบ คาแรงงานหรือคาใชจายการผลิตอื่นที่สูญเสียเกินกวาปกติ 16.2 ตนทุนในการเก็บรักษาสินคา เวนแตเปนตนทุนที่จําเปนในกระบวนการผลิตกอนจะถึงขั้นตอน การผลิตถัดไป 16.3 คาใชจายในการบริหารที่ไมเกี่ยวกับการทําใหสินคาอยูในสถานที่และอยูในสภาพที่เปนอยู ในปจจุบัน 16.4 ตนทุนในการขาย
17.
ในบางสถานการณ กิ จ การอาจนํ า ต น ทุ น การกู ยื ม มารวมเป น ต น ทุ น ของสิ น ค า คงเหลื อ ได หากเปน ไปตามเงื่อนไขที่กํา หนดไวตามมาตรฐานการบัญ ชี ฉบั บที่ 23 (ปรั บปรุง 2552) เรื่ อง ตนทุนการกูยืม
18.
กิ จ การอาจจะซื้อ สิน คา โดยมีก ารจ า ยชํา ระเงิน นานเกิ น กว า ระยะเวลาที่ไดรั บ สิน เชื่อ ตามปกติ ในกรณีดั งกลา วผลต างระหว างจํานวนเงิ นที่ จา ยจริง กับ ราคาซื้อ ที่ต องจ ายภายใตเ งื่อ นไขการให สินเชื่อตามปกติ ใหรับรูเปนดอกเบี้ยจายตลอดระยะเวลาการจัดหาเงิน
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 9/14
ตนทุนของสินคาคงเหลือของผูใหบริการ 19.
ในกรณีที่ผูใหบริการมีสินคาคงเหลือใหวัดมูลคาสินคาดังกลาวดวยตนทุนในการผลิต ตนทุนดังกลาวโดย สวนใหญประกอบดวย คาแรงงาน และตนทุนอื่นที่เกี่ยวกับบุคลากรที่มีสวนเกี่ยวของโดยตรงกับ การใหบริการ ซึ่งรวมถึงบุคลากรที่ควบคุมและดูแล และตนทุนที่เกี่ยวของกับการใหบริการ สวนคาแรงงาน และตน ทุ น อื่ น ที่ เกี่ ย วข อ งกั บ การขายและการบริ ห ารบุ คลากรทั่ ว ไปจะไม ร วมเป น ต น ทุน งาน ใหบริการ แตใหรับรูเปนคาใชจายในงวดที่เกิดขึ้น ตนทุนของสินคาคงเหลือของผูใหบริการไมรวมถึงกําไร หรือคาใชจายที่ไมเกี่ยวของซึ่งมักนํามาใชเปนปจจัยหนึ่งในการคิดคาบริการของผูใหบริการ
ตนทุนของผลิตผลทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวจากสินทรัพยทางชีวภาพ 20.
ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 41 เรื่อง เกษตรกรรม (เมื่อมีการประกาศใช) สินคาคงเหลือที่เปนผลิตผล ทางการเกษตรซึ่งเก็บเกี่ยวจากสินทรัพยชีวภาพจะวัดมูลคาเมื่อรับรูรายการเริ่มแรกดวยมูลคายุติธรรม หักตนทุนในการขาย ณ จุดเก็บเกี่ยว มูลคาดังกลาวใหถือเปนตนทุนของสินคาคงเหลือตามมาตรฐานการ บัญชีฉบับนี้
เทคนิคสําหรับการวัดมูลคาของตนทุนสินคาคงเหลือ 21.
เทคนิคสําหรับการวัดมูลคาของตนทุนสินคาคงเหลือ เชน วิธีตนทุนมาตรฐานหรือวิธีราคาขายปลีก อาจนํ ามาใช เพื่อ ความสะดวก หากวิธี การประมาณต นทุ นดัง กล าวใหผ ลใกลเ คียงกับ ตนทุ นจริง ตนทุนมาตรฐานกําหนดจากการใชวัตถุดิบ วัสดุโรงงาน คาแรงงาน ประสิทธิภาพและการใชกําลัง การผลิตในระดับปกติ ตนทุนมาตรฐานตองมีการทบทวนอยูเสมอและปรับ ปรุงเมื่อจําเปนเพื่อให สอดคลองกับสถานการณปจจุบัน
22.
วิธีราคาขายปลี กมักจะใชกับอุ ตสาหกรรมคา ปลีกเพื่ อวั ดมูลค าต นทุนสิ นค าคงเหลือประเภทที่มี กําไรใกลเคียงกันและมีการเปลี่ยนแปลงชนิดสินคาเปนจํานวนมากอยางรวดเร็วซึ่งในทางปฏิบัติไม อาจใชวิธีการตนทุนอื่นได ตนทุนของสินคาคงเหลือนี้สามารถคํานวณหาไดโดยใชมูลคาขายของสินคา หักดวยอัตรารอยละของกําไรขั้นตนที่เหมาะสม อัตรากําไรขั้นตนนี้ตองคํานึงถึงสินคา คงเหลือที่มี การลดราคาใหต่ํา ลงกวา ราคาขายเดิ ม โดยปกติมักจะใชอัตรารอยละถัว เฉลี่ยของแผนกขายปลีก แตละแผนก
การคํานวณตนทุน 23.
ตนทุนสินคาคงเหลือของแตละรายการ ซึ่งโดยปกติไมอาจสับเปลี่ยนกันได หรือเปนสินคาหรือบริการ ที่ผลิตขึ้ นและแยกตางหากไว สํ าหรับโครงการหนึ่งโครงการใดโดยเฉพาะตองคํานวณโดยใชวิ ธี ราคาเจาะจง
24.
ตนทุนตามวิธีราคาเจาะจงเปนวิธีการบันทึกตนทุนที่เจาะจงไดในสินคาคงเหลือแตละรายการ วิธีนี้ จึงเหมาะ ที่จะใชสําหรับสินคาที่แยกไวสําหรับโครงการหนึ่งโครงการใดโดยเฉพาะ โดยไมคํานึงวาสินคาคงเหลือ ดังกลาวจะซื้อมาหรือผลิตขึ้นเอง อยางไรก็ดี การบันทึกตนทุนตามวิธีราคาเจาะจงจะไมเหมาะสม หากสินคาคงเหลือมีจํานวนรายการมากและโดยปกติมีลักษณะสับเปลี่ยนกันได ในสถานการณเชนนี้ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 10/14
วิธีที่เลือกตีราคาสินคาคงเหลือรายการที่เหลือ อาจเปนชองทางการกําหนดผลกระทบของกําไรหรือขาดทุน ไดลวงหนา 25.
ตนทุนสินคาคงเหลือนอกจากที่กลาวในยอหนา 23 ตองคํานวณมูลคาโดยวิธีเขากอนออกกอน หรือ วิธีถัวเฉลี่ยถวงน้ําหนัก กิจการตองใชวิธี การคํานวณมูลคาดวยวิธี เดียวกันสําหรับสินคาคงเหลือ ทุกชนิดที่มีลักษณะและการใชคลายคลึงกัน สําหรับสินคาคงเหลือที่มีลักษณะและการใชตางกัน อาจใชวิธีคํานวณตนทุนที่ตางกันไปไดหากเหมาะสม
26.
ตัวอยางเชน สินคาคงเหลือของสวนงานปฎิบัติการหนึ่งอาจมีการใชสินคาคงเหลือชนิดเดียวกันที่แตกตาง ไปจากสวนงานปฎิบัติการอีกแหงหนึ่ง อยางไรก็ตาม ความแตกตางทางดานสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร ของสินคาคงเหลือ (หรือภายใตข อกําหนดทางภาษีต างๆ) ไมใชเหตุผลที่เพียงพอที่จะใชวิ ธีการคํา นวณ ตนทุนที่แตกตางกัน
27.
วิธีเขา กอ นออกก อ นมีขอ สมมติฐานว า สิ น คา คงเหลือรายการที่ซื้อ มาหรื อ ผลิต ขึ้น ก อนจะขาย ออกไปกอน จึงเปนผลใหสินคาคงเหลือรายการที่เหลืออยู ณ วันสิ้นงวดเปนสินคาที่ซื้อมาหรือผลิตขึ้น ในครั้งหลังสุด สําหรับวิธีถัวเฉลี่ยถวงน้ําหนัก ตนทุนสินคาคงเหลือแตละรายการจะกําหนดจากการ ถัวเฉลี่ยตนทุนของสินคาที่เหมือนกัน ณ วันตนงวดกับตนทุนของสินคาที่เหมือนกันที่ซื้อมา หรือผลิตขึ้น ในระหวางงวด ซึ่งวิธีการคํานวณตนทุนถัวเฉลี่ยอาจคํานวณเปนระยะๆ ไปหรือคํานวณทุกครั้งที่ไดรับสินคา ทั้งนี้ ขึ้นอยูกับสถานการณของกิจการ
มูลคาสุทธิที่จะไดรับ 28.
ตนทุนของสินคาคงเหลืออาจจะไมไดรั บคืนถาสินคาคงเหลือเหลานั้นเกิดความเสียหาย หรือเกิดความลาสมัย บางสวนหรือทั้งหมด หรือราคาขายลดลง ตนทุนของสินคาคงเหลืออาจจะไมไดรับคืนหากประมาณการ ตนทุนในการทําตอใหเสร็จหรือประมาณการตนทุนที่เกิดขึ้นเพื่อทําใหสินคาขายไดเพิ่มขึ้น การตีราคา สิน คาคงเหลื อลดลงจากราคาทุน ใหเ ทา กับมูล คาสุ ทธิ ที่จ ะไดรับ สอดคลอ งกั บแนวความคิ ดที่ว า สินทรัพย ไมควรแสดงมูลคาตามบัญชีที่สูงกวามูลคาที่คาดวาจะไดรับจากการขายหรือประโยชนที่ จะไดรับจากการใช
29.
การลดมูลคาของสินคาคงเหลือลงใหเทากับมูลคาสุทธิที่จะไดรั บ มักพิจารณาจากสินคาแตละรายการ แตใน บางสถานการณ อาจพิจารณาจากกลุมสินคาที่มีลักษณะคลายคลึงกันหรือมีความเกี่ยวพันกัน โดยอาจเปนกรณี สินคาที่มีความเกี่ยวของกับสายผลิตภัณฑเดียวกันที่มีวัตถุประสงคหรือการใชประโยชนขั้นสุดทายเหมือนกัน หรือมีการผลิตหรือขายในพื้นที่ทางภูมิศาสตรเดียวกัน และในทางปฏิบัติไมสามารถแยกจากรายการอื่น ในสายผลิตภัณฑเดียวกันได อยางไรก็ดี ถือเปนการไมเหมาะสมที่จะปรับลดมูลคาสินคาลงโดยใชเกณฑ การจัดประเภทของสินคาคงเหลือ เชน สินคาคงเหลือสําเร็จรูป หรือสินคาคงเหลือทุกประเภทในสวนงาน ปฎิบัติการใดสวนงานปฎิบัติการหนึ่ง โดยทั่วไปผูใหบริการมักคํานวณตนทุนแยกตามการใหบริการแต ละงาน ซึ่งใชกําหนดคาบริการตามงานนั้น ดังนั้น ตนทุนสําหรับงานใหบริการใหพิจารณาแยกตามงาน แตละงาน
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 11/14
30.
ประมาณการมูลคาสุทธิที่จะไดรั บใหอางอิงกับ หลัก ฐานเกี่ยวกั บจํ านวนเงินที่คาดวาจะไดรั บจาก สินคาคงเหลือซึ่งเชื่อถือไดมากที่สุดในขณะที่ประมาณมูลคา ประมาณการดังกลาวใหพิจารณาการ เปลี่ยนแปลงของราคาหรือตน ทุนที่เกี่ยวของโดยตรงกับเหตุการณที่เกิดขึ้นภายหลังวันสิ้นงวดซึ่ง ยืนยันวาสถานการณนั้นไดปรากฏอยูแลว ณ วันสิ้นงวด
31.
ในการประมาณมูลคาสุทธิที่จะไดรั บ ใหพิจารณาถึงวัตถุประสงคของกิจการในการถือครองสินคาคงเหลือดวย ตัวอยางเชน มูลคาสุทธิที่จะไดรับของสินคาคงเหลือที่กิจการถือไวเพื่อขายหรือใหบริการตามสัญญา ที่แนนอน ใหถือตามราคาที่กําหนดไวในสัญญานั้น หากจํานวนตามสัญญาการขายนั้นมีนอยกวาปริมาณ สินคาคงเหลือที่ถือครองไว มูลคาสุทธิที่จะไดรับของสินคาคงเหลือสวนที่เกินกวาปริมาณในสัญญา ใหถือตามราคาขายโดยทั่วไป กิจการอาจตองบันทึกประมาณการหนี้สินจากปริมาณสินคาคงเหลือตาม สัญญาขายที่แนนอนสวนที่เกินปริมาณสินคาคงเหลือที่ถือไวหรือที่เกิดจากสัญญาซื้อที่แนนอนของกิจการ ประมาณการหนี้สินดังกลาวใหปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้น และสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น
32.
กิจการตองไมปรับมูลคาวัตถุดิบ หรือวัสดุอื่นที่ถือไวเพื่อใชในการผลิตสินคาใหลดต่ํากวาราคาทุน ถาสินคาสําเร็จรูปที่ผลิตจากวัตถุดิบหรือวัสดุนั้นคาดวาจะขายไดในราคาเทากับหรือสูงกวาราคาทุน อยางไรก็ตาม เมื่อการที่ราคาวัตถุดิ บลดลงเปนขอบงชี้วา ตนทุนของสินคาสําเร็จรูปนั้นสูงกวามูลคาสุทธิ ที่จะไดรับ กิจการตองปรับลดมูลคาวัตถุดิบใหลดลงเทากับมูลคาสุทธิที่ไดรับ ในสถานการณเชนนี้ ตนทุนเปลี่ยนแทนของวัตถุดิบอาจจะเปนมูลคาที่ดีที่สุดในการกําหนดมูลคาสุทธิที่จะไดรับ
33.
กิจการตองประเมินมูลคาสุทธิที่จะไดรับใหมในแตละรอบระยะเวลาถัดไป เมื่อสถานการณที่ทําให มีการปรับลดมูลคาสินคาคงเหลือใหต่ํากวาราคาทุน หมดไป หรือเมื่อมีหลักฐานที่ชัดเจนวามูลคา สุทธิที่จะไดรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสถานการณทางเศรษฐกิจ ใหกิจการบันทึกกลับ รายการ ปรับลดมูลคาของสินคาคงเหลือ (ไดไมเกินจํานวนของมูลคาที่ปรับลดเดิม) เพื่อใหมูลคาตาม บัญชีใหมแสดงมูลคาด วยราคาทุนหรือมูลคาสุทธิที่จ ะไดรับที่ปรับปรุงใหมแลวแตจํานวนใดจะต่ํา กวา ตัวอยางของกรณีนี้ เชน การที่สินคาคงเหลือรายการหนึ่งยกมาในงวดบัญชีถัดมาดวยมูลคาสุทธิที่จะ ไดรับเนื่องจากราคาขายลดลง และยังไมไดขายออกไปแตตอมาราคาขายไดเพิ่มขึ้น
การรับรูเปนคาใชจาย 34.
เมื่อมีการขายสินคาคงเหลือออกไป มูลคาตามบัญชีของสินคานั้นตองรับรูเปนคาใชจายในงวดที่มี การรับรูรายไดที่เกี่ยวของ มูลคาที่ลดลงของสินคาคงเหลือเนื่องจากการปรับมูลคาใหเทากับ มูลคาสุทธิที่จะไดรับ รวมทั้งผลขาดทุนทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินคาคงเหลือตองบันทึกเปนคาใชจาย ในงวดที่ปรับมูลคาสินคาใหลดลงหรือมีผลขาดทุนเกิดขึ้น จํานวนที่เกิดจากการกลับรายการปรับลด มูลค าสินคาคงเหลือที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของมูลคาสุทธิที่จ ะไดรับตองรับรูโดยนําไปหักจาก มูลคาของสินคาคงเหลือที่รับรูเปนคาใชจายในงวดบัญชีที่มีการกลับรายการดังกลาว
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 12/14
35.
สินคาบางสวนอาจถูกปนสวนไปยังบัญชีสินทรัพยอื่น เชน สินคาที่ใชเปนสวนประกอบของที่ดิน อาคาร และอุปกรณที่สรางขึ้นเอง สินคาคงเหลือที่ปนสวนไปยังสินทรัพยประเภทอื่นในลักษณะนี้ใหรับรู เปนคาใชจายตามอายุการใหประโยชนของสินทรัพยนั้น
การเปดเผยขอมูล 36.
กิจการตองเปดเผยขอมูลทุกขอตอไปนี้ในงบการเงิน 36.1 นโยบายการบัญชีที่ใชในการวัดมูลคาสินคาคงเหลือ และวิธีที่ใชคํานวณราคาทุน 36.2 มูลคาตามบัญ ชีรวมของสินคาคงเหลื อและมู ลค าตามบั ญชี ของสินคาคงเหลื อแตละ ประเภทจําแนกตามความเหมาะสมของแตละกิจการ 36.3 มูลคาตามบัญชีของสินคาคงเหลือที่แสดงดวยมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย 36.4 มูลคาของสินคาคงเหลือที่รับรูเปนคาใชจายในงวดบัญชีนั้น 36.5 มู ล ค า ของสิ น ค า คงเหลื อ ที่ ป รั บ ลดลงที่ รั บ รู เ ป น ค า ใช จ า ยในงวดบั ญ ชี นั้ น ตาม ขอกําหนดในยอหนาที่ 34 36.6 มูลคาการกลับรายการปรับลดมูลคาสินคาคงเหลือ ซึ่งกิจการรับรูโดยนําไปหักจากมูลคา ของสินคาคงเหลือที่รับรูเปนคาใชจายในงวดบัญชีตามขอกําหนดในยอหนาที่ 34 36.7 เหตุ ก ารณ ห รื อ สถานการณ ที่ ทํ า ให มี ก ารกลั บ รายการปรั บ ลดมู ล ค า สิ น ค า ตาม ยอหนาที่ 34 36.8 มูลคาตามบัญชีของสินคาคงเหลือที่ใชเปนหลักประกันหนี้สิน
37.
ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ มู ล ค า ตามบั ญ ชี ข องสิ น ค า คงเหลื อ ที่ จํ า แนกตามประเภทของสิ น ค า ตลอดจน การเปลี่ยนแปลงสินคาคงเหลือประเภทดังกลาวที่เปนประโยชนตอผูใชงบการเงิน โดยทั่วไปสินคาคงเหลือจะถูก จัดประเภทเปนสินคาที่มีไวเพื่อขาย สินคาสําเร็จรูป สินคาระหวางทํา วัตถุดิบและวัสดุการผลิตสําหรับ สินคาคงเหลือของผูใหบริการ อาจแสดงเปนงานระหวางทํา
38.
มูลคาสินคาคงเหลือที่รับรูเปนคาใชจายในระหวางงวด ซึ่งโดยสวนใหญหมายถึงตนทุนขาย ประกอบดวย ตนทุนทั้งหมดที่เกี่ยวของกับการวัดมูลคาของสินคาที่ขายไป และคาใชจายในการผลิตที่ไมจัดสรร และตนทุนการผลิต สวนที่สูญเสียเกินปกติ ในบางสถานการณกิจการอาจมีเหตุผลในการรวมตนทุนอื่นๆ เขาไปดวย เชน ตนทุนในการจัดจําหนายสินคา
39.
บางกิจการรายงานกําไรหรือขาดทุนในรูปแบบที่มีผลใหจํานวนที่เปดเผยแตกตางไปจากตนทุนของสินคา ที่รั บรู เป นคาใชจ ายในระหวางงวด ภายใตรู ปแบบนี้ กิ จการจะนํ าเสนอการวิ เคราะหคาใชจ ายโดยจํ าแนก ตามลักษณะคาใชจาย ในกรณีนี้ กิจการจะเปดเผยตนทุนที่รับรูเปนคา ใชจายสําหรับวัตถุดิบและ วัสดุสิ้นเปลือง ตนทุนแรงงาน และตนทุนอื่นพรอมกับมูลคาการเปลี่ยนแปลงสุทธิของสินคาคงเหลือ สําหรับงวดนั้น
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 13/14
วันถือปฏิบัติ 40.
มาตรฐานการบัญชีนี้ใหถือปฏิบัติกับงบการเงินสําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เ ริ่มในหรือหลั งวัน ที่ 1 มกราคม 2554 เปนตนไป ทั้งนี้ สนับสนุนใหนําไปใชกอนวันถือปฏิบัติ หากกิจการนํามาตรฐาน การบัญชีฉบับนี้ไปถือปฏิบัติสําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มกอนวันที่ 1 มกราคม 2554 กิจการ ตองเปดเผยขอเท็จจริงดังกลาวดวย
การยกเลิกมาตรฐานการบัญชี 41.
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ใหใชแทนมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2550) เรื่อง สินคาคงเหลือ
42.
(ยอหนานี้ไมเกี่ยวของ)
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) หนา 14/14
ภาคผนวก ง มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ คาแถลงการณ์ มาตรฐานการบั ญชี ฉบั บนี้ ได้ ปรั บปรุ งให้ เป็ นไปตามเกณฑ์ท่ีกาหนดขึ้นโดยมาตรฐานการบั ญชี ระหว่ า งประเทศ ฉบั บ ที่ 16 เรื่ อ ง ที่ ดิ น อาคารและอุ ป กรณ์ ซึ่ ง เป็ นการแก้ ไ ขของคณะกรรมการ มาตรฐานการบั ญชี ระหว่ างประเทศที่ส้ ินสุดในวั นที่ 31 ธันวาคม 2551 (IAS 16: Property, Plant and Equipment (Bound volume 2009))
1
สารบัญ ย่อหน้ าที่
บทนา วัตถุประสงค์ ขอบเขต คานิยาม การรับรูร้ ายการ
บทนา 1- บทนา 15 1 2-5 6 7 - 14
ต้นทุนเริม่ แรก ต้นทุนที่เกิดขึ้ นในภายหลัง
11 12 - 14
การวัดมูลค่าเมือ่ รับรูร้ ายการ
15 - 28
ส่วนประกอบของราคาทุน การวัดมูลค่าของราคาทุน
16 - 22 23 - 28
การวัดมูลค่าภายหลังการรับรูร้ ายการ
29 - 66
วิธีราคาทุน วิธีการตีราคาใหม่ ค่าเสือ่ มราคา จานวนที่คดิ ค่าเสื่อมราคาและระยะเวลาการคิดค่าเสื่อมราคา วิธกี ารคิดค่าเสื่อมราคา การด้อยค่า ค่าชดเชยสาหรับการด้อยค่า
30 31 - 42 43 - 62 50 - 59 60 - 62 63 - 64 65 - 66
การตัดรายการ การเปิ ดเผยข้อมูล การถือปฏิบตั ิในช่วงเปลีย่ นแปลง วันถือปฏิบตั ิ การยกเลิกมาตรฐานการบัญชีฉบับเดิม
67 - 72 73 - 79 80 81 – 81จ 82
2
บทนา บทนา 1 มาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บที่ 16 (ปรั บปรุ ง 2552) เรื่ อ ง ที่ดิน อาคารและอุป กรณ์ ใช้ แ ทน มาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 16 (ฉบั บ ที่ 32 เดิม) เรื่ อ ง ที่ดิน อาคารและอุป กรณ์ โดยให้ ถือปฏิบัติกับงบการเงินสาหรั บรอบระยะเวลาบั ญชีท่ีเริ่ มในหรื อหลังวันที่ 1 มกราคม 2554 เป็ นต้ นไป โดยสนับสนุนให้ นามาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มาถือปฏิบัติก่อนวันที่มีผลบังคับใช้
เหตุผลในการปรับปรุงมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) บทนา 2 คณะกรรมการกาหนดมาตรฐานการบัญชี ได้ เห็นสมควรให้ ปรับปรุงมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ฉบับที่ 32 เดิม) เรื่ อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ซึ่ งบั งคับใช้ มาตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2542 เพื่อลดจานวนทางเลือก ความซา้ ซ้ อน และความไม่สอดคล้ องที่เกิดขึ้นภายในมาตรฐาน การบัญชี และเพื่อให้ มีข้อกาหนดเช่นเดียวกับมาตรฐานการบั ญชีระหว่างประเทศ พ.ศ. 2552 ซึ่งได้ มีการปรับปรุงแก้ ไขใหม่ บทนา 3 วัตถุประสงค์หลักในการปรับปรุงมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) นี้ถือเป็ น การปรั บ ปรุ ง ภายใต้ ข อบเขตจ ากั ด โดยก าหนดแนวทางและค าอธิบ ายเพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ แนวปฏิบัติในบางเรื่อง คณะกรรมการไม่ไ ด้ พิจารณาแก้ ไขหลักการพื้นฐานในเรื่องการบัญชี สาหรับที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ตามที่กล่าวถึงในมาตรฐานการบัญชี (ฉบับเดิม)
การเปลีย่ นแปลงทีส่ าคัญ บทนา 4 การเปลี่ยนแปลงที่สาคัญจากมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ฉบับที่ 32 เดิม) สรุปได้ ดังนี้
ขอบเขต บทนา 5 มาตรฐานการบั ญชีฉบับนี้กาหนดให้ กิจการต้ องใช้ หลักการของมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้กับ รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ที่ใช้ ในการพัฒนาหรือรักษาสภาพของ (ก) สินทรัพย์ชีวภาพ และ (ข) สั ม ปทานเหมื อ งแร่ และทรั พ ยากรธรรมชาติ เช่ น น้า มั น ก๊า ซธรรมชาติ และ ทรัพยากรธรรมชาติอ่นื ซึ่งไม่สามารถทดแทนได้
การรับรูร้ ายการ – ต้นทุนที่เกิดขึ้ นในภายหลัง บทนา 6 กิจการต้ องประเมินต้ นทุนทั้งหมดของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์เมื่อเกิดขึ้นตามหลักการ ของการรั บรู้ รายการโดยทั่วไป ต้ นทุ นดังกล่ าวประกอบด้ วยต้ นทุ นเริ่ มแรกเพื่ อให้ ได้ มาหรื อ ก่อสร้ างรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ และต้ นทุนที่เกิดขึ้นในภายหลังเมื่อมีการต่อเติม การ เปลี่ยนแทนส่วนประกอบต่างๆ หรือการซ่อมบารุงสินทรัพย์น้ัน มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ฉบับที่ 32 เดิม) กาหนดหลักการของการรับรู้รายการไว้ 2 ประการ โดยกิจการต้ องนาหลักการ ของการรับรู้รายการประการที่ 2 (มีต้นทุนหรือมูลค่าที่สามารถวัดค่าต้ นทุนของรายการนั้นได้ อย่าง น่าเชื่อถือ) มาถือปฏิบัติกบั ต้ นทุนที่เกิดขึ้นในภายหลัง 3
การวัดมู ลค่าเมื่อรับรูร้ ายการ – ต้นทุนในการรื้ อ การขนย้าย และการบู รณะสภาพ ของสินทรัพย์ บทนา 7 ต้ นทุนของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ รวมถึง ต้ นทุนในการรื้อ การขนย้ าย หรือการบูรณะ สภาพของสินทรัพย์ ซึ่งเป็ นภาระผูกพันของกิจการอันเกิดขึ้นจากการติดตั้งสินทรัพย์ดังกล่าว นอกจากนี้ ต้ นทุนของสินทรัพย์น้ันยังรวมถึงต้ นทุนในการรื้อ การขนย้ าย หรือการบูรณะสภาพ ของสิ น ทรั พ ย์ ซ่ึ งเป็ นภาระผู ก พั น ของกิ จ การที่เ กิด ขึ้ นอัน เป็ นผลจากการใช้ ป ระโยชน์ จ าก สินทรัพย์น้ันในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเพื่อวัตถุประสงค์อ่นื นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ในการผลิต สินค้ าคงเหลือ มาตรฐานการบั ญชี ฉบั บที่ 16 (ฉบับที่ 32 เดิม) กาหนดให้ กิจการรับรู้เฉพาะ ต้ นทุนที่เป็ นผลต่อเนื่องจากการติดตั้งสินทรัพย์เป็ นส่วนหนึ่งของราคาทุน
การวัดมูลค่าเมือ่ รับรูร้ ายการ – รายการแลกเปลีย่ นสินทรัพย์ บทนา 8 กิจการต้ องวัดมูลค่ารายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ซึ่งกิจการได้ รับจากการแลกเปลี่ยนกับ รายการสินทรั พ ย์ท่ีไม่ เป็ นตัวเงิน หรื อแลกเปลี่ ยนกับทั้งรายการสินทรั พย์ท่ีเป็ นตั วเงิ นและ ไม่ เ ป็ นตั ว เงิน ด้ ว ยมู ล ค่ า ยุ ติ ธ รรม เว้ น แต่ กรณี ท่ีการแลกเปลี่ ยนนั้ นไม่ มี เนื้ อหาเชิ งพาณิ ชย์ มาตรฐานการบั ญชี ฉบั บที่ 16 (ฉบับที่ 32 เดิม) กาหนดให้ กิจการต้ องวั ดมู ลค่ า สิน ทรั พย์ ที่ได้ มาด้ วยมูลค่ายุติธรรมเว้ นแต่กรณีท่สี นิ ทรัพย์ท่แี ลกเปลี่ยนเป็ นสินทรัพย์ท่คี ล้ ายคลึงกัน
การวัดมูลค่าภายหลังการรับรูร้ ายการ – วิธีการตีราคาใหม่ บทนา 9 หากกิจการสามารถวัดมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ได้ อย่างน่าเชื่อถือ กิจการอาจแสดงรายการ ที่ดิน อาคารและอุ ปกรณ์ด้วยราคาที่ตีใหม่ โดยราคาที่ตีใหม่ หมายถึ ง มู ลค่ ายุ ติธรรมของ สินทรั พย์ ณ วันที่มีการตีราคาใหม่หักด้ วยค่าเสื่อมราคาสะสมและผลขาดทุนจากการด้ อยค่า สะสมของสินทรัพย์ท่เี กิดขึ้นในภายหลัง การใช้ วิธีการตีราคาใหม่ในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ฉบับที่ 32 เดิม) ไม่ได้ มีเงื่อนไขว่ากิจการสามารถวัดมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ได้ อย่าง น่าเชื่อถือหรือไม่
ค่าเสือ่ มราคา – หน่วยของการวัด บทนา 10 กิ จ การต้ อ งคิ ด ค่ า เสื่ อ มราคาส าหรั บ ส่ ว นประกอบของรายการที่ ดิ น อาคารและอุ ป กรณ์ แต่ละส่วนที่มีนัยสาคัญแยกต่ างหากจากกัน มาตรฐานการบัญชี ฉบั บที่ 16 (ฉบับที่ 32 เดิม) ไม่ได้ กล่าวถึงข้ อกาหนดดังกล่าวอย่างชัดแจ้ ง
ค่าเสือ่ มราคา - จานวนที่คิดค่าเสือ่ มราคา บทนา 11 กิจการต้ องวัดมูลค่าคงเหลือของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ด้วยจานวนที่กิจการคาดว่าจะ ได้ รับในปัจจุบันจากการจาหน่ายสินทรัพย์ประหนึ่งว่าสินทรัพย์มีอายุและสภาพที่คาดว่าจะเป็ น เมื่อสิ้นสุดอายุการให้ ประโยชน์ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ฉบับที่ 32 เดิม) ไม่ได้ ระบุว่า มูลค่าคงเหลือจะต้ องหมายถึงมูลค่าดังกล่าวหรือมูลค่าซึ่งกิจการคาดว่าจะได้ รับในอนาคตจาก สินทรัพย์ ณ วันสิ้นสุดอายุการใช้ งานจริง ปรับปรุงด้ วยผลกระทบของภาวะเงินเฟ้ อ 4
ค่าเสือ่ มราคา – ระยะเวลาในการคิดค่าเสือ่ มราคา บทนา 12 กิจการต้ องเริ่มคิดค่าเสื่อมราคารายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เมื่อสินทรัพย์น้ันพร้ อมที่จะใช้ งาน และยังคงต้ องคิดค่า เสื่อ มราคาต่อไปจนกว่ า กิจการได้ ตัดสินทรั พย์น้ัน ออกจากบั ญชี แม้ ว่า กิจการจะหยุดใช้ งานสินทรัพย์ในรอบระยะเวลาดังกล่าว มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ฉบับ ที่ 32 เดิม) ไม่ได้ กาหนดเวลาเริ่มคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ แต่กาหนดให้ กิจการหยุดคิด ค่าเสื่อมราคาเมื่อกิจการหยุดใช้ งานสินทรัพย์ และถือสินทรัพย์น้ันไว้ เพื่อรอจาหน่าย
การตัดรายการ – วันที่ตดั รายการสินทรัพย์ บทนา 13 กิจการต้ องตัดมู ลค่าตามบั ญชีของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ท่กี ิจการจาหน่ ายออกไป ณ วันที่เป็ นไปตามเงื่อนไขของการขายสินค้ าตามที่กาหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 18 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่ อ ง รายได้ มาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 16 (ฉบั บ ที่ 32 เดิม) ไม่ ไ ด้ กาหนดให้ กิจการใช้ เงื่อนไขดังกล่ าวในการกาหนดวั นที่ตัดมูลค่ าตามบั ญชี ของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ที่ถูกจาหน่าย บทนา 14 กิจการต้ องตัดมู ลค่ าตามบั ญชี ของส่วนประกอบของรายการที่ดิน อาคารและอุ ปกรณ์ หาก กิจ การเปลี่ ยนแทนส่ ว นประกอบดั งกล่ า ว และรวมต้ น ทุ น ในการเปลี่ ยนแทนที่เ กิดขึ้ น เป็ น ส่วนหนึ่งของมูลค่าตามบัญชีของรายการนั้น มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ฉบับที่ 32 เดิม) ไม่ได้ กาหนดให้ ใช้ หลักการตัดรายการข้ างต้ นกับส่วนประกอบที่ได้ เปลี่ยนแทน แต่หลักการรับรู้ รายการสาหรั บ รายจ่ า ยภายหลั งการได้ ม าซึ่ งสิน ทรั พย์ ตามมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 16 (ฉบับที่ 32 เดิม) ห้ ามมิให้ รวมต้ นทุนในการเปลี่ยนแทนเป็ นส่วนหนึ่งของมูลค่าตามบัญชีของ รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์
การตัดรายการ – การจัดประเภทรายการผลกาไร บทนา 15 กิจการต้ องไม่จัดประเภทผลกาไรที่เกิดขึ้นจากการจาหน่ายที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เป็ นรายได้ หลั ก จากการดาเนิ น งาน ซึ่ งมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 16 (ฉบั บ ที่ 32 เดิม) ไม่ ได้ มีการ กาหนดในเรื่องนี้
5
มาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ นี้ ประกอบด้ ว ยย่ อ หน้ า ที่ 1 ถึ ง 82 ทุ ก ย่ อ หน้ า มี ค วามส าคั ญ เท่า กัน และ มาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ นี้ ต้ อ งอ่ า นโดยค านึ ง ถึ ง ข้ อ ก าหนดของแม่ บ ทการบั ญ ชี ในกรณี ท่ีไ ม่ ไ ด้ ใ ห้ แนวปฏิบัติในการเลือกและการใช้ นโยบายการบัญชี ให้ กิจการถือปฏิบัติตามข้ อกาหนดของมาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 8 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง นโยบายการบัญชี การเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชี และข้ อผิดพลาด
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรือ่ ง ทีด่ ิน อาคารและอุปกรณ์ วัตถุประสงค์ 1. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ อกาหนดวิธีปฏิบัติทางบัญชีสาหรั บรายการที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ เพื่อให้ ผ้ ูใช้ งบการเงินจะได้ รับทราบข้ อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของกิจการในรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการลงทุนดังกล่าว ประเด็นหลักในทางบัญชี สาหรับรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ได้ แก่ การรับรู้รายการสินทรัพย์ การกาหนดมูลค่าตามบัญชี การคิดค่าเสื่อมราคา และการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้ อยค่าของสินทรัพย์
ขอบเขต 2. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ ให้ถือปฏิบตั ิกบั การบัญชีสาหรับที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ยกเว้นกรณี ทีม่ าตรฐานการบัญชีฉบับอื่นกาหนดหรืออนุญาตให้ใช้วิธีปฏิบตั ิทางบัญชีทีแ่ ตกต่างไป 3. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ไม่ครอบคลุมถึง 3.1 ที่ดิ น อาคารและอุ ป กรณ์ ที่ จั ด เป็ นประเภทถื อ ไว้ เ พื่ อ ขายตามที่ ก าหนดไว้ ใ นมาตรฐาน การรายงานทางการเงิ น ฉบั บที่ 5 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่ อง สิน ทรั พย์ ไม่ หมุ น เวี ยนที่ถื อ ไว้ เพื่อขายและการดาเนินงานที่ยกเลิก 3.2 สินทรัพย์ชีวภาพที่เกี่ยวข้ องกับกิจกรรมทางการเกษตร (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 41 เรื่อง เกษตรกรรม (เมื่อมีการประกาศใช้ )) 3.3 การรั บ รู้ และวั ด มู ล ค่ า สิ น ทรั พ ย์ ท่ี เ กิ ด จากการส ารวจและการประเมิ น ค่ า (ดู ม าตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 6 เรื่อง การสารวจและประเมินค่าแหล่งทรัพยากรแร่ ) หรือ 3.4 สัมปทานเหมืองแร่ และแหล่งทรัพยากรแร่ เช่น นา้ มัน ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรธรรมชาติ อื่นซึ่งไม่สามารถทดแทนได้ อย่างไรก็ตาม มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ให้ ถือปฏิบัติกับที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ท่ใี ช้ ในการพั ฒนา หรือรักษาสภาพของสินทรัพย์ท่กี ล่าวไว้ ในย่อหน้ าที่ 3.2 ถึง 3.4 ด้ วย
6
4. มาตรฐานการบัญชีฉบับอื่น อาจกาหนดให้ กิจการรับรู้ รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ โดยใช้ วิธีซ่ึง แตกต่างไปจากที่กาหนดไว้ ในมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ ตัวอย่างเช่น มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 17 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญาเช่า กาหนดให้ กิจการพิจารณารั บรู้รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ตามสัญญาเช่าโดยใช้ เกณฑ์การโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนในสินทรัพย์น้ัน อย่างไรก็ตาม ในกรณี ดังกล่าว การปฏิบัติทางบัญชีอ่ ืนๆ ที่เกี่ยวข้ องกับรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์น้ันรวมทั้งการคิด ค่าเสื่อมราคายังคงต้ องถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ 5. กิจการที่เลือกใช้ วิธีราคาทุนสาหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนตามที่กาหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบั บที่ 40 เรื่ อง อสังหาริ มทรั พย์เพื่ อการลงทุน จะต้ องปฏิบัติตามวิธี ราคาทุนตามที่กาหนดไว้ ใน มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้
คานิยาม 6. คาศัพท์ทีใ่ ช้ในมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ มีความหมายโดยเฉพาะ ดังนี้ มูลค่าตามบัญชี
หมายถึง มูลค่าของสินทรัพย์ที่รบั รูห้ ลังจากหักค่าเสื่อมราคาสะสม และผลขาดทุนจากการด้อยค่าสะสมของสินทรัพย์ ราคาทุน หมายถึง จานวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่กิจการจ่ ายไป หรือมู ลค่ ายุติธรรมของสิ่งตอบแทนอื่นที่กิจการมอบให้ เพื่อให้ได้มาซึ่ งสิ นทรัพย์ ณ เวลาที่ไ ด้สิ นทรัพย์น้ นั มา หรื อ ณ เวลาที่ก่อสร้างสินทรัพย์น้ นั หรือหากเป็ นไปได้ ให้รวมถึงจานวนทีแ่ บ่งมาเป็ นราคาทุนของสินทรัพย์ที่รบั รู ้ เมือ่ เริ่มแรกตามที่กาหนดไว้ในมาตรฐานการรายงานทาง การเงินฉบับอื่น เช่ น มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 2 เรือ่ ง การจ่ ายโดยใช้หนุ้ เป็ นเกณฑ์ จานวนทีค่ ิดค่าเสื่อมราคา หมายถึง ราคาทุนของสินทรัพย์หรือมูลค่าอื่นทีใ่ ช้แทนราคาทุนหัก ด้วยมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ ค่าเสื่อมราคา หมายถึง การปันส่วนจานวนทีค่ ิดค่าเสือ่ มราคาของสินทรัพย์อย่าง มีระบบตลอดอายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์น้นั มูลค่าเฉพาะกิจการ หมายถึง มู ล ค่ า ปั จ จุ บ นั ของกระแสเงิ น สดซึ่ ง กิ จ การคาดว่ า จะ ได้รบั จากการใช้ประโยชน์จากสิ นทรัพย์อ ย่างต่ อเนื่อ ง และจากการจ าหน่ า ยสิ น ทรัพ ย์น้ นั เมื่อ สิ้ นอายุ ก ารให้ ประโยชน์หรือที่คาดว่าจะเกิดเมือ่ มีการโอนสินทรัพย์น้นั เพือ่ ชาระหนี้ สิน
7
มูลค่ายุติธรรม
หมายถึง จานวนเงินที่ผูซ้ ื้ อและผูข้ ายตกลงแลกเปลี่ยนสินทรัพย์กนั ในขณะที่ ท้ งั สองฝ่ ายมี ค วามรอบรู แ้ ละเต็ ม ใจในการ แลกเปลี่ยนและสามารถต่ อ รองราคากันได้อ ย่ างเป็ น อิสระในลักษณะของผูท้ ีไ่ ม่มีความเกีย่ วข้องกัน ผลขาดทุนจากการด้อยค่า หมายถึง จานวนของมู ลค่ าตามบัญชี ที่สู งกว่ ามู ลค่ าที่ค าดว่ าจะ ได้รบั คืนของสินทรัพย์ ทีด่ ิน อาคารและอุปกรณ์ หมายถึง สินทรัพย์ทีม่ ีตวั ตนซึ่งเข้าเงือ่ นไขทุกข้อต่อไปนี้ 1) กิ จ การมี ไ ว้เ พื่อ ใช้ป ระโยชน์ใ นการผลิ ต ในการ จาหน่ายสินค้าหรือให้บริการ เพือ่ ให้เช่ า หรือเพือ่ ใช้ ในการบริหารงาน 2) กิจการคาดว่าจะใช้ประโยชน์มากกว่าหนึง่ รอบระยะเวลา มูลค่าทีค่ าดว่าจะได้รับคืน หมายถึง มู ลค่ ายุติธ รรมหักต้นทุนในการขายของสิ นทรัพย์หรื อ หน่วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเงินสด หรือมูลค่าจากการใช้ ของสินทรัพย์น้นั แล้วแต่จานวนใดจะสูงกว่า มูลค่าคงเหลือ หมายถึง จ านวนเงิ นที่กิ จการคาดว่ าจะได้ร ับในปั จจุ บ นั จากการ จาหน่ายสิ นทรัพย์หลังจากหักต้นทุนที่คาดว่ าจะเกิดขึ้ น จากการจาหน่ายสินทรัพย์น้นั หากสินทรัพย์น้ นั มีอายุและ สภาพทีค่ าดว่าจะเป็ น ณ วันสิ้ นสุดอายุการให้ประโยชน์ อายุการให้ประโยชน์ หมายถึง กรณีใดกรณีหนึง่ ต่อไปนี้ 1) ระยะเวลาทีก่ ิจการคาดว่าจะมีสินทรัพย์ไว้ใช้ 2) จ านวนผลผลิ ต หรื อ จ านวนหน่ ว ยในลั ก ษณะอื่ น ทีค่ ล้ายคลึงกันซึ่งกิจการคาดว่าจะได้รบั จากสินทรัพย์
การรับรูร้ ายการ 7. กิจการต้องรับรูต้ น้ ทุนของรายการทีด่ ิน อาคารและอุปกรณ์ เป็ นสินทรัพย์เมือ่ เป็ นไปตามเงือ่ นไข ทุกข้อ ต่อไปนี้ 7.1 มีความเป็ นไปได้ค่อนข้างแน่ทีก่ ิจการจะได้รบั ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากรายการนั้น 7.2 กิจการสามารถวัดมูลค่าต้นทุนของรายการนั้นได้อย่างน่าเชื่อถือ 8. ตามปกติช้ ินส่วนอะไหล่และอุปกรณ์ท่ใี ช้ ในการซ่อมบารุงจะจัดประเภทเป็ นสินค้ าคงเหลือและรับรู้ใน กาไรหรื อขาดทุนเมื่อนามาใช้ อย่างไรก็ตาม ชิ้นส่วนอะไหล่ ท่ีสาคัญและอุปกรณ์ท่ีสารองไว้ ใช้ งาน ถือ เป็ นที่ดิน อาคารและอุ ป กรณ์หากกิจการคาดว่ า จะใช้ ป ระโยชน์ได้ มากกว่ า หนึ่งรอบระยะเวลา ในทานองเดียวกัน หากชิ้ นส่วนอะไหล่ แ ละอุป กรณ์ ท่ีใช้ ในการซ่ อ มบ ารุ งนั้ น จะใช้ ได้ เฉพาะเมื่อ ใช้ 8
ร่ วมกับรายการที่เป็ นที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ กิจการต้ องบันทึกชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์น้ันเป็ น ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 9. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ไม่ได้ กาหนดหน่วยในการวัดเพื่อรับรู้รายการที่เป็ นที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ดังนั้น กิจการต้ องใช้ ดุลยพินิจในการนาเกณฑ์การรับรู้รายการมาประยุกต์ตามสภาพแวดล้ อมหรื อ ลักษณะเฉพาะของกิจการ ในบางกรณีอาจเป็ นการเหมาะสมที่จะนารายการที่ไม่ มีนัยสาคัญหลาย รายการ เช่น เบ้ าหลอม เครื่องมือ และแม่พิมพ์มาบันทึกรวมเป็ นสินทรัพย์รายการเดียว แล้ วประยุกต์ เข้ ากับเกณฑ์การรับรู้รายการเป็ นมูลค่ารวม 10. กิจการต้ องประเมินต้ นทุนทั้งหมดของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์เมื่อเกิดขึ้นตามหลักการรับรู้ รายการต้ นทุนดังกล่ าวประกอบด้ วยต้ นทุนเริ่ มแรกเพื่ อให้ ได้ มาหรื อที่เกิดขึ้นจากการก่อสร้ างที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ และต้ นทุนที่เกิดขึ้นในภายหลังเมื่อมีการต่อเติม การเปลี่ยนแทนส่วนประกอบ หรือการซ่อมบารุงสินทรัพย์ดังกล่าว
ต้นทุนเริม่ แรก 11. กิจการอาจได้ รับรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์มาเพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยหรือ สภาพแวดล้ อม การได้ มาซึ่ งที่ดิน อาคารและอุป กรณ์ ดังกล่ าว แม้ จะไม่ ได้ เป็ นการเพิ่ มประโยชน์ เชิ งเศรษฐกิจในอนาคตโดยตรงให้ กับที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ใดๆ ที่มีอยู่ในปั จจุ บันของกิจการ แต่ อ าจเป็ นสิ น ทรั พ ย์ ท่ีกิ จ การจ าเป็ นต้ อ งมี เ พื่ อ ให้ กิ จ การสามารถได้ รั บ ประโยชน์ เ ชิ ง เศรษฐกิ จ ในอนาคตจากสินทรัพย์อ่นื ของกิจการได้ ดังนั้น การได้ มาซึ่งรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ดังกล่าว จึงเข้ าเกณฑ์การรับรู้รายการเป็ นสินทรัพย์เพราะทาให้ กิจการได้ รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคต จากสิ น ทรั พ ย์ อ่ ื น ที่เ กี่ ย วข้ อ งมากกว่ า กรณี ท่ีกิ จ การไม่ มี สิ น ทรั พ ย์ ดั ง กล่ า ว ตั ว อย่ า งเช่ น โรงงาน ผลิ ต เคมี ภั ณ ฑ์ จ าเป็ นต้ อ งติ ด ตั้ ง เครื่ อ งควบคุ ม ระบบการผลิ ต สารเคมี ใ หม่ เ พื่ อ ให้ เ ป็ นไปตาม ข้ อกาหนดด้ านการรั กษาสิ่งแวดล้ อมในการผลิตและการเก็บรั กษาสารเคมีท่ีเ ป็ นอันตราย กิจการ ต้ องรั บรู้รายการติดตั้งอุปกรณ์เข้ ากับโรงงานครั้ งนี้เป็ นสินทรัพย์ เนื่องจากกิจการไม่สามารถผลิต และขายเคมีภัณฑ์ได้ โดยปราศจากอุปกรณ์ดังกล่ าว อย่างไรก็ตาม กิจการต้ องสอบทานมูลค่าตาม บัญชีของทั้งสินทรัพย์ท่ตี ิดตั้งใหม่และสินทรัพย์ท่เี กี่ยวข้ องถึงการด้ อยค่าที่อาจเกิดขึ้นตามข้ อกาหนด ในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การด้ อยค่าของสินทรัพย์ ด้ วย
ต้นทุนที่เกิดขึ้ นในภายหลัง 12. ภายใต้ เกณฑ์การรับรู้รายการตามย่อหน้ าที่ 7 กิจการต้ องไม่รับรู้ต้นทุนที่เกิดขึ้นในการซ่อมบารุงที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ท่เี กิดขึ้นเป็ นประจาเป็ นส่วนหนึ่งของมูลค่าตามบัญชีของรายการที่ดิน อาคารและ อุปกรณ์น้ัน แต่กจิ การต้ องรับรู้ต้นทุนดังกล่าวในกาไรหรือขาดทุนเมื่อเกิดขึ้น ต้ นทุนในการซ่อมบารุง ที่เ กิดขึ้น เป็ นประจ ามี อ งค์ป ระกอบหลั กเป็ นต้ น ทุ น ค่ าแรงงาน ค่ าวั สดุ ส้ ิน เปลือง และอาจรวมถึง ชิ้นส่วนอะไหล่ ช้ ิน เล็ก รายจ่ ายดังกล่ าวมักมีวัตถุ ประสงค์เพื่ อเป็ น “ค่าซ่ อมแซมและบารุ งรั กษา” รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์
9
13. กิจการอาจจาเป็ นต้ องเปลี่ยนแทนส่วนประกอบของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์บางรายการตาม ระยะเวลาที่กาหนด ตัวอย่างเช่น กิจการจาเป็ นต้ องก่ออิฐบุรอบภายในเตาเผาใหม่หลังจากใช้ งานไป ระยะหนึ่ ง หรื ออาจจาเป็ นต้ องเปลี่ ยนแทนเครื่ องตกแต่ งภายในเครื่ องบิน เช่ น เก้ าอี้และห้ องครั ว หลายครั้งตลอดอายุของลาตัวเครื่องบิน กิจการอาจได้ รับรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์บางรายการ มาเพื่ อ ลดความถี่ ข องการเปลี่ ย นแทนที่จ ะเกิด ขึ้ น เช่ น การเปลี่ ยนแทนผนั งภายในอาคาร หรื อ การเปลี่ ยนไปใช้ ผ นั ง ชนิ ด ที่ไม่ ต้ อ งมี ก ารเปลี่ ย นแทนเกิ ด ขึ้ น อี ก ภายใต้ ห ลั ก การรั บ รู้ ร ายการใน ย่อหน้ าที่ 7 กิจการต้ องรั บรู้ต้นทุนในการเปลี่ยนแทนส่วนประกอบดังกล่ าวเป็ นส่วนหนึ่งของมูลค่า ตามบัญชีของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ท่เี กี่ยวข้ องเมื่อต้ นทุนนั้นเกิดขึ้นและเป็ นไปตามเกณฑ์ การรั บ รู้ รายการ กิจ การต้ อ งตั ด มู ล ค่ า ตามบั ญ ชี ข องชิ้ นส่ ว นที่ถู ก เปลี่ ย นแทนตามหลั ก การของ การตัดรายการที่กาหนดไว้ ในมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ (ดูย่อหน้ าที่ 67 – 72) 14. กิจการอาจจาเป็ นต้ องจัดให้ มีการตรวจสอบครั้งใหญ่ ตามระยะเวลาที่กาหนดเพื่อค้ นหาข้ อผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้น โดยไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแทนชิ้นส่วนใดหรื อไม่ ทั้งนี้ เพื่อให้ รายการที่ดิน อาคารและ อุปกรณ์อยู่ในสภาพที่สามารถใช้ งานได้ อย่างต่อเนื่อง (ตัวอย่างเช่น กรณีของเครื่องบิน) กิจการต้ อง รับรู้ต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการตรวจสอบสภาพครั้งใหญ่แต่ละครั้งเป็ นส่วนหนึ่งของมูลค่าตามบัญชีของ รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์เช่ นเดียวกับกรณีการเปลี่ ยนแทนหากเป็ นไปตามเกณฑ์การรั บ รู้ รายการ กิจการต้ องพิจารณาตัด มูลค่าตามบัญชี ท่คี งเหลื อของต้ นทุนการตรวจสอบสภาพครั้ งใหญ่ ในครั้ งก่ อน (ถือ เป็ นส่วนต่า งหากจากตัวสินทรั พย์ ) ไม่ว่าต้ นทุ นการตรวจสอบในครั้ งก่อนจะถู ก บันทึกไว้ ในรายการบั ญชี เกี่ยวกับการได้ มาหรื อการก่อสร้ างสินทรั พย์หรื อไม่ กต็ าม ในกรณีจาเป็ น กิจการอาจใช้ ประมาณการต้ นทุนการตรวจสอบสภาพในลักษณะคล้ ายคลึงกันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ช่วยในการกาหนดมูลค่าองค์ประกอบของต้ นทุนการตรวจสอบสภาพที่รวมเป็ นส่วนหนึ่งของต้ นทุน สินทรัพย์เมื่อกิจการได้ มาหรือก่อสร้ างสินทรัพย์
การวัดมูลค่าเมือ่ รับรูร้ ายการ 15. กิจการต้อ งวัดมู ล ค่ าของรายการที่ดิน อาคารและอุ ปกรณ์ที่เ ข้าเงื่อ นไขการรับรู ร้ ายการเป็ น สินทรัพย์โดยใช้ราคาทุน
ส่วนประกอบของราคาทุน 16. ราคาทุนของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ประกอบด้ วย 16.1 ราคาซื้อรวมอากรขาเข้ าและภาษีซ้ ือที่เรียกคืนไม่ได้ หลังหักส่วนลดการค้ าและจานวนที่ได้ รับคืน จากผู้ขาย 16.2 ต้ นทุนทางตรงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้ องกับการจั ดหาสินทรั พย์เพื่ อให้ สินทรั พย์น้ันอยู่ในสถานที่และ สภาพที่พร้ อมจะใช้ งานได้ ตามความประสงค์ของฝ่ ายบริหาร 16.3 ต้ นทุนที่ประมาณในเบื้องต้ นสาหรับการรื้อ การขนย้ าย และการบูรณะสถานที่ต้ังของสินทรัพย์ ซึ่งเป็ นภาระผู กพั นของกิจการที่เกิดขึ้นเมื่อกิจการได้ สินทรั พย์น้ันมาหรื อเป็ นผลจากการใช้ 10
สินทรั พย์น้ันในช่ วงเวลาหนึ่งเพื่ อวัตถุประสงค์ต่างๆ ที่มิใช่เพื่ อวัตถุประสงค์ในการผลิตสินค้ า คงเหลือในระหว่างรอบระยะเวลานั้น 17. ตัวอย่างของต้ นทุนทางตรงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้ อง ได้ แก่ 17.1 ต้ น ทุ น ผลประโยชน์ ข องพนั ก งาน (ตามที่ก าหนดในมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 19 เรื่ อ ง ผลประโยชน์ของพนักงาน) ที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการก่อสร้ างหรื อการได้ มาซึ่ งรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 17.2 ต้ นทุนการเตรียมสถานที่ 17.3 ต้ นทุนการขนส่งเริ่มแรกและการเก็บรักษา 17.4 ต้ นทุนการติดตั้งและการประกอบ 17.5 ต้ นทุนในการทดสอบว่ าสินทรั พย์น้ันสามารถใช้ งานได้ อย่างเหมาะสมหรื อไม่ หลังหัก มูลค่า สิ่งตอบแทนสุทธิท่ไี ด้ รับจากการขายรายการต่างๆ ที่ผลิตได้ ในช่วงการเตรียมความพร้ อมของ สินทรั พย์เพื่ อให้ อยู่ ในสถานที่และสภาพที่พร้ อมจะใช้ งานได้ (เช่ น สินค้ าตัวอย่ างที่ผลิ ตขึ้น ในช่วงการทดสอบอุปกรณ์) และ 17.6 ค่าธรรมเนียมวิชาชีพ 18. กิจการต้ องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินค้ าคงเหลือ สาหรับ ต้ น ทุ น ที่เ กิด ขึ้ น จากภาระผู ก พั น ของกิจ การในการรื้ อ การขนย้ า ย และการบู ร ณะสถานที่ต้ั งของ สิน ทรั พ ย์ ซ่ึ ง เกิด ขึ้ นจากการที่กิ จ การใช้ ป ระโยชน์ จ ากสิน ทรั พย์ น้ั น ในการผลิ ต สิน ค้ า คงเหลื อ ใน ช่ วงเวลาหนึ่ง สาหรั บภาระผู กพั นจากต้ นทุ นที่เกิดขึ้นตามมาตรฐานการบั ญชี ฉบั บที่ 2 (ปรั บปรุ ง 2552) เรื่อง สินค้ าคงเหลือ หรือตามมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ นั้น กิจการต้ องรับรู้และวัดมูลค่าตาม ข้ อกาหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบั บที่ 37 (ปรั บปรุง 2552) เรื่ อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่ อาจเกิดขึ้น และสินทรัพย์ท่อี าจเกิดขึ้น 19. ตัวอย่างของต้ นทุนที่ไม่ถือเป็ นส่วนหนึ่งในราคาทุนของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ได้ แก่ 19.1 ต้ นทุนในการเปิ ดสถานประกอบการใหม่ 19.2 ต้ นทุนในการแนะนาสินค้ าหรือบริการใหม่ (รวมถึงต้ นทุนในการโฆษณาและการส่งเสริมการขาย) 19.3 ต้ น ทุ น ในการดาเนิ น ธุ ร กิจ ในสถานที่ต้ั งใหม่ หรื อ กับ ลู ก ค้ า กลุ่ มใหม่ (รวมทั้งต้ น ทุ น ในการ ฝึ กอบรมพนักงาน) และ 19.4 ต้ นทุนในการบริหารและค่าใช้ จ่ายทั่วไป
11
20. การรับรู้ต้นทุนที่เกิดขึ้นเป็ นส่วนหนึ่งของมูลค่าตามบัญชีของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จะสิ้นสุดเมื่อ สินทรัพย์น้ันอยู่ในสถานที่และสภาพที่พร้ อมจะใช้ งานได้ ตามความประสงค์ของผู้บริหารกิจการ ดังนั้น ต้ นทุนที่เกิดขึ้นจากการใช้ ประโยชน์หรือการนาสินทรัพย์มาใช้ สาหรับวัตถุประสงค์ท่แี ตกต่างจากเดิม จึงไม่รวมเป็ นส่วนหนึ่งของมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ ตัวอย่างของต้ นทุนที่ไม่ถือเป็ นส่วนหนึ่งของ มูลค่าตามบัญชีของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ได้ แก่ 20.1 ต้ น ทุ น ที่เ กิดขึ้ นในขณะที่สิ น ทรั พ ย์ อ ยู่ ในสภาพที่พ ร้ อ มจะใช้ งานได้ ตามความประสงค์ ของ ผู้บริหารกิจการ แต่ยังไม่ได้ นาสินทรัพย์มาใช้ หรือนาสินทรัพย์มาใช้ ในการดาเนินงานในระดับ ที่ยังไม่เต็มกาลังการผลิต 20.2 ผลขาดทุนจากการดาเนินงานเริ่มแรก เช่น ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นระหว่างการสร้ างความต้ องการ ในผลผลิตจากสินทรัพย์ดังกล่าว และ 20.3 ต้ นทุนในการย้ ายสถานที่หรือการจัดโครงสร้ างการดาเนินงานบางส่วนหรือทั้งหมดของกิจการใหม่ 21. กิจการอาจดาเนิ นการบางอย่ างเพื่ อ การก่อ สร้ า งหรื อการพั ฒนารายการที่ดิน อาคารและอุป กรณ์ แต่ ไ ม่ จ าเป็ นต่ อ การท าให้ สิ น ทรั พ ย์ ดั ง กล่ า วอยู่ ใ นสถานที่ แ ละสภาพที่ พ ร้ อมจะใช้ ง านได้ ต าม ความประสงค์ของฝ่ ายบริหาร การดาเนินการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นก่อนหรือระหว่างกิจกรรมการก่อสร้ าง หรื อการพั ฒนานั้น ตัวอย่างเช่ น กิจการอาจมีรายได้ จากการให้ เช่ าสถานที่ท่จี ะใช้ ก่อสร้ างอาคารใน อนาคตเป็ นที่จ อดรถจนกว่ าการก่ อสร้ า งอาคารจะเริ่ มต้ นขึ้ น ทั้งนี้ การจั ดให้ สถานที่ดังกล่ า วเป็ น ที่เช่าจอดรถไม่ใช่กิจกรรมที่จาเป็ นต่อการทาให้ สินทรัพย์อยู่ในสถานที่และสภาพที่พร้ อมจะใช้ งานได้ ตามความประสงค์ ของผู้ บ ริ หารกิจ การ ดั งนั้ น กิจ การต้ อ งรั บ รู้ รายได้ แ ละค่ า ใช้ จ่ า ยที่เ กิดขึ้ น จาก การดาเนินงานดังกล่าวในกาไรหรือขาดทุน โดยจัดประเภทเป็ นรายได้ และค่าใช้ จ่ายที่เกี่ยวข้ อง 22. กิจการต้ องวัดมูลค่าต้ นทุนของสินทรั พย์ท่ีกิจการสร้ างขึ้นโดยใช้ หลั กการเดียวกับการวัดมู ลค่ าต้ นทุน ของสินทรั พย์ท่กี ิจการได้ มา หากกิจการผลิตสินทรั พย์ท่คี ล้ ายกันออกขายในการดาเนินธุรกิจตามปกติ ต้ นทุนของสินทรัพย์ท่สี ร้ างเองมักเท่ากับต้ นทุนของสินค้ าที่ผลิตเพื่อขาย (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรั บปรุง 2552) เรื่ อง สินค้ าคงเหลือ) ดังนั้ น ต้ นทุ นของสินทรั พย์ต้องไม่รวมกาไรที่เกิดขึ้นภายใน กิจการ ในทานองเดียวกัน ต้ นทุนวัตถุดิบ ค่าแรงหรือทรัพยากรอื่นที่สูญเสียเกินกว่าปกติในการก่อสร้ าง สินทรั พย์ดังกล่ าวไม่ ให้ น ามารวมเป็ นราคาทุ นของสินทรั พ ย์ ท่ีสร้ างขึ้ นใช้ เอง การรั บรู้ ดอกเบี้ ยเป็ น ส่วนหนึ่งของมูลค่าตามบัญชีของสินทรั พย์ท่สี ร้ างขึ้นใช้ เองต้ องเป็ นไปตามเกณฑ์ท่กี าหนดในมาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 23 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ต้ นทุนการกู้ยืม
การวัดมูลค่าของราคาทุน 23. ต้ นทุนของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ คือ ราคาเทียบเท่าเงินสด ณ วันที่รับรู้รายการ หากมีการ ขยายกาหนดการชาระเงินออกไปนานกว่าปกติ กิจการต้ องบันทึกผลต่างระหว่างราคาเทียบเท่าเงินสด และจานวนเงินทั้งหมดที่ต้องชาระเป็ นดอกเบี้ยตลอดระยะเวลาการได้ รับสินเชื่อนั้น เว้ นแต่กิจการรับรู้ ดอกเบี้ยดังกล่าวเป็ นส่วนหนึ่งของมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ตามข้ อกาหนดของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 23 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ต้ นทุนการกู้ยืม 12
24. กิจการอาจได้ รับรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์จากการแลกเปลี่ยนกับรายการสินทรั พย์ท่ไี ม่เป็ น ตัวเงินหรือแลกเปลี่ยนกับทั้งรายการสินทรั พย์ท่ีเป็ นตัวเงินและไม่เป็ นตัวเงิน ข้ อพิจารณาที่จะกล่ าว ต่อไปนี้เป็ นข้ อพิ จารณาสาหรั บกรณีการแลกเปลี่ ยนสินทรั พย์ท่ไี ม่ เป็ นตัวเงินกับสินทรั พย์ท่ไี ม่เป็ น ตัวเงินอื่น อย่างไรก็ตาม กิจการสามารถประยุกต์ใช้ ข้อพิจารณาดังกล่ าวกับการแลกเปลี่ยนทุกกรณี ที่กล่ าวไว้ ได้ กิจการต้ องวั ดมู ลค่าต้ นทุ นของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ที่ได้ รับจากการแลกเปลี่ ยน ดังกล่าวด้ วยมูลค่ายุติธรรม ยกเว้ นในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ 24.1 รายการแลกเปลี่ยนขาดเนื้อหาเชิงพาณิชย์ 24.2 กิจการไม่สามารถวัดมูลค่ายุติธรรมทั้งของสินทรัพย์ท่ไี ด้ มาและสินทรั พย์ท่นี าไปแลกได้ อย่าง น่าเชื่อถือ กิจการต้ องวัดมูลค่ารายการสินทรั พย์ท่ไี ด้ มาตามแนวทางนี้ ถึงแม้ ว่ากิจการจะไม่สามารถตัดรายการ สินทรัพย์ท่นี าไปแลกเปลี่ยนได้ ในทันที หากสินทรั พย์ท่ไี ด้ มาไม่ได้ วัดด้ วยมูลค่ายุติธรรม กิจการต้ อง วัดมูลค่าสินทรัพย์น้ันโดยใช้ มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ท่นี าไปแลกเปลี่ยน 25. ในการกาหนดว่ารายการแลกเปลี่ยนมีเนื้อหาเชิงพาณิชย์หรื อไม่ ให้ กิจการพิจารณาจากขอบเขตของ กระแสเงินสดในอนาคตที่คาดว่ าจะมีการเปลี่ ยนแปลงอันเป็ นผลมาจากรายการดังกล่ าว รายการ แลกเปลี่ยนจะมีเนื้อหาเชิงพาณิชย์หากเข้ าเงื่อนไขดังต่อไปนี้ 25.1 ลักษณะ (ความเสี่ยง จังหวะเวลา และจานวนเงิน) ของกระแสเงินสดที่ได้ รับจากสินทรั พย์ แตกต่างจากลักษณะของกระแสเงินสดของสินทรัพย์ท่นี าไปแลกเปลี่ยน หรือ 25.2 รายการแลกเปลี่ยนทาให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าเฉพาะกิจการในส่วนของการดาเนินงาน ที่ถูกกระทบจากการแลกเปลี่ยน และ 25.3 ความแตกต่ า งในย่ อ หน้ า ที่ 25.1 หรื อ 25.2 มีนั ยส าคั ญ เมื่ อเทีย บกับ มู ลค่ า ยุ ติธ รรมของ สินทรัพย์ท่แี ลกเปลี่ยน เพื่ อ วั ตถุ ป ระสงค์ ในการพิ จ ารณาว่ า การแลกเปลี่ ยนใดเป็ นการแลกเปลี่ ยนที่มี เนื้ อหาเชิ งพาณิ ช ย์ กิจการต้ องพิจารณามูลค่าเฉพาะกิจการในส่วนของการดาเนินงานที่ถูกกระทบจากการแลกเปลี่ยนจาก กระแสเงินสดหลังหักภาษี ผลของการวิเคราะห์ดังกล่ าวอาจเห็นได้ ชัดเจนโดยกิจการไม่จาเป็ นต้ อง คานวณอย่างละเอียด 26. ในการวัดมูลค่ายุติธรรมของสินทรั พย์ท่ไี ม่มีรายการในตลาดที่เทียบเคียงได้ จะถือว่ ากิจการสามารถ วัดมูลค่ายุติธรรมได้ อย่างน่าเชื่อถือ หากเข้ าเงื่อนไขข้ อใดข้ อหนึ่งดังต่อไปนี้ 26.1 ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญในช่ วงของประมาณการมูลค่ายุติธรรมที่สมเหตุสมผลของ สินทรัพย์น้ัน 26.2 สามารถประเมินความน่าจะเป็ นของประมาณการมูลค่ายุติธรรม ณ ระดับต่างๆ ในช่ วงของ ประมาณการได้ อย่างสมเหตุสมผลเพื่อใช้ ในการประมาณมูลค่ายุติธรรม
13
หากกิจการสามารถก าหนดมู ลค่ ายุ ติธรรมของสินทรั พย์ ท่ีได้ มาหรื อสินทรั พย์ ท่ีน าไปแลกเปลี่ ยนได้ อย่างน่าเชื่อถือ กิจการต้ องวัดมูลค่าต้ นทุนของสินทรัพย์ท่ไี ด้ มาด้ วยมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ท่นี าไป แลกเปลี่ยน เว้ นแต่กรณีท่มี ูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ท่ไี ด้ มานั้นมีหลักฐานสนับสนุนที่ชัดเจนกว่า 27. ต้ นทุนของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ท่ถี ือครองโดยผู้เช่าภายใต้ สญ ั ญาเช่าการเงินให้ เป็ นไปตาม ข้ อกาหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 17 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญาเช่า 28. มูลค่าตามบัญชีของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ อาจลดลงเนื่องจากกิจการได้ รับเงินอุดหนุนจาก รัฐบาล ในกรณีดังกล่าวให้ ปฏิบัติตามข้ อกาหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 20 (ปรับปรุง 2552) เรื่ อง การบั ญ ชี สาหรั บเงิน อุดหนุ นจากรั ฐบาลและการเปิ ดเผยข้ อมู ลเกี่ยวกับ ความช่ ว ยเหลื อจาก รัฐบาล
การวัดมูลค่าภายหลังการรับรูร้ ายการ 29. กิจการสามารถเลือกใช้นโยบายบัญชีโดยใช้วิธีราคาทุนที่กาหนดไว้ในย่อหน้าที่ 30 หรือวิธีการตี ราคาใหม่ตามที่กาหนดไว้ในย่อหน้าที่ 31 ทั้งนี้ กิจการต้องใช้นโยบายบัญชีเดียวกันสาหรับที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ทุกรายการทีจ่ ดั อยู่ในประเภทเดียวกัน
วิธีราคาทุน 30. ภายหลังจากการรับรูร้ ายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เป็ นสินทรัพย์ กิจการต้องแสดงรายการ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์น้นั ด้วยราคาทุนหักค่าเสื่อมราคาสะสม และผลขาดทุนจากการด้อยค่า สะสมของสินทรัพย์
วิธีการตีราคาใหม่ 31. ภายหลังจากการรับรูร้ ายการทีด่ ิน อาคารและอุปกรณ์ เป็ นสินทรัพย์ หากทีด่ ิน อาคารและอุปกรณ์น้นั สามารถวัด มู ล ค่ า ยุ ติ ธ รรมได้อ ย่ า งน่ า เชื่ อ ถื อ กิ จ การต้อ งแสดงรายการดัง กล่ า วด้ว ยราคา ทีต่ ีใหม่ ซึ่งคือมูลค่ายุติธรรม ณ วันทีม่ ีการตีราคาใหม่หกั ด้วยค่าเสื่อมราคาสะสม และผลขาดทุน จากการด้อยค่าสะสมที่เกิดขึ้ นในภายหลัง กิจการต้องตีราคาสินทรัพย์ใหม่อย่างสมา่ เสมอเพือ่ ให้ แน่ใจว่ ามู ลค่ าตามบัญชี จะไม่แตกต่ างจากมู ลค่ ายุติธรรม ณ วันสิ้ นรอบระยะเวลาการรายงาน อย่างมีสาระสาคัญ 32. มูลค่ายุติธรรมของที่ดินและอาคารจะกาหนดจากการประเมินราคาที่ใช้ หลักฐานที่อ้างอิงจากตลาด โดยปกติจะดาเนินการโดยผู้ประกอบวิชาชีพด้ านการประเมินราคา ตามปกติแล้ วมูลค่ายุติธรรมของ โรงงานและอุปกรณ์ ได้ แก่ ราคาตลาดที่ได้ จากการประเมินราคา 33. หากมู ล ค่ า ยุ ติ ธรรมของสิน ทรั พ ย์ ไม่ สามารถก าหนดจากหลั ก ฐานที่อ้ า งอิงจากตลาดได้ เ นื่ อ งจาก รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์น้ันมีลักษณะเฉพาะและมีการซื้อขายน้ อยมาก เว้ นแต่เป็ นส่วนหนึ่ง ของการขายพร้ อมกับกิจ การที่ดาเนิ น อยู่ กิจการอาจจ าเป็ นต้ องประมาณมู ลค่ า ยุ ติธรรมโดยใช้ วิ ธี รายได้ หรือวิธตี ้ นทุนเปลี่ยนแทนหักค่าเสื่อมราคาสะสม 14
34. ความถี่ในการตีราคาใหม่ข้ ึนอยู่ กับการเปลี่ยนแปลงในมูลค่ ายุติธรรมของรายการที่ดิน อาคารและ อุปกรณ์ท่มี ีการตีราคาใหม่น้ัน ในกรณีท่มี ูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ท่เี คยมีการตีราคาใหม่ต่างไปจาก มูลค่าตามบัญชีอย่างมีสาระสาคัญ กิจการจาเป็ นต้ องตีราคาสินทรัพย์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง มูลค่ายุติธรรม ของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์บางรายการอาจมีความผันผวนและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมี นัยสาคัญจนทาให้ กิจการจาเป็ นต้ องตีราคาใหม่ทุกปี อย่างไรก็ตาม การตีราคาบ่ อยครั้ งไม่จาเป็ น สาหรับรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ท่กี ารเปลี่ยนแปลงไม่มีนัยสาคัญ ในกรณีดังกล่าว การตีราคา ใหม่ทุก 3-5 ปี ถือว่าเพียงพอ 35. เมื่อมีการตีราคาที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ใหม่ กิจการต้ องถือปฏิบัติกับรายการค่าเสื่อมราคาสะสม ของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ณ วันที่ตีราคาใหม่ ตามข้ อใดข้ อหนึ่งดังต่อไปนี้ 35.1 ให้ ปรับค่าเสื่อมราคาสะสมเป็ นสัดส่วนกับการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตามบัญชีก่อนหักค่าเสื่อม ราคาสะสมและผลขาดทุนจากการด้ อยค่าสะสม เพื่ อให้ มูลค่าตามบัญชีหลังการตีราคาใหม่ เท่ากับราคาที่ตีใหม่ของสินทรัพย์น้ัน วิธีน้ ีมักใช้ เมื่อสินทรัพย์ถูกตีราคาใหม่โดยการนาดัชนีมา อ้ างอิงเพื่อกาหนดต้ นทุนเปลี่ยนแทนหักค่าเสื่อมราคาสะสม 35.2 ให้ นาค่าเสื่อมราคาสะสมหักออกจากมูลค่าตามบัญชีก่อนหักค่าเสื่อมราคาสะสมและผลขาดทุน จากการด้ อยค่าสะสม เพื่อให้ มูลค่าสุทธิท่ปี รับใหม่แสดงในราคาที่ตีใหม่ของสินทรัพย์ ซึ่งวิธีน้ ี มักใช้ กบั อาคาร จานวนเงินที่เป็ นผลจากรายการปรั บปรุงอันเกิดจากปรั บยอดค่าเสื่อมราคาสะสมตามสัดส่วนหรื อ การหักค่าเสื่อมราคาสะสมออกจากบัญชีให้ ถือเป็ นส่วนหนึ่งของมูลค่าตามบัญชี ที่เพิ่ มขึ้นหรื อลดลง ซึ่งต้ องถือปฏิบัติตามข้ อกาหนดในย่อหน้ าที่ 39 และ 40 36. หากกิจการเลื อ กตี ราคาที่ดิน อาคารและอุ ปกรณ์รายการใดรายการหนึ่งใหม่ กิจการต้อ งใช้ วิธีการตีราคาใหม่กบั รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ทุกรายการที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกันกับ รายการทีเ่ ลือกตีราคาใหม่ดว้ ย 37. ประเภทของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ หมายถึง กลุ่มของสินทรัพย์ท่มี ีลักษณะและประโยชน์การใช้ งาน ที่คล้ ายคลึงกันต่อการดาเนินงานของกิจการ ตัวอย่างการแบ่งประเภทของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ได้ แก่ 37.1 ที่ดิน 37.2 ที่ดินและอาคาร 37.3 เครื่องจักร 37.4 เรือ 37.5 เครื่องบิน 37.6 ยานพาหนะ 37.7 เครื่องตกแต่งและติดตั้ง 37.8 อุปกรณ์สานักงาน 15
38. ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ทุกรายการที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกันต้ องตีราคาใหม่พร้ อมกัน ทั้งนี้เพื่ อ มิให้ มีการเลื อกตีราคาเฉพาะสินทรั พย์บางรายการ และเพื่ อมิให้ มูลค่ าของสินทรั พย์ท่ีแสดงอยู่ ใน งบการเงินมีท้งั ต้ นทุนและราคาที่ตีใหม่ ณ เวลาแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม กิจการอาจทยอยตีราคา สินทรั พย์ท่ีจัดอยู่ในประเภทเดียวกันได้ หากการตีราคาของสินทรัพย์ประเภทนั้นจะเสร็จสิ้นภายใน ระยะเวลาอันสั้น และราคาของสินทรัพย์ท่ตี ีใหม่แสดงถึงข้ อมูลที่เป็ นปัจจุบัน 39. หากการตีราคาสินทรัพย์ใหม่ทาให้มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์น้นั เพิม่ ขึ้ น กิจการต้องรับรูม้ ูลค่า ตามบัญ ชี ข องสินทรัพย์ที่เ พิ่มขึ้ นจากการตี ราคาใหม่ไ ปยังกาไรขาดทุ นเบ็ดเสร็จอื่น และรับรู ้ จานวนสะสมไปยังส่วนของเจ้าของภายใต้บญ ั ชี “ส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์” อย่างไรก็ตาม กิจการต้องรับรูส้ ่วนเพิม่ จากการตีราคาใหม่นในก ี้ าไรหรือขาดทุนไม่เกินจานวนที่ตีราคาสินทรัพย์ ดังกล่าวลดลงในอดีตและเคยรับรูใ้ นกาไรหรือขาดทุน 40. หากการตีราคาสินทรัพย์ใหม่ทาให้มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์น้นั ลดลง กิจการต้องรับรูม้ ูลค่า ตามบัญชีของสินทรัพย์ที่ลดลงจากการตีราคาใหม่ในกาไรหรือขาดทุน อย่างไรก็ตาม กิจการต้อง นาส่ วนที่ล ดลงจากการตีราคาใหม่ไปรับรู ้ใ นกาไรขาดทุ นเบ็ดเสร็ จอื่น ในจานวนที่ไ ม่เ กินยอด คงเหลือด้านเครดิตที่มีอยู่ในบัญชี “ส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์” ของสินทรัพย์รายการ เดียวกันนั้น โดยการรับรูส้ ่วนทีล่ ดลงในกาไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น จะมีผลทาให้บญ ั ชี “ส่วนเกินทุน จากการตีราคาสินทรัพย์” ทีส่ ะสมอยู่ในส่วนของเจ้าของลดลงตามไปด้วย 41. กิจการต้ องโอนส่ว นเกิน ทุ นข้ า งต้ นจากการตีราคารายการที่ดิน อาคารและอุป กรณ์ ที่แสดงอยู่ ใน ส่วนของเจ้ าของไปยังกาไรสะสมโดยตรงเมื่อกิจการตัดรายการสินทรัพย์น้ัน ส่งผลให้ กิจการต้ องโอน ส่วนเกินทุนทั้งหมดจากการตีราคาสินทรั พย์ ดังกล่ าวไปยังกาไรสะสมเมื่อกิจการจาหน่ ายหรื อเลิกใช้ สินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ในระหว่ างที่กิจการใช้ งานสินทรั พย์ดังกล่ าว กิจการอาจทยอยโอนส่วนเกิน ทุนดังกล่าวไปยังกาไรสะสม ในกรณีน้ ี จานวนของส่วนเกินทุนที่โอนไปยังกาไรสะสม จะเท่ากับผลต่าง ระหว่ างค่ า เสื่อ มราคาที่คานวณจากมู ลค่ าตามบั ญ ชี ของสิน ทรั พ ย์ ท่ีตีร าคาใหม่ กับ ค่ าเสื่อ มราคาที่ คานวณจากราคาทุนเดิมของสินทรั พย์น้ัน การโอนส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรั พย์ไปยังกาไร สะสมต้ องไม่กระทาผ่านกาไรหรือขาดทุน 42. กิจ การต้ อ งรั บ รู้ และเปิ ดเผยรายการผลกระทบทางภาษี ท่ีอ าจเกิดขึ้ นจากการตี ราคาใหม่ สาหรั บ รายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์โดยปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 12 เรื่อง ภาษีเงินได้
ค่าเสือ่ มราคา 43. กิจการต้องคิดค่าเสือ่ มราคาสาหรับส่วนประกอบของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ แต่ละส่วน แยกต่ างหากจากกันเมื่อ ส่ ว นประกอบแต่ ละส่ ว นนั้นมีตน้ ทุ นที่ มีนยั ส าคัญเมื่อ เที ยบกับต้นทุ น ทั้งหมดของสินทรัพย์น้นั 44. กิจการต้ องปันส่วนมูลค่าที่รับรู้เริ่มแรกของรายการที่เป็ นที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ไปยังส่วนประกอบ แต่ละส่วนที่มีนัยสาคัญของสินทรั พย์น้ั นและคิดค่าเสื่อมราคาแยกจากกัน ตัวอย่ างเช่ น กิจการอาจ แยกคิดค่าเสื่อมราคาโครงเครื่องบินและเครื่องยนต์แยกจากกัน ไม่ว่ากิจการจะเป็ นเจ้ าของเครื่องบิน 16
นั้นเองหรือเป็ นเครื่องบินตามสัญญาเช่าการเงิน ในทานองเดียวกัน หากกิจการได้ มาซึ่งรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์และให้ ผ้ ูอ่ ืนเช่าภายใต้ สัญญาเช่ าดาเนินงาน (กิจการเป็ นผู้ให้ เช่า ) อาจเป็ นการ เหมาะสมที่กิจการจะคิดค่ าเสื่อมราคาจากต้ นทุ นของรายการดังกล่ าวแยกต่ างหากจากรายการอื่น เพื่อให้ ราคาทุนของสินทรัพย์ดังกล่าวสะท้ อนถึง ผลทางบวกและลบของอายุของสัญญาเช่าเมื่อเทียบ กับในตลาด 45. หากส่วนประกอบที่มีนัยสาคัญของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ มีอายุการให้ ประโยชน์และใช้ วิธีการคิดค่าเสื่อมราคาเหมือนกับส่วนประกอบอีกส่วนหนึ่งของสินทรัพ ย์รายการเดียวกัน ในกรณี ดังกล่าว กิจการอาจรวมองค์ประกอบดังกล่าวเป็ นกลุ่มเพื่อคิดค่าเสื่อมราคา 46. ในกรณีท่กี จิ การคิดค่าเสื่อมราคาส่วนประกอบบางส่วนของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ แยกจากกัน กิจการต้ องคิ ดค่ าเสื่อมราคาส่ วนประกอบอื่ นๆ ที่เหลื อของสิ นทรั พย์ แยกจากกั นด้ วย ส่ วนที่เหลื อ ประกอบด้ วยส่วนประกอบแต่ละส่วนที่ไม่มีนัยสาคัญ หากกิจการคาดว่าส่วนประกอบต่างๆ จะมีรูปแบบ และอายุ การให้ ประโยชน์ ท่ีแตกต่ างกัน กิจการอาจคิดค่ าเสื่อมราคาของส่ วนประกอบที่เหลื อโดยใช้ วิธีการประมาณซึ่งเป็ นตัวแทนอันเที่ยงธรรมที่สะท้ อนถึงรูปแบบการใช้ ประโยชน์และหรื ออายุการให้ ประโยชน์ของส่วนประกอบดังกล่าว 47. กิจการอาจเลือกคิดค่าเสื่อมราคาส่วนประกอบแต่ละส่วนของสินทรัพย์แยกจากกันแม้ ว่าต้ นทุนของ ส่วนประกอบเหล่านั้นจะไม่มีนัยสาคัญเมื่อเทียบกับต้ นทุนทั้งหมดของสินทรัพย์น้ัน 48. กิจการต้องรับรูค้ ่าเสือ่ มราคาทีเ่ กิดขึ้ นในแต่ละงวดบัญชีในกาไรหรือขาดทุน ยกเว้นกรณีที่ตอ้ งนา ค่าเสือ่ มราคาดังกล่าวไปรวมเป็ นมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์อื่น 49. กิจการต้ องรับรู้ค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นในแต่ละรอบบัญชีในกาไรหรือขาดทุน อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง ประโยชน์ เชิ งเศรษฐกิจ ในอนาคตของสิน ทรั พย์อาจเกิดจากการใช้ สิน ทรั พย์ดังกล่ า วในการผลิ ต สินทรัพย์อ่นื ในกรณีน้ ี ค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ท่เี กิดขึ้นถือเป็ นส่วนหนึ่งในต้ นทุนของสินทรัพย์อ่ นื ดังกล่าวและรวมเป็ นส่วนหนึ่ งของมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์อ่ืนนั้น ตัวอย่างเช่ น ค่าเสื่อมราคา ของโรงงานและอุ ป กรณ์ ใ นการผลิ ต ถื อ เป็ นส่ ว นหนึ่ ง ของต้ น ทุ น แปลงสภาพของสิน ค้ า คงเหลื อ (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินค้ าคงเหลือ) ในทานองเดียวกัน ค่าเสื่อม ราคาของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ท่ใี ช้ ในกิจกรรมการพัฒนาถือเป็ นส่วนหนึ่งในต้ นทุนของสินทรัพย์ ไม่ มีตัวตนที่กิจการรั บรู้ ตามข้ อกาหนดในมาตรฐานการบั ญชี ฉบั บที่ 38 (ปรั บปรุง 2552) เรื่ อง สินทรัพย์ไม่มีตัวตน
จานวนทีค่ ิดค่าเสือ่ มราคาและระยะเวลาการคิดค่าเสือ่ มราคา 50. กิ จ การต้อ งปั น ส่ ว นจ านวนที่คิ ด ค่ า เสื่ อ มราคาของสิ น ทรัพ ย์อ ย่ า งมี ร ะบบตลอดอายุ ก ารให้ ประโยชน์ของสินทรัพย์
17
51. กิ จ การต้อ งทบทวนมู ล ค่ า คงเหลื อ และอายุ ก ารให้ป ระโยชน์ข องสิ น ทรัพ ย์อ ย่ า งน้อ ยที่ สุ ด ทุกสิ้ นรอบปี บัญชี และหากคาดว่ามูลค่าคงเหลือและอายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์แตกต่างไป จากที่ได้ประมาณไว้ กิจการต้องถือว่าการเปลีย่ นแปลงที่เกิดขึ้ นนั้นเป็ นการเปลี่ยนแปลงประมาณการ ทางบัญชี ซึ่งต้องปฏิบตั ิตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 8 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง นโยบายการ บัญชี การเปลีย่ นแปลงประมาณการทางบัญชีและข้อผิดพลาด 52. แม้ ว่า มู ลค่ ายุ ติธรรมของสินทรั พย์จะสูงกว่ ามู ลค่ า ตามบั ญ ชี กิจการยังคงรั บ รู้ค่า เสื่อมราคาต่อไป ตราบเท่าที่มูลค่ าคงเหลื อของสินทรั พย์น้ั นไม่ สูงกว่ ามูลค่าตามบัญชี การซ่ อมแซมและบารุงรั กษา สินทรัพย์ไม่ถือเป็ นเหตุให้ หยุดคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ 53. จานวนที่คิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ต้องเป็ นจานวนเงินหลังหักมูลค่าคงเหลือ ในทางปฏิบัติ มูลค่า คงเหลือของสินทรัพย์มักเป็ นจานวนที่ไม่มีนัยสาคัญ ดังนั้น มูลค่าคงเหลือจึงไม่มีสาระสาคัญในการ คานวณจานวนที่คิดค่าเสื่อมราคา 54. มู ลค่ า คงเหลื อ ของสิน ทรั พ ย์อ าจเพิ่ มขึ้ นจนเท่า กับ หรื อมากกว่ ามู ลค่ า ตามบั ญ ชี ของสิน ทรั พย์น้ั น ในกรณีดังกล่าว ค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์จะมีค่าเท่ากับ ศูนย์ จนกระทั่งมูลค่าคงเหลือลดลงต่ากว่า มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ในภายหลัง 55. การคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์จะเริ่มต้ นเมื่อสินทรัพย์น้ันพร้ อมใช้ งาน เช่น เมื่อสิ นทรัพย์อยู่ใน สถานที่แ ละสภาพที่พร้ อ มจะใช้ งานได้ ตามความประสงค์ของฝ่ ายบริ หาร การคิดค่ าเสื่อมราคาจะ สิ้นสุดเมื่อกิจการตัดรายการสินทรั พย์น้ัน หรือจัดประเภทสินทรัพย์น้ันเป็ นสินทรัพย์ถือไว้ เพื่อขาย (หรือรวมไว้ ในกลุ่มสินทรัพย์ท่จี ะจาหน่ ายซึ่งจัดประเภทเป็ นสินทรัพย์ถือไว้ เพื่อขาย) แล้ วแต่วันใด จะเกิดขึ้นก่อน ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 5 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินทรัพย์ ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้ เพื่ อขายและการดาเนินงานที่ยกเลิก ดังนั้น กิจการไม่อาจหยุดคิดค่าเสื่อมราคา ของสินทรัพย์เมื่อกิจการไม่ได้ ใช้ งานสินทรัพย์น้ัน หรือปลดจากการใช้ งานประจา เว้ นแต่สินทรัพย์น้ัน ได้ คิดค่าเสื่อมราคาหมดแล้ ว อย่างไรก็ตาม หากกิจการใช้ วิธีการคิดค่าเสื่อมราคาตามปริมาณการใช้ ค่าเสื่อมราคาอาจมีค่าเท่ากับศูนย์ได้ เมื่อไม่มีการผลิต 56. โดยหลักการแล้ ว กิจการจะได้ รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากการใช้ สินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่น เช่น ความล้ าสมัยทางเทคนิคหรือทางการพาณิชย์ การชารุดเสียหายที่เกิดขึ้นในขณะที่หยุด ใช้ งานสินทรั พย์ มัก ทาให้ ป ระโยชน์ เชิ งเศรษฐกิจ ที่จะได้ รั บจากสินทรั พย์ น้ั นลดลง ดั งนั้ น ในการ กาหนดอายุการให้ ประโยชน์ของสินทรัพย์ กิจการต้ องคานึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้ 56.1 ประโยชน์ ท่ีคาดว่ าจะได้ รับจากการใช้ สิน ทรั พย์โดยประเมินจากก าลั งการผลิ ตหรื อผลผลิ ต ที่คาดว่าจะได้ จากสินทรัพย์น้ัน 56.2 การช ารุ ด เสีย หายทางกายภาพที่คาดว่ า จะเกิ ดขึ้ น จากปั จ จั ยต่ า งๆ ในการดาเนิ น งาน เช่ น จานวนผลัดในการใช้ และแผนการซ่ อมแซมและบารุงรักษา รวมทั้ง การดูแลและบารุงรักษา สินทรัพย์ในขณะที่หยุดใช้ งานสินทรัพย์ 18
56.3 ความล้ าสมัยทางด้ านเทคนิ คหรื อทางพาณิชย์ซ่ึ งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงหรื อการปรั บปรุ ง การผลิต หรื อเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความต้ องการในสินค้ าหรื อบริการซึ่งเป็ นผลผลิตจาก สินทรัพย์น้ัน 56.4 ข้ อกาหนดทางกฎหมายหรือข้ อจากัดอื่นที่คล้ ายคลึงกันในการใช้ สินทรัพย์ เช่น การสิ้นสุดอายุ ของสัญญาเช่า 57. อายุ ก ารให้ ป ระโยชน์ ของสินทรั พย์ ได้ ถู กนิ ยามในเชิ งอรรถประโยชน์ ท่ีกิจ การคาดว่ า จะได้ รั บจาก สินทรัพย์น้ัน กิจการอาจมีนโยบายบริหารสินทรัพย์โดยการจาหน่ายสินทรัพย์หลังจากใช้ งานสินทรัพย์ ไประยะหนึ่งหรือหลังจากได้ รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากสินทรัพย์แล้ วส่วนหนึ่ง ดังนั้น อายุ การให้ ประโยชน์ ของสินทรั พย์ จึ งอาจสั้นกว่ าอายุ การให้ ประโยชน์ เชิ งเศรษฐกิจ การประมาณ อายุการให้ ประโยชน์ของสินทรัพย์เป็ นการใช้ ดุลยพินิจซึ่งต้ องอาศัยประสบการณ์ของกิจการจากการใช้ สินทรัพย์ท่คี ล้ ายคลึงกัน 58. ที่ดินและอาคารเป็ นสินทรัพย์ท่แี ยกจากกันได้ และบันทึกแยกจากกันแม้ ว่าจะได้ มาพร้ อมกัน ที่ดินจะมี อายุการให้ ประโยชน์ไม่จากัดจึงไม่จาเป็ นต้ องคิดค่าเสื่อมราคา ยกเว้ นในบางกรณี เช่น เหมืองแร่ ท่ที า บนผิวดิน หรื อพื้ นที่ท่ีใช้ สาหรั บการทิ้งขยะ อาคารมีอายุการให้ ประโยชน์ท่ีทราบได้ แน่ นอนจึงเป็ น สินทรั พย์ท่ีเสื่อมสภาพได้ การเพิ่ มขึ้นของมู ลค่ าที่ดินซึ่ งเป็ นที่ต้ังของอาคารไม่ มีผลกระทบต่ อการ กาหนดจานวนที่คิดค่าเสื่อมราคาของอาคาร 59. หากกิจการรวมต้ นทุนในการรื้อถอน การขนย้ าย และการบูรณะสถานที่เป็ นส่วนหนึ่งของต้ นทุนที่ดิน กิจการต้ องคิดค่าเสื่อมราคาสาหรั บต้ นทุนดังกล่ าวตลอดระยะเวลาที่คาดว่ าจะได้ รับประโยชน์จาก ต้ นทุนนั้น ในบางกรณี ที่ดินอาจมีอายุการให้ ประโยชน์จากัด จึงต้ องมีการคิดค่าเสื่อมราคาในลักษณะ ที่สะท้ อนให้ เห็นถึงประโยชน์ท่จี ะได้ รับจากที่ดินดังกล่าว
วิธีการคิดค่าเสือ่ มราคา 60. กิ จ การต้อ งเลื อ กใช้วิ ธี ก ารคิ ด ค่ า เสื่ อ มราคาที่ ส ะท้อ นรู ป แบบของประโยชน์เ ชิ ง เศรษฐกิ จ ในอนาคตทีก่ ิจการคาดว่าจะได้รบั จากสินทรัพย์ 61. กิจการต้องทบทวนวิธีการคิดค่ าเสื่อมราคาของสินทรัพย์อย่างน้อยที่สุดทุกสิ้ นรอบปี บัญชี หาก กิจการพบว่าลักษณะรูปแบบของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจที่คาดว่าจะได้รบั ในอนาคตจากสินทรัพย์น้ นั เปลี่ย นแปลงไปอย่ างมีนยั ส าคัญ กิจ การต้อ งเปลี่ย นวิ ธี การคิ ด ค่ า เสื่อ มราคาเพื่อ สะท้อ นถึง ลักษณะรูปแบบของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถือเป็ น การเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชี ซึ่ งต้องปฏิ บตั ิตามข้อกาหนดของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 8 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง นโยบายการบัญชี การเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชี และข้อผิดพลาด
19
62. กิจการสามารถใช้ วิธกี ารคิดค่าเสื่อมราคาซึ่งมีหลายวิธีปันส่วนจานวนที่คิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ อย่ า งมี ร ะบบตลอดอายุ ก ารให้ ป ระโยชน์ ข องสิน ทรั พ ย์ วิ ธีก ารคิ ด ค่ า เสื่อ มราคามี ห ลายวิ ธี เช่ น วิธีเส้ นตรง วิธียอดคงเหลือลดลง และวิธีจานวนผลผลิต วิธีเส้ นตรงมีผลทาให้ ค่าเสื่อมราคามีจานวน คงที่ตลอดอายุ ก ารให้ ประโยชน์ ของสินทรั พย์หากมู ลค่ า คงเหลื อ ของสิน ทรั พย์น้ั น ไม่ เปลี่ ยนแปลง วิ ธี ย อดคงเหลื อ ลดลงมี ผ ลท าให้ ค่ า เสื่ อ มราคาลดลงตลอดอายุ ก ารให้ ป ระโยชน์ ข องสิ น ทรั พ ย์ วิ ธี จ านวนผลผลิ ตมี ผลท าให้ ค่ า เสื่อ มราคาขึ้ น อยู่ กั บ ประโยชน์ ห รื อ ผลผลิ ต ที่ค าดว่ า จะได้ รั บ จาก สินทรัพย์ กิจการต้ องเลือกใช้ วิธคี ิดค่าเสื่อมราคาที่สะท้ อนรูปแบบของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจที่คาดว่า จะได้ รับในอนาคตของสินทรั พย์อย่างแท้ จริ งและต้ องใช้ อย่างสม่าเสมอในทุกรอบระยะเวลาบัญชี เว้ นแต่รูปแบบของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจที่คาดว่าจะได้ รับในอนาคตจากสินทรัพย์น้ันเปลี่ยนไป
การด้อยค่า 63. กิจ การต้ อ งปฏิบั ติตามมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 36 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่ อง การด้ อ ยค่ า ของ สิน ทรั พ ย์ ในการก าหนดว่ า รายการที่ดิ น อาคารและอุ ป กรณ์ เ กิด การด้ อ ยค่ า หรื อ ไม่ มาตรฐาน การบัญชีฉบับดังกล่าว อธิบายวิธีท่กี ิจการใช้ ในการทบทวนมูลค่าตามบัญชีและวิธีการกาหนดมูลค่าที่ คาดว่าจะได้ รับคืนของสินทรัพย์รวมถึงเวลาที่กจิ การต้ องรับรู้หรือกลับรายการผลขาดทุนจากการด้ อย ค่าของสินทรัพย์น้ัน 64. (ย่อหน้ านี้ไม่ใช้ )
ค่าชดเชยสาหรับการด้อยค่า 65. ค่าชดเชยที่กิจการได้รบั จากบุคคลที่สามสาหรับรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ที่เกิดการด้อยค่า สูญหาย หรือเลิกใช้ตอ้ งนามารวมในกาไรหรือขาดทุนเมือ่ กิจการมีสิทธิได้รบั ค่าชดเชยนั้น 66. การด้ อยค่ า หรื อการสูญเสียของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ รวมถึงสิทธิเรี ยกร้ อ งที่จะได้ รั บ ค่ าชดเชยจากบุ คคลที่สาม และการซื้ อ หรื อ การก่อ สร้ างสินทรั พย์ เพื่ อ การเปลี่ ยนแทนในภายหลั ง ถือเป็ นเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่แยกจากกันและต้ องบันทึกบัญชีแยกจากกัน ดังต่อไปนี้ 66.1 การด้ อยค่ าของรายการที่ดิน อาคารและอุ ปกรณ์ ให้ รั บรู้ ตามมาตรฐานการบั ญชี ฉบั บที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การด้ อยค่าของสินทรัพย์ 66.2 การตัดรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ท่เี ลิกใช้ งาน หรือจาหน่ายไป ให้ ถือปฏิบัติตามมาตรฐาน การบัญชีฉบับนี้ 66.3 ค่าชดเชยที่ได้ รับจากบุคคลที่สามสาหรับรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ที่มีการด้ อยค่า สูญเสีย หรือเลิกใช้ ให้ รับรู้ในการคานวณกาไรหรือขาดทุนเมื่อกิจการมีสทิ ธิได้ รับค่าชดเชยนั้น และ 66.4 ต้ นทุนของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ท่ีเกิดจากการบูรณะ การซื้อ หรื อการก่อสร้ างเพื่ อ เปลี่ยนแทนสินทรัพย์เดิม ให้ ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้
20
การตัดรายการ 67. กิจการต้องตัดรายการมูลค่าตามบัญชีของรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ออกจากบัญชี เมื่อ เข้าเงือ่ นไขข้อใดข้อหนึง่ ดังต่อไปนี้ 67.1 กิจการจาหน่ายสินทรัพย์ 67.2 กิจการคาดว่ าจะไม่ได้รบั ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากการใช้สินทรัพย์หรือจาก การจาหน่ายสินทรัพย์ 68. กิ จ การต้อ งรับ รู ผ้ ลก าไรหรื อ ขาดทุ น ที่เ กิ ด ขึ้ นจากการตัด รายการที่ ดิ น อาคารและอุ ป กรณ์ ในกาไรหรือขาดทุนเมื่อ กิจการตัดรายการสินทรัพย์น้ นั ออกจากบัญชี (ยกเว้นกรณีที่มาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 17 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญาเช่ า กาหนดเป็ นอย่างอื่นในกรณีของการ ขายและเช่ ากลับคืน) ทั้งนี้ กิจการต้องไม่จัดประเภทผลกาไรที่เกิดขึ้ นจากการตัดรายการเป็ น รายได้ 68ก. อย่ างไรก็ตาม หากกิจการมีการขายรายการที่ดิน อาคารและอุ ปกรณ์ท่ีถือไว้ เพื่ อให้ เช่ า ที่เกิดขึ้ น เป็ นปกติและเป็ นไปตามลักษณะการประกอบธุรกิจตามปกติของกิจการ กิจการต้ องโอนสินทรัพย์ ดังกล่ าวไปเป็ นส่วนหนึ่งของสินค้ าคงเหลื อด้ วยมู ลค่าตามบั ญชี ณ วันที่สินทรั พย์ดังกล่าวได้ หยุด การให้ เ ช่ า และถื อ ไว้ เ พื่ อ ขาย โดยเงิ น ที่ได้ รั บ จากการขายสิน ทรั พ ย์ดังกล่ า วต้ อ งรั บ รู้ เ ป็ นรายได้ ซึ่ งเป็ นไปตามมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 18 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่ อง รายได้ ทั้งนี้ มาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 5 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินทรั พย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้ เพื่ อขาย และการดาเนินงานที่ยกเลิก ไม่ได้ ถือปฏิบัติกับสินทรั พย์ท่ถี ือไว้ เพื่อขายตามลักษณะการประกอบ ธุรกิจตามปกติของกิจการซึ่งได้ โอนไปเป็ นสินค้ าคงเหลือ 69. การจ าหน่ า ยรายการที่ดิน อาคารและอุป กรณ์ อาจเกิดขึ้นได้ ในหลายรูป แบบ (เช่ น โดยการขาย โดยการให้ เช่าภายใต้ สญ ั ญาเช่าการเงิน หรือโดยการบริจาค) ในการกาหนดวันที่จาหน่ายรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ให้ ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 18 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง รายได้ สาหรั บ การรั บ รู้ ร ายได้ จ ากการขายสิน ค้ า และในกรณี การจาหน่ า ยสิน ทรั พย์โ ดยการขายและเช่ า กลับคืนให้ ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 17 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญาเช่า 70. ภายใต้ เงื่อนไขการรั บรู้ รายการที่กาหนดในย่ อหน้ าที่ 7 หากกิจการรั บรู้ ต้นทุ นในการเปลี่ ยนแทน ส่วนประกอบของสิน ทรั พ ย์เป็ นส่วนหนึ่ งของมู ล ค่ า ตามบั ญ ชี กิจการต้ อ งตัด มู ลค่ า ตามบั ญ ชี ของ ส่วนประกอบที่ถูกเปลี่ยนแทน โดยไม่คานึงว่ าส่วนประกอบที่ถูกเปลี่ยนแทนนั้นได้ มีการคิดค่าเสื่อม ราคาแยกต่ า งหากจากสิน ทรั พ ย์ น้ั น หรื อ ไม่ หากกิจ การไม่ ส ามารถก าหนดมู ล ค่ า ตามบั ญ ชี ข อง ส่วนประกอบที่ถูกเปลี่ยนแทนได้ ในทางปฏิบัติ กิจการอาจใช้ ต้นทุนในการเปลี่ยนแทนเป็ นตัวบ่งชี้ ถึงต้ น ทุ นของส่ว นประกอบที่ถูก เปลี่ ยนแทนในขณะที่กิจการได้ มาหรื อก่ อสร้ างส่ วนประกอบที่ถู ก เปลี่ยนแทนนั้น
21
71. ผลก าไรหรื อ ขาดทุ นที่เ กิด จากการตัด รายการที่ดิน อาคารและอุ ป กรณ์ คื อ ผลต่ างระหว่ า ง สิง่ ตอบแทนสุทธิทีไ่ ด้รบั จากการจาหน่ายสินทรัพย์กบั มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์น้นั 72. กิจการต้ องรับรู้ส่งิ ตอบแทนที่จะได้ รับจากการจาหน่ายรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เมื่อเริ่มแรก ด้ วยมูลค่ายุติธรรม แต่หากการชาระเงินเกิดขึ้นในภายหลัง ให้ กิจการรับรู้ผลตอบแทนที่จะได้ รับเมื่อ เริ่ มแรกด้ วยมูลค่ าที่เทียบเท่าการขายด้ วยเงินสด และให้ รับรู้ผลต่างระหว่างมูลค่าของสิ่งตอบแทน ที่จะได้ รับชาระกับราคาขายเงินสดเป็ นดอกเบี้ ยรั บตามมาตรฐานการบั ญชี ฉบั บที่ 18 (ปรั บปรุ ง 2552) เรื่อง รายได้ ซึ่งสะท้ อนให้ เห็นถึงผลตอบแทนที่แท้ จริงของสิ่งตอบแทนที่จะได้ รับ
การเปิ ดเผยข้อมูล 73. กิจการต้องเปิ ดเผยรายการต่อไปนี้ ทุกข้อในงบการเงินสาหรับที่ดิน อาคารและอุปกรณ์แต่ละประเภท 73.1 เกณฑ์การวัดมูลค่าทีใ่ ช้กาหนดมูลค่าตามบัญชีก่อนหักค่าเสือ่ มราคาสะสมของสินทรัพย์ 73.2 วิธีการคิดค่าเสือ่ มราคา 73.3 อายุการให้ประโยชน์หรืออัตราค่าเสือ่ มราคาทีใ่ ช้ 73.4 มูลค่าตามบัญชีก่อนหักค่าเสื่อมราคาสะสม ค่าเสื่อมราคาสะสม และผลขาดทุนจากการ ด้อยค่าสะสมของสินทรัพย์ ณ วันต้นงวดและสิ้ นงวด และ 73.5 รายการกระทบยอดของมูลค่าตามบัญชีระหว่างวันต้นงวดถึงวันสิ้ นงวดทีแ่ สดงถึง 73.5.1 มูลค่าของสินทรัพย์ทีเ่ พิม่ ขึ้ น 73.5.2 มู ลค่ าของสินทรัพย์ที่จัดประเภทเป็ นถือไว้เพือ่ ขายหรือรวมไว้ในกลุ่มสินทรัพย์ ที่จัดประเภทเป็ นสินทรัพย์ถือไว้เพือ่ ขาย ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 5 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สิ นทรัพย์ไม่หมุ นเวียนที่ถือไว้เพื่อขายและ การดาเนินงานทีย่ กเลิก และการจาหน่ายอื่นๆ 73.5.3 มูลค่าของสินทรัพย์ทีไ่ ด้มาจากการรวมกิจการ 73.5.4 การเพิม่ ขึ้ นหรือลดลงของสินทรัพย์ซึ่งเป็ นผลมาจากการตีราคาใหม่ตามย่อหน้าที่ 31 39 และ 40 และจากการรับรูห้ รือกลับรายการบัญชีผลขาดทุนจากการด้อยค่า ไปยังกาไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ตามที่กาหนดไว้ในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรือ่ ง การด้อยค่าของสินทรัพย์ 73.5.5 ผลขาดทุนจากการด้อยค่าทีร่ บั รูใ้ นกาไรหรือขาดทุนตามที่กาหนดไว้ในมาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรือ่ ง การด้อยค่าของสินทรัพย์ 73.5.6 การกลับรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าในกาไรหรือขาดทุนตามที่กาหนดไว้ใน มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรือ่ ง การด้อยค่าของสินทรัพย์ 22
73.5.7 ค่าเสือ่ มราคา 73.5.8 ผลต่างสุทธิของอัตราแลกเปลีย่ นที่เกิดจากการแปลงค่างบการเงินจากสกุลเงิน ที่ใช้ในการดาเนินงานเป็ นสกุลเงินที่กิจการใช้เสนอรายงาน รวมถึงการแปลงค่า งบการเงินในต่างประเทศเป็ นสกุลเงินทีก่ ิจการใช้เสนอรายงาน และ 73.5.9 การเปลีย่ นแปลงอื่น 74. กิจการต้องเปิ ดเผยรายการต่อไปนี้ ทุกรายการในงบการเงินด้วย 74.1 จานวนและข้อจากัดในกรรมสิทธิ์ของทีด่ ิน อาคารและอุปกรณ์ทีใ่ ช้เป็ นหลักประกันหนี้ สิน 74.2 จานวนรายจ่ ายทั้งสิ้ นที่รบั รูเ้ ป็ นส่วนหนึง่ ของมูลค่าตามบัญชีของรายการที่ดิน อาคารและ อุปกรณ์จากการก่อสร้าง 74.3 จานวนเงินภาระผูกพันตามสัญญาทีต่ กลงไว้เพือ่ ให้ได้มาซึ่งทีด่ ิน อาคารและอุปกรณ์ และ 74.4 จานวนค่าชดเชยที่ได้รบั จากบุ คคลที่สามสาหรับรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ที่มีการ ด้อยค่ า การสู ญเสีย หรือเลิกใช้ ซึ่ งได้รบั รู ใ้ นกาไรหรือขาดทุน (ยกเว้นกรณีที่ได้เปิ ดเผย รายการดังกล่าวแยกต่างหากแล้วในงบกาไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ) 75. การเลือกวิธกี ารคิดค่าเสื่อมราคาและการประมาณอายุการให้ ประโยชน์ของสินทรัพย์เป็ นเรื่องที่ต้องใช้ ดุลยพินิจ ดังนั้น การเปิ ดเผยวิธกี ารที่ใช้ และอายุการให้ ประโยชน์โดยประมาณหรืออัตราค่าเสื่อมราคา จะให้ ข้อมูลแก่ผ้ ูใช้ งบการเงินเพื่อใช้ ทบทวนนโยบายการบัญชีท่ฝี ่ ายบริหารเลือกใช้ และทาให้ สามารถ เปรี ยบเทียบข้ อ มู ลกับของกิจ การอื่น ได้ และด้ ว ยเหตุผลที่คล้ ายคลึ งกันกิจการต้ องเปิ ดเผยข้ อมู ล ต่อไปนี้ 75.1 ค่าเสื่อมราคา ทั้งนี้ ไม่ว่าค่าเสื่อมราคานั้นจะรับรู้ในกาไรหรือขาดทุนหรือรับรู้เป็ นส่วนหนึ่งของ ต้ นทุนของสินทรัพย์อ่นื ในระหว่างงวด และ 75.2 ค่าเสื่อมราคาสะสม ณ วันสิ้นงวด 76. กิจการต้ องเปิ ดเผยลักษณะและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชีท่มี ีผลกระทบ ในงวดปั จ จุ บั น หรื อ ที่คาดว่ า จะมี ผลกระทบในรอบระยะเวลาต่ อ ไปตามที่ก าหนดไว้ ในมาตรฐาน การบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 8 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่ อ ง นโยบายการบั ญ ชี การเปลี่ ย นแปลงประมาณการ ทางบัญชีและข้ อผิดพลาด การเปิ ดเผยข้ อมูลดังกล่าวสาหรับรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ อาจมี ผลมาจากการเปลี่ยนแปลงประมาณการในเรื่องต่อไปนี้ 76.1 มูลค่าคงเหลือ 76.2 ประมาณการต้ นทุนในการรื้อ การขนย้ าย หรือการบูรณะรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 76.3 อายุการให้ ประโยชน์ 76.4 วิธกี ารคิดค่าเสื่อมราคา 23
77. หากรายการทีด่ ิน อาคารและอุปกรณ์แสดงด้วยราคาที่ตีใหม่ กิจการต้องเปิ ดเผยรายการต่อไปนี้ ทุกรายการในงบการเงิน 77.1 วันทีม่ ีการตีราคาสินทรัพย์ใหม่ 77.2 ข้อเท็จจริงทีว่ ่าผูป้ ระเมินราคาอิสระมีส่วนร่วมในการตีราคาใหม่หรือไม่ 77.3 วิธีการและข้อสมมติทีม่ ีนยั สาคัญทีใ่ ช้ประมาณมูลค่ายุติธรรม 77.4 ขอบเขตในการกาหนดมู ลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์แต่ละรายการว่าเป็ นผลโดยตรงจาก การอ้างอิงราคาซื้ อขายในตลาดซื้ อขายคล่องหรือราคาซื้ อขายในตลาดล่าสุดซึ่งเป็ นการ ซื้ อขายที่สามารถต่อรองราคากันได้อย่างอิ สระในลักษณะของผูท้ ี่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน หรือเป็ นผลจากการใช้เทคนิคอื่นในการวัดมูลค่าเพือ่ ประมาณมูลค่ ายุติธรรม 77.5 สาหรับที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ที่แต่ ละประเภทมีการตีราคาใหม่ให้เปิ ดเผยมู ลค่ าตาม บัญชีทีค่ วรจะรับรูห้ ากสินทรัพย์น้นั แสดงโดยใช้วิธีราคาทุน และ 77.6 ส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ ซึ่งกิจการต้องแสดงให้เห็ นถึงการเปลี่ยนแปลงของ ส่วนเกินทุนดังกล่าวในระหว่างงวด และข้อจากัดในการจ่ ายส่วนเกินทุนนั้นให้กบั ผูถ้ อื หุน้ 78. กิจการต้ องเปิ ดเผยข้ อมู ลเกี่ยวกับรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ท่ีมีการด้ อยค่าตามที่ระบุ ไว้ ใน มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การด้ อยค่าของสินทรัพย์ เพิ่มเติมจากข้ อมูล ที่กาหนดไว้ ในย่อหน้ าที่ 73.5.4 ถึง 73.5.6 79. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้สนับสนุนให้ กิจการเปิ ดเผยข้ อมูลทุกข้ อดังต่อไปนี้เนื่องจากข้ อมูลดังกล่าว เกี่ยวข้ องกับการตัดสินใจของผู้ใช้ งบการเงิน 79.1 มูลค่าตามบัญชีของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ท่กี จิ การหยุดใช้ งานเป็ นการชั่วคราว 79.2 มู ลค่ า ตามบั ญ ชี ก่ อ นหั ก ค่ า เสื่อ มราคาสะสมและผลขาดทุ น จากการด้ อ ยค่ า สะสมของที่ดิ น อาคารและอุปกรณ์ ซึ่งหักค่าเสื่อมราคาเต็มจานวนแล้ วแต่ยังคงใช้ งานอยู่ 79.3 มู ลค่ าตามบั ญ ชี ของที่ดิน อาคารและอุป กรณ์ ซึ่งปลดจากการใช้ งานประจาและยังไม่ได้ จั ด ประเภทเป็ นสินทรัพย์ถือไว้ เพื่อขายตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 5 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้ เพื่อขายและการดาเนินงานที่ยกเลิก และ 79.4 ในกรณีท่ีกิจการเลื อ กใช้ วิ ธีร าคาทุ น ให้ กิจ การเปิ ดเผยมู ลค่ ายุ ติธรรมของที่ดิน อาคารและ อุปกรณ์เมื่อมูลค่ายุติธรรมดังกล่าวแตกต่างจากมูลค่าตามบัญชีอย่างมีสาระสาคัญ
การถือปฏิบตั ิในช่วงเปลีย่ นแปลง 80. การวัด มู ล ค่ า เริ่ ม แรกของรายการที่เ ป็ นที่ดิ น อาคารและอุ ป กรณ์ ซึ่ ง กิ จ การได้ม าจากการ แลกเปลี่ย นสิ น ทรัพ ย์ ตามที่ก าหนดในย่ อ หน้าที่ 24 ถึง 26 ให้ใ ช้วิ ธี เ ปลี่ยนทัน ที เ ป็ นต้น ไป โดยให้กิจการถือปฏิบตั ิเฉพาะกับรายการทีจ่ ะเกิดขึ้ นในอนาคต 24
วันถือปฏิบตั ิ 81. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ให้ ถือปฏิบัติกับงบการเงินสาหรั บรอบระยะเวลาบัญชีท่เี ริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2554 ทั้งนี้ สนับสนุ นให้ นามาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มาถือปฏิบัติก่อนวันที่มีผลบังคับใช้ หากกิจการปฏิบัติ ตามมาตรฐานการบั ญชี ฉบั บนี้ ก่อนวั นที่กาหนด กิจการต้ องเปิ ดเผยข้ อเท็จจริ งนี้ ในหมายเหตุประกอบงบการเงินด้ วย ทั้งนี้ การแยกส่วนประกอบที่มีนัยสาคัญ (การคิดค่าเสื่อมราคา จากต้ นทุ นของรายการที่แยกส่วนประกอบที่มีนัยสาคัญตามที่กาหนดในย่ อหน้ าที่ 44 ถึง 47) และ ต้ นทุนสาหรั บการรื้ อ การขนย้ าย และการบูรณะสถานที่ต้ังของสินทรั พย์ ให้ ปรั บงบการเงินย้ อนหลัง ทั้งนี้ กิจการอาจเลือกวิธเี ปลี่ยนทันทีเป็ นต้ นไปสาหรับการแยกส่วนประกอบที่มีนัยสาคัญของสินทรัพย์ ที่มูลค่ าตามบั ญชี คงเหลื ออยู่ ณ วั นที่ 1 มกราคม 2554 และกิจการต้ องเปิ ดเผยข้ อเท็จจริ งนี้ ใน หมายเหตุประกอบงบการเงิน 81ก. กิจการต้ องถือปฏิบัติตามการแก้ ไขในย่อหน้ าที่ 3 กับงบการเงินสาหรั บรอบระยะเวลาบัญชีท่ีเริ่ มใน หรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2554 เป็ นต้ นไป อย่างไรก็ตาม หากกิจการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 6 เรื่อง การสารวจและประเมินค่าแหล่งทรัพยากรแร่ ก่อนวันถือปฏิบัติ กิจการ ต้ องถือปฏิบัติตามการแก้ ไขในย่อหน้ าที่ 3 ของมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ในรอบระยะเวลาดังกล่าวด้ วย 81ข. มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การนาเสนองบการเงิน ได้ มีการแก้ ไขถ้ อยคา ของมาตรฐานการรายงานทางการเงินทั้งหมด นอกจากนี้ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 (ปรับปรุง 2552) ยังได้ ปรั บปรุงย่อหน้ าที่ 39 40 และ 73.5.4 โดยกิจการต้ องถือปฏิบัติการแก้ ไขดังกล่าว กับงบการเงินสาหรั บรอบระยะเวลาบัญชีท่เี ริ่มในหรื อหลังวันที่ 1 มกราคม 2554 เป็ นต้ นไป หาก กิจการปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 (ปรับปรุง 2552) ก่อนวันถือปฏิบัติ กิจการต้ องนา การแก้ ไขดังกล่าวมาถือปฏิบัติในรอบระยะเวลาดังกล่าวด้ วย 81ค. มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การรวมธุรกิจ ได้ มีการแก้ ไข ย่อหน้ าที่ 44 โดยกิจการต้ องถือปฏิบัติตามการแก้ ไขดังกล่าวกับงบการเงินสาหรับรอบระยะเวลา บั ญ ชี ท่ี เ ริ่ ม ในหรื อ หลั ง วั น ที่ 1 มกราคม 2554 เป็ นต้ น ไป หากกิจ การปฏิบั ติ ต ามมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การรวมธุรกิจ ก่อนวันถือปฏิบัติ กิจการ ต้ องนาการแก้ ไขดังกล่าวมาถือปฏิบัติในรอบระยะเวลาดังกล่าวด้ วย 81ง. ได้ มีการแก้ ไขย่อหน้ าที่ 6 และ 69 และมีการเพิ่มย่อหน้ าที่ 68ก โดยกิจการต้ องนาการแก้ ไขและ เพิ่มเติมดังกล่าวกับงบการเงินสาหรั บรอบระยะเวลาบัญชีท่เี ริ่ มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2554 เป็ นต้ นไป ทั้งนี้ กิจการสามารถนาการแก้ ไขเพิ่มเติมดังกล่าวไปถือปฏิบัติก่อนวันที่มีผลบังคับใช้ ได้ ซึ่งในกรณีน้ ี กิจการต้ องนาการแก้ ไขที่เกี่ยวข้ องในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 7 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง งบกระแสเงินสด มาถือปฏิบัติด้วย และต้ องเปิ ดเผยข้ อเท็จจริงดังกล่าวไว้
25
81จ. ได้ มีก ารแก้ ไขย่ อ หน้ า ที่ 5 โดยกิจ การต้ อ งนาการแก้ ไขดั งกล่ า วไปถื อ ปฏิบั ติโดยวิ ธีเ ปลี่ ยนทัน ที เป็ นต้ นไปกับงบการเงินสาหรั บรอบระยะเวลาบัญชีท่เี ริ่มในหรื อหลังวันที่ 1 มกราคม 2554 ทั้งนี้ กิจการสามารถนาการแก้ ไขดังกล่าวไปถือปฏิบัติก่อนวันที่มีผลบังคับใช้ ได้ แต่ต้องนาย่อหน้ าที่ 8 9 22 48 53 53ก 53ข 54 57 และ 85ข ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 40 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ไปถือปฏิบัติด้วย ซึ่งในกรณีน้ ี กิจการต้ องเปิ ดเผยข้ อเท็จจริงดังกล่าวไว้
การยกเลิกมาตรฐานการบัญชีฉบับเดิม 82. มาตรฐานการบัญชี ฉบับนี้ใช้ แทนมาตรฐานการบัญชี ฉบั บที่ 16 เรื่ อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ (ฉบับที่ 32 เดิม)
26
ภาคผนวก จ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การด้อยค่าของสินทรัพย์
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย คําแถลงการณ มาตรฐานการบัญ ชีฉบั บ นี้เปน ไปตามเกณฑที่กํ า หนดขึ้ นโดยมาตรฐานการบัญ ชีร ะหวางประเทศ ฉบับที่ 36 เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย พ.ศ. 2552 ซึ่งเปนการแกไขของคณะกรรมการมาตรฐานการบัญชี ระหว างประเทศ ที่ สิ้น สุดในวัน ที่ 31 ธัน วาคม 2551 (IAS 36: “Impairment of Assets” (Bound Volume 2009))
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 1/92
สารบัญ ยอหนาที่
บทนํา วัตถุประสงค ขอบเขต คํานิยาม การระบุสินทรัพยที่อาจเกิดการดอยคา การวัดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน
การวัดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการให ประโยชนไมทราบแนนอน มูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย มูลคาจากการใช เกณฑในการประมาณการกระแสเงินสดในอนาคต สวนประกอบของการประมาณการกระแสเงินสดในอนาคต กระแสเงินสดในอนาคตที่เปนเงินตราตางประเทศ อัตราคิดลด
การรับรูรายการและการวัดมูลคาของผลขาดทุนจากการดอยคา หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดและคาความนิยม
บทนํา1–บทนํา18 1 2–5 6 7–17 18-57 24
25-29 30-57 33-38 39-53 54 55–57
58–64 65-108
การกําหนดหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนและ มูลคาตามบัญชีของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสด คาความนิยม การปนสวนคาความนิยมใหกับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด การทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่มีคาความ นิยมรวมอยู ชวงเวลาที่ทําการทดสอบการดอยคา สินทรัพยองคกร ผลขาดทุนจากการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด
96-99 100-103 104–108
การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคา
109-125
การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพยแตละรายการ
66-73 74–103
80-99 80-87 88-90
117-121
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 2/92
การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด
122-123
การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของคาความนิยม
124-125
การเปดเผยขอมูล
126–137
ประมาณการที่ใชในการวัดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยที่ กอใหเกิดเงินสดที่มีคาความนิยม หรือสินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการให ประโยชนที่ไมทราบแนนอนรวมอยู
การปฏิบัติในชวงเปลี่ยนแปลงและวันถือปฏิบัติ การยกเลิกมาตรฐานการบัญชีฉบับเดิม ภาคผนวก
134-137
139–140ง 141
ก
การใชเทคนิคมูลคาปจจุบันในการวัดมูลคาจากการใช
ข
ภาคผนวกนี้ไมเกี่ยวของ
ค
การทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่มี คาความนิยมและสวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุม
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 3/92
มาตรฐานการบัญชี ฉบั บ นี้ประกอบดว ยยอ หนา ที่ 1-141 และภาคผนวก ทุกย อหนามีค วามสํา คัญ เทา กัน และมาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ นี้ ต อ งอ า นโดยคํ า นึ ง ถึ ง ข อ กํ า หนดของแม บ ทการบั ญ ชี ในกรณี ที่ ไ ม ไ ด ใ ห แนวปฏิ บั ติ ในการเลื อกและการใช น โยบายการบั ญ ชี ใหกิ จ การถื อ ปฏิบั ติต ามข อ กํ า หนดของมาตรฐาน การบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 8 (ปรั บ ปรุง 2552) เรื่ อง นโยบายการบั ญ ชี ก ารเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบั ญ ชี และขอผิดพลาด
บทนํา บทนํา 1.
มาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ นี้ ใ ช แ ทนมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 36 (ปรั บ ปรุ ง 2550) เรื่ อ ง การดอยคาของสินทรัพย และตองถือปฏิบัติกับ 1.1
การไดม าซึ่ งค าความนิย มและสิน ทรัพ ยไ มมีตัว ตนจากการรวมธุร กิจ ซึ่ งวันที่ต กลงรวม ธุรกิจเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2551 1.2 สินทรัพยอื่นทั้งหมดสําหรับรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มตนในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2554 ทั้งนี้สนับสนุนใหนําไปใชกอนวันถือปฏิบัติ
บทนํา 2.
(บทนํานี้ไมเกี่ยวของ)
บทนํา 3.
(บทนํานี้ไมเกี่ยวของ)
บทนํา 4.
(บทนํานี้ไมเกี่ยวของ)
สรุปการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ ความถี่ของการทดสอบการดอยคา บทนํา 5.
มาตรฐานการบัญชี ฉบั บที่ 36 เรื่อ ง การดอยคา ของสิน ทรัพย ฉบั บเดิม กํา หนดใหมีการวัดมูล คาที่ค าดวาจะไดรับ คืน ของสิ น ทรัพยเ มื่อมีขอ บงชี้ว าสินทรัพยอาจเกิด การดอ ยค า ขอกํา หนด ดังกลาวยังคงมีอยูในมาตรฐานฉบับนี้ อยางไรก็ดี มาตรฐานฉบับนี้กําหนดให 5.1 วัดมูล คาที่ค าดวาจะไดรับ คืน ของสินทรัพ ยไมมี ตัวตนที่มี อายุก ารใหประโยชนไมทราบ แน น อนทุ ก ปโ ดยไม จํ า เป น ต อ งมี ข อบ งชี้ ว า สิ น ทรั พ ย นั้ น อาจเกิ ด การด อ ยค า หรื อ ไม การคํ านวณมูล คา ที่ค าดวา จะได รับ คืน โดยละเอีย ดครั้ง ลา สุด ที่ก ระทํา ในงวดบั ญชี กอ น อาจนํามาใชในการทดสอบการดอยคาของสินทรัพยนั้นในงวดบัญชีปจจุบัน หากเปนไป ตามเกณฑที่กําหนดไว 5.2 วัด มูล คา ที่ค าดวาจะไดรับคืนของสิน ทรัพยไมมีตั วตนที่ยั งไมพ รอมจะใชงานทุก ปโดย ไมจําเปนตองมีขอบงชี้วาสินทรัพยนั้นอาจเกิดการดอยคา มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 4/92
5.3
ทดสอบการดอยคาของคาความนิยมจากการรวมธุรกิจทุกป
การวัดมูลคาจากการใช บทนํา 6.
มาตรฐานการบัญ ชีฉ บับ นี้กํา หนดใหอ งค ประกอบดั งต อไปนี้จะตองสะทอนอยูใ นการคํา นวณ มูลคาจากการใชของสินทรัพย 6.1 ประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตที่กิจการคาดวาจะไดรับจากสินทรัพย 6.2 การคาดการณเ กี่ยวกั บการเปลี่ยนแปลงที่เป นไปได ในจํา นวนหรือชว งเวลาของกระแส เงินสดในอนาคตเหลานั้น 6.3 มูล ค าของเงิน ตามเวลา ซึ่งสะท อนโดยอั ตราดอกเบี้ ยที่ป ราศจากความเสี่ยงในตลาด ณ เวลาปจจุบัน 6.4 ราคาซึ่งสะทอนความไมแนนอนที่มีอยูในตัวสินทรัพย 6.5 ปจ จัย อื่น เชน สภาพคลอ ง ซึ่งผูที่มีส วนรวมในตลาดจะสะทอนในการวัด มูล คากระแส เงินสดในอนาคตที่กิจการคาดวาจะไดรับจากสินทรัพย มาตรฐานการบั ญ ชีฉ บับ นี้ ยัง กํา หนดใหอ งคป ระกอบขอ 6.2 6.4 และ 6.5 สามารถสะทอ น ในรูปของการปรับปรุงกระแสเงินสดในอนาคตหรือการปรับปรุงอัตราคิดลด
บทนํา 7.
มาตรฐานการบั ญ ชีฉ บั บ นี้ได นํา เอาข อกํ า หนดสํา หรั บ ประมาณการกระแสเงินสดที่ใช ในการ วั ด มู ลค า จากการใช ม าจากมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 36 เรื่ อ ง การด อ ยค า ของสิ น ทรั พ ย ฉบั บ เดิ ม โดยประมาณการดั งกล า วจะต อ งอยู ภ ายใต ข อ สมมติ ที่ สมเหตุ ผ ลและมี ห ลั ก ฐาน สนั บ สนุ น ซึ่ ง แสดงถึ ง ประมาณการที่ ดี ที่ สุ ด ของฝ า ยบริ ห ารเกี่ ย วกั บ สภาวะทางเศรษฐกิ จ ซึ่งจะยังคงอยูตลอดอายุการใหประโยชนที่เหลืออยูของสินทรัพย อยางไรก็ดี มาตรฐานการบัญ ชี ฉบับนี้ไดกําหนดวาฝายบริหาร 7.1 ตองประเมินความสมเหตุผลของขอ สมมติของประมาณการกระแสเงินสดในงวดปจจุบัน โดยการตรวจสอบสาเหตุของความแตกต างระหวางประมาณการกระแสเงินสดในอดี ต และกระแสเงินสดที่เกิดขึ้นจริง 7.2 ตองแนใจวาขอ สมมติข องประมาณการกระแสเงินสดในงวดป จจุบัน เปนไปในแนวทาง เดี ยวกั น กั บ ผลลั พ ธ ที่ เ กิ ด ขึ้ น จริ ง ในอดี ต และได คํ า นึ ง ถึ ง ผลกระทบของเหตุ ก ารณ ที่เกิดขึ้นภายหลังหรือสถานการณที่ไมไดเปนอยูขณะที่เกิดกระแสเงินสดขึ้นจริง
บทนํา 8.
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย ฉบับเดิม กําหนดวาประมาณการ กระแสเงินสดที่ ใชใ นการวัดมูลคา จากการใช ใหอา งอิ งจากงบประมาณหรือประมาณการทาง การเงิน ลา สุด ที่ได รับ อนุ มัติ จากฝา ยบริห าร มาตรฐานการบัญ ชี ฉบับ ที่ 36 (ปรับ ปรุ ง 2552) เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย ไดนําเอาขอกําหนดนี้มาใช แตไดกําหนดไววาประมาณการกระแส มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 5/92
เงิน สดตองไมรวมประมาณการกระแสเงินสดรับหรือประมาณการกระแสเงินสดจายที่คาดวาจะ เกิดขึ้นจากขอใดขอหนึ่งดังตอไปนี้ 8.1 การปรับโครงสรางในอนาคตที่กิจการยังไมตกลงผูกพันเปนที่แนนอน 8.2 การปรับปรุงหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของสินทรัพย บทนํา 9.
แนวทางเพิ่มเติ มของการใชเทคนิ ค มูลค า ปจ จุบั นในการวั ด มูลค า จากการใช สินทรั พย แสดง ในภาคผนวก ก ของมาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ นี้ นอกจากนี้ แนวทางในมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 36 เรื่ อ ง การด อ ยค า ของสิ น ทรั พ ย ฉบั บ เดิ ม ในหั ว ข อ การประมาณอั ต ราคิ ด ลด เมื่อกิจการไมสามารถหาอัตราที่ใชเฉพาะกับสินทรัพยที่กําลังพิจารณาไดจากตลาดโดยตรงไดยาย ไปแสดงในภาคผนวก ก ดวย
การระบุหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด บทนํา 10. มาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ ที่ 36 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่ อ ง การด อ ยค า ของสิ น ทรั พ ย ยัง คงไว ซึ่งขอ กํา หนดมาตรฐานการบั ญชี ฉบับที่ 36 เรื่อ ง การดอยค าของสินทรั พย ฉบับ เดิ ม ในเรื่ อง ที่ ว า กิ จ การตอ งระบุ ใ ห สิ นทรั พ ย หรื อกลุม สิน ทรั พ ยเ ป น หน ว ยสิน ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สด หากสินทรัพยหรือกลุมสิน ทรัพ ยนั้นมีผ ลผลิตที่ มีตลาดซื้ อขายคลองรองรั บ แมว าจะมีการนํ า ผลผลิต บางส ว นหรื อ ทั้ งหมดมาใช ในกิ จ การก็ ตาม อยา งไรก็ ดี มาตรฐานการบั ญ ชีฉ บั บ เดิ ม กํา หนดไววาในสถานการณดังกลา ว กิจ การควรใช ประมาณการที่ดีที่ สุดของฝ ายบริ หารสํ าหรับ ราคาตลาดในอนาคตของสินคา ในการประมาณกระแสเงินสดในอนาคตเพื่อที่ จะกํา หนดมูล คา จากการใชข องหนว ยสิน ทรั พย มาตรฐานการบัญชี ฉบับ ที่ 36 เรื่อ ง การดอ ยคา ของสิ นทรั พย ฉบับเดิมยังกําหนดดวยวาเมื่อกิจการประมาณกระแสเงินสดในอนาคตเพื่อที่จะกําหนดมูลคาจาก การใชของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่เกิดจากการใชสินคานั้น กิจการควรใชประมาณการ ที่ดีที่สุดของฝายบริหารสําหรับราคาตลาดในอนาคตของสินคา มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้กําหนด วาหากกระแสเงินสดรับที่ไดจ ากสินทรัพยหรือหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดไดรับผลกระทบ จากราคาโอนภายใน กิ จการตอ งใชป ระมาณการราคาตลาดในอนาคตที่ดีที่ สุด ของฝ ายบริ หาร ซึ่งเปนราคาที่ ผูซื้ อกับ ผูขายสามารถตอ รองราคากันไดอยางเป นอิสระในลักษณะของผู ที่ไ ม มี ความเกี่ย วข อ งกั น ในขณะที่ ทั้ งสองฝ า ยมี ค วามรอบรู แ ละเต็ ม ใจในการแลกเปลี่ ยน ในการ ประมาณการกระแสเงินสดดังนี้ 10.1 กระแสเงิน สดที่ไ ดรับ ในอนาคตเพื่อกํา หนดมู ลค าจากการใชข องสิน ทรัพยห รือหน วย สินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดนั้น และ 10.2 กระแสเงิน สดที่จะต องจ ายในอนาคตเพื่อกํา หนดมูล ค าจากการใชข องสิ น ทรัพยห รือ หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่ไดรับผลกระทบจากราคาโอนภายใน
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 6/92
การปนสวนคาความนิยมใหหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด บทนํา 11. มาตรฐานการบัญชี ฉบั บเดิม กํ าหนดใหกิจการทดสอบการด อยคา ของคา ความนิยมที่ไดมาจาก การรวมธุรกิจ ซึ่งถือเปนสวนหนึ่งของการทดสอบการดอยคาของหนวยสิน ทรัพยที่กอใหเกิดเงิน สดที่เ กี่ยวของ โดยใชวิธีลางขึ้นบน/บนลงลา ง (‘bottom-up/top-down’ approach) ซึ่งจะสงผล ใหกิจการทดสอบการดอยคาของคาความนิยมโดยการปนสว นมูล คาตามบั ญชีของคาความนิยม ไปยังหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิดเงินสดแตละหนวยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยที่กอใหเ กิดเงิน สดที่เล็กที่สุด ซึ่งกิจ การสามารถป นสวนตามสัดสวนของมูลคาตามบัญ ชีดวยเกณฑที่สมเหตุผล และอยางสม่ําเสมอ มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีขอกําหนดเชนเดียวกันใหกิจการทดสอบการดอย คา ของคาความนิ ยมที่ไดรั บจากการรวมธุรกิจ โดยถือ เปนสวนหนึ่ งของการทดสอบการดอยค า ของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงิน สดที่คาความนิย มดังกลาวเกี่ยวของ อยางไรก็ตามมาตรฐาน การบัญชีฉบับนี้ไดกําหนดอยางชัดเจนวา 11.1 ตั้งแตวันที่ซื้อกิจการที่เปนผูซื้อตองปนสวนคาความนิยมที่เกิดขึ้นจากการรวมธุรกิจ ใหกับ หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด หรือกลุมของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่คาด วาจะไดรับประโยชนที่เพิ่มขึ้นจากผลผนึกของการรวมธุรกิจ ไมวาสินทรัพยอื่นหรือหนี้สิน อื่นของกิ จ การที่ถู ก ซื้ อจะถูกจั ดรวมกั บ หนว ยสิน ทรัพ ยหรื อ กลุม ของหนว ยสิน ทรัพ ย เหลานั้นหรือไมก็ตาม 11.2 สินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดแตละหนวยหรือแตละกลุมของหนวยสินทรัพยที่กิจการไดปน สวนคาความนิยมใหควร 11.2.1 เป นหน ว ยในระดั บ ที่เล็ก ที่ สุดที่ กิจ การใชในการประเมิ นคา ความนิ ยมตาม วัตถุประสงคของการบริหารจัดการภายใน และ 11.2.2 ไม ใหญ เ กิ น กว า ส ว นงานดํ า เนิ น งาน หรื อตามที่ ไ ด กํ าหนดไว ในมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 8 เรื่อง สวนงานดําเนินงาน (เมื่อมีการประกาศใช) บทนํา 12. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ไดกําหนดวา 12.1 หากการปนสวนครั้งแรกของคาความนิยมที่เกิดจากการรวมธุรกิจยังไมแลวเสร็จกอนสิ้น รอบปบัญ ชีที่ มีการรวมธุรกิ จเกิด ขึ้น กิ จการตองดําเนินการปน สวนครั้งแรกนั้ นใหแ ลว เสร็จกอนสิ้นรอบปบัญชีแรก หลังปที่มีการรวมธุรกิจเกิดขึ้น 12.2 เมื่อ กิจ การไดจําหนายการดําเนินงานที่อยูภายใต หนว ยสินทรัพยห รือกลุมของหน วย สินทรัพยซึ่งไดรับการปนสวนคาความนิยม คาความนิย มที่เกี่ยวเนื่องกับการดําเนิน งาน นั้นตอง 12.2.1 รวมอยูในมูลคาตามบัญชีของการดําเนินงานนั้นเมื่อมีการคํานวณผลกําไรหรือ ขาดทุนจากการจําหนาย และ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 7/92
12.2.2 วัดมูลคาโดยคํานวณตามสัดสวนของมูลคาของการดําเนินงานที่ถูกจําหนายกับ มูลคา ของหน วยสิน ทรั พย หรือ กลุมของหน วยสิน ทรั พยที่ กอ ใหเกิด เงินสด ที่ยังคงเหลืออยู นอกจากกิจการจะสามารถแสดงใหเห็น วาการคํานวณโดยใช วิธีอื่นจะสามารถสะทอนให เห็น ถึงมูลคาของคาความนิยมของการดําเนินงาน ที่จําหนายออกไปไดดีกวา 12.3 เมื่อกิ จการปรับโครงสรางการรายงานใหม โดยการปรับโครงสรางดังกลาวส งผลใหมี การ เปลี่ยนแปลงในองคประกอบของหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสด ซึ่งกิจการไดมีการปนสวนคาความนิยมให กิจการควรปนสวนคาความนิยมใหมให สอดคลองกับการเปลี่ยนแปลงดังกลาวดวย โดยการปนสวนใหใชวิ ธีคํ านวณตามสัดสวน ของมูลคาเช นเดี ยวกับที่ใช เมื่อมีการจําหน ายการดําเนินงานภายใต หนวยสิ นทรัพยหรือ กลุมของหนวยสินทรัพยที่ก อใหเกิดเงินสด เว นแต กิจการจะสามารถแสดงใหเห็นวาการ คํานวณโดยใชวิธีอื่นจะสามารถสะทอนใหเห็นถึงมูลคาของคาความนิยมของหนวยสินทรัพย หรือกลุมของหนวยสินทรัพยที่มีการปรับโครงสรางใหมไดดีกวา
ชวงเวลาที่ทําการทดสอบการดอยคาของคาความนิยม บทนํา 13. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้อนุญาตให 13.1 ทําการทดสอบการดอยคาเปนรายปสําหรับหนวยสินทรัพย หรือกลุมของหนวยสินทรัพย ที่กอใหเ กิดเงิน สดที่ ได รับการปนสว นคาความนิย ม โดยทํา การทดสอบการดอ ยค าใน ชวงใดของปก็ได แตจะตองเปนชวงเวลาเดียวกันในแตละป 13.2 สําหรับหนวยสินทรัพย หรือกลุมของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่มีความแตกตาง กัน สามารถทดสอบการดอยคาในชวงเวลาที่ตางกันได อย างไรก็ต าม หากมีค าความนิ ยมบางส วนที่ป นสว นใหแ กห นว ยสิ นทรัพ ยห รือ กลุ มของหนวย สิน ทรัพ ยที่ กอ ให เกิ ดเงิ นสดที่ได มาจากการรวมธุ รกิ จในระหวา งป ปจจุบัน มาตรฐานการบั ญชี ฉบั บ นี้ ไ ด กํา หนดให กิ จ การต อ งทดสอบการด อ ยคา ของหน ว ยสิ น ทรั พย ห รื อ กลุมของหน ว ย สินทรัพยดังกลาวกอนสิ้นปปจจุบันนั้น บทนํา 14. มาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ นี้ ไ ด อ นุ ญ าตให นํ า การคํ า นวณมู ล ค า ที่ ค าดว า จะได รั บ คื น ของ หนวยสินทรัพย หรือกลุมของหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิดเงินสดที่ไดรับการปนสวนคาความนิยม ซึ่งกระทําไวอยา งละเอียดลาสุดในงวดกอ น มาใชในการทดสอบการด อยคาของหนวยสิ นทรัพ ย หรือกลุมของหนวยสินทรัพยนั้นในงวดปจจุบันได หากเปนไปตามเกณฑที่กําหนดไว
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 8/92
การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของคาความนิยม บทนํา 15. มาตรฐานการบัญชี ฉบั บที่ 36 เรื่อง การดอยคาของสิน ทรัพย ฉบับเดิม กําหนดใหกิจการกลับ รายการผลขาดทุนจากการดอ ยคาของคาความนิยมในงวดก อน เมื่อผลขาดทุนจากการดอ ยค า ดังกลา วเกิดขึ้น จากเหตุก ารณภายนอกที่มีลักษณะเฉพาะซึ่ง คาดวาจะไมเกิดขึ้นอีก และในงวด ตอมาเกิดเหตุการณภายนอกซึ่งทําใหผ ลของเหตุก ารณนั้นหายไป มาตรฐานการบัญชี ฉบับนี้ไ ด กําหนดไมใหบันทึกการกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของคาความนิยม
การเปดเผยขอมูล บทนํา 16 มาตรฐานการบั ญชี ฉบั บนี้กํา หนดไว วาหากกิจการไมไ ดทํา การปนสวนคาความนิยมที่ได มาจาก การรวมธุ ร กิ จ ในระหว า งงวดทั้ ง หมดให กั บ หน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สด ณ วั น สิ้ น รอบระยะเวลารายงาน กิจ การต องเปดเผยจํ านวนเงิน ของค าความนิยมที่ไ มไ ดรับ การปน สวน รวมถึงสาเหตุที่ไมไดทําการปนสวนคาความนิยมดังกลาว บทนํา 17 มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้กําหนดใหกิจการตองเปดเผยขอมูลสําหรับหนวยสินทรัพยแ ตละหนวย หรือกลุมของหนวยสินทรัพยแตละกลุมที่กอใหเกิดเงินสด (กลุมของหนวยสินทรัพย) หากมูลคา ตามบัญชีข องคา ความนิยมหรือสินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการใหป ระโยชนไม ทราบแนน อนที่ ปนสวนใหกับหน วยสินทรัพย หรือ กลุมของหนวยสินทรัพ ยนั้นเปน จํานวนเงินที่ มีนัย สําคัญ เมื่อ เปรียบเทียบกับมูลคาตามบัญชีทั้งหมดของคาความนิยมหรือ สินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการให ประโยชนไมทราบแนนอนของทั้งกิ จการ ข อมูลดัง กล าวเปนเรื่อ งที่ เกี่ยวขอ งอยางมากกับขอ สมมติสํ าคัญ ซึ่ง ใชในการวัดมู ลค าที่ คาดวา จะไดรับ คืน ของหนว ยสิ นทรัพ ยห รือกลุ มของหนวย สินทรัพยดังกลาว บทนํา 18. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้กําหนดดวยวากิจการตองเปดเผยขอมูลที่เฉพาะเจาะจงหากกิจการปน สวนมูลคาตามบัญชีทั้งหมดหรือบางสวนของคาความนิยมหรือ สินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการให ประโยชนไมทราบแนนอนไปยังหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดหลายหนวยหรือหลายกลุม และ จํานวนดังกลาวที่ไดรับการปนสวนไปยังหนวยสินทรัพยแตละหนวย หรือกลุมของหนวยสินทรัพย แตละกลุมไมมีนัยสําคัญเมื่อเปรียบเทียบกับยอดคงเหลือทั้งหมดของคาความนิยม หรือสินทรัพย ไม มี ตั ว ตนที่ มี อ ายุ ก ารให ป ระโยชน ไ ม ท ราบแน น อน กิ จ การต อ งเป ด เผยเพิ่ ม เติ ม หากใน สถานการณดังกลาว มูลคาที่คาดวาจะไดรับ คืนของหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสิ นทรัพย เหลา นั้น อยู ภายใต ขอ สมมติที่ สํา คัญ เดียวกั น และมูลคา ตามบัญ ชีร วมของคา ความนิ ยมหรือ สินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการใหประโยชนไมทราบแนนอนที่ปนสวนใหกับหนวยสินทรัพย หรือ กลุมของหนวยสิน ทรัพ ยทั้ งหมดมีนัยสํา คัญ เมื่ อเปรีย บเที ยบกับ มูลคาตามบัญชีทั้ งหมดของค า ความนิยมหรือสินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการใหประโยชนไมทราบแนนอนของกิจการ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 9/92
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย วัตถุประสงค
1.
มาตรฐานการบั ญชีฉบั บนี้มีวัตถุประสงคที่จ ะกําหนดวิธีปฏิบัติทางบัญชี เพื่อใหกิจการปฏิบัติเพื่อ ให เกิดความมั่นใจวากิจการจะไมแสดงมูลคาตามบัญชีของสินทรัพยสูงกวามูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของ สินทรัพยนั้น มูลคาตามบัญชีของสินทรัพยจะสูงกวามูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนหากมูลคาตามบัญชีของ สินทรัพยสูงกวาจํานวนเงินที่คาดวาจะไดรับ คืนจากการใชหรือขายสินทรัพยนั้น ในกรณีดังกลาวถือวา สินทรัพยเกิดการดอยคา และมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้กําหนดให กิจการตองรับรูผลขาดทุนจากการ ดอยคา มาตรฐานการบัญชี ฉบับนี้ยังไดกําหนดถึงการกลับรายการผลขาดทุน จากการดอยคาและการ เปดเผยขอมูล
ขอบเขต 2.
มาตรฐานการบั ญชีฉ บับนี้ใ หถือปฏิบัติกับการบัญ ชีสํ าหรับการดอ ยค าของสินทรัพยทุ กประเภท ยกเวน 2.1 สินคาคงเหลือ (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินคาคงเหลือ) 2.2 สินทรัพยที่เกิดจากสัญ ญากอ สราง (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 11 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญากอสราง) 2.3 ภาษีเงินไดรอการตัดบัญชี (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 12 เรื่อง ภาษีเงินได) 2.4 สินทรัพยที่เ กิด จากผลประโยชนข องพนั กงาน (ดูมาตรฐานการบัญ ชี ฉบับ ที่ 19 เรื่อ ง ผลประโยชนของพนักงาน (เมื่อมีการประกาศใช)) 2.5 สินทรั พย ทางการเงิน ซึ่ งรวมอยู ในขอบเขตของมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บที่ 39 เรื่ อ ง การรับรูและการวัดมูลคาเครื่องมือทางการเงิน (เมื่อมีการประกาศใช)) 2.6 อสั งหาริม ทรั พ ย เ พื่ อ การลงทุ นที่ วั ดมู ล ค า ดว ยมูล ค า ยุ ติ ธ รรม (ดู ม าตรฐานการบั ญ ชี ฉบับที่ 40 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง อสังหาริมทรัพยเพื่อการลงทุน) 2.7 สินทรัพย ชีวภาพที่เ กี่ ยวขอ งกับกิจกรรมทางการเกษตรที่วั ดมูลค า ดว ยมู ลคา ยุ ติธ รรม หัก ตน ทุนในการขาย (ดูม าตรฐานการบัญ ชี ฉบั บที่ 41 เรื่อ ง เกษตรกรรม (เมื่ อมีก าร ประกาศใช)) 2.8 ตน ทุนการไดมารอการตัด บัญชีและสินทรัพยไมมี ตัวตนที่ เกิดจากสิทธิต ามสัญญาของ ผู รับ ประกั นภายใตสั ญ ญาประกันภั ยซึ่ งรวมอยู ใ นขอบเขตของมาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย (เมื่อมีการประกาศใช)) 2.9 สิ นทรั พย ไม หมุน เวี ย นที่ถื อไวเ พื่ อขายและการดํ า เนิน งานที่ย กเลิ ก ซึ่ งถูก จัด ประเภท เปนสินทรัพยที่ถือไวเพื่อ ขายตามมาตรฐานการบัญชีเรื่องสินทรัพยไมห มุนเวียนหรือกลุม มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 10/92
สินทรัพยที่ยกเลิก ที่ถือไวเพื่อ ขาย และการดําเนินงานที่ยกเลิก (ดูมาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 5 (ปรั บปรุง 2552) เรื่อง สินทรัพย ไมห มุน เวียนที่ ถือไวเพื่อ ขาย และการดําเนินงานที่ยกเลิก) 3.
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ไมถือปฏิบัติกับสินคาคงเหลือ สินทรัพยที่เกิดจากสัญญากอสราง สินทรัพย ภาษีเ งินไดรอการตัดบั ญชี สิน ทรัพยที่เกิด จากผลประโยชน ของพนักงานหรือสินทรัพ ยที่จัดประเภท เปนถือไวเพื่อขาย (หรือสินทรัพยที่รวมอยูในกลุมสินทรัพยที่เลิกใชซึ่งถูกจัดประเภทไวเปนสินทรัพย ถือไวเพื่อขาย) เนื่องจากมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่นไดกําหนดการรับรูและการวัดคาสินทรัพยดังกลาว ไวโดยเฉพาะแลว
4.
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ใหถือปฏิบัติกับสินทรัพยทางการเงินที่จัดประเภทเปน 4.1 เงินลงทุนในบริษัทยอยตามคํานิยามที่กํ าหนดไวในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 27 (ปรับปรุ ง 2552) เรื่อง งบการเงินรวมและและงบการเงินเฉพาะกิจการ 4.2 เงิน ลงทุนในบริษัทรวมตามคํานิยามที่กําหนดไวในมาตรฐานการบัญชี ฉบับ ที่ 28 (ปรับ ปรุง 2552) เรื่อง เงินลงทุนในบริษัทรวม 4.3 เงิ น ลงทุ น ในกิ จ การร ว มค า ตามคํ า นิ ย ามที่ กํ า หนดไว ใ นมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 31 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สวนไดเสียในการรวมคา สําหรับการดอยคาของสินทรัพยทางการเงินประเภทอื่นๆ ใหอางอิงจากมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 39 เรื่อง การรับรูและการวัดมูลคาเครื่องมือทางการเงิน
5.
มาตรฐานฉบับนี้ไมถื อปฏิบั ติกั บสินทรัพ ยท างการเงิน ซึ่งรวมอยู ในขอบเขตของมาตรฐานการบัญชี ฉบั บ ที่ 39 เรื่ อ ง การรั บ รู แ ละการวั ด มู ล ค า เครื่ อ งมื อ ทางการเงิ น (เมื่ อ มี ก ารประกาศใช ) หรื อ อสั ง หาริ ม ทรั พ ย เ พื่ อ การลงทุ น ที่ วั ด ค า ด ว ยมู ล ค า ยุ ติ ธ รรม ตามมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 40 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง อสังหาริมทรัพยเพื่อการลงทุน หรือ สินทรัพยชีวภาพที่เกี่ยวของกับกิจกรรม ทางการเกษตรที่วัดมูลคาดวยมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 41 เรื่อง เกษตรกรรม (เมื่อมีการประกาศใช) อยางไรก็ต าม มาตรฐานการบัญชี ฉบับนี้ใหถือ ปฏิบัติกับ สิ น ทรั พ ย ที่ แ สดงมู ล ค า ตามบั ญ ชี ด ว ยราคาที่ ตี ใ หม (ซึ่ ง คื อ มู ล ค า ยุติ ธ รรม) ตามที่ กํ า หนดไว ใ น มาตรฐานการบัญชีฉบับอื่น เชน วิธีราคาที่ตีใหมตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่ อง ที่ดิน อาคารและอุป กรณ (เมื่อ มีก ารประกาศใช ) การกํ าหนดวา สิน ทรั พย ที่ตีราคาใหมนั้ นจะ ดอยคาหรือไมขึ้นอยูกับเกณฑที่ใชในการกําหนดมูลคายุติธรรม ดังตอไปนี้ 5.1
หากกิจการใชราคาตลาดเปนมูลคายุติธรรม สวนตางระหวางมูลคายุติธรรมกับมูลคายุติธรรม หักตนทุนในการขายของสินทรัพยคือ ตนทุนที่เพิ่มขึ้นโดยตรงจากการจําหนายสินทรัพยนั้น 5.1.1 หากตนทุ นจากการจํ าหนายสินทรัพยเปนจํานวนที่ไมมีนั ยสําคัญ มูลคาที่คาดวาจะ ไดรับ คืน ของสินทรัพ ยจ ะมีจํานวนใกลเคียงหรือ สูงกวาราคาที่ตีใ หม (ซึ่งคือมูลค า มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 11/92
5.1.2
5.2
ยุติธรรม) ในกรณีนี้หลังจากที่ไดปฏิบัติตามขอกําหนดของการตีราคาใหม สินทรัพย ที่ตีราคาใหมไมควรเกิดการดอยคาและกิจการไมจําเปนตองประเมินมูลคาที่คาดวา จะไดรับคืนของสินทรัพยนั้น หากตนทุนในการจําหนายสินทรัพยเปนจํานวนที่มีนัยสําคัญ มูลคายุติธรรมหักดวย ตนทุนในการขายของสินทรัพยที่ตีราคาใหมจะมีจํานวนต่ํากวามูลคายุติธรรม ดังนั้น สิน ทรัพยที่ตี ราคาใหม จะเกิ ดการดอ ยคาถา มูล คาจากการใชต่ํา กวาราคาที่ตีใ หม (ซึ่งคือมูลคายุติธรรม) ในกรณีนี้ หลังจากที่ไดปฏิบัติตามขอกําหนดของการตีราคา ใหม กิจการตอ งปฏิบั ติตามข อกํา หนดในมาตรฐานการบัญ ชีฉ บับนี้เพื่ อระบุวา สินทรัพยนั้นเกิดการดอยคาหรือไม
หากกิจการกําหนดมูลคายุติธรรมของสินทรัพยโดยเกณฑอื่นที่ไมใชราคาตลาด ราคาที่ตีใหม (ซึ่งคือมูลคา ยุติธ รรม) อาจสูงหรือต่ํา กวามูลค า ที่ค าดวา จะไดรั บคืน ดัง นั้น หลั งจากที่ไ ด ปฏิบัติตามขอกํา หนดของการตีราคาใหม กิจ การต องปฏิบัติตามขอกําหนดในมาตรฐานการ บัญชีฉบับนี้เพื่อระบุวาสินทรัพยนั้นเกิดการดอยคาหรือไม
คํานิยาม 6.
คําศัพทที่ใชในมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีความหมายโดยเฉพาะ ดังนี้ ตลาดซื้อขายคลอง
หมายถึง
มูลคาตามบัญชี
หมายถึง
หน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให หมายถึง เกิดเงินสด
ตลาดที่มีคุณสมบัติทุกขอดังตอไปนี้ ก) รายการที่ ซื้ อ ขายในตลาดต อ งมี ลั ก ษณะ เหมือนกัน ข) ตองมีผูที่เต็มใจซื้อและขายตลอดเวลา ค) ราคาตองเปนที่เปดเผยตอสาธารณชน ราคาของสิ นทรั พ ยที่รั บรู ใ นงบดุ ล หลั งจากหักค า เสื่ อ มราคาสะสม (หรื อ ค า ตั ด จํ า หน า ยสะสม) และคาเผื่อการดอยคาสะสม สินทรัพยกลุมที่เล็กที่สุดที่สามารถระบุไ ดวาการใช กลุมสินทรัพยดังกลา วอยางตอเนื่อ งจะก อใหเ กิด กระแสเงิน สดรั บ ซึ่งโดยสว นใหญ เ ป นอิ สระจาก กระแสเงินสดรั บที่เ กิ ดจากสินทรัพ ยอื่น หรื อกลุ ม สินทรัพยอื่น
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 12/92
สินทรัพยองคกร
หมายถึง
ตนทุนในการขาย
หมายถึง
จํานวนที่คิดคาเสื่อมราคา หมายถึง คาเสื่อมราคา(หรือคาตั ด หมายถึง จําหนาย)
สิน ทรัพยที่มีสว นทําใหหนวยสินทรัพ ยที่ กอให เกิด เงินสดที่อยูภายใตการพิจารณาและหนวยสินทรัพย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สดอื่ น สามารถก อ ให เ กิ ด กระแส เงินสดไดในอนาคต ทั้งนี้ไมรวมถึงคาความนิยม ตนทุนสวนเพิ่มที่เกี่ยวของโดยตรงกับการจําหนาย สินทรั พยหรือหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิ ดเงิ นสดซึ่ง ไมรวมตนทุนทางการเงินและคาใชจายภาษีเงินได ราคาทุ นของสิน ทรั พยหรื อราคาอื่นที่ ใชแทนราคา ทุนในงบการเงินหักดวยมูลคาคงเหลือ การปนสวนจํานวนที่คิดคาเสื่อมราคาของสินทรัพย อยางมีระบบตลอดอายุการใหประโยชน 1 1
ในกรณีข องสิน ทรัพยไม มีตัวตนจะเรียกวา คาตัดจําหนา ย แทนคําวาคาเสื่อมราคา ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน
มู ลค า ยุติ ธรรมหั ก ต น ทุ น หมายถึง ในการขาย
ผลขาดทุนจากการดอยคา หมายถึง
มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน หมายถึง
อายุการใหประโยชน
หมายถึง
จํา นวนที่จะไดรั บจากการขายสินทรัพ ยห รือหนว ย สิน ทรั พยที่กอ ให เกิดเงินสดหักดว ยตนทุ นจากการ ขายสิ น ทรั พ ย นั้ น โดยที่ ผู ซื้ อ กั บ ผู ข ายสามารถ ตอ รองราคากัน ได อย างเปนอิสระในลักษณะของ ผูที่ ไ ม มีค วามเกี่ ย วข อ งกั น ในขณะที่ทั้ งสองฝ า ย มีความรอบรูและเต็มใจในการแลกเปลี่ยน จํา นวนมูล ค าตามบัญ ชีที่สูงกวามูลคาที่ค าดวาจะ ได รั บ คื น ของสิ น ทรั พ ย หรื อ หน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ กอใหเกิดเงินสด มูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขายของสินทรัพยหรือ หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด หรือมูลคาจากการ ใชของสินทรัพยนั้น แลวแตจํานวนใดจะสูงกวา กรณีใดกรณีหนึ่ง ตอไปนี้ 1) ระยะเวลาที่กิจการคาดวาจะใชประโยชนจาก สินทรัพย 2) จํานวนผลผลิตหรือจํานวนหนวยในลักษณะอื่น ที่ค ลา ยคลึง กัน ซึ่งกิจ การคาดวา จะไดรับ จาก การใชสินทรัพย มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 13/92
มูลคาจากการใช
หมายถึง
มูลคาปจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตที่คาดวา จะไดรับจากการใชสิ นทรัพ ยห รือ หนวยสิ นทรัพยที่ กอใหเกิดเงินสด
การระบุสินทรัพยที่อาจเกิดการดอยคา 7.
กิจการต องกํา หนดมูลคาที่คาดวาจะได รับ คืน ตามยอหนา ที่ 8 ถึ ง 17 คําวา “สินทรัพย ” ที่ร ะบุ ไว ใน ยอหนาดังกลาวใหความหมายครอบคลุมถึงสินทรัพยแตละรายการหรือหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงิน สดสวนที่เหลือของมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีการจัดโครงสรางดังตอไปนี้ 7.1 กิจการตองวัดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนตามขอกําหนดที่ระบุไวในยอหนาที่ 18 ถึง 57 คําวา “สินทรัพย” ที่ระบุในยอหนาดังกลาวใหความหมายครอบคลุมถึงสินทรัพยแตละรายการและ หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด 7.2 กิ จการต องรั บ รูแ ละวั ดมู ลคา ผลขาดทุน จากการด อยคา ของสินทรั พ ยต ามที่ กํา หนดไว ใ น ยอหนา ที่ 58 ถึ ง 108 โดยการรั บ รู แ ละวัด มูล คา ผลขาดทุนจากการดอ ยค า ของสิ นทรัพ ย แต ล ะรายการที่ มิ ใ ชค า ความนิ ยมให ป ฏิบั ติ ตามที่กํ า หนดไว ในยอ หน า ที่ 58 ถึ ง 64 และ การรับ รูและวัดมูลคา ผลขาดทุ นจากการดอ ยค าของหนวยสินทรัพ ยที่ กอ ให เกิด เงิน สดและ คาความนิยมใหปฏิบัติตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 65 ถึง 108 7.3 กิจการตองปฏิบัติต ามขอกํ าหนดที่ระบุไ วในยอหนาที่ 109 ถึง 116 สําหรับการกลับรายการ ผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพยหรือหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่รับรูไปแลวใน งวดบั ญชีกอ นๆ คําว า “สินทรั พย ” ที่ระบุไวในยอหนาดังกล าวให ความหมายครอบคลุมถึ ง สินทรัพ ยแตละรายการหรือ หน วยสินทรัพยที่ กอ ใหเ กิด เงิน สด ขอกํา หนดเพิ่มเติมสําหรั บ สิ น ทรั พ ย แ ต ล ะชนิ ด จะระบุ ใ นยอ หน า ที่ 117 ถึ ง 121 ข อ กํ า หนดเพิ่ ม เติ ม สํา หรั บ หน ว ย สินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดจะระบุในยอหนาที่ 122 ถึง 123 และขอกําหนดเพิ่มเติมสําหรั บ คาความนิยมจะระบุในยอหนาที่ 124 ถึง 125 7.4
8.
กิ จการต องเป ดเผยข อ มู ลเกี่ ยวกั บ ผลขาดทุ นจากการด อยค า และการกลั บ ผลขาดทุ นจาก การด อยค าของสิ นทรั พย และหน วยสิ นทรั พย ที่ ก อให เกิ ดเงินสดตามข อกํ าหนดที่ ระบุ ไว ใน ย อ หน า ที่ 126 ถึ ง 133 ข อ กํ า หนดเพิ่ ม เติ ม สํ า หรั บ การเป ด เผยสํ า หรั บ หน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่กอให เกิ ดเงินสดซึ่งรวมถึ งคาความนิ ยมหรื อสินทรั พย ไมมี ตัวตนที่ มีอายุ การให ประโยชน ที่ ไมทราบแนนอนซึ่งถูกปนสวน สําหรับการทดสอบการดอยคานั้นจะระบุในยอหนาที่ 134 ถึง 137
สินทรัพยจะเกิดการดอยคาก็ตอเมื่อมูลคาตามบัญชีของสินทรัพยนั้นสูงกวามูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน ยอหนาที่ 12-14 ไดระบุขอบงชี้บางประการที่แสดงใหเห็นวาผลขาดทุนจากการดอยคาอาจจะเกิดขึ้น ถามีขอบงชี้ กิจการตองประมาณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพยอยางเปนทางการ ยกเวนกรณี มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 14/92
ที่กลาวไวในยอหนาที่ 10 กิจการไม จําเป นตอ งประมาณมูล คาที่คาดวาจะไดรับ คืนอยางเปน ทางการ หากไมมีขอบงชี้ที่แสดงวาผลขาดทุนจากการดอยคาอาจเกิดขึ้น 9.
ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน กิจการตองประเมินวามีขอ บงชี้ที่ทําใหสินทรัพยอาจเกิดการดอย คาหรือไม หากกิจการพบวามีขอบงชี้ดังกลาว กิจการตองประมาณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของ สินทรัพยนั้น
10.
กิจการตองดําเนินการตอไปนี้ โดยไมคํานึงถึงวาจะมีขอบงชี้ของการดอยคาเกิดขึ้นหรือไม 10.1 กิจการตองทดสอบการดอยคาของสินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการให ประโยชนไมท ราบ แน น อน หรื อ สิ น ทรั พ ย ไ ม มี ตั ว ตนที่ ยั ง ไม พ ร อ มใช ง านเป น ประจํ า ทุ ก ป โดยทํ า การ เปรีย บเทีย บมู ล ค า ตามบัญ ชี กั บมูล ค า ที่ค าดว าจะไดรับ คื น การทดสอบการดอยค า นี้ กิจ การอาจจะจั ดทํา ขึ้นในชวงใดของปก็ ได แต ตอ งจัดทํ าขึ้น ณ เวลาเดี ยวกันของทุกป กิจการสามารถทดสอบการดอยคาของสินทรัพยไมมีตัวตนที่ไมเหมือนกัน ณ ชวงเวลาที่ แตกตางกันได อยางไรก็ต าม หากกิจ การไดมาซึ่งสินทรัพยไมมีตัวตนในระหว างรอบป ปจ จุบั น กิจ การต องทํ าการทดสอบการดอ ยคา ของสิ นทรัพ ยไ มมี ตัว ตนดัง กลา วก อนวัน สิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีที่ไดมา 10.2 กิจการตองทดสอบการดอ ยคาของคาความนิยมที่เกิดจากการรวมธุรกิจเปน ประจําทุกป ตามที่ระบุในยอหนาที่ 80 ถึง 99
11.
สิน ทรัพยไมมี ตัว ตนในชว งก อนพรอ มใชง านมั กมีความไมแ นนอนที่จ ะมีประโยชนเชิงเศรษฐกิจ ใน อนาคตเกิ นกว า มู ลค า ตามบั ญ ชี มากกว า ช ว งหลั งพร อ มใช ง าน ดั งนั้ น มาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ นี้ จึงกํา หนดใหกิจการตองทดสอบการดอยคาของมูลคาตามบัญชีของสิน ทรัพยไมมีตัวตนที่ยังไมพรอ ม ใชงานอยางนอยปละครั้ง
12.
ในการประเมินวามีขอบงชี้วาสินทรัพยอาจเกิดการดอยคาหรือไม กิจการตองพิจารณาถึงขอบงชี้ ตอไปนี้เปนอยางนอย แหลงขอมูลภายนอก 12.1 ราคาตลาดของสินทรัพยล ดลงอยา งมีนั ย สําคั ญในระหวางงวด โดยจํานวนที่ ลดลงนั้ น ลดลงมากกวาจํานวนที่คาดไวซึ่งเปนผลจากเวลาที่ผานไปหรือจากการใชงานตามปกติ 12.2 มีการเปลี่ยนแปลงที่ส งผลกระทบทางลบตอกิจการในระหวางงวดหรือในอนาคตอันใกล อยา งมีนั ยสําคัญ ผลกระทบดั งกลา วอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดลอ ม ของกิจ การหรือ ของตลาดของสิน ทรั พย นั้ นทางดา นเทคโนโลยี การตลาด เศรษฐกิ จ หรือกฎหมาย มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 15/92
12.3 อัตราดอกเบี้ยในตลาดหรืออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดอื่ นมีการเพิ่มขึ้น ใน ระหว างงวด จนนา จะมีผลกระทบตอ อัต ราคิ ดลดที่ ใชใ นการคํา นวณมูล ค าจากการใช สินทรัพย และทําใหมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพยนั้นลดลงอยางมีสาระสําคัญ 12.4 มูลคาตามบัญชีของสินทรัพยสุทธิของกิจการสูงกวามูลคาตลาดของกิจการ แหลงขอมูลภายใน 12.5 มีหลักฐานแสดงใหเห็นวาสินทรัพยลาสมัยหรือชํารุดเสียหาย 12.6 มีการเปลี่ยนแปลงอยางมีนัยสําคัญเกี่ยวกับลักษณะที่กิจการใชหรือคาดวาจะใชสินทรัพย ซึ่งสง ผลกระทบทางลบตอกิจการในระหวางงวด หรือคาดวาจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล การเปลี่ยนแปลงดัง กลา วรวมถึง การที่สินทรัพย ไมไ ดใชงาน แผนที่จะยกเลิกหรือ ปรั บ โครงสร า งสว นงานที่ มี สิน ทรั พ ย นั้ น รวมอยู ดว ย หรื อ แผนที่ จะจํา หน า ยสิน ทรั พ ย ก อ น กําหนด และการประเมินอายุการใหประโยชนของสินทรัพยจากอายุการใหประโยชนที่ไม ทราบแนนอนเปนอายุการใหประโยชนที่ทราบแนนอน (2) (2)
มาตรฐานการบัญ ชีฉ บับ นี้ไ มถือปฏิบั ติกับสิน ทรั พ ยที่ เ ขาเงื่อนไขการเป น สิน ทรัพ ยที่ถือไวเพื่ อขาย (หรือถื อเปน สว นหนึ่ง ของกลุมสิน ทรัพยที่จะถูกจําหน ายซึ่งถูกจัดประเภทเปนสินทรั พยที่ถือ ไว เพื่ อขาย) ซึ่งตองถื อปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับ ที่ 5 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินทรัพ ย ไมหมุนเวียนที่ถือไวเพื่อขายและการดําเนินงานที่ยกเลิก
12.7 มี หลั ก ฐานจากรายงานภายในซึ่งแสดงใหเ ห็ นว าผลการปฏิบั ติงานเชิง เศรษฐกิ จ ของ สินทรัพยไดลดลงหรือจะลดลงกวาที่คาดไว เงินปนผลจากบริษัทยอย กิจการที่ควบคุมรวมกัน หรือบริษัทรวม 12.8 สํา หรับการลงทุน ในบริษัทยอย กิจการที่ควบคุมรว มกัน หรือบริษัท รวม ผูลงทุนรับรูเ งิน ปนผลจากการลงทุน และมีหลักฐานแสดงใหเห็นดังตอไปนี้ 12.8.1 มูลค าตามบัญชีของเงิน ลงทุนในงบการเงินเฉพาะกิ จการสูงกวา มูล คา ตาม บัญ ชีของสินทรัพ ยสุท ธิข องผูถู กลงทุ นในงบการเงิ นรวม ซึ่งรวมถึ งคา ความ นิยมที่เกี่ยวของ หรือ 12.8.2 เงินปนผลมีจํานวนมากกวากําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมของบริษัทยอ ย กิจการที่ ควบคุมรวมกัน หรือบริษัทรวมในรอบระยะเวลาที่ประกาศจายเงินปนผล 13.
ขอบงชี้ที่ระบุในยอหนาที่ 12 มิไดครอบคลุมทุกประเด็น กิจการอาจระบุขอบงชี้อื่นที่แสดงใหเห็นวา สิน ทรัพ ยอาจมีก ารด อยคา จนทํา ให กิจ การต องประเมินมู ลค าที่ คาดวาจะไดรับ คืน ของสินทรัพ ยนั้น หรือในกรณีของคาความนิยมตองทดสอบการดอยคาตามที่ระบุในยอหนาที่ 80 ถึง 99
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 16/92
14.
หลักฐานจากรายงานภายในที่แสดงวาสินทรัพยอาจเกิดการดอยคารวมถึงขอบงชี้ตอไปนี้ 14.1 กระแสเงินสดจ ายหรือที่ตอ งจ า ยเพื่อให ไดมาซึ่ งสิ นทรัพย เพื่อ บํ ารุ งรักษาสินทรั พย หรือ เพื่อใหสินทรัพยนั้นใชงานไดมีจํานวนสูงกวางบประมาณเดิมที่ตั้งไวอยางมีนัยสําคัญ 14.2 กระแสเงินสดสุทธิที่ไดรับจริง หรือกําไรหรือขาดทุนจากการดําเนินงานที่เกิด ขึ้นจากสินทรัพย มีจํานวนต่ํากวางบประมาณที่ตั้งไวอยางมีนัยสําคัญ 14.3 กระแสเงิ น สดสุ ทธิ ที่ ประมาณวา จะได รั บ จากสิน ทรั พ ย หรื อ กํ า ไรจากการดํ า เนิ น งานตาม งบประมาณลดลงอยางมีนัยสําคัญ หรือผลขาดทุนตามงบประมาณที่เกิดจากสินทรัพยเพิ่มขึ้น อยางมีนัยสําคัญ 14.4 เมื่อรวมผลการดํ าเนิน งานในงวดปจจุบั นกั บผลการดํา เนินงานที่คาดวา จะเกิ ดขึ้นในอนาคต ตามงบประมาณแลว จะเกิ ด ผลขาดทุ น หรื อ เกิ ด กระแสเงิ น สดจ า ยสุท ธิ เ นื่ อ งจากการใช สินทรัพย
15.
ตามที่ไดร ะบุในยอหนาที่ 10 กิจการตองทดสอบการด อยคาอยางนอยปละครั้งสํ าหรับสินทรัพยไมมี ตัวตนที่มีอายุการใหประโยชนไมทราบแนนอนหรือที่ยังไมไดใชงาน และคาความนิยม นอกจากที่ระบุ ในยอหนาที่ 10 แล ว กิจการตองนํ าแนวคิด เกี่ยวกับความมีส าระสําคัญมาใชในการระบุวากิจการ จะต อ งประมาณมู ล ค า ที่ ค าดว า จะได รั บ คื น ของสิ น ทรั พ ย ห รื อ ไม ตั ว อยา งเช น กิ จ การไม จํ า เป น ตองประมาณมูลคาที่คาดวาจะไดรั บคืนใหม หากการคํานวณครั้งกอนแสดงใหเ ห็นว ามูล คาที่คาดวา จะไดรับคืนของสินทรัพยนั้นสูงกวามูลค าตามบัญชีอยางมีนัยสําคัญ และไมมีเหตุการณใดมากระทบ ตอผลตางระหวางมูลคาดังกลา ว ในทํานองเดียวกัน การวิเคราะหครั้งกอนอาจแสดงใหเห็นวามูลคา ที่ คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพยไมไดขึ้นอยูกับขอบงชี้ใดที่ระบุในยอหนาที่ 12
16.
จากตัว อยา งในยอ หน าที่ 15 ถ า อั ตราดอกเบี้ ยในตลาด หรื ออั ตราผลตอบแทนจากการลงทุน ใน ตลาดอื่นเพิ่มขึ้นในระหวางงวด กิจการไมจําเปนตองประมาณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพย อยางเปนทางการในกรณีดังตอไปนี้ 16.1 การเพิ่ม ขึ้น ของอั ตราดอกเบี้ ย ในตลาดและอัต ราผลตอบแทนจากการลงทุ นในตลาดอื่ น ไม มีผลกระทบต ออั ตราคิ ดลดที่ใ ช ในการคํา นวณมู ลคา จากการใช สินทรัพ ย ตั วอยา งเช น อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น อาจไมมีผลกระทบอยางมีสาระสําคัญตออัตราคิดลดที่ใช ใน การคํานวณมูลคาจากการใชสินทรัพย ซึ่งมีอายุการใหประโยชนเหลืออยูเปนเวลายาวนาน 16.2 การเพิ่มขึ้ นของอั ตราดอกเบี้ ยในตลาดและอัต ราผลตอบแทนจากการลงทุน ในตลาดอื่น มี ผลกระทบตออัตราคิดลดที่ใชในการคํานวณมูลคาจากการใชสิน ทรัพย แตจากการวิเคราะห มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนในครั้งกอน แสดงใหเห็นวา 16.2.1 มูลคาที่คาดวา จะได รับ คืน ไมนา จะลดลงอยา งมีสาระสํา คัญ เนื่องจากกิ จการนาจะ ไดรับกระแสเงินสดในอนาคตเพิ่มขึ้น (ตัวอยางเชน กิจการสามารถแสดงใหเห็นวา สามารถปรับปรุงรายรับเพื่อชดเชยกับการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาด) หรือ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 17/92
16.2.2 การลดลงในมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนไมทําใหเกิดผลขาดทุนจากการดอยคาอยางมี สาระสําคัญ 17.
หากมีขอบงชี้ที่แสดงใหเห็นวาสินทรัพยอ าจเกิดการดอยคา สาเหตุดังกลาวอาจเป นขอบงชี้ใหกิจการ ต อ งทบทวนและปรั บ ปรุ ง อายุ ก ารให ประโยชน ที่เ หลือ อยู ของสิ นทรั พย วิ ธีก ารคิด ค า เสื่อ มราคา (คาตัดจําหนาย) หรือมูลคาคงเหลือของสินทรัพยใหเปน ไปตามมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวของ แมวา จะไมมีการรับรูผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพยนั้นก็ตาม
การวัดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน 18.
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ไดกําหนดคํานิยามของมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน หมายถึง มูลคา ยุติธรรม หักตนทุนในการขายของสินทรัพยหรือหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด หรือมูลคาจากการใชแลวแต จํา นวนใดจะสูงกวา กิจการตอ งวัดมูล คาที่คาดวาจะไดรับ คืนตามขอ กํา หนดที่ระบุไวในยอหนาที่ 19 ถึ ง 57 คํ า ว า “สิ น ทรั พ ย ” ที่ ร ะบุ ใ นย อ หน า ดั ง กล า วให มี ค วามหมายครอบคลุ ม ถึ ง สิ น ทรั พ ย แตละรายการ และหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด
19.
กิจการอาจไมจํา เปนตองกําหนดทั้งมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขายและมูลคาจากการใชสินทรัพย เสมอไป หากมูล ค าใดมูลคา หนึ่งในสองจํ า นวนนี้ สูง กว ามูลคา ตามบั ญ ชีข องสินทรัพย ซึ่ง แสดงว า สินทรัพยไมเกิดการดอยคา โดยกิจการไมจําเปนตองประเมินมูลคาอีกจํานวนหนึ่ง
20.
กิจการอาจกําหนดมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขายไดแมวาสินทรัพยจะไมมีการซื้อขายในตลาดซื้อ ขายคลอง อยางไรก็ตามในบางครั้งกิจการอาจไมสามารถกําหนดมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขายได เนื่อ งจากไมมีเกณฑใดๆ ในการประมาณจํานวนที่เชื่อถือไดจากการขายสินทรัพยภายใตสถานการณ ที่ ผู ซื้ อ กั บ ผู ข ายมี ค วามรอบรูแ ละเต็ ม ใจในการแลกเปลี่ย นและสามารถต อ รองราคากั น ได อ ย า ง เปน อิสระในลักษณะของผูที่ไม มีความเกี่ยวขอ งกัน ในกรณีดังกลาวกิจการอาจใชมูลคาจากการใชใน การกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพย
21.
กิจการอาจใชมูล คา ยุติ ธรรมหั กตน ทุน ในการขายเปนมูล คาที่คาดวา จะไดรับคืนของสิ นทรัพยห าก ไมมีเหตุผลที่ทําใหเชื่อไดวามูลคาจากการใชสิน ทรัพยนั้นจะสูงกวามูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย อยางมีสาระสําคัญ กรณีดังกลาวมักเกิดขึ้นกับสินทรัพยที่ถือไวเพื่อจําหนาย เนื่องจากมูลคาจากการใช ของสินทรัพยที่ถือไวเพื่อจําหนาย มักประกอบดวยเงินสดสุทธิที่จ ะไดรับจากการจําหนายสินทรัพยนั้น เป นสําคัญ ดว ยเหตุที่ก ระแสเงินสดที่ จะไดรั บ ในอนาคตจากการใชสินทรั พยอย างตอ เนื่อ งจนถึง วัน จําหนายสินทรัพยนั้นนาจะเปนจํานวนเงินที่นอยมาก
22.
กิ จ การต อ งกํา หนดมู ลค า ที่ ค าดว า จะได รั บ คื นสํ า หรั บ สิน ทรั พ ยแ ตล ะรายการ นอกจากสิน ทรั พ ย เหลานั้นไมกอใหเกิดกระแสเงินสดรับจากการใชซึ่งเปนอิสระจากกระแสเงินสดรับที่เกิดจากสินทรัพย อื่นหรือกลุมสินทรัพยอื่น ทั้งนี้ในกรณีดังกลาวกิจการตองกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวย มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 18/92
สิน ทรัพย ที่กอใหเ กิด เงินสดซึ่งมีสิน ทรัพยที่พิ จารณารวมอยู (ตามยอหน าที่ 65 ถึง 103) นอกจาก จะเปนกรณีใดกรณีหนึ่งตอไปนี้ 22.1 มูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขายของสินทรัพยสูงกวามูลคาตามบัญชีของสินทรัพยนั้น 22.2 มูลคาจากการใชของสินทรัพยสามารถประมาณไดใกลเคียงกับ มูลคายุติธรรมหักตนทุนในการ ขายของสินทรัพยนั้น และกิจการสามารถกําหนดมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย 23.
ในบางกรณี การกําหนดมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขายหรือมูลคาจากการใช โดยการประมาณการ การหาค า เฉลี่ ย และการคํ า นวณแบบลัด อาจให ผ ลใกล เ คี ย งอย า งสมเหตุ สมผลกั บ การคํ า นวณ อยางละเอียดตามตัวอยางที่แสดงในภาคผนวกของมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้
การวัดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการใหประโยชนไมทราบ แนนอน 24.
ยอหนา ที่ 10 กํา หนดใหกิจการตอ งทดสอบการด อยคา สินทรัพยไมมีตัวตนที่ มีอายุการใหป ระโยชน ไม ทราบแน นอนเปนประจําทุกปโดยเปรียบเทียบมูลคา ตามบั ญชีกับมูลคาที่ คาดวาจะไดรับ คืน โดย ไม ตองคํานึงวาจะมีข อบ งชี้วา สินทรัพ ยนั้น เกิ ดการด อยค าหรือไม อยางไรก็ตาม การคํานวณมูล คา ที่คาดวาจะไดรับคืนอยางละเอียดที่คํานวณไวลาสุดในงวดกอนอาจนํามาใชในการทดสอบการดอยคา ในงวดปจจุบันได ถาเปนไปตามเงื่อนไขทุกขอดังตอไปนี้ 24.1 หากสินทรัพยไมมีตัวตนไมสามารถกอใหเ กิดกระแสเงินสดรับ จากการใชงานอยางตอ เนื่องซึ่ง เป นอิ สระจากสิน ทรั พย อื่น หรื อ กลุม สิน ทรั พ ยอื่ น และทํ า ใหต องทดสอบการดอ ยค า ของ สินทรัพยไมมีตัวตนนั้นพรอมกับสินทรัพยอื่นโดยนับรวมเปนสวนหนึ่งของหนวยสินทรัพยที่ กอใหเกิดเงินสด สินทรัพยและหนี้สินที่เปนสวนประกอบของหนวยสินทรัพยที่กอใหเ กิดเงิน สดนั้นไมเปลี่ยนแปลงอยางมีนัยสําคัญนับจากการคํานวณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนลาสุด 24.2 การคํานวณครั้งลาสุดไดแสดงใหเห็นวามูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนสูงกวามูลคาตามบัญชีของ สินทรัพยอยางมีนัยสําคัญ 24.3 จากการวิ เคราะห เหตุก ารณ ที่ ไ ดเ กิด ขึ้น และสถานการณ ที่ มี การเปลี่ยนแปลงนั บ จากการ คํานวณมูลคา ที่คาดวา จะไดรับ คืน ลาสุ ด มีความเปนไปไดน อยมากที่การคํานวณจะแสดงให เห็นวามูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนในปจจุบันต่ํากวามูลคาตามบัญชีของสินทรัพย
มูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย 25.
ราคาที่ถื อเปน หลั กฐานที่ดีที่ สุด สํา หรั บมู ลค ายุ ติธ รรมหัก ตน ทุน ในการขายของสิน ทรั พย คือ ราคาที่ ตกลงซื้อขายซึ่งเกิด จากการตอ รองอยางเปนอิ สระในลักษณะของผูที่ไมเกี่ยวของกัน ที่ ปรั บปรุงดว ย ตนทุนสวนเพิ่มซึ่งเกี่ยวของโดยตรงกับการจําหนายสินทรัพย
26.
กรณีที่ไมมีการตกลงซื้อขายแต สินทรัพย มีการซื้อขายในตลาดซื้อขายคลอง กิจการตองคํานวณมูลคา ยุติธรรมหักตนทุนในการขายโดยใชราคาตลาดของสินทรัพยหักดวยตน ทุนในการจําหนา ย ตามปกติ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 19/92
ราคาที่ค วรถือเปนราคาตลาด คือ ราคาเสนอซื้อ ในปจ จุบัน ในกรณีที่ ไมมีร าคาเสนอซื้ อในปจ จุบัน กิ จ การอาจใช ร าคาซื้ อ ขายล า สุด เป น เกณฑ ใ นการประมาณมู ลค า ยุ ติ ธ รรมหั ก ต น ทุ น ในการขาย หากสถานการณ ทางเศรษฐกิจ นับ ตั้งแต วัน ที่มีก ารซื้ อขายลาสุดจนถึ งวั น ที่กิจ การทํา การประมาณ ไมเปลี่ยนแปลงอยางมีนัยสําคัญ 27.
กรณีที่ ไมมีการตกลงซื้อขายและไมมีตลาดซื้อขายคลองสําหรับสิ นทรัพ ย กิจ การต องประมาณมูลคา ยุ ติธ รรมหั กต นทุน ในการขายจากข อ มูลที่ ดีที่สุดที่ สามารถหาได ซึ่ งสะท อนถึ งจํา นวนเงิน ที่กิจ การ สามารถจะได ม าจากการจํ า หน า ยสิ น ทรั พ ย ณ วั น สิ้ น รอบระยะเวลารายงาน หั ก ด ว ยต น ทุ น ใน การจําหนาย โดยการจําหนายนั้นผูซื้อกับผูขายมีความรอบรูและเต็มใจในการแลกเปลี่ยน และสามารถ ตอรองราคากัน ได อย างเปนอิสระในลัก ษณะของผู ที่ไมมีค วามเกี่ย วข องกัน กิจการตองนํ าผลการ ซื้อขายลาสุดของสินทรัพยที่คลายคลึงกันในอุตสาหกรรมประเภทเดียวกันมาพิจารณาในการกํา หนด จํา นวนที่ กิจ การสามารถจะไดรั บ จากการจํา หน ายสินทรัพ ย มู ลคายุติธรรมหักต นทุนในการขายตอ ง เปนราคาที่ไมไดเกิดจากการบังคับขาย เวนแตฝายบริหารถูกบังคับใหจําหนายสินทรัพยนั้นทันที
28.
ตน ทุน ในการขายตองนํา มาหักจากราคาขายเพื่อคํานวณมูล คายุติ ธรรมหักต นทุ นในการขาย ตนทุ น ในการขายตอ งไมรวมตน ทุนที่ไดรั บรู เปนหนี้สินไวแลว ตัว อยา งของต นทุ นในการขาย ไดแก ตนทุ น ทางกฎหมาย คาอากรแสตมปและภาษีที่คล ายคลึงกัน ตนทุนในการขนยาย และตนทุนสวนเพิ่มโดย ตรงที่ ทํ า ให สิ น ทรั พ ย นั้ น อยู ใ นสภาพพร อ มที่ จ ะขาย อย า งไรก็ ต าม เงิ น ชดเชยจากการเลิ ก จ า ง (ดูม าตรฐานการบัญ ชี ฉบั บ ที่ 19 เรื่อ ง ผลประโยชนของพนักงาน) และตน ทุ นที่เ กี่ย วข องกับการ ลดขนาดหรือ การปรับ โครงสรางธุรกิจ หลั งการจํา หนา ยสินทรั พยไ มถือ เปนตนทุ นสว นเพิ่มโดยตรง ในการจําหนายสินทรัพยนั้น
29.
ในการจํา หนายสิน ทรัพยบางครั้ง ผูซื้ ออาจตองรั บ ภาระหนี้สิน ที่เกี่ยวของดว ย และมู ลค ายุติ ธรรม หักตนทุน ในการขายของสินทรัพยนั้นเปนมูลคารวมของทั้งทรัพยสินและหนี้สินที่เกี่ยวของ วิธีปฏิบัติ ทางบัญชีสําหรับกรณีดังกลาวไดกําหนดไวในยอหนาที่ 78
มูลคาจากการใช 30.
องคประกอบดังตอไปนี้ตองรวมอยูในการคํานวณมูลคาจากการใชสินทรัพย 30.1 ประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตที่กิจการคาดวาจะไดรับจากสินทรัพย 30.2 การคาดการณเ กี่ย วกับความผั นผวนที่อ าจเกิ ดขึ้ นกับจํ านวนเงิน หรือจังหวะเวลาของ กระแสเงินสดในอนาคต 30.3 มูลคา ของเงินตามเวลา โดยใช อัตราดอกเบี้ยป จจุบันในตลาดจากการลงทุนที่ปราศจาก ความเสี่ยง 30.4 ราคาที่ไดคํานึงถึงความไมแนนอนที่สืบเนื่องมาจากสินทรัพย มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 20/92
30.5 ป จ จั ย อื่ น เช น สภาพคล อ ง ซึ่ ง ผู ซื้ อ ขายในตลาดใช ใ นการพิ จ ารณากระแสเงิ น สด ในอนาคตที่กิจการคาดวาจะไดรับจากสินทรัพย 31.
กิจการตองประมาณมูลคาจากการใชของสินทรัพย โดยปฏิบัติตามขั้นตอนตอไปนี้ 31.1 ประมาณกระแสเงินสดรับ และจายในอนาคตจากการใช สินทรัพยอยา งต อเนื่องและจากการ จําหนายสินทรัพย 31.2 ใชอัตราคิดลดที่เหมาะสมเพื่อคิดลดกระแสเงินสดดังกลาว
32.
กิจ การสามารถสะท อนองคป ระกอบที่ระบุในยอ หนาที่ 30.2 และ 30.4 และ 30.5 โดยการเลือก ที่จะปรับปรุงกับกระแสเงินสดในอนาคตหรือปรับปรุงกับอัตราคิดลดก็ได ไมวากิจการจะเลือกใชวิธีใด เพื่อสะทอนถึงการคาดการณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นกับจํานวนเงินหรือจังหวะเวลาของ กระแสเงินสดในอนาคต ผลลัพธที่ไดตองสะทอนถึงมูลคาปจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตที่คาดไว ทั้งนี้กิจการอาจใชมูลคาถัวเฉลี่ยถวงน้ําหนักของผลลัพธที่คาดวาจะเปนไปไดของทุกกรณีได แนวทาง เพิ่มเติม ในการใชเทคนิคการคิดมูล คา ปจจุบันเพื่อวัดมู ลค าจากการใชของสิน ทรัพยไ ดแสดงไวใน ภาคผนวก ก
เกณฑในการประมาณการกระแสเงินสดในอนาคต 33.
ในการวัดมูลคาจากการใช กิจการตองปฏิบัติดังตอไปนี้ 33.1 ประมาณการกระแสเงินสด โดยอาศั ยขอสมมติที่สมเหตุส มผลและมีหลัก ฐานสนับสนุ น ซึ่ งแสดงถึ ง การคาดการณที่ ดี ที่ สุ ด ของฝ า ยบริ ห ารภายใต ส ถานการณ ท างเศรษฐกิ จ ที่จะเปนอยูต ลอดอายุก ารใหประโยชนที่เ หลือ อยูของสิน ทรัพย กิจการควรใหน้ํา หนั ก กับหลักฐานสนับสนุนที่ไดจากภายนอก 33.2 ประมาณการกระแสเงินสดโดยอาศัยงบประมาณ หรือ ประมาณการทางการเงินล าสุ ด ซึ่งไดรับการอนุมัติจากฝายบริหาร แตตองไมรวมประมาณการกระแสเงินสดรับหรือจา ย ที่ค าดวา จะเกิ ดขึ้ นจากการปรับ โครงสร า งในอนาคต หรื อจากการปรั บปรุงหรือ ทํา ให สิ น ทรั พ ย นั้ น ดี ขึ้ น การคาดการณ ที่ อ าศั ย งบประมาณหรื อ ประมาณการดั ง กล า วต อ ง ครอบคลุ ม ระยะเวลาอย า งมากที่ สุ ด 5 ป นอกจากมี เ หตุ ผ ลสนั บ สนุ น เพี ย งพอว า ควรครอบคลุมระยะเวลาที่นานกวานั้น 33.3 ประมาณกระแสเงิ นสดหลังจากชวงเวลาของงบประมาณหรื อประมาณการทางการเงิ น ลาสุด โดยปรับกระแสเงินสดในงบประมาณหรือประมาณการสําหรับอนาคตที่ไกลออกไป ดว ยอั ตราการเติ บโตที่ คงที่หรือลดลง นอกจากมีเหตุผลสนับสนุ นว ากิจการควรใชอัตรา การเติบโตที่เพิ่มขึ้น อัตราการเติบโตนี้ตองไมสูงกวาอัตราการเติบโตถัวเฉลี่ยระยะยาวของ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 21/92
ผลิตภัณฑ อุตสาหกรรมหรือประเทศที่กิจการนั้นดําเนินงานอยู หรือของตลาดซึ่งสินทรัพย นั้นถูกนําไปใช นอกจากมีเหตุผลสนับสนุนวากิจการควรใชอัตราการเติบโตที่สูงกวา 34.
ฝายบริ หารตองประเมินความสมเหตุส มผลของขอสมมติที่ใชประมาณการกระแสเงินสดในปจ จุบั น โดยพิจารณาสาเหตุ ของความแตกตางระหวางประมาณการกระแสเงิ นสดในอดี ตกับ กระแสเงิน สด ที่ เกิดขึ้ นจริ ง ฝา ยบริห ารตอ งมั่นใจว าข อสมมติ ที่ใช ในการประมาณการกระแสเงิน สดในปจ จุบั น สอดคล อ งกั บ ผลที่ เ กิ ด ขึ้ น จริ ง ในอดี ต โดยนํ า ผลกระทบจากเหตุ ก ารณ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ภายหลั ง หรื อ สถานการณที่ไมไดเกิดขึ้นเมื่อกระแสเงินสดเกิดขึ้นจริงมาพิจารณารวมดวย
35.
โดยทั่วไปงบประมาณ หรือประมาณการกระแสเงิน สดในอนาคตที่ มีรายละเอียดระบุไวอยา งชัดเจน และเชื่ อถือไดซึ่ งมี ระยะเวลาเกินกวา 5 ปมักไมส ามารถหาได ดว ยเหตุ ดังกลา วฝายบริหารจึง ควร ประมาณการกระแสเงินสดโดยอาศัยงบประมาณ หรื อประมาณการลา สุดสํา หรั บ ระยะเวลา 5 ป เป น อยา งมาก ฝ า ยบริ หารอาจประมาณการกระแสเงิ นสดในอนาคตโดยอาศั ยงบประมาณ หรื อ ประมาณการที่ มี ระยะเวลาเกิ นกวา 5 ปห ากฝ า ยบริห ารมั่น ใจว า ประมาณการนั้ นเชื่ อ ถือ ได และ ฝายบริหารตองสามารถแสดงใหเห็นจากประสบการณในอดีตสามารถคาดการณกระแสเงินสดสําหรับ ระยะเวลาที่เกินกวา 5 ป ไดอยางแมนยํา
36.
กิจการควรประมาณการกระแสเงินสดไปจนสิ้นสุดอายุการใหประโยชนของสินทรัพย โดยปรับประมาณ การกระแสเงินสดที่คาดการณจากงบประมาณหรือประมาณการทางการเงินดวยอัตราการเติบโตสําหรับ ปถัดมา อัตราการเติ บโตที่ใชต องเปนอัตราคงที่หรืออั ตราที่ลดลง ดังนั้น อัต ราการเติบโตที่เหมาะสม ควรเทากับศูนยหรือติดลบ นอกจากรูปแบบวงจรของผลิตภัณฑหรืออุตสาหกรรมที่กําหนดขึ้นจากขอมูล ที่เที่ยงธรรมแสดงใหเห็นวาอัตราการเติบโตที่ใชตองเปนอัตราที่เพิ่มขึ้น
37.
สภาพตลาดที่ดีจะมีคูแขงขันเขามาในตลาดทําใหการเติบโตของกิจการถูกจํากัด ดังนั้น จึงเปนการยาก ที่อัตราการเติบโตของกิจ การจะสูงกวา อัตราการเติบ โตในอดีตถัวเฉลี่ยระยะยาว (เปนตนวา 20 ป) ของผลิตภัณ ฑ อุตสาหกรรมหรื อประเทศที่กิจการนั้นดํ าเนินงานอยู หรือ ของตลาดซึ่งสิน ทรัพ ยนั้น ถูกนําไปใช
38.
ในการใช ขอ มูลจากงบประมาณหรือประมาณการทางการเงิน กิ จการควรพิ จารณาวา ขอมูล ดัง กลาว จัดทําขึ้น โดยอาศัยขอสมมติที่สมเหตุสมผลและมีหลั กฐานสนับสนุน และเปนการคาดการณที่ดีที่สุด ของฝา ยบริ หารภายใตสถานการณ ท างเศรษฐกิ จที่ เ ปนอยู ตลอดอายุก ารใหป ระโยชน ที่ เหลือ อยู ของสินทรัพย
สวนประกอบของประมาณการกระแสเงินสดในอนาคต 39.
ประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตตองรวมถึง 39.1 ประมาณการกระแสเงินสดรับจากการใชสินทรัพยอยางตอเนื่อง มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 22/92
39.2 ประมาณการกระแสเงินสดจา ยที่ จํา เปน ในการก อใหเ กิ ดกระแสเงิน สดรั บจากการใช สินทรัพ ยอย างตอ เนื่ อง (ซึ่งรวมถึงกระแสเงิ นสดจ ายเพื่อ การเตรี ยมสิ นทรัพยใ หอยู ใน สภาพพรอ มที่จะใชงานได) และประมาณการกระแสเงินสดจายดังกลาวจะตองเกี่ยวของ โดยตรง หรือสามารถปนสวนใหกับสินทรัพยโดยใชเกณฑที่สมเหตุสมผลและสม่ําเสมอได 39.3 กระแสเงิ นสดสุ ทธิที่ จะไดรั บ (หรือที่จะตอ งจาย) จากการจํา หนายสิ นทรัพยนั้นเมื่ อสิ้น อายุการใหประโยชน 40.
ประมาณการกระแสเงิน สดในอนาคตและอั ต ราคิ ด ลดต อ งมาจากข อ สมมติ ที่ สม่ํ า เสมอเกี่ ย วกั บ การเพิ่มขึ้นของราคาอันเนื่องมาจากอัตราเงินเฟอทั่วไป ดังนั้น กิจการตองประมาณการกระแสเงินสด ในอนาคตโดยใชจํานวนที่เปนตัวเงิน หากกิจ การใชอัตราคิดลดที่รวมผลกระทบของการเพิ่มขึ้ นของ ราคาจากอัตราเงินเฟอทั่วไปไวแลว หากอัตราคิดลดที่ใชไมไดรวมผลกระทบของการเพิ่มขึ้นของราคา จากอัต ราเงิน เฟอทั่ วไป กิจ การตองประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตโดยใช จํ านวนที่แท จริ ง (แตใหรวมผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในระดับราคาที่เฉพาะเจาะจง)
41.
ประมาณการกระแสเงินสดจ ายที่กิจการจั ดทํ าขึ้ นต องรวมถึงคา ใช จา ยในการดูแลรั กษาสินทรัพ ย ที่เ กิด ขึ้น เปนประจําทุก วันและคาใช จายในอนาคตที่เ กี่ยวของโดยตรงหรือที่สามารถปนสวนใหกับ สินทรัพยไดอยางสมเหตุสมผลและสม่ําเสมอเพื่อทําใหสินทรัพยนั้นอยูในสภาพที่ใชงานได
42.
กิจการตองรวมประมาณการกระแสเงินสดจายที่คาดวาจะเกิดขึ้น กอนที่สินทรัพยนั้นพรอ มที่จะใชงาน หรือพร อมที่จ ะขาย หากมู ลคาตามบั ญชี ของสิ นทรั พย มิไ ดร วมกระแสเงิน สดจา ยที่ คาดวา จะเกิ ดขึ้ น ดังกลาว ตัวอยางเชน กิจการตองรวมกระแสเงินสดที่คาดวาจะตองจา ยเพิ่มของอาคารระหวางกอ สราง หรือโครงการที่ยังไมเสร็จสมบูรณ
43.
การประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตตองไมรวมจํานวนตอไปนี้เพื่อปองกันการคํานวณซ้ํา 43.1 กระแสเงินสดรั บจากสินทรั พย ซึ่ง โดยสวนใหญ เปนอิ สระจากกระแสเงิน สดรับ ที่เ กิ ดจาก สินทรัพยภายใตการพิจารณา (ตัวอยางเชน สินทรัพยทางการเงินประเภทลูกหนี้) 43.2 กระแสเงินสดจายที่เกี่ยวของกับภาระผูกพันซึ่งไดรับ รูเปนหนี้สินไวแลว (ตัวอยางเชน เจาหนี้ เงินบําเหน็จบํานาญ หรือประมาณการหนี้สิน)
44.
กิ จ การต อ งประมาณการกระแสเงิ น สดในอนาคตจากสภาพในป จ จุ บั น ของสิ น ทรั พ ย และ การประมาณการดังกลาวตองไมร วมกระแสเงินสดรับหรือจา ยในอนาคตที่คาดว าจะเกิ ดขึ้นจาก รายการตอไปนี้ 44.1 การปรับโครงสรางในอนาคตที่ยังไมตกลงผูกพันเปนที่แนนอน หรือ 44.2 รายจายที่จะทําใหสินทรัพยมีสภาพดีขึ้นหรือมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
45.
เนื่องจากกระแสเงินสดในอนาคตไดประมาณขึ้นจากสภาพในปจจุบันของสินทรัพย ดังนั้น มูลคาจาก การใชจึงไมสะทอนใหเห็นถึง ขอใดขอหนึ่งดังตอไปนี้ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 23/92
45.1 กระแสเงินสดจ ายในอนาคต หรือตนทุ นที่เกี่ยวของ ซึ่ งสามารถประหยัดได (เชน ตน ทุ น เกี่ ยวกั บ พนั ก งานที่ ลดลง) หรื อ ผลประโยชน ที่ ค าดว า จะเกิ ด ขึ้ น จากการปรั บ โครงสร า ง ในอนาคตที่กิจการยังไมตกลงผูกพันเปนที่แนนอน 45.2 กระแสเงินสดจายในอนาคตเพื่อปรับ ปรุ งหรือ เพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของสินทรัพ ย หรือ กระแสเงินสดรับในอนาคตที่คาดวาจะเกิดขึ้นจากกระแสเงินสดจายดังกลาว 46.
การปรับ โครงสรา ง หมายถึง แผนงานที่ไดวางไวแ ละมีก ารควบคุมโดยฝายบริหารซึ่งทําใหขอบเขต หรือลักษณะธุรกิจที่กิจการดําเนินอยูเปลี่ยนแปลงอยางมีสาระสําคัญ ในการกําหนดวาเมื่อใดกิจการจึง จะมี ภาระผู กพัน จากการปรั บโครงสร า ง กิจ การตอ งปฏิบั ติตามมาตรฐานการบัญ ชี ฉบั บ ที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรื่องประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น
47.
เมื่ อกิจการได ตกลงและผูกพันที่จ ะปรับ โครงสร าง สิ นทรัพยบ างรายการอาจได รับ ผลกระทบจาก การปรับโครงสรางนั้น ดังนั้น เมื่อกิจการตกลงและผูกพันที่จะปรับโครงสราง กิจการตอง 47.1 กํา หนดมูลคาจากการใช โดยประมาณกระแสเงินสดรับ และจายในอนาคตที่สะทอนถึ งตนทุ น ที่ประหยัดไดและประโยชนอื่นที่เกิดจากการปรับโครงสราง (ซึ่งอาจกําหนดไดจากงบประมาณ หรือประมาณการทางการเงินลาสุดที่ไดรับอนุมัติจากฝายบริหาร) และ 47.2 รวมประมาณการกระแสเงิน สดจา ยในอนาคตสํ าหรับ การปรับ โครงสร างไว ในประมาณการ หนี้ สิน เพื่ อ การปรั บ โครงสร า งตามข อ กํ า หนดที่ ร ะบุ ไ ว ใ นมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น ตัวอยางการคํานวณมูลคาจากการใชซึ่งไดรับผลกระทบจากการปรับโครงสรางในอนาคตไดแสดงไวใน ตัวอยางประกอบการอธิบายที่ 5
48.
ประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตของกิจการตองไมรวมประมาณการกระแสเงินสดรับในอนาคต ที่คาดวา จะเกิ ดจากการเพิ่มขึ้นของประโยชน เชิงเศรษฐกิจ ที่เกิด จากกระแสเงินสดจา ยเพื่อ ปรั บปรุง หรื อ เพิ่ ม ประสิ ท ธิ ภ าพในการทํ า งานของสิน ทรั พ ย จนกว า กระแสเงิ น สดจ า ยดั ง กลา วจะเกิ ด ขึ้ น (ดูตัวอยางประกอบการอธิบายที่ 6)
49.
ประมาณการกระแสเงิ น สดในอนาคตให ร วมกระแสเงิน สดจ า ยในอนาคตที่ จํ า เป น สํ า หรั บ การ บํารุงรักษาระดับของผลประโยชนเชิงเศรษฐกิจที่คาดวาจะไดรับจากสินทรัพยจากสภาพในปจจุบันของ สิ น ทรั พ ย เมื่ อ หน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สดประกอบด ว ยสิ น ทรั พ ย ที มี ก ารให ป ระโยชน โดยประมาณที่แตกตางกัน สินทรัพยทุกรายการนั้น มีความจําเปนตอการดําเนินงานอยางตอเนื่องของ หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดนั้น ในการประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตของหนวยสินทรัพย ที่กอใหเกิดเงินสดจะถือวา การเปลี่ยนแทนของสินทรัพยที่มีอายุการใหประโยชนสั้นกวาเปนสวนหนึ่ง ของการบํารุง รัก ษาตามปกติ เพื่อ ทํา ให หน วยสินทรั พยที่กอใหเกิด เงินสดนั้นอยูในสภาพที่ใชงานได ในทํา นองเดียวกัน หากสินทรัพยรายการหนึ่งมีสวนประกอบที่มีอายุก ารใหประโยชนโดยประมาณที่ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 24/92
แตกตา งกั น การเปลี่ยนแทนของส วนประกอบที่มีอายุการใหประโยชนสั้นกวาจะถื อเปนสวนหนึ่ ง ของการบํารุงรักษาสินทรัพยเมื่อมีการประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตที่เกิดจากสินทรัพยนั้น 50.
การประมาณการกระแสเงินสดในอนาคต ตองไมรวม 50.1 กระแสเงินสดรับหรือจายจากกิจกรรมจัดหาเงิน หรือ 50.2 ภาษีเงินไดที่รับหรือจายไป
51.
ขอสมมติที่ใชในการประมาณการกระแสเงิน สดในอนาคตตองเปนไปในทิศทางเดียวกันกับขอสมมติ ที่ใชในการกําหนดอัตราคิดลด มิฉะนั้นแลว กิจการอาจนําผลกระทบของขอ สมมติบางประการมารวม คํานวณซ้ํา หรืออาจไมนํา มาคํานวณ หากกิจการไดคํ า นึงถึงผลกระทบของมูลคา ของเงินตามเวลา โดยการคิ ด ลดประมาณการกระแสเงิ น สดในอนาคตแล ว กิ จ การต อ งไม นํ า กระแสเงิ น สดรั บ หรือจายจากกิจกรรมจัดหาเงินมารวมในประมาณการกระแสเงิ นสดในอนาคตอีก ในทํานองเดี ยวกัน กระแสเงินสดในอนาคตต องเปนประมาณการกอนภาษีเ งิน ไดหากอัตราคิด ลดที่ใ ชใ นการคํานวณ เปนอัตรากอนหักภาษีเงินได
52.
ประมาณการกระแสเงินสดสุท ธิที่จะไดรับ (หรือ ที่จะตองจ าย) จากการจําหนายสินทรัพยเมื่อสิ้น อายุก ารให ประโยชนตองเปนจํานวนเงิ นซึ่ งกิ จการคาดวา จะได รับ จากการจํา หน ายสินทรัพย ใน ราคาที่ผูซื้อและผูขายมีความรอบรูและเต็มใจในการแลกเปลี่ยน และสามารถตอรองราคากันได อยางเปนอิสระในลักษณะของผูที่ไมมีความเกี่ยวของกัน จํานวนที่คาดวาจะไดรับจากการจําหนาย นี้ตองหักประมาณการตนทุนในการจําหนาย
53.
ประมาณการกระแสเงินสดสุทธิที่จะไดรับ (หรือที่จะตองจาย) จากการจําหนายสินทรัพยเมื่อสิ้นอายุ การใหประโยชนจ ะตองกํา หนดในลักษณะที่คลายกับการกําหนดมูลคายุ ติธรรมหักตนทุนในการขาย ของสินทรัพย ยกเวนวาในการประมาณกระแสเงินสดสุทธินั้น 53.1 กิจการใชราคาที่อ างอิงได ณ วันที่ทําประมาณการของสินทรัพยที่มีลักษณะคลายคลึงกันและ ใชในการดําเนินงานภายใตสภาพการณเชนเดียวกับสิน ทรัพยภายใตการพิจารณาที่มีลักษณะ คลายกัน โดยสินทรัพยดังกลาวมีอายุการใหประโยชนสิ้นสุด ณ วันที่ทําการประมาณการ และ 53.2 กิ จการต องปรั บ ปรุ ง ราคาดั งกลา วด วยผลกระทบจากระดั บ ราคาในอนาคตที่ เพิ่ม ขึ้ นจาก ภาวะเงิ น เฟ อ ทั่ว ไป และผลกระทบจากการเพิ่ ม ขึ้ น หรื อ ลดลงของระดั บ ราคาในอนาคต ที่เฉพาะเจาะจงกับสินทรัพยนั้น อยางไรก็ตาม ถากิจการไมไดรวมผลกระทบจากภาวะเงินเฟอ ทั่วไปในการประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตจากการใชสินทรัพยอยางตอเนื่อ งและอัตรา คิดลด กิจการตองไมรวมผลกระทบดัง กลาวในการประมาณการกระแสเงินสดสุทธิจากการ จําหนายสินทรัพยดวย
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 25/92
กระแสเงินสดในอนาคตที่เปนเงินตราตางประเทศ 54.
กระแสเงิ นสดในอนาคตตองประมาณการเปน เงิน ตราในสกุ ลที่ กระแสเงิน สดเหลา นั้น จะเกิ ดขึ้ น และตองคิดลดดวยอั ตราคิดลดที่เหมาะสมสําหรับเงินในสกุล นั้น กิจการตอ งแปลงคามูลคา ปจ จุบั น ที่ประมาณขึ้นโดยใชอัตราแลกเปลี่ยนทันที ณ วันที่คํานวณมูลคาจากการใช
อัตราคิดลด 55.
อัตราคิดลดตองเปนอัตรากอนหักภาษีที่สะทอนถึงการประเมินสถานการณตลาดปจจุบันของ 55.1 มูลคาของเงินตามเวลา และ 55.2 ความเสี่ยงซึ่งเปนลักษณะเฉพาะของสินทรัพยที่กําลังพิจารณาอยู ซึ่งประมาณการกระแส เงินสดในอนาคตยังไมไดมีการปรับความเสี่ยงดังกลาว
56.
อัต ราซึ่ง สะท อนถึงการประเมิน มูล คาของเงิน ตามเวลาในสถานการณตลาดปจจุ บันและความเสี่ยง ที่เปนลักษณะเฉพาะของสิน ทรัพยที่กําลังพิจารณาอยู คือ ผลตอบแทนที่ผูลงทุนตองการหากไดเลือก การลงทุนที่ กอให เกิด กระแสเงิน สดที่มีจํา นวน จั งหวะเวลาและความเสี่ยงเทีย บเทา กั บการลงทุ น ซึ่ งกิ จ การคาดว า จะได รั บ จากสิน ทรั พ ยนั้ น อัต ราดั งกลา วประเมิน ได จ ากอั ตราดอกเบี้ ยในตลาด ณ ปจจุบันสําหรับสินทรัพยที่คลายคลึงกัน หรือจากตนทุนถัวเฉลี่ยถวงน้ําหนักของเงินทุนของกิจการที่ จดทะเบียนในตลาดหลัก ทรั พย ซึ่งมีสิ นทรัพยหรือ กลุ มของสินทรัพยที่มี ศัก ยภาพในการบริ การและ ความเสี่ยงคลายคลึงกับสินทรัพยที่กําลังพิจารณาอยู อยางไรก็ตาม อัตราคิดลดตองไมรวมความเสี่ยง ที่ไดปรับปรุงกับประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตแลว ทั้งนี้เพื่อปองกันการคํานวณซ้ํา
57.
เมื่อกิจการไมสามารถหาอัตราที่ใชเฉพาะกับสินทรัพยที่กําลังพิจารณาไดจากตลาดโดยตรง กิจการตอง หาตลาดที่มีสถานการณใกลเ คียงกัน เพื่อประมาณอัตราคิดลด แนวทางเพิ่มเติมในการประมาณอัตรา คิดลดในสถานการณตางๆ ไดแสดงไวในภาคผนวก ก
การรับรูรายการและการวัดมูลคาผลขาดทุนจากการดอยคา 58.
กิจการตองรับ รูและวั ดมู ลคาผลขาดทุ นจากการดอยคาของสินทรัพยแตละรายการที่ไม รวมถึงคา ความนิยม ตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 59 ถึง 64 และตองรับรูและวัดมูลคาผลขาดทุนจากการดอย คาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดและคาความนิยมตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 65 ถึง 108
59.
กิจการตองบันทึกลดมูลคาตามบัญชีของสินทรัพยใหเทากับมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนหากมูลคาที่ คาดวาจะไดรับคืนต่ํากวามูลคาตามบัญชีของสินทรัพยนั้น สวนที่ลดลงคือ ผลขาดทุนจากการดอยคา
60.
กิจการตอ งรับรูผลขาดทุน จากการดอยคา ในกําไรหรือขาดทุนทันที นอกจากวามูลคา ตามบัญชี ของสินทรัพยเปนราคาที่ตีใหมตามมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่น (ตัวอยางเชน ตามขอ กําหนดของ วิธี ราคาที่ ตีใ หมตามมาตรฐานการบัญ ชี ฉบั บที่ 16 (ปรั บปรุง 2552) เรื่อง ที่ดิ น อาคารและ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 26/92
อุปกรณ (เมื่อมีการประกาศใช)) กิจการตองนําผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพยที่ตีราคา ใหมไปลดสวนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพยตามขอกําหนดของมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่น 61.
กิจการตองรับ รูผลขาดทุ นจากการดอยคา ของสิ นทรัพยที่ไ มมีการตีราคาใหม ในกําไรหรือขาดทุ น อย างไรก็ต าม หากกิจ การเคยตีร าคาสินทรัพ ยเพิ่ม กิจ การตอ งนํ าผลขาดทุน จากการดอยคา นั้น ไป บันทึกในกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นไดภายในขอบเขตที่ผลขาดทุนจากการดอยคานั้นไมเกินสวนเกินทุน ที่เคยบันทึกไวสําหรับสินทรัพยรายการเดียวกัน ผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพยที่ตีราคาใหม ดังกลาว ทําใหสวนเกินทุนจากการตีราคาใหมของสินทรัพยนั้นลดลง
62.
หากผลขาดทุนจากการดอยคาที่ประมาณขึ้นมีจํานวนสูงกวามูลคาตามบัญชีของสินทรัพย กิจการ ตองรับรูสวนตางนั้นเปนหนี้สินหากมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่นกําหนดไว
63.
หลั งจากที่ กิ จ การรั บ รู ผ ลขาดทุ น จากการด อ ยค า กิ จ การต อ งคํ า นวณค า เสื่ อ มราคา (ค า ตั ด จําหนา ย) ของสินทรัพย โดยใชมูล คาตามบัญ ชีใหมของสินทรัพยหักดวยมูลค าคงเหลือ (ถา มี) การคํ า นวณค า เสื่ อ มราคาหรื อ ค า ตั ด จํ า หน า ยต อ งเป น การป น ส ว นอย า งมี ร ะบบตลอดอายุ การใหประโยชนที่เหลืออยูของสินทรัพย
64.
หากกิ จ การรั บ รู ผ ลขาดทุ น จากการด อ ยค า กิ จ การต อ งกํ า หนดสิ น ทรั พ ย ห รื อ หนี้ สิ น ภาษี เ งิน ได รอตัดบัญชีที่เกี่ย วของตามขอ กํา หนดในมาตรฐานการบัญ ชี ฉบั บ ที่ 12 เรื่อ ง ภาษีเงิน ได โดยการ เปรียบเทียบมูลคา ตามบัญชีใหมของทรัพยสินกับฐานภาษีของทรัพยสินนั้น (ดูตัวอยางประกอบการ อธิบายที่ 3)
หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดและคาความนิยม 65.
กิจ การต องกํา หนดหนว ยสินทรัพยที่กอใหเ กิดเงิน สด วัดคามูลคาตามบัญชี และรับ รูผลขาดทุน จาก การดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดและคาความนิยมตามขอกําหนดที่ระบุไวในยอหนาที่ 66 ถึง 108 และภาคผนวก ค
การกําหนดหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด 66.
หากมีขอบงชี้ที่แสดงวาสินทรัพยอาจเกิดการดอยคา กิจการตองประมาณมูลคาที่คาดวาจะไดรับ คืน ของสิ นทรัพ ยแตละรายการ หากกิจการไม สามารถประมาณมูลค าที่ คาดวา จะได รับ คืนของ สินทรัพยแต ละรายการได กิจการต องกํา หนดมูลคาที่คาดวาจะไดรั บคื นของหนว ยสินทรัพยที่ กอใหเกิดเงินสดที่มีสินทรัพยที่กําลังพิจารณารวมอยู
67.
กิจการจะไมสามารถกํา หนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพยแตละรายการไดหากเปนไปตาม เงื่อนไขทุกขอดังตอไปนี้ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 27/92
67.1 มู ลค า จากการใช ข องสิน ทรั พ ยไม สามารถประมาณการได ว า ใกลเคี ยงกั บ มู ล ค า ยุติ ธ รรม หัก ตนทุน ในการขาย (ตัว อย างเชน เมื่อ กระแสเงิน สดในอนาคตจากการใชสิ นทรัพ ยอ ยา ง ตอเนื่อง ไมสามารถประมาณการไดวามีคานอยมากจนไมนํามาพิจารณา) 67.2 สิน ทรั พย ไม สามารถกอ ให เกิ ดกระแสเงิ นสดรับ ที่โดยสว นใหญ เป นอิ สระจากกระแสเงิน สด ที่ไดรับจากสินทรัพยอื่นได ในกรณีดังกลาว กิจการสามารถกํา หนดมูล คาจากการใชสินทรัพย หรือ มูลคาที่ค าดวา จะไดรับ คืนได เฉพาะสําหรับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด ตัวอยาง บริ ษั ท เหมือ งแร เปน เจา ของทางรถไฟสว นบุ คคลที่ใ ช สนั บ สนุ นกิ จ กรรมเหมื องแร ข องบริ ษัท เอง ทางรถไฟดังกลาวสามารถขายไดเปนเศษซากเทานั้น และทางรถไฟไมสามารถกอใหเกิดกระแสเงินสด ที่เปนอิสระจากกระแสเงินสดรับของสินทรัพยอื่นในเหมือง ในกรณีดังกลาวบริษัทไมสามารถประมาณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของทางรถไฟได เนื่องจากมูลคา จากการใชทางรถไฟไมสามารถประมาณไดแ ละอาจแตกตา งจากมูลคาซาก ดังนั้น บริษัทจึงประมาณ มู ลคา ที่ คาดว า จะไดรั บ คื นจากหนว ยสินทรัพ ยที่ก อใหเ กิดเงิน สดที่ทางรถไฟดังกลา วรวมอยูด ว ย ซึ่งก็คือเหมืองแรทั้งหมดนั่นเอง 68.
ตามคํานิยามที่ไดกําหนดไวในยอหนาที่ 6 หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสด หมายถึง สินทรัพยกลุม ที่เล็กที่สุดที่สามารถระบุไดวาการใชก ลุมสินทรัพยดังกลาวอยางตอเนื่องจะกอใหเกิดกระแสเงินสดรับ ซึ่งโดยสวนใหญเปนอิสระจากกระแสเงินสดรับที่เกิดจากสินทรัพยอื่นหรือกลุมสินทรัพยอื่น การระบุถึง หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดตองอาศัยดุลยพินิจ หากกิจการไมสามารถกําหนดมูลคาที่คาดวาจะ ได รั บ คื น ของสิน ทรั พ ยแ ต ละรายการได กิ จ การต อ งกํ า หนดมู ล ค า ที่ ค าดว า จะได รั บ คื น ของกลุ ม สินทรัพยที่เล็กที่สุดที่กอใหเกิดกระแสเงินสดรับ ซึ่งเปนอิสระจากสินทรัพยอื่นหรือกลุมสินทรัพยอื่น ตัวอยาง บริษัทรถประจําทางแหง หนึ่งมี สัญ ญากับเทศบาลที่จะใหบ ริก ารเดิน รถประจํา ซึ่ งขอสั ญญาระบุว า บริษัทจะตองใหบริ การขั้นต่ํา 5 สาย กิ จการสามารถระบุสิน ทรัพยแ ละกระแสเงินสดที่ไ ดรับจากการ เดินรถแตละสายแยกจากกันได แมวาการเดินรถประจําทางสายหนึ่งมีผลขาดทุนอยางมีนัยสําคัญ เนื่ องจากตามสั ญญากิ จการไม สามารถที่จะยกเลิกเดินรถสายใดสายหนึ่งได ดั งนั้น กลุม สินทรั พย ซึ่ง เล็กที่สุดที่กอใหเกิดกระแสเงินสดรับ ซึ่งเปนอิสระจากสินทรัพยอื่นหรือกลุมสินทรัพยอื่น คือ กลุมของ รถประจําทางทั้ง 5 สายรวมกัน ซึ่งหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดคือบริษัทรถประจําทางทั้งบริษัท
69.
กระแสเงิน สดรับ คือ กระแสเงิน สดและรายการเทีย บเทาเงิน สดซึ่ง ไดรับมาจากบุคคลหรือ กิจ การ ภายนอกกิจการที่เสนอรายงาน ในการระบุ วา กระแสเงินสดที่ไดรับ จากสินทรัพ ยหรือ กลุ มสินทรัพ ย มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 28/92
สว นใหญ เป นอิส ระจากกระแสเงิน สดรับ จากสิน ทรัพ ยอื่ นหรือ กลุ มสิ นทรั พยอื่ นหรือ ไม กิจ การต อง พิจารณาปจจัยหลายประการซึ่งรวมถึงวิธีการที่ฝา ยบริหารกํา กับดูแ ลการดําเนินงานของกิจการ เช น การกํากับดูแลตามสายผลิตภัณฑ ตามลักษณะธุรกิจหรือตามแหลงที่ตั้ง หรือวิธีที่ฝายบริหารใชในการ ตัดสิ นใจเกี่ยวกับ การใชสิ นทรัพยห รือจําหนายสิ นทรัพยของกิ จการ แนวทางในการกํา หนดหนวย สินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดไดแสดงไวในตัวอยางประกอบการอธิบายที่ 1 70.
กิจการตองระบุใหสินทรัพยหรือกลุมสินทรัพยเปนหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดหากสินทรัพย หรือกลุมสินทรัพยนั้นมีผลผลิตที่ มีตลาดซื้ อขายคลอ งรองรับ แมวาจะมีการนําผลผลิตบางสวน หรือทั้งหมดมาใชภายในกิ จการ หากราคาโอนภายในมีผลตอกระแสเงินสดรับที่ไดจากสินทรัพย หรือ หนวยสิน ทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด กิจการตองนําประมาณการราคาตลาดในอนาคตที่ดีที่สุด ของฝายบริหารสําหรับผลผลิตนั้นมาใชเพื่อ 70.1 ประมาณกระแสเงินสดที่จะไดรับในอนาคตเพื่อกําหนดมูลคาจากการใชของสินทรัพยหรือ หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดนั้น และ 70.2 ประมาณกระแสเงินสดที่จะตองจายในอนาคตเพื่อกําหนดมูลคาจากการใชของสินทรัพย หรือหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่ถูกกระทบจากราคาโอนภายใน
71.
แม วากิ จการได นําผลผลิต ที่ไ ดจ ากสินทรัพ ยห รือ กลุมสิ นทรั พยทั้งหมด หรือ บางสวนไปใชใ นหนวย สินทรัพยอื่น ภายในกิจ การ (ตัว อยางเชน สิน คา ที่อ ยูระหวางกระบวนการผลิ ต) กิจ การตองถื อว า สิน ทรัพยหรือกลุม สินทรัพยดั งกลา วเปนหนว ยสิ นทรัพยที่กอให เกิด เงิน สดแยกตา งหากจากกลุ ม สิน ทรั พยอื่น หากกิ จการสามารถขายผลผลิตนี้ไดใ นตลาดซื้อขายคลอง ทั้งนี้เนื่อ งจากสิน ทรัพยหรือ กลุมสินทรัพยนั้นสามารถกอใหเกิดกระแสเงินสดที่จะไดรับจากการใชอยางตอเนื่องโดยกระแสเงินสด สวนใหญแยกเปน อิสระจากสิน ทรัพยอื่นหรือกลุมของสินทรัพยอื่น กิจการตองปรับปรุงขอมูลที่ไดมา จากงบประมาณหรือประมาณการทางการเงินที่มีความเกี่ยวของกับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด หรือสินทรัพย อื่น ที่ ถูก กระทบจากราคาโอนภายใน หากราคาโอนภายในไม สะทอนถึง ประมาณการ ราคาตลาดในอนาคตที่ดี ที่สุดของฝา ยบริหารที่เปนราคาที่สามารถตอรองราคากันไดอยางเปนอิ สระ ในลักษณะของผูที่ไมมีความเกี่ยวของกัน
72.
กิ จการตอ งกํ าหนดหนวยสิน ทรั พยที่ก อใหเ กิ ดเงิ นสดสํ า หรั บ สิน ทรั พยเ ดี ยวกัน หรือ สิ นทรัพ ย ประเภทเดียวกันอยางสม่ําเสมอในแตละงวด เวนแตกิจการสามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงนั้น ไดอยางสมเหตุสมผล
73.
ในกรณี ที่กิ จการกํา หนดวา สิ นทรัพยที่กํา ลังพิ จารณาอยูภายใตหนว ยสินทรัพยที่ กอใหเกิด เงินสด แตกต า งจากที่กํ า หนดไวใ นงวดก อ น หรื อ ประเภทของสิน ทรั พ ยต า งๆ ที่ ร วมในหน ว ยสินทรั พ ย ที่ก อให เกิด เงิน สดเปลี่ยนแปลงไปจากงวดกอน กิ จการตอ งเปดเผยขอ มูล เกี่ย วกับ หนวยสิ นทรัพ ย มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 29/92
ที่กอให เกิดเงิ นสดตามขอกํ าหนดที่ระบุ ไวในยอ หนาที่ 130 หากกิ จการมี การรับ รูหรือกลับ รายการ ผลขาดทุนจากการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดนั้น
มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนและมูลคาตามบัญชีของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด 74.
มู ล ค า ที่ ค าดว า จะได รั บ คื น ของหน ว ยสิน ทรั พ ยที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สด คื อ มู ล ค า ยุติ ธ รรมหั ก ต น ทุ น ในการขายหรือ มูล คา จากการใชข องหนว ยสิ นทรัพยที่กอใหเ กิด เงิน สดแล วแตจํานวนใดจะสูง กว า ในการกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด กิจการตองปฏิบัติต าม ยอหนาที่ 19 ถึง 57 โดยใชคําวา “หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด” แทนคําวา “สินทรัพย”
75.
กิจการตองกําหนดมูลคาตามบัญชีของหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิดเงินสดใหส อดคลองกับมูลคาที่ คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดนั้น
76.
มูลคาตามบัญชีของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดตอง 76.1 รวมมู ลค าตามบัญ ชีข องสิน ทรัพ ยเ ฉพาะที่เกี่ ยวขอ งโดยตรง หรื อที่ สามารถป นสวนไดอ ยา ง สมเหตุสมผลและสม่ําเสมอใหกับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด ซึ่งจะกอใหเกิดกระแสเงิน สดรับในอนาคตในการกําหนดมูลคาจากการใชของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดนั้น 76.2 ไมรวมมูลคาตามบัญชีของหนี้สินที่กิจการไดรับรูแลว นอกจากวากิจการไมสามารถกําหนดมูล ค า ที่ ค าดว า จะได รั บ คื น ของหน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิน สดได ห ากไม นํ า หนี้ สิ น นั้ น มา พิจารณามูลคาตามบัญชี มูล คา ตามบั ญชีต องคํา นวณตามที่ ได กําหนดไวขา งต นเนื่ องจากมูลคา ยุติ ธรรมหั กต นทุน ในการขาย และมู ลค า จากการใช ข องหน ว ยสิน ทรั พย ที่ ก อ ให เกิ ดเงิ นสดกํ า หนดขึ้ นโดยไม ร วมกระแสเงิน สด ของสินทรัพ ยที่ไมใ ชสวนหนึ่งของหน วยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสด และโดยไมร วมหนี้สิน ที่กิจการ ไดรับรูไวแลวในงบการเงิน (ดูยอหนาที่ 28 และ 43)
77.
เมื่ อกิ จการรวมสินทรัพ ยไวดวยกันเปนกลุมเพื่อ ประเมิน มูล คา ที่คาดวา จะไดรับ คืน กิจการต องรวม สินทรัพยทุก รายการที่เกี่ยวของกับ การกอ ใหเ กิดกระแสเงิน สดรับ จากการใชไ วในหนวยสิ นทรัพ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิน สดเดี ยวกั น มิ ฉ ะนั้ นอาจดู เหมื อ นว า กิ จ การได รั บ คื น มู ลค า ของหน ว ยสิ นทรั พ ย ที่ กอใหเกิดเงินสดเต็มจํานวน ทั้งที่ในความเปนจริงผลขาดทุนจากการดอยคาไดเกิดขึ้นแลว ในบางกรณี แม ว า สิ น ทรั พ ย บ างรายการมี ส ว นในการประมาณกระแสเงิ น สดในอนาคตของหน ว ยสิน ทรั พ ย ที่กอใหเกิด เงินสด กิจการอาจไมสามารถปนสวนสินทรัพยนั้นใหกับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด ไดอยาง สมเหตุสมผลและสม่ําเสมอ ตัวอยางเชน คาความนิยม หรือสินทรัพยองคกร เชน สินทรัพย ที่ สํา นั ก งานใหญ มาตรฐานการบั ญ ชีฉ บั บ นี้ ได อธิ บ ายวิธี ปฏิ บั ติ เกี่ ยวกับ สินทรั พ ยดั งกลา วในการ ทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดไวในยอหนาที่ 80 ถึง 103 มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 30/92
78.
กิจการอาจจํา เปนต องพิจารณาหนี้สินที่กิจ การไดรับ รูแ ลว เพื่อ กํา หนดมู ลคา ที่ค าดวา จะไดรับ คื น ของหน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สด กรณี นี้ อ าจเกิ ด ขึ้ น หากกิ จ การจํ า หน า ยหน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่กอใหเ กิด เงิ นสด โดยผู ซื้อ ตอ งรั บภาระหนี้สินดังกลาว ดังนั้ น มูลคายุติธรรมหัก ตน ทุน ในการขาย (หรื อ ประมาณการกระแสเงิ น สดจากการจํ า หน า ย) ของหน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สด คือ ประมาณการราคาขายของสินทรัพยทุกรายการที่ระบุอยูในหนวยสิน ทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดสุทธิ จากหนี้สินที่ผูซื้อตองรับภาระหักดวยตนทุนในการจําหน าย กิจการตองนํามูลคาตามบั ญชีของหนี้สิน ไปหักจากทั้งมูลคาตามบัญชี และมูลคาจากการใช ของหนวยสินทรัพยที่กอให เกิดเงินสดกอนที่จะทํา การเปรียบเทียบระหวางมูลคาตามบัญชี และมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสด ตัวอยาง กิจการแหงหนึ่งดําเนินธุรกิจเหมืองแรในประเทศที่มีกฎหมายบังคับวาเจาของตองบูรณะสถานที่เมื่อ การทําเหมืองแรเสร็จสิ้นลง ตนทุนการบูรณะรวมถึงการฟนฟูเหมืองใหกลับสูสภาพเดิม กิจ การต อง รับรูป ระมาณการหนี้สินจากการฟ นฟูทันทีที่กิจการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่เพื่อทํา เหมือ ง ประมาณ การดั งกลา วรั บ รูเปนตนทุน ของเหมือ งและมี การคิดคาเสื่อมราคาตลอดอายุการใหประโยชนข อง เหมื อ งนั้ น มู ลค า ตามบั ญ ชี ข องประมาณการหนี้ สิ น ในการบู ร ณะสถานที่ เ ท า กั บ 500 ล า นบาท ซึ่งเทากับมูลคาปจจุบันของรายจายในการบูรณะสถานที่นั้น กิ จการต อ งทดสอบการดอยคา ของเหมื อง โดยหน ว ยสิน ทรั พยที่ กอให เกิด เงิน สด ไดแ ก เหมื อ ง โดยรวม ทั้ง นี้กิจการได รับ คําเสนอที่จะซื้อเหมืองจากผูซื้อหลายรายในราคาประมาณ 800 ลานบาท ซึ่งเปน ราคาที่ผูซื้อจะรั บภาระผูกพันในการบูรณะสถานที่ ต นทุนในการจําหนายเหมืองมีค านอยมาก จนไมนํามาพิจารณา มูลคาจากการใชของเหมืองมีจํานวนประมาณ 1,200 ลานบาท ซึ่งไมรวมรายจาย ในการบูรณะสถานที่ มูลคาตามบัญชีของเหมืองเทากับ 1,000 ลานบาท มูลคายุติธรรมหักตนทุนในการจําหนายสําหรับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดเทากับ 800 ลานบาท ซึ่งเปนจํานวนสุทธิจากภาระหนี้สินในการบูรณะสถานที่ มูลคาจากการใชของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงิ นสดสุ ทธิ จากภาระหนี้ สิน ในการบู ร ณะสถานที่ดั งกลาวเท ากั บ 700 ล า นบาท (1,200 ลา นบาท หัก ดว ย 500 ลานบาท) มู ลค าตามบั ญชี ของหนวยสินทรัพย ที่กอใหเกิ ดเงิน สดสุท ธิจากภาระหนี้สิน ดังกลาวเทากับ 500 ลานบาท (มูลคาตามบัญชี 1,000 ลานบาท หักดวยมูลคาตามบัญชีของประมาณ การหนี้สินในการบู รณะสถานที่ 500 ลานบาท) ดังนั้ น มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหน วยสินทรัพย ที่กอใหเกิดเงินสดจึงมีจํานวนสูงกวามูลคาตามบัญชีสุทธิของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดนั้น
79.
เพื่อประโยชนในทางปฏิบัติ มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดอาจตอง รวมสินทรัพยที่ไมถือเปนสวนหนึ่งของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดนั้น (เชน ลูกหนี้และสินทรัพย ทางการเงินอื่น) หรือรวมหนี้สินที่กิจการไดรับรูในงบการเงินแลว (เชน เจาหนี้ เงินบําเหน็จบํานาญ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 31/92
และประมาณการหนี้สิน) ในกรณีนี้ มู ลคาตามบัญชีของหนวยสิ นทรัพยที่กอใหเกิ ดเงินสดจะเพิ่มขึ้น ดวยมูลคาตามบัญชีของสินทรัพยและลดลงดวยมูลคาตามบัญชีของหนี้สินดังกลาว
คาความนิยม การปนสวนคาความนิยมใหหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด 80.
เพื่อ วัตถุ ประสงคในการทดสอบการดอ ยคาของคาความนิ ยม ตั้ง แต วัน ที่ซื้อกิจ การที่เปนผู ซื้ อ ตองปนสวน คาความนิยมที่เกิดขึ้นจากการรวมธุรกิจใหกับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด หรือ กลุมของหนวยสินทรัพยที่ กอใหเกิดเงินสดที่คาดวาจะไดรับประโยชนที่เพิ่มขึ้นจากการรวมธุรกิจ ไมวาสินทรัพยอื่นหรือหนี้สินอื่นของกิจการที่ถูกซื้อจะถูก ปนส วนกับหนวยสินทรัพย หรือกลุมของ หนวยสิ นทรัพยเหลา นั้นหรือ ไม ก็ตาม สิน ทรัพ ยที่ กอ ใหเ กิดเงิ นสดแตละหนวยหรือ แตล ะกลุม ที่ กิจการไดปนสวนคาความนิยมตอง 80.1 เปนหนวยในระดับที่เล็กที่สุดที่กิจการใชในการประเมินคาความนิยมในการบริหารภายใน กิจการ และ 80.2 ไมเกินกวาสวนงานปฏิบัติการหรือตามที่ไดกําหนดไวในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 8 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สวนงานดําเนินงาน (เมื่อมีการประกาศใช)
81.
คาความนิยมที่รับรูจากการรวมธุรกิจคือสินทรัพยที่แสดงถึงประโยชนเชิงเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งเกิด จากสิ นทรัพ ยอื่น ที่ไ ดม าจากการรวมกิจ การ ซึ่ งไมส ามารถระบุไ ดอย างอิ สระและไมส ามารถรับ รูใน งบการเงินแยกเปนแตละรายการได คาความนิยมไมกอใหเกิดกระแสเงินสดที่เปนอิสระจากสินทรัพย อื่นหรือกลุ มของสิ นทรัพยอื่น และในหลายกรณีมักจะกอใหเ กิดกระแสเงิน สดจากหนวยสิ นทรัพ ย ที่กอให เกิ ดเงิน สดหลายหนวยรวมกั น บางครั้งกิ จการอาจไมสามารถป นสว นค าความนิยมอยา งสม เหตุผ ลใหกับ หนวยสิน ทรัพยที่ก อ ใหเ กิ ดเงิน สดแตล ะหนว ยได แตสามารถปนสวนใหกั บ กลุมของ หนวยสินทรัพยที่กอใหเ กิด เงิน สดได ดังนั้ น หนวยที่อยูในระดับเล็ก ที่สุดที่กิจการใชในการพิ จารณา คาความนิยม ในการบริหารภายในกิจการ บางครั้งจะประกอบดวยหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิดเงินสด จํา นวนมากที่เกี่ยวข องกับ คาความนิยมแต กิจ การไมสามารถป นสวนคาความนิยมใหกับ หนว ยที่เล็ก ที่สุดเหลานั้นได กิจการตองปฏิบัติตามขอกําหนดในยอหนา 83-99 และภาคผนวก ค ของมาตรฐาน การบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 36 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่ อ ง การด อ ยคา ของสิน ทรั พ ย สํ า หรั บ หน ว ยสิน ทรั พ ย ที่กอใหเกิดเงินสดที่ไ ดรับการปนสวนค าความนิยม เชนเดีย วกับกลุมของหนว ยสินทรัพยที่กอใหเกิ ด เงินสดที่ไดรับการปนสวนคาความนิยม
82.
เมื่ อกิจการปฏิ บั ติต ามข อกํ าหนดในยอหนา ที่ 80 แลว กิ จการจะสามารถทดสอบการดอยคา ของ คาความนิยม ณ ระดับที่สะทอนลักษณะที่กิจการดําเนินงาน และประเมินคาความนิยม ดังนั้น กิจการ จึงไมจําเป นตอ งกํ าหนดระบบการรายงานนอกเหนือจากที่ระบุ ไวเพื่อ ใชพิจารณาการด อยคาของ คาความนิยมอีก มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 32/92
83.
หน วยสิน ทรั พยที่ กอ ให เ กิ ด เงิน สดที่ใ ช ในการป นส วนค า ความนิ ยมเพื่อ ประเมิ น การด อ ยค าตาม มาตรฐานการบัญชีฉ บับ นี้ไ มจํ าเปน ตอ งสอดคล องกับระดั บที่ กิจ การใชใ นการปน สว นค าความนิ ยม เพื่อ วัดมู ลคา กําไรหรือ ขาดทุน จากอัตราแลกเปลี่ย นตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ย นของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตางประเทศ ตัวอยางเชน หากกิจ การตอ งปฏิบั ติ ตามมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 21 (ปรั บ ปรุ ง 2552) โดยการปนสวนคา ความนิยมใหกั บ หน วยของกิ จการในระดั บที่คอนขา งเล็ก เพื่อวัด คา ผลกํา ไรหรือขาดทุ นจากอัต รา แลกเปลี่ยน กิจการไมจําเปนตองทดสอบการดอยคาของคาความนิยมที่ระดับเดียวกัน นอกจากกิจการ ประเมินคาความนิยม ณ ระดับเดียวกันในการบริหารงานภายในกิจการ
84.
หากการปนสวนครั้ งแรกของคาความนิ ยมที่เกิ ดจากการรวมธุ รกิ จยั งไมเสร็จ สิ้นก อนสิ้นรอบป บัญชีที่มีการรวมธุรกิจเกิดขึ้น กิจการตองดําเนินการปนสวนครั้งแรกนั้นใหเสร็จสิ้นกอนสิ้นรอบป บัญชีแรกหลังปที่มีการรวมธุรกิจเกิดขึ้น
85.
เพื่อ ใหส อดคล องกับ มาตรฐานการรายงานทางการเงิ น ฉบั บที่ 3 (ปรับ ปรุ ง 2552) เรื่อ ง การรวม ธุรกิจ ถาการบันทึกบัญชีเริ่มแรกของการรวมธุรกิจตอ งใชประมาณการในวันสิ้นงวดที่มีการรวมธุรกิจ กิจการที่เปนผูซื้อตอง : 85.1 บันทึกบัญชีสําหรับการรวมธุรกิจโดยใชมูลคาที่ประมาณการนั้น และ 85.2 รั บ รู ร ายการปรั บ ปรุ งมู ล ค า ที่ กํ า หนดขึ้ น เป น การชั่ ว คราวดั ง กลา วภายในช ว งระยะเวลา การวัดมูลคา ซึ่งตองไมเกิน 12 เดือน นับจากวันที่รวมธุรกิจ ในสถานการณดังกลาว กิจการอาจไมสามารถปนสวนคาความนิยมที่รับรูจากการรวมธุรกิจใหเสร็จสิ้น กอนสิ้นงวดบัญชีที่การรวมธุรกิจจะมีผลกระทบ ในกรณีดังกลาวใหกิจการเปดเผยขอมูลตามที่กําหนด ไวในยอหนาที่ 133
86.
ถา ค าความนิ ยมถูกป นสว นไปยัง หนว ยสิ นทรัพ ยที่ กอใหเ กิดเงินสด และกิจ การไดจํ าหนา ยการ ดําเนินงานที่อยูภายใตหนวยสินทรัพยนั้นออกไป คาความนิยมที่เกี่ยวเนื่องกับการดําเนินงานนั้น จะตอง 86.1 รวมไวใ นมูลคา ตามบัญชีข องการดํา เนิ นงานนั้น ในการคํ านวณผลกํ าไรหรือ ขาดทุนจาก การจําหนาย และ 86.2 วัดมูลคาโดยใชเกณฑมูลคาเปรียบเทียบของการดําเนินงานที่ถูกจําหนายและสัดสวนของ หนวยสินทรัพยที่ก อใหเ กิดเงินสดที่ ยัง คงอยู นอกจากกิจ การจะสามารถแสดงใหเ ห็นวา การคํา นวณโดยใชวิธีอื่น จะสามารถสะทอนให เห็นถึ งมู ลค าของคา ความนิย มของการ ดําเนินงานที่จําหนายออกไปไดดีกวา
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 33/92
ตัวอยาง กิจการขายส วนงานซึ่งเป นสวนหนึ่งของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่ มีคาความนิยมรวมอยู ไปในราคา 100 ล านบาท แตกิ จการไมสามารถระบุ คา ความนิยมใหกับ กลุ มสิ นทรัพย ที่เ ล็กกวา หน วยสิน ทรัพยที่ กอใหเ กิดเงิน สดนั้นอยา งสมเหตุ ผลได เวนแตจ ะกํ าหนดขึ้ นตามดุล ยพิ นิจของ กิจ การเอง มูลค าที่คาดวา จะได รับ คืนตามสัดสว นของหนวยสินทรัพยที่กอใหเ กิ ดเงินสดส ว นที่ เหลืออยู เทากับ 300 ลานบาท เนื่ อ งจากกิจ การไมสามารถปนสวนคา ความนิยมให กับ หนว ยสินทรัพ ยที่กอใหเ กิด เงิน สดอยาง สมเหตุ สมผลได หรือไม สามารถระบุคาความนิยมใหกับ กลุมสินทรัพยที่เล็กวา หนว ยสินทรั พ ย ที่กอใหเ กิด เงินสด คา ความนิยมของสว นงานที่ขายใหระบุโดยเปรีย บเทียบสัดสวนมู ลคาของสว น งานที่ขายและสวนงานที่ยังคงอยู ดังนั้น คาความนิยมจํานวนรอยละ 25 จึงปนสวนไปรวมกับมูลคา ตามบัญชีของการดําเนินงานที่ขายไป 87.
ถ า กิ จ การปรั บ โครงสร า งการรายงานใหม โดยการปรั บ โครงสร า งดั ง กล า วส ง ผลให มี ก าร เปลี่ ย นแปลงในองค ป ระกอบของหน ว ยสิ น ทรั พย ที่ กอ ให เ กิด เงิน สดหน ว ยใดหนว ยหนึ่ งหรื อ มากกวา ซึ่ งกิจการไดมีการปนสว นคาความนิยมใหแลว กิจการควรปนส วนคาความนิยมใหมใ ห สอดคลองกับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่มีการเปลี่ยนแปลงดังกลาวดว ย โดยการปนสวน ใหมใหใชวิธีคํานวณตามสัดสวนของมูล ค าเชน เดีย วกับที่ ใชเ มื่อ มีการจํ าหนา ยการดํ าเนินงาน ภายใตหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด เวนแตกิจการจะสามารถแสดงใหเห็นวาการคํานวณโดย ใชวิ ธี อื่นจะสามารถสะทอ นใหเ ห็น ถึงมูลค าของคา ความนิย มของหนว ยสินทรั พยที่ มีก ารปรั บ โครงสรางใหมไดดีกวา ตัวอยาง กิจการเคยปนสวนคา ความนิยมให กับ หน วยสิ นทรัพ ยที่ กอ ใหเกิด เงิน สด ก แตไมส ามารถปนสว น ค า ความนิ ย มดั ง กล า วให แ ก ก ลุ ม ของสิ น ทรั พ ย ที่ มี ข นาดเล็ ก กว า หน ว ยสิ น ทรั พ ย ก ได อ ย า ง สมเหตุสมผล เวนแตกิจการจะกําหนดขึ้นตามดุลพินิจของกิจการเอง อยางไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลง โครงสร างของบริษั ทที่กํา ลังจะเกิด ขึ้น สงผลใหหนว ยสินทรัพ ย ก ถูก แบงออกเปนสามสวนงาน และ ไปรวมกับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด ข ค และ ง เนื่ องจากกิจการไมสามารถปนสว นคา ความนิ ยมให กับ กลุมของสินทรั พยที่ มีขนาดเล็กกวา หน วย สินทรัพย ก ไดอยา งสมเหตุสมผล คาความนิยมที่ปน สวนใหกับหนวยสินทรัพย กจะตองถูกปนสว น ใหม ใหกับ หน วยสินทรัพย ข ค และ ง ตามสัดสวนมูลคาของสามสวนงานของ กก อนที่จะมีการแบง สวนงานและไปรวมกับหนวยสินทรัพย ข ค และ ง มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 34/92
การทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดซึ่งมีคาความนิยมรวมอยู 88.
ตามที่กล าวไวในยอหนาที่ 81 หากคาความนิย มมีความเกี่ยวข องกับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิ ด เงินสดแตไมไดถูกปนสวนใหแกหนวยสินทรัพยนั้น หนวยสินทรัพยดังกลาวตองไดรับการทดสอบ การด อยคา เมื่ อมี ขอบง ชี้วา หนวยสินทรัพยอาจเกิด การด อยคา โดยการเปรี ยบเทียบกับ มูล คา ตามบั ญชีของหนว ยสินทรั พยซึ่งไมรวมค าความนิยมกั บมูล คา ที่ค าดวา จะไดรั บคื นของหนว ย สินทรัพยนั้น และใหรับรูผลขาดทุนจากการดอยคาที่เกิดขึ้นตามวิธีการที่ระบุไวในยอหนาที่ 104
89.
หากมูลคา ตามบัญ ชีข องหนวยสินทรัพยที่กอใหเ กิด เงิน สดตามย อหนาที่ 88 ได รวมสินทรัพยไ ม มี ตัวตนที่มี อายุการให ประโยชนไมทราบแนนอนหรือที่ยังไม พรอมที่ จะใชงาน และกิ จการสามารถ ทดสอบการดอยคาของสิน ทรัพยไมมีตัวตนดังกลาวไดเพียงวิธีเดียว โดยการรวมสินทรัพยไมมีตัวตน นั้ นเปนสวนหนึ่งของหนวยสิน ทรัพยที่กอ ให เกิด เงิน สดเทานั้น ย อหนาที่ 10 ของมาตรฐานฉบั บ นี้ กําหนดใหกิจการตองทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยนั้นทุกป
90.
กิ จ การต อ งทดสอบการด อ ยค า ของหน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สด ซึ่ ง มี ก ารป น ส ว นค า ความนิ ย มให ป ล ะครั้ ง และเมื่ อ ใดก็ ต ามที่ มี ข อ บ ง ชี้ ว า หน ว ยสิ น ทรั พ ย เ กิ ด การด อ ยค า โดย การเปรียบเทียบมูลคาตามบัญชีข องหนวยสิน ทรั พย ซึ่งรวมค าความนิยม กับมูลค าที่ คาดว าจะ ไดรับคืนของหนวยสินทรัพยนั้น หากมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยมากกวามูลคา ตามบัญชีข องหนวยสิน ทรัพยให ถือ วาหนวยสินทรั พยและค าความนิยมที่ถูกปนส วนให แกหนวย สินทรัพยนั้นไมเกิดการดอยคา แตถาหากมูลคาตามบัญชีของหนวยสินทรัพยมากกวามูลคาที่คาด วาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพย กิจการตองรับรูผลขาดทุนจากการดอยคาตามยอหนาที่ 104
91-95 (ยอหนานี้ไมใช) ชวงเวลาที่ทําการทดสอบการดอยคา 96. การทดสอบการดอยคาประจําปสําหรับหนว ยสินทรัพยที่กอ ใหเกิดเงินสดที่คาความนิยมไดถูกปน สวนมาอาจทําไดในชวงใดของปก็ได แตจะตองเปนชวงเวลาเดียวกันในแตละป หนวยสินทรัพยที่ กอใหเกิดเงินสดแตละหนวยอาจไดรับการทดสอบการดอยคาในชวงเวลาตางกันได อยางไรก็ตาม หากคาความนิยมบางสวน หรือทั้งหมดที่ปนสวนใหแกหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดไดมาจาก การรวมธุรกิจในระหวางปปจจุบัน กิจการตองทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยดังกลาวกอ น สิ้นปปจจุบันนั้น 97.
หากกิจการทดสอบการดอยคาของสินทรัพยที่เปนองคประกอบของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงิน สด ซึ่งไดรับการปนสวนคาความนิยมในเวลาเดียวกับการทดสอบการดอยคาของหนว ยสินทรัพย ที่มีค าความนิยมรวมอยูดวยนั้น กิจ การตองทดสอบการดอยคาของสิ นทรัพยที่เ ปนองคประกอบ กอ นที่ จะทดสอบหนว ยสินทรั พยที่มีคา ความนิ ย มรวมอยูด วย ในทํ า นองเดียวกัน หากกิ จการ ทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่ประกอบเปนกลุมของหนวยสินทรัพยที่ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 35/92
กอใหเกิดเงินสดที่ไดรับการปนสวนคาความนิยมในเวลาเดียวกันกับ กลุมของหนว ยสินทรัพยที่มี คาความนิยมรวมอยู กิจการควรทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยแตละหนวยกอนกลุมของ หนวยสินทรัพยที่มีคาความนิยมรวมอยู 98.
ณ เวลาที่ มีก ารทดสอบการด อ ยคา ของหน ว ยสิน ทรั พ ยที่ก อ ใหเ กิ ด เงิ น สดที่ ได รั บ การป น สว นค า ความนิยม อาจมีขอบงชี้วาสินทรัพยที่อยูภายใตหนวยสินทรัพยที่มีคาความนิยมรวมอยูเกิดการดอยคา ในสถานการณดังกลาว กิจการตองทดสอบการดอยคาของสินทรัพยแตละรายการกอนเปนอันดับแรก และรั บรู ผลขาดทุ นจากการดอ ยค า ของสิ นทรัพยเหลานั้น กอ นที่จ ะทดสอบการดอยคา ของหน วย สิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สดที่ มี ค า ความนิ ยมรวมอยู ในทํ า นองเดี ย วกั น หากมี ข อ บ ง ชี้ ว า หน ว ย สิ น ทรั พยที่กอ ใหเกิ ดเงินสดที่ อยูภายใตก ลุม ของหนว ยสินทรัพยที่มี คา ความนิยมรวมอยูเกิ ดการ ดอยคา กิจการตองทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดและรั บรูผลขาดทุนจาก การด อยคาของหนว ยสินทรัพยนั้น กอนที่จะทดสอบการดอยคาของกลุมของหนวยสินทรัพยที่ไดรับ การปนสวนคาความนิยม
99.
การคํานวณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่ไดรับการปนสวนคา ความนิยมซึ่งกระทําไวอยางละเอียดลาสุดในงวดกอน สามารถนํามาใชในการทดสอบการดอยคา ของหนวยสินทรัพยนั้นในงวดปจจุบันได หากเขาเงื่อนไขทุกขอดังตอไปนี้ 99.1 สิ น ทรั พ ย แ ละหนี้ สิ น ที่ เ ป น ส ว นประกอบของหน ว ยสิ น ทรั พ ย ไ ม เ ปลี่ ย นแปลงอย า ง มีนัยสําคัญ จากการคํานวณมูลคาที่จะไดรับคืนครั้งลาสุดนั้น 99.2 การคํา นวณครั้ง ลา สุด แสดงให เห็ นว ามู ลค าที่ คาดวา จะได รับ คืนสูงกว ามู ลค าตามบัญ ชี ของหนวยสินทรัพยนั้นเปนจํานวนมาก 99.3 จากการวิเคราะหเหตุการณที่ไดเกิดขึ้นและสถานการณที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการคํานวณ มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนครั้งลา สุด มีความเปนไปไดนอยมากที่มูลคาที่ค าดว าจะไดรั บ คืนในงวดปจจุบันจะต่ํากวามูลคาตามบัญชีของหนวยสินทรัพย
สินทรัพยองคกร 100. สินทรัพยอ งคกร รวมถึง สินทรัพยของหนวยงานหรือกลุมหนวยงาน เชน อาคารสํานักงานใหญ หรือ ของฝ ายงานของกิ จการ อุปกรณป ระมวลผลขอมูล หรือศูนยวิจัย โครงสรางของกิ จการจะกําหนดวา สิน ทรั พยที่รวมอยูในหนวยสิน ทรัพยที่ กอ ใหเ กิด เงินสดเปน ไปตามคํ า นิยามของสินทรัพ ยอ งค กร ตามมาตรฐานฉบับ นี้หรื อไม ลักษณะที่สํา คัญ ของสิน ทรั พยอ งค ก ร คื อ สิ นทรัพยนั้น ไมกอ ใหเกิ ด กระแสเงินสดรับที่เปนอิสระจากสินทรัพยอื่นหรือกลุมสินทรัพยอื่น และมูลคาตามบัญชีของสินทรัพย องคกรไมมีความเกี่ยวของโดยตรงกับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดภายใตการพิจารณา 101. เนื่ องจากสิน ทรัพย องคก รไม กอ ให เกิดกระแสเงิน สดรับแยกตา งหาก กิ จการจึงไมสามารถกํา หนด มูลค าที่ คาดวา จะไดรับคืนของสิ นทรัพยองคกรแตล ะรายการได นอกจากวา ฝายบริหารตัดสินใจ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 36/92
ที่จะจํา หน ายสินทรัพยอ งคกรนั้น ด วยเหตุ ผลดัง กลา ว หากมีขอบงชี้ที่ แสดงวาสิ นทรั พย องคกรอาจ ดอยคา กิจการตองกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพย หรือกลุมของหนวยสินทรัพย ที่กอ ใหเกิด เงิน สด ซึ่งสิ นทรัพ ยอ งค กรนั้นรวมอยู กิ จการตอ งเปรียบเทีย บมูล คา ดังกลา วกับ มูล คา ตามบั ญชี ของหนว ยสินทรัพ ย หรื อกลุม ของหนว ยสินทรัพ ยที่ กอ ให เกิ ดเงิน สด และตอ งรั บรู ผลตา ง ที่เกิดขึ้นเปนผลขาดทุนจากการดอยคาตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 104 102. ในการทดสอบว า หน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สดเกิ ด การด อ ยค า หรื อ ไม กิ จ การต อ งระบุ สินทรัพยองคกรทุ กรายการที่เ กี่ยวของกับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดภายใตการพิจารณา ดังนี้ 102.1 หากกิจการสามารถปนสวนมูลคาตามบัญชีข องสินทรัพย องคกรอยางสมเหตุส มผลและ อยา งสม่ํา เสมอ ใหแก หนว ยสินทรัพยนั้น กิจการต องเปรี ยบเทียบมูล ค าตามบัญ ชีข อง หนวยสินทรัพยซึ่งรวมสัดสวนของมูลคาตามบัญชีของสินทรัพยอ งคกรที่ถูกปนสวนใหแก หนวยสินทรัพยนั้นกับมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน และรับรูผลตางที่เกิดขึ้นเปนผลขาดทุน จากการดอยคาตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 104 102.2 หากกิจการไมสามารถปนสวนมูลคาตามบัญชีของสินทรัพยองคกรใหแกหนวยสินทรัพย นั้นได อยางสมเหตุสมผลและอยางสม่ําเสมอ กิจการตอง 102.2.1 เปรี ยบเที ยบมู ลค า ตามบั ญชีของหนว ยสินทรั พยนั้น ซึ่ งไมรวมมูลค า ตาม บัญ ชีข องสินทรัพยอ งคกรกับมูลคาที่ คาดว าจะไดรั บคื น และรั บรู ผลตา งที่ เกิดขึ้นเปนผลขาดทุนจากการดอยคาตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 104 102.2.2 ระบุกลุมของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่เล็กที่สุดที่รวมหนวยสินทรัพย ที่ ก อ ให เ กิ ดเงิ น สดภายใต การพิ จ ารณา ซึ่ งกิ จ การสามารถป นส ว นมู ลค า ตามบัญชีของสินทรัพยองคกรใหหนวยสินทรัพยนั้นไดอยางสมเหตุสมผลและ อยางสม่ําเสมอ 102.2.3 เปรียบเทียบมู ลค าตามบัญชีของกลุ มของหนวยสิ นทรั พยที่กอ ให เกิดเงิ นสด ซึ่งรวมถึ งสั ดส วนของมู ลค าตามบั ญชี ของสิ นทรัพยองคกรที่ถู กป นส วนให กับมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของกลุมของหนวยสินทรัพยนั้น และรับรูผลตาง ที่เกิดขึ้นเปนผลขาดทุนจากการดอยคาตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 104
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 37/92
103. ตัวอยางประกอบการอธิบายที่ 8 ไดแ สดงวิธี การนําขอกํา หนดในมาตรฐานฉบั บนี้ไปใชกับ สินทรัพย องคกร
ผลขาดทุนจากการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด 104. กิจ การตอ งรับ รูผ ลขาดทุนจากการด อยค าของหน วยสินทรัพ ยที่ กอใหเ กิดเงินสด (ซึ่งหมายถึง กลุ มของหนว ยสิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ดเงิ นสดที่เ ล็ ก ที่ สุ ด ที่ไ ดรั บ การปน สว นค า ความนิ ย มหรื อ สินทรัพยองคกร) หากมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนต่ํากวามูลคาตามบัญชีของหนวยสินทรัพย หรือ กลุมของหนวยสินทรัพยนั้น กิจการตองปนสวนผลขาดทุนจากการดอยคา เพื่อลดมูลคาตามบัญชี ของหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยตามลําดับ ดังนี้ 104.1 อั น ดั บ แรก ลดมูล ค า ตามบั ญ ชี ข องค า ความนิ ย มที่เ คยป น ส ว นให กับ หน ว ยสิ น ทรั พ ย (กลุมของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด) และ 104.2 จากนั้น ลดมูล คาตามบัญชีของสิน ทรัพยอื่นๆ ที่รวมอยูในหนวยสินทรัพย หรือกลุมของ หนวยสินทรัพยที่ก อใหเกิดเงินสดดั งกลาวตามสัดสวนของมูลคาตามบัญชีของสินทรัพย แตละรายการนั้น กิจการตองรับรูการลดลงของมูลคาตามบัญชีเ ปนผลขาดทุ นจากการดอยคาของสินทรัพย แตล ะ รายการตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 60 105. ในการปนสวนผลขาดทุนจากการด อยคา ตามที่กํ าหนดไว ใ นย อหนา ที่ 104 กิจ การตองไมล ด มูลคาตามบัญชีของสินทรัพยใหต่ํากวาจํานวนที่สูงที่สุดของ 105.1 มูลคายุติธรรมของสินทรัพยหักตนทุนในการขาย (หากสามารถกําหนดได) 105.2 มูลคาจากการใชสินทรัพย (หากสามารถกําหนดได) และ 105.3 ศูนย มูล ค า ของผลขาดทุ นจากการด อยค าที่ ตองถู ก ปน สว นใหแก สิ นทรัพ ย ใ ดแต ไ ม สามารถทํา ได เนื่ องจากติดเงื่อ นไขข างตน ให นําไปปนสวนให แกสินทรัพยอื่นที่อยูในหนว ยสิ นทรัพยห รือ กลุ ม ของหนวยสินทรัพยเดียวกันตามสัดสวน 106. หากในทางปฏิบัติ กิจการไมสามารถประมาณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน ของสินทรัพยแตละรายการที่ รวมอยูในหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเ กิ ดเงินสดได มาตรฐานการบัญ ชี ฉบั บ นี้อนุญ าตใหกิจการใช วิธี ปนสวนผลขาดทุนจากการดอยคาใหกับสินทรัพย (ยกเวน คาความนิยม) ที่รวมอยูในหนวยสินทรัพย เดียวกันตามดุลยพินิจของกิจการ เนื่องจากกิจการไดรับประโยชนจากการใชสินทรัพยเหลานั้นรวมกัน
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 38/92
107. หากกิจการไมสามารถกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพยแตละรายการได (ดูยอหนาที่ 67) 107.1 กิจการตองรับรูผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพย หากมูลคาตามบัญชีของสินทรัพยนั้น สูงกวา จํา นวนที่ม ากกวา ระหวา งมู ลคายุติธ รรมของสิ นทรัพ ยหั กตน ทุน ในการจํา หนายกั บ มูลคาหลังจากการปนสวนตามยอหนาที่ 104 และ 105 107.2 กิจการตองไมรับรูผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพยหากหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงิน สดที่ สิ น ทรั พ ย นั้ น รวมอยู ไ ม มี ก ารด อ ยค า เกิ ด ขึ้ น ถึ ง แม ว า มู ล ค า ยุ ติ ธ รรมของสิ น ทรั พ ย หักตนทุนในการขายจะนอยกวามูลคาตามบัญชีของสินทรัพยนั้นก็ตาม ตัวอยาง กิจการมีเครื่องจักรที่ชํารุดแตยังคงใชงานอยูแมวาจะไมดีดังเดิม เครื่องจักรมีมูลคายุติธรรมหักต นทุนใน การขายต่ํากวามูลคาตามบัญชี และไมไดกอใหเกิดกระแสเงินสดรับที่เปนอิสระ เครื่องจักรดังกลาวรวมอยู ในสายการผลิต ซึ่งสามารถระบุ ไดวาเปนกลุมสินทรัพยที่เล็กที่สุดซึ่งกอใหเกิดกระแสเงินสดซึ่งสว นใหญ แยกเปนอิสระจากกระแสเงินสดรับจากสิน ทรัพยอื่น มูลค าที่คาดวาจะไดรับ คืนของสายการผลิตแสดงให เห็นวาสายการผลิตโดยรวมไมเกิดการดอยคา ขอสมมติที่ 1 งบประมาณหรื อประมาณการทางการเงิน ที่ไ ดรับ อนุมั ติจากฝ ายบริห ารแสดงให เห็ นวา ฝายบริหารมิไดมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแทนเครื่องจักรนั้น กิจการไมสามารถประมาณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของเครื่องจักรเพียงอยางเดียวได เนื่องจาก (1) มูลคาจากการใชของเครื่องจักรนั้นอาจแตกตางจากมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการจําหนาย (2) มูลคาจากการใชของเครื่องจักรนั้น กิจการสามารถกําหนดไดจากหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสด ซึ่งเครื่องจักรนั้นรวมอยู (สายการผลิต) เนื่ องจากสายการผลิตไมได ดอยคาลง ดังนั้น จึง ไมมีผลขาดทุน จากการดอ ยคาที่กิจ การต องรับ รูสําหรับ เครื่องจัก ร อย างไรก็ต าม กิ จการอาจจําเปน ตอ งประเมิน อายุก ารให ประโยชนข องเครื่อ งจั กรใหม หรื อ เปลี่ยนแปลงวิธีคิดคาเสื่อมราคาใหเหมาะสม “เนื่องจากระยะเวลาการคิดคาเสื่อมราคาที่สั้นลง หรือวิธีการคิดคาเสื่อมราคาที่เรงขึ้นอาจสะทอนอายุการ ใหประโยชนที่เหลืออยู หรือรูปแบบการใหประโยชนเชิงเศรษฐกิจที่กิจการไดรับไดดีขึ้น” ขอสมมติที่ 2 งบประมาณหรื อประมาณการทางการเงิน ที่ไ ดรับ อนุมั ติจากฝ ายบริห ารแสดงให เห็ นวา ฝายบริหารมีค วามตั้ง ใจที่จ ะเปลี่ยนแทนเครื่อ งจักรโดยจะขายเครื่ องจัก รเกา ในอนาคตอันใกล กิจ การ ประมาณว ากระแสเงินสดรับ จากการใชอยางตอเนื่องไปจนถึง วัน จําหน ายเครื่องจัก รมีค าน อยมากจนไม นํามาพิจารณา มูลค าจากการใชของเครื่องจั กรสามารถประมาณไดใกลเ คียงกับมูลคายุติธรรมหักตนทุน ในการจํ าหนา ย ดังนั้น มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของเครื่องจัก รจึงสามารถกําหนดได และไมจําเปนตองพิจารณาถึงหนวย มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 39/92
สินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่เปนของเครื่องจักรนั้น (ไดแก สายการผลิต) และเนื่องจากมูลคายุติธรรมหัก ตนทุนในการจําหนายของเครื่องจักรต่ํากวามูลคาตามบัญชี ดังนั้น กิจการตองรับรูผลขาดทุนจากการดอย คาของเครื่องจักรดังกลาว 108. หลังจากปฏิบัติตามยอหนาที่ 104 และ 105 แลว กิจการตองรับรูผลขาดทุนจากการดอยคาของ หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่ยังเหลืออยูเปนหนี้สินหากมาตรฐานฉบับอื่นกําหนดไว
การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคา 109. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ไดกําหนดวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของ สินทรัพยหรือหนว ยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด ซึ่ งกิจ การรั บรูในงวดกอนไวในยอหนาที่ 110-116 คําวา “สินทรัพย” ในยอหนาดังกลาวมีความหมายรวมถึง สินทรัพยแตละรายการหรือหนวยสินทรัพย ที่กอใหเกิดเงินสด ขอกําหนดเพิ่มเติมสํา หรับสินทรัพยแ ตละรายการไดระบุไวในยอหนาที่ 117-121 ข อ กํ า หนดเพิ่ ม เติ ม สํ า หรั บ หน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สดได ร ะบุ ไ ว ใ นย อ หน า ที่ 122-123 และขอกําหนดเพิ่มเติมสําหรับคาความนิยมไดระบุไวในยอหนาที่ 124-125 110. ทุกสิ้นรอบระยะเวลารายงาน กิจการตองประเมินวามีขอบงชี้ที่แสดงใหเ ห็นวาผลขาดทุนจากการ ดอยคาของสิ นทรัพยที่ไมใชคาความนิยมที่กิจการไดรับรูในงวดกอนไดหมดไปหรือลดลงหรือไม หากมีขอบงชี้ดังกลาว กิจการตองประมาณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพยนั้น 111. กิจการตองประเมินวาผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพยที่ไมใชคาความนิยมที่กิจการรับรูใน งวดกอนไดหมดไปหรือลดลงหรือไม โดยพิจารณาถึงขอบงชี้ตอไปนี้เปนอยางนอย แหลงขอมูลจากภายนอก 111.1 ราคาตลาดของสินทรัพยเพิ่มขึ้นอยางมีนัยสําคัญในระหวางงวด 111.2 มีการเปลี่ยนแปลงอยางมีนั ยสําคัญที่สงผลกระทบทางบวกตอกิจการในระหวางงวดหรือ ในอนาคตอั นใกล ผลกระทบดัง กล าวอาจเกิด จากการเปลี่ย นแปลงของสภาพแวดล อ ม ของกิจการ หรือของตลาดซึ่งสินทรัพยนั้นเกี่ยวขอ งอยู โดยการเปลี่ยนแปลงดังกลาวอาจ เปนการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การตลาด เศรษฐกิจหรือกฎหมาย 111.3 อัตราดอกเบี้ยในตลาด หรืออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดอื่นของงวดนั้นลดลง จนนาจะมีผลกระทบตออัตราคิดลดที่ใชในการคํานวณมูลคาจากการใชของสินทรัพย ซึ่ง สงผลใหมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพยนั้นเพิ่มขึ้นอยางมีสาระสําคัญ แหลงขอมูลภายใน 111.4 มีก ารเปลี่ยนแปลงอย างมีนั ยสํ าคั ญ เกี่ย วกั บลั กษณะการใช หรือ คาดวา จะใชสิน ทรัพ ย ซึ่งสงผลกระทบทางบวกตอกิจการในระหวางงวด หรือในอนาคตอันใกล การเปลี่ยนแปลง มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 40/92
ดังกลาวรวมถึงรายจายฝายทุ นที่เกิดขึ้นระหวางงวด เพื่อปรับปรุงหรือเพิ่มประสิทธิภาพ ในการปฏิ บั ติ ง านของสิ น ทรั พ ย หรื อ การปรั บ โครงสร า งการดํ า เนิ น งานที่ กิ จ การนํ า สินทรัพยนั้นไปใช 111.5 มีห ลัก ฐานจากข อมูล ที่ร ายงานเป นการภายใน ซึ่ง แสดงใหเ ห็นวาผลการปฏิบั ติง านเชิง เศรษฐกิจของสินทรัพยดีขึ้นหรือจะดีขึ้นกวาที่คาดไว 112. ขอบงชี้ที่แสดงใหเห็นวาผลขาดทุนจากการด อยคาอาจลดลงตามที่ระบุไวในยอหนาที่ 111 สวนใหญ เปนเรื่องเดียวกับขอบงชี้ที่แสดงใหเห็นวาอาจเกิดผลขาดทุนการดอยคาตามที่ระบุไวในยอหนาที่ 12 113. หากมีขอบงชี้ที่แสดงใหเห็นว าผลขาดทุนจากการดอ ยคา ของสิน ทรัพยที่ไมใช คาความนิยม ที่รับรู ได หมดไปหรือลดลง กิจการอาจตองทบทวนและปรับปรุงอายุการใหประโยชนที่เหลืออยู รวมทั้ งวิธีคิด คาเสื่อมราคา (หรือคา ตัด จํา หน าย) หรือ มูล คาคงเหลือของสินทรัพย เพื่อใหเ ปน ไปตามมาตรฐาน การบัญชีฉบับอื่นที่เกี่ยวของกับสินทรัพยนั้น แมวากิจการไมไดกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคา ของสินทรัพยก็ตาม 114. กิจการตองกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพยที่ไมใชคาความนิยม ที่กิจการรับรู ในงวดก อ นหากประมาณการที่ใ ช กํ า หนดมู ล ค า ที่ ค าดว า จะได รั บ คื น ได เ ปลี่ย นแปลงไปภาย หลังจากที่กิจการไดรับรูผลขาดทุนจากการดอยคาครั้งลาสุดแลว ในกรณีนี้กิจการตองบันทึกเพิ่ม มูลคาตามบัญชีใหเทากับมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพย (เวนแตจะเปนไปตามยอหนา ที่ 117) การเพิ่มขึ้นนี้ คือ การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคานั่นเอง 115. การกลั บ รายการผลขาดทุ น จากการด อ ยค า แสดงให เ ห็ น ถึ งการเพิ่ ม ขึ้ น ของศั ก ยภาพในการให ประโยชนของสินทรัพยที่ประมาณขึ้นจากการใชหรือจากการขายสิน ทรัพยนั้นภายหลังที่กิจการรับรูผล ขาดทุนจากการดอ ยค าของสินทรัพยนั้ นครั้ง ลา สุด ยอ หน าที่ 130 กํ าหนดใหกิ จการตอ งระบุถึ งการ เปลี่ยนแปลงประมาณการ ที่สงผลใหศักยภาพในการใหประโยชนโดยประมาณของสิ นทรัพยเพิ่มขึ้น ตัวอยางของการเปลี่ยนแปลงประมาณการรวมถึง 115.1 การเปลี่ยนแปลงเกณฑที่ใชกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน (ไดแก มูลคาที่คาดวาจะไดรั บ คืนอาจกําหนดจากมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย เปนมูลคาจากการใช) 115.2 การเปลี่ยนแปลงจํานวนหรือระยะเวลาที่ใชในการประมาณการกระแสเงินสดในอนาคต หรือ การเปลี่ยนแปลงอัตราคิดลด หากมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนกําหนดจากมูลคาจากการใช 115.3 การเปลี่ยนแปลงประมาณการของสิ่งที่นํามาพิจารณาในการกําหนดมูลคายุติธรรมหักต นทุน ในการขาย หากมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนกําหนดจากมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการจําหนาย 116. มูลคาจากการใชของสินทรัพยอาจสูงกวามูลคาตามบัญชีของสินทรัพยนั้น เนื่องจากมูลคาปจจุบันของ กระแสเงินสดรับในอนาคตเพิ่มขึ้น จากระยะเวลาที่ใกลเขามา โดยที่ศักยภาพในการใหประโยชน ของ สิน ทรัพยไมเ พิ่มขึ้น ในกรณีดั งกลาว กิจ การตอ งไม กลั บรายการผลขาดทุน จากการดอ ยค าหากผล มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 41/92
ขาดทุนจากการดอยคาที่ลดลงนั้น เปน เพียงผลมาจากการที่เวลาไดผานไป (บางครั้ งเรี ยกวาการปลด สวนลด) แมวามูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนจะสูงกวามูลคาตามบัญชีของสินทรัพยก็ตาม
การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพยแตละรายการ 117. มูลคาตามบัญชีของสินทรัพย ที่ไมใ ชคาความนิยม ที่เพิ่มขึ้นจากการกลับรายการผลขาดทุนจาก การดอยคาตอ งไมสูงกวามูลคาตามบัญชีที่ควรเปน (สุทธิจากคาตัดจําหนายหรือคาเสื่อมราคา) หากกิจการไมเคยรับรูผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพยนั้นในงวดกอนๆ 118. สวนที่เพิ่มขึ้ นของมูลค าตามบัญ ชีของสินทรัพ ยที่ ไม ใช คา ความนิยมที่มากกว ามู ลค าตามบัญ ชีที่ ควร จะเปน (สุทธิจากคาตัดจําหนายหรือคาเสื่อมราคา) หากกิจการไมเคยรับรูผลขาดทุนจากการดอยคา ของสิ นทรัพยนั้นในงวดกอนๆ ถื อเปนการตีราคาใหม กิจการตองปฏิบั ติตามมาตรฐานการบั ญ ชี ที่เกี่ยวของกับสินทรัพยนั้นในการบันทึกรายการตีราคาสินทรัพยใหม 119. กิจการตองบันทึกกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพยที่ไมใชคาความนิยม โดยรับรู ไปยั งกํ าไรหรื อขาดทุ นทั นที เว นแต กรณี ที่ สิ นทรั พย นั้ นแสดงด วยราคาที่ ตี ใหม ตามมาตรฐาน การบัญชีฉบับอื่น (เชน วิธีราคาที่ใหม ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ (เมื่อมีการประกาศใช)) กิจการตองถือวาการกลับรายการผลขาดทุนจาก การดอยคาของสินทรัพยที่ตีราคาใหมเปนการตีราคาเพิ่มตามมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่น 120. กิจการตอ งรับ รูก ารกลับรายการผลขาดทุน จากการด อยคาของสินทรัพยที่ตีราคาใหมใ นกํ าไร ขาดทุนเบ็ ดเสร็จ อื่นและรับรูส วนเกิน ทุนจากการตีร าคาสิ นทรัพย นั้น เพิ่ม อย างไรก็ตาม หาก กิจการไดรับรู ผลขาดทุ นจากการดอยค าของสินทรั พย ที่ ตีร าคาใหมนั้ นไปยังกํา ไรหรือ ขาดทุ น ในงวดกอน กิจการตองรับรูการกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคานั้นไปยังกําไรหรือขาดทุน เปนจํานวนไมเกินผลขาดทุนจากการดอยคาที่กิจการเคยรับรูเปนคาใชจายในงวดกอนๆ 121. หลังจากที่ กิจการไดกลั บรายการผลขาดทุนจากการดอยค า กิจการตองปรับปรุงการคิด คาเสื่อม ราคาหรือ คาตัดจําหนายของสินทรัพยในงวดอนาคต เพื่อปนสวนมูลคาตามบัญชีที่ปรับใหมข อง สินทรัพย หักดวยมูลคาคงเหลืออยางมีระบบ ตลอดอายุการใหประโยชนที่เหลืออยู
การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด 122. ในการกลั บรายการผลขาดทุนจากการดอ ยค า ของหนว ยสิ นทรั พยที่ กอ ให เ กิดเงินสด กิ จการ จะตองปนสวนมูลคาที่เพิ่มขึ้นไปยังสินทรัพยแตละรายการ (ยกเวนคาความนิยม) ที่อยูในหนว ย สิ น ทรั พ ย นั้ น ตามสั ด ส ว นของมู ล ค า ตามบั ญ ชี ข องสิ น ทรั พ ย เ หล า นั้ น การเพิ่ ม ขึ้ น ของมู ล ค า ตามบั ญชี ตอ งถื อเสมือ นเป นการกลั บรายการผลขาดทุน จากการด อยค า ของสิ น ทรั พยแ ตล ะ รายการ และใหรับรูตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 119 มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 42/92
123. ในการปนสวนรายการกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอให เกิดเงิน สดตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 122 มูลคาตามบัญชีของสินทรัพยแตละรายการที่บันทึกเพิ่มนั้น จะตองไมสูงกวาจํานวนที่ต่ํากวาของ 123.1 มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพย (หากสามารถกําหนดได) และ 123.2 มูลคาตามบัญชีที่ควรเปน (สุทธิจากคาตัดจําหนายหรือคาเสื่อมราคา) หากกิจการไมเคย รับรูผลขาดทุนจากการดอยคาของสินทรัพยในงวดกอนๆ มูล ค า ที่จ ะกลับรายการผลขาดทุนจากการด อยคาส วนที่เ หลือจากเงื่อนไขการปนสว นขา งต น ใหนําไปปนสวนใหแกสินทรัพยอื่นในหนวยสินทรัพยเดียวกัน (ยกเวนคาความนิยม) ตามสัดสวน มูลคาตามบัญชีของสินทรัพยเหลานั้น
การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของคาความนิยม 124. กิจการตองไมกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของคาความนิยมที่ไดรับรูในงวดกอนๆ 125. มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 38 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินทรัพยไมมีตัวตน ไมใหมีการรับรูคาความ นิยมที่เกิ ดขึ้น ภายในกิ จการ การเพิ่มขึ้นของมูลคาที่คาดวา จะไดรับ คืน ของคาความนิ ยมในงวดบัญชี หลังจากงวดที่รับรูผ ลขาดทุนจากการดอยคาของคาความนิยมนั้น มักจะเปนการเพิ่มขึ้นของคาความ นิยมที่เกิดขึ้นภายในกิจการมากกวาเปนการกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของคาความนิยมที่ เกิดจากการซื้อกิจการที่รับรูไปแลว
การเปดเผยขอมูล 126. กิจการตองเปดเผยขอมูลสําหรับสินทรัพยแตละประเภทดังตอไปนี้ 126.1 จํานวนผลขาดทุนจากการดอ ยคาที่รับรูในกําไรหรือขาดทุ นระหวางงวด และรายการแต ละบรรทัดที่แสดงในงบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ซึ่งมีผลขาดทุนจากการดอยคารวมอยู 126.2 จํานวนผลขาดทุนจากการดอ ยคาที่ กลับรายการ ซึ่งรับรูในกําไรหรือ ขาดทุนระหวางงวด และรายการแตละบรรทัดที่แสดงในงบกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ซึ่งมีผลขาดทุนจากการดอย คาที่กลับรายการรวมอยู 126.3 จํา นวนผลขาดทุน จากการดอยค า ของสินทรัพย ที่ตีร าคาใหมที่ รับรู ไ ปยั งกํ าไรขาดทุ น เบ็ดเสร็จอื่นในระหวางงวด 126.4 จํา นวนผลขาดทุนจากการดอ ยคา ที่กลับ รายการของสิน ทรัพ ยที่ ตีร าคาใหมที่ รับรู ไปยั ง กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นในระหวางงวด 127. สิน ทรั พยแตละประเภท หมายถึง กลุ มของสินทรัพ ยที่ มีลักษณะและการใชงานคลายคลึงกั นในการ ดําเนินงานของกิจการ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 43/92
128. กิ จ การอาจเป ด เผยข อ มู ล ตามที่ กํ า หนดไว ใ นย อ หน า ที่ 126 ร ว มกั บ ข อ มู ล อื่ น ที่ ต อ งเป ด เผย ตามประเภทของสินทรัพย เชน อาจเปดเผยข อมูลเหลา นี้ร วมอยู ในการกระทบยอดมูลคา ตามบัญชี ของที่ดิน อาคาร และอุปกรณร ะหวา งวันตนงวดและวัน สิ้นงวด ตามที่กํา หนดในมาตรฐานการบัญ ชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ (เมื่อมีการประกาศใช) 129. กิ จ การที่ ร ายงานข อ มู ล แยกตามส ว นงานตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิ น ฉบั บ ที่ 8 (ปรั บปรุง 2552) เรื่อ ง ส วนงานดําเนิ นงาน (เมื่อมีการประกาศใช)ต องเปด เผยขอมูลตอไปนี้ สําหรับทุกสวนงานที่รายงาน 129.1 จํานวนผลขาดทุนจากการดอยคาที่รั บรูในกําไรหรือขาดทุน และที่รับรูไปยังกําไรขาดทุน เบ็ดเสร็จอื่นระหวางงวด 129.2 จํานวนผลขาดทุนจากการดอยคา ที่กลับรายการ และรับรูในกําไรหรื อขาดทุ น และที่รับรู ไปยังกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นในระหวางงวด 130. หากกิจการรับรู หรือกลับรายการผลขาดทุนจากการดอ ยค าของสิ นทรัพย รวมถึงคา ความนิย ม หรือหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดในระหวางงวด กิจการตองเปดเผยขอมูลดังตอไปนี้ สําหรับ รายการแตละรายการที่มีสาระสําคัญ 130.1 เหตุการณ และสถานการณที่ทําใหกิจ การตอ งรับรู หรือกลับ รายการผลขาดทุนจากการ ดอยคา 130.2 จํานวนผลขาดทุนจากการดอยคาที่กิจการรับรู หรือกลับรายการ 130.3 สําหรับสินทรัพยแตละรายการ 130.3.1 ลักษณะสินทรัพยแตละรายการ และ 130.3.2 สวนงานที่สินทรัพยนั้นรวมอยู ถากิจการมีการรายงานขอมูลตามสวนงานตาม มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 8 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สว นงาน ดําเนินงาน (เมื่อมีการประกาศใช) 130.4 สําหรับหนวยของสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด 130.4.1 คํ า อธิ บ ายลั ก ษณะของหน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สด (เช น เป น สาย การ ผลิต โรงงาน การดําเนิน งานทางธุรกิจ หนวยงานทางภู มิศ าสตร หรื อ ส ว นงานที่ เ สนอรายงานตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบั บ ที่ 8 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สวนงานดําเนินงาน (เมื่อมีการประกาศใช)) 130.4.2 จํา นวนผลขาดทุนจากการดอ ยคาที่ กิจการรับ รู หรื อกลับ รายการ โดยแสดง แยกตามสิ น ทรั พ ย แ ต ล ะประเภท และตามส ว นงานที่ เ สนอรายงานตาม มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 8 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สว นงาน ดําเนินงาน (เมื่อมีการประกาศใช) มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 44/92
130.4.3 คําอธิบายลักษณะการรวมสินทรัพยเปนหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดในงวด ป จจุ บั นและกอ นหนา นั้น และเหตุ ผ ลที่ กิ จ การเปลี่ ย นแปลงลั กษณะการรวม สิ น ทรั พ ย เ ป น หน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สดดั ง กล า ว หากกิ จ การได เปลี่ย นแปลงลัก ษณะการรวมสิน ทรั พยที่ รวมอยู ในหนว ยสิน ทรัพ ยที่ กอ ใหเ กิด เงินสดหลังจากที่ไดป ระมาณมู ลคา ที่ค าดวา จะไดรับ คืนของหนวยสินทรัพ ยที่ กอใหเกิดเงินสดนั้นในครั้งกอน 130.5 มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพย หรือหนวยของสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดวาเปน มูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย หรือมูลคาจากการใช 130.6 เกณฑที่ใชในการกําหนดมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย หากมูลคาที่คาดวาจะไดรับ คืนเปน มูลคา ยุติธรรมหักตนทุ นในการขาย (เชน มูลคายุติธ รรมกําหนดขึ้ นโดยใชราคา อางอิงจากตลาดซื้อขายคลอง) 130.7 อัตราคิดลดที่ใชในการประมาณมูลคาจากการใช สินทรัพยทั้งในปจจุบันและอดีต (ถามี) หากมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนเปนมูลคาจากการใช 131. กิจการตองเปดเผยขอมูลที่เกี่ยวกับยอดรวมของผลขาดทุนจากการดอยคาที่กิจการรับรูหรือกลับ รายการในระหวางงวด ดังตอไปนี้ หากไมมีขอมูลเปดเผยตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 130 131.1 ประเภทของสินทรัพยหลักที่เกิ ดผลขาดทุนจากการดอ ยคาหรื อที่กลับ รายการผลขาดทุน จากการดอยคา 131.2 เหตุการณและสถานการณที่สําคัญที่ ทําใหกิ จการรับรู หรือกลับรายการผลขาดทุนจากการ ดอยคา 132. มาตรฐานการบั ญชีฉ บับ นี้สนั บสนุนใหกิ จการเปด เผยขอ สมมติที่ สําคั ญ ซึ่งกิจการใชใ นการกํ าหนด มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพย หรือหนวยสินทรัพยที่กอใหเ กิดเงินสดในระหวางงวด อยางไร ก็ต ามยอหน าที่ 134 กํ าหนดใหกิจ การต องเป ดเผยขอมูล เกี่ ยวกับ ประมาณการที่ใชในการวั ดมูลค า ที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสิ นทรัพยที่กอใหเ กิดเงิน สด เมื่อ มีค าความนิยม หรือสิน ทรัพยไ ม มี ตัวตนที่มีอายุการใหประโยชนไมทราบแนนอนรวมอยูในมูลคาตามบัญชีของหนวยสินทรัพยนั้นดวย 133. ตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 84 หากกิจการไมไดทําการปนสวนคาความนิยมที่ไดมาจากการรวม ธุรกิจในระหวางงวดใหกับหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด ณ วันสิ้น รอบระยะเวลารายงาน กิจ การตอ งเปดเผยจํา นวนเงินของคาความนิ ยมที่ไมไ ดรั บการปน สวน รวมถึงสาเหตุที่ไมไดทําการปนสวนคาความนิยมดังกลาว
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 45/92
ประมาณการที่ใชในการวัดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด ที่มีคาความนิยม หรือสินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการใหประโยชนไมทราบแนนอนรวมอยู 134. กิจ การจะต องเปด เผยขอมูลดั งตอ ไปนี้ สําหรับ หนวยสินทรัพย แตล ะหน วย หรือกลุม สินทรัพ ย ที่กอ ใหเกิดเงินสดแตละกลุม หากมูล คาตามบัญชีของคาความนิยมหรือ สินทรัพยไมมีตั วตนที่มี อายุการใหประโยชนไมทราบแนนอน ที่ปนสวนใหกับหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพย นั้นเปนจํานวนเงินที่มีนัยสําคัญเมื่อเปรียบเทียบกับมูลคาตามบัญชีทั้งหมดของคาความนิยมหรือ สินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการใหประโยชนไมทราบแนนอนของกิจการ 134.1 มูลค า ตามบัญ ชี ของค าความนิย มที่ป นสว นใหกั บหน วยสิน ทรัพ ย หรื อ กลุม ของหนวย สินทรัพยนั้น 134.2 มูล คา ตามบั ญชีข องสิ นทรัพยไม มีตัว ตนที่มีอ ายุการให ประโยชนไ มท ราบแน นอน ที่ปน สวนใหกับหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยนั้น 134.3 เกณฑที่ใ ชในการกําหนดมูล ค าที่คาดวาจะได รับ คืนของหนวยสินทรัพยหรือกลุมของ หนวยสินทรัพยวาเปนมูลคาจากการใช หรือมูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย 134.4 หากมูล ค า ที่ค าดวา จะได รั บคื น ของหน ว ยสิ นทรั พ ย ห รื อกลุ ม ของหนว ยของสิ นทรั พ ย กําหนดจากมูลคาจากการใชจะตองเปดเผยขอมูลดังตอไปนี้ 134.4.1 ลัก ษณะขอสมมติที่สําคัญ ที่ฝายบริ หารใช ในการประมาณการกระแสเงิ นสด สํ า หรั บ รอบระยะเวลาที่ ค รอบคลุ ม โดยงบประมาณหรื อ ประมาณการทาง การเงินลาสุด ขอสมมติที่สําคัญ ไดแก ขอสมมติที่มีผลกระทบตอมูลคาที่คาด วาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยมากที่สุด 134.4.2 แนวทางที่ฝายบริหารใชในการกําหนดมูลคาสําหรับขอสมมติที่สําคัญวามูลคา ที่ กํ า หนดอ า งอิ ง จากประสบการณ ใ นอดี ต หรื อ พิ จ ารณาให ส อดคล อ งกั บ แหล ง ข อ มู ล ภายนอกหรื อ ไม หรื อ อธิ บ ายถึ ง มู ล ค า ที่ กํ า หนดแตกต า งจาก ประสบการณในอดีตหรือแหลงขอมูลภายนอกอยางไร และเพราะเหตุใด 134.4.3 งวดเวลาที่ ค รอบคลุ ม ประมาณการกระแสเงิ น สดจากงบประมาณ หรื อ ประมาณการทางการเงิน ที่ไ ดรั บอนุ มัติ จ ากฝ า ยบริหาร ซึ่งนํ า มาใช ใ นการ กําหนดมูลคาจากการใช สําหรับหนวยสินทรัพยห รือของหนวยสินทรัพย หาก งวดเวลาของประมาณการครอบคลุม ระยะเวลาเกินกวา 5 ป ใหเ ปดเผยถึง เหตุผลที่กิจการเห็นวา การใช ประมาณการที่มี ระยะเวลาเกิน กวา 5 ปนั้น มี ความเหมาะสม 134.4.4 อัตราการเติบโตที่ใชในการประมาณการกระแสเงินสดของงวดเวลาที่ไกลออกไป กวางวดเวลาตามงบประมาณหรื อประมาณการทางการเงินลาสุด และเหตุผล ประกอบ หากมีการใชอัตราการเติบโตที่สูงกวาอัตราการเติบโตถัวเฉลี่ยระยะยาว มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 46/92
ของผลิ ตภั ณฑ อุ ตสาหกรรม หรือประเทศที่กิจการดําเนินงานอยู หรื อตลาด ซึ่งหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยนั้นใชอยู 134.4.5 อัตราคิดลดที่ใชในการคิดลดประมาณการกระแสเงินสด 134.5 หากมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยเปนมูลคา ยุติธรรมหัก ตนทุนในการขาย ใหเ ปด เผยวิ ธีก ารที่ใ ชใ นการกํา หนดมูลคายุติธ รรมหั ก ตนทุ นในการขาย และถา กิจ การมิไ ดกํ าหนดมู ลคา ดังกลา วจากราคาตลาดที่อางอิงได สําหรับหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด กิจการตองเปดเผย ขอมูลเพิ่มเติม ดังนี้ 134.5.1 ลักษณะของข อสมมติ ที่สําคัญ ซึ่งฝายบริห ารใชในการกําหนดมูลคา ยุติธรรม หั ก ตน ทุน ในการขาย ข อสมมติ ที่ สํ า คั ญ ไดแ ก ข อ สมมติ ที่มี ผ ลกระทบต อ มูลค า ที่ค าดวา จะไดรั บคื นของหนว ยสินทรัพยหรือกลุมของหนว ยสินทรัพ ย มากที่สุด 134.5.2 แนวทางที่ฝายบริหารใชในการกําหนดมูลคาสําหรับขอสมมติที่สําคัญวาอางอิง จากประสบการณในอดี ต หรือพิจารณาใหส อดคลองกับแหลงขอมูลภายนอก หรือไม หรือ อธิบ ายวา มูลค าที่ กําหนดแตกตา งจากประสบการณใ นอดีตหรือ แหลงขอมูลภายนอกอยางไร และเพราะเหตุใด ถามู ลคา ยุติธ รรมหัก ตน ทุนในการขายถูก กํา หนดโดยวิธีคิดลดประมาณกระแสเงินสด กิจการตองเปดเผยขอมูลเพิ่มเติมดังตอไปนี้ 134.5.3 ระยะเวลาที่ครอบคลุมการประมาณกระแสเงินสด 134.5.4 อัตราการเติบโตที่ใชในการประมาณกระแสเงินสด 134.5.5 อัตราที่ใชในการคิดลดกระแสเงินสด 134.6 หากมี เ หตุ ผ ลที่ ทํ า ให เ ชื่ อ ได ว า อาจเกิ ด การเปลี่ ย นแปลงในข อ สมมติ ที่ สํ า คั ญ ซึ่ ง ฝ ายบริ หารใช ในการกํ า หนดมู ลค า ที่ค าดวา จะไดรั บคื นของหนว ยสิน ทรั พย หรือ กลุ ม ของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด ซึ่งจะสงผลใหมูลคาตามบัญชีสูงกวามูลคาที่คาดวา จะไดรับคืน กิจการตองเปดเผย 134.6.1 จํานวนผลตางของมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพย หรือกลุมของ หนวยสินทรัพยนั้นที่สูงกวามูลคาตามบัญชี 134.6.2 มูลคาที่กําหนดขึ้นสําหรับขอสมมติที่สําคัญ 134.6.3 จํานวนที่มูลคาที่กําหนดขึ้นสําหรับขอสมมติที่สําคัญซึ่งจะตองเปลี่ยนแปลงไป เพื่อจะทําใหมูลคาที่ค าดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวย สินทรัพยเทากับมู ลคา ตามบัญ ชี หลังจากไดรวมผลจากการเปลี่ย นแปลงที่ กระทบตัวแปรอื่นๆ ที่ใชในการวัดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนแลว มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 47/92
135. หากมูลคาตามบัญชีบางสวนหรือทั้งหมดของคาความนิยม หรือสินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการให ประโยชนไมทราบแนนอนถูกปนสวนใหแกหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสดหลายหนวย และมูลคาที่ปนสวนใหกับแตละหนวยไมมีนัยสําคัญเมื่อเปรียบเทียบกับมูลคา ตามบั ญชีของคา ความนิ ยมหรือสิน ทรัพยไ มมีตัวตนที่มีอายุการใหป ระโยชนไมทราบแนน อน โดยรวม กิจการตอ งเปดเผยขอเท็จจริงดังกลาวควบคูกั บมูลคา ตามบัญ ชีรวมของคาความนิยม หรือสินทรั พยไ มมีตั วตนที่ มีอายุการใหประโยชนไมทราบแนนอนที่ปน สว นใหกับหนวยสินทรัพย หรื อ กลุ ม ของหน ว ยสิ น ทรั พ ย เ หล า นั้ น นอกจากนี้ หากมู ล ค า ที่ ค าดว า จะได รั บ คื น ของหน ว ย สินทรัพ ยเ หล านั้ น กํา หนดขึ้ นโดยใชขอสมมติที่ สําคัญ เดียวกัน และมูลค าตามบัญ ชีรวมของคา ความนิยม หรือสิน ทรั พยไมมีตัว ตนที่มี อายุ การให ประโยชนไ มท ราบแนนอนที่ ปนสวนใหห นว ย สิ นทรัพยซึ่งมูล ค าที่คาดวาจะไดรับ คืนกําหนดขึ้นโดยใชขอสมมติ ที่สํา คัญเดีย วกัน ดั งกลา วมี นัยสําคัญเมื่อเทียบกับมูลคาตามบัญชีรวมของคาความนิยมหรือสินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอ ายุการ ใหประโยชนไมทราบแนนอนของกิจการโดยรวม กิจการตองเปดเผยขอเท็จจริงดังกลาวพรอมกับ ขอมูลดังตอไปนี้ 135.1 มูลคาตามบัญชี รวมของคา ความนิยมที่ปนสวนใหกับหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวย สินทรัพยนั้น 135.2 มูลคาตามบัญชีรวมของสินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการใหประโยชนไมทราบแนนอนที่ปน สวนใหกับหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยนั้น 135.3 ลักษณะของขอสมมติที่สําคัญ 135.4 คําอธิบายวิธี การที่ฝายบริห ารใชในการกําหนดมูลคาสํ าหรับขอสมมติ ที่สําคัญขอสมมติ แตละขอวามูลคาที่กําหนดอางอิงจากประสบการณในอดีต หรือพิจารณาใหสอดคลองกับ แหล ง ข อ มู ล ภายนอก หรื อ ไม หากไม ให อ ธิ บ ายว า มู ล ค า ที่ กํ า หนดแตกต า งจาก ประสบการณในอดีตและแหลงขอมูลภายนอกอยางไร และเหตุใดจึงแตกตาง 135.5 หากมีเ หตุผลที่ทําใหเชื่อไดวาอาจเกิดการเปลี่ย นแปลงในขอสมมติ ที่ สําคั ญทําใหการ กําหนดผลรวมของมู ลค าตามบัญชี ของหนวยสินทรั พย หรือกลุมของหนวยสินทรัพ ย มากกวาผลรวมของมูลคาที่คาดวาจะไดรับ กิจการตองเปดเผย 135.5.1 จํา นวนผลตางที่มูล คา ที่ค าดวา จะได รับ คืนของหนวยสิน ทรัพย หรื อกลุมของ หนวยสินทรัพยนั้นสูงกวามูลคาตามบัญชี 135.5.2 มูลคาที่กําหนดขึ้นสําหรับขอสมมติที่สําคัญ 135.5.3 จํานวนมูลค าที่ กําหนดขึ้ นสํ าหรับข อสมมติที่สําคั ญซึ่ งจะตองเปลี่ ยนแปลงไป เพื่อที่จะทําใหผลรวมของมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยหรือกลุม ของหน ว ยสิ น ทรั พ ย เ ท า กั บ มู ล ค า ตามบั ญ ชี หลั ง จากได ร วมผลจากการ เปลี่ยนแปลงที่กระทบตัวแปรอื่นๆ ที่ใชในการวัดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนแลว มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 48/92
136. ตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 24 หรือ 99 กิจการอาจนําผลการคํานวณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนครั้ง ลา สุด ของหนวยสินทรัพ ยห รือกลุมของหน วยสิน ทรัพย ที่กอใหเ กิด เงิน สด ที่จัดทํ าในงวดบัญชี กอ น มาใช ในการอ างอิงในการทดสอบการดอยคา ของหนวยสินทรัพยหรื อกลุมของหนวยสินทรั พย ใน งวดปจจุบันหากเปนไปตามเงื่อนไขที่กําหนด ในกรณีนี้ ขอมูลซึ่งตองเปดเผยตามยอหนาที่ 134 และ 135 สําหรับหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยดังกลาว ไดแก ขอมูลการคํานวณมูลคาที่คาด วาจะไดรับคืนที่ยกมาจากงวดกอน 137. ตัวอยางประกอบการอธิบายที่ 9 แสดงตัวอยางการเปดเผยขอมูลตามยอหนาที่ 134 และ 135
การปฏิบัติในชวงเปลี่ยนแปลงและวันถือปฏิบัติ 138. (ยอหนานี้ไมใช) 139. ใหกิจการนํามาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มาถือปฏิบัติ 139.1 สําหรับคาความนิยมและสินทรัพยไมมีตัวตนที่ไดมาจากการรวมธุร กิจซึ่งวันที่ตกลงรวมธุรกิจ เปนวันที่ในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2554 139.2 สํา หรับสิ นทรัพ ยอื่น โดยวิธีเปลี่ยนทันทีเปน ตน ไป โดยเริ่ มจากรอบระยะเวลาบัญ ชีที่เริ่มใน หรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2554 140. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้สนับสนุนใหกิจการที่กําหนดไวในยอหนาที่ 139 นํามาตรฐานการบัญชีฉบับ นี้ ม าถื อ ปฏิ บั ติ ก อ นวั น ที่ ที่ ร ะบุ ใ นย อ หน า ที่ 139 อย า งไรก็ ต าม หากกิ จ การใดนํ า มาตรฐาน การบั ญ ชี ฉ บั บ นี้ ม าถื อ ปฏิ บั ติ ก อ นวั น ที่ ที่ กํ า หนดไว กิ จ การจะต อ งนํ า มาตรฐานการรายงาน ทางการเงิน ฉบับ ที่ 3 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การรวมธุรกิจ (เมื่อมีการประกาศใช) และ มาตรฐาน การบัญชี ฉบับที่ 38 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินทรัพยไมมีตัวตน มาถือปฏิบัติพรอมกันดวย 140ก. มาตรฐานการบั ญชี ฉบับ ที่ 1 (ปรับ ปรุง 2552) เรื่อ ง การนํา เสนองบการเงิน แกไ ขถอ ยคํ าที่ ใช ใน มาตรฐานการบัญชี นอกจากนี้ยังแกไขยอหนาที่ 61 120 126 และ129 กิจการตองนําสวนที่แกไข มาถื อปฏิบัติ สําหรับรอบระยะเวลาที่เริ่มตนในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 หากกิจ การนํา มาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 1 (ปรั บ ปรุง 2552) เรื่ อ ง การนํ า เสนองบการเงิน มาถือ ปฏิบั ติ กอ น กิจการตองถือปฏิบัติสวนที่แกไขสําหรับงบการเงินงวดกอนหนาดวย 140ข. มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบั บ ที่ 3 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่ อ ง การรวมธุร กิ จ (เมื่ อ มี ก าร ประกาศใช) แกไ ขยอ หน าที่ 65 81 85 และ 139 ยกเลิก ยอ หนาที่ 91 ถึ ง 95 และ138 และเพิ่ ม ภาคผนวก ค กิ จการต องนํา สว นที่ แก ไขมาถื อปฏิบั ติ สํา หรั บ รอบระยะเวลาที่เริ่ มตน ในหรื อหลั ง วัน ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 หากกิ จการนํ ามาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบั บที่ 3 (ปรั บปรุง 2552) เรื่อง การรวมธุ รกิจ (เมื่อ มีการประกาศใช ) มาถือ ปฏิบั ติกอน กิจ การตองถื อปฏิ บัติส ว น ที่แกไขสําหรับงบการเงินงวดกอนหนาดวย มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 49/92
140ค. ยอหนาที่ 134.5 ไดถูกแกไข โดยกิจการตองนําสวนที่แกไขมาถือปฏิบัติ สําหรับรอบระยะเวลาที่เริ่มตน ในหรือหลังวั นที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 กิ จการสามารถปฏิบั ติตามมาตรฐานการบั ญชี ฉบั บนี้กอน วันถือปฏิบัติ หากกิจการปฏิบัติตามมาตรฐานฉบับนี้สําหรับงวดปบัญชีที่เริ่มกอนวันที่ 1 มกราคม 2554 ใหเปดเผยถึงขอเท็จจริงดังกลาวดวย 140ง. ต น ทุ น ของเงิ น ลงทุ น ในบริ ษั ท ยอ ย กิ จ การที่ ค วบคุ ม ร ว มกั น หรื อ บริ ษั ท ร ว ม (ได มี ก ารแก ไ ขใน มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 1 เรื่อง การปรับใชมาตรฐานการรายงานทางการเงินครั้งแรก และมาตรฐานการบัญ ชี ฉบั บ ที่ 27 (ปรับปรุง 2552) เรื่ อง งบการเงิน รวมและงบการเงิน เฉพาะ กิจการ) ไดเพิ่มเติมยอหนาที่ 12.8 โดยกิจการตองนํ าการแกไ ขดังกลาวมาถือปฏิบัติสําหรับ รอบ ระยะเวลาที่เริ่มตนในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 กิจ การสามารถปฏิบัติต ามมาตรฐานการ บัญชีฉบับนี้กอนวันถือปฏิบัติ หากกิจการถือปฏิบัติตามยอหนาที่ 4 และ 38ก. ของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 27 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง งบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ สําหรับงวดกอนหนา กิจการตองถือปฏิบัติตามยอหนา 12.8 ในงวดเดียวกัน
การยกเลิกมาตรฐานการบัญชีฉบับเดิม 141. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ใชแทนมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2550) เรื่อง การดอยคา ของสินทรัพย
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 50/92
ภาคผนวก ก
ภาคผนวก
การใชเทคนิคมูลคาปจจุบันในการวัดมูลคาจากการใช ภาคผนวกนี้ถือเปนสวนหนึ่งของมาตรฐานฉบับนี้ โดยมีวัตถุประสงคเพื่อแสดงแนวทางในการใชเทคนิคมูลคา ปจจุบันในการวัดมูลคาจากการใช คําวา “สินทรัพย” ในภาคผนวกนี้ ใหมีความหมายครอบคลุมถึงกลุมของ สินทรัพยที่เปนสวนประกอบของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด
องคประกอบของการวัดมูลคาปจจุบัน ก1
ความแตกตางทางเศรษฐกิจระหวางสินทรัพยสามารถระบุไดโดยใชองคประกอบดังตอไปนี้รวมกัน (ก) ประมาณการกระแสเงิ น สดในอนาคต หรื อ ในกรณี ที่ ซั บ ซ อ นขึ้ น อาจใช ก ลุ ม กระแสเงิ น สด ในอนาคตที่กิจการคาดวาจะไดรับจากสินทรัพย (ข) การคาดการณเกี่ ยวกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นกั บจํ านวนและจังหวะเวลาของกระแสเงินสด เหลานั้น (ค) มูลคาของเงินตามเวลา ที่อางอิงจากอัตราดอกเบี้ยที่ปราศจากความเสี่ยงในตลาด ณ ปจจุบัน (ง) ราคาที่ไดสะทอนถึงความไมแนนอนที่สืบเนื่องมาจากสินทรัพย (จ) ปจจัยอื่นๆ ซึ่งบางครั้งอาจไมสามารถระบุได (เชน การขาดสภาพคลอง) แตเปนปจจัย ที่ผูมีสวน รวมในตลาดมักจะพิจ ารณาในการกําหนดกระแสเงินสดในอนาคตที่กิจการคาดวาจะไดรับ จาก สินทรัพย
ก2
ภาคผนวกนี้ไดเปรียบเทียบวิธีการคํานวณมูลคาปจจุบันที่กิจการสามารถนํามาใชในการประมาณมูลคา จากการใชของสินทรัพย 2 วิธี โดยจะเลื อกใชวิธีใดนั้น ขึ้นอยูกับสถานการณที่เกิดขึ้น การคํานวณตาม วิธีดั้งเดิม (Traditional approach) ไดรวมผลจากปจจัย (ข)–(จ) ที่กลาวขางตนในอัตราคิดลดที่ใช และ วิธีการคํานวณกระแสเงินสดที่คาดการณ (Expected Cash Flow approach) ไดมีการรวมปจจัย (ข) (ง) และ (จ) ในการคํ านวณกระแสเงิ นสดที่ค าดการณหลั งปรับดว ยความเสี่ยง ไม วา กิ จการจะใช วิธีใด สะท อนการคาดการณการเปลี่ ยนแปลงที่อาจเกิด ขึ้น กับ จํานวนและจังหวะเวลาของกระแสเงิน สดใน อนาคต ผลการคํานวณที่ไดควรสะทอนมูลคาปจจุบันที่คาดการณของกระแสเงินสดในอนาคต เชน การ ถัวเฉลี่ยถวงน้ําหนักผลลัพธที่อาจเกิดขึ้นทั้งหมดแลว
หลักเกณฑทั่วไป ก3
เทคนิ คที่ใชในการประมาณการกระแสเงิน สด และอัต ราดอกเบี้ ยในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปตาม สถานการณ ที่แวดล อมสินทรัพยภายใตการพิจารณา อยางไรก็ตาม กิจ การสามารถใช หลั กเกณฑ ตอไปนี้ในการวัดมูลคาปจจุบันของสินทรัพยในกรณีทั่วไปได มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 51/92
(ก) อัตราดอกเบี้ ยที่ใ ชคิด ลดกระแสเงิน สดควรสะทอนถึง ข อสมมติ ที่ส อดคลอ งกั บ ขอสมมติที่ ใช กับกระแสเงินสดที่คาดการณ มิฉะนั้น อาจเกิดความซ้ําซอนหรือละเลยผลกระทบของขอสมมติ ดังกลาว ตัวอยางเชน กิจการอาจใชอัตราคิดลดรอยละ 12 กับกระแสเงินสดตามสัญญาที่จะไดรับ จากลูกหนี้เงินใหกูยืม อั ต ราดั งกลาวสะท อนถึ งการคาดการณเกี่ ยวกับ การผิด นัดชํ าระหนี้ ใน อนาคตจากเงินใหกูยืมที่มีลักษณะเฉพาะดังกลาว กิจการตองไมใชอัตรา รอยละ 12 ซึ่งเปนอัตรา เดียวกันนี้ในการคิดลดกระแสเงินสดที่คาดการณเนื่อ งจากกระแสเงินสดดังกลาวไดสะทอนขอ สมมติเกี่ยวกับการผิดนัดชําระดังกลาวแลว (ข) กระแสเงินสดที่คาดการณและอัตราคิ ดลดควรปราศจากความลําเอียง ตลอดจนปราศจากการนํ า ปจจัยที่ไมเกี่ยวของกับสินทรัพยมารวมพิจารณา ตัวอยางเชน การปรับประมาณการกระแสเงินสด สุทธิใหต่ําลงโดยเจตนาเพื่อเพิ่มกําไรในอนาคตของสินทรัพย ถือวามีความลําเอียงในการวัดมูลคา (ค) กระแสเงิ นสดที่ คาดการณ หรื ออั ตราคิ ด ลดควรสะท อ นใหเ ห็ นขอบเขตผลลัพ ธที่ เ ปน ไปได มากกวาการใชมูลคาต่ําสุดหรือ มูลคาสูงสุด ที่มีความเปนไปไดมากที่สุดเพียงมูลคาเดียว
การวัดมูลคาปจจุบันโดยวิธีดั้งเดิม (Traditional Approach) และวิธีกระแสเงินสดที่คาดการณ (Expected Cash Flow Approach) วิธีดั้งเดิม ก4
การนํามูลคาปจจุบันมาประยุกตใชในการบันทึกบัญชีโดยดั้งเดิมแลวจะใชประมาณการกระแสเงินสด เพียงชุดเดียว และอัตราคิดลดเพียงอัตราเดียว ซึ่งถือเปนอัตราที่สะทอนความเสี่ยงไดอยางเหมาะสม การคํานวณตามวิธีดั้งเดิมจะมีขอสมมติวาอัตราคิดลดอัตราเดียวที่ใชนั้นสามารถสะทอนการคาดการณ กระแสเงินสดในอนาคตและความเสี่ยงสวนเพิ่มที่เ หมาะสมได ในทุก กรณี ดังนั้น วิธีดั้ งเดิมจะให ความสําคัญกับการเลือกอัตราคิดลดเปนอยางมาก
ก5
ในบางสถานการณ กิจการสามารถนําวิธีดั้งเดิมมาใชไดโดยงาย เชน การที่มีสินทรัพยที่คลายคลึงกัน อยูในตลาด หรือในกรณีที่สินทรัพยมีกระแสเงินสดที่อางอิงจากสัญญา เกณฑที่นํามาใชในการกําหนด มูลคาปจจุบันจะขึ้นอยูกับลักษณะของสินทรัพยนั้น เชน หุนกู อัตราดอกเบี้ย 12%
ก6
อยา งไรก็ดี วิธีดั้ง เดิม อาจไมเหมาะสมในบางกรณีที่ตอ งวัด มูลคา แบบซับซอน เชน การวัดมูลคาของ สินทรัพยที่ไมใชทรัพยสินทางการเงินซึ่งไมมีตลาดสําหรับสินทรัพยนั้น หรือไมมีสินทรัพยที่คลายคลึง กันในตลาด ในการหาอัตราผลตอบแทนที่สะทอนความเสี่ยงไดอยางเหมาะสม กิจการตองวิเคราะห สิ น ทรั พยที่ ต อ งการพิจ ารณานั้ นพร อ มกั บ สิน ทรั พ ยอื่ นในตลาดอยา งนอ ย 2 รายการ ซึ่ งมี อัต รา ดอกเบี้ ยที่ระบุ ได อัต ราคิดลดกระแสเงินสดจะต องอา งอิงจากอัตราดอกเบี้ ยที่สามารถระบุ ไดจ าก สิน ทรัพยดังกลาวที่มีลักษณะของกระแสเงินสดคล ายคลึงกับกระแสเงินสดของสิน ทรัพยภายใตก าร พิจารณา ดังนั้นในการวัดคากิจการตองกระทําการ ดังนี้ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 52/92
ก(6.1) ระบุกลุมของกระแสเงินสดที่ตองการคิดลด ก(6.2) ระบุสนิ ทรัพยอื่นในตลาด ซึ่งมีลักษณะกระแสเงินสดคลายคลึงกับสินทรัพยภายใตการพิจารณา ก(6.3) เปรียบเทียบกลุมของกระแสเงินสดของสินทรัพยทั้งสอง เพื่อใหมั่นใจวามีลักษณะที่คลายกัน เชน ทั้งสองกลุมเปนกระแสเงินสดตามสั ญญาเหมือนกั น หรือ กลุมแรกเปนกระแสเงินสด ตามสัญญา สวนอีกกลุมเปนกระแสเงินสดจากการประมาณการ ก(6.4) ประเมิ น ว า มี อ งค ป ระกอบใดที่ มี อ ยู ในสิน ทรั พ ย ห นึ่ ง แต ไ ม ไ ด อ ยูใ นอี ก สิ น ทรั พ ย ห นึ่ ง บางหรือไม เชน สินทรัพยแรกมีสภาพคลองนอยกวาสินทรัพยที่สอง ก(6.5) ประเมินว า กลุมกระแสเงินสดของสิน ทรั พยแ ตละรายการจะมีรู ปแบบการเปลี่ยนแปลง คลายคลึงกันหรือไม หากภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป วิธีกระแสเงินสดที่คาดการณ ก7
ในบางสถานการณ วิธีกระแสเงินสดที่คาดการณ เปนวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกวาวิธีดั้งเดิม เนื่องจาก วิธีกระแสเงินสดที่คาดการณจะใชขอมูลกระแสเงินสดที่มีความเปนไปไดทั้งหมดมาพิจารณาแทนที่จะ ใชก ระแสเงิน สดที่มีค วามเปนไปได มากที่ สุด เพียงกลุม เดียว ตัว อยางเช น กระแสเงิน สดอาจเป น 100 ล า นบาท 200 ลา นบาท หรื อ 300 ลา นบาท ด ว ยความน า จะเป น 10% 60% และ 30% ตามลํา ดับ กระแสเงิ นสดที่ คาดการณจะเทา กับ 220 ลานบาท ดังนั้ นวิธีกระแสเงิน สดที่ค าดการณ จึงแตกตางจากวิธีดั้ง เดิ ม โดยเนนที่ การวิเคราะหกระแสเงินสดที่ กําลังพิจารณาโดยตรงและการระบุ ขอสมมติในการวัดคาที่ชัดเจนกวาวิธีดั้งเดิม
ก8
ในการคํานวณโดยวิธีกระแสเงินสดที่คาดการณกิจการสามารถใชเทคนิคมูลคาปจจุบันมาประกอบเมื่อ ช วงเวลาที่ จะไดรั บ กระแสเงินสดไมแ นนอน ตั ว อยา งเช น กิ จการอาจไดรั บ กระแสเงินสดจํ า นวน 1,000 ลานบาท ในหนึ่งป หรือ ในสองป หรือในสามป ดว ยความนาจะเปน 10% 60% และ 30% ตามลําดับ ตัวอยางขางลางนี้แสดงวิธีการคํานวณมูลคาปจจุบันที่คาดวาจะไดรับในสถานการณดังกลาว (หนวย: ลานบาท) มูลคาปจจุบันของกระแสเงินสด 1,000 ลานบาท ในระยะเวลา 1 ป ทีอ่ ัตราคิดลด 5% 952.38 ความนาจะเปน 10.00% 95.24 มูลคาปจจุบันของกระแสเงินสด 1,000 ลานบาท ในระยะเวลา 2 ป ทีอ่ ัตราคิดลด 5.25% 902.73 ความนาจะเปน 60.00% 541.64 มูลคาปจจุบันของกระแสเงินสด 1,000 ลานบาท ในระยะเวลา 3 ป ทีอ่ ัตราคิดลด 5.5% 851.61 ความนาจะเปน 30.00% 255.48 มูลคาปจจุบันที่คาดวาจะไดรับ 892.36 มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 53/92
ก9
มูลคาปจจุบันที่คาดวาจะไดรับจํานวน 892.36 ลานบาท แตกตางจากผลที่ไดถาคํานวณโดยวิธีดั้งเดิม โดยใชประมาณการที่ดีที่สุดจํานวน 902.73 ลานบาท (ความนาจะเปน 60%) ในการคํานวณมูลคา ปจจุบันตามวิธีดั้งเดิมที่ใชในตัวอยางนี้ กิจการจําเปนตองตัดสินใจเกี่ยวกับจังหวะเวลาที่อาจเปนไปได ของกระแสเงินสดที่นํา มาใช ซึ่งมิไดสะทอนความเปนไปไดของจังหวะเวลาอื่น ทั้งนี้เนื่องจากอัตราคิด ลดที่ใชในการคํา นวณมูลคาปจจุบันตามวิธีดั้งเดิมไมสามารถสะทอนความไมแนนอนของจังหวะเวลา ได
ก10 การนําความนาจะเปนมาใช เปนองคประกอบที่สําคัญของวิธีกระแสเงินสดที่คาดการณ แมมีผูวิจารณ วิธีกระแสเงินสดที่คาดการณ วาการกําหนดความนาจะเปนใหกับประมาณการ ซึ่งคํานวณขึ้นมาโดยใช ดุล ยพินิจของผู คํานวณนั้นทํา ใหขอ มูล เกิด ความแมน ยํามากขึ้นจริงหรือ ไม แตก ารประยุกตวิธี การ คํานวณแบบดั้งเดิม ที่เหมาะสม (ตามที่ กล าวใน ก6) ก็ต องการการประมาณการและดุลยพินิจของ ผูคํานวณเชนกัน แตวิธีดั้งเดิมไมมีการแสดงการคํานวณในเรื่องดังกลาวใหชัดเจนเหมือนวิธีกระแสเงิน สดที่คาดการณ ก11 ประมาณการหลายประเภทที่จัดทําขึ้นในทางปฏิบัติในปจ จุบัน ไดรวมสวนประกอบของกระแสเงินสด ที่คาดการณแลวอยางไมเปนทางการ นอกจากนี้ บอยครั้งที่นักบัญชีจําเปนตองวัดมูลคาสินทรัพยดวย ขอมูลที่มีอยูจํากัดเกี่ยวกับความนาจะเปนของกระแสเงินสดที่อาจเกิดขึ้น เชน นักบัญชีอาจตองเผชิญ กับสถานการณดังนี้ ก11.1 เมื่อ จํา นวนเงิน ที่ประมาณขึ้น มีมู ลคา อยูร ะหวาง 50 ลา นบาท และ 250 ลานบาท ไม มี จํา นวนใดในช วงดังกลาวที่มี โอกาสเกิด ขึ้น มากกวาจํา นวนอื่ น แตจากขอมูลที่มีอยูจํากั ด ดังกลาว กระแสเงินสดที่คาดการณ จะเทากับ 150 ลานบาท [(50 + 250)/2] ก11.2 เมื่ อจํานวนเงิน ที่ประมาณขึ้ นมี มูลค าอยู ระหวาง 50 ลานบาท และ 250 ลานบาท โดยที่ จํ า นวนที่ เ ป น ไปได ม ากที่ สุ ด คื อ 100 ล า นบาท แต ไ ม ส ามารถกํ า หนดความน า จะเป น ของแต ละจํ า นวนได จากข อ มูลที่ มี อ ยูจํ ากั ดดั งกลา ว กระแสเงิ นสดที่ ค าดหวั งจะเท า กั บ 133.33 ลานบาท [(50+100+250)/3] ก11.3 จํานวนที่ป ระมาณไว ไดแก 50 ลานบาท (ความน าจะเปน 10%) 250 ลานบาท (ความน า จะเป น 30%) หรือ 100 ล านบาท (ความน าจะเปน 60%) จากขอมู ลที่ มีอยู อย างจํ ากั ด ดังกลาว กระแสเงินสดที่คาดการณโดยประมาณคือ 140 ลานบาท [(50x0.10)+(250x0.30) +(100x0.60)] ในแตละกรณีประมาณการกระแสเงินสดที่คาดการณจะใหคาประมาณที่ดีกวาการใชจํานวนที่นอยที่สุด จํานวนที่มากที่สุด หรือจํานวนที่มีความเปนไปไดมากที่สุด เพียงจํานวนเดียว ก12
กิจการควรพิ จารณาถึ งต นทุ นที่ ตองเสี ยไป และประโยชนที่จะไดรับ ในการเลือกใชวิธี กระแสเงิ นสดที่ คาดการณ ในบางกรณี กิจ การอาจสามารถเขาถึ งขอมู ลจํ านวนมาก ซึ่ งนํามาคํ านวณกระแสเงิน สดได มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 54/92
หลายสถานการณ หรือในบางครั้งกิจการอาจสามารถจัดทําประมาณการทางการเงินที่ระบุความผันแปร ของกระแสเงิ นสดไดเพียงคร าวๆ ยกเวนจะยอมเสียคาใชจายเพิ่มขึ้น กิจการควรพิ จารณาความสมดุล ระหวางตนทุนเพื่อใหไดขอมูลเพิ่มเติมมากับการเพิ่มขึ้นของความนาเชื่อถือในการวัดมูลคา ก13
มีผูใ หความเห็นวา เทคนิคกระแสเงิน สดที่คาดการณไมเหมาะสมหากจะนําไปใชใ นการวัดสินทรัพย รายการเดีย ว หรื อสิน ทรั พย ที่ข อมูลกระแสเงิ นสดที่ เปน ไปไดมี อยู จํา กัด ตัว อย างเชน สิ นทรัพ ยที่ มี กระแสเงินสดที่เปนไปได 2 กรณี คือ กระแสเงินสดจํานวน 10 ลานบาท ที่ความนาจะเปน 90% และ 1,000 ลา นบาท ที่ค วามนาจะเปน 10% ในกรณีดัง กลาว กระแสเงินสดที่ค าดการณที่คํานวณได จะ เทา กับ 109 ลานบาท ซึ่งผูใหความเห็นวิจารณวามูลคาดังกลาวไมเปนตั วแทนที่ดีของจํานวนกระแส เงินสดที่จะไดรับ
ก14
คํา วิจารณข างต นแสดงใหเ ห็น ถึง ความขั ดแยงดานวั ตถุป ระสงค ในการวัดคา หากวัต ถุป ระสงค คือ การรวบรวมตนทุนที่จะเกิดขึ้น กระแสเงินสดที่คาดการณอาจจะไมเ ปนตัวแทนที่เที่ยงธรรมของตนทุน ที่คาดวาจะเกิดขึ้น อยางไรก็ตาม มาตรฐานฉบับนี้ใหความสําคัญกับการวัดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน ของสินทรัพย มูลคาที่คาดวาจะไดรับ คืนของสิน ทรัพยไมนาจะเปน 10 ลานบาท แมวาจะเป นกระแส เงินสดที่มีความเปนไปไดสูงที่สุด ทั้งนี้เนื่อ งจากการวัดมูลคา 10 ลานบาทไมไ ดรวมความไมแนนอน ของกระแสเงิน สดในการวัดคาสิน ทรัพย แต กลับ ถูก รายงานเสมื อนกระแสเงิน สดที่มี ความชัด เจน แนนอน ในกรณีทั่วไป ไมมีกิจการใดที่จะขายสินทรัพยที่มีลักษณะดังกลาวในราคา 10 ลานบาท
อัตราคิดลด ก15
ไมวากิจการจะใชวิธีใดในการวัดมูลคาจากการใชของสินทรัพยก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่ใชในการคิดลด กระแสเงินสดตอ งไมร วมความเสี่ยง ซึ่ งได ปรับ ในประมาณการกระแสเงินสดแลว เพื่อ หลีกเลี่ ยง การซ้ําซอนของผลกระทบของขอสมมติบางประการ
ก16
หากกิ จ การไม ส ามารถหาอั ต ราคิ ด ลดเฉพาะของสิ น ทรั พ ย ใ นตลาดได กิ จ การสามารถใช อั ต รา โดยประมาณแทนอัตราคิดลดดังกลาวได โดยจะตองประเมินสภาพตลาดในปจจุบันเกี่ยวกับ (ก) มูลคาของเงินตามเวลาสําหรับระยะเวลาจนสิ้นสุดอายุการใชประโยชนของสินทรัพย และ (ข) ปจ จัย (ข) (ง) และ (จ) ในยอ หนา ก1 ของมาตรฐานฉบั บ นี้ โดยจะตอ งระวั งมิใหปจ จัย ดังกลาวสงผลใหตองปรับปรุงประมาณการกระแสเงินสด
ก17
ในการประมาณการ กิจการอาจเริ่มจากการพิจารณาอัตราตางๆ ดังตอไปนี้ (ก) ตนทุนถัวเฉลี่ยถวงน้ําหนักของเงินทุนของกิจการ ซึ่งอาจกําหนดโดยใชเทคนิค เชน แบบจําลอง การตีราคาสินทรัพยประเภททุน (The Capital Asset Pricing Model) (ข) อัตราดอกเบี้ยของการกูยืมสวนเพิ่มของกิจการ (ค) อัตราดอกเบี้ยของการกูยืมอื่นๆ ในตลาด มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 55/92
ก18
อยางไรก็ตาม อัตราเหลานี้จะตองถูกปรับปรุง (ก) เพื่อสะทอนให เห็นถึงแนวทางที่ตลาดใชในการประเมินความเสี่ยงเฉพาะที่เกี่ยวของกับกระแส เงินสดที่คาดการณของสินทรัพยนั้น (ข) เพื่อแยกความเสี่ยงที่ไม เกี่ยวของกั บกระแสเงินสดที่ค าดการณของสินทรัพย หรือความเสี่ย ง ที่ไดรวมอยูในกระแสเงินสดที่คาดการณแลว ทั้ ง นี้ ควรพิ จ ารณาความเสี่ ยงเฉพาะประเทศ ความเสี่ย งด า นอั ต ราแลกเปลี่ย น และความเสี่ ย ง ดานราคา ประกอบดวย
ก19
อัตราคิดลดตองเปนอิสระจากโครงสรางเงินทุนของกิจการ และวิธีการที่กิจการจัดหาเงิน เพื่อใชในการ ซื้อ สินทรัพย เนื่อ งจากกระแสเงิ นสดที่ค าดวาจะไดรั บจากสิ นทรัพ ยใ นอนาคตไมขึ้ นอยูกั บวิธีก ารที่ กิจการจัดหาเงินมาซื้อสินทรัพยนั้น
ก20
ยอหนา ที่ 55 ของมาตรฐานฉบั บนี้ กํา หนดให อัตราคิดลดที่ ใชเปนอัตรากอนภาษี ดังนั้น หากเกณฑ ที่ใชในการประมาณการอัตราคิดลดเปนอัตราหลังภาษีจะตองปรับใหเปนอัตรากอนภาษี
ก21
โดยปกติ กิ จการจะใช อัต ราคิดลดอัต ราเดีย วสําหรับ การประมาณการมูลคาจากการใชข องสินทรัพย อยางไรก็ ตาม กิ จการควรใช อัต ราคิดลดหลายอั ตราสํา หรั บช วงเวลาที่ ตา งกัน หากมูล คาจากการใช ออนไหวตอการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงในแตละชวงเวลา หรือตอโครงสรางของอัตราดอกเบี้ย
ภาคผนวก ข ภาคผนวกนี้ไมเกี่ยวของ
ภาคผนวก ค การทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่มีคาความนิยมและสวนไดเสีย ที่ไมมีอํานาจควบคุม ภาคผนวกนี้ถือเปนสวนหนึ่งของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย
ค1
เพื่อ ให สอดคลอ งกั บมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับ ที่ 3 (ปรับ ปรุ ง 2552) เรื่ อง การรวม ธุรกิจ ผูซื้อวัดมูลคาและรับรูคาความนิยม ณ วันที่ซื้อ ดวยจํา นวนตามขอ 1 ที่มากกวาจํานวนตามขอ 2 ดังตอไปนี้ (1) ผลรวมของ: (ก) มูลคาของสิ่งตอบแทนที่โอน ซึ่ง วัดมูลคาตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 3 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การรวมธุรกิจ (เมื่อมีการประกาศใช) ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงมูลคา ความยุติธรรม ณ วันที่ซื้อ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 56/92
(ข) มูล คา ของสวนไดเ สียที่ ไมมี อํานาจควบคุม ในกิจ การผูถูกซื้ อ ซึ่งวัดมู ลคา ตามมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบั บ ที่ 3 (ปรับ ปรุ ง 2552) เรื่อ ง การรวมธุ ร กิจ (เมื่อมีการ ประกาศใช) (ค) มูล คายุติธ รรม ณ วันที่ซื้ อ ของส วนไดเสียในทุนของกิ จ การที่ถูกซื้ อที่ถือโดยผู ซื้อ กอ น วันที่ซื้อ ในกรณีของการรวมธุรกิจที่บรรลุผลเปนขั้นๆ (2) จํานวนสุทธิของสิน ทรัพยและหนี้ สิน ณ วันที่ซื้ อ ที่สามารถระบุไดที่ไดรับ มา ถือ วาการวัดมูลคา เปนไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบั บที่ 3 (ปรับ ปรุ ง 2552) เรื่ อง การรวมธุรกิ จ (เมื่อมีการประกาศใช)
การปนสวนคาความนิยม ค2
ยอหนาที่ 80 ของมาตรฐานฉบับนี้กําหนดใหกิจการที่เปนผูซื้ อตองปนสวนคาความนิยมที่เกิดขึ้นจาก การรวมธุรกิจใหกับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด หรือกลุมของหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิดเงินสด ที่คาดวาจะไดรับประโยชนจากการรวมธุรกิจ โดยไมคํานึงวาสินทรัพยอื่นหรือหนี้สินอื่นของกิจการที่ถูก ซื้อจะถูกปนสวนใหกับหนวยสินทรัพยหรือกลุมของหนวยสินทรัพยเหลานั้นหรือไม แตสามารถเปนไป ไดที่ประโยชนจากการรวมธุรกิจบางสวนจะถูกปนสวนไปใหกับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่สวน ไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุมไมมีสวนไดเสีย
การทดสอบการดอยคา ค3
การทดสอบการดอ ยคา ตอ งเปรียบเทียบมูลค าที่คาดวา จะไดรับคืน ของหนวยสิน ทรั พยที่ กอ ใหเ กิด เงินสด กับมูลคาตามบัญชีของหนวยของสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดนั้น
ค4
หากกิจ การวัดมูลคา สวนไดเสียที่ไมมีอํา นาจควบคุมตามสัดสว นของสวนไดเ สียในสินทรัพ ยที่ระบุ ได สุทธิของบริษัท ยอย ณ วันที่ซื้อ แทนการใช มูลคายุติธรรม คา ความนิยมที่เกิดขึ้นเนื่อ งมาจากสวนได เสียที่ไมมีอํานาจควบคุมจะรวมอยูในมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสด ที่เกี่ยวของ แตไมถูกรับรูในงบการเงินรวมของบริษัทใหญ ดังนั้นกิจการตองเพิ่มมูลคาตามบัญชีของ คาความนิยมที่ถูกปนสวนใหกับหนวยสินทรัพยโดยรวมคาความนิยมที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากสวนไดเสียที่ ไมมีอํานาจควบคุมดวยมูลคา ตามบัญชีที่ถูกปรับปรุงนี้จะนําไปเปรียบเทียบกับมูลคาที่คาดวาจะไดรับ คืนของหนวยสินทรัพยดังกลาวในการพิจารณาวาหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดนั้นดอยคาหรือไม
การปนสวนผลขาดทุนจากการดอยคา ค5
ยอหนา 104 ของมาตรฐานฉบับนี้กํา หนดใหกิจการต องปนสวนผลขาดทุนจากการด อยคาที่เกิด ขึ้น โดยไปลดมูลคาตามบัญชีของคาความนิยมที่เคยปนสวนใหกับหนวยสินทรัพยกอน จากนั้นผลขาดทุน มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 57/92
ที่เหลือจึงนําไปลดมูลคาตามบัญชีของสินทรัพยอื่นๆ ที่อยูในหนวยสินทรัพยดังกลาวตามสัดสวนของ มูลคาตามบัญชีของสินทรัพยแตละรายการนั้น ค6
หากบริ ษัทยอยหรือ บางสวนของบริษั ทยอย ซึ่งประกอบด วยสวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุ มถือเปน หน วยสินทรั พยที่กอ ใหเ กิ ดเงิน สด ผลขาดทุน จากการดอยคา ตอ งถู ก ปนสว นใหกับ บริ ษัทแมแ ละ สวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุมดวยเกณฑเดียวกันกับการปนสวนกําไรหรือขาดทุนจากบริษัทยอย
ค7
หากบริษัทยอยหรือบางสวนงานของบริษัทยอย ซึ่งประกอบดวยสวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุม เป น สวนหนึ่ งของหนวยสิน ทรัพยที่กอ ใหเกิ ดเงินสดที่มี ขนาดใหญ ก วา ผลขาดทุน จากการดอยคา ของ คาความนิยมต องถูกปนสวนไปยัง สวนของหน ว ยสินทรัพยที่ กอ ใหเกิดเงิน สดทั้งสว นได เสียที่ไ ม มี อํา นาจควบคุมและสวนที่ มิใชสวนได เสียที่ไมมีอํา นาจควบคุม ผลขาดทุนจากการด อยคาตองถูก ป น สวนไปยังสวนตางๆ ของหนวยสินทรัพยที่กอใหเงินสดตามเกณฑดังนี้ (ก) จํานวนที่ไมเกินการดอยคาที่เกี่ยวของกับคา ความนิยมในหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด โดย เทียบกับมูลคา ตามบัญชีของคาความนิยมในหนวยสิน ทรัพยที่กอใหเ กิดเงินสดสวนนั้นกอนเกิด การดอยคา และ (ข) จํานวนที่ไมเกินการดอยคาที่เกี่ยวของกับสินทรัพยที่ระบุไดในหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด
โดยเทียบกับมูลคาตามบัญชีของสิน ทรัพยที่ระบุไดสุทธิในหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสดสวน นั้นกอนเกิดการดอยคา การดอยคาจะถูกปนสวนใหกับสิน ทรัพยของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสดแตละสวน ตามสัดสวนของมูลคาตามบัญชีของสินทรัพยแตละรายการในสวนนั้น
สําหรับสวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุม ใหกิจ การปนสวนผลขาดทุนจากการดอยคาใหกับบริษัทใหญ และสวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุมดวยเกณฑเดียวกันกับการปนสวนกําไรหรือขาดทุนจากบริษัทยอย ค8
หากกิจ การไมไ ด รับ รูผ ลขาดทุ นจากการดอ ยค าที่ เกิด ขึ้น เนื่องจากส วนไดเสีย ที่ไ มมี อํา นาจควบคุ ม ที่เกี่ยวของกับคาความนิยมซึ่งยังไมไดรับรูในงบการเงินรวมของบริษัทใหญ (ดูภาคผนวก ค4) กิจการ ตองไมรับรู การดอยคาดังกลาวเปนผลขาดทุน จากการดอ ยคา ของคา ความนิยม ในกรณีดังกลาว ผล ขาดทุนจากการดอยคาที่เกี่ยวของกับคา ความนิยมที่สามารถปน สวนไปยังบริ ษัทใหญเทานั้ นที่จะรับรู เปนผลขาดทุนจากการดอยคาของคาความนิยม
ค9
ตัวอยา งประกอบการอธิ บ ายที่ 7 แสดงถึงกรณี ข องการทดสอบการดอ ยค าของหน วยสินทรั พย ที่ กอใหเกิดเงินสดที่มีคาความนิยมรวมอยู ซึ่งบริษัทไมไดเปนผูถือหุนทั้งหมด
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 58/92
ตัวอยาง ตัวอยางนี้ทําขึ้นเพื่อเปนแนวทางเทานั้นและไมถือเปนสวนหนึ่งของมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ ตัวอยางในภาคผนวกนี้มีขอสมมติวากิจการที่เกี่ยวของไมมีรายการอื่นนอกจากรายการที่ระบุตามตัวอยาง
ตัวอยางที่ 1 การกําหนดหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด วัตถุประสงคของตัวอยางนี้ เพื่อ 1. ใหแนวทางในการกําหนดหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดในสถานการณตางๆ และ 2. เน นถึ งป จจัยบางป จจัยที่ กิจ การอาจใช ในการพิจารณากํา หนดหนว ยสินทรัพ ยที่กอใหเ กิด เงิ นสดที่ มี สินทรัพยที่พิจารณารวมอยู ตัวอยาง ก) กลุมรานขายปลีกที่มีเจาของเดียวกัน ร า นลูก อยูใ นกลุมของร า นขายปลีก แม สิน ค า ทั้ งหมดของร านลูก ซื้อ ผา นแผนกจั ด ซื้ อ ของรา นแม นโยบายเกี่ ยวกับ การตั้ง ราคา การตลาด การโฆษณาและบุ คลากร กํ าหนดและตัดสิ นใจโดยรา นแม ยกเวน การจางพนักงานเก็บเงินและพนักงานขายของ นอกจากนี้รานแมเปนเจาของรานอื่นๆ อีก 5 รานในละแวกอื่น ในจังหวัด เดียวกับ รานลูก และเป นเจา ของรานในจังหวัด อื่นอีก 20 ราน ร านทุก รา นดําเนิ นการเหมื อนกับ รานลูก รานแมซื้อรานลูกและร านคาขายปลีกอื่นๆ อีก 4 รานมาเมื่อ 5 ปกอน โดยมีการบัน ทึกคาความนิยม จากการซื้อครั้งนั้น การพิจารณาหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดของรานลูก การวิเคราะห ในการกําหนดหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดของรานลูกควรพิจารณาเรื่องตอไปนี้ 1. รายงานภายในของฝายบริหารที่จัดไวเพื่อประเมินผลการปฏิบัติงาน โดยพิจารณาแตละรานแยก จากกัน 2. ธุรกิจดําเนินงานบนผลกําไรเปนแตละรานหรือบนผลกําไรรวมของทุกรานในแตละจังหวัด รานคา ทั้งหมดของรานแมตั้งอยูในละแวกที่ตางกัน และอาจมีกลุมลูกคาที่ตางกัน ดังนั้น แมวารานลูก จะดําเนินงานภายใตการดูแลของรานแม แตกระแสเงินสดรับสวนใหญของรานลูกไมขึ้นอยูกับกระแสเงินสดรับ ของรานอื่นๆ ที่รานแมเปนเจาของ จึงนาจะถือไดวารานลูก คือ หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด หากหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดของรานลูกถือเปนหนวยที่เล็กที่สุดภายในรานแม ซึ่งเปน ระดับ ที่รานแม ใช ในการประเมินค าความนิยมในการบริหารงานภายใน รา นแมตอ งทดสอบการดอยคาของหน วย สินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 90 แตหากรานแมไมมีขอมูลเกี่ยวกับมูลคาตามบัญชี มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 59/92
ของคาความนิยมและไมไดทําการประเมินคาความนิยม ณ ระดับของรานลูกในการบริหารงานภายใน รานแม ตองปฏิบัติตามยอหนาที่ 88 ในการทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด ตัวอยาง ข) โรงงานที่ดําเนินงานในขั้นการผลิตระหวางทางของกระบวนการผลิต วัตถุดิบที่มีนัยสําคัญที่ใชในการผลิตสิน คาสําเร็จรูปของโรงงาน ก คือ ผลิตภัณฑที่ซื้อจากโรงงาน ข ซึ่งอยู ภายใตกิ จการเดีย วกั น โรงงาน ข ขายผลิตภัณฑให กับ โรงงาน ก ในราคาโอน ซึ่ งเปนราคาที่ร วมกํา ไร ทั้งหมดแลว โรงงาน ก ขายสินคา สําเร็จ รูปใหลู กคา ภายนอกกิจ การ 80% และโรงงาน ข ขายผลิต ภัณ ฑให โรงงาน ก 60% สวนที่เหลือ 40% ขายใหกับลูกคาภายนอกกิจการ การพิจารณาหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดของโรงงาน ก และโรงงาน ข กรณีที่ 1 โรงงาน ข สามารถขายผลิตภัณฑดังกลาวไดใ นตลาดซื้อขายคลอง ซึ่งราคาโอนภายในสูง กวาราคาตลาด กรณีที่ 2 ไมมีตลาดซื้อขายคลองสําหรับผลิตภัณฑที่โรงงาน ข ขายใหโรงงาน ก การวิเคราะหกรณีที่ 1 โรงงาน ข สามารถขายผลิตภัณฑในตลาดซื้อขายคลอง และกระแสเงินสดรับ ไมขึ้นอยูกับกระแสเงิน สดรับจากโรงงาน ก ดังนั้ น จึงอาจถือ ไดวาโรงงาน ข คือ หนวยสิน ทรัพยที่กอ ใหเ กิดกระแสเงิน สด แม ว า โรงงาน ก จะนําผลิตภัณฑบางสวนไปใช (ดูยอหนาที่ 70) ในขณะเดียวกัน โรงงาน ก ถือเปนหน วยสิ นทรัพยที่ก อให เกิด เงินสดดวย เนื่องจากโรงงาน ก ขาย 80% ของสินคาสําเร็จรูปใหกับลูกคาภายนอกกิจการ ดังนั้น จึงพิจารณาไดวากระแสเงินสดรับเปนอิสระ เนื่ อ งจากราคาโอนภายในมิไ ดสะทอนถึงราคาตลาดของผลิตภัณฑ จากโรงงาน ข ดั งนั้น ในการ ประเมิน มูลค าจากการใชของทั้งโรงงาน ข และโรงงาน ก กิ จการตอ งปรับปรุง งบประมาณและประมาณการ ทางการเงิน เพื่อใหไ ดป ระมาณการราคาตลาดในอนาคตที่ ดีที่ สุดสํ าหรับราคาสิน คา ของโรงงาน ข ซึ่ งกิ จการ นํามาใชเปนการภายใน (ดูยอหนาที่ 70) การวิเคราะหกรณีที่ 2 มูลคาที่คาดวาจะไดรับ คืน ของแตละโรงงานไมน าที่จะประเมินแยกโดยอิสระจากมูลคาที่ คาดวาจะ ไดรับคืนของอีกโรงงานได เนื่องจาก (1) ผลิตภัณฑสวนใหญของโรงงาน ข ถูกนําไปใชภายใน และไมสามารถขายในตลาดซื้อขายคลอง กระแสเงินสดรับของโรงงาน ข จึงขึ้นอยูกับความตองการผลิตภัณฑของโรงงาน ก ดังนั้น กระแสเงินสดรับสวน ใหญของโรงงาน ข จึงไมสามารถแยกโดยอิสระจากกระแสเงินสดรับของโรงงาน ก ได (2) ทั้งสองโรงงานถูกบริหารงานรวมกัน
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 60/92
จากเหตุผลดังกลาว โรงงาน ข และโรงงาน ก รวมกัน นาที่จะถือวาเปนกลุมที่เล็กที่สุดที่สามารถระบุ ไดของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดกระแสเงินสดรับที่เปนอิสระ ตัวอยาง ค) บริษัทที่มีผลิตภัณฑชนิดเดียว บริ ษั ท แม จํ ากั ด ผลิต ผลิต ภั ณ ฑ เ พีย งชนิ ด เดีย ว และเป นเจ า ของโรงงาน 1 2 และ 3 ซึ่ง ตั้ง อยู ตางจังหวัด โรงงาน 1 ผลิตชิ้นสวนซึ่งจะนําไปประกอบในโรงงาน 2 หรือ 3 ซึ่งโรงงาน 2 และโรงงาน 3 มิไดใช กํ า ลั ง การผลิ ต ร ว มอย า งเต็ ม ที่ บริ ษั ท แม จํ า กั ด ขายผลิ ต ภั ณ ฑ ที่ ผ ลิ ต จากโรงงาน 2 หรื อ โรงงาน 3 ทั่วราชอาณาจักร เชน ผลิตภัณ ฑจ ากโรงงาน 2 อาจขายในจั งหวัดที่โรงงาน 3 ตั้งอยูห ากโรงงาน 2 สามารถ จัดสงไดรวดเร็วกวา ดังนั้น ระดับการใชกําลังการผลิตของโรงงาน 2 และ 3 ขึ้นอยูกับ สวนแบงการขายระหวาง โรงงานทั้งสอง การพิจารณาหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดของโรงงาน 1 2 และ 3 กรณีที่ 1 เมื่อผลิตภัณฑจากโรงงาน 1 มีตลาดซื้อขายคลองรองรับ กรณีที่ 2 เมื่อผลิตภัณฑจากโรงงาน 1 ไมมีตลาดซื้อขายคลองรองรับ การวิเคราะหกรณีที่ 1 เมื่อผลิตภัณฑจากโรงงาน 1 มีตลาดซื้อขายคลองรองรับ โรงงาน 1 น า จะถื อ ว า เป น หน ว ยสิน ทรั พ ย ที่ ก อ ให เ กิ ด เงิ น สดแยกต า งหาก เนื่ อ งจากผลิต ภั ณ ฑ จากโรงงาน 1 มีตลาดซื้อขายคลองรองรับ (ดูตัวอยางประกอบการอธิบายที่ 1 ขอ ข กรณีที่ 1) แมวาผลิต ภัณ ฑจ ากโรงงาน 2 และ 3 จะมีตลาดซื้ อขายคลอ งรองรับ แตก ระแสเงิน สดที่โ รงงาน 2 และ 3 ไดรับขึ้นอยู กับสว นแบงการผลิต ระหว างโรงงานทั้งสอง กระแสเงิน สดที่โรงงาน 2 และ 3 ไดรับ จึง ไมส ามารถที่ จ ะแยกพิจ ารณาจากกั นได ดังนั้ น โรงงาน 2 และ 3 รวมกั น น า จะถื อ ว า เป นกลุม ที่ เ ล็ก ที่สุ ด ที่สามารถระบุไดของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดกระแสเงินสดรับซึ่งมีความเปนอิสระ ในการกํา หนดมูลคา จากการใชของโรงงาน 1 และ 2 ร วมกับ 3 บริษัท แม จํา กั ด ต องปรั บ ปรุ ง งบประมาณและประมาณการทางการเงิน เพื่อ ใหไดประมาณการราคาตลาดในอนาคตที่ ดีที่สุด ของผลิตภัณ ฑ จากโรงงาน 1 (ดูยอหนาที่ 70) การวิเคราะหกรณีที่ 2 เมื่อผลิตภัณฑจากโรงงาน 1 ไมมีตลาดซื้อขายคลองรองรับ มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของแตละโรงงานไมนาที่จะประเมินแยกจากกันได เนื่องจาก (1) ผลิตภัณฑจากโรงงาน 1 ไมมีตลาดซื้ อขายคลอ งรองรั บ ดัง นั้น กระแสเงิน สดที่ โรงงาน 1 จะไดรับขึ้นอยูกับการขายผลิตภัณฑสําเร็จรูป ซึ่งโรงงาน 2 และ 3 ผลิต (2) แมวาผลิตภัณฑที่โรงงาน 2 และ 3 ผลิตจะมีตลาดซื้อขายคลองรองรับก็ต าม กระแสเงินสดที่ โรงงาน 2 และ 3 จะไดรับขึ้นอยูกับสวนแบงการผลิตระหวางโรงงานทั้งสอง ดังนั้น กระแสเงินสดที่ โรงงาน 2 และ 3 จะไดรับจึงไมนาที่จะแยกพิจารณาจากกันได มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 61/92
จากเหตุผ ลดัง กลา ว โรงงาน 1 2 และ 3 รวมกัน (หรือบริษัท แม จํ ากั ด โดยรวม) ถือวาเปนกลุมที่ เล็กที่สุดของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดกระแสเงินสดรับซึ่งมีความเปนอิสระ ตัวอยาง ง) ชื่อนิตยสาร สํานักพิมพแหงหนึ่งเปนเจาของลิขสิทธิ์ชื่อของนิตยสาร 30 ชื่อ ซึ่งกิจการซื้อมา 10 ชื่อและตั้งขึ้นเอง 20 ชื่อ กิจการบันทึกจํานวนเงินที่จายซื้อชื่อนิตยสารเปนสินทรัพยไมมีตัวตน และบันทึกรายจายที่เกี่ยวของกับ การตั้งชื่อนิตยสารและคาใชจา ยที่เกี่ยวของในการคงไวซึ่งลิขสิทธิ์เปนคาใชจายทันทีที่เกิด กิจการสามารถระบุ กระแสเงิน สดที่ไ ดรับจากการขายตรงและคาโฆษณาสําหรับนิตยสารแตละชื่อได การดําเนินงานของนิตยสาร แตละชื่อแบงตามกลุมลูกคา ระดับของรายไดคาโฆษณาของนิตยสารแตละชื่อขึ้นอยูกับกลุมลูกคาของนิตยสาร นั้นๆ ฝายบริหารมีนโยบายที่ จะเลิกใชชื่อ นิตยสารเกาก อนที่ชื่อ นั้นจะหมดอายุ การใหป ระโยชนเชิงเศรษฐกิจ และเปลี่ยนแทนโดยใชชื่อใหมสําหรับกลุมลูกคาเดิม การพิจารณาหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดของนิตยสารแตละชื่อ การวิเคราะห มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของนิตยสารแตละชื่อนาที่จ ะประเมิน แยกจากกันได แมวาระดับของรายได คาโฆษณาของนิตยสารแตละชื่อจะไดรับผลกระทบจากนิตยสารชื่ออื่นๆ ที่อ ยูในกลุมลูกคาเดียวกัน แตกระแส เงินสดที่ไดรับจากการขายตรงและคาโฆษณาสามารถระบุไดสําหรับนิตยสารแตละชื่อ และแมวานิตยสารตางๆ จะจัดประเภทตามกลุมลูกคา แตการตัดสินใจที่จะเลิกใชชื่อของนิตยสารจะพิจารณาแตละชื่อโดยแยกจากกัน ดัง นั้ น นิตยสารแตละชื่อนา จะถือ วา เปนหนว ยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสดแยกจากกัน เนื่ องจาก สามารถกอใหเกิดกระแสเงินสดรับ ซึ่งมีความเปนอิสระจากกระแสเงินสดรับจากชื่อนิตยสารอื่น ตัวอยาง จ) อาคารที่กิจการใชเองบางสวนและใหเชาบางสวน บริษัท แม จํากัด ซึ่งทําธุรกิจดานการผลิต เปนเจาของอาคารสํานักงานใหญ ซึ่งเดิมมีไวใชเอง ตอมา ภายหลังได มีการลดขนาดของกิจการลง บริ ษัท แม จํากัด จึ งใหบุคคลภายนอกเชาอาคารสํา นัก งานใหญ ครึ่งหนึ่ง ซึ่งมีสัญญาใหเชาเปนเวลา 5 ป การพิจารณาหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดของอาคาร การวิเคราะห การใชอาคารสํา นักงานใหญ มีวัต ถุประสงค หลักเพื่อ ใชสนับสนุน กิจ กรรมการผลิตและถือวา เป น สินทรัพยองคกร ดังนั้น อาคารสํานักงานใหญทั้งอาคารไมสามารถที่จะกอใหเกิดกระแสเงินสดรับ ที่มีความเปน อิส ระจากกระแสเงิน สดรับ จากกิจ การโดยรวม จึง นาจะถือ วาอาคารสํา นักงานใหญ เปนส วนหนึ่ งของหนวย สินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด ซึ่งก็คือบริษัท แม จํากัด โดยรวม มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 62/92
อาคารสํานักงานใหญไมไดถือไวเพื่อการลงทุน ดังนั้น กิจการไมค วรที่จะกําหนดมูลคาจากการใชของ อาคารนั้นโดยการประมาณคาเชาในตลาดในอนาคต
ตัวอยางที่ 2 การคํานวณมูลคาจากการใชและการรับรูผลขาดทุนจากการดอยคา ผลกระทบจากภาษีไมไดนํามารวมในการพิจารณาในตัวอยางนี้ ณ วันที่ 31 ธ.ค.20x0 บริษัท ผูลงทุน จํากัด ซื้อบริษัท แม จํากัด ดวยจํานวนเงิน 10 ลานบาท บริษัท แม จํากัด มีโรงงานผลิตอยู ใน 3 ประเทศ ตารางที่ 1 ขอมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 20x0 การปนสวนราคาซื้อ กิจกรรมในประเทศที่ 1 กิจกรรมในประเทศที่ 2 กิจกรรมในประเทศที่ 3 รวม (1)
________________ 3,000 2,000 5,000 10,000
มูลคายุติธรรมของสินทรัพย ที่สามารถระบุได _____________________ 2,000 1,500 3,500 7,000
(หนวย : พันบาท) คาความนิยม (1) ____________ 1,000 500 1,500 3,000
กิจกรรมในแตล ะประเทศถือวา เปนระดับที่ เล็ กที่สุ ดที่ฝา ยบริ หารใชในการประเมินค าความนิย มเปน การภายใน ค า ความนิย มคํานวณขึ้นจากผลตางระหวางราคาซื้อ ของกิจกรรมในแตละประเทศซึ่งระบุไ วในสัญญาซื้อขาย และมูลค า ยุติธรรมของสินทรัพยที่ระบุได
เนื่องจากคาความนิยมถูกปนสวนใหกับกิจกรรมของโรงงานแตละประเทศ บริษัท ผูลงทุน จํากัด ตอง ทดสอบการดอ ยคา ของแตละกิ จ กรรมอยา งนอยปละครั้ง หรื อ บ อยครั้งกว า นั้น หากมีขอ บ งชี้ว า กิจ กรรม ดังกลาวอาจเกิดการดอยคา (ดูยอหนาที่ 90) มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน (มูลคาที่สูงกวาของมูลคาจากการใชและมูลคายุติธรรมหักตน ทุนขาย) ของ หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด เนื่องจากมูลคาจากการใชซึ่งกิจการคํานวณขึ้น ณ วันสิ้นป 20x0 และ 20x1 มีมูลคาจากการใชของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดแตละหนวยสูงกวามูลคาตามบัญชี จึงถือไดวา กิจกรรม ของโรงงานแตละประเทศและคาความนิยมที่ปนสวนใหกิจกรรมดังกลาวไมเกิดการดอยคา ณ ต นป พ.ศ. 20x2 รั ฐบาลออกกฎหมายหา มสง ออกสิ นคาที่ ผลิ ตจากโรงงานประเทศที่ 1 ทํา ให บริษัท ผูลงทุน จํากัด จะตองลดกําลังการผลิตของโรงงานดังกลาวลง 40% ในอนาคตอันใกล กฎหมายหามสงออกที่มีนัยสําคัญ ซึ่งจะทําใหกําลังการผลิตลดลงดังกลาวทําใหบ ริษัท ผูลงทุน จํากัด ตองประมาณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของการดําเนินงานของโรงงานประเทศที่ 1 ณ ตนป 20x2 มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 63/92
บริษัท ผูลงทุน จํากัด คิดคาเสื่อมราคาดวยวิธีเสนตรงตลอดระยะเวลา 12 ป สําหรับสินทรัพยที่ระบุ ไดของโรงงานในประเทศที่ 1 และคาดวาไมมีมูลคาคงเหลือ ในการกําหนดมู ลค าจากการใชสํา หรับ หน วยสินทรัพ ยที่กอให เกิด เงินสดของโรงงานประเทศที่ 1 บริษัท ผูลงทุน จํากัด ตองดําเนินการดังตอไปนี้ (ดูตารางที่ 2) ก) จัดเตรี ยมขอ มูลประมาณการกระแสเงิน สดที่ไ ดจ ากงบประมาณ หรือประมาณการทางการเงิ น ลาสุดสําหรับระยะเวลา 5 ปขางหนา (พ.ศ. 20x2 - 20x6) ซึ่งไดรับอนุมัติโดยฝายบริหาร ข) ประมาณกระแสเงินสดสํา หรับ ระยะเวลาหลังจากนั้น (ป พ.ศ. 20x7-20y2) โดยใชอัต ราการ เติบโตที่ลดลง กิจการประมาณอัตราการเติบโตของป พ.ศ. 20x7 ไวที่ ร อยละ 3 ซึ่งอัตรานี้ต่ํา กวาอัตราการเติบโตระยะยาวโดยเฉลี่ยสําหรับตลาดที่รองรับสินคาที่ผลิตโดยโรงงานที่ 1 ค) เลื อ กอั ต ราคิ ด ลด เท า กั บ 15% ซึ่ ง เป น อั ต ราก อ นหั ก ภาษี ที่ ส ะท อ นให เ ห็ น ถึ ง การประเมิ น สถานการณ ตลาดในป จจุ บั นของมู ลคา ป จจุ บั นของเงินและความเสี่ยง ซึ่ งเปน ลักษณะเฉพาะของโรงงาน ประเทศที่ 1
การรับรูรายการและการวัดมูลคาผลขาดทุนจากการดอยคา มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนว ยสินทรัพ ยที่กอ ใหเกิ ดเงินสดของโรงงานในประเทศที่ 1 เทากับ 1,360,000 บาท บริษัท ผูลงทุน จํากัด เปรียบเทียบมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนกับมูลคาตามบัญชีของหนวยสิน ทรัพยที่ กอใหเกิดเงินสดของโรงงานในประเทศที่ 1 (ดูตารางที่ 3) เนื่องจากมูลคาตามบัญชีสูงกวา มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนประมาณ 1,473,000 บาท บริษัท ผูลงทุน จํากัดจึงรับรูผลขาดทุนจากการดอยคาจํานวน 1,473,000 บาท ในกําไรหรือขาดทุนทันที โดยบริษัท ผูลงทุน จํา กัด ต องลดมู ลคาตามบัญ ชีข องคา ความนิย มที่ เกี่ยวของกับการดํ าเนินงานของโรงงานในประเทศที่ 1 ให เหลือ ศูนย กอ นที่จ ะลดมูล คา ตามบั ญชีของสิ นทรัพ ยที่ ระบุไ ดอื่น ๆ ในหนวยสินทรัพ ยที่กอใหเ กิด เงิน สดใน โรงงานในประเทศที่ 1นั้น (ดูยอหนาที่ 104) ผลกระทบจากภาษีเงินไดคํานวณขึ้นและบันทึกแยกตางหากตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 12 เรื่อง ภาษีเงินได (ดูตัวอยางประกอบการอธิบายที่ 3 ขอ ก)
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 64/92
ตารางที่ 2 การคํ านวณมู ลคา จากการใชของหนวยสินทรัพ ยที่ กอ ใหเ กิดเงิน สดของโรงงานในประเทศที่ 1 เมื่อตนป 20x2 (หนวย : พันบาท) ป (พ.ศ)
อัตราการ เติบโต ระยะยาว
กระแสเงินสด ตัวคูณเพื่อหามูลคาปจจุบัน ในอนาคตที่คิดลด ณ อัตราคิดลด 15%
กระแสเงินสดใน อนาคต
20x2 (n=1)
230(1)
0.86957
200
20x3 20x4
253(1) 273(1)
0.75614 0.65752
191 180
20x5
290(1)
0.57175
166
20x6 20x7
3%
304(1) 313(2)
0.49718 0.43233
151 135
20x8
-2%
307(2)
0.37594
115
20x9 20y0
-6% - 15 %
289(2) 245(2)
0.32690 0.28426
94 70
20y1
- 25 %
184(2)
0.24719
45
20y2 มูลคาจากการใช
- 67 %
61(2)
0.21494
13 1,360
(1) (2) (3)
จากการประมาณการกระแสเงินสดสุทธิที่ดีที่สุดของฝายบริหาร (หลังจากที่กําลังการผลิตลดลง 40%) จากการพยากรณโดยอางอิงกระแสเงินสดรับของปกอน โดยใชอัตราการเติบโตที่ลดลง ตัวคูณเพื่อหามูลคาปจจุบันคํานวณมาจากสูตร k = 1/(1+a)n เมื่อ a = อัตราคิดลด และ n = จํานวนป ที่คิดลด
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 65/92
ตารางที่ 3 การคํานวณและการปนสวนผลขาดทุนจากการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดของ โรงงานในประเทศที่ 1 ณ วันที่ 1 มกราคม 20x2 ตนป 20x2 ราคาทุน คาเสื่อมราคาสะสม (ป พ.ศ. 20x1) มูลคาตามบัญชี ผลขาดทุนจากการดอยคา มูลคาตามบัญชีหลังผลขาดทุนจากการดอยคา
คาความนิยม
สินทรัพยที่ ระบุได _________ 2,000
(หนวย: พันบาท) รวม _______ 3,000
-
(167)
(167)
1,000 (1,000) 0
1,833 (473) 1,360
2,833 (1,473) 1,360
___________ 1,000
ตัวอยางที่ 3 ผลกระทบจากภาษีเงินไดรอการตัดบัญชี ตัวอยาง ก) ผลกระทบจากภาษีเงินไดรอการตัดบัญชีของการรับรูผลขาดทุนจากการดอยคา จากขอมูลของบริษัท ผูลงทุน จํากัด ในตัวอยางประกอบการอธิบายที่ 2 มีขอมูลเพิ่มเติม ดังนี้ ณ ตน ป 20x2 ฐานภาษีของสินทรัพยที่ ระบุไดของหน วยสินทรัพย ที่กอใหเ กิด เงินสดของโรงงานใน ประเทศที่ 1 เทากับ 900,000 บาท กิจ การไมสามารถนําผลขาดทุน จากการดอยคาไปรวมเปนคาใชจายทาง ภาษี อัตราภาษีเงินไดนิติบุคคลเทากับ 40% การรับ รูผลขาดทุน จากการดอ ยคาของหน วยสินทรัพยที่กอใหเ กิดเงินสดของโรงงานในประเทศที่ 1 ทํา ใหผ ลแตกตา งชั่ว คราวดา นภาษีที่ เกี่ย วขอ งกั บสิ นทรั พยเ หล านั้นลดลง หนี้สิน ภาษีเ งิน ไดร อการตัดบั ญชี ลดลงเชนกัน (หนวย : พันบาท) ตนป 20x2
มูลคาตามบัญชี (ตัวอยางประกอบการ อธิบายที่ 2) ฐานภาษี ผลแตกตางชั่วคราวทางภาษี หนี้สินภาษีเงินไดรอตัดบัญชี ที่อัตราภาษี 40%
สินทรัพยที่ระบุไดกอน ผลขาดทุนจาก ผลขาดทุนจากการ การดอยคา ดอยคา 1,833 (473) 900 933 373
(473) (189)
สินทรัพยที่ระบุได หลังหักผลขาดทุน จากการดอยคา 1,360 900 460 184
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 66/92
ตามมาตรฐานการบัญ ชี ฉบับ ที่ 12 เรื่อง ภาษีเ งิน ได จะไม มีการรับรู ภาษีเ งิน ไดร อตั ดบัญ ชีใ นส วน ที่เ กี่ ยวข อ งกั บ ค า ความนิ ย มเมื่ อ เริ่ ม แรก ดั ง นั้น ผลขาดทุน จากการด อ ยค า ของคา ความนิ ย มจึ งไม ทํ า ให เกิดรายการปรับปรุงเกี่ยวกับภาษีเงินไดรอตัดบัญชี ตัวอยาง ข) การรับรูผลขาดทุนจากการดอยคาที่กอใหเกิดสินทรัพยภาษีเงินไดรอตัดบัญชี บริษัท เกง จํากัด มี สินทรัพยที่ร ะบุได ซึ่ งมีมู ลค า ตามบัญชี 1,000,000 บาท และมู ลค าที่คาดว า จะไดรับคืน 650,000 บาท ฐานภาษีของสินทรัพยเทากับ 800,000 บาทและอัตราภาษีเทากับ 30% กิจการ ไมสามารถนําผลขาดทุนจากการดอยคาไปรวมเปนคาใชจายทางภาษี ผลกระทบของผลขาดทุนจากการดอยคา แสดงไดดังนี้ (หนวย: พันบาท) กอนการดอยคา มูลคาตามบัญชี ฐานภาษี ผลแตกตางชั่วคราวทางภาษี หนี้สิน(สินทรัพย)ภาษีเงินไดรอตัดบัญชี ที่อัตราภาษี 30%
หลังการดอยคา
1,000 800 200
ผลกระทบของ การดอยคา (350) (350)
60
(105)
(45)
650 800 (150)
มาตรฐานการบัญ ชี ฉบับที่ 12 เรื่อง ภาษีเ งินได กําหนดใหกิจการรับรูสินทรัพยภาษีเงินไดรอตัดบัญชีไมเกิน จํานวนที่มีความเปนไปไดวากิจ การจะมี กํา ไรสุท ธิท างภาษีซึ่ งกิ จการสามารถนําผลแตกตา งชั่ว คราวนี้ไปใช ประโยชนทางภาษีได
ตัวอยางที่ 4 การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคา จากตัวอยางที่ 2 มีขอมูลเพิ่มเติมดังนี้ ในตัวอยางนี้ไมไดคํานึงถึงผลกระทบทางภาษี ในป พ.ศ. 20x3 รัฐบาลดังกลาวยังคงบริหารราชการแผนดินอยูในประเทศที่ 1 ปรากฏวาผลกระทบ จากกฎหมายหามสงออกไมไดเลวรายเทาที่ฝายบริหารคาดการณไวตั้งแตแรกเริ่ม ทําใหฝายบริหารประมาณวา การผลิตจะเพิ่มขึ้น 30% การเปลี่ยนแปลงที่นาพอใจเชน นี้ทําใหบริษัท ผูลงทุน จํากัด จําเปนตองประเมินมูล คาที่คาดวาจะไดรับคืนของสินทรัพยสุทธิของโรงงานที่ 1 ใหม (ดูยอหนาที่ 110 ถึง 111) โดยหนวยสินทรัพย ที่กอใหเกิดเงินสดของโรงงานในประเทศที่ 1 ยังคงเปนการดําเนินงานของโรงงานในประเทศที่ 1
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 67/92
การคํานวณที่คลายคลึงกับตัวอยางประกอบการอธิบายที่ 2 แสดงใหเห็นวา มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน ของการดําเนินงานของโรงงานในประเทศที่ 1 ในปจจุบัน คือ 1,910,000 บาท การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคา บริ ษัท ผู ลงทุน จํ า กัด เปรี ยบเที ยบมูล คา ที่ ค าดว า จะไดรั บ คื น กับ มู ลค า ตามบั ญ ชี สุท ธิข องหน ว ย สินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดของโรงงานในประเทศที่ 1 ดังตอไปนี้ ตารางที่ 1 การคํานวณมูลคาตามบัญชีของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดของโรงงานที่ 1 สิ้นป 20x3 คาความนิยม
ตนป 20x2 (ตัวอยางที่ 2) ราคาทุน คาเสื่อมราคาสะสม ผลขาดทุนจากการดอยคา มูลคาตามบัญชีหลังผลขาดทุนจากการดอยคา สิ้นป 20x3 คาเสื่อมราคาสะสมที่เพิ่มขึ้น (2 ป) (1) มูลคาตามบัญชี มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนที่สูงกวามูลคาตามบัญชี (1)
(หนวย : พันบาท) รวม
___________
สินทรัพยที่ ระบุได _________
1,000 (1,000) 0
2,000 (167) (473) 1,360
3,000 (167) (1,473) 1,360
0
(247) 1,113
(247) 1,113 1,910 797
_______
หลังจากที่บริษัท ผูลงทุน จํากัด รับรูรายการผลขาดทุนจากการดอยคา ตน ป 20x2 บริษัท ผูลงทุน จํากัดปรับปรุงคา เสื่อมราคาสําหรับสินทรัพยที่ระบุไดของโรงงานในประเทศที่ 1 จาก 166,700 บาทตอป ไปเปน 123,600 บาทตอป ซึ่งคํานวณจากมูลคาตามบัญชีที่ไดรับการปรับปรุง และอายุการใหประโยชนที่เหลืออยู (11 ป)
บริ ษัท ผูลงทุน จํ ากัด ตองกลับ รายการผลขาดทุนจากการด อยค าซึ่งรับ รูใ นป 20x2 ตามยอหนา ที่ 114 เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงที่นาพอใจเกี่ยวกับประมาณการที่ใชกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรั บคื นของ สินทรัพยสุทธิของโรงงานในประเทศที่ 1 ภายหลังที่บริษัทไดรับรูผลขาดทุนจากการดอยคาแลว
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 68/92
ตามยอหน าที่ 122 และ 123 บริ ษัท ผูลงทุน จํ ากัด เพิ่มมูลคาตามบัญชีของสิน ทรั พยที่ระบุ ไดของ โรงงานในประเทศที่ 1 จํานวน 387,000 บาท (ดูตารางที่ 3) ซึ่งไมเกินจํานวนที่ต่ํากวาระหวางมูลคาที่คาดวาจะ ไดรับคืน (1,910,000 บาท) กับราคาทุนเดิมหักคาเสื่อมราคาสะสมของสินทรัพยที่ระบุได (1,500,000 บาท) (ดูตารางที่ 2) กิจการรับรูการเพิ่มขึ้นดังกลาวในกําไรหรือขาดทุนทันที ตามยอหนาที่ 124 บริษัท ผูลงทุน จํากัด ไมกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคาของคาความนิยม ตารางที่ 2 การกํา หนดราคาทุนเดิมหั กคาเสื่อมราคาสะสมของสินทรัพยที่ระบุไ ด ของโรงงานในประเทศที่ 1 ณ วันสิ้นป 20x3 (หนวย : พันบาท) สินทรัพยที่ระบุได _______________ 2,000 (500) 1,500 1,113 387
ณ วันสิ้นป 20x3 ราคาทุน คาเสื่อมราคาสะสม (166.7 x 3 ป) ราคาทุนเดิมหักคาเสื่อมราคาสะสม มูลคาตามบัญชี (ตารางที่ 1) ผลตาง ตารางที่ 3 มูลคาตามบัญชีของสินทรัพยของโรงงานในประเทศที่ 1 ณ วันสิ้นป 20x3 คาความนิยม ราคาทุน คาตัดจําหนายสะสม ผลขาดทุนจากการดอยคาสะสม มูลคาตามบัญชี การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคา มูลคาตามบัญชีหลังการกลับรายการผลขาดทุนจาก การดอยคา
___________ 1,000 (1,000) 0 0
(หนวย : พันบาท) สินทรัพย รวม ที่ระบุได _________ _______ 2,000 3,000 (414) (414) (473) (1,473) 1,113 1,113 387 387 1,500
1,500
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 69/92
ตัวอยางที่ 5 การปฏิบัติสําหรับการปรับโครงสรางในอนาคต ผลกระทบจากภาษีไมไดนํามารวมในการพิจารณาในตัวอยางนี้ ณ วั น สิ้ น ป 20x0 บริ ษั ท ก จํ า กั ด ทดสอบการด อ ยค า ของโรงงาน ซึ่ ง เป น หน ว ยสิ น ทรั พ ย ที่กอใหเกิดเงินสด สินทรัพยของโรงงานแสดงดวยราคาทุนเดิมหักคาเสื่ อมราคาสะสม ซึ่งโรงงานมี มูลคาตาม บัญชีเปนจํานวน 3,000,000 บาท และมีอายุการใหประโยชนคงเหลือ 10 ป กิจการกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของโรงงาน (ไดแก จํานวนที่สูงกวาระหวางมูลคาการใชและ มูลคายุติธรรมหักตนทุนในการขาย) โดยคํานวณจากมูลคาจากการใช ซึ่งคํานวณดวยอัตราคิดลดกอนหักภาษี ที่ 14%) ฝายบริหารอนุมัติงบประมาณที่มีขอมูลดังตอไปนี้ (1) ณ วันสิ้นป 20x3 จะมี การปรับโครงสรางโรงงาน ซึ่ง ใชเ งิน จํา นวนประมาณ 100,000 บาท เนื่องจากบริษัท ก จํากัด ยังมิไดตกลงผูกพันที่จะปรับโครงสราง จึงยังไมมีการรับรูประมาณการหนี้สินเกี่ยวกับ คาใชจายในการปรับโครงสรางในอนาคต (2) กิจ การจะไดรั บ ประโยชนในอนาคตจากการปรั บ โครงสร า งนี้ ในรู ป ของกระแสเงิ นสดจ า ย ในอนาคตที่ลดลง ณ วั นสิ้นป 20x2 บริ ษัท ก จํ า กัด มีข อผู กมั ด ที่จ ะปรับ โครงสร า ง ซึ่งไดประมาณคา ใช จา ยไว เป น จํานวน 100,000 บาท และบริษัทไดตั้งประมาณการหนี้สินตามจํานวนดังกลาว ประมาณการกระแสเงินสดใน อนาคตของโรงงานที่ สะทอ นอยูในงบประมาณล าสุ ดที่ อนุ มัติ โดยฝ ายบริ หารปรากฏดัง รายการที่แ สดงไวใ น ตารางที่ 3) และอัตราคิดลดในปจจุบันนั้นเปนอัตราเดิม ณ เหมือนกับที่เคยประมาณไว ณ วันสิ้นป 20x0 ณ วัน สิ้นป 20x3 รายจายในการปรับ โครงสรางที่เกิด ขึ้น และมี การจ ายจริ งมีจํา นวน 100,000 บาท อนึ่งประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตของโรงงานที่สะทอนอยูในงบประมาณลาสุดที่อนุมัติโดยฝายบริหาร และอัตราคิดลดในปจจุบันนั้นเปนอัตราเดิม เหมือนกับที่ไดเคยประมาณการไว ณ วันสิ้นป 20x2 ตารางที่ 1 การคํานวณมูลคาจากการใชของโรงงาน ณ วันสิ้นป 20x0 ป พ.ศ
กระแสเงินสดในอนาคต
(หนวย: พันบาท) มูลคาปจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคต (อัตราคิดลด 14%)
20x1 20x2 20x3 20x4
300 280 420(1) 520(2)
263 215 283 308 มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 70/92
20x5 20x6 20x7 20x8 20x9 20x10 มูลคาจากการใช (1) (2)
350(2) 420(2) 480(2) 480(2) 460(2) 400(2)
182 191 192 168 141 108 2,051
มรวมตนทุนการปรับโครงสรางที่ประมาณไวในงบประมาณของฝายบริหาร ไมรวมผลประโยชนที่คาดวาจะไดรับจากการปรับโครงสรางในอนาคตที่ประมาณไวในงบประมาณของฝาย บริหาร
เนื่องจากมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของโรงงาน (มูลคาจากการใช) ต่ํา กวามู ลคา ตามบั ญชี ดังนั้น บริษัท ก จํากัด ตองบันทึกผลขาดทุนจากการดอยคาของโรงงาน ตารางที่ 2 การคํานวณผลขาดทุนจากการดอยคา ณ วันสิ้นป 20x0
มูลคาตามบัญชีกอนผลขาดทุนจากการดอยคา มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน (ตารางที่ 1) ผลขาดทุนจากการดอยคา มูลคาตามบัญชีหลังผลขาดทุนจากการดอยคา
(หนวย : พันบาท) โรงงาน ________ 3,000 2,051 (949) 2,051
ณ วันสิ้นป 20x1 ไมมีเหตุการณที่เกิดขึ้นซึ่งกําหนดใหกิจการตองประมาณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน ใหม ดังนั้นกิจการ จึงไมจําเปนตองคํานวณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน ณ วันสิ้นป 20x2 กิจการมีขอผูกมัดที่จะปรับโครงสราง ดังนั้น ในการกําหนดมูลคาจากการใชของโรงงาน กิจการจึงนํา ประโยชนที่ คาดวาจะไดรับจากการปรั บโครงสรา งมาพิจ ารณาในการประมาณการกระแสเงิ นสดซึ่ งสงผลให กระแสเงินสดในอนาคตที่ประมาณไวซึ่งใชในการกําหนดมูลคาจากการใช ณ วันสิ้น ป 20x0 เพิ่มขึ้น ดังนั้น ณ วันสิ้น ป 20x2 กิจการจึงคํานวณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของโรงงานใหม ตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 110 และ 111
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 71/92
ตารางที่ 3 การคํานวณมูลคาจากการใชของโรงงาน ณ วันสิ้นป 20x2 ป พ.ศ. 20x3 20x4 20x5 20x6 20x7 20x8 25x9 20x10 มูลคาจากการใช (1) (2)
กระแสเงินสดในอนาคต 420(1) 570(2) 380(2) 450(2) 510(2) 510(2) 480(2) 410(2)
(หนวย : พันบาท) มูลคาปจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคต (อัตราคิดลด 14%) 368 439 256 266 265 232 192 144 2,162
ไมรวมรายจายในการปรับโครงสรางที่ประมาณไว เนื่องจากไดมีการรับรูหนี้สินไวแลว รวมประมาณการผลประโยชนที่คาดวาจะไดรับจากการปรับโครงสราง ซึ่งรวมอยูในงบประมาณของฝายบริหาร
มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของโรงงาน (มูลคาจากการใช) สูงกวามูลคาตามบัญชี (ดูตารางที่ 4) ดังนั้น บริษัท ก จํากัด ตองกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคา ซึ่งไดบันทึกไว ณ วันสิ้นป 20x0 ตารางที่ 4 การคํานวณการกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคา ณ วันสิ้นป 20x2 (หนวย: พันบาท) โรงงาน มูลคาตามบัญชี ณ วันสิ้นป 20x0 (ตารางที่ 2) ณ วันสิ้นป 20x2 คาเสื่อมราคาสะสม (สําหรับป 20x1 และ 20x2 ดูตารางที่ 5) มูลคาตามบัญชีกอนการกลับรายการ มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน (ตารางที่ 3) การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคา มูลคาตามบัญชีหลังการกลับรายการ มูลคาตามบัญชีราคาทุนเดิมหักคาเสื่อมราคาสะสม (ตารางที่ 5) (1)
2,051 (410) 1,641 2,162 521 2,162 2,400(1)
การกลั บรายการมิไดทํา ให มูลค าตามบัญชีของโรงงาน (2,162,000 บาท) สูง กวามูลคาตามบัญชีที่ค วรเปน หาก คํานวณจากราคาทุนเดิมหักคาเสื่อมราคาสะสม (2,400,000 บาท) ดังนั้น กิจการสามารถรับรูการกลับรายการผล ขาดทุนจากการดอยคาไดทั้งจํานวน มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 72/92
ณ วันสิ้นป 20x3 รายการจายคาปรับโครงสรางทําใหเกิด กระแสเงินสดจาย จํานวน 100,000 บาท แมวาจะเกิดกระแสเงินสด จา ย แตป ระมาณการกระแสเงินสดในอนาคตที่กิจ การใชในการคํานวณมูลคาจากการใช ณ วันสิ้นป 20x2 ไมมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงไมมีการคํานวณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของโรงงาน ณ วันสิ้นป 20x3 ตารางที่ 5 สรุปมูลคาตามบัญชีของโรงงาน ณ วันสิ้นป ราคาทุนเดิมหักคา เสื่อมราคาสะสม 25x5 3,000 25x6 2,700 25x7 2,400 25x8 2,100
มูลคาที่คาดวา จะไดรับคืน 2,051 * 2,162 *
คาเสื่อมราคาที่ ปรับปรุง 0 (205) (205) (270)
ผลขาดทุนจาก การดอยคา (949) 0 521 0
(หนวย: พันบาท) มูลคาตามบัญชี หลังการดอยคา 2,051 1,846 2,162 1,892
* ไมจําเปนตองคํานวณเนื่องจากไมมีขอบงชี้วาผลขาดทุนจากการดอยคาอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ตัวอยางที่ 6 การปฏิบัติเกี่ยวกับรายจายฝายทุนที่จะเกิดขึ้น ผลกระทบจากภาษีไมไดนํามารวมในการพิจารณาในตัวอยางนี้ ณ วั นสิ้ นป 20x0 บริษัท ข จํากัด ทดสอบการดอยคา ของเครื่องจักรเครื่องหนึ่ง ซึ่งเปนหนวยสินทรัพย ที่ กอใหเกิดเงินสด กิจการแสดงเครื่องจัก รดังกลา วไวดวยราคาทุนเดิ มหักคาเสื่อมราคาสะสม และมีมูลคา ตาม บัญชีเทากับ 150 ลานบาท อายุการใหประโยชนที่เหลืออยูเทากับ 10 ป กิจการกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของเครื่องจักร (ไดแก จํานวนที่สูงกวาระหวางมูลคาจากการใชและมูลคา ยุติธรรมหักตนทุนในการขาย) โดยคํานวณจากมูลคาจากการใช ซึ่งคํานวณดวยอัตราคิดลดกอนหักภาษี 14% ฝายบริหารอนุมัติงบประมาณดังนี้ (1) คาใช จา ยที่จําเป นโดยประมาณเพื่อรัก ษาระดับผลประโยชนเชิ งเศรษฐกิจ ของเครื่องจั กรที่คาดวา จะ เกิดขึ้น จากเครื่องจักร ณ สภาพปจจุบัน (2) ในป 20x4 กิจการจะมีรายจายฝายทุนจํานวน 25,000,000 บาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน ของเครื่องจักรในการเพิ่มกําลังผลิต ณ วันสิ้นป 20x4 ไดเกิดรายจายฝายทุนดังกลา ว ประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตของเครื่องจักร ที่สะทอนอยูในงบประมาณลาสุดที่ไดรับการอนุมัติจากฝายบริหารแสดงไวในตารางที่ 3 อัตราคิดลดในปจจุบัน เทากับที่ไดประมาณไว ณ วันสิ้นป 20x0 มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 73/92
ณ วันสิ้นป 20x0 ตารางที่ 1 การคํานวณมูลคาจากการใชของเครื่องจักร ณ วันสิ้นป 20x0 ป 20x1 20x2 20x3 20x4 20x5 20x6 20x7 20x8 20x9 20x10 มูลคาจากการใช (1) (2) (3)
(หนวย: พันบาท) มูลคาปจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคต (อัตราคิดลด 14%) 19,443 16,505 13,871 14,639 13,153 11,310 9,640 8,951 7,452 6,164 121,128
กระแสเงินสดในอนาคต 22,165(1) 21,450(1) 20,550(1), (2) 24,725(1),(3) 25,325(1) ,(3) 24,825(1) ,(3) 24,123(1) ,(3) 25,533(1) ,(3) 24,234(1) ,(3) 22,850(1) ,(3)
รวมประมาณการคาใชจายที่จําเปนในการรักษาระดับผลประโยชนเชิงเศรษฐกิจที่จะไดรับจากเครื่องจักร ณ สภาพปจจุบัน ไมรวมประมาณการรายจายฝายทุน ซึ่งรวมอยูในงบประมาณของฝายบริหาร ไมรวมผลประโยชนที่คาดวาจะไดรับจากการปรับปรุงเครื่องจักร ซึ่งรวมอยูในงบประมาณของฝายบริหาร
มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน (มูลคาจากการใช) ต่ํากวามูลคาตามบัญชีของเครื่องจักร ทําใหบริษัท ข จํากัด รับรูผลขาดทุนจากการดอยคาของเครื่องจักร ตารางที่ 2 การคํานวณผลขาดทุนจากการดอยคา ณ วันสิ้นป 20x0
มูลคาตามบัญชีกอนผลขาดทุนจากการดอยคา มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน (ตารางที่ 1) ผลขาดทุนจากการดอยคา มูลคาตามบัญชีหลังผลขาดทุนจากการดอยคา
(หนวย: พันบาท) เครื่องจักร 150,000 121,128 (28,872) 121,128
ป 20x1 - 20x3 ไมมี ขอบงชี้ที่ทําใหบริษัทตองประมาณมูลคา ที่คาดวา จะได รับคืนของเครื่องจั กรใหม บริษัทจึ งไมจําเปนต อง คํานวณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 74/92
ณ วันสิ้นป 20x4 ได มี ร ายจ า ยเพื่ อ ปรั บ ปรุ ง ประสิ ท ธิ ภ าพของเครื่ อ งจั ก รเกิ ด ขึ้ น ดั ง นั้ น ในการกํ า หนดมู ล ค า จากการใช ของเครื่องจักร กิจการจะนําผลประโยชนในอนาคตที่คาดวาจะไดรับจากการปรับปรุงเครื่องจักรมาพิจ ารณาใน การประมาณการกระแสเงิน สด ซึ่งส งผลใหป ระมาณการกระแสเงิน สดในอนาคตที่ ใชใ นการกําหนดมูล คา จากการใช ณ วันสิ้นป 20x0 เพิ่มขึ้น ดวยเหตุนี้ กิจ การจึ งคํานวณมูลคาที่คาดวา จะได รับ คืนของเครื่องจัก ร ณ วันสิ้นป 20x4 ใหม ตามที่ระบุไวในยอหนาที่ 110 และ 111 ตารางที่ 3 การคํานวณมูลคาจากการใชของเครื่องจักร ณ วันสิ้นงวด 20x4 (หนวย: พันบาท) ป 25x5 25x6 25x7 25x8 25x9 25x10 มูลคาจากการใช (1)
กระแสเงินสดในอนาคต(1) มูลคาปจจุบันของกระแสเงิ นสดใน อนาคต อัตราคิดลดรอยละ 14 30,321 26,597 32,750 25,200 31,721 21,411 31,950 18,917 33,100 17,191 27,999 12,756 122,072
รวมประมาณการผลประโยชนที่คาดวาจะไดรับจากการซอมเครื่องจักรซึ่งรวมอยูในงบประมาณของฝายบริหาร
มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของเครื่องจักร (มูลคาจากการใช) สูงกวามูลคาตามบัญ ชีและราคาทุนเดิม หักคาเสื่อมราคาสะสมของเครื่องจักร (ดูตารางที่ 4) ดังนั้น บริษัท ข จํากัด จึงกลับรายการผลขาดทุนจากการ ดอยคาของเครื่องจักรที่เคยรับรู ณ วันสิ้นป 20x0 ทําใหยอดคงเหลือในบัญชีเครื่องจักรแสดงไวด วยราคา ทุนเดิมหักคาเสื่อมราคาสะสมของเครื่องจักร
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 75/92
ตารางที่ 4 การคํานวณผลขาดทุนจากการดอยคาที่ตองกลับรายการ ณ วันสิ้นงวด 20x4 (หนวย : พันบาท) เครื่องจักร 121,128
มูลคาตามบัญชี ณ วันสิ้นป 20x0 (ตารางที่ 2) ณ วันสิ้นป 20x4 คาเสื่อมราคาสะสม (ป 20x1-20x4 ดูตารางที่ 5) รายจายฝายทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร มูลคาตามบัญชีกอนการกลับรายการ มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน (ตารางที่ 3) การกลับรายการผลขาดทุนจากการดอยคา มูลคาตามบัญชีหลังการกลับรายการ
(48,452) 25,000 97,676 122,072 17,324 115,000 115,000 (1)
มูลคาตามบัญชีที่คํานวณจากราคาทุนเดิมหักคาเสื่อมราคาสะสม (ตารางที่ 5) (1)
มูลคาจากการใชของเครื่องจักรสูงกวามูลคาตามบัญชีที่ควรจะเปนซึ่งคํานวณจากราคาทุนเดิมหักคาเสื่อมราคาสะสม ทําใหกิจการบันทึกการกลับรายการไดจํากัดเพียงจํานวนเทาที่จะไมทําใหมูลคาตามบัญชีของเครื่องจักรสูงกวามูลคา ตามบัญชีที่คํานวณจากราคาทุนเดิมหักคาเสื่อมราคาสะสม
ตารางที่ 5 สรุปมูลคาตามบัญชีของเครื่องจักร ป
20x0 20x1 20x2 20x3 20x4 รายจายฝายทุน 20x5 *
ราคาทุนเดิม มูลคาที่คาด หักคาเสื่อม วาจะไดรับคืน ราคาสะสม 150,000 135,000 120,000 105,000 90,000 25,000 115,000 95,833
121,128 * * * 122,072 *
คาเสื่อมราคาที่ ปรับปรุงแลว 0 (12,113) (12,113) (12,113) (12,113) (12,133) (19,167)
(หนวย : พันบาท) ผลขาดทุนจาก มูลคาตาม การดอยคา บัญชีหลังการ ดอยคา (28,872) 0 0 0
121,128 109,015 96,902 84,789
17,324 0
115,000 95,833
ไมจําเปนตองคํานวณเนื่องจากไมมีขอบงชี้วาผลขาดทุนจากการดอยคาอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 76/92
ตัวอยางที่ 7 การทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่มีคาความนิยม และสวนไดเสียที่ ไมมีอํานาจควบคุม ตัวอยางนี้ไมไดคํานึงถึงผลกระทบทางภาษี
ตัวอยาง ก) สวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุมที่วัดมูลคาเริ่มแรกตามสัดสวนของสินทรัพยที่ระบุไดสุทธิ ผลกระทบจากภาษีไมไดนํามารวมในการพิจารณาในตัวอยางนี้ ที่มา ในวันที่ 1 มกราคม 20x3 บริษัทใหญไดมาซึ่งสว นไดเสียของความเปนเจาของในบริษัทยอย จํานวน 80% เปนจํานวนเงิน 2,100,000 บาท ณ วันดังกลาว บริษัทยอยมีสิน ทรัพยสุทธิที่ระบุได ซึ่งมีราคายุติธรรม 1,500,000 บาท บริษัทใหญ เลือกวัด มูลคา สวนไดเ สียที่ ไม มีอํานาจควบคุม ตามสั ดส วนของสว นไดเ สีย ใน สิน ทรั พย สุท ธิที่ ระบุไดข องบริ ษัท ยอ ยจํ านวน 300,000 บาท (20% ของ 1,500,000 บาท) คาความนิ ยม จํานวน 900,000 บาท คํานวณจากผลตางระหวางสิ่งตอบแทนที่โอนใหเนื่อ งจากการรวมธุรกิจและสวนไดเสีย ที่ไมมีอํานาจควบคุม (2,100,000 บาท + 300,000 บาท) กับสินทรัพยสุทธิที่ระบุได (1,500,000 บาท) สินทรัพยของบริษัทยอยทั้งหมด เปนกลุมของสินทรัพยที่เล็กที่สุดที่กอใหเกิดกระแสเงินสดรับ ซึ่งสวน ใหญเปน อิสระจากกระแสเงินสดรับที่เกิดจากสินทรัพย หรือกลุมของสินทรัพยอื่น ดังนั้น จึงถือวาบริษัทยอย เปนหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด ดวยเหตุที่วากิ จการคาดวาหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดหนวยอื่น ของบริษัทใหญจะไดรับ ประโยชนจากจากผลผนึกที่เกิด จากการรวมธุรกิจ ดังนั้นจึงมีการปนสวนคาความนิยม จํา นวน 500,000 บาท ที่เกี่ย วของกับ ผลผนึกดังกลา วไปยังหนวยสินทรัพ ยที่กอใหเกิ ดเงินสดภายในกิจการ ของบริษัทใหญแ ละเนื่องจากหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่ประกอบขึ้นเปนบริษัทยอยนั้ นไดรวมเอาคา ความนิยมไวเปน สวนหนึ่งของมูลคาตามบั ญชีดวย ดังนั้นจึงจํ าเปน ตองมีการทดสอบการด อยคาทุกป หรื อมี ความถี่มากกวา นั้น หากมีขอบงชี้ว าอาจเกิดการดอยคา (ดูยอหนา ที่ 90 ของมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552)) ณ วันสิ้นป 20x3 บริษัทใหญกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสด ของบริษั ทย อยไดเ ทา กับ 1,000,000 บาท และมูล คา ตามบัญ ชีของสินทรัพยสุท ธิข องบริษั ทย อยซึ่ งไมร วม คาความนิยมเทากับ 1,350,000 บาท การทดสอบการดอยคาของบริษัทยอย(หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด) คาความนิ ยมที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากสวนไดเสียที่ไมมี อํานาจในการควบคุมรวมอยูในมู ลคาที่คาดวาจะ ไดรับคืนของบริษัทยอยเปนจํานวน 1,000,000 บาท แตกิจการมิไดรับรูรายการดังกลาวในงบการเงินรวมของ บริ ษัท ใหญ ดังนั้น เพื่อ ให เปนไปตามยอหน า ค4 ของภาคผนวก ค ของ มาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การดอ ยคา ของสินทรัพ ย กิ จการตองเพิ่ มมูลคา ตามบั ญชีข องบริษั ทยอยเพื่ อใหรวม มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 77/92
คาความนิยมที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากสวนไดเสียที่ไมมีอํานาจในการควบคุมดวย กอนที่จะนําไปเปรียบเทียบกับ มูลคา ที่คาดวาจะไดรับคืนจํานวน 1,000,000 บาท คาความนิยมที่เกิ ดขึ้น เนื่องมาจากสวนไดเสียของบริษัท ใหญ 80% ในบริษัทยอ ย ณ วันที่ซื้อ มีคาเทากั บ 400,000 บาท หลังจากการปนสวนไปยัง หนวยสินทรัพยที่ กอใหเกิดเงินสดหนวยอื่นภายในบริษัทใหญจํานวน 500,000 บาท ดังนั้น คาความนิยมที่เกิดขึ้น เนื่องมาจาก สวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุม 20% ในบริษัทยอย ณ วันที่ซื้อ จึงมีคาเทากับ 100,000 บาท ตารางที่ 1 การทดสอบการดอยคาของบริษัทยอย ณ วันสิ้นป 20x3 ณ วันสิ้นป 20x3 มูลคาตามบัญชี สวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุมที่ยังไมรับรู มูลคาตามบัญชีที่ปรับปรุงแลว มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน ผลขาดทุนจากการดอยคา
(หนวย : พันบาท) คาความนิยมของ สินทรัพยสุทธิที่ระบุได รวม บริษัทยอย 400 1,350 1,750 100 100 500 1,350 1,850 1,000 850
การปนสวนผลขาดทุนจากการดอยคา ตามยอหนาที่ 104 ของมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) บริษัทใหญตองปนสวนผล ขาดทุนจากการด อยคาจํ านวน 850,000 บาท ใหกับสินทรัพยในหน วยโดยนําไปลดมูล คาตามบัญชี ของค า ความนิยมเปนอันดับแรก ดั ง นั้ น กิ จ การจึ ง ป น ส ว นผลขาดทุ น จากการด อ ยค า จํ า นวน 500,000 บาท จากทั้ งหมดจํ า นวน 850,000 บาท ใหกับคาความนิยม เพื่อใหเปนไปตามยอหนา ค6 ของภาคผนวก ค ของ มาตรฐานการบัญ ชี ฉบั บ ที่ 36 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่ อ ง การด อ ยค า ของสิ น ทรั พ ย หากบริ ษั ท ย อ ยซึ่ ง ถู ก กิ จ การอื่ น ควบคุ ม อยูบ างสวนนั้ นเปนหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิดเงินสด ให กิจ การปนสว นผลขาดทุน จากการด อยคา ของค า ความนิยมไปยังสวนไดเ สียที่มีอํา นาจควบคุมและสว นไดเสียที่ไมมีอํา นาจควบคุมดว ยเกณฑ เดี ยวกัน กับ การ ปนสวนกําไรหรือขาดทุน ในตัวอยางนี้ กิจการปนสวนกําไรหรือขาดทุนตามเกณฑที่สัมพันธกับสวนไดเสียของ เจาของ เนื่ องจากกิจการรับ รูคาความนิยมเพียงไมเ กินขอบเขตของส วนไดเ สีย ของเจา ของของบริษัท ใหญ คือ 80% ของบริ ษัท ยอ ย บริษั ทใหญ จึ งรับ รูผลขาดทุน จากการด อยคา ของคา ความนิ ยมเพียง 80% หรือ 400,000 บาท กิจการจะรับรูผลขาดทุนจากการดอยคาที่เหลืออยูจํานวน 350,000 บาท โดยนําไปลดมูลคาตามบัญชี ของสินทรัพยที่ระบุไดของบริษัทยอย มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 78/92
ตารางที่ 2 การปนสวนผลขาดทุนจากการดอยคาของบริษัทยอย ณ วันสิ้นป 20x3 ณ วันสิ้นป 20x3
คาความนิยม
400 มูลคาตามบัญชี ผลขาดทุนจากการดอยคา (400) มูลคาตามบัญชีหลังรายการผลขาดทุนจาก การดอยคา
(หนวย : พันบาท) สินทรัพยสุทธิที่ระบุได รวม 1,350 (350)
1,750 (750)
1,000
1,000
ตัวอยาง ข) สวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุมที่วัดมูลคาเริ่มแรกดวยมูลคายุติธรรมและบริษัทยอย ที่เกี่ยวของเปนหนวยของสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่เปนอิสระ ผลกระทบจากภาษีไมไดนํามารวมในการพิจารณาในตัวอยางนี้ บริษัทใหญไดมาซึ่งสวนไดเสียของความเปนเจาของในบริษัทยอย 80% เป นจํานวนเงิน 2,100,000 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 20x3 ณ วันดั งกลาวบริษัทยอยมีสินทรัพยที่ระบุ ได สุทธิซึ่งมีมูลคายุติธรรมจํานวน 1,500,000 บาท บริษัทใหญเลือกที่จะวัดมูลคาของสวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุมดวยมูลคายุติธรรม เทา กับ จํานวน 350,000 บาท คาความนิยมจํานวน 950,000 บาท คือผลตางระหวางจํานวนรวมของสิ่งตอบแทนที่ จายชําระทั้ งหมดและจํานวนของสวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุม (2,100,000 บาท + 350,000 บาท) และ ของสินทรัพยที่ระบุไดสุทธิ (1,500,000 บาท) สินทรัพยของบริษัท ยอยทั้งหมดเปนกลุมของสินทรัพยที่ เล็กที่สุดที่สามารถกอใหเกิ ดเงินสดรั บ ซึ่ งมี ความเปนอิ สระอยางมากจากกระแสเงิน สดรับ ที่เกิดจากสินทรัพ ยหรือ กลุมของสิน ทรัพยอื่น ดังนั้ นจึงถือว า บริษัทยอยเปนหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด เนื่องจากหนวยของสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดอื่นของบริษัท ใหญคาดวาจะไดรับประโยชนจากการรวมธุร กิจ คาความนิยมซึ่งเกิดจากการรวมธุรกิจจํานวน 500,000 บาท ได ถูกปนส วนไปยังหนวยสินทรัพ ยที่ก อใหเกิด เงิน สดอื่น ของบริษัท ใหญ และเนื่อ งจากมูลคาตามบั ญชีของ บริษัทยอยดังกลาวไดรวมคาความนิยมไวดวย จึงจําเปนตองทดสอบการดอยคาทุกป และทดสอบการดอยคา เมื่อมีขอบงชี้วาอาจจะเกิดการดอยคา (ดูยอหนาที่ 90) การทดสอบการดอยคาของบริษัทยอย(หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด) ณ วันสิ้นป 20X3 บริษัทใหญระบุวามูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิดเงินสด (บริษัทยอย) เทากับ 1,650,000 บาท มูลคาตามบัญชีของสินทรัพยสุทธิของบริษัทยอยที่ไมรวมคาความนิยม เทากับ 1,350,000 บาท มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 79/92
ตารางที่ 1 การทดสอบการดอยคาของบริษัทยอย ณ วันสิ้นป 20X3 (หนวย : พันบาท) ณ วันสิ้นป 20X3 มูลคาตามบัญชี มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน
คาความนิยม บาท 450
สินทรัพยที่ระบุไดสุทธิ บาท 1,350
รวม บาท 1,800 1,650 150
ผลขาดทุนจากการดอยคา การปนสวนรายการผลขาดทุนจากการดอยคา
ตามยอ หน า ที่ 104 ของมาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ ที่ 36 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่ อ ง การด อ ยค า ของ สิน ทรัพย รายการผลขาดทุน จากการดอ ยค าจํานวน 150,000 บาท จะถูกปน สว นไปยัง สินทรัพยในหนวย สินทรัพยดังกลาว โดยนําไปลดมูลคาตามบัญชีของคาความนิยมกอน ดัง นั้ น รายการผลขาดทุ น จากการด อ ยค า ทั้ งหมดจํ า นวน 150,000 บาทสํา หรับ หนว ยสิ น ทรั พ ย ดัง กล า วจะถู ก ป นส ว นให กั บ ค า ความนิ ย ม ตามย อ หน า ที่ ค6 ของภาคผนวก ค ของมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 36 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่ อ ง การด อ ยค า ของสิ น ทรั พ ย ถ า บริ ษั ท ยอ ยที่ เ ป น หน ว ยของสิ น ทรั พ ย ที่กอให เกิด เงิน สดและเปนบริษัทย อยที่ถูกกิจ การอื่ นควบคุมบางสวน รายการผลขาดทุน จากการดอยคา ของ คาความนิยมจะถูกปนสวนใหกับสวนไดเสียที่มีอํานาจควบคุมและสวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุมโดยใชเกณฑ การปนสวนเดียวกันกับการปนสวนกําไรหรือขาดทุน ตัว อย า ง ค) ส วนได เ สี ยที่ ไม มีอํา นาจควบคุ ม ที่ วั ดมู ลค า เริ่ ม แรกด ว ยมู ลค า ยุ ติธ รรมและบริ ษัท ยอ ย ที่เกี่ยวของเปนสวนหนึ่งของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด ผลกระทบจากภาษีไมไดนํามารวมในการพิจารณาในตัวอยางนี้ สมมติวากรณีของการรวมธุรกิจตามที่ไดอธิบายไวในยอหนาแรกของตัวอยางประกอบการอธิบายที่ 7 ขอ ข นั้น สินทรัพยของบริษัทยอยจะสามารถกอใหเกิดกระแสของเงินสดไหลเขาสูกิจการรวมกับสินทรัพยหรือ กลุมของสินทรัพยอื่นของบริษัทใหญ ดังนั้นแทนที่บ ริษัทยอยจะเปนหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิดเงินสดสําหรับ วัตถุประสงคในการทดสอบการดอยคา บริษัทยอยจะกลายเปนสวนหนึ่งของหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิดเงินสด ที่ใหญขึ้น (“หนว ยสิน ทรัพย ฮ”) สวนหนว ยสิน ทรัพยที่กอใหเกิดเงิน สดอื่นของบริษัท ใหญ ก็คาดวาจะไดรับ ประโยชนผ ลผนึกที่เกิด จากการรวมธุร กิจ ดว ยเชน กัน ดัง นั้น กิจ การจะปนสว นคาความนิยมที่ เ กี่ย วข องกั บ ผลผนึกจากการรวมธุรกิจ จํา นวน 500,000 บาทไปยังหนว ยสินทรัพยที่กอใหเกิ ดเงินสดอื่นๆ คาความนิ ยม ของ หนวยสินทรัพย ฮ ที่เกี่ยวของกับการรวมธุรกิจกอนหนานี้มีจํานวนเทากับ 800,000 บาท มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 80/92
เนื่ องจากหนวยสินทรัพย ฮ ไดร วมคา ความนิยมไว ในมูลคาตามบัญชี ของกิจการ ทั้งจากบริษั ทยอย และจากการรวมธุรกิจกอนหนานี้ ซึ่งหนวยสินทรัพย ฮ จําเปนตองมีการทดสอบการดอยคาทุกป หรือมีความถี่ มากกว า นั้ น เมื่ อ มี ข อ บ ง ชี้ ว า อาจจะเกิ ด การด อ ยค า (ดู ย อ หน า ที่ 90 ของมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 36 (ปรับปรุง 2552)) ทดสอบการดอยคาของบริษัทยอย ณ วันสิ้นป 20X3 บริษัทใหญระบุมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดของ หนวยสินทรัพย ฮ เทากับ 3,300,000 บาท มูลคาตามบัญชีของสินทรัพยสุทธิของ หนวยสินทรัพย ฮ ที่ไมรวม คาความนิยมเทากับ 2,250,000 บาท ตารางที่ 3 การทดสอบการดอยคาของ หนวยสินทรัพย ฮ ณ วันสิ้นป 20X3 (หนวย : พันบาท) ณ วันสิ้นป 20X3 มูลคาตามบัญชี มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน ผลขาดทุนจากการดอยคา
คาความนิยม
สินทรัพยที่ระบุไดสุทธิ
รวม
1,250
2,250
3,500 3,300 200
การปนสวนผลขาดทุนจากการดอยคา ตามยอ หน า ที่ 104 ของ มาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ ที่ 36 (ปรั บ ปรุง 2552) เรื่อ ง การด อยค า ของ สินทรัพ ย กิ จการจะปนสวนรายการผลขาดทุ นจากการดอ ยคา จํา นวน 200,000 บาท จะถู กปนสว นไปยัง สินทรัพยในหนวยสินทรัพยนั้นๆ โดยนํา ไปลดมูลคาตามบัญชีของคาความนิยมกอน ดังนั้นรายการผลขาดทุน จากการดอ ยคาทั้งหมดจํา นวน 200,000 บาท ของหน วยสินทรัพยที่กอใหเ กิด เงินสดของหนว ยสินทรัพ ย ฮ จะถู ก ป น ส ว นให ค า ความนิ ยมเต็ ม จํ า นวน จากยอ หน า ที่ ค7 ของภาคผนวก ค ของมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 36 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่ อง การด อยคา ของสินทรัพ ย หากบริ ษัท ยอยที่ถู กกิจการอื่ นควบคุ มเป น บางสวนเปนสวนหนึ่งของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่ใหญกวา กิจการจะปนสวนรายการผลขาดทุนจาก การดอยคาไปยังสวนของหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิด เงิน สดของหนวยสินทรัพย ฮ กอนแลว จึงปนสวนใหกับ สวนไดเสียที่มีอํานาจควบคุมและไมมีอํานาจควบคุมของบริษัทยอยที่ถูกกิจการอื่นควบคุมเปนบางสวน บริษัทใหญปนสวนรายการผลขาดทุนจากการดอยคาไปยังสวนของหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิดเงินสด ตามเกณฑมูลคาตามบัญชีของคาความนิยมที่เกี่ยวของของหนวยสินทรัพยนั้นกอนเกิดการดอยคา ในตัวอยางนี้ บริษัทยอยจะไดรับปนสวนการดอยคาในอัตรารอยละ 36 (450/1,250) จากนั้นกิจการจะปนสวนผลขาดทุน จากการดอยคาใหกับสวนไดเสียที่มีอํานาจควบคุมและสวนไดเสียที่ไมมีอํานาจควบคุมโดยใชเกณฑเดียวกันกับ การปนสวนกําไรหรือขาดทุน มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 81/92
ตัวอยางที่ 8 การปนสวนสินทรัพยองคกร ผลกระทบจากภาษีไมไดนํามารวมในการพิจารณาในตัวอยางนี้ บริษัทใหญมีหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิ ดเงินสด 3 หนวย คือ 1 2 และ 3 มูลคาตามบัญชีของหนวย สินทรัพยดังกลาวมิไดรวมคาความนิยม เนื่องจากมีสถานการณบงชี้ใหเห็นวามีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ที่มีผลกระทบในทางลบตอบริษัท ดังนั้นบริษัทใหญจึงทดสอบการดอยคาของแตละหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิด เงิน สด ณ วั น สิ้นป 20X0 มู ลค า ตามบั ญ ชี ของหนว ยสินทรัพย ที่ 1 2 และ 3 มี คา เทา กับ 100,000 บาท 150,000 บาท และ 200,000 บาทตามลําดับ การดํ าเนินงานของบริษัทจะได รับ การดู แลโดยสํานั กงานใหญโ ดยมูลคาตามบั ญชีของสินทรัพ ยข อง สํ านั กงานใหญ เท า กั บ 200,000 บาท ประกอบด วยอาคารสํา นั กงานใหญ 150,000 บาท และศู น ยวิ จั ย 50,000 บาท มูลคาตามบัญชีของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดแตละหนวยเปนเครื่องบงชี้ที่สมเหตุผลถึง สัดสวนของอาคารสํานักงานใหญที่ใชสําหรับหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิด เงินสดแตละหนวย กิจการไมสามารถ ปนสวนมู ลคาตามบัญชีของศูน ยวิ จัยตามเกณฑที่สมเหตุ สมผลไปยังหนว ยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดแต ละ หนวยได หน วยสินทรัพยที่ 1 มีอายุก ารใหประโยชนโดยประมาณคงเหลื อ 10 ป สวนหนว ยสิ นทรัพยที่ 2 และ 3 รวมถึ งสิ น ทรัพยของสํ านักงานใหญมีอายุการใหประโยชนคงเหลือ 20 ป กิจการคิด ค าเสื่อ มราคา สินทรัพยของสํานักงานใหญตามวิธีเสนตรง กิจการคํานวณมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน (ไดแก จํา นวนที่สูงกวาระหวางมูลคาจากการใชและมูลคา ยุติธรรมหักตนทุนในการขาย) โดยอิงมูลคาจากการใช ซึ่งคํานวณดวยอัตราคิดลดกอนหักภาษีที่ 15% การระบุสินทรัพยองคกร ในขั้นแรกบริษั ทใหญตองระบุสินทรัพยอ งคกรทุกรายการที่เกี่ยวของกับหนวยสินทรัพ ยที่กอใหเกิด เงิน สดแตละหนว ยเพื่อใหเปน ไปตามตามยอหนาที่ 102 ของ มาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 36 (ปรั บ ปรุ ง 2552) เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย สินทรัพยองคกรในที่นี้คือ อาคารสํานักงานใหญและศูนยวิจัย จากนั้น บริษัทใหญตองพิจารณาถึงวิธีการที่จะดําเนินการกับสินทรัพยองคกร ดังนี้ (1) กิ จ การสามารถป น สว นมู ล ค า ตามบั ญ ชี ข องอาคารสํ า นั ก งานใหญ ไ ปให ห น ว ยสิ น ทรั พ ย ที่ กอใหเกิดเงินสดที่กําลังพิจารณา ไดอยางสมเหตุผลและสม่ําเสมอ (2) กิจการไมสามารถปนสวนมูลคาตามบัญชีของศูนยวิจัยไปใหหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่ กําลังพิจารณา ไดอยางสมเหตุผลและสม่ําเสมอ
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 82/92
การปนสวนสินทรัพยองคกร กิจ การป นสวนมูล คา ตามบัญชีของอาคารสํา นักงานใหญ ให กับ มูล คา ตามบั ญชีข องหนว ยสิ นทรัพ ย ที่ก อใหเ กิด เงิน สดแตละหนว ย แตต องใชเ กณฑก ารป นส วนแบบถว งน้ํา หนั กเนื่องจากอายุก ารให ประโยชน ที่เ หลือ อยู ของหน ว ยสินทรัพยที่กอใหเ กิดเงิน สดหนว ยที่ 1 คือ 10 ป หนวยสินทรั พยที่ กอ ใหเกิด เงินสด หนวยที่ 2 และ 3 มีอายุการใหประโยชนคงเหลือ 20 ป ตารางที่ 1 วิธีการคํานวณในการปนสวนมูลคาตามบัญชีของอาคารสํานักงานใหญโดยการถวงน้ําหนัก (หนวย : พันบาท) สิ้นป 20X0 มูลคาตามบัญชี อายุการใหประโยชนที่เหลืออยู ปจจัยถวงน้ําหนักตามอายุการใหประโยชน มูลคาตามบัญชีหลังถวงน้ําหนัก สัดสวนที่ใชปนสวนมูลคาตามบัญชีของอาคาร สํานักงานใหญ มูลคาตามบัญชีของอาคารสํานักงานใหญที่ปนสวน (ตามสัดสวนขางตน) มูลคาตามบัญชีหลังการปนสวนอาคารสํานักงานใหญ
1 100 10 ป 1 100
หนวยสินทรัพย 2 3 150 200 20 ป 20 ป 2 2 300 400
รวม 450 800
12% 38% 50% 100% (100/800) (300/800) (400/800) 19 119
56 206
75 275
150 600
การกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนและการคํานวณผลขาดทุนจากการดอยคา ยอหนาที่ 102 ของ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย กําหนดใหกิจการตองทําการเปรี ยบเทียบมูลคาที่คาดวาจะไดรับ คืนของหนวยสินทรัพย ที่กอใหเกิดเงินสดกับ มูล คา ตามบัญชีของหนวยสิน ทรัพยซึ่ งไดรวมมูล คา ตามบัญชีข องอาคารสํา นักงานใหญ ที่ไดปนสวนมาเป น อันดับ แรกไดรั บรู ผลขาดทุนจากการดอยคาแลว จากนั้นยอหนา ที่ 102 ของ มาตรฐานการบั ญชี ฉบับ ที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย ไดกําหนดใหเปรียบเทียบมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนโดยรวม ของบริษัท ใหญ (ซึ่งเปนหนวยสินทรัพยที่ เล็ก ที่สุ ดที่รวมศูนยวิจัย) กับมูลคา ตามบัญชี ของบริษัทใหญ ซึ่ง รวมทั้งมูลคาตามบัญชีของอาคารสํานักงานใหญและศูนยวิจัย
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 83/92
ตารางที่ 2 การคํานวณมูลคาจากการใชของหนวยสินทรัพย 1, 2, 3, และบริษัทใหญ ณ วันสิ้นป 20X0 (หนวย: พันบาท) 1
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 มูลคาจากการใช (1)
กระแส คิดลดที่ กระแส เงินสดใน อัตรา เงินสดใน 15% อนาคต อนาคต 18 16 9 31 23 16 37 24 24 42 24 29 47 24 32 52 22 33 55 21 34 55 18 35 53 15 35 48 12 35 36 35 35 33 30 26 22 18 14 10 199
2 คิดลดที่ กระแส อัตรา เงินสดใน 15% อนาคต 8 10 12 20 16 34 17 44 16 51 14 56 13 60 11 63 10 65 9 66 8 66 7 66 6 66 5 65 4 62 3 60 2 57 1 51 1 43 1 35 164
3 คิดลดที่ กระแส อัตรา เงินสดใน 15% อนาคต 9 39 15 72 22 105 25 128 25 143 24 155 22 162 21 166 18 167 16 169 14 132 12 131 11 131 9 128 8 122 6 115 5 108 4 97 3 85 2 71 271
บริษัท ใหญ คิดลดที่ อัตรา 15% 34 54 69 73 71 67 61 54 48 42 28 25 21 18 15 12 10 8 6 4 720(1)
สมมติวาศูนยวิจัยกอใหเกิดกระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้นในอนาคตสําหรับบริษัทโดยรวม ดังนั้น ผลรวมของมูลคาจากการใช ของหน วยสิ นทรัพย ที่กอใหเ กิดเงินสดแต ละหน วยจึงต่ํา กวามูล คา จากการใชของกิจการโดยรวม กระแสเงินสดที่ เพิ่มขึ้นไมไดมาจากอาคารสํานักงานใหญ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 84/92
ตารางที่ 3 การทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่ 1 2 และ 3 (หนวย: พันบาท) หนวยสินทรัพย ณ วันสิ้นป 20X0
1
2
3
มูลคาตามบัญชีหลังการปนสวนอาคารสํานักงานใหญ (ตารางที่ 1) มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน (ตารางที่ 2) ผลขาดทุนจากการดอยคา
119 199 0
206 164 (42)
275 271 (4)
ขั้นตอไปคือ การปนสวนผลขาดทุนจากการดอยคาใหกับของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดแตละ หนวยและอาคารสํานักงานใหญ ตารางที่ 4 การปนสวนผลขาดทุนจากการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดของหนวยที่ 2 และ ที่ 3 (หนวย : พันบาท) หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด 2 ____ ใหอาคารสํานักงานใหญ (12) ใหสินทรัพยในหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด (30) (42)
(42 x 56/206) (42 x 150/206)
3 ____ (1) (4 x 75/275) (3) (4 x 200/275) (4)
เนื่องจากบริษัทใหญไมส ามารถป นสวนศูนยวิ จัยได อย างสมเหตุผ ลและสม่ํ าเสมอไปใหกับหน วย สินทรัพยที่ 1 2 และ 3 บริษัทใหญจึงเปรียบเทียบมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนกับมูลคาตามบัญชีของกลุมของ หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงิน สดที่เล็กที่สุดซึ่งสามารถปน สวนมูลค าตามบัญชีของศูนยวิจัยสามารถไปใหได (กลาวคือ บริษัทใหญโดยรวม)
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 85/92
ตารางที่ 5 การทดสอบการดอยคาของหนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสดที่เล็กที่สุดซึ่งสามารถปนสวนมูลคา ตามบัญชีของศูนยวิจัยไปได (บริษัทใหญโดยรวม) (หนวย: พันบาท) หนวยสินทรัพย 1
ณ วันสิ้นป 20X0 มูลคาตามบัญชี ผลขาดทุนจากการดอยคา ซึ่งไดมาจากการทดสอบในขั้นแรก มูลคาตามบัญชีหลังการทดสอบ การดอยคาในขั้นแรก มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน (ตารางที่ 2) ผลขาดทุนจากการดอยคา สําหรับหนวยสินทรัพย ที่กอใหเกิดเงินสดที่ใหญขึ้น
2
____ ____
อาคาร ศูนย บริษัท สํานักงาน วิจยั ใหญ ใหญ ____ ________ ____ ______
100
150
200
150
- (30)
(3)
(13)
197
137
100
120
3
50
650
- (46) 50
604 720
0
จากการทดสอบ ไมมีผลขาดทุน จากการดอ ยคาที่ตอ งบั นทึกเพิ่มจากการทดสอบการดอ ยคาของ บริษัทใหญโดยรวม บริ ษัทตองบันทึกเพียงผลขาดทุนจากการดอยคา จํานวน 46,000 บาท จากการทดสอบ การดอยคาของหนวยสินทรัพยที่ 1 2 และ 3 ในขั้นแรกเทานั้น
ตัว อยางที่ 9 การเปด เผยข อมูลเกี่ยวกับหน วยสิ นทรัพ ยที่กอใหเ กิดเงิน สดที่มี คาความนิยม หรือสินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุการใหประโยชนไมทราบแนนอนรวมอยู ตัวอยางนี้มีวัตถุประสงคเพื่อแสดงตัวอยางวิธีการเปดเผยขอมูลตามที่กําหนดในยอหนาที่ 134 และ 135 ของ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย บริษัทใหญ ซึ่งดําเนิน กิจการดานการผลิตระดับนานาชาติ ซึ่งใชการแบงสวนงานตามสภาพภูมิศาสตร ในการรายงานขอมูลตามสวนงาน โดยแยกสวนงานออกเปน ยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย ในการทดสอบ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 86/92
การดอยคา บริษั ทใหญได ปนสว นคาความนิ ยมใหกับ หนว ยสินทรัพ ยที่กอ ใหเกิ ดเงินสด 3 หนว ย และอีก 1 กลุมของหนวยสินทรัพยที่กอ ใหเกิดเงินสด ซึ่งไดแก หนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 ในยุโรป หนวยสินทรัพยที่ 3 ในอเมริกาเหนื อ และกลุมของหน วยสินทรั พย ก ในเอเชีย หนวยสิน ทรัพ ยแต ละหน วยและกลุมของหนวย สินทรัพยดังกลาวถือเปน หน วยที่เล็กที่สุดที่ฝายบริหารของบริษัทใหญใชในการประเมินค าความนิยมในการ บริหารงานภายใน บริษัทใหญซื้ อหนวยสินทรัพยที่ 3 ซึ่งเปนดําเนิน การดานการผลิตในสวนงานอเมริกาเหนือ ในเดือน ธันวาคม 20X2 หนวยสินทรัพยที่ 3 มีลักษณะการดํ าเนินงานไม เหมือนกั บสวนงานอื่นในอเมริ กาเหนือของ บริษัทใหญ กลาวคือ หนวยสินทรัพยที่ 3 มีกําไรขั้นตนและอัตราการเติบโตที่สูง และมีความไดเปรียบจากการ ที่มีสิทธิบัตรคุมครองผลิตภัณฑหลักเปนเวลา 10 ป ซึ่งหนวยสินทรัพยที่ 3 เพิ่งจะไดรับ อนุญาตตามสิทธิบัตร ดัง กลา วกอ นที่บ ริษัทใหญ จะเขาซื้อหนวยสินทรัพ ยที่ 3 ไดไ ม นาน ในการบันทึกการซื้ อหน วยสินทรัพย ที่ 3 บริษั ทใหญ รั บรูคาความนิ ยมจํา นวน 3,000,000 บาทและรั บ รูชื่อทางการคา จํา นวน 1,000,000 บาท ฝา ยบริหารของบริษัทใหญ มีความเห็ นว าชื่อทางการคาดังกลา วมีอายุการใหประโยชนที่ ไม ทราบแนนอน นอกเหนือจากคาความนิยมและชื่อทางการคา บริษัทใหญ ไมมีสินทรัพยไมมีตัวตนอื่นที่มีอายุการใหประโยชน ไมทราบแนนอน มูลคาตามบัญ ชีของคาความนิยม และสินทรัพยไ มมีตัวตนที่มีอ ายุการใหป ระโยชนไ มทราบแน นอน ที่ปนสวนใหกับหนวยสินทรัพยที่ 1 2 3 และ กลุมของหนวยสินทรัพย ก เปนดังนี้ (หนวย : พันบาท) คาความนิยม หนวยสินทรัพยที่ 1 หนวยสินทรัพยที่ 2 หนวยสินทรัพยที่ 3 กลุมของหนวยสินทรัพย ก รวม
350 450 3,000 1,200 5,000
สินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอายุ การใหประโยชนไมทราบแนนอน 1,000 1,000
ในระหว างป สิ้นสุดวัน ที่ 31 ธ.ค. 20X3 บริษั ทใหญ ไมพ บวา มีขอ บง ชี้วา เกิด การดอ ยคา ของหน วย สินทรัพยที่กอใหเ กิด เงินสด หรือกลุมของหนว ยสินทรัพ ยที่กอ ใหเกิ ดเงินสดที่มีคา ความนิยม หรือสินทรัพ ย ไมมีตัวตนที่มีอายุการใหประโยชนที่ไมทราบแนนอนรวมอยู มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน (มูลคาที่สูงกวาระหวาง มูลคาจากการใชกับมูลคายุติธรรมหักดวยตนทุนในการขาย) ของหนวยสินทรัพย หรือกลุมของหนวยสินทรัพย เหล า นี้ คํ านวณจากมู ลคา จากการใช บริ ษัท ใหญ พบวา การคํ านวณมู ลค า ที่ คาดว า จะได รั บ คื นนี้ จ ะไดรั บ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของขอสมมติดังตอไปนี้มากที่สุด มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 87/92
หนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 กําไรขั้นตนในระหวางงวด งบประมาณ (4 ป) ราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นในภาวะเงิน เฟอในระหวางงวดที่จัดทํา งบประมาณ สวนแบงตลาดในระหวางงวด งบประมาณ อัตราการเจริญเติบโตที่ใชในการ พยากรณกระแสเงินสดนอกงวด งบประมาณ
หนวยสินทรัพยที่ 3 อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของ สหรัฐอเมริกาที่มีอายุ 5 ป ใน(ระหวางงวดงบประมาณ 5 ป) ราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นในภาวะเงิน เฟอในระหวางงวดงบประมาณ สวนแบงตลาดในระหวางงวด งบประมาณ อัตราการเจริญเติบโตที่ใชในการ พยากรณกระแสเงินสดนอกงวด งบประมาณ
กลุมของหนวยสินทรัพย ก กําไรขั้นตนในระหวางงวด (งบประมาณ 5 ป) อัตราแลกเปลี่ยนของเงินเยน ญี่ปุนและดอลลารสหรัฐอเมริกา ในระหวางงวดงบประมาณ สวนแบงตลาดในระหวางงวด งบประมาณ อัตราการเจริญเติบโตที่ใชในการ พยากรณกระแสเงินสดนอกงวด งบประมาณ
บริษัทใหญ ประมาณกําไรขั้นตนในระหวางงวดงบประมาณของหนวยสินทรัพยที่ 1 2 และ 3 และกลุม ของหนวยสินทรัพย ก จากกํ าไรขั้นตน เฉลี่ยจากงวดกอนที่จะเริ่ม งวดงบประมาณ และปรับเพิ่มขึ้น 5% ตอป สําหรับการคาดการณวาหนวยสินทรัพยจะมีการดําเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 ผลิตสินคาที่มีความเกี่ยวเนื่องกันและควบคุมการดําเนินงานโดยบริษัทใหญ เพื่อใหไดระดับกําไรที่เทากัน บริษัทใหญ ไดประมาณสวนแบงตลาดในระหวางงวดงบประมาณจากสวนแบงตลาดเฉลี่ยกอนที่จะเริ่ม งวดงบประมาณ และปรับสวนแบงตลาดในแตละปดวยอัตราการขยายหรือหดตัวที่คาดวาจะเกิดขึ้น โดยบริษัท ใหญ คาดการณวา (ก) สวนแบงตลาดของหนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 จะแตกตางกัน แตจะมีอัตราการเติบโตในระหวาง งวดงบประมาณเทาๆ กัน คือ 3% ตอป ซึ่งเปนผลมาจากการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑอยาง ตอเนื่อง (ข) สวนแบงตลาดของหนวยสินทรัพ ยที่ 3 จะเพิ่ม ขึ้นในระหวางงวดงบประมาณในอัตรา 6% ตอป ซึ่งเปนผลมาจากการเพิ่มคาใชจายในการโฆษณา และผลประโยชนจากการมีสิทธิบั ตรคุมครอง ผลิตภัณฑหลักเปนเวลา 10 ป (ค) สวนแบงตลาดของกลุมของหนว ยสินทรัพย ก จะไมเปลี่ยนแปลงในระหวา งงวดงบประมาณ ซึ่งเปนผลมาจากการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑอยางตอเนื่อง และการคาดการณวาจะมีคูแขง ขันเพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 88/92
หน วยสิน ทรั พ ยที่ 1 และ 2 ซื้ อ วั ต ถุดิ บ จากผู จํา หน า ยรายเดี ยวกั น ในแถบยุโรป ในขณะที่ หน ว ย สิน ทรัพยที่ 3 ซื้อวัตถุ ดิบ จากผูจํา หน ายหลายรายในแถบอเมริก าเหนื อ และราคาวัตถุ ดิบ ที่เพิ่มขึ้น จากภาวะ เงินเฟอในชวงงวดงบประมาณที่บริษัทแมประมาณขึ้นนั้นมีความสอดคลองกับการพยากรณดัชนีราคาผูบริโภค ซึ่งจัดทําโดยหนวยงานภาครัฐในประเทศแถบยุโรป และอเมริกาเหนือที่หนวยสินทรัพยดังกลาวตั้งอยู บริษัทใหญ ประมาณวา ในระหวางงวดงบประมาณ อัตราดอกเบี้ยพันธบั ตรรัฐบาลที่มีอายุ 5 ป ของ สหรัฐอเมริกาจะยังคงเปนเชนเดียวกับชวงเริ่มตนงวดงบประมาณ และอัตราแลกเปลี่ยนของเงินเยนญี่ปุนและ เงินดอลลารสหรัฐอเมริกาจะสอดคลองกับอัตราแลกเปลี่ยนลวงหนาโดยเฉลี่ยของตลาดตลอดงวดงบประมาณ บริษัทใหญ ใชอัตราการเติบโตคงที่ในการประมาณการกระแสเงินสดที่เกินกวางวดงบประมาณสําหรับ หนวยสิ นทรัพยที่ 1 2 และ 3 และกลุมของหนวยสินทรัพ ย ก อัตราการเติบ โตที่ บริษัทใหญ ประมาณขึ้นนั้น สอดคลองกับอัตราการเติบโตถัวเฉลี่ยระยะยาวของตลาดที่หนวยสินทรัพยที่ 1 2 และ กลุมของหนวยสินทรัพย ก ดําเนินธุรกิจอยู ในขณะที่อัตราการเติบโตของหนวยสินทรัพยที่ 3 ที่บริษัทใหญ ประมาณขึ้นสูงกวาอัตราการ เติบโตถัวเฉลี่ยระยะยาวของตลาดที่หนวยสินทรัพยที่ 3 ดําเนินธุรกิจอยู ซึ่งฝายบริหารของบริษัทใหญ เห็นวา เปน อัตราที่สมเหตุผ ลทั้งนี้เพราะผลิตภัณฑหลักของหนวยสินทรัพยที่ 3 ไดรับการคุมครองจากสิทธิบัตรเปน ระยะเวลา 10 ป บริษัทใหญ ไดเปดเผยรายการดังตอไปนี้รวมกับขอมูลอื่นๆ ในหมายเหตุประกอบงบการเงินสําหรับ ป สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 20X3 การทดสอบการดอยคาของคาความนิยม และสินทรัพยไมมีตัวตนที่มีอ ายุการใหประโยชนที่ไม ทราบแนนอน บริ ษัท ป นส วนคา ความนิ ยมใหกั บหนวยสิน ทรั พย ที่กอ ให เกิ ดเงิน สด 3 หนว ย (2 หนวยในยุโ รป ไดแก หนว ยสินทรั พยที่ 1 และ 2 และ 1 หนวยในอเมริก าเหนื อ ได แก หนวยสินทรัพยที่ 3) และกลุมของ หนวยสินทรัพยที่กอใหเกิดเงินสด 1 กลุมในเอเชีย เพื่อทดสอบการดอยคา มูลคาตามบัญชีของคาความนิยมที่ ปนสวนใหกับ หนวยสินทรัพยที่ 3 และกลุมของหนวยสินทรัพย ก มีนัยสํา คัญตอมูลคาตามบัญ ชีของคาความ นิยมโดยรวมของบริษัท แต มูลคา ตามบัญชีของคาความนิยมที่ปนสวนใหกับหนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 ไมมี นัยสําคัญเมื่อเทียบกับคาความนิ ยมโดยรวม อยางไรก็ตาม มูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน ของหนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 คํา นวณขึ้นโดยใช ขอสมมติที่สํา คัญบางประการรวมกัน โดยที่จํานวนมูลคาตามบัญชีร วมของคาความ นิยมที่ปนสวนใหกับหนวยสินทรัพยทั้งสองหนวยดังกลาวมีจํานวนเงินที่มีนัยสําคัญตอคาความนิยมโดยรวม กลุมของหนวยสินทรัพย ก มูลค าที่คาดวาจะไดรับคืนของกลุมของหนวยสินทรั พย ก กํ าหนดขึ้น จากมูลคาจากการใช ซึ่งคํ านวณ โดยใชประมาณการทางการเงินที่อางอิงจากงบประมาณที่ไดรั บอนุมัติจากฝายบริ หารของบริษั ท และใชอัตรา คิดลดเทากับ 8.4% กระแสเงินสดที่อยูนอกระยะเวลาในงบประมาณ ซึ่งครอบคลุมระยะเวลา 5 ป ประมาณการ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 89/92
โดยใช อัต ราการเติบโตอยา งคงที่ที่ 6.3% ซึ่งเปนอัต ราที่ไ มสู งกว าอั ตราการเติบโตถัวเฉลี่ยระยะยาวในตลาด ที่กลุม ของหนวยสินทรั พย ตั้งอยู ฝ ายบริ หารเชื่อว า การเปลี่ ยนแปลงอยางสมเหตุ สมผลในขอสมมติที่สํ าคั ญ ที่ใชในการกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนจะไมทําใหมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนลดต่ําลงกวามูลคาตามบัญชี หนวยสินทรัพยที่ 3 มูลคา ที่คาดวาจะไดรับคืนของหนว ยสินทรัพยที่ 3 กําหนดขึ้น จากมูลคาจากการใช ซึ่งคํานวณโดยใช ประมาณการทางการเงิ นที่อางอิงจากงบประมาณที่ไดรับอนุมัติจากฝา ยบริหารของบริษัท และใชอัตราคิดลด เทากับ 9.2% กระแสเงินสดที่อยูนอกระยะเวลาในงบประมาณซึ่งครอบคลุมระยะเวลา 5 ปประมาณการโดยใช อัตราการเติบโต 12% ตอป ซึ่งสูงกวาอัตราการเติบโตถัวเฉลี่ยระยะยาวของตลาดที่หนวยสินทรัพยที่ 3 ตั้งอยู ซึ่งเทากับ 4% อยางไรก็ตาม ฝายบริหารเชื่อวา อัตราการเติบโตที่ใชสมเหตุสมผลเนื่องจากหนวยสินทรัพยที่ 3 ไดรับประโยชนจากการที่ ผลิตภั ณฑหลักไดรับการคุมครองจากสิทธิบัตรเปนเวลา 10 ป ตั้งแตเดือนธันวาคม 20X2 นอกจากนี้ ฝายบริหารยังเชื่อวาการเปลี่ยนแปลงอยางสมเหตุสมผลที่เปนไปไดในขอสมมติที่สําคัญที่ใช ในการกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนจะไมทําใหมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนลดต่ําลงกวามูลคาตามบัญชี หนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 มูลค าที่ คาดวา จะไดรับคื นของหนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 กําหนดขึ้น จากมูลคาจากการใช หน วย สินทรัพยทั้งสองมีผลิตภัณฑที่เกี่ยวของกัน และมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืนของหนวยสิน ทรัพยกําหนดขึ้นโดยใช ขอสมมติที่สําคัญบางประการรวมกัน การคํานวณมูลคาจากการใชของหนวยสินทรัพยทั้งสองใชประมาณการที่ อา งอิงจากงบประมาณซึ่ง ครอบคลุ มระยะเวลา 4 ป และไดรับ อนุมั ติจ ากฝายบริหารแล ว อั ตราคิดลดที่ ใช เทากับ 7.9% กระแสเงินสดที่เกินกวาชวงงบประมาณประมาณการโดยใชอัตราการเติบโตอยางคงที่ที่ 5% ซึ่ง ไมเกินอัตราการเติบโตถัวเฉลี่ยระยะยาวของตลาดที่หนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 ดําเนินธุรกิจอยู กระแสเงินสด ที่กําหนดไวในระหวางงวดงบประมาณของหนวยสิน ทรัพยทั้งสองประมาณขึ้น โดยใชอัตรากําไรขั้นตนเดียวกัน และขอสมมติเกี่ยวกับราคาของวัตถุดิบในภาวะเงินเฟอเชนเดียวกัน ฝายบริหารเชื่อวาการเปลี่ยนแปลงที่อ ยาง สมเหตุส มผลที่เปนไปไดในขอสมมติที่สํา คัญที่ใชในการกําหนดมูลคาที่คาดวาจะไดรับคืน จะไมทําใหมูลคา ที่ คาดวาจะไดรับคืนรวมของหนวยสินทรัพยทั้งสองลดต่ําลงกวามูลคาตามบัญชี
มูลคาตามบัญชีของคา ความนิยม
120,000 บาท
3,000,000 บาท
หนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 โดยรวม 800,000 บาท
มูลคาตามบัญชีของชื่อทาง การคาซึ่งมีอายุการให ประโยชนไมทราบแนนอน
-
1,000,000 บาท
-
กลุมของหนวยสินทรัพย ก
หนวยสินทรัพยที่ 3
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 90/92
กลุมของหนวยสินทรัพย ก ขอสมมติที่สําคัญที่ใชในการคํานวณมูลคาจากการใช (1) ขอสมมติที่สําคัญ อัตรากําไรขั้นตนในงวด งบประมาณ
เกณฑที่ใชในการ
กําหนดคาใหกับขอ สมมติที่สําคัญ
ขอสมมติที่สําคัญ
เกณฑที่ใชในการ
กําหนดคาใหกับขอ สมมติที่สําคัญ
หนวยสินทรัพยที่ 3 อัตราดอกเบี้ย
พันธบัตรรัฐบาลที่มี อายุ 5 ป ของสหรัฐ อเมริกาในงวด งบประมาณ กําไรขั้นตนเฉลี่ยของงวด ผลตอบแทนของ กอนชวงงบประมาณปรับ พันธบัตรรัฐบาลที่มี เพิ่มดวยการปรับปรุง อายุ 5 ป ของ ประสิทธิภาพในการ สหรัฐอเมริกา ณ ป ดําเนินงานที่คาดไว เริ่มตนของงวด งบประมาณ มูลคาที่กําหนดขึ้นสําหรับ มูลคาที่กําหนดขึ้น ขอสมมติสะทอน สําหรับขอสมมติที่ ประสบการณในอดีต สําคัญมีความ เวนแตการปรับปรุง สอดคลองกับ ประสิทธิภาพในการ แหลงขอมูลภายนอก ดําเนินงาน โดยฝาย บริหารเชื่อวาการเพิ่ม ประสิทธิภาพในอัตรา 5% มีความสมเหตุสมผลแลว
หนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 โดยรวม อัตรากําไรขั้นตนในงวด
งบประมาณ
กําไรขั้นตนเฉลี่ยของ
งวดกอนชวง งบประมาณปรับเพิ่ม ตามการปรับปรุง ประสิทธิภาพในการ ดําเนินงานที่คาดไว มูลคาที่กําหนดขึ้นสําหรับ ขอสมมติสะทอน ประสบการณในอดีต เวนแตการปรับปรุง ประสิทธิ ภาพในการ ดําเนินงาน โดยฝาย บริหารเชื่อวาการเพิ่ม ประสิทธิภาพในอัตรา 5% ตอปมีความ สมเหตุสมผลแลว อัตราแลกเปลี่ยนของเงิน ราคาวัตถุดิบในภาวะ ราคาวัตถุดิบในภาวะ เยนญี่ปุนและดอลลาร เงินเฟอ เงินเฟอ สหรัฐอเมริกาในระหวาง งวดงบ ประมาณ อัตราแลกเปลี่ยน การประมาณการดัชนี การประมาณการดัชนี ลวงหนาของตลาดโดย ราคาผูบริโภคใน ราคาผูบริโภคใน เฉลี่ยตลอดชวง ระหวางงวดงบประมาณ ระหวางงวด ปงบประมาณ ของประเทศในกลุม งบประมาณของ อเมริกาเหนือซึ่งเปน ประเทศในกลุมยุโรป แหลงวัตถุดิบของหนวย ซึ่งเปนแหลงวัตถุดิบ สินทรัพย ของหนวยสินทรัพย มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 91/92
กลุมของหนวยสินทรัพย ก มูลคาที่ระบุในขอสมมติที่
สําคัญมีความสอดคลอง กับแหลง ขอมูลภายนอก ขอสมมติที่สําคัญ เกณฑที่ใชในการ
กําหนดคาใหกับ ขอสมมติที่สําคัญ
(1)
สวนแบงตลาดโดย
หนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 โดยรวม มูลคาที่ระบุในขอ มูลคาที่ระบุในขอ สมมติที่สําคัญมีความ สมมติที่สําคัญมีความ สอดคลองกับ สอดคลองกับ แหลงขอมูลภายนอก แหลงขอมูลภายนอก สวนแบงตลาดโดย ประมาณ สวนแบงตลาดเฉลี่ย กอนที่จะเริ่ม ปงบประมาณ ปรับ เพิ่มขึ้นแตละปดวย อัตราการเติบโตที่ คาดการณในแตละป ฝายบริหารเชื่อวาการ เติบโตของสวนแบง ตลาดในอัตรา 6% ตอ ปมีความสมเหตุสมผล เนื่องจากมีการเพิ่ม คาใชจายในการโฆษณา และผลประโยชนจาก การมีสิทธิบัตรคุมครอง ผลิตภัณฑหลักเปน เวลา 10 ป และการ คาดการวาจะไดรับ ประโยชนเพิ่มจากการ ดําเนินงานของหนวย สินทรัพยที่ 3 รวมกับ สวนงานอื่นๆ ใน อเมริกาเหนือของ บริษัท แม
หนวยสินทรัพยที่ 3
ประมาณ สวนแบงตลาดเฉลี่ย กอนที่จะเริ่มปงบ ประมาณ มูลคาที่ระบุในขอสมมติที่ สําคัญเปนผลสะทอน ประสบการณในอดีต และไมมีการเปลี่ยน แปลงของสวนแบงตลาด เนื่องจากมีการพัฒนา คุณภาพของผลิตภัณฑ อยางตอเนื่อง และมีการ คาดการณวาจะมีคูแขง ขันเพิ่มขึ้นในเวลา เดียวกัน
ขอสมมติที่สําคัญของหนวยสินทรัพยที่ 1 และ 2 ที่แสดงในตารางจะเปนขอสมมติเฉพาะที่ใชในการคํานวณมูลคาที่ คาดวาจะไดรับคืนของทั้งสองหนวยสินทรัพยเทานั้น มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) หนา 92/92
ภาคผนวก ฉ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น คําแถลงการณ มาตรฐานการบัญชีฉบับ นี้เป นไปตามเกณฑที่กํา หนดขึ้นโดยมาตรฐานการบั ญชีร ะหวางประเทศ ฉบั บที่ 37 เรื่อ ง ประมาณการหนี้สิน หนี้สิน ที่อาจเกิด ขึ้น และสิน ทรัพ ยที่อาจเกิด ขึ้น ซึ่ งเปน การแกไ ขของ คณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีระหวางประเทศที่สิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2551 (IAS 37: Provisions, Contingent Liabilities and Contingent Assets (Bound volume 2009))
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 1/43
สารบัญ ยอหนาที่
บทนํา วัตถุประสงค ขอบเขต คํานิยาม
บทนํา1- บทนํา 23
ประมาณการหนี้สินและหนี้สินอื่น ความสัมพันธระหวางประมาณการหนี้สินกับหนี้สินที่อาจเกิดขึน้
1-9 10-13
11 12-13
การรับรูรายการ
14-35
ประมาณการหนี้สิน ภาระผูกพันในปจจุบัน เหตุการณในอดีต ความเปนไปไดคอนขางแนที่จะสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจ การประมาณการภาระผูกพันที่นาเชื่อถือ หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น สินทรัพยทอี่ าจเกิดขึ้น
14-26 15-16 17-22 23-24 25-26 27-30 31-35
การวัดมูลคา
36-52
การเปลี่ยนแปลงประมาณการหนี้สิน การนําประมาณการหนี้สินมาใช การนําขอกําหนดเกี่ยวกับการรับรูและวัดมูลคามาปฏิบัติ
59-60 61-62 63-83
ประมาณการที่ดีที่สุด ความเสี่ยงและความไมแนนอน มูลคาปจจุบัน เหตุการณในอนาคต การจําหนายสินทรัพยที่คาดวาจะเกิดขึ้น รายจายที่จะไดรับชดเชย
ขาดทุนจากการดําเนินงานในอนาคต สัญญาที่สรางภาระ การปรับโครงสราง
36-41 42-44 45-47 48-50 51-52 53-58
63-65 66-69 70-83
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 2/43
การเปดเผยขอมูล การปฏิบัติในชวงเปลี่ยนแปลง วันถือปฏิบัติ
ยอหนาที่ 84-92 93 95
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 3/43
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ประกอบดวยยอหนาที่ 1 ถึง 95 ทุกยอหนามีความสําคัญ และมาตรฐานการบัญ ชี ฉบับนี้ตองอานโดยคํานึงถึงขอกําหนดของแมบทการบัญชี ในกรณีที่ไมไดใหแนวปฏิบัติในการเลือกและการใช นโยบายการบัญชี ใหกิจการถือปฏิบัติตามขอกําหนดของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 8 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง นโยบายการบัญชี การเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชีและขอผิดพลาด
บทนํา บทนํา 1.
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ใหขอกําหนดเกี่ยวกับการปฏิบัติทางบัญชีและการเปดเผยขอมูลสําหรับ ประมาณการหนี้ สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพยที่อาจเกิด ขึ้นทุกรายการ เวนแตรายการ ตอไปนี้ 1.1 รายการที่เปนผลจากเครื่องมือทางการเงินที่แสดงดวยมูลคายุติธรรม 1.2 รายการที่ เป นผลจากสัญ ญาที่มีผลบั งคั บแลว เวนแตเ ปนสั ญญาที่ สรางภาระแกกิจการ สัญญาที่มีผลบังคับแลว คือ สัญญาที่คูสัญญาทั้งสองฝายยังไมไดปฏิบัติตามภาระผูกพัน ที่ใหไวหรือไดปฏิบัติตามภาระผูกพันที่ใหไวเพียงบางสวนอยางเทาเทียมกัน 1.3 รายการที่เกิดจากสัญญาที่กิจการประกันภัยทํากับผูถือกรมธรรม หรือ 1.4 รายการที่ครอบคลุมโดยมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่น
ประมาณการหนี้สิน บทนํา 2.
มาตรฐานการบัญ ชีฉบับ นี้ใหคํ านิยามสําหรับคํา วาประมาณการหนี้ สินวา เปน หนี้สินที่มีค วามไม แนนอนเกี่ยวกับจังหวะเวลาหรื อจํานวนที่ตองจายชําระ และกําหนดใหรับรูประมาณการหนี้สินก็ ตอเมื่อเปนไปตามเงื่อนไขทุกขอตอไปนี้ 2.1 กิจการมีภาระผูกพันในปจจุบันซึ่งเปนผลจากเหตุการณในอดีต ไมวาภาระผูกพันนั้นจะเปน ภาระผูกพันตามกฎหมายหรือภาระผูกพันจากการอนุมาน 2.2 มีความเปนไปไดคอนขางแน (ไดแก กรณีที่นาจะเกิดขึ้นมากกวาไมนาเกิดขึ้น) ที่กิจการ จะสูญ เสี ยทรัพ ยากรที่ มี ประโยชน เชิ ง เศรษฐกิจ ต อ กิจการเพื่ อ จา ยชํ า ระภาระผู ก พั น ดังกลาว และ 2.3 สามารถจัดทําประมาณการของจํา นวนภาระผูกพันไดอยางนาเชื่อถือ มาตรฐานการบัญ ชี ฉบับ นี้กํา หนดวาจะเปนกรณีที่ย ากยิ่งที่จะเกิด ขึ้นเทานั้นที่กิจการจะไม สามารถประมาณ มูลคาภาระผูกพันไดอยางนาเชื่อถือ
บทนํา 3.
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ให คํานิยามสําหรับคําวาภาระผูกพันจากการอนุมานวา หมายถึง ภาระ ผูกพันที่เกิดจากการกระทําของกิจการเมื่อเปนไปตามขอกําหนดทุกขอตอไปนี้ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 4/43
3.1 3.2
กิจ การแสดงออกให ฝ า ยอื่นๆ เห็ นว ากิจการจะยอมรับ ผิ ด ชอบบางประการ โดยการ ปฏิบัติในอดีตจนถือเปนแบบแผน โดยนโยบายที่ ประกาศใช หรือโดยคํา แถลงการณใน ปจจุบันที่มีความเฉพาะเจาะจงอยางเพียงพอ และ การกระทําตามขอ 3.1 ของกิจการสรางความคาดหมายที่มีมูลความจริงใหกับฝายอื่นๆ วา กิจการจะรับผิดชอบตอภาระผูกพันที่เกิดขึ้น
บทนํา 4.
ในกรณี ที่ยากยิ่งที่ จะเกิด เช น การฟองรองตามกฎหมาย อาจมีค วามไมชัด เจนวากิจการมีภ าระ ผู กพันในปจจุบันหรือ ไม ในกรณีดังกล าวให กิจ การพิจารณาจากหลัก ฐานทั้ งหมดที่ มี อยู ห าก หลักฐานดังกลาวแสดงใหเห็นวาเหตุการณในอดีตนาจะมีผลทําใหกิจการมีภาระผูกพันในปจจุบัน อยู ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน มากกวาที่ไม นา จะมีอยู กิจการตองรับรู ประมาณการหนี้สิ น สําหรับภาระผูกพันในปจจุบันหากภาระผูกพันนั้นเปน ไปตามเกณฑการรับรู รายการที่ม าตรฐาน การบัญชีฉบับนี้กําหนดไว ในกรณีความนาจะเปนที่จะเกิดขึ้นมากกวาที่จะไมเกิดขึ้นวากิจการไมมี ภาระผู กพั นในปจจุบั น กิ จการตองเปด เผยขอ มูลเกี่ย วกับ หนี้สินที่ อาจเกิด ขึ้ น เวนแตในกรณี ความนาจะเปน ที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจเพื่อจายชําระภาระผูกพัน นั้นอยูในระดับที่ไมนาเปนไปได
บทนํา 5.
จํานวนที่ตองรับรูเปนประมาณการหนี้สินตองเปนจํานวนประมาณการที่ดีที่สุดของรายจายที่ตอง นํา ไปจายชําระภาระผูกพัน ในปจจุบัน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ประมาณการที่ดี ที่สุด ใน ที่นี้ หมายถึง จํ านวนที่ สมเหตุส มผลที่กิ จการจะยอมจาย ณ วัน สิ้นรอบระยะเวลารายงาน เพื่อ ชําระภาระผูกพันหรือเพื่อโอนภาระผูกพันใหกับบุคคลที่สาม
บทนํา 6.
ในการวัดมูลคาประมาณการหนี้สิน มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้กําหนดใหกิจการตองปฏิบัติตาม ขอกําหนดทุกขอตอไปนี้ 6.1 พิจารณาถึงความเสี่ยงและความไมแนนอนของประมาณการหนี้สิน อยางไรก็ตาม ความ ไมแนนอนไมใชเหตุผลที่จะนํามาสนับสนุนเพื่อประมาณจํานวนประมาณการหนี้สินใหสูง เกินควร หรือเพื่อรับรูหนี้สินดวยจํานวนที่สูงเกินจริง 6.2 คิดลดประมาณการหนี้สินหากมูลคาของเงินตามเวลามีผลกระทบตอจํานวนประมาณการ หนี้ สิน นั้นอย างมีส าระสํ าคัญ โดยใชอัตราคิด ลดกอนหักภาษีซึ่งสะท อนถึงการประเมิน สถานการณตลาดในปจจุบันของมูลคาของเงินตามเวลา และความเสี่ยงเฉพาะของหนี้สิน ที่ยังไมไดสะทอนในประมาณการที่ดีที่สุดของรายจาย เมื่อกิจการใชวิธีคิดลดกับ ประมาณ การหนี้สิน กิจการตองรับรูประมาณการหนี้สินสวนที่ เพิ่มขึ้นเนื่องจากเวลาที่ผานไปเปน คาใชจายดอกเบี้ย 6.3 พิจารณาถึง เหตุ ก ารณ ใ นอนาคต เช น การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายหรื อวิ ท ยาการ สมัยใหม เมื่อมีหลักฐานที่เปน รูปธรรมเพียงพอที่ทําใหเชื่อถือไดวาเหตุการณในอนาคต นั้นจะเกิดขึ้น มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 5/43
6.4
ไมนํารายการผลกําไรจากการจําหนายสินทรัพยที่คาดวาจะเกิด มารวมพิจารณาในการวัด มูลคา ประมาณการหนี้สิน แม ว าการจํ าหนา ยที่ค าดวาจะเกิด ขึ้น นั้นจะเชื่อมโยงอยา ง ใกล ชิด กับเหตุ การณที่กอใหเกิดประมาณการหนี้สิน
บทนํา 7.
ในกรณีที่กิจการคาดวาจะไดรับชดเชยรายจายทั้งหมดหรือบางสวนคืนจากบุคคลที่สามตามจํานวนที่ กิจ การจ ายไปเพื่อชํา ระประมาณการหนี้สิน เชน เมื่อกิ จการมีสัญญาประกัน ภัย สัญญาชดเชย ค า เสียหาย หรือ ได รับการประกัน จากผูข ายสิ นค าหรือ ผู ใหบ ริก าร มาตรฐานการบัญ ชี ฉบั บ นี้ กําหนดใหกิจการตองปฏิบัติตามขอกําหนดทุกขอตอไปนี้ 7.1 รับรูรายจายที่จะไดรับชดเชยเปนสินทรัพยเ มื่อกิจการมีความมั่นใจมากวาหลังจากที่จาย ชําระ ภาระผูกพัน แลวกิจการนาจะไดรับเงินชดเชยนั้นคื น โดยจํานวนเงิน ชดเชยที่รับรูตองไม เกินจํานวนประมาณการหนี้สินที่เกี่ยวของ และ 7.2 รับรูเ งินชดเชยเปนสินทรัพย แยกต างหาก มาตรฐานการบั ญชี ฉบับ นี้กํ าหนดวา กิ จการ อาจแสดงคาใชจ ายที่ เกี่ย วขอ งกั บ ประมาณการหนี้สินในงบกํา ไรขาดทุ นเบ็ ดเสร็จ โดย แสดงสุทธิจากจํานวนเงินชดเชย
บทนํา 8.
มาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ นี้ กํา หนดให กิ จการต อ งทบทวนประมาณการหนี้ สิ น ทุ ก วั น สิ้น รอบ ระยะเวลารายงาน และปรับ ปรุง ประมาณการหนี้สิน ดั งกลาวเพื่อสะทอนใหเห็นถึง ใหเปนการ ประมาณการที่ดีที่ สุดในปจจุบั น และกิจ การตองกลั บบั ญชีประมาณการหนี้สิน หากไม มี ความ เปน ไปไดคอนขางแนที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรที่มี ประโยชนเชิงเศรษฐกิจเพื่อจายชํ าระภาระ ผูกพันอีกตอไป
บทนํา 9.
กิจการจะนําประมาณการหนี้สินมาใชไดเฉพาะกับรายจายที่กิจการรับรูเปนประมาณการหนี้สินไว แตเดิมเทานั้น
ประมาณการหนี้สิน – การนําไปปฏิบัติใชกับเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง บทนํา 10. มาตรฐานการบัญ ชีฉ บั บ นี้ อธิบ ายถึงการนํา ขอกํา หนดในการรั บ รูและการวัด มู ลค า โดยทั่ ว ไป สําหรับประมาณการหนี้สินมาปฏิบัติกับกรณีเฉพาะสามกรณี คือ ขาดทุนจากการดําเนินงานใน อนาคต สัญญาที่สรางภาระ และการปรับโครงสราง บทนํา 11. กิจการตองไมรับรูประมาณการหนี้สินสําหรับขาดทุนจากการดําเนินงานในอนาคต การคาดคะเน วากิจการจะเกิดขาดทุน จากการดําเนินงานในอนาคตชี้ใหเห็นวาสิน ทรัพยบางรายการที่ใชในการ ดําเนินงานอาจเกิดการดอยคา กิจการตองทดสอบการดอยคาของสินทรัพยตามขอกําหนดที่ระบุ ไวในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 6/43
บทนํา 12. กิจการต องรับรูและวัดมูลคาภาระผูกพันในปจจุบัน ซึ่งเกิดจากสัญ ญาที่ส รางภาระเปน ประมาณ การหนี้สิ นสัญญาที่สรางภาระ หมายถึง สัญญาที่ กอใหเกิดตน ทุนที่ไม อาจหลีกเลี่ยงไดจากการ ปฏิบัติ ตามภาระผูกพั นที่ ระบุ ไวภ ายใตสัญญา ซึ่ งตนทุนดังกลาวมีจํา นวนสูง กว าประโยชนเชิง เศรษฐกิจที่คาดวาจะไดรับจากสัญญานั้น บทนํา 13. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ใหคํานิยามสําหรับคําวาการปรับโครงสรางวา หมายถึง แผนงานที่ อยู ภายใต ก ารวางแผนและควบคุ ม ของฝ า ยบริ ห ารของกิจ การ ซึ่ง ทํ า ให รายการใดรายการหนึ่ ง ตอไปนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอยางมีสาระสําคัญกับ 13.1 ขอบเขตในการดําเนินธุรกิจของกิจการ หรือ 13.2 ลักษณะการดําเนินธุรกิจ บทนํา 14. กิจการจะรับรูประมาณการหนี้สินสําหรับตนทุนการปรับโครงสรางก็ตอเมื่อเปนไปตามเงื่อนไขใน การรับรูประมาณการหนี้สิน โดยภาระผูกพันจากการอนุมานจากการปรับโครงสรางจะเกิดขึ้นไดก็ ตอเมื่อกิจการไดปฏิบัติตามขอกําหนดทุกขอตอไปนี้ 14.1 กิจการมีแ ผนการปรับ โครงสรา งที่เ ปนทางการอยา งละเอียด ซึ่ งระบุ ถึงรายการตอไปนี้ เปนอยางนอย 14.1.1 ธุรกิจหรือสวนของธุรกิจที่เกี่ยวของ 14.1.2 สถานประกอบการหลักที่จะไดรับผลกระทบ 14.1.3 สถานประกอบการ หนา ที่งาน และจํ านวนพนักงานโดยประมาณที่จะไดรับ คาตอบแทนจากการเลิกจาง 14.1.4 รายจายที่กิจการจะตองรับภาระ 14.1.5 เวลาที่จะมีการปฏิบัติตามแผนการปรับโครงสราง 14.2 กิจการทําใหผูถูกกระทบจากแผนการปรับโครงสรางเกิดความคาดหมายอยางมีมูลความ จริงวากิจการจะดําเนินการปรับโครงสรางโดยเริ่มปฏิบัติตามแผนการปรับโครงสรางหรือ โดยการประกาศลักษณะหลักของแผนนั้นใหผูไดรับผลกระทบทราบ บทนํา 15. การตัดสินใจของฝายบริหารหรือคณะกรรมการที่จะปรับโครงสรางจะไมกอใหเกิดภาระผูกพันจาก การอนุมาน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ถากิ จการไม ไดปฏิบัติ ตามขอใดข อหนึ่งตอไปนี้กอน วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน 15.1 เริ่มปฏิบัติตามแผนการปรับโครงสราง หรือ 15.2 ประกาศลักษณะหลักของแผนการปรับโครงสรางใหผูไดรับผลกระทบทราบ การประกาศ นั้นต องเปนไปในลักษณะที่ เฉพาะเจาะจงเพีย งพอที่ จะสร า งความคาดหมายอย า งมี มูลความจริงแกผูไดรับผลกระทบวากิจการจะดําเนินการปรับโครงสราง
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 7/43
บทนํา 16. ในกรณีที่การปรับโครงสรางเกี่ยวของกับการขายการดําเนินงาน มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ถือวา ภาระผูกพันจากการขายจะยังไมเกิด ขึ้นจนกวากิจการจะไดผูกมัด ที่จะขายการดําเนินงานนั้น เชน ทําสัญญาขายผูกมัดเอาไว บทนํา 17. ประมาณการหนี้สินจากการปรับโครงสรางตองรวมเฉพาะรายจายโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการปรั บ โครงสรางนั้น โดยรายจายดังกลาวตองเปนไปตามเงื่อนไขทุกขอตอไปนี้ 17.1 จําเปนตองเกิดในการปรับโครงสราง และ 17.2 ไมเกี่ยวของกับ กิจกรรมที่มี อยูอ ยางตอเนื่องของกิจการ ดัง นั้น ประมาณการหนี้สินจาก การปรับโครงสรางตองไมรวมคาอบรมใหมหรือคายายสถานที่ของพนักงานที่ยังจางงานอยู คาใชจายทางการตลาด หรือคาใชจายในการลงทุนในระบบหรือเครือขายใหมที่เกี่ยวของ กับการจําหนาย
หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น บทนํา 18. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ใหคํานิยามสําหรับคําว าหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นวา หมายถึง รายการขอใด ขอหนึ่งตอไปนี้ 18.1 ภาระผูกพัน ที่อาจมีอยู อันเนื่อ งมาจากเหตุการณใ นอดีต แตการจะทราบวา ภาระผูกพัน ดังกลา วมี อยูห รือไมนั้นตองไดรั บการยืน ยันจากเหตุการณอยางนอยหนึ่งเหตุการณใน อนาคตซึ่งยังไมมีความ แนนอนวาจะเกิด ขึ้นหรือไมเกิดขึ้นโดยเหตุการณดังกลา วตองไม อยูในความควบคุมทั้งหมดของกิจการ หรือ 18.2 ภาระผูกพันในปจจุบันซึ่งเกิ ดขึ้นจากเหตุการณในอดีต แตไมสามารถรับรูเป นหนี้สินได เนื่องจากเปนไปตามขอใดขอหนึ่งตอไปนี้ 18.2.1 ไมมีค วามเปนไปไดคอนข างแนที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรที่มี ประโยชนเชิง เศรษฐกิจเพื่อจายชําระภาระผูกพัน หรือ 18.2.2 กิจการไมสามารถวัดมูลคาภาระผูกพันไดอยางนาเชื่อถือเพียงพอ บทนํา 19. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้กําหนดวากิจการตองไมรับรูหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น แตตองเปด เผยขอมูล เกี่ยวกับหนี้ สินที่อาจเกิด ขึ้นนั้ นเวนแตความนาจะเปน ที่กิจการจะสูญเสี ยทรัพยากรที่ มีประโยชน เชิงเศรษฐกิจอยูในระดับที่ไมนาเปนไปได
สินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น บทนํา 20. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ใหคํานิยามสําหรับคําวาสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้นวา หมายถึง สินทรัพยที่อาจ มีอยูอันเนื่องมาจากเหตุการณในอดีต แตการจะทราบวาสินทรัพยดังกลาวมีอยูหรือไมนั้น ตองไดรับ การยืนยันจากเหตุ การณอยางน อยหนึ่ งเหตุการณในอนาคตซึ่ งยังไม มี ความแนนอนว าจะเกิด ขึ้ น หรื อไมเกิดขึ้ นโดยเหตุการณ ดังกลาวต องไม อยูในความควบคุ มทั้ งหมดของกิจการ ตั วอยางเช น มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 8/43
การเรียกรองคาสินไหมทดแทนที่กิจการกําลังดําเนินการตามกฎหมาย ซึ่งผลการตัดสินยังไมเปนที่ แนนอน บทนํา 21. กิจการตองไมรับรูสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น แตตองเปดเผยขอมูลเกี่ยวกับสิน ทรัพยที่อาจเกิดขึ้นนั้น เมื่อมีความเปนไปไดคอนขางแนที่กิจการจะไดรับประโยชนเชิงเศรษฐกิจในอนาคต บทนํา 22. เมื่อกิจการมีความมั่นใจมากวารายไดนาจะเกิดขึ้นอยางแนนอน สินทรัพยที่เกี่ยวของกับรายไดนั้น ไมถือวาเปนสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้นแตถือเปนสินทรัพยที่ตองรับรู
วันถือปฏิบัติ บทนํา 23. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ใหถือปฏิบัติกับงบการเงินสําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลัง วันที่ 1 มกราคม 2554 เปนตน ไป อยา งไรก็ตาม มาตรฐานการบัญ ชีฉบับนี้สนับสนุนใหกิจการ ปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้กอนวันถือปฏิบัติ
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 9/43
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรั บปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจ เกิดขึ้น และสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น วัตถุประสงค มาตรฐานการบัญชี ฉบับนี้มี วัต ถุป ระสงคเพื่อใหแนใจว า กิจ การนํา เกณฑการรั บรูรายการและการวัดมู ลค า มาปฏิ บั ติ กั บ ประมาณการหนี้ สิน หนี้ สิน ที่ อาจเกิด ขึ้ น และสิน ทรั พ ยที่ อาจเกิด ขึ้ น อยา งเหมาะสม และมี การเป ดเผยข อมูลเกี่ย วกับ รายการดังกลา วในหมายเหตุประกอบงบการเงิน อย างเพียงพอ เพื่อ ชวยใหผูใช งบการเงินเขาใจถึงลักษณะ จังหวะเวลา และจํานวนที่แสดงอยูในงบการเงินนั้น
ขอบเขต 1.
มาตรฐานการบั ญชีฉบั บนี้ใ หถือปฏิบัติ กับกิ จการทุก กิจ การในการบั นทึก บัญ ชีเกี่ยวกับประมาณ การหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น ยกเวนรายการตอไปนี้ 1.1 รายการที่เปนผลจากสัญญาที่มีผลบังคับแลว ซึ่งไมใชสัญญาที่สรางภาระแกกิจการ 1.2 (ยอหนานี้ไมใช) 1.3 รายการที่ครอบคลุมโดยมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่น
2.
มาตรฐานการบั ญชีฉ บับ นี้ไมใหถือปฏิ บัติกั บเครื่ องมือทางการเงิน (รวมถึงการค้ําประกัน) ที่อยูใน ขอบเขตของมาตรฐานการบัญ ชี ฉบั บ ที่ 39 เรื่อ ง การรั บ รูแ ละการวั ดมู ลคา เครื่องมื อทางการเงิน (เมื่อมีการประกาศใช)
3.
สัญญาที่มีผลบังคับแลว คือ สัญญาที่คูสัญญาทั้งสองฝายยังไมไดปฏิบัติตามภาระผูกพันที่ใหไวหรือได ปฏิบั ติ ตามภาระผูก พันที่ใหไ วเพียงบางสว นอยา งเท าเทียมกัน กิจ การไมตองนํา มาตรฐานการบัญชี ฉบับนี้มาปฏิบัติกับสัญญาที่มีผลบังคับแลว เวนแตสัญญานั้นเปนสัญญาที่สรางภาระแกกิจการ
4.
(ยอหนานี้ไมใช)
5.
กิจการตองนํามาตรฐานการบัญ ชีฉบั บอื่น มาปฏิบัติแทนมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้หากมาตรฐานการ บัญ ชี ฉบั บ อื่น ครอบคลุม ถึง การปฏิ บั ติ ท างบั ญ ชีเกี่ยวกับ ประเภทที่ เฉพาะของประมาณการหนี้สิ น หนี้สินที่ อาจเกิดขึ้น และสิน ทรัพยที่อาจเกิดขึ้น ตัวอยางประเภทของประมาณการหนี้สินที่ค รอบคลุม โดยมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่นมีดังตอไปนี้ 5.1 สัญญากอสราง (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 11 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญากอสราง) 5.2 ภาษีเงินได (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 12 เรื่อง ภาษีเงินได) 5.3 สัญ ญาเชา (ดู มาตรฐานการบั ญชี ฉบั บที่ 17 (ปรับ ปรุง 2552) เรื่อ ง สัญ ญาเชา ) อย างไร ก็ตาม มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 17 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญาเชา ไมไดใหขอกํา หนด
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 10/43
5.4 5.5
ที่ เฉพาะเจาะจงเกี่ย วกับ สัญ ญาเชาดําเนินงานที่ สร างภาระแก กิจการ ดังนั้น กิ จการตอ งนํ า มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มาปฏิบัติกับสัญญาดังกลาว ผลประโยชนของพนักงาน (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 19 เรื่อง ผลประโยชนของพนักงาน (เมื่อมีการประกาศใช)) สัญ ญาประกั นภัย (ดู ม าตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบั บ ที่ 4 เรื่อง สัญ ญาประกั น ภัย (เมื่อมีการประกาศใช)) อยางไรก็ตามมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ใชกับการประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้นของผูรับประกัน ไมรวมถึงประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นจากภาระผูกพันทางสัญ ญาและสิทธิ ภายใตสัญญาประกัน ภั ยซึ่ งอยูใ นขอบเขตของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับ ที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย (เมื่อมีการประกาศใช)
6.
การรับรูประมาณการหนี้สินอาจสัมพันธกับการรับรูรายได ตัวอยางเชน เมื่อกิจการใหการค้ําประกันเพื่อ เป นการแลกเปลี่ยนกับคาธรรมเนี ยม มาตรฐานการบัญชี ฉบั บนี้ ไมครอบคลุ มถึงการรับ รูรายได และ ไมไดเปลี่ยนแปลงขอกําหนดที่ระบุไวในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 18 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง รายได (เมื่อมีการประกาศใช) ซึ่งไดระบุถึงสถานการณที่เขาเกณฑการรับรูรายได และใหแนวปฏิบัติเกี่ยวกับ การนําเกณฑการรับรูรายไดมาปฏิบัติ
7.
ตามคํานิยามที่กําหนดไวในมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ “ประมาณการหนี้สิน” หมายถึง หนี้สินที่มีความ ไม แนน อนเกี่ยวกับจังหวะเวลาหรือจํานวนที่ตองจายชําระ ในบางประเทศ คํา วา ประมาณการหนี้สิ น ถูกใชป ระกอบกับ รายการอื่ นๆ เชน คา เสื่อมราคา คาเผื่อการดอยคาของสิน ทรัพย และคาเผื่อหนี้ สงสัยจะสูญ ซึ่งรายการดังกลาวเปนรายการที่ใชปรับปรุงมูลคาตามบัญชีของสินทรัพย ดังนั้น มาตรฐาน การบัญชีฉบับนี้จึงไมครอบคลุมถึงการปฏิบัติทางบัญชีเกี่ยวกับรายการดังกลาว
8.
มาตรฐานการบัญชี ฉบับ นี้ไมไ ด หา มหรือให ขอกํา หนดเกี่ยวกับ การนํารายจา ยมารวมเปนตนทุนของ สินทรัพยเมื่อกิจการรับรูประมาณการหนี้สิน ดังนั้น กิจการตองนํามาตรฐานการบัญชีฉบับที่เกี่ยวของ ซึ่งระบุวารายจายสวนใดถือเปนสินทรัพยและรายจายสวนใดถือเปนคาใชจายมาถือปฏิบัติ
9.
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ใหถือปฏิ บัติกั บประมาณการหนี้สินที่เกี่ยวกับการปรับโครงสราง ซึ่งรวมถึง การดําเนินงานที่ยกเลิก เมื่อการปรับโครงสรางเปนไปตามคํานิยามการดําเนินงานที่ยกเลิกกิจการตอง เป ด เผยข อ มู ล เพิ่ ม เติ ม ตามข อ กํา หนดที่ ร ะบุ ไ ว ใ นมาตรฐานการรายงานทางการเงิ น ฉบั บ ที่ 5 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สินทรัพยไมหมุนเวียนที่ถือไวเพื่อขาย และการดําเนินงานที่ยกเลิก
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 11/43
คํานิยาม 10.
คําศัพทที่ใชในมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีความหมายโดยเฉพาะ ดังนี้ ประมาณการหนี้สิน
หมายถึง
หนี้สินที่มีค วามไมแนน อนเกี่ยวกับจั งหวะเวลา หรือจํานวนที่ตองจายชําระ
หนี้สิน
หมายถึง
ภาระผู ก พั น ในป จ จุ บั น ของกิ จ การ ซึ่ ง เป น ผล จากเหตุการณในอดีตที่การชําระภาระผูกพันนั้น คาดวาจะสงผลใหกิจการตองสูญ เสียทรัพยากร ที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจ
เหตุการณที่กอใหเกิดภาระ
หมายถึง
เหตุ การณที่กอใหเกิ ดภาระผูกพันตามกฎหมาย หรื อภาระผู กผันจากการอนุม าน ซึ่ งเป น ผลให กิ จ การต องจ า ยชํา ระภาระผู ก พั น นั้ น โดยไม มี ทางเลือกอื่นที่เปนไปได
ภาระผูกพันตามกฎหมาย
หมายถึง
ภาระผู ก พั น ที่เ กิ ด จากรายการใดรายการหนึ่ ง ตอไปนี้ 1) สัญญา (ตามเงื่อนไขที่ระบุไวอยางชัดแจง หรือโดยนัย) 2) กฎหมายที่ใชบังคับ 3) ผลบังคับตามกฎหมายอื่น
ภาระผูกพันจากการอนุมาน
หมายถึง
ภาระผูกพันที่เกิดจากการกระทําของกิจการเมื่อ เปนไปตามขอกําหนดทุกขอตอไปนี้ 1) กิจการแสดงออกใหฝายอื่นๆ เห็นวากิจการ จะยอมรั บ ผิ ด ชอบบางประการ โดยการ ปฏิ บั ติ ใ นอดี ต จนถื อ เป น แบบแผน หรื อ โดยนโยบายที่ ป ระกาศใช ห รื อ โดยคํ า แ ถ ล ง ก า ร ณ ใ น ป จ จุ บั น ที่ มี ค ว า ม เฉพาะเจาะจงอยางเพียงพอ และ 2) การกระทํ า ตามข อ 1) ของกิ จ การสร า ง ความคาดหมายที่ มี มู ล ความจริ ง ให กั บ ฝา ยอื่นๆ ว ากิ จการจะรับ ผิด ชอบตอภาระ ผูกพันที่เกิดขึ้น มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 12/43
หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น
หมายถึง
รายการขอใดขอหนึ่งตอไปนี้ 1) ภาระผู ก พั น ที่ อ าจมี อ ยู อั น เนื่ อ งมาจาก เหตุก ารณ ในอดี ต แตการจะทราบวาภาระ ผู ก พั น ดั ง กลา วมี อยู ห รื อไม นั้ น ต องได รั บ การยื น ยั น จากเหตุ ก ารณ อ ย า งน อ ยหนึ่ ง เหตุ ก ารณ ใ นอนาคตซึ่ ง ยั ง ไม มี ความ แน น อนว า จะเกิ ด ขึ้ น หรื อไม เ กิ ด ขึ้ น โดย เหตุ ก ารณ ดั ง กล า วต อ งไม อ ยู ใ นความ ควบคุมทั้งหมดของกิจการ 2) ภาระผู ก พั น ในป จ จุ บั น ซึ่ ง เกิ ด ขึ้ น จาก เหตุก ารณในอดีต แตไม สามารถรั บ รูเ ป น หนี้สินไดเนื่องจากเปนไปตามขอใดขอหนึ่ง ตอไปนี้ (1) ไม มี ค วามเป น ไปได ค อ นข า งแน ที่ กิ จ การจะสู ญ เสี ย ทรั พ ยากรที่ มี ประโยชนเชิงเศรษฐกิจเพื่อจายชําระ ภาระผูกพัน หรือ (2) จํ า นวนของภาระผู ก พั น ไม สามารถ วัดมูลคาไดอยางนาเชื่อถือเพียงพอ
สินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น
หมายถึง
สินทรัพยที่อาจมีอยูอันเนื่องมาจากเหตุการณใน อดี ต แต ก ารจะทราบว าสิ น ทรั พยดังกลาวมี อยู หรือไม นั้ น ต องได รั บ การยืน ยันจากเหตุ ก ารณ อยา งน อยหนึ่ งเหตุ ก ารณใ นอนาคตซึ่ งยังไม มี ความแน น อนวา จะเกิ ด ขึ้น หรื อไม เ กิ ด ขึ้น โดย เหตุก ารณดั งกลา วตองไม อยูใ นความควบคุ ม ทั้งหมดของกิจการ
สัญญาที่สรางภาระ
หมายถึง
สัญญาที่กอใหเกิดต นทุน ที่ไมอาจหลี กเลี่ย งได จากการปฏิบั ติต ามภาระผูกพั นที่ระบุไวภายใต สั ญ ญา ซึ่ ง ต น ทุ น ดั ง กล า วมี จํ า นวนสู ง กว า ประโยชน เ ชิง เศรษฐกิ จ ที่ ค าดว า จะได รั บ จาก สัญญานั้น
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 13/43
การปรับโครงสราง
หมายถึง
แผนงานที่อยูภ ายใตก ารวางแผนและควบคุ ม ของฝายบริหารของกิจการซึ่งทําใหร ายการใด รายการหนึ่งตอ ไปนี้เ กิดการเปลี่ยนแปลงอยาง มีสาระสําคัญ 1) ขอบเขตในการดําเนินธุรกิจของกิจการ หรือ 2) ลักษณะการดําเนินธุรกิจ
ประมาณการหนี้สินและหนี้สินอื่น 11.
ประมาณการหนี้ สิ น สามารถแยกจากหนี้ สิ น ประเภทอื่น เช น เจา หนี้ ก ารค า และรายการค า งจ า ย เนื่องจากความไมแนนอนเกี่ยวกับจังหวะเวลาและจํานวนของรายจายในอนาคตที่ตองจายชํา ระในทาง ตรงกันขาม 11.1 เจาหนี้การคาเปนหนี้สินที่กิจการตองจายสําหรับสินคาหรือบริการที่ไดรับหรือบริโภคที่กิจการ ยังไม ได จา ยชํ าระ ยังไมไ ด รับใบเรียกเก็ บเงิน หรือยัง ไม ไดต กลงอย างเปนทางการกับ ผูขาย สินคาหรือผูใหบริการ และ 11.2 รายการคางจา ยเปนหนี้สินที่กิจ การตองจา ยสําหรับสิน คา หรือ บริก ารที่ไดรับ หรือ บริโ ภคที่ กิจการยังไมไดจายชํ าระ ยัง ไมไดรับ ใบเรีย กเก็บเงิน หรือยังไม ไดตกลงอยางเป นทางการกับ ผูขายสินคาหรือผูใหบริการ รวมถึงจํานวนที่คางชําระกับพนักงาน เชน คาพักรอนคางจาย แมวา ในบางครั้งกิจการจําเปนตองประมาณจํานวนหรือจังหวะเวลาของรายการคางจาย แตตามปกติ การประมาณดั งกลาวจะมีความไม แนนอนน อยกวาการประมาณจํานวนหรือจัง หวะเวลาของ ประมาณการหนี้สิน ตามปกติกิจการจะแสดงรายการคางจายเปนสวนหนึ่งของเจาหนี้การคาหรือเจาหนี้อื่น ในขณะที่แสดง ประมาณการหนี้สินเปนรายการแยกตางหาก
ความสัมพันธระหวางประมาณการหนี้สินกับหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น 12.
ตามความหมายโดยทั่ วไป ประมาณการหนี้ สิน คื อ หนี้สินที่อาจจะเกิด ขึ้นเนื่องจากมีจํา นวนหรือ จังหวะเวลาของการจายชําระที่ไมแนนอน อยางไรก็ตาม มาตรฐานการบัญ ชีฉบับนี้กําหนดใหใชคําวา “หนี้สินที่อาจเกิด ขึ้น และสินทรัพย ที่อาจเกิดขึ้ น” เฉพาะกับหนี้ สินและสิ นทรัพยที่ ไมสามารถรับรูได เนื่องจากการที่จะทราบวาหนี้สินหรือสินทรัพยดังกลาวมีอยูหรือไมนั้นตองไดรับการยืนยันจากเหตุการณ อยา งน อยหนึ่งเหตุ การณ ในอนาคตซึ่ งยังมี ความไมแน นอนว าจะเกิดขึ้ นหรือไม เกิดขึ้ นโดยเหตุ การณ ดั งกล าวต อ งไม อ ยูใ นความควบคุ ม ทั้ งหมดของกิจ การ นอกจากนั้ น มาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ นี้ ยังกําหนดใหใชคําวา “หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น” กับหนี้สินที่ยังไมเปนไปตามเกณฑการรับรูรายการ
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 14/43
13.
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้กําหนดขอแตกตางระหวางประมาณการหนี้สินกับหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้ 13.1 ประมาณการหนี้สินเปนประมาณการที่กิจการตองรับรูเปนหนี้สินหากกิจการสามารถประมาณ มูลค าได อยา งนาเชื่ อถือ เนื่องจากประมาณการหนี้สิ นเปนภาระผูกพั นในปจจุบัน ซึ่งมีความ เป นไปไดคอนขางแน ที่กิจ การจะสูญเสียทรัพ ยากรที่มีประโยชนเชิง เศรษฐกิจ เพื่ อจ ายชํา ระ ภาระผูกพันนั้น และ 13.2 หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น คือ หนี้สินที่กิจการยังไมสามารถรับรูเปนหนี้สินไดเนื่องจากเหตุผลขอใด ขอหนึ่งตอไปนี้ 13.2.1 หนี้สิน ที่ อาจเกิด ขึ้น นั้น เป นภาระผู กพัน ที่ อาจมี อ ยูแ ต ยังไม ได รับ การยืน ยัน ว า กิจการมีภาระผูกพัน ในปจจุบันที่จะนําไปสูการสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิง เศรษฐกิจ หรือ 13.2.2 หนี้ สิ น ที่ อ าจเกิ ด ขึ้ น นั้ น ไม เ ป น ไปตามเกณฑ ก ารรั บ รู ร ายการที่ กํ า หนดไว ใ น มาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ นี้ (ไม ว า จะเปน การที่ ภ าระผู กพั น ดั งกล า วไม มี ค วาม เปนไปไดคอนขางแนที่กิจการจะสูญ เสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจเพื่อ จายชําระภาระผูกพัน หรือการที่กิจการไมสามารถประมาณจํานวนของภาระผูกพัน นั้นไดอยางนาเชื่อถือเพียงพอ)
การรับรูรายการ ประมาณการหนี้สิน 14.
ประมาณการหนี้สินจะตองรับรูก็ตอเมื่อเปนไปตามเงื่อนไขทุกขอตอไปนี้ 14.1 กิจการมีภาระผูกพันในปจจุบันซึ่งเปนผลจากเหตุการณในอดีต ไมวาภาระผูกพันนั้นจะเปน ภาระผูกพันตามกฎหมายหรือภาระผูกพันจากการอนุมาน 14.2 มีค วามเปนไปไดคอนขางแนที่กิ จการจะสูญ เสียทรัพยากรที่มีป ระโยชนเชิงเศรษฐกิจตอ กิจการเพื่อจายชําระภาระผูกพันดังกลาว และ 14.3 สามารถประมาณจํานวนของภาระผูกพันไดอยางนาเชื่อถือ
ภาระผูกพันในปจจุบัน 15.
ในกรณีที่ยากยิ่งที่ จะเกิ ด เมื่อมี ความไม ชัด เจนว ากิ จการมีภาระผูกพันในป จจุ บั น ณ วัน สิ้นรอบ ระยะเวลารายงานหรื อไม ให กิจการพิจารณาจากหลั กฐานทั้งหมดที่มีอ ยู หากหลั กฐานดังกล าว แสดงใหเห็นวาเหตุการณ ในอดีต นาจะมีผลทําใหกิจการมีภาระผูกพันในปจจุบันอยู ณ วันสิ้นรอบ ระยะเวลารายงานมากกวาที่ไมนาจะมีอยู
16.
ในกรณีทั่วไป จะเห็ นไดอยางชัดเจนวาเหตุการณในอดีตก อใหเ กิดภาระผู กพันในปจจุบันหรือไม แต ในกรณีที่ยากยิ่งที่จะเกิด ตัวอยางเชน การฟองรองตามกฎหมาย อาจมีการโตแยงกันวาเหตุการณบาง มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 15/43
เหตุการณไดเกิดขึ้ นแลวหรือ ยังไม เกิด หรือเหตุการณที่ เกิดขึ้นทํา ใหกิจการมีภาระผู กพันในปจจุบัน หรื อ ไม ในกรณี ดั ง กลา ว กิจ การต องพิ จ ารณาหลั กฐานทั้ ง หมดที่ มี อ ยู (ซึ่ ง รวมถึ งความเห็ น ของ ผูเ ชี่ยวชาญและหลักฐานเพิ่ม เติม ที่ไดจากเหตุการณภายหลังรอบระยะเวลารายงาน) เพื่อกําหนดวา กิจการมีภาระผูกพันในปจจุบัน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงานหรือไม โดยเมื่อพิจารณาจากหลักฐาน ดังกลาวกิจการตองปฏิบัติตามขอกําหนดทุกขอตอไปนี้ 16.1 กิจการตองรับ รูป ระมาณการหนี้สิน สํา หรับ ภาระผู กพั นในปจจุบั นที่พิจารณาว าเปนไปตาม เกณฑการรั บ รูแ ลว เห็นวา นาจะมี อยู มากกวาไมนาจะมีอยู ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน หากภาระผูกพันดังกลาวเปนไปตามเกณฑการรับรูรายการ และ 16.2 กิจการตองเปดเผยขอมูลเกี่ยวกับหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นสําหรับภาระผูกพันที่พิจารณาแลวเห็นวา ไม นา จะมีอยูม ากกวาน าจะมี อยู ณ วัน สิ้นรอบระยะเวลารายงาน เวน แต กรณี ที่พิจารณาแลว เห็นวาความนาจะเปนที่กิจการจะสูญเสียทรั พยากรที่มีประโยชนเ ชิงเศรษฐกิจเพื่อจายชําระ ภาระผูกพันนั้นอยูในระดับที่ไมนาจะเปนไปได (ดูยอหนาที่ 86)
เหตุการณในอดีต 17.
เหตุการณในอดีตที่มีผลทําใหภาระผูกพันในปจจุบันเกิดขึ้น เรียกวาเหตุการณที่กอใหเ กิดภาระผูกพัน เหตุการณใ นอดีต จะถือ เปนเหตุการณ ที่กอใหเกิด ภาระผูกพั นไดก็ตอเมื่อเหตุก ารณนั้นเป นเหตุ ให กิจการตองจา ยชํา ระภาระผูกพันโดยไมมี ทางเลือกอื่น ที่เปนไปได เหตุการณ ดังกลาวตองเปนไปตาม ขอกําหนดขอใดขอหนึ่งตอไปนี้ 17.1 เมื่อการจายชําระภาระผูกพันสามารถมีผลบังคับตามกฎหมาย หรือ 17.2 เปนภาระผูกพันจากการอนุมาน เมื่อเหตุการณซึ่งอาจเปน การกระทําของกิจการไดสรางความ คาดหมายอยางมีมูลความจริงกับฝายอื่นๆ วากิจการจะรับผิดชอบตอภาระผูกพันที่เกิดขึ้น
18.
งบการเงินมีวัตถุประสงคที่จะแสดงฐานะการเงินของกิจการ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงานไมใชฐานะ การเงินที่อาจเปนไปไดในอนาคต ดังนั้น กิจการตองไมรับรูประมาณการหนี้สินสําหรับตนทุนที่จําเปน จะตองเกิด ขึ้นเพื่อการดําเนินงานในอนาคต หนี้สิน ที่กิจ การรั บรูใ นงบแสดงฐานะการเงิน ต องเป น หนี้สินที่กิจการมีอยู ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงานเทานั้น
19.
ประมาณการหนี้สิน ที่กิจ การรั บรูต องเปนภาระผู กพั นที่เกิด จากเหตุการณใ นอดีต และไม ขึ้น กับการ กระทําในอนาคตของกิจการ เชน การที่กิจการตองจายคาปรับหรือคาใชจายในการกําจัดมลพิษเนื่องจาก กระทํ าผิ ดกฎหมายสิ่ งแวดล อม การจ ายค าปรั บหรือ ค าใชจ ายดั งกล าวจะทํ า ให กิจ การต อ งสู ญ เสี ย ทรัพ ยากรที่มี ประโยชนเชิงเศรษฐกิจ เพื่อชํ าระภาระผู กพั นที่เกิด ขึ้นไมวาการกระทําในอนาคตของ กิจการจะเปน เชน ไร ในทํา นองเดียวกัน กิจการตองรับ รูประมาณการหนี้สินสําหรับ ตน ทุ นในการรื้อ ถอนแทนขุดเจาะน้ํามันหรือโรงงานไฟฟาปรมาณูเทากับจํานวนที่กิจการตองรับผิดชอบเพื่อแกไขความ เสียหายที่ไดเกิดขึ้น ในทางกลับกัน กิจการอาจไดรับแรงกดดันเชิงพาณิชยหรือขอกําหนดตามกฎหมาย ที่ทําให กิจการมีความตั้งใจหรือจําเปนที่ จะยุติรายจายในการดําเนิ นงานในลักษณะใดลั กษณะหนึ่ งใน มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 16/43
อนาคต เช น การติด ตั้ งเครื่องกรองควันสํา หรับ โรงงานบางประเภท ในกรณี นี้ กิจ การตองไมรับ รู ประมาณการหนี้สินเนื่องจากภาระผูกพันในปจจุบันสําหรับรายจายในอนาคตถือวายังไมเกิดขึ้น เพราะ กิจการสามารถหลีกเลี่ยงรายจายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไดดวยการกระทํา ในอนาคตของกิจการเอง เชน การเปลี่ยนวิธีปฏิบัติงาน 20.
แมวาภาระผู กพั นมักจะเกี่ย วขอ งกั บ อีก ฝา ยหนึ่งซึ่ งเปนผู ที่ จะไดรับ ชํา ระภาระผูกพั น แตกิ จการไม จํา เปน ตองทราบวา ผู ที่จะได รับชํา ระภาระผูกพันนั้น เปน ใคร ซึ่ง ตามความเป นจริ งผูที่จะได รับ ชําระ ภาระผูก พันอาจเปนสาธารณชนทั่วไป ดั งนั้ น เนื่องจากภาระผูกพั นมักจะเกี่ยวของกับ การใหคํา มั่ น สัญญากับอีกฝายหนึ่ง การตัดสินใจของฝายบริหารหรือคณะกรรมการจะไมกอใหเกิด ภาระผูกพันจาก การอนุ มาน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ถา การตั ดสิ นใจดังกลาวไมไ ดถู กสื่อสารกอนวั นสิ้นรอบ ระยะเวลารายงานไปยังผูที่ไดรับผลกระทบในลักษณะที่เฉพาะเพียงพอที่จะทําใหผูที่ได รับผลกระทบ เกิดความคาดหมายอยางมีมูลความจริงวากิจการจะรับผิดชอบตอภาระผูกพันที่เกิดขึ้น
21.
เหตุการณที่ไ มกอใหเกิดภาระผูกพันในทันทีอาจกอใหเกิดภาระผูกพันในภายหลั งเนื่องจากกฎหมาย เปลี่ยนแปลงไป หรือการกระทําบางอยางของกิจการที่ทํา ใหภ าระผูกพันจากการอนุมานเกิดขึ้น (เชน การแถลงตอสาธารณชนในลักษณะที่เฉพาะเพียงพอ) ตัวอยางเชน เมื่อกิจการกอใหเกิด ความเสียหาย ต อสิ่ งแวดลอ ม กิจการอาจไม มี ภาระผู กพันที่ จะต องฟน ฟูค วามเสียหายที่ เกิด จากการกระทํ า ของ กิจการ อยางไรก็ตาม เหตุการณที่เปนเหตุใหเกิดความเสียหายจะกลายเปนเหตุการณที่กอใหเกิดภาระ ผูกพันเมื่อ กฎหมายที่ป ระกาศใหมมีผลทําใหกิจการตองแกไขความเสี ยหายที่มีอยู หรื อเมื่อ กิจการ ยอมรับตอสาธารณชนวาจะรับผิด ชอบในการแกไขความเสียหายดังกลาวในลักษณะที่ทํ าใหเกิดภาระ ผูกพันจากการอนุมาน
22.
เมื่อรายละเอียดในรางกฎหมายใหมยังไมผานการพิจารณาขั้นสุดทาย ภาระผูกพันจะเกิดขึ้นเมื่อเปนที่ คาดไดวากฎหมายใหมจะไดรับการบัญญัติขึ้นตามขอกําหนดที่รางไวอยางแนนอน มาตรฐานการบัญชี ฉบั บนี้กํา หนดใหภ าระผูกพั นที่เปนผลจากรา งกฎหมายดั งกล าวถือวาเปนภาระผูกพันตามกฎหมาย อยางไรก็ตาม สถานการณที่แตกตางกันที่เกี่ยวกับการบัญญัติกฎหมายอาจทําใหกิจการไมสามารถระบุ ลงไปไดวาเหตุการณใดจะทําใหการบัญญัติกฎหมายเกิดขึ้นแนนอน ในหลายกรณี กิจการอาจไมมีทาง ทราบวา รา งกฎหมายใหมจะได รับ การบั ญญั ติเปนกฎหมายหรือไมจนกระทั่ งกฎหมายนั้ นไดรับ การ บัญญัติขึ้นจริง
ความเปนไปไดคอนขางแนที่จะสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจ 23.
หนี้สินที่กิจการสามารถรับรูไดตองไมเปนแตเพียงภาระผูกพันในปจจุบันเทานั้น แตตองมีค วามเปนไป ได ค อนข า งแนที่ กิจการจะสูญ เสียทรัพยากรที่ มี ป ระโยชน เชิ ง เศรษฐกิจเพื่ อจ า ยชํ า ระภาระผู กพั น ดั งกลา ว ตามวั ต ถุ ป ระสงค ข องมาตรฐานการบั ญ ชี ฉ บั บ นี้ ความเปน ไปได ค อนข า งแน หมายถึง การสูญเสียทรัพยากรหรือเหตุการณอันจะมีความเปน ไปไดก็ต อเมื่ อเหตุการณนั้นมีค วามเปนไปได ที่ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 17/43
จะเกิดขึ้นมากกวาไมนาจะเกิดขึ้น เมื่อไมมีความเปนไปไดคอนขางแนที่ภาระผูกพันในปจจุบันจะมีอยู กิจ การตองเปด เผยหนี้สินที่ อาจจะเกิด ขึ้น ยกเว นความนา จะเปนที่ กิจ การจะสูญ เสียทรัพ ยากรที่ มี ประโยชนเชิงเศรษฐกิจเพื่อจายชําระภาระผูกพันนั้นจะอยูในระดับไมนาเปนได (ดูยอหนาที่ 86) 24.
หากกิจการมีภาระผูกพันที่คลายคลึงกันหลายรายการ เชน การรับประกันสินคา หรือสัญญาที่คลายคลึง กัน กิจการตองกําหนดความนาจะเปนที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรเพื่อจายชําระภาระผูกพันเหลานั้ น โดยพิจารณาจากความนาจะเปนโดยรวมของภาระผูกพันทั้งประเภท แมวาความเปนไปไดคอนขางแน ที่กิจ การจะสูญเสีย ทรั พยากรเพื่ อจ ายชํา ระภาระผูกพั นบางรายการที่จัด อยู ในประเภทเดีย วกั นจะมี ระดับต่ํา แตอาจมีความเปนไปไดที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรจํานวนหนึ่งไปเพื่อจายชําระภาระผูกพัน โดยรวมทั้งประเภท ในกรณี ดังกลา ว กิจการตองรับรูป ระมาณการหนี้สินหากประมาณการหนี้สินนั้น เปนไปตามเกณฑการรับรูรายการ
การประมาณการภาระผูกพันที่นาเชื่อถือ 25.
การใชป ระมาณการถื อเปนปจ จัยสําคัญในการจัดทํางบการเงิน และไมไดทํา ใหง บการเงิน ขาดความ นาเชื่อถือ โดยเฉพาะอยางยิ่งประมาณการหนี้สิน ซึ่งโดยลักษณะแลว เปนรายการที่มีความไมแนนอน สูงกว ารายการอื่น ที่ บันทึ กอยูใ นงบแสดงฐานะการเงิน ยกเวนในกรณีที่ ยากยิ่ งที่ จะเกิด กิจการจะ สามารถกําหนดชวงของจํานวนรายจายที่นาจะเกิดขึ้น และสามารถประมาณการภาระผูกพันที่ เชื่อถือ ไดอยางเพียงพอที่จะใชรับรูเปนประมาณการหนี้สิน
26.
ในกรณี ที่ยากยิ่งที่ จะเกิด กิจการอาจไมสามารถจัดทํา ประมาณการไดอยางนาเชื่อถือ ทําใหกิจการไม สามารถรับรูห นี้สินนั้นได ดังนั้น กิจการตองเปด เผยขอมูลเกี่ยวกับหนี้สินนั้นเปน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น (ดูยอหนาที่ 86)
หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น 27.
กิจการตองไมรับรูหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น
28.
กิจการตองเปดเผยข อมูลเกี่ยวกับ หนี้สินที่ อาจเกิดขึ้น ตามที่กําหนดไวในยอหนา ที่ 86 เวน แตค วาม นาจะเปนที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจอยูในระดับที่ไมนาเปนไปได
29.
ในกรณีที่กิจการตองรับผิดชอบภาระผูกพันรวมกับผูอื่น กิจการตองถือวาภาระผูกพันสวนที่ผูอื่นตอง รับผิดชอบเปนหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นของกิจการ และรับรูภาระผูกพันสวนที่มีความเปนไปไดคอนขางแน วากิจการจะสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจเปนประมาณการหนี้สิน เวนแตในกรณีที่ยาก ยิ่งที่จะเกิดที่กิจการไมสามารถประมาณมูลคาของหนี้สินนั้นไดอยางนาเชื่อถือ
30.
หนี้ สินที่ อาจเกิ ดขึ้ นอาจเปลี่ ยนแปลงไปจากลั กษณะที่คาดไว แต เริ่ มแรก ดั งนั้ น กิจการต องประเมิ น สถานการณ อย างตอเนื่ องเพื่อกํ าหนดว าความเป นไปได ที่ กิจการจะสู ญเสียทรั พยากรที่ มี ประโยชน เชิ งเศรษฐกิจเกิ ดขึ้ นแล วหรื อไม หากมี ค วามเป น ไปได ค อ นข า งแน ที่ กิ จการจะสูญ เสีย ประโยชน มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 18/43
เชิงเศรษฐกิจในอนาคตสําหรับรายการที่เคยถือเปนหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น กิจการตองรับรูประมาณการ หนี้สินในงบการเงินในงวดที่ความเปนไปไดนั้นไดเปลี่ยนแปลงไป (เวนแตในสถานการณที่ยากยิ่งที่จะ เกิดที่กิจการไมสามารถจัดทําประมาณการไดอยางนาเชื่อถือ)
สินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น 31.
กิจการตองไมรับรูสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น
32.
สินทรัพยที่อาจเกิดขึ้นมักเกิดจากเหตุการณที่ไมไดวางแผนไวหรือไมไดคาดการณไวที่กอใหเกิดความ น าจะเปนที่ กิจ การจะได รับ ประโยชนเชิงเศรษฐกิจ ตัวอยา งเชน การเรีย กร องคา สินไหมทดแทนที่ กิจการกําลังดําเนินการตามกฎหมายซึ่งผลการตัดสินยังไมเปนที่แนนอน
33.
กิจ การตองไมรับ รูสิ นทรัพ ยที่ อาจเกิด ขึ้ นในงบการเงิน เนื่องจากการรั บรูดังกล าวอาจทํ าใหกิจ การ บันทึกรายไดที่อาจจะไมเกิดขึ้น อยางไรก็ตาม หากมีความแนนอนมากวารายไดจะเกิดขึ้นอยางแนนอน รายการดังกลาวไมถือวาเปนสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น และการรับรูรายการดังกลาวถือวาเหมาะสม
34.
กิจการตองเปด เผยขอมูลเกี่ยวกับสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้นตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 89 หากมีค วาม เปนไปไดคอนขางแนที่กิจการจะไดรับประโยชนเชิงเศรษฐกิจ
35.
กิจการตองประเมินสถานการณเกี่ยวกับสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น อยางตอเนื่องเพื่อใหมั่นใจวางบการเงิน จะสะทอนภาพที่เหมาะสมเกี่ยวกับสิน ทรัพยดังกลา ว หากมีค วามแน นอนวาประโยชนเ ชิงเศรษฐกิจ ที่ ไ ด รั บ จะเพิ่ ม ขึ้ น กิ จ การต อ งรั บ รู สิ น ทรั พ ย แ ละรายได ที่ เ กี่ ย วข อ งในงบการเงิ นในงวดที่ มี การ เปลี่ ยนแปลงเกิดขึ้ น ในกรณี ที่มีความเปนไปไดคอนขางแน ที่ กิจการจะได รับ ประโยชนเชิงเศรษฐกิจ กิจการตองเปดเผยขอมูลเกี่ยวกับสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น (ดูยอหนาที่ 89)
การวัดมูลคา ประมาณการที่ดีที่สุด 36.
กิจการตองรับรูประมาณการหนี้สินดวยจํานวนประมาณการที่ดีที่สุดของรายจายที่ตองนําไปจาย ชําระภาระผูกพันในปจจุบัน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน
37.
ประมาณการที่ดีที่สุดของรายจายที่ตองนําไปจายชําระภาระผูกพันในปจจุบัน คือ จํานวนที่สมเหตุสมผล ที่ กิจการจะจ ายเพื่อชําระภาระผูกพันหรื อโอนภาระผูกพันให กับบุ คคลที่สาม ณ วัน สิ้นรอบระยะเวลา รายงาน ตามปกติ ภาระผู กพั นอาจมี จํานวนสูงเกินกว าที่ กิ จการจะจ ายชําระหรื อโอน ณ วั นสิ้นรอบ ระยะเวลารายงาน อยางไรก็ต าม ประมาณการของจํานวนที่ สมเหตุ ผลที่ กิจ การจะจายเพื่ อชํ าระหรือ โอนภาระผูกพั นถือเป นประมาณการที่ ดีที่สุดของรายจายที่ ต องนําไปจายชําระภาระผูกพันในปจจุบัน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 19/43
38.
กิจการต องประมาณรายจ ายและผลกระทบทางการเงิ นโดยใช ดุ ลยพิ นิจของฝายบริ หารของกิจการ ประกอบกับประสบการณที่ไดจากรายการบัญชีที่คลายคลึงกัน และรายงานของผูเชี่ยวชาญอิสระในบาง กรณี หลักฐานที่ ใช ในการพิ จารณาตองรวมถึ งหลักฐานที่ ได รับเพิ่ มเติ มจากเหตุ การณ ภายหลังรอบ ระยะเวลารายงาน
39.
เนื่องจากมีค วามไมแนน อนเกี่ยวกับจํานวนที่จะรับรูเ ปนประมาณการหนี้สิ้น กิจการจึงตองนําวิธีการ หลายวิธีตามสถานการณมาใช หากประมาณการหนี้สินเกี่ยวของกับประชากรขนาดใหญข องรายการ กิจการตองประมาณภาระผูกพันจากการถวงน้ําหนักรายจายที่นาจะเกิดขึ้นทั้งหมดโดยใชความเปนไป ไดที่เกี่ยวของ วิธีทางสถิติที่ใชในการประมาณนี้เรียกวา “มูลค าที่ค าดวาจะเกิด ” ดังนั้น ประมาณการ หนี้ สินอาจมีจํา นวนแตกตางกัน หากความนาจะเปนที่รายจายจะเกิ ดขึ้นมีอัต ราไมเทากัน เชน รอยละ 60 กั บ ร อ ยละ 90 หากรายจ า ยที่ น า จะเกิ ด ขึ้ น ในช ว งจํ า นวนที่ ป ระมาณไว มี ค วามต อ เนื่ อ งกั น และรายจายทุกจุดของชวงจํานวนนั้นมีความนาจะเปน ที่จะเกิดขึ้นเทาเทียมกัน กิจการตองใชรายจายที่ นาจะเกิดขึ้น ณ จุดกึ่งกลางของชวงจํานวนนั้นเปนตัวแทนของประมาณการหนี้สิน ตัวอยาง กิจการขายสินคาโดยใหการรับประกันสินคา กิจการจะรับผิดชอบคาใชจายในการแกไขความเสียหายที่ เกิดขึ้ นของสินคาที่ เสียหายจากการผลิต ภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ ซื้อ ถาความเสียหายเกิดขึ้นเพียง เล็กนอยแตเกิดกับสินคาทุกรายการที่จําหนาย ตนทุน ในการแกไขความเสียหายจะมีจํานวนประมาณ 1 ลา นบาท หากความเสียหายเปน ความเสียหายที่ สํา คั ญ และเกิด กับ สินค าทุ กรายการที่จํา หน า ย คาใชจายในการแกไขความเสียหายจะมีจํานวนประมาณ 4 ลานบาท จากประสบการณในอดีตของกิจการ และความคาดหมายในอนาคตชี้ใหเห็นวาในปที่จะมาถึง 75% ของสินคาที่ขายจะไมมีความเสียหายเกิดขึ้น 20% ของสินคาที่ขายจะมีความเสียหายไมมากนัก 5% ของสินคาที่ขายจะมีความเสียหายที่สําคัญ ตามยอหน าที่ 24 กิจการจะต องประเมินความนาจะเปนของกระแสเงิ นสดที่กิจการจะต องจายสําหรั บ ภาระผูกพันในการรับประกันสินคาโดยรวม มูลคาที่คาดวาจะเกิดขึ้นของคาใชจายในการแกไขความเสียหายมีดังนี้ (75% ของ 0) + (20% ของ 1 ลานบาท) + (5% ของ 4 ลานบาท) = 400,000 บาท
40.
ในการประมาณมูลคาของภาระผูกพันรายการหนึ่งกิจการอาจเห็นวาจํานวนรายจายที่นาจะเกิดขึ้น ที่สุด เฉพาะรายการ คือ ประมาณการที่ดี ที่สุดของหนี้สิน อยางไรก็ตาม ในกรณีดังกลา ว กิจการยังคงตอง พิจารณาถึงรายจายที่เปนไปไดอื่นๆ หากพบวารายจายที่เปนไปไดอื่นๆ เกือบทุกจํานวนมีระดับสูงกวา หรือต่ํากวาจํานวนรายจายที่นาจะเกิดขึ้นที่ สุด ประมาณการที่ดีที่สุด ของหนี้สินจะเปนจํานวนที่สูงกวา หรื อต่ํา กวาดังกลา ว ตัว อยางเชน หากกิจการตองแกไขความผิ ด พลาดสํา คัญที่เกิด จากการกอสร าง มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 20/43
โรงงานหลักใหกับลูกคา กิจการอาจมีค วามเห็น วารายจายที่ นาจะเกิดขึ้น ที่สุดเฉพาะรายการดังกลาว คือ ตนทุนจํานวน 1 พันลานบาท ซึ่งจะเกิดจากการซอมแซมที่ประสบผลสําเร็จในคราวเดียว อยางไรก็ ตาม กิจการอาจตองรับรูประมาณการหนี้สินดว ยจํานวนที่สูงกวา 1 พัน ลานบาท หากมีโอกาสอยางมี นัยสําคัญที่กิจการจะตองทําการซอมแซมหลายครั้งจนกวางานจะสําเร็จลงได 41.
กิ จการต อ งวั ด มู ลค า ประมาณการหนี้ สิ น ก อนหั ก ภาษี เ งิ น ได เพราะผลกระทบทางภาษี แ ละการ เปลี่ยนแปลงดังกลาวจะตองปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 12 เรื่อง ภาษีเงินได
ความเสี่ยงและความไมแนนอน 42.
ในการวัดมูลค าประมาณการหนี้สิน กิจการตองพิจ ารณาถึง ความเสี่ย งและความไม แน นอนที่ ไมอ าจหลีกเลี่ยงที่อยูแวดลอมเหตุการณแ ละสถานการณตางๆ เพื่อ ใหไดม าซึ่งประมาณการที่ดี ที่สุดของประมาณการหนี้สิน
43.
ความเสี่ยงชี้ใหเห็นถึงความผันผวนของรายจาย การปรับปรุงความเสี่ยงอาจทําใหจํานวนของหนี้สิ้นที่ ถูกวั ด มู ล ค า สูงขึ้น ดั งนั้น กิจการต องใช ดุ ลยพินิจอย า งระมั ด ระวั งเมื่ ออยูภ ายใต สถานการณที่ ไ ม แนน อน เพื่อที่จะไมทํ าใหรายไดหรือสิ นทรัพยแสดงดว ยจํา นวนที่สูงเกินไป และทํ าใหคาใช จายและ หนี้สินแสดงดวยจํานวนที่ต่ําเกินไปอยางไรก็ตาม ความไมแนนอนไมใชเหตุผลที่จะนํามาสนับสนุนเพื่อ ประมาณจํา นวนประมาณการหนี้ สิ น ให สู งเกิ น ควรหรื อเพื่ อ รับ รูห นี้ สิน ด ว ยจํ า นวนที่ สูง เกิ น จริ ง ตั วอยา งเชน ถ าตนทุ นที่วางแผนไวสํา หรับ รายจา ยที่เปนผลรา ยอย างยิ่ งไดถูก ประมาณโดยใชหลัก ความระมัด ระวัง กิจการตองไมนําหลักความระมั ดระวัง มาอ างเพื่อกําหนดจํานวนรายจายดังกลาวให สูงกวาความเปนจริงอยางจงใจ แตกิจการตองนําหลักความระมัดระวังมาใชเพื่อหลีกเลี่ยงการนําความเสี่ยง และความไมแนนอนมาปรับปรุงซ้ําซอน ซึ่งจะทําใหประมาณการหนี้สินมีจํานวนสูงเกินกวาที่ควรเปน
44.
กิจการตองเปดเผยขอมูลเกี่ยวกับความไมแนนอนของจํานวนรายจายที่จะเกิดขึ้นจากประมาณการ หนี้สินตามขอกําหนดที่ระบุไวในยอหนาที่ 85.2
มูลคาปจจุบัน 45.
กิจการตองกําหนดจํานวนประมาณการหนี้สินโดยใชมูลคาปจจุบันของรายจายที่คาดวาจะตองนํามา จายชําระภาระผูกพัน หากมูลคาของเงินตามเวลามีผลกระทบตอจํานวนประมาณการหนี้สินนั้นอยาง มีสาระสําคัญ
46.
เนื่ องจากมู ลคาของเงิน ตามเวลา ประมาณการหนี้สินที่ เกี่ยวข องกับ กระแสเงิน สดที่กิจ การตองจา ย ภายหลังรอบระยะเวลารายงานเพียงไม นานจะสร างภาระต อกิ จการมากกวาประมาณการหนี้ สิน ที่ เกี่ ย วขอ งกับ กระแสเงิ นสดจํ า นวนเดี ย วกันที่ กิจ การต องจ า ยภายหลัง รอบระยะเวลารายงานเป น เวลานาน ดังนั้น กิจการตองคิด ลดกระแสเงิน สดที่เกี่ยวของกับประมาณการหนี้สินหากมูลคาของเงิน ตามเวลามีผลกระทบตอจํานวนประมาณการหนี้สินนั้นอยางมีสาระสําคัญ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 21/43
47.
อัตราคิดลด (หรืออัตรา) ตองเปนอัตรากอนหักภาษี ซึ่งสะทอนถึงการประเมินสถานการณตลาด ในป จจุ บันของมูลคาของเงินตามเวลา และความเสี่ ยงเฉพาะของหนี้ สิน ที่กํ าลั งพิ จารณาอยู แต ตองไมสะทอนถึงความเสี่ยงที่ไดปรับกับประมาณการกระแสเงินสดในอนาคต
เหตุการณในอนาคต 48.
จํานวนประมาณการหนี้สิน ต องสะทอนถึงเหตุ การณในอนาคตซึ่งอาจมีผลกระทบต อจํ านวนที่ กิจการตอ งนํ ามาจายชําระภาระผู กพัน หากมี หลักฐานที่ เปนรูปธรรมเพียงพอที่ทํ าใหเชื่อถือไดว า เหตุการณในอนาคตนั้นจะเกิดขึ้น
49.
เหตุ ก ารณ ใ นอนาคตที่ ค าดว า จะเกิ ด ขึ้ น อาจมี ค วามสํ า คั ญ ต อ การวั ด มู ล ค า ประมาณการหนี้ สิ น ตัวอยางเชน กิจการอาจเชื่อว าตนทุน ในการทําความสะอาดสถานที่ ที่ตองจายเมื่อสถานทําการสิ้น สุด อายุการใชงานจะมีจํานวนลดลงเนื่องจากวิทยาการที่เปลี่ยนไป จํานวนประมาณการหนี้สินที่กิจการรับรู ตองสะทอนถึงความคาดหมายที่สมเหตุสมผลของผูสังเกตการณภายนอกซึ่งเปนผูที่มีเหตุมีผลและมี คุ ณ สมบั ติ ท างด า นเทคนิ ค ที่ เ หมาะสม กิจ การต อ งพิ จารณาจากหลั กฐานที่ มี อยู ทั้ ง หมดเกี่ย วกั บ วิท ยาการที่กิจ การสามารถนํา มาใช ไดเมื่ อถึ งเวลาที่ ตองทํา ความสะอาด ดั งนั้ น กิจ การจึ งควรรวม จํานวนตนทุนที่ค าดวาจะประหยัดไดเนื่องจากประสบการณที่เพิ่มขึ้นจากการนํ าวิทยาการที่มีอยูมาใช ในการทําความสะอาด หรือจํา นวนต นทุนที่คาดวาจะเกิดขึ้นในการนําวิทยาการที่ มีอยูมาประยุกตกับ การกําจัดมลพิษที่มีม ากขึ้นหรือที่ซับ ซอนขึ้น อยางไรก็ตาม กิจการตองไมค าดหวังวาวิทยาการในการ กํา จัด มลพิษจะมี การพั ฒนาให ดีขึ้นอย างสิ้ นเชิง หากกิ จการไม มีห ลักฐานสนับ สนุนที่ เปนรูป ธรรม เพียงพอ
50.
กิจการตองนําผลกระทบของกฎหมายใหมที่มีความเปนไปไดมาพิจารณาเพื่อวัดมูลคาภาระผูกพันที่มี อยูหากหลักฐานที่เปนรูปธรรมเพียงพอดังกลาวทําใหเชื่อถือไดวากฎหมายนั้นนาจะไดรับการบัญญัติ ขึ้นอยางแนนอน สภาพการณที่หลากหลายทําใหไมสามารถกําหนดไดวาเหตุการณหนึ่งเหตุการณใดจะ ใหหลักฐานที่เปนรูป ธรรม และเพียงพอในทุกกรณี โดยหลักฐานดังกลาวตองกําหนดวาจะมีกฎหมาย ที่ใชบังคับใดบางที่ตองใชและมีความแนนอนที่กฎหมายนั้นจะไดรับการบัญญัติและมีผลบังคับใช
การจําหนายสินทรัพยที่คาดวาจะเกิดขึ้น 51.
กิจการตองไมนําผลกําไรจากการจําหนายสินทรั พยที่คาดวาจะเกิดขึ้นมารวมพิจารณาในการวัด มูลคาประมาณการหนี้สิน
52.
กิจการตองไมนํารายการผลกําไรที่คาดวาจะเกิดขึ้นจากการจําหนายสินทรัพยมารวมพิจารณาในการวัด มูลคาประมาณการหนี้สิน แมวาการจําหนายที่คาดวาจะเกิดขึ้นจะเกี่ยวโยงอยางใกลชิดกับเหตุการณที่ กอใหเกิดประมาณการหนี้สิน แตกิจการตองรับรูผลกําไรที่คาดวาจะเกิดขึ้นจากการจําหนายสินทรัพย ณ เวลาที่กําหนดไวในมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่นที่เกี่ยวของกับสินทรัพยที่คาดวาจะจําหนายนั้น
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 22/43
รายจายที่จะไดรับชดเชย 53.
หากกิจการคาดวาจะได รับรายจายทั้งหมดหรือบางสวนคืนจากบุคคลที่ สามตามจํานวนที่กิจ การ จายไปเพื่อชําระประมาณการหนี้สิน กิจการจะตองรับรูรายจายที่จะไดรับชดเชยเปน สินทรัพยไดก็ ตอเมื่ อกิจการคาดว าหลังจากที่จายชําระภาระผูกพัน แลวกิจการนา จะไดรับ รายจายนั้น คืน อยา ง แนนอน กิจการตองรับรูรายจายที่จะไดรับชดเชยเปนสินทรัพ ยแยกตางหากแตต องไมเกินจํานวน ประมาณการหนี้สินที่เกี่ยวของ
54.
กิ จการอาจแสดงค าใชจา ยที่ เกี่ ยวของกั บ ประมาณการหนี้สิน ในงบกํ าไรขาดทุ นเบ็ด เสร็จโดย แสดงสุทธิจากจํานวนรายจายที่จะไดรับชดเชยที่รับรูไว
55.
ในบางครั้ง กิจการอาจสามารถเรียกรองใหบุคคลที่ส ามจ ายรายจายทั้ งหมดหรือบางสวนที่กิจการจาย ไปเพื่อชํ าระประมาณการหนี้สิน ตั วอย า งเชน กิจ การมีสัญ ญาประกัน ภัย สั ญญาชดเชยคาสินไหม ทดแทน หรือไดรับการประกันจากผูขายสินคาหรือใหบริการในกรณีดังกลาวบุคคลที่สามอาจชดใชเงิน ที่กิจการจายอออกไปกอนหรือจายชําระภาระผูกพันโดยตรงแทนกิจการ
56.
ในกรณีทั่วไป กิจการยังคงตองรับผิดชอบที่จะตองจายจํานวนที่กําลังมีปญหากันอยูทั้งหมด เนื่องจาก กิจการอาจตองจายชําระรายจายทั้ งจํานวนหากบุค คลที่สามไม สามารถจายชํา ระเนื่องจากเหตุ ผลบาง ประการ ในกรณีดังกลาวกิจการตองรับรูประมาณการหนี้สินดวยจํานวนหนี้สินทั้งสิ้นที่จะตองจาย และ รับรูรายจายที่คาดวาจะไดรับชดเชยเปนสินทรัพยแยกตางหาก เมื่อกิจการมีความแนใจอยางมากวาจะ ไดรับรายจายนั้นคืนหลังจากที่กิจการจายชําระหนี้สินแลว
57.
ในบางกรณี กิ จการไมต องรับ ผิด ชอบจํา นวนรายจ ายที่กํา ลังมีปญหากัน อยู แมวาบุคคลที่สามจะไม สามารถจา ยชําระรายจา ยดังกล า ว ในกรณีนี้ รายจายดังกล าวไม ถือเปนหนี้ สินและกิจการต องไมนํ า รายจายนั้นไปรวมบันทึกเปนประมาณการหนี้สิน
58.
ตามข อกําหนดที่ระบุไวในยอหนาที่ 29 กิจการตองถือวาภาระผู กพันที่กิจการรับผิดชอบรวมกับผูอื่น เปนหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นเทากับจํานวนภาระผูกพันที่คาดวาผูที่รับผิดชอบรวมกับกิจการจะตองจายชําระ
การเปลี่ยนแปลงประมาณการหนี้สิน 59.
กิจการตอ งทบทวนประมาณการหนี้สิน ณ วันสิ้น รอบระยะเวลารายงาน และปรับ ปรุ งประมาณ การหนี้สินดังกลาวเพื่อ สะทอ นใหเ ห็น ถึง ประมาณการที่ ดีที่สุดในปจจุ บัน กิจ การต องกลับบั ญชี ประมาณการหนี้ สิ น หากไม มี ค วามน า จะเป น ที่ กิ จ การจะสู ญ เสี ย ทรั พ ยากรที่ มี ป ระโยชน เชิงเศรษฐกิจเพื่อจายชําระภาระผูกพันอีกตอไป
60.
หากกิจการมีการคิด ลดกระแสเงิ นสดที่เกี่ยวกับประมาณการหนี้สิน มู ลคาตามบัญชีของประมาณการ หนี้สินจะเพิ่มขึ้นในแตละงวดตามเวลาที่ผานไป กิจการตองรับรูการเพิ่มขึ้นดังกลาวเปนตนทุนการกูยืม มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 23/43
การนําประมาณการหนี้สินมาใช 61.
กิจการจะนําประมาณการหนี้สินมาใชไดเฉพาะกับรายจายที่กิจการรับ รูเปนประมาณการหนี้สินไว แตเดิม
62.
กิจการจะนํารายจายมาตัดประมาณการหนี้สินไดเฉพาะรายจายที่กิจการรับรูเปนประมาณการหนี้สินไว แตเดิมเทานั้น การนํารายจายที่รับรูไวเพื่อวัตถุประสงคอื่นมาตัดประมาณการหนี้สินอาจทําใหไมเห็น ผลกระทบของเหตุการณสองเหตุการณที่แตกตางกัน
การนําขอกําหนดเกี่ยวกับการรับรูและการวัดมูลคามาปฏิบัติ ขาดทุนจากการดําเนินงานในอนาคต 63.
กิจการตองไมรับรูประมาณการหนี้สินสําหรับขาดทุนจากการดําเนินงานในอนาคต
64.
ขาดทุน จากการดํา เนิ นงานในอนาคตไมเ ปนไปตามคํา นิยามของหนี้สิ นที่ กํา หนดไวใ นยอหนาที่ 10 และเกณฑการรับรูประมาณการหนี้สินที่กําหนดไวในยอหนาที่ 14
65.
การคาดคะเนขาดทุ นจากการดํ า เนิ น งานในอนาคตชี้ ใ ห เ ห็ น ว า สิน ทรั พ ยบ างรายการที่ ใ ช ใ นการ ดําเนินงานอาจเกิดการดอยคา กิจการตองทดสอบการดอยคาของสินทรัพยตามขอกําหนดที่ระบุไวใน มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย
สัญญาที่สรางภาระ 66.
กิจการตอ งรับรูแ ละวั ดมู ลคาภาระผู กพั นในปจ จุบันซึ่งเกิด จากสัญญาที่ สร างภาระเป นประมาณ การหนี้สิน
67.
สัญญาหลายประเภทสามารถที่จะลมเลิกไดโดยไมจํา เปน ที่กิจการจะตองจายเงิน ชดเชยใหกับอีกฝา ย หนึ่ ง ตัวอย างเชน การสั่ งซื้อที่ทําเปนประจํา ดังนั้น สัญญาดังกล าวจึง ไมกอ ให เกิด ภาระผูกพั นกับ กิจ การ แตสัญญาอีก ประเภทหนึ่งกอ ให เกิด ทั้งสิท ธิแ ละภาระผู กพั นกับ คูสัญญาแตล ะฝา ยในเวลา เดียวกัน ในกรณีที่ เหตุก ารณบ างอยา งกอให เกิด สัญญาที่ส รา งภาระ สัญ ญานั้ นจะอยูภ ายใต ขอบเขต ของมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ และกิจการตองรับรูหนี้สินที่มีอยูนั้น ในทางกลับกัน สัญญาที่มีผลบังคับ แลวแตยังไมเปนสัญญาที่สรางภาระจะไมอยูภายใตขอบเขตของมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้
68.
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ใหคํานิยามสําหรับคําวาสั ญญาที่สรางภาระวา หมายถึง สัญญาที่กอใหเกิด ตนทุนที่ไมอาจหลีกเลี่ยงไดจากการปฏิบัติตามภาระผูกพันที่ระบุไวภายใตสัญญา ซึ่งตนทุนดังกลาวมี จํานวนสูงกวาประโยชนเ ชิงเศรษฐกิจที่ค าดวาจะไดรับจากสัญญานั้น ตนทุ นที่ไมอาจหลี กเลี่ยงได คือ ตนทุนสุทธิที่ต่ําที่สุดตามสัญญาซึ่งเปนตนทุนที่ตองจายเพื่อปฏิบัติตามสัญญาหรือตนทุนคาชดเชยหรือ คาปรับที่ตองจายเนื่องจากการไมปฏิบัติตามสัญญาแลวแตวาตนทุนใดจะต่ํากวา มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 24/43
69.
กอนจะรับรูประมาณการหนี้สินแยกตางหากสําหรับสัญญาที่สรางภาระ กิจการตองรับรูรายการขาดทุน จากการดอยคาที่เกิดขึ้นจากสินทรัพยที่ระบุไวในสัญญา (ดูมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 36 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การดอยคาของสินทรัพย)
การปรับโครงสราง 70.
ตัวอยางตอไปนี้เปนเหตุการณที่อาจถือเปนการปรับโครงสรางตามคํานิยาม 70.1 การขายหรือการยกเลิกสายงานธุรกิจ 70.2 การป ดสถานประกอบการทางธุรกิ จในประเทศหรือ ภูมิ ภาคหนึ่ง หรือการยายกิ จกรรมทาง ธุรกิจจากประเทศหรือภูมิภาคหนึ่งไปยังประเทศหรือภูมิภาคอื่น 70.3 การเปลี่ยนแปลงโครงสรางการบริหาร เชน การลดระดับชั้นทางการบริหาร 70.4 การปรับโครงสรา งขั้นพื้นฐานขององคกรที่มีผ ลกระทบอยางเปนสาระสํ าคัญ ตอ ลักษณะและ จุดมุงหมายในการปฏิบัติงานของกิจการ
71.
กิจการจะรับรูต นทุน การปรับโครงสรา งเปนประมาณการหนี้สินได ก็ต อเมื่อเปน ไปตามเกณฑในการ รับรูประมาณการหนี้สินตามที่กําหนดไวในยอหนา ที่ 14 สวนการนําเกณฑดังกลาวมาปฏิบัติ กับการ ปรับโครงสรางไดกําหนดไวในยอหนาที่ 72 ถึง 83
72.
การปรั บโครงสร างจะกอใหเ กิ ด ภาระผูก พั น จากการอนุ ม านได ก็ ต อเมื่ อกิ จ การได ปฏิ บั ติ ต าม ขอกําหนดทุกขอตอไปนี้ 72.1 กิจการมีแผนการปรับ โครงสรางที่เ ปนทางการอยางละเอี ยด ซึ่ งระบุถึ งรายการต อไปนี้ เปนอยางนอย 72.1.1 ธุรกิจหรือสวนของธุรกิจที่เกี่ยวของ 72.1.2 สถานประกอบการหลักที่จะไดรับผลกระทบ 72.1.3 สถานประกอบการ หนวยงาน และจํ านวนพนัก งานโดยประมาณที่จะไดรั บ คาชดเชยจากการเลิกจาง 72.1.4 รายจายที่กิจการจะตองรับภาระ 72.1.5 เวลาที่จะมีการปฏิบัติตามแผนการปรับโครงสราง 72.2 กิจการทําใหผูถูกกระทบจากแผนการปรับโครงสรางเกิดความคาดหมายอยางมีมูลความ จริงว ากิจการจะดําเนินการปรับ โครงสรา งโดยเริ่ มปฏิบัติ ตามแผนการปรับ โครงสราง หรือโดยการประกาศลักษณะหลักของแผนนั้นใหผูไดรับผลกระทบทราบ
73.
ตัวอยา งของหลั กฐานที่แสดงวากิ จการได เริ่ม ปฏิ บัติตามแผนการปรับ โครงสร าง ไดแก การรื้อถอน โรงงาน การขายสิ นทรั พย หรื อการประกาศให สาธารณชนทราบถึงลั กษณะหลั กของแผนการปรั บ โครงสราง การประกาศให สาธารณชนทราบถึงแผนการปรับโครงสรางในรายละเอียดจะกอให เกิดภาระ ผูกพันจากการอนุมานไดก็ตอเมื่อการประกาศนั้นทํา อยางละเอียดเพียงพอ (เช น เริ่มดําเนินงานตาม มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 25/43
แผนงานหลั ก) ที่จ ะสร างความคาดหมายอยางมีมูล ความจริงใหกับผูได รับผลกระทบ ได แก ลูกคา ผูขายสินคา พนักงาน (หรือตัวแทนพนักงาน) วากิจการจะดําเนินการปรับโครงสราง 74.
แผนการปรับโครงสรางจะถือวาเพียงพอที่จะกอใหเกิดภาระผูกพันจากการอนุมานเมื่อกิจการประกาศ ใหผูถูกกระทบทราบ กิจการจําเปนที่จะตองเริ่มปฏิบัติตามแผนการปรับโครงสรางใหเ ร็วที่สุดเทาที่จะ เป น ไปได และดํ า เนิ น การปรั บ โครงสร า งให แ ล ว เสร็ จ ภายในกรอบเวลาที่ ไ ม น า ทํ า ให เ กิ ด การ เปลี่ยนแปลงที่มีนัยสําคัญตอแผนนั้น หากการปรับโครงสรางคาดวาจะเริ่มตนลาชาหรือจะใชเวลานาน จนไมสมเหตุสมผล แผนการปรับโครงสรางนั้นไมนาจะสรางความคาดหมายอยางมีมูลความจริงใหกับ ฝายอื่นๆ ซึ่งกิจการผูกมัดไวในปจจุบันวาจะทําการปรับโครงสราง เนื่องจากกรอบเวลาดังกลาวทําให กิจการมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงแผนการปรับโครงสรางได
75.
การตัดสินใจของฝายบริหารหรือคณะกรรมการที่จะปรับโครงสรางกอนวันสิ้นรอบระยะเวลารายงานจะ ไมกอใหเกิดภาระผูกพันจากการอนุมาน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ถากิจการไมไดปฏิบัติตามขอ ใดขอหนึ่งตอไปนี้กอนวันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน 75.1 เริ่มปฏิบัติตามแผนการปรับโครงสราง หรือ 75.2 ประกาศลักษณะหลัก ของแผนการปรับโครงสรางใหผูไดรับผลกระทบทราบ การประกาศนั้น ตองเปนไปในลักษณะที่เฉพาะเจาะจงเพียงพอที่จะสรา งความคาดหมายอยางมีมูลความจริง แกผูไดรับผลกระทบวากิจการจะดําเนินการปรับโครงสราง ในกรณีที่กิจการเริ่มปฏิบัติตามแผนการปรับโครงสรางหรือประกาศลักษณะหลักใหผูไดรับผลกระทบ ทราบภายหลังรอบระยะเวลารายงาน กิจการตองเปด เผยขอมูลตามที่กําหนดไวในมาตรฐานการบัญ ชี ฉบับที่ 10 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง เหตุการณภายหลังรอบระยะเวลารายงาน หากการปรับโครงสราง นั้ น มี ส าระสํา คั ญ และการไม เ ปด เผยข อมูลจะมี ผ ลกระทบต อการตั ด สินใจเชิ งเศรษฐกิ จของผู ใ ช งบการเงิน
76.
แม ว า การตั ด สิ น ใจของฝ า ยบริ ห ารเพี ย งอย า งเดี ย วจะไม ก อ ให เ กิ ด ภาระผู ก พั น จากการอนุ ม าน แตเหตุการณที่เกิดขึ้นกอนหนานั้นประกอบกับการตัดสินใจของฝายบริหารอาจกอใหเ กิดภาระผูกพัน ดังกลา ว ตัวอยางเชน การเจรจาตอรองกับตัวแทนพนักงานเกี่ยวกับเงินที่จะจายเมื่อเลิกจางหรือการ ต อรองกับ ผู ที่ จะซื้อ การดํ า เนิน งาน การเจรจาดั งกล าวจะสรุ ปผลได ก็ ต อเมื่ อได รับ การอนุ มั ติ จาก คณะกรรมการ เมื่ อ การอนุ มั ติ ไ ด เ กิ ด ขึ้ น และมี ก ารสื่อ สารให ฝ า ยอื่ น ๆ ทราบจะถื อว า กิจ การได กอใหเกิดภาระผูกพันจากการอนุมานที่จะปรับโครงสราง หากเปนไปตามเงื่อนไขทุกขอที่ระบุไวในยอ หนาที่ 72
77.
ในบางกรณีคณะกรรมการจะได รับสิทธิใหมี อํานาจสูงสุด โดยคณะกรรมการจะประกอบดวยตัวแทน ของกลุ ม ผลประโยชน ที่ ไ ม ใ ช ฝ า ยบริ ห าร เช น ตั ว แทนพนั ก งาน หรื อ ในกรณี ที่ ค ณะกรรมการ จําเปน ตองแจงตอตัวแทนดังกลาวกอนที่จะตัด สินใจปรับโครงสร าง ภาระผูกพั นจากการอนุม านของ
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 26/43
กิจการในการปรับ โครงสรา งอาจเกิด ขึ้นเนื่ องจากการตัดสิ นใจของคณะกรรมการไดเกี่ยวข องกับการ สื่อสารกับตัวแทนของกลุมผลประโยชนแลว 78.
เมื่อกิจการขายการดําเนิน งาน ภาระผูกพันจะไมถือวาเกิ ดขึ้น จนกระทั่งกิจการไดผูกมัดที่จะขาย การดําเนินงานนั้น เชน มีการทําสัญญาขายที่มีผลบังคับตามกฎหมาย
79.
แมวากิจการตัดสินใจที่จะขายการดําเนินงาน และไดประกาศถึงการตัดสินใจนั้นตอสาธารณชน กิจการ ยังไมถือวาไดผูกมัดที่จะขายการดําเนินงานนั้นจนกระทั่งกิจการสามารถระบุผูซื้อและตกลงทําสัญญา ขายที่มี ผ ลบั งคับตามกฎหมาย ตราบใดที่ กิจ การยังไม ไดทํา สัญญาขายที่มีผ ลบั งคับ ตามกฎหมาย กิจการยังคงสามารถเปลี่ยนใจและอาจดําเนิ นการเป นอยางอื่น หากกิจการไม สามารถหาผูซื้อที่จะตก ลงตามเงื่อนไขที่กิจการยอมรับได หากการขายการดําเนินงานถือเปนสวนหนึ่งของการปรับโครงสรา ง กิจการตองทบทวนการด อยค าของสินทรัพยที่ ใช ในการดํ า เนิน งานนั้นตามขอกํา หนดที่ ระบุ ไว ใ น มาตรฐานการบั ญชี ฉบั บ ที่ 36 (ปรับ ปรุง 2552) เรื่อง การด อยคาของสินทรัพย เมื่ อการขายการ ดําเนินงานเปน เพียงส วนหนึ่ งของการปรับโครงสราง ภาระผูกพันจากการอนุ มานอาจเกิด ขึ้น กับ สว น อื่นๆ ของการปรับโครงสรางกอนที่กิจการจะทําสัญญาขายที่มีผลบังคับตามกฎหมาย
80.
ประมาณการหนี้ สิ น จากการปรั บ โครงสร า งต อ งรวมรายจ า ยโดยตรงที่ เ กิ ด ขึ้น จากการปรั บ โครงสรางที่เปนไปตามเงื่อนไขทุกขอตอไปนี้ 80.1 จําเปนตองเกิดในการปรับโครงสรางนั้น 80.2 ไมเกี่ยวของกับกิจกรรมที่มีอยูอยางตอเนื่องของกิจการ
81.
ประมาณการหนี้สินจากการปรับโครงสรางตองไมรวมรายจายตอไปนี้ 81.1 คาอบรมหรือคายายสถานที่ของพนักงานที่ยังจางงานอยู 81.2 คาใชจายทางการตลาด หรือ 81.3 เงินลงทุนในระบบหรือเครือขายใหมที่เกี่ยวของกับการจําหนาย รายจายขางตนเกี่ยวของกับการดําเนินธุรกิจในอนาคต และไมถือเปนหนี้สินสําหรับการปรับโครงสราง ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน กิจการตองรับรูรายจายดังกลาวโดยใชเกณฑการรับรูรายการเสมือนวา รายจายนั้นเกิดขึ้นอยางเปนอิสระจากการปรับโครงสราง
82.
กิจการตองไมนําขาดทุนจากการดําเนินงานที่ จะเกิดขึ้น ในอนาคต ซึ่ง สามารถระบุไดจนถึงวันที่ มีการ ปรับโครงสรางมารวมเปนประมาณการหนี้สิน ถาผลขาดทุนนั้นไมเกี่ยวของกับสัญญาที่สรางภาระตาม คํานิยามที่ระบุไวในยอหนาที่ 10
83.
ตามขอกําหนดที่ระบุไวในยอหนาที่ 51 กิจการตองไมนํารายการผลกําไรจากการจําหนายสิน ทรัพยที่ คาดวาจะเกิด ขึ้น มาพิจารณาในการวั ดมู ลคาประมาณการหนี้สินจากการปรับโครงสรา ง แม วาการ จําหนายสินทรัพยนั้นจะถือเปนสวนหนึ่งของการปรับโครงสราง
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 27/43
การเปดเผยขอมูล 84.
กิจการตองเปดเผยขอมูลตอไปนี้สําหรับประมาณการหนี้สินแตละประเภท 84.1 จํานวนประมาณการหนี้สิน ณ วันตนงวดและวันสิ้นงวดรายงาน 84.2 จํา นวนประมาณการหนี้สิน ที่รั บรู เพิ่ มเติ มในระหวางงวด ซึ่งรวมถึงจํานวนที่เ พิ่ม ขึ้นของ ประมาณการหนี้สินที่มีอยู 84.3 จํานวนที่ตัดออกจากบัญชีป ระมาณการหนี้สิน ในระหวางงวด (เชน รายจายที่เกิดขึ้นและ นําไปลดประมาณการหนี้สิน) 84.4 จํานวนประมาณการหนี้สินที่ไมไดใชที่ตองกลับบัญชีในระหวางงวด 84.5 จํานวนคิดลดที่เพิ่มขึ้นในระหวางงวดของประมาณการหนี้สินเนื่องจากเวลาที่ผานไปและ จากผลของอัตราคิดลดที่เปลี่ยนแปลง กิจการไมจําเปนตองแสดงขอมูลเปรียบเทียบ
85.
กิจการตองเปดเผยขอมูลตอไปนี้สําหรับประมาณการหนี้สินแตละประเภท 85.1 คําอธิบายโดยสังเขปเกี่ยวกับลักษณะของภาระผูกพันและจังหวะเวลาที่กิจการคาดว าจะ สูญเสียประโยชนเชิงเศรษฐกิจ 85.2 สิ่งที่ ชี้บ อกความไม แ น น อนเกี่ ยวกับจํ านวนหรือจังหวะเวลาของการสูญ เสียประโยชน เชิงเศรษฐกิ จ กิ จการต องเป ดเผยข อสมมติที่สํา คัญ ที่ใ ชเ กี่ ยวกั บ เหตุก ารณใ นอนาคต (ตามที่ระบุ ในยอหนาที่ 48) เมื่อกิจการจําเปนตองเปดเผยขอมูลใหเพียงพอ และ 85.3 จํานวนรายจา ยที่ คาดวา จะไดรับ ชดเชย โดยระบุจํ านวนสินทรัพ ยที่ กิ จการรับรู สํา หรั บ รายจายที่คาดวาจะไดรับชดเชยนั้น
86.
กิ จ การต อ งให คํ า อธิ บ ายโดยสัง เขปเกี่ ย วกั บ ลั ก ษณะของหนี้ สิน ที่ อ าจเกิ ด ขึ้น แต ล ะประเภท ณ วั น สิ้น รอบระยะเวลารายงาน และเป ด เผยขอ มู ลต อไปนี้ ห ากทํ า ได ใ นทางปฏิ บั ติ เว น แต ความนาจะเปนที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรเพื่อจายชําระหนี้สินนั้นอยูในระดับไมนาเปนไปได 86.1 ประมาณการผลกระทบทางการเงิน ซึ่งวัดมูลคาตามขอกําหนดที่ระบุไวในยอหนาที่ 36 ถึง 52 86.2 สิ่งที่ ชี้บ อกความไม แ น น อนเกี่ ยวกับจํ านวนหรือจังหวะเวลาของการสูญ เสียประโยชน เชิงเศรษฐกิจ และ 86.3 ความนาจะเปนที่จะไดรับชดเชย
87.
ในการกําหนดวาประมาณการหนี้สินหรือหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นรายการใดอาจนํ ามารวมไวเปนประเภท เดียวกัน กิจการตองพิจารณาวารายการต างๆ มีลักษณะคลายคลึ งกัน อยา งเพีย งพอจนทําใหกิจการ สามารถใชขอความเดียวกันในการอธิบายถึงรายการเหลานั้น และสามารถบรรลุเงื่อนไขที่กําหนดไวใน ยอหนา ที่ 85.1 85.2 86.1 และ 86.2 ได ดัง นั้น การจะรวมจํานวนที่เกี่ย วของกับการประกันสิน คา มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 28/43
ตางชนิ ดไวเปนประมาณการหนี้สินประเภทเดียวกัน จึงอาจถือเปนการเหมาะสม แต การนําจํานวนที่ เกี่ยวของกับการรับประกันสินคาปกติและจํานวนที่จะเกิด จากการฟองรองตามกฎหมายมารวมไวเปน ประมาณการหนี้สินประเภทเดียวกันจึงอาจถือเปนการไมเหมาะสม 88.
หากประมาณการหนี้สินและหนี้สินที่ อาจเกิด ขึ้น เกิดจากสถานการณชุด เดี ยวกัน กิจการตองเปดเผย ขอมู ลตามที่ กํา หนดไวในยอหนาที่ 84 ถึ ง 86 ในลักษณะที่แสดงใหเห็ นถึง ความเกี่ย วพันระหวา ง ประมาณการหนี้สินและหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นนั้น
89.
เมื่อกิ จการมีความเปนไปได คอ นข างแนที่ จะได รับ ประโยชน เชิงเศรษฐกิจ กิจ การตองเปดเผย คําอธิบายโดยสังเขปเกี่ยวกับลัก ษณะของสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น ณ วัน สิ้นรอบระยะเวลารายงาน กิจการตอ งเปด เผยประมาณการผลกระทบทางการเงิน ซึ่ งวั ดมู ลคาตามข อกํ าหนดที่ร ะบุไ วใ น ยอหนาที่ 36 ถึง 52 หากสามารถทําไดในทางปฏิบัติ
90.
เมื่อกิ จการเปดเผยขอมูลเกี่ยวกับสินทรัพยที่อาจเกิด ขึ้น กิ จการต องหลีกเลี่ยงการชี้แ นะที่อาจทํ าให เขาใจผิดเกี่ยวกับระดับความนาจะเปนที่รายไดจะเกิดขึ้น
91.
หากกิจการไมเปดเผยขอมูลตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 86 และ 89 เนื่องจากไมสามารถทําได ในทางปฏิบัติ กิจการตองเปดเผยขอเท็จจริงดังกลาว
92.
ในกรณีที่ยากยิ่งที่จะเกิดที่กิจการจะสามารถคาดการณไดวาการเปดเผยขอมูลทั้งหมดหรือบางสวน ตามที่กําหนดไวในยอหนาที่ 84 ถึง 89 จะทําให สถานะของกิจการเกี่ยวกับขอพิพาทกับฝายอื่นๆ ในเรื่องเกี่ ยวกับประมาณการหนี้สิน หนี้ สินที่อาจเกิ ดขึ้ น หรื อสิ นทรั พย ที่อาจเกิ ดขึ้ น เกิดความ โอนเอียงอยางรุน แรง ในกรณีนี้ กิ จการไมจําเปนต องเปดเผยขอมูลดังกลาว แตต องเปด เผยถึง ลักษณะทั่วไปของขอพิพาทพรอมกับขอเท็จจริงและเหตุผลของการไมเปดเผยขอมูลนั้น
การปฏิบัติในชวงเปลี่ยนแปลง 93.
กิจการตอ งรับ รูผ ลกระทบจากการปฏิบัติ ตามมาตรฐานการบั ญชีฉบับนี้ ณ วันถือ ปฏิบัติ (หรือ กอนวันถือปฏิบัติ ) โดยการปรับปรุ งกับกํ าไรสะสมตน งวดของงวดแรกที่กิ จการได นํามาตรฐาน การบัญชีฉบับนี้มาถือปฏิบัติ มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ส นับ สนุน แตไม ไดกําหนดใหกิจการตอง ปรั บ ปรุ ง กํ า ไรสะสมต น งวดของงวดก อ นที่ นํ า เสนอ หรื อ ปรั บ ย อ นหลั ง ข อ มู ล เปรี ย บเที ย บ หากกิจการไมไดปรับยอนหลังขอมูลเปรียบเทียบกิจการตองเปดเผยขอเท็จจริงดังกลาว
94.
(ยอหนานี้ไมใช)
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 29/43
วันถือปฏิบัติ 95.
มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ใหถือปฏิบัติกับ งบการเงิน สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2554 เป นต นไป ทั้ งนี้ สนั บสนุนให นําไปใช ก อนวั นถือปฏิ บั ติ หากกิจ การนํ า มาตรฐาน การบัญชีฉบับ นี้ไปถือ ปฏิบั ติสําหรับ รอบระยะเวลาบั ญชีที่เริ่ม กอ นวันที่ 1 มกราคม 2554 กิ จการ ตองเปดเผยขอเท็จจริงดังกลาวดวย
96.
(ยอหนานี้ไมใช)
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 30/43
ภาคผนวก ภาคผนวก ก ตาราง - ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น สินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น และ รายจายที่จะไดรับชดเชย ภาคผนวกนี้ ทํ า ขึ้ น เพื่ อ เป น แนวทางเท า นั้ น และไม ถื อ เป น สว นหนึ่ ง ของมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น
ประมาณการหนี้สิน และหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น ผลของเหตุ การณ ในอดีตทํา ให กิจการอาจสูญเสียทรัพ ยากรที่ มีป ระโยชนเ ชิงเศรษฐกิจในอนาคตเพื่ อ จายชําระ ก) ภาระผูกพันในปจจุบัน หรือ ข) ภาระผูก พันที่เปนไปไดที่อาจเกิดจากเหตุการณในอดีต ซึ่งจะรูวามี อยูจ ริ งก็ ตอเมื่ อเหตุ ก ารณอยา งน อยหนึ่ งเหตุ ก ารณในอนาคตที่ยัง ไม แ นน อนไดเ กิ ด ขึ้น หรือไมเกิดขึ้น และไมอยูในความควบคุมทั้งหมดของกิจการ มี ภ าระผู ก พั น ในป จ จุ บั น ซึ่ ง มี มี ภ าระผู ก พั น ที่ อ าจเกิ ด ขึ้ น มี ภ าระผู ก พั น ที่ เ ป น ไปได หรื อ ความเป น ไปได ค อนขา งแน ที่ หรื อ ภาระผู ก พั น ในป จ จุ บั น ที่ ภา ระ ใน ป จ จุ บั น ที่ กิ จก ารจ ะ กิจการจะสูญเสียทรัพยากร อาจจะหรื อ อาจจะไม ทํ า ให สูญเสียทรัพยากรไมนาเปนไปได กิจการสูญเสียทรัพยากร กิ จ การต อ งรั บ รู ป ระมาณการ กิจการตองไมรับ รูป ระมาณการ กิ จ การต อ งไม รั บ รู ป ระมาณการ หนี้สิน (ยอหนาที่ 14) หนี้สิน (ยอหนาที่ 27) หนี้สิน (ยอหนาที่ 27) กิ จ ก า ร ต อ ง เ ป ด เ ผ ย ข อ มู ล กิ จ ก า ร ต อ ง เ ป ด เ ผ ย ข อ มู ล กิ จ การไม ต อ งเป ด เผ ยข อมู ล เกี่ ย วกั บ ประมาณการหนี้ สิ น เกี่ ย วกั บ หนี้ สิ น ที่ อ าจเกิ ด ขึ้ น (ยอหนาที่ 86) (ยอหนาที่ 84 และ 85) (ยอหนาที่ 86) ในกรณีที่ ยากยิ่ งที่จะเกิด เมื่อกิจ การไม สามารถรับรูหนี้สินได เนื่องจากไม สามารถวัด มู ลค าหนี้สินไดอยา ง นาเชื่อถือ หนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจะยังคงเกิดขึ้น และกิจการยังคงตองเปดเผยขอมูลเกี่ยวกับหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 31/43
สินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น สินทรัพยอาจเกิดขึ้นจากเหตุการณในอดีต ซึ่งจะรูวาสินทรัพ ยดังกลาวมีอยูจริงก็ตอ เมื่อเหตุการณใน อนาคตที่ยังไมแนนอนอยางนอยหนึ่งเหตุก ารณไดเ กิดขึ้นหรือไมเกิดขึ้น และไมอยูในความควบคุม ทั้งหมดของกิจการ กิจการนาจะไดรับ กิจการมีความเปนไปไดคอนขางแนที่ กิจการไมมีความเปนไปไดคอนขาง ประโยชนเชิงเศรษฐกิจ จะไดรับประโยชนเชิงเศรษฐกิจ แตยัง แนที่จะไดรับประโยชนเชิง อยางแนนอน ไมแนนอน เศรษฐกิจ สินทรั พยดังกล าวไม ถือ กิจการตองไมรับรูสินทรัพย กิ จ ก า ร ต อ ง ไ ม รั บ รู สิ น ท รั พ ย ว า เป น สิ น ทรั พ ย ที่ อ าจ (ยอหนาที่ 31) (ยอหนาที่ 31) เกิดขึ้น (ยอหนาที่ 33) กิ จ การต อ งเป ด เผยข อ มู ล เกี่ ย วกั บ กิจการตองไมเปดเผยขอมูลเกี่ยวกับ สินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น (ยอหนาที่ 89) สินทรัพยดังกลาว (ยอหนาที่ 89)
รายจายที่จะไดรับชดเชย รายจายทั้งหมดหรือบางสวนที่จายไปเพื่อชําระประมาณการหนี้สิน ซึ่งกิจการคาดวา จะไดรับชดเชยจาก บุคคลที่สาม กิ จ การไม มี ภ าระผู ก พั น กิ จ การมี ภ าระผู ก พั น สํ า หรั บ จํ า นวน กิจการมีภาระผูกพันสําหรับจํานวน สํา หรั บ จํ า นวนรายจ า ยที่ รายจายที่ค าดวาจะไดรับชดเชยและมี รายจ า ยที่ คาดว าจะได รั บ ชดเชย บุคคลที่สามจะเปนผูจาย ค วา ม แ น น อน ว ากิ จ ก า รจ ะ ไ ด รั บ แต ไม มีความแนนอนว ากิ จการจะ รายจายนั้นคืนภายหลังการจายชําระ ได รั บรายจ ายนั้ นคื นภายหลั งการ จายชําระ กิจการไม มี ห นี้ สิ น สํา หรั บ กิจการต องรับรูรายจายที่ จะได รับชดเชย กิจการต องไมรับ รูรายจายที่ คาดวา จํา นวนรายจา ยที่ จะได รั บ เป น สิ นทรั พ ย แยกต า งหากในงบแสดง จะ ไ ด รั บ ชด เช ยเ ป น สิ นท รั พ ย ชดเชยนั้น (ยอหนาที่ 57) ฐานะการเงิน และอาจนํารายจายนั้นมาหัก (ยอหนาที่ 53) กลบกั บ ค า ใช จ า ยในงบกํ า ไรขาดทุ น เบ็ดเสร็จ จํานวนรายจายที่คาดวาจะไดรับ ชดเชยที่ รั บ รู จะต อ งไม สู ง กว า หนี้ สิ น ที่ เกี่ยวของ (ยอหนาที่ 53 และ 54) กิ จ กา รไม ต องเป ด เผ ย กิจ การตองเปด เผยจํา นวนรายจา ยที่ จะ กิจ การตองเปด เผยขอมูลเกี่ย วกับ ขอมูล ไดรับ ชดเชย พรอมกับรับรูจํ านวนที่จาย รายจ า ยที่ ค าดว า จะได รั บ ชดเชย (ยอหนาที่ 85.3) ชดเชย (ยอหนาที่ 85.3) มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 32/43
ภาคผนวก ข แผนผังการตัดสินใจ ภาคผนวกนี้ ทํ า ขึ้ น เพื่ อ เป น แนวทางเท า นั้ น และไม ถื อ เป น สว นหนึ่ ง ของมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 37 (ปรับ ปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สิน ที่อาจเกิด ขึ้น และสิน ทรัพ ยที่ อาจเกิด ขึ้น แผนผังการ ตัดสินใจนี้จัดทําขึ้นเพื่อสรุปขอกําหนดหลักของมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ เกี่ยวกับการรับรูประมาณการหนี้สิน และหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น เริ่ม ภาระผูกพันในปจจุบันเกิดจาก เหตุการณในอดีตที่กอใหเกิด ภาระผูกพันหรือไม?
ไมใช
ใช มีความเปนไปไดคอนขางแนที่จะ สูญเสียทรัพยากรหรือไม?
ไมมี
มีภาระผูกพันที่อาจเกิดขึ้นหรือไม? มี
ไมมี
ไมนาเปนไปไดใชหรือไม?
ใช
มี สามารถประมาณมูลคาไดอยาง นาเชื่อถือหรือไม?
ไมได (ยากยิ่งที่จะเกิด) ไมใช
ได ตองรับรูเปนหนี้สิน
เปดเผยหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น
ไมตองรับรูและไมตองเปดเผย
ขอสังเกต ในกรณีที่ยากยิ่งที่จะเกิด เมื่ อมีความไมชัดเจนวากิจการมีภาระผูกพันในปจจุบันหรือไม ใหกิจการ พิจารณาจากหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู หากหลักฐานดังกลาวแสดงใหเห็นวาเหตุการณในอดีตที่เกิดขึ้น นาจะมีผ ล ทําใหภาระผูกพันไดเกิดขึ้น กิจการตองถือวากิจการมีภาระผูกพันในปจจุบั น ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน (ยอหนาที่ 15 ของมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้) มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 33/43
ภาคผนวก ค ตัวอยางสําหรับการรับรูรายการ ภาคผนวกนี้ ทํ า ขึ้ น เพื่ อ เป น แนวทางเท า นั้ น และไม ถื อ เป น สว นหนึ่ ง ของมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 37 (ปรับ ปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สิน ที่อาจเกิด ขึ้น และสิน ทรั พยที่ อาจเกิด ขึ้น ตัวอยา งทุก ตัวอยางตอไปนี้ สมมติวางบการเงินของกิจการที่กลาวถึงมีรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม สมมติ วากิจการสามารถประมาณการการสูญ เสียทรัพยากรได ไดอยางนาเชื่อถือ ประมาณการที่ดีที่สุ ดที่ อา งถึงคือ จํา นวนของมูลค าปจจุบั นที่มี ผลกระทบต อมูลคาของเงิน ตามเวลาที่ มีสาระสํา คั ญ ตั วอยางตอไปนี้ไม ไ ด ครอบคลุมถึ งการด อยคาของสินทรั พย แม วาสถานการณที่ อธิบายไว ในตัวอย างบาง ตั วอย างอาจชี้ให เห็ นว า สินทรัพยอาจดอยคาลง
ตัวอยางที่ 1 การรับประกันสินคา ผูผ ลิต ได ให การรับ ประกันสินคาเมื่อขายสินค าใหกับผูซื้อ ภายใต เงื่อนไขของสัญญาขายผูผลิ ตจะรับผิด ชอบ สิน คา ใหอยู ในสภาพดี โดยการซอมหรือเปลี่ยนแทนสินค าที่มี ตํา หนิภายในเวลา 3 ป นับจากวัน ที่ซื้อ จาก ประสบการณในอดีตของผูผลิตพบวามีความเปนไปไดคอนขางแน (นาจะเกิดขึ้นมากกวาไมนาเกิดขึ้น) ที่จะมีการ เรียกรองการรับประกันสินคา ภาระผูก พันในปจ จุบัน ซึ่งเกิ ดจากเหตุ การณ ในอดีต ที่กอให เกิดภาระผู กพัน -เหตุ การณที่ กอให เกิดภาระ ผูกพันคือ การขายสินคาซึ่งมีการรับประกัน ซึ่งกอใหเกิดภาระผูกพันตามกฎหมาย การสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจในการจายชําระ-มีความเปนไปไดคอนขางแนสําหรับการ รับประกันสินคาโดยรวม (ดูยอหนาที่ 24) ขอสรุป-กิจการตองรับรูประมาณการหนี้สินดวยจํานวนประมาณการที่ดีที่สุด ของตนทุนในการทําใหสินคาอยู ในสภาพดีภายใตการรับประกันสินคาที่ขายไปกอนวันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน (ดูยอหนาที่ 14 และ 24)
ตัวอยางที่ 2 ก. ที่ดินปนเปอนมลพิษ ขณะที่กฎหมายสิ่งแวดลอมจะไดรับการบัญญัติขึ้นอยางแนนอน กิจการอยูในอุตสาหกรรมน้ํามั นที่กอใหเ กิดมลพิษ แตมีนโยบายที่จะทํา การกําจัดมลพิษเฉพาะเมื่อมีกฎหมาย ของประเทศที่กิจการดําเนินการอยูกําหนดไว หากกิจการดําเนินการอยูในประเทศที่ไมมีขอกําหนดทางกฎหมาย ที่ระบุให กิจการตองทําการกําจัดมลพิษ และการดําเนินงานของกิจการไดทําให ที่ดินในประเทศนั้นเกิดมลพิษ เปนเวลาหลายป แตในวั นที่ 31 ธันวาคม 25X1 ได มีการรางกฎหมายที่กําหนดใหกิจการต องทําการกําจัด มลพิษในที่ดินและรางกฎหมายนั้นจะมีการบัญญัติเปนกฎหมายอยางแนนอนภายหลังวันสิ้นปไมนานนัก
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 34/43
ภาระผูก พันในปจ จุบัน ซึ่งเกิ ดจากเหตุ การณ ในอดีต ที่กอให เกิดภาระผู กพั น -เหตุ การณที่ กอให เกิดภาระ ผูกพันคือ การกอใหเกิดมลพิษในที่ดินเปนเวลาหลายปติดตอกันในอดีตจนถึงปจจุบัน ภาระผูกพันในปจจุบัน คือภาระผูกพันตามกฎหมายสิ่งแวดลอมที่จะมีการบัญญัติขึ้นอยางแนนอน การสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจในการจายชําระ-มีความเปนไปไดคอนขางแน ขอสรุป -กิจการตองบันทึกประมาณการหนี้สินดวยจํานวนประมาณการที่ดีที่สุดของตนทุนในการกําจัดมลพิษ (ดูยอหนาที่ 14 และ 22) ข. ที่ดินปนเปอนมลพิษและภาระผูกพันจากการอนุมาน กิจ การอยู ในอุตสาหกรรมน้ํ ามันที่ กอให เกิด มลพิษในประเทศซึ่งไม มี กฎหมายสิ่งแวดลอม อย างไรก็ต าม กิจการไดป ระกาศนโยบายรักษาสิ่งแวดลอมตอสาธารณชนอย างกวางขวางในการกํา จัดมลพิษที่เกิด จากการ ดําเนินงานของกิจการและในอดีตที่ผานมากิจการไดปฏิบัติตามนโยบายที่ประกาศตอสาธารณชนมาโดยตลอด ภาระผูก พันในปจ จุบั นซึ่งเกิดจากเหตุการณใ นอดีต ที่กอใหเกิดภาระผู กพัน -เหตุ การณที่กอใหเ กิด ภาระ ผูกพันคือ การทําใหที่ดินปนเปอนมลพิษ ภาระผูกพันในปจจุบันคือ ภาระผูกพันจากการอนุมานที่ สรางความ คาดหวังอยางมีมูลความจริงใหกับผูที่ถูกกระทบวากิจการจะทําการกําจัดมลพิษนั้น การสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจในการจายชําระ-มีความเปนไปไดคอนขางแน ขอสรุป -กิจการตองบันทึกประมาณการหนี้สินดวยจํานวนประมาณการที่ดีที่สุดของตนทุนในการกําจัดมลพิษ (ดูยอหนาที่ 14 และ 17 และดูคํานิยามของคําวา ภาระผูกพันจากการอนุมานในยอหนาที่ 10)
ตัวอยางที่ 3 ฐานการผลิตในทะเล กิจการมีฐานการผลิต น้ํามั นในทะเล ซึ่งตามสัมปทานกํา หนดใหกิจการตองเคลื่อนยายฐานการผลิต เมื่อการ ผลิ ตสิ้ นสุ ด ลงและตองบู รณะพื้นทะเล กิจ การประมาณว ารอ ยละ 90 ของต นทุ นทั้ งสิ้ นเกี่ย วข องกับการ เคลื่อนยายแทนขุดเจาะ น้ํามันและบูรณะความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการสรางแทนดังกลาว สวนอีกรอยละ 10 เกี่ยวของกั บการขุดน้ํามัน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน กิจการไดสรา งแทนขุดเจาะน้ํามันแลว แตยังไมได เริ่มขุดเจาะน้ํามัน ภาระผูกพันในปจจุบันซึ่งเกิดจากเหตุการณในอดีตที่กอใหเกิดภาระผูกพัน-การกอสรางแทนขุดเจาะน้ํามัน ซึ่งทําให เกิด ภาระผูกพั นตามกฎหมายภายใต เงื่อนไขในสัมปทานที่จะต องเคลื่ อนยายแทนขุดเจาะน้ํามั นและ บูรณะพื้นทะเล อยางไรก็ตาม กิจการยังไมมีภาระผูกพันที่จะตองแกไขความเสียหายที่เกิดจากการขุดเจาะน้ํามัน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน เนื่องจากยังไมไดเริ่มดําเนินการขุดเจาะน้ํามัน การสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจในการจายชําระ-มีความเปนไปไดคอนขางแน
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 35/43
ขอสรุป-กิจการตองรับรูประมาณการหนี้สินดวยจํานวนประมาณการที่ดีที่สุดของตนทุนจํานวนรอยละ 90 ที่จะ เกิดขึ้นซึ่งเปนตนทุนเกี่ยวกับการเคลื่อนยายแทนขุดเจาะน้ํามันและบูรณะความเสียหายที่เกิดจากการสรางแทน ขุดเจาะนั้น (ดูยอหนาที่ 14) ตนทุนดังกลา วตองรวมเปนสวนหนึ่งของตนทุนแทนขุดเจาะน้ํามัน สวนอีกรอย ละ 10 ของตนทุนที่เกิดขึ้นจากการขุดเจาะน้ํามันตองรับรูเปนหนี้สินเมื่อการขุดเจาะน้ํามันเกิดขึ้น
ตัวอยางที่ 4 นโยบายการคืนเงิน รานคาปลีกมีน โยบายที่จะคืน เงินหากลูกคาไม พอใจในสินคา แมวากิจการไมมีภาระผูกพันตามกฎหมายที่จะ ปฏิบัติดังกลาว แตนโยบายนั้นเปนที่รูกันโดยทั่วไป ภาระผูก พันในปจ จุบั นซึ่งเกิดจากเหตุการณใ นอดีต ที่กอใหเกิดภาระผู กพัน -เหตุ การณที่กอใหเ กิด ภาระ ผูกพันคื อ การขายสินคา ซึ่งกอใหเ กิดภาระผูกพันจากการอนุม าน เนื่องจากการปฏิบัติ ของร านคาสรางความ คาดหมายอยางมีมูลความจริงใหกับลูกคาวารานคาจะจายเงินคืน การสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจในการจายชําระ-มีค วามเปนไปได คอนขางแนที่สวนหนึ่ง ของสินคาจะตองมีการสงคืนเพื่อที่จะรับคืนเงิน (ดูยอหนาที่ 24) ขอสรุป-กิจการตองรับรูประมาณการหนี้สินดวยจํานวนประมาณการที่ดีที่สุดของตนทุนในการที่จะตองจายคืนเงิน ใหกับลูกคา (ดูยอหนาที่ 14 17 และ 24 และดูคํานิยามของคําวา ภาระผูกพันจากการอนุมานในยอหนาที่ 10)
ตัวอยางที่ 5 ก.กิจการตัดสินใจปดแผนก โดยกอนวันสิ้นรอบระยะเวลารายงานกิจการยังไมไดปฏิบัติการใดๆ เกี่ยวกับ เรื่องดังกลาว ณ วันที่ 12 ธันวาคม 25X1 คณะกรรมการของกิจการตัดสินใจที่จะปด แผนกหนึ่งของกิจการ กอนวันสิ้น รอบระยะเวลารายงาน (31 ธันวาคม 25X1) กิจการยังไมไดแจงการตัดสิน ใจใหกับผูไดรับผลกระทบทราบ และยังไมไดปฏิบัติตามการตัดสินใจนั้น ภาระผูกพันในปจจุบันซึ่งเกิดจากเหตุการณในอดีตที่กอใหเกิดภาระผูกพัน-ขอเท็จจริงดังกลาวถือวายังไมมี เหตุการณที่กอใหเกิดภาระผูกพัน ดังนั้น กิจการจึงยังไมมีภาระผูกพัน ขอสรุป-กิจการตองไมรับรูประมาณการหนี้สิน (ดูยอหนาที่ 14 และ 72) ข. กิจการตัดสินใจป ดแผนก โดยกอนวันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน กิจการได แจงและเริ่มปฏิ บัติการใน เรื่องดังกลาวแลว ณ วันที่ 12 ธันวาคม 25X1 คณะกรรมการของกิจการตัดสินใจที่จะปดแผนกผลิตสินคาประเภทหนึ่ง ณ วันที่ 20 ธันวาคม 25X1 คณะกรรมการไดตกลงกันถึงแผนการปด แผนกในรายละเอียด คณะกรรมการไดมีสง มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 36/43
จดหมายถึงลูกคาเพื่อเตือนลูกคาใหจัด หาสินคาจากแหลงทางเลือกอื่น และกิจการไดแจงใหพนักงานทราบถึง แรงงานสวนเกินของกิจการหลังจากที่ไดปดแผนกแลว ภาระผูกพันในปจจุบันซึ่ งเกิดจากเหตุการณในอดีต ที่กอใหเกิดภาระผูกพัน -เหตุการณที่ สรางภาระผูกพัน คือ การแจงใหลูกคาและพนักงานทราบถึงการตัดสินใจปดแผนก ซึ่งกอใหเกิดภาระผูกพันจากการอนุมานนับ จากวันที่แจง เพราะทําใหผูไดรับผลกระทบเกิดความคาดหมายอยางมีมูลความจริงวาแผนกนั้นจะถูกปด การสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจในการจายชําระ-มีความเปนไปไดคอนขางแน ขอสรุป -กิจการตองรับ รูประมาณการหนี้สิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 25X1 ดว ยจํานวนประมาณการที่ดีที่สุด ของตนทุนในการปดแผนกนั้น (ดูยอหนาที่ 14 และ 72)
ตัวอยางที่ 6 ขอกําหนดตามกฎหมายที่ระบุใหกิจการตองติดตั้งเครื่องกรองควัน กิจการตองติดตั้งเครื่องกรองควันในโรงงานภายในวันที่ 30 มิถุนายน 25X1 ตามขอกําหนดของกฎหมายใหม แตกิจการยังไมไดติดตั้งเครื่องกรองควัน ก) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 25X0 วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ภาระผูก พันในปจ จุบั นซึ่งเกิดจากเหตุการณใ นอดีต ที่กอใหเกิดภาระผู กพัน -เหตุ การณที่กอใหเ กิด ภาระ ผูกพันยังไมเกิดขึ้น ไมวาจะเปนเหตุการณที่กอใหเกิดภาระผูกพันเกี่ยวกับตนทุนในการ ติดตั้งเครื่องกรองควัน หรือภาระผูกพันเกี่ยวกับคาปรับตามกฎหมาย ขอสรุป-กิจการตองไมรับรูประมาณการหนี้สินสําหรับตนทุนในการติดตั้งเครื่องกรองควัน (ดูยอหนาที่ 14 และ 17 ถึง 19) ข) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 25X1 วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ภาระผูกพัน ในปจจุบันซึ่ งเกิด จากเหตุก ารณ ในอดีตที่กอใหเกิด ภาระผูกพัน -ยังคงไมมีภาระผูกพันในการ ติด ตั้งเครื่องกรองควัน เพราะวาเหตุการณที่กอใหเ กิดภาระผูกพันในการติดตั้งเครื่องกรองควันยังไมเกิดขึ้น อยางไรก็ตาม เหตุการณที่กอใหเกิดภาระผูกพันจากการไมปฏิบัติตามกฎหมายไดเกิดขึ้นแลว ซึ่งอาจทําใหการ ที่กิจการตองจายคาปรับตามกฎหมาย การสูญ เสียทรัพ ยากรที่มีป ระโยชน เชิง เศรษฐกิ จในการจ ายชํา ระ-การประเมินความนาจะเป นวากิ จการ จะตองเสียคาปรับจากการไมปฏิบัติตามกฎหมายนั้นขึ้นอยูกับรายละเอียดของกฎหมายและความเขมงวดของ การบังคับใชกฎหมาย ขอสรุป -กิจ การตองไมรับ รูป ระมาณการหนี้สินสําหรับ ต นทุนในการติด ตั้งเครื่อ งกรองควัน อย างไรก็ ต าม กิจการตองรับรูคาปรับที่กิจการนาจะตองจายดวยจํานวนประมาณการที่ดีที่สุด (ดูยอหนาที่ 14 และ 17 ถึง 19)
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 37/43
ตัวอยางที่ 7 การอบรมพนักงานซึ่งเปนผลมาจากการเปลี่ยนแปลงระบบภาษีเงินได รัฐบาลประกาศเปลี่ย นแปลงในระบบภาษีเ งิน ได ทําใหกิจการที่อ ยูในภาคที่ใหบ ริการทางการเงินจําเป นตอง อบรมพนักงานในสว นบริหารและการขายจํานวนมาก เพื่อใหแนใจวาพนั กงานสามารถปฏิบัติตามขอกํา หนด ในกฎหมายที่เกี่ยวกับการใหบริการทางการเงิน ได อยางถูกต อง กิจการยังไมไดอบรมพนักงาน ณ วันสิ้นรอบ ระยะเวลารายงาน ภาระผู ก พัน ในป จจุบั น ซึ่งเกิด จากเหตุก ารณในอดีต ที่ กอใหเ กิ ดภาระผู กพั น -ภาระผู กพั นยังไม เกิด ขึ้ น เนื่องจากเหตุการณที่กอใหเกิดภาระผูกพัน (การอบรมพนักงาน) ยังไมไดเกิดขึ้น ขอสรุป-กิจการตองไมรับรูประมาณการหนี้สิน (ดูยอหนาที่ 14 และ 17 ถึง 19)
ตัวอยางที่ 8 สัญญาที่สรางภาระแกกิจการ กิจการดํา เนิน งานโดยเชาโรงงานภายใต สัญญาเชาดําเนินงาน ในระหวา งเดือนธันวาคม 25X1 กิจการไดยาย สถานที่ดําเนินงานไปยังโรงงานแหงใหม อายุข องสัญญาเชาโรงงานเกายังคงเหลืออีก 4 ป กิจการไมสามารถ ยกเลิกสัญญาเชาและไมสามารถใหผูอื่นเชาโรงงานตอได ภาระผูก พันในปจ จุบั นซึ่งเกิดจากเหตุการณใ นอดีต ที่กอใหเกิดภาระผู กพัน -เหตุ การณที่กอใหเ กิด ภาระ ผูกพันคือ การลงนามในสัญญาเชา ซึ่งกอใหเกิดภาระผูกพันตามกฎหมาย การสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจในการจายชําระ-มีความเปนไปไดคอนขางแนที่ กิจการจะ สูญ เสีย ทรัพ ยากรที่มีประโยชนเ ชิงเศรษฐกิจเมื่อสั ญญาเชากลายเปนสัญ ญาที่สร างภาระ (กอ นที่สัญญาเชา ดัง กล าวจะกลายเปนสัญ ญาที่สรา งภาระ กิ จการตองบัน ทึกสั ญญาเช าตามมาตรฐานการบั ญชี ฉบับที่ 17 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง สัญญาเชา) ขอสรุป-กิจการตองรับรูประมาณการหนี้สินดวยจํานวนประมาณการที่ดีที่สุดสําหรับการจายคาเชาที่ไมสามารถ หลีกเลี่ยงได (ดูยอหนาที่ 5.3 14 และ 66)
ตัวอยางที่ 9 การค้ําประกัน ระหวางป 25X4 บริษัท ก ค้ําประกันการกูยืมใหบริษั ท ข ซึ่งในขณะนั้นมีฐานะการเงินดี ในระหวา งป 25X5 บริษัท ข ประสบปญหาทางการเงิน และ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 25X5 บริษัท ข ไดยื่นคํารองตอศาลเพื่อขอ พิทักษทรัพยจากเจาหนี้ภายใตกฎหมายลมละลาย สัญญาฉบั บนี้เปนไปตามนิยามของสัญญาประกันภัยตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับ ที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย (เมื่อมีการประกาศใช) โดยอยูภายใตขอบเขตตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 39 เรื่อง การ รับ รูและการวั ดมู ลคา เครื่องมื อทางการเงิน (เมื่อมีการประกาศใช) เนื่องจากสัญญาดังกลา วเป นไปตามคํา นิย ามของสัญญาค้ํ าประกันทางการเงิน ในมาตรฐานการบั ญชี ฉบั บ ที่ 39 เรื่อง การรั บ รูและการวั ดมู ล ค า มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 38/43
เครื่องมือทางการเงิน (เมื่อมีการประกาศใช) ดวย โดยหากผูออกสัญญาไดยืนยันอยางแนนอนวาสัญญาฉบับ นี้ เป นสั ญญาประกันภัย และไดใ ชนโยบายการบั ญชี ที่เกี่ยวของกับสัญ ญาประกันภัย ผูออกสัญ ญาอาจเลือกใช มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 39 เรื่อง การรับรูและการวัดมู ลคาเครื่องมือทางการเงิน (เมื่อมีการประกาศใช) หรือมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย (เมื่อมีการประกาศใช) ซึ่งมาตรฐาน การรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย (เมื่อมีการประกาศใช) อนุญาตใหผูออกสัญญาใช นโยบายการบั ญ ชี ที่ ใ ช อยู ต อ ไปสํา หรั บ สัญ ญาประกั น ภั ย ถา เป น ไปตามข อกํ า หนดเบื้ องต น ที่ ร ะบุ ไ ว โดย มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับ ที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภัย (เมื่อมีการประกาศใช) อนุญาตใหมีการ เปลี่ย นแปลงนโยบายการบัญ ชีไ ดถา เขา ตามเงื่ อนไขที่ ระบุ ในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ตอ ไปนี้เป น ตัวอยา งของนโยบายการบัญชี ซึ่งมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 เรื่อง สัญญาประกันภั ย (เมื่อมี การประกาศใช) อนุญาตใหใช และเปนไปตามขอกําหนดในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 39 เรื่อง การรับรูและ การวัดมูลคาเครื่องมื อทางการเงิน (เมื่อมีการประกาศใช) สําหรับสัญญาค้ําประกันทางการเงินที่เปนไปตาม ขอบเขตของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 39 เรื่อง การรับรูและการวัดมูลคาเครื่องมือทางการเงิน (เมื่อมีการ ประกาศใช) ดวย ก) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 25X4 ภาระผูก พันในปจ จุบั นซึ่งเกิดจากเหตุการณใ นอดีต ที่กอใหเกิดภาระผู กพัน -เหตุ การณที่กอใหเ กิด ภาระ ผูกพันคือ การใหการค้ําประกัน ซึ่งกอใหเกิดภาระผูกพันตามกฎหมาย การสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจในการจายชําระ-ณ วันที่ 31 ธันวาคม 25X4 การจายชําระ ประโยชนเชิงเศรษฐกิจยังไมถึงระดับมีความเปนไปไดคอนขางแน ขอสรุป-กิจการตองรับรูการค้ําประกันดวยมูลคายุติธรรม ข) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 25X5 ภาระผูก พันในปจ จุบั นซึ่งเกิดจากเหตุการณใ นอดีต ที่กอใหเกิดภาระผู กพัน -เหตุ การณที่กอใหเ กิด ภาระ ผูกพันคือ การใหการค้ําประกัน ซึ่งกอใหเกิดภาระผูกพันตามกฎหมาย การสูญ เสี ยทรั พยากรที่มีป ระโยชนเ ชิงเศรษฐกิ จในการจายชําระ-ณ วัน ที่ 31 ธัน วาคม 25X5 มีค วาม เปนไปไดคอนขางแนที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจเพื่อจายชําระภาระผูกพันดังกลาว ขอสรุป-กิจการตองวัดมูลคาการค้ําประกันในภายหลังดวยจํานวนที่สูงกวาของ (1) ประมาณการที่ดีที่สุดของ ภาระผูกพัน (ดูยอหนาที่ 14 และ 23) และ (2) จํานวนรับรูเริ่มแรกหักดวยคาตัดจําหนายสะสมที่สอดคลอง ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 18 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง รายได
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 39/43
ตัวอยางที่ 10 คดีอยูในระหวางการพิจารณาของศาล ในป 25X5 หลังพิธีแตงงาน มีผูเสียชีวิต 10 ราย ซึ่งมีความนาจะเปนวาเนื่องจากอาหารที่กิจการขายเปนพิษ กระบวนการฟองรองตามกฎหมายไดเริ่มขึ้น เพื่อเรียกรองความเสียหายจากกิจการ แตกิ จการยัง มีข อโตแ ยง เกี่ยวกับหนี้สินจากความเสียหายดังกลา วอยู จนกระทั่งงบการเงินสําหรับปสิ้นสุดวันที่ 31 ธัน วาคม 25X5 ได รับ การอนุ มั ติ ทนายความของกิจ การให ค วามเห็ นว า มี ค วามเปน ไปได ค อนข า งแน ที่ กิจ การจะไม ต อง รับผิดชอบในหนี้ สิน ที่เกิด ขึ้น อยา งไรก็ตาม เมื่อกิจการจั ดทํา งบการเงินสําหรับ ปสิ้นสุดวัน ที่ 31 ธัน วาคม 25X6 ทนายความของกิจการใหคําแนะนําวามีค วามเปนไปไดคอนขางแนที่กิจการจะตองรับผิด ชอบในคดีนี้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในรูปคดี ก) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 25X5 ภาระผูก พันในป จจุ บัน ซึ่งเกิด จากเหตุก ารณใ นอดีตที่กอใหเ กิด ภาระผูก พัน -จากหลั กฐานที่มีอยู ณ วันที่ งบการเงินไดรับการอนุมัติพบวา กิจการไมมีภาระผูกพันที่เปนผลมาจากเหตุการณในอดีต ขอสรุป-กิจการตองไมรับรูประมาณการหนี้สิน (ดูยอหนาที่ 15 ถึง 16) แตตองเปดเผยขอมูลเกี่ยวกับหนี้สิน ที่อาจเกิดขึ้น วาความนาจะเปนที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรอยูในระดับไมนาเปนไปได (ดูยอหนาที่ 86) ข) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 25X6 ภาระผูกพันในปจจุบันซึ่งเกิดจากเหตุการณในอดีตที่กอใหเกิดภาระผูกพัน-จากหลักฐานที่มีอยู กิจการเกิด ภาระผูกพันในปจจุบันขึ้น การสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชนเชิงเศรษฐกิจในการจายชําระ-มีความเปนไปไดคอนขางแน ขอสรุป-กิจการตองรับรูประมาณการหนี้สินดวยประมาณการที่ดีที่สุดของจํานวนที่จะตองจายชําระภาระผูกพัน นั้น (ดูยอหนาที่ 14 ถึง 16)
ตัวอยางที่ 11 การซอมแซมและการบํารุงรักษา สิน ทรัพ ย บ างอย างจําเปนต องมีค า ใชจ า ยที่เ ปนสาระสํา คั ญ ทุ กชว งปห นึ่งๆ นอกเหนือจากการบํ า รุงรั กษา ตามปกติ เชน การประกอบใหม การปรับปรุงใหม การเปลี่ยนแทนสวนประกอบที่สําคัญ มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ ใหแนวปฏิบัติเ กี่ยวกับการปน สวนรายจายของ สินทรัพยใหกับส วนประกอบของสิน ทรัพยนั้น เมื่อสวนประกอบดังกลา วมีอายุการใชงานที่แตกตางกันหรือมี รูปแบบการใหประโยชนเชิงเศรษฐกิจที่แตกตางกัน ก. ตนทุนในการปรับปรุงใหม-ไมมีขอกําหนดตามกฎหมาย เตาเผามีเยื่อบุ ที่จําเปนต องมี การเปลี่ย นแทนทุ กๆ 5 ป เนื่องจากเหตุ ผลทางเทคนิค ณ วัน สิ้น รอบ ระยะเวลารายงาน เยื่อบุเตาเผาไดใชไปแลวเปนเวลา 3 ป มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 40/43
ภาระผูกพั นในป จจุบันซึ่งเกิดจากเหตุก ารณในอดีตที่กอ ใหเกิ ดภาระผูกพั น-กิจการยัง ไมมีภาระผูกพันใน ปจจุบัน ขอสรุป-กิจการตองไมรับรูประมาณการหนี้สิน (ดูยอหนาที่ 14 และ 17 ถึง 19) กิจการตองไมรั บรูตน ทุน ในการเปลี่ยนแทนเยื่อบุ เนื่ องจาก ณ วั นสิ้ นรอบระยะเวลารายงาน กิ จการยังไมมี ภาระผูก พันที่จะตองเปลี่ยนแทนเยื่อบุที่ มีอยู ซึ่งไมไดขึ้ นอยูกับ การกระทําในอนาคตของกิจการ แมวา ความ ตั้งใจที่จะกอใหเกิดรายจายดังกลาวจะขึ้นอยูกับการตัดสินใจวาจะใชเตาเผานั้นตอไปหรือเปลี่ยนแทนเยื่อบุ ใน กรณีนี้ กิจ การตองบันทึกตนทุนในการบุ เตาเผาเปนสิน ทรัพ ย และทยอยตัดคาเสื่อ มราคาตลอดอายุการให ประโยชนของเยื่อบุนั้น แทนที่จะมีการรับรูประมาณการหนี้สิน เยื่อบุเตาเผาจะตองมีการคิดคาเสื่อมราคาเปน เวลา 5 ป หนี้สินตนทุนการเปลี่ยนแทนเยื่อบุที่เกิดขึ้น จะนําไปบันทึกเปนตนทุนเยื่อบุใหมแตละอัน โดยตัด คา เสื่อมราคาตอเนื่องเปนเวลา 5 ป ข. ตนทุนในการปรับปรุงใหม-ตามขอกําหนดในกฎหมาย กฎหมายกําหนดใหสายการบินตองยกเครื่องเครื่องบินทุกๆ 3 ป ภาระผูกพั นในปจจุบันซึ่งเกิด จากเหตุการณใ นอดีต ที่กอ ใหเกิ ดภาระผูกพัน -กิจการยังไมมีภาระผูกพันใน ปจจุบัน ขอสรุป-กิจการตองไมรับรูประมาณการหนี้สิน (ดูยอหนาที่ 14 และ 17 ถึง 19) กิจการตองไมรับรูตนทุนการยกเครื่องของเครื่องบินเปนประมาณการหนี้สินดวยเหตุผลเดียวกับตัวอยางกอนที่ ตอ งไมรับรูต นทุน ในการเปลี่ยนแทนเยื่อบุเตาเผาเป นประมาณการหนี้สิน แมว าข อกํา หนดตามกฎหมายจะ กําหนดใหกิจการตองยกเครื่อง แตตนทุนการยกเครื่องไมถือเปนหนี้สิน เนื่องจากการยกเครื่องไมไดขึ้นอยูกับ การกระทํ าในอนาคตของกิจการ กิจการสามารถหลีกเลี่ยงรายจายในการยกเครื่อ งหากกิจ การตั ดสิน ใจขาย เครื่องบิน ดังนั้น กิจการตองไมรับรูตนทุนในการยกเครื่องเปนประมาณการหนี้สิน แตควรนําระยะเวลาที่คาดวา ตองทํ าการบํารุงรักษาในอนาคตมาพิจารณาในการตั ดคาเสื่อมราคาของเครื่ องบิน เชน กิ จการควรนําจํานวนที่ เทียบเทากับตนทุนในการบํารุงรักษาที่คาดวาจะเกิดขึ้นมาตัดคาเสื่อมราคาตลอดระยะเวลา 3 ป
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 41/43
ภาคผนวก ง การเปดเผยขอมูล ภาคผนวกนี้ ทํ า ขึ้ น เพื่ อ เป น แนวทางเท า นั้ น และไม ถื อ เป น สว นหนึ่ ง ของมาตรฐานการบั ญ ชี ฉบั บ ที่ 37 (ปรับปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น ตัวอยางตอไปนี้เปนการเปดเผยขอมูลตามขอกําหนดที่ระบุไวในยอหนาที่ 85
ตัวอยางที่ 1 การค้ําประกัน ณ วันที่ขาย กิจการไดค้ําประกันสินคาจํานวน 3 ชนิดที่ขายใหแกผูซื้อ โดยกิจการจะรับซอมและเปลี่ยนชิ้นสวน ที่เ สียหายตลอดเวลา 2 ปนับจากวันที่ขาย ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน กิจการรับ รูประมาณการหนี้สิ น จํานวน 60,000 บาท กิจ การไม ได คิ ด ลดประมาณการหนี้สิน เนื่องจากผลกระทบจากการคิ ด ลดไม มี สาระสําคัญ กิจการตองเปดเผยขอมูลดังตอไปนี้ “กิจการไดรับรูประมาณการหนี้สินจํานวน 60,000 บาท สํา หรับการเรียกรองการรับประกันสินคาที่คาดวาจะ เกิดขึ้นจากสินคาที่ขายไประหวาง 3 ปที่ผานมา กิจการคาดวารายจายสวนใหญจะเกิด ขึ้นในงวดบัญชีหนา และ คาใชจายทั้งหมดจะเกิดขึ้นภายในระยะ 2 ป ตั้งแตวันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน”
ตัวอยางที่ 2 ตนทุนในการรื้อถอน ในป 2500 กิจการมีการดําเนินงานที่เกี่ยวของกับนิวเคลียรซึ่งกิจการไดรับรูประมาณการหนี้สินในการกําจัด จํานวน 300 ลานบาท ซึ่งประมาณขึ้นจากขอสมมติที่ วาการกําจัดจะเกิดขึ้นภายใน 60 ถึง 70 ป ขางหนา อยางไรก็ตาม อาจมีความนาจะเปนที่การกําจัดนั้นอาจจะไมเกิดขึ้นจนกระทั่ง 100 ถึง 110 ป ขางหนา ซึ่งใน กรณี ดั งกลาว มู ลค า ปจจุบั นของตน ทุ นในการรื้อ ถอนจะลดลงอยางมีนัยสํา คั ญ กิจการตองเปด เผยข อมูล ดังตอไปนี้ “กิจการไดรั บรูประมาณการหนี้สินจํานวน 300 ลา นบาท สํา หรับตนทุน ในการกําจัดกากนิวเคลี ยร ตน ทุ น ดังกลาวคาดวาจะเกิดขึ้นระหวางป 2560 และ 2570 อยางไรก็ตาม มีความเปนไปไดที่กิจการอาจไมตองกําจัด กากนิวเคลียรดังกลาว จนกระทั่งป 2600 ถึง 2610 หากกิจการคาดการณวาตนทุนการรื้ อถอนจะไมเกิดขึ้ น ระหวางป 2600 ถึง 2610 ประมาณการหนี้สินจะมีจํานวนลดลงเหลือ 136 ลานบาท ประมาณการหนี้สินไดมี การประมาณขึ้นโดยอา งอิ งกั บวิทยาการที่มีอยู และราคาในปจจุ บัน และคิด ลดโดยใชอัต ราคิ ด ลดที่ แทจริ ง จํานวนรอยละ 2 ” ตัวอย างตอไปนี้เปนการเปดเผยขอมูลตามขอ กํา หนดที่ระบุไวในยอหนาที่ 92 เมื่ อขอ มู ลบางประการที่ กําหนดใหตองเปด เผยไมสามารถเปด เผยได เนื่องจากคาดวาขอมูลนั้นจะทําใหเกิดการโอนเอียงอยา งรุนแรง ตอสถานะของกิจการเกี่ยวกับกรณีพิพาทกับอีกฝายหนึ่ง
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 42/43
ตัวอยางที่ 3 ขอยกเวนในการเปดเผยขอมูล กิจการไดเกิดขอพิพาทกับคูแขงเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ และกิจการถูกฟองรองเรียกคาเสียหายจํานวน 100 ลา นบาท กิ จการรั บ รูป ระมาณการหนี้สิน ด วยประมาณการที่ดี ที่สุดสํ าหรับ ภาระผู กพั นนั้นแต ไมไดเปด เผย ขอมูลตามขอกําหนดที่ระบุไวในยอหนาที่ 84 และ 85 กิจการตองเปดเผยขอมูลดังตอไปนี้ “การฟองรองยังอยูในขั้นการพิจารณาคดีกับบริษัทคูกรณี ซึ่งกลาวหาวากิจการละเมิดลิขสิทธิ์เปนจํานวน 100 ลานบาท กิจการไม ได เปด เผยขอมูลตามขอกํ า หนดที่ ระบุ ไว ในมาตรฐานการบัญ ชี ฉบั บ ที่ 37 (ปรับ ปรุง 2552) เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพยที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากกิจการคาดวาขอมูล ดัง กลาวจะทําให เกิดผลกระทบอยางเปนสาระสําคั ญตอผลของคดีความ ซึ่งกรรมการของกิจการมีความเห็ นวา กิจการมีโอกาสที่จะชนะคดี”
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 37 (ปรับปรุง 2552) หนา 43/43