Mag cp

Page 1


InStagram In Stores


กิตติกรรมประกาศ งานสัมมนาเชิงอภิปราย เรื่อง “ InStagram In Stores” เปิดเช็คลิสต์พลิกโอกาสร้าน สินค้าแฟชั่นจาก Online สู่ On Shelves สมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความร่วมมือ จากบุคคลสำ�คัญหลายๆท่าน คณะผู้วิจัยขอขอบพระคุณ ดร.สุพรรณี วาทยะกร และ ดร.พัลลภา ปีติสันต์ อาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ ที่ช่วยแนะนำ�แนวคิดและแก้ไขข้อบกพร่อง ในการวิจัย รวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจอันนำ�ไปสู่ความมั่นใจในการจัดสัมมนาครั้งนี้ และ ขอขอบพระคุณ ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้ให้คำ�ปรึกษา ตลอดจนความช่วยเหลือในการทำ�วิจัย จนทำ�ให้งาน วิจัยฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์ด้วยดี อีกทั้งขอขอบพระคุณคุณอริยะ จิระวรา หุ้นส่วนร้าน SOS-Sense of Style (Multi-Brand Store) คุณธัชพร วาจาสัตย์ เจ้าของแบรนด์ LaVanetta , คุณณิชา สมิทธิปรีชาวงษ์ เจ้าของแบรนด์ Troopers และ คุณนันทกุล ซีตันติเวช เจ้าของแบรนด์ Dallar Jewelry ที่กรุณาให้ข้อมูลและคำ�แนะนำ�ที่เป็นประโยชน์ใน การทำ�วิจัยไว้ ณ ที่นี้ คณะผู้วิจัย MK18B ทีมงาน “ InStagram In Stores”


เรื่อง บทนำ� วัตถุประสงค์ SWOT เนื้อหา เนื้อหาการบรรยาย - ส่องพฤติกรรมนักช้อป - Multi-Brand Stores - Tips

หน้า


Contents เรื่อง Agenda วิทยากรรับเชิญ คำ�ถามที่ใช้สัมภาษณ์วิทยากร กลุ่มเป้าหมายที่ตั้งไว้ การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ งบประมาณ

หน้า


บทนำ� ปัจจุบันนับได้ว่าอินเทอร์เน็ตมีการขยายและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนเป็นอย่างมาก ทำ�ให้เกิดการ ซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น แต่เนื่องด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลให้ ร้านค้าต่างๆ ต้องปรับเปลี่ยนการเสนอขายสินค้าเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยน ไปด้วย บริษัท คอตตอน ยูเอสเอ เผยผลสำ�รวจวิจัยตลาด “2014 COTTON USA Global Lifestyle Monitor” เกี่ยวกับพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยเสื้อผ้าของผู้บริโภคใน 10 ประเทศ โดยผลสำ�รวจของ ประเทศไทย พบว่า ผู้บริโภคชาวไทยมีแนวโน้มช้อปปิ้งเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี และต่อเนื่องไปจนถึง ปี 2563 ซึ่งคนไทยนิยมซื้อเสื้อผ้าผ่านโซเชียลมีเดียมากที่สุด (Positioningmag, 2557) แต่การที่ ร้านค้าต่างๆ หันมาขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ก็มีผลต่อลูกค้าบางกลุ่มที่ยังเกิดความไม่ไว้วางใจ การซื้อขายสินค้าแบบออนไลน์เท่าที่ควร เพราะมีความต้องการที่จะเห็นสินค้ารวมถึงสัมผัสสินค้าจริง ก่อนที่จะมีความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อสินค้านั้นๆ และสินค้าที่ผู้บริโภคนิยมซื้อมากที่สุด ได้แก่ สินค้า แฟชั่น (Nuttaputch, 2558) เมื่อเกิดช่องว่างที่ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคขึ้น จึงเกิดเป็นธุรกิจร้านค้าที่ รวมแบรนด์สินค้าแฟชั่น เช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ เป็นต้น ที่ขายผ่านช่องทางออนไลน์ มาร่วมผนึกกำ�ลังกันวางขาย ณ จุดๆหนึ่ง หรือสถานที่หนึ่งๆ เพื่อกลายเป็นชุมชนของบุคคลที่ยังมี ความต้องการซื้อขายสินค้าผ่านหน้าร้านค้า หรือที่เรียกว่า “Multi-Brand Stores” โดยสถานที่แห่งนี้ จะมีการวางตำ�แหน่ง และ Store Concept ตามกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ คือ นักเรียน นิสิต-นักศึกษา ไปจนถึงวัยเริ่มต้นทำ�งานถึงระดับผู้จัดการ และสไตล์ของสินค้าที่นำ�เข้ามาวางขาย ซึ่งสามารถตอบโจทย์ การมาช้อปปิ้งในที่แห่งเดียว โดยสามารถเลือกสินค้าตามสไตล์ที่เป็นรูปแบบของผู้บริโภคได้หลากหลาย แบรนด์ สะดวกสบาย และตรงใจ (Dailynews, 2558) ด้วยความน่าสนใจว่า ช่องทาง“Multi-Brand Stores” จะสามารถเป็นโอกาสหรือช่องทางใหม่สำ�หรับ ร้านค้าสินค้าแฟชั่นออนไลน์หรือไม่ จึงทำ�ให้คณะนักศึกษาปริญญาโทสาขาการตลาดรุ่น18B ต้องการ ศึกษาและวิจัย เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ซื้อสินค้าแฟชั่นทางช่องทางต่างๆ ตลอดจนแนวโน้มการเข้า “Multi-Brand Stores” ในอนาคต เพื่อให้เจ้าของ Multi-Brand Stores และแบรนด์สินค้าแฟชั่นเกิด การพัฒนาแบรนด์ร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการให้ตรงใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงผู้เล่น รายใหม่ หรือคนที่อยากมีแบรนด์เป็นของตัวเองเกิดแรงผลักดัน และเห็นโอกาสในการทำ�ธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยงานสัมมนาทางการตลาด “InStagram – In Stores เปิดเช็คลิสต์ พลิกโอกาสร้านสินค้าแฟชั่นจาก Online สู่ On Shelves” เพื่อให้ เจ้าของแบรนด์สินค้า และบุคคลทั่วไปที่สนใจเข้ารับฟัง เพื่อได้รับข้อมูล และสามารถนำ�ผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้พัฒนาธุรกิจของตนเอง


วัตถุประสงค์ และเป้าหมาย ของงานสัมมนา

วัตถุประสงค์ 1.เพื่อนำ�เสนอพฤติกรรมและความต้องการ ของผู้ บ ริ โ ภครุ่ น ใหม่ ใ นการเลื อ กซื้ อ สิ น ค้ า แฟชั่น ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ ช่องทาง ออนไลน์ และช่องทางออฟไลน์ 2.เพื่ อ นำ � เสนอโอกาสทางการตลาดของ แบรนด์ สิ น ค้ า แฟชั่ น โดยดี ไ ซน์ เ นอร์ แ บรนด์ ไ ท ย ข อ ง ค น รุ่ น ใ ห ม่ ที่ ข า ย ผ่ า น ช่ อ ง ท า ง ออนไลน์ ไปสู่ช่องทาง Multi-Brand Stores 3.เพื่อนำ�เสนอแนวทางในการนำ�สินค้าเข้าวาง ขายในช่องทาง Multi-Brand Stores


CONTENT SWOT ANALYSIS S W

จุดแข็ง (Strengths) - เป็นช่องทางที่เจ้าของแบรนด์สินค้าออนไลน์สามารถนำ�สินค้า มาฝากไว้กับเจ้าของพื้นที่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ บริโภคที่ต้องใช้ปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้า เช่น การสัมผัสสินค้า การทดลองสินค้า หรือได้รับประสบการณ์ร่วม กับแบรนด์ - หัวข้อที่ทำ�การศึกษาวิจัยนี้เป็นหัวข้อใหม่ ที่เป็นกระแสและ มีอิทธิพลต่อสังคมของกลุ่มนักศึกษา และกลุ่มคนเริ่มทำ�งาน (First Jobber) ซึ่งยังไม่มีสถาบัน หรือหน่วยงานเอกชนใดนำ� เสนอข้อมูลอย่างเป็นทางการมาก่อน จึงทำ�ให้ทราบพฤติกรรมผู้ บริโภคกลุ่มนี้ในประเทศไทยที่เป็นปัจจุบัน

จุดอ่อน (Weaknesses) - เนื่องจากธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่นเป็นธุรกิจที่ต้องมีการปรับเปลี่ยน และต้องมีความกระตือรือร้นให้เกิดความแปลกใหม่ตลอดเวลา การ พัฒนาสินค้าแฟชั่นที่มีการแข่งขันสูง และหลากหลายช่องทาง ความ รวดเร็วในการออกสินค้าอย่างเหมาะสม เป็นความท้าทายกับการ สร้างยอดขายที่ยั่งยืน การสร้างแบรนด์ และพัฒนาร้านค้าเพื่อตอบ สนองความต้องการของลูกค้าให้ยืนยาว


O

โอกาส (Opportunities)

- เป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สำ�หรับผู้ที่มีธุรกิจเป็นของตนเองที่ต้องการ ขยายช่องทางในการขายสินค้า เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ และความคุ้นเคย แก่ลูกค้าได้แนบแน่นขึ้น - เป็นโอกาสของผู้มีฝันอยากมีแบรนด์สินค้าแฟชั่นเป็นของตนเอง แต่มีงบ ประมาณ และทรัพยากรการจัดการที่จำ�กัดได้มาเรียนรู้จากผู้ประสบความ สำ�เร็จ - เป็นโอกาสของเจ้าของพื้นที่ หรือ Multi-Brand Stores ในการพัฒนา ตนเองในการสนับสนุน และหา Unmet Needs ของเจ้าของแบรนด์สินค้า และ ลูกค้ารายย่อย เพื่อความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน

T

อุปสรรค (Threats)

- ธุรกิจแฟชั่น เปลี่ยนแปลงเร็ว ต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง - ผู้เล่นในตลาดเข้าง่ายออกง่าย ทำ�ในระยะเวลาสั้นๆ ทำ�ให้มีผู้ค้าหน้า ใหม่ๆ เข้าสู่ธุรกิจที่ทำ�ร้านขายสินค้าแฟชั่นแบบไม่ใช่อาชีพ หรือเป็นธุรกิจ หลัก ทำ�ให้ธุรกิจนี้ดูกระจัดกระจาย เป็นความท้าทายในการสร้างตัวตน (Brand Signature) ของตลาดนี้


ส่องพฤติกรรมนักช้อปสินค้าแฟชั่น ระเบียบการวิจัย การสัมมนาในครั้งนี้เป็นการทำ�วิจัยทั้งเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพ โดยแบ่งการเก็บข้อมูลออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ข้อมูลปฐมภูมิ - แบบสอบถามทั้งสิ้น 415 ชุด - การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริโภค ( In-Depth Interview) จำ�นวน 32 คน และเจ้าของแบรนด์สินค้ากับเจ้าของพื้นที่ Multi-Brand Store รวมทั้งสิ้น 34 คน - การสนทนากลุ่ม ( Focus Group ) รวม 5 กลุ่ม - การสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภค (Observation) โดยลงพื้นที่ สำ�รวจพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หน้าร้าน Multi-Brand Store 2.ข้อมูลทุติยภูมิ - บทสัมภาษณ์ผู้ประกอบการ - คลิปวิดีโอ - งานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากแบบสอบถามทั้ง 415 ชุด พบว่านักช้อปสินค้าแฟชั่น เป็นเพศหญิงถึง 92% ในขณะที่เพศชายมีเพียง 8% เท่านั้น ทำ�ให้ เห็นได้ว่านักช้อปสินค้าแฟชั่นส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ดังนั้นใน งานวิจัยครั้งนี้จึงเน้นความสำ� คัญไปที่กลุ่มนักช้อปที่เพศหญิง เป็นหลัก


นักช้อป สินค้าแฟชั่น เพศหญิง แบ่งตามอายุได้ทั้งหมด 4 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มของนักช้อปสินค้าแฟชั่นที่เป็น เพศหญิงแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มตามช่วง อายุ เนื่องจากนักช้อปแต่ละกลุ่มช่วงอายุ มีความแตกต่างกัน ดังนี้

1. กลุ่มนักช้อปที่มีอายุ 16-20 ปี

เป็นกลุ่มเด็กนักเรียน มีรายได้เฉลี่ยอยู่ในช่วง น้อยกว่าหรือเท่ากับ 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งรายได้หลักๆของกลุ่ม คือ เงินที่ได้จาก ครอบครัวหรือผู้ปกครอง

2. กลุ่มนักช้อปที่มีอายุ 21-25 ปี

หรือกลุ่มนักศึกษาไปจนถึงกลุ่มที่เพิ่งเริ่มทำ�งาน ( First Jobber ) โดยนักช้อปกลุ่มนี้ มีรายได้ เฉลี่ยอยู่ในช่วง 15,001 - 25,000 บาทต่อเดือน เนื่ อ งจากนั ก ช้ อ ปในกลุ่ ม นี้ เ ริ่ ม มี ร ายได้ จ ากการ ทำ�งานของตัวเอง

3. กลุ่มนักช้อปที่มีอายุ 26-30 ปี

เป็นกลุ่มคนวัยทำ�งาน ที่ทำ�งานมาระยะหนึ่ง สำ�หรับ กลุ่มนี้รายได้เฉลี่ยอยู่ในช่วง 25,001 - 35,000 บาท ต่อเดือน รายได้หลักมาจากการทำ�งาน ซึ่งรายได้สูง กว่านักช้อปกลุ่มที่ 1 และ 2 เนื่องจากเริ่มมีความ เติบโตในหน้าที่การงาน

4. กลุ่มนักช้อปที่มีอายุ 31 ปีขึ้นไป

เป็นกลุ่มคนที่ทำ�งานมาเป็นระยะเวลานานและส่วนใหญ่ เริ่มมีครอบครัว ทำ�ให้มีความรับผิดชอบหรือภาระ หน้าที่ต่างออกไป ทำ�ให้สามารถแบ่งรายได้เฉลี่ยอยู่ใน 2 ช่วงคือ ช่วง 25,001-35,000 บาทต่อเดือน และ 55,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป


InStagram รูปแบบการช้อป สินค้าแฟชั่นของ นักช้อปแต่ละกลุ่ม กลุ่มที่มีอายุ 16-20 ปี, 21-25 ปี และ 26-30 ปี มีพฤติกรรมที่เหมือนกันคือ การชอบดูสินค้าจากช่อง ทาง Online แต่เมื่อซื้อสินค้าจะชอบซื้อสินค้าที่หน้าร้าน มากกว่า ในขณะที่กลุ่มนักช้อปที่มีอายุ 31 ปีขึ้นไปจะ ชอบดูสินค้าจากช่องทาง Online และชอบซื้อสินค้าจาก ช่องทาง Online เนื่องด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำ�ให้มีหน้า ที่การงานที่ต้องรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น สำ�หรับบางคน อาจรวมไปถึงการมีครอบครัว จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำ�ให้ นักช้อปในกลุ่มนี้มีเวลาสำ�หรับการช้อปปิ้งลดน้อยลง ดัง นั้นนักช้อปกลุ่มนี้จึงสะดวกที่จะซื้อจากช่องทาง Online มากกว่า

ซึ่งจากที่ 3 กลุ่มแรกชอบซื้อสินค้าผ่านหน้าร้านเนื่อง จากนักช้อปชอบการได้ลอง ได้เห็นสินค้าจริง และนักช้อ ปกลุ่มอายุ 31 ปีขึ้นไปชอบซื้อสินค้าผ่านทาง Online เนื่องจากมีภาระที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ไม่มีเวลามากพอที่ จะไปซื้อสินค้าผ่านช่องทางหน้าร้าน จุดที่น่าสนใจ คือ นักช้อปทุกกลุ่มมีพฤติกรรมอย่าง หนึ่งที่เหมือนกัน คือ เลือกดูสินค้าแฟชั่นผ่านช่องทาง Online ก่อน แม้ว่าการเลือกซื้อสินค้าจะมีรูปแบบที่แตก ต่างกันออกไป



ช่องทาง Online ที่นักช้อป แต่ละกลุ่มชอบเลือกดู จากผลสำ�รวจพบว่านักช้อปที่มีอายุ 16-20 ปี, 21-25 ปี และ 26-30 ปี นิยมดูสินค้าแฟชั่นผ่าน Instagram จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มนักช้อป 3 กลุ่มแรกพบว่า ชอบดูสินค้าในช่องทาง Instagram เนื่องจาก

“เหมือนเน้นรูปมากกว่า สิ่งรกหูรกตาน้อย”

ส่งผลให้เหล่านักช้อปสามารถ Focus ที่การช้อปจริงๆ ไม่ต้องมีสิ่งรบกวนเด้งขึ้นมาระหว่างการช้อปทางช่องทาง Online

“รายละเอียดสินค้าครบจบในหน้าเดียว” นักช้อปทั้ง 3 กลุ่มข้างต้นมองว่าเวลาดูสินค้าใน Instagram สามารถดูทั้งรูปและเนื้อหารายละเอียด ของสินค้าต่างๆ ทั้งสี, ขนาด, เนื้อผ้า และราคาได้ ในหน้าเดียว


“หาสินค้าที่ต้องการได้จาก #Hashtag” เมื่อกลุ่มนักช้อปเข้าไปเลือกซื้อสินค้าใน Instagram สามารถเชื่อมโยงสินค้าที่เกี่ยวข้องได้จาก #Hashtag ที่ อยู่ใต้ภาพได้ทันที

“เลื่อนดูหลายๆ รูปได้ในหน้าเดียว” หรือฟังก์ชั่น Multiple นักช้อปทั้งสามกลุ่มนี้บอกว่า มันทำ�ให้เขาสามารถดูรูปภาพหลายๆรูปได้ง่ายขึ้น เพราะ รายละเอียดของสินค้านั้นๆจะยังอยู่ในหน้าเดิม แต่มีหลาก หลายแบบและหลายมุมให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น


ช่องทาง Online ที่นักช้อป แต่ละกลุ่มชอบเลือกดู ในขณะที่นักช้อปที่มีอายุ 31 ปีขึ้นไป นิยมดูสินค้าผ่าน Facebook มากกว่า ช่องทาง Instagram เพราะ..

“Facebook มีครบทุกอย่างที่ต้องการแล้ว” กลุ่มนักช้อปกลุ่มนี้มองว่าฟังก์ชั่นที่ต้องการมีครบ ทั้งหมดใน Facebook ไม่ว่าจะเป็น Community ใน การติดต่อกับเพื่อนๆ, ติดตามข่าว หรือ Video, ฟังก์ชั่น Facebook Messenger ที่ใช้ในการพูดคุยโต้ตอบ รวม ไปถึงการช้อปปิ้งใน Facebook อีกด้วย

“Facebook มีกรุ๊ปชัดเจน ไปหาร้านในกรุ๊ปง่ายกว่า” กลุ่มนักช้อปกลุ่มนี้มองว่าการจะค้นหาสินค้าแฟชั่น ค้นหาใน Page, Group หรือ Community สามารถ ค้นหา Brand สินค้าได้ง่ายกว่า


“รูปใน Facebook ซูมได้” กลุ่มนักช้อปกลุ่มนี้ ชอบดู พร้อมกับขยายภาพ เพื่อดู รายละเอียดของสินค้าที่กำ�ลังสนใจอยู่ได้เพิ่มมากขึ้น ถึง แม้ว่า ใน Instagram จะสามารถทำ�ได้แต่นักช้อปกลุ่มนี้ มองว่า Facebook มีทุกอย่างที่ต้องการครบอยู่แล้ว จึง ไม่ต้องการที่จะลองใช้แอพพลิเคชั่น Instagram

“กด Like Page แล้วจะมี Page อื่นที่แนะนำ�ต่ออีกที” การที่นักช้อปกลุ่มนี้กดไลค์ Page ใน Facebook จะทำ�ให้ได้รับการแนะนำ� Page ที่คล้ายๆกันเพิ่มเติม


เนื้อหาที่กลุ่มนักช้อปชอบ ดูในช่องทางออนไลน์ จากผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่านักช้อปที่มีอายุ 16-20 ปี, 21-25 ปี และ 26-30 ปี เนื้อหาที่ทั้ง 3 กลุ่มนี้ชอบดู แบ่งได้ 3 แบบ ได้แก่

1.

รูปภาพ Presenter เนื่ อ งจากเหล่ า นั ก ช้ อ ปรู้ สึ ก ว่ า เมื่ อ สิ น ค้ า อยู่ ที่ตัวคน จะทำ�ให้สินค้านั้นมีชีวิตชีวามากขึ้น ทำ�ให้รู้สึกอยากได้ อยากซื้อมากขึ้น

2. รูปภาพ Macro

คือรูปภาพที่ถ่ายให้เห็นรายละเอียดของสินค้า อย่างชัดเจน เห็นถึงเนื้อผ้าว่า หยาบ หนา หรือ ละเอียด ซึ่งรูปภาพแบบนี้เป็นรูปภาพที่แสดง รายละเอียดของสินค้าได้ดีที่สุด

3. รูปภาพที่มี Influencer

เป็นผู้สวมใส่สินค้าเหล่านั้น เช่น ดารา หรือ Net Idol เพราะว่านักช้อปบางคนจะมี Influencer ในดวงใจ อยู่แล้ว ทำ�ให้อยากใส่เสื้อผ้าในรูปแบบเดียวกับคนที่ นักช้อปชอบ


เนื้อหาในส่วนที่เป็น

ข้อความใน Instagram

จากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า ข้อความที่ นักช้อปทั้ง 3 กลุ่มนี้ชอบดู คือ ข้อความที่ มีรายละเอียดสินค้า+ราคา และ ข้อความที่มี รายละเอียดสินค้า + ราคา + #Hashtag เพื่อ ที่เหล่านักช้อปจะได้สามารถกด #Hashtag และหาสินค้าที่ต้องการได้จาก #Hashtag เหล่านี้ โดยสามารถเชื่อมโยงไปสู่ร้านค้าอื่นๆ หรือสินค้าจากแหล่งอื่นๆ ได้ตามที่นักช้อป ต้องการค้นหา

เนื้อหาใน Facebook ที่กลุ่มอายุ 31 ปีขึ้นไป ชอบดู จากงานวิ จั ย ที่ เ กี่ ย วข้ อ งพบว่ า เนื้อหาที่นักช้อปกลุ่มนี้ชอบคือ รูปภาพจาก Presenter ที่ทำ�ให้รู้สึกว่าสินค้ามีชีวิตชีวา และน่าซื้อมากขึ้น และ อีกรูปแบบหนึ่งคือการ Review สินค้าผ่าน Facebook Live ที่ นักช้อปรู้สึกมีความน่าเชื่อถือ หรือเชื่อใจใน แบรนด์เหล่านั้นว่าไม่ได้หลอกลวงผู้บริโภค


ช่วงเวลาที่มีการใช้งาน Instagram มากที่สุด

คือ ช่วงเวลา 17:00 น. - 22:00 น. และวันที่คนมี ปฏิสัมพันธ์มากที่สุดคือ ช่วงเย็นวันศุกร์และวันเสาร์ช่วงไป ปาร์ตี้ สังสรรค์ กินข้าวกัน

ช่วงเวลาที่มีการ ใช้งาน Facebook มากที่สุด คือ ช่วงเวลา 16:00 น. - 20:00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ คนกำ�ลังเลิกงานและอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน ทำ�ให้มีเวลา สำ�หรับเปิดโซเชียลได้อย่างเต็มที่ โดยวันที่คนมีปฏิสัมพันธ์ มากที่สุดคือ วันพุธ เนื่องจากเป็นช่วงกลางสัปดาห์ ส่วนวัน ที่มีปฏิสัมพันธ์น้อยที่สุด คือวันเสาร์ เพราะคนส่วนใหญ่จะใช้ เวลากับกิจกรรมนอกบ้านจนไม่มีเวลาดูโซเชียล เพราะฉะนั้นสำ�หรับเจ้าของแบรนด์หรือเจ้าของกิจการต่างๆ ที่มีสินค้าเป็นของตนเอง ก็จะต้องวิเคราะห์ให้ดีก่อนว่ากลุ่ม ลูกค้าเป็นกลุ่มไหน เพื่อที่จะได้เลือกเนื้อหาสำ�หรับสื่อสารไป สู่กลุ่มลูกค้าได้อย่างถูกช่องทางและเหมาะสม ซึ่งก็จะเป็นผลดี ต่อแบรนด์


นักช้อปทุกกลุ่มชอบดูสินค้า แฟชั่นผ่านช่องทาง Online แต่ทั้ง 3 กลุ่ม ยังคงชอบ ซื้อสินค้าที่หน้าร้าน

แม้ว่าช่องทาง Online จะมีความสะดวกสบาย และลด เวลาในการเดินทาง แต่นักช้อปอาจได้รับประสบการณ์ ที่ไม่ดีเกี่ยวกับการซื้อสินค้าของ Online ซึ่งจากที่ สัมภาษณ์นักช้อปสินค้าแฟชั่น พบว่า นักช้อปเหล่านี้ จะมีความคาดหวังในการซื้อสินค้าแฟชั่นทาง Online ดังนี้ “ให้คำ�แนะนำ�ลูกค้าได้” กลุ่มนักช้อปคาดหวังว่าหาก มีข้อสงสัยใดเกี่ยวกับสินค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขนาดหรือ รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับสินค้า ทางแม่ค้าจะสามารถ ตอบข้อสงสัยให้ได้ “แก้ไขปัญหาให้ได้” กลุ่มนักช้อปกล่าวว่า เมื่อซื้อ สินค้าแล้วหากมีปัญหาเกิดขึ้น ก็คาดหวังว่าทางแบรนด์ จะให้ความช่วยเหลือ และแก้ปัญหาให้กับลูกค้า “ระบุรายละเอียดสินค้าชัดเจน” กลุ่มนักช้อปคาด หวังว่าจะได้อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าทุกอย่าง ไม่ ว่าจะเป็น ขนาด เนื้อผ้า หรือราคาจบภายในที่เดียว เพราะทางกลุ่มนักช้อปไม่ต้องการที่จะทักแม่ค้าไปเพื่อ สอบถามข้อมูล แต่ต้องการทักไปเพื่อต้องการปิดการ ขายหรือซื้อสินค้าเท่านั้น “สินค้าเหมือนที่ลงรูปไว้” กลุ่มนักช้อปคาดหวังว่า สิ น ค้ า ที่ ไ ด้ รั บ จะมี ลั ก ษณะเหมื อ นกั บ รู ป ภาพที่ ท าง แบรนด์ได้ลงภาพโฆษณาเอาไว้ ไม่ใช่ว่าสวยแค่ใน รูปภาพ แต่สินค้าที่ได้รับจริงกลับเป็นอีกแบบหนึ่ง “ได้สินค้าตรงตามเวลาที่กำ�หนด” เมื่อกลุ่มนักช้อป สั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทาง Online ก็คาดหวังว่าจะได้รับ สินค้าเร็วที่สุด หรือได้รับสินค้าตรงตามกำ�หนดที่ตกลง กับทางแม่ค้าไว้ “Update สินค้า อยู่ตลอด” กลุ่มนักช้อปชอบที่ แบรนด์มีการอัพเดทสินค้ารุ่นใหม่ๆอยู่สม่ำ�เสมอ เพื่อที่ จะสามารถเข้าไปดูและเลือกซื้อสินค้าได้บ่อยๆ เป็นการ ตอบสนองความต้ อ งการในการซื้ อ สิ น ค้ า ตามความ สะดวกของกลุ่มนักช้อปจริงๆ จากข้างต้นคือสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังจากกลุ่มนักช้อป เมื่อซื้อสินค้าผ่านช่องทาง Online แต่ความเป็นจริง เมื่อกลุ่มนักช้อปซื้อสินค้าแฟชั่นผ่านช่องทาง Online จริงๆกลับได้รับประสบการณ์ ดังนี้

“ตอบช้า” กลุ่มนักช้อปคาดหวังให้เจ้าของแบรนด์ หรือร้านค้าตอบกลับข้อมูลที่ต้องการภายในวันนั้นๆ หรือหากกลุ่มนักช้อปแจ้งโอนเงิน ก็คาดหวังให้เจ้าของ แบรนด์ตอบกลับภายใน 1 ชั่วโมง “แม่ค้าพูดจาไม่ดี” กลุ่มนักช้อป พบว่าเมื่อทักแม่ค้า ไป แม่ค้ากลับพูดจาไม่ดี ไม่มีใจรักบริการ ทำ�ให้นักช้อป เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีและไม่อยากซื้อสินค้าจากแบรนด์ๆ นั้นอีก “ลงรายละเอียดไม่ครบ” เวลาที่กลุ่มนักช้อปกำ�ลัง เลือกสินค้า แล้วถูกใจ แต่ปรากฎว่ามีข้อมูล หรือมีแต่ ไม่ครบ จึงยังไม่สามารถตัดสินใจซื้อได้ในทันที อาจจะ ต้องมีการแอดไลน์ไปถามข้อมูลเพิ่มเติมอีก จึงอาจจะ สร้างความไม่พึงพอใจให้กับกลุ่มนักช้อป “สินค้าไม่เหมือนที่คิดไว้” เมื่อได้รับสินค้าแล้วนักช้อ ปกลับพบว่าสินค้าที่ได้รับไม่ตรงกับที่เห็นในโลก Online เนื่องจากหลายๆแบรนด์มีการตกแต่งรูปภาพ เพื่อให้สินค้าดูน่าสนใจมากขึ้น หรือคุมโทนเป็นสีของ แบรนด์ อีกทั้งการดูสินค้าผ่านมือถือแค่ระบบต่างกัน (IOS/Android) การแสดงสีรูปภาพก็มีความแตกต่าง กัน “ได้ของช้า” ปัญหานี้อาจเกิดขึ้นได้จาก 2 ส่วน ส่วน แรกคือ จากเจ้าของแบรนด์ที่มีการบริหารจัดการล่าช้า ส่วนที่สองคือ การขนส่งต่างๆ อาทิ ไปรษณีย์ไทย ที่ อาจมีปัญหาในการขนส่งเกิดขึ้น และทำ�ให้สินค้าไปถึง ลูกค้าไม่ทันตามที่คาดหวังไว้ “ของหาย ส่งผิด แพ็คไม่ดี” สืบเนื่องมาจากปัญหา การได้รับสินค้าล่าช้า กลุ่มนักช้อปพบว่าบางครั้งสินค้า ที่สั่งไปมีการส่งผิด ไม่ได้รับ หรือสินค้าเสียหาย ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงทำ�ให้กลุ่มนักช้อปสินค้าแฟชั่นชื่น ชอบซื้อสินค้าผ่านทางหน้าร้านมากกว่า


สิ่งที่ร้านค้า Online ควรทำ� เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับ ลูกค้า มี 5 ข้อ ดังนี้ 1.มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น การออกบูท ทำ�ให้ เจ้าของร้านค้าได้เจอลูกค้า พบปะพูดคุยกัน และสามารถนำ� ความคิดเห็นของกลุ่มลูกค้ามาปรับปรุงสินค้าให้ดียิ่งขึ้นได้ 2.ตอบกลับลูกค้าเร็ว (เวลาตอบกลับการสอบถาม ข้อมูลภายใน 1 วัน, แจ้งโอนเงินภายใน 1 ชม.)

3.ลงรายละเอียดสินค้าชัดเจนครบถ้วน

4.มีการอัพเดทคอลเลคชั่นสม่ำ�เสมอ (ควรมีการ ออกคอลเลคชั่นใหม่เดือนละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย) 5. คุณภาพมาตรฐานคงที่ แต่ในความเป็นจริงในปัจจุบันร้านค้าออนไลน์ต่างๆ ยังไม่สามารถทำ�ได้ตามความคาดหวังของลูกค้าอย่างที่ควร จะเป็น จึงทำ�ให้กลุ่มลูกค้าหรือกลุ่มนักช้อป เกิดการผิดหวัง จากการช้อปสินค้าออนไลน์ และทำ�ให้เปลี่ยนพฤติกรรมไป ซื้อสินค้าจากช่องทางหน้าร้าน


เหตุผลที่กลุ่มนักช้อปชอบ ซื้อสินค้าจากหน้าร้าน จากการสัมภาษณ์กลุ่มนักช้อปที่ชอบซื้อสินค้าที่หน้าร้านพบว่า

“ได้สัมผัส ได้ลอง ได้จับเนื้อผ้า” ทำ�ให้รู้ว่าเนื้อผ้า เป็นแบบที่นักช้อปชอบหรือไม่ ซึ่งนักช้อปแต่ละคนจะมีความชอบเนื้อผ้าที่แตกต่างกันไป

“ได้ของทันทีไม่ต้องรอรับจากไปรษณีย์” การที่ไปซื้อสินค้าที่หน้าร้านแน่นอนว่ากลุ่มนักช้อปจะได้รับของ ทันทีไม่ต้องรอและบางครั้งไม่มีคนคอยรับของที่บ้าน

“ได้เดิน Shopping ดูของไปเรื่อยๆ” ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งของกลุ่มนักช้อป ที่ได้เดิน ช้อปปิ้งดูสินค้าซึ่งหากเจอที่สินค้าถูกใจก็สามารถซื้อเพิ่มได้

“ใช้บัตรเครดิตได้” การที่สามารถชำ�ระเงินด้วยบัตรเครดิต ก็เป็นอีกหนึ่ง ปัจจัยที่ทำ�ให้กลุ่มนักช้อปชอบซื้อสินค้าจากทางหน้าร้าน เนื่องจาก ในความเป็นจริงการซื้อสินค้าผ่านช่องทาง Online จะต้องชำ�ระเงิน โดยการโอนเงินเท่านั้น แต่การสัมภาษณ์เชิงลึกกลับพบว่ากลุ่มนัก ช้อปจะรู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อต้องชำ� ระสินค้าโดยการจ่ายเงินสดออก ผ่านมือ ทำ�ให้ซื้อสินค้าได้น้อยกว่าทางหน้าร้าน ที่สามารถชำ�ระ ด้วยบัตรเครดิตได้ อีกทั้งในปัจจุบันสิทธิพิเศษที่ทางธนาคารใช้ ดึงดูดใจให้ใช้ผ่านบัตรเครดิตก็มีมากมาย เช่น สะสมแต้ม เป็นต้น



อุปสรรคในการเปิด หน้าร้าน มีดังนี้ 1. การเปิดหน้าร้านจะต้องใช้เงินลงทุนและค่าใช้ จ่ายสูง

2. ต้องมีสินค้าหลากหลายแบบจำ�นวนมาก รวมถึงสินค้าหลากหลายมากพอที่จะวางที่หน้าร้าน รวมไปถึงปริมาณสินค้าคงคลังต้องเพียงพอสำ�หรับ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้า ที่หน้าร้าน 3. การบริหารจัดการยุ่งยาก เนื่องจากต้องมี การวางแผนจัดวางสินค้า การตกแต่งร้าน เรื่องของการ บริหารจัดการ Stockซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมากสิ นค้าคงคลังต้องเพียงพอสำ�หรับตอบสนองความต้อง การของลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าที่หน้าร้าน 4. ต้องหาพนักงานประจำ�หน้าร้าน นอกจาก ความยุ่งยากในเรื่องของการบริหารจัดการแล้ว การเปิด หน้าร้านยังต้องหาพนักงาน มาดูแลสินค้าในร้าน ซึ่งไม่ใช่ เรื่องง่ายที่จะสามารถหาพนักงานที่ตั้งใจทำ�งาน และไว้ วางใจได้


MultiBrand นิยามของ Multi-Brand Stores

Multi-Brand Stores

มีคำ�นิยามมากมายหลากหลายรูปแบบ ในต่างประเทศ Amsterdam Fashion Institute ได้กล่าวไว้ว่า “Multi-Brand Stores คือร้านค้าที่เสนอแบรนด์ สินค้าแฟชั่นไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าไปจนถึงเครื่องประดับ หลากหลายแบรนด์ ไว้ในที่เดียว โดยอาจจะมีแบรนด์ ของทางร้านเองอีกด้วย”

จาก Swedish School of Textiles กล่าวไว้ว่า

Multi-Brand Stores คือ ร้านค้าที่เป็นศูนย์รวมสินค้า แฟชั่นหลากหลายแบรนด์ โดยมีสินค้าหลักเป็นเสื้อผ้า”


ในมุมมองของประเทศไทย จาก ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ผู้อำ�นวยการบริหารสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า

Multi-Brand Stores

คือ ในกลุ่มสินค้าแฟชั่น คือร้านค้าแฟชั่นที่เป็นศูนย์รวมของสินค้า แฟชั่นโดยที่แบรนด์ของร้านค้าเป็นตัวนำ�แบรนด์สินค้า”

ดั ง นั้ น จากผู้ เ ชี่ ย วชาญและผู้ ที่ มี ป ระสบการณ์ จากหลากหลายแหล่ง ทางกลุ่มได้สรุปนิยามออกมาดังนี้

Multi-Brand Stores คือ ห้างขนาดเล็กที่มีการรวบรวมสินค้าแฟชั่นจากโลก

Online หลากหลายแบรนด์ไว้ในที่ที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือเครื่องประดับ”

Stores


ตัวอย่างของร้าน Multi-Brand Stores ต่างประเทศ “Colette” ร้าน Multi-Brand Stores จากประเทศฝรั่งเศส ซึ่ง ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997



ตัวอย่างของร้าน Multi-Brand Stores ต่างประเทศ

“A LAND” ร้าน Multi-Brand Stores จาก ประเทศเกาหลี ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2005




ตัวอย่างของร้าน Multi-Brand Stores ในประเทศ

SOS (Sense of Style) ก่อตั้งมาตั้งแต่ ปีค.ศ. 2015 ซึ่งในปัจจุบัน มีทั้งหมด 5 สาขาแล้ว นอกจากนี้ SOS ยังได้มีการขยายแบรนด์ลูก หรือ Sub-brand ที่ชื่อว่า Sense by SOS ด้วยอีก 2 สาขา โดยปั จ จุ บั น มี แ บรนด์ สิ น ค้ า ภายใต้ ร้ า นทั้ ง หมด กว่า 300 แบรนด์


ตัวอย่างของร้าน Multi-Brand Stores ในประเทศ

CAMP ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 โดย มี ก ารเปิ ด สาขาแรกที่ ส ยามและปั จ จุ บั น มี ก าร ขยายสาขาที่สองที่เมกะบางนา โดยมีแบรนด์ สินค้าภายใต้ร้าน CAMP กว่า 150 แบรนด์



ตัวอย่างของร้าน Multi-Brand Stores ในประเทศ

MATCHBOX ก่อตั้งมาเมื่อปีค.ศ. 2016 ปัจจุบันนี้มีทั้งหมด 2 สาขาแล้ว โดยสาขา ล่า สุด เพิ่งเปิด เมื่อต้น เดือ นเมษายนที่ผ่า นมา ซึ่งทั้ง 2 สาขา ของร้านนี้ ตั้งอยู่ที่สยามแสควร์



กลุ่ ม ลู ก ค้ าหลั ก ขอ ง Multi-Brand Store ไม่เคยซื้อ เคยซื้อ จากผลการสำ�รวจ จากกลุ่มตัวอย่าง 415 ชุด มีกลุ่มตัวอย่างที่เคยซื้อสินค้าใน Multi-Brand Store 225 คน หรือคิดเป็น 54.2%

โดยพวกเราพบว่ า กลุ่ ม นั ก ช้ อ ปที่ ซื้ อ สิ น ค้ า ใน Multi-Brand Store เหล่านี้มากที่สุด คือกลุ่มนักช้อป ที่มีอายุ 26-30 ปีค่ะ รองลงมาได้แก่ กลุ่มนักช้อปอา ยุ 16-20 ปี และ 21-25 ปี ส่วนกลุ่มนักช้อปอายุตั้งแต่ 31 ปีขึ้นไปเราพบว่ามีสัดส่วนที่น้อยที่สุด


ทัศนคติหรือมุมมองเกี่ยวกับ ร้าน Multi-Brand Store มุมมองจากกลุ่มนักช้อปที่มีอายุ 16-20 ปี

“รู้สึกราคาแพง ร้านดูดีไม่กล้าเข้า” “ไม่รู้จักแบรนด์ที่อยู่ในร้าน” “จะไปซื้อเวลาใส่ไปในโอกาสพิเศษ”

นักช้อปกลุ่มนี้ก็คือน้องๆ วัยเรียนที่ยังมีรายได้ไม่ สูงนัก พวกเขามีมุมมองว่าสินค้าในร้านจะค่อนข้างมีราคา สูง และพวกเขาเองก็ไม่ได้รู้จักแบรนด์ที่อยู่ในร้านมากนัก นอกจากนี้ยังมองว่าสินค้าในร้านจะดูหรูหราไม่เหมาะกับที่ เค้าจะใส่ในชีวิตประจำ�วันแต่จะเหมาะสำ�หรับใส่ไปออกงาน หรือโอกาสพิเศษต่างๆ มากกว่า ดังนั้น นักช้อปกลุ่มนี้เค้าจะเข้าไปเลือกซื้อสินค้าใน ร้าน Multi-Brand Store เมื่อเค้าต้องการหาชุดไปออกงาน หรือโอกาสพิเศษต่างๆ เพราะแต่เดิมหากเค้าจะต้องหาชุด พิเศษเค้าจะต้องไปตามร้านที่สั่งตัดชุดต่างๆ แต่ในปัจจุบัน เค้าเลือกที่จะมาเลือกซื้อสินค้าในร้าน Multi-Brand Store เหล่านี้


ทัศนคติหรือมุมมองเกี่ยวกับ ร้าน Multi-Brand Store มุมมองจากกลุ่มนักช้อปที่มีอายุ 21-25 ปี

“ราคาค่อนข้างสูงแต่เทียบกับคุณภาพแล้วโอเค” “ขายชุดสำ�หรับไปออกงาน” นักช้อปกลุ่มนี้ คือกลุ่มที่เพิ่งเริ่มชีวิตการทำ�งาน หรือ เป็นกลุ่ม First Jobber นั่นเอง สำ�หรับกลุ่มนี้จะเริ่ม มีรายได้เป็นของตนเองแล้ว ซึ่งพวกเขามองว่า สินค้าในร้าน มีราคาค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพแล้ว พวกเขา มองว่าเหมาะสม และนอกจากนี้ยังมองว่า ซึ่งสไตล์ของชุด ส่วนใหญ่ในร้านนี้ จะเป็นชุดที่เหมาะสำ�หรับใส่ในโอกาส พิเศษ เช่น งานแต่ง หรืองานพิเศษต่างๆ พวกเขาก็จะเลือก ซื้อที่ร้านเหล่านี้


มุมมองจากกลุ่มนักช้อปที่มีอายุ 21-25 ปี “คุณภาพดีกว่า ZARA, H&M เพราะพวกนั้นผลิตเป็นล๊อตใหญ่ๆ” “ใส่ในวันหยุด ใส่ไปออกงาน” “ราคาเหมาะสมกับคุณภาพ” “ซื้อแล้วเอาไปขายต่อได้ราคาดีกว่าซื้อจากร้านทั่วไป” ทั้งสองกลุ่มนี้จะมีมุมมองที่ใกล้เคียงกัน นั่นคือ พวกเขา มองว่า สินค้าใน Multi-Brand Store จะราคาสูงกว่าพวกสินค้า Global Brand ทั่วไป แต่พวกเขาเองก็มองว่า คุณภาพเองก็สูง กว่าเช่นเดียวกัน เนื่องจากสินค้า Global Brand จะมีการจะ ผลิตเสื้อผ้า ในปริมาณมาก แต่สำ�หรับ สินค้าใน Multi-Brand Store จะผลิตในจำ�นวนที่น้อยกว่า ซึ่งในเวลาทำ�งานพวกเขาจะ เลือกใส่เสื้อผ้าที่เป็น Global Brand แต่เมื่อถึงวันหยุดหรือเวลา ท่องเที่ยวจะเลือกใส่เสื้อผ้าจาก Multi-Brand Store นอกจากนี้ เหล่านักช้อปกลุ่มนี้ยังมองว่า เสื้อผ้าหรือสินค้าที่ซื้อจาก MultiBrand Store ยังสามารถขายต่อได้อีกด้วย ซึ่งราคาสินค้านั้นจะ ลดลงจากราคาเต็ม 30-40% เท่านั้น


นั กช้ อ ปเหล่ า นี้ เ ข้ า ไปดู สิ น ค้ า ใน Multi-Brand Store เพราะอะไร กลุ่มนักช้อปที่มีอายุ 16-20 ปี เข้าไปดูใน สินค้าใน Multi-brand Store เพราะ Concept ของ ร้าน Multi-Brand Store โดยพวกเขาจะเลือกเข้า Multi-brand Store ที่มี Concept หรือ Style ตรง กับพวกเขา เพื่อแสดงความเป็นตัวตนของพวกเขาเอง

กลุ่มนักช้อปที่มีอายุ 21-25 ปี 26-30 ปี และอายุ 31 ปีขึ้นไป เข้าไปดูในสินค้าใน Multi-Brand Store เพราะ ตามแบรนด์สินค้ามาจากสื่อ Online โดย นักช้อปเหล่านี้จะมีการดูสินค้าในโลก online ก่อน หากชอบสินค้าใด จะมีการ Capture รูปภาพในมือถือ ของตนเองเอาไว้ และเมื่อถึงที่หน้าร้าน Multi-Brand ก็จะทำ�การเปิดรูปที่ Capture เอาไว้ในมือถือ ให้กับ พนักงานที่ร้านดู ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า การสื่อสารกับ นักช้อปในช่องทาง Online ก็ยังมีความสำ�คัญอยู่มาก ดังนั้นผู้ประกอบการที่วางแผนต้องการนำ�สินค้าเข้าไป วางขายใน Multi-Brand store ก็จำ�เป็นที่จะต้องให้ ความสำ�คัญกับการสื่อสารผ่านช่องทาง Online อยู่ เช่นเดิม


นักช้อปเหล่านี้เข้าไปซื้อสินค้าใน Multi-Brand Store เพราะอะไร ปั จ จั ย ที่ ส่ ง ผลมากที่ สุ ด ให้ นั ก ช้ อ ปซื้ อ สิ น ค้ า Design หรือ รูปแบบของสินค้า เพราะว่า กลุ่มนักช้อป จะเลือกรูปแบบหรือ Design ที่เป็น Style ของเค้า จริงๆ เพื่อเป็นการตอกย้ำ�ตัวตน และ บุคคลิกของ พวกเขา

พฤติกรรมที่น่าสนใจ หลังจากที่ได้มีการเก็บข้อมูลจากการสนทนา กลุ่มนักช้อปที่เคยซื้อสินค้าใน Multi-Brand Store ทางทีมผู้วิจัยพบพฤติกรรมที่น่าสนใจ ดังนี้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนักช้อปมีการวางแผนเอา ไว้ว่า ในวันเสาร์ตั้งใจเข้าไปซื้อแบรนด์สินค้า A แต่ปราก ฎว่า เมื่อเข้าไปที่ร้านแล้ว เดินเข้าไปดูสินค้าแบรนด์ A แต่ Shelf ข้างๆ มีสินค้าแบรนด์ B ที่เป็นสไตล์เสื้อผ้า สวย ดีไซน์ดี ใกล้เคียงกับแบรนด์ A กลับกลายเป็นว่า นักช้อปได้สินค้าทั้งจาก แบรนด์ A และ แบรนด์ B แบบ ไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย บางครั้ง หากนักช้อปเห็นสินค้าแบรนด์อื่นแล้ว มีความสนใจ ถึงแม้จะไม่ได้ซื้อในทันที แต่เขาก็ยังจำ� แบรนด์ที่เขาสนใจไว้แล้วจึงกลับไป Follow แบรนด์นั้น ต่อใน Instagram เมื่อนักช้อปเคยซื้อสินค้าจากหน้าร้านแล้วมี ความพึงพอใจ ต่อไปในอนาคต นักช้อปก็จะกล้าที่จะ ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นใน แบรนด์สินค้านั้นๆ


1

TO DO

สินค้าต้อง มีเอกลักษณ์ และ ความแตกต่าง

2

คุณภาพของ สินค้าต้อง ได้มาตรฐาน

3

เนื่องจาก Multi-Brand store เป็นร้านค้าที่ มีแบรนด์สินค้าอยู่มากมายหลากหลายแบรนด์ ดังนั้น ผู้ประกอบการจำ�เป็นที่จะต้องสร้างเอกลักษณ์ให้กับ แบรนด์ สิน ค้ าของตนเพื่ อให้ มี ความโดดเด่ น ละเป็นที่ จดจำ�ของบรรดาผู้บริโภค

จากผลการวิจัยพบว่าผู้บริโภคมีความคาด หวังในคุณภาพของสินค้าใน Multi-Brand store ว่า จะต้องมีคุณภาพที่เหนือกว่าสินค้าแฟชั่น Global Brand ดังนั้นผู้ประกอบการควรที่จะให้ความสำ�คัญ ด้านคุณภาพของสินค้าเพื่อตอบสนองต่อความคาด หวังของผู้บริโภค

ออกแบบสินค้า รุ่นใหม่ๆ แบบใหม่ๆ อย่างสม่ำ�เสมอ

การออกแบบสินค้าใหม่ๆอยู่อย่างสม่ำ�เสมอ จะมีผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภค เนื่องจากแบรนด์ๆ นั้นจะเป็นแบรนด์ที่ไม่หยุดนิ่ง นอกจากนี้การออกแบบ สินค้าใหม่ๆอย่างสม่ำ�เสมอจะทำ�ให้แบรนด์เป็นเหมือน ผู้นำ�ด้านแฟชั่น ซึ่งจะทำ�ให้มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง


LIST 4

ทำ�แบรนด์ให้เป็น ที่จดจำ�ได้ จาก Online ก่อน

5

กำ � ลั ง ก า ร ผ ลิ ต สิ น ค้ า เ ข้ า ร้ า น ต้องเพีย งพอ

6

มี ก า ร จั ด ทำ � บั ญ ชี แ ล ะ เ งิ น ทุ น ห มุ น เ วี ย น เ พื่ อ ป้ อ ง กั น ความเสี่ย ง

จากผลการวิจัยพบว่าบรรดาผู้บริโภคเข้าไปเลือก ดูสินค้าใน Multi-Brand store ก็เพราะว่าติดตามแบรนด์ สินค้ามาจากโลก Online ดังนั้น ผู้ประกอบการก็ควรที่ จะทำ�แบรนด์ของตนให้เป็นที่รู้จักในโลก Online จนมีฐาน ลูกค้าที่ติดตามแบรนด์ในระดับหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจวาง ขายสินค้าใน Multi-Brand store

การวางขายสินค้าใน Multi-Brand store ก็ เปรียบเสมือนการขยายช่องทางในการขาย ดังนั้นกำ�ลัง การผลิตจะต้องเพียงพอ กับความต้องการของลูกค้า ทั้งจากฝั่ง Online และฝั่ง Multi-Brand store

การขยายโอกาสทางธุรกิจย่อมต้องใช้เงิน ลงทุน และปริมาณของสินค้า ที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นผู้ ประกอบการควรมี ก ารจั ด ทำ � บั ญ ชี แ ละมั่ น ใจว่ า มี เ งิ น ทุนหมุนเวียนที่เพียงพอเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการ ขยายธุรกิจ


DON'T! ระวังเรื่อง Concept ของร้านว่า ตรงกับสินค้าของเราหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือก Multi-Brand store ที่ จะนำ�สินค้าเข้าไปวางขาย ผู้ประกอบการควรรู้ Concept ของ Multi-Brand store ร้านนั้นๆ ว่าเหมาะสมกับสินค้า ของท่านหรือไม่ เพราะหาก Concept ของ Multi-Brand store ไม่เหมาะสมกับสินค้าที่จะวางขาย จะทำ�ให้ผู้บริโภค มองภาพลักษณ์ของสินค้าแบรนด์ท่านผิดไปได้

ห้ามคิดว่าเข้า Multi-Brand Store แล้วจะไม่ทำ�ฝั่ง Online เนื่องจากผู้บริโภคยังมีพฤติกรรมที่ติดตามสินค้า มาจากโลก Online รวมทั้ง เมื่อผู้บริโภคซื้อสินค้าที่ MultiBrand store แล้วเกิดความมั่นใจก็มีแนวโน้มจะกลับไป ซื้อสินค้าแบรนด์นั้นๆ ใน Online ต่อไป ดังนั้นผู้ประกอบ การทั้งหลายควรที่จะให้ความสำ�คัญทั้งฝั่ง Online และฝั่ง Multi-Brand Store ในสัดส่วนที่เท่ากัน



Tips ปังๆทำ� อ ย่ า งไ ร ใ ห้ โดนใจลูกค้า เมื่อเรากำ�ลังจะได้เข้าไปอยู่ใน Multibrand stores แล้วเราจะทำ�อย่างไรดีให้สินค้าเราดูน่าสนใจและดึงดูด


ควรมี Product อะไรบ้าง สินค้าที่ผู้บริโภคตั้งใจซื้อ(Needs)

เป็นสินค้าที่ตามแฟชั่น นำ�เทรนด์สุดๆ มีแค่แบรนด์ เราแบรนด์เดียวเท่านั้น ลูกค้าต้องมาซื้อของเรา เพราะฉะนั้น สินค้าประเภทนี้ควรมีติดราวไว้ ประมาณ 2-3 แบบ เป็นจุด เด่นของแบรนด์ สื่อถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่า ชัดเจน ราคาจะสูงกว่าตัวอื่นๆ

สินค้าที่อยากซื้อ (Wants)

เป็นสินค้าที่ไม่ได้ตามแฟชั่นมากนัก แต่ไม่ได้ตกเทรนด์ เป็นสินค้าที่ใส่ในชีวิตประจำ�วันได้ ราคาจะอยู่ที่ระดับกลางๆ เป็นตัวทำ�กำ�ไร สินค้าประเภทนี้ ควรมีมากที่สุด เพราะลูกค้าที่ ไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อแบรนด์เรา อาจจะเห็นได้โดยไม่ตั้งใจและเลือก ซื้อก็เป็นได้

สินค้าซื้อง่าย (Impulse)

สินค้าประเภทนี้คือสินค้าราคาถูก ในราคาไม่เกิน 300 บาท ซื้อง่ายจ่ายคล่อง ถ้าในแบรนด์เสื้อผ้า คือ เสื้อ ยืด ถ้าเป็นแบรนด์กระเป๋า คือ กระเป๋าใส่เศษเหรียญ คือ เป็นสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำ�วัน ใช้ได้ตลอด เปลี่ยนง่าย ซื้อบ่อย

สินค้า ลดราคา (Promotion)

ควรมีสินค้าที่จัดโปรโมชั่นอยู่ในราวบ้าง พอที่จะ เรียกลูกค้าได้บ้าง ถ้าไม่ใช่ช่วง Season Sale อาจจะเป็น ลดราคา 10 % สำ�หรับนักเรียน นักศึกษา เป็นต้น


เลือก LOCATION อย่างไรดี


หน้ า ร้ า นจะเป็ น สิ่ ง ที่ ลู ก ค้ า เห็ น เป็ น อั น ดั บ แรก ตามร้านค้าทั่วไปแบรนด์จะใช้ ตู้กระจกเป็นตัวสื่อสาร และบอกเล่าตัวตนของแบรนด์ แต่ถ้าเป็น Mutibrand stores พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่เช่าเช่นกัน ซึ่งถ้าเราได้พื้นที่ เช่าตรงส่วนนี้ ลูกค้าจะเห็นแบรนด์ของเราทั้งหน้าร้าน และในร้าน เราจึงควรจะโชว์สินค้าของเราให้ลูกค้าเห็น จากภายนอกด้วย โดยอาจจะติดเป็นป้าย หรือการ แขวนที่มองเห็นได้จากทางนอกร้าน เมื่อลูกค้าเดินเข้าร้าน ลูกค้าส่วนใหญ่จะวนทาง ซ้ายเพราะฉะนั้นทำ�เลที่ดจึงอยู่ที่ราวทางซ้ายมือ จุดที่ ลูกค้าจะเห็นมากที่สุดเช่นเดียวกัน คือ จุดที่ตรงประตู ทางเข้า และอีกจุดหนึ่งที่สำ�คัญไม่แพ้กัน คือ จุดชำ�ระ เงิน เพราะระหว่างที่ลูกค้ารอชำ�ระเงิน จะกวาดสายตา ไปรอบๆ แต่ถ้าสินค้าจะวางจุดนี้ได้ต้องเป็นจุดที่สินค้า ราคาถูกเท่านั้น เพราะลูกค้าเสียเงินให้กับสินค้าที่เลือก มาก่อนหน้านี้แล้ว ลูกค้าจึงไม่อยากเสียเงินเพิ่มอีก ถ้า สินค้าของเราราคาไม่ถึง 300บาท และเป็นสินค้าที่เลือก ง่าย ซื้อหาง่าย ก็ควรจะเลือกทำ�เลตรงนี้เ สิ่งสำ�คัญที่สุดที่เราจะเลือกทำ�เลได้ดีที่สุด คือ ดูทิศทางการเดินของลูกค้า กับ จุดที่ลูกค้าสนใจเห็น เป็นอันดับแรก


เรีย ง PRODUCT

ในการเรี ย งโปรดั ก ต์ ต องขออณุ ญ าตยก ตัวอย่างเป็นสินค้าประเภทเสื้อผ้านะคะ เพราะ สินค้า ประเภทนี้เป็นสินค้าที่นิยมขายกันมากที่สุด แต่สินค้า ประเภทอื่นก็ไม่ต้องน้อยใจนะคะ เพราะเราสามารถเอา ทริคนี้ไปปรับใช้ได้เช่นเดียวกันค่ะ อย่างที่ทราบกันนะ คะว่า การที่เราเช่าพื้นที่ใน Mutibrand stores นั้น เรา จะได้พื้นที่ราวประมาณ 1 เมตร เราจะทำ�ให้สินค้าเราดู น่าสนใจและแตกต่างจากเจ้าอื่นได้ไม่ยาก ขั้นแรก ก่อน ที่เราออกคอลเลคชั่นมา เราก็จะมีเรื่องราว ตัวตนของ เราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสินค้าที่อยู่ในราวที่บอกตัวตน เรา ควรจะมีอยู่ในราวประมาณ 60% ส่วนสีรองอาจจะ มีแค่ 15% ค่ะ ถัดมาคือสีเบสิค ที่ทุกร้านต้องมี เพราะ เป็นสีที่ลูกค้าซื้อง่าย สัดส่วนประมาณ 25%

รูปตัวอย่างนี้นะคะ เรื่องราวจะเป็นลายดอก Summer เค้าจะให้ลายดอกเป็น 50% ส่วนสีเขียว และฟ้านำ�มาใส่เพื่อให้ราวดูโดดเด่นขึ้นทำ�ให้ไม่ดูน่าเบื่อ ประมาณ 15% และสีเบสิคคือสีดำ� ขาว และ ครีม มี สัดส่วนที่ 25%ค่ะ


ตัวอย่างที่ 2 เช่นเดียวกันค่ะ ไม่มีลาย มีแค่สี พื้นที่หลักๆแล้วคือสีแดง ชมพู ให้น้ำ�หนักไป 50% ตาม ด้วยสีเบสิค ครีม โอโรส 25% และเพื่อไม่ให้ราวดูน่าเบื่อ ใส่สีฟ้าไปหน่อย รับรองว่าโป๊ะเช๊ะค่ะ บางท่านสงสัยว่า เอ๊ แต่สีในแบรนด์ฉันมีไม่เยอะ เลย เพิ่งเปิดแบรนด์ได้ใหม่ๆ ทำ�อย่างไรดี ดูจากตัวอย่าง นี้ได้ค่ะ เค้าจะวางสินค้าไม่แน่น และ เรียงตามประเภท อย่างชัดเจน ถึงมีสามสีแต่ก็ยังสวยได้ แต่ทีนี้จะเรียง ตามประเภทอย่างไรล่ะ ตองก็มีทริคให้อีกแล้วค่ะ


เรีย ง PRODUCT

การเรียงสินค้านั้นทำ�ได้ไม่ยาก ให้จำ�ไว้ว่าลูกค้า จะมองสินค้าจากซ้ายไปขวา เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยู่ราว ฝั่งซ้ายสุดและอยู่ข้างหน้าให้ลูกค้าเห็นเต็มๆ ควรเป็น สินค้าของเราที่มิกซ์แอนด์แมทช์ไว้แล้ว เช่นเราควรเอา เสื้อ กระโปรง แจ๊คเก็ตมาแขวนไว้ในไม้แขวนเดียว เพื่อ เพิ่มโอกาสทางการขายและลูกค้าเห็นก็ เอ๊ะ ฉันอยาก แต่งลุคนี้จัง ซื้อทั้งลุคเลยดีกว่า ถัดไปก็คือสินค้า ท่อน บน ตามด้วย ท่อนล่าง และแจ๊คเกต และตบท้ายด้วย เดรสค่ะ ถ้าแบรนด์ไหนมีสินค้าเซลล์ก็เอาไว้ท้ายที่สุด เลยค่ะ แต่ถ้าช่วงนั้นเป็นช่วงลดราคาเราก็ควรจะเอา สินค้าลดราคามาอยู่หน้าสุดซ้ายสุด และสินค้าราคาเต็ม อยู่ทางขวามือท้ายสุดค่ะ อย่าลืมนะคะว่าลูกค้าจะมอง สินค้าจากทางซ้ายมือ แต่ก็เลือกที่จะหยิบด้วยมือขวา มากกว่า ถ้าเราวางสินค้าแยกประเภทชัดเจน ไม่แน่น ไม่ แออัดก็จะเป็นโอกาสทางการขายมากขึ้นค่ะ


ตกแต่ง

นอกจากเราจะเรียงสินค้า แล้วเนี่ย ยังมีทริปอี กอย่างนึงที่เราสามารถทำ�ได้เช่นเดียวกันนะคะ คือการ ตกแต่งราวค่ะ เราสามารถทำ�ได้เช่นกันค่ะ โดยที่จะต้อง ไม่รบกวนสินค้าแบรนด์อื่น และ ได้รับอนุญาติจาก เจ้าของพื้นที่แล้วเท่านั้นค่ะ ถ้าป้ายชื่อร้านของเราที่ทาง เจ้าของพื้นที่จัดหาให้ไม่บ่งบอกถึงตัวตนของเรา เราสา มาถทำ�ป้ายเองมาหนีบไว้ที่ราวเพื่อบ่งบอกตัวตนเราได้ ค่ะ หรือเราสามารถปริ้นรูปนางแบบที่ใส่เสื้อผ้าของเรา ติดบนราว หรือแขวนไว้ที่ราวกับไม้แขวนเสื้อได้เลยค่ะ จะทำ�ให้ลูกค้าเห็นภาพมากขึ้นว่าใส่เสื้อตัวนี้แล้วจะออก มาเป็นอย่างไร หรือการทำ�ป้ายบอกเล่า ถึงเทรนด์ ถึง คุณลักษณะพิเศษของเสื้อแบรนด์เรา แขวนไว้ที่ราว ก็ทำ�ได้เช่นกัน การแขวนป้ายราคา หรือบอกว่าสินค้า ตัวนี้ลดราคาก็ทำ�ได้เช่นกันค่ะ เพราะลูกค้าถ้าเห็นราคา แต่ไกลจากป้ายก่อน ซึ่งจะดึงดูดลูกค้าเข้ามาดูสินค้า ของเราได้มากขึ้นค่ะ อย่าลืมนะคะว่าลูกค้าใช้เวลา 12 วินาทีในการอ่านป้าย เพราะฉะนั้นป้ายต้องชัดเจน ตัว ใหญ่ เด่นชัด และลูกค้าใช้เวลาเพียง 4 วินาทีเท่านั้นใน การตัดสินใจ แน่นอนค่ะว่า ป้ายต้องชัดเจน เข้าใจง่าย เท่านั้น


กำ�หนดการจัดงาน (Agenda) เวลา

กำ�หนดการ

13.00 – 13.30 น. 13.30 – 13.40 น.

ลงทะเบียน พิธีกรกล่าวต้อนรับ ประธานกล่าวเปิดการสัมมนา

13.40 – 14.45 น.

Session 1 เริ่มหัวข้อการสัมมนา

- ส่องพฤติกรรม และความต้องการ นักช้อปสินค้าแฟชั่นผ่านช่องทาง Online - ขยายโอกาส เพิ่มช่องทาง ด้วย Multi-Brand Stores - Tips ปังๆ ทำ�อย่างไรให้โดนใจลูกค้า

14.45 –15.00 น. 15.00 –15.45 น.

ผู้นำ�เสนอ นางสาวระริน พิเชษฐศิลป์

นางสาววลัยลักษณ์ บุญสม นางสาวอรวรรณ ชัยวงษ์วิบูลย์ นายสุปภพ เอกคณานุวงศ์ นางสาวเจมินี่น์ เจนอารีวงศ์ นางสาวพบยินดี พุดซ้อน

พักเบรก (รับประทานอาหารว่าง) Session 2 เสวนาแลกเปลี่ยนความลับ การสร้างแบรนด์จาก Instagram สู่ In Stores

นางสาวระริน พิเชษฐศิลป์ นางสาวเจมินี่น์ เจนอารีวงศ์

15.45 - 16.00 น.

Q&A

นางสาวระริน พิเชษฐศิลป์

16.00 - 16.10 น.

ประธานกล่าวปิดงาน

นางสาวระริน พิเชษฐศิลป์

- คุณอริยะ จิรวรา (หุ้นส่วนร้าน SOS-Sense Of Style : Multi Brand Store) - คุณธัชพร วาจาสัตย์ (Brand: Lavanetta) - คุณณิชา สมิทธิปรีชาวงษ์ (Brand: Troopers) - คุณนันทกุล ซีตันติเวช (Brand: Jewelry)



คำ�ถามสัมภาษณ์วิทยากร จุดเริ่มต้น ที่มาของร้าน อะไรที่เป็นตัวตัดสินใจ เริ่มต้นเปิด Multi-Brand Stores?

จุดเริ่มต้น ที่มาของแบรนด์ ที่มาของชื่อ

กลุ่มเป้าหมายของ ร้าน SOS เป็นใคร และมีลักษณะเป็นแบบไหน Character ของ ร้าน SOS ถ้าเป็น ดาราคุณคิดว่าเหมือนใคร

กลุ่มเป้าหมายของ Brand แต่ละคน มองว่าเป็นใคร และมีลักษณะเป็นแบบไหน Character ของ Brand ถ้าให้เปรียบเทียบดารา คุณคิดว่าเหมือนใคร

อะไรคือความท้าทาย ในการบริหารจัดการ อะไรคือจุดเด่นของแบรนด์ อะไรคือความยากใน การบริหารแบรนด์ให้ ประสบความสำ�เร็จ หรือเป็นที่รู้จัก

อะไรคือจุดเด่นของร้าน

เคยเจอปัญหาอะไรที่ หนักสุดในการเปิดหน้าร้าน และมีวิธีการแก้ไขอย่างไร

เคยเจอปัญหาอะไรที่ หนักสุดในการ เปิดร้านทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ และมีวิธี แก้ไขอย่างไร

อยากฝากอะไรให้คน ที่อยากมีแบรนด์ขายสินค้า (ข้อแนะนำ�,ข้อควรระวัง, Tips ดีๆ)


กลุ่มเป้าหมาย ที่จะเข้าฟังสัมมนา ผู้เข้าร่วมสัมมนาประมาณ 100 ท่าน ประกอบด้วย

15%

50% 15%

ผู้ประกอบการธุรกิจ ขนาดกลางและขนาดเล็ก(SMEs) ได้แก่ เจ้าของแบรนด์สินค้าแฟชั่น

10%

บุคคลทั่วไป และอาชีพอิสระ

พนักงานภาครัฐ และเอกชน

นักการตลาด นักวิชาการ และอาจารย์

1%

สื่อมวลชน

9%

นิสิต - นักศึกษา


สื่อโฆษณาและ ประชาสัมพันธ์ (Media Implemented) Website

Poster A3

กระดาษขนาด A3 พิมพ์ 4 สี เพื่อ ประชาสัมพันธ์การจัดงานสัมมนาตามจุด ต่างๆ ดังนี้ - ติดโปสเตอร์บริเวณที่มีผู้คน เดินไปมา เช่น ลานจอดรถ หน้าลิฟต์ และ ภายในอาคารแต่ละชั้นตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไป - ติดโปสเตอร์ตามสถานที่ที่คาด ว่าจะมีกลุ่มเป้าหมายพบเห็นได้ง่าย

- Zipeventapp : เปิดเป็นช่องทางในการลงทะเบียน และประชาสัมพันธ์ ผ่านเว็บไซต์ https://www.zipeventapp.com/e/InstagramIn-Store-Online-to-on-Shelves - สัมมนาดีดีดอทคอม: http://seminardd.com/s/39463 - Pantip: www.pantip.com โดยติด #เจ้าของธุรกิจ #แฟชั่น #MultiBrandStores - Kapook : https://hilight.kapook.com/view/152426 - Sanook : http://campus.sanook.com/1384841/ Allevents : https://allevents.in/bangkok/596269520575071 - Khaosod : https://www.khaosod.co.th/pr-news/ news_318472 - Brandbuffet : https://www.brandbuffet.in.th/2017/05/instragram-stories-marketing-cmmu/

Social Media

ใช้วิธีการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทาง ดังนี้ - Facebook สร้างเพจ เพื่อประชาสัมพันธ์งานสัมมนา โดยอัพเดต ข้อมูลข่าวสาร เช่น โพสต์ Print AD ลง Facebook และแชร์ต่อ เพื่อสร้างการรับ รู้ในวงกว้าง ในชื่อเพจhttps://www. facebook.com/multifashion brandstore/ - Facebook Page: CMMU, CMMU Thai Program - Instagram สร้าง Account เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการ ประชาสัมพันธ์งานสัมมนา

E-mail

เพื่ อ เป็ น ช่ อ งทางในการอั พ เดตข้ อ มู ล ข่าวสารของกิจกรรม และใช้เป็นช่องทางใน การยืนยันการเข้าร่วมงานสัมมนา



ประเมินผลการสัมมนา ระดับความพึงพอใจ ต่อเนื้อหาสัมมนา ความเหมาะสมและความน่าสนใจของเนื้อหา การเรียบเรียง จัดลำ�ดับของเนื้อหา เพื่อความเข้าใจ ความชัดเจนของรายละเอียดเนื้อหา การจับประเด็น การยกตัวอย่างกรณีศึกษามาใช้ตรงกับหัวข้อการสัมมนา

ระดับความพึงพอใจ ต่อผู้ดำ�เนินรายการ มีความกระตือรือร้น ดึงดูดความสนใจผู้เข้าสัมมนาฯ ทักษะไหวพริบ ความสามารถควบคุมสถานการณ์เฉพาะหน้า สามารถชักจูงเข้าสัมมนาฯให้อยู่ในประเด็นที่สำ�คัญได้เป็นอย่างดี มีความเหมาะสมในการใช้ภาษาและความสุภาพในการดำ�เนินรายการ การสรุปประเด็นเชื่อมโยง ประเด็นสอดคล้องกับหัวข้อสัมมนาฯ น.ส. ระริน พิเชษศิลป์


ระดับความพึงพอใจ ต่อผู้บรรยาย บุคลิกภาพ ท่าทาง โทนเสียงในการบรรยาย

เนื้อหาที่นำ�เสนอมีรายละเอียดที่ ครบถ้วน ดึงดูด และน่าสนใจ มีการเรียบเรียงและจัดลำ�ดับขั้นตอน ของเนื้อหา ได้เป็นอย่างดีเพื่อให้มีความเข้าใจง่าย สามารถใช้ประเด็นของเนื้อหามาเป็นตัวนำ�ในการ ดำ�เนินการสัมมนาฯได้เป็นอย่างดี เนื้อหาที่นำ�เสนอตรงกับวัตถุประสงค์ของการ จัดงานและผู้เข้าสัมมนาฯบรรลุวัตถุประสงค์นั้น เนื้อหาเหมาะสมกับระดับความรู้และความเข้าใจของผู้ฟัง น.ส.อรวรรณ ชัยวงษ์วิบูลย์

เนื้อหานำ�เสนอเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าฟังสัมมนาฯ เป็นอย่างดีและสามารถนำ�ไปประยุกต์ใช้ได้จริง บุคลิกภาพ ท่าทาง โทนเสียงในการบรรยาย

เนื้อหาที่นำ�เสนอมีรายละเอียดที่ ครบถ้วน ดึงดูด และน่าสนใจ มีการเรียบเรียงและจัดลำ�ดับขั้นตอน ของเนื้อหา ได้เป็นอย่างดีเพื่อให้มีความเข้าใจง่าย สามารถใช้ประเด็นของเนื้อหามาเป็นตัวนำ�ในการ ดำ�เนินการสัมมนาฯได้เป็นอย่างดี เนื้อหาที่นำ�เสนอตรงกับวัตถุประสงค์ของการ จัดงานและผู้เข้าสัมมนาฯบรรลุวัตถุประสงค์นั้น เนื้อหาเหมาะสมกับระดับความรู้และความเข้าใจของผู้ฟัง น.ส.วลัยลักษณ์ บุญสม

เนื้อหานำ�เสนอเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าฟังสัมมนาฯ เป็นอย่างดีและสามารถนำ�ไปประยุกต์ใช้ได้จริง


ระดับความพึงพอใจ ต่อผู้บรรยาย บุคลิกภาพ ท่าทาง โทนเสียงในการบรรยาย

เนื้อหาที่นำ�เสนอมีรายละเอียดที่ ครบถ้วน ดึงดูด และน่าสนใจ มีการเรียบเรียงและจัดลำ�ดับขั้นตอน ของเนื้อหา ได้เป็นอย่างดีเพื่อให้มีความเข้าใจง่าย สามารถใช้ประเด็นของเนื้อหามาเป็นตัวนำ�ในการ ดำ�เนินการสัมมนาฯได้เป็นอย่างดี เนื้อหาที่นำ�เสนอตรงกับวัตถุประสงค์ของการ จัดงานและผู้เข้าสัมมนาฯบรรลุวัตถุประสงค์นั้น เนื้อหาเหมาะสมกับระดับความรู้และความเข้าใจของผู้ฟัง นายสุปภพ เอกคณานุวงศ์

เนื้อหานำ�เสนอเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าฟังสัมมนาฯ เป็นอย่างดีและสามารถนำ�ไปประยุกต์ใช้ได้จริง บุคลิกภาพ ท่าทาง โทนเสียงในการบรรยาย

เนื้อหาที่นำ�เสนอมีรายละเอียดที่ ครบถ้วน ดึงดูด และน่าสนใจ มีการเรียบเรียงและจัดลำ�ดับขั้นตอน ของเนื้อหา ได้เป็นอย่างดีเพื่อให้มีความเข้าใจง่าย สามารถใช้ประเด็นของเนื้อหามาเป็นตัวนำ�ในการ ดำ�เนินการสัมมนาฯได้เป็นอย่างดี เนื้อหาที่นำ�เสนอตรงกับวัตถุประสงค์ของการ จัดงานและผู้เข้าสัมมนาฯบรรลุวัตถุประสงค์นั้น เนื้อหาเหมาะสมกับระดับความรู้และความเข้าใจของผู้ฟัง น.ส.เจมินี่น์ เจนอารีวงศ์

เนื้อหานำ�เสนอเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าฟังสัมมนาฯ เป็นอย่างดีและสามารถนำ�ไปประยุกต์ใช้ได้จริง


บุคลิกภาพ ท่าทาง โทนเสียงในการบรรยาย

เนื้อหาที่นำ�เสนอมีรายละเอียดที่ ครบถ้วน ดึงดูด และน่าสนใจ มีการเรียบเรียงและจัดลำ�ดับขั้นตอน ของเนื้อหา ได้เป็นอย่างดีเพื่อให้มีความเข้าใจง่าย สามารถใช้ประเด็นของเนื้อหามาเป็นตัวนำ�ในการ ดำ�เนินการสัมมนาฯได้เป็นอย่างดี เนื้อหาที่นำ�เสนอตรงกับวัตถุประสงค์ของการ จัดงานและผู้เข้าสัมมนาฯบรรลุวัตถุประสงค์นั้น เนื้อหาเหมาะสมกับระดับความรู้และความเข้าใจของผู้ฟัง น.ส.พบยินดี พุดซ้อน

เนื้อหานำ�เสนอเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าฟังสัมมนาฯ เป็นอย่างดีและสามารถนำ�ไปประยุกต์ใช้ได้จริง


ระดับความพึงพอใจ ต่อผู้ดำ�เนินรายการ (ช่วงเสวนา)

มีความกระตือรือร้น ดึงดูดความสนใจผู้เข้าสัมมนาฯ

น.ส. ระริน พิเชษศิลป์

ทักษะไหวพริบ ความสามารถควบคุมสถานการณ์เฉพาะหน้า สามารถชักจูงเข้าสัมมนาฯให้อยู่ในประเด็นที่สำ�คัญได้เป็นอย่างดี มีความเหมาะสมในการใช้ภาษาและความสุภาพในการดำ�เนินรายการ การสรุปประเด็นเชื่อมโยง ประเด็นสอดคล้องกับหัวข้อสัมมนาฯ

มีความกระตือรือร้น ดึงดูดความสนใจผู้เข้าสัมมนาฯ

น.ส.เจมินี่น์ เจนอารีวงศ์

ทักษะไหวพริบ ความสามารถควบคุมสถานการณ์เฉพาะหน้า สามารถชักจูงเข้าสัมมนาฯให้อยู่ในประเด็นที่สำ�คัญได้เป็นอย่างดี มีความเหมาะสมในการใช้ภาษาและความสุภาพในการดำ�เนินรายการ การสรุปประเด็นเชื่อมโยง ประเด็นสอดคล้องกับหัวข้อสัมมนาฯ


ระดับความพึงพอใจ ต่อการบรรยาย โดยวิทยากร วิทยากรรับเชิญเหมาะสมกับหัวข้อสัมมนาฯ การตอบข้อซักถามและเสริมคุณค่าให้กับเนื้อหาอย่างสอดคล้องเหมาะสม การตอบข้อซักถามมีประโยชน์ต่อการนำ�ไปใช้งาน

วิทยากรรับเชิญเหมาะสมกับหัวข้อสัมมนาฯ การตอบข้อซักถามและเสริมคุณค่าให้กับเนื้อหาอย่างสอดคล้องเหมาะสม การตอบข้อซักถามมีประโยชน์ต่อการนำ�ไปใช้งาน

วิทยากรรับเชิญเหมาะสมกับหัวข้อสัมมนาฯ การตอบข้อซักถามและเสริมคุณค่าให้กับเนื้อหาอย่างสอดคล้องเหมาะสม การตอบข้อซักถามมีประโยชน์ต่อการนำ�ไปใช้งาน

วิทยากรรับเชิญเหมาะสมกับหัวข้อสัมมนาฯ การตอบข้อซักถามและเสริมคุณค่าให้กับเนื้อหาอย่างสอดคล้องเหมาะสม การตอบข้อซักถามมีประโยชน์ต่อการนำ�ไปใช้งาน


ระดับความพึงพอใจ ต่อการจัดสัมมนา รูปแบบการจัดสัมมนาฯ

บรรยากาศ และ ภาพรวมของการจัดงาน โสตทัศนูปกรณ์ (ระบบเสียง แสง ฯลฯ) การบริการของทีมนักศึกษาป. โท ในการให้ข้อมูล ระบบการสมัครเข้าร่วมสัมมนาฯ ระบบการลงทะเบียนในวันสัมมนาฯ รูปแบบการประชาสัมพันธ์และออกแบบการสื่อสาร ที่เหมาะสมชัดเจน

งานสัมมนาฯในครั้งนี้ตรงกับความคาดหวังของผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ ความพึงพอใจในภาพรวมในการสัมมนาฯในครั้งนี้

ประเมินความรู้ที่ ได้จากการสัมมนา ก่อนเข้าสัมมนาฯ ท่านทีความรู้ในหัวข้อดังกล่าวอยู่แล้ว

หลังเข้าสัมมนาฯ ท่านมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องนี้เพิ่มขึ้น ความรู้มีประโยชน์สามารถนำ�ไปประยุกต์ในการทำ�งานและธุรกิจได้


ความคิดและข้อเสนอแนะ จับมือ เลือกอาชีพ, จับมือทำ� ร้านค้าออนไลน์

การทำ�การตลาด บน Facebook

เกี่ยวกับโลก ออนไลน์การตลาด อยากให้ต่อยอด จากหัวข้อนี้

อยากให้แชร์ข้อมูล Inside ด้านธุรกิจมากกว่า การแชร์ข้อมูลเบื้องต้นของ Brand รวมถึง ประสบการณ์ต่างๆ แบ่งปันสัดส่วน ธุรกิจ 60% ข้อมูลทั่วไป 40%

Digital Marketing ที่โฟกัสลงลึก ของแต่ละ Platform (Line, FB etc)

พฤติกรรมความต้องการ ของคนยุคใหม่ว่า คนยุคนี้ ต้องการอะไร หรือมีอะไรที่ คนไทยยุคนี้ต้องการ อยู่ตลอดเวลา เส้นทางการ โปรโมทแบรนด์สินค้า ว ่าเริ่มอย่างไร โปรโมททางไหน ได้ผลดีที่สุด

การสร้างแบรนด์ ของตัวเอง

Branding 4.0, Unmet Need, Laddering

หัวข้อสัมมนา ด้านการตลาด ที่ท่านสนใจ

ขั้นตอน การทำ�แบรนด์, วิธีการ โปรโมทแบรนด์

วิธีการบริหาร ทรัพยากรบุคคล ในเจน Z ให้ทำ�งาน กับองค์กรด้วย ทัศนคติที่ดี ศึกษาคู่แข่ง ปิดจุดด้อย เสริมจุดเด่น ได้ด้วยวิธีไหน

เน้นเรื่อง การonline ดีแล้ว เพราะการตลาด Online เป็น ที่น่าสนใจ


ข้อเสนอแนะ เพิ่มเติมอื่นๆ และภาพรวมการ จัดสัมมนาในครั้งนี้ อยากให้ลงรายละเอียดใน การสัมมนามากกว่านี้อาจ ลงรายละเอียดด้านกลุ่ม สินค้าเฉพาะมากกว่านี้ ในส่วนของตัวพิธีกรบาง ท่านความลื่นไหลในการพูด ยังมีไม่มาก ควรปรับปรุง ให้ดูมีความมั่นใจในการนำ� เสนอของตัวเอง

อากาศในห้องสัมมนา ร้อนไปนิดหน่อย / ขอบคุณสำ�หรับความรู้ ที่มีประโยชน์และของว่าง อร่อยมาก

ควรมีที่นั่งรอชั้น 1

ไม่มีขนมของว่างตอนแรกเลย หิว!, ฮามุก Touch Screen มากๆ, Presenter ตะกุกตะกัก แต่น้ำ�เสียงน่าฟัง, ไมค์อู้อี้มากๆ

ปรับปรุง การจัดที่นั่ง เดินยาก

อยากให้มีเนื้อหา เชิงลึกมากกว่านี้, อยากให้มีสอนเทคนิค การขายมากกว่านี้

พูดช้าๆ ลงนิด

อยากฟัง วิทยากรรับเชิญ นานกว่านี้

ตรงต่อเวลามากกว่านี้ ไม่ควรจัดใน วันเวลาเดียวกัน หลายๆงาน มันต้องเลือก

หัวข้อน่าสนใจ แต่จัดเวลาตรงกัน เลยต้องเลือกเข้า ห้องใดห้องหนึ่ง

ไม่ควร Mention ถึง Brand H&M หรือ Zara ว่าผลิตเยอะแล้วคุณภาพ ไม่ดี เพราะ Lead ให้ผู้ฟัง รู้สึกไม่ดีกับ Brand นั้นๆ


ควรมองลูกค้านี้เป็น Mass และการ ทำ�การตลาดที่เป็น Mass ให้มากขึ้น เนื่องจาก Niche Market เป็นการทำ� ตลาดแคบ และเข้าใจยาก ทำ�ให้ความ รู้ที่ได้จากสัมมนาแคบ ใช้ได้จริงน้อย เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น

การจัดวางเก้าอี้สำ�หรับผู้ฟังไม่สะดวกมากค่ะ หัวเราะใส่ไมค์พร้อมกันดังสุดๆ ไม่ค่อยโอเค

อยากให้แนะนำ�การสร้าง และโปรโมทแบรนด์จากพื้นฐาน จะพัฒนาแบรนด์อย่างไร และวิธีการเข้าถึงลูกค้ าทางออนไลน์ และ Multi-Brand มีความแตกต่างกัน นำ�เสนอได้อย่างชัดเจนดีค่ะ

อยากให้ upload คลิปงานสัมมนา

ดีมากค่ะ ได้ความรู้มากกว่าที่คาดไว้ แขกรับเชิญมาน่ารักมากๆค่ะ

พิธีกรพูดเร็วมาก บางทีฟังไม่ทัน การประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้, คนด้านหลังมองไม่เห็นเวที และวิทยากร

สถานที่เหมาะสมกับจำ�นวนผู้เข้าร่วมให้มากกว่านี้, เน้นประชาสัมพันธ์, ห้องเล็กข้างหลังมองไม่เห็น

Presenter 1, 2 พูดเร็วเกินไป ทำ�ให้จดหรือฟังไม่ทัน และรู้สึกอึดอัดในการฟัง


เบื้องหลังการสัมมนา















ภาคผนวก


แบบสอบถาม พฤติกรรมและทัศนคติ การซื้อสินค้าแฟชั่น






เอกสารประกอบการบรรยาย


เอกสารประกอบการสัมมนา




รายชื่อผู้เข้าร่วมสัมมนา









ขอขอบคุณ ผู้สนับสนุนงานสัมมนา



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.