CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE ONLINE MAGAZINE
2
APRIL 2013
YELLOW FANG
BEAUTY ROCK BAND
02
WONDERFUL NIGHT KEEP ON THE GRASS INDIE FOLK MUSIC FESTIVAL 9 MARCH 2013 AT PHU-UTHAI, MUAK LEK, SARABURI
03
Issue 2 สวัสดีครับผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน PIE online magazine เล่มสองมาแล้ว หลังจากเล่มแรก ออนขึ้นเว็บใจผมก็เต้นไม่เป็นจังหวะมาโดยตลอด ลุ้นน่าดูครับ ยังไงก็ขอขอบคุณสำ�หรับทุกคำ�ติชม ที่ส่งเข้ามา ทางทีมงานเราจะพยายามพัฒนา ทุกอย่างเท่าที่ปัญญาจะมีนะครับ ที่เขาว่าการ “เริ่ม” เป็นสิ่งที่ยาก วันนีผ้ ม อินกับประโยคนี้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากครับ และไอ้เจ้าความยากในที่นี้สำ�หรับตัวผมไม่ได้อยู่ ที่ความเหนื่อยเพลียอ่อนล้าแต่อย่างใด มันเป็น ความยากในการตั้งศูนย์ถ่วงทางอารมณ์ครับ บางวันก็ยินดีปรีดา บ้าบอคอแตก บางวันก็ ซึมเศร้าเหงางง บางครั้งก็อยากวิ่งพุ่งไปข้าง หน้า บางเวลาก็อยากหยุดอยู่เฉยๆ ช่วงเวลา ในความสับสนนี้ผมก็มานั่งสังเกตว่า หรือนี่เป็น อาการแกว่งขณะออกตัวเมื่อ “เริ่ม” สตาร์ท ผลข้างเคียงจากการปล่อยแรงสุดกำ�ลังหลัง จากที่สะสมกดดันก่อนลงสนาม ยังไม่ทันจะ วิเคราะห์หาเหตุผล PIE เล่มสองก็ออกมา ซะแล้วครับ ก็คิดว่าช่างมัน ไม่ช้าก็เร็วอาการ ดังกล่าวอาจทุเลาลงไปเอง (ตอนนี้ยังเป็นอยู่) อีกเรื่องที่หลายคนสงสัยและถามเกือบทุกราย ที่เจอะเจอคือ ได้เงินจากไหน (หัวเราะ) ด้วย ความเป็นห่วงว่าหนังสือให้อ่านฟรี กลัวไม่มี รายได้ จะอยู่ได้ไม่ได้ เรื่องนั้นอย่าว่าแต่ คนอื่นห่วงเลยครับ ผมเองก็ห่วง (หัวเราะ มากกว่าเก่า) จริงๆ PIE ก็พยายามจะใช้ ระบบการขายโฆษณาเหมือน Free Copy นั่นแหละครับ แต่ตอนนี้ยังไม่มีผู้สนับสนุน 04
ใจดีเข้ามาให้ความอบอุ่นดูแลเท่านั้นเอง ใครรัก PIE ชอบ PIE ฝากนิตยสารออนไลน์ น้อยๆ เล่มนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ ในเล่มนี้เรามีคอลัมน์ดีๆ เพิ่มเข้าอีกหนึ่ง คอลัมน์ คือ PIE online gallery คอลัมน์ที่ เปิดพื้นที่ให้นักสร้างสรรค์ทุกแขนงส่งผลงาน กันเข้ามาโชว์ในแกลเลอรีเล็กกะทัดรัดของเรา ซึ่งก็มีเสียงตอบรับดีพอสมควรครับ ผลงาน ของใครที่ยังไม่ได้ลงในเล่มนี้ หรือใครยังไม่ได้ ส่งผลงานเข้ามา ไม่ต้องกังวลนะครับ แกลลอรี ของเราเปิดรับอยู่เสมอ ส่งผลงานมาได้เรื่อยๆ เลยที่ pieonlinemagazine ครับผม ขอบคุณ Yellow Fang พวกคุณเปรี้ยว มากๆ, ขอบคุณแบงค์ Fotofools ถ่ายรูปสวยๆ มาให้ชมอีกนะครับ, ขอบคุณ Grey Ray Stationary เก๋ทั้งโปรดักต์ เก๋ทั้งความคิดครับ, ขอบคุณร้าน Hard Cover จะแวะไปซื้อหนังสือ นะครับ, ขอบคุณมิงค์ Flow Coffee Roasters กาแฟอร่อยมากครับ, ขอบคุณพี่เสือ ร้านต้นฉบับ ประทับใจพี่มากๆ ครับ และขอขอบพระคุณ พี่ซัน มาโนช พุฒตาล ที่สละเวลาให้เรา สัมภาษณ์ครับ ตอบท้ายด้วยการขอบคุณนัก สร้างสรรค์ทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่ามาอ่าน นิตยสารออนไลน์เล่มนี้ “เพราะความคิด สร้างสรรค์ดีๆ มีไว้เพื่อทุกคน” ขอบคุณครับ สุรเชษฐ์ ศิลปบรรเลง ไม่อยากเรียกตัวเองว่า บ.ก.เลย มันเขินๆ
EDITORAL STAFF
บรรณาธิการ สุรเชษฐ์ ศิลปบรรเลง กองบรรณาธิการ กฤษณะ โชคเชาว์วัฒน์ จารุวรรณ ดวงคำ� ภาพและศิลปกรรม PIE TEAM เว็บมาสเตอร์ ชวลิต กรุตนารถ ฝ่ายโฆษณาและการตลาด หฤทัย ปฐมพงษ์พันธุ์ (จ๊อย) โทร. 08-1832-7045 ฟองมาส กองแก้ว (เก๊ต) โทร. 08-1580-8308 ศศิธร หุ้นเอี่ยม (แนน) โทร. 08-5332-4820 คอลัมนิสต์ จินดารัตน์ จรัสรุ่งโรจน์, พัชรีพร ชูศรีทอง, Yuiji Yamamoto พิสูจน์อักษร บานเย็น ขันทอง PIE online magazine 100/99 สุขาภิบาล 5 ออเงิน สายไหม กรุงเทพฯ 10220 08-0233-5492, 08-6918-6212 E-mail : pieonlinemag@gmail.com www.facebook.com/piemagazine2013 www.pieeveryday.com
05
CONTENTS
40
08
28
LOOKS + TRENDS
LOVE PLACE
08 กวาดตามองหาเทรนด์เก๋จากทั่วโลก
AROUND IDEAS
14 ไอเดียเด็ดๆ ของเจ๋งๆ ที่เท่ไม่เหมือนใคร
MUSIC MOVIE & BOOK
28 HARD COVER : THE ART BOOK SHOP 34 Flow Coffee Roasters
PIE TALK
40 CHAICHARN LERTNIMANORADEEROCKSTAR PHOTOGRAPHER
20 หนังสือ ภาพยนตร์ ดนตรีดีๆ น่าฟัง น่าชม น่าดู 06
92
MARCH 2013
50
106 62 50 GREY RAY STATIONARY 62 YELLOW FANG - BEAUTY ROCK BAND
BASE CULTURE
72 BANGKOK COLORS LAB
PIE INSPIRATION
92 LET’S TALK ABOUT คนเล่าเรื่อง-พี่ซัน-มาโนช พุฒตาล
106 LONG PLAY LONG TIME WITH VINYL LOVER - พี่เสือ ปราการ ม่วงสุขำ� ร้านต้นฉบับ 122 PIE ONLINE GALLERY
READER WRITER
132 MASCULINE CHIC 136 MOKA POT : THE CLASSIC DESIGN 140 ทำ�ไมต้องดูหนัง/ฟังเพลง/อ่านหนังสือ 07
LookS + TRENDS
Convers x Marimekko
น่ากรี๊ดมากกกกก...ในการกลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากที่ เคยจับมือกันทำ�คอลเล็กชั่นเมื่อปี 2011 มาปีนี้ Convers และ Marimekko ช่วง Spring-Summer 2013 นี้ ก็ออกลิมิเต็ด เอดิชั่น ต้อนรับหน้าร้อน ด้วยลายกราฟิกน่ารัก น่ากิน สุดสวย สีสันสดใส ลายสตรอว์เบอร์รี่สีแดง ลายท้องฟ้าและก้อนเมฆ สำ�หรับคนไม่ชอบลายหวานแหววก็มีลายจุดสีดำ�เท่ๆ วางให้จับจอง เป็นเจ้าของกันแล้ว คนรัก sneakers สายกุ๊กกิ๊กคงจะถูกอกถูกใจ กันไม่น้อย ติดตามได้ที่ www.marimekko.com
Shwood 2013 The Stone Collection
หนุ่มและสาวแว่นจะไม่ดูติ๋มนุ่มนิ่มอีกต่อไป เพราะ ทาง Shwood หลังจากเป็นที่รู้จักกันดีจากการทำ� แว่นไม้ มาปีนี้ Shwood แบรนด์แว่นสุดเท่ ออกแบบ แว่นที่ทำ�จากหิน...ไม่ใช่ลายหินนะคะ ทำ�จากหินแท้ๆ เป็นหินที่มีน้ำ�หนักเบา สีสันหน้าตาเท่ หนักแน่น ได้ใจจริงๆ แถมก่อนหน้านี้ทางแบรนด์ Shwood ยังทำ�เก๋ด้วยการนำ�สเกตบอร์ดมาทำ�อีกด้วย ครั้งนี้ มากับคอลเล็กชั่นใหม่ The Stone Collection ซึ่ง ทำ�แบบลิมิเต็ดเพียง 200 ชิ้นเท่านั้น สุดยอดความ ตั้งใจต้องยกนิ้วให้เขาเลย ใครอยากได้รีบเข้าไปพรี ออเดอร์กันที่ http://www.shwoodshop.com
08
it is not bags, it is love
ไม่อยากสะพายกระเป๋า จะสะพายอะไร ตามสโลแกนที่ว่า it is not bags, it is love กระเป๋าน่ารักกุ๊กกิ๊กจาก KruKru Studio คนอื่นเขาทำ�กระเป๋าเรียบเก๋ แต่แบรนด์นี้เขา แหวกออกไปไกลเลยค่ะ ด้วยการนำ�เอาสิ่งของไอคอนต่างๆ ที่เราไม่คิดว่าจะสามารถนำ� มาทำ�เป็นกระเป๋าได้กลับมาทำ�ได้อย่างน่ารัก ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าทรงไวโอลิน เรือ Yellow Submarin เปียโน แครอท หรือหอนาฬิกาบิ๊กเบน ก็มาอยู่ข้างกายคุณได้ ใครเบื่อการ สะพายกระเป๋าแวะเขาไปดูกันได้ที่ www.krukrustudio.com นะคะ
09
15 cover of Harper’s Bazaar Australia
นิตยสารแฟชั่นชื่อดัง Harper’s Bazaar Australia ครบ 15 ปีทั้งที ทำ�เก๋ด้วยการ ออก 15 ปกไม่ซ้ำ�กัน โดยการออกแบบ ของแฟชั่นไอคอนตัวแม่ ไล่มาตั้งแต่ Giorgio Armani, Victoria Beckham, Collette Dinnigan, Frida Giannini จาก Gucci, Christophe Lemaire จาก Hermès, Francisco Costa จาก Calvin Klein, Karl Lagerfeld, Alber Elbaz จาก Lanvin, Christian Louboutin, Marc Jacobs จาก Louis Vuitton, Stella McCartney, Romance Was Born, sass & bide, Diane von Furstenberg และไดเร็กเตอร์ จาก Harper’s BAZAAR Carine Roitfeld เห็นแต่ละปก เก๋ๆ ทั้งนั้น ไม่มี ใครยอมใครจริงๆ
010
Vans / Supreme / Peter Saville
รองเท้าลายดอกไม้ใครจะไปใส่ แต่ถ้าเป็นดอกไม้จากปกอัลบั้ม Power, Corruption&Lies ของวง New Order ล่ะคะ สองแบรนด์เท่ Vans และ Supreme ปล่อยรองเท้าและสเก็ตบอร์ดสุดเท่พิมพ์ลายของเจ้าพ่อวงการกราฟิก สายปกซีดี “Peter Serviller” ผูอ้ อกแบบปกให้กบั ศิลปิน Joy Division และลายดอกไม้สดุ คลาสสิกบนปก Power, Corruption&Lies ของวง New Order (ซึ่งจริงๆ ภาพดอกไม้นี่ป๋า Peter Serviller เขาเอาต้นฉบับมาจาก งานเพ้นต์ในศตวรรษที่ 19 ของศิลปินชาวฝรั่งเศส Henri Fantin-Latour ชื่อภาพว่า “A Basket of Roses”) ใครชอบงานกราฟิกยุคคลาสสิกแบบนี้ห้ามพลาดค่ะ http://www.supremenewyork.com
URFACE P7
แบรนด์กระเป๋าสุดมัน URFACE หลัง ออกซีรี่ส์ดีไซเนอร์คนไทยมากฝีมือมา โดยตลอด คราวนี้ก็ถึงตาศิลปินสตรีต อาร์ตคนดัง P7 บ้างครับ โดยกระเป๋า ซีรี่ส์นี้ออกมาให้ช้อปกันจุใจถึง 8 แบบ 8 ลาย หลากทรงหลายขนาดแล้วแต่จะ หิ้วถนัดมือกันเลย แต่ละแบบก็อัดแน่นไป ด้วยคาแร็กเตอร์สุดเท่ ทั้งหลอน ทั้งสนุก สีสันก็มีให้เลือกทั้งแบบ colorfull และ แบบขาว-ดำ� อย่ารอช้า หลายคนอุดหนุน งานของศิลปินเมืองนอกมาก็มาก อย่า ลืมมาสนับสนุนสินค้าจากศิลปินไทยเท่ๆ กันด้วยนะครับ รับรองว่า เท่ไม่แพ้แบรนด์เมืองนอกแน่นนอน www.facebook.com/urfacestore
011
TOP 10 RUNWAY MUSIC TRACKS
>> Sacrilege Yeah Yeah Yeahs บนรันเวย์ Valentino
สิ่งที่ขาดไปไม่ได้บนรันเวย์ล้ำ�ๆ สุดเก๋ของแต่ละแบรนด์ต้องมี ดนตรีประกอบเสมอ ในงาน Paris Fashion Week Fall 2013 แต่ละแบรนด์เลือกเพลงของศิลปิน คนไหนบ้างมาดูกัน 10 อันดับ สุดฮิตจะเป็นของใคร ไปเกาะติด ริมรันเวย์กัน
>> The Matangi Mix M.I.A. บนรันเวย์ Kenzo
<< Around the World Daft Punk บนรันเวย์ Chanel
<< Walk This Way Run-D.M.C. บนรันเวย์ Jean Paul Gaultier
012
<< River Alexandre Desplat บนรันเวย์ Louis Vuitton
>> Tidal Wave Thee Oh Sees บนรันเวย์ Saint Laurent
<< Workin’ Woman Blues Valerie June บนรันเวย์ Stella McCartney
>> Hold Back the Night I Am Kloot บนรันเวย์ Giambattista Valli
<< Cripple and the Starfish Antony Hegarty บนรันเวย์ Givenchy
<< Rascal Riddim Vato Gonzalez & Diplo บนรันเวย์ Chloé
013
AROUND IDEAS Sun&Cloud : Self-generating energy digital camera
Superheadz แบรนด์ผลิตกล้องทอยด์ชื่อดังจากญี่ปุ่น เปิดตัวกล้องดิจิตอลสุดล้ำ�ด้วยการหยิบแผงโซลาร์มาใช้ ครั้งแรกในโลก โดยติดแผ่นโซลาร์ไว้ด้านบนของตัวกล้อง เพื่อรับแสงอาทิตย์และชาร์จไฟ เมื่อชาร์จเสร็จแล้วสามารถ นำ�ไปใช้งานได้เลย หรือจะใช้วิธีบ้านๆ เจ้า Sun&Cloud ก็มีก้านหมุนเพื่อให้เกิดพลังงาน (ลักษณะคล้ายกับเครื่อง เหลาดินสอ) อีกทั้งยังสามารถเสียบกับ USB ได้อีกด้วย ตัวกล้องมีฟังก์ชั่นในการถ่าย 3 โหมดด้วยกันคือ ถ่าย แบบธรรมดา, ถ่ายพอร์ตเทรต, ถ่ายแบบมาโคร ด้วย ความละเอียด 3.0 เมกกะพิกเซล และยังสามารถถ่าย วิดีโอได้ ด้านหลังกล้องมีจอ LCD ที่สามารถดูภาพ ได้อีกด้วย ครบทั้งฟังก์ชั่นทั้งการประหยัดพลังงาน แถมยังดีไซน์เก๋ สุดยอดไอเดียของพี่ยุ่นเขาล่ะ
The Chromatic Typewriter
เมื่อเล่มที่แล้วเป็นการรวมกันของเครื่องพิมพ์ดีด กับไอแพดแบบดิจิตอล แต่ครั้งนี้ Tyree Callahan จิตรกรชาวอเมริกันก็ไอเดียเก๋ไม่เบา พี่เขางัด เครื่องพิมพ์ดีดรุ่นปู่ตั้งแต่ปี 1930 มาโมใหม่ กลายเป็นเครื่องพิมพ์ดีดสี แต่ไม่ใช่ตัวหนังสือ เป็นสีนะคะ เป็นสีแบบแปรงทาสีเลย ซึ่งแต่ละปุ่ม บนแป้นพิมพ์ก็คือสีสองสี และพี่เขาก็ใช้เจ้า เครื่องพิมพ์ดีดนี้เพ้นต์ภาพออกมาโชว์ด้วย งานออกมาเบานิ่มละมุนตาคล้ายสีน้ำ� สุดยอดจริงๆ อยากมีไว้เล่นสักเครื่องจัง
014
Vogue & Hurricane Sandy Fashion Set
นิตยสารแฟชั่นชื่อดัง Vogue จัดเซตถ่ายแบบสุดเท่ ที่หลอมรวม ความเก๋เข้ากับความกล้าแบบเสียสละในเซต “bravest and brightest” โดยจับนางแบบสาวมารวมเฟรมกับเหล่าหน่วยกู้ภัย ทหาร ตำ�รวจ ที่ช่วยเหลือในเหตุการณ์ภัยพิบัติเฮอริเคน “แซนดี้” ในเซตแฟชั่นนี้ก็รวมเสื้อผ้าแบรนด์ดังหลากหลายอย่าง Marc Jacobs, Diane von Furstenberg, Vera Wang, และ Ralph Lauren กับช่างภาพสาวมือฉมัง Annie Leibovitz มาร่วมถ่ายทอดจิตสำ�นึก แม้ก่อนหน้านี้ทางหนังสือ Vogue จะบริจาคเงินให้กับผู้ประสบภัยในเหตุการณ์นี้มาแล้ว แต่การถ่าย แฟชั่นเซตนี้คงช่วยให้การบอกเล่าให้คนทั่วโลกได้เห็นถึงหน่วยงาน และผู้เสียสละที่ทำ�งานกันอย่างเต็มที่ ดีจังที่วงการแฟชั่นบ้านเมือง เขามีจิตสำ�นึกถึงคนที่เดือดร้อนแบบนี้ด้วย
015
SpY INSTALLATION URBAN HIJACKING
ถ้าเดินเล่นแถวบ้านแล้วกระถางต้นไม้ขึ้นไปอยู่บนแป้นบาสก็ไม่ต้องตกใจกันนะครับ อาจเป็นฝีมือของศิลปินสตรีตอาร์ต SpY ก็ได้ “SpY” เป็นชาวสเปนครับ เกิดในเมือง Madrid ศิลปินสตรีตอาร์ตคนนี้ไม่ค่อยเขย่ากระป๋องสีไปพ่นไป เพ้นต์สักเท่าไหร่ งานของเขาเน้นที่การปรับเปลี่ยน แทรกแซง โยกย้ายสิ่งที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ เพื่อให้เกิดเรื่องราว ใหม่ๆ ครับ มีตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ แบบเด็กมือบอน อย่างเอากล้วยหอมไปวางแทนหูโทรศัพท์สาธารณะ ทาสีขาวเพิ่ม บนทางม้าลาย จนไปถึงงานใหญ่อย่างเอารถยนต์ทั้งคันมาหงายท้อง งานของเขาแอบอยู่ในเมืองดังๆ ตั้งแต่ นิวยอร์กจนถึงโตเกียวแล้วนะครับ ถึงคนที่เห็นจะงงงวยอยู่บ้างแต่ก็คงอดยิ้มแอบคิดไม่ได้ เพราะงานเกือบทุกชิ้น ของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์แบบเด็กๆ การประชดแบบน่ารัก และมุมมองที่สร้างสรรค์ตั้งคำ�ถามกับสิ่งของและ สถานที่ได้อย่างดี งานสตรีตอาร์ตดีๆ ไม่จำ�เป็นต้องหาผนังพ่นสีซะทีเดียวนะจ๊ะ www.spy.org.es
016
017
David Bowie Is exhibition at the V&A in London ศิลปินที่เปรี้ยว ล้ำ�สุดๆ ใน ยุค ‘70s นั้นคงไม่มีใครเกิน David Bowie และในปีนี้จะ มีนิทรรศการของเขาที่จะ จัดขึ้นที่ The Victoria and Albert museum’s ในลอนดอน ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม-11 สิงหาคม จัดแสดงสิ่งของต่างๆ เกี่ยวกับลุงเขามากกว่า 300 ชิ้น ทั้งเนื้อเพลงที่เขา เขียนด้วยลายมือ เสื้อผ้า
ภาพถ่าย หนัง แฟชั่น และมิวสิก วิดีโอของเขา ที่รวบรวมเหล่า Artist และดีไซเนอร์ไว้มากมาย เช่น ชุดบอดี้สูทในอัลบั้ม Ziggy Stardust (ปี 1972) ที่ออกแบบ โดย Freddie Burretti, ปก อาร์ตเวิร์กในอัลบั้ม Slleeve ซึ่งออกแบบโดย Guy Peellaert and Edward Bell, และยังมี สิ่งที่ทุกคนไม่เคยเห็นกันมาก่อน เหล่านี้จะปรากฏในนิทรรศการ ในครั้งนี้ เรียกว่าจุใจเหล่าสาวก กันแน่นอน ใครกระเป๋าหนักก็ บินไปดูกันได้ ติดตามได้ที่ www.vam.ac.uk
018
Rubber Barber
‘Rubber Barber’ ยางลบน่ารักแบรนด์ ไต้หวัน Megawing ผลงานจาก Chen Lu Wei ที่จับเอาคาแร็กเตอร์หน้าคนมา ใช้ในการทำ�ยางลบ โดยพี่เขาสังเกตว่า เวลาใช้ยางลบ รูปทรงของยางลบก็เปลี่ยน ไปเรื่อยๆ เหมือนการตัดแต่งทรงผม เจ้า ‘Rubber Barber’ จึงถูกออกแบบมาให้เรา สนุกเพลิดเพลินเวลาใช้ เหมือนเราได้ตัดแต่ง ทรงผมของตัวการ์ตูนไปด้วย ส่วนตัว คาแร็กเตอร์ก็ทำ�มาสี่แบบสี่สี มีทั้งแบบ ผู้หญิง ผู้ชาย (ชอบตัวสีฟ้าใส่แว่น) สนใจ เข้าชมได้ที่ www.megawing.com.tw
Motörheadphönes
เจาะกลุ่มชาวร็อกกันอย่างเต็มที่กับหูฟังจากวงเมทัล รุ่นเก๋า Motorhead ที่ปล่อยเจ้า motorheadphones มาเขย่าโสตคนรักเสียงดนตรีมันเร้าใจในบ้านเราแล้ว เจ้า Motorheadphones มาในสีดำ�เท่ครับ แปะด้วย สัญลักษณ์วง Motorheadphones ข้างหู จากที่ สัมผัส เวลาใส่ค่อนข้างสบาย ไม่หนักมาก สรรพคุณ ทางเสียงของเจ้าตัวนี้คือย่านเบสที่เต็มและอุ่น บี้แบน เบาหวิว ย่านเสียงกลางแหลมที่ออกมาหนาตึ้บไม่บาดหู ซึ่งคงมาจากการโมดิฟายของทางวง Motorhead ที่ดูจะใส่ใจในการฟังของคนที่อยากจะให้ได้รับอารมณ์ ของเพลงร็อกชั้นดีอย่างเต็มอิ่ม ส่วนเรื่องราคาก็มี หลายเกรดครับ เพราะเขาต้องการให้เขาถึงชาวร็อก ทุกชนชั้นทุกวัย แถมแต่ละรุ่นถือว่ามีคุณภาพไม่ทิ้ง กันด้วย น่าจับจองมากครับสำ�หรับผู้รักดนตรีร็อก ติดตามที่ www.facebook.com/motorheadphonesthailand
019
MUSIC MOVIE & BOOK
KARAOKE GIRL
อีกหนึ่งภาพยนตร์นอกกระแสที่น่า จับตามอง ผลงานเขียนบทและกำ�กับ โดย วิศรา วิจิตรวาทการ (ผู้กำ�กับเรื่อง สุญญากาศ/ In Space ทีก่ วาดรางวัลจาก หลายเทศกาลหนังทัว่ โลก เล่า เรือ่ งราวของ “สา” สาวต่างจังหวัดที่ต้องเข้ามาทำ�งาน หาเลีย้ งครอบครัวด้วยการเป็นสาวคาราโอเกะ ในกรุงเทพฯตั้งแต่อายุสิบห้า ซึ่งมีความฝัน ที่ตามหาและความรักที่พบเจอ ที่มาของหนัง เรื่องนี้เกิดจากการที่ตัวผู้กำ�กับได้พบกับ ”สา” สาวคาราโอเกะ และได้นำ�เรื่องราว ชีวิตของเธอทั้งในกรุงเทพฯและที่บ้านใน ต่างจังหวัดมาทำ�เป็นหนัง โดยเขียนบท ขึ้นมาจากเรื่องจริงผสมกับเรื่องที่แต่ง เพิ่มเข้าไป โดยให้ “สา” ได้แสดงเป็น ตัวเธอเองด้วย หนังเรื่องนี้ยังได้ไปฉาย และเข้าชิงรางวัล Tiger Award ที่ Rotterdam International Film Festival แม้จะไม่ได้รางวัลกลับมาแต่ก็ ได้ใจผู้ชมไปไม่น้อย ตอนนี้กำ�ลังจะมาฉาย ให้เราได้ชมกัน แว่วๆ มาว่าจะเข้าฉายที่ house rama เร็วๆ นี้
movie
020
music
Sally Shapiro Album Somewhere Else
มาเต้นกันแบบเบาสบายๆ สไตล์ดิสโก้โรแมนติก (Disco Romance เป็นชื่ออัลบั้มแรกของเธอด้วย) ที่ลอยละล่องมาพร้อมกับเสียงหวานๆ ติดเอ็คโคร ก้องๆ ของสาวสวีดิช Sally Shapiro งานชุดนี้เป็น อัลบั้มที่ 3 ของเธอ ในชือ่ อัลบัม้ “Somewhere Else” ทีม่ เี พลงซินฯอารมณ์สดุ สบายอย่างเพลง Sundown และ Somewhere Else ใครอยากสนุกขึน้ มาอีกนิดก็มี เพลงดิสโก้เก๋ๆ ชือ่ ยาวจำ�ยากอย่างเพลง This City’s Local Italo Disco DJ Has a Crush On Me หรือ เพลง What Can I Do, Don’t Be Afraid และ If It Doesn’t Rain ฟังแล้วก็นกึ ถึงเพลงเก่าๆ ยุคเก้าศูนย์ดี ทีเดียวครับ มิวสิกวิดโี อก็นา่ รักดีดว้ ย เพลงทีด่ ูจะมันที่สุด ในอัลบั้มนุ่มๆ นี้ก็น่าจะเป็นเพลง Architectured Love ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์มากหน่อย รวมๆ แล้วเหมาะอย่าง ยิ่งสำ�หรับคนที่ชอบเพลงอิเล็กทรอนิกส์สบายๆ เปิด ฟังช่วงดึกๆ หน่อย เปิดไฟสีสวยๆ ปาร์ตี้กันใน ห้องกับเพื่อน ทำ�ชิลล์เก๋ไก๋รับหน้าร้อนนี้ได้อย่างดี แน่นอนครับ
021
ประชาธิป’ไทย Paradoxocracy
การเมืองเป็นเรื่องที่เราๆ มักไม่อยากไปเข้าไปยุ่งสักเท่าไหร่ แต่มันกลับเกี่ยวโยงกับเราตั้งแต่เกิดจนสิ้นลม มีการแบ่งสีกัน ไอ้คนนี้เป็นสีนั้น ไอ้คนนั้นเป็นสีนี้ บางคนอยู่เฉยๆ ก็ถูกแบ่งสีให้โดยที่ไม่รู้ตัว แค่สีเสื้อก็เป็นปัญหากันแล้ว เช่นเดียวกับเป็นเอก รัตนเรือง จากที่ไม่ค่อยสนใจการเมืองมากนัก แต่ 2-3 ปีที่ผ่านมาเขากลับพบว่ามันมีผลกับชีวิตของเขามากมายเหลือเกิน เขาจึงเกิดคำ�ถามขึ้นมากมายในใจเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตย” ของบ้านเรา หลังจากหนังเรื่อง “ฝนตกขึ้นฟ้า” เขาจึงกลับมา ทำ�หนังสารคดีเรื่อง “ประชาธิป’ไทย (Paradoxocracy)” ร่วมกับ เอก-ภาสกร ประมูลวงศ์ (โปรดิวเซอร์ ครีเอทีฟ ผู้ใช้ชีวิต อยู่ในแวดวงงานสารคดีและโฆษณา) และลงทุนกันเองสองคน โดยไม่รับเงินจากใครเพื่อมาสร้าง เป็นหนังซึ่งทำ�เพื่อตอบสนอง ความอยากรู้อยากเห็นของตัวองโดยแท้ เป็นการนำ�เสนอแบบตรงไปตรงมา เนื้อหาจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนคณะราษฎร์ยึดการ ปกครองในปี พ.ศ.2475 แล้วไล่เรียงตามลำ�ดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคจนถึงปัจจุบัน โดยนำ�เสนอผ่านการสัมภาษณ์พูดคุย ที่หลากหลาย ตีแผ่มุมมองกับ 14 นักวิชาการ บางทีบอกว่าเป็นหนังที่ทำ�เพื่อสนองตัวเอง จริงๆ แล้วหากใครได้ชมอาจจะ ได้สาระและประโยชน์กับเราชาวไทยก็เป็นได้ ไปร่วมรับรู้กันเร็วๆ นี้ในโรงภาพยนตร์
documentary
022
music
Suede Album Bloodsports
เดือนนี้วงรุ่นใหญ่ออกอัลบั้มกันมาก ทีเดียว ขอหยิบมาเสนอสักวงแล้วกัน กับ Suede อัลบั้ม Bloodsports ตัววงไม่ต้องพูดถึงนะครับ อย่างที่รู้ กันว่า...สุดยอด ที่ฟังๆ ดูชอบหลาย เพลงอยู่ จากที่ห่างหายไป 11 ปี รู้สึก ว่าเสียงของพี่ Brett เขาหนักแน่น และดุขึ้น เพลงต่างๆ ในอัลบั้มแม้จะ เป็นเพลงสนุกๆ ผมก็รู้สึกว่าออกไป ทางหม่นๆ นะ (ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า)
023
อย่างเพลง Hit Me และ Snowblind นีผ่ มชอบซาวนด์กตี าร์มากๆ มีทั้งความเก๋า ช่วงอินโทรเท่ โซโล่ อุ่นชัด เสียงก้องแบบยุคเก่าหน่อย ฟังเพลง Sabotage แล้วคิดถึง เพลงของวงยุคแรกๆ หรือเพลง ยุคนั้นที่ไม่ค่อยมีสูตรมาก เล่าเรื่อง เรื่อยๆ ปล่อยอารมณ์ดีครับ เพลง For The Strangers นี่เพราะเลย ครับ...ชอบ บีบคั้นดี “Like the birds lying on, It’s been growing guns” เนื้อเพลง สุดยอด เพลง What Are You Not Telling Me? ก็เป็นบัลลาด สวยงามทีเดียว ฟังแล้วนึกถึง Queen หน่อยตอนประสานเสียง ช่วงท้ายมีกีตาร์โผล่มาเพราะมากๆ ขออีกสักเพลง คือเพลง Always เพลงนี้แปลกหูดีครับ ไม่นึกถึงวง Suede เท่าไหร่ ค่อนข้างตรงๆ หนักแน่น ออกฮาร์ดร็อกเลย ที่ว่า มาจริงๆ ฟังแล้วชอบเกือบหมด ครับ มากน้อยตามแต่จริตกันไป คิดว่าหลายคนคงฟังอยู่แล้ว ก็ บอกเผื่อน้องๆ ที่เกิดไม่ทันวงนี้ แล้วกันครับ ของดีห้ามพลาด Bloodsports จากวง Suede
The Place Beyond the Pines
จากปี 2010 กับ Blue Valentine หนัง ดราม่าขวัญใจนักวิจารณ์ ผลงานการร่วมงาน กันระหว่างผู้กำ�กับ Derek Cianfrance กับ พระเอกขวัญใจสาวๆ Ryan Gosling (จากบท สุดเท่โดนใจสาวๆ จาก Drive และล่าสุดกับหนัง แก๊งสเตอร์รวมดาว Gangster Squad) ปีนี้ ทั้งคู่กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งกับ The Place Beyond the Pines หนังดราม่าสืบสวน โดย มีชายหนุ่มนาย Luck (Ryan Gosling) ซึ่งมี อาชีพเป็นนักขี่มอเตอร์ไซค์ผาดโผนไปตามเมือง ต่างๆ พร้อมคณะละครสัตว์ ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่เคยผูกมัดกับผู้หญิงคนไหนเลย จนมาเจอกับ อดีตสาวที่เขาเคยมีความสัมพันธ์ด้วย รับบท โดย Eva Mendes และได้พบว่าเธอได้ให้กำ�เนิด ลูกชายซึ่งมีเขาเป็นพ่อนั่นเอง เขาจึงตัดสินใจ เลิกพเนจรแล้วตั้งหน้าตั้งตาหาเลี้ยงครอบครัว แต่เกิดการขัดสนรายได้ ไม่เพียงพอต่อการ เลี้ยงดูลูกเมีย จึงมีเหตุให้เขาเข้ามาในวังวนของ โลกอาชญากรรม และทำ�ให้เขาได้พบกับ Avery (Bradley Cooper จากหนังสุดฮา Hang Over ทั้งสองภาค และเพิ่งได้เข้าชิงนักแสดงนำ�ชาย จากหนังดราม่า Silver Linings Playbook) ตำ�รวจหนุ่มไฟแรงทะเยอทะยาน และซื่อตรงต่อ อาชีพ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกับเรื่องทุจริต บ้างานจน ไม่มีเวลาให้ครอบครัว เขาไม่รู้ว่าจะสร้างสมดุล
movie
ระหว่างอาชีพและครอบครัวอย่างไรดี จนเมื่อ Luck และ Avery ได้พบกัน อีก คนเป็นโจรปล้นธนาคาร อีกฝ่ายหนึ่งเป็น ตำ�รวจ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับทั้งคู่ในวันนั้น จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล พบกับการแสดงที่เข้มข้นของนักแสดง ทั้งคู่ และการกำ�กับเรื่องราวที่หนักแน่น ในโรงภาพยนตร์ 25 เมษายนนี้นะครับ
024
Phosphorescent Album Muchacho
music
อากาศมันร้อนเลยอยากให้ฟังเพลงสบายๆ กับอัลบั้มจาก Phosphorescent วงของ Matthew Houck หนุ่มคันทรี่โทนเสียงน่าฟัง อย่าเพิ่งเมินหน้าหนี นะครับ เพราะซาวนด์คันทรี่ของวงจากบรูคลินวงนี้ไม่ธรรมดาทีเดียว เริ่มจาก เพลง Ride On/Right On ที่บิดสำ�เนียงคันทรี่มาเบียดอารมณ์ lo-fi ได้ อย่างไม่น่าเกลียด เพลง Song for Zula ที่อินโทรขึ้นมาแบบพวกซินฯ ป๊อปเลย เพลงนี้เมโลดี้ก็เพราะมากๆ ครับ กลับมาที่อารมณ์คันทรี่อเมริกัน ช้าๆ เนือยๆ อย่าง Down to Go ที่เสียงเปียโนและเครื่องสายคลุกเคล้าได้ อารมณ์เศร้าที่กำ�ลังดี ไหนจะเพลง A Charm-A Blade ที่ขึ้นมาด้วยเสียง ประสาน ฟังแบบเหงาๆ แล้วเร่งจังหวะขึ้นมาสนุกขึ้น ลองฟังมาเกือบทุก เพลงจะออกเนือยๆ เพราะๆ รายละเอียดดนตรีแพรวพราวทีเดียวครับ ถ้าฟัง จากเครื่องเสียงดีๆ เพลินแน่นอน โดยเฉพาะเสียงเท่ปนเหงาของ Matthew Houck นี่ได้อารมณ์มากๆ ลองหาฟังกันนะครับ กับ Phosphorescent กับอัลบั้มชุดที่ 7 Muchacho
025
Whitewash by Nicolas Alan Cope
artbook
Art Book ภาพถ่ายขาว-ดำ�จาก Nicolas Alan Cope ช่างภาพ ชาวอเมริกัน ที่หลงใหลการถ่ายภาพโครงสร้างรูปทรงและเงาจาก สถาปัตยกรรมต่างๆ ในแอลเอ สิ่งที่พี่ Nicolas เขาเห็นผ่านกล้อง คือรูปทรงสุดเท่ที่เว้นจังหวะระหว่างแสงและเงาได้อย่างลงตัว รวมทั้ง อารมณ์ความเรียบง่ายแต่เท่ พี่เขานำ�เซตภาพ “Whitewash” มา รวบรวมลงเป็นอาร์ตบุ๊กสวยแบบขาวจัดดำ�จัด แค่เห็นหน้าปกก็กรี๊ดแล้ว ติดตามได้ที่ http://cope1.com
026
magazine
KINFOLK VOLUME 7
รับหน้าร้อนระอุได้เป็ฯอย่างดีกับนิตยสารสุดคลีน สวยใส KINFOLK ซึ่งในฉบับที่ 7 นี้ จับประเด็นเรื่อง ไอศครีมมาเล่าแบบเบาสบายได้อย่างสวยหรู แต่คน ไม่ชอบไอศครีมก็อย่าเพิ่งเมินหน้าหนีนะครับ ด้วยความ ที่นิตยสารเล่มนี้รวมนักเขียนและช่างภาพจากทั่วโลก จึงอัดแน่นไปด้วยรื่องเด็ดจากหลายที่หลายแห่งมา รวมกัน อย่างเรื่องอาหารทะเล เรื่องทะเลสาบ เรื่อง ฤดูใบไม้ผลิ การขี่มอเตอร์ไซค์ชมป่าเขา ภาพถ่าย มุมสูง การแปลงนา การประดิษฐ์งานฝีมือ และอีก มาก ใครชอบหนังสือสวยอ่านสบายห้ามพลาดนะครับ www.kinfolkmag.com
027
LOVE PLACE
HARD COVER : THE ART BOOK SHOP ช่วงหลังๆ มานี้ สำ�นักพิมพ์และร้านหนังสือ ขนาดเล็กแต่คุณภาพคับแก้วหลายแห่งก็ช่วยกันมา พัดกระแสการอ่านบ้านเราให้กระเพื่อมขึ้นมาบ้าง หนึ่งในนั้นคือร้านหนังสือบรรยากาศเท่ ที่ตั้งอยู่บน ชั้น 3 หอศิลป์กรุงเทพฯนี่เอง ไม่เน้นนิยาย ไม่ขาย นิตยสาร สมชื่อ “Hard Cover” The Art Book Shop ที่คัดสรรสารพัดหนังสือ Art Book ปกหนา เข้ามาให้เหล่านักอ่านนักสะสมได้ชื่นชมกัน เริ่มจาก พี่เชน สุวิกะปกรณ์กุล เจ้าของร้าน ใจดี มีประสบการณ์แบบอัดแน่นกับหนังสือปกหนา มาหลายปีครับ “ทำ�ร้านหนังสือขายหนังสือมา 20 ปี แล้ว ตั้งแต่ปี ’92 อยู่ที่ชิคาโก ขายหนังสือเฉพาะทาง เกี่ยวกับศิลปะเอเชีย แล้วหลังจากนั้นเมื่อ 10 ปีก่อน
ก็ได้มาทำ�สำ�นักพิมพ์ Serindia คนจะรู้จักหนังสือของ Serindia ว่าเป็นเกี่ยวกับศิลปะทิเบต หิมาลัย ศิลปะจีน ครอบคลุมทางเอเชีย” เมื่อ 4 ปีก่อน พี่เชนกลับมาเมืองไทยและได้ เปิดแกลเลอรีแถวเจริญกรุง ในชื่อ Serindia Gallery แต่ใจที่รักหนังสือปกหนาก็ยังพาพี่เขามาจับหนังสือ จนได้ “ตอนที่ทำ�แกลเลอรีก็จัดนิทรรศการหนังสือของ Taschen สำ�นักพิมพ์จากเยอรมนี ก็เข้าไปคุยกับเขา จัดเกี่ยวกับ Art Book เป็นเล่ม Limited Edition ที่ร้านหนังสือปกติจะไม่มี ผลตอบรับก็ดี เลยมาทำ�ต่อ เป็น pop-up shop ที่เซ็นทรัลเวิลด์ จังหวะพอดีกับ ที่หอศิลป์เขาปรับปรุงใหม่ แล้วเขาอยากได้ร้านหนังสือ ก็ให้มาลองดู คือไหนๆ ก็เคยทำ�มาแล้ว มีสำ�นักพิมพ์
028
ที่รู้จักๆ อยู่แล้ว และเห็นว่าพื้นที่ไม่ใหญ่มาก พอจะ จัดการได้ ก็เลยลองคิดคอนเซ็ปต์ใหม่ขึ้นมาว่าเป็นร้าน หนังสือชื่อ “Hard Cover” ตอนคิดชื่อร้านบางคนก็ บอกว่าชื่อหรูหราหน่อยมั้ย ชื่อแบบเรียกยากฟังยากเลย เป็นพวกคำ�ศัพท์เกี่ยวกับหนังสือแบบลึกๆ แต่เรารู้ว่า ตลาดเราคือที่นี่ เราก็ควรจะใช้ชื่อที่คนละแวกนี้เข้าใจ ถ้าตั้งชื่อแบบนั้นคงไม่รอด คนจำ�ไม่ได้ ไหนๆ เราก็จะ ทำ�หนังสือศิลปะ ปกติเราก็ทำ� Hard Cover ตลอด น้อยมากที่จะเป็น Soft Cover และก็เป็นศัพท์ที่คน เข้าใจง่าย คิดว่าชื่อนี้แหละที่คนติดหูง่าย ฟังดูไม่เว่อร์ ไม่ชั้นสูงเกินไป ฮ่องกง สิงคโปร์ ไทย เข้าใจหมด” ในเรื่องการแต่งร้านพี่เชนก็คำ�นึงถึงความสะดวกและ สวยงาม โดยที่ในร้าน Hard Cover จะวางหนังสือไว้ บนโต๊ะแทนที่จะเสียบๆ ในชั้นวาง ซึ่งเป็นประสบการณ์ จากการจัด pop-up shop ก่อนหน้านี้ที่พี่เขาสังเกตว่า
สะดวกและเป็นธรรมชาติกับผู้อ่านที่เดินดูได้เรื่อยๆ สบายๆ มองเห็นหน้าปกแล้วเปิดดูได้เลย ไม่ต้องมา ขอแกะขออะไรวุ่นวาย ส่วนผนังร้านพื้นดำ�สวยเก๋ พร้อมภาพประกอบที่แสดงคุณลักษณ์ต่างๆ ของ หนังสือ เช่น Anatomy of an Art Book, Classic Book Sizes ทั้งสวยทั้งได้ความรู้ ขนาดเรื่องอื่นยัง เนี้ยบขนาดนี้ เราจึงขอถามเรื่องหนังสือในร้านบ้าง “เลือกจากที่บ้านเราไม่ค่อยมี ที่ร้านอื่นๆ ไม่ได้ เอาเข้ามาบ้าง หรืออะไรแปลกๆ อย่างอันนี้ (ชี้ไปที่ มุมหนังสือภาพประกอบ) ของสำ�นักพิมพ์ Nobrow Press ที่อังกฤษ เราก็ไปหาเขาเลย เขาก็ไม่เคยขาย ในเอเชียเหมือนกัน ก็มาลองขายดู อย่างสำ�นักพิมพ์ ที่ออก Commercial หน่อยก็มี อย่าง Taschen, Prestel บางทีก็ตามข่าวว่าสถาปนิก หรือช่างภาพ คนไหนที่กำ�ลังดัง เราก็ไปดูว่าใครทำ�หนังสือให้เขา” 029
030
031
032
จากที่เดินวนๆ อยู่หลายรอบ เจอชื่อสำ�นักพิมพ์หลากสำ�นักทีเดียว ทั้งคุ้นตาและไม่รู้จักเลย อย่าง Magnum จากฝรั่งเศส, Phaidon จากอังกฤษ, Lars Muller Publishers และ Arnoldsche จากเยอรมนี, Promopress จากสเปน, Kodansha จากญี่ปุ่น, Assouline จากอเมริกา และอีก มากๆๆๆ ครับ ส่วนของศิลปะไทยบ้านเราพี่เขาก็พยายามรวบรวม ติดต่อจากแกลลอรีต่างๆ อยู่เสมอ เห็นหนังสือเยอะขนาดนี้ ยิ่งกับร้านเล็กที่ลูกมือไม่มากก็ยิ่งรู้สึกถึงใจรักที่มีในหนังสือ Art Book ของพี่เชนได้อย่างดีครับ เราถามถึงมุมมองที่มีเขามีต่อหนังสือประเภทนี้สักหน่อย “ตอนที่ทำ� อยู่ที่โน่น พี่ได้ทำ�ทุกกระบวนการ ฝึกความครีเอตของตัวเองด้วย ปกติมีพื้นฐานทางด้านโฆษณามา เพราะเรียนทางด้านนี้มาและชอบทำ� Lay Out อย่างคนทำ�เลย์เอาต์ก็จะได้ทำ�เป็นโปสเตอร์อย่างเดียว หรือทำ� 2-3 หน้า อะไรอย่างนี้ แต่พอทำ�เป็นเล่มเราต้องดูความต่อเนื่อง Conceptualize ดูทั้งหมด ที่มันเป็นโปรดักต์ คนแต่งก็จะส่งมาเป็น Microsoft Word มีรูปตั้งนึงอยู่ในกล่อง คนโน้นคนนี้ส่งมา เราจะทำ�ยังไงให้มันเป็นเล่มขึ้นมา เนื้อหามันเกี่ยวกับอะไร มีตลาดมั้ย หนังสือควรจะเป็นขนาดไหน จะเลือกใครมาเป็น Editor ได้ ใครจะมาเป็นดีไซเนอร์เลย์เอาต์เล่มนี้ได้ เหมาะสมรึเปล่า ดูทุกอย่าง แม้กระทั่งจุดคอมม่า เพราะหนังสือพวกนี้บางเล่มค่อนข้างจะออกวิชาการ มันจะต้องมีอะไรที่เป็น แบบแผนแน่นอน ต้องเป๊ะตามสไตล์ที่เขาทำ�อยู่ ไม่ใช่ว่าซี้ซั้วทำ�” ถามถึงแกลเลอรี เพราะคิดว่าเครดิตการทำ�แกลเลอรีน่าจะมีส่วนช่วยเรื่องการขายหนังสือบ้าง “บางคนจะถามว่างานในแกลเลอรีช่วยที่นี่รึเปล่า แต่พอจริงๆ แล้วกลับกัน ที่นี่ก็ช่วยแกลเลอรีด้วย เพราะว่าที่นี่คนเยอะกว่า เราสามารถทำ�ให้คนรู้จักได้มากกว่า สมมติว่าคนไปที่แกลเลอรีก็จะ อ๋อ... งานนี้เป็นแบบนี้เหรอ แต่ว่างานหน้าอาจจะไม่ได้มา แต่ก็มีนะ ด้วยความที่เราทำ�แกลเลอรีมาก่อน 4-5 ปี คนก็รู้จักว่าเราทำ�แกลเลอรีได้ดีพอสมควร บางคนก็ตามมาที่นี่” ช่วงหลังเที่ยงบรรยากาศในร้านเริ่มคึกคัก ทั้งนักท่องเที่ยว นักเรียน นักศึกษา คนทำ�งาน ต่าง เข้ามาหยิบจับเปิดอ่านหนังสือกันอยางเพลินเพลิดโดยไม่คิดถึงความหนาหนักของหน้าปก บ้างดูอย่างมี สมาธิเงียบนิ่ง บางกลุ่มดูกันไปคุยกันไป บางคนก็เข้ามาถามหาหนังสือจากช่างภาพ ดีไซเนอร์ แฟชั่น ดีไซน์ หรืออินทีเรียดีไซน์ ตามที่ตนชอบ และหลายคนก็เดินวนอยู่นานคล้ายมองหาตัวช่วยสร้างเสริม ขัดเกลาแรงบันดาลใจและมุมมอง ทำ�ให้นึกถึงคำ�ก่อนจากลากับจากพี่เชน เจ้าของร้าน Hard Cover ขึ้นมา “อย่างในกรุงเทพฯ ยังไม่มีพิพิธภัณฑ์อะไรให้ดูมาก หนังสือแบบนี้มันก็เป็นอย่างหนึ่งที่สามารถ จะเปิดโลกให้คนรุ่นใหม่ได้ดูได้เห็นมากขึ้น ได้เห็นความหลากหลาย และได้ดูว่าหนังสือมันมีศิลปะหลาย รูปแบบ อย่างคนออกแบบหนังสือ ที่เราเคยเห็นปัญหาหลายที่ว่าออกแบบทั้งเล่มไม่ได้ การออกแบบ หน้าสองหน้ากับเป็นเล่มให้สอดคล้องทุกหน้าไม่เหมือนกัน มันต้องทำ�งานอีกระบบความคิดหนึ่ง ก็อยาก ให้ได้ดู ให้เห็นเยอะๆ จะได้แรงบันดาลใจไปทำ�ในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ�ได้ดีขึ้น” 033
LOVE PLACE
FLOW COFFEE ROASTERS เรื่องกาแฟ ตัวผมเองมีความชื่นชอบอยู่บ้าง แต่ ความรู้เบื้องลึกบอกตรงๆ ว่าไม่มีเลยครับ ถึงกระนั้น ก็ยังดื่มเจ้าน้ำ�ดำ�ขมนี้วันละหลายๆ แก้ว จนอยากรู้ ขึ้นมาบ้างถึงที่มาที่ไปของเจ้าเครื่องดื่มชนิดนี้ วันนี้ผม ไม่ได้แค่มาจิบกาแฟที่ร้านเก๋ๆ แต่มาถึงโรงคั่วกาแฟ ขนาดย่อมที่แอบแฝงตัวอยู่ท่ามกลางตึกแถวย่านอโศกดินแดง ในชื่อ “Flow Coffee Roasters” ที่เจ้าของ คือคุณมิงค์-อธิวัฒน์ พิเชฐธรรมสาร ซึ่งชายหนุ่มผู้นี้ หลงรักรสกาแฟตั้งแต่ไปเรียนที่ออสเตรเลีย “เมื่อก่อน ผมเป็นคนไม่ดื่มกาแฟ มาเร่ิมดื่มตอนสมัยเรียนอยู่ที่ ออสเตรเลีย เหตุผลที่ดื่มก็คือ นอนดึก ง่วง ไปเรียน ก็จะหลับ เลยไปซื้อกาแฟดื่มแล้วติดใจ ไปซื้อทุกวัน ตอนนั้นผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนอิสราเอล เขาเป็นคอ กาแฟและชอบลากผมไปดื่มกาแฟร้านโน้นร้านนี้ และ เขามีร้านประจำ�ก็คือร้านใต้ตึกที่เรียน ร้านนี้คนต่อแถว ซื้อตลอด เรียกว่าอร่อยที่สุดในแถวนั้น”
หลังกลับจากออสเตรเลียเขาก็ไปเรียนต่อที่จีนและ คิดจะซื้อเสื้อผ้าจากจีนมาขาย แต่ก็รู้สึกว่าคนทำ�แบบนี้ กันเยอะไม่น่าจะดี จึงอยากลองกลับมาทำ�ร้านกาแฟดู ด้วยความที่ธุรกิจของครอบครัวเป็นโรงงานเสื้อผ้า ช่วง แรกการทำ�ร้านกาแฟของคุณมิงค์จึงไม่เป็นที่พอใจของ คนในบ้านเท่าไหร่นัก “พอกลับมาเมืองไทยบอกที่บ้านว่า อยากเปิดร้านกาแฟ โดนด่า เหมือนที่บ้านเป็นร้านเสื้อผ้า มาก่อน เขาคิดว่าเปิดร้านกาแฟมันก๊องแก๊ง ผู้ใหญ่เขา มองว่ามันเหมือนร้านทั่วไป ก็โดนเละ แต่ว่าผมอยากทำ� ก็ไปเรียนคอร์สบาริสต้าธรรมดา แล้วก็ไปทำ�งาน ออกมา ก็เรียนคอร์สบาริสต้าอีก แต่ไปเรียนหลายๆ ที่ แล้วก็ไป ทำ�งานกับซัพพลายเออร์อีกเจ้าหนึ่ง” ถึงที่สุดจะได้เปิดร้านกาแฟของตัวเอง แต่ทางผู้ใหญ่ ก็ยังกำ�หนดให้ใช้ที่ของครอบครัวที่มีอยู่มาทำ�ร้าน ซึ่งเป็น ทำ�เลที่ไม่ค่อยมีคนสัญจร จึงทำ�ให้ช่วงแรกในการเปิดร้าน
034
ของคุณมิงค์เงียบเหงาพอสมควร และไอเดียการคั่วกาแฟ ก็เกิดขึ้นในช่วงนั้นเอง “ปีแรกที่ผมเปิดคือ เบื่อมาก นั่งว่าง และมันยิ่งกดดันตัวเองด้วย เราเรียนจบจากต่างประเทศ กลับมาทำ�เหมือนมาเปิดร้านกาแฟเล่นๆ ไปวันๆ ก็เลย เริ่มหาอย่างอื่นทำ�เพิ่ม จึงมีความคิดอยากลองคั่วเมล็ด กาแฟ เริ่มจากซื้อเครื่องคั่วเมล็ดกาแฟตัวเล็ก น้ำ�หนัก เครื่องประมาณ 10 กิโลกรัม ซึ่งสามารถคั่วกาแฟได้ทีละ 2 ขีดครึ่ง แล้วก็มาลองผิดลองถูกกับมัน”
ตัวผมก็แอบถามสูตรการคั่วกาแฟแบบมืออาชีพ เผื่อจะ มีรสนิยมทางกาแฟกับเขาบ้าง แต่คำ�ตอบของคุณมิงค์กลับ ฟังดูน่าสนใจกว่าครับ “ความร้อนเท่าไหร่ เราไม่อยากให้ใช้ คำ�อย่างนั้น เพราะส่วนใหญ่ตามตำ�ราบอกว่าต้องใช้อุณหภูมิ เท่านี้ๆ แต่ผมไม่ได้สนใจตรงนั้นมาก ดูไปเรื่อยๆ มากกว่า เหมือนเราทอดไข่เจียว รู้มั้ยว่าเราใช้อุณหภูมิเท่าไหร่ เราก็ ใช้วิธีดูไปเรื่อยๆ ถ้าคั่วแบบบ้านๆ สมมติคั่วในกระทะทำ� ดื่มเองที่บ้าน จริงๆ แล้วหลักการมีแค่ว่า การให้ความร้อน กับเมล็ดกาแฟ มันจะคล้ายๆ การทำ�ป๊อปคอร์น พอถึง การทำ�กาแฟยังมีวิธีทำ�ตั้งหลายขั้นตอน การคั่วเมล็ด เวลาที่มันเริ่มสุก มันก็จะมีเสียงที่มันแตกๆ คล้ายๆ กัน กาแฟก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความตั้งใจบวกความกดดันและ อย่างเมล็ดกาแฟ ลักษณะเมล็ดกาแฟและอุณหภูมิมันจะ ใจรักในการทำ�กาแฟของคุณมิงค์ ก็ถือว่าไม่ธรรมดาครับ ไปควบคู่กัน ถ้าคั่วในสไตล์เรามันจะมีเสียงแกร๊กที่อุณหภูมิ “ตอนแรกก็ลองคั่วมันทุกวันครับ คั่วๆๆ กินไม่ได้ก็เททิ้ง เท่าไหร่ ใกล้เคียงบวก ลบ ไม่เยอะ” แต่อันนั้นไม่ได้เสียดายเท่าไหร่ เพราะกิโลกรัมหนึ่งคั่วได้ ตั้ง 4-5 รอบ เพราะว่ามันเครื่องเล็ก ก็ค่อยๆ ทำ�จาก คุณมิงค์ยังใจดีบอกเล่าความรู้เรื่องกาแฟให้ผมหลาย ตรงนั้นมา และพอคั่วได้ปุ๊บก็คั่วใช้เองในร้าน” เรื่อง ทั้งการคั่ว ระยะเวลาหลังจากคั่วแล้วภายใน 5-7 วัน 035
036
037
จะดีที่สุด หลังจากคั่วสักเดือนหนึ่งรสชาติจะจางลง ทั้งเรื่องเกรดของกาแฟในบ้านเรา ราคาในตลาดต่าง ประเทศ อย่างกาแฟปานามาหรือเอธิโอเปียที่แพง มากๆ ถ้าใครเอาเข้ามาแถมฟรีภาษีเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เรื่องการกินกาแฟในบ้านเรา การเบลนด์หรือการผสม เมล็ดกาแฟ ซึ่งบางทีทางร้านกาแฟบางเจ้าก็มาออร์เดอร์ ขอรสชาติแบบนั้นแบบนี้ คุณมิงค์ก็จะจัดการเบลนด์หรือ ผสมเมล็ดให้ใกล้เคียงรสชาติตามนั้น และยังข้ามมาถึง เรื่องวัฒนธรรมกาแฟในบ้านเรา ที่ยังไม่ค่อยโอเคกับ ความยุ่งยากของการทำ�กาแฟสดทานสักเท่าไหร่ “ถามว่ายุ่งยากกว่าอินสแตนท์ (กาแฟชงสำ�เร็จ) มั้ย ยุ่งยากกว่า ต้องมานั่งบด มานั่งล้าง ถ้าเป็นอินสแตนต์ ก็ตักใส่แก้ว คนๆๆ ละลายน้ำ�แล้วก็จบ เพราะคนไทย ไม่ค่อยมีความละเอียดกับเรื่องกาแฟเท่าไหร่ อย่างต่าง ประเทศ ลองเสิร์ชคลิปยูทู้บดูก็ได้ เขาสร้างกระทะเอง คั่วกาแฟเอง ทำ�ทุกอย่าง มีเยอะแยะเลย ขนาดอเมริกา ยังทำ�เบียร์ดื่มกันเองเลย คนไทยไม่รู้ ผมก็ไม่เคยรู้ว่ามี คนทำ�เบียร์ดื่มเองด้วยเหรอ แต่ทำ�ไมคนไทยทำ�ไม่ได้ เพราะไม่มีอุปกรณ์ แล้วเรื่องการกินของคนไทยบางทีก็ กินตามกระแส กินเอาแบบให้ดูดี แล้วก็กินๆ ไปเถอะ จะมีส่วนน้อยที่กินแล้วรู้เรื่อง อย่างเช่น ไวน์ พูดตรงๆ ว่าตอนนี้คนดื่มกันเยอะ แต่ถึง 10% หรือเปล่าที่รู้เรื่อง เห็นว่าขวดนี้แพง ขวดนี้ดี แค่นั้น” ในนามคนลิ้นไม่ถึง เลยถามคุณมิงค์ถึงเคล็ดวิธีการ เข้าถึงรสชาติของกาแฟเสียหน่อย “ก่อนอื่นคือหากาแฟ ที่ตัวเองชอบ ในบางครั้งกาแฟที่ดีเราอาจจะไม่ชอบก็ได้
038
คือดื่มแบบที่ชอบดีกว่า แต่ถ้าสนใจก็ลองดูไปเรื่อยๆ คนที่ตามชิมกาแฟก็จะสั่งอย่างเอสเพรสโซ่ หรือไม่ก็ กาแฟดำ� พวกนี้จะได้รสชาติกาแฟมากกว่า กลิ่นของ กาแฟ รสชาติ รายละเอียดมันเยอะ รสชาติโทนเปรี้ยว หวาน โทนถั่ว โทนหนัก อะไรก็ว่าไป บางทีอาจจะมี กลิ่นรสชาติของเครื่องเทศโผล่มาก็ได้ คือถ้าไม่ซีเรียส ก็ดื่มไปเรื่อยๆ ลองไปเรื่อยๆ ดีกว่า ไม่ต้องมานั่งเพ่ง อะไรขนาดนั้น เพราะบางคนก็พูดประมาณว่า ถ้าจดจ่อ มากเกินไปก็เพ้อเจ้อ บางคนเพิ่งดื่มใหม่ๆ จะเอาอะไร ขนาดนั้นก็เกินไป พยามยามจับก่อน เพราะว่าเขาก็จะ มีกลิ่นเฉพาะโผล่ขึ้นมา ผมเคยไปร้านของพี่คนหนึ่งที่ ทำ�โรงคั่วกาแฟเหมือนกัน เขามีตัวแพงเข้ามาเป็นกาแฟ ของปานามา เอามาคั่ว พอบดออกมาปุ๊บจะได้กลิ่น เลมอนขึ้นมาก่อนเลย อันนั้นมันชัดเลยนะ พอชงแล้ว ดื่มเข้าไปมันจะมีรสเปรี้ยวอมหวาน” ฟังคุณมิงค์พูดเพลินจนเกือบลืมถามเรื่องการสอน ชงกาแฟของ Flow Coffee Roasters เลย “สอนเน้น ปฏิบัติครับ เน้นทำ� บางคนมาเรียนพอทำ�สักชั่วโมงก็นั่ง นิ่งแล้ว เพราะเหนื่อย ถ้าคนที่ทำ�ประจำ�จะไม่รู้สึกเหนื่อย เท่าไหร่ คนที่มาเรียนก็มีทั้งอยากเปิดร้านและอยากเอา ไปทำ�ดื่มเองที่บ้าน ส่วนใหญ่ที่สอนก็อธิบายเรื่องปัจจัย ต่างๆ มีผลต่อรสชาติ อะไรพวกนี้ ว่ามีอะไรบ้างก็ไล่มา แล้วก็อุปกรณ์ชงกาแฟในประเทศต่างๆ แต่พอเข้าเนื้อหา หลักจริงๆ จะตรงมาที่ประเภทเลยก็คือ ชงกาแฟด้วย เครื่องระบบเอสเพรสโซ่ หรือเมืองไทยเรียกว่ากาแฟสด สิ่งที่ต้องฝึกจริงๆ จังๆ มีอยู่สองอย่าง คือการทำ�กาแฟ กับการสตรีมนม คือพวกลาเต้ หรืออื่นๆ มันคือ
Espresso Based Drinks เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสม หลักคือเอสเพรสโซ่ วัตถุดิบสำ�คัญที่สุดก็คือกาแฟ ถ้าเรากลั่นหรือคั้นกาแฟออกมาได้ไม่ดี ทำ�ออกมาก็ ไม่อร่อย ถ้าทำ�สองอย่างนี้ได้ เมนูทุกอย่างก็ไม่ยาก”
ไปชิมกาแฟ ซื้ออุปกรณ์ชงกาแฟ หาเมล็คกาแฟ คั่วดีๆ สนใจเรียนชงกาแฟ หรือแม้แต่ไปคุยเรื่อง รสชาติกาแฟ อย่าลืมไปอุดหนุนร้าน Flow Coffee Roasters นะครับ เห็นคุณมิงค์ว่าเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีร้านใหม่เปิด เป็นเหมือนตู้คอนเทนเนอร์ ตรง ทุกวันนี้ Flow Coffee Roasters คั่วกาแฟเดือน เหม่งจ๋ายไนซ์เพลสด้วย ติดตามได้ที่เว็บไซต์ หนึ่งเกินตันครับ และคนคั่วคือคุณมิงค์คนเดียวเลยครับ www.facebook.com/FlowCoffeeRoasters ถ้าของไม่ดีจริงคงไม่มีลูกค้ามาอุดหนุนขนาดนี้ ใครสนใจ หรือ http://flow-coffee.com ครับ
039
PIE TALK
040
CHAICHARN LERTNIMANORADEE ROCKSTAR PHOTOGRAPHER
แบงค์ - ชัยชาญ เลิศนิมานรดี
ไม่มีเลย นั่นแหละกลับกลายเป็นว่าเราชอบถ่ายรูปไปเลย ก็ฝึกของเราเอง PIE : ออกมาแล้วเริ่มด้วยอะไร แบงค์ : ฝึกงานก่อนเลยครับ พอดีเพื่อนผมเป็นรุ่นน้อง
ของ บ.ก. OK แม็กกาซีน เขาถามว่าอยากฝึกงานมั้ย ผมก็ไป คือตอนแรกภาพที่ผมถ่ายออกมาแย่มาก ก็โอเค เริ่มตันๆ แล้วเหมือนกัน ผมว่าพวกพี่ก็น่าจะรู้สึกว่า ไปฝึกงานเรียนรู้ตรงนั้น วิธีการทำ�งาน เรียนรู้ตั้งแต่เรื่อง มันเริ่มเหมือนๆ กันไปหมด แต่ผมไม่รู้ว่าผมมาเร็วไป White Balance ถ่ายรูปอีเว้นต์ มันกลายเป็นเรื่องเบสิก ที่เราเรียนรู้ได้ในชีวิตจริงในการทำ�งาน หรือเปล่า แต่ผมว่าเดี๋ยวมันต้องเปลี่ยน (ช่วงก่อนสัมภาษณ์) แบงค์ : วงการถ่ายภาพมันจะเปลี่ยน คือทุกวันนี้มัน
PIE : ตอนแรกเห็นงานแบงค์ คิดว่าน่าจะอายุสัก 30 กลางๆ แบบไปเรียนนอกมา แบงค์ : ผมเรียนไม่จบ
(เริ่มสัมภาษณ์) PIE : เริ่มถ่ายรูปเมื่อไหร่ แบงค์ : ช่วงตอนย้ายมาเรียนคณะนิเทศฯ ต้องมี
เรียนวิชาโฟโต้พื้นฐาน ซึ่งเป็นวิชาที่ผมทำ�ได้ดีที่สุด ผมเป็นคนไม่ชอบเรียนหนังสือเลยถ้าไม่ใช่เรื่องที่ อยากจะรู้ คือสังคมไทยมันไม่ได้ให้เด็กเปิดรับตั้งแต่ เด็ก ม.ต้น ม.ปลาย ต้องเข้าเตรียมฯ ต้องเข้าจุฬาฯ ซึ่งมันกลายเป็นปิดกั้นไปเลย ทำ�ให้เด็กไทยมารู้ตัว ตอนหลัง อายุ 20 ต้นๆ ซึ่งช้ากว่าประเทศอื่นๆ PIE : ตอนนั้นเรียนปีอะไร แบงค์ : พอผมย้ายคณะมาก็ปีสามปีสี่แล้ว เพื่อนจะ
จบกันแล้ว พอเรียนเสร็จถ่ายรูปได้แล้วผมก็ออกไป ถ่ายรูปเองโดยใช้กล้องฟิล์ม อาทิตย์ละ 5-6 วัน แต่อินสไปเรชั่นจริงๆ คือผมไปดูหนังเรื่อง fake มา เห็นลีโอ พุฒ เท่ดี หญิงเยอะ ปรากฏว่าพอถ่ายปุ๊บ
PIE : แล้วที่บอกว่าไปถ่ายรูป 5-6 วันต่ออาทิตย์ และที่ส่งพอร์ตไปให้หนังสือ OK นี่เป็นรูปแนวไหน แบงค์ : เป็นรูปข้างถนน มีตอนนึงผมถ่ายฟิล์ม แล้ว
เพื่อนผมทำ�งานอยู่ที่แฟต เรดิโอ เป็นดีเจ มันก็ให้บัตร แฟตครั้งที่ 6 ก็ไปถ่ายโดยใช้ฟิล์ม เป็นคอนเสิร์ตครั้งแรก ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ยังอยากถ่ายรูป ก็เลยเอาไป เสนอเขา PIE : ทำ�อยู่ที่ OK นานมั้ย แบงค์ : ประมาณ 4-5 เดือน ไม่นาน แต่ถ้าเขามีงาน
ก็เรียกได้เรื่อยๆ
PIE : แล้วมาสนใจถ่ายรูปนักดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่ แบงค์ : จริงๆ ผมเป็นคนฟังเพลงไทยค่อนข้างจะเยอะ
พอสมควร พอดีมีโอกาสที่ OK ให้ไปถ่ายงานของพี่โอ๋ ฟูตอง แล้วตอนนั้นพี่โอ๋เขาสนิทกับพี่ตุล (อพาร์ทเม้นท์ คุณป้า) พี่โอ๋เขามีงาน exhibition แล้วพี่ตุลเขาไป ผมก็ บอกพี่โอ๋ว่าอยากเจอพี่ตุล พอเจอแล้วผมก็บอกกับพี่ตุลว่า ผมขอถ่ายรูปวงได้มั้ย แบบตามถ่ายอะไรแบบนี้ ตอนแรก 041
ไปถ่าย Portrait เขาที่บ้านให้กับ OK แม็กกาซีน วันนั้นผมพริ้นต์รูปไปให้พี่ๆ วงอพาร์ทเม้นท์คุณป้า ทุกคนเลย พี่บุรินทร์เห็นเลยบอกว่ามาถ่ายให้หน่อย พี่ขอบอกเป็นเกียรติมากเลยนะถ้าแบงค์มาถ่ายให้พี่ พี่บุรินทร์เขา nice มากๆ เลย พอเราไปถ่ายให้เขาแล้ว รู้สึกดี ผมถ่ายให้ Groove Rider เลยทั้งวง ตามถ่าย อยู่ประมาณ 2 ปี ถ่ายไปเรื่อยๆ พอเสร็จปุ๊บก็มีอยู่ช่วง หนึ่งที่ผมเข้าไปใน smallroom ด้วยความที่ผมสนิทกับ เป้-อารักษ์ เป็นเพื่อนกันสมัยเป็นนักเรียน ตอนนั้นผม ขอไปถ่ายแต่มันไม่ให้ เลยบอกไปว่าช่วยพาเข้าไปหน่อย บอกเขาว่ากูอยากถ่ายรูป มันถามผมว่า มึงจะเข้าไปทำ� PIE : งานที่ถ่ายอพาร์ทเม้นท์คุณป้านี่คือตามถ่ายตลอด อะไร คือมันก็ยังไม่เห็นงาน แต่พอเห็นงานแล้วผมก็ไป แบงค์ : เล่นสดด้วย ตามวงด้วย นานครับ หนังสือเพิ่ง ตามถ่ายวงสเลอ แต่ว่าไม่ได้ตามลึก จะเป็นพวกรูป ชุดแรก มีเล่นสด portrait มีหมด จะออก (ด้วยน้ำ�ลาย) เขาไม่ให้ เขาบอกว่ามันมีคนถ่ายอยู่แล้ว ส่วนตัวแล้ว อพาร์ทเม้นท์คุณป้าเนี่ยเป็นวงติสต์อยู่แล้ว คือเอาก็ได้ ไม่เอาก็ได้ ไม่สนใจอยู่แล้ว ผมก็เลยบอกว่างั้นผมขอลอง งานนึง ถ้าผมไปถ่ายแล้วพี่ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร พอไปถ่าย แล้วเขาชอบ แต่ก่อนหน้าที่ผมจะไปถ่ายให้อพาร์ทเม้นท์ คุณป้า ช่วงที่อยู่กับ OK เนี่ย มันจะมีคอนเสิร์ตทั้งหลาย ผมก็จะเข้าไปถ่าย จริงๆ มันไม่ได้อยู่ในคอลัมน์ของ OK แต่ผมขอให้พี่ข้างในนั้นขอบัตรให้ เพราะอยากดูคอนเสิร์ต แล้วเราก็เข้าไปถ่าย ไปๆ มาๆ มันก็ค่อนข้างเยอะ เราก็ สร้างงานของเราไปเรื่อยๆ
PIE : “ด้วยน้ำ�ลาย” นั่นคือเซตที่ถ่ายตั้งแต่ตอนโน้นเลย PIE : ธรรมชาติของแต่ละวงเหมือนกับสิ่งที่เราเห็น ข้างนอกมั้ย แบงค์ : ใช่ เสียดายว่าอพาร์ทเม้นท์คุณป้าเป็นวงอินดี้ แล้วบ้านเราหาคนลงทุนหนังสือแบบนี้ยาก จึงไม่อยาก แบงค์ : ไม่เหมือน คือจริงๆ แล้วศิลปินก็คือคนธรรมดา
รีบออก คือรูปไม่ใช่ไม่สวยนะ ผมก็ชอบ แต่ผมเสียดาย แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าผมไม่ได้เลือกถ่ายพวกค่ายใหญ่ที่ มันมี commercial ซึ่งพวกนี้เขาไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์ เรื่องกระดาษ จำ�นวนหน้า แต่ผมก็ภูมิใจกับมันนะ รูปที่ผมได้จะเป็นรูปที่ธรรมชาติ มีความเป็นคนคนนั้น PIE : ตามถ่ายอพาร์ทเม้นท์คุณป้าก่อนไทเทเนียมใช่มั้ย แล้ววงที่ผมเลือกมันเป็นวงที่เขาทำ�ขึ้นมาจากความรู้สึก แบงค์ : ก่อนครับ ผมไล่ให้เลยละกัน จากอพาร์ทเม้นท์ ที่อยากจะทำ� อยากจะเป็น ไม่ได้เข้ามาเพราะเรื่องเงิน คุณป้า งานที่สองผมถ่ายที่ร้าน Cosmic งานพันธุ์หมาบ้า ตอนแรกอยากจะเสนองาน ความเป็นศิลปะของแต่ละคน ของชาติ กอบจิตติ ตอนนั้นเขาทำ�อีเว้นต์อยู่ ชื่อพี่อ้าย (ปริทัศน์ กองเพียร) บ.ก. In แม็กกาซีน เขาเห็นงาน PIE : อย่างวงอพาร์ทเม้นท์คุณป้า หลังเวทีเป็นยังไง แล้วชอบ ก็เลยให้โอกาส ถามว่าอยากถ่ายปู-พงษ์สิทธิ์ แบงค์ : ฟังจากเนื้อเพลงพี่ตุลดูเกรี้ยวกราดนะ แต่ตัว คำ�ภีร์ หรือเปล่า ผมก็เอาสิ เขาให้โอกาสตามถ่ายพี่ปู จริงคนละเรื่องกันเลย สุภาพ nice มาก อารมณ์เย็น ทัวร์นึง ประมาณ 1 เดือน คอนเสิร์ตใหญ่ 3-4 จังหวัด เหมือนพี่เขาโกรธอะไรก็ไปลงกับเพลง พี่บุรินทร์ก็เฮฮา friendly มาก ในกลุ่มก็นิสัยดีกันหมด พี่ปู-พงษ์สิทธิ์ แต่ช่วงนั้นประสบการณ์ยังน้อยอยู่ ยังมองโลกไม่แตก ตอนนั้นถ่ายแต่หน้าเวที ไม่มี Portrait เสียดายมากเลย จะเงียบๆ พูดน้อย รักษาเส้นเสียง แต่พอขึ้นเวทีแล้ว เป็นอีกคน เป็นศิลปินจริงๆ เจ๋งมาก เขาทัวร์เดือนหนึ่ง แล้วก็ถ่ายอพาร์ทเม้นท์คุณป้าอีกสัก 3-4 งาน จนพี่ 20 กว่าวัน ไปถ่ายตามต่างจังหวัด ก็เหมือนผมเป็น บุรินทร์เขาซี้กับวงอพาร์ทเม้นท์คุณป้าอยู่แล้ว ผมเคย 042
043
นักดนตรีอีกคนหนึ่งเลย ได้ไปเห็นโลกที่เราอยากเห็น เราอยากรู้ว่านักดนตรีเป็นยังไง เราก็ได้ไปดูในสิ่งที่คนอื่น ไม่ได้ดู และก็รู้ว่าเขาใช้ชีวิตยังไง กลายเป็นความโชคดี ที่ถ่ายรูป เหมือนผมไม่ได้ไปทำ�งาน ผมไปใช้ชีวิต
ชื่อวง Gu แล้วพี่บีที่อยู่ในวง Gu เป็นเมเนเจอร์ ให้กับ Bed Superclub ซึ่งมันจะมีหนังสือออกมา เขาก็ให้ผมไปถ่าย Portrait ดีเจทั้งหมดเลย ซึ่งผม ได้เจอพี่บุดดา ผมก็บอกว่าอยากตามถ่ายไทเทเนียม เขาก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวบอกให้ แล้วก็หายไปประมาณ PIE : ไทเทเนียมมาได้ยังไง ครึ่งปี ผมไม่มีโอกาสเจอเขาเลยนะ แต่มันมีอยู่วันนึง แบงค์ : เริ่มต้นมาจากพี่โอ๋ ฟูตอง ผมไปถ่ายปกให้กับ ตอนนั้นร้าน Narcissus เปลี่ยนเป็น Narz วันเปิด พี่โอ๋ แต่ว่าอันนี้มันมาแบบฟลุกๆ เพราะว่าพอผมถ่าย เขาให้ไทเทเนียมมาเล่น ผมก็ไปหาพี่บุดดา เขาก็ พี่โอ๋ให้กับ OK แม็กกาซีน พี่โอ๋ก็ให้ผมถ่ายปกให้วงเขา บอกเออๆ จำ�ได้อยู่ เขาพาไปหาพี่ขัน ผมก็ไปบอก พี่ขันว่าอยากถ่ายรูป เขาก็บอกว่าได้ แล้วผมก็เอา งานไปให้ดู เขาเห็นแล้วชอบ ก็ตามมา 4 ปี เกือบ 5 ปีแล้ว PIE : แล้ววงอพาร์ทเม้นท์คุณป้านี่ตามกี่ปี แบงค์ : น่าจะ 6-7 ปี PIE : คิดว่าศิลปินชอบงานของแบงค์เพราะอะไร แบงค์ : ผมว่าเพราะงานผมไม่เหมือนใคร งานที่ผม
ทำ�ขึ้นมาผมไม่มีทฤษฎีอะไรทั้งนั้น ผมมีแต่อารมณ์ ซึ่งมันอาจจะขายไม่ได้เหมือนงาน Commercial แต่ว่าอย่างน้อยมันได้งานที่ดีแน่นอน PIE : วิธีถ่ายทอดอารมณ์ของศิลปินลงไปในภาพ แบงค์ : เขาเป็นตัวเขาอยู่แล้ว แต่มุมมองที่เราสื่อ
ออกไปมันคือมุมมองของเรา เราแค่ capture ช่วง เวลานั้น กลับกลายเป็นว่าช่างภาพยิ่งถือกล้องเป็น อวัยวะที่ 33 ก็ยิ่งได้มาก แต่ถ้าบอกว่าตัวเองเป็น ช่างภาพแต่ไม่ถือกล้อง โมเม้นต์ต่างๆ มันอาจจะ เก็บไม่ทัน PIE : เราไม่ต้องปั้นเขา แบงค์ : ธรรมชาติ ไม่ต้องปั้น ถ้าปั้นมันก็ไม่ใช่
documentary 044
PIE : ทำ�ไมเลือกถ่ายแนวนี้ มีไอดอลมั้ย PIE : นอกจากนักดนตรีแล้ว แบงค์อยากถ่ายสาขา แบงค์ : ผมไม่มีไอดอล ผมไม่ได้ดู reference คิดเอง อาชีพอื่นมั้ย หมดเลย แต่สิ่งที่ผมคิดมันไม่ใช่สิ่งใหม่ พอผมถ่ายไปสัก แบงค์ : อยากนะ จริงๆ แล้วที่ผมมาถ่ายงานเนี่ย
4 ปี ผมก็เริ่มมองงานของคนอื่น อ้าว อันนี้ก็ทำ�ไปแล้ว ตอนแรกก็อยากเท่ แต่พอทำ�ไปเรื่อยๆ กลับกลายเป็น นี่หว่า ที่ผมดู reference นี่คืองานเมืองนอก เฮ้ย... ว่าผมถ่ายรูปนักดนตรี สุดท้ายเวลาคนดูรูปที่ผมถ่าย อันนี้ผมก็ทำ�แล้ว อันนี้ก็ทำ�แล้ว เขาก็อยากเป็นนักดนตรีหรือไม่ก็อยากจะเป็นช่างภาพ แบบเรา มันคือการสร้างอินสไปเรชั่นให้คนรุ่นใหม่ PIE : มีคนถ่ายสไตล์คล้ายๆ เรา เพื่อที่จะไม่ให้ไปทำ�อย่างอื่นที่มันไม่ดี แต่ส่วนตัวเลยคือ แบงค์ : ใช่ๆ คือมันไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่ผมพูดได้เลยว่าผม ตอนนี้ผมอยากถ่ายนักกีฬา ซึ่งผมก็เคยคุยๆ ไว้แต่ก็ ไม่เคยดู reference เลยช่วงแรกๆ แล้วงานที่ผมไปดู ยังไม่มีโอกาส เพราะว่าผมอยากจะจบงานของพาร์ต นี่ก็คืองานที่ถ่ายพวก The Rolling Stone มันเก่าแล้ว นักดนตรีให้หมดก่อน แล้วประเทศไทยประหลาดอย่างหนึ่ง เป็นประเทศที่ไม่ ให้คุณค่ากับช่างภาพมากนัก PIE : กีฬาประเภทไหน แบงค์ : มวยไทย PIE : ไม่ให้คุณค่ายังไง แบงค์ : อย่างงานถ่ายภาพบางงานคุณค่าตีราคาไม่ได้
บ้านเราให้คุณค่างานดีๆ ต่ำ�เกินไป มันเป็นอาชีพที่ หลายคนชอบและจะทำ� แต่พอเข้าทำ�ไปจะเริ่มรู้แล้วว่า ไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ เราไม่สามารถรู้สึกดีกับงานถ่ายได้ เพราะบ้านเราไม่ให้เกียรติช่างภาพและตัวงาน มันมี เรื่องทำ�ให้เรารู้สึกไม่ดี
PIE : ภาพของไทเทเนียม แบงค์ : ส่วนตัวเขาก็เจ๋งกันอยู่แล้ว คนพวกนี้ผมชอบ
หมดเลยนะ ผมชื่นชอบผลงานของเขาอยู่แล้ว ด้วยการ แสดงออกของเขา เนื้อเพลง คือคนพวกนี้เขาเริ่มมาจาก ศูนย์ มันไม่ใช่เป็นบอยแบนด์เต้นปุ๊บดัง แต่เขาค่อยๆ ก้าวขึ้นภูเขา ไม่ได้ใช้เครื่องบินแล้วปล่อยลงตรงยอด มันเป็นวิธีที่สอนให้เด็กรุ่นหลังคิด มันไม่มีอะไรง่าย PIE : งานถ่ายภาพที่เป็นตัวเองจริงๆ มันมีน้อย สำ�หรับการทำ�อาชีพสักอาชีพหนึ่ง มันคือการต่อยอด แบงค์ : คือต้องบอกก่อนเลยว่าคนไทยเป็นความคิด ไปเรื่อยๆ การเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ� มันไม่ใช่จับพลัด ของคนหมู่มาก ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง เอาง่ายๆ จับผลูแล้วได้ มันไม่มีอะไรง่าย ชีวิตน่ะ ทุกวันนี้ถ้าเปิดเฟซบุ๊ก เราจะเจอรูปถ่ายรับปริญญา PIE : นอกจากภาพที่ได้ออกมา แบงค์ได้อะไรบ้าง รูปถ่ายพรีเวดดิ้ง กล้องถ่ายรูปไม่ได้มีไว้แค่ถ่ายงาน พวกนี้ มันนำ�เสนอเรื่องราวอื่นๆ ได้มากมาย ทุกวันนี้ จากการถ่ายภาพ โซเชียลเน็ตเวิร์กมันทำ�ให้คนแห่กันมา ถ่ายรูปงานรับ แบงค์ : ได้ทำ�ตามที่ตัวเองคิดและพูดให้คนอื่นฟังใน ปริญญาที่ราคามันตกเพราะคนถ่ายรูปมากขึ้น อุปกรณ์ ตอนแรกที่จับกล้อง ได้พิสูจน์ตัวเองว่ากูเป็นช่างภาพได้ ก็ซับพอร์ตมากขึ้น แต่ quality งานกลับแย่ลง ไม่มี กูไม่ได้บ้า ได้ทำ�ให้คนอื่นอิจฉา ได้ถางทางให้คนรุ่น ใหม่ๆ ว่ามันมีอย่างนี้อยู่สำ�หรับประเทศนี้ ได้เรียนรู้ อะไรใหม่ ซึ่งจริงๆ มันเป็นเรื่องที่ดีสำ�หรับผมนะ ชีวิตด้วยความใกล้ชิดกับศิลปินที่มีคุณภาพ มีความคิด อันนี้ผมพูดตรงๆ 045
เป็นของตัวเอง ผมได้เห็นการใช้ชีวิต แก้ปัญหา ใช้ชีวิตในการทำ�งานว่าเป็นยังไง ซึ่งผมซึมซับมา ก็ค่อนข้างเยอะ ผมไม่จำ�เป็นต้องเดินเข้าออฟฟิศ 8 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น ผมใช้ชีวิตแบบ ที่ผมอยากใช้ รู้จักใช้ชีวิตให้เป็น
PIE : ที่บอกว่าพักเรื่องดนตรีแล้วไปหาอะไรใหม่ๆ นี่ยังไง แบงค์ : ผมอาจจะต้องหยุดถ่าย documentary ไปก่อน
แต่ว่ามันต้องมีอีกแน่ๆ คือหางานยังชีพก่อน นอกจะทำ� พวกอาร์ตแล้วก็ต้องยังชีพด้วย ด้วยอายุที่มากขึ้น แต่ว่า จิตใจเราก็ยังเหมือนเดิม อยากจะทำ�งานให้มันดีขึ้น แต่ ด้วยการที่เราอยู่บนโลกที่นิยมวัตถุ เราก็ต้องหางานที่มัน PIE : สิ่งสำ�คัญในการที่จะได้ภาพที่ดีสำ�หรับแบงค์ มีเงินเพื่อเลี้ยงชีพให้เราทำ�งานได้สบายใจ เพราะว่าตลอด คืออะไร เวลาที่ผ่านมาผมพูดได้เลยว่าผมทำ�งานภายใต้ความกดดัน แบงค์ : จริงๆ แล้วรูปๆ เดียวมันไม่พอจะสื่ออะไร ของความมีชีวิต ผมต้องเปลี่ยนวิธีการคิดใหม่ ต้องปรับให้ เพราะว่าผมทำ�งานเป็น documentary ผมไม่ได้ ลงตัวขึ้น เมื่อก่อนผมห้าวเป้งได้เพราะตอนนั้นอายุยังน้อย ทำ�งานหนังสือที่จบรูปเดียวแล้วก็มีคนมาเขียนให้จบ กลับสู่วงจรชีวิต ทำ�มาหากินก่อน ไปเลย คือผมทำ�งานด้วยระยะเวลา ผมตอบไม่ได้ ว่ารูปที่มันดีที่สุดเป็นยังไง ผมรู้สึกว่าผมเล่าเรื่อง PIE : ทำ�ไมใช้ชื่อเว็บว่า Fotofools ด้วยเวลา ความคาบเกี่ยว การใช้ชีวิต ทุกอย่าง แบงค์ : ความบังเอิญครับ มีแต่คนถาม ไม่คิดว่าผมจะ รูปๆ เดียวสำ�หรับผมมันอาจจะเป็นรูปที่เรามีความ มาขนาดนี้ ผมไปเล่นเว็บถ่ายรูปเว็บหนึ่ง แล้วมันต้องมี รู้สึกดีที่สุด น่าจะเป็นรูปครอบครัว ความรู้สึกของ Login ตอนนั้นฟัง Silly Fools อยู่ Fotofools มันคล้อง คนเรามันไม่เท่ากัน ในการเสพศิลปะ ไม่ว่าจะเป็น ผมก็เลยลองดู ตอนนั้นมีแต่คนด่าผมถ่ายรูปแย่ๆ ผมก็ เพลง หนัง หรือว่ารูปภาพ บางคนก็บอกว่าไม่ดี เลยเอาอันนี้แหละ ใช้ชื่อนี้ไปเลยละกัน แต่จะทำ�ให้ดัง บางคนก็ชอบมาก บางคนก็เฉยๆ มันไม่มีหรอก ตอนหลัง รูปดีรูปไม่ดี รูปที่ทำ�ให้เรารู้สึกได้หรือเปล่าแค่นั้นเอง PIE : แปลว่ารูปที่ดีสำ�หรับแบงค์ก็คือรูปที่รู้สึกได้ แบงค์ : ใช่ครับ รูปที่รู้สึกได้ รูปที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย
เจ๋ง แต่ก็อย่างที่บอก ความรู้สึกเรามันไม่เท่ากัน ความอยากจะเป็นมันไม่เหมือนกัน PIE : ถ่ายรูปแบบนี้ อยู่ได้มั้ย แบงค์ : อยู่ได้ครับ ผมใช้ชีวิตโดยไม่เคยเข้า
ออฟฟิศเลย ไม่เคยสมัครงานที่ไหนเลย PIE : ต่อไปจะมีผลงานอะไรบ้าง แบงค์ : มีไทเทเนียม กับ Southside
PIE : วันนึงแบงค์ไปเป็นอาจารย์ จะสอนเด็กยังไง แบงค์ : ผมไม่สอนเนื้อหา ทุกวันนี้ผมเปิดคอร์สสอน
อันนี้คือผมทำ�เพื่อยังชีพด้วย แต่ผมไม่ได้สอนว่าปรับยังไง ผมจะสอนวิธีคิดมากกว่าว่าควรจะถ่ายยังไง ทำ�ยังไง อะไร แบบนี้ ควรจะมีกระบวนความคิดยังไง เทคนิคใครก็เรียน ได้ เรียนในเว็บก็ได้ กล้องเล่นง่ายจะตาย วัดแสงให้ตรงก็ จบแล้ว ใช้หัวคิดในการพลิกแพลงเวลาถ่ายว่าจะเป็นยังไง แต่สุดท้ายแล้วแค่คุณปรับให้มันอยู่ตรงกลางก็จบแล้ว PIE : อยากเห็นวงการถ่ายรูปไทยเป็นยังไง แบงค์ : กว้างขึ้น แต่ก็พูดไม่ได้ เพราะประเทศเราเล็ก
คือทุกวันนีค้ นทีจ่ บไปเป็นช่างภาพถ้าไม่มซี กิ เนเจอร์นจ่ี บเลย
046
047
PIE : อังกฤษ ญี่ปุ่นก็เล็กนะ แบงค์ : ญี่ปุ่นเล็กครับ แต่เขารับงานศิลปะ
ทำ�ไมศิลปินถ่ายภาพอยู่ได้ เพราะว่าเขาทำ� โฟโต้บุ๊ก แล้วมันมีคนซื้อ แต่ว่าประเทศเรา... PIE : ต่างประเทศมีโฟโต้บุ๊กเยอะมาก แบงค์ : แล้วดีด้วย คนก็มีกำ�ลังซื้อ มันขึ้นอยู่
กับเศรษฐกิจบ้านเราด้วย
PIE : ยังชอบฟังเพลงไทยอยู่มั้ย แบงค์ : ยังชอบฟังอยู่ แต่ตอนนี้วงใหม่ๆ
แทบจะไม่น่าฟังเลย อ๋อ เป้ อารักษ์ แอนด์
เดอะปีศาจแบนด์ ผมหวังว่าจะมีแบบพี่ปู-พงษ์สิทธิ์ ขึ้นมาเยอะๆ เพลงอะไรก็ได้ที่มันไม่ต้องป๊อบ คนร้อง ไม่ต้องหน้าตาดีหรอก ขอขายเนื้อหาก็พอ คือมันควร จะมีเนื้อเพลงที่สอนให้คนคิด ควรจะมีเยอะขึ้น ป๊อบ ร็อกมันโอเคแต่มันเป็น commercial อ้อ แล้วก็พี่จีนมหาสมุทร ชอบมาก เนื้อเพลงเขาดีมากเลย PIE : ฝากถึงน้องๆ ที่เรียนถ่ายรูปตอนนี้แล้วเบื่อๆ อยู่ แบงค์ : ผมว่าถ้าเบือ่ ก็พกั ครับ คือจริงๆ วิธกี ารถ่ายรูป
มันไม่ใช่แค่มีกล้องแล้วก็นิ้ว กล้องเป็นอุปกรณ์ไว้สำ�หรับ ปลดปล่อยจินตนาการของเรา ไม่ใช่ให้มันครอบครอง เราด้วยการที่เป็นวัตถุที่ราคาแพง เลนส์ราคาแพง แต่
048
ไม่สามารถปลดปล่อยจินตนาการของเราได้ อย่าคิดว่า ถือกล้องแล้วมันเท่ ให้คิดว่าถือกล้องแล้วทำ�อะไรได้บ้าง สำ�หรับคุณค่าในการใช้ชีวิตของแต่ละวันของเรา ไม่ใช่แค่ ว่ามีกล้องให้คุณถือ ถ่ายหญิง ถ่ายอะไรก็ตามที่ถ่ายแค่ วันเดียวสองวันแล้วคุณก็วาง มันไม่ใช่
www.fotofools.com www.facebook.com/pages/ Fotofools-Rocktographers/1825 15218469905?fref=ts
PIE : แล้วแบงค์ถือกล้องเพราะอะไร แบงค์ : บำ�บัดอารมณ์ พูดตรงๆ ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้ผมใช้
กล้องอะไรก็ได้ ทุกวันนี้ผมมีความสุขมากในการถ่ายรูปจาก มือถือลงอินสตาแกรม คืออะไรก็ได้ที่มันเก็บภาพได้ ทำ�ให้ รูส้ กึ อารมณ์ดขี น้ึ มีความหมายของเราเองโดยทีค่ นอืน่ อาจจะ ไม่รับรู้ แต่ว่าเราก็รับรู้ว่าเราทำ�แล้วมีความสุข 049
PIE TALK
GREY RAY STATIONARY
050
พี่แม้ว - เธียรวธู เทียนเงิน พี่เบิร์น - ชาญฉลาด กาญจนวงศ์ พี่บี๋ - อาทิตยา ตรีเนตรไพบูลย์ การออกแบบผลิตภัณฑ์สักชิ้นอะไรเป็นสิ่งสำ�คัญ ความ สวยงาม การใช้ง่าย ราคา ความทันสมัย ความชอบ มีหลายอย่างเหลือเกินที่แฝงอยู่ในการคิดของการออกแบบ ผลิตภัณฑ์สักชิ้น เราจึงไปคุยกัับกลุ่มคนสร้างสรรค์ในนาม “Grey Ray Stationary” กลุ่มนักออกแบบ Stationary หรือเครื่องเขียน ที่นิยามตัวเองว่า “เกเร” แต่งานเขาเท่ และมีสิ่งที่เรียกว่า “จิตสำ�นึก”
051
PIE : Grey Ray Stationary เกิดขึ้นได้ยังไง พี่เบิร์น : เริ่มเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว เริ่มจากผมทำ�
โรงเรียนสอนศิลปะมานาน ได้เห็นพฤติกรรมบางอย่าง ของเด็กที่มาเรียน อย่างเช่น การใช้ดินสอที่ใช้ได้ไม่ คุ้มค่า เลยคิดว่าน่าจะทำ�โปรดักต์บางอย่างขึ้นเพื่อช่วย เรื่องนี้ คือดินสอ EE ที่เด็กๆ ใช้มันไม่มีปลอก บางคน ใช้ทิชชูห่อ เอาหลอดไปสวม เลยคิดว่าถ้าดินสอพวกนี้ มันมีปลอกที่กันเปื้อนและกันกระแทกได้ด้วยน่าจะดี และ เปลี่ยนพฤติกรรมการเหลาดินสอของเด็กด้วย เพราะถ้า เราเรียนศิลปะเราจะรู้ว่าเด็กถูกสอนให้เหลาไส้ดินสอยาว มาก พอเหลายาวก็ไม่มีใครบอกว่าควรจะยาวแค่ไหน พอใช้แล้วก็หัก เราก็เลยรีเสิร์ชจากคน 200 คน ว่าเหลา สั้นยาวเท่าไหร่ คำ�นวณระยะที่เขียนแล้วไม่หัก ก็ได้ตัวเลข มาคือ 3.8 ซม. ก็เหมือนกับเปลี่ยนพฤติกรรมไปด้วยในตัว เราไปทำ�แคมเปญกันที่ศิลปากร เมื่อปีแรกๆ คือให้แข่ง เหลาดินสอ ใครเหลาได้ระยะนี้แล้วเร็วที่สุดเราก็จะแจก ของรางวัล ค่อยๆ ซึมไป พยายามจะบอกเขาว่า เหลา แค่นี้พอแล้ว พอเขียนได้ แล้วยิ่งลึกลงไปเราก็จะรู้ว่าไม้ ของดินสออย่างน้อยต้องอายุ 100-200 ปีนะ ทรัพยากร มันก็จะสูญเสียมากเวลาเหลา สังเกตถ้าเป็นแบรนด์คนไทย ใหม่ๆ ไส้ดินสอหรือเปลือกไม้เวลาเหลาแล้วมันจะแตก ถ้ายี่ห้อดีๆ ไส้มันจะนิ่ม พี่แม้ว : เวลาเหลาเด็กจะรู้สึกว่าต้องเหลาให้ยาวมากๆ พอเหลายาวมันจะส้ินเปลือง หักก็ง่าย เหลาแค่พอจำ�เป็น ต้องใช้ก็พอแล้ว PIE : แบ่งหน้าที่กันยังไงครับ พี่เบิร์น : ผมก็เป็นคนครีเอทีฟหลัก แม้วจะเป็นโปรดักต์
ดีไซน์ พวก develop อีกทีหนึ่ง บี๋ก็จะดูแลในภาพรวม ในเรื่องของ Marketing หรือ Business ให้แบรนด์ เคลื่อนไปได้
PIE : Concept ของ Grey Ray Stationary ครับ พี่เบิร์น : ผมชอบเครื่องเขียน แต่ว่าไม่ค่อยมีแบรนด์ 052
เครื่องเขียนที่มีคาแร็กเตอร์เป็นผู้ชายเท่าไหร่ อยากเห็น แบรนด์เครื่องเขียนที่เป็นผู้ชายเกเรๆ หน่อย อย่างผม เวลาคนเห็นมีหนวดหน่อย ไว้ผมยาว คนก็จะมองว่า เกเร แต่ไม่ได้มองว่าจริงๆ อาจจะไม่ได้เกเรก็ได้ อาจ จะครีเอทีฟก็ได้ คือก็เอาตรงนั้นมาใช้ มันก็เล่นทั้งคำ� เล่นทั้งความหมาย อย่างดำ� ก็คือ ชั่ว เลว ขาวก็คือ ดี และ Grey หรือสีเทา ก็คือ ไม่ดีไม่เลว กลางๆ เร (Ray) คือรัศมี มันไปตรงกับภาษาไทยพอดี เป็นคำ�ว่า “เกเร (Grey Ray)” อยากทำ�ให้รู้ว่าเป็นแบรนด์คนไทย เผื่อจะต้องเดินทางไปไหนหรือทำ�อะไรก็ตาม ตั้งเป้าไว้ว่า จะให้เป็นความภูมิใจของคนไทย ตั้งแต่ชื่อผมขอให้ไทย ไว้ก่อน พี่แม้ว : ตอนสร้างโปรดักต์เราอยากให้แบรนด์คล้ายๆ Muji เรารู้สึกว่าเวลาเราซื้อของที่เป็นดีไซน์ ราคาก็จะ แพง เราก็อยากเป็นมูจิ แต่ว่าเราอยากเป็นมูจิแบบคน ไทย ทำ�งานที่คนไทยสามารถซื้อได้ และได้ดีไซน์สวย ราคาจับต้องได้ พี่เบิร์น : มูจิมันไม่ใช่แค่ดีไซน์ มันเป็น Culture เลย
เขาตอบสนอง Culture ของคนญี่ปุ่นได้ว่า ประหยัด คุ้มค่า เรียบง่าย เพราะฉะนั้นต้องให้เขาเป็นแบรนด์ ของญี่ปุ่นแล้วล่ะ พอของคนไทยพูดถึง Stationary (เครื่องเขียน) มันไม่มีไง Stationary มีแต่พวกพู่กันสง่า อะไรแบบนี้ แล้วส่วนใหญ่คนที่ทำ�โปรดักต์ใหม่ๆ ก็ไม่ กล้าบอกว่าตัวเองเป็น Stationary แต่บอกแค่ว่าเป็น แบรนด์ที่รวมๆ ขายสมุด ขายทุกอย่าง ไม่มีคนที่บอก ว่าฉันจะทำ� Stationary อย่างเดียว
PIE : ปีที่แล้วไปขายที่งาน Designboom Mart ที่ญี่ปุ่น เป็นยังไงบ้าง พี่เบิร์น : ได้รับคัดเลือกไป แล้วก็มีอะไรที่เซอร์ไพรส์
หลายอย่างเลย อย่างปลอกดินสอเนี่ยเราคิดว่าสีเทา น่าจะเป็นสีที่โดนใจคนญี่ปุ่นนะ ด้วยความนิ่งความเท่ แต่ไม่เลย 80% คือสีเขียว ไม่ว่าจะเป็นเด็ก 5-6 ขวบ
053
เดินมาจะหยิบสีเขียวก่อน หรือบูธข้างๆ ที่ทำ�เป็นไอคอน เกี่ยวกับต้นไม้ก็หยิบอันนั้น เหมือนว่าเขากับธรรมชาติใกล้ กันมาก สีเขียวกับสีน้ำ�ตาล Earth Tone เขาจะชอบ แต่เราคิดว่าสีส้ม สีเทาเก๋
ออกใหม่เลย
Eco ก็ได้ คนจะมองว่าวัสดุธรรมชาติอย่างไม้จะรู้สึก Eco กว่าคลาสสิกกว่า แต่จริงๆ ไม่ใช่ คือถ้ามอง ทั้ง Process ทั้งกระบวนการ พลาสติกก็ Eco ได้ พี่แม้ว : มันมีเรื่องของการขนส่งด้วย เรื่องน้ำ�หนัก ทรัพยากร น้ำ�มัน พี่เบิร์น : นำ�กลับมาใช้ใหม่ ขนส่ง ยืดอายุของโปรดักต์ หรือกระบวนการผลิต ทั้งหมดนี้อยู่ในคำ�ว่า Eco ซึ่ง สองอันนี้เอามาขมวดก็คือ ใช้อย่างคุ้มค่าจริงๆ
PIE : Drawing Out ตัวนี้เป็นยังไง พี่เบิร์น : แรกเลยก็คือ ต่อในของเรื่องฟังก์ชั่น ดินสอสั้น
PIE : มีการใช้หมึก Soy Ink ในสมุดสเกตช์ด้วย พี่แม้ว : เราพยายามที่จะเลือกใช้เพื่อให้มันยังอยู่ใน
PIE : ที่ญี่ปุ่นเอาโปรดักต์ตัวไหนไปขายบ้างครับ พี่เบิร์น : ปลอก EE แล้วก็ Drawing Out ตัวที่เพิ่ง
แค่ไหนก็ต่อได้ ผมเป็นคนชอบใช้ดินสอ รู้สึกว่าเวลาใช้ ก็ต้องเอาออกมาจากกล่องดินสอ ซึ่งผมทำ�อินทีเรียด้วย บางทีผมถึงหน้างานก็สเกตช์ที่ผนังปูนเลย อยากให้ดินสอ มันพกในกระเป๋าเสื้อได้เลยโดยไม่เลอะ สะดวกในการหยิบ ใช้และดูดี จริงๆ แต่ก่อนมันก็มีนะพวกที่ใช้ที่ต่อด้ามดินสอ แต่ต่อแค่ด้านท้ายและเป็นเหล็ก เรารู้สึกว่ามันแตกแยก จากเรา มันเย็น มันหนัก อีกอย่างพวกนี้เป็นพลาสติก ที่สามารถจะรีไซเคิลได้ 100% พี่แม้ว : เราพยายามที่จะเลือกวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ แล้วก็ Eco ด้วย พี่เบิร์น : อันนั้นคือแกนหลักของเกเรเลย เราจะถามว่า มัน Eco มั้ย ถ้ามันยังไม่ Eco จะยังไม่จบ เพราะเรา รู้สึกว่าดีไซน์ในโลกนี้มันมีเยอะมากแล้ว จนคิดว่าถ้าไม่ จำ�เป็นอย่าทำ�ออกมา มีคนชอบถามผมว่า Eco คืออะไร ผมจะบอกว่ามันมีทุกอย่างแล้วล่ะ ถ้าไม่จำ�เป็นก็ไม่ควร ทำ�ออกมาให้มันรกเปล่าๆ พี่แม้ว : อย่างตัวปลอก EE มันก็เป็นพลาสติกนั่นแหละ แต่ว่ามันสามารถรีไซเคิลได้ 100% คือถ้าเราไม่ใช้แล้ว ก็นำ�มารีไซเคิลได้ใหม่ พี่เบิร์น : คือทุกคนจะชอบกลัวพลาสติก แต่ถ้าเราศึกษา ลึกๆ แล้ว บางครั้งกระบวนการที่ถูกพัฒนามาจนรู้ค่า มันจะ Error น้อยมาก แต่ถ้าเราเอาเศษไม้หรืออะไร ต่างๆ เราเอากาวไปยึดติดกับมัน จริงๆ อาจจะไม่ใช่ 054
พื้นที่ของ Eco อยู่ด้วย ทั้งเรื่องของการออกแบบ Sketch Book ที่อยากให้มันเป็นแฟ้มที่สามารถเก็บ กระดาษได้ และเป็นเรื่องของการใช้ให้คุ้ม พี่เบิร์น : คือ Sketch Book มันเริ่มจากว่า พอผมให้ การบ้านนักเรียนไป เขาก็จะฉีกจากสมุดมาส่ง ที่นี้ปก ของสมุดล่ะ คำ�ถามคือมันหายไปไหน มันก็ทิ้ง เราก็ คิดว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมีปกสิ Sketch Book ของ เราเลยเป็นกระดาษแผ่นใหญ่ปึกนึง อยู่ในกล่องที่เป็น ทั้งหน้าปกทั้งแฟ้ม คือใช้กระดาษที่สเกตช์หมดก็เอาไป ใช้งานต่อได้ มันก็เป็น Eco แบบนัั้น แล้วสีที่พิมพ์ก็ ยังเป็น Soy Ink อีก พยายามคิดทุกกระบวนการ PIE : ดูมีเรื่องของจิตสำ�นึกมากเลย พี่เบิร์น : ใช่ แต่ว่ามันก็ใหม่มากในการที่จะบอกว่า
มูลค่ามันอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงการประหยัด อยู่ตรงการ ปลูกจิตสำ�นึก คนก็จะมองภาพลักษณ์ข้างนอกก่อน ก็ต้องค่อยๆ ปลูกฝังไปเรื่อยๆ
PIE : ขอถามกลับไปที่ญี่ปุ่น ไปกี่วัน วัฒนธรรม การซื้อขายที่โน่นเป็นยังไง พี่เบิร์น : 10 วัน พี่แม้ว : จริงๆ แล้วมันเป็นเหมือนตลาดเล็กๆ เพราะ
ว่าใน Designboom มันก็เป็น Fair ที่มีดีไซน์ของพวก
ดีไซเนอร์ นักเรียนด้วย และในส่วนของ Designboom Mart ก็มีที่ให้ยืนขายเล็กๆ พี่เบิร์น : ดีไซเนอร์จะมายืนขายจริงๆ เลย พบปะกับ คนซื้อที่โต๊ะเลย พี่แม้ว : มันก็ได้มุมมองในเรื่องของการใช้งาน เช่น คนญี่ปุ่นจะชอบปลอก EE แต่คนที่ซื้อ Drawing Out ของเราส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่ง ยุโรป เพราะว่าวัฒนธรรม ของคนยุโรปจะใช้ดินสอ เพราะบ้านเขาหนาว ถ้าใช้ ปากกาหมึกมันอาจจะแห้ง เขาก็จะไว้ใจดินสอได้มาก กว่า เพราะเขามั่นใจแน่นอนว่ามันเขียนได้ ก็ทำ�ให้เรา ได้รู้เรื่องของตลาดมากขึ้นว่า คนใช้ดินสอมันก็มีเยอะ PIE : มีแผนที่จะทำ�โปรดักต์อะไรต่อจากนี้มั้ย พี่เบิร์น : มีหลายอย่าง อย่างผมเปิดโรงเรียนก็จะเห็นว่า
กระดาษสเกตช์ถูกทิ้งเป็นกองๆ รู้สึกว่ามันน่าจะทำ�อะไรได้ นี่ยังไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ� เพิ่งคิดออกเมื่อสองวันที่แล้ว ว่าจะเอาตรงนี้มา Reuse เป็นอะไรบางอย่าง จะเอา คอนเซ็ปต์ของ Art School ที่จะเห็นร่องรอยของการ ถูกใช้มาแล้วเอามาเล่าเรื่อง อาจจะเปิดตัวที่งานบ้านและ สวนปีนี้ ที่เป็นกลุ่มคุณท็อป (พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร) เขามาร่วมกลุ่มเป็นสมาคม เป็นสมาคมที่เป็น Eco จริงๆ และเราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้เข้าประชุม เป็นชื่อโครงการ ว่า Eco Design Thai Thai เป็นกลุ่มของนักออกแบบ ไทยที่ทำ�งานเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม PIE : สายงานโปรดักต์ดีไซน์ในบ้านเราตอนนี้เป็น ยังไงบ้าง พี่แม้ว : มันก็คึกคักนะคะ นักออกแบบใหม่ๆ ที่จบมา
ทุกคนก็อยากทำ�โปรดักต์นั่นแหละ แต่อาจจะติดในเรื่อง ต้นทุน แต่ว่ามันก็ยังมีช่องทางตั้งแต่ Talent Thai เรา ก็เจอกลุ่มนักออกแบบที่เป็นรุ่นเดียวกัน พยายามที่จะ หาทางสร้างสรรค์ผลงานในส่ิงที่เขาคิด พีเ่ บิรน์ : อาจจะมีความหลากหลายน้อย ด้วยว่าส่วนใหญ่ ที่เป็นโปรดักต์ก็จะเป็น เก้าอี้ โคมไฟ เก้าอี้ โคมไฟ
เก้าอี้ โคมไฟ เก้าอี้ โคมไฟ เยอะมาก มันมีเก้าอี้ที่ดี ที่สุดและเลวที่สุดในโลกนี้มาหมดแล้วไง ไม่รู้ว่าจะดีไซน์ อะไรได้อีกสำ�หรับผมนะ PIE : แต่ในต่างประเทศมีโปรดักต์ค่อนข้างหลากหลาย พี่เบิร์น : ใช่ โดยเฉพาะญี่ปุ่น จะมีอุปกรณ์ช่วยแบบนี้
เยอะมาก อย่างเช่น ที่รองมุมโต๊ะไม่ให้เด็กไปกระแทก หรือบางทีโต๊ะมีรอยขีด ก็จะมีที่เป็นสีชอล์ก สีเทียน ที่สีเดียวกับไม้ไปอุดรู ของจุ๊กจิ๊กเยอะมาก
PIE : แล้วฝัง่ ผูใ้ ช้โปรดักต์ข์ อง Grey Ray Stationary เป็นยังไงบ้าง พี่บี๋ : ชอบมาก คือไม่มีใครเอางานที่เป็นเครื่องเขียนมา
ถ่ายรูป แต่แบรนด์เราเป็นแบรนด์เดียวที่คนที่ใช้เอามา เล่น เอามาถ่ายรูปลงในอินสตาแกรม บางคนก็เอามา ถ่ายแบบเรียงสีกัน แล้วส่งรูปมาให้ดู พี่เบิร์น : บางกลุ่มก็บอกว่าสีวินเทจดี เพราะสีที่ผม ใช้เป็นสีของ Sir Robin Days เป็นสีของเก้าอี้ที่เขาใช้ ผมชอบสีที่มันไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว คือมันไม่เชยแล้ว บางคนก็บอกว่าชอบที่สี เพราะรู้สึกว่ามันเหมือนไม่ใช่ แบรนด์ของคนไทย แรกๆ เขาก็งงว่าคนไทยออกแบบ เรียบขนาดนี้เลยเหรอ แต่ว่ากลุ่มหลังๆ ก็ใช้แล้วรู้สึกว่า มันเท่ดี พี่แม้ว : ย้อนไปนิดนึง ตอนแรกเราทำ�ให้คนใช้ EE คนที่ใช้ EE ก็อาจจะมีคำ�ถามนิดหน่อยว่าทำ�ไมมันยาว แค่นี้ เพราะเขาเหลายาวกว่านี้ ซึ่งเราก็ต้องอธิบายว่า ยาวแค่นี้โอเคแล้ว ถ้ายาวกว่านี้มันจะเหลายาก จะเสีย ไส้ไปเปล่าๆ แต่พอหลังๆ มันจะเริ่มขยายจากกลุ่มที่ใช้ EE เป็นใช้ดินสออย่างอื่น 2B บ้าง ดินสอเขียนคิ้วบ้าง แม่บ้านที่ญี่ปุ่นเขาก็ซื้อเหมือนกัน เขาบอกว่าตามหามา นานแล้ว ใช้เสียบกับดินสอสีที่มันอยู่ในถุง เพราะมัน ทำ�ให้มือเขาเปื้อน เขาก็เลยซื้อไปใส่ มันก็เริ่มขยายไป เรื่อยๆ ถามว่ากลุ่มลูกค้าพอใจมั้ย มันก็ขึ้นอยู่กับการ ใช้งานของเขาว่ามันตอบสนองความต้องการเขามั้ย 055
056
057
พี่บี๋ : ที่เห็นว่าเขาพอใจก็เพราะเขาถ่ายรูปถ่ายส่ง
PIE : Art House เปิดมากี่ปีแล้วครับ พี่เบิร์น : 15-16 ปี เริ่มจากผม เรียนจบก็ทำ�เลย
กลับมาให้ดู เราก็เลยรู้ว่าเขาชอบ
ผมเป็นคนแบบนั้น อยากทำ�อะไรแล้วจะทำ�เลย เหมือนเครื่องเขียน ทำ�เป็นหรือเปล่าไม่รู้แต่ทำ�ก่อน PIE : นิสัยคนไทยสบายๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่อง Eco พี่เบิร์น : จะเล่าให้ฟังว่า บ้านเพื่อนผมที่ญี่ปุ่น ระบบ Art Hous มันเหมือนเป็น Pre-School ปูพื้นฐาน มันเจ๋งมาก บ้านเขาเป็นตึกเก่าๆ หลายสิบปีเลยนะ ก่อนที่จะไปเรียนมหาวิทยาลัย แต่เขาเซตหลอดไฟไว้ทั้งบ้านแล้ว คือถ้าเดินไปตรง ไหนตรงนั้นไฟเปิดเอง ถ้าไม่เดินไปไฟไม่ติดนะ แล้ว PIE : สไตล์การเรียนการสอน พี่เบิร์น : เน้นหลักสูตร การพัฒนาหลักสูตร และเรา เวลาจะกดชักโครกก็ไปล้างมือตรงอ่างล้างมือก่อน แล้วค่อยกดชักโครก น้ำ�ที่เราล้างมือมันก็จะไหลกลับ จะไม่มีการเล่าข้ามขั้นแบบหนึ่งไปห้าไปหก แต่เราจะเป็น 1 2 3 ถ้าเด็กมีใจมาเรียนยังไงก็ต้องเป็นเรื่องเบสิก ไปแท็งก์ที่ชักโครกเพื่อให้เรากด เรื่องพลังงานบ้าน เขาซีเรียสมาก การแยกขยะด้วย ชัดเจนมาก ไม่ได้ เวลาจะรับครูมาสอน ผมจะให้เขาสอนให้ดู ส่วนใหญ่ แยกแค่ถังสองถังนะ เขาแยกละเอียดยิบเลย คนก็มี จะเขียนให้ดู ผมก็จะบอกว่าไม่ให้เขียน แต่ให้พูดให้ ระเบียบวินัยในการแยกด้วย เมื่อก่อนผมออกไปซื้อ ผมฟัง ก็จะง่อยไปหลายคน คือเขียนน่ะเขียนได้ แล้ว พูดได้มั้ย ลำ�ดับได้มั้ย นั่นคือแกนที่ผมพยายาม ของก็จะเปิดไฟไว้สักดวง แต่ตอนนี้ไม่เลย 058
PIE : เด็กยุคใหม่มาเรียนศิลปะมากขึ้น เพราะอะไรครับ พี่แม้ว : ถ้าเป็นเรื่องศิลปะเพื่อที่จะเข้ามหาวิทยาลัย
น่าจะเป็นเพราะการรับรู้ของเขามีมากขึ้นกว่าเดิม สังคมมันเปิดกว้างขึ้น สมัยก่อนเราก็คิดว่าเรียนแล้ว ออกไปตกงาน แต่เดี๋ยวนี้โลกมันเปิด ผู้ปกครองเองก็ เห็นว่ามันมีการเติบโตยังไงในด้านของสายงานแบบนี้ พี่เบิร์น : อาจจะเป็นเพราะว่าศิลปะมันเป็นวิชาที่ เฉพาะทาง เดี๋ยวนี้ค่านิยมที่เรียนครูก็จะน้อยลงไป อย่างเมื่อก่อนก็จะเรียนบริหารไปก่อน แต่บริหารอะไร ก็ไปเลือกอีกที แต่เดี๋ยวนี้เรียนเจาะลงไปเลย เราจะ เห็นตัวอย่างของหลายคน อย่างไทเกอร์ วู้ดส์ ตีกอล์ฟ อย่างเดียวก็เป็นโปรได้ หลายๆ คนก็จะเป็นแบบนั้น ที่เจาะลงไปเลย ศิลปะก็น่าจะคล้ายๆ กัน
พี่แม้ว : ที่ว่ามันน่ากลัวเพราะว่าศิลปะมันคือการเสพ
เรารู้สึกว่าเราสุนทรีย์กับการเสพศิลปะ แต่เด็กยุคนี้มาไว ไปไว แล้วก็เลียนแบบ ชอบเพราะเพื่อนชอบ มันเลย ไม่ได้เข้าถึงตัวของศิลปะจริงๆ พี่เบิร์น : อาจช้าลงเองพอถึงวัยนึง พอมันสุดบางอย่าง ก็จะเอียนไปเอง ผมก็เป็น PIE : แล้วตลาดในบ้านเรารองรับงานดีไซน์ได้มากพอ ไหมครับ พี่เบิร์น : ก็มีหลายพาร์ตที่ยังขาดคนอยู่ อย่างทางฝั่ง
ของจิวเวลรี่ พี่แม้ว : ตลาดจิวเวลรี่ค่อนข้างเติบโต ตลาดค่อนข้าง รองรับ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปจับ ณ ตรงไหน อย่าง จิวเวลรี่ส่วนใหญ่บ้านเราจะเป็นแบบที่ขายด้วยตัวมูลค่า PIE : ข้อได้เปรียบเสียเปรียบในการเรียนศิลปะของ ของสิ่งของ เช่น ทองหรือว่ามูลค่าของเพรชพลอยของ เด็กยุคนี้ครับ วัสดุ จิวเวลรี่ในเชิงที่เป็นงานออกแบบก็เลยดูเหมือนจะ พี่เบิร์น : ก็คงจะเป็นเรื่องสื่อ เพราะตอนรุ่นผมจะ ลดน้อยลงไปบ้าง ทำ�อะไรทีก็ต้องไปเอาหนังสือจากห้องสมุด เดี๋ยวนี้แค่ พี่เบิร์น : ถ้าถามว่ามีพื้นที่มั้ย ถ้าเป็นตัวจริงมีพื้นที่หมด ปลายนิ้วจริงๆ ข้อเสียคือ รับเร็วไป ตัดสินใจเร็วไป แค่อย่าผิวเผิน จริงๆ ก็กับทุกอย่างนะ ถ้าชอบแล้วก็ลง ทิ้งเร็วไป เมื่อก่อนที่จะมีสื่อเข้ามา คนก็ชอบดูวิดีโอ ลึกและกว้างลงไป คนไทยจะชอบตื้นๆ กว้างๆ ยูทู้บบ้าง บทความจะไม่ค่อยอ่านแล้ว ปัจจุบันนี้วิดีโอ พี่แม้ว : บางทีต้องใช้เวลาในการสร้าง อย่างเจอเพื่อน ก็ไม่ดูแล้ว การรับรู้ของเขาประมาณเสี้ยววินาทีจริงๆ ที่ทำ�งานดีไซน์ด้วยกัน พอเห็นช่องทางว่าจะทำ�อะไรก็จะ สไลด์หน้าจอเลื่อนๆ ดู ผมสอนแล้วยืนดูนักเรียนก็ เริ่มทำ� พอทำ�ไปสักพักก็จะเร่ิมท้อ เร่ิมตัน แล้วก็เลิกทำ� จะเห็น เฮ้ย…จะไม่พิจารณาเลยเหรอ อย่างเราจะ กันไป ทั้งที่จริงๆ แล้วมันอาจจะยังมีช่องทางอื่นๆ ที่ มองดูพิจารณาว่ามันสวยนะ หรือว่าเข้าไปดูโปรไฟล์ สามารถไปได้อีก เขาสักหน่อย แต่นี่ไม่เลย เลื่อนดูแล้วก็กดๆ ไลค์ พี่เบิร์น : ปีแรกๆ เกเรก็เกือบจะแย่เหมือนกันนะ ยุค ตั้งแต่เกิดอินสตาแกรม ตอนเฟซบุ๊กมันก็ยังเยอะอยู่นะ แรกๆ เลย ผมให้แม้วไปเสนอที่ร้าน บางที่ก็โดนตีกลับมา มันก็จะมี content ทั้งอ่าน ทั้งดู ทั้งฟัง แต่พอ เพราะว่าเราไม่รู้เรื่อง Marketing อะไรเลย ก็ได้บี๋เข้า อินสตาแกรม ดูแล้วก็กดๆ อันนี้คือหลักไมล์ของยุค มาช่วย ส่วนใหญ่หลังๆ ลูกค้าจะเข้ามาเอง นี้เลย ผมเห็นว่ามันเริ่มปักหลักหมุดอีกอันหนึ่งแล้วว่า พี่แม้ว : เราเริ่มจากร้านค้าทั่วไปที่ขายเครื่องเขียน ต้อง การรับรู้ของเด็กมันเปลี่ยนไปแล้ว เดินเข้าไปแล้วอธิบายว่าทำ�ไมต้องซื้อของเรา ทำ�ไมมัน ถึงราคาเท่านี้ ถามว่ามีสินค้ากี่ตัว เราก็ตอบว่า 2 ตัว PIE : แล้วเด็กจะมีสมาธิกับศิลปะได้ไหม เขาบอกว่าถ้างั้นก็คงไม่คุ้ม อาแปะเจ้าของร้านก็บอก พี่เบิร์น : นั่นสิ น่ากลัวมาก ขายไม่ได้หรอก 059
พี่บี๋ : พูดยากมาเลยในแต่ละที่ กว่าจะให้คนรู้จักได้
คุณโชค บุญกุล บอกว่ามีวิธีอื่น คือขยายจากข้างใน คำ�นั้นมันสะกิดผม เราทำ�โรงเรียนศิลปะและโปรดักต์ของ PIE : แล้วที่บอกว่าได้พี่บี๋เข้ามาดูแลด้าน Maketing โรงเรียนศิลปะน่าจะเป็นอะไรได้บ้าง ผมก็โทรหาเช็กทีมงาน ดูยังไงบ้าง ได้ในเวลา 2 อาทิตย์ ถามว่าแล้วทำ�ไมไม่ทำ�เครื่องเขียน พี่บี๋ : ก็พยายามไปอธิบายว่ามันคืออะไร มันใช้ยังไง ขนาดมีชื่อโรงเรียนมาติดอยู่ก็ไม่เอา มาสร้างแบรนด์ใหม่ ลองเอาไปวางขายมั้ย อะไรแบบนี้ จนคนเริ่มใช้แล้ว ดีกว่า ก็มีหลายคนรู้ว่าเป็นของ Art House แต่บางคน ร้านก็จะบอกว่าโอเคเริ่มรู้ว่าเขาขายได้ ก็จะซื้อขาดเลย ก็ไม่รู้แต่เขาชอบฟังก์ชั่น และเราก็ไม่ได้จะให้เด็ก Art House ต้องใช้แต่ของเกเรนะ อยากให้ใช้เพราะชอบ PIE : ช่วงแรกๆ ที่พี่บี๋ทำ�ให้เกเร พี่บี๋ : ทำ�เป็นฟรีแลนซ์ แต่ตอนหลังก็เข้ามาเต็มตัว
PIE : สินค้ามีขายที่ไนบ้าง พี่บี๋ : ซีเอ็ด, เอเชีย บุ๊ก, เซ็นทรัลเวิลด์, Loft, พารากอน,
ไม่ได้ทำ�ด้านดีไซน์ค่ะ จบบัญชีมา พี่เบิร์น : ทีมมันก็เลยแข็งขึ้น ไม่ได้มีแค่ดีไซน์กับ ดีไซน์อย่างเดียว แรกๆ นี่ทุกคนทำ�ดีไซน์กันหมด แต่พอมีบี๋เข้ามาช่วยเกเรมันก็เลยเริ่มวิ่งเร็วขึ้นมา ตั้งแต่ช่วงปลายปี
ร้านสมใจ, สยาม มาเก็ตติ้ง, สยามเซ็นเตอร์ ที่ร้าน The Selected ต่อไปก็จะเป็น B2S
PIE : ฝากน้องที่เรียนโปรดักต์ดีไซน์ พี่เบิร์น : น้อยจริงๆ นะที่จะมาเรียนโปรดักต์ ผมเองก็จบ
อินทีเรีย แต่มันทำ�ให้ผมมองโปรดักต์อีกแบบหนึ่ง เพราะ เวลาเรียนอะไรแล้วมุมมองการคิดก็จะคล้ายๆ กัน บางที ไม่ได้เรียนมาโดยตรงก็จะคิดอีกมุม เพราะฉะนั้นถามว่าวิธี เป็นเครื่องเขียนของคนไทย เรียน เรียนยังไง คือมันก็มีพวกที่ Born to be จริงๆ นะ ผมก็ตอบไม่ได้จริงๆ ว่าควรจะเรียนยังไง PIE : ประเทศใกล้เคียง ก็มีร้านเยอะแยะเลย พี่แม้ว : จากการที่เรียนมามันก็มีหลายๆ คนที่จบมาแต่ พี่แม้ว : ตลาดอย่างในฝั่งของสิงคโปร์ มาเลเซีย เริ่ม ไม่อยากทำ�แล้วก็มี แต่ถ้าทำ�ก็อยากให้ดูเรื่องของมาร์เก็ตติ้ง มีดีไซน์เข้ามาเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เท่าที่เห็นเขา ควบคู่ไปกับการออกแบบด้วย เพราะว่าที่รู้สึกมาคือ มีใจ มีร้านหนังสือ ร้านขายของจุกจิก และเขาก็พยายาม จะทำ�แล้ว แต่ว่าจะขายยังไง ไปยังไงต่อ แล้วก็หาให้ได้ ผลักดัน ว่าเขาต้องการอะไรในตลาดก่อนที่จะทำ�ออกมา คนที่เขา อยากได้ เขาอยากได้อะไร มันใช้ต้นทุนด้วย แล้วก็ต้อง PIE : ยังมีความเป็น Eco ละเอียดอ่อน พี่เบิร์น : แน่นอน PIE : อนาคตของ Grey Ray และ Art House พี่แม้ว : เรามองตลาดของต่างประเทศ พี่เบิร์น : น่าจะเป็นทางยุโรป อย่างน้อยก็ให้รู้จักว่า
PIE : แล้ว Art House พี่เบิร์น : อนาคตของ Art House ก็คือ Grey Ray
PIE : คือเรียนอะไรมาก็ได้ พี่เบิร์น : ใช่ แต่ต้องจริงจังและศึกษา มันเป็นรสนิยม
เพราะว่าศิลปะมันสอนเรื่องรสนิยมไม่ได้นะ รสนิยมก็คือ ตอนแรกผมคิดว่าเราจะเดินตามสเต็ปเหมือนคนอื่นมั้ย การใช้ชีวิต กิน นอน ฟังเพลง แต่เข้าไปเรียน อาจารย์ อย่างเช่นการขยายสาขา แต่วันนึงไปอ่านหนังสือของ ในมหาวิทยาลัยเขาไม่ได้สอนนะ 060
PIE : แล้วรสนิยมสอนกันไม่ได้ใช่มั้ย พี่เบิร์น : ไม่ได้ครับ รสนิยมจะเกิดขึ้นอย่างแรกเลยคือบรรยากาศพาไป สมมติในมหาวิทยาลัย
เพื่อนโดยรวมก็จะบ่มรสนิยมบางอย่างให้เรา ครอบครัว สภาพแวดล้อม เพราะฉะนั้นในมหาวิทยาลัย ที่จะให้ได้คือเรื่องบรรยากาศ อย่างเช่น ดึงคนที่คล้ายๆ กันมาอยู่ด้วยกัน แต่เรียนเก่งก็ไม่ได้ แปลว่ารสนิยมดีด้วยนะ คือมันเป็นเรื่องเดียวกันเลย กินอะไร นอนยังไง ไปเที่ยวที่ไหน กับ ใคร พวกนี้แหละคือดีไซน์ 061
062
PIE TALK
YELLOW F A N G B E A U T Y R B
O A
C N
K D
แพรวา - แพรวา จิรประวัติ ณ อยุธยา แป๋ง - พิมพ์พร เมธชนัน พิม - ปิยะมาศ หมื่นประเสริฐดี ไม่น่าเชื่อว่า ความมัน ความสวยงาม ความสนุก ความเก๋ไก๋ และอีกหลากหลายความรู้สึกจะอัดแน่น อยู่ในเสียงดนตรีของสาว 3 คนนี้ กับความสำ�เร็จ ของเพลงต่างๆ ของพวกเธอที่ค่อยๆ แผ่ขนาด กว้ า งออกไปสู่ ผู้ ฟั ง มากขึ้ น เรื่ อ ยๆ ไม่ ว่ า จะเป็ น เพลงเลี้ยง (I’m a feeder), เพลงเก็บผ้า, Unreal และเพลงห่มผ้า กับ Yellow Fang วงดนตรีลุค เปรี้ยวเก๋ที่ตัวเพลงยิ่งเท่กว่าภาพลักษณ์
063
PIE : รวมตัวกันได้ยังไง แป๋ง : เราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วที่ศิลปกรรม จุฬาฯ
PIE : ไปๆ มาๆ ก็ยาวเลย แพรวา : ใช่ค่ะ แป๋ง : ตอนนั้นคือเรากับน้องแพรไม่ได้ตกลงกันว่าจะให้
ในมหา’ลัยจะมีวงประจำ�ของแต่ละชั้นปี ก็คุยๆ ว่า ในรุ่นเราไม่มีวงดนตรี อยากมีวงบ้าง อยากสร้างวง ในจินตนาการ ก็ลองเล่นกันเรื่อยๆ
เล่นไปตลอด ก็ตีไปเรื่อยๆ และน้องแพรเองก็ยังเรียนอยู่
PIE : ตอนแรกมีใครบ้าง แป๋ง : ก็มีแป๋ง มีปุ๋ย แล้วก็มีเพื่อนอีกคนชื่อวี ตอนนั้น
PIE : จากที่อ่านๆ มา บอกว่าชื่อวงแปลว่าเขี้ยวเหลือง เรื่องมันเป็นยังไง พิม : คือทุกคนเวลายิ้มแล้วฟันตรงที่เป็นเขี้ยวจะเหลือง
พิมเขาก็อยู่ด้วย ก็สลับกันมาเล่น ไม่ตายตัว ส่วนมาก เราลองสังเกตดูตัวเอง ก็เป็นเพื่อนๆ ในกลุ่ม แพรวา : จริงๆ มันก็ไม่มีเหตุผลน่ะค่ะ แป๋ง : ตอนนั้นมันเป็นชื่อวงที่ไม่ได้จะถาวรด้วยซ้ำ� PIE : แต่ละคนเข้ามากันตอนไหนบ้าง แป๋ง : พิมนี่ ก็คือจริงๆ เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว เล่น
ด้วยกันตั้งแต่แรก หลังจากนั้นพิมและเพื่อนอีกคน ก็ไปเรียนที่จีน แล้วพี่ชายน้องแพรก็จะให้เราไปเล่น งานของเขา เขามีวงอยู่ เวลาเขาไปเล่นที่ไหนก็ชอบ มาชวน Yellow Fang ไปด้วย ตอนนั้นก็เริ่มมีงาน ที่ต้องซ้อมต้องเล่นแล้ว แต่ไม่มีมือกลอง พี่กุ๋ย (วง Samurai Loud) ก็เลยแนะนำ�ให้มารู้จักกับน้องแพร แล้วก็มาลองเล่นกัน น้องแพรเป็นน้องสาวของพี่กุ๋ย จากนั้นก็เริ่มซ้อมเป็นเรื่องเป็นราวที่เล่นประจำ�ๆ แล้วก็เป็นเพลงคัฟเวอร์ประมาณ 4-5 เพลง
PIE : หลังจากมี Yellow Fang แล้ว ทำ�เพลงขึ้นมา ใครรับหน้าที่ยังไงบ้าง แป๋ง : ตอนแรกยังไม่ได้เขียนเพลง ก็พยายามที่จะมีเพลง
เป็นของตัวเอง เพราะเราเริ่มเล่นเยอะ แต่เล่นแต่เพลง คัฟเวอร์ ก็เลยเร่ิมคิดๆ แต่งๆ เพลงของตัวเองมาบ้าง แล้วก็เข้ามาซ้อมด้วยกัน แป๋งก็จะคิดคอร์ดขึ้นมาก่อน คิดคร่าวๆ แล้วก็ลองซ้อมว่ามันเป็นยังไง แล้วก็ช่วยกัน Arrange
PIE : ชุดแรกนี่คือเพลงอะไร แป๋ง : แผ่นแรกที่เราออกเลยจะมีเพลง Valentinos,
I’m a feeder แล้วก็เก็บผ้า พิม : I’m a feeder คือเพลงชือ่ เลีย้ ง ทีป่ ล่อยออกมา เอามาคัฟเวอร์ เป็นเพลงแรก แพรวา : พวก The Whitest boy alive แป๋ง : ส่วนเพลง หมึก ใหม่ ปิ๊กโก้ นี่เป็นโปรเจ็กต์ของ แป๋ง : Peter Bjorn and John แล้วก็เพลงทีช่ อบจริงๆ smallroom 007 บู้ สเลอ เขาเป็นรุ่นน้องเรา แล้วเขา เป็นคนเลือกเพลงทั้งหมดในอัลบั้มนั้น เขาก็เลยขอ PIE : เข้ามาแรกๆ แพรวาคิดว่าจะอยู่ยาวหรือเปล่า Yellow Fang เพลงนึง แพรวา : ตอนแรกก็มาตีกลองให้เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร แพรวา : ถือว่าเป็นเพลงที่ออกสื่อ แล้วทำ�ให้คนรู้จัก ก็ซ้อมดนตรีกับพี่ๆ มาเรื่อยๆ และตอนนั้นเราไปซ้อม Yellow Fang กันที่อื่น สักพักก็เลยชวนพี่ๆ มาซ้อมที่บ้าน เพราะ แป๋ง : เพราะเหมือนกับอยู่ภายใต้ smallroom ซึ่งเขา ว่ามันสะดวกกว่า จะได้ไม่ต้องไปจ่ายตังค์ ก็โปรโมตงานเขา อะไรแบบนี้ PIE : cover เพลงอะไร แป๋ง : เราเล่นเพลงแบบหลายวงมาก ชอบวงไหนก็
064
065
066
PIE : ก่อนหน้านั้นก็ทำ�เองทั้งหมดเลย ไม่มีค่าย แป๋ง : ก็มีพี่เท็ดดี้ (Flure) ช่วยอัด ช่วยโปรดิวซ์ ปัจจุบัน
ก็ยังทำ�ด้วยกันอยู่ แล้วก็มีพี่ต้าร์ วงพาราด็อกซ์ เป็นคน Arrange แพรวา : แล้วก็มีพี่โทนี่ ผี ทำ�มาสเตอร์ PIE : Unreal ล่ะครับ เริ่มมาจากอะไร แป๋ง : จริงๆ เราเล่นเพลงนี้มานานแล้ว น่าจะเกือบๆ
2 ปี คือเพลงที่ทุกคนฟังๆ กันอยู่ เป็นเพลงที่เราใช้ใน การทัวร์ เวลาไปเล่นที่โน่นที่นี่ เราจะลิสต์เพลงประมาณนี้ 7-8 เพลง ที่อาจจะไม่มีเป็น record ออกมา เราก็เล่น กันไปเรื่อยๆ และปรับเปลี่ยนพัฒนาเพลงที่เราเล่นกันมา แล้วพอวงเราได้ไปญี่ปุ่น เราก็อยากมีแผ่นไปขายที่นั่นด้วย ในระหว่างที่เราไปน่าจะมีอะไรที่ทิ้งไว้ให้คนที่สนใจ คิดว่า เพลงนี้เป็นเพลงที่น่าจะเหมาะที่สุด ก็เลยเอามาทำ� PIE : ไปเล่นงาน Summer Sonic ที่ญี่ปุ่นได้ยังไง แป๋ง : จิโร่ เอ็นโด เป็นเพื่อนของเรา ค่อนข้างสนิทกัน
และเขาก็ชอบวงเรา เขาก็รู้สึกว่าอยากช่วย แล้วจิโร่ก็มี คอนเน็กชั่นกับซัมเมอร์ โซนิก โปรดิวเซอร์ของอีเว้นต์นี้ เขาก็เลยขอโพรไฟล์เราไป แพรวา : ไปเล่นเวทีของเอเชีย แป๋ง : เพราะว่าอีเว้นต์นี้เขาจะเป็นวงฝรั่งหมดเลย แพรวา : เวทีเอเชียที่มีไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไทย เราก็ไม่รู้ว่าแต่ละวงดังขนาดไหน แต่ว่าจริงๆ ที่ พี่จิโร่หาไว้จะมีอีกวงหนึ่งคือ Desktop Error แต่วงเขา ติดธุระ ไม่ได้ไป PIE : คนดูที่ญี่ปุ่นต่างจากบ้านเรามั้ย แป๋ง : ก็ค่อนข้างต่างนะ แต่ถ้าเป็นคนที่มาดูวงเราต่าง
แน่นอน เพราะคนดูไม่รู้จักเราเลย ถ้าพูดถึงทั้งหมดของ เฟสติวัล คนก็มากันเยอะมาก แต่ที่สำ�คัญที่สุดของการ ดูคอนเสิร์ตคือเราอยู่กับใคร คนดูรอบๆ เราได้บรรยากาศ ของคนที่ตั้งใจจะไปดูคอนเสิร์ต ไปดูวงที่เขาชอบ
PIE : คือเขาตั้งใจโฟกัสกับเรา แป๋ง : กับ Yellow Fang ไม่รู้ แต่คนอื่นก็โฟกัส แพรวา : มีคนพยายามร้องตาม อะไรอย่างนี้ แป๋ง : เราไปเล่นที่อื่นวันก่อนที่จะไป Summer Sonic
1 วัน เราก็เหมือนไปแนะนำ�ตัวมาได้ระดับนึง ที่บังเอิญ คนที่ไปดูเราที่นั่นก็ตามไปดู บางคนเขาอาจจะไปงานนี้ อยู่แล้วแต่ก็แวะมาดูที่ stage นี้ ตอนแรกก็คิดว่าจะ เหงาเหมือนกัน เพราะไม่มีใครรู้จักเราเลย แต่ก็ได้ ฟีดแบ็กที่ดีมาก PIE : เล่นกันแค่ 3 ชิ้น ยากมั้ย แป๋ง : แรกๆ ก็แอบยากเหมือนกัน พิม : แต่ก่อนก็มีมือกีตาร์อีกคนหนึ่งที่เริ่มมาด้วยกัน แป๋ง : เขาก็เข้าๆ ออกๆ ไปเมืองนอกบ้าง และเหมือน
เราเล่นแบบนี้ไปแล้วมันก็ชิน มือกีตาร์คนนี้เคยกลับมาเล่น แต่พอเล่นไปแล้วมันเหมือนไม่ค่อยชิน ซาวนด์ที่เราเล่น อาจจะไม่เพอร์เฟ็กต์ แต่ถ้ามีกีตาร์อีกตัวอาจจะดีก็ได้นะ ให้มันแน่นกว่านี้ วง 3 คนมันยากตรงนี้ เพราะมือกีตาร์ มันต้องเป๊ะมาก แพรวา : แบบว่ามีพี่แป๋งอีกคนหนึ่ง PIE : เพลง เก็บผ้า ที่ไปประกอบหนังเรื่อง 36 พิม : นางเอกหนังเป็นเพื่อนกับเรา แป๋ง : ใช่ๆ แล้วเต๋อ (นวพล ธำ�รงรัตนฤทธิ์) ผู้กำ�กับฯ
เขาก็ชอบเพลงนี้ คิดว่ามันเข้ากับเรื่อง แล้วเขาก็เป็น เพื่อนของเพื่อนที่อยู่จุฬาฯ เหมือนกัน ก็เลยขอเอาไปใช้ แพรวา : เต๋อเขาชอบวงเรามานานแล้ว
PIE : คิดยังไงที่คนเริ่มรู้จักเรามากขึ้น แป๋ง : ก็ดีใจที่คนได้ฟังเพลงเรามากขึ้น เหมือนเราเข้าถึง
คนมากขึ้น แพรวา : ซึ่งมันก็ใช้เวลา คือคนที่ไม่มีค่ายเลยมาตลอด แบบเรา ก็ต้องใช้เวลา ใช้การบอกต่อบ้าง แป๋ง : เพลงมันผ่านไป ใช้ในหนังก็ได้คนอีกกลุ่มหนึ่ง 067
ที่อาจจะไม่เคยฟังเพลงของเราเพิ่มขึ้นมาอีก คือมันก็ช้า กว่าวงอื่น แต่ก็ดีที่คนยังฟัง มีคนชอบ แพรวา : ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะมารู้จัก เราก็ ดีใจที่คนมาฟังแล้วชอบ รู้จักวงเรา และคนที่ติดตามมา ตั้งแต่แรกก็ยังติดตามอยู่
PIE : นิสัยเหมือนกันไหม 3 คนนี้ แพรวา : ไม่เหมือน ก็ตลกๆ ไปเรื่อยเปื่อย สนุกๆ
จริงจังว่าอะไรยังไง มันเหมือนเราไหลลื่นไปเรื่อยๆ ก็โอเค
มากกว่า แป๋ง : แต่จริงๆ น้องแพรเป็นคนที่กล้าแสดงออกได้ มากกว่าคนอื่น แพรวา : คืออยู่กันเองจะพูดมากที่สุดแล้ว แต่บางทีบน เวที เวลาเล่นสดก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ที่ควรจะพูด ก็นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร แป๋ง : เราก็ไม่ค่อยได้ฝึกเรื่องนี้กันเท่าไหร่ แพรวา : บางทีคนดูเขาก็ยืนรอเหมือนกัน ก็เลยพยายาม จะพูดอะไรบ้าง
PIE : มีปญ ั หาบางไหม แป๋ง : บางเรื่องเราก็จัดการเองไม่ได้ บางทีกับคนที่จะ
PIE : เพราะว่าอีกสองคนไม่พูด แพรก็เลยต้องพูด แป๋ง : แป๋งก็พยายามพูด บางทีก็แบบ เฮ้ย…พอพูดแล้ว
PIE : เคยคิดจะสังกัดค่ายบ้างมั้ย แพรวา : มีค่ายมาชวนเหมือนกัน จะครบทุกค่ายแล้วมั้ง แป๋ง : แต่ก็คุยแบบผ่านๆ มากกว่า เราไม่เคยนั่งคุย
มาจ้างเราก็ไม่สามารถที่จะต่อรองได้ เราไม่มี buffer ท่ีจะคอยต่อรองหรือตกลงราคาชัดเจน แพรวา : ตอนนี้วงจะรับงานอย่างเดียว ไม่เคยไปหางาน เท่าไหร่ เพราะไม่มีทีมงานที่จะคอยหางานหรือออกไป ติดต่อกับทางเฟสติวัลต่างๆ แป๋ง : มันอาจจะไม่ถึงกับต้องมีค่าย แต่ต้องมีคนดูแล คนที่พาเราไปที่อื่น ไม่ใช่ที่เดิมๆ
ไม่เวิร์กว่ะ มันก็เป็นทักษะที่เราจะต้องตั้ง setter ขึ้นมา PIE : แล้วแป๋งเป็นคนยังไง แป๋ง : ก็สนุกสนานค่ะ แต่บนเวทีอาจจะดูแบบขรึมๆ
แสดงไม่ค่อยเก่ง พิม : แป๋งเขาจะมี 2 ภาค อยู่ออฟฟิศจะเอาจริงเอาจัง แพรวา : เป็นหัวหน้าไง PIE : พิมล่ะ พิม : ก็คอ่ นข้างจะเป็นตัวเองนะ แพรวา : เงียบๆ เบาๆ พิม : ดนตรีมันพาไปค่ะ ส่วนใหญ่พิมจะขี้อาย
PIE : แล้วตอนนี้รับงานทางไหน แพรวา : ทางเฟซบุ๊กและโทรศัพท์ ก็จะถามกันว่า
ทุกคนโอเคมั้ย แป๋ง : มีบางงานที่จะให้คนอื่นช่วยคุยบ้าง งานที่มี สปอนเซอร์ เป็นอีเว้นต์ที่ให้คนรู้จักขึ้น
PIE : นอกจากเล่นดนตรี ทำ�อะไรอย่างอืน่ พิม : น้องแพรเป็นเจ้าของกิจการ แพรวา : เป็นเจ้าของ Wibwabwub เป็นแทตทูกากเพชร
PIE : เล่นบนเวทีค่อนข้างสนุก มันๆ เปรี้ยว ตัวจริง เป็นยังไง แพรวา : เราไม่ได้แสดงขนาดนั้นนะ แป๋ง : บางทีอยู่บนเวทีก็ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง 100% แพรวา : เป็นๆ หนูเป็น
ที่เอามาติดบนร่างกาย ตอนนี้รับอีเว้นต์ด้วย ถ้าอยากทำ� ก็โทรมาแล้วจะมีช่างไปทำ�ให้ บางทีก็มาทำ�ที่นี่ ส่วนใหญ่ จะเป็นอีเว้นต์
068
069
พิม : ทำ�จิวเวลรี่ บ้านแฟนสอนทำ�จิวเวลรี่ ทำ�เรซิน่ แป๋ง : ทำ�ให้กบั Topshop Topman พวกดีสเพลย์
พวกวิชว่ ลต่างๆ
PIE : เรียนศิลปะกันมามีผลกับเพลงมั้ย แป๋ง : จริงๆ มันก็เล็กๆ น้อยๆ พิม : การเรียนศิลปะทำ�ให้เราสนใจอะไรเยอะขึน้
หลายๆ อย่าง แป๋ง : รู้สึกว่ามองอะไรที่กว้างขึ้น หาความ แตกต่างได้ ศิลปะมันเป็น individual มันมีอะไร ลึกว่าที่เห็น มันก็ส่งผลถึงเพลง วิธีคิดของเรา PIE : เพลงทีช่ อบ/วงทีช่ อบ แป๋ง : นึกไม่ออก
พิม : เราชอบหลากหลายมาก Pink Floyd, The
Beatles แป๋ง : แป๋งประหลาดนะ เหมือนทุกวันนีจ้ ะฟังเพลง น้อยลงเรือ่ ยๆ วงดนตรีในโลกมันก็มเี ยอะมาก ยิง่ ทุก วันนีไ้ ม่มใี ครคัดให้เราแล้ว เหมือนว่าฟลุกๆ โชคดีกเ็ จอ แพรวา : die antwoord PIE : วงไทยล่ะ สมัยไหนก็ได้ แพรวา : Triumphs Kingdom แป๋ง : ตอนเด็กๆ ชอบ โยคีเพลย์บอย, Death of
a Salesman พิม : ชอบ Death of a Salesman เหมือนกัน PIE : สิง่ ทีข่ าดไม่ได้ในชีวติ ของแต่ละคน
070
แป๋ง : โทรศัพท์มือถือ ปัจจัยที่ห้า...พูดเล่นนะ แพรวา : แฟน (ฮา) แป๋ง : อาหารดีกว่า อาหารที่อร่อย แป๋งเป็นคนชอบกิน
PIE : เมื่อไหร่จะมีอัลบั้มเต็มให้ฟังกัน แป๋ง : จริงๆ จะเสร็จอยู่แล้ว แต่แก้โน่นเปลี่ยนนี่ใหม่
แบบเล็กๆ น้อยๆ แต่ตรงนี้มันสำ�คัญ เพราะว่าเรา มันทำ�ให้เราตั้งหน้าตั้งตารอมื้อต่อไป กินข้าวแล้วอารมณ์ ไม่มี deathline ของตัวเองเท่าไหร่ ก็มีพี่เท็ดดี้เป็น ดีขึ้นมานิดนึง แค่ไปกินข้าวเที่ยงในที่เดิมๆ ก็รู้สึกตื่นเต้น คนดูแลเรื่องการอัดทั้งหมด ตอนนี้ก็เริ่มให้คนโน้น พิม : แป๋งเขาจะทำ�อาหารด้วย คนนี้ไปก็ลองมิกซ์ดู แป๋ง : ชอบทำ� ส่วนใหญ่ถ้ากินอะไรจะต้องทำ�สิ่งนั้นให้เป็น แพรวา : ลองต่างประเทศบ้าง ในประเทศบ้าง แป๋ง : ก็สนุกดี ได้ทดลอง ว่าจะไปได้แค่ไหน PIE : ทำ�อาหารกันได้ทกุ คนมัย้ พิม-แพรวา : ไม่ทำ� แป๋ง : ชอบทำ�อาหารเป็นบางอย่าง คือชอบทดลองทำ�
ไปเรื่อย ถ้าเราชอบกินอันนี้เราจะอยากทำ�ให้ได้ จะได้ทำ� กินเยอะๆ เลย พิม : ของพิมคงเป็นดนตรี มันทำ�ให้ชีวิตดีขึ้น
PIE : แต่เพลงก็มอี ยูค่ รบแล้ว แป๋ง : ตอนนี้ยังไม่ได้เขียนเพลงเพิ่ม ตอนแรกก็คิดว่า
ออกซิงเกิลไปเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าคนคาดหวังอยากได้ เป็นแผ่นหรือเปล่า แต่มีเพลงให้ฟังเรื่อยๆ เดือนสอง เดือนก็จะพยายามให้มีเพลงออกมาให้ฟังตลอด 071
072
RGB CMYK
BKK BANGKOK COLOR LAB
073
BKK LANDMARK ERROR
074
BKK LANDMARK ERROR
075
BKK LANDMARK ERROR
076
BKK LANDMARK ERROR
077
NORMAL STREET COLOR LAB
078
079
TAXI METER BANGKOK COLOR CHART
080
081
BKK COLORFUL FOOD STYLE
082
083
084
085
086
087
COLORS OF BANGKOK
สีเหลือง ได้ดูโฆษณาเกี่ยวกับขวาน ทอง ติดตามาตั้งแต่เด็ก วิน เจ้าของร้านการ์ตูน
สีเทา รถติด ควันพิษเยอะ ต้น พนักงานบริษัท
สีฟ้า (ท้องฟ้า) เพราะว่าสีมันกลางๆ ดี น้ำ� รปภ.
สีดำ� คนไม่ดีมีมากกว่าคนดี หลิว พนักงานบริษัท
สีเทา มลพิษเยอะ คนน่าเบื่อ ก้อย พนักงานบริษัท
สีเทา ควันพิษเยอะ โต๋ ช่างทันตกรรม
สีส้ม ร้อนๆ วุ่นวายหลายอย่าง เมล นักศึกษา
สีแดง ร้อนแรงมากกก ตี๋ พนักงานบริษัท
สีแดง ร้อน ฟ่อน นักศึกษา
สีเทา แออัด มลพิษเยอะ ภรณ์ พนักงานบริษัท
สีชมพู เป็นคนมองโลกในแง่ดี แป้งใหญ่ นักเรียน
สีคราม อยากไห้เป็นสีนี้พราะชอบ ครีม นักเรียน
สีแดง สีเขียวไม่ค่อยเห็น มีแต่รถติด ควัน คนเยอะ น้ำ�หอม นักศึกษา
สีเทา แก่งแย่งชิงดี วุ่นวาย ต้า วิศวกร
สีเทา รู้สึกว่าจิตใจขุ่นมัวง่าย อึมครึม บูม เจ้าหน้าที่กงสุล
088
คิดว่ากรุงเทพฯ เป็นสีอะไร
สีแดง ร้อน รถราก็เยอะ อ้อ ข้าราชการเกษียณ
สีดำ� มลพิษเยอะ ต้นไม้โดนตัด หม่อน นักเรียน
สีเทา ไม่ค่อยสะอาด กอล์ฟ พนักงานบริษัท
สีเขียว สีดำ� รู้สึกว่าเริ่มมีต้นไม้เยอะขึ้น มืดมน เวลาเห็นคนแก่ มิว นักศึกษา คนพิการ ตามสะพานลอย นัน นักศึกษา
สีแดง ไฟแดงเยอะ รถติด กานต์ พนักงานบริษัท
สีฟ้า เป็นสีที่สดใส ฝ้าย พนักงานบริษัท
สีดำ� ดูมืดมน อั้ม พนักงานร้านการ์ตูน
สีเขียว อยากให้มีต้นไม้เยอะกว่านี้ ไม่มีสวนสาธารณะ บอย พนักงานบริษัท
สีเทา ควัน อึนๆ มึนๆ วิทย์ รับราชการทหาร
สีดำ� อากาศไม่ค่อยบริสุทธิ์ รถติดด้วย นิว นักเรียน
สีเทา มันมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี รวมกัน นิว ผู้ช่วย ผู้ตรวจสอบบัญชี
สีเทา หม่นๆ เข็ม สาวยาคูลท์
สีขาว แป้งเล็ก นักเรียน
หลากสี แต่ละที่ก็มีสีไม่เหมือนกัน มีความหลากหลาย แม็ก ขายกาแฟโบราณ
089
090
เมืองที่ฉันอยู่ มีสีสันมากมาย สีเหล่านั้นผ่านเข้ามาในดวงตาของฉัน วันละนิด วันละหน่อย และค่อยๆ กลายร่าง เป็นไลฟ์สไตล์น้อยๆ ที่ฉันเพิ่งสังเกตเห็น
091
PIE INSPIRATION
LET’S TALK ABOUT คนเล่าเรื่อง
พี่ซัน-มาโนช พุฒตาล
ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พูดคุยกับสุดยอดนักเล่าเรื่องอย่าง พี่ซัน-มาโนช พุฒตาล ย้อนกลับไปในวัยละอ่อนจนถึงวัยรุ่นตอนปลายอย่างทุกวันนี้ ผมก็ได้เห็น หน้าและฟังเสียงของพี่เขามากมายหลายสื่อ ทั้งหน้าทีวี หน้าปัดวิทยุ หน้าหนังสือ และล่าสุดทางหน้าเฟซบุ๊ก ที่ได้ข่าวน่ายินดีว่านิตยสารบันเทิงคดีจะกลับมาบน แผงหนังสืออีกครั้ง จึงถือโอกาสงามๆ นี้พูดคุยกับพี่เขาสักหน่อย
092
PIE : อยากให้พี่ซันเล่าถึงการที่กลับมาทำ� นิตยสารบันเทิงคดีให้ฟังหน่อยครับ พี่ซัน : คือเวลาผมไปไหนมาไหนเจอแฟนๆ
พอผมทำ�ในคู่สร้างคู่สมปั๊บ สมัยทำ�บันเทิงคดีเนี่ย ไปไหนมาไหนจะมีเฉพาะเด็กวัยรุ่นเท่านั้นที่พอจะจำ�ได้ เข้ามาทักทายบ้าง แต่พอทำ�คู่สร้างคู่สม รู้สึกตลาด บันเทิงคดี เขาก็มักจะถามว่า เมื่อไหร่จะทำ�หนังสือ เขาใหญ่มากเลย ไปโรงพยาบาล พยาบาลก็ทัก เข้า อีกครับ คำ�ถามที่ถามมาเนี่ย ผมตอบเลยว่าทำ� ตลาดสดแม่ค้าเขียงเนื้อก็ทักว่า โอ้ พี่วันนั้นไปฉี่ที่ปากีฯ บันเทิงคดีแบบเดิมไม่ได้ เพราะเรามีประสบการณ์ มาเหรอ อะไรอย่างนี้ เราก็เริ่มเห็นว่าถ้าทำ�หนังสือสไตล์ กับมันมาแล้วตั้งเกือบสิบปี ผมทำ�เมื่อปี 2532-2539 แบบของพี่ดำ�รงค์เนี่ย สไตล์มันกว้าง โอกาสกว้าง ปัญหาข้อหนึ่งคือ ขายยาก เพราะว่าหนังสือมัน สมัยผมทำ�บันเทิงคดียุคแรก ผมเรียกตัวเองว่า เฉพาะทาง แล้วก็แฟนเพลงก็เป็นพวกวัยรุ่นด้วย เป็นนักเพลงก็แล้วกัน ฟังเพลงหามรุ่งหามค่ำ� พูดคุย สอง--โฆษณาก็หายาก เขาก็จะไม่ซื้อสิ่งพิมพ์หรือ ค้นคว้า อ่าน ว่าแต่เรื่องเพลง เล่นดนตรีด้วย ก็รู้สึก สื่อที่เล็กๆ ใช่มั้ยครับ ซึ่งทุกอย่างมันยากไปหมดเลย เราเป็นนักเพลง เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วทำ�บันเทิงคดี ทำ� มันเป็นการทำ�เพียงเพราะว่าใจรัก คนทำ�ก็ใจรัก ด้วยความคิดแบบนักเพลง แต่พอมาวันนี้ผมทำ�รายการ คนอ่านก็ใจรัก วิทยุที่ FM 96.5 โดยมีคุณวิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ เป็น ผอ. อย่างโลกเราทุกวันนี้มันเปลี่ยนไป มันเป็นโลก หลายปีแล้วนะ 5-6 ปีแล้ว เขาตั้งชื่อรายการผมว่า ที่คนเข้าถึงข้อมูลประเภทนี้ได้แค่นิ้วกดเท่านั้นเอง คนกรุงเก่าเล่าเรื่อง แล้วรายการก็คือผมเล่าเรื่องทุกอย่าง ข้อมูลแบบที่บันเทิงคดีทำ�ในอดีต อินเตอร์เน็ตไปได้ ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ดอกไม้ยันยานอวกาศ ผม ลึกซึ้งกว่าด้วย และทีนี้ต่อมาจากบันเทิงคดีผมก็ทำ� เล่าทุกอย่างที่ผมพอจะรู้ได้ ทำ�ให้ต่อมาคนชอบมาเรียก หนังสือ กับพี่ชาย พี่ดำ�รงค์ ทำ�คู่สร้างคู่สม แล้วให้ ผมว่าเป็นนักเล่าเรื่อง ผมไปเป็นนักเขียน ผมก็เดินทางไปกับพี่ดำ�รงค์ทั่วโลก กับน้องคนหนึ่งซึ่งเขาทำ�หนังสืออยู่ เขาก็บอกว่า เพื่อทำ�คอลัมน์ พี่ซัน เป็นความจริงที่ว่ามนุษย์ทุกคนมีเรื่องเล่าอยู่ใน ผมทำ�คอลัมน์ฉี่ข้ามโลกในคู่สร้างคู่สม ชื่อคอลัมน์นี้ ตัวเองอยู่แล้ว คุณก็มี น้องก็มี ใครๆ ก็มี แต่อาจจะ มาจากที่ผมมีนิสัยชอบฉี่ข้างทางไง อยู่ในกรุงเทพฯเนี่ย เล่ากันในหมู่เพื่อนฝูงไม่ได้เล่าสู่สาธารณะ เราก็เลยจับ คุณขับรถไปไหนมาไหนจะหาห้องน้ำ�เข้าทรมานมาก ไอเดียนี้มาทำ� สรุปเราเลยจัดทำ�บันเทิงคดีฉบับใหม่ หาที่ฉี่ยาก แต่ถ้าไปต่างจังหวัดเนี่ย เข้าปั๊มผมรู้สึกว่า ขึ้นมา โดยเป็นสารพัดเรื่องเล่าของนักเล่าเรื่อง แต่ว่า มันอับๆ ผมจะชอบถนนที่มีทุ่งนา ก็จะชอบอารมณ์นี้ เรื่องเล่าของผมมันก็ยังพาดพิงถึงเรื่องดนตรีอยู่ เพราะ เวลาเดินทางไปต่างประเทศถ้ามีจังหวะผมชอบถามว่า ยังรู้สึกว่า...โดยจิตวิญญาณก็ได้ เพราะว่าผมยังเป็น ฉี่ได้มั้ย บางประเทศไม่ได้นะ อย่างประเทศพัฒนา นักเพลงอยู่ดี ก็ยังเล่นดนตรี รวมทั้งการเล่าเรื่อง แล้วก็จะมีกฎหมาย แต่บางประเทศอย่างเนปาล หรือ เดี๋ยวนี้ผมก็เล่าเรื่องผ่านการใช้กีตาร์ด้วย เช่น อะไรซึ่งคล้ายๆ ประเทศเรา อย่างปากีสถาน ผมจะ พูดถึงอยุธยาผมก็จะเล่าเรื่องอยุธยาด้วยการพูดด้วยเพลง รู้สึกโอ้โฮ ฉี่บนขุนเขา เพราะฉี่แล้วข้างหน้ามองเห็น แล้วบันเทิงคดีฉบับที่กำ�ลังเริ่มทำ�อยู่ ซึ่งจะออกฉบับแรก ภูเขาหิมาลัย คุณคิดดูมันอลังการแค่ไหน เดือนพฤษภาคมเนี่ย ก็จะเป็นการเรื่องเล่า เป็นหนังสือ ผมก็เลยชอบคำ�ว่าฉี่ ฉี่ข้างทาง แต่พอผมเขียน รวบรวมเรื่องเล่า เล่าเรื่องที่สนุกสนานและมีสาระ มีแรง คอลัมน์ มันเป็นคอลัมน์เดินทางก็เลยเป็นฉี่ข้ามโลก บันดาลใจ ผมว่าก็น่าจะเข้าถึงคนอ่านได้ 093
PIE : กลับมาทำ�หนังสืออีกที จากที่หายไปนาน ชีวิตประจำ�วันเปลี่ยนไหมครับ พี่ซัน : ชีวิตผมก็เปลี่ยนไปตามหน้าที่การงานแต่ละ
ช่วงนะ อย่างสมมติตอนที่เราเป็นโสดเราก็ใช่ชีวิตแบบ โสด พอเรามีครอบครัวชีวิตเราก็เป็นแบบครอบครัว ผม ชอบเล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอน แล้วลูกๆ เขาก็สนุกกับ การฟัง บางทีเราก็ได้ฝึกฝน เพราะลูกก็จะมีข้อแม้เยอะ ว่า นิทานที่พ่อเล่าต้องไม่เศร้า พระเอกต้องชนะตลอด นางเอกต้องแฮปปี้ตลอด อ้อ ชอบแบบนี้เราก็จะพยายาม แทรกคติพจน์คติธรรมอะไร เราก็กลายเป็นคนเล่าเรื่อง
PIE : พี่ซันไม่ได้ซีเรียส แบบทำ�หนังสือเดี๋ยวจะ ได้เที่ยวน้อยลง พี่ซัน : กลายเป็นว่าเพราะงานที่ทำ�มันผูกกับการเดินทาง
PIE : แต่จริงๆ มันก็เศร้านะครับ พี่ซัน : ผมคิดว่าไอเดียทำ�บันเทิงคดีคราวนี้ ผมว่า
รัดกุมดีนะ เราก็ยังเล่าเรื่อง Pink Floyd ได้อยู่ดีถ้า อยากเล่าใช่มั้ยครับ แต่คงไม่ใช่จะเล่าว่าประกอบด้วย ใคร เจอกันยังไง ไม่ควรจะเป็นแบบนี้ แต่มันจะน่าเป็น เรื่องว่า เอ๊ะทำ�ไม ซิด แบร์เร็ท ถึงทิ้งวง Pink Floyd ไปในขณะที่ตัวเองมีชื่อเสียงสูงสุด เป็นเพราะใช้ยาเยอะ เหรอ แล้วทำ�ไมตอนหลังวงเขารุ่งมาก และซิด แบร์เร็ท ใช้ชีวิตอยู่ยังไง และซิด แบร์เร็ท ตายยังไง มีเรื่องเล่า อะไร แล้วมันก็ยังเป็น Pink Floyd อยู่ดี แต่ถ้าจะเล่าเรื่องการทำ�อัลบั้ม Dark side of the moon ว่ามันเคยอัดเสียงนาฬิกาในเพลง Time ที่ร้าน ขายนาฬิกาที่ไหน ผมว่าอันนี้จะสนุก คุณเคยฟังเพลง Time ใช่มั้ย มีเสียงนาฬิกากริ๊งงงง แต่มันก็มีเรื่องเล่า ว่า อลัน พาร์สันส์ คนบันทึกเสียง ทำ�งานแล้วเดินไป เดินมาในเมืองแล้วไปเจอร้านนาฬิการ้านหนึ่ง พอเวลา เดินผ่านเสียงนาฬิกาแขวนมันดังแล้วมันโดนใจเขามาก อะไรอย่างเนี้ย อย่างหนึ่งมันอยากให้เป็นเรื่องที่คุณจะได้ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่พิเศษ มันไม่ใช่จะไปหาที่ไหนก็ได้
อยู่แล้ว อย่างฉบับแรกเนี่ยสนใจเรื่องของวงดนตรีวงหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนสมาชิก อย่างบีตเทิลส์เคยเปลี่ยนมือกลองครั้ง เดียวเอง จากพีทเบสต์มาเป็นริงโก้, เลด เซฟลิน เลิกวง เพราะว่ามือกลองตาย พอมารวมตัวใหม่ก็เอาลูกชายมา เป็นมือกลอง เปลี่ยนสมาชิกคนเดียวเอง อีเกิลเปลี่ยนมือ เบสสองครั้ง มือกีตาร์เปลี่ยนครั้งเดียว แต่วงดนตรีวงนี้ เปลี่ยนนักดนตรีตั้ง 50 คน PIE : เรื่องที่เล่าๆ พี่ซันเอามาจากไหนครับ พี่ซัน : ก็เสาะหา แล้วเราก็ไปไหนมาไหนเยอะใช่มั้ย PIE : วงอะไรครับ อย่างผมเดินทางไปฮ่องกงไปกับกรมการกงสุล เขาพา พี่ซัน : ชื่อวง HIV BAND เป็นวงของวัดพระบาทน้ำ�พุ ผมไปเขียนข่าวลงในคู่สร้างคู่สม เรื่องการดูแลคนงาน ที่เปลี่ยนเยอะเพราะว่านักดนตรีเป็นเอดส์ทั้งวง อาทิตย์ที่ ไทยในฮ่องกง ผมได้นั่งคุยกับหัวหน้าเขา คือรองอธิบดี แล้วมือกีตาร์เล่นๆ อยู่ มาอีกอาทิตย์เปลี่ยนคน ถามเขา เขาก็เล่าให้ฟังว่า คุณมาโนชรู้มั้ย ตอนเปลี่ยนแปลง ว่ามือกีตาร์ทำ�ไมเปลี่ยนล่ะ มันตายไปแล้วพี่ ผมก็เดินทาง สงครามที่ลิเบีย รัฐบาลเราต้องเช่าเรือ เสียค่าเช่าวันละ ไปลพบุรี เข้าไปในวัดซึ่งดูแลคนเป็นโรคเอดส์ มีคนหนึ่ง 12 ล้านบาท จากอิตาลี ไปรับคนงานไทยที่ลิเบียทาง เขาเป็นแฟนบันเทิงคดีเก่า อายุเยอะแล้ว น่าจะสี่สิบได้ ทะเล เพื่อให้หนีออกมาจากสงคราม คนงานไทยพวกนี้ เขาวิ่งมากอดผมใหญ่เลย แล้วก็ตะโกนบอกเพื่อน โชคดี มอมแมมมาเลยนะ แต่พอมาถึงที่พักได้ทำ�ความสะอาด นะเนี่ยที่เป็นเอดส์ ถ้าไม่เป็นเอดส์ไม่ได้เจอพี่หรอก คุณ หน่อย โอ้โฮ ไม่รู้ไปหาเหล้าที่ไหนมากินกัน ตั้งวงไฮโลอีก คิดดูสินี่มันเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าเอามาเล่ามันจะขำ�ก่อน มันเป็นเรื่องจริงนะ เพิ่งหนีสงครามมา คนงานไทยนี่ ตอนแรก สุดยอดเลย 094
095
096
ปกครองแบบเผด็จการ พอจบฉากทะเลทรายก็จะเป็น ฉากเมือง ฉากเมืองก็เป็นทอล์กโชว์ เหมือนคราวที่แล้ว จัดที่สกาลา มีผมคนเดียว แต่ครั้งนี้จะมีผม คุณศศิน อันนั้นใช้ชื่องานว่า “บันเทิงคดีเดอะมูฟวี่ ฝนโปรยไพร เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบฯ แกพูดมันมาก ตอน น้ำ�ท่วมคุณจะเห็นเขาบ่อยๆ แล้วก็เชิญ ม.ล.ปริญญากร ใจกลางเมือง” ก็เลยคล้ายๆ เป็นโครงการนำ�ร่องว่า ต่อไปนี้บันเทิงคดีจะมีนิตยสาร แล้วจะมีอีเว้นต์ปีละครั้ง วรวรรณ เพราะแกตามถ่ายรูปเสือโคร่งอยู่หลายปีแล้ว ในห้วยขาแข้ง แล้วก็ ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ซิ้มเจริญ เป็น ครั้งที่สองนี้ก็จะชื่อโครงการ “บันเทิงคดีเขียนเสือ” พระเอกของงานคือ สืบ นาคะเสถียร เป็นนักอนุรักษ์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเสือโคร่งในภาคพื้นเอเชีย แต่ไม่ได้ ผมก็มีแนวคิดว่าคนเราจำ�นวนไม่น้อยได้ข้อมูลผิดพลาด คุยวิชาการ จะเป็นทอล์กโชว์เรื่องของการอนุรักษ์ป่า อนุรักษ์เสือ แล้วพอจบฉากเมืองก็จะเป็นหนัง ชื่อเรื่อง เกี่ยวกับนักอนุรักษ์ มันเป็นเรื่องการทำ�สงครามกับสื่อ คืนสุดท้าย จะเป็นเรื่องของคุณสืบ นาคะเสถียร ที่ ข่าวสารกัน ฝ่ายที่ต้องการจะใช้ประโยชน์จากป่าก็จะ กำ�กับฯโดยคุณเป็นเอก รัตนเรือง โจมตีว่านักอนุรักษ์เป็นพวกขัดขวางความเจริญ แต่ว่าตอนหนังจบเนี่ยจะไม่จบในจอ จะมาจบบน โครงการนี้จะเป็นโครงการที่ทำ�ความเข้าใจว่านัก อนุรักษ์แท้จริงคืออะไร และที่มาของชื่อโครงการเขียน เวที เพราะเราจะสร้างบ้านพักของพี่สืบที่แกยิงตัวตาย เสือมันมาจากแนวคิดว่า เสือโคร่งคือ นักล่าที่อยู่บนชั้น พอจบจากนี้ปั๊บเราก็จะเล่นเพลงอาบน้ำ�ศพที่อยู่ในอัลบั้ม บนสุดของระบบนิเวศในป่า ถ้าที่ไหนเสือโคร่งดำ�รงชีวิต ในทรรศนะของข้าพเจ้า คุณอาจจะไม่เคยฟังเป็นเพลง อยู่ได้แสดงว่าที่นั่นสภาพป่าสามารถรองรับชีวิตได้ ผมก็ บรรเลง ผมจะไปอะเร้นจ์ใหม่ จะเล่นกับวงปี่พาทย์ เลยเห็นว่าเรื่องเสือโคร่งเป็นเรื่องสำ�คัญและฟังแข็งแรงดี กรมศิลป์ เพราะผมไปทำ�งานต่างประเทศกับกรมศิลป์ โปรเจ็กต์ครั้งนี้ขนาดของงานใหญ่ขึ้นเยอะ จะแบ่งออก บ่อย ผมเจอคนที่เล่นเป็นหนุมานคนหนึ่ง มันเหลือเชื่อ เป็น 4 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกเขาเรียก “ฉากเขื่อน” ผม เวลาเขาแสดงออกมันรู้สึกได้ ทั้งๆ ที่เขาใส่หัวโขนอยู่ ก็จะสร้างเขื่อนขึ้นมา กะว่าให้ใกล้เคียงเขื่อนจริงเลย อัน มันมีท่าที เวลาเขากระโดดมันเหมือนมีกำ�ลังภายในลอย นี้เป็นแค่จินตนาการนะ ทำ�ได้แค่ไหนไม่รู้ และบริเวณ ผมก็เลยเอาหนุมานมาเป็นตัวเอกในคอนเสิร์ตนี้ด้วย เขื่อนก็จะสร้างสภาพป่า แล้วก็นิทรรศการเกี่ยวกับเขื่อน เป็นเหมือนผู้พิทักษ์ เหมือนลิงผู้พิทักษ์ป่า เขาเสียใจ เกี่ยวกับป่าบริเวณห้อง แล้วพอผู้ชมเข้าไปในโรงแสดงก็ มากที่คุณสืบตาย เหมือนตอนที่หนุมานไม่สามารถ จะเป็นฉากทะเลทราย ผมจะเล่นคอนเสิร์ตในเพลงไกล ป้องกันพระลักษณ์ได้ตอนโดนหอกโมกขศักดิ์ จากอัลบั้มไตรภาค เอาทีมนักดนตรีทีมเดิมเกือบหมดเลย คนเป่าแซ็กเป็นพี่ต๋อง ก็จะพยายามให้เป็นพี่ต๋องให้ได้ PIE : เรื่องของโชว์ทั้งหมดพี่ซันเป็นคนวางเอง แต่นักร้องที่เป็นเสียงผู้หญิงในเพลงเปลี่ยน คราวนี้จะใช้ พี่ซัน : ผมเป็นคนชอบคิดไง แต่ทีนี้ปัญหาอีกอันหนึ่ง คือใช้งบประมาณเยอะมาก ตอนนี้ผู้ที่เข้ามาร่วมมือก็มี คุณสุนารี ราชสีมา เพราะอยากให้มันติดดิน ฉากทะเลทรายเล่นเพลงชื่อเพลงไกล เพราะมันว่า วอร์เนอร์มิวสิค มีมูลนิธิสืบ มีบริษัทผมเอง แล้วกำ�ลัง หาสปอนเซอร์คือ ปตท. ยังไม่รู้เขาจะเอาหรือเปล่า ถ้า ด้วยเรื่องของการตามหาน้ำ�ศักดิ์สิทธิ์เอามาต่ออายุน้ำ� ซึ่งมันเน่าเสียจากน้ำ�มือของหมอผี หมอผีก็หมายถึงการ ปตท. ให้ ทุกอย่างคงจะได้เห็น PIE : แล้วงานอย่างบันเทิงคดีปี 37 ยังจะมี อีกไหมครับ พี่ซัน : ผมก็เลยทำ�ปีละ 1 ครั้ง มันเริ่มต้นไปปีที่แล้ว
097
PIE : ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน งานจะเริ่ม เมื่อไหร่ครับ พี่ซัน : ปลายพฤศจิกายน อันนี้ก็จะเป็นอีเว้นต์
ประจำ�ปี ปีละครั้ง ผมก็จะมีหัวเรื่องเปลี่ยนไปเรื่อย ครั้งแรกกนกพงศ์ ครั้งที่ 2 งานอนุรักษ์ของพี่สืบ ผมเตรียมครั้งที่ 3 เอาไว้ ผมจะทำ�เรื่องเกี่ยวกับท่าน พุทธทาส แล้วผมก็จะเอาเพลงโลกสมมติมาเล่าเรื่อง อย่างของพี่สืบเนี่ยผมแต่งเพลงใหม่ขึ้นมาอยู่เพลงหนึ่ง ชื่อผู้ชายในแสงแดด เหมือนตอนกนกพงศ์ก็มีเพลง คนฟังเสียงฝนเล่าเรื่องกนกพงศ์ ผู้ชายในแสงแดด เล่าเรื่องพี่สืบ โลกสมมุติ ไม่ได้เล่าเรื่องท่านพุทธทาส แต่จะเล่าสะท้อนความคิดที่เกี่ยวข้อง พาดพิงเกี่ยวกับ พุทธศาสนา เกี่ยวกับท่านพุทธทาส PIE : พี่ซันก็เล่าเรื่องมาหลายแบบ ทั้งหนังสือ หนัง เพลง ส่วนตัวพี่ชอบการเล่าแบบไหนครับ พี่ซัน : ถ้าชอบจะชอบเล่าด้วยปากนี่แหละ ตั้งวง
ที่ผมมาจากครอบครัวที่เป็นชุมชนที่เหนียวแน่นมาก และชุมชนนี้เขาเรียกว่าชุมชนมุสลิมแขกแพ แขกแพ คือแขกที่อาศัยอยู่ในน้ำ� ทำ�แพอยู่แล้ว บางคนก็อยู่ใน เรือเลย เรือนี่เขาเรียกว่าเรือเครื่องเทศ ขายเครื่องเทศ แล้วพัฒนามาขายชามกระเบื้อง ถ้วยกระเบื้อง เครื่องใช้ ไฟฟ้า ก็คือใช้เรือร่องไปตามแม่น้ำ�เจ้าพระยา แล้วเข้า ไปตามคลองซอกซอย ไปถึงกบินทร์บุรี ถึงกาญจนบุรี คิดดูคนที่เดินทางทางน้ำ�ผ่านชุมชนไปทั่วประเทศ เนี่ยเขาจะมีเรื่องราวเยอะแค่ไหน ไปถึงดงชุมโจรอาจจะ โดนปล้นก็ได้ ต้องเก้าเลี้ยว ชื่อฟังดูคดเคี้ยว ต้องเลี้ยว ตั้งเก้าที อยู่แถวนครสวรรค์ ตรงนี้ชุมเสือ ร่องเรืออยู่ ผีมันมาเข้า เข้าแล้วก็ให้คนทรงมาไล่ ถามว่าผีมันมา จากไหน มันเกาะเข่งปลาทูมา คิดดู ผีเกาะเข่งปลาทู มากับเรือขายปลาทู แล้วมันก็โดดเข้าสิง แล้วผม ได้เรื่องแบบนี้มาจากไหน ชาวมุสลิม พอสิ้นปีจะมีครั้งหนึ่งเขาเรียกเดือน รอมฎอน ถือศีลอดอาหาร เรือต่างๆ จะเลิกเดินทาง 1 เดือน ทุกคนก็มารวมตัวกันที่บ้านผม ทำ�กับข้าว พี่ป้าน้าอาก็มาช่วยกันทำ� เราก็นั่งฟังคนแก่เล่า เรา คอยปัดยุงให้ เดี๋ยวก็ไล่เราไปซื้อกาแฟที่ตลาด มีเรื่อง สารพัดที่เขาเล่าให้ฟัง มีทั้งเรื่องผี เรื่องตลก เรื่องเศร้า ปรัชญา ทุกคนเล่าเรื่องเก่งหมด เรานั่งอยู่บางทีต้อง มองที่ช่องกระดาน เผื่อมีอะไรแยงร่องขึ้นมาหรือเปล่า แล้วเราก็จะได้เทคนิคการเล่ามาจากผู้ใหญ่
กันนั่งคุยกันเลย ผมทำ�แบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วนะ ตอนผมอยู่ ป.5 โรงเรียนผมชื่อประตูชัย สนามบอล เล็กแต่เด็กมันเยอะ พอพักเที่ยงต้องรีบไปจองคิวกัน ระหว่างรอคิวเตะบอลก็ตั้งวงหน้าบ้านอาจารย์ แล้ว ผมก็ไม่รู้หาเรื่องอะไรมาเล่า สักพักเพื่อนก็มาล้อมวง ฟังกัน จนครูใหญ่สังเกตว่า เฮ้ยแปลก ผมเป็นเหมือน ผู้ใหญ่แต่ผมเด็กสุด อยู่ ป.5 คนที่มาฟังผม ป.6 บ้าง ป.7 บ้าง สมัยผมเรียก ป.7 นะ สมัยคุณเรียก ม.1 นั่งล้อมวงฟังกันเต็มเลย จนครูใหญ่เห็น ต่อมาเวลา PIE : พี่ซันมีเรื่องที่ไปเจอมาแล้วคิดว่าเรื่องนี้ โรงเรียนมีงานกิจกรรมอะไร ครูก็จะเอาผมเป็นโฆษก จะไม่เล่า มีไหมครับ ของโรงเรียนตั้งแต่ ป.5 แล้ว พี่ซัน : มันจะมีบางเรื่องที่ไม่ควรเล่า เรื่องที่กระทบ กระเทือนความสัมพันธ์ผู้คน อย่างเช่นผมเคยไปที่เมือง PIE : เล่าอะไรให้เพื่อนฟังครับ เมืองหนึ่งที่ประเทศออสเตรีย ไปกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่ง พี่ซัน : ผมเป็นมุสลิม เพื่อนก็จะเรียกไอ้แขก ไปฟัง เขาเป็นคนดังมีชื่อเสียง แล้วเขาก็มีพฤติกรรมที่แบบ ไอ้แขกเล่านิทานดีกว่า ผมก็เล่าผีสางนางไม้ไปเรื่อย สนุกมาก แต่มันเป็นพฤติกรรมที่เล่าได้เฉพาะในหมู่วง อาจจะเป็นเพราะผมมีเรื่องเยอะตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุ เพื่อนฝูงที่สนิทกันแค่นั้น อะไรอย่างนี้ 098
PIE : สนุกเกินพอดีไป ทำ�หน้าที่ปิดฉากทุกครั้ง พอผมคุยไปถึงจุดหนึ่ง อ้า... พี่ซัน : มันอาจจะเสียความสัมพันธ์ของชีวิตเขากับคนอื่น ป๋าบ๊อบมาแล้ว
แต่ถ้าเอาเรื่องเขามาเล่าได้นี่สร้างหนังสั้นได้เลย เพราะ มันสนุก มันมีอันตราย มันมีลึกลับ มันมี...คือเราคิดได้ อยู่แล้ว ถ้าเล่าไปแล้วคนจะเสียหายเราก็ต้องเล่าเรื่องอื่น เหมือนคนที่ชอบพูดตลก เราพูดตลกคนขำ�น่ะมันดีแต่ ต้องไม่ทำ�ให้อีกคนอาย ต้องไม่ทำ�ให้คนอื่นเสียหน้า เพราะมันเป็นความโมโหร้ายอย่างหนึ่งถึงขั้นฆ่ากันได้ ทำ�ให้อับอายอย่างเนี้ย อย่างเราเล่าไปเราหัวเราะ แต่ คนที่ถูกพาดพิงจากเสียงหัวเราะไม่มีวันลืม PIE : มาเรื่องหนังสือบ้าง พี่ซันมองตลาด นิตยสารรุ่นใหม่ๆ เป็นยังไงบ้าง พี่ซัน : นี่อาจจะเป็นข้อผิดพลาดหรือข้อด้อยของผม
ที่ไม่ไปสำ�รวจอะไรก่อน อยากทำ�ก็จะทำ�เลย มันก็เลย ทำ�ให้ล้มเหลวบ้าง บางครั้งจังหวะมันลงตัวก็ดีไป
PIE : มาเรื่องผลงานเพลงบ้าง ปีนี้จะมีอัลบั้ม ไหมครับ พี่ซัน : มันก็มี แต่ไม่ได้เป็นอัลบั้มแล้วนะครับ อย่าง
งานบันเทิงคดีเขียนเสือผมก็ทำ�เพลง ชื่อเพลงผู้ชายใน แสงแดด เป็นเพลงเล่าเรื่อง เราจินตนาการว่าเราเป็น คุณสืบ เรารู้สึกยังไงกับสภาพของสังคมที่มีผลกระทบกับ เขาในการทำ�งาน มุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์ป่า มันเจ็บใจเนอะ มันคับแค้นใจตรงที่ว่าเราตั้งใจจะอนุรักษ์ป่าเอาไว้ก็เพื่อ ให้พวกคุณนั่นแหละ แต่ทำ�ไมพวกคุณบางคนกลับย้อน มาโจมตี มันเหมือนทำ�คุณบูชาโทษ ผมก็จะทำ�เพลงอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กับอีกอย่างหนึ่ง ผมแต่งเพลงอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ได้พยายามให้มันวิลิสมาหรา อะไร แต่งเพื่อจะเล่าเรื่อง สไตล์เรียบๆ คือใช้กีตาร์โปร่ง ตัวเดียว ไม่รู้เคยฟังรายการคนกรุงเก่าเล่าเรื่องระยะหลังๆ หรือเปล่า ระยะหลังเนี่ยตอนจบทุกครั้งผมจะเปิดบ๊อบ ดีแลน แล้วผมจะพูดตลกว่าป๋าบ๊อบเป็นภารโรงรายการผม
PIE : จากเมื่อก่อนดนตรีของพี่ซันเป็น โปรเกรสซีฟเลย แต่ตอนนี้ทำ�ไมถึงมาชอบ ความเรียบง่าย ไอ้ความไซคีดีลิคตรงนั้นไปไหน พี่ซัน : ไม่ได้ไปไหนหรอกครับ เพียงแต่ว่ามันต้อง
ใช้คนเยอะ มันเหนื่อยมากเลยนะกว่าจะอธิบายจน แต่ละคนเข้าใจว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้นะ เสียงมัน เป็นอย่างนี้ บางทีเราก็มานั่งคิดว่าเอ๊ะ หัวใจของการ ทำ�เพลงคืออะไร โอเคเพลงบรรเลงมันสร้างจินตนาการ ให้เราแบบคิดอะไรตามได้ใช่มั้ย แต่ว่าคนทำ�มันเหนื่อย ที่จะหาสัญลักษณ์ต่างๆ ให้คนคิดตามได้ อย่างเราจะ บอกว่า...อากาศร้อนจังเลย ก็บอกแค่ เนี่ยอากาศร้อน จังเลย ง่ายดี พูดแ_่งไปเลย (หัวเราะ) ผมก็เลยมาคิด ทำ�เพลงที่แบบว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก อยากจะบอกอะไร ก็บอกไปเลย แต่ปรากฏว่าสิ่งเหล่านี้ ยกตัวอย่างที่บ๊อบ ดีแลน ก็ได้ เพลงของบ๊อบ ดีแลน มีลักษณะเป็นกีตาร์โปร่ง ตัวเดียวกับฮาโมนิกาอันหนึ่งแล้วก็เล่าเรื่องไปเลย แต่ โดยพลังของเรื่องเล่าของเขา คุณค่ามันอยู่ที่ว่าจะเล่า เรื่องยังไง มันมาท้าทายผมอยู่แล้ว บ๊อบ ดีแลน พูด ถึงคนค้าอาวุธสงครามในเพลง Masters of War เขา ก็เล่าไปเลย แบบ “รู้นะพวกมึงทำ�ยังไง หลบซ่อนกัน อยู่ยังไง กูเกลียดมึงมาก อยากเห็นมึงตาย ถ้ามึงตาย กูจะไปงานฝังศพมึง ไปยืนที่หน้าหลุมศพมึงเพื่อเห็น มึงตายจริงๆ” อย่างที่พูดถึงชีวิตเขา ความขัดแย้งกับ คนรัก เขาแต่งเนื้อมาว่า “ให้หัวใจเธอแล้ว ยังไม่พอ จะเอาวิญญาณอีก” อย่างเนี้ย เขาคิดคำ�แบบนี้ได้ I give wil my heart but you want my soul ฉันมีหัวใจ ให้เธอยังจะเอาวิญญาณอีก ไม่เอาแล้ว คอยดูแล้วกัน พอไก่โห่กูก็อยู่อีกเมืองแล้ว แปลว่า สักตีสามเนี่ยเมีย ตื่นมาก็ อ้าวแ_่งไปอีกเมืองแล้ว 099
0100 100
เออ...แล้วก็ลงท้ายด้วยประโยคว่า Don’t think twice, It’s all right นี่คือชื่อเพลง อ๋อกูไม่คิดซ้ำ�หรอก ตัดสินใจทีเดียว ไม่ต้อง คิดมาก ทำ�เลย ก็เลยเป็นเหตุที่ทำ�ให้ไม่มาอลังการงานสร้าง แต่จะทำ� เมื่อมีความจำ�เป็น อย่างเช่น พอทำ�คอนเสิร์ตโครงการเขียนเสือแบบนี้ ถ้าผมไปเล่นกีตาร์โปร่งตัวเดียวอย่างเดียวมันก็จะหงอยไป เมื่องานมัน มีบางอย่างอยู่เยอะ ก็ต้องเป็นวงใหญ่ พอเป็นวงใหญ่คราวนี้ก็ต้องเอา เพลงนี้แหละมาเรียบเรียงใหม่ เติมเข้าไป PIE : ตอนงาน Sonic Attack 2012: 90’s-The Best พี่ซันไปเล่น ฟังเพลง “ลำ�ธาร” ทับใจมาก พี่ซัน : ผมยังเล่นอย่างนี้อยู่ ก็คือยังทำ�อยู่ ซ้อมดนตรีกันข้างบนบ้าน
ประมาณอาทิตย์ละครั้ง แต่ตอนนี้มือคีย์บอร์ดผมเขาเป็นข้าราชการ รัฐวิสาหกิจชั้นผู้ใหญ่ และกำ�ลังจะเป็นประมาณผู้ว่าการการไฟฟ้า เขา ก็ยุ่งมากเลย เก่งมากนะ เป็นอดีตมือคีย์บอร์ดของวงคาไลโดสโคป
PIE : แล้วในฐานะดีเจอยู่ในวงการมานาน ตอนนี้วงการเพลง บ้านเราเป็นยังไงบ้าง พี่ซัน : อันนี้ผมตอบไม่ได้ ผมไม่ใช้เวลาไปกับการติดตามเรื่องพวกนี้
นะครับ จริงๆ มันเป็นอย่างนี้นะ คนเราเกิดมาทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงต่อวันเหมือนกันใช่มั้ย ทุกคนก็จะมีความชอบความสนใจในเรื่อง ต่างกัน ผมก็ไม่สามารถที่จะอ่านหนังสือทุกเรื่องได้หมด ผมก็ต้องเลือก มันมีคำ�พูดคำ�พูดหนึ่งเท่ด้วย คือผมเคยไปหัดเรียนเปียโนที่สยามยามาฮ่า นานมากแล้ว ผมเจอคนแก่คนหนึ่งซึ่งแกจะอยู่บนโรงเรียน พอห้องนี้ ว่างแกก็จะไปเล่นห้องนี้ พอมีคนมาแกก็หลบไปเล่นอีกห้องหนึ่ง ผมก็ ไปคุยกับแกดู แกบอกว่า ไอ้หลานเอ้ย ถ้าลุงมีอายุได้จะขออธิษฐานสักห้าร้อยปี ถามว่าทำ�ไมล่ะ แค่ฟังเพลงอย่างเดียว ฟังบลูส์นี่สี่ร้อยปียังไม่หมดเลยนะ อยากจะฟังให้หมดทุกอย่าง งั้นคิดดู เรามีอายุไม่ถึงร้อยปี คำ�พูดของแก มันสะท้อนว่า คนเราไม่สามารถทำ�ทุกอย่างได้หมด เพราะงั้นทุกวันนี้ ผมปลูกผักโขม ปลูกผักกาด ปลูกย่านาง ผมมีความสนใจเรื่องพวกนี้ อยู่ตอนนี้ ฉะนั้นเป็นร้อนในผมก็เดินเด็ด เมื่อเช้าเด็ดใบย่านางกินไป 0101 101
สี่ห้าดอก รดน้ำ�ไปก็เด็ดกินไป แค่นี้ผมก็ใช้เวลากับสิ่ง เหล่านี้วันละ 2 ชั่วโมง ผมก็เลยไม่มีเวลา เพราะมันไม่ อยู่ในความสนใจ แต่ให้วิเคราะห์ว่า เฮ้ยมีตำ�ราเกี่ยวกับ เรื่องสมุนไพร อาจจะขนขวายหาอ่าน แต่ถ้าบอกว่า ตอนนี้วงการเพลงมันกำ�ลังก้าวไปสู่อินเตอร์เน็ตเรดิโอ สามารถฟังเพลงนี้จากอเมริกาได้ ผมก็จะเฉยๆ เหมือน ใครบอกว่ามีไอพอดสามารถเก็บเพลงได้สามหมื่นเพลง สามหมื่นเพลง เพลงละ 5 นาที ตลอดชีวิตก็ฟังไม่หมด PIE : เมื่อก่อนเลือกที่จะสนใจเรื่องนี้มากกว่านี้ พี่ซัน : ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามอายุมั้ง เมื่อก่อนเรา
PIE : เคยดูสัมภาษณ์พี่ซัน พี่บอกว่าด้วย ระบบในบ้านเรา การทำ�อะไรดีๆ ทำ�เพลงดีๆ นิตยสารดีๆ อยู่ยาก พี่มีความคิดยังไงครับ พี่ซัน : อันนั้นคงเป็นการพูดจาแบบที่ว่าไม่ไตร่ตรอง
ให้ร้อยเปอร์เซ็นต์มั้ง มันตัดสินไม่ได้หรอกครับ ไอ้คำ� ว่านิตยสารดีๆ บางทีเราอาจจะมองว่านิตยสารดีๆ หมายถึงอะไร แบบสารคดีใช่มั้ย นิตยสารที่เข้มข้นไป ด้วยบทวิจัยข้อมูลทางวิชาการ แต่มันก็อาจจะพลาด ตรงที่ว่ามันไปไม่ถึงประชาชน คราวนี้ไอ้นิตยสารที่ว่า ไม่ดีแต่มันไปถึงประชาชน แสดงว่ามันต้องมีดีอะไร บางอย่างแน่ๆ มันถึงไปถึงประชาชนได้ เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดตอนนี้ผมว่า มันต้องเกลี่ยแล้วว่าทำ�นิตยสาร ให้มีคุณภาพแบบสารคดี แต่ต้องไปให้ถึงประชาชนได้ อย่างบางกอก อย่างคู่สร้างฯ
หูดี สายตาดี แข็งแกร่ง เพราะเป็นวัยรุ่นเราก็ทำ�อะไร ไปโดยไม่ต้องระมัดระวัง แต่ตอนนี้พอเราอายุ 56 เรา สายตายาว เราไม่ควรดูจอคอมพิวเตอร์ เพราะว่าถ้า บวกลบคูณหารกันแล้วระหว่างจอคอมพิวเตอร์กับดูป่า ดูลำ�ธารผมชอบอย่างหลังมากกว่า มันเซฟตาเราดีกว่า PIE : แล้วคลื่นวิทยุละครับ พี่ซัน : คลื่นวิทยุมันยังแตกต่าง เพราะคลื่นวิทยุมัน PIE : ใน 24 ชั่วโมง ต้องเลือกพยายามทำ� ไม่ใช่แบบต้องขาย คือคนฟังฟังโดยไม่ต้องเสียสตางค์ ในสิ่งที่ตัวเองรักให้มากที่สุด ซื้อใช่มั้ย ฉะนั้นการตัดสินใจมันจะแตกต่างกัน มันจะ พี่ซัน : ใช่ๆ สิ่งรักที่สุดของผมคือครอบครัว มีลูก มีการยัดเยียดได้ง่ายกว่า อย่างนิตยสารนี่คือคุณต้อง เมีย พ่อแม่ญาติพี่น้อง มิตรสหาย อันนั้นจะเป็นสิ่ง พิสูจน์ว่าคุณต้องขายได้ ต้องเสียเงินซื้อใช่มั้ย แต่วิทยุ สำ�คัญสูงสุด สมมติติดธุระงานแล้วมีคนโทรมาบอกที่ บางทีรายการวิทยุที่ดี คนฟังฟังเยอะด้วย แต่มันก็ไม่ อยุธยามีญาติคนหนึ่งตาย ผมก็จะเลิกงาน เพราะคิดว่า สามารถทำ�ให้รายการวิทยุนี้อยู่ได้ เพราะมันดันไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำ�คัญกว่า จริงๆ สำ�คัญกว่าหรือเปล่า มีเรื่องการประมูล ใครมีตังค์มากกว่าก็มีคลื่นได้ ไม่รู้ แต่สำ�หรับตัวผม ผมให้คุณค่ากับมัน สมตติผม มากกว่า มีรถ รถผมถูกขูดขีดผมจะรู้สึกเฉยๆ แต่ถ้าเกิดหลาน คนหนึ่งมันงอนไม่พูดด้วย ผมก็ต้องเอาให้รู้เรื่องให้ได้ PIE : คนฟังเยอะก็อาจจะไม่รอดเหมือนกัน ว่าเป็นอะไร นี่เรื่องใหญ่ แต่บางคนอาจจะคนละแบบ พี่ซัน : ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นได้ รถเป็นรอยหน่อยมันจะแบบจะตาย แต่หลานไม่พูด ด้วยก็ช่างมัน รองลงมาก็เรื่องสุขภาพ คุณเป็นนักฟัง PIE : แล้วมันทำ�ให้ขาดการสร้างอะไรใหม่ เพลง คุณลงทุนกับเครื่องเสียงไป 6 ล้านบาท แต่หู หรือเปล่าครับ คุณดันมีปัญหา เพราะฉะนั้นหูสำ�คัญกว่าเครื่องเสียง พี่ซัน : คงไม่หมดทุกอย่างมั้ง ผมว่ามันก็มีวิธีพิเศษ เพราะฉะนั้นถนอมหูไว้ก่อน พิสดารขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นแหละ หนึ่ง--จากความคิด 0102 102
สร้างสรรค์ของเรา สอง--จากเครื่องไม้เครื่องมือที่มันพัฒนาไป เรื่อย ไอ้พนักงานฝ่ายคิดเครื่องมือ ไม่ว่ากูเกิล แอปเปิ้ล มันก็บ้า คิดไปเรื่อย ก็เหมือนผมอ่านเรื่องตลกจากหนังสือฉบับหนึ่ง คนจีน ที่ตายไปน่ะ ญาติพี่น้องก็เผาไอแพด ไอโฟน 5 ส่งไปให้ วันรุ่งขึ้น วิญญาณก็มาเข้าฝันบอกว่า เฮ้ยไม่ต้องส่งมาแล้วเพราะที่นี่เขาใช้ ไอโฟน 7 แล้ว เพราะสตีฟ จ๊อบส์ มันตาย ตอนนี้เขาใช้ไอโฟน 7 กันเต็มบนสวรรค์กันหมดแล้ว เราจะเห็นว่าไอ้คนคิดเครื่องมือมัน ก็คิดไปเรื่อย งั้นเราก็ต้องคิดหาวิธีที่จะเล่า เพราะแท้ที่จริงมันเป็น 0103 103
0104
ธรรมชาติของคนที่อยากจะสื่อสารกันอยู่แล้ว ชาว มนุษย์หินมนุษย์ถ้ำ�ก็อยากเล่าเรื่อง ประวัติศาสตร์ ก็จารึกไว้ทางฝาผนังถ้ำ�ใช่มั้ย ถ้ำ�ผีหัวโตที่กระบี่ เวลาไปผมไปยืนมองผมรู้สึกทึ่งเลย คนเรานี่เล่า เรื่องกันตั้งแต่หมื่นปีที่แล้ว เล่ากันมาตลอด
แต่ถ้าเกิดพื้นที่ที่ไม่มีปรอทวัด วิธีแบบคนโบราณเขา ก็จะมีเรื่องเล่า อย่างเช่น ลมไม่พัด เขาก็จะบอก ร้อนโว้ย ใบไม้ไม่กระดิกเลย PIE : ชั้นเชิงการเล่าเรื่องจะพัฒนาได้ จากไหนครับ พี่ซัน : มันก็คงมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นทุกวัน เกิด
PIE : มีเรื่องอยากบอกตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว พี่ซัน : อยากบอกว่า เออมีวัวควายมันกำ�ลังวิ่ง
อยู่นะ เวลาจะล่าก็ต้องใช้ธนูยิงนะเว้ย มันเป็นอะไร ทำ�ไมถึงอยากบอกกันก็ไม่รู้ ทำ�ไมเราเก็บอะไรไว้ ในใจไม่ได้ เวลาฝันตื่นมายังบอกคนอื่นเลย เออ เนี่ยเมื่อคืนฉันฝันอย่างนี้นะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะ อะไร มันคงเป็นธรรมชาติของมนุษย์มั้ง เพราะว่า เราต้องการอยู่รวมกับผู้อื่นมั้ง เราไม่ได้เป็นสัตว์โทน สัตว์โทนก็ต้องเรื่องฤดูผสมพันธุ์ เรื่องเต็มเลยคราวนี้ เจอะตัวเมียเล่าฉิบหายเลย PIE : แล้วสิ่งที่อยากได้จากการเล่าเรื่องคือ อะไรครับ พี่ซัน : เราอยากเล่า อยากเห็นปฏิกิริยาคนฟังที่
ฟังเรื่องเล่าของเรา
PIE : แล้วพี่ซันทำ�ยังไงถึงเล่าเรื่องได้เป็น ธรรมชาติ พี่ซัน : ก็ตรงไปตรงมา เหมือนอย่างที่ผมเล่าเรื่อง
จากหมั่นสังเกต ฟัง ดู ก็ต้องไม่เสียเวลาดูอะไร ที่ไม่เป็นประโยชน์ แต่อย่างที่พูดมันก็ไม่ถูก แต่ละ อย่างมันก็คงมีประโยชน์กับบริบทของแต่ละคนนะ อย่างผมบางทีชอบนั่ง สามารถนั่งมองคนเดินไป เดินมาได้นานๆ เลย บางคนรูสึกว่าเสียเวลามาก ไร้สาระ แต่สำ�หรับผมกลับรู้สึกว่าได้จินตนาการ คิดว่า...ไอ้นี่ลงแท็กซี่ มาจากไหน มันกำ�ลังจะไป ไหนวะ จะไปปล้นธนาคารหรือจะไปรับลูกกลับ จากโรงเรียน สองเรื่องเลยนะ ไปรับลูกกลับจาก โรงเรียนนี่เป็นพ่อที่ดีมากเลย หรือไปปล้นธนาคาร มันอยู่ที่มุมมองที่จะนำ�ไปคิดต่อ ผมนั่งมองแก้วน้ำ�ที่ใส่น้ำ�เย็น นั่งมองจนกลาย เป็นไอเป็นหยดๆ มองได้นานๆ จนรู้สึกว่าเวลาผม จะกินน้ำ�หรือกระหายน้ำ�มากๆ ผมจะเอาน้ำ�เย็นมา นั่งมอง แล้วผมจะรู้สึกมันอร่อยขึ้น โอ้โฮ...มีหยดน้ำ� ดูมันไหลเป็นเส้นลงมานะ ชิลล์เพลินมากเลย ไอ้สิ่ง ที่อยู่รอบตัวเนี่ย ทำ�ให้เรามีชีวิตได้ มีความสุขได้ โดยไม่ต้องไปเสียเวลาตีตั๋วไปดูหนังยังได้เลย ใช่มั้ย
เพลง บ๊อบ ดีแลน ในเมื่อชีวิตมันมีความสั้นต้องไม่ เสียเวลาไปกับเรื่องเยิ่นเย้อ อยากบอกว่าอากาศร้อน PIE : นั้นคือประโยชน์ของความ ก็บอกว่ามันร้อน 36 องศาเซลเซียส คราวนี้เป็นวิธี ละเอียดลออ ที่ง่ายเลย เพราะ 36 องศาเซลเซียส ใช้ปรอทวัดได้ พี่ซัน : ครับ ผมว่านะ
0105 105
PIE INSPIRATION
LONG PLAY LONG TIME WITH VINYL LOVER
พี่เสือ-ปราการ ม่วงสุขำ� ร้านต้นฉบับ จากที่โดนทิ้งขว้างไม่เหลียวแลอยู่นาน ตอนนี้ในหมู่ผู้ชื่นชอบเสียงดนตรีของบ้านเรา และต่างประเทศเริ่มกลับมาให้ความสนใจกับเจ้าแผ่นเสียงไวนิลกันมากขึ้น แต่ในระยะ ห่างของการทิ้งนั้นก็มีชายคนหนึ่งที่ยังเฝ้าดูแลเจ้าแผ่นเสียงไวนิลนี่อยู่ไม่เคยห่าง เขาคือเจ้าของร้านแผ่นเสียงและนักซ่อมเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่คนในวงการต่าง ยกนิ้วให้ ทั้งเรื่องฝีมือและน้ำ�ใจ พี่เสือ เจ้าของร้านต้นฉบับ นั่นเองครับ
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
106
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
107
PIE : ร้าน “ต้นฉบับ” เปิดมานานแค่ไหนแล้วครับ พี่เสือ : 27 ปีครับ ตั้งแต่เรียนจบก็รวบรวมสะสมแผ่นเสียง มาเรื่อยๆ สมัยนั้นแผ่นเสียงกำ�ลังจะเลิก เป็นช่วงเวลา ที่เทปกับซีดีเข้ามาแทนที่ คือทุกคนก็จะทอดทิ้งมันไป ขณะที่เราชอบฟังเพลง เรามีความรู้สึกว่าทิ้งได้ยังไง มัน เป็นประวัติศาสตร์ เป็นศิลปวัฒนธรรม ตั้งแต่เริ่มต้นของ การเล่นดนตรี ถ้าละทิ้งไปเหมือนกับเราทิ้งประวัติศาสตร์ ผมก็เลยรวบรวม ขอเขาบ้าง ซื้อถูกบ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่ ในช่วงเวลานั้น เพื่อจะรักษามันไว้มากกว่า คือเสียดาย ไม่ได้ คิดเรื่องธุรกิจเลย ตอนแรกนี่ไม่ได้คิดจะมาเปิดร้านด้วย
สอนเราได้ ก็อยากเรียนเหมือนกัน แต่มันไม่มีที่เรียนด้วย PIE : ช่วงแรกๆ ที่เปิดร้านมีแผ่นเสียงเยอะไหมครับ พี่เสือ : ตอนแรกมีประมาณ 200 แผ่น ตอนนี้ก็เป็นหมื่น มีทุกแนว ตั้งแต่รุ่นคุณแม่ PIE : ทำ�อย่างอื่นด้วยรึเปล่า พี่เสือ : ไม่ได้ทำ�เลยครับ ก็ซ่อมเครื่องเล่นแผ่นเสียง แล้ว ก็แผ่นเสียง ไม่ได้ทำ�อย่างอื่น ถ้าทำ�อย่างอื่นก็ไม่มีเวลาให้ มันต้องทุ่มเท คือถ้าเรารักอะไรแล้วไม่ได้คาดหวังกับสิ่งที่ เรารักมากในทุกเรื่อง
PIE : ตอนแรกร้านเปิดที่นี่เลยหรือเปล่าครับ พี่เสือ : ตอนแรกเปิดหน้าร้าน อาศัยเขาอยู่จนเจ้าของตึก PIE : แล้วช่วงที่คนไม่นิยมแผ่นเสียงล่ะครับ สงสาร เขาเห็นว่าเรารักดนตรีจริงๆ ก็เลยเปิดห้องนีใ้ ห้เรา พี่เสือ : ผมก็ใช้วิธี กลางวันเปิดร้านแผ่นเสียง กลางคืน ได้เช่าหน้าร้าน ก็หิ้วของอะไรที่พอจะขายได้ก็เอาไปขาย ที่ย่านของเก่า เยาวราช เพื่อที่จะเอาเงินมาหล่อเลี้ยงร้านแผ่นเสียงไว้ PIE : แล้วชื่อร้าน “ต้นฉบับ” มาจากไหนครับ คือร้านแผ่นเสียงเปิดแต่ไม่มีลูกค้า มีน้อยมาก หลายๆ พี่เสือ : ก็คิดขึ้นมาเองว่าแผ่นเสียงมันมีความเป็นต้นแบบ ปีเลย ก็เปิดให้รู้ว่ามีร้านแผ่นเสียง แล้วทำ�ในสิ่งที่เราอยาก ความดั้งเดิมของดนตรี การบันทึกเสียง คล้ายอารมณ์ จะทำ�ได้ แต่ความอยู่รอดเรื่องครอบครัวมันก็ต้องหาเงิน เพลงเก่าต้นฉบับเดิม ก็เลยใช้คำ�ว่า “ต้นฉบับ” ให้ได้ มันเป็นธรรมชาติของคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่เป็นความทรงจำ�ที่ดี ผมคิดว่าเป็น PIE : เรื่องการเลือกแผ่นเสียง การซ่อมเครื่องพี่เสือ เรื่องที่ไม่ได้คิดว่าลำ�บาก ผมคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำ�ให้ ไปเรียนมาจากไหนครับ เรามีร้านแผ่นเสียงอยู่ได้ พี่เสือ : ไม่ได้เรียน อย่างเครื่องเล่นแผ่นเสียง พอเรามี แผ่นเสียงขึ้นมาเราก็อยากมีเครื่องเล่น แล้วในช่วงเวลานั้น PIE : ลูกค้าที่มาส่วนใหญ่มาซื้อเพลงแนวไหนครับ ตอนเริ่มต้นผมไม่มีเงิน มันก็ต้องไปซื้อเครื่องที่เขาทิ้งขว้าง พี่เสือ : ลูกค้ามีทุกแนว ตั้งแต่คลาสสิก หมอลำ� เข้ามาใน ที่มันใช้ไม่ได้เอามาซ่อม ด้วยความที่อยากฟังแผ่นที่เรา ร้านแผ่นเสียง คุณค่าของเพลงไม่มีแนวไหนวิเศษ ทุกแนว ได้มา ก็หัดซ่อมจนกลายเป็นอาชีพโดยที่ไม่รู้ตัวเหมือนกัน เท่ากันหมด มันอยู่ที่ความชอบของแต่ละคน เพราะฉะนั้น พอเราซ่อมแล้วเล่นได้ คนก็ เฮ้ย…เครื่องเล่นแผ่นเสียงนี้ ลูกค้าจะมีอยู่ทุกแนวเพลง มันไม่ใช่เรื่องของรสนิยม มัน เล่นได้ ก็มาขอให้ช่วยดูช่วยซ่อม ก็เรียนรู้จากข้อผิดพลาด เป็นเรื่องของความชอบ คือเพลงถ้าบอกว่าฟังคลาสสิก ของเราเองนี่แหละครับ ใช้วิธีนั้นอย่างเดียวมันไม่มีใครมา แล้วรสนิยมสูง แต่มาถึงร้านนี้เพลงทุกเพลงมีคุณค่า PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
108
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
109
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
110
เท่ากันหมด นั่นคือความรู้สึกของคนฟังเพลงจริงๆ อย่างผมเคยคุยกับคมสัน (คมสัน นันทจิต) ผมคุย กับเขาว่า สมัยเด็กๆ ผมชอบฟังเพลง ฟังเสียงลม เสียงใบไม้ คมสันก็บอกผมว่า พี่เสือโชคดีนะที่มาเจอ แผ่นเสียง ไม่งั้นก็บ้าฟังเสียงลมเสียงอะไร (ขำ�) คือคน ฟังเพลงจริงๆ จะเข้าใจ สาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่แผ่นเสียง เริ่มกลับมาเพราะว่ามันมีคุณค่าอยู่ในตัว ตั้งแต่วันแรก ที่ผมเก็บแผ่น ผมบอกคนโน้นคนนี้ว่า อย่าทิ้งนะ คุณ ไม่ต้องให้ผมก็ได้ คุณเก็บไว้ แผ่นของพ่อแม่คุณ เพราะ มันคือประวัติศาสตร์ มันคือศิลปะที่ยอดเยี่ยมมาก ผมพยายามบอกกับทุกคน ใช้เวลาพร่ำ�บอกเกือบ 30 ปี ตั้งแต่ผมเป็นเด็กๆ ตอนนี้ผมดีใจนะที่คนเห็นคุณค่า ในตัวของมันเองโดยที่ไม่ต้องมีใครบอก PIE : พี่เสือพูดถึงการฟังเพลงยุคใหม่หน่อยครับ พี่เสือ : จริงๆ แล้วไม่แปลกหรอกครับ คือผมมีความ รู้สึกว่าถ้าฟังเพลงจริงๆ ใจต้องเปิดกว้าง เราจะไม่บอก ว่ายุคใหม่เป็นดิจิตอล เพลงใหม่ๆ ผมก็ฟัง ผมก็รับได้ งานของแสตมป์นี่ผมก็ชอบ ผมว่ามันเป็นศิลปวัฒนธรรม ในแต่ละยุคแต่ละสมัย เพราะฉะนั้นแล้วจะบอกว่าเพลง แบบดิจิตอล เพลง mp3 ผมก็ฟัง ถ้ามีโอกาสฟังผมก็มี ความสุขกับมันได้ เพราะหัวใจของการฟังเพลงคือการ ปล่อยอารมณ์ไปกับมัน มีความสุขหรือมีความเศร้าไป กับมัน เพราะฉะนั้นมันจะมาในรูปแบบไหนก็ไม่เป็นไร อย่าไปรังเกียจหรืออย่าไปวิจารณ์ว่าเป็น mp3 เป็นไฟล์ ดิจิตอล เปิดในยูทู้บฟังแล้วมันจะไม่ใช่ ผมฟังแล้วผม ไม่เคยมีความรู้สึกว่ามันไม่ดีเลย เพลงหรือดนตรีมันเป็น สิ่งที่สวยงามอยู่แล้วไม่ว่ามันจะออกมาแบบไหน มันไม่ จำ�เป็นต้องเป็นดนตรีก็ได้ ถ้าเกิดว่าคุณดำ�รงชีวิตอยู่ใน โลกปัจจุบันที่เร่งรีบ บางอย่างก็ไม่เป็นไร ประตูรถไฟฟ้า มันจะปิดไม่ทันก็ต้องรีบ ช่วงเวลาไหนที่สามารถช้าได้ก็ มาเปิดแผ่นฟัง ค่อยๆ เปิด ค่อยๆ เล่น บางช่วงเวลา
เราไม่ต้องรีบทุกเวลา เอาเรื่องง่ายๆ อย่างที่เราคุยกันคือ เรื่องเพลง คือมันเป็นเรื่องของอารมณ์ เหมือนความรัก ถ้าคุณมีเวลา มีโอกาสที่จะซึมซับมัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ ไหน ถ้ามันเป็นเรื่องที่มีความสุข เป็นสิ่งที่ไม่ทำ�ร้ายใคร ก็รับมันไว้ เพราะช่วงเวลาที่เราฟังเพลงมันเป็นช่วงเวลาที่ เรามีความสุข ถึงแม้จะอยู่ถนนที่รถติดมันก็ทำ�ให้ใจเราเย็น ขึ้นเยอะ มันไม่ใช่วิธีการ รูปแบบในการฟังเพลง แต่มันอยู่ ที่ตัวเราเองว่าจะหาความสุขจากสิ่งรอบข้าง มองไปนอก หน้าต่างเราเห็นหมาวิ่งไล่หยอกกัน มันก็เป็นความสุขได้ นี่คือภาพรวม แตกแขนงจากการฟังเพลงไปมองสิ่งใหม่ ผมจะไม่บอกว่าผมชอบแนวเพลงอะไร จะบอกว่าผมไม่มี จุดยืนก็ได้ ผมยอม เพราะว่าผมไม่ได้หาจุดยืนจากการ ฟังเพลง ชีวิตมันเหนื่อยอยู่แล้วในบางเรื่อง เราต้องไม่ แบ่งแยก ผมฟังได้หมด PIE : แต่พี่เสือมีจุดยืนมากเลยนะครับที่เปิดร้านนี้มาได้ พี่เสือ : มันเป็นความชอบนะ ถ้าว่าไปเราคุยกันมันก็สนุก แต่ในชีวิตจริงนี่คือกลับไปถึงบ้านก็คิดว่า ไหนจะค่าส่งบ้าน ค่าลูกเรียน ค่ากับข้าว คือมันมีเงื่อนไขเยอะแยะที่จะบีบคั้น เรา เราก็ต้องหาวิธีว่าจะทำ�ยังไงให้อยู่กับมันได้ งานซ่อมที่ สมัยก่อนที่ปีนึงมี 5 เครื่อง เมื่อสมัยเริ่มต้น จะทำ�ยังไงให้ มันอยู่ได้ ก็ใช้วิธีประหยัด รู้จักที่จะใช้จ่าย รู้จักที่จะดูแล ครอบครัวโดยที่ไม่ต้องใช้เงินมากแต่ให้มีความสุขได้ มันก็ เหมือนกับกุศโลบาย ต้องเริ่มจากใจของเราที่มั่นคงในสิ่ง ที่เรารัก PIE : เคยคิดจะเลิกมั้ย พี่เสือ : ไม่เคยเลย เคยนั่งร้องไห้หลังร้าน แบบไม่มีเงิน แต่ไม่เคยคิดจะเลิก คิดว่ายังไงก็จะอยู่กับมัน ผมถึงปิดร้าน ตอนกลางคืนไปขายของที่เยาวราชถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่ง เพื่อ ต้องการเงินตรงนี้มาให้กับลูก ให้กับค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็ ดำ�เนินชีวิตต่อไปได้
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
111
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
112
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
113
PIE : กลับมาเรื่องแผ่นในร้านหน่อยครับ พี่หาแผ่น ยากๆ พวกนี้มาจากไหน พี่เสือ : เริ่มต้นเลยผมใช้วิธีหาเงินมาได้ก็ค่อยๆ ซื้อ แล้วก็เดินทาง พอช่วงเวลาหนึ่งที่เราพอจะมีเงินบ้างก็ใช้ เดินทางไปตามที่ต่างๆ เริ่มต้นก็ไปแถวนนท์ ไปที่ที่มัน ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เพื่อจะกลับมาเปิดร้านได้ แล้วก็ เริ่มไปที่ไกลขึ้น เช่น อุบลฯ เพชรบูรณ์ กลางคืนปิดร้านปุ๊บ ก็นั่งรถทัวร์จากขนส่งฯไปเลย โทรติดต่อกับเจ้าของร้าน สมัยก่อนจะมีแผ่นเสียงขายตามร้านโทรทัศน์ วิทยุ และ เมื่อก่อนมันไม่มีอินเตอร์เน็ตให้เช็กข้อมูลว่าตรงไหนมี เพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาหาจากหนังสือเพลงเก่าๆ ว่า ร้านแถวไหนมีขาย ก็อาศัยข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ ดู แล้วก็สืบเสาะหาเบอร์โทรศัพท์จาก 5 ตัว แล้วก็เช็กว่า จาก 5 ตัวมันเปลี่ยนเป็นอะไร จนได้เบอร์ปัจจุบัน ไม่งั้น มันทำ�อะไรไม่ได้ จนรู้เบอร์ใหม่ก็โทรถาม เขาก็บอกว่า เปลี่ยนเป็นอาบอบนวดแล้วครับ ผมก็ถามว่าแล้วแผ่น ยังมีอยู่มั้ย เขาก็บอกว่ามี ถ้ามีผมไป คือมันก็เปลี่ยนไป ตามยุคสมัย ติดต่อ 10 ครั้ง ก็จะมีได้ผลสัก 2-3 ครั้ง ต้องใช้ความพยายามในการหา จนพอเริ่มที่จะอยู่ตัวบ้าง ก็เริ่มที่จะไปเมืองนอกบ้าง ผมเคยได้แผ่นเสียงของเอลวิส ที่ประเทศจีน ไม่น่าเชื่อนะ ประเทศจีนเมื่อก่อนจะอยู่กัน หลังม่านไม้ไผ่ กีดกันวัฒนธรรมดนตรีทางตะวันตก แต่ ไปได้แผ่นจากร้านขายเทป ผมก็ถามเขาด้วยความยาก ลำ�บากเพราะว่าสื่อสารกันยากมาก ผมเห็นแผ่นเสียงติด อยู่บนฝาบ้าน ใครบอกว่าเมืองจีนไม่มีแผ่นเสียงผมเถียง เพราะว่าผมไปสัมผัสมาเองเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ไปเจอ แผ่นเสียงตั้งโชว์แบบลับๆ ผมก็บอกว่าอยากได้แผ่นเสียง มีมั้ย เขาบอกว่ามี ยินดีขายด้วย เก็บไว้ก็กลัวโดนจับ ตอนขนกลับมาต้องยกมือไหว้ลูกทัวร์ให้เขาช่วยถือหน่อย เพราะเราแบกคนเดียวไม่ได้มันหนักมาก ช่วยเขายกของ ยกกระเป๋า แต่ช่วยเอาแผ่นเสียงใส่กลับมาหน่อย แล้วพอ ตอนหลังที่เริ่มมาเยอะๆ เป็นหมื่นแผ่น เพราะใครๆ
ก็รู้ว่าผมทำ� เพราะมันบ้าอยู่คนเดียวเมื่อสมัยเกือบ 30 ปีที่แล้ว ก็มีแต่ผมที่แสวงหาแผ่นแล้วก็ไม่เลือก คือคนอื่น อาจจะมีหาแผ่นซื้อแผ่นฟัง สะสม ก็มีนักสะสมเยอะแยะ ที่ทำ� แต่ผมเอาทุกอย่างที่เป็นแผ่นเสียง เพราะฉะนั้น เวลาติดต่อมันก็ง่าย ง่ายกว่าคนที่ผมจะเอาเพลงไทยเก่า โบราณอย่างเดียว เจ้าของเขาก็ไม่อยากขายเพราะว่ากลัว จะไปเลือกของเขา ในขณะที่เราอะไรก็ได้ แผ่นงอหงิกผม ก็เอา แผ่นแตกผมก็ซื้อ ซื้อมาก็หาวิธีซ่อมยังไง แผ่นครั่ง เอากาวมาติดแล้วมันก็ฟังได้ ซึ่งก็มีแต่ผม ถ้าคนอื่น แผ่นครั่งแตกเขาก็ไม่เอา PIE : แล้วมันฟังได้เหรอพี่ พี่เสือ : ได้ ผมหาวิธีฟังได้ แต่ก็ต้องอยู่กับมันจริงๆ นะ ก็ใช้กาวมาติดแต่ห้ามให้กาวไหลออกมาด้านนอก มันต้อง น้อย แล้วก็แน่นด้วย เพลงที่มันหายไปมันก็ยังอยู่ได้ PIE : ช่วยอธิบายเรื่องแผ่นครั่งหน่อยครับ พี่เสือ : แผ่นครั่งเป็นยุคที่สอง ยุคแรกจะเป็นกระบอกเสียง ของเอดิสัน (โทมัส เอดิสัน) กระบอกกลมๆ เป็นเครื่อง ไขลานแล้วใส่กระบอกเข้าไป เขาเรียกกระบอกเสียงยุคแรก พอมาเป็นแผ่นแบนๆ แผ่นครั่งกลมๆ นี่ก็คือยุคแรกของ แผ่นเสียงที่เป็นแผ่น PIE : แผ่นในร้านก็เลยมีประวัติ ก็มีเรื่องราวของมันตาม ที่ต่างๆ พี่เสือ : ใช่ครับ ก็นึกออกตลอดว่ามาจากไหน ยังไง มัน ก็เลยรกแบบนี้ เต็มไปหมด ปัจจุบันคนก็หันกลับมาเล่น กันเยอะ แต่มันก็เหมือนกับส่วนหนึ่ง ก็เป็นอารมณ์ที่ชอบ แต่ถามว่ารักมันจริงๆ มั้ย บางคนเล่นๆ ก็หยุดเล่นสักพัก พอคนกลับมาเล่นก็เล่นอีก ก็ยังดี มันก็ไม่ใช่เป็นข้อเสีย อย่างน้อยช่วงรอยต่อก็มีคนรักษาไว้ เพราะมันมีคนที่ชอบ เพิ่มเข้ามา คือที่ผมดีใจไม่ใช่ว่าคนกลับมาเล่นแล้วผมจะ
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
114
ขายดี ชีวิตผมก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่ดีใจ ถ้าใครต้องการให้ข้อมูลหรือแยกแยะอะไรพวกนี้ก็บอกมา ก็เพราะว่ามันมีคนรักษาแผ่นเพิ่มมากขึ้น เด็กรุ่นใหม่ก็ ได้เลย ดูแลมัน ก็ทำ�ให้ผมรู้สึกว่า เออคนรุ่นๆ ต่อไปจากรุ่นผม PIE : คนมาที่ร้านพี่ก็ระดับศิลปิน นักสะสมเยอะ ก็ยังดูแลรักษาแผ่นต่อ นี่คือสิ่งที่ผมดีใจที่สุด พี่เสือ : ก็มีคมสัน นันทจิต คนนี้เขารักแผ่นเสียงมาก นะครับ แสตมป์ก็มา ล่าสุดเขาออกอัลบั้มที่เป็นแผ่นเสียง PIE : ไม่มีหน่วยงานดูแลรักษามันเลยเหรอครับ ผมดีใจมากเลย ผมดีใจพอๆ กับเขา เขาก็บอกผมว่า เป็นพิพิธภัณฑ์อะไรแบบนั้น พี่เสือ : จริงๆ ก็มี อย่างผมเคยไปช่วยงานของอาจารย์ พี่เสือ ผมมีแผ่นเสียงเป็นของตัวเองแล้ว ผมก็ดีใจ คือ มันคุยกันรู้เรื่อง ไม่ได้รู้จักกันอย่างอื่นนอกจากเพลง พูนพิศ อมาตยกุล เป็นมูลนิธิของสมเด็จพระเทพฯ อาจารย์ให้ผมไปคัดเพลงว่ามันเป็นแนวอะไร มูลนิธิเขา มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากนะ คือผมเป็นเจ้าของร้าน ได้บริจาคแผ่นเสียงมาทำ�เป็นหอสมุดดนตรี แต่เนื่องจาก แผ่นเสียงเล็กๆ ธรรมดาคนหนึ่งที่ได้รู้จักกับคนที่เป็น มันสมองหรือคนเก่งๆ มากมายโดยไม่มีเรื่องของผล มันต้องจัดหมวดหมู่ ผมก็อาศัยช่วงเย็นที่ผมเลิกงาน ประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ตอนที่เริ่มทำ�ก็ไปช่วยแยกแนว ประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมชอบมาก สนิทกันด้วย เพลง แล้วคนพวกนี้ก็ดี ไม่เคยหลงลืม มีความเป็นเพื่อน เพลง อันนี้เป็นแจ๊ส คลาสสิก มีอะไรก็ช่วยเหลือ แนะนำ�กัน อย่างแสตมป์เนี่ยใครมา สัมภาษณ์อะไรก็จะมาชวนพี่เสือมาสัมภาษณ์ด้วยกันเพื่อ PIE : แล้วพี่เสืออยากจะทำ�เป็นพิพิธภัณฑ์บ้างไหม ให้ร้านผมเป็นที่รู้จัก คือคุณเห็นความงดงามของเขาไหม พี่เสือ : ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะมี ก็มีความตั้งใจ (พี่เสือบอกว่านี่คุยนอกรอบ แต่ผมฟังแล้วอดใจไม่ไหว ตรงนั้นไว้ด้วย แต่เราก็มีเงื่อนไขของความเป็นจริงว่า จะทำ�ได้มากน้อยขนาดไหน แต่ถ้ามีใครให้เราช่วยที่จะ ต้องลงสักหน่อยครับ) ตอนที่ผมรู้จักเขาเนี่ยเขาก็ดัง ระดับหนึ่งแต่ก็คือเมื่อหลายปีมาแล้ว จนถึง ณ วันนี้ ทำ�ในด้านนี้ ในส่วนของประสบการณ์ ข้อมูลเกี่ยวกับ ความพิเศษของเขาคือเขาไม่เคยหลงลืมเพื่อน ไม่เคย แผ่นเสียง การแยกลักษณะของแผ่นเสียง ผมก็ยินดี หลงลืมแม้แต่เราที่ธรรมดาๆ นี่ผมชมเขาจริงๆ นะ ผมคิดว่าสิ่งนี้ของเขาสวยงามกว่าบทเพลงเขาอีก คือ ผมเป็นใคร เขาโคตรดังเลยนะแสตมป์ แต่ทุกวันนี้เขา ก็ติดต่อมาว่า พี่เสือ ผมมีคอนเสิร์ต คือผมไม่เคยบอก เขาว่าผมอยากดู แต่ผมอยากดูมาก “พี่เสือ ผมรู้ว่า พี่เสืออยากดู ผมเตรียมบัตรไว้ให้แล้ว” คือผมไม่มีเอี่ยว กับธุรกิจของเขาเลยนะ แต่ตรงนี้เขายอดเยี่ยมมาก คมสันก็เหมือนกัน ยอดเยี่ยมมาก PIE : แล้วมีคนดังคนอื่นที่มาประจำ�ๆ บ้างมั้ย พี่เสือ : ก็มีครับ ส่วนใหญ่ผมก็รู้จักเขานะครับ แต่เรา PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
115
ก็ไม่อยากใช้ตรงนั้นเป็นเครื่องมือเป็นสะพานให้เรา เพียงแต่ว่าเรารู้จักกัน คุยกันเรื่องเพลง ก็ไม่อยาก จะไปอ้างชื่อเขา อย่างแสตมป์เราก็พูดได้ เพราะ ว่าเราก็รักกัน และสิ่งที่เราพูดมันก็เป็นความจริง เป็นความสวยงามของเขา ผมก็ระวังในเรื่องนี้ PIE : ถ้าผมเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยเล่นแผ่นเสียง ไม่รู้จักแผ่นเสียง จะให้พี่เสือแนะนำ�ผมสักแผ่น พี่เสือ : ถ้ามาแบบนี้จริงๆ ผมจะไม่แนะนำ�อะไร คุณเห็นปกไหนสวยก็หยิบมาแล้วผมจะเปิดให้ลอง ฟังเลย คือผมไม่หวงใครอยากฟังอะไร ยกเว้นถ้า ผมมีธุระออกไปข้างนอก ผมจะบอกเลยว่าวันนี้ ผมต้องขอตัวนะ แต่ถ้าว่างๆ สบายๆ ไม่ยุ่ง ก็เปิด ฟังเลย แล้วให้เขาค้นในสิ่งที่เขาชอบด้วยตัวเอง ด้วยสัมผัสแรกของเขาเอง คือผมจะไม่บอกว่า เฮ้ย…สาวคนนี้สวย เดินไปจีบสิ ไม่ใช่ คือคุณดูเอง ดูรายละเอียดของเขา สัมผัสความงดงามของจิตใจ เขา ก็เหมือนกับสัมผัสการฟังเพลงโดยตรงแล้วคุณ จะชอบเอง ผมไม่มีหน้าที่บอกว่าคุณจะชอบอะไร มันเป็นหน้าที่ของคุณ เหมือนกับแฟนผม ก็ไม่มี ใครแนะนำ�ให้ผมไปจีบ เพื่อนบอกแฟนผมไม่สวย ผมโคตรโกรธเลย ก็สวยของกูอ่ะ (ขำ�) ถ้าเกิดเรามี ตรงนี้ปุ๊บ มิติเวลามันจะไม่เกี่ยว เพราะว่าคุณเห็น ความงดงามในช่วงเวลานี้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว คุณก็ จะจำ�มันได้ แฟนคุณแก่ลงไป 30 ปี แต่คุณก็ยังจำ� วันที่เขาสวยที่สุดได้ ก็เหมือนบทเพลงเหมือนกัน เราจะจำ�มันได้ในตอนที่เราฟังครั้งแรกว่า เริ่มต้น จากดูมัน เห็นปก ลองหยิบมันมาฟัง เหมือนกับ คุณเห็นใครสวย คุณเริ่มอยากจะจีบ อยากจะศึกษา ถ้าเกิดเริ่มตรงนี้แล้วคุณจะไม่ต้องบอกว่า พี่เสือ แนะนำ�ให้ผมชอบ คือไม่ใช่ อยากให้รู้สึกว่ามาจาก ตัวคุณเอง ความภูมิใจมันจะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต
PIE : ไม่ใช่ยัดเยียด พี่เสือ : ใช่ครับ อย่างลูกผมจะเรียนอะไร ผมจะไม่บอก ว่าจะต้องเรียนนี่ๆ ผมเป็นพ่อเขา ผมมีหน้าที่แค่บอกเล่า ประสบการณ์ในชีวิตผม ทั้งดีและความห่วยแตกของผม ให้ลูกรู้ เจอเรื่องดีเรื่องแย่ แต่ในส่วนของการดำ�เนินชีวิต ส่วนของการตัดสินใจ เขาควรจะเป็นคนที่ตัดสินใจเอง PIE : เครื่องเล่นแผ่นสียงหลักๆ มีกี่แบบกี่ประเภทครับ พี่เสือ : เครื่องเล่นแผ่นเสียงมันจะแยกเป็น 2 แบบ แบบหนึ่งเป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ต้องต่อเข้าแอมป์ อีกแบบหนึ่งคือเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่มีแอมป์ มีลำ�โพง ในตัวเปิดดังได้เลย ข้อดีก็คือ มันสามารถเล่นได้ง่าย เปิดฟังได้เลย คุณภาพเสียงก็จะปานกลาง พอใช้ได้ แต่ถ้าเป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงต่างหากแล้วมาต่อเข้าแอมป์ ลำ�โพง มันก็จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า และมีเรื่องวิธีการ เล่น อย่างเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เป็นแบบไขลาน เปิดแผ่น ยุคโบราณ แผ่นครั่ง ที่เป็นปากแตรบ้าง พวกนี้จะใช้ได้ เฉพาะแผ่นครั่ง แผ่นสปีด 77-78 หมุนเร็วๆ แล้วอีกอย่าง ก็เป็นเครื่องไฟฟ้าที่เล่นแผ่นพวกไวนิลที่เป็นที่นิยม PIE : แบบไขลานคือ เราไขไว้ก่อน พี่เสือ : ใช่ครับ ไขไว้ก่อน หรือจะเล่นไปไขไปก็ได้ครับ ถ้าเครื่องมันเก่ามากอาจจะต้องเล่นไปไขไป เพราะลาน มันเริ่มล้า PIE : แล้วแผ่นเสียงมีกี่ขนาดครับ พี่เสือ : แผ่นเสียงมีหลายขนาดมาก แต่ที่เป็นที่นิยม ก็คือขนาด 12 นิ้ว เขาเรียกว่าแผ่น Long Play แล้ว อีกประเภทหนึ่งคือแผ่น 7 นิ้ว เขาเรียกว่าแผ่น Single แล้วก็มีแผ่นครั่งที่ผมเล่าให้ฟัง คือขนาด 10 นิ้ว หลักๆ ที่เป็นที่นิยมก็ 3 ขนาดนี้ แต่แผ่นเสียงสามารถทำ�ได้ หลายขนาดมาก ทำ�เล็กๆ ก็ได้ หรือทำ�เป็นแผ่น 15 นิ้ว
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
116
แล้วพอได้เครื่องมาก็หัดซ่อม ผมหัดซ่อมเครื่องเล่นจนซ่อม มันได้แล้วก็ได้ฟังแผ่นเสียง มันเป็นช่วงที่ผมมีความสุขที่สุด PIE : เสน่ห์ของแผ่นเสียง พี่เสือ : คือเวลาคุณฟังเพลงแล้วคุณเห็นมันเล่น(หมุน)ไปด้วย ในช่วง เวลาแรกผมตกงานไม่มีงานทำ� ตอนนั้นผมมีแผ่นเสียงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
117
แต่ยังไม่มีเครื่อง และผมอยากฟังแผ่นนี้ๆ อยากฟังมาก ผมจะทำ�ยังไง ก็ได้ให้ผมได้ฟังมัน เพราะผมไม่สามารถไปซื้อเครื่องใหม่ๆ เพราะคนที่ ไม่มีงานทำ�ก็ถือว่าแพงมาก ก็เลยต้องซ่อมเครื่องเก่า ซ่อมจนมันหมุนนะ แต่ตอนแรกไม่ดังเพราะไม่มีเข็ม ผมนั่งดูมันเกือบทั้งคืน ดูมันหมุน เฮ้ย มันหมุนแล้วนะอีกหน่อยเราจะได้ฟังมัน คือมันเหมือนเราเริ่มจะได้ฟังแล้ว ผ่านไปตั้ง 3 เดือน ดูมันหมุน แล้วก็ไปหาหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติ ศึกษา เรื่องหัวเข็ม ก็ไปแสวงหามาจนซ่อมมันได้แล้วก็ได้ฟังแผ่นเสียง มันเป็น ช่วงที่ผมมีความสุขที่สุด กว่าจะฟังได้เกือบปี ถ้าพูดถึงการรอคอยการฟัง แผ่นเสียงของผมมันนานเหมือนกันนะ ยิ่งเราต้องการมันจะยิ่งนาน พอได้ ฟังเสน่ห์ของมันก็คือมันหมุน แล้วผมเอามือไปจับ Tone Arm ให้มันหมุน ให้มันเริ่มเล่น เพลงมันเริ่มดังขึ้นมามันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก แล้วมันมาจากเครื่องที่คุณทำ�เองจากแผ่นที่คุณรอคอยที่จะฟัง มันเป็น ความรู้สึกที่ดีมาก คือจะไม่มีใครเข้าใจนอกจากเรา มันเป็นความรู้สึกที่ ไม่ว่าใครก็แย่งไปจากคุณไม่ได้ …รู้สึกดีนะเวลาได้พูดออกมา มันเป็นความ รู้สึกที่มันอยู่ในใจ เป็นความรู้สึกลึกๆ แต่เวลาได้พูดคุยมันก็ทำ�ให้ความสุข ย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต้องเป็นแผ่นเสียงก็ได้นะ ตอนผมสมัยเด็กๆ
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
118
ผมก็ไม่ใช่นักเรียนดีเด่นอะไร ผมสอบได้ที่หนึ่งแล้วก็เกเร เลยสอบได้ที่โหล่ สลับกันไปมาอยู่อย่างนี้ พ่อผมสรุปเลยว่า ถ้าอีกหน่อยเอ็งโตขึ้นถ้าต้องกวาด ขยะ ก็ต้องกวาดให้สะอาด นั่นแหละคือศักดิ์ศรีของอาชีพ ผมจำ�ได้ แล้วมัน เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตผมเลยนะ ทำ�อะไรก็ได้ที่คุณคิดว่าเป็นอาชีพแล้วก็ทำ� ให้ดีที่สุด ผมว่าตรงนี้สำ�คัญ ถ้าสังคมของเราซึมซับความละเอียดอ่อนของ ศิลปะ การทำ�ในสิ่งที่เราอยากจะทำ� แล้วมันเป็นประโยชน์เล็กน้อยในสังคม แต่อย่าทำ�ร้ายสังคม มันมีคุณค่าในตัวมัน เราสามารถเปลี่ยนจากการทำ�แบบนี้ แล้วไปกวาดขยะได้เลยโดยที่เราไม่รู้สึกเสียใจ เพราะเราถือว่าชีวิตเรามันมีการ เปลี่ยนแปลง ถ้ามันจะต้องเปลี่ยนแปลงและเราทำ�สิ่งนั้นให้ดีที่สุด คุณค่าไม่ได้ อยู่ที่สายตาที่คนมอง คือผมชินมากกับการที่มีคนมายืนหัวเราะอยู่หน้าร้าน ตอนสมัยเกือบ 30 ปีที่แล้ว มันบ้ารึเปล่า มาเปิดร้านแผ่นเสียง คือคิดว่าบ้า ก็บ้าวะ อย่างน้อยเขาก็สนใจเรา เราเปลี่ยนมุมมองจากสายตาที่เขามองเรา เปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นเป็นพลัง การสร้างสรรค์ ผมชอบมองอะไรแบบนะ มองให้ มันสนุก อย่างน้อยเราก็เป็นที่สนใจนะ มันอยู่ที่มุมมองที่เราคิด พอเราคิดได้ เราก็จะมีความสุขกับสิ่งที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ทำ�ให้เรารู้สึกแย่กับมัน
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
119
PIE : ฝากร้านต้นฉบับ และฝากการเล่นแผ่นเสียงหน่อยครับ พี่เสือ : การเล่นแผ่นเสียงมันมีข้อดีอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ มันเป็นการช่วยดูแลรักษาและ อนุรักษ์เพลงเก่าๆ นี่คือสิ่งสำ�คัญที่สุดที่ผมทำ�ร้านต้นฉบับขึ้นมา มันจะเชยรึเปล่าไม่รู้นะ แต่ว่ามันยิ่งใหญ่มากในใจผม ไม่ต้องอนุรักษ์แผ่นเสียงก็ได้ อย่างอื่นก็ได้ หนังสือ ฟิล์ม หนังเก่า ถ้าคุณรักษาของเท่ากับคุณรักษาประวัติศาสตร์ ถ้าคุณรักษาเพลงไทยไว้เท่ากับ คุณรักษาศิลปวัฒนธรรมของชาติ มุมมองความคิดของชาติของคนในรุ่นนั้น สองคือมี ความสุขกับการฟังเพลงในรูปแบบที่มันเป็นธรรมชาติจริงๆ แผ่นเสียงมันเป็นหลักการ ง่ายๆ หลักการของเข็มสัมผัสกับร่องเสียงซึ่งมันเป็นพื้นฐานของการเสพเสียง คือเสียงเกิด จากการสั่นสะเทือน มันคือหลักการพื้นฐานที่มันเป็นธรรมชาติที่สุด คุณจะหาอย่างอื่นที่ เป็นธรรมชาตินอกจากแผ่นเสียงก็คือร้องสดๆ แต่ถ้าเป็นการบันทึกแล้วเนี่ยแผ่นเสียงไม่มี อะไรลบล้างได้ มันเป็นหลักการพื้นฐานที่คนมักจะมองข้าม ซึ่งผมไม่กล้าบอกให้ใครฟังใน ช่วงนั้น ผมกลัวเขาว่าผมบ้า เพราะคนอื่นเขาก็ดิจิตอลกัน สรุปก็คือ คุณได้ฟังอะไรที่มัน เป็นธรรมชาติจริงๆ ข้อสามก็คือ คุณจะได้สุนทรีย์จากมัน จากการที่ดูมันหมุน มันเล่น มันเหมือนกับถ้าคุณใช้ไดรฟ์เสียบเข้าไปในเครื่องเสียงแล้วฟังคุณจะได้แค่สัญญาณออกมา ซึ่งผมก็ฟัง ไม่ได้รังเกียจ แต่เราก็จะไม่ได้อะไรที่เราจับต้องได้ ที่หมุนเป็นเพื่อนเรา ในวัน ที่เราเหงาๆ เรายังมีเพื่อนที่ยังหมุนแล้วก็ฟังเพลงกับเรา และเป็นการฝึกสมาธิด้วย เพราะ มันมีขั้นตอนของมัน ถ้าคุณมองว่าขั้นตอนนั้นลำ�บาก เป็นเรื่องยากก็ได้ ผมก็ไม่เถียง แต่ว่าถ้าคุณบอกว่าทุกอย่างมันเป็นศิลปะ ศิลปะในการเล่น ในการฟังเพลง และมันก็ เลยไปเป็นศิลปะในการใช้ชีวิต มันเป็นขั้นตอนที่มีความละเมียดลละไม ถ้าคุณสามารถ ใจเย็นอยู่กับมัน ค่อยๆ เล่น ค่อยๆ วาง คุณคิดว่าคุณไปทำ�อย่างอื่นคุณใจเย็นไหมล่ะ คุณจะมีความรู้สึกละเมียดละไมต่อชีวิตมากขึ้น
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
120
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
121
PIE ONLINE GALLERY
ณ เวลานี้ PIE online gallery ได้เปิดทำ�การแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ให้เกียรติส่งผลงานสวยๆ เข้ามากันอย่างมากมายครับ กรุณาชมงานด้วยความครึกครื้น เฮฮา ได้เลย
122
Ticket to home
น.ส.มัทนา โพธิ์ประสาท creative ที่ บริษัท WAR ROOMS
123
1 3 4 3 4 0 www.facebook.com/photomute E-mail : mattana.phoprasart@ hotmail.com
รูปๆ คำ�ๆ อนัญญา สินอยู่ : ศิลปกรรมศาสตร์ นิเทศศิลป์ สาขาโทรทัศน์และดิจิตอลมีเดีย E-mail : lookat.followme@gmail.com
124
นติยา อุดมมลญาณ มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะวิทยาการจัดการ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ E-mail : glacier.freeze@hotmail.com
125
ปิตินดา เบนเนม Wedding Photographer ที่ Melbourne Australia
126
www.pitinadaphotography.com www.facebook.com/PitinadaPhotography
127
Original O.W.L ศิถี สิทธิราษฎร์ เปิดร้านเล็กๆ ขายงานศิลปะของตัวเอง ทำ�ทุกอย่างเท่าที่อยากจะทำ�ค่ะ www.facebook.com/Mr.Original.Owl
128
Zakka Shop
นิดชอบถ่ายรูป แนนเป็นคนชอบเสื้อผ้า ชอบชุดเดรส ชอบรองเท้า ชอบของกระจุกกระจิกน่ารัก www.facebook.com/zakkashop.bindery
129
Sahred Toy (ต๊อด)
ทำ�แอนิเมชั่น วาดภาพประกอบ เขียนการ์ตูนและหนังสือ www.behance.net/sahredtoy7
130
ครั้งหน้า PIE online gallery จะมีผลงานของใคร ประเภทไหนบ้าง รอชมกันนะครับ ร่วมส่งผลงานมาที่ pieonlinemag@gmail.com 131
READER WRITER
132
MASCULINE CHIC ถ้าจะให้เล่าย้อนไปตั้งแต่แรก ว่าจู่ๆ หญิงสาวที่ อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ทาลิปสติกสีแดงสด ใส่กระโปรง หลากทรงนั้น เริ่มหันมานิยมแต่งตัวแบบแมนๆ ได้ อย่างไร อันนี้คงต้องย้อนเวลากลับไปไกลหน่อย แม้ หลายคนจะเข้าใจว่า Coco Chanel คือสตรีคนแรก ในโลกผู้ทำ�การปฏิวัติและบุกเบิกให้ผู้หญิงมีทางเลือกใน การแต่งตัวมากขึ้นด้วยการสวมกางเกง แต่ความจริงคือ สำ�หรับชาติตะวันตกที่ผ่านพ้นวัฒนธรรมและยุคสมัย มาเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นความนิยมใส่คอร์เซต รัดเอวจนคอดกิ่วชวนเป็นลม หรือชุดกระโปรงรุ่มร่าม ในยุควิกตอเรียน ที่ไม่ว่าจะเดินทางขึ้นรถ(ม้า)ลงเรือ ก็ยากลำ�บากจนเลือดตาแทบกระเด็น ผู้หญิงก็จำ�ต้อง ใส่ชุดประจำ�ยุคกับทรงผมพองฟู (คล้ายเอมี่ ไวน์เฮาส์ ที่ตีโป่งได้เกือบฟุตนั่นแล) อันบ่งบอกถึงความเป็น สตรีผู้ดีมีอันจะกินอยู่ดี แต่ตามที่ประวัติศาสตร์โลก บันทึกไว้ ผู้หญิงคนแรก(จริงๆ) ในแถบชาติตะวันตก ที่ลุกขึ้นมาใส่กางเกงนั้นหาใช่ดีไซเนอร์สาวผู้มีแจ๊กเก็ต ผ้าทวีดเป็นไอเท็มหลักไม่ แต่คือ Elizabeth Smith Mil er นักเรียกร้องสิทธิสตรีสมัยรุ่นแรกๆ ซึ่งกางเกงที่ เธอหยิบมาใส่นั้นผู้คนต่างเรียกกันว่าเป็น “Bloomers” อาจเพราะยังไม่รู้จะเรียกว่ากางเกงสำ�หรับผู้หญิงดีมั้ย
เพราะในช่วงปี 1851 ยังไม่มีใครเคยเห็นผู้หญิง สวมกางเกงมาก่อน เลยเรียกตามชื่อของคนตัด นั่นคือ Amelia Bloomer นั่นเอง ตามมาด้วย กางเกงทรง Harem Pants ที่เรายังมีโอกาสได้ เห็นและสวมใส่อยู่เรื่อยๆ เชื่อมั้ยว่า Paul Poiret ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสเขาออกแบบไว้ตั้งแต่ปี 1908 นู่นแล้ว แต่ถ้าถามในแถบเอเชีย ไม่ว่าจะจีนหรือ ญี่ปุ่น สาวๆ หน้าหมวยเขาก็สวมกางเกงกันมา ตั้งนมนานแล้ว เห็นมั้ยล่ะว่า หัวดำ�อย่างเราเรื่อง แฟชั่นเรากลับล้ำ�กว่าฝรั่งมังค่ามาตั้งแต่ไหน ไม่แน่ สักวันเราอาจได้เห็นสาวผมบลอนด์ผิวขาวอมชมพู หันมานิยมนุ่งโจงกระเบนแมตช์กับตะเบงมานถ่าย แฟชั่นเซตบ้างก็เป็นได้ อันนั้นเป็นแค่เรื่องราวคร่าวๆ แต่ถ้าพูดในแง่ ประวัติศาสตร์แฟชั่น แน่ล่ะ เจ๊ Coco Chanel แกมาวินเรื่องนี้ไม่มีใครตีไข่แตกได้ ตามมาด้วย วิกฤตสงครามโลกครั้งที่ 2 ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผู้หญิง แทบทุกคนต้องใส่กางเกงกันหมด เพราะมันเป็น ช่วงที่ไม่มีใครจะมีอารมณ์ศิลปินพอจะมานั่งดีไซน์ คอลเล็กชั่นผ้าชีฟองสีพาสเทลสำ�หรับ Spring/ Summer หรือแม็กซี่เดรสผ้าเจอร์ซีย์
133
กับเฟอร์ขนสุนขั จิง้ จอกใน Fall/Winter ให้ใครใส่ ทุกคนถูกบังคับให้สวมใส่ชุดเครื่องแบบกันเกือบ หมด พอสงครามสงบต่างคนก็ต้องเริ่มต้นสู้ชีวิต ตั้งตัวใหม่ ผ้ายีนส์เดนิมก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในช่วงยุค 1950’s เพราะช่างเป็นวัสดุที่อึดและ ทนทานทุกสถานการณ์ ก่อนแฟชั่นจะเริ่มเฟื่องฟู อีกครั้งใน 10 ปีต่อมา ซึ่งคงจะไม่พูดถึงแบรนด์นี้ ไม่ได้แน่นอน Saint Laurent (เขาใช้ชื่อนี้มา ตั้งแต่แรกแล้ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Yves Saint Laurent แล้วก็เปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมใหม่เมื่อ คอลเล็กชั่นที่ผ่านมา ดังนั้นไม่ต้องตกใจโวยวายว่า YSL จะหายไปจากโลกหรืออะไรกับมันนักหนาหรอก คนเมื่อก่อนเขาทำ�มากันหมดแล้ว!) ที่ถ่ายทอดความ เท่แบบผู้ชายลงในเสื้อผ้าของผู้หญิง หลายคนคง จดจำ� Le Smoking Suit ของเขาได้ดี กับภาพถ่าย สีขาวดำ�ซึ่งจับภาพของหญิงสาวขาเรียวยาวในชุด สูทกางเกง ซึ่งเท่บาดใจซะเหลือเกิน นับแต่นั้นมา นิยามความเซ็กซี่จึงมิได้จำ�กัดอยู่ที่ผู้หญิงรูปร่าง
อวบอิ่ม ใส่กระโปรงบานพลิ้วไหว เน้นเอวมดตะนอย อกภูเขาไฟแบบ Marilyn Monroe อีกต่อไป แต่ถูก แทนที่ด้วยสไตล์ Masculine Chic ซึ่งกลายเป็นที่ กล่าวถึงและนิยมมากแม้ในอีกหลายสิบปีต่อมา รวมถึง Pants Suit ก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำ�หรับผู้ชายเพียง เพศเดียวอีกต่อไป แม้กระทั่งทุกวันนี้ คงสามารถพูดได้เต็มปากว่า ไม่น่าจะมียุคไหนที่เป็นยุคทองของ Masculine Chic มากไปกว่าศตวรรษนี้อีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะมองไป ทางไหนก็เห็นแต่ Pants Suit เต็มไปหมด ทั้งในชีวิต จริงและบนรันเวย์ Saint Laurent ก็ยังคงเหนียวแน่น กับสไตล์ Masculine Chic กับ Le Smoking Suit ที่ออกแบบใหม่ ลดทอนเพิ่มเติมดีเทลอะไรต่างๆ นานา ไปได้เรื่อยทุกซีซั่น โดยเฉพาะใน Spring/Summer 2013 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น Ralph Lauren, Calvin Klein, Sass & Bide, Balmain, Giambattista Valli, Michael Kors, Akris, DKNY, Emporio Armani, Dolce & Gabbana, Badgley Mischka ฯลฯ
134
ก็เห็นมีชุดสูทกางเกงแบบผู้ชายแทรกซึมอยู่ใน คอลเล็กชั่นผู้หญิงทั้งนั้น แต่อาจจะมีดีเทลบิดพลิ้ว ไปบ้าง เช่น สีสันเจ็บๆ หรือลายพริ้นต์ทั่วทั้งตัว เป็นต้น อีกทั้งชุดสูทกางเกงนี้ก็ใช่เวลาสาวๆ เรา จะใส่แค่ไปประชุมกับลูกค้า พบผู้บริหาร หรืออะไร ทางการๆ เสมอไป สาวบางรายที่อินกับความแมน มากๆ ในทุกอณูอาจจะหยิบสูทกางเกงมาใส่ได้ทุก โอกาส แม้กระทั่งใส่ไปงานแต่งงาน (หรือใส่เป็น ชุดเจ้าสาวเลย) ก็มี! แต่ก็อีกนั่นละ เรื่องของแฟชั่นและสไตล์เป็นอะไร ที่ไม่มีกฎตายตัว ทุกวันนี้พอพูดถึง Masculine Chic ก็มิได้จำ�เป็นว่าจะต้องเป็นสูทกางเกงอย่างเดียวเท่านั้น จะใส่กางเกงหรือแม้แต่กระโปรงบางทีก็ยังจัดว่าอยู่ใน ข่ายสาวเท่ได้อยู่ดี ยกตัวอย่างเช่นกระโปรงทรงดินสอ ถ้าจับคู่กับเสื้อเชิ้ตขาวเรียบๆ แบบโอเวอร์ไซส์ หรือ กางเกงผ้าแมตช์กับเสื้อกล้ามแล้วอาจจะเติมสายเอี๊ยม เข้าไปนิดนึงก็อยู่ละ เป็นต้น ยังไม่รวมถึงไอเท็มแบบ โอเวอร์ไซส์ที่เรียกกันแบบขี้โกงนิดๆ ว่า ‘Boyfriend
Jeans’ และ ‘Boyfriend Blazer’ เพื่อแฝงนัยะว่า “ฉันเป็นผู้หญิงที่ใส่เสื้อผ้าทรงโคร่งๆ เพราะขโมย ของแฟนมาใส่ย่ะ” แบบนี้เขาเรียกว่าสร้างสไตล์แบบ ทางลัดสุดๆ คือใช้ชิ้นเดียวมิกซ์กับอะไรก็ได้ก็กลาย เป็นสาวเท่แบบ Masculine Chic ละ ถึงจะใส่กับ รองเท้าส้นสูงแบบสาวมากๆ ก็เถอะ ไม่มีใครจะต้องกังขากับสไตล์และเสื้อผ้าที่ผู้หญิง เลือกสวมใส่อีกแล้วในทุกวันนี้ เพราะหลายๆ ครั้ง เสื้อผ้าของผู้ชายก็ขายได้ขายดีกับบรรดาลูกค้าผู้หญิง ที่ไม่ได้มีความนิยมทางเพศค่อนไปทางทอมดี้ซะด้วย อันนี้อาจจะเป็นเรื่องเดียวที่เราต้องกล่าวขอบคุณ Feminist สาวที่ช่างเรียกร้องสิทธิต่างๆ นานาให้ ผู้หญิงมีความเท่าเทียมกับผู้ชาย ซึ่งถือว่าเป็น ทางเลือกและเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่ผู้หญิงเรา สามารถใส่เสื้อผ้าผู้ชายได้ดูดีกว่าผู้ชายใส่เสื้อผ้า ผู้หญิง…หรือไม่จริง?
135
READER WRITER
MOKA POT : THE CLASSIC DESIGN มีใครในที่นี้ติดกาแฟกันบ้างฮะ ที่ต้องดื่มทุกวันไม่งั้น อีกแบบ แต่เอาเข้าจริงจะถูกจะแพงนั้นไม่สำ�คัญ เพราะ หงุดหงิด หรือบางครั้งแอบคิดไปเองว่า ถ้าไม่ได้รับกาเฟอีน การจะหาร้านที่มีรสชาติกาแฟถูกใจจริงๆ ไม่ง่ายเลย การจะได้กาแฟดีๆ จะต้องพิถีพิถันกันทุกขั้นตอน เริ่ม แล้วมีอันต้องง่วงซึมไปทั้งวัน... ตั้งแต่ชนิดของกาแฟ จะต้องระบุถึงถิ่นหรือประเทศที่ ทีนี้ขอถามต่อไปอีกว่า แล้วกาแฟแบบไหนล่ะที่คุณ ปลูก การคั่วและการบดกาแฟก็สำ�คัญเช่นเดียวกับวิธี ชื่นชอบ ใครที่ชอบแบบง่ายๆ หน่อยก็ต้องเป็น Instant การชง ซึ่งด้วยวิธีที่ต่างก็ให้รสชาติกาแฟต่างกันด้วย Coffee ตักใส่ถ้วยแล้วเติมน้ำ�ร้อน หรือถ้าใครขี้เกียจชง มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสคุยกับคนในวงการกาแฟ จะซื้อดื่มจากร้านรถเข็นก็ง่ายดี แต่ถ้าใครเงินเหลือจะเก๋ ที่หลงใหลการดื่มกาแฟเอามากๆ ถึงขั้นกับมานั่งจับผิด กว่าด้วยการฝากท้องไว้กับสตาร์บัคส์ทุกวันก็ดูรวยหรูไป PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
136
ว่าสตาร์บัคส์สาขานี้อร่อยไม่เท่าอีกสาขา เพราะใช้เครื่องชง เอสเพรสโซ่ที่ต่างกัน เอากับเขาสิ ละเอียดลึกซึ้งเสียจริง และถ้าจะให้พูดถึงเครื่องชงกาแฟที่ถือว่าเป็นที่สุดของ ที่สุดแล้วล่ะก็ คงหนีไม่พ้น Bialetti Moka Express เครื่อง ชงกาแฟแบรนด์ดังสัญชาติอิตาลี ซึ่งสาเหตุที่ทำ�ให้เครื่องชง กาแฟชิ้นนี้น่าสนใจแบบสุดๆ ก็เพราะว่า ถึงแม้จะผลิตมา นานโขกว่า 80 ปีแล้วนั้น หน้าตาของเครื่อง Bialetti’s Moka Express ที่วางขายอยู่ในตอนนี้ก็แทบจะไม่ได้เปลี่ยนไปจาก เมื่อครั้งวางขายเมื่อ 80 ปีที่แล้วเลย เรียกได้ว่าเขาออกแบบ มาอย่างดีเยี่ยม ทั้งตัววัสดุและกลไกในการกลั่นกรองน้ำ�กาแฟ
แถมไม่ได้ดีแต่รูปลักษณะภายนอกเพียงอย่างเดียว หม้อต้มกาแฟแบบ Moka Pot นี้ยังให้รสชาติกาแฟ ที่ดีเยี่ยม และอาจจะรสชาติดีกว่าชงด้วยเครื่องชง ราคาเป็นแสนด้วยซ้ำ� ซึ่งจากการจัดอันดับผลิตภัณฑ์ในโลกแห่งดีไซน์ ศตวรรษที่ยี่สิบ Bialetti’s Moka Express ติดอันดับที่ 5 ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ติดอันดับมีทั้งรถยนต์ Fiat 500, Vespa และช็อกโกแลต Nutella ซึ่งคว้าอันดับ 1 ไปครอง ว่ากันว่า 9 ใน 10 ของชาวอิตาเลียนต้องมีหม้อต้ม กาแฟชนิดนี้
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
137
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
138
เล่าย้อนกลับไปเครื่องชงกาแฟแบบ Moka Pot นี้ผลิตขึ้น ในปี ค.ศ. 1933 โดยคุณ Alfonso Bialetti เจ้าของโรงกลึงโลหะ ในสมัยนั้น ผู้คนมักดื่มกาแฟจากร้านนอกบ้านเสมอ เนื่องจาก เครื่องชงเอสเพรสโซ่ที่ใช้แรงดันไอน้ำ�นั้นมีราคาแพงลิบลิ่ว แถม เครื่องก็ใหญ่โตอีกต่างหาก เขาจึงปิ๊งไอเดียผลิตหม้อชงกาแฟที่ สามารถต้มกินเองในบ้านได้ด้วยเตาธรรมดาในครัว วัสดุใช้เป็น อะลูมิเนียม เมื่อเติมน้ำ�ในกระบอกส่วนล่าง แล้วนำ�ไปต้มให้เดือด ไอน้ำ�จะดันผ่านผงกาแฟซึ่งอยู่ตรงกลาง แล้วกลั่นออกมาเป็นน้ำ� กาแฟขึ้นไปอยู่ด้านบน ถ้าใครชอบกาแฟจริงๆ แนะนำ�ให้ลองซื้อมาต้มเล่นดู เพราะ ไม่เพียงแต่จะได้หม้อต้มกาแฟหน้าตาน่ารักไว้ประดับบ้านแล้ว ยังขอรับรองอีกว่า การจิบกาแฟในบ้านหอมฟุ้งไปด้วยกาแฟนั้น เพลิดเพลินสุดๆ ไปเลย...จริงๆ นะ Tips การชงกาแฟด้วย Moka Pot แนะนำ�ให้บดกาแฟให้ หยาบซักหน่อย เพราะไม่งั้นจะมีผงกาแฟติดอยู่เป็นจำ�นวนมาก ถ้าอยากได้กาแฟเข้มให้ใช้ไฟอ่อน อยากได้กาแฟอ่อนให้ใช้ไฟแรง ทีนี้จะเติมนมให้เป็นลาเต้ เติมน้ำ�ให้เป็นอเมริกาโน่ก็แล้วแต่ถนัด แต่คอกาแฟตัวจริงเขาแนะนำ�มาว่า ต้องซดแบบเพียวๆ นม น้ำ�ตาลไม่ต้อง ถึงจะได้รสชาติกาแฟที่แท้จริง
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
139
READER WRITER
ทำ�ไมต้องดูหนัง / ฟังเพลง / อ่านหนังสือ 140
ขอเดาว่าคุณต้องเป็นคนชอบดูหนัง ฟังเพลง และอ่าน หนังสือ ไม่อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างสอง อย่างสาม คือทั้งสามอย่างที่กล่าวมา ไม่งั้นคุณก็คงไม่เลือกอ่าน นิตยสารเล่มนี้หรอก จริงไหม คนมีความคิดสร้างสรรค์ อย่างคุณ ย่อมเสพงานศิลป์เหล่านี้ไม่ว่างเว้น หนังเรื่อง ไหนที่ว่าเจ๋งคุณก็คงตามหาสืบเสาะมาดูชม หนังสือ เล่มใดที่ว่าดีคุณคงเคยพลิกหน้ากระดาษอ่านอย่าง เพลิดเพลินมาแล้ว หรืออัลบั้มศิลปินระดับบิ๊กเนมขึ้นหิ้ง คุณได้ปล่อยให้มันเคล้าคลอหรือกระแทกกระทั้นสอง รูหูอย่างเมามันส์หรือซาบซึ้งเพลงแล้วเพลงเล่า หากฉัน เดาผิด ความจริงคือคุณไม่ได้พิศวาสสื่อเหล่านี้เลย ก็สมควรอย่างยิ่งที่คุณจะอ่านคอลัมน์นี้โดยพลัน แต่ถ้า ฉันเดาถูกคุณก็ควรอ่านคอลัมน์นี้อยู่ดี เพราะฉันใจ ไม่แข็งพอที่จะบอกให้คุณมองข้ามมันไปหรอกนะ กับคำ�ถามแรก ทำ�ไมต้องดูหนัง คำ�ตอบคือ เพราะ ชีวิตเรามันสั้น สมมติว่าเราจะตายตอนอายุร้อยปีพอดี สิบปีแรกเราหมดเวลาไปกับการละเล่นแบบเด็กๆ ส่วน ช่วงยี่สิบถึงสามสิบปีสุดท้ายของชีวิตสังขารคงไม่เอื้อต่อ การดูหนังเท่าที่ควร บวกกับเวลานอนที่หายไปอีกหนึ่ง ส่วนสามของชีวิต นี่ยังไม่นับกิจกรรมอื่นๆ นะ ในชีวิต เอาเฉพาะที่จำ�เป็นต้องทำ�จริงๆ ก็เผาผลาญเวลาไป ไม่น้อย นั่นก็แปลว่าเราสามารถเอาตัวเองไปปะทะหรือ สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ที่นอกเหนือจากการใช้ ชีวิตประจำ�วันได้นิดเดียวเท่านั้น ด้วยข้อจำ�กัดอย่างที่ กล่าวมา ไหนจะปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น งบประมาณ ภาระหน้าที่ ร่างกาย และสุขภาพ ฯลฯ จึงมีน้อยคนที่ ได้ไปทุกสถานที่อยากไป ได้ลิ้มรสอาหารจากหลากหลาย วัฒนธรรม ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชนชาติอื่น หรือ
สิง่ มีชวี ติ อืน่ ๆ ทีไ่ ม่ใช่คน หมายถึงพวกสิงสาราสัตว์นะ่ แต่หนังสามารถเติมเต็มสิ่งเหล่านี้ให้เราได้ในระดับที่ น่าพึงพอใจในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับยุคสมัยนี้ มีหนังให้เลือกดู เป็นกระบุงเลยทีเดียว ทั้งหนังสารคดี หนังสั้น หนัง การ์ตูน แอนิเมชั่น หนังย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์ หนังแอ๊กชั่น หนังดราม่า หนังจิตวิทยา หนังเพศ ศึกษา เคยอ่านเจอนักเขียนชื่อดังคนหนึ่งเคยพูดว่า การดูหนังโป๊ ถ้าไม่หมกมุ่นจนเกินไป มันก็คือสื่อสอน เพศศึกษาดีๆ นี่เอง เป็นคำ�แก้ตัวอย่างดีแก่คนดูหนัง เอวีโดยไม่รู้สึกหมกมุ่นผิดบาป คือสงสัยใคร่รู้อะไร ก็ได้คุณครูเอวีช่วยสอน เช่น เซ็กซ์ระหว่างผู้ชายกับ ผู้ชายเป็นยังไง อันนี้ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาหยาบคาย ทะลึ่งลามก แต่คิดว่าเรื่องพวกนี้จำ�เป็นต้องให้ความ สำ�คัญกับมันเหมือนศาสตร์อื่นๆ ในชีวิต เพราะเรา กำ�เนิดจากตรงนั้น เติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องเกี่ยวข้อง กับเรื่องเหล่านั้นตามสัญชาตญาณ ถ้าเรามีความรู้ เกี่ยวกับ ‘มัน’ ดีพอ มันก็จะเป็นเข็มทิศคอยนำ�ทาง และปกป้องเรา แต่ถ้าดูหนังที่ว่านี้ในวัยหรือวันที่ยัง มีวุฒิภาวะไม่เหมาะสม ผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจเกิดผลเสีย มากกว่าดี คล้ายเอาไฟไปจ่อน้ำ�มัน มีสิทธิ์ร้อนฉ่าๆ และอาจก่อความเสียหายวายวอดแก่ชีวิตได้ นิตยสารสตาร์พิคส์บอกว่า การดูหนังคือการ เรียนรู้ประสบการณ์มือสองที่ผ่านคำ�บอกเล่าของผู้คน เราสามารถดื่มด่ำ�กับประสบการณ์ต่างๆ โดยไม่ต้อง ก้าวเท้าออกจากบ้าน (ยกเว้นว่าจะเยื้องย่างไปยัง โรงหนังนั่นแหละ) ส่วนตัวผู้เขียนเองออกจะกระแดะ ชอบทุกอย่างที่เป็นฝั่งอังกฤษ โดยเฉพาะดนตรี 141
ภาพยนตร์ แฟชั่น และสำ�เนียงการพูด เมื่อก่อน มีคนบอกว่าสำ�เนียงการพูดภาษาอังกฤษของแต่ละ ประเทศต่างกัน ฉันคิดในใจ แค่พูดให้พอโต้ตอบ กับชาวต่างชาติได้ก็ว่าโหดหินแล้ว ให้ตายสิสำ�เนียง ยังต่างกันด้วยเหรอ พอดูหนังฮอลลีวู้ดเยอะๆ ก็ พบว่าส่วนใหญ่แล้วนักแสดงหลักเป็นชาวมะกัน พูดลิ้นพันกันรัวๆ ออกเสียงตัวอาร์ (R) ชัดเจน แต่พอโฟกัสไปยังหนังที่ตัวผู้กำ�กับฯหรือนักแสดงนำ� ที่เป็นชาวอังกฤษ อาทิ หนังของแดนนี่ บอยล์ (Trainspotting), ทอม ฮูเปอร์ (Les Misérables, King’s speech), แฮร์รี่ พอตเตอร์ ทุกภาค, มิสเตอร์บีน, เจมส์บอนด์ หรือหนังอินดี้และซีรี่ส์ อังกฤษอีกนับไม่ถ้วน เพียรดูบ่อยๆ ก็จะเริ่มจับ สังเกตสำ�เนียงที่แตกต่างจากอเมริกาได้บ้าง นิดหน่อย ง่ายๆ คือ สำ�เนียงอังกฤษไม่ได้ออก เสียงตัวอาร์เท่าอเมริกัน แต่เอาเข้าจริงๆ ยังมี ข้อแตกต่างปลีกย่อยให้ศึกษาอีกมาก เพราะใน อังกฤษเองก็แตกแขนงไปอีกหลายสำ�เนียง แต่ สาระสำ�คัญคือ แม้เรายังไม่มีโอกาสไปเยือนบ้าน เมืองเขา แต่สามารถทำ�ความคุ้นเคยกับภาษาของ เขา รวมถึงบรรยากาศ วัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์ หรือสิ่งละอันพันละน้อยตามแต่วุฒิภาวะและ 142
ประสบการณ์จะเก็บเกี่ยวฉกฉวยไว้ได้จากหนัง มันไม่ อัศจรรย์หรอกหรือ หนังสุดฮือฮาอย่าง Argo เองก็ถ่ายทอดให้เห็น ถึงคุณูปการสูงสุดของมันต่อมวลมนุษยชาติ นั่นคือการ ช่วยเหลือชีวิตคน กล่าวคือ มันเป็นหนังฉกชิงตัวประกัน ชาวอเมริกันทั้งหกชีวิตออกจากประเทศอิหร่าน ด้วยการ ให้ตัวประกันปลอมตัวเป็นทีมสร้างหนังเก๊ตบตาเจ้าหน้าที่ รัฐ ณ กรุงเตหะราน นักวิจารณ์บางคนบอกว่ามัน ยกย่องวงการหนังฮอลลีวู้ดอย่างออกนอกหน้า แต่เมื่อ ดูจากท่าทีจิกกัดตัวเองอยู่ในที การดำ�เนินเรื่องที่ชวน ลุ้นระทึก ฉากที่สมจริง แถมยังสร้างจากเรื่องจริง Argo จึงสามารถกวาดรางวัลหนังยอดเยี่ยมแทบทุก สถาบันใหญ่ๆ ที่เข้าชิง หลายครั้งเราอาจดูหนังด้วยท่าทีผ่อนคลาย โดยเอา ความบันเทิงเริงใจเป็นตัวตั้ง แต่ก็มีนักดูหนังบางกลุ่ม ตั้งตัวเป็นนักดูหนังจริงจัง กล่าวคือ วางตัวเองในฐานะ เป็นผู้สำ�รวจตรวจสอบ ‘หนัง’ อย่างละเอียดลออ ทั้ง ในแง่ขององค์ประกอบศิลป์ การคิดวิเคราะห์วิจารณ์ ทำ�ความเข้าใจด้วยภาษาหนัง การเชื่อมโยงด้านพฤติกรรม และจิตวิทยาของตัวละคร รวมถึงประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองที่แฝงฝังอยู่ในหนัง ทุกอย่างมันสัมพันธ์ เกี่ยวโยงกันหมด เพราะหนังคือกรอบภาพเคลื่อนไหว
ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ โดยมนุษย์นั่นเอง แล้วคุณตอบ ตัวเองได้หรือยัง คุณตัดสินใจดูหนังหนึ่งเรื่องเพราะอะไร คำ�ถามที่สอง ทำ�ไมต้องฟังเพลง ในมุมมองของ ผู้เขียนเองคิดว่าเพลงเป็นสื่อตอบสนองทางอารมณ์ความ รู้สึกเป็นหลัก เพลงป๊อปให้ความรู้สึกสดใส ถึงจะมีมุม หม่นเศร้าก็ยังเทียบเพลงบลูส์ไม่ได้ เพลงแจ๊ซให้ความ รู้สึกหรูหราแต่เป็นอิสระ ขนาดเพลงชาติยังให้อารมณ์ ฮึึกเหิมปลุกใจ ขณะที่เพลง Gloomy Sunday กลับพา บางคนไปทำ�อัตวินิบาตกรรม เพลงลูกทุ่งหมอลำ�สะท้อน ก้นบึ้งและวิถีชีวิตของคนชนบททั้งในมุมเศร้าสร้อยและ สนุกสนานแต่แฝงไว้ด้วยความจริงใจหลายดีกรี เพลงเพื่อ ชีวิตตีแผ่สังคมและการเมืองหรือสัจธรรมชีวิต ถึงได้เรียก เพลงเพือ่ ชีวติ เพลงบางเพลงสร้างแรงบันดาลใจและแง่คดิ ให้ฮดึ ขึน้ สู้ อย่าง Live and Learn (บอย โกสิยพงษ์ Feat. กมลา สุโกศล) และก้อนหินก้อนนัน้ (โรส ศิรนิ ทิพย์) บางคนฟังเพลงเพื่อความสุข ความบันเทิง บางคนฟังเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ บางคนฟังเพื่อซ้ำ�เติมจ้วงแทงตัวเองในวันอกหัก บางคนฟังตามกระแส บางคนฟังต้านกระแส บางคนฟังเพราะเป็นอาชีพ (ทุกสาขาอาชีพที่เกี่ยวกับ ดนตรี)
บางคนฟังเพราะศรัทธาในตัวศิลปิน บางคนฟังเพื่อจับผิด บางคนเลือกใช้เพลงเป็นสือ่ แทนใจในหลายโอกาส นอกจากคนหูหนวกแล้ว มีใครไม่ฟังหรือไม่เคย ได้ยินเพลงบ้างไหม ตราบที่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ติดแพ็กเกจอารมณ์ ความรูส้ กึ มาตัง้ แต่เกิด ตราบนัน้ เราก็ยงั ต้องฟังเพลง กันต่อไป จนกว่าจะยกเลิกแพ็กเกจที่ว่านั่นแหละ แล้วมันยกเลิกได้เสียที่ไหนกันเล่า และหัวข้อสุดท้าย ทำ�ไมต้องอ่านหนังสือ ก็ เพราะเราไม่ได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ สงสัย ใคร่รู้เกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ต้องค้นคว้า รีเสิร์ชจนรู้แจ้ง แดงแจ๋ เหตุผลเดียวที่คุณไม่ควรอ่านหนังสือ คือ เมื่อคุณหยั่งรู้สรรพสิ่งบนโลกและจักรวาลอย่าง ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว สำ�หรับเรื่องของหนังสือ ขอจบสั้นๆ เพียงเท่านี้ เพราะยังไงเสียมันก็เป็น วาระสำ�คัญแห่งชาติที่ต้องผลักดันให้เห็นผลอย่าง เป็นรูปธรรมและยั่งยืน จึงขอทิ้งท้ายไว้อีกหนึ่ง คำ�ถามว่า เมื่อไหร่วาระนี้จะบรรลุผลแบบจริงๆ จังๆ ในบ้านเราเสียที
143
144
พบกับแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ดีๆ แบบนี้ได้ทุกๆ ต้นเดือนที่
www.pieeveryday.com
หรือ www.facebok.com/piemagazine2013
145
See You Soon. 146