งานประชุมวิชาการอารักขาพืชแห่งชาติ ครั้งที่ 14

Page 1

OEB-01

ความแตกต่ างทางสัณฐานวิทยาของผีเสือ8 หนอนกระทู้ สกุล Spodoptera Guenée, 1852 (Lepidoptera: Noctuidae) ชนิดทีZมีความสําคัญทางเศรษฐกิจใน ประเทศไทย อาทิตย์ รั กกสิกรd สุนัดดา เชาวลิตd ดนัย ชัยเรื อนแก้ วd อนุสรณ์ พงษ์ มีd กัลยา บุญสง่ าg และ จินตนา ไชยวงค์ g d

สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ djkjj g กองวิจยั และพัฒนาข้ าว กรมการข้ าว กรุ งเทพฯ djkjj

บทคัดย่ อ ผีเสื &อหนอนกระทู้สกุล Spodoptera (Lepidoptera: Noctuidae) นันมี & หลายชนิดทีIจดั เป็ น ศัตรูพืชสําคัญต่อพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย เช่น ข้ าว ข้ าวโพด พืชตระกูลถัวI และพืชผักต่าง ๆ เป็ นต้ น ตัวเต็มวัยและหนอนของผีเสื &อสกุลนี &มีความคล้ ายคลึงกันมาก ทําให้ การจําแนกชนิดทําได้ ค่อนข้ างยาก จึงมีความจําเป็ นอย่างยิIงในการศึกษาความแตกต่างทางสัณฐานวิทยาของผีเสื &อ หนอนกระทู้ระยะต่าง ๆ ทีIมีความสําคัญต่อพืชเศรษฐกิจของไทย ในครัง& นี &ดําเนินการสํารวจและ เก็บตัวอย่างหนอนกระทู้และตัวเต็มวัยจากแหล่งปลูกพืชทัวI ทุกภาคของไทย ระหว่างเดือนธันวาคม defg ถึงเดือนมิถนุ ายน defd ทําการจําแนกชนิดโดยใช้ ลกั ษณะทางสัณฐานวิทยา ได้ แก่ ลวดลาย บนปี กและอวัยวะสืบพันธุ์ของตัวผีเสื &อ โครงสร้ างส่วน cremaster ในระยะดักแด้ และตําแหน่งของ จุดและลวดลายของตัวหนอน รวมทังเปรี & ยบเทียบกับตัวอย่างผีเสื &อทีIเก็บรักษาไว้ ในพิพิธภัณฑ์ แมลง กรมวิชาการเกษตร พบหนอนกระทู้ชนิดทีIมีความสําคัญทางเศรษฐกิจในประเทศไทย จํานวน l ชนิด ได้ แก่ ผีเสื &อหนอนกระทู้หอม Spodoptera exigua (Hübner, 1808) ผีเสื &อหนอน กระทู้ข้าวโพดลายจุด Spodoptera frugiperda (J.E. Smith, 1797) ผีเสื &อหนอนกระทู้ผกั Spodoptera litura (Fabricius, 1775) และผีเสื &อหนอนกระทู้กล้ า Spodoptera mauritia (Boisduval, 1833) ผลจากการศึกษาในครัง& นี &ทําให้ ทราบชนิดของผีเสื &อสกุลนี &อย่างถูกต้ องมีความ เป็ นสากล เพืIอใช้ เป็ นข้ อมูลพื &นฐานซึงI จะก่อให้ เกิดประโยชน์ในการป้องกันกําจัด และควบคุมการ ระบาดต่อไปในอนาคต คําสําคัญ : ผีเสื &อหนอนกระทู้ Spodoptera สัณฐานวิทยา การจําแนกชนิด หนอนศัตรูพืชทีIสาํ คัญ

1


OEB-01

The Morphological Differences Between Economically Important Species of Armyworm Moths, Genus Spodoptera GuenĂŠe, 1852 (Lepidoptera: Noctuidae), in Thailand Artit Rukkasikorn1 Sunadda Chaovalit1 Danai Chaireunkaew1 Anusorn Pongmee1 Kunlayaa Boonsanga2 and Jintana Chaiwong2 1

Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900 2 Division of Rice Research and Development, Rice Department, Bangkok 10900

ABSTRACT Larvae of several species of armyworm moths, genus Spodoptera (Lepidoptera: Noctuidae), have been reported as key pests of many economic plants, such as rice, maize, legumes and various vegetables. Adults and larvae of these species look similar which causes difficulty in correct species identification. Study of the basic biology and morphological differences between all stages of economically important species of armyworm moths in Thailand should be indispensable. Specimens were collected from plantation areas in all parts of Thailand from December 2018 to June 2019. Morphological characters which can be used to identify these economically important armyworms to species are the ornate wing patterns and genitalia of the adult stage, structure of pupal cremaster, and position of spots and lines in larvae. After comparison with specimens in the Insect Museum, Department of Agriculture, the economically important species of armyworm moths in Thailand were found to be composed of 4 species: the beet armyworm, Spodoptera exigua (HĂźbner, 1808); the fall armyworm, Spodoptera frugiperda (J.E. Smith, 1797); the common cutworm, Spodoptera litura (Fabricius, 1775); and the lawn armyworm, Spodoptera mauritia (Boisduval, 1833). The results of this study will provide correct species identification which is important for use in integrated pest management and future control of epidemics. Keywords: armyworm moths, Spodoptera, morphology, identification, key pest larvae

2


OEB-02

การจําแนกชนิดแมลงวันผลไม้ ศัตรู พชื ในกลุ่ม Bactrocera dorsalis complex (Diptera: Tephritidae) ด้ วยลักษณะทางพันธุกรรมในประเทศไทย ยุวรินทร์ บุญทบ ณัฏฐิมา โฆษิตเจริญกุล ชมัยพร บัวมาศ และ จารุ วัตถ์ แต้ กุล สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กพืช กรมวิชาการเกษตร จตุจกั ร กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ แมลงวันผลไม้ กลุม่ Bactrocera dorsalis complex เป็ นศัตรูพืชทีIก่อให้ เกิดความเสียหาย ต่อผลผลิตทางการเกษตรอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิIงในงานด้ านกักกันพืชนัน& มีรูปร่างลักษณะ ภายนอกใกล้ เคียงกันมาก ก่อให้ เกิดปั ญหาในการวินิจฉัยชนิดส่งผลต่อการค้ าระหว่างประเทศ รวมทังยากต่ & อการตัดสินใจในการหาแนวทางในการป้องกันกําจัด ซึงI ปั จจุบนั มีการนําเทคนิคชีว โมเลกุลมาใช้ ในการวินิจฉัยชนิดของแมลงศัตรูพืช ทําให้ ได้ ผลการตรวจสอบทีIถกู ต้ องแม่นยํา รวดเร็วมากขึ &น การศึกษาครัง& นี &จึงใช้ ดีเอ็นเอบาร์ โค้ ดจากยีนตําแหน่ง cox1 และความสัมพันธ์ทาง วิวฒ ั นาการมาจําแนกชนิดแมลงวันผลไม้ กลุม่ B. dorsalis complex ในประเทศไทยให้ ถกู ต้ อง และทันสมัยเทียบเท่าสากล ผลการศึกษาด้ านสัณฐานวิทยาพบแมลงวันผลไม้ กลุม่ B. dorsalis complex ” ชนิด ได้ แก่ B. caramboale, B. dorsalis และ B. papayae แต่เมืIอนํามาศึกษาดีเอ็น เอบาร์ โค้ ดพบว่า B. dorsalis นันมี & ลกั ษณะทางพันธุกรรมเหมือนกับ B. papayae และทังสองชนิ & ด มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ ชดั จาก B. carambolae และจากการศึกษาความสัมพันธ์ทาง วิวฒ ั นาการของแมลงวันผลไม้ จํานวน •– ตัวอย่าง (B. dorsalis complex fg ตัวอย่าง และ แมลงวันผลไม้ ในวงศ์ Tephritidae — ตัวอย่าง) วิเคราะห์ด้วย Maximum Likelihood และ Bayesian analysis พบว่าทังสองวิ & ธีการให้ ผลสอดคล้ องกัน โดยแมลงวันผลไม้ กลุม่ B. dorsalis complex เป็ น sister group และมีลกั ษณะทางพันธุกรรมแตกต่างจากแมลงวันผลไม้ ชนิดอืIน ๆ ใน วงศ์ Tephritidae อย่างเห็นได้ ชดั และความสัมพันธ์ภายในกลุม่ ทัง& B. dorsalis แล B. carambolae นันมี & ลกั ษณะเป็ น polyphyletic ผลจากการศึกษาครัง& นี &เป็ นข้ อมูลสนับสนุนการ ยืนยันชนิดของแมลงวันผลไม้ กลุม่ B. dorsalis complex ในประเทศไทยให้ ทนั สมัยเทียบเท่า สากล และควรมีการศึกษาต่อไป โดยเพิIมข้ อมูลของยีนตําแหน่งอืIนมาร่วมวิเคราะห์ด้วย คําสําคัญ : แมลงวันผลไม้ ดีเอ็นเอบาร์ โค้ ด พันธุกรรม

3


OEB-02

Molecular Identification of Pest Species in Oriental Fruit Fly, Bactrocera dorsalis complex (Diptera: Tephritidae) Species Complex in Thailand Yuvarin Boontop Nutthima Kositcharoenkul Chamaiporn Buamas and Charuwat Taekul Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Chatuchak, Bangkok, 1900, Thailand.

ABSTRACT One of most serious groups of horticultural pests, the Bactrocera dorsalis complex, is of particular biosecurityâ „quarantine concern. Species of this complex are notoriously difficult to identify using morphology, which, in view of the economic importance of these taxa and the international trade consequences, has caused in ongoing difficulties for plant protection. Nowadays, molecular diagnostic tools provide valuable support for rapid and accurate identification. DNA barcoding of the mitochondrial Cytochrome Oxidase I (cox1) gene and phylogenetic could be employed to increase the accuracy of B. dorsalis complex identiďŹ cation in Thailand as international standard. Three species of the B. dorsalis complex (B. carambolae, B. dorsalis and B. papayae) were identified using morphological characteristics. By using cox1 (DNA barcode), the results showed that B. carambolae could be clearly separated from B. dorsalis and B. papaya. However, B. dorsalis remained indistinguishable from B. papayae. Moreover, phylogenetic analyses were used to investigate patterns of clustering of the 70 dorsalis complex samples (61 samples) with other pest species of fruit flies (9 samples). Maximum Likelihood and Bayesian analyses of the sequences gave consistent results. Based on phylogenetic analyses of cox1, it proved effective in resolving B. dorsalis and B. carambolae from other fruit fly species. Phylogenetic analyses found that B. dorsalis formed a reciprocally monophyletic sister group to a large clade consisting of other fruit flies sampled. Although the phylogenetic study showed B. dorsalis and B. carambolae to be polyphyletic. The results of this study are promising and providing a basic understanding on the number of species of B. dorsalis complex present in Thailand. However, a further study is needed to understand more on the classification within the B. dorsalis complex group and to add additional genes for better classification. Keywords: fruit fly, DNA barcoding, genetics 4


OEB-03

การศึกษาความเป็ นพืชอาศัย: ความสามารถในการเข้ าทําลายของ แมลงวันทองในแก้ วมังกรเนือ8 แดง ปวีณา บูชาเทียน1 วลัยกร รั ตนเดชากุล2 รั ชฎา อินทรกําแหง1 ศิริพร คงทวี1 อนัญญา นุชเขียว1 และ สลักจิต พานคํา1 สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ djkjj สํานักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ djkjj 1

2

บทคัดย่ อ แก้ วมังกรเนื &อแดง (Hylocereus costaricensis) (Weber) Britton & Rose เป็ นผลไม้ ทีIมี ศักยภาพเป็ นพืชส่งออกได้ แต่ปัญหาแมลงวันทอง Bactrocera dorsalis (Hendel) (Diptera: Tephritidae) ศัตรูพืชกักกันทีIมีความสําคัญและเป็ นอุปสรรคต่อผลไม้ สดส่งออก ดังนัน& วัตถุประสงค์ของการทดลองนี &คือ ศึกษาความเป็ นพืชอาศัยของแมลงวันทองในผลแก้ วมังกรเนื &อ แดงก่อนการส่งออก หัวข้ อศึกษามีดงั นี & g) การศึกษาความเป็ นพืชอาศัยของแมลงวันทอง B. dorsalis ในแก้ วมังกรเนื &อแดง (force infestation) ในสภาพห้ องปฏิบตั กิ าร โดยแบ่งเป็ นแก้ วมังกร เป็ นสองกลุม่ กลุม่ แรกเจาะรู g– รู กลุม่ สองไม่เจาะรู โดยเปรี ยบเทียบการเข้ าทําลายของแมลงเมืIอ วางผลไม้ ภายในกรงเป็ นเวลานาน d– ”– และ l– นาที หลังจากนันนํ & าผลไม้ ไปเก็บทีIห้องควบคุม อุณหภูมิ d• องศาเซลเซียส ความชื &นสัมพัทธ์ร้อยละ f–-•– เป็ นเวลา • วัน ผลการศึกษา พบว่า หนอนแมลงวันทองในผลไม้ ทีIเจาะรูมีการรอดชีวิตร้ อยละ dg.””, ge.—” และ d¢.¢ ตามลําดับ ซึงI สูงกว่าผลแก้ วมังกรไม่เจาะรูพบร้ อยละ –.lf, g.d และ ”.¢ ตามลําดับ d) การศึกษาระยะการ เจริ ญเติบโตของแมลงวันทองในผลแก้ วมังกรเปรี ยบเทียบกับการเลี &ยงด้ วยอาหารเทียม พบว่า อัตราการเจริ ญเติบโตของหนอนวัย d ในผลแก้ วมังกรเร็วกว่าเลี &ยงในอาหารเทียม g วัน ส่วนหนอน ระยะอืIนๆไม่มีความแตกต่างกัน ผลการทดลองสรุปได้ วา่ แก้ วมังกรเป็ นพืชอาศัยของ B. dorsalis และผลการศึกษาดังกล่าวทําให้ ได้ ข้อมูลเพืIอนําไปใช้ ศกึ ษาการกําจัดแมลงวันทองด้ านกักกันพืช ก่อนการส่งออกต่อไป คําสําคัญ : แก้ วมังกร แมลงวันทอง (Bactrocera dorsalis) พืชอาศัย

5


OEB-03

Host Status: Infestability of Red Dragon Fruit by Oriental Fruit fly, Bactrocera dorsalis (Hendel) (Diptera: Tephritidae) Paweena Buchatian1 Walaikorn Rattanadhachakul2 Ratchada Intarakumheng1 Siriporn Khongthawie1 Ananya Nuchkeaw1 and Saluckjit phankum1 1

Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900 2 Agricultural Regulatory Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT Red dragon fruit (Hylocereus costaricensis) (Weber) Britton & Rose is the potential fruit be able to export. However the Oriental fruit fly, Bactrocera dorsalis (Hendel) (Diptera: Tephritidae) is the important quarantine pests of fresh fruit for international trade. The objective of this study is to determine host status of red dragon fruit to the Oriental fruit fly. This studied was conducted as follows 1) we conducted laboratory force infestation in cage by divided fruits to two groups. First group were puncture 10 holes and second group were non-puncture. We compared number of larval survival in the fruits after infestation at different exposure time of 20, 30 and 40 minutes. After infestation, the fruit were keep in the room at 27 oC and humidity 60-70 % RH for 7 days. The result shown that percentage larva survival in 10 puncture holes dragon fruits were 21.33, 15.93 and 28.8, respectively higher than non-puncture fruit which found 0.46, 1.2 and 3.8, respectively. 2) The studied of development stage of B. dorsalis on dragon fruit compared with artificial diet shown that the 2nd instar larva perform development on fruits faster than artificial diet 1 day but other larval stages showed no difference. In conclusion, red dragon fruit was host of B. dorsalis. According to these data, we are further study for develop quarantine heat treatment to disinfest the Oriental fruit fly in red dragon fruit before export. Keyword: Dragon Fruit, Oriental Fruit fly (Bactrocera dorsalis), Host status

6


OEB-04

ประสิทธิภาพของเชือ8 ราสาเหตุโรคแมลงในการควบคุมแมลงวันผลไม้ ปิ ยธิดา สนิท และ จุรีมาศ วังคีรี สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ รังสิต ตําบลคลองหนึZง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี dgdgj

บทคัดย่ อ แมลงวันผลไม้ (Diptera: Tephritidae) เป็ นศัตรูพืชทีIสาํ คัญทางการเกษตร พบการ แพร่กระจายทัวI ทุกภาคของประเทศไทยสามารถเข้ าทําลายพืชผักและผลไม้ หลายชนิด การวิจยั นี &มี วัตถุประสงค์เพืIอทดสอบประสิทธิภาพของเชื &อราสาเหตุโรคแมลง Metarhizium anisopliae และ Beauveria bassiana ในการควบคุมแมลงวันผลไม้ ในหนอนระยะท้ ายและระยะดักแด้ โดย ทดสอบเชื &อราทีIเจริ ญบนเมล็ดข้ าวและเชื &อราทีIผา่ นการแปรสภาพให้ อยูใ่ นรูปแบบเม็ด ทีIอายุการ เก็บรักษาของเชื &อราทีI –, g และ d เดือน คลุกผสมกับดินในแก้ วพลาสติก คัดเลือกหนอนระยะท้ าย ทีIดีดตัวออกจากผลกล้ วยนํ &าว้ าและดักแด้ ทีIร่อนออกจากรํ าละเอียด วางแผนการทดลองแบบสุม่ สมบูรณ์ (CRD) โดยแต่ละไอโซเลทมี e ซํ &าการทดลอง พบว่า เชื &อราทีIเหมาะสมกับหนอนระยะ ท้ ายการคือ B. bassiana ไอโซเลท BCCgl—e และ BCCd••— มีแนวโน้ มทีIมีประสิทธิภาพดีกว่าทีI อายุการเก็บรักษา – และ g เชื &อราทีIเหมาะสมกับระยะดักแด้ คือ เชื &อราเขียว M. anisopliae ไอโซ เลท BCC”–lee และ BCCgf•fd มีแนวโน้ มทีIมีประสิทธิภาพดีกว่าทีIอายุ –, g และ d เดือน การ ใช้ เชื &อรา M. anisopliae และ B. bassiana ในการควบคุมแมลงวันผลไม้ โดยเชื &อรารูปแบบไม่แปร สภาพและแปรสภาพส่วนมากไม่แตกต่างกันอย่างมีนยั สําคัญ (P>0.05) คําสําคัญ : การเก็บรักษาเชื &อรา หนอนระยะท้ าย ระยะดักแด้ Metarhizium anisopliae Beauveria bassiana

7


OEB-04

Efficiency of Entomopathogenic Fungi to Control Fruit Fly Piyatida Sanit and Jureemart Wangkeeree Department of Agricultural Technology, Faculty of Science and Technology, Thammasat University Rangsit Centre, Khlong Nueng, Khlong Luang, Pathum Thani 12120

ABSTRACT Fruit flies (Diptera: Tephritidae) considered a very destructive group of insects that cause enormous economic losses in agriculture, especially in a wide variety of fruits and vegetables. The objective of this study was to test the efficiency of entomophathogenic fungi including Metarhizium anisopliae and Beauveria bassiana. This experiment were conducted on last instar larva and pupae with 2 types of fungi (non- transformed and transformed fungi) at the storage time 0, 1 and 2 months. The experiment was completely randomized design (CRD) with five replicates. The results of last instar larvae testing revealed that B. bassiana isolates BCC1495 and BCC2779 were more effective at 0 and 1 month of storage period. For pupae testing found that M. anisopliae isolate BCC30455 and BCC16762 were more effective at 0, 1 and 2 months of storage period. However, the efficacy of mostly non-transformed or transformed of M. anisopliae and B. bassiana were not significantly difference (P>0.05). Keywords: Last instar larva, Pupae, Metarhizium anisopliae, Beauveria bassiana

8


OEB-05

ผลของเชือ8 ราสาเหตุโรคแมลงต่ ออัตราการตาย และการแพร่ กระจายตัว ในประชากรแมลงวันผลไม้ กมลรั ตน์ สุวรรณไชศรี และ จุรีมาศ วังคีรี สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ รังสิต ตําบลคลองหนึZง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120

บทคัดย่ อ แมลงวันผลไม้ (Bactrocera dorsalis) เป็ นแมลงศัตรูพืชทีIมีความสําคัญทางเศรษฐกิจ การควบคุมแมลงวันผลไม้ โดยชีววิธีด้วยเชื &อราสาเหตุโรคแมลงเป็ นวิธีการทีIปลอดภัยต่อ สภาพแวดล้ อมและมีประสิทธิภาพควบคุมแมลงได้ ดี การทดลองนี &จึงมีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษาผล เชื &อรา Metarhizium anisopliae และ Beauveria bassiana เชื &อราทีIมีประสิทธิภาพในการเข้ า ทําลายแมลงวันผลไม้ ระยะตัวเต็มวัย วางแผนการทดลองแบบสุม่ สมบูรณ์ (CRD) ทําการทดลอง 5 ซํ &า ผลการทดลองพบว่า เชื &อรา B. bassiana 3 ไอโซเลท ได้ แก่ BCC1495, BCC2779 และ BCC4742 วิธีทีIใช้ ในการควบคุมโดยวิธีการฉีดพ่น สามารถทําให้ แมลงวันผลไม้ ระยะตัวเต็มวัยมี เปอร์ เซ็นต์การตาย 90 ถึง 100 % นอกจากนี &เชื &อราไอโซเลทดังกล่าวสามารถแพร่กระจายตัวใน ประชากรของแมลงวันผลไม้ ได้ เมืIอเพศใดเพศหนึงI สัมผัสกับเชื &อรา แต่เชื &อราทีIมีประสิทธิภาพใน การแพร่กระจายตัวได้ ดีทีIสดุ คือเชื &อรา B. bassiana 2 ไอโซเลท ได้ แก่ ไอโซเลท BCC2779 และ BCC4742 สามารถทําให้ แมลงวันผลไม้ ระยะตัวเต็มวัยตาย 90 ถึง 100 % คําสําคัญ : Bactrocera dorsalis เชื &อรา Metarhizium anisopliae เชื &อรา Beauveria bassiana

9


OEB-05

Effect of entomopathogenic fungi on surviving and its transmission in fruit fly. Kamonrat Suwanchiasri and Jureemart Wangkeeree Department of Agricultural Technology, Faculty of Science and Technology,Thammasat University Rangsit Centre, Khlong Nueng, Khlong Luang, Pathum Thani 12120

ABSTRACT The fruit fly (Bactrocera dorsalis) is well known as one of the major economic insect pests. The biological control of B. dorsalis with entomopathogenic fungi is an environment-friendly method and be effective to control this insect pest. The objective of this study was to test the efficacy of Metarhizium anisopliae and Beauveria bassiana. The experiment was Completely Randomized Design (CRD), with five replicates. The results showed that B. bassiana isolate BCC1495, BCC2779 and BCC4742 are causing the highest fruit flies mortality as 90-100% when spraying with spores solution. In addition, those isolates can be a horizontal transmission, the most efficacious spread of fungus on adult’s fruit flies are B. bassiana isolate BCC2779 and BCC4742, it showed mortality percentage on adult’s fruit flies with 90 to 100 % Keywords: Bactrocera dorsalis, Metarhizium anisopliae, Beauveria bassiana

10


OEB-06

ศึกษาชนิดไรแมงมุมทีZเหมาะสมในการเพาะเลีย8 งด้ วงเต่ าตัวหํา8 สตีธอรั ส Stethorus pauperculus (Weise) (Coleoptera: Coccinellidae) อัจฉราภรณ์ ประเสริฐผล อิทธิพล บรรณาการ พิเชฐ เชาวน์ วัฒนวงศ์ พลอยชมพู กรวิภาสเรื อง อทิตยิ า แก้ วประดิษฐ์ และ ณพชรกร ธไภษัชย์ สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ djkjj

บทคัดย่ อ ด้ วงเต่าตัวหํ &าสตีธอรัส Stethorus pauperculus เป็ นศัตรูธรรมชาติทีIสาํ คัญ มีศกั ยภาพใน การควบคุมไรศัตรูพืช แต่ยงั ไม่มีข้อมูลการเพาะเลี &ยงให้ ได้ ปริ มาณมาก การทดลองนี &มี วัตถุประสงค์เพืIอศึกษาชนิดไรแมงมุมทีIเหมาะสมในการเพาะเลี &ยงด้ วงเต่าสตีธอรัส ” ชนิด ได้ แก่ ไรแดงหม่อน (Tetranychus truncates) ไรแมงมุมคันซาวา (Tetranychus kanzawai) และไรแดง แอฟริ กนั (Eutetranychus africanus) ดําเนินการ ระหว่างเดือนตุลาคม 2560 ถึงเดือนกันยายน 2561 ณ สํานักวิจยั พัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร ในสภาพห้ องปฏิบตั กิ าร อุณหภูมิ 27.50 ± 1.05 องศาเซลเซียส ความชื &นสัมพัทธ์ 45.30 ± 7.27 % พบว่า ระยะเวลาการเจริ ญเติบโต จากไข่เป็ นตัวเต็มวัยของด้ วงเต่าตัวหํ &าสตีธอรัสเมืIอกินไรแดงหม่อน ไรแมงมุมคันซาวา และไรแดง แอฟริ กนั เฉลียI 14.54 16.00 และ 16.67 วัน เพศเมียมีอายุเฉลียI 65.69 42.13 และ 14.00 วัน ระยะวางไข่เฉลียI 60.23 37.00 และ 4.00 วัน วางไข่ได้ ทงหมดเฉลี ั& ยI 343.62 93.38 และ 7.67 ฟอง ต่อตัว เฉลียI วันละ 4.85 2.40 และ 0.61 ฟองต่อตัว อัตราการขยายพันธุ์สทุ ธิในชัวI อายุขยั (R–) มี ค่า 178.68 37.35 และ 1.15 อัตราการเพิIมประชากร (rc) มีคา่ 0.10, 0.09 และ 0.01 ผลิตลูกได้ สุทธิ (λ) 1.27 1.24 และ 1.01 ตัวต่อวัน ชัวI อายุขยั ของกลุม่ (Tc) 50.55 38.82 และ 26.39 วัน สัดส่วนของลูกทีIฟักเป็ นเพศเมียของรุ่นทีI g เท่ากับ 0.28 0.37 และ 0.14 ตามลําดับ จะเห็นได้ วา่ ด้ วงเต่าตัวหํ &าสตีธอรัสสามารถเพิIมประชากรได้ ดีเมืIอกินไรแดงหม่อน จึงเหมาะสมทีIจะใช้ ไรชนิดนี & เป็ นอาหารในการเพาะเลี &ยงด้ วงเต่าให้ ได้ ปริ มาณมาก เพืIอนํามาใช้ ประโยชน์ในการป้องกันกําจัดไร ศัตรูพืชต่อไป คําสําคัญ : ด้ วงเต่าตัวหํ &าสตีธอรัส ไรแดงหม่อน ไรแมงมุมคันซาวา ไรแดงแอฟริ กนั ตัวหํ &า

11


OEB-06

Study on suitable spider mites for mass rearing of acarophagous lady beetles, Stethorus pauperculus (Weise) (Coleoptera: Coccinellidae) Atcharabhorn Prasoetphon Ittipon Bannakan Pichate chaowattanawong Ploychompoo Konvipasruang Athitiya Kaewpradit and Naphacharakorn Ta-Phaisach Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT The acarophagous lady beetle, Stethorus pauperculus, has been one of the most effective predators using as biological control of spider mites. Despite its importance, there is no information about mass rearing technique. The objective of this research is to study the suitability of 3 spider mites: mulberry red mite (Tetranychus truncatus), kanzawa spider mite (Tetranychus kanzawai) and african red mite (Eutetranychus africanus) as prey for mass rearing S. pauperculus. This study was carried out from October 2017 – September 2018 at the Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture. Under laboratory conditions at 27.50 ± 1.05 ◌ํ C and 45.30 ± 7.27 %RH, the results revealed that when S. pauperculus fed on T. truncatus, T. kanzawai and E. africanus the development times from eggs to adult stages of the were 14.54, 16.00 and 16.67 days,. The female longevities were 65.69, 42.13 and 14.00 days. The oviposition periods were 60.23, 37.00 and 4.00 days. The totals of eggs per female were 343.62, 93.38 and 7.67 eggs; the number of eggs per day were 4.85, 2.40 and 0.61 eggs. The net reproductive rate (R0) were 178.68, 37.35 and 1.15. The intrinsic rate of increase (rc) were 0.10, 0.09 and 0.01 day-1. The finite rates of increase were 1.27, 1.24 and 1.01 day-1. The generation time (Tc) were 50.55, 38.82 and 26.39 days. The proportion of female of F1 were 0.28, 0.37 and 0.14, respectively. The results indicated that the population of S. pauperculus could rapidly increase when feeding on T. truncatus, thereby proving as suitable prey for mass rearing S. pauperculus to control spider mites in the future. Keywords: Stethorus pauperculus, Tetranychus truncatus, Tetranychus kanzawai, Eutetranychus africanus, acarophagous lady beetle, Predator

12


OEB-07

ชีววิทยาและศักยภาพของไรตัวหํา8 Amblyseius swirskii (Athias-Henriot) ในการกําจัดเพลีย8 ไฟในห้ องปฏิบตั กิ ารและโรงเรื อน อทิตยิ า แก้ วประดิษฐ์ พิเชฐ เชาวน์ วัฒนวงศ์ พลอยชมพู กรวิภาสเรื อง อัจฉราภรณ์ ประเสริฐผล ณพชรกร ธไภษัชย์ และ วิมลวรรณ โชติวงศ์ สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพมหานคร

บทคัดย่ อ ในเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. dee— ได้ นําเข้ าไรตัวหํ &า Amblyseius swirskii (AthiasHenriot) (Acari: Phytoseiidae) เข้ าในประเทศไทยเพืIอทําการทดลอง โดยทําการศึกษาวงจรชีวิต คุณลักษณะทางชีววิทยา และประสิทธิภาพการกินเพลี &ยไฟ การศึกษาลักษณะชีววิทยาของไรตัว หํ &าทีIเลี &ยงด้ วยเพลี &ยไฟพริ ก Scirtothrips dorsalis พบว่าระยะไข่, ตัวอ่อน, protonymph และ deutonymph มีคา่ เฉลียI g.e– ± 0.28, 0.67 ± 0.04, 0.88 ± –.•d และ g.–– ± –.g” ตามลําดับ และ ระยะตัวเต็มวัย มีคา่ เฉลียI l.–e ± g.g• วัน ตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่ ”.f” ± –.fe ฟองต่อวัน ตลอดชีวติ วางไข่ได้ ed.de ± e.de ฟอง มีการวางไข่ g¢.g— ± ”.”l วัน จากการศึกษาอาหารทีI เหมาะสมโดยใช้ ตวั อ่อนเพลี &ยไฟพริ ก S. dorsalis ไข่ผีเสื &อข้ าวสาร Corcyra cephalonica และ เกสรต้ นธูปฤาษี Typha angustifolia เป็ นอาหาร พบว่า มีอตั ราการเจริ ญขยายพันธุ์สทุ ธิ(Ro) เท่ากับ gd.el, d–.–d และ l.e” เท่า ชัวI อายุไขของกลุม่ (Tc) เท่ากับ gl.¢”, gl.—— และ gl.dd วัน ความสามารถในการขยายพันธุ์ทางกรรมพันธุ์ (rc) เท่ากับ –.g•, –.g— และ –.g– เท่าและมีอตั รา การเพิIมแท้ จริ ง (λ) เท่ากับ g.g¢, g.dd และ g.gg ตามลําดับ การศึกษาประสิทธิภาพการกินเพลี &ย ไฟระยะตัวอ่อนจํานวน ” ชนิด ได้ แก่ เพลี &ยไฟพริ ก S. dorsalis เพลี &ยไฟถัวI Caliothrips phaseoli และ เพลี &ยไฟฝ้าย T. palmi พบว่าตลอดชีวิตไรตัวหํ &ากินเพลี &ยไฟฝ้ายได้ มากทีIสดุ มีคา่ เฉลียI เท่ากับ 66.50 ± e.el ตัว แตกต่างอย่างมีนยั สําคัญทางสถิติ (P <–.–e ) กับเพลี &ยอีกสองชนิด การทดสอบ ในโรงเรื อน พบว่า การปล่อยไรตัวหํ &า 4 ตัว สามารถกินเพลี &ยไฟฝ้าย 20 ตัว บนต้ นมะเขือเปราะได้ หมดใน 5 วัน คําสําคัญ : ไรตัวหํ &า Amblyseius swirskii (Athias-Henriot) ชีววิทยา อาหาร ตารางชีวิต ประสิทธิภาพการกินเพลี &ยไฟ Thrips spp.

13


OEB-07

Biological and Potential as a Bio-agent of Amblyseius swirskii (Athias-Henriot) for Controlling Thrips spp. in Laboratory and Greenhouse Athitiya Kaewpradit Pichate Choawattanawong Ploychompoo Kornvipartreang, Atcharabhorn Prasoetphon Naphacharakorn Ta-Phaisach and Wimolwan Chotwong Plant Protection Research and Development office, Department of Agriculture Chatuchak, Bangkok

ABSTRACT Predaceous mite, Amblyseius swirskii was introduced to Thailand in May 2016. Laboratory studies were conducted on its life cycle using the chili thrips, Scirtothrips dorsalis, as food; its potential in terms of biological attributes obtained from the life table analysis using S. dorsalis larvae, eggs of Corcyra cephalonica, and pollens of Typha angustifolia, as food. The thrips consumption efficiency was determined using larvae of S. dorsalis, Caliothrips phaseoli, and Thrips palmi, as prey. The life cycle study revealed the durations of 1.50 ± 0.28, 0.67 ± 0.04, 0.88 ± 0.72, 1.00 ± 0.13 days for the egg, larval, protonymph and deutonymph stages, respectively, and 4.05 ± 1.17 days from egg to adult. Females laid 3.63 ± 0.65 eggs per day, totaling 52.25 ± 5.25 eggs during the oviposition period of 18.19 ± 3.34 days. Study on its potential using S. dorsalis larvae, eggs of C. cephalonica, and pollens of T. angustifolia in terms of its biological attributes obtained from the life table analysis yielded the parameters consisting of the net reproductive rate of increase (Ro) of 12.54, 20.02 and 4.53 times, the cohort generation time (Tc) of 14.83, 14.99 and 14.22 days, the capacity for increase (rc) of 0.17, 0.19 and 0.10 times, and the finite rate of increase (λ) of 1.18, 1.22 and 1.11 per day, respectively. Study on the thrips consumption efficiency using S. dorsalis, C. phaseoli and T. palmi larvae as prey showed that during its life span the highest consumption obtained were 66.50 ± 5.54 larvae of T. palmi per day which is statistically different (P<0.05) from 60.80 ± 4.16 and 58.40 ± 4.81 larvae of S. dorsalis and C. phaseoli per day, respectively. In greenhouse, it was found that releasing of 4 predatory mites can completely control 20 T. palmi on eggplant in 5 days. Keywords: predaceous mite, Amblyseius swirskii (Athias-Henriot), biology, food sources, biological attributes, thrips consumption efficiency 14


OEB-08

การทดสอบประสิทธิภาพของสารฆ่ าแมลงชนิดต่ าง ๆ ต่ อการตายของเพลีย8 ไฟ ฝ้ าย (Thrips palmi Karny) ทีZทาํ ลายกล้ วยไม้ ในห้ องปฏิบตั กิ าร สุภราดา สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ศรี จาํ นรรจ์ ศรี จนั ทรา และ สมศักดิž ศิริพลตัง8 มัZน สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ การทดสอบประสิทธิภาพสารฆ่าแมลงทําให้ ทราบข้ อมูลเบื &องต้ นว่าสารชนิดใดเหมาะสมทีI จะใช้ แบบหมุนเวียนเพืIอลดปั ญหาความต้ านทาน จึงทดสอบประสิทธิภาพสารฆ่าแมลงชนิดต่าง ๆ ต่อการตายของเพลี &ยไฟฝ้าย (Thrips palmi Karny) ทีIทําลายกล้ วยไม้ ในแปลงเกษตรกรทีIอําเภอ ลาดหลุมแก้ ว จังหวัดปทุมธานี อําเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี อําเภอนครชัยศรี อําเภอพุทธ มณฑล อําเภอสามพราน และอําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ทดลองในห้ องปฏิบตั กิ ารโดย ใช้ กลีบดอกกล้ วยไม้ ชบุ สาร spinetoram 12% SC, cyantraniliprole 10% OD, sulfoxaflor 24% SC, imidacloprid 70% WG, acetamiprid 20% SP, abamectin 1.8% EC, emamectin benzoate 1.92% EC, carbosulfan 20% EC, fipronil 5% SC, chlorfenapyr 10% SC และ tolfenpyrad 16% EC โดยชุบสารทีIความเข้ มข้ นตามอัตราแนะนําและทีIความเข้ มข้ นสองเท่าของ อัตราแนะนําแล้ วให้ เพลี &ยไฟทีIเก็บจากทีIตา่ ง ๆ ดูดกิน บันทึกเปอร์ เซ็นต์การตายหลังให้ เพลี &ยไฟดูด กินเป็ นเวลา 48 ชัวI โมง ผลการทดลองพบว่าสารทีIทําให้ เพลี &ยไฟตายตังแต่ & 60 % ขึ &นไปทีIอตั รา แนะนํา หรื อตายตังแต่ & 80 % ขึ &นไปทีIสองเท่าของอัตราแนะนําในเพลี &ยไฟอําเภอลาดหลุมแก้ วคือ spinetoram, emamectin benzoate และ chlorfenapyr ในเพลี &ยไฟอําเภอบางใหญ่คือ spinetoram, emamectin benzoate, fipronil และ chlorfenapyr ในเพลี &ยไฟอําเภอนครชัยศรี คือ spinetoram และ emamectin benzoate ในเพลี &ยไฟอําเภอพุทธมณฑลคือ emamectin benzoate ในเพลี &ยไฟอําเภอสามพรานคือ emamectin benzoate และ carbosulfan ในเพลี &ยไฟ อําเภอเมืองนครปฐมคือ spinetoram, fipronil และ chlorfenapyr ข้ อมูลทีIได้ ทําให้ สามารถเลือก สารฆ่าแมลงเพืIอวางแผนการใช้ สารแบบหมุนเวียนในแต่ละพื &นทีIเพืIอลดปั ญหาความต้ านทานใน เพลี &ยไฟฝ้ายทีIทําลายกล้ วยไม้ คําสําคัญ : ศัตรูกล้ วยไม้ ความต้ านทานสารฆ่าแมลง ประสิทธิภาพสารฆ่าแมลง การหมุนเวียน สารฆ่าแมลง

15


OEB-08

Testing Efficacy of Various Insecticides on Mortality of Cotton Thrips (Thrips palmi Karny) damaging Orchids in Laboratory Suprada Sukonthabhirom na Pattalung Srijumnun Srijuntra and Somsak Siripontangmun Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT Testing of insecticide efficacy provides information that initially indicates proper insecticides to be used in insecticide rotation for impeding resistance problem. This experiment investigated efficacy of various insecticides on mortality of cotton thrips (Thrips palmi Karny) damaging orchids in farmers’ farms at Lat Lum Kaeo district, Pathum Thani province; Bang Yai district, Nonthaburi province; Nakhon Chai Si district, Phutthamonthon district, Sam Phran district and Mueang Nakhon Pathom district, Nakhon Pathom province. The experiment was conducted in laboratory using petals of orchid flowers dipped with various insecticides; spinetoram 12% SC, cyatraniliprole 10% OD, sulfoxaflor 24% SC, imidacloprid 70% WG, acetamiprid 20% SP, abamectin 1.8% EC, emamectin benzoate 1.92% EC, carbosulfan 20% EC, fipronil 5% SC, chlorfenapyr 10% SC and tolfenpyrad 16% EC; at their recommended dose and at 2-fold of their recommended dose and then fed to the cotton thrips collected from farmers’ orchid farms. The mortality percentage was recorded after feeding for 48 hr. The results revealed that insecticides that caused > 60% mortality at their recommended dose or > 80% mortality at 2-fold of their recommended dose in thrips from Lat Lum Kaeo district were spinetoram, emamectin benzoate and chlorfenapyr; in thrips from Bang Yai district were spinetoram, emamectin benzoate, fipronil and chlorfenapyr; in thrips from Nakhon Chai Si district were spinetoram and emamectin benzoate; in thrips from Phutthamonthon district was emamectin benzoate; in thrips from Sam Phran district were emamectin benzoate and carbosulfan; in thrips from Mueang Nakhon Pathom district were spinetoram, fipronil and chlorfenapyr. The information obtained could be used for selecting insecticides for planning insecticide rotation in each area to reduce resistance problem in cotton thrips damaging orchids. Keywords: Orchid pest, insecticide resistance, insecticide efficacy, insecticide rotation 16


OEB-09

ความเป็ นพิษของอีโคฟูมทีZมีต่อด้ วงถัZวเขียว Callosobruchus maculatus F. และด้ วงถัZวเหลือง Callosobruchus chinensis L. (Bruchidae: Coleoptera) สิรีธร โพธิกันd, g ดวงสมร สุทธิสุทธิž รั งสิมา เก่ งการพานิช และ อธิราช หนูสีดาํ d ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ 10900 ศูนย์ ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้ อยและนํา8 ตาลทรายภาคทีZ 3 ศรี ราชา ชลบุรี 20110 กองวิจยั และพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกีZยวและแปรรู ปผลิตผลเกษตร กรุ งเทพฯ 10900 1

g

บทคัดย่ อ ด้ วงถัวI เขียว (Callosobruchus maculatus F.) และด้ วงถัวI เหลือง (Callosobruchus chinensis L.) จัดเป็ นแมลงศัตรูทีIสาํ คัญทางเศรษฐกิจของถัวI เขียวทังในสภาพไร่ & และในโรงเก็บ เกษตรกรในประเทศไทยใช้ ฟอสฟี นรมกําจัดแมลงทัง& d ชนิดนี & มาเป็ นระยะเวลานานจึงทําให้ แมลง เกิดความต้ านทานต่อฟอสฟี นมากขึ &น งานวิจยั นี &จึงมีวตั ถุประสงค์ทีIจะศึกษาความเป็ นพิษของอีโค ฟูมทีIมีตอ่ ด้ วงถัวI เขียวและด้ วงถัวI เหลืองระยะต่างๆ ในห้ องปฏิบตั กิ าร โดยใช้ อีโคฟูมความเข้ มข้ น 0, 250, 500, 750, 1000 และ 1250 ppm รมนาน 24 ชัวI โมง วางแผนการทดลองแบบ CRD และ ทําการทดลองซํ &า l ซํ &า ผลการศึกษาพบว่าทุกระยะของแมลงทัง& 2 ชนิดทีIผา่ นการรมอีโคฟูมอัตรา 250-1250 ppm มีการตายมากกว่า 75 เปอร์ เซ็นต์ โดยระยะไข่ ระยะหนอน ระยะดักแด้ และระยะ ตัวเต็มวัยของแมลงทัง& 2 ชนิดมีการตายอยูร่ ะหว่าง 75.30-83.60, 99.82-100.00, 81.80-100.00 และ 100.00 เปอร์ เซ็นต์ ตามลําดับ เมล็ดถัวI เขียวทีIผา่ นการรมด้ วยอีโคฟูมความเข้ มข้ น 1250 ppm นาน 24 ชัวI โมง และเมล็ดในชุดควบคุม (0 ppm) มีอตั ราการงอกไม่แตกต่างกัน (มากกว่า 98.50 เปอร์ เซ็นต์) อย่างไรก็ตามการทดลองพบว่าต้ นกล้ าทีIงอกจากเมล็ดทีIผา่ นการรมด้ วยอีโคฟูม มีความสูงน้ อยกว่าเมล็ดในชุดควบคุม 4.9 เท่า จากผลการทดลองชี &ให้ เห็นว่าอีโคฟูมมีประสิทธิภาพดี ในการควบคุมด้ วงถัวI เขียวและด้ วงถัวI เหลือง การใช้ อีโคฟูมควบคุมแมลงทัง& d ชนิดจะช่วยลดการ ใช้ ฟอสฟี นความเข้ มข้ นสูงได้ ซึงI จะชักนําให้ แมลงทัง& d ชนิดสร้ างความต้ านทานฟอสฟี นลดลง คําสําคัญ : อีโคฟูม สารรม ด้ วงถัวI เขียว ด้ วงถัวI เหลือง ถัวI เขียว

17


OEB-09

Toxicity of ECO2FUME® against Callosobruchus maculatus F. and Callosobruchus chinensis L. (Bruchidae: Coleoptera) Siritorn Potikan1, 2 Dungsamorn Suthisut3 Rungsima Kengkanpanich3 and Atirach Noosidum1 1

Department of Entomology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900 2 Cane and Sugar Promotion Center Region 3, Chonburi 20110 3 Postharvest and Processing Research and Development Division, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT The cowpea weevil (Callosobruchus maculatus F.) and southern cowpea weevil (Callosobruchus chinensis L.) are important economic insect pests of mung beans in both field and storage. Farmers in Thailand have used phosphine to fumigate these two insects for a long time that causes an increase of phosphine resistance. The objective of this work was to study the toxicity of ECO2FUME® against various stages of cowpea and southern cowpea weevils under laboratory condition. The experiment was designed in CRD with the rate of 0, 250, 500, 750, 1000 and 1250 ppm of ECO2FUME® for 24 hours and 4 replications. The results showed that egg, larval, pupal and adult stages of both insects which were fumigated by ECO2FUME® at the rate of 250-1250 ppm ranged from 75.30-83.60% 99.82-100.00%,81.80-100.00% and 100.00%, respectively. The seed germination rate of mung bean seeds between ECO2FUME® treatment (1250 ppm for 24 hours) and control treatment (0 ppm) was not different (>98.50% of seed germination). Nevertheless, the sprout height of the ECO2FUME® treatment was lower than the control treatment for 4.9 times. Overall results indicated that ECO2FUME® was effective for controlling all stages of cowpea and southern cowpea weevils under laboratory condition. Using of ECO2FUME® to control these two insects will decrease the high concentration of phosphine application that leads to decrease of phosphine resistance of these two insects. Keywords: ECO2FUME®, fumigant, cowpea weevil, southern cowpea weevil, mung bean

18


OEB-10

อนุกรมวิธานและเขตการแพร่ กระจายแมงมุมแม่ ม่ายในประเทศไทย วิมลวรรณ โชติวงศ์ พลอยชมพู กรวิภาสเรื อง อัจฉราภรณ์ ประเสริฐผล อทิตยิ า แก้ วประดิษฐ์ และ ณพชรกร ธไภษัชย์ กลุ่มงานวิจยั ไรและแมงมุม กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช

บทคัดย่ อ แมงมุมแม่มา่ ย (widow spiders) เป็ นแมงมุมทีIมีรายงานความสําคัญทางการแพทย์ พิษของ แมงมุมในกลุม่ นี &มีผลต่อระบบประสาทของมนุษย์ จากการสํารวจและเก็บรวบรวมตัวอย่างแมงมุม แม่มา่ ยสกุล Latrodectus ในประเทศไทยตังแต่ & เดือน ตุลาคม dee— ถึงเดือน กันยายน defd ในพื &นทีI g¢ จังหวัด เพืIอนํามาศึกษาลักษณะอนุกรมวิธานและจําแนกชนิดในห้ องปฏิบตั กิ าร โดยการใช้ ลกั ษณะทีI สําคัญในการจําแนกชนิด เช่น ลักษณะการจัดเรี ยงของตา ความยาวของขา ขนแข็งทีIมีลกั ษณะโค้ งงอ เป็ นฟั นเลือI ยเรี ยงต่อกันคล้ ายซีIหวีทีIบริ เวณขาปล้ องสุดท้ าย (tarsus) ของขาคูท่ ีI l ลักษณะรูปร่างและ ลวดลายบนส่วนหลัง แถบสีส้มหรื อสีแดงรูปร่างคล้ ายนาฬิกาทรายบริ เวณด้ านล่างของส่วนท้ อง ลักษณะ ของอวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้ ลักษณะของอวัยวะสืบพันธุ์เพศเมีย ฯลฯ ผลการศึกษาพบแมงมุมในสกุล Latrodectus d ชนิด ได้ แก่ Latrodectus geometricus C. L. Koch, g¢lg และ Latrodectus elegan Thorell, g¢—¢ การแพร่กระจายพบ L. geometricus ในพื &นทีI g¢ จังหวัด และ L. elegan ในพื &นทีI • จังหวัด

คําสําคัญ : แมงมุมแม่มา่ ย Latrodectus ลักษณะทางอนุกรมวิธาน เขตการแพร่กระจาย

19


OEB-10

Taxonomic and Distribution of Spider Genus Latrodectus in Thailand Wimolwan Chotwong Ploychompoo Konvipasruang Atcharabhorn Prasoetphon Athitiya Kaewpradit and Naphacharakorn Taphaisach Mite and Spider Research Group, Entomology and Zoology Division, Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture

ABSTRACT Medically, the widow spider is the most important group of spiders. The venom of this spider affected major neurotransmitters throughout the nervous system (neurotoxin) in human. This Survey and collecting of spider in Genus Latrodectus was conducted in 18 provinces of Thailand from October, 2016 to September, 2019. The samples were collected and identified in laboratory. The taxonomic characters such as eyes arrangement, legs length, comb-footed on tarsus VI, shape and pattern of marking on dorsal of abdomen, red ‘‘hour-glass’’ mark on abdominal ventral, the shape of palpus and epigyne were used for identification. The results revealed that there were 2 species of genus Latrodectus including Latrodectus geometricus C. L. Koch, 1841 and Latrodectus elegan Thorell, 1898. L. geometricus distributed in 18 provinces and L. elegan distributed in 7 provinces Keywords: widow spiders, Latrodectus, taxonomic character, distribution

20


OEB-11

ประชากรหนูศัตรู ข้าวและความเสียหายในนาข้ าวของประเทศไทย ทัสดาว เกตุเนตร1 อุรัสยาน์ ขวัญเรื อนg พิษณุ หินตัง8 และ เพชรี เซ่ งซิม8 ¥ ศูนย์ วจิ ยั ข้ าวปราจีนบุรี กองวิจยั และพัฒนาข้ าว กรมการข้ าว กรุ งเทพฯ 10900 ศูนย์ วจิ ยั ข้ าวเชียงราย กองวิจยั และพัฒนาข้ าว กรมการข้ าว กรุ งเทพฯ 10900 ศูนย์ วจิ ยั ข้ าวนครราชสีมา กองวิจยั และพัฒนาข้ าว กรมการข้ าว กรุ งเทพฯ 10900 ¥ ศูนย์ วจิ ยั ข้ าวพัทลุง กองวิจยั และพัฒนาข้ าว กรมการข้ าว กรุ งเทพฯ 10900 1

2

บทคัดย่ อ การศึกษาประชากรหนูศตั รูข้าวและความเสียหายในนาข้ าว มีวตั ถุประสงค์เพืIอ ทราบ ความหลากชนิด ประชากร และความเสียหายทีIเกิดจากหนูศตั รูข้าวในนิเวศการปลูกข้ าวนา ชลประทาน นานํ &าฝน และนาข้ าวขึ &นนํ &า ดําเนินการเก็บข้ อมูลในแปลงนาเกษตรกร จังหวัด เชียงราย นครราชสีมา ชัยนาท นครนายก ปราจีนบุรี พัทลุง และสงขลา จํานวน ”g แปลง ตังแต่ & เดือนกุมภาพันธ์ dee• - พฤษภาคม 2562 ทําการประเมินประชากรหนู โดยวิธีนบั จํานวนรูหนูทีIยงั มีหนูอาศัยอยู่ และจํานวนหนูทีIดกั ได้ โดยตรงจากกรงดัก ผลการศึกษา พบหนูศตั รูข้าวทังหมด & 3 สกุล 7 ชนิด ได้ แก่ หนูพกุ ใหญ่ หนูพกุ เล็ก หนูนาใหญ่ หนูนาเล็ก หนูท้องขาวบ้ าน หนูหริI งนาหาง ยาว และหนูหริI งนาหางสัน& โดยแต่ละภาคของประเทศไทยและนิเวศการปลูกข้ าว สามารถพบหนู ศัตรูข้าวได้ ทงั & ” สกุล ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบสกุลหนูหริI ง ในสัดส่วนสูงกว่า หนูสกุลอืIน (ร้ อยละ ”f.f— และ e•.–l ตามลําดับ) ภาคกลางและภาคใต้ พบสกุลหนูพกุ ในสัดส่วน สูงกว่าหนูสกุลอืIน (ร้ อยละ 61.42 และ —d.gl ตามลําดับ) เมืIอจําแนกตามนิเวศการปลูกข้ าว นิเวศ นาชลประทาน นานํ &าฝน และนาข้ าวขึ &นนํ &า พบสกุลหนูท้องขาว หนูหริI ง และหนูพกุ เป็ นกลุม่ หลัก ร้ อยละ 53.16 79.11 และ 61.50 ตามลําดับ สําหรับร้ อยละความเสียหายทีIเกิดจากหนูศตั รูข้าวแต่ ละนิเวศอยูร่ ะหว่าง – - l.e— ผลการศึกษาครัง& นี &สามารถใช้ เป็ นข้ อมูลพื &นฐานเพืIอใช้ ในการวางแผน ป้องกันกําจัดหนูศตั รูข้าวให้ เหมาะสมกับพื &นทีIและมีประสิทธิภาพต่อไป คําสําคัญ : ประชากรหนู การประเมินความเสียหาย หนูศตั รูข้าว นาข้ าว

21


OEB-11

Rodent Population and Damage Assessments in Thailand’s Rice Fields Thasdaw Katenate1 Urassaya Kuanruen2 Phitsanu Hintang3 and Petcharee Sengsim4 Prachin Buri Rice Research center, Division of Rice Research and Development, Rice Department, Bangkok 10900 2 Chiang Rai Rice Research center, Division of Rice Research and Development, Rice Department, Bangkok 10900 3 Nakhon Ratchasima Rice Research center, Division of Rice Research and Development, Rice Department, Bangkok 10900 4 Phattalung Rice Research center, Division of Rice Research and Development, Rice Department, Bangkok 10900 1

ABSTRACT The objectives of this study were to obtain the species diversity, population and also to assess the rodent’s damage level in irrigated, rainfed and floating rice fields in Chiang Rai, Nakhon Ratchasima, Nakhon Nayok, Chai Nat, Prachin Buri, Phattalung and Songkhla province. Active burrows counts and live traps method were applied to access rodent species and population in 31 sites from February 2014 to May 2019. Results showed that, 3 genus, 7 species of rodents were identified in this study sites as greater bandicoot rat, Bandicota indica (Beckstein), lesser bandicoot rat, B. savilei (Thomas), ricefield rat, Rattus argentiventer (Robinson and Kloss), lesser ricefield rat, R. losea (Swinhoe), roof rat, R. rattus (Linnaeus), ryukyu mouse, Mus caroli (Bonhote) and fawn – colored mouse, M. cervicolor (Hodgson). The majority of rodents from northern and north-eastern regions of Thailand was Genus Mus (36.69% and 57.04%, respectively). The majority of rodents from central and southern regions of Thailand was Genus Bandicota. (61.42% and 92.14%, respectively). While when classified by rice ecosystem, the majority of rodents from irrigated rainfed and floating rice fields consisted of 53.16% Genus Rattus 79.11% Genus Mus and 61.50% Genus Bandicota, respectively. The average percentage of damage in rice fields was 0 - 4.59 %. The results could be used as the basic data for planning efficient control of rodent pest in specific area and rice ecosystem. Keywords: rat population, damage assessments, rice field rats, rice field

22


OEB-12

การศึกษาศักยภาพการก่ อโรคในหนูศัตรู พชื และการเพิZมปริมาณของ ค็อคซิเดียโปรโตซัวในลําไส้ (Apicomplexa: Eimeriidae) จากหนูศัตรู พชื สกุล Rattus และ Mus ทีZพบในประเทศไทย วิชาญ วรรธนะไกวัล ปราสาททอง พรหมเกิด สมเกียรติ กล้ าแข็ง และ ทรงทัพ แก้ วตา สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ การศึกษาศักยภาพการก่อโรคในหนูศตั รูพืชและการเพิIมปริ มาณของค็อคซิเดียโปรโตซัว ในลําไส้ (Apicomplexa: Eimeriidae) จากหนูศตั รูพืชสกุล Rattus และ Mus ทีIพบในประเทศไทย ดําเนินการวิจยั ระหว่างเดือนตุลาคม 2559 ถึงเดือนกันยายน 2561 ได้ ดําเนินการดักหนูศตั รูพืช สกุลหนูท้องขาว (Rattus) 133 ตัว และสกุลหนูหริI ง (Mus) 103 ตัว รวมทังหมด & 236 ตัว สามารถ คัดแยกโอโอซีสต์จากมูลหนูทีIดกั ได้ จํานวน 57 ไอโซเลท เป็ นโอโอซีสต์ของโปรโตซัว Eimeria 54 ไอโซเลท และ Isospora 3 ไอโซเลท จากพื &นทีIเกษตร จํานวน 15 จังหวัด ใน 5 ภูมิภาคของประเทศ ไทย และพบโอโอซีสต์ของเชื &อ Eimeria จํานวน 6 ไอโซเลท ทีIระดับความเข้ มข้ น 500 และ 5,000 โอโอซีสต์ มีศกั ยภาพสามารถทําให้ หนูทดลองป่ วยและตายได้ ร้ อยละ 20-40 ภายใน 3-10 วัน หลังจากได้ รับเชื &อ (dpi) ผลการจําแนกชนิดทางสัณฐานวิทยาจากลักษณะของโอโอซีสต์ สอดคล้ องกับผลการจําแนกชนิดทางชีวโมเลกุล บริ เวณไรโบโซมอล ดีเอ็นเอ (18S rDNA) พบว่า เชื &อโปรโตซัวสกุล Eimeria ทัง& 6 ไอโซเลท ทีIสามารถคัดแยก ในการศึกษาครัง& นี & เป็ น E. nieschulzi isolate K11 01, E. ferrisi isolate MJ01, E. ferrisi isolate MJ04, E. nafuko isolate NKW05, Eimeria sp. ex Rattus norvegicus isolate BKK02 และ Eimeria sp. ex Rattus andamanensis isolate KW03 ตามลําดับ การศึกษาการเพิIมปริ มาณของโอโอซีสต์ โดยการให้ โอ โอซีสต์ของ E. nieschulzi isolate K11 01 จํานวน 2,500 โอโอซีสต์ กับหนูท้องขาวบ้ าน จํานวน 10 ตัว พบโอโอซีสต์ถกู ขับออกมาพร้ อมกับมูลหนูสงู สุด ทีIระยะเวลา 7 วันภายหลังจากได้ รับเชื &อ จํานวน 28±22 โอโอซีสต์/ไมโครลิตร คําสําคัญ : ค็อคซิเดียโปรโตซัวในลําไส้ Eimeriidae โปรโตซัว Eimeria การก่อโรคในหนูทดลอง

23


OEB-12

Pathology and oocysts propogation in rats of enteric coccidia protozoa (Apicomplexa: Eimeriidae) from Rattus spp. and Mus spp. in Thailand Vichan Watthanakaiwan Prasartong Promkerd Somkiat Klakang and Songtap Kaewta1 Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT Pathology and oocysts propogation in rats of enteric coccidia protozoa (Apicomplexa: Eimeriidae) from Rattus spp. and Mus spp. in Thailand was conducted during October 2016 to September 2018. Total isolation of oocyst 57 isolates, from 236 rodent pests, 133 and 103 Rattus and Mus species respectively were captured from agricultural of 15 provinces in 5 regions of Thailand, was revealed Eimeria oocyst 54 isolates and Isospora oocyst 3 isolates. In this study 6 isolates of Eimeria oocysts caused severe clinical illness and mortality, 20-40%, occurred in rats and mice an infectious dose of 500 and 5,000 oocysts at the 3-10 days postinfection (dpi). The morphological of sporulate oocysts were identified according to molecular analysis of partial 18S ribosomal DNA (18S rDNA), the 6 isolates of Eimerian oocysts in this study, including E. nieschulzi isolate K11 01, E. ferrisi isolate MJ01, E. ferrisi isolate MJ04, E. nafuko isolate NKW05, Eimeria sp. ex Rattus norvegicus isolate BKK02 and Eimeria sp. ex Rattus andamanensis isolate KW03 respectively. In the preliminary study of oocysts propogation, we infected roof rat (R. rattus) (n = 10) with 2,500 oocysts of E. nieschulzi isolate K11 01. Oocysts shedding was detectable the highest oocysts (28Âą22 oocysts/Âľl) at 7 dpi. Keywords: enteric coccidian protozoa, Eimeriidae, Eimeria oocysts, pathology in rats,

24


OEA-01

การศึกษาระยะห่ างทีZเหมาะสมในการใช้ เหยืZอพิษโปรตีนในรู ปแบบกับดัก สําหรั บการป้ องกันกําจัดแมลงวันทองพริก Bactrocera latifrons (Hendel) ใน พริก กรกต ดํารั กษ์ สัญญาณี ศรี คชา และ วิภาดา ปลอดครบุรี สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ djkjj

บทคัดย่ อ การศึกษาระยะห่างทีIเหมาะสมในการใช้ เหยืIอพิษโปรตีนในรูปแบบกับดัก สําหรับการ ป้องกันกําจัดแมลงวันทองพริ ก Bactrocera latifrons (Hendel) ในพริ ก เปรี ยบเทียบ d วิธี ระหว่างวิธีทีI g ติดตังกั & บดักเหยืIอพิษโปรตีนรอบแปลงปลูกทีIระยะห่างระหว่างกับดักทุก e เมตร และวิธีทีI d ติดตังกั & บดักเหยืIอพิษโปรตีนรอบแปลงปลูกทีIระยะห่างระหว่างกับดักทุก g– เมตร ดําเนินการทีIแปลงเกษตรกร แปลงทีI g ต.หนองพลวง อ.จักราช จ.นครราชสีมา ในเดือน มิ.ย.-ก.ค. def– และแปลงทีI d ต.แจงงาม อ.หนองหญ้ าไซ จ.สุพรรณบุรี ในเดือน มี.ค.-พ.ค. defg พบ แมลงวันผลไม้ ในกับดัก l ชนิด ได้ แก่ Bactrocera latifrons (Hendel), Bactrocera dorsalis (Hendel), Bactrocera cucurbitae (Coquillett) และ Bactrocera tau (Walker) โดยพบจํานวน B. latifrons มากทีIสดุ จากการวิเคราะห์เปรี ยบเทียบเปอร์ เซ็นต์การทําลายของแมลงวันทองพริ ก ด้ วย t-test แบบ d กลุม่ ทีIเป็ นอิสระต่อกัน ระหว่างวิธีตดิ กับดัก d วิธี พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน จากการประเมินการทําลายของแมลงวันทองพริ ก พบว่ามีคา่ เฉลียI เปอร์ เซ็นต์การทําลายของ แมลงวันทองพริ กในวิธีควบคุมมากกว่าวิธีทีIตดิ กับดักวิธีทีI d และวิธีทีI g ตามลําดับ ส่วนค่าเฉลียI จํานวนหนอนทีIพบในผลพริ ก พบว่ามีจํานวนมากทีIสดุ ในวิธีควบคุม รองลงมาเป็ นวิธีทีI g และวิธีทีI d ตามลําดับ จากข้ อมูลการศึกษาดังกล่าว จึงเลือกใช้ การติดตังกั & บดักเหยืIอพิษโปรตีนรอบแปลง ปลูกทีIระยะห่างระหว่างกับดักทุก g– เมตร เพืIอใช้ เป็ นคําแนะนําต่อไป คําสําคัญ : พริ ก แมลงวันทองพริ ก กับดักเหยืIอพิษโปรตีน

25


OEA-01

The study of poison protein bait trap spacing for controlling fruit fly (Bactrocera latifrons (Hendel)) in chili plantations Korrakot Damrak Sunyanee Srikachar and Wipada Plodkornburee Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT The study of spatial scale of poison protein bait traps were carried out in two locations including Nong Pluang, Chakkarat (Nakhon Ratchasima) in June-July 2017 and Chaeng Ngam, Nong Ya Sai (Suphan Buri) in March-May 2018. Two treatments including five and ten meters trap spacing of poison protein bait were compared to determine the most effective spacing for controlling Bactrocera latifrons (Hendel) in chili plantations. Four species of Bactocera, including B. latifrons (Hendel), B. dorsalis (Hendel), B. cucurbitae (Coquillett), and B. tau (Walker), were found in poison protein bait traps. The most abundant species was B. latifrons in both locations. There were no significant differences of the efficiency between traps spaced between five or ten meters by t-test. The infestation and the mean number of larvae/fruits of B. latifrons in five, ten meters trap spacing plots and untreated plot were performed. The highest mean infestation was observed in the untreated plot, followed by the ten meters trap spacing plot and the five meters trap spacing plot, respectively. On the other hand, the highest mean number of larvae/fruits was observed in the untreated plot, followed by the five meters trap spacing and the ten meters trap spacing plot, respectively. Therefore, the ten meters trap spacing of poison protein bait was selected to be the recommendation for controlling B. latifrons in chili plantations because of its economic and technical feasibility. Keywords: chili, Bactrocera latifrons, poison protein bait trap

26


OEA-02

การพ่ นสารโดยอากาศยานไร้ คนขับ (UAV) ในการป้ องกันกําจัด หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด (Spodoptera frugiperda (J.E. Smith, 1797)) พิเชฐ เชาวน์ วัฒนวงศ์ พฤทธิชาติ ปุญวัฒโท นลินา ไชยสิงห์ สุชาดา สุพรศิลป์ และ วรวิช สุดจริตธรรมจริยางกูร สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร

บทคัดย่ อ ทําการทดสอบประสิทธิภาพการพ่นสารฆ่าแมลงทางอากาศโดยอากาศยานไร้ คนขับ เพืIอ ป้องกันกําจัดหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด ดําเนินการทีIแปลงเกษตรกร จังหวัดลพบุรี ระหว่างเดือน มกราคม-มิถนุ ายน 2562 วางแผนการทดลองแบบ RCB มี 5 ซํ &า 6 กรรมวิธี ได้ แก่ พ่นสารด้ วย อากาศยานไร้ คนขับแบบโรเตอร์ เดีIยว (เฮลิคอปเตอร์ ) ทีIอตั รา 1.28 ลิตรต่อไร่, พ่นสารด้ วยอากาศ ยานไร้ คนขับแบบโรเตอร์ เดีIยว (เฮลิคอปเตอร์ ) ทีIอตั รา 2.56 ลิตรต่อไร่, พ่นสารด้ วยอากาศยานไร้ คนขับแบบหลายโรเตอร์ (โดรน) ทีIอตั รา 3 ลิตรต่อไร่, พ่นสารด้ วยอากาศยานไร้ คนขับแบบหลายโร เตอร์ (โดรน) ทีIอตั รา 5 ลิตรต่อไร่, พ่นสารด้ วยเครืI องยนต์พน่ สารสะพายหลังแบบแรงดันนํ &าสูง ประกอบก้ านฉีดแบบปรับท้ ายทีIตดิ ตังหั & วฉีดแบบกรวยกลวง อัตราพ่นของเกษตรกรทีI 60 ลิตรต่อ ไร่ และกรรมวิธีไม่พน่ สาร โดยทุกกรรมวิธีทีIพน่ สาร พ่นด้ วยสารแนะนํา emamectin benzoate 5% WG อัตราทีIเท่ากันคือ 30 กรัมต่อไร่ ผลการทดลองพบว่า กรรมวิธีการพ่นด้ วยอากาศยานไร้ คนขับ แบบโรเตอร์ เดีIยว (เฮลิคอปเตอร์ ) และกรรมวิธีการพ่นสารด้ วยอากาศยานไร้ คนขับแบบหลายโร เตอร์ (โดรน) ทุกอัตรามีประสิทธิภาพในการป้องกันกําจัดได้ ดีเทียบเท่าการพ่นของเกษตรกรทีI 60 ลิตรต่อไร่ ทีIเดินพ่นเน้ นยอดแถวต่อแถว และแตกต่างทางสถิตกิ บั กรรมวิธีไม่พน่ สาร โดยการใช้ อากาศยานไร้ คนขับสามารถพ่นสาร 1 ไร่ ใช้ เวลาไม่เกิน 3 นาที ในขณะทีIการเดินพ่นด้ วยคนใช้ เวลามากกว่า 30 นาที คําสําคัญ : หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด ข้ าวโพด อากาศยานไร้ คนขับ

27


OEA-02

Aerial Spray Technique by The Unmanned Aerial Vehicle (UAV) for Controlling Fall Armyworm (Spodoptera frugiperda (J.E. Smith, 1797)) Pichate chaowattanawong Pruetthichat Punyawattoe Nalina Chaiyasing Suchada Supornsin and Woravit Sutjaritthammajariyankun Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture.

ABSTRACT The efficacy of UAV for controlling Fall Armyworm (Spodoptera frugiperda (J.E. Smith, 1797)) in corn field was carried out in Lopburi province from January to June 2019. The experiment design was RCB with 5 replications and 6 treatments which were, spraying with single roter UAV (Helicopter) at the rate of 1.28 litre/rai, spraying with single roter UAV (Helicopter) at the rate of 2.56 litre/rai, spraying with multiple roters UAV (Drone) at the rate of 3 litre/rai, spraying with multiple roters UAV (Drone) at the rate of 5 litre/rai, spraying with high pressure motorized knapsack sprayer with cone nozzle at the rate of 60 litre/rai (farmer practice) and the untreated as a control. All the spray treatments used the recommendation chemical, emamectin benzoate 5% WG 50 gram/rai. The results showed that the efficacy of all treatments that spraying with single roter UAV and multiple roters UAV were equal to the treatment that spraying with high pressure motorized knapsack sprayer with cone nozzle (farner practice) which focusing on the whorl and significantly different from the untreated. Thus the time consumed rate of the UAV was 3 minutes/rai whereas the time consumed rate of the farmer practice was 30 minutes/rai. Keywords: Fall Armyworm, corn, Unmanned Aerial Vehicle

28


OEA-03

การเปลีZยนแปลงการระบาดของแมลงดําหนามมะพร้ าวในเกาะสมุย จ. สุ ราษฎร์ ธานี วลัยพร ศะศิประภา1 และ ยิZงนิยม ริยาพันธ์ 2 d

ศูนย์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสืZอสาร กรมวิชาการเกษตร ลาดยาว จตุจกั ร กรุ งเทพฯ 10900 g ศูนย์ วจิ ยั ปาล์ มนํา8 มันสุราษฏร์ ธานี ท่ าอุแท กาญจนดิษฐ์ สุราษฏร์ ธานี 84160

บทคัดย่ อ แมลงดําหนามมะพร้ าวจัดเป็ นแมลงศัตรูตา่ งถิIนทีIสําคัญของมะพร้ าวและพืชตระกูลปาล์ม เข้ าทําลายใบอ่อนของมะพร้ าวทังระยะหนอนและตั & วเต็มวัย การควบคุมแมลงดําหนามมะพร้ าว ด้ วยการปล่อยแตนเบียนทีIเคยได้ ผลในปี 2548 แต่กลับมาระบาดอีกตังแต่ & ปี 2555 และคงอยูใ่ น ระบบนิเวศใหม่ซงึI มีโอกาสทีIจะเกิดการระบาดใหม่ได้ อีก จึงศึกษาการเปลียI นแปลงการระบาดของ แมลงดําหนามมะพร้ าวในพื &นทีIเกาะสมุย จ. สุราษฎร์ ธานี ระหว่างเดือนตุลาคม deee–พฤษภาคม defd โดยสํารวจความเสียหายในพื &นทีIปลูกมะพร้ าวจํานวน g– แปลงหลัก และ l– แปลงติดตาม สุม่ นับประชากร ทางใบทีIถกู ทําลายและทางใบทีIไม่ถกู ทําลาย ทุก g และ d เดือน พบว่า จํานวน หนอนในยอดกลมมากขึ &นและมีแนวโน้ มสูงขึ &นอย่างรวดเร็วระหว่างเมษายน-กันยายน เมืIอนํา ข้ อมูลสภาพแวดล้ อมมาวิเคราะห์ร่วมด้ วย พบว่า การเข้ าทําลายและประชากรแมลงดําหนาม มะพร้ าวมีความสัมพันธ์กบั ฝน ทังการตกและปริ & มาณนํ &าฝน จํานวนวันทีIอณ ุ หภูมิสงู กว่า ”– °ซ การทําลายของเดือนก่อนมีความสัมพันธ์กบั เปอร์ เซ็นต์ทางใบแรกทีIถกู ทําลายในเดือนถัดไป นอกจากนี &ยังพบความสัมพันธ์กบั จํานวนแตนเบียน และเวลา ซึงI อาจเกีIยวข้ องกับฤดูกาลซึงI ต้ อง ศึกษาต่อไป อย่างไรก็ตาม ค่าสัมประสิทธิ¾สหสัมพันธ์ดงั กล่าวยังไม่เข้ าใกล้ g หรื อ -g ซึงI อาจเนืIอง ปฏิสมั พันธ์ระหว่างปั จจัย จําเป็ นต้ องใช้ เทคนิคอืIนๆ ในการค้ นหาปั จจัยทีIมีผลต่อการเข้ าทําลาย ของแมลงดําหนามมะพร้ าว เพืIอให้ ได้ ข้อมูลสําหรับตัดสินใจการควบคุมแมลงศัตรูพืชให้ ได้ ผล อย่างยังI ยืน คําสําคัญ : แมลงดําหนามมะพร้ าว การระบาดของแมลงศัตรูมะพร้ าว

29


OEA-03

Coconut Hispine Beetle Infestation Change in Samui Island, Suratthani Province Walaiporn Sasiprapa1 and Yingniyom Riyaphan2 1

Information and communication Technology Center, Department of Agriculture, Ladyaw, Chatuchak, Bangkok 10900 2 Suratthani Plam Research Center, Kanchanadit, Suratthani 84290

ABSTRACT coconut hispine beetle is exotic and one of the most serious pests of coconut and palm, both adults and larvae damage on young leaves. It has been controlled by importing and establishing parasitoids in 2005, but significant outbreak again in 2012 which have probability to be a new outbreak. To have the information for sustainability control, the dynamic population study had been conducted in Samui Island, Suratthani Province during October 2013- May 2019. Ten coconut fields were sampling and monitor population of coconut hispine beetle every month. 40 coconut fields were evaluated every 2 months for number of leaves attack, green leaves and percentage damage of 1st leaf. The result found number of coconuts hispine beetle larvae in young leaves dramatically increase during April-September. Infested leaves and population of coconut hispine beetle have relationship with rainfall both amount and rainy days. Temperature >30 C and previous month infestation have relationship with percentage of damage of 1st leaf, and relationship found in no of parasitoid warps and time that seasonal will be further study. However, correlation coefficient not nearly 1 or -1, may be interaction between factors, that some analytical technic should be used to detect the majority of coconut hispine beetle outbreak. Keywords: coconut hispine beetle, coconut pest outbreak

30


OEA-04

การทดสอบประสิทธิภาพสารเคมีและการศึกษาผลตกค้ างของสารเคมีทZ ฉี ีดเข้ า ต้ นเพืZอป้ องกันกําจัดหนอนหัวดําในมะพร้ าวนํา8 หอม และมะพร้ าวนํา8 ตาล พิเชฐ เชาวน์ วัฒนวงศ์ d พฤทธิชาติ ปุญวัฒโทd นลินา ไชยสิงห์ d สุชาดา สุพรศิลป์ d วรวิช สุดจริตธรรมจริยางกูรd ลมัย ชูเกียรติวัฒนาg วาเลนไทน์ เจือสกุลg ชนิตา ทองแซมg วีระสิงห์ แสงวรรณg วิชุตา ควรหัตร์ g และ สุวัฒน์ พูลพาน สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร -j ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจกั ร กรุ งเทพ djkjj g กองวิจยั พัฒนาปั จจัยการผลิตทางการเกษตร ศูนย์ วจิ ยั พืชไร่ สุพรรณบุรี สถาบันวิจยั พืชไร่ และพืชทดแทนพลังงาน กรมวิชาการเกษตร

d

บทคัดย่ อ การทดสอบประสิทธิภาพสารเคมีและการศึกษาผลตกค้ างของสารเคมีทีIฉีดเข้ าต้ นเพืIอ ป้องกันกําจัดหนอนหัวดําในมะพร้ าวนํ &าหอมและมะพร้ าวนํ &าตาล ทีIอําเภอบ้ านแพ้ ว จังหวัด สมุทรสาคร ดําเนินการระหว่างเดือน กรกฎาคม def– – เมษายน defd มะพร้ าวนํ &าหอม ดําเนินการในแปลงทีIมีความสูง l-f เมตรจํานวน d แปลง และความสูง f-g– เมตร จํานวน d แปลง วางแผนการทดลองแบบ RCB 5 ซํ &า ¢ กรรมวิธี ได้ แก่ การฉีดสาร abamectin 1.8%EC อัตรา ge, 30, 60 และ —– มิลลิลติ รต่อต้ น และสาร emamectin benzoate 1.92% EC อัตรา e, g– และ e– มิลลิลติ รต่อต้ น เปรี ยบเทียบกับกรรมวิธีไม่ใช้ สาร สําหรับมะพร้ าวนํ &าตาลดําเนินการใน แปลงทีIมีความสูง l-f เมตรจํานวน d แปลง วางแผนการทดลองแบบ RCB e ซํ &า e กรรมวิธี ได้ แก่ การฉีดสาร abamectin 1.8%EC อัตรา ge, ”– และ —– มิลลิลติ รต่อต้ น และสาร emamectin benzoate 1.92% EC อัตรา 10 และ e– มิลลิลติ รต่อต้ น เปรี ยบเทียบกับกรรมวิธีไม่ใช้ สาร หลังฉีด สาร ”, •, ge, ”– f– และ —– วัน เก็บใบมะพร้ าวมาทดสอบ โดยให้ หนอนหัวดํากินใบมะพร้ าวทีIฉีด สารเข้ าต้ น เปรี ยบเทียบจํานวนหนอนทีIตายของแต่ละกรรมวิธี พบว่าการฉีดสารเข้ าต้ นด้ วยสาร abamectin และ emamectin benzoate ทุกอัตรามีประสิทธิภาพในการป้องกันกําจัดหนอนหัวดํา ได้ ดี ส่วนการศึกษาปริ มาณสารพิษตกค้ างในผลผลิตมะพร้ าวทัง& d ชนิด หลังจากการใช้ สาร ”, 7, 15, 30, 60, —– และ gd– วัน ในมะพร้ าวนํ &าหอม และมะพร้ าวนํ &าตาล ไม่พบสารตกค้ างในมะพร้ าว ทัง& d ชนิด ในทุกครัง& และ ทุกอัตราการใช้ สาร คําสําคัญ : มะพร้ าว หนอนหัวดํามะพร้ าว ฉีดสารเข้ าต้ น พิษตกค้ าง

31


OEA-04

Efficacy and Residues of Insecticides Used in Truck Injection for Controlling Coconut Black-headed Caterpillar Opisina arenosella Walker in Aromatic Coconut and Sugar Coconut Pichate chaowattanawong1 Pruetthichat Punyawattoe1 Nalina Chaiyasing1 Suchada Supornsin1 Woravit Sutjaritthammajariyankun1 Lamai Chukiatwattana2 Valentine Juersakul2 Chanida Thongsam2 Verasing Sangwan2 Vichuta Kuanhat2 and Suwat Poonpan3/ 1

Plant Protection Research and Development Office 50 Paholyotin Rd. Lardyao, Chatuchak, Bangkok 10900. 2 Agriculture Production Sciences Research and Development Division 3 Supanburi Field Crop Research Center Department of Agriculture

ABSTRACT Efficacy trial and Residue analysis of insecticides used in trunk injection for controlling Coconut Black-headed Caterpillar Opisina arenosella Walker. in aromatic and sugar coconut were evaluated in coconut field in Samutsakorn province during July 2017April 2019. For aromatic coconut, coconut trees with 4-6 meters trunk high and 6-10 meters trunk high were used and for sugar coconut, 4-6 meters trunk high were used. The experiment design was RCB with 5 replications and 8 treatments which were, injection with abamectin 1.8% EC at the rate of 15, 30, 60 and 90 ml./tree and emamectin benzoate 1.92% EC at the rate 5, 10 and 50 ml/tree and the untreated as the control treatment for both coconuts. The leaves of the treated coconut trees were collected at 3, 7, 15, 30, 60 and 90 days after injection for bioassay by feeding the Coconut Black-headed Caterpillar with these leaves in laboratory. The numbers of dead caterpillar were compared between treatments. The results showed that all the treatments that inject with insecticides had high efficacy for controlling Coconut Black-headed Caterpillar. For the residue analysis, the samples of coconut flesh and juice from aromatic coconut and sugar form sugar coconut, were taken at 3, 7, 15, 30, 60 and 90 days after injection in both aromatic and sugar coconut. The results showed that there were no residues of insecticides found in all samples at every rates of injection at 3, 7, 15, 30, 60 and 90 days after injection.

Keywords: coconut, Coconut Black-headed Caterpillar, trunk injection, vesidual toxicity

32


OEA-05

ประสิทธิภาพสารฆ่ าแมลงกลุ่มกลไกการออกฤทธิžต่าง ๆ ในการป้ องกันกําจัดเพลีย8 ไฟเมล่ อน (Thrips palmi Karny) ในกล้ วยไม้ สกุลหวาย ศรี จาํ นรรจ์ ศรี จนั ทรา สุภราดา สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง และ สมศักดิž ศิริพลตัง8 มัZน สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ djkjj

บทคัดย่ อ เพลี &ยไฟเมล่อน (Thrips palmi Karny) เป็ นศัตรูพืชสําคัญต่อกล้ วยไม้ สกุลหวาย แมลง ชนิดนี &มีความต้ านทานต่อสารฆ่าแมลงหลายชนิด การหาสารฆ่าแมลงทีIยงั สามารถป้องกันกําจัด แมลงชนิดนี &ได้ จงึ มีความจําเป็ นในการวางแผนการป้องกันกําจัดโดยวิธีผสมผสาน จึงทําการศึกษา ประสิทธิภาพของสารฆ่าแมลงหลายกลุม่ กลไกการออกฤทธิ¾เพืIอใช้ ในการป้องกันกําจัดเพลี &ยไฟเม ล่อนในกล้ วยไม้ สกุลหวาย ดําเนินการทีIแปลงกล้ วยไม้ ในจังหวัดนครปฐมและจังหวัดปทุมธานี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม def– วางแผนการทดลองแบบ RCB ” ซํ &า ประกอบด้ วย กรรมวิธีพน่ สาร fipronil 5% SC (กลุม่ d) imidacloprid 70% WG (กลุม่ lA) sulfoxaflor 24% SC (กลุม่ lC) spinetoram 12 % SC (กลุม่ e) abamectin 1.8% EC emamectin benzoate 1.92% EC (กลุม่ f) chlorfenapyr 10%SC (กลุม่ g”) และ cyantraniliprole 10 %OD (กลุม่ d¢) เปรี ยบเทียบกับวิธีไม่พน่ สารฆ่าแมลง พบว่าสารฆ่าแมลงทีIมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันกําจัด เพลี &ยไฟมี l กลุม่ คือ spinetoram อัตรา g– และ ge มล./นํ &า d– ลิตร สามารถป้องกันกําจัดเพลี &ย ไฟได้ ¢–-—d% นาน •-gl วัน chlorfenapyr อัตรา ”– มล./นํ &า d– ลิตร สามารถป้องกันกําจัดเพลี &ย ไฟได้ •–-—e% นาน g–-gd วัน cyantraniliprole อัตรา l– มล./นํ &า d– ลิตร สามารถป้องกันกําจัด เพลี &ยไฟได้ •–-¢–% นาน •-g– วัน และ fipronil อัตรา ”– และ e– มล./นํ &า d– ลิตร สามารถ ป้องกันกําจัดเพลี &ยไฟได้ •–-¢–% นาน •-g– วัน ผลการทดลองนี &สามารถนําไปใช้ ในการวาง แผนการป้องกันกําจัดโดยวิธีผสมผสาน และใช้ ในคําแนะนําการพ่นสารแบบหมุนเวียนเพืIอลด ปั ญหาความต้ านทานต่อสารฆ่าแมลงในเพลี &ยไฟเมล่อนในกล้ วยไม้ สกุลหวาย คําสําคัญ : สารป้องกันกําจัดศัตรูพืช การป้องกันกําจัดแบบผสมผสาน การผลิตกล้ วยไม้ คําแนะนํา ความต้ านทานต่อสารฆ่าแมลง

33


OEA-05

Efficacy of Various Insecticides from Different Mode of Action for Controlling Melon Thrips (Thrips palmi Karny) in Dendrobium Orchids Srijumnun Srijuntra Suprada Sukonthabhirom na Pattalung and Somsak Siriphontangmun Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT Melon thrips (Thrips palmi Karny) is important insect pest in dendrobium orchids. This pest showed resistance to many insecticides. Searching efficacious insecticides for controlling this pest is still necessary for planning integrated pest control. The efficacy of insecticides from different mode of action for controlling melon thrips in dendrobium orchid was evaluated. The experiments were conducted on orchid farms at Nakhon Pathom Province and Pathum Thani Province during NovemberDecember 2017. The experimental design was RCB with 12 treatments and 3 replications. The treatments were the applications of fipronil 5% SC (Group 2), imidacloprid 70% WG (Group 4A), sulfoxaflor 24% SC (Group 4C), spinetoram 12 % SC (Group 5), abamectin 1.8% EC (Group 6), emamectin benzoate 1.92% EC (Group 6), chlorfenapyr 10%SC (Group 13) and cyantraniliprole 10 %OD (Group 28) compared with untreated control. The results indicated that four groups of insecticide showed good efficacy for controlling melon thrips which were spinetoram at the rate of 10 and 15 ml/ 20 L of water can control thrips 80-92% in 7-14 days, chlorfenapyr at the rate of 30 ml/ 20 L of water can control thrips 70-95% in 10-12 days, cyantraniliprole at the rate of 40 ml/ 20 L of water can control thrips 70-80% in 7-10 days and fipronil at the rate of 30 and 50 ml/ 20 L of water can control thrips 70-80% in 7-10 days. The results obtained could be used in planning integrated pest control and used as recommendation for insecticide rotation to retard resistance problem in melon thrips in dendrobium orchids. Keywords: pesticide, integrated pest control, orchid production, recommendation, insecticide resistance

34


OEA-06

รู ปแบบการใช้ สารฆ่ าแมลงแบบหมุนเวียนกลุ่มกลไกการออกฤทธิž เพืZอป้ องกันกําจัดเพลีย8 ไฟเมล่ อน (Thrips palmi Karny) ในกล้ วยไม้ สกุลหวาย ศรี จาํ นรรจ์ ศรี จนั ทรา สุภราดา สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง และ สมศักดิž ศิริพลตัง8 มัZน สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ การผลิตกล้ วยไม้ สกุลหวายเพืIอการส่งออกมักประสบปั ญหาการต้ านทานต่อสารฆ่าแมลง ในเพลี &ยไฟเมล่อน การใช้ สารฆ่าแมลงแบบหมุนเวียนเป็ นวิธีการทีIลดปั ญหาดังกล่าวได้ จึงทําการ ทดลองเพืIอหารูปแบบการใช้ สารฆ่าแมลงโดยการหมุนเวียนกลุม่ กลไกการออกฤทธิ¾เพืIอป้องกัน กําจัดเพลี &ยไฟเมล่อนในกล้ วยไม้ สกุลหวายทีIเหมาะสม ดําเนินการทีIแปลงกล้ วยไม้ ของเกษตรกรใน อําเภอนครชัยศรี และอําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2562 วางแผนการทดลองแบบ RCB 4 ซํ &า 6 กรรมวิธี ประกอบด้ วย การพ่นสารแบบหมุนเวียน ของสารฆ่าแมลง spinetoram 12 % SC (กลุม่ 5), chlorfenapyr 10%SC (กลุม่ 13), cyantraniliprole 10 % OD (กลุม่ 28), fipronil 5% SC (กลุม่ 2), emamectin benzoate 1.92% EC และ abamectin 1.8% EC (กลุม่ 6) ใน 4 รูปแบบ เปรี ยบเทียบกับการพ่นสารตามวิธีเกษตรกร และการไม่พน่ สาร พบว่ารูปแบบการพ่นสารแบบหมุนเวียนในทุกรอบวงจรชีวิตเพลี &ยไฟ 14 วัน คือ การพ่นสาร spinetoram 1 ครัง& ตามด้ วย abamectin 3 ครัง& ตามด้ วย fipronil 2 ครัง& เป็ นรูปแบบทีI ดีทีIสดุ สามารถควบคุมจํานวนเพลี &ยไฟให้ มีระดับตํIา 0.20-1.25 และ 0.23-1.33 ตัว/ช่อดอก ใน แปลงกล้ วยไม้ ทีIอําเภอนครชัยศรี และอําเภอเมืองนครปฐม ตามลําดับ ซึงI ไม่แตกต่างทางสถิตกิ บั การพ่นสารของเกษตรกรซึงI พบเพลี &ยไฟ 0.30-1.73 และ 0.23-1.33 ตัว/ช่อดอก ตามลําดับ ต้ นทุน การพ่นสารรูปแบบดังกล่าวต่อรอบเท่ากับ 466.00 บาท/ไร่ ซึงI ใกล้ เคียงกับต้ นทุนการพ่นสารตาม วิธีเกษตรกรคือ 462.66 บาท/ไร่ รูปแบบการพ่นสารแบบหมุนเวียนทีIได้ เหมาะสมทีIจะใช้ แนะนํา เพืIอลดปั ญหาความต้ านทานในเพลี &ยไฟทีIทําลายกล้ วยไม้ คําสําคัญ : การป้องกันกําจัดเพลี &ยไฟ การป้องกันกําจัดโดยวิธีเคมี ความต้ านทานสารฆ่าแมลง การปลูกกล้ วยไม้

35


OEA-06

Rotation Spraying Pattern for Insecticides with Different Mode of Action for Controlling Melon Thrips (Thrips palmi Karny) in Dendrobium Srijumnun Srijuntra Suprada Sukonthabhirom na Pattalung and Somsak Siriphontangmun Plant Protection Research Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT Dendrobium production for exportation has encountered insecticide resistance problem in melon thrips (Thrips palmi Karny). Insecticide rotation is the method that can reduce this problem. The experiments were conducted to find proper insecticide rotation pattern using insecticides from different mode of action for controlling melon thrips in dendrobium. The experiments were carried out in farmer’s farms at Nakhon Chai Si district and Mueang Nakhon Pathom district, Nakhon Pathom province during January-February 2019. The experiments were designed in RCB with 6 treatments and 4 replications. The treatments were composed of 4 different insecticide rotation patterns using insecticides from different mode of action; spinetoram 12 % SC (Group 5), chlorfenapyr 10%SC (Group 13), cyantraniliprole 10 % OD (Group 28), fipronil 5% SC (Group 2), emamectin benzoate 1.92% EC and abamectin 1.8% EC (Group 6); compared with farmer’s spraying and untreated control. The results revealed that the rotation spraying pattern of spinetoram 1 time - abamectin 3 times - fipronil 2 times, in every 14-day interval of thrips life cycle was the best rotation spraying pattern because this pattern can control thrips number as low as 0.20-1.25 and 0.23-1.33 insects/inflorescence in Nakhon Chai Si and Mueang Nakhon Pathom farm, respectively which was not significantly different from farmer’s spraying which can control thrips number as 0.30-1.73 and 0.45-1.33 insects/inflorescence in two farms, respectively. The cost of this insecticide rotation spraying pattern per cycle was 466 bath/rai which was not much different from that of 462.66 bath/rai of farmer’s spraying. Insecticide rotation pattern obtained was proper for recommendation to reduce insecticide resistance problem in thrips damaging orchids. Keywords: Thrips control, chemical control, insecticide resistance, orchid production

36


OEA-07

ผลของสารฆ่ าแมลงชนิดต่ าง ๆ ต่ อการตายของเพลีย8 ไฟพริก (Scirtothrips dorsalis Hood) ทีZทาํ ลายมะม่ วงในแหล่ งปลูกสําคัญ สุภราดา สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ศรี จาํ นรรจ์ ศรี จนั ทรา และ สมศักดิž ศิริพลตัง8 มัZน สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ djkjj

บทคัดย่ อ ข้ อมูลการตายของแมลงเมืIอได้ รับสารฆ่าแมลงทําให้ ทราบเบื &องต้ นว่าสารฆ่าแมลงชนิดใด เหมาะสมทีIจะนํามาใช้ แบบหมุนเวียนเพืIอลดปั ญหาความต้ านทาน จึงทําการทดลองเพืIอทราบผล ของสารฆ่าแมลงชนิดต่าง ๆ ต่อการตายของเพลี &ยไฟพริ ก (Scirtothrips dorsalis Hood) ทีIทําลาย มะม่วงในแปลงเกษตรกรทีIอําเภอเมืองสุพรรณบุรี อําเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี อําเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก อําเภอบางคล้ า จังหวัดฉะเชิงเทรา และ อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ทํา การทดลองในห้ องปฏิบตั กิ ารโดยใช้ ใบอ่อนมะม่วงชุบด้ วยสาร fipronil 5% SC, lambdacyhalothrin 2.5 % CS, imidacloprid 70% WG, acetamiprid 20% SP, spinetoram 12% SC, emamectin benzoate 1.92% EC, abamectin 1.8% EC, chlorfenapyr 10% SC และ cyantraniliprole 10% OD โดยชุบสารแต่ละชนิดทีIความเข้ มข้ นตามอัตราแนะนําและทีIความ เข้ มข้ น d เท่าของอัตราแนะนํา แล้ วนําไปให้ เพลี &ยไฟพริ กทีIเก็บจากแปลงมะม่วงในแหล่งต่าง ๆ ดูด กิน บันทึกเปอร์ เซ็นต์การตายหลังจากให้ เพลี &ยไฟดูดกินใบอ่อนมะม่วงทีIชบุ สารฆ่าแมลงเป็ นเวลา l¢ ชัวI โมง ผลการทดลองพบว่าสารทีIทําให้ เพลี &ยไฟตายตังแต่ & f– % ขึ &นไปทีIความเข้ มข้ นตามอัตรา แนะนํา หรื อตายตังแต่ & ¢– % ขึ &นไปทีIความเข้ มข้ น d เท่าของอัตราแนะนําคือ สาร fipronil, spinetoram, emamectin benzoate และ chlorfenapyr ในเพลี &ยไฟจากอําเภอเมืองสุพรรณบุรี อําเภอสามชุก และอําเภอบางคล้ า สาร spinetoram, emamectin benzoate และ chlorfenapyr ในเพลี &ยไฟจากอําเภอวังทอง และอําเภอปากช่อง ข้ อมูลทีIได้ ชว่ ยในการเลือกสารฆ่าแมลงทีI เหมาะสมเพืIอใช้ แบบหมุนเวียนเพืIอลดปั ญหาความต้ านทานในเพลี &ยไฟทีIทําลายมะม่วงในแต่ละ แหล่งปลูก คําสําคัญ : ศัตรูมะม่วง ความต้ านทานสารฆ่าแมลง ประสิทธิภาพสารฆ่าแมลง การหมุนเวียนสาร ฆ่าแมลง

37


OEA-07

Effect of Various Insecticides on Mortality of Chili Thrips (Scirtothrips dorsalis Hood) damaging Mangoes in Major Planting Areas Suprada Sukonthabhirom na Pattalung Srijumnun Srijuntra and Somsak Siripontangmun Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT Mortality data of insect pests after exposing to insecticides approximately guides proper insecticides to be used in insecticide rotation for retarding resistance problem. This experiment examined the effect of various insecticides on mortality of chili thrips (Scirtothrips dorsalis Hood) damaging mangoes in farmers’ farms at Mueang Suphan Buri district and Sam Chuk district, Suphan Buri province; Wang Thong district, Phitsanulok province; Bang Kla district, Chachoengsao province and Pak Chong district, Nakhon Ratchasima province. The experiment was conducted in laboratory using young mango leaves dipped with various insecticides; fipronil 5% SC, lambda-cyhalothrin 2.5 % CS, imidacloprid 70% WG, acetamiprid 20% SP, spinetoram 12% SC, emamectin benzoate 1.92% EC, abamectin 1.8% EC, chlorfenapyr 10% SC and cyantraniliprole 10% OD; at their recommended dose and at 2-fold of their recommended dose and then fed to the chili thrips collected from farmers’ mango fields. The mortality percentage was recorded after feeding for 48 hr. The results indicated that the insecticides that caused > 60% mortality at their recommended dose or > 80% mortality at 2-fold of their recommended dose in thrips from Mueang Suphan Buri district, Sam Chuk district and Bang Khla district were fipronil, spinetoram, emamectin benzoate and chlorfenapyr; in thrips from Wang Thong district and Pak Chong district were spinetoram, emamectin benzoate and chlorfenapyr. The data obtained facilitated selection of proper insecticides for insecticide rotation to retard resistance problem in thrips damaging mango in each planting area. Keywords: Mango pest, insecticide resistance, insecticide efficacy, insecticide rotation

38


OEA-08

ออกแบบและพัฒนาคานหัวฉีดแบบใช้ แรงลมช่ วย (air-assisted boom sprayer) ในการป้ องกันกําจัดเพลีย8 ไฟข้ าว; Stenchaetothrips biformis ในนาข้ าว ยุทธนา เครื อหาญชาญพงค์ d พฤทธิชาติ ปุญวัฒโทg พักตร์ วภิ า สุทธิวารี d พงษ์ ศักดิž ต่ ายก้ อนทองd นิรุติ บุญญาd วรวิช สุดจริตธรรมจริยางกูรg สุภางคนา ถิรวุธg สุชาดา สุพรศิลป์ g นลินา ไชยสิงห์ g และ อัคคพล เสนาณางค์ d สถาบันวิจยั เกษตรวิศวกรรม -j ถ.พหลโยธิน ลาดยาว จตุจกั ร กทม djkjj สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช -j ถ.พหลโยธิน ลาดยาว จตุจกั ร กทม djkjj d

g

บทคัดย่ อ การพ่นสารกําจัดแมลงศัตรูข้าวใช้ นํ &า แรงงาน เวลาพ่นค่อนข้ างมาก เพืIอแก้ ปัญหา ดังกล่าว ผู้วิจยั จึงออกแบบคานหัวฉีดแบบใช้ แรงลมช่วย ลมถูกสร้ างจากเพลาอํานวยกําลังของรถ แทรกเตอร์ ผา่ นเกียร์ ทด ไปยังพัดลมทีI สร้ างลมความเร็ว g–– กิโลเมตรต่อชัวI โมง คานหัวฉีดกว้ าง f เมตร ต่อพ่วงกับรถแทรกเตอร์ ขนาด ”l แรงม้ า ใช้ หวั ฉีดแบบพัด — หัว ความสามารถในการฉีด พ่น dg.” ไร่ตอ่ ชัวI โมง ประสิทธิภาพการทํางาน —e เปอร์ เซ็นต์ ใช้ นํ &ามันเชื &อเพลิง –.”• ลิตรต่อไร่ ทดสอบประสิทธิภาพด้ วยวิธี colorimetric method ในข้ าวระยะกล้ า โดยพ่นด้ วยคานหัวฉีดแบบ ใช้ แรงลมช่วยอัตรา d– ลิตรต่อไร่ เปรี ยบเทียบกับคานหัวฉีดของเกษตรกรอัตรา l– ลิตรต่อไร่ และ ก้ านพ่นแบบปรับมุมด้ านท้ ายอัตรา l– และ f– ลิตรต่อไร่ ผลการทดลองพบว่าการพ่นด้ วยคาน หัวฉีดแบบใช้ แรงลมช่วยพบความหนาแน่นของละอองสารสูงสุด มีการตกค้ างของละอองสารบน ต้ นข้ าวไม่แตกต่างกับการพ่นอืIน ๆ โดยมีการสูญเสียลงสูด่ นิ น้ อยกว่าและปลิวสูพ่ ื &นทีIนอก เป้าหมายเพียง ” เมตร จากนันนํ & าคานหัวฉีดแบบใช้ แรงลมช่วยมาทดสอบด้ วยสาร thiacloprid 24% SC อัตราแนะนําทีI f มิลลิลติ รต่อไร่ และอัตรา l.¢ มิลลิลติ รต่อไร่(ลดอัตรา d–%) เปรี ยบเทียบกับคานหัวฉีดของเกษตรกรอัตรา l0 ลิตรต่อไร่ และก้ านพ่นแบบปรับมุมด้ านท้ าย อัตรา l– ลิตรต่อไร่ด้วยสาร thiacloprid 24% SC อัตราแนะนํา f มิลลิลติ รต่อไร่ พบว่าทุกกรรมวิธี มีประสิทธิภาพในการป้องกันกําจัดเพลี &ยไฟข้ าวเทียบเท่ากัน การพ่นด้ วยคานหัวฉีดแบบใช้ แรงลม ช่วยนอกจากลดอัตรานํ &าได้ e–% และยังลดอัตราการใช้ สารได้ d–% คําสําคัญ : เครืI องพ่นแบบใช้ ลมช่วย ข้ าว อารักขาพืช

39


OEA-08

A Design and Development of an Air-Assisted Boom Sprayer for Controlling Rice Thrips; Stenchaetothrips biformis, in Paddy Fields Yuttana Khaehanchanpong1 Pruetthichat Punyawattoe2 Phakwipa Suttiwaree1 Pongsak Taikonthong1 Nirut Boonya2 Woravit Sutjaritthammajaraiyangkun2 Supangkana Thirawut2 Suchada Supornsin2 Nalina Chaiyasing2 and Akkapol Senanarong1 Agricultural Engineering Research Institute 50 Phahonyothin Ladyao Chajujak Bangkok 10900 Plant Protection Research and Development Office 50 Phahonyothin Ladyao Chajujak Bangkok 10900 1

2

ABSTRACT Rice pesticide spraying requires high volume of water and is alabor-intensive and time-consuming process. To resolve this, the research team developed an airassisted boom sprayer. The wind is generated from a tractor power take-offthrough areduction gear and then to a fan with the blowing speed of 100 km/hr.This 6-metrewide air-assisted boom sprayer with 9 fan nozzles is mounted to a 34-horsepower tractor. This equipment has the spraying capacity of 21.3 rai/hr, the working capacity of 95%, and the fuel oil consumption rate of 0.37 l/rai. The efficacy test employing the colorimetric method was conducted during the seedling stage. A comparison between the developed equipment with the spray volumeof 20 l/rai and a boom sprayer widely used by farmerswith the spray volume of 40 l/rai, both employing a spray lance with the spray volume of 40 and 60 l/rai, was also performed.The findings showed that the developedboom sprayer produces the highest droplet density and that the spray deposition on rice plants isnot different from thatproduced by theother sprayers.In addition, itreduced spray losses to the ground and the spray drift deposition on the groundismerely 3 metresbeyond the targeted area. To evaluate the bio-efficacy of spraying techniques, the effect of the insecticide for rice thrips when treated with thiacloprid 24% SC- 6ml/rai (recommendation rate) and 4.8 ml/rai (20% reduced from recommendation rate) and the boom sprayer using the same insecticide (at the recommendation rate) and with the spray volume of 40l/raiwas carried out. The results indicated that allspray applicationsprovide similareffect for control of rice thrips. Also, the pesticide spraying employing the developed air-assisted boom sprayer helps reduce water use by 50% and chemical use by 20%. Keywords: Air assist boom sprayer, rice, plant protection 40


OPB-01

บทบาทของโมเลกุลในการยับยัง8 ระบบ type III secretion ของแบคทีเรี ยสาเหตุ โรค ใบจุดนูนถัZวเหลือง เอกชัย ขวัญบัว และ ติยากร ฉัตรนภารั ตน์ ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ djkjj

บทคัดย่ อ ระบบ type III secretion (T3SS) เป็ นปั จจัยทีIสาํ คัญในการก่อให้ เกิดความรุนแรงโรคใน แบคทีเรี ยสาเหตุโรคพืชหลายชนิด การยับยังระบบ & T3SS ของแบคทีเรี ยจึงเป็ นกลยุทธ์ทางเลือกใน การพัฒนาสารเพืIอควบคุมโรคทีIเกิดจากแบคทีเรี ย แบคทีเรี ยสาเหตุโรคใบจุดนูนถัวI เหลือง Xanthomonas citri pv. glycines (Xcg) เป็ นหนึงI ในแบคทีเรี ยสาเหตุโรคพืชทีIมีความสําคัญใน การก่อโรคในถัวI เหลือง การศึกษาในครัง& นี &จึงศึกษาบทบาทของ small molecules ในการยับยัง& ระบบ T3SS ของแบคทีเรี ย Xcg gd-d จากการคัดเลือก small molecules จํานวน — ชนิด ทีIมี รายงานว่ามีผลในการยับยังระบบ & T3SS พบว่า trans-2-phenylcyclopropane-1-carboxylic acid (No.”) และ benzoic acid (No.f) สามารถยับยังการเกิ & ดปฏิกิริยา HR ของเชื &อ Xcg gd-d และเมืIอตรวจสอบการแสดงออกของยีนในระบบ T3SS ด้ วยวิธี quantitative reverse transcription-polymerase chain reaction (qRT-PCR) พบว่าการแสดงออกของยีนในระบบ T3SS ของ Xcg gd-d มีการแสดงออกลดลงเมืIอเลี &ยงเชื &อร่วมกับ benzoic acid ทีIความเข้ มข้ น 200 µM แสดงให้ เห็นว่า benzoic acid สามารถยับยังการแสดงออกของ & T3SS แต่ในทางกลับกัน พบว่า trans-2-phenylcyclopropane-1-carboxylic acid สามารถกระตุ้นการแสดงออกของเชื &อ Xcg gd-d ได้ เพิIมมากขึ &น และจากการทดสอบประสิทธิภาพของสาร trans-2phenylcyclopropane-1-carboxylic acid และ benzoic acid ในควบคุมโรคใบจุดนูนถัวI เหลือง ในสภาพเรื อนทดลองพบว่า benzoic acid สามารถลดการเกิดโรคใบจุดนูนถัวI เหลืองทีIเกิดจากเชื &อ Xcg gd-d ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษานี &แสดงให้ เห็นว่า small molecules ทีIมีผลยับยัง& ระบบ type III secretion systems ของแบคทีเรี ยสาเหตุโรคใบจุดนูนถัวI เหลือง ซึงI สามารถใช้ เป็ น อีกหนึงI ทางเลือกในการควบคุมโรคพืชทีIเกิดจากแบคทีเรี ยต่อไป คําสําคัญ : โรคพืชทีIเกิดจากเชื &อแบคทีเรี ย โรคของถัวI เหลือง trans-2-phenylcyclopropane-1carboxylic acid กรดเบนโซอิก

41


OPB-01

Roles of Molecules for Inhibiting Type III Secretion System of Xanthomonas citri pv. glycines Causing Bacterial Pustule of Soybean Ekkachai Khwanbua and Tiyakhon Chatnaparat Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900

ABSTRACT Type III secretion systems (T3SSs) are major virulence factors in several gram negative bacterial plant pathogens. Recently, the inhibition of T3SS is regarded as an alternative strategy for the development of new agents for bacterial diseases control. Xanthomonas citri pv. glycines (Xcg) is one of the most important bacterial pathogens on soybean, which causes bacterial pustule disease. In this study, the roles of small molecule for inhibiting type III secretion of Xcg strain 12-2 were investigated. A total of 9 different small molecules were screened for their effects on the T3SS expression of Xcg 12-2. We found that trans-2-phenylcyclopropane-1-carboxylic acid (No.3) and benzoic acid (No.6) were able to reduce the hypersensitive response (HR) caused by Xcg on non-host tobacco plants. The expression of T3SS genes of Xcg 12-2 were reduced in the Xcg cells treated with 200 ÂľM benzoic acid when determined by quantitative reverse transcription-polymerase chain reaction (qRT-PCR) analysis, suggesting that expression of T3SS of Xcg 12-2 was suppressed by benzoic acid. However, the expression of T3SS genes of Xcg 12-2 was increased by trans-2-phenylcyclopropane-1-carboxylic acid. These benzoic acid and trans-2-phenylcyclopropane-1-carboxylic acid were then tested for their abilities to control bacterial pustule on soybean. Benzoic acid was able to reduce the disease severity of bacterial pustule caused by Xcg 12-2. This study demonstrated the efficiency of T3SS inhibitor molecules to discover compounds that could be alternatively applied to control bacterial plant diseases. Keywords: bacterial plant disease, diseases of soybean, trans-2-phenylcyclopropane-1carboxylic acid, benzoic acid

42


OPB-02

การศึกษาโปรติโอมิคส์ ของมันสําปะหลังพันธุ์ต้านทานและอ่ อนแอต่ อ โรคใบด่ างมันสําปะหลัง สุกัญญา ฤกษ์ วรรณ1 สิทธิรักษ์ รอยตระกูล2 นวลนภา เหมเนียม1 กิZงกาญจน์ เสาร์ คาํ 3 ศิริกาญจน์ หรรษาวัฒนกุล4 จุฑาทิพย์ ถวิลอําพันธ์ 1 และ วันวิสา ศิริวรรณ์ 1 ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ 10900 ศูนย์ พนั ธุวศิ วกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่ งชาติ อุทยานวิทยาศาสตร์ ประเทศไทย ปทุมธานี 12120 3 ศูนย์ เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นครปฐม 73140 4 ภาควิชาพืชไร่ นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ 10900 1

2

บทคัดย่ อ มันสําปะหลัง (Manihot esculenta Crantz) เป็ นแหล่งคาร์ โบไฮเดรตทีIสาํ คัญ ในปั จจุบนั ได้ กลายเป็ นพืชเศรษฐกิจทีIสาํ คัญในหลายประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศ ไทย กัมพูชาและเวียดนาม อย่างไรก็ตามการผลิตมันสําปะหลังได้ ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กีIปีทีI ผ่านจากการระบาดของโรคใบด่างมันสําปะหลัง (CMD) ทีIเกิดจากเชื &อไวรัส Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) ซึงI จัดอยูใ่ น genus Begamoviruses และ family Geminiviridae SLCMV มีการแพร่กระจายอย่างรุนแรงในกัมพูชา เวียดนามและไทย การระบาดของโรคซึงI เกิด จากการติดเชื &อจากท่อนพันธุ์และมีแมลงหวีIขาว Bemisia tabaci เป็ นแมลงพาหะ ทําให้ ผลผลิต ลดลง l–-¢– % ทังนี & &ขึ &นอยูก่ บั ระยะการติดเชื &อของพืช การศึกษาครัง& นี &มีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษา รูปแบบโปรตีนทีIแสดงออกในพันธุ์ต้านทานและอ่อนแอต่อโรคใบด่างมันสําปะหลัง เพืIอทราบ โปรตีนทีIมีความจําเพาะในมันสําปะหลังสายพันธุ์ต้านทาน ด้ วยเทคนิคโปรตีโอมิกส์ ในการทดลอง ครัง& นี &เป็ นการเปรี ยบเทียบรูปแบบของโปรตีนในมันสําปะหลังพันธุ์ TME3 ซึงI เป็ นพันธุ์ต้านทานและ มันสําปะหลังพันธุ์การค้ าเกษตรศาสตร์ e– พบว่าโปรตีนทีIพบเฉพาะมันสําปะหลังพันธุ์ TME3 มี fl โปรตีน และ e¢ โปรตีน พบเฉพาะมันสําปะหลังพันธุ์เกษตรศาสตร์ e– ในขณะเดียวกันพบว่า โปรตีนของมันสําปะหลังพันธุ์ TME3 และ เกษตรศาสตร์ e– มี ”lf โปรตีนทีIเหมือนกัน จากผล การศึกษาแสดงให้ เห็นว่า รูปแบบโปรตีนของพันธุ์มนั สําปะหลังทีIต้านทานและอ่อนแอต่อโรคใบ ด่างมันสําปะหลังทีIมีแตกต่างกันอาจจะมีผลต่อความต้ านทานต่อโรคใบด่างมันสําปะหลัง ข้ อมูล พื &นฐานของรูปแบบโปรตีนทีIได้ จากการศึกษาครัง& นี & นักปรับปรุงพันธุ์สามารถนําไปใช้ เป็ น เครืI องหมายพันธุกรรมในการคัดเลือกพันธุ์ต้านทานในอนาคตได้ คําสําคัญ : โปรติโอมิคส์ มันสําปะหลังพันธุ์ต้านทานและอ่อนแอ โรคใบด่างมันสําปะหลัง

43


OPB-02

Proteomic of resistant and susceptible cassava verities to Cassava mosaic disease Sukanya Roekwan1 Sittiruk Roytrakul2 Nuannapa Hemniam1 Kingkan Saokham3 Sirikan Hunsawattanakul4 Jutathip Thawinampan1 and Wanwisa Siriwan1 Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900 National Center for Genetic Engineering and Biotechnology, Thailand Science Park, Pathum Thani 12120 3 Center of Agricultural Biotechnology, Kasetsart University, Nakhon Pathom 73140 4 Department of Agronomy, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900 1

2

ABSTRACT Cassava (Manihot esculenta Crantz) is an important source of carbohydrates. Today it has become one of the major crops in many countries of Southeast Asia. Especially, Thailand, Cambodia and Vietnam. However, the Southeast Asian cassava production has been rapidly decreased in this recent years which being affected by Cassava mosaic disease (CMD). Caused by the Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) which is classified to the Genus of Begamoviruses and family of Geminiviridae. SLCMV has been wildly spread in Cambodia, Vietnam and Thailand. Disease outbreak which is transmitted by cutting material and whitefly Bemisia tabaci as an insect vector. The yield losses due to CMD infection could affect to 40-80% depending on the infection stage of plant. The objective of study was to study the protein patterns expressed in resistant and susceptible varieties to cassava mosaic disease for understand of specific proteins in the resistance cassava varieties by proteomic techniques. In this experiment, the comparison of protein patterns in resistant variety (TME3) and commercial variety (Kasetsart 50). It was found that the unique protein found in TME3 and KU50 were 64 and 58 proteins. At the same time, the similarity protein of cassava TME3 and Kasetsart 50 were 346 proteins. The results show that differential protein patterns of cassava resistant and susceptible varieties maybe involve to the level of cassava mosaic disease resistance. For this proteomic information the breeders could apply them as genetic markers for select the resistance variety in the future. Keywords: Proteomic, Resistance and commercial variety, Cassava mosaic disease

44


OPB-03

การศึกษาจีโนมเชือ8 แบคทีเรี ย Xanthomonas oryzae pv. oryzae ทีZพบในประเทศไทย ธิตมิ า จินตกานนท์ 1,3 ไพเราะ ขวัญงาม2 จุฑาเทพ วัชระไชยคุปต์ 1,3 วิชัย โฆสิตรั ตน1,2,3 และ สุจนิ ต์ ภัทรภูวดล1,2,3 ศูนย์ เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน จ.นครปฐม 73140 ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน จ.นครปฐม 73140 3 ศูนย์ ความเป็ นเลิศด้ านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร สํานักพัฒนาบัณฑิตศึกษา และวิจยั ด้ านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สํานักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา กรุ งเทพฯ 10900 1

2

บทคัดย่ อ โรคขอบใบแห้ งของข้ าว (Bacterial leaf blight of rice) เป็ นโรคทีIสร้ างความเสียหายต่อ ผลผลิตข้ าวทังภายในประเทศและต่ & างประเทศ โดยมีสาเหตุมาจากเชื &อแบคทีเรี ย Xanthomonas oryzae pv. oryzae (XOO) จากการรวบรวมเชื &อ XOO ในพื &นทีIปลูกข้ าวจํานวน gg จังหวัดของ ประเทศไทย ตังแต่ & ปี พ.ศ. 2551 ถึงปี พ.ศ. 2561 และจัดกลุม่ ปฏิกิริยาความรุนแรงของเชื &อ X. oryzae pv. oryzae จํานวน 114 ไอโซเลท บนข้ าวสายพันธุ์คแู่ ฝดทีIมียีนเดีIยวทีIต้านทานโรคต่อโรค ขอบใบแห้ งจากสถาบันวิจยั ข้ าวนานาชาติ จํานวน 11 สายพันธุ์ สามารถจัดเชื &อ XOO ได้ 30 สาย พันธุ์ (pathotype) จากนันคั & ดเลือกตัวแทนเชื &อ XOO ในแต่ละ pathotype เพืIอเป็ นตัวแทนของเชื &อ XOO ในประเทศไทยสําหรับนําไปวิเคราะห์จีโนม โดยนํามาสกัดดีเอ็นเอด้ วยชุดสกัดสําเร็จรูป Presto™ Mini gDNA Bacteria Kit นําตัวอย่างจีโนมิกดีเอ็นเอทีIสกัดได้ สง่ ไปวิเคราะห์จีโนมกับ บริ ษัท Vishuo Biomedical (Thailand) Ltd. และ Novogene Leading Edge Genomic Service & Solution และวิเคราะห์จีโนมของเชื &อเปรี ยบเทียบกับข้ อมูลจีโนม XOO สายพันธุ์ SK2-3 (XOOSK2-3) ทีIเป็ นเชื &อจากประเทศไทยทีIได้ ตีพิมพ์ไว้ ในฐานข้ อมูล National Center for Biotechnology Information (NCBI) มี NCBI accession number คือ NZ_CP–g—ege จากการ วิเคราะห์จีโนมตัวแทนของเชื &อทัง& 30 pathotypes มีเปอร์ เซ็นต์ลาํ ดับนิวคลิโอไทด์ของจีโนม เหมือนกับเชื &อ XOO-SKd-” มากกว่า —e เปอร์ เซ็นต์ มีจํานวน Single-nucleotide variant ตังแต่ & dddg จนถึง gd–g— ตําแหน่ง และ Insertion–deletions variation อยูร่ ะหว่าง g”d-l”” ตําแหน่ง โดยข้ อมูลจีโนมของเชื &อสายพันธุ์เหล่านี &สามารถนําไปพัฒนาเป็ นเครืI องมือในการตรวจติดตามการ ระบาดของเชื &อในระดับสายพันธุ์ (pathotype) และค้ นหายีนต้ านทานโรคทีIสามารถควบคุมเชื &อนี & ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ คําสําคัญ : โรคขอบใบแห้ งของข้ าว Xanthomonas oryzae pv. oryzae จีโนม

45


OPB-03

Whole genome sequencing of Thai Xanthomonas oryzae pv. oryzae Thitima Chintaganon1,3, Pairoh Khwanngam2, Jutatape Watcharachaiyakup1,3, Wichai Kositratana1,2,3 and Sujin Patarapuwadol1,2,3 Center for Agricultural Biotechnology, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus, Nakhon Pathom 73140 2 Department of plant Pathology, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus, Nakhon Pathom 73140 3 Center of Excellence on Agricultural Biotechnology: (AG-BIO/PERDO-CHE), Bangkok 10900 1

ABSTRACT Bacterial leaf blight disease (BLB) caused by Xanthomonas oryzae pv. oryzae (XOO) is one of the most serious disease of rice production worldwide. A total of 114 isolates of XOO collected from 11 provinces from 2008 to 2018 in Thailand and race classification on the 11 near-isogenic rice lines with a Xa gene were classified into 30 pathotypes. 30 strains of XOO representing each pathotype were selected for whole genome sequencing. Genomic DNA of XOO was extracted using the Presto™ Mini gDNA Bacteria Kit. The genome sequence was determined with Illumina Hi Seq approach by Vishuo Biomedical (Thailand) Ltd. and Novogene Leading Edge Genomic Service & Solution. Reference genome of Thai’s XOO -SK2-3 which NCBI accession number is NZ_CP019515 was used for genome comparison. The result showed the representative of each pathotype have a genome mapping percentage of over 95 percent. Single-nucleotide variant (SNV) is between 2221 to 12019 and Insertion– deletions variation (indels) is between 132- 433. The genome data of this major XOO pathotypes will lead to the development of tools for real-time monitoring of XOO pathotypes and determining disease resistance genes for efficient control this disease. Keywords: Bacterial leaf blight disease, Xanthomonas oryzae pv. oryzae, Genome analysis

46


OPB-04

การตอบสนองของหน้ าวัว (Anthurium andraeanum) ต่ อเชือ8 Lasiodiplodia sp. สาเหตุโรคปลีเน่ า วิไลลักษณ์ แดงสุวรรณd ปริศนา วงค์ ล้อมg และ อนุรักษ์ สันป่ าเป้ าd ภาควิชาการจัดการศัตรู พชื คณะทรั พยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา kjddg สาขาวิชาพืชศาสตร์ คณะเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง อ.ป่ าพะยอม จ.พัทลุง 93120 d

g

บทคัดย่ อ โรคปลีเน่าในหน้ าวัวเป็ นโรคทีIสร้ างความเสียหายกับผลผลิตดอกหน้ าวัว มีสาเหตุมาจาก เชื &อ Lasiodiplodia sp. งานวิจยั นี &จึงมีวตั ถุประสงค์เพืIอทดสอบการตอบสนองของหน้ าวัวต่อเชื &อ Lasiodiplodia sp. โดยทําการปลูกเชื &อลงบนปลีดอกหน้ าวัวจํานวน ¢ ไอโซเลท (NK1, NK2, SK1, SK2, KB1, KB2, PTg และ PTd) บนหน้ าวัว l สายพันธุ์ ได้ แก่ พันธุ์แองเจิล คาสิโน เชียร์ และพิ ตาเช่ โดยกรรมวิธี agar plug บ่มทีIอณ ุ หภูมิห้อง (d¢±d ºC) เป็ นเวลา l วัน บันทึกผลโดยการวัด ขนาดแผล ย้ อม H2Od โดย ”’”-Diaminobenzidine (DAB) วัดกิจกรรมเอนไซม์ l ชนิด ได้ แก่ β1,3-glucanase, cellulase, chitinase, peroxidase และ xylanase พบว่า ไอโซเลท NKg ทีIปลูก เชื &อลงบนพันธุ์แองเจิล มีความรุนแรงทีIสดุ เกิดแผลขนาด g.l– เซนติเมตร ย้ อมติดสีนํ &าตาลแดง ของ H2Od ในปลีดอก มีคา่ กิจกรรมเอนไซม์ cellulase, xylanase และ peroxidase เท่ากับ 0.455, –.–ee และ e–.ge U/ml ตามลําดับ และค่ากิจกรรมของ cell-wall degrading enzymes ชนิด β-1,3-glucanase และ chitinase เท่ากับ –.–gf และ –.––” U/ml ตามลําดับ ขณะทีIไอโซ เลท PTd ทีIปลูกเชื &อลงบนพันธุ์คาสิโน มีความอ่อนแอทีIสดุ เกิดแผลขนาด –.g เซนติเมตร ไม่มีการ สะสม H2Od ในปลีดอก มีคา่ กิจกรรมเอนไซม์ cellulase, xylanase และ peroxidase เท่ากับ 0.314, –.––de และ ”g.de U/ml ตามลําดับ และค่ากิจกรรมของเอนไซม์ β-1,3-glucanase และ chitinase เท่ากับ –.–le และ –.–ge U/ml ตามลําดับ จากผลการทดลองพบว่าการตอบสนองของ หน้ าวัวต่อเชื &อ Lasiodiplodia sp. มีความสัมพันธ์กบั ขนาดแผล การสะสม H2Od และค่ากิจกรรม เอนไซม์โดยเชื &อทีIมีความรุนแรงส่งผลให้ ปลีดอกมีคา่ กิจกรรมเอนไซม์ cellulase, peroxidase และ xylanase สูง ขณะทีIเชื &ออ่อนแอทําให้ ปลีดอกมีกิจกรรมของเอนไซม์ β-1,3-glucanase และ chitinase สูง คําสําคัญ : กิจกรรมเอนไซม์ H2Od ความรุนแรง การย้ อมเซลล์

47


OPB-04

Anthurium (Anthurium andraeanum) responding infected by Lasiodiplodia sp. cause of black nose disease Wilailuck Daengsuwan1 Prisana Wonglom2 and Anurag Sunpapao1 Department of Pest Management, Faculty of Natural Resources, Prince of Songkla University, Hatyai, Songkhla 90110, Thailand 2 Department of Plant Sceince, Faculty of Technology and Community Development, Thaksin University, Phatthalung campus, Phatthalung 93210, Thailand 1

ABSTRACT Black nose or spadix rot disease of anthurium is caused by Lasiodiplodia sp., the disease negatively impacted on anthurium production. The objectives of this study were to determine host response in anthurium infected by Lasiodiplodia sp. Eight isolates (NK1, NK2, SK1, SK2, KB1, KB2, PT1 and PT2) of Lasiodiplodia sp. were inoculated on four cultivars of anthurium spadix (Angel, Casino, Cheers, and Pistache) by agar plug method. Enzyme activity of β-1, 3-glucanase, cellulase, chitinase, peroxidase and xylanase was investigated, and H2O2 was stained by 3’3diaminobezidine (DAB)-mediated tissue printing. The result showed Lasiodiplodia sp. (NK1) gave the highest severe disease symptom on anthurium Angel cultivar with spot lesion up to 6.25 cm. and reddish brown of H2O2 in infected anthurium spadix was observed in Angel cultivar. Enzyme activity of cellulase, xylanase and peroxidase was 0.455, 0.054 and 50.15 U/ml, respectively, whereascell wall degrading enzyme activity (β-1, 3-glucanase and chitinase) was 0.016 and 0.003 U/ml, respectively. Anthurium casino cultivar inoculated by Lasiodiplodia sp. (PT2) showed small spot with 1.0 cm, and no reddish brown was detected in anthurium spadix Enzyme activity of cellulase, xylanase and peroxidase was 0.315, 0.0025 and 31.25 U/ml, respectively, whereas activity of β-1, 3-glucanase and chitinase was 0.045 and 0.015 U/ml, respectively. Base on result in this study, disease severity of anthurium may correlated with phenotypic character (lesion length), accumulation of H2O2 and high activity of POD, cellulase and xylanase. Keywords: enzyme assay, H2O2, DAB staining

48


OPB-05

เชือ8 Phytophthora palmivora จากแหล่ งปลูกทุเรี ยนทีZสาํ คัญในประเทศไทยมี การต้ านทานต่ อสารกําจัดเชือ8 ราในอัตราสูง อุมาพร ศิริวัฒนกุลd,g สุภาวดี เพชรขจร และ วิษุวัต สงนวล ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กรุ งเทพมหานคร dj¥jj ศูนย์ ความเป็ นเลิศด้ านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร สํานักพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจยั ด้ านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรุ งเทพมหานคร djkjj ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กรุ งเทพมหานคร dj¥jj d

g

บทคัดย่ อ โรครากเน่าโคนเน่าทีIมีสาเหตุจากเชื &อ Phytophthora palmivora ก่อให้ เกิดความเสียหาย แก่พืชเศรษฐกิจหลายชนิด เช่น ทุเรี ยน ยางพารา และปาล์มนํ &ามัน สามารถทําให้ ต้นพืชตายได้ อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในเวลาทีIฝนตกชุกและความชื &นสูง การควบคุมโรคทีIนิยมคือการใช้ สารฆ่า เชื &อรา การใช้ สารเคมีในปริ มาณมากและเป็ นระยะเวลานานส่งผลให้ เชื &อราสามารถต้ านทานต่อ สารเคมีได้ ดังนันวั & ตถุประสงค์ของการศึกษาเพืIอศึกษาความสามารถในการต้ านทานต่อสารฆ่า เชื &อราของเชื อO P. palmivora ทีIก่อโรครากเน่าโคนเน่าในสวนทุเรี ยนทีIสาํ คัญในประเทศไทย ใน การศึกษานี &สํารวจและแยกเชื &อ P. palmivora ก่อโรคจากสวนทุเรี ยนในจังหวัดนนทบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และชุมพร เพืIอนํามาทดสอบระดับความต้ านทานต่อสารฆ่าเชื &อราเมทาแลกซิล ฟอสฟอนิกแอซิก ฟอสอีทิลอะลูมินมั และเทอราคลอ ผลการศึกษาพบว่าทีIระดับความเข้ มข้ น แนะนํา (¢–– – g,––– ppm) เชื &อราร้ อยละ —¢.”l ต้ านทานต่อเมทาแลกซิล และเมืIอเพิIมความเข้ น ข้ นของเมทาแลกซิลให้ สงู ขึ &นก็ไม่สามารถควบคุมเชื &อราทีIมีความต้ านทานต่อเมทาแลกซิลได้ นอกจากนี &เชื &อราร้ อยละ ”¢.•e ต้ านทานต่อฟอสฟอนิกแอซิก เชื &อราร้ อยละ f.de ต้ านทานฟอส อีทิลอะลูมินมั และไม่มีเชื &อราทีIสามารถต้ านทานต่อเทอราคลอได้ และเมืIอเพิIมความเข้ มข้ นของ สารฟอสฟอนิกแอซิก และฟอสอีทิลอะลูมินมั เป็ นสองเท่าสามารถควบคุมเชื &อราได้ ทงหมด ั& สรุปได้ ว่าความเข้ าใจเกีIยวกับการต้ านทานสารฆ่าเชื &อรา Phytophthora เพืIอการเฝ้าระวังและการควบคุม การระบาดของเชื &อสายพันธุ์ทีIมีความต้ านทานสูง และลดความสูญเสียผลผลิตทุเรี ยน คําสําคัญ : ทุเรี ยน โรครากเน่าโคนเน่า สารฆ่าเชื &อรา เชื &อราไฟทอปธอรา

49


OPB-05

High rates of fungicide resistance found in Phytophthora palmivora isolated from major durian cultivation areas in Thailand Umaporn Siriwattanakul1,2 Supawadee Phetkhajone3 and Wisuwat Songnuan3 Department of Biotechnology, Faculty of Science, Mahidol University, Bangkok 10400 Center of Excellence on Agricultural Biotechnology: (AG-BIO/PERDO-CHE), Bangkok 10900, Thailand 3 Department of Plant Science, Faculty of Science, Mahidol University, Bangkok 10400 1

2

ABSTRACT Rot disease caused by Phytophthora palmivora is an important problem in several economic crops, including durian, rubber tree, and oil palm. The outbreak of Phytophthora disease can quickly cause the death of trees, especially during rainy and high humidity condition. The most popular method to control Phytophthora infection is fungicide application. However, inappropriate application of fungicide e.g. high concentration, frequency, and long period may cause the development of resistant pathogen. Therefore, the purpose of this study was investigated the resistance to fungicides of P. palmivora caused durian rot diseases in major durian cultivation in Thailand. In this study, the sample of durian disease was surveyed and isolated P. palmivora from durian cultivation in Nonthaburi, Rayong, Chanthaburi, Trat and Chumphon. P. palmivora were investigated resistance level to various fungicides metalaxyl, phosphonic acid, fosethyl aluminum, and terraclor. The result showed that at recommended concentration of each fungicide (800 - 1,000 ppm), 98.34% of P. palmivora isolates resisted to metalaxyl. When increasing the concentration of metalaxyl, it cannot control the metalaxyl resistant isolates. In addition, 38.75% of P. palmivora isolates showed resistance to phosphoric acid, 6.25% resistance to fosethyl aluminum and there was no P. palmivora isolate that could resistance to terraclor. Moreover, when doubling the concentration of phosphoric acid and fosethyl aluminum, it can completely control all P. palmivora isolates. In conclusion, understanding of Phytophthora fungicide resistance leads to surveillance control of outbreaks of highly resistant isolates and reduce the loss of durian production. Keywords: durian, rot disease, fungicide, Phytophthora palmivora

50


OPB-06

ประสิทธิภาพของนํา8 หมักเปลือกมังคุดต่ อการยับยัง8 การเจริญของเชือ8 รา Rhizoctonia solani สาเหตุโรคใบติดในทุเรี ยน สุกัญญา บุญยงค์ d และ มณีรัตน์ คูหาพิทกั ษ์ ธรรมg สาขาวิทยาศาสตร์ ชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาบูรพา บางแสน ชลบุรี gjd d สาชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์ และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี จันทบุรี ggd²j d

g

บทคัดย่ อ ทุเรี ยนเป็ นพืชทีIมีความสําคัญทางเศรษฐกิจในภาคตะวันออกของประเทศไทย งานวิจยั นี & มีจดุ ประสงค์เพืIอศึกษาประสิทธิภาพของนํ &าหมักเปลือกมังคุดต่อการยับยังการเจริ & ญของเส้ นใย เชื &อรา Rhizoctonia solani สาเหตุโรคใบติดในทุเรี ยน ในสภาพห้ องปฏิบตั ิการ การทดสอบมี ทังหมด & ¢ กรรมวิธี คือ ใช้ นํ &าหมักเปลือกมังคุดทีIความเข้ มข้ น –.de, 0.50, 1.0, 2.0, 4.0, และ 5.0% v/v เปรี ยบเทียบกับสารเคมีกําจัดเชื &อราไพราโคลสโตรบิน ทีIความเข้ มข้ น •e– ppm และ อาหาร Potato Dextrose Agar (PDA) ทําการทดสอบด้ วยวิธี poisoned food technique ผลทีIได้ พบว่านํ &าหมักเปลือกมังคุดทีIความเข้ มข้ น e% v/v สามารถยับยังการเจริ & ญของเส้ นใยเชื &อรา R. solani ได้ g––% เทียบเท่ากับการใช้ สารเคมีกําจัดเชื &อราไพราโคลสโตรบิน ทีIความเข้ มข้ น •e– ppm คําสําคัญ : ประสิทธิภาพ นํ &าหมักเปลือกมังคุด ทุเรี ยน โรคทุเรี ยน โรคใบติดของทุเรี ยน

51


OPB-06

Efficacy of mangosteen pericarp bio-extract on Rhizoctonia solani causing leaf blight disease of durian Sukanya Boonyong1 and Maneerat Koohapitagtam2 Division of Biological Sciences, Faculty of Science, Burapha University, Bangsaen, Chon Buri 20131 Division of Agricultural Biotechnology, Faculty of Science and Arts, Burapha University, Chantaburi Campus, Chantaburi 22170 1

2

ABSTRACT Durian is economically important crop in the East of Thailand. The aim of this research was to study the efficiency of mangosteen pericarp bio-extract to inhibit mycelial growth of Rhizoctonia solani, a causal agent of leaf blight disease in durian in vitro. There were 8treatments including mangosteen pericarp bio-extract concentrated at 0.25, 0.50, 1.0, 2.0, 4.0, and 5.0% v/v compared to 750 ppm pyraclostrobin and Potato Dextrose Agar (PDA). The poisoned food technique was used to perform and the result clearly showed that mangosteen pericarp bio-extract concentrated at 5.0% v/v could inhibit mycelial growth of R. solon by 100% as well as 750 ppm pyraclostrobin. Keywords: efficacy, mangosteen pericarp bio-extract, durian, durian disease, leaf blight disease of durian

52


OPB-07

ฤทธิžการต้ านเชือ8 แบคทีเรี ยของ Zinc Oxide Nanoparticles ในการยับยัง8 Xanthomonas campestris pv. campestris สาเหตุโรคขอบใบทองของคะน้ า ศุภสิ รา ศรี โพธิžงาม สุพจน์ กาเซ็ม และ ติยากร ฉัตรนภารั ตน์ ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ การต้ านทานสารปฏิชีวนะในแบคทีเรี ยสาเหตุโรคพืชเป็ นปั ญหาสําคัญในการจัดการโรค พืช ซึงI ปั ญหานี &นําไปสูก่ ารหาทางเลือกใหม่ในการควบคุมแบคทีเรี ยสาเหตุโรคพืชZinc oxide nanoparticles (ZnO NPs) ซึงI เป็ นสารอนินทรี ย์ทีIจดั อยูใ่ นกลุม่ generally recognized as safe (GRAS) และมีการใช้ ในอุตสาหกรรมต่างๆในการผลิตพืช การศึกษานี &มีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษา ประสิทธิภาพของ ZnO NPs ในการยับยังXanthomonas & campestris pv. campestris (Xcc) สาเหตุโรคขอบใบทองของพืชตระกูลกะหลําI และศึกษาผลของพื &นทีIผิวสัมผัสของ ZnO NPs ต่อ การควบคุมเชื &อ Xcc จากการทดสอบค่า Minimum Inhibitory Concentration (MIC) และ Minimum Bactericidal Concentration (MBC) เพืIอหาค่าความเข้ มข้ นตํIาสุดในการยับยัง& แบคทีเรี ยพบว่า ZnO NPs ทีIมีพื &นทีIผิวสัมผัสมาก (lf, ”” และ ed m2/g) มีประสิทธิภาพในการ ยับยังการเจริ & ญของแบคทีเรี ยมากกว่าอนุภาคทีIมีพื &นทีIผิวสัมผัสน้ อย โดยมีคา่ MIC และ MBC เท่ากับ fd.e, 125, gde และ d–––, 4000, 4000 µg/ml ตามลําดับ และเมืIอตรวจสอบการตาย ของแบคทีเรี ยด้ วยวิธี live/dead cells ภายใต้ กล้ องจุลทรรศน์ Epifluorescence พบว่าเซลล์สว่ น ใหญ่ตายเมืIอเลี &ยง Xcc ร่วมกับZnO NPs ทีIคา่ ความเข้ มข้ นเท่ากับ MBC การทดสอบกลไกระดับ โมเลกุลของZnO NPsต่อการแสดงออกของยีนทีIเกีIยวข้ องกับการก่อโรคด้ วยวิธี RT-qPCRพบว่า ZnO NPs ยับยังการแสดงออกของยี & น hrpBและhrpFซึงI เป็ นยีนในระบบType III secretion system การศึกษานี &แสดงถึงประสิทธิภาพและกลไกของ ZnONPs ในการยับยัง& Xcc โดยออกฤทธิ¾ ในการฆ่าเซลล์และยับยังการแสดงออกของยี & นก่อโรค ข้ อมูลทีIได้ สามารถนํามาพัฒนาวิธีการใช้ ZnO NPs ในการควบคุมโรคขอบใบทองคะน้ า เพืIอเป็ นทางเลือกในการควบคุมโรคพืชแบบ ปลอดภัยต่อไป คําสําคัญ : นาโนซิงค์ออกไซด์ การยับยังแบคที & เรี ย โรคขอบใบทองของคะน้ า

53


OPB-07

Antibacterial effect of Zinc Oxide Nanoparticles on Xanthomonas campestris pv. campestris, cause of black rot of Chinese kale Supisara Sripo-ngam Supot Kasem and Tiyakhon Chatnaparat Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900

ABSTRACT Antibiotic and drug resistance of bacterial plant pathogens have become the critical problemsin plant disease management. This situation leading to the development of safety alternative strategies to control bacterial plant pathogens. Nanoparticles are an alternative ways that could be utilized in plant disease control. Zinc oxide nanoparticles (ZnO NPs) is an inorganic compound and listed as a generally recognized as safe (GRAS) material and have been used in many applications in plant production. Thus, the aim of this study was to investigate the antibacterial activity of ZnO NPs against Xanthomonas campestris pv. campestris (Xcc), the causal agent of black rot disease of Brassica plants. The antibacterial effect of ZnO NPs formulatedthat differ in their surface area against Xcc was evaluated.The Minimum Inhibitory Concentration (MIC) and Minimum Bactericidal Concentration (MBC) valuesof ZnO nanoparticleswith high surface area (46, 33 and 52 m2/g) for Xccwere determined to be62.5, 125, 125Âľg/mland 2000, 4000, 4000 Âľg/ml, respectively, suggestthat ZnO NPs with high surface area are more effective than low surface area.The mechanism of ZnO NPs on the cells viability of Xcc was examined by live/dead cells staining and observed under epifluorescence microscope.We observedthat the majority of Xcc cells were dead after exposure to MBC value of ZnO NPs for 24 h. In addition, the molecular mechanism of ZnO NPs on the suppression of pathogenicity genes of Xcc was also investigated. RTqPCR showed that the expression levels of T3SS representative genes, hrpB and hrpF of Xccwere highly decreased when Xcc cells treated with ZnO NPs.All these results suggest that theZnO nanoparticles are effectively inhibit Xcc by inhibit growth, caused cell dead and suppress the expression of pathogenicity genes in Xcc.The results obtained from this study can be used to develop the application of ZnO NPs to control black rot diseases of Chinese kale. Keywords: Zinc oxide nanoparticles (ZnO NPs), antibacterial activity, black rot of Chinese kale 54


OPA-01

ประสิทธิภาพของแบคทีเรี ยทนเค็มในการส่ งเสริมการเจริญเติบโตและ ควบคุมโรคสําคัญของคะน้ า พินิจ รืZ นชาญd ปริยานุช จุลกะg อรอุมา เพียซ้ ายd และ สุพจน์ กาเซ็มd* ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุ งเทพ djkjj ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุ งเทพ djkjj * agrsupot@ku.ac.th

d g

บทคัดย่ อ แบคทีเรี ยหลายชนิดทีIมีแหล่งทีIอยูอ่ าศัยในสภาวะกดดันรวมถึงสภาวะดินเค็มจะมี คุณสมบัตทิ ีIดีในการเจริ ญแข่งขันและผลิตสารออกฤทธิ¾ชีวภาพหลายชนิดทีIเป็ นประโยชน์ตอ่ พืช งานวิจยั นี &มีวตั ถุประสงค์เพืIอคัดเลือกแบคทีเรี ยจากดินเค็มทีIมีคณ ุ สมบัตสิ ง่ เสริ มการเจริ ญเติบโต และควบคุมโรคสําคัญของคะน้ า แบคทีเรี ยจํานวน d” จาก l” ไอโซเลตทีIแยกจากดินเค็มพื &นทีIค้ งุ บางกระเจ้ าสามารถเจริ ญบนอาหาร NB ผสม g–% NaCl (w/v) ได้ ดี และมี ๓ ไอโซเลตแสดงกลไก การเจริ ญแข่งขัน (TK และ K”) และผลิตสารทุตยิ ภูมิ (KN) ยับยังการเจริ & ญของเชื &อโรคพืช ” ชนิด คือ Xanthomonas campestris pv. campestris, Pectobacterium carotovorum subsp.carotovorum และ Alternaria brassicicola สาเหตุโรคขอบใบทอง เน่าเละ และใบจุด คะน้ าตามลําดับ การทดสอบในสภาพโรงเรื อนพบว่ากรรมวิธีคลุกเมล็ดร่วมกับราดดิน e ครัง& ด้ วย แบคทีเรี ยไอโซเลต K” สามารถส่งเสริ มการเจริ ญเติบโตคะน้ าได้ ดีทีIสดุ รองลงมาคือ KN และ TK ซึงI มีคา่ growth parameter เท่ากับ e”.f”, e–.–– และ l¢.—— ตามลําดับ การคลุกเมล็ดร่วมกับ ราดดิน ” ครัง& และพ่นใบ ” ครัง& ด้ วยแบคทีเรี ยทัง& ” ไอโซเลตสามารถลดความรุนแรงของโรคสําคัญ ของคะน้ าได้ ดีทดั เทียมกันและดีกว่าการใช้ สารเคมี และแบคทีเรี ยทัง& ” ไอโซเลตสามารถตรึง ไนโตรเจน ละลายฟอสฟอรัส และผลิต Indol-3 acetic acid (IAA) ในอาหารทดสอบได้ การศึกษา โดยวิธีการมาตรฐานและ gfS rDNA sequencing ระบุได้ วา่ แบคทีเรี ยไอโซเลต TK เป็ น Bacillus cereus ในขณะทีIไอโซเลต KN และ K” เป็ น B. amyloliquefaciens คําสําคัญ : แบคทีเรี ยทนเค็ม โรคสําคัญของคะน้ า กลไกการส่งเสริ มการเจริ ญเติบโตพืช กลไกการ ควบคุมโรค

55


OPA-01

Efficacy of Salt Tolerant Bacterial Strains for Enhance Plant Growth and Controlling Important Disease of Chinese Kale Pinit Reunchan1 Pariyanuj Chulka2 Onuma piasai1 and Supot Kasem1 1

Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University Bang Khen, Bangkok 10900 1 Department of Horticulture, Faculty of Agriculture, Kasetsart University Bang Khen, Bangkok 10900 *agrsupot@ku.ac.th

ABSTRACT Many bacterial strain living in pressure conditions including saline soil exhibited a good colonization and produce various benefit bioactive compounds for plant. The objective of this study is to screen bacterial strain from saline soil that have potential on plant growth promotion and control important disease of Chinese kale. The twenty three out of forty three bacterial isolates from saline soil collected from Bang Krachoa area could grow well in NB plus 10% NaCl (w/v). The three isolate showed mechanism as competitions (TK and K3) and secondary metabolites production (KN) to suppress growth of 3 plant pathogens, Xanthomonas campestris pv. campestris, Pectobacterium carotovorum subsp. carotovorum and Alternaria brassicicola, the causal of black rot, soft rot and leaf spot disease of Chinese kale, respectively. Under greenhouse experiment, seed treatment plus 5time soil drenching with bacteria isolate K3 was the most effective on plant growth promotion, follow by isolate KN and TK with growth parameter at 53.63, 50.00 and 48.99, respectively. Seed treatment together with 3 time soil drenching and 3 time foliar spray with each strain showed similar effective to reduced 3 diseases severity and better than chemical application. These three bacterial isolate were exhibited potential of N-fixation, phosphate solubilization, and Indol-3 acetic acid (IAA) production in tested medium. The standard methods and 16S rDNA sequencing identified isolate TK as Bacillus cereus whereas isolate KN and K3 as B. amyloliquefaciens. Keywords: salt tolerant bacteria, Disease of ChineseKale, plant growth promoting mechanism, disease control mechanism

56


OPA-02

การจําแนกโรคขอบใบแห้ งและใบไหม้ ของข้ าวโดยใช้ การวิเคราะห์ ภาพถ่ าย เตชินท์ วรสิทธิž1 ธีระ ภัทราพรนันท์ 2 ธีรยุทธ์ ตู้จนิ ดา3 จินตนา อันอาตม์ งาม1 วสิน สินธุภญ ิ โญ2 กรรณทิพย์ กิรติรัตนพฤกษ์ 2 พิชญกาญจน์ เต็มนิรันรั ตน์ 2 อภิชน กิจวิมลรั ตน์ 2 ศิวดล เสถียรพัฒนากูล4 ดวงเพ็ญ เจตน์ พพ ิ ฒ ั นพงษ์ 4 และ สุจนิ ต์ ภัทรภูวดล1 ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน นครปฐม 73140 ศูนย์ พนั ธุวศิ วกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่ งชาติ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่ งชาติ ปทุมธานี 12120 3 ศูนย์ เทคโนโลยีอเิ ล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์ แห่ งชาติ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่ งชาติ ปทุมธานี 12120 4 ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน นครปฐม 73140 1

2

บทคัดย่ อ ข้ าวเป็ นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย ทีIมีพื &นทีIเพาะปลูกมากกว่า 50 ล้ านไร่ การแพร่ระบาด ของโรคพืชทําให้ คณ ุ ภาพและผลผลิตข้ าวลดลง เช่น โรคขอบใบแห้ ง มีสาเหตุจากแบคทีเรี ย Xanthomonas oryzae pv. oryzae เข้ าทําลายข้ าวได้ ตงแต่ ั & ระยะกล้ าจนถึงระยะออกรวง ทําให้ ผล ผลิตลดลงถึงร้ อยละ 50 และโรคไหม้ ทีIเกิดจากรา Pyricularia oryzae ทําให้ ผลผลิตลดลงตังแต่ & ร้อย ละ 0.4-100 การเข้ าถึงแหล่งข้ อมูลเพืIอวินิจฉัยโรคให้ ถกู ต้ องเพืIอนํามาสูก่ ารป้องกันและแก้ ไขปั ญหา โรคพืชได้ อย่างรวดเร็วยังมีข้อจํากัดหลายประการ จึงนําเทคโนโลยีทีIพฒ ั นาจากเทคนิคการ ประมวลผลเชิงภาพ (Image Processing Techniques) โดยใช้ ภาพถ่ายลักษณะอาการโรคมา ประยุกต์ในการวินิจฉัยโรคข้ าวให้ ถกู ต้ องและรวดเร็ ว แต่เทคโนโลยีนี &จําเป็ นต้ องอาศัยภาพอาการของ โรคจํานวนมากเพืIอการวินิจฉัยโรคทีIแม่นยํา งานวิจยั นี &จึงพัฒนาโมบายแอปพลิเคชันเพืIอถ่ายภาพโรค ข้ าวและจัดทําฐานข้ อมูลเก็บรวบรวมภาพถ่ายอาการโรคข้ าว โดยมีผ้ เู ชีIยวชาญด้ านโรคพืชเป็ นผู้ ตรวจสอบความถูกต้ องของภาพถ่าย แล้ วใช้ ภาพถ่ายเป็ นสือI ในกระบวนการเรี ยนรู้ของระบบ ปั ญญาประดิษฐ์ (Machine Learning) ในการวินิจฉัยโรคข้ าว งานวิจยั นี &ได้ พฒ ั นาต้ นแบบจาก ภาพถ่ายอาการโรคข้ าว ได้ แก่ โรคไหม้ และขอบใบแห้ ง จํานวน 5,000 ภาพต่อโรค โดยระบุตําแหน่ง ของอาการโรคในภาพร่วมกับเทคนิค Faster RCNN (Faster-Region based Convolutional Neural Network ) จากการทดสอบการระบุตําแหน่งอาการโรคในภาพพร้ อมกับจําแนกชนิดโรค พบว่าระบบ สามารถจําแนกโรคทังสองด้ & วยค่าความแม่นยําร้ อยละ 99 เทคนิคดังกล่าวจึงสามารถนํามาพัฒนา วิธีการวินิจฉัยโรคข้ าวชนิดอืIนด้ วยภาพและพัฒนาโมบายแอพลิเคชันเพืIอการวินิจฉัยโรคข้ าวด้ วยภาพ ต่อไป คําสําคัญ : โรคขอบใบแห้ งของข้ าว โรคไหม้ ของข้ าว การวินิจฉัยโรคข้ าวด้ วยใช้ การวิเคราะห์ ภาพถ่าย Machine Learning Mobile application 57


OPA-02

Identification of rice bacterial blight and rice blast Using Image Processing Techniques Teaychin Worasit1 Teera Phatrapornnant2 Theerayut Toojinda3 Jintana Unartngam1 Wasin Sinthupinyo2 Kantip Kiratiratanapruk2 Pitchayagan Temniranrat2 Apichon Kitvimonrat2 Siwadol Sateanpattanakul4 Duangpen Jetpipattanapong4 and Sujin Patarapuwadol1 Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture Kamphaengsaen, Kasetsart University Kamphaengsaen Campus, Nakhon Pathom 73140 2 National Electronics and Computer Technology Center, National Science and Technology Development Agency, Pathum Thani 12120 3 National Center for Genetic Engineering and Biotechnology, National Science and Technology Development Agency, Pathum Thani 12120 4 Department of Computer Engineering, Faculty of Engineering Kamphaengsaen, Kasetsart University Kamphaengsaen Campus, Nakhon Pathom 73140 1

Abstract

Rice is the main economic crop of Thailand with more than 50 million hectares of rice growing areas. Plant diseases epidemic is one of the factor that decrease its quality and yield. For instance, Bacterial Blight disease caused by Xanthomonas oryzae pv. oryzae which can destroy the rice from the seedlings period to the rice grains period, the yield can be reduced up to 50 percent while the Rice Blast disease caused by Pyricularia oryzae caused yield loss from 0.4-100 percent. Rapid and accurate rice diseases diagnosis that leading to prevent and protect of plant diseases stills have many limitations. Therefore, the technology which developed from the Image Processing Technique is applied to diagnose the rice diseases through images of the diseases symptoms. However to obtain a large number of disease images and the high level of diagnostic accuracy, we developed the mobile application for plant diseases image collecting and develop rice disease image bank. Disease images will be approved by plant pathologists and images will be used in Machine Learning Process for plant diseases diagnosis. This research has develop the prototype by using 5,000 pictures of Bacterial Blight disease and Rice Blast disease each in training by specify the areas of disease in the picture and using Faster RCNN (Faster-Region based Convolutional Neural Network) in the classification. The result shows that Fast RCNN can be used to diagnostic both of diseases at the 99 percent accuracy. Thus, this technique can be used with other rice diseases and leading to develop mobile application for rice diseases diagnosis based on image processing in the near future.

Keywords: Bacterial blight, Rice blast, Image Processing Techniques, Machine Learning, Mobile application 58


OPA-03

การควบคุมโรคใบขาวแบบบูรณาการในพืน8 ทีZปลูกอ้ อย บริษัท นํา8 ตาลมิตรลาว จํากัด (สปป.ลาว) พีรญา กลมสอาดd มานุวัตร ตินตะรสาละ ณ ราขสีมาd เริZมพงษ์ คลังภูเขียวg วรินทร จารย์ คูณd วิฑูรย์ บุญเกิดd ยิZงยศ ตันสมรสd ประพัฒน์ พันปี d ปรั ขญา สว่ างมณีเจริญ1 สิริวรรณ โคตรโสภาd และ Laurent Soulard1 d

บริษัท มิตรผลวิจยั พัฒนาอ้ อยและนํา8 ตาล จํากัด kk ม. d ถ.ชุมแพ-ภูเขียว ต.โคกสะอาด อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ µddj g บริษัท นํา8 ตาลมิตรลาว จํากัด เลขทีZ ddd หน่ วยทีZ dj บ้ านแก้ งแฮด เมืองไซบูลี แขวงสะหวันนะเขต สาธารณรั ฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

บทคัดย่ อ พื &นทีIปลูกอ้ อย บ.มิตรลาว ได้ รับความเสียหายจากการระบาดของโรคใบขาว เป็ น ระยะเวลามากกว่า g– ปี พบโรคใบขาวเฉลียI ในอ้ อยปลูก e-ge% และในอ้ อยตอ ge-e–% โดยเฉพาะในอ้ อยตอ ไม่สามารถไว้ ตอได้ สร้ างความเสียหายเป็ นมูลค่า —–-g–– ล้ านบาทต่อปี บ. มิตรผลวิจยั พัฒนาอ้ อยและนํ &าตาล จํากัด ร่วมกับ บ.นํ &าตาลมิตรลาว จํากัด ได้ จดั ทําโครงการการ ควบคุมโรคใบขาวแบบบูรณาการในพื &นทีIมิตรลาว ซึงI มีวตั ถุประสงค์เพืIอควบคุมการระบาดของโรค ใบขาว โดยนําเทคโนโลยีการควบคุมโรคใบขาวร่วมกับระบบการจัดการแปลง เริI มตังแต่ & การ ควบคุมโรคทีIตดิ มากับท่อนพันธุ์อ้อย, การควบคุมแมลงพาหะโดยใช้ วธิ ีกล, การอบรมให้ ความรู้แก่ ชาวไร่ ให้ มีความรู้ในการป้องกันและกําจัดโรคใบขาว และการติดตามเฝ้าระวังการระบาดของโรค ใบขาว จากการดําเนินกิจกรรมการควบคุมโรคใบขาวข้ างต้ น ทําให้ ลดการแพร่กระจายของเชื &อ จากท่อนพันธุ์ในพื &นทีI และลดประชากรแมลงพาหะได้ มากกว่า e–%, ชาวไร่มีความรู้ความเข้ าใจ ในการป้องกันและกําจัดโรคใบขาว, การติดตามเฝ้าระวังการระบาด โดยจัดทําแผนทีIการระบาด สามารถควบคุมการระบาดได้ ทนั เวลา ส่งผลให้ ภาพรวมการระบาดลดลง พบโรคใบขาวเฉลียI ใน อ้ อยปลูก g-d% และอ้ อยตอ ”-l% เพิIมการไว้ ตอได้ มากกว่า e–% ของพื &นทีI ผลผลิตในอ้ อยเพิIม สูงขึ &นเฉลียI g-d ตันต่อไร่ คิดเป็ นมูลค่าทีIเพิIมขึ &น ”–– ล้ านบาทต่อปี คําสําคัญ : โรคใบขาว การควบคุมแบบบูรณาการ มิตรลาว

59


OPA-03

Integration control of white leaf disease in sugarcane area of Mitr Lao Co., Ltd. Peeraya Klomsa-ard1 Manuwat Tintarasara na ratchaseema1 Rermpong Clangpukeao2 Varinthon Jarnkoon1 Witoon Boonkerd1 Yingyos Tonsomros1 Prapat Punpee1 Pratchya Swangmaneecharern1 Siriwan Kodsopa1 and Laurent Soulard1 Mitrphol Sugar Cane Research Center Co., Ltd. 399 Moo 1 Chumpae-Phukieo Road, Khoksa-at, Phukieo, Chaiyaphum 36110 Thailand 2 Mitr Lao Sugar Co., Ltd.111 Unit 10, Kenghet Village, Xaiburi District, Savannakhet Provice, Lao PDR. 1

ABSTRACT The outbreak of white leaf disease was found in 5-15 % and 15-50 % in planting cane and ratoon cane respectively in sugarcane planting area of Mitr Lao Co., Ltd more than 10 years. Especially with ratoon cane, over 90-100 million baht has been correspondent for the losses each year due to this disease. The cooperation between Mitr Phol Sugarcane Research Center Co., Ltd and Mitr Lao Co., Ltd. The Integration control of white leaf disease project was cooperation between Mitr Phol Sugarcane Research Center Co., Ltd and Mitr Lao Co., Ltd for control outbreak of white leaf disease by used integrated technology including cleaning seed cane, control insect vector, survey/training of sugarcane farmer and monitoring or control epidemic of disease. All of the activities used control white leaf disease were reducing the pathogen from seed cane, reducing insect vector more than 50%, the sugarcane famer have a better understanding of the prevention/elimination, monitoring of white leaf disease and makes epidemic mapping. The perspective outbreak of white leaf disease was reducing in 1-2% of planting cane and 3-4% of ratoon cane, increase the sugarcane stumps more than 50%, and increased total yield around 1-2 ton per rai, over 300 million baht per year has been representing an increase in value. Keywords: white leaf disease, Integration control, Mitr Lao

60


OWB-01

ชีววิทยาของ Asystasia gangetica (L.) T. Anderson วัชพืชทีZสาํ คัญของประเทศไทย จรั ญญา ปิZ นสุภา วิไล อินทรเจริญสุข อุษณีย์ จินดากุล เทอดพงษ์ มหาวงศ์ ธัญชนก จงรั กไทย และ เอกรั ตน์ ธนูทอง กลุ่มวิจยั วัชพืช สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพมหานคร 10900

บทคัดย่ อ วัชพืช Asystasia gangetica (L.) T. Anderson หรื อมีชืIอไทยเรี ยกว่า บาหยา เป็ นวัชพืชทีI สําคัญใน ยางพารา ปาล์มนํ &ามัน สับปะรด และไม้ ผล เป็ นต้ น การศึกษาข้ อมูลทางชีววิทยาจะเป็ น ข้ อมูลพื &นฐานสําคัญในการหาแนวทางการควบคุมและป้องกันกําจัดทีIเหมาะสมในพื &นทีIทํา การเกษตรต่อไป ดําเนินการทดลอง ในเรื อนทดลองและห้ องปฏิบตั กิ าร กลุม่ วิจยั วัชพืช ในเดือน ตุลาคม พ.ศ. dee— - ตุลาคม พ.ศ. defg การศึกษาชีววิทยาของต้ น บาหยา (Asystasia gangetica (L.) T. Anderson) ประกอบด้ วย การศึกษาวงจรชีวิต การเจริ ญเติบโต การขยายพันธุ์ ศักยภาพการผลิตเมล็ด และอิทธิพลของระยะเวลาต่อการงอกของเมล็ด ผลการศึกษา พบว่า บา หยา เป็ นวัชพืชอายุข้ามปี สามารถขยายพันธุ์ได้ ทงเมล็ ั & ดและลําต้ น หลังจากเมล็ดงอกประมาณ g สัปดาห์ มีใบจริ งเป็ นใบเดีIยวออกตรงข้ าม และมีการเจริ ญเติบโตทางด้ านใบและลําต้ นอย่าง รวดเร็ว สร้ างเมล็ดทีIระยะ • สัปดาห์หลังงอก และหลังจากดอกบาน d-” สัปดาห์ เมล็ดสุกแก่ และ ในช่วง ge สัปดาห์หลังงอก ต้ นบาหยาติดผลมากทีIสดุ จากนันในช่ & วง g— สัปดาห์หลังงอก การ เจริ ญเติบโตลดลงทังทางด้ & านลําต้ น ใบ การสร้ างผลและเมล็ดลดลง การขยายพันธุ์ ด้ วยเมล็ด พบว่า เมล็ดอยูบ่ นผิวดิน มีเปอร์ เซ็นต์ความงอกสูงถึง —d.¢ เปอร์ เซ็นต์ หากเมล็ดอยูใ่ นระดับความ ลึกของดิน ge เซนติเมตร เมล็ดไม่สามารถงอกได้ เช่นเดียวกับส่วนของลําต้ น คําสําคัญ : ชีววิทยา บาหยา

61


OWB-01

Biology of Asystasia gangetica (L.) T. Anderson the important weed of Thailand Jarunya Pinsupa Vilai Intarajaroensuk Aussanee Chindakul Terdphong Mahawong Tanchanok Jongrukthai and Akekart Tanutong Weed Science Research Group, Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900 Thailand

ABSTRACT Asystasia gangetica (L.) T. Anderson (common name in Thai “Baya”) is one of the potential weeds in Thailand. This weed plays pivotal problems on rubbers, oil-palms, pineapples, and fruit crops across the country. The study of its biology is mandatory, since understanding the basic information leads to suitable prevention as well as effectiveness in control management on agricultural areas in the long run. The study was implemented in both a green house and a laboratory of the Weed Science group from October 2017 – October 2018. The biological study of A. gangetica included the observation of life cycles, plant growths, propagations, seed productions, and effect of times on seed emergences. The results showed that A. gangetica is a perennial weed and can propagate by both seeds and stems. One week after seed germination, the plant had first opposite true leaves, after that the vegetative growth grew very rapidly. The seeds were produced at 7 weeks after seed germination and developed to mature seeds at 2-3 weeks after blooming. Maximum fruits of A. gangetica were obtained 15 weeks after seed germination. Subsequently at 19 weeks after seed germination, the vegetative growth diminished as well as fruits and seeds. For seeds propagation, the study showed that the seeds on the surface soil provided high germination up to 92.8 percent. Neither seeds nor stems were able to germinate at 15 cm. deep in the soil. Keywords: Biology, Asystasia gangetica (L.) T. Anderson

62


OWB-02

ผลกระทบของสารนิโคซัลฟูรอนต่ อข้ าวโพดลูกผสมก่ อนการค้ าและสายพันธุ์แท้ สดใส ช่ างสลักd สราวุธ รุ่ งเมฆารั ตน์ g ประกายรั ตน์ โภคาเดชd และ รั งสิต สุวรรณ มรรคาg d

ศูนย์ วจิ ยั ข้ าวโพดและข้ าวฟ่ างแห่ งชาติ คณะเกษตร ต.กลางดง อ.ปากช่ อง จ.นครราชสีมา j gj g ภาควิชาพืชไร่ นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพมหานคร djkjj

บทคัดย่ อ สารนิโคซัลฟูรอนสามารถควบคุมวัชพืชได้ ดีแต่มีผลกระทบต่อผลผลิตในข้ าวโพดไร่บาง พันธุ์ การวิจยั นี &มีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษาผลกระทบของสารนิโคซัลฟูรอน (nicosulfuron 6% W/V OD) ต่อผลผลิตของข้ าวโพดไร่ลกู ผสมพันธุ์ก่อนการค้ าและสายพันธุ์แท้ ของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทีIแปลงทดลองไร่สวุ รรณ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ดําเนินการ ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงพฤศจิกายน พ.ศ.defg วางแผนการทดลองแบบ RCB มี d ซํ &า จํานวนท รี ทเม้ นท์ l– พันธุ์ก่อนการค้ า และ ”l สายพันธุ์แท้ ตามลําดับ โดยพ่นนิโคซัลฟูรอนร่วมกับอาทรา ซีน อัตรา gf–+”–– กรัม/ไร่ เมืIอข้ าวโพดอายุ ” สัปดาห์หลังปลูก พบว่ามีวชั พืชทีIขึ &นมากในแปลง ได้ แก่ แห้ วหมู (Cyperus rotundus L.) หญ้ าโขย่ง (Rottboellia cochinchinensis L.), ผักยาง (Euphorbia heterophylla L.) และผักปลาบ (Commelina benghalensis L.) สารนิโคซัลฟูรอนมี ประสิทธิภาพควบคุมวัชพืชได้ ระดับดีมาก ตังแต่ & —l–—f เปอร์ เซ็นต์ และไม่มีผลกระทบต่อผลผลิต ของพันธุ์ก่อนการค้ า KSX5819 KSX5908 KSX5911 KSX5916 KSX5918 KSX6009 KSX6010 KSX6011 KSX6013 KSX6017 KSX6019 KSX6020 KSX3021 KSX3022 KSX6104 KSX6105 KSX6106 KSX6107 KSX9108 KSX6110 KSX6112 KSX6113 KSX9919 KSX339 KSX•”d¢ และ KSXlled ซึงI ให้ ผลผลิตระหว่าง g,d–d – d,g”l กิโลกรัมต่อไร่ และสายพันธุ์แท้ Ki47 Kei1710 Kei1712 Kei1713 Kei1714 Kei1716 Kei1717 Kei1719 Kei1720 Kei1721 Kei1722 Kei1723 Kei1801 Kei1702 Kei1803 Kei1804 Kei1805 Keig¢–f และ Tzif ซึงI ให้ ผลผลิต ระหว่าง dl¢-g,–”— กิโลกรัมต่อไร่ แต่ทําให้ ผลผลิตของพันธุ์ก่อนการค้ า KSXe•”g ตํIาสุด ”–e กิโลกรัมต่อไร่ โดยทําให้ ต้นข้ าวโพดเสียหายสูงถึง ¢”.” เปอร์ เซ็นต์ และทําให้ สายพันธุ์แท้ Kid• และ Kie• มีต้นเสียหาย g–– เปอร์ เซ็นต์ ไม่มีผลผลิต ส่วนสายพันธุ์แท้ Ki48 Ki59 Kei314 Kei420 Kei421 Kei1519 Kei1608 Kei1711 Keig•ge มีต้นเสียหายสูง ตังแต่ & e–-¢”.” เปอร์ เซ็นต์ คําสําคัญ : สารนิโคซัลฟูรอน การกําจัดวัชพืช ข้ าวโพดไร่ พันธุ์ก่อนการค้ า สายพันธุ์แท้

63


OWB-02

Effect of Nicosulfuron to Pre-commercial Field Corn Hybrids and Inbred Lines Sodsai Changsaluk1 Sarawut Rungmekharat2 Prakayrat Phocadate1 and Rungsit Suwanmonkha2 1

National Corn and Sorghum Research Center, Faculty of Agriculture, Klangdong, Pakchong, Nakhon Ratchasima 30320 2 Department of Agronomy, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900

ABSTRACT The nicosulfuron was gave good control weed, but its effects to some corn hybrids. The objective was to study on the efficiency of nicosulfuron (6% W/V OD) applied as mixed with atrazine (90% WG) 160+300 g/rai, to control weed and its effects on yield of 40 pre-commercial hybrids cultivar and 34 inbred lines were employed in this experiment. The trial was laid out in RCBD, composed of 2 replications, 40 and 34 treatments, during July – November 2018 on Suwan Farm, Pak Chong district, Nakhon Ratchasima province. The results revealed that purple nutsedge (Cyperus rotundus L.), Itchgrass (Rottboellia cochinchinensis Lour.), wild poinsettia (Euphorbia heterophylla L.) and tropical spiderwort (Commelina benghalensis L.) were major weeds in the field. The application of nicosulfuron show very high efficiency on weed control, 94-96%, which was not affected to grain yield of pre-commercial hybrids cultivar; KSX5819, KSX5908, KSX5911, KSX5916, KSX5918, KSX6009, KSX6010, KSX6011, KSX6013, KSX6017, KSX6019, KSX6020, KSX3021, KSX3022, KSX6104, KSX6105, KSX6106, KSX6107, KSX9108, KSX6110, KSX6112, KSX6113, KSX9919, KSX339, KSX7328, KSX4452. They gave grain yield in the range of 1,202–2,134 kg/rai, and it was not effect to inbred lines; Ki47, Kei1710, Kei1712, Kei1713, Kei1714, Kei1716, Kei1717, Kei1719, Kei1720, Kei1721, Kei1722, Kei1723, Kei1801, Kei1702, Kei1803, Kei1804, Kei1805, Kei1806 and Tzi6 of yield during 248-1,039 kg/rai, but its effected to KSX5731 which gave the lowest yield of 305 kg/rai, and high plant injury of 83.3%, while Ki27 and Ki57 had no yield and gave plant injury of 100%. Ki48, Ki59, Kei314, Kei420, Kei421, Kei1519, Kei1608, Kei1711 and Kei1715 gave high plant injury in the range of 50-83.3%. Keywords: Nicosulfuron, Weed Control, Field corn, Pre-commercial, Inbred lines

64


OWA-01

การจัดการวัชพืชแบบผสมผสานในไร่ อ้อย ปรั ชญา เอกฐิน ยุรวรรณ อนันตนมณี และ จรรยา มณีโชติ สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร จตุจกั ร กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ อ้ อยเป็ นพืชเศรษฐกิจทีIสาํ คัญของประเทศไทยมีพื &นทีIรวม 1.6 ล้ านไร่ วัชพืชทําให้ ผลผลิ อ้ อยเสียหาย 10-75% ขึ &นอยูก่ บั ความรุนแรงของการระบาด แม้ วา่ การใช้ สารกําจัดวัชพืชปั จจุบนั ใช้ กนั อย่างแพร่หลายในประเทศไทยแต่การเลือกชนิดของสารทีIไม่ตรงกับชนิดของวัชพืชหรื อสาร บางชนิดทีIใช้ มาเป็ นเวลานาน เช่น อะทราซีนและอามีทรี นทําให้ การควบคุมวัชพืชไม่ดีในหลาย พื &นทีI การศึกษาครัง& นี &มีวตั ถุประสงค์เพืIอให้ ได้ วิธีจดั การวัชพืชแบบผสานทีIมีประสิทธิภาพและลด ต้ นทุน โดยแบ่งเป็ น 2 การทดลอง 1 ทดสอบสารกําจัดวัชพืชคูผ่ สมในอ้ อย วางแผนแบบ RCB 4 ซํ &า 16 วิธี และ การทดลอง 2 การจัดการวัชพืชแบบผสมผสานเทียบกับวิธีกําจัดวัชพืชของ เกษตรกรทําการทดลองใน จ.สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี ผลการทดลอง พบว่า สารคูผ่ สม indaziflam+sulfentrazone อัตรา 12+150 g ai/ไร่ ควบคุมวัชพืชได้ ดีทีI 90-120 วัน หลังพ่นสาร จึงนํามาใช้ ร่วมกับการจัดการวัชพืชแบบผสมผสานในไร่อ้อยในการทดลองทีI 2 เปรี ยบเทียบกับ วิธีการกําจัดวัชพืชของเกษตรกรและต้ นทุนในการกําจัดวัชพืช พบว่า การใช้ สารคูผ่ สม indaziflam+sulfentrazone ร่วมกับวิธีการใช้ รถพรวนระหว่างร่องอ้ อยทีI 3 เดือนหลังปลูกอ้ อยและ พ่นสาร paraquat ทีI 4 เดือนหลังปลูกอ้ อยมีประสิทธิภาพในการควบคุมวัชพืช ได้ ดีอีกทังยั & งมี ต้ นทุนในการกําจัดวัชพืชต่อไร่เพียง 815 บาท ซึงI วิธีเกษตรกรมีต้นทุน 1420 บาท ดังนันการ & จัดการวัชพืชแบบผสมผสานทีIดีและมีประสิทธิภาพ จึงจะเป็ นวิธีการทีIดีในการผลิตอ้ อย คําส◌ํ าคัญ : การจัดการวัชพืชแบบผสมผสาน สารกําจัดวัชพืช อ้ อย ต้ นทุนในการกําจัดวัชพืช

65


OWA-01

Integrated Weeds Management in Sugarcane Pruchya Ekkathin Yurawan Anantanamanee and Chanya Maneechote Plant Protection Research and Development office, Department of Agriculture Chatuchak Bangkok 10900

Abstract Sugarcane is one of major economic crops in Thailand with total area of 1.6 m ha. Annually, weed infestations cause yield loss in sugarcane by 10-75% depending on the severity of infestation. To date, pre-emergence herbicide application becomes widely used in Thailand, however, old herbicides i.e. atrazine and ametryn gave poor weed control in many areas. The objectives of this study (i) aimed to find a combination of herbicides showing more effective control under field conditions and (ii) integrated with mechanical and cultural practices in farmers’ field. Experiments have sixteen treatments with four replicates were arranged in RCB The results showed that indaziflam+sulfentrazone at the rate of 12+150 g ai/rai, gave an excellent weed control for 90-120 days. Secondly, indaziflam+sulfentrazone treatments were separately integrated with mechanical methods and paraquat at 4 mounts after planted in one farmer’s field and It was confirmed effective than framer practice In addition, The cost of weeds control is only 815 baht/rai and farmers practices have a cost of 1,420 baht/rai Hence, effective herbicides together with mechanic control would be appropriated method for sugarcane production Keywords: integrated weed management, herbicide, sugarcane, cost for weed management, imazapic

66


OWA-02

การเปรี ยบเทียบผลกระทบของสารป้ องกันกําจัดวัชพืชแบบก่ อนงอกทีZมีต่อการ เจริญเติบโตและความเสียหายของข้ าวโพดหวาน ไพรวรรณ กิตติสุขประเสริฐd และ อภิรัฐ บัณฑิตd* d

ภาควิชาพืชศาสตร์ และปฐพีศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เชียงใหม่ -jgjj *Corresponding author: apirat.b@cmu.ac.th

บทคัดย่ อ สารป้องกันกําจัดวัชพืชแบบก่อนงอกทีIมีประสิทธิภาพเป็ นองค์ประกอบสําคัญของการ จัดการวัชพืชแบบผสมผสานในข้ าวโพดหวาน ซึงI สารแต่ละชนิดจะมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน ดังนัน& จึงวางแผนการทดลองแบบ CRD เพืIอพิจารณาการตอบสนองของข้ าวโพดหวานต่อการใช้ สารป้องกันกําจัดวัชพืชแบบก่อนงอก และประสิทธิภาพการป้องกันกําจัดวัชพืชของ สาร atrazine อัตรา d•– กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่, สาร diclosulam อัตรา gd.f กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่, สาร indaziflam อัตรา g– กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่, สาร isoxaflutole/cyprosulfamide อัตรา —.f + —.f กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่, สาร pendimethalin อัตรา g—¢ กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่ และสาร sulfentrazone อัตรา gge กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่ ผลการทดลองพบว่า สารป้องกันกําจัดวัชพืช แบบก่อนงอกส่วนใหญ่สง่ ผลกระทบต่อ การงอก น้ าหนักแห้ ง และความเป็ นพิษ ของต้ นกล้ า ข้ าวโพดหวานไม่แตกต่างกันอย่างมีนยั สําคัญทีI gl วันหลังการใช้ สาร ยกเว้ นการใช้ สาร diclosulam และสาร sulfentrazone มีผลยับยังการเจริ & ญเติบโตและมีความเป็ นพิษมากกว่า นอกจากนี & การศึกษาประสิทธิภาพการป้องกันกําจัดวัชพืชทีI gl วันหลังการใช้ สาร พบว่า จํานวน และนํ &าหนักแห้ งของวัชพืชไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ เมืIอเปรี ยบเทียบกับการกําจัดวัชพืชด้ วย มือ ดังนัน& ผลการศึกษาในครัง& นี &แสดงให้ เห็นว่า สารป้องกันกําจัดวัชพืชแบบก่อนงอกทุกชนิด สามารถควบคุมวัชพืชได้ ไม่แตกต่างกันเมืIอเปรี ยบเทียบกับกรรมวิธีควบคุม อย่างไรก็ตาม การใช้ สาร diclosulam และสาร sulfentrazone มีผลเสียหายต่อข้ าวโพดหวานมากกว่า ดังนัน& การใช้ สาร atrazine, สาร indaziflam, สารisoxaflutole/cyprosulfamide และสาร pendimethalin จึงมี ศักยภาพทีIเหมาะสมในการป้องกันกําจัดวัชพืชสําหรับข้ าวโพดหวาน คําสําคัญ : ความเสียหายของพืชปลูก ความมีประสิทธิภาพ สารป้องกันกําจัดวัชพืชแบบก่อนงอก ข้ าวโพดหวาน ประสิทธิภาพการป้องกันกําจัดวัชพืช

67


OWA-02

Comparison of PRE herbicides effect on the growth and crop injury of sweet corn Praiwan Kittisukprasrert1 and Apirat Bundit1* 1

Department of Plant and Soil Sciences, Faculty of Agriculture, Chiang Mai University, Chiang Mai 50200 * Corresponding author: apirat.b@cmu.ac.th

ABSTRACT Effective pre-emergence (PRE) herbicides are key components of integrated weed management in sweet corn, each herbicides are vary in their efficiency. Thus, the experiment was laid out as a completely randomized design (CRD) to determine the sensitivity of sweet corn to the PRE applied and weed control efficacy of atrazine at 270 g a.i./rai, diclosulam at 12.6 g a.i./rai, indaziflam at 10 g a.i./rai, isoxaflutole/cyprosulfamide at 9.6 + 9.6 g a.i./rai, pendimethalin at 198 g a.i./rai and sulfentrazone at 115 g a.i./rai. The results showed that, most PRE applied were not significant different on germination, dry weight and phytotoxic of sweet corn seedlings at 14 days after application (DAA), except for the application of diclosulam and sulfentrazone had an inhibitory effects on the growth and more toxicity. In addition, the weed control efficacy at 14 DAA was investigated. It was found that, the number and dry weight of weeds were not significant when compared with hand weeding. Therefore, the results of this study indicate that weeds can be controlled with all PRE herbicides application when compared with those control treatments. However, diclosulam and sulfentrazone applied PRE were more injurious to sweet corn. Therefore, the application of atrazine, indaziflam, isoxaflutole/cyprosulfamide and pendimethalin are potential for weed control in sweet corn. Keywords: crop injury, efficiency, PRE herbicides, sweet corn, weed control efficacy

68


OWA-03

ประสิทธิภาพของสาร glyphosate ผสมกับสารกําจัดวัชพืช ประเภทใช้ ก่อนวัชพืชงอก เพืZอกําจัดวัชพืชในสวนมะม่ วง ภัทร์ พชิ ชา รุ จริ ะพงศ์ ชัย และ คมสัน นครศรี กลุ่มวิจยั วัชพืช สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ ปั ญหาการจัดการวัชพืชในพื &นทีIปลูกมะม่วงขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการผลิตมะม่วงในฤดู ฝน คือ การงอกใหม่ของวัชพืชอย่างรวดเร็ ว ทําให้ เกิดการจัดการวัชพืชหลายครัง& เกษตรกรจะต้ อง เสียค่าใช้ จา่ ยในการจัดการวัชพืชเพิIมขึ &น เป็ นการสิ &นเปลือง เวลา ค่าใช้ จา่ ย และแรงงาน ดังนัน& การใช้ สารกําจัดวัชพืชน่าจะเป็ นวิธีทีIสามารถกําจัดวัชพืชทีIงอกแล้ วและควบคุมวัชพืชทีIยงั ไม่งอก ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ เพืIอควบคุมวัชพืชได้ นานยิIงขึ &น ดังนันวั & ตถุประสงค์ของงานวิจยั นี & เพืIอ ศึกษาประสิทธิภาพของสาร glyphosate ผสมกับสารกําจัดวัชพืชประเภทก่อนงอกต่อการกําจัด วัชพืชในมะม่วง ดําเนินการทดลองระหว่างเดือนตุลาคม dee7-กันยายน dee8 ทีIแปลงเกษตรกร อําเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี วางแผนการทดลอง แบบ RCBD มี l ซํ &า gg กรรมวิธี ได้ แก่ การ พ่นสาร glyphosate + diuron อัตรา 288+400 กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่ glyphosate + flumioxazin อัตรา 288+30 กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่ glyphosate + indaziflam อัตรา 288+12 กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่ glyphosate + penoxsulam อัตรา 288+10.0 กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่ glyphosate + oxyfluorfen อัตรา 288+50 กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่ glyphosate + acetochlor อัตรา 288+300 กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่ glyphosate + pendimethalin อัตรา 288+330 กรัมสาร ออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่ glyphosate + imazpic อัตรา 288+40 กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่ glyphosate อัตรา 336 กรัมสารออกฤทธิ¾ตอ่ ไร่ พบว่าการพ่นสารคูผ่ สมระหว่างสาร glyphosate + diuron glyphosate + indaziflam และ glyphosate + flumioxazin มีประสิทธิภาพในการควบคุมวัชพืช ประเภทใบแคบและใบกว้ างได้ ดี ทําให้ นํ &าหนักแห้ งของวัชพืชน้ อยกว่ากรรมวิธีอืIน ๆ และยัง สามารถควบคุมวัชพืชได้ ถงึ 3 เดือน อีกทังไม่ & สง่ ผลกระทบต่อการเจริ ญเติบโตของมะม่วง คําสําคัญ : สวนมะม่วง สารกําจัดวัชพืช วัชพืช ไกลโฟเซต

69


OWA-03

Efficacy of Glyphosate and Pre-emergence Herbicides Tank Mixed for Broad Spectrum Weed Control in Mangoes Plantation Phatphitcha Rujirapongchai and Komson Nakonsri Weed Science Research Group, Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT The big problem of weed control in huge mango orchards especially in rainy season is the rapidly emerge of new weeds. It’s more cost and labor in weed management. However, it is doubtful whether or not using post and pre-emergence herbicides together as post-emergence during this period could effectively control weeds. Therefore, the effective herbicides to extend the duration of control weed emergence and no effected on plant emergence should be recognized. Therefore, the objective of this research was to investigate the effect of herbicides application on weed control in Mangoes Plantation. The field experiments were conducted at Mueang district Kanchanaburi Province, during October 2014 – September 2015. The experiment laid out in RCB, composed with 4 replications, 11 treatments. The treatment were 1) glyphosate + diuron, 2) glyphosate + flumioxazin, 3) glyphosate + indaziflam, 4) glyphosate + penoxsulam, 5) glyphosate + oxyfluorfen, 6) glyphosate + pendimethalin, 7) glyphosate + acetochlor, 8) glyphosate + imazpic, 9) glyphosate, 10) hand weeding and 11) no weeding. The rates of herbicide application of treatments 1-9 were 288+400, 288+30, 288+12, 288+10.0, 288+50, 288+300, 288+330, 288+40 and 336 g(ai.)/rai. it was found that spraying with the mixture of glyphosate +diuron, glyphosate + indaziflam and glyphosate + flumloxazin were the effective mixtures to control narrow and broad leaf weeds and getting the lower dry weight of weeds than others. Including they had the duration of weed controlling for 3 months so the weed was emerged later than others then they were not effected the mango growth. Keywords: Mangoes Plantation, herbicides, Weeds, glyphosate

70


OWA-04

ผลของการใช้ สารกําจัดวัชพืชผสมกับสารกําจัดเพลีย8 ไฟในข้ าวนาหว่ านนํา8 ตม ทีZมีผลต่ อหญ้ าข้ าวนก ยุรวรรณ อนันตนมณี ธีรทัย บุญญะปะภา และ ปรั ชญา เอกฐิน สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ เกษตรกรส่วนใหญ่มีการใช้ สารกําจัดวัชพืชแบบพ่นหลังวัชพืชงอกผสมกับสารกําจัดเพลี &ย ไฟในนาข้ าว ผสมฉีดพ่นในครัง& เดียวกัน เพืIอประหยัดต้ นทุน ซึงI อาจมีผลต่อประสิทธิภาพสาร จาก การสัมภาษณ์เกษตรกรทีIปลูกข้ าวในพื &นทีIภาคกลาง จํานวน ge– ราย พบว่า มีเกษตรกรถึง ••.” เปอร์ เซ็นต์ ทีIมีพฤติกรรมการใช้ สารกําจัดวัชพืชประเภทพ่นหลังวัชพืชงอกผสมกับสารกําจัดเพลี &ย ไฟฉีดพ่นในครัง& เดียวกัน ให้ เหตุผลว่า การใช้ สารกําจัดวัชพืชผสมกับสารกําจัดเพลี &ยไฟในนาข้ าว เป็ นการลดต้ นทุนในการผลิต และประหยัดเวลาในการปฏิบตั งิ าน เกษตกรกลุม่ นี &ยังคงปฏิบตั ิ เช่นเดิมต่อไป เพราะไม่พบว่าการใช้ สารแบบผสมมีผลกระทบต่อต้ นข้ าว และทําให้ ประสิทธิภาพ ในการกําจัดวัชพืชและเพลี &ยไฟด้ อยลง ผลการทดลองพบว่า การใช้ สารกําจัดวัชพืชผสมกับสาร กําจัดเพลี &ยไฟยังคงมีประสิทธิภาพในการกําจัดหญ้ าข้ าวนกได้ ในระดับดี ทีIระยะ ge และ ”– วัน หลังพ่นสาร และไม่มีความเป็ นพิษต่อต้ นข้ าว ยกเว้ นกรรมวิธีการพ่นสาร propanil ซึงI ข้ าวจะมี อาการใบไหม้ เล็กน้ อย เป็ นอาการเป็ นพิษของสารกําจัดวัชพืช propanil การใช้ สารกําจัดวัชพืช ผสมกับสารกําจัดเพลี &ยไฟในนาข้ าวมีผลทําให้ จํานวนตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพลี &ยไฟน้ อยกว่า และแตกต่างอย่างมีนยั สําคัญทางสถิตกิ บั กรรมวิธีไม่พน่ สาร ซึงI หากเกษตรกรยังคงต้ องการปฏิบตั ิ เช่นเดิม จําเป็ นต้ องมีการจัดอบรม และให้ ความรู้เรืI องของการใช้ สารอย่างถูกต้ องปลอดภัย และ หลักของการผสมสารให้ ถกู ต้ อง คําสําคัญ : สารกําจัดวัชพืช สารกําจัดเพลี &ยไฟ สารผสม

71


OWA-04

Efficacy of herbicide and insecticide mixture for control Echinochloa crus-galli (L.) T. Beauv. Yurawan Anantanamanee Teerathai Boonyaphapa and Pruchya Ekkathin Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT The data from farmers interview were developed and disseminated to 150 farmers from 3 province in the center of Thailand. The result show 77.3% of farmer were apply herbicide mixing with insecticide. In farmers reason, herbicide and insecticide mixing are reduce cost of production and timesaving. Farmers are still and keep going to apply herbicide plus insecticide for control weed and Thrips. in paddy field because did not affect to herbicide efficacy for weed control and efficacy of insecticide control on Thrips., according to the result of the experiment after applied herbicide and insecticide mixing show the moderately to good efficacy (visual rating) for control Echinochloa crusgalli (L.) P. Beauv and no phytotoxic on rice except treatment of insecticide plus propanil are moderately to severely toxic but the injury based on effect of herbicide. In addition, the result show number of Thrips in juveniles and adult stage after application at 7 and 14 days are significantly less than untreated control. Keywords: Herbicide, Insecticide, Pesticide tank mix

72


OWA-05

การพัฒนาเครืZ องมือกําจัดวัชพืชและใส่ ป๋ ุยแบบติดรถไถเดินตามสําหรั บมัน สําปะหลัง วุฒพ ิ ล จันทร์ สระคู1 ศักดิžชัย อาษาวัง1 วรรธนะ สมนึก1 อนุชติ ฉํZาสิงห์ g และ สุพตั รา ชาวกงจักร3 ศูนย์ วจิ ยั เกษตรวิศวกรรมขอนแก่ น กรมวิชาการเกษตร, ขอนแก่ น 40000 กลุ่มวิจยั วิศวกรรมหลังการเก็บเกีZยว สถาบันวิจยั เกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร, กรุ งเทพฯ 10900 3 ศูนย์ วจิ ยั และพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ กรมวิชาการเกษตร, กาฬสินธุ์ 46120 1

2

บทคัดย่ อ การผลิตมันสําปะหลังในขันตอนการกํ & าจัดวัชพืชต้ องใช้ เวลา แรงงานคนมาก และมีต้นทุน การกําจัดวัชพืชประมาณ gf เปอร์ เซ็นต์ งานวิจยั นี &มีวตั ถุประสงค์เพืIอ พัฒนาเครืI องมือกําจัดวัชพืช พร้ อมใส่ปยแบบติ ุ๋ ดรถไถเดินตามสําหรับไร่มนั สําปะหลังทดแทนการใช้ แรงงานคนในการกําจัด วัชพืชและการให้ ปยุ๋ ประกอบด้ วย ” ส่วน ได้ แก่ g) ต้ นกําลังรถไถเดินตามขนาด — แรงม้ า และล้ อ เหล็กแบบหน้ าแคบ d) ชุดโครงไถจานผาลคู่ ขนาด g¢ นิ &ว และล้ อคัดท้ าย ”) ถังบรรจุและอุปกรณ์ กําหนดปริ มาณการให้ ปยุ๋ ทดสอบสมรรถนะการทํางานในไร่มนั สําปะหลังอายุประมาณ d เดือน ระยะห่างระหว่างแถว 110-gd– เซนติเมตร ในเขตพื &นทีI จ.กาฬสินธุ์ และ จ.อุบลราชธานี ผลการ ทดสอบพบว่า ความสามารถในการทํางาน g.df-1.70 ไร่/ชัวI โมง ประสิทธิภาพการกําจัดวัชพืช 86.12-92.97% อัตราการสิ &นเปลืองนํ &ามันเชื &อเพลิง 0.33-0.56 ลิตร/ไร่ และอัตราการให้ ปยเฉลี ุ๋ ยI e– กิโลกรัม/ไร่ จุดคุ้มทุน ¢—.”” ไร่/ปี และระยะเวลาคืนทุน d.lf ปี คําสําคัญ : การกําจัดวัชพืช รถไถเดินตาม มันสําปะหลัง

73


OWA-05

Development of Mechanical Weeder and Fertilizer Attached Walking Tractor for Cassava Wuttiphol Chansrakoo1 Sakchai Arsawang1 Wantana Somnuak1 Anuchit Chamsing2 and Supattra Chawkongjuk3 Khonkaen Agricultural Engineering Research Center, Deparment of Agriculture, Khonkaen 40000 Reseach Group Postharvest Engineering, Agricultural Engineering Research Institute, Deparment of Agriculture, 10900 3 Kalasin Agricultural Research and Development Center, Deparment of Agriculture, Kalasin 46120 1

2

ABSTRACT Cassava production in the weeding process requires a huge of labor, and the cost of weeded control is about 16 percent. The aim of this research to developing the equipment for weeding and fertilizing with a walking tractor for a cassava field. Among of them comprise of 3 parts: 1) the power of walking tractor with 9 HP and narrow steel wheels, 2) frame plow, 2 plate size 18 inch and wheel steer, 3) tanks and equipment determine the amount of fertilizer. Performance testing of cassava plantation for about 2 months. The distance between rows 110-120 cm, in the area Kalasin and Ubon Ratchathani. The results were showed that worked at capacity 1.26-1.70 rai/h., efficiency 86.12-92.97%, fuel consumption rate 0.33-0.56 liters/rai and the average fertilizer rate of 50 kg/rai. The break-even point was 89.33 rai/year and the payback period was 2.46 years. Keywords: Weeding, Walking Tractor, Cassava

74


PEB-01

การศึกษาอนุกรมวิธานตัวอ่ อนแมลงวันผลไม้ เผ่ า Dacini (Diptera: Tephritidae) ร่ วมกับการใช้ เทคนิค Morphometric ในตัวเต็มวัย ยุวรินทร์ บุญทบ ชมัยพร บัวมาศ เกศสุดา สนสิริ จอมสุรางค์ ดวงธิสาร และ สิทธิสโิ รดม แก้ วสวัสดิž สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กพืช กรมวิชากากรเกษตร กรุ งเทพ djkjj

บทคัดย่ อ แมลงวันผลไม้ เผ่า Dacini เป็ นแมลงศัตรูของพืชเศรษฐกิจและเป็ นแมลงศัตรูพืชกักกันทีI สําคัญ ตัวอ่อนแมลงวันผลไม้ สร้ างความเสียหายให้ กบั การนําเข้ าและส่งออกผัก ผลไม้ ทวัI โลก อีกทังมี & ความยากในการจําแนกชนิดด้ วยลักษณะสัณฐานวิทยาภายนอก การศึกษาครัง& นี & เพืIอศึกษาอนุกรมวิธานตัวอ่อนแมลงวันผลไม้ ร่วมกับเทคนิคมอร์ โฟเมตริ กเพืIอช่วยจําแนก ชนิดแมลงวันผลไม้ เผ่า Dacini ให้ ถกู ต้ องแม่นยํา และรวดเร็ วมากขึ &น โดยรวบรวมตัวอ่อน และตัวเต็มวัยจากทัวI ทุกภูมิภาคของประเทศไทย พร้ อมทังจั & ดทําแนวทางตรวจวินิจฉัยตัวอ่อน แมลงวันผลไม้ ในเผ่า Dacini จํานวน 6 ชนิด ได้ แก่ B. correcta, B. dorsalis, B. latifrons, B. umbrosa, Z. cucurbitae และ Z. tau ซึงI จากการศึกษามอร์ โฟเมตริ ก ปี กแมลงวันผลไม้ 10 ชนิด ได้ แก่ B. carambolae, B. cilifera, B. correcta, B. dorsalis, B. latifrons, B. umbrosa, B. tuberculata, B. zonata, Z. cucurbitae และ Z. tau พบว่าขนาดเซนทรอยด์ มี ความความแตกต่างอย่างมีนยั สําคัญทางสถิติ (P > 0.05) โดยพบว่า B. latifrons มีขนาด เซนทรอยด์เล็กทีIสดุ (5.533 ± 0.401) และ B. tuberculata มีขนาดเซนทรอยด์ใหญ่ทีIสดุ (6.377 ± 0.306) จากการศึกษารูปร่างของปี กด้ วยวิธี Canonical variate analysis สามารถใช้ ความ แตกต่างของรูปร่างปี กเพืIอแยกสกุล Zeugodacus ออกจากสกุล Bactrocera ได้ อย่างชัดเจน อีก ทังรู& ปร่างปี กของแมลงวันผลไม้ ในสกุลเดียวกันมีความคล้ ายคลึงกันมากกว่าแมลงวันต่างสกุล การศึกษาครัง& นี &ถือได้ วา่ เป็ นรายงานการศึกษาครัง& แรกของประเทศไทย สําหรับใช้ เป็ นแนวทาง ตรวจวินิจฉัยจําแนกชนิดแมลงวันผลไม้ เผ่า Dacini ทีIงา่ ย สะดวก และประหยัดเวลา อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาด้ านชีวโมเลกุลเพืIอจําแนกความแตกต่างในระดับชนิดของแมลงวันผลไม้ เพิIมเติม ต่อไปในอนาคต คําสําคัญ : ตัวอ่อน แมลงวันผลไม้ เซนทรอยด์ รูปร่างปี ก

75


PEB-01

Taxonomy of fruit fly larvae in Tribe Dacini (Diptera: Tephritidae) and using Morphometric Technique in adults Yuvarin Boontop Chamaiporn Buamas Kessuda Sonsiri Jomsurang Duangthisan and Sitisarodom Kaewsawat Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok, Thailand, 10900

ABSTRACT Dacini fruit fly which are of prime economic and quarantine importance in the world. Larvae infested into fruit and cause serious problem about importing and exporting around the word. Species identification at larvae stages is difficult by morphological characteristics. Traditional taxonomy and morphometric technique for species identification is carried out for the precision and efficiency. The goal of this research to obtain the taxonomic character of dacine fruit flies larvae and information about wing morphometric. Collecting survey were done on many kind of fruit orchards and lure trapping all regions in Thailand. Six of dacine fruit flies larvae were redescribed: Bactrocera correcta, B. dorsalis, B latifrons, B. umbrosa, Zeugodacus cucurbitae and Z. tau. A dichotomous key was prepared to enable rapid identification of larvae by using a combination of morphological features. Additionally, wing morphometrics were studied from 10 species: of B. carambolae, B. cilifera, B. correcta, B. dorsalis, B. latifrons, B. umbrosa, B. tuberculata, B. zonata, Z. cucurbitae and Z. tau. Centroid sizes differed significantly among sampled species (P > 0.05). Centroid size of B. latifrons were smallest (5.533 Âą 0.401 mm) and B. tuberculata were largest (6.377 Âą 0.306 mm). Canonical variate analysis of the dataset based on the 10 species. Analysis revealed a clear pattern in which species of Zeugodacus clustered together and were clearly separated from the cluster comprising species of Bactrocera. This study has provided a simplified identification guide for initial morphological diagnosis of third larval stages. However, further molecular analysis is needed to clarify the distinction among other species. Keywords: larvae, fruit fly, centroid, wing shape

76


PEB-02

อนุกรมวิธานเพลีย8 จักจัZนศัตรู มะม่ วง (Hemiptera: Cicadellidae) ในประเทศไทย เกศสุดา สนศิริ จารุ วัตถ์ แต้ กุล ยุวรินทร์ บุญทบ สุนัดดา เชาวลิต อิทธิพล บรรณาการ และ ชมัยพร บัวมาศ กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร

บทคัดย่ อ เพลี &ยจักจันI มะม่วง (Hemiptera: Cicadellidae) เป็ นแมลงศัตรูพืชทีIสาํ คัญของมะม่วง สร้ างความเสียหายโดยการดูดกินนํ &าเลี &ยงจากยอดอ่อน และช่อดอก ทําให้ ดอกแห้ งและร่วง ติดผล น้ อยหรื อไม่ตดิ ผล หากมีการระบาดรุนแรงจะทําให้ ผลผลิตลดลง 80 - 100 เปอร์ เซ็นต์ เนืIองจาก เพลี &ยจักจันI ในกลุม่ นี &มีรูปร่างลักษณะทีIคล้ ายคลึงกันยากแก่การจําแนกชนิด วัตถุประสงค์ของ การศึกษาเพืIอทราบชนิด เขตการแพร่กระจาย พร้ อมจัดทําแนวทางการวินิจฉัย เพืIอเป็ นข้ อมูล จัดทํารายชืIอแมลงศัตรูพืชและวิเคราะห์ความเสียI งแมลงศัตรูพืช ในการนําเข้ าและส่งออกผลผลิต ทางการเกษตรรวมทังเป็ & นข้ อมูลเบื &องต้ นในการศึกษาด้ านกีฏวิทยาทุกสาขาวิชาทีIเกีIยวข้ อง ดําเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2559 ถึง มิถนุ ายน 2562 จากการศึกษาโดยการสํารวจและเก็บ รวบรวมตัวอย่างเพลี &ยจักจันI ศัตรูมะม่วงจากแปลงปลูกพืชทัวI ภูมิภาคของประเทศไทย นํามา จําแนกชนิดตามหลักอนุกรมวิธาน และใช้ แนวทางวินิจฉัยตาม Fletcher (2009) และ Knigh (2010) พบเพลี &ยจักจันI ศัตรูมะม่วงจํานวน 5 สกุล 10 ชนิด ได้ แก่ Amrasca splendens Ghauri, Amritodus atkinsoni (Lethierry), Amritodus sp., Idioscopus clypealis (Lethierry), I. nagpurensis (Pruthi), I. nitidulus (Walker), I. clavosignatus Maldonado Capriles, I. chumphoni Hongsaprug, Smita robusta Dworakowska และ Manggneura reticulate Ghauri ซึงI เพลี &ยจักจันI สกุล Amritodus เป็ นการรายงานครัง& แรกในประเทศไทย และชนิดทีIเป็ นศัตรูสาํ คัญของมะม่วง ได้ แก่ I. clypealis, I. nagpurensis และ I. nitidulus ทังนี & &ได้ บรรยายลักษณะทางสัณฐานวิทยา เขตการแพร่กระจาย และแนวทางการวินิจฉัย (Key to species) ของเพลี &ยจักจันI มะม่วงทีIได้ สาํ รวจพบในครัง& นี &ไว้ ด้วยแล้ ว คําสําคัญ : เพลี &ยจักจันI อนุกรมวิธาน Cicadellidae Hemiptera

77


PEB-02

Taxonomy of mango leafhoppers (Hemiptera: Cicadellidae) in Thailand Kessuda Sonsiri Charuwat Taekul Yuvarin Boontop Sunadda Chaowalit Chamaiporn Buamas and Ittipon Bannakan Entomology and Zoology Division, Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture

ABSTRACT Mango leafhoppers are major pests in mango. Nymphs and adults of the leafhoppers puncture and suck the sap from tender shoots, inflorescence and leaves of mango tree, which cause non-setting of flowers and dropping of immature fruits, If severe outbreaks are found, the yield will be reduced 80 – 100 percent. Mango leafhoppers have a similar shape and character, which they are difficult identify to species. The objective of this study is to gain better insight in the identification at species level as well as distribution of the mango leafhoppers in Thailand. The results are used in a pest list and pest risk analysis program for the import-export agricultural products. A survey and collecting were implemented from October 2016 – June 2019 on the mango crops across the country. The insect samples were examined based on classical taxonomy and identification to the species level followed Fletcher (2009) and Knigh (2010). The result revealed that 5 genus 10 species were found comprising, Amrasca splendens Ghauri, Amritodus atkinsoni (Lethierry), Amritodus sp., Idioscopus clypealis (Lethierry), I. nagpurensis (Pruthi), I. nitidulus (Walker), I. clavosignatus Maldonado Capriles, I. chumphoni Hongsaprug, Smita robusta Dworakowska and Manggneura reticulate Ghauri. Amritodus is considered new to the genus records in Thailand. I. clypealis, I. nagpurensis and I. nitidulus are most common and destructive species of hoppers, which cause heavy damage to mango crops. The species descriptions and the key to species are presented. Keywords: Mango leafhopper, Taxonomy, Cicadellidae, Hemiptera

78


PEB-03

ความหลากหลายของแมลงศัตรู พชื และแมลงศัตรู ธรรมชาติในแปลงปลูก กะหลํZาปลีระหว่ างการใช้ การจัดการศัตรู พชื แบบผสมผสานและการใช้ สารเคมี กําจัดแมลง วรนาฏ โคกเย็น เบญจคุณ แสงทองพราว และ จารุ วัฒน์ เถาธรรมพิทกั ษ์ ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ กะหลําI ปลีเป็ นผักทีIนิยมปลูกเพืIอในใช้ การบริ โภค แมลงศัตรูของกะหลําI ปลีมีหลายชนิด เกษตรกรมี การใช้ สารเคมีกําจัดแมลงไม่ถกู วิธีและใช้ มากเกินความจําเป็ น ทําให้ เกิดอันตรายต่อ ผู้บริ โภคและสิงI แวดล้ อม งานวิจยั นี &จึงมีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษาความหลากหลายของแมลงศัตรูพืช และแมลงศัตรูธรรมชาติในแปลงปลูกกะหลําI ปลีทีIมีการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน (IPM) และ มีการใช้ สารเคมีกําจัดแมลง (CHEM) ต. คีรีราษฎร์ อ. พบพระ จ. ตาก มี d พื &นทีI คือ พื &นทีIตดิ ป่ า (NF) และพื &นทีIตดิ ถนน (NR) โดยใช้ กบั ดักกาวเหนียวสีเหลืองดักจับแมลง ระหว่างเดือน พฤศจิกายน dee¢ – เดือนกันยายน dee— พบว่า แปลง NF-IPM พบแมลงมากทีIสดุ 7 อันดับ 35 วงศ์ ส่วนแปลง NR-CHEM พบแมลงน้ อยทีIสดุ 8 อันดับ 31 วงศ์ ค่าดัชนีความหลากหลายใน แปลง NF-IPM มีคา่ มากทีIสดุ เท่ากับ d.ge ขณะทีIแปลง NR-CHEM มีคา่ น้ อยทีIสดุ เท่ากับ g.¢d ใน แปลง NF-CHEM มีคา่ ความสมํIาเสมอของชนิดแมลงมากทีIสดุ เท่ากับ –.f” ส่วนแปลง NF-IPM และ NR-IPM มีคา่ ความคล้ ายคลึงของชนิดแมลงมากทีIสดุ ทัง& l แปลงมีสดั ส่วนของแมลงศัตรูพืช มากกว่าแมลงศัตรูธรรมชาติและแมลงอืIนๆ แมลงศัตรูพืชทีIพบมาก คือ เพลี &ยอ่อน (Aphididae) เพลี &ยไฟ (Thripidae) และแมลงวันหนอนชอนใบ (Agromyzidae) แมลงศัตรูธรรมชาติทีIพบมาก ได้ แก่ แตนเบียนแอนเซอติด (Encyrtidae) และแตนเบียน บราโคนิด (Braconidae) กลุม่ แมลง อืIนๆ ทีIพบมากได้ แก่ แมลงวันหลังค่อม (Phoridae) สรุปได้ วา่ แปลงปลูกกะหลําI ปลีทีIมีการจัดการ แมลงศัตรูพืชแบบผสมผสานทําให้ แมลงมีความหลากหลายมากกว่าแปลงทีIใช้ สารเคมีกําจัดแมลง เพียงอย่างเดียว คําสําคัญ : ผัก ดัชนีความหลากหลาย อําเภอพบพระ จังหวัดตาก กับดักกาวเหนียวสีเหลือง

79


PEB-03

Diversity of insect pests and natural enemy insects in cabbage crops between integrated pest management and insecticide uses Woranad Khokyen Banjakhun Sangtongproaw and Jaruwat Thowthampitak Department of Entomology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900

ABSTRACT Cabbage is a favor vegetable for consumption. There are many species of insect pests in cabbage. Farmers use insecticides with incorrect practices and over dosage that are harmful to consumers and environment. The objective of this study was to investigate diversity of insect pests and natural enemy insects in cabbage crops between integrated pest management (IPM) and insecticide (CHEM) using in Khiri Rat Sub-district, Phop Phra District, Tak Province. Two areas were determined that include near forest area (NF) and near road area (NR). Yellow sticky trap was used for insect capturing on November 2015- September 2016. The results show that NF-IPM area found the highest species of insects in 7 Orders, 35 Families and NR-CHEM area found the lowest species of insects in 8 Orders, 31 Families. In NF-IPM area showed the highest diversity index (2.15) while NR-CHEM showed the lowest (1.82). Species evenness in NF-CHEM area was highest (0.63). The similarity index in NF-IPM and NRIPM areas were highest. The percentage of insect pests in all areas was more than natural enemy insects and other insects. The insect pests found in largest number were aphids (Aphididae), thrips (Thripidae) and leaf miners (Agromyzidae). For natural enemy insects were encyrtid wasps (Encrytidae) and braconid wasps (Braconidae) and other insect group was humpacked flies (Phoridae). The conclusion, the cabbage crops with integrated pest management was demonstrated species diversity more than crops that used only chemical control. Keywords: Vegetable, Species diversity index, Phop Phra District, Tak Province, Yellow sticky trap

80


PEB-04

ความหลากชนิดของแมลงวันผลไม้ ในแปลงรวบรวมพันธุ์กีวีในพืน8 ทีZสถานี เกษตรหลวง อินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ สรายุทธ ปิ ตตาระเต รั ตนาภรณ์ หมายหมัน8 และ พัชรินทร์ ครุ ฑเมือง ภาควิชากีฏวิทยาและโรคพืช คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เชียงใหม่

บทคัดย่ อ แมลงวันผลไม้ เป็ นแมลงศัตรูสําคัญทางเศรษฐกิจในไม้ ผล มีรายงานการระบาดเป็ นอย่าง มากในพื &นทีIสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ หน่วยวิจยั ขุนห้ วยแห้ ง อําเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ดังนันการศึ & กษานี &จึงมีวตั ถุประสงค์เพืIอสํารวจ ติดตามการระบาดของแมลงวันผลไม้ และศึกษา ชีววิทยาของแมลงวันผลไม้ ทีIพบเข้ าทําลายในกีวีI ก่อนและหลังการเก็บเกีIยวผลผลิต โดยวางกับ ดักฟี โรโมนแบบแผ่นกาวเหนียวสีเหลือง วางสุม่ แบบเป็ นระบบ (systematic random sampling) ภายในพื &นทีI g,”g• ตารางเมตร ในช่วงเดือนตุลาคม defg ถึงเดือนกุมภาพันธ์ defd ผลการศึกษา พบว่ากับดักกาวเหนียว สามารถดึงดูดแมลงวันผลไม้ ได้ ทงั & d เพศ โดยในแต่ละเดือนมีสดั ส่วนเพศ ของแมลงทีIตดิ กับดักแตกต่างกันอย่างมีนยั สําคัญ นอกจากนี &ในจํานวนของแมลงทีIตดิ กับดักยังพบ แมลงวันผลไม้ ในสกุล Bactrocera จํานวน e ชนิด ได้ แก่ B. dorsalis, B. tau, B. scutellaris, B. zonata และ B. nigrotibialis พบสกุล Acroceratitis จํานวน g สกุล แต่ยงั ไม่ทราบชืIอชนิด และ พบแมลงวันผลไม้ ทีIไม่ทราบสกุลและชนิด ให้ เป็ น Unknown A g ชนิด มากไปกว่านันเดื & อน พฤศจิกายน มีคา่ เฉลียI ของประชากรแมลงวันผลไม้ มากทีIสดุ คือ ”e.e¢±3.00 ตัวต่อกับดัก ซึงI มี อุณหภูมิเฉลียI เท่ากับ d–.ed องศาเซลเซียส ความชื &นสัมพัทธ์ —d.¢d เปอร์ เซ็นต์ และเดือน กุมภาพันธ์มีคา่ เฉลียI ของประชากรแมลงวันผลไม้ น้อยทีIสดุ ทีIอณ ุ หภูมิเฉลียI เท่ากับ g•.fl องศา เซลเซียส ความชื &นสัมพัทธ์ •¢.dl เปอร์ เซ็นต์ ผลการศึกษาครัง& นี &จะเป็ นข้ อมูลพื &นฐานแก่นกั วิจยั และเกษตรกรในการพยากรณ์ชว่ งการระบาด และใช้ ประกอบการตัดสินใจเลือกกรรมวิธีทีIมี ประสิทธิภาพสูงในการบริ หารจัดการเพืIอลดความเสียหายจากแมลงวันผลไม้ ศตั รูกีวีบนพื &นทีI โครงการหลวงและพื &นทีIสงู ต่อไป คําสําคัญ : Bactrocera แมลงวันผลไม้ กับดักฟี โรโมน ความหลากชนิด

81


PEB-04

Species Diversity of Fruit fly in Kiwifruit Orchard in The Royal Agricultural Station Inthanon, Chiang Mai Province Sarayut Pittarate Rattanaporn Maimun and Patcharin Krutmuang Department of Entomology and Plant Pathology, faculty of Agriculture, Chiang Mai University, Chiang Mai

ABSTRACT Fruit fly is one of the economically important on fruit plants, especially in kiwifruit which is becoming popular of Thai people. Severe damage in kiwifruit orchard were report in Royal Agricultural Station Inthanon at khun Huai Haeng, Chom Thong District, Chiang Mai Province. The objective were to study monitoring of insect number when the outbreak occurred to pre-harvest and post-harvest in kiwifruit orchard, biological study and identification of fruit fly from kiwifruit were found damage. Sample was collected from Royal Agricultural Station Inthanon at Khun Huai Haeng during October 2018 to February 2019 by using yellow sticky pheromone traps and trapping by systematic random sampling methods within an area of 1,317 square meters. The results showed that the traps attracted both sexes of fruit flies, which was significantly different in each month. The traps was found 5 species of fruit flies; Bactrocera dorsalis, B. tau, B. scutellaris, B. Zonata, and B. nigrotibialis. One family of Acroceratitis could not identify the species that called unknown species in this experiment. More than that, the highest population of fruit fly was caught at 35.58 Âą 3.00 insect per trap in November 2018 (20.52oC, 92.82% RH), and the lowest populations of fruit fly was in February 2019 (17.64oC, 78.24% RH). The results of this study will provide database for researchers and farmers in predicting the outbreak occurred. Finally, the study can be applied in management fruit fly to reduce damage on kiwifruit orchard pest in highland and Royal Project Foundation. Keywords: Bactrocera, Fruit fly, Pheromone trap, Species diversity

82


PEB-05

การประยุกต์ ใช้ เทคนิคดีเอ็นเอบาร์ โค้ ดในการจําแนกชนิดของมอดแป้ งสกุล Tribolium spp. ทีZเป็ นศัตรู พชื กักกันแบบรวดเร็ว นพรั ตน์ บัวหอม1 นางสาวชลธิชา รั กใคร่ 2 นางสาวชนินทร ดวงสอาด2 นางช่ อทิพย์ ศัลยพงษ์ 1 นายอิทธิพล บรรณการ2 และ นายมนตรี ธนรส1 1

สํานักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร 2 สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร

บทคัดย่ อ มอดแป้ง (Flour beetle) สกุล Tribolium เป็ นแมลงศัตรูพืชกักกันทีIสาํ คัญ แต่เนืIองจาก มอดแป้งมีขนาดเล็ก บางชนิดมีรูปร่างลักษณะใกล้ เคียงกัน การจําแนกชนิดด้ วยลักษณะทาง สัณฐานวิทยาเพียงอย่างเดียวจึงค่อนข้ างยาก โดยเฉพาะตัวอย่างทีIไม่อยูใ่ นสภาพสมบูรณ์ หรื ออยู่ ไม่อยูใ่ นระยะตัวเต็มวัย การทดลองนี &ดําเนินการระหว่าง ปี 2559 - 2561 โดยนําตัวอย่างแมลง ศัตรูโรงเก็บทีIรวบรวมได้ จากโรงสีข้าวระหว่างการตรวจประเมินผู้ผลิตและแปรรูปข้ าวส่งออกไปจีน และด่านตรวจพืชท่าเรื อกรุงเทพ จํานวน g–” ตัว นํามาจําแนกชนิดด้ วยลักษณะทางสัณฐานวิทยา พบว่าประกอบด้ วย l ชนิด คือ มอดแป้งชนิด T. castaneum มอดฟั นเลือI ย (Oryzaephilus surinamensis) ด้ วงงวงข้ าวโพด (Sitophilus oryzae) ด้ วงถัวI เขียว (Callosobruchus maculatus) และมีตวั อย่างบางส่วนไม่สามารถจําแนกได้ เนืIองจากไม่อยูใ่ นสภาพสมบูรณ์ จากนัน& นําตัวอย่าง ของแมลงศัตรูโรงเก็บทัง& l ชนิด และตัวอย่างทีIไม่สามารถจําแนกได้ จํานวน dl ตัว มาสกัดดีเอ็น เอ เพิIมปริ มาณยีน COI ด้ วยเทคนิค PCR ตรวจวิเคราะห์ลาํ ดับนิวคลีโอไทด์กบั ฐานข้ อมูล GenBank พบว่าผลการจําแนกชนิดตรงกับลักษณะทางสัณฐานวิทยา และตัวอย่างทีIไม่สามารถ ระบุชนิดได้ คือ มอดแป้งชนิด T. castaneum ผลการวิเคราะห์ ML - tree ได้ ยืนยันความถูกต้ อง ของการจําแนกชนิดด้ วยเทคนิคดีเอ็นเอบาร์ โค้ ด โดยพบว่าลําดับนิวคลีโอไทด์ของตัวอย่างแมลง ศัตรูโรงเก็บทัง& l ชนิด อยูใ่ น clade เดียวกันกับลําดับนิวคลีโอไทด์จากฐานข้ อมูล GenBank โดย มอดแป้งชนิด T. castanuem และชนิด T. fremani มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมใกล้ เคียงกัน และได้ นําลําดับนิวคลีโอไทด์ทีIได้ สง่ ไปยังฐานข้ อมูล GenBank (No. MK649848 – MK649857) คําสําคัญ : มอดแป้ง การจําแนกชนิดแบบรวดเร็ ว กักกันพืช ดีเอ็นเอบาร์ โค้ ด

83


PEB-05

Rapid Identification of Quarantine Pest Species of Genus Tribolium spp. Based on DNA barcoding Nopparat Buahom1 Chonticha Rakkrai2 Chanintorn Doungsa – ard2 Chortip Salyapongse1 Ittipon Bannakan2 and Montri Tanaros1 Office of Agricultural Regulation, Department of Agriculture Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture 1

2

ABSTRACT Flour beetles of the genus Tribolium are important quarantine pests. Because Tribolium individuals is small and similar in morphological characteristics for some species, especially damaged samples and non – adults state, it is difficult to identify base on external characteristics alone. The study carried out molecular identification, using mtDNA COI gene, during 2016 – 2018. We collected 103 stored – product pest individuals from rice mills during the on – site inspection of rice production and processing enterprises for exporting to China and Bangkok port plant quarantine station, and identified base on external morphological characteristics, the results showed that the individuals consisted of 4 species of pest, including T. castaneum, Oryzaephilus surinamensis, Sitophilus oryzae and Callosobruchus maculatus, and some individuals could not identified cause damaged. We applied molecular identification on 24 samples from 4 species individuals and damaged individuals, through DNA extraction, PCR amplification, sequencing and sequences alignment in GenBank. Results of two identification techniques are consistent, sequences similarity is highly at 98.94% above, and the damaged sample is T. castaneum. Phylogenetics analysis based on Maximum Likelihood method using K2P parameter further verified the molecular identification results above. Each species are in the same clade to the species got from GenBank. Genetics relationship between T. castaneum and T. freemani are very close, and conformed to previous studies. We submitted nucleotide sequences of 4 species to GenBank, accession numbers are MK649848 – MK649857. Therefore, the study can provide technical reference and support to rapid identification of other pests, which can provide convenience in release of plants and plant products consignments in entry - exit inspection and quarantine, and can also be a basis of population genetics study. Keywords: Flour beetle, Rapid Identification, Plant Quarantine, DNA barcoding 84


PEB-06

ชีววิทยาและผลกระทบของแตนเบียนไฮเปอร์ Chartocerus hyalipennis และ Prochiloneurus insolitus ต่ อแตนเบียน Anagyrus lopezi เสาวลักษณ์ แก้ วเทวี เบญจคุณ แสงทองพราว และ อัญชนา ท่ านเจริญ ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขตจตุจกั ร กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ เพลี &ยแป้งมันสําปะหลังสีชมพูเป็ นแมลงศัตรูทีIสาํ คัญของมันสําปะหลังและทําให้ มนั สําปะหลังแสดงอาการผิดปกติและผลผลิตลดลง แตนเบียนทีIใช้ ในการควบคุมเพลี &ยแป้งมัน สําปะหลังสีชมพูคือ Anagyrus lopezi (Santis) แต่ในธรรมชาติพบว่ามีแตนเบียนไฮเปอร์ ซงึI เบียน แตนเบียน A. lopezi อีกทอดหนึงI งานวิจยั นี &จึงมีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษาการเปลียI นแปลงประชากร ของแตนเบียนไฮเปอร์ C. hyalipennis และ P. insolitus ในแปลงปลูกมันสําปะหลัง ต.ห้ วยบง อ. ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา จํานวน 9 แปลง ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2561 ถึงกุมภาพันธ์ 2562 และศึกษาชีววิทยาและผลกระทบของแตนเบียนไฮเปอร์ ทงั & 2 ชนิดต่อแตนเบียน A. lopezi ใน ห้ องปฏิบตั กิ ารภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า เพลี &ยแป้งมันสําปะหลังสีชมพูและแตนเบียนไฮเปอร์ C. hyalipennis และ P. insolitus มีจํานวน มากทีIสดุ ในเดือนพฤศจิกายน ส่วนแตนเบียน A. lopezi พบมากทีIสดุ ในเดือนกันยายน เปอร์ เซ็นต์ การเบียนในสภาพแปลงของ P. insolitus มากกว่า C. hyalipennis ในทุกเดือน วงจรชีวิตของ C. hyalipennis และ P. insolitus ตังแต่ & ไข่จนถึงตัวเต็มวัยเท่ากับ 11.10±0.26 และ 11.45±0.15 วัน ตามลําดับ อายุขยั ของ C. hyalipennis และ P. insolitus เพศเมียเมืIอเลี &ยงด้ วยสารละลายนํ &าผึ &ง เท่ากับ 20.8±3.72 และ 13±1.53 วัน ตามลําดับ ส่วนเพศผู้ของ C. hyalipennis เท่ากับ 21±2.79 วัน เปอร์ เซ็นต์การเบียนของ C. hyalipennis และ P. insolitus ในห้ องปฏิบตั กิ ารเท่ากับ 60.41±4.77 และ 37.50±2.23 ตามลําดับ เมืIอปล่อยทัง& 2 ชนิดพร้ อมกันทําให้ เปอร์ เซ็นต์การเบียน ลดลงเหลือ 39.63±1.66 และ 28.08±1.40 ตามลําดับ สรุปได้ วา่ แตนเบียนไฮเปอร์ C. hyalipennis และ P. insolitus มีผลทางลบต่อแตนเบียน A. lopezi คําสําคัญ : มันสําปะหลัง เพลี &ยแป้งมันสําปะหลังสีชมพู ตําบลห้ วยบง จังหวัดนครราชสีมา เปอร์ เซ็นต์การเบียน

85


PEB-06

Biology and Effect of Hyperparasitoids, Chartocerus hyalipennis and Prochiloneurus insolitus on Parasitoid, Anagyrus lopezi Saowaluck Kaewtawee Banjakhun Sangtongproaw and Anchana Thancharoen Department of Entomology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900

ABSTRACT The pink cassava mealybug is an important insect pest of cassava that caused abnormal growth and yields decreasing. The parasitoid used for controlling of pink cassava mealybug is A. lopezi. In the field, it was found that hyperparasitoids parasitized A. lopezi. The aims of this study were to determine the population dynamic of C. hyalipennis and P. insolitus in 9 cassava plantations at Huai Bong sub-district, Dankhunthot district, Nakhon Ratchasima Province during July 2018-February 2019 and to study the biology and effect of two hyperparasitoids on A. lopezi in laboratory of Department of Entomology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University. The results shown that the highest number of pink cassava mealy bug, C. hyalipennis and P. insolitus were found on November while A. lopezi was found on September. The parasitism percentage in fields of P. insolitus was more than C. hyalipennis in all months. The life cycle of C. hyalipennis and P. insolitus from egg to adult stage were 11.10±0.26 and 11.45±0.15 days, respectively. The longevity of female C. hyalipennis and P. insolitus when fed with honey solution were 20.8±3.72 and 13±1.53 days, respectively and 21±2.79 days in male of C. hyalipennis. The parasitism rate of C. hyalipennis and P. insolitus in laboratory were 60.41±4.77 and 37.50±2.23, respectively. The parasitism rate was decreased when released two hyperparasitoids together, 39.63±1.66 in C. hyalipennis and 28.08±1.40 in P. insolitus. The conclusion, C. hyalipennis and P. insolitus had negative effect on A. lopezi Keywords: Cassava, Pink cassava mealybug, Huai Bong sub-district, Nakhon Ratchasima, Parasitism rate

86


PEB-07

การตรวจสอบเอกลักษณ์ ของกลุ่มสารทีZมีฤทธิžในการควบคุมแมลงในสารสกัด บัวตอง ด้ วยเทคนิคทีแอลซีสมรรถนะสูง พจนีย์ หน่ อฝั 8น ณัฐพร ฉันทศักดา ธนิตา คํZาอํานวย ศิริพร สอนท่ าโก และ ธิตยิ าภรณ์ อุดมศิลป์ กองวิจยั พัฒนาปั จจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ djkjj

บทคัดย่ อ การใช้ สารสกัดจากพืชเป็ นทางเลือกหนึงI ทีIสามารถนํามาใช้ ในการป้องกันแมลงศัตรูพืช ทดแทนการใช้ สารเคมี งานวิจยั นี &มีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจาก บัวตองทีIมีฤทธิ¾ในการควบคุมหนอนใยผัก (Plutella xylostella L.) โดยทําการสกัดใบบัวตองด้ วย ตัวทําละลาย ” ชนิดได้ แก่เฮกเซน ไดคลอโรมีเทน และเมทานอล จากนันนํ & าสารสกัดไปทดสอบ ประสิทธิภาพต่อหนอนใยผักในห้ องปฏิบตั กิ ารโดยวิธีจมุ่ ใบ (Leaf dipping method) พบว่าสาร สกัดจากบัวตองทีIสกัดด้ วยเมทานอลมีผลต่ออัตราการตายของหนอนใยผักมากทีIสดุ โดยมีคา่ เฉลียI เท่ากับ ee.– % เมืIอนําสารสกัดหยาบเมทานอลไปแยกส่วนสกัดด้ วยวิธีคอลัมน์โครมาโทกราฟี สามารถแยกได้ ¢ ส่วนสกัด (F1-F¢) จากการทดสอบประสิทธิภาพต่อหนอนใยผักของแต่ละส่วน สกัดพบว่าส่วนสกัดทีI e (Fe) มีผลต่ออัตราการตายของหนอนใยผักมากทีIสดุ เฉลียI •d.e % ศึกษา องค์ประกอบทางเคมีของส่วนสกัดดังกล่าวด้ วยเทคนิคทีแอลซีสมรรถนะสูง (HPTLC) ข้ อมูล เอกลักษณ์โครมาโทกราฟี พบว่าสารสกัดบัวตองทีIมีฤทธิ¾ตอ่ หนอนใยผักมีองค์ประกอบทางเคมีเป็ น สารกลุม่ เทอร์ พีนอยด์ จากการศึกษาครัง& นี &สามารถสรุปได้ วา่ สารสกัดจากใบบัวตองทีIสกัดด้ วยเม ทานอลมีองค์ประกอบทางเคมีทีIมีศกั ยภาพในการควบคุมหนอนใยผักได้ ดีซงึI น่าจะมีการนําไป ขยายผลเพืIอใช้ ในการป้องกันกําจัดแมลงศัตรูพืชต่อไป คําสําคัญ : บัวตอง สารสกัดจากธรรมชาติ หนอนใยผัก ทีแอลซีสมรรถนะสูง ลายพิมพ์ องค์ประกอบทางเคมี

87


PEB-07

High-performance Thin-layer Chromatography (HPTLC) Screening for Insecticidal Compounds of Extracts from Tithonia diversifolia Poachanee Norfun Nattaporn Chanthasakda Thanita Kham-amnouy Siriporn Sornthako and Thitiyaporn Udomsilp Agricultural Production Sciences Research and Development Division, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT The use of plant extracts could be an alternative method to the conventional insecticides for pest control. The current study is based on the screening of the chemical composition of Tithonia diversifolia extracts in controlling of the diamondback moth larvae (Plutella xylostella L.). Leaves of Tithonia diversifolia were extracted with hexane, dichloromethane, and methanol. Investigation of Tithonia diversifolia leaf extracts on the mortality rate of diamondback moth was conducted in the laboratory by using the leaf dipping method. Manipulative data showed that methanol crude extract of Tithonia diversifolia gave the highest mortality rate at 55 %. The methanol crude extract was further fractionated by column chromatography. Eight fractions (F1-F8) were collected and tested against diamondback moth larvae. The results showed that fraction F5 displayed the highest mortality rate on diamondback moth at 72.5 %. The study of chemical constituents of the fractions was measured by high-performance thin-layer chromatography (HPTLC) technique. The HPTLC fingerprint profiles showed that the extracts composed of a majority of the terpenoids compounds. The results suggested that methanolic leaf extract of Tithonia diversifolia has the potential for development as a botanical insecticide and should be applied further for preventing and getting rid of insect pest. Keywords: Tithonia diversifolia, botanical insecticide, Plutella xylostella L., HPTLC, chemical fingerprint

88


PEB-08

สัตว์ ขาข้ อทีZมีบทบาทเป็ นผู้กนิ พืชและผู้ล่าในพืช 4 ชนิดในสกุล Passiflora ชิษณุพงศ์ พานเทียน1,2 และ ชัชวาล ใจซืZอกุล2 สาขาสัตววิทยา ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กรุ งเทพฯ 10330 ศูนย์ ความเป็ นเลิศทางกีฏวิทยา: ชีววิทยาของผึง8 ความหลากหลายทางชีวภาพของแมลงและไร ภาควิชาชีววิทยา คณะ วิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กรุ งเทพฯ 10330 1

2

บทคัดย่ อ พืชในสกุล Passiflora นับว่าเป็ นพืชต่างถิIนทีIได้ รับการนําเข้ ามาเพาะปลูกอย่างแพร่หลาย ในประเทศไทยในปั จจุบนั เพืIอเป็ นพืชให้ ผลและพืชประดับ แต่มีการศึกษาทีIรายงานถึงสัตว์ขาข้ อทีI ใช้ พืชในสกุลนี &เพียงเล็กน้ อย ทังในส่ & วนของสัตว์ขาข้ อกินพืชและสัตว์ขาข้ อผู้ลา่ ทีIใช้ พืชในสกุลนี & การศึกษานี &จึงมีเป้าหมายเพืIอสํารวจความหลากหลายของสัตว์ขาข้ อทีIพบในพืชในสกุล Passiflora ได้ แก่ Passiflora foetida (พืชป่ า), P. edulis (พืชให้ ผล), P. x alato-caerulea และ P. x coccinea-caerulea (พืชประดับ) ในแปลงขนาด gxg ตารางเมตร ห่างจากกัน g เมตรแบบสุม่ ทังหมด & ¢ ซํ &า ในพื &นทีIจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย จังหวัดสระบุรี ในช่วงเดือนมีนาคม–ธันวาคม defg ผลการศึกษาพบกลุม่ สัตว์ขาข้ อทีIคล้ ายคลึงกันในพืชทัง& l ชนิด โดยพบสัตว์ขาข้ อกินพืช จํานวน ”d วงศ์จาก ¢ อันดับ โดยกลุม่ ทีIพบมากทีIสดุ คือหนอนผีเสื &อในวงศ์ Nymphalidae โดยเฉพาะชนิด Acraea terpsicore จํานวน •,g—l ตัวและมวนในวงศ์ Pyrrhocoridae จํานวน g,”ff ตัว และพบสัตว์ขาข้ อผู้ลา่ จํานวน gl วงศ์จาก — อันดับ โดยกลุม่ ทีIพบมากทีIสดุ คือ แมงมุม ในวงศ์ Oxyopidae ทังหมด & g”f ตัว และ P. foetida มีความหลากหลายของสัตว์ขาข้ อผู้ลา่ และ สัตว์ขาข้ อกินพืชมากทีIสดุ (H’ = g.d—g และ g.–e– ตามลําดับ) จากการศึกษานี &พบว่าสัตว์ขาข้ อทีI สามารถใช้ P. foetida ทีIเป็ นพืชป่ าสามารถปรับตัวเพืIอใช้ พืชชนิดอืIนทีIเป็ นพืชทางการเกษตรได้ โดยเฉพาะหนอนผีเสื &อ A. terpsicore ทีIกิน P. foetida เป็ นพืชอาหาร ซึงI ข้ อมูลนี &จะเป็ นประโยชน์ สําหรับการจัดการแมลงศัตรูพืชบนพืชสกุล Passiflora คําสําคัญ : พืชต่างถิIน การจัดการศัตรูพืช พืชสวนให้ ผล ไม้ ดอกประดับ พืชกลุม่ กะทกรก

89


PEB-08

Herbivorous and predatory arthropods in four Passiflora plants Chitsanuphong Phanthian1,2 and Chatchawan Chaisuekul2 Zoology Program, Department of Biology, Faculty of Science, Chulalongkorn University, Bangkok 10330 Center of Excellence in Entomology: Bee Biology, Biodiversity of Insects and Mites, Department of Biology, Faculty of Science, Chulalongkorn University, Bangkok 10330 1

2

ABSTRACT Plants in genus Passiflora are exotic plants that have been imported and cultivated in in Thailand as fruit crop plants and ornamental plants, but the information of diversity of arthropods, both herbivorous and predatory arthropods, on Passiflora plants are limited, Therefore, this study aimed to assessed the diversity of arthropods on four Passiflora plants, including Passiflora foetida (a wild plant), P. edulis (a fruit crop plant), P. x alato-caerulea (an ornamental plant) and P. x coccinea-caerulea (an ornamental plant). Each plant species was planted in 1x1 m2 plot. Plots were arranged randomly in line formation for 8 replications in area of Chulalongkorn University: Center of learning network for the region, Saraburi province. Arthropods were collected biweekly from March to December 2018. The collected arthropods were counted and identified to the family level. Arthropod community in all four plants were similar. From 32 families in 8 orders of herbivorous arthropods found in the four plants, the most abundant herbivorous arthropods were caterpillars in family Nymphalidae, especially caterpillars of Acraea terpsicore at a total of 7,194 individuals, and true bug in family Pyrrhocorridae at a total of 1,366 individuals. From 14 families in 9 orders of predatory arthropods, the most abundant predatory arthropods were spiders in family Oxyopidae at a total 136 individuals. Passiflora foetida had the highest Shannon-Wiener diversity index (H’) = 1.2914 for predatory arthropods and (H’) = 1.0498 for herbivorous arthropods, respectively. In conclusion, arthropods found in this study that can utilize wild plant, P. foetida, may adapt to utilize other Passiflora species that are crop plants and ornamental plants, especially caterpillars of A. terpsicore that originally consumed P. foetida as host plants. This study provides some necessary information for pest management on Passiflora plants. Keywords: exotic plants, pest management, fruit crop plant, ornamental plant, passion vines 90


PEB-09

ฤทธิžสัมผัสตายของสารสกัดยาสูบ (Nicotiana tabacum Linnaeus) ต่ อไรแมงมุม สองจุด (Tetranychus urticae Koch) วสันต์ ตฤณธวัช และ วนิดา อ่ วมเจริญ ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ การใช้ สารเคมีสงั เคราะห์กําจัดแมลงก่อให้ เกิดผลเสียต่อมนุษย์และสิงI แวดล้ อม การศึกษา ครัง& นี &จึงมีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษาฤทธิ¾สมั ผัสตายของสารสกัดยาสูบต่อไข่และตัวเต็มวัยของไรแมง มุมสองจุด ซึงI อาจเป็ นแนวทางในการนําสารสกัดยาสูบไปใช้ ควบคุมไรศัตรูพืชแทนการใช้ สารเคมี สังเคราะห์ ยาสูบจากไส้ บหุ รีI ” ชนิด ได้ แก่ GUDANG GARAM ชนิดร้ อน MINNA ชนิดร้ อน และ GUDANG GARAM ชนิดเย็น ถูกนํามาสกัดด้ วยตัวทําละลายอินทรี ย์ ” ชนิด ได้ แก่ Hexane, Methylene chloride และ Methanol ใช้ วิธีการแช่ทีIอณ ุ หภูมิห้องเป็ นเวลา l วัน สารสกัดยาสูบทุก ชนิดถูกนํามาทดสอบฤทธิ¾สมั ผัสตายต่อไรโดยวิธีการพ่นโดยตรง ผลพบว่าสารสกัดหยาบ Hexane จากยาสูบ GUDANG GARAM ชนิดเย็น, GUDANG GARAM ชนิดร้ อน และMINNA ชนิดร้ อน ทีI ความเข้ มข้ น 5% ออกฤทธิ¾สมั ผัสตายสูงสุดต่อไข่ไร โดยเป็ นสาเหตุให้ ไข่ไรไม่ฟัก —g.f, •f.d และ 70.2% ตามลําดับ ทีIเวลา • วันหลังการทดสอบ สารสกัดหยาบยังมีฤทธิ¾สมั ผัสตายสูงสุดต่อไรตัว เต็มวัย ทําให้ ไรตาย —•.¢, 97.2 และ ¢g.g% ตามลําดับ ทีIเวลา ” วันหลังจากการทดสอบ สารสกัด เฮกเซนจากยาสูบ GUDANG GARAM ชนิดร้ อน, MINNA ชนิดร้ อน และ GUDANG GARAM ชนิดเย็น ทีIความเข้ มข้ น ”% ทําให้ ไข่ไรไม่ฟัก eg.•, 30.4 และ g¢.•% ตามลําดับ ทีIเวลา • วันหลัง การทดสอบ ในขณะทีIสารสกัดยาสูบ GUDANG GARAM ชนิดร้ อน และ MINNA ชนิดร้ อน ทีI ความเข้ มข้ น ”% ฆ่าไรตัวเต็มวัยตาย g––% ทีIเวลา g วันหลังจากการทดสอบ ส่วนสารสกัดยาสูบ GUDANG GARAM ชนิดเย็น ทีIความเข้ มข้ น g% ฆ่าตัวเต็มวัยไรตาย g––% ทีIเวลา ” วันหลังจาก การทดสอบ คําสําคัญ : สารสกัดยาสูบ ไรแมงมุมสองจุด การควบคุมไร GUDANG GARAM MINNA

91


PEB-09

Contact Toxicity Activity of Tobacco Extract (Nicotiana tobacum Linnaeus) on Two-Spotted Spider Mite (Tetranychus urticae Koch) Wasan Trintawat and Wanida Auamcharoen Department of Entomology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900

ABSTRACT Using synthetic insecticides cause harm to humans and environment. In this study, the objective was to study the contact toxicity activity of tobacco extracts on eggs and adults of two-spotted spider mites. The results from this study may guide to use tobacco extracts for controlling pest mites instead of synthetic chemicals using. The 3 cigarette tobacco types, GUDANG GARAM (type hot), GUDANG GARAM (type cool) and MINNA (type hot) were extracted with 3 organic solvents, hexane, methylene chloride and methanol by maceration method at room temperature for 4 days. All tobacco extracts were tested contact toxicity activity on mite by direct spray method. The results showed that hexane crude extract from GUDANG GARAM (type cool), GUDANG GARAM (type hot) and MINNA (type hot) at 5% (w/v) concentration induced the highest contact toxicity activity on mite eggs by causing 91.6, 76.2 and 70.2% unhatched eggs of mites, respectively. The extracts also caused the maximum contact toxicity activity on adult mites by inducing 97.8, 97.2 and 81.1% mite mortality, respectively at 3 days after treatment. The hexane crude extracts from GUDANG GARAM (type hot), MINNA (type hot) and GUDANG GARAM (type cool) at 3% (w/v) concentration appeared 51.7, 30.4 and 18.7% of unhatched egg of mites, respectively at 7 days after treatment where hexane crude extracts from GUDANG GARAM (type hot) and MINNA (type hot) at 3% (w/v) concentration killed 100% of adult mites 1 day after treatment and GUDANG GARAM (type cool) at 1% concentration killed mite adults 100% at 3 days after treatment. Keywords: Tobacco extract, Tetranychus urticae, mite control, GUDANG, GARAM, MINNA 92


PEB-10

ประสิทธิภาพของไส้ เดือนฝอยศัตรู แมลง (Steinernema carpocapsae) ทีZมีต่อ หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด, Spodoptera frugiperda (J.E. Smith) (Lepidoptera: Noctuidae) ลัทธพล เหมือนตา นิยาภรณ์ ขวัญเกตุ รั ตนาวดี อ่ อนวงษ์ และ อธิราช หนูสีดาํ ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด, Spodoptera frugiperda (J.E. Smith) จัดเป็ นแมลงศัตรูทีI สําคัญทางเศรษฐกิจของข้ าวโพดและพืชอืIนๆ ทัวI โลก ปั จจุบนั แมลงศัตรูพืชชนิดนี &ได้ แพร่ระบาดใน ประเทศไทยและสร้ างความเสียหายกับผลผลิตทางการเกษตรเป็ นอย่างมากในหลายพื &นทีI งานวิจยั นี &จึงมีวตั ถุประสงค์ทีIจะศึกษาประสิทธิภาพของไส้ เดือนฝอยศัตรูแมลงผลิตภัณฑ์การค้ า (Steinernema carpocapsae, NEMA DOA®) ทีIมีตอ่ หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดวัย ” ใน ห้ องปฏิบตั กิ ารและโรงเรื อนทดลอง โดยหยดสารแขวนลอย S. carpocapsea ความเข้ มข้ น 0 25 50 100 d–– และ 400 IJs/หนอน g ตัว ลงบนอาหารเทียมและให้ หนอนกิน ผลการศึกษาพบว่า S. carpocapsea ความเข้ มข้ น d––-l–– IJs/หนอน g ตัว ทําให้ หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดวัย ” มี ค่าการตายอยูร่ ะหว่าง ¢¢-g–– เปอร์ เซ็นต์ หลังการทดสอบทีIเวลา •d ชัวI โมง และเมืIอลดความ เข้ มข้ นของ S. carpocapsea ลงเป็ น de-e– IJs/หนอน g ตัว จะทําให้ หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด วัย ” มีคา่ การตายไม่เกิน •– เปอร์ เซ็นต์ ค่าความเข้ มข้ นของ S. carpocapsea ทีIทําให้ หนอน กระทู้ข้าวโพดลายจุดวัย ” ตาย e– เปอร์ เซ็นต์ (LC50) และ —– เปอร์ เซ็นต์ (LC—–) มีคา่ เท่ากับ 13 และ gff IJs/หนอน g ตัว ตามลําดับ การศึกษาในโรงเรื อนทดลองโดยการพ่นสารแขวนลอย S. carpocapsea บนต้ นข้ าวโพดอายุ g– วัน ทีIมีหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดวัย ” เข้ าทําลาย พบว่า S. carpocapsea ความเข้ มข้ น gde– IJs/หนอน g ตัว มีความเสียหายบนใบพืชทีIเกิดจากการเข้ า ทําลายของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดน้ อยทีIสดุ (¢.”” เปอร์ เซ็นต์) รองลงมาเป็ น S. carpocapsea ความเข้ มข้ น l–– IJs/หนอน g ตัว (gl.e– เปอร์ เซ็นต์) ซึงI ทังคู & ม่ ีคา่ แตกต่างกับชุด ควบคุม (dd.e– เปอร์ เซ็นต์) อย่างมีนยั สําคัญ คําสําคัญ : หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด ไส้ เดือนฝอยศัตรูแมลง ข้ าวโพด การควบคุมโดยชีววิธี

93


PEB-10

Efficacy of an entomopathogenic nematode (Steinernema carpocapsae) against the fall armyworm, Spodoptera frugiperda (J.E. Smith) (Lepidoptera: Noctuidae) Ratapol Muanta Niyaporn Khanket Rattanawadee Onwong and Atirach Noosidum Department of Entomology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900

ABSTRACT The fall armyworm, Spodoptera frugiperda (J.E. Smith) is a serious economically insect pest of maize and various plants worldwide. This insect currently distributes and also causes high damage to agricultural products in many parts of Thailand. The objective of this work was to study the efficacy of a commercial entomopathogenic nematode (Steinernema carpocapsae, NEMA DOAÂŽ) against the 3rd instar of S. frugiperda under laboratory and greenhouse conditions. A drop of S. carpocapsea suspension at the rates of 0 25 50 100 200 and 400 IJs/insect larva applied on to an artificial diet for insect feeding. The results showed the S. carpocapsea at the rate of 200-400 IJs/insect larva killed the 3rd instar of S. frugiperda for 88-100% at 72 hours after application while S. carpocapsea at the rate of 25-50 IJs/ IJs/insect larva killed the 3rd instar of S. frugiperda less than 70%. The 50% lethal concentration (LC50) and 90% lethal concentration (LC90) for S. carpocapsea against the 3rd instar of S. frugiperda were 13 and 166 IJs/insect larva, respectively. The greenhouse experiment was done by sprayed S. carpocapsea suspensions on to 10 day-old maize plant with having 3rd instar of S. frugiperda. Treatment of S. carpocapsea at the rate of 1250 IJs/ IJs/insect larva had the lowest plant damage (8.33%), followed by treatment of S. carpocapsea at the rate of 400 IJs/ IJs/insect larva (14.50%) and both treatments were all significantly different to control treatment (22.50%). Keywords: fall armyworm, entomopathogenic nematode, maize, biological control

94


PEB-11

ประสิทธิภาพของสารรมอีโคฟูม (ECO2FUME) ในการป้ องกันกําจัดเพลีย8 แป้ ง มังคุด (Pseudococcus cryptus Hempel (Hemiptera: Pseudococcidae)) ดวงสมร สุทธิสุทธิž รั งสิมา เก่ งการพานิช ภาวินี หนูชนะภัย พณัญญา พบสุข และ ศรุ ตา สิทธิไชยกุล กองวิจยั และพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกีZยวและแปรรู ปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพ djkjj

บทคัดย่ อ การใช้ สารรมเป็ นวิธีทีIใช้ กนั ทัวI ไปในการกําจัดแมลงศัตรูพืชหลังการเก็บเกีIยวในมังคุด โดยสารรมทีIนิยมใช้ คือสารรมเมทิลโบรไมด์ แต่เนืIองจากสารรมชนิดนี &มีข้อจํากัดในการใช้ ดังนัน& สารรมอีโคฟูมจึงเป็ นอีกทางเลือกในการนํามาใช้ ควบคุมแมลงศัตรูพืชหลังการเก็บเกีIยว วัตถุประสงค์ของงานวิจยั ครัง& นี &เพืIอศึกษาอัตราและระยะเวลาทีIเหมาะสมในการกําจัดเพลี &ยแป้ง มังคุด (Pseudococcus cryptus Hempel) (Hemiptera: Pseudococcidae) โดยการทดลอง ดําเนินการทีIห้องปฏิบตั กิ ารของกลุม่ วิจยั และพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกีIยวพืชไร่ กองวิจยั และ พัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกีIยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ระหว่างตุลาคม dee¢-กันยายน defg ผลการทดลองพบว่าสารรมอีโคฟูมทีIอตั รา • และ •– กรัม/ลูกบาศก์เมตร นาน d ชัวI โมง สามารถ กําจัดเพลี &ยแป้งมังคุดระยะตัวอ่อนและระยะตัวเต็มวัยได้ โดยทีIสารรมอีโคฟูมในอัตราและระยะเวลา เดียวกันนี &ไม่สามารถกําจัดเพลี &ยแป้งระยะไข่ได้ ดังนัน& ระยะไข่ของเพลี &ยแป้งมังคุดเป็ นระยะทีI ทนทานต่อสารรมอีโคฟูมได้ มากกว่าเพลี &ยแป้งมังคุดระยะอืIน จากการศึกษาในครัง& นี &พบว่า ไข่เพลี &ย แป้งมังคุดอายุ • วัน มีความอ่อนแอต่อสารรมอีโคฟูมมากกว่า ไข่เพลี &ยแป้งมังคุดอายุ g วัน อย่างไร ก็ตาม สารรมอีโคฟูมอัตรา dg– กรัม/ลูกบาศก์เมตร นาน dl ชัวI โมง ไม่สามารถกําจัดไข่เพลี &ยแป้ง มังคุดได้ g–– เปอร์ เซ็นต์ ดังนันอั & ตราและระยะเวลาทีIเหมาะสมของสารรมอีโคฟูมในการกําจัดระยะ ไข่เพลี &ยแป้งมังคุดจําเป็ นต้ องศึกษาเพิIมเติม คําสําคัญ : สารรม อีโคฟูม เพลี &ยแป้งมังคุด

95


PEB-11

Efficiency of ECO2FUME to control Pseudococcus cryptus Hempel (Hemiptera: Pseudococcidae) Duangsamorn Suthisut Rungsima Kengkanpanich Pavinee Noochanapai Pananya Pobsuk and Saruta Sittichaiyakul Post-harvest and Processing Research and Development Division, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT The fumigation method basically uses for controlling contaminated-insect pests in mangosteens. The well-known fumigant is methyl bromide. However, the methyl bromide is limited to use. Therefore, eco2fume could be used as an alternative fumigant to control insect pests after harvesting. The aim of this study was to investigate the concentration and time period of eco2fume to control mealybug; Pseudococcus cryptus Hempel (Hemiptera: Pseudococcidae). The experiments were run under laboratory condition at Postharvest Technology on Field Crops Research and Development Group, Postharvest and Processing Research and Development Division, Department of Agriculture. The experiment was implemented from October 2015 to September 2018. The results have shown that eco2fume concentration of 7 and 70 g/m3 for 2 h can completely eradicate nymphs and adults of P. cryptus, respectively. Whereas, P. cryptus eggs were not controlled in the same concentration. Then, mealy bug eggs were more tolerant to eco2fume than other stages and 7 days-old eggs were more susceptible to eco2fume than 1 day-old eggs. However, the highest dose of 210 g/m3, 24h from this experiment did not completely control the eggs. Therefore, the appropriate dosage of eco2 fume needs further study. Keywords: Fumigant, ECO2FUME, Pseudococcus cryptus

96


PEB-12

การติดตามการระบาดของแมลงดําหนาม และแนวโน้ มการทําความเสียหายต่ อ ผลผลิตข้ าว จังหวัดสุพรรณบุรี จินตนา ไชยวงค์ พลอยไพลิน ธนิกกุล ปกรณ์ เผ่ าธีระศานต์ และ ธนดล ไกรรั กษ์ กองวิจยั และพัฒนาข้ าว กรมการข้ าว เขตจตุจกั ร กรุ งเทพฯ djkjj

บทคัดย่ อ

แมลงดําหนาม (rice hispa, Dicladispa armigera (Olivier)) เป็ นแมลงศัตรูข้าวอันดับ รองและพบการระบาดเป็ นครัง& คราว จากรายงานในอดีต พบการระบาดในปี 2475, 2527 และ 2541 ทีIจงั หวัดฉะเชิงเทรา นครปฐม สุพรรณบุรี และชัยนาท หลังจากนัน& ไม่พบรายงานการ ระบาด จนกระทังI ปี 2561 พบความเสียหายในนาข้ าวทีIจงั หวัดสุพรรณบุรี สิงห์บรุ ี และชัยนาท นอกจากนี & จากการสอบถามเกษตรกรอําเภอศรี ประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี พบว่า เมืIอประมาณปี 2558 เป็ นต้ นมา พบการเข้ าทําลายของแมลงดําหนามทุกฤดูปลูก ด้ วยเหตุนี & จึงได้ มีการ ดําเนินงานวิจยั นี & โดยมีวตั ถุประสงค์เพืIอติดตามการระบาดของแมลงดําหนามในพื &นทีIจงั หวัด สุพรรณบุรี ซึงI จะใช้ เป็ นข้ อมูลในการเตรี ยมรับสถานการณ์ หากเกิดการระบาดอย่างรุนแรงใน อนาคต ดําเนินการ 2 ฤดูปลูก ในเดือนกันยายน 2561 ถึงเดือนมีนาคม 2562 จากการศึกษาในฤดู นาปรัง 1/2562 พบตัวเต็มวัยของแมลงดําหนามเข้ าทําลายในข้ าวระยะแตกกอถึงตังท้ & อง (49-65 วัน) จากนัน& ประชากรลดลงจนถึงไม่พบเลย พบมากในช่วงต้ นเดือนกันยายนถึงกลางตุลาคม ส่วน ในฤดูนาปรัง 2/2562 พบตัวเต็มวัยของแมลงดําหนามเข้ าทําลายในข้ าวระยะแตกกอจนถึงระยะ ออกรวง (47-91 วัน) โดยพบมากในช่วงเดือนมีนาคม นอกจากนี & ได้ มีการสุม่ เก็บตัวอย่างไข่ หนอน และดักแด้ ของแมลงดําหนาม พบการเบียนของแตนเบียนไข่ Trichogramma spp. แตนเบียน หนอน Bracon sp. และแตนเบียนดักแด้ Trichomalopsis sp. ในอัตราสูง โดยเฉพาะแตนเบียนไข่ Trichogramma spp. และแตนเบียนหนอน Bracon sp. ทีIมีแนวโน้ มมีประสิทธิภาพสูงในการ ควบคุมแมลงดําหนาม คําสําคัญ : ตัวเบียน การระบาดเป็ นครัง& คราว ฤดูนาปรัง นาข้ าว

97


PEB-12

Outbreak Surveillance of Rice Hispa and a Tendency of Causing Rice Crop Losses Jintana Chaiwong Ploypirin Thanikkul Pakorn Paoteerasarn and Tanadol Kairak Division of Rice Research and Development, Rice Department, Chatuchak, Bangkok 10900 Tel. 0-2579-7559 ext. 5202

ABSTRACT Rice hispa, Dicladispa armigera (Olivier) is a minor pest of rice that which occasionally found in rice fields. Previous reports mentioned the outbreak of rice hispa occurred in 1932, 1984, and 1998 at Chachoengsao, Nakhon Pathom, Suphan Buri and Chainat provinces but no further outbreak reports were found. Surprisingly, outbreaks were found again in Chachoengsao, Suphan Buri and Chainat province in 2018 and the information collected from farmers in Si Prachan District, Suphan Buri provinces referred the continuous outbreaks on every crop since 2015 to till date. Current research has been conducted with purpose to study outbreak surveillance of rice hispa in Suphan Buri province and the data will be helpful to deal with any outbreak situations in the future. Our study has conducted in two crops seasons in between September 2018 to March 2019. Our findings revealed that, adult rice hispa destroyed the rice plants at tillering to booting stage (49-65 days after sowing; DAS) in the second dry season 2019. Later on, their population has decreased to normal at ripening stage. The most rice hispa were found in between September to mid-October in 2018. However, in the second dry season 2019 March, adult rice hispa destroyed again the rice plants at tillering to ripening stage (47-91 days after sowing; DAS) in huge. We randomly collected some samples of rice hispa eggs, nymphs and pupa along with high rate of parasites in addition. Our further study showed that, they are mostly ingested by egg parasitoid Trichogramma spp, larva parasitoid Bracon spp., and pupa parasitoid Trichomalopsis spp. Keywords: parasite, occasionally outbreak, dry season, rice field.

98


PEB-13

นกศัตรู ข้าวและการประเมินความเสียหายในนาข้ าว จังหวัดเชียงราย ทัสดาว เกตุเนตร1 อุรัสยาน์ ขวัญเรื อน2 ฉัตรชัย บุญแน่ น2 และ ชนาธิป สุธงษา2 1

ศูนย์ วจิ ยั ข้ าวปราจีนบุรี กองวิจยั และพัฒนาข้ าว กรมการข้ าว กรุ งเทพฯ 10900 ศูนย์ วจิ ยั ข้ าวเชียงราย กองวิจยั และพัฒนาข้ าว กรมการข้ าว กรุ งเทพฯ 10900

2

บทคัดย่ อ การศึกษาเรืI องนกศัตรูข้าวและความเสียหายในนาข้ าว จังหวัดเชียงราย มีวตั ถุประสงค์ เพืIอทราบความหลากชนิด ความหนาแน่น การใช้ ประโยชน์พื &นทีI และความเสียหายทีIเกิดจากนก ศัตรูข้าว ดําเนินการเก็บข้ อมูลตังแต่ & เดือนกุมภาพันธ์ 2559 – พฤศจิกายน 2561 โดยใช้ วิธีการ สํารวจตามจุดกําหนด (point counts) จํานวน 10 จุดสํารวจ ใน 10 อําเภอของจังหวัดเชียงราย ผล การศึกษาพบนกศัตรูข้าว จํานวน 9 ชนิด ได้ แก่ นกกระติดÊ ขี &หมู (scaly-breasted munia, Lonchura punctulata) นกกระติดÊ ตะโพกขาว (white-rumped munia, L. striata) นกกระจอก บ้ าน (eurasian tree sparrow, Passer montanus) นกกระจอกตาล (plain-backed sparrow, P. flaveolus) นกกระจอกใหญ่ (house sparrow, P. domesticus) นกกระจาบธรรมดา (baya weaver, Ploceus philippinus) นกเขาชวา (zebra dove, Geopelia striata) นกเขาใหญ่ (spotted dove, Spilopelia chinensis) และนกพิราบป่ า (rock pigeon, Columba livia) โดยสกุลนกกระติดÊ พบเป็ น ชนิดเด่น พบเข้ าทําลายข้ าวสูงสุดในระยะนํ &านมถึงระยะก่อนเก็บเกีIยว (ความหนาแน่นเฉลียI 5.9 ตัว ต่อไร่) โดยช่วงเวลาทีIพบนกศัตรูข้าวมีความหนาแน่นสูงสุด คือช่วง 17.00 - 17.30 น. (8.8 ตัวต่อ ไร่) การประเมินความเสียหายจากนกศัตรูข้าว พบความเสียหายเฉลียI ในฤดูนาปรัง และฤดูนาปี ร้ อย ละ 3.59 และ 4.08 ตามลําดับ ความหนาแน่นของนกศัตรูข้าวมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน ในระดับปานกลางกับร้ อยละความเสียหายในนาข้ าว (rs = 0.603, P = 0.038, n = 12) ผลการศึกษา ครัง& นี &สามารถใช้ เป็ นข้ อมูลพื &นฐานเพืIอใช้ ในการวางแผนป้องกันกําจัดนกศัตรูข้าวให้ มีประสิทธิภาพ และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน้ อยทีIสดุ ต่อไป คําสําคัญ : นาข้ าว นกศัตรูข้าว การประเมินความเสียหาย จังหวัดเชียงราย

99


PEB-13

Bird Pest Species and Damage Assessment in Chiang Rai Province’s Rice Fields Thasdaw Katenate1 Urassaya Kuanruen2 Chatchai Boonnan2 and Chanathip Suthongsa2 Prachin Buri Rice Research center, Division of Rice Research and Development, Rice Department, Bangkok 10900 2 Chiang Rai Rice Research center, Division of Rice Research and Development, Rice Department, Bangkok 10900

1

ABSTRACT The objectives of this study were to investigate the species diversity, density, habitat use and also to assess the damage level on rice by birds in Chiang Rai province. A point count method was applied to survey birds in 10 sites from February 2016 to November 2018. The results showed that 9 bird pest species were found in the study sites including scalybreasted munia, Lonchura punctulata, white-rumped munia, L. striata, eurasian tree sparrow, Passer montanus, plain-backed sparrow, P. flaveolus, house sparrow, P. domesticus, baya weaver, Ploceus philippinus, zebra dove, Geopelia striata, spotted dove, Spilopelia chinensis and rock pigeon, Columba livia. The genus Lonchura was dominant bird pests in rice field during milky until pre-harvesting stages (5.9 birds/rai). The highest recorded density of bird pest was found around 17.00 -17.30 p.m. (8.8 birds/rai). The rice crops can be damaged by birds at approximately 3.59% in dry season and 4.08% in wet season. The correlation analysis showed that bird density was moderately correlated with the damage level in rice field (rs = 0.603, P = 0.038, n = 12). The results could be used as the basic data for planning efficient control of bird pest with the minimal impact on ecosystem. Keywords: rice fields, bird pests, damage assessment, Chiang Rai Province

100


PEA-01

อิทธิพลของทิศทางลมต่ อการแพร่ ระบาดของโรคใบด่ างมันสําปะหลังโดยแมลง หวีZขาว กิZงกาญจน์ เสาร์ คาํ 1 ชัยโรจน์ ใหญ่ ประเสริฐ2 นวลนภา เหมเนียม3 สุกัญญา ฤกษ์ วรรณ3 ศิริกาญจน์ หรรษาวัฒนกุล4 จุฑาทิพย์ ถวิลอําพันธ์ 3 และ วันวิสา ศิริวรรณ์ 3 ศูนย์ เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นครปฐม 73140 g มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นครศรี ธรรมราช ¼jdµj 3 ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ 10900 4 ภาควิชาพืชไร่ นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ 10900 1

บทคัดย่ อ โรคใบด่างมันสําปะหลัง ซึงI เกิดจากเชื &อไวรัส Cassava mosaic virus สายพันธุ์ Sri Lankan (SLCMD) พบครัง& แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทีIจงั หวัดรัตนคีรี ไวรัสแพร่กระจายโดย ท่อนพันธุ์และมีแมลงหวีIขาวยาสูบ (Bemisia tabaci) งานศึกษานี &มีจดุ ประสงค์เพืIอศึกษาอิทธิพล ของสภาพอากาศทีIอาจจะมีผลต่อการเคลือI นทีIของแมลงหวีIขาวยาสูบ วิธีการศึกษาได้ ทําการ ดาวน์โหลดข้ อมูลกระแสลมจากฐานข้ อมูลออนไลน์ขนาดใหญ่ (Big data, https://www.wunderground.) เพืIอทําการวิเคราะห์ทิศทางและความแรงของกระแสลมในรูปของ กราฟโครงข่ายใยแมงมุมทีIแสดงค่าความถีIกบั ทิศทางของกระแสลมจากช่วง พ.ศ. 2541- ปั จจุบนั มาวิเคราะห์ร่วมกับข้ อมูลชีววิทยาของแมลงหวีIขาวยาสูบและข้ อมูลการสํารวจโรคฯ บริ เวณพื &นทีI ตะเข็บชายแดนประเทศไทยทีIตดิ กับประเทศกัมพูชาใน พ.ศ. 2561-2562 ผลการสํารวจพบโรคฯ แพร่ระบาดใน e จังหวัด ได้ แก่ ปราจีนบุรี, ศรี สะเกษ, สุรินทร์ , สระแก้ ว และชลบุรี ซึงI เกิดจากแมลง หวีIขาวเป็ นพาหะนําโรค แมลงหวีIขาวสามารถเคลือI นทีIได้ ประมาณ • กิโลเมตรต่อวงจรชีวิต เฉลีIย คิดเป็ น g–– กิโลเมตรต่อปี และมีความเร็วในการเคลือI นทีIประมาณ 3.22 กิโลเมตรต่อชัวI โมง กราฟโครงข่ายใยแมงมุมชี &ให้ เห็นว่ากระแสลมส่วนใหญ่มีทิศไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนความเร็ว ของกระแสลมสูงสุดมักเกิดขึ &นในช่วงทีIมีพายุ เช่น การเกิดพายุในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันตกมี โอกาสเกิดขึ &นเฉลียI g–-ge ครัง& ต่อปี ซึงI เป็ นปั จจัยสําคัญทีIเสริ มการเคลือI นทีIของแมลงพาหะ แต่ ในช่วงปี พ.ศ. del”-defg ไม่พบพายุทีIพดั ผ่านจากประเทศกัมพูชามาประเทศไทย ดังนันจึ & งมี ความเป็ นไปได้ วา่ การเกิดเคลือI นทีIของแมลงพาหะในประเทศไทยอาจได้ รับอิทธิพลมาจากทิศทาง ของกระแสลมเป็ นหลัก ซึงI พยากรณ์การแพร่เคลือI นทีIของแมลงหวีIขาวอาจจะมีแนวโน้ มไปในทิศ ทางการเคลือI นทีIของกระแสลมคือทิศตะวันตกเฉียงใต้ คําสําคัญ : โรคใบด่างมันสําปะหลัง แมลงหวีIขาวยาสูบ (Bemisia tabaci) กระแสลม ฐานข้ อมูล ออนไลน์ขนาดใหญ่ (Big data)

101


PEA-01

Influence of wind direction to cassava mosaic disease outbreak by whitefly Kingkan Saokham2 Chairote Yaiprasert2 Nuannapa Hemniam1 Sukanya Roekwan1 Sirikan Hunsawattanakul3 Jutathip Thawinampan1 and Wanwisa Siriwan1 Center of Agricultural Biotechnology, Kasetsart University, Nakhon Pathom 73140 2 Walailak University, Nakhon Si Thammarat 80160 3 Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900 4 Department of Agronomy, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900 1

ABSTRACT Cassava mosaic disease cause by Cassava mosaic virus stain Sri Lankan (SLCMD). Cassava mosaic disease (CMD) was first reported in Southeast Asia at Ratanakiri Province. SLCMD is naturally transmitted by cutting material and whitefly (Bemisia tabaci). The objective of study is conducting the influence of weather affect to the whitefly movement. The procedures of this study downloaded the wind data from big data (Big data, https://www.wunderground.) for analyzing radar chart of wind direction and speed which presented the frequency of wind direction from 1998-present. The wind information was analyzed with whitefly biology and the CMD surveillance where survey took place in Prachin Buri, Sisaket, Surin, Sa Kaeo and Chon Buri province. Those province were found CMD infected by whitefly. The whitefly movement ability is approximately 7 kilometers per life cycle which average is 100 kilometers per year. Their movement have average speed approximately 3.22 kmph. Based on the radar chart show the most wind direction was going to the southwest. The maximum of wind speed usually occurs during storms such as the occurrence of storms in the Western Pacific Ocean has an average 10-15 times a year. It is an important factor that can speed up of whitefly movement. There have no report that, Cambodia was hit by storms and passed to Thailand since 2000 until 2018. Therefore, the possibility of the whitefly spread in Thailand may be influence by the direction of the wind. The prediction of whitefly outbreak may tend to be in the wind direction in the Southwest. Keywords: Cassava mosaic disease, Whitefly (Bemisia tabaci), Wind direction Big dat

102


PEA-02

แนวโน้ มและความสัมพันธ์ ของศัตรู ข้าวและผลผลิตของแปลงนาข้ าวพันธุ์ กข61 ฤดูนาปี และนาปรั งภายใต้ สภาพนาชลประทาน ศุภลักษณา หล่ าจันทึก1 สุกัญญา อรั ญมิตร1 สุภาวดี ฤทธิสนธิž1 สุนิสา คงสมโอษฐ์ 1 ปวีณา เข้ มประเสริฐ1 ติณณภพ เชิงเทิน1 และ สิทธ์ ใจสงฆ์ 2 d

กองวิจยั และพัฒนาข้ าว กรมการข้ าว เขตจตุจกั ร กรุ งเทพฯ g ศูนย์ วจิ ยั ข้ าวพัทลุง อ.เมือง จ.พัทลุง k jjj

บทคัดย่ อ การระบาดของศัตรูข้าวเป็ นปั ญหาสําคัญต่อการผลิตข้ าว พื &นทีIปลูกข้ าวแต่ละทีIมีระบบ นิเวศไม่เหมือนกันทําให้ ชนิดของศัตรูข้าวแตกต่างกัน ฉะนันวิ & ธีการป้องกันกําจัดศัตรูข้าวจึงมีความ แตกต่างกันในแต่ละพื &นทีIหรื อฤดูกาล ดังนันจึ & งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเสียหายจากศัตรู ข้ าวและผลผลิตข้ าว โดยสํารวจแปลงนาเกษตรกรและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยวิธีการ principle component analysis จํานวน 50 แปลง ทีIปลูกข้ าวพันธุ์ กข61 อําเภอเมืองสุพรรณบุรี และอําเภอศรี ประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ฤดูนาปี และนาปรัง ปี 2560-2561 พบว่า ในฤดูนาปรัง จํานวนชนิดของศัตรูข้าวมากกว่าฤดูนาปี ฤดูนาปรังพบการระบาดของโรคเมล็ดด่างมี ความสัมพันธ์กบั โรคใบจุดสีนํ &าตาลและโรคใบขีดสีนํ &าตาล ฤดูนาปี ความสัมพันธ์ของโรคเมล็ดด่าง ก็ยงั สอดคล้ องกับฤดูนาปรัง และการระบาดของโรคใบขีดโปร่งแสงมีความสัมพันธ์กบั โรคขอบใบ แห้ ง แนวโน้ มของผลผลิตข้ าวในฤดูนาปรัง พบว่า มีทิศทางผกผันกับการระบาดของแมลงบัวI และ อาการยอดเหีIยว ฤดูนาปี พบว่า มีทิศทางผกผันกับการระบาดของหนอนห่อใบ ความสัมพันธ์ทงใน ั& เชิงบวกหรื อลบสามารถนํามาวิเคราะห์การระบาดของศัตรูข้าวและใช้ เป็ นแนวทางในการป้องกัน กําจัดศัตรูข้าวทีIสาํ คัญต่อการผลิตข้ าว และเพืIอให้ การป้องกันกําจัดโรคมีประสิทธิภาพ ควรป้องกัน กําจัดโรคเมล็ดด่างและโรคใบขีดสีนํ &าตาลควบคูก่ นั ฤดูนาปรังควรเน้ นการป้องกันกําจัดแมลงบัวI และหนอนกอ ส่วนฤดูนาปี ควรเน้ นการป้องกันกําจัดหนอนห่อใบ เพราะการระบาดของศัตรูข้าว เหล่านี &มีความสัมพันธ์เชิงลบอย่างชัดเจนกับผลผลิตข้ าว คําสําคัญ : กข61 แนวโน้ ม ความสัมพันธ์ ความเสียหายจากศัตรูข้าว จังหวัดสุพรรณบุรี

103


PEA-02

Trend and Correlation of Rice pests RD61 on Wet and Dry season under Irrigated Lowland Rice Fields Suphalaksana lachanthuek1 Sukanya Arunmit1 Supawadee Rittison1 Sunisa Kongsom-od1 Parweena Khemparsert1 Tinnapop Churngturn1 and Sith Jaisong2 1

Division of Rice Research and Development, Rice Department, Chatuchak, Bangkok 10900 2 Phatthalung Rice Research Center, Mueang, Phatthalung 93000

ABSTRACT Rice pest outbreaks are important problems of rice production. Ecologies of different rice paddy fields are varied, which reveal various forms of rice pests and outbreaks. Therefore, rice pest management plans are dependent on different areas based on their own problem. This study was to determine the correlations between pest injuries and yield. Surveys of rice pest injuries and yields were conducted in farmers’ fields. Data were analyzed by principle component analysis. Pest injuries were surveyed in 50 RD61-planted field in two districts; Muang Suphan Buri District and Si Prachan District, at Suphan Buri Province in the wet and dry season during in 2017-2018. The results showed that kinds of pests were higher in the dry season more than wet season. The correlation of rice pests and yield revealed that. Incidences of dirty panicle, brown spot, and narrow brown spot were highly correlated in the dry season; moreover, in wet season dirty panicle incidences were also associated with brown spot incidences, and incidences of bacterial leaf streak are positively correlated with bacterial leaf blight incidences. The trend of yield in the dry season is negatively correlated with incidences of rice gall midge and deadheart caused by stem borer. Whereas, in the wet season yields were inversely correlated with rice leaffolder incidences. All in all, the correlations of rice pests and yields were be able to develop as a guideline for improvement of an area-based pest management program. the results of this study point that to prevent the dirty panicle disease effectively required to synchronically control narrow brown spot. To minimize yield gap, in the dry season, incidences of rice gall midge, stem borer are suppressed, whereas in the wet season incidences of rice leaffolders are needed to control because of they are negatively correlated with rice yields.

Keywords: RD61, trend, correlation, nice pest injuries, Suphan Buri province

104


PEA-03

ศึกษาชนิดและปริมาณของหนูในพืน8 ทีZนาข้ าวทีZมีการล้ อมรั ว8 ร่ วมกับการใช้ ลอบ ดักหนูในจังหวัดสุพรรณบุรี ทัสดาว เกตุเนตร1 ปรั ชญา แตรสังข์ g และ อุรัสยาน์ ขวัญเรื อน 1

ศูนย์ วจิ ยั ข้ าวปราจีนบุรี กองวิจยั และพัฒนาข้ าว กรมการข้ าว กรุ งเทพฯ 10900 2 สถาบันวิทยาศาสตร์ ข้าวแห่ งชาติ กรมการข้ าว กรุ งเทพฯ 10900 ศูนย์ วจิ ยั ข้ าวเชียงราย กองวิจยั และพัฒนาข้ าว กรมการข้ าว กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ การศึกษาชนิดและปริ มาณหนูในพื &นทีIนาข้ าวทีIมีการล้ อมรัว& ร่วมกับการใช้ ลอบดักหนู ดําเนินการในพื &นทีI ตําบลรัว& ใหญ่ อําเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ในฤดูการปลูกข้ าวปี 255— โดย ใช้ แปลงนาข้ าวพันธุ์ กขlg ขนาด e ไร่ จํานวน g แปลง หลังจากหว่านข้ าวดําเนินการล้ อมรัว& ผ้ าใบ และติดตังลอบดั & กหนู จํานวน g¢ ลอบ ทําการตรวจความเรี ยบร้ อยของผ้ าใบพลาสติกและเก็บหนู ออกจากลอบทุกวัน ผลการศึกษาพบว่า ในพื &นทีIปลูกข้ าวทีIทําการศึกษาครัง& นี & พบหนูนาตังแต่ & ข้าวระยะกล้ า ไปจนถึงระยะก่อนเก็บเกีIยว โดยพบหนูศตั รูข้าวติดในลอบดักหนูตลอดฤดูปลูก จํานวน gd• ตัว ชนิด ของหนูทีIพบในลอบดักหนูมี e ชนิด ได้ แก่ หนูนาใหญ่ (Rattus argentiventer) 58 เปอร์ เซ็นต์ หนูนา เล็ก (Rattus losea) d• เปอร์ เซ็นต์ หนูท้องขาวบ้ าน (Rattus rattus) 10 เปอร์ เซ็นต์ หนูพกุ ใหญ่ (Bandicota indica) 4 เปอร์ เซ็นต์ และหนูหริI งนาหางยาว (Mus caroli) 1 เปอร์ เซ็นต์ นอกจากนี & พบสัตว์ผ้ ลู า่ หนูตดิ เข้ าในลอบดักหนูด้วย ได้ แก่ งูชนิดต่างๆ ตัวเงินตัวทอง และตะกวด คําสําคัญ : การล้ อมรัว& ร่วมกับการใช้ ลอบดักหนู ปริ มาณหนู นาข้ าว จังหวัดสุพรรณบุรี

105


PEA-03

Type and Rat Population in Rice Fields Using Trap Barrier System (TBS) at Suphanburi Province. Thasdaw Katenate1 Prachya Traesang2 and Urassaya Kuanruen3 Prachin Buri Rice Research center, Division of Rice Research and Development, Rice Department, Bangkok 10900 2 Thailand Rice Science Institute, Rice Department, Bangkok 10900 3 Chiang Rai Rice Research center, Division of Rice Research and Development, Rice Department, Bangkok 10900 1

ABSTRACT In this study, type and rat population in rice field using trap barrier system (TBS) were surveyed at Rua Yai, Suphanburi province in dry season 2016. 0.8 hectares of rice field, installation of the TBS. The TBS was plastic fence with multiple - capture live rat traps inserted intermittently at its base. 18 multiple - capture live rat traps were placed in the interior side at the base of the fence. Rat catches through the multiple - capture live rat traps placed inside the TBS. The plastic material checked for holes and traps were monitored daily. The results showed a total of 127 rats were collected. The majority of rats species from rice field were Rattus argentiventer, Rattus losea, Rattus rattus, Bandicota indica and Mus caroli, respectively. Furthermore, There are lots of predators in the traps such as snakes, water monitor (Varanus salvator) and tree monitor (Varanus bengalensis). Keywords: trap barrier system (TBS), rat population, rice field, Suphanburi province

106


PEA-04

เซนทารี /ฟลอร์ แบค และ ไดเพล/แบคโทสปิ น สารชีวภัณท์ กาํ จัดแมลง: ศัตรู ธรรมชาติของหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด Spodoptera frugiperda (J.E. Smith) เดเนียล ซอมมิค1 และ วันชัย รั ตนเดชากุล2 ผู้จดั การฝ่ ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท วาเลนท์ ไบโอซายน์ แอลแอลซี, ลิเบอร์ ตวี 8 ลิ ล์ , อิลลินอยส์ , สหรั ฐอเมริกา ผู้จดั การฝ่ ายธุรกิจ บริษัท ซูมโิ ตโม เคมิคัล (ประเทศไทย) จํากัด ชัน8 - ห้ อง -j- อาคารเอ็กเชนทาวเวอร์ , ¼¼ ถนน สุขุมวิท, แขวงคลองเตย, เขตคลองเตย, กรุ งเทพฯ djddj 1

2

บทคัดย่ อ สารชีวภัณท์กลุม่ Bacillus thuringiensis subsp. aizawai และ kurstaki ได้ วางจําหน่าย มาหลายทศวรรษในชืIอการค้ า เซนทารี ®/ฟลอร์ แบค® และ ไดเพล®/แบคโทสปิ น® ตามลําดับ เพืIอใช้ ป้องกันกําจัดหนอนผีเสื &อ รวมทังหนอนกระทู & ้ ข้าวโพดลายจุด (Fall Armyworm (FAW) Spodoptera fruiperda (J.E. Smith)) Bacillus thuringiensis หรื อ บีที มีกลไกเฉพาะในการเข้ า ทําลายลําไส้ สว่ นกลางของหนอน ทําให้ หนอนผีเสื &อหยุดการกินทันที ต่างจากสารกําจัดแมลงทัวI ไป ทีIมกั จะเข้ าทําลายเพียงเป้าหมายเดียว เซนทารี ®/ฟลอร์ แบค® และ ไดเพล®/แบคโทสปิ น® ประกอบด้ วย โปรตีนสารพิษ (cry-toxin protein) l ชนิด ทีIมีความเฉพาะเจาะจงในการจับ receptor ในลําไส้ สว่ นกลางของหนอนต่างกัน คุณสมบัตดิ งั กล่าวสามารถชนะความต้ านทานของ หนอนต่อการใช้ โปรตีนสารพิษชนิดเดียว บีทีเป็ นสารกําจัดแมลงชนิดเดียวทีIมีเป้าหมายเข้ าทําลาย ระบบทางเดินอาหารลําไส้ สว่ นกลางจึงเป็ นองค์ประกอบสําคัญสําหรับจัดการความต้ านทานแมลง ศัตรูพืชแบบผสมผสานโดยเฉพาะหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด นอกจากนี & บีทีมีความปลอดภัยต่อ แมลงทีIเป็ นประโยชน์ แมลงผสมเกสร หลังพ่นบีทีผลผลิตสามารถเก็บเกีIยวในเวลาอันสัน& ผู้ใช้ สามารถเข้ าทํางานในแปลงปลูกได้ โดยปลอดภัย ด้ วยคุณสมบัตขิ องบีทีซงึI มีกลไกการออกฤทธิ¾ตา่ ง จากสารกําจัดแมลงทัวI ไปและเป็ นทีIยอมรับด้ านความปลอดภัย ดังนัน& บีที เซนทารี ®/ฟลอร์ แบค® และ ไดเพล®/แบคโทสปิ น® จึงได้ รับการขึ &นทะเบียนมากกว่า f– ประเทศทัวI โลก ใช้ เป็ นสารกําจัด แมลงหลักเพืIอป้องกันกําจัดหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด ในสหรัฐอเมริ กาตอนใต้ บราซิล และ ทัวI ภาคพื &นยุโรป รวมทังเอเชี & ย คําสําคัญ : บีที โปรตีนสารพิษ กลไกการออกฤทธิ¾ ความปลอดภัย ขึ &นทะเบียน

107


PEA-04

Xentari/Florbac and Dipel/Bactospeine Biological Insecticides: The Natural Enemy of Spodoptera frugiperda (J.E. Smith) Daniel Zommick1 and Wanchai Rattanadechakul2 Business Strategy Development Manager Valent BioSciences LLC, Libertyville, IL, USA Business Manager Sumitomo Chemical (Thailand) Co.,Ltd., Level 35 Unit 3505 Exchange Tower, 388 Sukhumvit, Klongtoey, Klongtoey, Bangkok 10110 1

2

ABSTRACT The Bacillus thuringiensis subsp. aizawai and kurstaki strains sold under the trade names XenTari®/Florbac® and Dipel®/Bactospeine®, respectively, have been used for decades to reliably manage Lepidopteran pests, including Fall Armyworm (FAW) Spodoptera frugiperda (J.E. Smith). Bt has a unique mode of action which causes immediate feeding cessation by targeting the Lepidopteran midgut. Unlike traditional insecticides that only affect a single target site, XenTari®/Florbac® and Dipel®/Bactospeine® contain four distinct cry-toxin proteins that can bind to different receptor sites in the larval midgut to overcome tolerance to any single toxin protein. Since Bt is the only insecticide to target the midgut it is an essential component of an integrated resistance management program against this devastating pest. Finally, Bt has an unsurpassed safety profile having no impact on beneficial insects, pollinators or workers and giving them the shortest preharvest and re-entry intervals allowed. With their unique mode of action and safety profile the Bt strains in XenTari®/Florbac® and Dipel®/Bactospeine®are registered in over 60 countries worldwide and have become a staple in Armyworm management in the southern USA, Brazil and across Europe and Asia. Keywords: Bacillus thuringiensis, cry-toxin protein, mode of action, safety, register

108


PEA-05

ประสิทธิภาพเชือ8 แบคทีเรี ยและสารฆ่ าแมลงในการป้ องกันกําจัดหนอนกระทู้ ผักในพริก สมศักดิž ศิริพลตัง8 มัZน และ สุภราดา สุคนธาภิรมณ์ ณ พัทลุง สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร บทคัดย่ อ งานวิจยั นี &มีจดุ ประสงค์เพืIอได้ ชนิดสารฆ่าแมลงและอัตราการใช้ ทีIมีประสิทธิภาพป้องกัน กําจัดหนอนกระทู้ผกั ในพริ ก การศึกษาประสิทธิภาพเชื &อแบคทีเรี ย และสารฆ่าแมลงในการป้องกัน กําจัดหนอนกระทู้ผกั ในพริ ก ทําการทดลองทีIแปลงเกษตรกร อําเภอท่าม่วง และอําเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2560 - มิถนุ ายน 2561 วางแผนการทดลองแบบ randomized complete block มี l ซํ &า g– กรรมวิธี ได้ แก่ กรรมวิธีพน่ Bacillus thuringiensis subsp aizawai, emamectin benzoate 1.92%EC, lufenuron 5%EC, methoxyfenozide 24 SC, indoxacarb 15%EC, spinetoram 12%SC, deltamethrin 3%EC, chlorantraniliprole 5.17%SC และ chlorfenapyr 10%SC เปรี ยบเทียบกับกรรมวิธีไม่ใช้ สารฯ ผลการทดลองพบว่า กรรมวิธีพน่ indoxacarb 15%EC, chlorantraniliprole 5.17%SC, chlorfenapyr 10% SC, emamectin benzoate 1.92%EC, spinetoram 12%SC, methoxyfenozide 24 SC, lufenuron 5%EC, deltamethrin 3%EC และ Bacillus thuringiensis subsp aizawai มี ประสิทธิภาพในการป้องกันกําจัดหนอนกระทู้ผกั ในพริ ก และพบแมลงศัตรูธรรมชาติหนอนกระทู้ ผัก g ชนิด คือ มวนพิฆาต (Stink bug: Eocanthecona furcellata (Wolff)) คําสําคัญ : เชื &อแบคทีเรี ย สารฆ่าแมลง หนอนกระทู้ผกั พริ ก

109


PEA-05

Efficacy of bacteria and insecticides for controlling common cutworm: Spodoptera litura (Fabricius) in chili Somsak Siripontangmun and Suprada Sukonthabhorom na Pattalung Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture

ABSTRACT The purpose of this research was to obtain effective insecticides and their recommended rates to control common cutworm (Spodoptera litura (Fabricius)) damaging chili. A study on the efficacy of bacteria and insecticides for controlling common cutworm: S. litura (Fabricius) in chili, was conducted on farmer’s fields in Ta Muang and Ta Maka district, Kanchanaburi province during November, 2017-June, 2018. The trial was a randomized complete block design with 4 replicates and 10 treatments namely, spraying of Bacillus thuringiensis subsp aizawai, emamectin benzoate 1.92%EC, lufenuron 5%EC, methoxyfenozide 24%SC, indoxacarb 15%EC, spinetoram 12%SC, deltamethrin 3%EC, chlorantraniliprole 5.17%SC, chlorfenapyr 10%SC and non-treated control. The results revealed that indoxacarb 15%EC, chlorantraniliprole 5.17%SC, chlorfenapyr 10%SC, emamectin benzoate 1.92%EC, spinetoram 12%SC, methoxyfenozide 24%SC, lufenuron 5%EC, deltamethrin 3%EC and Bacillus thuringiensis subsp aizawai were effective for controlling common cutworm and found 1 species of natural enemy, Stink bug : Eocanthecona furcellata (Wolff) in the trials. Keywords: bacteria, insecticides, common cutworm, chili

110


PEA-06

การพัฒนาสารชีวภัณฑ์ กาํ จัดแมลงศัตรู ผักสายพันธุ์ไทยสําหรั บ การผลิตพืชผักปลอดสารเคมีอย่ างยัZงยืน พัชรินทร์ ครุ ฑเมือง1 และ มาลี ตัง8 ระเบียบ2 ภาควิชากีฏวิทยาและโรคพืช คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันวิจยั เทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้ านนา ลําปาง 1

2

บทคัดย่ อ ผักเป็ นอาหารทีIมีประโยชน์ตอ่ สุขภาพ ปั จจุบนั ผักทีIใช้ บริ โภคทังในประเทศ & พบสารเคมี ปนเปื อ& นจํานวนมาก การใช้ เชื &อรากําจัดแมลง เป็ นทางเลือกใหม่ทีIจะทดแทนการใช้ สารเคมีให้ กบั เกษตรกรได้ มีการคัดเลือกเชื &อรากําจัดแมลงจํานวน d สกุล คือ Beauveria bassiana และ Metarhizium anisopliae ผสมกับวัสดุเลี &ยงเชื &อ f ชนิดเช่น ข้ าวจ้ าว ข้ าวสาลี ข้ าวสาลีผสมยีสต์ เกล็ดขนมปั ง และเกล็ดขนมปั งผสมยีสต์ เพืIอการพัฒนาเป็ นสูตรสําเร็จชีวภัณฑ์ และได้ ศกึ ษาผล ของสารเสริ มประสิทธิภาพ ทีIประกอบด้ วย สารพา สารเพิIมประสิทธิภาพ สารป้องกันการจับตัว เป็ นก้ อน และสารป้องกันแสงอุลตร้ าไวโอเลต ต่อการมีชีวติ ของเชื &อรา ทีIความเข้ มข้ น g และ ”% เก็บผลการเก็บรักษาเป็ นเวลา 6 เดือน ผลการศึกษาหา shelf life ในแป้งข้ าวจ้ าว ข้ าวสาลีเชื &อ B. bassiana สดมีอายุอยูไ่ ด้ อย่างน้ อย 2 เดือน และได้ ศกึ ษาผลของสารเสริ มประสิทธิภาพ ทีI ประกอบด้ วย สารพา สารเพิIมประสิทธิภาพ สารป้องกันการจับตัวเป็ นก้ อน และสารป้องกันแสง อุลตร้ าไวโอเลต ต่อการมีชีวิตของเชื &อรา พบว่า B. bassiana ตอบสนองดีกว่า M. anisopliae ส่วน sodium alginate และ Trissiloxane ethoxylates มีผลต่อ B. bassiana ยับยังการ & เจริ ญเติบโตของเส้ นใย สําหรับ aminobenzoic acid ยับยังการเจริ & ญเติบโตของเส้ นใยสูง ตามด้ วย oxybenzone และ trissiloxane ethoxylates ได้ คดั เลือกสูตรสําเร็จมาจํานวน 2 สูตร ได้ แก่ สูตรทีI 1 B. bassiana + bentonite+zinc oxide +sodium alginate +aluminium silicate ควบคุมเพลี &ย อ่อนกะหลําI ได้ ดี และ สูตรทีI 2 M. anisopliae +MCC + zinc oxide +sodium alginate +cellulose ทําลายด้ วงเต่าแตง ได้ ดีกว่าวิธีอืIน ๆ ทังสองสู & ตรไม่มีผลกับใบพืช คําสําคัญ : สารเสริ มประสิทธิภาพ B. bassiana M. anisopliae อายุการเก็บรักษา

111


PEA-06

Development of Bio pesticide to Control Vegetable Insect Pest for Sustainable Organic Vegetable Production Patcharin Krutmuang1 and Malee Thungrabeab2* Department of Entomology and Plant Pathology, faculty of Agriculture, Chiang Mai University, Chiang Mai Agricultural Technology Research Institute, Rajamangala University of Technology Lanna Lampang 52000

1 2

ABSTRACT Vegetables are important food item for life as it contain vitamin, minerals and fiber which essential to health but locally and exported vegetables are now contaminated by insecticide. Use of fungus as insecticide for controlling insect pests can be a new alternative than chemicals. Insecticide containing fungi has advantages such as destroying cuticle of insect which hinders the growth of insect. The objectives was to make effective bio-insecticide for controlling vegetable insects and pest by using fungi. Two types of fungi: B. bassiana and M. anisopliae and 6 types of cultured media: rice, wheat, wheat mixed with yeast, bread crumbs and bread crumbs mixed with yeast were used. Two levels of auxiliary substances: 1% and 3% conc. were used that contains anti-clotting and anti-ultraviolet substances: sodium alginate, trissiloxane ethoxylates, aminobenzoic acid, oxybenzone and zinc oxide. All media was observed for more than 6 months. Results showed that shelf life of B. bassiana can last for 2 months in rice and wheat flour media whereas M. anisopliae was longest in rice medium. For auxiliary substance B. bassiana was higher than M. anisopilae at 1% conc. But at 3% conc. the substances had no effect on both fungi. Sodium alginate and trissiloxane ethoxylates had a negative effect on B. bassiana fungus. Zinc oxide had no effect on germination of fungal spores. Aminobenzoic acid inhibits the growth of fungi followed by oxybenzone and trissiloxane ethoxylates. Two formulas: Bentonite + zinc oxide + sodium alginate + aluminum silicate and MCC + zinc oxide + sodium alginate + cellulose that was used in cucumber and cauliflower. Both formula didn’t show any abnormalities on tested crops. Formula 1 was more effective in cauliflower whereas formula 2 in cucumber. It is recommended to use the formula at proper rate. Keywords: Auxiliary substances, B. bassiana, M. anisopliae, Shelf life

112


PEA-07

การควบคุมหอยและทากศัตรู พชื ในสวนลองกองเพืZอการส่ งออก ปราสาททอง พรหมเกิด1 ชูชาติ วัฒนวรรณ2 ทรงทัพ แก้ วตา1 วรินทร ชูช่วย3 และ สุรพล วิเศษสรรค์ 4 กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ กองวิจยั และพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกีZยวและแปรรู ปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ 3 กองส่ งเสริมการอารั กขาพืชและจัดการดินปุ๋ย กรมส่ งเสริมการเกษตร กรุ งเทพฯ 4 ภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ 1

2

บทคัดย่ อ หอยและทากศัตรูพืชมักติดไปกับช่อผลลองกองทีIสง่ ขายต่างประเทศทําให้ เสียหายส่งออก ไม่ได้ จึงทําการควบคุมประชากรหอยและทากในสวนลองกองของเกษตรกร ได้ แก่การควบคุมแบบ วิธีผสมผสาน 4 แปลง เปรี ยบเทียบกับแปลงเกษตรกรควบคุมเอง ขนาดแปลงละ 5 ไร่ ทีIอําเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี โดยสํารวจประชากรหอยและทากในสวนลองกองทุกเดือนด้ วยตารางสุม่ ขนาด 1 ตาราง เมตร พบหอยดักดานCryptozona siamensis หอยเจดีย์เล็กLamellaxis gracillis ทากกล้ วยตาก Semperura siamensis หอยสาริ กา Sarika resplendens ทากเล็บมือนาง Pamarion siamensis และบนต้ นลองกองพบหอยหางดิ &นน้ อย Durgella levicula หอยกระสวยใหญ่สยาม Giardia siamensis หอยขมิ &นใหญ่ Amphidromus atricallosus เป็ นต้ น ทําการทดลอง 2 ปี ตดิ กัน(2560 – 2561) ช่วงระหว่างมีผลผลิตได้ หว่านเหยืIอพิษเมทัลดีไฮด์ 2 ครัง& ให้ ทวัI และ รอบๆแปลง บนต้ นลองกอง พ่นสารสกัดกากเมล็ดชานํ &ามัน1 ครัง& พบหอยและทากเฉลียI 1.81 – 4..2 และ 0.43 – 2.93 ตัวต่อตาราง เมตร ตามลําดับ ส่วนแปลงเกษตรกรควบคุมเองมีหอยเฉลียI 8.76 - 18.98 และ 7.93 - 10.68 ตัว ต่อตารางเมตร ตามลําดับ สุม่ เก็บช่อผลลองกอง100 ช่อ ในแปลงควบคุมแบบผสมผสานทุกแปลง ไม่พบ หอยและทากศัตรูพืช ส่วนแปลงเกษตรกรควบคุมเอง พบหอยและทากทีIชอ่ ผล 5 และ 3 เปอร์ เซ็นต์ ตามลําดับ หลังจากเก็บผลลองกองแล้ ว ช่วงเดือนกรกฎาคม ถึง เดือนกันยายน พบว่าแปลงทดลองทุก แปลงมีประชากรหอยและทากเพิIมขึ &นทังชนิ & ดและปริ มาณเพราะไม่มีการควบคุมและมีฝนตก ดังนัน& จะต้ องควบคุมหอยและทากต่อเนืIองจนถึงฤดูแล้ ง และมีคา่ สารกําจัดหอยต่อแปลงต่อปี เป็ นเงิน 230 และ 130 บาท ตามลําดับ คําสําคัญ : เมทัลดีไฮด์ กากเมล็ดชานํ &ามัน การควบคุมแบบผสมผสาน

113


PEA-07

Snails and Slugs Pests Control in Exporting Long kong Prasarttong Promkerd1 Chuchat Watthanavan2 Tongtup Kaewta1 Warinthon Chouchouy3 and Suraphon Visetson4 1

Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 2 Post-Harvest and Products Processing Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 3 Plant Protection Promotion and Soil –Fertilizer Management Division, Department of Agricultural Extension, Bangkok 4 Faculty of Science, Faculty of Science, Kasetsart University, Bangkok

Abstract Problem of Snails and Slugs Pests were accompanied the Long kong exporting. The study on Snails and Slugs Pests Control in Long Kong garden in Makham, Chantaburi. The plot sizes of ease experimental were prepared 5 rai for comparison between Integrated Pest control (IPC) 4 plots and Farmer control 1 plot. The exploration of snails and slugs in 1 square metre every month found Crytozona siamensis, Lamellaxis gracillis, Semperura siamensis, Sarika resplendens, Pamarion siamensis and on the Long Gong tree found Durgella levicula, Giardia siamensis and Amphidromus africallosus etc. The experiment for two years. The snails and slugs were eliminate in 2 times between of the output by sow metaldehyde poison bait all of rai and outside and spray tea seed extracted 1 time for elimination snails and slugs on Long Kong tree. After treated, the snails and Slugs numbers were averaged 1.81 – 4.2 and 0.43-2.93 per square metre respectively and Farmer control average 8.76 – 18.98 and 7.93 – 10.68 per square metre respectively. The Long Kong harvesting, we random 100 bouquet of Long Kong in 4 Integrated pest control all not found snails and slugs in bouquet of Long Kong and Farmer control found snails and slugs 3 and 5 percentage. After harvesting between July to September found snails and slugs increase type and quantity all of rai for experimental because no control and rainy. So the more control snails and slugs when found snails increase still dry season. Farmer control found snails and slugs increase because no control and elimination it. In term of the expense of molluscicide in ease Integrated Pest Control (IPC) about 230 and 130 bath per year, respectively. Keywords: metaldehyde, tea seed powder, Integrated Pest Control 114


PEA-08

การใช้ ระบบภูมสิ ารสนเทศในการศึกษาความหนาแน่ นและช่ วงการระบาด ของแมลงวันผลไม้ ในพีช8 เผ่ าไท ถายะพิงค์ d ศุภชัย นาคะพันธ์ 2 และ ไพศาล จีฟ8 ู3 แผนกงานศูนย์ อารั กขาพืช มูลนิธิโครงการหลวง ภาควิชาฟิ สิกส์ และวัสดุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สาขาภูมสิ ารสนเทศศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสืZอสาร มหาวิทยาลัยพะเยา 1

g

บทคัดย่ อ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) เป็ นระบบทีI สามารถนํามาประยุกต์ใช้ ในการศึกษาด้ านการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน แมลงวันผลไม้ เป็ น แมลงศัตรูพืชทีIมีการระบาดยาวนานพบทําลายในพืชเศรษฐกิจ เช่น มะม่วง ชมพู่ และพืชเมือง หนาวเช่น พี &ช พลับ และบ๊ วย ซึงI เป็ นปั ญหาในการผลิตและจําหน่ายในพื &นทีIของมูลนิธิโครงการ หลวง จังหวัดเชียงใหม่ โดยทําการศึกษาข้ อมูลในระหว่าง เดือน มกราคม def–- มิถนุ ายน defd โดยวางกับดักแบบ Steiner traps จํานวน ”– กับดัก ใน e แปลง ในพื &นทีIปลูกพี &ชจํานวน d–¢ ไร่ ในพื &นทีIสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ วางกับดักใช้ สารล่อเมทิลยูจีนอลผสมกับสารฆ่าแมลงแขวนไว้ ใต้ ทรงพุม่ เก็บตัวอย่างแมลงในกับดักทุก ge วัน แล้ วมาตรวจสอบชนิดและบันทึกปริ มาณ แมลงวันผลไม้ จากนันนํ & าข้ อมูลทีIได้ มาวิเคราะห์การระบาดด้ วยระบบ GIS นําเสนอข้ อมูลเชิงพื &นทีI เพืIอนําไปใช้ ในการจัดการแมลงวันผลไม้ แบบผสมผสาน พบว่า แมลงวันผลไม้ ชนิด Bactrocera dorsalis พบมากทีIสดุ จํานวน dg•.d± gf.g ตัว/กับดัก/วัน ในเดือน มิถนุ ายน defg ซึงI เป็ นช่วงทีI ติดผลและเก็บเกีIยว และพบน้ อยทีIสดุ จํานวน ”±g.e ตัว/กับดัก/วัน ในเดือน มกราคม 2561 ซึงI เป็ น ช่วงติดดอกและติดผลขนาดเล็กและพบว่าจํานวนประชากรของ B. dorsalis มีความสัมพันธ์เชิง บวกกับอุณหภูมิ ความชื &น ปริ มาณนํ &าฝน และระยะการเจริ ญเติบโตของพี &ช อย่างมีนยั สําคัญทาง สถิตทิ ีI 0.05 เมืIอนําข้ อมูลมาศึกษาเชิงพื &นทีIและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพืIอสร้ างแผนทีIการ กระจายและความแปรผันของแมลงวันผลไม้ ในพื &นทีI สามารถนําไปใช้ ในการตัดสินใจในการ ควบคุมแมลงวันผลไม้ แบบผสมผสาน (IPM) ให้ แม่นยํายิIงขึ &นและลดการทําลายของแมลงวันผลไม้ ต่อไป คําสําคัญ : แมลงวันผลไม้ พี &ช จํานวนประชากร ภูมิสารสนเทศ การจัดการแบบผสมผสาน

115


PEA-08

Using GIS Study on Seasonality of the Fruit Fly (Diptera: Tephritidae) on Peach in Royal Project Areas Paothai Thayaping1 Supachai Nakapan2 and Phaisarn Jeefoo3 Plant Protection Center, Royal Project Foundation Department of Physics and Materials Science, Faculty of Science, Chiangmai University 3 Geographic Information Science, School of Information and Communication Technology, University of Phayao 1

2

ABSTRACT Fruit flies are a pest for mango roseapple and temperate fruit such as peach plum persimmon and apricot are production. Studies on population dynamics of fruit flies outbreak in peach plots in Royal Project Foundation areas in Chiang Mai, Thailand was proceeded out during 2017-2019 which was based on numbers of flies trapped in Steiner traps with methyl eugenol trap and insecticide. The traps were hung firmly on the peach tree branch at 1.5 m. height from the ground. 30 traps were hung on 5 peach plots in 208 Rai at Royal Project agriculture station Inthanon, Jomthong Chiang Mai. Data analyses at the 5% significance level. The results showed that population of Bactrocera dorsalis that trapped had high number, 217.2Âą 16.1 (fruit flies/trap/day) during June 2017 followed by May, 2017 peach in harvesting time. The fruit fly population had low during January to February, 2018 (3Âą1.5 fruit flies /trap/day) peach in fruiting stage. Populations of B. dorsalis were significant positively correlated with temperature humidity and rainfall. The spatial patterns of B. dorsalis were largely distributed around ripening or ripe fruit. The results give relevant insights into pest management B. dorsalis be distributed differently identification of hot spots through monitoring would allow localization of populations. Based on our results, a more precise IPM strategy could represent a more effective approach to B. dorsalis in Royal Project Foundation areas. Keywords: Fruit flies, peach, population, GIS, IPM 116


PPB-01

การตอบสนองกระบวนการป้ องกันตัวเองของพืชใน Arabidopsis thaliana โดยสารระเหยจากเชือ8 รา Trichoderma sp. PSU-P1 ปริศนา วงค์ ล้อม1 และ อนุรักษ์ สันป่ าเป้ า2 คณะเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ป่ าพะยอม พัทลุง 93210 ภาควิชาการจัดการศัตรู พชื คณะทรั พยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ สงขลา 90110 1

2

บทคัดย่ อ เชื &อรา Trichoderma สร้ างสารระเหย (volatile compounds) ทีIมีคณ ุ สมบัตติ ้ านเชื &อรา และกระตุ้นการเจริ ญเติบโตของพืชได้ หลายชนิด อย่างไรก็ตามผลของสารระเหยจาก Trichoderma ในด้ านการกระตุ้นการตอบสนองของพืชโดยเฉพาะการกระตุ้นกลไกการป้องกัน ตัวเอง (defense mechanism) ยังมีการศึกษาอยูน่ ้ อย งานวิจยั นี &ได้ ศกึ ษาผลของสารระเหยทีI ปลดปล่อยออกมาจากเชื &อ Trichoderma sp. PSU-P1 ต่อกระบวนการป้องกันตัวเองของพืช ต้ นแบบ Arabidopsis thaliana โดยการวิเคราะห์กิจกรรมของเอนไซม์ peroxidase (POD) และ เอนไซม์กลุม่ ย่อยผนังเซลล์ของเชื &อรา (cell wall degrading enzymes) ชนิด chitinase (CHI) และ b-1,3-glucanase (GLU) ผลการทดลองพบว่าต้ น A. thaliana ทีIได้ รับสารระเหยมีกิจกรรม ของเอนไซม์ CHI, GLU และ POD สูงกว่าต้ นทีIไม่ได้ รับสารระเหย นอกจากนี &ยังพบว่าต้ นทีIได้ รับ สารระเหยมีปริ มาณ peroxide สูงกว่าต้ นทีIไม่ได้ รับสารระเหย เมืIอย้ อม hydrogen peroxide (H2O2) เนืIอเยืIอต้ น A. thaliana ด้ วย 3’3-diamenobezidine (DAB) พบว่าต้ น A. thaliana ทีIได้ รับ สารระเหยย้ อมติดสีนํ &าตาลแดง (reddish brown) ของ H2O2 ส่วนชุดควบคุมย้ อมไม่ตดิ สี จากการ ทดลองแสดงให้ เห็นว่าสารระเหยจากเชื &อรา Trichoderma sp. PSU-P1 กระตุ้นกิจกรรมของ เอนไซม์ทีIกลุม่ ย่อยผนังเซลล์ของเชื &อรา CHI และ GLU ซึงI อาจเกีIยวข้ องกับการย่อยสลาย (lysis) เชื &อราสาเหตุโรคพืชทีIรุกรานเข้ ามาในเซลล์พืช นอกจากนี &กิจกกรรมของ POD ปริ มาณ peroxide และ H2O2 ทีIสะสมในเนื &อเยืIอของต้ น A. thaliana อาจจะเกีIยวข้ องกับกระบวนการ lignification เพืIอเสริ มสร้ างผนังเซลล์ของพืชให้ แข็งแรงขึ &นโดยเป็ นปราการด่านแรกในการป้องกันตัวเองของพืช คําสําคัญ : กิจกรรมเอนไซม์ สารระเหย การป้องกันตัวเอง การย้ อมเซลล์

117


PPB-01

Plant Reponses to Volatile Organic Compounds Emitted by Trichoderma sp. PSU-P1 in Arabidopsis thaliana Prisana Wonglom1 and Anurag Sunpapao2 Faculty of Technology and Community Development, Thaksin University, Phatthalung Campus, Pa Payom, Phattalung 93110 2 Department of Pest Management, Faculty of Natural Resources, Prince of Songkla University, Hatyai, Songkhla 90110 1

ABSTRACT Trichoderma sp. produces volatile organic compounds (VOCs) display antifungal activity and promote plant growth ability. However, effect of VOCs on induction plant defense mechanism is rarely study. This research aimed to clarify effect of VOCs from Trichoderma sp. PSU-P1 in inducing defense response in plant model Arabidopsis thaliana by analyzing the activity of defense related enzyme, peroxidase (POD) and cell-wall degrading enzymes, chitinase (CHI) and Ă&#x;-1,3-glucanase (GLU). The result showed A. thaliana exposed to VOCs gave enzyme activities of those enzymes (CHI, GLU and POD) significantly higher than that of control. Total peroxide content in VOCs treated A. thaliana was detected higher than that of control. DAB (3’3diamenobezidine) staining revealed reddish brown of H2O2 on VOCs treated A. thaliana, whereas in control was no color change. Based on result in this study, VOCs emitted by Trichoderma sp. PSU-P1 induce defense response in A. thaliana by activating activity of cell wall degrading enzymes which involved in fungal cell wall lysis. Furthermore, high activity of POD, peroxide content and H2O2 accumulated in A. thaliana may associate with cell wall stiffening, resulting in strong primary barrier of plant defense against fungal pathogen. Keywords: Enzyme activity, volatile compounds, plant defense, staining

118


PPB-02

การเปรี ยบเทียบประสิทธิภาพของ Pichia sp. ในปุ๋ยอินทรี ย์ชีวภาพต่ อ การส่ งเสริมการเจริญและการยับยัง8 โรคผักกวางตุ้ง สิรีธร แสงเพ็งd ณัฐวดี ไกลศรี d คนึงกานต์ กลัZนบุศย์ d และ ตันติมา กําลังg สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้ าเจ้ าคุณทหารลาดกระบัง ศูนย์ เชีZยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้ างสรรค์ สถาบันวิจยั วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่ งประเทศไทย d

g

บทคัดย่ อ จากการทดสอบประสิทธิภาพในด้ านการส่งเสริ มการเจริ ญและการยับยังเชื & &อราก่อโรคใน ผักกวางตุ้งของปุ๋ ยอินทรี ย์ชีวภาพสองสูตรทีIใช้ หวั เชื &อยีสต์ตา่ งประเภทกันในการผลิต พบว่า ผักกวางตุ้งทีIปลูกโดยใช้ ปยอิ ุ๋ นทรี ย์ชีวภาพสูตรทีI g (ใช้ หวั เชื &อยีสต์สดในการผลิต) มีน้าหนักสด 1.47 ± –.ef กรัม ในขณะทีIผกั กวางตุ้งทีIปลูกโดยใช้ ปยอิ ุ๋ นทรี ย์ชีวภาพสูตรทีI d (ใช้ หวั เชื &อยีสต์แห้ ง ในการผลิต) มีน้าหนักสด –.”f ± –.gf กรัม นอกจากนี &ยังพบว่าปุ๋ ยอินทรี ย์ชีวภาพสูตรทีI g สามารถลดความรุนแรงของโรคทีIเกิดจากเชื &อ Fusarium oxysporum, Fusarium solani และ Sclerotium rolfsii ได้ ดีกว่าปุ๋ ยอินทรี ย์ชีวภาพสูตรทีI d และเมืIอนํายีสต์สายพันธุ์ Pichia sp. ซึงI เป็ น ยีสต์ทีIใช้ ในการผลิตปุ๋ ยอินทรี ย์ชีวภาพทังสองสู & ตร มาทดสอบคุณสมบัตใิ นด้ านการส่งเสริ มการ เจริ ญของพืช พบว่า Pichia sp. มีความสามารถในการละลายฟอสเฟต โดยมีคา่ ดัชนีการละลาย ฟอสเฟตเฉลียI เท่ากับ ”.—e มีความสามารถในการผลิตไซเดอโรฟอร์ และยังสามารถผลิตกรดอิน โดล-”-แอซิตกิ ได้ ld.•e ไมโครกรัมต่อมิลลิลติ ร และเมืIอทดสอบคุณสมบัตใิ นด้ านการยับยังเชื & &อ ราก่อโรคด้ วยวิธี Dual culture technique พบว่ายีสต์ Pichia sp. สามารถยับยังเชื & &อ F. oxysporum และ F. Solani ได้ l¢.•• และ e–.”g เปอร์ เซ็นต์ ตามลําดับ และยังพบว่ายีสต์มีคา่ กิจกรรมของเอนไซม์เบต้ าg-” กลูคาเนส และค่ากิจกรรมของเอนไซม์ไคติเนสเฉลียI เท่ากับ ”.fg และ l.fl - ยูนิตต่อมิลลิลติ ร ตามลําดับ คําสําคัญ : ปุ๋ ยอินทรี ย์ชีวภาพ การส่งเสริ มการเจริ ญพืช การยับยังเชื & &อราก่อโรค ยีสต์ Pichia sp.

119


PPB-02

Comparative efficacy of Pichia sp. in organic biofertilizer on growth stimulation and disease inhibition of Choy Sum (Brassica Rapa) Sireethon Sangpheng1 Nutthawadee Klaisree1 Khanungkan Klanbut1 and Tantima Kumlung2 King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang Thailand Institute of Scientific and Technological Research 1

2

ABSTRACT The effective testing of growth enhancer and Fungal disease inhibition in Choy Sum (Brassica Rapa) of two organic biofertilizers using different types of yeast found that, Brassica Rapa had been growing by using organic biofertilizer formula 1 (fresh yeast ) and had fresh weight of 1.47 ± 0.56 g. while had been using organic biofertilizer formula 2 (active dry yeast) had a fresh weight of 0.36 ± 0.16 g. In addition, it was found that the organic biofertilizer formula 1 could reduce the severity of diseases caused by Fusarium oxysporum, Fusarium solani and Sclerotium rolfsii rather than organic biofertilizer formula 2. The abilities of plant growth promoting substances, found that Pichia sp. which was the yeast used in the production of both organic biofertilizers had the ability to dissolve phosphate with the average phosphate solubility index of 3.95, capable of producing siderophore and could also produce indole-3-acetic acid 42.75 mg/ml. Fungal disease inhibition test by Dual culture technique; Pichia sp. could inhibit F. oxysporum and F. Solani by 48.77 and 50.31 %, respectively. It was also found that this yeast had the activity of β-1,3-glucanase enzyme activity and chitinase enzyme activity averaged 3.61×10-4 and 4.64×10-4 units/ml, respectively. Keywords: Organic biofertilizers, Growth stimulation, Disease inhibition, Pichia sp.

120


PPB-03

ประสิทธิภาพของเชือ8 แบคทีเรี ยปฏิปักษ์ ทZ แี ยกได้ จากบริเวณรอบรากต้ น กะเพรา (Ocimum sanctum Linn.) ในการยับยัง8 เชือ8 ราและแบคทีเรี ยก่ อโรคพืช วราภรณ์ สุทธิสา สุรศักดิž ขันคํา ภาณินทร์ ญดา ไชยคาม พุทธพร เลาหพิบลู รั ตนา และ วราพร รวมสุข ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กันทรวิชัย มหาสารคาม 44150

บทคัดย่ อ การควบคุมโรคพืชมีอยูห่ ลายวิธี แต่วิธีทีIเกษตรกรนิยมใช้ คือการใช้ สารเคมี ซึงI เป็ น อันตรายต่อเกษตรกร ผู้บริ โภค รวมถึงแมลง และจุลนิ ทรี ย์ทีIอาศัยในแหล่งธรรมชาติ และมีการ ปนเปื อ& นสะสมก่อให้ เกิดมลพิษกับสิงI แวดล้ อม เพืIอเป็ นการลดปั ญหาดังกล่าว การวิจยั นี &จึงได้ ทํา การทดสอบประสิทธิภาพของเชื &อแบคทีเรี ยปฏิปักษ์ ทีIคดั แยกได้ จากบริ เวณรอบรากต้ นกะเพราใน การยับยังเชื & &อรา Fusarium oxysporum สาเหตุโรคเหีIยว และเชื &อแบคทีเรี ย Xanthomonas campestris pv. citri สาเหตุโรคแคงเกอร์ โดยวิธี dual culture พบว่าเชื &อแบคทีเรี ยไอโซเลต RsOs002 สามารถยับยังเชื & &อ X. campestris pv. citri ได้ ดีทีIสดุ ในระดับสามบวก และไอโซเลต RsOs004 สามารถยับยัง& F. oxysporum ได้ ดีทีIสดุ ทีIร้อยละ 13.22 การทดสอบผลของสารกรอง เชื &อ RsOs002 ต่อการยับยังการเจริ & ญของเชื &อ F. oxysporum พบว่าสามารถยับยังการเจริ & ญของ เส้ นใยได้ ดีเมืIอเปรี ยบเทียบกับกรรมวิธีควบคุม และสามารถยับยังการงอกของโคนิ & เดียเชื &อราได้ ร้ อยละ 57 แต่สารกรองเชื &อไม่มีผลต่อการยับยังการเจริ & ญของ X. campestris pv. citri เมืIอ ทดสอบด้ วยวิธี poison plate การจําแนกชนิดของ RsOs002 เบื &องต้ นด้ วยลักษณะทางสัณฐาน วิทยาพบว่ามีความใกล้ เคียงกับเชื &อแบคทีเรี ยสกุล Bacillus คําสําคัญ : การส่งเสริ มการเจริ ญเติบโตของพืช บาซิลลัส โรคเหีIยว

121


PPB-03

Efficiency of antagonistic bacteria isolated from basil rhizosphere (Ocimum sanctum Linn.) on inhibiting of fungus and bacterium plant pathogens Waraporn Sutthisa Surasak Khankhum Phaninyada Chaiyacam Phuttaporn Laohaphiboonrattana and Waraporn Ruamsuk Department of Biology, Faculty of Science, Mahasarakham University, Kantarawichai, Mahasarakham 44150

ABSTRACT Several control methods of plant pathogens have been attempting to perform to be the best practice for an integrated pest management. However, most farmers still require the use of chemicals which usually harmful to themselves and consumers, and subsequent effect on a number of insects and microorganisms living in the environment. The accumulation of chemical contaminant is significantly affecting environments. To reduce such problem, this study was established to obtain the potential antagonists, which were isolated from basil (Ocimum sanctum Linn.) rhizosphere and were tested against Fusarium oxysporum, the causal agent of wilting, and Xanthomonas campestris pv. citri, the causal agent of canker, with dual culture method. The result found the bacterial isolate RsOs002 was expressed the highest growth inhibition to X. campestris pv. citri, while the isolate RsOs004 was inhibited the growth of F. oxysporum at 13.22 percentage. The culture filtrate of RsOs002 was significantly inhibited the mycelial growth of F. oxysporum compared to the control method. This culture filtrate was also inhibited the conidial germination of tested pathogenic fungus at 57 percentages. The poison plate test using RsOs002 culture filtrate was not found an effect on the growth of X. campestris pv. citri. Morphological identification of the bacterium RsOs002 revealed that it was closely related to the genus Bacillus. Keywords: plant growth promoting, Bacillus, wilt disease

122


PPB-04

การจําแนกชนิดแบคทีเรี ยสาเหตุโรคใบแห้ งของหอม ทิพวรรณ กันหาญาติ ณัฎฐิมา โฆษิตเจริญกุล บูรณี พัZววงษ์ แพทย์ รุ่ งนภา ทองเคร็ง และ กาญจนา ศรี ไม้ กลุ่มวิจยั โรคพืช สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ ดําเนินการเก็บตัวอย่างโรคใบแห้ งของหอมจากแหล่งปลูกหอมและฟื น& ฟูเชื &อแบคทีเรี ย Xanthomonas sp. สาเหตุโรคใบแห้ งของหอมทีIเก็บรักษาไว้ ในแหล่งเก็บเชื &อของกลุม่ วิจยั โรคพืช เพืIอจําแนกชนิดให้ เป็ นข้ อมูลปั จจุบนั ตังแต่ & เดือนตุลาคม de59 – กันยายน de61 พบว่าเชื &อ แบคทีเรี ยสาเหตุโรคมีลกั ษณะโคโลนีกลม ขอบเรี ยบ ผิวมัน สีเหลือง การพิสจู น์โรคตามวิธีการของ Koch สามารถทําให้ เกิดอาการของโรคบนหอมแดง หอมแบ่ง และหอมหัวใหญ่ได้ ผลการศึกษา ลักษณะทางสัณฐานวิทยา คุณสมบัตทิ างสรี รวิทยาและชีวเคมีของเชื &อแบคทีเรี ย พบว่าเป็ น แบคทีเรี ยแกรมลบ รูปร่างเป็ นท่อน สามารถเคลือI นทีIได้ เจริ ญในสภาพทีIมีอากาศ เจริ ญได้ ใน อาหารทีIมีเกลือ 4% สามารถผลิตเอนไซม์ catalase และ pectinase แต่ไม่ผลิตเอนไซม์ oxidase, nitrate reductase, arginine dihydrolase และ urease เชื &อสามารถย่อย gelatin, casein, esculin, cellulose, Tween 80 และแป้งได้ สามารถสร้ าง H2S และเจริ ญบนอาหาร YPGA ทีI อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส แต่ไม่เจริ ญทีIอณ ุ หภูมิ 40 องศาเซลเซียส สร้ างกรดจาก cellobiose lactose และ glycerol ได้ แต่เชื &อไม่สร้ าง indole และไม่สร้ างเม็ดสีเรื องแสงบนอาหาร King’s B การวิเคราะห์ลาํ ดับนิวคลีโอไทด์บางส่วนของยีน 16S rDNA พบว่าจัดอยูใ่ นกลุม่ ของเชื &อ Xanthomonas spp. การจําแนกชนิดของเชื &อด้ วยวิธี multilocus sequence analysis (MLSA) จากยีน dnaK, fyuA, gyrB และ rpoD รวมทังข้ & อมูลคุณสมบัติทางชีวเคมีและสรี รวิทยาของเชื &อ แบคทีเรี ย สามารถระบุได้ วา่ เชื &อแบคทีเรี ยสาเหตุโรคใบแห้ งของหอมมีคณ ุ สมบัตใิ กล้ เคียงกับเชื &อ X. axonopodis pv. Allii คําสําคัญ : หอม โรคใบแห้ ง จําแนก

Identification of the Bacteria Causes Leaf Blight Disease on Allium Tippawan Kanhayart Nuttima Kositcharoenkul Buranee Puawongphat Rungnapha Thongkreng and Kanchana Srimai Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT 123


PPB-04

The experiment was conducted to isolate and identify the causal agent of leaf blight on onion during October 2016 – September 2018. A yellow bacterium was consistently isolated from the affected leaves. Pathogenicity test revealed that the bacterium was able to cause leaf blight symptom on shallot, multiplied onion and onion, and allowed reisolation of the inoculated bacterium from the infected leaves. For the physiological and biochemical properties, bacteria were gram-negative, rod-shaped, motile, aerobic, tolerate 4% NaCl concentration, positive for catalase and pectinolytic activity. Does not produce oxidase, nitrate reductase, arginine dihydrolase and urease. Hydrolyses gelatin, casein, esculin, starch, cellulose and Tween 80, produces H2S from cysteine, grow on YPGA at 35oC but not at 40oC and produce acid from cellobiose, lactose and glycerol while negative for indole production and fluorescent pigments are not observed on King’s B medium. Phylogenetic analysis based on partial 16S rDNA sequences, the BBO isolates were grouped into Xanthomonas spp. Further investigation based on multilocus sequence analysis (MLSA) by using concatenated phylogenies produced from multiple loci of house–keeping genes, dnaK, fyuA, gyrB and rpoD all BBO isolates were resemble of X. axonopodis pv. allii. Keywords: onion, leaf blight, identification

124


PPB-05

การศึกษาประสิทธิภาพของสารป้ องกันกําจัดโรครานํา8 ค้ างในชาโยเต้ ทิวา บุบผาประเสริฐd พจนา ตระกูลสุขรั ตน์ g ธัญพร งามงอน3 และ วิทยา ทองอินทร์ 3 สถาบันวิจยั พืชสวน กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ 10900 สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ 10900 3 ศูนย์ วจิ ยั เกษตรทีZสูงเพชรบูรณ์ เขาค้ อ เพชรบูรณ์ 67270 d

g

บทคัดย่ อ ชาโยเต้ มีโรครานํ &าค้ างสาเหตุเกิดจากเชื &อรา Pseudoperonospora cubensis เป็ นโรค พืชสําคัญทีIระบาดทําความระบาดอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับพืชตระกูลแตงชนิดอืIน สภาพทีI อุณหภูมิตํIาในเวลากลางคืนและอุณหภูมิสงู ในเวลากลางวัน เป็ นสภาวะทีIเหมาะสมต่อการเกิด อาการและพัฒนาการของเชื &อสาเหตุ การป้องกันกําจัดโดยการใช้ สารป้องกันกําจัดโรคพืชใน ปั จจุบนั ยังไม่มีคําแนะนําทีIให้ ใช้ ควบคุมรานํ &าค้ างทีIเกิดบนชาโยเต้ โดยตรง ดังนันการทดสอบหา & สารป้องกันกําจัดโรครานํ &าค้ างทีIเกิดกับซาโยเต้ จึงมีความจําเป็ นเพืIอใช้ เป็ นคําแนะนําในการ ป้องกันกําจัดและวิธีการใช้ สารทีIมีประสิทธิภาพให้ กบั เกษตรกร การทดสอบประสิทธิภาพสาร ดําเนินการทดลองทีIแปลงทดลองศูนย์วิจยั เกษตรทีIสงู เพชรบูรณ์ อ.เขาค้ อ จ.เพชรบูรณ์ ระหว่าง เดือนมีนาคม–เมษายน 2561 และเดือนกุมภาพันธ์–มีนาคม 2562 วางแผนการทดลองแบบ RCB จํานวน 4 ซํ &า 5 กรรมวิธี คือ cymoxanil + mancozeb 8%+64% WP, metalaxyl 25% WP, dimethomorph 50% WP และ fluopicolide+ fosetyl-aluminium 4.4% +66.7% WG เปรี ยบเทียบกับกรรมวิธีไม่ใช่สาร (พ่นนํ &าเปล่า) ผลการทดลองพบว่าทุกกรรมวิธีพน่ สารทดลอง สามารถควบคุมการระบาดโรคได้ ดีกว่ากรรมวิธีควบคุมทีIไม่พน่ สาร กรรมวิธีทีIพน่ ด้ วย dimethomorph 50% WP อัตรา d0 กรัม/นํ &า d– ลิตร มีประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาดของ โรครานํ &าค้ างในชาโยเต้ ดีทีIสดุ เมืIอเปรี ยบเทียบกับกรรมวิธีพน่ ด้ วยสารป้องกันกําจัดโรคพืชอืIน โดย เชื &อสาเหตุไม่แพร่ระบาดถึงใบยอด แผลจะแห้ งเป็ นสีนํ &าตาล ไม่มีการแพร่กระจายของแผลเพิIมขึ &น ในการทดลองครัง& นี &ไม่พบความเป็ นพิษของสารทดลองต่อพืช คําสําคัญ : โรครานํ &าค้ างของพืชตระกูลแตง การควบคุมโรคด้ วยสารเคมี สารป้องกันกําจัดเชื &อรา

125


PPB-05

Study on Some Fungicides Efficacy to Control Downy Mildew Disease in Chayote Thiva Bubpaprasert1 Photchana Trakunsukharat2 Thunyaporn Ngamngon3 and Witthaya Thongin3 Horticulture Research Institute, Department of Agriculture, Bangkok 10900 Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900 3 Phetchabun Highland Agricultural Research Center, Khaokho, Phetchabun 67270 1

2

ABSTRACT Downy mildew disease is the severe plant disease of Chayote same as other plants in Cucurbitaceae family. Low temperature conditions at night and high temperatures during the daytime was a favorable condition for the occurrence of symptoms and development of the cause fungus. There were no the current recommendation for directly control in chayote. Therefore it is necessary to study effective fungicides and use as a effective control guide to recommend for farmers. Efficacy of four fungicides, cymoxanil + mancozeb 8%+64% WP, metalaxyl 25% WP, dimethomorph 50% WP , fluopicolide+ fosetyl-aluminium 4.4% +66.7% WG and control (water spraying), was tested at Phetchabun Highland Agricultural Research Center, during March to April 2018 and repeated in February to March 2019 again. Each of tested fungicides was sprayed four times at an interval of 7 days following appearance of the disease symptoms. All the tested fungicides were been effective in controlling this downy mildew disease. Dimethomorph 50% WP (20 mg/ 20 L of water) was the most effective in controlling the disease severity. This spray treatment showed no increase in the spread of disease and symptoms to top leaves. Former lesions were dry and not enlarge. No phototoxicity to plants could be found in both experiments. Keywords: downy mildew of Cucurbitaceae family, chemical control, fungicide

126


PPB-06

ประสิทธิภาพของสารไบโอแอคทีฟอิลซิ เิ ตอร์ ต่อการแสดงออกของยีนทีZ สามารถกระตุ้นความต้ านทานโรคในถัZวเหลือง ศุภลักษ์ สัตยสมิทสถิต พรนิภา ถาโน และ ฉันทนา คงนคร 1

ศูนย์ วจิ ยั และพัฒนาเมล็ดพันธุ์พชื พิษณุโลก วังทอง พิษณุโลก 65130

บทคัดย่ อ ถัวI เหลืองเป็ นพืชทีIออ่ นแอต่อการเข้ าทําลายของเชื &อสาเหตุโรคพืชหลายชนิด เช่น เชื &อรา แบคทีเรี ย ไวรัส และไส้ เดือนฝอย โรคถัวI เหลืองสามารถพบได้ ทกุ ระยะการเจริ ญเติบโต การจัดการ ให้ ถวัI เหลืองไม่เป็ นโรคหรื อจัดการให้ พืชปลอดภัยจากการเข้ าทําลายโดยเชื &อโรคโดยการส่งเสริ มให้ พืชต้ านทานต่อการเข้ าทําลายของเชื &อโรคจากการใช้ สงิI ไม่มีชีวิตมากระตุ้นเพืIอการสร้ างระบบ ป้องกันตนเองจึงเป็ นแนวทางการจัดการโรคแนวทางหนึงI ดังนันงานวิ & จยั นี &จึงศึกษาประสิทธิภาพ ของสารไบโอแอคทีฟอิลซิ เิ ตอร์ ตอ่ การแสดงออกของ PRยีนทีIสามารถกระตุ้นความต้ านทานโรคใน ถัวI เหลือง ได้ แก่ กรดแจสโมนิก และ เอทิลอะซิเตท เพืIอใช้ ฉีดพ่นถัวI เหลืองในระยะ R1 พบว่า กรดจัสโมนิกทีIความเข้ มข้ น —– พีพีเอ็ม สามารถเพิIมระดับการแสดงออกของยีน PR-l สูงสุดโดย มากกว่าชุดควบคุมถึง ”.g4 เท่า ในขณะทีIเอทิลอะซิเตท ความเข้ มข้ น 6,000 พีพีเอ็ม สามารถเพิIม ระดับการแสดงออกของยีน PR-10 สูงสุดโดยมากกว่าชุดควบคุมถึง 7.38 เท่า แต่ไม่สง่ เสริ มการ แสดงออกของยีน PR-4 คําสําคัญ : สารไบโอแอคทีฟอิลซิ เิ ตอร์ การแสดงออกของยีน ความต้ านทานโรค ถัวI เหลือง

127


PPB-06

Efficiency of Elicitor for Induced Resistance Gene Expression againt Disease in Soybean Supalak Sattayasamitsathit Pornipa Thano and Janana Kongnakorn 1

Phitsanulok Seed Research and Development Center, Wangthong, Phitsanulok 65130

ABSTRACT Soybean is susceptible to the destruction of many plant pathogens such as fungi, bacteria, viruses and nematodes. Soybean disease can be found at all stages of growth. The management of soybeans disease or the plants are safe from infestation by pathogen. By inducing plants to resistance to pathogens by using bioactive elicitors is a way of managing diseases. Therefore, this research investigated the effectiveness of bioactive elicitors in the expression of PR-genes that can stimulate disease resistance in soybeans, such as jasmonic acid and ethyl acetate, for spraying soybean in the R1 stage of growth, it was found that the concentration of 90 ppm jasmonic acid was able to increase the expression of the PR-4 gene by up to 3.14 times higher than the control, while ethyl acetate concentration of 6,000 ppm can increase the level of gene expression PR-10 by up to 7.38 times more than the control, but does not promote expression of PR-4. keywords: bioactive elicitor, gene disease resistance, espression, soybean

128


PPB-07

ผลของสารไดเมโทมอร์ ฟ -j% W/V SC และเมทาแลกซิล g-% WP ในการ ควบคุมเชือ8 รา Phytophthora palmivora สาเหตุโรครากเน่ าโคนเน่ าของทุเรี ยน หมอนทอง ในห้ องปฏิบตั กิ ารและเรื อนทดลอง เรวัฒ เพียซ้ าย1,2* เนตรนภิส เขียวขํา1 และ อรอุมา เพียซ้ าย1 ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร บางเขน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ, 10900 บริษัท อดามา (ประเทศไทย) จํากัด. dg²/ อาคารปั ญจธานี ทาวเวอร์ . ชัน8 g¼ ถนนนนทรี แขวงช่ องนนทรี เขตยานนาวา กรุ งเทพฯ djdgj *Corresponding author: e-mail address: rawat.pi@ku.th d

2

บทคัดย่ อ ทุเรี ยนหมอนทองเป็ นผลไม้ ทีIได้ รับความนิยมในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรคราก เน่าโคนเน่าเป็ นปั ญหาทีIสาํ คัญในการผลิตทุเรี ยนในประเทศและส่งออก วัตถุประสงค์ของงานวิจยั นี &เพืIอศึกษาผลของสารไดเมโทมอร์ ฟ 50% W/V SC และ สารเมทาแลกซิล 25% WP ในการ ควบคุมเชื &อรา Phytophthora palmivora สาเหตุโรครากเน่าโคนเน่าของทุเรี ยน ทดสอบสาร ป้องกันกําจัดเชื &อราทังสองชนิ & ดในห้ องปฏิบตั กิ ารโดยวิธี detached leaf และในเรื อนทดลองโดยวิธี ราดดิน วางแผนการทดลองแบบ Completely Randomized Design (CRD) จํานวน 7 กรรมวิธี 10 ซํ &า ได้ แก่ กรรมวิธีใช้ สารไดเมโทมอร์ ฟ ความเข้ มข้ น 1, 1.5, 2 และ 2.5 มิลลิลติ รต่อนํ &า 1 ลิตร เปรี ยบเทียบกับกรรมวิธีใช้ สารเมทาแลกซิล 25% WP ความเข้ มข้ น 4 กรัมต่อนํ &า 1 ลิตร และ กรรมวิธีในชุดควบคุมแบบปลูกเชื &อ P. palmivora และไม่ปลูกเชื &อ P. palmivora ผลการทดสอบ ในห้ องปฏิบตั กิ ารและในเรื อนทดลองให้ ผลสอดคล้ องกัน โดยพบว่าสารไดเมโทมอร์ ฟ 50% W/V SC ทุกความเข้ มข้ น มีประสิทธิภาพในการควบคุมเชื &อรา P. palmivora สาเหตุโรครากเน่าโคนเน่า ในทุเรี ยนได้ ดีกว่าสารเมทาแลกซิล 25% WP และกรรมวิธีในชุดควบคุมแบบปลูกเชื &อ P. palmivora อย่างมีนยั สําคัญทางสถิติ คําสําคัญ : ทุเรี ยน ไดเมโทมอร์ ฟ เมทาแลกซิล ไฟทอปธอรา พาล์มิโวรา โรครากเน่าโคนเน่า

129


PPB-07

Effect of dimethomorph 50% W/V SC and metalaxyl 25% WP for controlling Phytophthora palmivora causing root and stem rot of Monthong durian in laboratory and greenhouse Rawat Piasai1,2* Netnapis Khewkhom1 and Onuma Piasai1 1

Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900 2 Adama (Thailand) Ltd. 127/33 Panjathani Tower Bl. 28th floor, Nonsi Rd, Chongnonsi, Yannawa, Bangkok 10120 *Corresponding author: e-mail address: rawat.pi@ku.th

ABSTRACT Monthong durian is one of the most famous fruit in Thailand and South-East Asia. Root and stem rot disease is the serious problem in durian production for domestic and export. The objectives of this research were studied the effect of dimethomorph 50% W/V SC and metalaxyl 25% WP for controlling Phytophthora palmivora causing root and stem rot of Mon-thong durian. Both fungicides were conducted for controlling P. palmivora in laboratory using detached leaf method as well as soil drenching method in greenhouse. Completely Randomized Design (CRD) was designed in the experimental with 7 treatments and 10 replications per treatment inculding dimethomorph at 1, 1.5, 2 and 2.5 ml/L compare with metalaxyl 4 g/L, positive control with P. palmivora and negative control without P. palmivora. The result revealed that all treatments of dimethomorph could control P. palmivora causing root and stem rot of durian better than and significant when compare with metalaxyl 4.0 g/L and positive control with P. palmivora. Keywords: durian, dimethomorph, metalaxyl, Phytophthora palmivora, root and stem rot disease.

130


PPB-08

การแสดงออกของโปรตีนอ้ อยทีZต้านทานต่ อโรคใบขาว ลาวัลย์ กลัดสุวรรณ จิรวัฒน์ ประสิทธิžสม กนกวรรณ สว่ าง สิริวรรณ์ โครตโสภา และ พีรญา กลมสะอาด* ศูนย์ นวัตกรรมและการวิจยั มิตรผล 399 หมุ่ 1, ถ.ชุมแพ-ภูเขียว, ต.โคกสะอาด อ.ภูเขียว จ.ชัยภูม,ิ 36110

บทคัดย่ อ ศึกษาการแสดงออกของโปรตีนทีIเกีIยวข้ องกับการปกป้องการทําลายจากเชื &อไฟโต พลาสมา สาเหตุโรคใบขาวอ้ อยและความต้ านทานอ้ อย (PR-protein) โดยการนําอ้ อยเพาะเลี &ยง เนื &อเยืIอ พันธุ์ทีIมีแนวโน้ มต้ านทาน (UT-15) และพันธุ์ออ่ นแอ (KK3) ทีIอายุ 4 เดือน มาปลูกเชื &อใบ ขาวโดยการถ่ายทอดจากแมลงพาหะ หลังจากปลูกเชื &อ 1 เดือน นําอ้ อยแต่ละพันธุ์ไปตรวจสอบ โปรตีนทีIเกีIยวข้ องกับการปกป้องการทําลายจากเชื &อโรค และความต้ านทาน พบว่าในอ้ อยพันธุ์ ต้ านทาน เกิดการกระตุ้นการแสดงออกของยีนทีIเกีIยวข้ องกับการปกป้องการทําลายของเชื &อโรค ได้ แก่ phenylalanine ammonia lyase (PAL), peroxidase (POX) และ lipoxygenase-4 (LOX) ตลอดจนกระตุ้นให้ ยีนอ้ อยสร้ างภูมิต้านทานโรคโดยผลิตโปรตีนปฏิสมั พันธ์การเกิดโรค (PR-protein) รวม 3 ชนิด คือ PR-2, PR-4 และPR-6 ซึงI พืชใช้ สารเหล่านี &ยับยังการพั & ฒนาการของ เชื &อโรคในช่วงทีIมีการชักนําให้ เกิดโรค ผลการทดลองดังกล่าวยังสัมพันธ์กบั ปริ มาณเชื &อไฟโต พลาสมาในอ้ อยแต่ละพันธุ์ทีIนํามาตรวจด้ วยวิธีเชิงปริ มาณ quantitative real time PCR (qPCR) ปฏิสมั พันธ์ระหว่างสายพันธุ์เชื &อและพันธุ์พืชซึงI เป็ นผลข้ อมูลทีIได้ จากการศึกษาในครัง& นี &สามารถ นําไปใช้ เป็ นกลยุทธ์ในการคัดเลือกพันธุ์อ้อยทีIต้านทานต่อโรคใบขาวได้ อย่างถูกต้ อง แม่นยํา คําสําคัญ : โปรตีนปฏิสมั พันธ์การเกิดโรค โรคใบขาวอ้ อย phenylalanine ammonia lyase (PAL) peroxidase (POX) lipoxygenase-4 (LOX)

131


PPB-08

Gene Expression of Sugarcane for Resistant of White Leaf Disease Lawan Kladsuwan Chirawat Prasitsom Kanokwan Sawang Siriwan Kodsopa and Peeraya Klomsa-ard* Mitrphol Innovation and Research Center, Mitr Phl Group, 399 Moo 1 Chumphae-Phukiao Rd., Khoksa-at, Phu Khiao Chaiyaphum, 36110

ABSTRACT Expressed defense related protein of phytoplasma, the causal agent of white leaf disease was studies by used four months of sugarcane seedling from tissue culture including moderate resistance cultivar (UT-15) and susceptible cultivar (KK3). Each cultivar was inoculated phytoplasma by insect vector transmitted. The results showed that the proteome of sugarcane resistant cultivar after inoculated one month expressed various defense related protein including phenylalanine ammonia lyase (PAL), peroxidase (POX), and lipoxygenase-4 (LOX) also showed enhanced expression of PR2, PR-4, and PR-6. According to quantitative of phytoplasma in each sugarcane cultivar when measured with quantitative real time PCR (qPCR). The interaction between phytoplasma and sugarcane based on gene for gene relationship. It provides insight into breeding strategies for white leaf disease resistance. Keywords: Pathogenesis-related (PR) proteins, white leaf disease, phenylalanine ammonia lyase (PAL), peroxidase (POX), lipoxygenase-4 (LOX)

132


PPB-09

การประเมินความต้ านทานของพันธุ์อ้อยต่ อโรคแส้ ดาํ ในการปรั บปรุ งพันธุ์ กนกวรรณ สว่ าง ลาวัลย์ กลัดสุวรรณ สิริวรรณ์ โคตรโสภา มานุวัตร ตินตะรสาละ ณ ราชสีมา และ พีรญา กลมสอาด บริษัท มิตรผลวิจยั พัฒนาอ้ อยและนํา8 ตาล จํากัด kk ม. d ถ. ชุมแพ-ภูเขียว ต. โคกสะอาด อ. ภูเขียว จ. ชัยภูมิ 36110

บทคัดย่ อ ประเมินความต้ านทานในอ้ อยลูกผสมของ บริ ษัท มิตรผลวิจยั พัฒนาอ้ อยและนํ &าตาล จํากัด ชุดปี d–09 และชุดปี 2014 รวมพันธุ์เปรี ยบเทียบ จํานวน 14 สายพันธุ์ โดยการตรวจสอบ เส้ นใยของเชื &อรา Ustilago scitaminea ในเนื &อเยืIอเจริ ญปลายยอดอ้ อย clone ต่างๆ ทีIได้ รับการ ปลูกเชื &อด้ วยวิธี pin prick ทีIตาอ้ อย บ่มเชื &อนาน g คืน ก่อนนําไปปลูกในถุงดํา ตรวจสอบการสร้ าง แส้ จนครบอายุ d เดือน และตัดตาทีIไม่พบการสร้ างแส้ เอาเนื &อเยืIอเจริ ญปลายยอดของอ้ อยมาย้ อม สีด้วย Tryphan blue ตามวิธีของ Sinha และคณะ, 1982 และตรวจสอบเส้ นใยใต้ กล้ องจุลทรรศน์ มีพนั ธุ์ตรวจสอบต้ านทาน คือ พันธุ์อทู่ อง ” และ K84-200 พันธุ์ตรวจสอบอ่อนแอ คือ พันธุ์ มาร์ กอส พบว่า สามารถแบ่งปฏิกิริยาความต้ านทานออกเป็ น l กลุม่ คือ g) กลุม่ ต้ านทาน (ไม่พบ การสร้ างเส้ นใยและสร้ างแส้ ) จํานวน 2 สายพันธุ์ d) กลุม่ ต้ านทานปานกลาง (พบเฉพาะเส้ นใย) จํานวน 7 สายพันธุ์ ”) กลุม่ ค่อนข้ างอ่อนแอ (พบการสร้ างเส้ นใยมากกว่า 50% แต่ไม่พบการสร้ าง แส้ ) จํานวน 3 สายพันธุ์ และ l) กลุม่ อ่อนแอ (พบเส้ นใยหนาแน่นและพบการสร้ างแส้ ) จํานวน 2 สายพันธุ์ สําหรับพันธุ์ตรวจสอบต้ านทานและอ่อนแอแสดงปฏิกิริยาความต้ านทานตรงตาม ลักษณะพันธุ์โดยพบการสร้ างแส้ และเส้ นใยตามการประเมินปฏิกิริยาทีIได้ มีผ้ ทู ําไว้ จากการ ประเมินความต้ านทานของพันธุ์อ้อยต่อโรคแส้ ดําในการปรับปรุงพันธุ์โดยใช้ เทคนิคการย้ อมสี พบว่า ปฏิกิริยาความต้ านทานมีความสอดคล้ องกับพันธุ์ตรวจสอบต้ านทานและอ่อนแอ ดังนัน& วิธีการนี &จึงเป็ นวิธีการตรวจสอบทีIรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทําให้ สามารถคัดเลือกพันธุ์อ้อยได้ ดี หรื อคัดเลือกพันธุ์ต้านทานเป็ นพ่อแม่พนั ธุ์ซงึI จะช่วยประหยัดเวลา พื &นทีI แรงงาน และการจัดการ แปลงต่างๆ คําสําคัญ : โรคแส้ ดํา การประเมินความต้ านทานของพันธุ์อ้อยต่อโรคแส้ ดํา

133


PPB-09

Smut Resistant Evaluation of Breeding Program Kanokwan Sawang Lawan Kladsuwan Siriwan Kodsopa Manuwat Tintarasaranaratchaseema and Peeraya Klomsa-ard Mirt Phol Sugarcane Research Center. 399 Moo 1 Chumpae-Phkieo Road, Khoksa-at, Phukeio, Chaiyaphum 36110

ABSTRACT Sugarcane Hybrids of Mitr Phol Sugarcane Research Center series MPT 2009 and MPT 2014 were evaluated for smut resistance. The number of varieties tested were 14. For one-bud cutting of each variety were inoculated with smut spore (Ustilago scitaminea) by pin prick method, incubated overnight in plastic bag, then transplanted (1 bud/bag). Smut whips symptom of each clone were recorded for 2 months. Cane with no whip were cut and then detected for smut hyphae in apical meristematic regions by staining technique. The result indicated reaction which may divide into 4 groups, 1) resistance (no hyphae found and no whip formation) 2) moderately resistance (only hyphae found) 3) moderately susceptible (hyphae found more than 50% and no whip formation) 4) susceptible (dense hyphae found and few whip formation). Resistant and susceptible check showed the expected reaction as the precious work. Smut resistant evaluation would be facilitating by the technique this experiment undertaken since it reduces time, land, labor consumed. Keywords: Smut, Smut resistance evaluation

134


PPB-10

การกระจายตัวของ pathotype ของเชือ8 Xanthomonas oryzae pv. oryzae ทีZพบ ระบาดในจังหวัดสุพรรณบุรีปี พ.ศ. g-µd จารุ วี อันเซตาd คนึงนิจ ศรี วลิ ัยd ธีรยุทธ์ ตู้จนิ ดาg และ สุจนิ ต์ ภัทรภูวดลd ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน นครปฐม ² d¥j ศูนย์ พนั ธุวศิ วกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่ งชาติ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่ งชาติ ปทุมธานี 12120 d

g

บทคัดย่ อ เชื &อแบคทีเรี ย Xanthomonas oryzae pv. oryzae (XOO) มีความหลากหลายทาง พันธุกรรมสูง มีระบาดของโรค เป็ นประจํา สร้ างความเสียหายต่อผลผลิตข้ าวอย่างต่อเนืIอง ปั จจุบนั ข้ อมูลการสํารวจการระบาดและข้ อมูลการแพร่กระจายของสายพันธุ์เชื &อ (pathotype) ยัง จํากัดและไม่ครอบคลุมแหล่งผลิตข้ าวทีIสาํ คัญ งานวิจยั นี &จึงทําการสํารวจและศึกษาการกระจาย ตัวสายพันธุ์เชื &อ X. oryzae pv. oryzae สาเหตุโรคขอบใบแห้ ง ในพื &นทีIปลูกข้ าว จังหวัดสุพรรณบุรี จํานวน l อําเภอ ช่วงปี พ.ศ. defg จํานวน lf แปลง แยกเชื &อสาเหตุของโรคได้ จํานวน fdf ไอโซ เลท คัดเลือกตัวแทนแต่ละแปลงจํานวน gd¢ ไอโซเลท ทดสอบปฏิกิยาการเกิดโรคกับสายพันธุ์ข้าว คูแ่ ฝด (NILs) ทีIมียีนต้ านทานเดีIยวต่อโรคนี &จากสถาบันวิจยั ข้ าวนานาชาติ จํานวน gg สายพันธุ์ สามารถจัดกลุม่ เชื &อได้ ”– pathotype โดยประชากรเชื &อกลุม่ ใหญ่จดั อยูใ่ น Pathotype19 (SSSRRSSSSRS) ความถีIสงู สุดทีI ”–.l•% กลุม่ รองลงมาคือ Pathotype 20 (SSSRRSSSSSS) d¢.g”% ขณะทีIข้าวทีIมียีน xae มีความต้ านทานแบบกว้ างต่อเชื &อ XOO นํามาทดสอบได้ ”d.e• % รองลงมาได้ แก่ xa7 (30.28%) xagl (gf.•—%) และxadg (—.f•%) ข้ อมูลในการสํารวจการระบาด ของโรคและชนิดของสายพันธุ์เชื &อ ได้ เก็บเป็ นฐานข้ อมูลระบบข้ อมูลโรคข้ าวทีIพฒ ั นาขึ &น (http://158.108.207.4/webricel/) ซึงI นํามาเชืIอมโยงกับข้ อมูลพันธุ์ข้าว ข้ อมูลสภาพอากาศ เพืIอ พยากรณ์การเกิดโรค และสร้ างเป็ นแผนทีIการระบาดของโรคขอบใบแห้ งและการกระจายตัวของ เชื &อสายพันธุ์ตา่ ง ๆ เพืIอช่วยการตัดสินใจของนักปรับปรุงพันธุ์และเกษตรกรในการเลือกพันธุ์ข้าวทีI เหมาะสมต่อการปลูกในแต่ละพื &นทีI ทีIมีการระบาดของเชื &อ XOO ต่างสายพันธุ์ และควบคุมโรคได้ อย่างมีประสิทธิภาพ คําสําคัญ : Xanthomonas oryzae pv. oryzae Pathotype สุพรรณบุรี

135


PPB-10

Geographic Distribution of pathotype of Xanthomonas oryzae pv. oryzae in Suphanburi Province in 2018 Jaruvee Ancheta1 Kanuengnij Srivilai1 Theerayut Toojinda2 And Sujin Patarapuwadol1 Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture Kamphaengsaen, Kasetsart University Kamphaengsaen Campus, Nakhon Pathom 73140 2 National Center for Genetic Engineering and Biotechnology, National Science and Technology Development Agency, Pathum Thani 12120 1

ABSTRACT Xanthomonas oryzae pv. oryzae (XOO), the causal agent of Bacterial leaf blight with high genetic diversity and epidemic of rice diseases every year causing crop failure in rice crops. The epidemiological survey data and pathotype spread data are still limited and do not cover important rice production sources. In 2018, this research explores and studies the distribution of X. oryzae pv. oryzae is to investigaes 128 isolates were obtained from rice growing areas in Suphanburi province.There were grouped into 30 pathotypes based on the disease reaction to 11 near-isogenic lines (NILs) which different on resistance genes (R) namely Xa1, Xa3, Xa4, xa5, Xa7, xa8, Xa10, Xa11, xa13, Xa14 and Xa21. The analysis revealed that pathotype19 (SSSRRSSSSRS) and pathotype 20 (SSSRRSSSSSS) were dominated from the others at the percentage of 30.47 and 28.13, respectively. Near-isogenic line with xa5 was found to be highly resistant to majority isolates of XOO (32.57%), the next were Xa7 (30.28%), Xa14 (16.79%) and Xa21 (9.67%). Data on epidemic of rice diseases in Suphanburi province has been collected into a database of developed rice disease information systems (http://158.108.207.4/webrice4/). Bringing together rice information, weather information to forecasting the diseases and created an epidemic map to help the decision of the breeders and farmers to choose the right rice varieties for planting in each area that has an outbreak of XOO species and control the diseases effectively. Keywords: Xanthomonas oryzae pv. oryzae, Pathotype, Suphanburi Province

136


PPB-11

ไพรเมอร์ ทZ จี าํ เพาะเจาะจงในการตรวจสอบเชือ8 Xanthomonas perforans ชัญญานุช กอรั กงาม1,2 จุฑาเทพ วัชระไชยคุปต์ 1,2 สุจนิ ต์ ภัทรภูวดล3 และ วิชัย โฆสิต รั ตน1,2 ศูนย์ เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กําแพงแสน นครปฐม ² d¥j ศูนย์ ความเป็ นเลิศด้ านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร สํานักงานพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจยั ด้ านวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรุ งเทพฯ djkjj 3 ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงเสน นครปฐม ² d¥j 1

2

บทคัดย่ อ โรคใบจุดมะเขือเทศ (Bacterial leaf spot of tomato; BLS) มีสาเหตุจากเชื &อ Xanthomonas vesicatoria, X. euvesicatoria, X. perforans และ X. gardneri (Jones et al., 2004) จากรายงานของ สันติพงศ์ และคณะ (ยังไม่ตีพิมพ์) พบว่าเชื &อ 7 ไอโซเลททีIระบุวา่ เป็ น X. perforans จากการจัดจําแนกด้ วยลักษณะทางสรี รวิทยาและชีวเคมี เทคนิค multi-locus sequence analysis และการวิเคราะห์สายวิวฒ ั นาการ โดยเชื &อดังกล่าวให้ ผลลบกับการตรวจสอบ ด้ วยเทคนิค PCR ด้ วยไพร์ เมอร์ ทีIจําเพาะระดับสปี ชีส์ Bs-XpF และ Bs-XpR ทีIจําเพาะต่อเชื &อ X. perforans ออกแบบโดย Koenraadt et al. (2009) แสดงให้ เห็นว่าไพรเมอร์ ทีIนํามาใช้ ในการ ตรวจสอบดังกล่าวไม่สามารถตรวจสอบเชื &อ X. perforans ในประเทศไทยได้ การศึกษานี &มี วัตถุประสงค์เพืIอพัฒนาเทคนิค PCR ในการตรวจสอบเชื &อ X. perforans โดยทําการออกแบบไพร์ เมอร์ จากการเปรี ยบเทียบลําดับเบสของยีน Phosphoesterase ของเชื &อสาเหตุโรคใบจุดมะเขือ เทศแต่ละสปี ชีส์ สามารถออกแบบไพร์ เมอร์ Xp-seF เพืIอทําปฏิกิริยาคูก่ บั ไพร์ เมอร์ Xp-InR1 หรื อ Xp-seR ทดสอบการทําปฏิกิริยา PCR พบว่าเฉพาะคูไ่ พร์ เมอร์ Xp-seF และ Xp-InR1 สามารถทํา ปฏิกิริยา PCR ให้ ผลบวกกับเชื &อทัง& 7 ไอโซเลท รวมทังดี & เอ็นเอชุดควบคุมเชื &อ X. perforans NCPPB 4321 (สายพันธุ์อ้างอิง) และสายพันธุ์ NCPPB 4322 แสดงให้ เห็นว่าไพร์ เมอร์ ทีIออกแบบ ในการทดลองนี &สามารถนํามาใช้ เป็ นไพร์ เมอร์ สาํ หรับตรวจสอบเชื &อ X. perforans ได้ คําสําคัญ : โรคใบจุดในพริ ก โรคใบจุดในมะเขือเทศ การออกแบบไพรเมอร์ วิธีการตรวจสอบเชื &อ สาเหตุโรค

137


PPB-11

Specific Primer for Detection of Xanthomonas perforans Chanyanut Korakngam1,2 Jutatape Watcharachaiyakup1,2 Sujin Patarapuwadol3 and Wichai Kositratana1,2 Center for Agricultural Biotechnology, Kasetsart University, Kamphaeng Sean Campus, Nakhon Pathom 73140 2 Center of Excellence on Agricultural Biotechnology (AG-BIO/PERDO-CHE), Bangkok 10900 3 Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Sean, Kasetsart University, Kamphaeng Sean Campus, Nakhon Pathom 73140 1

ABSTRACT Bacterial leaf spot (BLS) of tomato caused by Xanthomonas vesicatoria, X. euvesicatoria, X. perforans และ X. gardneri (Jones et al., 2004). Report of Sitthitanasin et al. (unpublished data) found that 7 isolates are identified as X. perforans, determined by using phenotypic and biochemical analysis, multi-locus sequence analysis and phylogenetic analysis. However, negative PCR reactions from 8 isolates were shown with species-specific primer (Bs-XpF and Bs-XpR ) for X. perforans designed by Koenraadt et al. (2009). This suggests that these primers cannot use to detecting X. perforans in Thailand. This study aims to develop PCR primer for detecting X. perforans. The primers were designed from phosphoesterase gene alignment with each species of tomato leaf spot disease bacteria. We designed Xp-SeF primer to react with the Xp-InR1 primer or Xp-seR primer for using in PCR detection. The result of PCR reaction found that only the Xp-seF and Xp-InR1 primer pairs were positive for 7 isolate and positive control DNA of X. perforans NCPPB 4321 (type strain) and NCPPB 4322. It shows that the primer designed in this study can be used as a primer for detecting X. perforans. Keywords: Bacterial leaf spot of chili, Bacterial leaf spot of tomato, primer design, pathogen detection

138


PPB-12

การสํารวจโรคและการศึกษาการกระจายตัวของสายพันธุ์เชือ8 Xanthomonas oryzae pv. oryzae ในจังหวัดเชียงรายในปี พ.ศ. g--k ถึง พ.ศ. g-µd ไพเราะ ขวัญงามd,2 มัชฌิมา สังข์ วรรณะd นุชจรินทร์ จังขันธ์ d,3 จุฑาเทพ วัชระไชยคุปต์ 4,5

และ สุจนิ ต์ ภัทรภูวดลd,4,5* ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงเสน นครปฐม ² d¥j สถาบันวิจยั พืชไร่ และพืชทดแทนพลังงาน กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรุ งเทพฯ djkjj กรมการข้ าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรุ งเทพฯ djkjj ¥ ศูนย์ เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กําแพงแสน นครปฐม ² d¥j ศูนย์ ความเป็ นเลิศด้ านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร สํานักงานพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจยั ด้ านวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรุ งเทพฯ djkjj d

g

บทคัดย่ อ

โรคขอบใบแห้ งเกิดจากเชื &อ Xanthomonas oryzae pv. oryzae (XOO) ทําความเสียหาย ให้ กบั ข้ าว การใช้ พนั ธุ์ต้านทานเป็ นวิธีทีIมีประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการโรค ในประเทศไทย พบว่าเชื &อ XOO มีความหลากหลายของเชื &อทีIเข้ าทําลายข้ าวทีIยีนต้ านทานโรคขอบใบแห้ งได้ ซงึI จําเป็ นต้ องเข้ าใจในความหลากหลายของประชากรเชื &อในการนําพันธุ์ต้านทานไปใช้ ให้ มี ประสิทธิภาพ การศึกษาครัง& นี & เก็บตัวอย่างโรค 18 อําเภอของจังหวัดเชียงรายช่วงกันยายนถึง พฤศจิกายน ในปี พ.ศ.dee— – defg จํานวน ffg แปลง พบเชื &อ XOO เกือบทุกอําเภอยกเว้ นแม่ ฟ้าหลวงและเวียงแก่น ในข้ าว 20 พันธุ์ ได้ แก่ ขาวดอกมะลิ 105 กข6 กข10 กข14 กข15 กข49 สัน ป่ าตอง 1 ข้ าวญีIปนุ่ ไรซ์เบอรรีI ปทุมธานี 1 ข้ าวเหนียว หอมนิล พิษณุโลก 2 แม่โจ้ 2 เหนียวแดง เหนียวอุบล เหนียวเขี &ยวงู ธัญสิรินทร์ ข้ าวกํIา และข้ าวเจ้ าพื &นเมือง นํามาแยกเชื &อสาเหตุโรคได้ 5,554 ไอโซเลท คัดเลือกมาทดสอบปฏิกิริยาการเกิดโรคกับสายพันธุ์ข้าวคูแ่ ฝด (NILs) จาก สถาบันวิจยั ข้ าวนานาชาติ 97 ไอโซเลท จําแนกสายพันธุ์เชื &อได้ 25 Reactions โดยเชื &อกลุม่ ใหญ่ จัดอยูใ่ น Pathotype 14 (SSSSSSSRRSS) 20.62% รองลงมาคือ Pathotype 5 (SSSRRSSSSSS) 15.46% และ Pathotype 7 (SSSRSSSSSSS) 12.37% อําเภอทีIพบ race มาก คือ พาน เชียงแสน และแม่สาย ข้ าวทีIมียีน Xa13 มีความต้ านทานต่อเชื &อ XOO ทีIนํามาทดสอบได้ d1.92% รองลงมาคือ Xa11 (16.44%) และ Xa21 (13.70%) ข้ อมูลการสํารวจได้ บนั ทึกผ่านโมบายแอพลิเคชันI และเก็บเป็ นฐานข้ อมูลทีIพฒ ั นา โดยภาควิชาโรคพืชคณะเกษตร กําแพงแสน (http://158.108.207.4/webrice4/index.php) ซึงI สามารถสืบค้ นและนํามาจัดทําแผนทีIการระบาดของโรคได้ คําสําคัญ : โรคขอบใบแห้ งของข้ าว Xanthomonas oryzae pv. oryzae race เชียงราย 139


PPB-12

Disease survey and Geographical distribution of pathogenic races of Xanthomonas oryzae pv. oryzae in Chiang Rai province during 2016- 2018 Pairoh Khwanngam1,2 Matchima Sangwanna1 Nootjarin Jungkhun1,3 Jutatape Watcharachaiyakup4,5 and Sujin Patarapuwadol1,4,5* Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Saen, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus, Nakhon Pathom 73140, Thailand. 2 Field and Renewable Energy Crops Research Institute, Department of Agriculture, Ministry of Agriculture and Cooperatives, Bangkok 10900 3 Rice Department Ministry of Agriculture and Cooperatives, Bangkok 10900 4 Center for Agricultural Biotechnology, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus, Nakhon Pathom 73140, Thailand. 5 Center of Excellence on Agricultural Biotechnology (AG-BIO/PERDO-CHE), Bangkok 10900

1

Abstract Bacterial leaf blight (BLB) disease caused by Xanthomonas oryzae pv. oryzae (XOO) is one of the most devastating disease of rice. Deployment of host resistance is the only effective means of BLB management However, XOO exists in different races with diverse reactions on different resistance genes. Thus it is essential to understand the diversity of contemporary XOO population to deploy appropriate resistance genes in rice fields. In this report, 661 rice fields of 18 districts of Chiang rai province were sampled from September to November during 2016-2018. Bacterial leaf blight disease was found in 16 out of 18 districts but no disease was found in Mae Fah Luang and Wiang Kan. The diseases was found in twenty rice varieties include KDML 105 RD6 RD10 RD14 RD15 RD49 San-pahtawng 1 Khao Yipun Riceberry Pathumthani 1 Glutinous rice Hom-nin Rice Phitsanulok 2 Mae Jo 2 Red Glutinous rice Niaw Ubol Niaw Kiaw Ngoo Thunya-sirin Black rice and Khao Jow. Physiological race was determined in 97 selected strains of X. oryzae pv. oryzae by inoculation to near-isogenic International Rice-Bacterial Blight rice lines (NILs). These strains were separated into 25 pathotypes. The majority of strains (20.62%) grouped into pathotype 14 (SSSSSSSRRSS), Pathotype 5 (SSSRRSSSSSS) 15.46% and Pathotype 7 (SSSRSSSSSSS) 12.37% respectively. xa5 resistant gene shown board spectrum of resistant to XOO followed by Xa13 (21.92%) Xa11 (16.44%) and Xa21 (13.70%). Data of disease survey was recorded in a KURdis Database (http://158.108.207.4/webrice4/index.php) developed by Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Saen, Kasetsart University. Keywords : Bacterial leaf blight, Xanthomonas oryzae pv. oryzae, race, Chiang Rai 140


PPB-13

การจัดจําแนกเชือ8 Xanthomonas spp. สาเหตุโรคใบจุดในมะเขือเทศและพริก จุฑาเทพ วัชระไชยคุปต์ 1,2 สันติพงศ์ สิทธิธนสิน3 ชัญญานุช กอรั กงาม1,2 ทิพวรรณ กัน หาญาติ4 ณัฎฐิมา โฆษิตเจริญกุล4 สุจนิ ต์ ภัทรภูวดล3 และ วิชัย โฆสิตรั ตน1,2 ศูนย์ เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กําแพงแสน นครปฐม ² d¥j ศูนย์ ความเป็ นเลิศด้ านเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร สํานักงานพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจยั ด้ านวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรุ งเทพฯ djkjj 3 ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงเสน นครปฐม ² d¥j 4 กลุ่มวิจยั โรคพืช สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพ 10900 1

2

บทคัดย่ อ เชื &อแบคทีเรี ยสาเหตุโรคใบจุดในมะเขือเทศและพริ กเกิดจากเชื &อ Xanthomonas vesicatoria, X. euvesicatoria, X. perforans และ X. gardneri (Jones et al., 2004) การใช้ เทคนิควิเคราะห์ลาํ ดับนิวคลีโอไทด์ของกลุม่ ยีน (Multilocus sequencing typing; MLST) เป็ น เทคนิคทีIนํามาใช้ ในการจัดจําแนกเชื &อแบคทีเรี ย การศึกษาของ Roach et al. (2004) พบว่าลําดับ นิวคลีโอไทด์บางส่วนของยีน ATP synthase subunit beta (atpD) เป็ นยีนหนึงI ทีIใช้ ในการ วิเคราะห์ลําดับนิวคลีโอไทด์ของกลุม่ ยีนของเชื &อในกลุม่ นี & และยังสามารถใช้ แยกเชื &อ X. euvesicatoria และ X. perforans ออกจากกันได้ ในการศึกษานี &มีจดุ ประสงค์เพืIอจัดจําแนกเชื &อ Xanthomonas spp. สาเหตุโรคใบจุดในมะเขือเทศและพริ กทีIแยกได้ ในประเทศไทย โดยการ ตรวจสอบลักษณะทางสรี รวิทยาและเคมีบางประการ การเกิดโรค การตรวจสอบเบื &องต้ นด้ วย เทคนิค PCR ด้ วยไพร์ เมอร์ ทีIจําเพาะต่อเชื &อทัง& 4 ชนิด (Koenraadt et al., 2009) และลําดับนิวคลี โอไทด์บางส่วนของยีน atpD พบว่าเชื &อทดสอบเป็ นแกรมลบ ไม่สร้ าง urease ไม่รีดวิ ไนเตรทเป็ น ไนไตรท ไม่เจริ ญในอาหารทีIมีเกลือ 5% สร้ าง xanthomonadin เทคนิค PCR ด้ วยไพร์ เมอร์ จําเพาะระดับสปี ชีส์ให้ ผลปฏิกิริยาจําเพาะกับเชื &อในแต่ละสปี ชีส์ยกเว้ นไพร์ เมอร์ ทีIจําเพาะกับเชื &อ X.perforans ไม่สามารถจับกับเชื &อในการทดลองนี & การจัดจําแนกด้ วยลําดับนิวคลีโอไทด์บางส่วน ของยีน atpD พบว่าเชื &อส่วนใหญ่ทีIแยกจากพริ กจัดจําแนกเป็ นเชื &อ X. euvesicatoria และเชื &อทีI แยกได้ จากมะเขือเทศจัดจําแนกเป็ นเชื &อ X. perforans คําสําคัญ : atpD Xanthomonas euvesicatoria Xanthomonas perforans มะเขือเทศ พริ ก

141


PPB-13

Classification of Xanthomonas spp. Causing Bacterial Spot of Tomato and Pepper Jutatape Watcharachaiyakup1,2 Santipong Sitthitanasin3 Chanyanut Korakngam1,2 Tippawan Kanhayart4 Nuttima Kositcharoenkul4 Sujin Patarapuwadol3 and Wichai Kositratana1,2 Center for Agricultural Biotechnology, Kasetsart University, Kamphaeng Sean Campus, Nakhon Pathom 73140 2 Center of Excellence on Agricultural Biotechnology (AG-BIO/PERDO-CHE), Bangkok 10900 3 Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture at Kamphaeng Sean, Kasetsart University, Kamphaeng Sean Campus, Nakhon Pathom 73140 4 Plant Pathology Research group, Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900 1

ABSTRACT Bacterial leaf spot of tomato and chili is caused by Xanthomonas vesicatoria, X. euvesicatoria, X. perforans and X. gardneri (Jones et al., 2004). Multilocus sequencing typing; MLST is using to classification of bacteria. Roach et al. (2004) have been found partial sequence of ATP synthase subunit beta (atpD) gene which using for MLST of these bacteria, capable differentiation X. euvesticatoria and X. perforans clades. This study aim to classification of Xanthomonas spp. causing bacterial leaf spot collected in Thailand. Methods were using composing with physiological and biochemical, pathogenicity, PCR with species-specific primer (Koenraadt et al., 2009) and partial sequence of atpD gene. All bacteria is gram negative, negative result for urease, nitrate reduction, no growth in medium contain 5% NaCl, catalase positive and produce xanthomonadin. PCR with species-specific primer amplify specific with each species except X. perforans which cannot amplify to Thailand collected sample. Based on partial DNA sequencing of atpD, most chili isolated bacteria classify as X. euvesicatoria where as tomato isolated bacteria classify as X. perforans. Keywords: atpD, Xanthomonas euvesicatoria, Xanthomonas perforans, tomato, chili

142


PPB-14

ประสิทธิภาพของสารกําจัดเชือ8 ราในการควบคุมเชือ8 Colletotrichum gloeosporioides สาเหตุโรคแอนแทรคโนสของมะม่ วง อุดมศักดิž เลิศสุชาตวนิช1 เทพชัย เทพช่ วยสุข2 และ วีระศักดิž ลิขติ มัZนชัย2 ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุ งเทพฯ 10900 บริษัท อดามา (ประเทศไทย) จํากัด แขวงช่ องนนทรี เขตยานนาวา กรุ งเทพฯ djdgj 1

2

บทคัดย่ อ โรคแอนแทรคโนสของมะม่วงจากเชื &อ Colletotrichum gloeosporioides เป็ นโรคทีIมี ความสําคัญทีIให้ ผลผลิตมะม่วงเสียหายเป็ นจํานวนมากในแต่ละปี โดยการควบคุมโรคแอนแทรค โนสด้ วยสารกําจัดเชื &อราเป็ นวิธีการทีIเกษตรกรนิยมใช้ แต่สารกําจัดเชื &อรานันมี & กลไกการทํางานทีI แตกต่างกันทําให้ การควบคุมนันมี & ประสิทธิภาพทีIแตกต่างกัน และเพืIอลดปั ญหาการดื &อยาของเชื &อ C. gloeosporioides งานทดลองนี &ได้ ทําการทดสอบการควบคุมเชื &อ C. gloeosporioides ทีIแยก ได้ จากผลมะม่วงทีIปลูกใน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กับสารป้องกันกําจัดเชื &อรา Frac group 3 และ 11 ด้ วยเทคนิค poison food media ผลการทดลองพบว่าสาร propiconazole+prochloraz (Frac group 3+3) อัตรา 5-15 cc ต่อ นํ &า 20 L กับสาร difenoconazole+propiconazole (Frac group 3+3) อัตรา 15 cc ต่อ นํ &า 20 L สามารถควบคุมเชื &อ C. Gloeosporioides ได้ ดีทีIสดุ โดย สามารถยับยังการเจริ & ญของเชื &อได้ 100% รองลงมาได้ แก่ azoxystrobin+tebuconazole (Frac group 11+3) อัตรา 15 cc ต่อ นํ &า 20 L สามารถยับยังการเจริ & ญของเชื &อได้ 93.10% ส่วน azoxystrobin (Frac group 11) เป็ นสารทีIมีประสิทธิภาพตํIาทีIสดุ สามารถยับยังการเจริ & ญของเชื &อ ได้ 24.14% ซึงI ผลการทดลองนี &แสดงให้ เห็นถึงความต้ านทานของเชื &อ C. gloeosporioides สาร กําจัดเชื &อรา azoxystrobin (Frac group 11) นําไปสูก่ ารแนะนําการหลีกเลียI งการใช้ สารกําจัดเชื &อ ราเชื &อมีความต้ านทาน คําสําคัญ : มะม่วง โรคแอนแทรคโนส Colletotrichum gloeosporioides สารชีวภาพ

143


PPB-14

Efficacy of Fungicides to Control Colletotrichum gloeosporioides Causal Agent of Mango anthracnose Disease Udomsak Lertsuchatavanich1 Thepchai Thepchuasook2 and Veerasak Likitmanchai2 1

Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkhen, Bangkok 10900 2 ADAMA Thailand Ltd., Chong nontri, Yannawa, Bangkok 10120

ABSTRACT Anthracnose disease of mango caused by Colletotrichum gloeosporioides that causes serious losses to mango fruits annually. Most farmer control anthracnose disease with fungicide application. Fungicides have different mode of action (MOA) that specific for control fungi and use in disease management program to delay fungicide resistance development of C. gloeosporioides. This experiment determine efficacy of fungicides in Frac group of 3 and 11 to control C. gloeosporioides isolated form Pak Chong District, Nakhon Ratchasima with poison food media technique. Results showed that propiconazole+prochloraz (Frac group 3+3) rate 5-15 cc per 20 L of water and difenoconazole+propiconazole (Frac group 3+3) rate 15 cc per 20 L of water gave the highest growth inhibition at 100%. azoxystrobin+tebuconazole (Frac group 11+3) rate 15 cc per 20 L of water gave lower growth inhibition at 93.10%. Azoxystrobin (Frac group 11) gave the lowest growth inhibition at 24.14% and these results showed that C. gloeosporioides isolated form Pak Chong District was resistance to azoxystrobin (Frac group 11). This data will be useful for resistance risk management of C. gloeosporioides in the future. Keywoeds: mango, anthracnose, Colletotrichum gloeosporioides, fungicide

144


PPB-15

การคัดเลือกเชือ8 ยีสต์ ปฏิปักษ์ ควบคุมเชือ8 รา Colletotrichum capsici สาเหตุโรคแอนแทรกโนสพริก ยุวดี ชูประภาวรรณ สุภาวดี แก้ วระหัน และ สมชาย คําแน่ น ศูนย์ วจิ ยั ควบคุมศัตรู พชื โดยชีวนิ ทรี ย์แห่ งชาติ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่ าง มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี 34190

บทคัดย่ อ เก็บรวบรวมเชื &อยีสต์จากดิน ใบไม้ ในป่ า ดินรอบราก ใบและ ผลพริ กทีIเป็ นและไม่เป็ น โรคแอนแทรกโนส รวมทังจากผั & กผลไม้ เป็ นโรค ในพื &นทีI • จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนล่าง ได้ รวมทังสิ & &น e–– ไอโซเลท ประเมินการเป็ นเชื &อปฏิปักษ์ ตอ่ เชื &อ Colletotrichum capsici CC-1 ด้ วยวิธี dual culture test คัดเลือกเชื &อยีสต์ปฏิปักษ์ ทีIยบั ยังเชื & &อรา C. capsici CC-1 ได้ สูงสุด จํานวน e ไอโซเลท (81.8 - 85.3%) นําไปทดสอบการควบคุมโรคแอนแทรกโนสบนผลพริ ก ขี &หนูผลใหญ่ พันธุ์หวั เรื อ โดยวิธี Detached fruit technique ด้ วยเซลล์แขวนลอย (5xg–¢ เซลล์/ มิลลิลติ ร) และนํ &าส่วนใส (supernatant) ของยีสต์ปฏิปักษ์ เปรี ยบเทียบกับสารเคมี เบนโนมิล และ แมนโคเซบ ผลการทดสอบ พบว่าเซลล์แขวนลอยและนํ &าส่วนใสเชื &อยีสต์ปฏิปักษ์ ไอโซเลท SSR1R1 ควบคุมการเกิดโรคดีทีIสดุ ผลพริ กเกิดโรค gl.g และ gf.¢% ตามลําดับ ใกล้ เคียงกับ ประสิทธิภาพสารเคมีเมนโคเซบ (gl.2%) ตรวจสอบประสิทธิภาพยีสต์ปฏิปักษ์ การยับยังการงอก & สปอร์ เชื &อก่อโรคภายใต้ กล้ องจุลทรรศน์ พบว่าเชื &อยีสต์ SSR1R1 ยับยังการงอกสปอร์ & เชื &อรา C . capsici CC-1 ได้ f•.–—% และตรวจพบเซลล์ยีสต์ SSR1R1 เคลือI นทีIเข้ าหาเส้ นใยเชื &อก่อโรค C. capsici CC-1 และเกาะเป็ นกลุม่ หนาแน่นบนเส้ นใยเชื &อราก่อโรคภายใน l¢ ชัวI โมง การทดสอบ การควบคุมโรคแอนแทรกโนสพริ กขี &หนูผลพันธุ์หวั เรื อในสภาพโรงเรื อน พบว่าเชื &อยีสต์ SSR1R1 ยับยังการเกิ & ดโรคแอนแทรกโนสบนผลพริ กได้ ดี พบผลพริ กไม่เป็ นโรคแอนแทรกโนส ¢—.g% ส่วน สารเคมีเมนโคเซบ มีผลพริ กไม่เป็ นโรค —g.l% และนําเชื &อยีสต์ SSR1R1 มาจําแนกเชื &อในระดับ ชนิดด้ วยเทคนิคทางชีวโมเลกุล พบว่าเป็ นเชื &อ Cryptococcus laurentii คําสําคัญ : โรคแอนแทรกโนสพริ ก เชื &อยีสต์ปฏิปักษ์ การควบคุมโดยชีววิธี

145


PPB-15

Screening of Antagonistic Yeast for Controlling Chili Anthracnose disease Caused by Colletotrichum capsica Yuwadee chupraphawan Supawadee kaewrahun and Somchai khamnan National Biological Control Research Center, Lower Northeastern Regional Center, Ubon Ratchathani University, Ubon Ratchathani Province 34190

ABSTRACT Five hundred of yeast isolates were collected from forests soil, rhizoshere soil, and leaf and fruits which are free from and infected with anthracnose diseases, including fruits and vegetables decay in 7 provinces of the Lower Northeast of Thailand. These isolates were screened for in vitro against Colletotrichum capsici CC-1 (CC-1), using the dual culture method. Five antagonistic yeast isolates, which are the most effective inhibitors for mycelial growth of the pathogens (81.8-85.3%), were selected for evaluation of the biological control anthracnose disease with detached fruit technique by yeasts cell suspension (5x108 cell/ml) and yeast supernatant, being compared with 2 fungicides, benomyl and mancozeb. The results indicated lowest anthracnose disease incidence caused C. capsici CC-1 was found on cell suspension and supernatant of yeast SSR1R1 isolate espectively, by 14.1 and 16.8% respectively, which not different statistically to macozeb (14.2%) The inhibition of spore germination of C. capsici CC-1 was observed under microscope using yeast cell SSR1R1 isolate. The result showed that antagonistic yeast cell SSR1R1 isolate was able to inhibit spore germination of C. capsici CC-1 about 67.09%. The attachment was also observed between antagonistic yeast cells of C. capsici CC-1. The result showed strong attachment capability of antagonistic yeasts SSR1R1 to hyphae of C. capsici CC-1 was observed under 48 hrs. The green house experiment indicated that antagonistic yeast SSR1R1 can reduced anthracnose disease incidence caused C. capsici CC-1 by 89.1% while 91.4% was found on mancozeb treatment. The antagonistic yeast SSR1R1 isolate was identified into species by biochemical methods, the isolate was identified as Cryptococcus laurentii Keywords: anthracnose disease, antagonistic yeast, biological control

146


PPB-16

การคัดเลือกเชือ8 Bacillus spp. และ Streptomyces spp. ทีZมีศักยภาพในการ ควบคุมไส้ เดือนฝอยรากปมในพริก วีรกรณ์ แสงไสย์ d ไตรเดช ข่ ายทอง2 ธิตยิ า สารพัฒน์ 2 และ รุ่ งนภา ทองเคร็ง2 d

ศูนย์ วจิ ยั พืชไร่ ขอนแก่ น สถาบันวิจยั พืชไร่ และพืชทดแทนพลัง กรมวิชาการเกษตร 2 กลุ่มวิจยั โรคพืช สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร

บทคัดย่ อ โรครากปมของพริ กเกิดจากไส้ เดือนฝอยรากปม Meloidogyne incognita Chitwood มีการ ระบาดให้ เห็นในพริ กทุกสายพันธุ์ ความรุนแรงแตกต่างกันตามสายพันธุ์พริ ก การควบคุมไส้ เดือน ฝอยรากปมโดยชีววิธี จึงเป็ นอีกทางเลือกหนึงI ทีIมีการศึกษากันอย่างกว้ างขวางและต่อเนืIอง โดย การนําเชื &อจุลนิ ทรี ย์ปฏิปักษ์ จําพวกแบคทีเรี ยมาใช้ ควบคุม โดยเก็บตัวอย่างดินจากแปลงพริ กจาก 3 จังหวัด ได้ แก่ หนองคาย สกลนคร และนครพนม ได้ ตวั อย่างดินจํานวนทังหมด & 45 ตัวอย่าง นํา ดินทีIเก็บรวบรวมได้ มาปฏิบตั งิ านทีIห้องปฏิบตั กิ ารกลุม่ งานไส้ เดือนฝอย แยกเชื &อแบคทีเรี ยและ จําแนกเชื &อแบคทีเรี ยเบื &องต้ นได้ เชื &อทังหมด & จํานวน 100 ไอโซเลต แบ่งเป็ นเชื &อกลุม่ Bacillus spp. จํานวน 50 ไอโซเลต เชื &อกลุม่ Streptomyces spp. จํานวน 50 ไอโซเลต เลี &ยงเชื &อในอาหาร เหลว ทดสอบประสิทธิภาพของ culture filtrate เชื &อ Bacillus spp. และ Streptomyces spp. ต่อ การยับยังฟั & กไข่ของไส้ เดือนฝอยรากปม M. incognita ในห้ องปฏิบตั กิ าร พบว่า culture filtrate เชื &อ Bacillus spp. ไอโซเลต B37 และ B43 ความเข้ มข้ น g–– เปอร์ เซ็นต์ สามารถยับยังการฟั & กไข่ ของไส้ เดือนฝอยปมได้ ดีทีIสดุ คือ —¢.g— และ —•.—— เปอร์ เซ็นต์ ส่วน culture filtrate เชื &อ Streptomyces spp. ไอโซเลต S8 และ S13 ทีIความเข้ มข้ น g–– เปอร์ เซ็นต์ คือ 88.17 และ 87.33 เปอร์ เซ็นต์ ได้ นําเชื &อแบคทีเรี ยทีIมีประสิทธิภาพทัง& f ไอโซเลต ทดสอบในโรงเรื อนทดลอง พบว่า cell suspension 1x109 cfu/ml และ culture filtrate ความเข้ มข้ น g–– เปอร์ เซ็นต์ ของเชื &อ Bacillus spp. ไอโซเลต B37 ควบคุมการเกิดโรคปมจากไส้ เดือนฝอยปมได้ ดีทีIสดุ ¢– ถึง —– เปอร์ เซ็นต์ ผลการบ่งชี &ชนิดเชื &อ Bacillus spp. ไอโซเลต B37 มีคล้ ายคลึงกับเชื &อ Bacillus subtilis ถึง 99 เปอร์ เซ็นต์ คําสําคัญ : ไส้ เดือนฝอยรากปม แบคทีเรี ย การควบคุม พริ ก

147


PPB-16

Screening of Bacillus spp. and Streptomyces spp. for Control Root-Knot Nematodes in Chili Weerakorn Saengsai1 Tridate Khaithong2 Thitiya Saraphat2 and Rungnapa Thongklang2 Khonkaen Field Crops Research Center,180 Sila, Muang Khon kaen, Khon Kaen, 40000. Plant Protection Research and Development Office 50 Phaholyothin Rd., Ladyao, Chatuchack, Bangkok 10900 1

2

ABSTRACT Root gall disease caused by root-knot nematodes (Meloidogyne incognita) one of the most destructive pests of a wide range of crops, nematodes are one of the most important pests in chilli crop. Biological control by using bacterial antagonists has attracted much interest as an alternative strategy to chemical methods of controlling plant pathogens. Biological control becomes more familiar due to its environmental compatibility and non-toxic nature. Bacterial strains have been found to be antagonistic to plant-parasitic nematodes. While, very few biocontrol products are currently commercially available and methods for the biological control of plant-parasitic nematodes are still under discovering and searching. Bacterial were isolated from 45 soil samples collected from chilli growing areas in Nong Khai, Sakhon Kakhon and Nakhon Phanom isolated 50 of Bacillus spp. and 50 of Streptomyces spp. Subsequently, the top 6 isolates from each bacteria isolate such as Bacillus B37, B43 and B45 for Streptomyces S8, S13 and S33 which were most effective in reducing the egg hatching of M. incognita in 100% culture filtrate was 80-90% . As a culture filtrate, activities of protease of Bacillus spp. could be detected at a highly significant different level among the bacteria isolates. Chitinase could be detected at a lowly. For Streptomyces spp. was not detected both. From the soils, 3 isolates of Bacillus spp and 3 isolates of Streptomyces spp. antagonistic to M. incognita were obtained in laboratory. In green house, grow chilli in the pots and egg nematode inoculated after that drench 6 effective bacterial in the pots every week. The isolates that were most effective in controlling root gall disease were 80-90%, Identified was Bacillus subtillis (isolate B37) Keywords: Root-knot nematode, Bacteria, control, chilli 148


PPB-17

ประสิทธิภาพของเชือ8 แอคติโนมัยซีสต่ อเชือ8 ราสาเหตุโรคแอนแทรคโนสของ พริก ปิ ลันธนา ฐาปนพงษ์ วรกุล* ชนากานต์ รั ตนศักดิžชัยชาญ จิราพร แสงต๊ ะ และ มณิการ์ ตรึกตราครบุรี ภาควิชากีฏวิทยาและโรคพืช คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เชียงใหม่ 50200 *

Corresponding author: pilunthana.t@cmu.ac.th

บทคัดย่ อ เชื &อรา Colletotricum gloeosporioides เป็ นสาเหตุโรคแอนแทรคโนสของพริ กและพืชผล ทางการเกษตรหลากหลายชนิดทําให้ เกิดการสูญเสียของผลผลิต งานวิจยั นี &มีวตั ถุประสงค์เพืIอ ทดสอบประสิทธิภาพการยับยังของเชื & &อแอคติโนมัยซีสเอนโดไฟต์ Streptomyces sp. PE06, CT18 และ CT20 ต่อเชื &อรา Colletotrichum gloeosporiodes สาเหตุโรคแอนแทรคโนสของพริ ก จากการทดลองด้ วยวิธี dual culture พบว่า PE06, CT18 และ CT20 ยับยังการเจริ & ญของเส้ นใย เชื &อราก่อโรคได้ 45.14, 39.58 และ 26.39% ตามลําดับ ซึงI แตกต่างอย่างมีนยั สําคัญทางสถิตเิ มืIอ เปรี ยบเทียบกับเชื &อ Bacillus subtilis (53.82%) เมืIอทดสอบการสร้ างสารระเหยยับยังการเจริ & ญ ของเส้ นใยเชื &อราก่อโรค ด้ วยวิธี sealed plate ทีIเวลา 120 ชัวI โมง พบว่า CT20, CT18 และ PE04 สามารถยับยังการเจริ & ญของเส้ นใยเชื &อราก่อโรคได้ 64.17, 31.67 และ 30% ตามลําดับ ซึงI สูงกว่า เชื &อ B. subtilis (28.75%) อย่างมีนยั สําคัญทางสถิติ โดยไม่มีการสัมผัสโดยตรงระหว่างเชื &อราและ เส้ นใยของ Streptomyces sp. PE06, CT18 and CT20 ในคูจ่ านอาหารทดสอบ จากนัน& ตรวจสอบปริ มาณการสร้ างสปอร์ ของเชื &อราก่อโรค พบว่า CT20 มีเปอร์ เซ็นต์ยบั ยังการสร้ & างสปอร์ สูงสุด 94.93 รองลงมาคือ CT18 และ PE06 ผลการทดลองแสดงให้ เห็นว่าเชื &อ Streptomyces sp. CT20 มีประสิทธิภาพยับยังการเจริ & ญของเชื &อรา C. gloeosporiodes ได้ ดีบนพื &นฐานของกิจกรรม การต้ านจุลชีพและสามารถลดปริ มาณการสร้ างสปอร์ ของเชื &อราก่อโรคได้ ในสภาพห้ องปฏิบตั กิ าร การค้ นพบนี &เป็ นการช่วยเพิIมข้ อมูลของเชื &อแอคติโนมัยซีสทีIสาํ คัญเพืIอใช้ ประโยชน์ทางการเกษตร ได้ คําสําคัญ : แอนแทรคโนส Colletotrichum gloeosporiodes ฤทธิ¾ต้านเชื &อรา Streptomyces sp. sealed plate

149


PPB-17

Efficiency of Actinomycetes Against Phytopathogenic Fungus of Chilli Anthracnose Pilunthana Thapanapongworakul* Chanakarn Ratanasakchaicharn Jiraporn Sangta and Manika Truektrakronburi Department of Entomology and Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Chiang Mai University, Chiang Mai 50200 * Corresponding author: pilunthana.t@cmu.ac.th

ABSTRACT Phytopathogenic fungus Colletotricum gloeosporioides is a cause of disease on chilli and wide varieties of agricultural crops resulting in yield loss. This study aimed to test the efficacy of endophytic Streptomyces sp. PE06, CT18 and CT20 against chilli anthracnose disease pathogen Colletotrichum gloeosporiodes. The results suggested that Streptomyces sp. PE06, CT18 and CT20 inhibited mycelial growth of C. gloeosporiodes with 45.14, 39.58 and 26.39% respectively, by dual culture assay, significantly different from Bacillus subtilis’s results (53.82%). The antifungal activity of the volatile-producing Streptomyces sp. PE06, CT18 and CT20 was investigated by sealed plate assay. The results showed that the volatiles generated by these isolates effectively inhibited mycelial growth of C. gloeosporiodes with 64.17, 31.67 and 30%, respectively, which were significantly higher than B. subtilis. No direct contact was observed between the fungus and mycelium of Streptomyces sp. PE06, CT18 and CT20 in a double-dish chamber. Then, the numbers of spore formation in pathogenic fungus were inspected; CT20 had the highest spore formation inhibition percentage of 94.93, followed by CT18 and PE06. The present study suggested that volatile organic compounds (VOCs) from the mycelium of Streptomyces sp. CT20 were effective against the growth of C. gloeosporiodes. in vitro based on antimicrobial activity of mycelial growth and sporulation reduction. These findings have contributed to the body of knowledge on agriculturally important actinomycetes. Keywords: anthracnose, Colletotrichum gloeosporiodes, antifungal activity, Streptomyces sp., sealed plate 150


PPB-18

การศึกษาผลของสารป้ องกันกําจัดเชือ8 ราบางชนิดต่ อการเจริญของเชือ8 รา สาเหตุโรค ใบจุดของพริกไทย ทิวา บุบผาประเสริฐd ธารทิพย ภาสบุตรg พจนา ตระกูลสุขรั ตน์ g และ ลัดดาวัลย์ อินทรสังข์ d สถาบันวิจยั พืชสวน กรมวิชาการเกษตร เขตจตุจกั ร กรุ งเทพฯ 10900 สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร เขตจตุจกั ร กรุ งเทพฯ 10900 d

g

บทคัดย่ อ อาการโรคใบจุดในพริ กไทย ทําให้ ใบพริ กไทยเกิดแผลจุดขนาดใหญ่ ใบร่วง และตาย โดยเฉพาะในสภาพอากาศทีIมีอณ ุ หภูมิสงู ขึ &นและปริ มาณนํ &าฝนมาก จึงได้ ทําการเก็บรวบรวม ตัวอย่างพริ กไทยพันธุ์ซาราวัคและซีลอนเป็ นโรคใบจุดจากแหล่งปลูกในจ.จันทบุรี ระยอง พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ระหว่างปี พ.ศ. dee—–def– นํามาแยกหาเชื &อสาเหตุโรค และศึกษาผล ของสารป้องกันกําจัดเชื &อราบางชนิดต่อการเจริ ญของเชื &อในห้ องปฏิบตั กิ ารและการควบคุมโรคใน สภาพโรงเรื อน เพืIอหาชนิดสารและอัตราทีIเหมาะสมสําหรับนําไปใช้ เป็ นคําแนะนําในการควบคุม การระบาดของโรคในพื &นทีIปลูกอย่างมีประสิทธิภาพ ผลการศึกษาจําแนกเชื &อสาเหตุโรคได้ เป็ นเชื &อ รา Colletotrichum gloeosporioides คัดเลือกเชื &อราจํานวน d ไอโซเลทแยกจาก อ.นายายอาม และ อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี มาทดสอบด้ วยวิธี Poisoned food technique โดยเลี &ยงบนอาหาร เลี &ยงเชื &อพีดีเอผสมด้ วยสารป้องกันกําจัดโรคพืชทีIความเข้ มข้ นแตกต่างกัน วางแผนการทดลอง แบบ CRD 5 ซํ &า มีกรรมวิธีคือสารป้องกันกําจัดโรคพืช e ชนิด ทีIความเข้ มข้ น f ระดับคือ 500, 1,000, 1,500, 2,000, 2,500 และ 3,000 ppm เปรี ยบเทียบกับกรรมวิธีควบคุมไม่ผสมสาร พบว่า prochloraz 45% W/V EC ทุกความเข้ มข้ นสามารถการยับยังการเจริ & ญของเชื &อรา C. gloeosporioides ได้ ดีทีIสดุ เช่นเดียวกับการใช้ prochloraz 45% W/V EC อัตรา 20 มล./นํ &า d– ลิตรสามารถควบคุมการเกิดโรคใบจุดได้ ในสภาพโรงเรื อน คําสําคัญ : โรคใบจุดของพริ กไทย โรคแอนแทรคโนสของพริ กไทย สารป้องกันกําจัดเชื &อรา

151


PPB-18

Study on Some Fungicides to Growth of Causing Fungus of Pepper Anthracnose Disease Thiva Bubpaprasert1 Tharntip Bhasabutra2 Photchana Trakunsukharat2 and Laddawan Insung1 Horticulture Research Institute, Department of Agriculture, Bangkok 10900 Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900 1

2

ABSTRACT Anthracnose symptoms of pepper appear many severe disease spots on leaves. Many plants loss their leaves and die, mainly spread in climatic conditions with higher temperatures and greater rainfall. Therefore to studying the cause agent, infected leaves sample of Sarawak and Ceylon pepper varieties from Chantaburi, Rayong, Phitsanulok and Phetchabun provinces were collected during year 2016-2017 and diagnosis. Some fungicides were tested both in laboratory and nursery for used as effective control chemicals recommendation in the growing area. Anthracnose causing fungus was identified as Colletotrichum gloeosporioides. By Poisoned food technique, 2 isolates of fungi from Na Yai Am and Kitchakut district in Chantaburi were selected for fungicide efficacy testing in laboratory. They were cultured on PDA mixing with different concentration levels of fungicides. The experimental design of the CRD with 5 replications, 5 fungicides and 6 levels of concentration (500, 1,000, 1,500, 2,000, 2,500 and 3,000 ppm) were tested. Cultured fungus on PDA without fungicide was used as compare (or control) treatment. The result showed that all concentration levels of prochloraz 45% W/V EC could inhibit C. gloeosporioides growth in laboratory condition. Same as in the nursery condition, prochloraz 45% W/V EC 20 ml/20 L of water was the best effective fungicide in controlling disease in test plants. Keywords: anthracnose of pepper, Colletotrichum gloeosporioides, fungicide

152


PPA-01

ประสิทธิภาพสารป้ องกันกําจัดเชือ8 ราในการควบคุมโรคราสนิม สาเหตุจากเชือ8 Puccinia allii Rud. ในกุยช่ าย นพพล สัทยาสัย วรางคนา โชติเศรษฐี และ หทัยภัทร เจษฎารมย์ สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ djkjj

บทคัดย่ อ โรคราสนิมของกุยช่าย สาเหตุจากเชื &อ Puccinia allii Rud. เป็ นโรคทีIสาํ คัญทีIทําให้ คณ ุ ภาพ และผลผลิตของกุยช่ายลดลง งานวิจยั นี &มีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษาชนิดและอัตราของสารป้องกันกําจัด เชื &อราทีIมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคราสนิมของกุยช่าย ดําเนินการทดสอบแปลงของเกษตรกร อ. ด่านมะขามเตี &ย จ.กาญจนบุรี ในเดือน กุมภาพันธ์ - มีนาคม และ พฤศจิกายน - ธันวาคม พ.ศ. defg วางแผนการทดลองแบบ RCB 4 ซํ &า g– กรรมวิธี ได้ แก่ กรรมวิธีพน่ สาร chlorothalonil 50% SC อัตรา ”– มิลลิลติ ร, sulfur 80% WP อัตรา 30 กรัม, mancozeb 80% WP อัตรา 40 กรัม, difenoconazole 25% EC อัตรา 15 มิลลิลติ ร, pyraclostrobin 25% EC อัตรา 15 มิลลิลติ ร, azoxystrobin 25% W/V EC อัตรา 10 มิลลิลติ ร, difenoconazole 15% EC + Propiconazole 15% EC อัตรา 20 มิลลิลติ ร, Triadimefon 20% EC อัตรา 10 มิลลิลติ ร และ propiclonazole 25% EC อัตรา 20 มิลลิลติ ร ต่อนํ &า d– ลิตร เปรี ยบเทียบกับกรรมวิธีพน่ นํ &าเปล่า พบว่า สาร azoxystrobin 25% W/V EC มีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคดีทีIสดุ โดยมีความรุนแรงของโรคน้ อยทีIสดุ ไม่ถงึ g– เปอร์ เซ็นต์ เมืIอฉีดพ่นทุก e วันหลังพบโรค จํานวน ” ครัง& (ก.พ.-มี.ค. ) และ l ครัง& (พ.ย.-ธ.ค.) มีต้นทุน ge¢ – g—•.e บาท/ไร่/การพ่น g ครัง& รองลงมาคือสาร propiclonazole 25% EC, difenoconazole 15% EC + Propiconazole 15% EC และ pyraclostrobin 25% EC ตามลําดับ มีต้นทุน g”l.l gf¢, ¢f.l - g– และ g•l - dg•.e บาท/ไร่/การพ่นg ครัง& ตามลําดับ ดังนัน& เมืIอพบการระบาดของ โรคควรฉีดพ่นสารป้องกันกําจัดโรคพืชทีIมีประสิทธิภาพ ทุกๆ e วัน จํานวน l ครัง& และควรฉีกพ่นทุก g– - d– วัน เพืIอเป็ นการป้องกันการเกิดโรค คําสําคัญ : ประสิทธิภาพ สารป้องกันกําจัดโรคพืช โรคราสนิมกุยช่าย กุยช่าย

153


PPA-01

Efficacy of Fungicides for Control Garlic Chives Rust Disease Caused of Puccinia allii Rud. Noppon Sathayasai Warangkana Chotsetthee and Hataipat Jessadarom Plant Protection Research and Development Office Department of Agriculture

Abstract Garlic chives rust disease caused by Puccinia allii Rud. is the major problem of garlic chives which reduces both its quality and yield. The purpose of this research was to study the efficacy of fungicides and their application rates for controlling rust disease on garlic chives. This experiment was conducted on farmer's orchard at Danmakhamtia district, Kanchanaburi province, during February - March and November - December 2018. The experiment was designed in RCB with 10 treatments and 4 replications. The treatments were the applications chlorothalonil 50% SC at the rate 30 ml, sulfur 80% WP at the rate 30 g, mancozeb 80% WP at the rate 40 g, difenoconazole 25% EC at the rate 15 ml, pyraclostrobin 25% EC at the rate 15 ml, azoxystrobin 25% W/V EC at the rate 10 ml, difenoconazole 15%EC + Propiconazole 15% EC at the rate 20 ml, Triadimefon 20% EC at the rate 10 ml and , propiclonazole 25% EC at the rate 15 ml/ 20 L of water, while the control treatment was spray water. The results indicated that the application of azoxystrobin 25% W/V EC was the most effective for controlling rust disease which the least percentage disease severity, less than 10 percent after spray the 3rd (February - March) and 4th (November - December) times when spray every 5 day while discover disease with cost of 158 – 197.5 baht/rai/application. The application of propiclonazole 25% EC, difenoconazole 15% EC + Propiconazole 15% EC, pyraclostrobin 25% EC were moderately effective for controlling rust disease which the percentage disease severity with cost of 134.4 - 168, 86.4 - 10 and 174 - 217.5 baht /rai/application respectively. When found outbreak rust disease on garlic chives should spray effective fungicide every 5 day for 4 times and spray every 10 - 20 days to prevent disease. Keywords: efficacy, fungicide, garlic chives rust disease, garlic chives

154


PPA-02

ทดสอบประสิทธิภาพสารป้ องกันกําจัดโรคพืชบางชนิดต่ อการแพร่ ระบาดของ โรคราสนิมขาวในแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีน พจนา ตระกูลสุขรั ตน์ d ทนงศักดิž สุวรรณวงศ์ g และ อรณิชชา สุวรรณโฉมg สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร เขตจตุจกั ร กรุ งเทพฯ 10900 ศูนย์ วจิ ยั และพัฒนาการเกษตรสุโขทัย กรมวิชาการเกษตร อ.ศรี สาํ โรง จ.สุโขทัย 64120 d

2

บทคัดย่ อ Albugo ipomoea-panduratae เป็ นเชื &อราสาเหตุโรคราสนิมขาวของพืชวงศ์ผกั บุ้งหลาย ชนิด ในแปลงปลูกผักบุ้งจีนเพืIอผลิตเมล็ดพันธุ์มกั ประสบปั ญหาการระบาดของโรคนี &อยูเ่ สมอ วิธี ป้องกันกําจัดทีIเกษตรกรนิยมกันคือใช้ สารเคมีปอ้ งกันกําจัดโรค แต่คําแนะนําการใช้ สารทีIมี ประสิทธิภาพทีIเป็ นปั จจุบนั ยังขาดข้ อมูลทีIได้ จากงานทดลองจริ ง ดังนันจึ & งได้ ทําการศึกษาหาชนิด ของสารทีIมีประสิทธิภาพในการป้องกันกําจัดโรคสําหรับใช้ เป็ นคําแนะนําการใช้ สารทีIถกู ต้ อง โดย ทําการทดลองจํานวน d แปลง คือทีI ตําบลบ้ านนา และ ตําบลคลองตาล อําเภอศรี สาํ โรง จังหวัด สุโขทัย ระหว่างเดือนมิถนุ ายน – กันยายน def– และเดือนตุลาคม defg–กุมภาพันธ์ defd วาง แผนการทดลองแบบ RCB จํานวน l ซํ &ามี — กรรมวิธี คือกรรมวิธีพน่ สารทดลอง จํานวน ¢ ชนิด และกรรมวิธีพน่ นํ &าเปล่าเป็ นกรรมวิธีควบคุม โดยทุกกรรมวิธีทีIพน่ สารทดลองปลูกโดยใช้ เมล็ดพันธุ์ คลุกด้ วย metalaxyl 35% ES ”.e มิลลิลติ ร/เมล็ด g กิโลกรัม ยกเว้ นกรรมวิธีควบคุม พ่นทุก • วัน จํานวน l ครัง& เมืIอเริI มพบการระบาดของโรค ผลการทดลองทัง& d แปลงให้ ผลสอดคล้ องกันคือ ทุก กรรมวิธีพน่ สารทดลองมีประสิทธิภาพในการป้องกันกําจัดโรคราสนิมขาวดีกว่ากรรมวิธีควบคุมพ่น นํ &าเปล่า และสารป้องกันกําจัดโรคพืชทีIมีประสิทธิภาพดีทีIสดุ ในการทดลองครัง& นี &คือ cyazofamid 40% W/V SC อัตรา 6 มิลลิลติ ร/นํ &า d– ลิตร รองลงมาคือ metalaxyl–M + mancozeb 4%+64% WP อัตรา 30 กรัม/นํ &า 20 ลิตร ส่วนสารทีIมีต้นทุนการใช้ น้อยทีIสดุ คือ hexaconazole 5% W/V SC อัตรา d– มิลลิลติ ร/นํ &า d– ลิตร ในการทดลองครัง& นี &ไม่พบความเป็ นพิษของสารทดลองต่อพืช คําสําคัญ : การควบคุมโรคด้ วยสารเคมี ราสนิมขาวผักบุ้งจีน สารป้องกันกําจัดเชื &อรา

155


PPA-02

Efficiency Test of Some Fungicides to Control White Rust of Chinese Water Morning Glory in Seed Production Field Photchana Trakunsukharat1 Thanongsak Suwannawong2 and Onnitcha Suwanchom2 1

Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900 2 Sukhothai Research and Development Center, Department of Agriculture, Sukhothai 64120

ABSTRACT Albugo ipomoea-panduratae is the causing agent of white rust disease of many plants in Convolvulaceae family. This disease usually dispread in many Chinese water morning glory seed production areas. To control this disease, most Thai farmers use fungicides. But the current-used fungicide information did not come from the experiment. In the study and selection of some fungicides and use as effective control chemicals recommendation, the efficacy field trial of those fungicides were done in Tambon Klongtan and Tambon Banna, Srisamrong, Sukhothai province during June– September 2017 and October 2018–February 2019. With RCB design of 4 replication and 9 treatments (8 fungicides and water spraying as control), seedlings were planted with seed dressing by metalaxyl 35% ES 3.5 ml/ 1 kg of seed (except for control treatment) and spraying every 7 days for 4 times when the beginning of disease dispread. The experiment in 2 locations appeared the same result. All of fungicide application had controlled disease better than water spraying. The best effective fungicide for controlling were cyazofamid 40% W/V SC (6 ml/ 20 L of water) and metalaxyl–M + mancozeb 4%+64% WP (30 g/20 L of water), respectively. Hexaconazole 5% W/V SC (20 ml/20 L of water) had the least application cost compared to those test fungicides. All plant in this experiment could not be found phototoxic symptom. Keywords: chemical control, white rust of Chinese water spinach, fungicide

156


PPA-03

ทดลองประสิทธิภาพสารป้ องกันกําจัดโรคราสนิมของถัZวเหลือง สาเหตุจากเชือ8 รา Phakopsora pachyrhizi ชนินทร ดวงสอาด1 สุทธิณี ลิขติ ตระกูลรุ่ ง2 มะโนรั ตน์ สุดสงวน1 พิมพ์ นภา ขุนพิลกึ 3 พรพิมล อธิปัญญาคม4 สุณีรัตน์ สีมะเดืZอ1 และ อมรรั ชฏ์ คิดใจเดียว1 กลุ่มวิจยั โรคพืช สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กลุ่มพัฒนาการตรวจสอบพืชและปั จจัยการผลิต สํานักวิจยั และพัฒนาการเกษตร เขตทีZ d 3 ศูนย์ วจิ ยั พืชไร่ เชียงใหม่ สถาบันวิจยั พืชไร่ และพืชทดแทนพลังงาน 4 สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช 1

2

บทคัดย่ อ โรคราสนิม เป็ นปั ญหาสําคัญทีIสง่ ผลกระทบต่อของการปลูกถัวI เหลือง โรคนี &มักระบาดในฤดู ฝนในเขตพื &นทีIปลูกบริ เวณภาคเหนือตอนบน ทําให้ เกิดความเสียหายต่อปริ มาณและคุณภาพของ ผลผลิต เมล็ดถัวI เหลืองทีIได้ มีคณ ุ ภาพตํIา เพืIอได้ สารป้องกันกําจัดโรคพืชทีIมีประสิทธิภาพ และ อัตราการใช้ ทีIเหมาะสม ในการป้องกันกําจัดโรคราสนิมถัวI เหลือง จึงทําการทดลองประสิทธิ ภาพ สารป้องกันกําจัดโรคราสนิมของถัIวเหลืองทีIมีสาเหตุจากเชื อ& รา Phakopsora pachyrhizi วาง แผนการทดลองแบบ RCB l ซํ &า • กรรมวิธี โดยทําการทดลอง d ครัง& ณ แปลงทดลอง ศูนย์วิจยั พืชไร่เชียงใหม่ ต.หนองหาร อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ โดยทําการทดลองครัง& ทีI g ระหว่างเดือน มีนาคม ถึง กันยายน 2560 และครัง& ทีI d ระหว่างเดือน ธันวาคม 2560 ถึง เมษายน 2561 จากผล การทดลองทังสองครั & ง& ให้ ผลทีIสอดคล้ องกันคือ tebuconazole 25% W/V EW อัตรา 10 มิลลิลติ ร/ นํ &า 20 ลิตร และ cyperconazole 10% W/V SL อัตรา 80 มิลลิลติ ร/นํ &า 20 ลิตร มีประสิทธิภาพใน การป้องกันกําจัดโรคราสนิมของถัวI เหลืองได้ ดี พบระดับความรุนแรงของโรคน้ อยกว่ากรรมวิธีพน่ สารทดสอบชนิดอืIน รวมถึงกรรมวิธีควบคุมอย่างมีนยั สําคัญทางสถิติ สามารถใช้ เป็ นสารแนะนํา ในการป้องกันกําจัดโรคราสนิมของถัวI เหลืองทีIมีสาเหตุจาก เชื &อรา P. pachyrhizi โดยมีต้นทุนการ พ่นสาร 34.00 และ 9.20 บาท/d– ลิตร หรื อ d–l และ ee บาท/ไร่ ตามลําดับ จากการทดลองไม่ พบผลกระทบของสารป้องกันกําจัดต่อพืชทดสอบ คําสําคัญ : ราสนิมถัวI เหลือง Phakopsora pachyrhizi ถัวI เหลือง โรคราสนิม

157


PPA-03

Efficacy of Some Fungicides for Control Phakopsora pachyrhizi the causal Agent of Soybean Rust Chanintorn Doungsa-ard1 Suttinee Likhittragulrung2 Manorat Sudsanguan1 Pimnapa Khunpilueg3 Pornpimon Athipunyakom4 Suneerat Srimadua1 and Amonrat Kitjaideaw1 Plant Pathology Research Group, Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture 2 Office of Agricultural Research and Development Region 1, Department of Agriculture 3 Chiangmai Field Crops Research Center, Field and Renewable Energy Crops Research Institute, Department of Agriculture 4 Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture 1

ABSTRACT Soybean rust disease, caused by Phakopsora pachyrhizi, is one of the most severe diseases of soybean, especially in the main production area in the northern part of Thailand. The quantity and quantity of soybean had a significantly damage by this disease. To control the outbreak of this disease, this study was conducted to determine the efficacy of fungicides to control soybean rust disease caused by Phakopsora pachyrhizi. The RCB had been designed for the experimental plan with seven treatments and each of the treatments consisted of four replications. The two experiments were conducted on soybean plantation located in Chiangmai Field Crop Research Center Nong Han sub-district, San Sai district, Chiangmai province, but in different seasons. The first experiment was done from March 2016 to September 2017 and the second one was done from December 2017 to April 2018. Both experiments showed the congruent results that tebuconazole 25% W/V EW with rate of use at 10 ml/20 liter of water and cyperconazole 10% W/V SL with rate of use at 80 ml/20 liter of water. Tebuconazole and cyperconazole presented the better results in controlling the soybean rust fungi by having the lower rate of disease severity with a significantly of differentiation among treatments. The cost of use those two fungicides were 34.20 and 9.20 THB/20 liters solution of fungicide or 204 and 55 THB/Rai, respectively. The abnormal or toxic symptoms due to the fungicide had not been found based on these experiments. Keywords: fungicides, Phakopsora pachyrhizi, soybean, rust disease 158


PPA-04

ผลการใช้ ชีวภัณฑ์ ชนิดผงของเชือ8 รา Trichoderma virens และ T. harzianum ในการป้ องกันกําจัดโรคกาบใบแห้ งและการให้ ผลผลิตข้ าว จินันทนา จอมดวง และ สุมาฬี พรหมรุ กขชาติ สถาบันวิจยั เทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้ านนา จ. ลําปาง -gjjj

บทคัดย่ อ การเกิดโรคทําให้ ผลผลิตข้ าวเสียหาย เชื &อราสกุล Trichoderma ได้ รับความสนใจและมี รายงานว่าสามารถป้องกันกําจัดโรคของข้ าวได้ การวิจยั ครัง& นี &เพืIอทดสอบชีวภัณฑ์ขนิดผงของเชื &อ รา Trichoderma virens และ T. harzianum ในการป้องกันกําจัดโรคกาบใบแห้ งของข้ าวทีIเกิด จากเชื &อรา Rhizoctonia solani รวมถึงการให้ ผลผลิตของข้ าว ดําเนินการทดสอบในกระถาง ทดลองโดยใช้ ข้าวพันธุ์ กข. • ผลการทดสอบ พบว่า การใช้ ชีวภัณฑ์คลุกเมล็ดพันธุ์ข้าวอัตราร้ อย ละ g ของนํ &าหนักเมล็ด เปรี ยบเทียบกับการคลุกด้ วยสารเคมีกําจัดรา mancozeb ตามอัตรา แนะนําและกรรมวิธีควบคุมซึงI ไม่คลุกใด ๆ ให้ เปอร์ เซ็นต์การงอกของเมล็ดพันธุ์ข้าวไม่แตกต่างทาง สถิติ แต่ให้ จํานวนต้ นข้ าวต่อกอมากกว่าและแตกต่างทางสถิติ การพ่นต้ นข้ าวด้ วยชีวภัณฑ์อตั รา e– และ ¢– กรัมต่อนํ &า d– ลิตรหรื อสารเคมี mancozeb ตามอัตราแนะนํา โดยเริI มพ่นเมืIอข้ าวอายุ ได้ ”– วัน พ่นจํานวน e ครัง& ทุก • วัน เปรี ยบเทียบกับกรรมวิธีควบคุมซึงI ไม่พน่ ใด ๆ พบว่า การพ่น ชีวภัณฑ์ให้ จํานวนรวงต่อกอมากกว่าการพ่นสารเคมีและกรรมวิธีควบคุมอย่างแตกต่างทางสถิติ ให้ นํ &าหนักเมล็ดข้ าวเปลือกต่อกระถางใกล้ เคียงกับสารเคมี แต่มากกว่ากรรมวิธีควบคุมและ แตกต่างทางสถิติ ซึงI ชีวภัณฑ์ T. virens อัตรา ¢– กรัมต่อนํ &า d– ลิตรให้ นํ &าหนักเมล็ดข้ าวเปลือก สูงสุด สําหรับการเป็ นโรคกาบใบแห้ ง พบว่า ชีวภัณฑ์และสารเคมีชว่ ยให้ เป็ นโรคน้ อยกว่ากรรมวิธี ควบคุมอย่างแตกต่างทางสถิติ การพ่นสารเคมีพบโรคทีIคะแนน g.d– ซึงI น้ อยทีIสดุ การพ่นชีวภัณฑ์ พบโรคทีIคะแนน d.–– – d.d– ส่วนกรรมวิธีควบคุมพบโรคทีIคะแนน d.—– ซึงI มากทีIสดุ คําสําคัญ : ข้ าว โรคกาบใบแห้ ง เชื &อราไรซ็อกโทเนีย เชื &อราไตรโคเดอร์ มา แมนโคเซบ

159


PPA-04

Effectiveness of Wettable-Powder-Bioproducts of Trichoderma virens and T. harzianum in Controlling of Sheath Blight and Yielding of Rice Jinantana Jomduang and Sumalee Phromrukachat Agricultural Technology Research Institute, Rajamangala University of Technology Lanna, Lampang 52000

ABSTRACT Disease outbreak can cause losses on rice yield. The antagonistic fungus, Trichoderma, was reported showing efficacy in controlling of several rice diseases. This research was aimed to evaluate effectiveness of the wettable-powder-bioproducts of T. virens and T. harzianum in controlling of sheath blight, caused by Rhizoctonia solani, and yielding of rice. Pot trial was carried out using rice variety RD 7. Results showing that seed dressing with those two bioproducts at 1% by seed weight as compared to the fungicide, mancozeb, at recommendation rate and the control (non-treated) treatment gave similar percentage of seed germination but significant higher numbers of tillers per plant. Spraying the 30-day-old rice plants, at 7-day-interval, continued spraying for 5 times, with those two bioproducts at 50 and 80 g per 20 L. of water or mancozeb at recommendation rate and compared to the control (non-spraying) treatment showed interesting results. It was found that spraying with bioproducts provided significant higher numbers of panicles per plant than spraying with mancozeb or the non-spraying treatment. Grain yield (weight per pot) also was significant higher than the non-spraying treatment but similar to mancozeb spraying. Highest grain yield derived from spraying with T. virens wettable powder at 80 g per 20 L. of water. In addition, spraying with bioproducts and mancozeb significantly decreased sheath blight occurrence as compared to the non-spraying treatment. Spraying with mancozeb showed least disease occurrence, scoring at 1.20. Spraying with bioproducts showed disease occurrence at scoring 2.00-2.20. While, the non-spraying treatment showed highest disease occurrence, scoring at 2.90. Keywords: rice, sheath blight, Rhizoctonia, Trichoderma, mancozeb

160


PPA-05

การศึกษาวัสดุทZ เี หมาะสมเพืZอการพัฒนาชีวภัณฑ์ จากเชือ8 ราเอนโดไฟท์ Trichoderma Phayaoensis สหัทยา สุขใหญ่ และ วิพรพรรณ เนืZองเม็ก* คณะเกษตรศาสตร์ และทรั พยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา จังหวัดพะเยา -µjjj *Corresponding author: wipornpannuangmek@gmail.com

บทคัดย่ อ Trichoderma Phayaoensis ทีIแยกได้ จากต้ นสาบเสือ มีศกั ยภาพในการควบคุมโรคพืช และส่งเสริ มการเจริ ญเติบโตของพืช งานวิจยั นี &มีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษาวัสดุทีIเหมาะสมต่อการ พัฒนาชีวภัณฑ์จากเชื &อราเอนโดไฟท์ T. Phayaoensis โดยทดสอบวัสดุ 9 ชนิด ได้ แก่ เวอร์ มิคไู ลท์ ขี &เลือI ย กากกาแฟ กะลากาแฟ ผักตบชวา แกลบข้ าวเหนียว รํ าข้ าวเหนียว แกลบข้ าวจ้ าว และรํ า ข้ าวจ้ าว นําวัสดุเพาะผสมกับแป้งข้ าวเหนียว ในอัตราส่วน 4: 1 และทําเป็ นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบ เม็ด จากนันทดสอบคุ & ณสมบัตขิ องผลิตภัณฑ์แต่ละวัสดุเพาะเชื &อ โดยวัดค่าการละลายนํ &า ค่า pH ค่าการนําไฟฟ้า ค่าความแข็ง ค่าความหนาแน่นของผลิตภัณฑ์แต่ละวัสดุ พบว่าเวอร์ มิคไู ลท์ และ แกลบข้ าวจ้ าว มีคณ ุ สมบัตทิ ีIเหมาะสม โดยมีคา่ การละลายนํ &า 12 วินาที และ 11.15 วินาที ตามลําดับ ค่า pH เท่ากับ 8.21 และ 5.56 ค่าการนําไฟฟ้า เท่ากับ 0.50 dS/m และ 0.92 dS/m ค่าความแข็ง ด้ านยาว 12.46 นิวตัน ด้ านข้ าง 12.89 นิวตัน และแกลบข้ าวจ้ าว ด้ านยาว 20.26 นิวตัน ด้ านข้ าง 11.26 นิวตัน ค่าความหนาแน่นของผลิตภัณฑ์จากเวอร์ มิคไู ลท์ 0.78 กรัม/ลบ.ซม. และแกลบข้ าวจ้ าวมีความหนาแน่น เท่ากับ 0.76 กรัม/ลบ.ซม. คําสําคัญ : ชีวภัณฑ์ วัสดุทางการเกษตร Trichoderma Phayaoensis

161


PPA-05

Study of Suitable Materials for Bioformulation Development of Endophytic Fungus Trichoderma Phayaoensis Sahattaya Sukyai and Wipornpan Nuangmek* School of Agriculture and Natural Resources, University of Phayao, Phayao, 56000 *Corresponding author: wipornpannuangmek@gmail.com

ABSTRACT Trichoderma Phayaoensis is an endophytic fungus isolated from stems of Chromolaena odorata in Phayao Province, Thailand and has potential for control plant disease and enhance plant growth. The objective of this study was to studied the suitable materials for bioformulation development of endophytic fungus T. Phayaoensis. Nine materials were test comprising with vermiculite, sawdust, coffee grounds, parchment coffee, water hyacinth sticky rice, husk sticky, rice bran, rice husk and rice bran. Each material was mixed with glutinous rice flour in ratio 4: 1 and formulation in tablet, and then water soluble, pH, Electrical conductivity (dS/m), Horizontal crushing (N), Vertical crushing (N), Density (g/cm3) were record. The results showed that vermiculite and rice husk were suitable materials, by show water soluble 12 second, pH 8.21, Electrical conductivity 0.50 dS/m, Horizontal crushing 12.46 N, Vertical crushing 12.89 N Density 0.78 g/cm3, while, rice husk have water soluble 11.15 second, pH 5.56, Electrical conductivity 0.92 dS/m, Horizontal crushing 20.26 N, Vertical crushing 11.26 N Density 0.76 g/cm3 Keywords: formulation, Agricultural materials, Trichoderma Phayaoensis

162


PPA-06

การแสดงอาการของโรคใบด่ างมันสําปะหลังในมันสําปะหลังพันธุ์ต้านทานและ พันธุ์การค้ าด้ วยวิธีเสียบยอด นวลนภา เหมเนียม1 กิZงกาญจน์ เสาร์ คาํ 2 สุกัญญา ฤกษ์ วรรณ1 ศิริกาญจน์ หรรษาวัฒ นกุล3 จุฑาทิพย์ ถวิลอําพันธ์ 1 และ วันวิสา ศิริวรรณ์ 1 ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ 10900 ศูนย์ เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นครปฐม 73140 3 ภาควิชาพืชไร่ นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ 10900 1

2

บทคัดย่ อ โรคใบด่างมันสําปะหลังเป็ นโรคอุบตั ใิ หม่ของประเทศไทย ซึงI เกิดจากเชื &อไวรัส Srilankan cassava mosaic virus ทําให้ ใบพืชด่างเหลืองเสียรูปทรง ผลผลิตลดลง 80-100% ปั จจุบนั ข้ อมูล การพัฒนาอาการของโรค ชีววิทยาของเชื &อไวรัสค่อนข้ างจํากัด วัตถุประสงค์ของงานวิจยั นี &เพืIอ ศึกษาการพัฒนาอาการของโรคใบด่าง ฯ ในพันธุ์ต้านทานและพันธุ์การค้ าด้ วยวิธีการเสียบยอดบน ต้ นตอต้ นมันสําปะหลังทีIเป็ นโรค โดยทําการเปรี ยบเทียบทังหมด & 7 สายพันธุ์ ประกอบด้ วยพันธุ์ ต้ านทาน TME3 และพันธุ์การค้ า 6 สายพันธุ์ คือ CMR-89, เกษตรศาสตร์ 50, ระยอง 11, ห้ วยบง 60, ห้ วยบง 80 และห้ วยบง 90 จากนันเปรี & ยบเทียบระดับความรุนแรงของโรคอ้ างอิงจาก Sseruwagi และคณะ (2004) โดยตรวจดูอาการทีI 2, 3, 4, 5 และ 6 สัปดาห์หลังจากการเสียบ ยอด และนํามาตรวจสอบด้ วยเทคนิค Polymerase chain reaction โดยใช้ ไพรเมอร์ ทีIจําเพาะต่อ ยีน AC1 ผลการศึกษาพบว่า หลังจากเสียบยอด 6 สัปดาห์ พันธุ์ระยอง 11 แสดงอาการของโรคอยู่ ในระดับ 4 (susceptible) รองลงมาคือ พันธุ์ CMR-89, เกษตรศาสตร์ 50, ห้ วยบง 60, ห้ วยบง 80 และห้ วยบง 90 มีความรุนแรงระดับ 3 (tolerant) และพันธุ์ TME 3 แสดงอาการของโรคอยูใ่ นระดับ 2 (moderately resistance) นอกจากนี &พบว่าพันธุ์ระยอง 11 เริI มแสดงอาการเมืIอสัปดาห์ทีI 2 มี ความรุนแรงระดับ 2 และสัปดาห์ทีI 3, 4, 5 และ 6 มีความรุนแรงระดับ 4 ซึงI แตกต่างจากพันธุ์ TME3 ทีIเริI มมีการแสดงอาการในสัปดาห์ทีI 3 และตังแต่ & สปั ดาห์ทีI 3, 4, 5 และ 6 มีความรุนแรง ระดับ 2 เมืIอนําตัวอย่างใบของแต่ละพันธุ์มาตรวจสอบด้ วยเทคนิค PCR พบว่าทุกตัวอย่างมีขนาด แถบดีเอ็นเอตรงกับ Positive คําสําคัญ : ไวรัสใบด่างมันสําปะหลัง ความรุนแรงของโรค พันธุ์ต้านทานและพันธุ์การค้ า

163


PPA-06

Severity of Cassava Mosaic Disease in Resistance and Commercial Varieties by Grafting Nuannapa Hemniam1 Kingkan Saokham2 Sukanya Roekwan1 Sirikan Hunsawattanakul3 Jutathip Thawinampan1 and Wanwisa Siriwan1 1

Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900 2 Center of Agricultural Biotechnology, Kasetsart University, Nakhon Pathom 73140 3 Department of Agronomy, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkok 10900

ABSTRACT Cassava mosaic disease is emerging disease in Thailand. It causes by Srilankan cassava mosaic virus. The symptoms of Cassava mosaic disease are mosaic on leaf bending deformation and reduced 80-100% yield loss. In the currently information about symptom development and viral biological have been limited. The objective of this study to understand the severity of resistance (TME3) and commercial varieties (CMR-89, KU 50, Rayong 11, Huai Bong 60, Huai Bong 80 and Huai Bong 90) by grafting using infected plants as a stock. The severity assessment method according to Sseruwagi et.al (2004). The symptom severities were recorded at 2, 3, 4, 5 and 6 week after grafting. After that the samples were detected by Polymerase chain reaction with specific primer to AC1 gene. After grafting 6 weeks, the results show, Rayong 11 was susceptible variety (level 4) and followed by CMR-89, KU 50, Huai Bong 60, Huai Bong 80 and Huai Bong 90 were tolerant (level 3). TME3 was moderately resistance (level 2). Moreover, the symptom of infected Rayong 11 appeared in the second week after grafting which the severity at level 2 while, the resistance variety TME3, the symptoms show in third week after grafting and the severity at level 2. The leaf samples of each varieties were detected by PCR technique. The result show all symptomatic plants had DNA band similar size with positive control. Keywords: Srilankan cassava mosaic virus (SLCMV), Symptom severity, Resistance and commercial varieties

164


PPA-07

ประสิทธิภาพสารป้ องกันกําจัดโรคแอนแทรคโนสของมันสําปะหลัง อมรรั ชฏ์ คิดใจเดียว1 และ สายชล แสงแก้ ว2 สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ 10900 ศูนย์ วจิ ยั และพัฒนาการเกษตรนครราชสีมา สํานักวิจยั และพัฒนาการเกษตร เขตทีZ 4 นครราชสีมา 30340 1

2

บทคัดย่ อ โรคแอนแทรคโนสของมันสําปะหลัง เกิดจากเชื &อรา Colletotrichum gloeosporioides f.sp. manihotis เป็ นโรคทีIสาํ คัญญโรคหนึIง หากเข้ าทําลายมันสําปะหลัง อายุ ”-f เดือน จะ รุ นแรงมาก ทําให้ ต้นตายได้ จึงควรทําการศึกษาประสิทธิภาพสารป้องกันกําจัดโรคแอนแทรค โนส เพืIอเป็ นทางเลือกให้ แก่เกษตรกรในการจัดการโรคนี &ในแปลงมันสําปะหลัง วางแผนการ ทดลองแบบ Randomized complete block ” ซํ &า • กรรมวิธี ได้ แก่ สาร azoxystrobin 25% W/V SC g– มิลลิลิตร/นํ &า d– ลิตร สาร difenoconazole 25% W/V EC d– มิลลิลิตร/นํ &า d– ลิตร สาร hexaconazole 5% W/V SC d– มิลลิลิตร/นํ &า d– ลิตร สาร prochloraz 45% W/V EC d– มิลลิลิตร/นํ &า d– ลิตร สาร copper oxychloride 85% WP ¢– กรัม/นํ &า d– ลิตร สาร mancozeb 80% WP e– กรัม/นํ &า d– ลิตร เทียบกับนํ &าเปล่า พบว่า แปลงทีI g สาร difenoconazole 25% W/V EC มีดชั นีการเกิดโรคน้ อยทีIสดุ (”f.f• เปอร์ เซ็นต์) และน้ อยกว่านํ &าเปล่าอย่างมีนยั สําคัญ (l–.dd เปอร์ เซ็นต์) แปลงทีI d สาร hexaconazole 5% W/V SC สาร prochloraz 45% W/V EC และ copper oxychloride 85% WP มีดชั นีการเกิดโรคน้ อยกว่า (”f.dd ”•.”” และ ”•.”” เปอร์ เซ็นต์ ตามลําดับ) อย่างมีนยั สําคัญกับนํ &าเปล่า (ld.¢— เปอร์ เซ็นต์) โดยมีต้นทุนการพ่นสาร อยู่ระหว่าง lf.¢–-d•¢.l– บาท/ไร่ และตลอดการทดลองไม่พบอาการเกิดพิษ (Phytotoxicity) ของสารป้องกันกําจัดโรคต่อมันสําปะหลัง คําสําคัญ : มันสําปะหลัง โรคแอนแทรคโนส เชื &อรา Colletotrichum gloeosporioides f.sp. manihotis สารป้องกันกําจัดโรคพืช

165


PPA-07

Efficacy of Fungicides to Control Anthracnose of Cassava Amonrat Kitjaideaw1 and Saichon Sangkaew2 Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900 Nakhonratchasima Research and Development Center, Office of Agricultural and Development Region 4, Nakhonratchasima 30340 1

2

ABSTRACT Cassava anthracnose disease caused by Colletotrichum gloeosporioides f.sp. manihotis is an important disease. The disease that destroys cassava, aged 3-6 months, can be very severe, causing the tree to die. Therefore, the efficacy test of fungicides in order to control anthracnose of cassava should be studied for an alternative to farmers in managing this disease in plantation. In this experiment, Randomized Completely Block Design (RCB) with three replications and seven treatments. The treatments included azoxystrobin 25% W/V SC 10 ml./20 liters of water, difenoconazole 25% W/V EC 20 ml./20 liters of water, hexaconazole 5% W/V SC 20 ml./20 liters of water, prochloraz 45% W/V EC 20 ml./20 liters of water, copper oxychloride 85% WP 80 g./20 liters of water, mancozeb 80% WP 50 g./20 liters of water and non-fungicide spraying treatment (water). The first trial was found that, the disease index percentages showed significant difference in difenoconazole 25% W/V EC 20 ml./20 liters of water was 36.67 while the disease index percentage in control fungicide was 40.22. The second trial was found that, the disease index percentages showed significant difference in treatments sprayed with three fungicides: hexaconazole 5% W/V SC 20 ml./20 liters of water, prochloraz 45% W/V EC 20 ml./20 liters of water and copper oxychloride 85% WP 80 g./20 liters of water were 36.22, 37.33 and 37.33 respectively while the disease index percentage in control fungicide was 42.89. The cost of spraying is between 46.80278.40 Baht /rai. All fungicides have no phytotoxicity to cassava. Keywords: Cassava, Anthracnose Disease, Colletotrichum gloeosporioides f.sp. manihotis Fungicide

166


PPA-08

ทดสอบประสิทธิภาพสารป้ องกันกําจัดโรคพืชบางชนิดในการป้ องกันกําจัด โรคสแคปขององุ่นทีZมีสาเหตุจากเชือ8 รา Sphaceloma ampelinum ในสภาพแปลงทดลอง พจนา ตระกูลสุขรั ตน์ สุณีรัตน์ สีมะเดืZอ และ พรพิมล อธิปัญญาคม สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร เขตจตุจกั ร กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ อาการโรคสแคปสามารถเกิดได้ ทกุ ส่วนขององุน่ โดยเฉพาะส่วนทีIแตกใหม่ สาเหตุเกิดจาก เชื &อรา Sphaceloma ampelinum โรคแพร่ระบาดได้ ดีในสภาพร้ อนชื &นทีIมีฝนตกชุกขณะทีIองุน่ กําลังแทงยอดอ่อนใบอ่อน ออกดอกหรื อติดผลอ่อน วิธีปอ้ งกันกําจัดทีIนิยมกันมากคือการใช้ สารเคมี ดังนันการศึ & กษาเพืIอหาชนิดของสารทีIมีประสิทธิภาพ และอัตราทีIเหมาะสมในการป้องกัน กําจัดโรคสแคปสําหรับใช้ เป็ นคําแนะนําการใช้ สารทีIถกู ต้ อง จึงเป็ นเรืI องทีIมีความสําคัญต่อ กระบวนการผลิต โดยทําการทดลองระหว่างเดือนกันยายน–ตุลาคม defg ทีIสวนองุน่ ใน จ. สมุทรสาคร และจ.ราชบุรี วางแผนการทดลองแบบ RCB จํานวน l ซํ &า มี ¢ กรรมวิธี คือพ่นด้ วย สารป้องกันกําจัดโรคพืช • ชนิด และกรรมวิธีพน่ นํ &าเปล่าเป็ นกรรมวิธีควบคุม พ่นสารทุก • วัน จํานวน l ครัง& เมืIอเริI มพบการระบาดของโรค ผลการทดลองทัง& d แปลงเป็ นไปในทิศทางเดียวกัน คือ กรรมวิธีพน่ ด้ วย chlorothalonil 75% WP อัตรา d– กรัม/นํ &า d– ลิตร, difenoconazole 25% W/V EC อัตรา g– มิลลิลติ ร/นํ &า d– ลิตร และ pyraclostrobin 25% W/V SC อัตรา d– มิลลิลติ ร/ นํ &า d– ลิตรประสิทธิภาพในการป้องกันกําจัดโรคดีทีIสดุ ซึงI สารทีIมีต้นทุนการใช้ ทีIน้อยทีIสดุ เมืIอ เปรี ยบเทียบระหว่างสารทัง& ” ชนิด คือ chlorothalonil 75% WP อัตรา d– กรัม/นํ &า d– ลิตร ในการ ทดลองครัง& นี &ไม่พบความเป็ นพิษของสารทดลองต่อพืช คําสําคัญ : การควบคุมโรคด้ วยสารเคมี สแคปองุน่ สารป้องกันกําจัดเชื &อรา

167


PPA-08

Efficacy Test of Some Fungicides to Control Grape Scap Causing by Sphaceloma ampelinum in Field Trial Photchana Trakunsukharat Suneerat Seemadua and Pornpimon Athipunyakom Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900

ABSTRACT Scab symptoms appear on many parts of grape plants especially young parts. Fungus Sphaceloma ampelinum is the causing agent. It attacks and causes severe damage during developing period of new shoots and leave, flower forming and new fruit producing. Warm and wet climate in rainy duration is favored environmental condition to disease dispread. Most control method is chemical application. Therefore, the use of effective fungicides and appropriate rate should be studied and tested to control disease in field trial condition and use as a beneficial recommendation for control this disease. The efficacy tests were done during September–October 2019 in vineyard in Samutsakorn and Ratchaburi province with RCB design of 4 replication and 8 treatments (7 fungicides and water spraying as control) by spraying every 7 days for 4 times when the beginning of disease dispread. The experiment showed the best effective results are chlorothalonil 75% WP (20 g/20 L of water), difenoconazole 25% W/V EC (10 ml/20 L of water) and pyraclostrobin 25% W/V SC (20 ml/20 L of water). To compare application cost of 3 fungicides use, the least cost spraying was spray treatment with chlorothalonil 75% WP (20 g/20 L of water). No phototoxicity to plants could be found in this experiment. Keywords: chemical control, grape scab, fungicide

168


PPA-09

การควบคุมเชือ8 รา Pestalotiopsis sp. สาเหตุโรคใบไหม้ ของสตรอเบอรี ทZ ี ต้ านทานต่ อสารป้ องกันกําจัดเชือ8 ราคาร์ เบนดาซิมโดยใช้ เชือ8 ปฏิปักษ์ แอกติโน ไมซีส วรุ ตม์ ใจปิ น ธีรนัย โพธิ และ สรั ญยา วัลยะเสวี* ภาควิชากีฏวิทยาและโรคพืช คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ -jgjj * Corresponding author: sarunyav@gmail.com

บทคัดย่ อ สารป้องกันกําจัดเชื &อราคาร์ เบนดาซิมจัดเป็ นสารในกลุม่ methyl benzimidazole carbamates (MBCs) ทีIมีการนํามาใช้ ในการป้องกันกําจัดโรคพืชทีIหลากหลาย การลดลงของ ประสิทธิภาพของสารป้องกันกําจัดเชื &อราคาร์ เบนดาซิมในการควบคุมโรคพืชจัดเป็ นปั ญหาหนึงI ทีI สําคัญในการเกษตร การศึกษานี &จึงมีวตั ถุประสงค์เพืIอประเมินความต้ านทานของเชื &อรา Pestalotiopsis sp. สาเหตุของโรคใบไหม้ ของสตรอเบอรี ตอ่ สารป้องกันกําจัดเชื &อราคาร์ เบนดาซิม และทดสอบประสิทธิภาพของเชื &อแอกติโนไมซีสทีIแยกจากตัวอย่างดินจากอุทยานแห่งชาติสเุ ทพปุย จํานวน 6 ไอโซเลท ได้ แก่ NSP1, NSP2, NSP3, NSP4, NSP5 และ NSP6 ในยับยังการเจริ & ญ ของเชื &อรา Pestalotiopsis sp. จากการประเมินความต้ านทานต่อสารป้องกันกําจัดเชื &อรา พบว่า เชื &อรา Pestalotiopsis sp. ทุกไอโซเลทจัดอยูใ่ นกลุม่ ทีIต้านทานต่อสารป้องกันกําจัดเชื &อราคาร์ เบน ดาซิมระดับสูง (highly resistance; HR) เมืIอทดสอบประสิทธิภาพของเชื &อแอกติโนไมซีสในการ ยับยังการเจริ & ญเส้ นใยของเชื &อรา Pestalotiopsis sp. ด้ วยวิธี dual culture พบว่า เชื &อแอกติโนไมซี สมีประสิทธิภาพยับยังการเจริ & ญของเส้ นใยเชื &อราอยูใ่ นช่วง 74.35-86.66% นอกจากนี &พบว่า อาหารเหลวเลี &ยงเชื &อแอกติโนไมซีสทีIไม่กรองเชื &อออก (non filtrated culture; NF) และอาหารเหลว เลี &ยงเชื &อแอกติโนไมซีสทีIกรองเอาเชื &อออก (filtrated culture; F) มีประสิทธิภาพในการยับยังการ & งอกของสปอร์ เชื &อรา Pestalotiopsis sp. และมีผลชะลอการงอกของ germ tube โดยมี ประสิทธิภาพเด่นชัดในช่วงต้ นของการทดสอบ อย่างไรก็ตามอาหารชนิด NF มีประสิทธิภาพสูง กว่าอาหารชนิด F ในทุกช่วงเวลาของการทดสอบ คําสําคัญ : สตรอเบอรี Pestalotiopsis คาร์ เบนดาซิม เชื &อต้ านทาน แอกติโนไมซีส

169


PPA-09

Control of Carbendazim-resistant Pestalotiopsis sp. Causing of Strawberry Leaf Blight Using Antagonistic Actinomycetes Waroot Jaipin Teeranai Poti and Sarunya Valyasevi Department of Entomology and Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Chiang Mai University, Chiang Mai 50200 * Corresponding author: sarunyav@gmail.com

ABSTRACT Carbendazim, a member of methyl benzimidazole carbamate fungicides (MBCs), have been wildly used to control several plant diseases. The reduction of carbendazim efficiency to control the plant disease has been considered as a major problem in agriculture. This study aimed to determine carbendazim-resistant Pestalotiopsis sp. causing strawberry leaf blight and test the efficiency of six actinomycetes, NSP1, NSP2, NSP3, NSP4, NSP5, and NSP6, isolated from the Doi Suthep-Pui National Park to control Pestalotiopsis sp. From the determination of the carbendazim resistance, all isolates of Pestalotiopsis sp. are classified to highly resistant to carbendazim (HR). Testing the efficiency of actinomycetes to control the mycelial growth of Pestalotiopsis sp. by dual culture method found that actinomycetes have control efficiency range from 74.35-86.66%. Furthermore, the non-filtrated culture (NF) and filtrated culture (F) showed spore germinating inhibition and effected to germ tube length by delaying germ tube germination with outstanding efficiency at the beginning of the test. However, NF culture showed higher efficiency than F culture at every time of the test. Keywords: strawberry, Pestalotiopsis, carbendazim, resistance, actinomycetes

170


PPA-10

ประสิทธิภาพของสารชีวภาพในการควบคุมโรคเหีZยวจากเชือ8 แบคทีเรี ยของ มะเขือเทศ ทีZเกิดจากเชือ8 Ralstonia solanacearum นันทิชา มารั กษา และ อุดมศักดิž เลิศสุชาตวนิช ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุ งเทพฯ 10900

บทคัดย่ อ โรคเหีIยวจากแบคทีเรี ยของมะเขือเทศมีสาเหตุมาจากเชื &อ Ralstonia solanacearum ซึงI สร้ างความเสียหายอย่างรุนแรงกับมะเขือเทศในพื &นทีIเขตร้ อนและเขตกึงI ร้ อน วัตถุประสงค์การ ทดลอง เพืIอทดสอบประสิทธิภาพสารชีวภาพในการควบคุมโรคเหีIยวจากแบคทีเรี ยของมะเขือ เทศทีIเกิดจากเชื &อ R. solanacearum ในห้ องปฏิบตั กิ ารและโรงเรื อนปลูกพืชทดลอง จากผลการ ทดสอบประสิทธิภาพสารชีวภาพด้ วยวิธี Paper Disc Diffusion Method พบว่า สารชีวภาพ Phytocure 80% WP อัตรา 3 g ต่อนํ &า d– L มีประสิทธิภาพสูงสุดโดยมีรัศมีการยับยังเท่ & ากับ d.dg cm. การทดสอบประสิทธิภาพการควบคุมโรคภายใต้ โรงเรื อน พบว่าสารชีวภาพ Phytio 80% WP + Grenex 80% WP อัตรา 30 g + 30 g ต่อนํ &า d– L และ Phytocure 80% WP อัตรา 30 g ต่อนํ &า 20 L มีประสิทธิภาพในการยับยังการเกิ & ดโรคสูงทีIสดุ โดยมีเปอร์ เซ็นต์การเกิดโรคอยูท่ ีI ””.”l % เท่ากัน และพบว่า สารชีวภาพ Phytio 80% WP + Grenex 80% WP อัตรา 30 g + 30 g ต่อนํ &า 20 L มีคา่ เฉลียI ประชากรของเชื &อ R. solanacearum ตํIาทีIสดุ อยู่ 0.96x103 CFU/ดิน 1 g คําสําคัญ : มะเขือเทศ โรคเหีIยวจากแบคทีเรี ย Ralstonia solanacearum สารชีวภาพ

171


PPA-10

Efficacy of Biopesticides to Control Bacterial Wilt Disease of Tomato Caused by Ralstonia solanacearum Nanticha Maraksa and Udomsak Lertsuchatavanich Department of Plant Pathology, Faculty of Agriculture, Kasetsart University, Bangkhen, Bangkok 10900

ABSTRACT Bacterial wilt disease of tomato is caused by Ralstonia solanacearum which caused severe damaged of tomato in tropical and subtropical areas. The objective of this experiment to evalulate the efficacy of biopesticides for control bacterial wilt disease of tomato caused by R. solanacearum in laboratory and greenhouses. Efficiency of biopesticides testing by paper disc diffusion method and results showed that biopesticide Phytocure 80% WP 30 g per 20 liters of water gave the highest inhibition zone at 2.21 cm. Bacterial wilt disease control in greenhouses was determine with 1 month of tomato seedling, the results showed that biopesticide Phytio 80%WP +Grenex 80%WP 30g + 30g per 20 liters of water and Phytocure 80% WP at 30g per 20 liters of water gave the highest effective disease control which have 33.34% disease incidence. R. solanacearum population in soil have been determined weekly until 1 month after inoculation. Treatment of Phytio 80%WP + Grenex 80%WP at 30g + 30g per 20 liters of water has the lowest population than other treatments at 0.96x103 CFU and 1.20x103 CFU per 1 g of soil Keywords: Tomato, Bacterial wilt disease, Ralstonia solanacearum, biopesticides

172


PPA-11

ทดลองประสิทธิภาพสารป้ องกันกําจัดโรคใบจุดตาเสือของเผือกสาเหตุจากเชือ8 รา Phytophthora colocasiae Rac. ชนินทร ดวงสอาด1 พรพิมล อธิปัญญาคม2 สุณีรัตน์ สีมะเดืZอ1 อมรรั ชฏ์ คิดใจเดียว1 พจนา ตระกูลสุขรั ตน์ 1 มะโนรั ตน์ สุดสงวน1 สุทธิณี ลิขติ ตระกูลรุ่ ง3 กลุ่มวิจยั โรคพืช สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช 2 ผู้เชีZยวชาญ สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช 3 กลุ่มพัฒนาการตรวจสอบพืชและปั จจัยการผลิต สํานักวิจยั และพัฒนาการเกษตร เขตทีZ d 1

บทคัดย่ อ โรคใบจุดตาเสือ (Leaf blight) ของเผือกสาเหตุจากเชื &อรา Phytophthora colocasiae Rac. เป็ นโรคทีIรุนแรงทีIสดุ ของเผือกทีIพบในประเทศไทยและในต่างประเทศ โรคนี &เริI มระบาดเมืIอมี ฝนตกและอากาศชุม่ ชื &น ถ้ ามีฝนตกหนักและติดต่อกันหลายๆ วัน โรคจะระบาดอย่างรวดเร็ว เพืIอ ได้ สารป้องกันกําจัดโรคพืชทีIมีประสิทธิภาพ และอัตราการใช้ ทีIเหมาะสม ในการป้องกันกําจัดโรค ใบจุดตาเสือของเผือก จึงทําการทดลองประสิทธิภาพสารป้องกันกําจัดโรคใบจุดตาเสือของเผือก สาเหตุจากเชื &อรา P. colocasiae โดยวางแผนการทดลองแบบ RCB l ซํ &า • กรรมวิธี โดยทําการ ทดลอง d ครัง& ณ แปลงปลูกเผือกของเกษตรกรในพื &นทีI ต.หนองหาร อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ โดย ทําการทดลองครัง& ทีI g ระหว่างเดือน ธันวาคม 2559 ถึง มกราคม 2560 และครัง& ทีI d ระหว่างเดือน ธันวาคม 2560 ถึง มกราคม 2561 จากการทดลองให้ ผลทีIสอดคล้ องคือ pyraclostrobin 25% W/V EC อัตรา 20 มิลลิลติ ร/นํ &า 20 ลิตร และ ethaboxam 10.4% W/V SC อัตรา 10 มิลลิลติ ร/นํ &า d– ลิตร มีประสิทธิภาพในการป้องกันกําจัดโรคใบจุดตาเสือเผือกได้ ดี โดยมีระดับความรุนแรงของ โรคน้ อยกว ากรรมวิธีพ นสารทดสอบชนิดอืIน รวมถึงกรรมวิธีพ นนํ &าเปล าอย่างมี นัยสําคัญทางสถิติ สามารถใช เป็ นคําแนะนําในการป องกันกําจัดโรคใบจุดตาเสือเผือกทีIมี สาเหตุจากเชื &อรา P. colocasiae มีต นทุนการพ นสาร 63.d– และ g”.–– บาท/d– ลิตร หรื อ ”•— และ •¢ บาท/ไร่ ตามลําดับ จากการทดลองไม่พบผลกระทบของสารป้องกันกําจัดต่อพืช ทดสอบ คําสําคัญ : ใบจุดตาเสือ สารป้องกันกําจัดโรคพืช เผือก Phytophthora colocasiae

173


PPA-11

Efficacy of Some Fungicides for Control Taro Leaf Blight Disease Caused by Phytophthora colocasiae Rac. Chanintorn Doungsa-ard1 Pornpimon Athipunyakom2 Suneerat Srimadua1 Amonrat Kitjaideaw1 Potchana Trakulsukrat1 Manorat Sudsanguan1 and Suttinee Likhittragulrung3 Plant Pathology Research Group, Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture 2 Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture 3 Office of Agricultural Research and Development Region 1, Department of Agriculture 1

ABSTRACT Taro leaf blight, caused by Phytophthora colocasiae Rac., is one of the most severe diseases of taro in Thailand and overseas. The disease outbreak often found in rainy season or at high humidity environment. To control the outbreak of this disease, this study was conducted to determine the efficacy of fungicides to control taro leaf blight disease caused by P. colocasiae. The RCB had been designed for the experimental plan with seven treatments and each of the treatments consisted of four replications. The two experiments were conducted on taro plantation located in Nong Han sub-district, San Sai district, Chiangmai province, but in a different time. The first experiment was done from December 2016 to January 2017 and the second experiment was done from December 2017 to January 2018. Both experiments showed the congruent results that pyraclostrobin 25% W/V EC with rate of use at 20 ml/20 liter of water and ethaboxam 10.4% W/V SC with rate of use at 10 ml/20 liter of water presented the highly significant results in controlling the severity of the taro leaf blight disease caused by P. colocasiae. The cost of application pyraclostrobin 25% W/V EC and ethaboxam 10.4% W/V SC were 63.20 and 13.00 THB/20 liters solution of fungicide or 379 and 78 THB/Rai, respectively. The abnormal or toxic symptoms due to the fungicide had not been found based on these experiments. Keywords: fungicides, Phytophthora colocasiae, taro, taro leaf blight

174


PPA-12

ผลของเชือ8 ราเอนโดไฟท์ ต่อการควบคุมเชือ8 รา Fusarium equiseti สาเหตุโรคเหีZยวของเมล่ อนในระดับโรงเรื อน ภาณุเดช เทียนชัย และ วิพรพรรณ์ เนืZองเม็ก คณะเกษตรศาสตร์ และทรั พยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา พะเยา -µjjj

บทคัดย่ อ เชื &อรา Fusarium equiseti สาเหตุโรคเหีIยวของเมล่อน เข้ าทําลายพืชตระกูลแตง โดยพืช จะแสดงอาการเหีIยวและตายลงอย่างรวดเร็ว งานวิจยั นี &มีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษาผลของราเอนโด ไฟท์ Trichoderma phayaoensis และ T. harzianum (R24 I2) ต่อการเจริ ญเติบโตของเมล่อน และควบคุมการเกิดโรคเหีIยวจากเชื &อรา F. equiseti ในระดับโรงเรื อน โดยทําการปลูกเชื &อราเอน โดไฟท์ด้วยสารแขวนลอยสปอร์ ลงในดินบริ เวณโคนต้ นกล้ า หลังจากปลูกเชื &อราเอนโดไฟท์นาน 2 สัปดาห์ ทําการปลูกเชื &อราสาเหตุโรคเหีIยว วางแผนการทดลองแบบสุมสมบูรณ์ (Completely Randomized Design: CRD จํานวนทังหมด & 4 กรรมวิธี วัดผลการเจริ ญเติบโต และประเมินระดับ ความรุนแรงการเกิดโรค พบว่ากรรมวิธีทีIปลูกเชื &อด้ วย T. phayaoensis มีจํานวนใบ จํานวนข้ อ และความสูง เฉลียI มากทีIสดุ เท่ากับ df.”” ใบ, 25.33 ข้ อ และ g–¢.—— ซม. ตามลําดับ ในขณะทีI ผลผลิตหลังเก็บเกีIยว พบว่านํ &าหนักผล เส้ นผ่านศูนย์กลาง เส้ นรอบวง ของเมล่อนในกรรมวิธีทีI ปลูกเชื &อด้ วย T. phayaoensis มีคา่ เฉลียI มากทีIสดุ เท่ากับ ”e•.¢d กรัม, 8.90 ซม., และ 28.30 ซม. ตามลําดับ และพบว่ากรรมวิธีทีIปลูกด้ วยเชื &อราเอนโดไฟท์ทงั & 2 ชนิด ไม่ก่อให้ เกิดโรคในพืช แต่ กลับส่งเสริ มการเจริ ญเติบโตทังทางด้ & านลําต้ นและผลผลิต และเชื &อรา Trichoderma phayaoensis สามารถยับยังการเข้ & าทําลายของโรคเหีIยวได้ ดี คําสําคัญ : เมล่อน โรคเหีIยว เชื &อราเอนโดไฟท์ เชื &อรา Fusarium equiseti

175


PPA-12

Effect of endophytic fungi for control Fusarium equiseti causal agent wilt disease of melon in greenhouse Panudech Thienchai and wipornpan nuangmek School of Agriculture and Natural Resources, University of Phayao, Phayao, 56000

ABSTRACT Wilt disease cause by Fusarium equiseti is important diseases of melon and the infected plants will wilt and died quickly. This research aimed to study effects of two endophytic fungi (Trichoderma phayaoensis and T. harzianum (R24 I2)) for control F. equiseti in greenhouse. Spore suspension of these endophytes were inoculated on seedling of melon, and after two weeks disease pathogen were inoculated. Completely randomized design with four treatments were conducted and the growth melon and disease severity were observed. The result showed that, melon treatment inoculated with T. phayaoensis had higher number of leaves, number of internodes and plant height (26.33 leaves, 25.33 internodes and 108.99 cm.) respectively and after harvest had highest fruit weight, diameter and circumference of melon (357.82 g., 8.90 cm., and 28.30 cm, respectively). However, melon that inoculated with both endophytes had no disease symptoms. This result can conclude that T. phayaoensis can inhibit wilt disease and promote growth of melon. Keywords: Melon, Wilt, Endophytic fungi, Fusarium equiseti

176


PPA-13

ผลปุ๋ยอินทรี ย์จากผักตบชวาทีZหมักด้ วยเชือ8 ราย่ อสลายต่ อการส่ งเสริมการ เจริญเติบโต คุณภาพผลผลิตของพริก และการควบคุมโรคระดับแปลง ปฏิบตั กิ าร นัทธพงศ์ ยะแสง บุญร่ วม คิดค้ า และ วิพรพรรณ์ เนืZองเม็ก สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ การเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ และทรั พยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา พะเยา -µjjj

บทคัดย่ อ งานวิจยั นี &มีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษาผลการตอบสนองต่อปุ๋ ยอินทรี ย์จากผักตบชวาทีIหมัก ด้ วยเชื &อราย่อยสลาย ต่อการส่งเสริ มการเจริ ญเติบโต ปริ มาณคุณภาพของผลผลิตพริ กแดงสด และการควบคุมโรคระดับแปลงปฏิบตั กิ าร โดยวางแผนการทดลองแบบสุม่ บล็อคสมบูรณ์ (Randomized Complete Block Design) จํานวน 8 กรรมวิธี โดยใช้ พริ กพันธุ์ซปุ เปอร์ ฮอท 2 ทํา การทดสอบ ทําการบันทึกการเจริ ญเติบโต ปริ มาณผลผลิตและดัชนีเกิดโรค พบว่าอัตราส่วน ผักตบชวาหมัก แร่ลโี อนาไดท์ หินภูเขาไฟ มูลสุกร และมูลไก่ เท่ากับ l:g:g:d:d มีอตั ราการ เจริ ญเติบโต ได้ แก่ ความสูง ขนาดทรงพุม่ จํานวนกิIงแขนง เส้ นผ่านศูนย์กลางลําต้ นและพื &นทีIใบ มากทีIสดุ มีคา่ เฉลียI เท่ากับ 80.52 เซนติเมตร, 73.68 เซนติเมตร, 8.80 กิIง, 14.69 มิลลิเมตร และ 13.32 ตารางเซนติเมตร ตามลําดับ ซึงI มีความแตกต่างอย่างมีนยั สําคัญทางสถิติ ส่วนปริ มาณ คุณภาพของผลผลิตพริ กแดงสด ได้ แก่ จํานวนผลสดสีแดง/ต้ น นํ &าหนักผลสดสีแดง/ต้ น นํ &าหนักผล แห้ งสีแดง/ต้ น ความยาวผลสดสีแดง/ต้ น และ เส้ นผ่านศูนย์กลาผลสดสีแดง พบว่าในกรรมวิธีทีI 6 มีคา่ เฉลียI มากทีIสดุ เท่ากับ 157.52 ผล, 361.17 กรัม, 91.55 กรัม, 61.34 มิลลิเมตร และ 8.80 มิลลิเมตร ตามลําดับ ซึงI มีความแตกต่างอย่างมีนยั สําคัญทางสถิติ และไม่พบการเกิดโรคในระดับ แปลง คําสําคัญ : ปุ๋ ยอินทรี ย์ เชื &อราย่อสลาย พริ ก

177


PPA-13

Effect of water hyacinth organic fertilizer with fungal degradation to promote growth, quality of chili and disease control at the field level. Natthaphong Yasaeng Boonruam Kidka and Wipornpan Nuangmek Agricultural Science School of Agriculture and Natural Resources, University of Phayao, Phayao, 56000

ABSTRACT The objective of this research was to studied the effect of water hyacinth organic fertilizer with fungal degradation to promote growth, quality of chili and disease control in the field. Randomized complete block design with eight treatments by using Superhot 2, F1. Hot chili plants were test and the growth, yield and disease index were recorded. It was found that, treatment 6 (ratio fermented water hyacinth: leonadite: basalt pig manure: fertilizer and chicken manure, 4: 1: 1: 2: 2) had highest growth rate (height, canopy size, number of branches, trunk diameter and leaf area with the highest mean 80.52 cm., 73.68 cm., 8.80 branch., 14.69 mm. and 13.32 sq cm. respectively). While, the quality of fresh red chilli products showed high quality by number of fresh red per plant, fruit fresh weight per plant, fruit dry weight per plant, length fruit per plant and fruit diameter were 157.52 fruit per plant, 361.17 gram per plant, 91.55 gram per plant, 61.34 mg. and 8.80 mg. respectively, and no have disease symptom. Keywords: organic fertilizer, shortening fungus, chili

178


PWA-01

ผลของสาร paraquat ต่ อการเจริญเติบโต และการรอดชีวติ ในคะน้ าและ ผักบุ้งจีน ธนากร โสโท1 พิษณุ เอ้ กระโทก1,2 และ สันติไมตรี ก้ อนคําดี1,2* 1

2

สาขาวิชาพืชไร่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่ น 40002 ศูนย์ วจิ ยั อ้ อยและนํา8 ตาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่ น 40002 * Corresponding author: gsanti@kku.ac.th

บทคัดย่ อ ปั จจุบนั พืชผักอาจได้ รับสารเคมีปนเปื อ& นในนํ &าซึงI อาจส่งผลต่อการเจริ ญเติบโตของพืชได้ ดังนันงานวิ & จยั นี &จึงมีวตั ถุประสงค์เพืIอศึกษาการเจริ ญเติบโตของคะน้ า และผักบุ้งจีน เมืIอได้ รับนํ &าทีI มีการตกค้ างของสาร paraquat ในอัตราต่างๆ โดยทําการทดลองในสภาพการจําลองการปลูกพืช ไร้ ดนิ ณ หมวดพืชไร่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยวางแผนการทดลองแบบ Completely Randomized Design (CRD) จํานวน e ซํ &า แบ่งออกเป็ น d งานทดลอง งานทดลอง ทีI g คือการเปรี ยบเทียบผลของสาร paraquat ต่อการรอดชีวติ และการเจริ ญเติบโตของคะน้ า และ งานทดลองทีI d คือการเปรี ยบเทียบผลของสาร paraquat ต่อการรอดชีวติ และการเจริ ญเติบโต ของผักบุ้งจีน เมืIอได้ รับนํ &าทีIมีการปนเปื อ& นของสาร paraquat ในอัตราต่างๆ ได้ แก่ –.–, 0.001, 0.01, 0.1, 1.0 และ 10.0 ppm ผลการทดลองพบว่า สาร paraquat อัตรา –.0 ppm ถึง 10.0 ppm ส่งผลให้ คะน้ าและผักบุ้งจีนมีเปอร์ เซ็นต์การรอดชีวติ จํานวนใบ และความสูง แตกต่างกันทางสถิติ หลังได้ รับสาร paraquat 7 วัน โดยสาร paraquat อัตรา –.0 ppm ถึง 0.1 ppm ทําให้ พืชทังสอง & ชนิดมีการเจริ ญเติบโตปกติ แต่สาร paraquat อัตรา 1.0 ppm ทําให้ ความสูงของพืชทังสองชนิ & ด ชะงักการเจริ ญเติบโต ในขณะทีIสาร paraquat อัตรา 10.0 ppm ส่งผลให้ คะน้ าและผักบุ้งจีนมี เปอร์ เซ็นต์การรอดชีวติ ลดลงเท่ากับ 0.00 เปอร์ เซ็นต์ จํานวนใบลดลงเท่ากับ 0.57 และ 0.82 ใบ ต่อวัน ตามลําดับ และความสูงลดลง เท่ากับ 1.44 และ 4.94 เซนติเมตรต่อวัน ตามลําดับ แต่ อย่างไรก็ตาม ควรมีการทดสอบหาปริ มาณของสาร paraquat ทีIอาจจะปนเปื อ& นในพืชทังสองชนิ & ด ว่าในแต่ละอัตรามีปริ มาณของสาร paraquat ทีIปนเปื อ& นหรื อตกค้ างมากน้ อยเพียงใด คําสําคัญ : การปนเปื อ& น สารกําจัดวัชพืช สารตกค้ างในพืชผัก ความเป็ นพิษของสารกําจัดวัชพืช

179


PWA-01

The Effect of Paraquat on Growth and Survival in Kale and Water Convolvulus Thanakorn Soto1 Phitsanu Aekrathok1,2 and Santimaitree Gonkhamdee1,2* Department of Agronomy, Faculty of Agriculture, Khon Kaen University 40002 Northeast Thailand Cane and Sugar Research Center, Khon Kaen University 40002 * Corresponding author: gsanti@kku.ac.th 1

2

ABSTRACT At present, vegetable crops may be chemical contaminated by irrigation water which may affect plant growth. Therefore, this research aims to study the growth of kale and water convolvulus when receiving irrigation water contaminated with paraquat at various rates. The experiment was conducted under hydroponics conditions between January and May 2019 at the Agronomy Division, Faculty of Agriculture Khon Kaen University. The experimental design was a Completely Randomized Design (CRD) with 5 repetitions, which were divided into 2 experiments. The first experiment was to compare the effect of paraquat on seedling survival and growth of kale. The second experiment was to compare the effect of paraquat on seedling survival and growth of water convolvulus when receiving water contaminated with paraquat at various rates i.e. 0.0, 0.001, 0.01, 0.1, 1.0 and 10.0 ppm. The results indicated that paraquat at the rates of 0.0 ppm to 10.0 ppm, resulting in kale and water convolvulus having seedling survival percentage, number of leaf and height increment, statistically significant at 7 days after paraquat application. However, paraquat at the rates of 0.0 ppm to 0.1 ppm, made both kale and water convolvulus grew normally and did not show toxicity symptoms, but paraquat at 1.0 ppm caused both plants to be retarded in growth but still survived. While the rate of 10.0 ppm resulted in kale and water convolvulus having seedling survival percentage down to zero, leaves of kale and water convolvulus decreased by 0.57 and 0.82 leaf/day respectively, height of kale and water convolvulus decreased by 1.44 and 4.94 centimeters/day respectively. However, more studies should be made to quantity the amount of the chemicals uptaken by both kinds of plant from each treatment. Keywords: Contamination, herbicide, residues in vegetables, toxicity 180


PWA-02

การประเมินความทนทานของสารกําจัดวัชพืชประเภทหลังงอกและ การฟื 8 นตัวของอ้ อยพันธุ์ต่างๆ สันติไมตรี ก้ อนคําดี1,2* และ นิดานุช ปรปั กพ่ าย1,2 สาขาวิชาพืชไร่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่ น 40002 * Corresponding author: gsanti@kku.ac.th 2 ศูนย์ วจิ ยั อ้ อยและนํา8 ตาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่ น 40002 * Corresponding author: gsanti@kku.ac.th 1

บทคัดย่ อ เกษตรกรนิยมใช้ สารกําจัดวัชพืชประเภทหลังงอกในการกําจัดวัชพืช แต่เกษตรกรส่วน ใหญ่ใช้ สารกําจัดวัชพืชในอัตราทีIสงู กว่าอัตราทีIแนะนําในบรรจุภณ ั ฑ์ ซึงI อาจจะทําให้ อ้อยบางพันธุ์ ชะงักการเจริ ญเติบโตได้ ดังนันวั & ตถุประสงค์ของงานวิจยั นี &เพืIอทดสอบความทนทานของอ้ อยพันธุ์ ต่างๆ ต่อสารกําจัดวัชพืชประเภทหลังงอก โดยดําเนินการทดลองในอ้ อยปลูก ณ หมวดพืชไร่ คณะ เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ระหว่างเดือนมีนาคม 2559 ถึงเดือนมีนาคม 2560 แบ่งเป็ น 2 งานทดลอง การทดลองทีI 1 ศึกษาสาร ametryn และการทดลองทีI 2 ศึกษาสาร paraquat ทังสองการทดลอง & วางแผนการทดลองแบบ Split plot in Randomized complete block design (RCBD) จํานวน 4 ซํ &า โดย Main plot คือ พันธุ์อ้อย จํานวน 3 พันธุ์ ได้ แก่ ขอนแก่น 3, LK92-11 และ K93-219 วิธีการกําจัดวัชพืช 3 กรรมวิธี เป็ น Sub plot ได้ แก่ 1) การกําจัดวัชพืช ด้ วยมือ 2) สารกําจัดวัชพืชตามอัตราแนะนํา และ 3) สารกําจัดวัชพืช 2 เท่าของอัตราแนะนํา ผล การทดลองพบว่า อ้ อยพันธุ์ขอนแก่น” มีความทนทานต่อสาร ametryn และ paraquat มากทีIสดุ เนืIองจากสามารถฟื น& ตัวได้ เร็วกว่าอ้ อยพันธุ์อืIนๆ การใช้ สาร ametryn ทําให้ อ้อยฟื น& ตัวได้ เร็วกว่า การใช้ สาร paraquat และการใช้ สารอัตราสูงกว่าอัตราแนะนําทําให้ อ้อยมีความเป็ นพิษมากกว่า การใช้ สารอัตราแนะนํา g.d¢ เท่า คําสําคัญ : การเกิดพิษ วิธีการควบคุมวัชพืช ametryn paraquat

181


PWA-02

Evaluated of Post-Emergence of Herbicide Tolerance and Toxicity of Different Sugarcane Varieties. Santimaitree Gonkhamdee1,2* and Nidanuch Porapagpai1,2 Department of Agronomy, Faculty of Agriculture, KhonKaen University 40002 * Corresponding author: gsanti@kku.ac.th 2 Northeast Thailand Cane and Sugar Research Center, KhonKaen University 40002 * Corresponding author: gsanti@kku.ac.th 1

ABSTRACT Post-emergence herbicides are widely used in weed control by sugarcane farmers. However, farmers usually spray herbicides at the concentrations higher than the recommended rate which may be toxic to some sugarcane varieties and affect their growth and yield. There fore the purpose of this study was to evaluate the tolerance of three sugarcane varieties namely KK3, LK92-11 and K93-219 to 2 post-emergence herbicides, ametryn and paraquat. The experiment was conducted at Faculty of Agriculture Khon Kaen University, Khon Kaen province, from March 2016 to March 2017, which were separated into 2 experiments. The first experiment was the study of ametryn, the second experiment was the study of paraquat. The experimental design was the same for both studies i.e. a Split plot in Randomized complete block design with four replications. The main plots were varieties i.e. KK3, LK92-11 and K93-219, the sub plots were three weed control methods i.e. 1) hand weeding 2) herbicides at recommended rate and 3) herbicides at double recommended rate. The results showed that KK3 was resistant to both ametryn and paraquat due to its ability to recover faster than the other sugarcane varieties. The use of ametryn made sugarcane to have faster recovery than the use of paraquat. The use of herbicides at the concentrations higher than the recommended rate resulted in sugarcane having more toxicity symptom by 1.28 times. Keywords: toxicity, weed control, ametryn, paraquat

182


PWA-03

ผลของการจัดการวัชพืชแบบผสมผสานต่ อประสิทธิภาพการควบคุมวัชพืช ในการผลิตพริก สิริชัย สาธุวจิ ารณ์ 1 ทิพย์ ดรุ ณี สิทธินาม2 และ ประชาธิปัตย์ พงษ์ ภญ ิ โญ3 สํานักวิจยั พัฒนาการอารั กขาพืช กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ 10900 2 ศูนย์ วจิ ยั และพัฒนาการเกษตรกาญจนบุรี กาญจนบุรี 71000 3 กองวิจยั พัฒนาปั จจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรุ งเทพฯ djkjj 1

บทคัดย่ อ วัชพืชเป็ นศัตรูพืชหลักของการผลิตพริ ก ทีIลดปริ มาณและคุณภาพของผลผลิต วัตถุประสงค์ของการทดลองนี &เพืIอศึกษาผลของการจัดการวัชพืชแบบผสมผสาน ต่อประสิทธิภาพ การควบคุมวัชพืช ดําเนินการทดลองระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2559 – ตุลาคม 2561 ณ ศูนย์วจิ ยั และพัฒนาการเกษตรกาญจนบุรี ใน 2 ฤดู วางแผนการทดลองแบบ RCB จํานวน 9 กรรมวิธี 4 ซํ &า ประกอบด้ วย pendimethalin 264 กรัมสารออกฤทธิ¾/ไร่ ร่วมกับคลุมฟางข้ าวและ กําจัดวัชพืชด้ วยมือ alachlor 336 กรัมสารออกฤทธิ¾/ไร่ ร่วมกับคลุมต้ นข้ าวโพดและกําจัดวัชพืช ด้ วยมือ คลุมแปลงด้ วยฟางข้ าวตามด้ วย haloxyfop-P-methyl 20 กรัมสารออกฤทธิ¾/ไร่ และกําจัด วัชพืชด้ วยมือ คลุมแปลงด้ วยต้ นข้ าวโพดตามด้ วย fluazifop-P-butyl 24 กรัมสารออกฤทธิ¾/ไร่ และ กําจัดวัชพืชด้ วยมือ คลุมด้ วยพลาสติกร่วมกับกําจัดวัชพืชด้ วยมือ pendimethalin 264 กรัมสาร ออกฤทธิ¾/ไร่ ตามด้ วย haloxyfop-P-methyl 20 กรัมสารออกฤทธิ¾/ไร่ และกําจัดวัชพืชด้ วยมือ alachlor 336 กรัมสารออกฤทธิ¾/ไร่ ตามด้ วย fluazifop-P-butyl 24 กรัมสารออกฤทธิ¾/ไร่ และกําจัด วัชพืชด้ วยมือ การกําจัดวัชพืชด้ วยมือ และไม่กําจัดวัชพืช บันทึกข้ อมูลประสิทธิภาพการควบคุม วัชพืช ความเป็ นพิษต่อพืชปลูก การเจริ ญเติบโต ปริ มาณผลผลิต ต้ นทุนการจัดการวัชพืช รวมทัง& ตรวจสอบปริ มาณสารกําจัดวัชพืชทีIตกค้ างในผลผลิตพริ กด้ วย HPLC-MS/MS ผลการทดลอง พบว่า การควบคุมวัชพืชทุกรรมวิธี มีประสิทธิภาพในการควบคุมวัชพืชได้ ดี ไม่สง่ ผลกระทบต่อการ เจริ ญเติบโตและผลผลิตของพริ ก ให้ ผลผลิตระหว่าง ed–.–e - ¢f—.l– กิโลกรัม/ไร่ กรรมวิธีทีIพน่ สารกําจัดวัชพืชไม่พบการตกค้ างในผลผลิต ส่วนต้ นทุนการจัดการวัชพืช พบว่า การพ่นสาร pendimethalin ตามด้ วย haloxyfop-P-methyl และกําจัดวัชพืชด้ วยมือ มีต้นทุนตํIาสุด คําสําคัญ : การควบคุมวัชพืช สารกําจัดวัชพืช วัสดุคลุมดิน สารตกค้ าง HPLC-MS/MS

183


PWA-03

Effect of Integrated Weed Management on Weed Control Efficiency in Chili Production Sirichai Sathuwijarn1 Tipdarunee Sittinam2 and Prachatipat Pongpinyo3 Plant Protection Research and Development Office, Department of Agriculture, Bangkok 10900 2 Kanchanaburi Agricultural Research and Development Center, Kanchanaburi 71000 3 Agricultural Production Science and Research and Development Division, Department of Agriculture, Bangkok 10900 1

ABSTRACT Weed is a major cause of yield reduction in chili production. The objective of this experiment was to study the efficiency of Integrated Weed Management (IWM) for controlling weeds in chili plantations. IWM for controlling weeds was conducted in Kanchanaburi Agricultural Research and Development Center during November 2016 – October 2018 in two seasons. The treatments were arranged in a Randomized Complete Block (RCB) with nine treatments and four replications. Treatments consisted of IWM i.e. pendimethalin 264 g ai/rai + rice straw as mulch followed by hand weeding, alachlor 336 g ai/rai + corn straw as mulch followed by hand weeding, rice straw as mulch followed by haloxyfop-P-methyl 20 g ai/rai followed by hand weeding, corn straw as mulch followed by fluazifop-P-butyl 24 g ai/rai followed by hand weeding, black plastic mulch followed by hand weeding, pendimethalin 264 g ai/rai followed by haloxyfop-P-methyl 20 g ai/rai followed by hand weeding, alachlor 336 g ai/rai followed by fluazifop-P-butyl 24 g ai/rai followed by hand weeding, hand weeding and untreated control. Data recording of the experiment i.e. visual evaluation of weed control efficiency, phytotoxicity, plant growth, yield and cost including herbicide residues in the chili product were determined using HPLC-MS/MS. The results found that all weed management treatments were effective to control weeds without crop injury, do not effect growth and yield, with production between 520.05 - 869.40 Kg/rai. Herbicide residue was not detected in chili products from treated blocks. The lowest cost IWM treatments were pendimethalin followed by haloxyfop-P-methyl followed by hand weeding. Keywords: weed control, herbicide, mulching material, herbicide residues, HPLC-MS/MS

184


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.