ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ ทานพุทธทาส อินทปญโญ สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎรธานี
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ ชมรมกัลยาณธรรม
หนั ง สื อ ดี ลำดั บ ที่ ๙๕
ความดับไมเหลือ ท า นพุ ท ธทาส อิ น ทป ญ โญ จั ด พิ ม พ เ พื่ อ แจกเป น ธรรมทาน น อ มถวายเป น พุ ท ธบู ช าในงานแสดงธรรม เปนธรรมทาน ของชมรมกัลยาณธรรม ครั้งที่ ๑๕ อาทิตยที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ณ หอประชุมใหญ-หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ครั้งที่ ๑ จัดพิมโดย
: :
ภาพปก ออกเเบบและ จัดรูปเลม
: :
แยกสีและ จัดพิมพที่
: :
จำนวน ๑๐,๐๐๐ เลม (กันยายน ๒๕๕๒) ชมรมกัลยาณธรรม ๑๐๐ ถนนประโคนชัย ต.ปากน้ำ อ. เมือง จ.สมุทรปราการ ๑๐๒๗๐ โทรศัพท ๐๒-๗๐๒๗๓๕๓ อ. ประเทือง เอมเจริญ ศิลปนแหงชาติ บุญรอด แสงสินธุ โทรศัพท ๐๘๑-๖๒๙๔๙๐๓
Cannagraphic โทรศัพท ๐๘๖-๓๑๔๓๖๕๑
สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ การใหธรรมะเปนทาน ยอมชนะการใหทั้งปวง w w w. k a n l a y a n a t a m. c o m
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
คำนำ มี ห นั ง สื อ เล ม หนึ่ ง เป น หนั ง สื อ เล ม เล็ ก ชื่ อ ว า ดับไมเหลือ ของพระเดชพระคุณทานอาจารยพทุ ธทาส เคยอานมานานแลว พอมาอานทีหลังก็รูสึกวาดีมาก สำหรั บ ผู ที่ มี พื้ น ฐานในการปฏิ บั ติ แ ล ว พอสมควร และการปฏิบัติที่ติดอยูหรือไมเขาใจในเรื่องของจิตโดย เฉพาะ และไมเพียงแตไปยึดติดที่มีจิตรูอยางเดียว แต ยั ง ยึ ด ติ ด ที่ ตั ว รู เ ข า อี ก มั น ก็ เ ลยติ ด กั น ไปใหญ มั น ต อ งรู ตั ว มั น เองด ว ย คื อ รู จิ ต ตั ว เอง ว า จิ ต เอง ก็เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันจึงจะเกิดสุญญตา ขึน้ มาได ถาเพียงแตรู รู แตรยู งั ไมตลอดสาย มันเลย เป น ทาสแก ตั ว รู และตั ว รู ก็ ก ลายเป น ทำนบที่ รั บ น้ำ จนน้ำเต็มลนไหลบา ที่ถูกคือตองเปดน้ำใหไหลไป ใชประโยชนใหไดดวย คือ วิปสสนา เห็นตลอดสาย การติดอยูในจุดที่เปนปมอะไรนั่น ตองแกที่ตัวจิตเอง
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
เห็นจิตที่วางจากตัวตน หรือจิตที่วางจากจิต อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยังไมพอ พลังยังนอยอยู จึงแก ไมได มันก็ไดแครอู ยอู ยางนัน้ ฉะนั้ น จะต อ งปฏิ บั ติ ด ว ยการเจริ ญ อนิ จ จั ง อนั ต ตา จนเกิ ด สุ ญ ญตา คื อ จิ ต ที่ ว า งจากจิ ต เอง แลวสิ่งอื่นมันก็วางตามไปเอง จึงไมควรมองขามจิต ตองฝกจิตใหฉลาด และเอาจิตฉลาดสอนจิตโง ใหรจู กั ปลอย รูจักวาง มันตองปลอยทั้งตัวรู ทั้งสิ่งที่ถูกรู และกิรยิ าอาการทีเ่ ขาไปรู ปญหามันก็คลีค่ ลายเอง พระครูวินัยธร สำนักวิปสสนาวังสันติบรรพต บนภูเขาวังเนียง ต.คูหาสวรรค อ.เมือง จ.พัทลุง
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
ความดับไมเหลือ โอวาสของทานพุทธทาสภิกขุ
(บรรยายในพรรษา พ.ศ.๒๕๐๔)
เรือ่ งความดับไมเหลือนัน้ มีวธิ ปี ฏิบตั เิ ปน ๒ ชนิดคือตามปกติ ขอใหมคี วามดับไมเหลือ แหงความรสู กึ ยึดถือ “ ตัวกู ” และ “ ของกู” อยเู ปนประจำ นีอ้ ยางหนึง่
๕
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
อีกอยางหนึ่ง หมายถึง เมื่อรางกาย จะตองแตกดับไปจริงๆ ขอใหปลอยทั้ง หมดรวมทัง้ รางกาย ชีวติ จิตใจ ใหดบั เปน ครัง้ สุดทาย ไมมเี ชือ้ อะไรเหลืออยู หวังอยู สำหรับการเกิดมีตวั เราขึน้ มาอีก ฉะนัน้ ตามปกติประจำวันก็ใชอยางแรก เมื่ อ ถึ ง คราวจะแตกดั บ ทางร า งกาย ก็ ใ ช อยางหลัง ในกรณีทปี่ ระสบอุบตั เิ หตุ ไมตายทันที มี ความรสู กึ เหลืออยบู า งชัว่ ขณะ ก็ใชอยางหลัง ถาสิน้ ชีวติ ไปอยางกระทันหัน ก็หมายวาดับไป ในความรูสึกในวิธีอยางแรกอยูในตัว และ เปนอันวามีผลคลายกัน คือไมมีความอยาก เกิดอีก นัน่ เอง
๖
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
วิธปี ฏิบตั อิ ยางที่ ๑ คือทำเปนประจำ วันนัน้ หมายความวา มีเวลาวางสำหรับทำ จิตใจเมือ่ ไหร กอนนอนก็ดี ตืน่ นอนใหมกด็ ี ให สำรวมจิตเปนสมาธิดว ยการกำหนดลมหายใจ (หรื อ อะไรก็ แ ล ว แต ถ นั ด ) พอสมควรก อ น แลวจึงพิจารณาใหเห็น ความที่สิ่งทั้งหลาย ทัง้ ปวงทุกสิง่ ไมควรยึดมัน่ วาเปนเรา หรือเปน ของเรา แมแตสกั อยางเดียว เปนเรือ่ งอาศัย กันไปในการเวียนวายตายเกิดเทานัน้ เอง ยึดมัน่ ในสิง่ ใดเขา ก็ตอ งเปนทุกขทนั ทีและทุกสิง่ การเวียนวายตายเกิดนัน้ เลา ก็คอื การ ทนทุกขทรมานโดยตรง เกิดทุกทีเปนทุกขทกุ ที เกิดทุกชนิดเปนทุกขทกุ ชนิด ไมวา จะเกิดเปน อะไรก็เปนทุกข ไปตามแบบของการเกิดเปน
๗
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
อย า งนั้ น เกิ ด เป น แม ก็ ทุ ก ข อ ย า งแม เกิ ด เปนลูก ก็ทกุ ขอยางลูก เกิดเปนคนรวย ก็ทกุ ข อยางคนรวย เกิดเปนคนจน ก็ทกุ ขอยางคนจน เกิดเปนคนดี ก็ทกุ ขอยางคนดี เกิดเปนคนชัว่ ก็ทกุ ขอยางคนชัว่ เกิดเปนคนมีบญ ุ ก็ทกุ ขไป ตามประสาคนมีบญ ุ เกิดเปนคนมีบาป ก็ทกุ ข ไปตามประสาคนมีบาป ฉะนัน้ สไู มเกิดเปน อะไรเลย คือ “ดับไมเหลือ” ไมได แตทนี ี้ สำหรับการเกิด หรือคำวา “เกิด” นัน้ อยาหมายเพียงการเกิดจากทองแม ทีแ่ ท มันหมายถึงการเกิดของจิต คือของความรสู กึ ทีร่ สู กึ ขึน้ มาคราวหนึง่ ๆ วากูเปนอะไร เชน เปน แม เปนลูก เปนคนจน เปนคนมี คนสวย คน ไมสวย คนมีบญ ุ คนมีบาป เปนตน ซึง่ นีแ่ หละ
๘
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
เรียกวาความยึดถือ หรืออุปาทานวา “ตัวกู” เปนอยางไร “ของกู” เปนอยางไร ตัวกู หรือของกู อยางที่กลาวนี้ เรียกวา อุปาทาน มันเกิดจากทองแมของมันคืออวิชชา มันเกิดวันหนึง่ ไมรกู สี่ บิ ครัง้ กีร่ อ ยครัง้ หรือไมรู กีร่ อ ยชาตินนั่ เอง เกิดทุกคราวเปนทุกขทกุ คราว อยางไมมที างทีจ่ ะหลีกเลีย่ ง ทุกคราวที่ตาเห็นรูป หรือหูไดยินเสียง หรือจมูกไดกลิ่น หรือลิ้นไดรส หรือกายได สัมผัสผิวหนัง หรือจิตมันปรุงเรือ่ งเกาๆ เปน ความคิด เปนเรื่องเปนราวขึ้นมาเองก็ตาม ถาควบคุมไวไมดแี ลว “ตัวกู” เปนไดโผล หรือเกิด ขึ้ น มาทั น ที และต อ งเป น ทุ ก ข ทั น ที ที่ ตั ว กู โผลขนึ้ มา
๙
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
ฉะนัน้ จงระวังอยาเผลอให “ตัวกู” โผล หัวออกมาจากทองแมของมันเปนอันขาด เพียง แตตาเห็นรูป หรือหูไดยนิ เสียง เปนตน แลว เกิดสติปญ ญารวู า ควรจัดการอยางไรก็จดั การไป หรือนิง่ เสียก็ได อยางนีไ้ มเปนไร ขออยางเดียว อยาให “ตัวกู” ถูกปรุงขึ้นมาจากตัณหาหรือ เวทนา อันเกีย่ วเนือ่ งกับสิง่ ทีไ่ ดเห็น หรือไดยนิ เปนตน อยางนีเ้ รียกวา “ตัวกู” ไมเกิด คือไมมชี าติ นั่ น เอง เมื่ อ ไม เ กิ ด ก็ ไ ม ต าย หรื อ ไม ทุ ก ข อยางใดทัง้ สิน้ นีแ่ หละคือขอทีบ่ อกใหทราบวา การเกิดนัน้ ไมใชหมายถึงการเกิดจากทองแม ทางเนือ้ หนังโดยตรง แตมนั หมายถึงการเกิด ทางจิตใจของ “ตัวกู” ที่เกิดจากแมของมัน คือ อวิชชา
๑๐
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
การ “ดับไมเหลือ” ในทีน่ ี้ ก็คอื อยาให ตัวกูดงั กลาวนัน้ เกิดขึน้ มาไดนนั่ เอง เมือ่ เห็นแม ของมันคืออวิชชา ก็ฆา แมของมันเสีย ดวย วิ ช ชา หรื อ ป ญ ญา ที่ รู ว า “ไม มี อ ะไรควร ยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ” นั่ น เอง หรื อ อี ก อย า งหนึ่ ง ก็วามันเกิดไดเพราะเราเผลอสติ ฉะนั้นเรา อยาเผลอสติเปนอันขาด ถาเปนคนขี้มักเผลอสติ ก็จงแกดวย ความเปนผรู จู กั อาย รจู กั กลัวเสียบาง โดยอาย วาการที่ปลอยใหเปนอยางนั้นๆ มันเปนคน สาระเลวยิง่ กวาไพรหรือขีข้ า สถุลเสียอีก ไมควร แกเราเลย
๑๑
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
ทีว่ า รจู กั กลัวเสียบางนัน้ หมายความวา มันไมมอี ะไรทีน่ า กลัวไปกวาความเกิดชนิดนีแ้ ลว มันยิ่งกวาตกนรกหรืออะไรทั้งหมด เกิดขึ้น มาทีไรเปนสูญคนเสียคน ไมมอี ะไรเหลือ เมือ่ มีความอายและความกลัวอยางนี้บอยๆ แลว สติมนั จะไมกลาเผลอของมันเอง การปฏิบตั ิ ก็จะดีขึ้นตามลำดับ จนเปนผูที่มีการ “ดั บ ไมเหลือ” อยเู ปนประจำ
๑๒
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
ทุกค่ำเชาเขานอนตองมีการคิดบัญชีเรือ่ ง การดับไมเหลือนี้ ใหรรู ายรับรายจายไวเสมอไป ขอนีม้ อี านิสงสสงู กวาไหวพระสวดมนต หรือ ทำสมาธิเฉยๆ เรือ่ งเกีย่ วกับดับไมเหลือทำนองนีไ้ มเกีย่ ว กับการเพงหรือหลับตา เห็นสี เ ห็นดวงหรืออะไร ทีแ่ ปลกๆ เปนทำนองปาฏิหาริย หรือศักดิส์ ทิ ธิ์
๑๓
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
แตเกี่ยวกับสติปญญา หรือสติสัมปชัญญะ โดยตรงเทานัน้ อยางมากทีส่ ดุ ทีม่ นั จะสำแดง ออกก็เพียง ถามีสติสมบูรณจริงๆ ไดที่เต็ม ที่แลวก็จะสำแดงออกมาเปนความเบากาย เบาใจ สบายกาย สบายใจ อยางทีบ่ อกไมถกู เทานั้นเอง ถึงกระนั้น ก็อยานึกถึงเรื่องนี้ เลยจะดีกวา เพราะจะกลายเปนทีต่ งั้ อุปาทาน อันใหมขนึ้ มา แลวมันก็จะดับไมลง และมัน จะ “เหลือ” อยเู รือ่ ย คือเกิดเรือ่ ยทีเดียว เดีย๋ ว จะไดกลมุ กันใหญ และยิง่ ไปกวาเดิม พวกทีท่ ำวิปส สนาไมสำเร็จ ก็เปนเพราะ คอยจับจอง เอาความสุขอยเู รือ่ ยไป มงุ นิพพาน ตามความยึดถือของตนร่ำไป มันก็ดับไมลง
๑๔
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
หรือนิพพานจริงๆ ไมได มีตวั กูเกิดในนิพพาน แหงความยึดมัน่ ถือมัน่ ของตนเองเสียเรือ่ ย ฉะนัน้ ถาจะภาวนาบางก็ตอ งภาวนาวา ไมมอี ะไรทีค่ วรยึดมัน่ ถือมัน่ แมแตสงิ่ ทีเ่ รียก ว า นิ พ พานนั่ น เอง “สพฺ เ พ ธมฺ ม า นาลํ อภินิเวสาย - สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไมควร ยึดมัน่ ถือมัน่ ” สรุปความวา ทุกค่ำเชาเขานอนตอง ทำความแจมแจง เรื่องความไมยึดมั่นถือมั่น ใหแจมกระจางอยูเสมอ จนเคยชินเปนนิสัย จนหากบังเอิญตายไปในเวลาหลับ ก็ยงั มีหวัง ทีจ่ ะไมเกิดอีกตอไปอยนู นั่ เอง
๑๕
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
มีสติปญ ญาอยเู รือ่ ย อยาใหอปุ าทานวา “ตัวกู” หรือ “ของกู” เกิดขึน้ มาไดเลย ในทุกๆ กรณี ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งตื่นและหลับ นีเ้ รียกวา เปนอยดู ว ยความดับไมเหลือ หรือ ความไมมีตัวตน มีแตธรรมะอยูในจิตที่วาง จากตัวตนอยเู สมอไป เรียกวาตัวตนไมไดเกิด และมีแตการดับไมเหลืออยเู พียงนัน้ ถาเผลอไป ก็ ตั้ ง ใจทำใหม เ รื่ อ ย ไม มี ก ารท อ ถอยหรื อ เบื่อหนาย ในการบริหารใจเชนนี้ก็เชนเดียว กับเราบริหารกายอยตู ลอดเวลานัน้ เหมือนกัน ใหทงั้ กายและใจไดรบั การบริหารทีถ่ กู ตองคกู นั ไป ดังนี้ ในทุกกรณีที่ทำอยู ทุกลมหายใจ เข า ออก เป น อยู ด ว ยป ญ ญา ไม มี ค วาม ผิดพลาดเลย
๑๖
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
ทีนี้ก็มาถึง วิธีปฏิบัติที่ ๒ คือในเวลา จวนเจียนจะดับจิตนัน้ อยากจะกลาววามันงาย เหมือน ตกกระไดแลวพลอยกระโจนมัน ยากอยูตรงที่ไมกลา พลอยกระโจน ในเมื่อ พลัดตกกระได มันจึงเจ็บมาก เพราะตกลงมา อยางไมเปนทาเปนทาง ไหนๆ เมือ่ รางกายนี้ มันอยตู อ ไปอีกไมได แลว จิตหรือเจาของบาน ก็พลอยกระโจนตาม ไปเสียดวยก็แลวกัน ใหปญ ญามันกระจาง แจงขึน้ มาในขณะนัน้ วาไมมอี ะไรนาจะ กลับมาเกิดใหม เพือ่ เอา เพือ่ เปน เพือ่ หวัง อะไรอยางใดตอไปอีก หยุด สิน้ สุด ปดฉากสุดทายกันเสียที เพราะไปแตะเขาที่ ไหน มีแตทกุ ขทงั้ นัน้ ไมวา จะไปเกิดเปนอะไร
๑๗
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
เขาทีไ่ หน หรือไดอะไรทีไ่ หนมา จิตหมดทีห่ วัง หรือความหวังละลาย ไมมที จี่ อด มันจึงดับ ไปพรอมกับกาย อยางไมมเี ชือ้ เหลือมาเกิดอีก สิง่ ทีเ่ รียกวาเชือ้ คือความหวัง หรือความ อยากหรือความยึดมัน่ ถือมัน่ อยใู นสิง่ ใด สิง่ หนึง่ นัน่ เอง สมมุตวิ า ถูกควายขวิดจากขางหลัง หรือ รถยนตทบั หรือตึกพังทับ หรือถูกลอบยิงหรือ ถูกระเบิดชนิดไหนก็ตาม ถามีความรสู กึ เหลือ อยู แมสกั ครึง่ วินาทีกต็ ามจงนอมจิตไปสคู วาม ดับไมเหลือ หรือทำความดับไมเหลือเชนวานีใ้ ห แจมแจงขึ้นใจ (เหมือนที่เคยฝกอยูทุกค่ำเชา เขานอน) ขึน้ มาในขณะนัน้ แลวใหจติ ดับไปก็ เปนการเพียงพอแลว สำหรับการ “ตกกระได พลอยกระโจน” ไปสูความดับไมมีเชื้อเหลือ
๑๘
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
ถาหากจิตดับไปเสีย โดยไมมีเวลาเหลือ อยูสำหรับใหรูสึกไดดังวา ก็แปลวา ถือเอา ความดับไมเหลือ ทีเ่ ราพิจารณา และมงุ หมาย อยเู ปนประจำใจทุกค่ำเชา เขานอนนัน่ เอง เปน พื้นฐานสำหรับการดับไป มันจะเปนการดับ ไมเหลืออยูดี ไมเสียทาเสียทีแตประการใด อยาไดเปนหวงเลย ถาปวยดวยโรคที่เจ็บปวด หรือทรมาน มาก ก็ตองทำจิตแบงรับวา ที่ยิ่งเจ็บมาก ปวดมากนี่แหละ มันจะไดดับไมเหลือ เร็วเขาอีก เราขอบใจความเจ็บปวดเสียอีก เมื่อเปนดังนี้ ปติในธรรมะก็จะขมความรูสึก ปวดนัน้ ไมใหปรากฏ หรือปรากฏแตนอ ยทีส่ ดุ จนเรามีสติสมบูรณอยูดังเดิม และเยาะเยย ความเจ็บปวดได
๑๙
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
ถาปวยดวยโรค เชน อัมพาต และตอง ดับดวยโรคนัน้ ก็ใหถอื วาตัวเราสิน้ สุดไป ตัง้ แต ขณะทีโ่ รคนัน้ ทำใหหมดความรสู กึ นัน้ แลว ที่ เหลือนอนตาปริบๆอยนู ี้ ไมมคี วามหมายอะไร ทั้งนี้เพราะวาจิตของเราไดสมัครนอมไป เพื่อ ความดับไมเหลือเสร็จสิน้ แลวตัง้ แตกอ นลมเจ็บ เปนอัมพาต หรือตั้งแตความรูสึกยังดีๆ อยู ในการเปนอัมพาตตลอดเวลาที่มีความรูสึก ครัน้ หมดความรสู กึ แลวมันก็เลิกกัน แมวา ชีวติ ยังไมดบั ทันทีมนั ก็หามีตวั ตนอะไรทีเ่ ปนตัวกู หรือ ของกู ที่ ไ หนไม อย า ได คิ ด เผื่ อ ให ม ากไป ดวยความเขลาของตัวเองเลย ยังดีๆอยนู แี่ หละ รีบทำความดับไมเหลือ เสียใหสมบูรณดวยสติปญญาเถิด มันจะ
๒๐
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
รับประกันไดไปถึงเมือ่ เจ็บ แมในกรณีทเี่ ปนโรค อัมพาตดังกลาวแลว ไมมที างทีจ่ ะพายแพ หรือ เสียทาเสียทีแกความเจ็บแตประการใดเลย เพราะเราทำลาย “ตัวกู” ใหหมดความเกิดเสีย แลว ตั้งแตเมื่อรางกายยังสบายๆ อยูนั่นเอง นีเ่ รียกวาดับหมดแลวกอนตาย สรุปความในทีส่ ดุ วิธปี ฏิบตั ทิ งั้ ๒ ชนิด ก็คือ จงมีจิตที่มีปญญาแทจริง มองเห็น อยวู า ไมมอี ะไร ทีค่ วรยึดมัน่ ถือมัน่ แมแตสกั สิง่ เดียวในจิตทีว่ า งจากความยึดมัน่ ถือมัน่ โดย สิ้ น เชิ ง อย า งนี้ แ หละ ไม มี “ตั ว กู ” หรื อ “ของกู” มีแตธรรมะทีเ่ ปนความหลุดพนอยาง สมบูรณ ซึง่ เราจะสมมติเรียกวาพระรัตนตรัย หรื อ มรรคผลนิ พ พาน หรื อ อะไร ที่ เ ป น
๒๑
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
ยอดปรารถนาของคนยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น นั้ น ไดทกุ อยาง แตเราไมยดึ มัน่ ถือมัน่ ในอุปาทาน ในสิ่ ง เหล า นั้ น เลย จึ ง ดั บ ไม เ หลื อ หรื อ นิพพานไดสมชือ่ นิ แปลวา ไมเหลือ พาน แปลวา ไปหรือ ดับ นิพพานจึงแปลวาดับไมเหลือ เปนสิง่ ทีม่ ี ลักษณะความหมายการปฏิบตั ิ และอานิสงส อยางทีก่ ลาวมา ดังนีแ้ ล ขอความทัง้ หมดนี้ ยังยออยมู าก แตถา ขยันอานและพินิจพิจารณาอยางละเอียดไป ทุกอักษร ทุกคำ ทุกประโยคแลว ก็คงจะพิศดาร ไดในตัวมันเองและเพียงพอแกการเขาใจ และ ปฏิบตั ิ
๒๒
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
ฉะนัน้ หวังวาคงจะอานจะฟงกันอยเู ปน ประจำ โดยไมตอ งคำนึงวากีเ่ ทีย่ วกีจ่ บ จนกวา จะเปนทีเ่ ขาใจแจมแจงโดยปญญา และมัน่ คง โดยสมาธิ นำมาใชไดทนั ทวงที ดวยสติสมตาม ความประสงคทกุ ประการ
๒๓
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
จิตวางพบชีวติ จริง คำวาจิตวางหมดนัน้ ขอย้ำอีกวา ไมใชวา ง ไมมอี ะไร จิตวาง เพราะเห็นจิตโงทเี่ ขาไปยึดถือ อะไรตอมิอะไร แลวเปนทุกข คือจิตนัน้ แหละ จิตทีฝ่ ก มาดวยสติปญ ญา แลวดูจติ โงทปี่ ระกอบ ดวยความเขาใจผิด วาจิตหรือรางกาย หรือ สิ่งทั้งปวงวาเปน นิจัง คือเห็นทุกอยางเปน ของเที่ยงอยูนิ่งๆ ไมเคลื่อนไหว ไมไหล เปน อัตตา เห็นเปนตัวตนมีตวั ตนไปหมด แลวก็เอา มายึดถือ ทีส่ ำคัญนัน้ คือยึดเอาจิตมาเปนตัวตน เปนตัวกู เปนตัวแรก แลวของกู มันมากันเปน แถว ทั้งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนา อยางละหก ละหก แลวทุกขมนั ก็ตามมา เหตุเพราะไมฝก จิตเอง ใหฉลาดใหมีปญญา ใหมีวิชชา ใหมีพุทโธ
๒๕
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
ใหเห็นแจงจริงซึง่ ตัวจิตเองวาจิตนัน้ เกิดดับ เปน อนิจจัง เปนอนัตตา วางจากตัวมันเอง ตัว มันเองเขาไปยึดถือตัวมันเองไมได และเขา ไปยึดถือสิง่ อืน่ วามีตวั ตนไมได ถาเขาไปยึดถือ มันเองก็มคี วามทุกข ถึงจะไปยึดถือสิง่ ภายนอก มันก็มคี า เทากัน คือมันเปนทุกขทงั้ นัน้ แลวเรา จะปฏิบัติอยางไร ปฏิบัติดวยการคืนจิตให ธรรมชาติเสีย แตจิตก็ยังอยู จิตที่อยูท่ียังรูอยู เปนจิตทีฉ่ ลาด ไมใชจติ ทีเ่ ปนตัวกู เปนจิตที่ เอาตัวกูออกแลว เปนจิตตัวรแู จงเห็นจริง คือ ทัง้ รแู ลวก็ทงั้ เห็น เห็นทัง้ ตัวมันเอง คือเห็นตัว จิตเอง และเห็นสิง่ ภายนอก วาทีเ่ ขาไปยึดถือ จิตหรือสิ่งภายนอกวาเปนตัวตนของตน หรือ เห็นวาเปน นิจจัง สุขงั อัตตา มันกลับเห็น ตรงขามไปแลว คือเห็นเปน อนิจจัง ทุกขัง
๒๖
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
อนั ต ตา แล ว ก็ ต ามมาด ว ย สุ ญ ญตา เห็ น ทัง้ หมดวางจากตัวตน เราเห็นวาเปนความวาง คนๆ หนึง่ มันปกคลุมและแวดลอมดวยความวาง เพราะแกนภายในมันวาง คือจิตแทแวดลอม ดวยเนื้อหนังคือรางกายที่วาง และประตูคือ อายตนะภายในที่วางกันมาเปนแถว และสิ่ง เหลานี้มีหนาที่ทำงาน ทำงานดวยความวาง ไมใชบอกวากูเห็น กูไดยนิ ฯลฯ แตมนั เปน ตาเห็น หูไดยิน ภาษาคนกับภาษาธรรมะ ตองแยกใหออก มันพูดวา กู กู นี่มันเปน ภาษาทีส่ มมติเรียกขานกันเทานัน้ อยาไปคิด วามันจริง บอกแลววาสมมติๆ สมมติมัน จะจริ ง อย า งไร ถ า ไปยึ ด ถื อ สมมติ จ นชิ น จนเห็ น จริ ง ไปหมด มั น ทุ ก ข ต ลอดชี วิ ต นี้ และชี วิ ต หรื อ แก น ชี วิ ต หรื อ ตั ว ชี วิ ต เป น ของ
๒๗
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
ไมจริงและจิตเองมันไมจริง มันก็ไปเอาของ ไมจริงมาแทนอีก เชน ไปเอารูป ซึ่งเปนของ ไมจริง ไปเอาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึง่ เกิดๆ ดับๆ เปนของไมจริง ทีเ่ ปนอนิจจัง อนัตตา ทั้งไมเที่ยง ทั้งไมใชตัวตน เอามา เปนตัวตนเขาอีก มันก็แสดงเปนตัวตนไป หมด เอาเงามาเปนตัวตน ลองคิดดูมันโง หรื อ ฉลาด ตั ว ตนที่ เ ป น จิ ต ก็ ไ ม ใ ช ตั ว ตน ตัวตนทีเ่ ปนกายก็ไมใชตวั ตน วางจากตัวตน แล ว เมื่ อ มั น ไม มี ตั ว ตนแล ว ก็ เ ท า กั บ เอา ทุ ก ข ม าเป น ตั ว ตนทั้ ง นั้ น แล ว มั น อะไรกั น พระพุทธเจาทานสอนแตเรือ่ งนี้ เราเรียน เรา ศึกษาดวยจิตทีม่ ตี วั ตน เมือ่ ศึกษาแลว ตอง การปฏิบัติก็แลว แตก็ไปเอาทั้งจิต ทั้งสิ่งที่ ครูบาอาจารยสอนเปนตัวตนมีตวั ตนกันไปหมด
๒๘
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
เพราะไม เ ห็ น จิ ต ว า งจากตั ว ตนคื อ จิ ต เป น สุญญตาจากภายนอกก็ยงิ่ เต็มกันไปใหญ ไปรู อะไรทัง้ โลก ไปเรียนไปจับตองอะไรเขาก็ลว น แตมตี วั ตนไปหมด เพราะจิตมันมืด มองกาย ก็ไมเห็น มองอะไรก็มีสีดำไปหมด มันเปน โลกมืดของจิตที่มีอวิชชา ตองเอาแวนพระ พุทธเจามาใส คือแวนตาใจแหงปญญา ถอด แวนตาดำออกเสีย คือแวนแหงอวิชชา ใส แวนตาปญญาเขาไป ถอดแตแวน ไมใช ควักลูกตาออก ลูกตายังอยเู หมือนเดิม แลวก็ยงั ใชงานไดอยู แลวตาปญญา หรือจิตปญญา จิ ต วิ ช ชา จิ ต พุ ท โธตั ว นั้ น ก็ ป รากฏออกมา เปนสุญญตาจิต คือจิตทีว่ า งจากตัวตน เปน ของแทเปนของเดิม จึงเรียกวาจิตเดิมแท ปรากฏออกมา เห็นสีแดงก็เปนสีแดง เห็นสี
๒๙
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
ขาว ดำ เหลือง เห็นตามความเปนจริงหมด เห็น ครบวงจร เห็นแลวไมเขาไปยึดมัน่ ถือมัน่ นัน่ แหละของแทแลว แตแวนอวิชชา แวนดำนัน่ มันมองลอดแวนออกมาก็รายงานวาดำๆ เห็น เปนสีดำทั้งหมด ตาแทของแทก็ปรากฏตาม ความเปนจริงไมได นิจจัง สุขงั อัตตา เลยมา ปรากฏแกคนหรือผสู วมแวนดำ แลวก็สวมกัน ทัง้ โลก มีนอ ยนักทีส่ วมแวนขาวใส คนสวม แวนดำจึงเลือกไมออก ฉะนัน้ ในทางทีถ่ กู ตอง เขาจะตองปฏิบตั ิ ธรรมะใหถกู ตองทัง้ ๘ ประการ นัน่ คือทางเดิน ไปหาแวนสีขาว แตตอ งจริงจังหนักแนน พรอม ที่จะเอาชีวิตเขาแลกได ไมหวงชีวิตนี้ มอบ กายถวายชีวติ นีใ้ หพระรัตนตรัยเสีย อยาเอา
๓๐
ค ว า ม ดั บ ไ ม เ ห ลื อ
มาเปนตัวกูของกูอีกเลย แลววันหนึ่งก็จะได ชีวติ จริง ทีห่ มดจากตัวกูของกู เปนชีวติ ทีฟ่ รี อิสระ จากกิเลส จิตอยกู บั ความวางจากตัวตน โดยสวนมาก พระพุทธเจาพระองคกม็ จี ติ แตจติ ของพระองคอยกู บั สุญญตาวิหาร พระอรหันต ทัง้ หลายก็มจี ติ แตจติ นัน้ อยกู บั การไมยดึ มัน่ ถือมั่น อยูกับจิตที่วางจากตัวตน ยืนเดิน นั่งนอน คิดอาน พูดทำ ก็ทำดวยจิตวาง
๓๑
พุ ท ธ ท า ส อิ น ท ป ญ โ ญ
ทัง้ นัน้ แลวความทุกขมนั ก็ตามหาทานไมพบ เพราะตัวกายตัวจิตของทานหายเขาไปอยูใน กลีบเมฆไปรวมตัวอยูกับธรรมชาติที่วางจาก ตัวตนจนหมดสิน้ แลว นีแ่ หละคือชีวติ จริงทีเ่ รา เกิดมาทุกคนจะตองรีบคนหาใหพบ ตั้งแต บัดนี้ อยาไดรอชาติหนาเลย พระครู วิ นั ย ธร (พระมหาทรงศั ก ดิ์ วิ โ นทโก) สำนักวิปสสนาวังสันติบรรพต บนภูเขาวังเนียง อ.เมือง จ.พัทลุง
๓๒