โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 51
โมบี้ดิ๊ก วาฬเพชฌฆาต โดยเฮอร์แมน เมลวิลล์ ฉบับทดลองอ่าน
ขวัญดวง แซ่เตีย แปล มนตรี ภู่มี บรรณาธิการแปล
สำหรับผู้สนใจสนับสนุนการระดมทุนกับโครงการวรรณกรรมไม่จำกัดทดลองอ่าน ไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 52
บทที่ 1 ลางโหมโรง เอาเป็นว่า...อิชเมลคือชื่อผม ที่ผ่านมา...จริงๆ กี่ปีก็ช่างเถอะ ผมไม่มีเงินเลยสักแดง หรือเหลือติดกระเป๋าแค่น้อยนิด บนฝั่งไม่มีสิ่งใดน่าดึงดูดใจนัก ผมเลยอยากล่องเรือ ไปชมส่วนผืนน้ำของโลกใบนี้บ้าง เพื่อระบายความกรุ่นคับข้องใจและช่วยปรับเลือดลม ได้ด้วย คราใดที่รู้สึกปากแห้งใจเหี่ยว คราใดอารมณ์หม่นครึ้มเดือนพฤศจิกาเข้าเกาะ กุม คราใดเผลอหยุดยืนหน้าร้านขายโลงศพหรือเดินตามขบวนแห่ศพที่พบเจอ โดย เฉพาะคราใดที่ตกอยู่ใต้อำนาจเพ้อเศร้า ครานั้นเป็นต้องใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างที่สุด ไม่ให้ออกไปทำอะไรแผลงๆ กลางถนนจนผู้คนอ้าปากค้าง สรุปได้ว่าถึงเวลาต้องหา ทางออกทะเลไปให้เร็วที่สุด ไม่งั้นเป็นต้องเอากระสุนกรอกปากตัวเองแน่ๆ และแบบ เดียวกับที่เคโตแอ่นอกรับดาบตัวเอง ผมค่อยๆ หาทางไปลงเรือ ซึ่งไม่น่าประหลาดใจ หรอก แทบทุกคนที่รู้สึกหรือกำลังจะรู้สึกแบบนี้ย่อมอยากออกไปท่องทะเลเหมือนผม นี่เป็นเมืองบนเกาะของชาวแมนฮัตโต1รายล้อมไปด้วยท่าเรือ ซึ่งคล้ายแนวปะการัง โอบรอบเกาะอินเดีย การค้าขายแผ่กระจายไปโดยรอบจากตรงนั้น ถนนทั้งขวาซ้ายจะ นำคุณมุ่งสู่ท่าน้ำ ที่อยู่ใจกลางเมืองคือสวนสาธารณะแบตเตอรี่ มีลมพัดผ่านเย็นสบาย ระลอกคลื่นโถมซัดสาดกำแพงหินชะลอน้ำที่ตั้งเด่นอยู่นอกหาดและเพิ่งจมหายไปเมื่อ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ แล้วดูฝูงชนที่ยืนทัศนาผืนน้ำที่นั่นสิ! ถ้าเดินไปรอบๆ เมืองในยามบ่ายวันหยุดอันสงบเงียบจากคอร์เลียร์สฮุกทางตะวันออก ไปยังปากน้ำโคเอนติสสลิป แล้วจากตรงนั้น มุ่งขึ้นเหนือไปทางไวต์ฮอลล์ คุณจะเห็น อะไร? ก็ชายเป็นๆ นับพันๆ คนกำลังยืนเหม่อมองดูทะเล เหมือนทหารยืนยามนิ่งงัน อยู่โดยรอบเมือง บ้างยืนพิงเสาท่าเรือ บ้างนั่งอยู่บนปลายสะพาน บ้างจ้องสำรวจ กราบเรือที่ล่องมาจากจีน! บางคนก็ปีนป่ายสูงไปบนสายระโยงเรือ ราวกับอยากมองให้ เห็นทะเลได้กว้างไกลขึ้น แต่ทุกคนล้วนไม่ใช่ชาวเรือ ตลอดทั้งสัปดาห์ต่างถูกขังอยู่ใน 1
แมนฮัตโต – เมืองแมนฮัตตันในปัจจุบัน
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 53
รั้วไม้ระแนงและกำแพงปูน ถูกกักอยู่ในคอกทำงาน ผูกติดกับที่นั่ง และตรึงอยู่กับโต๊ะ แล้วนี่ยังไงกัน? มีทุ่งเขียวขจีในทะเลหรือ? พวกนั้นมาทำอะไรกันที่นี่? ดูสิ! ผู้คนหนุนเนื่องกันมาอีก ต่างมุ่งหน้าไปยังทะเล เหมือนเกิดมาเพื่อจะกระโจนลง น้ำ แปลกจริง! ไม่มีสิ่งใดสร้างความพึงพอใจให้พวกเขาได้นอกจากที่สุดชายฝั่ง แม้แต่ เดินเที่ยวเตร่ใต้ร่มเงาของร้านรวงขนาดใหญ่ที่นั่นก็ไม่อาจเติมเต็มความปรารถนาได้ ไม่เลย...พวกเขาต้องการเข้าใกล้ผืนน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่มีแตกแถว แล้วก็ยืนออกันที่นั่นยาวเป็นไมล์ๆ บรรดาเจ้าถิ่นทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมาจากตรอก ซอกซอยบนถนนหนทางน้อยใหญ่ ทั้งทางเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก กระนั้น ต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ ช่วยบอกผมทีเถอะ แม่เหล็กบนหน้าปัดเข็มทิศในเรือเหล่านั้น ดึงดูดให้พวกเขามาใช่หรือไม่? แล้วก็...เอาเป็นว่าคุณอยู่ในเมืองบนที่ราบสูงซึ่งเต็มไปด้วยทะเลสาบ ต่อสิบเอาหนึ่ง เลยว่าไม่ว่าจะเลือกเดินไปทางไหนเป็นต้องนำคุณไปยังหุบห้วยสายธาร นี่เป็นสิ่งที่มี มนต์ขลัง แม้คนใจลอยอยู่ในห้วงภวังค์ที่สุด ถ้ายังยืนเดินได้ เขาเป็นต้องพาคุณไปยัง ผืนน้ำได้โดยไม่ผิดพลาด ถ้ายังมีสายน้ำอยู่ในดินแดนแถบนั้นอยู่นะ หากคุณอดน้ำอยู่ กลางทะเลทรายอเมริกันผืนใหญ่ ลองที่ว่าดูก็ได้ ถ้าในคณะเดินทางของคุณบังเอิญมีผู้ เชี่ยวชาญทางจิตมาด้วยนะ ใช่แล้ว อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าสายน้ำกับการสำรวมจิตนั้น เป็นของคู่กันมาเสมอ แล้วจิตรกรคนหนึ่งก็อยู่ตรงนี้ และปรารถนาจะวาดให้คุณเห็นภาพฝันอันร่มรื่นสงบ เงียบที่สุดของดินแดนแห่งมนต์ขลังน่าหลงใหลทั่วบริเวณแม่น้ำซาโคนี่ เขาต้องวาด อะไรเป็นสำคัญ? นั่นไง หมู่ไม้สูงลำต้นเป็นโพรงใหญ่ ราวกับมีฤๅษีและไม้กางเขนอยู่ ในนั้นทุกต้น แล้วเติมตรงนี้ด้วยทุ่งหญ้า แต่งแต้มตรงนั้นด้วยฝูงวัวควาย และควันไฟ ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือกระท่อมตรงโน้น ลึกเข้าไปในป่าทึบเป็นเส้นทางวกวนคดเคี้ยวสู่ ทิวเขาเรียงรายซ้อนสลับ เนินฉาบทับด้วยสีฟ้า แม้ภาพนี้จะทำจิตให้ตกอยู่ในภวังค์ และแม้สนต้นนี้จะไหวลู่คร่ำครวญราวใบไม้เหนือศีรษะพระเยซู กระนั้นทั้งหมดนี้ยังคง ไร้ความหมาย จนกว่าดวงตาแห่งท่านผู้ทรงธรรมจะตรึงอยู่กับสายธารมนต์ขลังที่อยู่ เบื้องหน้า
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 54
ลองไปเยือนทุ่งหญ้าแพรี่ในเดือนมิถุนาสิ เดินลุยหญ้าสูงท่วมเข่าลึกเข้าไปในดงลิลลี่ ก้าวแล้วก้าวเล่า...เสน่ห์อันใดนะที่เร่งเร้าแรงปรารถนาในตัวคุณ? แอ่งน้ำที่นั่นก็ไม่มี แม้แต่น้ำสักหยด! ไม่ใช่น้ำตกไนการ่าสักหน่อย แต่เป็นแก่งทะเลทราย คุณยินดีเดิน ทางเป็นพันๆ ไมล์เพื่อไปเยือนสถานที่แบบนั้นหรือ? แล้วเหตุใด หลังจากจู่ๆ ได้รับ เหรียญเงินมาเต็มสองกำมือโดยไม่คาดฝัน กวีผู้ยากไร้แห่งเทนเนสซี่คนนั้นจึงเลือกทำ เช่นนั้นล่ะ? เขาควรซื้อเสื้อโค้ตที่กำลังต้องการเป็นอย่างยิ่งต่างหาก แต่เหตุใดกลับนำ เงินที่ได้ใช้เป็นค่าเดินทางไปยังร็อคอเวย์ล่ะ? เหตุใดหนุ่มกำยำล่ำสันอันเปี่ยมพลังมุ่งมั่นแทบทุกคน ต่างคลั่งไคล้ที่จะออกทะเลใน บางช่วงบางขณะ? เหตุใดการล่องเรือครั้งแรกจึงทำให้คุณรู้สึกหวั่นไหวอย่างประหลาด ทันที่ที่มีคนบอกว่าคุณและเรือล่องลอยมาไกลจากผืนแผ่นดินแล้ว? เหตุใดผู้เฒ่าชาว เปอร์เซียจึงถือว่าท้องทะเลมีความศักดิ์สิทธิ์? เหตุใดชาวกรีกจึงสักการะน้องชายของ โจฟ2เป็นพิเศษ? แน่ละว่า นี่ใช่จะปราศจากซึ่งความหมายใดๆ หากแต่มีความหมาย ลึกซึ้งยิ่งกว่าเรื่องของนาร์ซิสซัสผู้ไม่เคยสัมผัสกับความทุกข์ทรมาน เงาสะท้อนที่มอง เห็นในบ่อน้ำจึงมีอำนาจลวงล่อให้เขาโดดลงไปและจมดิ่งสู่เบื้องลึก แต่พวกเราเองก็ หลงใหลผืนน้ำและมหาสมุทรด้วยภาพสะท้อนอันเดียวกันนี้ ซึ่งเป็นภาพมายาแห่งชีวิต ที่ไม่อาจเข้าใจได้ เรื่องของเรื่องก็เป็นแบบนี้แหละ เอาละ ยามใดที่ผมบอกว่าอยากออกไปท่องทะเล ยามที่ดวงตาของผมเริ่มพร่ามัว ใจคอเต้นไม่เป็นส่ำ นั่นไม่ได้หมายถึงว่าถึงเวลาต้องออกไปล่องเรือแบบผู้โดยสารคน หนึ่ง การเป็นผู้โดยสารนั้นคุณต้องมีกระเป๋าติดตัว แต่กระเป๋าจะเป็นแค่ผ้าขี้ริ้วถ้าไม่มี อะไรใส่อยู่ในนั้น อีกทั้งโดยทั่วไปแล้วผู้โดยสารมักจะเมาเรือ ชอบเอะอะพาลหาเรื่อง ไม่ยอมหลับยอมนอนตอนกลางคืนและไม่รู้สึกสนุกสนานอะไรนัก แต่นั่นไม่ผม...ผมไม่ เคยเดินทางไปในฐานะผู้โดยสาร ทั้งไม่ได้ไปในฐานะผู้การเรือ กัปตัน หรือพ่อครัว แต่ เป็นจำพวกลูกเรือคนหนึ่งต่างหาก
2
น้องชายของโจฟ (จูปิเตอร์)-หมายถึงโพไซดอน หรือเทพแห่งสมุทร ชาวโรมันถือว่าจูปิเตอร์มีศักดิ์เท่า เทียมหรือคือเทพซูสของกรีก
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 55
ผมยอมสละเกียรติและความอู้ฟู้ในหน้าที่การงานนั่นให้แก่ผู้ที่รักชอบมัน เพราะโดย ส่วนตัวแล้ว ผมเกลียดงานทรงเกียรติอันเป็นที่นับหน้าถือตาเหล่านั้น ซึ่งต้องตั้งหน้า ตั้งตาอย่างยากลำบากกว่าจะได้งานพวกนั้นมา ผมแค่ดูแลตัวเองจะดีกว่า โดยไม่ต้อง คอยดูแลไปถึงเรือสำเภา เรือเสากระโดง เรือใบ หรือจะเป็นเรืออะไรก็เถอะ ส่วนไปใน ฐานะพ่อครัวนั้นก็ต้องยอมรับว่าน่าสนใจทีเดียว พ่อครัวเป็นงานหนึ่งที่ต้องมีประจำอยู่ บนเรือเสมอ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยนึกฝันที่จะทำหน้าที่อบไก่ แม้ว่าครั้งหนึ่งผมเคย อบ เคยปาดเนย ทาเกลือ และโรยพริกไทยให้ไก่อบดูน่ากินมาแล้วก็ตาม และไม่มีใคร พูดถึงไก่อบด้วยความเคารพนอบน้อมได้ยิ่งไปกว่าผมอีก หมดสมัยความเชื่องมงาย ของชาวอียิปต์โบราณเรื่องนกกระสาอบและฮิปโปย่าง เพราะคุณจะได้เห็นซากแห้งกรัง ของสัตว์เหล่านี้ได้ตามโรงอบขนมปังขนาดใหญ่ทรงพีระมิด ไม่เลย...ยามออกทะเล ผมไปในฐานะลูกเรือธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เตร่อยู่แถวๆ เสา กระโดงบ้าง ลงไปดาดฟ้าหัวเรือบ้าง ปีนขึ้นไปบนยอดเสาบ้าง อันที่จริงพวกเขามักจะ สั่งให้ผมทำเสียมากกว่า ให้กระโดดจากเสาเรือต้นนี้ไปต้นโน้น ไม่ต่างอะไรกับตั๊กแตน โดดไปมาในทุ่งหญ้าเดือนพฤษภา แรกๆ งานประเภทนี้ไม่น่ารื่นรมย์นัก ก็เป็นเรื่อง ของศักดิ์ศรีมนุษย์น่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมาจากตระกูลเก่าแก่บนแผ่นดิน เช่น แวน เรนซ์เซเลอรส์ หรือแรนดอล์ฟส์ หรือฮาร์ดิแคนูตส์ หรือหากก่อนหน้าที่จะลงเอย มาเป็นกะลาสี คุณเคยเป็นผู้ออกคำสั่งในฐานะครูใหญ่โรงเรียนบ้านทุ่ง ซึ่งคอยกำราบ บรรดาเด็กหนุ่มตระกูลใหญ่เหล่านั้นให้กลัวหงอ การเปลี่ยนบทบาทจึงเป็นเรื่องใหญ่ที เดียว ผมยืนยันได้เลย จากครูใหญ่กลายมาเป็นกะลาสีเรือ คุณต้องยึดมั่นตามแนวคิด ของเซเนกาและลัทธิสโตอิกเพื่อให้คุณยืนหยัดยิ้มรับกับมันได้ แม้ว่าความอดทนนี้จะ ถูกกัดกร่อนไปไม่ช้าหรือเร็วก็ตาม จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตาเฒ่าจอมยโสนั่นออกคำสั่งกับผมในฐานะกัปตันเรือ ให้คว้าไม้กวาด ขึ้นมาทำความสะอาดดาดฟ้าเรือ? การหยามศักดิ์ศรีเช่นนั้นจะถึงกับถูกนำไปเพิ่มไว้ ในพระคัมภีร์พันธะสัญญาใหม่หรือไม่? คุณคิดว่าอัครเทวดากาเบรียลจะมองเหยียดผม ไหม โทษฐานที่นอบน้อมกระวีกระวาดทำตามคำสั่งตาเฒ่านั่น? แต่บอกผมทีเถอะ ใคร บ้างล่ะที่ไม่ใช่ทาส? เอาเถอะ ไม่ว่าบรรดากัปตันเฒ่าทั้งหลายสั่งให้ทำอะไร จิกหัวใช้ ขนาดไหน ผมก็ยังบอกกับตัวเองได้ว่าไม่เป็นไร คนอื่นๆ ก็โดนแบบนี้ไม่ทางใดก็ทาง
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 56
หนึ่ง ไม่มากก็น้อย ทั้งทางรูปธรรมหรือนามธรรม และแรงกดดันทั้งหลายก็จะได้แบ่ง เบากันออกไป ทุกคนจึงต่างควรร่วมมือร่วมแรงและก้มหน้ายอมรับมัน นี่แหละ ผมจึงมักออกทะเลไปในฐานะกะลาสี เพราะพวกเขาจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ ความลำบากลำบนของผมด้วย และไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า พวกเขาจะจ่ายให้แก่ผู้ โดยสารคนใดเลยแม้แต้สตางค์แดงเดียว ตรงกันข้าม ผู้โดยสารเหล่านั้นต่างหากที่ต้อง เสียเงินเป็นค่าเดินทาง การจ่ายและการรับบนโลกใบนี้ล้วนมีความแตกต่างกัน การ จ่ายหรือชำระหนี้อาจเป็นบทลงโทษที่น่าอัดอั้นตันใจที่สุด ที่สองหัวขโมยในสวนผลไม้3 นั่นสืบทอดมาถึงเรา ขณะที่การรับนั้นจะมีอะไรมาเปรียบปานได้เล่า? ท่าทีอ่อนช้อย ของผู้ได้รับเงินนั้นช่างน่าพิศวงจริงๆ เมื่อคิดถึงว่าเราเชื่อโดยสนิทใจว่าเงินเป็นต้นเหตุ แห่งความเลวร้ายทั้งปวงที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ และไม่มีทางที่คนมีเงินจะได้ขึ้นสวรรค์ ฮ้า! นั่นหมายถึงว่าเราต่างยินดีที่จะก้าวลงสู่อเวจีร่วมกันล่ะสิ! และที่ผมมักออกทะเลในฐานะลูกเรือ เพราะได้ออกแรงซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพ และได้ สูดอากาศบริสุทธิ์บนดาดฟ้าหัวเรือ ตามกฎธรรมชาติของบนโลกใบนี้ หัวลมย่อมมีลม มากกว่าที่ท้ายเรือ (ถ้าคุณไม่แหกกฎของพีทาโกรัสนะ) ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งกลางถึง ท้ายเรือซึ่งผู้บังคับการเรืออยู่เป็นส่วนใหญ่จึงต้องสูดอากาศเหลือเดนจากลูกเรือที่อยู่ ด้านหน้า เขาคิดว่าได้สูดอากาศบริสุทธิ์ก่อน แต่ก็เปล่า เช่นเดียวกับอีกหลายๆ เรื่อง คนธรรมดาสามัญกลับเป็นฝ่ายนำหน้าโดยที่คนเป็นผู้นำไม่ได้เอะใจอะไรเลย แต่ สำหรับผมแล้ว หลังจากได้สูดกลิ่นไอทะเลบ่อยครั้ง ยามล่องเรือไปในฐานะกะลาสีเรือ พาณิชย์ ผมก็คิดว่าถึงเวลาที่ควรผันตัวไปเป็นลูกเรือล่าวาฬเสียที จะเป็นพรหมลิขิตที่ มองไม่เห็นซึ่งลอบสอดส่องจับตามองและดลบันดาลใจผมอย่างประหลาดก็ว่าได้ ก็คง มีแต่เจ้าชะตากรรมนั่นแหละที่จะบอกได้ดีกว่าใคร และไม่ต้องสงสัยเลยว่าการตัดสิน ใจมาล่องเรือล่าวาฬในครั้งนั้น เกิดจากพรหมลิขิตที่ขีดไว้ก่อนหน้าเมื่อนานมาแล้ว ลิขิตฟ้าโหมโรงขึ้นมาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว แล้วก็บรรเลงยืดยาวอย่างไม่รู้ว่าจะจบลง เมื่อใด แต่ผมก็ถือว่านั่นเป็นส่วนของป้ายประกาศในทำนองว่า
3
สองหัวขโมยในสวนผลไม้ – อดัมกับอีฟ
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 57
“แข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งยิ่งใหญ่” “ล่องล่าวาฬของอิชเมล...หนึ่งเดียวคนนั้น” “สงครามเลือดในอัฟกานิสถาน” แม้ผมไม่รู้ว่าทำไมโชคชะตาผู้กำกับละครชีวิตจึงจับผมเดินทางไปกับเรือล่าวาฬโกโรโส ลำนั้น ขณะที่คนอื่นๆ กลับได้รับบทบาทสำคัญในละครโศกนาฏกรรมชั้นดี หรือรับบท สั้นๆ ง่ายๆ ในสุขนาฏกรรมของชนนั้นสูง หรือบทตลกในละครชวนหัว แม้จะไม่รู้ เหตุผลแน่ชัด แต่เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหมด ผมก็พอมองออกรางๆ ถึง เล่ห์กระเท่ห์นานาที่ทั้งกระตุ้นทั้งหลอกล่อ ลวงให้ผมโลดแล่นมารับบทบาทนี้ รวมทั้ง โน้มน้าวชักจูงให้ผมหลงคิดไปว่านั่นเป็นทางเลือกที่เกิดจากความสมัครใจล้วนๆ และ การพินิจพิเคราะห์อย่างถ้วนถี่ของผมเอง เหนือแรงดลใจทั้งหลายทั้งปวง ก็คือเจ้าวาฬเพชฌฆาตอันยิ่งใหญ่ตัวนั้นนั่นเอง เจ้า อสุรกายลึกลับอัปมงคลนั่นกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในตัวผม แล้วก็ทะเลคลั่ง กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่ลำตัวมหึมาขนาดเกาะของมันโยนตัวเล่นน้ำ ความร้ายกาจ ชนิดที่ไม่อาจบรรยายได้ของเจ้าวาฬยักษ์ตัวนี้ รวมทั้งทิวทัศน์และสรรพเสียงอันน่าตื่น ตาตื่นใจแถบพาตาโกเนียนั่นแหละเป็นแรงกระตุ้นสำคัญ หากเป็นคนอื่น สิ่งเหล่านี้อาจ ไม่มีแรงดึงดูดพอ แต่สำหรับผม ซึ่งต้องทุกข์ทรมานกับแรงปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับ ดินแดนไกลโพ้นมาเนิ่นนาน ใฝ่ฝันจะได้ล่องเรือไปในท้องทะเลต้องห้าม จอดเทียบท่า ชายฝั่งดินแดนป่าเถื่อน ผมจึงไม่ยอมทอดทิ้งโอกาสนั้นไป แต่เปิดใจเรียนรู้ความกลัว และทำความคุ้นเคยกับมันเมื่อสบช่อง เพราะย่อมเป็นการดีที่จะผูกมิตรกับเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่ที่เดียวกับเรา ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงนี้เอง เรือล่าวาฬจึงมีโอกาสได้ต้อนรับผม และประตูสู่โลก แสนพิศวงเปิดกว้างออก ความคิดบ้าบิ่นนั่นเองที่หนุนส่งผมอยู่ในส่วนลึกแห่งจิต วิญญาณ ให้เข้าไปในเรือเป็นคู่ๆ4 สู่การไล่ล่าวาฬอันไม่รู้จักจบสิ้น โดยมีเป้าหมาย สำคัญที่เจ้าปีศาจยักษ์หลังขาวซึ่งคล้ายภูเขาหิมะสูงเสียดฟ้านั่น 4
เข้าไปในเรือเป็นคู่ๆ – จากคัมภีร์ไบเบิ้ล “ก็มาหาโนอาห์ แล้ว เข้าไปในเรือเป็นคู่ๆ ทั้งตัวผู้ตัวเมีย ดัง ที่พระเจ้าทรงบัญชาโนอาห์ไว้” (ปฐมกาล 7.9)
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 58
บทที่ 2 กระเป๋าผ้าพรม
ผมยัดเสื้อเชิ้ตตัวสองตัวใส่กระเป๋าผ้าพรมใบเก่าหนีบไว้ใต้แขน แล้วมุ่งหน้าสู่แหลม เคปฮอร์นและมหาสมุทรแปซิฟิก อำลาเมืองเก่าน่าอยู่อย่างแมนฮัตโต และมาถึงเมือง ท่านิวเบดฟอร์ดในค่ำวันเสาร์ของเดือนธันวาคม แต่ก็ต้องผิดหวังมหันต์เมื่อพบว่าเรือ เล็กที่จะล่องไปเกาะแนนทักเก็ตได้ออกจากท่าไปเสียแล้ว และไม่มีเที่ยวเรือไปที่นั่นอีก จนกว่าจะถึงวันจันทร์ เหล่าคนหนุ่มผู้กล้าท้าอุปสรรคอันยากลำบากของการล่าวาฬส่วนใหญ่ล้วนมาแวะพักที่ ท่านิวเบดฟอร์ดก่อนเริ่มการผจญภัยเช่นเดียวกันกับผม แต่ผมเป็นคนเดียวที่ไม่ได้คิด แวะพักที่นั่นแต่แรก ที่จำต้องพักเพราะแค่จะลงเรือไปแนนทักเก็ตเท่านั้น ทั้งได้ยินถึง กิตติศัพท์เลืองลือหนาหูเกี่ยวกับเกาะอันงดงามเก่าแก่นั้น จนผมต้องอดพอใจอย่าง ประหลาดไม่ได้ นอกจากนั้น แม้ล่าสุดนิวเบดฟอร์ดได้กลายมาเป็นท่าเรือผูกขาดการ ล่าวาฬ แต่เกาะแนนทักเก็ตก็เป็นแหล่งต้นเค้ามาก่อน เพราะเป็นที่ที่วาฬอเมริกันตัว แรกถู ก ลากขึ้ น มาเกยตื้ น เกาะแนนทั ก เก็ ต นี่ ไ ม่ ใ ช่ ห รื อ ที่ เ หล่ า นั ก ล่ า วาฬชาว อินเดียนแดงพื้นเมืองเปิดตำนานด้วยการนำเอาเรือบดออกไปไล่ล่าปีศาจยักษ์แห่งท้อง ทะเลเป็นครั้งแรก? และที่เกาะแนนทักเก็ตนี้ด้วยมิใช่หรือที่เล่าขานกันว่ามีผู้เอาเรือใบ เล็กเสาเดี่ยวขนหินกรวดล่องออกไปขว้างใส่เหล่าวาฬยักษ์เพื่อกะระยะเหมาะที่จะพุ่ง ฉมวกจากหัวเรือเข้าใส่? ผมใช้เวลาหนึ่งคืนหนึ่งวัน แล้วก็อีกหนึ่งคืนอยู่ที่ท่านิวเบดฟอร์ด ก่อนหน้านี้ผมคิดแต่ จะไปยังท่าเรือเป้าหมาย แต่เมื่อเป็นแบบนี้ ปัญหาสำหรับผมจึงเป็นเรื่องของปากท้อง และที่หลับนอน มันช่างเป็นค่ำคืนที่ว้าวุ่นเหลือแสน ไม่ใช่สิ เป็นคืนค่ำอันแสนมืดมิด หดหู่ เหน็บหนาว แล้วก็เศร้าสร้อยเลยทีเดียว ผมไม่รู้จักใครที่นั่นสักคน เมื่อควานดู ในกระเป๋าก็หยิบเหรียญเงินขึ้นมาได้ไม่กี่อัน ‘แล้วนายจะไปไหนได้วะ...อิชเมล’ ผมพูด กับตัวเองตอนที่ยืนอยู่บนถนนอันมืดมน สะพายกระเป๋าไว้บนไหล่ และหันซ้ายหันขวา
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 59
กะความมืดสลัวทางทิศเหนือกับความมืดมิดทางทิศใต้ ‘เจ้าอิชเมลเอ๋ย...ไม่ว่าจะตัดสิน ใจซุกหัวนอนคืนนี้ที่ไหน อย่าลืมถามราคาห้องให้ชัดก่อนล่ะ แล้วก็อย่าเรื่องมากด้วย’ ผมเดินสะเปะสะปะไปตามถนนต่างๆ กระทั่งไปเห็นป้ายโรงเตี๊ยม “ฉมวกไขว้” แต่ ท่าทางแพงไปหน่อย แถมยังอึกทึกมากด้วย เมื่อเดินต่อไปอีกหน่อย ก็เห็นแสงลอด ออกมาจากหน้าต่างสีแดงโร่ของ “โรงเตี๊ยมกระทงแทง” เหมือนรังสีร้อนแรงที่แผด ออกมาละลายหิมะและน้ำแข็งด้านหน้าที่พัก เพราะบริเวณนั้นมีน้ำค้างแข็งก่อตัวหนา ราวสิบนิ้วปกคลุมไปทั่วพื้นผิวถนนลาดยาง ผมคงหนื่อยไปหน่อย จนเท้าไปครูดเหล็ก แข็งที่ยื่นออกมาเข้า ความแข็งของมันทำให้พื้นรองเท้าบู๊ทคู่ลุยของผมอยู่ในสภาพ เกินเยียวยา ผมบอกกับตัวเองอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงแก้วกระทบกันดังมาจากข้างในว่า แพงไปแล้วก็อึกทึกไป แล้วกวาดตามองไปบนถนนอยู่ครู่หนึ่ง ‘ไปต่อน่า อิชเมล ได้ยิน ไหม?’ ผมบอกตัวเองในที่สุด ‘ไปให้พ้นๆ หน้าประตูนี่ซะ จะมาเสียดายอะไรกับ รองเท้าคู่เน่าๆ นี่’ แล้วก็ออกเดินต่อ คราวนี้ผมใช้สัญชาตญาณหาทางที่จะทอดไปสู่ ผืนน้ำ เพราะไม่ต้องสงสัยว่าที่นั่นต้องมีที่พักราคาถูกแสนถูก หรือไม่ก็โรงเตี๊ยมที่แสน จะอภิรมย์ ถนนช่างทึบทึมเหลือเกิน! สองฟากข้างมีแต่อาคารมืดมิด ไม่มีที่พักเลยสักหลัง เห็น แต่แสงเทียนตรงนี้ตรงนั้นคล้ายแสงเทียนวอมแวมในสุสาน ณ โมงยามของราตรีในวัน หยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ตัวเมืองย่านนี้กลายเป็นดินแดนรกร้างไป แต่ครู่ต่อมา ผมก็ เห็นแสงมัวซัวลอดออกมาจากอาคารเตี้ยกว้างหลังหนึ่ง ประตูเปิดอ้าอยู่เหมือนเชื้อ เชิญ มันดูเรียบง่ายดีเหมือนไว้บริการสาธารณะโดยเฉพาะ ผมจึงก้าวตรงเข้าไป แล้ว เท้าก็ไปสะดุดเข้ากับกับหีบใส่ขี้เถ้า5ตรงปากประตูเป็นอันดับแรก ‘โอ้โฮ!’ ผมคิดขณะที่ เกือบสำลักขี้เถ้า ‘โอ้โฮ! นี่มันขี้เถ้าเมืองกอมมอร์ราห์ที่ถูกทำลายไปทั้งเมืองหรือไง หว่า? โรงเตี๊ยมฉมวกไขว้เอย ปลากระโทงแทงเอย แล้วก็ยังนี่อีก ท่าจะชื่อโรงเตี๊ยม ‘กับดัก’ มั้ง?’ แต่ผมก็พยุงตัวขึ้นยืน ได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน ก่อนจะผลักประตู บานในเข้าไป
5
หีบใส่ขี้เถ้า – ไว้สำหรับโปรยทางเดินที่มีน้ำแข็งเกาะ ให้เดินไม่ลื่นล้ม
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 15 0
ในนั้นราวกับสภามืดเปิดประชุมกันที่เมืองโทเฟต คนผิวดำร่วมร้อยกำลังหันหน้าเข้าใส่ กัน ส่วนบนแท่นเทศน์นั่น เทพเจ้ามืดแห่งเคราะห์กรรมก็โอมอ่านคัมภีร์อยู่ นี่เป็น โบสถ์ของชนผิวคำ เสียงนักเทศน์กำลังพูดถึงความมืดในความมืดมิด ระคนไปกับเสียง ครวญคร่ำร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของผู้ฟัง ‘โอ้โฮ! อิชเมล’ ผมพึมพำกับตัวเอง ‘ถอยดีกว่าเรา นี่มันมหรสพคนอมทุกข์นี่นา สมกับชื่อโรงเตี๊ยมกับดักจริงๆ!’ แล้วผมก็ผละจากมา จนเดินมาถึงแสงไฟสลัวซึ่งอยู่ไม่ห่างจากท่าเรือมากนัก ได้ยิน เสียงเอี๊ยดอ๊าดตามสายลมชวนให้ระทมเปล่าเปลี่ยว เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นแผ่น ป้ายแกว่งไกวไปมาอยู่เหนือประตู บนป้ายมีรูปสีขาวมองออกได้รางๆ ว่าเป็นสายน้ำ พ่นพุ่งสูงจากหลังวาฬ ส่วนข้างใต้มีข้อความว่า “โรงเตี๊ยมวาฬพ่นน้ำ: ปีเตอร์ โลงศพ” วาฬพ่นน้ำ? โลงศพ? เมื่อรวมกันแล้วช่างไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย ผมคิด แต่ถ้าเป็นที่ เกาะแนนทักเก็ต ว่ากันว่าเป็นชื่อที่พบเห็นได้ทั่วไป ผมเลยเดาว่านายปีเตอร์คนนี้คง ต้องอพยพมาจากเกาะนั่นแน่ๆ แสงไฟดูแสนริบหรี่ ส่วนโรงเตี๊ยมตอนนี้ก็ดูเงียบสงบดี แม้บ้านไม้ดูชำรุดทรุดโทรมราวกับขนเอาซากปรักหักพังจากย่านที่ถูกเผาราบมาสร้าง แถมป้ายเก่านั่นก็แกว่งเอี๊ยดอ๊าดน่าสังเวช แต่ผมก็คิดว่า นี่แหละที่พักราคาถูก ที่มี กาแฟถั่วรสเลิศด้วย ช่างเป็นสถานที่ที่แปลกเอาการ บ้านพักเก่าหลังคาทรงจั่ว ด้านหนึ่งของหลังคาพิกล พิการเพราะเอียงเย้ออกมาอย่างน่าสังเวชและตั้งอยู่ในมุมยะเยือกเย็น บริเวณที่พายุ ยูโรไคลดอนส่งเสียงโหยหวนชวนสยองเสียยิ่งกว่าตอนที่มันล่มเรือของนักบุญพอลผู้น่า สงสาร ถึงอย่างนั้นยูโรไคลดอนก็ยังเป็นลมอ่อนทางตะวันตกที่ให้ความสำราญยิ่งแก่ ผู้คนที่อยู่ภายในบ้านด้วย เพราะจะได้นอนอังเท้าบนตะแกรงข้างเตาผิงหลับสบาย “ที่ เรียกลมนี้ว่ายูโรไคลดอน” นักเขียนรุ่นเก่าคนหนึ่งว่าไว้ ซึ่งผมก็มีหนังสือของเขาอยู่แค่ เล่มเดียว “มันสร้างความแตกต่างอย่างประหลาด ไม่ว่าท่านจะมองมันผ่านกระจก หน้าต่าง ไปยังที่ที่แผ่นน้ำแข็งเกาะอยู่ทั่วด้านนอกนั่น หรือท่านจะเฝ้าสังเกตมันจาก หน้าต่างผนังไร้กรอบ ซึ่งจะเห็นน้ำแข็งเกาะอยู่ทั้งด้านในและด้านนอก จะเป็นหรือตาย ก็อยู่ที่มุมมองของช่างทำกระจกเท่านั้น”
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 15 1
จริงทีเดียว ผมคิด เมื่ออีกข้อความจากคัมภีร์มืดผุดขึ้นในใจ ‘ท่านจงไตร่ตรองให้ดีเถิด’ ใช่แล้ว...ดวงตาเหล่านั้นคือหน้าต่าง ส่วนร่างกายนี้คือบ้าน ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน เหตุใดผู้คนจึงไม่อุดรอยร้าวและช่องโหว่เหล่านั้น ก็แค่ใช้เศษผ้าเล็กๆ อุดรอยรั่วตรงนี้ ตรงนั้น กระทั่งมันสายเกินกว่าจะซ่อมแซม จักรวาลได้จบสิ้นแล้ว ยอดกำแพงยังอยู่ ขณะเศษซากที่ เ หลื อ ถู ก ลากออกไปไกลเมื่ อ นั บ ล้ า นปี ก่ อ น ที่ นั่ น ลาซารั ส ผู้ ทุ ก ข์ ยาก6นอนหนาวสั่นอยู่บนถนนกรวด ตัวสั่นสะท้านฉีกทึ้งผ้าขี้ริ้ววุ่น เขาอาจใช้เศษผ้า นั่นอุดสองหู ยัดซังข้าวโพดใส่ปาก แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งพายุยูโรไคลดอนได้ ขณะเศรษฐี เฒ่าไดฟส์ในชุดคลุมไหมสีแดง (ภายหลังยังมีอีกชุดที่แดงแจ๋กว่านั้น7) กลับเพรียกหา ยูโรไคลดอนเสียฉิบ! หนอยแน่ะ! ช่างเป็นค่ำคืนที่หนาวเย็นดีแท้ กลุ่มดาวพรานส่อง ประกายระยิบและแสงเหนือก็สาดสีงามเสียนี่กระไร! ใครจะพูดถึงหน้าร้อนในดิน แดนตะวันที่เหมือนเรือนกระจกซึ่งอบอุ่นตลอดกาลนั่นยังไงก็ช่างเขาเถิด ผมขอแค่ใช้ ถ่านสร้างหน้าร้อนของผมเองก็เป็นพอ ลาซารัสคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น? เขาชูสองมือเขียวคล้ำขึ้นอังไออุ่นจากแสงเหนืออัน งดงามนั่นได้ไหม? ลาซารัสไม่อยากไปอยู่เกาะสุมาตรามากกว่าที่นี่หรอกหรือ? เขาไม่ อยากล้มตัวนอนเหยียดยาวขนานเส้นศูนย์สูตร...ใช่แล้ว…พระเจ้า! หรือกระทั่งโจนลง หลุมไฟเสียเลยเพื่อช่วยให้หายหนาว? เอาล่ะ ลาซารัสควรนอนเกยตื้นอยู่บนถนนกรวดหน้าประตูบ้านของไดฟส์นั่น มันย่อม ดีกว่าการที่ภูเขาน้ำแข็งดันลอยไปจอดที่เกาะแถวโมลุกกะ กระนั้น ตัวไดฟส์เองก็ใช้ ชีวิตเหมือนจักรพรรดิซาร์ ในวังน้ำแข็งที่สร้างจากเสียงทอดถอนใจซึ่งกลายเป็นไอเย็น ทั้งยังเป็นประะธานสมาคมผู้ไม่เสพของมึนเมา ด้วยดื่มแต่น้ำตาอุ่นๆ ของเด็กกำพร้า แต่ก็เอาละ หมดเวลา “พ่นน้ำ” แล้ว เรากำลังจะออกไปล่าวาฬกัน ยังมีเรื่องพ่นน้ำ ตามมาอีกเยอะ ขูดน้ำแข็งใต้เท้าทิ้งแล้วก้าวไปดูซิว่า โรงเตี๊ยม “วาฬพ่นน้ำ” นี่เป็นยัง ไง 6
ลาซารัส-นักบุญในศาสนาคริสต์ที่ได้รับการชุบชีวิตจากพระเยซูหลังจากตายไปแล้วสี่วัน ช่วงหนึ่งในพระ คัมภีร์ได้บอกเล่าถึงช่วงเวลาที่เขาตกยากและนอนหนาวสั่นอยู่หน้าประตูบ้านของไดฟส์ชายผู้มั่งคั่ง 7
แดงแจ๋กว่านั้น-ไฟนรก
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 15 2
บทที่ 3 โรงเตี๊ยมวาฬพ่นน้ำ
เมื่อก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมวาฬพ่นน้ำหลังคาทรงจั่วนั่น คุณจะเห็นทางเดินบรรยากาศ คร่ำครึทอดสู่โถงกว้างเพดานต่ำ สองฟากผนังบุด้วยแผ่นไม้แบบโบราณชวนให้นึกถึง กราบเรือเก่าแสนเชย ผนังด้านหนึ่งแขวนภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ไว้ มีเขม่าควันจับ เขรอะและรอยยับเยินอยู่หลายที่ ถ้าแวะเวียนมาดูบ่อยๆ และหมั่นสอบถามความเห็น จากคนข้างๆ ก็จะพอมองออกถึงความนัยในแสงเงาที่ถ่วงกันอย่างไม่ได้ดุลนั้น การใช้ แสงเงาปาดเป็นปื้นๆ นั่นยากต่อการคาดเดาอยู่ ตอนแรกคุณอาจนึกไปถึงจิตรกรหนุ่ม เปี่ยมไฟแรงยุคล่าแม่มดผู้สู้อุตสาหะวาดความโกลาหลในช่วงนั้นออกมาเหมือนร่าย มนต์ แต่ถ้าตั้งใจดูจริงๆ ครุ่นคิดให้มากๆ ยิ่งหลังจากเปิดหน้าต่างบานเล็กหลังโถงทาง เข้านี่ออกไป คุณก็อาจถึงบางอ้อได้ในที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ขอรับรองนะ ที่เป็นปริศนาและน่าสับสนที่สุดคือเส้นปื้นดำยาวงองุ้มน่ากลัวโฉบอยู่กลางภาพ เหนือ เส้นตั้งสีน้ำเงินเลือนรางสามเส้นซึ่งมีเชื้อราไม่ทราบชื่อลอยจับอยู่เต็ม ช่างเป็นภาพที่ เหนอะชื้น ชุ่มเปียกเสียจนทำให้คนดูรู้สึกใจคอไม่ดี กระนั้นมันก็แทบจะเป็นภาพยอด เยี่ยมเหนือจินตนาการอันสะกดคุณอยู่กับที่ จนอดสาบานกับตัวเองไม่ได้ว่าจะต้องไข ความลับมหัศจรรย์ของภาพให้จงได้ อนิจจา! บางขณะคุณอาจคิดวาบเอาเองว่า ‘ภาพ ทะเลดำกลางพายุเดือนมืดไง!’ หรือไม่ก็ ‘การโรมรัมอันผิดประหลาดของดินน้ำลมไฟ’ ‘ดินแดนหายนะหลังสงคราม’ ‘ภาพหนาวเหน็บในไฮเปอร์โบเรีย8’ ‘การพังทลายของ ธารน้ำแข็งตามธรรมชาติวิทยา’ แต่สุดท้าย ความคิดวาบเอาเองทั้งหลายนั้นก็ต้อง ชะงักกับรูปน่ากลัวที่อยู่กลางภาพ เพราะเหลือบมองเมื่อใดส่วนอื่นๆ ก็พลันไร้ความ สำคัญไป แต่เดี๋ยวก่อน...รูปนั่นดูคล้ายๆ กับปลายักษ์นี่นา อาจเป็นเจ้าวาฬยักษ์นั่น เลยก็ได้!? ดูเหมือนจิตรกรคนนี้จะวาดมันจริงๆ แต่ที่ผมสรุปแบบนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้พูด คุยกับคนเฒ่าคนแก่หลายคนมาว่านั่นเป็นภาพเรือกำลังฝ่าพายุเฮอริเคนใหญ่แถวแห 8
ไฮเปอร์โบเรีย-ขั้วโลกเหนือ
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 15 3
ลมเคปและใกล้อับปางลง เห็นแต่เสากระโดงทั้งสามชูง่อนแง่น วาฬบ้าคลั่งตัวหนึ่ง พยายามกระโจนข้ามเรือแต่พลาด และแรงมหาศาลนั้นกลับทำให้ตัวมันถูกยอดเสา กระโดงเรือทั้งสามเสียบจนทะลุ ผนังอีกด้านของโถงทางเข้าแขวนเรียงรายด้วยข้าวของของพวกนอกรีต พวกกระบอง มหึมาและหอก บ้างประดับแน่นด้วยฟันแวววาวคล้ายงาช้าง บ้างก็ประดับด้วยปอยผม มนุษย์ อันหนึ่งลักษณะเป็นรูปเคียว มีด้ามขนาดใหญ่ไว้จับหมุนควง เหมือนมีดดาย หญ้าสำหรับนักดายหญ้าช่วงแขนยาว คุณต้องขนลุกทีเดียวเมื่อเห็นและนึกสงสัยว่า มนุษย์กินคนแสนโหดหรือคนป่าเผ่าไหนกันที่ออกเก็บเกี่ยวความตายด้วยเครื่องมือน่า สยดสยองซึ่งใช้ในการสับการฟันแบบนี้ ของเหล่านี้แขวนปะปนอยู่กับหลาวและฉมวก เก่าสำหรับล่าวาฬซึ่งพังชำรุดและมีสนิมเกาะเกรอะกรัง อาวุธบางอันมีเรื่องเล่าปูมหลัง เช่น เจ้าหอกยาวที่ตอนนี้โก่งงอหมดสภาพแล้วนั่น เมื่อสิบห้าปีก่อนนาธาน สเวนเคย ใช้ล่าสังหารวาฬถึงสิบห้าตัวตั้งแต่เช้ายันค่ำ ส่วนฉมวกที่บิดเป็นเกลียวนั่นก็เคยใช้ใน ทะเลชวา ขว้างเข้าใส่วาฬตัวหนึ่งก่อนที่มันจะมุดน้ำหนีไปพร้อมฉมวกนี่ แต่ก็พบนอน ตายอยู่บนแหลมบลันโซในหลายปีต่อมา เดิมหัวฉมวกเหล็กเจาะเข้าแถวโคนหาง เหมือนเข็มปักคาอยู่บนร่างมนุษย์ แต่หัวฉมวกเคลื่อนไปในตัวมันไกลถึงสี่สิบฟุต และ พบฝังอยู่ที่หนอกมันในท้ายที่สุด เมื่อเดินไปตามทางเข้าแสงสลัวซึ่งคดเคี้ยวไปมา จนผ่านบริเวณที่ถ้าเป็นสมัยก่อนก็คือ โถงปล่องไฟยักษ์ เพราะมีแต่เตาผิงอยู่รอบด้าน ก็จะถึงห้องนั่งเล่นสังสรรค์ แสงในนี้ ยิ่งมัวซัวกว่าเก่า เพราะเพดานคานต่ำที่ทำจากไม้ใหญ่เทอะทะด้านบน และพื้นไม้ กระดานเก่าขรุขระด้านล่าง จนแทบนึกไปว่ากำลังเดินอยู่ในห้องเครื่องของเรือเก่าๆ แถมยังเป็นคืนพายุหอนที่โยกคลอนเรืออย่างบ้าคลั่งแม้จอดทอดสมออยู่ก็ตาม ด้าน หนึ่งของห้องตั้งโต๊ะเตี้ยยาวคล้ายชั้นวางของ ด้านบนครอบด้วยแผ่นกระจกมีรอยแตก ร้าว ของที่ตั้งวางด้านในมีฝุ่นจับหนา ล้วนเป็นของหายากที่เก็บสะสมมาจากแดนไกล ทั่วทุกมุมโลก ซุ้มที่ยื่นออกมาจากหลืบมืดด้านหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ถัดออกไปคือบาร์ โดย พยายามทำให้ดูคล้ายหัววาฬ ซึ่งก็มีกระดูกโค้งมหึมาของขากรรไกรวาฬจริงๆ ตั้ง แขวนอยู่ด้วย มันกว้างใหญ่เสียจนรถม้าโดยสารทั้งคันแทบลอดผ่านได้ ภายในชั้นวาง โกโรโกโสนี่ยังจัดวางคนโทเก่าๆ ขวด แล้วก็กระติกน้ำ ด้านในหลืบกรามวาฬซึ่ง
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 15 4
สามารถทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตานั่นเหมือนที่เกิดกับโยนาห์ผู้ถูกสาป เป็นที่ประจำ ของชายแก่ร่างแคระแกร็น (ซึ่งแกถูกเรียกลับหลังว่าโยนาห์จริงๆ) ผู้ขายน้ำพิษและ ความตายแสนแพงให้แก่บรรดากะลาสีทั้งหลาย ซ้ำร้ายคือแก้วก้นหนาที่แกเทยาพิษลงไปนั่น แม้ไม่มีกระบอกสูบอยู่ด้านนอกหรือด้าน ใน ปริมาณเหล้าร้ายสีเขียวก็ค่อยๆ เหือดหายถึงก้นแก้วได้เอง ข้างแก้วของโจรปล้น คนเดินทางผู้นี้ขีดเส้นไว้เป็นจุดสังเกตคร่าวๆ เมื่อเทเหล้าลงไปถึงขีดนั้นขีดนี้ก็คือเงิน หนึ่งเพนนีที่คุณต้องจ่าย แล้วก็อีกหนึ่งเพนนีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเต็มแก้ว มาตรวัด แห่งแหลมเคปนี่อาจทำให้คุณเผลอดื่มรวดเดียวแล้วต้องจ่ายถึงหนึ่งชิลลิงเลยทีเดียว ที่นั่นผมเห็นบรรดากะลาสีหนุ่มชุมนุมกันอยู่รอบโต๊ะ กำลังตรวจดูตัวอย่างกระดูกวาฬ แกะสลักอยู่ใต้แสงมัวๆ นั่น ผมเดินไปหาเจ้าของห้องพักแล้วบอกแกว่าอยากได้ห้อง พัก คำตอบที่ได้รับคือห้องเต็มแล้ว ไม่มีเตียงว่างสักเตียง “แต่เดี๋ยวก่อน...” แกเคาะ หน้าผากตัวเอง “นายรังเกียจม้าย ที่จะนอนเตียงเดียวกับนักพุ่งฉมวก? ฉันคิดว่านาย คงกำลังจาออกเลล่าวาฬ นายน่าจะฝึกทำตัวให้คุ้นไว้นะ” ผมบอกแกว่าไม่ชอบนอนร่วมเตียงกับใคร แต่ถ้าจำเป็นก็คงต้องยอม มันขึ้นอยู่กับว่า นักพุ่งฉมวกนี่เป็นใคร ถ้าแก (เจ้าของบ้านพัก) ไม่มีห้องจริงๆ และนักพุ่งฉมวกไม่ว่า อะไร ก็ไม่รู้จะท่อมๆ ไปกลางคืนหนาวจัดในเมืองแปลกถิ่นนี่ทำไม ผมขอเลือกพักค้าง คืนเตียงเดียวกับใครก็ได้ จะสุภาพชนน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไร “ฉันก็ว่างั้นแหละ เอาละ...นั่งก่อนสิ แล้วอาหารค่ำล่ะเอาด้วยไหม? อาหารใกล้เสร็จ พอดี” ผมนั่งลงบนม้านั่งยาวที่ทำจากไม้เก่าแกะสลักทั้งตัว เหมือนม้านั่งในสวนสาธารณะ แบตเตอรี่ เห็นลูกเรือคนหนึ่งกำลังนั่งรำพึงรำพันขณะใช้มีดพับแกะสลักอะไรอยู่ที่ ปลายม้านั่งอีกด้าน เขาก้มๆ เงยๆ ขะมักเขม้นอยู่บริเวณที่ว่างตรงหว่างขา พยายาม แกะสลักเป็นรูปเรือใบที่กำลังแล่นฉิว แต่คงแกะไปได้ไม่ถึงไหนหรอก ผมคิด แล้วพวกเราสี่หรือห้าคนก็ถูกเรียกไปกินอาหารในห้องซึ่งอยู่ติดกัน ในนั้นอากาศหนาว เย็นราวกับขั้วโลกเพราะไม่มีเตาผิงเลย เจ้าของห้องพักบอกว่าแกไม่มีปัญญาหามา ใน
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 15 5
ห้องไม่มีอะไรเลย นอกจากแสงริบหรี่จากเทียนไขสัตว์เปลวไหลเยิ้มสองเล่ม เราต้อง กลัดกระดุมแจ๊คเก็ตสั้นที่สวมอยู่ทุกเม็ด ใช้มือหนาวเหน็บประคองถ้วยชาร้อนๆ ขึ้นจิบ อาหารที่คุ้มค่าที่สุดไม่ใช่เนื้อและมันฝรั่ง หากแต่เป็นเกี๊ยว สรรค์โปรด! เกี๊ยวสำหรับ อาหารค่ำ! เพื่อนหนุ่มคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมหนาสีเขียวสวาปามเกี๊ยวนั่นอย่างตะกรุม ตะกราม “ไอ้หนุ่ม” เจ้าของห้องพักพูด “นายมีหวังได้ฝันร้ายแหง๋มๆ” “ลุง” ผมกระซิบถามเจ้าของห้องพัก “นั่นคงไม่ใช่นักพุ่งฉมวกหรอกนะ?” “หา?...ไม่ใช่หรอก” แกตอบแบบติดตลกร้าย “นักพุ่งฉมวกเป็นคนผิวดำน่ะ หมอไม่ เคยกินเกี๊ยวหรอก ไม่เลย ไม่กินอะไรนอกจากสเต็ก แล้วก็ชอบเนื้อแบบม่ายสุกมาก ด้วย” “ขนาดนั้นเชียว” ผมบอก “แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? อยู่นี่หรือเปล่า?” “ก็อยู่นี่มานานแล้วแหละ” นั่นเป็นคำตอบ ผมเริ่มนึกหวาดระแวงในตัวนักพุ่งฉมวก “ผิวดำ” คนนี้ขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมตัว เองได้ จึงตัดสินใจแล้วว่า ถ้าต้องนอนด้วยกันจริงๆ ขอเขาให้เปลื้องผ้าขึ้นเตียงไปก่อน น่าจะเป็นการดี ครั้นเวลาอาหารค่ำเสร็จสิ้นลง เพื่อนร่วมโต๊ะต่างกลับไปยังบาร์เหล้า ผมไม่รู้จะทำอะไร จึงตัดสินใจใช้ช่วงที่เหลือของค่ำนี้สังเกตการณ์ ตอนนั้นมีเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก เจ้าของห้องพักยืนขึ้นตะโกน “นั่นมันลูกเรือ แกรมปัสนี่หว่า ฉันได้ข่าวตั้งแต่เห็นเรือลอยลำลิบๆ เมื่อเช้านี้ หลังออกเรือไปตั้งสาม ปี แล้วลูกเรือก็กลับมาเต็มลำ ไชโย! ไอ้หนุ่มทั้งหลาย ในที่สุดเราก็จะได้ข่าวจากหมู่ เกาะฟิ้จิกันแล้ว” มีเสียงรองเท้าบู๊ตย่ำดังมาใกล้ทางเข้า แล้วประตูก็เปิดผางออก กลุ่มชาวเลหน้าเข้มเฮ ละโลกันเข้ามา ต่างสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวหนาแบบมีหมวกคลุมขนแกะ ทุกคน
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 15 6
สกปรกมอมแมมและเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง หนวดรุงรังบนใบหน้าก็โด่เด่เป็นน้ำแข็ง ดูๆ ไป แล้วเหมือนฝูงหมีแตกรังมาจากลาบราดอร์ พวกนี้เพิ่งขึ้นจากเรือและเดินมาถึงที่นี่เป็น แห่งแรก และไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะพุ่งตรงมายังปากวาฬหรือบาร์เหล้า ส่วนตาเฒ่า แคระโยนาห์ก็ขมีขมันทำหน้าที่ของตน รีบเทเหล้าเต็มแก้วยื่นส่งให้จนถ้วนทั่วทุกตัว คน พอใครคนหนึ่งบ่นขึ้นว่าอากาศเย็นจี๊ดขึ้นสมอง แกก็ไม่รอช้ารีบผสมเหล้าที่มีสี คล้ายยางไม้ผสมน้ำเชื่อมส่งให้ พร้อมสถบสาบานว่า มีสรรพคุณรักษาอาการหนาวสั่น ไข้ หรือจะหวัดอะไรก็ตามแต่ ได้ผลชะงัดทั้งนั้น ไม่ว่าเป็นมานานขนาดไหน ไปติดมา จากฝั่งทะเลลาบาร์ดอร์ หรือจากเกาะน้ำแข็งที่มีอากาศหนาวเหน็บที่ไหนมาก็ตาม ไม่ช้าน้ำเมาที่ดื่มลงท้องก็ย้อนกลับขึ้นสู่สมอง เพราะเป็นเรื่องธรรมดาแม้แต่กับนักดื่ม คอแข็ ง ที่ เ พิ่ ง ขึ้ น จากทะเล ไม่ นานพวกเขาก็ เ ริ่ ม กระโดดโลดเต้ น ส่ ง เสี ย งอึ ก ทึ ก ครึกโครมกันอย่างสนุกสนาน กระนั้น ผมสังเกตเห็นหนึ่งในนั้นที่แปลกออกไป ใบหน้าของเขาสุขุมเยือกเย็น แม้จะ ร่วมดื่มเพราะไม่อยากขัดความสนุกของเพื่อนกะลาสีด้วยกัน แต่ก็ยังระวังท่าที ไม่ ตะโกนโหวกเหวกเหมือนพวกพ้อง ชายคนนี้ทำให้ผมสนใจในตัวเขาขึ้นมาทันที และ นับแต่นั้นมา เทพแห่งท้องทะเลก็ดลบันดาลให้เขากลายมาเป็นเพื่อนกะลาสีของผม (แม้จะเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องในเรือก็ตาม) ขอผมพูดถึงเขาเพิ่มอีกสักนิดเถอะ เขาสูง เต็มหกฟุต ไหล่ตั้งตรงเป็นสง่า อกกว้างผึ่งผาย ผมแทบไม่เคยเห็นใครที่มีกล้ามเนื้อ เป็นมัดแบบๆ นั้นเลย ใบหน้าของเขาเป็นสีทองแดงเพราะกร้านกรำแดด ตัดกับฟันสีขาววาววับ นัยน์ตาคู่นั้น ส่อแววครุ่นคิดถึงอดีตอยู่เร้นลึก ซึ่งให้เขาดูไม่ร่าเริงเท่าไรนัก สำเนียงพูดบ่งบอกว่ามา จากทางใต้ และดูจากส่วนสูงของเขาแล้ว ผมว่าเขาต้องเป็นชาวเขาจากสันเขาแอลลิ กาเนียนในเวอร์จิเนียแน่ เมื่อเห็นเพื่อนพ้องได้สำราญกันเต็มที่แล้ว เขาก็ปลีกตัวหาย ไป แล้วผมก็ไม่ได้เห็นเขาอีกเลยจนกระทั่งเขาได้กลายมาเป็นสหายร่วมล่องทะเลกับ ผม แต่หลังจากเขาหลบไปได้ไม่กี่นาที เพื่อนกะลาสีก็เริ่มร้องเรียกหาราวกับว่าเขา เป็นคนโปรดของคนกลุ่มนี้ “บัลกิงตัน! บัลกิงตัน! บัลกิงตันอยู่ไหนหว่า?” แล้วพากัน โถมออกจากโรงเตี๊ยมไปตามหาเขา
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 15 7
ตอนนั้นราวสามทุ่มแล้ว หลังความสนุกสุดเหวี่ยงหมดไป ห้องทั้งห้องพลันเงียบสงบ ลงอย่างแทบไม่น่าเชื่อ ผมอดครึ้มใจไม่ได้ที่ได้ไล่ตามความฝันที่จะผันตัวมาเป็นกะลาสี ล่าวาฬ ไม่มีใครอยากนอนร่วมเตียงกับคนอื่น จะว่าไปแล้วแม้แต่นอนร่วมเตียงกับพี่น้อง กันเองก็แทบไม่มีใครชอบ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม บอกได้เพียงว่าคนเราต้องการ ความเป็นส่วนตัวยามหลับใหล แต่เมื่อต้องมานอนร่วมกับคนแปลกหน้า ในโรงเตี๊ยม แปลกประหลาด ในเมืองแปลกถิ่น แถมคนแปลกหน้านั่นยังเป็นนักพุ่งฉมวกด้วย ก็ยิ่ง ทำให้ไม่ชอบใจเป็นทวีคูณ ไม่มีเหตุผลอันใดว่าเมื่อเป็นกะลาสีแล้วผมต้องนอนร่วม เตียงกับคนอื่นด้วย เพราะทุกคนย่อมไม่ชอบใจเหมือนกันทั้งนั้น เวลาออกทะเลกะลาสี ก็ไม่ได้นอนร่วมเตียงเป็นคู่ ไม่ต่างจากกษัตรย์หนุ่มโสดบนฝั่ง แม้ลูกเรือจะนอนด้วย กันในห้องรวม แต่ทุกคนก็มีเปลญวณของตนเอง ไม่ต้องแย่งผ้าห่มกับใคร และซุกตัว อยู่ใต้ไออุ่นของตัวเอง ยิ่งคิดถึงนักพุ่งฉมวกมากเท่าไร ผมยิ่งรู้สึกขยะแขยงที่จะต้องนอนร่วมกับเขา เป็นไป ได้ทีเดียวว่านักพุ่งฉมวกย่อมสวมชุดเสื้อคลุมลินินหรือผ้าขนสัตว์ และอาจเป็นคนไม่ สะอาดสะอ้าน แต่ที่แน่ๆ ก็คือไม่ชวนให้เข้าใกล้ ผมนึกอยากเปลี่ยนใจ แม้จะสายไป หน่อย เพราะสุภาพชนในความคิดแรกของผมคงกลับมาถึงที่พักและตรงไปที่เตียงแล้ว ลองนึกดูว่าถ้าเขานอนกลิ้งมาทับผมตอนเที่ยงคืน มันจะเลวร้ายขนาดไหน “ลุง! ผมเปลี่ยนใจแล้ว คงนอนเตียงเดียวกับนักพุ่งฉมวกไม่ไหวแน่ ขอนอนบนม้านั่งนี่ ดีกว่า” “ตามใจนายเถอะ แต่ฉันไม่มีผ้าปูโต๊ะพอให้นายใช้ปูนอนหรอกนะ แล้วม้านั่งนี่ก็สาก คายตัวด้วย” ม้านั่งยาวนั้นขรุขระไปด้วยรอยบากจริงๆ “แต่เดี๋ยวนะ...ช่างแกะกระดูก วาฬไง! ใช่! ฉันได้กบไสไม้มาตัวหนึ่ง อยู่ที่บาร์แน่ะ เดี๋ยวจะไปเอามาจัดการให้นาย นอนสบายขึ้น” พูดจบแกก็เดินไปหยิบกบไสไม้มา ใช้ผ้าพันคอไหมเก่าๆ ของแกปัด ฝุ่นออกก่อน ยิ้มแยกเขี้ยวราวกับวานรขณะตั้งหน้าตั้งตาไสไม้บนม้านั่ง ขี้กบปลิวว่อน ไปทางขวาทีทางซ้ายที กระทั่งไปสะดุดเข้ากับปมใหญ่ที่ดูเหมือนจะไสออกได้ยาก แม้ เจ้าของบ้านพักไสจนข้อมือแทบเคล็ดแล้วก็ตาม ผมจึงบอกให้แกหยุด เพราะแค่นี้
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 15 8
เตียงก็นอนสบายพอสำหรับผมแล้ว ผมเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะถอนขนเป็ด ทะเลเหนือให้ราบเรียบเหมือนกระดานสนนี่ได้ยังไง แกยิ้มแยกเขี้ยวให้อีกครั้ง ก่อนจะ เก็บกวาดเศษไม้ไปโยนใส่ไว้ในเตาไฟใหญ่ที่อยู่กลางห้อง แล้วปลีกตัวไปทำธุระของตัว เอง ปล่อยให้ผมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดตามลำพัง ผมลองวัดความยาวของม้านั่งดู ถึงเพิ่งรู้ว่ามันสั้นไปราวหนึ่งฟุต ไม่เป็นไร เอาเก้าอี้ อีกตัวมาต่อคงพอแก้ขัดได้ แต่เก้าอี้เจ้ากรรมก็ดันแคบไป ส่วนม้านั่งอีกตัวก็สูงกว่าถึง สี่นิ้ว ต่อกันไม่ได้แน่ๆ ผมเลยตัดสินใจดันม้านั่งนั่นไปเกือบชิดผนังตามยาว เว้นระยะ ห่างจากกันเล็กน้อย โดยเอาด้านที่ไม่มีพนักหันเข้าด้านใน นี่คงทำให้พอเอนหลังหลับ ได้ แต่ไม่เฉลียวใจว่าจะมีกระแสลมเย็นพัดลอดจากใต้ขอบหน้าต่างลงมาโดนตัวผม ยิ่ง เมื่อมาผนวกกับกระแสลมที่ลอดเข้ามาจากประตูง่อนแง่นนั่น เลยกลายเป็นลมหมุน เล็กๆ ขึ้นบริเวณที่ผมกะจะใช้พักหลับนอนในค่ำคืนนั้น ผีซ้ำด้ามพลอยจริงๆ...ผมคิด แต่เดี๋ยวก่อน...ผมย่องไปขึ้นเตียงก่อนก็ได้นี่นา แล้ว ลงกลอนประตูด้านในซะ แล้วก็ไม่ต้องสนใจเสียงทุบประตูเรียกใดๆ ทั้งสิ้น เข้าท่าที เดียว แต่มาคิดดูอีกที อย่าดีกว่า ใครจะบอกได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ทันที ที่ผมเปิดประตูออกมาแล้วจะเอ๋กับนายนักพุ่งฉมวกนั่นตรงทางเดิน หมอคงทุบหัวผม เอาแน่ๆ หลังจากกวาดตามองไปรอบตัวอีกครั้ง แล้วเห็นว่าไม่มีทางจะผ่านค่ำคืนอันแสน ทรมานนี้ไปได้ เว้นแต่จะยอมไปนอนร่วมเตียงกับคนอื่น ผมจึงเริ่มปรับเปลี่ยนทัศนคติ ที่ไม่ดีต่อนักพุ่งฉมวก ผมจะรอสักครู่ รอให้เขามาถึงก่อนสักพักแล้วเข้าไปแนะนำตัว กับเขา บางทีเราอาจเป็นเพื่อนร่วมห้องที่ดีต่อกันก็ได้ ใครจะไปรู้ เมื่อเวลาผ่านไป ผู้มาพักคนอื่นๆ ต่างทยอยกันเข้ามาทีละคน สองคน หรือสามคน และตรงไปที่ห้องนอนของตนเอง แต่ก็ยังไร้วี่แววนักพุ่งฉมวกที่ผมเฝ้ารอ “ลุง!” ผมถามเจ้าของบ้านพัก “หมอนี่เป็นคนแบบไหนกันนะ? กลับดึกดื่นอย่างนี้เสมอ หรือ?” ตอนนั้นเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 15 9
ตาเฒ่าหัวเราะหึๆ เป็นนัยๆ อีกครั้ง “เปล่าหร้อก” แกตอบ “ปกติแล้ว หมอนั่นก็ เหมือนนกน้อยที่ตื่นแต่เช้า เข้านอนเร้วเร็วแล้วก็ตื่นเร้วเร็ว ช่าย...เป็นนกที่จับหนอน เป็นเหยื่อ แต่ระตรีนี้หมอออกไปเร่ขายของน่ะ คืองี้...ฉันม่ายรู้หรอกว่าทำไมถึงกลับ ดึกนัก อาจเพราะยังขายหัวมนุษย์ไม่ได้สักหัวมั้ง” “ขายหัวมนุษย์ ไม่ได้? ลุงเอาเรื่องหลอกเด็กอะไรมาเล่าให้ผมฟัง!” ผมรู้สึกเดือดปุดขึ้น มาทันใด “ลุงแกล้งหลอกผมใช่ไหม? ตกลงนักพุ่งฉมวกไปสวดสรรเสริญพระเจ้าในคืน วันเสาร์ หรือเร่ขายหัวมนุษย์รอบเมืองนี้ตอนเช้าวันอาทิตย์กันแน่?” “ฉันไม่ได้หลอกนาย” แกว่า “ฉันบอกแล้วว่าหมอมาขายที่นี่ไม่ได้หรอก เพราะมันล้น ตลาดแล้ว” “อะไรล้นนะ?” ผมตะเบ็งเสียงใส่ “ก็หัวมนุษย์น่ะซิ มีหัวมนุษย์มากเกินพอในโลกนี้ไม่ใช่เร้อะ?” “บอกอะไรให้นะ ลุง” ผมพยายามระงับอารมณ์ “หยุดปั่นหัวผมได้แล้วน่า ผมไม่ใช่เด็ก อ่อนหัดนะ” “ก็อาจไม่ใช่” แกหยิบก้านไม้ขึ้นมาเหลาเป็นไม้จิ้มฟัน “แต่ฉันเดาได้เล้ย ว่านายเป็น ต้องฟกช้ำดำเขียวแน่ ถ้านักพุ่งฉมวกรู้ว่านายพูดจาส่ายร้ายหัวของเขา” “ผมจะเด็ดหัวเขานะซิไม่ว่า” ผมโพล่งออกมาอีกครั้ง รู้สึกฉุนเฉียวกับคำพูดวกวนของ ตาเฒ่า “มันหลุดออกมาแร้ว” แกพูด “หลุดออกมาแล้ว” ผมพูด “มันหลุดออกมา...ลุงหมายความว่ายังไง?” “แหง๋มล่ะ นั่นเป็นเหตุที่ทำให้หมอนั่นขายหัวไม่ได้ ฉันขอเดานะ”
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 25 0
“ลุง” ผมบอกเจ้าของบ้านพัก พยายามสะกดอารมณ์ให้เยือกเย็นเหมือนภูเขาเฮคลา กลางพายุหิมะ “หยุดเหลาไม้ก่อน ลุงกับผมมีเรื่องต้องคุยกันให้เข้าใจตอนนี้เลย ผม มาโรงเตี๊ยมลุงและต้องการห้องพัก แต่ลุงบอกว่าต้องนอนเตียงเดียวกับนักพุ่งฉมวก แล้วนายนักพุ่งฉมวกนี่ผมก็ยังไม่เคยเจอตัวมาก่อน แต่ลุงก็เล่าแต่เรื่องลึกลับน่าโมโห จนผมรู้สึกไม่ดีกับหมอนี่ ทั้งที่ลุงเองเป็นคนบอกว่าผมต้องไปนอนร่วมเตียงกับเขา ซึ่ง ต้องทำความรู้จักกันไว้วางใจกันให้มากที่สุด ผมอยากจะขอร้องลุงตรงนี้นะ ช่วยบอก ตามตรงทีเถอะว่า ตกลงนักพุ่งฉมวกนี่เป็นใคร หรืออะไรกันแน่ แล้วผมจะพักค้างแรม กับเขาอย่างวางใจได้หรือเปล่า แต่ก่อนอื่นลุงต้องแก้คำพูดเรื่องการขายหัวของเขา เพราะถ้านี่เป็นเรื่องจริง ผมก็ว่านายนักพุ่งฉมวกนี่คงเป็นบ้าแน่ๆ และผมก็ไม่คิดจะ นอนร่วมเตียงกับคนบ้าหรอกนะ ลุงครับ ที่ลุงพยายามหว่านล้อมให้ผมนอนกับคนบ้า อาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาได้ทีเดียวนะ” “อะโห” ตาเฒ่าครางพลางถอนใจเฮือก “ช่างเป็นเทศะหนายาวซรึ้งกินใจจริงๆ ว่ะ สำหรับไอ้หนุ่มที่นานๆ ถากถางกับเขาก็เป็นด้วย แต่ใจเย็นๆ ก่อน เย็นไว้ นักพุ่ง ฉมวกที่ฉันเล่าให้นายฟังเนี่ยเพิ่งกลับมาจากทะเลทางใต้ หมอไปกว้านซื้อซากหัว คนในนิวซีแลนด์มาเป็นจำนวนมาก (นี่เป็นเรื่องแปลกมากทีเดียว คุณว่าไหม) แล้วเอา มาขายที่นี่จนเกือบเกลี้ยง แต่เหลืออยู่หัวหนึ่งที่พยายามจะขายให้ได้ในคืนนี้ เพราะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ชาวบ้านจะไปโบสถ์กัน ขืนหมอไปเดินเร่ขายหัวมนุษย์บนท้องถนนก็ จะยังไงอยู่ หมออยากขายถึงวันอาทิตย์ด้วย ดีว่าฉันห้ามไว้ทันตอนกำลังจะออกไป แถมพ่อเล่นแขวนหัวสี่หัวห้อยคอไว้ยังกะแค่พวงหัวหอม” คำชี้แจงนี้อธิบายความลึกลับทั้งหลายทั้งปวงจนแจ่มแจ้ง และแสดงให้เห็นว่าแกไม่ได้ มีเจตนาหลอกลวงผม กระนั้น ผมก็ยังคงครุ่นคิดนักพุ่งฉมวกผู้เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกใน คืนวันเสาร์ ขณะที่ทุกคนเตรียมไปโบสถ์กัน แต่หมอกลับทำตัวเป็นมนุษย์กินคนเร่ขาย หัวคนตายผู้สักการะรูปปั้น “ผมว่านะลุง นายนักพุ่งฉมวกนี่ต้องเป็นคนน่ากลัวมาก” “หมอจ่ายเงินตรงเวลาซะเหมอ” ตาเฒ่าแย้ง “เอาน่า ดึกมากแล้ว นายยังโชคดี นั่นมัน เป็นเตียงชั้นดีนะ แซลกับฉันเคยนอนเตียงนั้นมาก่อนในคืนวันแต่งงานของเรา ที่นี่มี
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 25 1
ห้องสำหรับพักสองคนหลายห้องที่น่าจะยัดเตียงนั้นเข้าไปได้ เพราะขนาดมันใหญ่พอ แต่ที่เราล้มเลิกความคิดนั้น เพราะแซลเคยให้แซมและไอ้หนูจอห์นนี่ของเรานอนด้วย แถวปลายเตียง แต่คืนหนึ่งฉันฝันร้ายแล้วนอนดิ้นจนดีดแซมกลิ้งตกเตียง แขนเกือบ หัก ตั้งแต่นั้นมาแซลก็ไม่ให้พวกเรานอนเตียงนั่นกันอีกเลย ไปเถอะน่า เดี๋ยวฉันหาไฟ ให้นายเอง” พูดจบแกก็จุดเทียนไขหนึ่งเล่ม ยื่นส่งมาให้ไว้ใช้ส่องทาง แต่ผมยืนลังเล อยู่ แกพลันเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่มุมห้องเข้าก็อุทานขึ้นว่า “นี่มันวันอาทิตย์แล้วนี่ นา...ซะบานได้! คืนนี้นายจะไม่เจอนักพุ่งฉมวกหรอก หมอคงไปจอดทอดสมอที่อื่น แล้ว เอาน่า ตามมาเถอะ ดีมั้ย?” ผมครุ่นคิดอยู่ชั่วหนึ่ง ก่อนก้าวขึ้นบันไดตามแกไปจนถึงห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง ที่เย็น เยียบและตกแต่งเครื่องเรือนไว้พอสมควร แล้วก็แน่ละ มีเตียงขนาดมโหฬารอยู่ด้วย ใหญ่ขนาดนักพุ่งฉมวกสี่คนนอนเคียงบ่าเคียงไหล่กันก็ยังได้ “นี่ไง” ตาเฒ่าพูด ขณะวางเทียนไว้บนหีบเก็บของเก่าแปลกๆ จากทะเล ซึ่งใช้เป็นทั้งที่ วางอ่างล้างหน้าและโต๊ะกลาง “เอาล่ะ ตามสบายนะ ฝันดีล่ะ” พอผมละสายตาจาก เตียงกลับมา แกก็ออกไปแล้ว ผมเลิกผ้าคลุมเตียงแล้วล้มตัวลงนอน แม้ห้องนี้จะไม่เลิศหรูนัก แต่ก็จัดว่าใช้ได้ทีเดียว ผมกวาดตาไปรอบๆ ห้อง นอกจากโครงเตียงและโต๊ะกลางแล้ว ในห้องก็ไม่มี เฟอร์นิเจอร์อะไรอื่นอีก มีแต่ผนังห้องสี่ด้าน ชั้นวางของที่สร้างขึ้นหยาบๆ แล้วก็ภาพ กระดาษติดเหนือเตาผิงเป็นรูปชายคนหนึ่งกำลังแทงวาฬ ส่วนข้าวของอื่นซึ่งดูไม่เข้า กันกับห้องนี้เอาเสียเลยก็คือเปลญวนที่ผูกเชือกไว้แล้วแต่โยนกองอยู่ที่พื้นห้องมุมหนึ่ง และถุงขนาดใหญ่ของชาวเรือ ข้างในบรรจุเสื้อผ้ากองใหญ่ของนักพุ่งฉมวกอยู่ ไม่ต้อง สงสั ย เลยว่ า ถุ ง นี่ ใ ช้ แ ทนหี บ ใส่ ข องตอนอยู่ บ นฝั่ ง นอกจากนั้ น ก็ ยั ง มี กระดู ก ปลา ประหลาดมัดแขวนห้อยอยู่บนชั้นวางเหนือเตาผิง และฉมวกด้ามยาวตั้งพาดอยู่ที่หัว เตียง แต่เอ๊ะ...ที่อยู่บนหีบเก็บของนี่มันอะไรกันนะ ผมหยิบขึ้นส่องกับแสงเทียน ทั้งลูบคลำ ก็แล้ว ดมดูก็แล้ว ก็ยังสรุปไม่ได้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ แต่น่าจะเป็นพรมเช็ดเท้าผืน ใหญ่ ที่ขอบตกแต่งด้วยลูกกระพรวนเล็กๆ คล้ายกับขนเม่นชุบสีที่ติดอยู่รอบรองเท้า
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 25 2
หนังของชาวอินเดียนแดง ตรงกลางพรมมีช่องหรือรอยผ่ายาว เหมือนเสื้อแบบที่สวม ใส่ทางศีรษะซึ่งคุณเคยเห็นในอเมริกาใต้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าพ่อนักพุ่งฉมวกผู้เคร่งขรึม อาจสวมพรมเช็ดเท้านี่ออกไปเดินตามท้องถนนในเมืองชาวคริสต์เพื่อปลอมแปลงตัว ผมเลยลองสวมดูบ้าง มันหนักอึ้งราวกับโซ่ตรวนและพะรุงพะรังจนน่าอึดอัด ทั้งยัง หมาดชื้นด้วย ราวกับว่านายนักพุ่งฉมวกผู้ลึกลับนี่เพิ่งใส่ชุดนี้ไปกรำฝนมา ผมก้าวไป ยืนอยู่หน้ากระจกบานเล็กซึ่งติดอยู่ข้างผนัง ภาพที่ปรากฏนั้นเป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็น มาก่อนในชีวิต จึงลนลานถอดพรมนั่นออกอย่างเร็วจนคอแทบเคล็ด ผมนั่งลงที่ข้างเตียง ครุ่นคิดถึงนักพุ่งฉมวกพ่อค้าเร่ขายหัวคนนี้กับพรมเช็ดเท้าของ เขา คิดไปได้สักพักก็ลุกขึ้นถอดเสื้อแจ๊คเก็ตสั้นออก แล้วเดินไปยืนคิดอยู่กลางห้อง ก่อนจะถอดเสื้อโค้ตออก ทีแรกว่าจะถอดเชิ้ตแขนยาวออกด้วย แต่รู้สึกหนาวสะท้าน ขึ้นมาเลยลังเล ขณะถอดเสื้อผ้าไปได้ครึ่งๆ กลางก็นึกถึงคำพูดของตาเฒ่าขึ้นได้ว่า นักพุ่งฉมวกจะไม่กลับมาตลอดคืนนี้แน่ และตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว ผมจึงสลัดความคิด ทั้งมวล รีบถอดกางเกงยาวและรองเท้าบู๊ต เป่าเทียนดับแล้วโดดขึ้นเตียงนอน และขอ พรให้สวรรค์ปกปักคุ้มครอง ไม่ว่าเบาะบนเตียงจะยัดด้วยซังข้าวโพดหรือเศษกระเบื้องเครื่องปั้นดินเผาก็ช่างเถอะ เพราะผมรู้สึกสบายที่ได้นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนนี้ แต่ก็ข่มตาไม่ลงอยู่พักใหญ่ แต่ท้าย ที่สุด ขณะเริ่มเคลิ้มเข้าสู่นิทรารมณ์ ทันใดผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำหนักมาตามทาง เดิน และเห็นแสงริบหรี่สลัวลอดใต้ช่องประตูเข้ามา พระเจ้าช่วย! ผมคิด ต้องเป็นนักพุ่งฉมวกพ่อค้าเร่ขายหัวจอมโหดแน่ ผมยังคงนอน อยู่ในท่าเดิม กะว่าจะไม่พูดอะไรออกมาจนกว่าเขาจะพูดด้วย ชายแปลกหน้านั่นถือ เทียนไฟอยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือซากหัวคนจากนิวซีแลนด์ เขาก้าวเข้ามาใน ห้องโดยไม่ได้มองมาที่เตียงเลย หลังจากวางเทียนไขที่พื้นห้องมุมหนึ่งห่างออกไป ก็ ง่วนอยู่กับปมเชือกบนถุงใบใหญ่ที่ผมได้พูดถึงก่อนหน้านี้ ผมพยายามมองหน้า แต่ เขากำลังหันหน้าไปอีกทางขณะแก้เชือกที่มัดปากถุง แต่ในที่สุดเขาก็หันหน้ามา โอ้...พระเจ้า อะไรกันนี่! ใบหน้านั่น! มันมีทั้งสีดำ สีม่วง และสีเหลือง ทั้งมีแผ่นสีดำคล้ำขนาดใหญ่แปะอยู่จนทั่ว ใช่ อย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ เขา
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 25 3
เป็นเพื่อนร่วมเตียงที่น่ากลัว คงไปออกรบจนมีแผลเหวอะหวะและเพิ่งไปหาหมอมา แต่เดี๋ยว...ช่วงที่เขาหันหน้าเข้าใกล้แสงเทียน ผมเพิ่งเห็นชัดว่าแผ่นสีดำบนสองแก้ม นั่นไม่ใช่ผ้าปิดแผล แต่เป็นรอยอะไรบางอย่าง ตอนแรกผมไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร แต่ครู่ หนึ่งก็เกิดคิดวาบขึ้นมาได้ ผมหวนนึกถึงเรื่องเล่าของชายผิวขาวคนหนึ่งซึ่งเป็นนักล่า วาฬเช่นกัน เขาเล่าว่าเคยหลงเข้าไปในเผ่ามนุษย์กินคน แล้วถูกคนพวกนั้นจับสักลาย บนตัว ผมจึงสรุปเอาว่านักพุ่งฉมวกคนนี้คงไปผจญภัยแบบเดียวกันระหว่างเดินทางไกลนั่น เป็นแน่ แต่ผมคิดในที่สุดว่าจะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ มันก็แค่ผิวกายภายนอก คนเราก็ ยังสัตย์ซื่อได้ภายใต้ผิวกายเช่นนั้น แต่สีผิวล่ะ? อะไรทำให้มันแปลกผิดมนุษย์มนา ผม หมายถึงผิวหน้าจริงๆ ไม่ใช่ตรงลายสักสี่เหลี่ยมนั่น ผมแน่ใจว่าเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากผิวกรำแดดของคนเขตร้อน แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าแสงแดดจะลามเลียคนผิวขาว ให้กลายเป็นสีเหลืองม่วงแบบนั้นได้ กระนั้นผมก็ไม่เคยไปทะเลทางใต้มาก่อน บางที ดวงอาทิตย์ที่นั่นอาจทำให้ผิวคนเปลี่ยนเป็นสีแปลกแบบนั้นก็เป็นได้ ขณะที่ความคิดทั้งหลายวาบไปมาในหัว นักพุ่งฉมวกผู้นี้ไม่ได้สังเกตเห็นผมเลยสักนิด หลังจากเขาพยายามแกะปมเชือกจนเปิดปากถุงออกได้ก็เริ่มคลำหาของด้านใน ก่อน จะหยิบขวานอินเดียนแดงด้ามหนึ่ง และกระเป๋าหนังแมวน้ำที่มีขนอยู่เต็มใบหนึ่งออก มา เขาวางของพวกนั้นลงบนหีบเก่าที่อยู่กลางห้อง แล้วหยิบเอาซากหัวมนุษย์จาก นิวซีแลนด์น่าเกลียดน่ากลัวนั้นยัดใส่เข้าไปในถุงแทน จากนั้นก็ถอดหมวกออก มัน เป็นหมวกบีเวอร์ใบใหม่ ผมเกือบหลุดปากอุทานด้วยความประหลาดใจ บนศีรษะของ เขาไม่มีผมสักเส้น แทบไม่มีเลยก็แล้วกัน มีแค่เกลียวผมเป็นกระจุกเล็กๆ ตรงหน้า ผาก ชายแปลกหน้าผู้นี้ยืนคั่นระหว่างผมกับประตู ผมควรรีบเผ่นออกไปให้เร็วกว่าเมื่อ ตอนออกกินอาหารค่ำท่าจะดีกว่า ผมคิดแม้กระทั่งจะปีนออกทางหน้าต่าง แต่นี่มันชั้นสองด้านหลังตัวบ้าน ผมไม่ใช่คนขี้ ขลาด แต่ผมอ่านท่าทางของเจ้าคนขายหัวผิวม่วงนี่ไม่ออก ความไม่รู้เป็นบ่อเกิดของ ความกลัว ทำให้ผมรู้สึกสับสนงุนงงเกี่ยวกับคนแปลกหน้าผู้นี้ ต้องยอมรับว่าผมรู้สึก กลัวเขามาก เหมือนปีศาจร้ายที่บุกเข้ามาในห้องยามดึกสงัด ผมกลัวเขาจนไม่อยาก ทักทายก่อน และไม่อยากต้องคอยหาคำอธิบายในความลึกลับของเขาอีก
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 25 4
ตอนนั้นเขาเริ่มถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ เผยให้เห็นแผ่นอกและท่อนแขน ให้ตายเถอะ! เนื้อตัวเขาเป็นลายหมากรุกเหมือนกับใบหน้า ที่แผ่นหลังก็ด้วย เหมือนเขาไปร่วมรบ ในสงครามสามสิบปีแล้วเพิ่งหนีกลับมาได้พร้อมผ้าปิดแผลเต็มตัว ยิ่งไปกว่านั้น ที่ขา สองข้างก็มีรอยแผลลายพร้อย จนดูเหมือนฝูงกบเขียวคล้ำที่กำลังโดดเกาะต้นปาล์ม อ่อน เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเขาต้องเป็นพวกคนป่าต่ำช้า หรือไม่ก็นักล่าวาฬต่างถิ่นใน ทะเลใต้ที่เรือมาเทียบท่าในเมืองชาวคริสต์แห่งนี้ ผมตัวสั่นขึ้นมาทันทีที่คิดได้เช่นนั้น หัวที่เขาเอามาเร่ขายอาจมีหัวพี่น้องเขารวมอยู่ด้วยก็ได้ เขาอาจนึกอยากได้หัวของผม ด้วยก็ได้ พระเจ้าช่วย! ดูขวานนั่นสิ! แต่หมดเวลากลัวแล้ว เพราะตอนนั้นคนเถื่อนนั่นกำลังกระทำบางสิ่งที่สร้างความฉงน ให้กับผม ซึ่งชวนให้คิดว่าเป็นคนนอกศาสนาจริงๆ เขาเดินไปที่เสื้อคลุมซึ่งมีหมวก ครอบ หรือเสื้อคลุมหนาของกะลาสี หรือเสื้อคลุมกันพายุที่ก่อนหน้านี้เขาวางพาดไว้ กับเก้าอี้ ล้วงมือเข้าไปควานหาของบางอย่างในกระเป๋าเสื้อ แล้วหยิบเอารูปปั้นยาว ลักษณะประหลาดออกมา มีหนอกที่ด้านหลังด้วย สีสันเหมือนทารกน้อยชาวคองโกวัย สามวัน ผมหวนนึกถึงซากหัวมนุษย์อาบยาขึ้นมา ตอนแรกเกือบคิดไปว่าร่างเล็กดำเมี่ ยมนั่นคือทารกน้อยจริงๆ ที่ถูกดองไว้เหมือนดองยา แต่มันไม่หยุ่นตัว แถมยังเป็น มันปลาบราวกับไม้ตะโกขัดเงา จึงสรุปได้ว่ามันจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากหุ่นไม้ และ ก็ใช่จริงๆ เจ้าคนป่าเดินไปที่เตาผิงโล่งเปล่า ยกแผ่นปิดเตาที่ทำจากกระดาษออก แล้ว เอาหุ่นไม้หลังค่อมนั่นวางไว้บนขาหยั่งวางฟืนเหมือนตั้งพินโบว์ลิ่ง ผนังเตาและอิฐทุก ก้อนในนั้นดำปี๋ไปด้วยเขม่าควัน จนผมคิดว่าเตานั่นเหมาะสำหรับเป็นแท่นบูชาเล็กๆ หรือไม่ก็วิหารสำหรับเทวรูปคองโกของเขาจริงๆ ผมจ้องรูปปั้นเขม็ง รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง คอยจับตามองว่าเขาจะทำอะไรต่อ แรกสุด เขาขยุ้มขุยไม้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมเต็มสองกำมือ ค่อยๆ วางลงตรงหน้าเทวรูป ตามด้วยเศษขนมปังกรอบเทินไว้ด้านบน ส่วนมืออีกข้างคว้าเทียนไขมาจ่อขุยไม้จนลุก ไหม้ขึ้นเหมือนไฟบูชายัญ มันไหม้เร็วมากจนเขาต้องรีบชักมือกลับ (ดูเหมือนนิ้วจะ โดนไฟขี้กบนั่นลนเข้าด้วย) แต่สุดท้ายเขาก็หยิบเอาขนมปังกรอบนั่นออกมาได้ จัดการเป่าไล่ความร้อนและเศษขี้เถ้าแล้วยื่นส่งให้เทวรูปดำอย่างนอบน้อม แต่ดู เหมือนเจ้าปีศาจจิ๋วจะไม่ชื่นชอบอาหารแห้งผากนั่นเลยสักนิด ไม่อ้าปากรับด้วยซ้ำ
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 25 5
พฤติกรรมแปลกประหลาดนั่นดำเนินไปขณะที่ชายแปลกหน้าผู้เปี่ยมศรัทธาส่งเสียง แหบแห้งออกมา ฟังเหมือนเพลงสวด หรือบทสวดของพวกนอกศาสนา หรือชนเผ่า อะไรสักอย่าง ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวผิดมนุษย์ขณะเปล่งเสียงสวด หลังสวดเสร็จเขาก็ดับ ไฟ แล้วหยิบเอาเทวรูปใส่กลับเข้ากระเป๋าเสื้อคลุมอย่างไม่มีพิธีรีตองอะไร และไม่ใส่ใจ เหมือนนักล่าสัตว์เก็บซากนกปากส้อมลงกระเป๋า พฤติกรรมประหลาดเหล่านั้นยิ่งทำให้ผมกระสับกระส่าย เมื่อพิธีเสร็จสิ้นแล้วเดี๋ยวเขา คงโดดขึ้นมาบนเตียงแน่ ผมคิดว่าถึงเวลาต้องเปิดปากพูดเสียที ก่อนเทียนไขจะดับวูบ ลงและสายเกินการณ์ ขณะที่ผมคิดหาประโยคเด็ดที่อาจมีผลต่อชะตาชีวิตอยู่นั้น เขาก็เดินไปหยิบขวานขึ้น มาจากโต๊ะ สำรวจดูหัวของมันครู่หนึ่งแล้วยื่นไปจ่อที่เทียนไข ก้มปากจดลงทางด้าม แล้วพ่นควันยาสูบออกมา ก่อนจะดับเทียน แล้วมนุษย์กินคนป่าเถื่อนนั่นก็คาบขวาน ไว้แล้วโดดขึ้นมาบนเตียงเดียวกันกับผม ถึงตอนนั้นผมหลุดปากร้องเสียงหลงออกมา อย่างช่วยไม่ได้ เสียงคำรามประหลาดใจดังขึ้นทันทีที่เขาได้ยินเสียงผม เขาพูดอะไรตะกุกตะกักฟังไม่รู้เรื่อง ผมกลิ้งตัวห่างออกมาจนชิดผนังห้อง แล้ววิงวอน ว่าเขาจะเป็นใครหรืออะไรก็ตามขอให้อยู่นิ่งๆ สักครู่ ให้ผมลุกขึ้นไปจุดเทียนไขก่อน แต่เสียงแหบห้าวจากลำคอที่ตอบกลับมานั้นทำให้รู้ว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของผม นัก “นาย-ห่ะ-ใครฟะ?” เขาพูดออกมาในที่สุด “ไม่-พูด ห่ะ! ฉัน-ฆ่าาา” “ลุง! ให้ตายเถอะ ลุงปีเตอร์ โลงศพ!” ผมตะโกนลั่น “ลุงเจ้าบ้าน! ตำรวจ! ลุงโลงศพ! เทวดา! ช่วยด้วย!” “พูดด! บอก-ฉัน นาย-ใคร? ไม่งั้น-ห่ะ! ฉัน-ฆ่าาา!” มนุษย์กินคนคำรามขึ้นอีกครั้ง ทำให้ขวานในปากของเขาแกว่งไกวดูน่ากลัว ขี้เถ้ายาสูบโปรยลงบนตัวผมจนคิดว่าเสื้อ นอนที่ใส่อาจติดไฟเข้าได้ ตอนนั้นเอง...ขอบคุณสวรรค์ เจ้าของบ้านพักก็เดินถือ เทียนไขก้าวเข้ามาในห้อง ผมรีบกระโจนลงจากเตียงวิ่งไปหาแกทันที
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 25 6
“ไม่ต้องกลัวน่า” แกพูดพร้อมกับยิ้มแยกเขี้ยวตามเดิม “ควีเควกคนนี้ไม่ทำอันตราย นายแม้แต่ปลายผม” “เลิกยิ้มซะทีน่า” ผมตะคอกใส่แก “ทำไมลุงไม่บอกผมก่อนว่านักพุ่งฉมวกปีศาจนี่เป็น พวกเผ่ามนุษย์กินคน” “อ้าว! คิดว่านายรู้แล้ว ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเขาเร่เร้ขายหัวในเมืองนี้ มันเรื่องบัง เอิญน่ะ เอ่านา นอนต่อเถอะ ควีเควกมองนี่ นายซะบาย-ใจฉัน...ฉันซะบาย-ใจนาย คนนี้นอน-กะนาย...นายซะบายใจ-มั้ย?” “ควีเควกซะบาย-มาก” ควีเควกตอบเสียงขึ้นจมูกขณะพ่นควันจากกล้องยาสูบของเขา แล้วนั่งลงบนเตียง “นายนอน-ใน” เขาพูดต่อ ใช้ขวานของเขาชี้บอก แล้วคว้าเสื้อผ้าโยนไปกองไว้อีกด้าน เขาไม่เพียงมีมารยาทแต่ยังมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ ผมยืนมองเขาครู่หนึ่ง นอกจากลายสัก แล้วตลอดทั้งตัวของเขาสะอาดหมดจด เป็นชนเผ่ากินคนที่ดูดีทีเดียว ทำไมผมถึงได้ ทึกทักไปเองนัก ชายคนนี้ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นเดียวกับผม ตัวเขาเองก็มีเหตุผล หลายอย่างที่ควรจะกลัวผมเช่นเดียวกับที่ผมหวาดกลัวเขา นอนร่วมเตียงกับคนป่าผู้ เคร่งขรึมนี่ น่าจะดีกว่านอนร่วมเตียงกับชาวคริสต์ขี้เมาเป็นไหนๆ “ลุง” ผมบอกเจ้าของห้องพัก “ช่วยบอกให้เขาเก็บขวานเสียที หรือจะกล้องยาสูบ หรือ จะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ที่อยู่ในปากเขาน่ะ บอกให้หยุดสูบเถอะ ผมจะนอนพร้อมเขา แต่ไม่ชอบให้ใครสูบยาบนเตียงเดียวกับผมนะ มันอันตราย ไม่งั้นแล้วผมจะรู้สึกไม่ ปลอดภัยน่ะ” คำร้องขอของผมได้รับการถ่ายทอดสู่ควีเควก เขายอมทำตามในทันที และชี้มือให้ผม เข้าไปนอนด้านในอย่างสุภาพอีกครั้ง ผมล้มตัวลงนอนที่ด้านนั้นพร้อมกับพูดว่า “ฉัน ไม่อยากไปโดนขานาย” “ราตรีสวัสดิ์” ผมบอกเจ้าของบ้านพัก “ลุงกลับไปนอนได้แล้ว”
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 25 7
แล้วผมก็นอนหลับสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 25 8
บทที่ 4 ผ้าคลุมเตียง
เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็เห็นแขนข้างหนึ่งของควีเควกก่ายเกยอยู่บนตัวผมอย่าง แสนเสน่หา จนคุณอาจนึกไปว่าผมเป็นภรรยาเขา ผ้าคลุมเตียงเป็นงานต่อผ้ามากชิ้น หลากสี ทั้งสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยม เย็บต่อกันเป็นผ้าผืนใหญ่ ส่วนลายสักบนแขน ของเขาก็เหมือนรูปเขาวงกตที่ไม่มีจุดสิ้นสุดตามตำนานกรีก และแยกสีผิวจริงๆ ไม่ ออก ผมเชื่อว่าตอนออกทะเลเขาคงไม่ได้ใส่ใจนักว่าแขนจะโดนแดดหรือไม่ และน่าจะ ถลกแขนเสื้อขึ้นอย่างลวกๆ ในลักษณะที่ต่างกันไปแต่ละคราว ดูๆ ไปแล้วลายสักบน แขนเขาก็ไม่ต่างอะไรกับลายผ้าคลุมเตียง อันที่จริงตอนลืมตาตื่นขึ้นมา ผมแทบดูไม่ ออกด้วยซ้ำว่านั่นลายผ้าหรือลายสักบนแขนเขากันแน่ เพราะสีมันกลมกลืนกันเหลือ เกิน มารู้เอาจากน้ำหนักกดของวงแขนที่ควีเควกกอดก่ายผมอยู่ ความรู้สึกในตอนนั้นมันแปลกๆ ผมขออธิบายหน่อยนะ จำได้ว่าตอนเป็นเด็ก ผมเคย เจอเรื่องทำนองนี้มาก่อน ไม่ว่ามันจะเป็นความจริงหรือความฝันก็ตาม แต่ก็ไม่เคยลืม มันเลย ตอนนั้นผมกำลังเล่นซนอะไรสักอย่าง น่าจะพยายามไต่ปล่องไฟขึ้นไป เพราะ สองสามวันก่อนหน้านั้นเห็นเด็กกวาดปล่องไฟทำได้ ปกติไม่ว่าจะทำอะไร แม่เลี้ยงมัก ฟาดผมด้วยรองเท้าแตะเสมอ หรือไม่ก็ไล่เข้านอนเลยโดยให้อดมื้อเย็น ครั้งนั้นตอน มาเจอเข้า หล่อนก็กระชากขาผมลงมาจากปล่องไฟแล้วไล่ให้ไปนอน ทั้งที่ตอนนั้นมัน บ่ายสองโมงของวันที่ 21 มิถุนา ซึ่งเป็นวันที่ช่วงกลางวันยาวนานที่สุดในรอบปีทางซีก โลกนี้ ผมรู้สึกกลัวแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงขึ้นบันไดไปที่ห้องนอนเล็กๆ ของผมบนชั้น สาม ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออกช้าๆ เพื่อฆ่าเวลา ก่อนจะนอนละห้อยขมขื่นใจอยู่บน ผ้าปูที่นอน ผมนอนหดหู่อยู่บนเตียงนานนับสิบหกชั่วโมงกว่าจะรู้สึกดีขึ้น สิบหกชั่วโมงเต็มๆ บน เตียง! หลังปวดระบมจนผมไม่กล้านึกถึงมัน และสว่างมากแล้วด้วย แสงอาทิตย์สาด เข้ามาทางหน้าต่าง รถม้าบนท้องถนนควบผ่านไปมาคึกคัก เสียงสดในร่าเริงดังอยู่ทั่ว บ้าน ผมรู้สึกแย่ยิ่งกว่าแย่ ในที่สุดก็ลุกขึ้นแต่งตัวสวมถุงเท้ายาว แล้วค่อยๆ ย่องลงมา
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 25 9
หาแม่เลี้ยงผมข้างล่าง พอเจอก็โถมเข้าไปกอดเท้าบอกหล่อนว่าผมสำนึกผิดแล้ว และ ขอร้องเป็นพิเศษให้เปลี่ยนการลงโทษสำหรับความผิดที่ผมก่อ จะทำโทษผมอย่างไร ก็ได้ ขออย่าให้ต้องนอนอยู่บนเตียงนานเหลือทนแบบนั้นเลย แต่หล่อนเป็นยอดแม่ เลี้ยงผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่ที่สุด ผมจึงต้องกลับไปที่ห้องอีกครั้ง ผมนอนตาค้างอยู่บนเตียงอีกหลายชั่วโมง รู้สึกแย่ยิ่งกว่าครั้งก่อนที่เคยโดนลงโทษ แม้ ครั้งนั้นคิดว่าหนักที่สุดแล้ว สุดท้ายผมก็เคลิ้มหลับไปและฝันร้าย ฝันว่าตัวเองค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น มันค่อนรุ่งแล้ว ภายในห้องยังปกคลุมไป ด้วยความมืดมิดจากภายนอก ทันใดนั้นเอง ผมรู้สึกถึงแรงกระแทกเข้ามาในร่าง แต่ กลับมองไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินเสียงอะไร มีเพียงมือประหลาดทะลวงแทรกเข้ามาในตัว ผม แขนผมพาดอยู่บนผ้าปูเตียง เจ้าของมือประหลาดซึ่งไร้ชื่อ ไร้รูปไร้เสียง เหมือนปีศาจ กำลังนั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างเตียงใกล้ผม เวลาผ่านไปนานเท่านาน ผมยังคงนอนอยู่ในท่า เดิม ตัวแข็งทื่อด้วยความกลัวสุดขีด ไม่กล้าแม้แต่จะชักมือหนี แม้คิดได้ว่าถ้าขยับแค่ นิดเดียวอาจทำให้มนต์สะกดนั่นคลายลงก็ได้ ผมไม่รู้ว่าผ่านสภาวะจิตแบบนั้นมาได้ อย่างไร แต่เมื่อตื่นขึ้นอีกทีในตอนเช้า ผมยังคงจดจำความน่าขนลุกนั้น หลายวัน หลายสัปดาห์ และหลายเดือนต่อมา ผมก็ยังสับสนครุ่นคิดถึงความลี้ลับนั่น และ...แม้ กระทั่งเดี๋ยวนี้ ผมยังคงงงงวยกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ความกลัวจนตัวสั่นนั่นไม่หลงเหลืออีกแล้ว แต่สัมผัสของมือประหลาดนั้นช่างสร้าง ความรู้สึกแปลกๆ แบบเดียวกับที่รู้สึกเมื่อตอนตื่นขึ้นมาแล้วพบแขนของคนป่าควีเควก พาดอยู่บนตัว แม้หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมาทีละฉากอยู่นานสอง นาน ผมก็ยังต้องนอนอยู่ในสภาพนั้น เพราะแม้พยายามแกะมือของเขาออกให้หลุด พ้นจากสภาพอีหลักอีเหลื่อของเจ้าบ่าวเจ้าสาว แต่เขาก็กอดผมไว้แน่นแม้ยังหลับอยู่ ราวกับว่าไม่มีอะไรจะมาพรากเราสองแยกจากกันได้นอกจากความตาย ผมจึงตัดสินใจ ปลุกเขา “ควีเควก!” แต่เขาก็แค่ส่งเสียงกรนตอบ ผมจึงพยายามพลิกตัว แต่รู้สึกคอ หนักอึ้งเหมือนมีปลอกคอม้ารัดอยู่ ทันใดผมรู้สึกว่าถูกอะไรบาดเข้าให้เบาๆ แล้ว
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 35 0
เมื่อตลบผ้าคลุมเตียงออกไปอีกด้านหนึ่ง ก็เห็นขวานอินเดียนแดงวางแนบอยู่ข้างตัว คนเถื่อนนี่ ราวกับว่ามันเป็นเด็กน้อยที่มีใบหน้าเป็นรูปขวาน แสบสันต์จริงๆ! ผมคิด กลางวันแสกๆ ดันมานอนบนเตียงในบ้านประหลาดกับมนุษย์กินคนและขวาน! “ควีเค วก! ให้ตายสิฟะ! ควีเควก ตื่นโว้ย!” หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่ ทั้งดิ้นทั้งตะโกนลั่น ไม่หยุด เพราะอดสูใจที่ผู้ชายทั้งแท่งดันมานอนกอดกันราวกับคู่รัก เขาก็ส่งเสียงฮึดฮัด ออกมาแล้วชักแขนกลับ สะบัดตัวไปมาเหมือนสุนัขนิวเฟาด์แลนด์ที่เพิ่งขึ้นมาจากน้ำ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนเตียง หลังตรงแน่วราวกับด้ามทวน มองตรงมายังผมและขยี้สอง ตาราวกับจำไม่ได้ว่าผมมาอยู่ที่นั่นได้ยังไง แม้ดูจะเริ่มนึกอะไรออกเลาๆ แล้ว ในจังหวะนั้น ผมจ้องมองเขาอยู่อย่างเงียบๆ ไม่หลงเหลือความหวาดหวั่น มีเพียง ความมุ่งมั่นกระหายใคร่สำรวจบุคคลตรงหน้า ครู่เดียวเขาจะเริ่มจำเพื่อนร่วมเตียงได้ และปรับความรู้สึกให้ยอมรับ ก่อนจะโดดลงจากเตียงแล้วทำมือบุ้ยใบ้ถามว่าจะว่าอะไร ไหมถ้าเขาขอแต่งตัวก่อน แล้วให้ผมได้อยู่ในห้องนี้ตามลำพังเพื่อจะได้สวมเสื้อผ้าของ ตัวเองบ้าง ผมคิดว่าควีเควกเริ่มต้นความสัมพันธ์ในสถานการณ์แบบนั้นได้อย่างมนุษย์ ผู้เจริญ แต่จริงๆ แล้วพูดได้ว่าคนป่าเหล่านี้ต่างมีสัญชาตญาณอันละเอียดอ่อน และ สุภาพอ่อนโยนอย่างน่าทึ่ง ผมขอชื่นชมจุดดีข้อนี้ของควีเควก เพราะเขาปฏิบัติต่อผม เยี่ยงผู้ดีมีการศึกษา จนผมต้องรู้สึกละอายในความหยาบคายของตนเอง ที่เอาแต่นั่ง บนเตียงจ้องมองท่าทางเขาขณะแต่งกายด้วยความสอดรู้สอดเห็นจนลืมเลือนมารยาท ไป กระนั้น ควีเควกก็ไม่ใช่คนที่คุณจะพบเห็นได้ง่ายๆ ตัวเขาและอากัปกิริยาของเขา ควรค่าต่อการใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง เขาเริ่มแต่งตัวจากข้างบนโดยสวมหมวกบีเวอร์ทรงสูงก่อน แล้วกวาดตามองหารอง เท้าบู๊ตทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ใส่กางเกง จากนั้นก็พยายามเบียดตัวเข้าไปใต้เตียงโดยมีรองเท้า อยู่ในมือและหมวกสวมอยู่บนหัว ผมบอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำอะไรพิสดาร ขนาดนั้น พักเดียวใบหน้าก็เริ่มขึ้งเครียดและหอบหายใจหนัก ผมคิดว่าเขาคงเพียร พยายามสวมรองเท้าด้วยวิธีที่รักความเป็นส่วนตัวเหลือเกินชนิดที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง มาก่อน แต่จะว่าไป ควีเควกก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังกลายร่าง ไม่ใช่ทั้งดักแด้และไม่ใช่ ผีเสื้อ
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 35 1
เขามีวัฒนธรรมพอที่จะแสดงออกถึงความต่างวัฒนธรรมในอาการที่แปลกประหลาด ที่สุด การศึกษาของเขายังไม่สมบูรณ์ เขายังด้อยการศึกษา ถ้าไม่ด้อยวัฒนธรรม คง ไม่ต้องยุ่งยากกับแค่การสวมรองเท้า แต่ถ้ายังเป็นคนป่าเต็มตัว เขาคงไม่คิดที่จะสวม ใส่มันจากใต้เตียงนั่นหรอก ในที่สุดเขาก็โผล่ขึ้นมา เห็นหมวกย่นเผล่ลงมาแทบปิดตา แล้วลุกเดินกระย่องกระแย่งส่งเสียงอี๊ดอ๊าดไปทั่วห้องราวกับไม่เคยคุ้นกับบู๊ตที่สวมใส่ อยู่ รองเท้าหนังวัวยับย่นเปียกชื้นคู่นั้นก็ไม่น่าจะสั่งทำมาโดยเฉพาะด้วย มันกัดเท้า และสร้างความทรมานให้แก่เขานับแต่ก้าวแรกที่เดินย่ำลงบนพื้นในยามเช้าอันหนาว เย็นสุดขั้ว เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่ปราศจากผ้าม่าน เห็นถนนแคบเล็กด้านนอก บ้านที่อยู่ ฝั่งตรงข้ามมองเข้ามาในห้องได้อย่างสบาย ยิ่งหันกลับมาเพ่งดูควีเควกที่ยังเดิน ย่องแย่งโดยสวมใส่เพียงหมวกและรองเท้าบู๊ตเท่านั้น ผมยิ่งรู้สึกว่าไม่เหมาะแน่ จึง พยายามขอร้องเท่าที่พอจะสื่อสารกันได้ ให้เขาสวมใส่อะไรเพิ่มหน่อยโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งกางเกง เขาก็ยอมทำตามก่อนจะเดินไปทำความสะอาดตัว หากเป็นชาวคริสต์ใน ช่วงเวลาเช้าแบบนี้ คงต้องล้างหน้าก่อนเป็นลำดับแรก หากควีเควกทำให้ผมต้องฉงน เขาล้างแผ่นอก แขน แล้วก็มือก่อน จากนั้นก็สวมเสื้อกั๊ก คว้าเอาก้อนสบู่บนโต๊ะกลางที่วางอ่างล้างหน้าไว้จุ่มน้ำแล้วยกขึ้น ถูหน้าตัวเอง ผมคอยจับตามองว่าเขาเก็บมีดโกนไว้ตรงไหน แล้วก็นั่นไง เขาคว้าเอา ฉมวกจากมุมเตียงมาถอดด้ามไม้ยาวออกเหลือแต่หัวเหล็ก ถูลับคมสองสามครั้งกับ รองเท้าบู๊ต แล้วลุกเดินอาดๆ ไปยืนอยู่หน้ากระจกบานเล็กบนผนัง ก่อนจะเริ่มโกน หนวดอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งเป็นการใช้ฉมวกปาดฉวัดเฉวียนไปมาบนสองแก้มเสีย มากกว่า แต่ผมว่าต่อให้มีดโกนชั้นดีของโรเจอร์ยังต้องอาย แล้วก็หายแปลกใจเมื่อมารู้ ภายหลังว่าใบมีดฉมวกนั้นทำจากเหล็กกล้าชั้นดีเพียงใด และคมเรียวยาวนั้นคมกริบ อยู่ได้เพราะได้รับการลับอยู่เสมอนั่นเอง ครู่ต่อมาเขาก็แต่งตัวเสร็จ มีเสื้อแจ๊กเก็ตกะลาสีสวมทับ พกฉมวกเป็นอาวุธคู่กาย เหมือนนายพลพกคทาคู่ตัว แล้วสาวเท้าออกจากห้องไปอย่างภาคภูมิ
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 35 2
บทที่ 5 อาหารเช้า
ผมรีบจัดการแต่งตัวแล้วตามลงไปที่บาร์ เจ้าของบ้านพักยิ้มกริ่มทักทายอย่างแสนเป็น มิตร ผมไม่ถือสาแกอีก แม้ว่าแกจะเคยเล่นตลกกับผมไม่เบาเรื่องเพื่อนร่วมเตียง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การได้หัวเราะอย่างจริงจังเป็นเรื่องดี และเรื่องดีๆ ย่อมเกิดขึ้น ค่อนข้างยาก ซึ่งก็น่าเสียดายมาก ฉะนั้น หากใครพยายามสรรหาเรื่องสนุกมาทำให้ ทุกคนได้หัวเราะกันเท่าที่ตัวเขาจะทำได้ ก็อย่าไปขัดเขาเลย ปล่อยให้เขาได้สนุกและ ทำให้คนอื่นได้สนุกด้วยจะดีกว่า และแน่ใจได้เลยว่าคนคนนั้นย่อมมีอะไรในตัวมากกว่า ที่คุณคิด ตอนนั้นห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยแขกผู้มาพัก หลายคนเดินทางมาถึงตั้งแต่เมื่อคืนและ อีกหลายคนที่ผมยังไม่เคยเห็นหน้า แทบทุกคนล้วนเป็นนักล่าวาฬ มีทั้งบรรดาต้นเรือ ต้นหน ผู้ช่วยต้นเรือ ช่างไม้บนเรือ ช่างทำถังไม้บนเรือ ช่างตีเหล็กบนเรือ นักพุ่ง ฉมวก คนเฝ้าเรือ ต่างร่างกำยำกรำแดด ผมเผ้าหนวดเครายาวรุงรัง ทุกคนสวมเสื้อ แจ๊คเก็ตกะลาสีเป็นเครื่องแต่งกายในตอนเช้า คุณแทบมองออกเลยว่าใครขึ้นฝั่งมานานแค่ไหนแล้ว เจ้าหนุ่มน้อยแก้มใสคล้ายลูก แพรโดนแดดเผาจนเข้ม และเหมือนจะมีกลิ่นหอมจางๆ ด้วยนั่น เพิ่งกลับมาจาก อินเดียและขึ้นฝั่งมาได้ไม่ถึงสามวัน ชายคนถัดจากเขาไปมีสีผิวที่ดูใสกว่า ราวกับเนื้อ ไม้เรียบลื่นเป็นเงามัน ผิวคนต่อมาสีจางลงไปมาก เหลือแค่น้ำตาลอ่อนๆ จากเขต เมืองร้อน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาขึ้นฝั่งมาพักแรมได้หลายสัปดาห์แล้ว แต่ใครจะมีสี แก้มเหมือนควีเควกล่ะ? เพราะแถบสีสันนั่นช่างคล้ายเส้นเขาลาดทางทิศตะวันตกของ เทือกเขาแอนดีส ที่ยาวตัดผ่านพื้นที่สองฝากฝั่งซึ่งมีภูมิอากาศแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง “เอ้า! หม่ำ!” ตาเฒ่าร้องเรียก แล้วผลักประตูออกให้พวกเราเดินเข้าไปกินอาหารเช้า ด้านใน
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 3\ 3
ว่ากันว่า ใครได้เห็นโลกมามากย่อมวางตัวได้สุขุมไม่เคอะเขินในการเข้าสมาคม แต่ผม ว่าไม่เสมอไป อย่างน้อยนักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่อย่างเลดยาร์ดชาวนิวอิงแลนด์ หรือมังโก พาร์คชาวสก็อตก็คงวางตัวไม่ถูกในห้องรับรองแบบนี้แน่ การเดินทางข้ามไซบีเรียด้วย สุนัขลากเลื่อนอย่างเลดยาร์ด หรือการเดินทางเดียวดายบนเส้นทางยาวไกลและ หิวโหยกลางดินแดนชนผิวดำในแอฟริกาของมังโกผู้น่าสงสาร ผมบอกได้เลยว่าการ เดินทางแบบนั้นอาจไม่ช่วยขัดเกลาท่าทางในการออกสังคมได้หรอก ที่สำคัญเรื่อง อย่างนี้มีให้เห็นทุกที่ด้วย ผมคิดเรื่องพวกนั้นหลังจากที่เรานั่งกันที่โต๊ะอาหาร และคอยฟังเรื่องเด็ดๆ เกี่ยวกับ การล่าวาฬ แต่ก็ต้องประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นทุกคนแทบจะนิ่งเงียบกันหมด แถมยังดู เคอะเขินด้วย จริงอยู่...คนที่นั่งรวมกันตรงนั้นล้วนเป็นชาวเล ไม่มีทีท่าประหม่าแม้ น้อยนิดยามเมื่อออกเรือล่าฝูงวาฬกลางทะเลลึก และสู้กับเจ้าตัวประหลาดนั่นยิบตา แต่การสังสรรค์ที่โต๊ะอาหารเช้าในหมู่เพื่อนร่วมอาชีพซึ่งมีประสบการณ์คล้ายกัน ต่าง กลับเหนียมอายเข้าหากัน ราวกับแกะที่มีเจ้าของคอกเขาเขียวคอยกำกับไม่วางตา จน นักล่าวาฬเหล่านั้นดูคล้ายหมีขี้อายหรือนักรบผู้ขลาดเขลาไปอย่างประหลาด! สำหรับควีเควกแล้ว ผมนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาก็นั่งอยู่ท่ามกลางคนพวกนั้นด้วย นั่งอยู่ ที่หัวโต๊ะเสียด้วย ท่าทางเยือกเย็นจนดูเย็นชา แต่จริงๆ แล้ว ผมก็อธิบายถึง อากั ป กิ ริ ย าของเขาไม่ ไ ด้ ม ากนั ก หรอก เพราะต่ อ ให้ เ ลื่ อ มใสเขาเพี ย งใด ก็ ยั ง ตะขิดตะขวงใจที่เห็นเขานำฉมวกมาที่โต๊ะอาหารเช้าด้วย เขาใช้มันอย่างไม่มีพิธีรีตอง อะไร จับเหวี่ยงหวืดเฉียดหัวหลายคนไปอย่างน่าหวาดเสียว แล้วก็จิ้มสเต็กจากอีกด้าน ของโต๊ะกลับมา แต่ด้วยท่าทางที่เยือกเย็นเหลือเกินจนทุกคนย่อมประเมินออกว่าใครที่ ทำอะไรได้สุขุมถึงปานนั้น ย่อมทำไปด้วยความสุภาพที่สุดแล้ว ผมขอไม่พูดถึงพฤติกรรมประหลาดทุกอย่างของควีเควกดีกว่า เขาไม่สนใจกาแฟกับ ขนมปังร้อนเลย เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับสเต็กเนื้อกึ่งดิบกึ่งสุกตรงหน้า เมื่ออิ่ม แล้วและมื้อเช้าสิ้นสุดลง เขาก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องนั่งเล่นเหมือนกับคนอื่นๆ จากนั้นก็ จุดขวานกล้องยาสูบ แล้วนั่งสูบยาย่อยอาหารอยู่เงียบๆ โดยมีหมวกใบเก่งสวมอยู่บน หัวไม่ห่าง ส่วนผมเดินผ่านออกไปทอดน่องด้านนอก
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 3\ 4
บทที่ 6 ถนน
หากตอนแรกผมรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นลักษณะเฉพาะตัวอันแปลกพิกลของควีเควก ขณะเข้าสังคมในเมืองอันศิวิไลซ์ ความประหลาดใจนั่นก็มลายไปนับแต่ก้าวแรกที่ออก มาเดินทอดน่องไปตามถนนในเมืองนิวเบดฟอร์ด ถนนริมท่าในเมืองท่าสำคัญๆ มักเห็นภาพแปลกตาของผู้คนที่ไม่รู้ว่าเป็นเชื้อชาติไหน กันแน่ แม้แต่ถนนในบอร์ดเวย์และเชสต์นัต กะลาสีชาวเมดิเตอร์เรนียนอาจเดินชน บรรดาสุภาพสตรีขี้ตกใจเข้าได้ ส่วนถนนรีเจนต์มีกะลาสีอินเดียและมลายูให้เห็นไม่ ขาดตา ในอพอลโลกรีนที่บอมเบย์ ชาวอเมริกันซึ่งไปอาศัยอยู่ก็มักตกใจกลัวชาวพื้น เมือง แต่ที่นิวเบดฟอร์ดกินขาดทั้งวอเตอร์สตรีตและวาปปิ้ง เพราะแม้สองเมืองท่า หลังสุดนั่นจะเห็นแต่กะลาสีเกลื่อนตาไปหมด แต่ที่นิวเบดฟอร์ด คุณจะเห็นแม้กระทั่ง มนุษย์กินคนจริงๆ ยืนคุยกันอยู่ตามมุมถนน คนป่าตัวจริงหล่านี้หลายคนยังถือกระดูก สดๆ ซึ่งยังไม่ผ่านพิธีศักดิ์สิทธิ์ไว้ด้วย จนทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาต้องจ้องตาค้าง นอกจากชาวเกาะฟิจิ ชาวทองก้า ชาวเออโรแมงโก ชาวปีนัง ชาวไบร์กไจ และสารพัด กะลาสีที่มากับเรือล่าวาฬเดินกันขวักไขว่เกลื่อนถนน คุณจะได้เห็นภาพแปลกๆ น่าขัน อีกมากมาย สัปดาห์นั้นมีเด็กหนุ่มจากเวอร์มอนต์และนิวแฮมเชียร์มาถึง ต่างมุ่งมั่น มาแสวงโชคกับการล่าวาฬ พวกเขายังหนุ่มแน่นและมีร่างกายบึกบึน หนุ่มน้อยผู้โค่น ป่าดงพงไพรตัดสินใจวางขวานแล้วหันมาจับฉมวกล่าวาฬแทน หลายคนยังสดใหม่ พอๆ กับบรรยากาศบนเขาเขียวที่พวกเขาจากมา แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงคุณเป็นต้องได้ เห็นพวกเขา นั่นไง! เดินวางมาดอยู่มุมถนนนั่นก็คนหนึ่ง เขาสวมหมวกบีเวอร์ ใส่เสื้อ คลุมยาวสองชาย คาดเข็มขัดทหารเรือและพกมีดพร้อมฝัก โน่นก็อีกคน สวมหมวก กันน้ำเซาเวสเตอร์และเสื้อคลุมทอไหมและขนสัตว์ ไม่มีหนุ่มเจ้าสำอางที่โตในเมืองคนใดจะเอาตัวเองไปเปรียบกับหนุ่มบ้านนอกหรอก ผมหมายถึงหนุ่มเจ้าสำอางที่โตในบ้านนอกน่ะ เพราะแม้ในวันร้อนอบอ้าวที่สุดของปี หมอนั่นดันสวมถุงมือหนังกวางไปดายหญ้าห้าไร่เพราะกลัวมือกรำแดด แล้วเมื่อหนุ่ม
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 3\ 5
เจ้าสำอางที่ว่าอยากดูเด่นเป็นสง่ายามเข้าร่วมการล่าวาฬ คุณก็จะเห็นภาพน่าขันของ เขาแถวๆ ท่าเรือ อย่างเช่นชุดออกทะเล ก็สั่งช่างเสื้อให้ติดกระดุมรูปกระดิ่งบนเสื้อกั๊ก แถมด้วยสายหิ้วกางเกงผ้าใบ โธ่...เจ้าหนุ่มบ้านนอกเอ๊ย! แค่พายุกรรโชกทีเดียวสาย หิ้วนั่นก็รุ่งริ่งแล้ว ยามเมื่อลมกระหน่ำนาย ไม่ว่าสายหิ้วกางเกง กระดุม และทุกสิ่ง ต่างก็กลืนหายไปในพายุหมุนนั่นทั้งนั้น แต่อย่าคิดว่าเมืองอันโด่งดังนี่จะมีแค่นักพุ่งฉมวก ชาวเผ่ากินคน และคนบ้านนอกมา เยือนเท่านั้น เปล่าเลย...ถึงอย่างไรนิวเบดฟอร์ดก็ยังคงเป็นสถานที่แปลกประหลาด อยู่ดี แปลกสำหรับพวกเราเหล่านักล่าวาฬด้วย ด้วยตั้งอยู่โดดเดี่ยวคล้ายๆ กับชายฝั่ง ทะเลลาบราดอร์เลยทีเดียว แค่พื้นที่ด้านหลังก็น่ากลัวแล้ว เพราะดูคล้ายซากกระดูก ยังไงยังงั้น แม้ตัวเมืองเองอาจเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ที่สุดในบรรดาเมืองทั้งหลายทั่วนิ วอิงแลนด์ เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำมัน9 แต่ก็ต่างจากเคนาน ซึ่งเป็นดินแดนแห่ง ข้าวโพดและไวน์อีกที่ ถนนในนิวเบดฟอร์ดไม่ได้อุดมด้วยนมและไข่สดในช่วงฤดูใบไม้ ผลิ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีที่ไหนในอเมริกาที่คุณจะได้พบเห็นบ้านเรือนใหญ่โตเยี่ยงบ้าน ขุนนางชั้นสูง ลานจอดรถม้า และสวนอุทยานมากเท่านิวเบดฟอร์ด พวกเขามาจาก ที่ ไหนกันบ้างนะ? และมาตั้งรกรากในพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเป็นดินแดนซากลาวาของ ประเทศได้อย่างไรกัน? หากเข้าไปเห็นฉมวกเหล็กกล้าที่อยู่ตรงนั้นตรงโน้นรอบคฤหาสน์หรูนั่น แล้วคุณจะรู้คำ ตอบ ใช่แล้ว...บ้านของผู้กล้าและสวนดอกไม้งามเหล่านั้นมาจากทะเลแอตแลนติค แปซิฟิก และอินเดียนั่นเอง ต่างเคยใช้ฉมวกออกล่าวาฬและลากทุกตัวขึ้นมาจากก้น ทะเล ต่อให้ท่านอเล็กซานเดอร์10เอง จะแสดงกลแบบนั้นได้หรือ? กล่าวกันว่า ในนิวเบดฟอร์ดพ่อจะมอบวาฬเป็นสินสมรสแก่ลูกสาว และโลมาแก่หลาน สาว คุณต้องเดินทางไปที่นิวเบดฟอร์ดแล้วจะได้เห็นว่างานแต่งงานที่นั่นช่างสว่าง แพรวพรายเพียงใด เพราะว่ากันว่าในบ้านแต่ละหลังต่างมีบ่อน้ำมันวาฬอยู่ ทุกๆ คืน จะจุดเทียนไขหัววาฬขึ้นอย่างสุรุ่ยสุร่ายยาวนาน 9 10
แหล่งน้ำมัน-ในที่นี้หมายถึงน้ำมันจากไขวาฬ อเล็กซานเดอร์ ไฮม์บือเกอร์ (ค.ศ. 1819-1909) นักมายากลชาวเยอรมันผู้โด่งดังไปทั่วโลก
โมบี้ดิ๊ก ฉบับทดลองอ่าน หน้า 3\ 6
ช่วงฤดูร้อนเมืองทั้งเมืองช่างน่าดู เมเปิ้ลงามยืนต้นเป็นสีเขียวสีทองยาวเรียงราย ตลอดสองฝั่งถนน ส่วนเดือนสิงหาลมแรงจัด เกาลัดออกดอกงามสะพรั่งเต็มต้นมองดู คล้ายโคมระย้า ช่อดอกเรียวกรวยเบ่งบานตระการตาแก่ผู้ผ่านไปมา ธรรมชาติดล บันดาลสีสันแก่นิวเบดฟอร์ด หลายที่แต่งแต้มด้วยดอกไม้สดใสสว่างตาอยู่เหนือเนิน หินแห้งแล้งที่เคยถูกปล่อยปละทิ้งร้าง สาวๆ ชาวนิวเบดฟอร์ดก็เอิบอิ่มราวกุหลาบแรกแย้ม แต่กุกลาบจริงจะบานสะพรั่ง เฉพาะช่วงฤดูร้อนเท่านั้น แก้มพวกเธอก็งามดั่งคาร์เนชั่น เรื่อแดงราวแสงอาทิตย์ใน สรวงสวรรค์ชั้นเจ็ด สาวเมืองไหนๆ ก็ไม่เอิบอิ่มเท่า เว้นเสียแต่ที่ซาเล็ม มีคนบอกผม ว่าสาวน้อยที่นั่นหอมรัญจวนใจจนกะลาสีคู่รักของพวกหล่อนได้กลิ่นตั้งแต่อยู่ห่างจาก ฝั่งตั้งหลายไมล์ ราวกับว่าพวกหนุ่มๆ นั่นกำลังล่องเรือไปใกล้หมู่เกาะโมลุกกะ แทนที่ จะเป็นชายหาดของพวกพิวริตัน