11 นักเรียน ว่าที่นักเขียน กับการทดลองทํ านิตยสารเล่มแรกว่าด้วยเรื่องบ้าน-บ้าน (ผลงานจากเยาวชนโครงการ TK Young Writer 2012)
1
2
editor talk
คบเด็ก สร้างบ้าน สำ � นวนที่ ค นไทยมั ก จะนึ ก ถึ ง เรื่ อ งราว เกี่ยวกับ ‘บ้าน’ เห็นจะต้องมีสำ�นวนที่ว่า ‘คบเด็กสร้างบ้าน’ ติดอันดับอยู่ในความคิด ของคนไทยเป็นแน่ โดยความหมายของสำ�นวน ‘คบเด็กสร้าง บ้ า น’ หมายถึ ง ทำ � งานการอะไรกั บ เด็ ก ย่อมไม่เป็นผล เพราะเด็กยังเยาว์ทั้งอายุ และความคิด เปรียบเหมือนการทำ�งานใหญ่ อย่างการสร้างบ้าน ถ้าให้เด็กช่วยทำ� แทนที่ จะเป็นผู้ใหญ่ด้วยกัน ก็ยิ่งไม่สำ�เร็จ จึงเกิด เป็นสำ�นวนห้ามทีว่ า่ ‘อย่าคบเด็กสร้างบ้าน’ แต่ เ มื่ อ ผมได้ เ ข้ า มาในโครงการ TK Young Writer 2012 ทำ�ให้ผมต้องนิยาม คำ�ว่า ‘คบเด็กสร้างบ้าน’ ใหม่ เนื่องจากการ ที่ผมได้ร่วมทำ�งานกับน้องๆ ไม่ว่าจะเป็น น้องๆ ที่ยังเรียนอยู่ในโรงเรียน หรือน้องๆ ที่ อ ยู่ ใ นรั้ ว มหาวิ ท ยาลั ย ล้ ว นแล้ ว แต่ มี ศักยภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และเต็มไป ด้วยพลังของคนหนุ่มสาวแทบทั้งสิ้น ทุกคน มีความตัง้ ใจจริงทีจ่ ะทำ�หนังสือ จนทำ�ให้ผม ต้องเหลียวกลับไปมองตอนทีผ่ มอายุเท่ากับ น้ อ งๆ ว่ า ตอนนั้ น ผมกำ � ลั ง ทำ � อะไรอยู่ แล้วผมมีพลังที่อยากจะลุกขึ้นมาทำ�อะไร เหมือนกับน้องๆ หรือเปล่า
บ้าน l จัด l สรรค์ ที่คุณเห็นจึงถือกำ�เนิด ขึ้ น ท่ า มกลางไฟแห่ ง ความคิ ด อั น ลุ ก โชน ของน้องๆ ทุกคน ทุกอย่างทุกหน้า ถูกจัด เรี ย งและนำ � เสนออกมาเป็ น อย่ า งดี หน้ากระดาษเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ที่ ผู้ ใ หญ่ อ ย่ า งเรายั ง ทึ่ ง และต้ อ งเหลี ย ว มามองกันใหม่กับความคิดของน้องๆ ที่ถือ ได้ว่าความคิดไม่ได้น้องตามอายุเลยจริงๆ นิ ย าม ‘คบเด็ ก สร้ า งบ้ า น’ ของผม จึงเปลี่ยนไป เมื่อได้ร่วมทำ�งานกับน้องๆ ทุกคน การที่น้องๆ ร่วมก่อร่างสร้างหนังสือ หรือบ้านหลังนี้ขึ้นมา เป็นการบอกแล้วว่า ความคิดและการทำ�งานของน้องๆ ไม่ได้ เยาว์ อ ย่ า งที่ คิ ด ทุ ก คนพยายามทำ � งาน และเต็ ม ที่ กั บ งานเพื่ อ ให้ ผ ลงานชิ้ น นี้ เสร็ จ สมบู ร ณ์ แ ละเป็ น ผลดี แ ก่ ผู้ อ่ า นมาก ที่สุด การทำ�งานใหญ่อย่างหนังสือ บ้าน l จั ด l สรรค์ เล่ ม นี้ จึ ง ผ่ า นไปได้ ด้ ว ยดี และเต็มไปด้วยรอยยิม้ แห่งความภาคภูมใิ จ ของน้องๆ ทุกคน ถ้ามีใครมาบอกผมว่า “คบเด็กสร้างบ้าน แล้วไม่ดี” ผมจะเถียงใจขาดดิ้น และยื่น หนั ง สื อ เล่ ม นี้ ใ ห้ กั บ เขาเพื่ อ เป็ น เครื่ อ ง ยืนยันว่า ‘เด็กก็สร้างบ้านให้ดีได้เหมือนกัน’
ยุทธชัย สว่างสมุทรชัย บรรณาธิการ
3
ปิยฤทธิ์ ปัญจธรรมวิทย์
ยุทธชัย สว่างสมุทรชัย
ปรางแก้ว ศรีแก้ว
บรรณาธิการ
ผู้ช่วยบรรณาธิการ
ผู้ช่วยบรรณาธิการ
ภูษิต มณีพงษ์
บุญญานันท์ กาญจนกิจ
จิณญา จุฑาแก้ว
ศุภวิทย์ น้อมเกียรติกุล
กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
สรพงศ์ อ่องแสงคุณ
สหธร เพชรวิโรจน์ชัย
ภาณุพันธ์ วีรวภูษิต
ปุณยวีีร์ ธนสมบัติกุล
กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
หนึ่งในโครงการ TK Young Writer 2012 ผลิตโดย: ส�ำนักงานอุทยานการเรียนรู้ สังกัดส�ำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เลขที่ 999/9 อาคารส�ำนักงาน เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 17 ถนนพระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทรศัพท์: 0-2264-5963-5 โทรสาร: 0-2264-5966 www.tkpark.or.th www.facebook.com/tkparkclub www.facebook.com/readmeegazine 4
ที่ปรึกษา ดร.ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล รองผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานบริหาร และพัฒนาองค์ความรู้ และผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานอุทยานการเรียนรู้ วิภว์ บูรพาเดชะ บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร happening หัวหน้าฝ่ายกิจกรรม อัศรินทร์ นนทิหทัย
บรรณาธิการที่ปรึกษา จักรพันธุ์ ขวัญมงคล ผู้ช่วยบรรณาธิการที่ปรึกษา จรัลพร พึ่งโพธิ์ พิสูจน์อักษร เบญจวรรณ แก้วสว่าง
กราฟิกดีไซเนอร์ เอกพันธ์ ครุมนต์ตรี จันทวรรณ สุทวีทรัพย์ ประสานงาน สิริรัตน์ จันทศรี อังคณา กาญจนไพศิษฐ์
content
P14
‘โยกเยก เชิญยิ้ม’ โตผิดไซส์ แต่ใจ (ไม่) ผิดส่วน
P30
เรื่อง ‘ของ’ ฉัน หลากหลายแง่มุม จาก ‘ของ’ รอบบ้าน
P40
art@home CLICK อำ�นาจ รีโมต ชีวิต
P52
‘บ้านในความนึกคิด’ บ้านธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา 5
เรื่อง/ภาพ : สรพงศ์ อ่องแสงคุณ
เมื่อวาน ที่บ้านทานอะไร มาสำ�รวจเมนูคู่โต๊ะอาหารของครอบครัวไทยว่ามีจานใด ที่นิยมทำ�หรือซื้อเข้ามารับประทานร่วมกันที่บ้านบ้าง
นาฬิกามื้ออาหาร
6
มื้อ เช้า ปาท่องโก๋ น้ำ�เต้าหู้
ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก
ข้าวต้ม กุนเชียง
ผัดไทย
ผัดซีอิ๊ว
ก๋วยเตี๋ยว
แกงจืดเต้าหู้
ต้มยำ�กุ้ง
ไข่พะโล้
กะเพราไข่ดาว
ข้าวผัด
ข้าวหมูทอดกระเทียม
มื้อ เที่ยง มื้อ เย็น มื้อ สิ้นคิด มื้อครึ่งเดือนหลัง
บะหมี่กึ่งสำ�เร็จรูป
มื้อถูกหวย
ฟาสต์ฟู้ด
ตัวช่วยรอบบ้าน
ไข่เจียว รถกับข้าวแถวบ้าน
ร้านสะดวกซื้อ
สวนครัวหลังบ้าน
ตลาดนัด
ตามสั่ง
7
เรื่องสั้นหมายเลข 1
8
เลือน เรื่อง : ปรางแก้ว ศรีแก้ว
มกางสมุดบันทึกซอมซ่อออก มื อ สั่ น เทาเหมื อ นคนติ ด ยา พลิกหน้ากระดาษไปมา หัวที่ปวดหนึบ เมื่อครู่ทุเลาลงแล้ว แต่ใจกลับร้อนรุ่ม มากขึ้นกว่า ผมหยุดมือที่หน้ากระดาษว่างๆ หน้า หนึ่ง พลางควานเปะปะไปทั่วเสื้อโค้ต ตัวยาว ก่อนควักปากกาจากกระเป๋าด้าน ในมาเขียนเป็นข้อความง่ายๆ ว่า สวัสดี ผมเทียบมันกับลายมือในสมุดบันทึก ก่อนหน้านี้ตามคำ�แนะนำ�ในหน้าที่หนึ่ง ข้อที่สองเขียนเอาไว้ว่าสมุดบันทึกเล่มนี้ เป็นของผม และให้เขียนข้อความอะไร ก็ ไ ด้ เ พื่ อ เป็ น การพิ สู จ น์ เ นื้ อ หาในนั้ น มันเตือนความจำ�แม้กระทั่งชื่อ-นามสกุล ที่ผมรู้อยู่แล้ว พร้อมกำ�ชับว่าหากวันใด วันหนึ่งที่ผมตื่นขึ้นมาและจำ�ชื่อตัวเอง ไม่ ไ ด้ ก็ ใ ห้ เ ผาสมุ ด บั น ทึ ก เล่ ม นี้ ซ ะ
หรือจะเอาไปถ่วงนํ้าก็ไม่เป็นปัญหา ‘ทำ � ไมต้ อ งทิ้ ง วะ’ ผมถามตั ว เอง แต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา นึกสงสัยว่า ทำ�ไมตัวผมอีกคนถึงโง่ขนาดสัง่ ให้ท�ำ ลาย มั น ได้ สมองเสื่ อ มถอยแค่ ไ หนก็ ไ ม่ น่ า เสียสติขนาดนั้น ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกถึงหยดนํ้าเย็น ชื้ น ฝนเริ่ ม ลงเม็ ด แล้ ว ผมรี บ ซุ ก สมุ ด บันทึกกลับเข้าอกเสื้อ ในขณะที่กำ�ลังเร่ง ยัดมันกลับเข้าที่ กระดาษแผ่นหนึ่งก็ร่วง ออกมาจากเล่ม อย่าเสือกตามหาดาว ลายมือบูดๆ เบีย้ วๆ ตัวโตเต็มแผ่น จารึกไว้วา่ อย่างนัน้ ‘แล้วเสือกเขียนไว้แค่นี้ มันหมายความ ว่ายังไงวะ’ ผมสบถตอบข้อความนัน้ ทันที ที่ อ่ า นจบ พลางวิ่ ง หากั น สาดคุ้ ม หั ว เมื่อฝนตกหนักขึ้น หลังจากหาทีห่ าทางได้แล้ว ผมจึงกาง
สมุ ด บั น ทึ ก ออกอ่ า นอี ก ครั้ ง ด้ ว ยความ อยากรู้ ลั ก ษณะทั่ ว ไปของมั น ไม่ ต่ า ง จากสมุ ด บั น ทึ ก ชี วิ ต ประจำ � วั น อื่ น ๆ... มีข้อความ มีรูปภาพ กระทั่งรูปสเก็ตช์ ของสถานที่ต่างๆ แต่สิ่งที่ดึงความสนใจ ของผมคือแผนที่ แผนที่ ที่ มี สั ญ ลั ก ษณ์ รู ป ดาวกระจุ ก อยู่ตรงกลาง ผมไม่เข้าใจ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ผมสงสัยว่าเมื่อคนเราตื่นจากฝัน… จะรู้สึกทรมานเหมือนที่ผมเป็นอยู่หรือไม่ ผมสับสนมึนงงอยูช่ วั่ ครู่ ภาพตรงหน้า พร่ า เลื อ นเหมื อ นมองผ่ า นฝ้ า หมอก เสียงจอแจดังหนืดเนือยคล้ายม้วนเทป ยืดยาน ผมรู้สึกราวกับว่ากำ�ลังลอยเคว้ง อยู่ ใ นอวกาศ ติ ด อยู่ ร ะหว่ า งรอยต่ อ ของความจริงกับความฝัน แต่กลิ่นของ 9
ท่อระบายนํ้าข้างๆ ทำ�ให้ผมรู้ว่าตัวเอง อยู่ในฝั่งไหน ผมอ้วกออกมาเมื่อเผลอ สูดเอาความจริงเหม็นเน่าเข้าเต็มปอด ‘ที่นี่ที่ไหน’ ผมคลานออกห่างจากท่อ ระบายนํา้ และกองอ้วก เหลียวซ้ายแลขวา สำ�รวจสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ผมไม่ได้ตื่น ขึ้ น มาบนเตี ย งนอนในอพาร์ ต เมนต์ คั บ แคบเช่ น เดิ ม แต่ ก ลั บ พบว่ าตั ว เอง อยู่ ใ นตรอกซึ่ ง แคบยิ่ ง กว่ า นั้ น เสี ย อี ก ผมสบถดั ง ลั่ น เมื่ อ หนู ท่ อ ตั ว ใหญ่ เ ท่ า แมวบ้านวิ่งตัดหน้าผมไป ผมพยายามลุ ก ขึ้ น สองมื อ ปั ด ป่ า ย ไปตามกำ�แพงชื้นเพื่อพยุงตัวเอง ขาสอง ข้างลากร่างหนักอึ้งให้ออกมาจากตรอก แคบนั้น แสงแดดจ้าพุ่งเข้าตาทันทีที่ผม เข้าสู่ที่โล่ง ทัศนียภาพกลายเป็นสีขาว ชั่ ว ขณะ ก่ อ นเปลี่ ย นเป็ น ตึ ก สู ง ระฟ้ า เมื่อปรับสายตาได้ ‘ที่ไหนวะ’ ผมสบถออกมาอีกหนึ่งคำ� จำ�ไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน “ขอโทษครับ ที่นี่... ” ผมร้องถามทาง จากผู้ ห ญิ ง คนหนึ่ ง แต่ เ จ้ า หล่ อ นกลั บ ย่นจมูกใส่ผมพร้อมจํ้าหนีอย่างรวดเร็ว ผมเปลี่ยนเป้าหมายไปถามคนอื่นแทน แต่ผลลัพธ์กลับเหมือนเดิม “ไอ้เวร” ผมด่าคนล่าสุดเบาๆ พลาง ล้วงมือเข้าอกเสื้อเพื่อควานหาบุหรี่ด้วย ความเคยชิน ทว่าไม่มบี หุ รีใ่ นกระเป๋าเสือ้ ไม่มีแม้กระเป๋าเสื้อด้วยซํ้า นั่นไม่ใช่เรื่อง น่าตกใจเท่ากับสภาพของผมในตอนนี้ ผมเข้ า ใจแล้ ว ว่ า ทำ � ไมคนเหล่ า นั้ น จึงสามัคคีกนั ถอยห่างผม ผมไม่ตา่ งอะไร กับคนไร้บ้าน เสื้อยืดพิมพ์ลายสีชํ้าเลือด ชํ้ า หนอง สวมทั บ ด้ ว ยเสื้ อ โค้ ต ตั ว ยาว ซึ่งเก่าเสียจนชายขาดรุ่ย ผมย่นจมูกเมื่อ ได้กลิ่นเหม็นอับโชยออกมาจากสาบเสื้อ ผมรูส้ กึ มึนและงงยิง่ กว่าตอนตืน่ ขึน้ มา เสียอีก ผมลูบหน้า สงบสติอารมณ์อยู่ พักใหญ่ ก่อนสำ�รวจว่ามีอะไรที่จะบอก ผมได้ บ้ า งว่ า ตอนนี้ ผ มยื น งงอยู่ ที่ ไ หน และเสื อ กไปขโมยเครื่ อ งแบบของใคร 10
มาสวม ป้ายบอกทางรอบด้านไม่ช่วย อะไร ผมจึงล้วงกระเป๋าทุกกระเป๋าที่มีอยู่ ในตัว เผื่อจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง แล้วผมก็พบ... สมุดบันทึก สมุดบันทึกทีเ่ หมือนเอากระดาษเก่าๆ มาเย็บรวมกันครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจาก รอยเปื้อนและคราบต่างๆ ที่ทำ�ให้มันดู เหมือนขยะแล้ว หน้ากระดาษบางแผ่น ยังมีการเขียนทับซํ้าไปซํ้ามา จนแทบดู ไม่ออกว่ามันเคยบอกเล่าเรือ่ งราวอะไรไว้ ผมพลิกเร็วๆ ดูผา่ นๆ อยูส่ อง-สามหน้า ก่ อ นสะดุ ด กั บ ข้ อ ความข้ อ ความหนึ่ ง ที่เขียนด้วยหมึกสีแดงสด อย่ า เสื อ กตามหาดาว ผมขมวดคิ้ ว ทว่าไม่ใส่ใจนัก เมื่อพลางพลิกดูหน้าปก ซึ่ ง แทบจะขาดคามื อ หากเปิ ด มั น แรง เกินไป บนนั้นเขียนชื่อผมเอาไว้ เขาบอกว่ามันเป็นของผม ยินดีต้อนรับกลับบ้าน นึกให้ตายผมก็นึกไม่ออกว่าคนตรง หน้าคือใคร เขาไม่ได้แนะนำ�ตัว แต่พุ่ง เข้ามาหาผมเหมือนเรารู้จักกันมานาน ผมปล่อยให้เขาพูดอยู่ฝ่ายเดียว ก่อนที่ เขาจะลาจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผม ยื น งงอยู่ ห น้ า ร้ า นหนั ง สื อ เก่ า กั บ มวล ความคิดหนักอึ้ง ผมมองตามเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหัน กลับมาสนใจร้านหนังสือเก่า ผมตัดสินใจ ผลั ก ประตู เ ข้ า ไปด้ า นใน เสี ย งกระดิ่ ง ที่ห้อยไว้กับลูกบิดดังกรุ๊งกริ๊ง พร้อมกัน กับที่ชายชราหลังเคาน์เตอร์เอ่ยต้อนรับ “ยินดีต้อนรับ” ผมชะงัก รู้สึกเหมือน เคยได้ยินประโยคที่คล้ายแบบนี้มาก่อน เสียแต่ว่ามันเลือนรางห่างไกลเหลือเกิน ในความทรงจำ � อาจหวี ด แว่ ว มาจาก ความฝัน ผมไม่แน่ใจนัก… ไม่แน่ใจเลย หลั ง จากพลิ ก สมุ ด บั น ทึ ก ที่ ผ มเขี ย นถึ ง ตัวเอง ผมยิ้ ม เล็ ก น้ อ ยให้ ช ายชราหลั ง เคาน์เตอร์ เขาทำ�ท่าคล้ายต้องการพูด
อะไรบางอย่างกับผม เหมือนเขารู้จักผม เช่ น เดี ย วกั บ คนที่ ทั ก ทายผมก่ อ นหน้ า ผมผละออกมาเพื่อตามหาบริเวณที่ผม ต้องการ... บริเวณที่มีดาวเจ็ดดวง ผมเดิ น เข้ า มาทางปี ก ซ้ า ยของร้ า น ร้านหนังสือเก่าร้านนี้มีโต๊ะอ่านหนังสือ บริการลูกค้าตั้งอยู่ริมหน้าต่าง จัดเรียง กันเป็นแถวยาวประมาณห้าโต๊ะคล้าย ห้องสมุด ผมสาวเท้าอย่างเร่งร้อนไปยัง โต๊ ะ ตั ว สุ ด ท้ า ย นั่ ง หลั บ ตารวบรวมสติ ให้มั่นคงที่สุด ผมสูดหายใจลึกก่อนก้ม ลงดูที่ใต้โต๊ะ ‘ผมชอบร้านนี้ ให้รวดเดียวเจ็ดดวง’ ผมอ่านข้อความสั้นๆ เขียนด้วยลายมือ หวั ด ๆ ซึ่ ง บั น ทึ ก อยู่ ด้ า นล่ า งรู ป สเก็ ต ช์ สีซีด ผมอุทานออกมา ยกมือขึ้นลูบหน้า ก่ อ นปล่ อ ยมั น ตกลงข้ า งลำ � ตั ว เหมื อ น คนไร้ เ รี่ ย วแรง หากข้ อ ความในสมุ ด บันทึกเป็นจริง ผมคงเป็นคนที่โชคดีและ โชคร้ายที่สุดในโลก โชคดีที่ผมสามารถ เริ่มชีวิตใหม่ได้ทุกวัน ส่วนโชคร้ายที่ผม ไม่สามารถ… “เดี๋ ย วพิ พ พาก็ ม าแล้ ว ” ชายชรา คนเดิมเอ่ยขึ้น ผมสะดุ้งสุดตัวพร้อมยัด สมุดบันทึกเข้าอกเสื้อ เขาตบบ่าผมเบาๆ ในขณะที่ผมได้แต่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ใครคือพิพพา ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ยิ่งเข้าใกล้กลุ่มดาว ผมยิ่งมั่นใจว่ า ผมมาถูกทางแล้ว ผมยกแผนที่ ใ นสมุ ด บั น ทึ ก ขึ้ น มา เที ย บกั บ ถนนและที่ ตั้ ง ของร้ า นต่ า งๆ ตรงหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าผมเดินมาไม่ผิด ทิศ จากจุดนี้คะเนได้ว่าผมอยู่ห่างจาก ดาวสีแดงราวสามช่วงตึก ผมพับแผนที่กลับเข้าที่เดิมก่อนก้าว เท้ า ต่ อ ระหว่ า งทางมี ค นส่ ง ยิ้ ม ให้ ผ ม เป็ น ระยะ บางคนถึ ง ขนาดทั ก ทายผม ด้ ว ยซํ้ า ซึ่ ง นั่ น ทำ � ให้ ผ มมั่ น ใจยิ่ ง ขึ้ น ว่ า ผมเคยอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะแฝง มากับสายตาแปลกๆ ก็ตาม
ผมเปิดดูสมุดบันทึกอีกครัง้ เมือ่ ใกล้ถงึ จุดหมาย นอกจากสัญลักษณ์รปู ดาวแล้ว หน้าสุดท้ายของสมุดบันทึกยังคงสะกิดใจ ผมอยู่ กระดาษใหม่เอี่ยมถูกเย็บเข้ากับ เล่ม พร้อมปรากฏลายมือของคนอีกคน ซึ่งไม่ใช่ผม ยินดีต้อนรับกลับบ้าน มันเขียนเอาไว้ แค่ นั้ น ข้ อ ความคล้ า ยโดนหยดนํ้ า ตก กระทบ รอยหมึกกระจายเป็นด่างดวง ดูไปแล้วก็เหมือนคราบนํ้าตา ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ผมนึกหัวแทบระเบิดว่าตัวเองมานอน เป็นซากอยู่หน้าทางเข้ารถไฟฟ้าใต้ดิน ได้อย่างไร ทว่ายิ่งคิดยิ่งไม่มีคำ�ตอบ ผมจึงยึด เอาสมุดบันทึกเก่าๆ เป็นทีต่ งั้ ในนัน้ เขียน ด้ ว ยลายมื อ ของผม แต่ ผ มจำ � ไม่ ไ ด้ ว่ า ตั ว เองโรแมนติ ก ขนาดนั่ ง วาดแผนที่ พร้ อ มให้ ด าวสถานที่ ที่ ป ระทั บ ใจเป็ น ตั้งแต่เมื่อไหร่ นอกจากนั้นยังมีรูปสเก็ตช์ อี ก หลายรู ป บอกรายละเอี ย ดบริ เ วณ ที่ผมไปให้ดาวมา บางที่อยู่ใต้โต๊ะในร้าน หนังสือเก่า และบางที่อยู่บนราวสะพาน ข้ามแม่นํ้า ผมถอนหายใจ ก่อนละสายตาออก จากดาวสีแดงตรงกลางแผนที่ มันต่าง จากดาวดวงอื่นๆ ในนั้น ผมทึกทักเอาว่า บางสิ่งบางอย่างที่สำ�คัญมากๆ กำ�ลังรอ ผมอยู่ อาจเป็นที่พักอาศัย หรือคนที่ผม ต้องไปพบ นั่นทำ�ให้ผมยอมเสียเวลาเกือบสาม ชั่วโมงออกตามหามัน ผมตื่นขึ้นในจุด ที่เรียกว่าห่างจาก ตรงกลาง เอาเรื่อง เมื่ อ เที ย บกั บ แผนที่ มั น คล้ า ยกั บ บริวารรอบนอกของกาแล็กซีดาวสีแดง เนื่องจากสัญลักษณ์รูปดาวปรากฏอยู่ เบาบางเหลือเกิน เมื่อเทียบกับ ตรงกลาง ซึ่งผมอุตริวาดเอาไว้อย่างหนาแน่น “พิพพาไม่ม าด้วยหรือ” ผมหันขวับ ไปตามเสียง หญิงวัยกลางคนเอ่ยทักผม และแน่นอนว่าผมจำ�หล่อนไม่ได้
ผมยิ้มตามมารยาท พลางเหลือบมอง สัญลักษณ์รูปดาวห้าดวงบนราวสะพาน เก่าครํ่าคร่า ผมลากตัวเองมายังจุดศูนย์กลางของ สัญลักษณ์รูปดาวได้ในที่สุด หลังจาก ตืน่ ขึน้ มาแล้วพบว่าตัวเองซุกอยูใ่ นกล่อง หน้าร้านสะดวกซื้อ ผมก็จำ�อะไรไม่ได้อีก เลย มีเพียงสมุดบันทึกแปลกประหลาด ในเสื้อโค้ตซึ่งผมสวมอยู่เท่านั้น ที่พอจะ ทำ�ให้ผมตัดสินใจได้วา่ ควรเริม่ ต้นตามหา อดีตจากตรงไหน ขณะนีผ้ มยืนอยูก่ ลางสีแ่ ยก เมือ่ เทียบ กับแผนที่แล้ว จุดนี้คือที่ที่ดาวหกแฉก สีแดงสดซ่อนอยู่ ระหว่ า งนั้ น ผมคลี่ เ อาเศษกระดาษ ในอุ้งมือออกอ่าน เนื้อกระดาษบางส่วน ได้ถูกฉีกทิ้งไปก่อนหน้านั้นแล้ว คำ�ว่า ยินดี ครึ่งๆ กลางๆ ถูกเขียนด้วยลายมือ ของคนอื่น ตัวอักษรบิดเบี้ยวเปรอะเปื้อน คล้ายโดนนํ้าหยดใส่ ผมจ้องข้อความนั้น อยู่ ชั่ ว ครู่ ก่ อ นขยำ � มั น เป็ น ก้ อ นกลม ตามเดิม ‘นั่นใคร’ ผมตะลึงค้าง เมื่อหันกลับไปมองตรง ทางข้ามแยก หญิงสาวคนหนึ่งรั้งรอที่จะ ข้ามถนน หล่อนก้าวแล้วถอยอยู่หลาย ครั้ ง เมื่ อ คลื่ น รถยนต์ ไ ม่ ย อมปล่ อ ยให้ หล่ อ นผ่ า นไป หญิ ง สาวตะโกนอะไร บางอย่ า งซึ่ ง ผมไม่ ไ ด้ ยิ น ผมแน่ ใ จว่ า หล่อนกำ�ลังมองมาที่ผม ใบหน้าสวยจัด ดูยุ่งยากใจ… ใบหน้าที่ผมรู้สึกคุ้นเคย ฉับพลันนัน้ ผมรูส้ กึ เหมือนถูกกระชาก คล้ายคนทีส่ ะดุง้ ตืน่ จากฝันร้าย เสียงรอบ ด้ า นเงี ย บสนิ ท เช่ น เดี ย วกั บ เสี ย งของ หล่อน “อย่ า ข้ า มมา…” ผมพึ ม พำ � อย่ า ง เลือ่ นลอย ดวงตาเบิกกว้าง “อย่าข้ามมา!” โครม!!! ผมตะโกนสุ ด เสี ย งพร้ อ มกั บ ความ ทรงจำ � เริ่ ม ไหลย้ อ นกลั บ ผมกรี ด ร้ อ ง เมื่อเห็นร่างของหล่อนปลิวตามแรงอัด
ของรถโฟร์วีลซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วสูง ซากมนุษย์กระจัดกระจายเหมือนเศษสติ มือไร้เรี่ยวแรง ขาอ่อนปวกเปียก ผมทรุด ลงนั่ง ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ผมร้องไห้อย่างหนัก แม้จะรู้ดีว่ามัน เป็นเพียงภาพอดีต เนิ่ น นานในความรู้ สึก ผมปล่อ ยให้ ตัวเองลอยออกไป… ลอยห่างออกไป… “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน…” เสียงหนึ่ง ดั ง ขึ้ น อย่ า งอ่ อ นหวานท่ า มกลางเสี ย ง ก่นด่าของผู้คนบริเวณนั้น ผมเงยหน้าขึ้น ก่อนเอ่ยชือ่ ของบุคคลตรงหน้า “พิพพา...” หญิงสาวยิ้มรับ หล่อนมีใบหน้าคล้าย กับภรรยาของผม และนัน่ ทำ�ให้ผมปล่อย โฮออกมาอีกครั้ง “นานเท่าไหร่แล้ว…” ผมถามหล่อน “นานเท่าไหร่แล้วที่ผมเป็นแบบนี้” พิพพาย่อตัวลงให้อยู่ระดับเดียวกับ ผม “สี่ปี… ทุกวัน…” ผมกลื น ก้ อ นสะอื้ น ลงคอเมื่ อ หล่ อ น พูดจบ เสียงของหล่อนสั่นเครือ ริมฝีปาก สั่นระริก “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” พิพพาโอบ กอดผม “เลิกโทษตัวเองได้แล้ว” อย่ า โทษตั ว เอง… เสี ย งอ่ อ นหวาน ดังขึ้นจากห้วงอดีต ผมนั่งกุมมือหล่อน จนวาระสุ ด ท้ า ยของชี วิ ต ผมผิ ด เอง ผมผิดเองที่เดินจากมา… ผมผิดเอง… “ยังมีคนรอคุณอยู่” พิพพาเสสายตา ไปยั ง เศษกระดาษยั บ ยู่ ยี่ ลายมื อ ของ หล่ อ นประทั บ อยู่ บ นนั้ น คำ � ว่ า ยิ น ดี ที่ผมไม่รู้ว่าใครเขียนในตอนแรก ฝนตกลงมา อากาศเย็นชื้น แต่ อ้ อ มกอดของหล่ อ นช่ า งอบอุ่ น เหลือเกิน ยินดีต้อนรับกลับบ้าน เสียงในฝันดังชัดเจน ผมลืมตาขึ้น
11
A house books is a room w windows
Horace Ma โฮเรซ มานน์ - ผู้ปฏิรูปการศึกษาคนสำ�คัญของอเมริกา
12
without s like without s.
ann 13
14
เรื่อง : ยุทธชัย สว่างสมุทรชัย
ถ้ามีการสำ�รวจสำ�มะโนครัวเกิดขึ้น ชื่อ ‘นายอัครเดช
รอดวินิจ’ อาจจะถูกมองข้ามไปในฐานะที่เป็นคนธรรมดา
ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ถ้านำ�ชื่อของผู้ชายคนนี้
มาสำ�รวจในสำ�มะโนครัวของวงการตลก เราจะได้ค้นพบ
ภาพ : ปรางแก้ว ศรีแก้ว
สร้างเสียงหัวเราะและเป็นทีน ่ า ่ ขบขันแก่ชาวบ้านร้านตลาด
ได้อย่างไม่ยากเย็น ชนิดที่ไม่ต้องทำ�อะไร แค่เดินออกมา ผู้ชมก็ครื้นเครงแล้ว
นั่นจึงทำ�ให้ชีวิตของเขาเป็นที่น่าสนใจว่า การดำ�รงชีวิต
อีกนามหนึ่งของเขา นั่นก็คือ ‘โยกเยก เชิญยิ้ม’ ซึ่งชื่อนี้
บ้านที่เขาอาศัย รวมถึงความรู้สึกของคนที่เกิดมาพิเศษ
ไปสามบ้านแปดบ้านเลยทีเดียว
อย่างไร
เรารับรองได้ว่าคุณจะต้องหันขวับกลับมา และร้อง ‘อ๋อ’
ที่ผู้ชายคนนี้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักขึ้นมาได้ คงจะหนี
ไม่พ้นเรื่องความสูงและร่างกายที่ผิดแผกจากคนทั่วไป ด้วยรูปร่างอันใหญ่โตผิดส่วน ทำ�ให้เขาถูกจับตามองทันที
ที่ก้าวเข้าสู่วงการตลก เพราะว่าร่างกายของเขาสามารถ
กว่ า คนโดยทั่ ว ไปว่ า มี ค วามรู้ สึ ก แตกต่ า งจากคนทั่ ว ไป บรรทั ด ต่ อ ไปจึ ง เป็ น คำ�บอกเล่ า ถึ ง เรื่ อ งราวและชี วิ ต
ที่ผ่านมาของเขาที่จะทำ�ให้เรารู้ว่า บ้านและสังคมหลังนี้ ที่เขาอยู่มันสุขีสำ�หรับเขาแค่ไหน
15
ตอนนี้สูงอยู่ที่เท่าไหร่ หยุดสูงแล้วหรือยัง?
หยุดแล้วครับ ตอนนี้อยู่ที่ 210 เซนติเมตร
รู้ว่าตัวเองเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงอายุไหน?
จริงๆ ผมสูงมาตั้งแต่เด็กครับ ตอนเกิดก็สูงแล้ว แต่คุณพ่อจะมา สังเกตว่าผมสูงเร็วเอาตอนช่วงประถมปลายกำ�ลังจะขึ้นมัธยมต้น นี่แหละ แต่ตอนเด็ก ผมรู้สึกว่าผมก็ไม่ได้สูงอะไรเร็วมากนัก โตตาม ปกติ เ หมื อ นเด็ ก ทั่ ว ไป โตไล่ ๆ กั บ เพื่ อ นมา โดยผมจะสู ง กว่ า พวกเพื่อนๆ ซึ่งเพื่อนๆ จะอยู่ประมาณช่วงหัวไหล่ผม และพอผม ยิง่ สูงขึน้ ไปอีก เพือ่ นก็สงู ไล่ๆ ตามกันมา ผมจึงไม่รสู้ กึ ว่าผิดปกติอะไร รู้ สึ ก กั ง วลและกดดั น หรื อ ไม่ เมื่ อ รู้ ว่ า รู ป ร่ า งของตั ว เอง เริ่มแตกต่างจากเด็กทั่วๆ ไป?
ตอนเด็กๆ ไม่รู้หรอก เพราะว่าตอนเด็กๆ เราคิดว่าเราก็คงเหมือน เด็กทัว่ ๆ ไป คือไม่ได้คดิ ว่าตัวเองจะสูง แต่เพิง่ จะมารูต้ วั ตอนประมาณ ประถมปลายถึงช่วงมัธยมต้น ซึ่งช่วงนั้นโดนเพื่อนล้อบ่อย โดนล้อ หนักมาก ก็เลยรู้สึกว่าทำ�ไมต้องล้อกันด้วย นอยด์มากเลยช่วงนั้น พอโดนล้อเข้ามากๆ ก็เอาไปฟ้องครู ไปฟ้องพ่อ (หัวเราะ) พ่อก็จะ บอกว่า “ไม่เป็นไรลูก ที่เพื่อนเขาล้อว่าเราตัวใหญ่ เป็นเพราะเพื่อน เขาอิจฉาเรามากกว่า” การใช้ ชี วิ ต ภายในบ้ า นเหมื อ นหรื อ แตกต่ า งจากคนทั่ ว ไป อย่างไร?
จริงๆ ก็ไม่ต่าง เพราะว่าเราโตมาด้วยรูปแบบทั่วไปที่เขาอยู่กัน แบบนี้ อ ยู่ แ ล้ ว เลยรู้ สึ ก ว่ า ไม่ ค่ อ ยแตกต่ า งกั น เท่ า ไหร่ เพราะว่ า ทุกอย่างที่ใช้ก็เป็นของของคนปกติ มีบางอย่างที่อาจจะพิเศษบ้าง แต่ว่าก็ไม่ใช่ทุกอย่าง ก็เลยชินกับการอยู่แบบคนปกติแบบนี้
เครือ ่ งใช้ ของใช้ภายในบ้าน หรือของใช้สว ่ นตัวของคุณ ต้องพิเศษกว่าคนอื่นอย่างไร?
ที่จะต้องพิเศษกว่าคนอื่นมากๆ ก็จำ�พวกเสื้อผ้า รองเท้า ที่ต้องใช้ ในชีวิตประจำ�วัน แต่พวกรองเท้านี่จะหนักหน่อย คือเราต้องสั่งตัด หรือถ้าเป็นรองเท้าผ้าใบ เราก็ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ เพราะใน ประเทศไทยไม่มี ต้องต่างประเทศเท่านั้น เพราะต่างประเทศเขา จะมีคนตัวใหญ่ๆ แล้วเขาก็จะทำ�รองเท้ามารองรับคนตัวใหญ่ เราต้อง สัง่ ซือ้ และนำ�เข้ามา รวมถึงจานข้าวด้วย จานข้าวของผมก็จะมีขนาด ค่อนข้างใหญ่หน่อย เมื่อรู้ว่ารูปร่างของตัวเองเริ่มแตกต่างจากคนภายใน บ้าน คนภายในบ้านมีผลตอบรับกลับมาอย่างไรบ้าง?
ทีแรกที่เราคิดคือน้อยใจ แต่พอโตมาได้ไปเจอสังคมภายนอก
16
ได้ไปเจอกับคนเยอะๆ คนก็จะมองเราแปลกๆ ว่า ไอ้เด็กคนนี้มันตัว ใหญ่ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรต่อจากนี้ แต่เราดีตรงที่บ้านโอเค กับเรา พ่อแม่ให้กำ�ลังใจเรา ทางบ้านให้กำ�ลังใจว่า “ที่เขามองเรา เพราะว่าเราตัวใหญ่ เราไม่ได้ผิดปกติอะไร ไม่ต้องไปใส่ใจสายตา ใคร” เราก็รู้สึกดีขึ้น คิดว่ารูปร่างในตอนนี้เป็นปมด้อยสำ�หรับชีวิตหรือเปล่า?
ตอนเด็กๆ เราคิด เพราะมันถูกล้อ ถูกคนพูดถึง และคนก็มองเรา เยอะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขามองหรือพูดถึงเราอย่างไร แต่ก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี ว่าทำ�ไมเราถึงเป็นแบบนี้ เพราะช่วงเด็กๆ ผมไม่ค่อยได้ออกไปเจอ สังคมมากเท่าไหร่ เพราะช่วงนั้นผมจะออกมาเรียนแล้วก็กลับบ้าน คือผมมาจากสังคมของทหารครับ คือเวลาไปเรียนก็จะนั่งรถทหาร ไปโรงเรียน พอเลิกเรียน รถทหารเขาก็จะมารับเรากลับบ้าน ไม่ค่อย ได้ออกไปเจอสังคมภายนอกเท่าที่ควร ชีวิตช่วงนั้นก็เลยรู้สึกไม่ค่อย มีอะไรหวือหวากับสังคมภายนอกเท่าไหร่นัก แต่พอโตขึ้นมาเจอ สั ง คมมากๆ เข้ า ก็ รู้ สึ ก เป็ น ปมด้ อ ยเหมื อ นกั น แต่ ค นรอบข้ า ง หรือคนในครอบครัวก็จะบอกว่า “มันไม่ใช่” ทำ�ให้พอโตมาเจอกับ สังคมภายนอกเรื่อยๆ มันเลยกลายเป็นความเคยชินและก็รู้สึกว่า “เออ เราก็เด่นดีเหมือนกัน” (หัวเราะ) รู้สึกอย่างไรเมื่อร่างกายที่ตัวเองเป็นได้กลายเป็นตัวตลก สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นๆ?
ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาในวงการ เราไม่คิดหรอกว่ามันจะตลก แต่พอ เริ่มเข้ามาในวงการ เริ่มเข้ามาเล่นตลกให้คนดู แรกๆ ก็รู้สึกแปลก เพราะไม่เคยโดนคนหัวเราะขนาดนี้ มีวูบหนึ่ง แวบหนึ่งเหมือนกัน ที่ย้อนกลับไปคิดถึงตอนเด็กๆ ว่า “เห้ย ที่เขาหัวเราะ เพราะว่าเรา อัปลักษณ์หรือเปล่า” แต่ด้วยการเป็นตลก ถ้าเกิดเราไม่ทำ�ให้คน เขาขำ� มันก็ถือว่าไม่ประสบความสำ�เร็จ ผู้ใหญ่หลายๆ คนเขาก็จะ สอนและบอกว่า “ไอ้ทเี่ ขาขำ� แสดงว่าเราเล่นดี ไม่เห็นเกีย่ วกับรูปร่าง ที่ แ กเป็ น ซะหน่ อ ย” เราจึ ง ทำ � งานอย่ า งมี ค วามสุ ข ตั้ ง แต่ นั้ น มา เมื่อไหร่ที่เขาขำ�เรา เราก็มีความสุขไปกับเขาด้วย ด้วยร่างกายอันใหญ่โตได้สร้างอุปสรรคอะไรให้กบ ั ชีวต ิ บ้าง?
ร่างกายแบบนีม้ นั ก็เป็นอุปสรรคนะ เป็นอุปสรรคในระดับหนึง่ ของ คนตัวใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกของใช้ เสื้อผ้า รองเท้า ที่เป็นอุปสรรค แต่ถ้าพูดถึงการใช้ชีวิตในสังคม มันก็มีอย่างที่บอก ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง ฟังเพลง ขึ้นรถ ลงเรือ มีหมด ซึ่งมันก็ลำ�บาก แต่ถ้าเราปรับตัว ให้อยู่กับของหรือกิจวัตรพวกนี้ได้ เราก็จะไม่ลำ�บาก ยกตัวอย่าง ถ้าขึ้นรถเมล์ ถ้าเรายืนตรงที่เขายืนไม่ได้ เราก็ไปยืนตรงที่เขายืนได้ คือเวลาที่ขึ้นไปยืนแล้วมันอาจจะติดศีรษะ เราก็ไปยืนตรงบันไดก็ได้ ไม่จำ�เป็นต้องดื้อแพ่งไปยืนตรงที่มันฝืนร่างกายเรา (หัวเราะ) หรือไม่
“ถ้าเราคิด ว่าเราเป็น ปมด้อย เราจะไม่มี ความสุข กับการใช้ ชีวิตเลย”
ก็ไปยืนตรงทีม่ นั เป็นปล่องลมก็ได้ เอาหัวโผล่ขนึ้ ไปหน่อย คนทีย่ นื อยู่ กับเรา เขาก็มีความสุขนะ เขาเห็นเรายืน เขาก็ขำ� ในความรู้สึกลึกๆ เรารูส้ กึ ดีเพราะเราก็เป็นคนธรรมดา ไม่ได้มอี ะไรแตกต่างจากคนทัว่ ไป เคยเจอเหตุ ก ารณ์ ที่ ค นเขารำ�คาญในสิ่ ง ที่ เ ราเป็ น บ้ า ง หรือเปล่า?
มีเหมือนกันคนที่เขารำ�คาญเรา อย่างเราไปเดินซื้อของ คือผม เป็นคนชอบเดินตลาดที่มีของขายเยอะๆ บางทีไปงาน ไปเล่นตลก ก็จะเป็นงานที่อยู่ในลักษณะของงานวัด คนเยอะๆ แล้วเราก็อยาก ไปเดิน คืองานวัดคนก็เยอะ มีของขายเยอะ มีของกินให้เลือกเยอะ หรืออย่างตลาดจตุจักร ที่เรารู้ๆ กันอยู่คือ ทางจะแคบ เวลาเดิน จะต้องเบียดคนอื่น ก็มีเวลาที่คนเขาเข้ามาซื้อ มายืนดูของ เขาอาจ จะไปทะเลาะกับใครมาก็ไม่รู้ คนเยอะ อารมณ์เสีย เราก็เดินดูของ ของเราไปตามปกติ แล้วอาจจะไปยืนเกะกะขวางเขา เขาก็เลยมี อารมณ์ออกมา “โว้ย ตัวใหญ่เกะกะ” คือเราก็ไม่รู้ เราก็นกึ ว่าว่าคนอืน่ แต่พอมองไปมองมาก็มีแต่เรานี่หว่าที่ตัวใหญ่ เอ้า! ด่าเรานี่หว่า บางทีเดินไปสะพานเหล็ก สะพานเหล็กก็จะเตี้ยๆ ทางแคบๆ คนที่ ไม่เข้าใจเขาก็จะอุทานออกมาแบบนี้ “อุ๊ย! ตัวใหญ่ อุ๊ย! เดินชน อุ๊ย! เกะกะ” แต่คนอื่นที่เขาได้ยิน อย่างพวกแม่ค้า เจ้าของร้านต่างๆ ที่เขาเข้าใจ เขาก็จะมาบอกว่า “เอ้า! ไปว่าเขาทำ�ไม ก็เขาตัวใหญ่” คนทีเ่ ข้าใจ เขาก็เข้าใจ แต่คนทีเ่ ขาไม่เข้าใจก็อาจจะเป็นคนทีข่ ห้ี งุดหงิด ง่ายอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่ถือเป็นส่วนน้อยครับที่เจอ ข้อดีที่ตัวเองมองเห็นจากร่างกายขนาดใหญ่ของตัวเอง?
ทุกวันนีผ้ มมองตัวเองว่า ร่างกายผมก็ไม่ได้มขี อ้ เสียอะไร ผมก็เป็น เหมื อ นที่ ค นอื่ น เป็ น มี ค รบ 32 หรื อ ถ้ า มี ม ากกว่ า 32 ก็ ถื อ เป็ น ข้อดี เป็น 33 (หัวเราะ) ผมว่าทุกอย่างโดยรวมของผมก็ดีอยู่แล้วดี ผมก็สามารถทำ�อะไรได้เหมือนคนตัวเล็กๆ แล้วผมก็สามารถทำ�อะไร ได้มากกว่าคนตัวเล็ก ทำ�ได้มากกว่าก็ถอื เป็นข้อดีอย่างหนึง่ เหมือนกัน
บ้านที่อยู่ต้องมีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อให้ เข้ากับตัวเองบ้าง?
ไม่ได้ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรมาก แต่สำ�หรับเราก็จะมี เปลี่ยนแปลงบ้างบางอย่าง เช่น ประตู เราก็จะเจาะให้สูงหน่อย หรือหลังคาฝ้าด้านบนก็จะให้เขาทำ�ใหม่หมดเลย โดยให้เขารื้อออก และทำ�ให้สูงขึ้น ให้รู้สึกโปร่งๆ โล่งสบายหน่อย ให้มันเหมาะกับเรา แต่ อ ย่ า งอื่ น ที่ มี อ ยู่ แ ล้ ว เราก็ ไ ม่ จำ � เป็ น ที่ จ ะต้ อ งทำ � อะไรกั บ มั น เพราะว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร
มีอะไรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า?
ระมัดระวังก็มีที่โดนบ่อยๆ คือเวลาทำ�อะไร ศีรษะชอบไปชนโน่น
ชนนี่ หรือว่าบางทีเราเดินบนบันไดอยู่ในบ้าน บันไดที่เขามีมาให้ ในบ้าน มันก็จะเล็กๆ หน่อย เราก็ต้องเดินดีๆ เพราะขั้นมันจะเล็ก เท้ า เราใหญ่ ก็ ต้ อ งเดิ น ระวั ง ๆ หรื อ อุ ป กรณ์ เ ครื่ อ งใช้ บ างอย่ า ง มันไม่ได้รองรับกับคนตัวใหญ่ เราก็ต้องระวังกลัวมันพัง อย่างฝารอง ชักโครก ซึ่งบอบบางมาก ถ้าจะให้เปลี่ยนไปเป็นเหล็ก มันก็ไม่มี หรือจะทำ�เป็นปูนฉาบ มันก็ไม่ได้ เวลาเราใช้กต็ อ้ งดูทแี่ ข็งแรงทนทาน ต่อการใช้งานของเราหน่อย และคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ รวมถึง โต๊ะหรือเก้าอี้ที่ต้องหาให้เหมาะกับรูปร่างของเราด้วย น้อยเนื้อตํ่าใจในโชคชะตาตัวเองหรือไม่ที่เกิดมาพิเศษกว่า คนอื่น?
เมื่อก่อนก็เป็นนะ เมื่อก่อนนี่น้อยใจมาก น้อยใจถึงขนาดคิดมาก เลยว่า “เห้ย ทำ�ไมต้องสร้างเราให้มาเป็นแบบนี้ สร้างเป็นแบบนี้แล้ว ทำ�ไมต้องให้เรามาเจอกับคนทีด่ ถู กู เรา คนทีม่ องว่าเราเป็นคนพิการ” แต่ผมก็ยังมองและคิดในอีกมุมหนึ่งว่า คนส่วนมากเขาก็ไม่ได้คิด แบบนี้ คนที่ คิ ด แบบนี้ กั บ เราคื อ คนส่ ว นน้ อ ย เป็ น ชนกลุ่ ม น้ อ ย ซึง่ เขาก็อาจจะมีปญ ั หาอะไรในชีวติ เหมือนกัน (หัวเราะ) เขาก็เลยมอง ว่าคนอื่นต้องมีปัญหาเหมือนเขาหรือเปล่า คือเมื่อก่อนคิดเยอะเลย แต่เมื่อเราได้รับรู้อะไรดีๆ จากหลายๆ คนที่มาสนับสนุนกับความคิด ของเราว่า “เห้ย มันไม่ใช่หรอก อย่าไปคิดแบบนั้น อย่าไปนึกแบบนี้” เราจึงพยายามมองโลกในแง่ดไี ว้ ถ้าเราไปคิดไม่ดซี ะหมด การใช้ชวี ติ 17
ก็จะดูแย่ลงไปด้วย แต่เดี๋ยวนี้ความนอยด์หรือน้อยเนื้อตํ่าใจมันหาย ไปหมดแล้วครับ หรืออาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยสนใจใครด้วยแหละ (หัวเราะ) ไม่ค่อยสนใจว่าใครจะมาพูดอะไรกับเรา เราก็ไม่ได้เป็น อะไรมากนี่ แต่ว่าคนที่คิดแบบนี้ คือเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า (ยิ้ม)
ก็จะมีแต่ผู้หญิงที่ตาบอดนี่แหละที่หลงเข้ามา (หัวเราะ) ผู้หญิง คนไหนที่เขาชอบหรือรักผม แสดงว่าเขาต้องคิดดีแล้ว เขาต้องคิด แบบละเอียดถี่ถ้วนมากแล้วที่เขาจะมาชอบผม และเขาต้องเป็น คนดีมากจริงๆ
ต้องดูแลร่างกายและสุขภาพเป็นพิเศษกว่าปกติหรือเปล่า?
ถ้าสมมติว่าตัวเองมีลูกขึ้นมา กลัวหรือไม่ที่ลูกจะเป็นแบบ
เรื่องของร่างกายและสุขภาพ ก็ต้องระวังเป็นของปกติ อย่างเรื่อง อาหารการกิน ผมไม่ค่อยเรื่องมากนะกับการกิน ก็กินปกติ แต่ก็ต้อง ดูแลอยู่ตลอดเวลา ไปตรวจสุขภาพทุกปี ออกกำ�ลังกายบ้าง เพราะ บางทีเรานอนไม่ค่อยเป็นเวลา กลับมาจากทำ�งานก็นอนเอาเช้าเลย หรือไม่ก็นอนดึกแต่ต้องตื่นไปทำ�งานตอนเช้า ก็ต้องดูแลสุขภาพ กันเป็นพิเศษ
ความรั ก ของผู้ ช ายร่ า งพิ เ ศษอย่ า งคุ ณ ยากหรื อ ง่ า ย อย่างไร?
หายากครับ หายากอยูแ่ ล้ว ซึง่ รูปร่างและบุคลิกอย่างผม จะไปหา ผู้หญิงที่ไซส์เดียวกันก็หายาก แต่พอเจอแล้ว ก็จีบยาก (หัวเราะ) คือผู้หญิงสูงๆ ในบางทีเขาก็ไม่ได้ชอบผู้ชายสูง คือผู้หญิงสูงๆ เวลา จะไปจีบเขา เขาก็ไม่ชอบเรา แต่เรื่องพวกนี้ผมไม่ค่อยได้เจาะจง หรื อ จริ ง จั ง กั บ มั น เท่ า ไหร่ เพราะเรื่ อ งของความรั ก ผมว่ า อยู่ ที่ พรหมลิขิตมากกว่า คือจะไปขวนขวายหรือตามหา หาไม่ได้หรอก
18
ตัวเอง
ไม่ ก ลั ว เลยครั บ ผมไม่ ก ลั ว เลย ดี ซ ะอี ก จะได้ มี ท ายาทสื บ ต่ อ เจตนารมณ์ของเราไปอีก (หัวเราะ) ถ้าผมมีลูกตัวใหญ่ๆ ผมยินดี เพราะว่าผมตัวใหญ่ เพราะผมไม่ได้มีอย่างอื่นที่ผิดปกติ ผมมีมือ ที่ใหญ่ มีเท้าที่ใหญ่ มีทุกอย่างที่มันใหญ่ตามลักษณะของร่างกาย ถ้าเกิดมีลกู ออกมา ลูกผมก็ตอ้ งใหญ่แบบผม ถ้าใหญ่แบบผมก็ถอื ว่า ไม่น่าเกลียด แถมยังดีซะอีก (ยิ้ม) แต่เราอาจต้องใส่ใจกับเขาให้มาก เป็ น พิ เ ศษ เพราะว่ า ลำ �บากแน่ ๆ กั บ การใช้ ชี วิ ต ก็ ค งจะลำ � บาก คล้ายๆ กับผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสื้อผ้าหรือรองเท้า ซึ่งเรื่องเสื้อผ้า ผมไม่ค่อยห่วง เรื่องรองเท้าน่าจะลำ�บากหน่อย อะไรคือความสุขในการใช้ชีวิตของคนที่ตัวใหญ่กว่าปกติ
มันก็คือความสุขของคนคนหนึ่ง แต่สุขอีกแบบหนึ่ง เป็นความสุข ของคนที่ ไ ม่ ป กติ ห รื อ คนปกติ ค นหนึ่ ง ซึ่ ง ผมคิ ด ว่ า ผมปกติ น ะ (หัวเราะ) แต่ในความคิดคนอื่นอาจจะเป็นความสุขของคนไม่ปกติ
คนหนึ่ง แต่สำ�หรับผมแล้วถือเป็นความสุขอีกแบบหนึ่ง คือความสุข ที่เราได้เห็นคนอื่นมีความสุข ความสุขที่เราได้ทำ�ให้คนอื่นมีความสุข เราทำ�ให้ครอบครัวเรามีความสุข เราทำ�ให้คนรอบข้างเรามีความสุข เราทำ�ให้สังคมและประเทศที่เขามองเราอยู่มีความสุข โดยมีความ สุขหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมมากเหลือเกิน ซึ่งผม ก็มีความสุขดีมากกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ ถ้าเลือกเกิดได้ ยังอยากให้ตัวเองมีรูปร่างพิเศษกว่าคนอื่น หรือไม่
ถ้ า ผมเลื อ กเกิ ด ได้ ผมเลื อ กที่ จ ะใหญ่ ก ว่ า นี้ อี ก นะ (หั ว เราะ) เพราะผมว่ามันก็มีความสุขดี พอเรารู้ว่าเกิดมาใหญ่แล้วมันดี เราก็ อยากใหญ่กว่านี้อีก เวลาจะทำ�อะไรก็สบาย อย่างที่เราเห็นคนอื่น ในสั ง คม เขาทำ � อะไรก็ มั ก จะชอบแย่ ง กั น คื อ เราไม่ ไ ด้ ว่ า นะ เวลาไปทำ�อะไรที่เจอคนเยอะๆ เขาเหมือนจะแย่งกันจริงๆ ไม่ว่าจะ เป็นการเบียดเสียดกัน หรือแย่งกันเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา แต่เรามีความ สุ ข มากกั บ การที่ เ รายื น ดู อ ยู่ เ ฉยๆ ไม่ ต้ อ งไปเบี ย ดหรื อ แย่ ง ใคร ยกตัวอย่างการไปดูคอนเสิรต์ หรือการไปงานต่างๆ ทีเ่ ราต้องมองไกล กว่าคนอื่น คนอื่นเขาจะชะเง้อมองดูกัน แต่เราไม่จำ�เป็นต้องทำ� แบบนั้น เราก็รู้สึกดีที่ร่างกายแบบนี้มันเอื้อกับเรา แล้วทุกคนก็จะมา ถามเราว่า “อากาศข้างบนสบายดีไหม” เราก็บอกว่า “สบายดีนะพี่” นี่แหละความรู้สึกดีที่ผมมีต่อร่างกายของผม ครอบครั ว และคนรอบข้ า งมี บ ทบาทสำ�คั ญ อย่ า งไรสำ�หรั บ การใช้ชีวิตของคุณ
มีบทบาทมากครับ เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่หรือญาติพี่น้องเขา ก็เป็นห่วงว่าผมโตมาแบบนี้ ผมจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อผมมาอยู่ใน จุดนี้ ก็ถือว่าประสบความสำ�เร็จของเขาแล้ว ประสบความสำ�เร็จใน ส่วนหนึ่งที่เขาไม่ต้องมานั่งเป็นห่วงว่า ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ต่อไป คือเขาเป็นห่วงเราตั้งแต่เด็กแล้วครับ ในความรู้สึกผม ผมว่า เขาคงต้องเจออะไรเหมือนที่ผมเคยเจอมาก่อนแล้ว แต่ตอนเด็ก ผมคงไม่รู้เรื่องอะไร แต่ตอนนี้ผมคิดว่า เขาคงสบายใจแล้วที่ยัง เห็นผมมีชีวิตได้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนเพื่อนที่อยู่รอบข้างผมก็มีบทบาท มากเหมือนกัน เพราะเพื่อนไม่เคยว่าผมเลย เพื่อนให้กำ�ลังใจผม มาโดยตลอด เนื่องจากเพื่อนมักจะเห็นเราเป็นจุดเด่นอยู่ตลอดเวลา เวลาไปที่ไหนเพื่อนจะเห็นเราเป็นคนแรก เพื่อนจะสนุกกับสิ่งที่ผม เป็นมากครับ เลยทำ�ให้ผมมีความสุขที่ชีวิตของผมเป็นแบบนี้ จะบอกถึงผู้อื่นที่เป็นตัวตลกเหมือนอย่างคุณให้มีกำ�ลังใจ สู้ชีวิตต่อไปอย่างไร
อยากให้เขากลับไปคิดว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้หรอก แต่เมื่อได้ เกิดมาแล้ว เราก็ควรใช้ชีวิตที่เราเกิดมาให้คุ้ม ไม่ว่าจะเป็นคนแคระ
“ถ้าผม เลือกเกิดได้ ผมเลือกที่ จะใหญ่กว่านี้ อีกนะ เพราะ ผมว่ามันก็มี ความสุขดี” คนโตแบบผมที่ดูผิดปกติ ก็อย่าไปคิดว่าตัวเองผิดปกติ คือเราแค่สูง กว่าคนอื่น คนในสังคมเขาเท่ากันหมด เขาไล่ๆ กันหมด นิยามของ คนในสังคมเขาก็เลยนิยามว่าเขาคือคนปกติ ถ้าสูงกว่าคือคนผิด ปกติ หรือเตี้ยกว่าคือผิดปกติ เราก็อย่าไปคิดตรงนั้น คิดซะว่าเรา ก็เหมือนกับคนปกติทั่วๆ ไป แต่เมื่อเราได้โอกาสที่เราจะทำ�อะไรแล้ว เราก็ท�ำ มันให้เต็มที่ และเราก็ใช้ชวี ติ ในสังคมให้เต็มทีแ่ ละคุม้ ค่าทีส่ ดุ มีความสุขกับสิ่งที่เราเป็นดีกว่า ถ้าเราคิดว่าเราเป็นปมด้อย เราจะ ไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตเลย คำ�ว่า ‘บ้าน’ มีความหมายและมีความสำ�คัญสำ�หรับชีวิตคุณ อย่างไร
บ้ า นคื อ สิ่ ง ที่ เ ราเกิ ด มา บ้ า นคื อ ครอบครั ว บ้ า นคื อ ความสุ ข ความสุ ข ทางใจเวลาที่ เ รามี ปั ญ หาชี วิ ต หรื อ มี ปั ญ หากั บ หลายๆ อย่าง ถึงอย่างไรเราก็เลือกที่จะกลับบ้าน ถ้าไม่มีบ้าน เราก็ไม่รู้ว่า จะไปอยูท่ ไี่ หน (หัวเราะ) บ้านคือจุดเริม่ ต้นและจุดสุดท้ายของชีวติ เรา ฉะนั้ น บ้ า นจึ ง เป็ น แหล่ ง รวมจิ ต วิ ญ ญาณและความรู้ สึ ก ของเรา ไว้ทั้งหมด ทำ�ให้บ้านเป็นส่วนสำ�คัญสำ�หรับผมมากๆ เพราะเมื่อ ผมไม่สบายใจเมื่อไหร่ บ้านก็ยังคอยต้อนรับผมอยู่เสมอ
มีสำ�นวนไทยสำ�นวนหนึ่งบอกไว้ว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก แต่ไม่ใช่สำ�หรับผู้ชายคนนี้ ที่ถึงแม้ร่างกายของเขาจะดูคับที่คับทาง สักแค่ไหน แต่จิตใจของเขาในการต่อสู้กับสังคมและโลกใบนี้นั้น ไม่มีวันคับอย่างแน่นอน... 19
ภาพที่จำ�ไม่ได้ เรื่อง/ภาพ : ภาณุพันธ์ วีรวภูษิต
จำ�ไม่ได้ว่า…
ตัวเราล่องลอยอยู่ที่ไหนในตอนนี้
อาจเป็นเพียงเถ้าธุลีหนึ่งในจักรวาลก็ได้
20
จำ�ไม่ได้ว่า…
แม่อุ้มท้องลูกคนไหนไปขึ้นดอยสุเทพ
ถ้าเป็นเรา
นี่อาจเป็นเหตุผลที่ชอบไปเที่ยวเชียงใหม่
21
ไม่มีใครจำ�ภาพแรกของตัวเองได้…
บางทีนี่อาจไม่ใช่เรา ถ้าไม่พลิกข้างหลัง
แล้วเห็นหมึกที่ซึมว่าเป็นชื่อใคร
22
จำ�ไม่ได้…
บ้านเราไปชะอำ�บ่อยแค่ไหน
แล้วเมื่อไหร่ที่แม่ยอมให้เราลงเล่นน้ำ�ทะเล
23
นี่ก็จำ�ไม่ได้...
ครูคนไหนบอกให้เราออกไปเต้นอะไรอย่างนั้น เพราะถ้าจำ�ได้
คงอ้อนแม่ ขอไม่เต้นได้ไหม?
24
นี่ก็จำ�ไม่ได้...
บ้านเราฉลองปีใหม่แรกกันที่ไหน
และใครเป็นคนถ่ายรูปรวมให้ครอบครัวเรา
25
นี่ก็วันเกิดอาเหล่าม่า เราจำ�ไม่เห็นได้
เพราะตั้งแต่จำ�ความได้
ก็ไม่เห็นใครจัดงานวันเกิด ให้อาเหล่าม่าอีกเลย
26
หรือคนที่คิดว่าจำ�ได้
คนที่คล้ายว่าเคยเห็นหน้า
บางที เขาก็ไม่ได้อยู่ทันให้เราจำ�ได้
ภาพถ่ายในบ้านหลายรูป
เราจำ�ไม่ได้ว่าใครเป็นคนถ่าย แล้วตอนที่ถ่าย
ก็จำ�ไม่ได้ว่าเคยอยู่ ณ ที่นั้น แต่ถึงจะจำ�ไม่ได้ กลับรู้สึก
เพราะมันเป็นภาพถ่ายของ ‘บ้านเรา’
27
เรื่องสั้นหมายเลข 2
เรื่อง : ปิยฤทธิ์ ปัญจธรรมวิทย์
บ้านที่หายไป • นี่กูกำ�ลังทำ�อะไรอยู่” คำ � ถามนี้ ว นอยู่ ใ นหั ว ของผมตลอดเวลา ในขณะที่มือทั้งสอง ข้างต่างยึดจับบันไดแน่น ผมกำ�ลังปีน บันไดทีละก้าวๆ ไปยังจุดหมายเบื้องบน ที่แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เพราะบันไดทีท่ �ำ จากไม้ทมี่ ผี วิ ลืน่ จึงไม่ใช่ เรือ่ งง่ายนักสำ�หรับรองเท้าแตะสีด�ำ ทีพ่ นื้ รองเท้าเริ่มเรียบแบน แม้ ก ารปี น ของผมจะดู ส งบนิ่ ง และ เยือกเย็น แต่ใจของผมกลับเต้นระทึก ไม่เป็นจังหวะ คล้ายเป็นจังหวะการแอบ ลอกข้อสอบในห้องเรียน ลมที่พัดมาส่งเสียงเหมือนใครสักคน กรี ด ร้ อ ง ผมหยุ ด การปี น และเงยหน้ า ดู ท้ อ งฟ้ า ในยามราตรี คื น นี้ ไ ร้ ด าว และเมฆสี แ ดงส่ อ เค้ า ว่ า จะมี เ มฆฝน ลงมาครั้งใหญ่ ผมหลับตาและหยุดคิดถึงการกระทำ� ครั้งนี้อีกครั้ง “นี่กูกำ�ลังทำ�อะไรอยู่” ผมถามซํ้ากับ ตัวเอง ผมถอนหายใจสุดแรงพลางลืมตา คล้ายกับจะเป็นคำ�ตอบให้ตัวเอง กะด้วยสายตาแล้ว ปีนบันไดอีกไม่กี่ สิบก้าว ก็จะถึงระเบียงบ้านของผมที่ติด อยู่กับห้องนอนของพ่อแม่ ผมเคยคิดว่า ในเวลาที่เราแอบไปเที่ยวแล้วกลับบ้าน ดึ ก มั น ดู จ ะตลกร้ า ยไปไหม กั บ การที่ ต้องแอบขึ้นบ้านโดยผ่านห้องของพ่อแม่ เป็นด่านแรก โดยมันเป็นทางเดียวที่จะ เข้ า บ้ า นได้ น อกจากกดกริ่ ง รอรั บ การ เทศนาอยู่หน้าบ้าน โชคดีที่คราวนี้พ่อแม่ ของผมไม่ได้อยูใ่ นบ้าน แต่เรือ่ งโชคร้าย... หรืออาจจะเรียกว่าเรื่องที่ผมแส่หาเรื่อง 28
เองก็ได้ ก็ คื อ นี่ เ ป็ น เพี ย งอดี ต บ้ า นของผม ที่เจ้าของบ้านไม่ใช่ผมอีกต่อไป... • ผ ม ย้ า ย บ้ า น ค รั้ ง แ ร ก ใ น ต อ น ที่ ประเทศไทยตกอยู่ในช่วงสภาวะฟองสบู่ แตก สาเหตุ แ ละผลกระทบที่ เ กิ ด ขึ้ น บอกตรงๆ ว่ า ช่ ว งเวลานั้ น ผมยั ง เด็ ก เกิ น กว่ า จะรู้ เ รื่ อ งราวเหตุ ผ ลร้ อ ยพั น ของสภาวะนี้ ผมจำ�ได้เพียงแค่ว่าแม่เดิน มาหาผมในห้องของเช้าวันทีผ่ มหยุดเรียน และพูดกับผมด้วยรอยยิ้มว่า “เรากำ�ลัง จะย้ายบ้านใหม่นะ น่าอยู่กว่าเดิมอีก” ผมยั ง จำ � ความตื่ น เต้ น ครั้ ง นั้ น ได้ ดี แต่มนั ก็เป็นความรูส้ กึ แปลกๆ ผสมปนเป อยู่ด้วย ถ้าจะให้บอกว่าความรู้สึกแปลก นี้ คื อ อะไร ผมคิ ด ว่ า ตั ว ผมในปั จ จุ บั น ก็คงตอบไม่ได้อยู่ดี ภาพในหัวตอนนั้น ไม่ ไ ด้ มี เ รื่ อ งการย้ า ยบ้ า นแม้ แ ต่ น้ อ ย ภาพที่เกิดขึ้นกลับเป็นบ้านใหม่ที่น่าอยู่ กว่ า เดิ ม ตามคำ � ที่ แ ม่ ไ ด้ บ อก แต่ แ ล้ ว ความจริงก็มาทำ�ร้ายผมอย่างไม่เกรงอก เกรงใจ บ้ า นใหม่ ที่ ไ ปอยู่ มี ข นาดเพี ย งห้ อ ง แฟลตที่นำ�มาซ้อนต่อกัน 2 ห้องเท่านั้น ผมเหมือนนกทีบ่ นิ อยูบ่ นท้องฟ้า แล้วต้อง ร่วงลงสูเ่ หวอันมืดมิด ทีไ่ ม่รวู้ า่ จะไปสิน้ สุด ลงที่ใด ผมนอนร้ อ งไห้ ใ นอ้ อ มกอดของแม่ ที่มีคำ�พูดปลอบใจ แต่คำ�ปลอบใจนั้นก็ไม่ทำ�ให้ผมหยุด ร้องไห้ง่ายๆ บนชั้น 2 ของบ้านไม้ที่ย้าย มาใหม่ ผมนอนร้องไห้อย่างเงียบที่สุด เพื่ อ ไม่ ใ ห้ ใ ครได้ ยิ น แม้ ค วามจริ ง ที่ ว่ า บนชั้น 2 ที่ครอบครัวของเรานอนรวมกัน
แค่เพียงขยับตัวนิดเดียว เราก็ได้ยินเสียง นัน้ ได้อย่างชัดเจน และทุกครัง้ ทีผ่ มร้องไห้ ผมจะนึกถึงประโยคที่แม่พูดเสมอ “ย้ายมาแป๊บเดียว เดีย๋ วเราก็ยา้ ยกลับ ไปบ้านหลังเดิมแล้ว” • “แฮก…แฮก...แฮก...” ผมหอบหายใจในขณะที่ ฝ นบนฟ้ า กำ � ลั ง ร่ ว งหล่ น ลงมากระทบที่ ตั ว อย่ า ง ไม่ขาดสาย ฝนคืนนี้ไม่ต่างจากท้องทะเลบ้าคลั่ง ที่กำ�ลังกระหนํ่าซัดลงมาสู่พื้นดินที่เป็น เป้าหมาย ไม่อาจบอกเวลาได้นับตั้งแต่ ปีนบันไดขึ้นมา ว่าเวลามันผ่านไปนาน เท่าใดแล้ว ผมนั่งลงเทตัวพิงไปกับผนังสักด้าน บนชั้นดาดฟ้า ผมไม่สามารถมองเห็น อะไรรอบตัวได้ดไี ปกว่าแสงไฟจากตึกสูง ที่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร สายฝนยัง เทลงมาหนักเหมือนต้องการจะตกลงมา เพื่อที่จะทะลุทะลวงตัวผมให้เป็นรูพรุน ผมได้แต่นั่งหนาวสั่น สติเริ่มฟุ้งซ่าน เหมือนเม็ดฝนทีก่ ระเซ็นเวลาทีต่ อ้ งกับพืน้ ผมเริ่ ม หลั บ ตาพร้ อ มกั บ ภาวนาในใจ ถึ ง พระเจ้ า ที่ ค อยคุ้ ม ครองมาตั้ ง แต่ วั ย เยาว์ ว่าหากนี่คือความฝันแล้วล่ะก็ ก็ขอ ให้ลูกตื่นจากความฝันนี้โดยไวด้วยเถิด แต่ยงั ไม่ทนั จะภาวนาเสร็จ ผมก็ได้ยนิ เสียงฝีเท้าของคนคนหนึ่งที่กำ�ลังเดินเข้า มาใกล้ มั น แทบจะฟั ง ไม่ อ อกระหว่ า ง เสียงฝนกับเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามา ผมหลั บ ตาแน่ น ขึ้ น กว่ า เดิ ม และสวด ภาวนาต่อไป แม้รู้ว่าสิ่งที่กำ�ลังย่างกราย เข้ามาหาใช่พระเจ้าไม่ แต่มันคือฝีเท้า ของซาตานที่ พ ร้ อ มจะลากคอคนเลว
ให้ลงไปยังขุมนรกขุมที่ลึกที่สุด ฟ้าคำ�รามเสียงดังพร้อมกับสายฝนที่ หนักข้อขึ้นราวกับโลกจะไม่มีวันพรุ่งนี้ “ออกมา...” นี่คือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน • เผลอแป๊ บ เดี ย วผมก็ เ ริ่ ม จะคุ้ น ชิ น กั บ บ้ า นไม้ เ ล็ ก ๆ ผมเลิ ก นอนร้ อ งไห้ และดำ�เนินชีวติ ไปตามปกติสขุ ของวัยรุน่ แต่ช่วงเวลาที่เดินเข้า-ออกจากซอยบ้าน ผมจะต้ อ งเดิ น ผ่ า นบ้ า นหลั ง เก่ า เสมอ เพราะมันเป็นทางที่ใกล้ที่สุดที่เสียเวลา ไม่มากนัก ผมมักจะเดินมองมันเหมือน เพื่ อ นสนิ ท ที่ เ คยอยู่ ด้ ว ยกั น มาก่ อ น จนมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำ�ให้เราต้อง พลัดพรากจากกัน พลัดพรากต้องจาก กันไกลว่าเจ็บปวดแล้ว การจากโดยที่ยัง ใกล้กันอยู่ยิ่งเจ็บปวดกว่า ค ว า ม คิ ด ที่ จ ะ ร ว บ ร ว ม เ งิ น กั บ ครอบครั ว เพื่ อ ที่ จ ะซื้ อ บ้ า นหลั ง นี้ คื น ก็ค่อยๆ เข้ามาอย่างไม่ยาก มันอาจจะดู ตลกที่เด็กวัยรุ่นที่ยังแบมือขอเงินพ่อแม่ คิดการใหญ่เช่นนี้ แต่ด้วยความสัตย์จริง ผมตั้ ง ใจกั บ เรื่ อ งนี้ ม ากกว่ า ตั้ ง ใจเรี ย น เสียอีก แต่ ก็ เ หมื อ นที่ ใ ครสั ก คนพู ด ไว้ อี ก นัน่ แหละ ว่าการทำ�ความฝันให้ส�ำ เร็จนัน้ ยากแล้ว แต่การรักษาความฝันทีม่ ีให้มัน ไม่หายไปยิ่งยากกว่า ความฝันของผม ต้องถล่มทลายลงอย่างไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ด้วยประโยคที่แม่เดินเข้ามาพูด ในวันที่ ผมกำ�ลังท่องไปในโลกของอินเทอร์เน็ต “ลูกเราต้องย้ายบ้านนะ เจ้าของที่เขา ขายที่ให้เจ้าของใหม่แล้ว” หน้าจอคอม ยังคงทำ�งานอยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ผม เห็นคือความว่างเปล่า “อีกแล้วเหรอวะ” ผมพูดคำ�นี้ออกมา ในใจ ตึ ก แถว 7 ชั้ น ที่ มี สี ข าวหม่ น และมี ประตู ข นาดใหญ่ สี แ ดงเลื อ ดหมู ก ลาย เป็นซากความฝัน ที่มันได้ทิ้งความรู้สึก ไว้ตามบรรยากาศเวลาเดินผ่าน เหมือน
เป็ น อนุ ส รณ์ แ ห่ ง ความผิ ด หวั ง ที่ ผ มจะ ต้ อ งทำ � ใจและยอมรั บ กั บ มั น ให้ ไ ด้ ใ น สักวันหนึ่ง ถึงแม้จะย้ายบ้านครั้งที่ 2 แล้วก็ตาม แต่เส้นทางทีต่ อ้ งผ่านก็ยงั มีบ้านหลังแรก ตั้ ง อยู่ ผมพยายามเลี่ ย งเส้ น ทางเดิ ม ทางด้านหน้าบ้านมาเป็นซอยเล็กๆ แคบๆ ที่อยู่ทางด้านหลัง ด้วยความที่มันเปลี่ยว และอั บ ชื้ น ก็ เ ป็ น การดี ที่ ผ มจะได้ เ ดิ น เงียบๆ และรักษาแผลที่อยู่ข้างในใจ ถ้ามีคนมาถามผมว่าสิ่งสุดท้ายที่ผม อยากจะขอกับบ้านหลังแรกนี้คืออะไร อย่ า งน้ อ ยที่ สุ ด ก็ เ พี ย งแค่ อ ยากจะเห็ น หน้าเพื่อนเก่าอีกสักครั้ง เป็นเพื่อนเก่า ที่เก็บความรู้สึกและความทรงจำ�เอาไว้ ร่วมกัน เหมื อ นว่ า พระอาทิ ต ย์ วั น นี้ จ ะโดน เมฆปิดบังเอาไว้ แต่นาฬิกาของผมก็บอก ว่าพระอาทิตย์ยังทำ�งานปกติและค่อยๆ คล้อยหายไปเบื้องหลังเมฆทึมเหล่านั้น เลยจากบ้ า นหลั ง แรกมาได้ ไ ม่ น าน ตลอดข้างทางเต็มไปด้วยขยะที่เหมือน มีคนมาทิ้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าขาดๆ กองขยะกองโต หรือแม้แต่บันไดที่ไม่ใช้ แล้วก็มีมาพาดอยู่ เศษแก้วแตก บรรดา ซากของเหลวที่ ไ ม่ อ าจจะระบุ ช นิ ด ได้ น่าจะเป็นเครื่องตอกยํ้าว่าที่แห่งนี้น่าจะ เรียกว่าเป็นสุสานของสิ่งไร้ค่าก็ไม่เชิง “ให้ตายสิ ถังขยะไม่มีให้ทิ้งหรือไงวะ” ผมคิดในใจ ในห้วงคำ�นึง ผมเกิดความรู้สึกอะไร บางอย่างขึ้นมา ผมหยุดเดินแล้วค่อยๆ หั น หลั ง กลั บ แล้ ว เดิ น กลั บ ไปหาบ้ า น หลังเดิม • ผมลื ม ตาตื่ น ขึ้ น มาในห้ อ งสี่ เ หลี่ ย ม แคบๆ ห้องหนึ่ง ในห้องนอกจากผมแล้ว ยังมีผชู้ ายลักษณะน่ากลัวอีก 3 คน ทุกคน ล้วนแต่มหี น้าตาทีไ่ ม่เป็นมิตรเอาเสียเลย พวกเขากำ�ลังจดจ้องมาที่ผม ผู้ที่เพิ่งรู้สึก ตั ว ตื่ น ขึ้ น มาได้ ไ ม่ น าน ผมมองรอบๆ ให้ชดั อีกที ในห้องว่างเปล่านีม้ เี พียงพืน้ ที่
ว่ า งๆ ไม่ มี เ ฟอร์ นิ เ จอร์ ใ ดๆ วางอยู่ และข้างๆ ของผมก็คือกรงเหล็กเป็นซี่ๆ ที่สูงตั้งแต่พื้นจรดเพดาน คงไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าผมอยู่ที่ใด และต้นเหตุกค็ งจะโทษใครไม่ได้ นอกจาก ตัวของผมเอง ผมนั่ ง นิ่ ง ๆ และปล่ อ ยให้ ค วามคิ ด ออกมาเดินเล่นไม่นาน ตำ�รวจนายหนึ่ง ที่มีรูปร่างออกไปทางท้วมๆ ก็เดินมาไข กุญแจห้องขัง “มีคนมาประกันตัวแล้ว ออกไปได้” ชายคนนั้นพูดพลางหันหน้ามาทางผม ผมรูอ้ ยูแ่ ล้วว่าใครทีร่ อผมอยูข่ า้ งนอก ห้องขัง และมาประกันตัวให้ ในหัวผม ไม่มใี ครคนอืน่ นอกจากแม่ และมันก็เป็น แบบที่คิด แม่ยืนรออยู่ตรงนั้นจริงๆ แม่ยืนอยู่เฉยๆ ไม่พูดอะไร สีหน้านิ่ง เรียบในชุดอยู่บ้าน เป็นครั้งแรกที่ผมไม่รู้ ว่าแม่คิดอะไร ผมเดินเข้าไปกอดทั้งๆ ที่ เสื้อยังเปียกชื้นจากฝน “แม่…” ผมเรียกสั้นๆ พลางกอดแม่ ให้กระชับยิ่งขึ้น ในห้ ว งเวลานั้ น ผมคิ ด ถึ ง สิ่ ง ที่ ผ มได้ กระทำ�ลงไป สิ่งที่ผมได้ไปพบ สิ่งที่ผมได้ ไปเจอมันสำ�เร็จลุลว่ งไปตามทีใ่ จต้องการ แล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ออกมามันกลับไม่ได้ ทำ � ให้ ผมอุ่ น ใจขึ้ นหรื อสบายใจอย่างที่ หวั ง ไว้ แ ต่ แ รก มั น เที ย บกั น ไม่ ไ ด้ เ ลย กับความรู้สึกที่ผมกำ�ลังกอดผู้หญิงคนนี้ “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” แม่ถามพลาง ค่อยๆ เอามือกอดผมกลับอย่างหลวมๆ สายตาของผมเริ่มพร่ามัว ความรู้สึก อั ด อั้ น เหมื อ นได้ ถู ก ปล่ อ ยระบายออก นํ้ าตาที่ไ หลออกมาเหมื อนจะไม่มีทาง หยุดต่อไปได้อีกแล้ว “ย้ายมาแป๊บเดียว เดีย๋ วเราก็ยา้ ยกลับ ไปบ้านหลังเดิมแล้ว” ประโยคนีผ้ ดุ ขึน้ มา ในความคิด ผมร้องไห้หนักขึ้นๆ ตอนนี้ ผ มรู้ แ ล้ ว ว่ า บ้ า นของผม จริงๆ อยู่ที่ไหน 29
a little big things
เรื่อง : บุญญานันท์ กาญจนกิจ
ภาณุพันธ์ วีรวภูษิต
ปุณยวีร์ ธนสมบัติกุล
12 สิ่งของในบ้านที่มี เรื่องราวมากกว่าตาเห็น
กล่องรับจดหมาย a letter box รูปทรงกล่องรับจดหมายที่คุ้นตาในบ้าน เรามักจะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าติดกับรั้ว ประตู หรือไม่ก็เจาะเป็นช่องที่ประตูหรือผนัง (Wall-mounted) ส่วนที่เห็นในต่างประเทศ จะเป็นกล่องรับจดหมายตั้งบนเสาอยู่ริมถนน หน้าบ้าน เรียกว่า Curbside Delivery ขนาดมาตรฐานของกล่องรับจดหมายใน ยุโรปคือ 229 มม. x 324 มม. และต้องเหลือ พื้นที่ภายในกล่องเป็นช่องว่างๆ อย่างน้อย 40 มม. กล่องขนาดนีจ้ ะไม่ท�ำ ให้ซองจดหมาย งอหรือยับ กล่องรับจดหมายทีด่ ตี อ้ งผ่านการทดสอบ สารพัด ทั้งทนทาน ไม่สึกกร่อนง่าย ที่สำ�คัญ ต้ อ งป้ อ งกั น ไม่ ใ ห้ ล ะอองฝนหรื อ ความชื้ น เข้าไปในตัวกล่องได้มากกว่า 1% ของพื้นที่ ภายใน กล่ อ งรั บ จดหมายทรงอุ โ มงค์ แ ละมี เอกลั ก ษณ์ คื อ เจ้ า Flag สี แ ดงที่ ใ ห้ บุ รุ ษ 30
ไปรษณี ย์ ย กขึ้ น เมื่ อ มี จ ดหมายมาส่ ง มี ชื่ อ ทางการว่า ‘Joroleman Mailbox’ ตั้งชื่อตาม ผู้ออกแบบ Roy J. Joroleman ชาวอเมริกัน บ้านที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนเล็กๆ มักไม่มี กล่ อ งรั บ จดหมายส่ ว นตั ว ตั้ ง อยู่ ห น้ า บ้ า น แต่อาศัย Community Mail Box (CMB) ตู้ เ หล็ ก ขนาดใหญ่ ที่ แ บ่ ง ช่ อ งใส่ จ ดหมาย ไว้หลายๆ ช่องตั้งไว้ให้แต่ละบ้านเดินมาหยิบ จดหมายเองที่ศูนย์รวมของชุมชน แต่ สำ � หรั บ ชาวออสซี่ ที่ อ าศั ย อยู่ แ ถว Mountain Buller เมืองเมลเบิรน์ กลับไม่อยาก ให้ ก ล่ อ งรั บ จดหมายแข็ ง ๆ ทื่ อ ๆ มาตั้ ง อยู่ พวกเขาเลยตั้งกล่องรับจดหมายของตัวเอง เรี ย งกั น ไว้ ที่ จุ ด เดี ย ว แบบนี้ บุ รุ ษ ไปรษณี ย์ ก็ ไ ม่ ต้ อ งเหนื่ อ ยส่ ง จดหมายไปทุ ก บ้ า น แถมคนที่ ผ่ า นไปผ่ า นมาก็ ยั ง สะดุ ด ตา อีกต่างหาก en.wikipedia.org
ตู้เสื้อผ้า a wardrobe
ตู้ เ สื้ อ ผ้ า พั ฒ นามาจากหี บ ใส่ ผ้ า เล็ ก ๆ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17-18 แต่สำ�หรับผู้ดี อังกฤษบางคนคงไม่ต้องการตู้เสื้อผ้า เพราะ ด้ ว ยปริ ม าณเสื้ อ ผ้ า และข้ า วของเครื่ อ งใช้ เครื่องประดับก็สามารถรวมเป็นห้องห้องหนึ่ง ไปเลยก็ยังได้ ขนาดมาตรฐานของตู้ เ สื้ อ ผ้ า มี ห ลั ก เรียกว่า ‘Eight Small Men’ คือความจุภายใน ต้องสามารถใส่เด็กผู้ชาย 8 คนเข้าไปได้ ในยุคกลาง ห้องเสือ้ ผ้าของกษัตริยอ์ งั กฤษ ใช้เป็นที่สำ�หรับคุยปรึกษางานราชการต่างๆ กับฝ่ายบริหาร จึงเป็นทีม่ าของคำ�ว่า ‘Cabinet’ ที่ แ ปลความหมายได้ ทั้ ง คณะรั ฐ มนตรี ตู้ และห้องส่วนตัว ในยุคที่สหรัฐอเมริกายังเป็นอาณานิคม ของอังกฤษ มีไม่กบี่ า้ นเรือนเท่านัน้ ทีม่ ตี เู้ สือ้ ผ้า เพราะเกิดภาวะที่ตู้เสื้อผ้าราคาสูงมากหรือ เรียกว่า ‘Closet Tax’ ตู้เสื้อผ้าในปัจจุบันก็มีการปรับเปลี่ยนให้ เข้ากับชีวิตของผู้คนมากขึ้น เช่น ติดกระจก เพื่อให้สะดวกต่อการเลือกเสื้อผ้าให้เข้าชุด หรื อ ตู้ แ บบ Closet ที่ เ ป็ น เพี ย งชั้ น เสื้ อ ผ้ า และมีไม้ยาวๆ แขวนไว้ ไม่มีประตู ประหยัด พื้นที่สำ�หรับมนุษย์ในคอนโดมิเนียม อีกแบบ ที่มักเห็นกันบ่อยๆ ก็คือส่วนเปลี่ยนเสื้อผ้า ที่เชื่อมต่อกับห้องนํ้าที่เรียกว่า Water Closet หรือ WC ตู้เสื้อผ้ายังรับบทเป็นที่คุ้มภัยให้พระเอก หรือนางเอกซ่อนตัวจากพ่อแม่หรือใครก็ตาม ที่ไม่อยากเจอหน้าในละครไทยทุกยุคทุกสมัย อีกด้วย และก็แปลกที่ไม่เคยหาเจอเลย! ในนิยายแฟนตาซี ‘นาร์เนีย’ ยังจินตนาการให้ตู้เสื้อผ้าเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ระหว่างโลกกับนาร์เนียอีกด้วย
www.wikipedia.com www.britannica.com jamiehempsall.blogspot.com
31
พรม a mat บัวรดน้ำ� a watering can ลอร์ ด ที โ มธี จอร์ จ แห่ ง คอร์ น วอลล์ เป็ น คนแรกที่ เ ห็ น คำ � ว่ า ‘Watering Can’ ในสมุ ด บั น ทึ ก ของคนทำ � สวนคนหนึ่ ง เมื่ อ ปี ค.ศ. 1692 แต่มีผู้โต้แย้งว่าช่วงนั้นอังกฤษ เป็นพื้นที่อันตรายจากสงคราม เป็นไปได้หรือ ที่จะมีชาวผู้ดีลุกขึ้นมารดนํ้าพรวนดินอย่าง สบายใจ!? หนังสือเรื่อง The Gardener’s Labyrinth ของ โทมัส ฮิลล์ ในปี 1577 บอกว่ามนุษย์ ใช้ ภ าชนะบรรจุ นํ้ า รดต้ น ไม้ ตั้ ง แต่ ยุ ค กลาง และยุคเรอเนสซองส์ เนื่องจากพบปัญหาว่า เจ้าความชื้นในอากาศทำ�ให้ดินแห้งเหือด รูปร่างบัวรดนํ้าในยุคแรกๆ คอจะแคบ และกระป๋ อ งอ้ ว นใหญ่ ด้ า นล่ า งเจาะรู ไ ว้ มากมาย พอรดนํา้ เสร็จก็ตอ้ งใช้มอื มากดปิดรู ไว้ไม่ให้นํ้าไหลออกมา ปี ค.ศ. 1886 จอห์น ฮอวส์ ผู้ดีอังกฤษ ผู้ ช อบปลู ก วานิ ล ลา มี ปั ญ หากั บ การใช้ บั ว รดนํ้ า ของฝรั่ ง เศสที่ จั บ ยากและต้อ งเหวี่ย ง ไปมาเพื่อให้นํ้าไหลออกมา เขาคิดปรับปรุง 32
จนได้ บั ว รดนํ้ า ที่ จั บ ได้ ส มดุ ล และนํ้ า ไหล ออกมาสมํ่าเสมอ ‘Haws Watering Cans’ จึ ง เข้ า ไปอยู่ ใ นสวนของชาวลอนดอนและ ประเทศอื่นๆ มาตั้งแต่สมัยนั้นจนถึงปัจจุบัน ภาพเขียนสีนาํ้ มัน ‘A Girl with a Watering Can’ ของศิลปินอิมเพรสชันนิสม์ชาวฝรั่งเศส ปิ แ ยร์ - โอกุ ส ต์ เรอนั ว ร์ (1841-1919) ได้วาดภาพ Mademoiselle Leclere ในชุด กระโปรงวิกตอเรียสีนาํ้ เงินถือบัวรดนาํ้ จิว๋ ไว้ใน มือ เห็นไหมว่าแม้แต่งานศิลปะก็มีบัวรดนํ้า! คนยุโรปมักมีบัวรดนํ้าติดบ้านไว้ 2 อัน บัวรดนํ้าสีเขียวเอาไว้รดนํ้าต้นไม้ ส่วนบัว สีแดงใช้ผสมปุ๋ย ถ้าใครแวะไปเที่ยว ลองแง้มประตูสวนของคนยุโรปดูนะ www.haws.co.uk www.ourhouseandgarden.com www.nga.gov
www.carpetandrugpedia.com www.oldandinteresting.com
พรมถื อ กำ � เนิ ด ขึ้ น ช่ ว ง 7,000 ปี ก่ อ น คริ ส ตกาลโดยชนเผ่ า เร่ ร่ อ นไว้ ใ ช้ ปู พื้ น เพราะเชื่อว่าพวกเขาไม่ควรจะไปสัมผัสกับ พื้นโดยตรง นอกจากนี้พรมยังช่วยให้ความ อบอุ่นท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้าย พรมที่ มี อ ายุ เ ก่ า แก่ ที่ สุ ด ที่ ขุ ด พบได้ อ ยู่ บริเวณเทือกเขาอัลไต มีอายุกว่า 7,000 ปี เชื่ อ กั น ว่ า เพราะพรม ทำ � ให้ ม นุ ษ ย์ เ ริ่ ม คิดค้นการนำ�วัสดุต่างๆ อย่าง กระเบื้อง ไม้ หิน มาปูพื้นอย่างในปัจจุบัน ห้องทีป่ พู นื้ ด้วยพรมนัน้ จะให้ความรูส้ กึ น่า เชือ้ เชิญเข้าไปและให้ความรูส้ กึ อบอุน่ อีกด้วย สำ�หรับพรมเช็ดเท้าหน้าทางเข้าที่มักปัก ลวดลายอักษร ‘Welcome’ นั้น เป็นไอเดียที่ดี อย่างน่าประหลาด เสียแต่ว่าหากเรากำ�ลัง เช็ดเท้าอยู่คงเป็นภาพที่ไม่น่าดูเท่าไรนัก ปัจจุบนั ผูผ้ ลิตพรมได้เน้นเรือ่ งของสุขภาพ เรียกได้วา่ เป็น ‘พรมเพือ่ สุขภาพ’ เช่น พรมทีช่ ว่ ย ลดความเมื่อยล้าของเท้า พรมที่สามารถปรับ คุณภาพอากาศภายในห้องได้ หรือพรมทีช่ ว่ ย กักสิ่งสกปรก ฝุ่นละอองภูมิแพ้ต่างๆ
ลูกบิดประตู a door knob ม่านบังตา a window blind
ลู ก บิ ด ประตู ถู ก ใช้ ง านอย่ า งแพร่ ห ลาย ในช่ ว งศตวรรษที่ 18 แรกเริ่ ม ทำ � จากไม้ และต่อมาก็มีการใช้วัสดุตั้งแต่ แก้ว กระเบื้อง เซรามิก ดินเผา โลหะ แตกต่างกันไปตาม การออกแบบและท้องที่ รู ป ทรงลู ก บิ ด ประตู ที่ นิ ย มใช้ กั น อย่ า ง แพร่หลายที่สุดคือทรงกลม ซึ่งจริงๆ แล้วเป็น ทรงทีย่ ากต่อการใช้พอสมควร รูปทรงทีใ่ ช้งา่ ย และจับถนัดมือที่สุดคือทรงรีต่างหาก ขนาดของลูกบิดประตูที่พอเหมาะพอมือ คือเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 เซนติเมตร การออกแบบประตูที่ดีจะต้องให้บิดแล้ว เปิดออกไปสู่ที่ตํ่ากว่าเสมอ เพื่อให้ประตูเข้า ลิน้ ปิดไปพอดี ดังนัน้ ห้องต่างๆ จึงควรยกระดับ ขึ้นจากพื้นภายนอก เพื่อที่ว่าหากมีนํ้าฝนเจิ่ง นอง ก็จะได้ไม่ไหลย้อนเข้าไปในห้องเอาได้ ในประเทศญี่ปุ่นเกิดกระแส ‘เลียลูกบิด’ ระบาด! ฟังดูพิลึกกึกกือแต่ก็มีอยู่จริง กระแส นีเ้ ริม่ จากทีใ่ ดไม่ทราบแน่ชดั แต่หากลองเสิรช์ หาคำ�ว่า ‘ลูกบิดประตู’ ในอินเทอร์เน็ต เราจะ พบภาพสาวญีป่ นุ่ ถ่ายรูปตนเองกำ�ลังแลบลิน้ ‘เลีย’ ลูกบิดประตูด้วยท่าทางและมุมกล้อง ทีเ่ ซ็กซีย่ วั่ ยวน (แต่กย็ งั ให้ความรูส้ กึ ประหลาด อยู่ดี) หากใครสนใจ อยากมีประสบการณ์ แปลกใหม่ อยากเข้าใจว่าสาวญี่ปุ่นรู้สึกยังไง ก็สามารถลองไปเลียลูกบิดกันได้ที่ประตูห้อง ทั่วไปทุกครัวเรือน แต่ระวังจะมีคนเปิดประตู มากระแทกหน้าล่ะ! en.wikipedia.org/wiki/Door_handle www.madehow.com www.door-knobs.co.uk
ม่ า นบั ง ตาแบบที่ ห มุ น เปิ ด -ปิ ด ควบคุ ม แสงได้ เป็ น ความคิ ด ของหนุ่ ม มะกั น นาม Gottlieb Castner จดสิทธิบัตรครั้งแรกในปี ค.ศ. 1888 วั ส ดุ ที่ ใ ช้ ทำ � ก็ ม าจากทั้ ง ผ้ า พลาสติก และสแตนเลส จริ ง ๆ ถ้ า ย้ อ นเวลากลั บ ไปสมั ย อี ยิ ป ต์ โบราณ เราจะได้เห็นม่านลักษณะนี้ที่ทำ�มา จากใบกก ชาวดินแดนไอยคุปต์ใช้มันป้องกัน ความร้อนจากแสงแดดที่จะเข้ามายังวิหาร ของฟาโรห์นั่นเอง คริสต์ศตวรรษที่ 19 เริม่ มีการทำ�ม่านบังตา Roller Blind แบบที่ แ ม่ บ้ า นทุ ก ครั ว เรื อ น ก็ทำ�ได้ แค่ใช้เศษผ้าลินิน ผ้านํ้ามัน หรือผ้าใบ ทำ�งานศิลปะมาแขวนกับไม้ยาวๆ ไว้ใช้บัง แดดหน้าต่างหรือประตู ม่ า นไม้ ห รื อ ไม้ ไ ผ่ ที่ ค นญี่ ปุ่ น ใช้ ติ ด ตาม ระเบียงชานบ้าน ไว้ปอ้ งกันแดด ฝน และแมลง จะเรียกว่าซูดาเระ (Sudare) คนญี่ปุ่นจะยก ม่านนี้ขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิให้แสงแดดส่อง เข้ามาเต็มที่ ก่อนจะเอาลงในฤดูใบไม้ร่วง
ประเพณีญี่ปุ่นสมัยเฮอันเล่าว่าสตรีในวัง จะใช้ม่านซูดาเระซ่อนตัวจากชายอื่นที่ไม่ใช่ คนในครอบครัว ฝ่ายหญิงจะมองลอดผ่านไป เห็นคู่สนทนาของเธอได้ แต่ฝ่ายชายจะมอง ไม่ เ ห็ น คนญี่ ปุ่ น ถื อ ว่ า ความอ่ อ นน้ อ มและ พรหมจรรย์ของหญิงสาวเป็นสิ่งที่ต้องเคารพ ตั ว อย่ า งการปรั บ เปลี่ ย นม่ า นมาเป็ น โครงสร้างบังตา เห็นได้จากช่องหลังคาของ บ้านในยุคกลางที่มักวางไม้เรียงกันแนวตั้ง เฉียงออกไปด้านหน้าช่วยป้องกันนํ้าฝนหรือ หิมะสาดเข้ามาได้ ช่องแบบนี้เห็นกันบ่อยๆ ในประตูห้องนํ้าที่คนข้างในห้องจะมองเห็น นอกห้องได้ แต่มองจากข้างนอกเข้ามาไม่ได้
en.wikipedia.org www.olsenuk.com
33
พัดลม a fan พั ด ลมเพดานถู ก ผลิ ต ขึ้ น ในช่ ว งคริ ส ต์ ศตวรรษ 1880 โดยแรกเริ่มมีเพียง 2 ใบพัด ฝั่ ง ยุ โ รปนิ ย มใช้ กั น ตามสำ � นั ก งาน โรงงาน หรือภัตตาคารหรูหราเท่านั้น เพราะด้วยราคา ที่ แ พงระยั บ ทำ � ให้ ยั ง ไม่ เป็ น ที่ แ พร่ ห ลายใน ครัวเรือน อีกทั้งพัดลมนี้ยังทำ�งานโดยใช้พลัง ไอนํา้ จึงติดตัง้ ได้เฉพาะในบริเวณทีใ่ กล้แหล่ง ไอนํ้าเท่านั้น มาดูประวัตขิ องพัดลมตัง้ พืน้ กัน ในคริสต์ศตวรรษ 1800 ก็ยังถือเป็นเครื่องใช้ที่หรูหรา ไฮโซเช่นกัน ว่ากันว่า ไอเดียนีป้ งิ๊ มาจากกังหัน ลม หน้าตาก็คล้ายๆ ในปัจจุบนั เพียงแต่ใบพัด ทำ�จากเหล็ก เช่น ทองเหลือง และมีใบพัด มากถึง 6 ใบ
ที่น่าแปลกใจคือโครงหุ้มพัดลมที่ปัจจุบัน ไว้ ใ ช้ ป้ อ งกั น เพื่ อ ความปลอดภั ย ของผู้ ใ ช้ ในสมัยก่อนกลับมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ใบพัด และมอเตอร์เสียหายต่างหาก (อ้าว!) ช่ ว งปี 1910-1920 คื อ ยุ ค แรกที่ พั ด ลม เริม่ นิยมในครัวเรือน มีการปรับขนาดให้เล็กลง และพั ด แบบไร้ เ สี ย งเพื่ อ ไว้ ใ ช้ ใ นห้ อ งนอน เรียกว่า ‘Residents Fans’ จนเมื่อปี 1930 หญิ ง คนหนึ่ ง นาม เจน อี ว านส์ ได้ เ ข้ า มา ออกแบบพั ด ลมให้ มี ห ลากหลายสี สั น และ น่าใช้ขนึ้ โดยใช้ใบพัดอะลูมเิ นียมเพือ่ ให้พดั ลม มีเสียงเบาลง เชื่อกันว่าทุกคนก็คงเคยเปิด/ปิดพัดลม ด้ ว ยนิ้ ว โป้ ง เท้ า คงจะดี ไ ม่ น้ อ ยหากบริ ษั ท ผู้ ผ ลิ ต จะทำ � แป้ น กดให้ ห่ า งกั น สั ก หน่ อ ย เพื่อให้กดนิ้วเท้าไปได้สะดวกขึ้นนะ เป็นที่รู้กันว่าเครื่องปรับอากาศกินค่าไฟ จริงๆ และวิธีช่วยประหยัดไฟได้คือเปิดพัดลม (แบบส่าย) คูก่ นั ไปด้วย จะช่วยลดค่าไฟเดือน หนึ่งๆ กว่า 150-200 บาททีเดียว homebaan.blogspot.com
34
ช้อน a spoo ช้ อ นมี ม าตั้ ง แต่ ส มั ย อี ยิ ป ต์ โ บร าณ โดยแรกเริ่มทำ�มาจากงาช้างหรือหินชนวน แข็งๆ ต่อมาจึงใช้ไม้ และโลหะชนิดต่างๆ เช่น ทองเหลือง เงิน ช้อนจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ ของกษัตริย์ด้วย Spoon มาจากคำ � ว่ า ‘spon’ ภาษา แองโกล-แซกซอน (Anglo Saxon) มีความหมายว่า เศษไม้ ช้ อ นถู ก พู ด ถึ ง ในคริ ส ต์ ศ าสนาเช่ น กั น ชุ ด ช้ อ น 13 คั น ที่ สื่ อ ถึ ง พระกระยาหารคํ่ า มื้อสุดท้าย (The Last Supper) ของพระเยซู คริสต์ เรียกว่า ‘Apostle Spoons’ ประกอบ ไปด้วยช้อนของอัครสาวก 12 คัน ทำ�จากเงิน และมี ลั ก ษณะเหมื อ นกั น ส่ ว นช้ อ นของ พระเยซูคริสต์อีก 1 คันจะมีขนาดใหญ่กว่า และหายากมาก ชาวคริสต์เลยนิยมให้ชดุ ช้อน Apostle Spoons นี้เป็นของขวัญเพื่อบอกว่า เราต่างเป็นลูกหลานของพระเยซูคริสต์ดว้ ยกัน แต่ จ ะให้ ช้ อ นในจำ � นวนที่ น้ อ ยกว่ า เช่ น 6 หรือ 12 คัน ย้ อ นกลั บ ไปคริ ส ต์ ศ ตวรรษที่ 17 ใน
หมอน a pillow
on ประเทศเยอรมัน ชายหนุม่ จะแกะสลักช้อนไม้ เป็นสัญลักษณ์สอื่ ความรัก เช่น หัวใจ ให้หญิง สาวที่ รั ก เพื่ อ มั ด ใจพ่ อ ของผู้ ห ญิ ง ให้ เ ห็ น ว่ า เขาสามารถทำ � งานเลี้ ย งดู ค รอบครั ว ได้ เรียกช้อนนี้ว่า ‘Love Spoon’ กะลาสีหนุ่ม ก็มปี ระเพณีอย่างนีเ้ หมือนกัน เขาจะแกะสลัก ช้อนไม้ให้ภรรยาในช่วงที่ต้องออกทะเลไป นานๆ น่าเสียดายที่ความน่ารักแบบนี้เหลือ เป็ น เพี ย งของประดั บ ตกแต่ ง ของชำ � ร่ ว ย ในงานแต่งงานเท่านั้น อย่างที่รู้กัน วัฒนธรรมไทยแต่เดิมใช้มือ เปิบข้าวเข้าปาก ช้อนเข้ามาภายหลังและคน ไทยถนัดใช้ช้อนสั้นมากกว่าช้อนยาว วิธีการ ทานอาหารโดยใช้ ‘ช้ อ นคู่ กั บ ส้ อ ม’ ยั ง ถื อ เป็นเอกลักษณ์ของไทยด้วย เพราะคนตะวันตก จะใช้ส้อมตักหรือหั่นอาหารเข้าปากโดยตรง ส่วนพีไ่ ทยเราใช้สอ้ มช่วยเกลีย่ อาหารเข้าช้อน (แล้วเอาช้อนเข้าปาก) en.wikipedia.org www.silvercollection.it handicraft.indiamart.com
หมอนเก่าแก่ที่สุดที่ขุดค้นพบได้คือหมอน ในยุคเมโสโปเตเมีย (ดินแดนอิรักในปัจจุบัน) มีอายุมากว่า 1,000 ปีแล้ว ในยุคแรก หมอนทั่วทั้งโลกจะทำ�จากวัสดุ แข็ง เช่น ไม้ เหล็ก หิน โดยจะขุดเซาะตรงกลาง ให้โค้งลงไปสำ�หรับหนุนศีรษะได้ เหตุใดคน สมัยก่อนโดยเฉพาะชาวอียปิ ต์ทกี่ ม็ อี ารยธรรม และวิทยาการลํา้ สมัย ถึงยังเลือกใช้วสั ดุแข็งๆ มาเป็นหมอนยังไม่ถูกไขปริศนา แต่สำ�หรับชาวจีนโบราณ เหตุที่ใช้หมอน แข็งๆ เพราะเชื่อว่าหมอนนิ่มๆ จะขโมยพลัง ของผู้ใช้ไปในขณะหลับ จริงๆ แล้วทีช่ าวอียปิ ต์โบราณต้องมีหมอน ก็เพราะพวกเขาใช้หมอนเพื่อหลีกเลี่ยงแมลง ต่างๆ ที่อาจจะไต่เข้าหู ไม่ได้เพื่อให้นอนหลับ สบายหรอกนะ
ในยุคแรกๆ เชื่อกันว่าหมอนมีไว้ให้ผู้ป่วย หรือหญิงที่ให้กำ�เนิดบุตรใช้เท่านั้น คนปกติๆ เขาไม่ใช้กันหรอกนะจ๊ะ หญิงเกอิชาของญีป่ ุ่นใช้หมอนรองบริเวณ คอ เพื่ อ ที่ ผ มของพวกเธอจะไม่ เ สี ย ทรง ไม่ต้องเสียเวลาทำ�ผมใหม่ทุกวันนั่นเอง ‘Pillow Fight Festival’ หรื อ เทศกาล ปาหมอน เป็ น งานแฟลชม็ อ บที่ ฮิ ต มากๆ ตั้งแต่นิวยอร์กไปจนถึงดูไบ โดยทุกๆ วันที่ 7 เมษายนของทุกปีถกู กำ�หนดให้เป็นวันสงคราม หมอนนานาชาติ ทั่วโลกจะจัดงานตามจัตุรัส ใจกลางเมืองให้ทุกคนได้ทุ่มหมอนใส่กันได้ เต็มเหนี่ยว และเสียงจากทุกคนยืนยันว่ามัน ลดความเครียดได้ดีจริงๆ ถ้าไม่เชื่อลองปา หมอนใส่คนข้างๆ คุณตอนนี้ดูเลย!
en.wikipedia.org workingmomwm.hubpages.com columbiamissourian.com
35
กระดาษชำ�ระ a toilet paper กระดาษชำ � ระเกิ ด ขึ้ น เพราะกษั ต ริ ย์ ร า ช ว ง ศ์ ข อ ง จี น อ ง ค์ ห นึ่ ง สั่ ง ทำ � ขึ้ น ม า เป็นกระดาษกว้าง 2 ฟุต ยาว 3 ฟุต! อธิบาย ให้ เ ห็ น ภาพ หนึ่ ง ฟุ ต เท่ า กั บ ไม้ บ รรทั ด ยาว 30 ซม. ทีเ่ ราใช้กนั กระดาษชำ�ระของพระองค์ เลยกว้างครึ่งเมตรกว่ากับยาวตั้งเกือบเมตร นึกไม่ออกเลยว่าใช้กันยังไง? กระดาษชำ � ระชนิ ด ม้ ว นที่ เ ราใช้ กั น ในปัจจุบัน เป็นความคิดของสองพี่น้องชาว อเมริกัน ตระกูลสก็อตต์ ซึ่งปัจจุบันก็กลาย มาเป็นเจ้าของกิจการกระดาษชำ�ระที่โด่งดัง และขายดีที่สุดในท้องตลาดยี่ห้อหนึ่ง ก่อนที่เราจะมีกระดาษชำ�ระใช้ คนเราใช้ วัสดุท�ำ ความสะอาดหลังเข้าห้องนาํ้ ต่างกันไป ชาวเกาะหลายแห่ ง ใช้ เ ปลื อ กหอย ชาว อเมริกาเหนือใช้ฝกั ข้าวโพด ชาวสแกนดิเนเวีย ใช้ขนสัตว์ ชาวจีนใช้กระดาษ (ทีไ่ ม่ใช่กระดาษ ชำ � ระ) และชาวยุ โ รปหลายประเทศใช้ มื อ ส่วนพี่ไทยเราก็คว้าเอากิ่งไม้ใบหญ้าใกล้มือ เนี่ยล่ะ 36
ขนาดของกระดาษชำ�ระที่นิยมใช้กันมาก ที่สุด คือกว้าง 4.5 นิ้ว ยาว 4.5 นิ้ว จากการสำ�รวจ พบว่าเราใช้กระดาษชำ�ระ ครั้งละประมาณ 8-9 แผ่นต่อการเข้าห้องนํ้า หนึ่งครั้ง แม้จะรู้สึกว่ากระดาษชำ�ระเป็นสิ่งที่อยู่ใน ชีวิตประจำ�วัน แต่จริงๆ แล้ว ประชากรโลก อีก 70-75% ก็ยังไม่นิยมใช้กระดาษชำ�ระ บ้างเพราะขาดแคลนทรัพยากรต้นไม้ บ้างคิด ว่าเป็นเรื่องไม่จำ�เป็น เริม่ มีกลุม่ คนทีต่ ระหนักว่าการใช้กระดาษ ชำ�ระทำ�ให้สิ้นเปลืองทรัพยากรต้นไม้ เพราะ คนหนึ่งคนจะใช้กระดาษชำ�ระเทียบเท่ากับ ต้ น ไม้ 384 ต้ น เครื่ อ งผลิ ต กระดาษชำ � ระ จากกระดาษใช้แล้วจึงถือกำ�เนิดขึ้น และเริ่ม ติดตั้งไว้ตามสำ�นักงานหลายแห่งในโลก www.toiletpaperhistory.net www.dimensionsinfo.com www.antiquetissuecovers.com www.ideafinder.com
ก๊อกน้ำ� a tap valve ประวัติของก๊อกนํ้ามีมาตั้งแต่สมัยก่อน คริสตกาล เริ่มต้นที่การวางระบบท่อส่งนํ้า ของโรงอาบนํ้ า ในกรุ ง โรม แล้ ว จึ ง เริ่ ม ผลิ ต ก๊อกนํ้าที่ทำ�จากทองเหลือง
ในยุคแรก ก๊อกนํ้าจะแยกเป็นสองก๊อก สำ�หรับนํ้าเย็นและนํ้าร้อน คนใช้นํ้าก็จะต้อง ผสมนํ้าเอาเองให้ได้ตามที่ต้องการ ต่อมาใน ศตวรรษที่ 20 วิศวกรชื่อ อัลเฟรด เอ็ม โมเอน พยายามผสมนํ้ า แต่ พ ลาดท่ า โดนนํ้ า ร้ อ น ลวกมื อ จึ ง ฉุ ก คิ ด ว่ า ควรจะมี ก๊ อ กนํ้ า เดี ย ว และมีระบบผสมนํ้าในตัว จนได้ก๊อกนํ้าที่ปรับ อุณหภูมิได้ในตัวในที่สุด ก๊อกนํ้าที่คนไทยคุ้นตาคือก๊อกชนิดบอล (Ball Valve) ก้านสีแดง เนื่องจากราคาถูก และใช้ทนทาน ตัวก๊อกนํ้า (ที่ไม่ใช่วัสดุตกแต่งภายนอก) นิยมทำ�จากทองเหลืองหรือพลาสติกเพราะ ไม่ผุพังง่าย ส่วนก๊อกนํ้ารูปทรงดีไซน์สวยงาม ต่างๆ แท้จริงก็ยงั เป็นก๊อกทองเหลืองนัน่ แหละ แค่ชบุ โครเมียมแล้วแต่งผิวให้มนั วาวน่าสัมผัส
จักรยาน a bicycle วิ ธี ทำ � ความสะอาดก๊ อ กนํ้ า ที่ ง่ า ยและ ประหยัด และสะอาดจริงๆ คือบีบยาสีฟัน ใส่แปรงแล้วนำ�มาแปรงก๊อก ถ้าเป็นก๊อกนํ้า โครเมียมที่อยากให้แวววาวเหมือนใหม่ก็แค่ เอาฟองนํ้ า ซั บ นํ้ า ส้ ม สายชู แ ค่ นั้ น …วิ ธี นี้ ภูมิปัญญาไทยแท้เลยนะเนี่ย!
en.wikipedia.org plumber.whangarei.biz plumbinghelptoday.com nanakedlab.blogspot.com
en.wikipedia.org www.pedalinghistory.com www.exploratorium.edu www.phys.uri.edu www.facstaff.bucknell.edu
สิ่งที่คล้ายว่าจะเป็นจักรยานชิ้นแรกของ โลกเกิ ด ขึ้ น ในต้ น คริ ส ต์ ศ ตวรรษที่ 19 เป็นเพียงล้อประกอบกันสองล้อ ไม่มีแป้นถีบ เอาไว้ ขึ้ น คร่ อ มเป็ น เครื่ อ งช่ ว ยเดิ น เท่ า นั้ น ท่านบารอนในเยอรมันประดิษฐ์ขึ้นมาใช้เดิน ในสวนได้ไวๆ ...แน่นอนว่ามันไม่ค่อยเป็นที่ นิยม เดินปกติกเ็ มือ่ ยจะแย่ เดินเข็นเจ้าล้อนีไ้ ป ก็ยิ่งเหนื่อยกว่าเดิมอีกน่ะสิ จั ก รยานคั น แรกจริ ง ๆ เกิ ด ขึ้ น ในช่ ว งปี 1860 มี แ ป้ น ถี บ อยู่ ต รงล้ อ หน้ า แต่ ตั ว จักรยานก็หนักแสนหนัก แถมยังถูกเรียกว่า เป็น ‘Bone-shaker’ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ ที่ ส ร้ า งความสั่ น สะเทื อ นไปถึ ง ซี่ โ ครงขณะ ขับขี่ เพราะฉะนั้น เจ้ารุ่นนี้ก็ยังไม่เป็นที่นิยม เหมือนเดิม
กว่ า จั ก รยานจะกลายเป็ น ของปกติ ใ น ชีวิตประจำ�วันก็เกือบจะร้อยปีพอดีหลังจาก ที่เครื่องช่วยเดินของท่านบารอนถือกำ�เนิดขึ้น จั ก รยานเข้ า มาในประเทศไทยในช่ ว ง รั ช กาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2442 (ค.ศ. 1879) นับว่าประเทศเราในตอนนั้นก็ทันสมัยใช้ได้ เลยเหมือนกัน ถึงตอนนี้ โลกของเราก็มจี กั รยานมากมาย หลายชนิดทั้งจักรยานเสือหมอบที่ปรับเกียร์ ได้ เหมาะจะใช้ ขี่ บ นถนนลาดยางเรี ย บๆ, จั ก รยานเสื อ ภู เ ขาเอาไว้ ขี่ ขึ้ น ลงเขาเพราะ หน้าล้อกว้าง ยางมีดอกกันลื่น, จักรยานฟิกซ์ เกียร์ ที่ไม่สามารถปรับเกียร์ได้ จนได้สมญา นามว่าเป็น ‘จักรยานลูกผู้ชาย’ หรือแม้แต่ จักรยานพับได้ก็มีนะ! ปัจจุบนั มีพพิ ธิ ภัณฑ์จกั รยานเก่ามากมาย ในประเทศไทยเรามีทั้งที่ใกล้เมืองสุดๆ คือ ‘บ้านจักรยาน’ แถวตลิง่ ชัน เขยิบไปภาคเหนือ มี ‘เฮือนรถถีบ’ ที่ อ.เมือง จ.น่าน และ ‘The Hub’ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เจ้าของเป็น นักปั่นจักรยานระดับโลกที่หลงรักเมืองไทย หากใครสนใจจะยลโฉมจักรยานรุ่นเก๋าก็ไม่ ควรพลาด 37
art@house
เพลงเพื่อชีวิตคนไกล บ้าน เรื่อง : ภูษิต มณีพงษ์
1 2
งคมไทยปั จ จุ บั น เป็ น สั ง คมที่ มี เศรษฐกิ จ เป็ น ตั ว ชี้ นำ � ประเทศ โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ที่ ผู้ ค นต่ า งถิ่ น ยั ง เลื อ กที่ จ ะพึ่ ง พิ ง ระบบ ศู น ย์ ก ลางความเจริ ญ ความห่ า งไกลบ้ า น ของผู้ ค นจึ ง เกิ ด ขึ้ น หลายชี วิ ต ต้ อ งจำ � จาก บ้านมาเพื่อทำ�หน้าที่บางอย่าง บางคนต้อง มาเรียนหนังสือ บางคนต้องทำ�งานเพือ่ หาเงิน หารายได้ ส่ ง ให้ ค รอบครั ว พวกเขาล้ ว นมี เหตุผลทีต่ อ้ งจากบ้านมา สังคมไทยในปัจจุบนั จึงเป็นสังคมที่ผู้คนต้องโบกมือลาบ้าน ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแวดวงเพลงไทยมีหลาย เพลงที่พูดถึงคนไกลบ้าน เนื้อร้องที่สื่อสารถึง ความคิดถึงของผูค้ นทีจ่ �ำ จากมายังปรากฏอยู่ หลายยุคหลายสมัย บทเพลงเหล่านีถ้ กู ใช้เป็น 38
การเล่าถึงบรรยากาศของกรุงเทพมหานคร เมืองที่มีแต่ความวุ่นวาย ผู้คนในเมืองหลวง ต่างสนใจแต่เรื่องของตัวเอง เป็นท่อนร้องที่มี เนื้ อ หาเปรี ย บเที ย บกั น ระหว่ า งความเป็ น ต่างจังหวัดกับความเป็นเมือง อยู่ในเมืองกรุงก็คงวุ่นวายและวกวน มีแต่ผู้คนก็เหมือนกับคนไม่รู้จักกัน ชีวิตผกผัน คิดถึงบ้าน ในยุคของเทคโนโลยี 3G ที่การสื่อสารเป็น เรือ่ งง่ายขึน้ ผูค้ นมีความสะดวกในชีวติ มากขึน้ แต่ ถึ ง กระนั้ น สั ง คมของคนพลั ด ถิ่ น ไม่ ไ ด้ หนีหายไปไหนจากสังคมไทย เพลง ทางกลับ บ้าน ของวงบอดี้สแลม เปรียบเสมือนตัวแทน ของคนต่างจังหวัดในยุคสมัยใหม่ที่ยังคงต้อง ต่ อ สู้ ดิ้ น รนในเมื อ งหลวง โดยมี ค วามฝั น เป็นเดิมพัน ในวันทีใ่ จมืดหม่น วันทีช่ วี ติ หลงทางมาไกล ในวันที่ใจวุ่นวาย ยิ่งทำ�ให้คิดถึงบ้านเรา จากมาตั้งนาน ไกลแสนไกล เมื่อไรความ คิดถึงบ้าน ของ จรัล มโนเพ็ชร เป็นเพลง ฝันจะเป็นจริง หรือที่ฝันใฝ่ ไม่มีจริง ในยุคต่อมาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนไกลบ้าน เนือ้ เพลงในช่วงแรกมีการใช้ธรรมชาติทสี่ มั ผัส เพลงนี้ น อกจากจะถ่ า ยทอดความรู้ สึ ก กับจิตใจคน เพื่อให้คนฟังเกิดความรู้สึกเหงา นึกคิดต่อถิ่นเกิดที่จากมาเช่นเพลงอื่นๆ แล้ว และโหยหาบ้านเกิดเมืองนอน ยังพูดถึงความคิดถึงของลูกที่มีต่อพ่อและแม่ มองดูดวงดาวก็คงเป็นดาวดวงเดียวกัน มองดูดวงจันทร์กเ็ หมือนกับจันทร์ทบี่ า้ นเรา โดยใช้ความฝันเป็นเดิมพันในการสู้ชีวิต เมื่ อ ไรที่ ล้ ม ยั ง คิ ด ถึ ง พ่ อ เมื่ อ ไรที่ ท้ อ ยั ง ยามนี้ฉันเหงา คิดถึงบ้าน ก่อนจะตัดไปช่วงกลางของเนื้อเพลง ที่มี คิดถึงแม่ เครื่องมือในการกล่อมเกลาผู้ฟังที่จากบ้าน ยุคแล้วยุคเล่า บทเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ คนไกลบ้านแทบจะไม่เคยขาดหาย เพลง เดือนเพ็ญ ของคาราบาวเป็นเพลง แรกๆ ที่มีเนื้อหาว่าด้วยคนไกลบ้าน เขียนเนื้อ ร้องและทำ�นองโดย นายผี-อัสนี พลจันทร์ เพลงนี้แต่งขึ้นในช่วงการสู้รบระหว่างรัฐไทย กับคอมมิวนิสต์ เสมือนเป็นการบรรเทาความ คิ ด ถึ ง บ้ า น ในเนื้ อ เพลงมี ก ารใช้ ธ รรมชาติ เพือ่ เล่นกับอารมณ์ของคนฟังให้เกิดความรูส้ กึ นึกถึงบ้าน นึกถึงความสวยงามในอดีตของ ผู้คนที่มีต่อบ้าน เดือนเพ็ญสวยเย็นเห็นอร่าม นภาแจ่มนวลดูงามเย็นชื่นหนอยามเมื่อ ลมพัดมา แสงจันทร์นวลชวนใจข้า คิดถึงถิ่นที่จากมา คิดถึงท้องนาบ้านเรือน ที่เคยเนา
3
1. ยืนยง โอภากุล 2. จรัล มโนเพ็ชร 3. บอดี้สแลม
และยังคงทำ�ตามคำ�สัญญา ชีวิตเมื่อทำ�ได้ตามความฝัน วันนั้นฉันคงจะกลับ เอาฝันนั้นไปฝาก เห็นได้ว่าในแต่ละยุคแต่ละสมัย เพลงของ คนไกลบ้านไม่เคยหนีห่างไปไหนจากสังคม ไทย สิ่งสำ�คัญที่ทำ�ให้เพลงเหล่านี้ยังคงอยู่ คงเป็นชีวิตจริงของคนพลัดถิ่นที่ในปัจจุบันมี จำ�นวนเพิม่ มากขึน้ ในการเข้ามายังเมืองหลวง อาจจะด้วยเหตุผลการเกษตรกรรมในท้องถิ่น ที่ ล้ ม เหลว หรื อ ระบอบการปกครองส่ ว น ท้องถิน่ ทีไ่ ม่พฒ ั นา ประกอบกับคนเหล่านีต้ า่ ง ต้องพึ่งพิงอยู่ในระบบเศรษฐกิจ การหาอาชีพ เลี้ยงชีวิต การได้เรียนหนังสือในศูนย์กลาง ความเจริ ญ ของประเทศ เหตุ ปัจ จัยเหล่านี้ จึงทำ�ให้หลายชีวิตต้องห่างไกลบ้าน ห่างไกล พ่อแม่ผู้เป็นที่รัก และสิ่งหนึ่งที่สามารถยึด เหนี่ ย วจิ ต ใจพวกเขาได้ น อกจากบ้ า นที่ มี คนรักรออยู่ ‘บทเพลง’ ของศิลปินก็เปรียบ เสมือนสิ่งหล่อเลี้ยงสร้างเสริมกำ�ลังใจ ให้คน พลัดถิ่นสามารถต่อสู้กับความวุ่นวายในเมือง หลวงที่พวกเขาเผชิญอยู่ นอกจากบทเพลงที่เติมแรงใจจากศิลปิน แล้ว สิ่งที่เราควรตั้งคำ�ถามกับเรื่องราวของ คนพลั ด ถิ่ น ในสั ง คมไทย คื อ ความเป็ น คน พลัดถิน่ คนห่างไกลบ้านจะยังอยูใ่ นสังคมไทย อีกนานแค่ไหน หรือเราจะยังคงได้ยินเพลงเหล่านี้ไปอีก หลายปีข้างหน้า... 39
เรื่อง : สหธร เพชรวิโรจน์ชัย
Click บ้าน Click ครอบครัว มื่ อ เอ่ ย ถึ ง ‘บ้ า น’ น้ อ ยคนนั ก ที่ จะนึ ก ถึ ง ตั ว บ้ า นในลั ก ษณะอิ ฐ ไม้ ปูน หรือกระทั่งส่วนประกอบ จำ � พวกบั น ได ประตู หน้ า ต่ า ง โดยส่วนใหญ่ ‘ครอบครัว’ มักจะเป็นคำ�ที่ติด มากับความคิดเสียมากกว่า ครอบครัวเป็นสถาบันที่เล็กที่สุด แต่เป็น สถาบั น ที่ สำ � คั ญ ที่ สุ ด ของสั ง คม เพราะทำ � หน้ า ที่ ขั ด เกลา ถ่ า ยทอดความรู้ ระเบี ย บ แบบแผนทางสังคมไปสู่สมาชิก ตั้งแต่เด็ก จนกระทัง่ เติบใหญ่ หากจะกล่าวว่าเป็นหน่วย ที่ใกล้ชิดกับคนเรามากที่สุดก็น่าจะไม่ผิดนัก ความอบอุ่น ความรักที่ได้จากครอบครัว 40
นั้นเป็นสิ่งที่หาค่ามิได้ แต่ทว่าก็มีคนจำ�นวน ไม่น้อยที่มองข้ามสิ่งสำ�คัญนี้ไป และหลงไป ในสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสำ�เร็จ’ Click (2006) หนังตลกดราม่าเรียกนํ้าตา ของผู้กำ�กับ Frank Coraci ผู้กำ�กับคู่บุญของ อดัม แซนด์เลอร์ ได้ทำ�หน้าที่บรรจุเรื่องดัง กล่าวไว้ หนั ง พู ด ถึ ง ครอบครั ว อบอุ่ น ของ ไมเคิ ล นิวแมน (อดัม แซนด์เลอร์) คุณพ่อสถาปนิก ลูก 2 ที่ต้องการหาซื้อรีโมตใหม่ เขาหาซื้อจน ได้สิ่งที่ต้องการ เพียงแต่รีโมตนั้นกลับเป็นสิ่ง มหัศจรรย์ชิ้นใหม่ที่ทำ�ให้เขาสามารถควบคุม ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย่ า งได้ แม้ ก ระทั่ ง การข้ า มเวลา
แต่มีข้อแม้ว่า รีโมตนั้นจะต้องอยู่ติดมือเขา ตลอด และขณะที่ อ ยู่ ใ นช่ ว งข้ า มเวลานั้ น ร่างกายและจิตใจในโลกแห่งความจริงจะตก อยู่ในสภาวะ auto-pilot หรือสภาวะร่างไร้ สตินั่นเอง ในช่วงแรกนิวแมนใช้รโี มตควบคุมทุกอย่าง ดัง่ ใจคิด โดยเริม่ จากการข้ามเวลาเพือ่ ข้ามหนี ปัญหาต่างๆ ทางครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการ บ่นของภรรยา หรือช่วงเวลารับประทานอาหาร เย็นอย่างพร้อมเพรียงกับที่บ้าน เพียงเพราะ ต้องการทำ�งานให้สำ�เร็จ ฉะนั้นช่วงเวลาที่อยู่ กับครอบครัว เขาจึงกลายเป็นมนุษย์ไร้สติ ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับครอบครัว
ต่อมาเมื่อหัวหน้าสัญญาว่าจะให้เขาเป็น หุ้นส่วน คุณพ่อจึงตัดสินใจใช้รีโมตข้ามเวลา เพื่อหาความสำ�เร็จทางการงาน แต่เมื่อความ ก้ า วหน้ า นั้ น มาถึ ง ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า ง ครอบครัวกลับแย่ลง...จนใกล้แตกหัก ในเวลา เดียวกันนั้น เจ้าสิ่งวิเศษเริ่มจำ�สิ่งที่นิวแมน ปรารถนาได้ มันทำ�หน้าที่ข้ามเวลาตามที่เขา ต้ องการอย่ า งอั ตโนมั ติ แน่ น อนว่าสิ่ง ที่มัน เลือกไม่ใช่ลูกเมีย นั่นแปลว่าเขาพบกับความ สำ�เร็จสูงสุดทางการงานที่มาพร้อมกับจุดจบ ของสายใยครอบครัว แม้พล็อตเรื่องจะใช้วิธีการเล่าเรื่องอย่าง ง่ายๆ ผ่านมุขตลก แต่หนังได้สะท้อนภาพ ของคนทำ�งานทีม่ งุ่ จะประสบความสำ�เร็จทาง อาชีพ เลือกเอาความสำ�เร็จเป็นที่ตั้ง เลือก คลิกรีโมตข้ามเวลาที่ควรจะอยู่กับครอบครัว มาทำ�งาน เลือกคลิกข้ามความสัมพันธ์ของ ครอบครัวเพื่อความสำ�เร็จ ซึ่งเท่ากับว่าใช้สติ และเวลาไปกั บ งาน มองข้ า มคนรอบตั ว และกำ�ลังทำ�ลายสายสัมพันธ์ทางครอบครัว ลงไปนั่นเอง รี โ มตในหนั ง อาจดู เ หมื อ นเทคโนโลยี มหัศจรรย์ แต่ทว่าความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่ ใช้แทนอำ�นาจในการเลือกจุดมุ่งหมายของ มนุษย์ นิวแมนต้องการความสำ�เร็จ เขาจึง คลิกที่ความสำ�เร็จของงาน และได้รับผลจาก สิ่งที่ตัวเองเลือก เขาจึงเป็นตัวอย่างที่เตือน ให้เราอย่าหลงลืมคนข้างกาย การสร้างความ สมดุ ล ระหว่ า งงานและการใช้ ชี วิ ต ร่ ว มกั บ คนในครอบครัวจึงเป็นสิ่งที่สำ�คัญ ถ้าปัญหาครอบครัวแตกแยก เกิดมาจาก สมาชิกในรั้วบ้านไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ไม่มี ความเอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกัน หนังเรื่องนี้ สรุปให้แล้วว่า เราควร ‘คลิก’ ให้กับครอบครัว ไม่น้อยไปกว่าอาชีพการงาน เพราะหากกด รีโมตในเรื่องหลังถี่กว่าเสียจนทิ้งห่างจากกัน มาก เมื่อพูดถึงบ้านคำ�ว่า ‘ครอบครัว’ อาจจะ แผ่วเบาไปเสียแล้วในความนึกคิด
41
เรื่อง : สหธร เพชรวิโรจน์ชัย
1
เคหวัตถุ ธรรมดา 2
42
ายตาผมไล่เรียงตามตัวอักษรหน้า สุดท้าย บรรทัดสุดท้ายของหนังสือ เล่มหนึ่ง ที่กำ�ลังสร้างเรื่องราวให้กับสิ่งของ ธรรมดาภายในบ้ า นรอบตั ว ให้ ก ลั บ มี ชี วิ ต ขึ้นมาอีกครั้ง หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า เคหวัตถุ เขียนโดย อาจารย์ต้น-อนุสรณ์ ติปยานนท์ 8 เรื่องสั้น ที่เริ่มต้นจากวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับ บ้าน ได้แก่ ตู้เย็น, ร่ม, ปิ่นโต, เตียง, กะโหลก, นก, ยาย และนํ้าตาล ความสนุ ก ของรวมเรื่ อ งสั้ น เล่ ม นี้ อ ยู่ ที่ การเล่าเรื่องจากสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวตั้ง และ พาไปสู่เรื่องราวที่มีทั้งความตลก ประหลาด วิญญาณ ปรัชญา สังคม ฆาตกรรม ความรัก และกามารมณ์ ดังเช่นเรื่องแรกที่นำ�เครื่องใช้ในบ้านอย่าง ‘ตู้เย็น’ มาเขียนในเชิงกามารมณ์ อาจารย์ต้น สร้างความตื่นใจไม่น้อย ที่สามารถเชื่อมโยง 2 สิ่งที่ไม่น่าเกี่ยวข้องกันได้มาผูกรวมไว้ใน หน้ากระดาษไม่กี่หน้า “มั น เป็ น เสี ย งของชาย-หญิ ง คู่ ห นึ่ ง ไม่แปลกปลอม-ที่กำ�ลังขะมักเขม้นประกอบ กิจกรรมโบราณอย่างหวานชื่นและสุขสม-ดังออกมาจากตู้เย็นใบใหม่ของผม” (ตู้ / เย็ น /เร่ า /ร้ อ น-เคหวั ต ถุ : อนุ ส รณ์ ติปยานนท์)
1. อนุสรณ์ ติปยานนท์ 2. สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์
ก่อนหน้านี้ผมได้อ่านหนังสืออีกหนึ่งเล่ม ที่พูดเรื่องคล้ายๆ กัน นั่นคือ สิ่งมหัศจรรย์ ธรรมดา ของนักคิดนักเขียนทีไ่ ด้รบั ความนิยม ในหมู่วัยรุ่นนาม นิ้วกลม สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา คล้ายกับ เคหวัตถุ ตรงที่ใช้จุดตั้งต้นในการเล่าเรื่องจากสิ่งของ รอบๆ ตัวที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เล่าจากสิ่ง ต่างๆ ในจำ�นวนที่มากกว่า เช่น นาฬิกาปลุก, แปรงสีฟัน, กระจก, กุญแจ, รูปถ่าย, ดินสอ, ยางลบ, หินลับมีด ฯลฯ รวมทั้งสิ้น 24 อย่าง รูปแบบการเล่านัน้ ก็แตกต่างกัน คือผลงาน ของนิ้ ว กลมถ่ า ยทอดออกมามิ ใ ช่ เ รื่ อ งสั้ น แต่เป็นบทความทีแ่ ฝงความคิดจากสิง่ เหล่านัน้ ทั้งรูปแบบการใช้งาน การใช้แทนสัญลักษณ์ บางอย่าง ทำ�ให้สิ่งของเหล่านั้นดูมีเรื่องราว เฉพาะตัวของมัน ทำ�ให้เราได้เปิดหู เปิดใจลอง ฟังสิ่งต่างๆ รอบตัว และสร้างแรงบันดาลใจ จากสิ่งเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี เช่น แปรงสีฟัน บอกกับเราว่า เราต้องดูแลสิ่งสำ�คัญต่ างๆ ด้วยตัวเอง หรือรูปถ่ายเป็นสิ่งของที่มีความ เป็ น ส่ ว นตั ว คนที่ ไ ม่ ไ ด้ เ ป็ น เจ้ า ของย่ อ ม ไม่เข้าใจความหมายและความสำ�คัญของมัน หนังสือทั้ง 2 เล่ม ทำ�ให้ผมได้มองสิ่งต่างๆ รอบตั ว นานขึ้ น ฟั ง เรื่ อ งราวต่ า งๆ จากมั น เห็ น คุ ณ ค่ า ของสิ่ ง นั้ น ๆ ว่ า มั น มิ ใ ช่ แ ค่ วั ต ถุ ธรรมดา เพราะของทุกชิ้นในบ้านมีเรื่องราว
ซ่อนอยูเ่ สมอ และพร้อมทีจ่ ะเล่าอะไรบางอย่าง อยู่ที่ว่าเราเคยรับฟังมันหรือไม่? “ไม่ได้พิสดารหรือมีอภินิหารอะไร แต่มัน พู ด อะไรกั บ เราบางอย่ า ง และสิ่ ง ที่ มั น พู ด นัน้ เองทีม่ หัศจรรย์ เพราะเป็นเสียงทีเ่ ราไม่คอ่ ย ได้ยิน เสียงในใจ” (คน สดับ สิ่งของ-สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา : นิ้วกลม) ทุกวันนี้ผมยังคงดำ�รงชีวิตประจำ�วันตาม ปกติ แต่หลังจากอ่านหนังสือทั้งสองเล่มนี้จบ สิ่งของต่างๆ ในบ้าน จากที่มันเคยดูเป็นแค่ สิง่ ของธรรมดา ตอนนีม้ นั กลับมามีชวี ติ มีเรือ่ ง ราวมากมายในตัวมัน ที่รอให้ผมเปิดใจรับฟัง “สิง่ ของภายในบ้านเป็นของแปลก พวกมัน มาจากต่ า งสถานที่ ต่ า งเวลา ต่ า งสถานะ แต่ ม าอยู่ ร วมกั น ในที่ เ ดี ย วกั น เพี ย งเพราะ ผู้เป็นเจ้าของ หากไร้เจ้าของแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะมีความหมายได้อย่างไร” (คำ � นำ � หนั ง สื อ เคหวั ต ถุ : อนุ ส รณ์ ติปยานนท์) “โลกของเราถู ก แวดล้ อ มไปด้ ว ยสิ่ ง ของ มากมาย บางชิ้นมหัศจรรย์จนผู้คนนำ�มันไป เก็ บ ไว้ ใ นพิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ แต่ ข องส่ ว นใหญ่ ต่ า ง ก็กระจัดกระจายอยู่ตามอาคารบ้านเรือนเป็น เพียงของธรรมดา-ธรรมดา แต่ทว่าทุกสิ่งที่ดูคล้ายธรรมดา ถ้าเราให้ เวลา มันจะกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์” (คน สดับ สิ่งของ-สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา : นิ้วกลม)
เคหวัตถุ (Household Object) ผลงานเล่มที่ 6 ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ นักเขียน นักแปล
เจ้ า ของฉายา ‘มู ร าคามิ เ มื อ ง ไทย’ ตีพิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ.
2550 ประกอบด้ ว ยเรื่ อ งสั้ น
8 เรื่ อ ง ที่ เ ริ่ ม ต้ น จากสิ่ ง ของ หรื อ คนเพื่ อ นำ�ไปสู่ เ รื่ อ งราว ให้ ติ ด ตามต่ อ ไป โดยหนั ง สื อ
เ ล่ ม นี้ เ ค ย เ ข้ า ร อ บ สุ ด ท้ า ย
รางวัลซีไรต์ปี พ.ศ. 2551 และ อี ก หนึ่ ง ผลงานที่ เ ข้ า ชิ ง ซี ไ รต์ คื อ นิ มิ ต ต์ วิ ก าล ในปี พ.ศ. 2554
สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา ผลงานเล่มที่ 11 ของนิ้วกลม หรือ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ ครีเอทีฟ
โฆษณา ผูก ้ ำ�กับโฆษณา ตีพม ิ พ์
ครัง ้ แรกปี พ.ศ. 2553 นำ�เสนอ
ในรู ป แบบความเรี ย งที่ ส ร้ า ง
แรงบันดาลใจจากสิ่งของ 24 ชิ้นที่อยู่รอบตัว มีผลงานเล่ม อืน ่ มากมาย เช่น โตเกียวไม่มข ี า
(2547), เนปาลประมาณสะดือ
(2549), นั่ ง รถไฟไปตู้ เ ย็ น
(2551), อาจารย์ในร้านคุกกี้ (2552), บุกคนสำ�คัญ (2553) ฯลฯ
43
The hom should b the trea chest of
Le Corbus เลอ กอร์บูซีเยร์ - สถาปนิก นักวางผังเมือง มัณฑนากร จิตรกร และนักเขียนชาวฝรั่งเศส
44
me be asure f living.
sier 45
เรื่องสั้นหมายเลข 3
ซ้อน สอง เรื่อง : จิณญา จุฑาแก้ว
นโลกที่มนุษย์รักจะมีเคหสถานสูงเทียมเมฆ ที่ที่เขา อาศัยเป็นเพียงบ้านไม้ หนึง่ ชัว่ โมงทีแ่ ล้ว เขาตืน่ ขึน้ ในกลิน่ ชืน้ ของทะเล ที่นี่ไม่ใช่บ้านทั้งของเขาหรือ คนอื่ น เป็ น เพี ย งที่ พั ก ชั่ ว คราวสำ � หรั บ วั น ทำ � งาน มาบ่ อ ยจนคนบนฝั่ ง คิ ด ว่ า เป็นบ้านหลังที่สอง สำ � หรั บ เขา นอกจากความเคยชิ น บริ เ วณที่ จ ะนั บ เป็ น บ้ า นได้ ต้ อ งมี อ ะไร บางอย่างอยู่ร่วมด้วย เมื่อแรกที่เคยคิด หนี อ อกจากบ้ า น หรื อ ในความหมาย ของเขาคือหนีออกจากคนในบ้าน เขาคิด ว่ า อะไรบางอย่ า งนั้ น คงเป็ น ตั ว เขาคน เดียวและสุรา แต่เมื่อผ่านวัยรุ่นไปครึ่ง ทาง ทั ศ นคติ เ ริ่ ม เปลี่ ย นให้ บ้ า นต้ อ งมี ครอบครัวอยู่ภายใน ครอบครัวที่ทุกคนอยากจะอยู่พร้อม หน้าเพือ่ เติมเต็มความเป็นบ้านให้กนั และ กัน ทำ�ให้อาคารไม้งอกง่อยมีความพิเศษ ทำ � ให้ ห้ อ งนั่ ง เล่ น มี ไ ออุ่ น ทำ � ให้ ค รั ว ส่งกลิ่นหอม และทำ�ให้โถงว่างๆ อวล ไปด้วยความสบายใจ แม้บางครัง้ ทีค่ วาม 46
นึ ก คิ ด ของคนในบ้ า นลุ ก ขึ้ น มาตี กั น เขาเหมือนยืนอยูก่ ลางวงล้อมของพญายม แห่งนรกภูมิ แต่เขาเชือ่ ว่า ในวันทีท่ ะเลาะ กับคนอื่นในโลกข้างนอกหลังประตูบ้าน ที่นี่จะเป็นสวรรค์ให้เขาได้ เรือหางยาวเคลื่อนตัวแหวกนํ้าทะเล เป็ น ริ้ ว ทิ้ ง คลื่ น ขาวให้ ก ระทบโครงไม้ ตามยถากรรม เขากะระยะก้ า วขาให้ ปลอดภัย แล้วนั่งลงรอการออกเดินทาง ทุ ก คนบนเรื อ ถู ก รวมไว้ ด้ ว ยจุ ด เริ่ ม ต้ น และปลายทางเดียวกัน บนทะเลสี ค ราม ที่ ที่ สิ่ ง มี ชี วิ ต อี ก เผ่าพันธุ์อาศัยเป็นจุดหมายของเขา • ในจักรวาลสีดำ� ที่ที่เขาอาศัยเป็น เพียงบ้านเล็ก ชีวิตของเขาคงเรียบง่ายเสียยิ่งกว่า การปลู ก ถั่ ว เขี ย วให้ เ ป็ น ถั่ ว งอก กิ น ขับถ่าย-นอน-กิน-ขับถ่าย-นอน วนเป็น วัฏจักรธรรมดาอย่างนี้ไปเรื่อย ถ้าไม่เกิด เหตุเมื่อเดือนที่แล้วเสียก่อน อากาศกลางเดือนมกราคมให้ความ รูส้ กึ เย็นสบายแก่รา่ งกายทุกส่วน ขณะนัน้
เป็นช่วงเวลาหากินของเขา สายตามองหา เหยื่ อ ในความเวิ้ ง ว้ า งแห่ ง อั น ดามั น เหมือนทุกๆ วันตั้งแต่ได้ชีวิตจากพ่อแม่ มา ไม่เคยต้องการรู้จักความหมายของ ชีวิต ความทรงจำ�เล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่า ตอนนั้นเขามองเห็นเป้าหมายในระยะ ไม่ ไ กล จึ ง ขยั บ ตั ว เปลี่ ย นท่ า ให้ พ ร้ อ ม สมองสั่ ง การให้ ก ล้ า มเนื้ อ พาตั ว พุ่ ง ไป ข้างหน้า ความหิวกระหายออกตัวทำ�งาน รออาหารตอบสนอง ทั น ใดนั้ น เหยื่ อ ที่ ม องเห็ น ก็ ถู ก แย่ ง ไปต่อหน้าต่อตา ความข้องใจปนโกรธ นิดหน่อยสั่งให้เขาตามหัวขโมยไป และ เหมื อ นนิ ย ายรั ก นํ้ า เน่ า ดาษๆ จากหั ว ขโมยกลายมาเป็ น คู่ ชี วิ ต เขาและเธอ ร่วมกันสร้างบ้านในทำ�เลที่ช่วยกันเลือก ใช้ เ วลาหนึ่ ง เดื อ นเต็ ม ทุ่ ม เทกำ � ลั ง เห็ น ความเหนื่ อ ยยากของกั น และกั น จนสำ�เร็จเป็นที่พักอันพึงใจ นึกขอบคุณทุกสิง่ ทุกอย่างทีเ่ หนือแสง อาทิตย์กลางมหาสมุทรวันนั้น ทำ�ให้เขา พบทางออกจากความซํ้ า ซาก และมี อีกหนึ่งชีวิตคอยเคียงข้างในวันนี้
ในถํ้าสีเทา ที่ที่เขาอาศัยเป็นสีสด • ทีท่ เี่ คยว่างเปล่า ตอนนีม้ ขี องลํา้ ค่า เหมื อ นมี เ จ้ า หญิ ง ในนิ ท านผ่ า นมา แล้วทิ้งรองเท้าแก้วไว้ ใบมีดเหล็กซอกซอนเข้าแทรกแทน ร่ อ งระหว่ า งของแข็ ง สี ขุ่ น กั บ ผนั ง หิ น เพียงข้อมือพลิก ปลายโลหะนั้นก็ผลัก รังนกจากเพดานถํ้าตกลงสู่พื้น เพื่อนข้าง ล่ า งกำ � ลั ง เตรี ย มกระสอบสำ � หรั บ เก็ บ อีกหลายคนยืนส่องไฟอยู่ที่โคนพะอง ลมละอายพัดผ่านใจเขาวูบวินาที รูส้ กึ แปร่งๆ ตามจังหวะการสูบฉีดของโลหิต ทุกครั้งที่ออกมาทำ�งานเก็บรังนก เหมือน ตัวเองเป็นโจรไร้ฝีมือ บุกรุกบ้านที่ไม่ติด สัญญาณกันขโมย แถมเจ้าของยังแจ้ง ความไม่เป็น ทั้งยังใจโฉด ไม่ใช่แค่หยิบ ฉวยข้าวของบางอย่าง แต่หอบเอาบ้าน ทั้งหลังหายไป ทั้งที่บ้านตัวเองก็มี จะทำ�อย่างไรได้ โจรยังต้องหายใจ หายใจเหมือนภรรยาและลูกอีกสี่คน เงยหน้ า ถอนหายใจ พยายามไล่ จริยธรรมทีเ่ ป็นไปไม่ได้สอู่ ากาศว่างเปล่า สอดใบมีดปลิดบ้านอีกหลังร่วงหลุดไป • ที่ ที่ เ คยมี บ้ า น ตอนนี้ ว่ า งเปล่ า เหมื อ นย้ อ นเวลากลั บ ไปยั ง โลก เมื่อก่อนที่เขาและเธอได้เจอกัน เพื่ อ นบ้ า นทุ ก คนล้ ว นประสบเหตุ เดียวกัน แปลกใจเจือโมโหแต่ทำ�อะไร ไม่ได้ เขาบรรจงส่งแรงกายออกมาเป็น บ้านหนึง่ หลัง ตอนนีผ้ ลงานชิน้ นัน้ หายไป ราวกับความพยายามไม่เคยเกิดขึ้นจริง อยากจะหยุ ด พั ก ตั้ ง คำ � ถามร้ อ งหา ความยุติธรรมกับใครหรืออะไรสักอย่าง อยากนิง่ อาลัยให้ความภูมใิ จกับความสุข ของลูกที่มีคนมาพรากไป แต่ ชี วิ ต ไม่ เ คยหยุ ด ดำ � เนิ น ภรรยา ของเขาต้ อ งการที่ จ ะมี บ้ า นให้ เ ร็ ว ที่ สุ ด เพื่ อ รองรั บ การถื อ กำ � เนิ ด ของทายาท เขาได้แต่เงยหน้าฝืนกลืนระเบิดนาํ้ ตาอัน แสนอัดอั้นเข้าไปไว้ลึกๆ ในอก รวบรวม
นํ้าลายในคอแล้วก้มลงขย้อนมันออกมา เขาจะสร้างบ้านใหม่อีกครั้ง • ก่ อ นเท้ า ซ้ า ยจะขยั บ ไต่ พ ะองไผ่ ลงไป หางตาของเขาพลันเห็นก้อน นํ้ า ลายขอบแดงชํ้ า ในหลื บ อั บ ชื้ น ทางขวา ก้ อ นกรั ง นี้ มี ชื่ อ เรี ย กในย่ า นธุ ร กิ จ การค้าว่ารังนกเกรดเลือด ความแดงชํ้า ที่ ป รากฏ ได้ ม าด้ ว ยความเจ็ บ แสบใน ลำ�คอของนกแอ่นผัว-เมีย แต่หมายความ ถึ ง เงิ น ก้ อ นใหญ่ แ ละความสุ ข สบาย สำ�หรับเขา ใจหนึ่งอยากวาดแขนไปตวัดเอาถ้วย สีหม่นนั้นมาไว้ในครอบครอง สมาชิกใน บ้านแต่งตั้งให้เขาเป็นพ่อ เขาก็ต้องเลี้ยง ทุกคนให้มีชีวิตที่ดี แปลอีกครั้งว่าต้อง มีเงิน แต่อีกใจหนึ่ง บ้านสีคลํ้าที่หางตา ตอนนี้ มั น ก็ เ ป็ น การอุ้ ม ชู ดู แ ลสมาชิ ก ข อ ง หั ว ห น้ า ค ร อ บ ค รั ว เ ห มื อ น กั น ซํ้ายังเป็นบ้านหลังสุดท้ายอีกต่างหาก บรรพบุรษุ สัง่ สอนเขาให้รจู้ กั เคารพอาชีพ ของตัวเอง รังนกเกรดเลือดเป็นสิ่งหนึ่ง ที่จะต้องไม่ถูกนำ�ออกจากถํ้า เพราะหาก ไม่ มี บ้ า นหลั ง นี้ แม่ น กจะไม่ มี ที่ ว างไข่ สิ่งเดียวที่นกตาดำ�ๆ พอจะทำ�ได้คือหยุด ลมหายใจ จากโลกนี้ไปโดยไม่ทันได้ทำ� หน้าที่ ไม่ได้ให้กำ�เนิดลูกในท้อง ไม่ได้ ฟูมฟักไข่ใบน้อย พลาดโอกาสที่จะได้ สั ม ผั ส การมี ค รอบครั ว และไม่ ไ ด้ ม อบ ความรักให้กับสิ่งที่ตัวเองรักที่สุด หันมองรอบกาย คนอื่นทยอยลงสู่พื้น เรียบร้อยแล้ว บางคนเตรียมต่อพะองใหม่ สำ�หรับการปีนในบริเวณถัดไป หัวใจใน ช่องอกของเขาเต้นแรง รู้สึกเหมือนผนัง ถํ้ า ข้ า งๆ เคลื่ อ นคลานมาบี บ ลำ � ตั ว บังคับให้รีบตัดสินใจ หอบหายใจเท่าไหร่ อากาศก็ไม่พอ ฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อและ ขาซ้ายขวาทำ�ท่าจะหมดแรง เบื้องหน้า ที่ ค วรจะเป็ น ทั ศ นี ย ภาพของถํ้ า หิ น ปู น ลู ก ตากลั บ เห็ น แต่ ภ าพลู ก เมี ย กั บ ซาก นกซ้อนสลับกัน เขาปิดเปลือกตาแรงๆ
บดขยี้ ข อบตาบน-ล่ า งเข้ า ด้ ว ยกั น สูดอากาศเข้าอัดภายในปอด เม้มปาก หนึ่งครั้ง แล้วจึงเบิกตา เท้าซ้ายกระชับจับไม้ไผ่ให้มน่ั คง อนาคต ของเขากับนกแอ่นได้ถูกพิพากษาแล้ว • ปี ก อ่ อ นระโหยและคอที่ ป วดอยู่ หนึบๆ ทำ�ให้เขาสังหรณ์ว่าวันนี้บ้าน จะอันตรธานไปอีก รั ง ถู ก สร้ า งซํ้ า แล้ ว ซํ้ า เล่ า ไม่ ตํ่ า กว่ า สามครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลูกในไข่สองใบ ลงไปแตกกระจายอยู่ที่พื้นถํ้า เป็นไปได้ ว่าความเค็มของนํา้ ทะเลจะมาจากความ โศกเศร้าของเขาและภรรยา ครอบครัวอืน่ และนกนางแอ่นรุ่นก่อนๆ กลั่นตัวเป็น นํ้าตา หยดลงเติมรสชาติให้นํ้าทะเลจน เข้มข้น ครั้งล่าสุดที่สังขารอันร่วงโรยขูดเอา เลือดเนื้อออกมาพร้อมนํ้าลาย ยิ่งทำ�ให้ เขาเสียใจหนัก ลูกสองตัวแรกดูแลไม่ได้ ว่าแย่แล้ว ลูกสองคนถัดมายังให้บ้าน ที่สะอาดเป็นของขวัญวันเกิดไม่ได้อีก เขาเป็นพ่อแบบไหนกัน แข็งใจพาตัวเองเลีย้ วลดตามความคด ของโขดหิ น หั ว ใจดวงเล็ กตอนนี้ระสํ่า ระส่ า ย ภาวนาและหวั ง เหลื อ เกิ น ว่ า เมือ่ พ้นเหลีย่ มข้างหน้านี้ บ้านอันเกิดจาก ความชอกชํ้ า จะปรากฏตั ว ให้ ปี ติ ยิ น ดี เขาลุน้ กับผลลัพธ์ แต่กลับชะลอความเร็ว เริ่มไม่อยากโผล่พ้นโขดหิน อยากกำ�บัง ตัวเองจากภาพอันโหดร้ายต่อไป ถ้าจะ รู้ สึ ก หวั่ น ใจขนาดนี้ เ ขาขอตายที่ นี่ เ ลย ดี ก ว่ า วิ ญ ญาณหรื อ อะไรบางอย่ า ง ภายในตะโกนบอกให้ ห ยุ ด บิ น แต่ ปี ก เจ้ากรรมดันขยับกระพือ พาเคลื่อนออก จากเหลี่ยมมุม และเหมือนมันจะเร็วกว่า ที่ตั้งใจ โขดหินหลุดกรอบการมองเห็นไป หลังเสียงตะโกนครั้งที่สาม เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด เขารำ�พึงกับ คำ�ขอพรเมื่อครู่ บ้ า นยั ง อยู่ ต รงนั้ น จริ ง ๆ ด้ ว ย เห็นไหม 47
‘กลับ’ เรื่อง : ศุภวิทย์ น้อมเกียรติกุล
1
สนามหญ้าหน้าบ้าน ที่ที่ฉันวิ่งเล่น
กับเจ้าด่างหลังอาน 2
ลูกบอลหนังโทรมโทรม ที่พี่เตะเล่นกับฉัน เมื่อครั้งวัยเยาว์ 3
จักรยานสีเทาในโรงรถ พ่อเคยสอนให้ขี่
จนฉันล้มเจ็บตัวหลายหน 4
กะละมังพิงริมกำ�แพง
ยายเคยใช้อาบน้ำ�ให้ฉันสมัยแบเบาะ พร้อมลูกเป็ดสีเหลืองสี่ตัว 5
เก้าอี้หวายสาน
ที่ประจำ�ของตา
นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ทุกเช้า 6
ตู้เย็นเบอร์ห้าหนึ่งประตู
แม่ชงน้ำ�แดงใส่เหยือกเอาไว้ ไม่เคยขาดช่วงขาดตอน 7
ชั้นวางหนังสือ
ตาลงมือสร้างให้ฉัน
สมัยเมื่อครั้งยังบ้าการ์ตูน 8
โทรทัศน์จอสีรุ่นโบราณ
สนามรบระหว่างเหล่าพี่น้อง นั่งเล่นเกมประชันฝีมือ
48
9
กีตาร์โปร่งสีน้ำ�ตาลเงา พ่อแนะนำ�ให้ฉันรู้จัก
จนผูกพันกลายเป็นเพื่อนซี้ 10
แจกันลายหงส์ขาว
ยายเปลี่ยนดอกบัวทุกวัน หน้าหิ้งพระประจำ�บ้าน 11
ไม้แขวนเสื้อตัวดี
แม่ใช้เป็นอุปกรณ์ไล่ตีฉัน
จนต้องวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง 12
โต๊ะกินข้าวทรงกลม
รองรับสมาชิกทุกคนได้ครบครัน
ทุกคนพร้อมหน้ากันทุกมื้ออาหาร 13
นาฬิกากุ๊กกูเรือนนั้น
ยังคงทำ�หน้าที่บอกเวลาภายในบ้าน จากอดีตกระทั่งปัจจุบัน 14
รูปรวมครอบครัวแขวนผนัง รอยยิ้มอันอบอุ่นของทุกคน ช่างแสนมีความหมาย 15
ราวกับจะบอกว่า...
ไม่ว่าใครจะไปอยู่ที่แห่งใด
ทุกคนยังรัก คิดถึง และรอคอยอยู่เสมอ
“ผมกลับมาแล้วครับ”
49
เรื่องสั้นหมายเลข 4
พี่สาว ผู้ไม่กิน ข้าวที่บ้าน เรื่อง : สรพงศ์ อ่องแสงคุณ
มยืนมองนาฬิกาบนฝาผนังบ้าน ซึ่งบอกเวลาหกโมงเย็น ช่วงเวลา เดี ย วกั บ ที่ ท้ อ งฟ้ า กำ � ลั ง เปลี่ ย นสี จ ากส้ ม เป็ น ดำ � มื ด ดวงอาทิ ต ย์ กำ � ลั ง ก้ ม มุ ด ปลาย ขอบฟ้าทีละน้อย ทางด้านข้างนาฬิกาเป็น ปฏิ ทิ น ขนาดมาตรฐาน ผมเดิ น เข้ า ไปดู มันบอกว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ ความจริงผมรู้อยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ แต่ผมก็อยากดูให้แน่ใจอีกครั้ง เพราะเมื่อ สิบนาทีก่อนหน้านี้ ผมนั่งคุยกับพ่อที่ระเบียง หน้าบ้าน พ่อถามผมว่า “เย็นวันนี้พี่สาวเธอ จะกลับมากินข้าวหรือเปล่า” ตอนแรกก็สงสัย เหมื อ นกั น ว่ า ทำ � ไมอยู่ ดี ๆ พ่ อ มาเล่ น เกม ทายใจพีส่ าวผม แต่หลังจากนึกอะไรบางอย่าง ได้ ผมก็ตอบไปว่า “คงไม่กลับมากินหรอก ครับ” เมื่อพ่อถามหาเหตุผล ผมก็อธิบายว่า “เพราะวันนีเ้ ป็นวันศุกร์ไงครับ” และเราสองคน ก็หัวเราะออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่ อ นที่ พ่ อ จะขอตั ว ขึ้ น ไปอาบนํ้ า ข้ า งบน ผมยั ง คงแอบหั ว เราะเล็ ก ๆ อยู่ ค นเดี ย ว พลางคิดไปถึงทีม่ าของมุขตลกมุขนีต้ ามลำ�พัง ครอบครัวขนาดเล็กที่มีสมาชิกอยู่อาศัย กันสี่คน ภายในบ้านเดี่ยวขนาดย่อมๆ ย่าน ลาดพร้าว อันประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่สาว และผม เราต่ า งคนต่ า งมี ลั ก ษณะนิ สั ย และแนวทางการใช้ ชี วิ ต ที่ แ ตกต่ า งกั น ไป ตามหน้าที่การงานของแต่ละคน แต่ถ้าหาก จะให้จบั คูท่ แี่ ตกต่างกันทีส่ ดุ หวยก็คงมาตกที่ ผมกับพี่สาวในทันที อย่างพ่อกับแม่ยังมีอะไร 50
ที่เข้ากันได้หลายอย่าง ไม่งั้นจะแต่งงานอยู่ ด้วยกันมาร่วมสามสิบปีได้อย่างไร แต่ในกรณี ของผมกับพีส่ าวแล้ว ไม่ใครก็ใครซักคนแหละ ทีเ่ ป็นลูกแท้ๆ ส่วนอีกคนพ่อแม่คงไปเจอทีก่ อง ขยะท้ายซอย แล้วเอามาเลีย้ งดู เพราะผมกับพี่ แทบไม่มคี วามเหมือนกันเลย ถึงขัน้ ทีว่ า่ ถ้าผม เป็นคนอย่างไร พีส่ าวผมก็ตรงข้ามกันอย่างนัน้ ซึง่ แน่นอนว่า รวมไปถึงเรือ่ งทีพ่ สี่ าวไม่กลับ มากินข้าวในเย็นวันศุกร์ด้วยเช่นกัน ที่จริงแล้ว ไม่เฉพาะเย็นวันศุกร์หรอกครับ บางทีก็เย็นวันจันทร์บ้าง พฤหัสบ้าง อาจมี แถมรอบพิเศษเสาร์-อาทิตย์ไปด้วย แต่ถา้ เป็น ทุ ก ๆ เย็ น วั น ศุ ก ร์ นี่ แ ทบจะกาไว้ ใ นปฏิ ทิ น เลยว่า ทำ�ข้าวเย็นทีบ่ า้ นกินกันแค่สามคนก็พอ ก็แต่ไหนแต่ไร พี่สาวผมเป็นคนอยู่ไม่ค่อย ติดบ้านเท่าไหร่ ตั้งแต่ผมจำ�ความได้ ก็เห็น พี่สาวโทรศัพท์คุยกับเพื่อนหญิงร่วมชั้นมัธยม ต้น เพื่อจะไปนอนค้างคืนที่บ้านเพื่อนคนนั้น วันทีผ่ มยืนดูพสี่ าวลากกระเป๋าเสือ้ ผ้าออกจาก บ้านแล้วขึ้นรถเพื่อนพี่ไป ก็สงสัยว่าเจอกันที่ โรงเรียนห้าวันต่อสัปดาห์ มันไม่หนำ�ใจหรือไง ขนาดผมมีเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาทั้ง ในเวลาแลกเปลีย่ นโพยกันตอนสอบและตอน เป็นกองหน้าคู่เวลาเล่นฟุตบอล ไม่เห็นต้องมี อารมณ์โทรชวนมันมานอนค้างด้วยกันซะหน่อย (ซึ่งก็ดีแล้วที่ผมไม่มีอารมณ์นั้น) นับแต่นั้น ไม่ว่าพี่จะเจริญวัยไปถึงมัธยม ปลาย มหาวิทยาลัย หรือแม้แต่ทำ�งานแล้ว พี่สาวของผมก็ยังเสมอต้นเสมอปลายในการ อยูไ่ ม่ตดิ บ้าน ไปกินข้าวกับเพือ่ นเก่าทีโ่ รงเรียน บ้าง ที่มหาวิทยาลัยบ้าง โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้ พีท่ �ำ งาน ซึง่ จำ�เป็นต้องเข้าสังคมกับเพือ่ นร่วม ออฟฟิศ ไปคุยงานนอกสถานที่ ไปฉลองวัน ศุกร์แห่งชาติ หรือร่วมทริปออกต่างจังหวัด ทุ ก วั น นี้ ผ มจะได้ ยิ น เสี ย งฝี เ ท้ า เดิ น ขึ้ น บ้ า น ตัง้ แต่เวลาเทีย่ งคืนถึงตีสองแทบทุกวัน เป็นอัน เข้าใจได้ว่าพี่สาวกลับมาแล้ว และจนถึ ง ตอนนี้ พี่ ก็ ไ ม่ ไ ด้ กิ น ข้ า วเย็ น ในวันศุกร์มาร่วมสามเดือนแล้ว ส่วนผมน่ะหรือ ถ้าพี่เป็นหยินที่อยู่ไม่ติด บ้าน ผมก็คือหยางที่อยู่ติดบ้านสุดๆ ถามว่า มั น คื อ อาการขี้ เ กี ย จจะทำ � อะไรหรื อ เปล่ า ผมว่าไม่ใช่ มันเป็นความสบายใจมากกว่า
เวลาได้อยู่ในบรรยากาศเงียบสงบของบ้าน เราสามารถทำ � อะไรก็ ไ ด้ ใ นอาณาเขตบ้ า น ของเรา อย่างเขียนหนังสือ ทำ�อาหาร เดินไป สวนหลังบ้าน สูดอากาศให้เต็มที่ หรืออะไร ก็แล้วแต่ แค่นี้ผมก็มีความสุขได้โดยไม่ต้อง ออกไปวุ่นวายกับการจราจรภายนอก หรือกับ เสี ย งดั ง อื้ อ อึ ง รบกวนโสตประสาท ไม่ ต้ อ ง พยายามหากิจกรรมนอกบ้านแก้เบื่อไปวันๆ เช่น เดินห้าง อันเป็นกิจกรรมหลักของวัยรุ่น ซึ่ ง แม้ แ ต่ ต อนผมเป็ น วั ย รุ่ น ก็ ยั ง มองว่ า มั น ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย นอกจากเดินหัวกลวง โบ๋ในห้องแอร์อับชื้น สำ�หรับผม บางทีชีวิตคนเราไม่ได้ต้องการ อะไรมากไปกว่า ความพอดี ทั้งความเป็นอยู่ แบบพอดี ทรั พ ย์ สิ น แบบพอดี และความ วุน่ วายแบบพอดี แบบทีบ่ า้ นกำ�ลังกล่อมเกลา ผม แต่ไม่ได้หมายความว่าชีวิตแบบพี่สาว ผมผิ ด นะครั บ บางที วิ ถี ชี วิ ต แบบออกไป แสวงหาของพี่ก็อาจเป็นชีวิตที่พอดีในแบบ ของเขา ถ้าจับให้พี่สาวมานั่งอยู่ในบ้านตลอด ทั้ ง วั น ชี วิ ต ของพี่ อ าจจะ ‘ขาด’ อะไรไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ชีวิตของแต่ละคน ที่จะทำ�ให้เกิดความพอดีในแบบของตนที่สุด ขณะที่ผมกำ�ลังยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นี้ ก็มีเสียงดังคล้ายๆ คนเปิดประตูบ้านดังมา แต่ไกล ผมเดินไปหาต้นเสียงนัน้ ด้วยความคิด ที่ ว่ า สงสั ย แม่ ค งกลั บ มา แต่ เ มื่ อ ไปถึ ง จุ ด เกิ ด เหตุ กลั บ พบใครบางคนที่ ไ ม่ ใ ช่ แ ม่ แต่หน้าตาคล้ายกันยังกับเป็นลูกแม่อีกคน พี่สาวผมนี่เอง! ผมยืนตะลึงด้วยความไม่เชื่อสายตา ‘ใคร มาใส่หน้ากากหน้าพี่สาวอยู่ในบ้านวะเนี่ย’ ก่อนที่ผมจะพูดหรือเริ่มทำ�อะไรต่อจากนั้น พี่ ก็ ยื่ น ถุ ง อะไรซั ก อย่ า งดู รุ ง รั ง หลายถุ ง มาให้ผม “พี่ซื้อกับข้าวมา เอาไปใส่จานให้หน่อย เดี๋ยวแม่กลับมาเมื่อไหร่ จะได้กินกันเลย” ผมรับถุงนัน้ ไปอย่างงุนงง ค่อยๆ เดินเข้าไป ในห้องครัว แกะถุงกับข้าวแต่ละชนิดออกช้าๆ ยังคงสับสนกับภาพเมือ่ ซักครูน่ ี้ นัน่ พีจ่ ริงเหรอ ทำ�ไมวันนีก้ ลับเร็วจัง หรือว่าจำ�วันผิด พยายาม ไม่สงสัยอะไรมาก ประกอบกับพ่อเพิ่งอาบนํ้า
เสร็จ ลงมาจากข้างบนพอดี ผมจึงพยายาม จัดกับข้าวลงจานให้เสร็จ แล้วนำ�ไปวางไว้ ที่โต๊ะกินข้าว ขณะที่นำ�ไปวาง ผมหันไปเห็น พ่อที่กำ�ลังทำ�หน้าแปลกใจเหมือนกัน ที่ได้ เห็นลูกสาวปรากฏตัวในช่วงก่อนพระอาทิตย์ ตกดินของเย็นวันศุกร์แบบนี้ พวกเราสามคนนั่งรอแม่อีกประมาณครึ่ง ชั่ ว โมง แม่ ก็ ม าถึ ง พวกเราจึ ง ทยอยมานั่ ง ที่เก้าอี้ประจำ�ตัว แล้วเริ่มกินข้าวทันที ขณะที่ แต่ละคนกำ�ลังตักกับข้าวแต่ละอย่างใส่จาน ของตน ผมยังอดสงสัยไม่ได้เลยว่า ทำ�ไมวันนี้ พี่กลับเร็ว ดูเหมือนพี่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ผม จะพอ จับอาการออก ก็หัวเราะเบาๆ ออกมา “ถึงพีจ่ ะออกไปใช้ชวี ติ ข้างนอกมากแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องกลับมาตายรังที่บ้านอยู่ดี” หนึ่งประโยคถ้วนที่พี่พูดออกมา เริ่มทำ�ให้ ผมเข้าใจอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็ยังแอบคาใจเป็น ตะกอนความคิดบางอย่างอยู่ดี เลยถามกลับ ไปว่า “สำ�หรับพี่ บ้านคืออะไรครับ” พี่ ทำ � หน้ า ครุ่ น คิ ด ซั ก พั ก ก่ อ นที่ จ ะหล่ น อี ก หนึ่ ง ประโยคใหญ่ ๆ ออกมา “สำ � หรั บ พี่ บ้านมันก็คือที่พัก พักกายเวลาเหนื่อยจาก ข้างนอก พักใจเวลาถูกเรื่องราวจากภายนอก ถาโถมเข้ามา บ้านของพีก่ บั ของเธอน่ะอาจจะ เป็ น หลั ง เดี ย วกั น แต่ อ าจมี ค วามสำ � คั ญ ไม่เหมือนกัน สำ�หรับเธอ บ้านอาจเป็นเกือบ ทุกอย่างในชีวิตที่เธอฝากไว้ก็ได้ สำ�หรับพี่ บ้ า นอาจเป็ น เพี ย งเสี้ ย วหนึ่ ง ของชี วิ ต พี่ เพราะพี่ยังมีช่วงชีวิตอีกมากกับโลกภายนอก แต่ถึงอย่างไร สิ่งที่บ้านของเธอกับพี่มีเหมือน กันคืออะไรรู้มั้ย” ผมยังไม่รู้คำ�ตอบนี้ แต่พี่หันไปมองหน้า พ่อกับแม่ที่กำ�ลังรอฟังคำ�ตอบนั้นอยู่ “มันมีความอบอุน่ ทีท่ �ำ ให้เราอยากกลับมา บ้านทุกครั้งไงล่ะ” ผมเหมือนถูกหมัดฮุกเบาๆ เข้าทีท่ อ้ ง แม้ยงั ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกนี้มากนัก แต่ผมแอบ เห็ น พ่ อ กั บ แม่ ยิ้ ม กว้ า งอย่ า งที่ ไ ม่ เ คยเห็ น มาก่อน และโดยไม่รู้ตัว เหมือนผมจะยิ้มออก มาด้วย และผมเริม่ รูส้ กึ ว่า นีอ่ าจจะเป็นครัง้ แรก ที่ผมกับพี่มีอะไรที่เหมือนกันเสียที 51
52
บ้านใน ความนึกคิด
เรื่อง/ภาพ : ปิยฤทธิ์ ปัญจธรรมวิทย์
นนี้ก็เป็นเย็นอีกวันหนึ่ง ที่ไม่แตกต่างจากวันธรรมดา วันอื่นๆ ใครๆ ก็รู้ว่าเวลาหลังเลิกงาน รถราบนถนนมีจำ�นวน มากขนาดไหน อย่าว่าแต่รถบนถนนเลย บนฟุตปาทที่มีไว้สำ�หรับ คนเดิน บางทีก็แทบจะไม่มีที่ให้คนได้สูดอากาศหายใจ ผู้คนต่าง เดินทางไปสูเ่ ป้าหมายทีต่ วั เองตัง้ ไว้ หลายคนมีนดั กับเพือ่ น หลายคน อาจจะไปพักผ่อนตากแอร์ในห้างสรรพสินค้า หลายคนอาจจะมี ภารกิ จ ที่ ต้ อ งทำ � และจำ � นวนหนึ่ ง ที่ น่ า จะมุ่ ง ตรงไปที่ สิ่ ง ก่ อ สร้ า ง ที่เรียกว่า ‘บ้าน’ ผมยืนดูนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลา 1 ทุ่มตรงที่หน้าสถานีรถไฟฟ้า สนามกีฬาฯ เพื่อรอผู้หญิงคนหนึ่ง พลางคิดถึงรูปร่างหน้าตาของเธอ คนนี้ ผู้คนเดินกันขวักไขว่สวนไปมาจนเหมือนผมจะกลายเป็นสิ่งมี ชีวิตเดียวที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ และมันดูเป็นเรื่องตลกเล็กๆ ที่ผมนัด ‘เธอ’ มาเพื่อคุยเรื่อง ‘บ้าน’ ข้างนอกบ้าน ในเวลาที่คนอื่นกำ�ลังกลับ ‘บ้าน’ ไม่ น านนั ก ผมคิ ด ว่ า ผมน่ า จะเห็ น เธอแล้ ว จากที่ ม องไกลๆ เธอเป็นผู้หญิงผมยาวมาในชุดกระโปรงสีขาวสวมเสื้อคลุมยีนส์สั้น ทับอีกที ยิ่งเธอเข้ามาใกล้ๆ ผมก็พบว่าเธอไม่ได้มาคนเดียว หากแต่ เดินจับมือมากับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผมสั้นรองทรงที่มาในชุด ทำ�งาน มีเรื่องแปลกใจอยู่ 2 อย่างที่เกิดขึ้นในความคิดของผม เรื่องแรก เธอคนนี้มีรูปร่างหน้าตาสวยกว่าที่คิดไว้ในตอนแรก เรื่องที่สอง ผมแปลกใจที่ทั้งคู่เดินจับมือกันมา ไม่ได้แปลกใจที่ มารู้ทีหลังว่าจะมีพี่ผู้ชายอีกคนมาด้วย แต่แปลกใจตรงที่ว่าทั้งคู่เดิน กันมาได้อย่างไรโดยปราศจากไม้เท้าที่ช่วยในการเดิน ครับ, ทั้งสองเป็นคนพิการทางสายตา ผมรีบเดินไปหาพี่ทั้งสองเพื่อที่จะพาไปยังหอศิลปกรุงเทพฯ ที่ที่ จะเป็น ‘บ้านชั่วคราว’ ให้เราได้นั่งพูดคุยและซักถามกัน และหวังว่า จะใช้เวลากวนพี่ทั้งสองไม่นาน ทันทีที่เราหาที่นั่งกันได้ในหอศิลปฯ พี่นุ้ย หรือ ปฏิการ เทพมงคล ก็เริ่มพูดคุยกับเราอย่างไม่ให้เสียเวลา ทุกอากัปกิริยาของพี่นุ้ยมีแต่
รอยยิ้ ม ที่ เ ปื้ อ นอยู่ บ นใบหน้ า เสี ย งหั ว เราะที่ อ อกมาจากปาก ทำ�ให้ผมพลางอดยิ้มไปด้วยไม่ได้ “เราว่ า นามธรรม บ้ า นของแต่ ล ะคนมั น คงใกล้ เ คี ย งกั น มาก อารมณ์แบบอบอุ่น สบายใจ ปลอดภัย แต่ถ้าเป็นรูปธรรม สำ�หรับ ตัวเราเองนะ ด้วยความที่มองไม่เห็น ก็จะดูในแง่ของทำ�เลที่ตั้ง เช่ น ไม่ เ ข้ า ไปลึ ก หนึ่ ง กิ โ ลฯ กลั บ ดึ ก ได้ อยู่ ใ กล้ ร ถไฟฟ้ า ก็ ยิ่ ง ดี คือไม่ได้ต้องการความทันสมัยอะไร เพียงแต่เราจะต้องเดินทาง ยากกว่าคนอื่น ยิ่งถ้าไกลไม่สะดวกก็จะยิ่งยาก” พอได้ยินแบบนี้ ต่อมอยากรู้ของผมก็เริ่มทำ�งาน และเริ่มสงสัย ว่าบ้านในฝันของพี่เขา ลักษณะจะคล้ายๆ กับบ้านที่ทุกคนใฝ่ฝันไว้ หรือเปล่า “อยากมีบา้ นทีม่ พี นื้ ทีใ่ ห้ใช้ชวี ติ นอกบ้านได้บา้ ง ด้วยความเป็นอยู่ ในชีวิตประจำ�วันมีโอกาสน้อยกว่าคนธรรมดาในการที่จะไปที่ไหน ต่อไหน เช่น ไปสวนสาธารณะ ถ้าจะไปต้องไปทีท่ เี่ คยไป ถ้าไม่เคยไป ก็ ต้ อ งไปเรี ย นรู้ ใ หม่ อยากมี พื้ น ที่ ที่ เ ป็ น ของตั ว เองได้ ใช้ ชี วิ ต อยู่ ข้างนอกบ้านบ้างได้ สูดอากาศที่เป็นธรรมชาติ มีโต๊ะม้าหิน มีสนาม มีต้นไม้ใหญ่ๆ ในบ้านอาจจะต้องมีมุมที่รู้สึกว่าเป็นกันเอง ให้ผ่อน คลายสามารถนั่งอยู่กับพื้นทำ�นู่นนี่ได้บ้าง เราให้ความหมายของ ความรู้สึกมากกว่าความสะดวกสบายในการไปไหนมากกว่า” ผมนึกภาพตามประโยคทีพ่ เี่ ขาบอก นึกถึงลานกว้างๆ นึกถึงต้นไม้ นึกถึงกลิ่นหญ้าในเวลาที่เราสูดหายใจเข้า ฟังๆ ดู ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ หรือคน ก็คงอยากมีพื้นที่เป็นของตัวเองทั้งนั้น นี่ยังไม่นับพื้นที่ทาง ด้านอืน่ ๆ แต่ความฝันมันก็ชอบเล่นตลก ตรงทีม่ นั มักชอบอยูต่ รงข้าม กับความเป็นจริงอยู่บ่อยๆ “เอาเป็นว่าบ้านที่อยู่ปัจจุบันไม่ใช่บ้านในความฝันเลย (หัวเราะ) ก็เป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ธรรมดา เข้ามาก็เป็นที่โล่งๆ ไม่มีสวน มีแค่ กระถางต้นไม้เล็กๆ แต่ก่อนตอนเด็กๆ เคยมีต้นไม้ใหญ่ แต่ตอนนี้ ไม่มีแล้ว ก็มีพวกชั้นรองเท้า เดินเข้าไปก็มีโซนให้คนมานั่งคุยกัน โซนรับแขกเดินมาอีกหน่อยก็มีบันได พอบันไดก็มีห้องแยกเป็น ห้องนอน แล้วก็มีห้องดนตรี พ่อเราชอบเล่นดนตรี ทีนี้เหมือนกับว่า ก็กลัวเสียงดังรบกวนคนอื่น เพราะบ้านเราติดกับบ้านอื่น ก็เลยต้อง 53
“เราให้ความหมาย ของความรู้สึกมากกว่า ความสะดวกสบาย ในการไปไหนมากกว่า” ทำ�เป็นห้องที่เก็บเสียงได้ มีกลองชุด มีเปียโน มีแอม มีอะไรเต็มไป หมด ที่เหลือก็เป็นห้องนอนพ่อกับแม่ มีห้องนอนเรา มีห้องนํ้าก็แค่นี้” มั น เป็ น เรื่ อ งน่ า แปลกใจ แปลกใจที่ เ หมื อ นไม่ มี ค วามยุ่ ง ยาก มาเพิ่มความลำ�บากให้กับชีวิตพี่นุ้ย หรือจริงๆ แล้วพี่นุ้ยอาจจะ เรียกความลำ�บากว่าความเคยชิน ต่างกับพวกเราที่ยังคงแบกมัน ไม่เคยวาง และทนทุกข์กับมันต่อไป อีกเรือ่ งทีท่ �ำ ให้ผมต้องเบิกตาโตทันทีทไี่ ด้ยนิ คำ�บอกเล่า เรือ่ งทีว่ า่ พี่นุ้ยใช้เวลาว่างทำ�อะไรในบ้านบ้าง เธอก็เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ อีกหลายล้านคนในประเทศนี้ ประเทศทีล่ ะครหลังข่าวตอนจบ ทำ�เอา รถที่ติดเสียจนถนนแทบจะไม่มีหนทางให้วิ่ง หายติดได้ในบางวัน ครับ, พี่นุ้ยติดละคร ถ้าเผื่อคิดว่าอ่านผิด อ่านไม่ผิดหรอกครับ เธอ ‘ดู’ ทีวีในเวลาว่าง “ดูทีวีก็ใช้ฟังเสียงเปิดดูละครเหมือนคนธรรมดา เพียงแต่เปลี่ยน การรับรูปจากการดูเป็นการฟัง ส่วนใหญ่มีคนมาบังคับให้นึกถึงหน้า พระเอก-นางเอก แต่ความเป็นจริงไม่ค่อยนึกถึง เราฟังเสียงแล้ว จินตนาการคาแรกเตอร์มากกว่า เวลาเราเจอใครไม่ได้คิดว่าคนนี้ ต้องหล่อหรือไม่หล่อ คนนี้ต้องหน้ายังไง จมูกยังไง ตายังไง เพียงแต่ นึกว่าเสียงคนนี้ดุ เสียงคนนี้ใจดี คนนี้อัธยาศัยดี คนนี้ท่าทางเป็นคน โมโหร้ายอะไรประมาณนี้” ผมคิดไปถึงรายการอื่นๆ ในโทรทัศน์ รายการหนึ่งที่เข้ามาในหัว และทำ�ให้เกิดความสงสัยขึ้นมาก็คือรายการเกี่ยวกับเรื่องผีๆ ผมจึง อยากรู้ว่า คนพิการทางสายตาเขากลัวผี หรือสิ่งที่ทุกคนเรียกว่าสิ่งที่ มองไม่เห็นกันหรือเปล่า “กลัวนะ เราถูกสอนหล่อหลอมว่าผีเป็นสิ่งน่ากลัว แม่นากเสียง โหยหวน ชอบมาหลอกคน เราก็จินตนาการมีมือยาวๆ เย็นๆ มา บีบคอ มันคือภาพที่เราถูกหลอมมาว่าผีเป็นแบบนี้ หน้าจะต้องเละ มันก็น่ากลัว คือเราพยายามทำ�ตัวไม่กลัวผี แต่จริงๆ ก็รู้ตัวว่ากลัว พยายามจะแยกแยะเรื่องวิญญาณกับผี เราว่าไม่แฟร์ สมมติคนรู้จัก เคยคุยกับเขา แล้วอยู่ดีๆ เขาตาย เราต้องไปกลัวเขา ก็เลยพยายาม จะไม่ ก ลั ว ผี เ พราะคิ ด ว่ า มั น ไม่ มี เ หตุ ผ ลให้ ก ลั ว ที่ เ ปลี่ ย นสถานะ ถ้าเป็นเรา เราคงน้อยใจ เคยเป็นเพื่อนเล่นแล้วอยู่ดีๆ ก็กลัว” และเรื่องผี แน่นอน, มันต้องมากับความมืด 54
“เปิดนะ แต่คนตาบอดจำ�นวนนึงไม่เปิดไฟ คนตาบอดมีหลาย แบบมาก มีคนตาบอดที่มองไม่เห็นและไม่เปิดไฟ ไม่แคร์ใคร แต่ก็มี คนตาบอดทีม่ องไม่เห็นแต่อยากเปิดไฟเพือ่ ความเป็นปกติ แบบกลัว คนมองแปลกๆ ว่าบ้านนี้มีคนอยู่ไหม คือไม่เปิดก็ไม่ได้มีปัญหา กับการอยู่มืด ไม่เกี่ยวกับเรื่องผี (หัวเราะ) ตอนนี้ในหอศิลปฯ ผู้คนเริ่มน้อยลงๆ พี่เท่‑ผู้ชายที่เดินมากับพี่นุ้ย ในตอนแรก นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ กำ�ลังนั่งฟังเพลงสนุกอยู่ เพราะมีการ โยกหัวตามจังหวะเล็กน้อย ผมเพิง่ สังเกตว่าบนใบหน้าทีม่ รี อยยิม้ แทบจะตลอดเวลาของพีน่ ยุ้ มีการแต่งหน้าเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ และเมื่อมาบวกกับชุดกระโปรงของพี่เขาแล้ว ผมว่าพี่นุ้ยต้องเป็น คนชอบแต่งตัวไม่ใช่เล่นๆ แล้วพี่เขามีวิธีการเลือกชุดยังไงกัน “มันจะมีรปู แบบของมัน อยูบ่ า้ นจะใส่แค่กางเกงขาสัน้ เสือ้ ยืดอะไร แบบนี้ ออกนอกบ้านต้องเป็นเสื้อผ้าที่มันรู้สึกแบบ ได้อยู่นะ มีก็แต่ เอาชุดใส่ไปข้างนอกมาใส่ในบ้าน (หัวเราะ) เวลาซื้อมันต้องรู้ก่อนว่า สิ่งที่เราซื้อมาสีอะไร ลักษณะไหน เช่น เราอาจจะต้องให้คนอธิบาย รูปลักษณ์ของเสื้อตัวนี้ เสื้อตัวนี้ลายทาง เสื้อตัวนี้ลายดอก พอเรารู้ รายละเอียดเสร็จ เวลาเราจะมาแมตช์ พี่พอเห็นสีบ้าง คนตาบอด ทั่วไปที่เรียนในโรงเรียนตอนเด็กๆ มันมีวิชาศิลปะ สอนพับกระดาษ ประดิษฐ์ เอาเปลือกไข่มาทำ�นู่นนี่ เขาจะมีสอนเกี่ยวกับทฤษฎีสี แม่สมี สี อี ะไรบ้าง เหลือง แดง สีนาํ้ เงิน ก็เลยพอจะจินตนาการได้บา้ ง ว่าสีไหนจะโทนไหน เราว่าถ้าคนมีเซนส์ก็จะใช้ทฤษฎีสีมาเกี่ยวข้อง ได้เหมือนกัน” ผมลองถามถึงเรื่องการมองเห็นแสงของพี่นุ้ย ก็ได้ทราบว่าพี่เขา ไม่ได้พิการทางสายตา 100% หากแต่ยังสามารถเห็นและรับแสง ได้บ้าง แต่ก็ได้แค่เพียงจะบอกตำ�แหน่งว่าแสงนั้นมาจากทางทิศใด ถึงอย่างไรก็ตามแต่ ผมคิดว่าถ้าใครมาเห็นสีชุดในวันนี้ที่พี่เขาใส่มา ก็คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นการเลือกที่มีรสนิยม โดยที่ลืม เรื่องทฤษฎีสีไปได้เลย แล้วถ้าลองนึกถึงสาวๆ ที่ชอบแต่งตัว แต่งหน้า มีหรือที่จะมีสาว ใดที่ไม่ชอบแต่งบ้าน “เวลาเราแต่งบ้าน อาจจะไม่ได้เน้นที่รูปเพราะเรามองไม่เห็นรูป
แต่จะเป็นอย่างอื่นที่รู้สึกกับมันได้ อาจจะเป็นต้นไม้ตัวที่ประดับห้อง ในลักษณะอื่นๆ โมเดลตัวทับกระดาษที่มันสัมผัสได้ เวลาจับมันแล้ว ชอบ เช่น รูปทรงอันนี้ อุย๊ มันสวย บางทีอยากลุกขึน้ ไป อยากเอาอันนี้ มาดูเล่น ก็ไปหยิบมา เน้นสิ่งที่มันสัมผัสได้ อันไหนได้มาใหม่ก็อยาก เอามาดู มากกว่าวอลล์เปเปอร์หรือว่ารูปภาพ คือถ้าใครจะมาประดับ ให้มันสวยก็ดีนะ ยินดี” เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่จินตนาการของผมกับพี่นุ้ยคงจะไม่มีทาง เหมือนกัน แต่แค่เพียงคำ�บอกเล่า ผมก็รสู้ กึ สนุก เหมือนได้ฟงั เรือ่ งเล่า ที่ไม่เคยฟังมาก่อน และผมก็คิดว่าพี่เขาน่าจะมีความสุขกับบ้าน หลังนี้ เอาง่ายๆ แค่คนฟังอย่างผม ก็ยังสัมผัสความสุขได้อย่าง ไม่ยากเย็น ผมดูนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง เวลาล่วงเลยมาจนผมคิดว่า น่าจะ รบกวนพี่ทั้งสองแต่เพียงเท่านี้ เราทั้งสามคนค่อยๆ เคลื่อนย้ายออก มาจากหอศิลปฯ ระหว่างทีเ่ รากำ�ลังเดินออกมา ผมก็เริม่ ต้นไขข้อสงสัย ข้อสุดท้ายของวันนี้ “เวลาเดิน บ้านของเรา ทีข่ องเรา เราก็ชนิ เราเป็นคนกำ�หนดเองว่า อะไรอยู่ตรงไหน พี่วิ่งขึ้นบ้านได้สบายมาก (หัวเราะ) ฉะนั้นแล้วเรา ก็ไม่ตอ้ งเดินปู (การเดินคลำ�ทาง) คือมีทโี่ ล่งพอทีเ่ ราจะเดินได้สบายๆ แต่บ้านเราอาจจะไม่มีแจกันมาอยู่ตามข้างทาง ของคนอื่นอาจจะ ดูสวย สำ�หรับเราแล้วเดี๋ยวเดินเกี่ยว แต่ถ้าเดินทางข้างนอก ในกรณี ไม่คุ้น แต่ที่เคยไปอยู่ประจำ�ก็โอเค เรารู้จักว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน
ตรงไหนมีอะไร อันนั้นเดินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า แต่ที่ที่เราไม่รู้ ยิ่งที่ที่มีคนเยอะ ที่ที่ไม่ใช่ของเราและต้องใช้ไม้เท้า” ข้างนอกหอศิลปฯ ผู้คนลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ฟ้าในคืนนี้ ไม่ครึ้มฝนเหมือนหลายๆ วันก่อน ผมเดินไปส่งพี่นุ้ยและพี่เท่ที่หน้า สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาฯ ทั้งคู่ปฏิเสธผมเรื่องที่จะเข้ าไปส่งใน รถไฟฟ้า แต่ทันทีที่เราแยกกัน ผมยังไม่ได้เดินไปไหน หากแต่ยังมอง แผ่นหลังของพี่ทั้งสองคนที่กำ�ลังค่อยๆ เดินหายเข้าไปในสถานี “จะสัมภาษณ์พี่เหรอ จริงๆ พี่ก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนอื่น” คำ�พูด พี่นุ้ยตอนที่ผมติดต่อจะสัมภาษณ์ผุดขึ้นมาในหัวสมอง เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาคนปกติอย่าง พวกเรา เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องที่เรารู้อยู่แล้ว แต่ก็แปลกดี ที่เรื่องธรรมดาเหล่านี้ กลับทำ�ให้ผมรู้สึกอิ่มเอม และสุขใจตลอดช่วง เวลาที่ได้ฟัง พี่นุ้ยจะรู้ไหมนะ ว่าตอนนี้ผมกำ�ลังเมื่อยแก้ม เพราะยิ้ม ให้กับเรื่องที่ฟังแทบจะตลอดเวลา ผมครุ่นคิดอะไรบางอย่างระหว่างที่ดูพี่ทั้งสองค่อยๆ เดินหายไป สายลมพัดมาเหมือนจะเป็นสัญญาณให้ผมเริ่มออกตัวเดินทาง กลับบ้าน ก่อนกลับ ผมหันไปมองดูที่พี่ทั้งสองอีกครั้ง แปลกดีที่ผมไม่เห็นความพิการอยู่ในสายตาตอนนั้น แต่ผมกลับเห็นคนธรรมดาสองคนกำ�ลังจูงมือกันกลับบ้าน 55
ตามติดชีวิตเด็ก ’เต็ก
56
เรื่อง/ภาพ : บุญญานันท์ กาญจนกิจ
57
Home is a you grow wanting to and grow wanting to back to. John Ed Pe จอห์น เอ็ด เพียรซ์ - นักหนังสือพิมพ์ชื่อดังแห่งรัฐเคนทักกี สหรัฐอเมริกา
58
a place up o leave, old o get
earce 59
www.tkpark.or.th www.facebook.com/tkparkclub www.facebook.com/readmeegazine
เลขที่ 999/9 อาคารสำ�นักงานเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 17
ถนนพระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 โทรศัพท์ 0-2264-5963-5 โทรสาร 0-2264-5966
60