ผลิตโดย ส�ำนักงานอุทยานการเรียนรู้ สังกัดส�ำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เลขที่ 999/9 อาคารส�ำนักงาน เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 17 ถนนพระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทรศัพท์ 0-2264-5963-5 โทรสาร 0-2264-5966 ที่ปรึกษา ดร.ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล รองผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ และผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานอุทยานการเรียนรู้ วิภว์ บูรพาเดชะ บรรณาธิการบริหารนิตยสาร happening หัวหน้าฝ่ายกิจกรรม อัศรินทร์ นนทิหทัย บรรณาธิการที่ปรึกษา ณัฐจรัส เองมหัสสกุล ผู้ช่วยบรรณาธิการที่ปรึกษา วิชญ์พล พลพิทักษ์ชัย กองบรรณาธิการ ลฎาภา อินทรมหา, กานต์ชนก จุลกิจวัฒน์, วัชราพร ผลดี, ณัฐชยา เอกพิมพ์, จารุวรรณ เเซ่ลี, อภิสรา นันทชัย, สรัญรส ทรัพย์ชนะสิทธิ์, ยุพาฝัน ประชุมทอง, สุพิเศษ ศศิ วิมล, สุพิชชา จินดา, ทินกร บุญแจด กราฟิกดีไซเนอร์ น�้ำใส ศุภวงศ์ พิสูจน์อักษร เบญจวรรณ แก้วสว่าง ประสานงาน สิริรัตน์ จันทศรี, อังคณา กาญจนไพศิษฐ์
www.tkpark.or.th www.facebook.com/tkparkclub www.facebook.com/readmeegazine
คำ�นำ� ชาวสวนไม่สามารถเร่งให้ผลผลิตสุกงอมตามใจชอบได้ สิ่งที่พวกเขาพอจะท�ำได้ระหว่างรอการเจริญเติบโตของพวกมันก็อย่างเช่น ลากเก้าอี้ มานั่งเฝ้าดูผลผลิตอย่างใกล้ชิด เดินส�ำรวจใบอย่างละเอียดว่ามีแมลงอะไรก�ำลังกัดกินใบ แล้วหาทางก�ำจัดก่อนจะลุกลามไปทั่วทั้งแปลง ทดลองท�ำปุ๋ยชนิดใหม่ที่ว่ากันว่าจะท�ำให้ ลูกดก ซื้อยาฆ่าแมลงที่ออกฤทธิ์ทันที ศึกษาวิธีดูแลผ่านการอ่านหนังสืออย่างละเอียด ฟังผู้ใหญ่บ้านบอกเล่าประสบการณ์แบบที่อาบน�้ำร้อนมาก่อน พูดคุยแลกเปลี่ยนกับ ชาวสวนแปลงถัดไปถึงเทคนิคหรือปัญหาที่เขาพบเจอ หรือแม้กระทั่งวางแผนติดต่อร้าน ขายผักสดในตลาดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ นีค่ อื ความน่าจะเป็นเพียงไม่กตี่ วั อย่างทีจ่ ะเกิดขึน้ กับชาวสวนทีไ่ ม่งอมืองอเท้า ถึงผลลัพธ์ ที่จะเกิดขึ้นกับผลผลิตของเขา จะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่วิธีที่แต่ละคนเลือกใช้ แต่รับรองได้ว่าผลผลิตจากสวนเหล่านี้ จะเป็นผลผลิตที่ถูกรับรองด้วยเครื่องหมายการันตี ถึง ‘ความซื่อสัตย์’ ทุกราย ความตั้งใจที่ไม่คดงอนั้นจะแสดงออกผ่านทางการทุ่มเทและ การลงทุนลงแรงที่บอกให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่าพวกเขาไม่ได้มัวแต่นั่งรอให้ฟ้าฝนเป็นใจ หรือบนบานศาลกล่าวให้ดอกผลเบ่งบานชั่วข้ามคืน และผลักภาระไปให้ธรรมชาติหรือลิขิต สวรรค์ทั้งหมด ปลาทอง กระบองเพชร และพจนานุกรม บันทึกหลากหลายรูปแบบของเหล่าวัยเยาว์ ในโครงการ TK Young Writer 2012 ทั้ง 11 คนนี้เป็นชาวสวนประเภทนั้น พวกเขากล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และมีเครื่องหมายการันตีแห่งความซื่อสัตย์นั้นประทับอยู่บนบ่า เขาไม่ปล่อยให้ ผลผลิตต้องเติบโตอย่างโดดเดี่ยว แต่ประคับประคอง ประคบประหงม และเฝ้ารอวันที่ พวกมันจะสุกงอมอย่างใจจดใจจ่อ
ณัฐจรัส เองมหัสสกุล บรรณาธิการที่ปรึกษา
คำ�นำ� ชาวสวนไม่สามารถเร่งให้ผลผลิตสุกงอมตามใจชอบได้ สิ่งที่พวกเขาพอจะท�ำได้ระหว่างรอการเจริญเติบโตของพวกมันก็อย่างเช่น ลากเก้าอี้ มานั่งเฝ้าดูผลผลิตอย่างใกล้ชิด เดินส�ำรวจใบอย่างละเอียดว่ามีแมลงอะไรก�ำลังกัดกินใบ แล้วหาทางก�ำจัดก่อนจะลุกลามไปทั่วทั้งแปลง ทดลองท�ำปุ๋ยชนิดใหม่ที่ว่ากันว่าจะท�ำให้ ลูกดก ซื้อยาฆ่าแมลงที่ออกฤทธิ์ทันที ศึกษาวิธีดูแลผ่านการอ่านหนังสืออย่างละเอียด ฟังผู้ใหญ่บ้านบอกเล่าประสบการณ์แบบที่อาบน�้ำร้อนมาก่อน พูดคุยแลกเปลี่ยนกับ ชาวสวนแปลงถัดไปถึงเทคนิคหรือปัญหาที่เขาพบเจอ หรือแม้กระทั่งวางแผนติดต่อร้าน ขายผักสดในตลาดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ นีค่ อื ความน่าจะเป็นเพียงไม่กตี่ วั อย่างทีจ่ ะเกิดขึน้ กับชาวสวนทีไ่ ม่งอมืองอเท้า ถึงผลลัพธ์ ที่จะเกิดขึ้นกับผลผลิตของเขา จะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่วิธีที่แต่ละคนเลือกใช้ แต่รับรองได้ว่าผลผลิตจากสวนเหล่านี้ จะเป็นผลผลิตที่ถูกรับรองด้วยเครื่องหมายการันตี ถึง ‘ความซื่อสัตย์’ ทุกราย ความตั้งใจที่ไม่คดงอนั้นจะแสดงออกผ่านทางการทุ่มเทและ การลงทุนลงแรงที่บอกให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่าพวกเขาไม่ได้มัวแต่นั่งรอให้ฟ้าฝนเป็นใจ หรือบนบานศาลกล่าวให้ดอกผลเบ่งบานชั่วข้ามคืน และผลักภาระไปให้ธรรมชาติหรือลิขิต สวรรค์ทั้งหมด ปลาทอง กระบองเพชร และพจนานุกรม บันทึกหลากหลายรูปแบบของเหล่าวัยเยาว์ ในโครงการ TK Young Writer 2012 ทั้ง 11 คนนี้เป็นชาวสวนประเภทนั้น พวกเขากล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และมีเครื่องหมายการันตีแห่งความซื่อสัตย์นั้นประทับอยู่บนบ่า เขาไม่ปล่อย ให้ผลผลิตต้องเติบโตอย่างโดดเดี่ยว แต่ประคับประคอง ประคบประหงม และเฝ้ารอวันที่ พวกมันจะสุกงอมอย่างใจจดใจจ่อ
ก.ไก่ กระบองเพชร ความทรงจ�ำ ตุ๊กตา บ้านฟาง หมาและแมว ผ้าห่ม ฝน พจนานุกรม เพื่อนเก่า เมฆ
6 14 22 34 42 50 58 66 80 88 94
ณัฐจรัส เองมหัสสกุล บรรณาธิการที่ปรึกษา
ก.ไก่ สุพิชชา จินดา
8
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีชื่อว่าหมู่บ้านภาษาสยาม เหล่าพยัญชนะไทยต่างอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่ง วันหนึ่ง ฮ.นกฮูก เกิดอาการน้อยเนื้อต�่ำใจที่ตนเองต้องเป็นที่โหล่ เขาตั้งค�ำถาม ขึ้นในใจว่าท�ำไมเด็กๆ ถึงเอ่ยชื่อของเขาเป็นล�ำดับสุดท้าย และเอ่ยชื่อ ก.ไก่ เป็นล�ำดับแรกทุกครัง้ ไป ฮ.นกฮูกชอบเสียงเด็กๆ ท่องอาขยานเหมือนทีพ่ ยัญชนะ ไทยตัวอื่นๆ ชอบ โดยเฉพาะเวลาที่เด็กๆ เอ่ยชื่อตนเอง แต่ส�ำหรับ ฮ.นกฮูก แล้ว เขาต้องอดใจรอเกือบนาทีกว่าจะได้ยนิ ชือ่ ตัวเองจากปากเล็กๆ ของเหล่าเด็กน้อย ที่น่ารัก เท่านั้นยังไม่พอ เด็กๆ ยังเติมค�ำอธิบายรูปลักษณ์ผิดๆ ให้กับ ฮ.นกฮูก ด้วย เขาจึงรู้สึกไม่พอใจสักเท่าไหร่ “ฉันไม่ได้ตาโตสักหน่อย นั่นมันแว่นของฉัน ต่างหาก” ฮ.นกฮูกพยายามบอกหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครสนใจฟัง ก.ไก่ ผูม้ คี วามมัน่ ใจในตัวเอง เธอมักจะภูมใิ จทุกครัง้ ทีไ่ ด้ยนิ เด็กน้อยทัง้ หลาย เรียกชื่อเธอเป็นล�ำดับแรก เธอเชื่อว่าตัวเองส�ำคัญกว่าใครๆ เพราะฉะนั้นเธอจึง ไม่เห็นหัวใคร แม้แต่ ฒ.ผู้เฒ่า เธอก็ไม่เคยยกมือไหว้เลยสักครั้ง 9
“เพราะฉันส�ำคัญกว่าทุกคน ทุกคนต้องมาเอาใจฉัน” ก.ไก่ใช้อ�ำนาจของตน ข่มขู่คนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่สนใจความเดือดร้อนของ ใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะใช้ให้ ถ.ถุง ท�ำงานบ้านให้ ใช้บริการเรือโดยสารของ ร.เรือ แล้วไม่ยอมจ่ายค่าโดยสาร เข้าร้านเสริมสวย ฎ.ชฎาบาร์เบอร์ โดยไม่จ่ายเงิน ค่าใช้บริการ ก.ไก่สร้างความเดือดร้อนทั้งเรื่องเล็กๆ จนกระทั่งลุกลามไปถึงขั้น ไม่จ่ายภาษีหมู่บ้าน ยึดที่ท�ำกินของ ฌ.เฌอ มาเป็นที่ของตัวเองและอื่นๆ อีกมากมายเท่าที่ ก.ไก่จะใช้อ�ำนาจของตนได้ “ถ้าไม่ยอมล่ะก็ ฉันจะไปจากที่นี่ แล้วเด็กๆ จะไม่มีวันได้เรียกชื่อพวกแกอีก เมื่อไม่มี ก.เอ๋ย ก.ไก่ ก็ไม่มีตัวอื่นๆ ตามมาหรอก อีกอย่างนะ ถ้าไม่มีตัวฉัน แม้แต่ ย.ยักษ์ที่ว่าแข็งแกร่งก็ไม่มีทาง เป็น ย.ยักษ์ไปได้ ฮ่าๆ” ฮ.นกฮูกทนการใช้อำ� นาจแบบเผด็จการของ ก.ไก่ไม่ไหว เขาน�ำเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ เข้าไปคุยในสภาภาษาสยาม “แบบนี้ต้องท�ำให้มันรู้ส�ำนึก” ฅ.ฅน พูดด้วยความ คับแค้นใจ “แล้วเราจะท�ำยังไงล่ะ” ญ.หญิงถามเสียงเบา “ต้องไล่มันออกจากหมู่บ้านของเรา” ย.ยักษ์เสนอความคิดเห็นด้วยเสียง แข็งกร้าว “แต่ถ้าไม่มี ก.ไก่ พวกเราก็แย่สิ” ค.ควาย พูดบ้าง “เงียบไปเลยไอ้ ค.ควาย แกนี่มันโง่จริงๆ โดน ก.ไก่ขู่ก็เชื่อ ถ้ามันคิดว่า มันส�ำคัญมาก เราก็ต้องท�ำให้เห็นว่ามันไม่ได้ส�ำคัญอย่างที่มันคิด” ท.ทหาร พูดเสียงห้าว ทุกคนต่างพากันเห็นด้วยกับไอเดียของ ย.ยักษ์ และไล่ ก.ไก่ ออกจากหมู่บ้าน แต่เธอไม่ได้สนใจหรือส�ำนึกต่อความผิดใดๆ สักนิด “ไอ้พวก หางแถว ขาดฉันแล้วจะรู้สึก” ก.ไก่เชิดหน้าพูดแล้วเดินจากไป หมู่บ้านภาษาสยามไม่มี _.ไ_่อี_ต่อไปแล้ว ทุ_คนต่างดีใจ ถึงแม้ว่าเสียง อาขยานของเด็_ๆ จะหายไปด้วย_็ตาม เหมือนว่าเหตุ_ารณ์ทั้งหมดจะสงบลง แต่_ลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้จะไม่มี _.ไ_่ แต่ตัวอื่นๆ _็ยังคงแย่ง_ันเป็นที่หนึ่ง 10
ไม่มีใครยอมใคร ทุ_คนอยา_เป็นคนส�ำคัญ จนลืมสังเ_ตุเห็นถึงความผิดป_ติ บางอย่าง “ทุ_คนรู้สึ_แปล_ๆ _ันบ้างไหม” พ.พานร้องถามขึ้น “อืม...จะพูดยังไงดีล่ะ ฉันว่ามัน_็แปล_ๆ อยู่เหมือน_ันนะ” “นั่นสิ เพราะอะไร_ัน อย่าบอ_นะว่าเพราะ _.ไ_่หายไป ไม่มีทาง มันไม่ได้ ส�ำคัญขนาดนั้น” “ใช่ๆ ฉันล่ะเ_ลียดมันจริงๆ” “ว่าแต่... ตอนนี้ไม่มี _.ไ_่แล้ว งั้นฉัน_ต้องเป็นผู้น�ำน่ะสิ” ข.ไข่พูดด้วยความ ตื่นเต้น “แ_เนี่ยนะ ปา_ยังไม่สิ้น_ลิ่นน�้ำนมเลย จะมาน�ำพว_เรา เฮอะ! ต้องเป็นฉัน ถึงจะถู_” ง.งู ขู่ฟ่อ “แ_มันดีแต่ใช้_ำลัง ผู้น�ำเขาต้องเลือ_ที่มีสมองที่ชาญฉลาดอย่างฉันนี่” ฅ.ฅน ลุ_ขึ้นเถียงเสียงดัง “ฉลาดแต่ โ ลภ สนใจแต่ ผ ลประโยชน์ ข องตั ว เองอย่ า งแ_ สู ้ ย _อ� ำ นาจ ให้ ค.ควายยังดีซะ_ว่า” “เอ๊ะ! ไอ้ ฉ.ฉิ่งนี่ ท�ำไมมา_ล่าวหาคนอื่นแบบนี้ล่ะ เออๆ ถ้าพวกแ_อยา_ให้ คนโง่ๆ เป็นผูน้ ำ� ก็ตามใจ ไม่อยูแ่ ล้วโว้ยหมูบ่ า้ นด้อยพัฒนาแบบนี”้ ฅ.ฅนพูด_่อน จะเดินฉับๆ ออ_ไปจา_หมู่บ้าน “ไปพูดแบบนั้น _._น มันโ_รธใหญ่แล้วเห็นไหม จริงๆ แ_อยา_เป็นผู้น�ำเอง ล่ะสิ” ง.งูหันไปพูดใส่ ฉ.ฉิ่ง “แล้วแ_ไม่อยา_เลยรึไง ง.งู” น.หนูพูดขึ้นบ้าง หลังจา_ที่เงียบมานาน “_ฉันเหมาะสมที่สุดแล้วนี่” ง.งูชูคอแผ่แม่เบี้ย “จะเป็นผู้น�ำมันต้องมีสมอง ไม่ใช่เอาแต่ขู่คนอื่น” “อ้าวลุง ฒ.ผูเ้ ฒ่า ลุงหาว่าฉันโง่เหรอ ถ้าอย่างนัน้ ฉันไม่ยงุ่ ด้วยแล้ว” ง.งู โมโห จัดเดินออกจากหมู่บ้านไปอีกคน 11
“ฉันเหมาะสมที่สุด เพราะฉันสามารถป่าวประ_าศสิ่งต่า_ๆ ให้ทุ_คนรับรู้ได้” ฉ.ฉิ่_เสนอตัวเอ_ “ดีแต่พูดล่ะสิ” ฟ.ฟัน กระแท_เสีย_ใส่ “หนอย! แล้วอย่า_แ_ไม่ดีแต่พูดเลยสินะ ฉันเชื่อว่าเด็_ๆ อยา_เอ่ยชื่อฉัน เป็นล�ำดับแร_” “ฉันต่า_หา_ที่เด็_ๆ ชอบ เพราะเวลาเด็_ๆ พูดแทนตัวเอ_ยั_ใช้ฉันเป็น ตัวแร_เลย” ห.หีบ พูด “แต่เด็_ๆ เขาอยา_ออ_เสีย_ฉันต่า_หา_ พี่นั่นแหละเสนอหน้ามาเอ_” น.หนู เถีย_ “อ้าว! ไอ้นี่ไม่รู้เสียแล้วว่าใครเป็นใคร มาหาว่าข้าเสนอหน้า ที่เอ็_อยู่ดีมีสุข มาจนถึ_ทุ_วันนี้ไม่ใช่เพราะข้าหรอ_รึ” ห.หีบ ชี้หน้าตะคอ_ใส่ น.หนู “พี่อย่ามาทว_บุญคุณ_บฉันนะ ฉันไม่เคยขอร้อ_ให้พี่เสนอหน้ามาสั_หน่อย พี่มาเอ_ช่วยไม่ได้” “เอาสิวะ ให้มันรู้ว่าถ้าไม่มีข้า เอ็_จะท�ำยังไ_” ห.หีบโ_ รธเป็นฟืนเป็นไฟ_่อน จา_ไป “เพราะแ_เลย น._นู ท�ำใ_ _._บโมโ_ แ_นี่มันสร้า_แต่เรื่อ_” ฉ.ฉิ่_ต�ำ_นิ “อ้าวๆ แล้วตัวแ_ดีนั_นี่ คิดแต่จะเป็นใ_ญ่” “อย่ามาปา_ _มานะ ไอ้น._นู ไอ้คนไม่มี_วนอนปลายเท้า ออ_ไปเลยไป _มู่บ้านนี้ไม่ต้อนรับแ_” “เออ ฉันไม่อยู่_ได้” น._นูท�ำท่าจะวิ่_ออ_ไป ล.ลิ_คว้าตัวไว้ทัน เขาไม่ อยา_ให้เรื่อ_ยุ่_ยา_ไป_ว่านี้ แต่ น._นูก็นั่_นิ่_ไม่ยอมท�ำอะไรทั้_สิ้_ “ฉ.ฉิ่_ เอ็_จะไปว่ามันแร_ๆ ท�ำไม มั_ไม่ใช่ประเด็_แล้ว_ะ” “ลุ_ ฒ.เฒ่า อย่าพูดมา_ดี_ว่า แ_่ _อยู่ส่ว_แ_่เถอะ” “ฉ.ฉิ่_แ_ไปว่าลุ_ท�ำไม เรื่อ_ใครจะเป็_ค_แร_ไม่ต้อ_เถีย_ __ ฉั_เ_มาะสม 12
ที่สุด” ท.ท_ารพูด “อย่ามาใช้อ�ำ_าจ_ารท_าร ใช้_ำลั_เปลี่ย_แปล_ผู้_ำ_ะ” ธ.ธง พูด “ใช่ๆ” เสีย_ทุ_ค_ตะโ__เ__ด้วย “น้าๆ ทะเลาะ_ันท�ำไม ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว ถ้าพว_น้าๆ ไม่เลิ_ทะเลาะ_ัน แล้วหนูจะเรียนอะไร!” ด.เด็_ รวบรวมความ_ ล้าทั้งหมด_่อนจะพูดขึ้นมา หลังจา_ที่นั่งฟังอยู่นาน ทุ _ คนเริ่ ม มองหน้ า _ น และเห็ น ด้ ว ย_ั บ ด.เด็ _ เสี ย ง_ารทะเลาะสิ้ น สุ ด ลง คนทีย่ งั ถือทิฐิ แต่หลายคน_ ย อม_ลับมาท�ำหน้าทีข่ องตัวเองอี_ ครัง้ แม้จะเป็นการ ท�ำไปเพื่อตัวเอ_ไม่ใช่เพื่อส่วนรวมก็ตาม พายุแห่ง_ารช่วงชิงอ�ำนาจคล้ายจะ สงบลง ทุกคนต่างแย_ย้าย_ลับบ้าน ด้วยความรู้สึ_อยา_เป็นคนส�ำคัญอันดับ หนึ่งที่ยังฝังอยู่ลึ_ๆ ในใจ ด.เด็_ยังคงวิ่งเล่นอยู่แถวนั้น ท�ำให้เขาพบ_ับใครบางคนเข้าโดยบังเอิญ “น้าๆ นัน่ น้า _.ไ_ใช่ไหมฮะ น้าหายไปไหนมาฮะ” ด.เด็_ตะโ_นถาม _.ไ_ได้แต่ นิ่งเงียบ ช่วงเวลาที่เธอจา_ไป ท�ำให้เธอคิดได้ว่า เมื่อเธอต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียง ตัวคนเดียว เธอ_ลับไม่มคี วามหมายอะไรเลย ไม่ใช่เธอเท่านัน้ ทีส่ ำ� คัญ แต่ท_ุ คน เป็นคนส�ำคัญเท่าเทียม_นหมด หน้าที่ของทุ_คนคือ_ารร่วมมือ_ันเพือ่ สร้างสรรค์ สังคมที่น่าอยู่ร่วม_ัน “น้า_.ไ_่ฮะ งั้นผมไปเล่นทางโน้น_่อนนะฮะ” ด.เด็_วิ่งหายไปไ_ล _.ไ_่หวัง แต่เพียงว่าเมื่อเขาจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนไม่หล_มัวเมาในอ�ำ_าจของตัวเอง เหมือนที่ตัวเองเคยเป็น _.ไ_่ถอนหายใจเฮือ_ใหญ่ มองภาพสังคมที่แหว่งวิ่น ที่ ด.เด็_ ที่ไม่มีวันสมบูรณ์ ท่าม_ลางความร้อนฉ่าจา_ดวงอาทิตย์ หมู่บ้า_ภาษาสยามไร้เสีย_อาขยาน ของเด็_น้อยตลอด_าล 13
15
กระบองเพชร อภิสรา นันทชัย
16
เมื่อเด็กหญิงอยากเคลื่อนที่ เคลื่อนที่โดยปราศจากการย่างก้าว เธอเฝ้ามองดูการเคลื่อนที่ของบางสิ่ง... บางสิ่งที่หมุนกลิ้งตามกันไป บ้างก็หมุนอย่างเชื่องช้า บ้างก็หมุนอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงอยากลองเคลื่อนที่เช่นนั้นดูบ้าง เธอจึงเริ่มฝึกควบคุมการเคลื่อนที่ของพวกมัน หลายสิ่งหลายอย่างอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายส�ำหรับมือใหม่ เริ่มต้นด้วยการออกตัวไปอย่างช้าๆ เมื่อทุกอย่างเข้าที่ เธอจึงเร่งความเร็วเพิ่มมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น ไม่นาน สรรพสิ่งข้างกายเธอล้วนกลายเป็นภาพตราตรึงเพียงชั่ววินาที ผ่านไปและผ่านไปและผ่านไปและผ่านไป... เด็กหญิงเคลื่อนที่โดยปราศจากการย่างก้าวอย่างคล่องแคล่ว ตลอดระยะทาง ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นกับเธอเลย เมื่อเด็กหญิงอยากเคลื่อนที่ในวิถีที่เปลี่ยนไป เธอจึงต้องทิ้งบางสิ่งไว้ให้หยุดนิ่ง การควบคุมองค์ประกอบที่น้อยลง กลับกลายเป็นเรื่องที่ยากมากยิ่งขึ้นส�ำหรับเธอ เด็กหญิงไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเลย แต่ในทุกครั้งที่เธอเคลื่อนที่ เคลื่อนที่ไปกับสิ่งที่เหลืออยู่ 17
เธอสามารถรับรู้ได้ถึงการสัมผัส สัมผัสด้วยสองมือที่สร้างความมั่นใจให้กับเธออย่างแปลกประหลาด เธอไม่เคยรู้สึกกลัว เมื่อมีสัมผัสนี้อยู่เคียงข้าง การเคลื่อนที่โดยปราศจากการย่างก้าว ยังคงด�ำเนินต่อไป ความเชื่อมั่นน�ำภาพที่สวยงามเข้ามาปรากฏในห้วงของความคิด แม้ว่าเธอจะเริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นไหวเบาๆ เธอก็เชื่อเสมอว่า สัมผัสประหลาดที่ว่านั้นจะคอยโอบอุ้มดูแลเธอ เอียงไปบ้าง พลาดไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร หากเธอตั้งใจมากขึ้น พยายามมากขึ้น อย่างไรเสียเธอก็จะควบคุมมันให้ได้ แต่แม้ว่าเธอจะพยายามมากขึ้นสักเพียงใด ความโน้มเอียงสั่นไหวก็ยังคงอยู่ แรงสั่นไหวรุนแรงมากขึ้น มากขึ้น! เด็กหญิงพยายามต้านทานสุดก�ำลัง แต่ทุกอย่างกลับยิ่งดูเลวร้ายลง เลวร้ายลง ความมั่นใจเลือนหายไปพร้อมกับสองมือที่สร้างมันมา ทุกอย่างหายไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว สุดท้าย เด็กหญิงก็ล้มลง... มันเป็นช่วงเวลาที่รวดเร็วมาก เร็วพอๆ กับภาพตราตรึงเพียงไม่กี่ชั่ววินาทีที่ผ่านมา เสี้ยววินาที ก่อนที่ทุกสิ่งจะเอนกายลงนอน เด็กหญิงควานหาที่ยึดเหนี่ยวตัวเธอไว้โดยพลัน
18
สิ่งที่เคลื่อนไหวต่างหยุดนิ่ง ไม่มีการควบคุมใดๆ หลงเหลือให้เห็นอีก จักรยานสองล้อล้มคว�่ำ! สองแขนของเด็กหญิง โอบรอบต้นกระบองเพชรเอาไว้... หนามของมันกลายเป็นอุปสรรคจ�ำนวนมหาศาลต่อการหัดขี่จักรยานของเธอ ความเจ็บปวดแทรกซึมไปทั่วทั้งสองแขน เด็กหญิงไม่คาดคิดเลยว่า อ้อมกอดนี้จะท�ำร้ายเธอได้อย่างเลือดเย็น วันเวลาออกเดินทางต่อไปตามปกติ เด็กหญิงคนเดิมนั่งเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ เธอสังเกตดูสิ่งต่างๆ รอบตัว จนเหลือบไปเห็นเพื่อนเก่าของเธอคนหนึ่ง เด็กหญิงส่งยิ้มให้เขา ไม่มีสิ่งใดๆ ตอบสนองกลับมา แต่เธอก็ยังมั่นใจว่าต้องเป็นเขาคนนั้นแน่ๆ เธอจึงลองชักชวนเขาออกไปเดินเล่น เราทั้งสองคนออกเดินไปด้วยกันตามทางอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงเคลื่อนที่โดยปราศจากการย่างก้าวไปพร้อมกับเขา ยิ่งเธอปั่นเร็วขึ้นมากเท่าใด วงล้อทั้งสองของเพื่อนเก่า ก็ยิ่งหมุนเร็วขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น ถ้าในตอนนั้น เด็กหญิงหมดความพยายาม ณ ตอนนี้ เธอคงไม่สามารถขี่จักรยานสองล้อได้ ถ้าในตอนนั้นเด็กหญิงหมดความอดทน หนามที่ทิ่มแทงแขนของเธอทั้งสองข้าง ก็จะไม่สามารถถูกก�ำจัดออกให้หมดไป 19
แม้ว่าความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้น ส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนจากใบให้กลายเป็นหนามไปแล้ว เด็กหญิงก็ไม่สามารถลดการคายน�้ำ (ตา) ของเธอลงได้เลย อาจเป็นเพราะว่า เธอ ไม่ใช่ กระบองเพชร ที่สามารถใช้วิธีนี้ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในทะเลทราย แม้เด็กหญิงจะคายน�้ำตาออกมามากสักเพียงใด แต่เมื่อเธอหยุดร้องไห้ เธอก็พร้อมที่จะลุกขึ้นเพื่อเคลื่อนที่ต่อไป... อีกครั้ง
20
21
22
ความทรงจำ� ทินกร บุญแจด
24
“ตะวัน เธอเป็นโรคโหยหาอดีตแน่ๆ ไปพบหมอเถอะ” หลายปีมานี้มีแต่คน ทักและมักให้ค�ำวินิจฉัยอาการของผมอยู่เสมอ ทั้งเพื่อนที่ท�ำงาน พี่ๆ ที่ผมสนิทสนมด้วย หรือแม้กระทั่งเพื่อนสนิทของผมเองก็ยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ า ไอ้อาการ ‘เห็นสายฝนพร�ำตอนหัวค�่ำทีไรก็จะมีน�้ำใสๆ ไหลอาบแก้มทุกครั้ง โดยหาเหตุผลไม่ได้เสมอนั้น’ มักจะเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์เก่าๆ เมื่อเกิดอาการเหล่านี้นานวันเข้า ทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ ก็เห็นพ้องต้องกันว่าผมเป็น โรคโหยหาอดีต จนผมเริ่มเชื่อสนิทใจว่าผมคงจะเป็นโรคนั้นจริงๆ “อาการคือ มักเห็นภาพเก่าๆ ทีต่ นเองจ�ำฝังใจผ่านภาพเหตุการณ์เดิมๆ สภาพแวดล้อมเดิมๆ แต่คนที่อยู่ในภาพเหตุการณ์นั้นกลับไม่ใช่คนที่เราคิดถึงหรือคนที่อยู่ในความ ทรงจ�ำ ก็เลยท�ำให้นกึ ย้อนไปถึงเหตุการณ์ของตนเองในวันนัน้ วันทีเ่ รามีความสุข ที่สุดและเศร้ามากที่สุด พอเธอเห็นภาพเก่าๆ พวกนี้เธอถึงได้ร้องไห้เพราะ ความคิดถึงคนที่อยู่ในภาพความทรงจ�ำไงล่ะตะวัน” นี่คือค�ำอธิบายของเพื่อนๆ ที่มักพูดกรอกหูผมอยู่ทุกวี่วันจนรู้สึกคุ้นชิน 25
จะว่าไปมันก็จริงอย่างที่เพื่อนว่า เพราะผมชอบท�ำอะไรที่ดูย้อนยุคขัดแย้ง กับเพื่อนอยู่หลายอย่าง ทั้งชอบฟังเพลงเก่าๆ แนวเพลงหวานกลางกรุง ชอบดู หนังเก่าๆ แนวย้อนยุคอย่าง ข้างหลังภาพ หรือชอบอ่านนวนิยาย สี่แผ่นดิน ซึ่งขัดแย้งกับรสนิยมของกลุ่มเพื่อนๆ ที่ชอบฟังเพลงสตริง ชอบดูหนังแนว โรแมนติกคอเมดี้ เวลาไปไหนด้วยกัน ผมมักรู้สึกว่าตัวเองแปลกประหลาด และถูกคัดแยกออกจากกลุ่มเพื่อนอยู่เสมอ และผมยังชอบเปิดแฟ้มภาพสมัยเด็กๆ ที่มีรูปภาพความทรงจ�ำเกี่ยวกับ ผู ้ ห ญิ ง คนหนึ่ ง และมั ก พกมั น ติ ด ตั ว ทุ ก ครั้ ง ที่ ต ้ อ งไปไหนไกลๆ ดู อ ยู ่ บ ่ อ ยๆ แล้วก็เกิดอาการเหงาอ้างว้างอยากกลับไปอยู่ในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมเดินตรงไปที่หัวเตียงเพื่อหยิบอัลบั้มรูปภาพเพื่อเปิดดู ก่อนนอน เหมือนทุกคืนที่ผ่านมา อัลบั้มรูปหายไป!!! ผมหาอย่างไรก็หาไม่เจอ ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น เรื่อยๆ เพราะถ้าอัลบั้มภาพนั้นหายขึ้นมาจริงๆ ผมก็ไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้ รูป ภาพที่ ถูกเก็ บไว้อัล บั้ม นั้นเป็นภาพความทรงจ� ำที่ ผมมี ต่ อ ผู ้ ห ญิ ง คนหนึ่ ง ซึ่งผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงที่ผมรักและอยู่ในความทรงจ�ำของผมตลอดเวลา ร่วม 16 ปี สิ่งใดจะคอยเป็นแรงพลังให้ผมกล้าก้าวไปข้างหน้าได้อย่างทุกวันนี้ ผมนัง่ ลงพร้อมหลับตาเพือ่ นึกถึงอัลบัม้ ภาพทีห่ ายไป คิดถึงผูห้ ญิงทีถ่ กู ซุกซ่อน ไว้ในภาพนั้น แล้วความทรงจ�ำเบื้องลึกเหล่านั้นก็ก่อรูปร่างฉายเหตุการณ์ เหล่านั้นขึ้นมา 01 “ตะวันอยู่กับยายนะลูก” แม่กับพ่อพาผมมาอยู่กับยายที่บ้านต่างจังหวัดได้หลายเดือนแล้ว ท่านทั้ง สองบอกว่าต้องไปท�ำงานอยูใ่ นตัวเมือง นานๆ ทีถงึ จะได้กลับมาเยีย่ มเยียนสักหน 26
ตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีเพื่อนสักคน มีเพียงยายที่คอยเล่นเป็นเพื่อน จะมีพๆี่ ละแวกบ้านอีกสองสามคนทีค่ อยแวะเวียนมาเล่นด้วยบ้างเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ เพราะพี่ๆ ก�ำลังเรียนอยู่โรงเรียนในตัวจังหวัด จะกลับมาบ้านก็เป็นช่วง วันหยุดสุดสัปดาห์อย่างวันนี้ “ตะวันๆ เข้าบ้านลูก เดี๋ยวก็เป็นไข้ไม่สบายเอาหรอก” เสียงยายดังแว่วแข่ง กับสายฝนที่กระหน�่ำตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน ผมไม่ได้สนใจ เสียงยายร้องเรียกเลยแม้แต่น้อย กลับวิ่งเล่นอาบน�้ำฝนด้วยตัวเปลือยเปล่า ล่อนจ้อนกับกลุ่มพี่ๆ ละแวกบ้านอีกสองสามคนอย่างสนุกสนาน เพราะนานๆ ที ผมถึงจะมีเพื่อน “ไอ้ตะวัน ยายบอกให้เข้าบ้าน” เสียงตะโกนร้องเรียกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ไม่ได้มแี ต่เสียงทีน่ ำ� หน้ามาก่อนเท่านัน้ แต่ภาพทีเ่ ห็นคือ ภาพหญิงวัยชรารูปร่าง อ้วนท้วน ผิวหนังเหี่ยวย่นไปตามอายุ หลังงอเล็กน้อย สีผมเปลี่ยนจากสีด�ำเงา กลายมาเป็นสีขาว นุ่งผ้าซิ่นเสื้อคอกระเช้า ก�ำลังยืนถือไม้เรียวพลางชี้มาทางผม นั่นเป็นสัญญาณเตือนที่ผมรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากไม่ท�ำตาม ผมยังคงวิ่งเล่นตากน�้ำฝนเช่นเดิม โดยไม่สนใจเสียงเรียกแม้แต่น้อย ท�ำให้ ไม้เรียวในมือของยายฟาดลงกลางหลังของผม ผมรู้สึกเจ็บปวดจนผมร้องลั่น ออกมาและวิ่งเข้าไปแอบสะอื้นไห้ในห้องน�้ำ “ตะวันเกลียดยาย ฮือๆ” ผมร้อง ตะโกนด้วยความโกรธที่ยายไม่ชอบให้เล่นน�้ำฝนทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าผมชอบเล่นมาก ขนาดไหน ยายมาเคาะประตูหอ้ งน�ำ้ เรียกให้ผมออกมาเปลีย่ นเสือ้ ผ้าอยูห่ ลายครัง้ แต่ผมก็ไม่ยอมเปิด และยังคงตะโกนค�ำว่า “ตะวันเกลียดยาย” อยู่เช่นเดิม ยายร้องไห้ด้วยเสียงสะอื้นพร้อมบอกเหตุผลที่ไม่ให้เล่นน�้ำฝน “ยายกลัว ตะวันไม่สบายไงลูก ถ้าตะวันไม่สบายไปยายจะท�ำยังไง น้านวลก็ไม่อยูบ่ า้ นด้วย ฮือๆ” เสียงยายร้องไห้อยู่หน้าประตูห้องน�้ำ ผมจึงตัดสินใจเปิดประตูวิ่งมากอด ยาย “ยายรักตะวันนะลูก อย่าเกลียดยายเลย” ยายพูดพลางเอามือลูบหัวผม พร้อมทั้งน�้ำตาที่ไหลอาบแก้มไม่หยุด “ฮือ ฮือ ตะวันก็รักยายครับ” ผมกับยาย 27
โผเข้ากอดกันแน่น บ้านเรือนไทยโบราณยกพืน้ สูง ผมอยูก่ บั ยายเพียงสองคน ส่วนพีน่ วลลูกของ ยายก็นานๆ ทีจะแวะเวียนมาเยีย่ มบ้านสักครัง้ เพราะพีน่ วลเป็นพยาบาลประจ�ำ โรงพยาบาลจังหวัด ส่วนพ่อกับแม่ของผมนั้นกลับมาเยี่ยมเพียงปีละสองหน เฉพาะช่วงเทศกาลหยุดยาวอย่างปีใหม่ สงกรานต์เท่านั้น ค�่ำคืนแห่งฝนพร�ำแบบนี้ ยายมักจะเปิดฉากเล่านิทานเรื่องโปรดให้ผมฟัง เสมอ “นางยักษ์ร้ายวิ่งตามหญิงสาวทั้งสิบสองด้วยเสียงร้องเรียกโอดครวญ หลังพวกลูกๆ ของนางรู้ความจริงว่าแม่เลี้ยงเป็นยักษ์” ผมนอนฟังนิทานเรื่อง นางสิบสอง อยู่ข้างๆ ยายอย่างสุขใจ ผมมักมีความสุขทุกครั้งที่ยายเล่านิทานให้ฟัง โดยเฉพาะค�่ำคืนแห่งฝนพร�ำ อย่างวันนี้ บรรยากาศทุกอย่างเหมาะเจาะทั้งเสียงยายและเสียงสายฝนกระทบ หลังคาดัง เปาะแปะ เปาะแปะ แล้วยังมีเสียงกบเขียดอึ่งอ่างร้องระงมประสาน เสียง ราวกับว่าทุกเสียงเหล่านั้นก�ำลังกล่อมผมให้หลับฝันดี 02 “ไอ้ตะวันท�ำไมเอ็งไม่ช่วยยายเอ็งท�ำงานบ้านบ้าง” ยายพวนผู้เป็นน้อง ของยายผม ท�ำให้ผมไม่ชอบยายพวน แกมาบ้านยายทีไรมีอันต้องด่าผมเพราะ เรือ่ งเล็กน้อยทุกที “ก็ยายไม่ยอมให้ตะวันช่วยเอง ตะวันไม่ผดิ สักหน่อย” ผมก็มกั จะกล่าวตอบเหตุผลไปแบบนี้เสมอ “ไม่ใช่ว่าเอ็งขี้เกียจหรอกหรือไอ้ตะวัน” ยายพวนยังไม่เลิกราต่อว่าผม “เปล่าขี้เกียจสักหน่อย” ผมชอบตอบไปแบบ เหนื่อยอกเหนื่อยใจกับถ้อยค�ำเสียดสีเหล่านั้น ยายพวนมาช่วยยายท�ำขนมเทียนเพือ่ เตรียมน�ำไปถวายเพลทีว่ ดั ในวันพรุง่ นี้ ซึ่งตรงกับวันพระใหญ่ ผมก็มักจะไปวัดกับยายทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เมือ่ วานผมขีค่ อยายไปสวนกล้วยหลังบ้าน เพือ่ ตัดใบกล้วยมาตากแดดเตรียมไว้ 28
ห่อขนมเทียนในวันนี้ แต่เมื่อวานดันฝนตกหนัก ใบกล้วยที่ตากไว้เลยเปียกชุ่ม ไปด้วยน�ำ้ ฝน ท�ำให้ยายพวนต้องนัง่ เช็ดใบกล้วยไปบ่นไปเรือ่ ยตามประสาของแก ยายมักให้ผมช่วยเช็ดใบกล้วยให้สะอาดไว้รอยายห่อเสมอ ใบกล้วยที่ถูกผึ่ง แดดแล้วยังมาถูกน�ำ้ ฝนตกใส่อกี ท�ำให้ใบกล้วยดูรปู ร่างผิดแปลกไปจากเดิมพิลกึ พอช่วยได้สกั พักผมก็เริม่ เบือ่ จึงเดินเข้าบ้านไปดูการ์ตนู เรือ่ งโปรดทีก่ ำ� ลังฉายอยู่ แต่ไม่พ้นสายตายายพวนที่คอยเหน็บแนมฟ้องยายอยู่เสมอว่าผมเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งยายก็มักจะช่วยแก้ต่างให้ผมเสมอ ว่าผมยังเด็กอยู่ ท�ำอะไรลงไป โดยไม่ได้ยั้งคิด และนี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลที่ผมรักยายมากมายขนาดนี้ เพราะทุกครั้งที่ผม ท�ำผิดแล้วร้องไห้ ยายก็มักจะร้องเป็นเพื่อนเสมอ ทุกครั้งที่ยายพวนดุด่าว่าผม ยายก็เป็นคนแก้ต่างรับผิดแทนตลอด จนบางครั้งผมรู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งต้องจาก ยายไปไกล ผมจะทนอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่ได้ฟังนิทานก่อนนอนในค�่ำคืนฝนพร�ำ ผมจะทนอยู่ได้หรือเปล่าถ้าไม่มียาย “ตะวันๆ ไปสวนกล้วยหลังบ้านกับยายไหม” “ไปครับยาย” ผมร้องตอบพร้อมปิดโทรทัศน์โดยเร็ว แล้วรีบวิ่งไปหายาย ที่ใต้ต้นมะม่วง ยายกับยายพวนก�ำลังนั่งห่อขนมเทียนกันอยู่ “ไปสวนกล้วยอีกท�ำไมครับยาย เมื่อวานก็เพิ่งไปมา” ผมถามยายไปด้วย ความสงสัย “ใบกล้วยมันไม่พอจ้ะ ยายเสียดาย เลยว่าจะไปตัดมาผึ่งแดดไว้ห่อพรุ่งนี้ เผื่อเก็บไว้ให้ตะวันกินไงลูก” ว่าแล้วผมก็รีบเดินน�ำหน้ายายไปก่อน เพราะยายเดินกลับเข้าไปเอามีดอีโต้ ในครัว “ตะวันรอยายด้วย” เสียงยายร้องเรียก ผมจึงหยุดรอทีป่ ากทางเข้า สวนกล้วย แห่งนี้ยายปลูกไว้หลายปีแล้ว แต่ด้วยความที่ยายไม่ค่อยได้เข้ามาดูแลตั้งแต่ คุ ณ ตาลาโลกนี้ ไ ป สภาพที่ เ ห็ น เลยรกรุ ง รั ง เต็ ม ไปด้ ว ยหญ้ า ฟางและวั ช พื ช 29
ชนิดอื่นๆ เวลาเดินจึงต้องระมัดระวังสัตว์มีพิษเป็นอย่างมาก ยายจะพาผมข้ามคลองน�้ำไปตัดต้นกล้วยอีกฝั่งหนึ่ง ทันใดนั้นเอง! ยายถูก งูเห่ากัดเข้าที่ขา “ยาย!!!” ผมร้องเรียกจนเสียงหลง ยายรีบโบกไม้โบกมือให้ผม รีบออกจากตรงนั้นไปก่อน ด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตรายไปอีกคน ผมมองยาย ที่ก�ำลังทรุดนั่งกับพื้นด้วยน�้ำตา พอตั้งสติได้จึงรีบวิ่งไปหายายพวนที่นั่งห่อ ขนมเทียนอยู่หน้าบ้านให้มาช่วย “ยายพวนๆ ช่วยด้วยๆ ยายถูกงูกัดอยู่ใน สวนกล้วย” พอยายพวนรู้ความก็รีบตะโกนบอกชาวบ้านในละแวกบ้านใกล้ เรือนเคียงให้ไปช่วยกัน “ยายสี!!! ตื่นๆ ยายสี” ยายพวนร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ “ยายสีเสียแล้ว ฮือ ฮือ” ยายพวนตะโกนดังลั่นจนชาวบ้านที่วิ่งตามกันมา กลุ่มใหญ่ ต้องรีบวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ “ยาย!!!” ผมตะโกนร้องจนหน้ามืดหมดสติไป... 03 “ตะวัน... แม่กับพ่อมารับกลับบ้านแล้วลูก” หลังงานศพยาย พ่อกับแม่ก็มารับผมกลับไปอยู่บ้าน เพราะตั้งแต่ยาย จากไป ผมยังไม่เอ่ยปากพูดกับใครอีกเลย เอาแต่นอนอยู่แต่ในห้อง ผมเดินไปเก็บกระเป๋าเสร็จก็ไปกราบอัฐิยายที่ตั้งอยู่ในห้องพระ “ตะวันกลับ ก่อนนะครับยาย เดี๋ยวจะมาเยี่ยมยายบ่อยๆ” ผมพูดทั้งน�้ำตา น้านวลเดินเข้ามา ในห้องแล้วเอามือลูบที่หัวผมบอกว่า “ถ้าตะวันคิดถึงยายก็มาหายายได้ตลอด เวลาเลยนะ ยายไม่ไปไหนหรอก ยายจะอยู่กับเราที่นี่” น้านวลพูดเสร็จก็กอดผม พลางปาดน�้ำตาด้วยความคิดถึงยาย “ตะวัน กลับได้แล้ว” เสียงแม่รอ้ งเรียกอยูห่ น้าบ้าน น้านวลจึงช่วยถือกระเป๋า ผมลงมาส่งที่รถ “มาเยี่ยมน้าบ่อยๆ นะตะวัน” เสียงน้านวลตะโกนบอกขณะที่ 30
รถก�ำลังเลี้ยวออกจากบ้าน “ครับ...น้านวล” ผมร้องตะโกนตอบกลับ รถแล่นออกจากบ้านได้สกั พักก็พลบค�ำ่ ผมมองเห็นเพียงแสงไฟริบหรีท่ บี่ า้ น ของยาย จากนัน้ ก็เลือนหายไปกับความมืด ยิง่ รถเคลือ่ นไกลออกมาจากบ้านยาย มากเท่าไหร่ น�้ำใสๆ จากตาของผมก็ไหลอาบแก้มมากเท่านั้น เพียงได้ยินเสียง กบเขียดอึ่งอ่างร้องระงมท่ามกลางสายฝนโปรยกระหน�่ำ ผมก็รู้สึกคิดถึงยาย แทบขาดใจ ค�่ำคืนฝนพร�ำต่อจากนี้คงไม่มีเสียงนิทานก่อนนอนจากยายอีกแล้ว 04 ผมค่อยๆ ลืมตาขึน้ ปล่อยให้นำ�้ ตาทีไ่ หลรินอาบแก้มอยูอ่ ย่างนัน้ พร้อมพูดกับ ตัวเอง ถึงแม้อัลบั้มรูปภาพเหล่านั้นจะหายไป แต่ในความทรงจ�ำเบื้องลึกที่มีต่อ ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้จางหายไปไหน และยังจดจ�ำภาพเหตุการณ์เหล่านั้นได้เสมอ ผมคงเป็นโรคโหยหาอดีตอย่างที่เพื่อนพยายามบอกจริงๆ แต่ถ้าให้ผมเลือก ระหว่างจดจ�ำภาพความทรงจ�ำเบื้องลึกเหล่านี้แล้วมีอาการน�้ำตาไหล กับให้ผม ลืมเลือนทุกสิ่งไปแล้วใช้ชีวิตอย่างคนปกติ ผมก็ขอเลือกที่จะจดจ�ำดีกว่า เสียงสายฝนกระหน�ำ่ ตกมาอย่างไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับน�ำ้ ตาของผมทีไ่ หล อาบแก้มเพราะความคิดถึง ยังคงด�ำเนินไปเฉกเช่นเดิม...
31
33
ตุ๊ก ตา สุพิเศษ ศศิวิมล
36
“ตื่นๆ นายก�ำลังไปโรงเรียนสายนะ” เสียงหนึ่งเรียกให้เด็กชายตื่นจากนิทรา อันยาวนาน เขายังสะลึมสะลืออยูแ่ ต่กต็ อ้ งสะดุง้ ตืน่ เมือ่ หน้าปัดนาฬิกาชีไ้ ปทีเ่ ลข เจ็ด ส่งผลให้หนุ่มน้อยรีบกระวีกระวาดวิ่งเข้าห้องน�้ำไปจัดการกิจวัตรประจ�ำวัน อย่างรวดเร็ว “วันนี้นายต้องพาฉันไปเล่นที่โรงเรียนด้วยนะ” เพื่อนสนิทของเขากล่าวขึ้น ไม่มใี ครได้ยนิ เสียงของเพือ่ นคนนีย้ กเว้นเด็กชายคนเดียว ในสายตาของคนทัว่ ไป เพื่อนสนิทของเด็กชายเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึก เปล่งเสียงไม่ได้ เป็นเพียง สิ่งของน่ารักน่ากอดและมีขนนุ่มนิ่มให้เราจามเวลาสูดดม เพื่อนของเด็กชายคือ ตุ๊กตา นั่นเอง เด็กชายเจอกับเพือ่ นสนิทคนนีท้ หี่ า้ งสรรพสินค้าแห่งหนึง่ ในย่านใจกลางเมือง เขาถูกใจในหน้าตาอันใสซื่อ น่ารักน่ากอดของเพื่อนคนนี้มาก จึงขออนุญาต พ่อกับแม่ชวนเพื่อนใหม่มาอยู่ด้วยกัน และด้วยความน่ารักและนุ่มนิ่มนั้นเอง จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘อุกอุย’ 37
นับแต่นั้นมา อุกอุยก็กลายมาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านแห่งนี้ เขาเข้ากันได้ดี กับทุกคน พ่อและแม่ต่างก็ดีใจที่ลูกชายมีเพื่อนเล่น จะได้ไม่ใช้เวลาไปกับ การเล่นเกมในคอมพิวเตอร์จนท�ำให้เสียการเรียน อุกอุยกับเด็กชายสนิทกัน อย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เขาไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เหมือนแคบหมูกับน�้ำพริกหนุ่มที่ต้องอยู่คู่กันตลอดเวลา มิตรภาพและความผูกพันของเขาทั้งสองเริ่มแน่นแฟ้นและขาดกันไม่ได้ ตอนที่เกิดอุบัติเหตุจนเด็กชายต้องเข้ารับการผ่าตัด พ่อแม่ต่างก็หวาดวิตกว่า เรื่ อ งไม่ ดี จ ะเกิ ด ขึ้ น กั บ ลู ก ชายคนเดี ย วของตน ส่ ว นอุ ก อุ ย ก็ ค อยอยู ่ ข ้ า งๆ เป็นก�ำลังใจให้กับเพื่อนสนิทคนแรกและคนเดียว เขาคอยดูแลเพื่อนซี้อย่าง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้จะง่วงขนาดไหนตุ๊กตากระรอกขนปุยก็ไม่ยอมหลับ เขาจะไม่นอนจนกว่าเพือ่ นของเขาจะหายดี อุกอุยได้แต่ภาวนาให้เด็กชายอาการ ดีขึ้นไวๆ การผ่าตัดด�ำเนินไปอย่างรวดเร็วด้วยความสามารถและวิทยาการแพทย์ ที่ทันสมัย เด็กชายพ้นจากขีดอันตรายแล้ว แต่ยังไม่ได้สติ “หายไวๆ นะเพื่อน ฉันรอนายอยู่นะ” ตุ๊กตาตัวน้อยกล่าวเบาๆ ก่อนจะหลับไปด้วยอาการเหนื่อยล้า เนื่องจากไม่ได้พักผ่อนมาหลายวัน สองวั น หลั ง จากนั้ น เด็ ก ชายก็ ฟ ื ้ น เป็ น ปกติ ภาพแรกที่ เ ขาเห็ น คื อ อุ ก อุ ย เพือ่ นรักของเขานอนหลับอยูข่ า้ งกายไม่หา่ ง เด็กชายน�ำ้ ตารืน้ และโอบกอดตุก๊ ตา เพื่อนซี้ด้วยความรัก กระรอกน้อยขนปุยกล่าวกับเด็กชายว่า “ฟื้นแล้วเหรอ ปล่อยให้รอตั้งนาน นึกว่านายจะไม่มาเล่นกับฉันอีกซะแล้ว” คนป่วยเพิ่งฟื้น หัวเราะทั้งน�้ำตา มันเป็นน�้ำตาแห่งความดีใจและประทับใจในความรักที่ตุ๊กตา ตัวน้อยๆ ตัวนี้มีให้กับเขา “เจ้าบ้า ถ้าไม่มีฉันแล้วนายจะเล่นกับใครล่ะ” หลังจากนั้นมาเด็กชายก็พาเพื่อนของเขาไปด้วยกันทุกที่ ตอนพักกลางวัน เพือ่ นๆ ทุกคนก็มกั จะเอาของเล่นออกมาเล่นกัน เด็กชายรูส้ กึ ว่าเพือ่ นๆ หลายคน มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ที่เขาหยิบอุกอุยเพื่อนรักออกมาเล่นและพูดคุย 38
กับมัน บางคนก็แอบไปนินทาลับหลังว่าเขาเพี้ยนบ้าง เบี่ยงเบนบ้าง แต่เขา ก็ไม่สนใจ หลายคนมั ก คิ ด ว่ า เด็ ก ผู ้ ช ายที่ เ ล่ น ตุ ๊ ก ตามั ก จะไม่ ค ่ อ ยปกติ มี ที่ ไ หน เด็กผู้ชายเล่นตุ๊กตา เพราะส่วนมากเพื่อนๆ ผู้ชายในชั้น ถ้าไม่เอาพวกหุ่นยนต์ การ์ดเกม รถบังคับมาเล่นกันตอนพักเที่ยง ก็มักจะออกไปเล่นฟุตบอลหรือเล่น กีฬากันมากกว่า ไม่มีเด็กผู้ชายคนไหนเล่นตุ๊กตาเลย เด็กชายจึงถูกเพื่อนๆ มองด้วยสายตาแปลกๆ เช่นนั้นตลอดมา “ท�ำไมเธอถึงไม่เล่นหุ่นยนต์หรือเล่นกีฬาเหมือนพวกผู้ชายล่ะ” เด็กหญิง หน้าตาสดใสน่ารักคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น เธอรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับพฤติกรรม ของเด็กชายมานานแล้ว และเธอคิดว่าเพื่อนๆ ทุกคนก็คงอยากจะฟังค�ำตอบ ของเขาเช่นกัน “อ๋อ อุกอุยน่ะเหรอ เขาเป็นเพือ่ นคนแรกของเรา ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด อีกอย่างเราไม่ค่อยชอบพวกหุ่นยนต์เท่าไหร่ เล่นกับอุกอุยสนุกกว่าเยอะ เขาพูด ได้นะ เธออยากคุยกับเขาหรือเปล่าล่ะ” เด็กชายยิ้มอย่างร่าเริง คนที่ได้ยินเสียง ของอุกอุยมีเพียงแค่เขาคนเดียวในโลก เพราะเสียงนั้นเป็นเสียงที่เปล่งออกมา จากหัวใจด้วยความรักและความผูกพัน เมื่อได้ยินดังนั้นเด็กหญิงก็เข้าใจแล้วว่า เด็กชายเป็นคนอย่างไร เขาต้องเพี้ยนมากแน่ๆ ที่คุยกับตุ๊กตา เธอเพิ่งจะเคยเห็น กับตาก็วันนี้นี่เอง เพื่อนๆ ในห้องเห็นเด็กหญิงเดินเข้ามาคุยกับเขาจึงเกิดความสงสัยเป็น ธรรมดา ปริศนาที่ปกคลุมห้อง ป.5 ค. จะถูกตีแผ่เสียที “ฉันว่าเขาต้องบ้าแน่ๆ มีอย่างที่ไหนคุยกับตุ๊กตาได้ แถมยังชวนฉันคุยกับมันด้วยนะ ประหลาดจริงๆ” หลังจากนั้นก็เกิดเสียงซุบซิบนินทาเด็กชายอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ข้อสันนิษฐาน ที่เด็กชายเบี่ยงเบนทางเพศเริ่มถูกแทนที่ด้วยค�ำถามใหม่ที่ว่า เขาปัญญาอ่อน หรือเปล่า? แม้จะถูกเพื่อนๆ มองว่าเป็นคนอย่างไร เด็กชายก็ไม่สนใจ อุกอุยเป็นเพื่อน 39
ที่ดีที่สุดของเขา ใครจะพูดอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ เพราะสิ่งที่เขาคิดกับสิ่งที่คนอื่น มองเห็นนั้นไม่มีทางจะเหมือนกันได้อยู่แล้ว ถ้าไม่เป็นเขาก็ไม่มีวันรู้ว่าตุ๊กตา กระรอกขนปุยตัวนี้มีความส�ำคัญอย่างไร และท�ำไมเขาถึงรักมันมากขนาดนี้ ด้วยความผูกพันกันมายาวนาน และผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย อุกอุย เป็นเพื่อนคนแรกของเขา เป็นเพื่อนที่เขาคุยด้วยเป็นคนแรก จนกลายมาเป็น ความรักที่ตัดไม่ขาด และไม่มีใครจะมาแทนมิตรภาพของทั้งสองได้ เขาได้แต่ หวังว่าสักวันหนึ่งทุกคนจะเข้าใจตัวเขา สักวันหนึ่ง... “อย่าคิดมากนะ ฉันเชื่อว่าเพื่อนๆ ต้องเข้าใจนายอย่างแน่นอน” ตุ๊กตา เพื่อนรักเอ่ยออกมาเรียกรอยยิ้มเล็กๆ ให้ผุดขึ้นตรงมุมปากของเด็กชายอีกครั้ง หลั ง จากที่ บึ้ ง ตึ ง มานาน เขาอยากให้ เ พื่ อ นๆ ทุ ก คนเข้ าใจเขา ยอมรั บ เขา และเขาเองก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของทุกคนเช่นเดียวกัน ในที่สุดเด็กชายก็รวบรวมความกล้า เปิดอกพูดคุยกับเพื่อนๆ ถึงสิ่งที่เขารัก ความผู ก พั น ระหว่ า งเขากั บ ตุ ๊ ก ตากระรอกตั ว นี้ เขาเล่ า ถึ ง ความสั ม พั น ธ์ ความประทับใจ ตลอดจนเหตุการณ์อุบัติเหตุในวันนั้น เพื่อนๆ ผู้หญิงหลายคน ได้ฟังแล้วถึงกับกลั้นน�้ำตาไว้ไม่อยู่ ส่วนทางฝ่ายผู้ชายแม้จะไม่ร้องไห้แต่ก็ เห็นใจและเข้าใจเด็กชายเช่นเดียวกัน เพื่อนๆ ในห้อง ป.5 ค. ต่างขอโทษที่คิดว่า เด็กชายเป็นคนแบบนั้นโดยไม่เคยฟังในสิ่งที่เขาจะพูดเลย เด็กชายน�้ำตาคลอ ที่เพื่อนๆ เข้าใจและยอมรับเขา มือเล็กๆ ของอุกอุยแตะหลังเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “ดีใจด้วยนะเพื่อน” หลังจากนั้นเด็กชายก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป เขามีเพื่อนมากขึ้น มีรอยยิ้ม ที่สดใส เข้ากับเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดีทั้งเพื่อนผู้หญิงและผู้ชาย ไม่มีใครล้อเขา เรื่องเล่นตุ๊กตาอีกแล้ว ในตอนนี้ทุกคนต่างล้อมวงเล่นของด้วยกัน ไม่แบ่งแยก ชาย-หญิง ยิ่งท�ำให้ชีวิตในวัยเด็กของเขาสดใสขึ้นมาทันที จากเด็กชาย เขาเริ่มเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่น เขาได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากมาย แต่ไม่ว่าเขาจะโตขึ้นแค่ไหน เขาก็ยังให้ความส�ำคัญกับอุกอุย เพื่อนคนแรก 40
ในชีวิตของเขาอยู่เสมอ จนเมื่อเขาแต่งงานและมีลูกชายหนึ่งคน เขาพาลูกชาย หัวแก้วหัวแหวนไปเดินเลือกซือ้ ของทีห่ า้ งสรรพสินค้าใจกลางเมือง ลูกชายวิง่ ซน ไปทั่ว แต่กลับมาหยุดนิ่งอยู่ที่แผนกของเล่น ก่อนพูดกับเขาขึ้นว่า “พ่อฮะ ผมอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้ พ่อซื้อให้ผมได้ไหมฮะ” เด็กชายกล่าวพลางหยิบตุ๊กตาตัวดังกล่าวให้พ่อดู มันเป็นตุ๊กตากระรอก น่ารักนุม่ นิม่ หน้ากอด ทีส่ ำ� คัญมันเหมือนกับอุกอุยเพือ่ นรักของเขาไม่มผี ดิ เพีย้ น! ชายหนุ่มจ่ายเงินซื้อโดยไม่ต้องคิด นี่คงเป็นโชคชะตาของเขาสองพ่อลูกที่ผูกพัน กับตุ๊กตากระรอกตัวนี้ “นี่ไม่ใช่ตุ๊กตาธรรมดา แต่เขาคือเพื่อนของเรา ดูแลเขาดีๆ นะลูก” เด็กชายพยักหน้ารับก่อนจะหยิบเอาตุ๊กตามากอดอย่างมีความสุข เขาได้แต่หวังว่าลูกของเขาจะได้ยินเสียงของอุกอุยเช่นเดียวกันกับเขา เสียงที่ต้องใช้หัวใจฟัง เสียงแห่งมิตรภาพ และความผูกพัน
41
บ้านฟาง สรัญรส ทรัพย์ชนะสิทธิ์
44
คนเราเกิดมาทุกคนย่อมมีความฝัน ฝันเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ก็ว่ากันไป บางคน อาจจะฝันให้ได้เป็นนักเรียนที่รักของคุณครู บางคนก็ฝันอยากเป็นคุณครูที่รัก ของนักเรียน บางคนก็ฝันอยากเป็นเด็กดีของพ่อแม่ บางคนอยากเป็นพ่อแม่ที่ดี ของลูก บางคนอาจจะฝันอยากเป็นซูเปอร์สตาร์ อยากเป็นมหาเศรษฐี บางคน ฝันอยากเป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากขนาดความเล็กใหญ่ของความฝันแล้ว ส�ำหรับฉัน ฝันยังมีระยะทางอีกด้วย ฉันมีความฝันระยะสั้นอยู่หลายฝัน แต่มีอยู่ หนึ่งฝันที่เดินทางมากับฉันตั้งแต่เด็กจนโต ฉันเรียกมันว่าความฝันมาราธอน ฝันระยะทางไกลๆ ของฉันคือฝันที่อยากจะมีบ้านเป็นของตัวเอง ฉันเชื่อว่าเมื่อคนเรามีฝัน ก็ควรจริงจังกับความฝันของเราเอง ไม่รอช้า ฉันจึง เริ่มมองหาท�ำเลสร้างบ้านของตัวเอง และในที่สุดฝันของฉันก็เป็นความจริง ฉันพบทีท่ เี่ หมาะส�ำหรับสร้างบ้านหลังแรกของฉัน มันเป็นทีท่ ไี่ ม่ใหญ่มากและอยู่ ใกล้นดิ เดียว เพราะมันอยูใ่ ต้เตียงนัน่ เอง เตียงทีว่ า่ เป็นเตียงไม้ทใี่ ช้สำ� หรับนัง่ เล่น ของคนในบ้าน ซึ่งมีพื้นที่มากพอให้เด็กคนหนึ่งมุดไปอยู่ข้างในได้ ฉันจึงจัดการ 45
เอาผ้าห่มมาคลุมเตียงไว้ เพื่อเป็นผนังของบ้านและป้องกันแสงเข้า เพราะฉัน คิดว่า คนเราจะนอนในบ้านทีม่ นั สว่างๆ ได้ยงั ไงกัน บ้านใต้เตียงหลังแรกจึงมีอายุ แค่ครึ่งวัน เพราะมันมืดและร้อนมาก ฉันไม่ถอดใจและล้มเลิกความฝันนี้ไปง่ายๆ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน บ้านหลังที่สองของฉันก็ตามมา จากประสบการณ์บ้านหลังแรก ฉันเรียนรู้ความ ผิดพลาดจากบ้านหลังแรก ท�ำให้ฉันออกแบบบ้านหลังนี้โดยค�ำนึงถึงหลัก สถาปัตยกรรมมากขึ้น บ้านหลังนี้ของฉันจึงมีเสาเพื่อเป็นฐานรองรับหลังคา เสาที่บ้านฉันคือตะกร้า และมีหลังคาเป็นเสื่อ ฉันได้แนวคิดนี้มาจากเพลง เพลงหนึ่งที่คนแถวบ้านร้องกันบ่อยในวงเหล้าที่มีเสียงเคาะขวดประกอบจังหวะ โดยเฉพาะท่อนที่ว่า ฉันมีฟ้าเป็นมุ้ง ฉันมียุงเป็นเพื่อน ฉันมีพื้นดิน เหมือนดั่ง พื้นเรือน นกหนูเป็นเพื่อน กล่อมเตือนให้สุขใจ... แต่บ้านหลังนี้ก็มีอายุไม่ถึง หนึ่งวันเช่นกัน เพราะเสาบ้านฉันเป็นเสาอเนกประสงค์ ที่เป็นได้ทั้งเสาบ้าน และตะกร้าใส่ผ้าในเวลาเดียวกัน มันจึงต้องท�ำหน้าที่ที่ส�ำคัญและเหมาะกับมัน มากกว่า เพราะเหตุนี้ฉันจึงต้องยอมให้ตะกร้ากลับไปท�ำหน้าที่ของมันต่อไป นอกจาก เตียง ตะกร้า ผ้าห่ม และเสื่อแล้ว สิ่งของอื่นๆ ภายในบ้านต่าง ก็ได้รับเชิญมาท�ำหน้าที่เสริมที่ดูจะไม่เหมาะกับตัวเองสักเท่าไหร่ มีทั้งผ้านวม ลังกระดาษ กะละมัง โต๊ะที่ทยอยกันมาท�ำหน้าที่เสริมนี้ แม้แต่ตู้เสื้อผ้าก็เคย เปลี่ยนสถานะเป็นบ้านชั่วคราวของฉันมาแล้ว ทั้งมืดและร้อน แถมยังมียุง เป็นเพื่อน แต่ฉันก็มีความสุขที่ได้อยู่ในโลกแห่งจินตนาการของตัวเอง จิ น ตนาการเป็ น ผู ้ ส นั บ สนุ น หลั ก ของนั ก ฝั น ฉั น ที่ (คิ ด เองเออเองว่ า ) เป็นนักฝันมาราธอน จึงสนุกกับจินตนาการอันล�้ำเลิศของตัวเองอย่างเต็มที่ ครั้งหนึ่งฉันเคยมีสระว่ายน�้ำส่วนตัว เพียงแค่ฉันพาตัวเองลงไปในอ่างที่ใส่น�้ำ ไว้เต็มอ่างเพื่อคนในบ้านจะใช้ล้างหน้า สระผม แปรงฟัน แต่ฉันกลับลงไปแหวก ว่ายและคิดว่าเป็นสระว่ายน�้ำส่วนตัวซะนี่ หลังจากนั้นฉันก็ไม่อาจจินตนาการ ได้อีกว่า น�้ำในอ่างยังมีคุณสมบัติทางเคมีพอที่จะท�ำปฏิกิริยากับสบู่ ยาสีฟัน 46
ยาสระผม จนเกิดฟองได้อีกหรือเปล่า? แต่จินตนาการบ้านในฝันของฉันก็ไม่ได้จบไปตามปฏิกิริยาเคมีของน�้ำ เมื่อวัสดุอุปกรณ์ทั้งหลายในบ้านได้ทยอยมารับหน้าที่เสริมกันครบแล้ว ฉันจึง มอบโอกาสนั้นให้กับสมาชิกนอกบ้านบ้าง บ้านหลังต่อมาของฉันจึงเป็นบ้าน ที่ ส ร้ า งจากทางมะพร้ า วหรื อ ใบมะพร้ า วนั่ น เอง โดยการเอาไม้ ม าปั ก เป็ น โครงสร้างของบ้าน แล้วก็เอาทางมะพร้าวที่ลากจากใต้ต้นมะพร้าวมาวาง พาดเป็นหลังคาและผนัง นอกจากท�ำหน้าที่เป็นบ้านแล้ว บ้านหลังนี้ของฉัน ยังได้รับเกียรติเป็นห้องเรียนให้เด็กๆ ในละแวกบ้านของฉันด้วย โดยมีพี่สาวใจดี ข้างบ้านที่มีความฝันอยากจะเป็นคุณครูที่รักของนักเรียนมาเล่นเป็นคุณครู นักเรียนกัน พี่สาวสอนจริงจังและมีสมุดการบ้านให้พี่คุณครูตรวจด้วย ใครชอบ บอกว่า เด็กชอบท�ำอะไรแบบเล่นๆ แต่การเล่นแบบจริงจังก็มีนะ หลังจากนั้นฉันก็ได้เรียนรู้ว่า นอกจากปูนตราเสือ ตราช้าง ตรานกอินทรี ตราสารพัดสัตว์ทงั้ หลาย ไม้ฝาเชอรี่ เอ้ย! ไม้ฝาเชอร่า และหลังคาตราห้าห่วงแล้ว ก็ยังมีวัสดุอื่นๆ อีกมากมายนักที่สามารถน�ำมาสร้างบ้านได้ แล้วคุณเชื่อหรือไม่ ว่าแม้กระทั่งขวดพลาสติกก็สามารถน�ำมาสร้างบ้านได้เช่นกัน ในต่างประเทศ อัลเฟรโด ซานตา ครูซ ชาวอาร์เจนตินา ก็สร้างบ้านจากวัสดุเหลือใช้จ�ำพวก ขวดน�้ำพลาสติกทั้งหลังมาแล้ว นับตั้งแต่ผนัง เสา เตียงนอน โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ เพื่อให้เป็นบ้านส�ำหรับผู้ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและชื่นชอบวิถีชีวิตแบบพอเพียง สวนกับวิถีชีวิตแบบตามความพอใจในทุกวันนี้ ส่วนตัวอย่างในประเทศไทย ของเราก็มบี า้ นดินของ โจน จันได ผูเ้ ชีย่ วชาญในการสร้างบ้านดินของประเทศไทย เจ้าของปรัชญาชีวิตที่ว่า “ชีวิตมันเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เราท�ำให้มันยากเอง” ที่เผยแพร่การสร้างบ้านดินเพื่อให้คนเราหันกลับมาพึ่งตนเอง ในยุคที่ทุกคน หันไปพึ่งพา Facebook, Google, Apple และ Twitter กันมากขึ้น แต่มวี สั ดุอกี ชนิดหนึง่ ทีฉ่ นั ในวัยเด็กคาดไม่ถงึ ว่าจะสามารถน�ำมาสร้างบ้าน ได้ เพราะถ้าเอามาสร้างบ้านต้องมีคนเคือง เอ๊ะ! หรือสัตว์มีเขาเคืองแน่ๆ และยัง 47
อาจถูกแม่ดุ เพราะทุกครั้งที่เล่นมันจะคันมาก แต่ก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถ ออกแบบจนกลายเป็ น ที่ อ ยู ่ อ าศั ย ที่ เ ป็ น มิ ต รกั บ สิ่ ง แวดล้ อ มได้ มั น ก็ คื อ บ้านฟางข้าว หรือ Cob ซึ่งเป็นวัสดุผสมจากโคลนและฟาง ข้อดีของมันก็คือ มีคุณสมบัติในการป้องกันความร้อนและความหนาวได้ดีมาก แถมยังสามารถ ประหยัดพลังงานทีจ่ ะใช้ในการปรับอุณหภูมบิ า้ นได้มากกว่าบ้านธรรมดาถึงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษที่บ้านแบบไหนๆ ก็ท�ำไม่ได้ นั่นก็คือการปรับความชื้นของตัวบ้าน ในช่วงที่ความชื้นสูง ผนังบ้านจะดูด ความชื้นเข้าเก็บไว้ ท�ำให้ห้องไม่ชื้นมากเกินไป ขณะที่เมื่อความชื้นต�่ำ อากาศ แห้ง ผนังก็จะคลายความชื้นออกมาในห้อง สร้างความสบายให้กับเจ้าของบ้าน ได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีชั้นสูงแต่ประการใด ฉันก็เคยมีบ้านฟางเหมือนกัน บ้านฟางหรือกระท่อมฟางสมัยฉันเป็นเด็กๆ ถูกสร้างขึ้นในฤดูหนาว (ในสมัยที่ประเทศไทยยังมีฤดูหนาวเกิน 10 วัน) มันดู คล้ายกับบ้านเอสกิโมอยู่มากทีเดียว แค่เปลี่ยนจากน�้ำแข็งเป็นฟางเท่านั้น ข้อดีของบ้านฟางหลังนี้ก็คือมีคุณสมบัติในการป้องกันความหนาวกายและ หนาวใจได้ดีมาก สามารถประหยัดพลังงานในการปรับอุณหภูมิของร่างกาย และจิตใจได้ดี นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษที่บ้านแบบไหนๆ ก็ท�ำไม่ได้ คือการปรับความสุข ทุกข์ของคนในบ้าน ในช่วงทีค่ วามทุกข์สงู คนในบ้านจะช่วย แบ่งเบาความทุกข์นั้นมาเก็บไว้ ท�ำให้เราไม่ทุกข์มากเกินไป ในขณะที่เมื่อความ ทุกข์ต�่ำ มวลความสุขสูง ทุกคนในบ้านก็จะมาช่วยกันยินดีปรีดากับความสุขนั้น ให้เพิม่ มากขึน้ จนแทบล้นทะลัก สร้างความอบอุน่ ให้กบั คนในบ้านได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีชั้นสูงแต่ประการใดเช่นเดียวกัน จ�ำได้ว่าในคืนนั้นเราทุกคนในบ้านมานอนรวมกันในบ้านฟาง มันเป็นฤดู หนาวทีอ่ ากาศเย็นมาก และฉันก็ยงั จ�ำความรูส้ กึ ในคืนนัน้ ได้ดี ความรูส้ กึ ทีไ่ ด้นอน ในบ้านฟางกับทุกคนในครอบครัว ท�ำให้เราได้นอนเบียดกัน กอดกัน ก่ายกัน และเกยกัน อุณหภูมิที่เกือบติดลบท�ำอะไรเราไม่ได้เลย มันเป็นค�่ำคืนที่อบอวล 48
ไปด้วยความสุข และอบอุ่นไปพร้อมกัน การมีฝันมาราธอนท�ำให้ฉันมีบ้านมาแล้วหลายหลัง แต่เมื่อมีบ้านฟาง ฉันก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าบ้านให้ความอบอุ่นแก่เราก็จริง แต่คงไม่มากเท่าเรา ให้ไออุ่นแก่กัน
49
หมาและแมว วัชราพร ผลดี
52
จู่ๆ เพื่อนชื่อเต๋า ก็โทรศัพท์มาชวนไปย่านขายสัตว์เลี้ยงแห่งหนึ่งในจังหวัด อยุธยาหลังเลิกเรียน เมื่อฉันเดินจากเต๋าซึ่งพูดคุยอยู่กับเจ้าของร้านขายอาหาร สัตว์ ผ่านร้านขายแม่พันธุ์กระต่ายที่นอนขี้เกียจ เหยียดตัวยาวอยู่ในกระบะ หน้าร้าน ผ่านกรงนกหัวจุกที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วคุยกันข้ามกรง จนเท้าทั้งสองข้าง พาตัวฉันมาหยุดอยู่หน้าร้านขายปลาขนาดย่อม ฉันก้าวขาเข้าไปด้วยความสนใจตามทางเดินแคบๆ ซึ่งไม่สามารถเดินสวน กั น ได้ เ พราะทั้ ง ฝั ่ ง ซ้ า ยและขวาถู ก ขนาบด้ ว ยตู ้ มั จ ฉาหลากหลายสายพั น ธุ ์ รวมถึง ‘ปลาทอง’ ที่นั่นไม่ได้กว้างขวางหรือมีสัตว์แปลกๆ เหมือนสวนจตุจักร แต่มันก็ท�ำให้ความทรงจ�ำของฉันผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด เมือ่ ก่อนทีฉ่ นั ตัวกะเปย๊ี กหมาเลียตูดถึง ฉันจ�ำได้ดวี า่ ฉันอยากมีสตั ว์เลีย้ งมาก ถึ ง แม้ บ ้ า นเราเคยเลี้ ย งนกแก้ ว กระรอก ปลา แต่ นั่ น ไม่ ใ ช่ ข องฉั น สั ก ตั ว ความอยากได้อยากมีสตั ว์เลีย้ งเป็นของตัวเองท�ำให้ฉนั อ้อนวอนขอเลีย้ งสัตว์เลีย้ ง จากแม่ อ ยู ่ บ ่ อ ยครั้ ง แต่ ไ ม่ มี ที ท ่ าว่ า แม่ จ ะใจอ่ อ นยอมให้ ฉั น เลี้ ย งสั ต ว์ เ ลย 53
และทุกครั้งแม่จะยกเหตุผลต่างๆ นานาให้ฟังจนคล้อยตาม แม้พ่อจะเข้ามา ช่วยฉันพูดบ้าง แต่คำ� ตอบทีไ่ ด้รบั มาก็ไม่ตา่ งจากเดิมเลย ทัง้ ฉันและพ่อจึงไม่รวู้ า่ สาเหตุแท้จริงที่แม่ไม่ยอมให้ฉันเลี้ยงสัตว์คืออะไร ป.2 “แม่ ซื้อแฮมสเตอร์ให้หนูเลี้ยงหน่อยนะ” “อย่ า เลยลู ก มั น ซนมากเลยนะ เดี๋ ย วจะหลุ ด มากั ด เสื้ อ ผ้ า เสี ย เปล่ า ๆ” แม่ชักจูงฉันด้วยเหตุผล ม.1 “แม่ๆ หนูอยากเลี้ยงกระต่าย” “บ้านเราอากาศร้อน แถมยังเลี้ยงหมาอีก กระต่ายมันตกใจง่าย กลัวจะช็อก ตายซะก่อนโต” เหตุผลของแม่ฟังขึ้นจนฉันคล้อยตาม ม.4 “แม่ หนูจะเลี้ยงปลาทองนะ” “ปูนไปโรงเรียนแล้วใครจะให้อาหาร ความรับผิดชอบก็ไม่มี แม่วา่ ตัง้ ใจเรียน เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ” แม่ของฉันเป็นแม่คนเดิมทีย่ งั มีเหตุมผี ลกับลูกเสมอ จึงท�ำให้ฉันต้องพับโครงการเลี้ยงปลาทองเก็บไปอย่างจ�ำใจ “ปูน! มึงอยากเลี้ยงก็ซื้อไป ยืนจ้องอยู่ได้” เสียงของเต๋าเรียกฉันออกมาจาก ภวังค์แห่งความทรงจ�ำ ฉันใช้เวลาอยู่กับการตัดสินใจไม่นานนักก็ตกลงซื้อลูก ปลาทองมาเลี้ยงสองตัว เหตุผลที่ฉันเลือกเลี้ยงปลาทองนั้นเป็นเหตุผลค่อนข้างจะเอาแต่ใจมาก หนึง่ มันต้องว่ายน�ำ้ เก่ง...ส�ำหรับฉันการว่ายน�ำ้ เก่งหมายถึง ปลาทีม่ ลี กั ษณะ ซุกซน ไม่เซื่องซึมเป็นปลาป่วย สอง ฉันอยากได้ลูกปลาทองที่ขนาดตัวไม่เท่ากัน ตัวนึงใหญ่ ตัวนึงเล็ก เพื่อที่ฉันจะได้สมมติให้มันเป็นพี่น้องกัน คงจะเป็นเรื่องยากที่จะหาลูกปลาทองลักษณะอย่างว่า ท่ามกลางเพื่อนร่วม 54
สปีชีส์เดียวกันนับร้อยตัวในตู้ปลาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวประมาณเมตรครึ่ง แต่ความสามารถที่ฉันมีในดวงตาคู่ซุกซนก็ส่งผลให้ฉันไปสะดุดกับลูกปลาทอง ทั้งสองจนได้ ฉันถึงบ้านพร้อมลูกปลาทองสองตัวโดยที่ไม่มีโหลแก้วทรงกลมติดมือกลับ มาด้วย เป็นเพราะฉันอยากให้ปลาได้แหวกว่ายอยู่ในบริเวณกว้าง เต๋าบอกกับ ฉันว่าการใช้โหลแก้วเลี้ยงจะท�ำให้ปลาทองของฉันเสียศูนย์ได้ง่าย เพราะมัน จะว่ายวนตามรูปโหลเป็นวงกลม ฉันไม่รู้ว่าที่เต๋าพูดจริงหรือเปล่า แต่ที่ฉันรู้แน่ๆ โหลแก้วร้านนี้มีราคาแพงมาก ฉันจึงใช้อ่างบัวที่ไม่มีบัวของแม่เป็นบ้านให้ พวกมัน ผลพวงจากการใช้อ่างบัวคือเสียงบ่นของแม่ที่ตามมาไม่หยุดหย่อน ถึงแม้ปากแม่จะบ่นฉัน แต่มือแม่นั้นก็คอยให้อาหารพวกมันอยู่ไม่ได้ขาด ‘หมา’ และ ‘แมว’ คื อ ชื่ อ สมมติ ซึ่ ง ฉั น คิ ด ขึ้ น มาให้ ลู ก ปลาทองทั้ ง สอง เพื่อเลียนแบบเทคนิคการตั้งชื่อนกแก้วของเต๋าที่มีชื่อว่า ‘ไก่’ หลังจากนั้นพอมี เวลาว่างฉันจะนั่งกอดเข่าอยู่ข้างอ่างบัวหน้าบันไดบ้าน ดูมันส่ายสะบัดไขมัน ไปมาได้ทั้งวัน บางครั้งเอานิ้วไปแหย่พุงมันบ้าง ให้อาหารบ้าง หรือนั่งมองเฉยๆ และฉันมักยิม้ ออกมากับรูปร่างแสนตลกของมัน ฉันสมมติเจ้าหมาให้เป็นพีใ่ หญ่ ตามขนาดของมัน รูปร่างที่อ้วน มีครีบและหางค่อนข้างสั้น ส่วนเจ้าแมวน้องเล็ก ตรงปากของมันจะเป็นรอบวงสีขาวราวกับผู้หญิงทาลิปสติก หน้าตาผิดแปลก จากปลาทองตัวอื่นที่ฉันเคยเห็นมา เหตุการณ์วนเวียนซ�ำ้ อย่างนีเ้ รือ่ ยมา จนเย็นวันหนึง่ ถัดจากคริสต์มาสได้สอง วัน ฉันก�ำลังจะให้อาหารเจ้าหมากับเจ้าแมวเหมือนทุกวัน แต่เมื่อมาถึงอ่างบัว ฉัน รู ้ ได้ ทันที ว่ า มันไม่เหมือนทุกวันที่ผ ่านมา มี เพี ย งเจ้ า แมวเท่ า นั้ น ที่ ยั ง คง ว่ายน�้ำอยู่ และใกล้ๆ กันฉันพบเจ้าหมานอนหงายท้องชิงตายจากเจ้าแมว ไปตอนไหนก็ไม่รู้... ฉันเคยถกเถียงกับเต๋าเรื่องการตายของเจ้าหมา ฉันให้เหตุผลว่า “ปลาทอง มีความจ�ำสั้นท�ำให้มันกินอาหารได้ตลอดเวลาจนท้องอืดตาย” แต่เต๋าบอกว่า 55
“ปลาทองก็มีความจ�ำเหมือนปลาตัวอื่นๆ คือมีระยะเวลาความจ�ำสามเดือน และพวกมันสามารถจดจ�ำปลาอีกตัวที่อยู่ด้วยกันได้” ฉันยอมแพ้ต่อเหตุผล ของเต๋า ทั้งที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าข้อมูลที่เต๋าบอกนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า ในทีส่ ดุ เจ้าแมวก็ตายตามเจ้าหมาไปในกลางเดือนแรกของปโี ดยไม่รสู้ าเหตุ บางทีมนั คงจดจ�ำเจ้าหมาทีอ่ ยูด่ ว้ ยกันได้เหมือนทีเ่ ต๋าเคยบอก บางทีมนั คงคิดถึง เจ้าหมา บางทีมันคงไม่อยากอยู่ล�ำพังในอ่างบัว ฉันน�ำเจ้าแมวไปกลบฝัง ในกระถางกุหลาบหนูของแม่ที่เดียวกับเจ้าหมา เจ้าหมาและเจ้าแมวเป็นปลาทองคู่แรกในชีวิต พวกมันท�ำให้ฉันได้รู้ซึ้ง ถึงประโยคที่ว่า “เราเสี่ยงต่อการร้องไห้ เมื่อเราปล่อยตัวให้สร้างความสัมพันธ์ ขึ้นมา” เหมือนนักบินที่ได้เข้าใจเจ้าชายน้อยและสุนัขจิ้งจอกใน เจ้าชายน้อย วรรณกรรมเล่มโปรดของฉันของ อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี คุณลุงนักเขียน ชาวฝรั่งเศส ความพิ เ ศษของหมาและแมวท�ำ ให้น�้ำ ตาของฉั น พรั่ ง พรู อ อกมาทุ ก ครั้ ง ที่ตัวใดตัวหนึ่งจากไป และทุกครั้งแม่จะยืนข้างฉัน เอามือลูบหัวแล้วบอกว่า “อย่าคิดมากเลยปูน สักวันสัตว์มันก็ต้องตายไปตามธรรมชาติ” ฉันคิดว่าแม่คง ไม่อยากเห็นฉันเสียใจ และอาจเป็นสาเหตุทแี่ ม่คอยห้ามปรามไม่ให้ฉนั เลีย้ งสัตว์ ตั้งแต่เล็กจนโต ถึงแม้ว่าแม่จะแอบดีใจที่ได้อ่างบัวซึ่งเคยเป็นบ้านของหมา และแมวกลับไปเป็นอ่างบัวที่มีบัวสมใจแม่เหมือนเคย ฉั น ยั ง คงหวนระลึ ก ถึ ง เจ้ า หมาและเจ้ า แมวเมื่ อ เห็ น สี ส ้ ม ของมั น เสมอ เหมือนสุนัขจิ้งจอกที่ระลึกถึงเจ้าชายน้อย เมื่อเห็นสีเหลืองอร่ามของทุ่งข้าวสาลี ซึ่งเป็นสีเดียวกับผมของเจ้าชายน้อย
56
57
59
ผ้าห่ม จารุวรรณ แซ่ลี
60
ชื่อมันก็แปลตรงตัวและบอกหน้าที่ในตัวมันเองอยู่แล้วว่าเป็นผ้าที่เอาไว้ ใช้หม่ แต่สำ� หรับฉัน ผ้าห่มไม่ได้เป็นแค่ผา้ ทีช่ ว่ ยกันความหนาวเย็นยามนอนหลับ เท่านั้น มันยังเป็น ‘ผ้าดม’ อีกด้วย ฉันชอบดม ‘กลิ่น’ ของผ้าห่มมาก คุณแม่เล่า ให้ฉันฟังว่าตอนเด็กๆ ฉันชอบดมผ้าห่มมาก ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือไปนอกบ้าน จนพ่อของฉันต้องแอบขโมยเอาผ้าห่มของฉันไปทิง้ เนือ่ งจากมันขาดรุง่ ริง่ เหมือน ผ้าขี้ริ้ว และท่านก็กลัวว่าฉันจะดมจนติดเป็นนิสัย โตไปจะท�ำให้เสียบุคลิก (ถ้าตัวฉันตอนนี้ ในวัยยี่สิบสองยังคงยืนดมผ้าห่มนอกบ้านอยู่ล่ะก็… คงเป็น สภาพที่ เ กิ น จะอธิ บ ายได้ ) และฉั น ก็ ค งติ ด ผ้ า ห่ ม มากอย่ า งที่ แ ม่ บ อกจริ ง ๆ เพราะในรูปถ่ายสมัยเด็กของฉันหลายใบ มีรูปผ้าห่มสีเขียวอ่อนผืนเล็กๆ ผืนนึง ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ ฉั น ยั ง จ� ำ ได้ เ ลื อ นรางว่ า ทั น ที ที่ รู ้ ว ่ า ผ้ า ห่ ม หายไป ฉั น ร้ อ งไห้ ฟู ม ฟาย เดินกระเตาะกระแตะหาทุกซอกทุกมุมทั่วบ้าน แต่หายังไงก็หาไม่เจอ พอรู้ว่า 61
พ่อฉันเอาไปทิ้งที่ถังขยะ ฉันก็เดินไปคุ้ยขยะ แต่มันก็สายเกินไป...รถขยะมารับ ผ้าห่มของฉันไปสู่สุคติเสียแล้ว มานึกดูตอนนี้ หากฉันได้เห็นภาพตัวเองในตอนนัน้ คงอดทีจ่ ะข�ำตัวเองไม่ได้ มันคงตลกน่าดู แต่ความรู้สึกของฉันในตอนนั้น ฉันว่าฉันคงข�ำไม่ออกเลย สักนิดเดียว ฉันเสียใจที่ฉันจะไม่มีวันได้ดม ไม่มีวันที่จะได้กลิ่นผ้าห่มผืนนั้น อีกแล้ว ฉันโกรธพ่อที่ทิ้งผ้าห่มสุดที่รักของฉัน ฉันโมโหตัวเองที่ไปช่วยผ้าห่ม จากกองขยะไว้ไม่ทัน ฉันรู้สึกเจ็บใจที่ยอมให้ผ้าห่มอยู่ห่างกายในวันนั้น ‘ผ้าห่มสีเขียวอ่อน’ ผืนนั้น เป็นผ้าห่มผืนแรกของฉัน เป็นผ้าห่มที่ฉันรักมาก ต่อให้มันจะสภาพเหมือนเศษผ้าไร้ราคา แต่ฉันก็ใช้เวลากับผ้าห่มผืนนี้มากกว่า กับตุ๊กตาราคาแพงเสียอีก และก็เป็นเพราะ ‘ผ้าห่ม’ ที่ท�ำให้ฉันรู้ซึ้งถึงความรู้สึก ที่ถูก ‘พลัดพราก’ จากของส�ำคัญเป็นครั้งแรก ติดแล้ว...ติดเลย ผ้าห่มผืนปัจจุบันของฉัน เป็นผ้าห่มสีแดงเข้ม ปกคลุมด้วยลวดลายของ ดอกไม้ ผืนหนา ลักษณะคล้ายกับพรมผืนย่อมๆ สภาพก็สมบุกสมบันจาก ระยะเวลาการใช้งานอันยาวนานนับ 10 ปี ในสายตาคนทั่วไป มันก็เป็นแค่ ผ้าห่มธรรมดาผืนหนึ่งเท่านั้น แต่ ‘กลิ่น’ เป็นสิ่งที่ท�ำให้ผ้าห่มผืนนี้เป็นสิ่งพิเศษ ส�ำหรับฉัน ฉันติดกลิ่นของมัน มันเป็นกลิ่นหอมจางๆ ของน�้ำยาซักผ้า ผสมกับกลิ่น ผ้าเก่าๆ เหมือนผ้าที่ถูกพับเก็บไว้ในตู้นานๆ เป็นกลิ่นเฉพาะของบ้านฉัน ที่ท�ำให้ ฉันรู้สึกอบอุ่น สงบ และปลอดภัยทุกครั้งที่ได้กลิ่น มันเป็นเหมือนยาดมวิเศษ แบรนด์เดียวในโลกเลยทีเดียว เวลาที่ฉันรู้สึกเหนื่อย ท้อแท้ เบื่อหน่ายกับชีวิต แค่ได้ดมผ้าห่ม ฉันก็จะรู้สึกดีขึ้นมาทันที ช่วงแรกๆ ที่เอาไปซัก กลิ่นมันจะ เปลี่ยนไป มันจะหอมฉุนด้วยกลิ่นของน�้ำยาซักผ้า แต่พอใช้ไปสักพัก กลิ่นมัน จะค่อยๆ กลับมาเป็นกลิ่นเดิม…กลิ่นที่ฉันคุ้นเคย…กลิ่นของบ้าน 62
อุ่นไอ...อ้อมกอด ‘ผ้าห่ม’ ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายฉันอุ่นขึ้นเท่านั้น แต่ในยามที่ฉันต้องการ ความอบอุ่นทางใจ มันก็ท�ำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้กัน แปลกนะ เพียงแค่ได้กลิ่น ได้สัมผัส มันก็ท�ำให้ฉันมีก�ำลังใจขึ้นอย่างน่าประหลาด จนมันท�ำให้ฉันอดคิด ไม่ได้ว่านี่ฉันพึ่งพาผ้าห่มมากเกินไปหรือเปล่า? พึ่งพากลิ่น...พึ่งพาสัมผัสอัน อ่อนโยนของมัน ฉันใช้ผ้าห่มผืนนี้มานานมาก…นานซะจนเคยชิน เพราะฉันรู้ว่า มันเป็นสิ่งที่ฉันสามารถพึ่งพาและไว้ใจได้เสมอ มันสามารถปลอบโยนฉันได้ โดยไม่จ�ำเป็นต้องพูดอะไรสักค�ำ เป็นที่ซับน�้ำตายามฉันร้องไห้ เป็นผ้าคลุมโปง ยามดูหนังผี เป็นของเล่นอเนกประสงค์ชิ้นโปรดสมัยเด็ก ฉันยังจ�ำได้ดี ว่าเคยใช้ ผ้าห่มผืนนี้แทนผ้าคลุมทุกครั้งเวลาที่ฉันเล่นเป็นจอมยุทธ์หญิง ใช้แทนผ้าปูพื้น เวลาเล่นขายของท�ำกับข้าวกับน้องสาว ใช้สมมติว่าเป็นชุดราตรีสีแดงสวยหรู ยามเล่นแต่งตัว มันเป็นมากกว่าแค่ผ้าห่ม มันเป็นเหมือนอ้อมกอดแสนวิเศษทีไ่ ม่สามารถหาทีไ่ หนได้อกี แล้ว แม้กระทัง่ อ้อมกอดของคนรัก ยามที่เขาคนนั้น กอดฉัน ฉันมีความสุขเหนือค�ำบรรยาย ยามเราสองกอดกัน ท่ามกลางหิมะโปรยปราย ฉันไม่รู้สึกหนาวเลย แต่...มันก็ไม่ใช่ความอบอุน่ แบบเดียวกับทีฉ่ นั ได้รบั จากผ้าห่มผืนนี้ ไม่ใช่เลย ฉันรูด้ ี มันไม่ใช่สงิ่ ทีส่ ามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้ แต่หากคุณเคยมีความ รู้สึกคล้ายๆ กันนี้… คุณคงจะเข้าใจ วันเวลาทีย่ าวนาน ยามทีค่ วามผูกพันมากมายได้กอ่ ตัวขึน้ จนอะไรบางอย่าง ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา และเราต่างก็รู้ดีว่า ไม่ว่าใคร หรืออะไร ก็ไม่สามารถมาแทนที่ความรู้สึกนี้ได้ 63
เปลี่ยน? ‘ผ้าห่ม’ เปลี่ยนไป มันดูเก่าขึ้น เต็มไปด้วยรอยขาด รูโหว่ ขนาดมันก็เล็กลง ไม่ เ หมื อ นก่ อ น จากที่เคยคลุม ได้เลยขาของฉั น ตอนนี้ ห ่ มได้ แ ค่ ครึ่ ง ตั วฉั น เท่านั้นเอง ฉันเองก็ ‘เปลี่ยน’ ไป ฉั น สู ง ขึ้ น โตขึ้ น ความใสซื่ อ จิ น ตนาการที่ เ คยมี ใ นวั ย เด็ ก ก็ ล ดน้ อ ยลง ตามกาลเวลา เด็กหญิงในวันนั้น กลายเป็นหญิงสาวในวันนี้ เด็กผู้หญิงคนเดิมเมื่อ 10 ปีก่อน เธอไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เธอค่อยๆ หายไป... เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอรอให้ฉันปลุกจากการหลับใหล เธอหลับมานานแล้ว แม้ไม่ถึง 100 ปี เหมือนเจ้าหญิงนิทรา แต่ฉันคงต้องรีบปลุกเธอขึ้นมา ก่อนที่เธอจะหลับใหลไปตลอดกาล ฉันต้องท�ำอะไรสักอย่าง...ฉันจะไม่มีวันยอมให้เด็กคนนี้หายไปเป็นอันขาด “ขอบคุณนะ... คุณผ้าห่ม” ‘ผ้าห่ม’ เก่าๆ ผืนนี้ ช่วยท�ำให้ตัวตนของเด็กหญิงคนหนึ่งยังอยู่ ในยามที่ตัว ฉันเองเกือบจะลืมเลือนมันไป มันช่วยเก็บรักษาเด็กสาวหน้าสิว ผมบ๊อบสั้น ที่ชอบเล่นบาส ชอบกินช็อกโกแลตคิทแคทเป็นชีวิตจิตใจเอาไว้ให้ฉัน คอยย�้ำ เตือนฉันถึงตัวตนในวัยเยาว์ วัยทีไ่ ร้ความกังวล ได้เล่นสนุก ได้ออ้ นแม่โดยไม่ตอ้ ง แคร์สายตาใคร ที่ส�ำคัญมันท�ำให้ฉันตระหนักได้ว่า อย่ายอมให้ตัวตนในวัยเด็ก 64
ของเราหายไป ให้ความฝันในวัยเด็กนั้น เป็นแรงบันดาลใจให้เราท�ำวันนี้... วันที่เราเป็น ผู้ใหญ่ให้ดีและมีความหมายที่สุด เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันก็จะเป็นอีกช่วงเวลา หนึ่งที่ผ่านมา... แล้วก็จะผ่านไป เป็นดั่งสายน�้ำที่ไม่มีวันไหลย้อนกลับ ผู้ใหญ่ถึงไม่ใช่เด็ก แต่ก็เคยเป็นเด็ก แล้วท�ำไมตัวเราถึงปฏิเสธว่า ครั้งหนึ่ง ตัวเราเคยเป็นยังไงด้วยล่ะ? คุณยังจ�ำได้ใช่ไหม? ช่วงเวลาดีๆ ทีไ่ ด้ดกู าร์ตนู เรือ่ งโปรด สะสมการ์ดของแถมจากขนม แปลงร่าง เป็นยอดมนุษย์กับหุ่นยนต์คู่ใจ แต่งตัวเข้าชุดกับตุ๊กตาตัวสวย ช่วงเวลาส่วนตัวที่มีแค่ ‘คุณ’ กับ ‘ของในความทรงจ�ำ’ ของคุณเท่านั้น ไม่มีข้อจ�ำกัดเรื่องเวลาหรืออายุ ส�ำหรับฉัน...ฉันไม่ลังเลเลยที่จะบอกว่า ฉันต้องการผ้าห่มผืนนี้เสมอ ไม่ว่า เมื่อไหร่ก็ตาม และฉันก็กล้าที่จะยืดอกยอมรับอย่างอาจหาญว่า ฉัน ‘ติด’ ผ้าห่ม ผืนนี้ และยังชอบที่จะ ‘ดม’ ผ้าห่มอยู่บ่อยๆ ขอบคุณนะ... ผ้าห่ม ทีท่ ำ� ให้ฉนั รูว้ า่ ‘ความเป็นเด็ก’ เป็นสิง่ ทีม่ อี ยูใ่ นตัวทุกคน เสมอ
65
ฝน ยุพาฝัน ประชุมทอง
70
ค�่ำวันหนึ่งของวันที่ 17 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2538 เด็ ก หญิ ง กิ่ ง ก้ า นก� ำ ลั ง หมกมุ ่ น อยู ่ กั บ การคั ด ลายมื อ ตั ว เท่ า หม้ อ แกง ซึ่งเกินขนาดความจ�ำเป็นของรอยประที่ก�ำหนดไว้ เด็กหญิงกิ่งก้านรู้สึกหงุดหงิด ในใจว่าท�ำไมจึงเกิดมามีปมด้อยเรือ่ งลายมือไม่สวยเหมือนยิม้ แย้ม เพือ่ นร่วมชัน้ ทีเ่ ธอสนิทสนมเสมอมาเป็นระยะเวลาสามปีเต็ม เด็กหญิงกิง่ ก้านในช่วงชัน้ ประถม ศึกษาปีที่ 2 ก�ำลังไม่พอใจลายมือที่ตัวเองได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมผ่านแม่ หญิ ง ผู ้ ซึ่ ง กิ่ ง ก้ า นเชื่ อ มาเสมอว่ า ลายมื อ ของแม่ ไ ม่ ส มประกอบเลยสั ก นิ ด และถูกถ่ายทอดไปสู่ตัวเธอ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงที่เด็กหญิงกิ่งก้านไม่คิด จะให้อภัยแม่เลยสักครั้ง หลังจากใช้ยางลบราคาถูกลบแล้วลบอีกไม่นับครั้ง เด็กหญิงกิ่งก้านก็ยอมแพ้ต่อพันธุกรรมที่แม่มอบให้ เธอตัดสินใจคัดลายมือ ในแบบฉบับไร้รอยเส้นประต่อไป... “วันนีห้ ลายพืน้ ทีม่ ฝี นฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 50 ของพืน้ ที่ ส่วนมากบริเวณ จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช 71
อุณหภูมิต�่ำสุดอยู่ที่ 21-24 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 32-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้มีความเร็ว...” พ่อผู้ติดตามข่าวพยากรณ์ อากาศก�ำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมเครื่องใหม่ที่ซื้อมาได้สี่วัน เด็ กหญิ ง กิ่ ง ก้านเคยสงสัยว่าท�ำ ไมพ่อไม่ นึ ก ดู ข่ า วดาราเหมื อ นเธอบ้ า ง ข่าวพยากรณ์อากาศจะฉายในเวลาเดียวกับข่าวดาราที่เด็กหญิงกิ่งก้านชื่นชอบ เสมอ นั่นท�ำให้เธอตกข่าวเพราะพ่อเป็นผู้ครอบครองรีโมตทีวีแต่ผู้เดียว และนั่น เป็นสาเหตุส�ำคัญที่ท�ำให้เธอไม่ยึดติดค�ำพยากรณ์ฟ้าฝนในทีวีเลย ไม่ว่าฝน ในค�ำพยากรณ์จะตกหรือไม่ แต่เด็กหญิงกิ่งก้านก็เชื่อว่าฝนจะต้องตกมาให้เรา เห็นต่อหน้าต่อตา จึงเชื่อได้ว่า ฝนตกจริงๆ เด็กหญิงกิ่งก้านเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวสุขเสมอ พ่อของเธอ ท�ำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ แม่เป็นผู้หญิงที่ท�ำงานในบ้าน แม่ชอบบ่นขณะกวาด บ้าน ถูบา้ น กิง่ ก้านจะต้องเป็นผูฟ้ งั ไปโดยไม่ได้ตงั้ ใจ ทุกเช้าพ่อจะออกไปท�ำงาน และพกร่มติดกระเป๋าท�ำงานไปด้วย พ่อบอกว่า พ่อเชื่อพยากรณ์อากาศ 85 เปอร์เซ็นต์ อีก 15 เปอร์เซ็นต์พ่อเชื่อตัวเอง จ�ำได้ว่าพ่อเคยพูดขณะหยิบร่มสีด�ำ คันเก่าในเช้าวันสดใส “แดดส่องเปรี้ยงขนาดนี้ เราควรพกร่มไว้อย่างแน่นอน ตอนเย็นๆ ฝนร่วงเป็นแน่” น�้ำเสียงพ่อฟังแล้วหนักแน่นน่าไว้ใจ แต่ก็วางใจไม่ได้ หนึ่งเดือนมีสามสิบวัน สิบสองวันเป็นวันฝนตก อีกสิบแปดวันเป็นวันแดดส่อง พ่อทายผิดหมด เพราะปรากฏการณ์ธรรมชาติของฝนร่วงลงมาจากฟ้าคือฝนตก สลับแดดออกตลอดเดือน ซึง่ เดือนทีแ่ ล้วพิสจู น์ได้อย่างแจ่มชัดว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ของพ่อเชื่อไม่ได้เลย เด็กหญิงกิ่งก้านรักฝน ฝนเป็นน�้ำที่ร่วงโรยลงมาจากสวรรค์ เป็นฝีมือของ นางฟ้า เด็กหญิงกิ่งก้านสรุปเอาเองด้วยตาเปล่า แต่เธอเคยศึกษาเรื่องฝนอย่าง จริงจังด้วยการดูสารคดีชุด ‘มาท�ำความรู้จักฝนกันเถอะ’ ในสารคดีชุดนั้นเล่าว่า ฝนที่ตกลงมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรของน�้ำ มันเกิดจากผิวน�้ำในมหาสมุทร จะระเหยกลายเป็นไอ แล้วควบแน่นเป็นละอองน�้ำในอากาศ รวมตัวกันเป็นเมฆ 72
จนในที่สุดตกลงมาเป็นฝน ไหลลงสู่แม่น�้ำ ล�ำคลอง ไปสู่ทะเล มหาสมุทร มั น จะวนเวี ย นเช่ น นี้ เ ป็ น วั ฏ จั ก รไม่ มี ที่ สิ้ น สุ ด นั่ น ท� ำ ให้ เ ธอมหั ศ จรรย์ ใ จใน ธรรมชาติของฝนมากยิ่งขึ้น แปะ แปะ แปะ…เสียงบรรเลงของเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงบนหลังคาบ้าน ในวันเสาร์ของช่วงเย็นช่วยปกปิดสีเหลืองนวลของพระจันทร์มิดชิด แม่ผู้มีพลัง เสียงสนัน่ แก้วหูตะโกนบอกเด็กหญิงกิง่ ก้านให้ชว่ ยปิดหน้าต่างกันฝนสาดเข้ามา ในบ้ า น เด็ ก หญิ ง กิ่ ง ก้ า นที่ ก� ำ ลั ง เปลี่ ย นเสื้ อ ผ้ า เตรี ย มออกไปเล่ น น�้ ำ ฝน ไม่สามารถท�ำตามได้ เนือ่ งจากจิตใจจดจ่ออยูท่ สี่ ายฝนนอกบ้านทีก่ ำ� ลังร่วงหล่น ลงมาให้ความชุ่มฉ�่ำแก่ดวงใจของเธอ กิ่งก้านรักฝน กิ่งก้านชอบเล่นน�้ำฝน มากกว่าน�้ำจากฝักบัว กิ่งก้านเชื่อว่านอกจากวัฏจักรของน�้ำจะท�ำให้เกิดฝนแล้ว ความเย็นฉ�่ำที่สวรรค์เสกสรรให้มนุษย์ชโลมร่างกาย เพื่อเพิ่มพลังงานในชีวิต ให้มีความกระปรี้กระเปร่าก็เป็นส่วนส�ำคัญที่เธอทึกทักเอาเอง เธอเงยหน้าขึ้นมองสายฝนที่ก�ำลังร่วงหล่นลงมา แววตาเปี่ยมสุข ใบหน้า ยินดีต้อนรับ ทุกอย่างดูมีชีวิตในห้วงเวลาที่เธอได้เล่นน�้ำฝนนอกบ้าน วันไหน มีเพื่อนมาเล่นด้วย เด็กหญิงกิ่งก้านจะยืดเวลาเล่นน�้ำฝนไปจนนิ้วเริ่มเหี่ยว ไม่มีอะไรหยุดยั้งหรือชะลอการเล่นน�้ำฝนของเธอได้ นอกจากฝนจะหยุดตัวลง แม่จะบ่นกิ่งก้านทุกครั้งที่เธอออกไปเล่นน�้ำฝน เคยมีครั้งหนึ่งที่แม่ห้ามไม่ให้ เธอออกไปเล่นด้วยการหักค่าขนม เด็กหญิงกิง่ ก้านพูดในใจว่าแม่ไม่ควรขูล่ กู สาว ด้วยเรื่องอันตรายแบบนี้ แต่ไม่เป็นไรเธอมีเงินในกระปุกออมสินที่น่าจะพอมา ทดแทนเงินที่แม่หักออกไปได้ เธอจึงออกไปเล่นน�้ำฝน หากช่วงไหนฝนตก ทั้งสัปดาห์ กิ่งก้านก็ไม่เคยพลาดสักวัน แม่เคยลงโทษขั้นรุนแรงกับเธอ นั่นคือ ใช้กา้ นมะยมฟาดไปตรงน่อง กิง่ ก้านแสบๆ คันๆ และร้องไห้อยูใ่ นห้องเกือบชัว่ โมง แต่ก้านมะยมของแม่ไม่ได้ท�ำให้เธอเลิกเล่นน�้ำฝน… เด็กหญิงกิง่ ก้านเคยป่วยเพราะฝนหลายครัง้ เธอจ�ำได้วา่ คุณครูวทิ ยาศาสตร์ เคยตั้ ง ค� ำ ถามว่ า ท� ำ ไมโดนฝนถึ ง เป็ น หวั ด ไม่ มี ใ ครในห้ อ งให้ ค� ำ ตอบได้ 73
“ก่อนฝนตกจะมีกระแสลมที่คอยพัดให้พวกไวรัสลอยฟุ้งในอากาศ หากเด็กๆ อยู่ในบริเวณนั้นก่อนฝนตกมีโอกาสได้สัมผัสเจ้าไวรัสในปริมาณมากแน่ๆ” คุณครูวิทยาศาสตร์รีบแถลงไขเพื่อท�ำลายความเงียบ “แล้วใครรู้บ้างจ๊ะ ว่าเจ้าเชื้อโรคหรือเจ้าไวรัสเนี่ย มันเข้าไปอยู่ในร่างกาย ของเราได้อย่างไร” คุณครูวิทยาศาสตร์ตั้งค�ำถามอีกครั้ง “เข้ามาทางหัวเราใช่ไหมครับครู เพราะฝนจะตกลงโดนหัวเราก่อน ไอ้ไวรัส จึงเข้าไปในหัวของเราครับครู” เด็กชายแสนกล้า หัวหน้าห้องแสดงตัวเป็นผู้น�ำ คนเก่ง คุณครูวิทยาศาสตร์ยิ้มอย่างพอใจในความสนใจของเหล่านักเรียน “หากเรา ตากฝน ศีรษะของเราจะเปียกฝนก็จริงจ้ะ แต่พวกเชื้อโรคไม่ได้เข้าทางศีรษะ หรอกจ้ะ แต่ถ้าศีรษะเด็กๆ เปียกฝน จะท�ำให้อุณหภูมิในเยื่อบุจมูกลดต�่ำลง ประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส ซึง่ อุณหภูมริ ะดับนีจ้ ะท�ำให้เจ้าเชือ้ โรคหรือเจ้าไวรัส มีการแบ่งตัว และตกค้างอยูใ่ นรูจมูกของเรานัน่ เอง ฉะนัน้ เด็กๆ ไม่ควรเล่นน�ำ้ ฝน เวลาฝนตกรู้ไหมจ๊ะ เดี๋ยวจะโดนเจ้าไวรัสไปสิงอยู่ในร่างกาย” เพื่อนร่วมชั้นของ เด็กหญิงกิ่งก้านหัวเราะพออกพอใจ คุณครูวิทยาศาสตร์ก�ำลังวาดรูปน�้ำฝนอธิบายเรื่องราวให้เห็นแจ่มชัดขึ้น ด้วยชอล์กสีฟ้า หยดน�้ำฝนที่คุณครูวาดหน้าตาคล้ายหยดน�้ำตาที่มีก้นกลม และปลายบนแหลมๆ เหมือนเคยเห็นในการ์ตูน “คุณครูคะ รูปหยดน�้ำฝนต้องเป็นทรงกลมนะคะ” น�้ำเสียงหนักแน่นของ เด็กหญิงกิง่ ก้านท�ำให้คณ ุ ครูวทิ ยาศาสตร์หมดความมัน่ ใจ และแก้เขินด้วยวิธกี าร อันชาญฉลาด “แสดงว่าครูวาดไม่สวยถูกใจกิง่ ก้านสินะ งัน้ เธอออกมาวาดให้เพือ่ นๆ ดูสจิ ะ๊ หยดน�้ำฝนของเธอหน้าตาจะสวยแค่ไหน” เด็กหญิงกิ่งก้านเดินออกมาจากที่นั่ง บรรจงจับชอล์กวาดรูปหยดฝนที่เคยดูในสารคดีอย่างมุ่งมั่น “หยดฝนจะมีขนาดเล็ก มีรูปเกือบเป็นทรงกลมนะคะ แต่ถ้าหยดฝนมีขนาด 74
ใหญ่ขนึ้ ก็จะมีรปู ร่างแบนๆ คล้ายขนมปังแฮมเบอร์เกอร์คะ่ ส่วนเม็ดทีใ่ หญ่มากๆ จะมีรปู ร่างคล้ายร่มชูชพี เลยนะคะ” เด็กหญิงกิง่ ก้านวาดรูปพลางอธิบายให้เพือ่ นๆ ฟังอย่างมั่นใจ เพื่อนๆ ต่างตั้งหน้ารอดูหยดฝนของเธอ คาบวิชาวิทยาศาสตร์ วันนั้นเธอได้รับเสียงปรบมืออย่างท่วมท้น เพราะไม่มีใครรู้มาก่อนว่าหยดฝน จะมีรูปร่างทรงกลม โรงเรียนของกิ่งก้าน ในคาบวิชาภาษาไทย คุณครูสั่งการบ้านชวนขี้เกียจ นั่นคือเรียงความเรื่อง ‘สิ่งที่ฉันรัก’ เด็กหญิงกิ่งก้านไม่ชอบเรียงความเพราะต้อง ใช้เวลาเขียนยาวประมาณหนึง่ หน้ากระดาษตามทีค่ ณ ุ ครูกำ� หนด แถมไม่สามารถ ลอกเพื่อนได้ แต่อย่างไรก็ตาม เรียงความคือการบ้าน เด็กหญิงกิ่งก้านนั่งเหลา ดินสอไม้ที่เก็บได้จากโรงอาหารด้วยความรู้สึกยินดีเพราะมันเป็นสมบัติชิ้นใหม่ ที่มีสภาพดีเยี่ยม เรียงความถูกมอบหมายเบ็ดเสร็จจากคุณครู พร้อมก�ำหนด ส่งในวันศุกร์ เด็กหญิงกิ่งก้านมีเวลาเหลือเฟือ เพราะยังไงเสียพรุ่งนี้ก็เป็น วันพฤหัสบดี เธอยังคงเหลาดินสอที่ตนเป็นเจ้าของเมื่อตอนเก็บได้อย่างภูมิใจ ฤดูฝนของประเทศไทย 18 ปีต่อมา “ฤดู ฝ นของประเทศไทยในปี นี้ ไ ด้ เ ริ่ ม ต้ น ขึ้ น แล้ ว นะครั บ จากต้ น เดื อ น พฤษภาคม จะเห็นได้ว่าเริ่มมีฝนตกต่อเนื่องในภาคใต้ก่อนตั้งแต่ปลายเดือน เมษายนเลยนะครั บ คุ ณ ผู ้ ช ม สาเหตุ ม าจากลมที่ พั ด ปกคลุ ม ประเทศไทย เริ่มเปลี่ยนเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งน�ำเอาความชื้นจากทะเลอันดามันพัด เข้ามาปกคลุมประเทศไทยและอ่าวไทย ประกอบกับมีฝนตกติดต่อกันในทุกภาค ของประเทศด้วยครับ ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าสู่ฤดูฝนของประเทศไทยในปีนี้แล้ว นะครับ” เสียงรายการวิเคราะห์สภาพอากาศของกรมอุตุนิยมจากจอทีวีดังขึ้น นางสาวกิง่ ก้านเปิดมันทิ้งไว้เพือ่ ท�ำลายความเงียบในห้องขณะทีเ่ ธอใช้ผ้าขนหนู เช็ดผมที่เปียกเพราะเพิ่งอาบน�้ำเสร็จ เธอมี ใ บหน้ า ชวนมอง ดวงตากลมใส ผิ ว พรรณขาวเหลื อ ง เนื้ อ ตั ว นิ่ ม 75
น่าแตะต้อง เธอก้าวมาใช้ชวี ติ ในเมืองตัง้ แต่เรียนมหาวิทยาลัย ด้วยความเป็นเด็ก ต่างจังหวัดจึงไม่เคยชินกลิน่ อายของรถราและตึกสูง เธอท�ำงานเป็นสาวธนาคาร ที่นั่งตากแอร์ทุกวัน เพื่อนร่วมงานก็มีหลากหลายระดับให้ปรึกษาหรือเที่ยวเล่น นางสาวกิง่ ก้านปิดหน้าต่างสนิทในวันทีฟ่ า้ ฝนคะนองตามค�ำพยากรณ์อากาศ ในทีวีวันนี้ ฝนโปรยปรายอย่างหนักหน่วงแลดูฉุนเฉียว ไหนจะต้องปะทะกับ แรงลมที่พัดผ่านไปมาชวนไร้ทิศทางในคืนนี้ หยดน�้ำฝนเม็ดโตตกจากฟากฟ้า ที่มืดสนิทไร้ร่องรอยของแสงจันทรา ท้องฟ้าครึ้มกลบเกลื่อนภาพธรรมชาติ ของเจ้าต้นพลูด่างที่แขวนเรียงรายอยู่ตรงระเบียงก็ยังแลเลือนรางเห็นเป็นเงา หยาดฝนที่ร่วงหล่นลงมาเรียบร้อยแล้วยังคงติดค้างอยู่ตามวัตถุมีชีวิตบ้าง ไร้ชีวิตบ้าง พอให้รู้สึกถึงความหนาวเหน็บในราตรีนี้ นางสาวกิ่งก้านรักฤดูฝน นางสาวกิ่งก้านยังรักสายฝน แปลกก็ตรงที่เธอ ไม่กล้าออกไปเล่นน�้ำฝนเสียแล้ว พร้อมให้เหตุผลว่า ฝนท�ำให้เป็นไข้ได้หลายวัน ฝนท�ำให้รถติดขัดยืดยาว ฝนท�ำให้ต้องกลับบ้านช้า ฝนมักจะมาพร้อมกับความ แฉะที่ไม่น่าถวิลหาสักนิด ฝนท�ำให้เสื้อผ้าบางๆ ดูโปร่งใสขึ้นมาทันตา ฝนมี ข้อเสียมากไปเกินกว่าจะออกไปเล่น นางสาวกิ่งก้านเคยบ่นในใจว่า ฉันยังรักเธอนะ...สายฝน แต่มันน่ากลัวนะ ยามฟ้าผ่าเปรี้ยงขึ้นมาใครจะช่วย แล้วถ้าบังเอิญฉันป่วยจนไปท�ำงานไม่ได้ ก็ต้องโดนหักเงินเดือน ฉันกลัวนะ กลัวว่าคนจะมองมาที่ฉันขณะยืนเล่นน�้ำฝน อย่างฉ�ำ่ ใจในเวลาทีม่ นุษย์หลายคนก�ำลังรีบวิง่ หลบฝนราวกับหนีสตั ว์ประหลาด ฉันโตแล้วนะ แม่จะต้องเป็นห่วงฉันแค่ไหนหากยังเล่นน�ำ้ ฝนเหมือนตอนเป็นเด็ก ไม่ไหวหรอกนะที่ต้องมานั่งกินยาอัดเม็ดแล้วรอวันที่น�้ำมูกหดหายไปจากรูจมูก และนั่นเป็นเหตุผลมากมายที่ท�ำให้ฉันยุติสิ่งที่อยากท�ำ ว่ากันว่ามนุษย์มมี มุ มองต่อฝนทีแ่ ตกต่างกันไปตามความรูส้ กึ ส่วนตัว บางคน เปรียบฝนเป็นความเศร้าโศก ชวนหม่นหมอง แต่ตรงข้ามบางคนกลับเชื่อว่าฝน เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ความชืน่ ชมยินดี และการเจริญงอกงาม หรือหลาย 76
ครั้งที่ฝนตกพร�ำๆ อาจหมายถึงห้วงเวลาแห่งความโรแมนติกของใครหลายคน และฝนในเวลานีข้ องฉันมันคือความกลัวทีม่ าจากเหตุผลมากมาย ฉันเลิกเล่นน�ำ้ ฝนมาหลายปีแล้วล่ะ แม้ว่าฉันจะอยากกลับไปเล่นน�้ำฝนเหมือนตอนเด็กก็ตาม หลายครั้งที่นางสาวกิ่งก้านรู้สึกท้อกับชีวิตการงานอันไม่เป็นที่รัก ซึ่งเธอ เลือกมันเองกับมือ ถ้าเธอเป็นเด็กในตอนนั้นเธอคงจะเล่นน�้ำฝนไม่ต้องกลัว แม่บ่น ไม่ต้องกลัวใครมอง ไม่กลัวเจ็บป่วย แม้ใจอยากจะเล่นน�้ำฝนระบาย ความทุกข์ออกไปมากก็ตาม แต่ความกลัวที่เรียงร้อยเป็นภาพสายตาใครต่อใคร ภาพอาการป่วยหรืออะไรนานาที่เธอให้เหตุผลไว้มารุมล้อมเธอไม่ให้เดินออกไป แตะเม็ดฝนสักหยดเสียด้วยซ�้ำ...หรือนางสาวกิ่งก้านโตแล้ว ไม่ควรเล่นน�้ำฝน ด้วยเหตุผลทางแพทย์และทางสังคม นางสาวกิ่งก้านนอนกระสับกระส่ายคิด วกไปวนมา เพราะวันนีเ้ ธอโดนไล่ออกจากงานจึงนอนข่มตาไม่ลง จะด้วยสาเหตุ อะไรไม่ส�ำคัญ รู้เพียงว่าเธอเต็มใจและยินดีอย่างยิ่งกับการถูกไล่ออกในวันนี้ แม้ว่าพรุ่งนี้จะมีสถานะเป็นผู้ว่างงานก็ตาม นางสาวกิ่งก้านตัดพ้อชีวิตแบบนี้เสมอยามที่ฝนตก ยิ่งค�่ำไหนฝนตกหนัก เธออยากจะลุกไปเล่นน�ำ้ ฝนแล้วลืมความทุกข์ในใจเสียให้รแู้ ล้วรูร้ อด แต่เธอกลับ เลือกนั่งมองฝนที่ตกลงมาด้วยความรู้สึกยินดี และรู้ว่าหัวใจพองโตมากขึ้นยาม แบมือสองข้างยื่นออกไปรับน�้ำฝนเพียงไม่กี่นาที ทั้งที่ใจอยากท�ำมากกว่านั้น ไม่รวู้ า่ กีโ่ มงไปแล้ว...นางสาวกิง่ ก้านยังคงข่มตาหลับไม่ลงเสียที เธอจึงเคลือ่ น ลิ้นชักออกมาเพื่อเปิดกล่องไม้สีเหลืองที่พ่อท�ำให้เป็นชิ้นงานส่งอาจารย์วิชางาน ประดิษฐ์สมัยมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในนั้นเต็มไปด้วยจดหมายจากเพื่อนรัก เต็มไป ด้วยของขวัญวันปัจฉิมนิเทศ เต็มไปด้วย ส.ค.ส. วันปีใหม่ และภาพถ่ายหน้าตา หลายอารมณ์ของคนรักคนสนิทของเธอ ในนั้นมีแผ่นกระดาษเรียงความเรื่อง ‘สิ่งที่ฉันรัก’ ฉันชือ่ เด็กหญิงกิง่ ก้าน สุขเสมอ ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวสุขเสมอ ฉันมีพ่อและแม่เป็นสมาชิกในบ้าน ส�ำหรับสิ่งที่ฉันรัก ฉันรักพ่อ ฉันรักแม่ แต่พ่อ 77
กับแม่ไม่ใช่สิ่งของ ฉันจึงไม่ควรเขียนถึงสองคนนี้ สิง่ ทีฉ่ นั รักคือ น�ำ้ ฝน หรือบางคนก็เรียกสัน้ ๆ ว่า ฝน ฉันเคยได้ยนิ บางคนเรียก ว่าสายฝน พอฉันไปถามพ่อ พ่อบอกว่าเรียกได้หลายชื่อ หยดฝนก็ได้ ฉันจึง ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเรียกอย่างไรดี แต่ฝนมาจากน�้ำ ฉันจะเรียกน�้ำฝนก็แล้วกัน น�้ำฝนเป็นน�้ำที่ร่วงมาจากสวรรค์ เป็นฝีมือของนางฟ้า เพราะมันท�ำให้ฉันรู้สึก มีความสุขเมื่อเห็นน�้ำฝน ฉันรู้สึกชื่นใจเหมือนตอนกินไอติมครั้งแรกตอนอนุบาล สอง ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะ เมื่อน�้ำฝนตกลงมา จะมีเสียงแปะ แปะ แปะ บางทีก็มีเสียงซู่ซ่าๆ มีครั้งหนึ่งน�้ำฝนตกหนักจนหลังคาบ้านฉันรั่ว แต่ฉันก็รัก น�้ำฝนอยู่ดี ถ้าน�ำ้ ฝนเป็นคน มันก็จะเป็นเพือ่ นทีท่ ำ� ให้ฉนั หัวเราะ เป็นแม่ทคี่ อยปลอบฉัน เวลาร้องไห้เมื่อฉันคัดลายมือไม่ตรงเส้นประ เป็นพ่อที่ปรบมือให้ฉันเวลาฉัน สอบตก ฉันจะลืมเรื่องเศร้าทันทีที่น�้ำฝนตกลงมา ฉันรักน�้ำฝน และฉันก็อยาก เปลี่ยนชื่อเป็นเด็กหญิงน�้ำฝนมากๆ แต่เด็กหญิงกิ่งก้านก็เป็นชื่อที่พ่อและแม่ บอกว่าคุณปู่ชอบ ตอนทีฉ่ นั ป่วยเพราะออกไปเล่นน�ำ้ ฝนนอกบ้าน แม่กจ็ ะแสดงอาการเป็นห่วง ฉัน พ่อก็จะเอาใจฉันโดยเปิดข่าวดาราทิ้งไว้ให้ฉันดู พ่อจะกลับบ้านเร็ว แม่จะ ไม่บ่น และเราก็จะได้กินอาหารพร้อมหน้ากัน เรียงความถูกปั๊มรูปดาวเพียงหนึ่งดวง แต่พ่อวาดรูปดาวต่อท้ายไปอีกสอง ดวง กลายเป็นสามดวง กระดาษเรียงความถูกพับเก็บไว้ดังเดิม นางสาวกิ่ ง ก้านเปิดประตูเดินขึ้นไปชั้นดาดฟ้ า ของตึ ก ห้ อ งเช่ า สายฝน โปรยปรายร่วงโรยเป็นสายต้อนรับการกลับมาของเด็กหญิงกิ่งก้าน เธอเงยหน้า ขึ้นไปมองฟ้าที่มืดสนิท พลางนึกในใจว่าฉันกลัวอะไรตั้งมากมายเมื่อฉันโตขึ้น แม้กระทั่งกลัวสิ่งที่ฉันรัก สายฝนพรั่งพรูลงมาช�ำระความรู้สึกวุ่นวายใจให้ เด็กหญิงกิ่งก้านคนเดิมอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะหมุนตัวและกระโดดไปมาราวกับ อยู่ในสนามเด็กเล่น 78
79
พจนานุกรม ณัฐชยา เอกพิมพ์
82
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้พบหน้าเขา... เพื่อนเก่าของผม บ่ายวันหนึ่งผมพบใครคนหนึ่งที่แสนจะคุ้นหน้าโดยบังเอิญ ใบหน้าที่ถูก แต่งแต้มด้วยริว้ รอยแห่งกาลเวลานัน้ ไม่สามารถมองปราดเดียวก็รไู้ ด้ ผมพยายาม พิจารณาเขาตั้งแต่ส่วนบนสุดจรดเบื้องล่าง ไม่รู้ว่าเพราะสายตาที่เริ่มพร่าเลือน หรือเป็นเพราะตัวเขาเองที่เปลี่ยนไป ผมงกๆ เงิ่นๆ มองเขาอยู่นาน ความทรงจ�ำ ที่แสนเลือนรางก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น เราสองคนย้ายตัวเองออกมานั่งรับลมที่ระเบียงไม้นอกตัวบ้าน นั่งพิจารณา หน้ากันเป็นนานสองนาน ผมรู้สึกได้ว่าเขาแทบไม่มีสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงไปจาก อดีตเลย รูปร่างแบบหนายังคงเดิม แม้หน้าตาจะซีดเซียว มีริ้วรอยบนใบหน้า มากมาย แต่มันกลับช่วยขับให้ใบหน้าของเขาดูภูมิฐานยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน สภาพของผมในตอนนีไ้ ม่ต่างจากตาแก่ใกล้ลงโรง หน้าตาเหีย่ วย่น สันหลังงองุม้ สายตาหรือก็พร่าเลือนเต็มที ขนาดมือไม้ที่ยื่นไปสัมผัสเขายังยับยู่ยี่จนแทบ ดูไม่ได้ แม้เขาจะเห็นผมในสภาพแบบนี้แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรแม้ค�ำเดียว 83
ความเงียบสงบถูกแทนทีด่ ว้ ยภาพเหตุการณ์ทแี่ สนจะซีดจางราวกับภาพถ่าย ในอดีต ผมเห็นตัวเอง... ในวันนั้น วันแรกที่ผมและเขาได้รู้จักกันตามค�ำชักชวนของหญิงวัยกลางคน ผู้หนึ่งที่ผมนับถือ “ไปท�ำความรู้จักเขาเสียหน่อยเถอะ ค�ำถามไหนที่คาใจ เขาสามารถตอบ ให้ได้ รู้จักเขาไว้จะไม่เสียใจ” แม้ว่าใจยังกังขาแต่ก็ยอมไปท�ำความรู้จักกับ ‘เขา’ ผู้นั้นถึงที่บ้านแต่โดยดี บ้านของเขากว้างขวางโอ่อา่ แต่เพราะเพือ่ นฝูงและญาติพนี่ อ้ งของเขาเต็มไปหมด ท�ำให้พื้นที่กว้าง แคบลงไปถนัดตา เธอไม่ยักบอกว่า เขามีฝาแฝด... ผมคิ ด ในใจเมื่ อ ตระหนั ก ได้ ว ่ าผู ้ ค นที่ อ าศั ย อยู ่ ใ นบ้ านหลั ง นั้ น มี ห น้ าตา ที่เหมือนกันราวกับโคลนนิ่งกันมา ท�ำให้ผมชักคลื่นเหียนเวียนหัวกับคนหน้าเดิม ที่เดินสวนไปมาภายในบริเวณบ้าน ผมออกจะหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อคิด ได้ว่าท�ำอย่างไรจึงจะรู้ว่า ‘เขา’ ที่เธอหมายถึงนั้นคือผู้ใด ผมยืนละล้าละลังอยู่นาน จึงตัดสินใจย่างเท้าเข้าไปถามไถ่กับแฝดคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่บริเวณประตูบ้าน ว่าใครคนใดในที่นี้จะสามารถตอบทุกข้อข้องใจให้ผม ได้บ้าง เขาตอบออกมาอย่างไม่ลังเลใจว่า ฝาแฝดทุกคน ณ ที่แห่งนี้สามารถ ตอบทุกสิ่งที่คุณไม่เข้าใจได้ เราเป็นผู้รู้ทุกคน นี่คือจุดเริ่มต้นของค�ำว่ามิตรภาพระหว่างเรา… เมื่อแรกที่เรายังไม่ค่อยสนิทกัน ผมอยากจะรู้เรื่องราวของเขามาก จึงลอง ค้นหามันด้วยตัวเอง ผมพบว่าบรรพบุรุษของเขานั้นเป็นชาวละติน อีกทั้งมีการ อพยพและก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่ ท�ำให้ครอบครัวของเขามีหลายสัญชาติ แม้ขอ้ มูลทีไ่ ด้จะน้อยนิด แต่นนั่ ก็ทำ� ให้ผมทึง่ เขามากทีเดียว ประวัตขิ องครอบครัว เขาช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง! ผมเคยถามเขาว่า เหตุใดที่บ้านของเขาจึงมีแต่แขกรุ่นราวคราวพ่อทั้งนั้น 84
ไม่มีเด็กตัวเล็กๆ บ้างเลย ครอบครัวของเขาไม่ชอบเด็กอย่างนั้นหรือ ค�ำตอบ ที่ได้สร้างความกระจ่างแก่ใจผมนัก เขาว่า ไม่ใช่ว่าครอบครัวของเขาไม่ชอบเด็ก แต่เด็กต่างหากที่ไม่ชอบพวกเขา เขาไม่เป็นที่รักในหมู่เด็กๆ เนื่องจากการ แต่งกายที่เนี้ยบและล้าสมัยเกินไป อีกทั้งลักษณะนิสัยส่วนตัวของครอบครัวเขา ไม่มีความสนุกสนานอย่างที่เด็กๆ ต้องการ เด็กๆ จึงไม่สนใจ... หลังจากนั้นไม่นาน ผมกับเขาก็ตัวติดกันเป็นตังเม เราไปไหนมาไหนด้วยกัน และพึง่ พาอาศัยกันราวกับโปรโตซัวทีอ่ งิ แอบซุกไซ้อยูใ่ นล�ำไส้ของปลวก เขาเป็น เหมือนเพื่อนคู่ใจของผม ผมถาม-เขาตอบ ทุกค�ำถาม ทุกความสงสัย เขาช่วย ท�ำให้มันกระจ่างได้เป็นอย่างดี ผมชอบเขาที่เขาไม่เรื่องมาก ไม่อวดภูมิความรู้ (ที่ถึงแม้จะมีเป็นกะตั้กก็ตาม) และเขาเองก็พร้อมจะสนับสนุนให้ผมเป็นผู้บอก ผ่านความรู้นั้นต่อ หลายครั้งมีเพื่อนๆ เข้ามาถามผมในสิ่งที่ไม่เข้าใจ เขาก็พร้อมจะปิดทอง หลังพระให้ผมได้เชิดหน้าชูตาตอบค�ำถามเหล่านั้นเจื้อยแจ้ว จนใครต่อใครต่าง ก็ชื่นชมผม ด้วยความที่ช่วงนั้นผมเริ่มเติบโตเป็นหนุ่ม ความชื่นชมเยินยอต่างๆ นานานั้นท�ำให้ผมรู้สึกกลายเป็นหนุ่มน้อยผู้ทรงความรู้ นานวันเข้าความรู้ที่ได้จากเขาก็เข้าไปฝังตัวอยู่ตามเส้นหยักของสมองผม เรียบร้อย ท�ำให้ผมไม่หันไปพึ่งพาเขาอย่างเคย ผมเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของเขา ผมตีตัวออกห่างจากเขาทีละน้อยและมันก็มากขึ้น มากขึ้น จนกระทั่งเพื่อนสนิท กลับกลายเป็นเพื่อนที่ไม่สนิทไป ผมไม่สนใจ ผมยังคงด�ำเนินชีวิตในแบบที่เป็นและในแบบที่อยากให้เป็น จนกระทั่ง เด็กชายกลายเป็นนายนัน่ แหละ เรือ่ งทีไ่ ม่เข้าใจจึงหวนกลับมาทักทายผมอีกครัง้ เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ก่อนความไม่เข้าใจจะแวะมาทักทาย ผมได้พบกับ เด็กสาวหน้าใสคนหนึ่ง เธอมีความเป็นตัวของตัวเองและมีเสน่ห์ เธอโด่งดังมาก ในหมูน่ กั ท่องโลกไซเบอร์ (ผมไม่อยากท�ำให้เธอเสียหายหรอกนะ แต่ถา้ คุณอยาก 85
จะรู้จักเธอ ผมจะใบ้ชื่อให้ ชื่อของเธอขึ้นต้นด้วยอักษร G และมี O อยู่ในชื่อ มากกว่า 1 ตัว) เธอคอยอยู่เคียงข้างผมทุกครั้งเมื่อผมมีปัญหา ไม่ว่าจะในการ ท�ำงานหรือในการใช้ชวี ติ ประจ�ำวัน เธอท�ำให้ชวี ติ ประจ�ำวันของผมสะดวกสบายขึน้ ช่วงเวลานั้นผมรู้สึกได้ถึงค�ำว่า ‘โลกสดใส’ อย่างแท้จริง โลกที่มีแค่เรา สองคน โลกที่หันไปทางไหนก็มีแต่ความสุข ความหอมหวาน แม้จะปนความ กระวนกระวายเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นหน้า แต่นั่นก็ท�ำให้ผมรู้สึกได้ว่าชีวิตมันช่าง มีสีสัน แต่เมื่อวันเวลาล่วงเลยดูเหมือนสีสันจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น ปัญหาในที่สุด ปัญหาแห่งความวุ่นวาย เริม่ ต้นจากอะไรผมไม่รู้ ผมรูเ้ พียงว่าระยะหลังมานีผ้ มเริม่ ไม่พอใจกับค�ำตอบ ของค�ำถามที่เธอให้ผมกลับมามากมาย มันมากมายเสียจนไม่สามารถรู้ได้ว่า อันไหนจริงหรือเท็จ แม้ว่าเธอจะท�ำแบบนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ตอนนี้ผมกลับ รู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกินกับการที่จะวิเคราะห์และแยกแยะความจริงจากปาก ของเธอ พอกันที! เหตุการณ์เหล่านีท้ ำ� ให้เกิดการเปรียบเทียบขึน้ ในใจผมเงียบๆ ระหว่างตัวเธอ และเพื่อนเก่าที่เคยสนิทของผม มีอยูค่ รัง้ หนึง่ ผมถามเธอว่า รัก คืออะไร? เธอให้คำ� ตอบกับผมเสียกระจ่างว่า... รัก คือ อะไรก็ตามที่คุณยอมและพร้อมจะทุ่มเทให้ / รัก คือ น�้ำหล่อเลี้ยงชีวิต / รัก คือ สิ่งดีๆ ที่คนสองคนรู้สึกต่อกัน / รัก คือ ความเข้าใจ / รัก คือ การเสียสละ / รัก คือ การยอมรับซึ่งกันและกัน / รัก คือ การยอมปรับตัวเข้าหากัน / รัก คือ การเอาใจใส่ / รัก คือ การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน / รัก คือ การเปิดใจพูดคุยกัน / รัก คือ หนังสือ ที่ต้องใช้เวลาศึกษา ท�ำความเข้าใจ ฯลฯ ตามแต่คุณจะนิยาม มันขึ้นมา... 86
แล้วสรุปว่าผมควรเลือกใช้ค�ำตอบไหน หรือจะต้องให้ผมไปนิยามขึ้นเอง? ค�ำตอบที่มากมายเต็มไปด้วยความรู้สึกหากไม่สามารถให้ความเข้าใจที่แท้จริง ได้ ซึ่ ง ในหลายครั้ ง ก็ ท� ำ ให้ เ ราเวี ย นหั ว ได้ ไ ม่ น ้ อ ย ในทางกลั บ กั น หากเป็ น เพื่อนเก่าของผม เขาคงจะตอบว่า รัก [ก.] มีใจผูกพันด้วยความห่วงใย สั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ นี่แหละครับคือความตรงไปตรงมาของเพื่อนผม เพราะในบางสถานการณ์ เราไม่ได้รู้สึกต้องการถ้อยค�ำที่ยาวเฟื้อยเป็นกิโลฯ แต่เปี่ยมด้วยน�้ำหรือความรู้สึกเสียหน่อย มี ค รั้ ง หนึ่ ง ผมท� ำ งานอย่ า งรี บ เร่ ง ในเวลาที่ จ� ำ กั ด ผมหั น ไปถามเธอถึ ง ความหมายของค�ำนั้น เธอตอบกลับมาเสียยาวเฟื้อยจนผมต้องเสียเวลาอ่าน และประมวลผลอยู่นาน เป็นอันว่างานชิ้นนั้นของผมก็ส่งไม่ทันเวลา ท�ำเอาผม อยากจะพ่นไฟใส่เธอเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ที่ผมพูดมาทั้งหมดไม่ได้ต้องการจะสื่อว่าเธอไม่ดี แค่ในบางครั้งผมไม่ได้ ต้ อ งการคนที่ พู ด น�้ ำ ไหลไฟดั บ เช่ น เธอ คนที่ พู ด น้ อ ยประหยั ด ถ้ อ ยค� ำ อย่ า ง เพื่อนเก่าคนเดิมของผมต่างหาก ที่ท�ำตัวเหมาะสมกับสถานการณ์ แม้เขาจะประหยัดค�ำพูดไปสักหน่อย อีกทั้งค�ำตอบที่ได้ก็ไม่ได้กินใจและไร้ ความรู้สึก แต่มันก็เต็มไปด้วยความกระจ่าง ความดีของเขามีมากเสียจนนึก อยากจะเอ่ยค�ำขอบคุณสักล้านครัง้ แต่นา่ เสียดายทีเ่ ขาไม่อยูต่ รงนีก้ บั ผมเสียแล้ว บางทีเขาอาจจะเก็บตัวเงียบอยู่บนชั้นหนังสือฝุ่นเขรอะสักชั้นในบ้านของผม หรืออาจจะถูกมืออวบหนาของแม่จับยัดลงไปในกล่องใบไหนสักใบในห้อง เก็บของ อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะขอบคุณเขา ผู้ซึ่งยืนหยัดท�ำหน้าที่ของตัวเอง อย่างดีที่สุดตลอดมา ไม่มีปริปากน้อยใจสักครั้งเมื่อผมเห็นความส�ำคัญของเขา แค่ในบางเวลาเท่านั้น... และหวังว่าเราคงจะได้พบกันอีก 87
เพื่อนเก่า กานต์ชนก จุลกิจวัฒน์
90
ห้องนอนเดิม เตียงหลังเดิม 464 หมู่ที่ 3 ต.พนมทวน อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี 71140 13 มกราคม 2555 วันเยาว์ เพื่อนรัก ตัง้ แต่จากกันไปไม่คดิ เลยว่าจะมีโอกาสเขียนจดหมายหาเธออีก ฉันคิดถึงเธอ อยู่เสมอๆ แต่ไม่ได้คิดถึงตลอดเวลา เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะฉันมีเรื่องราว ให้คิดให้ทำ� เยอะแยะมากมายทีเดียว บางเรื่องก็สนุกท้าทาย แต่บางเรื่องก็ท�ำให้ กังวลใจและเครียดไม่น้อยเลย ในเวลาที่ฉันมีเรื่องเครียดหรือไม่สบายใจ ฉันก็มักจะคิดถึงเธอนะวันเยาว์ ตั้งแต่เราจากกันนั้น ฉันได้เรียนรู้และเข้าใจอะไรหลายอย่างในโลกกว้างๆ ใบนี้ บางอย่างที่เธอเคยบอกว่าไม่เข้าใจและคงจะไม่มีวันเข้าใจถ้าไม่มาเป็นฉัน เธอเองยังเคยบอกว่าอยากมาเป็นตัวฉันไม่ใช่หรือ? แต่แปลกมากทีเดียว ในวันนี้ ที่ฉันเข้าใจอะไรหลายอย่างที่เธอไม่เข้าใจ ฉันกลับอยากเป็นตัวเธอเสียจริงๆ สิ่งแรกที่ฉันเข้าใจได้ด้วยตัวเองตอนที่ฉันคิดถึงเธอคือ การได้เป็นเธอนั้นช่าง แสนสบายและมีความสุขเสียจริงๆ เธอควรจะดีใจนะวันเยาว์ทอี่ ย่างน้อยเธอก็ได้ ท�ำอะไรตามทีใ่ จปรารถนา โดยไม่ตอ้ งกังวลว่าคนอืน่ จะคิดอย่างไร จะมองอย่างไร เธออาจจะคิดว่าการมาเป็นฉันจะท�ำให้มีอิสระในการใช้ชีวิตมากกว่าเธอ แต่ฉัน ขอบอกว่าไม่จริงเลย ยิ่งเราโตขึ้น เราก็จะยิ่งรู้สึกเหมือนกับมีก้อนอะไรหนักๆ โถมทับลงมาบนตัว ท�ำให้เราไม่สามารถท�ำอะไรได้ตามใจอีกแล้ว เพราะเรา ต้องมัวกังวลกับไอ้ก้อนหนักๆ เหล่านั้น ซึ่งต่อมาฉันก็ได้เรียนรู้ว่ามันมีชื่อเรียก แตกต่างกันออกไปว่า หน้าที่ ความรับผิดชอบ ความจ�ำเป็น ความเหมาะสม ฯลฯ ตัวฉันเองยังไม่เข้าใจมันทั้งหมดหรอก แต่คิดว่าวันหนึ่งข้างหน้าฉันก็คงจะเข้าใจ 91
มันมากขึ้นเองแหละ และฉันขอยืนยันว่าช่วงเวลาของเธอนั้นเป็นช่วงเวลาที่ได้ อยู่กับจินตนาการของตัวเองอย่างเต็มที่ และเป็นช่วงเวลาที่แสนมีความสุขที่สุด แล้วล่ะ พูดถึงเรื่อง จินตนาการ เธอรู้ไหมว่าฉันก็มีจินตนาการเหมือนกันนะ แต่ฉัน ขอเรียกมันว่าความฝันก็แล้วกัน เธอเคยบอกว่าเธอมักจะจินตนาการตัวเอง ให้อยู่ในห้องสมุดกว้างสุดลูกหูลูกตา จินตนาการว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางหนังสือ หลายหมื่นเล่มและตั้งหน้าตั้งตาอ่านอย่างมีความสุข ฉันยังจ�ำได้ดีว่าเธอชอบ อ่านหนังสือขนาดไหน ฉันเองก็ชอบอ่านหนังสือเหมือนเธอ เธอคงคิดไม่ถึงอย่าง แน่นอนว่าฉันอยากจะเป็นนักเขียน ตัวฉันเองก็ไม่อยากเชือ่ เหมือนกัน การอยาก เป็นนักเขียนของฉันก็มาจากความชอบอ่านของเธอนั่นแหละ การได้อ่านอะไร เยอะๆ และหลากหลาย มันท�ำให้ฉันอยากจะลองถ่ายทอดความคิดของตัวเอง ออกมาเป็นตัวหนังสือดูบ้าง แต่หลายคนก็ทัดทานและไม่เห็นด้วยกับความคิด ของฉันเท่าไร เขาเตือนว่าเป็นนักเขียนระวังจะไส้แห้ง ฉันไม่เห็นด้วยกับเขาเลย เหตุผลที่ฉันอยากเป็นนักเขียน ก็เพราะว่าฉันอยากเขียน ไม่ได้คาดหวังว่า จะร�่ำรวยจากอาชีพนี้หรอก แค่ฉันได้เขียนก็มีความสุขแล้ว จริงๆ แล้วฉันก็เกือบ จะล้มเลิกความฝันนี้อยู่เหมือนกัน เพราะฉันคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถ มากพอ หรื อ บางครั้ ง ฉั น ก็ รู ้ สึ ก ว่ า ตั ว ฉั น เองไม่ มี แ รงบั น ดาลใจในการเขี ย น แต่เธอจ�ำได้ไหมวันเยาว์ เธอเคยบอกกับฉันว่า “แรงบันดาลใจ อยูท่ ใี่ จจะบันดาล” ตอนแรกฉันก็งงๆ และไม่ค่อยเข้าใจที่เธอบอกสักเท่าไร ตอนนี้ฉันโตขึ้น เข้าใจ อะไรได้มากขึ้นอย่างที่บอก และตอนนี้ฉันก็คิดว่าเธอพูดถูก เธอกลายเป็น แรงบันดาลใจของฉันไปแล้วรู้ตัวไหม? แถมเธอยังบอกอีกว่าอยากอ่านหนังสือ ที่ฉันเขียน แล้วแบบนี้จะให้ฉันล้มเลิกความคิดที่จะเป็นนักเขียนได้อย่างไร ในเมื่อมีคนอยากอ่านงานเขียนของฉันตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเขียนเลย จริงๆ แล้วก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันอยากจะเป็นนักเขียน นัน่ ก็คอื ความรัก ซึง่ เป็นอีกเรือ่ งหนึง่ ทีฉ่ นั ได้เรียนรูแ้ ละเข้าใจ แม้จะไม่ใช่ทงั้ หมด 92
แต่เมือ่ ฉันโตขึน้ ฉันก็ได้รวู้ า่ ความรักไม่ได้มคี วามหมายอย่างทีเ่ ธอเข้าใจหรอกนะ ความรักไม่ได้หมายถึงการที่ชายหญิงคู่หนึ่งชอบพอกัน แต่งงานกัน มีลูกมี ครอบครัวด้วยกันเท่านัน้ ความรักทีเ่ ธอเข้าใจมันมีความหมายแคบเกินไปส�ำหรับ ฉัน ฉันคิดว่าความรัก หมายถึง ความปรารถนาดีต่อใครก็ได้ เป็นความรู้สึกดีๆ ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วท�ำให้ฉันอยากร้อยเรียงความคิดความรู้สึกนั้นออกมาเป็นตัว อักษร เป็นค�ำทีส่ ละสลวย เป็นประโยคทีง่ ดงามประทับใจ เป็นเรือ่ งราวทีน่ า่ จดจ�ำ แต่เมื่อมีความฝัน มีความคาดหวัง ก็ย่อมต้องมีสมหวัง ผิดหวัง ความทุกข์ ความสุข ฯลฯ เธอคงไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอกใช่ไหม? ตัวฉันเองก็มีความฝัน มีความคาดหวัง และก็พบเจอมาแล้วกับความรู้สึกสมหวัง ผิดหวัง ดีใจ เสียใจ จนวันหนึ่งฉันก็เริ่มเรียนรู้ว่า เมื่อเราโตขึ้น ครอบครัว เพื่อน สิ่งแวดล้อม สังคม รอบตัว กฎ กติกาต่างๆ หรือแม้แต่มุมมองที่เปลี่ยนไปของตัวเราเอง ล้วนแต่เป็น กรอบเป็นขอบเขตที่ท�ำให้เราไม่สามารถท�ำสิ่งที่ตนเองปรารถนาได้เสมอไป เธอเห็นไหมว่ายิ่งวันเวลาที่เราจากกันเนิ่นนานเท่าไร เราก็จะยิ่งแตกต่างกัน มากขึ้นเท่านั้น เธออาจจะคิดไม่ถึงว่าวันหนึ่ง ฉันคนที่เธอรู้จักดีจะเปลี่ยนแปลง ไปได้ขนาดนี้ ฉันเองก็คดิ ไม่ถงึ เหมือนกัน แต่มนั ก็จะเป็นอย่างนีต้ ลอดไปนัน่ แหละ แม่บอกฉันว่ามันเป็นธรรมดาของโลก ไม่มีอะไรหยุดนิ่งไปจนนิรันดร์ ไม่เว้น แม้กระทั่งร่างกายและความคิดของฉันเองก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนกว่า จะตาย โลกทีห่ มุนไปตามวันและเวลาท�ำให้ฉนั ค่อยๆ เปลีย่ นแปลงและแตกต่าง จากเธอ แต่ใช่วา่ เราจะไม่มโี อกาสได้พบเจอกันอีกนะวันเยาว์ เพราะฉันรูส้ กึ ได้วา่ ตัวเธอนั้นไม่ได้หายไปไหนเลย แต่เธออยู่ในตัวของฉันนี่เอง ไม่ใช่สิ เธอเป็น ส่วนหนึ่งของฉันต่างหาก
รักและคิดถึงเสมอ วัยฝัน 93
เมฆ ลฎาภา อินทรมหา
94
95
96
แสงตะวันแรกของวันโผล่พน้ ขอบฟ้าเป็นสัญญาณบอกสมาชิกตัวเล็กประจ�ำ หมู่บ้านว่าได้เวลาสนุกกันแล้ว! เด็กตัวเล็กต่างวิ่งกรูออกมาจากบ้านตรงไปยัง ลานโล่งกลางหมู่บ้าน ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังลั่นไปทั่ว พาให้ชาวบ้านที่เดินผ่านไป มายิม้ ด้วยความเอ็นดู แถมด้วยเสียงก�ำชับอย่างเป็นห่วงของพ่อแม่ดงั ไล่หลังมา นิ่ม: มาครบยัง? ขวัญ: (หันไปดูเพื่อนๆ รอบๆ) หนึ่ง โย่ง ป้อง กาย แก้ว เชี่ยว ยุด... ครบแล้ว! นิ่ม: วันนี้เล่นอะไรดี ซ่อนหาไหม? (เพื่อนทุกคน): เอ้าๆ! ใครจะเป็นคนหา? นิ่ม: โอน้อยออกกัน หนึ่ง สอง สาม โอน้อย ออก! (ยุดกับขวัญคว�่ำมือ คนอื่น หงายมือกันหมด) ยุด: ว้า ต้องเป็นคนหาเลย กาย: ปิดตาแล้วนับเร็วยุด ยุดและขวัญ: หนึ่ง สอง สาม... (เพื่อนๆ วิ่งไปหาที่ซ่อน เงาวิ่งวูบวาบตามตัว 97
รับกับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า ที่ส่องผ่านเมฆหนาสีขาวหม่นเต็มท้องฟ้า) ยุด: (ลืมตา) ขวัญหาทางโน้นนะ ยุดจะหาทางนี้ ขวัญ: ได้ (ยุดวิ่งน�ำไปก่อน มองเห็นใครวิ่งผ่านพุ่มไม้แวบๆ จึงแอบวิ่งอ้อม ไปด้านหลังพุ่มไม้) โป้ง! หนึ่ง... โป้ง! กาย... โป้ง!... แก้ว (ขวัญวิ่งไปทางกระต๊อบ หลังเล็กข้างบ้านก�ำนัน เมฆกลุ่มใหญ่เคลื่อนตัวมาบังพระอาทิตย์ เงามืดทอด ลงมาท�ำให้ขวัญมองไม่เห็นเชีย่ วทีแ่ อบอยูห่ ลังเสากระต๊อบ จึงเดินไปทางอืน่ ต่อ) (เชี่ยวค่อยๆ เขย่งเท้าเดินออกมาจากหลังเสากระต๊อบ แต่ชนกับฝาโอ่งน�้ำ ที่ปิดไม่สนิทเข้าให้) เคร้ง!... ขวัญ: (รีบหันมาดู) โป้ง! เชี่ยว โป้ง! ป้อง โป้ง! โย่ง (เชี่ยว ป้อง โย่ง เดินหน้า มุ่ยออกมาจากที่ซ่อน) โย่ง: ขวัญหาครบหมดยัง ขวัญ: ไม่รู้ ต้องไปถามยุดทางโน้นด้วย (ลมหนาวพัดแรงจนกลุม่ เมฆเริม่ ลอย กระจัดกระจายออกไปบนท้องฟ้า ยุดกับเพื่อนอีกสามคนวิ่งเข้ามาหา) ขวัญ: ยุด หาครบยัง? (ตะโกนถาม) ยุด: ยังหานิ่มไม่เจอ ขวัญล่ะ? ขวัญ: ยังหาไม่เจอเหมือนกัน (นิม่ แอบอยูห่ ลังโอ่งน�ำ้ ข้างศาลาริมทาง กลุม่ เมฆ สีเทาเริ่มลอยไกลออกไป แทนที่ด้วยเมฆก้อนใหญ่สีขาวที่เกาะกลุ่มกันอยู่) นิ่ม: (รอเพื่อนนานจนเริ่มเบื่อ) นานจังเลย ยังหากันไม่เสร็จเหรอ เมฆก้อนหนึ่งเห็นนิ่มแอบอยู่คนเดียว จึงส่งเสียงลงมาทักทาย เมฆ: แล้วท�ำไมเธอไม่ไปหาเพื่อนล่ะ? นิ่ม: (สะดุ้ง ผุดลุกขึ้นนั่ง) นั่นเสียงใครน่ะ? เมฆ: เสียงฉันเองแหละ ลองเงยหน้าขึ้นสิ นิ่ม: เมฆเหรอ เธอพูดได้ด้วยเหรอ เมฆ: ได้สิจ๊ะ ท�ำไมเธอไม่ไปหาเพื่อนๆ ล่ะ 98
นิ่ม: ก็เล่นซ่อนหาอยู่นี่นา วิ่งเข้าไปเดี๋ยวเพื่อนเห็นก็แพ้น่ะสิ เมฆ: เหรอ แล้วเมื่อไหร่จะจบเกมล่ะ? นิ่ม: ไม่รู้เหมือนกันสิ สงสัยจะอีกนาน เมฆ: เอาอย่างนี้ อยากไปเที่ยวกับฉันก่อนไหม แล้วค่อยกลับมาก็ได้ นิ่ม: ไปสิๆ จะพาไปไหนเหรอ เมฆ: ไปดูบ้านเกิดของฉันไง ขึ้นมาเลย นิ่มปีนขึ้นไปเกาะบนเมฆ เธอลอยสูงขึ้นๆ บ้านเรือนผู้คนดูห่างไกลออกไป จนเล็กจิ๋วเหมือนเมืองของเล่น รอบข้างแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสด ตัดกับสีขาวของ ก้อนเมฆหลายพันก้อนที่โบกมือทักทายเธออยู่รอบด้าน สัมผัสนุ่มละมุนของ ก้อนเมฆบวกกับสายลมเย็นที่ปะทะหน้าชวนให้เคลิ้มหลับ แต่... เมฆ: ถึงแล้วจ้ะ นี่ไงล่ะที่ที่ฉันเกิด นิม่ : (มือเกาะขอบเมฆ ชะโงกหน้าลงไปดูขา้ งล่าง เห็นภาพผืนน�ำ้ สีนำ�้ เงินเข้ม กว้างใหญ่ชวนตื่นตาตื่นใจ) ว้าว! ที่นี่เหรอ มีแต่น�้ำเต็มไปหมดเลย เมฆ: ใช่แล้วจ้ะ ที่นี่เรียกว่า ‘มหาสมุทร’ จ้ะ พอน�้ำจากมหาสมุทรโดนความ ร้อนจากพระอาทิตย์ มันก็ระเหยขึ้นไปข้างบน... นิ่ม: ‘ระเหย’ คืออะไรเหรอ? เมฆ: ระเหยคือน�้ำที่แปลงร่างเป็นไอน�้ำไง นิ่ม: งั้นพระอาทิตย์ก็ต้องร้อนมากๆ เลยน่ะสิ น�้ำถึงกลายเป็นไอน�้ำได้ เมฆ: ร้อนมากเลยล่ะ... เอ้า แล้วพอน�้ำกลายเป็นไอน�้ำ ก็ลอยขึ้นไปเรื่อยๆ แบบนั้นไงล่ะ (เมฆลอยไปใกล้ๆ กลุ่มไอน�้ำที่อยู่ข้างหน้า) ไอน�้ำๆ ฉันพาเพื่อน มาให้รู้จักแน่ะ นิ่ม: สวัสดีจ้ะไอน�้ำ เธอก�ำลังจะไปไหนน่ะ ไอน�้ำ: ฉันก็ลอยไปเรื่อยๆ แหละจ้ะ (ไอน�้ำยิ้มให้) ลอยสูงขึ้น สูงขึ้น จนกลายเป็นหยดน�้ำ นิ่ม: เธอกลายเป็นหยดน�้ำได้ยังไงล่ะ 99
ไอน�้ำ: ฉันจะไปเจอความเย็นที่อยู่ข้างบน เขาจะท�ำให้พวกฉันมารวมตัว เกาะกลุ่มใกล้ๆ กัน แล้วรวมกันเป็นหยดน�้ำเล็กๆ เต็มไปหมดเลยจ้ะ เมฆ: พอหยดน�้ำมารวมกันมากขึ้นๆ ก็กลายเป็นเมฆอย่างฉันนี่แหละ นิม่ : โห! ยากนะเนีย่ กว่าจะมาเป็นเมฆได้ ขอบคุณนะไอน�ำ้ เธอต้องกลายเป็น เมฆให้ได้นะ ไอน�้ำ: ขอบคุณจ้ะ แล้วพวกเธอจะไปไหนต่อเหรอ เมฆ: ฉันจะพาเขาไปรู้จักเพื่อนๆ คนอื่นของฉันจ้ะ ไอน�้ำ: ขอให้โชคดีในการเดินทางนะ ฉันเองก็ต้องไปแล้วล่ะ ลาก่อนนะ ไอน�ำ้ ลอยตัวขึน้ สูง ในขณะทีเ่ มฆลอยโฉบไปทางแนวภูเขาหิมะสูงตระหง่าน แวดล้อมด้วยเมฆก้อนอื่นๆ ลอยลดหลั่นไปตามระดับความสูง ยอดเขาบางยอด ล้อมด้วยทิวเมฆปกคลุม คล้ายยอดเขาก�ำลังสวมหมวกแก็ปอยู่ เมฆ: เธอเห็นเมฆที่เป็นริ้วๆ ข้างบนไหม เขาเป็นเพื่อนสนิทของฉันเลยล่ะ นิ่ม: เขาชื่ออะไรเหรอ เมฆ: ฉันเรียกเขาว่า ‘ซีรร์ สั ’ แต่เธอจะตัง้ ชือ่ ใหม่ให้เขาก็ได้นะ เขาไม่คอ่ ยชอบ ชื่อนี้หรอก นิ่ม: ตัวเขาเป็นเส้นๆ ปุยๆ เหมือนหางม้าเลย หนูเรียกเขาว่า ‘ม้าปุย’ ได้ไหม (เสียงใส) เมฆ: (อมยิ้ม) ลองไปคุยกับเขาดูไหมล่ะ ดูว่าเขาจะชอบชื่อนี้หรือเปล่า (เมฆลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็ชนกับเมฆสีเทาแผ่นใหญ่เข้าให้ โครม!) เมฆ: (ลอยกระเด็นไปไกล) โอ๊ย! เจ็บชะมัด นิ่ม: (ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาดู แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย) เมื่อกี๊ชนอะไร เหรอ เมฆเทา: นี่! เจ้าเด็กบ้า ลอยไม่ดูตาม้าตาเรือมาชนฉันได้ยังไง แล้วยังไม่รู้จัก ขอโทษผู้หลักผู้ใหญ่อีก เมฆ: ขอโทษจ้ะลุง ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นี่นา 100
เมฆเทา: คราวหน้าคราวหลังก็หดั หลีกทางให้ผใู้ หญ่ซะด้วยนะ ฮึย! เด็กอะไร ช่างไร้มารยาทเสียจริง ๆ นิ่ม: ลุงจ๋า ก็เมฆเขาขอโทษไปแล้วนี่จ๊ะ ไม่เห็นต้องว่าขนาดนั้นเลย เมฆเทา: เจ้าหนูนี่เป็นใครล่ะเนี่ย (ตาเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ) นิ่ม: หนูเป็นเพื่อนของเมฆจ้ะ เมฆพาหนูมารู้จักเพื่อนๆ ของเขา เมฆเทา: งั้นเหรอ เที่ยวให้สนุกนะหนู วันหลังว่างๆ มาหาลุงก็ได้นะ นิ่ม: จ้ะลุง ขอบคุณนะจ๊ะ (หันกลับมาหาเมฆที่ยังคงซึมอยู่หลังจากถูกดุ) ไม่เป็นไรหรอกเมฆ ลุงเขาไม่ว่าอะไรแล้วนี่นา เมฆ: ฉันไม่ได้เสียใจทีถ่ กู ดุหรอก แต่เสียใจทีเ่ ราจะได้เป็นเพือ่ นกันอีกไม่นาน น่ะสิ นิ่ม: เธอพูดเรื่องอะไรนะ ฉันยังอยากไปเที่ยวกับเธออยู่เลย ท�ำไมถึงจะเลิก เป็นเพื่อนกับฉันล่ะ (เริ่มร้องไห้) เมฆ: เพราะฉันก�ำลังจะกลายเป็นฝนไงล่ะ นิ่ม: ฝน! ถ้าเธอเป็นฝนเธอจะค่อยๆ หายไปเหรอ (มองไปรอบด้าน ขอบเมฆ ค่อยๆ หายไปกลายเป็นหยาดน�้ำฝนตกลงสู่เบื้องล่าง) เมฆ: อย่าร้องไห้สินิ่ม ฉันไม่หายไปไหนหรอก พอฉันกลายเป็นฝน สุดท้าย ฉันก็จะไปที่มหาสมุทรแล้วกลับมาเป็นเมฆได้อีก นิ่ม: แต่ฉันไม่อยากให้เธอไปนี่นา เมฆ: (ลอยลงต�่ำเรื่อยๆ) ฉันคงต้องส่งเธอแค่นี้แล้วล่ะ แล้วเราจะได้พบกัน อีกครั้งนะนิ่ม นิม่ : เดีย๋ วก่อนสิ! (เมฆค่อยๆ วางเธอลงกับพืน้ หญ้าอย่างเบามือ ก่อนจะลอย จากไปพร้อมกับรอยยิ้ม) ...
101
สายลมพลิ้วไหวลูบยอดหญ้าเล่นเป็นระลอก เด็กสาวผมซอยสั้นในชุด นักเรียนมัธยมเดินทอดน่องไปตามถนนลูกรังที่ตัดผ่านทุ่งหญ้า ขอบฟ้าวันนี้ ถูกโอบล้อมด้วยก�ำแพงเมฆสีขาวสูงใหญ่ ประดับด้วยล�ำแสงสีฟา้ พุง่ สูงจากยอด เมฆ ขับผิวท้องฟ้ารอบข้างให้แต่งแต้มด้วยสีสันสดใส หากแต่นิ่มมองไม่เห็นความงดงามนั้น สายตามองเหม่อไปตามเส้นทาง ที่ก�ำลังเดิน ภาพทางลูกรังสีน�้ำตาลเข้มค่อยๆ เลือนราง แทนที่ด้วยห้องเรียน วิทยาศาสตร์ที่ปรากฏขึ้นชัดเจนในห้วงมโนนึก เบื้องหน้าคือสไลด์บทเรียน 102
103
104
เสียงอาจารย์ดาวบรรยายผ่านเข้ามาในหูคำ� แล้วค�ำเล่า สายตาของนิม่ มองสไลด์ สลับกับก้มลงจดเนื้อหาลงสมุด อาจารย์ดาว: ‘เมฆ’ เป็นกลุ่มละอองน�้ำที่เกิดจากการควบแน่น ซึ่งเกิดจาก การยกตัวของกลุ่มอากาศ ผ่านความสูงเหนือระดับควบแน่น และมีอุณหภูมิลด ต�่ำกว่าจุดน�้ำค้าง... นิ่ม: (หันไปคุยกับขวัญ) ขวัญ เย็นนี้ไปเดินเล่นกันหน่อยไหม ตรงทุ่งหญ้า หลังโรงเรียนน่ะ ขวัญ: ท�ำไมต้องไปที่ทุ่งหญ้าล่ะ เดินเล่นแถวนี้ก็ได้นี่นา อาจารย์ดาว: ซึ่งนักอุตุนิยมวิทยาจัดแบ่งเมฆออกเป็นสามลักษณะ คือเมฆ ก้อน (ภาพก้อนเมฆสีขาวกลุ่มหนึ่งขึ้นบนสไลด์) เมฆแผ่น (ผืนเมฆสีเทาทะมึน ปกคลุมท้องฟ้าปรากฏขึ้น) และ เมฆฝอย (อาจารย์ดาวกดเลื่อนสไลด์ ภาพริ้ว เมฆสีขาวตัดกับท้องฟ้าสดขึ้นมาแทนที่) นิ่ม: (คุยกับขวัญต่อ มือจดเนื้อหาลงสมุดไปด้วย) ก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศ 105
บ้าง อยู่แต่ในตึกน่าเบื่อจะตาย ขวัญ: ไม่ดีกว่า เย็นนี้อยากท�ำงาน ช่วงนี้การบ้านเยอะจะตาย อาจารย์ดาว: แต่ในการแบ่งเมฆอย่างละเอียด นักอุตุนิยมวิทยาใช้ค�ำศัพท์ เดี ย วกั บ ที่ นั ก พฤกษศาสตร์ ใ ช้ จ� ำ แนกพื ช คื อ Genus, Family, Species และ Variety มาใช้ในการจัดจ�ำแนกเมฆออกเป็นประเภทต่างๆ ซึ่งเมฆมีทั้งหมด 10 Genus... นิ่ม: แหม ขวัญ จะขยันไปไหน งานเดี๋ยวค่อยท�ำก็ได้ ไปเดินเล่นกันหน่อยนะ (เสียงเริ่มดัง) อาจารย์ดาว: (ได้ยินเสียงคุยกัน หันมาดุ) นิ่มคะ จะฟังครูหรือจะคุยกับ เพื่อนคะ? นิ่ม: (สะดุ้งโหยง) เอ่อ... ขอโทษค่ะ อาจารย์ดาว: (หันไปสอนต่อ) เมฆยังแบ่งย่อยได้อีก 14 Species คือ Fibratus เป็นเมฆในสกุล Cirrus และ Cirrostratus... นิ่ม: (แอบนินทากับขวัญ) สอนน่าเบื่อขนาดนี้จะไม่ให้อยากคุยได้ไงล่ะเนี่ย ขวัญ: แปลก ปกติเห็นเป็นเด็กดีขยันท�ำงาน วันนี้ดันอยากออกไปเดินเล่น แต่จะให้ไปด้วยก็ได้นะ นิ่ม: จริงนะ งั้นเดี๋ยวเลิกเรียนแล้วเจอกันหน้าตึกนะ ... ระฆังบอกเวลาหมดคาบสุดท้ายไพเราะเหมือนเสียงดนตรีสวรรค์ นิ่มรีบเก็บ ข้าวของลงกระเป๋าเป้ ก่อนเดินลงบันไดไปหน้าตึกเรียนเพื่อรอเพื่อนของเธอ ห้านาทีผ่านไป สิบนาทีผ่านไป เพื่อนของเธอก็ยังไม่มา จนเธอขี้เกียจคอย อีกต่อไป จึงตัดสินใจไปทุ่งหญ้าคนเดียว เธอก้าวเท้าเร็วไวราวกับอยากให้ถึง จุดหมายเร็วๆ ไม่นานนัก ทุ่งหญ้าสีเขียวขจี นกหลากหลายชนิดบินอยู่เหนือ หมู่ไม้สีเขียวเข้ม ตัดกับฟ้าสีสดใสก็ปรากฏแก่สายตา นานแล้วทีเ่ ธอไม่ได้มาทีน่ ตี่ งั้ แต่ขนึ้ ชัน้ มัธยมปลาย เวลาทัง้ หมดก็ถกู เทให้กบั 106
การเรียนที่ทั้งหนัก ยาก และเยอะ ทุกสิ่งทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด จนแทบไม่มี เวลาให้นั่งพักนิ่งๆ อยู่กับตัวเอง วันนี้ เธอจึงอยากวางภาระนี้สักครู่... นิ่ม: (เดินเข้าไปในทุ่งหญ้า ได้ยินเสียงคนวิ่งตามมาจึงหันกลับไปดู) ขวัญ: ขอโทษๆ พอดีครูเรียกไปคุยงานเลยมาช้า นี่รีบวิ่งมาเลยนะเนี่ย นิ่ม: โห วันหลังเดินมาก็ได้ วิ่งมาเดี๋ยวเหนื่อยตาย ขวัญ: เอาน่า จะเดินเล่นไม่ใช่เหรอ ไปสิ นิ่ม: (เดินไปตามถนนลูกรัง) เหนื่อยไหมช่วงนี้ ขวัญ: เหนื่อยสิ เรียนหนัก งานเยอะ คนนะไม่ใช่หุ่นยนต์ จะไม่ให้เหนื่อย ได้ไง นิ่ม: นั่นสิ วันนี้ถึงได้อยากออกมาเดินเล่นไง พักบ้าง ขวัญ: อ๋อ เออ จะเล่าให้ฟงั หมาทีบ่ า้ นเราตลกมาก คือเราไปหยิบของมาจาก ตู้เย็น เอาช็อกโกแลตออกมากิน เดินไปหน้าบ้านมันก็กระโดดใส่ซะล้ม แล้วก็งับ ช็อกโกแลตไปกินเฉยเลย นิ่ม: ทั้งแท่งเลยเหรอ ขวัญ: ใช่ กินทุกอย่างแหละตัวนี้ กุยช่ายยังกินเลย ขนมจีบนี่เขาอุตส่าห์วาง ไว้บนโต๊ะแล้วไปเข้าห้องน�้ำ กลับมาอีกทีหายเรียบทั้งจาน หมาขโมยไปกินแล้ว นิ่ม: บอกให้มันมาเกิดเป็นคนได้แล้วมั้ง กินขนาดนี้ ขวัญ: ฮ่าๆ เดี๋ยวบอกให้นะ... ดูนั่นสิ! ท้องฟ้าสวยมากเลย นิ่ม: (เงยหน้ามองตาม) เฮ้ย สวยจริงด้วย ดูสิๆ สีเหมือนไอติมเลย มีแสงพุ่ง ออกมาจากเมฆด้วย สุดยอด ขวัญ: เรียกว่าอะไรนะ อาจารย์ดาวสอนเมื่อเช้า นิ่ม: รังสีอะไรสักอย่าง ขวัญ: อ๋อ รังสีพัสคิวลาร์ไง นิ่ม: นั่นแหละ แต่ถึงจะไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร เมฆมันก็สวยอยู่ดีแหละ 107
ขวัญ: นั่นสิ แต่ถ้าเรารู้ชื่อมันก็ช่วยให้สนุกขึ้นนะ ฝึกการคิดเชื่อมโยงกับ เรื่องที่เรียนด้วยไง... ดูเมฆทางโน้นสิ สวยเหมือนกัน นิม่ : ไหน ทีเ่ ป็นก้อนๆ ใหญ่ๆ เกาะกลุม่ กันอยูเ่ หรอ (มองไปทางเมฆก้อนมหึมา ทีเ่ กาะกลุม่ กันอยู่ รูปร่างขนาดทีแ่ ตกต่างกันไปท�ำให้เมฆดูคล้ายภูเขาขนาดใหญ่ สีขาวบนท้องฟ้า) ขวัญ: ใช่ สวยสุดยอดเลยเนอะ อยากรู้จังว่าถ้าขึ้นไปอยู่บนเมฆก้อนนั้นแล้ว จะเป็นยังไง นิ่ม: คงจะนุ่มๆ นิ่มๆ ดีล่ะมั้ง ขวัญ: หรือไม่ก็อาจจะหล่นตุ้บลงมาก็ได้ เมฆมันเกิดจากไอน�้ำนี่นา จะรับ น�้ำหนักเราไหวเหรอ นิ่ม: (หัวเราะร่วน) นั่นสินะ ว่าแต่เราไม่ได้ดูเมฆกันนานเท่าไหร่แล้วนี่? ขวัญ: นานมากแล้ว ปกติเราก็ชอบมองท้องฟ้านะ แต่ไม่ได้สนใจอะไรหรอก มองเสร็จก็ไปท�ำอย่างอื่นต่อ นิ่ม: เหมือนกัน จ�ำได้ว่าตอนเด็กๆ เราชอบดูเมฆมากเลย ชอบบอกแม่ว่า นั่นเค้ก ตรงนั้นมีมังกร ทางโน้นเป็นรถยนต์ ขวัญ: ใช่ๆ ตอนนั้นสนุกมาก แค่ดูเมฆก็สนุกแล้วล่ะ เขาชอบนะ เวลานอนดู เมฆมันรู้สึกสบายใจดี ไม่ต้องคิดอะไร แค่ปล่อยใจไปสบายๆ เหมือนเราได้พัก สมองสักห้านาที เมฆ: กลับมากันแล้วเหรอ นิ่มและขวัญ: (สะดุ้งสุดตัว เหลียวไปมองรอบข้าง ไม่เห็นใคร) ใครน่ะ? เมื่อกี๊เสียงใคร? เมฆ: เมฆ ไงล่ะ เราเคยเจอกันตอนเด็กๆ น่ะ จ�ำได้ไหม ฉันเคยพาเธอไปหา เพื่อนๆ ของฉันด้วย ขวัญ: เคยเจอด้วยเหรอ? (หันมาถาม) นิ่ม: (ขมวดคิ้ว) จ�ำไม่ได้แฮะ 108
เมฆ: เจอลุงเมฆสีเทาด้วยนะ ที่เคยดุฉันไง นิ่ม: ยังจ�ำไม่ได้อยู่ดีแหละ ช่างเถอะ เธอเป็นเมฆ ท�ำไมพูดได้ล่ะ เมฆ: ทุกอย่างก็พูดได้หมดแหละ ต้นไม้ก็พูดได้ เธอไม่รู้เหรอ นิ่ม: อย่ามาหลอกกันเลยน่า สิ่งไม่มีชีวิตจะพูดได้ยังไง เมฆ: ฉันไม่ได้หลอกเธอนะ ตอนนี้เธอก็ได้ยินฉันพูดไม่ใช่เหรอ นิ่ม: เออ จริงด้วย เมฆ: ใช่ไหมล่ะ ที่เธอไม่ได้ยินฉันพูด เพราะใจเธอไม่อนุญาตให้เธอได้ยิน เธอรู้ไหมว่าทั้งเสียงพูดที่เธอได้ยิน ทั้งภาพที่เธอเห็นก้อนเมฆเป็นรูปต่างๆ ก็ล้วน แล้วแต่มีจุดเริ่มต้นมาจากจินตนาการของเธอเองทั้งนั้นแหละ แล้วเสียงของบทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบเชียบมานาน นิ่ม: (หันกลับมาบอก) ฉันดีใจที่เจอเธออีกนะเมฆ เมฆ: (มองเด็กสาวทั้งสองคนเดินไปที่ทางออก ยิ้มให้แล้วลอยขึ้นฟ้า) ฉันก็ ดีใจที่เจอเธออีกเหมือนกัน กลับบ้านกันดีๆ ล่ะ... ฉันจะรอเธออยู่ที่นี่เหมือนเดิม แล้วเจอกันวันหลังนะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธออีกเพียบเลย
109
110